War sovereign Soaring The Heavens 3284-3286
WSSTH ตอนที่ 3,284 : จักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดง
วิหารเฟิงฮ่าวในแต่ละระนาบเทวโลก จะตั้งอยู่ในดินแดนศูนย์กลางของระนาบเทวโลกนั้นๆ
ดุจเดียวกับวิหารเฟิงฮ่าวของอู๋หยาเทียน ซึ่งตั้งอยู่ในแดนอู๋หยาที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของระนาบอู๋หยาเทียน และห่างจากวังเทียนฉือมากพอสมควร
เนื่องเพราะวิหารเฟิงฮ่าวนั้น ตั้งอยู่สุดขอบทิศตะวันตกของแดนอู๋หยา ซึ่งเป็นสถานที่ๆค่อนข้างรกร้างว่างเปล่ามาก
ด้วยความที่พื้นที่แถบนี้มีพลังวิญญาณฟ้าดินเบาบาง จึงมีไม่กี่คนที่คิดจะเฉียดเข้าใกล้ หากไม่มีธุระอะไร
“วิหารเฟิงฮ่าวตั้งอยู่ด้านหน้าแล้ว”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัย เพราะพบว่าความเร็วในการเหินบินของกระบี่มีสภาพเล่มเขื่องใต้เท้า มันค่อยๆชะลอตัวลง เสียงฉือหล่างก็ดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
และฉือหล่างพูดไม่ทันได้จบคำดี เบื้องหน้าไกลตาก็ปรากฏอาคารปลูกสร้างใหญ่โตมโหราฬ ดั่งอสูรร้ายตัวเขื่องหมอบฟุบ ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามทรงอำนาจแก่ผู้ชมมองนัก!
ต้วนหลิงเทียนลองถามตัวเองดู ก็ตอบได้ทันทีว่าตั้งแต่ตอนที่อยู่ในระนาบโลกียะจวบจนวันนี้ นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เขาเห็นอาคารปลูกสร้างใหญ่โตมหึมาขนาดนี้ และไม่เพียงแต่จะกินพื้นที่มหาศาล มันยังสูงจนน่ากลัว!
แม้จะยังอยู่ไกลห่าง แต่วิหารเบื้องหน้าก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจแล้วจริงๆ
กระทั่งแวบแรกที่เขาแลเห็นตัววิหาร จิตใจทั้งจิตวิญญาณเขาคล้ายสั่นสะท้านไปเบาๆ ราวกับได้ผ่านการชำระจากพลังอันศักดิ์สิทธิ์!
“ข่าวลือไม่ใช่เรื่องเหลวไหลจริงๆ…วิหารเฟิงฮ่าวช่างมีแรงกดดันวิญญาณอันน่ากลัวนัก!”
หูเหมยที่มองดูวิหารเฟิงฮ่าไกลๆ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงชื่นชม “เมื่อครู่ตอนมองมันครั้งแรก ข้ารู้สึกเสมือนจิตใจและจิตวิญญาณของข้าได้รับการชำระขัดเกลา ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“ข้าด้วย”
เวิ่นหว่านเอ๋อเห็นด้วยอีกคน
ได้ยินคำพูดของหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ไม่ใช่เขาคิดไปเองคนเดียว แต่คนอื่นๆก็เป็นเหมือนกัน
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา”
ตอนนี้เองฉือหล่างก็พูดขึ้นมาว่า “วิหารเฟิงฮ่าวดำรงอยู่มาช้านาน จนยากจะมีผู้ใดสามารถย้อนรอยประวัติศาสตร์ของมันได้ด้วยซ้ำ เพราะมันอยู่มาเนิ่นนานเกินไป”
“ทุกคนรู้แค่ว่า ตั้งแต่มีระนาบเทวโลก วิหารเฟิงฮ่าวก็ดำรงอยู่แต่แรก”
“และผู้คนเชื่อกันว่า…วิหารเฟิงฮ่าวนั้น ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคแรกด้วยฝีมือของตัวตนอันทรงพลังเหนือจินตนาการ และสืบทอดมรดกต่อๆกันมาถึงวันนี้…ทำให้แม้แต่ขุมกำลังของจักรพรรดิสวรรค์ก็ยังต้องเคารพ”
ฉือหล่างกล่าว
ต้วนหลิงเทียนรู้ในสิ่งที่ฉือหล่างพูดอยู่แล้ว จึงไม่ได้แปลกใจอะไร
จากนั้นพอหันมองไปรอบๆ ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นร่างผู้คนมากมายที่เหินมาจากทิศทางต่างๆ ดูเหมือนจุดหมายปลายทางทุกคนก็เหมือนกับกลุ่มของพวกเขา…วิหารเฟิงฮ่าว!
“ฉือหล่าง!!”
ทันใดนั้นเองอยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังสนั่นลั่นฟ้ามาแต่ไกล
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นเงาร่างคนเหินทะยานมาแต่ไกล และพริบตาเดียวเงาร่างดังกล่าวก็บรรลุถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว
เงาร่างที่ว่า ยังไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่มีกันถึง 2!
เป็ชายชราที่มีรูปร่างงบึกบึนในขุดคลุมสีฟ้าหลวมๆแลดูเถื่อนๆ กับชายหนุ่มร่างผอมในชุดแพรไหมปักลายอย่างดี มีเสื้อคลุมขนสัตว์คลุมทับ ในมือถือไว้ด้วยพัดขนนก นับว่าเป็น 2 คนที่แลดูต่างกันสุดขั้ว
ที่ตะโกนลั่นฟ้าเมื่อครู่ ฟังจากเสียงก็คงเป็นชายชราร่างกายล่ำสัน กระฉับกระเฉงไม่คล้ายคนแก่ผู้นี้
“เจิ้งอวี้อี้!”
เห็นชายชรากล้ามใหญ่มาดเถื่อน ฉือหล่างก็ยักคิ้วข้างหนึ่งกล่าวทักออกไปทันที จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่มชุดหรูข้างๆชายชรา “หรือว่านี่ก็คือศิษย์ที่เจ้าพึ่งรับมาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน?”
“ฮ่าๆๆ! ใช่แล้ว!”
ชายชราหัวเราะอย่างสนุกสนาน ค่อยพยักหน้าขานรับ “และวันนี้ข้าก็พาศิษย์ไม่เอาไหนนี่ มาลองทดสอบรับตำแหน่งจอมราชันอมตะสมญานามดู”
“ถึงศิษย์ไม่เอาไหนข้าคนนี้จะยังมีอายุไม่ถึง 400 ปี แต่ข้าว่าแค่จะผ่านการทดสอบและกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานามก็ไม่น่าจะยากเย็นอะไร”
ชายชรากล่าวถึงจุดนี้ ใบหน้าก็ไม่ขาดความภาคภูมิใจแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าที่พูดมาทั้งงหมด คิดจะอวดฉือหล่างล้วนๆ
“ว่าแต่ฉือหล่าง เท่าที่ข้ารู้มาศิษย์คนเล็กของเจ้าที่อายุปาเข้าไป 600 กว่าปีคนนั้น…ก็ยังไม่แน่ว่าจะผ่านบททดสอบจอมราชันอมตะได้มิใช่รึ?”
