War sovereign Soaring The Heavens 3287-3299

 WSSTH ตอนที่ 3,287 : เมิ่งห่าวซวน


 


 


แดนลับอันเป็นสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวนั้น กระทั่งวารีเทพชำระโลกาก็ไม่คุ้นเคย รู้แค่ว่าที่นี่คือสถานที่ทดสอบอันถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือของผู้แข็งแกร่งที่สุด และมีด่านย่อยสำหรับทดสอบมากมาย


 


ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นด่านทดสอบใดๆ ล้วนเรียกว่าสถานที่แห่งวาสนาทั้งสิ้น ถึงแม้จะไม่มีรางวัลเป็นรูปธรรม หากทว่าเมื่อผ่านบททดสอบมาได้ ก็จะทำให้เข้าใจในวิถียุทธ์มากขึ้น ระดับพลังฝึกปรือก้าวหน้า ไม่เว้นตระหนักรู้กฏต่างๆ


 


หลังออกจากหุบเขางดงามแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เลือกมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง สำนึกเทวะกำจายออกไปรอบตัวเต็มกำลังเรียกว่าเสมือนปูพรมค้นหา หวังว่าจะพบเจอด่านทดสอบที่วารีเทพชำระโลกาเอ่ยถึง


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


หนึ่งวันผ่านไป


 


สองวันผ่านไป


 



 


จนในที่สุดเมื่อย่างเข้าวันที่ 7 ต้วนหลิงเทียนก็เห็นเงาผู้คน และหลังจากที่เขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายๆก็เหินโร่เข้ามาหาเขาทันที


 


เห็นฉากเรื่องราวดังกล่าว ตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงเร็วไว


 


เพราะเขายังจดจำได้ว่า ในสถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะแห่งนี้ มีเพียงปลิดปลงชีวิตจอมราชันอมตะ 9 คนเท่านั้น จึงจะผ่านการทดสอบรับสมญานาม กลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานาม!


 


ด้วยเหตุนี้เห็นอีกฝ่ายเหินโร่เข้าหา ต้วนหลิงเทียนก็เตรียมพร้อมรับมือทันที


 


และไม่นานนัก ร่างดังกล่าวก็เหินมาหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน


 


ผู้ที่พึ่งเหินมามีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม สวมใส่ชุดคลุมสีน้ำเงินขลิบทอง หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างผอมเพรียว ท่วงท่าลักษณะแลดูไม่ธรรมดาอยู่บ้าง


 


“สหายท่านนี้ ขอท่านอย่าพึ่งเข้าใจข้าผิดไป ข้ามามิได้มาเพราะคิดร้ายต่อท่าน”


 


หลังจากชายหนุ่มมาถึง มันก็จงใจเว้นระยะห่างกับต้วนหลิงเทียนมากพอสมควร ไม่ได้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ “ข้ามาที่นี่เพื่อคิดจะชวนท่านไปยังด่านทดสอบย่อยแห่งหนึ่งที่ข้าบังเอิญพบเจอในสถานที่ทดสอบเท่านั้น”


 


“ด่านทดสอบย่อยที่ว่า จำต้องใช้รวบรวมคนให้ครบ 5 คนถึงจะเปิดให้เข้าไป”


 


ชายหนุ่มกล่าว


 


“ด่านทดสอบ?”


 


ได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ร่างต้วนหลิงเทียนก็สะท้านไปเบาๆ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขากำลังตามหาในสถานที่ทดสอบแห่งนี้หรือไร?


 


ถึงแม้จะไม่มีด่านทดสอบย่อยที่ว่า เขาก็ไม่รังเกียจที่จะบุกไปฆ่าคนถึงประตู!


 


สำหรับเขานั้น การได้สญยานามไม่ได้มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดในสถานที่ทดสอบก็คือด่านทดสอบย่อยต่างหาก! เพราะเขาจำเป็นต้องใช้แรงกดดันแฝงเจตจำนงของผู้แข็งแกร่งที่สุด ในการหลอมกลั่นสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว เพื่อควบสร้างร่างอวตารกฏ!!


 


ถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้นทันตาเห็น


 


3 ปีหลังจากนี้ เขาสามารถใช้ร่างอวตารแห่งกฏที่ว่าในการเข่นฆ่ากับหานอวิ๋นจิ่นให้ตายกันไปข้างบนสังเวียนอัจฉริยะ!


 


“ทำไมข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย”


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกสนใจอย่างมาก แต่ผิวเผินยังคงสงบ ไม่ได้เผยอาการหรือเจตนาอยากติดตามไปเต็มที่ออกมาให้เห็น กล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ผู้ใดจะไปรู้ ข้าตามเจ้าไปจะใช่โดน ‘เชิญท่านลงโอ่ง’ สุดท้ายก็โดนเจ้าหรืออาจมีสหายของเจ้าลอบสังหารหรือไม่…”


 


“สหายท่านนี้ท่านมีความระมัดระวังตัวนับเป็นเรื่องประเสริฐ…อย่างไรก็ตามพวกเรายังต้องตามหาคนอีก 3 คนอยู่ดี เช่นนั้นสหายลองติดตามข้าไปด้วยกันแต่เว้นระยะห่างกันประมาณหนึ่ง เพื่อพิจารณาดูก่อน…ดีหรือไม่?”


 


สำหรับความระวังตัวของต้วนหลิงเทียน ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอะไร เพียงกล่าวออกมาด้วยท่าทางแข็งขัน แลดูจริงใจเป็นอย่างมาก


 


“ลองดูก็ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็เริ่มเดินทางไปพร้อมชายหนุ่ม แน่นอนว่าระหว่างเดินทางทั้งคู่ก็เว้นระยยะห่างกันมากพอสมควร และต้วนหลิงเทียนก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มตลอดเวลา


 


ถึงแม้เขาจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง


 


อย่างไรก็ตามในสถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะสมญานามแห่งนี้ เขาไม่รู้ว่ามีอาคมสอดแนมอะไรอยู่รึเปล่า หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่คิดเปิดเผยพลังของเทพเบญจธาตุออกมา


 


เพราะหากมียอดฝีมือของวิหารเฟิงฮ่าวสอดแนมชมดูเรื่องราวในสถานที่ทดสอบจริง เมื่อเทพเบญจธาตุถูกเปิดเผย ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะล่อลวงให้ยอดฝีมือของวิหารเฟิงฮ่าวเคลื่อนไหว


 


สุดท้ายแล้วความเย้ายวนใจของเทพเบญจธาตุต่อตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะมันก็มากมายมหาศาลเหลือเกิน


 


สำหรับชายหนุ่มผู้นี้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าพลังฝีมืออีกฝ่ายที่แท้สูงต่ำแค่ไหน แต่ดูจากท่วงท่าสภาวะการเดินเหิน ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินได้ว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายไม่ใช่ชั่ว!


 


“สหาย ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไรเหรอ?”


 


หลังเดินทางตามหาคนอยู่ 2 วัน ชายหนุ่มก็หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “พวกเรากล่าวไปก็รู้จักกันมา 2 วันแล้ว แต่ข้ายังไม่รู้ชื่อสหายเลย”


 


“ส่วนข้าเรียกว่าเมิ่งห่าวซวน เป็นศิษย์อัจฉริยะของ ‘ขุนเขากระบี่ฟ้า’ ขุมกำลังระดับสวรรค์ในจี้เมี่ยเทียน”


 


ชายหนุ่มแนะนำตัวเองออกมาก่อน


 


จี้เมี่ยเทียน?


 


ขุมกำลังระดับสวรรค์ ขุนเขากระบี่ฟ้า?


 


หากชายหนุ่มแนะนำว่าตัวเองมาจากขุมกำลังระดับสวรรค์ของระนาบเทวโลกอื่นๆ ต้วนหลิงเทียนก็คงจะไม่ได้สนใจอะไรมันเท่าไหร่…


 


แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับบอกว่ามาจากขุมกำลังระดับสวรรค์อย่าง ขุนเขากระบี่ฟ้า แห่งจี้เมี่ยเทียน!?


 


หากเขาจำไม่ผิด…บิดาแท้ๆของฮ่วนเอ๋อก็ไม่ใช่ศิษย์ของขุนเขากระบี่ฟ้าหรือไร? ยังถูกขุนเขากระบี่ฟ้าตัดสัมพันธ์และส่งไปให้วังเทียนฉือด้วยตัวเอง!


 


กล่าวไปต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้โทษขุนเขากระบี่ฟ้าแม้แต่น้อย กระทั่งยังเข้าใจด้วย ว่าทั้งหมดเป็นเพราะพวกมันหวาดกลัวจักรพรรดิสวรรค์ของอู๋หยาเทียนที่อยู่เบื้องหลังวังเทียนฉือ!


 


“วังเทียนฉือ ต้วนหลิงเทียน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกไปเสียงเบา


 


“วังเทียนฉือ!?”


 


ได้ยินคำแนะนำตัวของต้วนหลิงเทียน ลูกตาเมิ่งห่าวซวนก็หดหยีลงโดยพลัน เร่งถามย้ำออกมาว่า “วังเทียนฉือ ขุมกำลังระดับสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน?”


 


“ก่อนหน้านี้ขุนเขากระบี่ฟ้าของท่านส่งคนผู้หนึ่งมายังวังเทียนฉือของข้า…แล้วท่านว่าวังเทียนฉือที่ข้าพูดใช่วังเทียนฉือที่ท่านคิดรึเปล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองจองตาเมิ่งห่าวซวนเขม็ง จี้ถามออกไปตรงๆ


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน เมิ่งห่าวซวนก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆออกมา “ดูท่าสหายต้วนจะเป็นคนของวังเทียนฉือแห่งอู๋หยาเทียนจริงๆ”


 


“มิผิด…ขุนเขากระบี่ฟ้าของพวกเราส่งคนไปยังวังเทียนฉือของท่านจริงๆ…ที่สำคัญผู้ที่ถูกส่งตัวไปยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสายข้าอีกด้วย”


 


เมิ่งห่าวซวนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ใบหน้าเริ่มฉาบไว้ด้วยชั้นน้ำแข็งเย็นๆหนึ่ง กล่าวออกมาด้วยความเคียดแค้นว่า “ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าพวกเฒ่าชราทั้งหลายคิดอะไรอยู่ในหัวกันแน่…ก็แค่ล้มเลิกการหมั้นหมายกับวังเทียนฉือไม่ใช่รึไง? ไม่ทราบไฉนต้องขับศิษย์พี่ใหญ่ออกไปแถมยังจับตัวส่งไปให้วังเทียนฉือท่านลงโทษด้วย!”


 


“ไฉนท่านถึงยืนอยู่ข้างศิษย์พี่ใหญ่ของท่านเล่า ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของท่านเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นหมายก่อนมิใช่หรือไร?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองจ้องเมิ่งห่าวซวน กกล่าวถามออกไปด้วยความสนใจ


 


“ก็นะ เรื่องมันเป็นแบบนั้นจริงๆ วังเทียนฉือไม่ได้ทำอะไรผิด…หากจะโทษ ก็ได้แต่โทษขุนเขากระบี่ฟ้าของข้าที่กลัวจักรรรดิสวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังวังเทียนฉือของท่านจนหงอ!”


 


เมิ่งฮ่าวซวนส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “ถึงแม้วังเทียนฉือจะมีสายสัมพันธ์กับจักรพรรดิสวรรค์ของอู๋หยาเทียนแล้วเป็นอย่างไร…หรือจักรพรรดิสวรรค์ของอู๋หยาเทียนจะบุกมาขุนเขากระบี่ฟ้าด้วยตัวเองเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ด้วย?”


 


“อีกทั้งต่อให้บุกมาถึงหน้าประตูขุนเขากระบี่ฟ้าจริงๆ คิดหรือว่าจักกรพรรดิสวรรค์แห่งงจี้เมี่ยเทียนของพวกเราจะนิ่ดูดาย?”


 


กล่าวถึงงจุดนี้ เมิ่งห่าวซวนก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจถึงขีดสุด กล่าวด้วยน้ำเสียงเทิดทูนว่า “จักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนเรา ก็มิใช่ว่าจะด้อยไปกว่าจักรพรรดิสวรรค์ของอู๋หยาเทียน!”


 


“จักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนที่สหายเมิ่งกล่าวถึง ใช้จักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนคนเก่า? ที่หลังกลับจากนรกอสุราก็ฆ่าจักรพรรดิสวรรค์ที่มาดำรงตำแหน่งตอนไม่อยู่ ทวงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์กลับคืนมาได้สำเร็จใช่หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนอาจไม่รู้จักจักรพรรดิสวรรค์ของระนาบเทวโลกอื่นมากนัก แต่จักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนนั้นเขารู้จักดี เพราะนั่นคืออดีตบรรพชนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ในระนาบเซียน


 


ในระนาบเซียนนั้น เขาบังเอิญพบผาน้ำตกแห่งหนึ่งที่สลักอักษร ‘กระบี่’ เอาไว้ และนั่นทำให้เขาได้รับถ่ายทอดเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบ่สูงสุด ยอดใจกระบี่ มาครอง และอาศัยมันทำให้เส้นทางสู่สวรรค์ของเขาราบรื่น จนเมื่อขึ้นมายังระนาบเทวโลกแล้ว เขาก็ค่อยๆละเลยยอดใจกระบี่ไป เพราะพลังอำนาจมันอ่อนด้อยเกินไปแล้ว


 


ทั้งหมดเพราะเขาไม่ได้รับสืบทอดมรดกใดอื่นจากบรรพชนผู้นั้นอีกแล้ว


 


“ไม่ผิด”


 


เมิ่งห่าวซวนพยักหน้า ขณะกล่าวถึงจักรพรรดิสวรรค์ที่พึ่งฆ่าจักรพรรดิสวรรค์รักษาการณ์ ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเลื่อมไสศรัทธา “จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนของพวกเรา ยังคงเป็นใต้เท้าฟงชิงหยางไม่แปรเปลี่ยน!”


 


ฟงชิงหยาง!


 


ได้ยินนามนี้ แววตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายคิดถึงออกมา


 


“ไม่ทราบว่าสมญานามของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนท่านคืออะไรหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยยสงสัย


 


“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ใช้สมญานามที่แท้จริงว่าอะไรกันแน่ เพราะข้าเองก็ไม่เคยได้ยินใครเรียกหาท่านด้วยสมญานามมาก่อน จึงไม่ทราบว่าที่แท้ท่านมีหรือไม่มีสมญานามกันแน่”


 


เมิ่งห่าวซวนส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “แต่ข้าเคยได้ยินคนบอกมาว่า ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ชอบเรียกหาตัวเองว่า หมอกพิรุณรำลึก”


 


“หมอกพิรุณรำลึก?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงเร็วไว ยังอดสะท้านใจไปไม่ได้ เพราะดูเหมือนเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง ถึงแม้จะกลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยลืม 7 ทวาราเที่ยงแท้ในระนาบเซียนแม้แต่น้อย!


 


หาไม่แล้วไฉนถึงเรียกตัวเองว่า หมอกพิรุณรำลึก?


 


เห็นได้ชัดว่า หมอกพิรุณ ในคำ หมอกพิรุณรำลึก ก็คือชื่อของผู้เที่ยงแท้ลำดับที่ 1 แห่ง 7 ทวาราเที่ยงแท้


 


‘ดูเหมือนวันหน้าถ้ามีโอกาส…ต้องไปเยือนจี้เมี่ยเทียนสักครา ไปพบเจอผู้อาวุโสฟงชิงหยางสักครั้งและขอบคุณท่าน’


 


ต้วนหลิงเทียนเป็นคนกตัญญูรู้คุณเสมอมา จึงหวังว่าวันหนึ่งจะได้ไปเยือนจี้เมี่ยเทียนและได้พบกับฟงชิงหยางสักครั้ง จะได้ขอบคุณอีกฝ่ายเรื่องยอดใจกระบี่


 


ขณะเดียวกันก็ต้องขอโทษอีกฝ่ายครั้งใหญ่ด้วย


 


‘บางทีผู้อาวุโสฟงชิงหยางก็คงไม่เคยคิดฝัน ว่าวันหนึ่งผู้ที่ได้รับมรดกที่ท่านเหลือทิ้งไว้ในระนาบโลกียะอันต้อยต่ำ จะชักนำเภทภัยใหญ่หลวงมาถึงตัวท่านได้…โชคดีนักที่อาวุโสรอดกลับออกมาจากนรกอสุราได้สำเร็จ ไม่งั้นใจข้าคงไม่อาจปล่อยวางเรื่องนี้ได้ไปชั่วชีวิต’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดในใจเสมอ เมื่อคิดว่าเป็นเพราะเขาคนเดียว ถึงทำให้อาวุโสฟงชิงหยางต้องเสี่ยงเข้าสู่นรกอสุราที่เต็มไปด้วยภยันตราย 9 ตาย 1 รอด…


 


“สหายท่าน ดูเหมือนจะสนใจใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนเราเป็นพิเศษ? หรือสหายท่านก็เป็นมือกระบี่ด้วย?”


 


เมิ่งห่าวซวนถามด้วยรอยยิ้มสดใส


 


ระนาบจี้เมี่ยเทียนนั้น เรียกว่าแดนสวรรค์ของผู้ฝึกกระบี่ก็ว่าได้ เพราะกว่า 9 ส่วนของเซียนอมตะในจี้เมี่ยเทียน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เดินในมรรคากระบี่ทั้งสิ้น และจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง ก็ถูกขนานนามว่าเซียนกระบี่ไร้เทียมทานอีกด้วย!


 


ในสายตาของคนจี้เมี่ยเทียนแล้ว ไม่มีเซียนกระบี่คนใดในเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลก สามารถทัดเทียมกับฟงชิงหยางได้!


 


เรียกว่าพวกมันบูชากันถึงขั้นหน้ามืดตามัว!


 


ตอนแรกเมื่อได้รับข่าวว่าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมันถูกบีบให้ต้องเข้าสู่นรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามแสนอันตรายของระนาบเทวโลก ถึงจะมีหลายคนคิดว่าคนต้องตายไปแล้วแน่ๆ แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าจักรพรรดิสวรรค์ต้องรอดกลับมาได้แน่นอน!


 


และจักรพรดริสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนคนนี้ก็ไม่ทรยศความเชื่อของผู้ศรัทธา ยามหวนกลับมา ก็สามารถเข่นฆ่าจักรพรรดิสวรรค์ที่ฉวยโอกาส ทวงตำแหน่งจักรพรดิสวรรค์คืนกลับได้ง่ายดาย!


 


“เมื่อก่อนก็พอจะพูดว่าใช่ได้อยู่หรอก…แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนยส่ายหัวไปมา


 


ตอนแรกนั้น เพราะอาศัยยอดใจกระบี่ เขาจึงฝ่าฝันเรื่องราวในระนาบโลกียะได้อย่างราบรื่น กระทั่งช่วงขึ้นมายังระนาบเทวโลกใหม่ๆ ยอดใจกระบี่ก็ช่วยเขาไว้ได้ไม่น้อย แต่ยิ่งนานวันยอดใจกระบี่ที่ได้รับสืบทอดจากอาวุโสฟงชิงหยางก็ยิ่งถูกทิ้งไว้ด้านหลัง…


 


“สหายท่านนี้ จักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนของพวกเราน่ะ เป็นดั่งตำนานที่ยังมีลมหายใจเลยล่ะ…”


 


จากนั้นเมิ่งห่าวซวนก็เริ่มกล่าวถึงจักรพรรดิสวรรค์ของตัวเองออกมาด้วยความภาคภูมิใจ น้ำเสียงบ่งบอกว่าเทิดทูนไว้เหนือสิ่งใดอื่น จากนั้นต้วนหลิงเทียนจึงได้รับทราบวีรกรรมน่าชื่นชมที่ฟงชิงหยางสร้างไว้ในจี้เมี่ยเทียนมากมาย


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็สนใจเรื่องราวเหล่านี้ไม่น้อย จึงฟังเมิ่งห่าวซวนเล่าอย่างอดทน


WSSTH ตอนที่ 3,288 : เผ่ามังกรโลหิต จี้เฉวียน!


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนตั้งหน้าตั้งตาฟังเรื่องราวของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนที่ตนเล่า เมิ่งห่าวซวนจึงรู้สึกดีกับต้วนหลิงเทียนมากขึ้น


 


หลังจากนั้นพอได้พูดคุยกันไปสักพัก ก็เริ่มสนิทกันมากกว่าเดิม


 


“น้องชายหลิงเทียน ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าที่ถูกขังไว้ในคุกหมื่นพันธนาการของวังเทียนฉือท่าน…มิทราบว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว ท่านพอจะทราบสถานการณ์ในปัจจุบันของศิษย์พี่ใหญ่ข้าหรือไม่?”


 


บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกว่าสนิทกับต้วนหลิงเทียนในระดับหนึ่งแล้ว เมิ่งห่าวซวนอยู่ๆก็เปลี่ยนเรื่อง และถามถึงเรื่องละเอียดอ่อนดังกล่าวออกมาตรงๆ


 


“คุกหมื่นพันธนาการ?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหรี่งทันที เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินเรื่องคุกหมื่นพันธนาการของวังเทียนฉือ แม้เขาจะอยู่ในวังเทียนฉือแล้ว กระทั่งลองไปตรวจสอบที่ทาง และหลอกถามศิษย์คนอื่นเพื่อหาเบาะแสสถานที่ๆบิดามารดาฮ่วนเอ๋อถูกจับขังไว้ทั้งเดือน แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย


 


เขากับฮ่วนเอ๋อก็ไม่กล้าถามศิษย์ที่มีสถานะสูงๆด้วย


 


คนฐานะต่ำก็ไม่รู้อะไรเลย


 


ต้วนหลิงเทียนก็คิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว เขาจึงวางแผนว่า รอให้อยู่ในด่านของฉือหล่างอีกสักพัก จากนั้นค่อยเลียบๆเคียงๆถามฉือหล่างดูทีเดียว เพราะฉือหล่างในฐานะที่เป็นถึง 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ ต้องรู้แน่ว่าบิดามารดาฮ่วนเอ๋อถูกขังไว้ที่ไหน


 


เดิมทีเขาเองก็คิดว่าต้องรอสืบจากฉือหล่าง จึงจะรู้ว่าสถานที่ๆบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อถูกขังไว้เป็นที่ไหน แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้มารู้ชื่อสถานที่ๆบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อถูกขุมขังจากศิษย์ของขุนเขากระบี่ฟ้า ในสถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะสมญานามซะได้!


 


“พี่เมิ่ง ท่านแน่ใจหรือว่าศิษย์พี่ใหญ่ของท่านถูกขังไว้ในคุกหมื่นพันธนาการ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม สองตาที่มองเมิ่งห่าวซวนยังทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง


 


“เรื่องนี้เป็นอาจารย์ของข้าบอกมา…”


 


เมิ่งห่าวซวนกล่าว “อาจารย์ของข้าก็คือจักรพรรดิอมตะกระบี่ซ่อน ที่รู้จักกันดีในนาม ‘ผู้เฒ่ากระบี่ซ่อน’ ของขุนเขากระบี่ฟ้า…ที่จริงกล่าวไปแล้วอาจารย์ของข้ากับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ก็เสมือนเส้นทางพาดทับกันมาครั้งหนึ่ง”


 


ขณะกล่าวเรื่องนี้ออกมา สีหน้าเมิ่งห่าวซวนก็เต็มไปด้วยความภูมิใจ


 


“โอ้?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองเมิ่งห่าวซวนด้วยความสนใจ “เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”


 


ในสายตาเขา ลองเมิ่งห่าวซวนบอกมาว่าอาจารย์ของมีจุดตัดกับอาวุโสฟงชิงหยางแบบนี้ หมายความว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้จักและมีไมตรีต่อกันบางอย่าง


 


“ในอดีตตอนที่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ยังไม่ได้เป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ท่านได้เดินทางท่องไปทั่วสารทิศ ท้าประลองกับมือกระบี่ที่ร้ายกาจมากมาย…อาจารย์ของข้าก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกท้า และแพ้พ่ายต่อใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์”


 


เมิ่งห่าวซวนกล่าว


 


พออีกฝ่ายกล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปพักหนึ่ง และถามแทรกขึ้นมาทันที “พี่เมิง…ท่านคงไม่ได้จะบอกว่า เส้นทางพาดทับของท่าน…คือการพ่ายแพ้จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางเฉยๆ ไม่ใช่เพราะรู้จักกันอะไรแบบนั้นหรอกนะ?”


 


“ก็ได้พบเจอประลองกันแล้วแพ้พ่าย ไม่ใช่ว่าก็เสมือนเส้นทางได้พาดผ่านกันแล้วรึ?”


 


เมิ่งห่าวซวนกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง


 


หากเช่นนี้ถือว่าเส้นทางพาดผ่าน แล้วเขาล่ะเรียกว่าอะไร? เพราะเขาเป็นผู้ที่เคยได้รับสืบทอดมรดกยอดใจกระบี่ที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ในบ้านเกิดเชียวนา?


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนก็ร่วมเดินทางตระเวนหาคนอยู่อีก 2 วันกว่าจะพบเจอบุคคลที่ 3


 


บุคคลที่ 3 ที่ว่าเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ มาในชุดคลุมสีเทา คิ้วหน้าตาโต ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายดุร้ายดิบเถื่อน ไม่คล้ายผู้คน


 


“คนผู้นี้มิใช่มนุษย์”


 


เมิ่งห่าวซวนส่งเสียงผ่านพลังไปคุยกับต้วนหลิงเทียน ขณะพากันเหินร่างเข้าไปหาชายหนุ่มร่างสูงใหญ่


 


“ข้าว่างั้น”


 


ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เข้าใกล้อีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้แต่แรกว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างอีกฝ่ายมันดุร้ายและแข็งกร้าวอย่างเป็นธรรมชาติเกินไป ประหนึ่งสัตว์ป่าที่กระหายเลือดตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น นี่ไม่ใช่อะไรที่มนุษย์จะมีได้แน่นอน


 


“หืม?”


 


เมื่อเห็นพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 2 เหินร่างเข้าใส่ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่เผยเจตนาหลบหนีแม้แต่นิดเดียว เพียงหยุดร่างลงกลางหาว รอให้ทั้งคู่เข้าใกล้อย่างสงบ


 


“หึ!!”


 


และก่อนที่พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 2 จะทันได้เข้าใกล้ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แลดูล่ำสัน ก็พ่นลมสบถเยียบเย็นคำหนึ่ง จากนั้นก็ลงมือออกมาทันที!


 


แขนขวาที่เต็มไปด้วยกล้ามของมัน อยู่ๆก็สะบัดโบกออกมาฉับไว หลังจากนั้นก็ปรากฏกลิ่นอายเย็นยะเยือกแผ่พุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวน ทิ้งอากาศที่จับตัวแข็งเป็นไอขมุกขมัวเอาไว้ตามรายทาง!


 


“กฏน้ำแข็งรึ?”


 


เมื่อเห็นว่ามีไอเย็นยะเยือกแผ่พุ่งโถมมาดั่งคลื่นสมุทร! ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลง จากนั้นร่างก็อันตรธานหายวับไป ไม่ได้แยแสไอเย็นที่โถมมาแม้แต่น้อย!!


 


ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!


 



 


ด้านเมิ่งห่าวซวนนั้น ทั่วร่างปรากฏรังสีกระบี่สีทองอันแผ่กลิ่นอายแหลมคมหลายสายม้วนวนโคจรรอบกายปานเส้นแสง! สับสะบั้นทุกสิ่งอย่างที่กร้ำกรายได้อย่างง่ายดาย ไอเย็นที่แผ่พุ่งเข้ามาไม่อาจทำอะไรรังสีกระบี่สีทองได้เลย!!


 


“เจ้าไม่เบาเลยนี่!”


 


ชายหนุ่มร่างใหญ่มองจ้องไปยังเมิ่งห่าวซวนด้วยความสนใจ เพราะอีกฝ่ายลุยฝ่าม่านไอเย็นของมันเข้ามาโต้งๆ!


 


สำหรับด้านต้วนหลิงเทียนนั้น เพราะใช้เคลื่อนมิติหลีกหลบ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จึงไม่อาจมองพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนได้ออก จึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก


 


ทว่าการลงมือของเมิ่งห่าวซวนนั้นตรงไปตรงมา ทำให้มันรับทราบความสูงต่ำของอีกฝ่ายได้ประมาณหนึ่ง


 


“สหายท่านนี้ใจเย็นก่อน พวกเรามิได้มีเจตนาร้าย”


 


ในขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังจะลงมืออีกครั้ง เมิ่งห่าวซวนก็เร่งกล่าวออกมาเร็วไว “พวกเราเข้ามาหาท่าน เพียงเพราะคิดชวนท่านเข้าสู่ด่านทดสอบย่อยแห่งหนึ่งในสถานที่ทดสอบแห่งนี้”


 


“อ้อ?”


 


ได้ยินคำพูดของเมิ่งห่าวซวน ชายร่างสูงใหญ่บึกบึนที่กำลังจะออกกระบวนท่าอีกครั้ง ก็หยุดมือลง ทว่าสายตายังจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนไม่วางตา พลังยังคงโคจรพร้อมพรั่ง สภาวะต่อสู้ไม่คลาย สามารถลงมือได้ทุกเวลา


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนไม่แปลกใจอะไร กระทั่งยังเข้าใจความระวังตัวของอีกฝ่าย เลือกที่จะหยุดร่างห่างไกลจากอีกฝ่ายประมาณหนึ่ง จากนั้นก็เผยท่าทีสงบไร้จิตต่อสู้


 


“ข้ามาจาก ขุนเขากระบี่ฟ้า ขุมกำลังระดับสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียน เมิ่งห่าวซวน”


 


เมิ่งห่าวซวนที่หยุดมองชายหนุ่มร่างใหญ่ด้วยท่าทางไม่มีพิษมีภัยกล่าวแนะนำชื่อตัวเองรวมถึงความเป็นมาด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัยก่อน ค่อยผายมือไปทางต้วนหลิงเทียนและกล่าวแนะนำออกมา “ส่วนสหายที่มากับข้าด้านนี้คือต้วนหลิงเทียนจากวังเทียนฉือของอู๋หยาเทียน”


 


“ข้ากับสหายต้วน พวกเราก็พึ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน…ด่านทดสอบที่ว่าเป็นข้าพบเจอโดยบังเอิญ สหายต้วนก็คือคนแรกที่ข้าพบเจอและชักชวนมาได้”


 


เมิ่งห่าวซวนกล่าว


 


“ว่านโช่วเทียน เผ่ามังกรโลหิต จี้เฉวียน!”


 


ชายหนุ่มร่างใหญ่กล่าวออกมาเสียงห้วน แนะนำชื่อและความเป็นมาอย่างกระชับได้ใจความ


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนจึงยืนยันได้ว่า อีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์จริงๆ


 


ว่านโช่วเทียนนั้นเป็นระนาบเทวโลกที่เหล่าสัตว์อมตะทั้งหลายปกครอง และแทบไม่มีมนุษย์สามารถอาศัยอยู่ได้เลย เรียกว่าเป็นสถานที่ๆมนุษย์อยู่ยากมาก!


 


“ที่แท้เป็นสหายจี้จากเผ่ามังกรโลหิตอันโด่งดังของว่านโช่วเทียนนี่เอง…ว่าแต่สหายจี้สนใจด่านทดสอบที่ข้าพูดถึงเมื่อครู่หรือไม่?”


 


เมิ่งห่าวซวนยิ้มถาม


 


“ใช่”


 


จี้เฉวียนพยักหน้ารับเบาๆ


 


ด้วยประการฉะนี้กลุ่มของต้วนหลิงเทียน ก็เลยมีสมาชิกทั้งสิ้น 3 คนแล้ว


 


“เอาล่ะ พวกเราไปตามหาคนต่อเถอะ อีกแค่ 2 คนพวกเราก็จะได้เข้าไปยังสถานที่ทดสอบนั่นแล้ว”


 


เมิ่งห่าวซวนกล่าว


 


ทั้ง 3 ร่วมเดินทางไปด้วยกัน  แน่นอนว่ายังคงเว้นระยะห่างกันประมาณหนึ่ง


 


“เผ่ามังกรโลหิต?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกสนใจจึงส่งเสียงผ่านพลังไปถามเมิ่งห่าวซวน “ข้ารู้แค่ว่าในว่านโช่วเทียนมีเผ่าพันธุ์มังกรดำรงอยู่ และจัดเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ด้วย…แล้วเผ่ามังกรโลหิตนี่มีความเป็นมาอย่างไรบ้างหรือ?”


 


“น้องหลิงเทียน เผ่ามังกรโลหิตนี้ ท่านจะเข้าใจว่ามันเป็นเผ่าย่อยที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระจากเผ่ามังกรก็ได้…อย่างไรก็ตามแม้จะเป็แค่เผ่าย่อยที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระ แต่ก็มีจักรพรรดิอมตะสมญานามถึง 5 คน และพลังฝีมือก็ไม่ใช่เล่นๆเลย”


 


เมิ่งห่าวซวนก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับฉับไว “เป็นธรรมดาว่าถึงแม้จะเป็นเผ่าพันธุ์ย่อยที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระของเผ่าพันธุ์มังกร แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ามังกรโลหิตกับเผ่ามังกรก็ค่อนข้างระหองระแหงมาก”


 


“เห็นว่าเผ่ามังกรของว่านโช่วเทียน ไม่ยอมรับว่าเผ่ามังกรโลหิตเป็นหนึ่งในสายพันธุ์มังกรของพวกมัน”


 


หลังได้ยินคำพูดดังกล่าวของเมิ่งห่าวซวน ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง


 


ทั้ง 3 เหินร่างตระเวนไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก


 


หลังจากผ่านไปอีก 5 วัน ในที่สุดก็พบเจออีก 2 คน และทั้งคู่ก็ไม่ได้มาจากขุมกำลังระดับสวรรค์แต่อย่างใด หนึ่งในนั้นมาจากขุมกำลังระดับหนึ่ง ส่วนอีกคนเป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัด


 


“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้พวกเราก็มีครบ 5 คนแล้ว…เช่นนั้นพวกเราเดินทางไปยังสถานที่ตั้งด่านทดสอบย่อยกันเลยเถอะ”


 


เมิ่งห่าวซวนหันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆด้วยรอยยิ้ม  หลังรวบรวมคนได้ครบ 5 คนตามกำหนด


 


ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร


 


และตอนนี้ 5 คนก็เหินร่างรวมกลุ่มกันไม่ได้เว้นระยะห่างแต่อย่างใด เพราะทั้ง 5 ได้ตกลงร่วมกันแล้วว่าจะไปยังด่านทดสอบย่อย หากมีใครอุตริเปิดฉากลงมือ ไม่พ้นได้ตกเป็นเป้าสังหารของอีก 4 คนที่เหลือทันทีแน่!


