War sovereign Soaring The Heavens 3248-3255
ตอนที่ 3,248 : กลับคฤหาสน์เฉวียนโยว
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็เลยเข้าร่วมกับสายก้านเจี้ยงและสายม่อเหยียตามลำดับ
แน่นอนว่าแม้สายก้านเจี้ยงกับสายม่อเหยียจะเป็นถึง 2 สาย แต่ทว่านับรวมจำนวนผู้คนของทั้ง 2 สายแล้วก็มีกันอยู่แค่ 4 คนเท่านั้น ได้แก่ต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ จูเก่อฟงและจูเก่ออวิ๋น…
“ผู้นำฟง ข้ากับฮ่วนเอ๋อคิดไปสะสางเรื่องราวที่หลิงหลัวเทียนก่อน”
ทันทีที่ทั้ง 4 ออกจากยอดเขาท่ายอา ต้วนหลิงเทียนก็หันไปกล่าวกับจูเก่อฟง
ตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วที่เขาจะย้อนกลับไปยังหลิงหลัวเทียน เพื่อสะสางเรื่องราวความแค้นความบาดหมางระหว่างตัวเขากับองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด รวมถึงเรื่องราวความแค้นของเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย
วันที่เขาตัดสินใจออกจากหลิงหลัวเทียน เขาก็ไม่คิดไม่ฝันด้วยซ้ำว่าตัวเองจะครอบครองพลังความแข็งแกร่งเท่าที่มีในปัจจุบันได้ในเวลาไม่กี่ทศวรรษ
“พวกเจ้าคิดไปทำอะไรที่หลิงหลัวเทียนกันหรือ?”
จูเก่ออวิ๋นเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ข้าคิดไปสะสางเรื่องราวความแค้นน่ะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ
“ความแค้น?”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สองตาของจูเก่ออวิ๋นก็เปลงประกายสว่างจ้า ฉายแววสนุกสนานออกมาทันที “สิ่งที่ข้าชอบที่สุดคือการสะสางเรื่องราวความแค้นและความคับข้องใจ…จะว่าไปข้ากับพี่ฟงก็ว่างไม่มีอะไรทำพอดี งั้นพวกเราไปด้วยกันเลยเถอะ”
“เอ่อ นี่จะไม่รบกวนเวลาฝึกปรือของพวกท่านผู้นำหรือ?”
ได้ยินจูเก่ออวิ๋นออกปากว่จะไปด้วย ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็ทอแสงขึ้นมาวาบหนึ่ง เพราะหากมีทั้งคู่ติดสอยห้อยตามไปด้วย ยังต่างอะไรจากพาขาใหญ่ไปด้วย?
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อขาใหญ่ทั้ง 2 ร่วมมือกัน พลังต่อสู้ยังกลายเป็นร้ายกาจถึงขั้นฆ่าจักรพรรดิอมตะสมญานามได้!
“ไม่รบกวน”
จูเก่อฟงกล่าว
“ตกลงตามนี้ล่ะ! พวกเราจะไปกับเจ้าและฮ่วนเอ๋อ”
จูเก่ออวิ๋นกล่าวด้วยความตื่นเต้นคึกคัก “จะว่าไปข้าเองก็ไม่ได้ออกจากอวี้หวงเทียนมาหลายปีแล้ว…นับจากเวลา อย่างน้อยๆก็ต้องมีหมื่นปีเห็นจะได้ ใช่ไหมพี่ฟง?”
ตอนนี้จูเก่ออวิ๋นแลดูคึกคักราวเด็กน้อยจะได้ไปเที่ยว
ในฐานะที่เป็นถึงนิกายอันดับ 1 ในแดนทักษินยุทธ์ ภายในนิกายกระบี่หมื่นหายนะย่อมมีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกจัดตั้งเอาไว้ด้วย
เป็นธรรมดาว่าสถานที่จัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก ก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในเกาะหลักทั้ง 10 แต่อยู่บนยอดเขาของเกาะแห่งหนึ่งที่เป็นดั่งตลาดกลางของทั้ง 10 สาย
และด้วยมีจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นนำทาง ไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็มาถึงสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกอย่างราบรื่น
“ข้าน้อยขอคารวะท่านผู้นำสายทั้งสอง”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของนิกายกระบี่หมื่นหายนะที่รับหน้าที่ดูแลการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก เมื่อเห็นพี่น้องจูเก่อมาถึงก็รีบแจ้นมาคารวะทักทายด้วยความสุภาพมากเคารพทันที
“พวกเรา 4 คนคิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายสักหน่อย”
ต่อหน้าผู้อาวุโสของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ จูเก่ออวิ๋นก็แลดูเป็นผู้ใหญ่มากบารมี กล่าวกับอาวุโสเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงไร้แยแส หากแต่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
พอกล่าวจบ นางก็หันมามองถามต้วนหลิงเทียนรอยยิ้ม “ต้วนหลิงเทียน ว่าแต่เจ้าจะไปดินแดนไหนในหลิงหลัวเทียนหรือ?”
ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกนั้น สามารถส่งผู้คนไปยังแดนใดแดนหนึ่งในระนาบเทวโลกทั้งหลายได้อย่างแม่นยำ
“เป็นแดนสวรรค์ใต้ ของหลิงหลัวเทียน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ได้ยินแล้วกระมัง?”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ จูเก่ออวิ๋นก็หันไปเอ่ยถามอาวุโสดูแลค่ายกลเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงเฉยเมยอีกครั้ง
“ได้ยิน ข้าน้อยได้ยินแล้ว”
อาวุโสเฝ้าค่ายกลของนิกายกระบี่หมื่นหายนะเร่งพยักหน้าขานรับซ้ำๆ ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อด้วยความประหลาดใจ
สำหรับมันแล้ว ทั้งสองเป็นหน้าใหม่ที่มันไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนเลย แต่ในเมื่อทั้งคู่มาอยู่กับปรมาจารย์ทั้งคู่ ที่เป็นผู้นำสายก้านเจี้ยงกับม่อเหยียได้ อย่างน้อยๆก็เป็นตัวตนที่มันไม่อาจตอแยล่วงเกินได้เลย
มันเลือกจะสลักรูปร่างหน้าตาของหน้าใหม่ทั้งคู่เอาไว้ในใจไม่ให้ลืมเลือน ตั้งใจว่าวันหน้าจะไม่ทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองเด็ดขาด
วู้มมม!!
เมื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกทำงาน ร่างพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 ก็ถูกแสงสว่างปกคลุม ก่อนที่จะถูกส่งตัวออกจากนิกายกระบี่หมื่นหายนะในอวี้หวงเทียน มาปรากฏตัวในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวของแดนสวรรค์ใต้ หลิงหลัวเทียนทันที
สถานที่ๆทั้ง 4 ปรากฏตัว ก็เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวนอกเมืองที่อยู่ใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวแห่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตามทั้ง 4 ไม่คิดเข้าเมืองแต่อย่างใด ต้วนหลิงเทียนได้นำทุกคนไปยังคฤหาสน์เฉวียนโยวทันที
ด้วยความเร็วของทั้ง 4 ย่อมสุดที่ใครในคฤหาสน์เฉวียนโยวจะตอบสนองได้ทัน
อย่างไรก็ตาม ค่ายกลพิทักษ์คฤหาสน์เฉวียนโยวย่อมทราบถึงการบุกรุกเข้ามาของคนทั้ง 4
เมื่อค่ายกลเริ่มต้นการทำงาน เหล่ายอดฝีมือของคฤหาสน์เฉวียนโยวก็เร่งรุดเหินร่างแหวกฟ้าติดตามผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวมาดูสถานกาณร์เร็วไว ก่อนที่ทั้งหมดจะอดตกตะลึงไม่ได้ เมื่อเห็นว่าผู้ที่บุกเข้ามาคือต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ
“ต้วนหลิงเทียน?”
ผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวรู้สึกอื้ออึงอยู่บ้าง “เจ้า…กลับมาแล้วรึ?”
ถึงแม้มันจะไม่อาจมองด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนได้ออก แต่ต้วนหลิงเทียนที่อยู่เบื้องหน้ากลับให้ความรู้สึกลึกล้ำยากหยั่งถึงแก่มัน
โดยเฉพาะชายหนุ่มหญิงสาวแปลกหน้า 2 คนที่มากับพวกต้วนหลิงเทียน ทำให้มันรู้สึกกดดันอย่างหนัก!
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ “ผู้นำคฤหาสน์ ข้ากลับมาหาผู้อาวุโสแล้ว…”
“ส่วนทั้ง 2 ท่านด้านนี้เป็นผู้อาวุโสของข้าในอวี้หวงเทียน…ทั้งคู่ก็คือประมาจารย์กระบี่ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะที่ข้าเข้าร่วม”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
ในสายตาของต้วนหลิงเทียน ผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวไม่น่าจะล่วงรู้เรื่องราวใดๆของแดนทักษินยุทธ์ในอวี้หวงเทียน และไม่น่าจะรู้จักนิกายกระบี่หมื่นหายนะได้ เขาจึงกล่าวแนะนำออกไปอย่างไม่คิดอะไรมาก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจก็คือ สีหน้าของผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวพลันเปลี่ยนไปใหญญ่หลวงเมื่อได้ยินคำพูดเขา ยังเร่งรีบประสานมือโค้งคารวะอย่างนอบน้อมถึงขีดสุด “ผู้น้อยขอคารวะผู้นำสายทั้ง 2 ท่าน”
“ข้าน้อยไม่ทราบว่าผู้นำสายทั้ง 2 จักมาเยือน จึงมิได้เตรียมการต้อนรับพวกท่านแต่แรก หวังว่าผู้นำสายทั้ง 2 จักอภัยให้ผู้น้อยด้วย”
ขณะกล่าวถึงจุดนี้ หน้าผากของผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ปรากฏเม็ดเหงื่อเยียบเย็นผุดซึมเต็มไปหมด ขณะเดียวกันยังส่งเสียงผ่านพลังมาโอดครวญกับต้วนหลิงเทียนว่า “โอย ต้วนหลิงเทียน ไฉนเจ้าจะพาผู้ยิ่งใหญ่มาแต่ไม่แจ้งข้าล่วงหน้าเล่า!?”
“เอ๋ ผู้นำคฤหาสน์รู้จัก ผู้นำสายของนิกายกระบี่หมื่นหายนะด้วยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนตกใจ
“ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไรเล่า! นิกายกระบี่หมื่นหายนะ เคยเป็นขุมพลังระดับสวรรค์ที่สะท้านสะเทือนไปทั่วระนาบเทวโลกทั้งมวล ยอดฝีมือในนิกายคนหนึ่งยังเกือบจะเอาชนะจักรพรรดิสวรรค์ของอวี้หวงเทียนได้ด้วยซ้ำ!”
ผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวกล่าว “ถึงแม้ตอนนี้นิกายกระบี่หมื่นหายนะจะถอนตัวออกจากเวทีช่วงชิงอำนาจของอวี้หวงเทียน และย้ายถิ่นฐานออกจากแดนอวี้หวงแล้ว แต่ขุมพลังก็ยังสูงล้ำไม่ใช่ชั่ว”
“ในแดนทักษินยุทธ์ เนื่องจากการดำรงอยู่ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ จึงไม่มีจักรพรรดิอมตะสมญานามคนใดสามารถปกครองที่นั่นได้!”
ได้ยินคำพูดด้วยการส่งเสียงผ่านพลังของผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักว่าอีกฝ่ายรู้จักนิกายกระบี่หมื่นหายนะดีทีเดียว อย่างน้อยๆก็รู้ว่านิกายยกระบี่หมื่นหายนะอยู่ในแดนทักษินยุทธ์
“ในบรรดาสายทั้ง 10 ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ชนชั้นผู้นำสายนั้น…ไม่ว่าผู้ใดล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิอมตะอันทรงพลังทั้งสิ้น…ยังไม่ใช่จักรพรรดิอมตะธรรมดาๆ ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นยอดฝีมือ!!”
ผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวยังคงส่งเสียงผ่านพลังโอดครวญกับต้วนหลิงเทียน “จักรพรรดิอมตะมาเยือน แต่เจ้ากลับไม่เตือนข้า…หากทั้งคู่ไม่พอใจอะไรข้าขึ้นมา ข้ายังจะรอดเห็นวันพรุ่งได้หรือ?”
“ผู้นำคฤหาสน์ท่านไม่ต้องเครียดขนาดนั้นหรอก อาวุโสทั้ง 2 ไม่ค่อยสนใจเรื่องหยุมหยิมอะไรแบบนั้นหรอก”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา และยังคงส่งเสียงผ่านพลังสืบต่อ “ผู้นำคฤหาสน์ข้ามาครั้งนี้ เพราะคิดจะไปตระกูลเหอ 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่ของหลิงหลัวเทียน”
ผู้นำตระกูลเหอคนปัจจุบัน ก็คือคนที่สังหารอดีตผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนก่อนของคฤหาสน์เฉวียนโยว และยังเป็นบิดาแท้ๆของจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนปัจจุบันอีกด้วย
เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนล่วงรู้แค่เรื่องแรก แต่ไม่รู้เรื่องหลัง
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่รู้ ไม่ใช่ว่าผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวจะไม่รู้
“ข้าจะรีบแจ้งท่านบรรพจารย์เดี๋ยวนี้!!”
ผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ขณะที่ส่งข้อความไปแจ้งจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย มันยังตื่นเต้นยินดีจนออกหน้าออกตา
พอจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยได้รับข้อความจากผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยว และได้รับทราบว่ามีจักรพรรดิอมตะสองคนจากนิกายกระบี่หมื่นหายนะมาเยือนถึงคฤหาสน์เฉวียนโยว มันก็เร่งรุดมาคารวะทักทาทั้งคู่ด้วยความตื่นเต้นทันที
“ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าจักรพรรดิอมตะทั้งสอง”
จ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย ในรูปลักษณ์ชายชรา แลดูลนลานอยู่บ้างยามพบเจอจักรพรรดิอมตะทั้งสอง
ขณะเดียวกันก็ยังเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออีกด้วย และรู้ว่าการมาของจักรพรรดิอมตะทั้ง 2 จากนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ล้วนเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนอย่างแยกไม่ออก
“พวกเรามาเที่ยวพร้อมกับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อเฉยๆ…พวกเจ้าไม่ต้องสนใจพวกเรามากหรอก”
จูเก่ออวิ๋นยิ้มบางๆ
“ผู้อาวุโส ท่านนำพวกเราไปตระกูลเหอเลยเถอะ…วันนี้ปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของผู้นำตระกูลเหอแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวกับชายชราด้วยรอยยิ้ม
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ชายชราก็ตื่นเต้นทั้งคึกคักนัก ใบหูมันแดงก่ำ เร่งรุดเหินร่างนำทางไปยังตระกูลเหอทันที
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เหินร่างนำทาง มันยังอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงผ่านพลังถามไถ่ต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้ “ต้วนหลิงเทียน ไฉนเจ้าไปอยู่กับจักรพรรดิอมตะทั้ง 2 ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะได้เล่า?”
“ผู้อาวุโส พอดีหลังข้ากับฮ่วนเอ๋อไปถึงอวี้หวงเทียน ไปๆมาๆก็ได้เข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะ…จากนั้นผู้นำทั้ง 2 สายพอรู้ว่าพวกเราจะกลับมาสะสางเรื่องราวที่หลิงหลัวเทียน จึงนึกสนุกและติดตามมาเที่ยวด้วย”
ต้วนหลิงเทียนตอบกลับ
“ต้วนหลิงเทียน ขอบคุณเจ้ามาก!”
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากเจ้าไม่นำพาจักรพรรดิอมตะทั้ง 2 มาล้างแค้นให้บิดาข้า เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจักสามารถล้างแค้นให้บิดาของข้าตาแก่คนนี้ได้แล้ว”
ชายชรากล่าวถึงจุดนี้เสียงก็สั่นไปไม่น้อย
“บิดาหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนอึ้ง
“ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า…แต่ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยรุ่นก่อนของคฤหาสน์เฉวียนโยวเป็นบิดาแท้ๆของข้า”
ระหว่างเล่าถึงจุดนี้ สองตาชายชราก็ชายจิตฆ่าฟันอันอำมหิตนัก “ด้วยเหตุนี้เมื่อข้าไต่เต้ามาจนกลายเป็นจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวได้ ข้าจึงตั้งกฏให้ผู้ที่คิดจะเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว ต้องรับปากเรื่องล้างแค้นให้ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยรุ่นก่อน”
“ข้ารู้ตัวเองดีว่าความสามารถของข้ามีจำกัด และคงยากจะล้างแค้นได้ในชีวิตนี้ ข้าจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับผู้ที่จะเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนต่อไป…อนิจจาข้าเฝ้ารออย่ามีความหวังมาเนิ่นนานกว่า 20,000 ปี จวบจนคนแซ่เหอผู้นั้นกลายเป็นผู้นำตระกูลไปแล้ว ก็ไร้วี่แววผู้ใดจักเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวได้…”
“จนเมื่อเจ้าปรากฏตัวขึ้นมา…”
หลังจากที่ชายชราเล่าเรื่องราวให้ฟัง ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนกได้ทันทีว่าไฉนอีกฝ่ายถึงพยามเรื่องนี้นัก ที่แท้อีกฝ่ายก็คือลูกชายแท้ๆของผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนนั้นนั่นเอง
เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าไฉนชายชราถึงจดจ่อกับการล้างแค้นนัก ทั้งหมดเพราะนี่เป็นหนี้เลือดของบิดามารดา!
“ผู้อาวุโส มีเรื่องนึงที่ท่านเข้าใจผิด”
ต้วนหลิงเทียนมองชายชราพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้นำสายทั้ง 2 ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะไม่ได้มาเพื่อออกหน้าลงมือ แต่มาเพราะตามข้ากับฮ่วนเอ๋อมาเที่ยวเฉยๆ”
“วันนี้เป็นข้า ต้วนหลิงเทียน ที่จะล้างแค้นให้ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยรุ่นก่อนของคฤหาสน์เฉวียนโยวเอง”
ผู้นำตระกูลเหออาจจะร้ายกาจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเขาในตอนนี้ อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาเลย
“เจ้า!?”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ชายชราก็ได้แต่มองจ้องเขาด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ
และมีเหตุผลที่ทำให้มันไม่เชื่อ
สุดท้ายแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พึ่งจากไปกี่สิบปีเอง?
ในเวลาไม่กี่สิบปี ต้วนหลิงเทียนสามารถทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้ก็หรูแล้ว หากคิดจะฆ่าผู้นำตระกูลเหอ ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างห่างไกลความจริงอยู่มาก
“ต้วนหลิงเทียน เรื่องนี้อย่าได้ล้อเล่นเลย…”
ชายชราส่ายหัวพลางยิ้ม เห็นได้ชัดว่ามันเข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนกำลังล้อเล่นกับมัน
WSSTH ตอนที่ 3,249 : จอมราชันอมตะสววรรค์ใต้
“ล้อเล่น?”
ได้ยินคำของชายชรา ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่คลี่ยิ้มแห้งๆ แต่ก็ไม่คิดจะอธิบายอะไร
เนื่องเพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้ต่อให้พูดอะไรออกไป ก็ไม่สู้กับการลงมือเข่นฆ่าผู้นำตระกูลเหอให้เห็นกันชัดๆ
ตระกูลเหอในฐานะที่เป็น 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่ของแดนสวรรค์ใต้ สถานที่ตั้งจวนของตระกูลนั้นอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยอาคารปลูกสร้างใหญ่โตมากมาย
และมองจากผู้คนที่เดินผ่านเข้าออกตระกูลเหอเป็นสายปานธารน้ำ ก็บอกให้รู้ว่าตระกูลเหอมีความเจริญรุ่งเรืองเพียงใด
เมื่อพวกต้วนหลิงเทียนมาหยุดเหินร่างอยู่ด้านนอกตระกูลเหอแบบนี้ คนของตระกูลเหอที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนรอบๆก็เร่งรุดเข้ามาปิดล้อมทันที
คนของหน่วยลาดตระเวนตระกูลเหอแต่ละคนพอมาถึงก็เอาแต่มองจ้องกลุ่มต้วนหลิงเทียนไม่วางตา
อย่างไรก็ตาม สายตาของผู้คนส่วนใหญ่นั้นไปหยุดอยู่ที่ฮ่วนเอ๋อมากกว่า เนื่องเพราะรูปโฉมของฮ่วนเอ๋อมันดึงดูดสายตามาเกินไป
“จ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว นำพาผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนปัจจุบันของคฤหาสน์เฉวียนโยว มาหาผู้นำตระกูลเหอ เพื่อให้มันออกมารับความตายเพื่อชดใช้!!”
ชายชราก้าวออกมากล่าวประกาศเสียงดัง พอพูดจบคำสองตาชายชราก็ทอประกายเยียบเย็น จากนั้นมือหนึ่งยกขึ้นโบกสะบัดออกไปเบาๆ เข่นฆ่าสังหารหน่วยลาดตระกูลเหอ จนเหลือผู้รอดชีวิตเอาไว้แค่คนเดียว และคนที่เหลือรอดอยู่บัดนี้สีหน้าก็ซีดเซียวด้วยความหวาดกลัว
“ย…ยอดฝีมือจอมราชันอมตะ!!”