ขณะกล่าวถึงท้ายประโยค ชายชราร่างล่ำก็มองจ้องฉือหล่างพางถามอย่างมีเลศนัย
“หากเจ้ากำลังพูดถึงศิษย์คนที่ 6 หรือเจ้าอ้วนหงเฟยนั่น? ก็ใช่ที่มันอายุ 600 กว่าปี และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะผ่านการทดสอบจอมราชันอมตะสมญานาม…”
ฉือหล่างพยักหน้า
“หืม แล้วมันอยู่ไหนเล่า ไฉนข้าไม่เห็น?”
สายตาชายชรากวาดมองไปยังทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนรอบหนึ่ง พอไม่เห็นหงเฟยก็เลยละสายตากลับมามองถามฉือหล่าง เห็นชัดว่าชายชราคนนี้รู้จักหงเฟย
“เห็นก็แปลกแล้ว เพราะเจ้าอ้วนนั่นไม่ได้มาด้วย”
ฉือหล่างยักไหล่
“อ้อ ว่าแต่…คราวนี้ศิษย์เจ้าคนใดที่คิดเข้าไปทดสอบรับสมญานามเล่า?”
ชายชราเอ่ยถามอีกรอบ
“วันนี้ที่คิดเข้าไปเดินเล่นก็มีเจ้า 3 กับเจ้า 4…แล้วก็เจ้า 7 ที่พึ่งเข้าร่วมมาหยกๆ รวมถึงคู่เต๋าของเจ้า 7 ด้วย”
ฉือหล่างกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ เห็นการทดสอบรับสมญานามเป็นการเดินเล่นของเหล่าศิษย์จริงๆ
ตอนที่ฉือหล่างกล่าววแนะนำฮ่วนเอ๋อว่าเป็นคู่เต๋าของต้วนหลิงเทียน ใบหน้าเฉยเมยของฮ่วนเอ่อก็เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อทันที
แต่เพราะนางสวมผ้าปิดหน้าอยู่จึงไม่มีใครทันได้เห็น
“เจ้า 7?”
ชายชราร่างล่ำขมวดคิ้ว “นี่เจ้ารับศิษย์ใหม่อีกแล้วเรอะ!?”
ชายชรากล่าวถึงจุดนี้ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อด้วยความสนใจ ค่อยหันหน้ากลับมาถามฉือหล่างอีกรอบ “ว่าแต่แล้วใครเป็นศิษย์คนที่ 7 ของเจ้ากันล่ะ?”
“เขา”
ฉือหล่างมองไปทางต้วนหลิงเทียน ค่อยกล่าวแนะนำชายชราออกมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้า 7 นี่คือจักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดง เจิ้งอวี้อี้…มันเป็นสหายเก่าของข้าเอง”
ขณะกล่าวถึงคำว่า ‘สหายเก่า’ มุมปากฉือหล่างก็ยกยิ้มหน่ายๆอยู่บ้าง
“อ้อ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เจิ้งอวี้อี้นี่คือเจ้า 7 ศิษย์คนเล็กของข้า ต้วนหลิงเทียน”
ฉือหล่างกล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียนให้ชายชรารู้จักเช่นกัน
“ศิษย์คนเล็กเจ้า ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วรึ?”
ชายชราหยีตาเอ่ยถามออกมา
มันรู้ว่าลำดับศิษย์ของฉือหล่างอิงตามลำดับการเข้าร่วม ไม่เกี่ยวกับพลังฝีมือและอายุ เช่นนั้นต่อให้ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าจะเป็นศิษย์คนเล็ก แต่สมควรแก่แล้ว
อย่างน้อยๆก็ต้องอายุมากกว่าศิษย์มันแน่นอน
“เจ้า 7 ของข้ายังมีอายุแค่ 200 กว่าปีเท่านั้นเอง”
ฉือหล่างกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มลี้ลับ
“หืม? 200 กว่าปี?”
วาจาดังกล่าววของฉือหล่างยย่อมนำพาความตกใจมาสู่ชายยชราไม่น้อย กระทั่งชายหนุ่มร่างผมในชุดหรูที่เป็นศิษย์ชายชราก็ยังหันไปมองงต้วนหลิงเทียนทันที
“ฉือหล่าง ไม่คิดเลยว่าแค่ไม่เจอกันร้อยกว่าปี แต่เจ้าจะคุยโวโอ้อวดเป็นแล้ว!”
ชายชราส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มระอาใจ
“คุยโวโอ้อวด?”
ฉือหล่างเหลือบมองชายชราเบาๆ “อ้อ…เจ้าไม่เชื่อว่าเจ้า 7 ของข้ามีอายุแค่ 200 กว่าปีสินะ?”
“เหอะๆ อายุแค่ 200 กว่าปีแต่คิดจะผ่านการทดสอบรับสมญานาม ต่อให้เป็นแค่จอมราชันอมตะสมญานาม…ทว่าตัวตนระดับนั้นให้มองไปทั่วระนาบเทวโลกทั้งมวล ก็คงนับได้ด้วยมือข้างเดียวกระมัง?”
“อัจฉริยะระดับนั้น จะมาต้องตาพึงใจอะไรเจ้า? จนกลายเป็นศิษย์ของเจ้าได้เล่าฉือหล่าง?”
ชายชรากล่าวถึงจุดนี้น มุมปากก็ไม่ขาดรอยยิ้มประชดประชันแม้แต่น้อย
“อาจารย์ลุงเจิ้ง”
ทว่าคราวนี้ฉือหล่างยังไม่ทันได้พูดอะไร หูเหม่ยก็พูดออกมาก่อน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน “ศิษย์น้องเล็กของข้ายังพึ่งมีอายุ 200 กว่าปีจริงๆ หากท่านไม่เชื่อ แค่ลองส่งข้อความไปถามสหายคนอื่นของท่านในวังเทียนฉือดูก็รู้ได้มิยากนี่นา?”
“อ้อ…ท่านอย่าลืมเล่า ศิษย์น้องเล็กข้าเรียกว่า ต้วนหลิงเทียน”
เห็นได้ชัดว่าหูเหมยเองก็รู้จักชายชราเช่นกัน
“ยาโถวหูเหมย…มิใช่ว่าเจ้ารู้ดีแก่ใจว่าในวังเทียนฉือข้ามีอาจารย์เจ้าเป็นสหายแค่คนเดียว ถึงได้จงใจกล่าวออกมาเช่นนี้กระมัง?”
เจิ้งอวี้อี้เหลือบตามองหูเหมยด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
“เฮ่ เจ้าหนุ่ม เจ้ากล้าวางมือลงบนจานค่ายกลแผ่นนี้หรือไม่?”
ขณะกล่าวเจิ้งอวี้อี้ก็ซัดจานค่ายกลให้ไปหยุดลอยเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน และมองจ้องต้วนหลิงเทียนไม่วางตา
ต้วนหลิงเทียนเหลือบไปมองก็พบว่า บริเวณใจกลางค่ายกลนั้นมีแผ่นวงกลมหนึ่งที่แบ่งออกเป็น 10 ส่วนเท่าๆกันราวแผนภูมิวงกลม
“ศิษย์น้องเล็ก นั่นคือจานค่ายกลทดสอบอายุ…เจ้าเห็นหรือไม่ว่ามันถูกแบ่งออกเป็น 10 ส่วน แต่ละส่วนนั้นแทนอายุ 100 ปี ยามเจ้าวางมือลงไป มันก็จะเริ่มเรืองแสงสว่างขึ้นมาตามอายุของเจ้า”
เสียงผ่านพลังของหูเหมยดังขึ้นในหูอยย่างประจวบเหมาะ ทำให้ต้วนหิงเทียนหายสงสัยว่าจานค่ายกลเบื้องหน้าคืออะไร “แน่นอนว่ามันวัดได้คร่าวๆเท่านั้น ไม่อาจระบุตัวเลขที่แน่ชัดออกมาได้”
พอเสียผ่านพลังหูเหมยดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็วางมืองบนจานค่ายกลเบื้องหน้าทันที
และเมื่อฝ่ามือของต้วนหลิงเทียนสัมผัสตัวจานค่ายกล เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอาคมขุมหนึ่งแผ่ซ่านออกจากตัวจานค่ายกลมาปกคลุมฝ่ามือของเขาเอาไว้
‘หืม?’
