War sovereign Soaring The Heavens 3276-3283

 WSSTH ตอนที่ 3,276 : มาเยือนสังเวียนอัจฉริยะอีกรอบ


 


 


ฝานฉีก็เหมือนกับหวงลู่หนานศิษย์อัจฉริยะที่ต้วนหลิงเทียนเคยท้าประลองมาก่อนอยู่บ้าง เพราะมันมีด่านพลังฝึกปรืออยู่ที่ขอบเขตจอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบเหมือนกัน


 


อย่างไรก็ตามในแง่พลังความแข็งแกร่ง หากหวงลู่หนานคิดจะเทียบกับฝานฉียังนับว่าห่างไกลนัก!


 


ต่อให้หวงลู่หนานได้รับสิทธิ์ท้าทายฝานฉี…มันก็ไม่มีแม้แต่ความกล้าจะท้าทาย!


 


‘ต้วนหลิงเทียนท้าฝานฉีประลองชิงตำแหน่งรึ? พลังฝีมือของฝานฉีผู้นั้นให้เทียบกับศิษย์พี่หลิวเจี้ยนแล้วยังเหนือกว่าหลายส่วน…นอกจากนั้นในฐานะที่เป็นศิษย์อัจฉริยะอันดับ 1 ในช่วงอายุ 200-300 ปี ไม่พ้นต้องมีไพ่ตายซุกซ่อนอยู่แน่’


 


‘เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น ไม่น่าจะสู้ฝานฉีได้!’


 


ไม่ว่าจะเพราะอยากเห็นต้วนหลิงเทียนแพ้พ่ายก็ดี หรืออยากเห็นไพ่ตายของฝานฉีก็ดี หวงลู่หนานก็ได้ออกจากสถานที่พักบ่มเพาะ และมุ่งหน้าไปยังสังเวียนอัจฉริยะทันที


 


‘เดือนก่อนตอนอาจารย์ได้รับบบาดเจ็บสาหัสกลับมา…โชคดีที่ท่านไม่ถือโทษข้า’


 


เมื่อนึกย้อนถึงเรื่อราวเมื่อเดือนก่อน ตอนเห็นอาจารย์กลับมาพร้อมสภาพย่ำแย่ หวงลู่หนานก็กลัวจนตัวสั่น เรียกว่าวันนั้นมันเตรียมตัวโดนถูกทุบตีลงโทษเอาไว้แล้ว แต่อาจารย์กลับไม่พูดไม่จาอะไร…


 


ตอนนี้ศิษย์วังเทียนฉือมากมายได้ไปรวมตัวกันที่สังเวียนอัจฉริยะแล้ว ผู้ที่กำลังเดินทางไปก็ยังมีไม่น้อยเช่นกัน


 


ในบรรดาผู้ที่กำลังเดินทางไปหรือไปรออยู่ก่อน ก็มีเหล่าศิษย์อัจฉริยะไม่น้อย


 


เมื่อเดือนก่อนตอนที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงลู่หนานประลองกันนั้น เรียกว่าเป็นกระลองเล็กๆไร้สำคัญ เนื่องจากหวงลู่หนานเป็นแค่ศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุ 200-300 ปี…


 


และก่อนการประลองวันนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่ได้เป็นศิษย์อัจฉริยะด้วยซ้ำ


 


ดุจเดียวกับเมื่อ 20 กว่าวันก่อน ตอนที่ฮ่วนเอ๋อท้าประลองชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปี นางเองก็ไม่ได้ดึงดูดคววามสนใจจากผู้คนมากนัก


 


อย่างไรก็ตาม ฮ่วนเอ๋อยังทำให้ผู้ที่ไปชมดูนางตกใจอยู่บ้าง เพราะนางสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในพริบตาเช่นกัน


 


ตั้งแต่วันนั้นพอมีคนสืบไปสืบมา ก็พบว่าไม่เพียงฉือหล่างจะพึ่งรับศิษย์ใหม่มาคนหนึ่ง แต่เหลยอิงก็รับศิษย์ใหม่อีกคนเช่นกัน เป็นฮ่วนเอ๋อเอง!


 


นอกจากนั้น ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อดูเหมือนจะเป็นคู่เต๋ามากพรสวรรค์อีกด้วย!


 



 


ในวังเทียนฉือ จักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลาย ไม่เว้นจ้าววังเทียนฉือเองล้วนมีศิษย์อัจฉริยะใต้สังกัดทั้งสิ้น


 


ตัวอย่างก็เช่นจักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง ก็มีศิษย์อัจฉริยะทั้งสิ้น 7 คน


 


จักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง มีศิษย์อัจฉริยะ 5 คน


 


จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ กู้ฉางเจียง นั้น เดิมทีมันมีศิษย์อัจฉริยะทั้งสิ้น 6 คน แต่หนึ่งในนั้นถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายไป ส่วนอีกหนึ่ง ก็ถูกต้วนหลิงเทียนถีบออกจากตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะไปเรียบร้อย จึงหลงเหลือแค่ 4 เท่านั้น


 


“ศิษย์น้อง 5 ช่างไร้ประโยชน์ยิ่ง…ถึงกับถูกไอ้หนูอายุไม่ถึง 300 ปีฆ่าตายเอาได้!”


 


4 ศิษย์อัจฉริยะใต้สังกัดกู้ฉางเจียงที่เหลือ ไม่ว่าใครก็มีพลังฝีมือเหนือกว่าหลิวเจี้ยนทั้งสิ้น


 


นอกจากนั้นในบรรดาพวกมันทั้ง 4 ยังมี 2 คนทีอายุน้อยกว่าหลิวเจี้ยนอีกด้วย


 


คนหนึ่งอายุได้ 500 กว่าปี ส่วนอีกคนอายุ 600 ปีเศษ


 


ที่กำลังพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจอยู่ ก็คือศิษย์อัจฉริยะคนหนึ่งของกู้ฉางเจียงที่อยู่ในช่วงอายุ 600-700 ปีเหมือนหลิวเจี้ยน หากแต่อายุของมันน้อยกว่าหลิวเจี้ยนหลายสิบปี


 


อย่างไรก็ตามพลังฝีมือของมันเหนือกว่าหลิวเจี้ยนมาก และยังมีพลังฝีมือเป็นอันดับที่ 3 ในบรรดาศิษย์อัจฉริยะของกู้ฉางเจียงอีกด้วย


 


กระทั่งหากหลิวเจี้ยนพบเจอมา ยังต้องเรียกหามันด้วยเคารพว่า ศิษย์พี่ 3…


 


ศิษย์พี่ 3 ของหลิวเจี้ยนที่ว่า ก็เป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบางคนหนึ่ง สวมใส่ชุดผ้าทออย่างดีแลดูหรูหรามีระดับ แม้หน้าตาจะธรรมดาไม่โดดเด่น แต่แววตาของมันนับว่าเฉียบคมมาก


 


ศิษย์ลำดับที่ 3 ของกู้ฉางเจียง อวี๋เยวี่ย


 


อวี๋เยวี่ยคนนี้ยังเป็นศิษย์อัจฉริยะอันดับที่ 3 ในช่วงอายุ 600-700 ปีอีกด้วย พลังฝีมือของมันไม่ใช่อะไรที่อันดับ 9 อย่างหลิวเจี้ยนจะเทียบได้เลย…


 


“ศิษย์พี่ 3 ข้าว่าเป็นศิษย์น้อง 5 ดูเบาคู่ต่อสู้เกินไปเลยประมาทมัน…ไม่งั้นด้วยพลังฝีมือของศิษย์น้อง 5 ถึงจะแพ้ต้วนหลิงเทียนศิษย์ใหม่ของจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีนั่น แต่ก็ไม่น่าจะถูกผู้อื่นฆ่าตายเอาได้..”


 


วันนี้เหล่าศิษย์ของจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ กู้ฉางเจียง นอกจากหวงลู่หนานที่เดินทางไปยังสังเวียนอัจฉริยะคนเดียว ยังมีอีก 2 คนที่คิดไปร่วมสนุกที่สังเวียนอัจฉริยะ


 


พวกมันก็คือศิษย์อันดับ 3 และ 4 ของจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ กู้ฉางเจียง อวี๋เยวี่ย และ เหวียนกัง


 


เหวียนกังนั้นมีอายุ 500 กว่าปี และเป็นศิษย์อัจฉริยะอันดับที่ 4 ในช่วงอายุ 500-600 ปี ถึงแม้มันจะมีอายุน้อยกว่าหลิวเจี้ยน แต่พลังฝีมือก็เหนือกว่าหลิวเจี้ยน


 


ศิษย์ของจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ กู้ฉางเจียง จะจัดอันดับศิษย์พี่ศิษย์น้องกันตามพลังฝีมือ เหมือนกับศิษย์ของจักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง


 


อันที่จริงในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 9 คนของวังเทียนฉือ นอกจากฉือหล่างที่จัดอันดับความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องตามลำดับการเข้าร่วมแล้ว ศิษย์ของอีก 8 คนที่เหลือล้วนจัดอันดับตามพลังฝีมือทั้งสิ้น


 


ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว พลังฝีมือของศิษย์ฉือหล่างนั้น ผู้ใดสูงต่ำกว่ากันก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะทราบ


 



 


ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่กำลังเดินทางไปยังสังเวียนอัจฉริยะไม่ทันได้ไปไหนไกล เขาก็พบหงเฟยมาดักรออยู่กลางทาง


 


ความนี้หงเฟยไม่ได้มาคนเดียว


 


ข้างๆหงเฟยยังมีคนอีก 2 คนลอยอยู่ข้างๆ เป็นศิษย์พี่หญิง 3 หูเหมย กับศิษย์พี่หญิง 4 เวิ่นหว่านเอ๋อ


 


“ศิษย์พี่หญิง 3 ศิษย์พี่หญิง 4”


 


ต้วนหลิงเทียนเหินร่างมาหยุดเบื้องหน้าทุกคนก่อนจะกล่าวทักสตรีทั้ง 2 ออกไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันไปมองทักหงเฟย “ศิษย์พี่ 6”


 


“ศิษย์น้องเล็กอ่า…เจ้าลำเอียงกับสตรีรึเปล่า ไฉนถึงทักข้าเป็นคนสุดท้ายเลยเล่า”


 


หงเฟยกล่าว “หรือที่แท้เจ้ากำลังดูถูกข้าศิษย์พี่ 6 อยู่?”


 


“เจ้าอ้วนนี่…ในบรรดาพวกเรา 3 คนลำดับเจ้าก็อยู่หลังสุด เจ้าจะให้ศิษย์น้องเล็กทักผู้ใดเป็นคนสุดท้ายหากไม่ใช่เจ้า? หรือเช่นนั้นเจ้ามาประลองกับข้าและศิษย์น้องหญิง 4 ดูสักรอบดีหรือไม่ หากเจ้าชนะพวกเราคนใดคนหนึ่งได้ พวกเราจะยกให้เจ้าเป็นศิษย์พี่เลยเอาไหม?”


 


หูเหมยยังเป็นสตรีที่โผงผางเช่นเคย และพอนางกล่าวออกมา หงเฟยก็หมดสิ้นความคึกทันที


 


เดิมทีหลังจากต้วนหลิงเทียนมา มันก็คิดว่าในที่สุดก็มีคนที่อ่อนด้อยกว่ามันแล้ว…อนิจจาหลังเห็นต้วนหลิงเทียนฆ่าหลิวเจี้ยนเมื่อเดือนก่อน มันก็ตระหนักได้ทันที…


 


ศิษย์น้องเล็กคนนี้ ยังแข็งแกร่งกว่ามันเสียอีก!


 


และตอนนี้มันก็ยังคงรั้งอันดับศิษย์ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาศิษย์ของจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง! หากไม่ใช่ว่าฉือหล่างไม่จัดอันดับศิษย์ตามลำดับเข้าร่วม แต่เป็นจัดตามพลังฝีมือเหมือนคนอื่นๆ มันก็คงเป็นศิษย์น้องเล็กแทน…


 


“ศิษย์น้อง 6 เจ้าเองก็ขยันให้มากๆหน่อย…ตอนนี้กระทั่งศิษย์น้องเล็กยังร้ายกาจกว่าเจ้าเลย แถมถ้าเจ้าไม่ขยันให้มากๆเข้า ระวังวันนึงเจ้าจะหลุดโผศิษย์อัจฉริยะเอานะ”


 


ศิษย์พี่หญิง 4 เวิ่นหว่านเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ


 


“ศิษย์พี่หญิง 4 อ่า เดี๋ยวนี้ท่านหัดรวมหัวกับศิษย์พี่หญิง 3 มารังแกข้าแล้วหรือ…”


 


หงเฟยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสลดหดหู


 


“น้องสาวฮ่วนเอ๋อ ยินดีกับเจ้าด้วยสำหรับตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะ”


 


เวิ่นหว่านเอ๋อหันไปมองกล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน


 


“ขอบคุณศิษย์พี่หญิง 4”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวตอบเวิ่นหว่านเอ่อด้วยรอยยิ้ม เพราะนางเองก็รู้สึกดีกับศิษย์พี่หญิง 4 ของต้วนหลิงเทียนคนนี้อยู่บ้าง สำหรับหูเหมยนั้น นางไม่แม้แต่จะมอง


 


“ไอ้หยา…น้องสาวฮ่วนเอ๋อคนดี เจ้ายังโกรธศิษย์พี่หญิง 3 อยู่อ่อ…”


 


ทว่าฮ่วนเอ๋อไม่สนใจหูเหมย ก็ไม่ใช่ว่าหูเหมยจะไม่สนใจฮ่วนเอ๋อด้วย นางเข้ามากล่าวหยอกล้อฮ่วนเอ๋อด้วยท่าทางร่าเริงทันที


 


“เด็กโง่เอย…”


 


“วันก่อนข้าล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง ต่อให้ศิษย์น้องเล็กจะหล่อ แต่ศิษย์พี่หญิง 3 ไม่แย่งคนรักเจ้าหรอก…เจ้าไม่โกรธศิษย์พี่หญิง 3 ได้ไหม…พวกเราดีกันนะ นะๆ… ”


 


หูเหมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส ท่าทีการง้อของนางยังแลดูออดอ้อนทำราวกับเด็กน้อย ทำให้หงเฟยอดชมดูจนตาลอยไม่ได้


 


“ศิษย์พี่หญิง 3 ท่านกับศิษย์พี่หญิง 4 จะไปสังเวียนอัจฉริยะด้วยเหรอ?”


 


เมื่อเห็นหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อปรากฏตัวที่นี่ ต้วนหลิงเทียนไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกนางจะไปดูการประลอง


 


“ใช่”


 


หูเหมยพยักหน้า “เดือนก่อนตอนเจ้าฆ่าหลิวเจี้ยน ข้าล่ะเสียดายยิ่งที่ไม่ได้ไปชมดู”


 


“วันนี้ศิษย์น้องเล็กเจ้าท้าชิงอันดับ 1 ในรุ่นทั้งที ข้าจะพลาดได้อย่างไรเล่า?”


 


หูเหมยกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ


 


“ศิษย์น้องเล็กข้าเองก็ได้ยินเจ้า 6 กล่าวชมเจ้าอย่างนู้นอย่างนี้ ก็เลยอยากเห็นขึ้นมาว่าเจ้าร้ายกาจขนาดไหน”


 


เวิ่นหว่านเอ๋อก็ยิ้มตอบเช่นกัน


 


“ถ้างั้นพวกเราไปกันเลยเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพลางยิ้มแห้งๆ จากนั้นร่างคนทั้ง 5 ก็เหินออกจากเขตที่อยู่อาศัยของฉือหล่าง และมุ่งหน้าไปยังสังเวียนอัจฉริยะ


 


ระหว่างเดินทาง ยังได้เห็นผู้คนมากมายกำลังเหินร่างไปสังเวียนอัจฉริยะเช่นกัน


 


สังเวียนอัจฉริยะนั้น อยู่ห่างจากวังเทียนฉือไม่ไกล ต้วนหลิงเทียนกับพวกเดินทางไม่นานก็มาถึงแล้ว


 


และตอนนี้มองไปก็พบเห็นผู้คนเนืองแน่นหนาตา เหินร่างห้อมล้อมสังเวียนอัจฉริยะเอาไว้นับไม่ถ้วน มองไกลๆประหนึ่งเมฆทะมึนคลุมฟ้า


 


เหนือเกาะลอยที่อยู่กึ่งกลางสังเวียนอัจฉริยะทั้ง 3 ก็ปรากฏร่างผู้อาวุโสตำหนักลองกระบี่แซ่ฉินคนเดิม ที่รอคอยอยู่


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียนกับพวกมาถึง มันก็มองจ้องไปต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆทันที คลี่ยิ้มทักทายต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็ป้องมือโค้งคารวะฮ่วนเอ๋อเล็กน้อย


 


“ต้วนหลิงเทียนมาแล้ว!”


 


“เจ้านั่นล่ะ ต้วนหลิงเทียน!!”


 



 


เมื่อต้วนหลิงเทียนปรากฏตัว เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่จดจำเขาได้ก็เร่งชี้ให้สหายชมดูทันที จากนั้นคนที่ไม่เคยเห็นก็หยีตามองสำรวจต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ ไม่ละสายตาไปไหนอยู่นาน


 


“อัยยะศิษย์น้องเล็ก…เจ้านับว่าโด่งดังแล้วจริงๆ! วันนี้เจ้าต้องเอาชนะฝานฉีนั่นให้ได้เล่า…พวกเราจักพลอยได้หน้าไปด้วย!!”


 


หงเฟยยิ้ม


 


“เจ้าผายลมอะไรของเจ้าหา?”


 


ทว่าแทบจะทันทีที่หงเฟยกล่าววจบคำ เสียงขุ่นขึ้งของหูเหมยก็ดังขึ้น “เจ้าสมควรกล่าวบอกศิษย์น้องเล็กว่าอย่าได้ทุบตีฝานฉีให้มากเกินไปมากกกว่า! หรือกระทั่งศิษย์น้องเล็กออกโรงแต่เจ้ายังกังขาในผลแพ้ชนะอยู่อีก?”


 


“เปล่าๆ! ไม่กังขาๆ!”


 


ได้ยินสิ่งที่หูเหมยพูด หงเฟยก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆออกมา ขณะเดียวกันก็ลอบโอดครวญในใจไม่ได้ ว่าศิษย์พี่หญิง 3 จะร้ายกาจไปแล้ว ประจบเก่งกว่ามันอีก!


 


ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนศิษย์พี่หญิงใหญ่ยังแลดูสนิทสนมกับศิษย์พี่หญิง 3 ราวกับพี่น้องแท้ๆ…


 


“โอ๊ะ? ไม่คิดเลยว่าเจ้าหวงลู่หนานนั่นมันจะมาดูด้วย!”


 


แม้ตาหงเฟยจะโดนไขมันเบียดจนหยีแทบปิดยากมองเห็นลูกตา แต่ตาหยีๆของมันนี้นับว่าแหลมคมไม่เบา สามารถสังเกตเห็นหวงลู่หนาน ศิษย์จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ กู้ฉางเจียงผู้แพ้พ่ายศิษย์น้องเล็กของมันเมื่อเดือนก่อน ที่ยืนปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนได้


 


“หืม?”


 


หลังหูเฟยพบเห็นหวงลู่หนานไม่นาน ก็พบเห็นร่างคุ้นตาอีก 2 คน “อวี๋เยวี่ย? เหวียนกัง? พวกมันก็มาด้วยรึ…หรือจะมาหาความให้หลิวเจี้ยนศิษย์น้องพวกมัน?”


 


“ทำไมเจ้า 6? เจ้ากลัวว่าอวี๋เยวี่ยกับเหวียนกังนั่นจะกล้าเข้ามาหาเรื่องศิษย์น้องเล็กงั้นเหรอ?”


 


หูเหมยหันไปมองหงเฟยยตาดุ จากนั้นก็สะบัดมือตบท้าทอยอีกฝ่ายยเบาๆ “นี่เจ้าคิดว่าข้ากับน้องหญิง 4 เป็นบุปผาในแจกันรึไง?”


 


ได้ยินดังนั้นหงเฟยก็นึกขึ้นได้ ว่าวันนี้มันไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีศิษย์พี่หญิง 3 กับศิษย์พี่หญิง 4 มาด้วย


 


ด้วยพลังฝีมือของศิษย์พี่หญิงทั้ง 2 มันไม่ต้องกลัวอวี๋เยวี่ยกับเหวียนกังแม้แต่น้อย


 


“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว…พอดีข้าเผลอลืมไปว่าศิษย์พี่หญิงผู้เก่งกาจทั้ง 2 ของข้าก็มาด้วย!”


 


หงเฟยหัวเราะแห้งๆ มือลูบท้ายทายป้อยๆ


 


“ฮึ! เผลอลืมพวกเราหรือ? หรือพวกเราไม่อยู่ในสายตาเจ้ากันแน่?”


