War sovereign Soaring The Heavens 3287-3299
WSSTH ตอนที่ 3,287 : เมิ่งห่าวซวน
แดนลับอันเป็นสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวนั้น กระทั่งวารีเทพชำระโลกาก็ไม่คุ้นเคย รู้แค่ว่าที่นี่คือสถานที่ทดสอบอันถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือของผู้แข็งแกร่งที่สุด และมีด่านย่อยสำหรับทดสอบมากมาย
ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นด่านทดสอบใดๆ ล้วนเรียกว่าสถานที่แห่งวาสนาทั้งสิ้น ถึงแม้จะไม่มีรางวัลเป็นรูปธรรม หากทว่าเมื่อผ่านบททดสอบมาได้ ก็จะทำให้เข้าใจในวิถียุทธ์มากขึ้น ระดับพลังฝึกปรือก้าวหน้า ไม่เว้นตระหนักรู้กฏต่างๆ
หลังออกจากหุบเขางดงามแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เลือกมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง สำนึกเทวะกำจายออกไปรอบตัวเต็มกำลังเรียกว่าเสมือนปูพรมค้นหา หวังว่าจะพบเจอด่านทดสอบที่วารีเทพชำระโลกาเอ่ยถึง
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
หนึ่งวันผ่านไป
สองวันผ่านไป
…
จนในที่สุดเมื่อย่างเข้าวันที่ 7 ต้วนหลิงเทียนก็เห็นเงาผู้คน และหลังจากที่เขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายๆก็เหินโร่เข้ามาหาเขาทันที
เห็นฉากเรื่องราวดังกล่าว ตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงเร็วไว
เพราะเขายังจดจำได้ว่า ในสถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะแห่งนี้ มีเพียงปลิดปลงชีวิตจอมราชันอมตะ 9 คนเท่านั้น จึงจะผ่านการทดสอบรับสมญานาม กลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานาม!
ด้วยเหตุนี้เห็นอีกฝ่ายเหินโร่เข้าหา ต้วนหลิงเทียนก็เตรียมพร้อมรับมือทันที
และไม่นานนัก ร่างดังกล่าวก็เหินมาหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน
ผู้ที่พึ่งเหินมามีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม สวมใส่ชุดคลุมสีน้ำเงินขลิบทอง หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างผอมเพรียว ท่วงท่าลักษณะแลดูไม่ธรรมดาอยู่บ้าง
“สหายท่านนี้ ขอท่านอย่าพึ่งเข้าใจข้าผิดไป ข้ามามิได้มาเพราะคิดร้ายต่อท่าน”
หลังจากชายหนุ่มมาถึง มันก็จงใจเว้นระยะห่างกับต้วนหลิงเทียนมากพอสมควร ไม่ได้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ “ข้ามาที่นี่เพื่อคิดจะชวนท่านไปยังด่านทดสอบย่อยแห่งหนึ่งที่ข้าบังเอิญพบเจอในสถานที่ทดสอบเท่านั้น”
“ด่านทดสอบย่อยที่ว่า จำต้องใช้รวบรวมคนให้ครบ 5 คนถึงจะเปิดให้เข้าไป”
ชายหนุ่มกล่าว
“ด่านทดสอบ?”
ได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ร่างต้วนหลิงเทียนก็สะท้านไปเบาๆ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขากำลังตามหาในสถานที่ทดสอบแห่งนี้หรือไร?
ถึงแม้จะไม่มีด่านทดสอบย่อยที่ว่า เขาก็ไม่รังเกียจที่จะบุกไปฆ่าคนถึงประตู!
สำหรับเขานั้น การได้สญยานามไม่ได้มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดในสถานที่ทดสอบก็คือด่านทดสอบย่อยต่างหาก! เพราะเขาจำเป็นต้องใช้แรงกดดันแฝงเจตจำนงของผู้แข็งแกร่งที่สุด ในการหลอมกลั่นสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว เพื่อควบสร้างร่างอวตารกฏ!!
ถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้นทันตาเห็น
3 ปีหลังจากนี้ เขาสามารถใช้ร่างอวตารแห่งกฏที่ว่าในการเข่นฆ่ากับหานอวิ๋นจิ่นให้ตายกันไปข้างบนสังเวียนอัจฉริยะ!
“ทำไมข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย”
แม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกสนใจอย่างมาก แต่ผิวเผินยังคงสงบ ไม่ได้เผยอาการหรือเจตนาอยากติดตามไปเต็มที่ออกมาให้เห็น กล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ผู้ใดจะไปรู้ ข้าตามเจ้าไปจะใช่โดน ‘เชิญท่านลงโอ่ง’ สุดท้ายก็โดนเจ้าหรืออาจมีสหายของเจ้าลอบสังหารหรือไม่…”
“สหายท่านนี้ท่านมีความระมัดระวังตัวนับเป็นเรื่องประเสริฐ…อย่างไรก็ตามพวกเรายังต้องตามหาคนอีก 3 คนอยู่ดี เช่นนั้นสหายลองติดตามข้าไปด้วยกันแต่เว้นระยะห่างกันประมาณหนึ่ง เพื่อพิจารณาดูก่อน…ดีหรือไม่?”
สำหรับความระวังตัวของต้วนหลิงเทียน ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอะไร เพียงกล่าวออกมาด้วยท่าทางแข็งขัน แลดูจริงใจเป็นอย่างมาก
“ลองดูก็ได้”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็เริ่มเดินทางไปพร้อมชายหนุ่ม แน่นอนว่าระหว่างเดินทางทั้งคู่ก็เว้นระยยะห่างกันมากพอสมควร และต้วนหลิงเทียนก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มตลอดเวลา
ถึงแม้เขาจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง
อย่างไรก็ตามในสถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะสมญานามแห่งนี้ เขาไม่รู้ว่ามีอาคมสอดแนมอะไรอยู่รึเปล่า หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่คิดเปิดเผยพลังของเทพเบญจธาตุออกมา
เพราะหากมียอดฝีมือของวิหารเฟิงฮ่าวสอดแนมชมดูเรื่องราวในสถานที่ทดสอบจริง เมื่อเทพเบญจธาตุถูกเปิดเผย ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะล่อลวงให้ยอดฝีมือของวิหารเฟิงฮ่าวเคลื่อนไหว
สุดท้ายแล้วความเย้ายวนใจของเทพเบญจธาตุต่อตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะมันก็มากมายมหาศาลเหลือเกิน
สำหรับชายหนุ่มผู้นี้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าพลังฝีมืออีกฝ่ายที่แท้สูงต่ำแค่ไหน แต่ดูจากท่วงท่าสภาวะการเดินเหิน ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินได้ว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายไม่ใช่ชั่ว!
“สหาย ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไรเหรอ?”
หลังเดินทางตามหาคนอยู่ 2 วัน ชายหนุ่มก็หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “พวกเรากล่าวไปก็รู้จักกันมา 2 วันแล้ว แต่ข้ายังไม่รู้ชื่อสหายเลย”
“ส่วนข้าเรียกว่าเมิ่งห่าวซวน เป็นศิษย์อัจฉริยะของ ‘ขุนเขากระบี่ฟ้า’ ขุมกำลังระดับสวรรค์ในจี้เมี่ยเทียน”
ชายหนุ่มแนะนำตัวเองออกมาก่อน
จี้เมี่ยเทียน?
ขุมกำลังระดับสวรรค์ ขุนเขากระบี่ฟ้า?
หากชายหนุ่มแนะนำว่าตัวเองมาจากขุมกำลังระดับสวรรค์ของระนาบเทวโลกอื่นๆ ต้วนหลิงเทียนก็คงจะไม่ได้สนใจอะไรมันเท่าไหร่…
แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับบอกว่ามาจากขุมกำลังระดับสวรรค์อย่าง ขุนเขากระบี่ฟ้า แห่งจี้เมี่ยเทียน!?
หากเขาจำไม่ผิด…บิดาแท้ๆของฮ่วนเอ๋อก็ไม่ใช่ศิษย์ของขุนเขากระบี่ฟ้าหรือไร? ยังถูกขุนเขากระบี่ฟ้าตัดสัมพันธ์และส่งไปให้วังเทียนฉือด้วยตัวเอง!
กล่าวไปต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้โทษขุนเขากระบี่ฟ้าแม้แต่น้อย กระทั่งยังเข้าใจด้วย ว่าทั้งหมดเป็นเพราะพวกมันหวาดกลัวจักรพรรดิสวรรค์ของอู๋หยาเทียนที่อยู่เบื้องหลังวังเทียนฉือ!
“วังเทียนฉือ ต้วนหลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกไปเสียงเบา
“วังเทียนฉือ!?”
ได้ยินคำแนะนำตัวของต้วนหลิงเทียน ลูกตาเมิ่งห่าวซวนก็หดหยีลงโดยพลัน เร่งถามย้ำออกมาว่า “วังเทียนฉือ ขุมกำลังระดับสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน?”
“ก่อนหน้านี้ขุนเขากระบี่ฟ้าของท่านส่งคนผู้หนึ่งมายังวังเทียนฉือของข้า…แล้วท่านว่าวังเทียนฉือที่ข้าพูดใช่วังเทียนฉือที่ท่านคิดรึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนมองจองตาเมิ่งห่าวซวนเขม็ง จี้ถามออกไปตรงๆ
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน เมิ่งห่าวซวนก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆออกมา “ดูท่าสหายต้วนจะเป็นคนของวังเทียนฉือแห่งอู๋หยาเทียนจริงๆ”
“มิผิด…ขุนเขากระบี่ฟ้าของพวกเราส่งคนไปยังวังเทียนฉือของท่านจริงๆ…ที่สำคัญผู้ที่ถูกส่งตัวไปยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสายข้าอีกด้วย”
เมิ่งห่าวซวนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ใบหน้าเริ่มฉาบไว้ด้วยชั้นน้ำแข็งเย็นๆหนึ่ง กล่าวออกมาด้วยความเคียดแค้นว่า “ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าพวกเฒ่าชราทั้งหลายคิดอะไรอยู่ในหัวกันแน่…ก็แค่ล้มเลิกการหมั้นหมายกับวังเทียนฉือไม่ใช่รึไง? ไม่ทราบไฉนต้องขับศิษย์พี่ใหญ่ออกไปแถมยังจับตัวส่งไปให้วังเทียนฉือท่านลงโทษด้วย!”
“ไฉนท่านถึงยืนอยู่ข้างศิษย์พี่ใหญ่ของท่านเล่า ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของท่านเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นหมายก่อนมิใช่หรือไร?”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องเมิ่งห่าวซวน กกล่าวถามออกไปด้วยความสนใจ
“ก็นะ เรื่องมันเป็นแบบนั้นจริงๆ วังเทียนฉือไม่ได้ทำอะไรผิด…หากจะโทษ ก็ได้แต่โทษขุนเขากระบี่ฟ้าของข้าที่กลัวจักรรรดิสวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังวังเทียนฉือของท่านจนหงอ!”
เมิ่งฮ่าวซวนส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “ถึงแม้วังเทียนฉือจะมีสายสัมพันธ์กับจักรพรรดิสวรรค์ของอู๋หยาเทียนแล้วเป็นอย่างไร…หรือจักรพรรดิสวรรค์ของอู๋หยาเทียนจะบุกมาขุนเขากระบี่ฟ้าด้วยตัวเองเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ด้วย?”
“อีกทั้งต่อให้บุกมาถึงหน้าประตูขุนเขากระบี่ฟ้าจริงๆ คิดหรือว่าจักกรพรรดิสวรรค์แห่งงจี้เมี่ยเทียนของพวกเราจะนิ่ดูดาย?”
กล่าวถึงงจุดนี้ เมิ่งห่าวซวนก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจถึงขีดสุด กล่าวด้วยน้ำเสียงเทิดทูนว่า “จักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนเรา ก็มิใช่ว่าจะด้อยไปกว่าจักรพรรดิสวรรค์ของอู๋หยาเทียน!”
“จักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนที่สหายเมิ่งกล่าวถึง ใช้จักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนคนเก่า? ที่หลังกลับจากนรกอสุราก็ฆ่าจักรพรรดิสวรรค์ที่มาดำรงตำแหน่งตอนไม่อยู่ ทวงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์กลับคืนมาได้สำเร็จใช่หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนอาจไม่รู้จักจักรพรรดิสวรรค์ของระนาบเทวโลกอื่นมากนัก แต่จักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนนั้นเขารู้จักดี เพราะนั่นคืออดีตบรรพชนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ในระนาบเซียน
ในระนาบเซียนนั้น เขาบังเอิญพบผาน้ำตกแห่งหนึ่งที่สลักอักษร ‘กระบี่’ เอาไว้ และนั่นทำให้เขาได้รับถ่ายทอดเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบ่สูงสุด ยอดใจกระบี่ มาครอง และอาศัยมันทำให้เส้นทางสู่สวรรค์ของเขาราบรื่น จนเมื่อขึ้นมายังระนาบเทวโลกแล้ว เขาก็ค่อยๆละเลยยอดใจกระบี่ไป เพราะพลังอำนาจมันอ่อนด้อยเกินไปแล้ว
ทั้งหมดเพราะเขาไม่ได้รับสืบทอดมรดกใดอื่นจากบรรพชนผู้นั้นอีกแล้ว
“ไม่ผิด”
เมิ่งห่าวซวนพยักหน้า ขณะกล่าวถึงจักรพรรดิสวรรค์ที่พึ่งฆ่าจักรพรรดิสวรรค์รักษาการณ์ ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเลื่อมไสศรัทธา “จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนของพวกเรา ยังคงเป็นใต้เท้าฟงชิงหยางไม่แปรเปลี่ยน!”
ฟงชิงหยาง!
ได้ยินนามนี้ แววตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายคิดถึงออกมา
“ไม่ทราบว่าสมญานามของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนท่านคืออะไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยยสงสัย
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ใช้สมญานามที่แท้จริงว่าอะไรกันแน่ เพราะข้าเองก็ไม่เคยได้ยินใครเรียกหาท่านด้วยสมญานามมาก่อน จึงไม่ทราบว่าที่แท้ท่านมีหรือไม่มีสมญานามกันแน่”
เมิ่งห่าวซวนส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “แต่ข้าเคยได้ยินคนบอกมาว่า ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ชอบเรียกหาตัวเองว่า หมอกพิรุณรำลึก”
“หมอกพิรุณรำลึก?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงเร็วไว ยังอดสะท้านใจไปไม่ได้ เพราะดูเหมือนเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง ถึงแม้จะกลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยลืม 7 ทวาราเที่ยงแท้ในระนาบเซียนแม้แต่น้อย!
หาไม่แล้วไฉนถึงเรียกตัวเองว่า หมอกพิรุณรำลึก?
เห็นได้ชัดว่า หมอกพิรุณ ในคำ หมอกพิรุณรำลึก ก็คือชื่อของผู้เที่ยงแท้ลำดับที่ 1 แห่ง 7 ทวาราเที่ยงแท้
‘ดูเหมือนวันหน้าถ้ามีโอกาส…ต้องไปเยือนจี้เมี่ยเทียนสักครา ไปพบเจอผู้อาวุโสฟงชิงหยางสักครั้งและขอบคุณท่าน’
ต้วนหลิงเทียนเป็นคนกตัญญูรู้คุณเสมอมา จึงหวังว่าวันหนึ่งจะได้ไปเยือนจี้เมี่ยเทียนและได้พบกับฟงชิงหยางสักครั้ง จะได้ขอบคุณอีกฝ่ายเรื่องยอดใจกระบี่
ขณะเดียวกันก็ต้องขอโทษอีกฝ่ายครั้งใหญ่ด้วย
‘บางทีผู้อาวุโสฟงชิงหยางก็คงไม่เคยคิดฝัน ว่าวันหนึ่งผู้ที่ได้รับมรดกที่ท่านเหลือทิ้งไว้ในระนาบโลกียะอันต้อยต่ำ จะชักนำเภทภัยใหญ่หลวงมาถึงตัวท่านได้…โชคดีนักที่อาวุโสรอดกลับออกมาจากนรกอสุราได้สำเร็จ ไม่งั้นใจข้าคงไม่อาจปล่อยวางเรื่องนี้ได้ไปชั่วชีวิต’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดในใจเสมอ เมื่อคิดว่าเป็นเพราะเขาคนเดียว ถึงทำให้อาวุโสฟงชิงหยางต้องเสี่ยงเข้าสู่นรกอสุราที่เต็มไปด้วยภยันตราย 9 ตาย 1 รอด…
“สหายท่าน ดูเหมือนจะสนใจใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนเราเป็นพิเศษ? หรือสหายท่านก็เป็นมือกระบี่ด้วย?”
เมิ่งห่าวซวนถามด้วยรอยยิ้มสดใส
ระนาบจี้เมี่ยเทียนนั้น เรียกว่าแดนสวรรค์ของผู้ฝึกกระบี่ก็ว่าได้ เพราะกว่า 9 ส่วนของเซียนอมตะในจี้เมี่ยเทียน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เดินในมรรคากระบี่ทั้งสิ้น และจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง ก็ถูกขนานนามว่าเซียนกระบี่ไร้เทียมทานอีกด้วย!
ในสายตาของคนจี้เมี่ยเทียนแล้ว ไม่มีเซียนกระบี่คนใดในเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลก สามารถทัดเทียมกับฟงชิงหยางได้!
เรียกว่าพวกมันบูชากันถึงขั้นหน้ามืดตามัว!
ตอนแรกเมื่อได้รับข่าวว่าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมันถูกบีบให้ต้องเข้าสู่นรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามแสนอันตรายของระนาบเทวโลก ถึงจะมีหลายคนคิดว่าคนต้องตายไปแล้วแน่ๆ แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าจักรพรรดิสวรรค์ต้องรอดกลับมาได้แน่นอน!
และจักรพรดริสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนคนนี้ก็ไม่ทรยศความเชื่อของผู้ศรัทธา ยามหวนกลับมา ก็สามารถเข่นฆ่าจักรพรรดิสวรรค์ที่ฉวยโอกาส ทวงตำแหน่งจักรพรดิสวรรค์คืนกลับได้ง่ายดาย!
“เมื่อก่อนก็พอจะพูดว่าใช่ได้อยู่หรอก…แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนยส่ายหัวไปมา
ตอนแรกนั้น เพราะอาศัยยอดใจกระบี่ เขาจึงฝ่าฝันเรื่องราวในระนาบโลกียะได้อย่างราบรื่น กระทั่งช่วงขึ้นมายังระนาบเทวโลกใหม่ๆ ยอดใจกระบี่ก็ช่วยเขาไว้ได้ไม่น้อย แต่ยิ่งนานวันยอดใจกระบี่ที่ได้รับสืบทอดจากอาวุโสฟงชิงหยางก็ยิ่งถูกทิ้งไว้ด้านหลัง…
“สหายท่านนี้ จักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนของพวกเราน่ะ เป็นดั่งตำนานที่ยังมีลมหายใจเลยล่ะ…”
จากนั้นเมิ่งห่าวซวนก็เริ่มกล่าวถึงจักรพรรดิสวรรค์ของตัวเองออกมาด้วยความภาคภูมิใจ น้ำเสียงบ่งบอกว่าเทิดทูนไว้เหนือสิ่งใดอื่น จากนั้นต้วนหลิงเทียนจึงได้รับทราบวีรกรรมน่าชื่นชมที่ฟงชิงหยางสร้างไว้ในจี้เมี่ยเทียนมากมาย
ต้วนหลิงเทียนเองก็สนใจเรื่องราวเหล่านี้ไม่น้อย จึงฟังเมิ่งห่าวซวนเล่าอย่างอดทน
WSSTH ตอนที่ 3,288 : เผ่ามังกรโลหิต จี้เฉวียน!
บางทีอาจเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนตั้งหน้าตั้งตาฟังเรื่องราวของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนที่ตนเล่า เมิ่งห่าวซวนจึงรู้สึกดีกับต้วนหลิงเทียนมากขึ้น
หลังจากนั้นพอได้พูดคุยกันไปสักพัก ก็เริ่มสนิทกันมากกว่าเดิม
“น้องชายหลิงเทียน ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าที่ถูกขังไว้ในคุกหมื่นพันธนาการของวังเทียนฉือท่าน…มิทราบว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว ท่านพอจะทราบสถานการณ์ในปัจจุบันของศิษย์พี่ใหญ่ข้าหรือไม่?”
บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกว่าสนิทกับต้วนหลิงเทียนในระดับหนึ่งแล้ว เมิ่งห่าวซวนอยู่ๆก็เปลี่ยนเรื่อง และถามถึงเรื่องละเอียดอ่อนดังกล่าวออกมาตรงๆ
“คุกหมื่นพันธนาการ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหรี่งทันที เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินเรื่องคุกหมื่นพันธนาการของวังเทียนฉือ แม้เขาจะอยู่ในวังเทียนฉือแล้ว กระทั่งลองไปตรวจสอบที่ทาง และหลอกถามศิษย์คนอื่นเพื่อหาเบาะแสสถานที่ๆบิดามารดาฮ่วนเอ๋อถูกจับขังไว้ทั้งเดือน แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย
เขากับฮ่วนเอ๋อก็ไม่กล้าถามศิษย์ที่มีสถานะสูงๆด้วย
คนฐานะต่ำก็ไม่รู้อะไรเลย
ต้วนหลิงเทียนก็คิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว เขาจึงวางแผนว่า รอให้อยู่ในด่านของฉือหล่างอีกสักพัก จากนั้นค่อยเลียบๆเคียงๆถามฉือหล่างดูทีเดียว เพราะฉือหล่างในฐานะที่เป็นถึง 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ ต้องรู้แน่ว่าบิดามารดาฮ่วนเอ๋อถูกขังไว้ที่ไหน
เดิมทีเขาเองก็คิดว่าต้องรอสืบจากฉือหล่าง จึงจะรู้ว่าสถานที่ๆบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อถูกขังไว้เป็นที่ไหน แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้มารู้ชื่อสถานที่ๆบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อถูกขุมขังจากศิษย์ของขุนเขากระบี่ฟ้า ในสถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะสมญานามซะได้!
“พี่เมิ่ง ท่านแน่ใจหรือว่าศิษย์พี่ใหญ่ของท่านถูกขังไว้ในคุกหมื่นพันธนาการ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม สองตาที่มองเมิ่งห่าวซวนยังทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง
“เรื่องนี้เป็นอาจารย์ของข้าบอกมา…”
เมิ่งห่าวซวนกล่าว “อาจารย์ของข้าก็คือจักรพรรดิอมตะกระบี่ซ่อน ที่รู้จักกันดีในนาม ‘ผู้เฒ่ากระบี่ซ่อน’ ของขุนเขากระบี่ฟ้า…ที่จริงกล่าวไปแล้วอาจารย์ของข้ากับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ก็เสมือนเส้นทางพาดทับกันมาครั้งหนึ่ง”
ขณะกล่าวเรื่องนี้ออกมา สีหน้าเมิ่งห่าวซวนก็เต็มไปด้วยความภูมิใจ
“โอ้?”
ต้วนหลิงเทียนมองเมิ่งห่าวซวนด้วยความสนใจ “เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”
ในสายตาเขา ลองเมิ่งห่าวซวนบอกมาว่าอาจารย์ของมีจุดตัดกับอาวุโสฟงชิงหยางแบบนี้ หมายความว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้จักและมีไมตรีต่อกันบางอย่าง
“ในอดีตตอนที่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ยังไม่ได้เป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ท่านได้เดินทางท่องไปทั่วสารทิศ ท้าประลองกับมือกระบี่ที่ร้ายกาจมากมาย…อาจารย์ของข้าก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกท้า และแพ้พ่ายต่อใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์”
เมิ่งห่าวซวนกล่าว
พออีกฝ่ายกล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปพักหนึ่ง และถามแทรกขึ้นมาทันที “พี่เมิง…ท่านคงไม่ได้จะบอกว่า เส้นทางพาดทับของท่าน…คือการพ่ายแพ้จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางเฉยๆ ไม่ใช่เพราะรู้จักกันอะไรแบบนั้นหรอกนะ?”
“ก็ได้พบเจอประลองกันแล้วแพ้พ่าย ไม่ใช่ว่าก็เสมือนเส้นทางได้พาดผ่านกันแล้วรึ?”
เมิ่งห่าวซวนกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
หากเช่นนี้ถือว่าเส้นทางพาดผ่าน แล้วเขาล่ะเรียกว่าอะไร? เพราะเขาเป็นผู้ที่เคยได้รับสืบทอดมรดกยอดใจกระบี่ที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ในบ้านเกิดเชียวนา?
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนก็ร่วมเดินทางตระเวนหาคนอยู่อีก 2 วันกว่าจะพบเจอบุคคลที่ 3
บุคคลที่ 3 ที่ว่าเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ มาในชุดคลุมสีเทา คิ้วหน้าตาโต ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายดุร้ายดิบเถื่อน ไม่คล้ายผู้คน
“คนผู้นี้มิใช่มนุษย์”
เมิ่งห่าวซวนส่งเสียงผ่านพลังไปคุยกับต้วนหลิงเทียน ขณะพากันเหินร่างเข้าไปหาชายหนุ่มร่างสูงใหญ่
“ข้าว่างั้น”
ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เข้าใกล้อีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้แต่แรกว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างอีกฝ่ายมันดุร้ายและแข็งกร้าวอย่างเป็นธรรมชาติเกินไป ประหนึ่งสัตว์ป่าที่กระหายเลือดตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น นี่ไม่ใช่อะไรที่มนุษย์จะมีได้แน่นอน
“หืม?”
เมื่อเห็นพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 2 เหินร่างเข้าใส่ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่เผยเจตนาหลบหนีแม้แต่นิดเดียว เพียงหยุดร่างลงกลางหาว รอให้ทั้งคู่เข้าใกล้อย่างสงบ
“หึ!!”
และก่อนที่พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 2 จะทันได้เข้าใกล้ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แลดูล่ำสัน ก็พ่นลมสบถเยียบเย็นคำหนึ่ง จากนั้นก็ลงมือออกมาทันที!
แขนขวาที่เต็มไปด้วยกล้ามของมัน อยู่ๆก็สะบัดโบกออกมาฉับไว หลังจากนั้นก็ปรากฏกลิ่นอายเย็นยะเยือกแผ่พุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวน ทิ้งอากาศที่จับตัวแข็งเป็นไอขมุกขมัวเอาไว้ตามรายทาง!
“กฏน้ำแข็งรึ?”
เมื่อเห็นว่ามีไอเย็นยะเยือกแผ่พุ่งโถมมาดั่งคลื่นสมุทร! ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลง จากนั้นร่างก็อันตรธานหายวับไป ไม่ได้แยแสไอเย็นที่โถมมาแม้แต่น้อย!!
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
…
ด้านเมิ่งห่าวซวนนั้น ทั่วร่างปรากฏรังสีกระบี่สีทองอันแผ่กลิ่นอายแหลมคมหลายสายม้วนวนโคจรรอบกายปานเส้นแสง! สับสะบั้นทุกสิ่งอย่างที่กร้ำกรายได้อย่างง่ายดาย ไอเย็นที่แผ่พุ่งเข้ามาไม่อาจทำอะไรรังสีกระบี่สีทองได้เลย!!
“เจ้าไม่เบาเลยนี่!”
ชายหนุ่มร่างใหญ่มองจ้องไปยังเมิ่งห่าวซวนด้วยความสนใจ เพราะอีกฝ่ายลุยฝ่าม่านไอเย็นของมันเข้ามาโต้งๆ!
สำหรับด้านต้วนหลิงเทียนนั้น เพราะใช้เคลื่อนมิติหลีกหลบ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จึงไม่อาจมองพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนได้ออก จึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
ทว่าการลงมือของเมิ่งห่าวซวนนั้นตรงไปตรงมา ทำให้มันรับทราบความสูงต่ำของอีกฝ่ายได้ประมาณหนึ่ง
“สหายท่านนี้ใจเย็นก่อน พวกเรามิได้มีเจตนาร้าย”
ในขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังจะลงมืออีกครั้ง เมิ่งห่าวซวนก็เร่งกล่าวออกมาเร็วไว “พวกเราเข้ามาหาท่าน เพียงเพราะคิดชวนท่านเข้าสู่ด่านทดสอบย่อยแห่งหนึ่งในสถานที่ทดสอบแห่งนี้”
“อ้อ?”
ได้ยินคำพูดของเมิ่งห่าวซวน ชายร่างสูงใหญ่บึกบึนที่กำลังจะออกกระบวนท่าอีกครั้ง ก็หยุดมือลง ทว่าสายตายังจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนไม่วางตา พลังยังคงโคจรพร้อมพรั่ง สภาวะต่อสู้ไม่คลาย สามารถลงมือได้ทุกเวลา
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนไม่แปลกใจอะไร กระทั่งยังเข้าใจความระวังตัวของอีกฝ่าย เลือกที่จะหยุดร่างห่างไกลจากอีกฝ่ายประมาณหนึ่ง จากนั้นก็เผยท่าทีสงบไร้จิตต่อสู้
“ข้ามาจาก ขุนเขากระบี่ฟ้า ขุมกำลังระดับสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียน เมิ่งห่าวซวน”
เมิ่งห่าวซวนที่หยุดมองชายหนุ่มร่างใหญ่ด้วยท่าทางไม่มีพิษมีภัยกล่าวแนะนำชื่อตัวเองรวมถึงความเป็นมาด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัยก่อน ค่อยผายมือไปทางต้วนหลิงเทียนและกล่าวแนะนำออกมา “ส่วนสหายที่มากับข้าด้านนี้คือต้วนหลิงเทียนจากวังเทียนฉือของอู๋หยาเทียน”
“ข้ากับสหายต้วน พวกเราก็พึ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน…ด่านทดสอบที่ว่าเป็นข้าพบเจอโดยบังเอิญ สหายต้วนก็คือคนแรกที่ข้าพบเจอและชักชวนมาได้”
เมิ่งห่าวซวนกล่าว
“ว่านโช่วเทียน เผ่ามังกรโลหิต จี้เฉวียน!”
ชายหนุ่มร่างใหญ่กล่าวออกมาเสียงห้วน แนะนำชื่อและความเป็นมาอย่างกระชับได้ใจความ
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนจึงยืนยันได้ว่า อีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์จริงๆ
ว่านโช่วเทียนนั้นเป็นระนาบเทวโลกที่เหล่าสัตว์อมตะทั้งหลายปกครอง และแทบไม่มีมนุษย์สามารถอาศัยอยู่ได้เลย เรียกว่าเป็นสถานที่ๆมนุษย์อยู่ยากมาก!
“ที่แท้เป็นสหายจี้จากเผ่ามังกรโลหิตอันโด่งดังของว่านโช่วเทียนนี่เอง…ว่าแต่สหายจี้สนใจด่านทดสอบที่ข้าพูดถึงเมื่อครู่หรือไม่?”
เมิ่งห่าวซวนยิ้มถาม
“ใช่”
จี้เฉวียนพยักหน้ารับเบาๆ
ด้วยประการฉะนี้กลุ่มของต้วนหลิงเทียน ก็เลยมีสมาชิกทั้งสิ้น 3 คนแล้ว
“เอาล่ะ พวกเราไปตามหาคนต่อเถอะ อีกแค่ 2 คนพวกเราก็จะได้เข้าไปยังสถานที่ทดสอบนั่นแล้ว”
เมิ่งห่าวซวนกล่าว
ทั้ง 3 ร่วมเดินทางไปด้วยกัน แน่นอนว่ายังคงเว้นระยะห่างกันประมาณหนึ่ง
“เผ่ามังกรโลหิต?”
ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกสนใจจึงส่งเสียงผ่านพลังไปถามเมิ่งห่าวซวน “ข้ารู้แค่ว่าในว่านโช่วเทียนมีเผ่าพันธุ์มังกรดำรงอยู่ และจัดเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ด้วย…แล้วเผ่ามังกรโลหิตนี่มีความเป็นมาอย่างไรบ้างหรือ?”
“น้องหลิงเทียน เผ่ามังกรโลหิตนี้ ท่านจะเข้าใจว่ามันเป็นเผ่าย่อยที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระจากเผ่ามังกรก็ได้…อย่างไรก็ตามแม้จะเป็แค่เผ่าย่อยที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระ แต่ก็มีจักรพรรดิอมตะสมญานามถึง 5 คน และพลังฝีมือก็ไม่ใช่เล่นๆเลย”
เมิ่งห่าวซวนก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับฉับไว “เป็นธรรมดาว่าถึงแม้จะเป็นเผ่าพันธุ์ย่อยที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระของเผ่าพันธุ์มังกร แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ามังกรโลหิตกับเผ่ามังกรก็ค่อนข้างระหองระแหงมาก”
“เห็นว่าเผ่ามังกรของว่านโช่วเทียน ไม่ยอมรับว่าเผ่ามังกรโลหิตเป็นหนึ่งในสายพันธุ์มังกรของพวกมัน”
หลังได้ยินคำพูดดังกล่าวของเมิ่งห่าวซวน ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
ทั้ง 3 เหินร่างตระเวนไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก
หลังจากผ่านไปอีก 5 วัน ในที่สุดก็พบเจออีก 2 คน และทั้งคู่ก็ไม่ได้มาจากขุมกำลังระดับสวรรค์แต่อย่างใด หนึ่งในนั้นมาจากขุมกำลังระดับหนึ่ง ส่วนอีกคนเป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัด
“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้พวกเราก็มีครบ 5 คนแล้ว…เช่นนั้นพวกเราเดินทางไปยังสถานที่ตั้งด่านทดสอบย่อยกันเลยเถอะ”
เมิ่งห่าวซวนหันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆด้วยรอยยิ้ม หลังรวบรวมคนได้ครบ 5 คนตามกำหนด
ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
และตอนนี้ 5 คนก็เหินร่างรวมกลุ่มกันไม่ได้เว้นระยะห่างแต่อย่างใด เพราะทั้ง 5 ได้ตกลงร่วมกันแล้วว่าจะไปยังด่านทดสอบย่อย หากมีใครอุตริเปิดฉากลงมือ ไม่พ้นได้ตกเป็นเป้าสังหารของอีก 4 คนที่เหลือทันทีแน่!