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนยังสัมผัสได้ถึงกระแสพลังเย็นๆสายหนึ่งแทรกซึมผ่านฝ่ามือก่อนจะโคจรไปทั่วร่างเขาทันที
จนเมื่อกระแสพลังเย็นๆนั่นโคจรไปทั่วร่างเขาครบรอบแล้ว มันก็พุ่งย้อนกลับเข้าไปในจานค่ายกล จากนั้นเขาก็พบว่าแผ่นวงกลมที่แบ่งออกเป็น 10 ส่วนนั้น มี 2 ที่ส่องแสงจ้าออกมา
ส่วนที่ 3 นั้นเรืองแสงสลัวๆ
บ่งบอกให้รู้ว่ามีอายุ 200 กว่าปี แต่ยังไม่ถึง 300 ปี
‘หืม? เจ้านี่ยังมีอายุไม่ถึง 300 ปีจริงๆเรอะ?’
เห็นฉากดังกล่าวเจิ้งอวี้อี้ก็ย่นคิ้ว และเก็บจานค่ายกลกลับไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพรามันไม่คิดเลยว่าศิษย์คนเล็กของฉือหล่างจะมีอายุไม่ถึง 300 ปีจริงๆ!
“ฉือหล่าง ฟังจากที่เจ้ากล่าวก่อนหน้า…เจ้าจะบอกว่าศิษย์คนเล็กของเจ้าก็มาเข้าร่วมการทดสอบขอจอมราชันอมตะสมญานามด้วยงั้นเหรอ? ด้วยวัยของมันเจ้าคิดว่ามันสามารถผ่านการทดสอบเป็นจอมราชันอมตะสมญานามได้จริงๆ?”
เจิ้งอวี้อี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ฮาย…ศิษย์ของข้าฉือหล่างผู้นี้ กับอีแค่ทดสอบจอมราชันอมตะ ไหนเลยจักล้มเหลวได้? เหมือนเข้าไปเดินเล่นนั่นล่ะ…”
ฉือหล่างคลี่ยิ้มบางๆ
และพอเสียงของฉือหล่างดังจบคำ ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังเจิ้งอวี้อี้ก็ลอยออกมาด้านหน้า มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวมีกระแสไฟฟ้า กล่าวคำออกมาเสียงขรึม “ข้า หนานหลิวเฟิง ขอท้าเจ้า!”
เห็นฉากดังกล่าว เจิ้งอวี้อี้เองก็อดตกตะลึงไปไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าที่ศิษย์ของมันเอ่ยท้าต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่เพราะได้รับคำสั่งจากมัน แต่ทำไปโดยพลการ
อย่างไรก็ตามแต่ มันไม่คิดหยุดยั้งเรื่องนี้ เพียงหันไปมองถามฉือหล่างด้วยรอยยิ้มบางๆ “ฉือหล่าง ดูเจ้าเองก็มั่นใจในศิษย์คนเล็กของเจ้าไม่เบา ในเมื่อศิษย์ไม่เอาไหนข้าคิดประลองชี้แนะกับเจ้าหนุ่มนี่ เจ้าก็คงไม่ขัดข้องอันใดกระมัง?”
“เจิ้งอวี้อี้ ข้าแนะนำให้เจ้าห้ามศิษย์ของเจ้าเอาไว้จะดีกว่า”
ฉือหล่างขมวดคิ้วเบาๆ ถึงแม้มันจะไม่รู้ว่าศิษย์ของเจิ้งอวี้อี้แข็งแกร่งงแค่ไหน แต่มันมั่นใจว่าไม่มีทางเหนือไปกว่าต้วนหลิงเทียนแน่นอน
“อาจารย์ลุงเจิ้ง เรื่องนี้ข้าเองก็คิดว่ามันไม่จำเป็นเหมือนกัน”
ตอนนี้เองกระทั่งหูเหมยก็หันไปกล่าวกับชายชราพลางส่ายหน้าไปมา
“ทำไมเล่า ไม่กล้ารึ?”
เจิ้งอวี้อี้ คลี่ยิ้มสดใสออกมา “หากไม่กล้าก็แค่พูดมาตรงๆ…พวกเราก็ไม่คิดรบเร้าเซ้าซี้อะไรพวกเจ้าหรอกหน่า”
“ไม่ใช่ไม่กล้า แต่ข้ากลัวว่าท่านจะขายหน้าเปล่าๆ…”
เห็นความไม่รู้ของชายชรา หูเหมยก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความระอา
“ขายหน้า?”
เสียงของหูเหมยดังจบคำไม่ทันไร สีหน้าเจิ้งอวี้อี้เปลี่ยนไปทันที กระทั่งสีหน้าของหนานหลิวเฟิงศิษย์ของเจิ้งอวี้อี้ก็เริ่มมืดดำขึ้นมาทันใด!
“เจ้าหนู เชิญป้อนกระบ้วนท่า!”
หนานหลิวเฟิงก้าวออกมาข้างหน้า จากนั้นชุดคลุมหรูของมันก็เริ่มโบกกระพือ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิยังปะทุออกมารุนแรง สงเสียงดังคำราม จากนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอัสนีแลบลั่นแปลบปลาบ ปกคลุมไปทั่วร่างกายของมัน!
ตอนนี้เองเส้นผมของมันก็เริ่มสยายดั่งอสรพิษเต้นระบำ
สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียน กลายเป็นเย็นชาปานจะแช่แข็งผู้คน!
WSSTH ตอนที่ 3,285 : บดขยี้!
“ศิษย์น้องเล็ก เดี๋ยวเจ้ายั้งมือไว้ไมตรีด้วยเล่า…”
หูเหมยหันไปมองต้วนหลิงเทียน กล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “อาจารย์ลุงเจิ้งกับท่านอาจารย์นั้นแม้จะมีปากเสียงกับท่านอาจารย์บ่อยๆ แต่ทั้งสองคนก็เป็นสหายกันมานานแล้ว”
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ
ได้ยินบทสนทนาของหูเหมยกับต้วนหลิงเทียน หนานหลิวเฟิงก็ยิ่งมีโมโห พลังสายฟ้าที่ปกคลุมไปทั่วร่างมันเริ่มปั่นป่วน เส้นสายอัสนีที่ม้วนพันรอบกายแล่นวาบแปลบปลาบไม่หยุด เสมือนเทพสายฟ้ากำลังพิโรธอย่างไรอย่างนั้น!
“ไอ้หนู! เข้ามา!!”
หนานหลิวเฟิงโจนร่างขึ้นไปยังฟ้าสูง จากนั้นก็กางมือออก ทำให้บรรยากาศโดยรอบเริ่มวิปริต ฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างไม่หยุด! มองไปคล้ายอสรพิษสีม่วงกำลังเต้นระบำรอบตัวมัน!!
เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายัวไปมาเบาๆ จากนั้นก็ใช้เคลื่อนมิติ วูบร่างหายไปในอากาศว่างเปล่า ปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ลอยอยู่เบื้องหน้าหนานหลิวเฟิงไม่ไกลแล้ว
“เคลื่อนมิติรึ!?”
เจิ้งอวี้อี้หยีตาลง จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับฉือหล่างด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง “ฉือหล่าง ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะได้ศิษย์ที่เข้าใจกฏมิติแบบนี้”
“อย่างไรก็ตามกฏมิติที่เป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดนั้นยากจะเข้าใจยิ่งนัก…ในเมื่อศิษย์คนเล็กเจ้าอายุไม่ถึง 300 ปี เกรงว่าอย่างดีก็พึ่งเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ 2 ประการกระมัง?”
เจิ้งอวี้อีกล่าวคาดเดาออกมา
“2 ประการ?”
ได้ยินวาจาคาดเดาของเจิ้งอวี้อี้ ฉือหล่างก็ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหัวไปมา “เจ้ารอดูเอาเองแล้วกัน”
ตัดกลับมาบนฟ้า ด้านหนานหลิวเฟิงที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าถมึงทึง ก็กล่าวออกมาเสียงเข้มว่า “เจ้าหนู ข้าอยากชมดูนักว่าอาศัยเด็กน้อยอายุไม่ถึง 300 ปีเช่นเจ้า มันจะแน่สักแค่ไหน!”
“หากเจ้ายังไม่อาจเอาชนะข้าได้ เจ้าก็อย่าได้เข้าไปทดสอบในวิหารเฟิงฮ่าวให้อับอายเสียประเสริฐกว่า เพราะหากโชคร้ายเจ้าอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ในนั้น!!”
หนานหลิวเฟิงกล่าว
“ลงมือเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับหนานหลิวเฟิงเสียงเบา
แต่ต้นจนจบสีหน้าท่าทางต้วนหลิงเทียนแลดูสบายๆให้สภาวะเอื่อยเฉื่อยราวเมฆเคลื่อนคล้อย สิ่งนี้ทำให้หนานหลิวเฟิงรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนไม่เห็นตัวมันอยู่ในสายตา พาลให้มีโมโหขึ้นมาเป็นฟืนไฟ!
“ฮึ!”
พ่นลมสบถเย็นๆออกมาคำหนึ่ง หนานหลิวเฟิงก็ลงมือทันที เส้นสายอัสนีที่แลบลั่นแปลบปลาบรอบกายมัน ดั่งอสรพิษสีม่วงฉีดเลือดไก่ พร้อมใจกันพุ่งทะยานจี้เข้าใส่ต้วนหลิงงเทียนอย่างดุร้าย!
ถึงแม้มันจะไม่ได้เห็นชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าเป็นศัตรูอะไร แต่หนานหลิวเฟิงก็ยังลงมือจริงจัง! เรียกว่านอกจากชักอาวุธแล้ว มันก็ไม่ได้ยั้งงมือแม้แต่น้อย!!
มันคิดเอาชนะ กระทั่งจะสำแดงพลังอันเหนือชั้น!
“เจ้ามีแรงแค่นี้หรือ?”
เพอเห็นการลงมือของหนานหลิวเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที ว่าหนานหลิวเฟิงคนนี้ ยังเทียบกับหลิวเจี้ยนที่ตายคามือเขาก่อนหน้านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
วูบ!
ต้วนหลิงเทียนใช้เคลื่อนมิติหายตัวไปปรากฏเหนือร่างหนานหลิวเฟิงในชั่วพริบตา และเพียงหนึ่งห้วงคิด ห้วงมิติรอบกายหนานหลิวเฟิงก็ปรากฏกรงลูกบาศก์ยากมองเห็นล้อมกักเอาไว้แล้ว
“หึ! เจ้าคิดว่าเท่านี้จะขังข้าได้หรือ?”
สัมผัสได้ถึงกรงมิติรอบกาย หนานหลิวเฟิงก็แสยะยิ้มออกมา จากนั้นก็ควบคุมสายฟ้าให้เปลี่ยนทิศทางไปยังต้วนหลิงเทียนทันที
ทว่าวินาทีต่อมา มันก็มีอันต้องตะลึง
เพราะมันพบว่าห่าอัสนีที่มันจู่โจมออกไปเต็มกำลัง แม้ยามตกกระทบกับผนังกรงมิติจะทำให้ห้วงอากาศสั่นสะเทือนราวกับกรงมิติจะพังทลายอยู่รอมร่อ
อนิจจาหลังจากห่าอัสนีกระหน่ำไปสักพัก มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะพังทลายลงจริงๆ ราวกับทุกสิ่งอย่างเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
“มันจบแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย จากนั้นก็ใช้ความลึกซึ้งผ่ามิติออกมาทันที!
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
คมมีดมิติสีเทาพุ่งออกจากรอยแยกมิติทั้ง 9 คล้ายเพิกเฉยกรงมิติ จี้เข้าใส่หนานหลิวเฟิงเร็วไว!
และพร้อมกันนั้นเอง พลังมิติอันรุนแรงหนึ่งก็อุบัติขึ้นรอบตัวหนานหลิวเฟิง!
“ระเบิด!”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ พายุแม่เหล็กรวมถึงความลึกซึ้งของกฏมิติประการอื่นๆก็เสมือนจุดชนวนระเบิด พวกมันปลดปล่อยพลังอันคุ้มคลั่เกรี้ยวกราดออกมาอย่างพร้อมเพรียง!
ครืนนน!!!!
พลังมิติมหาศาล โถมถันเข้าใส่หนานหลิวเฟิง ด้านคมมีดมิติทั้ง 9 สายเอง ก็บรรลุถึงตัวมันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ทว่าเพียงทิ้งรอยแผลอันสยดสยองเลือดโชกแล้วก็หายวับไปดื้อๆ!
ตูมมม!!
เสียงระเบิดหนึ่งดังขึ้นสนั่น เป็นพลังมิติอันมหาศาลซัดปะทะเข้าร่างหนานหลิวเฟิงอย่างจัง จนคนปลิวกระเด็นหมุนติ้วไปไม่เป็นท่า ปากกระอักโลหิตออกเป็นสาย พอขืนร่างค้างกลางหาวได้อีกครั้ง ก็เอาแต่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว ไม่กล้าทำอะไรอีกต่อไป
มันไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าชายยหนุ่มที่อายุน้อยกว่ามันจะมีพลังอัน่าพรั่นพรึงถึงระดับนี้!
และพลังจากความลึกซึ้งของกฏมิติที่อีกฝ่ายใช้ออกมาเมื่อครู่ นอกจากความลึกซึ้งเคลื่อนมิติที่บอกไม่ได้แล้ว ดูเหมือนจะบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งนั้น กล่าวได้อีกอย่าง…ความลึกซึ้งอีกอีก 7 ประการที่เหลือของกฏมิติ อีกฝ่ายเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดแล้ว!!
สำหรับอาจารย์ของหนานหลิวเฟิง จักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดง เจิ้งอวี้อี้ มันตกตะลึงกับเรื่องราวเบื้องหน้ามาสักพักแล้ว!
ศิษย์คนใหม่ของฉือหล่าง อายุไม่ทันถึง 300 ปีแท้ๆ แต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ 7 ประการแล้วหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ว่าความลึกซึ้งเคลื่อนมิติของอีกฝ่ายจะยังไม่ถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ ก็แค่ไม่มีโอกาสได้ใช้เท่านั้น
เมื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่มันพูดอวดกับฉือหล่างตอนแรก จังหวะนี้เจิ้งอวี้อี้ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าเหลือเกิน ราวกับพึ่งถูกผู้คนตบหน้ามาจังๆ!
