War sovereign Soaring The Heavens 3256-3263

 WSSTH ตอนที่ 3,256 : อำลา


 


 


“ฮ่วนเอ๋อ ไม้ตองห่วง…มารดาของเจ้าต้องไม่เป็นไรแน่”


 


หลังจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นจากไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อไปยังยอดเขาก้านเจี้ยงทันทีและในขณะที่ขึ้นเขาไป เขาก็หีนไปกล่าวปลอบฮ่วนเอ๋อ


 


“พี่หลิงเทียน แล้วท่านว่า…ท่านพ่อของฮ่วนเอ๋อตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


ในอดีตฮ่วนเอ๋อรู้เพียงว่านางมีแต่มารดาเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าบิดายังมีตัวตนอยู่ ตอนนี้พอได้รับทราบว่าที่แท้บิดาของนางก็ยังอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะคิดเป็นห่วงขึ้นมา


 


“คงไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรมากนักหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มอ่อนๆ กล่าวปลอบ “ก็แค่ทำลายสัญญาหมั้นหมายไม่ใช่รึไง? พวกมันที่มีหน้ามีตาในสังคม จะถึงกับเอาชีวิตบิดาเจ้าที่นับเป็นรุ่นเยาว์ในตอนนั้นเพราะเรื่องนี้ได้อย่างไร? หากทำเช่นนั้นไม่เท่ากับป่าวประกาศว่าขุมกำลังของพวกมันบีบคั้นกระทั่งเรื่องส่วนตัวของผู้คนหรือไร?”


 


“บางที วังเทียนฉืออาจจะแค่จับบิดาเจ้าขังเอาไว้ ให้หันหน้าเข้าหากำแพง หรือไม่ก็ไปผาสำนึกตนอะไรทำนองนั้น”


 


ถึงแม้ปากจะกล่าวไปดังว่า แต่ในใจต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด


 


วังเทียนฉือจะอย่างไรเบื้องหลังก็มีเงาของจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนดำรงอยู่ ย่อมไม่อาจใช้สามัญสำนึกสำหรับขุมกำลังระดับสวรรค์ทั่วไปมาตัดสินพวกมันได้


 


ไม่แน่ว่าวังเทียนฉือนั่นอาจจะไม่แยแสสายตาผู้ใด อย่างที่โลกเก่าเขากล่าวไว้ว่าไม่แคร์สื่อ เข่นฆ่าบิดาของฮ่วนเอ๋อทิ้งไปแล้วก็เป็นได้!


 


“ฮ่วนเอ๋อ ตอนนี้สิ่งที่เจ้าทำได้ ก็มีแค่ตั้งใจฝึกฝนบ่มเพาะและรอฟังข่าวจากผู้นำสายทั้ง 2 เท่านั้น”


 


“เพราะหากบิดาของเจ้าถูกจับตัวขังไว้ และมารดาเจ้าไม่มีกำลังมากพอจะช่วย ถึงตอนนั้นก็มีแต่ต้องพึ่งพาพลังของเจ้าแล้ว”


 


“แน่นอนว่าพี่หลิงเทียนจะช่วยเจ้าอีกแรง”


 


ภายใต้การปลอบโยนอย่างละมุนละม่อมของต้วนหลิงเทียน อารมณ์ของฮ่วนเอ๋อก็ค่อยๆสงบลง จากนั้นดวงตานางก็ฉายแววเด็ดเดี่ยวออกมา “พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋ออยากแข็งแกร่งขึ้น!”


 


เนิ่นนานแล้วที่ฮ่วนเอ๋อไม่ได้จดจ่อกับการยกระดับพลังฝึกปรือของตัวเอง


 


ในตอนที่พลังของต้วนหลิงเทียนยังไม่แข็งแกร่งเท่านาง นางยังคงมีความฮึกเหิมและแรงจูงใจหมายแข็งแกร่งและเป็นฝ่ายปกป้องต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง เพราะนางรู้สึกว่าทำแบบนี้จะเป็นการช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนได้มากที่สุด


 


ทว่าหลังจากที่พลังของต้วนหลิงเทียนก้าวข้ามนางไป และนางเห็นว่าอย่างไรระดับพลังบ่มเพาะของตัวเองก็ตามความเข้าใจในกฏของต้วนหลิงเทียนไม่ทัน นางจึงรู้สึกหย่อนคล้อยไปบ้าง และเริ่มชินกับการดูแลปกป้องจากต้วนหลิงเทียนแทน


 


ทว่ามาตอนนี้หลังได้รับทราบสถานการณ์ของบิดามารดา ใจที่มุ่งมั่นอยากบ่มเพาะพลังของฮ่วนเอ๋อก็หวนกลับมาอีกครั้ง


 


“ได้สิ พี่หลิงเทียนจะพาเจ้าไปบ่มเพาะเอง”


 


ก่อนที่จูเก่อฟงจะจากไป ก็ได้บอกรายละเอียดเรื่องยอดเขาก้านเจี้ยงให้ต้วนหลิงเทียนแล้ว ว่าจุดไหนเหมาะแก่การบ่มเพาะฝึกปรือมากที่สุด


 


และยอดเขาก้านเจี้ยงนั้นแต่เดิมก็มีจูเก่อฟงอาศัยอยู่คนเดียว


 


ด้วยเหตุนี้พลังวิญญาณฟ้าดินในยอดเขาก้านเจี้ยง จึงถือว่าหนาแน่นบริบูรณ์กว่ายอดเขาท่ายอามาก


 


และในที่สุดหลังเดินขึ้นเขามาถึงบริเวณกลางๆ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าริมทางเดินขึ้นเขา มีแท่นศิลาเล็กๆทรุดโทรมไม่สะดุดตาแจ้งบอกว่ามีที่พักอยู่ เขาจึงเดินออกนอกเส้นทางขึ้นเขาและลองไปดูทันที


 


ด้านหลังแท่นศิลาไปก็เป็นเส้นทางเดินแคบๆที่มีหญ้าขึ้นรกทอดยาวไปหลายสิบลี้ เปลี่ยวร้างวังเวงอย่างยิ่ง! แต่พอผ่านช่องทางแคบๆดังกล่าวมา ก็พบหน้าผาเปิดโล่งแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยไอหมอก และบริเวณผนังริมผาที่ว่าก็มีถ้ำให้เห็น ต้วนหลิงเทียนที่ลองแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นถ้ำที่ขุดลึกไปในผนังริมผาด้วยฝีมือของผู้คน จนด้านในโพรงถ้ำมีห้องหับมากมายไม่ต่างจากบ้านหลังหนึ่ง


 


และเนื่องจากสถานที่แห่งนี้แลดูลึกลับซับซ้อนทั้งไม่ค่อยเป็นจุดสังเกตอย่างแรง ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกให้มันเป็นสถานที่ๆเขาจะใช้พักและบ่มเพาะพลังในยอดเขาก้านเจี้ยงแห่งนี้


 


วู้ม! ฟิ่ว! ฟู่วว!


 



 


หลังเดินเข้ามาในถ้ำจนถึงบริเวณโถงใหญ่ที่เป็นดั่งใจกลางของถ้ำที่พักแห่งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้นสะบัดส่งๆ จากนั้นพลันปรากฏคลื่นพลังไร้สภาพดั่งสายลมหมุนวนหอบหนึ่งพุ่งออกไปจากมือเขา วังวนดังกล่าวคล้ายมีดวงตางอกเงย สามารถดูดรั้งฝุ่นที่จับหนาเตอะทั่วที่ทางในโถงถ้ำมารวมตัวกันในพริบตา


 


หลังสร้างบอลฝุ่นเท่าแตงโมได้ลูกหนึ่ง โถงถ้ำแห่งนี้ก็แลดูสะอาดสะอ้านขึ้นทันตา


 


“ฮ่วนเอ๋อ มาบ่มเพาะที่นี่กันเถอะ”


 


เมื่อเดินนำฮ่วนเอ๋อมาถึงห้องที่อยู่ลึกสุดในโพรงถ้ำที่พักแห่งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดปิดประตูห้องหับ และเปิดใช้ค่ายกลเฝ้าระวังทั้งหมด จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนเตียงที่เหมือนจะสร้างขึ้นมาจากหยกเย็น ค่อยหันไปกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อ


 


ในขณะที่ฝึกฝนบ่มเพาะ ต้วนหลิงเทียนก็ชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินจากโลกใบเล็กออกมา ให้หมุนเวียนอยู่รอบๆร่างกายของเขา


 


แน่นอนว่าในขณะที่ทุ่มจิตสมาธิทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะพลัง ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจควบคุมการชักนำพลังในลักษณะดังกล่าวได้


 


เขาก็เลยบอกให้วารีเทพชำระโลกาที่เชี่ยวชาญค่ายกลพิสดารมากๆเป็นคนจัดการเรื่องนี้


 


ตอนนี้ภายในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน พฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ได้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านไปแล้ว และใต้ต้นไม้ใหญ่ดังกล่าว ก็มีมังกรชั่วร้ายสองตัวกำลังฟุบหมอบน้ำลายยืดอยู่คล้ายหลับใหลฝันหวาน แต่อันที่จริงแล้วพวกมันกำลังบ่มเพาะพลังอยู่…


 


ดวงแสง 5 สีสันดั่งตะวัน ล่องลอยหมุนวนอยู่รอบๆพฤกษาเทพกำเนิดชีพดั่งวงโคจรของดวงดาว และพวกมันก็คือเหล่าเทพเบญจธาตุทั้ง 5 นั่นเอง


 


เหล่าเทพเบญจธาตุของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ พวกมันก็บรรลุถึงขั้นที่ 6 กันหมดแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากสำหรับพวกมันที่จะอาศัยการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนที่ได้มาจากซากระนาบเทพเพื่อกระดับพัฒนาไปเป็นขั้นที่ 7


 


เรียกว่าตอนนี้หากพวกมันคิดจะวิวัฒน์พัฒนาอีกครั้ง มีแต่ต้องดูดกลืนเทพเบญจธาตุที่มีธาตุเดียวกับพวกมันเท่านั้น


 


ตัวอย่างเช่น ทองเทพสุดลี้ลับก็สามารถดูดกลืนได้แต่ทองเทพสุดลี้ลับด้วยกันเท่านั้น ถึงจะยกระดับพัฒนาตัวเองได้ ต่อให้ดูดกลืนเทพเบจธาตุๆอื่นๆไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด


 


เหล่าเทพเบญจธาตุที่เหลือทั้ง 4 ก็เช่นเดียวกัน


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ว่าเหล่าเทพเบจธาตุในโลกใบเล็กเขาจะนึกเฮี้ยนลุกขึ้นมาตีกันเอง เพื่อดูดกลืนอีกฝ่าย…


 


“เสี่ยวเทียน ก่อนหน้านี้ข้าได้ตกลงกับเจ้ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่นแล้ว และพวกมันก็ยินดีรับเจ้าเป็นนาย…อย่างไรก็ตามพวกมันขอให้เจ้าสัญญาว่า หลังจากที่เจ้าบรรลุถึงขอบเขตเทพได้แล้ว เจ้าจะปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ”


 


เสียงของวารีเทพชำระโลกาดังขึ้น และทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนเป็นประกายทันที


 


“อันที่จริงงหลังจากเจ้าบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว พวกมันก็คงไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้อีก…เช่นนั้นข้าว่า เจ้าตกลงเรื่องนี้ก็ไม่มีผลเสียอะไรแม้แต่น้อย”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าว


 


“เอาสิ ข้าตกลง”


 


ต้วนหลิงเทียนก์ตอบกลับอย่างเห็นด้วย


 


จากนั้น ในขณะที่ฮ่วนเอ๋อกำลังอาศัยพลังวิญญาณฟ้าดินที่วารีเทพชำระโลกาชักนำออกมาจากโลกใบเล็กเพื่อบ่มเพาะ เขาก็ได้สร้างพันธะวิญญาณบางอย่าง ที่เป็นสัญญานายบ่าวกับมังกรชั่วร้ายในโลกใบเล็กทั้ง 2 ตัวได้อย่างราบรื่น


 


และไม่ใช่แค่มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงด้วยการช่วยเหลือเขาอย่างเคร่งครัดเท่านั้น เขาเองก็ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัดเช่นกัน ว่าจะปลดปล่อยมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ให้เป็นอิสระหลังเขาบรรลุถึงขอบเขตเทพ


 


“ฮู่มมม~~”


 


“ฮู่มมม~~”


 


ถึงแม้มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 จะคำรามเป็นการทักทายต้วนหลิงเทียนหลังจากทำพันธะสัญญานายบ่าวกันแล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทั้งคู่พูดอะไรอยู่


 


อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่สำคัญ


 


สิ่งที่สำคัญก็คือ ต่อให้เขาจะไม่เข้าใจมันหรือมันไม่เข้าใจเขา แต่หากเขาใช้สำนึกเทวะเพ่งเล็งและคิดจัดการใคร มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ก็จะรับรู้ได้ชัดเจน และไม่มีทางลงมือผิดพลาดแน่นอน


 


เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญกับต้วนหลิงเทียนที่สุด ส่วนเรื่องหยุมหยิมใดอื่นต้วนหลิงเทียนไม่สนใจ


 


หลังจากการเรื่องราวกับมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 แล้วเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็ทำเหมือนฮ่วนเอ๋อ เริ่มดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินที่ถูกชักนำออกมาจากโลกใบเล็กเพื่อฝึกฝนบ่มเพาะพลังทันที


 



 


หลังผ่านไป 1 ปี ในที่สุดจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นก็กลับมา


 


“ท่านผู้อาวุโส ไม่ทราบได้ความอย่างไรบ้าง?”


 


เมื่อพบเจอจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็มองถามจูเก่ออวิ๋นทันที


 


จูเก่ออวิ๋นเหลือบมองไปยังฮ่วนเอ๋อที่ยืนรอฟังเรื่องราวข้างกายต้วนหลิงเทียนปราดหนึ่ง ค่อยหันมากล่าวตอบต้วนหลิงเทียนว่า “บิดาของฮ่วนเอ๋อยังมีชีวิตอยู่…”


 


ได้ยินวาจาดังกล่าวของจูเก่ออวิ๋น ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือฮ่วนเอ๋อ สองตาก็อดทอประกายออกมาไม่ได้


 


“นี่เป็นข่าวดีก็จริง…อย่างไรก็ตามยังมีอีกข่าวที่ไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่”


 


พอจูเก่ออวิ๋นกล่าวเกริ่นออกมาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ชักหน้าเคร่งทันที


 


“มารดาของฮ่วนเอ๋อ ก็ถูกคนของวังเทียนฉือกักขังไว้เช่นกัน…”


 


จูเก่ออวิ๋นกล่าว


 


ซูว ซูว


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน! เพราะนี่นับเป็นข่าวร้ายจริงๆ!!


 


เพราะตอนนี้ไม่ใช่สามารถกล่าวอีกอย่างได้ว่า…จะบิดาของฮ่วนเอ๋อก็ดี มารดาของฮ่วนเอ๋อก็ดี ล้วนถูกจับขังไว้ในวังเทียนฉือแห่งอู๋หยาเทียนหรอกหรือไร?


 


“ผู้อาวุโส…แล้วท่านพอจะรู้บ้างไหมว่าทั้งคู่เป็นอย่างไรบ้าง”


 


ต้วนหลิงเทียนเปิดประตูเห็นภูผาเอ่ยถามจูเก่ออวิ๋นเข้าประเด็นทันที เพราะเขาจะพอเดาได้แต่แรกแล้วว่าไม่มีทางที่วังเทียนฉือจะต้อนรับบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อในฐานะแขก กระทั่งไม่น่าจะให้ทั้งคู่ได้อยู่ดีมีสุขแน่นอน


 


“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน”


 


จูเก่ออวิ๋นส่ายหัว “เพื่อสืบหาความเรื่องนี้ให้กระจ่างที่สุด พวกเราได้เลือกจะไปเยือนวังเทียนฉือในนามตัวแทนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะแล้ว…”


 


“แต่ไม่ว่าข้าจะเลียบๆเคียงๆถามอย่างไร อีกฝ่ายก็หลีกเลี่ยงจะพูดถึงมัน เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้คนนอกเช่นข้ารับทราบเรื่องภายใน”


 


จูเก่ออวิ๋นกล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงก็ฟังดูจริงจังไม่น้อย “อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงตอบคำของอาวุโสวังเทียนฉือหลังข้าเลียบๆเคียงๆถามเรื่องบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อนั้น มันฟังดูห้วนเย็นไร้ปราณียิ่ง สิ่งนี้บอกให้ข้าทราบว่าวังเทียนฉือไม่น่าจะปล่อยให้บิดามารดาของฮ่วนเอ๋ออยู่ดี…”


 


หลังจูเก่ออวิ๋นกล่าวจบคำ ดวงตาคู่งามดั่งสารทของฮ่วนเอ๋อก็ทอแววกังวลเป็นอย่างมาก


 


ด้านต้วนหลิงเทียนหลังได้ยินสิ่งที่จูเก่ออวิ๋นบอก สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดเช่นกัน


 


ดูเหมือนว่าถึงแม้บิดามารดาของฮ่วนเอ๋อจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่พ้นทั้งคู่ต้องถูกทรมาณแน่นอน…แค่เขาไม่ทราบว่าวังเทียนฉือกำหนดขอบเขตความรุนแรงไว้แค่ไหน


 


“พี่หลิงเทียนฮ่วนเอ๋ออยากไปวังเทียนฉือ”


 


ฮ่วนเอ๋อหันไปมองพูดกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงแววตาแน่วแน่


 


“ฮ่วนเอ๋อ วังเทียนฉือพวกเราต้องไปแน่…แต่เรื่องนี้พวกเราต้องวางแผนระยะยาว เพาะกระทั่งผู้อาวุโสทั้ง 2 ไปเอง ยังไม่อาจสืบทราบรายละเอียดเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นต่อให้พวกเราไปกันตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อก็เงียบไปทันที เพราะนางก็รู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพูดเป็นความจริง


 


“หากพวกเจ้าคิดจะไปวังเทียนฉือกันจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส…วังเทียนฉือนั้นปกติแล้วจะเปิดรับสมัครศิษย์สาวกทุกๆรอบ 1,000 ปี และจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่ 12 ปีเท่านั้น ก่อนที่วันรับศิษย์ที่ว่าของวังเทียนฉือจะเวียนมาถึง”


 


จูเก่ออวิ๋นกล่าว “ทุกคนที่มีอายุต่ำกว่า 1,000 ปีสามารถไปเข้าร่วมบททดสอบเพื่อเข้าสู่วังเทียนฉือได้ และขอเพียงผ่านบททดสอบของพวกมันได้ ก็รับประกันเรื่องที่จะเข้าเป็นศิษย์ได้เลย”


 


“อีกทั้งหากด่านพลังฝึกปรือแตกต่างกัน รวมถึงผู้คนที่มีอายุแตกต่างกัน ระดับของบททดสอบก็จะแต่งต่างกันไปตามความเหมาะสม…”


 


“ด้วยพลังฝีมือของพวกเจ้าในวัยเพียงเท่านี้ เรื่องเข้าสู่วังเทียนฉือเรียกว่านอนมาแล้ว…”


 


จูเก่ออวิ๋นกล่าว


 


“เข้าเป็นศิษย์วังเทียนฉือหรือ?!”


 


สองตาฮ่วนเอ๋อทอประกายจ้าทันที


 


กลับกัน ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วย่นยู่ วิธีแทรกซึมเข้าไปหาข่าวจากภายในเขาก็มีคิดไว้แล้วเช่นกัน แต่เขาก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อย เพราะสุดท้ายแล้วเขากับฮ่วนเอ๋อก็พึ่งจะเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะได้ไม่ทันไร ไม่เพียงแต่จะยังไม่ได้สร้างคุณงามความดีให้นิกาย กระทั่งยังได้รับการช่วยเหลือจากจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นไปแล้วมากมายด้วย…


 


คล้ายสังเกตเห็นความลำบากใจของต้วนหลิงเทียนก็ไม่ปาน จูเก่อฟงจึงมองต้วนหลิงเทียนด้วยความชื่นชมทันที ด้านจูเก่ออวิ๋นก็สังเกตเห็นเช่นกัน จึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดเสียว่าการเข้าสู่วังเทียนฉือครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าไปเพื่อเป็นศิษย์ของพวกมันจริงๆ แต่เป็นการแฝงตัวไปสืบข่าวเรื่องบิดามารดาฮ่วนเอ๋อเท่านั้น”


 


“พวกเจ้ายังคงเป็นศิษย์นิกายกระบี่หมื่นหายนะ รวมถึงเป็นศิษย์สายก้านเจี้ยงและสายม่อเหยียของพวกเราเสมอ…พวกเจ้าสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ”


 


จูเก่ออวิ๋นกล่าว


 


“ขอบคุณอาวุโส”


 


ได้ยินคำพูดของจูเก่ออวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกซาบซึ้งน้ำใจของนางไม่น้อย


 


“ขอบคุณผู้นำสาย”


 


ตอนนี้เองฮ่วนเอ๋อ ก็มองกล่าวกับจูเก่ออวิ๋นด้วยสีหน้าน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ว่าวันหน้าจะเป็นอย่างไรหรืออยู่ที่ไหน ฮ่วนเอ๋อจะเป็นศิษย์สายม่อเหยียของนิกายกระบี่หมื่นหายนะไปชั่วชีวิต…เรื่องนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”


 


“ข้าก็เช่นกัน”


 


ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ากล่าวคำ ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ในนิกากระบี่หมื่นหายนะนานนัก แต่เพราะน้ำใจที่จูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นมอบให้ เขาก็เห็นนิกายกระบี่หมื่นหายนะเป็นบ้านเรียบร้อยแล้ว


 


เป็นบ้านที่เขาสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ!


