War sovereign Soaring The Heavens 3264-3271
ตอนที่ 3,264 : เหล่าศิษย์ของเหลยอิง
หลังออกจากสถานที่พักอาศัยและบ่มเพาะของฉือหล่าง ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเหินร่างมายัง 1 ใน 3 ยอดเขาที่ยังว่างอยู่
ทุกสิ่งที่นี่ไม่ว่าจะอาคารปลูกสร้างหรือการตกแต่งนั้น มันเหมือนกับที่ยอดเขาของฉือหล่างแทบทุกประการ เพียงแค่ที่นี่เต็มไปด้วยฝุ่นจับหนาเตอะเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม กับอีแค่ฝุ่นย่อมไม่นับเป็นอะไรสำหรับต้วนหลิงเทียน
เพียงสะบัดมือเบาๆคราหนึ่ง ทั่วทั้งยอดเขาก็คล้ายจะถูกพายุใต้ฝุ่นพัดผ่าน ฝุ่นละอองใดๆที่เกาะตัวหนาล้วนถูกจัดการเรียบร้อย พริบตาที่ทางก็กลับมาแลดูสะอาดสะอ้าน ใหม่เหมือนพึ่งสร้างก็ว่า
“พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อไม่คิดเลยว่าศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือจะมีความสามารถและความเข้าใจร้ายกาจมาก…ไม่เพียงจะมีแม้แต่จักรพรรดิอมตะอายุไม่ถึงพันปี แต่ยังมีเกือบสิบคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ครบทุกประการแล้ว…”
เมื่อครู่แม้ฮ่วนเอ๋อจะไม่ได้มีส่วนร่วมในวงสนทนาระหว่างต้วนหลิงเทียนกับศิษย์พี่ทั้งหลาย แต่นางก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดชัดเจน
“ฮ่วนเอ๋อ เจ้าต้องมองแบบนี้…วังเทียนฉือจะอย่างไรก็คือขุมกำลังระดับสวรรค์ และขุมกำลังระดับสวรรค์…ไม่ว่าจะในแดนสวรรค์หรือระนาบเทวโลกไหน ก็มีอยู่ไม่มากนัก”
หลังได้ยินคำพูดของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็ชักสีหน้าเคร่งขรึมกล่าวตอบขณะเดินนำฮ่วนเอ๋อเข้าไปในอาคาร “ขุมกำลังของจักรพรรดิสวรรค์ ถึงแม้ว่าฟังแล้วจะเหนือกว่าขุมกำลังระดับสวรรค์ แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะมีตัวตนเฉกเช่นจักรพรรดิสวรรค์ดำรงอยู่ กล่าวได้ว่าศิษย์อัจฉริยะของขุมกำลังสวรรค์ใดๆ…ก็ไม่ใช่ว่าจะอ่อนด้อยไปกว่าศิษย์อัจฉริยะของขุมกำลังจักรพรรดิสวรรค์”
“เช่นนั้นให้พูดว่าเหล่าศิษย์อัจฉริยะของขุมกำลังระดับสวรรค์ ก็คือสุดอดอัจฉริยะของระนาบเทวโลกนั้นๆก็ไม่ผิด พวกมันเป็นตัวตนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ของระนาบเทวโลกแล้วจริงๆ!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“เจ้าลองคิดดู…ศิษย์อัจฉริยะในวังเทียนฉือมีเพียง 100 คนเท่านั้น กล่าวได้ว่าแต่ละช่วงอายุร้อยปีล้วนมีศิษย์อัจฉริยะอยู่ด้วยกันแค่ 10 คน เช่นนั้นศิษย์อัจฉริยะอายุไม่ถึงพันจึงมีทั้งสิ้น 100 คน…”
ต้วนหลิงเทียนพูดออกมาอีกครั้ง “ก็เลยไม่แปลกอะไรที่จะปรากฏผู้ที่สามารถบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะก่อนมีอายุถึงพันปี และมีกระทั่งผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่”
หลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อที่คิดตามอยู่ครู่หนึ่งค่อยพยักหน้า เห็นว่าคำพูดของต้วนหลิงเทียนมีเหตุผล
“ฮ่วนเอ๋อ แม้เจ้าจะเข้าร่วมกับจักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง แต่เจ้าสามารถมาอยู่กับข้าเพื่อฝึกปรือได้…ข้าเชื่อว่าจักรพรรดิอมตะเหลยอิงก็ไม่มีทางว่าอะไรแน่นอน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกฮ่วนเอ๋อ
เขารู้ดีแก่ใจ ว่าเหตุผลเดียวที่เหลยอิงอยากได้ตัวเขากับฮ่วนเอ๋อมาอยู่ใต้อาณัติ ทั้งหมดเป็นเพราะพรสวรรค์และความเข้าใจของเขาและฮ่วนเอ๋อมันสูงพอจะกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะได้
ฮ่วนเอ๋อจะอยู่บ่มเพาะกับเขาที่นี่ หรือจะกลับไปบ่มเพาะในสถานที่ของเหลยอิง ก็ไม่มีความแตกต่างอะไรกัน
เรื่องเหลยอิงกลัวฮ่วนเอ๋อจะทรยศนั้น ตัดทิ้งไปได้เลย
ในเมื่อฮ่วนเอ๋อเลือกจะเข้าร่วมกับนางด้วยตัวเองแต่แรก หากคิดจะทรยศสู้ไม่เข้าแต่แรกไม่ดีกว่า? แค่นี้ก็เสมือนฮ่วนเอ๋อให้หน้าเหลยอิงมากแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ฝึกปรือมาจนมีด่านพลังอย่างเหลยอิง นางย่อมไม่ได้สนใจเรื่องควบคุมคนที่อยู่ใต้อาณัติอะไรมากมาย
ไม่ว่าฮ่วนเอ๋อจะอยู่ที่ไหน ตราบใดที่ฮ่วนเอ๋อสร้างผลงานได้ดี ก็เสมือนทำให้นางได้หน้า เท่านี้นางก็สามารถนำไปข่มจักรพรรดิอมตะสมญานามผู้อื่นได้แล้ว กล่าวได้ว่า ‘หน้า’ คือสิ่งที่นางต้องการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
จักรพรรดิอมตะสมญานาม ยังจะต้องการอะไรอื่นจากฮ่วนเอ๋ออีก? ต้องถามว่าฮ่วนเอ๋อจะไปช่วยอะไรนางได้นอกจากเรื่องนี้?!
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อไปยังตำหนักของกระบี่
เมื่อวานฉือหล่างก็ได้พาเขากับฮ่วนเอ๋อไปลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขากับฮ่วนเอ๋อจึงถือว่าเป็นศิษย์ของวังเทียนฉือเต็มตัว ที่เอวห้อยแขวนป้ายบอกฐานะศิษย์วังเทียนฉือเอาไว้เรียบร้อย นอกจากสถานที่จำเพาะและเขตหวงห้ามบางแห่ง พวกเขาก็สามารถไปได้หมด
“อาวุโสพวกเรามาเพื่อท้าทายชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะ”
พอต้วนหลิงเทียนพึ่งพาฮ่วนเอ๋อมาถึงหน้าตำหนักลองกระบี่ ก็พอดีกับเห็นชายชราซึ่งเป็น 1 ใน 10 ผู้อาวุโสที่อยู่ในจัตุรัสทดสอบเมื่อวาน จึงกล่าวทักออกไปทันที
“เจ้าคือฮ่วนเอ๋อนี่นา…”
อาวุโสของตำหนักลองกระบี่ไม่ได้สนใจอะไรต้วนหลิงเทียน เพียงยิ้มกล่าวทักทายกับฮ่วนเอ๋อก่อน ค่อยกล่าวว่า “ศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปีก็มีทั้งสิ้น 10 คน…หากคิดจะท้าทายชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะ ก็สามารถท้าทายได้แต่ผู้ที่อยู่ในอันดับที่ 10 เท่านั้น”
“และภายใน 3 เดือนหลังจากยื่นคำท้าทายไปแล้ว หากศิษย์อัจฉริยะผู้นั้นไม่ตอบสนอง ผู้ท้าชิงก็สามารถแทนที่อีกฝ่ายได้ทันที และชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะไปครอง”
“เมื่อกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะแล้ว ก็สามารถท้าทายศิษย์อัจฉริยะอีก 9 คนที่มีอันดับสูงกว่าได้”
ชายชราผู้เป็นอาวุโสของตำหนักลองกระบี่ค่อยยๆอธิบายอย่างอดทน
เห็นได้ชัดว่ามันไม่กล้าละเลยฮ่วนเอ๋อ ศิษย์ใหม่ของวังเทียนฉือที่กลายเป็นศิษย์ของเหลยอิง! เพราะท้ายที่สุดแล้วเหลยยอิงก็คือจ้าวตำหนักลองกระบี่ หัวหน้าของพวกมัน!
“หากไม่รับคำท้าหรือออกมาสู้…ก็จะถูกผู้ท้าชิงแทนที่ทันที?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“ใช่”
อาวุโสของตำหนักลองกระบี่กล่าว “หากไม่ตอบรับคำท้านานเกินไป ก็ไม่ต่างอะไรจากหลบหนี…ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด หากคิดจะชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะกลับมาอีกครั้ง ก็มีแต่ต้องเริ่มท้าสู้ใหม่”
ฟังสิ่งที่ชายชรากล่าวออกมา ต้วนหลิงเทียนก็พอจะเข้าใจกฏพื้นฐานของการท้าชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะแล้ว
“ข้าขอท้าชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปี”
ต้วนหลิงเทียมองอาวุโสตำหนักลองกระบี่ชรา พลางกล่าวจุดประสงค์การมาออกไป
“ส่งป้ายประจำตัวของเจ้าทั้งลูกแก้ววิญญาณมาให้ข้าเสีย ข้าจักนำไปลงทะเบียนให้เจ้า ร่วมถึงส่งคำท้าไปยังศิษย์อัจฉริยะที่เจ้าท้าทาย…และหากมันรับคำท้าแล้ว ข้าจักแจ้งวันเวลารวมถึงสถานที่ให้เจ้าทราบ”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่กล่าววถึงจุดนี้ ก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนพลางเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผู้ท้าชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะไม่อาจปิดด่านบ่มเพาะ หรือแม้แต่ออกจากวังเทียนฉือเป็นเวลา 3 เดือน…เจ้าแน่ใจแล้วหรือไม่?”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ไปได้ รอการติดต่อ”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่รับป้ายประจำตัวพลางกล่าวตอบต้วนหลิงเทียนห้วนๆตามหน้าที่จบ ก็หันไปมองฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้มกล่าวถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ “แม่นางฮ่วนเอ๋อ ท่านเองก็ต้องการท้าทายศิษย์อัจฉริยะเพื่อชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะด้วยหรือ?”
“อืม”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้า
“หากมีการท้าทางชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุเดียวกันพร้อมๆกัน…เช่นนั้นศิษย์อัจฉริยะ 2 อันดับล่างสุดจะถูกท้าทาย”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่กล่าวแจ้งรายละเอียด ก่อนจะขอป้ายประจำตัวศิษย์ของฮ่วนเอ๋อรวมถึงลูกแก้ววิญญาณของนางเพื่อนำมาลงทะเบียน
“แม่นางฮ่วนเอ๋อ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านไปพักผ่อนตามอัธยาศัยเถอะ ทางเราจักติดต่อไปเมื่อถึงเวลา”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่หลังไปจัดการเรื่องลงทะเบียนท้าชิงศิษย์อัจฉริยะให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อแล้ว มันก็นำป้ายประจำตัวมามอบคืนให้กับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อ หลังกล่าวลาฮ่วนเอ๋อ มันก็กลับไปทำงานของมันต่อ
“ฮ่วนเอ๋อ ดูเหมือนเจ้าจะมีหน้ามีตาในตำหนักลองกระบี่มากกว่าข้าหลายขุมเลย…”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้ม “ดูเหมือนการให้เจ้าเข้าร่วมตำหนักลองกระบี่ก็สะดวกสบายไม่น้อย…อย่างน้อยเวลาทำเรื่องอะไรที่นี่ก็มีคนจัดการให้อย่างดี ดูสิพวกเราไม่ต้องเข้าไปเดินเรื่องเองด้วยซ้ำ”
หลังอาวุโสตำหนักลองกระบี่จากไป และต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ็อก็กำลังจะไปหาที่พักเพื่อรอเวลา ทว่าจ้าวตำหนักลองกระบี่ เหลยอิง กลับปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน
“อาวุโสเหลย”
ต้วนหลิงเทียนป้องมือประสานกล่าวคำทักทายด้วยท่าทางไม่ถือดีไม่นอบน้อม ทว่าด้านฮ่วนเอ่อเพียงแค่พยักหน้าให้เหลยอิงเงียบๆ
ตั้งแต่ตอนที่ทดสอบรับศิษย์เมื่อวาน เหลยอิงก็เห็นแล้วว่าฮ่วนเอ๋อค่อนข้างเฉยเมยกับผู้อื่น เช่นนั้นพอเห็นท่าทางดังกล่าวของฮ่วนเอ๋อ เหลยอิงก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไร
“ฮ่วนเอ๋อ ข้าจะพาเจ้าไปชมดูสถานที่พักบ่มเพาะของข้ากับเหล่าศิษย์”
เหลยอิงกล่าวทักฮ่วนเอ๋อด้วรอยยิ้ม จากนั้นก็เหินร่างนำต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไปยังสถานที่บ่มเพาะของนาง
ไม่นานนักทั้ง 3 หุบเขาอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยอาคารปลูกสร้างมากมาย อย่างไรก็ตามกลับไม่เห็นมีผู้ใดเหินบินไปมาในหุบเขาเลย
“ผู้คนที่เจ้าเห็นอยู่เบื้องหน้า ล้วนเป็นครอบครัวรวมถึงสหายของเหล่าศิษย์อัจฉริยะข้าเอง…และข้าก็มีศิษย์อัจฉริยะอยู่ด้วยกันทังสิ้น 5 คน แน่นอนว่ารวมถึงเจ้าแล้ว”
เหลยอิงบอกให้ฮ่วนเอ๋อฟัง
หลังจากนั้นไม่นานนัก เหลยอิงก็นำพาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อผ่านหุบเขากว้างใหญ่ หลังขึ้นเขาไปสักพักในที่สุดก็มาถึงบริเวณยอดเขา ที่ทางแถวนี้ถูกปูด้วยศิลาแกร่งอย่างดี และมองไปเบื้องหน้าก็พบวังอันวิจิตรตั้งตระหง่านอยู่
“ในด่านข้า ลำดับศิษย์อัจฉริยะล้วนถูกจัดตามพลังฝีมือ…ฮ่วนเอ๋อในเมื่อเจ้าพึ่งมาจึงยังรั้งอยู่อันดับที่ 5 เจ้าต้องเรียกหาศิษย์อัจฉริยะอีก 4 คนที่เหลือว่าศิษย์พี่ แต่หากฮ่วนเอ๋อได้อันดับสูงกว่าเมื่อไหร่ คิดจะเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไร”
เหลยอิงกล่าวออกมาอีกรอบ
ไม่นานนักหลังเหลยอิงส่งข้อความไป ร่าง 4 ร่าง อันมีร่างหนึ่งเหินนำมาโดยมี 3 คนติดตามด้านหลัง ก็ลุถึงสถานที่พักบ่มเพาะของเหลยอิง ทั้งหมดก้าวอาดๆเข้ามาในโถงหลักของวังอันวิจิตรตระการตา ที่เหลยอิงนำต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมานั่งรอ
ร่างทั้ง 4 ที่พึ่งมาถึงก็เป็นชาย 3 คนหญิง 1 คน
“อาจารย์”
เมื่อทั้ง 4 มาถึง ก็พากันทำความเคารพเหลยอิงอย่างมากมารยาทก่อนใดอื่น บรรยากาศในห้องโถงวังหลังนี้ค่อนข้างจริงจังเคร่งครัด ผิดกับบรรยากาศสบายๆเหลวไหลในโถงรับรองของที่พักฉือหล่างคนละโลก…
“ฮ่วนเอ๋อ นี่คือศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า ซีเหมินหลิงเจี๋ย”
เหลยอิงมองไปยังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แลดูกระฉับกระเฉงแข็งแรงในชุดคลุมสีแดง พลางกล่าวแนะนำให้ฮ่วนเอ๋อรู้จัก
ซีเหมินหลิงเจี๋ยนั้นเดิมทีก็เป็นชายหนุ่มร่างใหญ่ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง อย่างไรก็ตามพอเหลยอิงแนะนำชื่อมันให้ฮ่วนเอ๋อรู้จัก จนสายตามันหันไปตกลงบนร่างฮ่วนเอ่อ ใบหน้าจริงจังของมันก็กลายเป็นอื้ออึงทันที
ตอนนี้ถึงแม้ฮ่วนเอ๋อจะใส่ผ้าปิดหน้า แต่ก็ไม่อาจปกปิดรูปโฉมอันงดามของนางได้หมด
“ส่วนนี่คือศิษย์พี่รองของเจ้า เหลยจวิ้น”
เหลยอิงหันไปมองกล่าวแนะนำชายหนุ่มอีกคนให้ฮ่วนเอ๋อรู้จัก และชายหนุ่มคนนี้ก็มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงเหลยอิงอยู่บ้าง มันมาในชุดคลุมขนสัตว์หรูหราสีเทา หน้าตาแลดูซื่อสัตย์เที่ยงธรรม “เหลยจวิ้นไม่เพียงแต่อยู่ในด่านข้าเท่านั้น แต่ยังเป็นลูกชายคนเดียวของข้าด้วย”
“ยินดีที่ได้พบ ศิษย์น้องเล็ก…”
เหลยจวิ้นส่งยิ้มให้ฮ่วนเอ๋อ รอยยิ้มของมันดูอบอุ่นทั้งจริงใจนัก
“ส่วนนี่คือศิษย์พี่หญิง 3 ของเจ้า หลิงหูหยวน”
เหล่ยอิงหันไปมองสตรีเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาคนทั้ง 4 พลางกล่าวแนะนำออกมา สตรีนางนี้มาในชุดกระโปรงสีฟ้าหน้าตาแลดูธรรมดาๆ พอนางเห็นฮ่วนเอ๋อลูกตานางก็ทอประกายอิจฉาขึ้นมาวาบหนึ่งก่อนจะเก็บอาการไปแทบจะทันที
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นมันชัดตา
‘เหอะๆ ความอิจฉาของผู้หญิงนี่…น่ากลัวจริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างช่วยไม่ได้
“ส่วนนี่คือศิษย์พี่ 4 ของเจ้า เฮ่อเหวิน”
สุดท้ายเหลยอิงก็หันมองไปยังชายวัยกลางคนร่างเตี้ยที่คล้ายคนแคระ พลางกล่าวกับฮ่วนเอ๋อ
หลังเฮ่อเหวินพยักหน้าให้ฮ่วนเอ๋อแล้ว มันก็กลอกตามองไปยังหลิงหูหยวนที่อยู่ข้างๆ ด้วยสายตามีเลศนัยบางประการ
ด้านหลิงหูหยวนเอง ก็สังเกตเห็นสายตาดังกล่าวของมัน ทำให้นางชักสีหน้ารังเกียจออกมาทันที
“ส่วนนี่คือศิษย์น้องหญิง 5 ของพวกเจ้า ฮ่วนเอ๋อ…พวกเจ้าอย่าได้ดูเบาศิษย์น้องหญิง 5 เชียว ถึงนางจะยังมีอายุไม่ถึง 300 ปี แต่นางก็เอาชนะจอมราชันอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ 4 ประการมาได้ง่ายๆ”
เหลยอิงกล่าวแนะนำฮ่วนเอ๋อให้ทั้ง 4 รู้จัก “นอกจากนั้นนางเองก็เป็นจอมราชันอมตะ 6 ผสานเช่นกัน…ในแง่พลังฝีมือแล้ว เกรงว่านางไม่ได้อ่อนกว่าเจ้า 3 กับเจ้า 4 เลย…”
กล่าวถึงจุดนี้ เหลยอิงก็เหลือบมองไปทางหลิงหูหยวนกับเฮ่อเหวินอย่างไม่รู้ตัว
“อายุไม่ถึง 300 ปี แต่เป็นจอมราชันอมตะ 6 ผสาน?!”
วาจาของเหลยอิงย่อมทำให้ทั้ง 4 ตกใจเป็นธรรมดา
หลังจากนั้นครู่หนึ่งศิษย์พี่หญิง 3 ของฮ่วนเอ๋อ หลิงหูหยวน ก็กล่าวออกมาอีกครั้ง สองตามองฮ่วนเอ่อพลางยิ้ม “ศิษย์น้องเล็ก ข้าได้ยินจากอาจารย์แล้วว่าพลังฝีมือของเจ้าค่อนข้างร้ายกาจ…เช่นนั้นมาประลองกับศิษย์พี่หญิง 3 หน่อยปะไร? หากเจ้าชนะข้าได้ เจ้าก็จักได้กลายเป็นศิษย์พี่หญิง 3 แทน…”
WSSTH ตอนที่ 3,265 : จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา?