“อยู่นั่นไง”
ภายใต้การนำทางของเมิ่งห่าวซวน ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ได้พุ่งดิ่งลงทะเลสาบบแห่งหนึ่ง จากนั้นดำลงน้ำไปไม่ทัรไร ก็พบว่าก้นทะเลสาบจุดหนึ่ง มีประตูมหึมาที่แลดูเก่าแก่โบราณ 5 บานลอยเหนือก้นทะเลสาบเล็กน้อย
“ประตูทั้ง 5 บานต้องใช้คนทั้ง 5 เปิดออกพร้อมกัน…ข้าเคยใช้ความเร็วสูงสุด จนเสมือนมีเงาเปิดประตูทั้ง 5 บานพร้อมๆกัน แต่กลับไม่อาจเปิดมันได้”
เมิ่งห่าวซวนกล่าว “มีแต่ต้องเป็นคนจริงๆเท่านั้นถึงจะเปิดประตูได้ เพราะหลังไปยืนหน้าบานประตู…มันจะมีพลังสายหนึ่งแผ่ออกมาตรวจสอบผู้ที่จะเปิดประตู”
ในขณะที่ห่าวซวนควบเสียงผ่านพลังส่งตรงถึงหูทั้ง 4 คน มันก็ไม่อยู่เฉย เลือกจะเหินร่างไปหยุดลอยใกล้ๆประตูบานหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่น ก็ไม่ได้ยืนเฉยเลือกจะลอบไปอยู่เบื้องหน้าประตูอีก 4 บานคละประตูเช่นกัน
และไม่ทันที่ทั้ง 5 จะแตะประตูอะไร เพียงแค่ลอยหน้าประตู น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ก็เริ่มสั่นไหว ปานกำลังจะเดือดพล่าน!
หากมีใครอยู่ด้านบนทะเลสาบ ไม่พ้นต้องตกใจแน่เพราะทะเลสาบแต่เดิมที่เคยยสงบ ตอนนี้เสมือนมันถูกต้มจนเดือดแล้วจริงๆ!
ประตูทั้ง 5 บานที่อยู่ก้นทะเลสาบก็เริ่มเปิดออกทีละบาน จากนั้นก็มีพลังขุมหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากประตูแต่ละบาน และปกคลุมร่างคนทั้ง 5 หน้าประตูเร็วไว!
พริบตาต่อมาร่างคนทั้ง 5 หน้าประตูก็อันตรธานหายไปทันที!
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนที่พบว่าเบื้องหน้ากลายเป็นมืดมิดไปครู่หนึ่ง พอเห็นแสงสว่างอีกครั้ง เขาก็มองสำรวจไปรอบๆทันที จึงพบว่าตัวเองถูกส่งมายังพื้นที่ปิดสนิทแห่งหนึ่ง คล้ายห้องเล็กๆทรงสี่เหลี่ยมจัดตุรัส และไม่ทันไรเขาก็พบว่ามีแรงกดดันมหาศาลกำลังกดทับเข้าร่าง! ประหนึ่งสายน้ำเชี่ยวโถมถันเข้าร่างเขาจากทุกทิศทาง!!
เขาลองใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานพลังมิติเพื่อต้านทานรับมือแล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร แรงกดดันพลังมหาศาลดังกล่าวมันบดขยี้พลังของเขาได้อย่างง่ายดายนัก!
“ที่นี่นับว่าเหมาะยิ่งนักที่เจ้าจะใช้หลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิว!”
ตอนนี้เองเสียงของวารีเทพชำระโลกาพลันดังขึ้นเข้าหู ทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันที
“แล้วจะหลอมมันอย่างไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“เจ้านั่งขัดสมาธิลงไปก่อน จากนั้นข้าจะชักนำสารัตถะที่พฤกษาเทพดูดกลืนมาจากต้นไม้เทพสนหลิวและผสานมันเข้ากับร่างกายของเจ้า…จากนั้นเจ้าก็ทำตามวิธีที่ข้าจะบอกเพื่อหลอมเกลาสารัตถะที่ว่าให้เป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์”
วารีเทพชำรโลกากล่าว
“ได้”
ต้วนหลิงเทียนตอบ ไม่รอช้าทิ้งตัวลงนั่งจุ้มปุ๊กบนพื้นห้องทันที
หลงจากนั้นทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏแสงพลังสีขาวห่อหุ้มเอาไว้โดยยสมบูรณ์
แรงกดดันอันน่ากลัวโดยรอบก็กระหน่ำเคี่ยวกรำเข้ามาไม่หยุด
ทุกวินาทีที่แรงกดดันด้านนอกโถมกระหน่ำเข้ามา แสงสีขาวที่ว่าก็เสมือนถูกบีบอัดให้ผสานเข้าไปในร่างต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็ทะลักออกมาใหม่ก่อนจะถูกบีบอัดหายเข้าร่างไปอีกครั้ง…ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นรอบแล้วรอบเล่าอย่างไม่รู้จบ
‘ที่แท้สารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวที่พฤกษาเทพกำเนิดชีพ ก็หลอมได้ด้วยวิธีนี้…น่าทึ่งจริงๆ’
‘รู้สึกเหมือนร่างกายข้ากำลังบังเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง…’
ขณะที่หลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวถูกหลอมให้ผสานเข้าสู่ร่างกาย ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มอยู่บ้าง
WSSTH ตอนที่ 3,289 : สมคบคิด
“พี่สาวสุ่ย ว่าแต่ที่นี่มันเป็นบททดสอบอะไรหรือ?”
ในขณะที่อาศัยแรงกดดันพลังจากด่านทดสอบหลอมสารัตถะขอต้นไม้เทพสนหลิว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามวารีเทพชำระโลกาออกมาด้วยความอยากรู้
เพราะเขาพึ่งจะเข้ามาที่นี่ได้ไม่ทันไร ก็พบเจอกับแรงกดดันพลังที่โถมถันเข้ามาเสียแล้ว แถมยิ่งมาดูเหมือนแรงกดดันนี่ยังจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆอีก
อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้แรงกดดันที่ว่า ยังไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับเขาเลย
“ที่นี่น่ะรึ? น่าจะเป็นการหาทางหนีออกไปจากที่นี่ภายใต้แรงกดดันเท่านั้นล่ะ”
วารีเทพชำระโลกากล่าว “แต่เจ้าที่ต้องใช้แรงกดดันในการหลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิว ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนออกไปจากที่แต่อย่างไร”
“ตอนที่เจ้ารู้สึกว่าทนรับแรงกดดันที่นี่ไม่ไหวอีกต่อไป เจ้าอาจจะยังหลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิวไม่เสร็จ ถึงตอนนั้นค่อยหลบหนีออกไปก็ยังไม่สาย”
คำพูดของวารีเทพชำระโลกา ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง
เขาไม่อาจอยู่ที่นี่ได้ตลอดทั้งปี และเขาอาจจะทนรับแรงกดดันที่นี่ได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง จำต้องออกไปหาสถานที่ทำนองนี้เพื่อหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวต่อให้เสร็จ
‘ข้าคิดง่ายเกินไป…นึกว่าจะอาศัยแรงกดดันที่นี่หลอมสารัตถะเต้นไม้เทพสนหลิวได้แล้วเสร็จในเวลา 1 ปีเสียอีก ที่แท้ดูเหมือนจะหลอมได้แค่บางส่วนก็ต้องหนีออกไป และหาสถานที่ทดสอบแบบนี้ใหม่’
ในขณะที่ลอบกล่าวอย่างทอดถอนในใจ ต้วนหลิงเทียนก็หลอมเกลาทั้งดูดซับพลังที่แผ่ออกมาจากโลกใบเล็กไม่หยุด
และนั่นก็คือสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว
ระหว่างหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าสารัตถะที่ผ่านการหลอมเกลาแล้วมันเริ่มผสานหลอมรวมไปกับร่างกายเขาอย่างแยกไม่ออก
และกลิ่นอายพลังของมันก็ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมสำหรับเขาเลย เรียกว่ามันเป็นกลิ่นอายพลังชีวิตของฝานฉีที่เขาฆ่าตายไปก่อนหน้านี้
ฝานฉี ก็คือต้นไม้เทพสนหลิวที่ถูกเขาใช้พลังของพฤกษาเทพกำเนิดชีพดูดกลืนสารัตถะมานั่นเอง อีกฝ่ายเป็นต้นไม้เทพสนหลิวที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ ยังเป็นถึงศิษย์อัจฉริยะที่ร้ายกาจคนหนึ่งของวังเทียนฉือ…
“ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวหรือ…ช่างน่ารอดูชมจริงๆ”
จนถึงตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่เข้าใจว่าร่างอวตารกฏมันคืออะไรกันแน่ เพราะวารีเทพชำระโลกาก็ยังไม่ได้อธิบายให้เขาฟังมากมาย เพียงบอกว่าหลังเขาหลอมสารัตถะแล้วเสร็จ พอควบรวมพลังสร้างร่างอวตารกฏได้เขาก็จะเข้าใจเอง..
ดังนั้นเขาจึงบังเกิดความตั้งหน้าตั้งตารอดูชมร่างอวตารกฏที่ว่าพอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาต้องหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวให้เป็นส่วนหนึ่งของเขาเสียก่อน
“พี่สาวสุ่ย ว่าแต่ในเมื่อข้าสร้างร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวได้ เช่นนั้นข้าสามารถสร้างร่างอวตารกฏของพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามวารีเทพชำระโลกาด้วยความสงสัย
เรื่องนี้อยู่ๆเขาก็นึกขึ้นมาได้
เพราะสุดท้ายพฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ยอมรับเขาเป็นนายแล้ว ทั้งยังปักหลักอยู่ในโลกใบเล็กของเขาเรียบร้อย จึงไม่รู้ว่าจะสามารถหลอมมันเพื่อสร้างร่างอวตารกฏได้ด้วยรึเปล่า
“หากเจ้าคิดจะสร้างร่างอวตารกฏของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ อันดับแรกเจ้าต้องหลอมสารัตถะของพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่อยู่ในโลกใบเล็กของเจ้าเสียก่อน…เรื่องนี้พูดง่ายกว่าทำ! เพราะต่อให้เป็นตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็ยากจะกระทำได้ สิ่งนี้เสมือนฝ่าฝืนกฏบางอย่างท่ามกลางสวรรค์และโลก”
วารีเทพชำระโลกากล่าวตอบออกมาเร็วไว “ดังนั้นเจ้าเลิกคิดถึงเรื่องนี้เสียจะดีกว่า…”
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจ้าสามารถหลอมสร้างร่างอวตารกฏของพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้สำเร็จ แต่เจ้าจะกล้าใช้มันสุ่มสี่สุ่มห้าหรือ?”
“ต้องทราบด้วยว่าปกติแล้วพฤกษาเทพกำเนิดชีพทั้งต้นนั้น เป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะมีได้…ด้วยมีตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุดสะกด ผู้ใดจะกล้าช่วงชิงง่ายๆ? แต่หากเจ้าใช้ร่างอวตารกฏของพฤกษาเทพกำเนิดชีพออกมา สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรเจ้าเขียนประกาศแปะไว้กลางหน้าผากว่าเจ้ามีพฤกษาเทพกำเนิดชีพ…”
กล่าวถึงจุดนี้น้ำเสีงของวารีเทพชำระโลก็จริงจังไม่น้อย “เชื่อข้าเถอะ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเมื่อไหร่ ตัวตนระดับเทพทั้งมวลไม่เว้นเหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดบางส่วน ต้องรีบวิ่งโร่มาหาเจ้าแน่! และหากพวกมันไม่หลอมเจ้าทั้งเป็นหรือฆ่าเจ้าเพื่อสกัดสารัตถะของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ก็อาจจะกลืนกินเจ้าโดยตรงเพื่อดูดซับพลัง…กล่าวไปขอแค่พวกมันกัดเจ้าได้สักคำ จะแขนจะขาเจ้าสักข้างก็ดี ล้วนมีค่ามากกว่ากิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพแล้ว…”
วารีเทพชำระโลกาหยุดเล็กน้อย ค่อยยกล่าวอธิบายว่า “เนื่องเพราะพฤกษาเทพกำเนิดชีพมันแตกต่างจากต้นไม้อมตะและต้นไม้เทพอื่นๆ…ต้นไม้อมตะกับต้นไม้เทพอื่นๆนั้น หากเจ้าหลอมสารัตถะของมันเป็นส่วนหนึ่งของพลังเจ้าแล้ว ต่อให้คนอื่นฆ่าเจ้าไปก็ไม่อาจช่วงชิงไปจากเจ้าได้ เพราะมีโอกาสสูงมากที่สารัตถะดังกล่าวจะสลายหายไปทั้งหมดหลังเจ้าตาย…”
“อย่างไรก็ตามพฤกษาเทพกำเนิดชีพมีพลังชีวิตมหาศาลขนาดไหนกัน? ต่อให้เจ้าตายไปแต่มันก็มีโอกาสสูงที่จะยังอยู่…”
หลังได้ยินคำพูดของวารีเทพชำระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็เงียบไปทันที…
ขณะเดียวกันเขาก็ไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
ล้อกันเล่นรึไง!
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาคงไม่มีทางหลอมสารัตถะของพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้สำเร็จ ต่อให้ทำได้จริงเขาก็ไม่คิดจะทำแน่…เพราะหลังจากที่ฟังวารีเทพชำระโลกาแล้ว หากเขาหลอมสารัตถะของพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้ ไม่ใช่เขาจะกลายเป็น ‘พระถังซัมจั๋ง’ ในไซอิ๋ว ที่ใครๆก็อยากเฉือนเนื้อไปหม่ำสักชั่ง ดื่มเลือดสักชามก็ยังดีหรือไร?
‘ไม่รู้อีก 4 คนที่เหลือจะเป็นไงกันบ้าง’
ในขณะที่หลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่โถมเข้าร่างเขาทุกอณูชัดเจน
เขารู้ว่าป่านนี้ไม่พ้นอีก 4 คนที่เหลือรวมถึงเมิ่งห่าวซวนต้องกำลังหาทางออกจากพื้นที่ปิดทำนองนี้เป็นแน่
เพราะหากไม่อาจหาหนทางออกไปได้ทัน สุดท้ายก็ต้องถึงจุดที่ไม่อาจทานทนแรงกดดันได้ไหว ถูกแรงกดดันพลังโดยรอบป่นปี้จนแหลกเป็นซากเนื้อเลอะเลือนกองอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล…
…
ณ อู๋หยาเทียน
วังเทียนฉือ
“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น…”
ณ เขตที่อยู่อาศัยของของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ หานอวิ๋นจิ่นที่ออกจากการปิดด่านเพระถูกเรียก พอเดินออกไปนอกลานที่พักบ่มเพาะ ก็พบเจอร่างเหนือความคาดหมายหนึ่งรออยู่
“เหลยจวิ้น?”
เห็นร่างผู้มาเยือนคนนี้ หานอวิ๋นจิ่นอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วย่นเป็นปม
ผู้มาเยือนที่ว่า สำหรับมันก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไร เพราะอีกฝ่ายก็คือนายน้อยของตำหนักลองกระบี่ เหลยจวิ้น ศิษย์ลำดับที่ 2 รวมถึงลูกชายคนเดียวของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงจ้าวตำหนักลองกระบี่!
อยู่ๆเหลยจวิ้นมาเคาะประตูบ้านมันแบบนี้ มันอดงุนงงไปไม่ได้…ด้วยมันไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับเหลยจวิ้น แม้แต่สหายก็ไม่ใช่
กระทั่งศิษย์น้องหญิง 3 ของเหลยจวิ้นยังเป็นสตรีข้างกายต้วนหลิงเทียน คนที่จะต้องสู้กับมันให้ตายไปข้างในอีก 3 ปีหลังจากนี้ที่สังเวียนอัจฉริยะ
กล่าวไปในระดับหนึ่ง เหลยจวิ้นสมควรเป็นศัตรูของมันมากกว่า
“ศิษย์น้องเหลย มิทราบลมอันใดหอบเจ้ามาถึงบ้านข้าได้?”
หานอวิ๋นจิ่นมองเหลยจวิ้นด้วยสายตเฉยชา กล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น นี่ท่านคงมิได้มองว่าข้า เหลยจวิ้น ผู้นี้เป็นศัตรูอยู่หรอกนะ?”
เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มบางๆ
“หึ!”
หานอวิ๋นจิ่นพ่นลมสบถออกมาเสียงเย็น “ศิษย์น้องหญิง 3 ของเจ้าเป็นคนรักต้วนหลิงเทียนที่เป็นศัตรูของข้า…เจ้าในฐานะศิษย์พี่รองของนาง หรือจะบอกว่าไม่ใช่ศัตรูของข้า?”
“หรือเจ้าเหลยจวิ้นจะกล่าวอ้างว่า มิรู้ว่าข้า หานอวิ๋นจิ่น กำลังจักขึ้นประลองเป็นตายบนสังเวียนอัจฉริยะในรูปแบบไม่ตายไม่เลิกรากับต้วนหลิงเทียนในอีก 3 ปีหลังจากนี้?”
กล่าวถึงท้ายประโยคหานอวิ๋นจิ่นก็มองจ้องเหลยจวิ้นด้วยสายตาเยียบเย็น
“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น ที่ข้ามาหาท่านถึงที่นี่ ทั้งหมดก็เพราะการประลองเป็นตายของท่านกับต้วนหลิงเทียนในอีก 3 ปีให้หลัง…”
เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มบางๆ
และในขณะที่สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นเริ่มมืดดำค้ำลง เหลยจวิ้นก็รีบกล่าวสืบต่อว่า “ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น การต่อสู้ในอีก 3 ปีให้หลัง กระทั่งตัวท่านเองก็คงไม่ได้มั่นใจว่าจะชนะแน่กระมัง?”
กล่าวถึงจุดนี้ เหลยจวิ้นก็หยีตาเพ่งมองสบตาหานอวิ๋นจิ่นเขม็ง ราวกับจะมองทะลุถึงจิตใจหานอวิ๋นจิ่นได้
“เหลวไหล!”
หานอวิ๋นจิ่นแค่นคำเย้ยเยาะ “ข้า หานอวิ๋นจิ่น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือ…หรือยังต้องกลัวเด็กน้อยขนอุยอายุไม่ถึง 300 ปีคนหนึ่ง?”
“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น กับข้า ท่านไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้หรอก…”
เหลยจวิ้นส่ายหัวไปมา “หากข้าเป็นท่าน ข้าเองก็ไม่กล้าพูดออกมาเต็มปากเหมือนกันว่ามั่นใจ นี่ก็เป็นปกติของผู้คน”
“เพราะสุดท้ายแล้วในเมื่อเจ้านั่นมันกล้าท้าประลองเป็นตายกับท่านในอีก 3 ปีให้หลังบนสังเวียนอัจฉริยะ ไม่ว่าจะทีเล่นทีจริงอะไรก็แล้วแต่…มันนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ”
“นอกจากนั้น จากที่ข้าติดตามดูต้วนหลิงเทียนผู้นี้มาแต่แรก ไม่แน่ว่าที่มันกระทำเช่นนี้เพียงเพื่อจะขู่ท่านอย่างเดียว…ดังนั้นท่านเองก็มีความเสี่ยงไม่ใช่น้อยๆ”
“ถึงข้าจะไม่รู้ว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนนั่นมันมีไพ่ตายอะไรซุกซ่อนไว้? หรือกลับกันต่อให้ข้าจะมั่นใจว่าสามารถฆ่ามันบนสังเวียนอัจฉริยะในอีก 3 ปีได้แน่ๆ…”
“ทว่าข้าก็ไม่คิดจะไม่ป้องกัน…กระทั่งข้ายังจะพยายามขจัดความเสี่ยงทั้งหมด!”
เหลยจวิ้นกล่าวถึงจุดนี้ ก็กล่าวคำแฝงความนัยออกมา “หากข้าเดาไม่ผิด…วันนั้นที่ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่นตอบรับคำท้าประลองกับต้วนหลิงเทียนไป ก็คงไม่ต่างอะไรจากไล่เป็ดขึ้นคอน…”
เมื่อเห็นหานอวิ๋นจิ่นชักหน้าเคร่งคล้ายกำลังจะปฏิเสธออกมา เหลยจวิ้นก็รีบกล่าวต่อว่า “ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น ท่านอย่าได้ยืนกรานปฏิเสธเลย…ท่านวางใจเถอะ ที่ข้ามาที่นี่ทั้งหมดเพื่อช่วยท่านโดยเฉพาะ”
“มาช่วยข้าโดยเฉพาะ?”
หานอวิ๋นจิ่นขมวดคิ้ว ดวงตาฉายแววประหลาดใจให้เห็น “ที่เจ้าพูดหมายความว่าอะไร?”
“ข้ามาที่นี่ ทั้งหมดมีเรื่องเดียว…ร่วมมือกับท่านกำจัดต้วนหลิงเทียน!”
เหลยจวิ้นกล่าวออกมาตรงๆ จากนั้นในแววตาก็ฉายประกายเยียบเย็นวาบหนึ่ง สิ่งนี้บ่งบอกชัดว่าวาจาของมันหาได้แปลกปลอมไม่!
“โฮ่?”
ได้ยินคำพูดของเหลยจวิ้น หานอวิ๋นจิ่นก็บังเกิดความสนใจขึ้นมาทันที “ไฉนเจ้าถึงต้องการกำจัดต้วนหลิงเทียนด้วยเล่า? เท่าที่ข้ารู้เจ้านั่นมันก็พึ่งเข้าร่วมวังเทียนฉือได้ไม่นาน ทั้งเป็นชายคนรักของศิษย์น้องหญิง 3 ของเจ้า…มิทราบมันไปทำให้เจ้าเหลยจวิ้นขุ่นขึ้งตรงที่ใด ถึงขั้นทำให้เจ้าคิดจะกำจัดมันทิ้งไปได้?”
“มันไม่ได้ทำให้ข้าขุ่นขึ้งหมองเคืองตรงที่ใด…เหตุผลเดียวที่ข้าอยากกำจัดมันให้พ้นทาง เพราะข้าอยากได้ศิษย์น้อง 3 มาเป็นสตรีของข้า!”
ขณะกล่าวแววตาของเหลยจวิ้นก็เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย เผยเจตนาอยากครอบครองชัดเจน!
หานอวิ๋นจิ่นมองตาเหลยจวิ้นพักหนึ่ง ก็สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่า แววตาดังกล่าวของเหลยจวิ้นไม่มีทางปลอมแปลง…เพราะดวงตาเป็นดั่งหน้าต่างของหัวใจ ยากจะโกหกได้!
“จะว่าไปพอกล่าวถึงศิษย์น้องหญิง 3 ของเจ้า…ถึงแม้นางจะมีผ้าปิดหน้าอยู่ แต่ข้าก็บอกได้ทันทีว่านางเป็นโฉมงามไร้คู่เปรียบนางหนึ่ง…หากได้ร่วมรักกับนางสักคืนค่ำคงหฤหรรษ์ยิ่งนัก!”
หานอวิ๋นจิ่นคลี่ยิ้มแสยะกล่าวออกด้วยแววตาสามานย์ “นอกจากนั้นเพียงดูก็รู้ว่านางยังเป็นสตรีพรมจรรย์…ยากจักจินตนาการได้ออกจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ทั้งๆที่มีโฉมงามปาบบุปผาข้างกายแต่ไฉนยังทนอยู่ได้?”
“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น ขอท่านระวังปากสักหน่อย!”
แทบจะทันทีที่หานอวิ๋นจิ่นกล่าวจบคำ เหลยจวิ้นก็มองมันด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยออกเสียงต่ำ “ข้ามาหาท่านด้วยความจริงใจ…หากท่านเป็นเช่นนี้ ก็อย่าได้โทษข้าที่หันหลังจากไป”
ตอนนี้เหลยจวิ้นได้ยึดถือศิษย์น้องหญิง 3 ฮ่วนเอ๋อเป็นดั่งสิ่งต้องห้ามของมัน พอได้ยินหานอวิ๋นจิ่นกล่าวแทะโลมฮ่วนเอ๋อต่อหน้า มันย่อมไม่ทน
“ฮ่าๆๆ…ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น”
หานอวิ๋นจิ่นหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ในขณะเดียวกันมันก็ยืนยันได้ว่าเหลยจวิ้นหลงฮ่วนเอ๋อหัวปักหัวปำจริงๆ “ประเสริฐนัก…เมื่อก่อนนับว่าข้าไม่รู้จักเหลยจวิ้นเจ้าจริงๆ…มิคาดว่าเจ้าเหลยจวิ้นจักมีวันตกหลุมรักศิษย์น้องของตัวเองได้”
กล่าวถึงจุดนี้หานอวิ๋นจิ่นก็ยิงคำถามเปลี่ยนเรื่องออกมาทันที “แล้วพวกเราจะร่วมมือกันกำจัดต้วนหลิงเทียนอย่างไร”
“มิอยากมือเปื้อน จึงต้องให้ผู้อื่นลงมือ”
เหลยจวิ้นกล่าว
“ยังจะมีผู้ใดกล้าลงมือเล่า?”
หานอวิ๋นจิ่นกล่าว “นอกจากนั้นสารเลวน้อยนั่นก็มีจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีคุ้มกะลาหัว…คิดฆ่ามันไหนเลยเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานามลงมือเอง ยังไม่แน่ว่าจะทำได้ด้วยซ้ำ…”
“อาศัยจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่งคิดฆ่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย…แต่หากเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม 2 คนเล่า?”
เหลยจวิ้นมองลึกลงไปในแววตาหานอวิ๋นจิ่น พลางถาม
“2 จักรพรรดิอมตะสมญานาม?”
ได้ยยินคำพูดของเหลยจวิ้น หานอวิ๋นจิ่นก็อึ้งไปก่อนใดอื่น จากนั้นลูกตามันก็หดเล็กลง สีหน้าฉายชัดถึงความตกตะลึง “เหลยจวิ้น…นี่เจ้าคงมิใช่ว่า…จะจ้างวานให้สองคนนั่นลงมือกระมัง?”
ในแดนอู๋หยาแห่งนี้ มีมือสังหารลือชื่อ 2 คน ที่ไม่ได้อยู่ในองค์กรมือสังหารใดๆ
อย่างไรก็ตามทั้งคู่ได้ชื่อว่าเป็นคู่มือสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของอู๋หยาเทียน ตราบใดที่ตอบรับภารกิจ ยังไม่เคยล้มเหลว!
มือสังหารคู่นี้ ไม่ว่าใครคนใหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม!
แน่นอนว่าหากคิดจะจ้างตัวตนระดับนี้ลงมือ ราคาที่ต้องจ่ายก็มหาศาลนัก!
WSSTH ตอนที่ 3,290 : เจ้าก็ลองดู
“ดูเหมือนท่านจะเดาได้แล้ว”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหานอวิ๋นจิ่น เหลยจวิ้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายสมควรเดาได้ออก “มิผิด ข้าคิดจะจ้างวานมือสังหารคู่นั้นให้ลงมือ”
“อย่างไรก็ตามท่านสมควรรู้ว่าราคาจ้างวานให้ทั้งคู่ลงมือมันสูงขนาดไหน…เช่นนั้นข้าจึงมาหาท่านเพื่อให้ช่วยข้าจ่ายค่าจ้างคนละครึ่ง”
เหลยจวิ้นเผยเจตนาออกมา
ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อจ้างวานจักรพรรดิอมตะสมญานาม 2 คนให้ลงมือสังหารผู้คนมันมากจริงๆ ไม่งั้นมันคงจ่ายค่าจ้างวานฆ่าต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเองคนเดียวไปแล้ว
“หึ!”
หานอวิ๋นจิ่นพ่นลมสบถเสียงเย็น “ในเมื่อเจ้าคิดจ้างคนฆ่าต้วนหลิงเทียน ก็เป็นเรื่องของเจ้า…ไฉนข้าต้องไปหารแบ่งค่าใช้จ่ายจ้างมือสังหารกับเจ้าคนละครึ่งด้วย?”
“ในเมื่อท่านไม่สนใจ เช่นนั้นข้าก็ขอตัวลา”
เหลยจวิ้นหันหลังกลับ จากนั้นก็เอ่ยออกมาเสียงเบา “สุดท้าย คนที่จะขึ้นสังเวียนอัจฉริยะเพื่อประลองเป็นตายกับต้วนหลิงเทียนในอีก 3 ปีหลังจากนี้ก็ไม่ใช่ข้า”
“ช้าก่อน!”
แต่ในขณะที่ร่างเหลยจวิ้นพึ่งจะลอยห่างพื้นได้ไม่ทันไร สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นก็เปลี่ยนไปทันที เร่งพูดหยุดเหลยจวิ้นเอาไว้
ก็ใช่ การประลองเป็นตายในอีก 3 ปีให้หลัง มันไม่กล้าพูดออกมาเต็มปากว่ามันมั่นใจเต็มสิบส่วนที่จะชนะ…
นั่นเพราะต้วนหลิงเทียนแปลกประหลาดเกินไป!
ไม่ว่าจะการประลองกับหลิวเจี้ยนก็ดี การประลองกับฝานฉีศิษย์น้อง 4 ของมันก็ดี ตอนแรกมีผู้ใดคิดบ้างว่าต้วนหลิงเทียนจะชนะ?
แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็ออกมาเป็นต้วนหลิงเทียนชนะ! ยังเอาชนะได้อย่างหมดจด!!
แล้วยังมีผู้ใดสามารถรับประกันได้อีกบ้าง ว่าในการประลองเป็นตายระหว่างมันกับต้วนหลิงเทียนที่จะอุบัติขึ้นในอีก 3 ปีหลังจากนี้ ต้วนหลิงเทียนจะไม่สืบสานตำนานอภินิหารต่อไป?
หากมันเลือกได้ มันก็ไม่คิดเอาตัวเองไปเสี่ยงให้เป็นหินรองเท้าของต้วนหลิงเทียน!
“อะไร? ท่านเปลี่ยนใจแล้ว?”
เหลยจวิ้นที่ร่างลอยจากพื้นได้ไม่ทันไร ค่อยๆหันหลังกลับมา มองถามหานอวิ๋นจิ่นด้วยสายตาลึกซึ้ง “ท่านสมควรไตร่ตรองให้ดี…สุดท้ายราคาจ้างวานทั้งคู่ก็มิใช่น้อยๆ แม้จะแค่ครึ่งเดียวแต่ก็ไม่ใช่เล็กน้อยสำหรับท่าน”
“เหอะๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยากให้ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นตกตายให้พ้นทางจริงๆ ถึงขั้นต้องจ้างวางทั้ง 2 คนนั่นมาลงมือ?”
หานอวิ๋นจิ่นไม่ตอบ เพียงย้อนถามออกไปเสียงขรึม “เพื่อสตรีนางหนึ่ง มันคุ้มกันแล้วหรือ?”
เหลยจวิ้นที่ได้ยินคำถามดังกล่าว ก็เอ่ยออกเสียงเรียบว่า “ขอแค่มันตายให้พ้นๆ ต่อให้ต้องจ่ายมากเพียงใด ก็คุ้มค่า”
พรสวรรค์และความเข้าใจของต้วนหลิงเทียน ได้สร้างแรงกดดันอันใหญ่หลวง ทำให้มันรู้สึกถึงอันตราย…!
อายุไม่ถึง 300 ปี แต่กลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือจะไม่สูง แต่พลังต่อสู้นั้นน่ากลัวไม่ใช่ชั่วทีเดียว
และไม่ต้องพูดถึงเรื่องรอให้ต้วนหลิงเทียนเติบโตมากไปกว่านี้เลย เอาแค่ต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน หากมันไม่หลอกตัวเอง มันก็ไม่กล้าพูดว่าจะเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้แน่ๆ!
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็กล้าที่จะท้าประลองเป็นตายกับหานอวิ๋นจิ่นโดยมีกำหนดเวลาแค่ 3 ปีหลังจากนี้เท่านั้น…
ต่อให้เป็นมัน อย่าว่าแต่ 3 ปี ให้มีเวลาอีก 10 ปีมันก็ไม่กล้าท้าประลองเป็นตายกับหานอวิ๋นจิ่น!
ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้ดีแก่ใจ ถ้ามันไม่รีบฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ได้โดยเร็วที่สุด มันจะไม่มีโอกาสฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ชั่วชีวิต
และถึงตอนนั้นมันก็ทำได้แค่ยืนมองศิษย์น้องหญิง 3 ตกไปเป็นสตรีของต้วนหลิงเทียนโดยที่มันไม่มีปัญญาทำอะไรได้เลย…
นั่นไม่ใช่สิ่งที่มันอยากจะเห็น!
“ถึงแม้พวกเราจะร่วมมือกันจ่ายค้าจ้างวานฆ่าไหว…สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการหาวิธีติดต่อกับทั้งคู่ให้ได้ก่อน และยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาสำคัญ เกิดเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันไม่ออกนอกวังเทียนฉือ…แล้วทั้งคู่จะมีโอกาสฆ่ามันได้อย่างไร?”
หานอวิ๋นจวิ่นกล่าวถึงปัญหาและเรื่องสำคัญออกมารวดเดียวจบ น้ำเสียงยังเป็นกังวลไม่น้อย และฟังจากวาจานี้ของมัน ก็เห็นได้ชัดว่ามันตกลงร่วมทุนจ้างวานมือสังหารทั้ง 2 ให้ฆ่าต้วนหลิงเทียนแล้ว
วังเทียนฉือจะอย่างไรก็เป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ ไม่ใช่สถานที่ๆใครคิดจะเข้ามา ก็เข้ามาได้ง่ายๆ
ต่อให้จะเป็นมือสังหารอย่าง 2 จักรพรรดิอมตะสมญานามนั่น แต่ถ้าคิดจะบุกมาเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนคาวังเทียนฉือ ก็น่ากลัวจะตกตายกลายเป็นผีระหว่างทาง โดยที่ไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของต้วนหลิงเทียน…
ดังนั้น ถ้าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ออกไปไหน กระทั่ง 2 มือสังหารจักรพรรดิอมตะสมญานาม ก็ไม่มีทางทำอะไรต้วนหลิงเทียนได้
“ข้าย่อมตำนึงถึงเรื่องพวกนี้มาแล้วธรรมดา”
เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มบางๆ “หากเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น มันยังอยู่วังเทียนฉือ ข้าคงไม่มาหาท่านเพื่อหารือเรื่องนี้”
“แต่เท่าที่ข้ารู้มา ตอนนี้เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น มันได้ออกเดินทางไปวิหารเฟิงฮ่าวกับสือหล่าง ท่าทางมันคิดจะไปรับสมญานาม”
กล่าวถึงจุดนี้ สองตาเหลยยจวิ้นก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “ขอแค่ 2 มือสังหารจักรพรรดิอมตะสมญานามนั่น ซุ่มรอพวกมันขณะเดินทางกลับ…หนึ่งในนั้นถ่วงรั้งฉือหล่าง อีก 1 ลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นยังต้องกังวลอะไรอีก?”
“เจ้านั่น…มันไปวิหารเฟิงฮ่าว?”
หานอวิ๋นจิ่นตกตะลึงไปแล้วจริงๆ ด้วยไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มอายุไม่ถึง 300 ปีที่มีกำหนดประลองเป็นตายกับมันในอีก 3 ปีหลังจากนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่ตั้งหน้าตั้งตาปิดด่านบ่มเพาะเพื่อเพิ่มพูนพลัง…แต่ยังออกเดินทางไปวิหารเฟิงฮ่าว?
