War sovereign Soaring The Heavens 3300-3307

 WSSTH ตอนที่ 3,300 : ความตายของตู๋กูเหวิน


 


 


 


2 ร่างมหึมาที่ปรากฏเบื้องหลังของตู๋กูเหวิน แน่นอนว่าเป็นมังกรชั่วร้าย…


 


เดิมทีมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั้น อยู่ในแดนลับอัจฉริยะของแดนทักษินยุทธ์ อวี้หวงเทียน แต่เพราะฮ่วนเอ๋อได้ทำข้อตกลงกับพวกมัน พวกมันจึงปล่อยให้พวกเขาเข้าสู่แดนลับทวยเทพก่อนถึงกำหนด เพื่อแลกกับการพาพวกมันออกจากแดนลับอัจฉริยะ สุดท้ายก็อาศัยอยู่ในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน…


 


หลังจากนั้นวารีเทพชำระโลกาก็ไปเกลี้ยกล่อมจนทำให้มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ยอมรับต้วนหลิงเทียนเป็นนาย แต่หลังจากที่ด่านพลังของต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว ต้องคืนอิสระให้พวกมัน


 


“ตอนพวกมันผสานพลังจู่โจมออกมา พลังโจมตีของมันมีอานุภาพไม่ต่างอะไรจากการลงมือเต็มกำลังของจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วไป…อย่างไรเสีย ในช่วงเวลาสั้นๆพวกมันสามารถปลดปล่อยการจู่โจมที่รุนแรงระดับนี้ได้แค่ 3 ครั้งเท่านั้น”


 


คำพูดที่วารีเทพชำระโลกาเคยกล่าวออก เหมือนจะดังซ้ำในหูต้วนหลิงเทียนอีกรอบ


 


ด้วยเหตุนี้หลังจากเขาใช้ความลึกซึ้งส่งผ่านมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไปปรากฏเบื้องหลังตู๋กูเหวินแล้ว เขาก็ไม่รอช้า ถ่ายทอดพลังที่เหลือลงสู่กกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนก่อนมือจะสะบัดฉับไวดั่งเงาเลือน ตวัดกระบี่ว่องไวปานฟ้าฟาด!!


 


ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!


 



 


เสียงกระบี่แหวกฟ้าฉับไวดังขึ้นถิ่บ อุบัติคลื่นกระบี่สีรุ้งห่าหนึง พุ่งซัดออกไปทำลายเถาวัลย์เส้นเขื่องที่รวบมัดกิ่งต้นไม้เทพสนหลิวจนหมด!!


 


หากเป็นตอนปกติ เถาวัลย์ของตู๋กูเหวินที่เกิดจากการสานรวมความลึกซึ้ง 3 ผสานนี้ ย่อมสามารถฟื้นคืนสภาพได้ฉับไว


 


ทว่าสถานการณ์ตู๋กูเหวินตอนนี้ในเลยใช้คำปกติมาอธิบายได้?


 


ตู๋กูเหวินได้รับบาดเจ็บแล้ว


 


แถมยังเป็นการบาดเจ็บสาหัส!!


 


“อั๊คค!”


 


ตู๋กูเหวินที่ถูกลำแสงทำลายล้างสองผสานซัดเข้ากลางหลัง กระอักโลหิตออกมาไม่หยุด และมันพึ่งจะรู้สึกตัว ก็พบว่าต้วนหลิงเทียนได้ตัดเถาวัลย์ที่รวบมัดกิ่งต้นไม้เทพสนหลิวไปหมดแล้ว!


 


จังหวะนี้สีหน้าของมันมืดดำคล้ำลง แววตาฉายชัดถึงความเย็นชาถึงขีดสุด ตะคอกคำออกมาอย่างเดือดดาล “สารเลวน้อย! เจ้ากล้าลอบกัดข้า!!”


 


วินาทีนี้หากตู๋กูเหวินยังไม่อาจตระหนักเรื่องราวได้ เกรงว่าชีวิตที่มันอยู่มาหลายปีคงไร้ค่าเยี่ยงชีวิตสุนัขแล้ว


 


วูบ!!


 


พร้อมๆกันกับที่ตู๋กูเหวินตะคอกออกมาเสียงดังลั่น ร่างของมันก็ไหววูบ คิดจะหลบหนีไปให้พ้นจากจุดนี้ก่อนมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 จะจู่โจมออกมาอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตามร่างมันพึ่งจะเคลื่อนไหวไปได้ไม่ทันไร ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวก็พุ่งทะลุห้วงมิติมาปรากฏตัวเบื้องหน้ามันดั่งภูตผี จากนั้นกิ่งหลิวมากมายที่พึ่งได้อิสระกลับคืน ก็พุ่งออกไปฉับไวปานเงาพราย พริบตาก็รัดพันร่างตู๋กูเหวินเอาไว้แล้ว!!


 


“อยู่!!”


 


เมื่อเห็นว่าตู๋กูเหวินระเบิดพลังออกมาทั่วร่างหมายทำลายการรัดพันของกิ่งหลิว สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเย็นชาวูบวาบ ตะโกนออกมาอย่างดุดัน พร้อมจ่ายพลังชีวิตอีกขุมลงสู่ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิว! จากนั้นกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวที่งอกเงยขึ้นมาอีกหลายสิบเส้นก็พุ่งไปช่วยกันมัดร่างตู๋กูเหวินทันที!!


 


สุดท้ายตู๋กูเหวินประหนึ่งน้ำน้อยแพ้ไฟ คนถูกกิ่งหลิวรัดตรึงขึงไว้กลางอากาศ จากนั้นกิ่งหลิวทั้งหมดก็โบกสะบัดฉับไว พาร่างตู๋กูเหวินให้หวนกลับไปหามังกรชั่วร้ายอีกครั้ง!!


 


“ลงมือ!!”


 


และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ต้วนหลิงเทียนควบคุมกิ่งต้นไม้เทพสนหลิวให้พาร่างตู๋กูเหวินกลับไปอยู่ในวิถีการยิง เสียงวารีเทพชำระโลกาก็ดังขึ้นสนั่น ทำให้ร่างเขื่องทั้ง 2 ไม่เว้นต้วนหลิงเทียนสะดุ้งไปอยู่บ้าง!


 


จากนั้นมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ก็เร่งเร้าพลังชั่วชีวิตออกมาพลางเหินทะยานเข้าใส่ตู๋กูเหวินอีกทางเพื่อความรวดเร็ว ก่อนจะพลังอันน่าพรั่นพรึงสองสายก็พวยพุ่งออกจากปากพวกมัน ไปหลอมรวมเป็นลำแสงทำลายล้างหนึ่งสาย เข่นฆ่าเข้าใส่ตู๋กูเหวินที่โดนขึง!!


 


“ไม่!!”


 


ตู๋กูเหวินที่โดนขึงไว้กลางหาวพยายามเบ่งพลังสุดตัวจนเส้นเลือดปูดโปนเต็มขมับ! อนิจจามันทำลายกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวไปได้ไม่ถึงครึ่ง ลำแสงมหาประลัยก็พุ่งซัดเข้าเต็มหน้ามันแล้ว!!


 


ตูมมมม!!


 


เปรี๊ยงงงงงงงงงง!!!


 



พร้อมๆกับเสียงระเบิดดังสนั่นลั่นฟ้า ตู๋กูเหวินที่ไม่มีเวลามากพอให้หลุดพ้นพันธนาการ เมื่อทานรับลำแสงทำลายล้างของมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 เข้าไปเต็มรัก มันก็บาดเจ็บสาหัสเจียนตายทันที!


 


“สารเลวน้อยสมควรตาย!!”


 


“จอมราชันอมตะตัวกระจ้อย กลับบีบคั้นให้ข้าตู้กูเหวินต้องตกอยู่ในสภาพนี้ได้…”


 


“อภัยไม่ได้! อภัยให้เจ้าไม่ได้!!”


 


ฟางอารมณ์สุดท้ายของตู๋กูเหวินได้ขาดผึงลงแล้ว


 


ทันใดนั้นร่างตู๋กูเหวินก็สั่นสะท้าน ก่อนจะปรากฏแสงสว่างเจิดจ้า จากนั้นคนก็กลับกลายเป็นเส้นไหมในชั่วพริบตา และอาศัยห้วงวินาทีล้ำค่า หลุดรอดออกมาจากการรัดพันของกิ่งต้นไม้เทพสนหลิวได้สำเร็จ!


 


นี่เป็นหนึ่งในร่างนับร้อยพันที่บุปผาร้อยสีสามารถแปลงได้


 


“อ้อ หลุดออกมาได้แล้วหรือ?”


 


อย่างไรก็ตามตู๋กูเหวินที่แปลงร่างเป็นเส้นไหมบางๆสายหนึ่ง จนหลุดพ้นพันธนาการของกิ่งต้นไม้เทพสนหลิงมาได้ ก็พบว่าเบื้องหน้ามันมีร่างในชุดสีม่วงหนึ่งคอยท่าอยู่ แถมยังมองกล่าวกับมันด้วยท่าทางท้าทาย!


 


“ไอ้หนู ไม่มีต้นไมแทพสนหลิว ต่อให้ข้าจักบาดเจ็บเจียนตายเพียงใด เจ้าก็ไม่ใช่คู่มือข้า!!”


 


ทันใดนั้นเส้นไหมพลันเปล่งแสงสว่างก่อนจะกลับกลายเป็นเด็กชายวัย 13-14 ปีอีกครั้ง สองตามองจองต้วนหลิงเทียนเขม็ง ขณะเดียวกันหอกอมตะระดับจักรพรรดิที่ไม่ทราบถูกเรียกออกมาเมื่อไหร่ ก็จ้วงทะลวงเข่นฆ่าเข้าใส่หว่างคิ้วต้วนหลิงเทียนทันที!


 


วินาทีนี้มันตัดสินใจระเบิดพลังที่หลงเหลืออยู่ทั้งหมด พิฆาตต้วนหลิงเทียนให้ได้ในพริบตา! หาไม่แล้วเมื่อกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิววกกลับมารัดพันมัน และมังกรชั่วร้ายยิ่งลำแสงพลังใส่มันอีกครั้ง ด้วยสภาพร่างกายมันที่บาดเจ็บสาหัสแทบตายตอนนี้ ไม่พ้นมันคงต้องตกตายลงจริงๆ!!


 


ตู๋กูเหวินรู้สึกอับอายขายหน้านัก!!


 


มัน จักรพรรดิอมตะสมญานาม กลับถูกจอมราชันอมตะตัวกระจ้อยผู้หนึ่งไล่ต้อนได้ถึงขนาดนี้!!


 


แน่นอนว่ามันยังรู้ดี ว่าเบื้องหน้าหาใช่จอมราชันอมตะธรรมดาไม่ ไม่ต้องกล่าวถึงร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวที่อีกฝ่ายควบสร้างได้ เอาแค่การร่วมมือกันของมังกรชั่วร้าย 2 ตัวนั่น ก็สามารถปลดปล่อยการโจมตี ที่มีพลังอานุภาพทัดเทียมกับการโจมตีเต็มกำลังของจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วไปได้แล้ว!!


 


กระทั่งมันตอนนี้ ยังต้องบาดเจ็บสาหัสจนแทบวายปราณหลังโดนมังกรชั่วร้ายยิงลำแสงถล่มมา 2 ครั้งติดๆ!


 


“ต้วนหลิงเทียน ข้าอยากจะเห็นนัก ว่าไร้มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่นกับร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวคุ้มกะลาหัว! เจ้าจักเอาปัญญาที่ไหนมาสู้ข้า!!”


 


ร่างตู๋กูเหวินที่ทะยานข้ามฟ้ามาฉับไว เสือกแทงหอก 7 ฉื่อในมือที่เปล่งแสงพลังสีเขียวเจิดจ้าออกมาอย่างอำมหิต มันได้รวมรั้งพลังความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ทั้งหมดไว้ในหนึ่งหอกนี้แล้ว!!


 


และความลึกซึ้งผสาน 3 ของกฏแห่งไม้ก็สำแดงอานุภาพเด่นชัดกว่าใคร อุบัติงูหลามตัวเขื่องผุดจากแสงพลังข้างปลายหอก พุ่งเข่นฆ่านำมาก่อนใดอื่น!!


 


พร้อมๆกันนั้นควมาลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏแห่งไม้ ก็ปลดปล่อยพลังไล่หลังมาตามติด!


 


“สภาพร่อแร่เยี่ยงสุนัขคลานผ่านดงตีนมาได้ของเจ้า…อย่างดีพลังเซียนอมตะที่เหลือก็เทียบได้กับจอมราชันอมตะทั่วๆไปเท่านั้น…คิดฆ่าข้า ยังไม่พอหรอก”


 


เผชิญหน้ากับเสียงปรามาสขู่ข่มของตู๋กูเหวิน กับการปะทุพลังชั่วชีวิตเข่นฆ่าเข้ามาของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนไม่มีทีท่าว่าจะหลบ มุมปากยังยกยิ้มแสยะ ร่างพลันไหววูบปานภูตพราย รวมรั้งพลังมิติทั้งหมดลงสู่กระบี่หลิง 7 เปลี่ยนในมือฉับไว!


 


กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนตวัดฟันออกไปอีฉับไว ปรากฏคลื่นกระบี่สะบั้นพุ่งเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ตู๋กูเหวิน! นอกจากพลังมิติแล้วยังเปี่ยมล้นไปด้วยพลังแห่งธาตุทั้ง 5!!


 


“นี่มัน…”


 


เมื่อคลื่นกระบี่ของต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่ามาถึงเบื้องหน้า ตู๋กูเหวินย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของธาตุทั้ง 5 ที่เอ่อล้นออกมาได้ชัดเจน


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


ตูมมม!!!


 



 


อย่างไรก็ตาม ตู๋กูเหวินไม่ทันได้ตั้งตัวหรือตอบสนองสิ่งใด คลื่นกระบี่ 7 สีอมเทาของต้วนหลิงเทียน ก็ผ่าทำลายการโจมตี 2 ระลอกที่นำหน้าหอกของมันไปแล้ว…


 


กฏแห่งไม้ที่ตู๋กูเหวินเข้าใจนั้นร้ายกาจ…เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย


 


อย่างไรก็ตามไม่ว่าท่านจะเข้าใจกฏได้เลิศล้ำแค่ไหน แต่เพื่อสำแดงพลังอานุภาพของมัน ก็จำต้องใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขับเคลื่อน…ทว่าสภาพร่างกายของตู๋กูเหวินตอนนี้ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันตกฮวบลงไปจนแทบจะพอๆกับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียน!


 


ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว หากต้วนหลิงเทียนเข้าใจแค่ความลึกซึ้งของกฏมิติทั้งหมดถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ ย่อมไม่อาจตานทานกระบวนท่าของตู๋กูเหวินได้…


 


พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดระดับเดียวกัน แต่ความเข้าใจในกฏของตู๋กูเหวินกลับเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนหลายขั้น จนอุปกรณ์เทพก็ไม่อาจกลบถบช่องว่างนี้ได้…


 


เช่นนั้นย่อมจินตนาการออกได้ไม่ยาก ว่าใครจะเหนือกว่าใคร


 


และตู๋กูเหวินเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน ทำให้แม้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดจะตกฮวบลงมาจนมีกลิ่นอายพอๆกับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียน แต่มันก็เชื่อว่าถึงมันจะเจียนตาย แต่คิดฆ่าต้วนหลิงเทียนตรงหน้าก็เหลือแหล่! และขอแค่ฆ่าต้วนหลิงเทียนตายตกมันก็สามารถรักษาตัว รวมถึงเสพย์สุขกับอุปกรณ์เทพได้!!


 


อย่างไรก็ตาม ร้อยพันหมื่นคาด มันก็ไม่เคยคิด! ว่าที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้วนหลิงเทียนนั้น หาใช่ร่างอวตารกฏเทพของต้นไม้เทพสนหลิวไม่ ยังไม่ใช่กฏมิติที่ทุกความลึกซึ้งบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ กระทั่งไม่แม้แต่จะเป็นอุปกรณ์เทพในมือ..


 


‘มัน…ที่แท้…ถึงกับครอบครองเทพเบญจธาตุได้ครบ’


 


นี่เป็นความคิดสุดท้ายของตู๋กูเหวิน ก่อนที่มันจะตาย


 


ในวินาทีที่คลื่นกระบี่ของต้วนหลิงเทียนผ่าทำลายพลังที่จู่โจมนำไปของตู๋กูเหวิน ทั้งเข่นฆ่าทำลายพลังสภาวะของหอกจนหมดสิ้น ตู๋กูเหวินพลันตระหนักได้ทันที ว่าต้วนหลิงเทียนครอบครองเทพเบญจธาตุ!


 


ยิ่งไปกว่านั้นยังครอบครองเทพเบญจธาตุครบทุกธาตุ แถมแต่ละธาตุก็มีระดับขั้นไม่ใช่ชั่ว!!


 


“เฮ่อ…”


 


หลังเห็นตู๋กูเหวินถูกคลื่นสะบั้นผ่าร่าง และถูกพลังมิติป่นปี้ทำลายจนสลายหายไปในฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็พอได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเฮือกใหญ่ “ถึงวินาทีสุดท้ายมันสมควรพบว่าข้ามีเทพเบญจธาตุ…แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ในห้วงเวลาดุจฟ้าแลบนั่น มันจะมีปัญญาส่งข้อความแพร่งพรายเรื่องนี้ให้บุคคลที่ 3 ได้ทัน…”


 


และก็เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนพูดออกมาจริงๆ


 


ตู๋กูเหวินมาพบเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนถือครองเทพเบญจธาตุเอาตอนห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิต มันจึงไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งข่าวให้ใครได้ทัน…


 


อย่างไรก็ตาม ในวินาทีที่ตู๋กูเหวินแปลงเป็นเส้นไหมเพื่อหลบหนีออกจากการพันธนาการของกิ่งต้นไม้เทพสนหลิวนั้น มันได้เร่งรุดส่งข้อความออกไป 2-3 ข้อความถึงตู๋กูหวู่


 


“พี่หวู่ ข้าเกือบเสียท่าสารเลวน้อยนี่แล้วจริงๆ…เป็นข้าประมาทมันเกินไป ไม่คิดเลยว่ามันไม่เพียงแต่จะมีอุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณไว้ในครอบครองเท่านั้น แต่มันยังมีมังกรชั่วร้าย 2 ตัวด้วย พลังของมังกรบัดซบทั้ง 2 นั่นตอนร่วมมือกัน ถึงกับเทียบจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วๆไปได้เลย…”


 


“ตอนนี้ข้าบาดเจ็บสาหัสเพราะถูกมังกรชั่วร้ายลอบกัด…มีเพียงต้องชิงฆ่าสารเลวน้อยให้ตายก่อนเท่านั้น…หากข้าฆ่ามันไม่ได้ ข้าต้องเป็นฝ่ายตายเองแน่!!”


 


“แต่ถึงข้าจะฆ่ามันได้แล้ว ข้าก็อาจถูกมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่นฆ่าอยู่ดี”


 


“พี่หวู่ ท่านรีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!”


 


ในห้วงเวลาดุจฟ้าแลบก่อนที่ตู๋กูเหวินจะระเบิดพลังแทงหอกสังหารใส่ต้วนหลิงเทียน มันก็ได้ส่งข้อความไม่กี่ข้อความถึงตู๋กูหวู่ติดต่อกัน…


 


“ไป!!”


 


หลังฆ่าตู๋กูเหวินตายแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เร่งเก็บแหวนพื้นที่รวมถึงสิ่งของอื่นๆของตู๋กูเหวิน ก่อนจะให้มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 กลับบเข้าโลกใบเล็กภายในกายเขา จากนั้นก็ใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ วูบร่างหลบหนีติดๆกันทันที


 


ถึงแม้เขาจะมั่นใจว่าตู๋กูเหวินไม่มีเวลามากพอแพร่งพรายเรื่องเทพเบญจธาตุของเขาออกไป


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่พ้นตู๋กูหวู่ต้องรู้ว่าตู๋กูเหวินพลาดท่าเสียทีเขาแล้ว และต้องเร่งรุดมาฆ่าเขาแน่ กระทั่งสิบในสิบอีกฝ่ายสมควรกำลังเดินทางมาหาเขาแล้วด้วยซ้ำ! เพราะต่อให้ครูของเขา ฉือหล่าง คิดถ่วงรั้งอีกฝ่ายแค่ไหน ก็คงทำได้ไม่นานนัก


 


ดังนั้นหลังฆ่าตู๋กูเหวินได้แล้ว ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวของเขาคือ รีบหนี!!


 


แน่นอนว่าในขณะที่ใช้เคลื่อนมิติติดต่อกันวูบผ่านระยะทางนับพันหมื่นลี้ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมส่งข้อความไปถึงฮ่วนเอ๋อ ฉือหล่างและคนอื่นๆ เพื่อบอกว่าเขาปลอดภัยแล้ว


 


“ข้าไม่เป็นไร…เจ้ากลับวังเทียนฉือไปพร้อมกับทุกคนก่อนเลย ข้าจะตามไปทีหลังคนเดียว”


 


ต้วนหลิงเทียนส่งข้อความดังกล่าวถึงฮ่วนเอ๋อ


 


และฮ่วนเอ๋อรวมถึงคนอื่นๆที่ยืนบนกระบี่มีสภาพเล่มเขื่องของฉือหล่างเพื่อเดินทางกลับวังเทียนฉือ ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อรู้ว่าต้วนหลิงเทียนปลอดภัยดี


 


ก่อนหน้านี้ทุกคนเงียบมาตลอดทาง ใจยังหนักอึ้งนัก


 


พอได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนปลอดภัยไร้เรื่องราวแล้ว ทั้งหมดจึงรู้สึกว่าเสมือนหินใหญ่ที่กดทับลงกลางอกได้หายแว้บไปในบัดดล ทำให้รู้สึกปลอดโปล่งโล่งสบาย ผ่อนคลายเป็นที่สุด!


 


“ศิษย์น้องเล็ก นี่เจ้าเอาตัวรอดจากตัวปัญหาเช่นนั้นได้อย่างไร?”


