War sovereign Soaring The Heavens 3312-3313
ตอนที่ 3312
“เอ๋? ศิษย์พี่หญิงมิใช่ว่าใช้กฏแห่งความตายมาตั้งแต่แรกหรือ?”
ไม่ว่าจะหูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อ โอวหยางฉีเฟยหรือหงเฟย พอได้ยินคําพูดของหลู่จี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองถามหลู่จี้กันหมด
เห็นได้ชัดว่าทุกคนเองพึ่งจะรู้เรื่องนี้
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของพวกเรา…พึ่งจะเปลี่ยนมาใช้กฎแห่งความตาย ก็หลังจากนางกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะแล้วนั่นล่ะ”
ถูกทุกคนมองมาด้วยสายตาสงสัย หลู่จี้ก็คลี่ยิ้มบางๆ เอ่ยออกด้วยใบหน้าที่เริ่มฉายให้เห็นถึงความคิดถึง “พวกเจ้าจะไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติเพราะตอนนั้นอาจารย์ยังไม่ได้รับพวกเจ้ามาเป็นศิษย์”
“ในตอนนั้นคนที่อยู่กับอาจารย์ก็มีแค่ข้ากับศิษย์พี่หญิงใหญ่เท่านั้น”
“อะไร!? ศิษย์พี่หญิงใหญ่พึ่งจะเปลี่ยนมาใช้กฏแห่งความตายหลังจากเป็นศิษย์อัจฉริยะงั้นเหรอ?”
หงเฟยได้แต่มองหลู่จี้ด้วยความตกตะลึง “ศิษย์พี่รอง ท่านจะบอกพวกเราว่า…กฎแห่งความตายที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่เพียงแต่จะเข้าใจความลึกซึ้งทุกประการถึงขั้นตอนความสําเร็จยิ่งใหญ่ แต่สามารถผสานหลอมรวมความลึกซึ้งได้ถึง 3 ประการนั่น…นางพึ่งจะมาริเริ่มทําความเข้าใจมันหลังจากนางกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะเช่นนั้นหรือ!?”
หงเฟยตกใจมาก
เป็นธรรมดาว่าไม่ใช่แค่หงเฟยเท่านั้นที่ตกใจ ไม่ว่าจะหูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อ หรือโอวหยางฉีเฟยก็แลดูตกใจกันหมด
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เพราะเขาไม่เคยพบเจอศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ว่าจึงไม่รู้จักนาง
ทว่ากับหงเฟยและคนอื่นๆมันต่างกัน
ทั้งหมดรู้จักและเห็นซึ้งถึงพลังฝีมือศิษย์พี่หญิงใหญ่ดี
“ก่อนที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของพวกเราจะเข้าใจกฏแห่งความตายถึงระดับนี้ อันที่จริงนางเข้าใจความลึกซึ้งทุกประการของกฎแห่งน้ำถึงขั้นตอนความสําเร็จยิ่งใหญ่หมดแล้ว…เรื่องนี้พวกเจ้าคงไม่รู้มาก่อนสินะ?”
หลู่จี้กล่าวสืบต่อ
และคําพูดประโยคนี้ของหลู่จี้ไม่เพียงแต่จะทําให้พวกหงเฟยกับศิษย์คนอื่นตกตะลึงเท่านั้น ยังทําให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออดหันหน้ามามองสบตากันไม่ได้ ก่อนจะแลเห็นความตกตะลึงในสายตาของกันและกัน
‘ศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นดั่งมังกรเทพยดาเห็นหัวไม่เห็นหางสําหรับข้า…ถึงกับบรรลุความลึกซึ้งของกฎแห่งน้ำถึงขั้นตอนความสําเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมด ก่อนจะบรรลุกฏแห่งความตายถึงระดับนั้น?’
เดิมที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่า การที่เขาสามารถบรรลุความลึกซึ้งของกฏมิติทั้งหมดถึงขั้นตอนความสําเร็จยิ่งใหญ่ได้ ก็นับว่าประสบผลสําเร็จมากแล้ว
แต่มาตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแต่เขาที่ประสบความสําเร็จระดับนี้
‘อย่างไรเสียเพราะผลึกสํานึกของผู้แข็งแกร่งที่สุด ข้าถึงสามารถบรรลุกฏมิติได้ในเวลาอันสั้นแต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ว่ากลับมีความเข้าใจถึงระดับนี้ ที่แท้นางไปประสบโชควาสนาโดยบังเอิญอันใดมากันแน่?’
คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกนับถือศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ไม่เคยพบเจอขึ้นมาหลายส่วน
หลังจากเห็นร่างเดินทางกันไปอีกสักพัก ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็กลับมาถึงเขตที่พักอาศัยในด่านของฉือหล่าง ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกันกลับ
ต้วนหลิงเทียนก็กลับมายังที่พักพร้อมฮ่วนเอ๋อ
“พี่หลิงเทียน”
พอกลับมาถึง ฮ่วนเอ๋อ ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ฮ่วนเอ๋อ ข้าจะลองถามศิษย์พี่ 6 ดู ว่าหากคิดจะสมัครเป็นผู้คุมของคุกหมื่นพันธาการต้องทําอย่างไรบ้าง”
ต้วนหลิงเทียนย่อมคาดเดาความคิดของฮ่วนเอ๋อได้ หลังจากคลี่ยิ้มบางๆ ก็ใช้ลูกแก้ววิญญาณหงเฟยเป็นสื่อในการใช้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณ ติดต่อไปสอบถามเรื่องราวจากหงเฟยทันทีว่าหากคิดจะสมัครเป็นผู้คุมคุมหมื่นพันธนาการต้องทําอย่างไร
จึงทราบว่าหากเป็นศิษย์อัจฉริยะแล้ว ถ้าอยากทํางานเป็นผู้คุมมันก็ง่ายนิดเดียว แค่ไปลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไว้เท่านั้น
หากมีตําแหน่งงานว่างลงเมื่อใด ก็จะถูกจัดเวรให้ทันที
ผู้คุมคุกหมื่นพันธนาการบางคนก็มีธุระต้องออกไปทํา บ้างก็จะเก็บตัวบ่มเพาะอย่างสันโดษ ถึงตอนนั้นตําแหน่งผู้คุมย่อมว่างลงอย่างช่วยไม่ได้ ทําให้ต้องรับผู้คุมที่สมัครมาไปทําหน้าที่แทน
“ฮ่วนเอ๋อ ข้าจะพาเจ้าไปสมัครเป็นผู้คุมคุกหมื่นพันธนาการ”
หลังจากสอบถามเรื่องสถานที่ๆต้องไปก่อนจะลงทะเบียนแจ้งความประสงค์จากหงเฟยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเดินทางออกจากสถานที่พัก และไปยังเกาะลอยฟ้าอีกเกาะของวังเทียนฉือทันที
จากนั้นก็เหินร่างเดินทางไปยังตําหนักหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ห่างไกล
ตําหนักหลังนี้หากให้เทียบกับตําหนักลองกระบี่แล้ว นับว่าตั้งอยู่ห่างไกลกว่ากันมาก เรียกว่าเขาไม่เห็นเงาผู้คนผ่านไปมาแถวนี้เลย
ฟิ้ววว…
สายลมหมุนหอบหนึ่งพัดผ่าน หอบหิ้วใบไม้เกลื่อนพื้นที่นั่งสงบให้ปลิดปลิวขึ้นมาวุ่นวาย
“ที่นี่คือตําหนักหมื่นพันธนาการหรือ?”
ตําหนักหมื่นพันธนาการ เป็นตําหนักที่มีไว้รับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคุกหมื่นพันธนาการทั้งมวล ใครก็ตามที่คิดจะไปลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อทํางานที่คุก ก็จําต้องมาที่นี่ก่อน
แน่นอนว่ายังไม่ใช่การลงทะเบียน แต่มาเพื่อรับสิทธิ์ในการลงทะเบียน
เนื่องจากคุกหมื่นพันธนาการจํากัดไว้ว่าผู้ที่จะรับงานได้ก็มีแต่ศิษย์อัจฉริยะเท่านั้น…และ ทั่ววังเทียนฉือก็มีศิษย์อัจฉริยะอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 100 คน ทําให้ที่นี่เปลี่ยวร้างเหลือเกิน
“ช่างวังเวงเสียจริง”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพําออกมา ก่อนจะพาฮ่วนเอ๋อเดินเข้าไปหุดหน้าประตูตําหนัก พอมองไปที่ประตูเขาก็ว่ามันเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะ ทั้งมีใยแมงมุมอันเขื่องคลี่กางแผ่ขยายเต็มประตู สภาพราวกับไม่มีใครเฉียดเข้ามาที่นี่นับสิบนับร้อยปีแล้ว
“มีใครอยู่รึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนที่มองไปรอบๆไม่เห็นใคร ก็เริ่มกล่าวถามออกมาเสียงดัง
แอ๊ด…
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ถามออกไปจบคํา ประตูเบื้องหน้าที่แง้มเปิดออกเล็กน้อย จากนั้นเสียงชราก็ดังขึ้นแผ่วๆลอดประตูออกมาว่า “เจ้าคิดสมัครเป็นผู้คุมหรือ?”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ
“ป้ายศิษย์อัจฉริยะ”
เสียงชราดังขึ้นอีกรอบ
ได้ยินดังนั้น ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็นําป้ายศิษย์อัจฉริยะออกมาทันที
ทั้งคู่พึ่งจะหยิบป้ายออกมาไม่ทันไร ก็ปรากฏสายลมหอบหนึ่งพัดผ่านมือ จากนั้นป้ายอัจฉริยะก็ถูกหอบหิวผ่านบานประตูที่แง้มเปิดออก เรียกว่ากระบวนการแลดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
“หืม? เจ้าคือต้วนหลิงเทียน? ศิษย์ที่ถือหล่างพึ่งรับมาไม่นานมานี้? อืม…นับว่ามากพรสวรรค์ยิ่ง”
ครู่ต่อมาเสียงชราก็ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้เสียงชราดังกล่าวก็ฟังดูแปลกใจอยู่บ้าง พร้อมๆกันนั้นเองป้ายศิษย์อัจฉริยะของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ถูกสายลมหอบหิ้วลอดบานประตูที่แง้มเปิดกลับมาถึงมืออีกครั้ง และยังมีป้ายสีดําสนิทที่ปรากฏแสงรัศมีสีแดงเรืองรองรอบตัวป้าย 2 ป้ายเพิ่มมาด้วย
ด้านหน้าของป้ายดังกล่าวสลักอักษร ‘คุกหมื่นพันธนาการ’ เอาไว้ พอพลิกไปดูด้านหลังก็มีชื่อต้วนหลิงเทียน กับฮ่วนเอ๋อสลักอยู่
“ว่าแต่ยาโถวถือหย่าชีกลับมาแล้วหรือ?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อพลิกป้ายสีดําที่สลักคําคุกหมื่นพันธนาการกับชื่อของตัวเองเอาไว้ชมดู เสียงชราก็ดังขึ้นอีกรอบ
“ฉือหย่าชี?”