“เหลยจวิ้น แล้วเจ้ามีวิธีติดต่ออาวุโสทั้ง 2 แล้วหรือไม่?”
พอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้อยู่ในวังเทียนฉือ ทั้งยังไปเที่ยวเล่นที่วิหารเฟิงฮ่าว ราวกับเรื่องประลองกับมันเป็นแค่เรื่องไร้สำคัญ หานอวิ๋นจิ่นก็เร่งกล่าวถามออกมาอย่างไร้ความลังเลใดๆ!
“ตั้งแต่ที่ข้ามาหารือกับท่านเรื่องนี้ ข้าย่อมมีลู่ทางแน่นอนอยู่แล้ว”
เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มเฉยเมย “บอกท่านตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ที่ข้ามาหาท่าน เพราะคิดให้ท่านช่วยหารค่าจ้างกับข้าคนละครึ่งเท่านั้น และทันทีที่ท่านเห็นด้วย ข้าจะติดต่อไปหาอาวุโสทั้ง 2 ให้ดักฆ่าต้วนหลิงเทียนระหว่างเดินทางกลับทันที!”
“ประเสริฐ!”
หานอวิ๋นจิ่นเห็นด้วยเร็วไว แม้ราคาที่ต้องจ่ายจะทำให้มันปวดกระดูก แต่พอนึกถึงการประลองเป็นตายที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า มันก็กัดฟันจ่ายทันที!
…
ถึงแม้ระนาบเทวโลกแต่ละแห่งจะมีสาขาของวิหารเฟิงฮ่าวตั้งอยู่ แต่ทว่ายามผู้คนเข้าไปทดสอบรับสมญานามนั้น จะจอมราชันอมตะก็ดีจักรพรรดิอมตะก็ดี ล้วนไร้แบ่งแยก!
สถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว เป็นแดนลับที่เชื่อมต่อทุกระนาบเทวโลกเอาไว้ด้วยกัน กล่าวได้ว่าทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลกล้วนมีทางเข้าออกแดนลับทั้งหมด ไม่ว่าจะเข้าจากวิหารเฟิงฮ่าวสาขาใด ก็จะไปโผล่ในแดนลับเดียวกัน…สถานที่ทดสอบ!
“ถึงขีดจำกัดแล้ว…”
หลังผ่านไป 1 เดือน ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจทนรับแรงกดดันในด่านทดสอบที่โถมกระหน่ำเข้าใส่ทุกอณูของร่างกายได้ไหว จึงทำได้แค่พักการหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวไว้แต่เพียงเท่านี้
ตูมมมม!!
หลังจากหยุดหลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า รวมรั้งพลังขุมหนึ่ง ก่อนจะจู่โจมทำลายไปยังผนังห้องปิดตายด้านหนึ่งทันที!
พลังมิติอันเกรี้ยวกราดถ่ายทอดลงสู่กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่ผุดจากความว่างเข้ามือ ก่อนจะปลดปล่อยลำแสงกระบี่ทำลายล้างสีรุ้งปนเทาหนึ่ง ทำลายผนังห้องปิดตายที่นั่งมาตลอดเดือนจนพังพินาศ…
หลังจากที่ผนังห้องพังทลายลง ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าสองตาต้วนหลิงเทียนก็มืดลงอีกครั้ง
พอเห็นแสงสว่างอีกครา เขาก็พบว่าตัวเองได้มาปรากฏตัวบนสถานที่ๆคล้ายแท่นบูชาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และบนแท่นบูชาก็มีผู้คน 4 คนยืนรอเขาอยู่ก่อน
“หึ! ในที่สุดเจ้าก็โผล่หัวออกมาได้เสียที!!”
จี้เสวียนจากเผ่ามังกรโลหิตกวาดตาเย็นชามองจ้องไปยังร่างต้วนหลิงเทียนที่พึ่งปรากฏตัว เอ่ยออกเสียงเบา “ดูเหมือนเจ้าจะเป็นแค่ศิษย์กระจอกๆของวังเทียนฉือ มิใช่ศิษย์อัจฉริยะอันใด”
“ด้วยพลังอ่อนด้อยเพียงเท่านี้ของเจ้า กลับเสล่อเข้ามาทดสอบรับสมญานามในวิหารเฟิงฮ่าว…ช่างวอนหาที่ตายโดยแท้!”
“ตอนแรกหากมิใช่เพราะติดข้อตกลงที่ต้องร่วมมือกัน ข้าคงฆ่าเจ้าตายคามือไปแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวออกมาเป็นคนสุดท้าย จี้เฉวียนจึงคิดว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนนั้นอ่อนด้อยมาก หาไม่แล้วไฉนถึงได้ใช้เวลานานนักกว่าจะโผล่ออกมาได้?
ด้านต้วนหลิงเทียนที่พึ่งออกมา พอได้ยินวาจาดังกล่าวของจี้เฉวียน เขาก็หันไปเหลืบอมองมันด้วยสายตาเฉยเมยกล่าวคำอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เจ้าก็ลองดู”
ดูจากท่าทางหยิ่งผยองลำพองของจี้เฉวียน ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะไม่รู้ว่าในหัวมันคิดอะไรอยู่?
“ให้ข้าลอง? ข้ากลัวว่าเจ้าจักทนมือทนตีนข้าไม่ไหว ตกตายไปเปล่าๆ!”
จี้เฉวียนกล่าวเย้ยหยันด้วยรอยยิ้มแสยะ “ที่สำคัญอย่างไรตอนนี้ก็ได้เข้ามาในด่านทดสอบแล้ว จำนวนคนก็มิจำเป็นต้องเป็น 5 อีกต่อไป…กล่าวไป ข้าเองขอแค่ฆ่าอีก 2 คนก็จักถูกส่งตัวออกจากสถานที่ทดสอบทันที เช่นนั้นหลังจากฆ่าเจ้าทิ้งต่อให้เกิดปัญหาอะไรในด่านทดสอบย่อยแห่งนี้ ข้าก็แค่เลือกฆ่าพวกมันอีกสักคน ก็สามารถออกจากที่นี่ไปรับสมญานามได้ทันที!”
พอเสียงของจี้เฉวียนดังจบคำ พลังดีแดงฉานปานโลหิตก็ทะลักออกมาจากร่างของมันมหาศาล ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึง สะท้านสะเทือนไปทั่วแท่นบูชา!
ปงงงงง!!
เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เป็นแท่นบูชาใต้เท้ามิอาจทานทนรับการกระทืบเท้าโจนทะยานร่างด้วยพลังดุร้ายของจี้เฉวียน บังเกิดเป็นรอยร้าวลุกลามโยงใยออกไปดั่งใยแมงมุม!
วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!
…
ในขณะที่จี้เฉวียนทะยานร่างเข่นฆ่าสังหารไปทางต้วนหลิงเทียน รอบกายมันก็เริ่มปรากฏกระบี่พลังสีเลือดเล่มแล้วเล่มเล่า เปล่งกลิ่นอายโลหิตออกมาคาวคลุ้ง!
ขณะเดียวกันที่กระบี่พลังสีเลือดเปล่งกลิ่นอายโลหิตออกมาคาวคลุ้ง มันก็ระเบิดไอเย็นยะเยือกกำจายออกมาแช่แข็งอากาศโดยรอบ! พาลให้อุณหภูมิโดยรอบลดต่ำลงหลายองศาในฉับพลัน!!
“ตายเสีย!!”
จี้เฉวียนที่โจนทะยานเข่นฆ่าเข้ามา ไม่ทราบในมือปรากฏกระบี่ขึ้นมาถือไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กระบี่ดังกล่าวเปล่งแสงพลังสีแดงฉานออกมาเจิดจ้า จากนั้นกระบี่พลังสีเลือดที่อัดแน่นไปด้วยไอเย็นยะเยือกดดยรอบก็พุ่งมาประทับรวมเข้ากับกระบี่สีเลือดในมือของมันทันที!!
ฟั่ฟฟฟ!!
เสียงตวัดกระบี่ฟันฟาดสะท้านแดนดินดังขึ้น จากนั้นคลื่นพลังสะบั้นสายหนึ่งที่เกิดจากพลังที่รวมรั้งในกระบบี่ทั้งหมดของจี้เฉวียน ได้พุ่งเข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วอัศจรรย์!!
ทุกคนที่อยู่บนแท่นบูชา บัดนี้โลกหล้าในสายตาของพวกมัน ราวกับคงเหลือแค่คลื่นกระบี่สายนี้…
เมิ่งห่าวซวนที่ยืนอยู่ข้างๆ หน้าเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง มันย่อมคิดหยุดยั้งการต่อสู้ อนิจจามันที่กำลังจะพูดห้ามปราม เรื่องราวก็เปลี่ยนแปลงไปในฉับพลันจนสายเกินการณ์เสียแล้ว!
สำหรับอีก 2 คนที่เหลือ เนื่องจากพลังฝีมือที่อ่อนด้อยกว่า วินาทีแรกที่เห็นคลื่นพลังกระบี่ของจี้เฉวียน สีหน้าพวกมันก็ซีดลง ยังเร่งโจนร่างล่าถอยออกไปไกลห่างอย่างไว!
วินาทีนี้พวกมันยังตระหนักถึงความห่างชั้นระหว่างตัวเองกับจี้เฉวียนได้ชัดเจน!
พลังฝีมือของจี้เฉวียนสูงส่งเกินไป! ต่อให้พวกมันจะร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจี้เฉวียน!!
“เจ้าคืนร่างที่แท้จริงเถอะ”
เผชิญหน้ากับการเข่นฆ่าเข้ามาเร็วไวของหนึ่งคลื่นกระบี่จี้เฉวียน ต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวแนะนำออกไปเสียงเรียบ ขณะเดียวกันพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมหาศาลขุมหนึ่ง ก็แล่นพล่านไปตามชีพจรสวรรค์ 99 สายปานน้ำหลาก ก่อนจะปะทุออกมายังช่องพลังทั่วร่างในเสี้ยวพริบตา!
จากนั้นพลังธาตุมิติ จากความลึกซึ้งความหมายแห่งมิติก็ผสานหลอมรวมเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดฉับไว ปลดปล่อยพลังอำนาจออกมาในฉับพลัน!
ความลึกซึ้งส่งผ่านสำแดงอานุภาพในบัดดล ยักย้ายส่งผ่านพลังที่รวมรั้งในหนึ่งคลื่นกระบี่สะบั้นของจี้เฉวียนออกไปครึ่งหนึ่งอย่างพิสดาร!
ฟั่ฟฟฟ!!
จากนั้นมือขวาที่ยกขึ้นมาของต้วนหลิงเทียน ก็คว้าจับแสงรุ้งงส่องสว่างเจิดจ้าที่ควบรวมก่อเกิดเป็นกระบี่ 3 ฉือเอาไว้ไม่แน่นไม่หลวม ค่อยตวัดฟันออกไปตามอำเภอใจ
อย่างไรก็ตามหนึ่งกระบี่ที่ตวัดฟันออกไปตามอำเภอใจ กลับรวมรั้งพลังมิติสีเทาขุมหนึ่งในชั่วพริบตา ซัดคลื่นกระบี่สะบั้นสีเทาพุ่งออกไปดั่งเสี้ยวจันทร์สายหนึ่ง ระหว่างทางยังหลอมผสานเข้ากับคมมีดมิติ 9 สายที่พุ่งออกมาจากรอยแยกมิติตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ก่อเกิดเป็คลื่นกระบี่สะบั้นทรงพลานุภาพน่าพรั่นพรึง จี้เข้าใส่คลื่นกระบี่สีเลือดของจี้เฉวียนด้วยพลังอานุภาพสะท้านสะเทือนแดนดิน!!
ซัว! ซัว! ซู่ม! ซู่ม!!
…
สองคลื่นกระบี่แหวกอากาศด้วยความเร็วอัศจรรย์ก่อเกิดสองสำเนียงสะท้านหู พลังอานุภาพนับว่าน่าครั่นคร้ามด้วยกันทั้งคู่! แต่ทว่าเมื่อถึงคราวปะทะเข้าจริง คลื่นพลังกระบี่สะบั้นสีรุ้งเทากลับผ่าคลื่นพลังกระบี่สะบั้นสีเลือดออกเป็น 2 เสี่ยงได้อย่าง่ายดาย!!
ปงงงง!!
ครืนนนน!!
…
คลื่นพลังสะบั้นสีเลือดทั้ง 2 เสี่ยงพุ่งมาไม่ทันได้ถึงตัวต้วนหลิงเทียนก็ถูกพลังห้วงมิติรอบๆป่นทำลายจนสูญสลายไปไม่มีเหลือ
ฟั่ฟฟฟ!!
กลับกัน คลื่นพลังสะบั้นสีรุ้งเทา หลังผ่าคลื่นพลังสะบั้นของจี้เฉวียนเป็นสองเสี่ยงแล้ว ยังคงเข่นฆ่าไปทางจี้เฉวียนด้วยสภาวะพลังที่ไม่ได้อ่อนโทรมลงสักเท่าไหร่!!
“ทรงพลังยิ่งนัก!!”
เดิมทีเมิ่งห่าวซวนคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่พ้นต้องทุกข์ทรมาณเพราะอารมณ์เอาแต่ใจของจี้เฉวียนแน่แล้ว
เนื่องจากต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นบนแท่นบูชาเป็นคนสุดท้าย ทำให้มันก็คิดไปไม่ต่างจากจี้เฉวียนว่าใช่พลังต้วนหลิงเทียนอ่อนด้อยหรือไม่? ทำให้กว่าจะฝ่าด่านทดสอบออกมาได้ถึงใช้เวลานานนัก และหากอิงตามนี้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนก็น่าจะอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาคนทั้ง 5…
แต่พอมาเห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียน จะตัวมันก็ดี หรือจี้เฉวียนก็ดี ล้วนตระหนักได้ทั้งคู่…ว่าก่อนหน้าพวกมันคิดผิดไปมหันต์!!
“ฮู่มมมม!!”
เผชิญหน้ากับคลื่นพลังสะบั้นหลากสีสันที่เข่นฆ่าเข้ามาด้วยสภาวะพลังน่าพรั่นพรึงของต้วนหลิงเทียน สองตาจี้เฉวียนฉายชัดถึงความหวาดกลัว! จากนั้นเสียงมังกรคำรามหนึ่งพลันดังสนั่นลั่นขึ้น สุรเสียงมังกรคำรามนี้ยังอัดแน่นไปด้วยโทสะอันเกรี้ยวกราด!!
WSSTH ตอนที่ 3,291 : ฆ่ามังกรโลหิต 9 กรงเล็บ
หลังเสียงมังกรด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น ร่างจี้เฉวียนก็เปล่งแสงจ้า จากนั้นคก็เริ่มสลายเป็นเงาเลือนก่อนจะกลับกลายเป็นมังกรตัวเขื่องที่มีลำตัวยาวกว่าหมื่นหมี่เลื้อยขนดกลางหาว!
มังกรตัวนี้เกล็ดที่ปกคลุมร่างมหึมาของมันเป็นสีแดงฉานทั้งแผ่กลิ่นอายโลหิตคาวคลุ้ง อุ้งมือแต่ละข้างมีกรงเล็บอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 9 กรงเล็บ เปล่งแสบเยียบเย็นบาดตา ราวกับจะฉีกกระชากได้ทุกสิ่ง!
“มังกรโลหิต 9 กรงเล็บ!”
เมื่อเห็นจี้เฉวียนแปลงร่าง ไม่ว่าจะเมิ่งห่าวซวนหรืออีก 2 คนที่หลบออกไปชมดูเรื่องราวไกลๆ ลูกตาก็อดหดเล็กลงไม่ได้
ในระนาบเทวโลกนั้น มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บล้วนเป็นสัตว์อมตะชั้นยอด หากไร้ซึ่งอุบัติเหตุใดๆ สักวันย่อมสามารถทะลวงด่านพลังไปจนถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้แน่นอน!
แต่เป็นธรรมดาว่า ลำพังมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ ยังยากนักที่จะทะลวงถึงขอบเขตเทพ
โดยทั่วไปแล้ว มีก็แต่มังกรเทพดา 10 กรงเล็บในตำนานเท่านั้น ที่สามารถทะลวงถึงขอบเขตเทพได้สำเร็จ
และในระดับหนึ่ง มังกรเทพดา 10 กรงเล็บจะไม่ถือว่าเป็นเพียงสัตว์อมตะอีกต่อไป แต่ได้ย่างถึงขอบเขตสัตว์เทพแล้ว!
และมังกรเทพยดา 10 กรงเล็บก็อยู่ในระดับเดียวกับจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา
เป็นธรรมดาว่ายังมีความแตกต่างจากเผ่าจิ้งจอกมายาที่เป็นแค่ขุมกำลังระดับ 1 อยู่บ้าง เพราะจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายานั้นกว่าจะปรากฏขึ้นก็ยากเย็นนัก เรียกว่าจะปรากฏขึ้นแต่ละครั้งก็กินเวลาเป็นล้านปี!
กลับกัน มังกรเทพยดา 10 กรงเล็บมักจะปรากฏตัวขึ้นในเผ่ามังกรทุกๆแสนปี!
“ไอ้หนู ข้าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้นๆ!!”
ลูกตามหึมาของมังกรโลหิต 9 กรงเล็บฉายแววอำมหิต มากล้นไปด้วยรังสีฆ่าฟันอันเยียบเย็น จากนั้นร่างมังกรใหญ่ยักษ์ก็ไหววูบคราหนึ่ง ก่อนจะพุ่งตัวแหวกฟ้าจนอากาศสะท้านความว่างเปล่าสะเทือน เข่นฆ่าเข้าใส่ต้วหลิงเทียน!!
ลำตัวมังกรโลหิต 9 กรงเล็บยกขึ้นดั่งเขาตระหง่าน ก่อนจะโน้มตัวตะปบกรงเล็บลงมาด้วยสภาวะปานขุนเขาถล่ม กรงเล็บแหลมคมฉายแสงเยียบเย็นแหวกอากาศฉับไว ฟาดตบขย้ำเข้าใส่คลื่นพลังสะบั้นของต้วนหลิงเทียนอย่างอุกอาจ!
ทันใดนั้น คลื่นสะบั้นที่ต้วนหลิงเทียนตวัดกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนซัดออก ก็ถูกทำลายลงใน 1 กรงเล็บ! ทั้งกรงเล็บยังไม่สิ้นพลังสภาวะ เข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียนต่อด้วยอำมหิต!
“มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ?”
เผชิญหน้ากับมังกรโลหิต 9 กรงเล็บอันดุร้าย สองตาต้วนหลิงเทียนหรี่ลง ร่างอันตรธานหายไปจากจุดเดิมในฉับพลัน! เพราะเขาทราบดีว่าเมื่อมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บสามารถทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะได้เมื่อไหร่ แต่ละกรงเล็บของพวกมันก็จะมีความแข็งแกร่งไม่ต่างอะไรจากศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิ!!
และเมื่อมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะล่ะก็ แต่ละเกล็ดบนร่างก็จะมีความแข็งแกร่งไม่ต่างอะไรจากชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิเลย!
และมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บนั้น เป็นที่รู้จักกันดีว่าพวกมันยืนอยู่ ณ จุดสูงงสุดของสัตว์อมตะระดับสูงทั้งปวง! ประหนึ่งได้รับพรจากฟ้าดิน และลือกันว่าความสามารถในการทำความเข้าใจกฏยังรวดเร็วอย่างมาก!!
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
…
เมื่อกรงเล็บจั่วลมดังวืด ทันใดนั้นเองร่างมังกรโลหิต 9 กรงเล็บสั่นไหวเบาๆ จากนั้นโลกหล้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวทันใด กระทั่งความว่างเปล่ายังเสมือนจับตัวแข็ง จากนั้นปรากฏม่านน้ำแข็งหนึ่งคลี่กางโถมทับไปยังพื้นที่ด้านหลังเป็นวงกว้าง!!
ร่างต้วนหลิงเทียนที่พึ่งจะเคลื่อนย้ายข้ามมิติมาผุดโผล่ด้านหลังไม่ทันไร ก็พบว่าม่านน้ำแข็งยะเยือกได้โถมทับปิดแผ่นฟ้าแถบนี้หมดแล้ว! อากาศรอบร่างเขาเริ่มมีน้ำแข็งเกาะตัวเร็วไว! มองไกลๆคล้ายคนเริ่มกลายเป็นปฏิมากรรมน้ำแข็งในฉับพลัน!!
ซู่มมม!! ครืนนน!!!
และในเวลาเดียวกับที่อากาศรอบตัวต้วนหลิงเทียนเริ่มเกาะตัวเป็นน้ำแข็งปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนนั้น มังกรโลหิตตัวเขื่องก็ม้วนตัวกลางหาวฉับไว พุ่งทะยานตะปบกรงเล็บฟาดมาทางงปฏิมากรรมน้ำแข็งอย่างดุร้าย หมายทุบทำลายทั้งคนทั้งน้ำแข็งให้ป่นปี้แหลกลงไปพร้อมๆกัน!!
‘หยุด!’
ใจต้วนหลิงเทียนออกความคิดเร็วไว ทันใดนั้นพลังมิติรอบกายยเริ่มป่วนนปั่น อุบัติพายุแม่เหล็กอันเกรี้ยวกราดพัดปกคลุมไปทั่วกาย ทำลายน้ำแข็งที่เริ่มเกาะตัวทันที!
อย่างไรก็ตามแม้จะทำลายน้ำแข็งที่ก่อตัวแล้วเสร็จ ทว่าห้วงอากาศยังคงจับตัวแข็งอยู่เรื่อยๆ ราวกับจะผนึกร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้ให้จงได้!
“ก็รู้อยู่หรอกว่ากฏน้ำแข็งมันน่ารำคาญไม่น้อย…แต่ก็เท่านั้น!”
หลังจากเห็นว่าทำลายไปก็เท่านั้น ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมยแกมรำคาญ จากนั้นร่างคนก็อันตรธานหายไปจากเวิ้งฟ้ายะเยือกในฉับพลัน! ปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ห่างออกไปจากเดิม 10,000 หมี่ เรียกว่าเคลื่อนย้ายข้ามมิติครั้งนี้ คนหายไปโผล่ไกลตากินระยะทางถึง 20 ลี้!!
“ความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ ขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่!!”
และการเคลื่อนย้ายข้ามมิติรอบนี้ของต้วนหลิงเทียน ก็เปิดเผยเรื่องราวให้เมิ่งห่าวซวนรวมถึงคนอื่นๆที่แลเห็นตระหนักได้ถึงความจริงประการหนึ่ง…ต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว!
หาไม่แล้วคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลุดพ้นอาณาเขตม่านน้ำแข็งยะเยือกของจี้เฉวียนได้ เพราะม่านน้ำแข็งยะเยือกของจี้เฉวียนนั่นก็สร้างจากพลังความลึกซึ้งขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่…
ความลึกซึ้งของกฏน้ำแข็งที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่นั่น ยามปกคลุมพื้นที่เอาไว้ หากคิดจะใช้เคลื่อนมิติที่เข้าใจแค่ขั้นตอนเบื้องต้นหรือเล็กน้อย ย่อมไม่มีวันทำได้สำเร็จ…
“เจ้ามีแรงแค่นี้รึ?”
ต้องบอกเลยว่าหลังจี้เฉวียนคืนร่างเดิมแล้ว พลังต่อสู้ของมันพุ่งสูงขึ้นไปไม่น้อยเลยทีเดียว เรียกว่าพอๆกันกับหลิวเจี้ยน ศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือที่ตกตายด้วยน้ำมือเขาไปตอนนั้น
อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนพลังระดับนี้ยังไม่นับเป็นอะไร
เพราะท้ายที่สุดแล้วหลิวเจี้ยนก็ตกตายคามือเขา
“สารเลวน้อยสมควรตาย!!”
เมื่อโดนดูแคลน จี้เฉวียนย่อมเดือดดาลเป็นการใหญ่ จากนั้นร่างมหึมายาวนับหมื่นหมี่ของมันที่ประหนึ่งจะปิดฟ้าบังตะวันได้ ก็โถมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างดุดัน!
“มันจบแล้ว”
สองตาต้วนหลิงเทียนฉายแววเยียบเย็นเรืองขึ้นวาบหนึ่ง จากนั้นกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในมืออยู่ๆพลันเปล่งสีรุ้งสว่างเจิดจิ่งกว่าครั้งใด! คราวนี้ต้วนหลิงเทีนเลือกจะรวมรั้งพลังจากความลึกซึ้งทุกประการอัดแน่ไว้ในกระบี่แล้ว!!
ฟั่ฟฟฟฟ!!
กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่เปล่งแสงหลากสีสันได้พุ่งทะยานเข่นฆ่าออกไปฉับไว ปานลำแสง!
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
คมมีดมิติ 9 สายจากความลึกซึ้งผ่ามิติก็ปรากฏขึ้นตามติด ยังห้อมล้อมเวียนวนกระบี่บินปานดาวล้อมเดือน แลดูทรงอานุภาพไร้คู่เปรียบนัก!
“นี่มัน…”
กระบี่นี้เหนือกว่ากระบี่แรกที่ต้วนหลิงเทียนใช้มากมายนัก จี้เฉวียนที่ถูกกระบี่นี้เพ่งเล็ง ลูกตาถึงกับหดเล็กลงเร็งไว เพราะมันสูดได้กลิ่นอายแห่งความตายชัดเจนยิ่งกว่าครั้งใด!
กระทั่งอยู่ๆร่างมหึมาของมันก็สั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว!
อย่างไรก็ตาม แม้มันจะตระหนักได้แล้วว่าความตายกำลังกล้ำกรายเข้ามา และกระบี่นี้ของต้วนหลิงเทียนก็ทรงพลังสุดต้านทาน! แต่มันก็ไม่คิดงอมืองอเท้ารอคอยความตาย พลังชั่วชีวิตถูกรีดเค้นออกมาทุกหยาดหยด!!
ครืน! ครืน! ครืน! ครืน! ครืน! ครืน!
…
เสียงห้วงอากาศสะเทือนเลือนลั่นสนั่นขึ้น ทั่วร่างของจี้เฉวียนยามนี้ปะทุพลังกล้าแข็งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จากนั้นอักขระสีเลือดมากมายก็ปรากฏขึ้นทั่วกาย ทั้งเปล่งแสงแดงฉานเรืองรองปานจะย้อมแดนดิน!
พริบตาต่อมาอักขระแต่ละตัวก็คล้ายสูบกลืนพลังชีวิตของมัน รีดเค้นเป็นพลังโลหิตอันน่าครั่นคร้ามขุมหนึ่ง พุ่งไปหลอมผสานเข้ากับพลังไอเย็นเยือกจากกฏน้ำแข็งที่รวมรั้งลงสู่กระบี่สีเลือดในมือ หมายทุ่มสุดตัวต้านทานกระบี่บินของต้วนหลิงเทียน!!
“นับว่าข้ายังดูเบาเจ้าไปจริงๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีวิชาประหลาดผลาญชีวิตอะไรพวกนี้ด้วย…หากเดาไม่ผิดวิชาที่เจ้าพึ่งใช้สมควรเป็นทักษะลับ ไม่ก็เป็นพลังสายเลือดของมังกรโลหิตกระมัง?”
เสียงไม่แยแสที่ฟังคล้ายแปลกใจอยู่ข้างของต้วนหลิงเทียนดังขึ้น เขาไม่อาจไม่แปลกใจ เพราะพลังที่จี้เฉวียนเผยออกมาตอนนี้…มันเหนือกว่าหลิวเจี้ยนซะอีก!
แต่แล้วไง?
เขาไม่ใช่ว่าจะแข็งแกร่งกว่าหลิวเจี้ยนแค่เล็กน้อย
เปรี๊ยง!!!
ตูมม!! ครืนนน!!!!
…
เมื่อกระบี่ผสานพลังชั่วชีวิตของจี้เฉวียนปะทะเข้ากับพลังกระบี่ของต้วนหลิงเทียน การระเบิดครั้งใหญ่ก็อุบัติขึ้นเหนือฟ้า แท่นบูชาเบื้องล่างเริ่มปรากฏรอยร้าวมากมาย สั่นสะเทือนไปอย่างแรงปานบังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
นอกจากนั้นจากจุดปะทะ ก็ปรากฏคลื่นกระแทกมหาประลัยกำจายออกมาเป็นวงกว้าง พลังสภาวะปานจะบดขยี้ทำลายได้ทุกสิ่ง แผ่ขยายออกมาเป็นวงกว้าง พาลให้เมิ่งห่าวซวนกับอีก 2 คนที่เหลือรีบโคจรพลังใช้ทักษะป้องกันจนตาลีตาเหลือก!
“ไม่—!!”
และในขณะที่ทุกคนกำลังหน้าเสีย เพราะง่วนอยู่กับการหาทางป้องกันคลื่นกระแทกอันน่ากลัวของต้วนหลิงเทียน ก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวังดังขึ้นเข้าหูพวกมันอย่างกะทันหัน
ในความสิ้นหวัง ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ รวมถึงความเสียใจอันสุดแสน
เจ้าของเสียงย่อมเป็นจี้เฉวียน
ฉัวะ!!
และพริบตาต่อมา ทุกคนพลันได้เห็นกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งฝ่าหมอกควันปานลำแสง พุ่งทะลวงเข้าเศียรมังกรขนาดมหึมาของจี้เฉวียน บดขยี้ทำลายดวงจิตมังกรของมันจนแหลก!
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
…
เมื่อทะลวงศีรษะมังกรแล้ว คมมีดมิติที่เดิมโคจรล้อมกระบี่บืนเอาไว้ ก็แยกยย้ายกันไปสับสะบั้นหันร่างจี้เฉวียนเป็น 10 ท่อนเท่าๆกัน! ชิ้นเนื้อมังกรท่อนเขื่องชิ้นแล้วชิ้นเล่า ร่วงตกลงมากระทบซากปรักหักพังของแท่นบูชาดังตึงๆ ประหนึ่งแผ่นดินไหวอุบัติขึ้นไล่เลี่ยกัน 10 ระลอก…
จี้เฉวียน ศิษย์อัจฉริยะของเผ่ามังกรโลหิต แห่งว่านโช่วเทียน ขุมกำลังระดับสวรรค์ ตกตายลงแต่เพียงเท่านี้!
“ร้ายกาจยิ่ง!”
จนเมื่อจี้เฉวียนตกตาย ร่างทั้ง 10 ท่อนร่วงตกพื้นดังตึงตัง เมิ่งห่าวซวนถึงจะคืนสติ พอมองไปยังร่างในชุดสีม่วงที่ลอยล่องไกลตาย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวายอีกครั้ง ในสายตามันก็ฉายชัดถึงความตื่นตระหนก!
ก่อนหน้ามันไม่เคยคิดเคยฝันเลย ว่าชายหนุ่มชุดม่วงที่แลดูไม่ดุร้ายอะไร จะมีพลังความแข็งแกร่งที่น่ากลัวได้ถึงขนาดนี้!
เอาแค่การลงมือเต็มกำลังของจี้เฉวียนเมื่อครู่ มันที่ลองไถ่ถามตัวเองดูว่าหากทุ่มสุดตัวจะต้านทานรับไว้ได้ไหม…
คำตอบก็คือไม่
อย่างไรก็ตาม ปะทะหักหาญกับพลังทั้งหมดของจี้เฉวียนตรงๆ ไม่เพียงแต่จะเอาชนะได้ แต่กระบี่แสงของชายหนุ่มชุดม่วง ยังหลงเหลือพลังอานุภาพมากพอจะฆ่า ทั้งหั่นร่างจี้เฉวียนออกเป็น 10 ท่อน! ต้องทราบด้วยว่านั่นคือมังกรโลหิต 9 กรงเล็บขอบเขตจอมราชันอมตะ! มิใช่ถั่วฝักยาวที่คิดจะหั่นก็หั่นได้ง่ายๆ!!
ฟั่บ!
แสงกระบี่หลากสีสันเหินย้อนกลับมาเข้ามือต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เริ่มผสานเข้าไปในร่างต้วนหลิงเทียน
ตั้งแต่ต้นจนจบเมิ่งห่าวซวนและคนอื่นๆก็เข้าใจว่านั่นคือกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิของต้วนหลิงเทียนเท่านั้น
เนื่องเพราะเมื่อหวงเอ้อได้ผสานกับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน จนกลายเป็นวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนโดยสมบูรณ์แล้ว นางก็สามารถปลอมแปลงกลิ่นอายให้เหมือนกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิได้
ไม่ต้องกล่าวถึงเมิ่งห่าวซวนกับอีก 2 คนที่อยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ กระทั่งให้จักรพรรดิอมตะสมญานามมาเอง ขอเพียงต้วนหลิงเทียนไม่ใช้พลังของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนมากเกินไป จนพลังอำนาจแตะถึงขอบเขตอุปกรณ์เทพ พวกมันก็จะไม่มีทางรู้ว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์เทพ!
“ต้วนหลิงเทียน ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าแม้ด่านพลังฝึกปรือของท่านจะไม่สูง แต่ท่านกลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมดแล้ว!”
หลังต้วนหลิงเทียนริบสินสงครามของจี้เฉวียนไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์อมตะ แหวนพื้นที่ รวมถึงร่างทั้ง 10 ท่อนของจี้เฉวียนแล้วเสร็จ เมิ่งห่าวซวนก็ลอยร่างเข้ามาหาต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“แค่โชคดีน่ะ นับว่าจัดการจี้เฉวียนได้เฉียดฉิวจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองศพของจี้เฉวียนในแหวนพื้นที่ด้วยความพึงพอใจ เมื่อได้ยินคำถามของเมิ่งห่าวซวนเขาก็ดึงสติกลับมา หันไปกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
ศพของมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บในขอบเขตจอมราชันอมตะนั้น เรียกว่าจะสุ่มชี้ไปส่วนไหนก็ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งสิ้น! เพราะทุกส่วนล้วนนำไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะหลอมอุปกรณ์อมตะประเภทศาสตราหรือชุดเกราะ หลอมโอสถอมตะ ไม่เว้นทำหมึกอาคมก็ยอดเยี่ยมทั้งนั้น!
ในแง่มูลค่าแล้วต่อให้สิ่งของในแหวนพื้นที่จี้เฉวียนจะมหาศาล แต่ก็ไม่เท่าศพของมันด้วยซ้ำ
เพราะศพของมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บตัวเขื่องแบบนี้ กรงเล็บทั้ง 9 แต่ละอุ้งมือมัน แค่ถอดมาสักเล็บก็เอาไปใช้เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับสร้างศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิได้หลายเล่มแล้ว!!