 


หูเหมยเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“ก็แค่ฆ่ามันทิ้ง ตัวปัญหาก็ไม่อาจสร้างปัญหาอะไรได้อีก…”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะตอบหูเหมยเท่านั้น แต่ยังบดขยี้ยันต์อมตะสื่อสารหลายอันพร้อมๆกันเพื่อตอบคำถาม ฉือหล่าง และเวิ่นหว่านเอ๋อที่กล่าวถามมาทำนองเดียวกัน


 


มีเพียงฮ่วนเอ๋อเท่านั้นที่ไม่ได้ถามอะไรเซ้าซี้


 


และจังหวะนี้ ไม่ว่าจะหูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อ หรือแม้แต่ฉือหล่างก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปด้วยความตกตะลึง ทั้งหมดอึ้งกับคำตอบของต้วนหลิงเทียนแล้วจริงๆ!


 


เมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนพึ่งบอกว่า…ฆ่าตู๋กูเหวินไปงั้นหรือ?


 


เรื่องพรรค์นั้น…เป็นไปได้ด้วยเหรอ!?


 


ในเวลาเดียวกัน


 


ตู๋กูหวู่ที่ได้รับข้อความจากตู๋กูเหวินขณะกำลังประมือกับต้วนหลิงเทียน และรู้ว่าผู้น้องกำลังพบเจอปัญหาใหญ่หลวง ก็ปะทุพลังชั่วชีวิตพุ่งร่างตัดข้ามฟ้าไปด้วยความเร็วสูงล้ำ อยู่ๆก็ผงะไปเหมือนจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง มันจึงหยดร่างลงโดยพลัน และพอเห็นเศษซากลูกแก้ววิญญาณที่ผุดโผล่จากอากาศเหนือฝ่ามือ สีหน้ามันก็เปลี่ยนไปทันที


 


“น้องเหวิน!!!”


WSSTH ตอนที่ 3,301 : เหลยจวิ้น?


 


 


น้อยคนนักที่จะล่วงรู้ ว่าไผ่สรรค์แกร่งซึ่งเป็นร่างที่แท้จริงของตู๋กูหวู่ กับบุปผาร้อยสีร่างที่แท้จริงของตู๋กูเหวินนั้น…เติบโตขึ้นมาในสถานที่เดียวกัน!


 


ทั้งคู่สูดรับไอฟ้าดิน บำเพ็ญญตบะข้างกันนับแสนปีกว่าจะจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้ จากนั้นก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาจนมีอย่างทุกวันนี้ กล่าวได้ว่าสายสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆเสียอีก


 


แต่บัดนี้…ตู๋กูเหวินตกตายแล้ว


 


“อ๊าคคคค–!!”


 


พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดระเบิดออกมาทั่วร่างตู๋กูหวู่อย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นพลังแห่งกฏก็ถูกปลดปล่อยออกมาเต็มกำลัง คนเคลื่อนร่างตัดฟ้าด้วยคยวามเร็วสูงสุด บึ่งตรงไปยังตำแหน่งที่ตู๋กูเหวินกล่าวบอก…


 


อย่างไรก็ตาม พอตู๋กูหวู่ห้อตะบึงมาถึง ก็คงเหลือเพียงความวินาศสันตะโรจากการปะทะกันของพลังมหาศาลเท่านั้น ไร้แม้แต่เงาของผู้ใด…


 


กระทั่งลองแผ่สำนึกเทวะออกไปทุกทิศทางแล้ว ก็ไม่พบอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ซากศพของตู๋กูเหวิน


 


“ต้วน หลิง เทียน!!”


 


ใบหน้าชราของตู๋กูหวู่แลดูน่ากลัวเหลือเกิน เส้นผมสีดอกเลาของมันเริ่มแผ่สยายลอยล่องไปปานอสรพิษแม้ไร้ลม


 


“น้องเหวินขอเจ้าอย่าได้กังวล…ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าให้จงได้!!”


 


สองตาของตู๋กูหหวู่แผ่รังสีแห่งความเกลียดชังอาฆาตแค้นออกมาล้นปรี่


 


เป็นธรรมด่าวาแม้มันจะเกลียดชังทั้งอาฆาตแค้นต้วนหลิงเทียน แต่ใจยังอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวไปเบาๆเพราะกลเม็ดของต้วนหลิงเทียน…อาศัยแค่จอมราชันอมตะสมญานามคนหนึ่ง ไฉนมีไพ่ตายและวิธีการมากมายนัก?


 


ใช่ผู้คนแน่หรือ?


 


“หากน้องเหวินไม่ได้กล่าวใดผิดพลาด…น่ากลัวว่าอุปกรณ์เทพของต้วนหลิงเทียน ต่อให้เป็นในระนาบเทพก็น่าจักเป็นยอดอุปกรณ์เทพที่อยู่เหนืออุปกรณ์เทพระดับสูงทั้งมวล…”


 


“หาไม่แล้วไฉนถึงมอบพลังมหาศาลถึงขั้นนั้นให้มันได้…”


 


ดวงตาของตู๋กูหวู่ตอนนี้ ปรากฏสีสันแห่งความโลภออกมาอย่างยากจะปกปิด!


 


ตู๋กูหวู่ก็ไม่ได้รู้เลยว่าก่อนที่ตู๋กูเหวินจะตกตาย ในห้วงเวลาที่แทงหอกหมายฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายนั้น ไม่ใช่ว่ามันไม่คำนวณพลังของอุปกรณ์เทพที่ต้วนหลิงเทียนมี…แต่พอมันสัมผัสได้ถึงพลังของเทพเบญญจธาตุ มันจึงได้รู้ว่ามันคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างผิดไปตั้งแต่แรก และมันประเมินอุปกรณ์เทพของต้วนหลิงเทียนสูงไป…


 


กระทั่งในห้วงเวลาสุดท้ายตู๋กูเหวินจึงตระหนักได้ว่า…


 


ไฉนร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวที่ต้วนหลิงเทียนยควบสร้างขึ้นถึงได้แข็งแกร่งทรงพลังนัก ที่แท้ไม่ใช่เพราะอุปกรณ์เทพอะไร แต่ทั้งหมดเป็นเพราะพลังของเทพเบญจธาตุ!


 


เป็นธรรมดาว่าตู๋กูเหวินมารู้เรื่องนี้เอาตอนที่สายไปแล้ว


 


มันไม่มีเวลาส่งข้อความบอกตู๋กูหวู่


 


ดังนั้นตู๋กูหวู่จึงไม่รู้


 


“หึ! สารเลวน้อยต้วนหลิงเทียนนั่น หลังไปจากที่นี่สุดท้ายไม่พ้นต้องกลับวังเทียนฉือ! หากไปดักตามทางกลับวังเทียนฉือดู…ไม่อาจจะได้ตัวมัน!!”


 


ถึงแม้ตู๋กูเหวินจะตกตายด้วยน้ำมือของต้วนหลิงเทียน แต่ตู๋กูหวู่ก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไร ยังเชื่อมั่นในพลังของตัวเองว่าเหนือกว่า


 


เพราะพลังของตู๋กูเหวิน ก็ไม่อาจเทียบมันได้


 


กระทั่งหากให้มันสู้กับตู๋กูเหวิน ขอเพียงมันไม่ออมมือ ตู๋กูเหวินได้ถูกมันฆ่าตายเร็วกว่าตอนสู้กับต้วนหลิงเทียนอีก!


 



 


หลังจากต้วนหลิงเทียนเร่งรุดออกจากสถานที่ปะทะกับตู๋กูเหวิน เขาก็เริ่มตีวงกว้างหมายกลับสู่วังเทียนฉือจากทิศทางตรงข้าม ไม่กล้าเดินทางกลับวังเทียนฉือตรงๆ


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาหลีกหนีการเผชิญหน้ากับบตู๋กูหวู่ได้พ้น


 


‘ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด แม้จะมีภาพฝันเกี่ยวกับการผสานรวมความลึกซึ้ง แต่เข้าทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ…ดูเหมือนเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับด่านพลังฝึกปรือของข้าด้วย’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดา


 


เขายังจดจำได้เป็นอย่างดี ว่าในตอนที่เป็นราชาอมตะนั้น หลังจากเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยหมดแล้ว เขากลับไม่อาจพัฒนาได้อีก


 


กระทั่งมีผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดแท้ๆ แต่ยังไม่อาจก้าวหน้า


 


จนเมื่อเขาทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะได้สำเร็จ ด้วยความช่วยเหลือของผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด เขาจึงเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น…


 


‘ในเมื่อมีกรณีตัวอย่างเหมือนตอนนั้น…บางทีหลังข้าทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ด้วยมีความช่วยเหลือของผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด ข้าก็อาจเข้าใจการผสานความลึกซึ้งของกฏมิติได้ในเวลาอันสั้น’


 


หลังจากคาดเดาไปทำนองดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ถามวารีเทพชำระโลกาเพื่อขอความเห็น


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น”


 


และคำตอบของวารีเทพชำระโลกา ก็สรุปเอาง่ายๆ “อย่างน้อยๆ ข้าก็ไม่เคยเห็นใครต่ำกว่าขอบเขตจักรพรรดิอมตะสามารถผสานรวมความลึกซึ้งได้มาก่อน”


 


“บางที สิ่งนี้อาจเป็นข้อจำกัดของสวรรค์และโลก”


 


ข้อสรุปของวารีเทพชำระโลกา ก็เหมือนกับสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนคาดเดาเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน


 


“เสี่ยวเทียนหลังจากนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลากับกฏมิติแล้ว เจ้ามุ่งมั่นบ่มเพาะพลังให้เร็วที่สุดประเสริฐกว่า”


 


วารีเทพชำระโลกาเอ่ยแนะ


 


ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้เขาจะมีความก้าวหน้าอีกครั้งหลังออกจากอวี้หวงเทียน แต่อย่างไรก็แค่จอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบเท่านั้น


 


ยังเหลือหนทางอีกยาวไกล กว่าที่จอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบจะก้าวถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ!


 


‘หลังกลับถึงวังเทียนฉือ ต้องหาหนทางเพิ่มพลังฝึกปรือโดยเร็ว…ข้าจะได้มีโอกาสเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏเร็วๆ’


 


การปะทะกับตู๋กูเหวินครั้งนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้ซึ้งถึงพลังอำนาจจากการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏชัดเจน ‘ที่ตู๋กูใช้ มันก็แค่การผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการของกฏแห่งไม้เท่านั้น’


 


‘อย่างไรก็ตามเอาแค่การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ 3 ประการ พลังอำนาจที่ปลดปล่อยได้ก็เหนือกว่าตอนมันใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ 7 ประการเสียอีก…’


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความหลงใหลและปรารถนาอยากจะผสานรวมความลึกซึ้งกฏมิติของเขามาก…


 


ฉือหล่างนั้นใช้เวลาไม่นานนักก็กลับถึงวังเทียนฉือแล้ว กลับกันด้านต้วนหลิงเทียนที่ต้องระวังตู๋กูหวู่ก็ได้แต่เดินทางกลับวังเทียนฉือด้วยการอ้อมไปเสียไกล…


 


ทำให้กว่าจะกลับถึงละแวกใกล้เคียงกับวังเทียนฉือเขาก็ต้องใช้เวลาไปทั้งสิ้น 3 เดือน


 


และถึงแม้จะกลับมาอยู่ในละแวกใกล้เคียงวังเทียนฉือแล้ว เขายังไม่เลือกที่จะกลับเข้าวังด้วยตัวเองแต่เลือกจะติดต่อหาฉือหล่างให้ออกมารับ ด้านฉือหล่างก็ไม่ออกมารับคนเดียวแต่ไปชวนเหลยอิงให้มารับเขาด้วยกัน


 


ภายใต้สถานการณ์ปกติ ฉือหล่างคงไม่กล้าไปชวนเหลยอิงให้ออกมารับเขาแน่นอน


 


อย่างไรก็ตามด้วยความสัมพันธ์ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ แม้เหลยอิงจะไม่ให้หน้าฉือหล่าง แต่นางก็ไม่อาจไม่ไว้หน้าฮ่วนเอ๋อ! และที่สำคัญ ฐานะของฮ่วนเอ๋อในใจของนางตอนนี้ยังไม่ด้อยไปกว่าลูกชายแท้ๆของตัวเองเลย


 


ฮ่วนเอ๋อเป็นสัตว์เทพอย่างจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ตราบใดที่ไม่ตกตายไปเสียกลางทาง วันหน้าต้องเติบโตก้าวหน้าครั้งใหญ่ มากล้นไปด้วยอาคตอันไร้จำกัด


 


เหลยอิงย่อมรู้ถึงผลประโยชน์จากการมีสัมพันธ์อันดีกับตัวตนเช่นนี้ดี


 


“ขอบคุณจ้าวตำหนักเหลยอิงมาก”


 


หลังกลับมาถึงวังเทียนฉือโดยสวัสดิภาพ ก่อนที่เหลยอิงจะขอตัวลา ต้วนหลิงเทียนก็ป้องมือประสานกล่าวคำขอบคุณเหลยอิงอย่างมีมารยาท


 


“เพียงเท่านี้ ไม่ต้องเกรงใจ”


 


เหลยอิงคลี่ยิ้มบางๆ “ต้วนหลิงเทียนหากเจ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ว่างๆก็พาฮ่วนเอ๋อไปบ่มเพาะที่จวนข้าก็ได้…สถาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่จวนข้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ายอดเขาของฉือหล่างแต่อย่างใด”


 


“ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนรีบตอบรับ


 


หลังเหลยอิงจากไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตามฉือหล่างกลับไปยังเขตที่อยู่อาศัยด่านของฉือหล่างทันที และฉือหล่างยังพาเขาไปยังโถงรับรองในที่พักของฉือหล่างอีกด้วย


 


และในโถงที่พักบ่มเพาะของฉือหล่าง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าไม่ใช่แค่ฮ่วนเอ๋อเท่านั้น แต่ศิษย์พี่ศิษย์ชายและพี่หญิงของเขาก็มารวมตัวกันแล้ว


 


กระทั่งศิษย์พี่รองหลู่จี้ ที่ไม่ค่อยโผล่มาให้ใครเห็นก็มาด้วย


 


“พี่หลิงเทียน”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกลับมาแล้ว ถึงแม้ฮ่วนเอ๋อจะรู้แต่แรก แต่ก็อดโผเข้าอ้อมกอดต้วนหลิงเทียนไม่ได้


 


ต้วนหลิงเทียนยเองก็กอดนางเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวของฮ่วนเอ๋อได้ชัดเจน “ยาโถวโง่งม ข้าสบายดีเห็นแล้วหรือไม่…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวปลอบบออกมาเสียงอ่อน พลางตบแผ่นหลังนางเบาๆ


 


จากนั้นเขาก็ค่อยผละร่างฮ่วนเอ๋อออกไปอย่างอ่อนโยน


 


และตอนนี้เขาก็พบว่าทุกสายตาในโถงกำลังมองมา ทำให้รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง


 


“ก่อนที่เจ้าจะกลับมาถึง ข้าให้ทุกคนไปสืบดูแล้ว…”


 


ฉือหล่างเริ่มเปิดประเด็นก่อนใคร มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจังว่า “เมื่อไม่นานมานี้มีคนเห็นหานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้นลูกชายของเหลยอิงเดินด้วยกัน”


 


“หากพวกมันสองคนร่วมหุ้นกันล่ะก็ นับว่ามีทุนรอนให้ตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่สนใจได้”


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะกลับมา ไม่เพียงฉือเหล่ยจะไม่อยู่ว่าง ยังระดมคนรวมถึงเหล่าศิษย์ในสังกัดไปตรวจสอบเรื่องราว และมองหาเบาะแส


 


“เหลยจวิ้น?”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเบาๆ ก่อนจะหันไปมองฮ่วนเอ๋อโดยไม่รู้ตัว


 


เหลยจวิ้นเป็นลูกชายคนเดียวของเหลยอิง และเป็นศิษย์คนรองในสังกัดของเหลยอิง มีลำดับอาวุโสเหนือกว่าฮ่วนเอ๋อ ถือเป็นศิษย์พี่ของฮ่วนเอ๋อ


 


“ไม่ผิด”


 


ฉือหล่างพยักหน้า


 


ขณะเดียวกันหูเหมยก็กล่าวเสริมออกมาว่า “ศิษย์น้องเล็ก เรื่องนี้เจ้าอาจจะยังไม่รู้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรเหลยจวิ้นกับหานอวิ๋นจิ่นนั้นไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนว่าพวกมันสนิทกัน และไม่เคยมีผู้ใดเห็นมันเดินด้วยกันมาก่อน”


 


“แต่ในช่วงเวลาที่พวกเราไปยังวิหารเฟิงฮ่าว พวกเราพบว่าพวกมันไปไหนมาไหนด้วยกัน…แน่นอนว่าสิ่งนี้แทบไม่มีใครพบเห็น หากไม่ใช่เพราะพวกเราตรวจสอบอย่างละเอียดโดยวิธีการบางอย่าง เกรงว่าคงยากที่จะล่วงรู้เรื่องนี้ได้”


 


หูเหมยกล่าว


 


“คนที่ไม่ค่อยสนิทกันและไม่เคยสุงสิงกันมาก่อน แต่กลับเดินด้วยกันในช่วงเวลาเกิดเรื่อง…ใต้หล้าไหนเลยมีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ากล่าวอย่างเห็นด้วย เขาเองก็รู้สึกว่าสิ่งนี้ผิดวิสัยอยู่บ้าง


 


อย่างไรก็ตาม เท่าที่เขาจำได้ เขากับเหลยจวิ้นดูเหมือนจะไม่เคยมีเรื่องราวบาดหมางกันเลยไม่ใช่หรือไร?


 


“แต่ข้าไม่รู้จักเจ้าเหลยจวิ้นนั่น ทั้งไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไรกัน…ว่ากันตามตรง มันไม่น่าจะไปร่วมมือกับหานอวิ๋นจิ่น เพื่อจ่ายราคามหาศาลมาฆ่าข้าได้เลย…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ว่ากันตามปกติก็คงเป็นแบบนั้น”


 


ตอนนี้เองศิษย์พี่ 6 ของต้วนหลิงเทียน หงเฟย พลันกล่าวออกมาด้วยสองตาหยีๆบนใบหน้ามันยิ่งหรี่ลงจนไม่ต่างอะไรกับคนปิดตา “ศิษย์น้องเล็ก บางครั้งไม่ใช่เพราะเจ้ามีเรื่องกับมัน ถึงถูกมันคิดฆ่า….”


 


“คนเราจะเกลียดชังเคียดแค้นผู้อื่น มีเหตุผลมากมายเหลือเกิน…ตัวอย่างเช่น หากข้ารู้สึกอิจฉาที่เจ้าทั้งหล่อเหลาและเป็นที่นิยมของสาวๆ ก็ไม่แน่ว่าอยากจะให้เจ้าตายขึ้นมา…”


 


“แน่นอนว่าความอิจฉาเช่นนี้มักเกิดในสตรีมากกว่า”


 


หงเฟยกล่าว


 


“ศิษย์พี่ 6 ท่านคิดกล่าวอันใดกันแน่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยยถามตรงๆ


 


“ศิษย์น้องเล็กเจ้าอาจยังไม่รู้ แต่ตอนที่เจ้ายังไม่กลับมา ศิษย์พี่หญิง 4 ก็ไปเขตที่พักบ่มเพาะของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงเป็นเพื่อนฮ่วนเอ๋อรับทรัพยากรบ่มเพาะอยู่หลายครั้ง…และได้เจอกับเหลยจวิ้น 2 ครั้ง”


 


กล่าวถึงจุดนี้หงเฟยก็หันไปมองเวิ่นหว่านเอ๋อ “และศิษย์พี่หญิง 4 ก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง…แม้เหลยจวิ้นจะพยายามทำตัวปกติ แต่นางกลับสังเกตเห็นเหลยจวิ้นลอบมองฮ่วนเอ๋ออยู่หลายครั้ง เจ้านั่น…ไม่พ้นต้องสนใจฮ่วนเอ๋อเป็นแน่!!”


 


“ตอนนี้เจ้าคงรู้กระมัง…ว่าข้าจะสื่ออะไร”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค สองตาหงเฟยก็ฉายแววเยียบเย็นออกมาทันที


 


แน่นอนว่าแววตาเย็นชาดังกล่าว ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ต้วนหลิงเทียน แต่เป็นเหลยจวิ้น


 


“มีเรื่องแบบนี้ด้วย”


 


หลังได้ยินคำพูดของหงเฟย ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลงเล็กน้อย ในแววตายังฉายประกายเย็นชาวูบวาบ


 


หากเหลยจวิ้นต้องตาพึงใจฮ่วนเอ๋อจริงๆ เช่นนั้นก็มีแรงจูงใจฆ่าเขาแล้ว


 


เพราะสุดท้ายฮ่วนเอ๋อก็ติดหนึบเขาเหมือนตังเม แลท่าทีก็เผยให้รู้ว่าจะอยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิต…หากเหลยจวิ้นสนใจฮ่วนเอ๋อจริงๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้มีบุรุษคนไหนอยู่ข้างกายฮ่วนเอ๋อเป็นอุปสรรคขวากหนาม


 


จะอย่างไรก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช่ผู้ชายประเภทนี้ แต่ก็รู้เช่นเห็นชาติผู้ชายประเภทนี้ดี


WSSTH ตอนที่ 3,302 : เผยความแข็งแกร่ง


 


 


“นอกจากนั้นข้า ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่หญิง 3 และศิษย์น้อง 6 ก็ไปตระเวนสืบเรื่องนี้เพิ่มเติมมาทุกที่…”


 


ตอนนี้เองโอวหยางฉีเฟย ศิษย์พี่ 5 ของต้วนหลิงเทียน ก็กล่าวเสริมออกมา “เหลยจวิ้นที่ว่า….ก่อนตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่จะไปดักฆ่าเจ้า มีคนสังเกตเห็นมันมุ่งหน้าไปยังที่พักของหานอวิ๋นจิ่น เพื่อเข้าพบหานอวิ๋นจิ่นโดยเฉพาะ”


 


“หลังจากนั้นก็มีคนพบเห็นพวกมัน 2 คนออกจากวังเทียนฉือไปด้วยกัน…”


 


“พวกเรากำลังสงสัยว่า ไม่พ้นตอนนั้นพวกมันทั้งคู่ต้องไปหาตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่แน่!”


 


“เพราะนับจากช่วงเวลาที่พวกมันกลับมาแล้ว ตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่ก็ไปลงมือกับเจ้า…อย่างที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ใต้หล้าไหนเลยมีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้?”


 


โอวหยางฉีเฟยกล่าวเสียงเข้ม


 


“น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีหลักฐานรองรับ ทั้งหมดก็แค่การเคาเดาเท่านั้น…ถึงแม้พวกเราจะมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าพวกมันเป็นผี แต่ก็ไม่อาจใช้กฏของวังเทียนฉือเล่นงานพวกมันได้”


 


ใบหน้าหงเฟยปกติแล้วมักเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แลดูเฮฮามากอัธยาศัย แต่ตอนนี้กลับมืดดำแทบจะคั้นได้เป็นหยดน้ำหมึก!