“ศิษย์น้องหญิงหลิงหู เจ้าเป็นจอมราชันอมตะ 8 ชะตา ทั้งยังมีอายุมากกว่า 700 ปีแล้ว…แต่เจ้ากลับท้าศิษย์น้องเล็กประลองเช่นนี้ ยังไม่ใช่การรังแกนางหรือไร?”
เห็นหลิงหูหยวนท้าทายฮ่วนเอ๋อ เหลยจวิ้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ศิษย์พี่รอง หรือเมื่อครู่ท่านไม่ได้ยินที่ท่านอาจารย์กล่าว ว่าพลังฝีมือของศิษย์น้องเล็กมิได้ด้อยไปกว่าข้าหรือฮ่าวเหวิน? ท่านกังวลเรื่องนี้มันไม่เกินจำเป็นไปหน่อยรึ…”
หลิงหูหยวนคลี่ยิ้ม
เหลยอิงต่างจากเหลยจวิ้น ไม่เพียงไม่แย้ง ยังมองถามฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม “ฮ่วนเอ๋อในเมื่อศิษย์พี่หญิง 3 อยากประลองกับเจ้า…แล้วเจ้าว่าอย่างไรบ้างเล่า?”
อันที่จริง นางเองก็ล่วงรู้พลังสามารถของฮ่วนเอ๋อแต่เพียงผิวเผินเท่านั้น
นางก็เลยพูดออกไปทำนองดังกล่าว เพราะนางรู้ว่าเดี๋ยวหลิงหูหยวนต้องท้าประลองกับฮ่วนเอ๋อให้รู้เรื่องแน่ ทำให้พอเห็นหลิงหูหยวนเดินตามเกมที่นางคิดไว้ นางจึงมีความสุขเป็นธรรมดา
“ได้”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้า
“เช่นนั้น พวกเราออกไปด้านนอกกันเถอะ”
เมื่อเห็นฮ่วนเอ๋อตอบตกลง สองตาเหลยอิงก็ทอประกายจ้า นางเดินนำทุกคนออกจากโถงวัง จากนั้นก็ลอยล่องขึ้นไปบนฟ้าเหนือยอดเขาทันที
ด้านต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างติดตามนางมาไม่ห่าง
‘จอมราชันอมตะ 8 ชะตารึ?’
ขณะเหินร่างขึ้นมาบนฟ้า ต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองไปทางหลิงหูหยวนผ่านๆ เมื่อครู่เขาก็ได้ยินที่เหลยจวิ้นพูดบอกชัดเจน ไม่ว่าจะพลังฝึกปรือของนาง หรือเรื่องที่นางมีอายยุ 700 กว่าปี…
คงเป็นเรื่องที่ฟังดูค่อนข้างเหลวไหลเกินจริงอย่างมาก หากจะบอกว่านางเข้าใจความลึกซึ้งของกฏทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว…
เป็นไปได้ที่นางจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ 7 ประการ แต่ความเป็นไปได้ดังกล่าวมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินนัก ท้ายที่สุดแล้วนางก็อายุแค่ 700 กว่าปี…
ในสายตาต้วนหลิงเทียน อย่างดีหลิงหูหยวนคนนี้ก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ 6 ประการเท่านั้น
“ฮ่วนเอ๋อ ในเมื่อนางเป็นฝ่ายท้าเจ้าก่อนแบบนี้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องออมมือ…ขอแค่เจ้าไม่เล่นงานนางถึงตายก็พอ นอกนั้นเจ้าจะทุบตีนางอย่างไรก็ไม่มีปัญหา”
ต้วนส่งเสียงผ่านพลังกล่าวบอกฮ่วนเอ๋อ
เขารู้พลังฝีมือของฮ่วนเอ๋อดี และนางก็ไม่ใช่เล่นๆเลย
และความสามารถที่น่ากลัวที่สุดของฮ่วนเอ๋อ ไม่ใช่พลังจากความลึกซึ้งของกฏมิติรวมถึงพลังฝึกปรือ แต่เป็นพรสวรรค์วิชาแต่กำเนิดในฐานะจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาของนางต่างหาก!
หากสู้กันตัวต่อตัวไม่ใช้พลังอย่างอื่นนอกจากกฏและพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด ถ้าฮ่วนเอ๋อไม่ใช่ทักษะของจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ฮ่วนเอ๋อย่อมทำอะไรต้วนหลิงเทียนไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตามหากฮ่วนเอ๋อใช้ทักษะของจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ต่อให้เป็นต้วนหลิงเทียนเอง ก็ไม่กล้าพูดว่าจะชนะฮ่วนเอ๋อได้ กระทั่งมีโอกาส 8 ใน 10 ส่วนที่จะแพ้ด้วยซ้ำ
เว้นเสียแต่เขาจะใช้พลังของทองเทพสุดลี้ลับเพื่อปกป้องดวงจิตเอาไว้ ไม่ให้ตกอยู่ในทักษะมายาอันทรงพลังของจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา…
“อื้อ!”
ได้ยินเสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อก็ตอบรับอย่างแข็งขัน “พี่หลิงเทียนฮ่วนเอ๋อไม่ออมมือให้นางแน่…เพราฮ่วนเอ๋อก็ไม่ชอบนางมากเหมือนกัน”
ได้ยินคำพูดของฮ่วนเอ๋อ สองตาต้วนนหลิงเทียนพลันทอประกายเรืองวูบขึ้นมาด้วยสีสันแห่งความสนุกสนาน
เพราะเขารู้ว่ามีคนกำลังจะซวยแล้ว…
ฮ่วนเอ๋อไม่ค่อยโกรธใคร หากนางโกรธหรือไม่ชอบใครขึ้นมา โทสะของนางก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะทนไหว
เรื่องนี้เขารู้ซึ้งดี!
“ศิษย์พี่รอง หรือท่านชมชอบศิษย์น้องเล็กเข้าแล้วเล่า?”
เมื่อเหินร่างขึ้นมาบนฟ้าแล้ว หลิงหูหยวน ก็หันไปเอ่ยถามเหลยจวิ้นด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!?”
เหลยจวิ้นขมวดคิ้ว
“หากท่านไม่ชมชอบนาง แล้วเมื่อครู่ไฉนต้องกล่าวแทนนางด้วยเล่า? แต่ศิษย์พี่รอง…หากท่านชอบนางจริง ข้าแนะนำว่าท่านรีบๆตัดใจเสียดีกว่า หรือท่านไม่เห็นชายหนุ่มข้างกายนางผู้นั้น?”
หลิงหูหยวนแสยะยิ้มกล่าว
หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็มาหยุดร่างลงกลางหาวจุดที่เหลยอิงมาหยุดรออยู่ก่อน ด้านฮ่วนเอ๋อกับหลิงหูหยวนก็แยกตัวออกไปยืนเผชิญหน้ากัน
“ศิษย์น้องเล็กมาเถอะ ให้ศิษย์พี่หญิง 3 ชมดูพลังฝีมือเจ้าหน่อย!”
หลิงหูหยวนมองกล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยใบหน้านิ่งๆไม่ยินดียินร้าย
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงหลิงหูหยวนดังจบคำ ร่างฮ่วนเอ๋อก็ใช้เคลื่อนมิติวูบร่างหาไปผุดโผล่ด้านหลังหลิงหูหยวนทันที!
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
……
เสียงบางสิ่งแหวกห้วงมิติดังขึ้นฉับไว ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่รอบร่างหลิงหูหยวนบัดนี้ปรากฏรอยแยกมิติ 9 รอยล้อมกักเอาไว้อย่างน่ากลัว จากนั้นคมมีดมิติสีเทาก็พุ่งวาบมาดั่งประกายแสง ราวกับจะกลุ้มรุมสังหารหลิงหูหยวน!
ตระหนักได้ถึงเรื่องราวรอบกาย หลิงหูหวนแน่นอนว่าย่อมคิดหลีกหนีไปจากพื้นที่สังหารในบัดดล!
ทว่าทันใดนั้นเองพลังวิญญาณอันทรงพลังพลันกำจายออกมาจากร่างฮ่วนเอ๋อ ปกคลุมแทรกซึมเข้าร่างหลิงหูหยวนในฉับพลัน! สะกดความเคลื่อนไหววของนางเอาไว้ในช่วงเวลาสำคัญ!!
“ไม่—!!”
หลิงหูหวนกรีดร้องออกมาเสียงหลง ก่อนร่างนางจะปะทุพลังชั่วชีวิตวูบร่างหลบออกจากพื้นที่สังหารไปดั่งสายลม
แต่กระนั้นเรือนกายนางก็ปรากฏรอยแผลฉกรรจ์ให้เห็น เป็นคมมีดมิติบางส่วนสามารถเฉือนเนื้อเถือหนังของนางได้!
“เมื่อครู่…อำนาจจิตงั้นรึ?”
ทุกเรื่องราวมันอุบัติขึ้นในชั่วพริบตาดุจฟ้าแลบเท่านั้น กระทั่งเหลยอิงเองก็แทบตอบสนองเรื่องราวไม่ทัน เพราะนางก็ไม่ได้ช่ำชองการใช้ทักษะวิญญาณอันใด
แต่เป็นธรรมดาว่าด้วยสำนึกเทวะของนาง ย่อมสามารถจับสัมผัสความผันผวนของพลังวิญญาณจากร่างฮ่วนเอ๋อได้
อีกทั้งก่อนที่หลิงหูหยวนจะโดนคมมีดมิติทำร้าย นางก็โคจรพลังเซียนอมตะรอไว้แต่แรก จึงสามารถช่วยเหลือหลิงหูหยวนได้ทุกเมื่อ
และไม่ใช่ว่านางจ้องแต่จะช่วยหลิงหูหยวนคนเดียว หากเมื่อครู่เป็นฮ่วนเอ๋อตกที่นั่งลำบากนางก็จะช่วยเช่นกัน
นางมีศิษย์อัจฉริยะไม่กี่คนเท่านั้น ย่อมไม่ต้องการให้ใครเป็นอะไรไปแน่นอน
‘หลิงหูหยวนเจอดีไปแบบนั้น ต่อไปคงไม่กล้าดูเบาฮ่วนเอ๋ออีก…’
ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างอยู่วงนอกชมดูหลิงหูหยวนเลือดโชกด้วยสายตาเฉยเมย ทั้งหมดเป็นเพราะนางประมาทฮ่วนเอ๋อเกินไป
“พลังฝีมือของศิษย์น้องเล็กร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ!?”
เหลยจวิ้นประหลาดใจไม่น้อย
“ที่น่ากลัวคือทักษะวิญญาณเมื่อครู่ต่างหาก สามารถสะกดร่างศิษย์น้องหญิง 3 ได้ชะงัดเลยทีเดียว”
ลูกตาของซีเหมินหลิงเจี๋ยหดเล็กลง สีหน้าเผยความจริงจังให้เห็น
“ศิษย์น้องเล็ก”
หลิงหูหยวนที่เค้นพลังชั่วชีวิตฉากร่างหลบออกไปไกลตาได้ทันเฉียดฉิว สีหน้าของนางมืดลงอย่างเห็นได้ชัด ไร้ซึ่งรอยยิ้มใดๆสืบไป กระทั่งแววตายังฉายชัดถึงความจริงจัง “เป็นข้าดูเบาเจ้าเกินไปแล้วจริงๆ”
“เช่นนั้นต่อไปเจ้าจงระวังให้ดี ข้าไม่คิดออมรั้งยั้งมืออันใดอีก!”
ท้ายประโยค เสียงกล่าววาจาของหลิงหูหยวนก็หนักขึ้นไม่น้อย
“ไม่มีผู้ใดขอให้เจ้าออมมือแต่แรก”
อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับวาจาเสียงหนักทั้งท่าทางเอาเรื่องของหลิงหูหยวน ฮ่วนเอ๋อเพียงกล่าวสวนกลับไปเสียงเฉย
ถึงแม้น้ำเสียงของฮ่วนเอ๋อจะเรียบเฉยเหมือนพูดตามปกติ ไม่ได้แฝงความเยาะเย้ยอะไร ทว่าพอมาดังเข้าหูหลิงหูหยวนที่ถือดีวว่าตัวเหนือกว่า ก็ไม่ต่างอะไรกับตบหน้านางฉาดใหญ่!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
ทันใดนั้นร่างหลิงหูหยวนพลันเปลี่ยนไปคล้ายสายลมกรรโชกหอบใหญ่
และสายลมกรรโชกหอบใหญ่ดังกล่าวก็พัดถล่มเข้าใส่ฮ่วนเอ๋อ
วูบ!
อย่างไรก็ตามหลิงหูหยวนที่โจนทะยานเข้ามาฉับไวทั้งลงมือจู่โจมก็ไดแต่จั่วลมดังวืด เพราะฮ่วนเอ๋อวูบร่างข้ามมิติหลบออกไปในห้วงเวลาสุดท้าย
ทว่าร่างฮ่วนเอ๋อพึ่งจะไปปรากฏยังจุดอื่นได้ไม่ทันไร หลิงหูหยวนที่จั่วลมดังวืดเมื่อครู่ ก็หักเหทิศทางการลงมือ ห้อเหยียดเข้าใส่ฮ่วนเอ๋อปานอัสนีฟาด!
สุดท้ายฉากเรื่องราวเหนือฟ้าก็เป็นหนึ่งรุกไล่ หนึ่งวูบร่างแวบหลบไปไม่หยุด
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคิดว่าจักเอาแต่หลบเช่นนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งรึ!?”
เสียงหลิงหูหยวนพลันกังวานออกมาก้องฟ้า ฟังแล้วยังสัมผัสได้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวทั้งไม่พอใจถึงขีดสุด! เห็นได้ชัดว่านางหงุดหงิดกับเคลื่อนมิติของฮ่วนเอ๋อไม่น้อย!!
สำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญกฏแห่งลมแล้ว เรียกว่าผู้ใช้กฏมิติเป็นดั่งศัตรูตัวฉกาจเลยก็ว่าได้!
แน่นอนว่าถึงแม้ฮ่วนเอ๋อจะสามารถใช้เคลื่อนมิติหลบการโจมตีของนางได้ แต่หลิงหูหยวนก็มั่นใจว่าสามารถไล่ตามฮ่วนเอ๋อได้ทันแน่ ก็แค่มันต้องใช้เวลามากหน่อยเท่านั้น
แต่นางไม่อยากเสียเวลามากขนาดนั้น
“ข้าเกรงว่าหากข้าไม่ใช่เคลื่อนมิติ เจ้าจะทนรับมือข้าได้ไม่นาน”
เสียงไม่แยแสของฮ่วนเอ๋อดังขึ้น ทำให้ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้วนหลิงเทียน มุมปากเขาถึงกับกระตุกไปตงิดๆ
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ฮวนเอ๋อเรียนรู้จะพูดวาจาทำนองดังกล่าว?
อีกทั้งฟังจากถ้อยคำของฮ่วนเอ๋อแล้ว ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนเดจาวูอย่างไรชอบกล เพราะวาจาประโยคนี้มันช่างคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าเขาจะเป็นคนพูดอย่างไรอย่างนั้น
“โฮ่? เช่นนั้นข้าอยากดูชมนัก! ว่าข้าจักทนรับเจ้าไม่ได้นานเช่นไร!!”
ได้ยินวาจาดังกล่าวของฮ่วนเอ๋อ เรียกว่าหลิงหูหยวนวีนแตกแล้วจริงๆ ทันใดนั้นเสียงของสายลมที่ดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก็รุนแรงขึ้นยิ่งกว่าครั้งใด!
วูบ!
ร่างฮ่วนเอ๋อพลันปรากฏตัวสู่สายตาทุกคนอีกครั้ง เป็นนางหยุดใช้เคลื่อนมิติหลีกหลบจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ดวงตาของนางกลับทอแสงสีขาวขึ้นมาเรืองๆ และทันใดนั้นเองด้านหลังฮ่วนเอ่อพลันปรากฏเงาร่างจิ้งจอก 9 หางสีขาวราวหิมะตัวเขื่องประหนึ่งขุนเขาย่อมๆขึ้นมา! ทั่วร่างจิ้งจอกตัวเขื่องยังเปล่งกลิ่นอายเยียบเย็นปานจะแช่แข็งผู้คน!!
วิ้งงง!!
ทันใดนั้นเอง ขณะเดียวกันกับที่สองตาฮ่วนเอ๋อทอแสขาวสว่าง ดวงตาคู่ใหญ่ของเงาร่างจิ้งจอกขาว 9 หางด้านหลังฮ่วนเอ๋อก็ทอแสงขาวสว่างจ้าขึ้นมาพร้อมๆกัน!
พริบตาต่อมา
ห้ววงเวลาเสมือนหยุดลง
คนที่ชมดูเรื่องราวอยู่วงนอกทั้งหมดไม่เว้นต้วนหลิงเทียนแลเห็นว่า เมื่อหลิงหูหยวนพุ่งตัดฟ้าไปด้วยความเร็วอัศจรรย์ จนเจียนถึงตัวฮ่วนเอ๋อนั้น อยู่ๆนางก็หยุดลงดื้อๆอย่างแปลกประหลาด
หลังจากนั้น นางก็กระหน่ำกระบวนท่าซัดทำลายอากาศว่างเปล่าจนฟ้าระเบิดดังปงปังครั้งแล้วครั้งเล่า…
“ภาพลวงตารึ!?”
จังหวะนี้ขอเพียงเป็นคนที่มีสติครบถ้วน ย่อมตระหนักได้ว่าฮ่วนเอ๋อต้องใช้วิชามายาลวงตาอะไรสักอย่าง และหลิงหูหยวนก็ตกอยู่ในภาพลวงตาดังกล่าวโดยสมบูรณ์ ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวใดๆเลย
“นั่นมัน…หรือจะเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา!?”
ในขณะที่เหลยจวิ้นกับคนอื่นๆตกตะลึงกับการลงมือของฮ่วนเอ๋อ สายตาเหลยอิงที่ไม่ทราบเปลี่ยนไปมองจ้องจิ้งจอกขาวตัวเขื่องเบื้องหลังฮ่วนเอ๋อตั้งแต่เมื่อไหร่ ยิ่งมาก็ยิ่งเปล่งแสงจ้า!
ในฐานะจักรพรรดิอมตะสมญานาม วิสัยทัศน์ของนางย่อมไม่ใช่ชั่ว
ถึงแม้จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาของเผ่าจิ้งจอกมายา จะเป็นดั่งตัวตนที่ปรากฏอยู่แต่ในตำนานสำหรับอู๋หยาเทียน ทว่านางยังล่วงรู้ลักษณะของจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาจากในบันทึก!
“ที่แท้นางกลับมิใช่มนุษย์…แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่านางจักเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาที่ยากจะพบพานในรอบหลายล้านปีของเผ่าจิ้งจอกมายา!”
“สมบัติ! สมบัติล้ำค่า!! แม่เฒ่าผู้นี้เจอสมบัติล้ำค่าเข้าให้แล้วจริงๆ!!”
ตอนนี้ในใจของเหลยอิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีนัก ร่างชรารู้สึกคึกคักคล้ายกลับกลายเป็นสาวแรกรุ่น!
ตอนนี้ต่อให้ฉือหล่างจะขอแลกตัวต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อนางก็ไม่ยอมแลกเด็ดขาด! จริงอยู่ตอนนี้หากให้สู้กันตรงๆฮ่วนเอ๋ออาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต้วนหลิงเทียน แต่ถ้าฮ่วนเอ๋อใช้พรสวรรค์วิชาแต่กำเนิดของจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ต้วนหลิงเทียนก็ต้องพ่ายแพ้แน่!
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…
ในฐานะที่เป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา อนาคตของฮ่วนเอ๋อช่างสดใสเหลือเกิน! เพราะขอเพียงให้เวลาฮ่วนเอ๋อมากพอ นางย่อมทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะได้แน่นอน!!
กระทั่งในบันทึกประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลก จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายานั้นหากไม่ตกตายก่อนวัยอันควร ทุกตัวล้วนสามารถทะลวงผ่านขอบเขตจักรพรรดิอมตะกลับกลายเป็นเทพเจ้าได้อย่างราบรื่น!!
‘ทะลวงจักรพรรดิอมตะกลับกลายเป็นเทพเจ้า! นั่นเป็นเรื่องที่จักรพรรดิอมตะกว่า 9 ส่วนไม่อาจกระทำได้!!’
‘หากวันนึงฮ่วนเอ๋อทะลวงถึงขอบเขตเทพ…เช่นนั้นมิใช่ว่าข้าเหลยอิง จักรพรรดิอมตะไร้ใจ ก็จักมีสัมพันธ์อันดีกับเทพเจ้าแล้วรึ!?’