ตบ!
ตบหน้าดังฉาด!
จากนั้นเจิ้งอววี้อี้ก็ได้แต่มองไปยังฉือหล่างด้วยสายตาอิจฉาครั้งใหญ่ ค่อยคลี่ยิ้มเจื่อนๆเอ่ยถามฉือหล่างว่า “ฉือหล่าง…นี่เจ้าจงใช่หรือไม่?”
“จงใจ?”
ฉือหล่างอึ้ง จากนั้นก็ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ข้าจะไปจงใจได้อย่างไร ข้ากับเจ้า 3 ดูเหมือนจะไม่ได้เอ่ยสักคำว่าให้ศิษย์เจ้าประลองกับเจ้า 7 ใช่ไหม?”
“กลับกัน มีแต่เจ้ากับศิษย์ที่ไม่เชื่อว่าเจ้า 7 ของข้าร้ายกาจ ก็เลยอยากประลองชี้แนะดู…”
กล่าวถึงประโยคท้ายฉือหล่างก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอีกรอบ
ได้ยินคำพูดฉือหล่าง เจิ้งอวี้อี้ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หวนนึกย้อนดู ค่อยพบว่าสิ่งที่ฉือหล่างกล่าวเหมือนจะเป็นความจริง เพราะฉือหล่างกับหูเหมยไม่ได้พูดอะไรทำนองนั้นสักคำ
มีก็แต่พวกมันที่ไม่เชื่อและคิดว่าฉือหล่างกำลังเล่นลึกลับ พวกมันจึงไม่สนใจ
ตอนนี้พอผลออกมาก็ปรากฏว่าฉือหล่างไม่ได้เสแสร้งและหูเหมยก็ไม่ได้หลอก ชายหนุ่มนาม ‘ต้วนหลิงเทียน’ ที่อายุไม่ถึง 300 ปีคนนี้ มีพลังมากพอจะบดขยี้ศิษย์มันจริงๆ!
“หลิวเฟิง ไฉนเจ้ายังไม่ขอบคุณศิษย์พี่ต้วนที่เมตตาเจ้าอีก!”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆรอบหนึ่งเจิ้งอวี้อี้ก็สงบลง จากนั้นก็หันไปมองตะคอกใส่หลิวเฟิงก่อนใดอื่น
ก่อนหน้ากับศิษย์คนนี้แววตาของมันมีแต่ความชื่นชม ไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดังกับอีกฝ่าย…แต่พอเห็นศิษย์ผู้อื่นที่อายุน้อยกว่าด้วยซ้ำเอาชนะศิษย์ของมันได้อย่างง่ายดาย มันก็รู้สึกว่าศิษย์คนเล็กนี้ก็ไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่คิด เช่นนั้นจึงไม่รู้สึกดีอะไรกับอีกฝ่ายมากอีกต่อไป
แต่แน่นอนว่ามันรู้ดีว่าตัวตนอย่างศิษย์คนเล็กของฉือหล่าง ต่อให้มองไปทั่วระนาบเทวโลกทั้งมวล ก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจนัก!
“ขอบคุณศิษย์พี่ต้วนที่เมตตา”
ถึงแม้หนานหลิวเฟิงจะถือดี แต่มันก็นับถือคนที่แข็งแกร่งกว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่แข็งแกร่งกว่ามันแต่อายุน้อยกว่ามัน สิ่งนี้ทำให้มันรู้สึกนับถืออีกฝ่ายมากขึ้น
“ฉือหล่าง เจ้าจะโชคดีเกินไปแล้ว”
เจิ้งอวี้อี้ที่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉือหล่างด้วยความอิจฉา ถามว่า “ฉือหล่าง ศิษย์คนที่ 7 ของเจ้าผู้นี้เจ้าไปขุดมาแต่ที่ใด?”
“เจ้าหมายถึงต้วนหลิงเทียนน่ะรึ? พอดีเจ้า 7 มาทดสอบเพื่อเข้าร่วมวังเทียนฉือของข้าน่ะ และข้าก็รีบไปชักชวนมาตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่เจ้า 7 จะกลายเป็นคนของวังเทียนฉือซะอีก…หลังจากนั้นก็อย่างที่เจ้าเห็น”
ฉือหล่างกล่าว
ตอนนี้เจิ้งอวี้อี้มีโมโหจนแทบกระอักเลือด!
หากฉือหล่างบอกว่าต้องใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าจะได้ตัวต้วนหลิงเทียนมา มันยังพอทำใจได้
แต่ตอนนี้ฉือหล่างพูดราวกับต้วนหลิงเทียนพาตัวเองมาส่งถึงงหน้าประตู!
ไฉนมันถึงไม่มีโชคเช่นนี้บ้างเล่า?
“ไปเถอะ เข้าไปในวิหารเฟิงฮ่าวกัน”
ฉือหล่างหันไปชวนพวกต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เหินร่างนำทุกคนไปยังวิหารเฟิงฮ่าว
เห็นฉากดังกล่าวเจิ้งอวี้อี้ ก็รีบพาหนานหลิวเฟิงศิษย์ของมันตามไปติดๆ
“ครู ปกติวิหารเฟิงฮ่าวมีผู้คนมาทดสอบรับสมญานามตลอดเวลาเลยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามฉือหล่าง
“มิผิด”
ฉือหล่างพยักหน้า “วิหารเฟิงฮ่าวนั้นไม่เคยขาดผู้คนแวะเวียนเข้ามา และมีจอมราชันอมตะมากมายที่อยากได้สมญานามมาตลอดเวลา ทำให้พอมาถึงก็ไม่ต้องรออะไร เข้าไปทดสอบได้ทันที…หากเป็นจักรพรรดิอมตะก็ต้องรอสักครู่ เพื่อให้คนครบ”
“นี่เพราะจักรพรรดิอมตะที่แข็งแกร่งพอจะรับสมญานามนั้น ไม่ได้มีมากมายอะไร”
“สำหรับจอมราชันอมตะ มีนับไม่ถ้วน”
“อีกทั้งการทดสอบรับสมญานามของวิหารเฟิงฮ่าว ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นในระนาบเทวโลกแห่งเดียว…ก็เหมือนพวกเจ้า เดี๋ยวพอเข้าไปก็ไม่ใช่ว่าจะเจอแต่คนของอู๋หยาเทียนเท่านั้นที่มาทดสอบ แต่พวกเจ้าจะเจอคนจากระนาบเทวโลกอื่นๆด้วย”
คำพูดของฉือหล่าง ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที ว่าคู่แข่งที่ต้องการรับสมญานามนั้นมาจากทุกแห่งหน
“โดยปกติแล้ว ผู้ที่จะมาทำการทดสอบรับสมญานาม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นจอมราชันอมตะ 10 ทิศ หรือไม่ก็จอมราชันอมตะ 9 ตำหนัก นานๆครั้งถึงจะเห็นจอมราชันอมตะ 8 ชะตา…ทั้งหมดเพราะพวกมันไม่ได้มั่นใจในตัวเองขนาดนั้น”
“เป็นธรรมดาว่า ความเข้าใจในกฏของพวกมันก็มิได้ดีเด่อะไรมากมาย”
“ส่วนใหญ่แล้วกฏที่พวกมันเข้าใจก็จะเป็นกฏของธาตุทั้ง 5 ธรรมดาขั้นตอนคววามสำเร็จก็แค่เล็กน้อย หากมีผู้ใดเข้าใจความลึกซึ้งของกฏทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นแค่จอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้รับสมญานาม”
กล่าววถึงจุดนี้ฉือหล่างก็หยุด และหันมามองต้วนหลิงเทียนพักหนึ่ง ค่อยกล่าวสืบต่อ “เจ้าอย่าได้ยึดศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเราเป็นมาตรฐานเชียว และนึกว่าคนอื่นๆจะเข้าใจความลึกซึ้งมากมายถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ตั้งแต่ยังเยาว์…”
“นั่นเพราะทั้งหมดคือศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเรา! ใน 100 คนนั่นเจ้าสุ่มเลือกมาสักคน ให้เอาไปวางไว้ตรงไหนในอู๋หยาเทียนก็เป็นตัวตนระดับบสุดยอดอัจฉริยะ เจ้าอย่าได้ลืมไปซะเล่า…ว่าวังเทียนฉือเราคือขุมกำลังระดับสวรรค์ และเป็นขุมกำลังระดับแนวหน้าของอู๋หยาเทียนแล้ว”
“ข้างนอกยังมีจอมราชันอมตะ 10 ทิศที่ไม่แม้แต่จะเข้าใจความลึกซึ้งถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่สักประการ ยิ่งไปกว่านั้นคนแบบนี้ยังมีมากมาย”
“ที่ร้ายกาจเข้าหน่อยก็จะเข้าใจแค่ 1-2 ประการเท่านั้น”
คำพูดของฉือหล่าง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สงสัยอะไร
เพราะอย่างที่ฉือหล่างบอก
จอมราชันอมตะสมญานามนั้น ไม่จำเป็นต้องงเป็นจอมราชันอมตะ 10 ทิศ จะเป็นจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดก็เป็นได้
เพราะในโลกของเหล่าอัจฉริยะ แม้ด่านพลังจะอยู่ในขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด แต่ขอเพียงมีความเข้าใจในกฏมากพอ ก็เอาชนะจอมราชันอมตะ 10 ทิศได้!