ต้วนหลิงเทียนนิ่งไปด้วยความงุนงง
“เจ้าไม่รู้แม้แต่นามของศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเจ้ารึ? มิใช่ว่าพวกเจ้าคิดสมัครมาทําหน้าที่ผู้คุมลูกหมื่นพันธนาการ เพราะคิดมาทําความเข้าใจกฎแห่งความตายในหอเกิดดับเหมือนศิษย์พี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้าหรือไร?”
ถึงแม้ชายชราจะไม่ได้อยู่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน แต่คล้ายมันตระหนักถึงความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนได้ทุกอิริยาบถไม่เว้นสีหน้า ทั้งๆที่ต้วนหลิงเทียนไม่อาจสัมผัสได้ถึงสํานึกเทวะของอีกฝ่ายเลย
จังหวะนี้ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสะท้านไปอยู่บ้าง ชายชราผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่?
หอเกิดดับ?
ขณะเดียวกันถ้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบอีกข้อมูลจากปากชายชราว่า ในคุกหมื่นพันธนาการมีสถานที่ๆสามารถทําความเข้าใจกฏแห่งความตายเรียกว่าหอเกิดดับอยู่
“ผู้อาวุโส ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านเป็นผู้ใด?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ข้า?”
ได้ยินคําถามของต้วนหลิงเทียน เสียงชราก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้า…เป็นคนสมควรตาย เป็นคนที่สมควรตกตายไปนานแล้ว”
ปึง!
หลังจากประตูเบื้องหน้าก็ปิดลงเสียงดัง และเสียงของชายชราก็เงียบหายไปโดยสมบูรณ์
ต้วนหลิงเทียนลองเรียกหาชายชราอีกหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ
เขาลองแผ่สํานึกเทวะออกไปหมายตรวจสอบหาตําแหน่งของชายชราโดยไม่รู้ตัว แต่พบว่าสํานึกเทวะของเขาไม่อาจแผ่เข้าไปด้านในตําหนักได้เลย ราวกับมีกําแพงที่มองไม่เห็นตั้งตระหง่านขวางไว้ ปิดกั้นด้านนอกกับด้านในให้กลายเป็นโลกสองใบที่แตกต่าง!
“ผู้อาวุโส เช่นนั้นผู้น้อยทั้ง 2 ขอตัวลา”
แม้ชายชราจะไม่ได้ตอบคําอะไร แต่ในเมื่อได้ป้ายผู้คุมมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็คร้านอยู่ที่นี่สืบไป จึงหันไปชวนฮ่วนเอ๋อเพื่อไปจากที่นี่ทันที “ฮ่วนเอ๋อ พวกเราไปที่คุกหมื่นพันธนาการกันเถอะ”
หากคิดจะทําหน้าที่ผู้คุมคุกหมื่นพันธนาการ สิ่งแรกต้องทําคือมายังตําหนักหมื่นพันธนาการเพื่อรับป้ายผู้คุมก่อน! เมื่อได้ป้ายผู้คุมแล้ว จึงจะสามารถไปลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ทําหน้าที่ผู้คุมในคุกหมื่นพันธนาการได้!
เมื่อตําแหน่งผู้คุมว่างลง ทางนั้นจะติดต่อมาเพื่อให้ไปทําหน้าที่เป็นผู้คุมทันที
คุกหมื่นพันธนาการนั้นตั้งถัดจากสังเวียนอัจฉริยะมาประมาณหนึ่ง มันเป็นเกาะขนาดมหึมาลอยอยู่บนฟ้า
และมองไปปราดเดียวก็แลเห็นภูเขาลูกมหึมาบนเกาะลอยฟ้าดังกล่าว แถมภูเขาลูกนี้ยังกินอาณาบริเวณแทบจะทั่วทั้งเกาะลอยฟ้าอยู่แล้ว! และที่สะดุดตาเขาก็คือ ภูเขาลูกมหึมานี้กลับมีโซ่ตรวนขนาดใหญ่นับพันหมื่นสาย กระจายตัวกันออกไป ปกคลุมขุนเขาลูกเขื่องเอาไว้ ราวกับจะพันธนาการภูเขาลูกนี้เอาไว้อย่างไรอย่างนั้น!
นอกจากนั้นภูเขาลูกเขื่องเบื้องหน้า ไม่ว่าจะมองไปจุดไหนก็เห็นลวดลายอักขระอันซับซ้อนยากจะมองออกมากมายแน่นขนัดไปหมด
ราวกับมีตัวอักษรนับหมื่นพันวิ่งเรียงเป็นเส้นสายสลับวนไปเวียนมาพันกันวุ่นวายนับล้านๆเส้น เห็นแล้วชวนให้ลายตายากชมมองได้นาน
“คุกหมื่นพันธนาการ!”