 


“อยู่นั่นไง”


 


ภายใต้การนำทางของเมิ่งห่าวซวน ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ได้พุ่งดิ่งลงทะเลสาบบแห่งหนึ่ง จากนั้นดำลงน้ำไปไม่ทัรไร ก็พบว่าก้นทะเลสาบจุดหนึ่ง มีประตูมหึมาที่แลดูเก่าแก่โบราณ 5 บานลอยเหนือก้นทะเลสาบเล็กน้อย


 


“ประตูทั้ง 5 บานต้องใช้คนทั้ง 5 เปิดออกพร้อมกัน…ข้าเคยใช้ความเร็วสูงสุด จนเสมือนมีเงาเปิดประตูทั้ง 5 บานพร้อมๆกัน แต่กลับไม่อาจเปิดมันได้”


 


เมิ่งห่าวซวนกล่าว “มีแต่ต้องเป็นคนจริงๆเท่านั้นถึงจะเปิดประตูได้ เพราะหลังไปยืนหน้าบานประตู…มันจะมีพลังสายหนึ่งแผ่ออกมาตรวจสอบผู้ที่จะเปิดประตู”


 


ในขณะที่ห่าวซวนควบเสียงผ่านพลังส่งตรงถึงหูทั้ง 4 คน มันก็ไม่อยู่เฉย เลือกจะเหินร่างไปหยุดลอยใกล้ๆประตูบานหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่น ก็ไม่ได้ยืนเฉยเลือกจะลอบไปอยู่เบื้องหน้าประตูอีก 4 บานคละประตูเช่นกัน


 


และไม่ทันที่ทั้ง 5 จะแตะประตูอะไร เพียงแค่ลอยหน้าประตู น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ก็เริ่มสั่นไหว ปานกำลังจะเดือดพล่าน!


 


หากมีใครอยู่ด้านบนทะเลสาบ ไม่พ้นต้องตกใจแน่เพราะทะเลสาบแต่เดิมที่เคยยสงบ ตอนนี้เสมือนมันถูกต้มจนเดือดแล้วจริงๆ!


 


ประตูทั้ง 5 บานที่อยู่ก้นทะเลสาบก็เริ่มเปิดออกทีละบาน จากนั้นก็มีพลังขุมหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากประตูแต่ละบาน และปกคลุมร่างคนทั้ง 5 หน้าประตูเร็วไว!


 


พริบตาต่อมาร่างคนทั้ง 5 หน้าประตูก็อันตรธานหายไปทันที!


 


“หืม?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่พบว่าเบื้องหน้ากลายเป็นมืดมิดไปครู่หนึ่ง พอเห็นแสงสว่างอีกครั้ง เขาก็มองสำรวจไปรอบๆทันที จึงพบว่าตัวเองถูกส่งมายังพื้นที่ปิดสนิทแห่งหนึ่ง คล้ายห้องเล็กๆทรงสี่เหลี่ยมจัดตุรัส และไม่ทันไรเขาก็พบว่ามีแรงกดดันมหาศาลกำลังกดทับเข้าร่าง! ประหนึ่งสายน้ำเชี่ยวโถมถันเข้าร่างเขาจากทุกทิศทาง!!


 


เขาลองใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานพลังมิติเพื่อต้านทานรับมือแล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร แรงกดดันพลังมหาศาลดังกล่าวมันบดขยี้พลังของเขาได้อย่างง่ายดายนัก!


 


“ที่นี่นับว่าเหมาะยิ่งนักที่เจ้าจะใช้หลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิว!”


 


ตอนนี้เองเสียงของวารีเทพชำระโลกาพลันดังขึ้นเข้าหู ทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันที


 


“แล้วจะหลอมมันอย่างไรหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนถาม


 


“เจ้านั่งขัดสมาธิลงไปก่อน จากนั้นข้าจะชักนำสารัตถะที่พฤกษาเทพดูดกลืนมาจากต้นไม้เทพสนหลิวและผสานมันเข้ากับร่างกายของเจ้า…จากนั้นเจ้าก็ทำตามวิธีที่ข้าจะบอกเพื่อหลอมเกลาสารัตถะที่ว่าให้เป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์”


 


วารีเทพชำรโลกากล่าว


 


“ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบ ไม่รอช้าทิ้งตัวลงนั่งจุ้มปุ๊กบนพื้นห้องทันที


 


หลงจากนั้นทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏแสงพลังสีขาวห่อหุ้มเอาไว้โดยยสมบูรณ์


 


แรงกดดันอันน่ากลัวโดยรอบก็กระหน่ำเคี่ยวกรำเข้ามาไม่หยุด


 


ทุกวินาทีที่แรงกดดันด้านนอกโถมกระหน่ำเข้ามา แสงสีขาวที่ว่าก็เสมือนถูกบีบอัดให้ผสานเข้าไปในร่างต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็ทะลักออกมาใหม่ก่อนจะถูกบีบอัดหายเข้าร่างไปอีกครั้ง…ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นรอบแล้วรอบเล่าอย่างไม่รู้จบ


 


‘ที่แท้สารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวที่พฤกษาเทพกำเนิดชีพ ก็หลอมได้ด้วยวิธีนี้…น่าทึ่งจริงๆ’


 


‘รู้สึกเหมือนร่างกายข้ากำลังบังเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง…’


 


ขณะที่หลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวถูกหลอมให้ผสานเข้าสู่ร่างกาย ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มอยู่บ้าง


WSSTH ตอนที่ 3,289 : สมคบคิด


 


 


“พี่สาวสุ่ย ว่าแต่ที่นี่มันเป็นบททดสอบอะไรหรือ?”


 


ในขณะที่อาศัยแรงกดดันพลังจากด่านทดสอบหลอมสารัตถะขอต้นไม้เทพสนหลิว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามวารีเทพชำระโลกาออกมาด้วยความอยากรู้


 


เพราะเขาพึ่งจะเข้ามาที่นี่ได้ไม่ทันไร ก็พบเจอกับแรงกดดันพลังที่โถมถันเข้ามาเสียแล้ว แถมยิ่งมาดูเหมือนแรงกดดันนี่ยังจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆอีก


 


อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้แรงกดดันที่ว่า ยังไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับเขาเลย


 


“ที่นี่น่ะรึ? น่าจะเป็นการหาทางหนีออกไปจากที่นี่ภายใต้แรงกดดันเท่านั้นล่ะ”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว “แต่เจ้าที่ต้องใช้แรงกดดันในการหลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิว ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนออกไปจากที่แต่อย่างไร”


 


“ตอนที่เจ้ารู้สึกว่าทนรับแรงกดดันที่นี่ไม่ไหวอีกต่อไป เจ้าอาจจะยังหลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิวไม่เสร็จ ถึงตอนนั้นค่อยหลบหนีออกไปก็ยังไม่สาย”


 


คำพูดของวารีเทพชำระโลกา ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง


 


เขาไม่อาจอยู่ที่นี่ได้ตลอดทั้งปี และเขาอาจจะทนรับแรงกดดันที่นี่ได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง จำต้องออกไปหาสถานที่ทำนองนี้เพื่อหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวต่อให้เสร็จ


 


‘ข้าคิดง่ายเกินไป…นึกว่าจะอาศัยแรงกดดันที่นี่หลอมสารัตถะเต้นไม้เทพสนหลิวได้แล้วเสร็จในเวลา 1 ปีเสียอีก ที่แท้ดูเหมือนจะหลอมได้แค่บางส่วนก็ต้องหนีออกไป และหาสถานที่ทดสอบแบบนี้ใหม่’


 


ในขณะที่ลอบกล่าวอย่างทอดถอนในใจ ต้วนหลิงเทียนก็หลอมเกลาทั้งดูดซับพลังที่แผ่ออกมาจากโลกใบเล็กไม่หยุด


 


และนั่นก็คือสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว


 


ระหว่างหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าสารัตถะที่ผ่านการหลอมเกลาแล้วมันเริ่มผสานหลอมรวมไปกับร่างกายเขาอย่างแยกไม่ออก


 


และกลิ่นอายพลังของมันก็ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมสำหรับเขาเลย เรียกว่ามันเป็นกลิ่นอายพลังชีวิตของฝานฉีที่เขาฆ่าตายไปก่อนหน้านี้


 


ฝานฉี ก็คือต้นไม้เทพสนหลิวที่ถูกเขาใช้พลังของพฤกษาเทพกำเนิดชีพดูดกลืนสารัตถะมานั่นเอง อีกฝ่ายเป็นต้นไม้เทพสนหลิวที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ ยังเป็นถึงศิษย์อัจฉริยะที่ร้ายกาจคนหนึ่งของวังเทียนฉือ…


 


“ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวหรือ…ช่างน่ารอดูชมจริงๆ”


 


จนถึงตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่เข้าใจว่าร่างอวตารกฏมันคืออะไรกันแน่ เพราะวารีเทพชำระโลกาก็ยังไม่ได้อธิบายให้เขาฟังมากมาย เพียงบอกว่าหลังเขาหลอมสารัตถะแล้วเสร็จ พอควบรวมพลังสร้างร่างอวตารกฏได้เขาก็จะเข้าใจเอง..


 


ดังนั้นเขาจึงบังเกิดความตั้งหน้าตั้งตารอดูชมร่างอวตารกฏที่ว่าพอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาต้องหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวให้เป็นส่วนหนึ่งของเขาเสียก่อน


 


“พี่สาวสุ่ย ว่าแต่ในเมื่อข้าสร้างร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวได้ เช่นนั้นข้าสามารถสร้างร่างอวตารกฏของพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามวารีเทพชำระโลกาด้วยความสงสัย


 


เรื่องนี้อยู่ๆเขาก็นึกขึ้นมาได้


 


เพราะสุดท้ายพฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ยอมรับเขาเป็นนายแล้ว ทั้งยังปักหลักอยู่ในโลกใบเล็กของเขาเรียบร้อย จึงไม่รู้ว่าจะสามารถหลอมมันเพื่อสร้างร่างอวตารกฏได้ด้วยรึเปล่า


 


“หากเจ้าคิดจะสร้างร่างอวตารกฏของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ อันดับแรกเจ้าต้องหลอมสารัตถะของพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่อยู่ในโลกใบเล็กของเจ้าเสียก่อน…เรื่องนี้พูดง่ายกว่าทำ! เพราะต่อให้เป็นตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็ยากจะกระทำได้ สิ่งนี้เสมือนฝ่าฝืนกฏบางอย่างท่ามกลางสวรรค์และโลก”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าวตอบออกมาเร็วไว “ดังนั้นเจ้าเลิกคิดถึงเรื่องนี้เสียจะดีกว่า…”


 


“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจ้าสามารถหลอมสร้างร่างอวตารกฏของพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้สำเร็จ แต่เจ้าจะกล้าใช้มันสุ่มสี่สุ่มห้าหรือ?”


 


“ต้องทราบด้วยว่าปกติแล้วพฤกษาเทพกำเนิดชีพทั้งต้นนั้น เป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะมีได้…ด้วยมีตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุดสะกด ผู้ใดจะกล้าช่วงชิงง่ายๆ? แต่หากเจ้าใช้ร่างอวตารกฏของพฤกษาเทพกำเนิดชีพออกมา สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรเจ้าเขียนประกาศแปะไว้กลางหน้าผากว่าเจ้ามีพฤกษาเทพกำเนิดชีพ…”


 


กล่าวถึงจุดนี้น้ำเสีงของวารีเทพชำระโลก็จริงจังไม่น้อย “เชื่อข้าเถอะ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเมื่อไหร่ ตัวตนระดับเทพทั้งมวลไม่เว้นเหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดบางส่วน ต้องรีบวิ่งโร่มาหาเจ้าแน่! และหากพวกมันไม่หลอมเจ้าทั้งเป็นหรือฆ่าเจ้าเพื่อสกัดสารัตถะของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ก็อาจจะกลืนกินเจ้าโดยตรงเพื่อดูดซับพลัง…กล่าวไปขอแค่พวกมันกัดเจ้าได้สักคำ จะแขนจะขาเจ้าสักข้างก็ดี ล้วนมีค่ามากกว่ากิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพแล้ว…”


 


วารีเทพชำระโลกาหยุดเล็กน้อย ค่อยยกล่าวอธิบายว่า “เนื่องเพราะพฤกษาเทพกำเนิดชีพมันแตกต่างจากต้นไม้อมตะและต้นไม้เทพอื่นๆ…ต้นไม้อมตะกับต้นไม้เทพอื่นๆนั้น หากเจ้าหลอมสารัตถะของมันเป็นส่วนหนึ่งของพลังเจ้าแล้ว ต่อให้คนอื่นฆ่าเจ้าไปก็ไม่อาจช่วงชิงไปจากเจ้าได้ เพราะมีโอกาสสูงมากที่สารัตถะดังกล่าวจะสลายหายไปทั้งหมดหลังเจ้าตาย…”


 


“อย่างไรก็ตามพฤกษาเทพกำเนิดชีพมีพลังชีวิตมหาศาลขนาดไหนกัน? ต่อให้เจ้าตายไปแต่มันก็มีโอกาสสูงที่จะยังอยู่…”


 


หลังได้ยินคำพูดของวารีเทพชำระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็เงียบไปทันที…


 


ขณะเดียวกันเขาก็ไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป


 


ล้อกันเล่นรึไง!


 


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาคงไม่มีทางหลอมสารัตถะของพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้สำเร็จ ต่อให้ทำได้จริงเขาก็ไม่คิดจะทำแน่…เพราะหลังจากที่ฟังวารีเทพชำระโลกาแล้ว หากเขาหลอมสารัตถะของพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้ ไม่ใช่เขาจะกลายเป็น ‘พระถังซัมจั๋ง’ ในไซอิ๋ว ที่ใครๆก็อยากเฉือนเนื้อไปหม่ำสักชั่ง ดื่มเลือดสักชามก็ยังดีหรือไร?


 


‘ไม่รู้อีก 4 คนที่เหลือจะเป็นไงกันบ้าง’


 


ในขณะที่หลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่โถมเข้าร่างเขาทุกอณูชัดเจน


 


เขารู้ว่าป่านนี้ไม่พ้นอีก 4 คนที่เหลือรวมถึงเมิ่งห่าวซวนต้องกำลังหาทางออกจากพื้นที่ปิดทำนองนี้เป็นแน่


 


เพราะหากไม่อาจหาหนทางออกไปได้ทัน สุดท้ายก็ต้องถึงจุดที่ไม่อาจทานทนแรงกดดันได้ไหว ถูกแรงกดดันพลังโดยรอบป่นปี้จนแหลกเป็นซากเนื้อเลอะเลือนกองอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล…


 



 


ณ อู๋หยาเทียน


 


วังเทียนฉือ


 


“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น…”


 


ณ เขตที่อยู่อาศัยของของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ หานอวิ๋นจิ่นที่ออกจากการปิดด่านเพระถูกเรียก พอเดินออกไปนอกลานที่พักบ่มเพาะ ก็พบเจอร่างเหนือความคาดหมายหนึ่งรออยู่


 


“เหลยจวิ้น?”


 


เห็นร่างผู้มาเยือนคนนี้ หานอวิ๋นจิ่นอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วย่นเป็นปม


 


ผู้มาเยือนที่ว่า สำหรับมันก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไร เพราะอีกฝ่ายก็คือนายน้อยของตำหนักลองกระบี่ เหลยจวิ้น ศิษย์ลำดับที่ 2  รวมถึงลูกชายคนเดียวของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงจ้าวตำหนักลองกระบี่!


 


อยู่ๆเหลยจวิ้นมาเคาะประตูบ้านมันแบบนี้ มันอดงุนงงไปไม่ได้…ด้วยมันไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับเหลยจวิ้น แม้แต่สหายก็ไม่ใช่


 


กระทั่งศิษย์น้องหญิง 3 ของเหลยจวิ้นยังเป็นสตรีข้างกายต้วนหลิงเทียน คนที่จะต้องสู้กับมันให้ตายไปข้างในอีก 3 ปีหลังจากนี้ที่สังเวียนอัจฉริยะ


 


กล่าวไปในระดับหนึ่ง เหลยจวิ้นสมควรเป็นศัตรูของมันมากกว่า


 


“ศิษย์น้องเหลย มิทราบลมอันใดหอบเจ้ามาถึงบ้านข้าได้?”


 


หานอวิ๋นจิ่นมองเหลยจวิ้นด้วยสายตเฉยชา กล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์


 


“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น นี่ท่านคงมิได้มองว่าข้า เหลยจวิ้น ผู้นี้เป็นศัตรูอยู่หรอกนะ?”


 


เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มบางๆ


 


“หึ!”


 


หานอวิ๋นจิ่นพ่นลมสบถออกมาเสียงเย็น “ศิษย์น้องหญิง 3 ของเจ้าเป็นคนรักต้วนหลิงเทียนที่เป็นศัตรูของข้า…เจ้าในฐานะศิษย์พี่รองของนาง หรือจะบอกว่าไม่ใช่ศัตรูของข้า?”


 


“หรือเจ้าเหลยจวิ้นจะกล่าวอ้างว่า มิรู้ว่าข้า หานอวิ๋นจิ่น กำลังจักขึ้นประลองเป็นตายบนสังเวียนอัจฉริยะในรูปแบบไม่ตายไม่เลิกรากับต้วนหลิงเทียนในอีก 3 ปีหลังจากนี้?”


 


กล่าวถึงท้ายประโยคหานอวิ๋นจิ่นก็มองจ้องเหลยจวิ้นด้วยสายตาเยียบเย็น


 


“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น ที่ข้ามาหาท่านถึงที่นี่ ทั้งหมดก็เพราะการประลองเป็นตายของท่านกับต้วนหลิงเทียนในอีก 3 ปีให้หลัง…”


 


เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มบางๆ


 


และในขณะที่สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นเริ่มมืดดำค้ำลง เหลยจวิ้นก็รีบกล่าวสืบต่อว่า “ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น การต่อสู้ในอีก 3 ปีให้หลัง กระทั่งตัวท่านเองก็คงไม่ได้มั่นใจว่าจะชนะแน่กระมัง?”


 


กล่าวถึงจุดนี้ เหลยจวิ้นก็หยีตาเพ่งมองสบตาหานอวิ๋นจิ่นเขม็ง ราวกับจะมองทะลุถึงจิตใจหานอวิ๋นจิ่นได้


 


“เหลวไหล!”


 


หานอวิ๋นจิ่นแค่นคำเย้ยเยาะ “ข้า หานอวิ๋นจิ่น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือ…หรือยังต้องกลัวเด็กน้อยขนอุยอายุไม่ถึง 300 ปีคนหนึ่ง?”


 


“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น กับข้า ท่านไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้หรอก…”


 


เหลยจวิ้นส่ายหัวไปมา “หากข้าเป็นท่าน ข้าเองก็ไม่กล้าพูดออกมาเต็มปากเหมือนกันว่ามั่นใจ นี่ก็เป็นปกติของผู้คน”


 


“เพราะสุดท้ายแล้วในเมื่อเจ้านั่นมันกล้าท้าประลองเป็นตายกับท่านในอีก 3 ปีให้หลังบนสังเวียนอัจฉริยะ ไม่ว่าจะทีเล่นทีจริงอะไรก็แล้วแต่…มันนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ”


 


“นอกจากนั้น จากที่ข้าติดตามดูต้วนหลิงเทียนผู้นี้มาแต่แรก ไม่แน่ว่าที่มันกระทำเช่นนี้เพียงเพื่อจะขู่ท่านอย่างเดียว…ดังนั้นท่านเองก็มีความเสี่ยงไม่ใช่น้อยๆ”


 


“ถึงข้าจะไม่รู้ว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนนั่นมันมีไพ่ตายอะไรซุกซ่อนไว้? หรือกลับกันต่อให้ข้าจะมั่นใจว่าสามารถฆ่ามันบนสังเวียนอัจฉริยะในอีก 3 ปีได้แน่ๆ…”


 


“ทว่าข้าก็ไม่คิดจะไม่ป้องกัน…กระทั่งข้ายังจะพยายามขจัดความเสี่ยงทั้งหมด!”


 


เหลยจวิ้นกล่าวถึงจุดนี้ ก็กล่าวคำแฝงความนัยออกมา “หากข้าเดาไม่ผิด…วันนั้นที่ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่นตอบรับคำท้าประลองกับต้วนหลิงเทียนไป ก็คงไม่ต่างอะไรจากไล่เป็ดขึ้นคอน…”


 


เมื่อเห็นหานอวิ๋นจิ่นชักหน้าเคร่งคล้ายกำลังจะปฏิเสธออกมา เหลยจวิ้นก็รีบกล่าวต่อว่า “ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น ท่านอย่าได้ยืนกรานปฏิเสธเลย…ท่านวางใจเถอะ ที่ข้ามาที่นี่ทั้งหมดเพื่อช่วยท่านโดยเฉพาะ”


 


“มาช่วยข้าโดยเฉพาะ?”


 


หานอวิ๋นจิ่นขมวดคิ้ว ดวงตาฉายแววประหลาดใจให้เห็น “ที่เจ้าพูดหมายความว่าอะไร?”


 


“ข้ามาที่นี่ ทั้งหมดมีเรื่องเดียว…ร่วมมือกับท่านกำจัดต้วนหลิงเทียน!”


 


เหลยจวิ้นกล่าวออกมาตรงๆ จากนั้นในแววตาก็ฉายประกายเยียบเย็นวาบหนึ่ง สิ่งนี้บ่งบอกชัดว่าวาจาของมันหาได้แปลกปลอมไม่!


 


“โฮ่?”


 


ได้ยินคำพูดของเหลยจวิ้น หานอวิ๋นจิ่นก็บังเกิดความสนใจขึ้นมาทันที “ไฉนเจ้าถึงต้องการกำจัดต้วนหลิงเทียนด้วยเล่า? เท่าที่ข้ารู้เจ้านั่นมันก็พึ่งเข้าร่วมวังเทียนฉือได้ไม่นาน ทั้งเป็นชายคนรักของศิษย์น้องหญิง 3 ของเจ้า…มิทราบมันไปทำให้เจ้าเหลยจวิ้นขุ่นขึ้งตรงที่ใด ถึงขั้นทำให้เจ้าคิดจะกำจัดมันทิ้งไปได้?”


 


“มันไม่ได้ทำให้ข้าขุ่นขึ้งหมองเคืองตรงที่ใด…เหตุผลเดียวที่ข้าอยากกำจัดมันให้พ้นทาง เพราะข้าอยากได้ศิษย์น้อง 3 มาเป็นสตรีของข้า!”


 


ขณะกล่าวแววตาของเหลยจวิ้นก็เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย เผยเจตนาอยากครอบครองชัดเจน!


 


หานอวิ๋นจิ่นมองตาเหลยจวิ้นพักหนึ่ง ก็สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่า แววตาดังกล่าวของเหลยจวิ้นไม่มีทางปลอมแปลง…เพราะดวงตาเป็นดั่งหน้าต่างของหัวใจ ยากจะโกหกได้!


 


“จะว่าไปพอกล่าวถึงศิษย์น้องหญิง 3 ของเจ้า…ถึงแม้นางจะมีผ้าปิดหน้าอยู่ แต่ข้าก็บอกได้ทันทีว่านางเป็นโฉมงามไร้คู่เปรียบนางหนึ่ง…หากได้ร่วมรักกับนางสักคืนค่ำคงหฤหรรษ์ยิ่งนัก!”


 


หานอวิ๋นจิ่นคลี่ยิ้มแสยะกล่าวออกด้วยแววตาสามานย์ “นอกจากนั้นเพียงดูก็รู้ว่านางยังเป็นสตรีพรมจรรย์…ยากจักจินตนาการได้ออกจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ทั้งๆที่มีโฉมงามปาบบุปผาข้างกายแต่ไฉนยังทนอยู่ได้?”


 


“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น ขอท่านระวังปากสักหน่อย!”


 


แทบจะทันทีที่หานอวิ๋นจิ่นกล่าวจบคำ เหลยจวิ้นก็มองมันด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยออกเสียงต่ำ “ข้ามาหาท่านด้วยความจริงใจ…หากท่านเป็นเช่นนี้ ก็อย่าได้โทษข้าที่หันหลังจากไป”


 


ตอนนี้เหลยจวิ้นได้ยึดถือศิษย์น้องหญิง 3 ฮ่วนเอ๋อเป็นดั่งสิ่งต้องห้ามของมัน พอได้ยินหานอวิ๋นจิ่นกล่าวแทะโลมฮ่วนเอ๋อต่อหน้า มันย่อมไม่ทน


 


“ฮ่าๆๆ…ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น”


 


หานอวิ๋นจิ่นหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ในขณะเดียวกันมันก็ยืนยันได้ว่าเหลยจวิ้นหลงฮ่วนเอ๋อหัวปักหัวปำจริงๆ “ประเสริฐนัก…เมื่อก่อนนับว่าข้าไม่รู้จักเหลยจวิ้นเจ้าจริงๆ…มิคาดว่าเจ้าเหลยจวิ้นจักมีวันตกหลุมรักศิษย์น้องของตัวเองได้”


 


กล่าวถึงจุดนี้หานอวิ๋นจิ่นก็ยิงคำถามเปลี่ยนเรื่องออกมาทันที “แล้วพวกเราจะร่วมมือกันกำจัดต้วนหลิงเทียนอย่างไร”


 


“มิอยากมือเปื้อน จึงต้องให้ผู้อื่นลงมือ”


 


เหลยจวิ้นกล่าว


 


“ยังจะมีผู้ใดกล้าลงมือเล่า?”


 


หานอวิ๋นจิ่นกล่าว “นอกจากนั้นสารเลวน้อยนั่นก็มีจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีคุ้มกะลาหัว…คิดฆ่ามันไหนเลยเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานามลงมือเอง ยังไม่แน่ว่าจะทำได้ด้วยซ้ำ…”


 


“อาศัยจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่งคิดฆ่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย…แต่หากเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม 2 คนเล่า?”


 


เหลยจวิ้นมองลึกลงไปในแววตาหานอวิ๋นจิ่น พลางถาม


 


“2 จักรพรรดิอมตะสมญานาม?”


 


ได้ยยินคำพูดของเหลยจวิ้น หานอวิ๋นจิ่นก็อึ้งไปก่อนใดอื่น จากนั้นลูกตามันก็หดเล็กลง สีหน้าฉายชัดถึงความตกตะลึง “เหลยจวิ้น…นี่เจ้าคงมิใช่ว่า…จะจ้างวานให้สองคนนั่นลงมือกระมัง?”


 


ในแดนอู๋หยาแห่งนี้ มีมือสังหารลือชื่อ 2 คน ที่ไม่ได้อยู่ในองค์กรมือสังหารใดๆ


 


อย่างไรก็ตามทั้งคู่ได้ชื่อว่าเป็นคู่มือสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของอู๋หยาเทียน ตราบใดที่ตอบรับภารกิจ ยังไม่เคยล้มเหลว!


 


มือสังหารคู่นี้ ไม่ว่าใครคนใหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม!


 


แน่นอนว่าหากคิดจะจ้างตัวตนระดับนี้ลงมือ ราคาที่ต้องจ่ายก็มหาศาลนัก!


WSSTH ตอนที่ 3,290 : เจ้าก็ลองดู


 


 


“ดูเหมือนท่านจะเดาได้แล้ว”


 


เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหานอวิ๋นจิ่น เหลยจวิ้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายสมควรเดาได้ออก “มิผิด ข้าคิดจะจ้างวานมือสังหารคู่นั้นให้ลงมือ”


 


“อย่างไรก็ตามท่านสมควรรู้ว่าราคาจ้างวานให้ทั้งคู่ลงมือมันสูงขนาดไหน…เช่นนั้นข้าจึงมาหาท่านเพื่อให้ช่วยข้าจ่ายค่าจ้างคนละครึ่ง”


 


เหลยจวิ้นเผยเจตนาออกมา


 


ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อจ้างวานจักรพรรดิอมตะสมญานาม 2 คนให้ลงมือสังหารผู้คนมันมากจริงๆ ไม่งั้นมันคงจ่ายค่าจ้างวานฆ่าต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเองคนเดียวไปแล้ว


 


“หึ!”


 


หานอวิ๋นจิ่นพ่นลมสบถเสียงเย็น “ในเมื่อเจ้าคิดจ้างคนฆ่าต้วนหลิงเทียน ก็เป็นเรื่องของเจ้า…ไฉนข้าต้องไปหารแบ่งค่าใช้จ่ายจ้างมือสังหารกับเจ้าคนละครึ่งด้วย?”


 


“ในเมื่อท่านไม่สนใจ เช่นนั้นข้าก็ขอตัวลา”


 


เหลยจวิ้นหันหลังกลับ จากนั้นก็เอ่ยออกมาเสียงเบา “สุดท้าย คนที่จะขึ้นสังเวียนอัจฉริยะเพื่อประลองเป็นตายกับต้วนหลิงเทียนในอีก 3 ปีหลังจากนี้ก็ไม่ใช่ข้า”


 


“ช้าก่อน!”


 


แต่ในขณะที่ร่างเหลยจวิ้นพึ่งจะลอยห่างพื้นได้ไม่ทันไร สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นก็เปลี่ยนไปทันที เร่งพูดหยุดเหลยจวิ้นเอาไว้


 


ก็ใช่ การประลองเป็นตายในอีก 3 ปีให้หลัง มันไม่กล้าพูดออกมาเต็มปากว่ามันมั่นใจเต็มสิบส่วนที่จะชนะ…


 


นั่นเพราะต้วนหลิงเทียนแปลกประหลาดเกินไป!


 


ไม่ว่าจะการประลองกับหลิวเจี้ยนก็ดี การประลองกับฝานฉีศิษย์น้อง 4 ของมันก็ดี ตอนแรกมีผู้ใดคิดบ้างว่าต้วนหลิงเทียนจะชนะ?


 


แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็ออกมาเป็นต้วนหลิงเทียนชนะ! ยังเอาชนะได้อย่างหมดจด!!


 


แล้วยังมีผู้ใดสามารถรับประกันได้อีกบ้าง ว่าในการประลองเป็นตายระหว่างมันกับต้วนหลิงเทียนที่จะอุบัติขึ้นในอีก 3 ปีหลังจากนี้ ต้วนหลิงเทียนจะไม่สืบสานตำนานอภินิหารต่อไป?


 


หากมันเลือกได้ มันก็ไม่คิดเอาตัวเองไปเสี่ยงให้เป็นหินรองเท้าของต้วนหลิงเทียน!


 


“อะไร? ท่านเปลี่ยนใจแล้ว?”


 


เหลยจวิ้นที่ร่างลอยจากพื้นได้ไม่ทันไร ค่อยๆหันหลังกลับมา มองถามหานอวิ๋นจิ่นด้วยสายตาลึกซึ้ง “ท่านสมควรไตร่ตรองให้ดี…สุดท้ายราคาจ้างวานทั้งคู่ก็มิใช่น้อยๆ แม้จะแค่ครึ่งเดียวแต่ก็ไม่ใช่เล็กน้อยสำหรับท่าน”


 


“เหอะๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยากให้ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นตกตายให้พ้นทางจริงๆ ถึงขั้นต้องจ้างวางทั้ง 2 คนนั่นมาลงมือ?”


 


หานอวิ๋นจิ่นไม่ตอบ เพียงย้อนถามออกไปเสียงขรึม “เพื่อสตรีนางหนึ่ง มันคุ้มกันแล้วหรือ?”


 


เหลยจวิ้นที่ได้ยินคำถามดังกล่าว ก็เอ่ยออกเสียงเรียบว่า “ขอแค่มันตายให้พ้นๆ ต่อให้ต้องจ่ายมากเพียงใด ก็คุ้มค่า”


 


พรสวรรค์และความเข้าใจของต้วนหลิงเทียน ได้สร้างแรงกดดันอันใหญ่หลวง ทำให้มันรู้สึกถึงอันตราย…!


 


อายุไม่ถึง 300 ปี แต่กลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือจะไม่สูง แต่พลังต่อสู้นั้นน่ากลัวไม่ใช่ชั่วทีเดียว


 


และไม่ต้องพูดถึงเรื่องรอให้ต้วนหลิงเทียนเติบโตมากไปกว่านี้เลย เอาแค่ต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน หากมันไม่หลอกตัวเอง มันก็ไม่กล้าพูดว่าจะเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้แน่ๆ!


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็กล้าที่จะท้าประลองเป็นตายกับหานอวิ๋นจิ่นโดยมีกำหนดเวลาแค่ 3 ปีหลังจากนี้เท่านั้น…


 


ต่อให้เป็นมัน อย่าว่าแต่ 3 ปี ให้มีเวลาอีก 10 ปีมันก็ไม่กล้าท้าประลองเป็นตายกับหานอวิ๋นจิ่น!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้ดีแก่ใจ ถ้ามันไม่รีบฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ได้โดยเร็วที่สุด มันจะไม่มีโอกาสฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ชั่วชีวิต


 


และถึงตอนนั้นมันก็ทำได้แค่ยืนมองศิษย์น้องหญิง 3 ตกไปเป็นสตรีของต้วนหลิงเทียนโดยที่มันไม่มีปัญญาทำอะไรได้เลย…


 


นั่นไม่ใช่สิ่งที่มันอยากจะเห็น!


 


“ถึงแม้พวกเราจะร่วมมือกันจ่ายค้าจ้างวานฆ่าไหว…สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการหาวิธีติดต่อกับทั้งคู่ให้ได้ก่อน และยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาสำคัญ เกิดเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันไม่ออกนอกวังเทียนฉือ…แล้วทั้งคู่จะมีโอกาสฆ่ามันได้อย่างไร?”


 


หานอวิ๋นจวิ่นกล่าวถึงปัญหาและเรื่องสำคัญออกมารวดเดียวจบ น้ำเสียงยังเป็นกังวลไม่น้อย  และฟังจากวาจานี้ของมัน ก็เห็นได้ชัดว่ามันตกลงร่วมทุนจ้างวานมือสังหารทั้ง 2 ให้ฆ่าต้วนหลิงเทียนแล้ว


 


วังเทียนฉือจะอย่างไรก็เป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ ไม่ใช่สถานที่ๆใครคิดจะเข้ามา ก็เข้ามาได้ง่ายๆ


 


ต่อให้จะเป็นมือสังหารอย่าง 2 จักรพรรดิอมตะสมญานามนั่น แต่ถ้าคิดจะบุกมาเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนคาวังเทียนฉือ ก็น่ากลัวจะตกตายกลายเป็นผีระหว่างทาง โดยที่ไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของต้วนหลิงเทียน…


 


ดังนั้น ถ้าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ออกไปไหน กระทั่ง 2 มือสังหารจักรพรรดิอมตะสมญานาม ก็ไม่มีทางทำอะไรต้วนหลิงเทียนได้


 


“ข้าย่อมตำนึงถึงเรื่องพวกนี้มาแล้วธรรมดา”


 


เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มบางๆ “หากเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น มันยังอยู่วังเทียนฉือ ข้าคงไม่มาหาท่านเพื่อหารือเรื่องนี้”


 


“แต่เท่าที่ข้ารู้มา ตอนนี้เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น มันได้ออกเดินทางไปวิหารเฟิงฮ่าวกับสือหล่าง ท่าทางมันคิดจะไปรับสมญานาม”


 


กล่าวถึงจุดนี้ สองตาเหลยยจวิ้นก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “ขอแค่ 2 มือสังหารจักรพรรดิอมตะสมญานามนั่น ซุ่มรอพวกมันขณะเดินทางกลับ…หนึ่งในนั้นถ่วงรั้งฉือหล่าง อีก 1 ลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นยังต้องกังวลอะไรอีก?”


 


“เจ้านั่น…มันไปวิหารเฟิงฮ่าว?”


 


หานอวิ๋นจิ่นตกตะลึงไปแล้วจริงๆ ด้วยไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มอายุไม่ถึง 300 ปีที่มีกำหนดประลองเป็นตายกับมันในอีก 3 ปีหลังจากนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่ตั้งหน้าตั้งตาปิดด่านบ่มเพาะเพื่อเพิ่มพูนพลัง…แต่ยังออกเดินทางไปวิหารเฟิงฮ่าว?