 


“ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่หญิง 3 ศิษย์พี่หญิง 4 ศิษย์พี่ 5 ศิษย์พี่ 6…”


 


ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะไม่รู้ว่าศิษย์พี่ทุกคนต้องลงแรงไปไม่น้อยแน่ ถึงตามสืบเรื่องนี้ให้เขาได้ ทั้งยังได้เรื่องในเวลา 3 เดือนที่เขากำลังเดินทางกลับ


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวในใจ ยังรู้สึกอบอุ่นนัก


 


“อาจารย์เองก็ไม่ได้อยู่เฉย ตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา อาจารย์พยายามไปกล่าวหยั่งเชิงจ้าวตำหนักเหลยเสมอ…กระทั่งวันนี้ยังเลือกจะไปตำหนักลองกระบี่เพื่อชวนจ้าวตำหนักเหลยไปรับเจ้าด้วยกัน”


 


หูเหมยมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “จากที่ท่านอาจารย์สังเกต…จ้าวตำหนักเหลยไม่น่าจะรู้เรื่องราว”


 


“ไม่น่าจะรู้จริงๆ”


 


ฉือหล่างกล่าวเสริมขึ้นมา “หากเหลยอิงล่วงรู้เรื่องนี้แต่แรก และเห็นดีเห็นงามกับการกระทำของเหลยจวิ้น ไฉนเหลยจวิ้นต้องไปหาหานอวิ๋นจิ่นให้เกิดพิรุธ? มิสู้ยอมจ่ายหนักหน่อยแต่ตัดเบาะแสทั้งหมดทิ้งไม่ดีกว่าหรือ…”


 


“จริงของท่าน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเห็นด้วยกับคำพูดของฉือหล่าง เพราะถ้าเหลยอิงรู้เรื่องนี้ นางต้องหยุดเหลยจวิ้นเอาไว้แน่ และถ้าไม่หยุดก็หมายความว่าจะช่วยเหลยจวิ้นเพื่อปกปิดเรื่องราวอย่างดีที่สุด


 


หากมีเหลยอิงช่วยเหลือ เหลยจวิ้นก็ไม่ต้องเสี่ยงเปิดเผยเรื่องคิดจ้างคนฆ่าเขากับหานอวิ๋นจิ่น จนกลายเป็นทิ้งร่องรอยให้สาวมาถึงตัว


 


การที่เหลยจวิ้นไปหาหานอวิ๋นจิ่นแบบนี้ เห็นชัดว่าไม่อาจแบกรับค่าใช้จ่ายจ้างวานตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่ให้มาฆ่าเขาคนเดียวได้ไหว จึงไปหาหานอวิ๋นจิ่นเพื่อช่วยกันจ่าย…


 


“เหลยจวิ้น หานอวิ๋นจิ่น…”


 


ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายแววเย็นชาออกมาวูบวาบ


 


“พี่หลิงเทียน ข้าจะไปหาเหลยอิงเพื่อขอคำอธิบายจากนาง!”


 


ตอนนี้เองฮ่วนเอ๋อพลันกล่าวออกเสียงเข้ม


 


ก่อนหน้านี้ฮ่วนเอ๋อที่ไม่ค่อยสนใจอะไร ยังไม่เข้าใจว่า 3 เดือนที่ผ่านมาพวกฉือหล่างพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ตอนนี้พอได้ยินทุกคนคุยกัน รวมถึงเรื่องที่เวิ่นหว่านเอ๋อมักพานางไปรับทรัพยากรบ่มเพาะทั่วไปที่เขตที่พักบ่มเพาะของเหลยอิงทั้งที่ไม่จำเป็น…ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร


 


เมื่อปะติดปะต่อจนคาดเดาเรื่องราวได้ว่า ไม่พ้นเหลยจวิ้นเป็นคนจ้างมือสังหารพี่หลิงเทียนของนาง สองตาฮ่วนเอ๋อก็เต็มไปด้วยความโกรธ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดยังเริ่มปะทุออกมาอย่างหลุดการควบคุม!


 


หากเหลยจวิ้นอยู่ที่นี่ นางคงไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ระเบิดพลังสังหารได้ไหว!


 


“ฮ่วนเอ๋อ อย่าวู่วาม”


 


ต้วนหลิงเทียนเอื้อมมือออกไปกุมมือฮ่วนเอ๋อเอาไว้พร้อมกล่าวห้ามปราม


 


“พี่หลิงเทียน ตัวชั่วชาตินั่นมันคิดฆ่าท่านนะ”


 


ฮ่วนเอ๋อพยายามระงับโทสะ อย่างไรก็ตามเสียงกล่าวของนางยังเย็นชา สีหน้ายังมืดลงปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก


 


ปกติต่อหน้าต้วนหลิงเทียนฮ่วนเอ๋อมักอ่อนโยนมาก นับเป็นครั้งแรกเลยที่นางมีสีหน้าน้ำเสียงเช่นนี้ขณะคุยกับต้วนหลิงเทียน


 


เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนไม่ตำหนิอะไรนางที่กล่าวเสียงแข็งทั้งชักสีหน้าใส่เขา เพราะเขารู้ดีว่าที่ฮ่วนเอ๋อเป็นแบบนี้ก็เพื่อเขาทั้งนั้น เขาจะมีก็แต่ความซาบซึ้ง ไหนเลยเป็นอื่นได้


 


“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราไม่มีหลักฐาน…”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “อย่าว่าแต่ไม่มีหลักฐาน ต่อให้พวกเรามีหลักฐานแต่ก็ต้องหารือกันเพื่อหาทางจัดการเรื่องนี้ หากเราผลีผลามไปหน้าประตูบ้านผู้อื่น ก็ไม่ต่างอะไรกับแหวกหญ้าให้งูตื่น”


 


พอกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ลอบส่งเสียงผ่านพลังไปหาฮ่วนเอ๋อ “ฮ่วนเอ๋อ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าบิดาแท้ๆของเจ้า ถูกจับขังอยู่ในคุกหมื่นพันธนาการของวังเทียนฉือ และมารดาของเจ้าสิบในสิบไม่พ้นต้องถูกจับขังอยู่ที่เดียวกัน”


 


“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่เจ้าจะแตกหักกับเหลยอิงเพราะเหลยจวิ้นลูกชายคนเดียวของนาง…เจ้ามีสถานะเป็นศิษย์ในด่านเหลยอิง ย่อมมีประโยชน์ต่อการหาทางช่วยเหลือบิดามารดาของเจ้ามากขึ้น”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวโน้มน้าว


 


“พี่หลิงเทียน ถึงฮ่วนเอ๋ออยากจะช่วยท่านพ่อกับท่านแม่ แต่ให้ฮ่วนเอ๋อมองข้ามเหลยจวิ้นที่คิดร้ายต่อท่าน…ฮ่วนเอ๋อทำไม่ได้”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวออกเสียงเข้ม


 


“ฮ่วนเอ๋ออย่ากังวลไปเลย…เหลยจวิ้นกับหานอวิ๋นจิ่นนั่น ข้าจะหาทางจัดการมันเอง”


 


พอต้วนหลิงเทียนกล่าวส่งเสียงผ่านพลังประโยคนี้ไป สองตาเขาก็ฉายประกายเย็นชาขึ้นมาทันที


 


“ศิษย์น้องเล็ก…”


 


ตอนนี้เองหูเหมยที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาละล้าละลัง ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยถามออกมา “ที่แท้ก่อนหน้านี้เจ้ารอดพ้นจากตู๋กูเหวินนั่นได้อย่างไรหรือ…เจ้าคงไม่ได้ฆ่าตู๋กูเหวินอย่างที่พูดจริงๆหรอกนะ?”


 


หลังเอ่ยถามออกไปแล้ว หูเหมยก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย


 


“อะไรกัน นี่ศิษย์พี่หญิง 3 ไม่เชื่อข้าหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกไปพลางปั้นหน้าหงอยๆ


 


“เอ่อ…ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อ…แต่เรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไป!”


 


หูเหมยเห็นต้วนหลิงเทียนปั้นหน้าน้อยใจ ก็คลี่ยิ้มแหยๆออกมา


 


ขณะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นฉือหล่างหรือศิษย์พี่คนอื่นๆ ตอนนี้ก็เอาแต่มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น


 


“ก็ใช่ที่พลังของมันร้ายกาจเหนือข้ามาก แต่เพราะเหตุนี้ทำให้มันก็ประมาทข้ามากเช่นกัน…ข้าเองก็อาศัยความเลินเล่อย่ามใจของมัน ฉวยโอกาสส่งผ่านมังกรชั่วร้ายขอบเขตจักรพรรดิอมตะที่ข้าเลี้ยงไว้ในโลกใบเล็ก 2 ข้ามมิติออกมาด้านหลังของมัน เล่นงานมันทีเผลอในขณะที่มันผ่อนคลายความระวังลงมากที่สุด จากนั้นข้าก็ใช้ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวที่สร้างขึ้นได้หลังพบเจอวาสนาบางประการในวิหารเฟิงฮ่าว ลงมือฆ่ามันในขณะที่มันบาดเจ็บสาหัส”


 


ต้วนหลิงเทียนยักไหล่พลางกล่าว แน่นอนว่าเป็นเรื่องราวที่เขาเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ


 


แน่นอนว่าเรื่องนี้มันเป็นความจริงหลายส่วน จึงฟังดูน่าเชื่อถือและไม่เป็นการเปิดเผยความลับสำคัญของเขา แถมยังไม่ต้องกลัวใครมาแย่งชิงอะไรไป


 


ประการแรกเลย ยากนักที่ใครจะสามารถเลี้ยงมังกรชั่วร้ายเอาไว้ในโลกใบเล็กได้ถึง 2 ตัว กระทั่งต่อให้จับมังกรชั่วร้ายมาไว้ในโลกใบเล็กได้ ก็ไม่มีใครคิดว่าจะสามารถสั่งการพวกมันได้อยู่ดี


 


ประการที่สอง การสร้างร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิว มันเป็นวิธีการเฉพาะของแต่ละคน ไม่อาจช่วงชิงกันได้


 


“มังกรชั่วร้ายขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 2 ตัว!?”


 


“ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว?”


 


ได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน ฉือหล่างกับคนอื่นๆก็ชักสีหน้าว่างเปล่าราวกำลังฟังบทสวดในพระไตรปิฎก


 


สุดท้ายพอเห็นว่าทุกคนแลดูไม่ค่อยจะเชื่อ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ผายมือยักไหล่ กล่าวชวนทุกคน “ดูเหมือนว่าครูกับศิษย์พี่ทุกคนจะนึกภาพไม่ออกสินะ…ถ้างั้นมิสู้ออกไปด้านนอกให้ข้าแสดงให้ทุกคนเห็นชัดๆเลยเล่า?”


 


พอกล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็เดินนำออกจากห้องโถงทันที


 


ฮ่วนเอ๋อก็ตามต้วนหลิงเทียนไปเป็นธรรมชาติ กระทั่งยังคล้องแขนต้วนหลิงเทียนออกจากห้องโถงสถานที่พักของฉือหล่างไปด้านนอกอย่างเงียบๆ


 


วูบ!


 


เมื่อออกจากห้องโถงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เคลื่อนมิติวูบร่างขึ้นไปบนฟ้าสูงพร้อมฮ่วนเอ๋อ จากนั้นเพียง 1 ห้วงคิด เขาก็ปล่อยมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ออกมาจากโลกใบเล็กให้ลอยร่างอยู่ข้างๆทันที


 


“ครู”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็หันไปหยีตามองถามฉือหล่างด้ววยรอยยิ้ม “ท่านลองรับมันดูสักท่าเป็นไร?”


 


ตั้งแต่ที่ได้เห็นมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ปรากฏตัวออกมา ลูกตาฉือหล่างก็หดเล็กลง จากนั้นก็กล่าวออกมาว่า “เจ้า 7 ข้าเองก็พอรู้เกี่ยวกับมังกรชั่วร้ายมาบ้าง…แม้จะน่าตกใจที่มังกรชั่วร้ายแลดูเชื่อฟังเจ้า แต่จากกลิ่นอายพลังที่พวกมันแผ่ออกมา อย่างดีก็เป็นแค่จักรพรรดิอมตะ 3 ศักดิ์ หรือ 4 รูปกระมัง?”


 


“เช่นนั้นอาศัยการโจมตีของมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัวนี้ ต่อให้เป็นการลอบทำร้ายที่เผลอ…แต่จะทำอะไรตู้กูเหวินได้จริงๆหรือ?”


 


เห็นได้ชัดว่าฉือหล่างไม่เชื่อเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเล่า


 


“ครู…ท่านไม่ลองแล้วจะรู้หรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนยังถามซ้ำด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย


 


“ท่านอาจารย์ ท่านก็ยยอมเปลืองตัวขึ้นไปลองโดนดูสักท่าเถอะ! ข้าเองก็อยากเห็นพลังของมังกรชั่วร้ายที่ศิษย์น้องเล็กเลี้ยงไว้เช่นกัน!!”


 


หงเฟยเร่งกล่าวโน้มน้าวออกมาอย่างออกหน้าออกตา แลดูคึกคักกว่าใครเขา


 


ฟุ่บ!


 


ฉือหล่างพอได้ฟังก็ไร้ลังเลใดๆ ร่างมันไหววูบคราหนึ่ง จากนั้นคนก็กลับกลายเป็นกระบี่พุ่งแหวกฟ้าขึ้นไปฉับไว ก่อนจะไปหยุดยืนเผชิญหน้าห่างจากต้วนหลิงเทียนประมาณหนึ่ง


 


“ครู ท่านพร้อมแล้วยัง?”


 


หลังจากกล่าวถามฉือหล่างแล้ววเสร็จ พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า ต้วนหลิงเทียนก็สั่งให้มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ผสานพลังลงมือจู่โจมฉือหล่างทันที!


 


“กรรร—!!”


 


“กรรร—!!”


 


พร้อมกันกับที่เสียงมังกรคำรามสนั่นปานจะสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น มังกรชั่วร้ายแต่เดิมที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน ก็ถูกต้วนหลิงเทียนใช้ความลึกซึ้งส่งผ่าน จนวูบไปปรากฏตัวด้านหลังฉือหล่าง! จากนั้นก็ยิงลำแสงทำลายล้าออกมาพร้อมเพียง พลัง 2 ขุมผสานรวมเป็นหนึ่งเพ่งเล็งทำลายเข้าใส่แผ่นหลังฉือหล่างทันที!


 


“หืม?!”


 


ฉือหล่างที่จับสัมผัสการเคลื่อนไหวผิดปกติได้ เร่งตอบสนองเร็วไว คนคิดวูบร่างหลบหนีทันที อนิจจาลำแสงทำลายล้างมาได้ว่องไวเกินไป สุดท้ายจึงทำได้แค่เร่งเร้าพลังทั้งหมดขึ้นมาต้านทานลำแสงทำลายล้างผสานของ 2 มังกรชั่วร้ายเอาไว้


 


อย่างไรก็ตามเนื่องการลำแสงไม่เพียงรวดเร็วยังรุนแรงเหนือคิดคาด ทำให้ถึงแม้ฉือหล่างจะพยายามร่างเร้าพลังทั้งหมดเท่าที่ทำได้เพื่อต้านทานลำแสงทำลายล้างแล้ว แต่สุดท้ายคนก็ยังถูกพลังซัดกระเด็นปลิดปลิว สภาพแลดูยักแย่ยักยัน อนาถไม่น้อย…


 


เป็นธรรมดาที่ผลลัพธ์จะออกมาแบบนี้ เพราะถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะกล่าวเตือนก่อนลงมือ แต่ฉือหล่างยังคงดูเบามังกรชั่วร้ายอยู่ดี…


 


หาไม่แล้วแค่มันเร่งเร้าพลังตระเตรีมป้องกันไว้แต่แรก ก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพอนาถให้อับอายขายหน้าลูกศิษย์…


 


“แข็งแกร่งยิ่ง!!”


 


มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ยิงพลังเข้าใส่ฉือหล่างจนต้องปะทุพลังต้านทาน ย่อมก่อให้เกิดการปะทะของพลังงอันน่าพรั่นพรึง 2 ขุม พลังสะท้อนก่อเกิดคลื่นกระแทกมหาประลัยกววาดทำลายออกไปทั่วสารทิศ


 


จังหวะนี้แม้เหล่าผุ้ที่ชมดูเรื่องราวจะตอบสนองเรื่องราวได้ทัน และกางม่านพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเอาไว้ แต่สุดท้ายทุกคนก็อดชักสีหน้าเคร่งเครียดไม่ได้ เมื่อสัมผัสได้ถึงความรุนแรงของสายลมวิปริตที่หอบคลื่นกระแทกน่ากลัวเข้ามา


 


“ครู ท่านประมาทเกินไป…”


 


หลังคลี่ยิ้มบางๆกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือเก็บมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 เข้าโลกใบเล็กทันที


 


และครู่ต่อมา ในขณะที่ทุกคนยังอื้ออึงไม่ฟื้นสติ ต้วนหลิงเทียนอาศัยหนึ่งห้วงคิด ท่ามกลางสายตาทุกคนก็อุบัติเงาร่างต้นไม้เทพสนหลิวขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นด้านหลังต้วนหลิงเทียน


 


“ต้นไม้เทพสนหลิว!!”


 


“ให้ตายเถอะ เท่าที่ข้าจำได้ ฝานฉีที่ถูกศิษย์น้องเล็กฆ่าตายไปวันนั้น ร่างที่แท้จริงของมันดูเหมือนจะเป็นต้นไม้เทพสนหลิวเหมือนกันไม่ใช่หรือ!?”


 



 


หูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อ และหงเฟ ต่างหันมามองหน้าสบตากันทันที ก่อนจะแลเห็นความประหลาดใจในแววตาของอีกฝ่าย


 


“วันนั้นข้าเองก็แปลกใจอยู่แล้วว่าไฉนศิษย์น้องเล็กถึงจัดการฝานฉีได้ง่ายดายนัก…ยังคิดว่าไม่น่าจะใช้พลังจากความลึกซึ้งอะไรแน่…”


 


พอเห็นร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิว หูเหมยก็หยีตากกล่าวถามต้วนหลิงเทียนด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ศิษย์น้องเล็ก ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวนี่ เจ้าพึ่งจะหลอมสร้างมันได้หลังจากใช้วิธีการพิเศษฆ่าฝานฉีวันนั้นใช่หรือไม่?”


 


“ใช่”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวก็ค่อยๆจางหายไป


 


“เช่นนั้นหมายความว่า…การตายของฝานฉีเป็นการส่งเสริมเจ้าครั้งใหญ่”


 


หูเหมยกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ “เจ้าฝานฉีผู้นั้นต่อให้ตายก็คงคิดไม่ถึง ว่าไม่เพียงแต่สุดท้ายจะเป็นฝ่ายถูกเจ้าฆ่าตายเสียเอง กระทั่งร่างกายของมันยังถูกเจ้าจับมาหลอมจนทำให้เจ้าสามารถควบสร้างร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวได้อีก…”


 


“หากมันรู้แต่แรกว่าเรื่องราวจะเป็นแบบนี้ ต่อให้มีคนเอามีดมาจี้คอมันๆก็คงไม่กล้าท้าเจ้าประลองเป็นตายรูปแบบไม่ตายไม่เลิกราแน่นอน”


 


กล่าวถึงจุดนี้ หูเหมยที่ทอดถอนใจเมื่อครู่ อยู่ๆสองตาก็ทอประกายจ้าขึ้นมาผิดปกติ “ไม่คิดเลย ว่าสุดท้ายในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของพวกเรา นอกจากศิษย์พี่หญิงใหญ่แล้ว จะมีอีกคนที่สามารถฆ่าจักรพรรดิอมตะสมญานามได้!!”


 


“ศิษย์พี่หญิงใหญ่?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจกับวาจาที่หูเหมยกล่าวพาดพิงถึงศิษย์พี่หญิงใหญ่


 


ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่เขาเพียงได้ยินแต่ไม่เคยเจอมาก่อน…สามารถฆ่าจักรพรรดิอมตะสมญานามได้งั้นหรือ?


WSSTH ตอนที่ 3,303 : แผนการ


 


 


 


แต่ก่อน ต้วนหลิงเทียนรู้แค่ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ เป็นลูกสาวของฉือหล่างเท่านั้น และเรื่องเกี่ยวกับนางก็แลดูลึกลับเสมอ


 


อย่างไรก็ตามเขายังรู้อีกว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ร้ายกาจกว่าศิษย์พี่รอง


 


ทว่าเขาไม่คิดไม่ฝันจริงๆ


 


ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่นั้น จะสามารถฆ่าจักรพรรดิอมตะสมญานามได้เช่นกัน!


 


สิ่งนี้เผยให้เห็นถึงอะไร?


 


มันบอกให้รู้ว่า ศิษย์พี่หญิงใหญ่ลูกสาวของครูเขานั้น แม้ความแข็งแกร่งจะยังไม่ถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่กลับมีความสามารถบางอย่างที่ทำให้เข่นฆ่าจักรพรรดิอมตะสมญานามได้!


 


ดุจเดียวกับเขา!


 


“ฮิฮิ…ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคงไม่ใช่กำลังคิดไปอยู่หรอกนะ ว่าการที่เจ้าฆ่าตู๋กูเหวินได้ จะทำให้เจ้ากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเหล่าศิษย์ของอาจารย์?”


 


หูเหมยหัวเราะอย่างสุนกสนานกล่าวว่า “ศิษญ์พี่หญิงใหญ่นั้น แม้จะยังไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่นางก็ฆ่าจักรพรรดิอมตะสมญานามได้ตั้งนานแล้ว”


 


“ตอนนี้พลังฝีมือของศิษย์พี่หญิงใหญ่ ต่อให้เทียบกับอาจารย์ก็ไม่แน่ว่าจะด้อยกว่า”


 


กล่าวถึงจุดนี้หูเหมยก็เหลือบไปมองฉือหล่าง


 


ด้านฉือหล่างที่ได้ยินหูเหมยกล่าวถึงศิษย์พี่หญิงใหญ่ซึ่งเป็นลูกสาวของตัวเอง แววตาก็ฉายความอ่อนโยนทั้งภาคภูมิใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


 


ท้ายที่สุดแล้วนั่นก็คือลูกสาวของมัน


 


“ฮ่าๆๆ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่รู้หรอกว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ชอบตำหนิพวกเราว่าพวกเราไม่เอาไหน! กระทั่งศิษย์พี่รองยังโดนดุอยู่บ่อยๆ!!”