และบริเวณด้านหน้าภูเขาลูกนี้ กลางเขาพลันปรากฎว่า คุกหมื่นพันธนาการ ลอยแน่นิ่งอยู่ ไฉนที่บอกว่ามันลอยแน่นิ่งอยู่ ก็เพราะศิละที่ถูกแกะสลักเป็นอักษร 4 คําดังกล่าว ได้ถูกโซ่ตรวนนับร้อยพันเส้นจึงตรึงเอาไว้กลางอากาศ
และบริเวณตรงกลางด้านหน้าของภูเขาลูกเขื่อง ก็มีประตูขนาดใหญ่โตที่แลแล้วสมควรเป็นทางเข้าปรากฏอยู่ ตัวประตูยังงดงามหรูหราคล้ายไม่ได้นาไปสู่ถ้ำลึกในภูเขา แต่เป็นพระราชวังอันวิจิตรหลังหนึ่ง!
“นั่นสมควรเป็นประตูทางเข้าคุกหมื่นพันธนาการ”
ต้วนหลิงเทียนหันไปพูดกับฮ่วนเอ๋อ
ด้านฮ่วนเอ๋อ ตอนนี้ก็เอาแต่มองคุกหมื่นพันธนาการเบื้องหน้าไม่วางตา แววตายังฉายชัดถึงความตื่นเต้นออกมาอย่างยากจะปกปิด ร่างบางสะท้านสันไปเบาๆ คล้ายจะขึ้นร่างให้ยืนดูเฉยๆไม่ไหวแล้ว
“สงบใจลงหน่อยฮ่วนเอ๋อ…พวกเรากําลังจะเข้าไปแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าววกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม
“อื้อ”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง และหลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆราวๆสิบลมหายใจ น ทั่วร่างทั้งลมหายใจก็เริ่มกลายเป็นสงบกลิ่นอายเย็นชาแผ่ซ่านออกมาจากร่างบางแผ่วๆ ให้ความรู้สึกราวบงกชสีครามกําลังเบ่งบาน
“ไปกันเถอะ”
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เห็นร่างพาฮ่วนเอ๋อไปยังประตูบานเรื่องที่สมควรเป็นทางเข้าคุกหมื่นพันธนาการ หลังเห็นเข้าหาได้ไม่นาน เขาก็พบว่ามีร่างชรา 4 ร่างยืนเฝ้าหน้าประตูทางเข้าเอาไว้
ชายชราทั้ง 4 จับคู่กันแยกไปยืนประกบซ้ายขวาประตู
“ที่นี่คือคุกหมื่นพันธนาการ ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องห้ามเข้า!”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะเข้าไปใกล้มากนัก 1 ใน 4 ชายชราก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าแววตาดุดัน เอ่ยเตือนออกมาเสียงเข้ม น้ำเสียงหน้าตาทําราวต้วนหลิงเทียนติดหนี้มันอย่างไรอย่างนั้น
ชายชราผู้นี้เส้นผมขนคิ้วทั้งหนวดเคราเป็นสีขาวโพลน แถมผมกับเคราของมันยังฟูฟองจนมองแล้วคนคล้ายราชสีห์ขนขาวอยู่บ้าง
“ผู้อาวุโส พวกเราคือศิษย์อัจฉริยะที่มาสมัครทําหน้าที่ผู้คุม”
ต้วนหลิงเทียนไม่กล่าวอะไรมากความ สะบัดมือเรียกป้ายผู้คุมออกมา ฮ่วนเอ๋อก็เช่นกัน จากนั้นทั้งงคู่ก็ซัดป้ายให้ไปหยุดลอยเบื้องหน้าชายยชราดังกล่าว
ชายชราผู้นั้นก็รับป้ายมาชมดูทันที ตอนตรวจป้ายฮ่วนเอ๋อก็ไม่มีอะไร แต่ตอนพลิกไปเห็นชื่อที่สลักไว้ด้านหลังของป้ายต้วนหลิงเทียน ลูกตามันก็หดเล็กลงทันที
“เจ้า…เจ้าคือต้วนหลิงเทียน!?”
“คนที่พึ่งฆ่า หานอวิ๋นจิ่น ศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับบนสังเวียนอัจริยะไปหยกๆวันนี้ผู้นั้น?”
ชายชรามองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความประหลาดใจ ถึงแม้มันจะไม่ได้ไปชมดูการประลองของด้วนหลิงเทียนกับตาที่สังเวียนอัจฉริยะ แต่ข่าวนี้มันได้แพร่สะพัดไปทั่ววังเทียนฉือดังพายุกระหน่ำ แม้แต่มันก็พลอยถูกลมไปด้วย…
ตอนที่ 3313
“อาวุโสรู้จักข้าด้วยหรือ?”