พอคิดถึงจุดนี้ ยามเหลยอิงมองไปที่ฮ่วนเอ๋ออีกครั้ง มันก็ฉายแววปิตินดีมากล้นไปด้วยความสุข
จนเมื่อเงาร่างจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาด้านหลังฮ่วนเอ๋อหายไป หลิงหูหยวนก็หลุดพ้นออกจากโลกมายา พอนางเห็นว่าฮ่วนเอ๋อยังลอยร่างอยู่เบื้องหน้าอย่างอยู่ดีมีสุข ชุดขาวยังไร้แม้กระทั่งรอยเปื้อน นางก็ผงะไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงแววตาไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า…ไฉนเจ้าไม่เป็นอันใดเลยเล่า!?”
ต้องทราบด้วยว่าเมื่อครู่นั้น นางได้สั่งสอนบทเรียนให้ศิษย์น้องเล็กอย่างดี กระทั่งพูดได้ว่าจัดหนักจัดเต็มไปชุดใหญ่จนสภาพอีกฝ่ายดูแทบไม่ได้เป็นการระบายอารมณ์ ก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไป…
แต่ไฉนอยู่ดีๆ อีกฝ่ายถึงกลับมาสมบูรณ์ดังเดิม แถมดูคล้ายไม่เป็นอะไรเลย?
แม้ไม่เข้าใจแต่หลิงหูหยวนก็เร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบอารมณ์ เตรียมตัวลงมือสืบต่อ
“พอได้แล้ว”
ทว่าทันใดนั้นเอง เหลยอิงพลันประกาศออกมาเสียงดังฟังชัด “เจ้า 3 การประลองครั้งนี้เจ้าแพ้…เมื่อครู่หากฮ่วนเอ๋อต้องการฆ่าเจ้า ป่านนี้เจ้าตายไปแล้ว!”
WSSTH ตอนที่ 3,266 : ผลอมตะอัสนีบาตม่วง
“เป็นไปไม่ได้!”
แรกได้ยินคำของเหลยอิง หลิงหูหยวนก็โพล่งคำเป็นไปไม่ได้ออกมาก่อนใดอื่น นางมองเหลยอิงด้วยสายตาไม่เชื่อเพราะคิดว่าเหลยอิงกำลังเข้าข้างฮ่วนเอ๋อ
“ศิษย์น้องหญิงหลิงหู…”
เหลยจวิ้นถอนหายใจ “เมื่อครู่เจ้าตกอยู่ในวิชามายาของศิษย์น้องเล็กถึง 3 ลมหายใจ…หากนางคิดจะฆ่าเจ้า ป่านนี้เจ้าคงไม่รอด”
“หากเป็นการต่อสู้ถึงตายจริงๆ เจ้ากลายเป็นศพไปแล้ว…”
เหลยจวิ้นกล่าว
หลิงหูหยวนแม้จะได้ฟังคำของเหลยจวิ้นแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ และคิดว่าอีกฝ่ายอาจร่วมมือกับเหลยอิงหลอกนาง
อย่างไรก็ตามพอสายตานางหันไปมองซีเหมินหลิงเจี๋ยกับฮ่าวเหวิน และพบว่าทั้งคู่ก็พยักหน้าให้เบาๆ นางจึงรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่อาจารย์กับเหลยจวิ้นบอก เป็นความจริง
“เจ้าใช้วิชาผีสางอันใดกัน?”
หลิงหูหยวนมองจ้องฮ่วนเอ๋อ กล่าวถามออกไปด้วยยสีหน้าจริงจัง ต้องทราบด้วยว่านางไม่เคยพบเจอวิชาลวงตาที่ไม่มีร่องรอยอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
กระทั่งฉากที่นางแลเห็นเมื่อครู่ มันเสมือนเกิดขึ้นจริงๆไม่ใช่มายา ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ ก็ไม่มีใครแปลกปลอม ทุกอย่างไม่ต่างอะไรจากของจริง มีแค่สตรีชุดขาวเท่านั้นที่แปลกไป จากสภาพยักแย่ยักยันกลับมาเป็นปกติไร้แม้แต่รอยเปื้อน…ซ้ำร้ายอีกฝ่ายยังชมมองนางราวดูละครลิง!
“เจ้าไม่อาจทำลายวิชาลวงตาของฮ่วนเอ๋อ หรือไม่แม้แต่จะรู้ตัวว่าตกอยู่ในภาพมายาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด”
ฮ่วนเอ๋อไม่ทันได้ตอบอะไร เหลยอิงก็เหลือบมองหลิงหูหยยวนพลางกล่าวเสียงเรียบ “ฮ่วนเอ๋อเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาที่ยากจะพบพานในรอบหลายล้านปีของเผ่าจิ้งจอกมายา…และจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายานั้น ก็คือ ‘สัตว์เทพ’ ที่ยากพบพานในระนาบเทวโลกแห่งนี้”
“สัตว์เทพ!?”
ทันทีที่วาจาดังกล่าวของเหลยอิงดังออกมา ไม่เพียงหลิงหูหยวนเท่านั้นที่ตกตะลึง พวกเหลยจวิ้นกับศิษย์อีก 3 คนก็ตกตะลึงไปเป็นแถบ
เผ่าจิ้งจอกมายานั้น พวกมันเคยได้ยินมาก่อน จึงรู้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพลังอำนาจพอตัว แต่กระนั้นก็เป็นแค่ขุมกำลังระดับ 1 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นแค่ขุมกำลังระดับ 1 แต่สายเลือดจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาที่จะปรากฏขึ้นในรอบหลายล้านปีของเผ่าจิ้งจอกมายาก็ร้ายกาจมาก! พวกมันเองก็เคยได้ยินเรื่องราวพวกนี้มาแล้ว…
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้พวกมันตกใจจริงๆก็คือคำว่า สัตว์เทพ ที่เหลยอิงพึ่งกล่าวออกมา
สัตว์เทพ…นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกว่าสัตว์อมตะ!
สัตว์เทพที่ว่า หากไม่เกิดเรื่องอะไร เมื่อเติบโตเต็มวัยแล้วส่วนมากมักจะทะลวงผ่านขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ เข้าสู่ขอบบเขตเทพได้สำเร็จ กลายเป็นตัวตนที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของระนาบเทวโลก!
ทว่าตอนนี้อาจารย์ของพวกมันพึ่งจะบอกว่า ศิษย์น้องเล็กคนนี้…เป็นสัตว์เทพ!?
ศิษย์ของเหลยอิงทั้งหมดตกใจครั้งใหญ่ ทว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไม่ได้เผยท่าทีแปลกใจอะไร เพราะทั้งคู่รู้เรื่องพวกนี้มานานแล้ว
โดยเฉพาะต้วนหลิงเทียน
นานมาแล้วเขาเคยถามฮ่วนเอ๋อว่าจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาเป็นสัตว์อมตะที่มีระดับพลังสูงสุดคืออะไร หากแต่ฮ่วนเอ๋อกลับบอกเขามาก่อนเลยว่า จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาไม่ใช่สัตว์อมตะ แต่เป็นสัตว์เทพ!
และตอนที่เขาได้รับวารีเทพชำระโลกาจากในซากระนาบเทวโลก อีกฝ่ายก็บอกเขาได้ทันทีว่าฮ่วนเอ๋อเป็นสัตว์เทพ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไร
“ฮ่วนเอ๋อเอาชนะเจ้า 3 ได้…เช่นนั้นจากนี้ต่อไปฮ่วนเอ๋อจักเป็นศิษย์ลำดับที่ 3 ของข้า”
ทันใดนั้นเองเหลยยอิงก็หันไปมองหลิงหูหวนและประกาศว่า “สำหรับเจ้า 3 แต่นี้ต่อไปเจ้าจักกลายเป็นศิษย์ลำดับ 4!”
พอกล่าวจบคำ เหลยอิงก็หันไปมองฮ่าวเหวิน “ส่วนฮ่าวเหวิน คือศิษย์ลำดับ 5”
“ศิษย์น้องหญิง 3”
“ศิษย์น้องหญิง 3”
พอเสียงประกาศของเหลยิงดังจบคำ ทั้งเหลยจวิ้นกับซีเหมินหลิงเจี๋ยก็เปลี่ยนคำเรียกหาอ่วนเอ๋อทันที
ส่วนหลิงหูหยวนก็ได้แต่เรียกฮ่วนเอ๋อว่าศิษย์พี่หญิง 3 ด้วยท่าทางน้ำเสียงเต็มใจสักเท่าไหร่ อีกทั้งยามมองไปยังฮ่วนเอ๋ออีกครั้ง ความอิจฉาในแววตายิ่งมาก็ยิ่งรุนแรงแล้ว
‘หลิงหูหยวนผู้นี้…’
ความอิจฉาของหลิงหูหยวนที่มีต่อฮ่วนเอ๋อ ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดขมวดคิ้วไม่ได้ ในแววตายังฉายแสงเย็นวาบหนึ่ง
หวังว่าหลิงหูหยวนจะไม่ทำอะไรโง่ๆอย่างคิดร้ายต่อฮ่วนเอ๋อก็แล้วกัน ไม่งั้นเขาไม่ปล่อยนางไปแน่นอน!
“ฮ่วนเอ๋อ ต่อไปเจ้าก็อยู่บ่มเพาะกับข้าที่นี่เถอะ”
เหลยอิงยิ้มกล่าวกับฮ่วนเอ๋อ
และคำชวนดังกล่าวของเหลยอิง ก็ทำให้ความอิจฉาในแวววตาของหลิงหูหยวนแรงกล้าขึ้นไปอีก ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้ก็มีแค่ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองเท่านั้น ที่สามารถมาฝึกฝนบ่มเพาะพลังที่นี่ได้ตามใจชอบ
เพราะพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศของที่พักบ่มเพาะของเหลยอิง มันหนาแน่นกว่าที่อื่น
“ไม่ล่ะ”
ได้ยินคำชวนของเหลยอิง ฮ่วนเอ๋อก็ส่ายหัวไปมา “ข้าจะอยู่บ่มเพาะกับพี่หลิงเทียน”
ฮ่วนเอ๋อนั้นแน่นอนว่าไม่อยากแยกจากต้วนหลิงเทียน กระทั่งอยากอยู่บ่มเพาะกับต้ววนหลิงเทียนมากกว่าที่ใดในโลก เพราะจะทำให้นางเพิ่มพูนพลังฝึกปรือได้รวดเร็วที่สุด!
ถึงแม้สภาพแวดล้อมของที่พักบ่มเพาะเหลยอิงจะดี แต่ให้ไปเทียบกับพลังวิญญาณฟ้าดินที่ท่วมท้นอยู่ในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนแล้ว มันไม่คู่ควรให้กล่าวถึงด้วยซ้ำ
เพราะไอพลังวิญญาณฟ้าดินในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน คือไอพลังวิญญาณฟ้าดินจากซากระนาบเทพ
และระนาบเทพ ก็คือดินแดนที่เหล่าเทพฝึกฝนบ่มเพาะ
คุณภาพของพลังวิญญาณฟ้าดินนั้น ไม่ใช่อะไรที่พลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทวโลกจะเอาไปเทียบได้เลย
“ตามใจเจ้า”
หากเหลยอิงได้ยินคำปฏิเสธของฮ่วนเอ๋อก่อนจะได้รู้ว่านางเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ในใจต้องบังเกิดความไม่พอใจอยู่หลายส่วนแน่ เมื่อโดนปฏิเสธแบบนี้
แต่ตอนนี้พอรับทราบว่าฮ่วนเอ๋อเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา นางย่อมยินนยอมตามใจฮ่วนเอ๋อทุกอย่าง ขอแค่ฮ่วนเอ๋อยอมรับว่าเป็นศิษย์ของนางก็พอ
ยิ่งไปกว่านั้น วันหน้าขอเพียงนางเอาใจใส่แลดูแลฮ่วนเอ๋อมากๆหน่อย นางเชื่อว่าการจะสนิทสนมกับฮ่วนเอ๋อย่อมไม่ใช่เรื่องยาก!
สำหรับนางแล้ว การสนิทสนมกับตัวตนที่จะกลายเป็นเทพในอนาคต มีแต่เรื่องดีไม่มีเรื่องเสียแม้แต่น้อย
กระทั่งถึงขั้นที่วันหนึ่งหลังฮ่วนเอ๋อบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว บางทีฮ่วนเอ๋ออาจจะให้คำชี้แนะล้ำค่ากับนาง ทำให้นางมีโอกาสทะลวงถึงขอบเขตเทพก็เป็นได้!
การทะลวงสู่ขอบเขตเทพ เป็นความใฝ่ฝันอันสูงสุดของจักรพรรดิอมตะทั้งมวลในระนาบเทวโลก
อย่างไรก็ตาม ในระนาบเทวโลกแห่งนี้ตัวตนจักรพรรดิอมตะที่ทะลวงถึงขอบเขตเทพได้มันช่างมีน้อยเหลือเกิน
“เอาล่ะฮ่วนเอ๋อ ไม่ว่าเจ้าจักอยู่ที่ใดเพียงจำไว้อย่างเดียว เจ้าคือศิษย์ของข้าเหลยอิง…วันหน้า ไม่ว่าเจ้ามีปัญหาอันใด สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
เหลยอิงโบกมือเบาๆ จากนั้นก็ปรากฏลูกแก้ววิญญาณขึ้นมา “ฮ่วนเอ๋อ พวกเรามาแลกลูกแก้ววิญญาณกันไว้ก่อน…เวลาเจ้ามีปัญหาอะไร จักได้ติดต่อหาข้าง่ายๆ”
หลังแลกลูกแก้ววิญญาณแล้ว เหลยอิงก็หงายฝ่ามือ ทันใดนั้นเองก็ปรากฏผลไม้อมตะแลดูไม่ธรรมดาผลหนึ่งลอยล่องเหนือฝ่ามือ ตัวผลเต็มไปด้วยเส้นสายอัสนีสีม่วงแลบลั่นแปลบปลาบ ยังส่งกลิ่นหอมสดชื่นออกมาขจรขจาย
“ฮ่วนเอ๋อ นี่เป็นของขวัญแรกพบจากครู”
เหลยอิงกล่าวด้วยยรอยยิ้ม ขณะยื่นส่งผลไม้อมตะในมือให้ฮ่วนเอ๋อ “นี่เรียกว่าผลอมตะอัสนีบาตม่วง ข้าบังเอิญได้มันมาเมื่อหลายพันปีก่อน…”
ผลอมตะอัสนีบาตม่วง!
วินาทีที่เหลยอิงนำผลไม้อมตะออกมายื่นส่งให้ฮ่วนเอ๋อ ไม่เพียงแต่สายตาหลิงหูหยวนจะฉายความอิจฉามากขึ้นเท่านั้น กระทั่งศิษย์อีก 3 คนที่เหลือของเหลยอิงก็มองจ้องไปยังผลไม้อมตะดังกล่าวด้วยความสนใจ
ผลอมตะอัสนีบาตม่วง เป็นหนึ่งในผลไม้อมตะระดับแถวหน้าสำหรับด่านพลังจอมราชันอมตะ เพราะมันสามารถช่วยส่งเสริมพลังฝึกปรือให้จอมราชันอมตะเป็นอย่างมาก
หลังมองอยู่ครู่หนึ่ง เหลยจวิ้นกับซีเหมินหลิงเจี๋ยก็ถอนสายตากลับมา เพราะผลอมตะอัสนีบาตม่วงไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับพวกมัน
จะซีเหมินหลิงเจี๋ยก็ดี เหลยจวิ้นก็ดี ล้วนบรรลุถึงด่านพลังจักรพรรดิอมตะเรียบร้อย
“ขอบคุณ ครูมาก”
ฮ่วนเอ๋อเองก็รู้ดีถึงประโยชน์ของผลอมตะอัสนีบาตม่วง สองตากลมใสเป็นประกายวับวาว พุ่งมือไปคว้ามาเร็วไว
“ฮ่วนเอ๋ออย่าได้เกรงใจ ต่อไปเจ้าจำไว้ให้ขึ้นใจ ว่าในวังเทียนฉือแห่งนี้เจ้าเป็นศิษย์ของข้า…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้ามีข้าจักพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง หนุนหลังเสมอ”
เหลยอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อือ”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้า
“ศิษย์น้องหญิงฮ่วนเอ่อ หากศิษย์อัจฉริยะคนใดกล้ามาหาเรื่องเจ้า มาหาศิษย์พี่รองได้เลย…ศิษย์พี่ใหญ่อายุเกือบพันปีและกำลังจะออกจากตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะแล้ว แต่เหลยจวิ้นผู้นี้ยังมีอายุเพียง 800 ปีเท่านั้น”
เหลยจวิ้นกล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ขอบคุณศิษย์พี่รอง”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้าอีกรอบ
ครู่ต่อมากลุ่มคนก็แยกย้ายกันไป
และก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป นอกจากหลิงหูหยวนแล้ว ฮ่าวเหวิน เหลยจวิ้นรวมถึงซีเหมินหลิงเจี๋ย ก็มาแลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณกับฮ่วนเอ๋อ
แน่นอนว่าพวกมันเป็นฝ่ายริเริ่มขอแลก
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนสังเกตว่า เหลยจวิ้น ลูกชายของเหลยอิงนั้น ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนตั้งแต่ต้นจนจบ และในตอนที่เขาเหินร่างจากมาพร้อมฮ่วนเอ๋อ เขาก็สังเกตเห็นแสงแห่งความอิจฉาริษยาหนึ่งเรืองขึ้นในส่วนลึกของลึกตาอีกฝ่าย
‘เสน่ห์ของฮ่วนเอ๋อยังคงเหลือร้ายจริงๆ…’
ด้วยเป็นบุรุษเหมือนกัน ตั้งแต่ที่เห็นเหลยจวิ้นออกตัวปกป้องฮ่วนเอ๋อกับหลิงหูหยวนก่อนหน้านี้ ต้วนหลิงเทียนก็พอจะรู้แล้วว่าในใจอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
อีกทั้งตอนที่เขาพาฮ่วนเอ๋อจากไป เขายังสังเกตเห็นสายตาเยียบเย็นของหลิงหูหยวนที่ใช้มองอ่วนเอ๋ออีกด้วย ก็ทำให้เขาทราบได้ทันทีว่าในใจนางไม่พ้นต้องอิจฉาริษยาฮ่วนเอ๋อมาก จนเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังแล้ว!
‘หลิงหูหยวน หากเจ้าอยู่เงียบๆสงบๆไม่ทำอะไรก็แล้วไป…แต่ถ้าเจ้าคิดไม่ซื่อเมื่อไหร่ ก็อย่าได้โทษที่ข้าจะหาโอกาสส่งเจ้าไปตามทาง!’
ถึงแม้จะเป็นภายในวังเทียนฉือแห่งนี้ แต่หากเขาต้องการฆ่าหลิงหูหยวนที่เป็นแค่จอมราชันอมตะ เขาก็สามารถร่วมมือกับฮ่วนเอ๋อเพื่อเก็บนางได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆให้สืบสาว
ฮ่วนเอ๋อเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา นางมีทักษะมายาอันไร้คู่เปรียบ บวกกับพลังที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะทั่วๆไป เขาก็ส่งไปตามทางได้ไม่ยากเย็น…
หลังกลับมาถึงยอดเขาอันเป็นสถานที่บ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนในเขตของฉือหล่างแล้ว ฮ่วนเอ๋อก็หยิบผลอมตะอัสนีบาตม่วงออกมาส่งให้ต้วนหลิงเทียน “พี่หลิงเทียนผลอมตะให้ท่าน”
“ฮ่วนเอ๋อข้าขอรับไว้แค่ความหวังดีของเจ้าก็พอ…ผลอมตะอัสนีบาตม่วงนี่ จะอย่างไรก็เป็นของขวัญแรกพบที่เหลยอิงให้เจ้า เช่นนั้นเจ้าเก็บไว้ใช้เองเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนยิ้ม
“พี่หลิงเทียนความเร็วในการบ่มเพาะของข้าสูงกว่าท่าน…และผลอมตะอัสนีบาตม่วงก็ไม่ได้มีประโยชน์ต่อข้าเหมือนท่าน”
ฮ่วนเอ๋อกล่าวยืนกรานออกมาอย่างดื้อรั้น “หากพี่หลิงเทียนไม่เอา ฮ่วนเอ๋อจะทุบแล้ว”
ฮ่วนเอ๋อกล่าวจบก็เผยสายตาแน่วแน่ออกมา ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง ด้วยไม่ทราบว่านางไปหัดใช้ลูกไม้แบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
ในอดีตเขาก็เคยทำแบบนี้ เพื่อให้นางรับผลไม้อมตะ…
มาตอนนี้ดูเหมือนฮ่วนเอ๋อจะจดจำและนำมันมาใช้บ้างแล้ว…
“ฮ่วนเอ๋อ พี่หลิงเทียนพูดกับเจ้าตรงนี้ไว้ชัดๆเลย…ครั้งหน้าไม่ว่าพวกเราจะได้รับผลไม้อมตะอะไรมา ก็ถึงตาเจ้าใช้มันเข้าใจหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนรับผลอมตะอัสนีบาตมาถือไว้ พลางกล่าวด้วยสายตาจริงจัง “ต่อไปพวกเราได้ผลไม้อมตะอะไรมาก็ผลัดกันใช้ ไม่มีให้ใครมากกว่า…เจ้าเข้าใจรึยัง?”