 


“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปเถอะ”


 


จูเก่ออวิ๋นโยนแหวนวงหนึ่งให้ต้วนหลิงเทียน กล่าวพลางโบกมือว่า “ระหว่างเดินทางกลับ พวกเราสองคนก็ได้ตัดสินใจกันแล้ว ว่าจะปล่อยให้พวกเจ้าเข้าสู่วังเทียนฉือของอู๋หยาเทียน…สิ่งของในแหวนก็มีไว้ช่วยเหลือพวกเจ้ายามคับขัน สมควรมีประโยชน์กับพวกเจ้าไม่น้อย”


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนผูกพันธะครองแหวน จากนั้นก็แผ่สำนึกเทวะส่องภายในตัวแหวนทันที หลังมองไปปราดเดียวเขาก็พบยันต์อมตะเป็นกอง สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที


 


ยันต์อมตะที่จูเก่ออวิ๋นมอบให้ แค่มองเขาก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ยันต์อมตะธรรมดาๆแน่นอน


 


“วังเทียนฉือของอู๋หยาเทียนนั่น…ตอนเจ้าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกไม่ว่าที่ใด เจ้าสามารถเดินทางไปยังเขตปกครองของวังเทียนฉือได้โดยตรง อาณาเขตของวังเทียนฉือค่อนข้างกว้างขวางมาก แต่เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วเพียงถามคนในพื้นที่ดู เจ้าก็จะพบที่ตั้งวังเทียนฉือได้ไม่ยาก”


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะออกเดินทาง จูเก่ออวิ๋นก็กล่าวเตือนทั้งคู่อีกครั้ง


WSSTH ตอนที่ 3,257 : จักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง!


 


 


 


อู๋หยาเทียน นั้นเป็นหนึ่งในเก้าเก้า 81 ของระนาบเทวโลก และมีดินแดนศูนย์กลางอำนาจเรียกว่าแดนไร้ขอบเขต ซึ่งแดนไร้ขอบเขตดังกล่าว ยังเป็นดินแดนที่มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในอู๋หยาเทียนอีกด้วย!


 


ในแดนไร้ขอบเขตนั้น จักรพรรดิอมตะเดินกันเกลื่อนถนน และขอบเขตจอมราชันอมตะก็เยี่ยงสุนัขที่ไปทางไหนก็เจอ!


 


บริเวณพื้นที่ทางตะวันออกของแดนไร้ขอบเขต จากใกล้จุดๆกึ่งกลางแผ่ไปถึงชายขอบทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นอาณาเขตของวังเทียนฉือ ซึ่งเป็นหนึ่งในขุมกำลังระดับสวรรค์ของอู๋หยาเทียน!


 


ความแข็งแกร่งของวังเทียนฉือนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงในบรรดาขุมกำลังระดับสวรรค์ระดับต้นๆของระนาบเทวโลกด้วยซ้ำ กระทั่งแค่ในแดนไร้ขอบเขตของอู๋หยาเทียนเอง ก็จัดเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ชั้นปลายแถวเท่านั้น!


 


ทว่าหากจะกล่าวถึงในแง่อำนาจแล้ว ขอบเขตอำนาจของวังเทียนฉือก็เรียกว่าน้องๆพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนเลย!


 


นั่นเพราะจ้าววังเทียนฉือคนปัจจุบัน เป็นเหลนคนหนึ่งของจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน จึงได้รับความคุ้มครองจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์!


 


จะกล่าวว่า พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนให้ท้ายวังเทียนฉือก็ไม่ผิด!


 


ด้วยเหตุนี้ขุมกำลังระดับสวรรค์อื่นๆ ต่อให้จะมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าวังเทียนฉือมากแค่ไหน ขอเพียงวังเทียนฉือไม่ทำเรื่องที่พวกมันยากยอมรับเกินไป พวกมันก็จะไม่ถือสาหาความอะไรกับวังเทียนฉือ


 


ด้วยความที่อีก 12 ปีหลังจากนี้ วังเทียนฉือจะเปิดรับศิษย์สาวกในรอบสหัสวรรษ เช่นนั้นจึงมีผู้คนหลั่งไหลจากทุกทั่วสารทิศมารวมตัวกันอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ตั้งวังเทียนฉือมากเท่าไหร่


 


คนเหล่านี้ล้วนมาเฝ้ารอเวลาทดสอบรับศิษย์ของวังเทียนฉือที่จะเกิดขึ้นในอีก 12 ปีให้หลัง!


 


บ้างก็มีผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูลพามา บ้างก็เป็นผู้อาวุโสในขุมกำลัง บ้างก็มากับสหาย มาคนเดียวก็มีให้เห็น มาเป็นคู่ชายหญิงก็ไม่ขาด


 


หนึ่งสิ่งที่ทั้งหมดมีเหมือนกันก็คือ…อายุไม่ถึงพันปี


 


เนื่องจากวังเทียนฉือจะรับแต่ศิษย์ที่ยังมีอายุไม่เกินพันปีเท่านั้น ขอเพียงอายุน้อยกว่าพันปี ไม่ว่าจะมีระดับพลังบ่มเพาะเท่าไหร่ ก็สามารถเข้าร่วมบดทดสอบเข้าสู่วังเทียนฉือได้ทั้งสิ้น


 


แน่นอนว่าบททดสอบจะแตกต่างกันไปตามอายุและพลังฝึกปรือ…


 


“พวกเรายังมีเวลาเหลืออีก 12 ปีเต็มๆ…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ด้านนอกเขตวังเทียนฉือห่างออกไปไกลๆ หันไปมองปลอบฮ่วนเอ๋อข้างๆด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮ่วนเอ๋อตอนนี้พวกเราไปหาสถานที่บ่มเพาะกันก่อนดีกว่า หลังปิดด่านฝึกปรือครบ 12 ปี พวกเราค่อยไปทดสอบเข้าวังเทียนฉือกัน”


 


ฮ่วนเอ๋อพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง อย่างไรก็ตามสองตานางยังจับจ้องไปยังวังเทียนฉือที่ตั้งอยู่ไกลๆอย่างเหม่อลอยอยู่เนิ่นนานไม่ไปไหน


 


วังเทียนฉือที่ตั้งอยู่ไกลๆ ก็มีม่านหมอกบดบังจึงยากจะแลเห็นสิ่งใดได้ชัด เห็นเพียงแค่เค้าโครงอาคารเท่านั้น แถมยังไม่ชัดเจนอีกด้วย


 


“ไปเถอะฮ่วนเอ๋อ…”


 


ต้วนหลิงเทียนจูงมือฮ่วนเอ๋อจากไปทันที เพราะเขารู้ว่าหากไม่จูงมือพานางไปจากที่นี่ ไม่พ้นนางได้ยืนเหม่อมองวังเทียนฉือเป็นวันๆแน่


 


สุดท้ายแล้ว สิบในสิบบิดามารดาของฮ่วนเอ่อก็น่าจะถูกขังอยู่ในวังเทียนฉือเบื้องหน้า


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อมาถึงเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่งที่ไม่ไกลจากที่ตั้งวังเทียนฉือมากนัก หลังเหินวนอยู่ไม่นานก็พบเจอริมผาที่แลดูไม่ค่อยสะดุดตาผู้คนแห่งหนึ่ง จึงลงมือขุดถ้ำลึกเพื่อใช้ในการปิดด่านบ่มเพาะตลอดระยะเวลา 12 ปีหลังจากนี้


 


“ฮ่วนเอ๋อ เจ้าใจเย็นลงก่อน…หากไม่อาจสงบใจแล้วเจ้าจะบ่มเพาะพลังได้อย่างไร”


 


หลังจากขุดถ้ำสร้างที่อยู่อย่างเรียบง่ายรวมถึงใช้จานค่ายกลต่างๆที่มีปกปิดอำพรางทั้งป้องกันถ้ำแล้วเสร็จ ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะบ่มเพาะ เขาก็พบว่าอารมณ์ของฮ่วนเอ๋อยังพุ่งพล่านขึ้นๆลงๆ ร่างเขาก็สะท้านไปเบาๆ


 


“พี่หลิงเทียน…ฮ่วนเอ๋อมีลางสังหรณ์อันแรงกล้า ว่าท่านพ่อกับท่านแม่ถูกขังอยู่ในวังเทียนฉือไม่ผิดแน่”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าว “ฮ่วนเอ๋อสัมผัสได้ชัดเจนจากการเรียกหาของสายเลือด…”


 


“ถึงจะเป็นแบบนั้น พวกเราก็ยังต้องรอให้ผ่านไปครบ 12 ปีก่อน…”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มแห้งๆ และกล่าวโน้มน้าวฮ่วนเอ๋อสืบต่อ “ฮ่วนเอ๋อ เจ้าต้องฟังพี่หลิงเทียน…สงบสติอารมณ์แล้วบ่มเพาะพลังเสีย หลังจากนี้ 12 ปี ยิ่งพวกเราทำผลงานในการทดสอบได้ดีเท่าไหร่ สถานะของพวกเราในวังเทียนฉือยิ่งสูงเท่านั้น”


 


“และยิ่งสถานะของพวกเราสูงมากเท่าไหร่ พวกเราก็จะเข้าถึงข้อมูลและความลับต่างๆในวังเทียนฉือได้มากขึ้น…กระทั่งพวกเราจะมีอำนาจมากขึ้น…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเตือน


 


หลังได้ยินคำเตือนของต้วนหลิงเทียน สีหน้าฮ่วนเอ๋อก็แลดูเคร่งขรึมนัก และไม่นานนางก็สามารถสงบสติอารมณ์เข้าสู่ฌาณสมาธิได้สำเร็จ สามารถโคจรสั่งสมพลังได้อย่างราบรื่น


 


เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเบาๆ จากนั้นก็หลับตาและจมสู่ภวังค์บ่มเพาะทันที


 


เนื่องจากตอนนี้เขาอยู่ในโลกภายนอก ถึงแม้จะใช้จานค่ายกลเพื่อป้องกันไปในระดับหนึ่งแล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนยังขอให้วารีเทพชำระโลกาจัดตั้งค่ายกล เพื่อกักเก็บพลังวิญญาณฟ้าดินให้อยู่ในห้องถ้ำแห่งนี้ไม่รั่วไหลไปด้านนอกอีกแรง


 


ทั้งหมดเพื่อระวังป้องกัน ไม่ให้ความลับภายในโลกใบเล็กของเขาถูกผู้ใดค้นพบ


 


‘เป็นไปได้สูงว่าหากมีคนพบความลับในโลกใบเล็กของข้า…ถึงแม้พวกมันจะไม่อาจถ่ายโอนโลกใบเล็กของข้าไปเป็นโลกใบเล็กของพวกมัน และต่อให้พวกมันจะไม่มีวิธีย้ายพลังวิญญาณฟ้าดินที่อยู่ในโลกใบเล็กของข้าออกไปไว้ในโลกใบเล็กของพวกมัน แต่ที่แน่ๆคือพวกมันต้องฆ่าข้าทิ้งก่อนแน่นอน!’


 


ต้วนหลิงเทียนรู้เรื่องนี้ดี


 


‘ทั้งหมดเพราะด่านพลังฝึกปรือในตอนนี้ยังต่ำเกินไป…แต่อย่างไรเสีย 12 ปีหลังจากนี้หากไร้ข้อผิดพลาดใดๆ ก็สมควรทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 4 รูปได้แน่’


 


ต้วนหลิงเทียนรู้ดี ว่าบ่อเกิดความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ที่ทำให้เขาฉะกับจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดทั่วไปได้ มันมีสาเหตุหลักมาจากพลังของกฏที่ตระหนักรู้ กับพลังของเทพเบญจธาตุทั้ง 5…


 


ด่านพลังฝึกปรือของเขาตอนนี้ยังเป็นแค่จอมราชันอมตะ 3 ศักดิ์เท่านั้น และนี่เป็นเพราะความก้าวหน้าครั้งใหญ่จากโชควาสนาจากแดนลับทวยเทพที่ซ่อนอยู่ในแดนลับอัจฉริยะล้วนๆ


 



 


12 ปี สำหรับเซียนอมตะที่มีชีวิตนิรันดร์บนระนาบเทวโลกแล้ว ก็เสมือนพริบตาเดียว…


 


และหลังจากผ่านไป 12 ปี ด้านนอกเขตวังเทียนฉือก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายมหาศาล สุดที่เมื่อ 12 ปีก่อนจะเทียบได้ ไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำหนุ่มสาวอะไร ล้วนมารวมตัวกันหนาตา


 


และตอนนี้ผู้คนทั้งหมด ก็กำลังให้ความสำคัญกับหญิงชรานางหนึ่งในชุดสีเทา ที่พึ่งนำคนกลุ่มหนึ่งก้าวออกมาจากประตูใหญ่วังเทียนฉือ


 


หญิงชราในชุดสีเทานางนี้ มีรูปร่างผ่ายผอมนัก ชุดสีเทาของนางจึงดูหลวมโครกพิกล


 


เรียกว่านางผอมจนน่ากลัวจะปลิวไปตามลมได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตามดวงตาของนางกลับฉายแววแหลมคม ปานจะมองทะลุได้ทุกสิ่ง


 


“ข้าคือจ้าวตำหนักลองกระบี่แห่งวังเทียนฉือ เหลยอิง”


 


หญิงชราที่ออกมายืนเผชิญหน้ากับผู้คน กวาดตามองร่างผู้คนมากมายหน้าวังเทียนฉือรอบหนึ่ง พลางกล่าวแนะนำตัวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ


 


“หา!? จ้าวตำหนักลองกระบี่เช่นนั้นหรือ!?”


 


“ข้ารู้มาว่าตำหนักลองกระบี่นั้น รับหน้าที่ดูแลเรื่องการทดสอบรับศิษย์ใหม่ของวังเทียนฉือโดยเฉพาะ…อย่างไรก็ตามปกติผู้ที่จะรับหน้าที่ออกมาควบคุมดูแลการทดสอบรับศิษย์มักจะเป็นรองจ้าวตำหนักมิใช่หรือไร? ไฉนคราวนี้จ้าวตำหนักถึงมาเองได้เล่า!?”


 


“นางเรียกว่าเหลยอิง…หรือว่านางก็คือ ‘จักรพรรดิอมตะไร้ใจ’ ที่ร่ำลือผู้นั้นหรือ!?”


 


“ไม่ผิด! นางเป็นหนึ่งในจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ! และสมญานามของนางก็คือ ‘ไร้ใจ’ และนางยังมีตำแหน่งเป็นถึงจ้าวตำหนักของตำหนักลองกระบี่อีกด้วย!!”


 


“ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิอมตะไร้ใจผู้นี้ร้ายกาจยิ่ง…กระทั่งมีจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ตกตายคามือนางแล้วไม่ต่ำกว่า 5 คน!”


 


“ใช่! นอกจากเรื่องที่สหายท่านนั้นกล่าวถึง ข้ายังได้ยินมาอีกว่า จักรพรรดิอมตะไร้ใจผู้นี้…พลังฝีมือของนางติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของวังเทียนฉืออีกด้วย!”


 



 


เมื่อหญิงชราร่างผอมชุดเทาเปิดเผยตัวตนออกมา ว่านางก็คือจ้าวตำหนักลองกระบี่เหลยอิง ผู้คนมากมายที่มารวมตัวกันหน้าประตูวังเทียนฉือก็แตกตื่นฮือฮากันยกใหญ่


 


และบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักเหลยอิงแต่แรก พอได้ยินหลายๆคนกล่าวถึงความเป็นมาและตัวตนของเหลยอิง ว่าเป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามชนชั้นยอดฝีมือคนหนึ่ง ทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความชื่นชม “ที่แท้แม่เฒ่าผู้นี้ ก็เป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่งของวังเทียนฉือ!”


 


“โอทวยเทพ! นางก็คือจักรพรรดิอมตะไร้ใจ…ที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมดุดันเป็นที่สุด! ทุกครั้งที่รับหน้าที่ประธานในการทดสอบรับศิษย์ บททดสอบก็จะรุนแรงทั้งยากขึ้นหลายเท่าตัว จนผู้คนร่ำร้องหามารดากันเป็นแถบผู้นั้นน่ะหรือ!?”


 


“เหอๆ เจ้าหนูคนนั้นน่ะ…เจ้ากล่าวถูกแล้วไอ้หลาน! เมื่อหมื่นปีก่อนข้าก็คือคนที่มาทดสอบตอนนางรับหน้าที่ประธานพอดี และข้าบอกเลย…ว่าวันนั้นจำนวนศิษย์ที่ผ่านบททดสอบเข้าสู่วังเทียนฉือได้ มันน้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนศิษย์ที่จะผ่านบททดสอบเข้าวังเทียนฉือได้ตามปกติด้วยซ้ำ…”


 


“โอยยย! ไฉนหวยมาออกที่ข้าได้เล่า! ก่อนออกจากบ้านเมื่อ 5 ปีก่อน แม่เฒ่าก็ทักว่าข้ามีโชคจะได้รับเลือกแล้วนะ!!”


 


“มีโชคได้รับเลือก? เจ้าฟังผิดรึเปล่า…สภาพนี้ข้าว่าโชคเลือดแล้วล่ะ”


 



 


หลายคนที่ได้รับทราบเรื่องราวความเข้มงงวดของเหลยอิง และไม่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองก็ร่ำร้องโอดครวญกันเป็นแถบ โดยเฉพาะบรรดาผู้อาวุโสที่มาส่งบุตรหลานในตระกูลที่บังเอิญมาทดสอบเข้าวังเทียนฉือเมื่อหมื่นปีก่อน ก็ได้แต่ให้กำลังใจบุตรหลานด้วยรอยยิ้มแหยๆ


 


“จ้าวตำหนักลองกระบี่ จักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง?”


 


ท่ามกลางฝูงชน ต้วนหลิงเทียนที่ยืนจับมือกับฮ่วนเอ๋ออยู่ พอได้ยินการแนะนำตัวของเหลยอิงกับเสียงฮือฮาของผู้คนโดยรอบ ก็หยีตาลงเล็กน้อย


 


เมื่อ 12 ปีก่อน ตอนที่เขามาถึงวังเทียนฉือครั้งแรก ก่อนที่จะมาชมดูที่ทางหน้าวัง เขาก็ได้หาข้อมูลและสอบถามเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับวังเทียนฉือรวมถึง เรื่องราวการทดสอบรับศิษย์มาแล้ว ยังได้รู้ชื่อของเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทุกคนของวังเทียนฉือเรียบร้อย


 


ในวังเทียนฉือนั้น มีจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่ด้วยกันทั้งหมด 9 คน และเหลยอิงก็คือ 1 ใน 9 คนที่ว่า สมญานามของนางก็คือ ‘ไร้ใจ’ พลังฝีมือของนางนั้น ผู้คนกล่าวขานว่าร้ายกาจจนติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 9 แห่งวังเทียนฉือ


 


“ฮ่วนเอ๋อ พวกเรานับว่ามีโชคไม่เลวเลยจริงๆ…เพราะการทดสอบของพวกเรา เป็นจ้าวตำหนักลองกระบี่รับหน้าที่ควบคุมการทดสอบพอดี”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวกับฮ่วนเอ๋อข้างกายด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่เจ้าทำผลงานได้ดี เจ้าต้องได้รับความสนใจจากนางแน่!”


 


“กระทั่งหากนางคิดรับเจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัวขึ้นมา ด้วยสถานะของนาง ต้องทำให้เจ้าเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับบิดามารดาได้แน่ๆ!”


 


ถึงแม้ในปัจจุบันนฮ่วนเอ๋อจะไม่ได้สวมหมวกผ้าคลุมหน้า แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น นางยังคงสวมผ้าปิดหน้าเอาไว้


 


เป็นธรรมดาว่าถึงนางจะสวมผ้าปิดหน้า แต่มันก็ปกปิดแค่ใบหน้าครึ่งล่างเท่านั้น ยากจะบดบังความงามของฮ่วนเอ๋อได้หมด แค่ดวงตาที่โผล่พ้นผ้าของนาง ก็เสมือนทำให้ผู้ที่แลเห็นต้องมนตร์แล้ว


 


เพียงแค่ยังไม่เพ้อหนักเกินจริงเหมือนตอนที่ไม่ได้สวมผ้าปิดหน้าเท่านั้น


 


ทันใดนั้นเอง จ้าวตำหนักลองกระบี่จักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงแห่งวังเทียนฉือ ก็กล่าวออกมาอีกครั้งว่า “หลังจากนี้ข้าจักทำการจัดตั้งค่ายกลเพื่อตรวจสอบอายุของผู้ที่จักเข้าร่วมการทดสอบในพื้นที่ 3 ตารางลี้เบื้องหน้า…เมื่อถึงตอนนั้นหากยังมีผู้ใดอายุเกินพันปีอยู่ ก็อย่าหวังจะได้จากไปอีกเลย!”


 


พอกล่าวจบคำ สอตาเหลยอิงก็ฉายแววฆ่าฟันออกมาทันที


 


และเหลยพูดไม่ทันขาดคำ ผู้คนมากมายก็เร่งรุดเหินร่างออกไปกันจ้าละหวั่น และทั้งหมดก็เป็นคนที่มาส่งรุ่นเยาว์ของตัวเท่านั้น


 


พริบตาเดียว จากที่มีผู้คนแออัดอยู่หลายหมื่น ก็หลงเหลือเพียงแค่ 6,000 กว่าคนเท่านั้น


 


ไม่ใช่ว่าผู้ที่มาเข้าร่วมการทดสอบของวังเทียนฉือจะน้อย แต่เป็นเพราะทุกคนรู้ดีว่าบททดสอบเข้าวังเทียนฉือเข้มงวดมาก หากไม่ใช่คนที่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองจริงๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่คิดจะมาให้เสียเวลาแต่แรก


 


และ 6,000 คนที่เห็นกันหน้าสลอนอยู่ตอนนี้ หากเป็นการทดสอบปกติ ก็มักจะหลงเหลือคนอยู่ราวๆ 600 เศษเท่านั้น


 


แต่ทว่าผู้ที่รับหน้าที่เป็นคนควบคุมบททดสอบวันนี้กลับเป็นจ้าวตำหนักลองกระบี่อย่างเหลยอิง เช่นนั้นขอแค่มีผู้คนหลงเหลืออยู่สักร้อย ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว!


 


ฟุ่บ!


 


ฟุ่บ!


 



 


ท่ามกลางสายตาทุกผู้คน เหลยอิงพลันสะบัดมือ ซัดจานค่ายกลออกไปยังทิศทางต่างๆ จากนั้นจานค่ายกลก็เริ่มต้นการทำงานแผ่พลังอาคมออกมาปกคลุมพื้นที่ 3 ตารางลี้เบื้องหน้านางเอาไว้


 


อย่างไรก็ตามหลังพื้นที่ 3 ตารางลี้ถูกพลังอาคมจากจานค่ายกลปกคลุมแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นชัดว่าไม่มีผู้ใดคิดจะตีเนียนเข้าร่วมการทดสอบทั้งๆที่อายุเกิน 1,000 ปี!