 


“เหลยจวิ้น แล้วเจ้ามีวิธีติดต่ออาวุโสทั้ง 2 แล้วหรือไม่?”


 


พอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้อยู่ในวังเทียนฉือ ทั้งยังไปเที่ยวเล่นที่วิหารเฟิงฮ่าว ราวกับเรื่องประลองกับมันเป็นแค่เรื่องไร้สำคัญ หานอวิ๋นจิ่นก็เร่งกล่าวถามออกมาอย่างไร้ความลังเลใดๆ!


 


“ตั้งแต่ที่ข้ามาหารือกับท่านเรื่องนี้ ข้าย่อมมีลู่ทางแน่นอนอยู่แล้ว”


 


เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มเฉยเมย “บอกท่านตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ที่ข้ามาหาท่าน เพราะคิดให้ท่านช่วยหารค่าจ้างกับข้าคนละครึ่งเท่านั้น และทันทีที่ท่านเห็นด้วย ข้าจะติดต่อไปหาอาวุโสทั้ง 2 ให้ดักฆ่าต้วนหลิงเทียนระหว่างเดินทางกลับทันที!”


 


“ประเสริฐ!”


 


หานอวิ๋นจิ่นเห็นด้วยเร็วไว แม้ราคาที่ต้องจ่ายจะทำให้มันปวดกระดูก แต่พอนึกถึงการประลองเป็นตายที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า มันก็กัดฟันจ่ายทันที!


 



 


ถึงแม้ระนาบเทวโลกแต่ละแห่งจะมีสาขาของวิหารเฟิงฮ่าวตั้งอยู่ แต่ทว่ายามผู้คนเข้าไปทดสอบรับสมญานามนั้น จะจอมราชันอมตะก็ดีจักรพรรดิอมตะก็ดี ล้วนไร้แบ่งแยก!


 


สถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว เป็นแดนลับที่เชื่อมต่อทุกระนาบเทวโลกเอาไว้ด้วยกัน กล่าวได้ว่าทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลกล้วนมีทางเข้าออกแดนลับทั้งหมด ไม่ว่าจะเข้าจากวิหารเฟิงฮ่าวสาขาใด ก็จะไปโผล่ในแดนลับเดียวกัน…สถานที่ทดสอบ!


 


“ถึงขีดจำกัดแล้ว…”


 


หลังผ่านไป 1 เดือน ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจทนรับแรงกดดันในด่านทดสอบที่โถมกระหน่ำเข้าใส่ทุกอณูของร่างกายได้ไหว จึงทำได้แค่พักการหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวไว้แต่เพียงเท่านี้


 


ตูมมมม!!


 


หลังจากหยุดหลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า รวมรั้งพลังขุมหนึ่ง ก่อนจะจู่โจมทำลายไปยังผนังห้องปิดตายด้านหนึ่งทันที!


 


พลังมิติอันเกรี้ยวกราดถ่ายทอดลงสู่กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่ผุดจากความว่างเข้ามือ ก่อนจะปลดปล่อยลำแสงกระบี่ทำลายล้างสีรุ้งปนเทาหนึ่ง ทำลายผนังห้องปิดตายที่นั่งมาตลอดเดือนจนพังพินาศ…


 


หลังจากที่ผนังห้องพังทลายลง ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าสองตาต้วนหลิงเทียนก็มืดลงอีกครั้ง


 


พอเห็นแสงสว่างอีกครา เขาก็พบว่าตัวเองได้มาปรากฏตัวบนสถานที่ๆคล้ายแท่นบูชาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และบนแท่นบูชาก็มีผู้คน 4 คนยืนรอเขาอยู่ก่อน


 


“หึ! ในที่สุดเจ้าก็โผล่หัวออกมาได้เสียที!!”


 


จี้เสวียนจากเผ่ามังกรโลหิตกวาดตาเย็นชามองจ้องไปยังร่างต้วนหลิงเทียนที่พึ่งปรากฏตัว เอ่ยออกเสียงเบา “ดูเหมือนเจ้าจะเป็นแค่ศิษย์กระจอกๆของวังเทียนฉือ มิใช่ศิษย์อัจฉริยะอันใด”


 


“ด้วยพลังอ่อนด้อยเพียงเท่านี้ของเจ้า กลับเสล่อเข้ามาทดสอบรับสมญานามในวิหารเฟิงฮ่าว…ช่างวอนหาที่ตายโดยแท้!”


 


“ตอนแรกหากมิใช่เพราะติดข้อตกลงที่ต้องร่วมมือกัน ข้าคงฆ่าเจ้าตายคามือไปแล้ว!”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวออกมาเป็นคนสุดท้าย จี้เฉวียนจึงคิดว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนนั้นอ่อนด้อยมาก หาไม่แล้วไฉนถึงได้ใช้เวลานานนักกว่าจะโผล่ออกมาได้?


 


ด้านต้วนหลิงเทียนที่พึ่งออกมา พอได้ยินวาจาดังกล่าวของจี้เฉวียน เขาก็หันไปเหลืบอมองมันด้วยสายตาเฉยเมยกล่าวคำอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เจ้าก็ลองดู”


 


ดูจากท่าทางหยิ่งผยองลำพองของจี้เฉวียน ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะไม่รู้ว่าในหัวมันคิดอะไรอยู่?


 


“ให้ข้าลอง? ข้ากลัวว่าเจ้าจักทนมือทนตีนข้าไม่ไหว ตกตายไปเปล่าๆ!”


 


จี้เฉวียนกล่าวเย้ยหยันด้วยรอยยิ้มแสยะ “ที่สำคัญอย่างไรตอนนี้ก็ได้เข้ามาในด่านทดสอบแล้ว จำนวนคนก็มิจำเป็นต้องเป็น 5 อีกต่อไป…กล่าวไป ข้าเองขอแค่ฆ่าอีก 2 คนก็จักถูกส่งตัวออกจากสถานที่ทดสอบทันที เช่นนั้นหลังจากฆ่าเจ้าทิ้งต่อให้เกิดปัญหาอะไรในด่านทดสอบย่อยแห่งนี้ ข้าก็แค่เลือกฆ่าพวกมันอีกสักคน ก็สามารถออกจากที่นี่ไปรับสมญานามได้ทันที!”


 


พอเสียงของจี้เฉวียนดังจบคำ พลังดีแดงฉานปานโลหิตก็ทะลักออกมาจากร่างของมันมหาศาล ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึง สะท้านสะเทือนไปทั่วแท่นบูชา!


 


ปงงงงง!!


 


เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เป็นแท่นบูชาใต้เท้ามิอาจทานทนรับการกระทืบเท้าโจนทะยานร่างด้วยพลังดุร้ายของจี้เฉวียน บังเกิดเป็นรอยร้าวลุกลามโยงใยออกไปดั่งใยแมงมุม!


 


วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!


 



 


ในขณะที่จี้เฉวียนทะยานร่างเข่นฆ่าสังหารไปทางต้วนหลิงเทียน รอบกายมันก็เริ่มปรากฏกระบี่พลังสีเลือดเล่มแล้วเล่มเล่า เปล่งกลิ่นอายโลหิตออกมาคาวคลุ้ง!


 


ขณะเดียวกันที่กระบี่พลังสีเลือดเปล่งกลิ่นอายโลหิตออกมาคาวคลุ้ง มันก็ระเบิดไอเย็นยะเยือกกำจายออกมาแช่แข็งอากาศโดยรอบ! พาลให้อุณหภูมิโดยรอบลดต่ำลงหลายองศาในฉับพลัน!!


 


“ตายเสีย!!”


 


จี้เฉวียนที่โจนทะยานเข่นฆ่าเข้ามา ไม่ทราบในมือปรากฏกระบี่ขึ้นมาถือไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กระบี่ดังกล่าวเปล่งแสงพลังสีแดงฉานออกมาเจิดจ้า จากนั้นกระบี่พลังสีเลือดที่อัดแน่นไปด้วยไอเย็นยะเยือกดดยรอบก็พุ่งมาประทับรวมเข้ากับกระบี่สีเลือดในมือของมันทันที!!


 


ฟั่ฟฟฟ!!


 


เสียงตวัดกระบี่ฟันฟาดสะท้านแดนดินดังขึ้น จากนั้นคลื่นพลังสะบั้นสายหนึ่งที่เกิดจากพลังที่รวมรั้งในกระบบี่ทั้งหมดของจี้เฉวียน ได้พุ่งเข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วอัศจรรย์!!


 


ทุกคนที่อยู่บนแท่นบูชา บัดนี้โลกหล้าในสายตาของพวกมัน ราวกับคงเหลือแค่คลื่นกระบี่สายนี้…


 


เมิ่งห่าวซวนที่ยืนอยู่ข้างๆ หน้าเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง มันย่อมคิดหยุดยั้งการต่อสู้ อนิจจามันที่กำลังจะพูดห้ามปราม เรื่องราวก็เปลี่ยนแปลงไปในฉับพลันจนสายเกินการณ์เสียแล้ว!


 


สำหรับอีก 2 คนที่เหลือ เนื่องจากพลังฝีมือที่อ่อนด้อยกว่า วินาทีแรกที่เห็นคลื่นพลังกระบี่ของจี้เฉวียน สีหน้าพวกมันก็ซีดลง ยังเร่งโจนร่างล่าถอยออกไปไกลห่างอย่างไว!


 


วินาทีนี้พวกมันยังตระหนักถึงความห่างชั้นระหว่างตัวเองกับจี้เฉวียนได้ชัดเจน!


 


พลังฝีมือของจี้เฉวียนสูงส่งเกินไป! ต่อให้พวกมันจะร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจี้เฉวียน!!


 


“เจ้าคืนร่างที่แท้จริงเถอะ”


 


เผชิญหน้ากับการเข่นฆ่าเข้ามาเร็วไวของหนึ่งคลื่นกระบี่จี้เฉวียน ต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวแนะนำออกไปเสียงเรียบ ขณะเดียวกันพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมหาศาลขุมหนึ่ง ก็แล่นพล่านไปตามชีพจรสวรรค์ 99 สายปานน้ำหลาก ก่อนจะปะทุออกมายังช่องพลังทั่วร่างในเสี้ยวพริบตา!


 


จากนั้นพลังธาตุมิติ จากความลึกซึ้งความหมายแห่งมิติก็ผสานหลอมรวมเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดฉับไว ปลดปล่อยพลังอำนาจออกมาในฉับพลัน!


 


ความลึกซึ้งส่งผ่านสำแดงอานุภาพในบัดดล ยักย้ายส่งผ่านพลังที่รวมรั้งในหนึ่งคลื่นกระบี่สะบั้นของจี้เฉวียนออกไปครึ่งหนึ่งอย่างพิสดาร!


 


ฟั่ฟฟฟ!!


 


จากนั้นมือขวาที่ยกขึ้นมาของต้วนหลิงเทียน ก็คว้าจับแสงรุ้งงส่องสว่างเจิดจ้าที่ควบรวมก่อเกิดเป็นกระบี่ 3 ฉือเอาไว้ไม่แน่นไม่หลวม ค่อยตวัดฟันออกไปตามอำเภอใจ


 


อย่างไรก็ตามหนึ่งกระบี่ที่ตวัดฟันออกไปตามอำเภอใจ กลับรวมรั้งพลังมิติสีเทาขุมหนึ่งในชั่วพริบตา ซัดคลื่นกระบี่สะบั้นสีเทาพุ่งออกไปดั่งเสี้ยวจันทร์สายหนึ่ง ระหว่างทางยังหลอมผสานเข้ากับคมมีดมิติ 9 สายที่พุ่งออกมาจากรอยแยกมิติตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ก่อเกิดเป็คลื่นกระบี่สะบั้นทรงพลานุภาพน่าพรั่นพรึง จี้เข้าใส่คลื่นกระบี่สีเลือดของจี้เฉวียนด้วยพลังอานุภาพสะท้านสะเทือนแดนดิน!!


 


ซัว! ซัว! ซู่ม! ซู่ม!!


 



 


สองคลื่นกระบี่แหวกอากาศด้วยความเร็วอัศจรรย์ก่อเกิดสองสำเนียงสะท้านหู พลังอานุภาพนับว่าน่าครั่นคร้ามด้วยกันทั้งคู่! แต่ทว่าเมื่อถึงคราวปะทะเข้าจริง คลื่นพลังกระบี่สะบั้นสีรุ้งเทากลับผ่าคลื่นพลังกระบี่สะบั้นสีเลือดออกเป็น 2 เสี่ยงได้อย่าง่ายดาย!!


 


ปงงงง!!


 


ครืนนนน!!


 



 


คลื่นพลังสะบั้นสีเลือดทั้ง 2 เสี่ยงพุ่งมาไม่ทันได้ถึงตัวต้วนหลิงเทียนก็ถูกพลังห้วงมิติรอบๆป่นทำลายจนสูญสลายไปไม่มีเหลือ


 


ฟั่ฟฟฟ!!


 


กลับกัน คลื่นพลังสะบั้นสีรุ้งเทา หลังผ่าคลื่นพลังสะบั้นของจี้เฉวียนเป็นสองเสี่ยงแล้ว ยังคงเข่นฆ่าไปทางจี้เฉวียนด้วยสภาวะพลังที่ไม่ได้อ่อนโทรมลงสักเท่าไหร่!!


 


“ทรงพลังยิ่งนัก!!”


 


เดิมทีเมิ่งห่าวซวนคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่พ้นต้องทุกข์ทรมาณเพราะอารมณ์เอาแต่ใจของจี้เฉวียนแน่แล้ว


 


เนื่องจากต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นบนแท่นบูชาเป็นคนสุดท้าย ทำให้มันก็คิดไปไม่ต่างจากจี้เฉวียนว่าใช่พลังต้วนหลิงเทียนอ่อนด้อยหรือไม่? ทำให้กว่าจะฝ่าด่านทดสอบออกมาได้ถึงใช้เวลานานนัก และหากอิงตามนี้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนก็น่าจะอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาคนทั้ง 5…


 


แต่พอมาเห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียน จะตัวมันก็ดี หรือจี้เฉวียนก็ดี ล้วนตระหนักได้ทั้งคู่…ว่าก่อนหน้าพวกมันคิดผิดไปมหันต์!!


 


“ฮู่มมมม!!”


 


เผชิญหน้ากับคลื่นพลังสะบั้นหลากสีสันที่เข่นฆ่าเข้ามาด้วยสภาวะพลังน่าพรั่นพรึงของต้วนหลิงเทียน สองตาจี้เฉวียนฉายชัดถึงความหวาดกลัว! จากนั้นเสียงมังกรคำรามหนึ่งพลันดังสนั่นลั่นขึ้น สุรเสียงมังกรคำรามนี้ยังอัดแน่นไปด้วยโทสะอันเกรี้ยวกราด!!


WSSTH ตอนที่ 3,291 : ฆ่ามังกรโลหิต 9 กรงเล็บ


 


 


 


หลังเสียงมังกรด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น ร่างจี้เฉวียนก็เปล่งแสงจ้า จากนั้นคก็เริ่มสลายเป็นเงาเลือนก่อนจะกลับกลายเป็นมังกรตัวเขื่องที่มีลำตัวยาวกว่าหมื่นหมี่เลื้อยขนดกลางหาว!


 


มังกรตัวนี้เกล็ดที่ปกคลุมร่างมหึมาของมันเป็นสีแดงฉานทั้งแผ่กลิ่นอายโลหิตคาวคลุ้ง อุ้งมือแต่ละข้างมีกรงเล็บอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 9 กรงเล็บ เปล่งแสบเยียบเย็นบาดตา ราวกับจะฉีกกระชากได้ทุกสิ่ง!


 


“มังกรโลหิต 9 กรงเล็บ!”


 


เมื่อเห็นจี้เฉวียนแปลงร่าง ไม่ว่าจะเมิ่งห่าวซวนหรืออีก 2 คนที่หลบออกไปชมดูเรื่องราวไกลๆ ลูกตาก็อดหดเล็กลงไม่ได้


 


ในระนาบเทวโลกนั้น มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บล้วนเป็นสัตว์อมตะชั้นยอด หากไร้ซึ่งอุบัติเหตุใดๆ สักวันย่อมสามารถทะลวงด่านพลังไปจนถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้แน่นอน!


 


แต่เป็นธรรมดาว่า ลำพังมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ ยังยากนักที่จะทะลวงถึงขอบเขตเทพ


 


โดยทั่วไปแล้ว มีก็แต่มังกรเทพดา 10 กรงเล็บในตำนานเท่านั้น ที่สามารถทะลวงถึงขอบเขตเทพได้สำเร็จ


 


และในระดับหนึ่ง มังกรเทพดา 10 กรงเล็บจะไม่ถือว่าเป็นเพียงสัตว์อมตะอีกต่อไป แต่ได้ย่างถึงขอบเขตสัตว์เทพแล้ว!


 


และมังกรเทพยดา 10 กรงเล็บก็อยู่ในระดับเดียวกับจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา


 


เป็นธรรมดาว่ายังมีความแตกต่างจากเผ่าจิ้งจอกมายาที่เป็นแค่ขุมกำลังระดับ 1 อยู่บ้าง เพราะจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายานั้นกว่าจะปรากฏขึ้นก็ยากเย็นนัก เรียกว่าจะปรากฏขึ้นแต่ละครั้งก็กินเวลาเป็นล้านปี!


 


กลับกัน มังกรเทพยดา 10 กรงเล็บมักจะปรากฏตัวขึ้นในเผ่ามังกรทุกๆแสนปี!


 


“ไอ้หนู ข้าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้นๆ!!”


 


ลูกตามหึมาของมังกรโลหิต 9 กรงเล็บฉายแววอำมหิต มากล้นไปด้วยรังสีฆ่าฟันอันเยียบเย็น จากนั้นร่างมังกรใหญ่ยักษ์ก็ไหววูบคราหนึ่ง ก่อนจะพุ่งตัวแหวกฟ้าจนอากาศสะท้านความว่างเปล่าสะเทือน เข่นฆ่าเข้าใส่ต้วหลิงเทียน!!


 


ลำตัวมังกรโลหิต 9 กรงเล็บยกขึ้นดั่งเขาตระหง่าน ก่อนจะโน้มตัวตะปบกรงเล็บลงมาด้วยสภาวะปานขุนเขาถล่ม กรงเล็บแหลมคมฉายแสงเยียบเย็นแหวกอากาศฉับไว ฟาดตบขย้ำเข้าใส่คลื่นพลังสะบั้นของต้วนหลิงเทียนอย่างอุกอาจ!


 


ทันใดนั้น คลื่นสะบั้นที่ต้วนหลิงเทียนตวัดกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนซัดออก ก็ถูกทำลายลงใน 1 กรงเล็บ! ทั้งกรงเล็บยังไม่สิ้นพลังสภาวะ เข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียนต่อด้วยอำมหิต!


 


“มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ?”


 


เผชิญหน้ากับมังกรโลหิต 9 กรงเล็บอันดุร้าย สองตาต้วนหลิงเทียนหรี่ลง ร่างอันตรธานหายไปจากจุดเดิมในฉับพลัน! เพราะเขาทราบดีว่าเมื่อมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บสามารถทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะได้เมื่อไหร่ แต่ละกรงเล็บของพวกมันก็จะมีความแข็งแกร่งไม่ต่างอะไรจากศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิ!!


 


และเมื่อมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะล่ะก็ แต่ละเกล็ดบนร่างก็จะมีความแข็งแกร่งไม่ต่างอะไรจากชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิเลย!


 


และมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บนั้น เป็นที่รู้จักกันดีว่าพวกมันยืนอยู่ ณ จุดสูงงสุดของสัตว์อมตะระดับสูงทั้งปวง! ประหนึ่งได้รับพรจากฟ้าดิน และลือกันว่าความสามารถในการทำความเข้าใจกฏยังรวดเร็วอย่างมาก!!


 


เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!


 



 


เมื่อกรงเล็บจั่วลมดังวืด ทันใดนั้นเองร่างมังกรโลหิต 9 กรงเล็บสั่นไหวเบาๆ จากนั้นโลกหล้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวทันใด กระทั่งความว่างเปล่ายังเสมือนจับตัวแข็ง จากนั้นปรากฏม่านน้ำแข็งหนึ่งคลี่กางโถมทับไปยังพื้นที่ด้านหลังเป็นวงกว้าง!!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนที่พึ่งจะเคลื่อนย้ายข้ามมิติมาผุดโผล่ด้านหลังไม่ทันไร ก็พบว่าม่านน้ำแข็งยะเยือกได้โถมทับปิดแผ่นฟ้าแถบนี้หมดแล้ว! อากาศรอบร่างเขาเริ่มมีน้ำแข็งเกาะตัวเร็วไว! มองไกลๆคล้ายคนเริ่มกลายเป็นปฏิมากรรมน้ำแข็งในฉับพลัน!!


 


ซู่มมม!! ครืนนน!!!


 


และในเวลาเดียวกับที่อากาศรอบตัวต้วนหลิงเทียนเริ่มเกาะตัวเป็นน้ำแข็งปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนนั้น มังกรโลหิตตัวเขื่องก็ม้วนตัวกลางหาวฉับไว พุ่งทะยานตะปบกรงเล็บฟาดมาทางงปฏิมากรรมน้ำแข็งอย่างดุร้าย หมายทุบทำลายทั้งคนทั้งน้ำแข็งให้ป่นปี้แหลกลงไปพร้อมๆกัน!!


 


‘หยุด!’


 


ใจต้วนหลิงเทียนออกความคิดเร็วไว ทันใดนั้นพลังมิติรอบกายยเริ่มป่วนนปั่น อุบัติพายุแม่เหล็กอันเกรี้ยวกราดพัดปกคลุมไปทั่วกาย ทำลายน้ำแข็งที่เริ่มเกาะตัวทันที!


 


อย่างไรก็ตามแม้จะทำลายน้ำแข็งที่ก่อตัวแล้วเสร็จ ทว่าห้วงอากาศยังคงจับตัวแข็งอยู่เรื่อยๆ ราวกับจะผนึกร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้ให้จงได้!


 


“ก็รู้อยู่หรอกว่ากฏน้ำแข็งมันน่ารำคาญไม่น้อย…แต่ก็เท่านั้น!”


 


หลังจากเห็นว่าทำลายไปก็เท่านั้น ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมยแกมรำคาญ จากนั้นร่างคนก็อันตรธานหายไปจากเวิ้งฟ้ายะเยือกในฉับพลัน! ปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ห่างออกไปจากเดิม 10,000 หมี่ เรียกว่าเคลื่อนย้ายข้ามมิติครั้งนี้ คนหายไปโผล่ไกลตากินระยะทางถึง 20 ลี้!!


 


“ความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ ขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่!!”


 


และการเคลื่อนย้ายข้ามมิติรอบนี้ของต้วนหลิงเทียน ก็เปิดเผยเรื่องราวให้เมิ่งห่าวซวนรวมถึงคนอื่นๆที่แลเห็นตระหนักได้ถึงความจริงประการหนึ่ง…ต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว!


 


หาไม่แล้วคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลุดพ้นอาณาเขตม่านน้ำแข็งยะเยือกของจี้เฉวียนได้ เพราะม่านน้ำแข็งยะเยือกของจี้เฉวียนนั่นก็สร้างจากพลังความลึกซึ้งขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่…


 


ความลึกซึ้งของกฏน้ำแข็งที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่นั่น ยามปกคลุมพื้นที่เอาไว้ หากคิดจะใช้เคลื่อนมิติที่เข้าใจแค่ขั้นตอนเบื้องต้นหรือเล็กน้อย ย่อมไม่มีวันทำได้สำเร็จ…


 


“เจ้ามีแรงแค่นี้รึ?”


 


ต้องบอกเลยว่าหลังจี้เฉวียนคืนร่างเดิมแล้ว พลังต่อสู้ของมันพุ่งสูงขึ้นไปไม่น้อยเลยทีเดียว เรียกว่าพอๆกันกับหลิวเจี้ยน ศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือที่ตกตายด้วยน้ำมือเขาไปตอนนั้น


 


อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนพลังระดับนี้ยังไม่นับเป็นอะไร


 


เพราะท้ายที่สุดแล้วหลิวเจี้ยนก็ตกตายคามือเขา


 


“สารเลวน้อยสมควรตาย!!”


 


เมื่อโดนดูแคลน จี้เฉวียนย่อมเดือดดาลเป็นการใหญ่ จากนั้นร่างมหึมายาวนับหมื่นหมี่ของมันที่ประหนึ่งจะปิดฟ้าบังตะวันได้ ก็โถมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างดุดัน!


 


“มันจบแล้ว”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนฉายแววเยียบเย็นเรืองขึ้นวาบหนึ่ง จากนั้นกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในมืออยู่ๆพลันเปล่งสีรุ้งสว่างเจิดจิ่งกว่าครั้งใด! คราวนี้ต้วนหลิงเทีนเลือกจะรวมรั้งพลังจากความลึกซึ้งทุกประการอัดแน่ไว้ในกระบี่แล้ว!!


 


ฟั่ฟฟฟฟ!!


 


กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่เปล่งแสงหลากสีสันได้พุ่งทะยานเข่นฆ่าออกไปฉับไว ปานลำแสง!


 


ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!


 



 


คมมีดมิติ 9 สายจากความลึกซึ้งผ่ามิติก็ปรากฏขึ้นตามติด ยังห้อมล้อมเวียนวนกระบี่บินปานดาวล้อมเดือน แลดูทรงอานุภาพไร้คู่เปรียบนัก!


 


“นี่มัน…”


 


กระบี่นี้เหนือกว่ากระบี่แรกที่ต้วนหลิงเทียนใช้มากมายนัก จี้เฉวียนที่ถูกกระบี่นี้เพ่งเล็ง ลูกตาถึงกับหดเล็กลงเร็งไว เพราะมันสูดได้กลิ่นอายแห่งความตายชัดเจนยิ่งกว่าครั้งใด!


 


กระทั่งอยู่ๆร่างมหึมาของมันก็สั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว!


 


อย่างไรก็ตาม แม้มันจะตระหนักได้แล้วว่าความตายกำลังกล้ำกรายเข้ามา และกระบี่นี้ของต้วนหลิงเทียนก็ทรงพลังสุดต้านทาน! แต่มันก็ไม่คิดงอมืองอเท้ารอคอยความตาย พลังชั่วชีวิตถูกรีดเค้นออกมาทุกหยาดหยด!!


 


ครืน! ครืน! ครืน! ครืน! ครืน! ครืน!


 



 


เสียงห้วงอากาศสะเทือนเลือนลั่นสนั่นขึ้น ทั่วร่างของจี้เฉวียนยามนี้ปะทุพลังกล้าแข็งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จากนั้นอักขระสีเลือดมากมายก็ปรากฏขึ้นทั่วกาย ทั้งเปล่งแสงแดงฉานเรืองรองปานจะย้อมแดนดิน!


 


พริบตาต่อมาอักขระแต่ละตัวก็คล้ายสูบกลืนพลังชีวิตของมัน รีดเค้นเป็นพลังโลหิตอันน่าครั่นคร้ามขุมหนึ่ง พุ่งไปหลอมผสานเข้ากับพลังไอเย็นเยือกจากกฏน้ำแข็งที่รวมรั้งลงสู่กระบี่สีเลือดในมือ หมายทุ่มสุดตัวต้านทานกระบี่บินของต้วนหลิงเทียน!!


 


“นับว่าข้ายังดูเบาเจ้าไปจริงๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีวิชาประหลาดผลาญชีวิตอะไรพวกนี้ด้วย…หากเดาไม่ผิดวิชาที่เจ้าพึ่งใช้สมควรเป็นทักษะลับ ไม่ก็เป็นพลังสายเลือดของมังกรโลหิตกระมัง?”


 


เสียงไม่แยแสที่ฟังคล้ายแปลกใจอยู่ข้างของต้วนหลิงเทียนดังขึ้น เขาไม่อาจไม่แปลกใจ เพราะพลังที่จี้เฉวียนเผยออกมาตอนนี้…มันเหนือกว่าหลิวเจี้ยนซะอีก!


 


แต่แล้วไง?


 


เขาไม่ใช่ว่าจะแข็งแกร่งกว่าหลิวเจี้ยนแค่เล็กน้อย


 


เปรี๊ยง!!!


 


ตูมม!! ครืนนน!!!!


 



 


เมื่อกระบี่ผสานพลังชั่วชีวิตของจี้เฉวียนปะทะเข้ากับพลังกระบี่ของต้วนหลิงเทียน การระเบิดครั้งใหญ่ก็อุบัติขึ้นเหนือฟ้า แท่นบูชาเบื้องล่างเริ่มปรากฏรอยร้าวมากมาย สั่นสะเทือนไปอย่างแรงปานบังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่


 


นอกจากนั้นจากจุดปะทะ ก็ปรากฏคลื่นกระแทกมหาประลัยกำจายออกมาเป็นวงกว้าง พลังสภาวะปานจะบดขยี้ทำลายได้ทุกสิ่ง แผ่ขยายออกมาเป็นวงกว้าง พาลให้เมิ่งห่าวซวนกับอีก 2 คนที่เหลือรีบโคจรพลังใช้ทักษะป้องกันจนตาลีตาเหลือก!


 


“ไม่—!!”


 


และในขณะที่ทุกคนกำลังหน้าเสีย เพราะง่วนอยู่กับการหาทางป้องกันคลื่นกระแทกอันน่ากลัวของต้วนหลิงเทียน ก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวังดังขึ้นเข้าหูพวกมันอย่างกะทันหัน


 


ในความสิ้นหวัง ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ รวมถึงความเสียใจอันสุดแสน


 


เจ้าของเสียงย่อมเป็นจี้เฉวียน


 


ฉัวะ!!


 


และพริบตาต่อมา ทุกคนพลันได้เห็นกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งฝ่าหมอกควันปานลำแสง พุ่งทะลวงเข้าเศียรมังกรขนาดมหึมาของจี้เฉวียน บดขยี้ทำลายดวงจิตมังกรของมันจนแหลก!


 


ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!


 



 


เมื่อทะลวงศีรษะมังกรแล้ว คมมีดมิติที่เดิมโคจรล้อมกระบี่บืนเอาไว้ ก็แยกยย้ายกันไปสับสะบั้นหันร่างจี้เฉวียนเป็น 10 ท่อนเท่าๆกัน! ชิ้นเนื้อมังกรท่อนเขื่องชิ้นแล้วชิ้นเล่า ร่วงตกลงมากระทบซากปรักหักพังของแท่นบูชาดังตึงๆ ประหนึ่งแผ่นดินไหวอุบัติขึ้นไล่เลี่ยกัน 10 ระลอก…


 


จี้เฉวียน ศิษย์อัจฉริยะของเผ่ามังกรโลหิต แห่งว่านโช่วเทียน ขุมกำลังระดับสวรรค์ ตกตายลงแต่เพียงเท่านี้!


 


“ร้ายกาจยิ่ง!”


 


จนเมื่อจี้เฉวียนตกตาย ร่างทั้ง 10 ท่อนร่วงตกพื้นดังตึงตัง เมิ่งห่าวซวนถึงจะคืนสติ พอมองไปยังร่างในชุดสีม่วงที่ลอยล่องไกลตาย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวายอีกครั้ง ในสายตามันก็ฉายชัดถึงความตื่นตระหนก!


 


ก่อนหน้ามันไม่เคยคิดเคยฝันเลย ว่าชายหนุ่มชุดม่วงที่แลดูไม่ดุร้ายอะไร จะมีพลังความแข็งแกร่งที่น่ากลัวได้ถึงขนาดนี้!


 


เอาแค่การลงมือเต็มกำลังของจี้เฉวียนเมื่อครู่ มันที่ลองไถ่ถามตัวเองดูว่าหากทุ่มสุดตัวจะต้านทานรับไว้ได้ไหม…


 


คำตอบก็คือไม่


 


อย่างไรก็ตาม ปะทะหักหาญกับพลังทั้งหมดของจี้เฉวียนตรงๆ ไม่เพียงแต่จะเอาชนะได้ แต่กระบี่แสงของชายหนุ่มชุดม่วง ยังหลงเหลือพลังอานุภาพมากพอจะฆ่า ทั้งหั่นร่างจี้เฉวียนออกเป็น 10 ท่อน! ต้องทราบด้วยว่านั่นคือมังกรโลหิต 9 กรงเล็บขอบเขตจอมราชันอมตะ! มิใช่ถั่วฝักยาวที่คิดจะหั่นก็หั่นได้ง่ายๆ!!


 


ฟั่บ!


 


แสงกระบี่หลากสีสันเหินย้อนกลับมาเข้ามือต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เริ่มผสานเข้าไปในร่างต้วนหลิงเทียน


 


ตั้งแต่ต้นจนจบเมิ่งห่าวซวนและคนอื่นๆก็เข้าใจว่านั่นคือกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิของต้วนหลิงเทียนเท่านั้น


 


เนื่องเพราะเมื่อหวงเอ้อได้ผสานกับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน จนกลายเป็นวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนโดยสมบูรณ์แล้ว นางก็สามารถปลอมแปลงกลิ่นอายให้เหมือนกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิได้


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเมิ่งห่าวซวนกับอีก 2 คนที่อยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ กระทั่งให้จักรพรรดิอมตะสมญานามมาเอง ขอเพียงต้วนหลิงเทียนไม่ใช้พลังของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนมากเกินไป จนพลังอำนาจแตะถึงขอบเขตอุปกรณ์เทพ พวกมันก็จะไม่มีทางรู้ว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์เทพ!


 


“ต้วนหลิงเทียน ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าแม้ด่านพลังฝึกปรือของท่านจะไม่สูง แต่ท่านกลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมดแล้ว!”


 


หลังต้วนหลิงเทียนริบสินสงครามของจี้เฉวียนไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์อมตะ แหวนพื้นที่ รวมถึงร่างทั้ง 10 ท่อนของจี้เฉวียนแล้วเสร็จ เมิ่งห่าวซวนก็ลอยร่างเข้ามาหาต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ


 


“แค่โชคดีน่ะ นับว่าจัดการจี้เฉวียนได้เฉียดฉิวจริงๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองศพของจี้เฉวียนในแหวนพื้นที่ด้วยความพึงพอใจ เมื่อได้ยินคำถามของเมิ่งห่าวซวนเขาก็ดึงสติกลับมา หันไปกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


 


ศพของมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บในขอบเขตจอมราชันอมตะนั้น เรียกว่าจะสุ่มชี้ไปส่วนไหนก็ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งสิ้น! เพราะทุกส่วนล้วนนำไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะหลอมอุปกรณ์อมตะประเภทศาสตราหรือชุดเกราะ หลอมโอสถอมตะ ไม่เว้นทำหมึกอาคมก็ยอดเยี่ยมทั้งนั้น!


 


ในแง่มูลค่าแล้วต่อให้สิ่งของในแหวนพื้นที่จี้เฉวียนจะมหาศาล แต่ก็ไม่เท่าศพของมันด้วยซ้ำ


 


เพราะศพของมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บตัวเขื่องแบบนี้ กรงเล็บทั้ง 9 แต่ละอุ้งมือมัน แค่ถอดมาสักเล็บก็เอาไปใช้เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับสร้างศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิได้หลายเล่มแล้ว!!