“ฮ่วนเอ๋อเข้าใจแล้ว พี่หลิงเทียนท่านรีบกินเร็ว…ด้วยพลังของผลอมตะอัสนีบาตม่วงกับไอพลังวิญญาณฟ้าดินจากโลกใบเล็กของท่าน ไม่นานท่านต้องทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบได้แน่!”
ฮวนเอ๋อยิ้ม
“มันจะง่ายแบบนั้นที่ไหนล่ะ…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา เขาพึ่งทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 4 รูปได้ก็ก่อนจะเข้าร่วมวังเทียนฉือเท่านั้น
ถึงจะใช้ผลอมตะอัสนีบาตม่วง ก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าเขาจะทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบ
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อกำลังจะเตรียมตัววบ่มเพาะพลังนั้นเอง ฮ่วนเอ๋อก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อได้รับข้อความจากอาวุโสของตำหนักลองกระบี่…”
WSSTH ตอนที่ 3,267 : สังเวียนอัจฉริยะ
“หืม? ข้าก็ได้เหมือนกัน..”
เสียงฮ่วนเอ๋อดังไม่ทันจบคำดี ต้วนหลิงเทียนก็ชะงักไปวูบหนึ่ง เพราะมีข้อความจากอาวุโสตำหนักลองกระบี่ส่งตรงมาถึงเขาเหมือนกัน
อาวุโสตำหนักลองกระบี่ได้ส่งข้อความมาบอกเขาว่า ศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปีอันดับล่างๆ บังเอิญอยู่ในวังเทียนฉือไม่ได้ไปไหน เช่นนั้นจึงตอบรับคำท้าเขาเรียบร้อย หลังจากนี้ 3 วันจะไปประลองชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะวังเทียนฉือกับเขา
ในฐานะผู้ท้าชิง เขาไม่มีสิทธิ์เลือกเวลา และหากเขาไม่อาจไปปรากฏตัวในสังเวียนได้ในเวลาที่กำหนด เขาก็จะถูกปรับแพ้ทันที
“อัจฉริยะที่รับคำท้าข้า นัดหมายประลองในอีก 3 วันหลังจากนี้…ของฮ่วนเอ๋อล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามฮ่วนเอ๋อด้วยความสงสัย
“ของฮ่วนเอ๋ออีก 10 วัน”
ฮวนเอ๋อตอบ
สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว วันเวลา 3 วันดุจลัดนิ้วมือเท่านั้น
หลังจากผ่านไป 3 วันเขาก็พาฮ่วนเอ๋อออกจากสถานที่พักบ่มเพาะในเขตของฉือหล่าง และเตรียมตัวเดินทางไปลานประลอง
อย่างไรก็ตามเขาพึ่งจะเหินร่างออกไปได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง “เฮ่ ศิษย์น้องเล็ก รอข้าด้วย!”
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนหยุดลงชั่วคราว พอหันกลับไปก็เห็นนร่างชายอ้วนท้วมในนชุดคลุมสีน้ำเงินกำลังเหินร่างมาทางนี้
ถึงแม้ร่างกายอีกฝ่ายจะแลดูอ้วนฉุเทอทะ แต่ความเร็วในการเหินบินของมันก็ไม่ใช่เล่นๆเลย
“ศิษย์พี่ 6 ไฉนมาหาข้าได้เล่า?”
ผู้ที่มาหาเขาก็คือศิษย์ลำดับที่ 6 ของฉือหล่าง หงเฟย
“อั้ย ศิษย์น้องเล็ก…วันนี้เป็นวันท้าประลองชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะของเจ้าทั้งที จะขาดศิษย์พี่ไปให้กำลังใจได้อย่างไร เจ้าดูสิข้าไม่เหมือนศิษย์พี่คนอื่นใช่ไหม? ข้าน่ะใจดีกับศิษย์น้องเสมอล่ะ จำไว้เลยตอนเจ้ามีปัญหา เจ้าอาจไม่เห็นคนอื่น แต่เจ้าจะเห็นข้าเสมอ!!”
หงเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มร่าพลางตบหน้าอกที่เต็มไปด้วยหนั่นเนื้อ แลดูเที่ยงธรรมนัก
“ว่าแต่ศิษย์พี่หงเฟยรู้ได้ยังกัน ว่าวันนี้ข้าต้องขึ้นประลองชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะ?”
ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย เพราะกระทั่งตัวเขาเองก็พึ่งจะได้ยินข้อความจากอาวุโสตำหนักลองกระบี่เมื่อ 3 วันก่อนเท่านั้นเอง แล้วยังไม่ได้บอกใครนอกจากฮ่วนเอ๋อด้วย
“อ้อ จริงสิ ศิษย์น้องเล็กคงยังไม่รู้เรื่องนี้…ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม หากมีการท้าทายชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะเกิดขึ้น จะช่วงอายุไม่ถึงร้อยปีก็ดี จะช่วงอายุ 900-1,000 ปีก็ดี ตราบใดที่ไปลงทะเบียนท้าประลองชิงตำแหน่งที่ตำหนักลองกระบี่ และผู้ถูกท้าตอบรับจนกำหนดวันประลองเป็นมั่นเหมาะแล้ว ทางตำหนักลองกระบี่ก็จะติดประกาศเปิดเผยสู่สาธารณะ”
หงเฟยกล่าว “และข้าก็ไปทำธุระที่ตำหนักลอกระบี่เมื่อวันก่อนพอดี เลยเห็นประกาศการประลองของเจ้าโดยบังเอิญ”
“บังเอิญ?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบหยีตามองหงเฟยด้วยสายตาแปลกๆ มุมปากเริ่มปรากฏรอยยิ้ม “อ้อ ที่แท้ศิษย์พี่หงเฟยรู้ว่าข้ามีนัดหมายประลองวันนี้เพราะความบังเอิญนี่เอง”
‘เวร เผลอหลุดปากไปซะได้!’
จังหวะนี้หงเฟยที่รู้ตัวว่าพลาดก็ไม่เสียอาการ จึงรีบแถออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “โฮ่! ใช้ได้เลยนี่นาศิษย์น้อง ที่ข้าพูดไปแบบนั้น ก็แค่จะทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองของเจ้าเท่านั้นล่ะ…ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่ตื่นสนามแม้แต่น้อยร้ายกาจๆ”
“อันที่จริงตั้งแต่ที่เจ้ามา ศิษย์พี่คนนี้ก็ไปตำหนักลองกระบี่เพื่อตรวจสอบการประลองชิงตำแหน่งศิษย์อัฉริยะทุกวัน…ก็เลยเห็นประกาศชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะอายุ 200-300”
หงเฟยกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางทำราวกับที่มันพูดออกมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริง
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาเบาๆ เป็นธรรมดาว่าเขาไม่เชื่อวาจาที่หงเฟยกล่าวแถออกมาภายหลังแน่นอน และเขายังได้รับทราบถึงความไร้ยางอายของหงเฟยมากขึ้น
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าพึ่งเข้าร่วมวังเทียนฉือ เช่นนั้นคงไม่รู้กระมังว่าสังเวียนอัจฉริยะอยู่ที่ใด?”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่สนใจคำพูดของมัน หงเฟยก็รีบเอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องทันที
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ข้าก็เลยออกมาแต่เช้า คิดจะไปถามทางผู้คนแถวๆนั้นดูน่ะ”
“มาๆๆ ไม่ต้องไปถามใครให้เหนื่อย ศิษย์พี่จะพาเจ้าไปเอง”
หงเฟยคลี่ยิ้ม
ระหว่างเดินทางออกจากเขตที่พัก หงเฟยก็ยังคงพูดเก่ง “สังเวียนอัจฉริยะ ไม่ได้ตั้งอยู่บนเกาะลอยฟ้าใดๆของวังเทียนยฉือ แต่มันตั้งอยู่ทางตอนเหนือห่างออกไปจากเขตวังเทียนฉือ 10 ลี้”
“สังเวียนอัจฉริยะของวังเทียนฉือเรามีทั้งสิ้น 3 สังเวียน”
“อย่างไรก็ตาม คนที่จะใช้สังเวียนอัจฉริยะวันนี้ก็มีเจ้ากับหวงลู่หนานที่ถูกท้าแค่คู่เดียว…ทว่าสิ่งที่วังเทียนฉือมีไม่ขาดคือผู้ที่ชมชอบเรื่องบันเทิง1 ถึงแม้เจ้าจะยังเป็นที่รู้จักและเจ้าหวงลู่หนานนั่นก็เป็นแค่ที่โหล่ในบรรดาศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปี แต่ไม่พ้นต้องมีศิษย์วังเทียนฉือไปชมดูเรื่องราวที่สังเวียนอัจฉริยะหนาตาแน่”
“แน่นอนว่าศิษย์ที่จะไปชมดูการประลองของเจ้าวันนี้ก็คงเป็นศิษย์ธรรมดาเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่น่าจะมีศิษย์อัจฉริยะไปดูกันมากนัก”
…
พอหงเฟยกล่าวจบประโยค พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็มาถึงสังเวียนอัจฉริยะที่ตั้งห่างออกมา 10 ลี้ทางเหนือเรียบร้อย
ระหว่างเดินทางมา เขาเองก็สังเกตเห็นศิษย์วังเทียนฉือมากมายกำลังมุ่งหน้าไปยังสังเวียนอัจฉริยะ
“ให้ตายเถอะ ข้าหงเฟยก็นับว่ามีชื่อเสียงในวังเทียนฉือไม่น้อยนี่นา…ไม่คิดเลยว่าศิษย์วังเทียนฉือพวกนี้จะตาไม่ถึงขั้น พวกมันจดจำข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
พอเห็นว่าไร้ศิษย์วังเทียนฉือคนใดเหินร่างเข้ามาคารวะทักทาย ลูกตาเล็กๆของหงเฟยก็หยีลงแทบปิด แลดูไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเองพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็หยุดลงกลางหาว เพราะมาถึงสังเวียนอัจฉริยะแล้ว
สังเวียนอัจฉริยะที่ว่า เป็นสังเวียนประลองขนาดใหญ่ 3 สังเวียนลอยล่องอยู่กลางอากาศ กระจายตัวอยู่ห่างกันพอสมควรเรียงตัวคล้ายจุดยอดของ 3 เหลี่ยม
และจุดกึ่งกลางระหว่างสังเวียนยอัจฉริยะทั้ง 3 ก็มีเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่งลอยล่องอยู่ และบนเกาะที่ว่านอกจากแท่นศิลาขนาดมหึมาปานอนุสาวรีย์ตั้งอยู่เด่นหราแล้ว ก็ไม่มีใดอื่นอีก
บนแท่นศิลาปานอนุสาวรีย์ดังกล่าวก็มีคำว่า ‘สังเวียนอัจฉริยะ’ แกะสลักไว้อย่างบรรจง
ตอนนี้ก็มีคนของวังเทียนฉือหลายร้อยคนมาเหินรอใกล้ๆสังเวียนอัจฉริยะ ทั้งยังมีผู้ที่เหินร่างทยอยกันมาไม่หยุด
“ศิษย์พี่หงเฟย!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมอสำรวจสังเวียนอัจฉริยะ ก็มีศิษย์วังเทียนฉือคนหนึ่งเหินร่างเข้ามาหาพลางป้องมือประสานคารวะทักทายหงเฟยอย่างกระตือรือร้น
“อืม”
เมื่อเห็นว่ามีคนเหินโร่เข้ามาทักทายตัวเองแล้ว ความไม่พอใจในตาหยีๆของหงเฟยก็สลายหายไป พยักหน้ารับคำทักด้วยความพึงพอใจเร็วไว
แน่นอนว่าตอนมีผู้อื่นเข้ามาทัก หงเฟยก็กลับกลายเป็นจริงจัง ไม่เหลือความไร้ยางอายเหลวไหลอะไรเหมือนตอนอยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียยนกับฮ่วนเอ๋อ
เมื่อมีศิษย์วังเทียนฉือคนแรกเข้ามาทักหงเฟยแบบนี้ ก็ดึงความสนใจจากศิษย์วังเทียนฉือรอบๆอยู่บ้าง
“คนผู้นั้นคือหงเฟยรึ?”
“ศิษย์อัจฉริยะที่อ่อนแอที่สุดใต้สังกัดใต้เท้าจักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง?”
“หงเฟยผู้นี้หากข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนจะเป็นศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุ 600-700 ปี…อย่างไรก็ตามมันมักถูกชิงตำแหน่งไปบ่อยๆ ก่อนจะใช้เวลาฝึกปรือไปสักพัก ค่อยทวงตำแหน่งคืนมา…”
“อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่สู้ทวงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะอันดับ 10 ของช่วงอายุ 600-700 ปีกลับมาได้ แต่พลังฝีมือมันก็ไม่ได้เหนือกว่าคู่ต่อสู้แต่อย่างใด กว่าจะชนะเรียกว่าหืดขึ้นคอ…มาดไม่เหมือนศิษย์อัจฉริยะคนอื่นเลยจริงๆ”
…
ถึงแม้เสียงกระซิบกระซาบของศิษย์วังเทียนฉือโดยรอบจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ด้วยระดับพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ย่อมได้ยินมันชัดถนัดหู
จากนั้นทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากัน มุมปากยังกระตุกขึ้นมาตงิดๆ
ด้านหงเฟยที่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังกล่าวเช่นกัน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นมืดดำทมึงทึง หันไปกวาดตามองตวาดศิษย์โดยรอบอย่างดุร้าย “พวกเจ้าช่างปากดีกันนักนะ…ไม่ทราบพลังฝีมือจักดีเหมือนฝีปากหรือไม่ ไม่สู้ขึ้นสังเวียนอัจฉริยะแล้วตีกับข้าสัก 300 รอบเล่า! อีกทั้งข้าต่อให้พวกเจ้ามัดรวมกันมาให้หมด ข้าหงเฟยจะสู้คนเดียว หากพวกเจ้ารอดได้เกิน 3 ลมหายใจให้ถือว้าขาหงฟยแพ้เป็นไง!?”
ได้ยินเสียงตวาดท้าทายอย่างดุร้ายของหงเฟย เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่คุยกันสนุกปากเมื่อครู่ก็พร้อมใจกันเงียบกริบด้วยความละอาย ไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆ
“ฮ่าๆๆๆ…หงเฟย ยิ่งมาเจ้ายิ่งเหลวไหลใหญ่แล้ว เดี๋ยวนี้เจ้าถึงขั้นท้าตีท้าต่อยกับศิษย์ทั่วไปแล้วรึ!?”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงหัวเราะดังร่ามากเย้ยหยันหนึ่งดังสนั่นมาแต่ไกล ช่วยให้ศิษย์วังเทียนฉือที่ถูกตวาดใส่จนทำอะไรไม่ถูก หลุดพ้นออกจากสถานการณ์ยากลำบากทันที
ครู่ต่อมาก็มีร่างชายหนุ่มผ่ายผอมที่ผิดกับบร่างอ้วนใหญ่ของหงเฟยคนละขั้วปรากฏตัวสู่สายตาทุกคน
“หลิวเจี้ยนเจ้าถ่อมาทำอะไรที่นี่?”
เห็นชายหนุ่มร่างผอมปานไม้เสียบผีเบื้องหน้า หงเฟยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมาโผล่ที่นี่แบบนี้
ขณะเดียวกันด้านต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงผ่านพลังของหงเฟยส่งตรงถึงหู “ศิษย์น้องเล็ก ไอ้เจ้าผอมกะหร่องนั่นเรียกว่าหลิวเจี้ยน มันอายุพอๆกับข้าและเป็นศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุเดียวกัน…อย่างไรก็ตามมันอยู่อันดับ 9 ส่วนข้าอยู่อันดับ 10”
“หึ! หากครั้งก่อนไม่ใช่เพราะข้าโชคร้าย ไม่งั้นข้าทุบตีมันจนเปลี้ยและชิงอันดับที่ 9 ของมันมาได้แล้ว!”
กล่าวจบหงเฟยก็ทำท่าฮึดฮัดราวเสียดายไม่หยุด
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเพียงปล่อยให้วาจาของหงเฟยเป็นดั่งสายลมที่พัดผ่านหู ไม่ได้เชื่ออะไร เพราะศิษย์พี่ 6 ผู้นี้ช่างไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือสิ้นดี
แน่นอนว่าแม้เขาจะคิดแบบนี้ แต่ก็ไม่คิดจะแฉอีกฝ่าย
“ข้ามาที่นี่เพราะศิษย์น้องเป็นธรรมดา…อ่อเจ้าคงไม่รู้สินะ วันนี้เป็นศิษย์น้องข้า หวงลู่หนาน ที่จะขึ้นสังเวียนประลองกับศิษย์น้องของเจ้า”
พอหลิวเจี้ยนกล่าวถึงจุดนี้ มันก็หยุดครู่หนึ่งค่อยกล่าวต่อ “ข้าเองก็พึ่งรู้ว่ามีศิษย์ใหม่นามต้วนหลิงเทียนท้าประลองชิงตจำแหน่งศิษย์อัจฉริยะกับศิษย์น้องข้า ทั้งยังพบว่าศิษย์ใหม่คนนี้ได้เข้าร่วมกับอาจารยย์เจ้า ฉือหล่าง จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี…”
“หากข้าเดาไม่ผิด…ศิษย์ใหม่ที่ว่าสมควรเป็นเจ้าหนูชุดม่วงนั่นกระมัง?”
กล่าวถึงจุดนี้หลิวเจี้ยนก็หันขวับไปจับจ้องต้วนหลิงเทียน จากนั้นมุมปากมันก็เริ่มยกยิ้มแสยะดูแคลนขึ้นมา
“อะไร? เจ้าดูถูกศิษย์น้องข้ารึ?”
เห็นการเหยียดหยามที่มุมปากของหลิวเจี้ยน หงเฟยก็ย่นคิ้วเป็นปมเอ่ยถามเสียงหนัก
“ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกมัน…แต่ศิษย์ใหม่ทุกราย แม้พลังฝีมือจะไม่ใช่ชั่วแต่ก็มักประมาณตัวเองสูงไป ข้าว่าเป็นการดีเสียกว่าที่จักไปปิดด่านบ่มเพาะสักพัก เรียนรู้เรื่องราวในวังเทียนฉือให้มาก รอให้พลังฝีมือถึงขั้นก่อน ค่อยไปท้าทายชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะก็ยังไม่สาย”
หลิวเจี้ยนกล่าว “หากพลังฝีมือยังไม่ถึงขั้น คิดจะเอาชนะศิษย์อัจฉริยะ คงไม่ง่ายขนาดนั้น”
“ข้าเกรงว่าความพ่ายแพ้ อาจทำให้มีแผลใจ เกิดเงามืด ต่อไปจักไม่กล้าท้าทายตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะ กระทั่งเลิกคิดจะเป็นศิษย์อัจฉริยะไปชั่วชีวิต”
“ใต้อาณัติใต้เท้าฉือหล่างมีศิษย์ทั้งสิ้น 7 คน ใช้การได้ 5 คน…แต่เดิมมีแค่ หงเฟย เจ้าเท่านั้นที่ไม่เอาไหน แต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกเจ้าจักได้ถังน้ำมันมาอีกขวด”
(ถังน้ำมัน = ตัวถ่วง)
กล่าวถึงประโยคท้ายย หลิวเจี้ยนก็มองสลับไปมาระหว่างต้วนนหลิงเทียนกับหงเฟย มุมปากไม่ขาดรอยยิ้มแสยะเย้ยหยัน
“ผายลมสุนัขมารดาเจ้า!!”
หงเฟยนั้นโพล่งออกมาด้วยความไม่พอใจ กลับกันด้านต้วนหลิงเทียนเพียงหยีตาลง จากนั้นก็ค่อยๆคลี่ยิ้มบางๆกล่าวว่า “รอให้หวงลู่หนานเอาชนะข้าได้ก่อน ค่อยพูดจะดีกว่า…”
“ข้ากลัวคำพูดเจ้า มันจะย้อนกลับไปตบหน้าเจ้าภายหลัง…”
ต้วนหลิงเทียนพูดจบก็มองจ้องตาหลิวเจี้ยนเขม็ง
“ถูกแล้ว! จะปากดีก็รอให้ต่อยตีจบก่อน!!”
หงเฟยก็โพล่งออกมาอย่างเห็นด้วย
“ย้อนกลับมาตบหน้าข้าเอง?”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หลิวเจี้ยนก็ผงะไปวูบหนึ่ง จากนั้นคลี่ยิ้มย่ามใจออกมาอย่างอดไม่ไหว “เจ้าหนู ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจในตัวเองมากนักนะ…”
“อย่างไรก็ตามศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าวังเทียนฉือมาก็มักจะมั่นใจแบบเจ้า…แต่สุดท้ายพวกมันก็ไม่พ้นถูกทุบตีทำลายความมั่นใจจนย่อยยับ!”