 


เห็นดังนั้น เหลยอิงก็สะบัดมือเรียกเก้บจานค่ายกลกลับมา ก่อนที่จะกวาดตามองไปยังคนทั้ง 6,000 เบื้องหน้าอีกครั้ง


 


“เอาล่ะ จากนี้ไปให้พวกเจ้าจัดกลุ่มตามช่วงอายุ…ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 100 ปีไปยืนด้านซ้ายสุด…ถัดมาตรงนั้น สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 100-200 ปี..ฯลฯ.”


 


“ส่วนผู้ที่มีอายุ 900-1,000 ปีไปยืนรวมกันตรงนั้นเสีย…”


 


เหลยอิงกล่าวออกมาอีกครั้ง ก็เป็นการแบ่งผู้คนที่เหลืออยู่ราวๆ 6,000 คนออกเป็น 10 กลุ่ม ตามช่วงอายุของแต่ละคน


 


ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆก็เริ่มเคลื่อนไหวไปยังพื้นที่ดังกล่าวทันที


 


ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อเองก็อายุเกิน 200 ปีแล้ว ดังนั้นนางจึงอยู่กลุ่มเดียวกับต้วนหลิงเทียน เป็นพื้นที่ๆมีไว้สำหรับคนที่จะเข้าร่วมการทดสอบช่วงอายุ 200-300 ปี


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


คนกว่า 6,000 บ้างเร่งรุดไปตามพื้นที่ตามช่วงอายุของตัวทันที เสียงแหวกสายลมจากการเคลื่อนที่ดังขึ้นฟุ่บฟั่บๆ ไม่นานนักก็แบ่งออกเป็น 10 กลุ่มเรียบร้อย แน่นอนว่าแต่ละกลุ่มก็มีจำนวนคนไม่เท่ากัน กลุ่มที่มีคนไปยืนอออยู่มากที่สุดก็จะเป็นพื้นที่สำหรับผู้ที่มีช่วงอายุไม่เกินร้อยปี พื้นที่ๆมีคนไปยืนอยู่น้อยสุดก็คือช่วงอายุ 900-1,000 ปี


 


‘ดูเหมือนผู้คนส่วนใหญ่ จะอยากเข้าร่วมวังเทียนฉือตั้งแต่ยังเยาว์’


 


เห็นสิ่งนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร


 


ได้รับการปลูกฝังจากวังเทียนฉือตั้งแต่อายุไม่ถึงร้อย กับได้รับการปลูกฝังจากวังเทียนฉือตอนอายุเกือบพัน มันเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!


WSSTH ตอนที่ 3,258 : 2 ปีศาจ


 


 


ผู้ที่สามารถเข้าร่วมวังเทียนฉือได้ตั้งแต่อายุไม่ถึง 100 หลังบ่มเพาะฝึกปรือในวังเทียนฉือจนมีอายุเกือบพัน เกรงว่าจะไม่ใช่อะไรที่เหล่าคนที่มีคนอายุเกือบพันเหล่านี้จะต่อกรด้วยได้เลย…


 


เรียกว่าฝ่ายแรกเสมือนเริ่มดีมีชัยไปกว่าครึ่ง


 


“ข้าจักย้ำอีกครั้ง พื้นที่ส่วนนี้มีไว้สำหรับคนที่อายุไม่ถึงร้อยปีเท่านั้น หากเป็นคนที่มีอายุ 100-200 ปีให้ขยับมารวมกันตรงนี้เสีย”


 


เหลยอิงกวาดตามองไปยังผู้คนที่แบ่งออกเป็น 10 กลุ่ม พลางกล่าวย้ำออกมาเสียงเข้ม “การทดสอบของแต่ละกลุ่มจะยากง่ายแตกต่างกันตามช่วงอายุ…เช่นนั้นพวกเจ้าจงยืนให้ถูกพื้นที่เสีย”


 


หลังได้ยินคำเตือนของเหลิ่งอิง ก็ปรากฏร่างคน 6 คนเริ่มเคลื่อนกายไปยังพื้นที่ๆกลุ่มคนอายุไม่ถึง 100 ปียืนรวมกันอยู่ทันที…


 


‘หืม? 6 คนนั่นมันคิดฉวยโอกาสจากเรื่องนี้งั้นรึ?’


 


เห็นฉากดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา และคิดว่า 6 คนนั่นซวยแน่!


 


เพราะเขาไม่เชื่อว่าทั้ง 6 จะมีอายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!


 


หากพวกมันมีอายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ ไฉนพึ่งขยับไปเข้ากลุ่มเอาตอนนี้?


 


ฟุ่บ!


 


หลังผ่านไปอีกสิบกว่าลมหายใจ เมื่อไร้ผู้คนเคลื่อนไหวใดๆแล้ว เหลยอิงก็สะบัดมือเรียกจานค่ายกลออกมาอีกครั้ง และจานค่ายกลที่นำออกมารอบนี้ เห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างจากตอนแรก


 


เมื่อจานค่ายกลลอยสูงขึ้นไปกลางหาว มันก็หมุนคว้างทั้งดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็เปล่งลำแสงสว่างวาบออกมาดั่งวงแหวน ปกคลุมร่างผู้คนทั้ง 10 กลุ่มเอาไว้!


 


‘หืม?’


 


ไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นได้ทันนที ว่าหลังจากวงแหวนแสงล้อมลอบทุกคนอาไว้แล้ว เหนือศีรษะคนนับโหลที่ยืนอยู่ในกลุ่มพื้นที่สำหรับคนอายุไม่ถึงร้อยปี ก็เริ่มปรากฏรัศมีแสงเรืองสว่างขึ้นมา


 


สำหรับพื้นที่อีก 9 กลุ่มที่เหลือไม่มีใครปรากฏรัศมีแสงสว่างดังกล่าวเลย


 


“เจ้าพวกนั้น…มันไม่รู้กฏการทดสอบของวังเทียนฉือหรืออย่างไร? พวกมันจะถ่อมารนหาที่ตายที่นี่ทำเพื่อ?”


 


ห่างออกไปจากต้วนหลิงเทียนไม่ไกล มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนกอดอก มองคนนับโหลที่มีรัศมีแสงปรากฏเหนือหัวพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงงุนงง แววตาไม่ทราบจะฉายแววเวทนาสงสารหรือสมน้ำหน้าดี


 


และหลังเสียงชายหนุ่มดังกล่าวดังจบคำ สายตาเหลยอิงก็กวาดมองไปยังคนนับโหลที่ว่าทันที


 


“พวกเจ้าทั้ง 13 คน ถูกตัดสิทธิ์ออกจากการทดสอบ”


 


เหลยอิงกล่าวออกเสียงเรียบ


 


และในขณะที่ทั้ง 13 หน้าซีดลง เริ่มฉายความเสียใจออกมา ไม่ทันที่พวกมันจะได้เหินร่างจากไปไหน ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเหลิ่งอิงแต่แรกก็ก้าวออกมา จากนั้นมันไม่พูดไม่จาก็ซัดพลังออกไป 13 สาย แยกย้ายกันเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่คนทั้ง 13 ทันที!


 


ทั้ง 13 คนก็เร่งเร้าพลังเตรียมการป้องกันเต็มที่ อนิจจาแม้พวกมันจะใช้พลังทั้งหมดแล้ว แต่ก็ไม่อาจต้านทานการลงมือของชายวัยกลางคนได้เลย พริบตาก็ถูกพลังสังหารของชายวัยกลางคนกระแทกจนแหลกเป็นผง!


 


‘จักรพรรดิอมตะ!’


 


ทันทีที่ชายวัยกลางคนลงมือเคลื่อนไหว ต้วนหลิงเทียนก็ระบุได้ทันทีว่าด่านพลังฝึกปรือของมันอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ส่วนในบรรดาทั้ง 13 คนนั่น ผู้ที่มีด่านพลังฝึกปรือสูงสุดก็ยังเป็นแค่จอมราชันอมตะ 2 ยศเท่านั้น ย่อมไม่อาจต้านรับพลังระดับนี้ได้เลย…


 


ถึงแม้จะเป็นแค่กระแสพลังสังหารที่ชายวัยกลางคนซัดออกมาส่งๆก็ตามที


 


เมื่อทั้ง 13 ถูกประหารตายตก ผู้คนส่วนใหญ่ก็รู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย บางคนที่มีความคิดจะตีเนียนไปยืนในกลุ่มช่วงอายุที่น้อยกว่าของตัวเองเมื่อครู่ ก็ใจเสียจนเหงื่อแตกพลั่ก!


 


เพียงแค่ความคิดชั่ววูบ ก็เกือบทำให้พวกมันตกตายแล้ว!


 


“ไปได้แล้ว”


 


พอเสียงเหลยอิงดังเข้าหูทุกคนอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็สังเกตเห็นร่าง 10 ร่างก้าวออกมาจากด้านหลังเหลยอิง


 


ชายวัยกลางคนที่ลงมือเมื่อครู่ก็เริ่มก้าวเดินอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตามมันไม่เหมือนคนอื่นๆที่มุ่งหน้าเข้าหากลุ่มคนในช่วงอายุต่างๆ แต่เป็นย้ายออกจากเบื้องหน้ากลุ่มคนที่มีอายุไม่ถึง 100 ไปยังพื้นที่สำหรับผู้ที่มีอายุอยู่ในช่วง 900-1,000


 


คนกลุ่มนั้นพอเห็นชายวัยกลางคนมุ่งหน้ามาหาพวกมัน และพอมาถึงเบื้องหน้าก็หยุดมองจ้องพวกมันเขม็ง แต่ละคนก็รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที


 


ซัว!!


 


ครืนนน!!


 


 



 


เสียงกระหึ่มปานจะสะเทือนสะท้านได้กระทั่งแผ่นฟ้าอุบัติขึ้น เป็นคนทั้ง 10 ที่มาหยุดอยู่หน้ากลุ่มคน อยู่ๆก็พร้อมใจกันปลดปล่อยแรงกดดันพลังออกมาโถมเข้าใส่กลุ่มคนพร้อมเพรียง!


 


รัศมีพลังหลากสีสัน ต่างกันไปตามกฏที่เข้าใจประหนึ่งถล่มลงจากฟากฟ้าถล่มทับเข้าใส่ผู้คนแต่ละกลุ่ม!


 


‘7 คนฟากนี้เป็นจอมราชันอมตะ…ส่วน 3 คนนั่นเป็นจักรพรรดิอมตะ’


 


ในขณะเดียวกันกับที่ทั้ง 10 แผ่แรงกดดันพลังออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ตรวจพบได้ในพริบตาว่าในบรรดา 10 คนที่ก้าวออกมา มีจอมราชันอมตะ 7 คน จักรพรรดิอมตะ 3 คน


 


จักรพรรดิอมตะทั้ง 3 นั่น แยกย้ายกันไปยังกลุ่มคนที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 700 ปีขึ้นไป ทั้ง 3 กลุ่ม


 


สำหรับจอมราชันอมตะทั้ง 7 นั่น แต่ละคนรับผิดชอบกลุ่มคนที่มีช่วงอายุไม่ถึง 700 ปี


 


และยิ่งช่วงอายุก็แปรผันกับด่านพลังฝึกปรือของพวกมันเช่นกัน


 


อย่างเช่นคนที่รับหน้าที่สร้างแรงกดดันให้กลุ่มต้วนหลิงเทียนนั้น มันเป็นแค่จอมราชันอมตะ 6 ผสานเท่านั้น


 


ถึงแม้ความเข้าใจในกฏของมันจะดี แต่ก็สู้ฮ่วนเอ๋อไม่ได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับต้วนหลิงเทียน…


 


“ฮ่วนเอ๋อ พวกเรามาทำลายแรงกดดันของมันกันเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม


 


อาศัยจอมราชันอมตะ 6 ผสานคนหนึ่ง ย่อมไม่อาจกดดันเขากับฮ่วนเอ๋อได้เลย


 


“ได้เลยพี่หลิงเทียน!”


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ฮ่วนเอ๋อก็ลงมือทันที พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานธาตุมิติของนางก็ปะทุออกมาปานเพลิงคลั่ง พวยพุ่งขึ้นฟ้า!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


เสียงระเบิดสนั่นปานฟ้าคำรามดังขึ้นกึกก้อง เป็นแรงกดดันพลังของฮ่วนเอ๋อ สามารถทำลายแรงกดดันพลังที่ผู้ทดสอบแผ่ออกมาได้อย่างง่ายดาย!


 


ชายหนุ่มที่รับหน้าที่แผ่แรงกดดันพลัง พอเผชิญกับการลงมือทำลายแรงกดดันพลังของฮ่วนเอ๋อ หน้ามันก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง!


 


นี่คนอายุไม่ถึง 300 ปี พึ่งจะทำลายแรงกดดันพลังของมันได้จริงๆงั้นเหรอ!?


 


ถึงแม้แรงกดดันพลังที่มันปลดปล่อยออกไปเมื่อครู่ มันจะไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง…แต่อย่างน้อยๆก็เร่งเร้าพลังออกมา 7 ถึง 8 ส่วน! เนื่องเพราะจำนวนผู้คนเบื้องหน้าก็ไม่ใช่น้อยๆ หากมันออมมือมากไป ไหนเลยจะกดดันผู้คนได้เล่า?


 


“มาอีกที!”


 


ชายหนุ่มหยีตาลงมองเพ่งไปยังร่างฮ่วนเอ๋อเขม็ง จากนั้นมันก็โคจรเร่งเร้าพลังเต็มสิบส่วน เพาะสร้างเป็นแรงกดดันไร้สภาพขุมหนึ่งแผ่ปกคลุมไปเบื้องหน้า หากทว่ามุงเน้นไปยังฮ่วนเอ๋อแค่คนเดียว!


 


ความเคลื่อนไหวผิดแปลกดังกล่าว ย่อมกระตุ้นความสนใจของเหลยอิงเช่นกัน และสีหน้าของเหลิงอิงก็แปลกไปไม่น้อยขณะมองไปยังฮ่วนเอ๋อ จากนั้นไม่ทันไรสองตานางก็จำต้องงฉายความประหลาดใจออกชัด!


 


ปงงง!!


 


เพราะในสายตาของเหลยอิง นางพบว่าฮ่วนเอ๋อได้ลงมืออย่างดุดันอีกรอบ แรงกดดันพลังมิติอันบ้าคลั่งปะทุออกไปดั่งอัสนีบาต ฟาดทำลายแรงกดดันพลังของชายหนุ่มจนสิ้นซาก!


 


“อั๊ค–!”


 


ชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บจนต้องกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง!


 


“อะ…”


 


ต่างจากคนกลุ่มอื่นที่กำลังรีดเค้นเรี่ยวแรงดูดนมมารดามาต้านทานแรงกดดันพลังของผู้ทดสอบที่โถมถันเข้ามาดั่งมรสุม คนที่อยู่กลุ่มเดียวกับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อ ได้แต่มองเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง


 


สตรีชุดขาวที่สวมผ้าปิดปากนางนี้ แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ?


 


แต่ว่านางยังอายุไม่ถึง 300 ปีเลยไม่ใช่รึไง?


 


อายุไม่ถึง 300 ปีไฉนมีพลังขนาดนี้ได้เล่า? ต่อให้เป็นชนชั้นอัจฉริยะของวังเทียนฉือ ก็ไม่น่าจะร้ายกาจขนาดนี้ไม่ใช่รึไง?!


 


“ดี!!”


 


เมื่อเห็นชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บจากพลังสะท้อน เหลยอิงไม่เพียงไม่โกรธ แต่สองตาที่มองจ้องฮ่วนเอ๋อยังกลายเป็นเร่าร้อนขึ้นมาทันที ถึงกับอดไม่ได้ที่จะตะโกนชมฮ่วนเอ๋อออกมาเสียงดัง


 


“สาวน้อยเจ้าออกมายืนรอทางด้านนี้เถอะ”


 


เหลยอิงมองกล่าวกับฮ่วนเอ๋อ


 


ขณะเดียวกันนางก็ผายมือให้ฮ่วนเอ๋อไปยืนรออีกที่หนึ่ง ไม่ต้องไปยืนรวมกลุ่มกับคนอื่นอีกต่อไป


 


เป็นธรรมดาว่าด้วยพลังที่ฮ่วนเอ๋อเผยออกมาเมื่อครู่ การปล่อยให้ฮ่วนเอ๋ออยู่ต้านทานแรงกดดันสืบต่อ ก็รังแต่จะทำให้คนของนางประสบชะตาอนาถเท่านั้น


 


ด้านชายหนุ่มที่เป็นผู้ทดสอบ หลังตบโอสถอมตะเข้าปากและเดินพลังไม่กี่อึดใจจนหายดีแล้ว มันก็ได้แต่หันมองไปทางฮ่วนเอ๋อด้วยสายตาหวาดกลัว จากนั้นหลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับสติ มันก็หันกลับมามองกลุ่มคนเบื้องหน้ารวมถึงต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง


 


ทันใดนั้นเองสองตามันก็เผยประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นวาบหนึ่ง ไอพลังทั่วร่างเริ่มสั่นไหว เห็นได้ชัดว่ามันคิดจะระบายโทสะของมันไปยังกลุ่มคนเบื้องหน้า


 


ครืนนนน!!


 


ชายหนุ่มลงมืออีกครา และครานี้ไม่เพียงแต่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของจอมราชันอมตะ 6 ผสานจะถูกปลดปล่อยออกมาเต็มกำลัง มันยังรวมผสานพลังจากความลึกซึ้งเอาไว้อีกด้วย!


 


“แย่แล้ว!!”


 


“เจ้านั่นไม่พ้นคิดเอาความอับอายที่ถูกสตรีชุดขาวทำร้ายมาลงกับพวกเรา!”


 


“บาเอ๊ย! มันอยากหาที่ลงไฉนต้องเอามาลงกับพวกเราด้วยเล่า? พวกเราไม่ได้ไปทำอะไรมันเสียหน่อย!!”


 


“แล้วเจ้าคิดว่าอาศัยพลังของมัน จะมีปัญญาทำอะไรแม่นางชุดขาวนั่นได้เล่า? มันก็ได้แต่เลือกเอามาลงกับพลับสุกเยี่ยงพวกเรานี่ล่ะ!”


 


“สตรีนางนั้นเป็นผู้ใดกันแน่…อายุไม่ถึง 300 ปี ไฉนแข็งแกร่งเหนือผู้ทดสอบคนนี้ได้ล่ะ? ต่อให้เป็นอัจฉริยะของวังเทียนฉือก็ไม่น่าจะร้ายกาจเท่านางกระมัง?”


 



 


กลุ่มคนที่อยู่รอบตัวรู้สึกกดดันอย่างมาก พวกมันพยายามรีดเค้นพลังชั่วชีวิตออกมาผนึกกำลังกันร่วมมือต้านทานพลังงของชายหนุ่มผู้ทดสอบ


 


และในขณะที่หลายคนกำลังกัดฟันดังกรอดเพื่อเร่งเร้าพลังต้านทานสุดตัว ต้วนหลิงเทียนพลันยกมือขึ้นก่อนจะกดลง


 


ทันใดนั้นเอง


 


ซู่มมม!


 


ปงงง!!


 



 


พลังมิติอันบ้าคลั่งระเบิดปะทุออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนอย่างน่ากลัว ประหนึ่งงูหลามสีเทาพิโรธโถมเข้าใส่แรงกดดันพลังของชายหนุ่มอยย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะบดขยี้ทำลายจนย่อยยับ!


 


“อั๊คค!!”


 


ชายหนุ่มได้แต่กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง! และรอบนี้ร่างเซถลาถอยไปหลายก้าวใหญ่…สภาพแลดูยักแย่ยักยันนัก!!


 


“อะ…”


 


คราวนี้กระทั่งเหลยอิงก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง ยังเหม่อมองเรื่องราวด้วยความเหลือเชื่อ


 


เมื่อครู่ก็มีปีศาจน้อยปรากฏขึ้นตัวหนึ่งแล้ว มาตอนนี้ยังจะมีปีศาจน้อยปรากฏขึ้นมาติดๆอีกตัวหรือ?


 


คนอื่นๆที่อยู่รอบๆต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปไม่ต่าง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มีปีศาจร้ายอายุเยาว์มากมายขนาดนี้มาทดสอบพร้อมๆกัน?


 


แล้วนี่ทั้งคู่ยังอายุไม่ถึง 300 ปีจริงๆหรือ?


 


“ท่านผู้อาวุโส ข้าไปยืนตรงนั้นด้วยได้ไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนชี้ไปตรงที่ฮ่วนเอ๋อยยืนอยู่ จากนั้นก็เอ่ยถามเหลยอิงที่ยังแลดูตะลึงไม่หาย กระทั่งได้ยินเสียงเขา นางยังพยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย


 


ด้านเหลยอิงไหนเลยจะมองไม่ออก ว่าชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้ ยังร้ายกาจยิ่งกว่าสาวน้อยชุดขาวเมื่อครู่อยู่หลายส่วน!


 


และพอนางเห็นว่าต้วนหลิงเทียนที่ก้าวไปยืนใกล้ๆฮ่วนเอ๋อได้ไม่ทันไร ฮ่วนเอ่อก็พุ่งมือมากุมมือข้างหนึ่งของต้วนหลิงเทียนเอาไว้ นางจึงบอกได้ไม่ยากว่าทั้งคู่มาด้วยกัน


 


‘พวกมันเป็นผู้ใดกันแน่?’


 


หากมีอะไรผิดปกติไม่พ้นต้องมีปีศาจ อยู่ดีๆก็มีตัวตนที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าอัจฉริยะของวังเทียนฉือของพวกมันปรากฏตัวออกมาแบบนี้พร้อมๆกัน กระทั่งเหลยอิงก็จำต้องระวังให้มาก


 


“แข็งแกร่งนัก!”


 


“บ้าไปแล้ว นี่ทั้งคู่อายุไม่ถึง 300 ปีจริงๆหรือ?”


 



 


เหล่าคนของวังเทียนฉือที่อยู่ด้านหลังเหลยอิง ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียนต่อจากฮ่วนเอ๋อ


 


ที่ย่ำแย่ที่สุดเลยก็คือ ชายหนุ่มที่รับหน้าที่ทดสอบผู้นั้น กระทั่งรับประทานโอสถอมตะและเดินพลังก็แล้ว แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายดีง่ายๆ เห็นชัดว่ามันไม่อาจฟื้นตัวได้ในช่วงสั้นๆแน่นอน


 


“เจ้าไปพักก่อนเถอะ”


 


เหลยอิงก็เหลือบไปมองกล่าวกับชายหนุ่มผู้นั้นเสียงเบา


 


“ทราบแล้วท่านจ้าวตำหนัก”


 


ชายหนุ่มหอบร่างช้ำในของตัวเองกลับมายืนด้านหลังเหลยิง ก่อนที่จะมีอีกคนก้าวออกไปแทนมัน และเมื่อคนใหม่เดินไปถึง มันก็มองทุกคนด้วยสายตาระแวงอยู่พักหนึ่ง!