 


หูเหมยกล่าววออกมาอีกครั้ง ฝ่ามือก็รัวตบไปยังศีรษะหงเฟออย่างสนุกมือ จนหงเฟยคิดร่ำไห้ยังไร้น้ำตา


WSSTH ตอนที่ 3,277 : หานอวิ๋นจิ่น


 


 


“ศิษย์น้องหญิงหว่านเอ๋อ”


 


ในขณะที่หงเหมยกำลังรัวตบไปยังศีรษะหงเฟยอย่างเมามัน ก็ปรากฏเสียงหล่อหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล จากนั้นก็ปรากฏร่างชายหนุ่มในคลุมสีน้ำเงินย่ำฟ้ามาหยุดลงเบื้องหน้าพวกต้วนหลิงเทียน


 


ด้านหลังชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงิน มีชายหนุ่มติดสอย้อยตามมาอีกคน


 


ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินผู้นี้ หว่างคิ้วฉายชัดถึงความหยิ่งผยอง ราวกับเห็นทุกสิ่งต่ำชั้นกว่าตัว


 


เดิมต้วนหลิงเทียนคิดว่าศิษย์พี่หญิง 4 ของเขาคงสนิทกับอีกฝ่าย ทว่าพอเห็นศิษย์พี่หญิง 4 ของเขาเพียงหันไปมองพยักหน้าให้เบาๆ ไม่พูดอะไรสักคำ เขาก็รู้ว่าท่าทางจะไม่ได้สนิทกันเสียแล้ว


 


“เวิ่นหว่านเอ่อ ศิษย์พี่จิ่นกำลังคุยกับเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ยินหรือ”


 


ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงิน พอเห็นว่าเวิ่นหว่านเอ๋อไม่ได้แยแสชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินมากนัก ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวออกเสียงเข้ม


 


“จึกๆๆ..”


 


เวิ่นหว่านเอ๋อไม่คิดต่อปากต่อคำอะไรกับมัน แต่ไม่ใช่ว่าหูเหมยจะไม่พูด นางหันไปมองชายหนุ่มที่ลอยอยู่ด้านหลังชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินพลางกล่าวประชดออกมาด้วยรอยยิ้มดูแคลนว่า “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ศิษย์ลำดับ 2 ของจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอก กลับกลายเป็นสุนัขรับใช้ติดตามผู้อื่นต้อยๆแบบนี้?”


 


“ช่างทำให้ศิษย์อัจฉริยะอย่างพวกเรารู้สึกขายขี้หน้ายิ่งนัก!”


 


ขณะกล่าวถึงประโยคนี้ รอยยิ้มดูแคลนบนใบหน้าหูเหมยก็กลายเป็นหยามเหยียดไม่มีชิ้นดี


 


“หูเหมย เจ้าอยากตายนักหรือ?”


 


ได้ยินวาจาถากถางของหูเหมย สีหน้าชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปทันที มันโมโหจนหน้าเริ่มแดง ลูกตากลายเป็นเยียบเย็นฉายชัดถึงความอาฆาตแค้น


 


“ทำไม? หรือเซียวฉงอี้เจ้าคิดท้าประลองกับข้า?”


 


หูเหมยคลี่ยิ้มแสยะ “เช่นนั้นข้าก็อยากรู้นัก ว่าไม่นานมานี้เซียวฉงอี้เจ้าก้าวหน้าขึ้นมากน้อยเพียงใด…”


 


“เพราะหากข้าจำไม่ผิด…ครั้งสุดท้ายที่เจ้าท้าข้า ดูเหมือนคนแพ้จะไม่ใช่ข้า ทั้งไม่ทราบสุนัขตัวใดกันที่ร่ำร้อง ‘ข้ายอมแพ้แล้ว’ เสียงดังอย่างขลาดเขลาต่อหน้าข้าวันนั้น…”


 


กล่าวถึงประโยคท้ายรอยยิ้มเย้ยเยาะบนใบหน้าหูเหมย ก็กลายเป็นรอยยิ้มแดกดันหยันหยาม ทำให้สีหน้าชายหนุ่มมืดดำคล้ำลงปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก!


 


“หูเหมย พอได้แล้ว”


 


ตอนนี้เองชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินพลันกล่าวตัดบทออกมาด้วยน้ำเสียงห้ามสงสัย คุกคามผู้คนไม่น้อย!


 


“หานอวิ๋นจิ่น หากข้าเป็นเจ้าข้าคงไม่กล้าเสนอหน้ามาเจอหว่านเอ๋ออีกครั้งหรอก”


 


ถึงแม้ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินจะแลดูไม่ง่ายที่จะล่วงเกิน แต่หูเหมยก็ไม่ได้พูดกับมันดีๆ น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียจฉันท์นัก


 


“ศิษย์น้องเล็ก”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนแลดูงุนงงกับเรื่องราว เสียงผ่านพลังของศิษย์พี่ 6 หงเฟยก็ดังขึ้นในหูเขาพอดี “ 2 คนที่เจ้าเห็นอยู่ตอนนี้ ไอ้คนด้านหลังเรียกว่าเซียวฉงอี้ มันเป็นศิษย์คนที่ 2 ของจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอก”


 


จักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกที่ว่า ต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินเรื่องราวของมันมาบ้าง อีกฝ่ายเป็น 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ ชื่อเสียงของมันก็พอๆกับจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ พลังฝีมือเองก็พอๆกัน


 


“เจ้าเซียวฉงอี้นั่นมันก็เป็นศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุ 800-900 ปีเหมือนศิษย์พี่หญิง 3…อย่างไรก็ตามศิษย์พี่หญิง 3 อยู่ในอันดับที่ 2 ส่วนเจ้านั่นมันอยู่ที่ 3”


 


ได้ยินคำพูดดังกล่าวของหงเฟย ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง


 


ศิษย์พี่หญิง 3 หูเหมยคนนี้ ที่แท้เป็นศิษย์อัจฉริยะอันดับ 2 ในช่วงอายุ 800-900 ปีเชียวหรือ?


 


จังหวะนี้เขาอดหันไปมองหูเหมยใหม่ไม่ได้ เพราะเขาไม่คิดเลยว่าศิษย์พี่หญิง 3 ที่โผงผางราวนักเลงหญิงมาดอาเจ๊จะเป็นศิษย์อัจฉริยะที่ร้ายกาจไม่ใช่ชั่วแบบนี้!


 


“เจ้าเซียวฉงอี้นั่นมันท้าทายศิษย์พี่หญิง 3 หลายรอบแล้ว แต่ทุกครั้งมันก็ถูกศิษย์พี่หญิง 3 ทุบตีจนแพ้พ่าย!”


 


หงเฟยกล่าวถึงประโยคนี้ก็หยุดลงเล็กน้อย ค่อยพูดต่อ


 


“สำหรับเจ้าหนุ่มชุดสีน้ำเงินที่อยู่หน้าเซียวฉงอี้ มันเป็น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเรา และมีชื่อเสียงพอๆกับศิษย์พี่รอง”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจกับชายที่ศิษย์พี่หญิง 3 ของเขาเรียกหาว่าหานอวิ๋นจิ่นอยู่บ้าง ด้วยไม่คิดเลยว่าที่แท้อีกฝ่ายจะเป็นศิษย์อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงพอๆกับศิษย์พี่รอง


 


ในวังเทียนฉือมีเพียงศิษย์ที่โดดเด่นและอายุไม่ถึงพันปีเท่านั้น ถึงสามารถครองตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะได้


 


และ 5 ศิษย์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของวังเทียนฉือ ก็เป็นดั่งศิษย์อายุไม่ถึงพันที่แข็งแกร่งที่สุดในวังเทียนฉือ!


 


“เจ้านี่เรียกว่าหานอวิ๋นจิ่น และเป็นศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ…และจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับที่ว่า พลังฝีมือยังเหนือกว่าท่านอาจารย์เสียอีก”


 


หงเฟยกล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าเบาๆ


 


จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานนามของวังเทียนฉือนั้น พลังฝีมือสูงส่งติด 1 ใน 3 ของวังเทียนฉือ ยังเหนือกว่าครูของเขาฉือหล่างอีก


 


ในอดีตเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว


 


“ศิษย์พี่ 6…ทำไมข้ารู้สึกว่าจะศิษย์พี่หญิง 3 ก็ดี ศิษย์พี่หญิง 4 ก็ดี แต่ละคนแลดูไม่ชอบขี้หน้าหานอวิ๋นจิ่นผู้นั้นเลยเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


ถึงแม้เขาจะเป็นคนนอก แต่เขาก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ่อรังเกียจหานอวิ๋นจิ่น


 


“ไม่ใช่แค่ศิษย์พี่หญิง 3 กับ 4 หรอกที่ไม่ชอบขี้หน้ามัน ข้ากับศิษย์พี่ 5 ไม่เว้นท่านอาจารย์ ล้วนเกลียดขี้หน้าไอ้สารเลวนี่ทุกคน”


 


“ที่เจ้ายังไม่รู้สึกเกลียดขี้หน้ามันตอนนี้ เพราะเจ้ายังไม่รู้ว่ามันทำอะไรมา”


 


หงเฟยกล่าวถึงจุดนี้ เสียงมันก็สูงขึ้นไม่น้อย


 


“หานอวิ๋นจิ่นผู้นี้มันเป็นสัตว์เดรัจฉาน…ตอนแรกมันก็เข้ามาตามเกี้ยวพาศิษย์พี่หญิง 4 เรา และทุ่มเทเอาอกเอาใจนางอย่างยิ่ง แต่ทั้งหมดนั้นเป็นแค่การหลอกลวง ลับหลังศิษย์พี่หญิง 4 มันมีสตรีอื่นอีกมากมาย กระทั่งไปหมกตัวกับสตรีอื่นทั้งคืน!”


 


“โชคดีก่อนที่ศิษย์พี่หญิง 4 จะตกลงปลงใจแต่งกับมัน ศิษย์พี่รองไปสืบจนรู้เรื่องนี้มาก่อน…หาไม่แล้วหากศิษย์พี่หญิงแต่งกับมันไป วันไหนที่รู้เข้าไม่พ้นต้องใจสลายแน่!”


 


“อย่างไรก็ตามแม้ศิษย์พี่หญิง 4 จะยังไม่ได้มอบกายให้มัน แต่ใจนั้นนางได้มอบให้มันไปทั้งหมดแล้ว…ศิษย์น้องเล็กเจ้าไม่รู้หรอก ว่ากว่าศิษย์พี่ 4 จะหลุดพ้นจากความเศร้าโศกและตัดใจจากมันได้ นางก็ต้องใช้เวลาไป 100 ปีเต็มๆ”


 


“ตลอดชั่วชีวิตศิษย์พี่หญิง 4 ไม่เคยรักผู้ใดมาก่อนเลย แต่มิคิดว่ารักแรกของนางที่แท้เป็นเพียงคำลวง…เจ้าเองก็คงนึกภาพออกกระมังว่าตอนนั้นนางเสียใจขนาดไหน”


 


“เป็นธรรมดาว่าตอนนี้ศิษย์พี่หญิง 4 ไม่เหลือเยื่อใยอะไรให้มันแล้ว จะมีก็แต่ความขยะแขยงทั้งรังเกียจเท่านั้น”


 


หลังได้ยินสิ่งที่หงเฟยเล่า สายตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองหานอวิ๋นจิ่น ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา


 


ศิษย์พี่หญิง 4 นั้นอ่อนโยนและสง่างามราวกับหยก แรกพบเขายังรู้สึกดีกับนางไม่น้อย


 


แต่สตรีที่อ่อนโยนนางนี้ หานอวิ๋นจิ่นผู้นั้นยังหลอกลวงทำร้ายนางได้ลงคอ?


 


ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนกระทั่งฉือหล่างยังไม่ชอบขี้หน้ามัน มาหลอกลวงลูกศิษย์แบบนี้ หากยังเฉยๆอยู่ได้ก็คงแปลกแล้ว


 


“เพราะเรื่องของศิษย์พี่หญิง 4 ศิษย์พี่รองจึงไปยื่นคำท้าประลองเป็นตายกับหานอวิ๋นจิ่นทันที…แต่หานอวิ๋นจิ่นไม่กล้ายอมรับเพราะมันรู้ดีว่ามันไม่ใช่คู่มือของศิษย์พี่รอง”


 


“แต่ถึงมันไม่ยอมรับ ศิษย์พี่รองก็บุกไปถึงที่พักมัน กระทั่งบีบบังคับให้มันรับคำท้าประลองเป็นตายด้วยการทุบตีมันจนอาการสาหัสอยู่หลายรอบ…”


 


“แน่นอนว่าทุกครั้งที่ศิษย์พี่รองกระทืบมันปางตาย วังเทียนฉือก็จะลงโทษศิษย์พี่รองเช่นกัน”


 


หงเฟยกล่าวถึงจุดนี้ ใจต้วนหลิงเทียนอดสั่นไหวไปไม่ได้


 


ถึงแม้หงเฟยจะพูดราวกับไม่มีอะไรมากมาย


 


ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของศิษย์พี่รองจากเรื่องราวดังกล่าว กระทั่งรู้ทั้งรู้ว่าจะถูกวังเทียนฉือลงโทษ แต่ศิษย์พี่รองยังยืนหยัดออกหน้าเพื่อศิษย์พี่หญิง 4!


 


เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นปกป้องศิษย์น้องของตัวเองขนาดไหน


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคารพนับถือศิษย์พี่รองมาดนิ่งขึ้นมาหลายส่วน


 


“แต่ศิษย์พี่รองก็ไม่เลิกรา ยังดอดไปทุบตีสารเลวหานอวิ๋นจิ่นจนหน้ายับหลายรอบ…จนตอนนั้นศิษย์พี่หญิง 4 ก็ได้แต่เกลี้ยกล่อมให้ศิษย์พี่รองเลิกทำร้ายตัวเองด้วยการไปตีไอชั่วนั่นได้แล้ว แต่ศิษย์พี่รองก็พูดตอบมาแค่ว่า…เป็นหน้าที่ของศิษย์พี่ที่ต้องดูแลศิษย์น้อง”


 


“สุดท้ายศิษย์พี่หญิง 4 ก็จำต้องใช้ความตายมาข่มขู่ ศิษย์พี่รองถึงได้เลิกราไป”


 


หงเฟยกล่าวถึงจุดนี้ ก็หยุดลง


 


“ทำไม? หรือหูเหมยเจ้าคิดท้าข้าประลอง?”


 


หานอวิ๋นจิ่น มองหูเหมยด้วยสายตาดูแคลน คลี่ยิ้มแสยะถือดี “เจ้าคิดว่า เจ้ามีปัญญาสู้ข้าได้รึ?”


 


“หากเจ้าอยากประลองกับข้าก็ได้นะ ข้าหาได้นำพาไม่…ข้าก็แค่เป็นห่วงเจ้า ว่าเดี๋ยวสุดท้ายเจ้าจะเป็นฝ่ายถูกศิษย์พี่รองของข้าตามไปกระทืบจนเปลี้ยเหมือนในอดีต!”


 


หูเหมยคลี่ยิ้มสดใสกล่าวสวนไปอย่างไม่เกรงกลัว “ข้าเชื่อว่าหากเจ้าตีข้าทีนึง ศิษย์พี่รองจะกระทืบเจ้าสิบที! และคราวนี้อย่าได้หวังว่าอาจารย์ของเจ้าจะช่วยเจ้าได้อีก! เพราะตราบใดที่ศิษย์พี่รองไม่ฆ่าเจ้าหรือทำให้เจ้าพิการ วังเทียนฉือก็ไม่มีเหตุผลให้ลงโทษศิษย์พี่รอง!!”


 


ในวังเทียนฉือนั้น ศิษย์ใต้จักรพรรดิอมตะสมญานามคนใด…หากถูกทำร้ายจนบาดเจ็บจากคู่ต่อสู้ที่มีอายุและพลังฝีมือเหลื่อมล้ำกันเกินไปจนเป็นการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรม ศิษย์พี่หรือศิษย์น้องใต้จักรพรรดิอมตะสมญานามคนเดียวกันสามารถตามไปล้างแค้นผู้ลงมือได้ แต่ต้องไม่เกินเลยจนเกินไป


 


ในอดีตตอนที่เวิ่นหว่านเอ่อ ศิษย์คนที่ 4 ของฉือหล่าง ถูกหานอวิ๋นจิ่นหลอกลวงจนใจสลายนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะเรื่องชู้สาว หากทว่านางโดนอีกฝ่ายทำร้ายร่างกายมาล่ะก็ ต่อให้หลู่จี้ ศิษย์คนที่ 2 ของฉือหล่างจะไปกระทืบหานอวิ๋นจิ่นเป็นการล้างแค้น ก็ไม่ถือว่าขัดต่อกฏของวังเทียนฉือแต่อย่างไร และวังเทียนฉือก็จะไม่ลงโทษในเรื่องนี้


 


“เฮอะ! เจ้าคิดว่าข้ากลัวหลู่จี้มากนักหรือ?”


 


ได้ยินคำพูดของหูเหมย สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นก็เปลี่ยนไปทันที ถลึงตามองหูเหมยด้วยสายตาเย็นชา


 


“ถ้าเจ้าไม่กลัว ก็มาทุบตีข้าตอนนี้เลยเป็นไง? มาสิๆ!!”


 


หูเหมยคลี่ยิ้มสดใส กวักมือเชื้อเชิญอย่างท้าทาย


 


“เฮอะ!!”


 


หานอวิ๋นจิ่นพ่นลมสบบถออกมาเสียงเย็น จากนั้นก็ทำราวกับไม่ได้ยินคำท้าของนาง กล่าวออกเสียงเรียบว่า “ที่ข้ามาวันนี่เพื่อศิษย์น้อง 4 ของข้า! คร้านจะรังแกตัวอ่อนแอเช่นเจ้า!!”


 


“อ๋อ งั้นเหรอ? แต่ข้าว่าเจ้ามันใจเสาะไม่กล้าลงมือตีข้ามากกว่ามั้ง?”


 


หูเหมนหัวเราะเยาะเย้ย กล่าวถากถางไปอีกคำ


 


“ผู้ใดคือต้วนหลิงเทียน? หาญกล้าท้าทายศิษย์น้อง 4 ของข้า นับว่าเจ้ากล้าหาญไม่เลว!”


 


สายตาหานอวิ๋นจิ่นกวาดมองไปยังกลุ่มคนเบื้องหน้า จากนั้นก็ไปหยุดลงบนร่างต้วนหลิงเทียนที่หน้าไม่คุ้น “เจ้าคือต้วนหลิงเทียนเช่นนั้นรึ?”


 


“ฝานฉีเป็นศิษย์น้องของเจ้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนลอยร่างออกมาเผชิญหน้ากับหานอวิ๋นจิ่น มองสบตาอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา ค่อยแสยะยิ้ม “งั้นเจ้าก็อย่างลืมบอกศิษย์น้องเจ้าเล่า ว่าให้มันระวังตัวให้มาก”


 


“พอดีข้าลงมือไม่ค่อยรู้หนักเบาเท่าไหร่…”


 


กล่าวถึงประโยคท้ายน้ำเสียงต้วนหลิงเทียนก็เยียบเย็นนัก


 


ถึงแม้เขาจะพึ่งพบเจอกับศิษย์พี่คนอื่นๆในด่านฉือหล่างไม่นาน แต่บรรยากาศในด่านฉือหล่างกลับทำให้เขารู้สึกสบายใจ คล้ายอยู่บ้านทุกคนแลดูสนิทใจเสมือนคนในครอบครัว


 


ตอนนี้ยังจะให้เขาสุภาพได้อย่างไรไหว เมื่อพบเจอกับศัตรูที่รังแกคนในครอบครัว?


 


“ฝานฉีมันไปเป็นศิษย์น้อง 4 ของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”


 


หูเหมยขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางพึ่งรู้เรื่องที่ฝานฉีไปเข้าร่วมกับจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ และกลายเป็นศิษย์น้อง 4 ของหานอวิ๋นจิ่น…


 


“เรื่องพึ่งเกิดได้ 2 เดือน เจ้าจะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก”


 


หานอวิ๋นจิ่นคลี่ยิ้มบางๆ


 


จากนั้นมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง กล่าวเคล้าเสียงหัวเราะเยียบเย็นว่า “หึหึ ไอ้หนู การท้าประลองศิษย์อัจฉริยะนั้น ยังสามารถเลือกรูปแบบการประลองได้ว่าจะให้เป็นการประลองตามปกติหรือการประลองเป็นตาย…ศิษย์น้อง 4 ของข้าย่อมพร้อมประลองเป็นตายกับเจ้า ว่าแต่เจ้าเล่ามีความกล้ารับคำท้าประลองเป็นตายหรือไม่?”


 


“หืม?”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้ม “ข้าเกรงก็แต่ศิษย์น้องเจ้าจะไม่มีความกล้าเอ่ยท้ามากกว่า…หากมันกล้าท้า ข้าต้วนหลิงเทียนก็กล้ารับ!”


 


“ดี! ดีมาก!”