 


หงเฟยระเบิดหัวเราะพลางกล่าวด้วยท่าทางถูกใจ “ตอนนี้เจ้านับว่าให้หน้าพวกเราจริงๆ…หากศิษย์พี่หญิงใหญ่รู้ว่ามีใครในบรรดาพวกเราถึงกับฆ่าตู๋กูเหวินได้ นางก็ไม่มีทางตำหนิพวกเราว่าไม่เอาไหนอีกต่อไป!”


 


“ศิษย์น้อง 6 เจ้าฝันเฟื่องเกินไปแล้ว”


 


โอวหยางฉีเฟยที่ยืนข้างๆ กล่าวแทกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มแหยๆ “หากศิษย์พี่หญิงใหญ่รู้เรื่องนี้ เต็มที่นางก็ไม่คิดตำหนิพวกเราแบบเหมารวมอีก…แต่ไม่พ้นต้องแยกศิษย์น้องเล็กออกไปต่างหาก ก่อนจะถล่มพวกเราเหมือนเดิม เผลอๆยังจะหนักกว่าเดิมอีก…”


 


แทบจะทันทีที่โอวหยางฉีเฟยกล่าวจบคำ หลูจี้ที่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจาแต่ต้นจนจบ ก็พยักหน้าให้ฉือหล่าง ก่อนจะหันมากล่าวคำลาต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องเล็ก เมื่อไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน”


 


หลังกล่าวจบคำ หลู่จี้ก็เหินร่างออกไปทันที ทิศทางที่มุ่งหน้าไปก็คือสถานที่พักบ่มเพาะของมัน


 


“นั่นไง พวกเจ้าจะพูดเรื่องทำผักกาดอันใด? เห็นไหมว่าศิษย์พี่รองรีบแจ้นกลับไปนู่นแล้ว…”


 


หูเหมยหันไปมองโอวหยางฉีเฟยกับหงเฟพลางกล่าวบ่นออกมา “ลำพังแค่ศิษย์พี่หญิงใหญ่แข็งแกร่งคนเดียว ก็ทำให้ศิษย์พี่รองรู้สึกกดดันมากแล้ว…ตอนนี้มามีศิษย์น้องเล็กอีกคน ศิษย์พี่รองไม่พ้นต้องเคร่งเครียดกว่าเก่า”


 


เวิ่นหว่านเอ๋อพอได้ยินก็พยักหน้ากล่าวเสริมออกมาอย่างเห็นด้วย “มิผิด ไม่พ้นศิษย์พี่รองต้องรีบกลับปิดด่านบ่มเพาะเอาเป็นเอาตายแน่นอน…”


 


หงเฟยส่ายหน้าไปมาจนไขมันกระเพื่อม “อั้ย ศิษย์พี่รองก็ชอบกดดันตัวเองเกินไป…หากเป็นข้านะ พอเห็นคนที่ผิดมนุษย์มนาอย่างศิษย์พี่หญิงใหญ่กับศิษย์น้องเล็ก ข้าก็ไม่คิดจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบให้ทุกข์ใจแต่แรกหรอก…”


 


“เหอๆ ศิษย์น้อง 6 เพราะเจ้าคิดเช่นนี้อย่างไรเล่า เจ้าถึงไม่อาจเทียบศิษย์น้อง 6 ได้”


 


โอวหยางฉีเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มแหยๆ


 


“โธ่ศิษย์พี่ 5 ท่านก็อย่าเอาแต่ว่าข้านักเลย…ข้าเทียบศิษย์น้องเล็กไม่ได้แล้วจะอย่างไรเล่า หรือท่านเทียบได้?”


 


หงเฟยกล่าวสวนอย่างขุ่นขึ้ง


 


โอวหยางฉีเฟยก็ผงะไปก่อนใดอื่น จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับหงเฟยด้วยรอยยิ้มกลบเกลื่อนความละอายใจ “กับศิษย์น้องเล็กข้าเทียบไม่ได้…แต่ข้าไม่ปวกเปียกเหมือนเจ้าแน่นอน”


 


“ท่าน…”


 


หงเฟยหน้ามุ่ย แต่จะให้มันเถียงอะไรได้ เพราะในบรรดาศิษย์ทั้งหมดของฉือหล่าง ตอนนี้มันคือคนที่อ่อนด้อยที่สุด


 


ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆ มองศิษย์พี่ 5 กับ 6 เถียงกันง้องๆแง้งๆ ก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาโดไม่รู้ตัว


 


ตอนนี้เขายึดถือว่าคนไม่กี่คนที่อยู่เบื้องหน้า เป็นดั่งคนในครอบครัวเขาของแล้ว


 


ก่อนที่เขาจะกลับมา เขาไม่คิดเลยว่าคนอื่นๆรวมถึงฉือหล่างจะวิ่งวุ่น สืบหาเบาะแสอะไรเพื่อเขาแบบนี้


 


เขาเองก็ลองส่งเสียงผ่านพลังถามฮ่วนเอ๋อดูแล้ว กระทั่งฮ่วนเอ๋อก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย


 


ตั้งแต่ก่อนที่จะขึ้นสู่ระนาบเทวโลก จวบจนก่อนจะเข้าสู่วังเทียนฉือ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ต้วนหลิงเทียนเก็บเอามาใส่ใจ


 


แต่ตอนนี้กลุ่มคนเบื้องหน้าเหล่าศิษย์ของฉือหล่าง ทำให้เขารู้สึกเอาใจใส่โดยสมบูรณ์


 


“จริงสิ!”


 


ทันใดนั้นเองหูเหมยที่คล้ายนึกอะไรได้ออก ก็โพล่งขึ้นมา เรียกร้องความสนใจของทุกคนได้ทันที


 


“ศิษย์น้องเล็ก”


 


จากนั้นหูเหมยก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าฆ่าตู๋กูเหวินไปแบบนี้ ตู๋กูหวู่ไม่พ้นต้องส่งข้อความถึงหานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้นแน่”


 


“หากเป็นแบบนั้นจริง แล้วอีกหนึ่งปีหลังจากนี้หานอวิ๋นจิ่นมันจะกล้าขึ้นสังเวียนอัจฉริยะกับเจ้าอีกหรือ?”


 


ที่หูเหมยนึกได้ก็เป็นเรื่องนี้เอง


 


พอต้วนหลิงเทียนได้ฟังก็ผงะไปเล็กน้อย คิ้วยังย่นเป็นปมทันที


 


ใช่! หากตู๋กูหวู่บอกเรื่องร่าวทั้งหมดให้หานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้นฟัง มีโอกาสสูงที่หานอวิ๋นจิ่นจะยอมขายขี้หน้าผู้คน แต่ไม่ยอมขึ้นสังเวีนอัจฉริยะกับเขาเพื่อหาที่ตาย…


 


สุดท้ายแล้วเขาก็ฆ่าได้กระทั่งตู๋กูเหวิน หานอวิ๋นจิ่นยังจะเหลือความกล้ามายืนต่อหน้าเขาอีกหรือ?


 


“เจ้า 7 เจ้าได้ตรวจสอบบแหวนพื้นที่ของตู๋กูเหวินแล้วรึยัง?”


 


ฉือหล่างที่เดินพลังรักษาตัวเงียบๆอยู่ด้านข้าง หันไปมองถามต้วนหลิงเทียน “เท่าที่ข้ารู้มาตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่นั้น…ผู้ที่รับผิดชอบติดต่อกับลูกค้า มักจะเป็นตู๋กูเหวินเสมอ”


 


“เช่นนั้นโดยปกติแล้วลูกแก้ววิญญาณของลูกค้าที่เอาไว้ใช้ติดต่อกัน ก็สมควรอยู่กับตู๋กูเหวินมากกว่า”


 


ได้ยินคำพูดของฉือหล่าง ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือเรียกแหวนพื้นที่ของตู๋กูเหวินออกมาทันที จากนั้นก็สะบัดมือเรียกลูกแก้ววิญญาณที่เก็บไว้ 3 ลูกในแหวนออกมา “ก่อนหน้าข้าก็ได้ตรวจสอบแหวนของตู๋กูเหวินดูแล้ว…ด้านในมีลูกแก้ววิญญาณ 3 ลูกนี้เก็บไว้เท่านั้น”


 


หลังต้วนหลิงเทียนนำลูกแก้ววิญญาณทั้ง 3 ออกมา ลูกตาเวิ่นหว่านเอ๋อก็หดแคบลงเร็วไว จากนั้นก็ชี้ไปยังลูกแก้ววิญญาณ 1 ในนั้นพลางกล่าวว่า “ศิษย์นองเล็ก ซ้ายสุดเป็นลูกแก้ววิญญาณของหานอวิ๋นจิ่น…”


 


เวิ่นหว่านเอ๋อ ที่เคยมีอดีตกกับหานอวิ๋นจิ่นย่อมจดจำกลิ่นอายพลังวิญญญาณของหานอวิ๋นจิ่นได้


 


“ฮ่วนเอ๋อ”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยยินก็มองถามฮ่วนเอ๋อเพิ่มเติมทันที “ข้าจำได้ว่าเหลยจวิ้นก็เคยแลกลูกแก้ววิญญาณกับเจ้าใช่ไหม?”


 


“อื๊อ”


 


ฮ่วนเอ๋อพยักหน้าตอบ ค่อยสะบัดมือนำลูกแก้ววิญญาณของเหลยจวิ้นออกมา


 


และทันทีที่นานำลูกแก้ววิญญาณลูกนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่รอบๆก็สัมผัสได้ทันทีว่ากลิ่นอายพลังวิญญาณที่แผ่ออกมาจากลูกแก้ววิญญาณเหนือฝ่ามือฮ่วนเอ๋อ มันเหมือนกับกลิ่นอาย 1 ใน 3 ลูกแก้ววิญญาณที่ต้วนหลิงเทียนนำออกมาไม่มีผิดเพี้ยน


 


“ดูเหมือนว่าพวกเราจะเดาถูกจริงๆ”


 


หงเฟยกล่าวออกเสียงหนัก


 


ตอนนี้กระทั่งสองตาฉือหล่ายังฉายแววเยียบเย็นออกมา


 


ทั่วร่างฮ่วนเอ๋อก็แผ่รังสีฆ่าฟันยะเยือกออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บ พาลให้อุณหภูมิโดยรอบเสมือนลดต่ำลงหลายองศา


 


นัน์ตาคู่งามปานมุกมณีของนางยังฉายแววดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน!


 


หากตอนแรกบอกว่า เหลยจวิ้นอาจอยู่เบื้องหลังล่ะก็…มาตอนนี้ก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าเหลยจวิ้นอยู่เบื้องหลังจริงๆ!


 


จังหวะนี้นางจะให้นางระงับโทสะได้อย่างไรไหว?


 


“ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีลูกแก้ววิญญาณลูกนี้เป็นหลักฐาน แต่ก็ยังไม่มีน้ำหนักมากพอจะพิสูจน์ว่าเหลยจวิ้นกับหานอวิ๋นจิ่นเป็นคนจ้างมือสังหารมาฆ่าข้า…เพราะสุดท้ายเหลยจวิ้นมันก็อ้างได้ว่าพวกเราคิดป้ายสีมัน จึงนำลูกแก้ววิญญาณของมันมาแอบใส่เอาไว้…”


 


ต้วนหลิงเทียนกุมมือฮ่วนเอ๋อเอาไว้แน่น แม้ปากจะฟังดูเหมือนคุยกับฉือหล่างและคนอื่นๆ แต่อันที่จริงเขาจงใจพูดเตือนสติฮ่วนเอ๋อให้ใจเย็นลงก่อน


 


เขาย่อมสัมผัสได้ถึงโทสะอันคุกรุ่นของฮ่วนเอ๋อชัดเจน


 


“หานอวิ๋นจิ่น เหลยจวิ้น…พวกเจ้ามันจะมากเกินไปแล้ว!!”


 


หงเฟยกล่าวด้วยสีหน้ามืดดำ


 


ด้านหูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อ โอวหยางฉีเฟย เองก็ชักสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากนัก


 


“ดูเหมือนสิ่งที่อาจารย์กล่าวมาจะไม่ผิดเพี้ยน…ในมือตู๋กูหวู่ ไม่น่าจะมีลูกแก้ววิญญาณของเหลยจวิ้นกับหานอวิ๋นจิ่นเก็บไว้ ทำให้หานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้นยังไม่น่าจะรู้ว่าตู๋กูเหวินถูกเจ้าฆ่าตาย”


 


โอวหยางฉีเฟยกล่าว


 


“ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว หานอวิ๋นจิ่นไม่น่าจะหวาดกลัวศิษย์น้องเล็ก จนไม่กล้าขึ้นสังเวียนอัจฉริยะกับน้องเล็กในอีก 1 ปีหลังจากนี้”


 


ขณะที่โอวหยางฉีเฟยกล่าวถึงจุดนี้ มันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง


 


“อย่างไรก็ตามเนื่องจากตู๋กูเหวินมีลูกแก้ววิญญาณของหานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้น หมายความว่าพวกมันทั้งคู่ก็สมควรมีลูกแก้ววิญญาณของตู๋กูเหวินเช่นกัน”


 


ลูกตาต้วหลิงเทียนหรี่ลงทันที “ป่านนี้พวกมันคพบเรื่องที่ตู๋กูเหวินตกตายเรียบรอยแล้ว…แต่ต่อให้หลับพวกมันก็ไม่มีทางฝันถึง ว่าคนที่ฆ่าตู๋กูเหวินจะเป็นข้า”


 


กล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองฉือหล่างอีกครั้ง “ครู เรื่องที่พวกเราโดนตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่ดักกลางทาง ท่านยังไม่ได้คุยกับจ้าวตำหนักลองกระบี่เหลยอิงกระมัง?”


 


“ยังไม่”


 


ฉือหลางส่ายหัว “วันนั้นตอนแรกข้าเองก็คิดจะขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือเช่นกัน แต่ข้าก็ตระหนักว่าน้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้…เช่นนั้นข้าจึงขอความช่วยเหลือจากเจิ้งอวี้อี้เท่านั้น”


 


“เจิ้งอวี้อี้…จักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดง?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง


 


เพราะเขาก็พึ่งรู้เอาตอนนี้ ว่าฉือหล่างได้ขอความช่วยเหลือจากเจิ้งอวี้อี้เพื่อลากถ่วงตู๋กูหวู่


 


“ถ้างั้นหมายความว่า มีโอกาสสูงที่พวกมันจะไม่รู้ว่าข้าฆ่าตู๋กูเหวินตาย…ถึงพวกมันจะเห็นว่าลูกแก้ววิญญาณตู๋กูเหวินแตกแล้ว แต่ไม่พ้นต้องคิดว่าตู๋กูเหวินตายด้วยน้ำมือคนอื่นแน่นอน”


 


“ขอเพียงพวกมันไม่ออกไปติดต่อหาความกับตู๋กูหวู่ เพื่อสอบถามเรื่องภารกิจจ้างวานฆ่าข้า…พวกมันก็ไม่น่าจะรู้ได้เลยว่าคนที่ฆ่าตู๋กูเหวินเป็นข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนคาดเดา


 


“ดูเหมือนว่าพวกเราต้องหาทางปล่อยข่าวออกไป ว่าถูกตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่ดัก…แต่โชคดีในห้วงเวลาคับขัน ปรากฏจักรพรรดิอมตะสมญานามที่มีความแค้นกับพวกมันผ่านมาพอดี ทั้งยังมีสหายท่านอีกคน จึงช่วยพวกเราลงมือสังหารตู๋กูเหวินได้สำเร็จ”


 


ขณะกล่าวสองตาต้วนหลิงเทียนก็มองสบตาฉือหล่างไม่วาง


 


“เจ้าคิดให้หานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้นรับรู้เรื่องที่เจ้าถูกตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่ดักฆ่า…จนทำให้พวกมันไม่กล้าทำอะไรกระโตกกระตากและไปหาตู๋กูหวู่ช่วงนี้สินะ?”


 


ฉือหล่างย่อมคาดเดาความคิดต้วนหลิงเทียนได้ทันที จึงเอ่ยถามออกไปเร็วไว


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “หากพวกมันไม่รู้เรื่องที่ข้าถูกตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่ดักกลางทาง ไม่พ้นพวกมันต้องไปหาตู๋กูหวู่เพื่อสอบถามรายละเอียดแน่นอน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตู๋กูเหวินกันแน่ รวมถึงเรื่องที่ตู๋กูหวู่ยังจะดำเนินภารกิจฆ่าข้าต่อหรือไม่…”


 


“แต่ถ้าพวกมันได้รู้ข่าวเรื่องที่ข้าถูกดัก ต่อให้พวกมันอากจะไปหาตู๋กูหวู่เพื่อถามรายละเอียดแค่ไหน พวกมันก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามช่วงนี้แน่นอน โดยเฉพาะหานอวิ๋นจิ่น มันคงไม่กล้าก้าวออกจากวังเทียนฉือแม้แต่ก้าวเดียว เพราะมันถือว่าเป็นคนที่มีแรงจูงใจจะจ้างคนมาฆ่าข้ามากที่สุด”


 


“ด้านเหลยจวิ้นก็เช่นกัน ขอเพียงมันไม่ใช่ตัวโง่งม มันไม่มีทางเผยพิรุธอะไรออกมาตอนนี้แน่”


 


“ด้วยวิธีนี้ การตายของตู๋กูเหวิน ก็จะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับการประลองเป็นตายระหว่างข้ากับหานอวิ๋นจิ่นปีหน้า…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบ สองตาก็ฉายแววเยียบเย็นนัก


 


“จัดการเลยเถอะ”


 


ฉือหล่างพยักหน้า จากนั้นก็ไม่รอช้าเร่งส่งงข้อความถึงเหลยอิง จ้าวตำหนักลองกระบี่ทันที “เหลยอิง ก่อนหน้าเจ้าถามข้าใช่หรือไม่ว่าเป็นใครมาขวางพวกเราเอาไว้ ตอนแรกข้าไม่สะดวกจะกล่าว…ตอนนี้เมื่อไม่มีใดแล้วข้าจะบอกเจ้า”


 


“คนที่มาดักขวางพวกเราขระกลับจากวิหารเฟิงฮ่าวคือ ตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่…พวกมันมาขวางเพราะคิดฆ่าเจ้า 7 ของข้า”


 


“ก่อนหน้าที่ข้าไม่สะดวกจะบอกเจ้า เพราะข้าคิดจะสืบหาว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ให้ได้ก่อน”


ฉือหล่างกล่าว


 


“เช่นนั้น…ตอนนี้เจ้าหาเจอแล้วหรือ?”


 


เหลยอิงก็ส่งข้อความตอบกลับไม่ช้า และยังเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นนัก


 


“ใช่”


 


ฉือหล่างก็กกล่าวตอบกลับไปเร็วไว ยังบอกไปตรงๆว่า “หานอวิ๋นจิ่น ศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ เป็นผู้ที่มีแรงจูงใจมากที่สุด”


WSSTH ตอนที่ 3,304 : วันแห่งการต่อสู้


 


 


“หานอวิ๋นจิ่น?”


 


ได้ยินข้อความของฉือหล่าง เหลยอิงก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง เร่งส่งข้อความถามกลับทันที “เจ้าแน่ใจหรือ?”


 


“เหลยอิงเจ้ากับข้าพวกเรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว? เจ้าเองก็น่าจะพอรู้นิสัยข้ากระมัง…ข้าเป็นคนชอบพูดเล่นรึไง”


 


ฉือหล่างกล่าว


 


“หานอวิ๋นจิ่นที่ว่า…คนที่จะขึ้นประลองเป็นตายกับศิษย์คนที่ 7 ของเจ้าหลังจากนี้อีก 1 ปีน่ะหรือ?”


 


เหล่ยอิงถาม


 


“มิผิด ข้าคาดว่ามันคงไม่มั่นใจว่าจะชนะเจ้า 7 ได้ จึงเลือกที่จะใช้วิธีนี้”


 


ฉือหล่างกล่าว


 



 


ขณะที่ติดต่อกับฉือหล่าง แววตาของเหลยอิงก็เปลี่ยนไปเรื่อย สุดท้ายอยู่ๆก็ส่ายหัวไปมา


 


“ท่านแม่ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”


 


เหลยจวิ้นที่บังเอิญอยู่ข้างๆเหลยอิงพอดี พอเห็นท่าทางผิดแปลกไปของมารดา จึงอดถามออกมาไม่ได้


 


อันที่จริงตอนนี้เหลยจวิ้นอยู่ในช่วงอารมณ์ขุ่นมัวนัก เพราะทราบเรื่องที่ตู๋กูเหวินตกตายไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน


 


ไฉนมันจึงรู้ ทั้งหมดก็เพราะลูกแก้ววิญญาณของตู๋กูเหวินที่มันแลกมาได้แตกเป็นเสี่ยงไปแล้ว


 


“แม่พึ่งคุยกับฉือหล่างมันเสร็จ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนพวกฉือหล่างถูกจักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน ตู๋กูเหวิน กับจักรพรรดิอมตะไม่ดับสูญ ตู๋กูหวู่ ดักเอาไว้ขณะเดินทางงกลับจากวิหารเฟิงฮ่าว…”


 


เหลยอิงกล่าว “เห็นว่าทั้งคู่นั้นมีเป้าหมายคือการสังหาร ต้วนหลิงเทียน ศิษย์คนที่ 7 ของฉือหล่าง…ทำให้พวกฉือหล่างสงสัยว่าอาจจะเป็นหานอวิ๋นจิ่นที่ไปจ้างวานทั้ง 2 ให้ลงมือ”


 


เหลยจวิ้นเป็นลูกชายคนเดียวของเหลยอิง เช่นนั้นกับเหลยจวิ้น เหลยอิงก็ไม่คิดปิดบังอะไร


 


เหลยอิงก็ไม่ทันได้สังเกตเลย ว่าในขณะที่นางกล่าวทำนองฉือหล่างสงสัยว่าหานอวิ๋นจิ่นเป็นผู้จ้างวาน ลูกตาของเหลยจวิ้นพลันหดแคบลงโดยไม่ทันรู้ตัว


 


“แล้วนี่พวกฉือหล่างหนีมาได้อย่างไร?”