WSSTH ตอนที่ 3,286 : สถานที่ทดสอบ
ภายใต้การนำของฉือหล่าง ไม่นานทุกคนก็มาถึงวิหารเฟิงฮ่าว
ต้วนหลิงเทียนยังตระหนักได้ชัดเจน ว่ายิ่งเข้าใกล้วิหารเฟิงฮ่าวมากเท่าไหร่ แรงกดดันที่วิหารเฟิงฮ่าวแผ่ออกมาก็จะรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
‘หากด่านพลังต่ำกว่าขอบเขตจอมราชันอมตะ และความเข้าใจในกฏไม่สูงนัก…เกรงว่าไม่อาจฝ่าแรงกดดันระดับนี้เข้ามาได้ด้วยซ้ำ’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
แรงกดดันพลังที่แผ่ออกมา ไม่เพียงแต่จะสร้างภาระให้ร่างกายเขา กระทั่งจิตวิญญาณก็ด้วย อีกทั้งสิ่งนี้ฉือหล่างเอง ก็ไม่อาจช่วยต้านทานให้เขาได้
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ต้วนหลิงเทียนคนเดียวที่เป็นแบบนี้ ด้านหูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อ รวมถึงฮ่วนเอ๋อเองก็ชักสีหน้าจริงจังเหมือนกันหมด
“บททดสอบของจอมราชันอมตะสมญานาม กล่าวไปมันไม่ใช่สุ่มให้คน 10 คนเข้าไปพบเจอและเข่นฆ่ากันจนหาผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย แต่เป็นการส่งทุกคนเข้าไปด้านในแดนลับ และให้ 1 ใน 10 รอดกลับออกมาต่างหาก…”
ก่อนเข้าสู้วิหารเฟิงฮ่าว ฉือหล่างก็เริ่มกล่าวบอกรายละเอียดการทดสอบองวิหารเฟิงฮ่าว “พูดได้ว่าเมื่อเจ้าเข้าไป พวกเจ้าจะถูกส่งเข้าไปในแดนลับเดียวกัน…”
“แต่แน่นอนว่าคงยากที่พวกเจ้าจะพบเจอกันได้”
“อย่างไรก็ตามเพราะมีจอมราชัอมตะจากระนาบเทวโลกอื่นๆเข้ามาด้วย..เช่นนั้นการจะตามหาคนอื่นๆอีก 9 คนแล้วเข่นฆ่าเพื่อกลับออกมาก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร”
ฉือหล่างกล่าวสืบต่อ
“นอกจากนั้น ด้านในยังมีด่านทดสอบย่อยซึ่งถือเป็นสถานที่บ่มเพาะชั้นดี…บางทีหากติดจุดรอคอยอันใด การเข้าไปในนั้นก็สามารถช่วยให้ทะลวงผ่านได้”
ฉือหล่างกล่าวเล่าเสียงเรียบ
หลังฟังคำพูดฉือหล่างไปเพลินๆ ต้วนหลิงเทียนและทุกคนก็มาถึงประตูวิหารเฟิงฮ่าวแล้ว
ประตูของวิหารเฟิงฮ่าวเป็นประตูขนาดมหึมา 2 บาน มองเข้าไปก็พบเจอแต่ความมืดไร้สิ้นสุด
และเบื้องหน้าประตูทั้ง 2 บาน ยังมีแท่นศิลาขนาดมหึมาแท่นหนึ่งตั้งอยู่
และประตูทั้ง 2 บานที่ว่า บานหนึ่งมีผู้คนเข้าออกหนาตา ส่วนอีกบานนั้นมีคนผ่านเข้าออกบางตา ยังมีบางคนที่หยุดยืนอยู่หน้าประตูคล้ายลังเลไม่กล้าเข้า
“ประตูบานนั้น มีไว้สำหรับจักรพรรดิอมตะที่จะมารับสมญานาม”
ฉือหล่างมองไปยังประตูที่มีผู้คนบางตา พลางกล่าวอธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟัง “ตอนที่ข้ามาทดสอบรับสมญานาม เพื่อเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามก็ต้องผ่านประตูบานนั้นเช่นกัน”
“เจ้าสังเกตเห็นแท่นศิลาขนาดใหญ่หน้าประตูทั้ง 2 หรือไม่ มันมีรายชื่อจอมราชันอมตะสมญานาม กับจักรพรรดิอมตะสมญญานามทั้งหมดในระนาบเทวโลกที่ผ่านการทดสอบจากวิหารเฟิงฮ่าวบันทึกไว้”
“แท่นศิลาที่บันทึกรายชื่อจอมราชันอมตะสมญานามเอาไว้ ไม่มีอาคมจำกัดอันใด ทำให้เจ้าสามารถใช้อมตะเก็บความทรงจำเพื่อบันทึกรายชื่อดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ผู้อื่นดูได้”
“อย่างไรก็ตาม แท่นศิลาที่บันทึกรายชื่อจักรพรรดิอมตะสมญานามเอาไว้ มีอาคมลี้ลับบางอย่างทำให้เจ้ามิอาจบันทึกข้อมูลออกไปได้ หากผู้ใดอยากดูรายชื่อจักรพรรดิอมตะสมญานาม ก็มีแต่ต้องมาเยือนวิหารเฟิงฮ่าวด้วยตัวเอง”
“ประตูด้านซ้ายนั่นเป็นของจอมราชันอมตะ”
“เจ้าเองก็ต้องผ่านเข้าไปในประตูนั้น”
“ประตูบานซ้าย มีไว้สำหรับจอมราชันอมตะที่ต้องการสมญานามเท่านั้น…หากไม่ใช่จอมราชันอมตะหรือมีด่านพลังเหนือกว่า ไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปได้เด็ดขาด…หากเผลอเข้าไปก็มีแต่ต้องอยู่ในนั้นตลอดกาล”
“ข้าไม่รู้ว่าในระนาบเทวโลกอื่นๆเป็นแบบนี้หรือไม่ แต่สำหรับวิหารเฟิงฮ่าวที่อู๋หยาเทียนแห่งนี้ เคยมีจักรพรรดิอมตะคิดสัปดนหมายเข้าไปในประตูของจอมราชันอมตะมาแล้วหลายต่อหลายคน…แต่ทั้งหมดพบพานชะตาดุจเดียวกัน มิอาจหวนกลับออกมาตลอดกาล”
ฉือหล่างกล่าวถึงท้ายประโยคสีหน้าก็แลดูจริงจังไม่น้อย “ข้าเองก็ทำได้แค่มาส่งพวกเจ้าถึงหน้าประตูเท่านั้น”
“ต่อไปพวกเจ้าต้องเข้าไปกันเอง แล้วผ่านการทดสอบรับสมญานามของจอมราชันอมตะเสีย”
ฉือหล่างกล่าวอธิบายจบ ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นก็ม่ายืนอยู่เบื้องหน้าประตูบานเขื่อแล้ว
ด้านเจิ้งอวี้อี้ก็อธิบายให้หนานหลิวเฟิงฟังจบแล้วเช่นกัน และหนานหลิวเฟิงก็ก้าวอาดๆนำเข้าประตูไปอย่างห้าวหาญ เรียกว่าพลังฝีมืออาจไม่เท่าไหร่ แต่ใจมันได้จริงๆ!