 


“ต้วนหลิงเทียน แท่นบูชาแห่งนี้แปลกประหลาดยิ่ง จนถึงตอนนี้พวกเรายังไม่เจอวิธีจะออกไปจากบนแท่นนี่ได้เลย…พอจะออกไปก็ถูกส่งตัวกลับมากลางแท่นตลอด ท่านไม่ลองดูเล่าว่าจะหาทางออกไปได้ไหม?”


 


ได้ยินคำตอบอย่างขอไปทีของต้วนหลิงเทียน มุมปากของเมิ่งห่าวซวนก็กระตุกขึ้นมาตงิดๆ เร่งเอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องออกมาทันที


 


ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็ลองแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบทั่วทั้งแท่นบูชาทันที แต่เขากลับไม่พบสิ่งผิดปกติใด


 


“พี่สาวสุ่ย”


 


เนื่องจากไม่พบเจอเบาะแสอะไร ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ลองถามวารีเทพชำระโลกาโลกใบเล็กเท่านั้น และสำหรับเขาตอนนี้วารีเทพชำระโลกาแทบไม่ต่างอะไรจากสารานุกรมเลย!


 


ท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งอยู่มานานเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้มากเท่านั้น


 


“ที่เป็นด่านทดสอบด่านหนึ่ง…และทดสอบความสามารถในการทำลายค่ายกล”


 


วารีเทพชำระโลกาตรวจสอบแท่นบูชาอยยู่ครู่หนึ่ง ก็หันมากล่าวกับต้วนหลิงเทียน


 


“ด่านทดสอบทำลานค่ายกล? ที่นี่มีค่ายกลจัดตั้งไว้ด้วยหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจ เพราะเขาไม่อาจรับรู้ถึงความผิดปกติใดๆได้เลย


 


“มี”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว “เสี่ยวเทียนเจ้าจะไม่รู้สึกผิดปกติใดๆก็ไม่แปลก เพราะค่ายกลนี่มิใช่ค่ายกลโจมตี ป้องกัน หลอนประสาท แต่มันเป็นค่ายกลที่ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อผู้คน แค่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมเล็กๆน้อยถึงขั้นไร้สำคัญ”


 


“เพียงแค่จำนวนค่ายกลที่ว่ามันมากมายมหาศาลนัก ยังส่งเสริมกันอย่างแยบคาย ก่อให้เกิดเป็นพลังอำนาจที่ปิดกั้นไม่ให้ทุกคนออกไปจากที่นี่ได้”


 


“หากจะระบุรูปแบบค่ายกลนี้…ก็ถือเป็นค่ายกลกักขังประเภทหนึ่งก็ได้”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว


 


“แล้ววมีวิธีฝ่าออกไปไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเข้าประเด็นสำคัญ


 


“เรื่องง่ายๆ”


 


หลังจากนั้นภายใต้การชี้แนะของวารีเทพชะระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็เดินเตร็ดเตร่ไปมาทั่วแท่นบูชา เตะตรงนั้นที ตบตรงนู้นที แลดูคล้ายคนว่างจัดเล่นไร้สาระไปเรื่อย แต่ทว่าไม่ถึง 1 เค่อก็บังเกิดผลลัพธ์อัศจรรย์ให้เห็น!


 


“เรียบร้อย”


 


หลังทำลายค่ายกลคุมขังได้สมบูรณ์ ก็ปรากฏประตูหนึ่งบานผุดโผล่ขึ้นมากลางอากาศเหนือแท่นบูชา พอประตูดังกล่าวเปิดออก ทุกคนก็แลเห็นแต่ความมืดดำ ไม่ทราบว่าประตูดังกล่าวจะนำไปสู่ที่ใด…


 


จังหวะนี้ไม่ว่าจะเมิ่งห่าวซวนก็ดีหรืออีก 2 คนก็ดี ล้วนมั่นใจเกี่ยวกับต้วนหลิงเทียนเรื่องหนึ่ง…ร้ายกาจสุดหยั่งถึง!


 


ต้องทราบด้วยว่าพวกมันทั้ง 3 รวมถึงจี้เฉวียนได้ปรากฏตัวบนแท่นบูชาแห่งนี้เป็นอาทิตย์แล้ว พยายามศึกษาหาทางอยู่ก็นาน แต่พวกมันกลับไม่อาจหาทางออกจากแท่นบูชาแห่งนี้ได้เลย


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนใช้เวลาไม่ถึง 1 เค่อ ก็ทำให้ประตูสู่ด่านต่อไปเปิดออกได้แล้ว…


WSSTH ตอนที่ 3,292 : เผ่ามังกรโลหิต


 


 


ณ ว่านโช่วเทียน


 


ถึงแม้เผ่ามังงกรโลหิต จะเป็นดั่งสายพันธุ์หนึ่งของเผ่ามังกรเทพยดา แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากเผ่ามังกร อย่างไรก็ตามเนื่องจากในเผ่ามังกรโลหิตก็มียอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่หลายคน จึงถือว่าเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ขุมหนึ่งของว่านโช่วเทียน


 


ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา หลังเผ่ามังกรโลหิตแยกตัวออกมาเป็นอิสระจากเผ่ามังกร ความแข็งแกร่งโดยรวมของเผ่าก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก กระทั่งในบางจุดยังร้ายกาจยิ่งกว่าเผ่ามังกรเสียอีก


 


ในสายตาเผ่ามังกรนั้น สายพันธุ์มังกรโลหิตถือเป็นมังกรเทพยดากลายพันธุ์ ยังเรียกมังกรโลหิตว่าสายพันธุ์ต้องสาปของเผ่ามังกรอีกด้วย!


 


เนื่องเพราะในกระบวนการเติบโตของสายพันธุ์มังกรโลหิต จำต้องอาศัยการกลืนกินแก่นแท้โลหิตของสัตว์อมตะจำนวนมาก เรียกว่าจะสัตว์อมตะชั้นต่ำก็ดี สัตว์อมตะชั้นสูงก็ดี มังกรโลหิตล้วนรับประทานเรียบไม่มีบอกปัด!


 


และในเผ่ามังกรโลหิตก็ไม่เคยปรากฏมังกรโลหิต 10 กรงเล็บมาก่อนเลย


 


กระทั่งมังกรโลหิต 9 กรงเล็บเอง ในเผ่าก็มีอยู่ไม่ถึง 50!


 


อาจกล่าวได้ว่ามังกรโลหิต 9 กรงเล็บทุกตัวนั้นมีความสำคัญกับเผ่ามังกรโลหิตอย่างมาก ไม่ว่าจะมังกรโลหิต 9 กรงเล็บตัวใด ก็ถูกให้ความสำคัญอย่างสูง


 


ในเผ่ามังกรโลหิตนั้น แม้จะเป็นลูกหลานของมังกรโลหิตชั้นต่ำในเผ่า แต่ทว่าหากเกิดมาเป็นมังกรโลหิต 9 กรงเล็บ ก็จะถูกปฏิบัติราวกับทายาทสายโลหิตหลัก จะถูกอุ้มชูดูแลอย่างเต็มที่ ได้รับทรัพยากรบ่มเพาะที่ดีที่สุด


 


และวันนี้ ภายในโถงวิญญาณขเผ่ามังกรโลหิต ก็ปรากฏเสียงลูกแก้ววิญญาณลูกหนึ่งแตกออก


 


การแตกออกของลูกแก้ววิญญาณลูกหนึ่งในโถง ย่อมเรียกความสนใจของอาวุโสที่ทำหน้าเฝ้าดูแลโถงวิญญาณทันที “ลูกแก้ววิญญาณลูกนี้…มิใช่ว่า…เป็นของ จี้เฉวียน ลูกศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่หรือไร!?”


 


ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกรโลหิตนั้น เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเป็นลำดับ 2 ของเผ่ามังกรโลหิต เรียกว่าอำนาจภายในเผ่ามังกรโลหิตของมัน จะเป็นรองก็แต่หัวหน้าเผ่ามังกรโลหิตคนเดียวเท่านั้น!


 


“เฮ่อ…ดูเหมือนเผ่ามังกรโลหิตของเรา คงมิอาจหาความสงบพบเจอไปสักพัก…”


 


ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่เฝ้าดูแลโถงวิญญาณกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทอดถอนพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ส่งข้อความแจ้งไปให้หัวหน้าเผ่ามังกรโลหิตรับทราบทันที


 


สำหรับอาวุโสใหญ่นั้น มันไม่ได้ส่งข้อความแจ้งไป


 


ประการแรกเลย หากมันส่งข้อความไปแจ้งผู้อาวุโสใหญ่โดยตรง ไม่พ้นมันต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ของอาวุโสใหญ่เป็นคนแรก เช่นนั้นเป็นการดีเสียกว่าที่จะแจ้งให้หัวหน้าเผ่าทราบ และให้หัวหน้าเผ่าไปบอกอาวุโสใหญ่แทน…


 


เพราะไม่ว่าผู้อาวุโสใหญ่จะเดือดดาลและมีโทสะรุนแรงขนาดไหนหลังรับทราบข่าว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาโทสะไปลงกับหัวหน้าเผ่า


 


ประการที่สอง ในความคิดมัน ไหนเลยอาวุโสใหญ่จะไม่มีลูกแก้ววิญญาณของจี้เฉวียนพกติดตัว? ป่านนี้ไม่พ้นอาวุโสใหญ่ต้องพบเจอแล้ว ว่าลูกแก้ววิญญาณของจี้เฉวียนที่เก็บไว้มันแหลกลงเป็นเสี่ยง!


 


เผลอๆวินาทีเดียวกับที่มันได้ยินเสียงลูกแก้ววิญญาณแตก มันที่ยังไม่ทันดูชื่อ…ด้านผู้อาวุโสใหญ่ก็รู้แล้วว่าใครตาย!


 


“เฉวียนเอ้ออออ!!!”


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่อาวุโสโถงวิญญาณคิดถึงจุดนี้ สุรเสียงที่อัดแน่นไปด้วยโทสะแค้นรวมทั้งความเศร้าโศกจับใจก็ดังสนั่นไปทั่วเผ่ามังงกรโลหิตปานฟ้าร้อง! เรียกว่ามังกรโลหิตในเผ่าทั้งหมดไม่มีใครไม่ได้ยิน!!


 


“ดูเหมือนอาวุโสใหญ่จะทราบเรื่องแล้วจริงๆ”


 


อาวุโสโถงวิญญาณได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ มันย่อมรู้ดีว่าสุรเสียงที่กึกก้องกังวาลไปทั้งเผ่าเมื่อครู่ เป็นเสียงของผู้อาวุโสใหญ่


 


ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกรโลหิตนั้นเรียกว่า จี้หู เป็นชายชราสวมใส่ไว้ด้วยชุดคลุมสีแดง เส้นผมหยักศกของมัน ตอนนี้กำลังโบกสะบัดราวอสรพิษมีชีวิต


 


และมันก็กำลังลอยล่องอยู่บนฟ้าสูง


 


“ท่านผู้อาวุโส ข้าเสียใจด้วย”


 


ครู่ต่อมาก็ปรากฏชายวัยกลางคนร่างหนึ่งมาถึง มันมีรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา เส้นผมถูกปล่อยให้ทอดยาวดั่งม่านน้ำตก ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายไร้ลักษณ์ของผู้สูงศักดิ์ออกมา


 


เป็นหัวหน้าเผ่ามังกรโลหิตคนปัจจุบัน และยังเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของเผ่ามังกรโลหิต จี้ฟง!


 


“หัวหน้า ทราบแล้ว?”


 


จี้หูหันไปมองถามจี้ฟง


 


“ทราบแล้ว”


 


จี้ฟงพยักหน้า “ผู้อาวุโสโถงวิญญาณพึ่งแจ้งให้ข้าทราบเมื่อสักครู่…อาวุโสใหญ่ ที่แท้เป็นเรื่องราวใดกันแน่…ไฉนอยู่ๆหลานจี้เฉวียนถึงตกตายได้?”


 


“เฉวียนเอ้อกับอาวุโส 3 เดินทางไปวิหารเฟิงฮ่าวด้วยกัน เพราะเฉวียนเอ้ออยากได้ตำแหน่งจอมราชันอมตะสมญานาม…ข้าเองก็พึ่งติดต่อไปสอบถามอาวุโส 3 จึงได้รู้ว่าตอนเกิดเรื่อง เฉวียนเอ้อ ยังอยู่ในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว”


 


สองตาจี้หูทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “สิ่งนี้บ่งบอกว่า…เฉวียนเอ้อพลาดท่าเสียทีจนตกตายในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว!”


 


“หัวหน้าเผ่า ท่านไปวิหารเฟิงฮ่าวกับข้าเถอะ…ข้าอยากรู้ว่าเป็นผู้ใดที่กล้าฆ่าเฉวียนเอ้อหลานข้า!!”


 


จี้หูเอ่ยชวนจี้ฟงเสียงหนัก


 


“ผู้อาวุโสใหญ่…”


 


จี้ฟงงขมวดคิ้วเป็นปมหลวม “คนของวิหารเฟิงฮ่าว ถึงแม้ว่าพวกมันสมควรรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นภายในสถานที่ทดสอบ…แต่พวกมันมีกฏอยู่ว่า จักมิเปิดเผยเรื่องราวใดๆที่เกิดขึ้นในสถานที่ทดสอบให้คนนอกล่วงรู้”


 


“ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลกทั้งมวล มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถขุดคุ้ยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวได้…”


 


จี้ฟงกล่าว


 


“แม้จะยากเย็น…แต่ก็ใช่ว่าจะไร้หนทาง!”


 


ดวงตาจี้หูเปล่งงแสงเยียบเย็นขึ้นมาอีกวาบ “ขอเพียงรู้ได้…ว่าเป็นสารเลวคนไหนกล้าเข่นฆ่าเฉวียนเอ้อของข้า ให้จ่ายเท่าใดข้าก็ยอม! และข้ามิเชื่อว่าคนของวิหารเฟิงฮ่าวจักไม่หวั่นไหวกับผลประโยชน์!!”


 


“ก็ได้”


 


จี้ฟงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ในเมื่อผู้อาวุโสใหญ่ตั้งใจจะไปให้ได้ เช่นนั้นข้าจะไปกับท่านเอง”


 


ฟังจากบทสนทนาของทั้งคู่ บ่งบอกให้รู้ชัดถึงเรื่องหนึ่ง…วิหารเฟิงฮ่าวมีการสอดแนมทุกเรื่องราวในสถานที่ทดสอบจริงๆ!


 



 


ทางด้านต้วนหลิงเทียนนั้น ตอนนี้เขาก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามังกรโลหิตที่เขาฆ่าไป มันจะมีฐานะใหญ่โตไม่ใช่เล่น!


 


แต่เป็นธรรมดาว่าต่อให้เข้ารู้ เขาก็ไม่คิดออมรั้งยั้งมือ และเลือกที่จะฆ่ามันให้ตายอยู่ดี!


 


หลังออกจากแท่นบูชาแล้ว ต้วนหลิงเทียน เมิ่งห่าวซวน และคนอื่นๆอีก 2 คนก็ถูกส่งตัวมายังด่านทดสอบอีกด่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ๆเต็มไปด้วยแรงกดดันอย่างมาก!


 


เพียงแต่แรงกดดันที่ว่าไม่ใช่แรงกดดันพลัง แต่เป็นแรงโน้มถ่วงอันมหาศาล!


 


และแน่นอนว่าทั้ง 4 ถูกจับแยกออกจากกันอีกครั้ง


 


“แม้จะเป็นแรงโน้มถ่วง แต่เจ้าก็อาศัยมันหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวได้อยู่ เพียงแค่ต้องกระทำเช่นนี้…ฯลฯ”


 


ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รีบร้อนออกไปเช่นเคย เลือกที่จะทำตามคำชี้แนะของงวารีเทพชำระโลกาอย่างตั้งใจ จากนั้นก็เริ่มต้นกระบวนการหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวที่ยังไม่ผสานรวมกับร่างกายเขาสืบต่อ…


 


ต้วนหลิงเทียนเลือกจะอดทนถึงขั้นขยับตัวแทบไม่ไหวถึงหยุดมือ จากนั้นก็เร่งรวมรั้งพลังทำลายพื้นที่แรงโน้มถ่วงทันที


 


หลังหลุดพ้นออกจากพื้นที่แรงโน้มถ่วงได้แล้ว เดิมทีต้วนหลิงเทียนคิดว่าคงได้เจอพวกเมิ่งห่าวซวนและคนอื่นๆเลยเหมือนก่อนหน้า แต่เขากลับพบว่าเขาถูกส่งมาปรากฏตัวบนแท่นศิลาเยียบเย็น มองไปทางใดก็เห็นแต่ความว่างเปล่ากับบรรยากาศสีเทาอันมืดมน ไร้แม้แต่เงาผู้คน


 


สาเหตุที่ไฉนบอกว่าเป็นแท่นศิลาอันเยียบเย็น เพราะแท่นศิลาที่ว่ามันแผ่ไอเย็นออกมาไม่หยุด พาลให้ผู้คนรู้สึกเสมือนติดอยู่ในห้องน้ำแข็งใต้ดิน!


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเอง สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายขึ้นมา เนื่องเพราะเขาสังเกตเห็นร่างๆหนึ่งอู่ๆก็ปรากฏขึ้นอีกด้านของแท่นหินเย็นๆ


 


และทันทีที่เห็นร่างดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปอยู่บ้าง เพราะรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายกลับเหมือนกันกับเขาทุกประการ! เรียกว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าราวเขาส่องกระจกอยู่!!


 


“หึ!”


 


ทันใดนั้นเอง ฝ่ายตรงข้ามที่เป็น ‘ต้วนหลิงเทียน’ เหมือนกัน ก็พ่นลมสบถเยียบเย็นออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะถีบเท้าโจนร่างเข้าใส่เขา!!


 


เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะใช้กฏมิติเหมือนตัวเอง แต่เขาพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้กฏมิติ แต่เป็นกฏแห่งน้ำที่ไม่พบเจอผู้ใดใช้มันมานาน


 


‘ต้วนหลิงเทียน’ ที่โจนทะยานเข้ามา ไม่ทันไรก็สร้างมังกรน้ำตัวเขื่อง 2 ตัวแล้วเสร็จ เข่นฆ่าเข้ามาด้วยพลังสภาวะดุดันไม่ใช่ชั่ว!


 


“สุดพลังได้เท่านี้แล้วหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหลงคิดว่า ระดับพลังของ ‘ต้วนหลิงเทียน’ เบื้องหน้าก็น่าจะถูกสร้างให้พอๆกับเขา แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายกลับอ่อนด้อยกว่าเขามาก ยังอ่อนแอกว่าจี้เฉวียนในร่างมนุษย์หลายส่วน


 


ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!


 



 


ต้วนหลิงเทียนเคลื่อนมิติไปผุดโผล่ด่านหลัง ‘ต้วนหลิงเทียน’ จากนั้นอากาศว่างเปล่าโดยรอบก็ปริแตก บังเกิดคมมีดมิติสีเทาพุ่งออกมา 9 สาย ประหนึ่งเคียวยมทูตเกี่ยววิญญาณ คร่าชีวิต ‘ต้วนหลิงเทียน’ ในพริบตา


 


เมื่อ ‘ต้วนหลิงเทียน’ กลายเป็นชิ้นเนื้อเกลื่อนพื้น ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เมื่อพบว่า ชิ้นส่วน ‘ต้วนหลิงเทียน’ ได้เปลี่ยนรูปร่างและกลายเป็นคนอื่น


 


และคนอื่นที่ว่า ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับต้วนหลิงเทียนเลย เพราะมันเป็น 1 ใน 2 คนที่มาสมทบกับเขา เมิ่งห่าวซวนและจี้เฉวียนภายหลัง


 


ครืนนนน!! ครืนนนน!!


 


ตึงงงง!!!


 



 


ทันใดนั้นเองเสียงสนั่นหวั่นไหว 2 เสียงพลันดังกึกก้องเข้าหูเขา และต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าแท่นศิลาเยียบเย็นใต้เท้ากำลังสั่นไหว ก่อนพบว่ามันเคลื่อนที่ไปชนกับศิลาอีกแท่นหนึ่งที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางอากาศว่างเปล่า


 


และบนแท่นศิลาอีกแท่น ก็มีร่างเมิ่งห่าวซวนยืนอยู่


 


ใกล้ๆจุดที่เมิ่งห่าวซวนยืนอยู่ ก็มีศพๆหนึ่งนอนตายอยู่เช่นกัน และเป็นอีกคนที่เข้ามาพร้อมพวกเขา


 


ถึงจุดนี้จึงกล่าวได้ว่า ในบรรดา 5 คนที่เข้ามาพร้อมกันๆ มีเพียงต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียน และพบซากร่างเป็นเสี่ยงๆบนพื้นห่างออกไปจากต้วนหลิงเทียนพอสมควร เมิ่งห่าวซวนก็แลดูแปลกใจเล็กน้อย จกานั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ว่า “ก่อนที่ท่านจะฆ่ามัน…ใช่ท่านเห็นว่ามันมีรูปร่างหน้าตาเหมือนท่านหรือไม่?”


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“ทางข้าก็ด้วย”


 


เมิ่งห่าวซวนคลี่ยิ้มเจื่อนๆ “นี่มันสถานที่ผีสางอะไรกันแน่…แถมตอนนี้แท่นศิลาของพวกเราสองคนยังเลื่อนมาชนกันอีก คงไม่ได้จะบอกว่าข้ากับท่าน ต้องมีหนึ่งรอดหนึ่งตายหรอกนะ?”


 


“อาจเป็นแบบนั้น…แต่ก็ไม่แน่’


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ลองหาดูก่อน ว่ายังมีทางออกอื่นอีกไหม”


 


“ได้”


 


เมิ่งห่าวซวนพยักหน้าเห็นด้วยเร็วไว ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้มีเจตนาลงมือกับตัวเอง


 


หากเป็นตอนแรกที่เจอกัน แม้มันจะไม่กล้าพูดว่าสามารถเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้แน่ๆ แต่มันก็ยังมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองพอตัว


 


อย่างไรก็ตาม พอได้เห็นฉากต้วนหลิงเทียนฆ่ามังกรโลหิต 9 กรงเล็บอย่างจี้เฉวียนต่อหน้าต่อตา มันก็รู้ดีว่าแม้พลังฝีมือของมันจะไม่ได้อ่อนด้อยกว่าจี้เฉวียน แต่มันก็ไม่ใช่คู่มือของต้วนหลิงเทียนเลย!


 


หากต้วนหลิงเทียนคิดลงมือกับมันขึ้นมาจริงๆ มันก็ต้องตายตกอย่างไม่ต้องสงสัย!


 


จนถึงบัดนี้เมิ่งห่าวซวนก็ไม่ได้รู้ตัวเลย ว่าเว้นเสียแต่มันจะลงมือต่อต้วนหลิงเทียนก่อน ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะฆ่ามันแน่นอน…สุดท้ายมันก็เป็นศิษย์น้องของบิดาบังเกิดเกล้าฮ่วนเอ๋อ!


 


หากพลั้งมือฆ่าอีกฝ่ายตกตายไป วันหน้าต้วนหลิงเทียนจะสู้หน้าบิดาฮ่วนเอ๋อได้อย่างไร?


 


นอกจากนั้นเมิ่งห่าวซวนยังให้เบาะแสที่สำคัญอย่างยิ่งต่อต้วนหลิงเทียน จึงทำให้ต้วนหลิงเทียนทราบแล้วว่าบิดาของฮ่วนเอ๋อถูกกักขังอยู่ที่ไหน


 


และในสายตาของต้วนหลิงเทียน มารดาของฮ่วนเอ๋อ สิบในสิบไม่พ้นถูกกักขังไว้ในสถานที่เดียวกัน!


 


“พี่สาวสุ่ย”


 


หลังเขากับเมิ่งห่าวซวนเดินตรวจสอบที่ทางอยู่สักพักใหญ่ๆแต่ไม่พบเจอทางออกอื่นใด ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถามวารีเทพชำระโลกาอย่างอดไม่ได้


 


“หากจะออกไปจากที่นี่ ในพื้นที่แห่งนี้ต้องเหลือคนเพียงแค่คนเดียวเสียก่อน”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนก็มีเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแหยๆออกมาด้วยความขื่นขมหลังได้ยินคำตอบของวารีเทพชำระโลกา…หรือสุดท้ายระหว่างเขากับเมิ่งห่าวซวนก็ต้องมีหนึ่งคนที่ต้องตายจริงๆ?


 


“ต้องฆ่าเมิ่งห่าวซวนเท่านั้นหรือ ถึงจะออกไปได้…”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง


 


“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว “ข้าลองตรวจสอบดูแล้ว ที่นี่เป็นอย่างที่ข้าบอกเจ้าไปทุกประการ…เงื่อนไขที่จะออกไปได้ คือต้องมีคนอยู่ในพื้นที่แค่คนเดียว”


 


“แต่อีกคนไม่ใช่ว่าต้องตาย ขอแค่ไปซ่อนตัวอยู่ในโลกใบเล็กของอีกคน ก็สามารถออกจากที่ได้พร้อมกัน”


 


“อย่างไรก็ตามปกติแล้ว ไม่มีผู้ใดคิดปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามาในโลกใบเล็กของตัวเองง่ายๆ เพราะเรื่องนี้มันค่อนข้างอันตรายอย่างยิ่ง”


 


“เจ้าเป็นฝ่ายเข้าไปหลบในโลกใบเล็กของมันเพื่อออกจากที่นี่เถอะ”


 


“ถึงแม้ว่าโลกใบเล็กในร่างเจ้า จะไม่กลัวการลงมือล้างผลาญของมัน แต่เจ้ามีความลับซุกซ่อนเอาไว้ในนั้นมากเกินไป อย่าให้มันรู้เสียประเสริฐกว่า”


WSSTH ตอนที่ 3,293 : ร้อยเปลี่ยน ไม่ดับสูญ


 


 


หลังฟังวารีเทพชำระโลกาพูดจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปกล่าวบอกวิธีออกจากสถานที่แห่งนี้กับเมิ่งห่าวซวน ว่าระหว่างเขากับอีกฝ่าย ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งเข้าไปหลบอยู่ในโลกใบเล็กของอีกคน เพื่อให้มีคนอยู่ในพื้นที่แห่งนี้แค่คนเดียวตามเงื่อนไขของด่านทดสอบ


 


“ต้วนหลิงเทียน ท่านเข้ามาในโลกใบเล็กของข้าเถอะ”


 


และไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะพูดถึงเรื่องนี้ เมิ่งห่าวซวนที่รู้สถานการณ์ดี ก็เป็นฝ่ายชวนให้ต้วนหลิงเทียนเข้าสู่โลกใบเล็กของตัวเองก่อนทันที


 


เพราะในสายตาของมัน หากต้วนหลิงเทียนต้องการ อีกฝ่ายสามารถฆ่ามันเพื่อออกจากที่นี่ง่ายๆ!


 


ตอนนี้ในเมื่อต้วนหลิงเทียนเสนอทางออกที่มันไม่ต้องตายออกมา มันย่อมรีบชวนให้ต้วนหลิงเทียนเข้าโลกใบเล็กของตัวเองอย่างรู้งานทันที


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตัวมันอ่อนแอกว่าและไร้หนทางเลือกอื่น


 


แค่พิจารณาสถานการณ์ในปัจจุบัน ต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะลอบทำร้ายมันอย่างทำลายโลกใบเล็กของมันเลย เพราะอีกฝ่ายสามารถฆ่ามันตอนไหนก็ได้อยู่แล้ว…


 


ในเมื่อต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่ามันได้ตามอำเภอใจ เช่นนั้นยังต้องรอให้เข้าไปในโลกใบเล็กของมัน เพื่อก่อการให้มันบาดเจ็บแล้วค่อยลงมือทำไม? นั่นไยไม่เป็นการวุ่นวายเกินจำเป็น?


 


“ได้”


 


ในเมื่อเมิ่งห่าวซวนรู้งาน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต้องเปลืองน้ำลาย จากนั้นเขาก็ปล่อยตัวไม่ต่อต้าน ให้เมิ่งห่าวซวนใช้พลังดูดรั้งร่างเขาวูบเข้าไปในโลกใบเล็กของมันทันที


 


โลกใบเล็กของเมิ่งห่าวซวนนั้นเป็นดินแดนว่างเปล่ารกร้าง พลังวิญญาณฟ้าดินในนี้ก็เบาบางเหมือนสถานที่ทั่วไปในระนาบเทวโลก


 


ยังเบาบางกว่าในเมืองใหญ่เสียอีก


 


“ช่างน่าทึ่งนัก”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเข้าสู่โลกใบเล็กของเมิ่งห่าวซวน เพื่อปกปิดกลิ่นอายของตัวเอง เขาก็ได้ยินเสียงของเมิ่งห่าวซวนดังขึ้นพอดี “เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?”


 


ในเมื่อตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังซ่อนตัวเพื่อให้ลบกลิ่นอายของเขาออกจากพื้นที่ด้านนอกโดยสมบูรณ์ เช่นนั้นเขาจึงไม่กล้าแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบเรื่องราวอะไรด้านนอก ทำให้ไม่อาจรับรู้สถานการณ์ด้านนอกได้เลย ได้แต่เอ่ยถามออกมาแบบนี้


 


“ก็หลังจากที่ท่านเข้าสู่โลกใบเล็กข้าได้ไม่ทันไร ฉากเรื่องราวโดยรอบมันก็เปลี่ยนแปลงไปไปทันที…และตอนนี้ดูเหมือนพวกเราจะออกมาได้แล้วล่ะ…”


 


เมิ่งห่าวซวนกล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี


 


“ออกมาได้แล้วรึ?”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ออกมาด้วยความสงสัย เมิ่งห่าวซวนศัยหนึ่งห้วงคิดก็นำต้วนหลิงเทียนออกมาจากโลกใบเล็กทันที


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะสามารถออกมาเองโดยไม่ต้องรอเมิ่งห่าวซวน แต่ถ้าทำแบบนั้นจะมากจะน้อยก็ไม่พ้นต้องทำให้เมิ่งห่าวซวนบาดเจ็บ


 


“ต้วนหลิงเทียน ขอบคุณท่านมาก”


 


หลังนำต้วนหลิงเทียนออกมาจากโลกใบเล็กแล้ว เมิ่งห่าวซวนก็ประสานมือกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนใดอื่น


 


ด้านต้วนหลิงเทียนที่พึ่งออกมาก็หันมองสำรวจที่ทางรอบๆทันที จึงพบว่าตอนนี้เขาสมควรออกจากแดนลับย่อยของสถานที่ทดสอบแล้ว


 


“ในแดนลับย่อยเมื่อครู่…ไม่ทราบพี่เมิ่งได้ผลลัพธ์เป็นเช่นไรบ้าง”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามเมิ่งห่าวซวนด้วยความสงสัย


 


สำหรับเขาผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนลับย่อย ก็คือการหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวไปได้ 3 ส่วน สำหรับอีก 7 ส่วนที่เหลือก็จำต้องไปหาด่านทดสอบอื่นๆเพื่อเสริมความเร็วในการหลอม


 


“ก็พอได้อยู่”


 


เมิ่งห่าวซวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ “อย่างน้อยๆด่านพลังของข้าก็มั่นคงมากขึ้น กล่าวไปยังมีความก้าวหน้าเล็กน้อย…สำหรับความเข้าใจในกฏก็เหมือนจักดีขึ้นพอสมควรเลยทีเดียว แน่นอนว่าคงมิอาจเทียบเจ้าได้กระมัง?”


 


กล่าวถึงท้ายประโยคเมิ่งห่าวซวนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางส่ายหัว


 


ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ามัน ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือจะด้อยกว่ามัน แต่อีกฝ่ายได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดสิ้นแล้ว เรื่องของเรื่องก็คือกฏที่อีกฝ่ายเชี่ยวชาญคือกฏมิติ! 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ยากจะเข้าใจอีกด้วย!!


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับอย่างขอไปทีด้วยรอยยิ้มเฉยเมย “เช่นนั้นจากนี้ท่านก็ถนอมตัวด้วย หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสได้พบกันใหม่”


 


“เช่นกัน!”


 


เมิ่งห่าวซวนพยักหน้า มันเองก็รู้ว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ถึงส่งกันพันลี้สุดท้ายก็ต้องจาก “วันหน้าหากมีเวลาข้าจักไปร่ำสุราสนทนากับท่านถึงวังเทียนฉือที่อู๋หยาเทียนแน่…และหากท่านมีเวลาว่างก็แวะมาหาข้าที่ขุนเขากระบี่ฟ้าได้ทุกเวลา!”


 


“นี่คือลูกแก้ววิญญาณของข้า”


 


ก่อนแยกกัน เมิ่งห่าวซวนก็แลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณกับต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็แยกย้ายกันไปคนละทาง


 


หลังใช้เคลื่อนมิติเต็มกำลังไปสองสามรอบจนมาโผล่ที่ไหนสักแห่ง ต้วนหลิงเทียนก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ‘ดูเหมือนต้องพยายามหาด่านทดสอบอื่นอีก…ตอนนี้พึ่งจะหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวได้ 3 ส่วนเท่านั้นเอง’


 


‘กว่าจะทำได้สำเร็จ อย่างน้อยๆก็ต้องเจอด่านทดสอบลักษณะเดียวกับด่านทดสอบก่อนหน้าอีกสัก 2-3 รอบ’


 


พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดปวดหัวขึ้นมาไม่ได้ เพราะที่ยากที่สุดก็คือตามหาด่านทดสอบให้เจอนี่ล่ะ…


 


โชคยังดีที่เขายังมีเวลา


 


ดีที่รอบนี้ไม่ได้ใช้เวลาไปมากมายอะไร


 



 


ณ อู๋หยาเทียน


 


แดนอู๋หยา


 


ในทะเลทรายแห้งแล้งอันรกร้างว่างเปล่า  ปรากฏซากปรักหักพังกระจัดกระจายไปทั่ว มองไปแล้วซากปรักหักพังที่ว่าสมควรเป็นเมืองๆหนึ่งที่ล่มสลายไปตามกาลเวลา อย่างไรก็ตามท่ามกลางซากปรักหักพังนั้น มีตำหนักที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์แห่งหนึ่ง


 


ถึงแม้ตำหนักหลังนี้จะถูกปกคลุมด้วยฝุ่นทราย แต่หากดูให้ดีจะพบว่าประตูหน้าตำหนักไร้ซึ่งฝุ่นดินอะไร คล้ายยามฝุ่นดินหินทรายถูกพัดมาบริเวณนี้ จะถูกพลังไร้สภาพพัดออกไปโดยเฉพาะ


 


“แน่ใจหรือว่าทั้งคู่อยู่ที่นี่?”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด แต่มีร่างสองร่างพลันปรากฏบนฟ้าเหนือซากปรักหักพัง และคนหนึ่งก็หันไปเอ่ยถามอีกคนด้วยสายตาสงสัย


 


ผู้มาล้วนมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มเหมือนกัน มาในชุดคลุมลมสีเทามีโม่งคลุมหัว ใบหน้ามีผ้าปิดปากปิดจมูกมิดชิด เผยให้เห็นแค่คิ้วและดวงตาเท่านั้น


 


“เป็นที่นี่มิผิดแน่”


 


หลังได้ยินคำถามของชายข้างกาย ชายอีกคนก็เอ่ยตอบเสียงเรียบ


 


หากต้วนหลิงเทียนมาอู่ที่นี่ และได้ยินเสียงของทั้งคู่ ก็คงไม่ยากที่เขาจะระบุตัวตนของพวกมัน เพราะสองคนนี้…หนึ่งก็คือ หานอวิ๋นจิ่น ศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ และ เหลยจวิ้น ศิษย์คนรองรวมถึงลูกชายคนเดียวของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงแห่งวังเทียนฉือ


 


หานอวิ๋นจิ่นก็เป็นคนที่เอ่ยถามออกมาคนแรก


 


ฟุ่บ!