กล่าวจบ สองตาหลิวเจี้ยนก็ทอประกายดุร้าย
WSSTH ตอนที่ 3,268 : เหลยจวิ้นก็มา!
“อา…เช่นนั้นหรือ?”
โดนหลิวเจี้ยนกล่าวปรามาส ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆตอบคำ
“ศิษย์พี่”
ทันใดนั้นเอง ปรากฏชายหนุ่มร่างสูงเพรียวในชุดคลุมสีฟ้าเหินมาแต่ไกล ไม่ทันไรก็พุ่งมาหยุดลงข้างกายหลิวเจี้ยน “ท่านเรียกข้าหรือ?”
“ศิษย์น้อง เจ้าหนูชุดม่วงนี่ก็คือคู่ต่อสู้ของเจ้าวันนี้…ศิษย์ของใต้เท้าจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง ต้วนหลิงเทียน อย่างไรเล่า”
หลิวเจี้ยนเหลือบมองต้วนหลิงเทียนปราดหนึ่ง ค่อยหันกลับมากล่าวคำกับชายหนุ่มชุดฟ้าผู้มาใหม่
ฟังจากคำพูดของหลิวเจี้ยนแล้ว เช่นนั้นชายหนุ่มชุดฟ้าผู้มาใหม่ ก็คือคู่ต่อสู้ในสังเวียนอัจฉริยะของต้วนหลิงเทียนวันนี้ หวงลู่หนาน
หวงลู่หนานเป็นศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุ 200-300 ปีอันดับที่ 10
การประลองในวันนี้ ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนสามารถเอาชนะมันได้ เขาก็จะแทนที่หวงลู่หนาน กลายเป็นอัจฉริยะในช่วงอายุ 200-300 ปีอันดับที่ 10! สำหรับหวงลู่หนานมันก็จะถูกถอดออกจากตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะทันที…
ศิษย์อัจฉริยะนั้น จะได้รับป้ายประจำตัวบ่งบอกฐานะ ป้ายดังกล่าวก็เป็นดั่งใบเบิกทางชั้นยอด สามารถเข้าไปในสถานที่สำคัญที่สามารถส่งเสริมการบ่มเพาะได้หลายอย่าง ศิษย์ธรรมดาๆของวังเทียนฉือไม่อาจเข้าไปได้
นอกจากนั้นด้วยมีป้ายอยู่ ทรัพยากรที่จะได้รับแจกทุกเดือน ยังเป็นอะไรที่สร้างความอิจฉาให้แก่ศิษยธรรมดาๆของวังเทียนฉือเป็นอย่างมาก
สุดท้ายแล้วให้มองไปทั่วทั้งวังเทียนฉือ ก็มีชนชั้นศิษย์อัจฉริยอยู่แค่ 100 คนเท่านั้น…แถมวังเทียนฉือก็เป็นถึงขุมกำลังระดับสวรรค์ ด้วยเหตุนี้การจะช่วงชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือก็ไม่ใช่เรื่องราวอันง่ายดายเลย…
“อ้อ”
ได้ยินคำพูดของหลิวเจี้ยน หวงลู่หนานก็หันไปมองสำรวจต้วนหลิงเทียนทันที เอ่ยถามออกมาเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินมาว่าตอนเจ้าเข้าร่วมการทดสอบ เจ้าถึงกับสามารถสยบผู้ทดสอบขอบเขตพลังจอมราชันอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว 4 ประการได้เช่นนั้นรึ?”
ขณะเอ่ยถาม สองตาของหวงลู่หนานก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง
“ข้อมูลเจ้าแน่นดีนี่”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าหวังว่าพลังฝีมือของเจ้าจักสูงกว่านั้น…หาไม่แล้ววันนี้ข้าคงต้องผิดหวังอย่างแรง”
หวงลู่หนานส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม แม้มันจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนมีพลังสามารถดังกล่าว แต่มันก็ไม่รู้สึกกดดันอะไรเลย
“ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจในตัวเองไม่เบา”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ก็ไม่เท่าไหร่…แต่อย่างน้อยๆก็มากกว่าเจ้าแน่นอน”
หวงลู่หนานกล่าวเกทับด้วยรอยยิ้มถือดี
“โห จริงหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนก็ทำหน้าทำตาเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“นู่น! ผู้อาวุโสตำหนักลองกระบี่มานู่นแล้ว!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงลู่หนานปะทะคารมกันอยู่ เสียงของศิษย์วังเทียนฉือที่อยู่ห่างออกไปไกลๆก็ดังขึ้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนฮ่วนเอ๋อ หงเฟย หลิวเจี้ยนรวมถึงหวงลู่หนานหันไปมองตามต้นเสียงทันที
“เป็นผู้เฒ่าคนนั้นอีกแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนที่เงยหน้าไปชำเลืองมองปราดเดียว ก็จดจำได้ทันทีว่าอาวุโสตำหนักลองกระบี่ที่มา ก็คือชายชราคนเดียวกับเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ทำเรื่องลงทะเบียนท้าชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะให้เขากับฮ่วนเอ๋อ บริเวณหน้าตำหนักลองกระบี่
“หวงลู่หนาน ต้วนหลิงเทียน…พวกเจ้ามาถึงกันแล้วหรือยัง?”
ทันทีที่อาวุโสตำหนักลองกระบี่มาถึง มันก็เหินร่างไปหยุดยังเกาะกลาง ยังอยู่เหนือตำแหน่งที่ตั้งแท่นศิลาที่สลักคำ สังเวียนอัจฉริยะ พลางกล่าวถามออกมาเสียงเรียบ
ถึงแม้เสียงพูดมันจะฟังดูไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่คล้ายมีพลังเวทมนตร์ ทำให้สุรเสียงกังวานเข้าหูทุกคนชัดถ้อยชัดคำ
“ศิษย์น้องไปเถอะ…ข้าเองก็อยากรู้จริงๆ ว่าไอ้หนูนั่นมันมีดีอะไร ไฉนใต้เท้าจักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง ถึงต้องไปรับตัวมันมา”
หลิวเจี้ยนกล่าวกับหวงหลง
ถึงแม้ว่ามันกับหวงลู่หนานจะอยู่ใต้จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือเช่นกัน แต่จักรพรรดิอมตะสมญานามที่เป็นอาจารย์ของมัน กลับมีพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่าฉือหล่างหลายส่วน
และในอดีตหลิวเจี้ยนก็อยากเข้าร่วมด่านของฉือหล่าง กระทั่งกล่าวร้องขอฉือหล่างก็แล้ว แต่สุดท้ายก็โดนปฏิเสธกลับมา
เป็นเพราะสาเหตุนี้ ทำให้มันจงเกลียดจงชังศิษย์อัจฉริยะของฉือหล่างนัก
ไฉนฉือหล่างถึงได้ยอมรับคนที่อ่อนด้อยกว่ามันเป็นศิษย์ แต่ไม่ใช่มัน?
“ขอศิษย์พี่วางใจ และรอดูชมให้ดีเถอะ…ข้าจักให้เจ้านั่นมันซึ้งไปถึงทรวง ว่าศิษย์อัจฉริยะเป็นเช่นไร”
หวงลู่หนานกล่าวเย้ยเยาะออกมาอีกรอบ
และพอเสียงหวงลู่หนานดังจบคำ คนก็คล้ายกลับกลายเป็นลูกไฟ พุ่งไปยังสังเวียนอัจฉริยะที่อยู่เบื้องหน้าอาวุโสตำหนักลองกระบี่เร็วไว
“ท่านผู้อาวุโส”
หลังหวงลู่หนานเหินร่างขึ้นไปยืนบนสังเวียนอัจฉริยะแล้ว มันก็ทักทายอาวุโสตำหนักลองกระบี่ก่อนใดอื่น พร้อมกันนั้นก็สะบัดมือส่งป้ายระบุตัวตนของมันออกไป
ป้ายระบุตัวตนที่ว่า เป็นป้ายระบุตัวตนว่าเป็นศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือ
ป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือจะไม่มีชื่อสลักไว้ แต่มันสามารถจดจำเจ้าของได้ด้วยพันธะโลหิต
เมื่อครู่หวงลู่หนานก็ได้ทำการยกเลิกพันธะโลหิตในป้ายเรียบร้อยแล้ว ค่อยส่งไปให้อาวุโสตำหนักลองกระบี่
แม้ว่าตัวป้ายจะไม่มีชื่อ แต่ก็ยังมีตัวเลขสลักเอาไว้
อย่างเช่นป้ายที่หวงลู่หนานส่งไปเมื่อครู่ ก็มีตัวเลข 200-300 รวมถึงหมายยเลข 10 สลักอยู่…สิ่งนี้บ่งบอกว่าผู้ถือครองป้ายเป็นอัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปีและมีอันดับที่ 10
เรียกว่าในช่วงเวลาเดียวกัน ศิษย์อัจฉริยะแต่ละคน จะมีป้ายประจำตัวแตกต่างกัน ไม่มีใครซ้ำกันแน่นอน
และหากเป็นศิษย์อัจฉริยะคิดต่อสู้ชิงตำแหน่งกัน ผู้แพ้ก็จะเสียป้ายให้ผู้ชนะ ส่วนผู้ชนะก็จะได้ป้ายของผู้แพ้ แลกป้ายกันก็ว่า
ฟุ่บ!
ในขณะที่หวงลู่หนานมอบป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะไปให้อาวุโสตำหนักลองกระบี่ ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างด้วยเคลื่อนมิติไปผุดโผล่บนสังเวียนอัจฉริยะที่หวงลู่หนานรออยู่ก่อนเช่นกัน
เห็นฉากดังกล่าว ฮ่วนเอ๋อก็ใช้เคลื่อนมิติไปหยุดลอยอยู่บริเวณข้างๆสังเวียนอัจฉริยะดังกล่าวทันที มองชมต้วนหลิงเทียนที่กำลังเผชิญหน้ากับหวงลู่หนานด้วยสายตาเชื่อมั่น
“น้องสะใภ้ พลังฝีมือของหวงลู่หนานไม่ใช่ชั่วเลย…เจ้าว่าศิษย์น้องเล็กมีความมั่นใจมากน้อยยเพียงใด?”
หงเฟยที่เหินร่างตามฮ่วนเอ๋อมา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“พี่หลิงเทียนไม่แพ้มันแน่”
ได้ยินคำถามของหงเฟย คำตอบของฮ่วนเอ๋อก็เรีบบง่ายทั้งตรงไปตรงมานัก ทำให้หงเฟยอดสะดุ้งไปไม่ได้
แน่นอนถึงมันจะเห็นว่าฮ่วนเอ๋อมีความเชื่อมั่นในตัวต้วนหลิงเทียนสูงมาก แต่มันคิดว่าเป็นเพราะฮ่วนเอ๋อเชื่อใจต้วนหลิงเทียนมากกว่า ไม่ใช่อิงจากพลังฝีมือที่แท้จริง
‘ถึงแม้อาจารย์จะกล่าวบอกไว้แล้วว่าอย่างศิษย์น้องเล็กต้องชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะมาได้โดยไร้ปัญหา…แต่อย่างไรเสียคู่ต่อสู้ของศิษย์น้องเล็กกลับเป็นหวงลู่หนานศิษย์น้องของหลิวเจี้ยนผู้นั้น…’
หงเฟยไม่เชื่อคำพูดของฮ่วนเอ๋อได้ แต่ไม่อาจไม่เชื่อคำพูดของฉือหล่าง อย่างไรก็ตามถึงมันจะเชื่อฉือหล่าง แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยอยู่บ้าง
‘ช่างเถอะ…ก็แค่รอดูกันไป ตราบใดที่ศิษย์น้องเล็กเอาชนะหวงลู่หนานนั่นได้ ก็จะได้รับสถานะศิษย์อัจฉริยะทันที…ถึงตอนนั้นข้าอยากจะเห็นนัก ว่าหน้าเจ้าหลิวเจี้ยนนั่นมันจะบูดเป็นตูดหมึกเพียงใด…’
พอคิดถึงจุดนี้ หงเฟยก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลิวเจี้ยน จากนั้นมุมปากก็เริ่มยกยิ้มแสยะขึ้นมา
“มายิ้มหน้าโง่อะไรของเจ้าหงเฟย นี่เจ้าคงมิใช่กำลังฝันกลางวัน ว่าศิษย์น้องของเจ้าจะเอาชนะศิษย์น้องของข้าได้อยู่หรอกนะ?”
เห็นสีหน้าทั้งรอยยิ้มเย้ยเยาะของหงเฟย หลิวเจี้ยนย่อมคาดเดาได้ออกวว่าหงเฟยคิดอะไรอยู่
“หลิวเจี้ยน ขอให้เจ้าทำหน้าระรื่นแบบนั้นไปได้ตลอดเถอะ!”
พอกล่าวสวนไปจบคำ หงเฟยก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางอื่นนอกจากเชื่อมั่นพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนแล้ว เพราะหากต้วนหลิงเทียนแพ้ ต่อไปมันคงยากจะสู้หน้าหลิวเจี้ยนได้อีก เพราะอีกฝ่ายไม่พ้นกล่าวถล่มมันด้วยเรื่องนี้ไม่เลิกแน่…
ขณะเดียวกัน เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่มาชมดูเรื่องราวก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นเอง อาวุโสตำหนักลองกระบี่ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการประลองที่ลอยเหนือแท่นศิลาสลักคำสังเวียนอัจฉริยะก็หันมองไปทิศทางหนึ่ง ทำให้หลายๆคนหันมองตามสายตาของมันไปทันที
“นั่นเหลยจวิ้นมิใช่หรือ!?”
“เป็นศิษย์พี่เหลยจวิ้นจริงๆ!”
“ศิษย์พี่เหลยจวิ้นเป็น 1 ใน 3 ศิษย์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วอายุ 800-900 ปี…ไม่เพียงแต่ด่านพลังจะทะลวงถึงจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้วเท่านั้น แต่ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ถึง 7 ประการแล้วด้วย!!”
“ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ศิษย์พี่เหลยจวิ้นยังเป็นลูกชายคนเดียวของจักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือเรา!”
…
เหลยจวิ้นนั้นแม้จะมองเทียบกับศิษย์อัจฉริยะทั้ง 100 คน แต่มันก็นับว่าเป็นตัวตนระดับแนวหน้า ที่สำคัญนอกจากพลังฝีมือแล้ว ความเป็นมาของมันยังน่าทึ่งอีกด้วย!
อย่างไรก็ตามหลายคนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดคำถามข้อหนึ่งในใจ…
ไฉนเหลยจวิ้นถึงมาที่นี่ได้?
ว่ากันตามตรง การประลองระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหวงลู่หนาน ไม่สมควรอยู่ในสายตาเหลยจวิ้นเลย ไร้สำคัญเสียจนไม่มีวันดึงดูดเหลยจวิ้นได้แน่!
“นายน้อย”
เห็นเหลยจวิ้นเหินร่างเข้ามา อาวุโสตำหนักลองกระบี่ก็ทำความเคารพด้วยท่าทีสุภาพ เพราะมารดาของเหลยจวิ้นก็เป็นถึงจ้าวตำหนักลองกระบี่ มันย่อมไม่กล้าละเลยท่าทีต่อเหลยจวิ้นเป็นธรรมดา
“อาวุโสฉิน ท่านทำงานอยู่ อย่าได้สนใจข้าเลย”
พอเหลยจวิ้นกล่าวจบคำ ร่างมันก็เหินไปหยุดลอยใกล้ๆฮ่วนเอ๋อ พลางยิ้มทักทายอย่างอบอุ่น “ศิษย์น้องหญิง 3”
“ศิษย์พี่รอง”
เนื่องจากเหลยจวิ้นช่วยออกหน้าให้นางวันก่อนตอนเผชิญหน้ากับหลิงหูหยวน ฮ่วนเอ๋อจึงมีความประทับใจอันดีต่อเหลยจวิ้นอยู่บ้าง เมื่อเห็นอีกฝ่ายทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นางจึงหันไปพยักหน้าทักอีกฝ่ายเบาๆ
“ศิษย์น้องหญิง 3 ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปลงทะเบียนท้าชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะมาหรือ? แล้วเจ้าจะขึ้นประลองเมื่อใดเล่า?”
ในขณะที่กล่าวถามฮ่วนเอ๋อ ใบหน้าเหยจวิ้นเต็มไปด้วยรอยยยิ้มอันสดใสนัก
“อีก 7 วันหลังจากนี้”
ฮ่วนเอ๋อก็ตอบกลับ
อย่างไรก็ตามการตอบกลับครั้งนี้ของฮ่วนเอ๋อ กระทั่งหางตานางยังไม่มองเหลยจวิ้น สองตานางเพียงจ้องมองไปยังร่างในชุดสีม่วงบนสังเวียนเขม็ง ราวกับโลกทั้งใบในสายตานาง คงเหลือแต่เพียงชายหนุ่มชุดม่วงคนเดียว
เห็นฮ่วนเอ๋อเป็นแบบนี้ สีหน้าเหลยจวิ้นก็มืดลงทันที และหลังมองตามสายตาฮ่วนเอ๋อไปจนเห็นร่างในชุดสีม่วงบนสังเวียน ลึกลงไปในแวววตาของมันก็ฉายให้เห็นถึงเจตนาฆ่าฟันอย่างไม่อาจกักเก็บ!
ศิษย์น้องหญิง 3 ผู้นี้ มันตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็น
ถึงแม้อีกฝ่ายจะสวมผ้าคลุมหน้าปกปิดเอาไว้ แต่ก็ทำให้ใจมั่นสั่นระรัว…อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คือ ข้างกายนางดันมีบุรุษอยู่แล้ว!
แน่นอนถึงมันจะรู้ดีว่าไม่พ้นศิษย์น้องหญิง 3 ต้องหลงรักบุรุษผู้นั้น แต่มันก็ไม่ได้แยแสอะไรมากนัก เพราะมันมองออกว่าศิษย์น้องหญิง 3 คนนี้ยังเป็นสตรีพรหมจรรย์ บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับบุรุษที่ว่าไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากนัก…
ทำให้มันจึงรู้สึกว่าตัวเองยังมีโอกาสอยู่
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมันต้องทำให้ศิษย์น้องหญิง 3 เปลี่ยนความชมชอบที่มีต่อบุรุษชุดม่วงนามต้วนหลิงเทียนนั่นมาเป็นมัน!
‘ต้วนหลิงเทียน เจ้ากับข้าพวกเราไม่มีความแค้นความบาดหมางต่อกันก็จริง…แต่หากเจ้าจะโทษก็โทษที่เจ้าดันเป็นคนในใจฮ่วนเอ๋อเถอะ’
เหลยจวิ้นมองไปยังต้วนหลิงเทียนเขม็ง ในใจบังเกิดจิตฆ่าฟันใหญ่แล้ว
“อัยยะ ที่แท้ศิษย์พี่เหลยจวิ้นมิได้มาชมดูการประลองอันใด…สมควรมาเพราะแม่นางผู้นั้นมากกว่า”
“นี่เรียกว่าร่ำสุราแต่มิได้มุ่งเน้นไปที่รสชาติสุรา…อย่างไรก็ตามนับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ข้าเห็นศิษย์พี่เหลยจวิ้นปฏิบัติกับสตรีเช่นนี้”
…
เหล่าศิษย์ของวังเทียนฉือหลายคนสังเกตเห็นท่าทีของเหลยยจวิ้นที่มีต่อฮ่วนเอ๋อ ทำให้พวกมันก็อดแปลกใจไม่ได้
“เริ่มได้”
จนเมื่อเสียงให้สัญญาณเริ่มการประลองของอาวุโสตำหนักลองกระบี่ดังขึ้น ทุกคนจึงเบนความสนใจกลับมาอยู่บนลานประลอง และจดจ่อไปยังต้วนหลิงเทียนกับหวงลู่หนานอีกครั้ง
“ต้วนหลิงเทียนสินะ? ข้าจักให้เจ้าได้รู้ ว่าการที่เจ้าท้าทายข้า มันเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงเพียงใด!”
หวงลู่หนานมองเย้ยต้วนหลิงเทียน
“ป้อนกระบวนท่าเถอะ”
เผชิญกับวาจาเย้ยหยันและความมั่นใจถึงขีดสุดของงหวงลู่หนาน ต้วนหลิงเทียนยังแลดูสงบไม่นำพา เอ่ยออกไปเสียงเฉยว่า “หากเจ้าไม่ลงมือก่อน ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่มีแม้แต่โอกาสลงมือ…”
WSSTH ตอนที่ 3,269 : ได้รับตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะ
“อวดดี!”
วาจาสวนกลับของต้วนหลิงเทียน นับว่าทำให้หวงลู่หนานหัวร้อนขึ้นมาทันที ทั่วร่างของมันปรากฏเพลิงพลังลุกโชนไปทั่ว คล้ายคนถูกไฟคลอกก็ไม่ปาน!