 


เพราะมันกลัวใจเหลือเกินว่าในกลุ่มคนอายุ 200-300 ปีเบื้องหน้า จะยังมีปีศาจร้ายเยี่ยงชายหนุ่มชุดม่วงกับสาวน้อยชุดขาวนั่นปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักมันก็พบว่าเป็นมันกังวลมากเกินไป


 


“พวกเจ้าสองคน…เป็นผู้ใดกันแน่?”


 


จังหวะนี้กระทั่งเหลยอิงเองก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อพลางถามออกมาเสียงขรึม


 


“ผู้อาวุโส ไฉนท่านถามเช่นนี้เล่า? ในเมื่อพวกเรามาเข้าร่วมการทดสอบของวังเทียนฉือ แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ฝึกตนไร้สังกัด”


 


ต้วนหลิงเทียนมองเหลยอิงด้วยสายตาสับสน ทำราวกับไม่เข้าใจคำถามของเหลยอิง


 


“พวกเจ้าเรียกว่าอะไร?”


 


เหล่ยอิงถาม


 


“ต้วนหลิงเทียน”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบ และก่อนที่ฮ่วนเอ๋อจะทันได้ตอบเหลยอิง ต้วนหลิงเทียนยก็กล่าววออกมาอีกครั้งเสียก่อน “ผู้อาวุโสไม่ทราบว่าท่านมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”


 


“หรือ…วังเทียนฉือไม่คิดรับพวกเรา? หากไม่รับ พวกเราไปเสี่ยงโชคที่ขุมกำลังสวรรค์อื่นก็ได้”


 


พอกล่าวจบ ต้วนหลิงงเทียนก็จูงมือฮ่วนเอ๋อหันร่างเหินจากไปทันที พริบตาทั้งคู่ก็พุ่งไปหลายลี้!


 


“กลับมา!”


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง คิ้วที่ขมวดย่นเป็นปมของเหลยอิงก็คลายตัวลง เร่งกล่าวออกไปเร็วไว “ผู้ใดบอกว่าวังเทียนฉือเราไม่รับคนเล่า!?”


WSSTH ตอนที่ 3,259 : เข้าสู่วังเทียนฉือ


 


 


ชายหนุ่มชุดม่วงกับหญิงสาวในชุดขาวเบื้องหน้า ทั้งๆที่ยังมีอายุไม่ถึง 300 ปี แต่กลับมีพลังสามารถเอาชนะจอมราชันอมตะ 6 ผสานได้!


 


ยิ่งไปกว่านั้น จอมราชันอมตะ 6 ผสานที่ว่า ก็เป็นศิษย์ของวังเทียนฉือของพวกมัน! ต่อให้จะเป็นแค่ศิษย์ธรรมดาไม่ใช่ชนชั้นอัจฉริยะ แต่ก็นับว่าแข็งแกร่งกว่าจอมราชันอมตะ 6 ผสานทั่วไปหลายขุม!


 


กระนั้นยังแพ้พ่ายต่อทั้งคู่!


 


ในวังเทียนฉือเองอัจฉริยะที่อายุไม่ถึง 300 ปีแล้วมีพลังฝีมือระดับนี้ เกรงว่าคงมีไม่ถึง 20 คน!


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้เหลยอิงอดคิดไปไม่ได้ ว่าใช่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเป็นอัจฉริยะที่ขุมกำลังงสวรรค์อื่นใด ส่งมาแฝงตัวเป็นสายลับรึเปล่า…


 


“ผู้อาวุโส ที่พวกเราเลือกวังเทียนฉือเพราะรู้ว่าวังเทียนฉือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน…หาไม่แล้วพวกเราคงเลือกขุมกำลังระดับสวรรค์แห่งอื่นแต่แรก”


 


หลังถูกเหลยอิงเรียกทัก ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


“ตราบใดที่เจ้าสร้างผลงานในวังเทียนฉือเราได้ดี ยามใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์มาเยือนวังเทียนฉือของพวกเรา ข้าก็สามารถแนะนำเจ้าได้…”


 


เหลยอิงกล่าว


 


จังหวะนี้ เรื่องที่นางระแวงสงสัยในความเป็นมาของต้วนหลิงเทียน ก็พูดได้ว่าเป็นความคิดจากจิตใต้สำนึก…


 


พอย้อนคิดดูดีๆ ไม่ว่าทั้งคู่จะเป็นใครแล้วมีความเป็นมาอย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายมาเข้าร่วมการทดสอบเข้าวังเทียนฉืออย่างถูกกฏ และไม่ได้ทำการละเมิดกฏใดๆ นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธทั้งคู่


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่ย้อนกลับมา ก็เฝ้าดูผู้ทดสอบแผ่แรงกดดันเข้าใส่เหล่าผู้เข้ารับการทดสอบกลุ่มต่างๆอย่างเงียบงัน


 


ผ่านไปสักพัก ก็เริ่มมีบางคนทนไม่ไหวเลือดลมตีกลับ กระอักโลหิตออกมาคำใหญ่


 


และคนเหล่านี้ก็ถูกคัดออกทันที


 


สุดท้ายจนผู้เข้ารับการทดสอบทั้ง 6,000 กว่าคน เหลือผู้ที่ยืนหยัดอยู่ได้ราวๆ 1,000 คน เหล่าผู้ที่สร้างแรงกดดันก็ล่าถอยกลับมา


 


“พวกเจ้าพันกว่าคนที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ ถือว่าผ่านการทดสอบรอบแรก”


 


เหลยอิงกวาดตามองผู้คนที่ยังเหลืออยู่พันคนเศษเบื้องหน้าผ่านๆ ค่อยเอ่ยออกมาเสียงเบาว่า “การทดสอบรอบที่ 2 ก็จะจัดขึ้นที่เช่นกัน…และยังคงแบ่งออกเป็น 10 กลุ่มตามช่วงอายุเหมือนเดิม”


 


ขณะที่เหล่ยอิงพูด ด้านต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็เดินกลับมายังกลุ่มคนที่มีอายุ 200-300 ปีทันที


 


และพอทั้ง 2 เดินกลับมาถึง ผู้คนรอบๆก็เร่งทักทายต้วนหลิงเทียนกันยกใหญ่ ที่อยู่ห่างหน่อยก็ได้แต่ซุบซิบกล่าวกันด้วยความอิจฉา


 


เพราะตราบใดที่ไม่ใช่ตัวโง่งม ย่อมเห็นชัดว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อต้องได้เข้าสู่วังเทียนฉือแน่นอนแล้ว


 


“ด้วยความสำเร็จของทั้งคู่ในวัยไม่ถึง 300…หากเข้าสู่วังเทียนฉือได้ ไม่พ้นต้องได้รับการดูแลส่งเสริมอย่างดีแน่นอน น่าอิจฉาจริง”


 


“อิจฉาไปก็เท่านั้น…ใครใช้ให้พวกเราอ่อนด้อยกว่าผู้อื่นเขาเล่า? จะอย่างไรก็แล้วแต่ ข้ายอมรับพวกมันเลยจริงๆ…ช่างร้ายกาจกันนัก!”


 


“เหอะๆ ผู้ใดไม่ยอมรับก็แย่แล้ว มารดามันอายุไม่ถึง 300 ทีกลับมีพลังฝีมือสูงส่งอลังการ…ข้าว่าให้มองไปทั่ววังเทียนฉือ เกรงว่าคนที่มีวัยเท่าพวกมันแล้วร้ายกาจได้เท่าพวกมันก็คงมีไม่มากนักหรอก”


 


“เรื่องของเรื่องก็คืออัจฉริยะในวังเทียนฉือที่สมควรมีไม่กี่คนนั่น ไม่พ้นต้องถูกวังเทียนฉือปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเยาว์ แต่ทั้งคู่ในเมื่อมาเข้ารับการทดสอบแบบนี้ ไม่พ้นต้องไร้ขุมกำลังระดับสวรรค์ขุมใดหนุนหลังและป้อนทรัพยากรให้มาก่อน…ข้าไม่ทราบจริงๆพวกมันบ่มเพาะมาถึงจุดนี้ได้ยังไง”


 


“ข้าว่าทั้งคู่คงไปประสบชะตาปฏิหาริย์อะไรมาแน่นอน!”


 


“จริง อย่างน้อยๆวาสนาที่พานพบโดยบังเอิญของทั้งคู่ ก็ต้องเป็นระดับมรดกของจักรพรรดิอมตะสมญานาม!”


 



 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับผู้คนที่กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม สำหรับฮ่วนเอ๋อนั้น ไม่แม้แต่จะเหลือบแลผู้ใดเลย


 


และไม่นาน การทสอบรอบที่ 2 ก็เริ่มต้นขึ้น


 


บททดสอบรอบที่ 2 เป็นการทดสอบไหวพริบและความสามารถในการเอาตัวรอด…500 คนแรกที่สามารถฝ่าค่ายกลออกมาได้ก่อน ก็จะเข้าสู่บททดสอบรอบที่ 3 ทันที


 


“บททดสอบรอบที่ 2 คิดกำจัดผู้คนออกไปกว่าครึ่งเชียวหรือ?”


 


หลังได้ฟังเหลยอิงกล่าวบอกจำนวนผู้ที่จะได้ไปต่อ สีหน้าผู้เข้ารับการทดสอบหลายๆคนก็มืดลงทันที


 


สำหรับผู้ที่ถูกคัดออกไปก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่ได้จากไปไหนเพียงถอยออกไปชมดูเรื่องราวอยู่ห่างๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง และสามารถทำใจยอมรับเรื่องราวได้ “พันกว่าคนแต่เอาแค่ 500 คนแรกที่ฝ่าค่ายกลออกมาได้…ต่อให้รอบแรกข้าจะทนฝ่ามาได้ แต่รอบนี้ก็คงไม่ไหวอยู่ดี…”


 


“โอยจักรพรรดิอมตะไร้ใจ ช่างโหดเหี้ยมไร้หัวใจเหลือเกิน…ดูท่าแล้วการทดสอบรับศิษย์ของวังเทียนฉือครานี้ จะมีผู้ที่ผ่านได้ไม่ถึง 100 คนจริงๆ”


 


“อย่างไรเสีย ให้เทียบกับรอบแรกแล้ว บททดสอบรอบที่ 2 ข้าว่ามีมาตรฐานเหนือกว่า…เพราะยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งฝ่าค่ายกลออกมาเร็วขึ้นเท่านั้น”


 



 


หลังเหลยอิงประกาศรายละเอียดได้ไม่นานนัก ก็มีผู้คนด้านหลังนางจำนวน 40 กว่าคนก้าวออกมา จากนั้นก็แยกตัวไป 4 คนต่อหนึ่งกลุ่ม ก่อนกระจายตัวล้อมกลุ่มผู้เข้าทดสอบที่รับผิดชอบแต่ละช่วงอายุเอาไว้ทั้ง 4 ทิศทาง


 


เห็นได้ชัดว่าค่ายกลที่จะให้ฝ่าในบททดสอบรอบที่ 2 จะถูกจัดตั้งโดย คน 4 คน


 


“ตั้งค่าย”


 


พอเหลยอิงเอ่ยออกเสียงเบา ผู้คนทั้ง 40 คนที่กระจายตัวไปยังกลุ่มทั้ง 10 ก็เริ่มลงมือกันทันที ในแต่ละกลุ่มเห็นเป็นพลังหลากสีพุ่งมาจากร่างทั้ง 4 ที่อยู่คนละมุม ก่อนจะไปบรรจบกันเหนือฟ้าใจกลาง บังเกิดเป็นค่ายกลพิสดารค่ายหนึ่ง ล้อมกักผู้เข้าทดสอบนับพันแต่ละกลุ่มเอาไว้ชะงัด


 


“เริ่มฝ่าค่ายกลได้”


 


พอเหลยอิงกล่าวจบ ผู้คนนับพันก็เรื่มเคลื่อนไหว แต่ละคนโคจรเร่งเร้าพลังเตรียมตัว ราวกับพร้อมจะพุ่งทะลวงฝ่าค่ายในบัดดล


 


อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ก็ไม่มีใครรีบร้อนลงมือ หมายดูเชิงและรอฉกฉวยโอกาสทั้งสิ้น


 


ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเองก็นิ่งมองผู้คนโดยรอบครู่หนึ่ง


 


“หืม?”


 


ในขณะที่เหลยอิงสงสัยว่าไฉนต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อยังไม่ลงมือฝ่าค่ายกล นางก็พบว่าอยู่ๆร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อพลันอันตรธานหายไปพร้อมๆกัน


 


ปรากฏตัวอีกครั้งก็มาผุดโผล่ยังพื้นที่ว่างจุดเดิมเบื้องหน้านางไม่ไกลแล้ว!


 


“ความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ?”


 


ลูกตาเหลยอิงหดเล็กลง เพราะนางรู้ดีว่าความเคื่อนไหวของทั้งคู่คืออะไร ถึงแม้ว่าทั้ง 4 คนที่ตั้งค่ายกลล้อมกักกลุ่มของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเอาไว้จะยังมีด่านพลังจอมราชันอมตะ แต่ทว่าทั้ง 4 ก็เข้าใจความลึกซึ้งไม่ใช่ชั่ว เช่นนั้นเว้นแต่จะเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ หาไม่แล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้เคลื่อนย้ายข้ามมิติหนีออกจากค่ายกลมาดื้อๆได้แบบนี้


 


กล่าวได้อีกอย่างว่า…


 


อย่างน้อยๆ 1 ใน 2 คนเบื้องหน้าก็ต้องเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่!


 


“พวกเจ้าทำเช่นนี้นับว่าผิดกฏเกณฑ์อยู่บ้าง…”


 


เหลยอิงมองไปยังต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อพลางกล่าว “พวกเจ้ามิอาจช่วยเหลือผู้อื่นฝ่าค่ายกลได้…ทุกคนต้องพึ่งกำลังของตัวเองในการฝ่าค่ายกลออกมาเท่านั้น”


 


“ไม่ทราบว่าเมื่อครู่เป็นผู้ใดในพวกเจ้าใช้เคลื่อนมิติออกมา ข้าจักปล่อยให้อีกคนกลับเข้าไปในค่ายและฝ่าออกมาใหม่…”


 


เหลยอิงกล่าว


 


ถึงแม้จากพลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่เผยออกก่อนหน้า ไม่ว่าใครก็อาศัยพลังของตัวฝ่าค่ายกลออกมาได้ทั้งนั้น แต่เหลยอิงก็คิดชมดูพลังสามารถที่แท้จริงของทั้งคู่ จะได้ประเมิณศักยภาพพรสวรรค์ของทั้งคู่ได้ถูก


 


ได้ยินคำของเหลยอิง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็หันมามองหน้ากันรอบหนึ่ง จากนั้นฮ่วนเอ๋อก็เคลื่อนย้ายข้ามมิติกลับเข้าไปในค่ายกล ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายข้ามมิติกลับมายังจุดเดิมในพริบตา


 


และในขณะที่ฮ่วนเอ๋อเคลื่อนย้ายข้ามมิติกลับมา ไม่ทันที่เหลยอิงจะทันได้พูดอะไร ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างกลับเข้าไปในค่ายกล ก่อนที่จะวูบร่างกลับมาในเสี้ยวพริบตาเช่นกัน


 


‘ทั้งคู่…ล้วนแล้วแต่เข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่!’


 


เหลยอิงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะนางไม่ทันคิดถึงผลลัพธ์แบบนี้เอาไว้เลย!


 


และกลุ่มคนของวังเทียนฉือทียืนอยู่ด้านหลังเหลยอิง พอเห็นการกระทำของต้วนหลิงเทียนกับบฮ่วนเอ๋อ ต่างก็ประหลาดใจกันยกใหญ่ “ข้าไม่คิดเลยว่าพวกเราจะได้พานพบต้นกล้าชั้นเลิศเช่นนี้!”


 


“ให้ตายเถอะ ตอนข้าอายุไม่ถึง 300 ปี เกรงว่าข้ายังไม่ได้แม้แต่ขี้เล็บทั้งคู่ด้วยซ้ำ!”


 


“ข้าด้วย”


 



 


เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็เลยกลายเป็น 2 คนแรกที่ผ่านบททดสอบในรอบที่ 2 แต่สิ่งนี้เหลยอิงกับคนอื่นๆของวังเทียนฉือก็ไม่ได้แปลกใจอะไร


 


หลังจากผ่านไปราวๆ 2 เค่อ ในที่สุดก็มีคนฝ่าค่ายกลออกมาได้


 


และในระหว่างรอ ต้วนหลิงเทียนก็ได้สังเกตค่ายกลของแต่ละกลุ่มช่วงอายุ จนหยั่งถึงตื้นลึกหนาบางได้ทั้งหมด


 


เป็นธรรมดาว่าค่ายกลที่ล้อมกักกลุ่มคนอายุไม่ถึง 100 ปีย่อมอ่อนด้อยที่สุด


 


สำหรับกลุ่มคนอายุ 900-1,000 ปี ก็ต้องเจอกับค่ายกลที่ทรงพลังอานุภาพรุนแรงที่สุด แน่นอนว่าทั้งหมดอิงตามอายุ ทุกคนจึงเสมือนพบพานขุนเขาที่ยากจะข้ามดุจเดียวกัน


 


‘จอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบ จอมราชันอมตะ 6 ผสาน…มีแม้แต่จอมราชันอมตะ 7 ดาราเชียวรึ?’


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองไปยังกลุ่มคนอายุ 900-1,000 ปี เขาก็พบว่าในบรรดาผู้ที่เข้ามาทดสอบช่วงอายุนี้ มียอดฝีมือมาเข้าร่วมไม่น้อย


 


ผู้ที่ด่านพลังฝึกปรือสูงสุดยังเป็นถึงจอมราชันอมตะ 7 ดารา!


 


และหลังจากต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อแล้ว ผู้ที่ฝ่าค่ายกลออกมาได้เป็นคนที่ 3 ก็คือจอมราชันอมตะ 6 ผสานในกลุ่มนี้


 


จอมราชันอมตะ 6 ผสานที่ทำเวลาผ่านการทดสอบได้เป็นอันดับ 3 มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มมาในชุดจอมยุทธ์สีครามที่แลดูมั่นใจและกำลังอารมณ์ดีไม่น้อย อย่างไรก็ตามพอมันเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อมายืนรออยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มมันก็ชะงักค้างไปทันที


 


‘อะไร…พวกมันออกมาไวกว่าข้าอีกเรอะ!?’


 


ชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์สีครามอดไม่ได้ที่จะตกใจ เพราะมันหลงคิดว่าตัวเองจะผ่านการทดสอบเป็นคนแรกเสียอีก แต่พอนึกย้อนดูมันก็พอจะเข้าใจได้ ‘ก็นะ บททดสอบแรกพวกมันสำแดงพลังเหนือชั้นขนาดนั้น บททดสอบรอบที่ 2 ยังจะนับเป็นอะไรได้เล่า…’


 


‘อย่างไรเสียบททดสอบที่พวกมันพบเจอ ก็ยากไม่ถึง 1 ใน 3 ของบททดสอบที่ข้าพบเจอด้วยซ้ำ…หากพวกมันเจอบททดสอบเดียวกับข้าเผลอๆยังผ่านกันไม่ได้เลย’


 


ในขณะที่ชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์สีครามคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ราวกับมันลืมเลือนไปเสียสิ้น ว่าจะต้วนหลิงเทียนก็ดีฮ่วนเอ๋อก็ดี ล้วนมีอายุไม่ถึง 300 ปีกันสักคน…


 


แต่ตัวมันล่อไป 900 กว่าปีแล้ว…


 


“เจ้าทำได้ไม่เลว”


 


เหลยอิงหันไปมองกล่าวชมชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์สีครามก่อน ค่อยเอ่ยถามออกมาเสียงเบาว่า “เจ้าชื่ออะไร?”


 


“ท่านจ้าวตำหนักเหลย ข้าเรียกว่า จวินฮ่าวซวน”


 


ชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์สีครามกล่าวตอบ


 


“อืม”


 


เหลยอิงพยักหน้ารับทราบเบาๆ จากนั้นก็หันกลับไปมองคนอื่นๆ


 


หลังผ่านไปอีก 2 เค่อ ก็มีคนฝ่าค่ายกลออกมาได้สำเร็จเป็นคนที่ 4 จากนั้นผู้คนก็ทยอยกันฝ่าค่ายกลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ


 


หลังการทดสอบผ่านไปทั้งสิ้น 1 ชั่วยามก็มีคนสามารถฝ่าค่ายกลออกมาได้ 200 กว่าคน


 


สุดท้ายหลังผ่านไปอีก 2 เค่อ ในที่สุดคนที่ 500 ก็ฝ่าออกมาได้สำเร็จ


 


และพอครบกำหนดแล้วเหล่าผู้ทดสอบทั้ง 4 ของแต่ละกลุ่มก็ประกาศยุติออกมา ก่อนจะถอนรั้งพลังคืนกลับ ทำให้เหล่าคนที่ยังไม่อาจฝ่าค่ายกลออกมาได้ชักสีหน้าสลดหดหู่กันเป็นแถบ


 


“ข้าพลาดแล้ว…”


 


“เฮ่อ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น…เมื่อครู่ข้าจะฝ่าออกไปได้แล้วเชียว”


 


“บ้าเอ๊ย! ถ้ามีให้ข้าอีกสักเสี้ยวลมหายใจ ข้าก็จะฝ่าออกไปได้แล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ผู้ใดดันตัดหน้าข้าเป็นคนที่ 500 ไปก่อนซะได้…”


 



 


ถึงแม้ว่าหลายคนจะรู้สึกยากยอมรับอยู่บ้าง เพราะขาดอีกแค่เล็กน้อยก็จะผ่านการทดสอบแล้ว แต่ไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน เช่นนั้นพวกมันก็ถือว่าไร้วาสนากับวังเทียนฉือ แต่ต้นจนจบพวกมันไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เข้าไปในวังเทียนฉือด้วยซ้ำ


 


“500 คนที่ผ่านบททดสอบ ต่อไปให้ติดตามข้าเข้าไปในวังเทียนฉือ”


 


ภายใต้การนำของเหลยอิง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อและคนอื่นๆทั้ง 500 คนก้าวอาดๆตามเหลยอิงไปติดๆ สำหรับผู้คนที่มากับเหลยอิงนั้น ไม่ได้ติดตามเข้ามาด้วย แต่อยู่รักษาความสงบด้านหน้าวังเทียนฉือต่อสักพัก จนกว่าผู้ที่มาจะกลับไปกันหมด


 


หลังผ่านม่านเมฆหมอกมาสักพัก ฉากเรื่องราวของวังเทียนฉือก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน


 


ถิ่นที่อยู่ของวังเทียนฉือทั้งหมดนั้น มันอยู่เหนือทะเลสาบกว้างใหญ่ไพศาลที่เต็มไปด้วยม่านเมฆหมอกปกคลุมแห่งหนึ่ง เป็นเกาะลอยฟ้าที่ลอยล่องเหนือทะเลสาบ ตัวเกาะแต่ละเกาะ มองจากไกลๆก็เห็นชัดว่าเต็มไปด้วยความเขียวขจีทั้งพฤกษาหลากสีงดงาม บรรยากาศสมแล้วกับที่เป็นแดนสวรรค์ ไม่ใช่อะไรที่จะพบเจอได้ในแดนมนุษย์…


 


ภายใต้การนำของเหลยอิง ในที่สุดพวกต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆก็ได้มาลงจอดยัง 1 ใน 16 เกาะลอยฟ้าเหนือทะเลสาบ


ตอนที่ 3,260 : จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง


 


“ต่อไปจะเป็นบททดสอบที่ 3 ซึ่งเป็นบททดสอบสุดท้าย และการทดสอบครั้งสุดท้ายก็จะจัดขึ้นภายในตำหนักลองกระบี่”


 


ภายใต้การนำของเหลยอิง ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ ก็ได้ล่วงลึกเข้ามาในเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ตั้งตำหนักลองกระบี่ จนในที่สุดก็บรรลุถึงจุดหมายปลายทาง…ประตูทางเข้าตำหนักหลังใหญ่!