 


ทันใดนั้นเองเหลยจวิ้นพลันสะบัดมือคราหนึ่ง จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขุ่มหนึ่งก็ซัดพุ่งออกจากฝ่ามือไปยังซากปรักหักพังเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกเข้ากับกระดิ่งเล็กๆบริเวณหน้าประตูตำหนักที่ยังดูมีสภาพสบูรณ์


 


กริ๊ง!!


 


หลังจากเสียงกระดิ่งดังขึ้นราวๆสิบลมหายใจ ก็มีร่างหนึ่งปิดประตูก้าวออกมาจากตำหนักอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


พิกลนัก…เป็นเด็กชายคนหนึ่ง!


 


เด็กชายคนนี้แลดูมีอยุราวๆ 13-14 ปี หลังจากที่มันออกจากประตูแล้ว มันก็ค่อยๆลอยยร่างขึ้นมาบนอากาศ สองตามองไปยังเหลยจวิ้นและหานอวิ๋นจิ่นแต่ไกล เอ่ยออกมาเสียงเรียบว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงที่นี่ได้ เช่นนั้นก็สมควรรู้กฏดี”


 


“ทิ้งของไว้ รายละเอียดเป้าหมาย รวมถึงลูกแก้ววิญญาณของพวกเจ้า จากนั้นพวกเจ้าก็กลับไปรอการติดต่อกลับเสีย”


 


เด็กชายกล่าว


 


“ท่านคือ?”


 


เมื่อหานอวิ๋นจิ่นเห็นเด็กชายคนี้มันก็อดตกตะลึงไปไม่ได้ เพราะเด็กชายคนนี้แม้รูปลักษณ์แลแล้วอายุไม่น่าเกิน 13-14 ปี แต่พิกลนักที่กลิ่นอายเลือดเนื้อของมันไม่ได้สดใหม่บ่งบอกว่ามันมีอายุไม่ถึงร้อยปีแต่อย่างใด…


 


สิ่งนี้บ่งชี้ว่า แม้เด็กชายจะดูมีอายุไม่มาก แต่ที่จริงมีอายุเกินร้อยปีแล้ว…


 


“ข้าไม่อยากพูดซ้ำเป็นครั้งที่ 2”


 


แทบจะพร้อมกันกับที่หานอวิ๋นจิ่นกล่าถามจบคำ เด็กชายก็กล่าวออกด้วยยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นพลังอันน่าพรั่นพรึงขุมหนึ่งก็กำจายออกมาจากร่างเล็กๆ กดทับไปยังหานอวิ๋นจิ่นและเหลยจวิ้นทันที!


 


ทำให้ร่างหานอวิ๋นจิ่นและเหลจวิ้นสะท้านไปทันใด!


 


“ผู้น้อยขอคารวะอาวุโส ตู๋กู”


 


หานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้นเร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ประสานมือโค้งคารวะเด็กชายออกมาพร้อมๆกัน ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย!


 


กลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจาจกร่างเด็กชายเมื่อครู่นี้ ได้บ่งยอกเรื่องหนึ่งให้พวกมันทราบชัดเจน…


 


เด็กชายเบื้องหน้า เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม!


 


ปรากฏตัวที่นี่ ทั้งยังเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม เห็นได้ชัดว่านี่คือเป้าหมายที่การเดินทางของพวกมันสองคน 1 ใน 2 มือสังหารที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมานาม!


 


“ผู้อาวุโสตู๋กู นี่คือค่าจ้าง”


 


เหลยจวิ้นโบกมือขึ้น จากนั้นก็ปรากฏแหวนพื้นที่วงหนึ่งถูกพลังไร้สภาพหอบหิ้วไปหยุดลอยเบื้องหน้าตู๋กู จากนั้นก็เร่งกล่าวออกมาตรงๆเสียงดังฟังชัด “คนที่พวกเราต้องการให้ผู้อาวุโสสังหารเรียกว่า ต้วนหลิงเทียน เป็นศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือ”


 


“วังเทียนฉือ?”


 


หลังจากรับแหวนพื้นที่ไป เด็กชายก็หยดเลือดผูกพันธะ จากนั้นก็ส่องภายในตรวจดูสิ่งของในแหวน ขณะพยักหน้าเบาๆ ก็กล่าวกับเหลยยจวิ้นว่า “สถานะของเป้าหมายไม่มีปัญหา…อย่างไรก็ตามหากมันซ่อนตัวอยู่ในวังเทียนฉือและไม่ออกไปไหน พวกเราก็มิอาจทำอะไรมันได้”


 


“ก่อนที่เจ้าจะมาจ้างวานพวกเรา คงรู้ว่ามันกำลังจะออกจากวังเทียนฉือแล้วกระมัง? เช่นนั้นมันออกจากวังเทียนฉือเมื่อไหร่ จงติดต่อมาหาข้าโดยเร็วที่สุด”


 


เด็กชายกล่าว


 


วังเทียนฉือเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ และค่ายกลที่ปกป้องอาณาเขตวังเทียนฉือนั้นก็ทรงพลังเสียจนต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามก็แทบไม่อาจบุกฝ่าเข้าไปได้ง่ายๆ


 


ถึงแม้จะบุกฝ่าเข้าไปได้ แต่ก็คงต้องถูกพบเจอทันที ไม่มีทางลอบเข้าไปอย่างลับๆได้เลย


 


“เรื่องนี้ขออาวุโสโปรดวางใจ”


 


เหลยจวิ้นคลี่ยิ้ม พลางกล่าว “ตอนนี้เป้าหมายได้เดินทางไปยังวิหารเฟิงฮ่าวสาขาแดนอู๋หยาเรา…อย่างไรก็ตามข้างกายมันมีจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่หนึ่งคน และเป็นอาจารย์ของมัน จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง แห่งวังเทียนฉือ”


 


“จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีรึ?”


 


ได้ยินคำพูดของเหลยจวิ้น เด็กชายก็เลิกคิ้วขึ้น “ไม่น่าแปลกใจที่พวกเจ้าจะจ่ายค่าจ้างมาให้ข้าตามเกณฑ์นี้…ที่แท้ข้างกายมันมีจักรพรรดิอมตะสมญานามคุ้มกะลาหัวนี่เอง”


 


“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมันออกจากวังเทียนฉือมาแล้ว พวกเราตกลงรับงานนี้”


 


ชายหนุ่มกล่าวต่อ “ตอนนี้เจ้าเล่าอัตลักษณ์ของมัน รวมถึงคนที่มากับมันให้ข้าฟังอย่างละเอียด…หากมีภาพเหมือนหรือลูกแก้วเงาลอยย่อมดีที่สุด”


 


“ข้าเตรียมทั้งหมดไว้ให้อาวุโสแล้ว”


 


เหลยจวิ้นกล่าววอ่างสุภาพ จากนั้นก็สะบัดมือส่งม้วนภาพไปให้เด็กชายทันที


 


หลังจากนั้นไม่รอให้เด็กชายพูดซ้ำ เหลยจวิ้นก็ส่งลูกแก้ววิญญาณของตัวเองไปให้เด็กชาย ก่อนจะประสานมือโค้งคารวะเป็นการอำลาเด็กชาย แล้วหันหลังจากไปทันที


 


แน่นอนว่าก่อนที่เหลยจวิ้นกับหานอวิ๋นจิ่นจะจากไปไหนไกล เด็กชายก็ไม่ลืมส่งลูกแก้ววิญญาณของมันไปให้เหลยจวิ้น “เจ้ารับลูกแก้ววิญญาณข้าไปด้วย หากมีเหตุเปลี่ยนแปลงอันใด ให้รีบแจ้งข้ามาทันที”


 


ทันทีที่เหลยจวิ้นกับหานอวิ๋นจิ่นหันกลับมา ในอากาศก็เหลือแต่ลูกแก้ววิญญาณกำลังลอยเข้ามาหาพวกมัน ส่วนเด็กชายนั้น ไม่ทราบหายไปที่ใดแล้ว…ราวกับคนอยู่ๆก็สาบสูญไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น!


 


“เหลยจวิ้น ลองทั้งคู่ลงมือแบบนี้…คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกระมัง?”


 


ขณะเหินร่างออกจากพื้นที่ทะเลทรายเพื่อกับวังเทียนฉือ หานอวิ๋นจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะหันไปเอ่ยถามเหลยจวิ้น


 


“ไม่มีปัญหาแน่นอน”


 


เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มอย่างมั่นใจ “หากข้าเดาไม่ผิด เด็กชายเมื่อครู่สมควรเป็น จักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน ตู๋กูเหวิน ที่เชี่ยวชาญการแปลงโฉมเปลี่ยนร่างเป็นที่สุด! ว่ากันว่าที่แท้แล้วมันมิใช่มนุษย์แต่เป็นบุปผาอมตะร้อยสี ที่สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ มีความสามารถในการปลอมแปลงรูปลักษณ์ได้ทุกรูปแบบ”


 


“ร่างเด็กชาย สมควรเป็นหนึ่งในร่างแปลงของมันเท่านั้น”


 


“จักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน ตู๋กูเหวิน ผู้นี้ แม้จักชำนาญเรื่องการปลอมแปลงรูปโฉม ดูเหมือนถนัดการลอบสังหาร แต่เอาเข้าจริงพลังฝีมือนั้นมิใช่ชั่วเลยจริงๆ สมควรมีพลังฝีมือสูงกว่าจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีรวมถึงมารดาข้า กระทั่งอาจจะมีพลังฝีมือพอๆกับอาจารย์ของเจ้า จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับด้วยซ้ำ”


 


“นอกจากนั้น ในบรรดาพวกมันทั้งสองคน ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็คือ ตู๋กูหวู่ พี่ชายของมัน…ลือกันว่ามันคือไผ่สวรรค์แกร่งที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ มีสมญานามว่า ‘ไม่ดับสูญ’ และเป็นที่รู้จักในนามจักรพรรดิอมตะไม่ดับสูญ”


 


“หากกล่าวว่าตู๋กูเหวินอาจจะเหนือกว่าฉือหล่าง ทว่าพี่ชายของมัน ตู๋กูหวู่ นั้น…ร้ายกาจกว่าฉือหล่างแน่นอน!”


 


เหลยจวิ้นกล่าว


 


“ข้าหวังว่าจักไม่มีอะไรผิดพลาด…ราคาที่พวกเราจ่ายออกไปครั้งนี้ มันมหาศาลเกินไป…”


 


หานอวิ๋นจิ่นกล่าวออกเสียงเครียด


 


ราคาที่มันกับเหลยจวิ้นจ่ายออกไปนั้นสูงมาก สามารถอธิบายได้ว่า เปลี่ยนจากมหาเศรษฐีเป็นยาจกในชั่วข้ามคืน


 


“จ่ายมาก ผลตอบแทนก็มาก…นี่คือความจริงที่มีมาแต่โบราณ”


 


เหลยจวิ้นเอ่ยออกเสียงเบา


 


ในขณะที่หานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้นเดินทางออกจากทะเลทราย ท่ามกลางซากปรักหักพัง ก็ปรากฏเงาร่าง 2 ร่างพุ่งทะยานตัดฟ้า มุ่งหน้าไปทางวิหารเฟิงฮ่าวด้วยความเร็วสูงล้ำ


WSSTH ตอนที่ 3,294 : ต้วนเสี่ยวเฮย ต้วนเสี่ยวไป๋


 


 


ณ ว่านโช่วเทียน


 


เผ่ามังกร


 


เผ่ามังกรโลหิตนั้เป็นแค่สายพันธุ์หนึ่งของเผ่ามังกรเท่านั้น และเผ่ามังกรที่ว่าก็คือเผ่าที่มีมังกรเทพยดาทุกสายพันธุ์ ยกเว้นแต่มังกรโลหิตสายพันธุ์เดียว


 


ไม่ว่าจะมังกรทอง มังกรมาร มังกรขาว มังกรฟ้า มังกรแดง…ฯลฯ ในบรรดาที่กล่าวมา มังกรทองกับมังกรมารนั้นถือว่ามีฐานะสูงสุดในบรรดามังกรเทพยดา รองลงมาก็คือมังกรขาว มังกรฟ้า มังกรแดง และอื่นๆ


 


มังกรโลหิตแม้จากรูปลักษณ์จะจัดเป็นมังกรเทพยดาเหมือนกัน แต่ทว่าสายพันธุ์ของพวกมันนั้นแปลกประหลาด มีวิถีชีวิตต่างจากมังกรสายพันธุ์อื่นโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นมังกรสายพันธุ์อื่นจึงไม่อยากนับญาติกับพวกมัน…


 


และถิ่นที่อยู่อาศัยของเผ่ามังกร แน่นอนว่าต้องกว้างขวางใหญ่โตสุดที่เผ่ามังกรโลหิตจะเทียบได้


 


“ต้วนเสี่ยวเฮย! ต้วนเสี่ยวไป๋!”


 


และตอนนี้เอง ในหุบเขาที่พักของศิษย์อัจฉริยะของเผ่ามังกร ก็ปรากฏร่างในชุดคลุมสีทองหนึ่งกำลังยืนเผชิญหน้ากับชายหนุ่มในชุดสีดำกับหญิงสาวในชุดสีขาว


 


ชายในชุดคลุมทองที่ว่าก็เป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าเคร่งขรึม สองตาเป็นประกายสดใสปานดวงดารา


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันกำลังมองจ้องชายหนุ่มชุดดำกับหญิงสาวชุดขาวเบื้องหน้าด้วยสายตาดุร้าย


 


ชายหนุ่มชุดดำนั้นมีใบหน้าหล่อเหลาเอาเรื่อง มาดขรึมแลดูเย็นชา รูปร่างสูงสมส่วนแข็งแรง ทั่วร่างเปล่งกลิ่นอายไร้สภาพเยียบเย็นออกมา


 


ส่วนหญิงสาวในชุดขาวราวหิมะนั่น หน้าตาสะสวย เพียงยืนอยู่เฉยๆก็ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์เลอค่า


 


“จี้เหยียน…นี่เจ้าคิดจะท้าทายข้ากับเสี่ยวเฮยจริงๆหรือ?”


 


หญิงสาวในชุดขาวอันมีเส้นผมสีดำเงางามทอดยยาวลงมาดั่งม่านน้ำตก ค่อยๆกลอกตาดั่งสารทฤดูไปเหลือบมองชายหนุ่มในชุดคลุมทอง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆว่า “ข้าจำได้ว่า…เมื่อ 30 ปีก่อนเจ้าก็ถูกข้ากับเสี่ยวเฮยทุบตีฝ่ายเดียวมิใช่หรือ?”


 


“หึ!!”


 


ชายยหนุ่มในชุดคลุมทองพ่นลมสบถออกมาเสียงเย็น “เจ้ายังพูดอยู่กับปากว่าเมื่อ 30 ปีก่อน…วันนี้ผู้ใดจักทุบตีผู้ใดฝ่ายเดียวมันก็ไม่แน่นักหรอก!!”


 


“ดูเหมือนว่าการไปทดสอบรับสมญานามที่วิหารเฟิงฮ่าวมาได้ จักทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นหลายส่วน…”


 


หญิงสาวชุดขาวคลี่ยิ้ม


 


“เลิกพล่ามเหลวไหลได้แล้ว ลงมือเสียที!!”


 


ชายหนุ่มในชุดคลุมทองโพล่งออกมาอย่างดุดัน แววตาพุ่งยิงรังสีฆ่าฟันออกมาเข้มข้น จากนั้นร่างมันก็กลับกลายเป็นสายฟ้าสีทอง ฟาดผ่าไปทางคู่ชายหนุ่มหญิงสาวเบื้องหน้า!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


อีกด้าน ชายหนุ่มชุดดำกับหญิงสาวชุดขาว ก็เคื่อนไหวด้วยความเร็วสูง จนทิ้งภาพติดตาค่อยๆเลือนรางหายไปในความว่างเปล่า


 


ปงงง!!


 


เปรี๊ยงงง!!!


 



 


เพียงการประมือในช่วงเวลาสั้นๆของทั้ง 3 ความว่างเปล่าก็สะท้านสะเทือนไปหมด! เสียงระเบิดดังสนั่นปานฟ้าคำรนอุบัติออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ผืนดินผนังผาสั่นสะเทือนเลือนลั่นราวบังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ คลื่นพลังสะท้อนกลายเป็นสายลมแรงพัดกวาดไปทั่วสารทิศ!


 


“เฮ่อ เจ้าเสี่ยวเฮย กับเสี่ยวไป๋มักรังแกผู้อื่นแบบนี้เสมอ…ไม่ว่าใครคิดท้าทายก็ต้องสู้กับพวกมัน 2 คนพร้อมกันตลอด”


 


คนเผ่ามังกรที่ชมดูการปะทะอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา กล่าวด้วยน้ำเสียงจนปัญญา


 


“ทั่งคู่เป็นพี่น้องที่ไม่เคยแยกจากกัน เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกมันจะลงมือพร้อมกัน”


 


ชายหนุ่มเผ่ามักรอีกคนกล่าว “ที่สำคัญพวกเจ้าคิดว่าทั้งคู่อายุเท่าไหร่กัน? พวกมันแต่ละคนยังไม่ถึง 300 ปีที ให้เอาอายุของพวกมันทั้งคู่มารวมกัน ยังไม่ถึงครึ่งของจี้เหยียนด้วยซ้ำ เช่นนั้นต่อให้พวกมันกลุ้มรุมก็ไม่ถือว่าเอาเปรียบจี้เหยียนแม้แต่น้อย!”


 


“จักว่าไปก็จริงของเจ้า อายุของจี้เหยียนยังมากกว่าอายุของพี่น้องคู่นั้นรวมกันเสียอีก…”


 


“ถึงแม้ต้วนเสี่ยวเฮยกับต้วนเสี่ยวไป๋จะมาจากระนาบโลกียะอันล้าหลัง แต่มิคาดพอมาถึงเผ่ามังกรของพวกเราหลังจากเข้าใช้สระชำระมังกรบรรพชนของเผ่ามังกรเรา พวกมันก็ถึงกับวิวัฒนาได้สำเร็จ เจ้าต้วนเสี่ยวเฮยนั่นกลายเป็นมังกรมาร 9 กรงเล็บ ส่วนต้วนเสี่ยวไป๋ก็กลายเป็นมังกรขาว 9 กรงเล็บ…นับว่าเป็นตัวตนที่หาได้ยากในเผ่ามังกรของพวกเรานัก”


 


“เห็นว่าตอนพวกมันทั้งคู่อยู่ในระนาบโลกียะ ก็เคยผ่านการใช้สระชำระโลหิตของหุบจันทร์โลหิตมาก่อน สายเลือดของพวกมันจึงเข้มข้นขึ้นกระทั่งพัฒนาเป็นมังกรมาร 8 กรงเล็บกับมังกรขาว 8 กรงเล็บได้สำเร็จ! ด้วยความที่พวกมันมีรากฐานดีเช่นนี้ ทำให้ยามเข้าใช้สระชำระมังกรบรรพชนของพวกเรา พวกมันจึงยกระดับพัฒนากลายเป็นมังกรมาร 9 กรงเล็บกับมงกรขาว 9 กรงเล็บได้อย่างราบรื่น!”


 


“พวกเจ้าก็คงได้ยินเรื่องนี้กันมาแล้วกระมัง เห็นว่าพอหุบจันทร์โลหิตได้ยินว่าทั้งคู่เคยเข้าใช้สระชำระโลหิตของพวกมัน จึงส่งผลให้ทั้งคู่พัฒนากลายเป็นมังกรมารกับมังกรขาว 9 กรงเล็บได้สำเร็จ พวกมันก็ถึงกับมาร่ำร้องหาผลประโยชน์กันใหญ่”


 


“ใช่ๆๆ ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องนั้นมาเหมือนกัน เห็นว่าเถียงกันรุนแรงจนโถงสั่นเลยทีเดียว…แถมเจ้าหุบเขาจันทร์โลหิตนั่น พอเห็นว่าผู้นำเผ่ามังกรเราไม่ยอมจ่ายใดๆ พวกมันก็ทำท่าจะคว้าตัวพี่น้องคู่นี้ไปถ่ายเดียว…”


 



 


ต้วนเสี่ยวเฮยกับต้วนเสี่ยวไป๋ถึงแม้ทั้งคู่จะมาจากระนาบโลกียะ แต่ทว่าหลังเข้าสู่เผ่ามังกรได้แค่ 200 ปี ทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นศิษย์อัจฉริยะของเผ่ามังกรทันที


 


และเมื่อ 2 ร้อยปีก่อน ทั้งคู่พึ่งถูกพาตัวมาถึงเผ่ามังกรไม่ทันไร หลังจากผ่านสระชำระมังกรบรรพชนของเผ่ามังกร ทั้งคู่ก็วิวัฒน์เป็นมังกรมาร 9 กรงเล็บกับมังกรขาว 9 กรงเล็บได้สำเร็จ จนถูกเผ่ามังกรสนับบสนุนทุ่มทุนปลูกฝังทันที


 


ตอนนี้หลังเวลาผ่านมา 200 ปี พลังฝีมือของทั้งคู่นั้น ไม่ว่าคนใดคนหนึ่งก็ใกล้เคียงกับจอมราชันอมตะแล้ว


 


ทว่าหากให้ทั้งคู่ร่วมมือกัน กวาดตามองไปทั่วทั้งเผ่าพันธุ์มังกร ผู้ที่มีด่านพลังต่ำกว่าขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของทั้ง 2 ได้เลย…


 


“ต้วนเสี่ยวเฮย ต้วนเสี่ยวไป๋…อุ่นเครื่องเท่านี้ก็พอกระมัง คืนร่างที่แท้จริงกันเถอะ!”


 


ทันใดนั้นเสียงกังวานปานระฆังวัดของจี้เหยียนก็ดังลั่นเข้าหูเหล่ามังกรมุงทั้งหลายปานฟ้าร้อง


 


“กรรรร—!!”


 


พริบตาต่อมาเสียงมังกรคำรามสะท้านสะเทือนแดนดิน ก็ดังขึ้นเข้าหูผู้คนตามติด!


 


ทันใดนั้นทุกสายตาก็แลเห็นว่า จี้เหยียนในชุดคลุมทองนั้น ได้เปล่งแสงสีทองออกมาสว่างเจิดจ้า ก่อนคนจะกลับกลายเป็นมังกรทอง 9 กรงเล็บยาวกว่าหมื่นหมี่!


 


มังกรเทพยดาสีทอง 9 กรงเล็บยาวนับหมื่นหมี่ตัวนี้ ทั่วร่างเปล่งประกายด้วยแสงสีทองสว่างไสว และในแสงสีทองก็แผ่ซ่านกลิ่นอายเยียบเย็น ชวนให้ผู้ที่ชมมองอดหนาวสะท้านไปไม่ได้!


 


“กรรรร!!!”


 


“กรรรร!!!”


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่จี้เหยียนเปลี่ยนร่าง เสียงมังกรคำราม 2 สำเนียงก็ดังขึ้นตามติด เป็นชายหนุ่มชุดดำกับหญิงสาวในชุดขาว ที่ร่างค่อยๆกลับกลายเป็นเงาเลือน จากนั้นมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ 2 ตัวที่มีลำตัวยาวราวหมื่นหมี่ก็ปรากฏตัวขึ้น!!


 


มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บทั้ง 2 นั้นไม่ใช่มังกรเทพยดาสีทองเหมือนจี้เหยียน แต่เป็นมังกรมาร 9 กรงเล็บและมังกรขาว 9 กรงเล็บ!


 


ร่างงกายของมังกรมารนั้นมีสีดำสนิท เกล็ดแต่ละเกล็ดก็ส่องแสงสีดำออกมาเรืองๆ และความเยียบเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวเกล็ดนั้น ยังเหนือกว่าเกล็ดสีทองของจี้เหยียนเสียอีก เพียงมองก็ชวนให้รู้สึกหนาวจับกระดูกพิกล!


 


ส่วนมังกรขาวนั้นลำตัวของมันเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เกล็ดยังเรืองแสงขาวศักดิ์สิทธิ์ ให้ความรู้สึกสง่างามสูงส่ง เลอค่า จนไม่กล้าจับต้องให้มัวหมอง


 


“จะว่าไปทุกวันนี้ในเผ่ามังกรของพวกเราดูเหมือนจะมีมังกรขาว 9 กรงเล็บแค่ 2 ใช่ไหม…นอกจากต้วนเสี่ยวไป๋แล้ว ก็มีแต่อาวุโส 4 เท่านั้นที่เป็นมังกรขาว 9 กรงเล็บ”


 


หนุ่มมังกรคนหนึ่งกล่าวพึมพำออกมา


 


“เฮ่อ หากไม่ใช่เช่นนั้นมีหรือผู้อาวุโส 4 จะประคบประหงมต้วนเสี่ยวไป๋ราแก้วตาดวงใจซะขนาดนั้น…นั่นไงข้าพูดไม่ทันขาดคำท่านผู้อาวุโส 4 มานู่นแล้ว”


 


“ไหนเล่า?”


 


“นู่นไง…”


 



 


หลังจากนั้นเผ่ามังกรที่ชมดูการต่อสูอยู่ก็หันไปมองดูรอบๆสักพัก ก่อนจะเห็นร่างในชุดขาวลอยอยู่บนฟ้าสูงไกลตาเหนือหุบเขาอัจฉริยะอย่างงสงบ


 


ร่างในชุดขาวที่ว่าเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามนางหนึ่งในชุดสีขาวบริสุทธิ์ หากทว่าชุดของนางมีความหรูหรา ให้ความรู้สึกสง่างามมีระดับ สองตากระจ่างของนางจับจ้องไปยังร่างมังกรขาวที่กำลังต่อสู้ในหุบเขาอัจฉริยะด้วยความอ่อนโยนเป็นที่สุด


 


“อาวุโสจี้เซียงก็มาด้วย!”


 


ข้างกายสตรีชุดขาวนั้น ยังมีสตรีอีกนางหนึ่ง และเป็นอาวุโสที่อ่อนวัยที่สุดในเผ่ามังกร จี้เซียง


 


“ท่านแม่ ยาโถวน้อยเสี่ยวไป๋คนนี้…ดูเหมือนจะร้ายกาจกว่าท่านตอนยังเด็กเสียอีก!”


 


จี้เซียงหันไปกล่าวกับสตรีข้างกายด้วยรอยยิ้ม


 


สตรีที่มีรูปโฉมงดงามในชุดขาวหรูหรามีระดับนั้น ก็คืออาวุโสลำดับที่ 4 ของเผ่ามังกรแห่งว่านโช่วเทียน จี้หนิงอวิ๋น


 


ต้วนเสี่ยวไป๋ มังกรขาวจากระนาบโลกียะนั้น เป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของนาง และตำแหน่งของเสี่ยวไป๋ใจนางถึงกับทำให้จี้เซียงลูกสาวแท้ๆของนางอดไม่ได้ที่จะอิจฉาอยู่บ้าง


 


“อื้อ…ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าจะมีมังกรขาว 9 กรงเล็บที่ร้ายกาจเท่านางทั้งที่ยังมีวัยเพียงเท่านี้ปรากฏขึ้นมาได้”


 


จี้หนิงอวิ๋นพยักหน้า “โชคดีนักที่เจ้าพบเจอนางกับเสี่ยวเฮยและชิงนำตัวทั้งคู่กลับมาเผ่ามังกรเรา ก่อนที่จะถูกพาไปยังหุบจันทร์โลหิต…หากทั้งคู่ถูกพาตัวไปถึงหุบจันทร์โลหิต และถูกค้นพบว่ามีศักยภาพพรสวรรค์ขนาดนี้ เกรงว่าพวกมันคงไม่มีทางปล่อยให้ทั้งคู่กลับสู่เผ่ามังกรของพวกเราแน่…”


 


“เจ้าจี้เหยียนนั่นพึ่งจะกลับมาจากวิหารเฟิงฮ่าวเมื่อเดือนก่อน…เห็นว่าตอนมันอยู่ในสถานที่ทดสอบรับสมญานามของวิหารเฟิงฮ่าว มันพบเจอโชคโดยบังเอิญ ทำให้ประสบความก้าวหน้าไม่น้อย กล่าวไปพลังฝีมือของมัน ในเผ่ามังกรเราผู้ที่อยู่ใต้ขอบเขตจักรพรรดิอมตะ นอกจากเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ที่ร่วมมือกันแล้ว ข้าเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดรับมือมันได้อีก”


 


จี้เซียงกล่าว


 


“อย่างไรเสีย มันก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋”


 


จี้หนิงอวิ๋นส่ายหัวไปมา


 


“พูดไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋จักมีโชควาสนาสูงล้ำ ถึงกับได้รับสืบทอดเคล็ดวิชาคู่ในตำนานของเผ่ามังกรเราที่หลงคิดว่าหายสาบสูญไปแล้ว…วันหน้ารอให้ทั้งคู่กลายเป็นจักรพรรดิอมตะก่อน ข้าเกรงว่าในเผ่ามังกรของเราคงไม่มีใครรับมือทั้งคู่ได้อีกต่อไป”


 


จี้เซียงกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ “ในเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลกอันกว้างใหญ่ ผู้ที่สามารถใช้วิชาคู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย…อย่างไรก็ตามในบรรดาผู้ที่ใช้วิชาคู่ที่ร้ายกาจที่สุดก็เห็นจะเป็น 2 คู่แฝดแห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ผู้นำสายก้านเจี้ยงกับผู้นำสายม่อเหยีย จูเก่อฟง และจูเก่ออวิ๋น…แม้จะเป็นแค่จักรพรรดิอมตะ แต่ยามร่วมมือกันก็เข่นฆ่าได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานาม…”


 


“แต่ต่อไปไม่แน่ว่าทั้งคู่จะได้ครองบัลลังก์วิชาคู่ได้อีก สุดท้ายเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ก็เป็นคู่แฝดเหมือนกัน และที่สำคัญที่สุดก็คือทั้งคู่นั้นหนึ่งเป็นมังกรมาร 9 กรงเล็บ อีกคนก็เป็นมังกรขาว 9 กรงเล็บ ความสำเร็จในภายภาคหน้ามีแต่จะเหนือกว่า ไม่มีทางด้อยกว่าสองแฝดนิกายกระบี่หมื่นหายนะแน่!”


 


ฟังจากคำพูดของจี้เซียงแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีความมั่นใจในมังกรมาร 9 กรงเล็บ กับมังกรขาว 9 กรงเล็บเบื้องหน้าสุดใจ!


 


“เรื่องนี้ข้าไม่สงสัยเลย”


 


ในขณะที่จี้หนิงอวิ๋นกล่าวเห็นด้วยออกมาเสียงเบา สองตางามของนางก็หรี่ลงเอ่ยออกด้วยยน้ำเสียงวาดหวัง “ที่ข้าสนใจ…ทั้งคู่มิทราบว่าจักวิวัฒนาการเป็นมังกรเทพยดา 10 กรงเล็บได้หรือไม่…”


 


“คำนวณจากเวลา…เผ่ามังกรของพวกเราก็มิมีมังกรเทพยดา 10 กรงเล็บมาได้ราวๆแสนปีแล้ว…ตอนนี้มีโอกาสที่จะปรากฏขึ้นทุกเมื่อ และการปรากฏตัวครั้งนี้ มิแน่อาจเป็นทั้งคู่”


 


จี้หนิงอวิ๋นกล่าว


 


“10…มังกรเทพยดา 10 กรงเล็บ!?”


 


จี้เซียงได้ยินดังนั้นก็กล่าวออกมาด้วยความตกใจ จากนั้นก็หันขวับไปจับจ้องการปะทะไกลตา มองร่างมังกรเทพยดาสีทอง 9 กรงเล็บครู่หนึ่ง จากนั้นก็ย้ายไปมองมังกรมารกับมังกรขาว 9 กรงเล็บอย่างเลื่อนลอย พอดึงสติกลับมาก็อดพึมพำไม่ได้ “ทั้งคู่…เป็นไปได้หรือ?”


 


“ข้าได้หารือกับพ่อเจ้ารวมถึงผู้นำเผ่าแล้ว…ทั้งคู่มีโอกาสสูงทีเดียว”


 


จี้หนิงอวิ๋นกล่าว


 


“ท่านพ่อกับท่านผู้นำ…ก็คิดเช่นนั้นหรือ!?”


 


ได้ยินเรื่องนี้ จี้เซียงรู้สึกเสมือนลมหายใจขาดห้วงทันที


 


บิดาของนางก็คือผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกร และผู้นำที่ว่าก็คือผู้นำของเผ่ามังกร! พลังฝีมือของทั้งคู่นั้น…เรียกว่าติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของเผ่ามังกร!!


 


ทั้งเผ่ามังกร มีจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 16 คน!


 


เช่นนั้นการที่มีพลังฝีมือติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของทั้งเผ่าได้ พลังฝีมือของบิดาจี้เซียงร้ายกาจขนาดไหนก็พอจะจินตนาการได้ออก!


 


“ต้วนเสี่ยวเฮย! ต้วนเสี่ยวไป๋…ถ้าพวกเจ้าแน่จริง ก็มาสู้กับข้าตัวๆสิ!!”


 


บัดนี้การต่อสู้ในหุบเขาอัจฉริยะก็ได้จบลงแล้ว หลังผ่านการแปลงร่างไปได้ราวๆ 10 ลมหายใจ จี้เหยียนก็แพ้พ่ายให้กับการร่วมมือของเสี่ยวเฮยและเสี่ยวไป๋


 


“จี้เหยียน ยิ่งมาวิชาไร้ยางอายของเจ้ายิ่งกล้าแข็งแล้วจริงๆ”


 


หญิงสาวในชุดขาวราวหิมะแรกฤดูหนาว มองกล่าวกับจี้เหยียนด้วยรอยยิ้มเยาะ “เจ้าอายุเท่าไหร่ แล้วข้ากับเสี่ยวเฮยอายุเท่าไร? เจ้ายังมีหน้ามาท้าพวกเราสู้ตัวๆอีกหรือ?”


 


“เจ้าลองไถ่ถามตัวเองดูเถอะ…ว่าตอนที่เจ้าอายุเท่าพวกเรา เจ้าสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราคนใดคนหนึ่งได้หรือไม่?”