เมื่อเห็นชายชราเบื้องหน้าแลดูตกใจ ทั้งชายชราอีก 3 คนที่เหลือก็หันขวับมาจับจ้องเขาเป็นสายตาเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถามไปด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เหอะๆ เกรงว่าตอนนี้คงไม่มีใครในวังเทียนฉือที่ไม่รู้จักชื่อต้วนหลิงเทียนของเจ้าแล้วกระมัง…”
ชายชราผมขาวฟูปานราชสีห์ จากก่อนหน้าที่หน้าตาแลดูไม่เป็นมิตร มาตอนนี้ถึงกับคลี่ยิ้มจนตาหยีเห็นฟันขาวเรียงเป็นแถว “ต้วนหลิงเทียน นอกจากนั้นเจ้ายังเป็นศิษย์น้องพัสดีฉือของพวกเรา เช่นนั้นกล่าวได้ว่าคกหมื่นพันธนาการก็มิต่างอันใดจากบ้านของเจ้าครึ่งหนึ่ง…”
“เช่นนั้นข้ามานี่ก็เหมือนกลับบ้านสินะ?”
ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็สะดุ้งไปอยู่บ้าง จากนั้นก็อดคลี่ยิ้มแหยๆออกมาไม่ได้ หากในชาติที่แล้วตอนอยู่โลกเก่า ลองมีคนมาบอกว่าคุกเป็นบ้านของเขา ก็คงมีบาทาลูบพักตร์กันบ้าง
“มาๆต้วนหลิงเทียน ข้าจักพาพวกเจ้า 2 คนเข้าไปด้านในเอง!”
ชายชราผมขาวฟูคลี่ยิ้มร่า ผายมือกล่าวเชิญด้วยท่าทางกระตือรือร้น “หากเดามิผิดนี่คงเป็นครั้งแรกของพวกเจ้าที่มาคุกหมื่นพันธนาการกระมัง มาเถอะระหว่างพาเจ้าไปยังโถงกิจการภายในข้าจักแนะนําที่นี้ให้เจ้าฟังคร่าวๆ”
“สําหรับป้ายผู้คุมนั้น เดี๋ยวพอถึงโถงกิจการภายในและลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ ขอเพียงมีตําแหน่งผู้คุมว่างลงเมื่อใด พวกมันก็จักแจ้งไปให้พวกเจ้าทราบทันที…อย่างไรก็ตาม เจ้าเป็นถึงศิษย์น้องของพัสดีคือ ต่อให้ตําแหน่งผู้คุมไม่ว่าง แต่หากเจ้าคิดจะมาคุกหมื่นพันธนาการ ก็ไม่มีผู้ใดขวางเจ้าได้”
ชายชรากล่าวสืบต่อ
ได้ยินคําพูดของชายชรา ต้วนหลิงเทียนอดเดาะลิ้นเบาๆไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่เขาไม่เคยพบเจอ จะอํานวยคววามสะดวกและทําให้เขามีอภิสิทธิ์แบบนี้
“เช่นนั้นต้องขอรบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ท่าทางสุภาพมีมารยาทของต้วนหลิงเทียน สร้างความพึงพอใจให้ชายชราจนคลี่ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ชายหนุ่มเบื้องหน้ามันเป็นถึงศิษย์อัจฉริยะมากศักยภาพที่มีอนาคตไร้ขีดจํากัดแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ดูเบาหรือมองแคลนมันที่เป็นเพียงผู้เฝ้าประตูว่าต้อยต่ำเลย
มันที่มีฐานะเป็นแค่คนเฝ้าประตูหน้าของคุกหมื่นพันธนาการนั้น กล่าวไปก็แค่ศิษย์ทั่วๆไปใน วังเทียนฉือแห่งนี้เท่านั้น กระทั่งพลังฝีมือของมันยังไม่อาจสู้หานอวินจินที่ตกตายคามืออ้วนหลิงเทียนในวันนี้ได้ด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มนามด้วนหลิงเทียนเบื้องหน้า แข็งแกร่งกว่ามันอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
พลังฝีมือแข็งแกร่ง ภูมิหลังมั่นคง อนาคตไร้ขอบเขต แต่ยังสุภาพมีมารยาทกับมัน สําหรับมันแล้วนี่นับเป็นสิ่งที่ยากพานพบโดยไม่ต้องสงสัยเลย
“เชิญพวกเจ้าตามข้าเข้ามาเถอะ”
หลังชายชรากล่าวเชิญต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออีกรอบ มันก็เดินนําผ่านประตูใหญ่แลดูงดงามโออ่าเข้าไปในคุกหมื่นพันธนาการทันที ด้านต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ก้าวเท้าตามมันไปติดๆ
หลังผ่านธรณีประตูใหญ่ของคุกหมื่นพันธนาการเข้ามา สิ่งแรกที่ปรากฏในสายตาของต้วนหลิงเทียนก็คือโลกที่เต็มไปด้วยสีแดงฉาน ผนังช่องทางเดินลึกเข้าไปในภูเขาเรียกว่าเป็นสีแดงฉาน และไม่ใช่สีดั้งเดิมของภูเขาอย่างเดียว หากแต่มันมีโลหะบางอย่างกระจายฝังตัวอยู่เต็มไปหมด และดูเหมือนทุกสิ่งปลูกสร้างที่นี่จะมีโลหะที่ว่าหมดสิ้น
หลังเดินผ่านช่องทางเดินอันกว้างขวาง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ตามชายชรามาถึงจัตุรัสอันกว้างขวางแห่งหนึ่ง และไม่มีทางอื่นใด นอกจากช่องทางเดินอีกสาที่อยู่อีกฟากของจัตุรัส
“ต้วนหลิงเทียน ที่นี่เรียกว่าจัตุรัสสิ้นสุดของคุกหมื่นพันธนาการ”
หลังพาต้วนหลิงเทียนมาถึงจัตุรัสแล้วชายชราก็กล่าวแนะนําที่ทางออกมาด้วยรอยยิ้ม
“จัตุรัสสิ้นสุดรึ?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ ด้วยเพราะคิดว่าชื่อของมันฟังดูแปลกๆอย่างไรชอบกล
“เจ้าคงกําลังคิดว่าไฉนชื่อของมันถึงฟังดูแหม่งๆอยู่กระมัง?”