 


เบื้องหน้าก็มียืนรออย่างสงบ และจับจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยความสนใจ


 


เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดเป็นคนของตำหนักลองกระบี่ หาไม่แล้วคงไม่มาอยู่ที่นี่


 


“ตำหนักลองกระบี่”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองขึ้นไปด้านบนก็พบว่ามีอักษร 3 ตัวอ่านว่า ‘ตำหนักลองกระบี่’ เขียนไว้อย่างประณีตบรรจง


 


ตำหนักลองกระบี่นั้น ครอบครองอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไม่น้อย บางทีอาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันที่วังเทียนฉือทดสอบรับสมัครศิษย์ ตำหนักลองกระบี่จึงค่อนข้างสงบร้างผู้คน ไม่มีศิษย์เดินเข้าออกพลุกพล่าน


 


“ท่านจ้าวตำหนัก”


 


เหล่าผู้คนที่มายืนรอหน้าประตูก็มีชายวัยกลางกับชายชราคนนับรวม 10 คน พอเห็นเหลยอิงก้าวเข้ามาใกล้แล้วพวกมันก็ทำความเคารพทันที


 


“อืม”


 


เหลยอิงพยักหน้ารับเบาๆ ค่อยกล่าวกับคนทั้ง 10 ว่า “พวกเจ้าพาทุกคนไปเสีย”


 


ถึงแม้ไม่ทราบว่าไฉนเหลยอิงไม่เข้าไปด้วย แต่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆทั้ง 500 คน ก็ไม่ถาม เพียงเดินตามคนทั้ง 10 ที่นำเข้าไปในตำหนักลองกระบี่เบื้องหน้า


 


หลังงจากต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆเข้าไปแล้ว ก็ปรากฏชายหนุ่มร่างสูงเหินมาแต่ไกล พริบตาก็มาหยุดยืนข้างๆเหลยยอิง


 


“เหลยอิง ข้าได้ข่าวมาว่ารอบนี้เจ้าได้ต้นกล้าดีๆมา 2 ต้นรึ?”


 


ชายหนุ่มนั้นมาในชุดคลุมสีเขียว แลดูธรรมดาๆสบายๆชวนให้ผู้ที่อยู่ใกล้รู้สึกสบายใจ


 


“ฉือหล่าง หูตาเจ้าช่างว่องไวจริงๆ”


 


เหลยอิงมองจ้องชายหนุ่มครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยต่อ “อย่างไรเสียข้าคิดจะรับทั้ง 2 เข้าร่วมตำหนักลองกระบี่ของข้า…เจ้าเลิกคิดไปได้เลย!”


ฉือหล่างคือ 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ มีสมญานามว่า ทุ่งขจี พลังฝีมือของมันนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเหลยอิงเลย


 


พอทราบว่าผู้ที่มาทดสอบเข้าร่วมวังเทียนฉือรอบนี้ มีต้นกล้าประเสริฐ 2 ต้นที่ยังอายุไม่ถึง 300 ปี แต่พลังฝีมือถึงกับพอๆกับจอมราชันอมตะสมญานามเข้าไปแล้ว! มันจะไม่มาได้ไง!!


 


“เฮ่ เหลยอิง เจ้ามันจะโลภมากเกินไปแล้ว”


 


ฉือหล่างร้องกล่าวด้วยสีหน้าคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม “มีต้นกล้าดีๆตั้ง 2 ต้น เจ้าก็อย่าได้ขี้ตืดกับข้าหน่อยเลยหน่า! ส่งมาให้ข้าคนนึงเถอะ…อย่าได้ลืมไปเสียเล่า พันปีก่อนตอนเจ้ามาร้องขอคนกับข้า ข้าขี้เหนียวกับเจ้าที่ไหน?”


 


“ฮึ!”


 


เหลยอิงย่นจมูกพ่นลมด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าไม่พูดก็แล้วไป…แต่เจ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาข้าอดมีโมโหไม่ได้จริงๆ เด็กเปรตนั่นที่เจ้ามอบให้มา มันสร้างปัญหาใหญ่ให้ข้าขนาดไหนหรือเจ้าไม่รู้? เจ้าสารเลวนั่นถึงกับกล้าไปล่วงเกินใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์! หากไม่ใช่เพราะข้าฆ่ามันอย่างไร้ปราณีทันที ไม่พ้นตอนนี้ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ยังเคืองข้าไม่หายด้วยซ้ำ!!”


 


พันปีก่อน ตอนการทดสอบคัดเลือกศิษย์ของวังเทียนฉือ เหลยอิงไม่ได้ออกไปทำหหน้าที่ดูแล แต่เป็นรองจ้าวตำหนักลองกระบี่


 


ตอนนั้นก็มีต้นกล้าดีๆอยู่ 2-3 ต้น แต่ไม่ได้ดีเท่าครั้งนี้


 


อย่างไรก็ตามด้วยความที่เหลยอิงไม่ได้ไปจัดการเรื่องราวด้วยตัวเอง สุดท้ายกว่าจะรู้เรื่อง ต้นกล้าดีๆ 2-3 ต้นที่ว่าก็ถูกฉือหล่างคว้าไปตัดหน้า เรียกว่าไปยื่นข้อเสนออะไรเสร็จสรรพตั้งแต่ต้นกล้าทั้งหลายนั่นยังไม่ทันผ่านบททดสอบเข้าสู่วังเทียนฉือทั้งหมดด้วยซ้ำ!


 


การที่ฉือหลางมาคว้าต้นกล้าดีๆไปหมดแบบนี้ เหลยอิงไหนเลยจะยอมได้ จึงเร่งรุดมาทันที สุดท้ายก็ยืนกรานขอคนอย่างดุดัน จนในที่สุดฉือหล่างก็ได้แต่ยอมแบ่งให้เหลยอิงไปแต่โดยดี


 


และพอดีคนที่ฉือหล่างแบ่งให้เหลยอิงนั้น พอพบว่าตัวเองมีคนใหญ่คนโตแย่งกันแบบนี้ หลังเข้าสู่วังเทียนฉือความถือดีหยิ่งผยองก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า คิดว่าตัวเองสำคัญมาก สุดท้ายวันหนึ่งก็ไปทำให้จักรพรรดิสวรรค์ที่บังเอิญมาเยือนวังเทียนฉือต้องขุ่นเคืองใจ!


 


ตอนนั้น เมื่อเหลยอิงเห็นจักรพรรดิสวรรค์มีน้ำโห นางจึงตัดสินใจลงมือเร็วไว เข่นฆ่ามันทิ้งอย่างรวบรัดหมดจด ไม่รอให้จักรพรรดิสวรรค์ทันได้พูดอะไร จึงแก้ไขสถานการณ์เอาไว้ได้


 


“เหลยอิง นั่นมันเหตุสุดวิสัยนี่นา…ตอนที่ข้ามอบมันให้เจ้าไป ข้ารู้จักแค่ชื่อมันเท่านนั้นเอง ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันมีนิสัยใจคออย่างไร ทั้งจะไปรู้เหรอว่าวันหนึ่งมันจะถึงกับกล้าไปอวดเบ่งต่อหน้าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์?”


 


ฉือหล่างชักสีหน้าตัดพ้อเหมือนคนไม่ได้รับความยุติธรรม กล่าวออกด้วยน้ำเสียงคับข้องใจ “เจ้าลองถามตัวเองดู ว่าวันนั้นเป็นข้าตระหนี่กับเจ้าหรือไม่?”


 


“เช่นนั้นวัน…”


 


ฉือหล่างที่คิดจะกล่าวเรียกร้อง ก็ถูกเหลยอิงพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน “พอ! เจ้าไปดูการทดสอบของพวกมันกับข้า…แต่หนึ่งในนั้นจะเต็มใจไปกับเจ้าหรือไม่ ล้วนไม่เกี่ยวกับข้า!”


 


“ได้ๆๆ ไม่มีปัญหา!”


 


ฉือหล่างคลี่ยิ้มร่า เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ “เจ้าแค่ปล่อยคนก็พอ ที่เหลือข้าจัดการได้หน่า!”


 


ที่ไฉนเหลยอิงไม่ได้เข้าไปยังตำหนักลองกระบี่พร้อมพวกต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ เป็นเพราะได้รับข้อความจากฉือหล่าง จึงยืนรออยู่ที่นี่


 


ในเมื่อฉือหล่างมาแล้ว แถมตกลงกันได้แล้ว เหลยอิงก็ก้าวเข้าตำหนักลองกระบี่ไปเช่นกัน


 


ตำหนักลองกระบี่ดังกล่าว พอก้าวผ่านประตูใหญ่เข้ามา สิ่งที่จะพบเจอเป็นอันดับแรกก็คือลานจัตุรัสอันกว้างใหญ่ มองไปปราดเดียวก็บอกได้ว่าไม่มีสิ่งใดพิเศษ เป็นแค่ลานพื้นปูนเรียบๆ


 


อย่างไรก็ตามเมื่อมองย้อนกลับมาด้านหลัง จะไม่อาจเห็นประตูของตำหนักลองกระบี่ได้อีกต่อไป


 


และตอนนี้ในจัตุรัส นอกจากพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 500 แล้วก็มีชายวัยกลางคนกับผูชรารวม 10 คน ที่พาทั้งหมดเข้ามายืนอยู่


 


‘ที่นี่มัน…โลกใบเล็กงั้นรึ/’


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนตระหนักใดได้ในใจ ด้านหลังที่เขาหันกลับมามองแต่ไม่มีอะไร อยู่ดีๆก็ปรากฏร่าง 2 ผุดโผล่ขึ้นมาพร้อมๆกัน


 


หนึ่งในนั้นก็คือเหลยอิง


 


ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มที่ต้วนหลิงเทียนไม่เคยเห็นมาก่อนจะเข้าสู่ตำหนักลองกระบี่ จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


 


อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ต้วนหลิงเทียนจะเดาได้ว่าฐานะอีกฝ่ายในวังเทียนฉือต้องไม่ต่ำต้อยไปกว่าเหลยอิงแน่นอน เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินตีคู่มากับเหลยอิงแบบนี้


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดถึงจุดนี้ ก็มีเสียงคนอื่นดังเข้าหูเขา “ในวังเทียนฉือมีไม่กี่คนที่มีฐานะเท่าเหลยอิง…แต่คนที่มีลักษณะเป็นชายหนุ่ม…ดูเหมือนจะมีอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น”


 


“ดูจากลักษณะของชายผู้นี้ ดูเหมือนจะเป็นจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง!”


 


ผู้ที่กล่าวออกมาเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ต้วนหลิงเทียนเองก็จดจำอีกฝ่ายได้ จึงรู้ว่ามันอยู่ในกลุ่มช่วงอายุ 900-1,000 ปี


 


และในบททดสอบรอบที่ 2 ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ฝ่าค่ายกลออกมาได้หลังชายหนุ่มที่ได้อันดับ 3 นามจวินฮ่าวซวน


 


จวินฮ่าวซวนที่ว่า ก็คือคนที่ฝ่าค่ายกลออกมาได้หลังเขากับฮ่วนเอ๋อ


 


“ฉือหล่าง? จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี? ไฉนมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?”


 


“ต้องมาด้วยเหตุผลบางอย่างเป็นแน่ หาไม่แล้วจักรพรรดิอมตะที่มีฐานะสูงส่งเช่นนี้ ไหนเลยจะมาชมดูเรื่องราวเพื่อความบันเทิง?”


 


“ข้าว่าไม่พ้นล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของ 2 คนนั่น…”


 



 


หลายคนเริ่มกระซิบกระซาบคุยกัน จากนั้นไม่นานสายตาหลายๆคู่ก็เริ่มหันมามองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดเชื่อว่าที่ฉือหล่างมาปรากฏตัวที่นี่ได้ ไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อ


 


‘จักรพรรดิมอตะสมญานามอีกคนงั้นหรือ…’


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอแสงวาบหนึ่ง ลอบกล่าวในใจ ‘ในวังเทียนฉือมีจักรพรรดิอมตะสมญามทั้งสิ้น 9 คน…แต่ตอนนี้กลับมาปรากฏตัวที่นี่ 2 คนงั้นหรือ…’


 


“ฮ่วนเอ๋อ”


 


ต้วนหลิงเทียนเร่งส่งเสียงผ่านพลังไปหาฮ่วนเอ๋อทันที “หากฉือหล่างคนนั้นมาเพราะพวกเราจริงๆ…หลังจบการทดสอบแล้ว ดูว่าเหลยอิงคิดจะชักชวนเจ้าหรือไม่ หากใช่เจ้าก็เข้าร่วมกับนางเสีย”


 


“ส่วนข้าจะเลือกฉือหล่างเอง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อไม่อยากแยกกับท่าน”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวแย้งผ่านพลัง


 


“เด็กโง่ พี่หลิงเทียนเองก็ไม่อยากแยกกับเจ้า…แต่พวกเราทำแบบนี้เพราะมันจะเกิดประโยชน์มากที่สุด ยังอำนวยความสะดวกเรื่องสืบหาที่อยู่บิดามารดาของเจ้าอีกด้วย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวอีกครั้ง


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สองตาฮ่วนเอ๋อก็เป็นประกาย จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก


 


“การทดสอบรอบที่ 3 …ฯลฯ”


 


ขณะเดียวกัน จักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิงจ้าวตำหนักลองกระบี่ ก็เริ่มกล่าวแนะนำรายละเอียดการทดสอบรอบที่ 3 ออกมา


 


การทดสอบรอบที่ 3 ก็ยังคงแบ่งออกเป็น 10 กลุ่มเหมือนเดิม


 


และคนที่จะผ่านการทดสอบ ก็คือ 10 คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของแต่ละกลุ่ม!


 


กล่าวได้ว่า ต่อให้บางกลุ่มมีคนหลายร้อย ก็จะมีแค่ 10 คนสุดท้ายเท่านั้นที่ผ่าน


 


และบางกลุ่มที่มีแค่ 30-40 คน ก็จะมี 10 คนที่เหลือรอดผ่านการทดสอบดุจเดียวกัน


 


“สู้ตะลุมบอน?”


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ได้รับทราบจากเหลยอิง ว่าการทดสอบในรอบที่ 3 นั้นจะเป็นการต่อสู้ตะลุมบอน โดยให้คนในกลุ่มสู้ตะลุมบอนกัน และคนที่เหลือรอด 10 คนสุดท้ายก็คือผู้ที่ผ่านการทดสอบ…


 


“พวกเจ้าทั้ง 10 กลุ่ม ให้เริ่มออกไปสู้กันทีละกลุ่ม ผู้ที่พ่ายแพ้ก็ยังเหลือโอกาสสู้ในสังเวียนคืนชีพอีกครั้ง เพื่อคว้าโอกาสเข้าสู่วังเทียนฉือ”


 


เหลยอิงกล่าวต่อ


 


ทั้ง 10 กลุ่ม ให้ก้าวออกไปสู้ตะลุมบอนกันทีละกลุ่มกลางจัตุรัส


 


กลุ่มแรกที่ต้องออกไปสู้กัน ก็เป็นกลุ่มของผู้ทดสอบที่มีอายุไม่ถึง 100 ปี และยังเป็นกลุ่มที่มีคนเหลือรอดอยู่มากที่สุด และมีคนถึง 116 คน


 


ทั้ง 116 คนนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่พ้นต้องสู้สุดใจแน่นอน เพราะในบรรดาพวกมันมีเพียงแค่ 10 คนเท่านั้นที่จะได้กลาเป็นศิษย์วังเทียนฉือ!


 


“พวกมันไม่พ้นต้องตีกันนัวแน่นอน…”


 


คนอื่นๆที่ชมดูอยู่ ก็รู้ดีว่าคนทั้ง 116 คนที่กำลังก้าวไปรอสัญญาณกลางจัตุรัสต้องตีกันดุเดือดแน่ จึงอดกล่าวพึมพำออกมาไม่ได้ “ใน 116 คน จะมีคนผ่านการทดสอบแค่ 10 เท่านั้น…หมายความว่าอีก 106 คนที่เหลือก็ได้แต่กลับบ้านมือเปล่า…”


 


“เริ่มได้!”


 


พอเสียงให้สัญญาณของเหลยอิงดังขึ้น เหล่ารุ่นเยาว์อายุไม่ถึงร้อย ก็ลงมือกันอย่างพร้อมเพรียง


 


การต่อสู้ตะลุมบอนอุบัติขึ้นทันใด


 


แน่นอนว่าการต่อสู้ตะลุมบอนนี้ เป็นการต่อสู้เป็นตาย!


 


แค่ช่วงต้นของการต่อสู ก็มีหลายคนโชคร้ายตกเป็นเป้าหมายร่วมของผู้อื่นหลายคนพร้อมกัน ถูกพลังซัดจนร่างแหลกเหลว ส่วนผู้ที่ลงมือฆ่าคนก็ไม่แม้แต่จะดูศพ เพียงลงมือซัดพลังออกไปรอบตัวสืบต่อ หมายสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ตัวเองก่อน บ้างยังเริ่มมองหาเป้าหมายคนต่อไป…


 


เป็นธรรมดาว่ามีหลายคน เริ่มรู้ตัวว่าพลังฝีมือตัวเองสู้ผู้อื่นไม่ได้ จึงรีบหนีตายพุ่งร่างออกจากกลางจัตุรัสสุดชีวิต


 


หลังผ่านไปราวๆ 2 เค่อ ก็เหลือเพียง 32 คนเท่านั้นที่ยังไม่ถูกกำจัด


 


ตอนนี้ทั้ง 32 คนก็แยกตัวเว้นระยะห่าง จดจ้องไปยังผู้อื่นอย่างระแวดระวัง


 


“ฮ่วนเอ๋อ เจ้าคิดว่าคนไหนจะต้องผ่านการทดสอบรอบนี้แน่ๆ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่กวาดตามองทั้ง 32 คนรอบหนึ่ก็หันไปเอ่ยถามฮ่วนเอ๋อ


 


“น่าจะเป็นคนนั้นนะ”


 


ฮ่วนเอ๋อกวาดตามองทั้ง 32 คนรอบหนึ่ง ก่อนที่จะชี้ไปยังคนที่ดูจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่น


 


แน่นอนว่าถึงแลดูแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นห่างชั้นคนในกลุ่มไปไกลเหมือนต้วนหลิงเทียนยกับฮ่วนเอ๋อ


 


แค่ดูเหนือกว่าผู้อื่นเล็กน้อย


 


“ข้าว่าเจ้านั่นไม่น่าจะรอดจนจบหรอก…”


 


ได้ยินคำตอบของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา เพราะเขาเองก็เห็นคนที่ฮ่วนเอ๋อกล่าวถึงแล้ว จริงอยู่ที่พลังฝีมือของมันแลดูเหนือกว่าอีก 31 คนที่เหลือ แต่น่าเสียดายที่มันเด่นเกินไป…


 


และข้อเท็จจริงก็พิสูจน์ว่าคำพูดของต้วนหลิงเทียนถูกต้อง


 


ในบรรดา 31 คนที่เหลือ มีถึง 20 กว่าคนที่ตัดสินใจลงมือซัดกระบวนท่าไปเข่นฆ่าคนที่ฮ่วนเอ๋อกล่าวถึงเมื่อครู่ก่อน สุดท้ายมันก็ตกตายในพริบตา…


 


“เอ๊า…”


 


ฮ่วนเอ๋ออึ้ง


 


“ฮ่วนเอ๋อ เว้นแต่เจ้าจะแข็งแกร่งพอที่จะไม่เห็นหัวผู้ใดแล้ว ยามเข้าสู่การปะทะตะลุมบอนแบบนี้ อย่าได้ทำตัวเด่นเด็ดขาด เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเก็บงำพลังของตัวเพื่อเฝ้ารอจังหวะและโอกาส หากเจ้านั่นมันเลือกจะเก็บงำพลังเอาไว้แต่แรก ไม่เลือกเผยพลังให้คนอื่นล่วงรู้มากนัก คงไม่กลายเป็น ‘ไม้เด่นเกินไพรลมพัดหักโค่น’ แบบนี้ และมีแน้วโน้วว่าจะผ่านการทดสอบไปได้อย่างง่ายดาย…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับฮ่วนเอ๋อในลักษณะชี้แนะ


 


หลังจากที่คนที่มีพลังฝีมือสูงสุดถูกกลุ้มรุมสังหารไปแล้ว อีก 31 คนที่เหลือก็เริ่มสู้ตะลุมบอนกันอย่างเอาตาย และในช่วงเวลาไม่นานนัก ก็มีคนล้มหายตายจากไปอีกเกือบครึ่ง


 


หลังผ่านไปอีก 2 เค่อ ก็เหลือคนที่ยืนหยัดกลางจัตุรัสได้ 10 คน


 


“พาทั้ง 10 ไปจัดการเรื่องลงทะเบียนเข้าสู่วังเทียนฉือเสีย”


 


หลังได้ 10 คนที่ยืนหยัดอยู่ได้ถึงตอนสุดท้ายแล้ว เหลยอิงก็หันไปมองกล่าวกับชายวัยกลางคนด้านหลังคนหนึ่งเสียงเรียบ


 


“ทราบแล้วท่านจ้าวตำหนัก”


 


ชายวัยกลางคน ก็พาทั้ง 10 ออกไปทันที


ตอนที่ 3,261 : ศิษย์อัจฉริยะ


 


ทั้ง 10 คนจากกลุ่มอายุไม่ถึง 100 ปีที่ผ่านการทดสอบ ก็ถูกชายวัยกลางคนนำตัวออกจากตำหนักลองกระบี่ จากนั้นก็ไปยังหอทะเบียนเพื่อลงทะเบียนเป็นศิษย์ใหม่ของวังเทียนฉือ และถูกพาตัวไปยังที่อยู่ที่เหมาะสม


 


ตัดกลับมาทางด้านตำหนักลองกระบี่ ก็ถึงคราวที่กลุ่มคนช่วงอายุ 100-200 ปีขึ้นไปสู้ตะลุมบอน


 


คนกลุ่มนี้มีไม่มากเหมือนกลุ่มแรก แต่ก็มีมากเกินครึ่งร้อย


 


“เริ่มได้”


 


เมื่อจ้าวตำหนักลองกระบี่จักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง กล่าวให้สัญญาณ ร่างคนกว่าครึ่งร้อยกลุ่มนี้ก็พร้อมใจกันปะทุพลังลงมืออย่างดุร้ายทันที


 


แน่นอนว่าในการทดสอบนั้น อนุญาตให้ใช้ได้แต่ศาสตราอมตะและชุดเกราะอมตะเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ใช้ยันต์อมตะ อุปกรณ์อมตะสิ้นเปลือง โอสถอมตะ รวมถึงจานค่ายกล


 


ร่างแล้วร่างเล่าตกตาย บ้างก็รีบกล่าวยอมแพ้และเร่งรุดหลบหนีออกมา บางคนพูดยอมแพ้ช้าไปจนพิการก็มี


 


ราวๆครึ่งชั่วยามต่อมา ก็หลงเหลือคนอยู่เพียง 20 คนเท่านั้น…และ 20 คนนี้ก็กำลังปะทะเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด!