 


หานอวิ๋นจิ่นคลี่ยิ้มสดใส “หวังว่าเจ้าจักไม่ตกตายด้วยน้ำมือศิษย์น้อง 4 ของข้าเล่า…หาไม่แล้วสตรีงามข้างกายเจ้าคงต้องเปลี่ยวเหงาเพราะขาดบุรุษ”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค สายตาหานอววิ๋นจิ่นก็หันไปมองฮ่วนเอ๋อทันที ยังเป็นสายตาแทะโลมมากราคะนัก


 


เพราะถึงฮ่วนเอ๋อจะสวมผ้าปิดปาก แต่ความงามอันไร้เทียมทานของนาง ไหนเลยจะโดนผ้าผืนน้อยบดบังได้มิด?


 


ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟันขึ้นมาทันที


 


หากไม่ใช่เพราะที่นี่มีผู้คนอยู่เยอะ และหากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ภาพรวม…เขาจะใช้พลังของเทพเบญจธาตุกุดหัวหานอวิ๋นจิ่นในกระบี่เดียว!


 


อย่างไรก็ตามถึงแม้หานอวิ๋นจิ่นจะยังไม่ตายในตอนนี้ แต่ในสายตาเขามันก็ถูกกำหนดให้เป็นคนตาย!


WSSTH ตอนที่ 3,278 : ทำไมต้องกังวล?


 


 


ฮ่วนเอ๋อได้กลายเป็นอีกเกล็ดย้อนสำหรับต้วนหลิงเทียนมานานแล้ว


 


พอได้ยินวาจาดังกล่าวของหานอวิ๋นจิ่น ทำให้ต้วนหลิงเทียนมีน้ำโหทันที กระทั่งใจยังตัดสินโทษตายให้มันเรียบร้อย


 


“ข้าเกรงว่าศิษย์น้อง 4 ของเจ้าจะตายคามือข้ามากกว่า”


 


ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มเย้ยหยัน


 


“โฮ่?”


 


ยิ้มบนใบหน้าหานอวิ๋นจิ่นยังไม่ห่างหาย “ดูเหมือนว่าการฆ่าหลิวเจี้ยนได้จะทำให้เจ้าลำพองใจงั้นสินะ…ทว่าพลังฝีมือศิษย์น้อง 4 ข้าหาใช่อะไรที่หลิวเจี้ยนจะเทียบได้ไม่!”


 


“ขอแค่มันกล้าท้าประลองเป็นตายกับข้า มันได้ตายแน่!”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเย็นชาเรืองขึ้นววาบหนึ่ง น้ำเสียงยังยะเยือกปานจะแช่แข็งผู้คน


 


“อาวุโสฉิน!”


 


และแทบจะทันทีทีต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ก็มีเสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วแผ่นฟ้าบริเวณนี้


 


พร้อมกันนั้นเอง ปรากฏร่างผอมหนึ่งวูบไหวไปหยุดยืนบนสังเวียนอัจฉริยะ มองจ้องไปยังอาวุโสตำหนักลองกระบี่ ที่จะเป็นประธานคอยกำกับดูแลการประลองวันนี้


 


“วันนี้ข้าฝานฉีขอท้าต้วนหลิงเทียนขึ้นประลองเป็นตาย…หากไม่ตายไม่เลิกรา!”


 


ชายหนุ่มร่างผ่ายผอมบนเวที มองกล่าวกับผู้อาวุโสตำหักลองกระบี่เสียงดังฟังชัด


 


และฟังจากสิ่งที่มันพูด เห็นได้ชัดว่ามันก็คือคู่ต่อสู้ของต้วนหลิงเทียนในวันนี้ ฝานฉี ศิษย์อัจฉริยะอันดับ 1 ในช่วงอายุ 200-300 ปีของวังเทียนฉือ!


 


“เจ้านั่นคือฝานฉีหรือ?”


 


“มันคิดประลองกับต้วนหลิงเทียนให้ตายกันไปข้าง?”


 


“เหอะๆ จริงอยู่ที่การประลองเป็นตายมี 2 แบบ อย่างแรกนั้นยังสามารถยอมรับความพ่ายแพ้เพื่อรักษาชีวิตได้ สำหรับอีกอย่างนั้นก็คือสู้กันจนกว่าจะตายกันไปข้าง และมีเพียงผู้ที่มีชีวิตอยู่เป็นคนสุดท้ายเท่านั้นถึงจะเป็นผู้ชนะ…ฝานฉีมันไปมีความแค้นอะไรกับต้ววนหลิงเทียนมากันแน่ ถึงได้เลือกจะท้าสู้ไม่ตายไม่เลิกราแบบนี้?”


 



 


ทันทีที่เสียงของฝานฉีดังกังวานออกมา ก็ทำให้ศิษย์อัจฉริยะมากหน้าตกใจไม่น้อย หลายคนเริ่มคิดว่าระหว่างฝานฉีกับต้วนหลิงเทียนอาจจะเคยมีความแค้นฝังลึกกันมาก่อน หาไม่แล้วไฉนเอ่ยคำไม่ตายไม่เลิกราออกมาได้ง่ายๆ?


 


ในวังเทียนฉือนั้น หากผู้ท้าประลองมีอันดับต่ำกว่าท้าด้วยเงื่อนไขพิเศษเหมือนต้วนหลิงเทียน ผู้ถูกท้าไม่อาจปฏิเสธได้


 


อย่างไรก็ตามผู้ถูกท้าอย่างฝานฉีนั้นสามารถร้องขอรูปแบบการประลองได้ จะประลองธรรมดา ประลองเป็นตาย หรือแม้แต่ประลองเป็นตายแบบไม่ตายไม่เลิกราก็สามารถทำได้


 


ในกรณีนี้หากต้วนหลิงเทียนไม่กล้า ก็สามารถเลือกยอมแพ้ได้อยู่


 


อย่างไรก็ตามหากต้วนหลิงเทียนตอบตกลง เขากับฝานฉีก็ต้องสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย และหนึ่งในสองถูกกำหนดให้ต้องตายตก ไม่มีผู้ใดสามารถยื่นมือเข้ามาแทรกแซงได้จนกว่าจะมีใครคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต


 


ด้วยเหตุนี้ ข้อเรียกร้องของฝานฉีจึงทำให้หลายๆคนหวาดกลัว


 


“ฝานฉี เจ้าคิดจะร้องขอการประลองเป็นตายแบบไม่ตายไม่เลิกราจริงๆ?”


 


แม้แต่อาวุโสตำหนักลองกระบี่เอง ก็ตกใจกับคำพูดของฝานฉี จึงเอ่ยถามออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


เรื่องแบบนี้มันต้องระวังให้มาก หากเผลอปล่อยไก่ทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา มันที่เป็นแค่อาวุโสตำหนักลองกระบี่คนหนึ่งคงรับผิดชอบไม่ไหว


 


“ใช่”


 


ฝานฉีกล่าวตอบเสียงดังฟังชัด “ขอให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายในที่นี้เป็นพยาน!”


 


ได้ยินคำตอบของฝานฉี โดยรอบก็เริ่มฮือฮาอีกครั้ง


 


ตอนแรกที่ฝานฉีพูดออกมา อาจมองว่ามันพูดลอยๆหรือพูดเล่นได้


 


แต่ตอนนี้ ด้วยมีอาวุโสตำหนักลองกระบี่ถามซ้ำ ก็ไม่ต่างอะไรกับยืนยันเจตนาว่าเป็นจริง


 


“ต้วนหลิงเทียน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ดีแต่ปาก…”


 


ตอนนี้เองหานอวิ๋นจิ่นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยยสายตาเฉยเมย ก่อนจะเหินร่างจากไปกับเซียวฉงอี้ แน่นอนว่าก่อนไปสีหน้าแววตามันยังเต็มไปด้วยความดูแคนหยามหยัน


 


ต้วนหลิงเทียนจะมองไม่เห็นเจตนาของมันได้หรือ?


 


แต่แล้วยังไง?


 


หรือเขาต้วนหลิงเทียนต้องกลัวฝานฉีด้วย?


 


“ศิษย์น้องเล็กอย่าได้บ้าจี้ตามมัน!”


 


ศิษย์พี่ 6 หงเฟยหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจังเสียงขรึม


 


มันย่อมรู้ดีว่าหานอวิ๋นจิ่นเป็นใคร นั่นคือ 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะระดับแนวหน้าของวังเทียนฉือ ในเมื่ออีกฝ่ายมั่นใจในตัวฝานฉีขนาดนี้ ก็เผยให้รู้ว่ามันเชื่อว่าฝานฉีต้องมีวิธีเอาชนะได้แน่!


 


“ศิษย์น้องเล็ก วันหน้าฟ้าใหม่ยังมีโอกาสให้เจ้าอีกมาก”


 


ศิษย์พี่หญิง 4 เวิ่นหว่านเอ๋อ ก็หันมาจ้องมองต้วนหลิงเทียน สีหน้าที่เคยอ่อนโยนราวหยกของนางเริ่มฉายให้เห็นความจริงจังขรึมเคร่ง


 


ในบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นี่ ไม่มีใครรู้จักหานอวิ๋นจิ่นดีกว่านางอีกแล้ว


 


ท้าที่สุดแล้วในอดีตนางก็เคยมอบใจให้อีกฝ่ายไปทั้งหมด กระทั่งอีกก้าวเดียวก็จะมอบกายให้มันแล้ว


 


ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้ดีว่าหานอวิ๋นจิ่นเป็นคนช่างคิด และไม่มีทางริเริ่มทำอะไรที่ไม่มั่นใจแน่


 


“ศิษย์น้องเล็ก ขุนเขาเขียวยังอยู่ ไยต้องกลัวไร้ฟืนไฟ?”


 


กระทั่งศิษย์พี่หญิง 3 หูเหมยที่ดุร้ายปานพยัคฆ์ต่อหน้าหานอวิ๋นนจิ่นเมื่อครู่ ตอนนี้ยังมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงฟังดูเคร่งเครียดนัก


 


ถึงแม้นางจะเกลียดขี้หน้าหานอวิ๋นจิ่น แต่นางก็รู้ดีว่าหานอวิ๋นจิ่นหาได้ง่ายดายไม่


 


ยิ่งไปกว่านั้น ลองฝานฉีท้าต้วนหลิงเทียนประลองเป็นตายแบบไม่ตายไม่เลิกราออกมา ก็เห็นกันอยู่โต้งๆว่าเจตนาฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย


 


ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องราวศิษย์น้องหญิง 4 ขึ้นในปีนั้น เรียกว่าเหล่าศิษย์จักรพรรดิมอตะทุ่งขจี กัเหล่าศิษย์จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกันอย่างสมบูรณ์


 


สำหรับเหตุผลที่ไฉนอีกฝ่ายคิดฆ่าศิษย์น้องเล็กในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่อยากเห็นฝ่ายศัตรูมีศิษย์อัจฉริยะที่โดดเด่นเพิ่มมาอีกคน


 


เพราะพรสวรรค์ที่ศิษย์น้องเล็กเผยออกมา หากเติบโตไปวันหน้า ความสำเร็จอย่างน้อยๆก็ต้องไม่ต่ำกว่าศิษย์พี่รองขอพวกมัน กระทั่งอาจจะเหนือกว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ด้วยซ้ำ


 


หานอวิ๋นจิ่นย่อมไม่คิดทนมองตัวตนเช่นนี้มีโอกาสเติบใหญ่ไปอยย่างราบรื่น เพราะวันหน้าอาจจะกลายเป็นปัญหาหนักใจของมันได้


 


“ต้วนหลิงเทียนแล้วเจ้าว่าอย่างไร?”


 


ตอนนี้เองอาวุโสตำหนักลองกระบี่ ก็หันมามองผ่านระยะทางห่างไกลจนมาหยุดลงยังร่างต้วนหลิงเทียน เอ่ยถามออกมาด้วยสายตาสงสัย


 


“แน่นอนว่าเจ้าสามารถเลือกที่จะปฏิเสธได้ อย่างไรก็ตามหากเจ้าปฏิเสธก็จะถือว่าเจ้ายอมแพ้ หมายความว่าการท้าทายชิงตำแหน่งของเจ้าครั้งนี้ล้มเหลว”


 


“แต่หากเจ้าตอบตกลง เช่นนั้นเจ้าก็ต้องสู้กับมันจนกว่าจะมีใครคนใดคนหนึ่งตกตาย!”


 


กล่าวถึงจุดนี้ อาวุโสตำหนักลองกระบี่ด้วยเห็แก่หน้าของฮ่วนเอ๋อ มันก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปเตือนต้วนหลิงเทียนทันที “ต้วนหลิงเทียน ในเมื่อฝานฉีมันกล้าท้าเจ้าแบบนี้ หมายความว่ามันมั่นใจมาก”


 


“สิบในสิบไม่พ้นมันต้องซ่อนไพ่ตายอะไรไว้”


 


“ข้าแนะนำให้เจ้าปฏิเสธไปเสียประเสริฐกว่า”


 


อาวุโสตำหนักลองกระบี่กล่าวแนะนำ


 


“ขอบคุณอาวุโส”


 


ขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปขอบคุณอาวุโสตำหนักลองกระบี่ ร่างเขาก็อันตรธานหายไปจากจุดเดิม ปรากฏตัวอีกครั้งก็บนสังเวียนอัจฉริยะ ที่ใช้สำหรับประลองเป็นตายรูปแบบไม่ตายไม่เลิกราที่ฝานฉียืนอยู่


 


ต้วนหลิงเทียนวูบร่างมาเผชิญหน้ากับฝานฉีแบบนี้ แม้จะไม่ได้พูดอะไรเป็นการเห็นด้วยกับการประลองออกมาให้อาวุโสตำหนักลองกระบี่ได้ยิน แต่การกระทำของเขาก็เสมือนตอบคำถามก่อนหน้าของอาวุโสตำหนักลองกระบี่


 


เขา ต้วนหลิงเทียน ยอมรับการต่อสู้!


 


“ข้าคิดว่าเจ้าจะกลัวจนไม่กล้าสู้เสียอีก”


 


ฝานฉีผู้มีร่างผอมและใบหน้าเย็นชา พอเห็นต้วนหลิงเทียนวูบร่างมาปรากฏตัวเบื้องหน้าแบบนี้ มันก็ฉีกยิ้มกว้างเผยรอยยิ้มที่แลดูน่าเกลียดกว่าร้องไห้ออกมา


 


“ข้าไม่ใช่หานอวิ๋นจิ่นสักหน่อย ไฉนต้องหลบลี้การต่อสู้ด้วย?”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มไม่แยแส


 


มาตอนนี้เขาก็ได้ยินเรื่องราวจากหงเฟยไม่น้อย รวมถึงเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าว่าศิษย์พี่รองได้ไปบีบคั้รหานอวิ๋นจิ่นให้ยอมรับการสู้เป็นตายเมื่อหลายปีก่อนด้วย


 


แน่นอนว่าไม่ใช่ไปท้าแค่ครั้งเดียว


 


แต่ทุกครั้ง หานอวิ๋นจิ่นที่แม้จะโดนกระทืบก็ได้แต่ยืนกรานปฏิเสธ…


 


“อันที่จริงข้ายังแปลกใจอยู่บ้าง ที่เจ้ากล้าท้าประลองเป็นตายกับข้าแบบนี้…ข้ายังหลงคิดว่าพวกเจ้าล้วนแล้วแต่เป็นตัวขลาดเขลาเยี่ยงหานอวิ๋นจิ่นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าเสียอีก”


 


กล่าวถึงจุดนี้มุมปากต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มกว้างองอกมา มาล้นไปด้วยการเสียดสีหมิ่นหยาม


 


“สารเลวน้อย…เจ้ามันวอนตาย!”


 


หานอวิ๋นจิ่นที่ลอยร่างอยู่ไม่ไกลนัก เดิมทีก็มองต้วนหลิงเทียนบนสังเวียนไม่ตายไม่เลิกราดวยรอยยิ้มอำมหิต พอได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน มันก็หุบยิ้มทันที สีหน้ายังมืดดำลงทันใด


 


อีกทั้งพอสัมผัสได้ถึงสายตาเย้ยหยันที่มองมาจากทั่วสารทิศ หานอวิ๋นจิ่นก็อับอายจนแทบอยยากจะขุดหลุมอากาศมุดหน้าซ่อนแล้ว


 


หานอวิ๋นจิ่นมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสาตาเปี่ยมเจตนาฆ่าฟันต่อสักพัก ก็หันไปส่งเสียงผ่านพลังถึงฝานฉี “ศิษย์น้อง 4 พอลงมือก็รีบฆ่ามันให้ตายเสีย!”


 


“ข้าไม่อยากเห็นมันมีลมหายใจอยู่ต่อแม้วินาทีเดียว!”


 


เสียงของหานอวิ๋นจิ่นยังเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันล้นปรี่


 


“ศิษย์พี่ใหญ่ ขอท่านวางใจมันต้องตายแน่!”


 


เสียงผ่านพลังกกล่าวตอบของฝานฉีนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจมาก ราวกับมันมองเห็นชัยชนะแล้ว


 


ด้านต้วนหลิงเทียนเพียงมองฝานฉีด้วยสายตาเฉยเมยไร้แยแส สีหน้าสงบแลดูไม่สะทกสะท้านอะไร


 


ฝานฉีเบื้องหน้า แม้อีกฝ่ายจะเป็นต้นไม้อมตะที่มีพรสวรรค์รวมถึงความเข้าใจไม่ใช่ชั่ว แล้วยังไง?


 


สุดท้ายร่างจำแลงมนุษย์ของอีกฝ่ายก็ยังมีอายุไม่ถึง 300 ปี


 


หากเขามากลัวกับอีแค่ตัวตนระดับนี้ วันหน้าเขาจะไปทำอะไรได้? จะยังกล้าบุกไปดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ซึ่งเป็นระนาบเทพที่เค่อเอ๋อรวมถึงทุกคนที่เขาห่วงใยถูกจับอยู่ได้หรือ?


 


“ต้วนหลิงเทียนข้าให้เวลาเจ้าสั่งเสียคนรัก 10 ลมหายใจ…หลงจากาผ่านไป 10 ลมหายใจข้าจักลงมือแล้ว”


 


ฝานฉีเอ่ยยออกเสียงเบา “ทันทีที่ข้าลงมือ ไม่เกิน 20 ลมหายใจ เจ้าได้ตายแน่!”


 


ขณะนี้เองเหล่าผู้ชมโดยยรอบเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเลือกจะขึ้นไปเผชิญหน้ากับฝานฉีบนสังเวียนอัจฉริยะที่มีไว้สำหรับประลองเป็นตายรูปแบบไม่ตายไม่เลิกรา ก็อลหม่านกันไม่น้อย “บ้าไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น…มันกล้าสู้จริงๆเหรอ?”


 


“ดูเหมือนเจ้านั่นเองก็จะมีความมั่นใจไม่น้อย”


 


“มั่นใจ? แล้วอย่างไร? ฝานฉีไม่ใช่ว่ามั่นใจด้วยหรือ…หากมันไม่มั่นใจในตัวเองมากเหมือนกันไฉนถึงกล้าท้าประลองไม่ตายไม่เลิกราแต่แรก?”


 


“ศิษย์อัจฉริยะเลือกประลองไม่ตายไม่เลิกรากันแบบนี้…ไม่ได้เกิดขึ้นในวังเทียนฉีเรานานมากแล้วใช่ไหม?”


 


“ใช่ ไม่เกิดขึ้นนานแล้ว…ครั้งสุดท้ายที่มีคนเอ่ยท้าประลองในรูปแบบนี้ก็เมื่อหลายปีก่อน และเป็นหลู่จี้ศิษย์จักรพรรดิมอตะทุ่งขจีท้าทาย หานอวิ๋นจิ่น ศิษย์จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับสู้กันแบบไม่ตายไม่เลิกรา…แต่หานอวิ๋นจิ่นปฏิเสธไม่ยอมรับ”


 



 


ในขณะที่เหลาศิษย์สังเทียนฉือที่มาชมดูเรื่องราวกำลังสนทนากันเสียงดังเซ็งแซ่ดวยความตื่นตาตื่นใจ ด้านศิษย์ของฉือหล่างทั้ง 3 ก็ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม


 


“ศิษย์น้องเล็ก ไฉนถึงไม่ฟังกันบ้างเลยเล่า…”


 


หงเฟยกังวลไม่น้อย


 


ตอนนี้เองเวิ่นหว่านเอ๋อก็หันไปมองฮ่วนเอ๋อโดยไม่รู้ตัว และนางก็พบว่าสีหน้าฮ่วนเอ๋อยังคงสบ ไร้ซึ่ความยินดียินร้ายใดๆ ราวกับนางไม่ได้สนใจเลย ที่ต้วนหลิงเทียนรับคำท้าสู้ไม่ตายไม่เลิกราแบบนี้


 


“ศิษย์น้องหญิงฮ่วนเอ๋อ…เจ้าไม่กังวลบ้างหรือ?”