“พวกเจ้าก็ไปเถอะ”
ฉือหล่างกล่าวกับพวกต้วนหลิงเทียน
“ไปๆ ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์น้องหญิงฮ่วนเอ๋อ ลุยโลด!!”
หูเหมยจับมือขาวเรียวของเวิ่นหว่านเอ๋อไว้แน่น หลังกล่าวชวนต้วนหลิงเทียนแล้ว นางก็นำลิ่วเข้าประตู ตามหนานหลิวเฟิงไปติดๆ
“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราก็เข้าไปกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนก็เดินเคียงกับฮ่วนเอ๋อเข้าประตูดังกล่าวไป
หลังจากเดินเข้ามาในประตู ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ชัดเจนว่ามีพลังอ่อนโยนไร้สภาพหนึ่งแผ่มาปกคลุมทั่วร่างเขากับฮ่วนเอ๋อ จากนั้นก็หอบหิ้วพวกเขามุ่งหน้าล่วงลึกเข้าไปด้วยความเร็วที่สูงล้ำเป็นอย่างมาก!
พลังอ่อนโยยนดังกล่าว ไม่เพียงปกกคลุมไปทั่วร่างเท่านั้น ยังปิดกั้นการมองเห็นของต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อเอาไว้ จนเมื่อสองตาแลเห็นแสงสว่างกันอีกครั้ง ก็พบว่าเท้าได้ย่ำเหยียบอยู่บนพื้นที่ไหนสักแห่งแล้ว
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีผู้คนกระจายตัวอยู่โดยรอบเต็มไปหมด
“ศิษย์น้องเล็ก ทางนี้!”
ทันใดนั้นเองเสียงหูเหมยก็ดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน เขาจึงตระหนักว่าหูเหมยยืนห่างออกไปจากเขาราวๆ 10 ก้าว
“ศิษย์พี่หญิง”
หลังได้ยิน ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที
“พี่หลิงเทียนอย่าขยับ”
อย่างไรก็ตาม ฮ่วนเอ๋อพลันหยุดเขาเอาไว้ก่อน
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนมองไปที่ฮ่วนเอ๋อด้วยความสงสัย
“พี่หลิงเทียน ที่ท่านกำลังเห็นอยู่ มันเป็นภาพลวงตา”
พอเสียงฮ่วนเอ๋อดังจบคำ สองตานางก็หดเล็ก จากนั้นพลังวิญญาณขุมหนึ่งพลันกำจายออกไปทั่ว 4 ทิศ 8 ทาง ทำให้ฉากเรื่องราวโดยรอบบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปพลิกฟ้าคว่ำดิน
ต้วนหลิงเทียนพบได้ทันทีว่าที่แท้เขาอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
และหลายคนในห้องโถงก็แลดูเลื่อนลอยยไร้สติ บ้างแม้จะมีผู้คนรอบๆตัว แต่ก็ทำเหมือนมองไม่เห็น กระทั่งหากเขาเดินต่อไปเมื่อครู่ ก็ไม่พ้นต้องชนกับคนอื่นไปแล้ว
“พวกนั้นยังไม่หลุดออกมาจากภาพลวงตา”
ฮ่วนเอ๋อกล่าว
“เป็นภาพลวงตาที่แยบยลอะไรจะขนาดนี้ ข้าไม่เห็นร่องรอยใดๆเลย”
ขณะกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ ต้วนหลิงเทียนที่นึกอะไรได้ก็รีบหันไปถามฮ่วนเอ๋อทันที “ฮ่วนเอ๋อ แล้วภาพลวงตานี่มันทำร้ายผู้คนรึเปล่า?”
“ไม่”
ฮ่วนเอ๋อส่ายหน้าไปมา “เป็นแค่ภาพลวงตาที่สร้างความสับสนให้ผู้คนเฉยๆ คล้ายระเบิดควัน มีผลอยู่สักพักเท่านั้น”
“ศิษย์พี่หญิง 3”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นหูเหมยอีกครั้ง และหูเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆเวิ่นหว่านเอ๋อก็กำลังขมวดคิ้ว มองจ้องไปยังเวิ่นหว่านเอ๋อด้วยท่าทางไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ต้วนหลิงเทียนเดินไปหาอีกฝ่ายพร้อมฮ่วนเอ๋อ จึงพบว่าศิษย์พี่หญิง 4 เวิ่นหว่านเอ๋อที่ปกติมีหน้าตาอ่อนโยนเหมือนหยก ตอนนี้กำลังชักสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ราวกับเห็นบางอย่างที่สะท้านสะเทือนอารมณ์
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าหลุดออกจากภาพลวงตาได้แล้วเหรอ?”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินเข้ามา หูเหมยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองเวิ่นหว่านเอ่อด้วยรอยยิ้มเหยเก “ศิษย์น้องหญิง 4…ดูเหมือนจะยังติดอยู่ในภาพลวงตา”
“ศิษย์พี่หญิง 3 พวกท่านเข้ามาพร้อมกัน? ไม่ใช่ว่าสมควรติดอยู่ในภาพลวงตาเหมือนกันหรอกหรือ”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ถามด้วยความสงสัย
“ก็ใช่ตอนแรกพวกเราก็ติดอยู่ในภาพลวงตาเหมือนกัน…และพวกเราก็เห็นว่ามีคนกำลังจะทำร้ายพวกเจ้า พวกเราจึงแยกย้ายกันออกไปขัดขวาง”
หูเหมยคลี่ยิ้มขื่นขม “แต่พอดีข้าศึกษาเรื่องวิชาลวงตามามาก ทำให้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติและตื่นขึ้นก่อน..ทว่าศิษย์น้องหญิง 4 ไม่ค่อยศึกษาเรื่องพวกนี้ จึงทำให้นางไม่อาจรู้สึกตัวและยังติดอยู่ในนั้น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับรู้ก่อน ค่อยหันไปมองถามฮ่วนเอ๋อ “ฮ่วนเอ๋อ เจ้ามีทางช่วยศิษย์พี่หญิง 4 ไหม?”