“ต้วนหลิงเทียน แท่นบูชาแห่งนี้แปลกประหลาดยิ่ง จนถึงตอนนี้พวกเรายังไม่เจอวิธีจะออกไปจากบนแท่นนี่ได้เลย…พอจะออกไปก็ถูกส่งตัวกลับมากลางแท่นตลอด ท่านไม่ลองดูเล่าว่าจะหาทางออกไปได้ไหม?”
ได้ยินคำตอบอย่างขอไปทีของต้วนหลิงเทียน มุมปากของเมิ่งห่าวซวนก็กระตุกขึ้นมาตงิดๆ เร่งเอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องออกมาทันที
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็ลองแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบทั่วทั้งแท่นบูชาทันที แต่เขากลับไม่พบสิ่งผิดปกติใด
“พี่สาวสุ่ย”
เนื่องจากไม่พบเจอเบาะแสอะไร ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ลองถามวารีเทพชำระโลกาโลกใบเล็กเท่านั้น และสำหรับเขาตอนนี้วารีเทพชำระโลกาแทบไม่ต่างอะไรจากสารานุกรมเลย!
ท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งอยู่มานานเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้มากเท่านั้น
“ที่เป็นด่านทดสอบด่านหนึ่ง…และทดสอบความสามารถในการทำลายค่ายกล”
วารีเทพชำระโลกาตรวจสอบแท่นบูชาอยยู่ครู่หนึ่ง ก็หันมากล่าวกับต้วนหลิงเทียน
“ด่านทดสอบทำลานค่ายกล? ที่นี่มีค่ายกลจัดตั้งไว้ด้วยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนตกใจ เพราะเขาไม่อาจรับรู้ถึงความผิดปกติใดๆได้เลย
“มี”
วารีเทพชำระโลกากล่าว “เสี่ยวเทียนเจ้าจะไม่รู้สึกผิดปกติใดๆก็ไม่แปลก เพราะค่ายกลนี่มิใช่ค่ายกลโจมตี ป้องกัน หลอนประสาท แต่มันเป็นค่ายกลที่ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อผู้คน แค่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมเล็กๆน้อยถึงขั้นไร้สำคัญ”
“เพียงแค่จำนวนค่ายกลที่ว่ามันมากมายมหาศาลนัก ยังส่งเสริมกันอย่างแยบคาย ก่อให้เกิดเป็นพลังอำนาจที่ปิดกั้นไม่ให้ทุกคนออกไปจากที่นี่ได้”
“หากจะระบุรูปแบบค่ายกลนี้…ก็ถือเป็นค่ายกลกักขังประเภทหนึ่งก็ได้”
วารีเทพชำระโลกากล่าว
“แล้ววมีวิธีฝ่าออกไปไหม?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเข้าประเด็นสำคัญ
“เรื่องง่ายๆ”
หลังจากนั้นภายใต้การชี้แนะของวารีเทพชะระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็เดินเตร็ดเตร่ไปมาทั่วแท่นบูชา เตะตรงนั้นที ตบตรงนู้นที แลดูคล้ายคนว่างจัดเล่นไร้สาระไปเรื่อย แต่ทว่าไม่ถึง 1 เค่อก็บังเกิดผลลัพธ์อัศจรรย์ให้เห็น!
“เรียบร้อย”
หลังทำลายค่ายกลคุมขังได้สมบูรณ์ ก็ปรากฏประตูหนึ่งบานผุดโผล่ขึ้นมากลางอากาศเหนือแท่นบูชา พอประตูดังกล่าวเปิดออก ทุกคนก็แลเห็นแต่ความมืดดำ ไม่ทราบว่าประตูดังกล่าวจะนำไปสู่ที่ใด…
จังหวะนี้ไม่ว่าจะเมิ่งห่าวซวนก็ดีหรืออีก 2 คนก็ดี ล้วนมั่นใจเกี่ยวกับต้วนหลิงเทียนเรื่องหนึ่ง…ร้ายกาจสุดหยั่งถึง!
ต้องทราบด้วยว่าพวกมันทั้ง 3 รวมถึงจี้เฉวียนได้ปรากฏตัวบนแท่นบูชาแห่งนี้เป็นอาทิตย์แล้ว พยายามศึกษาหาทางอยู่ก็นาน แต่พวกมันกลับไม่อาจหาทางออกจากแท่นบูชาแห่งนี้ได้เลย
ทว่าต้วนหลิงเทียนใช้เวลาไม่ถึง 1 เค่อ ก็ทำให้ประตูสู่ด่านต่อไปเปิดออกได้แล้ว…
WSSTH ตอนที่ 3,292 : เผ่ามังกรโลหิต
ณ ว่านโช่วเทียน
ถึงแม้เผ่ามังงกรโลหิต จะเป็นดั่งสายพันธุ์หนึ่งของเผ่ามังกรเทพยดา แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากเผ่ามังกร อย่างไรก็ตามเนื่องจากในเผ่ามังกรโลหิตก็มียอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่หลายคน จึงถือว่าเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ขุมหนึ่งของว่านโช่วเทียน
ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา หลังเผ่ามังกรโลหิตแยกตัวออกมาเป็นอิสระจากเผ่ามังกร ความแข็งแกร่งโดยรวมของเผ่าก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก กระทั่งในบางจุดยังร้ายกาจยิ่งกว่าเผ่ามังกรเสียอีก
ในสายตาเผ่ามังกรนั้น สายพันธุ์มังกรโลหิตถือเป็นมังกรเทพยดากลายพันธุ์ ยังเรียกมังกรโลหิตว่าสายพันธุ์ต้องสาปของเผ่ามังกรอีกด้วย!
เนื่องเพราะในกระบวนการเติบโตของสายพันธุ์มังกรโลหิต จำต้องอาศัยการกลืนกินแก่นแท้โลหิตของสัตว์อมตะจำนวนมาก เรียกว่าจะสัตว์อมตะชั้นต่ำก็ดี สัตว์อมตะชั้นสูงก็ดี มังกรโลหิตล้วนรับประทานเรียบไม่มีบอกปัด!
และในเผ่ามังกรโลหิตก็ไม่เคยปรากฏมังกรโลหิต 10 กรงเล็บมาก่อนเลย
กระทั่งมังกรโลหิต 9 กรงเล็บเอง ในเผ่าก็มีอยู่ไม่ถึง 50!
อาจกล่าวได้ว่ามังกรโลหิต 9 กรงเล็บทุกตัวนั้นมีความสำคัญกับเผ่ามังกรโลหิตอย่างมาก ไม่ว่าจะมังกรโลหิต 9 กรงเล็บตัวใด ก็ถูกให้ความสำคัญอย่างสูง
ในเผ่ามังกรโลหิตนั้น แม้จะเป็นลูกหลานของมังกรโลหิตชั้นต่ำในเผ่า แต่ทว่าหากเกิดมาเป็นมังกรโลหิต 9 กรงเล็บ ก็จะถูกปฏิบัติราวกับทายาทสายโลหิตหลัก จะถูกอุ้มชูดูแลอย่างเต็มที่ ได้รับทรัพยากรบ่มเพาะที่ดีที่สุด
และวันนี้ ภายในโถงวิญญาณขเผ่ามังกรโลหิต ก็ปรากฏเสียงลูกแก้ววิญญาณลูกหนึ่งแตกออก
การแตกออกของลูกแก้ววิญญาณลูกหนึ่งในโถง ย่อมเรียกความสนใจของอาวุโสที่ทำหน้าเฝ้าดูแลโถงวิญญาณทันที “ลูกแก้ววิญญาณลูกนี้…มิใช่ว่า…เป็นของ จี้เฉวียน ลูกศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่หรือไร!?”
ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกรโลหิตนั้น เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเป็นลำดับ 2 ของเผ่ามังกรโลหิต เรียกว่าอำนาจภายในเผ่ามังกรโลหิตของมัน จะเป็นรองก็แต่หัวหน้าเผ่ามังกรโลหิตคนเดียวเท่านั้น!
“เฮ่อ…ดูเหมือนเผ่ามังกรโลหิตของเรา คงมิอาจหาความสงบพบเจอไปสักพัก…”
ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่เฝ้าดูแลโถงวิญญาณกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทอดถอนพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ส่งข้อความแจ้งไปให้หัวหน้าเผ่ามังกรโลหิตรับทราบทันที
สำหรับอาวุโสใหญ่นั้น มันไม่ได้ส่งข้อความแจ้งไป
ประการแรกเลย หากมันส่งข้อความไปแจ้งผู้อาวุโสใหญ่โดยตรง ไม่พ้นมันต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ของอาวุโสใหญ่เป็นคนแรก เช่นนั้นเป็นการดีเสียกว่าที่จะแจ้งให้หัวหน้าเผ่าทราบ และให้หัวหน้าเผ่าไปบอกอาวุโสใหญ่แทน…
เพราะไม่ว่าผู้อาวุโสใหญ่จะเดือดดาลและมีโทสะรุนแรงขนาดไหนหลังรับทราบข่าว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาโทสะไปลงกับหัวหน้าเผ่า
ประการที่สอง ในความคิดมัน ไหนเลยอาวุโสใหญ่จะไม่มีลูกแก้ววิญญาณของจี้เฉวียนพกติดตัว? ป่านนี้ไม่พ้นอาวุโสใหญ่ต้องพบเจอแล้ว ว่าลูกแก้ววิญญาณของจี้เฉวียนที่เก็บไว้มันแหลกลงเป็นเสี่ยง!
เผลอๆวินาทีเดียวกับที่มันได้ยินเสียงลูกแก้ววิญญาณแตก มันที่ยังไม่ทันดูชื่อ…ด้านผู้อาวุโสใหญ่ก็รู้แล้วว่าใครตาย!
“เฉวียนเอ้ออออ!!!”
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่อาวุโสโถงวิญญาณคิดถึงจุดนี้ สุรเสียงที่อัดแน่นไปด้วยโทสะแค้นรวมทั้งความเศร้าโศกจับใจก็ดังสนั่นไปทั่วเผ่ามังงกรโลหิตปานฟ้าร้อง! เรียกว่ามังกรโลหิตในเผ่าทั้งหมดไม่มีใครไม่ได้ยิน!!
“ดูเหมือนอาวุโสใหญ่จะทราบเรื่องแล้วจริงๆ”
อาวุโสโถงวิญญาณได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ มันย่อมรู้ดีว่าสุรเสียงที่กึกก้องกังวาลไปทั้งเผ่าเมื่อครู่ เป็นเสียงของผู้อาวุโสใหญ่
ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกรโลหิตนั้นเรียกว่า จี้หู เป็นชายชราสวมใส่ไว้ด้วยชุดคลุมสีแดง เส้นผมหยักศกของมัน ตอนนี้กำลังโบกสะบัดราวอสรพิษมีชีวิต
และมันก็กำลังลอยล่องอยู่บนฟ้าสูง
“ท่านผู้อาวุโส ข้าเสียใจด้วย”
ครู่ต่อมาก็ปรากฏชายวัยกลางคนร่างหนึ่งมาถึง มันมีรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา เส้นผมถูกปล่อยให้ทอดยาวดั่งม่านน้ำตก ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายไร้ลักษณ์ของผู้สูงศักดิ์ออกมา
เป็นหัวหน้าเผ่ามังกรโลหิตคนปัจจุบัน และยังเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของเผ่ามังกรโลหิต จี้ฟง!
“หัวหน้า ทราบแล้ว?”
จี้หูหันไปมองถามจี้ฟง
“ทราบแล้ว”
จี้ฟงพยักหน้า “ผู้อาวุโสโถงวิญญาณพึ่งแจ้งให้ข้าทราบเมื่อสักครู่…อาวุโสใหญ่ ที่แท้เป็นเรื่องราวใดกันแน่…ไฉนอยู่ๆหลานจี้เฉวียนถึงตกตายได้?”
“เฉวียนเอ้อกับอาวุโส 3 เดินทางไปวิหารเฟิงฮ่าวด้วยกัน เพราะเฉวียนเอ้ออยากได้ตำแหน่งจอมราชันอมตะสมญานาม…ข้าเองก็พึ่งติดต่อไปสอบถามอาวุโส 3 จึงได้รู้ว่าตอนเกิดเรื่อง เฉวียนเอ้อ ยังอยู่ในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว”
สองตาจี้หูทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “สิ่งนี้บ่งบอกว่า…เฉวียนเอ้อพลาดท่าเสียทีจนตกตายในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว!”
“หัวหน้าเผ่า ท่านไปวิหารเฟิงฮ่าวกับข้าเถอะ…ข้าอยากรู้ว่าเป็นผู้ใดที่กล้าฆ่าเฉวียนเอ้อหลานข้า!!”
จี้หูเอ่ยชวนจี้ฟงเสียงหนัก
“ผู้อาวุโสใหญ่…”
จี้ฟงงขมวดคิ้วเป็นปมหลวม “คนของวิหารเฟิงฮ่าว ถึงแม้ว่าพวกมันสมควรรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นภายในสถานที่ทดสอบ…แต่พวกมันมีกฏอยู่ว่า จักมิเปิดเผยเรื่องราวใดๆที่เกิดขึ้นในสถานที่ทดสอบให้คนนอกล่วงรู้”
“ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลกทั้งมวล มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถขุดคุ้ยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวได้…”
จี้ฟงกล่าว
“แม้จะยากเย็น…แต่ก็ใช่ว่าจะไร้หนทาง!”
ดวงตาจี้หูเปล่งงแสงเยียบเย็นขึ้นมาอีกวาบ “ขอเพียงรู้ได้…ว่าเป็นสารเลวคนไหนกล้าเข่นฆ่าเฉวียนเอ้อของข้า ให้จ่ายเท่าใดข้าก็ยอม! และข้ามิเชื่อว่าคนของวิหารเฟิงฮ่าวจักไม่หวั่นไหวกับผลประโยชน์!!”
“ก็ได้”
จี้ฟงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ในเมื่อผู้อาวุโสใหญ่ตั้งใจจะไปให้ได้ เช่นนั้นข้าจะไปกับท่านเอง”
ฟังจากบทสนทนาของทั้งคู่ บ่งบอกให้รู้ชัดถึงเรื่องหนึ่ง…วิหารเฟิงฮ่าวมีการสอดแนมทุกเรื่องราวในสถานที่ทดสอบจริงๆ!
…
ทางด้านต้วนหลิงเทียนนั้น ตอนนี้เขาก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามังกรโลหิตที่เขาฆ่าไป มันจะมีฐานะใหญ่โตไม่ใช่เล่น!
แต่เป็นธรรมดาว่าต่อให้เข้ารู้ เขาก็ไม่คิดออมรั้งยั้งมือ และเลือกที่จะฆ่ามันให้ตายอยู่ดี!
หลังออกจากแท่นบูชาแล้ว ต้วนหลิงเทียน เมิ่งห่าวซวน และคนอื่นๆอีก 2 คนก็ถูกส่งตัวมายังด่านทดสอบอีกด่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ๆเต็มไปด้วยแรงกดดันอย่างมาก!
เพียงแต่แรงกดดันที่ว่าไม่ใช่แรงกดดันพลัง แต่เป็นแรงโน้มถ่วงอันมหาศาล!
และแน่นอนว่าทั้ง 4 ถูกจับแยกออกจากกันอีกครั้ง
“แม้จะเป็นแรงโน้มถ่วง แต่เจ้าก็อาศัยมันหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวได้อยู่ เพียงแค่ต้องกระทำเช่นนี้…ฯลฯ”
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รีบร้อนออกไปเช่นเคย เลือกที่จะทำตามคำชี้แนะของงวารีเทพชำระโลกาอย่างตั้งใจ จากนั้นก็เริ่มต้นกระบวนการหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวที่ยังไม่ผสานรวมกับร่างกายเขาสืบต่อ…
ต้วนหลิงเทียนเลือกจะอดทนถึงขั้นขยับตัวแทบไม่ไหวถึงหยุดมือ จากนั้นก็เร่งรวมรั้งพลังทำลายพื้นที่แรงโน้มถ่วงทันที
หลังหลุดพ้นออกจากพื้นที่แรงโน้มถ่วงได้แล้ว เดิมทีต้วนหลิงเทียนคิดว่าคงได้เจอพวกเมิ่งห่าวซวนและคนอื่นๆเลยเหมือนก่อนหน้า แต่เขากลับพบว่าเขาถูกส่งมาปรากฏตัวบนแท่นศิลาเยียบเย็น มองไปทางใดก็เห็นแต่ความว่างเปล่ากับบรรยากาศสีเทาอันมืดมน ไร้แม้แต่เงาผู้คน
สาเหตุที่ไฉนบอกว่าเป็นแท่นศิลาอันเยียบเย็น เพราะแท่นศิลาที่ว่ามันแผ่ไอเย็นออกมาไม่หยุด พาลให้ผู้คนรู้สึกเสมือนติดอยู่ในห้องน้ำแข็งใต้ดิน!
“หืม?”
ทันใดนั้นเอง สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายขึ้นมา เนื่องเพราะเขาสังเกตเห็นร่างๆหนึ่งอู่ๆก็ปรากฏขึ้นอีกด้านของแท่นหินเย็นๆ
และทันทีที่เห็นร่างดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปอยู่บ้าง เพราะรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายกลับเหมือนกันกับเขาทุกประการ! เรียกว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าราวเขาส่องกระจกอยู่!!
“หึ!”
ทันใดนั้นเอง ฝ่ายตรงข้ามที่เป็น ‘ต้วนหลิงเทียน’ เหมือนกัน ก็พ่นลมสบถเยียบเย็นออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะถีบเท้าโจนร่างเข้าใส่เขา!!
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะใช้กฏมิติเหมือนตัวเอง แต่เขาพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้กฏมิติ แต่เป็นกฏแห่งน้ำที่ไม่พบเจอผู้ใดใช้มันมานาน
‘ต้วนหลิงเทียน’ ที่โจนทะยานเข้ามา ไม่ทันไรก็สร้างมังกรน้ำตัวเขื่อง 2 ตัวแล้วเสร็จ เข่นฆ่าเข้ามาด้วยพลังสภาวะดุดันไม่ใช่ชั่ว!
“สุดพลังได้เท่านี้แล้วหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนหลงคิดว่า ระดับพลังของ ‘ต้วนหลิงเทียน’ เบื้องหน้าก็น่าจะถูกสร้างให้พอๆกับเขา แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายกลับอ่อนด้อยกว่าเขามาก ยังอ่อนแอกว่าจี้เฉวียนในร่างมนุษย์หลายส่วน
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
ต้วนหลิงเทียนเคลื่อนมิติไปผุดโผล่ด่านหลัง ‘ต้วนหลิงเทียน’ จากนั้นอากาศว่างเปล่าโดยรอบก็ปริแตก บังเกิดคมมีดมิติสีเทาพุ่งออกมา 9 สาย ประหนึ่งเคียวยมทูตเกี่ยววิญญาณ คร่าชีวิต ‘ต้วนหลิงเทียน’ ในพริบตา
เมื่อ ‘ต้วนหลิงเทียน’ กลายเป็นชิ้นเนื้อเกลื่อนพื้น ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เมื่อพบว่า ชิ้นส่วน ‘ต้วนหลิงเทียน’ ได้เปลี่ยนรูปร่างและกลายเป็นคนอื่น
และคนอื่นที่ว่า ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับต้วนหลิงเทียนเลย เพราะมันเป็น 1 ใน 2 คนที่มาสมทบกับเขา เมิ่งห่าวซวนและจี้เฉวียนภายหลัง
ครืนนนน!! ครืนนนน!!
ตึงงงง!!!
…
ทันใดนั้นเองเสียงสนั่นหวั่นไหว 2 เสียงพลันดังกึกก้องเข้าหูเขา และต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าแท่นศิลาเยียบเย็นใต้เท้ากำลังสั่นไหว ก่อนพบว่ามันเคลื่อนที่ไปชนกับศิลาอีกแท่นหนึ่งที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางอากาศว่างเปล่า
และบนแท่นศิลาอีกแท่น ก็มีร่างเมิ่งห่าวซวนยืนอยู่
ใกล้ๆจุดที่เมิ่งห่าวซวนยืนอยู่ ก็มีศพๆหนึ่งนอนตายอยู่เช่นกัน และเป็นอีกคนที่เข้ามาพร้อมพวกเขา
ถึงจุดนี้จึงกล่าวได้ว่า ในบรรดา 5 คนที่เข้ามาพร้อมกันๆ มีเพียงต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่
“ต้วนหลิงเทียน?”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียน และพบซากร่างเป็นเสี่ยงๆบนพื้นห่างออกไปจากต้วนหลิงเทียนพอสมควร เมิ่งห่าวซวนก็แลดูแปลกใจเล็กน้อย จกานั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ว่า “ก่อนที่ท่านจะฆ่ามัน…ใช่ท่านเห็นว่ามันมีรูปร่างหน้าตาเหมือนท่านหรือไม่?”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ทางข้าก็ด้วย”
เมิ่งห่าวซวนคลี่ยิ้มเจื่อนๆ “นี่มันสถานที่ผีสางอะไรกันแน่…แถมตอนนี้แท่นศิลาของพวกเราสองคนยังเลื่อนมาชนกันอีก คงไม่ได้จะบอกว่าข้ากับท่าน ต้องมีหนึ่งรอดหนึ่งตายหรอกนะ?”
“อาจเป็นแบบนั้น…แต่ก็ไม่แน่’
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ลองหาดูก่อน ว่ายังมีทางออกอื่นอีกไหม”
“ได้”
เมิ่งห่าวซวนพยักหน้าเห็นด้วยเร็วไว ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้มีเจตนาลงมือกับตัวเอง
หากเป็นตอนแรกที่เจอกัน แม้มันจะไม่กล้าพูดว่าสามารถเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้แน่ๆ แต่มันก็ยังมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองพอตัว
อย่างไรก็ตาม พอได้เห็นฉากต้วนหลิงเทียนฆ่ามังกรโลหิต 9 กรงเล็บอย่างจี้เฉวียนต่อหน้าต่อตา มันก็รู้ดีว่าแม้พลังฝีมือของมันจะไม่ได้อ่อนด้อยกว่าจี้เฉวียน แต่มันก็ไม่ใช่คู่มือของต้วนหลิงเทียนเลย!
หากต้วนหลิงเทียนคิดลงมือกับมันขึ้นมาจริงๆ มันก็ต้องตายตกอย่างไม่ต้องสงสัย!
จนถึงบัดนี้เมิ่งห่าวซวนก็ไม่ได้รู้ตัวเลย ว่าเว้นเสียแต่มันจะลงมือต่อต้วนหลิงเทียนก่อน ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะฆ่ามันแน่นอน…สุดท้ายมันก็เป็นศิษย์น้องของบิดาบังเกิดเกล้าฮ่วนเอ๋อ!
หากพลั้งมือฆ่าอีกฝ่ายตกตายไป วันหน้าต้วนหลิงเทียนจะสู้หน้าบิดาฮ่วนเอ๋อได้อย่างไร?
นอกจากนั้นเมิ่งห่าวซวนยังให้เบาะแสที่สำคัญอย่างยิ่งต่อต้วนหลิงเทียน จึงทำให้ต้วนหลิงเทียนทราบแล้วว่าบิดาของฮ่วนเอ๋อถูกกักขังอยู่ที่ไหน
และในสายตาของต้วนหลิงเทียน มารดาของฮ่วนเอ๋อ สิบในสิบไม่พ้นถูกกักขังไว้ในสถานที่เดียวกัน!
“พี่สาวสุ่ย”
หลังเขากับเมิ่งห่าวซวนเดินตรวจสอบที่ทางอยู่สักพักใหญ่ๆแต่ไม่พบเจอทางออกอื่นใด ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถามวารีเทพชำระโลกาอย่างอดไม่ได้
“หากจะออกไปจากที่นี่ ในพื้นที่แห่งนี้ต้องเหลือคนเพียงแค่คนเดียวเสียก่อน”
วารีเทพชำระโลกากล่าว
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนก็มีเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแหยๆออกมาด้วยความขื่นขมหลังได้ยินคำตอบของวารีเทพชำระโลกา…หรือสุดท้ายระหว่างเขากับเมิ่งห่าวซวนก็ต้องมีหนึ่งคนที่ต้องตายจริงๆ?
“ต้องฆ่าเมิ่งห่าวซวนเท่านั้นหรือ ถึงจะออกไปได้…”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง
“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น”
วารีเทพชำระโลกากล่าว “ข้าลองตรวจสอบดูแล้ว ที่นี่เป็นอย่างที่ข้าบอกเจ้าไปทุกประการ…เงื่อนไขที่จะออกไปได้ คือต้องมีคนอยู่ในพื้นที่แค่คนเดียว”
“แต่อีกคนไม่ใช่ว่าต้องตาย ขอแค่ไปซ่อนตัวอยู่ในโลกใบเล็กของอีกคน ก็สามารถออกจากที่ได้พร้อมกัน”
“อย่างไรก็ตามปกติแล้ว ไม่มีผู้ใดคิดปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามาในโลกใบเล็กของตัวเองง่ายๆ เพราะเรื่องนี้มันค่อนข้างอันตรายอย่างยิ่ง”
“เจ้าเป็นฝ่ายเข้าไปหลบในโลกใบเล็กของมันเพื่อออกจากที่นี่เถอะ”
“ถึงแม้ว่าโลกใบเล็กในร่างเจ้า จะไม่กลัวการลงมือล้างผลาญของมัน แต่เจ้ามีความลับซุกซ่อนเอาไว้ในนั้นมากเกินไป อย่าให้มันรู้เสียประเสริฐกว่า”
WSSTH ตอนที่ 3,293 : ร้อยเปลี่ยน ไม่ดับสูญ
หลังฟังวารีเทพชำระโลกาพูดจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปกล่าวบอกวิธีออกจากสถานที่แห่งนี้กับเมิ่งห่าวซวน ว่าระหว่างเขากับอีกฝ่าย ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งเข้าไปหลบอยู่ในโลกใบเล็กของอีกคน เพื่อให้มีคนอยู่ในพื้นที่แห่งนี้แค่คนเดียวตามเงื่อนไขของด่านทดสอบ
“ต้วนหลิงเทียน ท่านเข้ามาในโลกใบเล็กของข้าเถอะ”
และไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะพูดถึงเรื่องนี้ เมิ่งห่าวซวนที่รู้สถานการณ์ดี ก็เป็นฝ่ายชวนให้ต้วนหลิงเทียนเข้าสู่โลกใบเล็กของตัวเองก่อนทันที
เพราะในสายตาของมัน หากต้วนหลิงเทียนต้องการ อีกฝ่ายสามารถฆ่ามันเพื่อออกจากที่นี่ง่ายๆ!
ตอนนี้ในเมื่อต้วนหลิงเทียนเสนอทางออกที่มันไม่ต้องตายออกมา มันย่อมรีบชวนให้ต้วนหลิงเทียนเข้าโลกใบเล็กของตัวเองอย่างรู้งานทันที
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตัวมันอ่อนแอกว่าและไร้หนทางเลือกอื่น
แค่พิจารณาสถานการณ์ในปัจจุบัน ต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะลอบทำร้ายมันอย่างทำลายโลกใบเล็กของมันเลย เพราะอีกฝ่ายสามารถฆ่ามันตอนไหนก็ได้อยู่แล้ว…
ในเมื่อต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่ามันได้ตามอำเภอใจ เช่นนั้นยังต้องรอให้เข้าไปในโลกใบเล็กของมัน เพื่อก่อการให้มันบาดเจ็บแล้วค่อยลงมือทำไม? นั่นไยไม่เป็นการวุ่นวายเกินจำเป็น?
“ได้”
ในเมื่อเมิ่งห่าวซวนรู้งาน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต้องเปลืองน้ำลาย จากนั้นเขาก็ปล่อยตัวไม่ต่อต้าน ให้เมิ่งห่าวซวนใช้พลังดูดรั้งร่างเขาวูบเข้าไปในโลกใบเล็กของมันทันที
โลกใบเล็กของเมิ่งห่าวซวนนั้นเป็นดินแดนว่างเปล่ารกร้าง พลังวิญญาณฟ้าดินในนี้ก็เบาบางเหมือนสถานที่ทั่วไปในระนาบเทวโลก
ยังเบาบางกว่าในเมืองใหญ่เสียอีก
“ช่างน่าทึ่งนัก”
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเข้าสู่โลกใบเล็กของเมิ่งห่าวซวน เพื่อปกปิดกลิ่นอายของตัวเอง เขาก็ได้ยินเสียงของเมิ่งห่าวซวนดังขึ้นพอดี “เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?”
ในเมื่อตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังซ่อนตัวเพื่อให้ลบกลิ่นอายของเขาออกจากพื้นที่ด้านนอกโดยสมบูรณ์ เช่นนั้นเขาจึงไม่กล้าแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบเรื่องราวอะไรด้านนอก ทำให้ไม่อาจรับรู้สถานการณ์ด้านนอกได้เลย ได้แต่เอ่ยถามออกมาแบบนี้
“ก็หลังจากที่ท่านเข้าสู่โลกใบเล็กข้าได้ไม่ทันไร ฉากเรื่องราวโดยรอบมันก็เปลี่ยนแปลงไปไปทันที…และตอนนี้ดูเหมือนพวกเราจะออกมาได้แล้วล่ะ…”
เมิ่งห่าวซวนกล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี
“ออกมาได้แล้วรึ?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ออกมาด้วยความสงสัย เมิ่งห่าวซวนศัยหนึ่งห้วงคิดก็นำต้วนหลิงเทียนออกมาจากโลกใบเล็กทันที
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะสามารถออกมาเองโดยไม่ต้องรอเมิ่งห่าวซวน แต่ถ้าทำแบบนั้นจะมากจะน้อยก็ไม่พ้นต้องทำให้เมิ่งห่าวซวนบาดเจ็บ
“ต้วนหลิงเทียน ขอบคุณท่านมาก”
หลังนำต้วนหลิงเทียนออกมาจากโลกใบเล็กแล้ว เมิ่งห่าวซวนก็ประสานมือกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนใดอื่น
ด้านต้วนหลิงเทียนที่พึ่งออกมาก็หันมองสำรวจที่ทางรอบๆทันที จึงพบว่าตอนนี้เขาสมควรออกจากแดนลับย่อยของสถานที่ทดสอบแล้ว
“ในแดนลับย่อยเมื่อครู่…ไม่ทราบพี่เมิ่งได้ผลลัพธ์เป็นเช่นไรบ้าง”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามเมิ่งห่าวซวนด้วยความสงสัย
สำหรับเขาผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนลับย่อย ก็คือการหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวไปได้ 3 ส่วน สำหรับอีก 7 ส่วนที่เหลือก็จำต้องไปหาด่านทดสอบอื่นๆเพื่อเสริมความเร็วในการหลอม
“ก็พอได้อยู่”
เมิ่งห่าวซวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ “อย่างน้อยๆด่านพลังของข้าก็มั่นคงมากขึ้น กล่าวไปยังมีความก้าวหน้าเล็กน้อย…สำหรับความเข้าใจในกฏก็เหมือนจักดีขึ้นพอสมควรเลยทีเดียว แน่นอนว่าคงมิอาจเทียบเจ้าได้กระมัง?”
กล่าวถึงท้ายประโยคเมิ่งห่าวซวนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางส่ายหัว
ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ามัน ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือจะด้อยกว่ามัน แต่อีกฝ่ายได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดสิ้นแล้ว เรื่องของเรื่องก็คือกฏที่อีกฝ่ายเชี่ยวชาญคือกฏมิติ! 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ยากจะเข้าใจอีกด้วย!!
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับอย่างขอไปทีด้วยรอยยิ้มเฉยเมย “เช่นนั้นจากนี้ท่านก็ถนอมตัวด้วย หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสได้พบกันใหม่”
“เช่นกัน!”
เมิ่งห่าวซวนพยักหน้า มันเองก็รู้ว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ถึงส่งกันพันลี้สุดท้ายก็ต้องจาก “วันหน้าหากมีเวลาข้าจักไปร่ำสุราสนทนากับท่านถึงวังเทียนฉือที่อู๋หยาเทียนแน่…และหากท่านมีเวลาว่างก็แวะมาหาข้าที่ขุนเขากระบี่ฟ้าได้ทุกเวลา!”
“นี่คือลูกแก้ววิญญาณของข้า”
ก่อนแยกกัน เมิ่งห่าวซวนก็แลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณกับต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็แยกย้ายกันไปคนละทาง
หลังใช้เคลื่อนมิติเต็มกำลังไปสองสามรอบจนมาโผล่ที่ไหนสักแห่ง ต้วนหลิงเทียนก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ‘ดูเหมือนต้องพยายามหาด่านทดสอบอื่นอีก…ตอนนี้พึ่งจะหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวได้ 3 ส่วนเท่านั้นเอง’
‘กว่าจะทำได้สำเร็จ อย่างน้อยๆก็ต้องเจอด่านทดสอบลักษณะเดียวกับด่านทดสอบก่อนหน้าอีกสัก 2-3 รอบ’
พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดปวดหัวขึ้นมาไม่ได้ เพราะที่ยากที่สุดก็คือตามหาด่านทดสอบให้เจอนี่ล่ะ…
โชคยังดีที่เขายังมีเวลา
ดีที่รอบนี้ไม่ได้ใช้เวลาไปมากมายอะไร
…
ณ อู๋หยาเทียน
แดนอู๋หยา
ในทะเลทรายแห้งแล้งอันรกร้างว่างเปล่า ปรากฏซากปรักหักพังกระจัดกระจายไปทั่ว มองไปแล้วซากปรักหักพังที่ว่าสมควรเป็นเมืองๆหนึ่งที่ล่มสลายไปตามกาลเวลา อย่างไรก็ตามท่ามกลางซากปรักหักพังนั้น มีตำหนักที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์แห่งหนึ่ง
ถึงแม้ตำหนักหลังนี้จะถูกปกคลุมด้วยฝุ่นทราย แต่หากดูให้ดีจะพบว่าประตูหน้าตำหนักไร้ซึ่งฝุ่นดินอะไร คล้ายยามฝุ่นดินหินทรายถูกพัดมาบริเวณนี้ จะถูกพลังไร้สภาพพัดออกไปโดยเฉพาะ
“แน่ใจหรือว่าทั้งคู่อยู่ที่นี่?”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด แต่มีร่างสองร่างพลันปรากฏบนฟ้าเหนือซากปรักหักพัง และคนหนึ่งก็หันไปเอ่ยถามอีกคนด้วยสายตาสงสัย
ผู้มาล้วนมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มเหมือนกัน มาในชุดคลุมลมสีเทามีโม่งคลุมหัว ใบหน้ามีผ้าปิดปากปิดจมูกมิดชิด เผยให้เห็นแค่คิ้วและดวงตาเท่านั้น
“เป็นที่นี่มิผิดแน่”
หลังได้ยินคำถามของชายข้างกาย ชายอีกคนก็เอ่ยตอบเสียงเรียบ
หากต้วนหลิงเทียนมาอู่ที่นี่ และได้ยินเสียงของทั้งคู่ ก็คงไม่ยากที่เขาจะระบุตัวตนของพวกมัน เพราะสองคนนี้…หนึ่งก็คือ หานอวิ๋นจิ่น ศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ และ เหลยจวิ้น ศิษย์คนรองรวมถึงลูกชายคนเดียวของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงแห่งวังเทียนฉือ
หานอวิ๋นจิ่นก็เป็นคนที่เอ่ยถามออกมาคนแรก
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเองเหลยจวิ้นพลันสะบัดมือคราหนึ่ง จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขุ่มหนึ่งก็ซัดพุ่งออกจากฝ่ามือไปยังซากปรักหักพังเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกเข้ากับกระดิ่งเล็กๆบริเวณหน้าประตูตำหนักที่ยังดูมีสภาพสบูรณ์
กริ๊ง!!