 


เวิ่นหว่านเอ๋ออดถามออกไปไม่ได้


 


จังหวะนี้กระทั่งหูเหมยยยังหันมามองฮ่ววนเอ๋อด้วยสายตาแปลกใจ…ปกติแล้วชายคนรักของอีกฝ่ายอย่างศิษย์น้องเล็กของนางรับคำท้าสู้อันตรายแบบนี้ ไม่ใช่ว่าสมควรต้องเผยความห่วงใยเป็นกังวลจนร้อนใจหรือไร?


 


แต่ไฉนถึงแลดูปกติแบบนี้อยู่ได้ล่ะ?


 


“ทำไมต้องกังวลด้วย?”


 


และคำที่ฮ่วนเอ๋อกล่าวตอบเวิ่นหว่านเอ๋อ ก็ทำให้เวิ่นหว่านเอ๋อ หงเฟย และหูเหมยได้แต่ชักสีหน้าเหวอๆออกมาเป็นแถบ


WSSTH ตอนที่ 3,279 : ร่างเดิมของฝานฉี


 


 


 


เวลาเพียง 10 ลมหายใจ ได้ผ่านไปในพริบตา


 


ทันใดนั้นท่ามกลางทุกสายตาชมมอง ร่างฝานฉีกระพริบคราหนึ่ง คนก็กลับกลายคล้ายสายลม พัดกรรโชกไปทางต้วนหลิงเทียนฉับไว จนเห็นเป็นเงาเลือนรางสายหนึ่ง!


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


ความเคลื่อนไหวที่ฉับไวดั่งลมกรรโชกของฝานฉีนั้น กล่าวไปศิษย์วังเทียนฉือหลายคน ยังไม่อาจแลเห็นได้แม้แต่เงาด้วยซ้ำ เนื่องเพราะฝานฉีมันรวดเร็วเกินไป!


 


อย่างไรก็ตาม ต่อให้บางคนจะมองไม่เห็นแต่ที่นี่ก็ไม่ขาดยอดฝีมือ จึงค้นพบได้ทันทีว่า “ฝานฉีผู้นี้…ทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 6 ผสานได้แล้วเรอะ?”


 


“ให้ตายเถอะ จอมราชันอมตะ 6 ผสาน…เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ 7 ประการ…ฝานฉีผู้นี้ยังมีอายุไม่ถึง 300 ปีจริงๆ?”


 


“พรสวรรค์กับคววามเข้าใจของมัน เรียกว่าท้าทายสววรรค์จริงๆ!!”


 


“ถึงแม้จะเป็นต้นไม้อมตะที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ได้คนอื่น…ก็ไม่น่าจะมีพรสวรรค์กับความเข้าใจระดับเดียวกับมันกระมัง?”


 



 


หลังได้ค้นพบด่านพลังฝึกปรือของฝานฉี ศิษย์วังเทียนฉือหลายคน็ได้แต่โพล่งออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเวทนาสงสาร


 


นั่นเพราะพลังความแข็งแกร่งของฝานฉีตอนนี้ มันมากพอจะบดขยี้หลิวเจี้ยนที่ตกตายด้วยน้ำมือต้วนหลิงเทียนเมื่อเดือนก่อนให้ตายได้อย่างง่ายดาย


 


ที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าหลิวเจี้ยนได้ มีโอกาสสูงที่จะเป็นเพราะหลิวเจี้ยนประมาท


 


ทว่าด้วยพลังของฝานฉีตอนนี้ ต่อให้ต้องปะทะกับหลิวเจี้ยน เกรงว่าต่อให้หลิวเจี้ยนไม่ประมาท แต่ถ้าชักช้าไม่เร่งกล่าวคำยอมแพ้ออกมาก็มีโอกาสตายคาที่สูง!


 


ฝานฉีทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 6 ผสานแล้วแบบนี้ พลังของมันก็เรียกว่าเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง


 


“เจ้าฝานฉีนั่น…ทะลวงผ่านแล้ว?”


 


สีหน้าหงเฟยเปลี่ยนไปไม่สู้ดี มันไม่คิดมาก่อนเลยว่าฝานฉีศิษย์อัจฉริยะอันดับ 1 ในช่วงอายุ 200-300 ปี จะไม่ใช่จอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบอีกต่อไป แต่อีกฝ่ายทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 6 ผสานไปแล้ว!


 


และไม่ว่าจะหูเหมยหรือเวิ่นหว่านเอ๋อ ตอนนี้ก็ได้แต่ชักสีหน้าเครียยด ใจเต้นระส่ำไปด้วยความกังวล


 


มีเพียงฮ่วนเอ๋อเท่านั้นที่สีหน้าแลดูสงบไร้กังวล ในใจยังไร้คลื่นลมใดๆ


 


“ต้วนหลิงเทียน? วันนี้เจ้าต้องตาย!”


 


หานอวิ๋นจิ่นกล่าวเย้ย


 


ขณะเดียวกัน คนที่กำลังเผยสีหน้าเย้ยเยาะอยู่ตอนนี้ยังมีหวงลู่หนานศิษย์ของจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊กู้ฉางเจียง รวมถึงเหลยจวิ้นศิษย์และลูกชายของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิง ที่ไม่ทราบมาปรากฏตัวที่นี่ตั้งแต่ตอนไหน


 


พวกมันล้วนแล้วแต่อยากเห็นต้วนหลิงเทียนถูกฆ่าตาย!


 


“เจ้าทำได้เท่านี้หรือ?”


 


ทว่าทันใดนั้นเอง ท่ามกลางสายตาของผู้มีพลังสูงมากพอ ร่างต้วนหลิงเทียนได้อันตรธานหายไปในฉับพลัน ปรากฏตัวอีกครั้งก็บนฟ้าสูงแล้ว


 


ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนยังเปลี่ยนเป็นเย็นชา ทั่วร่างระเบิดพลังมิติออกมาอย่างน่ากลัว!


 


และนี่เป็นครั้งแรกเลย ที่ต้วนหลิงเทียนได้เผยความลึกซึ้งของกฏมิติที่เข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ออกมาถึง 7 ประการ แน่นอนว่าไม่รวมความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ!


 


เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!


 



 


ทันใดนั้นเองอับัติรอยแยกมิติขึ้น 9 รอย ก่อนจะปรากฏคมมีดมิติสีเทาพุ่งวาบออกมา 9 สาย  ผสานหลอมรวมเข้ากับพลังมิติอันน่าพรั่นพรึงโดยรอบในพริบตา เข่นฆ่าไปทางฝานฉี!


 


กักกัน!


 


และหวงมิติรอบๆตัวฝานฉี ก็ได้ถูกต้วนหลิงเทียนสะกดกักเอาไว้แล้ว


 


“เหอะ!”


 


ฝานฉีแค่นคำเสียงเย็น จากกนั้นพลังเซียนอมตะผสานพลังธาตุลมก็ถูกปลดปล่อยออกมาเต็มกำลัง


 


ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!


 



 


เสียงของสายลมที่คมกล้าปานมีดดาบ ตัดผ่านอากาศฉับไวหมายทลายกรงมิติของต้วนหลิงเทียนเพื่อลุยฝ่าไปเข่นฆ่า


 


อย่างไรก็ตาม ก่อนที่คมมีดสายลมจะได้ฟาดฟันทะลวงฝ่าผนังกรงมิติ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ปลดปล่อยความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏมิติออกมา สามารถหยุดยั้งคมมีดสายลมของฝานฉีได้อย่างง่ายดาย


 


กระทั่งความลึกซึ้งของกฏมิติที่ต้วนหลิงเทียนปลดปล่อยออกมา ยังมีพลังอำนาจครอบงำคมมีดสายลมของฝานฉีอย่างสมบูรณ์ ไม่เพียงหยุดยั้งเท่านั้น ยังบดขยี้ทำลายปานย่ำเหยียบใบไม้แห้งกรอบ!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


พลังสายลมของฝานฉีเรียกว่าถูกพลังมิติของต้วนหลิงเทียนครอบงำกดดันทุกอย่าง!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งคมมีดมิติทั้ง 9 ที่ต้วนหลิงเทียน มันลุยฝ่ามรสุมคมมีดสายลมเข้ามาได้อย่างง่ายดาย!


 


“ทรงพลังยิ่งนัก!!”


 


“ให้ตายเถอะ พลังมิติช่างน่ากลัวจริงๆ ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นสะกดข่มฝานฉีทุกทางเลย!!”


 


“บ้าไปแล้ว กักกันพายุแม่เหล็ก บิดเบือด เขตแดนมิติ และที่บรรยากาศสงบเสมือนไม่มีอะไรนั่น….รังสรรค์! ข้ามองไม่ผิดไปใช่หรือไม่!? หากนับรวมกับคมมีดมิติที่ผสานความลึกซึ้งส่งผ่านที่พุ่งเข่นฆ่าทะลุมิติมา นอกจากความลึกซึ้งเคลื่อนมิติที่ไม่แน่ชัดแล้ว ที่เหลือต้วนหลิงเทียนล้วนเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดสิ้น!!”


 


“ให้ตายเถอะความเข้าใจในกฏมิติของต้วนหลิงเทียน ไม่ได้ด้อยไปกว่าความเข้าใจในกฏแห่งลมของฝานฉีเลย…นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนเข้าใจความลึกซึ้งที่เกี่ยวข้องกับพลังโจมตีหมดแล้ว แต่ฝานฉียังขาดความลึกซึ้งที่เสริมพลังโจมตีเป็นหลักอีกอย่างที่ยังไม่บรรลุถึงขั้นตอนยิ่งใหญ่!!”


 


“ต่อให้มันเข้าใจก็เท่านั้น! กฏมิติเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดอย่างไรก็มีพลังเหนือกว่า! ที่สำคัญความลึกซึ้งเคลื่อนมิติของต้วนหลิงเทียนนั่นก็ไม่ได้ส่งผลต่อการโจมตีอะไร ฝานฉีโดนต้วนหลิงเทียนถล่มเละแน่!!”


 


“ไม่น่าเชื่อจริงๆ…กฏมิติเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ยากจะเข้าใจ แต่ต้วนหลิงเทียนกลับเข้าใจพวกมันถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ 7 ประการแล้ว? นอกจากนั้นความลึกซึ้งเคลื่อนมิติที่ใช้ออก ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้วหรือยัง…”


 



 


คววามแข็งแกร่งที่ต้วนหลิงเทียนปลดปล่อยออกมาในชั่วพริบตา นับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนแล้วจริงๆ


 


ไม่มีใครคิดว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนจะมีพลังระดับนี้


 


“ดูเหมือนที่หลิวเจี้ยนตกตายไปเมื่อเดือนก่อน จะไม่ใช่เพราะโชคร้ายแล้วล่ะ…”


 


“จริง ด้วยพลังระดับนี้ของต้วนหลิงเทียน หากหลิวเจี้ยนมันไม่ได้เตรียมพร้อมกล่าวคำยอมแพ้ไว้แต่แรก…เกรงว่ามันก็คงไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือต้วนหลิงเทียนได้”


 


“พลังของกฏมิติมันร้ายกาจเกินไป สยบผู้อื่นแทบทุกทาง…ยิ่งไปกว่านั้นทุกความลึกซึ้งที่หนุนเสริมพลังต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจมันหมดแล้ว!!”


 


“ให้ตายเถอะ ตอนนี้พลังต้วนหลิงเทียนถือว่าบบดขยี้ฝานฉีทุกทาง…เกรงว่าฝานฉีคงเรือล่มในคูน้ำแล้ว”


(เรือล่มในคูน้ำ = เกิดปัญหาในเรื่องที่มั่นใจว่าสามารถควบคุมได้)


 


“ยังไม่แน่นักหรอก เจ้าอย่าลืมว่าฝานฉียังไม่ได้ใช้ร่างต้นไม้อมตะ…มันอย่างไรก็ต้องมีไพ่ตายอะไรสักอย่างอยู่แล้ว ไม่งั้นจะกล้าท้าต้วนหลิงเทียนสูไม่ตายไม่เลิกราหรือไร?”


 


“ถึงพลังความแข็งแกร่งต้วนหลิงเทียนจะน่าตกใจ แต่ไหนเลยฝาฉีจะไม่คิดคำนวณสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้เอาไว้แต่แรก? มันต้องคิดเผื่อไว้แล้ว!!”


 



 


ในขณะที่เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่ชมดูเรื่องราวกำลังคุยกันอย่างออกรส ด้านหูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อ และหงเฟยก็ตกใจกับพลังของต้วนหลิงเทียนยกใหญ่


 


“ศิษย์น้องเล็ก…ที่แท้ร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ!?”


 


“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนหลิวเจี้ยนถึงตกตายในมือศิษย์น้อยเล็ก…”


 



 


ทั้ง 3 คนโดยเฉพาะหงเฟยตกตะลึงไปแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตามใจทุกคนยังเต็มไปด้วยความกังวลประหนึ่งแขวนไว้บนเส้นดาย


 


เพราะฝานฉีไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นต้นไม้อมตะจำแลงกายมา


 


หากคืนร่างเดิม อย่างน้อยๆพลังก็ต้องเพิ่มขึ้น และรูปแบบการลงมือต้องแตกต่างออกไปจากเดิมแน่!


 


“สารเลวนั่นช่างน่าเหลือเชื่อนัก!”


 


หานอวิ๋นจวิ่นมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นชา “หากต้วนหลิงเทียนผู้นี้เติบโตขึ้นไปมันต้องกลายเป็นหลู่จี้อีกคน…ไม่อาจปล่อยให้มันเติบโตได้อีกเด็ดขาด!”


 


“อย่างไรเสียด้วยพลังที่มันเผยออกมาตอนนี้ แม้จะร้ายกาจแต่หากศิษย์น้อง 4 คืนร่างเดิมก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะฆ่ามัน!”


 


หานอวิ๋นจิ่นยังคงมั่นใจในตัวฝานฉี


 


ขณะเดียวไม่ว่าจะหวงลู่หนานก็ดีเหลยจวิ้นก็ดี บัดนี้สีหน้าแต่ละคนแทบดูไม่ได้ ด้วยไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะร้ายกาจขนาดนี้!


 


อย่างไรก็ตามแม้ต้วนหลิงเทียนจะเผยพลังร้ายกาจเหนือกว่าที่พวกมันคิดคาด แต่พวกมันก็หวังพึ่งฝานฉี ว่าจะสามารถฆ่าต้วนหลิงเทียนได้หลังคืนร่างจริง


 


“ไม่คิดเลย…ไม่คิดเลยจริงๆ”


 


อาวุโสตำหนักลองกระบี่แซ่ฉินที่รับผิดชอบการประลองเป็นตายได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ไหว ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้มันตกใจเช่นกัน


 


และมันก็พึงตระหนักได้ว่า…การตายของหลิวเจี้ยนเมื่อเดือนก่อนไม่น่าจะใช่เรื่องผิดพลาด!


 


“ต้วนหลิงเทียน!”


 


ฝานฉีที่ถูกพลังมิติของต้วนหลิงเทียนถล่มทำลายจนได้แต่ต้านทานอย่างไร้หนทางตอบโต้ พลันตะโกนออกมาเสียงดังลั่น “ที่แท้เจ้ากลับทรงพลังถึงขนาดนี้ ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง!”


 


“แต่มันก็เท่านั้น! ทุกอย่างมันจบแล้ว!!”


 


เมื่อฝานฉีกล่าวจบคำ เหล่าศิษย์วังเทียนฉือทั่วไปที่มาชมดูเรื่องราวก็ดี เหล่าศิษย์อัจฉริยะรวมถึงอาวุโสแซ่ฉินก็ดี ทุกคนล้วนหันไปจับจ้องมองฝานฉีเป็นสายตาเดียวกัน ลูกตายังหดเล็กลง


 


เพราะทุกคนรู้ว่า…


 


ฝานฉีกำลังจะกลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงแล้ว!


 


“แต่ก่อนข้ารู้แค่ว่าฝานฉีเป็นต้นไม้อมตะ…แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นต้นไม้อมตะอันใด…”


 


“หากเป็นแค่ต้นไม้อมตะทั่วๆไป ก็ไม่น่าจะสู้ต้วนหลิงเทียนได้…”


 


“เหอะๆ พวกเจ้าไม่เห็นท่าทางมั่นใจเสียเต็มประดานั่นของฝานฉีหรือไร แล้วพวกเจ้าว่ามันจะเป็นต้นไม้อมตะธรรมดาๆได้หรือ?”


 



 


ในขณะที่ทุกคนเริ่มคาดเดากันไปเรื่อย ฝานฉีที่ตกเป็นเป้าทำลายของพลังห้วงมิติต้วนหลิงเทียนจากทุกทิศทาง ทั่วร่างฝานฉีก็ปรากฏพลังสีเขียวปะทุระเบิดออกมา!


 


จากนั้นในชั่วพริบตาร่างคนทั้งคนก็เปล่งแสงสว่างวาบ พอแสงดับลงคนก็ไม่อยู่แล้ว ถูกแทนที่ด้วยต้นไม้ต้นหนึ่ง!


 


แรกเห็นต้นไม้ที่ว่าก็สูงพอๆกับฝานฉี แต่เพียงเวลาชั่วพริบตามันก็ขยายใหญ่ขึ้น! กลับกลายเป็นต้นไม้มหึมาใหญ่ยักษ์ต้นหนึ่ง!!


 


ที่สำคัญในขณะที่ต้นไม้ขยายใหญ่เติบโต มันก็ทะลวงทำลายห้วงมิติกักกันของต้วนหลิงเทียนได้อย่างง่ายดาย บ่งบอกถึงความทรงพลังของลำต้นได้ชัดเจน!


 


แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก!


 



 


มองปราดแรกต้นไม้นี้แลคล้ายต้นสน หากทว่าเมื่อพินิจกิ่งก้านใบของมันกลับพบว่ามีลักษณะเหมือนต้นหลิว


 


“โอทวยเทพ…นั่นมันไม่ใช่ต้นไม้อมตะ แต่เป็นต้นไม้เทพสนหลิว!!”


 


“จ้าวสวรรค์ช่วย…เป็นต้นไม้เทพสนหลิวจริงๆด้วย! ในบรรดาต้นไม้ บุปผา ต้นหญ้าทั้งหลายแหล่ ต้นไม้เทพสนหลิวก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์อมตะชั้นยอด แม้จะเทียบไม่ได้กับบสัตว์เทพ แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากมายอะไร!!”


 


“ลือกันว่า ต้นไม้เทพสนหลิวนี้ แต่ละกิ่งหลิวที่ฟาดออกไปล้วนมีพลังมหาศาล…หากกิ่งหลิวมากมายถูกระดมฟาดออกมาพร้อมๆกัน คิดจะต้านทานพลังทำลายของมันตรงๆก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย!”


 


“เหอะๆแต่ละกิ่งหลิวที่ฟาดออกมาจะรุนแรงขนาดไหน เอาแค่เห็นตอนลำต้นพุ่งทะลวงกรงมิติที่ต้วนหลิงเทียนใช้ล้อมกัก แถมยืนหยัดต้านทานพลังมิติที่กระหน่ำนั่นของต้วนหลิงเทียนได้อย่างไม่เป็นอะไรก็รู้แล้ว! ต้องทราบว่าก่อนหน้าฝานฉีในร่างมนุษย์ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ!”


 


“คิดไม่ถึงจริงๆ เหนือความคาดหมายของข้านัก ปรากฏว่าร่างที่แท้จริงของฝานฉีคือต้นไม้เทพสนหลิว!”


 


“ต้วนหลิงเทียนซวยแล้วล่ะ!”


 


“ฝานฉีในร่างดั้งเดิม จากกลิ่นอายพลังที่เพิ่มขึ้นมาน่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่า การเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 2 ประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่…แถมความลึกซึ้งที่ว่ายังเป็นความลึกซึ้งเสริมการโจมตีได้อีกด้วย!!”


 


“พลังระดับนี้ ต่อให้ความเข้าใจในกฏมิติต้วนหลิงเทียนจะสูงลิบ ก็ยากจะต้านทานได้!”


 


“มารดามันเถอะ ต้วนหลิงเทียนก็แค่มนุษย์ จะเอาอะไรไปสู้กับต้นไม้เทพเล่า?”


 



 


เมื่อฝานฉีคืนร่างเดิม เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่ชมดูอยู่ก็แตกตื่นกันยกใหญ่ เพราะไม่มีใครคาดคิดจริงๆว่าร่างที่แท้จริงของฝานฉีจะเป็นต้นไม้เทพสนหลิว


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


ท่ามกลางสายตาของผู้คน กิ่งหลิวหนึ่งกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวก็ฟาดออกไปราวแส้ จากนั้นกิ่งหลิวก็งอกเงยแผ่ขยายกลับกลายเป็นข่ายฟ้าหนึ่งห้อมล้อมต้วนหลิงเทียนเอาไว้ทุกทาง!


 


อีกทั้งตัวต้นไม้เทพสนหลิวที่ตั้งตระหง่าน ก็เริ่มพุ่งกิ่งหลิวออกไปมากมายปานหนวด กระหน่ำฟาดไปดั่งแหสวรรค์คลี่กางตามซ้ำ! เพียงเวลาเสี้ยวพริบตาก็สามารถพลิกกลับสถานการณ์ได้!!