ผู้ที่รอดชีวิตเร่งหันหลังแล้วหลบหนีไปทันที หากทว่าชายชราก็ไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวอะไรอีก
“เพียงรออยู่ที่นี่เถอะ”
ชายชราหันไปเอ่ยบอกต้วนหลิงเทียน
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็รู้ดีว่าในเมื่อชายชราลงมือใหญ่โตขนาดนี้แล้ว อย่างไรผู้นำตระกูลเหอก็ต้องนำคนมาตรวจสอบสถานการณ์แน่นอน
ราวๆ 1 เค่อต่อมา
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
สำเนียงแหวกสายลมฉับไวดังขึ้นถี่ยิบ ร่างคนกลุ่มหนึ่งกำลังเหินมาจากส่วนลึกตระกูลเหอ เร่งรุดเข้าหากลุ่มต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ
ผู้ที่เหินร่างนำอยู่หน้าสุด เป็นชายวัยกลางคนห่มหนังพยัคฆ์ รูปร่างกำยำแลดูแข็งแกร่งไม่ใช่ชั่ว
ด้านหลังชายวัยกลางคน มีชายชราติดตามประกบหลังอยู่ 6 คน พร้อมด้วยชายวัยกลางคนท่าทางเอาเรื่อง 4 คน ทั้งงหมดจับจ้องมองมาที่พวกต้วนหลิงเทียนเขม็ง
จูเก่อฟงและจูเก่ออวิ๋นเพียงลอยร่างเคียงกันอย่างเงียบงัน แม้ทั้งคู่จะไม่ได้ลงมือทำอะไร หากแต่ความรู้สึกประหนึ่งสรรพสิ่งโดยรอบเป็นเพียงธุลีที่แผ่ออกมาตามธรรมชาติ ก็ทำให้สภาวะคนกลับกลายเป็นลี้ลับสุดหยั่งถึง ชวนให้เหล่าคนตระกูลเหอบังเกิดแรงกดดันไม่น้อย
จักรพรรดิอมตะอันทรงพลัง เพียงยืนนิ่งๆไม่สำแดงเดชอะไร ก็ทำให้เหล่าจอมราชันอมตะรู้สึกเสมือนมีแรงกดดันบีบเค้นลำคอให้หายใจไม่ออกแล้ว
และยิ่งจอมราชันอมตะที่ว่าเข้าใกล้ขอบเขตจักรพรรดิอมตะเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันดังกล่าวมากขึ้น!
กลับกัน คนที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อย โดยเฉพาะไม่ถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ ย่อมไม่อาจรับรู้อะไรได้เลย
“อาวุโสทั้ง 2 ท่านนี้…พวกท่านคงมิใช่คนของคฤหาสน์เฉวียนโยวกระมัง?”
ชายวัยกลางคนในชุดหนังเสือ ก้าวออกมากล่าวคำด้วยน้ำเสียงระวัง มันแม้ไม่ได้โกรธหรือมีโมโหแต่ใบหน้าก็มอบความยำเกรงให้ผู้ชมมองตามธรรมชาติ และชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น มันคือ เหอเทียนฉุน ที่เข่นฆ่าผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวในปีนั้น
และบัดนี้เหอเทียนฉุนก็กำลังมองไปยังคู่พี่ชายน้องสาวจูเก่อด้วยสีหน้าแววตาหวั่นเกรง
เพียงเพราะแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่อะไรที่ตัวตนอย่างจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้จะเพาะสร้างได้ด้วยซ้ำ!
และในขณะที่มันเอ่ยถามคู่พี่น้องฝาแฝดจูเก่อ เหอเทียนฉุนยังลอบส่งข้อความติดต่อไปยังจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ คนปัจจุบัน ที่ปกครองแดนสวรรค์ใต้อยู่ทันที
10 ตระกูลใหญ่ จะมากจะน้อยก็ล้วนมีความสัมพันธ์กับจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทั้งสิ้น
ตอนนี้ มีตัวตนที่มันกำลังสงสัยว่าอาจจะเป็นถึงตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะมาเยือนถึงหน้าตระกูลเหอ เช่นนั้นเหอเทียนฉุนย่อมรู้สึกกดดันอย่างมาก จึงเร่งติดต่อไปหาจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทันที หมายให้อีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อดูว่าความรู้สึกของมันถูกต้องรึเปล่า
“เจ้าไม่ต้องสนใจพวกเราหรอก”
จูเก่ออวิ๋นเหลือบมองไปยังเหอเทียนฉุนด้วยสายตาไม่แยแส พลางกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะมีเรื่องราวความแค้นความบาดหมางอันใดกับคฤหาสน์เฉวียนโยว พวกเราไม่คิดเข้าไปแทรกแซง”
“หืม?”
ในขณะที่จูเก่ออวิ๋นกล่าวคำนี้ออกมา สีหน้าจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยก็เปลี่ยนไปทันที “ผู้อาวุโส…”
“ไม่คิดแทรกแซง?”
ได้ยินสิ่งที่จูเก่ออวิ๋นพูด เหอเทียนฉุนไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ ในเมื่อติดสอยห้อยตามมาด้วย แต่ไม่คิดแทรกแซง? เป็นไปได้หรือ?
อย่างไรก็ตาม พอมันเห็นหน้าจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยที่เปลี่ยนไป ลูกตามันก็ทอแสงจ้าขึ้นมาทันที
หรือตัวตนที่มันสงสัยว่าจะเป็นจอมราชันอมตะ แค่คิดมาชมดูความสนุกสนานอย่างเดียวจริงๆ?
“เจ้าคือจ้าววังผู้พิทักษ์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวเช่นนั้นรึ?”
สายตาเหอเทียนฉุนมองจ้องไปยังร่างชราเขม็ง เอ่ยถามออกมาเสียงต่ำ “เป็นเจ้าที่ฆ่าคนของตระกูลเหอข้าเมื่อครู่กระมัง?”
“หึ!”
ชายชรามองจ้องเหอเทียนฉุนด้วยสายตาเปี่ยมล้นไปด้วยยความเคียดแค้นชิงชังทั้งโทสะ “ข้าไม่เพียงแต่จะเป็นจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว แต่ยังเป็นลูกชายของฉางเหิงอีกด้วย!”
ฉางเหิง เป็นชื่อของผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวรุ่นที่แล้ว
“ฉางเหิง?”
เหอเทียนฉุนตะลึงไปทันใดเมื่อได้ยินนามดังกล่าวจากชายชรา จากนั้นสีหน้าของมันก็ฉายให้เห็นความประหลาดใจอยู่บ้าง “ที่แท้…เจ้าก็คือลูกชายของฉางเหิงนี่เอง…”
รอยยิ้มเปี่ยมเลศนัยของฉางเหิงค่อยๆยกขึ้นที่มุมปาก “มารดาของเจ้า ใช้ได้เลย…”
ย้อนกลับไปในปีนั้น ชนวนเหตุเรื่องราวความแค้นทั้งหมด เป็นเพราะเหอเทียนฉุนไปขืนใจภรรยาของฉางเหิง ซึ่งเป็นมารดาของชายชราจนมีมลทิน…
“เจ้าสมควรตาย!”
ได้ยินวาจาดังกล่าวของเหอเทียนฉุน สีหน้าชายชราก็เปลี่ยนไปทันที ทั่วร่างปรากฏพลังปะทุออกมากู่ร้องกึกก้อง คนโจนทะยานเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่เหอเทียนฉุนทันที
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
ทั้งคู่ปะทุพลังวูบร่างประมือกันไม่กี่กระบวนท่า แต่ไม่นานเหอเทียนฉุนที่พลังฝีมือเหนือกว่าก็เริ่มมีเปรียบ สุดท้ายก็สะกดปราบชายชราได้อย่างสมบูรณ์
“พลังฝีมือเจ้าก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว…น่าเสียดายที่พรสวรรค์ของเจ้ามันย่ำแย่กว่า ฉางเหิง บิดาเจ้าหลายขุม น่าเสียดายหากฉางเหิงไม่ได้ตกตายไปวันนั้น ป่านนี้อย่างน้อยๆมันก็สมควรกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานามไปแล้ว ไม่แน่ยังอาจจะเหนือกว่านั้นเสียอีก!”
เหอเทียนฉุนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ
ด้านชายชราที่บัดนี้บาดเจ็บสาหัสจนเลือดไหลย้อยที่มุมปาก ร่างสั่นเทิ้มไปเล็กน้อย สองตาฉายแววเด็ดเดี่ยวคิดสู้แลกชีวิตกับเหอเทียนฉุน!
ทว่าทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันก้าวออกมา “ผู้อาวุโส ให้ข้าเอง”
ต้วนหลิงเทียนลอยร่างมาหยุดเบื้องหน้าชายชรา เหลือบมองไปยังเหอเทียนฉุนด้วยสายตาเฉยเมย บนใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆให้เห็น
“เจ้าเป็นผู้ใด?”
เหอเทียนฉุนขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียน
“ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวคนปัจจุบัน ต้วนหลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ต้วนหลิงเทียน?”
แรกได้ยินเหอเทียนฉุนก็นิ่งไปวูบหนึ่ง ต่อมาจึงตระหนักได้ว่า “เจ้าก็คือต้วนหลิงเทียน…ที่แสดงผลงานเลิศล้ำในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเมื่อ 200 ปีก่อนน่ะรึ?”
ชื่อต้วนหลิงเทียน ผู้นำตระกูลเหอ อย่างเหอเทียนฉุนก็เคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง
อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ยึดถือต้วนหลิงเทียนเป็นจริงจังอะไร คิดว่าเป็นแค่อัจฉริยะรุ่นเยาว์คนหนึ่งเท่านั้น
บางทีหลังจากนี้อีกไม่กี่พันปี ไม่ก็อาจจะหลายหมื่นปี ต้วนหลิงเทียนถึงจะสามารถเทียบเคียงกับมันได้ แต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามัน ยังไม่พอ
“เจ้านั่นก็คือต้วนหลิงเทียนงั้นหรือ?”
ขณะเดียวกันสายตาของเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของตระกูลเหอที่อยู่ด้านหลังเหอเทียนฉุน ก็มาหยุดลงบนร่างต้วนหลิงเทียนพร้อมเพรียง ในแววตาพวกมันเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจไม่น้อย
ในตอนนั้นชื่อต้วนหลิงเทียนเรียกว่าดังกระฉ่อนไปทั่วแดนสวรรค์ใต้จริงๆ กระทั่งพวกมันเองก็เคยได้ยินมาอย่างน้อยครั้งหนึ่ง
“แต่…ไม่ใช่ว่ามันออกจากคฤหาสน์เฉวียนโยวไปแล้วหรือไร?”
“นั่นสิ ข้าก็ได้ยินว่ามันออกจากคฤหาสน์เฉวียนโยวไปแล้วเหมือนกัน และข่าวนี้ข้าได้มาจากเผ่าจิ้งจอกมายาโดยตรง”
…
เหล่าอาวุโสของตระกูลเหอกระซิบคุกันระงม สองตาก็มองจ้องไปที่ต้วนหลิงเทียน
ฟุ่บ!
เสียงหวีดหวิวเร็วไวหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา จากนั้นร่างผอมหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคนปานภูตผี
อย่างไรก็ตามก่อนที่ร่างผอมผู้นี้จะปรากฏตัวขึ้นสักพัก ไม่ว่าจูเก่อฟงหรือจูเก่ออวิ๋น คิ้วของทั้งคู่ก็เลิกขึ้นเล็กน้อย
ร่างของผู้มาใหม่เริ่มปรากฏให้ทุกคนเห็นชัดถนัดตา เป็นชายวัยกลางคนร่างผอมมาในชุดคลุมสีน้ำเงินหรูหราแลดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลา ทั่วร่างแผ่ความรู้สึกน่าเกรงขาม ชวนให้ผู้คนรู้สึกำเกรงประการหนึ่ง
“เหอเทียนฉุน ผู้นำตระกูลเหอ คารวะจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้!”
เมื่อผู้มาใหม่เผยโฉมให้เห็นกันชัดถนัดตา เหอเทียนฉุนผู้นำตระกูลเหอก็ประสานมือโค้งหัวคารวะอย่างนอบน้อม
“คารวะจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้!”
เหล่าอาวุโสด้านหลังเหอเทียนฉุนก็เร่งประสานมือโค้งคารวะทักทายผู้มาใหม่เช่นกัน
“คารวะจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้”
ตอนนี้เองจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็ป้องมือประสานโค้งคารวะทักทายผู้มาใหม่เช่นกัน
มีเพียงต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเท่านั้นที่เหลือบมองผู้มาใหม่อย่างสงบ ไม่ได้ออกอาการอะไร
สำหรับจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นนั้น ไม่ได้เหลือบแลมันเลยด้วยซ้ำ
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าพบเจอจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ แต่ยังไม่รีบทำความเคารพอีกงั้นหรือ!?”
เหอเทียนฉุนเหลือบมองไปที่ต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวเสียงเย็น
“มัน?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังจอมรชันอมตะสวรรค์ใต้ผ่านๆ จากนั้นก็ส่ายหัวไปมา “มันรับคารวะข้าไม่ไหวหรอก”
ทันทีที่เหอเทียนฉุนและคนอื่นๆของตระกูลเหอได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน และคิดว่าไม่พ้นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ต้องมีโมโห จนต้องลงมือสำเร็จโทษต้วนหลิงเทียนแน่นอน
พวกมันกลับพบว่า จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่พึ่งปรากฏตัวออกมา กลับเร่งประสานมือโค้งคารวะชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ลอยอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม
“จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ เซี่ยงชิ่งอวี่ ขอคารวะใต้เท้าจักรพรรดิอมตะทั้ง 2 ท่าน”
ตั้งแรกเห็นเซี่ยงชิ่งอวี่ จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ ก็บ่งบอกได้ทันทีว่าชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าคู่นี้ ล้วนเป็นตัวตนอันทรงพลังขอบเขตจักรพรรดิอมตะทั้งสิ้น!
พลังฝีมือของมันเหนือกว่าเหอเทียนฉุนมาก ด้วยเหตุนี้มันจึงไวต่อสัมผัสพลังขอบเขตจักรพรรดิอมตะ
มันมั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าทั้งคู่เป็นจักรพรรดิอมตะไม่ผิดแน่!
“ใต้เท้าจักรพรรดิอมตะ!?”
เหอเทียนฉุนและคนอื่นๆของตระกูลเหอ พอเห็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ คารวะทักทายคู่พี่น้องจูเก่อด้วยความสำรวมนอบน้อม สีหน้าพวกมันก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวงทันที
“ผู้น้อยขอคารวะใต้เท้าจักรพรรดิอมตะ!”
จากนั้นเหอเทียนฉุนและคนอื่นๆก็เร่งโค้งหัวคารวะตู่พี่น้องจูเก่อด้วยท่าทีนอบน้อมราวกับข้าทาสชั้นต่ำพบผู้เป็นนาย โดยเฉพาะเหอเทียนฉุนที่ยืนยันตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว
‘จักรรพรรดิอมตะคู่นี้…ไฉนถึงมากับคนของคฤหาสน์เฉวียนโยวได้’
เหอเทียนฉุนรู้สึกประหม่าไม่น้อย
ถึงแม้จักรพรรดิอมตะคู่นี้จะบอกแล้วว่าไม่คิดจะสอดมือเข้ามาแทรกแซง แต่การมาพร้อมกับคนของคฤหาสน์เฉวียนโยวแบบนี้ ให้บอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง มันย่อมไม่เชื่อเด็ดขาด
แต่จักรพรรดิอมตะก็ลั่นวาจาว่าจะไม่สอดมือแล้ว…
จักรพรรดิอมตะไม่ควรโกหกใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตามเผชิญกับการคารวะทักทายของคนตระกูลเหอ จูเก่อเฟิงกลับไม่ได้แยแสพวกมันแม้แต่น้อย ส่วนจูเก่ออวิ๋นยังดี ที่เหลือบมองพวกมันผ่านๆก่อนจะพยักหน้าให้เบาๆ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ ขมวดคิ้วเป็นปมหลวมๆ มองจ้องเหอเทียนฉุนก่อนจะถามผ่านการส่งเสียง
หลังจากได้ยินเรื่องราวจากปากเหอเทียนฉุนแล้ว มันจึงพยักหน้าให้เหอเทียนฉุนคราหนึ่งพลางกล่าว “ในเมื่อใต้เท้าจักรพรรดิอมตะบอกว่าจะไม่สอดมือก็คือไม่สอดมือเป็นธรรมดา”
“เจ้าจากคฤหาสน์เฉวียนโยวผู้นั้น มีเรื่องราวความแค้นกับเหอเทียยฉุนรึ?”
ตอนนี้เองเซี่ยงชิ่งอวี่ก็หันไปมองถามชายชรา ผู้เป็นจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว
ชายชราที่โดนเอ่ยถาม ก็อดไม่ได้ที่จะลังเล
หากจักรพรรดิอมตะทั้ง 2 ไม่คิดแทรกแซงจริงๆ แล้วมันยังจะหาเรื่องต่ออีกหรือ?
“ไม่ผิด”
ชายชราไม่ได้พูดอะไร เป็นต้วนหลิงเทียนที่อยู่ด้านหน้าตอบกลับ ยังเอ่ยต่อเสียงเบาว่า “วันนี้พวกเรามาที่นี่เพื่อเอาชีวิตผู้นำตระกูลเหอ”
“คนไม่เกี่ยวข้องเช่นเจ้า ก็ชมดูเรื่องราวอยู่ข้างๆไปเสีย”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปทางจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ผ่านๆอีกรอบค่อยกล่าว
“บังอาจ!!”
ทันทีที่เสียงกล่าวต้วนหลิงเทียนดังจบคำ เหอเทียนฉุนก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่อง โพล่งออกมาเสียดังว่า “ต้วนหลิงเทียน ต่อหน้าจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ เจ้าไม่เพียงไม่เคารพ แต่ยังกล้าเหิมเกริมจาบจ้วง…!”
“เจ้า…หรือจะบอกว่ากระทั่งท่านจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ ก็ไม่เห็นหัวแล้ว?!”
WSSTH ตอนที่ 3,250 : สำนักงานใหญ่ องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด
“หนวกหู!”
ได้ยินเสียงตะคอกของเหอเทียนฉุน สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็ฉายความรำคาญ สองตาทอประกายเยียบเย็นเรืองวาบ ทันใดนั้นเองพลังเซียนอมตะพลันปะทุลุกโชนดั่งเพลิงไฟผสานรวมเข้ากับความลึกซึ้งความหมายแห่งมิติ จนไอพลังกลับกลายเป็นสีเทาในฉับพลัน!
วูบ!
วินาทีต่อมาร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบหายไปอย่างกะทันหัน ปรากฏตัวอีกครั้ง คนก็อยู่เบื้องหลังเหอเทียนฉุนเรียบร้อย
ขวับ! ขวับ!
ต้วนหลิงเทีนยกมือขึ้นสองข้างก่อนจะเลื่อนประกบเข้าหากัน ทำท่าราวกับจะบีบอัดอะไรบางอย่าง และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนขยับมือดังกล่าว ห้วงมิติรอบกายเหอเทียนฉุนก็อุบัติพลังมิติแปรปรวน บิดเบือน ฉีกกระชากปะทุขึ้น
เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!
…
เสียงห้วงมิติแปรปรวนดังกระหึ่มระรัว รอยแยกมิติมากมายดั่งฝูงอสรพิษนับหมื่นพันวูบวาบ บังเกิดพลังฉีกกระชากบิดเบือนทั้งป่นทำลายเคี่ยวกรำเข้าทั่วร่างเหอเทียนฉุนทุกทิศทาง ก่อนจะบดร่างมันจนแหลกสลาย อันตรธานหายไปท่ามกลางรอยแยกมิติยิบย่อย…
คงเหลือเพียงแหวนพื้นที่วงหนึ่ง ที่ถูกพลังสีเทาห่อหุ้มเอาไว้
จนเมื่อแหวนพื้นที่ของเหอเทียนฉุนที่ตายตกถูกต้วนหลิงเทียนเก็บไปแล้ว อาวุโสของตระกูลเหอก็พึ่งจะรู้สึกตัว มองร่างต้วนหลิงเทียนที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวอีกครั้ง สีหน้าท่าทีของพวกมันก็แปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง!
เกิดอะไรขึ้น? ผู้นำตระกูลเหอของพวกมัน…ตกตายไปแล้วหรือ?
นอกจากนั้นยังตกตายคามือ ต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว?
“ปะ…เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”
พอเหล่าอาวุโสของตระกูลเหอมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง เรียกว่าลูกตาพวกมันไม่เพียงฉายชัดถึงความตกใจเหลือเชื่อ แต่ยังตื่นตระหนกทั้งสับสนจนไม่รู้ว่าที่แท้นี่พวกมันกำลังฝันไปอยู่รึเปล่า!
ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับพวกมัน
กระทั่งพวกมันยังรู้จักต้วนหลิงเทียนตั้งแต่ด่านพลังอยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ ตอนที่อีกฝ่ายสามารถกลายเป็นตัวตนอันไร้เทียมทานในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง สยบสิ้นทุกอัจฉริยะอายุไม่ถึงพัน…
แต่เวลาพึ่งจะผ่านไปเพียงแค่ 200 ปีนับจากวันนั้น ทว่าวันนี้ต้วนหลิงเทียนกลับมีพลังฝีมือเข่นฆ่าผู้นำตระกูลเหอของพวกมันได้ง่ายๆราวตัดหญ้าฆ่าไก่แล้ว?
เหอเทียนฉุน ผู้นำตระกูลเหอของพวกมัน แม้จะไม่ใช่จอมราชันอมตะสมญานาม แต่พลังฝีมือก็ใกล้เคียงกับตัวตนจอมราชันอมตะสมญานาม กระนั้นยังต้องตายคามือชายหนุ่มเบื้องหน้าในชั่วพริบตา?
‘ทรงพลังอะไรจะขนาดนี้!’
จอมราชันอมตะสวรรค์ไต่ เซี่ยงชิ่งอวี่ มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวาดกลัว เดิมทีมันก็รู้สึกไม่พอใจชายหนุ่มคนนี้ขึ้นมาจากคำพูดของเหอเทียนฉุน แต่ตอนนี้ต่อให้อีกฝ่ายจะด่าบรรพบุรุษมัน มันก็ไม่กล้าหืออืออะไร
นั่นเพราะพลังอานุภาพเท่าที่ชายหนุ่มเผยให้เห็นเมื่อครู่ ก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามันแล้ว!
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้างกายชายหนุ่มคนนี้ยังมีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะอีก 2 คน ถึงแม้จักรพรรดิอมตะทั้งคู่จะลั่นวาจา ว่าไม่คิดแทรกแซงเรื่องราว แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะลงมือยามคับขันหรือไม่?
แม้จักรพรรดิอมตะสองคนจะกลับคำพูด แต่ถ้าผู้อื่นฆ่าปิดปากทุกคนทิ้งจนหมดเล่า? ยังจะเหลือผู้ใดเอาเรื่องราวไปเล่าให้มันเสื่อมเสีย?
‘ต้วนหลิงเทียน?’
‘ชื่อนี้…ไฉนคุ้นหูนักนะ’
ขณะเดียวกันเซี่ยงชิ่งอวี่ก็รู้สึกว่าชื่อต้วนหลิงเทียนมันคุ้นหูแปลกๆ ราวกับมันไปเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่เนื่องจากเรื่องราวมันเกิดขึ้นนานแล้ว มันจึงนึกไม่ออกในทันที
“ใต้เท้าจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้…”
ในขณะที่เหล่าผู้อาวุโสตระกูลเหอ หันมองไปทางเซี่ยงชิ่งอวี่ ราวกับจะไถ่ถามว่าไฉนเมื่อครู่ตอนที่เหอเทียนฉุนผู้นำของพวกมันกำลังจะถูกฆ่า เซี่ยงชิ่งอวี่ถึงไม่สอดมือเข้าช่วย ทำราวกับแต่ต้นจนจบได้เลือกที่จะดูผู้นำของพวกมันตกตายไปแบบนั้น
แต่พอหันไปเห็นสีหน้าของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ เหล่าอาวุโสของตระกูลเหอก็ทราบได้ในบัดดล ว่ากระทั่งจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนสวรรค์ใต้แห่งนี้ ดูเหมือนจะไม่กล้าลงมือกับต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ!
จังหวะนี้สีหน้าพวกมันแปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง ในลูกตายังเริ่มฉายชัดถึงความสิ้นหวัง
เพราะพวกมันกังวลว่าหลังเข่นฆ่าผู้นำตระกูลของพวกมันแล้ว ต้วนหลิงเทียนจะเริ่มเข่นฆ่าล้างบางสกุลเหอของพวกมันจนพินาศสิ้น…
“ผู้อาวุโส ในเมื่อจบเรื่องแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอตัวไปทำธุระต่อ…”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองมองจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยที่ยังคงมองชมเรื่องราวตาปริบๆคล้ายอื้ออึงไม่รู้สึกตัว หลังคลี่ยิ้มอำลาอีกฝ่ายแล้ว เขาก็เหินร่างนำฮ่วนเอ๋อกับฝาแฝดจูเก่อไปจากตระกูลเหอทันที
“ผู้อาวุโส วันหน้าหากข้ามีเวลาว่าง ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านที่คฤหาสน์เฉวียนโยว”
เสียงกล่าวคำลาที่ดังมาแต่ไกลของต้วนหลิงเทียน ก็ได้ปลุกสติของชายชราให้ฟื้นขึ้นมาโดยสมบูรณ์
“ศัตรูของท่านพ่อ…พึ่งจะตกตายไป…ง่ายดายเพียงเท่านี้?”
หลังชายชรากลับมาครองสติแล้ว ยังอดรู้สึกว่าเสมือนกำลังฝันไปไม่ได้ สีหน้ายังเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ๆกว่ามันจะยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้ ว่าความแค้น 20,000 กว่าปีของมัน ได้สิ้นสุดลงแล้ว….
“ช่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน ในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี เจ้าหนูผู้นั้นกลับร้ากาจพอจะฆ่าเหอเทียนฉุนได้ง่ายๆแล้ว…”
พอฉุกคิดถึงฉากที่อยู่ๆต้วนหลิงเทียนปะทุพลังสังหารเหอเทียนฉุนในชั่วพริบตา แม้จะกล่าวว่าเหอเทียนฉุนไม่ทันตั้งตัว แต่ก็บ่งบอกให้รู้ว่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน ไม่ได้ด้อยไปกว่าจอมราชันอมตะสมญานามแล้ว
อย่างไรก็ตาม ชายชราไม่ได้รู้เลย
ว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะระเบิดพลังสังหารเหอเทียนฉุนได้ในฉับพลัน แต่ความลึกซึ้งของกฏมิติก็ยังไม่ได้ใช้ทุกประการ มิหนำซ้ำยังมีพลังอื่นๆที่ไม่ได้ใช้อีกมากมาย
ไม่ต้องกล่าวถึงมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ที่อยู่ในโลกใบเล็ก เอาแค่พลังของเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ในตอนนี้ ก็มากพอจะให้เขาประมือกับจักรพรรดิอมตะทั่วๆไปแล้ว…จอมราชันอมตะสมญานามปกติ ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าต้องใช้คำว่า ‘ปกติ’ มากล่าว เพราะไม่ใช่ว่าจะไม่มีตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะที่สู้เขาได้ดำรงอยู่
เพราะสุดท้ายระนาบเทวโลกก็กว้างใหญ่ไพศาลมาก ระนาบเทวโลกทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเองก็อัศจรรย์มากมี ใครจะไปรู้ว่าในบรรดายอดฝีมือมากมาย ใช่มีจอมราชันอมตะที่พบพานการผจญภัยอัศจรรย์ จนทำให้มีพลังฝีมือทัดเทียมกระทั่งเหนือล้ำกว่าเขาอยู่หรือไม่?
…
“พี่หลิงเทียน แล้วคราวนี้พวกเราจะไปที่ไหนต่อเหรอ?”
หลังเหินร่างออกจากเขตตระกูลเหอแล้ว ฮ่วนเอ๋อก็กล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้
“ไปถล่มสำนักงานใหญ่ขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด!”
สองตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายเยียบเย็น “อย่างไรก็ตามก่อนจะไปถล่มพวกมัน ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าสำนักงานใหญ่ขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดตั้งอยู่ที่ไหน”
องค์กรกะโหลกเลือดนั้น สร้างปัญหาให้เขามาตั้งแต่แรก เรียกว่าทำให้เขาวุ่นวายไม่ใช่น้อย
กระทั่งเขายังเกือบตายใต้เงื้อมมือนักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้ต้วนหลิงเทียนคิดจะหาสำนักงานใหญ่ขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด แต่ก็มีปัญหาอยู่บ้าง เพราะองค์กรมือสังหารเช่นนี้ดั่งกระต่าย 3 โพรง! พวกมันมีทางหนีทีไล่เตรียมไว้เสมอ กระทั่งที่ตั้งสำนักงานใหญ่เองก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
“ดูเหมือนว่าข้าได้แต่กลับไปถามจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้เท่านั้น…”
เซี่ยงชิ่งอวี่ จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้เอง ก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากมันกลับจากตระกูลเหอมาถึงสถานที่บ่มเพาะของตัวเองแล้ว ร่างคนทั้ง 4 ที่มันเคยเห็นก่อนหน้า กลับมาโผล่ตรงหน้ามันอีกครั้ง
“ข้าต้องการตำแหน่งที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด”
ต้วนหลิงเทียนก็เปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามเข้าเรื่องทันที
ด้านจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้แม้จะถูกปฏิบัติราวกับไม่นับเป็นตัวอะไร แต่พอมันมองต้วนหลิงเทียน แล้วเหลือบไปยังจักรพรรดิอมตะทั้ง 2 ถึงมันจะรู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่ก็บอกสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดออกไปแต่โดยดี
มันก็อยากจะบอกว่าไม่รู้ออกไปเหมือนกัน
ทว่าในฐานะผู้ที่ปกครองแดนสวรรค์ใต้แล้ว หากกระทั่งสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดก็ยังไม่รู้ เช่นนั้นก็เหลวไหลเต็มที!
‘ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ไปมีความแค้นอะไรกับองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดด้วยงั้นเหรอ?’
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆจากไปแล้ว เซี่ยงชิ่งอวี่ จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ก็อดกล่าวในใจด้วยความสงสัยไม่ได้
…
ณ สำนักงานใหญ่ขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด
ปงงงง!!
ครืนนนนน!!!
…
ด้วยการลงมืออย่างอำมหิตของต้วนหลิงเทียน อาคารปลูกสร้างทั้งผู้คนในรัศมีตรวจจับของเขา ได้ถูกพลังห้วงมิติกระหน่ำทำลายอย่างน่ากลัว ทั้งหมดกลับกลายเป็นซากปรักหักพังในชั่วพริบตา โลหิตยังเจิ่งนองดั่งทะเลสาบส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว เรียกว่าคนขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดที่พลังฝึกปรือสูงไม่ถึงขั้น ก็ได้แต่ตกตายไปอย่างไม่รู้เรื่อง
แน่นอนว่าบางคนรู้ตัว แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหลบหนีไปไหนได้ทัน
“ใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ มิทราบท่านเป็นผู้ใดแล้วพวกเราไปล่วงเกินใต้เท้าท่านตรงที่ใด ไฉนใต้เท้าต้องมาเข่นฆ่าทำลายถึงสำนักงานใหญ่องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดของพวกเราด้วย?”
ไม่นานชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีแดงที่เลือดโชกเพราะบาดแผลเหวอะหวะ พร้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่งที่ทั่วร่างหาสภาพสมบูรณ์ไม่เจอ บางคนก็ถูกพลังมิติทำลายจนผิวหนังหายไปเหลือแต่กระดูก แลดูสยดสยองนัก!
เรียกว่านอกจากชายวัยกลางคนคลุมแดงที่เลือดท่วมตัวแล้ว คนอื่นกำลังจะตายแหล่มิตายแหล่…!
อย่างไรก็ตามพวกมันทุกคนที่มองต้วนหลิงเทียนอยู่ไม่มีผู้ใดโกรธหรือคับแค้นใจ คงเหลือแต่เพียงหวาดกลัวเท่านั้น
พลังของชายหนุ่มเบื้องหน้ามันทรงพลังเกินไป ชีวิตของพวกมันขึ้นอยู่กับห้วงคิดอีกฝ่ายเท่านั้น…
“ข้าคือต้วนหลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองคนสภาพร่อแร่เจียนตายเบื้องหน้าด้วยสายตาเฉยเมย พลางกล่าวชื่อออกไปอย่างเดียว
“ต้วนหลิงเทียน?”
ตอนแรกคนขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดก็เอาแต่เงียบไปเพราะไม่เข้าใจ จนสุดท้ายชายวัยกลางคนคลุมแดงที่เลือดโชก พลันนึกอะไรได้ออก สองตาเบิกโพลงร่างเริ่มสั่นระริกไป กล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะมันนึกได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน องค์กรกะโหลกเลือดของพวกมันได้รับภารกิจสังหารคนชื่อ ต้วนหลิงเทียน มา…
“ใต้เท้าท่าน…ท่านคือต้วนหลิงเทียน!?”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมแดงโชกเลือดมองถามต้วนหลิงเทียนเพื่อยืนยันด้วยอาการเชื่อไม่ลง
ถึงแม้หลังจากที่มันเพิกถอนภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนไป มันก็ยังได้ยินข่าวคราวและวีรกรรมของต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง แต่มันไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าพลังของต้วนหลิงเทียนจะก้าวมาถึงจุดที่น่ากลัวขนาดนี้ได้ในเวลาอันสั้น
อย่างน้อยๆมันลองถามตัวเองดู ก็ตอบได้ในพริบตาว่าหากให้รับสักท่าของต้วนหลิงเทียน สิบในสิบยังทำไม่ได้…
“ใต้เท้า ภารกิจสังหารของท่านในอดีตพวกเราได้ยกเลิกไปนานแล้ว…และภารกิจสังหารนั้นมิใช่องค์กรกะโหลกเลือดของพวกเราคิดฆ่าท่านตามอำเภอใจ เพียงแค่มีคนจ้างวานองค์กรกะโหลกเลือดของพวกเราให้ฆ่าท่านเท่านั้น”
ชายวัยกลางคนคลุมแดงโชกเลือดได้แต่กล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงสลด มุมปากยกยิ้มแหยๆด้วยความอับจนหนทาง
“เจ้าคิดว่าการซ่อนตัวอยู่หลังผู้อื่นเช่นนั้นจะทำให้ข้าหาไม่เจองั้นหรือ?”
ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจชายวัยกลางคนในชุดคลุมแดงแม้แต่น้อย สายตาเขาราวกับจะมองทะลุผ่านกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังชายวัยกลางคนชุดแดงไปยังร่างหนึ่ง
ร่างดังกล่าวไม่ใช้ใครที่ไหน เป็นมือสังหารขององค์กรกะโหลกเลือดนามว่า เหลิ่งเอี้ย!
วูบ!
ร่างต้วนหลิงเทียนอันตรธานหายไปในพริบตา พอปรากฏขึ้นอีกครั้งก็อยู่ข้างๆเหลิ่งเอี้ยแล้ว จากนั้นเขาก็คว้าร่างมันก่อนจะวูบร่างข้ามมิติกลับไปอยู่จุดเดิม การลงมือทั้งหมดรวดเร็วฉับไว ง่ายดายประหนึ่งอินทรีย์จับลูกเจี๊ยบ
“ครั้งสุดท้ายที่พวกเราเจอกัน…เหมือนจะเป็นเขตคฤหาสน์หยวนซาน ในแดนผิงเทียนของอวี้หวงเทียนกระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มอ่อนๆ พลางถามเหลิ่งเอี้ย
วันนั้นที่อวี้หวงเทียน หากไม่ใช่เพราะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมียันต์อมตะหลบหนี เกรงว่าเขาคงต้องตกตายด้วยน้ำมือของมือสังหารองค์กรกะโหลกเลือดคนนี้ไปแล้ว
เหลิ่งเอี้ยตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจับใจ สีหน้ามันซีดลงปานไร้เลือด
มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าชายหนุ่มที่มันสามารถเข่นฆ่าได้ง่ายดายไม่ต่างอะไรจากตัดหญ้าฆ่าไก่ในอดีต จะเติบโตก้าวหน้ามาถึงจุดนี้ได้!
ตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ตอนที่ต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง มันก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป และชั่วชีวิตมันไม่มีวันทำอะไรต้วนหลิงเทียนได้อีกแล้ว จึงได้แต่ฝังความไม่พอใจที่มีต่อต้วนหลิงเทียนเอาไว้ให้ลึกสุดใจ…
วันนี้พอได้เห็นต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง มันจึงตระหนักได้ว่า…
ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ สิบในสิบได้ถือครองพลังมหาศาล สุดที่ผู้นำองค์กรกะโหลกเลือดของพวกมันจะต้านทานไว้เรียบร้อย…!
หาไม่แล้วผู้นำของมันไหนเลยจะนิ่งเฉยไม่ลงมืออยู่จนถึงบัดนี้?
“ต้วนหลิงเทียน…ข้าก็แค่ทำงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น”
เหลิ่งเอี้ยกล่าวด้วยสีหน้าระทมน้ำเสียงขื่นขม “ข้ากับเจ้าพวกเราไม่เคยมีความแค้นส่วนตัวต่อกัน หากไม่ใช่เพราะข้าต้องทำภารกิจหากิน ไหนเลยจะต้องไปฆ่าเจ้าด้วย…”
“เหอะ!”
ต้วนหลิงเทียนพ่นล่มสบถเยียบเย็นนคำหนึ่ง พลังมิติอันน่าพรั่นพรึงก็ปะทุออกมาจากความว่างเปล่า ป่นร่างเหลิ่งเอี้ยจนแหลกสลายหายไปทันที…
ตอนที่ 3,251 : เผือกร้อน!
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนฆ่าเหลิ่งเอี้ยทิ้งทันที สีหน้าของคนองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง
“เฉิน หยวน ซาน!!”
ขณะเดียวกันชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีแดง ผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดที่แผลเต็มตัว ก็หันไปมองจ้องร่างหนึ่งด้านหลังมันด้วยสองตาแดงฉาน กล่าวออกเสียงหนัก “จุดเริ่มต้นของทั้งหมด เป็นเพราะลูกชายตัวดีของเจ้ามันไปค้ำประกันออกภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียน! วันนี้หากองค์กรกะโหลกเลือดของพวกเรามีอันต้องล่มสลาย เจ้าจักเป็นคนที่บาปหนาที่สุด!!”
“ท่านผู้นำ…ตอนนี้ใช่เวลาที่ท่านจะมากล่าวโทษข้าหรือ?”
เฉินหยวนซานได้แต่คลี่ยิ้มขมขื่น กล่าวว่า “ต้วนหลิงเทียนผู้นี้เห็นได้ชัดว่าไม่คิดปล่อยองค์กรกะโหลกเลือดของพวกเราไป…หาไม่แล้วไฉนมันถึงเลือกจะบุกมาถล่มสำนักงานใหญ่ของพวกเราทันทีไม่พูดไม่จา?”
ได้ยินคำของเฉินหยวนซาน สีหน้าชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีแดงก็เปลี่ยนไปทันที
จริงอย่างว่า…
“ท่านผู้นำ สู้เถอะ…หากเราแพ้จะอย่างไรก็แค่ตาย หากไม่สู้ก็ตายอยู่ดี เช่นนั้นแทนที่จักรอความตาย ไฉนไม่สู้ตายไปเลยเล่า?”
เฉินหยวนซานกล่าว
ไม่นานภายใต้การยุยงของเฉินหยวนซาน เหล่าระดับสูงขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดทั้งหมด ก็เลือกที่จะลงมือจู่โจมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนสุดกำลัง ห่าพลังกระบวนท่าปานพลุไฟหลากสี โถมถันเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด
“มาได้ดี”
สองตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงเล็กน้อย จิตต่อสู้เริ่มพวยพุ่งจากลูกตา จากนั้นคนก็เริ่มเหินร่างออกไป ไม่ใช้เคลื่อนมิติ แต่เลือกจะเปิดกางเขตแดนมิติ ห้วงมิติบิดเบือน พายุแม่เหล็กออกมาเต็มกำลัง ต้านทานรับทุกกระบวนท่าขององค์กรกะโหลกเลือดตรงๆ
ทันใดนั้นมือซ้ายพลันตวัดออกไปส่งๆ ปรากฏคุกมิติผุดจากความว่างเปล่า ล้อมกักร่างเฉินหยวนซาน ก่อนคุกดังกล่าวจะหดเล็กลงฉับไว บดขยี้ร่างมันจนแหลก…
จากนั้นมือขวาที่สะบัดออกไปพร้อมๆกันกับมือซ้าย ก็ผสานใช้พลังจากความลึกซึ้งพายุแม่เหล็กผนวกรวมเข้ากับเขตแดนห้วงมิติบิดเบือน สร้างสนามพลังสังหารเคี่ยวกรำผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดอย่างอำมหิต มันที่เค้นพลังชั่วชีวิตมาต้านทาน สุดท้ายก็ต้านได้ไม่ถึงครึ่งลมหายใจ ถูกพลังมิติกร่อนทำลาย ร่างสลายหายไปอย่างง่ายดาย
2 คนที่แข็งแกร่งที่สุดขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด เพียงพบเจอหนึ่งกระบวนท่าก็ตกตายไม่เหลือแม้แต่ซาก เหล่าอาวุโสระดับสูงที่พึ่งเห็นฉากเรื่องราว พบว่าไม่เพียงการลงมือของตัวไม่แม้แต่จะเข้าใกล้ร่างผู้อื่น กระทั่งผู้นำกับรองผู้นำของพวกมันยังไม่อาจรับได้แม้แต่ท่าเดียว ก็ประหนึ่งฝูงลิงแตกฮือหลังไม้ใหญ่โค่นล้ม
เรียกว่าตอนนี้ไม่มีใครในองค์กรกะโหลกเลือดหลงเหลือความคิดต่อสู้สืบไป พากันปะทุพลังชั่วชีวิตเหินร่างหลบหนีกันจ้าละหวั่น
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
อย่างไรก็ตาม คมมีดมิติ 9 สายที่พุ่งด้วยความเร็วฉับไวดั่งประกายแสงสีเทา ก็พุ่งผ่านร่างพวกมันทุกคนในเวลาไล่เลี่ยกัน ศีรษะมากมายถูกปลิดปลงหล่นร่วง ดวงตาของแต่ละหัวที่กลิ้งหลุนๆบนพื้นยังเบิกโพลง ฉายชัดถึงความไม่ยินยอม
“ตอนเจ้าอายุเท่านี้…ดูเหมือนจะยังทะลวงไม่ถึงจอมราชันอมตะเลยใช่ไหม?”