 


ได้ยินคำถามของหญิงสาวชุดขาว สีหน้าจี้เหยียนก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก มันไม่อาจพูดอะไรได้ออก เพราะตอนที่มันมีอายุพอๆกับทั้งคู่ พลังฝีมือของมันเรียกว่าห่าชั้นกับทั้งคู่คนละโลก…


WSSTH ตอนที่ 3,295 : จอมราชันอมตะหมอกพิรุณ


 


 


วิหารเฟิงฮ่าว


 


ณ สถานที่ทดสอบจามราชันอมตะสมญานาม


 


‘ขาดอีกแค่ 2 ส่วนเท่านั้น…’


 


ตอนนี้วันเวลาก็ได้ล่วงเลยไปหนึ่งปีแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่ต้วนหลิงเทียนเข้ามาในสถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะสมญานาม…


 


ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น นอกจากแดนลับย่อยที่เมิ่งห่าวซวนพบเจอ ต้วนหลิงเทียนยังพบแดนลับย่อยอันเป็นสถานที่ทดสอบอีก 2-3 แห่ง


 


และด้วยอาศัยแรงกดดันจากสถานที่ทดสอบทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนก็สามารถหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวได้ถึง 8 ส่วน ขาดอีกแค่ 2 ส่วนเท่านั้น ก็จะหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวได้สมบูรณ์


 


พอถึงตอนนั้น เขาก็สามารถเริ่มต้นกระบวนการควบรวมพลังชีวิตของต้นไม้เทพสนหลิว เพื่อสร้างร่างอวตารกฏของมันได้ทันที เมื่อทำสำเร็จพลังต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกหลายระดับ


 


“พี่สาวสุ่ย ตลอดปีที่ผ่านมา…ท่านสั่งสอนอะไรเจ้ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไปบ้างกันแน่ ไฉนข้ารู้สึกว่าพวกมันเริ่มมีลักษณะท่าทางเหมือนกันมากขึ้นเรื่อยๆเลยเล่า”


 


ต้วนหลิงเทียนอดถามวารีเทพชำระโลกาในโลกใบเล็กด้วยความสงสัยไม่ได้ ตลอดปีที่ผ่านมาเขาก็มักให้ความสนใจเรื่อราวในโลกใบเล็กบ่อยครั้ง และชมดูทีไรก็เห็นวารีเทพชำระโลกากำลังอบรมสั่งสอนมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่น


 


มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัวนั้น เดิมทีพวกมันก็มีแค่รูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันเท่านั้น แต่ลักษณะท่าทาง รวมถึงความรู้สึกที่ส่งออกมาของพวกมันแต่ละตัว ไม่ได้เหมือนกันเลย…แต่ตอนนี้กระทั่งกลิ่นอายยังคล้ายกันมากๆแล้ว!


 


“ข้ากำลังสอนให้พวกมันรู้จักการผสานพลังจู่โจม..โดยใช้ค่ายกลสัมพันธ์จิตใจผ่านสายโลหิตของพวกมัน ตอนนี้พวกมันไม่เพียงแต่จะรู้ว่าการผสานพลังคืออะไร กระทังเริ่มสำเร็จเคล็ดวิชาจู่โจมร่วมกันแล้วด้วย”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว “โชคดีนักที่สติปัญญาทั้งความเข้าใจของพวกมันไม่อ่อนด้อย…ตอนนี้หลังจากพวกมันโจมตีผสานกันได้แล้ว…พลังทำลายของพวกมันได้ถีบตัวสูงขึ้นกว่าก่อนหน้าอีกขั้น”


 


“แบบนี้นี่เอง”


 


ต้วนหลิงเทียนอดอึ้งไปไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจเรื่องราว หากคนสองคนสามารถร่วมมือกันได้อย่างลงตัว พลังต่อสู้จะไม่ใช่เพิ่มขึ้นอย่างหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง ทว่าพลังอานุภาพจะเหนือกว่านั้นมาก!


 


ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นคนไกล ยกตัวอย่างเช่น สองผู้นำสายก้านเจี้ยงและม่อเหยียของนิกายกระบี่หมื่นหายนะแห่งอวี้หวงเทียนที่เป็นฝาแฝดกันนั้น ยามผสานพลังกัน กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วๆไปก็มีแต่จะถูกฆ่าตายเอาได้ง่ายๆ!


 


‘นี่มันก็ผ่านไป 1 ปีแล้ว ไม่รู้ทางด้านฮ่วนเอ๋อกับคนอื่นๆเป็นยังไงกันบ้าง…ป่านนี้คงกลับออกไปกันหมดแล้วกระมัง?’


 


ต้วนหลิงเทียนพึมพำในใจ


 


ในสายตาเขา ด้วยพลังของฮ่วนเอ๋อเรื่องฆ่าจอมราชันอมตะ 9 คนในสถานที่ทดสอบ สมควรง่ายดายไร้ปัญหาอะไร


 


และก็เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิด ตอนนี้ในบรรดาคนที่มากับเขาและเข้าสู่สถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะพร้อมๆกัน ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่ยังไม่กลับออกไป…และไม่เพียงแค่ฮ่วนเอ๋อ หูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อเท่านั้น กระทั่ง หนานหลิวเฟิงศิษย์ของจักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดงเจิ้งอวี้อี้ ก็กลับออกมาเรียบร้อยแล้ว


 


ทั้ง 4 คนล้วนผ่านการทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว กลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานามเรียบร้อย


 


ฮ่วนเอ๋อตั้งสมญานามให้ตัวเองว่า ‘มายาสวรรค์’ (天幻)


(天幻 อ่านว่า เทียนฮ่วน)                              


 


คำว่าสวรรค์ (天) มาชื่อของเขา ส่วน มายา (幻) ก็มาจากชื่อของฮ่วนเอ๋อ


 


จอมราชันอมตะมายาสวรรค์ ฮ่วนเอ๋อ!


 


“ไฉนศิษย์น้องเล็กยังไม่ออกมาอีกเล่า…”


 


ด้านนอกวิหารเฟิงฮ่าว หลังจากคู่ศิษย์อาจารย์อย่างจักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดงจากไป หูเหมยก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ


 


ในสายตาของนาง ด้วยพลังฝีมือของศิษย์น้องเล็ก น่าจะออกมาได้ตั้งนานแล้ว…แต่ตอนนี้กลับยังไม่ออกมาแม้จะผ่านไปเนิ่นนาน ใช่มีปัญหาอะไรรึเปล่า?


 


แน่นอนว่าหูเหมยก็มีลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนอยู่ ซึ่งยืนยันได้ว่าต้วนหลิงเทียนยังมีชีวิตไม่ได้พลาดท่าตายตก เช่นนั้นนางจึงไม่กังวลเรื่องต้วนหลิงเทียนจะพลาดท่าตายตก เพียงแค่กังวลว่าต้วนหลิงเทียนจะเจอปัญหาพัวพันยากถอนตัว ทำให้เกิดความล่าช้าออกไป…


 


“ศิษย์น้องเล็กยังมีชีวิตอยู่ดี…จริงสิ!”


 


เวิ่นหว่านเอ๋อที่แลดูสงบกว่ามาก กล่าวออก “ไม่แน่ศิษย์น้องเล็กจะพบโอกาสโดยบังเอิญด้านใน…เพราะอาศัยพลังฝีมือของศิษย์น้องเล็ก หากตั้งใจจะผ่านการทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวจริงๆคงทำได้ง่ายๆ…”


 


ด้านฉือหล่างเพียงหลับตาพักผ่อน ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร


 


อย่างไรก็ตามนานๆครั้งฉือหล่างที่ลืมตาขึ้นมาเหลือบมองฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างๆ พอได้เห็นแววตาสงบไร้กังวลของฮ่วนเอ๋อ มันก็อดคิดไปไม่ได้ ‘ดูเหมือนยาโถวน้อยนางนี้จะไม่ได้กังวลเรื่องเจ้าหนูนั่นเลย…ไม่ทราบว่ามั่นใจในตัวเจ้าหนูนั่น หรือทราบสาเหตุที่เจ้าหนูนั่นไม่รีบร้อนออกมา…’


 


ทั้ง 4 คนได้แต่เฝ้ารอต่อไป และหลังจากผ่านไปอีก 4 เดือน ในที่สุดทุกคนก็ได้รับข้อความติดต่อมาจากต้วนหลิงเทียน “ข้าออกมาแล้ว…ตอนนี้กำลังจะไปจัดการเรื่องบันทึกสมญานามกับผู้อาวุโสวิหารเฟิงฮ่าว”


 


หูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะระบายยลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หลังได้รับข้อความดังกล่าวจากต้วนหลิงเทียน


 


ในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว สามารถใช้อุปกรณ์อมตะอย่างอาวุธหรือชุดเกราะได้ แต่ไม่อาจใช้ยันต์อมตะใดๆได้เลย ไม่เว้นยันต์อมตะสื่อสารทุกชนิด


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องติดต่อกับโลกภายนอก กระทั่งผู้คนในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว ก็ไม่อาจส่งข้อความติดต่อกันได้!


 


ภายในวิหารเฟิงฮ่าว


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนกลับออกมาจากสถานที่ทดสอบแล้ว เขาก็เดินตามอาวุโสของวิหารเฟิงฮ่าวที่รออยู่คนหนึ่ง ไปยังสถานที่ๆเรียกว่าโถงจอมราชันอมตะของวิหารเฟิงฮ่าว


 


อาวุโสของวิหารเฟิงฮ่าวที่กำลังพาเขาไปยังโถงจอมราชันอมตะนั้น สวมใส่ชุดคลุมลมดำแถมมีหน้ากากปกปิดใบหน้ามิดชิด ทำให้เขาไม่อาจแลเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายได้เลย


 


“เจ้าสมควรคิดสมญานามของเจ้าไว้ก่อน พอไปถึงโถงจอมราชันอมตะ ข้าจักได้บันทึกสมญานามของเจ้าได้เลย”


 


เสียงของอาวุโสวิหารเฟิงฮ่าวดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน ฟังแล้วช่างแหบแห้งและมีอายุไม่น้อย ทว่ากลับเต็มไปด้วยพลังกล้าแข็ง


 


“ข้าได้คิดเอาไว้แล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


หลังจากอาวุโสวิหารเฟิงฮ่าวพาต้วนหลิงเทียนมาถึงโถงจอมราชันอมตะ เขาก็ได้เอ่ยบอกสมญานามที่คิดเอาไว้นานแล้วออกไปทันที “หมอกพิรุณ”


 


จากนี้ไปต้วนหลิงเทียนก็จะกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานาม และมีชื่อเรียกว่า จอมราชันอมตะหมอกพิรุณ


 


และหลังจากเข้ามาในโถงจอมราชันอมตะ ต้วนหลิงเทียนก็พบได้ทันที ไม่ว่าจะเสา ผนัง กำแพง หรือเพดาน ล้วนมีสมญานามสลักเอาไว้เต็มไปหมด!


 


และหากแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบสมญานามเหล่านั้น ก็จะพบบันทึกประวัติโดยสังเขปอีกด้วย


 


ต้วนหลิงเทียนที่ตรวจสอบสมญานามต่างๆ และอ่านประวัติคร่าวๆของจอมราชันอมตะสมญานามทั้งหลายได้ไม่กี่คน ก็นึกสงสัยขึ้นมา จึงหันไปเอ่ยถามอาวุโสวิหารเฟิงฮ่าวว่า “อาวุโส สมญานามที่สลักไว้ทั้งหมในโถงแห่งนี้…ล้วนเป็นสมญานามของจอมราชันอมตะสมญานามทั้งหมดที่ผ่านการทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวหรือ?”


 


เห็นสมญานามมากมายประหนึ่งดาราเกลื่อนฟ้า ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย


 


และขณะที่เขาถาม อาวุโสของวิหารเฟิงฮ่าวดังกล่าว ก็จี้ดัชนีไปวาดเขียนกลางอากาศเร็วไว จากนั้นบนเพดานที่ว่างหนึ่ง ก็ปรากฏชื่อสมญานามของเขาสลักเอาไว้!


 


และใกล้ๆกับชื่อของเขา ยังมีสมญานามมายาสวรรค์ ของฮ่วนเอ๋ออยู่ด้วย


 


“ยาโถวนี่…”


 


เมื่อเห็นสมญานามของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ที่มาสมญานามของนางเป็นธรรมดา


 


“มิผิด”


 


อาวุโสวิหารเฟิงฮ่าวกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย จากนั้นมันพาต้วนหลิงเทียนมาทางไหนก็พาต้วนหลิงเทียนกลับทางนั้น และสุดท้ายก็เลยไปส่งต้วนหลิงเทียนยังเส้นทางที่จะนำไปสู่ทางออกจากวิหารเฟิงฮ่าว


 


ระหว่างเดินไปยังทางออก ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดถึงเรื่องราวหลังจากนี้ ‘กลับไปวังเทียนฉือรอบนี้ ต้องพยามหาที่ตั้งของคุกหมื่นพันธนาการให้ได้…เมิ่งห่าวซวนมั่นใจมาก ว่าบิดาของฮ่วนเอ๋อถูกขังอยู่ที่นั่น’


 


‘หากมารดาของฮ่วนเอ๋อ หากถูกวังเทียนฉือจับขังไว้ด้วย ไม่พ้นต้องอยู่ในคุกหมื่นพันธนาการดุจเดียวกัน’


 


ต้วนหลิงเทียนไม่เคยลืมจุดประสงค์ในการเข้าร่วมวังเทียนฉือของเขากับฮ่วนเอ๋อเลย…หาเบาะแสบิดามารดาฮ่วนเอ๋อ!


 


วิ้งง!


 


ไม่นานนักต้วนหลิเทียนก็ออกจากวิหารเฟิงฮ่าวและเดินมาหยุดเบื้องหน้าฮ่วนเอ๋อกับคนอื่นๆ


 


“ศิษย์น้องเล็กในที่สุดเจ้าก็ออกมาได้เสียที…ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนเจ้าอยู่ด้านในนานนักเล่า”


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียนก้าวออกจากวิหารเฟิงงฮ่าวมาด้วยท่าทางสบายๆไร้รอยขีดข่วน หูเหมยก็อดระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้ จากนั้นนางก็ยิงคำถามออกมาทันที


 


“พอดีข้าเจอแดนลับย่อย 2-3 แดนในนั้นน่ะ และมันเป็นด่านทดสอบที่ต้องใช้คนหลายคน…ขณะที่รอไปยังด่านต่อไป หากคนอื่นที่อยู่ในด่านทดสอบด้วยยังไม่ตาย ก็จำต้องรอให้มันออกมา…ข้าเจอแบบนี้ถึง 2 แดนลับย่อยเลย ทำให้เสียเวลารอไม่น้อย พอรวมกับเรื่องที่ต้องตามหาจอมราชันอมตะคนอื่นๆให้ครบ 9 คนเพื่อฆ่า…ก็นะ”


 


ต้วนหลิงเทียนผายมือยักไหล่ด้วยสีหน้าท่าทางช่วยไม่ได้ แน่นอนว่านี่เป็นคำตอบที่เขาเตรียมเอาไว้แต่แรก


 


เป็นธรรมดาว่าข้ออ้างที่เขาเตรียมไว้แม้มันจะไม่ใช่เรื่องเท็จทั้งหมด…แต่สำหรับคนอื่นที่เข้าด่านทดสอบย่อยกับเขาแล้ว มันเป็นเรื่องจริง 9 ถึง 10 ส่วนเลยทีเดียว…


 


ส่วนเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขากระเหี้ยนกระหือรืออยากมาทดสอบที่วิหารเฟิงฮ่าวนัก เขาไม่ได้บอกออกไป


 


“อะไร? นี่เจ้าเจอแดนลับย่อยทดสอบถึง 2-3 แดนเชียวรึ? อั้ยหยาศิษย์นองเล็ก! ไฉนเจ้าโชคดีขนาดนั้นเล่า!?”


 


หูเหมยอึ้งกับคำตอบของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย “ทีข้าระหว่างเดินทางตามล่าจอมราชันอมตะ 9 คน ไม่เห็นจะเจอแดนลับย่อยทดสอบสักแดนเลย…”


 


“ศิษย้องเล็กอ่า…เจ้าทำอย่างไรหรือ? บอกศิษย์พี่หญิงมาเร็วๆ ว่าทำไมเจ้าหาแดนลับเก่งกว่าผู้อื่น!”


 


หูเหมยกล่าวถามด้วยสีหน้าโอดครวญ


 


“เอ่อ…ก็แค่ไม่ต้องรีบร้อนฆ่าคนมาก ค่อยๆไปมันก็เจอเองแหล่ะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มแห้งๆพลางตอบ


 


หูเหมยอึ้ง แต่คิดๆแล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะตอนนางพบเจอผู้คนก็ฆ่าไม่ถามทั้งนั้น…ไม่ทราบที่ตายคามือนางโดยไม่ทันได้พูดสักคำ จะมีคนที่คิดมาชวนนางไปแดนลับย่อยกี่คน…


 


“ว่าแต่แล้วผลการเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไรบ้างเล่า…ดีงามเลยสิ”


 


หูเหมยถาม


 


“ได้เรื่องอยู่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้า 7 ก็ออกมาแล้ว เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถอะ”


 


เสียงฉือหล่างดังขึ้นพอดี จากนั้นมันก็นำพาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆเดินทางกลับทันที


 


“ฮ่วนเอ๋อ เจ้าพบเจออะไรดีๆในสถานที่ทดสอบบ้างหรือไม่?”


 


ระหว่างเดินทางกลับ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปส่งเสียงผ่านพลังถามไถ่ฮ่วนเอ๋อ


 


และในขณะที่ฮ่วนเอ๋อกำลังจะส่งเสียงผ่านพลังตอบคำถามของต้วนหลิงเทียน ไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร…ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆพลันตระหนักว่า เบื้องหน้าห่างออกไปไม่ไกล มีร่าง 2 ร่างลอยค้างกลางหาวขวางทางเอาไว้!


 


1 ใน 2 ร่างที่ว่า แลแล้วเป็นเด็กชายอายุราวๆ 13-14 ปี ส่วนอีกคนมีรูปลักษณ์เป็นชายชรา


 


“จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี…”


 


เป็นเด็กชายที่ก้าวเหยียบอากาศเข้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน มองทักฉือหล่างด้วยน้ำเสียงเฉยเมยก่อน จากนั้นค่อยหันไปมองถามต้วนหลิงเทียน “ส่วนเจ้าคือต้วนหลิงเทียนกระมัง?”


 


พอกล่าวถามจบคำ สองตาของเด็กชายก็ฉายให้เห็นรังสีฆ่าฟันอันเยียบเย็นหนึ่ง!


 


‘หืม?’


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเด็กชาย สองตาต้วนหลิงเทียนก็หดหยีลงเร็วไว ชักสีหน้าจริงจังขรึมเคร่ง


 


เขาบอกได้ทันทีว่า 2 คนที่มาเบื้องหน้า ไม่ได้มาดีแน่…


 


ยิ่งไปกว่านั้นเด็กชายผู้นี่ ยังรู้อีกด้วยว่าครูเขาเป็นจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง


 


รู้ว่ามีจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่กล้ามาถึงหน้าประตูบ้านแบบนี้หมายความว่าอะไร? เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้กลัวจักรพรรดิอมตะสมญานาม! หรืออย่างน้อยๆก็ไม่กลัวจักรพรรดิอมตะทุ่ขจี ฉือหล่าง!!


 


“ไม่ทราบท่านคือ?”


 


ฉือหล่างขมวดคิ้วมองจ้องเด็กชายเขม็ง ถึงแม้เด็กชายเบื้องหน้าเสมือนมีอายุ 13-14 ปี แต่อีกฝ่ายไร้ซึ่งกลิ่นอายเลือดเนื้อเยาว์วัยอย่างที่คนมีอายุไม่ถึงร้อยปีจะมีกัน…


 


“ตู๋กูเหวิน”


 


เด็กชายตอบพลางยิ้ม


 


ตู๋กูเหวิน?


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงของเด็กชายดังจบคำ สีหน้าฉือหล่างก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง สองตาที่มองเด็กชายเผยให้เห็นถึงความกลัว จากนั้นมันก็หันขวับไปจับจ้องชายชราหลังเด็กชายอย่างอดไม่ได้ ใจสะท้านเต้นรัวไปไม่เป็นจังหวะ ‘ในเมื่อเด็กนี่คือตู๋กูเหวิน…มิใช่ว่าเจ้านั่นก็คือตู๋กูหวู่หรือไร?’


 


ตอนนี้ไม่ใช่แค่สีหน้าของฉือหล่างเท่านั้นที่เปลี่ยนไปไม่สู้ดี กระทั่งหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อก็ชักสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!


 


ทั้งคู่ย่อมเคยได้ยินเรื่องราวของตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่มาก่อน


 


ตู๋กูเหวินนั้น ก็คือจักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน เป็นดอกร้อยสีที่บำเพ็ญตบะจนจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ มีความเชี่ยวชาญเรื่องการแปลงโฉมเปลี่ยนลักษณ์อันร้ายกาจหาตัวจับยาก!


 


“ตู๋กูหวู่!?”


 


และครู่ต่อมาหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อก็หันไปมองชายชราเบื้องหลังเด็กชาย ปากพึมพำนามหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว…


WSSTH ตอนที่ 3,296 : จักรพรรดิอมตะสมญานามลงมือ!


 


 


จักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน ตู๋กูเหวิน


 


จักรพรรดิอมตะไม่ดับสูญ ตู๋กูหวู่


 


ทั้งคู่จัดเป็นคนดังของอู๋หยาเทียนก็ว่าได้ และยังมีชื่อเสียงเลื่องลือมากกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามที่มีพลังฝีมือสูงกว่าพวกมันหลายคน!


 


ที่ไฉนพวกมันถึงมีชื่อเสียงเลื่องลือนัก ไม่ใช่เพราะพลังฝีมือของพวกมันแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะพวกมันทั้งคู่แม้จะเป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว แต่ยังประกอบการค้าฆ่าคน! อีกทั้งไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นใคร ทั้งคู่ก็จะลงมือร่วมกันเสมอ!!


 


ในอู๋หยาเทียนไม่ทราบมีจักรพรรดิอมตะสมญานามกี่มากน้อยที่ตกตายด้วยน้ำมือของทั้งคู่ สิ่งนี้หนุนเสริมให้พวกมันมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น


 


และในเมื่อทั้ง 2 มาปรากฏตัวที่นี่ ไม่ว่าจะฉือหล่าง หูเหมยหรือเวิ่นหว่านเอ่อก็ตระหนักได้ทันทีว่าเป็นเรื่องราวใด…ทั้งคู่สมควรมีเป้าหมายเข่นฆ่าใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่ม!


 


และจากสายตารวมถึงคำถามของตู๋กูเหวินเมื่อครู่ เป้าหมายการเข่นฆ่าของ 2 มือสังหารก็ชัดเจนเหลือเกิน…ต้วนหลิงเทียน!


 


‘2 มือสังหารขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานาม?’


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบเรื่องราวจากเสียงผ่านพลังของหูเหมและเวิ่นหว่านเอ๋อ ทำให้เขาเองก็ตระหนักได้ไม่ยากว่าทั้งคู่สมควรมาเพื่อฆ่าเขา


 


‘2 มือสังหารระดับนี้มาเพื่อฆ่าข้า?’


 


‘ตั้งแต่ที่ข้ามายยังอู๋หยาเทียน นับรวมกันแล้วคนที่มีเรื่องกับข้าก็ไม่เกิน 3 คนไม่ใช่รึไง?’


 


ในห้วงเวลาดุจฟ้าแลบต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดเรื่องราวในใจเสร็จสรรพ เขาระบุผู้ต้องสงสัยหลักได้ทันที เพราะคนที่มีกำลังทรัพย์มากพอจะจ้าง 2 จักรพรรดิอมตะสมญานามนั้น ไม่ได้มีมากมายอะไร


 


“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไปล่วงเกินผู้ใดมากันแน่?”


 


หูเหมยเร่งถามด้วยเสียงผ่านพลังทันที


 


“ศิษย์พี่หญิง 3”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบ “จริงๆแล้วข้ากับฮ่วนเอ๋อแค่ผ่านมาอู๋หยาเทียนและได้ยินเรื่องวังเทียนฉือรับคนโดยบังเอิญเท่านั้น…กล่าวได้ว่าในวังเทียนฉือหรือกระทั่งในอู๋หยาเทียนแห่งนี้ พวกเราแทบไม่รู้จักใครเลยด้วยซ้ำ”


 


“หากถามว่าข้าไปล่วงเกินผู้ใดมา ก็เห็นจะมีแต่คนในวังเทียนฉือเท่านั้น”


 


“และหากมีใครที่คิดจะจ้างสองตัวตนระดับนี้มาฆ่าข้าจริงๆ…อย่างน้อยๆก็ต้องมีทุนรอนมากพอสมควร กระทั่งฐานะเส้นสายยังต้องไม่ใช่ชั่ว ในบรรดาคนทั้งหมดที่ข้ามีเรื่องด้วย…เห็นทีจะมีแต่หานอวิ๋นจิ่นคนเดียวกระมังที่ทำได้?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวคาด


 


“หานอวิ๋นจิ่น?”


 


ได้ยินข้อสันนิษฐานของหานอวิ๋นจิ่น หูเหมยก็ย่นคิ้วเป็นปม “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าประเมินหานอวิ๋นจิ่นนั่นสูงเกินไปแล้ว…ไม่เจ้าก็ดูเบาค่าจ้างตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่เกินไป…”


 


“เจ้าหานอวิ๋นจิ่นนั่น ต่อให้มันขายสมบัติทั้งตัว ก็เกรงว่ามีปัญญาจ่ายค่าจ้างทั้งสองคนได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น…หากมีหานอวิ๋นจิ่นสองคนยังพอเป็นไปได้ที่จะจ้างทั้งคู่มาฆ่าเจ้า…แต่หากเป็นความคิดหานอวิ๋นจิ่นเดียวมันไม่มีปัญญาแน่”


 


เห็นได้ชัดว่าหูเหมยมีความเข้าใจราคาของนักฆ่าทั้ง 2 เบื้องหน้าเป็นอย่างดี “ในวังเทียนฉือของพวกเรา…ผู้ที่จะมีทุนรอนจ่ายค่าจ้างนักฆ่าทั้ง 2 ให้มาฆ่าเจ้าเพียงลำพัง เกรงว่าคงมีแต่ 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามเท่านั้น แต่มันก็เป็นไปได้ยากมาก”


 


“เพราะอย่างไรเสีย…เจ้าก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับ จักรพรรดิอมตะสมญญานามทั้ง 9 เลย….”


 


หูเหมยกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นหากคนที่คิดฆ่าเจ้าเป็น 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือจริง ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องจ้างทั้งคู่ให้เปลืองทรัพย์สมบัติอยู่ดี…”


 


“กระทั่งต่อให้ร่ำรวยเหลือกินเหลือใช้แค่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องจ้าง! ด้วยพลังฝีมือของทุกคน คิดฆ่าเจ้าเป็นเรื่องง่ายดายมาก…เพราะหลังจากฆ่าเจ้าแล้วเต็มที่ก็แค่บาดหมางกับอาจารย์ ไม่ก็ออกจากวังเทียนฉือไป”


 


“ทว่าด้วยพลังฝีมือของทุกคน ต่อให้ออกจากวังเทียนฉือไป ขุมกำลังระดับสวรรค์อื่นๆก็ยินดีอ้าแขนต้อนรับทั้งสิ้น จะไปที่ใดก็สามารถเพลิดเพลินกับทรัพยากรได้ทุกที่”


 


ฟังคำของหูเหมยจนจบ ต้วนหลิงเทียนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เพราะหากไม่ใช่หานอวิ๋นจิ่นแล้วจะเป็นใครได้อีก?


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็เชื่อ ว่าผู้ต้องสงสัยหลักนั้นยังเป็นหานอวิ๋นจิ่น!


 


ขณะเดียวกัน เด็กชายที่แลดูมีอายุราวๆ 13-14 ปี จักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยนตู๋กูเหวิน ก็หันไปเหลือบมองฉือหล่าง กล่าวออกเสียงเฉย “ฉือหล่าง เป้าหมายของพวกเราครั้งนี้มีแค่ ต้วนหลิงเทียน ศิษย์คนที่ 7 ของเจ้าคนเดียว”


 


“เจ้าปล่อยพวกมันให้พวกเราจัดการแต่โดยดี ทุกคนก็มีความสุข…แต่หากเจ้าไม่ยินยอม เช่นนั้นพวกเราก็มีแต่ต้องขอรับทราบพลังฝีมืออันเลิศล้ำของจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีสักครา”


 


หลังตู๋กูเหวินกล่าวจบคำ ลึกลงไปในแววตาของมันก็ฉายแววเยียบเย็นอีกรอบ กระทั่งยังแลดูน่ากลัวกว่าเดิม!


 


วูบ!


 


แทบจะพร้อมกันกับที่ตู๋กูเหวินกล่าวจบคำ ร่างต้วนหลิงเทียนที่กลายเป็นภาพติดตาก็จางหายไปในฉับพลัน ราวกับคนสาบสูญไปในความว่างเปล่า


 


หลังจากที่ร่างต้วนหลิงเทียนหายไป ลูกตาตู๋กูเหวินก็ฉายแววเย็นชา ร่างสลายกลายเป็นเงาเลือนรางสายหนึ่ง พุ่งวาบตัดฟ้าไปดั่งงประกายแสง ไล่ตามต้วนหลิงเทียนที่ใช้เคลื่อนมิติหลบหนีไป!


 


ตั้งแต่ที่ระบุตัวตนต้วนหลิงเทียนได้ สำนึกเทวะของตู๋กูเหวินก็เพ่งเล็งไว้ที่ร่างต้วนหลิงเทียนตลอด


 


สำหรับตู๋กูหวู่นั้น เพียงลอยร่างอยู่ที่เดิม สองตามองจ้องฉือหล่างด้วยความคึกคัก ราวกับขอเพียงฉือหล่างเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย มันจะเปิดฉากลงมือเข้าใส่ฉือหล่างทันที


 


“พวกเรากลับกันเถอะ”


 


ฉือหล่างมองจ้องตู๋กูหวู่อีกครั้ง ก่อนหันไปเหลือบมองพวกฮ่วนเอ๋อทั้ง 3 ผ่านๆพลางกล่าว แต่ต้นจนจบไม่เผยท่าทีว่าจะตามไปช่วยต้วนหลิงเทียนเลย


 


แต่ทว่าไม่ใช่มันไม่อยากช่วย แต่มันช่วยไม่ได้!


 


เพราะจากคำร่ำลือ พลังฝีมือของตู๋กูหวู่เบื้องหน้าไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามัน…ต่อให้มันจะส่งข้อความกลับไปยังวังเทียนฉือเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กว่ากำลังเสริมจะมาถึง สิบในสิบต้วนหลิงเทียนไม่พ้นตกอยู่ในเงื้อมมือของตู๋กูเหวินแล้ว


 



 


หลังผ่านไปครึ่งค่อนวัน ตู๋กูหวู่ที่เหินร่างติดตามพวกฉือหล่างมา ก็คิดจะแยกตัวจากไป


 


ในเมื่อมันเห็นว่าฉือหล่างไม่ได้เร่งรุดไปช่วยเหลือต้วนหลิงเทียน มันจึงไม่คิดจะลงมือทำอะไรอีกฝ่าย เพราะถ้ามันลงมือก็ไม่พ้นต้องสู้ติดพัน เปลืองเรี่ยวเปลืองแรงกับฉือหล่างสักพักกว่าจะจัดการได้


 


กอปรกับตอนนี้พอเห็นว่าเวลามันก็ล่วงเลยผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้ว มันก็ไม่กังวลเรื่องที่ฉือหล่างจะรีบตามไปช่วยต้วนหลิงเทียนจากเงื้อมมือตู๋กูเหวินได้ทันอีก มันจึงคิดจะจากไป


 


“คิดจะไปหรือ?”


 


อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ตู๋กูหวู่คิดจะแยกตัวจากไป ฉือหล่างพลันลงมือทันที แสงกระบี่เยือกแข็งหนึ่งตัดฟ้าไปดั่งลำแสง เข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ตู๋กูหวู่อย่างดุดัน!


 


“ฉือหล่าง นี่เจ้ากล้าลงมือกับข้ารึ!?”


 


ตู๋กูหวู่ที่ม้วนแขนเสื้อสลายแสงกระบี่หัวเราะลั่น “หากข้าจำไม่ผิดระยะห่างระหว่างที่นี่กับวังเทียนฉือ ต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามก็ต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยๆหนึ่งวันเต็มๆ…แล้วเจ้าฉือหล่างคิดว่ามีปัญญาลากถ่วงข้า ได้ครึ่งค่อนวันเพื่อรอกำลังเสริมจากวังงเทียนฉือรึ?”


 


ตู๋กูหวู่นั้นมีรูปลักษณ์เป็นชายชรา เส้นผมสีดอกเลาของมันถูกปล่อยให้ทอดยาวลงไปด้านหลังอ่างอิสระ เสื้อผ้าแลดูมอซออยู่บ้าง ทว่าทั่วร่างกลับแผ่กลิ่นอายกระหายเลือดออกมาตลอดเวลา คงยากที่ใครจะกล้าดูแคลนมัน!


 


“ฉือหล่างได้ยินามเลิศล้ำของจักรพรรดิอมตะไม่ดับสูญมาเนิ่นนานแล้ว…เมื่อมีวาสนาได้พานพบ จึงสบโอกาสขอคำชี้แนะสักครา…”


 


สองตาฉือหล่างเปล่งประกายเอกเย็นเรืองขึ้นวูบวาบ จากนั้นมือจี้มุทรากลางอก ปรากฏแสงสีฟ้าใสควบรวมก่อเกิดกระบี่ 3 ฉื่อสีฟ้าโปร่งแสงเล่มหนึ่ง หมุนคว้างปานสว่านเบื้องหน้า ระเบิดกลิ่นอายแหลมคมออกมาอย่างรุนแรง!


 


ทันใดนั้นเอง ไอเย็นเยือกที่ปะทุออกมาจากทั่วร่างฉือหล่าง ได้ผสานหลอมรวมเข้ากับกลิ่นอายแหลมคมเบื้องหน้า จนคนกระบี่ไร้แบ่งแยก จากนั้นคนกระบี่ก็พุ่งทะยานจี้เข้าใส่ตู๋กูหวู่อย่างดุร้าย! เหนือฟ้าอุบัติเส้นทางน้ำแข็งสายหนึ่งลากยาวปานแสงดาวตก!!


 


“มาได้ดี!!”


 


ตู๋กูหวู่ที่เห็นสภาวะพลังแหลมคมของฉือหล่างแค่นคำดุดัน ก่อนจะรวมรั้งพลังเข้าต้านทานเร็วไว


 


สำหรับฮ่วนเอ๋อ หูเหม และเวิ่นหว่านเอ๋อ ทั้งหมดล่าถอยไปชมดูเรื่องราวอยู่ไกลๆ


 


ถึงแม้พลังฝีมือของตู๋กูหวู่จะเหนือกว่าฉือหล่าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถสยบเอาชัยฉือหล่างได้ในเวลาสั้นๆ ท้ายที่สุดแล้วก็ล้วนเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามด้วยกันทั้งสิ้น


 


แถมฉือหล่างก็ไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานามที่อ่อนด้อยอะไร


 


เช่นนั้นทุกคนจึงกล้าที่จะยืนชมดูเรื่องราวอยู่ห่างๆ ไม่ต้องกลัวว่าตู๋กูหวู่จะหันมาลงมือกับตัว เพราะตู๋กูหวู่ไม่มีเวลามากพอให้ทำอะไรเช่นนั้น!


 


ยอดฝีมือชิงชัย เหม่อเพียงชั่วพริบตาก็มากไป…หากตู๋กูหวู่กล้าวอกแวกหันมาเล่นงานพวกนางจริง ไม่พ้นฉือหล่างต้องฉกฉวยเสี้ยวพริบตาแสนล้ำค่า สร้างปัญหาใหญ่ให้ตู๋กูหวู่ได้แน่!


 


ราวๆครึ่งชั่วยามต่อมา!