WSSTH ตอนที่ 3,280 : จ้าวแห่งพฤกษาทั้งมวล


 


 


“ต้วนหลิงเทียน ข้าต้องยอมรับว่าพลังความแข็งแกร่งของเจ้าสูงส่งยิ่ง…ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ในฐานะมนุษย์แท้ เจ้ากลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงระดับนั้น ข้าต้องกล่าวเลยว่าเจ้าเป็นสุดยอดอัจฉริยะในมวลหมู่มนุษย์จริงๆ!!”


 


บริเวณกลางลำต้นของต้นไม้เทพสนหลิว พลันขมุกขมัวก่อนที่จะปรากฏใบหน้าหนึ่งขึ้น หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามันเป็นใบหน้าของฝานฉี!


 


ใบหน้าฝานฉีกลางลำต้นนั้นกำลังกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “อย่างไรก็ตาม วันนี้เจ้าถูกลิขิตให้ต้องตายคามือข้าฝานฉี!”


 


“ร่างที่แท้จริงของข้าฝานฉีคนนี้คือต้นไม้เทพสนหลิว ด้วยความแข็งแกร่งของร่างดั้งเดิมข้า รวมกับความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่ข้าเข้าใจ..ในวังเทียนฉือแห่งนี้ ใต้ขอบเขตจักรพรรดิอมตะ มีศิษย์อัจริยะไม่กี่คนเท่านั้นที่เอาชนะข้าได้!”


 


“แต่ศิษย์อัจฉริยะที่เป็นมนุษย์แท้ใต้ขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ไม่มีใครสามารถหยุดข้าได้!!”


 


ใบหน้าฝานฉีกลางลำต้นกล่าว น้ำเสียงยังหนักแน่นมั่นคง บอกให้รู้ว่ามันเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า ราวกับได้ตัดสินชะตาของต้วนหลิงเทียนแล้วจริงๆ


 


“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าที่แท้ร่างจริงของฝาฉีจะไม่ใช่ต้นไม้อมตะ แต่เป็นต้นไม้เทพสนหลิว!”


 


สองตาหวงลู่หนานเปล่งประกายเจิดจรัส ราวกับกำลังเห็นฉากฝานฉีฉีกร่างต้วนหลิงเทียนเป็นชิ้นๆก็ไม่ปาน


 


ลูกตาเหลยจวิ้นเองก็ลุกวาวขึ้นมาเช่นกัน


 


ตอนเห็นฝานฉีกับต้วนหลิงเทียนประมือกันและฝานฉีตกเป็นรอง มันก็อดรู้สึกเสมือนใจโดนบีบรัด พอมาเห็นฝานฉีเปลี่ยนเป็นต้นไม้เทพสนหลิว มันก็ตระหนักได้ทันทีว่าคราวนี้เรื่องราวคงไม่มีพลิกผันใดๆอีก


 


ต้วนหลิงเทียน ไม่อาจสู้ฝานฉีที่หวนคืนร่างต้นไม้เทพสนหลิวได้แน่!


 


“คราวนี้เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันได้ตายแน่!”


 


ไม่นานเหลยจวิ้นก็หันไปมองจ้องร่างในชุดสีขาวที่ลอยอยู่ไม่ไกล ลึกลงไปในแววตายังฉายชัดถึงความปรารถนาอันแรงกล้า!


 


“ต้นไม้เทพสนหลิว?”


 


ไม่ไกลจากฮ่วนเอ๋อ หูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อและหงเฟย สีหน้าท่าทีแต่ละคนเปลี่ยนเป็นไม่ค่อยจะสู้ดีนัก


 


ถึงแม้พวกมันจะรู้แต่แรกว่าฝานฉีเป็นต้นไม้อมตะ แต่พวกมันไม่รู้ว่าฝานฉีเป็นต้นไม้อมตะชนิดใด


 


พอมาเห็นร่างที่แท้จริงของฝานฉีกับกลายเป็นต้นไม้เทพสนหลิว พวกมันจึงตระหนักได้ทันทีว่าร่างจริงของฝานฉีนั้นแทบจะเทียบเทียมได้กับสัตว์เทพ!


 


หลังจากสิ่งมีชีวิตระดับนี้หวนคืนสู่ร่างดั้งเดิม พลังความแข็งแกร่งย่อมไม่ด้อยไปกว่าร่างที่แท้จริงของเหล่าสัตว์เทพเลย


 


“ที่แท้เจ้าฝานฉีนั่นมันเป็นต้นไม้เทพสนหลิว…มิน่ามันถึงได้มั่นใจขนาดนั้น…”


 


หงเฟยส่ายหน้าไปมาอย่างสะทกสะท้อน เสียงกล่าวยังสั่นเครือ


 


“ศิษย์พี่หญิง พวกเราเร่งส่งข้อความหาอาจารย์เร็วเข้า ลองดูว่าท่านอาจารย์จะหยุดการต่อสู้ครั้งนี้ได้หรือไม่”


 


ถึงแม้จะรู้ดีว่าต่อให้ส่งข้อมูลไปยังฉือหล่าง ก็คงไม่อาจหยุดยั้งการประลองเบื้องหน้าได้ แต่หูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อก็ได้แต่ส่งข้อความเล่าเรื่องราวสั้นๆไปให้ฉือหล่าง


 


แน่นอนว่าในข้อความสั้นๆย่อมมีข้อมูลที่สำคัญที่สุด อย่างเรื่องที่ตอนนี้ศิษย์น้องเล็กอย่างต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แทบจะครบหมดแล้ว


 


“ต้วนหลิงเทียน…นอกจากความลึกซึ้งเคลื่อนมิติที่ไม่แน่ชัดว่าเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้วหรือยัง ความลึกซึ้งประการอื่นของกฏมิติได้เข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมดแล้ว?”


 


จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่างเดิมที่กำลังนั่งบ่มเพาะพลังอยู่ พอได้รับข้อความจากศิษย์คนที่ 3 กับ 4 สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปทันที ยังลุกขึ้นยืนพรวด!


 


กระทั่งตัวมันเองก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าศิษย์คนเล็กที่พึ่งได้มา จะมีความสำเร็จในกฏมิติสูงล้ำถึงขนาดนี้


 


ฟุ่บบ!


 


ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ร่างฉือหล่างวูบหายไปจากสถานที่บ่มเพาะทันที และไม่นานก็มาปรากฏตัวยังสังเวียนอัจฉริยะใกล้ๆกับจุดที่หูเหมยและคนอื่นๆยืนอยู่


 


“ท่านอาจารย์ท่านมาได้พอดีเลย รีบหยุดการต่อสู้ครั้งนี้เร็วเข้าเถอะ…หากปล่อยให้สู้กันตอ่ไปศิษย์น้องเล็กต้องตายแน่!!”


 


หลังจากที่ฉือหล่างปรากฏตัวขึ้น หงเฟยก็เร่งกล่าวออกไปเร็วไว “ด้วยพรสวรรค์และความเข้าใจของศิษย์น้องเล็ก วันหน้าหากเติบโตขึ้น ต้องกลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามได้แน่!!”


 


“หากศิษย์น้องต้องมาตายที่นี่ มันไม่คุ้มค่ากันเลย!!”


 


หงเฟยกล่าว


 


“ประลองเป็นตาย…ไม่ตายไม่เลิกรา?”


 


อย่างไรก็ตามพอรับทราบว่าต้วนหลิงเทียนกับฝานฉีกำลังอยู่ในการประลองเป็นตายแบบไม่ตายไม่เลิกรา ฉือหล่างก็ย่นคิ้วทันที


 


โดยปกติแล้ว เมื่อการประลองในรูปแบบนี้เริ่มต้นขึ้น ต่อให้มันจะเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปแทรกแซง


 


“ฉือหล่างมาแล้วงั้นเรอะ?”


 


ส่วนอีกด้าน ทันทีที่ฉือหล่างปรากฏตัว หานอวิ๋นจิ่นที่ตระหนักถึงการมาของอีกฝ่ายก็เร่งบดขยี้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณทันที


 


แน่นอนว่าข้อความที่มันส่งไปนั้น ไม่ได้ส่งไปหาอาจารย์ของมัน เพราะตอนนี้อาจารย์ของมันอย่างจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับได้ออกไปทำธุระด้านนอก ไม่ได้อยู่ในวังเทียนฉือ


 


ข้อความของมันถูกส่งไปให้จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ กู้ฉางเจียง ซึ่งเป็นศิษย์น้องของอาจารย์มัน และมันก็เรียกหาอีกฝ่ายว่าอาจารย์อา


 


“ติดต่อไปหาอาจารย์เจ้าเสีย…แค่บอกว่าข้าร้องขอให้ท่านมา”


 


หลังจากรายงานกู้ฉางเจียงเรื่องการมาของฉือหล่างแล้วเสร็จ หานอวิ๋นจวิ๋นก็หันไปกล่าวคำกับเซียวฉงอี้ข้างๆทันที


 


เซียวฉงอี้ก็ไม่รอช้าส่งข้อความไปทันที


 


ไม่นานกู้ฉางเจียงก็มาถึง จากนั้นจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกก็ตามมาติดๆ…จักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกนั้นมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มสวมใส่ชุดสีดำทั้งตัว รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดา ยากหาตัวมันพบหากไปเดินปะปนในฝูงชน


 


“ฉือหล่างในเมื่อนี่เป็นการประลองเป็นตาย ย่อมไม่มีผู้ใดเข้าไปแทรกแซงได้…เจ้าที่อยู่ๆก็โผล่มาที่นี่ คงไม่ได้คิดจะฝ่าฝืนกฏวังเทียนฉือโดยการยุติการประลองครั้งนี้กระมัง?”


 


กู้ฉางเจียงพอมาถึงก็หันไปมองกล่าวกับฉือหล่างก่อนใดอื่น ยังพูดออกมาเสียงดังฟังชัดนัก


 


แน่นอนว่าไม่ได้เบาเลย ดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบๆทันที “อะไรกัน? จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง คิดมาหยุดการประลองเป็นตายนี่เช่นนั้นรึ?”


 


“ให้ข้าเดาไม่พ้นทำไปเพราะคิดช่วยชีวิตต้วนหลิงเทียน”


 


“ข้าก็คิดเช่นนั้น”


 



 


หลังเหลือบมองฉือหล่างปราดหนึ่ง เหล่าศิษย์วังเทียนฉือก็หันกลับไปมองฝานฉีที่กำลังจะปะทะกับต้วนหลิงเทียนด้วยร่างที่แท้จริงต่อทันที


 


ในสายตาของพวกมัน ในเมื่อตอนนี้มีจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊รวมถึงจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกอยู่ด้วย ต่อให้จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีคิดจะหยุดยั้งการประลองเป็นตายเบื้องหน้า ก็คงเป็นไปไม่ได้


 


“ฉือหล่าง ศิษย์ที่เจ้าพึ่งรับเข้ามาใหม่ไม่เลวเลยทีเดียว…แต่น่าเสียดายที่วันนี้มันต้องตาย!”


 


กู้ฉางเจียงเหลือบมองต้วนหลิงเที่ยนที่กำลังปะทะกับร่างจริงฝานฉีครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองจ้องฉือหล่าง กล่าวคำเสียดสี


 


“ฉือหล่าง โชคของเจ้าดีจริงๆ กระทั่งศิษย์อัจฉริยะเช่นนั้นก็รับมาดูแลได้…แต่น่าเสียดายที่อีกไม่นานมันก็ตายแล้ว”


 


จักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกเองก็หันไปมองกล่าวกับฉือหล่างด้วยรอยยิ้มจางๆ


 


มันไม่ได้มีมิตรภาพกับจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่างสักเท่าไหร่ แต่กับจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับนับว่ามีไมตรีกันอยู่ไม่น้อย


 


ที่มันมาที่หน้าวันนี้ก็เพราะเห็นแก่หน้าจักรรพรดิอมตะฟ้าลี้ลับเท่านั้น ไม่งั้นมันคงไม่มา


 


“หึ!”


 


เมื่อเห็นจักรพรรดิอมตะสมญานามมาปรากฏตัวที่นี่ถึง 2 คนเพื่อหยุดมัน สีหน้าฉือหล่างก็กลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก


 


เพราะคำพูดเมื่อครู่ของกู้ฉางเจียง ถึงแม้มันคิดจะหยุดการประลองเป็นตายครั้งนี้ ก็ทำไม่ได้แล้ว


 


“บ้าเอ๊ย ไฉน 2 คนนั่นถึงมาที่นี่ตอนนี้ได้!?”


 


สีหน้าหงเฟยก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากเช่นกัน


 


“ไม่ต้องเดาข้าก็รู้ ไม่พ้นเป็นฝีมือสารเลวหานอวิ๋นจิ่นนั่น…เพราะเจ้านั่นคงรอให้ฝานฉีฆ่าศิษย์น้องเล็กไม่ไหวแล้ว”


 


หูเหมยกล่าวออกเสียงเคร่ง


 


“พี่หลิงเทียน”


 


ฮ่วนเอ๋อมองไปยังต้วนหลิงเทียนที่ใช้เคลื่อนมิติหลบการโจมตีของฝานฉีครั้งแล้วครั้งเล่าไม่วางตา


 


นางพบว่าจนถึงตอนนี้พี่หลิงเทียนของนางก็ยังไม่ได้ใช้พลังของเบญจธาตุออกมาเลย


 


อย่างไรก็ตาม นางก็เข้าใจเรื่องนี้ดี


 


เพราะพี่หลิงเทียนของนางไม่อาจเปิดเผยเรื่องการคงอยู่ของเทพเบญจธาตุออกมาได้ เพราหากเรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมา ก็มีแต่นำพาหายนะดับสูญมาสู่ตัวเท่านั้น


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าจะหนีได้อีกนานเท่าไหร่กัน!?”


 


หลังผ่านไป 10 ลมหายใจแล้ว แม้ฝานฉีจะสามารถกักขังต้วนหลิงเทียนเอาไว้ในพื้นที่จำกัด และใช้การโจมตีอันทรงพลัง ประหนึ่งเต็มไปด้วยพลังอำนาจไร้เทียมทานกระหน่ำเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน แต่ก็ไม่มีการโจมตีใดเฉียดใกล้ปลายเสื้อของต้วนหลิงเทียนได้เลย…


 


ร่างต้วนหลิงเทียนเสมือนเงาเลือนราง วูบหายไปผุดโผล่ทางนู้นทีทางนี้ทีปานภูตผี เคลื่อนย้ายข้ามมิติหลบหลีกทุกการโจมตีของฝานฉีได้อย่างสบายๆ!


 


ไม่นานฝานฉีก็ค่อยๆหมดความอดทน และโพล่งออกมาอย่างหัวเสีย


 


“ก็ดี”


 


และพอฝานฉีโพล่งคำออกมาอย่างหัวเสีย ต้วนหลิงเทียนก็หยุดลงพลางเอ่ยออกมาเสียงเบาว่า “ในเมื่อเจ้ารีบร้อนด่วนตายนัก…งั้นข้าจะส่งเจ้าไปตามทางให้เอง”


 


“ส่งข้าไปตามทาง? เหอะๆ เช่นนั้นให้ข้าชมดูหน่อยเถอะว่าน้ำหน้าอย่างเจ้าจะอาศัยอะไรมาส่งข้าไปตามทาง!”


 


ฝานฉีกล่าวเย้ยเยาะอย่างท้าทาย


 


และแทบจะทันทีที่ฝานฉีกล่าวจบคำ ร่างต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานหายไปดั่งภูตผีอีกครั้ง คนข้ามมิติไปอีกรอบ


 


พอปรากฏตัว ก็มาปรากฏตัวขึ้นข้างๆกิ่งใหญ่ๆกิ่งหนึ่งที่งอกเงยออกมาจากร่างจริงของฝานฉี มือขวาวางทาบลงไปในบัดดล


 


ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!


 



 


แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนมาปรากฏตัวใกล้ร่างจริงฝานฉี กิ่งหลิวมากมายก็กระหน่ำฟาดเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนปานแส้ลงทัณฑ์!


 


อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับกิ่งหลิวมากมายที่ตบฟาดเข้ามามืดฟ้ามัวดิน ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะป้องกันอะไร


 


จากในโลกใบเล็กของเขา พลันมีพลังชีวิตมหาศาลขุมหนึ่งกำจายออกมาฉับไวสุดขั้ว พุ่งผ่านร่างเขาแล่นไปยังฝ่ามือ และทันทีที่พลังชีวิตดังกล่าวต้องถูกร่างที่แท้จริงของฝานฉี ก็เสมือนอสุราหิวกระหาย สูบกลืนพลังในร่างที่แท้จริงของฝานฉีพรวดพราด!!


 


‘ต้นไม้เทพสนหลิวที่เทียบได้กับสัตว์เทพงั้นเหรอ?’


 


รอยยิ้มเย้ยหยันหนึ่ง ยกแสยะขึ้นที่มุมปากต้วนหลิงเทียน ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ยอีกฝ่ายในใจ ‘ฝานฉีผู้นี้ต่อให้หลับมันก็คงไม่เคยฝันถึงกระมัง ว่าในโลกใบเล็กของข้าจะมีพฤกษาเทพกำเนิดชีพอยู่ทั้งต้น?’


 


‘พฤกษาเทพกำเนิดชีพคือจ้าวแห่งมวลหมู่พฤกษานับหมื่นพันท่ามกลางสวรรค์และโลก…ต้นไม้เทพสนหลิวนี่ต่อหน้าพฤกษาเทพ คำว่าเทพยังไม่คู่ควรให้ใช้!’


 


ตอนนี้พลังชีวิตที่พวยพุ่งออกจากพฤกษาเทพกำเนิดชีพในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน ได้กลับกลายเป็นพลังกลืนกินอันน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด เรียกว่าประหนึ่งวาฬสูบน้ำดูดกลืนสารัตถะของฝานฉีในชั่วพริบตา!


 


ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!


 



 


สารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวถูกสูบกลืนจนหดหายฮวบฮาบ ทำให้ระดับพลังของมันตกลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็สิ้นไร้เรี่ยวแรงจนกิ่งหลิวที่กระหน่ำฟาดมาเมื่อครู่ได้แต่ร่วงตกลงไปทุบฟาดสังเวียนอัจฉริยะ สร้างรอยร้าวมากมายบนเวที


 


รอยแตกแต่ละรอยยังโยงใยไปดั่งใยแมงมุมอันเขื่อง ซ้อนทับกันพัวพันยุ่งเหยิงไปหมด


 


“เจ้า…เจ้า…”


 


ฝานฉีที่ไม่ทราบว่าหวนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ บัดนี้สีหน้ามันซีดเซียวปานขี้เถ้า ร่างทั้งร่างยังสั่นระริก


 


ตอนนี้สายยตาที่มันใช้มองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนก็คงเหลือแต่ความหวาดกลัวเท่านั้น


 


พลังที่อยู่ๆก็ระเบิดออกมาจากฝ่ามือของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ประหนึ่งดาวข่มของมัน! ทำให้สารัตถะของมันถูกสูบกลืนจนหายเกลี้ยงในพริบตา!!


 


สารัตถะที่ว่าก็คือแก่นพลัง แก่นแท้โลหิต พลังชีวิต…เรียกว่าเสมือนกระชากทุกสิ่งทุกอย่างของมันออกไปทั้งเป็น!!


 


ตอนนี้มันไม่แม้แต่จะเร่งเร้าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาให้มากพอจะโบยบินด้วยซ้ำ…


 


“เจ้า…เป็นตัวอะไร?”


 


ฝานฉีได้แต่มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาไม่ยินยอม


 


วูบ!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนเคลื่อนย้ายข้ามมิติไปผุดโผล่ยังด้านหลังฝานฉีในชั่วพริบตา จากนั้นก็ส่งเสียงผ่านพลังไปถึงฝานฉี “พฤกษาเทพกำเนิดชีพ”


 


แทบจะทันทีที่เสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ ลูกตาของฝานฉีก็หดหยีลงเร็วไว ใบหน้าฉาดชัดถึงความหวาดผวาพรั่นกลัว “มิน่าล่ะ…ไมน่าแปลกใจเลย…”


WSSTH ตอนที่ 3,281 : แดนสิ้นหวังเทียนฉือ


 


 


และในขณะที่สีหน้าฝานฉีเปลี่ยนไปเป็นหวาดผวาพรั่นกลัว ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ด้านหลังมัน ก็ลงมือต่อเนื่องมาด้วยจิตอำมหิต! รังสีฆ่าฟันดังกล่าวยังปลุกสติฝานฉีให้ตื่นขึ้นมาในฉับพลัน!!


 


ปงงง!!


 


ไร้ซึ่งวรยุทธ์วิชาท่วงท่าอันใด เพียงหนึ่งมือที่ตบฟาดออกมาตามอำเภอใจเท่านั้น หากแต่ฝานฉีก็ไม่อาจหลบหนึ่งฝ่ามือไร้เรื่องราวนี้ได้เลย!