แต่ต้นจนจบจูเก่ออวิ๋นเฝ้ามองการลงมือของต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสงบ จนเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนสามารถจบการต่อสู้ลงอย่างง่ายดาย นางก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถามพี่ชายฝาแฝด
ผู้ที่ถูกถามก็เอ่ยตอบกลับมาเสียงเบา “เจ้าก็ด้วย”
ไม่ว่าจะจูเก่ออวิ๋นก็ดี จูเก่อฟงก็ดี ตอนที่ทั้งคู่มีอายุเท่าต้วนหลิงเทียน แต่ละคนยังไม่บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะด้วยซ้ำ
ยังป้วนเปี้ยนอยู่ในขอบเขตราชาอมตะอยู่เลย
ต้องทราบด้วยว่าพวกมันได้เข้าสู่นิกายกระบี่หมื่นหายนะตั้งแต่เด็ก ได้รับการปลูกฝังในสภาพแวดล้อมอันยอดเยี่ยม ไหนจะมีทรัพยากรบ่มเพาะเลิศล้ำประเคนเข้ามาไม่ขาด แต่ความสำเร็จของพวกมันตอนอายุเท่าต้วนหลิงเทียน กลับไม่อาจเทียบต้วนหลิงเทียนได้ ยังด้อยกว่าอยู่มากด้วย
ดังนั้นพอเห็นต้วนหลิงเทียนประสบความสำเร็จด้วยวัยเพียงเท่านี้ พวกมันจึงละอายใจอยู่บ้าง
“ฆ่าหมดแล้ว เจ้าจะไปไหนต่อเล่า หรือจะกลับเลย?”
จูเก่ออวิ๋นเอ่ยถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม
“ท่านผู้อาวุโส ข้ายังเหลือเรื่องที่ต้องทำเป็นเรื่องสุดท้าย และเรื่องนี้ข้าอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่านด้วย ข้าคิดไปเยือนเผ่าจิ้งจอกมายาสาขาหลักในแดนไร้สิ้นสุดของหลิงหลัวเทียน…เนื่องจากข้ากังวลว่าคนของตระกูลเหอ จะแพร่ข่าวเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับคฤหาสน์เฉวียนโยวออกไป จนทำให้เผ่าจิ้งจอกมายาของแดนไร้สิ้นสุดหันไประบายโทสะกับคฤหาสน์เฉวียนโยว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงจุดนี้ก็หันไปมองฮ่วนเอ๋อ พลางกล่าวเสียงเครียด “นอกจากนั้น ฮ่วนเอ๋อมีชีวิตอยู่เพิ่มหนึ่งวัน พวกมันก็คิดจะจับตัวฮ่วนเอ๋อไปเพิ่มอีกวัน…”
“จับฮ่วนเอ๋อ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจูเก่ออวิ๋นหายไป ถูกความเย็นชาเข้ามาแทนที่ “เผ่าจิ้งจอกมายา ช่างกล้านัก!”
“ฮ่วนเอ๋อเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาที่จะปรากฏขึ้นในรอบหลายล้านปีของเผ่าจิ้งจอกมายา…แต่เพราะนางเป็นคนของตระกูลตู้ ทำให้ตระกูลจางกับตระกูลหยวนไม่อาจปล่อยให้นางเติบโตได้…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว “ด้วยมีผู้อาวุโสทั้งสองไปกับพวกเรา…พอเราไปถึงเผ่าจิ้งจอกมายา ข้าอยากรบกวนอาวุโสทั้ง 2 ให้กล่าวคำข่มขู่พวกมัน ต่อไปพวกมันจะได้หวาดกลัวจนไม่กล้ามายุ่งกับฮ่วนเอ๋ออีก”
“แค่ขู่? เท่านั้นพวกมันไม่กกลัวหรอก…”
จูเก่ออวิ๋นเอ่ยออกเสียงเย็น “อย่างน้อยๆก็คงต้องฆ่าจักรพรรดิอมตะของพวกมันทิ้งสักคนสองคนเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู พวกมันจักได้รู้ว่าความกลัวเป็นเช่นไร…”
วาจานี้ของจูเก่ออวิ๋นทำให้ต้วนหลิงเทียนพูดไม่ออกจริงๆ
ฆ่าจักรพรรดิอมตะทิ้งสักคนสองคน?
จูเก่ออวิ๋นช่างกล่าวออกมาได้ง่ายดาย ราวจะไปซื้อหัวผักกาดในตลาดสักหัวสองหัว…
‘เมื่อไหร่ที่ข้าจะพูดวาจาอหังการแบบนี้ได้บ้าง…’
ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนอยู่ในใจ
เขารู้ดีว่าถึงตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาจะยกระดับพัฒนาไปมากจนเทียบได้กับจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดทั่วๆไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะใช้พลังทั้งหมดของเขาได้ตามอำเภอใจ
กระทั่งต่อหน้าพี่น้องจูเก่อ เขาก็ไม่กล้าจะใช้ไพ่ที่เขามีด้วยซ้ำ
ถึงแม้ดูแล้วตอนนี้พี่น้องจูเก่อจะเป็นคนดี แต่ผู้ใดจะไปรู้ ว่าหากทั้งคู่ค้นพบความลับในโลกใบเล็กของเขา ยังจะรักษาความดีเอาไว้ได้?
ในโลกมนุษย์ที่เขาเคยอยู่เมื่อชีวิตแรก เรื่องราวพี่น้องแท้ๆเข่นฆ่าแย่งชิงมรดกมีให้เห็นถมเถ กระทั่งบางครั้งเพื่อเงินไม่เท่าไหร่ก็ไม่ลังเลที่จะทำร้ายผู้อื่น และบางทีต่อให้สนิทกันมากแค่ไหน แต่พอเป็นเรื่องผลประโยชน์ก็เสมือนเปลี่ยนโฉมหน้ากลายเป็นปฏิปักษ์ทันที
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงรู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ดี…
ต่อให้เขาจะมีกลวิธีมากมาย แต่ก็ไม่อาจใช้พวกมันอย่างเปิดเผยได้ เว้นเสียแต่จะถึงคราวจำเป็นจริงๆ
ในอดีตเขาพบแต่คนธรรมดาที่มีวิสัยทัศน์ไม่กว้างขวาง จึงไม่รู้จักเทพเบญจธาตุ…แต่ตอนนี้เขาอยู่ในแวดวงที่สูงขึ้น ระดับของคนรอบกายแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง คนที่รู้จักเทพเบญจธาตุย่อมมีไม่น้อย
กระทั่งพี่น้องจูเก่อคู่นี้ ไม่แน่ก็อาจล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของเทพเบญจธาตุ กระทั่งรู้จักเทพเบญจธาตุ
“ผู้อาวุโส ท่านเคยได้ยินเรื่องเทพเบญจธาตุหรือไม่?”
ในขณะเดินทางไปยังตำหนักค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทววโลกเพื่อขึ้นไปยังแดนฟ้าสิ้นสุด 1 ใน 7 ภูมิภาคเบื้องบนของหลิงหลัวเทียน ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามจูเก่ออวิ๋นกับจูเก่อฟงด้วสีหน้าสงสงสัย
“ย่อมต้องเคยได้ยิน”
จูเก่ออวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เทพเบญจธาตุเป็นสมบัติฟ้าดินอันเลิศล้ำ…พวกมันสามารถวิวัฒน์พัฒนา ยกระดับของตัวเองได้ ทำให้จะมีพลังอำนาจเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และมีคำกล่าวขานกันว่า ผู้ใดที่ครอบครอบเทพเบญจธาตุ ไม่ว่าจะธาตุใด ขอเพียงเทพเบญจธาตุนั้นๆพัฒนาถึงขั้นที่ 6 ก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตเทพได้แน่นอน!”
กล่าวถึงจุดนี้แววตาของจูเก่ออวิ๋นก็ฉายความโลภถึงที่สุด
‘เป็นอย่างที่คิดจริงๆ’
ได้ยินคำพูดของจูเก่ออวิ๋นทั้งเห็นสีหน้าแววตาอีกฝ่าย ผิวเผินต้วนหลิงเทียนยังเฉย แต่ในใจลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แผ่นหลังหลั่งเหงื่อเย็น และรู้ว่าไม่อาจเปิดเผยเรื่องเทพเบญจธาตุออกไปโดยง่าย
และเขามั่นใจได้เลย ว่าตอนนี้หากเขาใช้พลังของเทพเบญจธาตุต่อหน้าจูเก่ออวิ๋นกับจูเก่อฟง ทั้งคู่ต้องตระหนักได้ทันทีว่าเขามีเทพเบญจธาตุ และไม่ใช่พลังจากพรสวรรค์แต่กำเนิดอะไรทั้งสิ้น
“ไฉนจู่ๆเจ้าจึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า?”
จูเก่ออวิ๋นมองถามต้วนหลิงเทียน
“ตอนที่ข้าอยู่ในแดนลับอัจฉริยะ ขณะผ่านไปบริเวณสถานที่ทดสอบหลอมโอสถอมตะ ข้าได้ยินอัจฉริยะรากหญ้าคนหนึ่งกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่าเพลิงเทพโกลาหลที่เป็นเทพเบญจธาตุ และได้ยินมาว่ามันสามารถใช้ได้ทั้งหลอมโอสถอมตะกับอุปกรณ์อมตะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว “ข้าก็เลยได้รู้ว่านอกจากเพลิงอมตะแล้ว ยังมีเปลวเพลิงวิเศษแบบนี้อยู่ในฟ้าดินด้วย”
“เพลิงเทพโกลหลเป็น 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุเท่านั้น…”
จูเก่ออวิ๋นส่ายหน้าไปมา ยิ้มกล่าวว่า “นอกจากนั้นยังงมี ทองเทพสุดลี้ลับ ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน วารีเทพชำระโลกา และพฤกษาเทพครองสวรรค์…เทพเบญจธาตุใดๆหากเป็นแค่ขั้นที่ 1 ผู้คนจะไม่พบความวิเศษของมัน และอาจคิดว่ามันเป็นแค่สิ่งของไร้ประโยชน์”
“ถึงแม้ว่าเทพเบญจธาตุขั้นแรก จักไม่มีสิ่งใดในระนาบเทวโลกทำลายมันได้ กระทั่งต่อให้เป็นระนาบเทพเองก็อาจยืนยันไม่ได้ว่ามันคือเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เพราะใต้หล้ามีสิ่งที่ละม้ายคล้ายกันมากมายที่ไม่อาจทำลายได้ ทว่ามิใช่เทพเบญจธาตุ”
พอจูเก่ออวิ๋นกล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงเรื่องทองเทพสุดลี้ลับ ที่ ‘เซี่ยเจี๋ย’ อา 3 ในชาติที่แล้วของเค่อเอ๋อมอบให้เขาโดยบอกว่าไม่รู้ว่ามันคืออะไร
เซี่ยเจี๋ยนั้นเป็นตัวตนขอบเขตเทพจากระนาบเทพ
อีกฝ่ายต้องล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของเทพเบญจธาตุแน่นอน แต่อาจจะไม่รู้ว่านั่นเป็นทองเทพสุดลี้ลับ
ก่อนหน้านี้เขาก็งุนงงอยู่บ้าง ว่าไฉนในเมื่อกระทั่งจูเก่ออวิ๋นนยังรู้จักเทพเบญจธาตุ แต่ทำไมเซี่ยเจี๋ยถึงไม่รู้จัก? แต่ที่แท้ดูเหมือนว่าไม่ใช่เซี่ยเจี๋ยไม่รู้จักเทพเบญจธาตุ แค่ไม่รู้ว่านั่นคือทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 เท่านั้น
“มีเพียงเทพเบญจธาตุตั้งแต่ขั้นที่ 2 ขึ้นไปถึงจะระบุเทพเบญจธาตุได้…ดังนั้นปกติแล้วยามที่เทพเบญจธาตุขั้นที่ 2 ถือกำเนิดขึ้น ไม่ว่าจะปรากฏที่ใด ก็มักสร้างทะเลโลหิตแห่งการช่วงชิงขึ้นที่นั่น อย่าว่าแต่จอมราชันอมตะ กระทั่งจักรพรรดิอมตะก็ยังอยากครอบครอง”
จูเก่ออวิ๋นกล่าว
‘แค่เทพเบญจธาตุขั้นที่ 2 แต่จักรพรรดิอมตะทั้งหลายก็พร้อมโดดเข้ามรสุมโลหิตเพื่อช่วงชิง?’
ได้ยินคำของจูเก่ออวิ๋น ใจต้วยหลิงเทียนก็สั่นไปไม่น้อย
เพราะภายในโลกใบเล็กของเขาตอนนี้ มีเทพเบญจธาตุครบ ที่สำคัญยังเป็นวิวัฒน์ถึงขั้น 6 หมดแล้ว…
หากมีคนรู้ว่าในร่างเขามีเทพเบญยจธาตุครบองค์ แถมยังกลายเป็นขั้นที่ 6 หมดแล้ว จักรพรรดิสวรรค์ทั้งหลายจะไม่เฮโลแห่กันมาฆ่าเขาหรือไง?
คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ลอบสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บลับๆ
ที่แท้เขาจึงได้รู้ว่าเทพเบญจธาตุในโลกใบเล็กภายในกายของเขาก็คือ ‘เผือกร้อน’ ยากจะถือ! หากมันถูกเปิดเผยขึ้นมา ดูจากความปรารถนาของจูเก่ออวิ๋นที่มีต่อเทพเบญจธาตุแล้ว เผลอๆอีกฝ่ายจะลงมือฆ่าเขาทิ้งเพื่อแย่งชิงเทพเบญจธาตุทันที ยังต้องฆ่าฮ่วนเอ๋อเพื่อปิดปากอีกด้วย!
“ถึงแล้ว…”
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็นำทุกคนมาถึงตำหนักเคลื่อนย้ายแห่งหนึ่ง ที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกให้บริการ จากนั้นก็เคลื่อนย้ายไปยังแดนฟ้าสิ้นสุดทันที สำหรับที่ตั้งเผ่าจิ้งจอกมายานั้น ระหว่างที่ให้ทุกคนไปพักในเหลาอาหาร ต้วนหลิงเทียนก็ไปสืบเสาะจนพบในเวลาไม่ถึงวัน
‘เผ่าจิ้งจอกมายาของหลิงหลัวเทียนก็ถือเป็นขุมกำลังระดับ 1 เช่นกัน…แต่ความแข็งแกร่งก็เทียบได้กับนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำ นิกายปีศาจพันกร และเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ในแดนทักษินยุทธ์เท่านั้น ไม่อาจเทียบได้กับนิกายกระบี่หมื่นหายนะเลย’
เหตุไฉนที่ต้วนหลิงเทียนตัดสินไปเช่นนี้ ก็เพราะต้วนหลิงเทียนสืบพบว่าผู้ที่ปกครองแดนฟ้าสิ้นสุด ก็เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่ง
และในแดนฟ้าสิ้นสุดแห่งนี้ นอกจากผู้ปกครองดังกล่าวแล้ว ก็ไม่มีจักรพรรดิอมตะสมญานามคนที่ 2 ดำรงอยู่อีก…อย่างน้อยๆเท่าที่สาธารณะชนรู้ เผ่าจิ้งจอกมายาก็ไม่มี!
ขุมกำลังระดับ 1 หากมีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่ล่ะก็ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยให้จักรพรรดิอมตะสมญานามจากต่างถิ่นมาครอบครองดินแดนของตน
เช่นเดียวกับนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เผ่าหงส์ฟ้าโบราณ และตระกูลไป๋หลี่ของแดนทักษินยุทธ์
2 วันต่อมา
ต้วนหลิงเทียนกับพรรคพวกก็มาถึงสถานที่ตั้งเผ่าจิ้งจอกมายา
สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ตั้งของเผ่าหลักจิ้งจอกมายาในหลิงหลัวเทียนอีกด้วย โดยแบ่งแยกย่อยออกเป็น 2 ฝ่ายได้แก่ ฝ่ายตระกูลจาง และฝ่ายตระกูลหยวน และเป็นตระกูลจางกับตระกูลหยวนสาขาหลักของเผ่าจิ้งจอกมายา
‘ตอนนั้นจางจินอี้ที่คิดมาจับตัวฮ่วนเอ๋อกลับเผ่าหลักในแดนฟ้าสิ้นสุด ก็อ้างตัวว่ามาจากแดนฟ้าสิ้นสุด…แถมยังบอกว่ามันเป็นทายาทสายตรงของตระกูลจางแห่งเผ่าจิ้งจอกมายาอีกด้วย’
ต้วนหลิงเทียนลอบพึมพำในใจ ขณะมองไปยังถิ่นที่อยู่ของเผ่าจิ้งจอกมายา อันเต็มไปด้วยเมฆหมอกปกคลุม…
WSSTH ตอนที่ 3,252 : จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา
“ผู้นำตระกูลจางกับผู้นำตระกูลหยวนแห่งเผ่าจิ้งจอกมายา ออกมา!”
ต้วนหลิงเทียนเงียบมองถิ่นที่อยู่ของเผ่าจิ้งจอกมายาอยู่พักหนึ่ง ก็กล่าวด้วยเสียงผสานพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดกล้าแข็งขุมหนึ่ง คลื่นเสียงดังกล่าวจึงกวาดผ่านไปทั่วทั้งเผ่าจิ้งจอกมายาในพริบตา!
ไม่ว่าจะเผ่ามายาฝ่ายตระกูลจางก็ดี ตระกูลหยวนก็ดี ไม่มีใครที่ไม่ได้ยินเสียงเรียกหาผสานพลังของต้วนหลิงเทียน
และวาจาต้วนหลิงเทียนที่ดังก้องไปทั่วถิ่นที่อยู่ของเผ่าจิ้งจอกมายา ก็ทำให้เหล่าจิ้งจอกมายาทั้งหลายอดตะลึงไปไม่ได้
ผู้ใดอยู่ด้านนอกกันแน่?
พอกล่าวออก ก็เรียกผู้นำของทั้ง 2 ตระกูลแห่งเผ่าจิ้งจอกมายาออกไปพบเลย?
“เป็นยอดฝีมือจากที่ใดคิดมาพบผู้นำทั้ง 2 กัน?”
“ไม่น่าจะใช่แขกเหรื่อของพวกเรา…มิทราบเป็นใครกันแน่?”
…
หลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ถิ่นที่อยู่ของเผ่าจิ้งจอกมายาแต่เดิมที่เงียบสงบ ก็เริ่มบังเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่ว
ชายวัยกลางคนที่นั่งละเลียดชาอยู่ในศาลาชมบุปผาข้างสวนของเขตเรือนพักตระกูลจาง อดขมวดคิ้วย่นยู่ไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงเรียกหาดังกล่าว
และชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือ จางฮั่นเทียน ผู้นำตระกูลจาง และยังเป็นหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกมายาคนปัจจุบัน
และจางฮั่นเทียนคนนี้ยังเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของตระกูลจางในปัจจุบัน แม้พลังฝีมือของมันจะไม่อาจเทียบตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานามได้ แต่พลังฝีมือก็ถือว่าไม่ชั่วในบรรดาจักรพรรดิอมตะทั่วไป
จางฮั่นเทียนที่นั่งละเลียดชาผู้นี้ สวมใส่ด้วยชุดคลุมเทาขาว เมื่อได้ยินคำเรียกหามันก็ตอบสนองเรื่องราวอย่างสงบ มือสะบัดเรียกยันต์อมตะสื่อสารมาชิ้นหนึ่งก่อนจะบดขยี้ส่งข้อความออกไปอย่างใจเย็น “อาวุโสใหญ่ ออกไปชมดูเถอะ…ว่าเป็นเทพยดาองค์ใดแน่มาจากไหน ถึงหาญกล้ามาร่ำร้องโวยวายหน้าเขตที่พักของเผ่าจิ้งจอกมายาเรา”
ในฐานะผู้นำของเผ่าพันธุ์ที่จัดเป็นขุมกำลังระดับ 1 ของ แดนฟ้าสิ้นุสดอันเป็น 1 ใน 7 ภูมิภาคเบื้องบนของหลิงหลัวเทียน ไฉนจางฮั่นเทียนจะออกไปง่ายๆ แค่เพียงเพราะมีคนมาเรียกหา?