ชายชรายิ้มถาม
“ก็ทํานองนั้น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ไฉนที่จัตุรัสแห่งนี้ถึงได้ถูกเรียกหาว่าจัตุรัสสิ้นสุดนั้น เพราะที่จัตุรัสแห่งนี้เต็มไปด้วยอาคมสังหารอันทรงพลังอานุภาพ ที่เป็นฆ่าได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะ! หากไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่เป็นแค่จักรพรรดิอมตะธรรมดาฝ่าฝืนข้อห้ามที่นี่ ล้วนต้องถูกอาคมเข่นฆ่าตายตกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย! กระทั่งต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัส!!”
ชายชรากล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เพราะที่นี่เป็นดั่งสถานที่ๆอาจเป็นจุดสิ้นสุดชีวิตของทุกคนที่ด้อยกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานาม มันจึงถูกเรียกหาว่าจัตุรัสสิ้นสุด”
“จักรพรรดิอมตะสมญานามบาดเจ็บสาหัส?”
“ตัวตนที่ด้อยกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามตายแน่?”
ได้ยินคําพูดของชายชรา ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลอบสูดอากาศเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ขณะเดียวกันร่างของเขาก็แลดูตื่นตัวเตรียมพร้อมขึ้นมาทันที
“ฮ่าๆๆ เจ้ามิต้องกังวลนักหรอก”
คล้ายเห็นความระมัดระวังของต้วนหลิงเทียน ชายชราก็หัวเราะออกมาเบาๆ “จัตุรัสสิ้นสุดแห่งนี้ มิใช่ว่าใครก็สามารถกระตุ้นค่ายกลและข่ายอาคมสังหารได้ มันต้องเป็นผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกหมื่นพันธนาการของเราเท่านั้นถึงจะสามารถกระตุ้นการทํางานของค่ายกล ขอเพียงพวกมันหลบหนีลุยฝ่ามาถึงที่นี่ พลังอาคมสังหารจากค่ายกลและข่ายอาคมมากมายก็จะเพ่งเล็งสังหารไปที่มันโดยตรง!”
“ต่อให้ตอนนั้นพวกเราจะอยู่ในจัตุรัสแห่งนี้ กระทั่งถูกมันจับตัวมาบังไว้ พลังสังหารของอาคมก็จะไม่ทําร้ายพวกเรา”
ได้ยินประโยคนี้ต้วนหลิงเทียนก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที ขณะเดียวกันก็พอคาดเดาได้คร่าวๆว่าหลักการทํางานของค่ายกลและข่ายอาคมของที่นี่ ไม่พ้นต้องเพ่งเล็งเป้าหมายตามสายเลือดหรือกลิ่นอายพลังทั้งวิญญาณของนักโทษที่ถูกค่ายกลและข่ายอาคมตีตราไว้แล้วเป็นแน่
หากไม่ใช่คนเหล่านั้น ย่อมไม่กระตุ้นการทํางานของค่ายกล
หลังจากเดินข้ามจัตุรัสสิ้นสุดมา ชายชราก็พาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินผ่านช่องทางเดินอันยาวไกล ก่อนจะมาถึงอาคารปลูกสร้างประหนึ่งวังย่อมๆ ต้วนหลิงเทียนยังสังเกตเห็นป้ายโลหะที่ติดไว้เหนือประตูทางเข้า อันสลักอักษรที่แลดูน่าประทับใจไว้ 3 ตัวว่า โถงกิจการภายใน
“เอาล่ะข้าจะพาพวกเจ้าไปลงทะเบียนก่อน”
ภายใต้การนําของชายชรา ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ก้าวเข้าสู่โถงกิจการภายในพร้อมๆกัน
การลงทะเบียนที่ว่าก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย แค่ต้วนหลิงเทียนนําป้ายผู้คุมไปแสดงให้อาวุโสของโถงกิจการภายในของคุกหมื่นพันธนาการตรวจวสอบ จากนั้นก็ส่งมอบลูกแก้ววิญญาณ ทั้งแจ้งชื่อเอาไว้ หากตําแหน่งผู้คุมว่างลงเมื่อใดก็จะติดต่อไปสอบถามทั้งคู่ว่ามีใครว่างมาทําหน้าที่ผู้คุมไหม?