แทบจะพร้อมกันกับที่เสียงเอ่ยถามของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ สองตาฮ่วนเอ๋อหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็ปรากฏลำแสงสีขาว 2 สายพุ่งออกจากดวงตาชำแรกเข้าร่างเวิ่นหว่านเอ๋อ…จากนั้นเวิ่นหว่านเอ๋อก็ฟื้นสติ พอเห็นต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 3 ยืนอยู่ด้วยกัน นางก็ได้แต่กล่าวออกมาด้วยความอื้ออึง “ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์น้องฮ่วนเอ๋อ ศิษย์พี่หญิง 3…”
“อ๋า…เมื่อครู่เป็นภาพลวงตาหรอกหรือ?”
เวิ่นหว่านเอ๋อตระหนักเรื่องราวได้ทันที
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนว่าหลังเข้ามาในวิหารเฟิงฮ่าวจะพบเจอกับภาพลวงตา”
หูเหมยส่ายหัว
“มีคุณสมบัติ”
แทบจะพร้อมกันกับที่หูเหมยพูดจบ เสียงกล่าวพึมพำเฉยเมไร้อารมณ์หนึ่งพลันดังขึ้น ปลุกเหล่าผู้ที่ยังติดอยู่ในภาพลววงตาให้คืนสติทันที
จากนั้นท่ามกลางสายตาของทุกคน สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือโถงใหญ่ ก็ปรากฏหมอกสีดำค่อยๆคววบรวมเข้าด้วยกกัน สุดท้ายก็ก่อเกิดเป็นร่างมนุษย์ร่างหนึ่ง เป็นสตรีในชุดสีดำสนิท ลักษณะท่าทางน่าเกรงขามเป็นที่สุด
สตรีชุดดำที่ใบหน้าสะสวยแต่เต็มไปด้วยความเฉยชากวาดมองไปยังต้วนหลิงเทียนและคนอื่ๆด้วยสายตาเยียบเย็น “พวกเจ้าที่มาเข้าร่วมการทดสอบจอมราชันอมตะสมญานาม มีบางคนที่สามารถหลดพ้นจากภาพลวงตาได้เร็วไว บ้างก็ใช้เวลานาน และบางคนแทบมิอาจหลุดพ้นได้ตลอดกาล…”
“พวกเจ้าแน่ใจแล้วหรือถึงได้หาญกล้ามาทดสอบเป็นจอมราชัอมตะสมญานาม?”
“ฮึ!”
“หวังว่าพวกเจ้าจักไม่ทำให้วิหารเฟิงฮ่าวสาขาอู๋หยาเทียนของพวกเราต้องอับอายขายหน้า!”
พอเสียงของสตรีชุดดำดังจบคำ ไม่ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนและอีกหลายสิบคนในห้องโถงจะทันได้ทำอะไร ทุกคนก็รู้สึกเสมือนมีพลังบางอย่างปกคลุมไปทั่วร่าง จับโยนเข้าไปยังประตูที่มีลักษณะเป็นวังวนมิติที่อยู่ๆก็อุบัติขึ้น ทำให้สองตาเห็นแต่ความมืดอีกครั้ง
“ตอนนี้ข้าจะส่งพวกเจ้าไปยังแดนลับ…จงไปตามหาผู้เข้าทดสอบคนอื่นๆอีก 9 คนแล้วฆ่าพวกมันเสีย พอฆ่าได้ 9 คนแล้ว พวกเจ้าก็จักถูกส่งตัวกลับมารับตำแหน่งจอมราชันอมตะสมญานาม”
ในขณะที่สองตาแลเห็นแต่ความมืด เสียงสตรีชุดดำก็ดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
ครู่ต่อมาดวงตาต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นแสงสว่างอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตัวเองอยู่ในหุบเขาที่แลดูงดงามเต็มไปด้วยแมกไม้เขียวขจี ธารน้ำไสไหลเย็นเห็นตัวปลา บนฟ้าเต็มไปด้วยมวลหมู่สกุนาส่งเสียงเจื้อแจ้วหยอกล้อกัน ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบใจอย่างประหลาด
“ที่นี่…เป็นสถานที่ทดสอบรับสมญานามของจอมราชันอมตะงั้นหรือ?”
หลังต้วนหลิงเทียนกวาดมองไปรอบๆสักพัก เขาก็พบว่าไม่อาจมองเห็นฮ่วนเอ๋อและคนอื่นๆได้เลย กระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้คนด้วยซ้ำ
“พี่สาวสุ่ย”
ต้วนหลิงเทียนฉุกคิดถึงสถานที่ๆวารีเทพชำระโลกาเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้า จึงเอ่ยถามวารีเทพชำระโลกาในโลกใบเล็กทันที “แล้วต่อไปข้าต้องทำอย่างไรหรือ?”
พอเสียงกล่าวถามของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ วารีเทพชำระโลกาก็ตอบกลับเร็วไว “ไม่คิดเลยว่าการทดสอบจอมราชันอมตะสมญานามจักเป็นเช่นนี้…ก่อนหน้าข้านึกว่าจอมราชันอมตะ 10 จักถูกสุ่มไปปรากฏอยู่ในด่านทดสอบย่อยเดียวกัน แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกจับโยนเข้ามาในแดนลับอย่างไม่เจาะจง และให้ไปหาคน 9 คนเพื่อเข่นฆ่าจึงจะออกไปได้เช่นนี้…”
“แต่เจ้ามิต้องกังวลแดนลับหรือสถานที่ทดสอบแห่งนี้ ย่อมมีด่านทดสอบย่อยที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเหลือทิ้งไว้ไม่น้อย..เจ้าออกตระเวนหาสถานที่ทดสอบสักพักเดี๋ยวก็เจอ จากนั้นก็อาศัยแรงกดดันวิญญาณของสถานที่ทดสอบที่ว่า เพื่อช่วยให้เจ้าหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวที่พฤกษาเทพกำเนิดชีพดูดกลืนมาได้เร็วไว ถึงตอนนั้นเจ้าก็จักเริ่มกระบวนการควบแน่นพลังสร้างร่างอวตารกฏได้ไม่ยาก”
วารีเทพชำระโลกา “ตอนนี้เจ้าเลือกสักทางแล้วมุ่งหน้าไปค้นหาด่านทดสอบเถอะ”
“เอาล่ะ”
พร้อมๆกับที่ขานรับ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบหุบเขาทันที เมื่อพบว่าไม่มีอะไรพิเศษแล้ว เขาก็สุ่มเหินร่างไปยังทิศทางหนึ่งทันที
“ไม่รู้ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อกับคนอื่นๆถูกส่งไปอยู่ที่ไหน…”
ใจต้วนหลิงเทียนลอบคิดถึงคนอื่นๆ
“จอมราชันอมตะทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลกมารวมตัวกันที่นี่เพื่อทดสอบรับสมญานาม…และมีทางเดียวเท่านั้นที่จะกลับออกไปได้ ฆ่าจอมราชันอมตะ 9 คน!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น