 


เหลยจวิ้นเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


ตอนแรกมันคิดว่าตู๋กูเหวินสมควรประสบอุบัติเหตุอะไรบางอย่าง จนตกตายก่อนที่จะได้ลงมือกับต้วนหลิงเทียน แต่ไม่คิดเลยว่าที่แท้ตู๋กูเหวินจะตายหลังพบเจอพวกต้วนหลิงเทียน!


 


ทันใดนั้นใจมันก็ดิ่งลงทันที


 


“ทั้งหมดต้องกล่าวว่าศิษย์คที่ 7 ของฉือหล่างโชคดีนัก เพราะวันนั้นจักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดงเจิ้งอวี้อี้ที่เป็นสหายเก่าของฉือหล่างก็บังเอิญพาศิษย์คนเล็กไปทดสอบรับสมญานามเช่นกัน และตอนเกิดเรื่องก็พึ่งแยกกันไปไม่นาน เจิ้งอวี้อี้ที่ได้รับข้อคววามขอความช่วยเหลือ จึงย้อนกลับมาช่วยฉือหล่างได้ทัน”


 


เหลยอิงกล่าว “นอกจากนั้น จักรพรรดิอมตะสมญานามอีกคนที่กำลังจะพาหลานไปทดสอบที่วิหารเฟิงฮ่าว พอเห็นตู๋กูเหวิน กับตู่กูหวู่กำลังสู้กับพวกฉือหล่าง มันก็พุ่งเข้ามาช่วยพวกฉือหล่างรับมือตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่ทันที เพราะคนในตระกูลของจักรพรรดิอมตะสมญานามคนนั้น ก็เคยตกตายเพราะพวกตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่มาก่อน…เรียกว่าเสมือนฟ้าช่วยพวกฉือหล่างเอาไว้จริงๆ”


 


“เพราะเดิมทีฉือหล่างกับเจิ้งอวี้อี้ก็รับมือตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่ไม่ค่อยไหว ใกล้จะเพลี่ยงพล้ำเต็มแก่ จนเมื่อได้จักรพรรดิอมตะสมญานามที่ผ่านมาผู้นั้นยื่นมือเข้าช่วย จึงสามารถพลิกสถานการณ์ได้ และสามารถล้อมฆ่าตู๋กูเหวินได้ในที่สุด”


 


“ทว่าตู๋กูหวู่ที่พลังฝีมือกล้าแข็งกว่า สามารถหลบหนีไปได้…”


 


เหลยอิงกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“เช่นนั้น…ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นก็โชคดีจริงๆ”


 


ขณะกล่าว ลึกลงไปในแววตาของเหลยจวิ้นก็ปรากฏแสงเย็นชาเรืองขึ้นวาบหนึ่ง ก่อนจะหายไปเร็วไว


 


“อืม เจ้าหนุ่มนั่นโชคดีจริงๆ”


 


เหลยอิงพยักหน้า “หาไม่แล้วจักรพรรดิอมตะสมญานาม 2 คนก็ไม่อาจช่วยชีวิตมันได้…อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ยากจะจัดการ ต่อให้พวกมันจะสงสัยหรือปักใจเชื่อไปแล้วว่าเป็นฝีมือหานอวิ๋นจิ่น แต่พวกมันก็ไม่มีหลักฐานที่ม้ำหนักมากพอ”


 


“อย่างไรก็ตาม ฟังจากที่ฉือหล่างกล่าว เห็นว่ามันจะพยายามหาหลักฐานมัดตัวหานอวิ๋นจิ่นให้ได้…ข้าล่ะคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหานอวิ๋นจิ่นผู้นั้นจะไร้ซึ่งความมั่นใจในตัวเอง ถึงขั้นต้องไปจ้างคนมาฆ่าต้วนหลิงเทียนแบบนี้”


 


กล่าวถึงประโยคท้ายเหลยอิงก็อดส่ายหน้าไปมาอีกครั้งไม่ได้ ในแววตายังเผยความดูแคลนออกมาให้เห็น


 


“ท่านแม่ เรื่องนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นฝีมือหานอวิ๋นจิ่นเสียหน่อย สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่าพวกมันแค่สงสงสัยไปกันเองหรือ?”


 


เหลยจวิ้นกล่าว


 


“ไม่ได้สงสัยไปเองหรอก”


 


เหลยอิงกล่าวต่อ “ฉือหล่างกล่าวว่า หลังจากที่ร่วมมือกับจักรพรรดิอมตะสมญานามที่บังเอิญผ่านมาฆ่าตู๋กูเหวินได้แล้ว พวกมันก็มอบแหวนพื้นที่ของตู๋กูเหวินให้อีกฝ่ายไป”


 


“อย่างไรก็ตาม ฉือหล่างขอให้จักรพรรดิอมตะสมญานามผู้นั้นนำลูกแก้ววิญญาณในแหวนของตู๋กูเหวินออกมาให้หมด เพื่อดูว่าจะมีลูกแก้ววิญญาณของหานอวิ๋นจิ่นหรือไม่”


 


“จักรพรรดิอมตะสมญานามผู้นั้นก็ไม่ขัดคำขอ นำลูกแก้ววิญญาณออกมาจากแหวน 3 ลูกชมดู…และพอดี 1 ในนั้นถูกศิษย์คนที่ 4 ของฉือหล่างจดจำกลิ่นอายได้ และนางก็ยืนยันด้วยความมั่นใจ ว่าเป็นของหานอวิ๋นจิ่นไม่ผิดแน่!”


 


“เจ้าเองก็สมควรรู้ว่าศิษย์คนที่ 4 ของฉือหล่าง เวิ่นหว่านเอ๋อนั้นเคยเป็นคู่รักกับหานอวิ๋นจิ่น ถึงแม้จะยังมิได้ตบแต่งเป็นสามีภรรยากัน แต่หลังอยู่ด้วยกันมานาน นางย่อมคุ้นเคยกับกลิ่นอายวิญญาณของหานอวิ๋นจิ่นดี”


 


เหลยอิงกล่าว


 


“ลูกแก้ววิญญาณ?”


 


ลูกตาของเหลยจวิ้นหดเล็กลงโดยพลัน มันรู้ดีว่า 1 ใน 3 ลูกแก้ววิญญาณที่ว่า ต้องมีของมันรวมอยู่ด้วยแน่!


 


เพราะตอนนั้น มันก็ได้เป็นฝ่ายแลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณกับตู๋กูเหวินเอาไว้เป็นคนแรก


 


ต่อมาหานอวิ๋นจิ่นก็คิดว่ามันอาจจะต้องติดต่อสอบถามเรื่องราวกับตู๋กูเหวิน ดังนั้นจึงส่งลูกแก้ววิญญาณไปให้ตู๋กูเหวินเช่นกัน ก่อนที่จะแยกย้าย


 


“มีอะไรหรือ?”


 


เหลยอิงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของลูกชายผิดแปลกไปเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยยถามออกมาด้วยสงสัย


 


“ไม่มีอะไรหรอกท่านแม่”


 


เหลยจวิ้นส่ายหัวไปมา หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มันก็ร่ำลาเหลยอิงทันที “ท่านแม่ ลูกพึ่งนึกออกว่ามีเรื่องต้องไปจัดการ…เช่นนั้นขอตัวก่อน”


 


กล่าวจบเหลยจวิ้นก็เหินร่างจากไปทันที ไม่รอให้เหลยอิงพูดตอบอะไร


 


ขณะจากไป มันก็เร่งส่งข้อความไปหาหานอวิ๋นจิ่นทันที “หานอวิ๋นจิ่น ตู๋กูเหวินได้ไปปรากฏตัวต่อหน้าต้วนหลิงเทียนแล้ว แต่กลับลงมือไม่สำเร็จ…กระทั่งยังตกตายไปต่อหน้าต้วนหลิงเทียน”


 


“พวกเราล้วนเดาผิด…ตู๋กูเหวินไม่ได้เกิดเรื่องอะไรจตกตายก่อนเจอต้วนหลิงเทียน”


 


ได้ยินข้อความของเหยจวิ้น หานอวิ๋นจิ่นก็สับสนอยู่บ้าง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในเมื่อตู๋กูเหวินเจอต้วนหลิงเทียนแล้ว ไฉนมันถึงฆ่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ แถมยังตกตายไปเองอีกเล่า?”


 


“ทั้งหมดเป็นเพราะ…”


 


จากนั้นเหลยจวิ้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เหลยอิงเล่าให้ฟังออกไป


 


หลังจากหานอวิ๋นจิ่นได้รับทราบเรื่องราว มันก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะส่งข้อความกลับมาว่า “ถึงแม้พวกมันจะพบว่าในแหวนตู๋กูเหวินมีลูกแก้ววิญญาณของข้า และอาจเดาได้ว่าเข้าไปจ้างวานตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่ แต่พวกมันก็ไม่อาจใช้สิ่งนี้เป็นหลักฐานมาเล่นงานข้าได้…”


 


“เรื่องนี้ข้ารู้…ตอนนี้ที่ข้ากำลังกังวลก็คือลูกแก้ววิญญาณของข้าจะตกอยู่ในมือพวกมันด้วยรึเปล่า”


 


เหลยจวิ้นกล่าว “ที่ลูกแก้ววิญญาณของเจ้าถูกจำได้ เพราะเวิ่นหว่านเอ๋อคุ้นเคยกับกลิ่นอายวิญญาณเจ้า สำหรับลูกแก้ววิญญาณข้า พวกฉือหล่างไม่น่าจะมีใครจดจำได้แน่นอน…”


 


“หากไม่ตกไปอยู่ในพวกมือมันก็แล้วไป…แต่ถ้าตกไปอยู่ในมือพวกมันจริงๆ ข้าเกรงว่าไม่นานเรื่องนี้ต้องถูกเปิดเผยแน่”


 


เหลยจวิ้นกล่าวต่อเสียงเครียด


 


“เปิดเผยแล้วจะอย่างไร? พวกมันรู้แล้วจะทำอะไรได้ อาศัยหลักฐานเช่นนี้ไหนเลยจะมาหาความพวกเราได้!”


 


หานอวิ๋นจิ่นกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมยทำราวกับ ‘หมูตายไม่กลัวน้ำเดือด’


 


“หานอวิ๋นจิ่น ข้าไม่เหมือนเจ้า…”


 


เหลยจวิ้นกล่าว “หากศิษย์น้องฮ่วนเอ๋อรู้เรื่องนี้ ด้วยความเอาใจใส่ที่นางมีต่อต้วนหลิงเทียน ต่อให้วันหนึ่งต้วนหลิงเทียนจะตายตกไปแล้ว แต่นางก็อาจจะไม่ยอมรับข้า…”


 


“เช่นนั้นเรื่องที่ข้ามีส่วนจ้างคนไปฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย…ไม่อาจให้นางล่วงรู้ได้เด็ดขาด! เจ้าเข้าใจหรือไม่?!”


 


เหลยจวิ้นเผยความกังงวลออกมา


 


“เอาล่ะๆ ข้าเข้าใจแล้ว ก็แค่สตรีคนเดียวไม่ใช่หรือไร? อีก 1 ปีหลังจากนี้ ขึ้นสังเวียนอัจฉริยะเมื่อไหร่ ข้าจะฆ่าต้วนหลิงเทียน ขจัดมารหัวใจเจ้าให้เอง”


 


หานอวิ๋นจิ่นกล่าว “ว่าแต่ในเมื่อพวกมันลงมือล้มเหลวแบบนี้ พวกเราจะไปทวงค่าจ้างที่จ่ายไปจากตู๋กูหวู่ที่รอดตายได้รึเปล่า?”


 


“เจ้าฝันอยู่รึไง?”


 


เหลยจวิ้นหัวเราะประชด ก่อนจะส่งข้อความต่อ “เจ้าคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นไปได้ด้วยหรือ? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ค่าจ้างที่พวกกเราจ่ายไปอาจจะยังอยู่ในแหวนตู๋กูเหวิน และสมควรถูกจักรพรรดิอมตะสมญานามที่มาช่วยฆ่าตู๋กูเหวินเอาไปแล้ว”


 


“ต่อให้จะไม่ถูกคนเอาไปและเป็นตู๋กูหวู่ที่เก็บไว้…แต่ในเมื่อตู๋กูเหวินตกตายไปทั้งคน เจ้ายังกล้าไปทวงของคืนจากตู๋กูหวู่ที่เสียพี่น้องไปหรือไร? หรือเจ้าไม่กลัวตู๋กูหวู่มันเอาโทสะมาลงกับเจ้าจนตาย?”


 


ได้ยินคำพูดของเหลยจวิ้น สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นก็มืดลงทันที “เช่นนั้นพวกเราคงไม่ได้ของคืนแน่แล้ว…แต่อย่างน้อยๆพวกเราก็ต้องไปถามมันไม่ใช่รึไง ว่ามันจะเอาอย่างไรต่อ จะลงมือหรือจะเลิกล้ม?”


 


“เหอะๆ ต่อให้เจ้าอยากไปถามมันแค่ไหน เจ้าก็ทำได้แค่รอ…เพราะตอนนี้เจ้าสมควรตกเป็นเป้าการจับตาของฉือหล่างแล้ว”


 


เหลยจวิ้นกล่าว


 


“หากรอต่อไป…วันประลองระหว่างข้ากับต้วนหลิงเทียนก็มาถึงก่อนพอดี”


 


หานอวิ๋นจิ่นเอ่ยออกเสียงขรึม


 


“ไม่มีทางเลือกใดอื่น..นอกเสียจาก เจ้าอยากจะรีบตายก่อนประลอง! เพราะถ้าเจ้าไปหาตู๋กูหวู่ตอนนี้ และโดนฉือหล่างจับได้ เจ้าได้ถูกฉือหล่างฆ่าตายก่อนจะทันได้สู้กับต้วนหลิงเทียนแน่!!”


 


“สมคบคิดคนนอกล้างผลาญคนใน เป็นความผิดที่ร้ายแรงที่สุดในวังเทียนฉือ…หากเจ้าโดนข้อหานี้จริง ต่อให้เป็น จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับอาจารย์เจ้า ก็ไม่มีปัญญาช่วยเจ้าได้”


 


ขณะส่งข้อความประโยคนี้ เสียงกล่าวของเหลยจวิ้นยังเย็นชาถึงขีดสุด


 


เนื่องเพราะหากหานอวิ๋นจิ่นทำอะไรโง่งมไปรนหาที่ตาย ไม่พ้นอีกฝ่ายต้องสร้างปัญหาให้มันแน่นอน


 


อย่างไรเสียตอนนี้ที่มันกังวลที่สุดก็คือลูกแก้ววิญญาณของมันอาจถูกพวกฉือหล่างพบเจอไปแล้ว และหากหานอวิ๋นจิ่นถูกจับได้ ไม่แน่ว่าอาจจะสารภาพผิดออกมาทั้งหมดโดยซัดทอดมาที่มัน เพื่อพยายามลดโทษของตัวเอง


 


ได้ยินคำกล่าวของเหลยจวิ้น หานอวิ๋นจิ่นก็เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นค่อยส่งข้อความตอบกลับว่า “ข้ารู้ขอบเขตดี…หากไม่มั่นใจว่าจะไม่ถูกจับได้ ข้าก็ไม่คิดออกจากวังเทียนฉือช่วงนี้หรอก”


 


หลังลั่นวาจาประโยคนี้ออกไป หลังจากนี้ตลอดปีหานอวิ๋นจิ่นก็อยากย้อนกลับมาตบปากตัวเองจริงๆ


 


เพราะทุกครั้งที่มันจะลอบออกจากวังเทียนฉือ มันก็พบว่าหากไม่ใช่ฉือหล่างมาเอง ก็มีศิษย์ของฉือหล่างมาเดินป้วนเปี้ยนผ่านหน้ามันไปมาตลอด…


 


นอกจากเวิ่นหว่านเอ๋อและศิษย์คนโตของฉือหล่างแล้ว ศิษย์ในด่านของฉือหล่างเหมือนจะผลัดกันแวะเวียนมาจับตาดูมันตลอด…


 


เห็นสิ่งนี้ หานอวิ๋นจิ่นย่อมไม่กล้าออกไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า


 


สุดท้ายมันก็ได้แต่ยอมแพ้


 


เพราะตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 เดือนเท่านั้น ก่อนที่มันจะต้องขึ้นไปเข่นฆ่ากับต้วนหลิงเทียนให้ตายกันไปข้างบนสังเวียนอัจฉริยะ


 


อย่างไรก็ตามหานอวิ๋นจิ่นยอมแพ้ แต่ศิษย์ของฉือหล่างไม่ยอมแพ้


 


ทั้งหมดยังตามเฝ้าจับตามองหานอวิ๋นจิ่นตลอด


 


เรียกว่าจับตาดูตลอดเวลา…จนกระทั่งถึงวันที่หานอวิ๋นจิ่นต้องขึ้นไปตัดสินกับต้วนหลิงเทียนบนสังเวียนอัจฉริยะ ว่าใครจะอยู่ใครจะตาย!!


 


แน่นอนว่าในช่วงเวลา 2 เดือนสุดท้ายก่อนการประลอง ก็มีแต่หูเหมย โอวหยางฉีเฟย และหงเฟยเท่านั้นที่มาจับตามองหานอวิ๋นจิ่น ส่วนต้วนหลิงเทียนถูกทุกคนไล่ให้ไปเตรียมตัวประลอง


 


ถึงแม้ทุกคนจะมั่นใจในความร้ายกาจของต้วนหลิงเทียน อย่างไรก็ตามบนสังเวียนอัจฉริยะไม่อาจใช้มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ได้


 


ดังนั้นทั้งหมดจึงหวังต้วนหลิงเทียนจะควบคุมร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวให้คล่องที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระทั่งหวังให้เผชิญหน้ากับหานอวิ๋นจิ่นในสภาพที่เตรียมพร้อมที่สุด


 


ในวันที่ต้วนหลิงเทียนกับหานอวิ๋นจิ่นต้องขึ้นไปชี้เป็นชี้ตายบนสังเวียนอัจฉริยะนั้น ตั้งแต่รุ่งสางก็มีศิษย์วังเทียนฉือมากหน้าหลายตาแห่กันมารวมตัวที่สังเวียนอัจฉริยะ


 


“ในที่สุดวันที่ข้าเฝ้ารอคอยก็มาถึงเสียที…ไม่ทราบว่าหลังพ้นวันนี้ไป จักเป็นศิษย์คนที่ 7 ของจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง ต้วนหลิงเทียน หรือศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ หานอวิ๋นจิ่น กันแน่! ที่จะรอดชีวิตเป็นคนสุดท้าย!!”


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น เห็นว่าพึ่งเข้าร่วมกับวังเทียนฉือเราหยกๆ อายุก็ยังไม่ถึง 300 ปีด้วยซ้ำ แต่พลังฝีมือกลับร้ายกาจเกินตัวนัก”


 


“เหอะๆ ลองมันกล้าขึ้นไปเข่นฆ่ากับหานอวิ๋นจิ่นได้ อย่างน้อยๆก็ต้องมีพู่กันสองด้าม”


 


“นั่นก็ไม่แน่นักหรอก ครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่ตกลงขึ้นไปสู้กันไม่ตายไม่เลิกราข้าก็อยู่ในเหตุการณ์ และแลแล้วไม่แน่ว่าต้วนหลิงเทียนจะอยากขึ้นไปประลองกับหานอวิ๋นจิ่นจริงๆ เพียงแค่จะทำขวัญกล้าท้าให้หานอวิ๋นจิ่นหวาดกลัวไม่กล้าสู้เท่านั้น แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายหานอวิ๋นจิ่นจะถูกบีบให้ตอบรับคำท้าประลองในที่สุด ไปๆมาๆก็เหมือนไล่เป็ดขึ้นคอนเสียอย่างนั้น…”


 


“เอาล่ะ ผู้ใดจะแน่กว่ากัน แล้วใครจะเป็นฝ่ายชนะเดี๋ยวการประลองวันนี้ก็บอกพวกเราเอง!”


 


“เฮ่ย พวกเจ้ารู้ยังทางนั้นมีคนรับแทงแน่ะ พวกเจ้าไม่ไปแทงดูเล่า? ถึงแม้อัตราต่อรองของหานอวิ๋นจิ่นจะค่อนข้างต่ำ แต่หากแทงมากๆแล้วมันชนะก็พอได้อยู่ ข้าเองก็จัดหนักไปแล้ว!”


 


“อัยยะ เห็นนิ่งๆที่จริงพี่ท่านไวใช้ได้เลย! แต่ข้าก็ไปแทงหานอวิ๋นจิ่นมาแล้วเหมือนกัน…”


 



 


เรียกว่ารอบสังเวียนอัจฉริยะยามรุ่งสางวันนี้ มันคึกคักมีชีวิตชีวาไม่ต่างอะไรจากตลาดสดยามเช้าเลยจริงๆ


WSSTH ตอนที่ 3,305 : ข้อสันนิษฐานของอู๋ฉวน


 


 


 


3 ปีก่อน หลังต้วนหลิงเทียนกับหานอวิ๋นจิ่นได้ตกลงขึ้นสังเวียนอัจฉริยะเพื่อประลองเป็นตายในรูปแบบไม่ตายไม่เลิกรา ก็นับว่าสร้างความตื่นตาตื่นใจให้คนของวังเทียนฉือไม่น้อย


 


ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนก็ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอวันนี้โดยเฉพาะ


 


เวลา 3 ปี สำหรับเซียนอมตะที่มีชีวิตนิรันดร์บนระนาบเทวโลกแล้ว ก็เสมือนห้วงเวลาสั้นๆห้วงหนึ่ง แค่ปิดด่านบ่มเพาะสักรอบก็ผ่านพ้นไปแล้ว…


 


วันนี้…การต่อสู้เป็นตายระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหานอวิ๋นจิ่น ย่อมน่าจับตามองมากกว่าตอนที่ต้วนหลิงเทียนประลองกับฝานฉีเมื่อ 3 ปีก่อนเสียอีก!


 


เพราะผู้ที่จะขึ้นไปเข่นฆ่ากับต้วนหลิงเทียนวันนี้ไม่ใช่หมาแมวที่ไหน แต่มันเป็นถึง 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือ ผู้ที่ได้รับการยอมรับวว่ามีพลังฝีมือสูงจนติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของศิษย์วังเทียนฉือที่มีอายุไม่ถึง 1,000 ปี หานอวิ๋นจิ่น!


 


ที่ทำให้เรื่องราวการประลองวันนี้มันน่าสนใจมากขึ้นไปกว่านั้นก็คือ ผู้ที่หาญกล้าท้าหานอวิ๋นจิ่นให้ขึ้นไปเข่นฆ่าจนตกตายกันไปข้างนั้น…เป็นเพียงศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมวังเทียนฉือไม่นานนัก!