 


บางทีอาจเพราะมีบทเรียนจากการได้เห็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มที่แล้วถูกกลุ้มรุมสังหาร 20 คนที่ยังเหลือรอดอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าใครก็ดูเหมือนจะรักษาระดับพลังของตัวเอาไว้อย่างเคร่งครัด


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อสบโอกาสเหมาะบางคนก็ระเบิดพลังออกมาเข่นฆ่าสังหารคนใกล้ตัว บ้างก็เผยพลังที่ที่แท้จริงออกมา


 


ยังมีคนไม่กี่คนที่เหมือนจะลอบส่งเสียงตกลงอะไรบางอย่างกัน จึงร่วมมือกันเพื่อต้านทานรับมือ สุดท้ายก็สามารถอยู่รอดได้จนจบ


 


“เอาล่ะ ตอนนี้ในบรรดาผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 100 ปี สามารถเลือกจะท้าทายผู้ใดก็ได้ในบรรดา 10 คนที่ยืนอยู่กลางจัตุรัส…ตราบใดที่ท้าทายเอาชนะมาได้ พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทดสอบอะไรอีก สามารถเข้าร่วมวังเทียนฉือได้ทันที สำหรับผู้ที่ถูกท้าแล้วพ่ายแพ้ก็รอขึ้นสังเวียนคืนชีพรอบต่อไป”


 


เสียงของเหลยอิงดังขึ้นอีกครั้ง


 


ครู่ต่อมาเหล่าผู้ที่หลบหนีออกมาหรือ ยอมแพ้ในการต่อสู้ตะลุมบอนของกลุ่มช่วงอายุไม่ถึง 100 ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว


 


จากนั้นก็มี 2 คนก้าวออกมา และเลือก 2 ใน 10 ที่พึ่งผ่านการสู้ตะลุมบอนทันที อนิจจาทั้งคู่ล้วนล้มเหลว ไม่อาจเอาชนะ 2 คนในกลุ่มช่วงอายุ 100-200 ที่พึ่งผ่านศึกมาได้…กระทั่งหนึ่งในนั้นยังถูกฆ่าทิ้งทันที!


 


ทั้ง 10 คนในกลุ่มช่วงอายุ 100-200 ปี สามารถรอดมาจนจบได้ยังมีใครอ่อนด้อยบ้าง? ดั่งคำอูฐผอมยังตัวใหญ่กว่าม้า แม้จะบาดเจ็บแล้วมีสภาพอิดโรย ก็ยังสำแดงพลังกล้าแข็งสะกดผู้ที่อายุไม่ถึงร้อยปีได้อยู่


เหล่าผู้ที่มีอายุต่ำกว่าร้อยที่ถูกคัดออกก่อนหน้าลำพังรุ่นเดียวกันก็ไม่ไหวแล้ว ย่อมยากจะเอาชนะผู้มีอายุสูงกว่าที่สู้ฝ่าฟันมาได้!


 


สุดท้ายแม้หลายคนจะออกไปลองท้าทายคนที่ดูมีอาการบาดเจ็บหนัก แม้กระทั่งท้าคนที่อาการหนักผู้นั้นซ้ำทันทีก็ยังล้มเหลวอยู่ดี


 


ไม่มีใครที่อายุต่ำกว่า 100 ปีสามารถเอาชนะสังเวียนคืนชีพได้สำเร็จ…


 


“พวกเจ้าที่ไม่คิดท้าทายแล้วก็รออยู่ตรงนี้ก่อน…รอให้การทดสอบรอบที่ 3 จบลงเมื่อไหร่จักมีคนพาออกไปเอง”


 


เหลยอิงเหลือบมองไปยังกลุ่มคนนอายุไม่ถึง 100 ที่แพ้พ่ายและยังมีชีวิตอยู่พลางพล่าว ตอนนี้พวกมันก็ไม่มีสิทธิ์ท้าทายอะไรแล้ว หมดโอกาสโดยสมบูรณ์ ที่ต้องรอเพราะไม่มีใครว่างไปส่งพวกมัน…


 


“เจ้าพาทั้ง 10 ไปลงทะเบียนเสีย”


 


เหลยอิงหันมองไปยัง 1 ใน 9 ผู้อาวุโสตำหนักลองกระบี่ที่ยืนรออยู่ด้านหลังพลางกล่าว และอาวุโสคนนั้นก็ไม่รอช้า หอบหิ้วร่างทั้ง 10 จากไปทันที


 


ต่อมาก็ถึงตากลุ่มอายุ 200-300 ปีลงสู้


 


ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ก้าวเท้าเดินไปยืนกลางจัตุรัสอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


เมื่อทั้งคู่ยืนอยู่กลางจัตุรัส หลายคนก็มองไปด้วยความอิจฉา และมีหลายคนที่มองจ้องทั้งคู่ด้วยความหวาดกลัว ยังมีคนที่หวาดระแวงจนไม่กล้าเข้าใกล้ทั้งคู่อีกด้วย


 


และทุกคนนั้น ลึกลงไปในแววตาก็ฉายชัดถึงความอับจนหนทางประการหนึ่ง


 


ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนก็ดี ฮ่วนเอ๋อก็ดี การทดสอบทั้ง 2 รอบที่ผ่านมา ทั้งคู่ได้สำแดงพลังที่เหนือชั้นสุดที่พวกมันจะทาบติดออกมาให้เห็นแล้ว พวกมันไม่ว่าใครก็รู้ตัวดีว่าไม่มีหนทางทำอะไรทั้งคู่ได้เลย


 


นอกจากนี้ในเมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันแบบนี้ ไม่พ้นต้องคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันแน่นอน


 


“อั้ย…ข้าว่าในกลุ่มนี้คงไม่มีใครกล้าทำอะไร 2 คนนั่นแน่นอน เผลอๆยังต้องคอยระวังทั้งคู่ด้วย ว่าจะใช่มืออำมหิตชมชอบฆ่าคนเป็นผักปลาหรือไม่? ถ้าเกิดเริ่มมาสองคนนั่นระเบิดพลังฆ่าคนสักตู้ม ข้าว่าได้มีวงแตกรีบวิ่งหนีกันแทบไม่ทันเป็นแน่…ว่ากันตามตรง เจ้าน่าจะให้สองคนนั่นข้ามการทดสอบนี่ไปได้เลยด้วยซ้ำ”


 


ฉือหล่างกล่าวกับเหลยอิง


 


และผลที่ปรากฏออกมาก็พบว่าฉื่อหลางเดาได้ถูกเผง


 


หลังจากที่เหลยอิงประกาศให้เริ่มต้นการต่อสู้ตะลุมบอน ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะยืนอยู่กลางจัตุรัส แต่ทุกคนพร้อมใจกันออกห่าง ไม่เฉียดเข้าไปใกล้ทั้งคู่แม้แต่น้อย เห็นชัดว่าไม่มีใครกล้าลงมือจู่โจมใส่


 


คนอื่นๆนั้นปะทะกันดุเดือดเลือดพล่าน แต่จุดที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อยืนอยู่กลับสงบไร้คลื่นลมใดๆ


ปงงง!!


 


ตูมมมม!!


 



 


เสียงพลังปะทะดังสะเทือนเลือนลั่นไม่หยุด คลื่นพลังสะท้อนเองก็กำจายไปในอากาศระลอกแล้วระลอกเล่า อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่จู่โจมลงมือจงใจเบี่ยงพลังและการโจมตีทั้งหมดของตัว ไม่ให้เฉียดเข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเลย!


 


เรียกว่าสิ่งนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในช่วงอายุอื่นๆทันที


 


“นี่มันอะไรกันแน่?…ไม่มีผู้ใดหาญกล้าโจมตี 2 คนนั่นเลยหรือ?”


 


“ข้าได้ยินมาว่า รอบแรกนั้นทั้งคู่ถึงกับทำลายแรงกดดันพลังของผู้ทดสอบโดยตรง ผู้หญิงคนนั้นยังดี แต่เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น เห็นว่ามันทำลายแรงกดดันของผู้ทดสอบด้วยพลังที่เหนือกว่ากันมาก ผู้ทดสอบคนนั้นจึงถูกพลังสะท้อนซัดจนเปลี้ย ถึงกับทำหน้าที่ทดสอบต่อไม่ไหวจำต้องเปลี่ยนคนทดสอบ…ข้าเกรงว่าพลังฝีมือระดับพวกมัน ให้ทั้งหมดในกลุ่มร่วมมือกันยังทำอะไรพวกมันคนใดคนหนึ่งไม่ได้เลย”


 


“ซืด…สองคนนั่นร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว!? แล้วนี่มันเป็นใครมาจากไหนกันแน่ ผู้ฝึกตนอิสระจะร้ายกาจได้ขนาดนี้เชียวหรือ?”


 


“นั่นสิ อายุไม่ถึง 300 ปีแต่กลับมีพลังระดับนั้น ข้าว่าต่อให้เป็นในบรรดาขุมกำลังระดับสวรรค์ ก็ไม่ใช่ว่าจะมีอัจฉริยะระดับนี้มากนัก”


 


“ข้าว่า 2 คนนี้ทันทีที่เข้าสู่วังเทียนฉือ พวกมันก็ไม่พ้นต้องกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะทันที”


 


“เป็นธรรมดา”


 



 


ตอนนี้หลายคนของกลุ่มช่วงอายุอื่นๆที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเกี่ยวกับต้วนหลิงเทียน ก็เริ่มได้ยินความน่ากลัวของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจากคนที่สังเกตเห็น หลายคนยังสอบถามจากคนในกลุ่มอายุ 200-300 ที่ยอมแพ้ออกมาจนรู้ความ


 


สุดท้ายหลังจากผ่านไปราวๆครึ่งชั่วยาม นอกจากต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่ยืนเฉยมาตลอดเวลาแล้ว คนที่เหลือก็สามารถสู้ตัดสินจนหา 8 คนสุดท้ายได้สำเร็จ


 


อีก 2 ที่ พวกมันจงใจเว้นให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อโดยเฉพาะ


 


“คนที่ถูกคัดออกของกลุ่มที่แล้ว สามารถเลือกท้าผู้ใดก็ได้ในบรรดา 10 คนที่เห็น…ตราบใดที่การท้าทายประสบผลสำเร็จ พวกเจ้าก็จะได้รับโอกาสเข้าสู่วังเทียนฉือของพวกเรา”


 


เหลยิงหันมองไปยังกลุ่มคนในช่วงอายุ 100-200 ปีที่ถูกคัดออกมาก่อนหน้าพลางกล่าว


 


ทันใดนั้น เหล่าผู้แพ้ของกลุ่มก่อน ก็เริ่มลงมือทันที


 


ถึงแม้พวกมันจะรู้ดีว่าคนของกลุ่มอายุ 200-300 ปีร้ายกาจแค่ไหนจากการเฝ้าชมการต่อสู้ตะลุมบอนเมื่อครู่ แต่พวกมันก็ยังอยากลองดู เพราะมีหลายคนที่แลดูบาดเจ็บและพลังตกลงไปหลายส่วน อย่างไรเสียนี่ก็คือโอกาสสุดท้ายในการเข้าวังเทียนฉือของพวกมันแล้ว พวกมันจึงเลือกที่จะลองเสี่ยงดูสักครา


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ไม่ถูกใครท้าทายเลย


 


ส่วนอีก 8 ถูกท้าทายติดๆจนแทบไม่ได้พัก


 


เหล่าคนกลุ่มที่แล้วที่เป็นผู้ท้าชิงก็ไม่มีใครเป็นตัวโง่งม พวกมันไหนเลยจะไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อนั้นร้ายกาจถึงขั้น คนอายุ 200-300 ปียังไม่กล้าแตะ เช่นนั้นพวกมันก็ไม่มีใครคิดหาเรื่อง


 


“พี่ชายต้วนหลิงเทียน เดี๋ยวข้าท้าท่านแล้วท่านก็ยอมแพ้ให้ข้าเป็นไง…หลังจากนั้นข้าจะมอบเกราะอมตะระดับจักรพรรดิให้ท่านตัวนึง เพราะอย่างไรเสียด้วยพรสวรรค์กับความสามารถของท่าน ต่อให้ยอมแพ้ข้าไป วังเทียนฉือก็ต้องรับท่านผ่านประตูหลังอยู่ดี อีกทั้งจากที่ได้ยินมา…ท่านก็น่าจะท้าทายเอาชนะผู้ชนะกลุ่มถัดไปได้ง่ายๆด้วยซ้ำ…”


 


ชายหนุ่มในชุดคลุมขนสัตว์ชุดแพรหรูหราที่แลดูสะบักสะบอมเล็กน้อย เอ่ยยื่นข้อเสนอให้ต้วนหลิงเทียนผ่านพลังด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม


 


ชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิ?


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองมันปราดเดียวด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมัน


 


พอเห็นเช่นนี้ มันก็ได้แต่หันไปลองยื่นข้อเสนอให้ฮ่วนเอ๋อข้างต้วนหลิงเทียนดู กระทั่งเพิ่มข้อเสนอที่สตรีทั้งหลายน่าจะถูกใจเข้าไปด้วย อนิจจาฮ่วนเอ๋อยังเฉยกว่าต้วนหลิงเทียยนเสียอีก เพราะกระทั่งหางตานางยังไม่เหลือบแล ไม่ได้แยแสมันแม้แต่นิดเดียว…


 


สุดท้ายก็ไม่มีผู้ท้าชิงคนไหนทำสำเร็จ


 


“ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออยู่ต่อก่อน ส่วนอีก 8 คนที่เหลือ ติดตามผู้อาวุโสเฉียนเพื่อไปทำเรื่องลงทะเบียนเสีย”


 


เหลยอิงกล่าวให้ต้วนหลิงเทียนกัฮ่วนเอ๋ออยู่ต่อก่อน จากนั้นก็หันไปมองชายชราคนหนึ่งในบรรดา 8 ผู้อาวุโสของตำหนักลองกระบี่ที่เหลือด้านหลัง


 


“ตามข้ามา”


 


ชายชราที่ถูกเรียกหาว่าอาวุโสเฉียน ก็มองกล่าวกับคนทั้ง 8 นอกจากต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก่อนจะพาพวกมันจากไปทันที


 


จากนั้น เหลยอิงก็จงใจเลื่อนการต่อสู้ตะลุมบอนของกลุ่มถัดไปเป็นการชั่วคราว และหันไปมองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อด้วยรอยยิ้ม


 


“ต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ…พวกเจ้าอยากมาอยู่กับข้าหรือฉือหล่างหรือไม่? เพียงเข้าร่วมกับตำหนักของพวกเราก็พอ ไม่จำเป็นต้องคารวะพวกเราเป็นอาจารย์อันใด เพียงเห็นพวกเราเป็นครูเท่านั้น”


 


เหลยอิงที่แย้มยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋ออย่างมากอัธยาศัยนั้น น้ำเสียงยังฟังดูเป็นมิตรมาก


 


อีกทั้งถ้อยคำที่เหลยอิงกล่าว ยังพูดเชิงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อมีอาจารย์อยู่แล้ว จึงไม่คิดจะบังคับให้ทั้งคู่ยอมรับนางกับฉือหล่างเป็นอาจารย์


 


เหลยอิงไม่ได้จงใจกล่าวเสียงเบาหรือผ่านพลัง เช่นนั้นทุกคนที่อยู่ในที่นี้จึงได้ยินเป็นธรรมดา


 


ทันใดนั้นสายตาเร่าร้อนและเต็มไปด้วยความอิจฉานับร้อยๆคู่ก็ตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อทันที แต่ละคนเห็นชัดว่าอยากแทนที่ทั้งคู่จับใจ


 


เป็นธรรมดาว่ายังมีหลายคนมองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อด้วยความริษยาเจือความเกลียดชัง


 


“ข้าไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อนั่นจะได้รับคำเชิญเป็นการส่วนตัวจาก 2 จักรพรรดิสมญานามของวังเทียนฉือ ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ลงทะเบียนเป็นศิษย์วังเทียนฉือด้วยซ้ำ…ต้องทราบด้วยว่าทั้งวังเทียนฉือก็มีจักรพรรดิอมตะสมญานามแค่ 9 คนเท่านั้น…”


 


“เฮ่อ ด้วยความสามารถของพวกมัน ก็สมควรแล้วที่จะเข้าตาจักรพรรดิอมตะสมญานาม”


 


“ในเมื่อทั้งคู่มีพลังมากพอจะกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะขอวังเทียนฉือได้ทันทีที่เข้าสู่วังเทียนฉือ อย่าว่าแต่ใต้เท้า 2 ท่านตรงนี้เลย ข้าว่าให้เป็นใต้เท้าจักรพรรดิอมตะสมญานามคนใด ก็ยินดีรับตัวทั้งคู่กระมัง?”


 



 


ในขณะที่หลายคนเริ่มกระซิบกล่าวกันด้วยความอิจฉา ทั้งหมดก็แลดูรอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่บ้าง ด้วยอยากรู้ว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะตอบอย่างไร


 


ในขณะเดียวกันกับที่ได้ยินคำชวน ต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงผ่านพลังไปหาฮ่วนเอ๋อทันที “ฮ่วนเอ๋อเจ้าเลือกจะอู่กับจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงเถอะ…ส่วนข้าจะไปอู่กับฉือหล่าง จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีคนนี้เอง”


 


“ด้วยวิธีนี้พวกเราก็มีทุนรอนให้เริ่มสืบหาบิดามารดาเจ้าถึง 2 ทาง”


 


“นอกจากนั้นการที่พวกเราแยกกันเข้าร่วมกับทั้งคู่ ก็เสมือนพวกเรามีจักรพรรดิอมตะสมญานามเป็นผู้อุปถัมภ์ถึง 2 คน!”


 


ต้วนหลิงเทียนคิดไปถึงเรื่องหลังจากนี้ด้วย


 


ฮ่วนเอ๋อเองก็เชื่อฟังการจัดการของต้วนหลิงเทียนอย่างไม่มีเงื่อไข


 


“ต้วนหลิงเทียน!”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อทำท่าเหมือนกำลังส่งเสียงผ่านพลังคุยกันอยู่ ไม่ว่าจะเหลยอิงก็ดี ฉือหล่างก็ดีล้วนรู้ว่าทั้งคู่กำลังลังเล จึงเร่งส่งเสียงผ่านพลังไปทันที


 


และไม่ว่าใคร ต่างเสนอผลประโยชน์และอภิสิทธิ์ที่จะได้รับหากมาเข้าร่วมกับตัวอย่างดีงามทั้งสิ้น…


 


และหากเทียบกับฮ่วนเอ๋อแล้ว ทั้งคู่แลดูกระตือรือร้นอยากได้ตัวต้วนหลิงเทียนมากกว่า


 


ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ล้วนสังเกตเห็นได้เรื่องหนึ่ง


 


ฮ่วนเอ๋อดูเหมือนจะติดต้วนหลิงเทียนแจ


 


บางทีขอแค่ชักชวนต้วนหลิงเทียนเข้าประตูพวกมันได้ ฮ่วนเอ๋อก็ไม่พ้นติดตามเข้ามาแน่นอน!


 


“อาวุโสฉือหล่าง ข้าตัดสินใจเข้าร่วมกับท่าน”


 


ในที่สุด ต้วนหลิงเทียนก็หันหน้าไปมองกล่าวกับฉือหล่างเสียงดังฟังชัด


 


ในขณะที่สีหน้าฉือหล่างฉายชัดถึงความดีใจปานลิงโลด และใบหน้าเหลยอิงชะงักค้างไปราวถูกแช่แข็ง ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวกับเหลยอิงต่อว่า “จ้าวตำหนักเหลยฮ่วนเอ๋อจะเข้าร่วมตำหนักท่าน เช่นนั้นข้าฝากท่านดูแลนางด้วย”


 


เดิมทีพอเห็นต้วนหลิงเทียนตัดสินใจเข้าร่วมกับฉือหล่าง และรู้แต่แรกว่าฮ่วนเอ๋อติดต้วนหลิงเทียนแจ นางก็ใจเสียไปทันที เพราะคิดว่าเมื่อต้วนหลิงเทียนไปไหน ฮ่วนเอ๋อก็จะติดตามไปที่นั่น


 


ตอนนี้พอมาได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สีหน้านางจึงผ่อนคลายลงมาก สามารถยิ้มร่าได้อีกครั้ง เร่งตอบรับไปเร็วไว “ไม่มีปัญหา!”