“ทราบแล้วท่านผู้นำ”
อาวุโสใหญ่ของตระกูลจางที่ว่า ก็คือ ‘จางผิงเหยี่ย’ ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าจิ้งจอกมายาที่เป็นผู้ส่งจางจินอี้ลงไปยังแดนสวรรค์ใต้ เพื่อตรวจสอบว่าฮ่วนเอ๋อใช่จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาจริงๆหรือไม่
ระหว่างที่มันมุ่งหน้าไปตามเสียง มันก็ส่งข้อความแจ้งไปหลายรอบ จากนั้นเหินร่างไปสักพัก ด้านหลังของมันก็ปรากฏเงาร่าง 4 ร่างกำลังเหินตามมา
“อาวุโสผิงเหยี่ย”
อาวุโสใหญ่ตระกูลจาง พอได้ยินเสียงเรียกทักดังกล่าวก็เร่งหันไปมองตามต้นเสียงทันที
จากนั้นจึงพบว่ามีร่าง 4 ร่างได้เหินออกมาจากทิศทางเขตที่พักของตระกูลหยวน
“อาวุโสหยวนเยว่”
จางผิงเหยี่ยย่อมจดจำทั้ง 4 ได้ในพริบตา และผู้ที่เหินร่างนำมาก็คือ หยวนเยว่ อาวุโสใหญ่ของตระกูลหยวนแห่งเผ่าจิ้งจอกมายา สำหรับ 3 คนที่อยู่ด้านหลังก็เป็นชนชั้นอาวุโสของตระกูลหยวนเช่นกัน
“อาวุโสผิงเหยี่ย ท่านว่าเป็นผู้ใดกันแน่ ที่หาญกล้ามาเรียกหาผู้นำของพวกเราทั้ง 2 ตระกูลพร้อมๆกันแบบนี้ แถมฟังจากวาจาแล้วยังแลดูโอหังไม่น้อย!”
หยวนเยว่เอ่ยยถามจางผิงเหยี่ย
“ข้าก็มิทราบ…แต่ลองมันหาญกล้าโวยวายหน้าเผ่าจิ้งจอกมายาเราได้ หมายความว่ามันต้องมีหลักประกันอันใดสักอย่าง!”
จางผิงเหยี่ยกล่าว
เผ่าหลักจิ้งจอกมายานั้น ตระกูลหยวนกับตระกูลจางมักแยกตัวเป็นอิสระ ไม่ได้ข้องแวะอะไรกันสักเท่าไหร่
ผิวเผินแล้วก็ดูเหมือนจะร่วมมือปรองดองกันดี
แต่โดยปกติแล้ว ทั้ง 2 ตระกูลก็มักจะแข่งขันกันอย่างลับๆ
“ไป! ไปชมดูกันเถอะ!!”
สิ้นเสียงของหยวนเยว่มันก็เหินร่างนำอาวุโส 3 คนของตระกูลหยวนไปทันที จางผิงเหยี่ยเองก็เหินร่างติดตามไป และตอนนี้ก็มีอาวุโสของตระกูลจางมาสมทบอีก 4 คนแล้ว
หลังเหินร่างไม่นานนัก พวกมันก็แลเห็นร่าง 4 ร่างลอยล่องอยู่ไกลตา
“2 จักรพรรดิอมตะ!”
เมื่อจางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่เข้าใกล้ทั้ง 4 มากพอ พวกมันก็ยืนยันได้ว่าในบรรดาทั้ง 4 คนเบื้องหน้านั้น มีจักรพรรดิอมตะอยู่ 2 คน
สำหรับอีก 2 คนที่เหลือ หนึ่งในนั้นพวกมันไม่อาจมองออก และไม่อาจยืนยันได้ว่าใช่จักรพรรดิอมตะเหมือนกันหรือไม่ ส่วนอีกคนนั้นช่างให้ความรู้สึกแปลกๆกับพวกมันพิกล
“กลิ่นอายนี่มัน…”
จนเมื่อทั้งหมดเหินร่างมาหยุดลงเบื้องหน้าทั้ง 4 อาวุโสของเผ่าจิ้งจอกมายาทั้ง 9 อันนำโดยจางผิงเหยี่ยและหยวนเยว่ ก็หันไปมองจ้องฮ่วนเอ๋อเป็นสายตาเดียวกัน เพราะกลิ่นอายคลับคล้ายคลับคลาจากร่างของนาง!
“พวกเจ้า 2 คน…เป็นผู้นำตระกูลจาง กับผู้นำตระกูลหยวนของเผ่าจิ้งจอกมายางั้นหรือ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนมองสลับระหว่างจางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่ที่นำคนทั้ง 9 มารอบหนึ่ง ค่อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เหตุไฉนที่เขาเลือกจะถามแค่จางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่แค่ 2 คน เพราะเขาสัมผัสได้แต่แรก ว่าในบรรดาทั้ง 9 ที่ปรากฏตัวออกมา มีแค่ 2 คนนี้เท่านั้นที่เป็นจักรพรรดิอมตะ
“เสียงนี่…”
ด้านจางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่ พอได้ยินเสียงของต้วนหลิงเทียน พวกมันก็ยืนยันได้ทันที ว่านี่คือเจ้าของเสียงที่ประกาศเรียกผู้นำตระกูลจางและผู้นำตระกูลหยวนจนก้องไปทั่วเผ่าจิ้งจอกมายาเมื่อครู่
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า เป็นคนเรียกหาผู้นำของพวกมัน!
“ข้าคืออาวุโสใหญ่ของตระกูลจาง จางผิงเหยี่ย!”
จางผิงเหยี่ยมองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดั่งสายฟ้าฟาด เอ่ยถามเสียงเรียบ “เจ้าเป็นผู้ใด แล้วมาหาผู้นำตระกูลจางของเราด้วยจุดประสงค์อันใด?”
“ข้าคืออาวุโสใหญ่ของตระกูลหยวน หยวนเยว่”
หยวนเยว่ยังก้าวออกมากล่าวเสริมเร็วไว “ผู้นำตระกูลหยวนของข้า หาใช่คนที่ผู้ใดอยากจะพบก็พบได้ไม่! หากเจ้าคิดพบเจอ ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้ามีคุณสมบัติมากพอให้ท่านผู้นำมาพบด้วยตัวเองรึเปล่า!”
ได้ยินคำพูดของทั้งคู่ ต้วนหลิงเทียนก็หยีตาเล็กน้อย เอ่ยออกด้วยรอยยิ้มบางๆ “ดูเหมือนผู้นำทั้ง 2 ของเผ่าจิ้งจอกมายา จะยิ่งใหญ่ไม่น้อย”
“หึ!”
ตอนนี้เอง จูเก่ออวิ๋นพลันพ่ลมสบถเยียบเย็น จากนั้นก็ก้าวออกมา
และเพียงหนึ่งก้าวที่ย่ำออก ทั่วร่างนางก็ปรากฏแสงสว่างสาดส่องออกมาเจิดจ้า บังเกิดแสงกระบี่พวยพุ่งออกจากศีรษะ ควบรวมก่อเกิดเป็นกระบี่พลังเล่มหนึ่ง แผ่ซ่านกลิ่นอายทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึงสะท้านสะเทือนไปในบรรยากาศ! จากนั้นกระบี่พลังดังกล่าวก็พุ่งลัดฟ้าจี้เข้ามาด้วยความเร็วอัศจรรย์!!
“แย่แล้ว!!”
เพียงจูเก่ออวิ๋นเริ่มเคลื่อนไหว จางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่ก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที สำหรับคนอื่นๆนั้น พวกมันไม่อาจตอบสนองเรื่องราวใดๆได้ทันด้วยซ้ำ
เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่พลังที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงระดับนี้เข่นฆ่าสังหารเข้ามา ไม่ว่าจะจางผิงเหยี่ยหรือหยวนเย่ก็สูดได้กลิ่นความตายชัดเจน พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่บ่มเพาะมาชั่วชีวิตถูกโคจรใช้ออกเต็มกำลัง ยังเปิดใช้ชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิทันที
จากนั้นทั้งคู่ก็เรียกอาวุธคู่กายออกมา และเร่งเร้าใช้ออกด้วยทุกสิ่งที่ฝึกปรือหมายต้านทานรับกระบี่พลังของจูเก่ออวิ๋น
ทั้งคู่ไม่รอช้า เร่งผสานพลังหมายต้านทานการลงมือของจูเก่ออวิ๋นตรงๆ!
พลังที่ลุกโชนท่วมร่างจางผิงเหยี่ยบัดนี้เป็นสีแดงสด เห็นได้ชัดว่ามันใช้กฏแห่งไฟ
สำหรับพลังที่ปะทุอยู่ทั่วร่างของหยวนเยว่นั้น มีลักษณะเป็นไอเย็นยะเยือกสีฟ้าผสมขาว เห็นได้ชัดว่าเป็นกฏน้ำแข็ง!
ปงงง!!
กระบี่พลังพุ่งเข่นฆ่าทำลายไปด้วยสภาวะดุร้ายราวกับไร้สิ่งใดที่ไม่อาจทำลาย มันพุ่งทะลวงกระบวนท่าผสานของจางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่ได้อย่างง่ายดาย ประหนึ่งย่ำเหยียบใบไม้แห้งกรอบ!
จากนั้นกระบี่พลังที่สิ้นเปลืองพลังไปบางส่วน ก็แตกตัวออกเป็นริ้วกระบี่ 2 สาย แยกกันพุ่งเข้าใส่จางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่!
ปงง! ปงง!!
เสียงเจาะทะลวงหนักหน่วงดังขึ้น เป็นเงาร่างชุดเกราะจากเกราะอมตะของจางผิงเหยี่ยกับหยวนเย่ว ที่ทุ่มพลังที่เหลือทั้งหมดใช้งานหมายต้านทานการลงมือของจูเก่ออวิ๋น ถูกทะลวงเจาะเข้ามาอย่างน่าใจหาย!
เมื่อเงาร่างชุดเกราะถูกทะลวงเจาะ ริ้วกระบี่ก็เสมือนสิ้นพลังพอดิบพอดีจึงสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็ยังปลิดปลิวละลิ่วจากพลังสะท้อน ปากกระอักเลือดออกมาคำใหญ่สภาพร่อแร่ดูไม่ได้…
เลือดคำใหญ่ที่พวกมันกระอักออกมา ราวกับบุปผา 2 ช่อแข่งขันกันเบ่งบานกลางหาว มองไปคล้ายกุหลาบแดงโปรยปรายอยู่บ้าง
“10 ลมหายใจ หากผู้นำ 2 ตระกูลของเผ่าจิ้งจอกมายาเจ้ายังไม่ไสหัวออกมา…พวกเจ้าก็ตายมันตรงนี้เถอะ!”
จูเก่ออวิ๋นปริปากกล่าวคำอีกครั้ง เสียงกล่าวแม้เรียบๆราวพูดถึงดินฟ้าอากาศ แต่ผู้ฟังอย่างจางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่กลับหนาวจับใจ สีหน้าพวกมันยังเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง
พวกมันทั้งคู่ก็เป็นจักรพรรดิอมตะเหมือนกัน หากทว่าสตรีเบื้องหน้า กลับควบรวมกระบี่พลังซัดมาส่งๆหนึ่งเล่ม ก็สามารถทำลายกระบวนท่าผสานที่พวกมันทุ่มกำลังใช้ออกจนหมดได้แล้ว กระทั่งยังทะลวงฝ่าการป้องกันของพวกมันจนทำให้พวกมันสิ้นท่า อนาถาแบบนี้…
พลังฝีมือดังกล่าว น่ากลัวว่าต่อให้เป็นผู้นำทั้ง 2 ตระกูลแห่งเผ่าจิ้งจอกมายา ก็ไม่มีใครสามารถทำได้…
หากวินาทีนี้พวกมันยังไม่สำเหนียกกันอีกว่า เบื้องหน้าที่แท้เป็นผู้ยิ่งใหญ่มาเยือน เกรงว่าชีวิตอยู่มาหลายปีของพวกมันคงไร้ค่าเยี่ยงชีวิตสุนัข…
“ใต้เท้า ข้าจักเร่งส่งข้อความแจ้งท่านผู้นำเดี๋ยวนี้!”
หยวนเยว่เร่งกล่าวออกมาอย่างร้อนใจ ด้วยกลัวว่าหากชักช้าอะไรขึ้นมา สตรีเบื้องหน้าอาจมีโมโหแล้วฆ่ามันในท่าเดียว!
มันไหนเลยจะดูไม่ออก ว่าเมื่อครู่สตรีเบื้องหน้าเพียงลงมือส่งๆเท่านั้น แถมนางไม่แม้แต่จะใช้อุปกรณ์อมตะใดๆ…
เป็นไปได้ว่าหากสตรีเบื้องหน้าคิดเข่นฆ่าสังหารมันจริง เพียงอีกฝ่ายซัดหนึ่งกระบวนท่าที่จริงจังเข้าหน่อย มันก็ไม่อาจรอดพ้นความตายได้แน่นอน…
ส่วนด้านจางผิงเหยี่ยตอนนี้ เหงื่อมันก็แตกพลั่กๆ สีหน้าฉายชัดถึงความตื่นตระหนกนัก
บรรยากาศกลับกลายเป็นเงียบงันทันใด
“ฮ่วนเอ๋อ เดี๋ยวรอให้ผู้นำทั้ง 2 ตระกูลมาถึง…เจ้าก็สำแดงอัตลักษณ์พลังของเจ้าให้พวกมันเห็นชัดๆหน่อย”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวผ่านพลังกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม
ฮ่วนเอ๋อเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ยามใดที่นางสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาก็จะบ่งบอกชัดเจน ต้วนหลิงเทียนจึงคิดให้สองผู้นำนั่นได้พบเห็นความจริงอย่างไม่ทันตั้งตัว
เขาอยากจะรู้นัก
ว่าพอพวกมันเห็นแล้ว จะกล้าคิดทำอะไรฮ่วนเอ๋อหรือไม่?
ปง! ปง!
หลังผ่านไปราวๆ 5 ลมหายใจ เสียงแหวกฟ้าฉับไวจนอากาศแตกระเบิดพลันดังขึ้น จากนั้นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทาขาว กับชายชราในชุดเขียวผู้มีเส้นผมขนคิ้วเป็นสีขาวโพลนก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ
“จางฮั่นเทียน ผู้นำตระกูลจางแห่งเผ่าจิ้งจอกมายาแดนฟ้าสิ้นสุด คารวะใต้เท้า”
“หยวนหมิงซุน ผู้นำตระกูลหยวนแห่งเผ่าจิ้งจอกมายาแดนฟ้าสิ้นสุด คารวะใต้เท้า”
หลังจากที่ชายวัยกลางคนคลุมขาวเทา กับชายชราคิ้วขาวคลุมเขียวปรากฏตัว พวกมันก็ประสานมือโค้งคารวะจูเก่ออวิ๋นก่อนใดอื่น เพราะตอนนี้พวกมันได้รับทราบถึงพลังฝีมืออันน่ากลัวของสตรีเบื้องหน้าจากอาวุโสใหญ่ของพวกมันแล้ว…
สตรีเบื้องหน้า พลังฝีมือดูเหมือนจะไม่ได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามเลย!
“ฮ่วนเอ๋อ”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงผ่านพลังไปทักฮ่วนเอ๋อ
ทันใดนั้นเบื้องหลังฮ่วนเอ๋อ ก็ปรากฏเงาร่างมหึมาหนึ่งขึ้น เป็นจิ้งจอกสีขาวที่ตัวใหญ่โตราวภูเขา ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายสูงส่งเยือกเย็น หางทั้ง 9 ปัดป่ายไปมาปานระลอกคลื่น สายตาเหลือบมองโลกหล้าอย่างเฉยชา ให้ความรู้สึกราวประหนึ่งสรรพสิ่งใดๆล้วนเป็นเพียงธุลีดิน
“นี่มัน…”
ในขณะที่เงาร่างมหึมาปรากฏขึ้นด้านหลังฮ่วนเอ๋อ สีหน้าของผู้นำทั้ง 2 ที่พึ่งมาถึง ไม่เว้นอาวุโสทั้ง 9 ที่มาถึงแต่แรกก็พร้อมใจกันเปลี่ยนไปทันที!
“จะ…จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา!?”
คนเผ่าจิ้งจอกมายาทั้ง 11 จับจ้องไปยังเงาร่างจิ้งจอกขาววตัวเขื่องที่มี 9 หางด้านหลังฮ่วนเอ๋อไม่วางตา และในลูกตาของพวกมันแต่ละคนก็ฉายชัดถึงความอิจฉาจับใจ!
จิ้งจอกมายานั้นเป็นตัวตนที่ยากจะปรากฏขึ้นในเผ่าจิ้งจอกมายา เรียกว่าในรอบหลายล้านปีจึงจะมีปรากฏขึ้นสักครั้ง และเมื่อถือกำเนิดขึ้นมา ก็จักเป็นจ้าวผู้ปกครองเผ่าพันธุ์จิ้งจอกมายาของระนาบเทวโลกทั้งมวล
และจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายารุ่นนี้ ก็มาปรากฏขึ้นในตระกูลตู้ ซึ่งเป็นคู่แข่งของตระกูลหยวน
ดังนั้นตระกูลหยวนจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำลายจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายารุ่นนี้หรือก็คือฮ่วนเอ๋อให้จงได้…
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ตระกูลหยวนจึงทำข้อตกลงกับตระกูลจาง ว่าหากตระกูลจางช่วยให้ตระกูลหยวนฆ่าจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาได้สำเร็จ ตระกูลหยวนจะยินดีจ่ายให้ตระกูลจางอย่างงาม…
WSSTH ตอนที่ 3,252 : จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา
“ผู้นำตระกูลจางกับผู้นำตระกูลหยวนแห่งเผ่าจิ้งจอกมายา ออกมา!”
ต้วนหลิงเทียนเงียบมองถิ่นที่อยู่ของเผ่าจิ้งจอกมายาอยู่พักหนึ่ง ก็กล่าวด้วยเสียงผสานพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดกล้าแข็งขุมหนึ่ง คลื่นเสียงดังกล่าวจึงกวาดผ่านไปทั่วทั้งเผ่าจิ้งจอกมายาในพริบตา!
ไม่ว่าจะเผ่ามายาฝ่ายตระกูลจางก็ดี ตระกูลหยวนก็ดี ไม่มีใครที่ไม่ได้ยินเสียงเรียกหาผสานพลังของต้วนหลิงเทียน
และวาจาต้วนหลิงเทียนที่ดังก้องไปทั่วถิ่นที่อยู่ของเผ่าจิ้งจอกมายา ก็ทำให้เหล่าจิ้งจอกมายาทั้งหลายอดตะลึงไปไม่ได้
ผู้ใดอยู่ด้านนอกกันแน่?
พอกล่าวออก ก็เรียกผู้นำของทั้ง 2 ตระกูลแห่งเผ่าจิ้งจอกมายาออกไปพบเลย?
“เป็นยอดฝีมือจากที่ใดคิดมาพบผู้นำทั้ง 2 กัน?”
“ไม่น่าจะใช่แขกเหรื่อของพวกเรา…มิทราบเป็นใครกันแน่?”
…
หลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ถิ่นที่อยู่ของเผ่าจิ้งจอกมายาแต่เดิมที่เงียบสงบ ก็เริ่มบังเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่ว
ชายวัยกลางคนที่นั่งละเลียดชาอยู่ในศาลาชมบุปผาข้างสวนของเขตเรือนพักตระกูลจาง อดขมวดคิ้วย่นยู่ไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงเรียกหาดังกล่าว
และชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือ จางฮั่นเทียน ผู้นำตระกูลจาง และยังเป็นหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกมายาคนปัจจุบัน
และจางฮั่นเทียนคนนี้ยังเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของตระกูลจางในปัจจุบัน แม้พลังฝีมือของมันจะไม่อาจเทียบตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานามได้ แต่พลังฝีมือก็ถือว่าไม่ชั่วในบรรดาจักรพรรดิอมตะทั่วไป
จางฮั่นเทียนที่นั่งละเลียดชาผู้นี้ สวมใส่ด้วยชุดคลุมเทาขาว เมื่อได้ยินคำเรียกหามันก็ตอบสนองเรื่องราวอย่างสงบ มือสะบัดเรียกยันต์อมตะสื่อสารมาชิ้นหนึ่งก่อนจะบดขยี้ส่งข้อความออกไปอย่างใจเย็น “อาวุโสใหญ่ ออกไปชมดูเถอะ…ว่าเป็นเทพยดาองค์ใดแน่มาจากไหน ถึงหาญกล้ามาร่ำร้องโวยวายหน้าเขตที่พักของเผ่าจิ้งจอกมายาเรา”
ในฐานะผู้นำของเผ่าพันธุ์ที่จัดเป็นขุมกำลังระดับ 1 ของ แดนฟ้าสิ้นุสดอันเป็น 1 ใน 7 ภูมิภาคเบื้องบนของหลิงหลัวเทียน ไฉนจางฮั่นเทียนจะออกไปง่ายๆ แค่เพียงเพราะมีคนมาเรียกหา?