 


แต่ไม่ใช่ว่าฝานฉีไม่อยากหลบ ก็แค่ตอนนี้มันไม่มีปัญญาจะหลบ!


 


แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่ฝ่ามือที่ตบฟาดออกมาตามอำเภอใจของต้วนหลิงเทียนประทับลงกลางกระหม่อมฝานฉี ก็ปรากฏพลังมิติทำลายยล้างอันเกรี้ยวกราด ป่นร่างฝานฉีจนกลับกลายเป็นละอองโลหิต!


 


“ศิษย์พี่ใหญ่ ต้วนหลิงเทียนมีชีวิต…”


 


อย่างไรก็ตามวินาทีสุดท้ายก่อนที่ฝานฉีจะดับสูญ มันได้เค้นพลังเฮือกสุดท้ายส่งเสียงผ่านพลังไปหาหานอวิ๋นจิ่น ศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ


 


อนิจจามันไม่ทันได้พูดจบคำ ก็ถูกต้วนหลิงเทียนตบตายเสียแล้ว…


 


ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนสังเวียนอัจฉริยะ มันอุบัติขึ้นในห้วงเวลาเสี้ยวพริบตาเท่านั้น เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่ชมดูอยู่ ยังไม่อาจตอบสนองเรื่องราวใดๆได้ทันด้วยซ้ำ…


 


พอพวกมันรู้ตัวอีกที บนสังเวียนที่เต็มไปด้วยรอยร้าวก็คงเหลือเพียงร่างในชุดม่วงยืนหยัดอยู่เพยีงลำพัง ท่วงท่าแลดูสง่างามปานทวยเทพ น่าเกรงขามนัก!


 


“ฝานฉี…ตายแล้ว?”


 


“โอทวยเทพ! ฝานฉีนั่นเป็นถึงจอมราชันอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมถึขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ 7 ประการ แถมร่างที่แท้จริงยังเป็นถึงต้นไม้เทพสนหลิว…กระนั้นยังถูกต้วนหลิงเทียนตีตาย?”


 


“พลังที่ฝานฉีเผยออกมาเมื่อครู่ ให้มองไปยังศิษย์อัจฉริยะทั้ง 100 คนของวังเทียนฉือเรา นอกจากศิษย์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด 5 คนนั่นแล้ว ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รับมือมันได้กระมัง?”


 


“นี่มันยังไงกันแน่ ต้วนหลิงเทียนทรงพลังถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”


 


“ผู้ใดบอกข้าได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น? ข้าด่านพลังอ่อนด้อยจึงเห็นแค่ฝานฉีแปลงร่างลงมือฟุ่บฟั่บๆไม่กี่ที อยู่ดีๆบนเวทีก็เหลือแต่ต้วนหลิงเทียนแล้ว…ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


 


“ศิษย์น้องท่านนี้ ถึงข้าเห็นเรื่องราวแต่ก็ไม่รู้จะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างอย่างไร…เพราะเมื่อครู่ไม่ทราบต้วนหลิงเทียนใช้วิธีอะไรกันแน่ อยู่ๆฝานฉีก็กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์เฉยเลย…”


 


“ต้วนหลิงเทียนใช่ฝึกวิชาอาคมของพวกแสวงเต๋าหรือไม่? หาไม่แล้วไม่มีทางฆ่าฝานฉีอย่างมีข้อกังขาเช่นนี้ได้!”


 



 


เหล่าศิษย์วังเทียนฉืองุนงงกันยกใหญ่ ด้วยไม่มีใครคิดใครฝันว่าอยู่ๆการปะทะกันระหว่างฝานฉีกับต้วนหลิงเทียนจะจบลงในลักษณะนี้


 


เดิมทีทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างพร้อมเข่นฆ่ากันบนสังเวียนเป็นตาย และเป็นฝานฉีที่ลงมือก่อนเผยพลังจอมราชันอมตะ 6 ผสานออกมา ทำให้ทุกคนคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะสู้ได้แน่…


 


แต่กระนั้นต้วนหลิงเทียนที่หลบการเปิดฉากฆ่าฟันของฝานฉี ก็ได้ปลดปล่อยพลังของความลึกซึ้งกฏมิติอันน่าพรั่นพรึง 7 ประการที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ออกมา!


 


วินาทีนั้น หลายคนคิดว่าฝานฉีได้เตะโดนตอเหล็กเข้าให้แล้ว


 


ทว่าฝานฉีกลับไม่ได้กริ่งเกรงอะไร เพียงกลับสู่ร่างที่แท้จริงอย่างต้นไม้เทพสนหลิวของตัวเอง ทำให้ทุกคนตระหนักได้ทันทีว่าบ่อเกิดความมั่นใจของฝานฉีอยู่ที่ใด…


 


แต่ในขณะที่ทุกคนคิดว่าฝานฉีที่ใช้ร่างเดิมอย่างต้นไม้เทพสนหลิวสมควรฆ่าต้วนหลิงเทียนได้อย่างไม่ยากเย็นนั้น…


 


ฉากเรื่องราวน่าทึ่งพลันอุบัติขึ้น!


 


ต้วนหลิงเทียนที่ใช้เคลื่อนมิติคล่องแคล่วหลบฝานฉีได้หมดจด จากนั้นคนเพียงวูบร่างไปใกล้ต้นไม้มหึมา มือขวาวางทาบลงบนกิ่งใหญ่ไร้เรื่องราว แต่พริบตานั้นเอง…อยู่ๆร่างต้นไม้เทพสนหลิวขนาดมหึมาก็หดย่นฉับไว กลับมาเป็นฝานฉีในร่างจำแลงมนุษย์หน้าตาเฉย…ราวพบเจอของแสลงก็ว่า!


 


ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างไปผุดโผล่ด่านหลังฝานฉีในร่างมนุษย์ หนึ่งมือตบฟาดออกมาตามอำเภอใจ ประทับลงกลางกระหม่อมฝานฉี ก็ป่นคนให้กลายเป็นละอองโลหิตกลุ่มหนึ่ง


 


“ศิษย์น้องเล็ก…ตีฝานฉีตายแล้ว?”


 


หลังหงเฟยดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอย ตาหยีๆของมันก็หรี่ลงเหมือนคนหลับตา ฉีกยิ้มจนแก้มแทบปริออกมาอย่างเริงร่า!


 


รู้ไหม เมื่อครู่แผ่นหลังมันยังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเพราะศิษย์ย้องเล็กอยู่เลย…


 


เพราะหากศิษย์น้องเล็กตกตายไป มันคงได่แต่โทษตัวเองไปทั้งชีวิต!


 


เนื่องเพราะจุดเริ่มต้นความขัดแย้งกับหลิวเจี้ยนมีมูลเหตุมาจากมัน หาไม่แล้วเรื่องราวคงไม่ลุกลามบานปลายมาถึงขั้นลงประลองเป็นตายกับกับฝานฉี…


 


“ศิษย์น้องเล็กร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ?”


 


หูเหมยรู้สึกประหลาดใจครั้งใหญ่ ถึงแม้ตอนแรกนางก็ตระหนักว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้ร้ายกาจ แต่ก็ไม่คิดว่าจะร้ายกาจถึงขนาดเข่นฆ่าฝานฉีที่กลับคืนร่างเดิมได้!


 


ต้องทราบด้วยว่าร่างที่แท้จริงของฝานฉีเมื่อครู่ กระทั่งตัวนางเองเองไม่กล้าพูดออกมาว่าสามารถเอาชนะได้ กระทั่งยังมองว่ามีโอกาสสูงที่จะผลจบลงด้วยการเสมอโดยที่ไม่มีใครทำอะไรใครได้ด้วยซ้ำ


 


“ศิษย์น้องเล็ก”


 


แม้แต่เวิ่นหว่านเอ๋อที่อ่อนโยนและนิ่งสงบมาตลอด บดนี้ใบหน้าอ่อนโยนนิ่งสงบกลับฉายถึงความประหลาดใจให้เห็นชัดเจน


 


มีเพียงฉือหล่างเท่านั้น ที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาครุ่นคิด


 


เพราะเมื่อครู่ วินาทีที่ต้วนหลิงเทียนบีบให้ฝานฉีกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ กระทั่งตัวมันยังมองไม่ออก


 


อย่างไรก็ตาม มันเห็นเรื่องหนึ่งชัดเจน…


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนวางมือลงบนกิ่งของต้นไม้เทพสนหลิว กลิ่นอายของฝานฉีก็เสมือนอ่อนโทรมลงในชั่วพริบตา สุดท้ายก็ได้แต่เปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์…


 


ยิ่งไปกว่านั้นฝานฉีที่อยู่ในร่างมนุษย์นั้น แลดูอ่อนแอทั้งอิดโรยอย่างมาก..


 


วินาทีนั้นนับประสาอะไรกับศิษย์คนที่ 7 อันเก่งกาจ กระทั่งศิษย์คนที่ 6 ที่พลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุดอย่างหงเฟย ก็สามารถจบชีวิตฝานฉีได้ง่ายดาย!


 


อีกด้านหนึ่ง


 


“เป็นไปได้ยังไงกัน!?”


 


หานอวิ๋นจิ่นยังงุนงงกับเสียงผ่านพลังครั้งสุดท้ายของฝานฉีไม่หาย ตอนนี้พอเห็นฝานฉีถูกต้วนหลิงเทียนตบจนร่างสลายกลายเป็นละอองเลือด สีหน้ามันจึงเปลี่ยนไปใหญ่หลวง แววตาเริ่มเย็นลง


 


ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ ไฉนถึงมีความแข็งแกร่งเช่นนี้ได้ล่ะ?


 


หลังนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาที่หานอวิ๋นจิ่นใช้มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ยังเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น!


 


และจังหวะนี้อย่าว่าแต่หานอวิ๋นจิ่น กระทั่งเซียวฉงอี้ที่ลอยร่างอยู่ข้างๆ ไม่เว้นจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ รวมถึงจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอก ก็ชมมองเรื่องราวอย่างอื้ออึงอยู่บ้าง


 


ผลลัพธ์ที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า สุดที่พวกมันจะคาดคิดได้ออกจริงๆ กระทั่งจนถึงตอนนี้ยังรู้สึกยากจะเชื่อ!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊และจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอก สาเหตุที่ทั้งคู่มาปรากฏตัวที่นี่ทั้งหมดเพียงเพื่อกันท่าไม่ให้จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง เข้ามาแทรกแซงการประลองเป็นตายครั้งนี้…


 


และที่ไฉนพวกมันถึงมา ก็เพราะอยากให้ต้วนหลิงเทียนตาย! หากไม่กังวลว่าฉือหล่างจะมาช่วยชีวิตต้วนหลิงเทียนที่เป็นศิษย์ พวกมันไหนเลยจะสนใจเด็กน้อยตีกัน?!


 


แต่ตอนนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทำให้การมาของพวกมันทั้งสองกลายเป็นเรื่องน่าขันเสียอย่างนั้น!


 


ต้วนหลิงเทียน ไม่ต้องมีฉือหล่างช่วยเหลือก็เอาตัวรอดได้!


 


“ระยำ! ต้วนหลิงเทียนบัดซบนั่น ไฉนมันถึงร้ายกาจถึงขนาดนี้เล่า!?”


 


หน้าหวงลู่หนานตอนนี้บิดเบี้ยวอัปลักษณ์เป็นที่สุด และมันก็ตระหนักได้แล้ว…ว่าไม่เพียงต้วนหลิงเทียนจะเหนือกว่ามันเล็กน้อย ที่แท้อีกฝ่ายกลับแข็งแกร่งเหนือกว่ามันทุกทาง!


 


แน่นอนว่าในขณะที่สีหน้ามันกลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก หน้าผากมันก็ปรากฏเหงื่อเย็นผุดซึมเต็มไปหมด


 


เนื่องเพราะดูจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ บอกให้รู้ว่าตอนต้วนหลิงเทียนประลองกับมัน อีกฝ่ายได้ออมรั้งยั้งมือให้มันขนาดไหน หากอีกฝ่ายตั้งใจจะทุบตีมันให้สาหัสจริงๆ มันไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลาพักฟื้นกี่ปี…


 


“เหอะ!”


 


เหลยจวิ้นพ่นลมขึ้นจมูกเสียงเย็นอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะเหินร่างจากไปทันที


 


วันนี้มันต้องการเห็นต้วนหลิงเทียนพ่ายแพ้ฝานฉี และพอเห็นฝานฉีเลือกการประลองเป็นตายทั้งเป็นรูปแบบไม่ตายไม่เลิกรา มันก็รู้สึกยินดีปรีดานัก! ด้วยคิดว่าก้างขวางคอตัวดีอย่างต้วนหลิงเทียนคงถึงคราวชะตาขาดแน่แล้ว!!


 


อนิจจาร้อยพันหมื่นคาดมันก็ไม่เคยคิด ว่าต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะไม่ตาย ยังฆ่าฝานฉีได้อีก!


 


ที่สำคัญที่สุดคือ…


 


ฝานฉีตอนคืนร่างที่แท้จริงนั่น ต่อให้เป็นตัวมันเอง ถึงจะจัดการได้ แต่ก็ไม่มีทางจัดการได้ในเวลาอันสั้นแบบนี้แน่นอน!


 


‘แต่เห็นได้ชัดว่า ต้วนหลิงเทียนสมควรใช้วิธีพิเศษอะไรสักอย่างเพื่อสะกดฝานฉีให้ย้อนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์…’


 


‘วิธีการนั้นของมันได้ผลกับฝานฉี แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ได้ผลกับข้า!’


 


‘หากมันเจอกับข้า ด้วยพลังระดับนั้น ไม่เกิน 3 ลมหายใจข้าก็ฆ่ามันให้ตายได้!’


 


ถึงแม้ความแข็งแกร่งที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมาวันนี้จะร้ายกาจ และมีวิธีพิเศษบางอย่าง แต่เหลยจวิ้นก็ไม่กลัวต้วนหลิงเทียน


 


เพราะในสายตามัน ต้วนหลิงเทียนก็แค่จอมราชันอมตะตัวกระจ้อย


 


‘ก่อนที่ศิษย์น้อง 4 จะตายตก ได้ส่งเสียงผ่านพลังมาบอกข้าว่าต้วนหลิงเทียนมีชีวิต…มิทราบมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?’


 


หานอวิ๋นจิ่นได้แต่มองจ้องต้วนหลิงเทียนไกลตาด้วยสายตาแคลงใจ ยิ่งนึกถึงถ้อยคำผ่านพลังสุดท้ายที่ฝานฉีส่งมาถึงมันก่อนตกตาย ก็ทำให้มันสงสัยไปกันใหญ่


 


“หานอวิ๋นจิ่น…”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างลอยออกจากสังเวียนอัจฉริยะ และคิดจะกลับไปรวมกลุ่มกับฮ่วนเอ๋อ ระหว่างทางเขาก็หยุดลง และหันไปมองกล่าวแซวหานอวิ๋นจิ่นไกลๆว่า “ดูเหมือนศิษย์น้อง 4 ของเจ้าจะมั่นใจในตัวเองอย่างผิดๆนะ”


 


“อีกทั้งไม่ใช่เจ้าพูดไว้รึไง…ว่าข้าต้องถูกมันฆ่าตายแน่ๆ?”


 


“ดูเหมือนสายตาเจ้า…ใช้คำว่าฝ้าฟางมาอธิบายคงยังไม่พอ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียดสีจบ มุมปากยังยกยิ้มแดกดันออกมา พาลให้สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ถึงขีดสุด! มันถลึงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย ตอนนี้หากไม่มีใครอยู่ที่นี่ มันคงทนไม่ไหวพุ่งไปเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนนานแล้ว!!


 


ตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนเริ่มเอ่ยแซวออกมา ศิษย์วังเทียนฉือมากมายก็หันมามองจ้องหานอวิ๋นจิ่นกันเป็นแถบ


 


“จริงสิ ก่อนหน้านี้หานอวิ๋นจิ่นดูเหมือนได้กล่าวตัดสินไปแล้วว่าต้วนหลิงเทียนต้องตายแน่…”


 


“จะว่าไปมันก็ไม่แปลกหรอก…หานอวิ๋นจิ่นเองก็คงคิดไม่ถึงเช่นกันว่าต้วนหลิงเทียนจะฆ่าฝานฉีได้”


 


“เหอะๆ เรียกว่าครั้งนี้คำพูดหานอวิ๋นจิ่นได้ย้อนกลับมาตบหน้ามันดังฉาดจริงๆ!”


 



 


ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของศิษย์วังเทียนฉือโดยรอบ สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นก็บิดเบี้ยวดูไม่ได้ สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนเย็นลงจนไม่รู้จะเย็นกว่านี้อย่างไรแล้ว อ้าปากตะคอกคำเสียงออกมาเสียงเหี้ยมว่า “ต้วนหลิงเทียน! ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีผีสางอันใดฆ่าศิษย์น้อง 4 ของข้า…แต่อาศัยเจ้า ยังไม่มีคุณสมบัติพอมาวางท่าปากดีต่อหน้าข้า หานอวิ๋นจิ่น!!”


 


“อ้อ? จริงหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตามองหานอวิ๋นจิ่น จากนั้นมุมปากก็ยกยิ้มแสยะเย็นชาขึ้นมาอย่างมีเลศนัย “ถ้างั้น…เจ้ากับข้า พวกเรามานัดหมายประลองเป็นตาย หากไม่ตายไม่เลิกราดีหรือไม่?”


 


“เหอะ!”


 


หานอวิ๋นจิ่นพ่นลมสบถเสียงเย็น “ประลองเป็นตาย่อมได้ แต่ข้าไม่มีเวลามานั่งรอเจ้าเป็นชาติ!”


 


พรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียน กระทั่งตัวมันเองยังต้องอิจฉา


 


หากให้เวลาต้วนหลิงเทียนอีกแค่ไม่กี่ร้อยปี แม้แต่มันก็ไม่กล้าพูดอีกต่อไปว่าจะเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้


 


แต่สำหรับตอนนี้ ในสายตามันต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต่างอะไรไปจากมด!


 


“ถ้างั้น…อีก 1 ปีหลังจากนี้ใน ‘แดนสิ้นหวังเทียนฉือ’ เจ้ากับข้าพวกเรามาสู้กันให้ตายไปข้างเป็นไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามจบ มุมปากก็ยกยิ้มแสยะดูแคลนขึ้นมา


 


แดนสิ้นหวังเทียนฉือ เป็นบททดสอบหนึ่งของวังเทียนฉือ และภายในแดนสิ้นหวังเทียนฉือนั้นจะเปิดให้คนเข้าไปพร้อมกันแค่ 2 คนเท่านั้น ทั้ง 2 ต้องแข่งขันกันในนั้นเพื่อผ่านด่าน


 


แน่นอนว่าสามารถต่อสู้กันเอง หรือจะเข่นฆ่ากันด้านในก็ได้


 


เพราะผู้คนภายนอกไม่อาจล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในแดนสิ้นหวังเทียนฉือ ทำได้แค่รอคอยอยู่ที่ทางออกแดนสิ้นหวังเทียนฉือเท่านั้น


 


ที่สำคัญภายในแดนสิ้นหวังเทียนฉือ ไม่อาจใช้พลังภายนอก


 


ไม้ต้องพูดถึงยันต์อมตะหรือโอสถต้องห้ามใดๆ กระทั่งอุปกรณ์อมตะประเภทศาสตราหรือชุดเกราะยังไม่อาจใช้ได้ แม้จะเอาเข้าไปได้แต่ก็ไม่อาจสำแดงอานุภาพอันใด


 


“แดนสิ้นหวังเทียนฉือ”


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ลูกตาหานอวิ๋นจิ่นก็หดแคบลงเร็วไว ด้วยไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะเลือกท้ามันเข้าไปเข่นฆ่ากันในนั้น


 


อย่างไรก็ตามแม้มันจะอยากฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายแค่ไหน แต่มันก็ไม่ใช่คนวู่วาม


 


ในเมื่อต้วนหลิงเทียนสามารถใช้วิธีลึกลับบางอย่างเข่นฆ่าฝานฉีศิษย์น้องของมันได้ แถมมันยังมองวิธีที่ว่าไม่ออก…


 


นอกจากนั้นมันยังส่งเสียงผ่านพลังไปถามจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊กับจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกแล้ว จึงพบว่ากระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 2 ยังมองกลอุบายต้วนหลิงเทียนไม่ออก!


 


ในสายตาของมัน…


 


ต้วนหลิงเทียนท้ามันไปสู้ลับตาผู้คนแบบนั้น ต้องมีผีแน่!!


WSSTH ตอนที่ 3,282 : ร่างอวตารกฏ


 


 


ในฐานะที่เป็น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของวังเทียนฉือ หานอวิ๋นจิ่นย่อมมีความคิดละเอียดรอบคอบ เหนือกว่าศิษย์อัจฉริยะทั่วไป


 


เมื่อถูกต้วนหลิงเทียนท้าไปประลองเป็นตายในแดนสิ้นหวังเทียนฉือ มันก็ตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีลับลมคมใน…แน่นอนว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่ง คือต้วนหลิงเทียนแสร้งผีแปลงเทพ หมายขู่ขวัญหลอกมันให้หวาดกลัว จนไม่กล้ารับคำท้าประลองเป็นตาย!