หลังจากเสียงกระดิ่งดังขึ้นราวๆสิบลมหายใจ ก็มีร่างหนึ่งปิดประตูก้าวออกมาจากตำหนักอย่างไม่รีบไม่ร้อน
พิกลนัก…เป็นเด็กชายคนหนึ่ง!
เด็กชายคนนี้แลดูมีอยุราวๆ 13-14 ปี หลังจากที่มันออกจากประตูแล้ว มันก็ค่อยๆลอยยร่างขึ้นมาบนอากาศ สองตามองไปยังเหลยจวิ้นและหานอวิ๋นจิ่นแต่ไกล เอ่ยออกมาเสียงเรียบว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงที่นี่ได้ เช่นนั้นก็สมควรรู้กฏดี”
“ทิ้งของไว้ รายละเอียดเป้าหมาย รวมถึงลูกแก้ววิญญาณของพวกเจ้า จากนั้นพวกเจ้าก็กลับไปรอการติดต่อกลับเสีย”
เด็กชายกล่าว
“ท่านคือ?”
เมื่อหานอวิ๋นจิ่นเห็นเด็กชายคนี้มันก็อดตกตะลึงไปไม่ได้ เพราะเด็กชายคนนี้แม้รูปลักษณ์แลแล้วอายุไม่น่าเกิน 13-14 ปี แต่พิกลนักที่กลิ่นอายเลือดเนื้อของมันไม่ได้สดใหม่บ่งบอกว่ามันมีอายุไม่ถึงร้อยปีแต่อย่างใด…
สิ่งนี้บ่งชี้ว่า แม้เด็กชายจะดูมีอายุไม่มาก แต่ที่จริงมีอายุเกินร้อยปีแล้ว…
“ข้าไม่อยากพูดซ้ำเป็นครั้งที่ 2”
แทบจะพร้อมกันกับที่หานอวิ๋นจิ่นกล่าถามจบคำ เด็กชายก็กล่าวออกด้วยยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นพลังอันน่าพรั่นพรึงขุมหนึ่งก็กำจายออกมาจากร่างเล็กๆ กดทับไปยังหานอวิ๋นจิ่นและเหลยจวิ้นทันที!
ทำให้ร่างหานอวิ๋นจิ่นและเหลจวิ้นสะท้านไปทันใด!
“ผู้น้อยขอคารวะอาวุโส ตู๋กู”
หานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้นเร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ประสานมือโค้งคารวะเด็กชายออกมาพร้อมๆกัน ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย!
กลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจาจกร่างเด็กชายเมื่อครู่นี้ ได้บ่งยอกเรื่องหนึ่งให้พวกมันทราบชัดเจน…
เด็กชายเบื้องหน้า เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม!
ปรากฏตัวที่นี่ ทั้งยังเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม เห็นได้ชัดว่านี่คือเป้าหมายที่การเดินทางของพวกมันสองคน 1 ใน 2 มือสังหารที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมานาม!
“ผู้อาวุโสตู๋กู นี่คือค่าจ้าง”
เหลยจวิ้นโบกมือขึ้น จากนั้นก็ปรากฏแหวนพื้นที่วงหนึ่งถูกพลังไร้สภาพหอบหิ้วไปหยุดลอยเบื้องหน้าตู๋กู จากนั้นก็เร่งกล่าวออกมาตรงๆเสียงดังฟังชัด “คนที่พวกเราต้องการให้ผู้อาวุโสสังหารเรียกว่า ต้วนหลิงเทียน เป็นศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือ”
“วังเทียนฉือ?”
หลังจากรับแหวนพื้นที่ไป เด็กชายก็หยดเลือดผูกพันธะ จากนั้นก็ส่องภายในตรวจดูสิ่งของในแหวน ขณะพยักหน้าเบาๆ ก็กล่าวกับเหลยยจวิ้นว่า “สถานะของเป้าหมายไม่มีปัญหา…อย่างไรก็ตามหากมันซ่อนตัวอยู่ในวังเทียนฉือและไม่ออกไปไหน พวกเราก็มิอาจทำอะไรมันได้”
“ก่อนที่เจ้าจะมาจ้างวานพวกเรา คงรู้ว่ามันกำลังจะออกจากวังเทียนฉือแล้วกระมัง? เช่นนั้นมันออกจากวังเทียนฉือเมื่อไหร่ จงติดต่อมาหาข้าโดยเร็วที่สุด”
เด็กชายกล่าว
วังเทียนฉือเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ และค่ายกลที่ปกป้องอาณาเขตวังเทียนฉือนั้นก็ทรงพลังเสียจนต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามก็แทบไม่อาจบุกฝ่าเข้าไปได้ง่ายๆ
ถึงแม้จะบุกฝ่าเข้าไปได้ แต่ก็คงต้องถูกพบเจอทันที ไม่มีทางลอบเข้าไปอย่างลับๆได้เลย
“เรื่องนี้ขออาวุโสโปรดวางใจ”
เหลยจวิ้นคลี่ยิ้ม พลางกล่าว “ตอนนี้เป้าหมายได้เดินทางไปยังวิหารเฟิงฮ่าวสาขาแดนอู๋หยาเรา…อย่างไรก็ตามข้างกายมันมีจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่หนึ่งคน และเป็นอาจารย์ของมัน จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง แห่งวังเทียนฉือ”
“จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีรึ?”
ได้ยินคำพูดของเหลยจวิ้น เด็กชายก็เลิกคิ้วขึ้น “ไม่น่าแปลกใจที่พวกเจ้าจะจ่ายค่าจ้างมาให้ข้าตามเกณฑ์นี้…ที่แท้ข้างกายมันมีจักรพรรดิอมตะสมญานามคุ้มกะลาหัวนี่เอง”
“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมันออกจากวังเทียนฉือมาแล้ว พวกเราตกลงรับงานนี้”
ชายหนุ่มกล่าวต่อ “ตอนนี้เจ้าเล่าอัตลักษณ์ของมัน รวมถึงคนที่มากับมันให้ข้าฟังอย่างละเอียด…หากมีภาพเหมือนหรือลูกแก้วเงาลอยย่อมดีที่สุด”
“ข้าเตรียมทั้งหมดไว้ให้อาวุโสแล้ว”
เหลยจวิ้นกล่าววอ่างสุภาพ จากนั้นก็สะบัดมือส่งม้วนภาพไปให้เด็กชายทันที
หลังจากนั้นไม่รอให้เด็กชายพูดซ้ำ เหลยจวิ้นก็ส่งลูกแก้ววิญญาณของตัวเองไปให้เด็กชาย ก่อนจะประสานมือโค้งคารวะเป็นการอำลาเด็กชาย แล้วหันหลังจากไปทันที
แน่นอนว่าก่อนที่เหลยจวิ้นกับหานอวิ๋นจิ่นจะจากไปไหนไกล เด็กชายก็ไม่ลืมส่งลูกแก้ววิญญาณของมันไปให้เหลยจวิ้น “เจ้ารับลูกแก้ววิญญาณข้าไปด้วย หากมีเหตุเปลี่ยนแปลงอันใด ให้รีบแจ้งข้ามาทันที”
ทันทีที่เหลยจวิ้นกับหานอวิ๋นจิ่นหันกลับมา ในอากาศก็เหลือแต่ลูกแก้ววิญญาณกำลังลอยเข้ามาหาพวกมัน ส่วนเด็กชายนั้น ไม่ทราบหายไปที่ใดแล้ว…ราวกับคนอยู่ๆก็สาบสูญไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น!
“เหลยจวิ้น ลองทั้งคู่ลงมือแบบนี้…คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกระมัง?”
ขณะเหินร่างออกจากพื้นที่ทะเลทรายเพื่อกับวังเทียนฉือ หานอวิ๋นจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะหันไปเอ่ยถามเหลยจวิ้น
“ไม่มีปัญหาแน่นอน”
เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มอย่างมั่นใจ “หากข้าเดาไม่ผิด เด็กชายเมื่อครู่สมควรเป็น จักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน ตู๋กูเหวิน ที่เชี่ยวชาญการแปลงโฉมเปลี่ยนร่างเป็นที่สุด! ว่ากันว่าที่แท้แล้วมันมิใช่มนุษย์แต่เป็นบุปผาอมตะร้อยสี ที่สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ มีความสามารถในการปลอมแปลงรูปลักษณ์ได้ทุกรูปแบบ”
“ร่างเด็กชาย สมควรเป็นหนึ่งในร่างแปลงของมันเท่านั้น”
“จักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน ตู๋กูเหวิน ผู้นี้ แม้จักชำนาญเรื่องการปลอมแปลงรูปโฉม ดูเหมือนถนัดการลอบสังหาร แต่เอาเข้าจริงพลังฝีมือนั้นมิใช่ชั่วเลยจริงๆ สมควรมีพลังฝีมือสูงกว่าจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีรวมถึงมารดาข้า กระทั่งอาจจะมีพลังฝีมือพอๆกับอาจารย์ของเจ้า จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับด้วยซ้ำ”
“นอกจากนั้น ในบรรดาพวกมันทั้งสองคน ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็คือ ตู๋กูหวู่ พี่ชายของมัน…ลือกันว่ามันคือไผ่สวรรค์แกร่งที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ มีสมญานามว่า ‘ไม่ดับสูญ’ และเป็นที่รู้จักในนามจักรพรรดิอมตะไม่ดับสูญ”
“หากกล่าวว่าตู๋กูเหวินอาจจะเหนือกว่าฉือหล่าง ทว่าพี่ชายของมัน ตู๋กูหวู่ นั้น…ร้ายกาจกว่าฉือหล่างแน่นอน!”
เหลยจวิ้นกล่าว
“ข้าหวังว่าจักไม่มีอะไรผิดพลาด…ราคาที่พวกเราจ่ายออกไปครั้งนี้ มันมหาศาลเกินไป…”
หานอวิ๋นจิ่นกล่าวออกเสียงเครียด
ราคาที่มันกับเหลยจวิ้นจ่ายออกไปนั้นสูงมาก สามารถอธิบายได้ว่า เปลี่ยนจากมหาเศรษฐีเป็นยาจกในชั่วข้ามคืน
“จ่ายมาก ผลตอบแทนก็มาก…นี่คือความจริงที่มีมาแต่โบราณ”
เหลยจวิ้นเอ่ยออกเสียงเบา
ในขณะที่หานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้นเดินทางออกจากทะเลทราย ท่ามกลางซากปรักหักพัง ก็ปรากฏเงาร่าง 2 ร่างพุ่งทะยานตัดฟ้า มุ่งหน้าไปทางวิหารเฟิงฮ่าวด้วยความเร็วสูงล้ำ
WSSTH ตอนที่ 3,294 : ต้วนเสี่ยวเฮย ต้วนเสี่ยวไป๋
ณ ว่านโช่วเทียน
เผ่ามังกร
เผ่ามังกรโลหิตนั้เป็นแค่สายพันธุ์หนึ่งของเผ่ามังกรเท่านั้น และเผ่ามังกรที่ว่าก็คือเผ่าที่มีมังกรเทพยดาทุกสายพันธุ์ ยกเว้นแต่มังกรโลหิตสายพันธุ์เดียว
ไม่ว่าจะมังกรทอง มังกรมาร มังกรขาว มังกรฟ้า มังกรแดง…ฯลฯ ในบรรดาที่กล่าวมา มังกรทองกับมังกรมารนั้นถือว่ามีฐานะสูงสุดในบรรดามังกรเทพยดา รองลงมาก็คือมังกรขาว มังกรฟ้า มังกรแดง และอื่นๆ
มังกรโลหิตแม้จากรูปลักษณ์จะจัดเป็นมังกรเทพยดาเหมือนกัน แต่ทว่าสายพันธุ์ของพวกมันนั้นแปลกประหลาด มีวิถีชีวิตต่างจากมังกรสายพันธุ์อื่นโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นมังกรสายพันธุ์อื่นจึงไม่อยากนับญาติกับพวกมัน…
และถิ่นที่อยู่อาศัยของเผ่ามังกร แน่นอนว่าต้องกว้างขวางใหญ่โตสุดที่เผ่ามังกรโลหิตจะเทียบได้
“ต้วนเสี่ยวเฮย! ต้วนเสี่ยวไป๋!”
และตอนนี้เอง ในหุบเขาที่พักของศิษย์อัจฉริยะของเผ่ามังกร ก็ปรากฏร่างในชุดคลุมสีทองหนึ่งกำลังยืนเผชิญหน้ากับชายหนุ่มในชุดสีดำกับหญิงสาวในชุดสีขาว
ชายในชุดคลุมทองที่ว่าก็เป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าเคร่งขรึม สองตาเป็นประกายสดใสปานดวงดารา
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันกำลังมองจ้องชายหนุ่มชุดดำกับหญิงสาวชุดขาวเบื้องหน้าด้วยสายตาดุร้าย
ชายหนุ่มชุดดำนั้นมีใบหน้าหล่อเหลาเอาเรื่อง มาดขรึมแลดูเย็นชา รูปร่างสูงสมส่วนแข็งแรง ทั่วร่างเปล่งกลิ่นอายไร้สภาพเยียบเย็นออกมา
ส่วนหญิงสาวในชุดขาวราวหิมะนั่น หน้าตาสะสวย เพียงยืนอยู่เฉยๆก็ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์เลอค่า
“จี้เหยียน…นี่เจ้าคิดจะท้าทายข้ากับเสี่ยวเฮยจริงๆหรือ?”
หญิงสาวในชุดขาวอันมีเส้นผมสีดำเงางามทอดยยาวลงมาดั่งม่านน้ำตก ค่อยๆกลอกตาดั่งสารทฤดูไปเหลือบมองชายหนุ่มในชุดคลุมทอง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆว่า “ข้าจำได้ว่า…เมื่อ 30 ปีก่อนเจ้าก็ถูกข้ากับเสี่ยวเฮยทุบตีฝ่ายเดียวมิใช่หรือ?”
“หึ!!”
ชายยหนุ่มในชุดคลุมทองพ่นลมสบถออกมาเสียงเย็น “เจ้ายังพูดอยู่กับปากว่าเมื่อ 30 ปีก่อน…วันนี้ผู้ใดจักทุบตีผู้ใดฝ่ายเดียวมันก็ไม่แน่นักหรอก!!”
“ดูเหมือนว่าการไปทดสอบรับสมญานามที่วิหารเฟิงฮ่าวมาได้ จักทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นหลายส่วน…”
หญิงสาวชุดขาวคลี่ยิ้ม
“เลิกพล่ามเหลวไหลได้แล้ว ลงมือเสียที!!”
ชายหนุ่มในชุดคลุมทองโพล่งออกมาอย่างดุดัน แววตาพุ่งยิงรังสีฆ่าฟันออกมาเข้มข้น จากนั้นร่างมันก็กลับกลายเป็นสายฟ้าสีทอง ฟาดผ่าไปทางคู่ชายหนุ่มหญิงสาวเบื้องหน้า!
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
อีกด้าน ชายหนุ่มชุดดำกับหญิงสาวชุดขาว ก็เคื่อนไหวด้วยความเร็วสูง จนทิ้งภาพติดตาค่อยๆเลือนรางหายไปในความว่างเปล่า
ปงงง!!
เปรี๊ยงงง!!!
…
เพียงการประมือในช่วงเวลาสั้นๆของทั้ง 3 ความว่างเปล่าก็สะท้านสะเทือนไปหมด! เสียงระเบิดดังสนั่นปานฟ้าคำรนอุบัติออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ผืนดินผนังผาสั่นสะเทือนเลือนลั่นราวบังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ คลื่นพลังสะท้อนกลายเป็นสายลมแรงพัดกวาดไปทั่วสารทิศ!
“เฮ่อ เจ้าเสี่ยวเฮย กับเสี่ยวไป๋มักรังแกผู้อื่นแบบนี้เสมอ…ไม่ว่าใครคิดท้าทายก็ต้องสู้กับพวกมัน 2 คนพร้อมกันตลอด”
คนเผ่ามังกรที่ชมดูการปะทะอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา กล่าวด้วยน้ำเสียงจนปัญญา
“ทั่งคู่เป็นพี่น้องที่ไม่เคยแยกจากกัน เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกมันจะลงมือพร้อมกัน”
ชายหนุ่มเผ่ามักรอีกคนกล่าว “ที่สำคัญพวกเจ้าคิดว่าทั้งคู่อายุเท่าไหร่กัน? พวกมันแต่ละคนยังไม่ถึง 300 ปีที ให้เอาอายุของพวกมันทั้งคู่มารวมกัน ยังไม่ถึงครึ่งของจี้เหยียนด้วยซ้ำ เช่นนั้นต่อให้พวกมันกลุ้มรุมก็ไม่ถือว่าเอาเปรียบจี้เหยียนแม้แต่น้อย!”
“จักว่าไปก็จริงของเจ้า อายุของจี้เหยียนยังมากกว่าอายุของพี่น้องคู่นั้นรวมกันเสียอีก…”
“ถึงแม้ต้วนเสี่ยวเฮยกับต้วนเสี่ยวไป๋จะมาจากระนาบโลกียะอันล้าหลัง แต่มิคาดพอมาถึงเผ่ามังกรของพวกเราหลังจากเข้าใช้สระชำระมังกรบรรพชนของเผ่ามังกรเรา พวกมันก็ถึงกับวิวัฒนาได้สำเร็จ เจ้าต้วนเสี่ยวเฮยนั่นกลายเป็นมังกรมาร 9 กรงเล็บ ส่วนต้วนเสี่ยวไป๋ก็กลายเป็นมังกรขาว 9 กรงเล็บ…นับว่าเป็นตัวตนที่หาได้ยากในเผ่ามังกรของพวกเรานัก”
“เห็นว่าตอนพวกมันทั้งคู่อยู่ในระนาบโลกียะ ก็เคยผ่านการใช้สระชำระโลหิตของหุบจันทร์โลหิตมาก่อน สายเลือดของพวกมันจึงเข้มข้นขึ้นกระทั่งพัฒนาเป็นมังกรมาร 8 กรงเล็บกับมังกรขาว 8 กรงเล็บได้สำเร็จ! ด้วยความที่พวกมันมีรากฐานดีเช่นนี้ ทำให้ยามเข้าใช้สระชำระมังกรบรรพชนของพวกเรา พวกมันจึงยกระดับพัฒนากลายเป็นมังกรมาร 9 กรงเล็บกับมงกรขาว 9 กรงเล็บได้อย่างราบรื่น!”
“พวกเจ้าก็คงได้ยินเรื่องนี้กันมาแล้วกระมัง เห็นว่าพอหุบจันทร์โลหิตได้ยินว่าทั้งคู่เคยเข้าใช้สระชำระโลหิตของพวกมัน จึงส่งผลให้ทั้งคู่พัฒนากลายเป็นมังกรมารกับมังกรขาว 9 กรงเล็บได้สำเร็จ พวกมันก็ถึงกับมาร่ำร้องหาผลประโยชน์กันใหญ่”
“ใช่ๆๆ ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องนั้นมาเหมือนกัน เห็นว่าเถียงกันรุนแรงจนโถงสั่นเลยทีเดียว…แถมเจ้าหุบเขาจันทร์โลหิตนั่น พอเห็นว่าผู้นำเผ่ามังกรเราไม่ยอมจ่ายใดๆ พวกมันก็ทำท่าจะคว้าตัวพี่น้องคู่นี้ไปถ่ายเดียว…”
…
ต้วนเสี่ยวเฮยกับต้วนเสี่ยวไป๋ถึงแม้ทั้งคู่จะมาจากระนาบโลกียะ แต่ทว่าหลังเข้าสู่เผ่ามังกรได้แค่ 200 ปี ทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นศิษย์อัจฉริยะของเผ่ามังกรทันที
และเมื่อ 2 ร้อยปีก่อน ทั้งคู่พึ่งถูกพาตัวมาถึงเผ่ามังกรไม่ทันไร หลังจากผ่านสระชำระมังกรบรรพชนของเผ่ามังกร ทั้งคู่ก็วิวัฒน์เป็นมังกรมาร 9 กรงเล็บกับมังกรขาว 9 กรงเล็บได้สำเร็จ จนถูกเผ่ามังกรสนับบสนุนทุ่มทุนปลูกฝังทันที
ตอนนี้หลังเวลาผ่านมา 200 ปี พลังฝีมือของทั้งคู่นั้น ไม่ว่าคนใดคนหนึ่งก็ใกล้เคียงกับจอมราชันอมตะแล้ว
ทว่าหากให้ทั้งคู่ร่วมมือกัน กวาดตามองไปทั่วทั้งเผ่าพันธุ์มังกร ผู้ที่มีด่านพลังต่ำกว่าขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของทั้ง 2 ได้เลย…
“ต้วนเสี่ยวเฮย ต้วนเสี่ยวไป๋…อุ่นเครื่องเท่านี้ก็พอกระมัง คืนร่างที่แท้จริงกันเถอะ!”
ทันใดนั้นเสียงกังวานปานระฆังวัดของจี้เหยียนก็ดังลั่นเข้าหูเหล่ามังกรมุงทั้งหลายปานฟ้าร้อง
“กรรรร—!!”
พริบตาต่อมาเสียงมังกรคำรามสะท้านสะเทือนแดนดิน ก็ดังขึ้นเข้าหูผู้คนตามติด!
ทันใดนั้นทุกสายตาก็แลเห็นว่า จี้เหยียนในชุดคลุมทองนั้น ได้เปล่งแสงสีทองออกมาสว่างเจิดจ้า ก่อนคนจะกลับกลายเป็นมังกรทอง 9 กรงเล็บยาวกว่าหมื่นหมี่!
มังกรเทพยดาสีทอง 9 กรงเล็บยาวนับหมื่นหมี่ตัวนี้ ทั่วร่างเปล่งประกายด้วยแสงสีทองสว่างไสว และในแสงสีทองก็แผ่ซ่านกลิ่นอายเยียบเย็น ชวนให้ผู้ที่ชมมองอดหนาวสะท้านไปไม่ได้!
“กรรรร!!!”
“กรรรร!!!”
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่จี้เหยียนเปลี่ยนร่าง เสียงมังกรคำราม 2 สำเนียงก็ดังขึ้นตามติด เป็นชายหนุ่มชุดดำกับหญิงสาวในชุดขาว ที่ร่างค่อยๆกลับกลายเป็นเงาเลือน จากนั้นมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ 2 ตัวที่มีลำตัวยาวราวหมื่นหมี่ก็ปรากฏตัวขึ้น!!
มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บทั้ง 2 นั้นไม่ใช่มังกรเทพยดาสีทองเหมือนจี้เหยียน แต่เป็นมังกรมาร 9 กรงเล็บและมังกรขาว 9 กรงเล็บ!
ร่างงกายของมังกรมารนั้นมีสีดำสนิท เกล็ดแต่ละเกล็ดก็ส่องแสงสีดำออกมาเรืองๆ และความเยียบเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวเกล็ดนั้น ยังเหนือกว่าเกล็ดสีทองของจี้เหยียนเสียอีก เพียงมองก็ชวนให้รู้สึกหนาวจับกระดูกพิกล!
ส่วนมังกรขาวนั้นลำตัวของมันเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เกล็ดยังเรืองแสงขาวศักดิ์สิทธิ์ ให้ความรู้สึกสง่างามสูงส่ง เลอค่า จนไม่กล้าจับต้องให้มัวหมอง
“จะว่าไปทุกวันนี้ในเผ่ามังกรของพวกเราดูเหมือนจะมีมังกรขาว 9 กรงเล็บแค่ 2 ใช่ไหม…นอกจากต้วนเสี่ยวไป๋แล้ว ก็มีแต่อาวุโส 4 เท่านั้นที่เป็นมังกรขาว 9 กรงเล็บ”
หนุ่มมังกรคนหนึ่งกล่าวพึมพำออกมา
“เฮ่อ หากไม่ใช่เช่นนั้นมีหรือผู้อาวุโส 4 จะประคบประหงมต้วนเสี่ยวไป๋ราแก้วตาดวงใจซะขนาดนั้น…นั่นไงข้าพูดไม่ทันขาดคำท่านผู้อาวุโส 4 มานู่นแล้ว”
“ไหนเล่า?”
“นู่นไง…”
…
หลังจากนั้นเผ่ามังกรที่ชมดูการต่อสูอยู่ก็หันไปมองดูรอบๆสักพัก ก่อนจะเห็นร่างในชุดขาวลอยอยู่บนฟ้าสูงไกลตาเหนือหุบเขาอัจฉริยะอย่างงสงบ
ร่างในชุดขาวที่ว่าเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามนางหนึ่งในชุดสีขาวบริสุทธิ์ หากทว่าชุดของนางมีความหรูหรา ให้ความรู้สึกสง่างามมีระดับ สองตากระจ่างของนางจับจ้องไปยังร่างมังกรขาวที่กำลังต่อสู้ในหุบเขาอัจฉริยะด้วยความอ่อนโยนเป็นที่สุด
“อาวุโสจี้เซียงก็มาด้วย!”
ข้างกายสตรีชุดขาวนั้น ยังมีสตรีอีกนางหนึ่ง และเป็นอาวุโสที่อ่อนวัยที่สุดในเผ่ามังกร จี้เซียง
“ท่านแม่ ยาโถวน้อยเสี่ยวไป๋คนนี้…ดูเหมือนจะร้ายกาจกว่าท่านตอนยังเด็กเสียอีก!”
จี้เซียงหันไปกล่าวกับสตรีข้างกายด้วยรอยยิ้ม
สตรีที่มีรูปโฉมงดงามในชุดขาวหรูหรามีระดับนั้น ก็คืออาวุโสลำดับที่ 4 ของเผ่ามังกรแห่งว่านโช่วเทียน จี้หนิงอวิ๋น
ต้วนเสี่ยวไป๋ มังกรขาวจากระนาบโลกียะนั้น เป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของนาง และตำแหน่งของเสี่ยวไป๋ใจนางถึงกับทำให้จี้เซียงลูกสาวแท้ๆของนางอดไม่ได้ที่จะอิจฉาอยู่บ้าง
“อื้อ…ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าจะมีมังกรขาว 9 กรงเล็บที่ร้ายกาจเท่านางทั้งที่ยังมีวัยเพียงเท่านี้ปรากฏขึ้นมาได้”
จี้หนิงอวิ๋นพยักหน้า “โชคดีนักที่เจ้าพบเจอนางกับเสี่ยวเฮยและชิงนำตัวทั้งคู่กลับมาเผ่ามังกรเรา ก่อนที่จะถูกพาไปยังหุบจันทร์โลหิต…หากทั้งคู่ถูกพาตัวไปถึงหุบจันทร์โลหิต และถูกค้นพบว่ามีศักยภาพพรสวรรค์ขนาดนี้ เกรงว่าพวกมันคงไม่มีทางปล่อยให้ทั้งคู่กลับสู่เผ่ามังกรของพวกเราแน่…”
“เจ้าจี้เหยียนนั่นพึ่งจะกลับมาจากวิหารเฟิงฮ่าวเมื่อเดือนก่อน…เห็นว่าตอนมันอยู่ในสถานที่ทดสอบรับสมญานามของวิหารเฟิงฮ่าว มันพบเจอโชคโดยบังเอิญ ทำให้ประสบความก้าวหน้าไม่น้อย กล่าวไปพลังฝีมือของมัน ในเผ่ามังกรเราผู้ที่อยู่ใต้ขอบเขตจักรพรรดิอมตะ นอกจากเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ที่ร่วมมือกันแล้ว ข้าเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดรับมือมันได้อีก”
จี้เซียงกล่าว
“อย่างไรเสีย มันก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋”
จี้หนิงอวิ๋นส่ายหัวไปมา
“พูดไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋จักมีโชควาสนาสูงล้ำ ถึงกับได้รับสืบทอดเคล็ดวิชาคู่ในตำนานของเผ่ามังกรเราที่หลงคิดว่าหายสาบสูญไปแล้ว…วันหน้ารอให้ทั้งคู่กลายเป็นจักรพรรดิอมตะก่อน ข้าเกรงว่าในเผ่ามังกรของเราคงไม่มีใครรับมือทั้งคู่ได้อีกต่อไป”
จี้เซียงกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ “ในเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลกอันกว้างใหญ่ ผู้ที่สามารถใช้วิชาคู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย…อย่างไรก็ตามในบรรดาผู้ที่ใช้วิชาคู่ที่ร้ายกาจที่สุดก็เห็นจะเป็น 2 คู่แฝดแห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ผู้นำสายก้านเจี้ยงกับผู้นำสายม่อเหยีย จูเก่อฟง และจูเก่ออวิ๋น…แม้จะเป็นแค่จักรพรรดิอมตะ แต่ยามร่วมมือกันก็เข่นฆ่าได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานาม…”
“แต่ต่อไปไม่แน่ว่าทั้งคู่จะได้ครองบัลลังก์วิชาคู่ได้อีก สุดท้ายเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ก็เป็นคู่แฝดเหมือนกัน และที่สำคัญที่สุดก็คือทั้งคู่นั้นหนึ่งเป็นมังกรมาร 9 กรงเล็บ อีกคนก็เป็นมังกรขาว 9 กรงเล็บ ความสำเร็จในภายภาคหน้ามีแต่จะเหนือกว่า ไม่มีทางด้อยกว่าสองแฝดนิกายกระบี่หมื่นหายนะแน่!”
ฟังจากคำพูดของจี้เซียงแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีความมั่นใจในมังกรมาร 9 กรงเล็บ กับมังกรขาว 9 กรงเล็บเบื้องหน้าสุดใจ!
“เรื่องนี้ข้าไม่สงสัยเลย”
ในขณะที่จี้หนิงอวิ๋นกล่าวเห็นด้วยออกมาเสียงเบา สองตางามของนางก็หรี่ลงเอ่ยออกด้วยยน้ำเสียงวาดหวัง “ที่ข้าสนใจ…ทั้งคู่มิทราบว่าจักวิวัฒนาการเป็นมังกรเทพยดา 10 กรงเล็บได้หรือไม่…”
“คำนวณจากเวลา…เผ่ามังกรของพวกเราก็มิมีมังกรเทพยดา 10 กรงเล็บมาได้ราวๆแสนปีแล้ว…ตอนนี้มีโอกาสที่จะปรากฏขึ้นทุกเมื่อ และการปรากฏตัวครั้งนี้ มิแน่อาจเป็นทั้งคู่”
จี้หนิงอวิ๋นกล่าว
“10…มังกรเทพยดา 10 กรงเล็บ!?”
จี้เซียงได้ยินดังนั้นก็กล่าวออกมาด้วยความตกใจ จากนั้นก็หันขวับไปจับจ้องการปะทะไกลตา มองร่างมังกรเทพยดาสีทอง 9 กรงเล็บครู่หนึ่ง จากนั้นก็ย้ายไปมองมังกรมารกับมังกรขาว 9 กรงเล็บอย่างเลื่อนลอย พอดึงสติกลับมาก็อดพึมพำไม่ได้ “ทั้งคู่…เป็นไปได้หรือ?”
“ข้าได้หารือกับพ่อเจ้ารวมถึงผู้นำเผ่าแล้ว…ทั้งคู่มีโอกาสสูงทีเดียว”
จี้หนิงอวิ๋นกล่าว
“ท่านพ่อกับท่านผู้นำ…ก็คิดเช่นนั้นหรือ!?”
ได้ยินเรื่องนี้ จี้เซียงรู้สึกเสมือนลมหายใจขาดห้วงทันที
บิดาของนางก็คือผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกร และผู้นำที่ว่าก็คือผู้นำของเผ่ามังกร! พลังฝีมือของทั้งคู่นั้น…เรียกว่าติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของเผ่ามังกร!!
ทั้งเผ่ามังกร มีจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 16 คน!
เช่นนั้นการที่มีพลังฝีมือติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของทั้งเผ่าได้ พลังฝีมือของบิดาจี้เซียงร้ายกาจขนาดไหนก็พอจะจินตนาการได้ออก!
“ต้วนเสี่ยวเฮย! ต้วนเสี่ยวไป๋…ถ้าพวกเจ้าแน่จริง ก็มาสู้กับข้าตัวๆสิ!!”
บัดนี้การต่อสู้ในหุบเขาอัจฉริยะก็ได้จบลงแล้ว หลังผ่านการแปลงร่างไปได้ราวๆ 10 ลมหายใจ จี้เหยียนก็แพ้พ่ายให้กับการร่วมมือของเสี่ยวเฮยและเสี่ยวไป๋
“จี้เหยียน ยิ่งมาวิชาไร้ยางอายของเจ้ายิ่งกล้าแข็งแล้วจริงๆ”
หญิงสาวในชุดขาวราวหิมะแรกฤดูหนาว มองกล่าวกับจี้เหยียนด้วยรอยยิ้มเยาะ “เจ้าอายุเท่าไหร่ แล้วข้ากับเสี่ยวเฮยอายุเท่าไร? เจ้ายังมีหน้ามาท้าพวกเราสู้ตัวๆอีกหรือ?”
“เจ้าลองไถ่ถามตัวเองดูเถอะ…ว่าตอนที่เจ้าอายุเท่าพวกเรา เจ้าสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราคนใดคนหนึ่งได้หรือไม่?”