 


วูฟฟฟฟ!!


 


บังเกิดเสียงดาบแหวกฟ้าหนึ่งดังขึ้น!


 


ทันใดนั้นเมฆเบื้องบนประถูกพลังคมกล้าผ่าแยกจนแหวกออกเป็น 2 เสี่ยง! เห็นเป็นคลื่นดาบประหนึ่งเสี้ยวจันทร์ลำเขื่อง ผ่าฟ้าเข่นฆ่าเข้าใส่ตู๋กูหวู่ด้วยอำมหิต! ปานจะผ่าคนให้แยกเป็นสองเสี่ยงปานท่อนฟืน!!


 


คลื่นดาบนี้มาได้ว่องไวเกินไป ตู้กูหวู่ที่จดจ่ออู่กับฉือหล่างแทบไม่อาจต้านทานรับมือได้ทัน! กว่าจะตอบสนองเรื่องราว คลื่นดาบก็บรรลุถึงตัวแล้ว!!


 


“ฉือหล่าง เจ้าลอบกัดข้า!!”


 


ตู๋กูหวู่คำรามออกมาเสียงดังลั่นด้วยโทสะ ร่างสั่นสะท้านวูบไหวฉากหลบ คลื่นดาบที่เข่นฆ่าลงมาจากฟากฟ้า ก็ได้แค่ตัดแขนข้างหนึ่งของมัน!


 


ทว่าตู๋กูหวู่ได้พุ่งมืออีกข้างมาคว้าแขนข้างที่ขาดฉับไว ก่อนเร่งเร้าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเพื่อรักษาแผล


 


กฏที่ตู๋กูหวู่เชี่ยวชาญเป็นกฏแห่งไม้ เรียกว่าเต็มไปด้วยพลังชีวิต อีกทั้งร่างเดิมของมันก็เป็นไม้ไผ่สวรรค์แกร่งที่จำแลงกายมาเป็นทุน อาการบาดเจ็บอย่างแขนขาดเมื่อครู่ สำหรับมันแล้วจึงถือเปนอาการบาดเจ็บที่เล็กน้อยมากๆ


 


เรียกว่าในเวลาชั่วพริบตา แขนที่ถูกตัดขาดเมื่อครู่ของตู๋กูหวูก็หายดีดังเดิม


 


ฟุ่บ!


 


คล้อยหลังคลื่นดาบร่วงตกฟ้าไปได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏร่างคนขึ้นเหนือเมฆ จากนั้นคนก็ดิ่งร่างลงมาฉับไว ไม่ทันไรก็ไปหยุดลอยข้างกายฉือหล่างแล้ว


 


คนที่มาปรากฏตัวข้างๆฉือหล่างไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นจักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดง เจิ้งอวี้อี่ ที่จากไปก่อนหน้าพวกฉือหล่างไม่นาน


 


“เจ้าเป็นใคร?”


 


ตู๋กูหวู่มองสบตาเจิ้งอวี้อี้ข้างกายฉือหล่างด้วยสีหน้ามืดดำ มันไม่คิดเลยว่าจะมีใครมาช่วยฉือหล่างได้ในเวลาเพียงครึ่งค่อนวัน และเห็นได้ชัดว่าผู้มาช่วยเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามเช่นกัน!


 


“ต้วนหลิงเทียนไปไหนแล้วเล่า?”


 


ในเวลาเดียวกัน ก็มีอีกร่างหนึ่งค่อยๆเหินลงจากม่านเมฆไปหยุดรวมกลุ่มกับพวกฮ่วนเอ๋อ หูเหมย และเวิ่นหว่านเอ๋อ เป็นหนานหลิวเฟิง ศิษย์คนเล็กของเจิ้งอวี้อี้


 


“ศิษย์น้องเล็กกำลังหนีการตามล่าของตู้กูเหวินอยู่…”


 


หูเหม่ยเอ่ยออกเสียงหนัก


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะส่งเสียงผ่านพลังมาบอกกล่าวพวกนางก่อนจะเคลื่อนย้ายข้ามมิติหายไป แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะกังวล เพราะคนที่ไล่ตามต้วนหลิงเทียนไปก็เป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่ง ทว่าศิษย์น้องเล็กของนางยังพึ่งเป็นจอมราชันอมตะสมญานามเท่านั้นเอง


 


เวลานี้ กระทั่งแววตาของฮ่วนเอ๋อก็ฉายชัดถึงความกังวลให้เห็น


 


ปกติแล้วฮ่วนเอ๋อมักมั่นใจในพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนมาก ไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่…แต่เรื่องราววันนี้มันต่างออกไป!


 


ตู๋กูเหวิน เป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานาม พลังฝีมือห่างไกลจากคู่ต่อสู้ที่ผ่านๆมาของต้วนหลิงเทียนมาก!


 


“ตะ…ตู๋กูเหวิน? จักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน!?”


 


“เช่นนั้น…ตาแก่นั่น ก็คือจักรพรรดิอมตะไม่ดับสูญ ตู๋กูหวู่ น่ะสิ!?”


 


ได้ยินคำพูดของหูเหมย หนานหลิวเฟิงก็หันไปมองชายชราไกลตาด้วยความประหลาดใจทันที ด้วยไม่คิดเลยว่าชายชราที่กำลังเผชิญหน้ากับอาจารย์ของมันและจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่างจะเป็นตัวตนดังกล่าว!


 


มันที่ถูกอาจารย์พาย้อนกลับมา รู้แค่อาจารย์จะมาช่วยฉือหล่างรับมือศัตรูเท่านั้น แต่ไม่ได้บอกว่าศัตรูเป็นใคร


 


พอได้ยินสิ่งที่หูเหมยพูด มันจึงตระหนักกว่าอาจารย์ของมันมาช่วยฉือหล่างรับมือผู้ใด!!


 


“ให้ตายเถอะ…ต้วนหลิงเทียน! นี่เจ้าไปฆ่าบิดาฉุดภรรยาผู้ใดมากันแน่ ผู้อื่นถึงกับจ้างมือสังหาร 2 คนนี่มาฆ่าเจ้าได้!?”


 


หนานหลิวเฟิงอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความตกใจ ชื่อเสียงของตู๋กูเหวินและตู๋กูหวู่นั้นโด่งดังมาก แม้แต่มันเองก็เคยได้ยินเสียงร่ำลือถึงทั้งคู่มาไม่น้อย ขณะเดียวกันยังรู้อีกด้วยว่าราคาที่ต้องจ่ายเพื่อจ้างวานทั้งสองฆ่าคนนั้น…โคตรมารดามันแพง!


 


ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ท่านมีผลึกอมตะกองเป็นภูเขา ก็อย่าหวังว่าจะทำให้ทั้งคู่เหลือบแล


 


หากคิดจ่ายราคาให้ทั้งคู่เคลื่อนไหวล่ะก็ สิ่งที่ต้องหามาจ่ายต้องเป็นอะไรที่ทำให้ทั้งคู่ตื่นเต้นได้ ผลึกอมตะที่มากพอจะซื้อได้ทั้งเมือง ยังจัดเป็นสิ่งของอันดับท้ายๆที่ทั้งคู่ต้องการด้วยซ้ำ…


 


“เจิ้งอวี้อี้!”


 


ส่วนอีกด้าน หลังได้ยินคำถามของตู๋กูหวู่ เจิ้งอวี้อี้ก็กล่าวตอบออกไปเสียงดังฟังชัด


 


“จักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดง?”


 


ตู๋กูหวู่ขมวดคิ้ว เอ่ยถามออกไปเสียงหนักว่า “เจ้าไฉนมาอยู่ที่นี่ได้?”


 


เรื่องที่จักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดงเจิ้งอวี้อี้มีไมตรีกับฉือหล่างจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีนั้น มันก็รู้


 


ในฐานะที่เดินบนหนทางสายนี้ มันย่อมมีเครือข่ายข่าวสารส่วนตัว จึงรู้เรื่องของจักรพรรดิอมตะสมญานามในอู๋หยาเทียนเป็นอย่างดี…


WSSTH ตอนที่ 3,297 : ร่างอวตารกฏ ต้นไม้เทพสนหลิว!


 


 


 


ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามของอู๋หยาเทียน ตู่กูเหวินกับตู๋กูหวู่ก็มิใช่ว่าจะรับฆ่าผู้ใดก็ได้ไม่เลือกหน้า…


 


กับคนที่ไร้ภูมิหลังความเป็นมา และไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานามของขุมกำลังระดับสวรรค์…ขอเพียงเงินถึง คนตาย!


 


เช่นวันนี้ หากเป้าหมายไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนแต่เป็นฉือหล่างล่ะก็…พวกมันก็ไม่กล้าฆ่า! ด้วยกลัวจะยั่วยุโทสะของวังเทียนฉือ!!


 


แต่หากเป้าหมายเป็นศิษย์ทั่วไป ไม่เว้นศิษย์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของวังเทียนฉือพวกมันไม่ขัดข้องอะไร เพราะอย่างดีก็แค่สร้างความไม่พอใจให้วังเทียนฉือเท่านั้น


 


แต่การสังหารจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือโดยตรง สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับการท้าทายพลังอำนาจของวังเทียนฉือโดยตรง หากวังเทียนฉือคิดแตกหักกับพวกมันไปข้าง และระดมจักรพรรดิอมตะสมญานามมาไล่ฆ่าพวกมัน เช่นนั้นหายนะก็มาเยือนพวกมันแล้ว…


 


แน่นอนว่ายังมีจักรพรรดิอมตะสมญานามไร้สังกัดบางคน ที่พวกมันไม่กล้าแตะต้องเช่นกัน


 


ตัวอย่างก็เช่น เจิ้งอวี้อี้ จักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดงที่อยู่ข้างๆฉือหล่างตอนนี้!


 


เจิ้งอวี้อี้แม้ชอบท่องเที่ยวทั่วหล้า ไร้ที่อยู่และสังกัดเป็นหลักแหล่ง แต่เบื้องหลังยังมีพี่ชายแท้ๆ ที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามของขุมกำลังระดับสวรรค์ แถมยังเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่มีพลังฝีมือติด 3 อันดับแรกของขุมกำลังระดับสวรรค์นั้นอีกด้วย!


 


การฆ่าเจิ้งอวี้อี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากกระตุ้นโทสะของจักรพรรดิอมตะสมญานามผู้นั้น!


 


ด้วยเหตุนี้พอเห็นเจิ้งอวี้อี้ปรากฏตัว ตู๋กูหวู่ก็รู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง กระทั่งไร้เจตนาต่อสู้อีกต่อไป และคิดจะหลบหนีไปจากที่นี่แทน…


 


อย่างไรก็ตาม ฉือหล่างกับเจิ้งอวี้อี้กลับไม่คิดปล่อยให้มันจากไปโดยง่าย…


 


“ในเมื่อมาแล้ว ก็อยู่ต่อเถอะ!”


 


ฉือหล่างลั่นคำเสียงเย็น


 


จากนั้นหนึ่งดาบหนึ่งกระบี่ก็เข่นฆ่าเข้าใส่ตู๋กูหวู่พร้อมๆกัน!


 


สุดท้ายตู๋กูหวู่ที่โดนกลุ้มรุมก็ได้แต่ต้องคืนร่างที่แท้จริง อุบัติเป็นไผ่สวรรค์แกร่งต้นเขื่องราวเสาค้ำสวรรค์ร่วงลงมาจากฟากฟ้า! ลำไผ่โบกสะบัดอย่างอหังการ ปรากฏใบไผ่คมกริบนับหมื่นพัน ร่อนลงมาดั่งห่าพิรุณโปรยปราย ต้านทานรับมือพลังกระบวนท่าของทั้งคู่อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ!!


 


“ฉือหล่าง เจิ้งอวี้อี้! หากพวกเจ้ายังตอแยข้าไม่เลิก ก็อย่าได้โทษที่ข้าตู๋กูหวู่อำมหิต!!”


 


สุดท้ายหลังโดนกลุ้มรุมเข้าใส่ไม่หยุด ตู๋กูหวู่ก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้ว แววตาเริ่มฉายชัดถึงจิตฆ่าฟัน เริ่มเปิดฉากเข่นฆ่าสวนกลับ ประหนึ่งช่างหัวผลที่จะตามมาภายหลัง!


 


อย่างไรก็ตามพอมันระเบิดพลังเข่นฆ่าตอบกลับ จนสามารถหวนกลับมามีเปรียบได้อีกครั้ง โทสะในใจคล้ายค่อยๆจางลง สุดท้ายก็เลือกที่จะสร้างโอกาสหลบหนีออกมาทันที! เพราะอย่างไรเสียแม้จะได้เปรียบแต่กว่าจะเข่นฆ่าทั้งคู่ได้จริง ก็นับว่าเป็นเรื่องราวยากเย็น ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร…


 


และถ้ามันใช้เวลามากเกินไป รอจนกำลังเสริมของวังเทียนฉือมาถึง ต่อให้เป็นมันก็อาจต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วกาลจริงๆ…


 


เมื่อสบโอกาสเหมาะๆมันจึงจากไปทันที


 


“ฉือหล่าง ไฉนศิษย์คนที่ 7 ของเจ้าหาเรื่องเก่งนักเล่า…นี่มันไปเหยียบเท้าผู้ใดมากันแน่ กระทั่งจ้างนักฆ่าระดับตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่มาเก็บได้?”


 


เจิ้งอวี้อี้หันไปมองถามฉือหล่าง


 


“ข้าก็ไม่รู้…”


 


ในขณะที่ส่ายหน้าไปมา สีหน้าของฉือหล่างก็มืดดำแลดูไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่


 


ศิษย์คนที่ 7 ของมัน ต้วนหลิงเทียน นั้น….ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายข้ามมิติหลบหนีจากไป อีกฝ่ายได้ส่งเสียงผ่านพลังมาถึงมันด้วย ทำให้มันรู้ว่าในอู๋หยาเทียนแห่งนี้ หากมีใครที่อีกฝ่ายจะไปล่วงเกินเข้า ก็ไม่พ้นต้องเป็นคนของวังเทียนฉือเท่านั้น


 


และคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยหลักก็คือ หานอวิ๋นจิ่น ศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ


 


อย่างไรก็ตามมีคำกล่าว ‘เรื่องฉาวในบ้านไม่แพร่งพรายออกนอก’ แม้มันจะสงสัยหานอวิ๋นจิ่น แต่ก็ไม่คิดจะบอกเจิ้งอวี้อี้


 


“เช่นนั้น…ตู๋กูเหวิน ก็ไล่ตามศิษย์คนที่ 7 ของเจ้าไปรึ?”


 


เจิ้งอวี้อี้กล่าวถามอีกครั้ง


 


“อืม”


 


ฉือหล่างพยักหน้า ลูกตาฉายแววกังวลอยู่หลายส่วน ถึงแม้ก่อนที่ศิษย์คนที่ 7 ได้กล่าวคำทิ้งท้ายไว้อย่างมั่นใจ แต่มันก็อดห่วงไม่ได้


 


สุดท้ายแล้วถึงพลังฝีมือศิษย์คนที่ 7 ของมันจะไม่ใช่ชั่ว แต่ก็พอฟัดพอเหวี่ยงได้กับตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะทั่วๆไปเท่านั้น


 


ทว่าตู๋กูเหวินไหนเลยใช้คำจักรพรรดิอมตะทั่วไปมาอธิบายได้? นั่นมันจักรพรรดิอมตะสมญานาม!


 


“อย่างไรเสียครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก…ขอตัวก่อน ไว้พบกันใหม่”


 


หลังจากฉือหล่างประสานมือกล่าวขอบคุณทั้งร่ำลาเจิ้งอวี้อี้แล้วเสร็จใลมหายใจเดียว มันก็สะบัดมือหอบหิ้วพวกฮ่วนเอ๋อทั้ง 3 ท่องกระบี่พลังมีสภาพเล่มเขื่องกลับวังเทียนฉือโดยเร็วที่สุด เพราะถึงแม้ตอนนี้ต่อให้มันคิดจะไล่ตามไปช่วยต้วนหลิงเทียน ก็คงตามไม่เจอแล้ว


 


“รอการติดต่อกลับมาจากศิษย์น้องเล็กเถอะ…ศิษย์น้องเล็กบอกแล้วหากปลอดภัยเมื่อใดจักติดต่อกลับมาเอง”


 


เวิ่นหว่านเอ๋อกล่าว


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะจากไปเสียงผ่านพลังนั้นเขาไม่ได้ส่งให้ฉือหล่างคนเดียว แต่เป็นส่งให้กับคนทั้งกลุ่ม ยังเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนว่า รอให้หนีรอดปลอดภัยแล้ว จะส่งข้อความมาหาเอง


 


ทำให้ก่อนหน้าจนถึงตอนนี้ แม้ทุกคนอยากจะส่งข้อความไปถามสถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครคิดจะทำแบบนั้น ด้วยกลัวจะมีส่วนทำให้ต้วนหลิงเทียนวอกแวกจนเกิดเรื่องได้


 


การถูกตัวตนระดับจักรพรรดิอมตะสมญานามไล่ตาม เกรงว่าอาการฟุ้งซ่านแค่เสี้ยวพริบตาก็พาลให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจหวนคืนได้แล้ว…


 


ดังนั้นแม้จะเป็นฮ่วนเอ๋อ ก็ไม่กล้าติดต่อไปสอบถามสถานการณ์ในปัจจุบันของต้วนหลิงเทียน เพียงลอบภาวนาในใจอย่างเงียบงัน และหวังว่าพี่หลิงเทียนของนางจะแคล้วคลาดปลอดภัย


 



 


ณ อู่หยาเทียน


 


ที่ไหนสักแห่ง


 


“ไอ้หนู ต่อให้เจ้าจะบรรลุความลึกซึ้งเคลื่อมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่วันนี้เจ้าไม่มีวันหนีพ้นเงื้อมมือข้าได้!”


 


เด็กชายคนหนึ่งกำลังพุ่งร่างแหวกฟ้าด้วยความเร็วสูงล้ำจนมองไปคล้ายภูตผีรางเลือน ทำให้แม้ชายหนุ่มเบื้องหน้าจะวูบร่างไปผุดโผล่ไกลถึง 20 ลี้ในแต่ละครั้ง แต่ก็ยังถูกมันไล่จี้มาติดๆ!


 


ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้าระยะห่างระหว่างทั้งคู่ก็กระชั้นเข้ามาทุกขณะ


 


‘สมแล้วที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม ความเร็วของมันสูงจริงๆ…’


 


ชาหนุ่มที่หนีการตามล่าของเด็กชายก็คือต้วนหลิงเทียน


 


เพื่อหลบหนีการตามล่าของเด็กชาย ต้วนหลิงเทียนได้ใช้ออกด้วยเคลื่อนมิติติดต่อกันเต็มกำลังไม่หยุด สีหน้าแลดูจริงจังเคร่งขรึมอยู่บ้าง


 


“มาไกลเท่านี้ก็พอ”


 


ทันใดนั้นเอง เสียงวารีเทพชำระโลกาพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน “หากไปไกลมากกว่านี้ จะเป็นการสิ้นเปลืองพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเจ้าเปล่าๆ…ต่อให้เป็นตู๋กูหวู่แต่หากคิดจะติดตามมาทันก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวัน”


 


“ทั้งในเมื่อเจ้าบอกให้ครูของเจ้าหยุดมันเอาไว้แล้ว เช่นนั้นหมายความว่าเจ้านั่นก็ต้องติดพันอยู่อีกพักใหญ่”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว


 


ฟังจากที่วารีเทพชำระโลกาพูดออกมา เห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่ไฉนฉือหล่างถึงลงมือขัดขวางตู๋กูหวู่เอาไว้ในขณะที่คิดจากไปแต่แรก ทั้งหมดเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนได้บอกอีกฝ่ายเอาไว้…


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฉือหล่างจะติดต่อขอความช่วยเหลือจากเจิ้งอวี้อี้ ทำให้หยุดตู๋กูหวู่ได้นานกว่าที่คิดเอาไว้


 


“เอาล่ะ”


 


ดิ้นคำพูดของวารีเทพชำระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็หยุดการเคลื่อนย้ายข้ามมิติ ยังหยุดร่างลงกลางหาวและหันกลับมามองร่างเด็กชายที่กำลังพุ่งทะยานแหวกฟ้าเข้ามาด้วยความเร็วสูงล้ำอย่างสงบ


 


“เหอะๆ เจ้าสมควรว่างายแบบนี้ตั้งแต่แรก…”


 


ตู๋กูเหวินในคราบเด็กชาย มองหมิ่นต้วนหลิงเทียนพลางแสยะยิ้มกล่าว “เห็นแก่ที่สุดท้ายเจ้ายังให้ความร่วมมือ ข้าจักให้เจ้าเหลือซากศพสมบูรณ์…”


 


ฟังจากสคำพูดคำจาของตู๋กูเหวิน เห็นได้ชัดว่ามันมองต้วนหลิงเทียนไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว


 


“ก็แค่ดอกไม้ป่าต้นหนึ่งที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ได้…ยังจะคุยโวโอ้อวดอะไรนักหนา?”


 


ต้วนหลิงเทียนยกยิ้มเฉยเมย กล่าวเสียดสีแดกดันจบ แววตายังเผยความท้าทายไม่น้อย


 


“สมควรตาย!”


 


ลูกตาตู๋กูเหวินกลายเป็นเย็นชา ทันใดนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมหาศาลก็ทะลักออกจากร่างเล็ก กลับกลายเป็นสีเขียวมรกตในพริบตา อุบัติห่าเถาวัลย์ไม้เลื้อยพุ่งออกจากความว่างเปล่า เข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนปานมังกรพิโรธ!


 


ตู๋กูเหวินแม้จะเป็นจักรพรรดิอมตะ 7 ดารา แต่ความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ที่เข้าใจ ก็ทำให้มันมีพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลาย


 


และการที่มันปะทุพลังลงมือออกมาด้วยความเดือดดาล แรงกดดันจากพลังที่เหนือกว่าหลายระดับของมันที่โถมทับมาในคราเดียว ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกกดดันถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องอยู่บ้าง


 


หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆต้วนหลิงเทียนก็สงบอารมณ์ ใบหน้าฉายความจริงจัง สองตาทอประกายเรืองวาบ จากนั้นรอบๆร่างกายก็ปรากฏเงาร่างขนาดเล็กต้นหนึ่ง


 


และต้นไม้เล็กๆดังกล่าว เพียงเสี้ยวพริบตาก็เติบโตจนกลายเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน!


มองแวบแรกต้นไม้ต้นนี้คล้ายต้นสนขนาดใหญ่อยู่บ้าง แต่ทว่ามองอีกทีมันกลับแตกต่างจากต้นสนและคล้ายต้นหลิวมากกว่า!


 


“ต้นไม้เทพสนหลิว!?”


 


เห็นเงาร่างต้นไม้ใหญ่ที่ปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเบื้องหน้า ลูกตาตู๋กูเหวินหดเล็กลงโดยพลัน “เจ้าไม่ใช่มนุษย์?”


 


“ไม่ใช่! เจ้าไม่ใช่ต้นไม้เทพสนหลิว!!”


 


“นี่คือร่างอวตารกฏ!!”


 


เพียงชั่วพริบตา ตู๋กูเหวินก็มองออกทันทีว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนกำลังใช้อยู่ก็คือร่างอวตารกฏ และยังเป็นร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวอีกด้วย!!


 


ต้นไม้เทพสนหลิวนั้นในแง่ระดับแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างที่แท้จริงของมันที่เป็นบุปผาร้อยสีแม้แต่น้อย เทียบได้กับสัตว์อมตะชั้นยอด


 


“ไอ้หนู ต่อให้เจ้าจะสร้างร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวได้แล้วจักอย่างไร? เจ้ามันก็แค่จอมราชันอมตะคนหนึ่ง ถึงแม้จะกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานามแล้ว แต่เจ้าคิดว่าจะเทียบกับจักรพรรดิอมตะสมญานามได้รึ?”


 


ตู๋กูแสยะยิ้มกล่าวดูถูกด้วยน้ำเสียงรังเกียจเดียจฉันท์


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


ขณะเดียวกัน ห่าเถาวัลย์ที่งอกเงยทิ่มแทงออกมาจากควาวมว่างเปล่าดั่งมังกรพิโรธฝูงหนึ่ง ก็เข่นฆ่ามาเจียนถึงตัวต้วนหลิงเทียนอยู่รอมร่อแล้ว!


 


ทว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนยัคงสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน ไม่ได้นำพากับการลงมืออันดุร้ายทรงพลังของตู๋กูเหวินแม้แต่นิดเดียว


 


ดุจละอองไฟวาบดับ ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนพลันปะทุแสงพลังสีเทาออกมารุนแรง! จากนั้นมวลพลังสีเทาขุมใหญ่ก็ถ่ายทอดลงสู่เงาร่างต้นไม้เทพสนหลิวในบัดดล!!


 


พร้อมกันกับที่พลังสีเทามหาศาลกำจายไปทั่วเงาร่างต้นไม้เทพสนหลิว แสงกระบี่ 7 สีก็สาดส่องออกมาจากทั่วร่าง ก่อนจะลุกลามเข้าไปในเงาร่างต้นไม้เทพสนหลิว พาลให้กิ่งก้านใบทั้งลำต้นของต้นไม้เทพสนหลิวเรืองงสว่างเป็นแสงพลังหลากสีสันทันที!


 


‘พฤกษาเทพครองสวรรค์!’


 


เพียงหนึ่งห้วงคิด ต้วนหลิงเทียนก็สั่งการพฤกษาเทพกำเนิดชีพในร่างให้ลอบจ่ายพลังลงสู้ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวอย่างแยบคาย!


 


ทันใดนั้นร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวก็เริ่มสั่นไหว จากไร้สภาพสู่มีสภาพ ในที่สุดมันก็ประหนึ่งเป็นต้นไม้เทพสนหลิวที่แท้จริง!


 


ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ!


 



 


กิ่งข้งต้นไม้เทพสนหลิวมหึมาฟันฟาดออกไปพร้อมใบอย่างดุดัน ยังผลให้ห้วงมิติบังเกิดความแปรปรวนในฉับพลัน จากนั้นแสงพลัง 7 สีสันอมเทาก็ปลดปล่อยจิตสังหารอันร้ายกาจเข่นฆ่าเข้าใส่ห่าเถาวัลย์อย่างไร้ครั่นคร้าม!!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นถี่ยิบ! เป็นกิ่งพร้อมใบของต้นไม้เทพสนหลิวฟาดฟัทำลายห่าเถาวัลย์ที่แทงทะลุออกมาจากความว่างเปล่าของตู๋กูเหวินลงอย่างต่อเนื่อง ทุกเถาล้วนแหลกระเบิดเกิดเป็นพลังสะท้อนน่าพรั่นพรึง!!


 


คลื่นกระแทกกำจายออกไปทั่วสารทิศวงแล้ววงเล่า ต้นตอคลื่นกระแทกเห็นเป็นเมฆควันรูปดอกเห็ดหลากสีสันกำลังเบ่งบาน แลดูงดงามอย่างประหลาด


 


อย่างไรเสีย ยามเมฆควันดอกเห็กหลากสีสันแต่ละดอกเบ่งบาน ก็อุบัติคลื่นกระแทกมหาประลัยกวาดทำลายออกมาจนฟ้าสะท้านดินสะเทือน เสียงยังดังประหนึ่งอัสนีลั่นในหู!


 


ปงงงง!!


 


ตูมมมมม!!


 



 


ตอนนี้คลื่นกระแทกจากพลังสะท้อนขุมแล้วขุมเล่า ได้เปลี่ยนบรรยากาศแถบนี้ให้กลายเป็นวิปริตแปรปรวนเป็นที่สุด ผู้มีด่านพลังฝึกปรืออ่อนด้อยผ่านมา น่ากลัวจนตัวแตกเป็นหมอกเลือดยังไม่รู้เรื่อราว! ผืนดินเบื้องล่างยามนี้แทบไม่ตางอะไรกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่!!


 


อย่างเช่นขุนเขาใหญ่เบื้องล่างนั้น พอพลังสะท้อนคลื่นกระแทกถล่มลงมาจากฟ้า พวกมันก็เสมือนแก้วกระจกบอบบางปริร้าว จากนั้นก็พังทลายลงในพริบตา….


 


เรียกว่ามันแหลกลงฉับไวยิ่งกว่าตึกในโลกเก่าต้วนหลิงเทียนโดนรื้อถอนด้วยระเบิดเสียอีก จากนั้นนรกฝุ่นก็มาเยือน เพราะละอองธุลีคลีได้คละคลุ้งวุ่นวายไปหมด เหล่าสัตว์อมตะที่อยู่ใกล้ๆหากไม่ตายแต่แรก ก็พากันหนีเตลิดด้วยความตกใจราววันโลกาวินาศมาเยือน


 


“โฮ่? คิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจักรับการโจมตีของข้าได้…แม้เมื่อครู่จะเป็นเพียงการโจมตีส่งๆ แต่อย่างน้อยๆกิ่งต้นไม้เทพสนหลิวที่ฟาดมาแต่ละทีของเจ้า นับว่ามีพลังไม่ได้ด้อยไปกว่าการโจมตีเต็มกำลังของจักรพรรดิอมตะทั่วๆไปเลยทีเดียว…”


 


ในขณะที่ขุนเขามหึมาเบื้องล่างแหลกสลายเป็นเม็ดทราย บนฟากฟ้าเสียงของตู๋กูเหวินก็ดังขึ้นอีกครั้ง…


WSSTH ตอนที่ 3,298 : ศาสตราเทพถูกเปิดเผย


 


 


ถึงปากตู๋กูเหวินจะกล่าวราวกับชมพลังโจมตีของกิ่งต้นไม้เทพสนหลิว หากแต่สีหน้าแววตาที่มันใช้มองมา ไม่ขาดการดูแคลนหยันหยามแม้แต่น้อย


 


เพราะต่อให้พลังของต้วนหลิงเทียนจะทำให้มันประหลาดใจ แต่ก็ยังห่างไกลจากการเป็นภัยคุกคามสำหรับมัน! ตัวมันเป็นจักรพรรดิอมตะ 7 ดารา กระทั่งเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม! ความแข็งแกร่งของมัน…ห่างไกลเกินกว่าจักรพรรดิอมตะทั่วๆไปจะเปรียบเทียบได้!!


 


หากมันลงมือด้วยพลังทั้งหมดล่ะก็ จักรพรรดิอมตะทั่วไป ไม่มีวันหยุดมันได้แม้ครึ่งกระบวน…


 


“ต้วนหลิงเทียน ไม่พูดไม่ได้จริงๆ เจ้านับว่าร้ายกาจเอาเรื่องเลยทีเดียว…สามารถเป็นจอมราชันอมตะสมญานามด้วยวัยเพียงเท่านี้ แถมยังมีพลังความแข็งแกร่งระดับนี้อีก เจ้าสมควรภาคภูมิใจได้แล้ว”


 


ตู๋กูเหวินที่มองพินิจต้นไม้เทพสนหลิวเบื้องหน้า กล่าวกับต้วนหลิงเทียนที่ซ่อนตัวอยู่ภายในลำต้นของต้นไม้เทพสนหลิว  และกำลังควบคุมต้นไม้เทพสนหลิวเพื่อประมือกับมัน


 


เป็นธรรมดาว่าตู๋กูเหวินไม่อาจแลเห็นร่างต้วนหลิงเทียนได้อีกแล้ว เนื่องเพราะร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวไม่ใช่เงาร่างสืบไป แต่มันเป็นดั่งต้นไม้เทพสนหลิวที่แท้จริง!


 


“แต่เจ้าคิดจริงๆหรือ…ว่าอาศัยพลังเพียงเท่านี้ยังจักนับเป็นอะไรต่อหน้าข้า ตู๋กูเหวินได้?”


 


พอเสียงของตู๋กูเหวินดังจบคำ ก็ปรากฏหอกยาว 7 ฉื่อเล่มหนึ่งกระชับเข้ามือ เรียกว่าตัวหอกนั้นยาวกว่าความสูงของร่างเด็กชายมันเสียอีก!


 


และหอกของตู๋กูเหวินไม่ได้ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า แต่เป็นแสงที่สาดส่องออกจากร่างกายแล้วควบแน่นมีสภาพ…


 


ศาสตราวุธที่ปรากฏตัวในลักษณะนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิขึ้นไป!


 


“สุนัขจากที่ใดมาเห่าหอนแถวนี้ไม่เลิก…”


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ตู๋กูเหวินเรียกหอกอมตะจักรพรรดิออกมา เสียงของต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นจากด้านในต้นไม้เทพสนหลิว ฟังแล้วเห็นชัดว่าคิดยั่วโทสะตู๋กูเหวิน!


 


เมื่อได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ลูกตาตู๋กูเหวินก็หดแคบลง ใบหน้าของมันยังแลเย็นชาปานมีชั้นน้ำแข็งเคลือบ!


 


“หาที่ตาย!!”


 


ตู๋กูเหวินตะคอกคำเสียงเย็น จากนั้นหอกในมือก็ถูกจ้วงแทงออกมาฉับไว อุบัติไอพลังสีเขียวทะลักล้นออกมาจากตัวหอก ก่อนจะควบรวมเป็นลำแสงพลังสีมรกต!


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


ลำแสงหอกที่พุ่งยิงทะลวงฟ้ามาฉับไวนั้น ประหนึ่งสายน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็งก็ไม่ปาน เพราะในเสี้ยวพริบตาจากลำแสงสีมรกตไร้สภาพ ก็คล้ายกลับกลายเป็นหอกไม้ไผ่สีเขียวมีสภาพกำลังยืดยาวออกมา!


 


หลังแปลงสภาพจากลำแสงไร้สภาพเป็นหอกไผ่เขียวมีสภาพแล้ว ยิ่งมาความเร็วในการทะลวงแหวกฟ้าก็ยิ่งสูงล้ำ! ปลายหอกก็เปล่งกลิ่นอายแหลมคมเยียบเย็นนัก ราวกับจะทะลวงเจาะได้ทุกสรรพสิ่ง!!


 


“หึ!”


 


เสียงพ่นลมสบถเยียบเย็นของตู๋กูเหวินดังขึ้นอีกครั้ง เป็นมันพลันลงมือต่อเนื่อง ตวัดหอกจ้วงแทงออกมาอีกหลายครั้งติดต่อ ทำให้อุบัติลำแสงสีเขียวควบแน่นก่อเกิดเป็นหอกไผ่เขียวจ้วงทะลวงเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนมืดฟ้ามัวดิน!


 


กระทั่งยังมีลำแสงเขียวที่กลับกลายเป็นหอกไผ่สีมรกตหลายสิบสาย พุ่งตีวงกว้างออกไป ก่อนจะตีวงโค้งวกกลับมาจ้วงแทงสังหารต้วนหลิงเทียนจากด้านหลัง!


 


กล่าวให้ชัดคือ มันคิดจ้วงแทงสังหารร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวของต้วนหลิงเทียนจากด้านหลัง!


 


เพียงมองสถานการณ์ก็ทราบได้ไม่ยากว่า กระบวนหอกหลังสุดนี้เป็นกระบวนหอกสังหารที่แท้จริง! เพราะหากหอกที่จ้วงแทงออกมาก่อนหน้าสามารถทำลายร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสินหลิวได้แล้ว ไม่พ้นร่างต้วนหลิงเทียนต้องเปิดเผยออกมา ก่อนจะถูกหอกจ้วงแทงจากด้านหลังโดนไร้สิ่งกำบัง…


 


ซู่มมม! ซู่มมม! ซู่มมม!