 


อย่างไรก็ตามเพื่อความรอบคอบ มันจึงไม่ยอมรับคำท้าประลองเป็นตายในแดนสิ้นหวังเทียนฉือของต้วนหลิงเทียน


 


“ต้วนหลิงเทียนหากเจ้าคิดประลองเป็นตายกับข้า ไฉนต้องไปสู้ในที่ลับตาผู้คนอย่างแดนสิ้นหวังเทียนฉือด้วย ไม่มาสู้กันในที่แจ้งเล่า?”


 


หลังจากได้ยินคำท้าของต้วนหลิงเทียน ความสนใจของทุกคนก็ละออกจากต้วนหลิงเทียนไปยังหานอวิ๋นจิ่นทันที เพื่อดูว่าอีกฝ่ายจะตอบรับอย่างไร จากนั้นจึงเห็นว่าหานอวิ่นจิ่นเหลือบมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่แสว่า…


 


“หากเจ้ามีใจจะสู้เช่นนั้นพวกเราก็มาสู้กันที่สังเวียนอัจฉริยะแห่งนี้เถอะ!”


 


“สุดท้ายแล้วการต่อสู้ระหว่างข้ากับเจ้าบนสังเวียนอัจฉริยะ ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ศิษย์น้องในวังเทียนฉือทั้งหลายได้สั่งสมประสบการณ์…เรื่องนี้ล้วนเป็นประโยชน์กับศิษย์วังเทียนฉือทุกคน”


 


ฟังจากคำพูดของหานอวิ๋นจิ่นแล้ว นับว่ามันใช้มือรองน้ำไม่รั่วซึมจริงๆ มันไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่ประลองกับต้วนหลิงเทียน แต่ยังหาข้ออ้างในการสู้กับต้วนหลิงเทียนในที่แจ้งได้อย่างชอบธรรม ว่าทำเพื่อศิษย์วังเทียนฉือทั้งมวล


 


ได้ยินคำพูดของหานอวิ๋นจิ่น ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลงเล็กน้อย


 


‘ดูเหมือนหานอวิ๋นจิ่นก็ไม่ใช่คนถือดีจนลำพองตัว…ก็นะ อย่างไรเสียมันก็เป็นถึง 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือ หากแค่นี้ลวงมันไปฆ่าได้ก็คงแปลก’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างไม่คิดอะไรมาก


 


“เช่นนั้นไม่ต้องเป็น 1 ปี แต่ข้าจะยืดเวลาให้เจ้า 3 ปีดีหรือไม่? หลังจากผ่านไป 3 ปีแล้ว เจ้ากับข้าพวกเรามาตัดสินกันว่าผู้ใดจะอยู่ผู้ใดจะไปบนสังเวียนอัจฉริยะแห่งนี้เป็นไง?”


 


หานอวิ๋นจิ่นกล่าวออกมาอีกครั้ง และยังเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนออีกด้วย และพอกล่าวถึงจุดนี้มุมปากก็ยกยิ้มประชดประชันขึ้นมาอย่างท้าทาย ค่อยกล่าวต่อว่า “แน่นว่าหากเจ้าไม่กล้า เจ้าก็สามารถปฏิเสธข้าได้!”


 


“3 ปีรึ?”


 


ใจต้วนหลิงเทียนจมลง


 


นับประสาอะไรกับ 3 ปี ต่อให้เป็นตอนนี้ หากลวงหานอวิ๋นจิ่เข้าสู่แดนสิ้นหวังเทียนฉือหรือไปสู้ในที่ลับตาได้ เขาสามารถใช้เทพเบญจธาตุเข่นฆ่ามันได้ไม่ยากเย็น ทว่าหากลงมือในที่แจ้ง ก็มีแต่จะเป็นการป่าวประกาศเรื่องที่ในร่างเขามีเทพเบญจธาตุเท่านั้น


 


หากสู้ในที่ลับตาอยย่างแดนสิ้นหวังเทียนฉือ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเห็น


 


แต่ถ้าสู้กันในที่แจ้งอย่างบนสังเวียนอัจฉริยะแห่งนี้ เขาไม่อาจใช้เทพเบญญจธาตุได้ เพราะมันจะถูกจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลายพบบเจอทันที


 


ถึงตอนนั้นเขาก็ตกอยู่ในจุดอับไร้ทางพลิกฟื้น! และไม่ต้องกล่าวถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามคนอื่นๆ เผลอๆกระทั่งครูคนปัจจุบันอย่างจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง ก็ไม่อาจต้านทานความเย้ายวนใจของเทพเบญจธาตุในร่างเขาได้ไหว หันมาเข่นฆ่าเขาแน่…


 


‘เรื่องจะฆ่ามันใน 3 ปี…ด้วยด่านพลังของข้าตอนนี้ทำไม่ได้แน่’


 


แม้ผิวเผินจะสงบแต่ในใจต้วนหลิงเทียนลอบคิดหนักไม่น้อย


 


แต่ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนตัดสินใจจะหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยงนั้นเอง เสียงของวารีเทพชำระโลกา 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุในร่างเขาพลันดังขึ้น “เสี่ยวเทียน รีบรับปากมันเร็ว!”


 


อยู่ๆเสียงวารีเทพชำระโลกาก็โพล่งดังขึ้นด้วยความมั่นใจ ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจอยู่บ้าง


 


อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าวารีเทพชำระโลกาไม่เลือกหนทางเสียเปรียบให้เขาแน่! อีกทั้งจากความสามารถในด้านค่ายกลของอีกฝ่าย ก็ทำให้เขาเชื่อว่านางน่าจะมีวิธีเลิศล้ำบางอย่าง!


 


“ตกลงตามนั้น!”


 


เช่นนั้นทันทีที่เสียงมั่นใจของวารีเทพชำระโลกาดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความมั่นใจประการหนึ่ง มองจ้องไปยังหานอวิ๋นจิ่นเร็วไว เร่งกล่าวตอบออกไปเสียงดังฟังชัด “3 ปีต่อมา เจ้ากับข้าพวกเรามาฆ่ากันให้ตายไปข้าง บนสังเวียนอัจฉริยะแห่งนี้! ข้าหวังว่าพอถึงตอนนั้น เจ้าจะไม่บังเกิดจิตขลาดเขาเหมือนเดิมจนไม่กล้าโผล่หัวมาก็พอ!!”


 


ได้ยินวาจาเสียงดังฟังชัดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ลูกตาหานอวิ๋นจิ่นก็หดเล็กลงทันใด


 


เดิมทีมันคิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องไม่กล้าเห็นด้วยแน่นอน…


 


แต่มิคาดต้วนหลิงเทียนดูลังเลอยู่แค่ครู่เดียว อยู่ๆก็โพล่งตอบรับออกมาเสียอย่างนั้น!


 


จังหวะนี้สีหน้ามันเริ่มเปลี่ยนเป็นขมึงตึงเครียดทันที!!


 


“อะไร? หรือคำท้าประลองเป็นตายครั้งนี้ของข้ายังมีปัญหาอะไรอีก…ข้าเปลี่ยนเอาตามเจ้าสะดวกแล้วไง? หรือเจ้ายังไม่กล้ารับ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียดสีด้วยรอยยิ้มแดกดันหยามหยัน


 


สายตาของเหล่าศิษย์วังเทียนฉือในที่นี้พลันหันกลับมามองจ้องหานอวิ๋นจิ่นเป็นสายตาเดียวกัน แววตาของแต่ละคนยังเริ่มฉายความเย้ยเยาะสนุกสนานออกมาให้เห็น “เดี๋ยวๆ นี่มันยังไงกันแน่…มิใช่ว่าหานอวิ๋นจิ่นนั่นกำลังถูกต้วนหลิงเทียนหลอกต้มอยู่หรอกนะ?”


 


“นั่นสิ มันลั่นวาจาเสนอเงื่อนไขออกมาเอง พอผู้อื่นท้าตามมันว่าขึ้นมา…ถ้ามันไม่กล้ารับอีก ก็ทำให้ผู้อื่นขบขันตายแล้ว!!”


 


“เจ้าดูสีหน้ามันสิ ข้าว่ามันกลัวต้วนหลิงเทียนขี้หดตดหายแล้วจริงๆ”


 


“ช่างปอดแหกยิ่ง…ไม่สมศักดิ์ศรีศิษย์อัจฉริยะจริงๆ โดนแซ่ต้วนปีนเกลียวเข้าให้!!”


 



 


เสียงกระซิบกระซาบด้วยความสนุกสนาน อย่างกลัวโลกวุ่นวายไม่พอของเหล่าศิษย์วังเทียนฉือโดยรอบ พอดังเข้าหูหานอวิ๋นจิ่นก็ทำให้สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นกลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันที…


 


“ศิษย์พี่หาน ท่านรับคำท้ามันเถอะ”


 


ตอนนี้เองเซียวฉงอี้ที่ลอยร่างข้างๆหานอวิ๋นจิ่น พลันเอ่ยออกมากับหานอวิ๋นจิ่นเบาๆ “เจ้าหนูนั่นลูกเล่นแพรวพราวนัก! มิพ้นตอนนี้มันต้องเสแสร้งมั่นใจ เพื่อสร้างความประหวั่นให้แก่ท่าน…ด้วยหวังให้ท่านกล่าวปฏิเสธจนขายขี้หน้าประชาชี!”


 


“หากวันนี้ท่าปฏิเสธไม่รับคำท้ามัน ต่อไปชื่อเสียงท่านในวังเทียนฉือคงตกต่ำจนไม่มีใครเห็นหัวแล้ว!”


 


เซียวฉงอี้กล่าว


 


หานอวิ๋นจิ่นไหนเลยจะไม่รู้เรื่องที่เซียวฉงอี้กล่าวเตือน?


 


อย่างไรก็ตาม หาก 3 ปีหลังจากนี้ ตอนมันขึ้นไปเข่นฆ่ากับต้วนหลิงเทียนบนสังเวียนและพบว่าไม่อาจสู้ต้วนหลิงเทียนได้ขึ้นมา มันไม่ถูกฆ่าตายอย่างโง่งมหรือ?


 


เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เป็นสองทางที่ทำให้มันหนักใจนัก!


 


ด้านหนึ่งก็คือชื่อเสียง!


 


อีกด้านก็คือชีวิต!


 


เรียกว่าหานอวิ๋นจิ่นตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก!


 


เป็นธรรมดาว่าลึกลงไปในใจ มันค่อนไปทางอีก 3 ปีหลังจากนี้ต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะมีกำลังพอจะฆ่ามันได้


 


หานอวิ๋นจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงผ่านพลังไปปรึกษาจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ และจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอก


 


‘กลวิธีที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกก่อนหน้า สมควรมีผลแต่กับต้นไม้ บุปผา และเหล่าพืชอมตะต่างๆเท่านั้น?’


 


ถึงแม้จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊กับจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอก จะไม่อาจมองออกว่าต้วนหลิงเทียนใช้พลังของพฤกษาเทพกำเนิดชีพเพื่อดูดกลืนสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว…


 


อย่างไรก็ตามในฐานะที่พวกมันเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม พวกมันย่อมตระหนักได้รางๆ ว่าวิธีการของต้วนหลิงเทียนสมควรมีผลแต่กับสิ่งมีชีวิตจำพวกพวกต้นไม้ใบหญ้าบุปผาอมตะอะไรพวกนั้น


 


‘แถมถ้าไม่ใช่การลงมือระยะประชิด วิธีการดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจสำแดงฤทธิ์เดชอะไรได้?’


 


หลังจากได้รับทราบข้อมูลสำคัญจากจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 2 หานอวิ๋นจิ่นก็หันไปมองจ้องตาต้วนหลิงเทียนอย่างละเอียดอีกครั้ง


 


“หากเจ้าจะปฏิเสธก็รีบปฏิเสธออกมาเถอะ…จะพิรี้พิไรถ่วงเวลาไปทำอะไร?”


 


มุมปากต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มเย้ยเยาะมากกว่าเดิม


 


“ปฏิเสธ?”


 


หานอวิ๋นจิ่นหัวเราะเยาะเบาๆ “ไฉนข้าต้องปฏิเสธด้วย? หลังจากนี้ 3 ปี ข้าหานอวิ๋นจิ่น จะสู้ให้ตายกันไปข้างกับเจ้าต้วนหลิงเทียนบนสังเวียนอัจฉริยะแห่งนี้!”


 


“ขอให้ใต้เท้าจักรพรรดิอมตะและศิษย์น้องทั้งหลายในที่นี้เป็นพยาน!!”


 


“หากผู้ใดบิดพริ้วสัญญาไม่ยอมมา ก็อย่าได้มีหน้าอยู่ในวังเทียนฉือสืบไป!”


 


เพียงพูดออกมาไม่กี่คำ ไม่เพียงแต่หานอวิ๋นจิ่นจะตกลงสู้กับต้วนหลิงเทียนให้ตายกันไปข้างเท่านั้น แต่อีกฝ่ายยังผลักตัวเองทั้งต้วนหลิงเทียนให้มาอยู่ปากเหว ไร้ซึ่งหนทางถอยอีกต่อไป…


 


“ดี!”


 


ต้วนหลิงเทียนมองจ้องตาหานอวิ๋นจิ่นอีกครั้ง จากนั้นก้เลิกสนใจ หันหน้ากลับมาและเหินร่างไปหาฉือหล่างกับทุกคนต่อ


 


แต่ต้นจนจบสีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนแลดูปลอดโปร่งโล่งสบายคล้ายลมคล้อยเมฆเคลื่อน ประหนึ่งให้ไท่ซานถล่มลงตรงหน้าก็ไม่หวั่นไหว


 


อย่างไรก็ตามสัญประลองเป็นตายที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งรับคำไป ทำให้ศิษย์ของฉือหล่างอย่างหงเฟย หูเหมย หน้าเปลี่ยนสีไปทันที “3 ปี…แค่ 3 ปี? เวลามันจะกระชั้นเกินไปแล้ว!!”


 


“ศิษย์น้องเล็ก ไฉนเจ้าอุตริไปรับปากเข่นฆ่ากับมันซะเล่า!?”


 


ทั้งคู่ล้วนคิดว่าที่ต้วนหลิงเทียนท้าท้ายหานอวิ๋นจิ่นออกไปตอนแรก ก็เพื่อขู่ขวัญหมายทำให้หานอวิ๋นจิ่นอับอายขายหน้าเพราะไม่กล้าสู้เฉยๆ


 


หากหานอวิ๋นจิ่นไม่กล้าตอบตกลง พวกมันก็มีเรื่องให้ล้อหานอวิ๋นจิ่นกันสนุกปาก และหานอวิ๋นจิ่นก็จะอับอายขายขี้หน้าผู้คนตลอดกาล


 


แต่ตอนที่เห็นหานอวิ๋นจิ่นแก้เกมโดยการยื่นขอเสนอ 3 ปีในที่แจ้งออกมา พวกมันก็เข้าใจว่าแผนการของต้วนหลิงเทียนล้มเหลวเสียแล้ว…


 


ถึงแม้พลังความแข็งแกร่งที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมาก่อหน้าจะดี แต่ยังห่างไม่น้อยหากจะไปเข่นฆ่ากับหานอวิ๋นจิ่น!


 


หานอวิ๋นจิ่นในฐานะที่เป็นศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ นอกจากจะทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้ว มันยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการ พลังฝีมือนับว่าร้ายกาจมาก อ่อนด้อยกว่าศิษย์พี่รองของพวกมันอยู่เล็กน้อยเท่านั้น


 


อย่างไรเสียหานอวิ๋นจิ่นก็คือ 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือ พลังฝีมือของมันพูดได้ว่าในบรรดาศิษย์อัจฉริยะทั้ง 100 คนของวันเทียนฉือ มันอยู่ใน 5 อันดับแรก!


 


และศิษย์น้องเล็กของพวกมันถึงแม้พลังฝีมือจะร้ายกาจไม่ใช่เล่นๆ แต่อายุก็ยังไม่ทันถึง 300 ปีที แถมยังเป็นมนุษย์แท้อีกด้วย


 


มนุษย์แท้ในวัยเพียงเท่านี้ให้กวาดตามองทั่วทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลก แต่คนที่สามารถเอาชนะหานอวิ๋นจิ่นได้ เกรงว่าคงมีอยู่เพียงไม่กี่คน…


 


“ครู”


 


หลังจากกลับมารวมกลุ่ม ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าให้ฉือหล่างด้วยรอยยิ้ม


 


“เจ้ามั่นใจหรือไม่?”


 


ฉือหล่างเอ่ยถาม


 


“หากข้าไม่มั่นใจข้าไม่ท้ามันหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้ม


 


ถึงแม้จะไม่ทราบว่าบ่อเกิดความมั่นใจของต้วนหลิงเทียนมาจากที่ไหน แต่ในเมื่อต้วนหลิงเทียนพูดออกมามด้วยความมั่นใจแบบนี้ ไม่ว่าจะหูเหมยหรือหงเฟย ก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


ท้ายที่สุดแล้วการประลองระหว่างศิษย์น้องเล็กพวกมันกับฝานฉี ก็ไม่ใช่พวกมันไม่เห็นความหวังว่าศิษย์น้องเล็กจะชนะหรือไร? แล้วผลออกมาเป็นไงเล่า?


 


“ฮ่วนเอ๋อ พวกเรากลับกันเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อ จากนั้นก็เหินร่างจากสังเวียนอัจฉริยะไปพร้อมกับฉือหล่างและคนอื่นๆ


 


จนเมื่อต้วนหลิงเทียนกับพวกจากไปแล้ว เสียงสนทนาบริเวณสังเวียนอัจฉริยะจึงกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง บรรยากาศกลายเป็นคึกคักปานตลาดสดยามเช้า!


 


“ฮ่าๆๆๆ…มีเรื่องบันเทิงให้ชมดูอีกแล้ว!!”


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ในเมื่อมั่นใจเรื่องเข่นฆ่าให้ตายกันไปข้างกับหานอวิ๋นจิ่น ก็เผยให้เห็นว่ามันเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า!!”


 


“แต่ก็ไม่แน่นักหรอก จากกลิ่นอายต้วนหลิงเทียนนั่นเป็นมนุษย์แท้ๆแน่นอน ด้วยวัยเพียงเท่านี้จะไปเอาชนะหานอวิ๋นจิ่นได้อย่างไร?”


 



 


หลังจากที่เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่มาชมดูเรื่องราวการประลองที่สังเวียนอัจฉริยะแยกย้ายกันจากไป แต่ละคนก็เอาเรื่องราวไปบอกเล่าต่อสหาย ทำให้ไม่ทันข้ามวันเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็แพร่กระจายออกไปดั่งพายุใต้ฝุ่น


 


และในวันนี้หลายๆคนในวังเทียนฉือก็ได้รับทราบความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนแล้ว


 


นับว่าต้วนหลิงเทียนสมแล้วที่ได้รับตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะอันดับ 1 ในช่วงอายุ 200-300 ปี!


 


“พี่สาวสุ่ย ท่านให้ข้ารับปากประองกับหานอวิ๋นจิ่น 3 ปีหลังจากนี้…ท่านแน่ใจหรือว่าข้าจะมีพลังมากพอเอาชนะมันได้”


 


หลังกลับมาถึงสถานที่บ่มเพาะ ต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิเตรียมบ่มเพาะพลังข้างๆฮ่วนเอ๋อ ก็อดไม่ได้ที่จะถามวารีเทพชำระโลกาในโลกใบเล็กให้ชัดเจน


 


“หากไม่แน่ใจว่าเจ้าจะเอาชนะมันได้ ข้าไม่ให้เจ้ารับคำท้ามันหรอก”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้าไม่อยากให้เจ้าตายมากพอๆกับตัวเจ้าเองนั่นล่ะ”


 


“พี่สาวสุ่ย ก็จริงที่ด้วยพลังของข้าตอนนี้หากมีพลังของพวกท่านช่วยก็น่าจะฆ่ามันได้ไม่ยาก…แต่ไม่ใช่ว่าทำแบบนั้นจะทำให้เรื่องพวกท่านถูกเปิดเผยหรือไร? และหากข้าไม่พึ่งพลังพวกท่าน ข้าจะฆ่ามันใน 3 ปีได้ยังไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนเผยความกังวลออกมา


 


“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว “แต่นั่นมันก่อนที่เจ้าจะใช้พฤกษาเทพกำเนิดชีพดูดซับสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว…เพราะตอนนี้เรียกว่าเจ้าได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่จะใช้สร้างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวมาแล้ว”


 


“เวลา 3 ปีนั้น มากพอให้เจ้าหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวให้กลายเป็นร่างอวตารกฏ…และหากเจ้าทำสำเร็จ ถึงตอนนั้นเจ้าก็สามารถเรียกใช้ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวได้!”