หากไม่ว่างก็จะแจ้งชื่อเข้าคิวเอาไว้ชั่วคราว พอว่างเมื่อไหร่ ก็ให้ติดต่อกลับมา
เช่นนั้นนอกจากจะทิ้งลูกแก้ววิญญาณไว้แล้ว แต่ละคนยังได้รับลูกแก้ววิญญาณของอาวุโสโถงกิจการภายในกลับไปด้วย
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าเป็นศิษย์น้องของพัสดีฉือ และตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นผู้คุมของคุกหมื่นพันธนาการเราแล้ว…วันหน้าถึงเจ้าจักมิได้อยู่ในช่วงปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็สามารถผ่านเข้าออกคุกหมื่นพันธนาการของพวกเราได้ตลอดเวลา”
ผู้อาวุโสกิจการภายในแลดูกระตือรือร้นต้อนรับต้วนหลิงเทียนไม่น้อย “อย่างไรก็ตาม หากมิได้อยู่ในช่วงปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็มิอาจเข้าไปส่วนคุมขังนักโทษได้มากสุดคือ ‘หอเกิดดับ’ เพื่อทําความเข้าใจกฏแห่งความตาย”
กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของอาวุโสกิจการภายในก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาก “หากมิใช่ช่วงปฏิบัติหน้าที่ อย่าว่าแต่ผู้คุมเลย แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างเราๆก็ห้ามก้าวเข้าไปในส่วนคุมขังนักโทษเด็ดขาด”
“มีเพียงผู้พิทักษ์ไม่กี่คนเท่านั้น ที่มีสิทธิ์เข้าไปด้านใน”
อาวุโสกิจการภายในกล่าวสืบต่อ
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับทราบ
“อย่างไรก็ตามผู้คุมใหม่นั้นจักได้รับโอกาสในการทําความคุ้นเคยสถานที่คุมขัง…แต่เดิมโอกาสที่ว่าทางเราจําต้องจัดสรรเวลาให้ก่อน ทว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องของพัสดี เช่นนั้นพวกเราก็มิอาจรบกวนให้เจ้าต้องเทียวไปเที่ยวมาได้ ข้าจักให้พวกเจ้าไปทําความคุ้นเคยตอนนี้เลย”
อาวุโสกิจการภายนังคงกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
และพอได้ยินสิ่งนี้ ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือฮ่วนเอ๋อ ดวงตาของทั้งคู่ก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
“อาวุโสเซี่ย”
ตอนนี้เองอาวุโสกิจการภายใน ก็หันไปมองอาวุโสชราผมขาวฟูปานราชสีห์ที่พาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้ามา พูดว่า “หลังจากนี้ท่านก็พาทั้งคู่ไปยังสถานที่คุมขังนักโทษ และอธิบายสถานการณ์ภายในให้ทั้งคู่รับทราบเถอะ”
พอกล่าวจบคํา ผู้อาวุโสกิจการภายในดังกล่าวก็ยกมือขึ้นสะบัดซัดป้ายๆหนึ่งออกไป
“อืม”
อาวุโสหัวฟูยกมือขึ้นรับป้าย และเอ่ยชักชวนต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อให้ติดตามมันไป
ต้วนหลิงเทียนเองก็สังเกตเห็นได้ไม่ยาก ว่าป้ายที่อาวุโสเซี่ยได้รับมาเป็นป้ายสีดําสนิทที่แผ่กลิ่นอายเยียบเย็นลี้ลับออกมา ให้ความรู้สึกกดดันพิกล
เห็นได้ชัดว่าป้ายดังกล่าว มีอาคมมากมายอัดแน่นเอาไว้
“นี่คือป้ายที่ใช้สําหรับเข้าไปส่วนคุมขังนักโทษ”
หลังเดินออกมาจากโถงกิจการภายในแล้ว คล้ายอาวุโสหัวขาวฟูแซ่เซี่ยจะสังเกตเห็นสายตาสงสัยของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ จึงยิ้มพลางอธิบายว่า “ป้ายนี้ทางโถงกิจการภายในจะออกให้แต่ละรอบ..ก่อนจะส่งให้พวกเราอาวุโสกิจการภายในก็จะให้มันจดจํากลิ่นอายวิญญาณของพวกเรา ผ่านลูกแก้ววิญญาณที่พวกเรามอบให้”
“กล่าวได้ว่าป้ายในมือข้าตอนนี้ มีเพียงแต่พวกเราทั้ง 3 เท่านั้นที่สามารถใช้มันผ่าน เข้าออกส่วนคุมขังนักโทษได้”
“นี่เป็นการป้องกันไม่ให้มีผู้ใดผ่านเข้าออกส่วนคุมขังได้ตามอําเภอใจ”
หลังได้ฟังคําอธิบายของชายชราแซ่เซี่ย ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าคิดจะผ่านเข้าออกส่วนคุมขังนักโทษมันค่อนข้างเข้มงวดอยู่บ้าง