 


“ฉือหล่าง เป็นเจ้าเอาเปรียบข้าแล้วจริงๆ”


 


หลังจากเหลยอิงหันไปมองค้อนฉือหลางด้วยความขุ่นเคือง นางก็หันไปมองกล่าวกับฮ่วนเอ๋อทันที สีหน้ายังแลดูอ่อนโยนใจดีมาก “สาวน้อยฮ่วนเอ๋อ เดี๋ยวเจ้ากับต้วนหลิงเทียนติดตามฉือหล่างไปลงทะเบียนก่อน…ข้าเสร็จเรื่องการทดสอบเมื่อใดจะไปรับเจ้าเอง”


 


กล่าวจบเหลยอิงก็หันไปมองกล่าวกับฉือหล่างอีกครั้ง สองตากลับมาแหลมคม น้ำเสียงชราฟังดูห้วนดุไม่น้อย “ฉือหล่าง ให้เจ้าเป็นธุระพาฮ่วนเอ๋อของข้าไปลงทะเบียนด้วย…คงไม่มีปัญหาอะไรกระมัง?”


 


“อั้ยหยา! เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ จักไปมีปัญหาอันใดเล่า!”


 


ฉือหล่างหัวอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็พาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจากไปทันที


 


จนเมื่อพวกต้วนหลิงเทียนนทั้ง 3 จากไปแล้ว การทดสอบรอบที่ 3 ก็เริ่มดำเนินการสืบต่อ


 


“อาวุโสฉือหล่าง…สถานที่ๆพวกเราใช้ทดสอบเมื่อครู่ สมควรเป็นโลกใบเล็กกระมัง?”


 


หลังออกจากจัตุรัสทดสอบของตำหนักลองกระบี่ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามฉือหล่างทันที


 


ฉือหล่างก็พยักหน้า “ไม่ผิด นั่นเป็นโลกใบเล็กจริงๆ…และเป็นโลกใบเล็กที่ เหลยอิง จ้าวตำหนักลองกระบี่สร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง”


ตอนที่ 3,262 : ศิษย์อัจฉริยะใต้สังกัดฉือหล่าง


 


การลงทะเบียนเข้าสู่วังเทียนฉือนั้น เรียกว่าง่ายดายมาก ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มีฉือหล่าง จักรพรรดิอมตะสมญานามนำพามาเลย ทุกเรื่องราวเสมือนไฟเขียวผ่านฉลุย


 


“สถานที่แห่งนี้เป็นที่ๆข้าและคนของข้าใช้บ่มเพาะ”


 


ภายใต้การนำทางของฉือหล่าง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็เดินทางมาถึงน่านฟ้าเหนือยอดเขาลูกหนึ่ง บนเกาะลอยฟ้าแห่งหนึ่งท่ามกลางหมู่เกาะ


 


เกาะลอยฟ้าแห่งนี้เต็มไปด้วยพื้นที่ป่าภูเขา กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ตามภูเขายังแลเห็นถ้ำบ่มเพาะที่ถูกขุดสร้างไว้อย่างดี นอกจากนั้นยังมีอาคารบ้านเรือนสวยงามให้เห็น


 


“ในด่านของข้ามีศิษย์อัจฉริยะทั้งสิ้น 6 คน…ส่วนผู้คนที่เจ้าเห็นอยู่ตอนนี้ ล้วนเป็นสมาชิกในครอบครัวหรือไม่ก็สหายของพวกมัน”


(คำว่าด่านในที่นี้ มันคือ เหมิน ที่แปลว่าประตู  ผมขอใช้คำว่าด่านนะ จะใช้สำนักก็แปลกๆเพราะตามลักษณะแล้ว จะเรียกว่าสำนักก็ไม่ใช่)


 


สายตาฉือหลางกวาดมองลงไปยังเบื้องล่างภูเขา พลางกล่าวกับต้วนหลิงเทียน


 


“เจ้าคงสังเกตเห็นแล้วว่ามีเขาทั้งสิ้น 10 ลูก…เขาลูกตรงกลางนั่นก็คือสถานที่บ่มเพาะของข้าเอง…สำหรับยอดเขาอีก 9 ยอดที่เหลือ 6 นั้นเป็นของศิษย์อัจฉริยะข้า เจ้าเองอีกไม่นานก็จักได้เลือก 1 ใน 3 ยอดเขาที่เหลือเป็นที่พักและฝึกฝน”


 


ฉือหล่างกล่าวถึงจุดนี้ ก็หยุดลงครู่หนึ่งค่อยพูดต่อ “เจ้าพักที่นี่สักวันสองวันเถอะ จากนั้นค่อยไปตำหนักลองกระบี่ เพื่อสมัครทดสอบเลื่อนตำแหน่งเป็นศิษย์อัจฉริยะเสีย การได้รับฐานะศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือ จักมีคุณประโยชนน์กับเจ้ามากมาย”


 


“ศิษย์อัจฉริยะ?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเป็นประกายทันที


 


ก่อนหน้านี้ตอนเขาอยู่ในการทดสอบรับศิษย์ของวังเทียนฉือ เขาก็ได้ยินหลายๆคนที่เข้าร่วมการทดสอบพูดถึงศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือบ่อยครั้ง…


 


ที่แท้คิดจะเป็นศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือ ก็ต้องผ่านบททดสอบก่อนงั้นหรือ?


 


“ว่าแต่จะผ่านการทดสอบเป็นศิษย์อัจฉริยะได้ยังไง”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ถามด้วยความสงสัย


 


“ท้าทายอัจฉริยะคนอื่นๆในช่วงอายุเดียวกันแล้วเอาชนะให้ได้…สำหรับช่วงอายุที่ว่าก็เหมือนตอนที่เจ้าทดสอบนั่นล่ะ ของเจ้าก็อยู่ในช่วง 200-300 ปี และในวังเทียนฉือเราก็มีอัจฉริยะในอายุช่วงนี้อยู่ 10 คน”


 


“หากเจ้ากับฮ่วนเอ๋อคิดจะเลื่อนสถานะเป็นศิษย์อัจฉริยะ ก็ไปส่งเรื่องท้าทายอัจฉริยะที่อยู่อันดับท้ายๆเสีย”


 


“ส่วนอัจฉริยะที่ต้องท้าทายเป็นผู้ใดด่านพลังอันใด เจ้าสามารถชมดูได้ที่ตำหนักลองกระบี่ ที่นั่นจักมีรายนามอันดับของอัจฉริยะแต่ละช่วงอายุทั้งหมดในวังเทียนฉือเรา”


 


ฉือหล่างกล่าว


 


“ตอนนี้เจ้าไปที่บ่มเพาะของข้าก่อน ข้าได้เรียกศิษย์อัจฉริยะในด่านข้าให้มาพบเจ้า”


 


“อัจฉริยะที่อยู่ในด่านข้า ไม่ได้จัดลำดับตามพลังฝีมือเหมือนศิษย์อัจฉริยะของจักรพรรดิอมตะสมญานามคนอื่นๆ หากแต่จัดลำดับตามการเข้าร่วมก่อนหลัง”


 


ฉือหล่างกล่าวจบคำ มันก็เหินนำต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อไปยังสถานที่บ่มเพาะของมันทันที


 


บนยยอดเขาสูงตระหง่านลูกนี้ มีลานสิลาอันกว้างใหญ่ลานหนึ่ง และหลังลานก็มีตำหนักโอ่อ่าวิจิตรปลูกสร้างเอาไว้


 


เป็นสถานที่พักบ่มเพาะของฉือหล่างเอง


 


ฉือหล่างพาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้าไปในตำหนัก ก่อนจะนำไปยังโถงรับรองแห่งหนึ่งที่เปิดโล่ง ก่อนจะสะบัดมือเรียกยันต์อมตะสื่อสารออกมาบดขยี้ไม่กี่ชิ้น


 


ไม่นานนักก็ปรากฏเสียงฝ่าส่ายลมไวๆแว่วจากที่ไกลๆ และไม่ทันไรก็เข้ามายังโถงรับรองเสียแล้ว


 


“ฮ่าๆๆ…อาจารย์! ท่านไปฉกศิษย์น้อง 7 มาจากที่ไหนกัน?!”


 


เสียยงหัวเราะร่าหนึ่งดังนำมาก่อน จากนั้นก็ปรากฏชายร่างอ้วนท้วมในชุดแดงคนหนึ่งก้าวอาดๆเข้ามาในโถงจนไขมันหนั่นเนื้อทั่วร่างกระเพื่อมขึ้นๆลงๆ และด้วยความที่มันอ้วนเกินไป ใบหน้าของมันจึงคล้ายถูกบีบมารวมตรงกลาง ตาหยีๆหันมองไปทั่วโถง


 


สุดท้ายจึงมาตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียน


 


“ศิษย์น้อง 7 ของเจ้า คือศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมวังเทียนฉือของเราวันนี้สดๆร้อนๆ…”


 


ขณะที่ฉือหล่างกล่าว ก็มีอีก 2 ร่างปรากฏตัวเข้ามาในโถง


 


เป็นสตรีในชุดสีน้ำเงินอากัปกิริยาเรียบร้อยใบหน้ากระจ่างน่ามอง แลดูสง่างามปานคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ นางมองมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอ่อนโยน กล่าวทักทายด้วยน้ำเสีงไพเราะ “ยินดีที่ได้พบศิษย์น้อง 7 ข้าคือศิษย์พี่หญิง 4 ของเจ้า”


 


อีกคนที่เข้ามาพร้อมกันเป็นชายหนุ่มในชุดสีดำใบหน้าเย็นชาสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง อย่างไรก็ตามขณะมองมายังต้วนหลิงเทียน แววตาเฉยยยชาของมันก็แลดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย


 


“ยินดีต้อนรับศิษย์น้อง 7”


 


ชายหนุ่มชุดดำพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียน


 


“ศิษย์น้อง 7 นี่คือศิษย์พี่รอง…อีกทั้งศิษย์พี่รองยังแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา แม้อายุจะยังไม่ถึงพันปีแต่ด่านพลังบรรลุถึงจักรพรรดิอมตะแล้ว”


 


ชายอ้วนที่แลดูอารมณ์ดีกล่าวแนะนำชายหนุ่มชุดดำให้ต้วนหลิงเทียนรู้จักด้วรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมแนะนำตัวเอง “จริงสิ ข้าคือศิษย์พี่ 6 ของเจ้า”


 


“หากเจ้าเอาชนะข้าได้ จะเรียกชื่อข้าห้วนๆหรือเจ้าอ้วนเลยก็ได้!”


 


ชายอ้วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


จากนั้นไม่นานนักก็ปรากฏร่างผู้มาใหม่มาถึงโถงรับรองอีก 2 คน เป็นสตรีงามหมดจดรูปร่างยวนยั่วในชุดสีแดงเพลิงนางหนึ่ง กับบุรุษหน้าหยกที่แต่งตัวราวบัณฑิต


 


“เจ้าคือศิษย์น้อง 7 หรือ?”


 


สตรีอันมีรูปร่างเย้ายวนก้าวอาดๆมาหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน จากนั้นท่ามกลางสาตาอึ้งๆของต้วนหลิงเทียนนางก็กนิ้วเชยปลายคางต้วนหลิงเทียน “ไม่เลว…ไม่เลวเลย กระทั่งเจ้ายังนับว่าหล่อเหลาเอาเรื่องยิ่ง…ศิษย์น้อง 7 เจ้าสนใจไปเอนกายสนทนาเรื่องราวความรักในฟ้าดินกับศิษย์พี่ 3 รึเปล่า?”


 


“ฮึ!”


 


การกระทำดังกล่าวของสตรีชุดแดงเพลิง ทำให้ฮ่วนเอ๋อที่ยืนข้างๆต้วนหลิงเทียนรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก นางแค่นคำเสียงเย็นคำหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นปัดมือของสตรีชุดแดงออกไปจากคางต้วนหลิงเทียน


 


“เอ๊ะ? นี่น้องสะใภ้หรอกหรือ? ขออภัยด้วย…ศิษย์พี่หญิง 3 ไม่ทันเห็นเจ้า ว่าแต่ไฉนเจ้าถึงใส่ผ้าปิดหน้าซะเล่า?”


 


สตรีชุดแดงชักมือกลับ และในขณะที่ฮ่วนเอ๋อลดมือลง นางก็พุ่งมือฉับไวปลดผ้าปิดหน้าของฮ่วนเอ๋อออกไปด้วยความเร็ว


 


ทันใดนั้นพวงพักตร์งามพิลาศล้ำไร้ใดเสมอเหมือนก็ถูกเปิดเผยให้ทุกคนประจักษ์ทันที


 


จังหวะนี้ ภายในโถงกลับกลายเป็นเงียบงันไร้กระทั่งเสียงลมหายใจ


 


สตรีชุดแดงที่ก่อการ หลังอื้ออึงไปพักหนึ่งก็ดึงสติกลับมาได้ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าใต้หล้าจะยังมีสตรีที่งดงามเทียบเทียมกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ดำรงอยู่…ไม่สิ ยังนับว่างดงามยิ่งกว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่เสียอีก”


 


“หึ!”


 


และแทบจะทันทีที่สตรีชุดแดงเพลิงกล่าวจบคำ ชายหนุ่มุชดดำที่สะพายกระบี่พ่นลมหายใจเยียบเย็นออกมา ทำให้สตรีชุดแดงได้แต่คลี่ยิ้มแห้งงๆด้วยความละอายทันที “ศิษย์พี่รองอ่า ข้าแค่ล้อเล่นเอง อย่าได้หงุดหงิดเลย”


 


“ศิษย์น้อง 7 ศิษย์พี่หญิง 3 ไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอกนอกหยอกเจ้าไปแบบนั้นล่ะ…ส่วนข้าคือศิษย์พี่ 5 ของเจ้า โอวหยางฉีเฟย”


 


จากนั้นชายหนุ่มในชุดบัณฑิตก็พยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม กล่าวแนะนำตัวเองออกมา


 


“ต้วนหลิงเทียน นี่คือศิษย์พี่รองของเจ้า หลู่จี้”


 


ตอนนี้เองจักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง ก็เริ่มกล่าวแนะนำศิษย์อัจฉริยะทั้ง 5 ของมันที่ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก โดยเริ่มจากชายหนุ่มชุดดำสะพายกระบี่เป็นคนแรก


 


ด้านหลู่จี้ก็พยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียน ใบหน้าที่แคร่งขรึมเย็นชาปรากฏรอยยยิ้มบางๆอย่างหาดูได้ยาก


 


“ส่วนนี่คือศิษย์พี่หญิง 3 ของเจ้า หูเหมย”


 


ถัดมาฉือหล่างก็ผามือไปยังสตรีชุดแดงเพลิง และนางก็ขยิบตาให้ต้วนหลิงเทียน ด้วยท่าทางเย้ายวน


 


เรียกว่านางหยอกเย้าต้วนหลิงเทียนอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งฮ่วนเอ๋อมองมาตาขวาง…


 


“ส่วนนี่คือศิษย์พี่หญิง 4 ของเจ้า เวิ่นหว่านเอ๋อ”


 


ฉือหล่างมองไปยังสตรีในชุดสีน้ำเงินที่แลดูเรียบร้อยพลางกล่าว และนางก็พยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มอีกรอบ รอยยิ้มนางยังอ่อนโยนปานสายลมฤดูใบไม้ผลิ


 


“ส่วนนี่ก็คือศิษย์พี่ 5 ของเจ้าที่มันพึ่งกล่าวแนะนำตัวไปเมื่อครู่ โอวหยางฉีเฟย”


 


ฉือหล่างมองชายหนุ่มในชุดบัณฑิตค้างอยู่พักหนึ่ง คอยกล่าวออกมาสืบต่อ “กล่าวไปในบรรดาศิษย์พี่ทั้ง 6 คนของเจ้า ก็มีมันนี่ล่ะที่เป็นคนปกติ…”


 


ทันทีที่ฉือหล่างกล่าวประโยคนี้ออกมา ชายอ้วนก็มองไปทางฉือหล่างด้วยสายตาสลด “ท่านอาจารย์ ต่อให้ท่านจะเป็นอาจารย์ แต่ก็ไม่อาจใส่ร้ายผู้อื่นเช่นนี้มิใช่หรือ”


 


“ท่านบอกมาเดี๋ยวนี้เลยว่าข้าหงเฟยไม่ปกติตรงที่ใด? หากวันนี้ท่านไม่พูดออกมาให้รู้ความ ข้าจักกอดขาท่านไม่ปล่อย!”


 


พอชายอ้วนกล่าวจบคำ ร่างอ้วนของมันก็พุ่งตีลังกาม้วนหน้ากลิ้งหลุนๆไปฉับไว!  พริบตาก็ไปกอดขาฉือหล่างไว้ราวลูกหมีแพนด้า ทำท่าราวกับหากฉือหล่างไม่บอกต่อให้โดนตีให้ตายมันก็จะไม่ปล่อย


 


“ไสหัวไป!!”


 


อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานาม ฉือหล่างมีหรือจะยอมทำตามความต้องการของมัน? เพียงแค่นคำขับไล่เสียงดังคราหนึ่ง จากนั้นก็ปรากฏพลังไร้สภาพปะทุออกจากขา ดีดร่างชายอ้วนให้ปลิดปลิวออกไปกระแทกผนังห้องโถงอย่างแรง


 


ตูมมม!!


 


ตึงงงง!!


 



 


เสียงกระแทกดัสนั่นปานแผ่นดินไหวก้องไปทั่วโถง กระทั่งตัวโถงยั่งสั่นสะเทือนไปอยู่พักหนึ่ง อย่างไรก็ตามชายอ้วนที่ถูกดีดออกไปกระแทกผนังอย่างจังกลับแลดูไม่เป็นไร เนื่องเพราะทั่วร่างมันปรากฏชั้นพลังสีกากีปกคลุมเอาไว้ จากนั้นคนก็ม้วนกลิ้งหลุนๆมาด้วยความเร็วสูง พุ่งมากอดขาฉื่อหลางพลางโอดครวญต่อ “อาจารย์ ท่านทำแบบนี้กับผู้อื่นไม่ถูกนา…รีบบอกมาเร็วๆ ข้าไม่ปกติตรงที่ใด”


 


เห็นฉากดังกล่าวมุมปากต้วนหลิงเทียนอดกระตุกขึ้นมาติดๆไม่ได้


 


เขารู้สึกว่าทั้ง 5 คนที่เป็นศิษย์อัจฉริยะของฉือหล่าง ไม่คล้ายศิษย์อาจารย์ทั่วไป


 


แลดูราวกลุ่มสหายที่สนิทสนมกันมากกว่า


 


“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคงกำลังคิดอยู่กระมัง ว่าไฉนอาจารย์ของพวกเราแลดูไม่เหมือนอาจารย์เลย?”


 


สตรีในชุดแดงนามหูเหมย ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าเป็นศิษย์พี่หญิง 3 ของต้วนหลิงเทียน คลี่ยยิ้มพลางกล่าวออกมาว่า “อันที่จริงพวกเราทุกคนเคารพท่านอาจารย์มาก…อย่างไรก็ตามท่านอาจารย์เป็นคนใจดีทั้งง่ายๆเป็นกันเอง ชมชอบเป็นเพื่อนกับพวกเรามากกว่า พวกเราก็ได้แต่ทำตามใจอาจารย์ ไปๆมาๆก็สนิทกันเช่นนี้”


 


“หากเจ้าปฏิบัติต่ออาจารย์เหมือนผู้อาวุโส และชอบทำอะไรเป็นพิธีการ ท่านอาจารย์จะรู้สึกหดหู่”


 


“เช่นนั้นวันหน้าเจ้าก็เห็นอาจารย์เป็นดั่งสหายคนหนึ่งเถอะ”


 


หูเหมยกล่าว


 


“หูเหมย เจ้าทำเจ้าอ้วนนี่เสียคนกลายเป็นตัวบ้าบอไปแล้วคนหนึ่ง นี่ยังจะทำให้ต้วนลิงเทียนเสียคนด้วยหรือ?”


 


ฉือหล่างถลึงตามองหูเหมยยด้วยท่าทีโกรธเคือง อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเห็นว่าแม้ท่าทางจะแลดูเอาเรื่องแต่ก็ไม่ได้ยึดถืออะไร แค่ทำท่าไปเท่านั้น


 


“ศิษย์น้องเล็ก ไว้เจ้าอยู่กับพวกเราไปสักพักเดี๋ยยวเจ้าก็จะคุ้นชินไปเอง…แม้ท่านอาจารย์จะเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่งง แต่กับคนของตัวเองท่านก็ไม่ชมชอบพิธีการอะไรนักหรอก”


 


ศิษย์พี่หญิง 4 เวิ่นหว่านเอ๋อ มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ในใจยังรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง ชวนให้รู้สึกเสมือนอยู่บ้านขึ้นมาพิกล


 


บางทีต่อไปที่นี่อาจเป็นบ้านอีกหลังให้เขากลับมา เป็นสถานที่ๆให้เขาสามารถผ่อนคลายทำตัวสบายๆได้


 


พอนึกถึงตอนที่ฉือหล่างพาเขาไปลงทะเบียนอะไร ต่อหน้าคนอื่นอีกฝ่ายก็แลดูจริงจังไม่น้อย ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดคิดไปไม่ได้ว่า บางทีที่นี่อาจเป็นที่เดียวที่ทำให้ฉือหล่างเป็นตัวของตัวเอง


 


“อา…ตอนนี้พวกเรามีศิษย์น้อง 7 แล้ว ข้าก็ไม่ศิษย์น้องคนเล็กอีกต่อไป วันหน้าคงไม่มีใครรักศิษย์น้องธรรมดาๆอ้วนๆเช่นข้าอีกแล้ว…”


 


ศิษย์พี่ 6 ของต้วนหลิงเทียนนามหงเฟย กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสลด แน่นอนว่ายังกอดขาฉือหล่างไม่ยอมปล่อย…


 


“เจ้าอ้วน เจ้าก็กล้าพูดออกมาได้…เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยขาดความรักหรือ?”