ได้ยินคำถามของหญิงสาวชุดขาว สีหน้าจี้เหยียนก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก มันไม่อาจพูดอะไรได้ออก เพราะตอนที่มันมีอายุพอๆกับทั้งคู่ พลังฝีมือของมันเรียกว่าห่าชั้นกับทั้งคู่คนละโลก…
WSSTH ตอนที่ 3,295 : จอมราชันอมตะหมอกพิรุณ
วิหารเฟิงฮ่าว
ณ สถานที่ทดสอบจามราชันอมตะสมญานาม
‘ขาดอีกแค่ 2 ส่วนเท่านั้น…’
ตอนนี้วันเวลาก็ได้ล่วงเลยไปหนึ่งปีแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่ต้วนหลิงเทียนเข้ามาในสถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะสมญานาม…
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น นอกจากแดนลับย่อยที่เมิ่งห่าวซวนพบเจอ ต้วนหลิงเทียนยังพบแดนลับย่อยอันเป็นสถานที่ทดสอบอีก 2-3 แห่ง
และด้วยอาศัยแรงกดดันจากสถานที่ทดสอบทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนก็สามารถหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวได้ถึง 8 ส่วน ขาดอีกแค่ 2 ส่วนเท่านั้น ก็จะหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวได้สมบูรณ์
พอถึงตอนนั้น เขาก็สามารถเริ่มต้นกระบวนการควบรวมพลังชีวิตของต้นไม้เทพสนหลิว เพื่อสร้างร่างอวตารกฏของมันได้ทันที เมื่อทำสำเร็จพลังต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกหลายระดับ
“พี่สาวสุ่ย ตลอดปีที่ผ่านมา…ท่านสั่งสอนอะไรเจ้ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไปบ้างกันแน่ ไฉนข้ารู้สึกว่าพวกมันเริ่มมีลักษณะท่าทางเหมือนกันมากขึ้นเรื่อยๆเลยเล่า”
ต้วนหลิงเทียนอดถามวารีเทพชำระโลกาในโลกใบเล็กด้วยความสงสัยไม่ได้ ตลอดปีที่ผ่านมาเขาก็มักให้ความสนใจเรื่อราวในโลกใบเล็กบ่อยครั้ง และชมดูทีไรก็เห็นวารีเทพชำระโลกากำลังอบรมสั่งสอนมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่น
มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัวนั้น เดิมทีพวกมันก็มีแค่รูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันเท่านั้น แต่ลักษณะท่าทาง รวมถึงความรู้สึกที่ส่งออกมาของพวกมันแต่ละตัว ไม่ได้เหมือนกันเลย…แต่ตอนนี้กระทั่งกลิ่นอายยังคล้ายกันมากๆแล้ว!
“ข้ากำลังสอนให้พวกมันรู้จักการผสานพลังจู่โจม..โดยใช้ค่ายกลสัมพันธ์จิตใจผ่านสายโลหิตของพวกมัน ตอนนี้พวกมันไม่เพียงแต่จะรู้ว่าการผสานพลังคืออะไร กระทังเริ่มสำเร็จเคล็ดวิชาจู่โจมร่วมกันแล้วด้วย”
วารีเทพชำระโลกากล่าว “โชคดีนักที่สติปัญญาทั้งความเข้าใจของพวกมันไม่อ่อนด้อย…ตอนนี้หลังจากพวกมันโจมตีผสานกันได้แล้ว…พลังทำลายของพวกมันได้ถีบตัวสูงขึ้นกว่าก่อนหน้าอีกขั้น”
“แบบนี้นี่เอง”
ต้วนหลิงเทียนอดอึ้งไปไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจเรื่องราว หากคนสองคนสามารถร่วมมือกันได้อย่างลงตัว พลังต่อสู้จะไม่ใช่เพิ่มขึ้นอย่างหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง ทว่าพลังอานุภาพจะเหนือกว่านั้นมาก!
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นคนไกล ยกตัวอย่างเช่น สองผู้นำสายก้านเจี้ยงและม่อเหยียของนิกายกระบี่หมื่นหายนะแห่งอวี้หวงเทียนที่เป็นฝาแฝดกันนั้น ยามผสานพลังกัน กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วๆไปก็มีแต่จะถูกฆ่าตายเอาได้ง่ายๆ!
‘นี่มันก็ผ่านไป 1 ปีแล้ว ไม่รู้ทางด้านฮ่วนเอ๋อกับคนอื่นๆเป็นยังไงกันบ้าง…ป่านนี้คงกลับออกไปกันหมดแล้วกระมัง?’
ต้วนหลิงเทียนพึมพำในใจ
ในสายตาเขา ด้วยพลังของฮ่วนเอ๋อเรื่องฆ่าจอมราชันอมตะ 9 คนในสถานที่ทดสอบ สมควรง่ายดายไร้ปัญหาอะไร
และก็เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิด ตอนนี้ในบรรดาคนที่มากับเขาและเข้าสู่สถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะพร้อมๆกัน ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่ยังไม่กลับออกไป…และไม่เพียงแค่ฮ่วนเอ๋อ หูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อเท่านั้น กระทั่ง หนานหลิวเฟิงศิษย์ของจักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดงเจิ้งอวี้อี้ ก็กลับออกมาเรียบร้อยแล้ว
ทั้ง 4 คนล้วนผ่านการทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว กลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานามเรียบร้อย
ฮ่วนเอ๋อตั้งสมญานามให้ตัวเองว่า ‘มายาสวรรค์’ (天幻)
(天幻 อ่านว่า เทียนฮ่วน)
คำว่าสวรรค์ (天) มาชื่อของเขา ส่วน มายา (幻) ก็มาจากชื่อของฮ่วนเอ๋อ
จอมราชันอมตะมายาสวรรค์ ฮ่วนเอ๋อ!
“ไฉนศิษย์น้องเล็กยังไม่ออกมาอีกเล่า…”
ด้านนอกวิหารเฟิงฮ่าว หลังจากคู่ศิษย์อาจารย์อย่างจักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดงจากไป หูเหมยก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ
ในสายตาของนาง ด้วยพลังฝีมือของศิษย์น้องเล็ก น่าจะออกมาได้ตั้งนานแล้ว…แต่ตอนนี้กลับยังไม่ออกมาแม้จะผ่านไปเนิ่นนาน ใช่มีปัญหาอะไรรึเปล่า?
แน่นอนว่าหูเหมยก็มีลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนอยู่ ซึ่งยืนยันได้ว่าต้วนหลิงเทียนยังมีชีวิตไม่ได้พลาดท่าตายตก เช่นนั้นนางจึงไม่กังวลเรื่องต้วนหลิงเทียนจะพลาดท่าตายตก เพียงแค่กังวลว่าต้วนหลิงเทียนจะเจอปัญหาพัวพันยากถอนตัว ทำให้เกิดความล่าช้าออกไป…
“ศิษย์น้องเล็กยังมีชีวิตอยู่ดี…จริงสิ!”
เวิ่นหว่านเอ๋อที่แลดูสงบกว่ามาก กล่าวออก “ไม่แน่ศิษย์น้องเล็กจะพบโอกาสโดยบังเอิญด้านใน…เพราะอาศัยพลังฝีมือของศิษย์น้องเล็ก หากตั้งใจจะผ่านการทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวจริงๆคงทำได้ง่ายๆ…”
ด้านฉือหล่างเพียงหลับตาพักผ่อน ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร
อย่างไรก็ตามนานๆครั้งฉือหล่างที่ลืมตาขึ้นมาเหลือบมองฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างๆ พอได้เห็นแววตาสงบไร้กังวลของฮ่วนเอ๋อ มันก็อดคิดไปไม่ได้ ‘ดูเหมือนยาโถวน้อยนางนี้จะไม่ได้กังวลเรื่องเจ้าหนูนั่นเลย…ไม่ทราบว่ามั่นใจในตัวเจ้าหนูนั่น หรือทราบสาเหตุที่เจ้าหนูนั่นไม่รีบร้อนออกมา…’
ทั้ง 4 คนได้แต่เฝ้ารอต่อไป และหลังจากผ่านไปอีก 4 เดือน ในที่สุดทุกคนก็ได้รับข้อความติดต่อมาจากต้วนหลิงเทียน “ข้าออกมาแล้ว…ตอนนี้กำลังจะไปจัดการเรื่องบันทึกสมญานามกับผู้อาวุโสวิหารเฟิงฮ่าว”
หูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะระบายยลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หลังได้รับข้อความดังกล่าวจากต้วนหลิงเทียน
ในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว สามารถใช้อุปกรณ์อมตะอย่างอาวุธหรือชุดเกราะได้ แต่ไม่อาจใช้ยันต์อมตะใดๆได้เลย ไม่เว้นยันต์อมตะสื่อสารทุกชนิด
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องติดต่อกับโลกภายนอก กระทั่งผู้คนในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว ก็ไม่อาจส่งข้อความติดต่อกันได้!
ภายในวิหารเฟิงฮ่าว
หลังจากต้วนหลิงเทียนกลับออกมาจากสถานที่ทดสอบแล้ว เขาก็เดินตามอาวุโสของวิหารเฟิงฮ่าวที่รออยู่คนหนึ่ง ไปยังสถานที่ๆเรียกว่าโถงจอมราชันอมตะของวิหารเฟิงฮ่าว
อาวุโสของวิหารเฟิงฮ่าวที่กำลังพาเขาไปยังโถงจอมราชันอมตะนั้น สวมใส่ชุดคลุมลมดำแถมมีหน้ากากปกปิดใบหน้ามิดชิด ทำให้เขาไม่อาจแลเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายได้เลย
“เจ้าสมควรคิดสมญานามของเจ้าไว้ก่อน พอไปถึงโถงจอมราชันอมตะ ข้าจักได้บันทึกสมญานามของเจ้าได้เลย”
เสียงของอาวุโสวิหารเฟิงฮ่าวดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน ฟังแล้วช่างแหบแห้งและมีอายุไม่น้อย ทว่ากลับเต็มไปด้วยพลังกล้าแข็ง
“ข้าได้คิดเอาไว้แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
หลังจากอาวุโสวิหารเฟิงฮ่าวพาต้วนหลิงเทียนมาถึงโถงจอมราชันอมตะ เขาก็ได้เอ่ยบอกสมญานามที่คิดเอาไว้นานแล้วออกไปทันที “หมอกพิรุณ”
จากนี้ไปต้วนหลิงเทียนก็จะกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานาม และมีชื่อเรียกว่า จอมราชันอมตะหมอกพิรุณ
และหลังจากเข้ามาในโถงจอมราชันอมตะ ต้วนหลิงเทียนก็พบได้ทันที ไม่ว่าจะเสา ผนัง กำแพง หรือเพดาน ล้วนมีสมญานามสลักเอาไว้เต็มไปหมด!
และหากแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบสมญานามเหล่านั้น ก็จะพบบันทึกประวัติโดยสังเขปอีกด้วย
ต้วนหลิงเทียนที่ตรวจสอบสมญานามต่างๆ และอ่านประวัติคร่าวๆของจอมราชันอมตะสมญานามทั้งหลายได้ไม่กี่คน ก็นึกสงสัยขึ้นมา จึงหันไปเอ่ยถามอาวุโสวิหารเฟิงฮ่าวว่า “อาวุโส สมญานามที่สลักไว้ทั้งหมในโถงแห่งนี้…ล้วนเป็นสมญานามของจอมราชันอมตะสมญานามทั้งหมดที่ผ่านการทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวหรือ?”
เห็นสมญานามมากมายประหนึ่งดาราเกลื่อนฟ้า ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
และขณะที่เขาถาม อาวุโสของวิหารเฟิงฮ่าวดังกล่าว ก็จี้ดัชนีไปวาดเขียนกลางอากาศเร็วไว จากนั้นบนเพดานที่ว่างหนึ่ง ก็ปรากฏชื่อสมญานามของเขาสลักเอาไว้!
และใกล้ๆกับชื่อของเขา ยังมีสมญานามมายาสวรรค์ ของฮ่วนเอ๋ออยู่ด้วย
“ยาโถวนี่…”
เมื่อเห็นสมญานามของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ที่มาสมญานามของนางเป็นธรรมดา
“มิผิด”
อาวุโสวิหารเฟิงฮ่าวกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย จากนั้นมันพาต้วนหลิงเทียนมาทางไหนก็พาต้วนหลิงเทียนกลับทางนั้น และสุดท้ายก็เลยไปส่งต้วนหลิงเทียนยังเส้นทางที่จะนำไปสู่ทางออกจากวิหารเฟิงฮ่าว
ระหว่างเดินไปยังทางออก ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดถึงเรื่องราวหลังจากนี้ ‘กลับไปวังเทียนฉือรอบนี้ ต้องพยามหาที่ตั้งของคุกหมื่นพันธนาการให้ได้…เมิ่งห่าวซวนมั่นใจมาก ว่าบิดาของฮ่วนเอ๋อถูกขังอยู่ที่นั่น’
‘หากมารดาของฮ่วนเอ๋อ หากถูกวังเทียนฉือจับขังไว้ด้วย ไม่พ้นต้องอยู่ในคุกหมื่นพันธนาการดุจเดียวกัน’
ต้วนหลิงเทียนไม่เคยลืมจุดประสงค์ในการเข้าร่วมวังเทียนฉือของเขากับฮ่วนเอ๋อเลย…หาเบาะแสบิดามารดาฮ่วนเอ๋อ!
วิ้งง!
ไม่นานนักต้วนหลิเทียนก็ออกจากวิหารเฟิงฮ่าวและเดินมาหยุดเบื้องหน้าฮ่วนเอ๋อกับคนอื่นๆ
“ศิษย์น้องเล็กในที่สุดเจ้าก็ออกมาได้เสียที…ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนเจ้าอยู่ด้านในนานนักเล่า”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนก้าวออกจากวิหารเฟิงงฮ่าวมาด้วยท่าทางสบายๆไร้รอยขีดข่วน หูเหมยก็อดระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้ จากนั้นนางก็ยิงคำถามออกมาทันที
“พอดีข้าเจอแดนลับย่อย 2-3 แดนในนั้นน่ะ และมันเป็นด่านทดสอบที่ต้องใช้คนหลายคน…ขณะที่รอไปยังด่านต่อไป หากคนอื่นที่อยู่ในด่านทดสอบด้วยยังไม่ตาย ก็จำต้องรอให้มันออกมา…ข้าเจอแบบนี้ถึง 2 แดนลับย่อยเลย ทำให้เสียเวลารอไม่น้อย พอรวมกับเรื่องที่ต้องตามหาจอมราชันอมตะคนอื่นๆให้ครบ 9 คนเพื่อฆ่า…ก็นะ”
ต้วนหลิงเทียนผายมือยักไหล่ด้วยสีหน้าท่าทางช่วยไม่ได้ แน่นอนว่านี่เป็นคำตอบที่เขาเตรียมเอาไว้แต่แรก
เป็นธรรมดาว่าข้ออ้างที่เขาเตรียมไว้แม้มันจะไม่ใช่เรื่องเท็จทั้งหมด…แต่สำหรับคนอื่นที่เข้าด่านทดสอบย่อยกับเขาแล้ว มันเป็นเรื่องจริง 9 ถึง 10 ส่วนเลยทีเดียว…
ส่วนเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขากระเหี้ยนกระหือรืออยากมาทดสอบที่วิหารเฟิงฮ่าวนัก เขาไม่ได้บอกออกไป
“อะไร? นี่เจ้าเจอแดนลับย่อยทดสอบถึง 2-3 แดนเชียวรึ? อั้ยหยาศิษย์นองเล็ก! ไฉนเจ้าโชคดีขนาดนั้นเล่า!?”
หูเหมยอึ้งกับคำตอบของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย “ทีข้าระหว่างเดินทางตามล่าจอมราชันอมตะ 9 คน ไม่เห็นจะเจอแดนลับย่อยทดสอบสักแดนเลย…”
“ศิษย้องเล็กอ่า…เจ้าทำอย่างไรหรือ? บอกศิษย์พี่หญิงมาเร็วๆ ว่าทำไมเจ้าหาแดนลับเก่งกว่าผู้อื่น!”
หูเหมยกล่าวถามด้วยสีหน้าโอดครวญ
“เอ่อ…ก็แค่ไม่ต้องรีบร้อนฆ่าคนมาก ค่อยๆไปมันก็เจอเองแหล่ะ…”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มแห้งๆพลางตอบ
หูเหมยอึ้ง แต่คิดๆแล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะตอนนางพบเจอผู้คนก็ฆ่าไม่ถามทั้งนั้น…ไม่ทราบที่ตายคามือนางโดยไม่ทันได้พูดสักคำ จะมีคนที่คิดมาชวนนางไปแดนลับย่อยกี่คน…
“ว่าแต่แล้วผลการเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไรบ้างเล่า…ดีงามเลยสิ”
หูเหมยถาม
“ได้เรื่องอยู่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้า 7 ก็ออกมาแล้ว เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถอะ”
เสียงฉือหล่างดังขึ้นพอดี จากนั้นมันก็นำพาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆเดินทางกลับทันที
“ฮ่วนเอ๋อ เจ้าพบเจออะไรดีๆในสถานที่ทดสอบบ้างหรือไม่?”
ระหว่างเดินทางกลับ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปส่งเสียงผ่านพลังถามไถ่ฮ่วนเอ๋อ
และในขณะที่ฮ่วนเอ๋อกำลังจะส่งเสียงผ่านพลังตอบคำถามของต้วนหลิงเทียน ไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร…ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆพลันตระหนักว่า เบื้องหน้าห่างออกไปไม่ไกล มีร่าง 2 ร่างลอยค้างกลางหาวขวางทางเอาไว้!
1 ใน 2 ร่างที่ว่า แลแล้วเป็นเด็กชายอายุราวๆ 13-14 ปี ส่วนอีกคนมีรูปลักษณ์เป็นชายชรา
“จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี…”
เป็นเด็กชายที่ก้าวเหยียบอากาศเข้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน มองทักฉือหล่างด้วยน้ำเสียงเฉยเมยก่อน จากนั้นค่อยหันไปมองถามต้วนหลิงเทียน “ส่วนเจ้าคือต้วนหลิงเทียนกระมัง?”
พอกล่าวถามจบคำ สองตาของเด็กชายก็ฉายให้เห็นรังสีฆ่าฟันอันเยียบเย็นหนึ่ง!
‘หืม?’
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเด็กชาย สองตาต้วนหลิงเทียนก็หดหยีลงเร็วไว ชักสีหน้าจริงจังขรึมเคร่ง
เขาบอกได้ทันทีว่า 2 คนที่มาเบื้องหน้า ไม่ได้มาดีแน่…
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กชายผู้นี่ ยังรู้อีกด้วยว่าครูเขาเป็นจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง
รู้ว่ามีจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่กล้ามาถึงหน้าประตูบ้านแบบนี้หมายความว่าอะไร? เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้กลัวจักรพรรดิอมตะสมญานาม! หรืออย่างน้อยๆก็ไม่กลัวจักรพรรดิอมตะทุ่ขจี ฉือหล่าง!!
“ไม่ทราบท่านคือ?”
ฉือหล่างขมวดคิ้วมองจ้องเด็กชายเขม็ง ถึงแม้เด็กชายเบื้องหน้าเสมือนมีอายุ 13-14 ปี แต่อีกฝ่ายไร้ซึ่งกลิ่นอายเลือดเนื้อเยาว์วัยอย่างที่คนมีอายุไม่ถึงร้อยปีจะมีกัน…
“ตู๋กูเหวิน”
เด็กชายตอบพลางยิ้ม
ตู๋กูเหวิน?
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงของเด็กชายดังจบคำ สีหน้าฉือหล่างก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง สองตาที่มองเด็กชายเผยให้เห็นถึงความกลัว จากนั้นมันก็หันขวับไปจับจ้องชายชราหลังเด็กชายอย่างอดไม่ได้ ใจสะท้านเต้นรัวไปไม่เป็นจังหวะ ‘ในเมื่อเด็กนี่คือตู๋กูเหวิน…มิใช่ว่าเจ้านั่นก็คือตู๋กูหวู่หรือไร?’
ตอนนี้ไม่ใช่แค่สีหน้าของฉือหล่างเท่านั้นที่เปลี่ยนไปไม่สู้ดี กระทั่งหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อก็ชักสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!
ทั้งคู่ย่อมเคยได้ยินเรื่องราวของตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่มาก่อน
ตู๋กูเหวินนั้น ก็คือจักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน เป็นดอกร้อยสีที่บำเพ็ญตบะจนจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ มีความเชี่ยวชาญเรื่องการแปลงโฉมเปลี่ยนลักษณ์อันร้ายกาจหาตัวจับยาก!
“ตู๋กูหวู่!?”
และครู่ต่อมาหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อก็หันไปมองชายชราเบื้องหลังเด็กชาย ปากพึมพำนามหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว…
WSSTH ตอนที่ 3,296 : จักรพรรดิอมตะสมญานามลงมือ!
จักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน ตู๋กูเหวิน
จักรพรรดิอมตะไม่ดับสูญ ตู๋กูหวู่
ทั้งคู่จัดเป็นคนดังของอู๋หยาเทียนก็ว่าได้ และยังมีชื่อเสียงเลื่องลือมากกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามที่มีพลังฝีมือสูงกว่าพวกมันหลายคน!
ที่ไฉนพวกมันถึงมีชื่อเสียงเลื่องลือนัก ไม่ใช่เพราะพลังฝีมือของพวกมันแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะพวกมันทั้งคู่แม้จะเป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว แต่ยังประกอบการค้าฆ่าคน! อีกทั้งไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นใคร ทั้งคู่ก็จะลงมือร่วมกันเสมอ!!
ในอู๋หยาเทียนไม่ทราบมีจักรพรรดิอมตะสมญานามกี่มากน้อยที่ตกตายด้วยน้ำมือของทั้งคู่ สิ่งนี้หนุนเสริมให้พวกมันมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น
และในเมื่อทั้ง 2 มาปรากฏตัวที่นี่ ไม่ว่าจะฉือหล่าง หูเหมยหรือเวิ่นหว่านเอ่อก็ตระหนักได้ทันทีว่าเป็นเรื่องราวใด…ทั้งคู่สมควรมีเป้าหมายเข่นฆ่าใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่ม!
และจากสายตารวมถึงคำถามของตู๋กูเหวินเมื่อครู่ เป้าหมายการเข่นฆ่าของ 2 มือสังหารก็ชัดเจนเหลือเกิน…ต้วนหลิงเทียน!
‘2 มือสังหารขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานาม?’
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบเรื่องราวจากเสียงผ่านพลังของหูเหมและเวิ่นหว่านเอ๋อ ทำให้เขาเองก็ตระหนักได้ไม่ยากว่าทั้งคู่สมควรมาเพื่อฆ่าเขา
‘2 มือสังหารระดับนี้มาเพื่อฆ่าข้า?’
‘ตั้งแต่ที่ข้ามายยังอู๋หยาเทียน นับรวมกันแล้วคนที่มีเรื่องกับข้าก็ไม่เกิน 3 คนไม่ใช่รึไง?’
ในห้วงเวลาดุจฟ้าแลบต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดเรื่องราวในใจเสร็จสรรพ เขาระบุผู้ต้องสงสัยหลักได้ทันที เพราะคนที่มีกำลังทรัพย์มากพอจะจ้าง 2 จักรพรรดิอมตะสมญานามนั้น ไม่ได้มีมากมายอะไร
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไปล่วงเกินผู้ใดมากันแน่?”
หูเหมยเร่งถามด้วยเสียงผ่านพลังทันที
“ศิษย์พี่หญิง 3”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบ “จริงๆแล้วข้ากับฮ่วนเอ๋อแค่ผ่านมาอู๋หยาเทียนและได้ยินเรื่องวังเทียนฉือรับคนโดยบังเอิญเท่านั้น…กล่าวได้ว่าในวังเทียนฉือหรือกระทั่งในอู๋หยาเทียนแห่งนี้ พวกเราแทบไม่รู้จักใครเลยด้วยซ้ำ”
“หากถามว่าข้าไปล่วงเกินผู้ใดมา ก็เห็นจะมีแต่คนในวังเทียนฉือเท่านั้น”
“และหากมีใครที่คิดจะจ้างสองตัวตนระดับนี้มาฆ่าข้าจริงๆ…อย่างน้อยๆก็ต้องมีทุนรอนมากพอสมควร กระทั่งฐานะเส้นสายยังต้องไม่ใช่ชั่ว ในบรรดาคนทั้งหมดที่ข้ามีเรื่องด้วย…เห็นทีจะมีแต่หานอวิ๋นจิ่นคนเดียวกระมังที่ทำได้?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวคาด
“หานอวิ๋นจิ่น?”
ได้ยินข้อสันนิษฐานของหานอวิ๋นจิ่น หูเหมยก็ย่นคิ้วเป็นปม “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าประเมินหานอวิ๋นจิ่นนั่นสูงเกินไปแล้ว…ไม่เจ้าก็ดูเบาค่าจ้างตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่เกินไป…”
“เจ้าหานอวิ๋นจิ่นนั่น ต่อให้มันขายสมบัติทั้งตัว ก็เกรงว่ามีปัญญาจ่ายค่าจ้างทั้งสองคนได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น…หากมีหานอวิ๋นจิ่นสองคนยังพอเป็นไปได้ที่จะจ้างทั้งคู่มาฆ่าเจ้า…แต่หากเป็นความคิดหานอวิ๋นจิ่นเดียวมันไม่มีปัญญาแน่”
เห็นได้ชัดว่าหูเหมยมีความเข้าใจราคาของนักฆ่าทั้ง 2 เบื้องหน้าเป็นอย่างดี “ในวังเทียนฉือของพวกเรา…ผู้ที่จะมีทุนรอนจ่ายค่าจ้างนักฆ่าทั้ง 2 ให้มาฆ่าเจ้าเพียงลำพัง เกรงว่าคงมีแต่ 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามเท่านั้น แต่มันก็เป็นไปได้ยากมาก”
“เพราะอย่างไรเสีย…เจ้าก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับ จักรพรรดิอมตะสมญญานามทั้ง 9 เลย….”
หูเหมยกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นหากคนที่คิดฆ่าเจ้าเป็น 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือจริง ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องจ้างทั้งคู่ให้เปลืองทรัพย์สมบัติอยู่ดี…”
“กระทั่งต่อให้ร่ำรวยเหลือกินเหลือใช้แค่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องจ้าง! ด้วยพลังฝีมือของทุกคน คิดฆ่าเจ้าเป็นเรื่องง่ายดายมาก…เพราะหลังจากฆ่าเจ้าแล้วเต็มที่ก็แค่บาดหมางกับอาจารย์ ไม่ก็ออกจากวังเทียนฉือไป”
“ทว่าด้วยพลังฝีมือของทุกคน ต่อให้ออกจากวังเทียนฉือไป ขุมกำลังระดับสวรรค์อื่นๆก็ยินดีอ้าแขนต้อนรับทั้งสิ้น จะไปที่ใดก็สามารถเพลิดเพลินกับทรัพยากรได้ทุกที่”
ฟังคำของหูเหมยจนจบ ต้วนหลิงเทียนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เพราะหากไม่ใช่หานอวิ๋นจิ่นแล้วจะเป็นใครได้อีก?
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็เชื่อ ว่าผู้ต้องสงสัยหลักนั้นยังเป็นหานอวิ๋นจิ่น!
ขณะเดียวกัน เด็กชายที่แลดูมีอายุราวๆ 13-14 ปี จักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยนตู๋กูเหวิน ก็หันไปเหลือบมองฉือหล่าง กล่าวออกเสียงเฉย “ฉือหล่าง เป้าหมายของพวกเราครั้งนี้มีแค่ ต้วนหลิงเทียน ศิษย์คนที่ 7 ของเจ้าคนเดียว”
“เจ้าปล่อยพวกมันให้พวกเราจัดการแต่โดยดี ทุกคนก็มีความสุข…แต่หากเจ้าไม่ยินยอม เช่นนั้นพวกเราก็มีแต่ต้องขอรับทราบพลังฝีมืออันเลิศล้ำของจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีสักครา”
หลังตู๋กูเหวินกล่าวจบคำ ลึกลงไปในแววตาของมันก็ฉายแววเยียบเย็นอีกรอบ กระทั่งยังแลดูน่ากลัวกว่าเดิม!
วูบ!
แทบจะพร้อมกันกับที่ตู๋กูเหวินกล่าวจบคำ ร่างต้วนหลิงเทียนที่กลายเป็นภาพติดตาก็จางหายไปในฉับพลัน ราวกับคนสาบสูญไปในความว่างเปล่า
หลังจากที่ร่างต้วนหลิงเทียนหายไป ลูกตาตู๋กูเหวินก็ฉายแววเย็นชา ร่างสลายกลายเป็นเงาเลือนรางสายหนึ่ง พุ่งวาบตัดฟ้าไปดั่งงประกายแสง ไล่ตามต้วนหลิงเทียนที่ใช้เคลื่อนมิติหลบหนีไป!
ตั้งแต่ที่ระบุตัวตนต้วนหลิงเทียนได้ สำนึกเทวะของตู๋กูเหวินก็เพ่งเล็งไว้ที่ร่างต้วนหลิงเทียนตลอด
สำหรับตู๋กูหวู่นั้น เพียงลอยร่างอยู่ที่เดิม สองตามองจ้องฉือหล่างด้วยความคึกคัก ราวกับขอเพียงฉือหล่างเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย มันจะเปิดฉากลงมือเข้าใส่ฉือหล่างทันที
“พวกเรากลับกันเถอะ”
ฉือหล่างมองจ้องตู๋กูหวู่อีกครั้ง ก่อนหันไปเหลือบมองพวกฮ่วนเอ๋อทั้ง 3 ผ่านๆพลางกล่าว แต่ต้นจนจบไม่เผยท่าทีว่าจะตามไปช่วยต้วนหลิงเทียนเลย
แต่ทว่าไม่ใช่มันไม่อยากช่วย แต่มันช่วยไม่ได้!
เพราะจากคำร่ำลือ พลังฝีมือของตู๋กูหวู่เบื้องหน้าไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามัน…ต่อให้มันจะส่งข้อความกลับไปยังวังเทียนฉือเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กว่ากำลังเสริมจะมาถึง สิบในสิบต้วนหลิงเทียนไม่พ้นตกอยู่ในเงื้อมมือของตู๋กูเหวินแล้ว
…
หลังผ่านไปครึ่งค่อนวัน ตู๋กูหวู่ที่เหินร่างติดตามพวกฉือหล่างมา ก็คิดจะแยกตัวจากไป
ในเมื่อมันเห็นว่าฉือหล่างไม่ได้เร่งรุดไปช่วยเหลือต้วนหลิงเทียน มันจึงไม่คิดจะลงมือทำอะไรอีกฝ่าย เพราะถ้ามันลงมือก็ไม่พ้นต้องสู้ติดพัน เปลืองเรี่ยวเปลืองแรงกับฉือหล่างสักพักกว่าจะจัดการได้
กอปรกับตอนนี้พอเห็นว่าเวลามันก็ล่วงเลยผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้ว มันก็ไม่กังวลเรื่องที่ฉือหล่างจะรีบตามไปช่วยต้วนหลิงเทียนจากเงื้อมมือตู๋กูเหวินได้ทันอีก มันจึงคิดจะจากไป
“คิดจะไปหรือ?”
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ตู๋กูหวู่คิดจะแยกตัวจากไป ฉือหล่างพลันลงมือทันที แสงกระบี่เยือกแข็งหนึ่งตัดฟ้าไปดั่งลำแสง เข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ตู๋กูหวู่อย่างดุดัน!
“ฉือหล่าง นี่เจ้ากล้าลงมือกับข้ารึ!?”
ตู๋กูหวู่ที่ม้วนแขนเสื้อสลายแสงกระบี่หัวเราะลั่น “หากข้าจำไม่ผิดระยะห่างระหว่างที่นี่กับวังเทียนฉือ ต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามก็ต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยๆหนึ่งวันเต็มๆ…แล้วเจ้าฉือหล่างคิดว่ามีปัญญาลากถ่วงข้า ได้ครึ่งค่อนวันเพื่อรอกำลังเสริมจากวังงเทียนฉือรึ?”
ตู๋กูหวู่นั้นมีรูปลักษณ์เป็นชายชรา เส้นผมสีดอกเลาของมันถูกปล่อยให้ทอดยาวลงไปด้านหลังอ่างอิสระ เสื้อผ้าแลดูมอซออยู่บ้าง ทว่าทั่วร่างกลับแผ่กลิ่นอายกระหายเลือดออกมาตลอดเวลา คงยากที่ใครจะกล้าดูแคลนมัน!
“ฉือหล่างได้ยินามเลิศล้ำของจักรพรรดิอมตะไม่ดับสูญมาเนิ่นนานแล้ว…เมื่อมีวาสนาได้พานพบ จึงสบโอกาสขอคำชี้แนะสักครา…”
สองตาฉือหล่างเปล่งประกายเอกเย็นเรืองขึ้นวูบวาบ จากนั้นมือจี้มุทรากลางอก ปรากฏแสงสีฟ้าใสควบรวมก่อเกิดกระบี่ 3 ฉื่อสีฟ้าโปร่งแสงเล่มหนึ่ง หมุนคว้างปานสว่านเบื้องหน้า ระเบิดกลิ่นอายแหลมคมออกมาอย่างรุนแรง!
ทันใดนั้นเอง ไอเย็นเยือกที่ปะทุออกมาจากทั่วร่างฉือหล่าง ได้ผสานหลอมรวมเข้ากับกลิ่นอายแหลมคมเบื้องหน้า จนคนกระบี่ไร้แบ่งแยก จากนั้นคนกระบี่ก็พุ่งทะยานจี้เข้าใส่ตู๋กูหวู่อย่างดุร้าย! เหนือฟ้าอุบัติเส้นทางน้ำแข็งสายหนึ่งลากยาวปานแสงดาวตก!!
“มาได้ดี!!”
ตู๋กูหวู่ที่เห็นสภาวะพลังแหลมคมของฉือหล่างแค่นคำดุดัน ก่อนจะรวมรั้งพลังเข้าต้านทานเร็วไว
สำหรับฮ่วนเอ๋อ หูเหม และเวิ่นหว่านเอ๋อ ทั้งหมดล่าถอยไปชมดูเรื่องราวอยู่ไกลๆ
ถึงแม้พลังฝีมือของตู๋กูหวู่จะเหนือกว่าฉือหล่าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถสยบเอาชัยฉือหล่างได้ในเวลาสั้นๆ ท้ายที่สุดแล้วก็ล้วนเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามด้วยกันทั้งสิ้น
แถมฉือหล่างก็ไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานามที่อ่อนด้อยอะไร
เช่นนั้นทุกคนจึงกล้าที่จะยืนชมดูเรื่องราวอยู่ห่างๆ ไม่ต้องกลัวว่าตู๋กูหวู่จะหันมาลงมือกับตัว เพราะตู๋กูหวู่ไม่มีเวลามากพอให้ทำอะไรเช่นนั้น!
ยอดฝีมือชิงชัย เหม่อเพียงชั่วพริบตาก็มากไป…หากตู๋กูหวู่กล้าวอกแวกหันมาเล่นงานพวกนางจริง ไม่พ้นฉือหล่างต้องฉกฉวยเสี้ยวพริบตาแสนล้ำค่า สร้างปัญหาใหญ่ให้ตู๋กูหวู่ได้แน่!
ราวๆครึ่งชั่วยามต่อมา!
วูฟฟฟฟ!!