กฏที่หวงลู่หนานเชี่ยวชาญคือกฏแห่งไฟ
นอกจากนั้นด่านพลังของหวงลู่หนานก็บรรลุถึงจอมราชันอมตะ 6 ผสานแล้ว ยังสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ 5 ประการอีกด้วย ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้สึกว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนทำในการทดสอบคัดเลือกศิษย์ ตัวมันเองก็สามารถทำได้ง่ายๆ
“ต้วนหลิงเทียน วันนี้ข้าจะให้เจ้าสำนึก ว่าความน่าเกรงขามของศิษย์อัจฉริยะเป็นเช่นไร และมิใช่อะไรที่คนอย่างเจ้าสามารถล่วงเกินได้!!”
ขณะที่หวงลู่หนานตะโกนออกมาเสียงเย็น คนก็คล้ายกลับกลายเป็นลูกไฟ พุ่งตัดอากาศไปฉับไว ทิ้งถนนเปลวเพลิงเอาไว้เบื้องหลัง! เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่มาชมดูเรื่องราวทั้งหลาย ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายร้อนลวกอันร้ายกาจของหวงลู่หนานชัดเจน!!
“หวงลู่หนานแม้จะเป็นอันดับที่ 10 ของศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปี แต่พลังฝีมือของมันมิได้ด้อยไปกว่าคนอันดับกลางๆเลย!”
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว…พวกเจ้าอย่าได้ลืมไปว่าหวงลู่หนานไม่ใช่อยู่อันดับที่ 10 ตลอด แต่ปกติมันมักจะไต่ขึ้นไปถึงอันดับที่ 6! แค่มันปิดด่านบ่มเพาะนานไป จนถูกถอดถอนสถานะเท่านั้น”
“หวงลู่หนานช่างแข็งแกร่งจริงๆ เจ้านั่นคิดจะชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะ เห็นทีคงจะยากแล้ว…”
…
เมื่อเห็นการลงมือของหวงลู่หนาน ศิษย์วังเทียนฉือก็จ้อกันดังระงม
อย่างไรก็ตาม พริบตาต่อมาใบหน้าพวกมันก็ชะงักค้างเติ่งไปเสียอย่างนั้น
กึงงง! ฟู่มมม!!
เพราะท่ามกลางสายตาของทุกคนนั้น หวงลู่หนานที่ห้อเหยียดเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยพลังสภาวะแกร่งกร้าว คล้ายพุ่งชนอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น! ร่างคนทั้งคนพลันงชะงักค้างไปกลางหาวตัวสั่นไปเบาๆ ราวกับมันจะฝ่าไปเบื้องหน้าแต่ทำไม่ได้!!
หลังจากนั้นมันก็คิดจะล่าถอยไปทางอื่น แต่จะไปทางไหนก็ติดแหง็ก ไร้หนทาง
“เหอะ! คิดว่าความลึกซึ้งกักกันของเจ้าจะขังข้าเอาไว้ได้ตลอดรึไร!?”
หวงลู่หนานต้วนหลิงเทียนที่อยู่ไกลๆ แค่นยิ้มหน้าเย็น เห็นได้ชัดว่ามันเองก็รู้ว่าต้วนหลิงเทียนใช้ความลึกซึ้งกักกันของกฏมิติเพื่อสร้างกรงมิติกักขังร่างมันกลางอากาศ
ปง! บรึม! บรึม! บรึม! บรึม!
…
เสียงปะทุระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวไม่หยุด เพลิงพลังเกรี้ยวกราดอานุภาพไม่ใช่ชั่วปะทุพวยพุ่งออกจากร่างหวงลู่หนาน โถมถล่มเข้าใส่อากาศว่างเปล่ารอบกายราวมรสุมคลั่ง!
ท่ามกลางทุกสายตา หลังพลังเพลิงของหวงลู่หนานถูกปลดปล่อยสาดโถมออกไปโดยยรอบ ทุกคนก็เริ่มแลเห็นแล้วว่าหวงลู่หนานถูกกักขังอยู่ในกรงลูกบาศน์หนึ่ง และเพลิงที่เคี่ยวกรำพื้นที่ผิวของกรงลูกบาศก์ดังกล่าว ก็ปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา ราวกับจะปะทุระเบิดได้ทุกเมื่อ
“ให้ตายเถอะ กรงมิติของต้วนหลิงเทียน สามารถต้านทานการโจมตีของหวงลู่หนานได้นานขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ไม่แปลกใจเลยที่ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้หาญกล้าท้าทายตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะทันที ที่แท้มันมีพู่กันสองด้ามจริงๆ”
(พู่กันสองด้าม = มีความสามารถมากกว่าที่คิด)
“อย่างไรก็ตาม ข้าดูทรงแล้ว หวงลู่หนานคิดจะทำลายกรงมิตินั่นก็ไม่นับว่ายากเย็นมากมายอะไร ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น…”
…
ในขณะที่มีบางคนกล่าวเรื่องนี้ออกมา หวงลู่หนานก็สามารถหลุดพ้นออกจากกรงมิติของต้วนหลิงเทียนได้พอดี ใบหน้ามันเริ่มฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มย่ามใจอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ยิ้มย่ามใจของมันคงอยู่ได้ไม่ทันไร ก็ชะงักค้างแข็งเติ่งไปอีกรอบ
เพราะบัดนี้มันพบว่าต้วนหลิงเทียนที่เคยอยู่เบื้องหน้า ได้อันตรธานหายไปแล้ว! สีหน้ามันเปลี่ยนไปเร็วไว เพลิงพลังทั่วร่างพลันลุกโหมขึ้นมาอยย่างร้อนแรงาปานจะแผดเผาทุกสรรพสิ่ง จากนั้นก็แผ่พุ่งออกไปด้านหลังดั่งไฟลามทุ่ง
เพลิงที่แผ่ขยายลุกลามว่องไวดังกล่าว พริบตาก็ม้วนวนรวมก่อเกิดเป็นมังกรไฟตัวใหญ่ เข่นฆ่าทำลายออกไปด้วสภาวะพลังเกรี้ยวกราด!
ทำราวกับด้านหลังของมันมีศัตรูชั่วชีวิตของมังกรไฟดำรงอยู่
“นี่เต็มที่ เจ้าได้แค่นี้รึ?”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ร่างต้วนหลิงเทียนที่ใช้เคลื่อนมิติวูบมาปรากฏตัวเบื้องหลังหวงลู่หนาน เพียงยกมือขึ้นสะบัดตบออกไปส่งๆปานโบกปัดแมลงวัน หากแต่พลังมิติอันน่าพรั่นพรึงสีเทาขุมหนึ่ง ได้ม้วนกลืนมังกรไฟตัวเขื่องของหวงลู่หนานหายไปในหนึ่งคำ!
ปงงงง!!
หลังมังกรไฟถูกพลังมิติโถมถล่มจนพินาศ เสียงระเบิดหนึ่งก็ดังขึ้นถนัดถนี่ เป็นหวงลู่หนานถูกพลังฝ่ามือที่หลงเหลืออยู่ของต้วนหลิงเทียนซัดกระแทกเข้ากลางหลังจากจัง คนกระเด็นปลิวถลาไปเบื้องหน้าด้วยท่าทางน่าขบขัน ราวจะแอ่นพุงพุ่งปะทะ!
อ่างไรเสียภาพน่าหัวร่อเพียงปรากฏไม่นาน คนก็ขืนร่างให้หยุดลงกลางหาวได้สำเร็จ แต่ทว่าต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างข้ามมิติมาปรากฏตัวเบื้องหน้ามันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ!
ผัวะ!!
ขาขวาสะบัดไปฉับไวปานแส้ เตะซัดเข้าปลายคางของหวงลู่หนานเต็มข้อ จนคนหน้าหงายร่างลอยโด่งไปราวลูกบอล
ตูมมม!!
เสียงดังถนัดถนี่ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นต้วนหลิงเทียนที่เคลื่อนย้ายข้ามมิติมาปรากฏกายเหนือฟ้า ก่อนจะตอกส้นลงกลางกระหม่อมหวงลู่หนาน จนคนม้วนลังกากลางหาวร่วงฟ้าไปอยู่หลายรอบ!
ปง! ตูม! ผัวะ! ตูม!!
…
ไม่ว่าหวงลู่หนานจะพยายามเพียงใด แต่สุดท้ายหลังจากที่เห็นต้วนหลิงเทียนวูบร่างมาเตะเสยปลายคางมันจนลอยโด่งครั้งแรกแล้ว ไม่เพียงมันจะไม่เห็นตัวต้วนหลิงเทียนอีกเลย กระทั่งพลังที่เร่งเร้าคิดแข็งขืนร่างเพื่อตั้งหลัก ก็ไม่อาจใช้ออก! เนื่องเพราะทุกการโจมตีของต้วนหลิงเทียน ได้แผ่พุ่งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเข้ามาทำลายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของมันเสมอ!!
ความเร็วในการรวมรั้งพลังใช้ออกของต้วนหลิงเทียน มันรวดเร็วสุดที่หวงลู่หนานจะเทียบได้จริงๆ ทำให้มันรู้สึกอับจนหนทาง ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่บ้าง
‘ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้!?’
หัวใจหวงลู่หนานร่ำร้องไปด้วยความไม่ยินยอมแล้ว
เกรงว่ากระทั่งหลับมันก็คงไม่อาจฝันถึง ว่าต้วนหลิงเทียนมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย เช่นนั้นความเร็วในการโคจรรวมรั้งพลัง ย่อมเหนือล้ำสุดที่ตัวมันจะต้านทานเทียบติด และให้มองทั่วระนาบเทวโลก ในขอบเขตพลังเดียวกัน เกรงว่าจะมีแต่คนที่มีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายเหมือนต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ที่มีความเร็วในการรวมรั้งพลังพอจะเทียบกับต้วนหลิงเทียนได้
“เอ่อ…ไฉนเรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า?”
“บ้าไปแล้ว นี่หวงลู่หนานมันถึงกับโดนต้วนหลิงเทียนเตะจนไม่อาจลงมือตอบโต้ได้เลยเหรอ?”
“ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นไปได้…มันจะไม่มีพลังต่อต้านได้อย่างไร? หรือมันอ่อยให้ต้วนหลิงเทียน?”
“อ่อยอะไร? เช่นนี้ข้าว่าล้มมวยแล้ว!!”
…
เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่ชมดูเรื่องราวอยู่รอบๆ ย่อมไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ในร่างของหวงลู่หนานตอนนี้ ในสายตาของพวกมันจึงไม่ต่างอะไรกับหวงลู่หนานจงใจอ่อนข้อให้ต้วนหลิงเทียน
“ช้าก่อน! หากมันจงใจอ่อนข้อให้ต้วนหลิงเทียนได้ชัยจริงๆ มิสู้มันยอมแพ้หรือเลือกจะปฏิเสธรับคำท้าโดยอ้างว่าปิดด่านอะไรแต่แรกไม่ดีกว่าหรือ?”
“นั่นน่ะสิ หากพวกมันมีข้อตกลงล้มมวยกันจริง ไฉนไม่ทำให้ดีกว่านี้ จะมายอมทนรับบาทาไร้เงาให้อับอายขายหน้าผู้คนเช่นนั้นทำอะไร?”
…
สารรูปหวงลู่หนานที่ถูกต้วนหลิงเทียนอัดจนกระเด้งไปกระเด้งมา ถึงขั้นไม่อาจเห็นตัวคนลงมือได้เลย มันน่าอับอายเกินไป หลายคนยังอดส่ายหน้าไม่ได้ เพราะหากเป็นพวกมัน ป่านนี้คงรีบยอมแพ้ไปนานแล้ว
“ฮ่าๆๆๆๆ….!!”
หงเฟยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า สองตาที่หยี่จนแทบปิดของมันมองจ้องไปยังหลิวเจี้ยนที่อยู่ไม่ไกล พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยถึงขีดสุด “อั้ยหยา ซี้เลี้ยวอ่า! หลิวเจี้ยนเอย…ศิษย์น้องของเจ้าผู้นี้เจ้าสังสอนมาอย่างไร? ทีหลังไม่ไหวอย่าได้บอกไหวเล่า! จึกๆๆ อ่อนหัดเสียจนโดนเตะเด้งไปเด้งมาเช่นนี้ ทำให้ศิษย์น้องข้าดูเป็นคนร้ายชอบทารุณกรรมผู้คนไปเลย แย่ๆ…”
“ข้าว่าวันหน้าอย่าได้เรียกหามันว่าหวงลู่หนานอีกเลย มิสู้เรียกมันว่า ‘หวงเสี่ยวเฉียง’ เป็นไร? เพราะมันแลดูมันมีพลังชีวิตเหลือล้นทนมือทนตีนผู้คนดียิ่ง!”
(เสี่ยวเฉียง = แมลงสาบ)
ตอนนี้หงเฟยเสมือนวายร้ายไม่มีผิด
ด้านหลิวเจี้ยนพอได้ยินเสียงถล่มเย้ยเยาะของหงเฟย สีหน้ามันก็มืดดำจนแทบจะคั้นได้เป็นหยดน้ำหมึก และเมื่อเห็นว่าหวงลู่หนานยังคงโดนต้วนหลิงเทียนเตะอัดเด้งไปเด้งมาไม่หยุด หน้ามันก็คล้ายจะทาทับไปด้วยหมึกแล้วจริงๆ สุดท้ายก็ตะโกนออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว “พอได้แล้ว!!”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสนใจมันสักคน…
ในเมื่อหวงลู่หนานยังไม่เอ่ยคำยอมแพ้ เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะเตะ ‘นวด’ มันไปเรื่อยๆ
อันที่จริงไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนตั้งใจจะทรมาณหวงลู่หนานแบบนี้ แต่ทว่าเนิ่นนานมาแล้วที่เขาไม่ได้ออกเรี่ยวออกแรง เพราะหลังๆมาเขาก็ได้แต่ปิดด่านฝึกฝน ไม่ได้ออกแรงลงมืออะไรเลย พอมีโอกาสได้ลงมือทั้งที ก็เสมือนเด็กน้อยพึ่งหัดพูด พอพูดได้ก็จ้อไม่หยุด…
‘สะใจจริงๆ’
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสดชื่นทั้งกระชุ่มกระชวยนัก เรียกว่าได้ยืดเส้นยืดสายอีกครั้งในรอบหลายปี เช่นนั้นเขาจึงไม่ได้ลงมือทำร้ายหวงลู่หนานอะไรมากมาย เพียงควบคุมใช้พลังอย่างแยบคาย ทำให้หวงลู่หนานได้รับบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น
เรียกว่าตั้งแต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมด เขาก็ไม่เคยได้ลงมือลงไม้แบบนี้เลย ย่อมทำให้เขารู้สึกสดชื่นทั้งปลอดโปร่งจริงๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับความสดชื่นทั้งกระชุ่มกระชวยของต้วนหลิงเทียน ด้านหวงลู่หนานนั้นรู้สึกเสมือนตัวติดแหง็กอยู่ในช่องแคบก็ไม่ปาน…
หากมันโดนต้วนหลิงเทียนซัดจนบาดเจ็บมาก ป่านนี้มันยอมแพ้ไปแล้ว
แต่เพราะมันพบว่าทุกครั้งที่ต้วนหลิงเทียนอัดมัน ก็เพียงส่งพลังที่เหนือชั้นกว่ามาทำลายสลายพลังที่มันพึ่งรวมรั้งเท่านั้น ทำให้มันแค่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาจี๊ดหนึ่ง แต่ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไร มันจึงไม่ได้โพล่งคำยอมแพ้ออกมา
ตอนนี้มันถูกต้วนหลิงเทียนกดดันและครอบงำโดยสมบูรณ์
ในใจของมันแน่นอนว่าอยากพลิกสถานการณ์อย่างยิ่งยวด และขอแค่มันได้มีโอกาสลงมือสู้กับต้วนหลิงเทียนตรงๆอีกสักครั้ง มันจะลงมือเต็มกำลัง หากพบว่าสู้ไม่ได้จริงๆ มันถึงจะกล่าวยอมแพ้ได้อย่างเต็มปาก
อนิจจาหลังผ่านไปอยู่นาน ยิ่งมาการควบคุมพลังของต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งแยบคายมากขึ้น หวงลู่หนานรู้สึกสิ้นหวังโดยสมบูรณ์ กอปรกับหลิวเจี้ยนส่งเสียงผ่านพลังมาบอกให้มันยอมแพ้ไม่หยุด มันก็ได้แต่กล่าวยอมรับความพ่ายแพ้ออกมาเท่านั้น “ข้ายอมแพ้!”
“อะไร? แค่นี้ก็ยอมแพ้แล้ว?”
พอเห็นหวงลู่หนานกล่าวยอมแพ้ออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วด้วยความเสียดายอยู่บ้าง
“ต้วนหลิงเทียน นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุ 200-300 ปี อันดับที่ 10!”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่ยกมือขึ้นโบกเบาๆ ป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะก็ลอยมาหยยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็กล่าวประกาศออกมาอย่างเป็นนทางการ
พอกล่าวจบคำ มันก็เตือนให้ต้วนหลิงเทียนหยดเลือดเพื่อให้ป้ายยอมรับนายใหม่
“เอาล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนรับคำเบาๆ จากนั้นก็จิกนิ้วหลั่งเลือดหยดหนึ่ง สร้างพันธะโลหิตครองป้ายเรียบร้อย
เหล่าศิษย์วังเทียนฉือโดยรอบก็ไม่ได้แลดูแปลกใจอะไรกับผลลัพธ์เบื้องหน้าอีกต่อไป เพราะตั้งแต่ที่มันเห็นต้วนหลิงเทียนอัดหวงลู่หนานอยู่ฝ่ายเดียว พวกมันก็เดาผลลัพธ์นี้ได้ออกแต่แรก
เมื่อจบเรื่องราวแล้ว ผู้อาวุโสตำหนักลองกระบี่ก็เตรียมตัวจะเหินร่างกลับ
เป็นธรรมด่าวาก่อนที่มันจะกลับ มันก็ไม่ลืมหันไปประสานมืออำลาเหลยจวิ้นรวมถึงฮ่วนเอ๋อก่อน เพราะอย่างไรเสียทั้งคู่ก็คือศิษย์ของ เหลยอิง จ้าวตำหนักลองกระบี่ของมัน กระทั่งเหลยจวิ้นยังเป็นลูกชายคนเดียวของนาง เรียกว่าเป็นนายน้อยของพวกมันก็ว่าได้
“อาวุโส!”
อย่างไรก็ตามในขณะที่ผู้อาวุโสกำลังจะเหินร่างจากไป ต้วนหลิงเทียนที่ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ออก ก็กล่าวรั้งตัวอีกฝ่ายเอาไว้เสียก่อน
“หืม?”
ด้วยรู้ว่าต้วนหลิงเทียนสนิทสนมกับฮ่วนเอ๋อ อาวุโสตำหนักลองกระบี่จึงปฏิบัติต่อต้วนหลิงเทียนด้วยความสุภาพเช่นกัน “ต้วนหลิงเทียน เจ้ามีอะไรงั้นหรือ?”
“อาวุโส หลังข้าได้ป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปีของหวงลู่หนานมา และกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะคนใหม่ อันดับที่ 10 แล้ว…เช่นนั้นหากตอนนี้ข้าคิดจะท้าทายศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุ 200-300 ปีคนอื่นเล่า ข้าสามารถท้าทายอันดับที่สูงกว่าได้ตามใจหรือไม่ หรือต้องท้าทายไต่อันดับไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“หากเจ้าคิดจะท้าทายชิงอันดับที่สูงขึ้น เจ้าไม่อาจท้าทาย 3 อันดับแรกได้ สามารถท้าทายได้แต่ผู้ที่ไม่ใช่ 3 อันดับแรกเท่านั้น…แม้แต่คนที่อยู่ในอันดับที่ 5 ก็ไม่อาจท้าทาย 3 อันดับแรกโดยตรงได้…”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่กล่าวตอบ “ตอนนี้ในบรรดาศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปี เต็มที่เจ้าก็ท้าทายได้แค่อันดับที่ 4 เท่านั้น”
“จนเมื่อเจ้าเอาชนะอันดับที่ 4 ได้แล้ว เจ้าถึงจะมีสิทธิ์ท้าทายอันดับที่ 3…นอกเหนือจากวิธีนี้เจ้าไม่อาจท้าทายอันดับที่ 3 ได้อีก”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่กล่าวตอบชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่มีทางอื่นอีกแล้วหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคร้านจะท้าทายและรอต่อสู้กับคนหลายๆคนเพื่อคว้าอันดับ 1 ในช่วงอายุ 200-300 ปี เขาอยากจะท้าสู้แล้วเอาชนะไต่ให้ถึงอันดับ 1 เร็วๆ
เพราะมีเพียงแต่เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ในรุ่นเท่านั้น ฐานะของเขาในวังเทียนฉือถึงจะสูงขึ้นทันตาเห็น
ถึงตอนนั้น คิดจะช่วยหาเบาะแสบิดามารดาฮ่วนเอ๋อ ต้องสะดวกกว่าแน่
“อะไร? ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้าคิดจะท้าชิง 3 อันดับแรกเช่นนั้นรึ?”