 



 


หอกไผ่เขียวแต่ละสายยทะลวงฟ้ามารวดเร็วเกินไป ราวกับมันทะลุมิติมาอย่างไรอย่างนั้น!


 


“ไอ้หนู ให้ข้าชมดูทีเถอะ ว่าเจ้าจักมีปัญญาเอาตัวรอดจากกระบวนท่านี้ของข้าได้อย่างไร!”


 


ตู๋กูเหวินแสยะยิ้มกล่าวเย้ยอย่างย่ามใจ “กระบวนท่านี้ของข้า ได้ใช้ออกด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ทั้งหมดที่ข้าเข้าใจแล้ว ถึงแม้ข้าจักมิได้ใช้ความลึกซึ้งผสาน แต่ก็ไม่มีตัวตนใต้จักรพรรดิอมตะสมญานามคนใดสามารถต้านทานรับได้เป็นแน่!”


 


กระบวนหอกที่จู่โจมเข่นฆ่าทั้งหน้าหลังของตู๋กูเหวินนี้ ได้อัดแน่นไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเต็มสิบส่วน ผสานความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมด ยังใช้ออกด้วยหอกอมตะระดับจักรพรรดิ!


 


ได้ยินวาจาเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจของตู๋กูเหวิน สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นจริงจัง ขณะเดียวกันเขาก็ติดต่อกับเทพเบญจธาตุที่ 4 ธาตุในโลกใบเล็กภายในกายทันที


 


ก่อนหน้านี้เขาพึ่งจะใช้พลังของพฤกษาเทพครองสวรรค์ 1 ใน 5 เทพเบจธาตุออกไป และเพราะพลังของพฤกษาเทพครองสวรรค์นี้เอง ถึงทำให้ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวของเขาควบแน่นจากไร้สภาพสู่มีสภาพ!


 


อย่างไรก็ตาม เพื่อต้านรับการโจมตีกระบวนนี้ของตู๋กูเหวิน เขาจำต้องดิ้นรนหาตัวช่วยเพิ่มแล้ว


 


เพราะกระบวนท่าหอกครานี้ของตู๋กูเหวินมันทรงพลังเหนือกว่าเถาวัลย์ก่อนหน้ามากมายหลายขุม ต่อให้ตอนนี้เขาจะอยู่ภายในร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว ยังสูดได้กลิ่นความตายอยู่เนืองๆ!


 


“ออก!”


 


แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอความช่วยเหลือ วารีเทพชำระโลกาก็เป็นคนแรกที่จ่ายส่งพลังออกมาให้ต้วนหลิงเทียนเป็นคนแรก


 


ครืน! ครืน! ครืน!


 


หลังจากวารีเทพชำระโลกาจ่ายยพลังให้ต้วนหลิงเทียนแล้ว ทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็จ่ายพลังให้ต้วนหลิงเทียนตามมาติดๆอย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ


 


เวลาที่พวกมันอยู่กับต้วนหลิงเทียนนั้น จะวารีเทพชำระโลกาหรือพฤกษาเทพครองสวรรค์ก็เทียบไม่ได้


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนขอความช่วยเหลือจากพวกมัน เช่นนั้นพวกมันย่อมไร้ซึ่งความลังเลใดๆ เร่งจ่ายพลังออกไปเร็วไวทันที!


 


“ไอ้หนู ฆ่ามารดามันให้ตาย!!”


 


เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นด้วยถ้อยคำดุดัน แม้น้ำเสียงจะไร้อำนาจขู่ขวัญก็ตามที…


 


มันที่มาอยู่ในร่างต้วนหลิงเทียน นับว่าได้ลิ้มรสความหอมหวานแล้วจริงๆ


 


เพราะให้มองไปทั่วประวัติศาสตร์ของเหล่าเทพเบญจธาตุในมหาสหัสโลกธาตุแห่งนี้ เกรงว่าคงมีจำนวนแค่น้อยแสนน้อยที่สามารถยกระดับพัฒนาจากขั้นที่ 3 มาเป็นขั้นที่ 6 ได้ในเวลาแค่เดือนเดียว…


 


แต่มันกลับทำได้!


 


และทั้งหมดเป็นเพราะมาอยู่ในร่างของต้วนหลิงเทียน ได้เป็นประจักษ์พยานในโชควาสนาของต้วนหลิงเทียน


 


มิฉะนั้น หากมันจับพลัดจับผลูไปอยู่กับร่างคนอื่น เกรงว่าขอแค่วันนี้สามารถเปลี่ยนเป็นขั้นที่ 4 ได้ ก็ต้องมีกราบไหว้ฟ้าดินกันบ้าง…


 


“หึ จักรพรรดิอมตะสมญานามแล้วจะอย่างไร? เส้นทางของผู้ครอบครองเทพเบญจธาตุครบทั้ง 5 ธาตุใช่อันใดที่จักรพรรดิอมตะสมญานามกระจ้อยร่อยสามารถหยุดยั้งได้หรือ?”


 


เสียงขรึมของทองเทพสุดลี้ลับดังขึ้น ไม่ขาดการดูหมิ่นแม้แต่น้อย


 


“เส้นทางของผู้แข็งแกร่งที่สุด ถูกลิขิตให้ย่ำเหยียบศพทวยเทพนับไม่ถ้วน…เส้นทางสู่ขอบเขตเทพเอง ก็ต้องย่ำเหยียบศพของจักรพรรดิอมตะทั้งจักรพรรดิอมตะสมญานามเช่นกัน!!”


 


เพลิงเทพโกลาหลกล่าวปิดท้าย


 


และพลังของเทพเบญจธาตุทั้ง 4 ก็หลั่งไหลถ่ายทอดลงสู่ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวหลากสีสันในชั่วพริบตา กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้เทพสนหลิว ยังหลอมผสานเข้ากับพลังของพฤกษาเทพครองสวรรค์ได้อย่างแยบคาย!


 


ด้วยความที่มีพลังของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน ทำให้สีสันของร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวกลายเป็นสีรุ้งแต่แรก เช่นนั้นถึงแม้จะมีพลังของเทพเบญจธาตุผสานเพิ่มเข้าไป ก็ไม่อาจระบุความแตกต่างได้ด้วยสายตา


 


สำหรับกลิ่นอายพลังของเทพเบญจธาตุนั้น ได้ถูกกลิ่นอายพลังอันกล้าแข็งของร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวกลบไว้จนหมด!


 


ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิว ถูกสร้างขึ้นจากสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวที่ถูกต้วนหลิงเทียนหลอม หลังจากผสานพลังของพฤกษาเทพครองสวรรค์เข้าไป ก็ทำให้ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิว ไม่มีอะไรแตกต่างจากต้นไม้เทพสนหลิวที่แท้จริงเลย!


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


เหล่าหอกไผ่มรกตที่พุ่งทะลวงฟ้ามาฉับไวมืดฟ้ามัวดินนั้น มองไกลๆยังคล้ายห่าด้ายสีเขียวกำลังจะพุ่งทะลวงร่างต้วนหลิงเทียนให้ปุพรุนอยู่บาง !


 


“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าการโจมตีของเจ้าไร้ผู้ใดใต้ขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานามรับได้?”


 


เสียงกล่าวถามเย้ยหยันของต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้นจากด้านในต้นไม้เทพสนหลิว เสียงเย้ยหยันดังกล่าวยังเต็มไปด้วยความปรามาสดูแคลนเป็นที่สุด “ช่างคุยโวโอ้อวดนัก!”


 


“วันนี้ข้าจอมราชันอมตะสมญานามตัวเล็กๆคนหนึ่ง…กับอีแค่กระบวนท่าที่เจ้ากล่าวอวดไว้เสียดิบดีนี่ ข้ารับได้สบาย!”


 


และทันทีที่เสียงกล่าวปรามาสของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ กิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวก็คล้ายจะเต้นระบำผ่านฟ้าอีกครั้ง!


 


วู้ม!


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่จิตวิญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน หวงเอ้อ ได้ปรากฏตัวขึ้นข้างกายต้วนหลิงเทียน จากนั้นร่างโฉมงามในชุดเทพธิดา 7 สีก็เริ่มสั่นไหวพร่ามัวดั่งเงาเลือน ก่อนคนจะสลายร่างกลับกลายเป็นลำแสง 7 สีพุ่งหายเข้าไปในต้นไม้เทพสนหลิว!


 


พอจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนผสานหลอมรวมเข้ามา พลังของร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวก็พุ่งสูงขึ้นพรวดพราดทันที!!


 


อุปกรณ์เทพที่มีวิญญาณกับไร้วิญญาณนั้น เป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


“หืม?!”


 


และแทบจะในเวลาเดียวกับที่หวงเอ้อสลายร่างกลายเป็นลำแสง 7 สีผสานกับต้นไม้เทพสนหลิว ทั้งผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน จนพลังของร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวพุ่งพรวดขึ้นมา ลูกตาของตู๋กูเหวินก็หดเล็กลงแทบปิด!


 


“จิตวิญญาณสถิตย์อุปกรณ์?”


 


“ไม่! ไม่ใช่จิตวิญญาณสถิตย์อุปกรณ์ แต่เป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิด! เป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิดของอุปกรณ์ที่แท้จริง!!”


(สถิตย์ จับวิญญาณมายัด แรกกำเนิด เกิดขึ้นเอง)


 


“ให้ตายเถอะ! อาวุธของไอ้หนูนี่เป็นอาวุธระดับเทพเชียวหรือ!?!”


 


พริบตานี้ตู๋กูเหวินก็ตระหนักได้เร็วไว ว่าอาวุธที่ต้วนหลิงเทียนใช้ มันไม่ใช่อาวุธอมตะระดับจักรพรรดิ แต่เป็นถึงอาวุธเทพ! กระทั่งยังเป็นอาวุธเทพที่มีจิตวิญญาณ!!


 


“ฮ่าๆๆๆ! ข้า ตู๋กูเหวิน ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชีวิตนี้จักมีวาสนาได้ถือครองอุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณ!!”


 


คู้กูเหวินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นฟ้า ทำราวกับอุปกรณ์เทพในมือต้วนหลิงเทียนนั้น เป็นของมันไปแล้ว


 


อย่างไรก็ตามรอยยิ้มบนใบหน้าของมันมีอันต้องชะงักค้างเติ่งไปทันใด


 


นั่นเพราะกระบวนท่าหอกของมันได้ปะทะเข้ากับกิ่งก้านของต้นไม้เทพสนหลิวแล้ว! สองพลังกล้าแข็งกำลังปะทะหักหาญกันอย่างดุเดือด!!


 


และเหตุไฉนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของตู๋กูเหวินจึงได้ค้างเติ่งนั้น ก็ไม่ใช่เพราะใดอื่น แต่เพราะมันแลเห็นว่ากระบวนท่าหอกที่มันใช้ออกไป หอกไผ่มรกตสายแรกนั้น…ได้ถูกกิ่งต้นไม้เทพสนหลิวทุบฟาดทำลายจนแหลก!!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


ไม่ว่าหอกไผ่มรกตจะทะลวงจ้วงฟ้ามารวดเร็วและรุนแรงแค่ไหน อนิจจากระทั่งเปลือกไม้ยังไม่ได้แตะ! เพียงเข้าใกล้ก็ถูกกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวสะบัดฟาดทำลายจนแหลกพินาศหมดสิ้น!!


 


เวลาเพียงเสี้ยวพริบตาดุจฟ้าแลบ หอกไผ่มรกตที่ขึ้นรูปจ้วงมาด้วยสภาวะพลังกล้าแข้งของตู๋กูเหวินกว่าครึ่ง ก็มีอันต้องแหลกสลายลง!


 


“เป็นไปได้ยังไง!?”


 


เห็นฉากนี้ ใบหน้าตู๋กูเหวินก็ฉายความตะลึงออกชัด! ขณะเดียวกันแววตาของมันยิ่งมาก็ยิ่งเปล่งแสงแห่งความโลภแรงกล้า ในใจคิดไปอย่างตื่นเต้นยินดี ‘สมแล้วที่เป็นอุปกรณ์เทพ…ไม่ธรรมดายิ่งนัก! ช่างทรงพลังอานุภาพเหลือเกิน!!’


 


เรียกว่าตู๋กูเหวินสรุปไปเองเรียบร้อย ว่าที่ไฉนกระบวนท่าของมันถึงได้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบนั้น ทั้งหมดทั้งมวลสมควรเป็นเพราะพลังอำนาจของอุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณ!!


 


เพราะนอกจากเหตุผลข้อนี้ มันก็ไม่อาจจินตนาการได้ออกแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนยังจะมีพลังสามาถรอันใดได้อีก


 


เพราะในสายตามัน ต้วนหลิงเทียนได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีออกมาหมดสิ้น ไม่ว่าจะด่านพลังฝึกปรือ ความลึกซึ้งของกฏมิติที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมด รวมถึงร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว! เช่นนั้นสิ่งสุดท้ายที่จะเพิ่มพลังได้ก็คืออุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณนั่นเอง!!


 


“ไอ้หนู! ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจักครอบครองอุปกรณ์เทพที่ทรงพลังถึงขนาดนี้…แต่ว่าให้อุปกรณ์เทพแสนล้ำค่าอยู่ในมือของเจ้า ก็ออกจะเป็นการดูถูกคุณค่าของมันเกินไป!!”


 


ตู๋กูเหวินระเบิดเสียงหัวเราะเยียยบเย็นดังร่า “ทว่าอีกมินาน อุปกรณ์เทพจักตกอยู่ในมือผู้ที่คู่ควร…มันถูกลิขิตให้เป็นของข้า ตู๋กูเหวินผู้นี้!!”


 


“ข้าต้องกล่าวเลยจริงๆ ว่าพลังของเจ้ายามใช้อุปกรณ์เทพนั้น เหนือล้ำสุดที่ข้าจะคาดคิดคำนวณได้ออกจริงๆ…แต่ตอนนี้ทั้งหมดมันจบแล้ว!!”


 


พอตู๋กูเหวินกล่าวออกมาอีกครั้ง ดวงตาของมันก็ฉายแววเยียบเย็น หอกอมตะระดับจักรพรรดิในมือของมันเริ่มสั่นไหวรุนแรง ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามออกมา


 


จากนั้นทั่วร่างของตู๋กูเหวินก็ปรากฏแถบริ้วสีเขียวปานริบบิ้นพวยพุ่งออกมานับพันๆสาย แถบริ้วเขียวพลิ้วไปในอากาศปานอสรพิษ!


 


กลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงเริ่มกำจายออกจากร่างตู๋กูเหวิน สะท้านสะเทือนไปในบรรยากาศ “จากนี้ไป ข้าจักให้เจ้าได้รับทราบถึงพลังอำนาจ จากการผสานหลอมรวมความลึกซึ้งแห่งกฏ!!”


 


“ถึงแม้ตอนนี้ตัวเจ้าอาจสำคัญตัวว่าแน่ เพราะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติซึ่งเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว! แต่ไอ้หนู…เจ้าจงรู้ไว้ ว่าเจ้ายังห่างอีกไกลนัก กว่าจักได้สัมผัสถึงพลังอำนาจอันลึกล้ำจากการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ!!”


 


“อนิจจา ในเมื่อวันนี้เจ้าพบเจอข้าตู๋กูเหวิน ก็เสมือนเจ้าถูกฟ้าลิขิตให้มิมีวันได้สัมผัสถึงพลังอำนาจจากการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติไปชั่วชีวิต!!”


 


เสียงกล่าวประโยคท้ายของตู๋กูเหวินนั้น ช่างเฉยเมยเหลือเกิน เสมือนมันกำลังสนทนากับคนตายอย่างไรอย่างนั้น!


 


และในขณะที่ตู๋กูเหวินกำลังเร่งเร้าพลังสภาวะเตรียมลงมือปิดฉาก


 


อีกด้านหนึ่งนั้น ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวที่ต้วนหลิงเทียนควบแน่นพลังสร้างขึ้นมา ก็พึ่งทำลายหอกไม้ไผ่สีมรกตที่เข่นฆ่าสังหารเข้ามาทุกทิศทางจนพินาศหมดสิ้น…


WSSTH ตอนที่ 3,299 : ผสานรวมความลึกซึ้ง


 


 


ความลึกซึ้งของกฏใดๆ เมื่อเข้าใจทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะเข้าถึงพลังของกฏๆนั้นได้สูงสุด


 


อันที่จริงกล่าวไป ผู้ใดก็ตามที่สามารถทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏทุกประการได้ถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ มันก็เสมือน ได้ยืนอยู่ ณ จุดเริ่มต้นของพลังแห่งกฏที่แท้จริงเท่านั้น


 


ความลึกซึ้งนั้นถึงจะใช้ออกมาพร้อมๆกันทุกประการ แต่ก็เสมือนพลังแต่ละอย่างทำหน้าที่ของตัวเองไปเท่านั้น ยามใช้กับคู่ต่อสู้ จึงไม่ต่างอะไรจากหนึ่งบวกหนึ่งเท่าสองตามปกติ


 


อย่างไรก็ตามหากสามารถเข้าใจถึงการผสานหลอมรวมความลึกซึ้ง 2 ประการเข้าด้วยกันล่ะก็ พลังอำนาจของมันจะไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองอีกต่อไป แต่อย่างน้อยๆจะเป็นหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสาม!


 


อย่างเช่นจักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยนตู๋กูเหวิน ตอนที่มันยังไม่บรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ตัวมันก็ยังไม่ได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการ มาเข้าใจครบทุกประการทั้งหมดก็ตอนที่บรรลุด่านพลังจักรพรรดิอมตะได้สักพักแล้ว…


 


หลังจากนั้น มันจึงเริ่มหันมาศึกษาวิธีผสานหลอมรวมความลึกซึ้ง


 


และแถบริ้วสีเขียวปานริบบิ้นที่มันสร้างขึ้นตอนนี้ ก็คือการผสานหลอมรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ 3 ประการได้แก่ ความลึกซึ้งเถาวัลย์ ความลึกซึ้งพัวพัน และความลึกซึ้งฟื้นฟูเข้าด้วยกัน!


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


ตอนนี้เองแถบริ้วสีเขียวที่มองอย่างไรก็เสมือนริบบิ้นของตู๋กูเหวิน ก็เริ่มเกาะตัวกันเป็นเถาวัลย์มหึมาเร็วไว พริบตาจากแถบริ้วสีเขียวก็กลายเป็นงูหลามตัวเขื่อง เข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนแล้ว!


 


“ไอ้หนู ลองรับพลังจากความลึกซึ้ง 3 ผสานของข้าดู!!”


 


ขณะที่ตู๋กูเหวินลงมือ สองตามันก็มองจ้องต้นไม้เทพสนหลิวมหึมาเบื้องหน้าด้วยความดูแคลนถึงขีดสุด กล่าวเย้ยด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน


 


แน่นอนว่ามันไม่ได้คุยกับต้นไม้เทพสนหลิว


 


ต้นไม้เทพสนหลิวเป็นเพียงร่างอวตารกฏเท่านั้น มันกล่าวกับต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในต้นไม้เทพสนหลิวต่างหาก


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


เถาวัลย์ที่ไม่ต่างใดจากงูหลามตัวเขื่องทะลวงอากาศจนแตกระเบิดดังสนั่นไม่ต่างเสียงคำราม! สภาวะพลังของมันแล้วหากไม่ได้เข่นฆ่าศัตรู คงพุ่งทะลวงไปต่อไม่หยุดยั้ง!


 


อีกทั้งด้วยความมหึมาของเถาวัลย์เส้นนี้ เรียกว่าสามารถปิดฟ้าบังตะวันได้ ส่งผลให้อาณาบริเวณรอบกายต้วนหลิงเทียนเริ่มถูกความมืดเข้าครอบงำทันที!


 


“ผสานความลึกซึ้ง 3 ประการ?”


 


ได้ยินคำพูดของตู๋กูเหวิน ทั้งเห็นการลงมือเข่นฆ่าเข้ามา ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ภายในร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวก็ชักสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม


 


หลายปีก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ครบทุกประการแล้ว เขาก็ได้รับทราบถึงความจริงข้อหนึ่งหลังฝันเห็นผู้แข็แกร่งีท่สุดใช้พลังอำนาจของกฏมิติ…ว่าพลังของกฏใดๆนั้น มิได้จำกัดไว้แค่การเข้าใจความลึกซึ้งครบทุกประการ! แต่ยังมีวิธีการใช้พลังที่เหนือชั้นและทรงอำนาจมากกว่านั้นอีก!!


 


ต่อมาเขาได้สอบถามวารีเทพชำระโลการวมถึงเหล่าเทพเบญจธาตุอื่นๆดู จึงพบว่าที่แท้พลังอำนาจของกฏนั้นไม่ได้สิ้นสุดแค่เข้าใจความลึกซึ้งทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่ยังมีพลังอำนาจที่เหนือกว่าและหลากหลายอีกมาก


 


นั่นก็คือการใช้ความลึกซึ้งหลายประการผสมกัน หรือที่เรียกกันว่าการผสานรวมความลึกซึ้ง!


 


แน่นอนว่าการผสานรวมความลึกซึ้งในที่นี้ ก็คือการผสานรวมความลึกซึ้ง 2 ประการเข้าด้วยกัน หรือจะ 3 ประการเข้าด้วยกัน แม้แต่ 4 ประการก็ทำได้


 


จุดสูงสุดของการผสานรวมความลึกซึ้งเข้าด้วยกันนั้น ก็คือสามารถผสานรวมความลึกซึ้งทั้ง 8 ประการเข้าด้วยกัน!


 


ในระนาบเทวโลก ยังไม่มีผู้ใดสามารถทำได้ถึงขนาดนั้น!


 


และไม่ต้องกล่าวถึงในระนาบเทวโลกด้วยซ้ำ กระทั่งในระนาบเทพทั้งหลาย ยังหาตัวผู้ที่มีแตกฉานสิ่งนี้ได้น้อยนิดนัก และไม่ว่าผู้ใดที่สามารถบรรลุความใจถึงระดับนี้ได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนระดับแนวหน้าของระนาบเทพทั้งสิ้น


 


และผู้ใดก็ตามที่เข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุด ถึงขั้นสามารถผสานรวมความลึกซึ้งขั้นตอนยิ่งใหญ่ทั้ง 8 ประการเข้าด้วยกันได้สำเร็จ ก็สามารถใช้ความสำเร็จดังกล่าวเพื่อทะลวงถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด!!


 


‘การผสานหลอมรวมความลึกซึ้ง 2 ประการเข้าด้วยกันยังไม่นับว่ายากอะไร แต่ยิ่งหลายประการมากเข้าก็ยิ่งยากเย็นแล้ว…ในระนาบเทวโลก ผู้ที่สามารถผสานรวมความลึกซึ้งที่เข้าใจถึงขั้นตอนยิ่งใหญ่ได้ถึง 4 ประการ ก็หายากกว่าเขามังกรขนหงส์’


 


‘อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วจักรพรรดิสวรรค์ของระนาบเทวโลกต่างๆ อย่างน้อยๆก็ต้องเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการเข้าด้วยกันสักชุด…’


 


‘ด้วยเหตุนี้เหล่าจักรพรรดิสวรรค์ จึงเป็นตัวตนที่โดดเด่นเหนือเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลาย’


 


‘จักรพรรดิอมตะสมญานามอย่างตู๋กูเหวินที่สามารถเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งได้ถึง 3 ประการ จัดว่าพลังฝีมือของมันเหนือกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วไปมาก’


 


‘และถ้าหากมันสามารถผสานความลึกซึ้งสองประการเข้าด้วยกันได้อีกสักชุด ขอเพียงด่านพลังของมันบรรลุถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ ให้กวาดตามองทั่วทั้งอู๋หยาเทียนพลังฝีมือของมันก็มากพอจะเบียดขึ้นไปอยู่แถวหน้าได้!’


 



 


ต้วนหลิงเทียนเองก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดถึงเรื่องนี้ เถาวัลย์มหึมาปานงูหลามตัวเขื่องที่เกิดจากการผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการของตู๋กูเหวิน ก็เข่นฆ่าเข้ามาถึงเบื้องหน้าร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวที่ต้วนหลิงเทียนควบสร้างแล้ว!


 


“หึ!”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนฉายแววเย็นชา สิ้นคำสบถ เพียงใจคิดกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวก็เริ่มตวัดฟันออกไปปานเต้นระบำอีกครั้ง!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เป็นกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวฟาดกระหน่ำไปยังเถาวัลย์มหึมาปานงูหลามตัวเขื่องของตู๋กูเหวินอย่างดุดัน!!


 


ตอนแรกก็เห็นว่าเถาวัลย์มหึมานั้นถูกกิ่งสนหลิวฟาดทุบจนแหลก อย่างไรก็ตามเพียงเวลาเศษเสี้ยวพริบตา มันก็ฟื้นสภาพกลับมาดังเดิม กระทั่งยังมัดรวบกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวเอาไว้อีก!


 


เรียกว่าไม่เพียงแต่กิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวจะไม่อาจฟาดทำลายเถาวัลย์เส้นเขื่องปานงูหลามตัวใหญ่ของตู๋กูเหวินได้แล้ว ยังถูกเถาวัลย์เส้นเขื่องมัดรวบไว้จนไม่อาจกระดิกกระเดี้ยวได้อีก!


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


และในชั่วพริบตานนี้เอง ทั่วร่างตู๋กูเหวินพลันปะทุแถบริ้วสีเขียวออกมาจำนวนมากอีกครั้ง พวกมันยังเกาะตัวก่อเกิดเถาวัลย์อันเขื่องเส้นใหม่ พุ่งเข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอีกรอบ!!


 


‘นี่น่ะเหรอพลังของการผสานรวมความลึกซึ้ง!?’


 


‘ทั้งๆที่เป็นแค่การผสานรวมความลึกซึ้งเข้าด้วยกัน 3 ประการเท่านั้น แต่พลังอำนาจของมันยังทรงอานุภาพกว่าตอนตู๋กูเหวินใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ทั้ง 7 พร้อมๆกันก่อนหน้านี้เสียอีก!’


 


‘ยิ่งไปกว่านั้น นี่สมควรไม่ใช่การลงมือเต็มกำลังของตู๋กูเหวิน…เพราะมันยังเหลือความลึกซึ้งอีก 5 ประการที่ไม่ได้ใช้ออกมา’


 


‘หากมันใช้ความลึกซึ้งอีก 5 ประการออกมา แม้จะเป็นการใช้ออกมาตรงๆไม่ได้ผสานรวมอะไร แต่ถ้ามันใช้พร้อมๆกับความลึกซึ้ง 3 ประการที่ผสานรวมกัน พลังของมันก็มากพอจะบดขยี้ข้าได้ง่ายๆ!’


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนขอตอนนี้ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังถึงขีดสุด


 


ในอดีตเขาเพียงทราบว่าพลังอำนาจของการผสานรวมความลึกซึ้งนั้นร้ายกาจ กระทั่งได้เห็นจักรพรรดิอมตะสมญานามลงมือใช้การผสานรวมความลึกซึ้งมาแล้ว อย่างวันนั้นที่วังเทียนฉือที่จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง ครูเขากับ เหลยอิง จักรพรรดิอมตะไร้ใจร่วมมือกันทุบตีจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ กู้ฉางเจียง!


 


อย่างไรก็ตามทั้งหมดเพราะเขายืนชมดูอยู่เฉยๆ และการลงมือของทั้งคู่ก็รวดเร็วเกินไปทุกอย่างงจึงจบลงในพริบตา ทำให้เขาไม่อาจตระหนักถึงพลังอำนาจที่แท้จริงของกระบวนท่าทั้งคู่ได้


 


ตอนนี้พอมาเจอการลงมือผสานรวมความลึกซึ้งของจักรพรรดิอมตะสมานามกับตัว ต้วนหลิงเทียนจึงรู้ซึ้งดีกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามมันร้ายกาจถึงขนาดไหน


 


ผู้ที่จะผ่านการทดสอบและกลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามได้นั้น ไม่เพียงด่านพลังฝึกปรือและความเข้าใจในกฏจะต้องสูงถึงขั้น แต่ยังต้องเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งเข้าด้วยกัน! จึงมิใช่อะไรที่จักกรพรรดิอมตะทั่วไปจะเทียบได้เลย!


 


“ไอ้หนู เจ้าที่เป็นเพียงจอมราชันอมตะสมญานามกระจ้อยร่อยคนหนึ่ง แต่กลับบีบให้ข้าจักรพรรดิอมตะ 7ดารา จำต้องงัดความลึกซึ้ง 3 ผสานออกมาใช้ได้ ต่อให้เจ้าตกตายไป ก็สามารถไปคุยโวโอ้อวดในเมืองผีได้แล้ว…”


 


เสียงเฉยชาของต๋กูเหวินดังขึ้น


 


แน่นอนว่าถึงน้ำเสียงมันจะเฉยชาคล้ายไร้แยแส แต่ที่จริงในใจแอบตกตะลึงกับพลังของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย…ถึงแม้มันจะเข้าใจว่าพลังของต้วนหลิงเทียนมาจากอุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณก็ตามที


 


“หลังจากเจ้าตายตกไป ข้าจักให้อุปกรณ์เทพแสนล้ำค่าในมือเจ้าได้เฉิดฉายเปล่งประกายไปทั่วแดนดิน! ให้มันได้สำแดงคุณค่าที่แท้จริงของมันออกมา!!”


 


ฟังจากคำพูดประโยคนี้ของตู๋กูเหวินเห็นได้ชัดว่าไม่เพียงแต่มันจะเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งคนที่ตายไปแล้ว มันยังถือว่าอุปกรณ์เทพของต้วนหลิงเทียนอยู่ในกระเป๋ามันแล้วด้วย…


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


เถาวัลย์เส้นเขื่องทะลวงฟ้าเข่นฆ่าเข้ามาดุดัน เสียงอากาศแตกระเบิดดังปานงูหลามคลั่งคำราม พาลให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกกดดันนัก!


 


วู้มมม!!


 


วู้มมม!!


 



แว่วเสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว เป็นพลังชีวิตที่อยู่ๆก็ปะทุออกมา!


 


พลังชีวิตมหาศาลได้ถ่ายโอนเข้าสู่ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวเร็วไว ทำให้ต้นไม้เทพสนหลิวเสมือนหวนคืนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง! บังเกิดกิ่งงอกเงยขึ้นมากิ่งแล้วกิ่งเล่า ก่อนจะพุ่งไปตบฟาดต้านทานเถาวัลย์เส้นเขื่องปานงูเหลือมอย่างดุดัน!!


 


“ให้ข้าชมดู ว่าเจ้าจักเหลือพลังสร้างกิ่งได้อีกสักเท่าไหร่”


 


พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงดิ้นรนต่อต้านหัวชนฝา ตู๋กูเหวินก็แสยะยิ้มเย็นชา หลังจากเถาวัลย์เส้นเขื่องเส้นใหม่ได้รวบมัดกิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งงอกเงยออกมาใหม่แล้ว แถบริ้วสีเขียวมหาศาลก็พวยพุ่งออกจากร่ามันและควบรวมเป็นงูหลามตัวเขื่อง เข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง


 


ราวกับพลังของมันไร้สิ้นสุด


 


“เสี่ยวเทียน ตอนนี้ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวเจ้า สามารถสร้างกิ่งได้อีกมากสุด 100 กิ่งเท่านั้น…อย่างไรก็ตาม ข้าเห็นว่ามันมิคิดใช้พลังอื่นใดของกฏแห่งไม้เพิ่มเติมอยู่นาน เห็นชัดว่ามันตั้งใจจะอาศัยความลึกซึ้ง 3 ผสานอย่างเดียวเพื่อฆ่าเจ้า…”


 


เสียงวารีเทพชำระโลกาดังขึ้นอ่างประจวบเหมาะ “ความจองหองนี้ของมัน นับว่าสร้างโอกาสให้เจ้าแล้ว…”


 


“หากมันใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้อื่นๆลงมือหมายจบชีวิตเจ้าในคราเดียว แม้ข้าจะคิดว่าสมควรเอาอยู่แต่ก็มิมั่นใจมากนัก…ทว่าความจองหองนี้ของมัน ทำให้ข้ามั่นใจว่าโอกาสสำเร็จคงมีมากกว่าเดิมเกินครึ่ง!”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว


 


“และตอนนี้…ทางข้าก็ได้เตรียมการพร้อมแล้ว”


 


ฟังจากคำพูดของวารีเทพชำระโลกา เห็นได้ชัดว่านางได้เตรียมการบางอย่างเอาไว้แต่แรก และบัดนี้นางก็พร้อมลงมือแล้ว


 


“เยี่ยม!”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเป็นประกายขึ้นมาทันที ใบหน้ายังเริ่มกลายยเป็นเย็นชา


 


“เช่นนั้นพวกเราลงมือเลยเถอะ!”


 


เพียงห้วงคิดพลังมิติก็ปะทุขึ้นทั่วร่างต้วนหลิงเทียนอย่างรุนแรง จากนั้นเขาก็ใช้ความลึกซึ้งส่งผ่านทันที!


 


เขาส่งมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ในโลกใบเล็กให้วูบผ่านห้วงมิติไปปรากฏเบื้องหลังตู๋กูเหวิน!!


 


“กรรรร—!!!”


 


“กรรรร—!!!”


 


ด้านตู๋กูเหวินที่กำลังมองจ้องร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวที่ต้วนหลิงเทียนควบสร้างขึ้นมาด้วยสายตาเฉยเมย ในใจลอบวาดหวังไม่น้อย เพราะรู้ดีว่าอีกไม่นานมันจะได้ครอบครองของเทพแล้ว ทว่าพริบตานั้นเอง อยู่ๆก็มีเสียงมังกรคำรามดังขึ้น 2 เสียงด้านหลัง!


 


อันที่จริง ห้วงเวลาเสี้ยวพริบตาก่อนที่เสียงคำรามของมังกรจะดังขึ้นด้านหลัง ตู๋กูเหวินก็สัมผัสได้ว่าด้านหลังมันมีความเคลื่อนไหวผิดปกติบางอย่าง!


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่มันจะได้ตอบสนองอะไร เสียงคำรามสนั่นก็ลั่นก้องสะท้านแก้วหูของมันเสียก่อน ถึงมันจะเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม ได้ผ่านประสบการณ์อะไรมามากมาย แต่วินาทีนี้ใจมันยังสั่นไหวเต้นไปไม่เป็นจังหวะโดยไม่รู้ตัว!


 


วู้มมม!!


 


เปรี๊ยงงงงง!!!


 



 


ในขณะที่แถบริ้วสีเขียวทั่วร่างตู๋กูเหวินเริ่มสั่นไหว ราวกับคนกำลังจะเคลื่อนร่างหลบหนีด้วยความเร็วสูง พลังมหาศาล 2 ขุมที่ผสานหลอมรวมเข้าด้วยกันก็ พุ่งซัดเข้าใส่หลังมันด้วยพลังอำนาจอันน่าพรั่นพรึงประหนึ่งลำแสงทำลายล้างโลก!!


 


แม้ชุดเกราะอมตะจักรพรรดิของมันจะตอบสนองต่ออันตรายและสร้างม่านพลังป้องกันได้ทันท่วงที อนิจจาม่านพลังดังกล่าวก็เสมือนใบไม้แห้งกรอบที่ถูกย่ำเหยียบ…แหลกลงในบัดดล!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)