 


ศิษย์พี่หญิง 3 หูเหมยหันไปมองกล่าววกับชายอ้วนด้วยสีหน้าน้ำเสียงระอา “หากเจ้าหน้าตาหล่อเหลาทั้งมีรูปงามเหมือนศิษย์น้อง 7 ศิษย์พี่หญิง 3 คนนี้จักรักเจ้าตายเลย…แต่อ้วนกลมทั้งบ้าบอเช่นเจ้า ศิษย์พี่หญิง 3 ไม่อาจทำใจรักเจ้าได้ลงคอจริงๆ…”


ตอนที่ 3,263 : ความจริงอันน่าตกใจ


 


หากบอกว่าตอนแรกต้วนหลิงเทียนคิดเข้าด่านฉือหล่างเพียงเพราะต้องการหาลู่ทางสืบหาเบาะแสบิดามารดาฮ่วนเอ๋อเฉยๆล่ะก็…


 


มาตอนนี้หลังได้รับทราบแล้วว่าบรรยากาศในประตูของฉือหล่างเป็นเช่นไร เขาก็รู้สึกเสมือนพบเจอสถานที่ๆทำให้เขารู้สึกสบายใจได้


 


“ศิษย์น้องเล็ก…เจ้ารีบบอกศิษย์พี่หญิง 3 เร็ว ว่าเจ้าไปล่อลวงน้องสาวเทพธิดามาได้อย่างไร?”


 


ศิษย์พี่หญิง 3 หูเหมย หลังกล่าวกับศิษย์พี่ 6 หงเฟย ชายร่างอ้วนด้วยท่าทีระอาจบ นางก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม กล่าวถามออกมาพลางหันไปมองอ่วนเอ๋อรอบหนึ่ง


 


“ศิษย์พี่หญิง 3 ปกติท่านเป็นคนตรงๆเช่นนี้หรือ?”


 


จากแววตาท่าทางของหูเหมย ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเป็นนคนนตรงๆทั้งไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร แต่อย่างไรเสียอยู่ๆมาถามเรื่องฮ่วนเอ๋อแบบนี้เขาก็รู้สึกพูดไม่ถูกอยู่บ้าง


 


“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่หญิง 3 ของเจ้าก็เป็นเช่นนี้ล่ะ นางไม่ได้เลวร้ายอันใด สักพักเดี๋ยวเจ้าก็ชินไปเอง…”


 


ศิษย์พี่ 5 โอวหยางฉีเฟยกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะ อย่างไรก็ตามแม้จะหัวเราะแต่กิริยาท่าทีก็แลดูเป็นผู้ดีมีการศึกษา เรียบร้อยสุภาพสมชุดบัณฑิต


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็พอจะรู้ว่านางไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร


 


“ศิษย์น้องเล็กข้าจักกลับไปฝึกปรือก่อน…หากเจ้ามีปัญหาอะไร มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”


 


ศิษย์พี่รอง หลู่จี้ เหลือบมองต้วนหลิงเทียนนพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆอันหาดูได้ยาก และพอกล่าวสิ้นคำ คนก็คล้ายกลับกลายเป็นเส้นสายอัสนี ลั่นวาบออกไปทันที


 


ในขณะที่หลู่จี้จากไป ต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นสายฟ้าสีม่วงแลบลั่นแปลบปลาบไปทั่วร่างอีกฝ่าย


 


เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเข้าใจกฏสายฟ้า


 


“ฮ่าๆๆ…ศิษย์น้องเล็ก เมื่อครู่ศิษย์พี่รองตั้งใจบอกเจ้าว่า หากวันหน้าเจ้าถูกผู้ใดรังแกล่ะก็ สามารถมาฟ้องศิษย์พี่รองได้เลย เจ้าคงยังไม่รู้แต่ศิษย์พี่รองคือ 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของวังเทียนฉือ รู้จักกันในนาม เซียนกระบี่อัสนีคำรน”


 


ศิษย์พี่ 6 ร่างอ้วน ยิ้มจนนตาหยีแทบปิดกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน


 


หลังจากนั้นฉือหล่างก็กล่าวลาต้วนหลิงเทียน ก่อนจะออกจากโถงรับรองและไปยังด้านหลังเพื่อฝึกปรือเช่นกัน


 


หลังฉือหล่างจากไป ต้วนหลิงเทียนก็คุยกับศิษย์พี่ที่ยังเหลืออยู่ทั้ง 4 ที่ยังไม่รีบร้อนจากไปไหน จนได้รับทราบเรื่องราวทั่วไปในวังเทียนฉือมากมาย ได้เข้าใจอะไรๆหลายๆอย่าง


 


ในวังเทียนฉือแห่งนี้ มีแต่ผู้ที่ยังมีอายุไม่ถึงพันปีเท่านั้น ถึงจะสามารถรับสถานะศิษย์อัจฉริยะได้


 


อายุเกินพันปีเมื่อไหร่ สถานะศิษย์อัจฉริยะก็จะถูกถอดถอนโดยอัตโนมัติ


 


ด้วยเหตุนี้ศิษย์พี่รอง หลู่จี้ ของเขา ที่เป็นศิษย์อัจฉริยะ 5 อันดับแรกของวังเทียนฉือ จึงยังมีอายุไม่ถึงพันปี…


 


“ศิษย์น้องเล็ก เห็นว่าเจ้าพึ่งเข้าร่วมวังเทียนฉือวันนี้ เช่นนั้นเจ้าก็คงยังไม่ได้รับสถานะศิษย์อัจฉริยะสิ?”


 


ศิษย์พี่หญิง 4 เวิ่นหว่านเอ๋อ ถามด้วยรอยยิ้ม


 


“ยังไม่ได้เลย”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “พรุ่งนี้ข้าว่าจะไปที่ตำหนักลองกระบี่”


 


“ว่าแต่ ตอนแรกข้าได้ยินอาจารย์แจ้งว่าอยากให้คนรักเจ้าอยู่กับพวกเราที่นี่ด้วย แต่เป็นเจ้าที่บอกให้นางไปอยู่ตำหนักลองกระบี่ด้วยตัวเอง เป็นเช่นนี้จริงหรือ?”


 


ศิษย์พี่ 5 โอวหยางฉีเฟยถาม


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“ศิษยย์น้องเล็ก พวกเราคุยกันมาตั้งนานแล้ว แต่มิทราบว่าน้องสะใภ้คนนี้เรียกว่าอะไรหรือ?”


 


ศิษย์พี่หญิง 3 หูเหมย กล่าวถามต้วนหลิงเทียนพลางหันไปมองฮ่วนเอ๋อ


 


“ศิษย์พี่หญิง 3 นางเรียกว่าฮ่วนเอ๋อ”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบ


 


“ฮวนเอ๋อ?”


 


หูเหมยหันไปมองพินิจฮ่วนเอ๋อตั้งแต่หัววจรดเท้าอีกครั้ง “ช่างงดงามปานหลุดออกมาจากภาพฝันเสียจริง…หากนางไม่ปรากฏตัวออกมา ข้าคงคิดว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่เป็นโฉมงามที่เลิศล้ำที่สุดในใต้หล้าต่อไปแน่…”


 


“ศิษย์พี่หญิงใหญ่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม “แล้วศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ได้อยู่ในวังเทียนฉือหรือ?”


 


“ใช่”


 


หูเหมยพยักหน้า “หากศิษย์พี่หญิงใหญ่อยู่ในวังเทียนฉือ และรู้ว่าอาจารย์รับเจ้ามาแบบนี้ นางต้องรีบมาต้อนรับศิษย์น้องเล็กเจ้าแน่…แต่พอดีนางมีธุระต้องไปสะสางด้านนอก”


 


พอได้ยินหูเหมยเอ่ยถึงศิษย์พี่หญิงใหญ่ หงเฟย ก็กล่าวเสริมขึ้นมาด้วรอยยิ้ม “ศิษย์น้องเล็กแม้ศิษย์พี่หญิงใหญ่ตอนนี้จะไม่ใช่ศิษย์อัจฉริยะแล้วเพราะนางมีอายุมากกว่าพันปี…แต่พลังฝีมือของนางนับว่าสุดยอดมาก! ก่อนที่นางจะมีอายุเกินพันปี นางได้ชื่อว่าเป็นศิษย์อัจฉริยะอันดับ 1 ของวังเทียนฉือเรา!!”


 


ศิษย์อัจฉริยะอันดับ 1 ของวังเทียนฉือ!?


 


ได้ยินคำพูดดังกล่าวของหงเฟย ต้วนหลิงเทียนก็ตกใจอยู่บ้าง เพราะเขาทราบดีว่าคำพูดประโยคนี้หมายความว่าอะไร นั่นบ่งบอกว่าในบรรดาอัจฉริยะอายุไม่ถึงพันปีขอวังเทียนฉือ นางแข็งแกร่งที่สุด!


 


‘ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ว่า…ร้ายกาจขนาดนั้นเชียวหรือ?’


 


ในใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดอาการอยากรู้ขึ้นมาไม่ได้ ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ยังไม่พบหน้า ที่แท้จะร้ายกาจขนาดไหน


 


“จริงสิศิษย์น้องเล็ก…ตอนศิษย์พี่หญิงใหญ่กลับมา เจ้าอย่ามองนางด้วยสายตาแทะโลมเล่า ไม่งั้นเจ้าโดนศิษย์พี่รองเขม่นแน่!”


 


หงเฟยผู้มีไขมันส่วนเกินหลายร้อยชั่ง ยิ้มกล่าวออกมาด้วยท่วงท่าราวกับพหูสูตร สองตาหยีแทบปิดแลไม่เห็นลูกตา “ข้ามีความลับจะบอกเจ้า…อันที่จริง ศิษย์พี่รองนั้นแอบชอบศิษย์พี่หญิงใหญ่มานานแล้ว อนิจจาศิษย์พี่หญิงใหญ่กลับไม่ได้มองศิษย์พี่รองเช่นนั้น นับว่าเป็นรักข้างเดียวชวนให้ปวดใจนัก”


 


“ความลับบ้าบออะไรของเจ้ากันหา…”


 


ศิษย์พี่หญิง 3 หูเหมยที่ฟังอยู่นาน ก็อดโพล่งออกมาเสียงดุไม่ได้ “เค้ารู้กันทั้งวังเทียนฉือ เจ้าจะทำเป็นพูดให้ดูลึกลับเพื่ออันใด”


 


“อย่างไรก็ตามศิษย์น้องเล็ก เจ้าต้องจำไว้เรื่องหนึ่ง วันหน้าเมื่อใดที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่กลับมา…เจ้าไม่ฟังคำพูดหรือแม้แต่จะล้อเล่นกับท่านอาจารย์ก็ได้ไม่เป็นไร แต่เจ้าไม่อาจไม่ฟังคำพูดของศิษย์พี่หญิงใหญ่!”


 


หูเหมยกล่าวถึงจุดนี้ก็คลี่ยิ้มกล่าวอย่างขบขัน “เพราะต่อให้เป็นท่านอาจารย์เอง…ก็ยังต้องเชื่อฟังคำพูดของศิษย์พี่หญิงใหญ่แต่โดยดี”


 


ได้ยยินวาจาดังกล่าวของหูเหมย ต้วนหลิงเทียนก็กระพริบตาปริบๆ งุนงงไปแล้วจริงๆ


 


กระทั่งฉือหล่างที่เป็นอาจารย์ ยังต้องฟังคำพูดของศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่เป็นลูกศิษย์งั้นเหรอ?


 


“ศิษย์น้องเล็ก…เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ศิษย์พี่หญิงใหญ่น่ะ เป็นลูกสาวแท้ๆของท่านอาจารย์”


 


เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของต้วนหลิงเทียน ศิษย์พี่ 5 โอวหยางฉีเฟย พลันกล่าวอธิบายออกมาอย่างประจวบเหมาะ “อย่างไรก็ตามดูเหมือนจะเคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับศิษย์พี่หญิงใหญ่และท่านอาจารย์ ทำให้ตั้งแต่ตอนนั้นอาจารย์มักจะเชื่อฟังคำพูดศิษย์พี่หญิงใหญ่ ถึงขั้นไม่คิดขัดใจนาง”


 


“สำหรับต้นสายปลายเหตุนั้น พวกเราเองก็ไม่ทราบแน่ชัด…สิ่งเดียวที่พวกเรารู้ก็คือไฉนความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงกลายเป็นตึงเครียดแบบนั้น ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับอาจารย์แม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว”


(อาจารย์แม่หรืออาจารย์หญิง = ภรรยาของอาจารย์)


 


โอวหยางฉีเฟยกล่าว


 


หลังได้รับทราบเรื่องราวต่างๆในด่านพอสมควรแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดถามออกมาไม่ได้ “ศิษย์พี่กับศิษย์พี่หญิง…ศิษย์พี่รองในฐานะที่เป็น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของวังเทียนฉือ ไม่ทราบเข้าใจความลึกซึ้งของกฏสายฟ้าถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ไปแล้วกี่ประการหรือ?”


 


เขาอยากรู้เรื่องนี้มาก


 


เพราะในวังเทียนฉือแห่งนี้ ผู้ที่มีฐานะเป็นศิษย์อัจฉริยะ ย่อมบ่งบอกว่ายังมีอายุไม่ถึง 1,000 ปี


 


เขาจึงอยากรู้ว่า 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในวังเทียนฉืออย่างศิษย์พี่รอง หลู่จี้ ฉายาเซียนกระบี่อัสนีคำรน จะมีความตระหนักรู้ในกฏถึงระดับไหน ใช่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ครบทั้งหมดแล้วหรือไม่?


 


“ศิษย์น้องเล็ก นอกจากความลึกซึ้งความหมายแห่งสายฟ้า ซึ่งไม่อาจตระหนักรู้ได้มากกว่านั้น ความลึกซึ้งของกฏสายฟ้าที่เหลืออีก 8 ประการ ศิษย์พี่รองล้วนเข้าใจพวกมันถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดสิ้นแล้ว…เจ้าว่าศิษย์พี่รองจะร้ายกาจขนาดไหนเล่า?”


 


หงเฟยร่างอ้วนกล่าวตอบด้วรอยยิ้ม คิ้วยักขึ้นงึกๆ


 


ได้ยินคำตอบของหงเฟย ต้วนหลิงเทียนก็ชะงักไปเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็เริ่มตระหนักถึงความร้ายกาจของเหล่าศิษย์อัจฉริยะระดับแนวหน้าของวังเทียนฉือ


 


อายุไม่ถึงพันปี แต่ไม่เพียงทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะแล้ว ยังสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏสายฟ้าทั้งหมดถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่อีก…


 


“ศิษย์พี่ 6…ท่านบอกกว่าศิษย์พี่รองเป็น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในวังเทียนฉือ หรือว่าอีก 4 คนที่เหลือเองก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดกฏหนึ่งบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการแล้วเหมือนกัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามออกมาอีกรอบ


 


“ใช่”


 


หงเฟยพยักหน้า “อันที่จริงศิษย์อัจฉริยะที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ไม่ใช่มีแค่ 5 คน แต่มีเกือบสิบคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดกฏหนึ่งถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมด”


 


“ว่าแต่ศิษย์น้องเล็ก…ไฉนเจ้าถามเรื่องนี้เล่า? เจ้า…เจ้าคงไม่ใช่ว่าสามารถเข้าใจความลึกซึ้งประการใดประการหนึ่งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้วหรอกนะ?”


 


หงเฟยอดไม่ได้ที่จะหยีตามองถามต้วนหลิงเทียน ตอนนี้ใครมาดูก็บอกไม่ได้เลยว่ามันลืมตาอยู่หรือหลับตากันแน่


 


“ก่อนหน้าข้าคุยกับอาจารย์ผ่านพลัง อาจารย์ได้บอกข้าว่าการทดสอบรอบแรกนั้น ศิษย์น้องเล็กถึงกับทำลายแรงกดดันพลังของผู้ทดสอบด้วยแรงกดดันพลังอันเหนือชั้นกว่ามาก จนทำให้ผู้อื่นถึงกับเปลี้ยทำหน้าที่ต่อไม่ไหว…”


 


โอวหยางฉีเฟยมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกล้ำ เอ่ยสืบต่อว่า “พวกเจ้าอาจยังไม่รู้ว่าด่านพลังฝึกปรือของศิษย์น้องเล็กคือจอมราชันอมตะ 4 รูป…”


 


“แต่ทว่าผู้ทดสอบดังกล่าว มีด่านพลังจอมราชันอมตะ 6 ผสาน ที่สำคัญผู้ทดสอบคนนั้น ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ 4 ประการแล้วด้วย!”


 


“กล่าวได้ว่าพลังฝีมือของมันนั้นมิใช่ต่ำทรามเลย…”


 


โอวหยางฉีเฟยกล่าว


 


“ศิษย์พี่ 5 นี่ท่านไปแอบถามอาจารย์ตอนไหนเนี่ย?!”


 


ชายอ้วนหงเฟย มองโอวหยางฉีเฟยด้วยความประหลาดใจ ด้านโอวหยางฉีเฟยก็ยิ้มเขินอายกล่าวตอบ “ข้าก็แค่อยากรู้เรื่องศิษย์น้องเล็กไปตามประสาเท่านั้นเอง…”


 


“ข้าว่าไม่ใช่แค่อยากรู้ไปตามประสา แต่เป็นเพราะเจ้าสงสัยว่าศิษย์น้องเล็กเป็นผู้ใดและมีความร้ายกาจขนาดไหนกันแน่ อาจารย์ถึงได้รีบวิ่งโร่ไปรับศิษย์น้องเล็กเป็นศิษย์มากกว่ากระมัง?”


 


หูเหมยมองจี้ไปยังโอวหยางฉีเฟยอย่างรู้เท่าทัน ทำให้คนหลังอดไม่ได้ที่จะเขินอายหนักกว่าเดิม


 


“ไม่ใช่แค่ศิษย์น้องเล็กเท่านั้นน่ะ…แม่นางฮ่วนเอ๋อเองก็แข็งแกร่งมากพอจะเอาชนะผู้ทดสอบที่ว่าเหมือนกัน”


 


โอวหยางฉีเฟยยเร่งกล่าวเรื่องฮ่วนเอ๋อออกมา เพื่อเบี่ยงประเด็น


 


“ฮวนเอ๋อ?”


 


ได้ยินคำพูดดังกล่าวของโอวหยางฉีเฟย ไม่เพียงแต่หูเหมยและหงเฟย กระทั่งเวิ่นหว่านเอ๋อ ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองฮ่วนเอ๋อด้วยความประหลาดใจ ด้ววยไม่คิดไม่ฝันเลยว่าฮ่วนเอ๋อจะมีพลังสามารถถึงขั้นนั้น


 


“อย่าได้ดูเบาแม่นางฮ่วนเอ๋อเชียว…แม้นางจะยังมีอายุไม่ถึง 300 ปีเหมือนศิษย์น้องเล็ก แต่ด่านพลังฝึกปรือของนางสูงกว่าศิษย์น้องเล็กเสียอีก และนางเป็นจอมราชันอมตะ 6 ผสานแล้ว”


 


โอวหยางฉีเฟยกล่าวสืบต่อ


 


“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่ไฉนอาจารย์ถึงอยากรับตัวน้องสะใภ้มาอยู่ด้วย…ที่แท้ความสามารถของน้องสะใภ้ผู้นี้ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าศิษย์น้องเล็กเลย!”


 


หูเหมยอุทาน


 


“เดี๋ยวๆๆ ช้าก่อนๆ! เมื่อครู่ท่านว่าอะไรนะศิษย์พี่รอง?!”


 


ตอนนี้เอง หงเฟยอยู่ๆก็คล้ายจะตระหนักอะไรได้ มันรีบยกมือหยุดทุกคน หันไปมองกล่าวถามต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงตกใจ “ศิษย์น้องเล็ก…นี่เจ้ากับแม่นางฮ่วนเอ๋อ ยังมีอายุไม่ถึง 300 ปีหรือ?!”


 


“อายุไม่ถึง 300 ปี?”


 


ด้วยมีหงเฟยกล่าวถามกระตุ้นเตือนออกมา หูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อพลันตระหนักได้ว่าพวกนางละเลยใจความสำคัญข้อนี้ที่โอวหยางฉีเฟยพึ่งพูดออกมาสนิท


 


ศิษย์น้องเล็กของพวกมันกับแม่นางฮ่วนเอ๋อคนนี้ ยังมีอายุไม่ถึง 300 ปี?


 


อายุไม่ถึง 300 ปีแต่บรรลุถึงจอมราชันอมตะ 4 ยศกับ จอมราชันอมตะ 6 ผสานแล้ว? ยิ่งไปกว่านั้นพลังความแข็งแกร่งยังสูงถึงขั้น สยบจอมราชันอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ 4 ประการลงได้?


 


“ดูเหมือนท่านอาจารย์จะได้คว้าโดนสมบัติเข้าให้แล้ว…”


 


หูเหมยมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสดใส จากนั้นก็หันไปกล่าวถามฮ่วนเอ๋อ “น้องสาวฮ่วนเอ๋อ เจ้ารังเกียจไหมหากพี่หลิงเทียนของเจ้า จักมีสตรีมากกว่าหนึ่งคน?”


 


ฮ่วนเอ๋อที่โดนถามดังกล่าว ก็หันไปมองหูเหมยตาขวาง ฉายชัดถึงความระแวงและเป็นปฏิปักษ์ทันที และท่าทางระแวงทั้งทำราวกับพบเจอศัตรูดังกล่าวของฮ่วนเอ๋อ ก็อดทำให้หูเหมยหัวเราะออกมาไม่ได้ ร่างบางยังสั่นไหวไปราวกิ่งสนต้องลม


 


“น้องสาวฮ่วนเอ๋อข้าล้อเจ้าเล่น…หยอกๆ”


 


หูเหมยส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม เพราะนางรู้สึกว่าหากล้อเล่นต่อไปอาจทำให้ฮ่วนเอ๋อพุ่งมาสู้กับนางแล้วจริงๆ


 


“ศิษย์พี่กับศิษย์พี่หญิงทั้ง 4…ข้าขอตัวไปฝึกปรือก่อน”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกหวาดเสียวแทนหูเหมยจริงๆ ด้วยกลัวว่านางจะล้อเล่นฮ่วนเอ๋อจนได้เรื่องขึ้นมา เช่นนั้นจึงรีบกล่าวคำขอตัวลา และพาฮ่วนเอ๋อจากไปทันที


 


แน่นอนว่าในขณะจากไป ในอกยังตกใจไม่หาย…


 


‘หลงนึกว่าการที่ข้าเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติทั้งหมดถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว จะหาได้ยากเสียอีก…ไม่คิดเลยว่าในวังเทียนฉือกลับมีอัจฉริยะอายุไม่ถึงพันปี ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการแล้วเหมือนกันเกือบสิบคน…’

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)