 


“ในฟ้าดินแห่งนี้มีวิธีการมากมายที่ใช้หลอมสร้างร่างอวตารกฏ…อีกทั้งแต่ละวิธียังไม่อาจลอกเลียนได้”


 


“ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่าพลังที่เจ้ามี จะทำให้คนอื่นอิจฉาจนคิดแย่งชิง…”




WSSTH ตอนที่ 3,283 : ไปวิหารเฟิงฮ่าว


 


 


“ร่างอวตารกฏ?”


 


ต้วนหลิงเทียน่คิ้วเบาๆ “มันคืออะไรหรือพี่สาวสุ่ย?”


 


“เรื่องนี้ข้าอธิบายไปเจ้าก็คงไม่กระจ่างชัด พอเจ้าหลอมสารัตถะของต้นไมเทพสนหลิวที่พฤกษาเทพกำเนิดชีพดูดกลืนมาแล้วเสร็จ ไว้เจ้าสามารถควบแน่นร่างอวตารกฏที่ว่าได้ เจ้าก็จะเข้าใจทั้งหมดเอง”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว


 


“แล้วการหลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิวที่พฤกษาเทพกำเนิดชีพดูดซับมามันใช้เวลานานหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกครั้ง


 


“กล่าวไปการหลอมมันตามปกติ ต่อให้ทุ่มพลังขัดเกลามันทั้งวันทั้งคืนไม่กินไม่นอนก็คงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี…แต่แน่นอนว่าข้ามีสถานที่ๆจะช่วยให้เจ้าหลอมมันได้สำเร็จภายในเวลาราวๆ 1 ปี”


 


ววารีเทพชำระโลกาตอบ


 


“ที่ไหนหรือ?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเปล่งแสงวาบหนึ่ง ตอนนี้เหลือเวลาแค่ 3 ปีเท่านั้นก่อนที่เขาจะเข่นฆ่ากับหานอวิ๋นจิ่น ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลอมสร้างร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวได้ทันหากใช้วิธีปกติ


 


“วิหารเฟิงฮ่าว”


 


วารีเทพชำระโลกาตอบ


 


ทันทีที่นางกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็อดแปลกใจไม่ได้


 


และตอนนี้ความคิดเขาคล้ายจะนึกย้อนไปยังช่วงแรกๆที่ขึ้นมายังระนาบเทวโลก สมัยยังอยู่ในนิกายอมตะไท่อีที่ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ในชายแดนรอบนอกของแดนสวรรค์ใต้ หลิงหลัวเทียน


 


ที่นั่นเป็นที่ๆเขาได้รับทราบข้อมูลเรื่องวิหารเฟิงฮ่าวเป็นครั้งแรกจากซือถูหมิง และรู้ว่าหากจอมราชันอมตะกับจักรพรรดิอมตะต้องการสมญานามอย่างเป็นทางการ ก็จำต้องไปยังวิหารเฟิงฮ่าว เพื่อทำการทดสอบรับสมญานาม


 


ยกตัวอย่างนิกายกระบี่หมื่นหายนะ แม้พลังฝีมือของจักรพรรดิอมตะบางคนที่นั่นจะพอๆกับจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว แต่ในเมื่อไม่ได้ไปรับสมญานามที่วิหารเฟิงฮ่าว เช่นนั้นจึงไม่ได้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามอย่างเป็นทางการ


 


“จอมราชันอมตะที่มีสมญานามนั้น มิใช่อะไรที่จอมราชันอมตะไร้สมญานามจะเทียบได้…”


 


“นั่นเพราะหากจอมราชันอมตะคนใด ต้องการที่จะกลายเป็นจอมราชันอมตะที่มีสมญานาม จักต้องไปยังวิหารเฟิงฮ่าวอันเป็นขุมกำลังที่ลึกลับและน่าพรั่นพรึงที่สุดในระนาบเทวโลกทั้งมวล และผ่านบททดสอบเป็นตายกับจอมราชันอมตะอีก 9 คนที่ต้องการสมญานามเช่นกันเสียก่อน…กว่าจะได้เป็นจอมราชันอมตะที่มีสมญานาม”


 


“กล่าวได้ว่าในบรรดาจอมราชันอมตะ 10 คน จักต้องเข่นฆ่ากันจนเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย! จากนั้นวิหารเฟิงฮ่าวจึงจักมอบสมญานามให้แก่จอมราชันอมตะผู้ที่เหลือรอด!!”


 


“อีกทั้งนามของจอมราชันอมตะผู้นั้นจักถูกวิหารเฟิงฮ่าวบันทึกไว้ในรายนาม ‘สมญานามจอมราชันอมตะ’ และจะประกาศให้รู้กันไปทั่วระนาบเทวโลก”


 


“การที่จะโดดเด่นกว่าใครในบรรดาจอมราชันอมตะ 10 คนนั้นมิใช่เรื่องง่าย สิ่งนี้มิใช่อะไรที่จอมราชันอมตะทั่วๆไปจักสามารถกระทำได้…เช่นนั้นแล้วจึงกล่าวได้เลยว่า มิว่าจักเป็นจอมราชันอมตะที่มีสมญานามคนใด ล้วนแล้วแต่เป็นจอมราชันอมตะชนชั้นยอดฝีมืออันร้ายกาจทั้งสิ้น!!”


 



 


ข้างต้นเป็นคำพูดที่ซือถูหมิงกล่าวอธิบายเรื่องวิหารเฟิงฮ่าวให้เขาฟัง


(จากตอน 2823)


 


ในวันนั้นเขาจึงได้รู้ว่าในระนาบเทวโลกทั้งมวล ยังมีขุมกำลังหนึ่งที่ทรงพลังเหนือกว่าพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ใดๆ…


 


วิหารเฟิงฮ่าว!


 


“วิหารเฟิงฮ่าว เป็นดั่งขุมกำลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังอำนาจและน่าหวาดกลัวที่สุดในระนาบเทวโลกทั้งมวล หากแต่เป็นขุมกำลังที่ไม่เคยเข้าร่วมข้อพิพาทใดๆ ทว่าความแข็งแกร่งของขุมกำลังนี้…คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาขุมกำลังระดับแนวหน้า!”


 


“ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลก เคยมีขุมกำลังที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของระนาบเทวโลกคิดท้าทายพลังอำนาจของวิหารเฟิงฮ่าวอยู่บ้าง พวกมันคิดจะทำลายตำนานที่เล่าขานกันมาอย่างยาวนานของวิหารเฟิงฮ่าวเพื่อสร้างชื่อลือชา…แต่สุดท้าย ไร้ซึ่งข้อยกเว้นใดๆ ขุมกำลังที่คิดลองดีเหล่านั้นล้วนพินาศสิ้น! ถูกกำจัดให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานของระนาบเทวโลก…”


 


“วิหารเฟิงฮ่าวนั้น เป็นขุมกำลังที่ทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลกรู้จักกันดี แถมแต่ละระนาบเทวโลกก็จักมีสาขาของวิหารเฟิงฮ่าวประจำการอยู่…ไม่ว่าต้องการเป็นจอมราชันอมตะที่มีสมญานาม หรือกระทั่งจักรพรรดิอมตะที่มีสมญานาม ก็สามารถไปเข้าร่วมบททดสอบความเป็นตายของวิหารเฟิงฮ่าว จวบจนได้รับการยอมรับจากวิหารเฟิงฮ่าวได้ทุกแห่ง…”


 



 


นอกจากนั้น ตอนที่อยู่ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ในอดีต ต้วนหลิงเทียนยังได้รับทราบอีกว่า…


 


เคยมีจักรพรรดิสวรรค์ไม่น้อยกว่า 10 คนที่เคยลองดีด้วยการท้าทายอำนาจของวิหารเฟิงฮ่าว…แต่ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีข้อยกเว้น…ทั้งหมดถูกฆ่าทิ้งไม่มีใครรอด!


 


ที่สำคัญ วิหารเฟิงฮ่าวดำรงอยู่มาเนิ่นนานตั้งแต่สมัยสถาปนาระนาบเทวโลกเลยก็ว่าได้


 


เช่นนั้นทุกคนจึงรู้กันดีเรื่องหนึ่ง…วิหารเฟิงฮ่าวเป็นขุมกำลังที่สืบทอดมรดกต่อกันมายาวนานที่สุดของระนาบเทวโลก! ยอดฝีมือในวิหารเฟิงฮ่าวมีมากมายดั่งหมู่เมฆ และยังมียอดฝีมือที่ทรงพลังเหนือกว่าจักรพรรดิสวรรค์เสียอีก!!


 


“พี่สาวสุ่ย…เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา หรือว่าวิหารเฟิงฮ่าวนั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้แข็งแกร่งที่สุด?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


เขาเองก็จำได้ว่าเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับ รวมถึงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็เคยพูดถึงเรื่องนี้กับเขา และบอกว่าวิหารเฟิงฮ่าวนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้แข็งแกร่งที่สุด


 


“มีส่วนเกี่ยวข้องกันจริงๆ”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว “ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่การเกี่ยวข้องกันธรรมดา แต่วิหารเฟิงฮ่าวคือขุมกำลังที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้สร้างขึ้น”


 


“ว่าแล้วเชียว…”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยถามต่อว่า “พี่สาวสุ่ย แล้ววิหารเฟิงฮ่าวจะช่วยให้ข้าหลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิวและควบสร้างร่างอวตารกฏภายใน 1 ปีได้อย่างไร?


 


“เรื่องนี้ เจ้าเพียงไปเข้าร่วมการทดสอบรับสมญานามของจอมราชันอมตะ ก็พอ”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว “ในวิหารเฟิงฮ่าว กว่าเจ้าจะกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานาม เจ้าต้องแข่งขันกับจอมราชันอมตะอีก 9 คนในแดนลับ…ในแดนลับที่ว่ามีบททดสอบมากมาย และบททดสอบบางจุด จะมีแรงกดดันพลังที่แฝงเจตจำนงของผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่”


 


“ในสถานที่ดังกล่าว ความเร็วในการหลอมต้นไม้เทพสนหลิวเพื่อเป็นร่างอวตารกฏจะรวดเร็วขึ้นอย่างมาก”


 


ฟังจากคำพูดของวารีเทพชำระโลกาแล้ว เห็นชัดว่าอีกฝ่ายมีความคุ้นเคยกับวิหารเฟิงฮ่าวไม่น้อย


 


สำหรับเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่แปลกใจอะไร เพราะความเป็นมาของวารีเทพชำระโลกาในร่างเขานั้น น่ากลัวว่าจะดำรงอยู่มาเนิ่นนานอย่างยิ่งยวด อีกทั้งยังอยู่กับตัวตนที่กำลังจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดโดยอาศัยพฤกษาเทพกำเนิดชีพเป็นคนแรกท่ามกลางสวรรค์และโลก! เช่นนั้นไม่ทราบผ่านอะไรมากี่มากน้อย และรู้เรื่องราวเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่!!


 


“ด้วยพลังของเจ้าตอนนี้คิดจะผ่านการทดสอบได้รับสมญานามจากวิหารเฟิงฮ่าว มันเป็นเรื่องง่ายดายนัก…อย่างไรก็ตามการไปวิหารเฟิงฮ่าวนั้น เรื่องรับสมญานามเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือการหลอมสร้างร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวให้แล้วเสร็จในเวลา 1 ปี…”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว


 


“เข้าใจแล้วพี่สาวสุ่ย”


 


ต้วนหลิงเทียนขานรับ


 


ขณะที่คุยกับวารีเทพชำระโลกาภายในร่างไปได้สักพัก ฮ่วนเอ๋อก็ตื่นจากสมาธิ จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ชักชวนฮ่วนเอ๋อไปหาจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง ที่เป็นครูคนใหม่ของเขา


 


“ครู ข้าอยากไปวิหารเฟิงฮ่าว”


 


ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับฉือหล่างอย่างตรงไปตรงมา


 


“หืม? เจ้าอยากได้สมญานามรึ?”


 


ฉือหล่างเอ่ยถาม


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ถึงแม้เขาจะไม่ได้ตั้งเป้าไว้ที่การรับสมญานาม แต่ไปหลอมอวตารกฏต้ไม้เทพสนหลิวก็ตามที ทว่าเรื่องรู้พูดออกมาได้ง่ายๆหรือ?


 


แค่บอกว่าไปรับสมญานามก็จบ ไม่มีใครสงสัย


 


“อันที่จริงด้วยระดับพลังของเจ้าตอนนี้ การไปรับสมญานามก็เหมือนไปรังแกผู้อื่นเขา..อีกทั้งเป็นจอมราชันอมตะสมญานามไป อย่างดีก็มีหน้ามีตาในดินแดนยิบย่อยเท่านั้น สำหรับที่นี่ไม่ได้มีความหมายอันใดเลย…”


 


ฟังจากคำพูดของฉือหล่างแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เห็นดีเห็นงามสักเท่าไหร่ ที่ต้วนหลิงเทียนจะไปรับสมญานามที่วิหารเฟิงฮ่าวในช่วงเวลาแบบนี้ “ที่สำคัญการทดสอบรับสมญานามของวิหารเฟิงฮ่าวอย่างเร็วก็ต้องใช้เวลาครึ่งปี หากนานหน่อยไม่ทั้งปีก็อาจลากยาวไปถึง 2 ปี…นั่นยังมิใช่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์หรือไร”


 


“จะดีเสียกว่าหากเจ้าทุ่มเทเวลาไปกับการบ่มเพาะเพิ่มพูนพลัง เพื่อเตรียมการรับมือหานอวิ๋นจิ่นในอีก 3 ปีหลังจากนี้”


 


ฉือหล่างกล่าว


 


“ครู ขอบอกท่านตามตรง ข้าไม่ได้กลัวอะไรเจ้าหานอวิ๋นจิ่นนั่นเลย กระทั่งต่อให้ต้องสู้กับมันตอนนี้ ข้าก็มั่นใจว่าจะฆ่ามันได้…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงสีหน้าสบายๆพลางยักไหล่อย่างไม่อีนังขังขอบ เพราะเขารู้ดีแก่ใจ ว่าตอนนี้มีเพียงแต่ต้องทำตัวสบายๆ แลดูมั่นใจในฝีมือตัวเองออกไปให้มาก เพื่อให้ฉือหล่างมั่นใจว่าเขาไม่ได้กังวลเรื่องหานอวิ๋นจิ่นเลยจริงๆ ถึงขั้นคิดจะไปเล่นที่วิหารเฟิงฮ่าวได้…


 


หาไม่แล้วฉือหล่างอาจสงสัยเอาได้ ว่าเขาไปวิหารเฟิงฮ่าวโดยมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง!


 


“โอ!?”


 


แน่นอนว่าฉือหล่างย่อมรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เมื่อได้ยินวาจามั่นอกมั่นใจถึงขนาดนี้ของต้วนหลิงเทียน


 


“ครู หรือไม่ท่านบอกข้าก็ได้ ว่าวิหารเฟิงฮ่าวอยู่ที่ใด ข้าอยากไปเที่ยวดู”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“เอาล่ะๆ ในเมื่อเจ้าอยากไป ข้าจะพาเจ้าไปเอง”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนตัดสินใจแล้ว ฉือหล่างก็ไม่คิดจะเซ้าซี้อะไรให้มากความ จึงกล่าวว่าจะพาต้วนหลิงเทียนไปวิหารเฟิงฮ่าวออกมาตรงๆ


 


“ไหนๆก็จะไปแล้ว ข้าจะลองถามพวกศิษย์พี่ของเจ้าดูหน่อยว่ามีใครสนใจไปเล่นด้วยไหม…หากมีใครสนใจจะได้ไปพร้อมๆกัน”


 


ขณะกล่าวฉือหล่างก็สะบัดมือส่งข้อความออกไปทันที


 


แน่นอนว่ายันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณที่บดขยี้นั้น ไม่มีแผ่นใดใช้ลูกแก้ววิญญาณของ หลู่จี้ ศิษย์พี่รองต้วนหลิงเทียนเป็นสื่อเลย มีแค่หูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อ โอวหยางฉีเฟย และหงเฟยเท่านั้น


 


เนื่องเพราะในบรรดาศิษย์ทั้ง 7 ของฉือหล่าง มีแค่ 4 คนนี้กับต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่ยังเป็นจอมราชันอมตะ


 


“เล่น?”


 


ได้ยินคำพูดของฉื่อหลาง มุมปากต้วนหลิงเทียนอดกระตุกไปไม่ได้ ฐานะจอมราชันอมตะสมญานามเป็นเพียงการละเล่นสำหรับฉือหลาง?


 


แต่เขาก็รู้ดีว่าฉือหล่างจะกล่าวเช่นนี้ก็ไม่แปลก เพราไม่ว่าจะศิษย์พี่คนไหนของเขา ก็แข็งแกร่งพอจะได้รับสมญานามทั้งสิ้น…


 


“หงเฟย ศิษย์พี่ 6 ของเจ้าไม่ตอบ เจ้าอ้วนนั่นมิแคล้วกำลังตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังอยู่แน่นอน! ดูเหมือนเจ้าจะสร้างแรงกดดันให้เจ้าอ้วนนั่นไม่เบาทีเดียว”


 


ฉือหล่าส่ายหัวไปมาพร้อมหัวเราะขบขัน


 


“เจ้า 5 เองก็เงียบไม่ตอบ…”


 


ฉือหล่างกลาวสืบต่อ “ทว่าเจ้า 3 กับเจ้า 4 แจ้งข้ามาแล้วว่าพวกนางจะไปกับพวกเราด้วย”


 


เสียงของฉือหล่างดังไม่ทัจบคำดี เงาร่างบางหน้าตาหมดจด 2 ร่างก็เหินมาถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนพอดี เป็นสตรีในชุดสีแดงสดรูปร่างกริยายมากเสน่ห์ กับสตรีที่แลดูอ่อนโยนสง่างามปานหยกประหนึ่งลูกคุณหนูจ๋า…


 


เป็นศิษย์พี่หญิง 3 หูเหมย กับศิษย์พี่หญิง 4 เวิ่นหว่านเอ๋อ


 


“ศิษย์น้องเล็ก ได้ยินอาจารย์บอกว่าเจ้าคิดไปเที่ยวเล่นที่วิหารเฟิงฮ่าวหรือ? พอดีศิษย์พี่หญิง 3 กับศิษย์พี่หญิง 4 ของเจ้าก็ไม่เคยไปรับตำแหน่งจอมราชันอมตะสมญานามเช่นกัน เช่นนั้นพวกเราจะไปเล่นกับเจ้าด้วย”


 


หูเหมยมองต้วนหลิงเทียนอย่างเล่นหูเล่นตา กล่าวออกด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน


 


“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์น้องฮ่วนเอ๋อ”


 


เวิ่นหว่านเอ่อทักทายต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก่อนใดอื่น


 


“มีศิษย์พี่หญิง 3 กับศิษย์พี่หญิง 4 ไปด้วย การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่น่าเบื่อแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเบาๆ


 


“น้องสาวฮ่วนเอ๋อ ด้วยพลังของเจ้า คิดจะรับสมญานามก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย…เจ้าก็เล่นเอาฉายาด้วยสิ”


 


หูเหมยกล่าวแนะนำฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน


 


“อือ”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวตอบเสียงเบา กับหูเหมยนั้นนางรู้สึกระแวงอยู่ตลอดเวลา


 


“วิหารเฟิงฮ่าวอยู่ห่างจากวังเทียนฉือเราไม่เบา…อย่างไรเสียมีข้าพาพวกเจ้าไป อย่างดีก็เสียเวลาแค่ 2 วันเท่านั้น”


 


พอเสียงฉือหล่างกล่าวจบคำ แสงกระบี่พลันอุบัติขึ้นจากความว่างเปล่า จากนั้นไร้สภาพสู่มีสภาพ ให้ต้วนหลิงเทียนกับทุกคนขึ้นไปยืนได้ไม่แออัด เมื่อทุกคนยืนกันดีแล้วกระบี่เล่มเขื่องก็พุ่งทะยานออกไปทันที


 


ฟั่ฟฟฟฟ!!!


 


กระบี่พลังมีสภาพเล่มเขื่องทะลวงแหวกฟ้าฉับไว พริบตาก็อยู่ห่างจากวิหารเฟิงฮ่าวนับร้อยพันลี้


 


ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็มองที่ทางรอบๆดู จึงพบว่าไม่อาจแลเห็นทิวทัศน์อันใด ทุกสิ่งอย่างมันพร่าเลือนไปหมด นับว่ากระบี่บินเล่มเขื่องนี้กำลังเดินทางด้วยความเร็วสูง จนเขาเองก็ไม่อาจมองเห็นได้ชัด


 


‘เร็วจริงๆ’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


อย่างไรก็ตามแม้กระบี่จะเหินบินด้วยความเร็วสูงล้ำ แต่ร่างต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆที่ยืนอยู่บนกระบี่เล่มนี้ ก็ไม่โดนลมตีปะทะอะไร เนื่องเพราะถูกพลังไร้สภาพของฉือหล่างปิดกั้นได้อย่างหมดจด ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อพวกต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)