 


ที่สำคัญศิษย์ใหม่ที่เข้าวังเทียนฉือไม่นานและหาญกล้าท้าหานอวิ๋นจิ่นสู้กันจนตายไปข้าง ก็ยังมีอายุไม่ถึง 300 ปีด้วยซ้ำ! เรียกว่าอายุน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของอายุหานอวิ๋นจิ่นเสียอีก!!


 


“ศิษย์น้อง 6 เจ้ารับแทงมาได้เท่าไหร่แล้ว?”


 


โอวหยางฉีเฟยที่ลอยยร่างอยู่ข้างๆ มองถามหงเฟยที่หนึ่งมือจดชื่อกับเงินเดิมพัน อีกมือสะบัดเก็บผลึกอมตะที่เหล่าศิษย์วังเทียนฉือแห่กันมาลงเดิมพันไม่หยุด…แน่นอนว่ามันเปิดรับแทงแต่ข้างหานอวิ๋นจิ่นเท่านั้น!


 


“ก็เอาเรื่องอยู่…ตอนนี้ได้ผลึกอมตะระดับจอมราชันมา 5 แสนก้อนแล้ว”


 


หงเฟยคลี่ยิ้มสดใส


 


ตอนนี้มันรู้สึกว่าโชคดีนักที่ชักชวนศิษย์พี่ 5 ให้มาสังเวียนอัจฉริยะตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเปิดโต๊ะพนัน…ไม่งั้นคงไม่มีศิษย์วังเทียนฉือมาแทงกับมันมากขนาดนี้!!


 


เพราะวันนี้ไม่ใช่มันคนเดียวที่เปิดโต๊ะเดิมพัน


 


อย่างไรก็ตาม ต่างจากโต๊ะเดิมพันโต๊ะอื่นอยู่บ้าง เพราะเจ้ามือโต๊ะเดิมพันอื่นเปิดให้แทงทั้ง 2 ฝ่าย แต่ของมันเพียงเปิดรับแทงแต่ข้างหานอวิ๋นจิ่นชนะคนเดียวเท่านั้น ใครคิดจะแทงข้างต้วนหลิงเทียนชนะมันจะไม่รับ


 


ยิ่งไปกว่านั้นอัตราเดิมพันว่าหานอวิ๋นจิ่นจะชนะของมันก็สูงกว่าโต๊ะอื่นเขา ใครมาแทงกับมันแล้วเกิดหานอวิ๋นจิ่นชนะ ก็จะได้เงินเดิมพันสูงสุด!


 


เช่นนั้นเรียกว่ามันสามารถปล้นลูกค้าจากโต๊ะเดิมพันโต๊ะอื่นมาไม่น้อย


 


“ตอนนี้ได้ผลึกอมตะระดับจอมราชัน 1,000,000 ก้อนแล้ว”


 


หลังผ่านไปอีกสักพัก หงเฟยก็รายงานตัวเลขผลึกอมตะระดับจอมราชันให้โอวหยางฉีเฟยฟังด้วยรอยยิ้มกว้าง


 


“ดีมาก ข้าจะเอา 2 ส่วน”


 


โอวหยางฉีเฟยกล่าวกับหงเฟยเบาๆผ่านพลัง


 


“เพ่ย! ศิษย์พี่ 5 หนังหน้าท่านสร้างจากฝาบ้านหรือไร ไฉนถึงได้หนานักเล่า!? ท่านไม่ได้ทำอะไรสักอย่างแต่มารีดไถข้าทีเดียว 2 ส่วนเนี่ยนะ!?”


 


หงเฟยโพล่งออกมาด้วยความฉุน


 


“ใครบอกเจ้าว่าข้าไม่ได้ทำอะไร ไม่ใช่ว่าตอนนี้ข้ากำลังคุ้มกันเจ้ากับผลึกอมตะอยู่รึไง?”


 


โอวหยางฉีเฟยกล่าวออกมาเสียงเรียบ


 


ได้ยินคำพูดหน้าตายของโอวหยางฉีเฟย หงเฟยก็รู้สึกหมดคำจะพูดอยู่บ้าง “ศิษย์พี่ 5 ไฉนก่อนหน้าข้าไม่รู้มาก่อนว่าท่านที่แท้ไร้ยางอายถึงเพียงนี้? ข้าขอบอกท่านไว้ตรงนี้เลย ผลึกอมตะเหล่านี้ข้าจักแบ่งให้ศิษย์น้องเล็กครึ่งหนึ่ง! หากท่านอยากได้ส่วนแบ่งก็ไปคุยกับศิษย์น้องเล็กเอาเอง”


 


“โฮ่ว? หายากนักที่เจ้าอ้วนแสนตระหนี่วันนี้จะใจกว้างดั่งมหาสมุทร…ในเมื่อเจ้าแบ่งให้ศิษย์น้องเล็ก 5 ส่วน เช่นนั้นข้าเอาแค่ 1 ส่วนก็พอ แน่นอนว่า 1 ส่วนที่ว่าเจ้าต้องชักออกมาจากส่วนของเจ้า”


 


โอวหยางฉีเฟยกล่าว “สำหรับส่วนของศิษย์น้องเล็ก ก็ให้ศิษย์น้องเล็กไปห้ามแตะ”


 


“ท่าน…”


 


หงเฟยได้แต่ยอมรับอย่างจำใจ ขณะเดียวกันก็เริ่มประกาศเสียงดังว่ารับแทงหานอวิ๋นจิ่น โดยเสนออัตราเดิมพันที่สูงขึ้นอีกหลายส่วน ทำให้ไม่นานนักยอดผลึกอมตะที่มาแทงกับมันก็ทะลุเป้า 2 ล้าน กระทั่งจำนวนยังไหลไปเรื่อยๆจนเข้าใกล้ผลึกอมตะจอมราชัน 3,000,000 ก้อนเข้าไปทุกขณะ


 


ขุมกำลังระดับสวรรค์ทุกขุมนั้น จะครอบครองสาแร่ผลึกอมตะระดับจอมราชันเอาไว้เป็นจำนวนมาก และก็จะแจกให้ศิษย์นำไปใช้บ่มเพาะทุกๆเดือนตามจำนวนที่เหมาะสมกับระดับ


 


แน่นอนว่าหากอยากได้รับผลึกอมตะระดับจอมราชันเพื่อบ่มเพาะมากขึ้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ต้องอาศัยยพลังฝีมือของตัวเอง ซึ่งทางวังเทียนฉือก็มีภารกิจมากมายให้ทำ งานเสริมเองก็มีประกาศรับสมัครไม่น้อย ใครที่ต้องการผลึกอมตะก็สามารถไปเลือกทำได้ตามอัธยาศัย


 


ตัวอย่างก็เช่นภารกิจตามล่าสัตว์อมตะเพื่อนำอวัยวะบางส่วนของมันมาขายให้ตำหนักโอสถ ตำหนักศาสตรา ตำหนักอาคม ฯลฯ


 


แน่นอนว่าแต่ละตำหนักก็จ้างงานจากเหล่าศิษย์เช่นกัน จะได้ผลึกอมตะมากน้อยก็แล้วแต่ความยากง่ายของงาน กระทั่งเหล่าศิษย์วังเทียนฉือยังสามารถไปค้าขายแลกเปลี่ยนกับศิษย์คนอื่นบริเวณจัตุรัสกลางที่เปิดให้ค้าขายแลกเปลี่ยนกันอย่างอิสระอีกด้วย


 


“นั่นมิใช่หงเฟยหรอกรึ? ศิษย์คนที่ 6 ในด่านของฉือหล่าง? มันดูเหมือนจะเป็นศิษย์พี่ของต้วนหลิงเทียนที่จะขึ้นประลองเป็นตายวันนี้มิใช่รึไง?”


 


“มันคิดจะทำอะไรกันแน่…มันไม่ยอมรับเดิมพันผู้ที่คิดแทงข้างต้วนหลิงเทียนชนะ แต่เลือกจะเปิดรับแทงแต่หานอวิ๋นจิ่น แถมอัตราเดิมพันยังสูงกว่าเจ้ามือคนอื่นอีกด้วย?”


 


“นี่มันมีความมั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนมากขนาดนี้เชียวหรือ? มันคิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องชนะแน่ๆแล้ว?”


 


“มันคงไม่หน้ามืดตามัวทำไปเพื่อให้กำลังใจศิษย์น้องกระมัง?”


 


“ไม่รู้ล่ะมันจะทำเพื่ออะไรก็ตาม แต่สำหรับคนที่เชื่อว่าหานอวิ๋นจิ่นจะชนะ มาแทงกับมันก็จะได้รับผลตอบแทนมากที่สุด!”


 


“วันนี้กล่าวไปแทบไม่มีใครคิดว่าหานอวิ๋นจิ่นจะแพ้พ่ายกระมัง? อย่างไรก็ตามมันในฐานะศิษย์พี่ของต้วนหลิงเทียน มันก็สมควรเข้าใจดีกว่าใคร ว่าพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนแข็งแกร่งแค่ไหน…หรือพวกเจ้าว่าต้วนหลิงเทียนจะเอาชนะได้จริงๆ?”


 


“ข้าเองก็ชักหวั่นๆแล้วสิ…หรือจะลองแทงสวนผู้อื่น แล้วลงข้างต้วนหลิงเทียนดูบ้างไหม?”


 


“ข้าว่าจะไปลองแทงต้วนหลิงเทียนเหมือนกัน”


 



 


เรียกว่าเมื่อหงเฟยได้รับแทงไปเป็นจำนวน 5,000,000 ผลึกอมตะจอมราชันแล้ว มันก็ได้รับความสนใจจากผู้คนโดยรอบไม่น้อย


 


“ศิษย์น้อง 6 เท่านี้ก็พอได้แล้วกระมัง…หากเจ้ายังรับแทงต่อไป เกิดหานอวิ๋นจิ่นมันกลัวจนไม่กล้าขึ้นสังเวียนอัจฉริยะกับศิษย์น้องเล็กขึ้นมาจะทำอย่างไรกัน?”


 


โอวหยางฉีเฟยส่งเสียงผ่านพลังไปหาหงเฟยด้วยยน้ำเสียงกังวล


 


“ฮี่ๆๆ”


 


หงเฟยหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย แต่มันก็เลือกที่จะหยุดรับแทงทันที กล่าวผสานพลังกล่าวกับทุกคนโดยรอบเสียงดังฟังชัดว่า “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย ข้าปิดรับแทงไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน….อย่างไรเสียทุนรอนข้าก็มีจำกัด ตอนหานอวิ๋นจิ่นชนะ ประเดี๋ยวข้าจะมีผลึกอมตะไม่พอจ่ายเอา!”


 


ได้ยินคำพูดดังกล่าวของหงเฟย หลายคนที่พึ่งไปแทงต้วนหลิงเทียนกับเจ้าอื่นก็แทบกระอักเลือดออกมาด้วยโทสะ “บัดซบ หงเฟยนั่นไม่ใช่เพราะมั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนมากหรือไร ถึงได้เปิดโต๊ะรับแทงแบบนี้?”


 


“ไฉนข้ารู้สึกว่า สิ่งนี้มันทำเพื่อบอกให้ต้วนหลิงเทียนรู้โดยเฉพาะว่ามันเอาใจช่วยเต็มที่?”


 


“เอาใจช่วย? ผู้ใดจะเลือกให้กำลังใจผู้อื่นด้วยวิธีนี้ จากผลึกอมตะที่ผู้คนไปแทงกับมันด้วอัตราเดิมพันนั่น หากหานอวิ๋นจิ่นชนะขึ้นมา มันก็ต้องจ่ายผลึกอมตะระดับจอมราชันให้ผู้อื่นเป็นล้านมิใช่หรือไร?”


 


“เฮ่อ…เป็นล้านแล้วอย่างไร ข้าได้ยินมาว่าหงเฟยศิษย์คนที่ 6 ในด่านฉือหล่างผู้นี้ มาจากตระกูลหง แถมยังเป็นหลานชายคนเดียวของผู้นำตระกูลคนปัจจุบันอีก…เรียกว่าสำหรับมันแล้ว ปัญหาใดที่แก้ได้ด้วยผลึกอมตะ ล้วนไม่ใช่ปัญหา!!”


 


“กล่าวไปเหมือนข้าจะเคยได้ยินมาเช่นกัน ว่าที่ใต้เท้าฉือหล่างรับมันเป็นศิษย์ในตอนนั้นก็เพราะเห็นแก่หน้าปู่ของมัน หาไม่แล้วด้วยพรสวรรค์ของหงเฟย ใต้เท้าฉือหล่างคงไม่คิดสนใจมันแน่”


 


“เป็นผู้คนเหมือนกัน ไฉนต่างกันถึงขนาดนี้นะ…”


 



 


สำหรับการประลองเป็นตายที่จะเกิดขึ้นวันนี้ เรื่องของหงเฟยก็เป็นดั่งละครฉากหนึ่งเท่านั้น


 


เพราะการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ ไม่มีใครรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนที่พึ่งจะเข้าร่วมวังเทียนฉือได้ไม่กี่ปี จะมีปัญญาต่อกรหานอวิ๋นจิ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาหลายปีได้เลย…


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นละครฉากหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับล่วงรู้ไปถึงหูหานอวิ๋นจิ่นที่ยังไม่ได้ไปสังเวียนอัจฉริยะจนได้


 


“ศิษย์พี่ใหญ่ หงเฟยศิษย์คนที่ 6 ของจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง มันถึงกับเปิดรับแทงแต่ท่านฝ่ายเดียว โดยตั้งอัตราเดิมพันไว้สูงกว่าคนอื่น…ท่านว่าใช่เป็นเพราะมันมั่นใจว่าท่านจะสู้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้หรือไม่?”


 


ศิษย์ของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับนั้นไม่ได้มีแค่หานอวิ๋นจิ่นคนเดียว ยังมีอีกหลายคนที่เป็นศิษย์น้องของหานอวิ๋นจิ่น และในบรรดาศิษย์ทั้งหมด ศิษย์คนที่ 3 นับว่ามีความคิดอ่านรอบคอบที่สุด กระทั่งหานอวิ๋นจิ่นเองก็มักจะฟังคำแนะนำของศิษย์น้องคนนี้เสมอ


 


และตอนนี้ศิษย์คนที่ 3 ของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ อู๋ฉวน ก็กล่าวกับหานอวิ๋นจิ่นด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งขรึมนัก “ศิษย์พี่ใหญ่ ถึงแม้ข้าคิดว่านี่อาจเป็นม่านควันที่หงเฟยจงใจก่อขึ้น เพื่อให้ท่านบังเกิดอาการกริ่งเกรงจนไม่กล้าขึ้นสังเวียนอัจฉริยะ กระทั่งหวังให้ท่านเลือกจะยอมแพ้โดยการไม่ไป…”


 


“แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเรื่องราวมันมีอันใดทะแม่งๆพิกล…”


 


อู๋ฉวนกล่าว


 


แน่นอนว่าอู๋ฉวนนั้นได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว


 


ไม่ว่าจะเรื่องที่หานอวิ๋นจิ่นไปจ้างวานมือสังหารอย่างตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่เพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียน กระทั่งหานอวิ๋นจิ่นยังบอกมันอีกด้วยว่าถูกเหล่าศิษย์ของฉือหล่าง ผลัดกันมาเฝ้าอยู่ตลอดเวลา จนมันไม่อาจออกจากวังเทียนฉือไปหาตู๋กูหวู่เพื่อหารือเรื่องราวได้เลย


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้อู๋ฉวนรู้สึกเอะใจขึ้นมาว่า ศิษย์ของฉือหล่างจะใช่คิดหาหลักฐานมัดตัวศิษย์พี่ใหญ่มันแน่หรือ? หากใช่ไฉนถึงมาเฝ้าจับตามองอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ มิสู้ลอบใช้คนเพื่อจับตามองความเคลื่อนไหวอย่างลับๆแทน ทำราวกับมีจุดประสงค์กันไม่ให้หานอวิ๋นจิ่นออกไปหาตู๋กูหวู่มากกว่า!


 


หรือที่แท้พวกด่านฉือหล่างกังวลว่าศิษย์พี่ใหญ่ของมันจะไปหาตู๋กูหวู่ จนได้รู้อะไรบางอย่างกันแน่?


 


เป็นธรรมดาว่าทั้งหมดนั้เป็นแค่การคาดเดาของมัน และไม่ได้มั่นใจเต็มสิบส่วน


 


“อันใดกันศิษย์น้อง 3 นี่เจ้าไม่เชื่อมือศิษย์พี่ใหญ่คนนี้แล้วหรือ?”


 


หานอวิ๋นจิ่นกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม


 


“ศิษย์พี่ใหญ่…ไม่ใช่ว่าข้าไม่มั่นใจในตัวท่าน แต่เรื่องนี้ข้าพบจุดที่ไม่สมเหตุสมผลมากเกินไป…ผิวเผินคนของด่านฉือหล่างทำเหมือนกับจะรอหาหลักฐานมัดตัวท่านตอนท่านไปติดต่อกับตู๋กูหวู่ แต่พอดูการกระทำที่เปิดเผยเกินไปของพวกมัน กลับทำให้ข้าคิดไปทำนองพวกมันพยายามกันท่าไม่ให้ท่านออกไปพบตู๋กูหวู่มากกว่า…”


 


อู๋ฉวนกล่าวถึงุจดที่มันกังวลที่สุดออกมา “หาไม่แล้วไฉนทุกคราที่ศิษย์พี่ใหญ่คิดออกไป ต้องพบว่าพวกมันกำลังเฝ้าจับตาดูท่านทุกครั้ง? หากคิดจะเฝ้าจับตาท่านจริง ไฉนถึงทำให้ท่านรู้ตัวได้ง่ายๆ?”


 


“ศิษย์น้อง 3 นี่เจ้าจะไม่ขี้ระแวงไปหน่อยหรือไร…ไฉนถึงได้สงสัยมันไปหมดทุกเรื่องเล่า?”


 


ศิษย์น้องรองของหานอวิ๋นจิ่น ศิษย์พี่รองของอู๋ฉวน ในรูปลักษณ์ชายหนุ่มสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวเรียบร้อยคล้ายบัณฑิต ในมือถือไว้ด้วยพัดเล่มหนึ่ง ส่ายหน้าไปมาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงระอา “ศิษย์น้อง 3 เจ้าดีหมดทุกอย่าง…เสียแต่ขี้ระแวงเกินไป ชอบคิดเป็นตุเป็นตะไปเองอยู่เรื่อย…กี่ครั้งแล้วที่เจ้าคิดมากเกินไปจนเรื่องราวมันผิดพลาดไปคนละทาง?”


 


“คราวนี้ข้าว่าไม่พ้นเจ้าต้องคิดมากเกินไป จนตัดสินผิดพลาดเช่นกัน!”


 


“เจ้าต้วนหลิงเทียนผู้นั้น อายุไม่ถึง 300 ปี สิ่งนี้คือข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้…แถมตื้นลึกหนาบางของมันไม่ว่าจะด่านพลังหรือคววามตระหนักรู้ในกฏ ทุกคนล้วนทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นเช่นไร อาศัยพลังระดับมันเจ้าคิดว่าจะสู้กับศิษย์พี่ใหญ่ได้หรือ?”


 


“ที่สำคัญบนสังเวียนอัจฉริยะก็ห้ามใช้กำลังภายนอกทุกชนิด กระทั่งอุปกรณ์อมตะยังไม่อาจใช้ได้…เจ้ายังกังวลว่ามันจะซุกซ่อนอันใดไว้ได้อีก?”


 


กล่าวถึงท้ายประโยคชายหนุ่มชุดเขียวถือพัดแลดูคล้ายบัณฑิต ก็ส่ายหัวไปมาเบาๆอีกรอบ


 


ชายหนุ่มที่แลดูคล้ายบัณฑิตผู้นี้เรียกว่า จ้าวจี้เลี่ย มันเป็นศิษย์คนที่สองของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ และในด่านของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ พลังฝีมือของมันก็เป็นอันดับสองรองจากหานอวิ๋นจิ่นเท่านั้น


 


“ที่ท่านกล่าวก็ใช่…แต่ข้าว่าระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า”


 


อู๋ฉวนขมวดคิ้ว ก็จริงที่มันตัดสินผิดพลาดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่คราวนี้เรื่องราวมันเกี่ยวพันถึงความเป็นตายของศิษย์พี่ใหญ่ทั้งคน มันรู้สึกว่าสมควรระวังไว้ก่อนจะดีกว่า


 


“ศิษย์น้อง 3”


 


หานอวิ๋นจิ่นยิ้มกล่าวว่า “ข้ารับรู้ถึงความกังวลของเจ้าดี…แต่เจ้าเองก็รู้ ว่าหากวันนี้ข้าไม่ขึ้นไปตัดสินเป็นตายกับต้วนหลิงเทียนบนสังเวียนอัจฉริยะ ต่อไปในวังเทียนฉือ ข้าคงไม่อาจเงยหน้ามองผู้ใดได้อีกแล้ว…”


 


“เว้นเสียแต่เจ้าจะมั่นใจเต็มสิบส่วน…หาไม่แล้วข้าไม่อาจเสี่ยงเอาชื่อเสียงของข้า ไปแลกกับความเป็นไปได้อันน้อยนิดของเจ้าได้…”


 


“และหากข้าเสื่อมเสียชื่อเสียงในวังเทียนฉือเพราะเหตุนี้ ต่อให้ข้าจะออกจากวังเทียนฉือเพื่อไปเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับสวรรค์อื่นๆ เกรงว่าพวกมันคงไม่คิดเหลียวแลข้าอีก”


 


“ถึงแม้ข้าหานอวิ๋นจิ่น จะไม่ได้ถือว่าชื่อเสียงสำคัญกว่าชีวิต แต่ถ้าเรื่องราวยังมิใช่ว่าเสี่ยงมากเกินไป ข้าก็ยังเลือกจะขึ้นสังเวียนอัจฉริยะ และรับทราบถึงพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนสักครา”


 


พูดถึงจุดนี้ สองตาหานอวิ๋นจิ่นก็ทอประกายเยียบเย็นออกมาวูบวาบ


 


“ศิษย์พี่ใหญ่…”


 


อู๋ฉวนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ท่านตัดสินใจเองเถอะ…เรื่องนี้มันทำให้ข้าลำบากใจจริงๆ ข้าเองก็ไม่กล้าพูดว่าข้ามั่นใจมาก เพราะทั้งหมดก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานส่วนตัวข้าเท่านั้น…”


 


“ไปกันเถอะ! ไปสังเวียนอัจฉริยะ!!”