“เจ้าคงกําลังคิดว่ามันยุ่งยากอยู่กระมัง? อันที่จริงตอนแรกคุกหมื่นพันธนาการเราก็มิได้เข้มงวดกวดขัดอะไรนัก อย่างไรก็ตามหลังจากมีคนแฝงตัวเข้ามาพาจักรพรรดิอมตะสมญานามผู้หนึ่งหลบหนีออกมาจากส่วนคุมขัง จนอีกฝ่ายเข่นฆ่าสร้างเส้นทางโลหิตสายหนึ่งจากคนของวังเทียนฉือเราออกมา วังเทียนฉือก็เริ่มหันมาเข้มงวดกับผู้ที่จะผ่านเข้าออกคุกหมื่นพันธาการ และจํากัดให้มีแต่ศิษย์อัจฉริยะเท่านั้นที่จะทําหน้าที่ผู้คุมได้”
ชายชรากล่าวสืบต่อ
“แล้วผู้คุมมีหน้าที่ต้องทําอะไรบ้าง”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“สิ่งที่ผู้คุมต้องทําก็ไม่มีใดมาก เพียงแค่สังเกตสภาพของนักโทษในห้องขังเท่านั้น หากพบเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จะต้องเร่งแจ้งให้ส่วนกิจการภายในทราบทันที นอกจากนั้นก็คือทําตามคําสั่งที่ได้รับมอบหมายจากพัสดี”
ชายชรากล่าวว่า
“ว่าแต่ปกติแล้วจะมีผู้คนที่มาทําหน้าที่ผู้คุมพร้อมกันได้กี่คนหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกครั้ง
“6 คนและสองคนจะจับคู่กัน เพื่อลาดตระเวนพื้นที่คุมขังนักโทษทั้ง 3 ส่วน”
ชายชรากล่าวสืบต่อ “คู่หนึ่งจักรับหน้าที่ลาดตระเวนส่วนที่จักรพรรดิอมตะสมญานามถูกคุมขังเอาไว้ อีกคู่นั้นลาดตระเวนส่วนคุมขังนักโทษที่ไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานาม สําหรับคู่สุดท้ายก็รับผิดชอบส่วนคุมขังที่กักกันนักโทษอันเป็นคนของวังเทียนฉือเราไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรืออาวุโสที่ทําความผิด”
“แต่ละคู่จะทําการลาดตระเวนส่วนที่ได้รับมอบหมายเป็นเวลา 4 เดือน จากนั้นก็สลับพื้นที่ลาดตระเวนกับคู่อื่นๆจนครบ 3 ส่วน เรียกว่าผู้คุมนั้นเข้าประจําการครั้งหนึ่งก็กินเวลา 1 ปี”
ชายชรากล่าวอธิบายอย่างอดทน
“เนื่องจากตอนนี้เกณฑ์การเป็นผู้คุมสูงเกินไป เพราะต้องเป็นศิษย์อัจฉริยะเท่านั้นถึงสมัครมาทําได้…ทําให้ผู้คุมในคุกที่ทําหน้าที่ลาดตระเวนนักโทษไม่ใช่ศิษย์อัจฉริยะทั้งหมด แต่จะเป็นผู้อาวุโสที่ทําหน้าที่ในคุกหมื่นพันธนาการมานานถึงระดับหนึ่งแล้ว คอยลาดตระเวนตรวจตราความเคลื่อนไหวของนักโทษด้วย”
“หลายครั้งที่ไร้ศิษย์อัจฉริยะสมัครมาทําหน้าที่ผู้คุม ข้าเองก็ถูกส่งไปเป็นผู้คุมเพื่อทําหน้าที่เช่นกัน”
“อย่างในปีนี้ ผู้คุมทั้ง 6 ที่คอยลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่คุมขังนักโทษทั้ง 3 ส่วน ก็มีศิษย์อัจฉริยะแค่ 3 เท่านั้น ส่วนอีก 3 คนก็คือผู้อาวุโสเก่าแก่ในคุกหมื่นพันธนาการ”
พอชายชรากล่าวถึงจุดนี้มันก็หยุดลง และหันมามองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ “กล่าวไปพวกเจ้าก็มาช้าไปแค่เล็กน้อย เพราะผู้คุมชุดใหม่ก็พึ่งจะเข้าประจําการไปเมื่อเดือนก่อนนี้เอง เช่นนั้นพวกเจ้าก็จําต้องรออีก 11 เดือน ก่อนจะถึงตาพวกเจ้าเข้าประจําการ”
“หากไม่ติดอะไร พวกเจ้าจักได้เป็นผู้คุมชุดต่อไปแน่นอน”
“เนื่องเพราะมีศิษย์อัจฉริยะไม่มากที่เต็มใจทําหน้าที่ผู้คุมในคุก ถึงแม้ว่าผลึกอมตะที่ได้รับจะไม่น้อยและงานที่ต้องทําก็ไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ก็ไม่มีผู้ใดชอบมาอุดอู้อยู่ที่คุกนี้”
ชายชรากล่าวไปพลางส่ายหัวไปมา ด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้
“และเดี๋ยวนี้เหล่าศิษย์อัจฉริยะที่เต็มใจมาทําหน้าที่ผู้คุม ก็ล้วนมุ่งเป้าไปที่หอเกิดดับถ่ายเดียว…ที่อาวุโสเหยียนในโถงกิจการภายในบอกว่าพวกเจ้าสามารถมาที่คุกหมื่นพันธนาการได้ตลอดเวลา ก็จักสื่อว่าพวกเจ้าสามารถเข้าไปยังหอเกิดดับได้ตลอดเวลานั้นเอง…การทําความเข้าใจกฏแห่งความตายที่นั้นจักให้ผลลัพธ์ดีมาก”
“เนื่องเพราะหอเกิดดับที่ว่า เป็นดั่งลานประหารของนักโทษในคุกหมื่นพันธนาการตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลิ่นอายแห่งความตายและปราณมรณะที่อบอวลในพื้นที่แห่งนั้น ทําให้หอเกิดดับเป็นดั่งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สําหรับการทําความเข้าใจกฏแห่งความตายก็ไม่ปาน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น