“ทราบแล้วท่านผู้นำ”
อาวุโสใหญ่ของตระกูลจางที่ว่า ก็คือ ‘จางผิงเหยี่ย’ ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าจิ้งจอกมายาที่เป็นผู้ส่งจางจินอี้ลงไปยังแดนสวรรค์ใต้ เพื่อตรวจสอบว่าฮ่วนเอ๋อใช่จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาจริงๆหรือไม่
ระหว่างที่มันมุ่งหน้าไปตามเสียง มันก็ส่งข้อความแจ้งไปหลายรอบ จากนั้นเหินร่างไปสักพัก ด้านหลังของมันก็ปรากฏเงาร่าง 4 ร่างกำลังเหินตามมา
“อาวุโสผิงเหยี่ย”
อาวุโสใหญ่ตระกูลจาง พอได้ยินเสียงเรียกทักดังกล่าวก็เร่งหันไปมองตามต้นเสียงทันที
จากนั้นจึงพบว่ามีร่าง 4 ร่างได้เหินออกมาจากทิศทางเขตที่พักของตระกูลหยวน
“อาวุโสหยวนเยว่”
จางผิงเหยี่ยย่อมจดจำทั้ง 4 ได้ในพริบตา และผู้ที่เหินร่างนำมาก็คือ หยวนเยว่ อาวุโสใหญ่ของตระกูลหยวนแห่งเผ่าจิ้งจอกมายา สำหรับ 3 คนที่อยู่ด้านหลังก็เป็นชนชั้นอาวุโสของตระกูลหยวนเช่นกัน
“อาวุโสผิงเหยี่ย ท่านว่าเป็นผู้ใดกันแน่ ที่หาญกล้ามาเรียกหาผู้นำของพวกเราทั้ง 2 ตระกูลพร้อมๆกันแบบนี้ แถมฟังจากวาจาแล้วยังแลดูโอหังไม่น้อย!”
หยวนเยว่เอ่ยยถามจางผิงเหยี่ย
“ข้าก็มิทราบ…แต่ลองมันหาญกล้าโวยวายหน้าเผ่าจิ้งจอกมายาเราได้ หมายความว่ามันต้องมีหลักประกันอันใดสักอย่าง!”
จางผิงเหยี่ยกล่าว
เผ่าหลักจิ้งจอกมายานั้น ตระกูลหยวนกับตระกูลจางมักแยกตัวเป็นอิสระ ไม่ได้ข้องแวะอะไรกันสักเท่าไหร่
ผิวเผินแล้วก็ดูเหมือนจะร่วมมือปรองดองกันดี
แต่โดยปกติแล้ว ทั้ง 2 ตระกูลก็มักจะแข่งขันกันอย่างลับๆ
“ไป! ไปชมดูกันเถอะ!!”
สิ้นเสียงของหยวนเยว่มันก็เหินร่างนำอาวุโส 3 คนของตระกูลหยวนไปทันที จางผิงเหยี่ยเองก็เหินร่างติดตามไป และตอนนี้ก็มีอาวุโสของตระกูลจางมาสมทบอีก 4 คนแล้ว
หลังเหินร่างไม่นานนัก พวกมันก็แลเห็นร่าง 4 ร่างลอยล่องอยู่ไกลตา
“2 จักรพรรดิอมตะ!”
เมื่อจางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่เข้าใกล้ทั้ง 4 มากพอ พวกมันก็ยืนยันได้ว่าในบรรดาทั้ง 4 คนเบื้องหน้านั้น มีจักรพรรดิอมตะอยู่ 2 คน
สำหรับอีก 2 คนที่เหลือ หนึ่งในนั้นพวกมันไม่อาจมองออก และไม่อาจยืนยันได้ว่าใช่จักรพรรดิอมตะเหมือนกันหรือไม่ ส่วนอีกคนนั้นช่างให้ความรู้สึกแปลกๆกับพวกมันพิกล
“กลิ่นอายนี่มัน…”
จนเมื่อทั้งหมดเหินร่างมาหยุดลงเบื้องหน้าทั้ง 4 อาวุโสของเผ่าจิ้งจอกมายาทั้ง 9 อันนำโดยจางผิงเหยี่ยและหยวนเยว่ ก็หันไปมองจ้องฮ่วนเอ๋อเป็นสายตาเดียวกัน เพราะกลิ่นอายคลับคล้ายคลับคลาจากร่างของนาง!
“พวกเจ้า 2 คน…เป็นผู้นำตระกูลจาง กับผู้นำตระกูลหยวนของเผ่าจิ้งจอกมายางั้นหรือ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนมองสลับระหว่างจางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่ที่นำคนทั้ง 9 มารอบหนึ่ง ค่อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เหตุไฉนที่เขาเลือกจะถามแค่จางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่แค่ 2 คน เพราะเขาสัมผัสได้แต่แรก ว่าในบรรดาทั้ง 9 ที่ปรากฏตัวออกมา มีแค่ 2 คนนี้เท่านั้นที่เป็นจักรพรรดิอมตะ
“เสียงนี่…”
ด้านจางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่ พอได้ยินเสียงของต้วนหลิงเทียน พวกมันก็ยืนยันได้ทันที ว่านี่คือเจ้าของเสียงที่ประกาศเรียกผู้นำตระกูลจางและผู้นำตระกูลหยวนจนก้องไปทั่วเผ่าจิ้งจอกมายาเมื่อครู่
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า เป็นคนเรียกหาผู้นำของพวกมัน!
“ข้าคืออาวุโสใหญ่ของตระกูลจาง จางผิงเหยี่ย!”
จางผิงเหยี่ยมองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดั่งสายฟ้าฟาด เอ่ยถามเสียงเรียบ “เจ้าเป็นผู้ใด แล้วมาหาผู้นำตระกูลจางของเราด้วยจุดประสงค์อันใด?”
“ข้าคืออาวุโสใหญ่ของตระกูลหยวน หยวนเยว่”
หยวนเยว่ยังก้าวออกมากล่าวเสริมเร็วไว “ผู้นำตระกูลหยวนของข้า หาใช่คนที่ผู้ใดอยากจะพบก็พบได้ไม่! หากเจ้าคิดพบเจอ ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้ามีคุณสมบัติมากพอให้ท่านผู้นำมาพบด้วยตัวเองรึเปล่า!”
ได้ยินคำพูดของทั้งคู่ ต้วนหลิงเทียนก็หยีตาเล็กน้อย เอ่ยออกด้วยรอยยิ้มบางๆ “ดูเหมือนผู้นำทั้ง 2 ของเผ่าจิ้งจอกมายา จะยิ่งใหญ่ไม่น้อย”
“หึ!”
ตอนนี้เอง จูเก่ออวิ๋นพลันพ่ลมสบถเยียบเย็น จากนั้นก็ก้าวออกมา
และเพียงหนึ่งก้าวที่ย่ำออก ทั่วร่างนางก็ปรากฏแสงสว่างสาดส่องออกมาเจิดจ้า บังเกิดแสงกระบี่พวยพุ่งออกจากศีรษะ ควบรวมก่อเกิดเป็นกระบี่พลังเล่มหนึ่ง แผ่ซ่านกลิ่นอายทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึงสะท้านสะเทือนไปในบรรยากาศ! จากนั้นกระบี่พลังดังกล่าวก็พุ่งลัดฟ้าจี้เข้ามาด้วยความเร็วอัศจรรย์!!
“แย่แล้ว!!”
เพียงจูเก่ออวิ๋นเริ่มเคลื่อนไหว จางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่ก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที สำหรับคนอื่นๆนั้น พวกมันไม่อาจตอบสนองเรื่องราวใดๆได้ทันด้วยซ้ำ
เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่พลังที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงระดับนี้เข่นฆ่าสังหารเข้ามา ไม่ว่าจะจางผิงเหยี่ยหรือหยวนเย่ก็สูดได้กลิ่นความตายชัดเจน พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่บ่มเพาะมาชั่วชีวิตถูกโคจรใช้ออกเต็มกำลัง ยังเปิดใช้ชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิทันที
จากนั้นทั้งคู่ก็เรียกอาวุธคู่กายออกมา และเร่งเร้าใช้ออกด้วยทุกสิ่งที่ฝึกปรือหมายต้านทานรับกระบี่พลังของจูเก่ออวิ๋น
ทั้งคู่ไม่รอช้า เร่งผสานพลังหมายต้านทานการลงมือของจูเก่ออวิ๋นตรงๆ!
พลังที่ลุกโชนท่วมร่างจางผิงเหยี่ยบัดนี้เป็นสีแดงสด เห็นได้ชัดว่ามันใช้กฏแห่งไฟ
สำหรับพลังที่ปะทุอยู่ทั่วร่างของหยวนเยว่นั้น มีลักษณะเป็นไอเย็นยะเยือกสีฟ้าผสมขาว เห็นได้ชัดว่าเป็นกฏน้ำแข็ง!
ปงงง!!
กระบี่พลังพุ่งเข่นฆ่าทำลายไปด้วยสภาวะดุร้ายราวกับไร้สิ่งใดที่ไม่อาจทำลาย มันพุ่งทะลวงกระบวนท่าผสานของจางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่ได้อย่างง่ายดาย ประหนึ่งย่ำเหยียบใบไม้แห้งกรอบ!
จากนั้นกระบี่พลังที่สิ้นเปลืองพลังไปบางส่วน ก็แตกตัวออกเป็นริ้วกระบี่ 2 สาย แยกกันพุ่งเข้าใส่จางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่!
ปงง! ปงง!!
เสียงเจาะทะลวงหนักหน่วงดังขึ้น เป็นเงาร่างชุดเกราะจากเกราะอมตะของจางผิงเหยี่ยกับหยวนเย่ว ที่ทุ่มพลังที่เหลือทั้งหมดใช้งานหมายต้านทานการลงมือของจูเก่ออวิ๋น ถูกทะลวงเจาะเข้ามาอย่างน่าใจหาย!
เมื่อเงาร่างชุดเกราะถูกทะลวงเจาะ ริ้วกระบี่ก็เสมือนสิ้นพลังพอดิบพอดีจึงสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็ยังปลิดปลิวละลิ่วจากพลังสะท้อน ปากกระอักเลือดออกมาคำใหญ่สภาพร่อแร่ดูไม่ได้…
เลือดคำใหญ่ที่พวกมันกระอักออกมา ราวกับบุปผา 2 ช่อแข่งขันกันเบ่งบานกลางหาว มองไปคล้ายกุหลาบแดงโปรยปรายอยู่บ้าง
“10 ลมหายใจ หากผู้นำ 2 ตระกูลของเผ่าจิ้งจอกมายาเจ้ายังไม่ไสหัวออกมา…พวกเจ้าก็ตายมันตรงนี้เถอะ!”
จูเก่ออวิ๋นปริปากกล่าวคำอีกครั้ง เสียงกล่าวแม้เรียบๆราวพูดถึงดินฟ้าอากาศ แต่ผู้ฟังอย่างจางผิงเหยี่ยกับหยวนเยว่กลับหนาวจับใจ สีหน้าพวกมันยังเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง
พวกมันทั้งคู่ก็เป็นจักรพรรดิอมตะเหมือนกัน หากทว่าสตรีเบื้องหน้า กลับควบรวมกระบี่พลังซัดมาส่งๆหนึ่งเล่ม ก็สามารถทำลายกระบวนท่าผสานที่พวกมันทุ่มกำลังใช้ออกจนหมดได้แล้ว กระทั่งยังทะลวงฝ่าการป้องกันของพวกมันจนทำให้พวกมันสิ้นท่า อนาถาแบบนี้…
พลังฝีมือดังกล่าว น่ากลัวว่าต่อให้เป็นผู้นำทั้ง 2 ตระกูลแห่งเผ่าจิ้งจอกมายา ก็ไม่มีใครสามารถทำได้…
หากวินาทีนี้พวกมันยังไม่สำเหนียกกันอีกว่า เบื้องหน้าที่แท้เป็นผู้ยิ่งใหญ่มาเยือน เกรงว่าชีวิตอยู่มาหลายปีของพวกมันคงไร้ค่าเยี่ยงชีวิตสุนัข…
“ใต้เท้า ข้าจักเร่งส่งข้อความแจ้งท่านผู้นำเดี๋ยวนี้!”
หยวนเยว่เร่งกล่าวออกมาอย่างร้อนใจ ด้วยกลัวว่าหากชักช้าอะไรขึ้นมา สตรีเบื้องหน้าอาจมีโมโหแล้วฆ่ามันในท่าเดียว!
มันไหนเลยจะดูไม่ออก ว่าเมื่อครู่สตรีเบื้องหน้าเพียงลงมือส่งๆเท่านั้น แถมนางไม่แม้แต่จะใช้อุปกรณ์อมตะใดๆ…
เป็นไปได้ว่าหากสตรีเบื้องหน้าคิดเข่นฆ่าสังหารมันจริง เพียงอีกฝ่ายซัดหนึ่งกระบวนท่าที่จริงจังเข้าหน่อย มันก็ไม่อาจรอดพ้นความตายได้แน่นอน…
ส่วนด้านจางผิงเหยี่ยตอนนี้ เหงื่อมันก็แตกพลั่กๆ สีหน้าฉายชัดถึงความตื่นตระหนกนัก
บรรยากาศกลับกลายเป็นเงียบงันทันใด
“ฮ่วนเอ๋อ เดี๋ยวรอให้ผู้นำทั้ง 2 ตระกูลมาถึง…เจ้าก็สำแดงอัตลักษณ์พลังของเจ้าให้พวกมันเห็นชัดๆหน่อย”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวผ่านพลังกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม
ฮ่วนเอ๋อเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ยามใดที่นางสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาก็จะบ่งบอกชัดเจน ต้วนหลิงเทียนจึงคิดให้สองผู้นำนั่นได้พบเห็นความจริงอย่างไม่ทันตั้งตัว
เขาอยากจะรู้นัก
ว่าพอพวกมันเห็นแล้ว จะกล้าคิดทำอะไรฮ่วนเอ๋อหรือไม่?
ปง! ปง!
หลังผ่านไปราวๆ 5 ลมหายใจ เสียงแหวกฟ้าฉับไวจนอากาศแตกระเบิดพลันดังขึ้น จากนั้นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทาขาว กับชายชราในชุดเขียวผู้มีเส้นผมขนคิ้วเป็นสีขาวโพลนก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ
“จางฮั่นเทียน ผู้นำตระกูลจางแห่งเผ่าจิ้งจอกมายาแดนฟ้าสิ้นสุด คารวะใต้เท้า”
“หยวนหมิงซุน ผู้นำตระกูลหยวนแห่งเผ่าจิ้งจอกมายาแดนฟ้าสิ้นสุด คารวะใต้เท้า”
หลังจากที่ชายวัยกลางคนคลุมขาวเทา กับชายชราคิ้วขาวคลุมเขียวปรากฏตัว พวกมันก็ประสานมือโค้งคารวะจูเก่ออวิ๋นก่อนใดอื่น เพราะตอนนี้พวกมันได้รับทราบถึงพลังฝีมืออันน่ากลัวของสตรีเบื้องหน้าจากอาวุโสใหญ่ของพวกมันแล้ว…
สตรีเบื้องหน้า พลังฝีมือดูเหมือนจะไม่ได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามเลย!
“ฮ่วนเอ๋อ”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงผ่านพลังไปทักฮ่วนเอ๋อ
ทันใดนั้นเบื้องหลังฮ่วนเอ๋อ ก็ปรากฏเงาร่างมหึมาหนึ่งขึ้น เป็นจิ้งจอกสีขาวที่ตัวใหญ่โตราวภูเขา ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายสูงส่งเยือกเย็น หางทั้ง 9 ปัดป่ายไปมาปานระลอกคลื่น สายตาเหลือบมองโลกหล้าอย่างเฉยชา ให้ความรู้สึกราวประหนึ่งสรรพสิ่งใดๆล้วนเป็นเพียงธุลีดิน
“นี่มัน…”
ในขณะที่เงาร่างมหึมาปรากฏขึ้นด้านหลังฮ่วนเอ๋อ สีหน้าของผู้นำทั้ง 2 ที่พึ่งมาถึง ไม่เว้นอาวุโสทั้ง 9 ที่มาถึงแต่แรกก็พร้อมใจกันเปลี่ยนไปทันที!
“จะ…จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา!?”
คนเผ่าจิ้งจอกมายาทั้ง 11 จับจ้องไปยังเงาร่างจิ้งจอกขาววตัวเขื่องที่มี 9 หางด้านหลังฮ่วนเอ๋อไม่วางตา และในลูกตาของพวกมันแต่ละคนก็ฉายชัดถึงความอิจฉาจับใจ!
จิ้งจอกมายานั้นเป็นตัวตนที่ยากจะปรากฏขึ้นในเผ่าจิ้งจอกมายา เรียกว่าในรอบหลายล้านปีจึงจะมีปรากฏขึ้นสักครั้ง และเมื่อถือกำเนิดขึ้นมา ก็จักเป็นจ้าวผู้ปกครองเผ่าพันธุ์จิ้งจอกมายาของระนาบเทวโลกทั้งมวล
และจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายารุ่นนี้ ก็มาปรากฏขึ้นในตระกูลตู้ ซึ่งเป็นคู่แข่งของตระกูลหยวน
ดังนั้นตระกูลหยวนจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำลายจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายารุ่นนี้หรือก็คือฮ่วนเอ๋อให้จงได้…
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ตระกูลหยวนจึงทำข้อตกลงกับตระกูลจาง ว่าหากตระกูลจางช่วยให้ตระกูลหยวนฆ่าจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาได้สำเร็จ ตระกูลหยวนจะยินดีจ่ายให้ตระกูลจางอย่างงาม…
WSSTH ตอนที่ 3,253 : จูเก่อฟงลงมือ!
หยวนหมิงซุน ผู้นำตระกูลหยวนแห่งงเผ่าจิ้งจอกมายานั้น พอเห็นเงาร่างจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาด้านหลังฮ่วนเอ๋อ สองตาของมันก็ฉายให้เห็นเจตนาฆ่าฟันชัดเจน!
กระทั่งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดยังพุ่งพล่านจนลุกโชนขึ้นมาทั่วร่างอย่างอดไม่ไหว!
“จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา!!”
หากจะกล่าวถามหยวนหมิงซุนว่า ชั่วชีวิตนี้มันอยากเข่นฆ่าผู้ใดที่ไร้ซึ่งความเกลียดชังกันมาก่อนมากที่สุด ก็คงไม่พ้นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาแน่แท้!
เพราะจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายารุ่นนี้กลับมาปรากฏตัวในตระกูลตู้ และตระกูลหยวนของมันก็ช่วงชิงอำนาจกับตระกูลตู้มานานแล้ว หากตระกูลตู้ได้รับพลังอำนาจมาล่ะก็ เกรงว่าตระกูลหยวนของมันคงไม่ได้ตายดี!
มันจึงไม่คิดปล่อยให้จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาปรากฏตัวขึ้น และทำลายสมดุลดังกล่าว!
“อะไร? คิดฆ่าฮ่วนเอ๋อรึ?!”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องหยวนหมิงซุนตาขวาง น้ำเสียงยังเยียบเย็นนัก เพราะคนที่คิดฆ่าฮ่วนเอ๋อก็คือศัตรูของเขา!
“หยวนหมิงซุน อย่าได้ลืมจักรพรรดิอมตะทั้งสองนั่น!”
จางฮั่นเทียน ผู้นำตระกูลจางเร่งส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวเตือนหยวนหมิงซุนทันที เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันของอีกฝ่ายที่มีต่อฮ่วนเอ๋อ “หากนางไม่มีที่พึ่ง เจ้าคิดว่านางจะสำแดงเงาร่างจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาต่อหน้าต่อตาพวกเราหรือ?”
บัดนี้หยวนหมิงซุนได้ถูกตัวตนที่แท้จริงของฮ่วนเอ๋อครอบงำจิตใจโดยสมบูรณ์ ทำให้มันลืมตัวและคิดจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายถ่ายเดียว
จนได้จางฮั่นเทียนกล่าวเตือน มันจึงรู้สึกประหนึ่งมีน้ำเย็นราดรดลงหัว ฟื้นสติสัมปชัญญะกลับมาโดยสมบูรณ์
“หืม? นี่เจ้าคิดฆ่าฮ่วนเอ๋องั้นรึ?!”