บังเกิดเสียงดาบแหวกฟ้าหนึ่งดังขึ้น!
ทันใดนั้นเมฆเบื้องบนประถูกพลังคมกล้าผ่าแยกจนแหวกออกเป็น 2 เสี่ยง! เห็นเป็นคลื่นดาบประหนึ่งเสี้ยวจันทร์ลำเขื่อง ผ่าฟ้าเข่นฆ่าเข้าใส่ตู๋กูหวู่ด้วยอำมหิต! ปานจะผ่าคนให้แยกเป็นสองเสี่ยงปานท่อนฟืน!!
คลื่นดาบนี้มาได้ว่องไวเกินไป ตู้กูหวู่ที่จดจ่ออู่กับฉือหล่างแทบไม่อาจต้านทานรับมือได้ทัน! กว่าจะตอบสนองเรื่องราว คลื่นดาบก็บรรลุถึงตัวแล้ว!!
“ฉือหล่าง เจ้าลอบกัดข้า!!”
ตู๋กูหวู่คำรามออกมาเสียงดังลั่นด้วยโทสะ ร่างสั่นสะท้านวูบไหวฉากหลบ คลื่นดาบที่เข่นฆ่าลงมาจากฟากฟ้า ก็ได้แค่ตัดแขนข้างหนึ่งของมัน!
ทว่าตู๋กูหวู่ได้พุ่งมืออีกข้างมาคว้าแขนข้างที่ขาดฉับไว ก่อนเร่งเร้าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเพื่อรักษาแผล
กฏที่ตู๋กูหวู่เชี่ยวชาญเป็นกฏแห่งไม้ เรียกว่าเต็มไปด้วยพลังชีวิต อีกทั้งร่างเดิมของมันก็เป็นไม้ไผ่สวรรค์แกร่งที่จำแลงกายมาเป็นทุน อาการบาดเจ็บอย่างแขนขาดเมื่อครู่ สำหรับมันแล้วจึงถือเปนอาการบาดเจ็บที่เล็กน้อยมากๆ
เรียกว่าในเวลาชั่วพริบตา แขนที่ถูกตัดขาดเมื่อครู่ของตู๋กูหวูก็หายดีดังเดิม
ฟุ่บ!
คล้อยหลังคลื่นดาบร่วงตกฟ้าไปได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏร่างคนขึ้นเหนือเมฆ จากนั้นคนก็ดิ่งร่างลงมาฉับไว ไม่ทันไรก็ไปหยุดลอยข้างกายฉือหล่างแล้ว
คนที่มาปรากฏตัวข้างๆฉือหล่างไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นจักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดง เจิ้งอวี้อี่ ที่จากไปก่อนหน้าพวกฉือหล่างไม่นาน
“เจ้าเป็นใคร?”
ตู๋กูหวู่มองสบตาเจิ้งอวี้อี้ข้างกายฉือหล่างด้วยสีหน้ามืดดำ มันไม่คิดเลยว่าจะมีใครมาช่วยฉือหล่างได้ในเวลาเพียงครึ่งค่อนวัน และเห็นได้ชัดว่าผู้มาช่วยเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามเช่นกัน!
“ต้วนหลิงเทียนไปไหนแล้วเล่า?”
ในเวลาเดียวกัน ก็มีอีกร่างหนึ่งค่อยๆเหินลงจากม่านเมฆไปหยุดรวมกลุ่มกับพวกฮ่วนเอ๋อ หูเหมย และเวิ่นหว่านเอ๋อ เป็นหนานหลิวเฟิง ศิษย์คนเล็กของเจิ้งอวี้อี้
“ศิษย์น้องเล็กกำลังหนีการตามล่าของตู้กูเหวินอยู่…”
หูเหม่ยเอ่ยออกเสียงหนัก
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะส่งเสียงผ่านพลังมาบอกกล่าวพวกนางก่อนจะเคลื่อนย้ายข้ามมิติหายไป แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะกังวล เพราะคนที่ไล่ตามต้วนหลิงเทียนไปก็เป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่ง ทว่าศิษย์น้องเล็กของนางยังพึ่งเป็นจอมราชันอมตะสมญานามเท่านั้นเอง
เวลานี้ กระทั่งแววตาของฮ่วนเอ๋อก็ฉายชัดถึงความกังวลให้เห็น
ปกติแล้วฮ่วนเอ๋อมักมั่นใจในพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนมาก ไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่…แต่เรื่องราววันนี้มันต่างออกไป!
ตู๋กูเหวิน เป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานาม พลังฝีมือห่างไกลจากคู่ต่อสู้ที่ผ่านๆมาของต้วนหลิงเทียนมาก!
“ตะ…ตู๋กูเหวิน? จักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน!?”
“เช่นนั้น…ตาแก่นั่น ก็คือจักรพรรดิอมตะไม่ดับสูญ ตู๋กูหวู่ น่ะสิ!?”
ได้ยินคำพูดของหูเหมย หนานหลิวเฟิงก็หันไปมองชายชราไกลตาด้วยความประหลาดใจทันที ด้วยไม่คิดเลยว่าชายชราที่กำลังเผชิญหน้ากับอาจารย์ของมันและจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่างจะเป็นตัวตนดังกล่าว!
มันที่ถูกอาจารย์พาย้อนกลับมา รู้แค่อาจารย์จะมาช่วยฉือหล่างรับมือศัตรูเท่านั้น แต่ไม่ได้บอกว่าศัตรูเป็นใคร
พอได้ยินสิ่งที่หูเหมยพูด มันจึงตระหนักกว่าอาจารย์ของมันมาช่วยฉือหล่างรับมือผู้ใด!!
“ให้ตายเถอะ…ต้วนหลิงเทียน! นี่เจ้าไปฆ่าบิดาฉุดภรรยาผู้ใดมากันแน่ ผู้อื่นถึงกับจ้างมือสังหาร 2 คนนี่มาฆ่าเจ้าได้!?”
หนานหลิวเฟิงอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความตกใจ ชื่อเสียงของตู๋กูเหวินและตู๋กูหวู่นั้นโด่งดังมาก แม้แต่มันเองก็เคยได้ยินเสียงร่ำลือถึงทั้งคู่มาไม่น้อย ขณะเดียวกันยังรู้อีกด้วยว่าราคาที่ต้องจ่ายเพื่อจ้างวานทั้งสองฆ่าคนนั้น…โคตรมารดามันแพง!
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ท่านมีผลึกอมตะกองเป็นภูเขา ก็อย่าหวังว่าจะทำให้ทั้งคู่เหลือบแล
หากคิดจ่ายราคาให้ทั้งคู่เคลื่อนไหวล่ะก็ สิ่งที่ต้องหามาจ่ายต้องเป็นอะไรที่ทำให้ทั้งคู่ตื่นเต้นได้ ผลึกอมตะที่มากพอจะซื้อได้ทั้งเมือง ยังจัดเป็นสิ่งของอันดับท้ายๆที่ทั้งคู่ต้องการด้วยซ้ำ…
“เจิ้งอวี้อี้!”
ส่วนอีกด้าน หลังได้ยินคำถามของตู๋กูหวู่ เจิ้งอวี้อี้ก็กล่าวตอบออกไปเสียงดังฟังชัด
“จักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดง?”
ตู๋กูหวู่ขมวดคิ้ว เอ่ยถามออกไปเสียงหนักว่า “เจ้าไฉนมาอยู่ที่นี่ได้?”
เรื่องที่จักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดงเจิ้งอวี้อี้มีไมตรีกับฉือหล่างจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีนั้น มันก็รู้
ในฐานะที่เดินบนหนทางสายนี้ มันย่อมมีเครือข่ายข่าวสารส่วนตัว จึงรู้เรื่องของจักรพรรดิอมตะสมญานามในอู๋หยาเทียนเป็นอย่างดี…
WSSTH ตอนที่ 3,297 : ร่างอวตารกฏ ต้นไม้เทพสนหลิว!
ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามของอู๋หยาเทียน ตู่กูเหวินกับตู๋กูหวู่ก็มิใช่ว่าจะรับฆ่าผู้ใดก็ได้ไม่เลือกหน้า…
กับคนที่ไร้ภูมิหลังความเป็นมา และไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานามของขุมกำลังระดับสวรรค์…ขอเพียงเงินถึง คนตาย!
เช่นวันนี้ หากเป้าหมายไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนแต่เป็นฉือหล่างล่ะก็…พวกมันก็ไม่กล้าฆ่า! ด้วยกลัวจะยั่วยุโทสะของวังเทียนฉือ!!
แต่หากเป้าหมายเป็นศิษย์ทั่วไป ไม่เว้นศิษย์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของวังเทียนฉือพวกมันไม่ขัดข้องอะไร เพราะอย่างดีก็แค่สร้างความไม่พอใจให้วังเทียนฉือเท่านั้น
แต่การสังหารจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือโดยตรง สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับการท้าทายพลังอำนาจของวังเทียนฉือโดยตรง หากวังเทียนฉือคิดแตกหักกับพวกมันไปข้าง และระดมจักรพรรดิอมตะสมญานามมาไล่ฆ่าพวกมัน เช่นนั้นหายนะก็มาเยือนพวกมันแล้ว…
แน่นอนว่ายังมีจักรพรรดิอมตะสมญานามไร้สังกัดบางคน ที่พวกมันไม่กล้าแตะต้องเช่นกัน
ตัวอย่างก็เช่น เจิ้งอวี้อี้ จักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดงที่อยู่ข้างๆฉือหล่างตอนนี้!
เจิ้งอวี้อี้แม้ชอบท่องเที่ยวทั่วหล้า ไร้ที่อยู่และสังกัดเป็นหลักแหล่ง แต่เบื้องหลังยังมีพี่ชายแท้ๆ ที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามของขุมกำลังระดับสวรรค์ แถมยังเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่มีพลังฝีมือติด 3 อันดับแรกของขุมกำลังระดับสวรรค์นั้นอีกด้วย!
การฆ่าเจิ้งอวี้อี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากกระตุ้นโทสะของจักรพรรดิอมตะสมญานามผู้นั้น!
ด้วยเหตุนี้พอเห็นเจิ้งอวี้อี้ปรากฏตัว ตู๋กูหวู่ก็รู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง กระทั่งไร้เจตนาต่อสู้อีกต่อไป และคิดจะหลบหนีไปจากที่นี่แทน…
อย่างไรก็ตาม ฉือหล่างกับเจิ้งอวี้อี้กลับไม่คิดปล่อยให้มันจากไปโดยง่าย…
“ในเมื่อมาแล้ว ก็อยู่ต่อเถอะ!”
ฉือหล่างลั่นคำเสียงเย็น
จากนั้นหนึ่งดาบหนึ่งกระบี่ก็เข่นฆ่าเข้าใส่ตู๋กูหวู่พร้อมๆกัน!
สุดท้ายตู๋กูหวู่ที่โดนกลุ้มรุมก็ได้แต่ต้องคืนร่างที่แท้จริง อุบัติเป็นไผ่สวรรค์แกร่งต้นเขื่องราวเสาค้ำสวรรค์ร่วงลงมาจากฟากฟ้า! ลำไผ่โบกสะบัดอย่างอหังการ ปรากฏใบไผ่คมกริบนับหมื่นพัน ร่อนลงมาดั่งห่าพิรุณโปรยปราย ต้านทานรับมือพลังกระบวนท่าของทั้งคู่อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ!!
“ฉือหล่าง เจิ้งอวี้อี้! หากพวกเจ้ายังตอแยข้าไม่เลิก ก็อย่าได้โทษที่ข้าตู๋กูหวู่อำมหิต!!”
สุดท้ายหลังโดนกลุ้มรุมเข้าใส่ไม่หยุด ตู๋กูหวู่ก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้ว แววตาเริ่มฉายชัดถึงจิตฆ่าฟัน เริ่มเปิดฉากเข่นฆ่าสวนกลับ ประหนึ่งช่างหัวผลที่จะตามมาภายหลัง!
อย่างไรก็ตามพอมันระเบิดพลังเข่นฆ่าตอบกลับ จนสามารถหวนกลับมามีเปรียบได้อีกครั้ง โทสะในใจคล้ายค่อยๆจางลง สุดท้ายก็เลือกที่จะสร้างโอกาสหลบหนีออกมาทันที! เพราะอย่างไรเสียแม้จะได้เปรียบแต่กว่าจะเข่นฆ่าทั้งคู่ได้จริง ก็นับว่าเป็นเรื่องราวยากเย็น ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร…
และถ้ามันใช้เวลามากเกินไป รอจนกำลังเสริมของวังเทียนฉือมาถึง ต่อให้เป็นมันก็อาจต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วกาลจริงๆ…
เมื่อสบโอกาสเหมาะๆมันจึงจากไปทันที
“ฉือหล่าง ไฉนศิษย์คนที่ 7 ของเจ้าหาเรื่องเก่งนักเล่า…นี่มันไปเหยียบเท้าผู้ใดมากันแน่ กระทั่งจ้างนักฆ่าระดับตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่มาเก็บได้?”
เจิ้งอวี้อี้หันไปมองถามฉือหล่าง
“ข้าก็ไม่รู้…”
ในขณะที่ส่ายหน้าไปมา สีหน้าของฉือหล่างก็มืดดำแลดูไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่
ศิษย์คนที่ 7 ของมัน ต้วนหลิงเทียน นั้น….ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายข้ามมิติหลบหนีจากไป อีกฝ่ายได้ส่งเสียงผ่านพลังมาถึงมันด้วย ทำให้มันรู้ว่าในอู๋หยาเทียนแห่งนี้ หากมีใครที่อีกฝ่ายจะไปล่วงเกินเข้า ก็ไม่พ้นต้องเป็นคนของวังเทียนฉือเท่านั้น
และคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยหลักก็คือ หานอวิ๋นจิ่น ศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ
อย่างไรก็ตามมีคำกล่าว ‘เรื่องฉาวในบ้านไม่แพร่งพรายออกนอก’ แม้มันจะสงสัยหานอวิ๋นจิ่น แต่ก็ไม่คิดจะบอกเจิ้งอวี้อี้
“เช่นนั้น…ตู๋กูเหวิน ก็ไล่ตามศิษย์คนที่ 7 ของเจ้าไปรึ?”
เจิ้งอวี้อี้กล่าวถามอีกครั้ง
“อืม”
ฉือหล่างพยักหน้า ลูกตาฉายแววกังวลอยู่หลายส่วน ถึงแม้ก่อนที่ศิษย์คนที่ 7 ได้กล่าวคำทิ้งท้ายไว้อย่างมั่นใจ แต่มันก็อดห่วงไม่ได้
สุดท้ายแล้วถึงพลังฝีมือศิษย์คนที่ 7 ของมันจะไม่ใช่ชั่ว แต่ก็พอฟัดพอเหวี่ยงได้กับตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะทั่วๆไปเท่านั้น
ทว่าตู๋กูเหวินไหนเลยใช้คำจักรพรรดิอมตะทั่วไปมาอธิบายได้? นั่นมันจักรพรรดิอมตะสมญานาม!
“อย่างไรเสียครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก…ขอตัวก่อน ไว้พบกันใหม่”
หลังจากฉือหล่างประสานมือกล่าวขอบคุณทั้งร่ำลาเจิ้งอวี้อี้แล้วเสร็จใลมหายใจเดียว มันก็สะบัดมือหอบหิ้วพวกฮ่วนเอ๋อทั้ง 3 ท่องกระบี่พลังมีสภาพเล่มเขื่องกลับวังเทียนฉือโดยเร็วที่สุด เพราะถึงแม้ตอนนี้ต่อให้มันคิดจะไล่ตามไปช่วยต้วนหลิงเทียน ก็คงตามไม่เจอแล้ว
“รอการติดต่อกลับมาจากศิษย์น้องเล็กเถอะ…ศิษย์น้องเล็กบอกแล้วหากปลอดภัยเมื่อใดจักติดต่อกลับมาเอง”
เวิ่นหว่านเอ๋อกล่าว
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะจากไปเสียงผ่านพลังนั้นเขาไม่ได้ส่งให้ฉือหล่างคนเดียว แต่เป็นส่งให้กับคนทั้งกลุ่ม ยังเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนว่า รอให้หนีรอดปลอดภัยแล้ว จะส่งข้อความมาหาเอง
ทำให้ก่อนหน้าจนถึงตอนนี้ แม้ทุกคนอยากจะส่งข้อความไปถามสถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครคิดจะทำแบบนั้น ด้วยกลัวจะมีส่วนทำให้ต้วนหลิงเทียนวอกแวกจนเกิดเรื่องได้
การถูกตัวตนระดับจักรพรรดิอมตะสมญานามไล่ตาม เกรงว่าอาการฟุ้งซ่านแค่เสี้ยวพริบตาก็พาลให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจหวนคืนได้แล้ว…
ดังนั้นแม้จะเป็นฮ่วนเอ๋อ ก็ไม่กล้าติดต่อไปสอบถามสถานการณ์ในปัจจุบันของต้วนหลิงเทียน เพียงลอบภาวนาในใจอย่างเงียบงัน และหวังว่าพี่หลิงเทียนของนางจะแคล้วคลาดปลอดภัย
…
ณ อู่หยาเทียน
ที่ไหนสักแห่ง
“ไอ้หนู ต่อให้เจ้าจะบรรลุความลึกซึ้งเคลื่อมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่วันนี้เจ้าไม่มีวันหนีพ้นเงื้อมมือข้าได้!”
เด็กชายคนหนึ่งกำลังพุ่งร่างแหวกฟ้าด้วยความเร็วสูงล้ำจนมองไปคล้ายภูตผีรางเลือน ทำให้แม้ชายหนุ่มเบื้องหน้าจะวูบร่างไปผุดโผล่ไกลถึง 20 ลี้ในแต่ละครั้ง แต่ก็ยังถูกมันไล่จี้มาติดๆ!
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้าระยะห่างระหว่างทั้งคู่ก็กระชั้นเข้ามาทุกขณะ
‘สมแล้วที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม ความเร็วของมันสูงจริงๆ…’
ชาหนุ่มที่หนีการตามล่าของเด็กชายก็คือต้วนหลิงเทียน
เพื่อหลบหนีการตามล่าของเด็กชาย ต้วนหลิงเทียนได้ใช้ออกด้วยเคลื่อนมิติติดต่อกันเต็มกำลังไม่หยุด สีหน้าแลดูจริงจังเคร่งขรึมอยู่บ้าง
“มาไกลเท่านี้ก็พอ”
ทันใดนั้นเอง เสียงวารีเทพชำระโลกาพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน “หากไปไกลมากกว่านี้ จะเป็นการสิ้นเปลืองพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเจ้าเปล่าๆ…ต่อให้เป็นตู๋กูหวู่แต่หากคิดจะติดตามมาทันก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวัน”
“ทั้งในเมื่อเจ้าบอกให้ครูของเจ้าหยุดมันเอาไว้แล้ว เช่นนั้นหมายความว่าเจ้านั่นก็ต้องติดพันอยู่อีกพักใหญ่”
วารีเทพชำระโลกากล่าว
ฟังจากที่วารีเทพชำระโลกาพูดออกมา เห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่ไฉนฉือหล่างถึงลงมือขัดขวางตู๋กูหวู่เอาไว้ในขณะที่คิดจากไปแต่แรก ทั้งหมดเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนได้บอกอีกฝ่ายเอาไว้…
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฉือหล่างจะติดต่อขอความช่วยเหลือจากเจิ้งอวี้อี้ ทำให้หยุดตู๋กูหวู่ได้นานกว่าที่คิดเอาไว้
“เอาล่ะ”
ดิ้นคำพูดของวารีเทพชำระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็หยุดการเคลื่อนย้ายข้ามมิติ ยังหยุดร่างลงกลางหาวและหันกลับมามองร่างเด็กชายที่กำลังพุ่งทะยานแหวกฟ้าเข้ามาด้วยความเร็วสูงล้ำอย่างสงบ
“เหอะๆ เจ้าสมควรว่างายแบบนี้ตั้งแต่แรก…”
ตู๋กูเหวินในคราบเด็กชาย มองหมิ่นต้วนหลิงเทียนพลางแสยะยิ้มกล่าว “เห็นแก่ที่สุดท้ายเจ้ายังให้ความร่วมมือ ข้าจักให้เจ้าเหลือซากศพสมบูรณ์…”
ฟังจากสคำพูดคำจาของตู๋กูเหวิน เห็นได้ชัดว่ามันมองต้วนหลิงเทียนไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว
“ก็แค่ดอกไม้ป่าต้นหนึ่งที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ได้…ยังจะคุยโวโอ้อวดอะไรนักหนา?”
ต้วนหลิงเทียนยกยิ้มเฉยเมย กล่าวเสียดสีแดกดันจบ แววตายังเผยความท้าทายไม่น้อย
“สมควรตาย!”
ลูกตาตู๋กูเหวินกลายเป็นเย็นชา ทันใดนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมหาศาลก็ทะลักออกจากร่างเล็ก กลับกลายเป็นสีเขียวมรกตในพริบตา อุบัติห่าเถาวัลย์ไม้เลื้อยพุ่งออกจากความว่างเปล่า เข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนปานมังกรพิโรธ!
ตู๋กูเหวินแม้จะเป็นจักรพรรดิอมตะ 7 ดารา แต่ความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ที่เข้าใจ ก็ทำให้มันมีพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลาย
และการที่มันปะทุพลังลงมือออกมาด้วยความเดือดดาล แรงกดดันจากพลังที่เหนือกว่าหลายระดับของมันที่โถมทับมาในคราเดียว ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกกดดันถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องอยู่บ้าง
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆต้วนหลิงเทียนก็สงบอารมณ์ ใบหน้าฉายความจริงจัง สองตาทอประกายเรืองวาบ จากนั้นรอบๆร่างกายก็ปรากฏเงาร่างขนาดเล็กต้นหนึ่ง
และต้นไม้เล็กๆดังกล่าว เพียงเสี้ยวพริบตาก็เติบโตจนกลายเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน!
มองแวบแรกต้นไม้ต้นนี้คล้ายต้นสนขนาดใหญ่อยู่บ้าง แต่ทว่ามองอีกทีมันกลับแตกต่างจากต้นสนและคล้ายต้นหลิวมากกว่า!
“ต้นไม้เทพสนหลิว!?”
เห็นเงาร่างต้นไม้ใหญ่ที่ปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเบื้องหน้า ลูกตาตู๋กูเหวินหดเล็กลงโดยพลัน “เจ้าไม่ใช่มนุษย์?”
“ไม่ใช่! เจ้าไม่ใช่ต้นไม้เทพสนหลิว!!”
“นี่คือร่างอวตารกฏ!!”
เพียงชั่วพริบตา ตู๋กูเหวินก็มองออกทันทีว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนกำลังใช้อยู่ก็คือร่างอวตารกฏ และยังเป็นร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวอีกด้วย!!
ต้นไม้เทพสนหลิวนั้นในแง่ระดับแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างที่แท้จริงของมันที่เป็นบุปผาร้อยสีแม้แต่น้อย เทียบได้กับสัตว์อมตะชั้นยอด
“ไอ้หนู ต่อให้เจ้าจะสร้างร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวได้แล้วจักอย่างไร? เจ้ามันก็แค่จอมราชันอมตะคนหนึ่ง ถึงแม้จะกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานามแล้ว แต่เจ้าคิดว่าจะเทียบกับจักรพรรดิอมตะสมญานามได้รึ?”
ตู๋กูแสยะยิ้มกล่าวดูถูกด้วยน้ำเสียงรังเกียจเดียจฉันท์
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
ขณะเดียวกัน ห่าเถาวัลย์ที่งอกเงยทิ่มแทงออกมาจากควาวมว่างเปล่าดั่งมังกรพิโรธฝูงหนึ่ง ก็เข่นฆ่ามาเจียนถึงตัวต้วนหลิงเทียนอยู่รอมร่อแล้ว!
ทว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนยัคงสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน ไม่ได้นำพากับการลงมืออันดุร้ายทรงพลังของตู๋กูเหวินแม้แต่นิดเดียว
ดุจละอองไฟวาบดับ ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนพลันปะทุแสงพลังสีเทาออกมารุนแรง! จากนั้นมวลพลังสีเทาขุมใหญ่ก็ถ่ายทอดลงสู่เงาร่างต้นไม้เทพสนหลิวในบัดดล!!
พร้อมกันกับที่พลังสีเทามหาศาลกำจายไปทั่วเงาร่างต้นไม้เทพสนหลิว แสงกระบี่ 7 สีก็สาดส่องออกมาจากทั่วร่าง ก่อนจะลุกลามเข้าไปในเงาร่างต้นไม้เทพสนหลิว พาลให้กิ่งก้านใบทั้งลำต้นของต้นไม้เทพสนหลิวเรืองงสว่างเป็นแสงพลังหลากสีสันทันที!
‘พฤกษาเทพครองสวรรค์!’
เพียงหนึ่งห้วงคิด ต้วนหลิงเทียนก็สั่งการพฤกษาเทพกำเนิดชีพในร่างให้ลอบจ่ายพลังลงสู้ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวอย่างแยบคาย!
ทันใดนั้นร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวก็เริ่มสั่นไหว จากไร้สภาพสู่มีสภาพ ในที่สุดมันก็ประหนึ่งเป็นต้นไม้เทพสนหลิวที่แท้จริง!
ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ!
…
กิ่งข้งต้นไม้เทพสนหลิวมหึมาฟันฟาดออกไปพร้อมใบอย่างดุดัน ยังผลให้ห้วงมิติบังเกิดความแปรปรวนในฉับพลัน จากนั้นแสงพลัง 7 สีสันอมเทาก็ปลดปล่อยจิตสังหารอันร้ายกาจเข่นฆ่าเข้าใส่ห่าเถาวัลย์อย่างไร้ครั่นคร้าม!!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นถี่ยิบ! เป็นกิ่งพร้อมใบของต้นไม้เทพสนหลิวฟาดฟัทำลายห่าเถาวัลย์ที่แทงทะลุออกมาจากความว่างเปล่าของตู๋กูเหวินลงอย่างต่อเนื่อง ทุกเถาล้วนแหลกระเบิดเกิดเป็นพลังสะท้อนน่าพรั่นพรึง!!
คลื่นกระแทกกำจายออกไปทั่วสารทิศวงแล้ววงเล่า ต้นตอคลื่นกระแทกเห็นเป็นเมฆควันรูปดอกเห็ดหลากสีสันกำลังเบ่งบาน แลดูงดงามอย่างประหลาด
อย่างไรเสีย ยามเมฆควันดอกเห็กหลากสีสันแต่ละดอกเบ่งบาน ก็อุบัติคลื่นกระแทกมหาประลัยกวาดทำลายออกมาจนฟ้าสะท้านดินสะเทือน เสียงยังดังประหนึ่งอัสนีลั่นในหู!
ปงงงง!!
ตูมมมมม!!
…
ตอนนี้คลื่นกระแทกจากพลังสะท้อนขุมแล้วขุมเล่า ได้เปลี่ยนบรรยากาศแถบนี้ให้กลายเป็นวิปริตแปรปรวนเป็นที่สุด ผู้มีด่านพลังฝึกปรืออ่อนด้อยผ่านมา น่ากลัวจนตัวแตกเป็นหมอกเลือดยังไม่รู้เรื่อราว! ผืนดินเบื้องล่างยามนี้แทบไม่ตางอะไรกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่!!
อย่างเช่นขุนเขาใหญ่เบื้องล่างนั้น พอพลังสะท้อนคลื่นกระแทกถล่มลงมาจากฟ้า พวกมันก็เสมือนแก้วกระจกบอบบางปริร้าว จากนั้นก็พังทลายลงในพริบตา….
เรียกว่ามันแหลกลงฉับไวยิ่งกว่าตึกในโลกเก่าต้วนหลิงเทียนโดนรื้อถอนด้วยระเบิดเสียอีก จากนั้นนรกฝุ่นก็มาเยือน เพราะละอองธุลีคลีได้คละคลุ้งวุ่นวายไปหมด เหล่าสัตว์อมตะที่อยู่ใกล้ๆหากไม่ตายแต่แรก ก็พากันหนีเตลิดด้วยความตกใจราววันโลกาวินาศมาเยือน
“โฮ่? คิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจักรับการโจมตีของข้าได้…แม้เมื่อครู่จะเป็นเพียงการโจมตีส่งๆ แต่อย่างน้อยๆกิ่งต้นไม้เทพสนหลิวที่ฟาดมาแต่ละทีของเจ้า นับว่ามีพลังไม่ได้ด้อยไปกว่าการโจมตีเต็มกำลังของจักรพรรดิอมตะทั่วๆไปเลยทีเดียว…”
ในขณะที่ขุนเขามหึมาเบื้องล่างแหลกสลายเป็นเม็ดทราย บนฟากฟ้าเสียงของตู๋กูเหวินก็ดังขึ้นอีกครั้ง…
WSSTH ตอนที่ 3,298 : ศาสตราเทพถูกเปิดเผย
ถึงปากตู๋กูเหวินจะกล่าวราวกับชมพลังโจมตีของกิ่งต้นไม้เทพสนหลิว หากแต่สีหน้าแววตาที่มันใช้มองมา ไม่ขาดการดูแคลนหยันหยามแม้แต่น้อย
เพราะต่อให้พลังของต้วนหลิงเทียนจะทำให้มันประหลาดใจ แต่ก็ยังห่างไกลจากการเป็นภัยคุกคามสำหรับมัน! ตัวมันเป็นจักรพรรดิอมตะ 7 ดารา กระทั่งเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม! ความแข็งแกร่งของมัน…ห่างไกลเกินกว่าจักรพรรดิอมตะทั่วๆไปจะเปรียบเทียบได้!!
หากมันลงมือด้วยพลังทั้งหมดล่ะก็ จักรพรรดิอมตะทั่วไป ไม่มีวันหยุดมันได้แม้ครึ่งกระบวน…
“ต้วนหลิงเทียน ไม่พูดไม่ได้จริงๆ เจ้านับว่าร้ายกาจเอาเรื่องเลยทีเดียว…สามารถเป็นจอมราชันอมตะสมญานามด้วยวัยเพียงเท่านี้ แถมยังมีพลังความแข็งแกร่งระดับนี้อีก เจ้าสมควรภาคภูมิใจได้แล้ว”
ตู๋กูเหวินที่มองพินิจต้นไม้เทพสนหลิวเบื้องหน้า กล่าวกับต้วนหลิงเทียนที่ซ่อนตัวอยู่ภายในลำต้นของต้นไม้เทพสนหลิว และกำลังควบคุมต้นไม้เทพสนหลิวเพื่อประมือกับมัน
เป็นธรรมดาว่าตู๋กูเหวินไม่อาจแลเห็นร่างต้วนหลิงเทียนได้อีกแล้ว เนื่องเพราะร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวไม่ใช่เงาร่างสืบไป แต่มันเป็นดั่งต้นไม้เทพสนหลิวที่แท้จริง!
“แต่เจ้าคิดจริงๆหรือ…ว่าอาศัยพลังเพียงเท่านี้ยังจักนับเป็นอะไรต่อหน้าข้า ตู๋กูเหวินได้?”
พอเสียงของตู๋กูเหวินดังจบคำ ก็ปรากฏหอกยาว 7 ฉื่อเล่มหนึ่งกระชับเข้ามือ เรียกว่าตัวหอกนั้นยาวกว่าความสูงของร่างเด็กชายมันเสียอีก!
และหอกของตู๋กูเหวินไม่ได้ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า แต่เป็นแสงที่สาดส่องออกจากร่างกายแล้วควบแน่นมีสภาพ…
ศาสตราวุธที่ปรากฏตัวในลักษณะนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิขึ้นไป!
“สุนัขจากที่ใดมาเห่าหอนแถวนี้ไม่เลิก…”
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ตู๋กูเหวินเรียกหอกอมตะจักรพรรดิออกมา เสียงของต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นจากด้านในต้นไม้เทพสนหลิว ฟังแล้วเห็นชัดว่าคิดยั่วโทสะตู๋กูเหวิน!
เมื่อได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ลูกตาตู๋กูเหวินก็หดแคบลง ใบหน้าของมันยังแลเย็นชาปานมีชั้นน้ำแข็งเคลือบ!
“หาที่ตาย!!”
ตู๋กูเหวินตะคอกคำเสียงเย็น จากนั้นหอกในมือก็ถูกจ้วงแทงออกมาฉับไว อุบัติไอพลังสีเขียวทะลักล้นออกมาจากตัวหอก ก่อนจะควบรวมเป็นลำแสงพลังสีมรกต!
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
ลำแสงหอกที่พุ่งยิงทะลวงฟ้ามาฉับไวนั้น ประหนึ่งสายน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็งก็ไม่ปาน เพราะในเสี้ยวพริบตาจากลำแสงสีมรกตไร้สภาพ ก็คล้ายกลับกลายเป็นหอกไม้ไผ่สีเขียวมีสภาพกำลังยืดยาวออกมา!
หลังแปลงสภาพจากลำแสงไร้สภาพเป็นหอกไผ่เขียวมีสภาพแล้ว ยิ่งมาความเร็วในการทะลวงแหวกฟ้าก็ยิ่งสูงล้ำ! ปลายหอกก็เปล่งกลิ่นอายแหลมคมเยียบเย็นนัก ราวกับจะทะลวงเจาะได้ทุกสรรพสิ่ง!!
“หึ!”
เสียงพ่นลมสบถเยียบเย็นของตู๋กูเหวินดังขึ้นอีกครั้ง เป็นมันพลันลงมือต่อเนื่อง ตวัดหอกจ้วงแทงออกมาอีกหลายครั้งติดต่อ ทำให้อุบัติลำแสงสีเขียวควบแน่นก่อเกิดเป็นหอกไผ่เขียวจ้วงทะลวงเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนมืดฟ้ามัวดิน!
กระทั่งยังมีลำแสงเขียวที่กลับกลายเป็นหอกไผ่สีมรกตหลายสิบสาย พุ่งตีวงกว้างออกไป ก่อนจะตีวงโค้งวกกลับมาจ้วงแทงสังหารต้วนหลิงเทียนจากด้านหลัง!
กล่าวให้ชัดคือ มันคิดจ้วงแทงสังหารร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวของต้วนหลิงเทียนจากด้านหลัง!
เพียงมองสถานการณ์ก็ทราบได้ไม่ยากว่า กระบวนหอกหลังสุดนี้เป็นกระบวนหอกสังหารที่แท้จริง! เพราะหากหอกที่จ้วงแทงออกมาก่อนหน้าสามารถทำลายร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสินหลิวได้แล้ว ไม่พ้นร่างต้วนหลิงเทียนต้องเปิดเผยออกมา ก่อนจะถูกหอกจ้วงแทงจากด้านหลังโดนไร้สิ่งกำบัง…
ซู่มมม! ซู่มมม! ซู่มมม!