หลิวเจี้ยนที่กำลังจะเหินร่างจากไปพร้อมหวงลู่หนาน เผยรอยยิ้มเยียบเย็นออกมาทันทีหลังได้ยินต้วนหลิงเทียนถามเรื่องดังกล่าวจากอาวุโสตำหนักลองกระบี่ “โดยปกติแล้ว อยู่ๆเจ้าคิดจะท้าทาย 3 อันดับแรกเลย มันย่อมเป็นไปไม่ได้ตามธรรมชาติ….”
“แต่เจ้าสามารถท้าข้าได้! จากนั้นถ้าเจ้าสู้เอาชนะข้าได้ อย่าว่าแต่ศิษย์อัจฉริยะ 3 อันดับแรกของช่วงอายุเจ้าเลย ต่อให้เจ้าคิดท้าทายอันดับที่ 1 ทันที เจ้าก็ทำได้!”
พอหลิวเจี้ยนกล่าวจบคำ มุมปากมันก็ยกยิ้มแสยะราวกับจะประชดประชันออกมา
WSSTH ตอนที่ 3,270 : ศึกเป็นตาย!
“หืม?”
พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของหลิวเจี้ยน ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็หันไปมองอาวุโสตำหนักลองกระบี่ทันที
ด้านอาวุโสตำหนักลองกระบี่เอง พอได้ยินสิ่งที่หลิวเจี้ยนเอ่ยออกมาลูกตามันก็หรี่ลง และเมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนหันมามองด้วยสายตาสงสัย มันก็เลยตอบกลับไปอย่างทันท่วงที
“นอกจากศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 900-1,000 แล้ว หากศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุใดคิดจะท้าทายศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุเดียวกันแบบข้ามขั้น ก็จำต้องผ่านเงื่อนไขประการหนึ่งเท่านั้น…นั่นก็คือการท้าประลองศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุที่สูงกว่าตัวเอง และเอาชนะการประลองให้ได้เสียก่อน”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่กล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด “เพราะตราบใดที่เจ้าเอาชนะได้ เจ้าก็จักมีสิทธิ์ท้าประลองข้ามขั้น ทำให้สามารถท้าอัจฉริยะ 3 อันดับแรกรวมถึงอันดับที่ 1 ของช่วงอายุเจ้าได้ทันที”
“ยิ่งไปกว่านั้น การท้าทายในลักษณะนี้ อีกฝ่ายมิอาจปฏิเสธได้”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่กล่าวถึงจุดนี้ มันก็เหลือบมองไปทางหลิวเจี้ยนพลางกล่าวออกมาสืบต่อ “และศิษย์อัจฉริยะที่แพ้พ่ายศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุที่ต่ำกว่า ไม่เพียงแต่จะต้องมอบป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะในมือให้ไปเท่านั้น แต่ตลอด 100 ปีหลังจากที่แพ้ ก็จะสูญเสียโอกาสเป็นศิษย์อัจฉริยะไปโดปริยาย”
“เพราะจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปลงทะเบียนท้าประลองศิษย์อัจฉริยะที่ตำหนักลองกระบี่อีก”
ทั้งหมดทั้งมวล อาวุโสตำหนักลองกระบี่ล้วนกล่าวออกมารวดเดียวจบคำ
“ว่าไงเล่าต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดจะท้าข้าสู้รึเปล่า?”
หลิวเจี้ยนคลี่ยิ้มสดใสนัก
“ศิษย์น้องเล็ก อย่าได้สนใจวาจาผายลมของมัน!!”
ทันใดนั้นเอง พอหงเฟยเห็นสายตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองหลิวเจี้ยน มันก็หน้าเปลี่ยนสีทันที รีบโพล่งขัดออกไปเร็วไว ราวกับกลัวต้วนหลิงเทียนจะบ้าจี้กล่าวท้าทายหลิวเจี้ยนขึ้นมาจริงๆ
“ต้วนหลิงเทียน…”
ขณะเดียวกัน อาวุโสตำหนักลองกระบี่ก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนต่อว่า “การท้าทายอย่างที่ข้าพึ่งกล่าวไปเมื่อครู่ ในเมื่อหากท้าทายยสำเร็จจะทำให้ฝ่ายหลังเสียโอกาสเป็นศิษย์อัจฉริยะไปถึงร้อยปี…เช่นนั้นการท้าทายเช่นนี้ จึงเป็นการประลองเป็นตาย!”
“นอกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวยอมรับความพ่ายแพ้ออกมา อีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องหยุดมือ…และถ้ามิมีเวลากล่าวคำยอมแพ้ ต่อให้ถูกเข่นฆ่าจนตายตกไป ผู้ที่ลงมือสังหารก็จะไม่มีความผิดใดๆทั้งสิ้น”
“นี่เป็นกฏของวังเทียนฉือเรา”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่ค่อยๆกล่าวรายละเอียดออกมาอย่างอดทน
“ประลองเป็นตาย?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็หันไปมองจ้องหลิวเจี้ยนพลางถาม “ทำไม? หลิวเจี้ยนเจ้า…อยากฆ่าข้ารึ?”
หลิวเจี้ยนหัวเราะเยาะเย้ย กล่าวว่า “ทำไม? หรือเจ้ากล้าพอจะท้าทายข้า?”
พอกล่าวจบคำ ปากหลิวเจี้ยนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันระคนดูแคลนถึงขีดสุด!
“ศิษย์น้องเล็ก ในเมื่อเจ้าได้ป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะมาแล้ว พวกเราก็กลับกันเลยเถอะ”
หงเฟยหันไปกล่าวชวนต้วนหลิงเทียนอีกรอบ มันกลัวใจจริงๆ ว่าศิษย์น้องเล็กของมันจะหัวเสียจนพลั้งปากกล่าวท้าหลิวเจี้ยนออกไป เพราะเท่าที่มันเห็นศิษย์น้องของมันผู้นี้ก็นิ่งอย่างที่เห็นซะที่ไหน!
หาไม่แล้วอีกฝ่ายคงไม่ทำให้หวงลู่หนานตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชแบบนั้นหรอก!
‘เจ้าต้วนหลิงเทียนนี่จะทำอย่างไร…’
เหลวจวิ้นที่อยู่ไม่ไกลฮ่วนเอ๋อ หยีตามองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ และมันก็หวังว่าต้วนหลิงเทียนจะเลือกท้าทายหลิวเจี้ยน และถูกหลิวเจี้ยนฆ่าทิ้งไปให้จบๆ
แต่มันรู้ดี ว่าเรื่องพรรค์นั้นคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้
เพราะตามธรรมชาติแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะกล้าท้าทายหลิวเจี้ยน เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับเอาคอไปพาดเขียงด้วยตัวเอง
หลิวเจี้ยนจะอย่างไรก็เป็นศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุ 600-700 ปี ด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 8 ชะตา แถมเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ไปแล้ว 6 ประการ พลังความแข็งแกร่งของมัน ไม่ใช่อะไรที่หวงลู่หนานเมื่อครู่จะเปรียบเทียบได้เลย
“ศิษย์น้องหญิง 3 พี่หลิงเทียนของเจ้า ดูท่าคงไม่กล้าท้าหลิวเจี้ยนหรอก”
เหลยจวิ้นมองกล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม “หลิวเจี้ยนผู้นี้ถึงพลังฝีมือจะพอใช้ได้ แต่ในช่วงอายุระดับมัน พลังฝีมือเท่านั้นก็เรียกว่าเป็นอัจฉริยะปลายแถวไร้ราคาเท่านั้น”
แรกเหลยจวิ้นก็กล่าวทำนองต้วนหลิงเทียนไม่กล้าท้าหลิวเจี้ยน ต่อมาก็กล่าวดูถูกหลิวเจี้ยนจนไม่นับเป็นตัวอะไร
เป็นธรรมดาว่ามันกล่าวออกมาแบบนี้ มันไม่ได้ดูถูกต้วนหลิงเทียนตรงๆ แต่มันเลือกด้อยค่าหลิวเจี้ยนเพื่อเป็นการดูถูกต้วนหลิงเทียนแทน
เพราะมันรู้ดีว่าหากมันกล่าวหมิ่นหยามต้วนหลิงเทียนตรงๆ ไม่พ้นต้องทำให้ศิษย์น้องหญิงเล็กผู้นี้บังเกิดความรังเกียจ และตีตัวออกห่างเอาได้
อย่างไรก็ตาม ฮ่วนเอ๋อไม่แม้แต่จะสนใจมันเลย
ฮ่วนเอ๋อในปัจจุบัน ไม่ใช่ฮ่วนเอ๋อในอดีตอีกแล้ว หลังได้เดินทางกับต้วนหลิงเทียนและได้ประสบพบเจอเรื่องราวต่างๆ ไม่เว้นได้ต้วนหลิงเทียนชี้แนะ นางย่อมเข้าใจเรื่องราวอะไรๆมากมาย
ดุจเดียวกับตอนนี้ที่เหลยจวิ้นจงใจตีวัวกระทบคราด ด้อยค่าหลิวเจี้ยนหมายหมิ่นหยามต้วนหลิงเทียน นางไหนเลยจะไม่เข้าใจ?
ในเมื่อเหลยจวิ้นกล้าหมิ่นพี่หลิงเทียนของนาง เช่นนั้นต่อไปก็อย่าหวังว่านางจะเสวนากับมันอีก ต่อให้มันจะเป็นลูกชายคนเดียวของครูอย่างเหลยอิงก็ตาม
“ผู้อาวุโส แล้วถ้าหากข้าท้าทายหลิวเจี้ยนตอนนี้…ข้าสามารถข้ามขั้นตอนการลงทะเบียนไปได้เลยรึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องอาวุโสตำหนักลองกระบี่ กล่าวถามออกมาตรงๆ
และทันทีที่ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ไม่เพียงแต่อาวุโสตำหนักลองกระบี่เท่านั้นที่ตะลึง กระทั่งเหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่อยู่โดยรอบยังอึ้งไปตามๆกัน!
ต้วนหลิงเทียนคิดจะท้าทายหลิวเจี้ยนจริงๆหรือ?!
ไยมิใช่รนหาที่ตาย?
“เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น หรือมันมองไม่ออกจริงๆว่าหลิวเจี้ยนกำลังปั่นประสาทมันอยู่? หรือมันจะบ้าจี้โดดลงหลุมที่หลิวเจี้ยนขุดให้เห็นกันโทนโท่จริงๆ?”
“มันโง่หรืออย่างไร? หลิวเจี้ยนเป็นศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 600-700 ปี ด่านพลังไม่เพียงบรรลุถึงจอมราชันอมตะ 8 ชะตา มันยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง 6 ประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว เจ้านั่นมันคิดว่าจะทำอะไรหลิวเจี้ยนได้จริงๆ?”
“ข้าว่ามันโดนหลิวเจี้ยนยั่วจนหัวร้อนมากกว่า ถึงได้วู่วามคิดท้าหลิวเจี้ยนแบบนี้!”
…
เหล่าศิษย์วังเทียนฉือสนทนากันอย่างออกรส หลายคนยังส่ายหน้าไปมา และมองต้วนหลิงเทียนราวกับตัวโง่งม
สองตาหลิวเจี้ยนเองก็ทอแสงจ้าขึ้นมาเช่นกัน เพราะการปั่นประสาทไร้แก่นสารของมัน…มิคาดกลับได้ผลจริงๆ!
ต้วนหลิงเทียนผู้นี้จะหยิ่งผยองเกินไปรึเปล่า หรือคิดว่าโลกต้องหมุนรอบตัวเอง ถึงได้หัวร้อนเพียงเพราะถูกท้าทายเท่านี้?
“ศิษย์น้องเล็ก!!”
สีหน้าหงเฟยเปลี่ยนไปใหญ่หลวง ด้วยไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องเล็กของมันจะติดกับลูกไม้ตื้นๆแบบนี้ของหลิวเจี้ยนเอาได้ จึงเร่งส่งเสียงไปห้ามปรามยกใหญ่!
“ศิษย์พี่ 6 ท่านวางใจเถอะ”
อย่างไรก็ตามหลังได้ยินคำเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวของหงเฟย ต้วนหลิงเทียนก็เพียงตอบคำกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจสั้นๆ ไม่คิดล้มเลิกความตั้งใจแต่อย่างใด
ตอนนี้เองด้านอาวุโสตำหนักลองกระบี่ก็หันไปมองหลิวเจี้ยนพลางกล่าวตอบคำถามต้วนหลิงเทียนออกมา “หากผู้ถูกท้าเห็นด้วย เจ้าก็สามารถข้ามขั้นตอนการลงทะเบียนท้าประลองไปได้เลย”
“ข้าอาวุโสฉิน ข้าเห็นด้วย”
หลิวเจี้ยนที่กลัวต้วนหลิงเทียนจะสำนึกเสียใจและคิดล้มเลิกอะไรขึ้นมา พอได้ยินคำพูดของอาวุโสตำหนักลองกระบี่ มันจึงรีบกล่าวแสดงจุดยืนออกไปเร็วไว
“ต้วนหลิงเทียน ตอนนี้ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ว่าจะกล้าท้าทายข้าจริงๆรึเปล่า…”
หลังแสดงท่าทีแล้ว หลิวเจี้ยนก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน พลางฉีกยิ้มกว้าง สีหน้าแววตาเรียกว่าอัดแน่นไปด้วยความดูถูกดูแคลน เสียงกล่าวยังประชดแดกดันเป็นที่สุด หมายยั่วยุอารมณ์ต้วนหลิงเทียนให้เดือด!
“ผู้อาวุโส ข้าขอท้าทายมัน”
ต้วนหลิงเทียนมองอาววุโสตำหนักลองกระบี่ด้วยสายตาสงบ พลางกล่าวออกไปตรงๆ
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดทบทวนดูให้ดี…เมื่อเจ้าเอ่ยคำท้าออกมาแล้ว และมันส่งมอบป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะให้ข้า เจ้าก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจได้แล้ว”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง
หากเป็นคนอื่น มันคงไม่คิดจะตักเตือนเกลี้ยกล่อมอะไร แต่ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา แต่เป็นคนสนิทฮ่วนเอ๋อที่เป็นศิษย์ของเหลยอิงจ้าวตำหนักลองกระบี่! มันไม่อาจไม่เกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย!!
“ข้าคิดดีแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
ด้านหลิวเจี้ยนก็หยิบควักป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะของมันออกมา ก่อนจะยกเลิกพันธะโลหิต ทั้งใช้พลังประคองยื่นส่งให้อาวุโสตำหนักลองกระบี่เร็วไว “อาวุโสฉิน ในเมื่อผู้อื่นมีความมั่นใจในตัวเองสูง ท่านก็ปล่อยทำมันทำตามใจไปเถอะ..ยิ่งไปเซ้าซี้มากเข้า ไม่แน่มันอาจรำคาญท่านก็ได้”
เมื่อส่งป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะออกมา หลิวเจี้ยนก็ถือว่าไม่ได้เป็นศิษย์อัจฉริยะอีกต่อไป อย่างไรก็ตามขอเพียงมันเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้ มันก็จะได้ป้ายประจำตัวและสถานะกลับคืนมา
แต่ถ้าเกิดมันแพ้พ่าย นอกจากจะถูกถอดออกจากตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะแล้ว หลังจากนี้อีก 100 ปี มันยังไม่อาจเป็นศิษย์อัจฉริยะได้อีก ต่อให้พลังฝีมือของมันจะสูงแค่ไหนก็ตามที
กฏเช่นนี้ถูกตราขึ้นมาเพื่อกันมิให้มีใครจงใจยอมแพ้ ค้าขายชัยชนะ
ในขณะที่อาวุโสตำหนักลองกระบี่รับป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะของหลิวเจี้ยนมาตรวจสอบแล้วเสร็จ มันก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “ต้วนหลิงเทียน การประลองครั้งนี้ระหว่างเจ้ากับหลิวเจี้ยนจะอยู่ในพื้นฐานของการประลองเป็นตาย! เป็นธรรมดาว่าเจ้าสามารถกล่าวคำยอมแพ้ได้ ขอเพียงเจ้าพูดออกมา หลิวเจี้ยนก็ไม่อาจลงมือกับเจ้าได้อีกต่อไป”
ฟุ่บ!
หลังอาวุโสตำหนักลองกระบี่รับป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะของมันไป หลิวเจี้ยนก็พุ่งร่างออกไปยังสังเวียนอัจฉริยะราวลำแสงสีทองสายหนึ่ง จากนั้นก็ยืนรออยู่บนสังเวียนอย่างสงบ
ตอนนี้หลิวเจี้ยนไม่ได้รีบร้อนอะไรสืบไป เนื่องจากมันส่งมอบป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะออกไปแล้ว จึงสายเกินไปที่ต้วนหลิงเทียนจะกลับคำพูด
แน่นอนว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็สามารถกล่าวคำยอมแพ้ออกมาโดยที่ไม่ต้องสู้ได้ทันที
แม้ทุกคนจะสามารถเข้าใจได้ที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวยอมแพ้ แต่อย่างน้อยๆชื่อเสียงในวังเทียนฉือแห่งนี้ของอีกฝ่าย ก็ถูกลิขิตให้มีมลทินไปตลอดกาล ดั่งคราบบาปมิอาจลบที่หลายคนรังเกียจ
เพราะมันแตกต่างกันอย่างมาก ระหว่างการสู้ไม่ได้แล้วยอมแพ้ กลับเลือกจะยอมแพ้โดยไม่สู้…
“ผู้อาวุโส ในเมื่อเป็นการประลองเป็นตาย…ก็ไม่ใช่แค่มันที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรหากฆ่าข้าตาย แต่ข้าเองก็สามารถฆ่ามันโดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรใช่หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังเอ่ยถามอาวุโสตำหนักลองกระบี่เพื่อยืนยันอีกครั้ง เพราะสุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของจักรพรรดิอมตะสมญานาม…หากมีกฏที่ไม่อาจพูดอยู่จะทำอย่างไร?
ได้ยินเสียงผ่านพลังถามไถ่ดังกล่าวของงต้วนหลิงเทียน อาวุโสตำหนักลองกระบี่ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะส่งเสียผ่านพลังตอบกลับมาว่า “มิผิด!”
หลังส่งเสียงผ่านพลังตอบคำถามของต้วนหลิงเทียนไปแล้ว อาวุโสตำหนักลองกระบี่ชราก็อดคิดไปในใจไม่ได้ว่า…
ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงเอ่ยยถามมันแบบนี้?
หรือต้วนหลิงเทียนตั้งใจจะฆ่าหลิวเจี้ยน!?
ในขณะที่อาวุโสตำหนักลองกระบี่บังเกิดคำถามขึ้นมาในใจ ร่างต้วนหลิงเทียนก็ได้ใช้เคลื่อนมิติ วูบร่างอันตรธานหายไปในฉับพลัน ปรากฏตัวอีกครั้งก็ยืนอยู่บนเสียงเวียนอัจฉริยะเรียบร้อยแล้ว ยังยืนเผชิญหน้ากับหลิวเจี้ยนตรงๆ
“ศิษย์น้องเล็ก!!”
สีหน้าท่าทีของหงเฟยตอนนี้เปลี่ยนเป็นร้อนรนกระวนกระวาย มันพยายามส่งเสียงผ่านพลังไปห้ามศิษย์น้องเล็กหลายต่อหลายรอบ แต่ศิษย์น้องเล็กของมันกลับทำตัวเหมือนคนหูหนวก นอกจากการตอบกลับมาแรกๆแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ตอบอะไรกลับมาเลย…
‘ต้วนหลิงเทียนผู้นี้…มันกล้าท้าหลิวเจี้ยนจริงๆ?’
ลูกตาเหลยจวิ้นหรี่ลงเล็กน้อย แต่ดวงตายังทอประกายจ้า เพราะนี่คือสิ่งที่มันตั้งหน้าตั้งตารอมากที่สุด!
ในสายตาของมัน เดี๋ยวต้วนหลิงเทียนต้องตายคามือหลิวเจี้ยนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
‘ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องถึงมือข้า…แค่หลิวเจี้ยนก็มากพอจะกำจัดมันให้พ้นทางข้าแล้ว’
เหลยจวิ้นลอบกล่าวในใจอย่างคึกคัก
อย่างไรก็ตามแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความยินดีปานลิงโลด แต่เหลยจวิ้นก็ไม่กล้าแสดงอาการใดๆให้เห็น มันหันไปส่ายหน้าให้ฮ่วนเอ๋อพลางกล่าวว่า “ฮ่วนเอ๋อ พี่หลิงเทียนของเจ้าวู่วามเกินไปแล้ว…นี่เจ้าไม่ได้กล่าวปรามมันหรือไร?”