จูเก่ออวิ๋นก้าวออกมาอีกก้าว สองตานางฉายแววเยียบเย็นนัก และเมื่อนางมองจ้องไปยังหยวนหมิงซุนด้วยสายตาดังกล่าว ก็สร้างแรงกดดันให้มันใหญ่หลวง
บัดนี้หยวนหมิงซุนพึ่งจะตระหนักได้ ว่าสตรีเบื้องหน้าที่แท้ร้ายกาจปานใด!
มันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสตรีเบื้องหน้าเลย
“ใต้เท้าท่านนี้ มิทราบท่านเป็นผู้ใดกันแน่”
หยวนหมิงซุนมองจ้องไปยังสตรีเบื้องหน้าอย่างหวั่นใจ เอ่ยถามออกไปเสียงเครียด
“นิกายกระบี่หมื่นหายนะ สายม่อเหยีย จูเก่ออวิ๋น”
จูเก่ออวิ๋นกล่าวบอกตัวตนออกไปเสียงเฉย
อย่างไรก็ตามทันทีที่เสียงพูดของจูเก่ออวิ๋นดังจบคำ ไม่ว่าจะเป็นจางฮั่นเทียนก็ดี หยวนหมิงซุนก็ดี สีหน้าท่าทีของพวกมันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง!
ถึงแม้ว่านิกายกระบี่หมื่นหายนะจะเป็นขุมกำลังที่อยู่ในอวี้หวงเทียน แต่สำหรับพวกมันแล้ว ช่างโด่งดังปานฟ้าร้องในหู!
นิกายกระบี่หมื่นหายนะ…กาลครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงขุมกำลังระดับสวรรค์!
และถึงแม้ในปัจจุบัน นิกายกระบี่หมื่นหายนะจะถดถอยลงมาจนกลายเป็นขุมกำลังระดับ 1 ในอวี้หวงเทียนแล้ว แต่ความแข็งแกร่งก็ยังน่ากลัวอย่างมาก ห่างไกลเกินกว่าที่ขุมกำลังอย่างเผ่าจิ้งจอกมายาจะต่อกรด้วยได้!
ลือกันว่าในนิกายกระบี่หมื่นหายนะ มีตัวตนที่ไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามดำรงอยู่มากมาย
และมียอดฝีมือ 2 คนที่ยามร่วมมือกัน ก็ร้ายกาจถึงขั้นเข่นฆ่าจักรพรรดิอมตะสมญานามได้อย่างง่ายดาย
ทำให้สำหรับนิกายกระบี่หมื่นหายนะแล้ว แม้พวกมันจะไม่รู้จักคนอื่น แต่กับยอดฝีมือ 2 คนที่ว่าพวกมันไม่อาจไม่รู้จัก! นามของอีกฝ่ายยังสนั่นในหูด้วยซ้ำ!!
จูเก่อฟง แห่งสายก้านเจี้ยง
จูเก่ออวิ๋น แห่งสายม่อเหยีย
ทั้ง 2 คนนี้ ยามลงมือเพียงลำพัง อย่างดีพลังฝีมือก็ทัดเทียมกับจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่หากผนึกกำลังร่วมมือกันแล้วล่ะก็ สามารถเข่นฆ่าจักรพรรดิอมตะสมญานามได้ง่ายๆ!
“ท่าน…ท่านคือใต้เท้าจูเก่ออวิ๋นงั้นหรือ!?”
จางฮั่นเทียนมองไปยังจูเก่ออวิ๋นด้วยสายตาตื่นตกใจ หลังจากนั้น ก็หันไปมองร่างชายหนุ่มท่าทางจริงจังที่อยู่ด้านหลัง “เช่นนั้นใต้เท้าท่านนี้…หรือท่านก็คือใต้เท้าจูเก่อฟง?!”
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
จูเก่ออวิ๋นเอ่ยถามออกไปเสียงเรียบ
“จางฮั่นเทียนผู้นำตระกูลจางแห่งเผ่าจิ้งจอกมายา ขอคารวะใต้เท้าทั้ง 2…เพราะข้าไม่รู้ว่าใต้เท้าทั้ง 2 จักมาเยือนจึงมิได้เตรียมการต้อนรับใต้เท้าให้ดี ขอใต้เท้าทั้ง 2 โปรดอภัยให้ด้วย”
จางฮั่นเทียนเรียกว่าแทบจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ! มองกล่าวกับจูเก่ออวิ๋และจูเก่อฟงอีกครั้ง สีหน้าท่าทีกลับกลายเป็นนอบน้อมแลดูเชื่อฟังเป็นที่สุด
ตอนนี้มันหวาดกลัวจนแผ่นหลังง่ามก้นชุ่มแฉะไปด้วยเหงื่อเย็นแล้ว…
มันไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าผู้มาเยือนจะเป็นตัวตนเยี่ยงทั้ง 2! หากรู้แต่แรกมันคงจัดขบวนต้อนรับอย่างดี!!
“หึ!”
ทันใดนั้นเอง หยวนหมิงซุนที่คิดทำความเคารพตามจางฮั่นเทียน ทว่าด้านจูเก่ออวิ๋นพลันพ่นลมเสียงเย็นออกมาเสียก่อน!
พริบตาต่อมา จูเก่ออวิ๋นก็ยกมือขั้นสะบัด จากนั้นกระบี่เล่มหนึ่งก็พุ่งทะยานออกไปเป็นลำแสงเข่นฆ่าไปทางหยวนหมิงซุน!
กระบี่ที่พุ่งไปดั่งลำแสงเล่มนี้ ก็คือ 1 ใน 10 ยอดกระบี่แห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะ กระบี่อมตะม่อเหยีย อาวุธคู่กายของจูเก่ออวิ๋น!
แน่นอนว่ากระบี่ม่อเหยียเล่มนี้ ไม่ใช่กระบี่ม่อเหยียที่อยู่บนดาวเหยียนหวงในระนาบเหยียนหวง แต่เป็นกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิที่ได้สืบทอดต่อๆกันมาจากบรรพชนผู้ก่อตั้งนิกายกระบี่หมื่นหายนะ
แรกเริ่มนั้น บรรพชนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ได้ร้องขอให้ปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะมือดีแห่งยุค ให้ช่วยหลอมสุดยอดกระบี่ทั้ง 10 เล่มขึ้นมา จากนั้นมันก็ตระเวนไปทั่วระนาบโลกียะทั้งมวลเพื่อเก็บรวบรวมวัตถุดิบฟ้าดินชั้นเลิศมาหลอมสร้างกระบี่
ด้วยเหตุนี้พลังอานุภาพของกระบี่อมตะทั้ง 10 เล่ม จึงเหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิทั่วไปมาก พลังอานุภาพมันไล่ๆกับอุปกรณ์เทพไปแล้วด้วยซ้ำ
กระทั่งอุปกรณ์เทพขั้นต่ำที่ไร้จิตวิญญาณ ก็ยังด้อยกว่ามันในแง่พลังอานุภาพ
ฟั่ฟฟ!!
กระบี่อมตะม่อเหยีย ตัวกระบี่เป็นสีแดงฉาน มองไปคล้ายมีโลหิตไหลเวียน แลดูแปลกตานัก
เมื่อรู้ว่าจักรพรรดิอมตะทั้ง 2 ก็คือจูเก่ออวิ๋นและจูเก่อฟง หยวนหมิงซุนก็เร่งเร้าพลังเตรียมพร้อมเอาไว้แต่แรก เพราะมันรู้ดีว่ามันทำให้อีกฝ่ายมีโทสะไปแล้ว
เช่นนั้นพอจูเก่ออวิ๋นลงมือ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่หยวนหมิงซุนโคจรเตรียมพร้อมไว้แต่แรก ก็ระเบิดปะทุออกมาทันที
“ใต้เท้าจูเก่ออวิ๋น ข้ามีคำคิดกล่าว!!”
เมื่อจูเก่ออวิ๋นลงมือ หยวนหมิงซุนย่อมไม่กล้าออมรั้งยั้งมือใดๆ และพยายามลงมือต้านรับกระบี่อมตะม่อเหยียของจูเก่ออวิ๋นด้วยพลังทั้งหมด ขณะเดียวกันก็เร่งกล่าวกับจูเก่ออวิ๋นด้วยสีหน้าแตกตื่นหมายให้อีกฝ่ายหยุดมือ!
ปงงง!!
เปรี๊ยงงงง!!
…
เมื่อกระบี่อมตะม่อเหยียของจูเก่ออวิ๋นปะทะเข้ากับการลงมือต้านทานสุดกำลังขอหยวนหมิงซุน เสียงสนั่นปานฟ้าถล่มพลันระเบิดดังไปทั่วเผ่าจิ้งจอกมายา
ความว่างเปล่า ณ จุดปะทะยังสะเทือนจนแทบปริแตก บรรยากาศท่วมท้นไปด้วยคลื่นพลังสะท้อน ฟ้าสะเทือนปฐพีเลือนลั่น!
และผลของการปะทะ ก็เป็นกระบี่ม่อเหยียที่ทำลายกระบวนท่าต้านรับเต็มกำลังของหยวนหมิงซุนได้สำเร็จ และสภาววะกระบี่ยังไม่สิ้นสูญ พุ่งทะยานเข่นฆ่าสังหารจี้เข้าใส่หยวนหมิงซุนสืบต่อ!
เห็นฉากดังกล่าวสองตาของหยวนหมิงซุนที่แดงฉานไปด้วยเส้นเลือดก็หดเล็กลง มันรีบรีดเค้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอีกห้วง จากนั้นเร่งสะบัดมือบดขยี้ยันต์อมตะชิ้นหนึ่งทันที
วู้มมม!!
ทันใดนั้นเองเบื้องหน้าหยวนหมิงซุน พลันบังเกิดกำแพงมหึมาปานจะกั้นฟ้าดินขึ้น และกำแพงมหึมาดังกล่าว แทบทุกตารานิ้วยังเต็มไปด้วยลวดลายอักขระอันซับซ้อน
กำแพงดังกล่าวพอปรากฏขึ้น มิคาดมันสามารถปิดกั้นกระบี่อมตะม่อเหยียไม่ให้รุกคืบสืบต่อ! และถึงจะหยุดกระบี่อมตะม่อเหยียได้แล้ว แต่ตัวกำแพงยังส่องแสงสว่างไม่เบา บอกให้รู้ว่ายังใช้พลังไปไม่หมด!
“สมแล้วที่เป็นผู้นำตระกูลหยวนแห่งเผ่าจิ้งจอกมายา…ไม่คิดเลยว่าจะมียันต์อมตะป้องกันทรงอานุภาพขนาดนี้…”
จูเก่ออวิ๋นโบกมือเบาๆ กระบี่อมตะม่อเหยียก็พุ่งเป็นลำแสงวกกลับมาอยู่ในมือทันที จากนั้นก็มองไปยังหยวนหมิงซุนพลางยิ้มกล่าวออกไป น้ำเสียงฟังคล้ายหยอกล้ออยู่บ้าง
“ใต้เท้าจูเก่ออวิ๋นข้า…ดูเหมือนจักมิได้ไปล่วงเกินท่านตรงที่ใด ไฉนท่านต้องคิดฆ่าข้าด้วย?”
เมื่อเห็นว่าเจตนาฆ่าฟันในแววตาจูเก่ออวิ๋นไม่ได้ลดลงเลย แม้เบื้องหน้ามันจะมีปราการป้องกันสุดแกร่ง แต่หยวนหมิงซุนก็ไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยแม้แต่นิดเดียว…
ต้องทราบด้วยว่า ข้างกายจูเก่ออวิ๋นยังมีจูเก่อฟงอยู่อีก!
หากทั้งคู่ร่วมมือกัน ไม่ว่ามันจะมียันต์อมตะป้องกันแบบนี้อีกกี่ชิ้น ก็ไม่อาจช่วยให้มันรอดพ้นความตายไปได้
ยันต์อมตะป้องกันของมันอย่างดีก็ป้องกันการโจมตีของจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วๆไปได้เท่านั้น และจำนวนครั้งที่ป้องกันได้ยังมีจำกัด
“เจ้าคิดฆ่าศิษย์ของสายม่อเหยียข้า เช่นนั้นข้าจะเก็บเจ้าไว้ทำอะไร?”
จูเก่ออวิ๋นกล่าวเย้ย
และวาจานี้ของจูเก่ออวิ๋นก็ทำให้หยวนหมิงซุนอึ้งไปทันที จากนั้นพอได้สติกลับมาสีหน้ามันก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง
มันแทบรอฆ่าจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาไม่ไหวแล้ว แต่ไฉนอยู่ๆอีกฝ่ายกลับกลายเป็นศิษย์สายม่อเหยียของนิกายกระบี่หมื่นหายนะไปได้?
เนื่องจากจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นนั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือ ทำให้สายของทั้งคู่ในนิกายากระบี่หมื่นหายนะก็โด่งดังตามไปด้วย
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะสายของจูเก่อฟงก็ดี จูเก่ออวิ๋นก็ดี ล้วนมีเจ้าตัวดำรงอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น…
ทั้งสายมีตัวเองเพียงคนเดียว ดั่งแม่ทัพไร้ไพร่พล!
ทว่าตอนนี้มันกลับได้ยินจูเก่ออวิ๋นพูดว่า จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาที่มันอยากฆ่าให้ตายนักหนา ไม่เพียงแต่จะเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะไปแล้ว แต่ยังเข้าสู่สายม่อเหยียอีกด้วย?!
มันจึงตระหนักได้ทันที ว่าวันนี้มันไม่อาจฆ่าจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาได้แน่นอน…
กระทั่งวันหน้าหากมันคิดจะฆ่าอีกฝ่าย ก็ทำได้แค่ลอบสังหารเท่านั้น กระทั่งยามลงมือต้องมือสะอาด ไม่สามารถทิ้งร่องรอยใดๆให้อีกฝ่ายสืบสาวมาถึงตัวได้เด็ดขาด หาไม่แล้วจูเก่ออวิ๋นผู้นำสายม่อเหยียแห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะนางนี้ ต้องบุกมาฆ่าล้างเพื่อชำระแค้นแน่!
จริงอยู่ที่อาศัยจูเก่ออวิ๋นคนเดียวอาจจะไม่มีพลังมากพอจะกวาดล้างตระกูลของมัน
อย่างไรก็ตาม หากจูเก่อฟงลงมือด้วย ตระกูลของมันก็ไม่อาจต้านทานได้แน่นอน!
และเท่าที่มันรู้จูเก่อฟงก็เป็นพี่ชายฝาแฝดของจูเก่ออวิ๋น ความสัมพันธ์เช่นนี้ หากอีกฝ่ายเกิดเรื่องไหนเลยจะนิ่งดูดายอยู่ได้?
ฟุ่บ!!
ในขณะที่สีหน้าหวนหมิงซุนเปลี่ยนไป อยู่ๆจูเก่อฟงก็คล้ายอันตรธานสาบสูญไปในความว่างเปล่า ปรากฏตัวอีกครั้งก็ไปผุดโผล่ด้านหลังหยวนหมิงซุนแล้ว!
ฟั่ฟฟฟ!!
เสียงกระบี่แหวกฟ้าดังขึ้นฉับไว เป็นจูเก่อฟงงที่ไม่ทราบชักกระบี่ออกมาเมื่อไหร่ ได้ตวัดฟันออกไปยังลำคอหยวนหมิงซุนด้วยความเร็วสูงจนคล้ายทั้งมือและกระบี่กลายเป็นประกายแสงวาบหนึ่ง!
หยวนหมิงซุนที่กำลังเคร่งเครียดไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจูเก่อฟงวูบร่างมาผุดโผล่ด้านหลังมัน ทั้งตวัดกระบี่ฟันออกมาแล้ว…
ผลลัพธ์เป็นเช่นไร ย่อมจินตนนาการได้ออก…
หนึ่งกระบี่ที่ตวัดฟันออกไป ก็จบชีวิตหยวนหมิงซุนลงได้อย่างง่ายดาย จวบจนศีษะร่วงตกพื้นแตกดังโผละ มันสมองลูกตากระจาย มันก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายแล้ว…
‘เร็วจริง!’
ในสายตาของต้วนหลิงเทียน การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจูเก่อฟงไม่ได้ต่างอะไรไปจากเขาใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติเลย ไม่อาจแลเห็นร่องรอยความเคลื่อนไหวใดๆของอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว!
อย่างไรก็ตามเขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เคลื่อนมิติ แต่เป็นการเคลื่อนที่ด้วยความเร็งสูงล้ำของจูเก่อฟงที่อาศัยกฏแห่งลม!
‘จะเร็วเกินไปแล้ว…ด้วยความเร็วระดับนี้ ต่อให้ข้าใช้เคลื่อนมิติหลบหนีเต็มกำลัง ก็ยังไล่ตามข้าทันได้ง่ายๆ…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
หยวนหมิงซุน ผู้นำตระกูลหยวนของเผ่าจิ้งจอกมายา ผู้มากล้นไปด้วยอำนาจและความน่าเกรงขามสำหรับคนในเผ่า บัดนี้กลับตกตายลงในชั่วพริบตา ยังตกตายลงต่อหน้าต่อตาอาวุโสตระกูลหยวนทั้ง 4…
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะหยวนเยว่หรืออาวุโสอีก 3 คนของตระกูลหยวน ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ ทั้งที่เห็นผู้นำถูกฆ่าลงตรงหน้า
ในเมื่อชายหนุ่มหญิงสาวเบื้องหน้า มีพลังเข่นฆ่าผู้นำของมันได้ เป็นธรรมดาว่าหากคิดจะฆ่าพวกมันก็ลำบากแค่พลิกฝ่ามือ…
เป็นจางฮั่นเทียนที่อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าดังฟืด ด้วยไม่คิดไม่ฝันเลยว่าคู่แข่งที่ลอบแข่งขันชิงอำนาจกับมันมาหลายปีดีดัก สุดท้ายจะมาตกตายต่อหน้าต่อตามัน
มันรู้สึกเสมือนชีวิตมีบางอย่างขาดหายไป กระทั่งแรงจูงใจให้ก้าวหน้าขึ้นยังสลาย ทั่วร่างรู้สึกโหวงเหวงชอบกล
ตอนนี้จางฮั่นเทียนรู้ศึกเศร้าใจแปลกๆ…
“ใต้เท้าทั้ง 2 วันหน้าหากตระกูลจางของเราพบเจอแม่นางฮ่วนเอ๋อ พวกเราจักปฏิบัติต่อนางด้วยวความเคารพ และไม่กล้าไม่จริงใจกับนาง!”
แต่จางฮั่นเทียนก็ระงับอารมณ์ได้ในเวลาอันสั้น มันเร่งหันไปมองกล่าวกับจูเก่อฟงและจูเก่ออวิ๋นเร็วไว ด้วยไม่อยากเจริญรอยตามคู่แข่งชั่วชีวิตไปในลักษณะนี้…
กระทั่งในใจมันยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณอยู่บ้าง ที่มันไม่ได้คิดร้ายหรือต้องการจะเข่นฆ่าจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายามากเท่าไหร่ ถึงแม้จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาจะเป็นภัยกับตระกูลหยวนและจางในเรื่องแย่งชิงอำนาจก็ตาม
เพราะกับตระกูลจางของมันแล้ว จิ้งจอกมายาก็ไม่ถือว่ามีความบาดหมางมากมายอะไร เพราะความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจางกับตระกูลตู้ มันดีกว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลตู้กับตระกูลหยวนมาก
หากมันต้องการฆ่าจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาจริง เมื่อครู่ตอนที่อีกฝ่ายเผยอัตลักษณ์พลัง จนเห็นเป็นเงาร่างจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาเก้าหางตัวเขื่องนั่น มันย่อมเผยจิตสังหารออกมาโดยไม่รู้ตัวไปแล้ว
“ใต้เท้าทั้ง 2 ตระกูลหยวนของพวกเราก็ขอสาบานไว้ตรงนี้ว่าจักไม่แตะต้องจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาอีก”
ตอนนี้เอง หยวนเยว่ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลหยวน ก็เร่งกล่าวคำสาบานออกมากับจูเก่อฟงและจูเก่ออวิ๋น
WSSTH ตอนที่ 3,254 : เรื่องราวในอดีตของมารดาฮ่วนเอ๋อ
หยวนหมิงซุน 1 ใน 2 ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหยวนแห่งเผ่าจิ้งจอกมายา พลังฝีมือใกล้จะทัดเทียมกับตัวตนระดับจักรพรรดิอมตะสมญานามเต็มที…
แต่กระนั้นมันก็ยังตกตายภายใต้เงื้อมมือจูเก่อฟง
ถึงแม้เมื่อครู่การลงมือของจูเก่อฟงจะไม่ต่างอะไรจากการลอบโจมตี แต่อาวุโสเผ่าจิ้งจอกมายาไม่เว้นจางฮั่นเทียนก็ตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่งชัดเจน…
หากจูเก่อฟงร่วมมือกับจูเก่ออวิ๋น ไม่ต้องกล่าวถึงหยวนหมิงซุนแค่คนเดียว ต่อให้มี 10 หยวนหมิงซุนอีก ก็ไม่พอให้อีกฝ่ายฆ่า!