 


สองตาหานอวิ๋นจิ่นทอประกายเย็นชาเรืองขึ้นอีกวูบ จากนั้นก็เหินร่างนำออกไปก่อนใคร มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งสังเวียนอัจฉริยะ!


WSSTH ตอนที่ 3,306 : จักรพรรดิอมตะหอนฟ้า


 


 


ท่ามกลางความว่างเปล่ารอบๆสังเวียนอัจฉริยะตอนนี้ เต็มไปด้วยกลุ่มคนมากมายหนาตา มองไกลๆแทบไม่ต่างอะไรจากแพเมฆทะมึนคลุมพสุธาปิดฟ้าบังตะวัน


 


ผู้อาวุโสฉินจากตำหนักลองกระบี่ ก็มาลอยร่างเหนือแท่นศิลาบนเกาะลอยที่อยู่ ณ กึ่งกลางสังเวียนอัจฉริยะทั้ง 3 สังเวียนแต่หัววัน


 


และตอนนี้ผู้คนยังคงหลั่งไหลมารวมตัวกันรอบๆสังเวียนอัจฉริยะไม่หยุดหย่อน ราวกับยังมีคนที่ยังมาไม่ถึงอีกมาก!


 


“หือ? คนผู้นั้นมิใช่ ซือหม่าอวี้ ศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะหรอกหรือ? ในบรรดาศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเรา พลังฝีมือของมันเป็นรองก็แค่ 5 ศิษย์อัจฉริยะเท่านั้น ไม่คิดเลยว่ากระทั่งมันก็จะมาชมดูการประลองครั้งนี้ด้วย….”


 


เมื่อสังเกตเห็นชายหนุ่มที่ถือกู่ฉินเหินร่างมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ศิษย์วังเทียนฉือหลายยคนที่จดจำมันได้ ก็เริ่มกระซิบกล่าวกับสหายข้างๆ


 


ซือหม่าอี้เป็นศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะ อายุไม่ถึงพันปีแต่ก็สามารถบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 10 ทิศ แถมยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่เชี่ยวชาญบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดสิ้นแล้ว


 


“ข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่า มันกับหานอวิ๋นจิ่นเคยประมือกันครั้งหนึ่ง น่าเสียดายวันนั้นมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หานอวิ๋นจิ่นไปหลังประมือกันได้ 100 กระบวนท่า…อย่างไรก็ตามเรื่องของเรื่องก็คือวันนั้นมันก็ยังมีด่านพลังจอมราชันอมตะ 10 ทิศเท่านั้น! หลายคนคาดว่าทันทีที่มันบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะเมื่อใด ต้องสามารถเอาชนะหานอวิ๋นจิ่นได้แน่นอน!!”


 


“ไม่ผิด ข้าก็ได้ยินมาแบบนั้นเหมือนกัน ไม่ทราบมันจะทะลวงด่านพลังเมื่อใด ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอดูชมยิ่ง!”


 


“ดูเหมือนมันจะสนใจการประลองระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหานอวิ๋นจิ่นวันนี้ไม่น้อย…หาไม่แล้วมันคงไม่มาชมดูด้วยตัวเองแบบนี้”


 



 


การมาของชายหนุ่มที่หอบหิ้วกู่ฉินไว้ในมือผู้นี้ นับว่ากระตุ้นความสนใจให้เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่มาถึงสังเวียนอัจฉริยะก่อนไม่น้อย


 


ทั้งหมดเพราะมันคือซือหม่าอวี้ ศิษย์อัจฉริยะที่นอกจาก 5 ศิษย์อัจฉริยะแล้ว พลังฝีมือของมันก็ไม่พ่ายแพ้ผู้ใดในบรรดาศิษย์อัจฉริยะที่เหลือ…กระทั่งหลายคนยังเรียกขานมันว่า ศิษย์อัจฉริยะคนที่ 6!


 


แน่นอนว่าในวังเทียนฉือ ศิษย์อัจฉริยยะที่โดดเด่นที่สุดปกติแล้วจะมีกันแค่ 5 คนเท่านั้น คนนอกก็เลยรู้จักแค่ 5 ศิษย์อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในวังเทียนฉือเท่านั้น…


 


เว้นเสียแต่ซือหม่าอวี้จะสามารถเอาชนะและแทนที่หานอวิ๋นจิ่นได้ หาไม่แล้วชื่อมันก็จะไม่เป็นที่รู้จักสำหรับคนนอก อย่างดีก็มีแค่ชื่อเสียงในวังเทียนฉือเท่านั้น


 


“เฮ่ย ดูนั่นเร็ว! กระทั่งหลิวไป๋เฟิ่งก็มา!!”


 


เสียงอุทานดังขึ้นอีกครั้ง ดึงดูดความสนใจใครหลายๆคนให้หันไปชมมองต้นเสียงทันที


 


หลังจากนั้น ทุกสายตาก็มองตามสายตาผู้ตะโกน จนไปหยุดลงบนร่างสตรีที่สวมหมวกงอบผ้ามาในชุดคลุมลมดำหลวมโครกปกปิดร่างอรชรของนางได้มิดชิด กำลังเหินฟ้ามาแต่ไกล


 


แม้ชุดคลุมจะหลวมโครก แต่ยามถูกลมตีจนแนบเนื้อ ก็เผยทรวดทรงองค์เอวโค้งเว้า พาลให้จินตนาการผู้คนพรั่งพรูไม่น้อย


 


เนื่องเพราะเจ้าของร่างที่ชุดคลุมลมตัวใหญ่ไม่อาจปกปิดความเย้ายวนได้มิดนางนี้ก็คือ หลิวไป๋เฟิ่ง 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือ และเป็นศิษย์หญิงเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาศิษย์อัจฉริยะทั้ง 5!


 


แม้นางจะเป็นศิษย์หญิง หากแต่พลังฝีมือกลับกล้าแข็ง ลงมือดุดันเด็ดขาด จนร้ายกาจติด 3 อันดับแรกของเหล่า 5 ศิษย์อัจฉริยะ แถมเคยเอาชนะหานอวิ๋นจิ่นมาแล้ว…!


 


เรียกว่าแม้นางจะเป็นสตรีนางหนึ่ง แต่พลังฝีมืออันกล้าแข็งและความสามารถของนาง ก็ทำให้ผู้ชายนับไม่ถ้วนได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความละอาย


 


“ให้ตายเถอะ กระทั่งศิษย์พี่หญิงหลิวไป๋เฟิ่งยังมาชมดูเชียวหรือ?”


 


“ศิษย์พี่หญิงหลิวไม่เพียงแต่พลังฝีมือร้ายกาจเท่านั้น แต่ยังเป็นศิษย์เอกของจักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือกอีกด้วย…ปกติแล้วนางเป็นดั่งมังกรเทพยดาเห็นหัวไม่เห็นหาง แต่ไม่คิดเลยจริงๆว่านางจะมาปรากฏตัวท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนี้เพราะการประลองเป็นตาย…”


 


“ดูเหมือนการประลองเป็นตายวันนี้จะน่าสนใจเป็นอย่างมาก…ข้าไม่ทราบจริงๆว่าจะมีใต้เท้าจักรพรรดิอมตะสมญานามท่านใดมาชมดูเป็นการส่วนตัวอีกหรือไม่?”


 


“คราวก่อน…ตอนต้วนหลิงเทียนประลองเป็นตายกับฝานฉี จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊กับจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกก็มาเพื่อกันท่าไม่ให้จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง สอดมือช่วยต้วนหลิงเทียนจากการประลองเป็นตายใช่ไหม?”


 


“มิผิด ที่มากันท่า เพราะย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นข้าได้ยินมาว่า หลังต้วนหลิงเทียนฆ่าหลิวเจี้ยน จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ก็เร่งรุดมาหาความหมายลงมือจัดการต้วนหลิงเทียน แต่จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีกับจักรพรรดิอมตะไร้ใจมาทัน กระทั่งกลุ้มรุมทุบตีจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊จนเผ่นป่าราบ…จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊จึงอยากเห็นต้วนหลิงเทียนถูกฝานฉีฆ่าตาย”


 


“กล่าวไปล้วนเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งสิ้น คราวนี้หากไม่มีเหตุผิดพลาดใดๆ ก็ไม่น่าจะมีจักรพรรดิอมตะสมญานามคนใดมากระมัง”


 



 


หลิวไป๋เฟิ่งเป็นศิษย์หญิงคนโตของจักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือก


 


และจักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือก ก็เป็น 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานาม


 


อาจารย์ของ ซือหม่าอวี้ จักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะนั้น…ก็เป็น 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือเช่นกัน


 


ในบรรดาทั้งคู่ จักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือก ยังเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่มีพลังฝีมือสูงติด 3 อันดับแรกของวังเทียนฉืออีกด้วย!


 


ในวังเทียนฉือนั้น จักรพรรดิอมตะสมญานามที่แข็งแกร่งติด 3 อันดับแรกก็ได้แก่ จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ จักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือก กับจ้าววังเทียนฉือ!


 


ผู้ที่มีพลังฝีมือรองลงมาก็ได้แก่จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง และจักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง


 


ถัดลงมาก็คือ จักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะ จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ กับจักรพรรดิอมตะสมญานามอีกคน


 


ผู้ที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุดก็คือจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอก


 


หลังการมาของซือหม่าอวี้กับหลิวไป๋เฟิ่ง แม้ต่อจากนั้นจะมีศิษย์ของจักรพรรดิอมตะสมญานามคนอื่นมา แต่ไม่ได้เรียกร้องความสนใจของผู้คนเท่า ไม่ได้ดูฮือฮาเหมือนตอนซือหม่าอวี้กับหลิวไป๋เฟิ่งปรากฏตัว…


 


จนกระทั่งชายหนุ่มผู้หนึ่งมาถึง


 


ชายหนุ่มผู้นี้มาในชุดคลุมสีเทาเก่าๆ บริเวณเอวข้างหนึ่งห้อยแขวนน้ำเต้า เส้นผมยาวหยักศกรกรุงรัง ถูกปล่อยสยายปรกบ่า กอปรกับเอวอีกข้างเหน็บพลองยาวเก่าๆเล่มหนึ่งเอาไว้ หนุนเสริมให้มันแลดูมอซออย่างไรชอบกล


 


อย่างไรก็ตามการมาของมันทำให้หลายคนตาเป็นประกายทันที


 


“นั่น ซุนชิง!!”


 


“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ากระทั่งซุนชิงก็มา!”


 


“ซุนชิงผู้นี้เป็นศิษย์ของจักรพรรดิอมตะหอนฟ้า แถมยังเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าอีกด้วย…ว่กันว่ามันยังเคยได้รับการชี้แนะจากจักรพรรดิอมตะ 3 ตาหยางเจี่ยนแห่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของอวี้หวงเทียนเป็นการส่วนตัวหลายครั้ง…ทำให้มันแข็งแกร่งที่สุดในบรรดา 5 ศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเรา กระทั่งหลิวไป๋เฟิงกับหลู่จี้ศิษย์ของจักรพรรดิทุ่งขจีฉือหล่างก็ด้อยกว่ามันอยู่บ้าง”


 


“ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิอมตะหอนฟ้านั้นเคยเป็นสุนัขที่ติดตามอยู่ข้างกายจักรพรรดิอมตะ 3 ตา หยางเจี่ยน…ไม่ทราบเป็นความจริงหรือไม่?”


 


“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจริงไหม แต่เรื่องที่จักรพรรดิอมตะหอนฟ้าเป็นสุนัขอมตะนั้น ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นจริง!”


 



 


จักรพรรดิอมตะหอนฟ้า ก็เป็น 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ พลังฝีมือของมันก็พอๆกับจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ และจักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะ


 


แน่นอนว่านี่เป็นการจัดอันดับที่หลายคนจัดให้คร่าวๆ


 


เพราะตั้งแต่ที่จักรพรรดิอมตะหอนฟ้าเข้าวังเทียนฉือมา นอกเหนือจากที่เรื่องที่เคยทุบตีสั่งสอนจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกครั้งหนึ่ง จนทำให้จักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกไม่กล้าหืออือ ก็ไม่เคยมีใครเห็นมันลงมืออีกเลย


 


เช่นนั้นผู้คนในวังเทียนฉือจึงจัดให้มันอยู่ในอันดับเหนือกว่าจักรพรรดิคลื่นหมอก และเทียบเท่าจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊กับจักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะไปก่อน…


 


“ให้ตายเถอะ…กระทั่งซุนชิงยังมาที่นี่ด้วย เช่นนั้นหากหานอวิ๋นจิ่นมาถึง ก็เท่ากับ 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือเราจะมารวมตัวกันถึง 3 คน!”


 


“ศิษย์พี่รองของต้วนหลิงเทียนก็คือหลู่จี้ เช่นนั้นหลู่จี้จะอย่างไรก็ต้องมาด้วยแน่…ถึงตอนนั้นในบรรดา 5 ศิษย์อัจฉริยะ ก็จะมารวมตัวกันถึง 4 คน!”


 



 


ในขณะที่เหล่าศิษย์วังเทียนฉือกำลังสนทนากันอย่างออกรส ก็ปรากฏกลุ่มคน 5 คนเหินร่างมาแต่ไกล และผู้ที่เหินร่างอยู่ตรงกลางก็คือชายหนุ่มในชุดสีม่วง โดยข้างกายมีสตรีชุดขาวข้างกายกุมมือเอาไว้แน่น แม้นางจะสวมผ้าปิดหน้าเอาไว้ แต่ก็ยากจะซ่อนความงามเฉิดฉันท์ได้มิดชิด


 


ส่วนข้างกายอีกด้านของชายหนุ่มชุดม่วง ก็มีสตรีอันมีทรวดทรงองค์เอวเย้ายวนยั่วใจ แต่งองค์ทรงเครื่องมาเต็มสูบ มากล้นไปด้วยเสน่ห์นัก


 


ส่วนด้านข้างของนางมีชายหนุ่มที่แลดูเงียบขรึมคนหนึ่ง ส่วนอีกด้านของสตรีชุดขาวก็มีสตรีที่แลดูอ่อนโยนสง่าปานหยก ทุกคราที่นางคลี่ยิ้ม ชวนให้ผู้คนรู้สึกเสมือนมีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน


 


“นั่นเป็นลูกศิษย์ทั้ง 4 คนในด่านของจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง…ส่วนที่กำลังกุมมือชายหนุ่มชุดม่วงนั่นก็คือศิษย์คนที่ 3 ของจักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง!”


 


การปรากฏตัวของทั้ง 5 พร้อมๆกัน ทำให้ผู้คนโดยรอบอดไม่ได้ที่จะตื่นตาตื่นใจขึ้นมาครั้งใหญ่


 


“ชายหนุ่มชุดม่วงที่หล่อๆนั่น ก็คือ ต้วนหลิงเทียน ศิษย์คนที่ 7 ของใต้เท้าฉือหล่าง? ผู้ที่จักขึ้นสังเวียนเป็นตายกับหานอวิ๋นจิ่นใช่หรือไม่?”


 


“ใช่ เป็นมัน!”


 


“ส่วนชายหนุ่มมาดขรึมหน้าเย็นซ้ายสุดนั่นก็คือหลู่จี้ 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือของพวกเรา ชื่อเสียงทัดเทียมกับหลิวไป๋เฟิ่ง พลังฝีมือเป็นรองก็แต่ซุนชิงเท่านั้น”


 


“ส่วนสตรีอีก 2 นอกจากสตรีชุดขาวนั่นก็คือหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อ ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ของใต้เท้าฉือหล่าง”


 



 


หลังพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 5 ปรากฏตัว แม้หลู่จี้จะเป็นคนที่ทุกคนรู้จักกันดีที่สุด แต่วันนี้ต้วนหลิงเทียนกับได้รับความสนใจมากที่สุด


 


ท้ายที่สุดแล้ววันนี้ต้วนหลิงเทียนก็เป็นดั่ง ‘ตัวเอก’


 


“ศิษย์น้องเล็ก!!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งมาถึง ก็อดตกใจกับจำนวนผู้คนที่เนืองแน่นเต็มฟ้าไม่ได้ เขาไม่คิดเลยว่าจะมีศิษย์วังเทียนฉือมาดูการประลองมืดฟ้ามัวดินถึงขนาดนี้ และในขณะที่กำลังชมดูมวลชนจนละลานตา ก็มีเสียงคุ้นเคยหนึ่งโพล่งดังเข้าหูเขาแต่ไกล


 


“ศิษย์พี่ 6 ศิษย์พี่ 5”


 


พอหันมองไปตามเสียง ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นหงเฟยอันมีโอวหยางฉีเฟยเหินร่างอยู่ข้างๆทันที เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าทั้งคู่จะมาถึงที่นี่เร็วขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยตอนที่ศิษย์พี่หญิง 3 พาเขาแวะไปที่พักของทั้งคู่จะไม่เจอคน


 


“ฮี่ๆๆ ศิษย์น้องเล็ก รอเจ้าฆ่าหานอวิ๋นจิ่นนั่นได้เมื่อไหร่ ข้ามีอะไรจักทำให้เจ้าประหลาดใจด้วยล่ะ”


 


หงเฟยคลี่ยิ้มสนุกสนาน


 


“ประหลาดใจ?”


 


ต้วนหลิงเทียนผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มโง่งมออกมา “หรือศิษย์พี่ 6 มีของขวัญอะไรจะให้ข้างั้นหรือ?”


 


“หึหึ! พอถึงตอนนั้นเจ้าก็รู้เองแหล่ะ”


 


หงเฟยทำเป็นลึกลับ


 


“แล้วหานอวิ๋นจิ่นเล่า มันยังไม่มาอีกหรือ?”


 


หูเหมยที่กวาดตามองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของหานอวิ๋นจิ่น ก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มเยาะเย้ยออกมา “เจ้านั่น คงไม่ใช่ว่าปอดแหกจนไม่กล้ามาแล้วหรอกนะ?”


 


“หึ! หากวันนี้มันกล้าไม่มา ก็อย่าได้หวังจะอยู่ในวังเทียนฉือได้อีกต่อไปเลยเถอะ…เพราะถึงตอนนั้นไม่พ้นมันต้องจมน้ำลายศิษย์วังเทียนฉือจนตายแน่!!”


 


หงเฟยหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน


 


หลังจากนั้นหงเฟยก็หันไปมองกล่าวกับเวิ่นหว่านเอ๋อด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่หญิง 4 วันนี้ท่านรอชมดูศิษย์น้องเล็กจัดการไอ้ชั่วนั่นระบายโทสะให้ท่านเถอะ!”


 


“อื้อ”


 


เวิ่นหว่านเอ๋อยิ้มรับคำเสียงนุ่ม อย่างไรก็ตามลึกลงไปในแววตาอ่อนโยนของนาง กลับฉายชัดถึงความเคียดแค้นชิงชังขึ้นวาบหนึ่ง ยากที่ใครจะสังเกตเห็น


 


“ฮ่วนเอ๋อ ข้าไปก่อนนะ”


 


หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวทักฮ่วนเอ่อและทุกคนแล้ว เขาก็เหินร่างไปยืนบนสังเวียนอัจฉริยะอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


“อาวุโสฉิน พบกันอีกแล้ว”


 


หลังจากขึ้นไปยืนบนสังเวียนอัจฉริยะ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปยิ้มทักอาวุโสตำหนักลองกระบี่ที่ลอยร่างเหนือแท่นศิลาบนเกาะกลาง เขาเองก็มีความประทับใจอันดีกับอาวุโสตำหนักลองกระบี่คนนี้ไม่น้อย


 


“อืม”


 


อาวุโสตำหนักลองกระบี่ยิ้มรับคำทักทาย ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า “วันนี้เจ้ามั่นใจหรือไม่?”


 


ถึงแม้มันจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับหานอวิ๋นจิ่น แต่เพราะมันดูแคลนการกระทำของหานอวิ๋นจิ่นกับศิษย์สตรีในวังเทียนฉือจับใจ มันจึงหวังว่าผู้ที่จะเหลือรอดเป็นคนสุดท้ายและคว้าชัยชนะวันนี้ไปจะเป็นต้วนหลิงเทียน


 


“อาวุโส ท่านรอดูชมเรื่องสนุกสนานเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบพลางคลี่ยิ้มอย่างไร้เรื่องราว เผยความมั่นใจให้อาวุโสตำหนักลองกระบี่ได้เห็น แม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าเขามั่นใจแค่ไหนก็ตาม


 


“จะว่าไปต้วนหลิงเทียนผู้นี้ แค่เวลาไม่กี่ปีที่เข้าร่วมวังเทียนฉือเรามา ก็นับว่าได้เคลื่อนไหวใหญ่โตไม่น้อย…กล่าวไปในประวัติศาสตร์ของวังเทียนฉือเรา ไม่มีใครมีชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดเช่นมันเลยกระมัง?”


 


“จนถึงตอนนี้ยังไม่มีจริงๆ”


 


“แต่วันนี้เรื่องที่มันจะรอดชีวิตเป็นนคนสุดท้ายและคว้าชัยชนะไปก็ช่างยากเย็นจริงๆ สุดท้ายมันก็ยัมีอายุไม่ถึง 300 ปีที…”


 


ข้าแค่อยากทราบ ว่ามันจะต้านทานรับมือไปได้นานเพียงใด…”


 



 


เหล่าศิษย์วังเทียนฉือหลายคนหลังเห็นต้วนหลิงเทียนขึ้นไปรอบนสังเวียน ก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาเบาๆ เพราะพวกมันรู้สึกว่าการขึ้นสังเวียนครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน ไม่ต่างอะไรกับขึ้นไปตาย “หากข้าเป็นมัน ต่อให้ข้าจะไม่อยากเสียชื่อเสียงเพียงใด ข้าก็คงเลือกจะไม่มาดีกว่า…”


 


“ด้วยวัยของมัน การที่สามารถฆ่าฝานฉีได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมอย่างมากแล้ว…วันนี้ไม่มีใครกล้าดูแคลนมันแน่! อย่างน้อยๆตอนหานอวิ๋นจิ่นอายุเท่ามัน ก็อ่อนด้อยกว่ามันมากมายนัก”


WSSTH ตอนที่ 3,307 : การปะทะกันครั้งแรก


 


 


ในสายตาของศิษย์วังเทียนฉือ วันนี้หากจะถามว่าผู้ใดที่สมควรกระตือรือร้นกับการประลองมากกว่า ก็ไม่พ้นต้องเป็นหานอวิ๋นจิ่น


 


กระทั่งเชื่อว่าสิบในสิบหานอวิ๋นจิ่นสมควรเอาชนะได้แน่ๆ


 


ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกมันเหนือความคาดหมายอยู่บ้างก็คือ…คนแรกที่มาถึงสังเวียนอัจฉริยะกลับไม่ใช่หานอวิ๋นจิ่น! แต่เป็นต้วนหลิงเทียน ศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมวังเทียนฉือได้ไม่กี่ปี และพึ่งจะเป็นศิษยย์อัจฉริยะได้ไม่ทันไร!