…
หอกไผ่เขียวแต่ละสายยทะลวงฟ้ามารวดเร็วเกินไป ราวกับมันทะลุมิติมาอย่างไรอย่างนั้น!
“ไอ้หนู ให้ข้าชมดูทีเถอะ ว่าเจ้าจักมีปัญญาเอาตัวรอดจากกระบวนท่านี้ของข้าได้อย่างไร!”
ตู๋กูเหวินแสยะยิ้มกล่าวเย้ยอย่างย่ามใจ “กระบวนท่านี้ของข้า ได้ใช้ออกด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ทั้งหมดที่ข้าเข้าใจแล้ว ถึงแม้ข้าจักมิได้ใช้ความลึกซึ้งผสาน แต่ก็ไม่มีตัวตนใต้จักรพรรดิอมตะสมญานามคนใดสามารถต้านทานรับได้เป็นแน่!”
กระบวนหอกที่จู่โจมเข่นฆ่าทั้งหน้าหลังของตู๋กูเหวินนี้ ได้อัดแน่นไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเต็มสิบส่วน ผสานความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมด ยังใช้ออกด้วยหอกอมตะระดับจักรพรรดิ!
ได้ยินวาจาเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจของตู๋กูเหวิน สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นจริงจัง ขณะเดียวกันเขาก็ติดต่อกับเทพเบญจธาตุที่ 4 ธาตุในโลกใบเล็กภายในกายทันที
ก่อนหน้านี้เขาพึ่งจะใช้พลังของพฤกษาเทพครองสวรรค์ 1 ใน 5 เทพเบจธาตุออกไป และเพราะพลังของพฤกษาเทพครองสวรรค์นี้เอง ถึงทำให้ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวของเขาควบแน่นจากไร้สภาพสู่มีสภาพ!
อย่างไรก็ตาม เพื่อต้านรับการโจมตีกระบวนนี้ของตู๋กูเหวิน เขาจำต้องดิ้นรนหาตัวช่วยเพิ่มแล้ว
เพราะกระบวนท่าหอกครานี้ของตู๋กูเหวินมันทรงพลังเหนือกว่าเถาวัลย์ก่อนหน้ามากมายหลายขุม ต่อให้ตอนนี้เขาจะอยู่ภายในร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว ยังสูดได้กลิ่นความตายอยู่เนืองๆ!
“ออก!”
แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอความช่วยเหลือ วารีเทพชำระโลกาก็เป็นคนแรกที่จ่ายส่งพลังออกมาให้ต้วนหลิงเทียนเป็นคนแรก
ครืน! ครืน! ครืน!
หลังจากวารีเทพชำระโลกาจ่ายยพลังให้ต้วนหลิงเทียนแล้ว ทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็จ่ายพลังให้ต้วนหลิงเทียนตามมาติดๆอย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
เวลาที่พวกมันอยู่กับต้วนหลิงเทียนนั้น จะวารีเทพชำระโลกาหรือพฤกษาเทพครองสวรรค์ก็เทียบไม่ได้
เมื่อต้วนหลิงเทียนขอความช่วยเหลือจากพวกมัน เช่นนั้นพวกมันย่อมไร้ซึ่งความลังเลใดๆ เร่งจ่ายพลังออกไปเร็วไวทันที!
“ไอ้หนู ฆ่ามารดามันให้ตาย!!”
เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นด้วยถ้อยคำดุดัน แม้น้ำเสียงจะไร้อำนาจขู่ขวัญก็ตามที…
มันที่มาอยู่ในร่างต้วนหลิงเทียน นับว่าได้ลิ้มรสความหอมหวานแล้วจริงๆ
เพราะให้มองไปทั่วประวัติศาสตร์ของเหล่าเทพเบญจธาตุในมหาสหัสโลกธาตุแห่งนี้ เกรงว่าคงมีจำนวนแค่น้อยแสนน้อยที่สามารถยกระดับพัฒนาจากขั้นที่ 3 มาเป็นขั้นที่ 6 ได้ในเวลาแค่เดือนเดียว…
แต่มันกลับทำได้!
และทั้งหมดเป็นเพราะมาอยู่ในร่างของต้วนหลิงเทียน ได้เป็นประจักษ์พยานในโชควาสนาของต้วนหลิงเทียน
มิฉะนั้น หากมันจับพลัดจับผลูไปอยู่กับร่างคนอื่น เกรงว่าขอแค่วันนี้สามารถเปลี่ยนเป็นขั้นที่ 4 ได้ ก็ต้องมีกราบไหว้ฟ้าดินกันบ้าง…
“หึ จักรพรรดิอมตะสมญานามแล้วจะอย่างไร? เส้นทางของผู้ครอบครองเทพเบญจธาตุครบทั้ง 5 ธาตุใช่อันใดที่จักรพรรดิอมตะสมญานามกระจ้อยร่อยสามารถหยุดยั้งได้หรือ?”
เสียงขรึมของทองเทพสุดลี้ลับดังขึ้น ไม่ขาดการดูหมิ่นแม้แต่น้อย
“เส้นทางของผู้แข็งแกร่งที่สุด ถูกลิขิตให้ย่ำเหยียบศพทวยเทพนับไม่ถ้วน…เส้นทางสู่ขอบเขตเทพเอง ก็ต้องย่ำเหยียบศพของจักรพรรดิอมตะทั้งจักรพรรดิอมตะสมญานามเช่นกัน!!”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าวปิดท้าย
และพลังของเทพเบญจธาตุทั้ง 4 ก็หลั่งไหลถ่ายทอดลงสู่ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวหลากสีสันในชั่วพริบตา กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้เทพสนหลิว ยังหลอมผสานเข้ากับพลังของพฤกษาเทพครองสวรรค์ได้อย่างแยบคาย!
ด้วยความที่มีพลังของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน ทำให้สีสันของร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวกลายเป็นสีรุ้งแต่แรก เช่นนั้นถึงแม้จะมีพลังของเทพเบญจธาตุผสานเพิ่มเข้าไป ก็ไม่อาจระบุความแตกต่างได้ด้วยสายตา
สำหรับกลิ่นอายพลังของเทพเบญจธาตุนั้น ได้ถูกกลิ่นอายพลังอันกล้าแข็งของร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวกลบไว้จนหมด!
ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิว ถูกสร้างขึ้นจากสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวที่ถูกต้วนหลิงเทียนหลอม หลังจากผสานพลังของพฤกษาเทพครองสวรรค์เข้าไป ก็ทำให้ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิว ไม่มีอะไรแตกต่างจากต้นไม้เทพสนหลิวที่แท้จริงเลย!
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
เหล่าหอกไผ่มรกตที่พุ่งทะลวงฟ้ามาฉับไวมืดฟ้ามัวดินนั้น มองไกลๆยังคล้ายห่าด้ายสีเขียวกำลังจะพุ่งทะลวงร่างต้วนหลิงเทียนให้ปุพรุนอยู่บาง !
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าการโจมตีของเจ้าไร้ผู้ใดใต้ขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานามรับได้?”
เสียงกล่าวถามเย้ยหยันของต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้นจากด้านในต้นไม้เทพสนหลิว เสียงเย้ยหยันดังกล่าวยังเต็มไปด้วยความปรามาสดูแคลนเป็นที่สุด “ช่างคุยโวโอ้อวดนัก!”
“วันนี้ข้าจอมราชันอมตะสมญานามตัวเล็กๆคนหนึ่ง…กับอีแค่กระบวนท่าที่เจ้ากล่าวอวดไว้เสียดิบดีนี่ ข้ารับได้สบาย!”
และทันทีที่เสียงกล่าวปรามาสของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ กิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวก็คล้ายจะเต้นระบำผ่านฟ้าอีกครั้ง!
วู้ม!
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่จิตวิญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน หวงเอ้อ ได้ปรากฏตัวขึ้นข้างกายต้วนหลิงเทียน จากนั้นร่างโฉมงามในชุดเทพธิดา 7 สีก็เริ่มสั่นไหวพร่ามัวดั่งเงาเลือน ก่อนคนจะสลายร่างกลับกลายเป็นลำแสง 7 สีพุ่งหายเข้าไปในต้นไม้เทพสนหลิว!
พอจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนผสานหลอมรวมเข้ามา พลังของร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวก็พุ่งสูงขึ้นพรวดพราดทันที!!
อุปกรณ์เทพที่มีวิญญาณกับไร้วิญญาณนั้น เป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“หืม?!”
และแทบจะในเวลาเดียวกับที่หวงเอ้อสลายร่างกลายเป็นลำแสง 7 สีผสานกับต้นไม้เทพสนหลิว ทั้งผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน จนพลังของร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวพุ่งพรวดขึ้นมา ลูกตาของตู๋กูเหวินก็หดเล็กลงแทบปิด!
“จิตวิญญาณสถิตย์อุปกรณ์?”
“ไม่! ไม่ใช่จิตวิญญาณสถิตย์อุปกรณ์ แต่เป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิด! เป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิดของอุปกรณ์ที่แท้จริง!!”
(สถิตย์ จับวิญญาณมายัด แรกกำเนิด เกิดขึ้นเอง)
“ให้ตายเถอะ! อาวุธของไอ้หนูนี่เป็นอาวุธระดับเทพเชียวหรือ!?!”
พริบตานี้ตู๋กูเหวินก็ตระหนักได้เร็วไว ว่าอาวุธที่ต้วนหลิงเทียนใช้ มันไม่ใช่อาวุธอมตะระดับจักรพรรดิ แต่เป็นถึงอาวุธเทพ! กระทั่งยังเป็นอาวุธเทพที่มีจิตวิญญาณ!!
“ฮ่าๆๆๆ! ข้า ตู๋กูเหวิน ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชีวิตนี้จักมีวาสนาได้ถือครองอุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณ!!”
คู้กูเหวินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นฟ้า ทำราวกับอุปกรณ์เทพในมือต้วนหลิงเทียนนั้น เป็นของมันไปแล้ว
อย่างไรก็ตามรอยยิ้มบนใบหน้าของมันมีอันต้องชะงักค้างเติ่งไปทันใด
นั่นเพราะกระบวนท่าหอกของมันได้ปะทะเข้ากับกิ่งก้านของต้นไม้เทพสนหลิวแล้ว! สองพลังกล้าแข็งกำลังปะทะหักหาญกันอย่างดุเดือด!!
และเหตุไฉนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของตู๋กูเหวินจึงได้ค้างเติ่งนั้น ก็ไม่ใช่เพราะใดอื่น แต่เพราะมันแลเห็นว่ากระบวนท่าหอกที่มันใช้ออกไป หอกไผ่มรกตสายแรกนั้น…ได้ถูกกิ่งต้นไม้เทพสนหลิวทุบฟาดทำลายจนแหลก!!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
ไม่ว่าหอกไผ่มรกตจะทะลวงจ้วงฟ้ามารวดเร็วและรุนแรงแค่ไหน อนิจจากระทั่งเปลือกไม้ยังไม่ได้แตะ! เพียงเข้าใกล้ก็ถูกกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวสะบัดฟาดทำลายจนแหลกพินาศหมดสิ้น!!
เวลาเพียงเสี้ยวพริบตาดุจฟ้าแลบ หอกไผ่มรกตที่ขึ้นรูปจ้วงมาด้วยสภาวะพลังกล้าแข้งของตู๋กูเหวินกว่าครึ่ง ก็มีอันต้องแหลกสลายลง!
“เป็นไปได้ยังไง!?”
เห็นฉากนี้ ใบหน้าตู๋กูเหวินก็ฉายความตะลึงออกชัด! ขณะเดียวกันแววตาของมันยิ่งมาก็ยิ่งเปล่งแสงแห่งความโลภแรงกล้า ในใจคิดไปอย่างตื่นเต้นยินดี ‘สมแล้วที่เป็นอุปกรณ์เทพ…ไม่ธรรมดายิ่งนัก! ช่างทรงพลังอานุภาพเหลือเกิน!!’
เรียกว่าตู๋กูเหวินสรุปไปเองเรียบร้อย ว่าที่ไฉนกระบวนท่าของมันถึงได้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบนั้น ทั้งหมดทั้งมวลสมควรเป็นเพราะพลังอำนาจของอุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณ!!
เพราะนอกจากเหตุผลข้อนี้ มันก็ไม่อาจจินตนาการได้ออกแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนยังจะมีพลังสามาถรอันใดได้อีก
เพราะในสายตามัน ต้วนหลิงเทียนได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีออกมาหมดสิ้น ไม่ว่าจะด่านพลังฝึกปรือ ความลึกซึ้งของกฏมิติที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมด รวมถึงร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว! เช่นนั้นสิ่งสุดท้ายที่จะเพิ่มพลังได้ก็คืออุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณนั่นเอง!!
“ไอ้หนู! ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจักครอบครองอุปกรณ์เทพที่ทรงพลังถึงขนาดนี้…แต่ว่าให้อุปกรณ์เทพแสนล้ำค่าอยู่ในมือของเจ้า ก็ออกจะเป็นการดูถูกคุณค่าของมันเกินไป!!”
ตู๋กูเหวินระเบิดเสียงหัวเราะเยียยบเย็นดังร่า “ทว่าอีกมินาน อุปกรณ์เทพจักตกอยู่ในมือผู้ที่คู่ควร…มันถูกลิขิตให้เป็นของข้า ตู๋กูเหวินผู้นี้!!”
“ข้าต้องกล่าวเลยจริงๆ ว่าพลังของเจ้ายามใช้อุปกรณ์เทพนั้น เหนือล้ำสุดที่ข้าจะคาดคิดคำนวณได้ออกจริงๆ…แต่ตอนนี้ทั้งหมดมันจบแล้ว!!”
พอตู๋กูเหวินกล่าวออกมาอีกครั้ง ดวงตาของมันก็ฉายแววเยียบเย็น หอกอมตะระดับจักรพรรดิในมือของมันเริ่มสั่นไหวรุนแรง ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามออกมา
จากนั้นทั่วร่างของตู๋กูเหวินก็ปรากฏแถบริ้วสีเขียวปานริบบิ้นพวยพุ่งออกมานับพันๆสาย แถบริ้วเขียวพลิ้วไปในอากาศปานอสรพิษ!
กลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงเริ่มกำจายออกจากร่างตู๋กูเหวิน สะท้านสะเทือนไปในบรรยากาศ “จากนี้ไป ข้าจักให้เจ้าได้รับทราบถึงพลังอำนาจ จากการผสานหลอมรวมความลึกซึ้งแห่งกฏ!!”
“ถึงแม้ตอนนี้ตัวเจ้าอาจสำคัญตัวว่าแน่ เพราะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติซึ่งเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว! แต่ไอ้หนู…เจ้าจงรู้ไว้ ว่าเจ้ายังห่างอีกไกลนัก กว่าจักได้สัมผัสถึงพลังอำนาจอันลึกล้ำจากการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ!!”
“อนิจจา ในเมื่อวันนี้เจ้าพบเจอข้าตู๋กูเหวิน ก็เสมือนเจ้าถูกฟ้าลิขิตให้มิมีวันได้สัมผัสถึงพลังอำนาจจากการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติไปชั่วชีวิต!!”
เสียงกล่าวประโยคท้ายของตู๋กูเหวินนั้น ช่างเฉยเมยเหลือเกิน เสมือนมันกำลังสนทนากับคนตายอย่างไรอย่างนั้น!
และในขณะที่ตู๋กูเหวินกำลังเร่งเร้าพลังสภาวะเตรียมลงมือปิดฉาก
อีกด้านหนึ่งนั้น ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวที่ต้วนหลิงเทียนควบแน่นพลังสร้างขึ้นมา ก็พึ่งทำลายหอกไม้ไผ่สีมรกตที่เข่นฆ่าสังหารเข้ามาทุกทิศทางจนพินาศหมดสิ้น…
WSSTH ตอนที่ 3,299 : ผสานรวมความลึกซึ้ง
ความลึกซึ้งของกฏใดๆ เมื่อเข้าใจทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะเข้าถึงพลังของกฏๆนั้นได้สูงสุด
อันที่จริงกล่าวไป ผู้ใดก็ตามที่สามารถทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏทุกประการได้ถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ มันก็เสมือน ได้ยืนอยู่ ณ จุดเริ่มต้นของพลังแห่งกฏที่แท้จริงเท่านั้น
ความลึกซึ้งนั้นถึงจะใช้ออกมาพร้อมๆกันทุกประการ แต่ก็เสมือนพลังแต่ละอย่างทำหน้าที่ของตัวเองไปเท่านั้น ยามใช้กับคู่ต่อสู้ จึงไม่ต่างอะไรจากหนึ่งบวกหนึ่งเท่าสองตามปกติ
อย่างไรก็ตามหากสามารถเข้าใจถึงการผสานหลอมรวมความลึกซึ้ง 2 ประการเข้าด้วยกันล่ะก็ พลังอำนาจของมันจะไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองอีกต่อไป แต่อย่างน้อยๆจะเป็นหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสาม!
อย่างเช่นจักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยนตู๋กูเหวิน ตอนที่มันยังไม่บรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ตัวมันก็ยังไม่ได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการ มาเข้าใจครบทุกประการทั้งหมดก็ตอนที่บรรลุด่านพลังจักรพรรดิอมตะได้สักพักแล้ว…
หลังจากนั้น มันจึงเริ่มหันมาศึกษาวิธีผสานหลอมรวมความลึกซึ้ง
และแถบริ้วสีเขียวปานริบบิ้นที่มันสร้างขึ้นตอนนี้ ก็คือการผสานหลอมรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ 3 ประการได้แก่ ความลึกซึ้งเถาวัลย์ ความลึกซึ้งพัวพัน และความลึกซึ้งฟื้นฟูเข้าด้วยกัน!
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
ตอนนี้เองแถบริ้วสีเขียวที่มองอย่างไรก็เสมือนริบบิ้นของตู๋กูเหวิน ก็เริ่มเกาะตัวกันเป็นเถาวัลย์มหึมาเร็วไว พริบตาจากแถบริ้วสีเขียวก็กลายเป็นงูหลามตัวเขื่อง เข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนแล้ว!
“ไอ้หนู ลองรับพลังจากความลึกซึ้ง 3 ผสานของข้าดู!!”
ขณะที่ตู๋กูเหวินลงมือ สองตามันก็มองจ้องต้นไม้เทพสนหลิวมหึมาเบื้องหน้าด้วยความดูแคลนถึงขีดสุด กล่าวเย้ยด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน
แน่นอนว่ามันไม่ได้คุยกับต้นไม้เทพสนหลิว
ต้นไม้เทพสนหลิวเป็นเพียงร่างอวตารกฏเท่านั้น มันกล่าวกับต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในต้นไม้เทพสนหลิวต่างหาก
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
เถาวัลย์ที่ไม่ต่างใดจากงูหลามตัวเขื่องทะลวงอากาศจนแตกระเบิดดังสนั่นไม่ต่างเสียงคำราม! สภาวะพลังของมันแล้วหากไม่ได้เข่นฆ่าศัตรู คงพุ่งทะลวงไปต่อไม่หยุดยั้ง!
อีกทั้งด้วยความมหึมาของเถาวัลย์เส้นนี้ เรียกว่าสามารถปิดฟ้าบังตะวันได้ ส่งผลให้อาณาบริเวณรอบกายต้วนหลิงเทียนเริ่มถูกความมืดเข้าครอบงำทันที!
“ผสานความลึกซึ้ง 3 ประการ?”
ได้ยินคำพูดของตู๋กูเหวิน ทั้งเห็นการลงมือเข่นฆ่าเข้ามา ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ภายในร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวก็ชักสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม
หลายปีก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ครบทุกประการแล้ว เขาก็ได้รับทราบถึงความจริงข้อหนึ่งหลังฝันเห็นผู้แข็แกร่งีท่สุดใช้พลังอำนาจของกฏมิติ…ว่าพลังของกฏใดๆนั้น มิได้จำกัดไว้แค่การเข้าใจความลึกซึ้งครบทุกประการ! แต่ยังมีวิธีการใช้พลังที่เหนือชั้นและทรงอำนาจมากกว่านั้นอีก!!
ต่อมาเขาได้สอบถามวารีเทพชำระโลการวมถึงเหล่าเทพเบญจธาตุอื่นๆดู จึงพบว่าที่แท้พลังอำนาจของกฏนั้นไม่ได้สิ้นสุดแค่เข้าใจความลึกซึ้งทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่ยังมีพลังอำนาจที่เหนือกว่าและหลากหลายอีกมาก
นั่นก็คือการใช้ความลึกซึ้งหลายประการผสมกัน หรือที่เรียกกันว่าการผสานรวมความลึกซึ้ง!
แน่นอนว่าการผสานรวมความลึกซึ้งในที่นี้ ก็คือการผสานรวมความลึกซึ้ง 2 ประการเข้าด้วยกัน หรือจะ 3 ประการเข้าด้วยกัน แม้แต่ 4 ประการก็ทำได้
จุดสูงสุดของการผสานรวมความลึกซึ้งเข้าด้วยกันนั้น ก็คือสามารถผสานรวมความลึกซึ้งทั้ง 8 ประการเข้าด้วยกัน!
ในระนาบเทวโลก ยังไม่มีผู้ใดสามารถทำได้ถึงขนาดนั้น!
และไม่ต้องกล่าวถึงในระนาบเทวโลกด้วยซ้ำ กระทั่งในระนาบเทพทั้งหลาย ยังหาตัวผู้ที่มีแตกฉานสิ่งนี้ได้น้อยนิดนัก และไม่ว่าผู้ใดที่สามารถบรรลุความใจถึงระดับนี้ได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนระดับแนวหน้าของระนาบเทพทั้งสิ้น
และผู้ใดก็ตามที่เข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุด ถึงขั้นสามารถผสานรวมความลึกซึ้งขั้นตอนยิ่งใหญ่ทั้ง 8 ประการเข้าด้วยกันได้สำเร็จ ก็สามารถใช้ความสำเร็จดังกล่าวเพื่อทะลวงถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด!!
‘การผสานหลอมรวมความลึกซึ้ง 2 ประการเข้าด้วยกันยังไม่นับว่ายากอะไร แต่ยิ่งหลายประการมากเข้าก็ยิ่งยากเย็นแล้ว…ในระนาบเทวโลก ผู้ที่สามารถผสานรวมความลึกซึ้งที่เข้าใจถึงขั้นตอนยิ่งใหญ่ได้ถึง 4 ประการ ก็หายากกว่าเขามังกรขนหงส์’
‘อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วจักรพรรดิสวรรค์ของระนาบเทวโลกต่างๆ อย่างน้อยๆก็ต้องเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการเข้าด้วยกันสักชุด…’
‘ด้วยเหตุนี้เหล่าจักรพรรดิสวรรค์ จึงเป็นตัวตนที่โดดเด่นเหนือเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลาย’
‘จักรพรรดิอมตะสมญานามอย่างตู๋กูเหวินที่สามารถเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งได้ถึง 3 ประการ จัดว่าพลังฝีมือของมันเหนือกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วไปมาก’
‘และถ้าหากมันสามารถผสานความลึกซึ้งสองประการเข้าด้วยกันได้อีกสักชุด ขอเพียงด่านพลังของมันบรรลุถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ ให้กวาดตามองทั่วทั้งอู๋หยาเทียนพลังฝีมือของมันก็มากพอจะเบียดขึ้นไปอยู่แถวหน้าได้!’
…
ต้วนหลิงเทียนเองก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดถึงเรื่องนี้ เถาวัลย์มหึมาปานงูหลามตัวเขื่องที่เกิดจากการผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการของตู๋กูเหวิน ก็เข่นฆ่าเข้ามาถึงเบื้องหน้าร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวที่ต้วนหลิงเทียนควบสร้างแล้ว!
“หึ!”
สองตาต้วนหลิงเทียนฉายแววเย็นชา สิ้นคำสบถ เพียงใจคิดกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวก็เริ่มตวัดฟันออกไปปานเต้นระบำอีกครั้ง!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เป็นกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวฟาดกระหน่ำไปยังเถาวัลย์มหึมาปานงูหลามตัวเขื่องของตู๋กูเหวินอย่างดุดัน!!
ตอนแรกก็เห็นว่าเถาวัลย์มหึมานั้นถูกกิ่งสนหลิวฟาดทุบจนแหลก อย่างไรก็ตามเพียงเวลาเศษเสี้ยวพริบตา มันก็ฟื้นสภาพกลับมาดังเดิม กระทั่งยังมัดรวบกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวเอาไว้อีก!
เรียกว่าไม่เพียงแต่กิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวจะไม่อาจฟาดทำลายเถาวัลย์เส้นเขื่องปานงูหลามตัวใหญ่ของตู๋กูเหวินได้แล้ว ยังถูกเถาวัลย์เส้นเขื่องมัดรวบไว้จนไม่อาจกระดิกกระเดี้ยวได้อีก!
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
และในชั่วพริบตานนี้เอง ทั่วร่างตู๋กูเหวินพลันปะทุแถบริ้วสีเขียวออกมาจำนวนมากอีกครั้ง พวกมันยังเกาะตัวก่อเกิดเถาวัลย์อันเขื่องเส้นใหม่ พุ่งเข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอีกรอบ!!
‘นี่น่ะเหรอพลังของการผสานรวมความลึกซึ้ง!?’
‘ทั้งๆที่เป็นแค่การผสานรวมความลึกซึ้งเข้าด้วยกัน 3 ประการเท่านั้น แต่พลังอำนาจของมันยังทรงอานุภาพกว่าตอนตู๋กูเหวินใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ทั้ง 7 พร้อมๆกันก่อนหน้านี้เสียอีก!’
‘ยิ่งไปกว่านั้น นี่สมควรไม่ใช่การลงมือเต็มกำลังของตู๋กูเหวิน…เพราะมันยังเหลือความลึกซึ้งอีก 5 ประการที่ไม่ได้ใช้ออกมา’
‘หากมันใช้ความลึกซึ้งอีก 5 ประการออกมา แม้จะเป็นการใช้ออกมาตรงๆไม่ได้ผสานรวมอะไร แต่ถ้ามันใช้พร้อมๆกับความลึกซึ้ง 3 ประการที่ผสานรวมกัน พลังของมันก็มากพอจะบดขยี้ข้าได้ง่ายๆ!’
สีหน้าต้วนหลิงเทียนขอตอนนี้ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังถึงขีดสุด
ในอดีตเขาเพียงทราบว่าพลังอำนาจของการผสานรวมความลึกซึ้งนั้นร้ายกาจ กระทั่งได้เห็นจักรพรรดิอมตะสมญานามลงมือใช้การผสานรวมความลึกซึ้งมาแล้ว อย่างวันนั้นที่วังเทียนฉือที่จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง ครูเขากับ เหลยอิง จักรพรรดิอมตะไร้ใจร่วมมือกันทุบตีจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ กู้ฉางเจียง!
อย่างไรก็ตามทั้งหมดเพราะเขายืนชมดูอยู่เฉยๆ และการลงมือของทั้งคู่ก็รวดเร็วเกินไปทุกอย่างงจึงจบลงในพริบตา ทำให้เขาไม่อาจตระหนักถึงพลังอำนาจที่แท้จริงของกระบวนท่าทั้งคู่ได้
ตอนนี้พอมาเจอการลงมือผสานรวมความลึกซึ้งของจักรพรรดิอมตะสมานามกับตัว ต้วนหลิงเทียนจึงรู้ซึ้งดีกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามมันร้ายกาจถึงขนาดไหน
ผู้ที่จะผ่านการทดสอบและกลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามได้นั้น ไม่เพียงด่านพลังฝึกปรือและความเข้าใจในกฏจะต้องสูงถึงขั้น แต่ยังต้องเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งเข้าด้วยกัน! จึงมิใช่อะไรที่จักกรพรรดิอมตะทั่วไปจะเทียบได้เลย!
“ไอ้หนู เจ้าที่เป็นเพียงจอมราชันอมตะสมญานามกระจ้อยร่อยคนหนึ่ง แต่กลับบีบให้ข้าจักรพรรดิอมตะ 7ดารา จำต้องงัดความลึกซึ้ง 3 ผสานออกมาใช้ได้ ต่อให้เจ้าตกตายไป ก็สามารถไปคุยโวโอ้อวดในเมืองผีได้แล้ว…”
เสียงเฉยชาของต๋กูเหวินดังขึ้น
แน่นอนว่าถึงน้ำเสียงมันจะเฉยชาคล้ายไร้แยแส แต่ที่จริงในใจแอบตกตะลึงกับพลังของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย…ถึงแม้มันจะเข้าใจว่าพลังของต้วนหลิงเทียนมาจากอุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณก็ตามที
“หลังจากเจ้าตายตกไป ข้าจักให้อุปกรณ์เทพแสนล้ำค่าในมือเจ้าได้เฉิดฉายเปล่งประกายไปทั่วแดนดิน! ให้มันได้สำแดงคุณค่าที่แท้จริงของมันออกมา!!”
ฟังจากคำพูดประโยคนี้ของตู๋กูเหวินเห็นได้ชัดว่าไม่เพียงแต่มันจะเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งคนที่ตายไปแล้ว มันยังถือว่าอุปกรณ์เทพของต้วนหลิงเทียนอยู่ในกระเป๋ามันแล้วด้วย…
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
เถาวัลย์เส้นเขื่องทะลวงฟ้าเข่นฆ่าเข้ามาดุดัน เสียงอากาศแตกระเบิดดังปานงูหลามคลั่งคำราม พาลให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกกดดันนัก!
วู้มมม!!
วู้มมม!!
…
แว่วเสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว เป็นพลังชีวิตที่อยู่ๆก็ปะทุออกมา!
พลังชีวิตมหาศาลได้ถ่ายโอนเข้าสู่ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวเร็วไว ทำให้ต้นไม้เทพสนหลิวเสมือนหวนคืนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง! บังเกิดกิ่งงอกเงยขึ้นมากิ่งแล้วกิ่งเล่า ก่อนจะพุ่งไปตบฟาดต้านทานเถาวัลย์เส้นเขื่องปานงูเหลือมอย่างดุดัน!!
“ให้ข้าชมดู ว่าเจ้าจักเหลือพลังสร้างกิ่งได้อีกสักเท่าไหร่”
พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงดิ้นรนต่อต้านหัวชนฝา ตู๋กูเหวินก็แสยะยิ้มเย็นชา หลังจากเถาวัลย์เส้นเขื่องเส้นใหม่ได้รวบมัดกิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งงอกเงยออกมาใหม่แล้ว แถบริ้วสีเขียวมหาศาลก็พวยพุ่งออกจากร่ามันและควบรวมเป็นงูหลามตัวเขื่อง เข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
ราวกับพลังของมันไร้สิ้นสุด
“เสี่ยวเทียน ตอนนี้ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวเจ้า สามารถสร้างกิ่งได้อีกมากสุด 100 กิ่งเท่านั้น…อย่างไรก็ตาม ข้าเห็นว่ามันมิคิดใช้พลังอื่นใดของกฏแห่งไม้เพิ่มเติมอยู่นาน เห็นชัดว่ามันตั้งใจจะอาศัยความลึกซึ้ง 3 ผสานอย่างเดียวเพื่อฆ่าเจ้า…”
เสียงวารีเทพชำระโลกาดังขึ้นอ่างประจวบเหมาะ “ความจองหองนี้ของมัน นับว่าสร้างโอกาสให้เจ้าแล้ว…”
“หากมันใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้อื่นๆลงมือหมายจบชีวิตเจ้าในคราเดียว แม้ข้าจะคิดว่าสมควรเอาอยู่แต่ก็มิมั่นใจมากนัก…ทว่าความจองหองนี้ของมัน ทำให้ข้ามั่นใจว่าโอกาสสำเร็จคงมีมากกว่าเดิมเกินครึ่ง!”
วารีเทพชำระโลกากล่าว
“และตอนนี้…ทางข้าก็ได้เตรียมการพร้อมแล้ว”
ฟังจากคำพูดของวารีเทพชำระโลกา เห็นได้ชัดว่านางได้เตรียมการบางอย่างเอาไว้แต่แรก และบัดนี้นางก็พร้อมลงมือแล้ว
“เยี่ยม!”
สองตาต้วนหลิงเทียนเป็นประกายขึ้นมาทันที ใบหน้ายังเริ่มกลายยเป็นเย็นชา
“เช่นนั้นพวกเราลงมือเลยเถอะ!”
เพียงห้วงคิดพลังมิติก็ปะทุขึ้นทั่วร่างต้วนหลิงเทียนอย่างรุนแรง จากนั้นเขาก็ใช้ความลึกซึ้งส่งผ่านทันที!
เขาส่งมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ในโลกใบเล็กให้วูบผ่านห้วงมิติไปปรากฏเบื้องหลังตู๋กูเหวิน!!
“กรรรร—!!!”
“กรรรร—!!!”
ด้านตู๋กูเหวินที่กำลังมองจ้องร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวที่ต้วนหลิงเทียนควบสร้างขึ้นมาด้วยสายตาเฉยเมย ในใจลอบวาดหวังไม่น้อย เพราะรู้ดีว่าอีกไม่นานมันจะได้ครอบครองของเทพแล้ว ทว่าพริบตานั้นเอง อยู่ๆก็มีเสียงมังกรคำรามดังขึ้น 2 เสียงด้านหลัง!
อันที่จริง ห้วงเวลาเสี้ยวพริบตาก่อนที่เสียงคำรามของมังกรจะดังขึ้นด้านหลัง ตู๋กูเหวินก็สัมผัสได้ว่าด้านหลังมันมีความเคลื่อนไหวผิดปกติบางอย่าง!
อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่มันจะได้ตอบสนองอะไร เสียงคำรามสนั่นก็ลั่นก้องสะท้านแก้วหูของมันเสียก่อน ถึงมันจะเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม ได้ผ่านประสบการณ์อะไรมามากมาย แต่วินาทีนี้ใจมันยังสั่นไหวเต้นไปไม่เป็นจังหวะโดยไม่รู้ตัว!
วู้มมม!!
เปรี๊ยงงงงง!!!
…
ในขณะที่แถบริ้วสีเขียวทั่วร่างตู๋กูเหวินเริ่มสั่นไหว ราวกับคนกำลังจะเคลื่อนร่างหลบหนีด้วยความเร็วสูง พลังมหาศาล 2 ขุมที่ผสานหลอมรวมเข้าด้วยกันก็ พุ่งซัดเข้าใส่หลังมันด้วยพลังอำนาจอันน่าพรั่นพรึงประหนึ่งลำแสงทำลายล้างโลก!!
แม้ชุดเกราะอมตะจักรพรรดิของมันจะตอบสนองต่ออันตรายและสร้างม่านพลังป้องกันได้ทันท่วงที อนิจจาม่านพลังดังกล่าวก็เสมือนใบไม้แห้งกรอบที่ถูกย่ำเหยียบ…แหลกลงในบัดดล!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น