“สำหรับมัน หลิวเจี้ยนแข็งแกร่งเกินไป มันไม่มีทางเอาชนะหลิวเจี้ยนได้เลย…”
อย่างไรก็ตามเหลยจวิ้นจะพูดอะไร ฮ่วนเอ๋อก็ไม่ได้สนใจแม้แต่นิดเดียว ทำราวกับมันเป็นอากาศธาตุ สองตาเพียงจับจ้องมองไปยังร่างในชุดสีม่วงบนสังเวียนอัจฉริยะ ราวกับโลกในสายตาของนางมีอีกฝ่ายเพียงคนเดียว
WSSTH ตอนที่ 3,271 : ปะทะหลิวเจี้ยน
“สมแล้วที่เป็นศิษย์ที่จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง ไปเชื้อเชิญด้วยตัวเอง…อย่างน้อยๆในแง่กำลังขวัญแล้ว เจ้านับว่ากล้าหาญจริงๆ”
บนสังเวียนอัจฉริยะ หลิวเจี้ยนมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงเฉยเมย วางตัวเหนือกว่า
ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจอะไรหลิวเจี้ยนมากนัก ดวงตาเขายังคงความสงบดั่งผิวน้ำในบ่อโบราณ สีหน้านิ่งเฉยไร้แยแส ทำราวกับไม่ได้ให้ค่าหลิวเจี้ยนเบื้องหน้าแม้แต่นิดเดียว
จะว่าไป…เขาก็ไม่ได้ยึดถือหลิวเจี้ยนเป็นตัวอะไรจริงๆ!
“เริ่มประลองได้!”
ท่ามกลางสายตาคาดหวังของทุกคน อาวุโสตำหนักลองกระบี่ก็เอ่ยคำให้สัญญาณเริ่มการประลอง ขณะเดียวกันมันก็ไม่ลืมเตือนต้วนหลิงเทียนผ่านพลัง ให้เร่งกล่าวยอมแพ้ออกมาเร็วๆถ้าเห็นท่าไม่ดี!
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน ผู้อาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายที่กล่าวเตือนเขาซ้ำหลายรอบ ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะเห็นแก่หน้าฮ่วนเอ๋อก็ตามที…
สำหรับคำเตือนของศิษย์พี่ 6 อย่างหงเฟยนั้น ย่อมทำให้เขาซาบซึ้งจากใจ เพราะในสายตาอีกฝ่ายแล้ว ตัวเขาที่มีอายุไม่ถึง 300 ปี เว้นเสียแต่จะเผยพลังฝีมือให้อีกฝ่ายประจักษ์ เช่นนั้นอีกฝ่ายก็ต้องเข้าใจว่าเขาสู้หลิวเจี้ยนไม่ได้เป็นธรรมดา
เพราะกล่าวไป พลังฝีมือของหลิวเจี้ยนก็สมควรเหนือกว่าหงเฟยในระดับหนึ่ง
หาไม่แล้วหลิวเจี้ยนคงไม่มีอันดับศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 600-700 ปีเหนือหงเฟย
กล่าวให้ชัด เพราะเขารู้ดีว่าหงเฟยไม่น่าจะเชื่อคำพูดเขาแน่ เช่นนั้นหลังจากกล่าวให้อีกฝ่ายวางใจในตอนแรกแล้ว หลังจากนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรมาเขาก็ทำเป็นไม่ได้ยินทั้งหมด
กระทั่งภายหลัง ยังจงใจปิดกั้นเสียงผ่านพลังของหงเฟยด้วย…
“ต้วนหลิงเทียน ข้าไม่คิดจะรังแกเจ้า…เชิญเจ้าป้อนกระบวนท่ามาก่อนเถอะ”
ถึงแม้จะไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้ แต่หลิวเจี้ยนก็โคจรพลังเซียนอมตะเตรียมพร้อมไว้อย่างดี คนทั้งคนถูกแสงพลังสีทองปกคลุมเอาไว้ เรียกว่าประหนึ่งมันกลับกลายเป็นมนุษย์ทองคำส่องแสงสีทองไปแล้วจริงๆ!
หากอยู่ไกลๆ มองไปยังคิดว่าเป็นรัศมีธรรมของพุทธองค์
ได้ยินวาจาดังกล่าวของหลิวเจี้ยน ต้วนหรี่ตาลงเบาๆ จากนั้นรอยยิ้มบางๆก็ปรากฏให้เห็นที่มุมปาก
ดูเหมือนหลิวเจี้ยนผู้นี้ จะไม่เห็นเขาเป็นตัวอะไรจริงๆ
วูบ!
สิ้นคำกล่าวของหลิวเจี้ยน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง คนอันตรธานหายไปจากจุดเดิมในบัดดล!
วู้มม!!
ปรากฏตัวอีกครั้ง ร่างต้วนหลิงเทียนก็ยืนอยู่เบื้องหน้าหลิวเจี้ยนแล้ว และเพียงหนึ่งคิด ห้วงมิติรอบกายหลิวเจี้ยนก็ถูกความลึกซึ้งกักกัน สร้างกรงมิติหนึ่งล้อมกักเอาไว้ทันที!
และการใช้ความลึกซึ้งกักกันครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน มันต่างจากตอนที่เขาใช้ความลึกซึ้งกักกันขังร่างหวงลู่หนานมากนัก
ตอนเล่นงานหวงลู่หนาน เขาใช้แค่ความลึกซึ้งกักกันหวงลู่หนานเอาไว้แค่คนเดียว
แต่การใช้ความลึกซึ้งกักกันกับหลิวเจี้ยน เขากลับขังร่างตัวเองไว้กับหลิวเจี้ยน และตอนนี้ร่างเขาก็เบื้องหน้าห่างกับหลิวเจี้ยนแค่ 10 หมี่เท่านั้น!
ที่สำคัญหลังใช้ความลึกซึ้งกักกันขังตัวเองกับหลิวเจี้ยนไว้แล้ว เขาก็ไม่รีบร้อนลงมืออะไร เพียงมองหลิวเจี้ยนที่ยืนเปล่งแสงสีทองเรืองรองห่างออกไป 10 หมี่ด้วยสายตาสงบ
“เอ่อ…เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันคิดจะทำอะไรของมันกันแน่?”
“มันคิดหยามหน้าศิษย์พี่หลิวเจี้ยนหรืออย่างไร ถึงใช้เคลื่อนมิติไปอยู่ใกล้ๆศิษย์พี่หลิวเจี้ยนเช่นนั้น?”
“ตอนนี้จากสำนึกเทวะ ข้าสัมผัสได้ว่าพื้นที่รอบตัวต้วนหลิงเทียนกับหลิวเจี้ยนเต็มไปด้วยความแปรปรวนของห้วงมิติ…ดูท่าเป็นต้วนหลิงเทียนใช้ความลึกซึ้งกักกันไม่ผิดแน่ แต่ที่ผิดปกติคือไฉนมันถึงใช้ขังตัวเองไว้กับหลิวเจี้ยนเล่า?”
“มันบ้าไปแล้วรึไง? ขังตัวเองไว้กับหลิวเจี้ยนเช่นนั้น ไยมิใช่รนหาที่ตาย?”
“หลิวเจี้ยนจะอย่างไรก็เป็นจอมราชันอมตะ 8 ชะตาที่เชี่ยวชาญกฏแห่งทอง จึงกล่าวได้ว่าเก่งในเรื่องการโจมตีเป็นที่สุด สำหรับต้วนหลิงเทียนนั่น ข้อได้เปรียบหนึ่งเดียวคือความสามารถในการเคลื่อนร่างฉับพลันดั่งใจนึก การส่งตัวมาใกล้ๆหลิวเจี้ยนแบบนี้ ยังต่างอะไรกับพาตัวเข้าจุดอับกัน?”
“มันคิดจะทำอะไรกันแน่?”
…
เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่ชมดูเรื่องราวโดยรอบอดไม่ได้ที่จะงุนงงสงสัย
อันที่จริงก็ไม่ได้มีแต่พวกมันเท่านั้นที่งุนงงสงสัย
กระทั่งตัวอาวุโสตำหนักลองกระบี่ ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการประลองเป็นตายของสองศิษย์อัจฉริยะก็งงงวยไม่ต่างกัน ด้วยไม่ทราบว่าต้วนหลิงเทียนคิดอ่านประการใดอยู่ ไฉนไม่เพียงแต่จะไม่ใช้จุดเด่นของตัวเอง แต่ยังเผยจุดด้อยของตัวเองต่อหน้าอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น!
“ต้วนหลิงเทียนนั่นมันเบื่อชีวิตนักรึไง!? หรือมันฝันละเมอไปว่าศิษย์พี่หลิวเจี้ยนแข็งแกร่งพอๆกับข้า?”
หวงลู่หนานที่ไม่เพียงแพ้ต้วนหลิงเทียนมายับเยิน แต่ยังโดนกระทำดั่งของเล่นให้ทรมาณจนตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ ใจย่อมเคียดแค้นต้วนหลิงเทียนเป็นทุน มาตอนนี้พอเห็นต้วนหลิงเทียนถือดีโง่ๆมั่นใจในตัวเองอย่างผิดๆ มันก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ!
“ศิษย์น้องหญิง 3 พี่หลิงเทียนของเจ้า วู่วามจนทำอะไรไม่คิดแล้ว…”
เหลยจวิ้นหันไปมองกล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม
ถึงแม้ฮ่วนเอ๋อจะไม่ได้สนใจเหลยจวิ้นอีกต่อไป แต่เหลยจวิ้นก็ยังเลือกที่จะอดทนพูดกับฮ่วนเอ๋อ และถึงฮ่วนเอ๋อจะไม่ตอบอะไรกลับมา เหลยจวิ้นก็ยังมีความสุขที่ได้พูดกับนางอยู่ดี
เป็นธรรมดาว่าแม้ปากเหลยจวิ้นจะบอกว่าต้วนหลิงเทียนวู่วามทำอะไรไม่คิดด้วยน้ำเสียงช่วยไม่ได้ แต่ในใจมันกลับหัวเราะร่าด้วยความถูกใจ
เพราะมันหวังว่าต้วนหลิงเทียนจะไร้หัวคิดและโง่งงมเช่นนี้ต่อไป!
เพราะสิ่งนี้ช่วยเพิ่มโอกาสที่ต้วนหลิงเทียนจะตกตายคามือหลิวเจี้ยนมากขึ้น!
“หลิวเจี้ยน”
อย่างไรก็ตามพอเห็นว่าจนแล้วจนรอดฮ่วนเอ๋อก็ยังเมินเฉยไม่สนใจตัวเอง เหลยจวิ้นก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่มันไม่ได้เอาความไม่พอใจไปลงกับฮ่วนเอ๋อ เพียงนำไปลงกับต้วนหลิงเทียนแทน! ด้วยเหตุนี้มันจึงเลือกหันไปส่งเสียงผ่านพลังถึงหูหลิวเจี้ยน ที่กำลังเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนทันที
“ข้าเหลยจวิ้น”
ไม่ทันที่หลิวเจี้ยนจะได้ตอบอะไร เหลยจวิ้นก็ชิงกล่าวออกมาสืบต่อว่า “อย่าได้พลาดโอกาสประเสริฐตรงหน้า รีบลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียนนั่นให้ตายๆไปเสีย…หากเจ้าฆ่ามันได้ ข้าจะมอบเกราะอมตะระดับจักรพรรดิให้เจ้า!”
ชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิ ต่อให้เป็นภายในขุมกำลังระดับสวรรค์เอง ก็ยังจัดเป็นสมบัติหายาก
ในวังเทียนฉือแห่งนี้ ด่านพลังของท่านมีแต่ต้องทะลวงไปให้ถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะเท่านั้น ถึงจะได้รับชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิจากวังเทียนฉือเป็นของรางวัล…หาไม่แล้วก็ทำได้แค่พึ่งพาพลังสามารถตัวเองสรรหาชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิมาด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่ว่าจะใช้คะแนนอุทิศแลกเปลี่ยน หรือได้รับเป็นของรางวัลจากบททดสอบต่างๆ
แน่นอนว่ายังมีอีกวิธีที่สามารถได้ชุดเกราะอมตะระดับจักรรพรดิมาครอง โดยไม่ต้องทะลวงถึงด่านพลังจักรพรรดิอมตะ ไม่ต้องใช้คะแนนอุทิศที่เก็บสะสมจากภารกิจ กระทั่งไม่ต้องผ่านการทดสอบใดๆ
นั่นก็คือเป็นลูกของจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉืออย่างเหลยจวิ้น!
สำหรับจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 9 ของวังเทียนฉือ แม้ชุดเกราะอมตะระดับจักพรรดิจะมีค่าไม่น้อย แต่พวกมันก็มีไว้ครอบครองอยู่จำนวนหนึ่ง เพื่อบุตรหลานแล้ว พวกมันย่อมไม่ตระหนี่ถี่เหนียว
อย่างเช่นเหลยจวิ้นเอง ในเมื่อมารดาของมันเป็นถึงจักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง จ้าวตำหนักลองกระบี่ มันก็เลยได้รับชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิมาป้องกันตัวตั้งแต่ยังเล็กเป็นเด็กน้อยแล้ว…
ต่อมาพอตัวมันทะลวงด่านพลังถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ วังเทียนฉือก็มอบชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิให้มันอีกตัว
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อราวๆร้อยกว่าปีก่อน ตัวมันก็ได้ผ่านบททดสอบบางอย่างของวังเทียนฉือ ทำให้ได้รับเกราะอมตะระดับจักรรพรดิมาเพิ่มอีกตัว…
เช่นนั้นสำหรับเหลยจวิ้นแล้ว ชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิอมตะตัวเดียว ก็ไม่ได้มีราคาค่างวดมากเกินจ่าย ก็แค่ในแหวนพื้นที่มันมีเก็บไว้ไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตามสำหรับหลิวเจี้ยนที่เป็นเพียงศิษย์อัจฉริยยะอันดับท้ายๆในช่วงอายุ 600-700 ปีและด่านพลังยังเป็นแค่จอมราชันอมตะ ชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดินั้น…เป็นดั่งสมบัติล้ำค่าที่อาจช่วยชีวิตมันในห้วงเวลาคับขันได้! สองตามันก็เลยลุกวาวสว่างจ้าดั่งดาราประกายทันทีเมื่อได้ยินคำพูดผ่านพลังของเหลยจวิ้น!!
มันเองก็ไม่คิดจะไว้ชีวิตต้วนหลิงเทียนอยู่แล้ว
ขอเพียงสบโอกาสเหมาะๆมันก็จะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย!
ตอนนี้พอได้ยินวาจาเร่งรัดของเหลยจวิ้น ถึงแม้มันจะไม่ทราบว่าต้วนหลิงเทียนไปล่วงเกินเหลยจวิ้นตรงที่ใด แต่อาศัยสัญญาปากเปล่านี้ของเหลยจวิ้น ก็มากพอทำให้มันคลั่ง!
เกราะอมตะระดับจักรพรรดิ! นั่นเป็นอะไรที่มันฝันใฝ่!!
“ต้วนหลิงเทียนดูเหมือนว่าเจ้าจักมั่นใจในพลังของตัวเองมาก…ถึงขั้นละทิ้งความได้เปรียบจากความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ และเลือกจะขังตัวเองอยู่กับข้าใกล้ๆแบบนี้..”
หลิวเจี้ยนยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียน รอยยิ้มที่ว่ายังเต็มไปด้วยความเย้ยหยันนัก
ถึงแม้ตัวต้วนหลิงเทียนที่เป็นคนใช้ความลึกซึ้งกักกันออกมาเอง จะสามารถเพิกเฉยพลังกักกันของห้วงมิติได้ในระดับหนึ่ง…แต่กระนั้นห้วงมิติกักกันดังกล่าวก็ยังส่งผลอยู่ดี
ในพื้นที่กรงมิติแห่งนี้ หากต้วนหลิงเทียนคิดจะใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติหลบหนีออกไปด้านนอก ก็ยังได้รับผลกระทบอยู่บ้าง!
ดุจเดียวกับในปัจจุบัน หากต้วนหลิงเทียนคิดจะใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติหลบหนีออกไป อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองลมหายใจ…และเวลาสองลมหายใจที่ว่า สำหรับหลิวเจี้ยนแล้วมันมากพอให้ทำอะไรหลายๆอย่าง
“สมแล้วที่พวกเจ้าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน…”
ได้ยินคำพูดของหลิวเจี้ยน ต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองมันด้วยสายตาเฉยเมย “ก่อนหน้าหวงลู่หนานศิษย์น้องเจ้าก็คิดว่าจะเอาชนะข้าได้…แล้วตอนจบผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไรเล่า?”
“อันใด? นี่เจ้าคิดว่า ข้า หลิวเจี้ยน จักเจริญรอยตามศิษย์น้องของข้าหรือไร?”
หลิวเจี้ยนกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “เหอะๆ หากมิใช่ว่าศิษย์น้องของข้าเป็นฝ่ายประมาทเจ้า และเจ้าชิงลงมือก่อน ก็มิใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะเอาชนะศิษย์น้องข้าได้!”
ถึงแม้การต่อสู้ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหวงลู่หนานก่อนหน้า จะเป็นต้วนหลิงเทียนเลือกยืดเยื้อเพราะคิดขัดเกลาความลึกซึ้งของกฏมิติต่างๆที่เข้าใจ แต่ในสายตาของหลิวเจี้ยน…เป็นต้วนหลิงเทียนไม่อาจเอาชนะหวงลู่หนานได้ในเวลาอันสั้น! ทำให้มันมองว่าพลังของต้วนหลิงเทียนก็ใช่ว่าจะเหนือกว่าหวงลู่หนานมากมายอะไร!!
“แค่พูดไม่รู้ฝีมือสูงต่ำ ลงมือเถอะ…”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเรียบ
“ตามคำขอ!”
ทันใดนั้นร่างหลิวเจี้ยนพลันเปล่งแสงสว่างสีทองออกมาเจิดจ้า แยงลูกนัยยน์ตาผู้ชมมองนัก จากนั้นคนพลันวูบไหวกลับกลายเป็นประกายแสงสีทองสายหนึ่ง เข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูง!!
ซู่มม!!
และเมื่อประกายแสงสีทองดังกล่าวจี้ทะลวงผ่านระยะจนเข้าใกล้ร่างต้วนหลิงเทียน มันก็กลับกลับกลายเป็นแสงกระบี่สี่ทองเปี่ยมล้นไปด้วยพลังสภาวะคมกล้าหาใดเปรียบ!
ม่านตาต้วนหลิงเทียนควบแน่นโดยพลัน ทั่วร่างคล้ายสั่นไหวเบาๆ จากนั้นก็อุบัติพลังมิติเกรี้ยวกราดกำจายออกไปเป็นวง พร้อมกันนั้น ความว่างเปล่าโดยรอบยังปรากฏรอยแยกมิติ 9 รอย คมมีดมิติสีเทาก็พุ่งออกมาห้อมล้อมวนเวียนรอบกายเร็วไว คล้ายรอต้านรับแสงกระบี่สีทอง!
และรอบๆกายต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน ก็ยังมีรอยแยกมิติขนาดเล็กมากมายผุดโผล่จางหายไม่หยุด มองไปคล้ายอสรพิษตัวเล็กๆนับหมื่นพันวูบวาบ ต้านทานรับแสงกระบี่สีทองเอาไว้อย่างไร้ครั่นคร้าม!
ทำให้ฉากเรื่องราว การจู่โจมเข้ามาของแสงกระบี่สีทอง เป็นดั่งเคียวยมทูตที่มาเก็บเกี่ยววิญญาณของอสรพิษน้อยโดยเฉพาะ มันพุ่งผ่านลบเลือนอสรพิษน้อยดังกล่าวอย่างไร้หยุดยั้ง!
‘ความลึกซึ้ง พายุแม่เหล็ก!’
เพียงหนึ่งห้วงคิด รอยแยกมิติยิบย่อยแต่เดิมที่คล้ายอสรพิษสีมืดตัวเล็กๆ อยู่ๆก็พองตัวใหญ่ขึ้นราวงูหลามตัวเขื่อง! และเพียงงูหลามตัวเขื่องไม่กี่ตัว ก็ทำให้แสงกระบี่สีทองสิ้นสูญพลังสภาวะ อ่อนโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด!
ต้องทราบว่าเมื่อครู่แสงกระบี่สีทองประหนึ่งแสงกระบี่ไร้เทียมทาน สุดที่อสรพิษน้อยจะต่อต้านได้ไหว มากเท่าไหร่ก็ไม่พอให้ฆ่า!
‘คิดไม่ถึงจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนผู้นี้ที่แท้จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติได้หลายประการแล้วเช่นนี้…แต่มันก็เท่านั้น!’
หลิวเจี้ยนที่พุ่งทะยานเข้ามาโดยมีแสงกระบี่สีทองปกคลุม อดหยีตาลงด้วยความประหลาดใจไม่ได้
อย่างไรก็ตามจนถึงบัดนี้ มันพึ่งใช้พลังออกมาเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น…และเหตุไฉนที่มีออมรั้งพลังไว้กว่าครึ่ง เพราะมันเตรียมปะทุพลังทั้งหมดเพื่อพิฆาตอัศจรรย์ สังหารต้วนหลิงเทียนในคราเดียว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น