 


ยังเป็นศิษย์อัจฉริยะอันดับ 1 ในช่วงอายุไม่เกิน 300 ปี!


 


หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวทักทายอาวุโสตำหนักลองกระบี่แล้ว เขาก็ยืนหลับตาพักผ่อนรอเวลา ท่าทางแลดูเฉยเมยไม่ยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น


 


ทำราวกับทุกสิ่งในวันนี้ ก็แค่เป็นอีกวันที่กำลังจะผ่านพ้นไป ไร้ซึ่งความกดดันอะไร


 


“ต้วนหลิงเทียนนั่น…ยังสามารถมั่นใจได้ถึงขนาดนี้เชียวรึ?”


 


“เฮ่อ คำกล่าวลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือนับว่าใช้ได้จริงๆ มันคงไม่รู้เป็นแน่ว่าหานอวิ๋นจิ่นร้ายกาจเพียงใด…หานอวิ๋นจิ่นจะอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้ว ความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟก็ล้วนแล้วแต่เข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดสิ้น…กระทั่งลือกันว่ามันเริ่มตระหนักถึงธรณีประตูของการผสานรวมความลึกซึ้งแล้วด้วย”


 


“ส่วนต้วนหลิงเทียนนั่น จากกลิ่นอายพลังยามเหินบิน เห็นได้ชัดว่าด่านพลังฝึกปรือของมันยังอยู่ในขอบเขตจอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบเท่านั้น”


 


“จอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบ ที่มีอายุไม่ถึง 300 ปี แต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดสิ้น พรสวรรค์กับความเข้าใจของต้วนหลิงเทียนให้กล่าวท้าทายสวรรค์ก็ไม่เกินเลย กระทั่งในบรรดาศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเรา ยังไม่มีใครเทียบมันได้ด้วยซ้ำ…แต่การท้าหานอวิ๋นจิ่นประลองเป็นตายถึงขั้นไม่ตายไม่เลิกราเช่นนี้ นับเป็นการกระทำอันโง่เขลาโดยแท้…”


 


“เห็นว่าหลังฆ่าฝานฉีได้เมื่อ 3 ปีก่อน เพราะสถานการณ์พาไป มันก็เลยท้าประลองเป็นตายกับหานอวิ๋นจิ่นออกมาอย่างไม่คิด…สมควรขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้มากกว่า”


 



 


ในขณะที่เหล่าศิษย์ของวังเทียนฉือกำลังกระซิบคุยกันอย่างได้รสชาติ ก็ปรากฏร่าง 3 ร่างเหินมาแต่ไกล และทำให้เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่พูดคุยกันระงมปานตลาดสด พร้อมใจกันหุบปากลงทันที…


 


เนื่องเพราะทุกคนหันไปให้ความสนใจกับร่างทั้ง 3 หมดสิ้น


 


“หานอวิ๋นจิ่นมาแล้ว!”


 


“กล่าวไปนับว่ามันมาเร็วไม่น้อย…สมแล้วที่เป็น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือเรา ช่างมีความมั่นใจในตัวเองสูงนัก!”


 


“ถึงจะมาเร็ว ก็ยังไม่เร็วเท่าต้วนหลิงเทียน”


 


“หึ! ต้วนหลิงเทียนนั่นมันมาหาที่ตาย อย่าได้กล่าวถึง!”


 



 


ร่างทั้ง 3 ที่กำลังเหินมาแต่ไกลก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกมันก็คือหานอวิ๋นจิ่นกับศิษย์น้องรอง จ้าวจี้เลี่ย และศิษย์น้อง 3 อู๋ฉวน นั่นเอง


 


จ้าวจี้เลี่ยกับอู๋ฉวนนั้น มักปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้งและพวกมันก็มากอัธยาศัยกันไม่น้อย ทำให้มีศิษย์วังเทียนฉือหลายคนรู้จักพวกมันดี


 


อย่างไรก็ตาม วันนี้ทุกคนสังเกตเห็นว่า ท่าทางของทั้งคู่แลดูเคร่งขรึมอึมครึมอยู่บ้าง


 


“ยังมาเร็วกว่าข้าอีกรึ?”


 


เพียงมองปราดเดียวหานอวิ๋นจิ่นก็เห็นร่างในชุดสีม่วงที่ยืนรออยู่บนสังเวียนอัจฉริยะ ทำให้ลูกตาของมันหดเล็กลง มุมปากยกยิ้มแสยะเยียบเย็นขึ้นมา


 


กระทั่งลึกลงไปในแววตายังปรากฏรังสีอำมหิตพวยพุ่งออกมาชัดเจน


 


“หานอวิ๋นจิ่น”


 


ทันใดนั้นเองก็มีเสียงผ่านพลังหนึ่งส่งตรงถึงหูหานอวิ๋นจิ่น และเสียงดังกล่าวก็ไม่ใช่เสียงแปลกหูสำหรับหานอวิ๋นจิ่นแต่อย่างใด เพราะมันคือเสียงของเหลยจวิ้น ลูกชายคนเดียวของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิง


 


“อย่าได้ดูเบามันเด็ดขาด…หากทำได้ ให้รีบทุ่มพลังทั้งหมดลงมือฆ่ามันในกระบวนเดียวเสีย! ข้ารู้สึกไม่ชอบมาพากลมาโดยตลอด ต้วนหลิงเทียนมันหาญกล้าท้าเจ้าประลองเป็นตายเช่นนี้ ไม่พ้นมันต้องมีไพ่ตายอันร้ายกาจอะไรบางอย่างแน่!”


 


เหลยจวิ้นนั้นมาถึงได้สักพักแล้ว แต่มันปะปนอยูท่ามกลางเหล่าศิษย์วังเทียนฉือ จนเมื่อเห็นหานอวิ๋นจิ้นมาถึง จึงรีบส่งเสียงผ่านพลังออกไปทันที


 


“เหลยจวิ้น เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องเตือนข้าหรอก”


 


หานอวิ๋นจิ่นเอ่ยผ่านพลังตอบกลับ “ดั่งคำ ‘ราชสีห์จับกระต่ายยังโถมตะครุบไปทั้งตัว’ ข้าไม่คิดเปิดโอกาสให้มันทำอะไรทั้งสิ้น ข้าจักลงมือเต็มกำลังให้มันรับทราบถึงความสิ้นหวัง! ส่งมันไปโลกหน้าในบัดดล!!”


 


“ได้เช่นนั้นก็ประเสริฐ!”


 


หลังตอบผ่านพลังกลับไปสั้นๆ สองตาเหลยจวิ้นที่จับจ้องมองร่างชุดม่วงบนสังเวียนอัจฉริยะก็ทอประกายเยียบเย็น ใบหน้ายังบิดเบี้ยวไปแลดูอัปลักษณ์นัก


 


ในอดีต มันคิดว่าอาศัยพลังของมัน สมควรบดขยี้ชายหนุ่มอายุไม่ถึง 300 ปีได้ง่ายดาย แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าพลังฝีมือที่อีกฝ่ายเผยออกมา จะไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามันอีกต่อไป


 


หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป…มันจะมีวันเทียบกับอีกฝ่ายได้อย่างไร?


 


‘ศิษย์น้องหญิงฮ่วนเอ๋อ’


 


ไม่นานสาตาของเหลยจวิ้นก็เบนไปตกยังร่างสตรีชุดขาวนางหนึ่งที่ลอยปะปนอยู่กับกลุ่มศิษย์ของฉือหล่าง และสตรีในชุดขาวนางนั้นแม้จะมีผ้าปิดปาก แต่ก็ยากที่ผ้าผืนน้อยจะปกปิดรูปโฉมอันงดงามของยนางได้มิด


 


เหลยจวิ้นก็มองดวงตาทั้งคิ้วคู่งามอย่างเหม่อลอย ลอบกล่าวในใจอย่างมุ่งมั่น ‘เจ้าเป็นของข้า…มีเพียงข้าเท่านั้นที่ครอบครองเจ้าได้ คนอื่นไม่คู่ควรกับเจ้า!’


 


ในขณะที่เหลยจวิ้นหันไปสนใจฮ่วนเอ๋อ


 


ฟุ่บ!


 


หานอวิ๋นจิ่นได้วูบร่างขึ้นไปยืนบนสังเวียนอัจฉริยะทันที เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน “ต้วนหลิงเทียน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าโผล่หัวมาที่นี่จริงๆ”


 


และตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน มองหางอวิ๋นจิ่นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยคล้ายคนง่วงหงาวหาวนอน “ในที่สุดเจ้าก็มาได้เสียที…ข้าหลงคิดว่าเจ้าจะกลัวจนไม่กล้ามาซะอีก”


 


“หืม?”


 


ได้ยินคำพูดทั้งเห็นอาการท่าทางของต้วนหลิงเทียน สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นก็มืดดำลง สองตาฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟันอำมหิต มุมปากยกขึ้นเผยยิ้มแสยะกล่าวสวนไปว่า “นั่นคือสิ่งที่ข้าสมควรพูดกับเจ้ามากกว่า!”


 


“เลิกพล่ามเหลวไหลได้แล้ว จะทำอะไรก็รีบทำเสีย…ฮ่วนเอ๋อของข้ายังรอให้ข้ากลับไปบ่มเพาะด้วยกันอยู่”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเรียบ


 


และแทบจะทันทีที่วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนล่วงล้ำออกจากลำคอ หางตาของเขาก็เหลือบไปมองเหลยจวิ้นที่ซ่อนตัวท่ามกลางฝูงชนทันที จึงสัมผัสได้ชัดเจนว่าหลังเขาพูดเรื่องนี้ออกไป แววตาของเหลยจวิ้นก็ระเบิดรังสีฆ่าฟันออกมา


 


‘เหลยจวิ้นผู้นี้…ต่อไปคิดจะล่อมันมาฆ่านับว่าไม่ง่ายจริงๆ’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคิดในใจ


 


เพราะวันนี้หากเขาฆ่าหานอวิ๋นจิ่นไป เหลยจวิ้นต้องรับทราบได้ทันทีว่าเขาทรงพลังเหนือมันขนาดไหน มันย่อมสำเหนียกตัวและรู้ว่าไม่อาจรับมือเขาเพียงลำพังได้ไหว สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องลอบกัด และเอาแต่วางอุบายในที่ลับแน่นอน


 


การฆ่าเหลยจวิ้นจึงจะกลายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากพอสมควร…


 


เขาไม่อาจฆ่าเหลยจวิ้นโต้งๆอย่างวู่วามได้ เพราะนั่นไม่เพียงแต่จะยั่วโทสะเหลยอิงมารดาของเหลยจวิ้นให้ระเบิดออกมา กระทั่งวังเทียนฉือยังต้องเดือดดาลเป็นแน่


 


ถึงตอนนั้นต่อให้เป็นฉือหล่าง ก็คงไม่อาจปกป้องเขาได้ไหว


 


“การต่อสู้วันนี้ จักเป็นการเผชิญญหน้ากันระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหานอวิ๋นจิ่น ที่ต้วนหลิงเทียนได้เอ่ยท้าประลองเป็นตายในรูปแบบไม่ตายไม่เลิกราเอาไว้เมื่อ 3 ปีก่อน…เช่นนั้นจนกว่าจักมีผู้ใดตายตก การประลองจักไม่ถึงกาลยุติ”


 


ตอนนี้เอง อาวุโสแซ่ฉินของตำหนักลองกระบี่ ก็กล่าวประกาศออกมาเสียงดังฟังชัด


 


ทันใดนั้นเหล่าศิษย์วังเทียนฉือทั้งหลายที่มาชมดูเรื่องราวจนมืดฟ้ามัวดิน ก็พากันจับจ้องมองไปยังร่างทั้ง 2 บนสังเวียนอัจฉริยะไม่วางตา ถึงแม้พวกมันจะอยู่ห่าง แต่ก็สูดได้ถึงกลิ่นดินปืนที่คละคลุ้งระหว่างทั้งคู่ชัดเจน


 


“ในเมื่อเจ้ารีบร้อนด่วนตายนัก ข้าจักสงเคราะห์ให้เอง!!”


 


ได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หานอวิ๋นจิ่นก็มีโมโห ประหนึ่งคนหัวร้อนโดนยุ พลังมหาศาลพลันปะทุขึ้นมาท่วมร่างก่อนจะกลับกลายเป็นเพลิงไฟสีแดงร้อนแรง คนคล้ายถูกไฟคลอกก็ไม่ปาน!


 


ซู่มมม!!


 


พริบบตาต่อมา ท่ามกลางสายตาทุกผู้คน ร่างหานอวิ๋นจิ่นที่ลุกท่วมไปด้วยเพลิงไฟ พลันระเบิดพลังเพลิงออกมามหาศาลจนคนคล้ายกลับกลายเป็นเพลิงก้อนเขื่อง จากนั้นก็ห้อเหยียดเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน สร้างเส้นทางเปลวไฟลากยาวตัดผ่านสังเวียนอัจฉริยะ! ให้ความรู้สึกคล้ายคนกลับกลายเป็นอสูรกายไฟตัวใหญ่แยกเขี้ยวยิงฟันควั่นกรงเล็บไปทางต้วนหลิงเทียน!!


 


เผชิญหน้ากับการห้อเหยียดเข้ามาด้วยสภาวะสังหารเกรี้ยวกราดของหานอวิ๋นจิ่น สีหน้าต้วนหลิงเทียนจากเฉยเมยเปลี่ยนเป็นจริงจัง และหลังย่นคิ้วครุ่นคิดอะไรเล็กน้อย เงาร่างต้นไม้เทพสนหลิวของร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวก็อุบัติขึ้นมาปกคลุมรอบกายทันที


 


พร้อมกันนั้นเอง ในขณะที่ควบแน่นพลังสร้างร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว ต้วนหลิงเทียนยังชักนำพลังของพฤกษาเทพครองสวรรค์ถ่ายทอดลงสู่ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวอย่างแยบคาย ไร้ผู้ใดสัมผัสได้


 


อานุภาพพลังของพฤกษาเทพครองสวรรค์ขั้นที่ 6 พอผสานรวมเข้ากับร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิว ก็ประหนึ่งปลุกชีวิตต้นไม้เทพสนหลิวให้ฟื้นคืน กลับกลายเป็นต้นไม้เทพสนหลิวที่แท้จริงในพริบตา!!


 


ท่ามกลางสายตาของทุกคน ณ ที่นี้ ไม่ทันที่หานอวิ๋นจิ่นจะเข้าใกล้ถึงตัวต้วนหลิงเทียน ร่างต้วนหลิงเทียนก็ถูกเงาร่างต้นไม้เทพสนหลิวปกคลุมไว้แล้ว แถมเงาร่างที่คล้ายภูตผังเริ่มมีสภาพก่อตัวขึ้นมาอีกด้วย


 


พอหานอวิ๋นจิ่นเข้าใกล้ระยะลงมือ ต้วนหลิงเทียนก็ถูกต้นไม้เทพสนหลิวที่แลดูไม่ต่างอะไรจากของจริงปกคลุมไว้มิดชิดจนมองไม่เห็นคนแล้ว


 


ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!


 



 


ขณะเดียวกัน เผชิญหน้ากับการโจนทะยานปล่อยพลังสังหารเข้ามาอย่างเกรี้วกราดของหานอวิ๋นจิ่น ต้นไม้เทพสนหลิวก็ตวัดกิ่งฟันฟาดผ่าลมออกไปฉับไว ทุบตีเข้าใส่หาอวิ๋นจิ่นที่คล้ายกลับกลายเป็นบอลเพลิงลูกเขื่องอย่างไร้ครั่นคร้าม!


 


ปงง!!


 


เปรี๊ยงงง!!!


 



 


เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้น การปะทะระลอกแรกอุบัติขึ้นก่อนจะจบลงในเสี้ยวพริบตา! แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับไม่มีผู้ใดเป็นฝ่ายมีเปรียบ หานอวิ๋นจิ่นในสภาพบอลเพลิงลูกเขื่อง หลังปะทะเข้ากับกิ่งต้นไม้เทพสนหลิวสักพัก ก็ผละร่างถอยไป!!


 


ซู่มม!!


 


ครืนนน!!


 



 


จากนั้นคลื่นพลังสะท้อนที่อุบัติจากการปะทะกันของทั้ง 2 ก็ระเบิดออกมา ก่อเกิดเป็นสายลมวิปริตแฝงคลื่นกระแทกอันเกรี้ยวกราด พัดกรรโชกออกไปทั่วสี่ทิศแปดทาง พาลให้เสื้อผ้าของเหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่มาชมดูโดยรอบ สะบัดกระพือพั่บๆ ผมเผ้าวุ่นวายไปหมด


 


เมื่อฝุ่นควันคลื่นลมซาลง ร่างหานอวิ๋นจิ่นก็ปรากฏให้เห็นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามพื้นสังเวียนอัจฉริยะใต้ฝ่าเท้าของมัน ยามนี้บังเกิดรอยปริแตกแยกร้าว คล้ายมีไยแมงมุมอันเขื่องแผ่ขยายลุกลามออกไป


 


ต้องทราบด้วยว่าวัตถุดิบสร้างสังเวียนอัจฉริยะนั้นมิใช่หินโง่ๆอันใด ล้วนแล้วแต่เป็นแร่พิเศษหายากไม่ใช่เล่นๆ ถ้าผู้ลงมือพลังฝีมือไม่ถึงขั้นจริง ยังไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วน!


 


“ต้นไม้เทพสนหลิว!?”


 


หลังล่าถอยออกไป หานอวิ๋นจิ่นที่แลเห็นต้นไม้ต้นเขื่องเบื้องหน้าชัดถนัดตา สีหน้าก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง “เจ้า…หรือวันนั้นเจ้าดูดพลังชีวิตของศิษย์น้องข้าไป เพื่อสร้างร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว?!”


 


“อ่า…เรื่องนี้กล่าวไป ข้าต้องขอบคุณฝานฉีศิษย์น้องเจ้าคนนั้นมากจริงๆ”


 


เสียงของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นจากภายยในลำต้นของต้นไม้เทพสนหลิว ฟังดูคล้ายหยอกเย้าสนุกสนานอยู่บ้าง “หากไม่ใช่เพราะมันช่วยมอบสารัตถะชั่วชีวิตของมันให้ข้า…วันนี้ข้าก็คงไม่แน่ใจว่าจะสู้กับเจ้าได้จริงๆ”


 


พอต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงตรงนี้ กิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวก็เริ่มแกว่งไกวไปมา ทำราวกับจะยั่วยุท้าทายหานอวิ๋นจิ่น


 


ขณะเดียวกันนี้เอง ด้านผู้ชมโดยรอบก็ฟื้นความรู้สึกเรียบร้อย


 


“ให้ตายเถอะ ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ กลับมีวิธีควบสร้างร่างอวตารกฏในตำนานจริงๆ?”


 


“โชคของมันจะไม่ท้าทายสวรรค์เกินไปหน่อยหรือ กระทั่งวิธีการเลิศล้ำเข่นนี้มันยังสรรหามาได้…เกิดเป็นคนเหมือนกันไฉนถึงต่างกันนักเล่า!?”


 


“ครั้งก่อนที่มันปะทะกับฝานฉี เดิมทีข้าก็สงสัยอยู่แล้วว่าไฉนยามฝานฉีสู้กับมันในร่างมนุษย์ ยังพอต้านทานรับมือได้พักใหญ่ๆ…แต่พอคืนร่างที่แท้จริงแล้วกลับพลาดเสียทีมันในพริบตา ดูท่าแล้วไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนทรงพลังกว่าร่างจริงฝานฉี แต่สมควรมีทักษะลับบางประการที่ใช้สะกดไม่ก็ดูดกลืนร่างที่แท้จริงของฝานฉีมากกว่า…”


 


“ใช่ พวกเจ้าลองสัมผัสกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากต้นไม้เทพสนหลิวนั่นดูสิ! หากใครไปชมดูการประลองวันนั้นเหมือนข้า น่าจะบอกได้ทันที…ว่าเป็นกลิ่นอายเดีวกับที่แผ่ออกมาจากร่างีท่แท้จริงของฝานฉี! เช่นนั้นกล่าวได้ว่าการตายของฝานฉีเป็นการมอบของขวัญกล่องใหญ่ให้ต้วนหลิงเทียนจริงๆ!!”


 



 


เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่มาชมดูเรื่องราว อดได้ที่จะถอนหายใจออกมาหลังเห็นฉากเรื่องราวเบื้องหน้า


 


กระทั่งซือหม่าอวี้ หลิวไป๋เฟิ่ง กับซุนชิง สองตาก็อดลุกวาวขึ้นมาไม่ได้ เมื่อเห็นกลวิธีของต้วนหลิงเทียน


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง…”


 


ซือหม่าอวี้กล่าวพึมพำ


 


หลิวไป๋เฟิ่งไม่ได้พูดอะไร แต่สองตานางยังทอประกายวูบวาบไม่หยุด บอกให้รู้ว่าภายในใจของนางก็เต็มไปด้วยอารมณ์ปั่นป่วนไม่น้อย


 


“น่าสนใจจริงๆ”


 


ซุนชิงแต่เดิมที่แลดูเกียจคร้านเอื่อยเฉื่อย ตอนนี้คล้ายจะมีพลังขึงขังขึ้นหลายส่วน


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดว่าอาศัยร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวนี่ แล้วเจ้าจะมีปัญญาฆ่าข้าได้งั้นหรือ?”


 


ใบหน้าหานอวิ๋นจิ่นฉายชัดถึงความเย็นชาก่อน ค่อยยกยิ้มแสยะดูแคลน “หลักจากนี้ ข้าจักให้เจ้ารับทราบว่าความแตกต่างระหว่างจอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบ กับจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิด มิใช่อันใดที่กฏมิติ 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่เจ้าเข้าใจ หรือร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว จักกลบถมความต่างได้!!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)