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่หวนหมิงซุนถูกฆ่าตาย จางฮั่นเทียนกับคนอื่นก็ทำตัวนอบน้อมว่าง่ายราวเป็นหลานผู้อื่นเขา ทั้งหมดเพราะกลัวจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นจะรู้สึกขัดตา แล้วฆ่าพวกมันทิ้งไปด้วย!
“วันหน้าหากให้ข้าพบว่าพวกเจ้าปองร้ายฮ่วนเอ๋ออีก…ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดในเผ่าพวกเจ้าลงมือ ข้าจะมาฆ่าล้างตระกูลของมันผู้นั้น”
จูเก่ออวิ๋นลั่นวาจาอำมหิตออกไปเสียงเย็น สองตาเฉยชากวาดมองไปยังจางฮั่นเทียนและคนอื่นๆ
“ขอใต้เท้าอย่าได้กังวล ต่อให้ตระกูลจางของข้ามีความกล้ามากกว่านี้อีก 100 เท่า พวกเราก็ไม่กล้าปองร้ายต่อแม่นางฮ่วนเอ๋ออีก”
จางอั่นเทียนยิ้มเจื่อน
ด้านหยวนเยว่อาวุโสใหญ่ของตระกูลหยวน ก็เร่งกล่าวตามมาทันที “ใต้เท้า ตระกูลหยวนของพวกเราก็เช่นกัน”
เรียกว่าที่หยวนเยว่เร่งแสดงท่าทีเร็วไว เพราะมันกลัวว่าหากชักช้า จูเก่ออวิ๋นจะลงมือเล่นงานมันขึ้นมา
“ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะทำได้อย่างที่พูด”
จูเก่ออวิ๋นมองจ้องจางฮั่นเทียนกับคนอื่นๆอีกรอบ จากนั้นจึงหันหลังและจากไปพร้อมต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อและจูเก่อฟงทันที
จนเมื่อต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆเหินร่างจากไปจนลับสายตาแล้ว จางฮั่นเทียนกับคนที่เหลือก็ได้แต่หันหน้ามามองตากันปริบๆ ได้แต่ส่งยิ้มขมขื่นปลอบใจกันและกัน
“ท่านผู้นำ ดูเหมือนว่าสตรีนางนั้นคือคนที่ข้าสั่งให้จางจินอี้ไปตรวจสอบเมื่อหลายปีกก่อน…เพราะเมื่อครู่ข้าได้ยินชัดเจนว่าทางนั้นเรียกหานางว่าฮ่วนเอ๋อ”
ตอนนี้เองจางผิงเหยี่ย อาวุโสใหญ่ของตระกูลจาง ที่ฉุกคิดถึงเรื่องราวในปีนั้นได้ออก ก็กล่าวรายงานออกมาด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“เฮ่อ ตอนนี้รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว…ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายารุ่นนี้ จักได้เข้าไปอยู่ใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่อย่างนิกายกระบี่หมื่นหายนะ…”
จางฮั่นเทียนส่ายหัวไปมา หากเลือกได้มันก็ไม่อยากตอแยล่วงเกินนิกายกระบี่หมื่นหายนะจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น สตรีตัวปัญหาดังกล่าว ได้กลายเป็นศิษย์ของตัวตนอันทรงพลังสุดที่มันจะตอแยด้วยได้ไปแล้ว
อาวุโสตระกูลหยวนทั้งหลาย นำโดยหยวนเยว่ ก็พากันระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นเมื่อกล่าวคำอำลาจางฮั่นเทียนแล้ว พวกมันก็เหินร่างกลับไปประชุมด่วนในตระกูลทันที
การตายของหยวนหมิงซุน สำหรับตระกูลหยวนของพวกมันแล้ว ประหนึ่งระเบิดห่าใหญ่ถล่มลงจากฟ้าจริงๆ
เรียกว่าหลังจากนี้พักใหญ่ๆ ตระกูลหยวนถูกกำหนดให้หาความสงบไม่เจอ
“ท่านผู้นำ”
จางผิงเหยี่ยมองไปยังจางฮั่นเทียน ด้วยสองตาเป็นประกาย “ในเมื่อตระกูลหยวนสิ้นผู้นำแล้วแบบนี้ พวกมันก็เสมือนเรือไร้หางเสือ ยากจะหลีกหนีความวุ่นวายและการช่วงชิงภายในเป็นแน่…”
ถึงแม้ตระกูลจางกับตระกูลหยวนล้วนแล้วแต่เป็นเผ่าจิ้งจอกมายาด้วยกันทั้งหมด อย่างไรก็ตาม 2 ตระกูลก็มีข้อพิพาทกันบ้างตามประสาการชิงดีชิงเด่นในโลกแห่งผู้ฝึกตน แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นแตกหัก
“โอกาสประเสริฐเช่นนี้ ไหนเลยพวกเราจะพลาดได้เล่า…”
สองตาจางฮั่นเทียนก็ทอประกายจ้าขึ้นมาทันที กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ
ขณะเดียวกัน สีหน้ามันก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เรื่องตระกูลหยวนช่างก่อน ผิงเหยี่ยเจ้ารีบถ่ายทอดคำสังของข้าลงไป…วันหน้าตราบใดที่ข้ายังเป็นผู้นำตระกูลจางอยู่ ขอสั่งห้ามมิให้คนสกุลจางเพ่งเล็งคิดร้าย หรือมีส่วนร่วมอันใดในการปองร้ายจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาผู้นั้นอีกเป็นอันขาด!”
“กระทั่งหากพบเจอจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาผู้นั้นโดยบังเอิญ ให้ปฏิบัติกับนางเสมือนเห็นข้า ถ้านางพบเจอปัญหาให้เข้าช่วยเหลือเสีย หากช่วยเหลือด้วยกำลังของตัวเองไม่ได้ก็ให้รีบขอความช่วยเหลือจากทางตระกูลโดยเร็วที่สุด”
จางฮั่นเทียนกล่าวถึงจุดนี้ มันก็หันไปมองจ้องยังทิศทางที่ตั้งตระกูลหยวนเขม็ง “ตอนนี้ข้าหวังว่า คนของตระกูลหยวนยังจะหลงเหลือความคิดมุ่งร้ายต่อจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายานั่นอยู่บ้าง…”
“หากเป็นเช่นนั้น พวกเราจักได้มีโอกาสมอบความช่วยเหลือให้นาง กระทั่งสุดท้ายอาจสานไมตรีกับนาง จนพวกเราสามารถผูกมิตรกับนิกายกระบี่หมื่นหายนะได้…”
กล่าวถึงท้ายประโยค สองตาจางฮั่นเทียนก็เริ่มเลื่อนลอยคล้ายกำลังเพ้อฝันกลางวันแสกๆ
“ดูเหมือนว่าหลังจากนี้สักพัก ข้าจักต้องเตรียมขวัญดีๆ….ไปอวี้หวงเทียน เพื่อแสดงความยินดีกับตระกูลตู้สักครา”
พอกลับมามีสติ แววตาจางฮั่นเทียนก็กลับมาสดใสอีกครั้ง พึมพำวางแผนอะไรของมันไปเรื่อย
…
ส่วนอีกด้าน
“ต้วนหลิงเทียน ถึงแม้ในเผ่าจิ้งจอกมายาจะไม่มีจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเผ่าพันธุ์นี้จักไม่มีจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่เลย…เผ่าจิ้งจอกมายาจะอย่างไรก็สืบทอดมรกต่อๆกันมานานปีแล้ว ต้องมีพวกเฒ่าชราที่อยู่ในแดนหลิงหลัว ศูนย์กลางอำนาจของหลิงหลัวเทียนแน่…”
จูเก่ออวิ๋นกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “เช่นนั้นแล้วเว้นเสียแต่พวกมันจะทำเกินไปจริงๆ หาไม่แล้วพวกเรามิอาจฆ่าล้างตระกูลมันได้อย่างไร้เหตุผล”
ได้ยินคำพูดของจูเก่ออวิ๋นต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกหนาวใจอยู่บ้าง
ไม่คิดเลยว่าจูเก่ออวิ๋นผู้นี้ ยังจะมีความคิดฆ่าล้างตระกูลของเผิ้งจอกมายาในแดนฟ้าสิ้นสุดอยู่อีก?
อย่างไรเสียนั่นก็เป็นขุมกำลังระดับ 1 คิดจะฆ่าล้างก็ฆ่าล้างได้ง่ายๆหรือ?
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนพลันรู้สึกว่าถึงแม้เขาจะพึ่งประสบความก้าวหน้าครั้งใหญ่มา แต่ขอบเขตของเขายังเทียบกับจูเก่ออวิ๋นไม่ได้เลย
“ผู้อาวุโสเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว…ข้าเชื่อว่าสองตระกูลของตระเผ่าจิ้งจอกมายานั่น ต่อไปต้องไม่กล้าลงมือแตะต้องฮ่วนเอ๋ออีกแน่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ว่าแต่ยังมีที่ใดที่ต้องไปสะสางต่อหรือไม่?”
จูเก่ออวิ๋นกล่าวถามต้วนหลิงเทียนด้วยสงสัย
“ไม่มีแล้วอาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว “พวกเรากลับกันเลยก็ได้”
“พี่ใหญ่หลิงเทียน”
ทว่าต้วนหลิงเทียนพูดยังไม่ทันจบคำดี ฮ่วนเอ๋อก็มองต้วนหลิงเทียน พางกล่าวด้วยสายตาคาดหวัง “ฮ่วนเอ๋ออยากหาท่านแม่…”
ใจต้วนหลิงเทียนสะท้านไปทันที จากนั้นก็หันไปยิ้มกล่าวกับจูเก่ออวิ๋นว่า “ผู้อาวุโส หรือพวกเราย้อนกลับไปยังเผ่าจิ้งจอกมายาอีกรอบก่อน? ข้าอยากถามว่าพวกมันล่วงรู้ที่อยู่มารดาของฮ่วนเอ๋อหรือไม่”
“ไปสิ”
จูเก่ออวิ๋นย่อมไม่ขัดข้อง นางเห็นฮ่วนเอ๋อเป็นศิษย์สายม่อเหยียแล้ว และนางเองก็รู้สึกถูกชะตากับฮ่วนเอ๋อมาก ย่อมยินดีที่จะได้ช่วยฮ่วนเอ๋อตามหามารดา
สำหรับจูเก่อฟงนั้น ไม่มีความเห็นใดๆ
ปกติแล้วมันก็มักฝึกฝนบ่มเพาะอยู่แต่ในนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เว้นเสียแต่น้องสาวฝาแฝดจะออกเดินทางไปที่ใด มันก็จะติดตามนางไปด้วย เพราะมันไม่คิดปล่อยให้น้องสาวไปไหนมาไหนคนเดียว
จางฮั่นเทียน ผู้นำตระกูลจางของเผ่าจิ้งจอกมายาเอง ก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าพวกต้วนหลิงเทียนพึ่งจากไปไม่ทันไร ก็วกกลับมาอีกแล้ว
และคราวนี้มันก็ได้เชิญพวกต้วนหลิงเทียนไปยังโถงรับรองของสกุลจางด้วยความเคารพนอบน้อม และเอ่ยถามจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นน้ำเสียงสุภาพว่า “มิทราบใต้เท้าทั้ง 2 ย้อนกลับมาเพราะเหตุใดหรือ?”
จูเก่ออวิ๋นพอได้ยินคำถามดังก่าววก็หันไปมองทางต้วนหลิงเทียนทันที ทำให้จางฮั่นเทียนเองก็หันมามองต้วนหลิงเทียนตาม
“ผู้เฒ่าจาง ไม่ทราบว่าท่านรู้จัก ตู้เสวียน แห่งตระกูลตู้ของเผ่าจิ้งจอกมายาท่านหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนก็เปิดประตูเห็นภูผา มองถามจางฮั่นเทียนออกไปตรงๆทันที
“ตู้เสวียนรึ?!”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน สีหน้าจางฮั่นเทียนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “คุณชายท่านนี้ มิทราบไฉนท่านจึงถามถึงตู้เสวียนหรือ? หรือคุณชายท่าน…รู้จักกับตู้เสวียน?”
“ตู้เสวียนเป็นมารดาของฮ่วนเอ๋อ…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางหันมองไปทางฮ่วนเอ๋อ
จากนั้นเขาก็ย้อนกลับมามองจ้องตาจางฮั่นเทียนเขม็ง “ผู้เฒ่าจาง ดูจากสีหน้าท่านแล้ว มิพ้นคงรู้จักกับตูเสวียน มารดาฮ่วนเอ๋อกระมัง?”
“นาง…นางเป็นลูกสาวของตู้เสวียนหรือ?”
พอจางฮั่นเทียนมองฮ่วนเอ๋ออีกครั้ง แวววตาก็ฉายความซับซ้อนมากล้นไปด้วยอารมณ์ สุดท้ายก็อดระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างทอดถอนไม่ได้ “บาปกรรม…บาปกรรม…”
“บาปกรรม?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ด้านฮ่วนเอ๋อก็มองจ้องจางฮั่นเทียนแล้วรีบถามออกมาว่า “ตาแก่ เจ้ารู้จักท่านแม่ข้าหรือ?”
“ข้าย่อมรู้…กล่าวไปคงไม่มีผู้ใดในเผ่าจิ้งจอกมายาที่ไม่รู้จักมารดาเจ้าหรอก…”
จางฮั่นเทียนคลี่ยิ้มเจื่อนๆ “อันที่จริงกล่าวไปแล้ว ข้ากับมารดาเจ้ายังมีไมตรีกันไม่น้อย…เพราะตอนเด็กๆพวกเราโตมาด้วยกัน ตอนยังเป็นนเด็กน้อยมารดาเจ้าติดข้าแจด้วยซ้ำ ก่อนที่ตระกูลตู้จักออกจากหลิงหลัวเทียนแล้วย้ายไปตั้งรกรากที่อวี้หวงเทียน สถานที่ตั้งตระกูลตู้ก็ติดกับอาณาเขตของตระกูลจางเรา…”
“ในตอนนั้น นางนับว่างดงามจนทุกคนต้องหลงใหล…”
กล่าวถึงจุดนี้แววตาของจางฮั่นเทียนก็กลายเป็นอ่อนโยน มากล้นไปด้วยความคำนึงหา
ตู้เสวียนมีเสน่ห์มาก
จางฮั่นเทียนเองก็ตามจีบตู้เสวียนเช่นกัน อนิจจาด้วยความที่เล่นกันมาแต่เด็ก ตู้เสวียนจึงไม่คิดกับมันเกินกว่าเพื่อนจึงปฏิเสธมันตรงๆ หากแต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมิตรภาพระหว่างทั้งคู่
ในตอนนั้น ช่วงที่ตู้เสวียนถูกตระกูลตู้ขับไล่ จนต้องระหกระเหินย้อนกลับมาหลิงหลัวเทียน ก็เป็นมันที่คอยให้ความช่วยเหลือนางอย่างลับๆมาตลอด
อย่างไรก็ตาม มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายารุ่นนี้ จะกลายเป็นลูกสาวของตู้เสวียนไปได้
“มาตอนนี้ดูๆไปเจ้าก็คล้ายกับตู้เสวียนอยู่หลายส่วน…แต่หากจะเทียบกับมารดาเจ้าแล้ว ดูเหมือนความงามของเจ้าจักได้มาจากบิดาที่หล่อเหลาปานเทพบุตรนั่นมากกว่า”
จางฮั่นเทียนกล่าว
“ตาแก่…เจ้า…เจ้ารู้จักท่านพ่อข้าด้วยหรือ?”
ลุกตาฮ่วนเอ๋อเบิกกว้าง เอ่ยถามออกไปด้วยอารมณ์ปั่นป่วน
“มารดาเจ้า สมควรไปตามหาบิดาของเจ้า…”
จางฮั่นเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน “ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้…ว่าทั้งคู่เป็นตายร้ายดีอย่างไรแล้ว? อย่างไรเสียทั้งคู่ก็ถือว่าได้ล่วงเกินขุมกำลังระดับสวรรค์เข้าอย่างจัง ขุมกำลังระดับสวรรค์ที่ว่าก็คงยากที่จะปล่อยทั้งคู่ไปง่ายๆ”
“ขุมกำลังระดับสวรรค์?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว เขาไม่คิดเลยว่ามารดาของฮ่วนเอ๋อจะไปพัวพันกับขุมกำลังระดับสวรรค์เข้า
ต้องทราบด้วยว่า กระทั่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะครั้งรุ่งโรจน์ ก็เป็นขุมกำลังระดับสวรรค์เช่นกัน
“ผู้เฒ่าจาง ท่านช่วยขยายความให้กระจ่างหน่อยได้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเสียงหนัก
เพราะเท่าที่จางฮั่นเทียนพูดมา ก็ช่างคลุมเครือดั่งมีม่านเมฆหมอกบดบัง ยากจะบอกได้ว่าที่แท้เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่…แล้วไฉนมารดาของฮ่วนเอ๋อถึงไปล่วงเกินอะไรขุมกำลังระดับสวรรค์เข้าได้?
นอกจากนี้เรื่องราวดูเหมือนจะเกี่ยวพันกับบิดาของฮ่วนเอ๋ออีก
“ตู้เสวียน มารดาของฮ่วนเอ๋อนั้น นางเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งของเผ่าจิ้งจอกมายาเรา…ในเผ่าจิ้งจอกมายาไม่ทราบมีบุรุษมากมายเท่าไหร่ไล่จีบนาง…อันที่จริงตอนนั้นข้าเองก็ไล่เกี้ยวนางเช่นกัน”
จางฮั่นเทียนกล่าว “อย่างไรก็ตามสุดท้ายคนที่คว้าใจนางไปครองได้ กลับไม่ใช่คนของเผ่าจิ้งจอกมายาเราด้วยซ้ำ…แต่เป็นอัจฉริยะฟ้าประทานของขุมกำลังระดับสวรรค์…”
“แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ประเด็น…”
“เรื่องของเรื่องมันอยู่ที่ อัจฉริยะฟ้าประทานของขุมกำลังระดับสวรรค์คนนั้น ขุมกำลังของมันได้ทำการหมั้นหมายให้มันไว้แต่แรก…และยังเป็นการหมั้นหมายกับอัจฉริยะหญิงของขุมกำลังสวรรค์อีกขุม”
“อย่างไรก็ตาม ตอนอัจฉริยะฟ้าประทานคนนั้นเลือกจะกลับไปยังขุมกำลัง เพื่อล้มเลิกสัญญาหมั้นหมาย…สิ่งนี้ทำให้ขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังของมันไม่เพียงแต่จะโมโหจนขับไล่มันออก ยังเลือกจะส่งตัวมันไปให้ขุมกำลังสวรรค์ของอัจฉริยะหญิงนั่นด้วย”
“พอเรื่องนี้มันลุกลามใหญ่โต ตระกูลตู้เองก็ขับไล่ตู่เสวียนออกจากตระกูล ตอนที่นางระหกระเหินหลบหนีออกจากตระกูลมา นางก็มาขอคามช่วยเหลือจากข้า หมายให้ข้าช่วยสืบหาข่าวคราวของบุรุษผู้นั้น…”
“หลังจากนั้นพอข้าแจ้งข่าวที่สืบทราบมาให้นาง ตู้เสวียนก็เดินทางไปยังขุมกำลังสวรรค์ของอัจฉริยะหญิงนั่นเพื่อตามหาบุรุษผู้นั้น…”
กล่าวถึงจุดนี้ จางฮั่นเทียนก็หันมามองจ้องฮ่วนเอ๋ออีกครั้ง “เพียงแค่ ข้าไม่คิดเลย…ว่านางกับเจ้านั่นที่แท้จะมีลูกสาวด้วยกันแล้ว”
“ยิ่งไปกว่านั้นลูกสาวที่ว่ายังเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาอีก…บาปกรรม บาปกรรม”
จางฮั่นเทียนได้แต่ส่ายหัวไปมา
มันยังจดจำเรื่องราวในปีนั้นได้ดี พอตระกูลตู้รับทราบว่าตู้เสวียนไปพัวพันกับอะไรเข้า ก็เลือกจะขับไล่นางออกจากตระกูลตู้อย่างไม่ไยดี…
เพราะพวกมันกลัวว่าขุมกำลังสวรรค์ของอัจฉริยะหญิงนั่นจะโกรธแค้นตู้เสวียนที่เป็นต้นเหตุทำให้การหมั้นหมายล้มเลิก จนเอาโทสะมาลงกับตระกูลตู้…จึงรีบขับตู้เสวียนออกเพื่อปัดสวะให้เรื่องราวครั้งนี้พ้นตัว
“หากตระกูลตู้ล่วงรู้ว่าจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาที่พวกมันเฝ้าตามหามาตลอด เป็นบุตรสาวของตู้เสวียน..ข้าไม่ทราบจริงๆว่าพวกมันจักทำหน้าอย่างไร”
ถึงแม้เผ่าจิ้งจอกมายาจะล่วงรู้ว่าจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาที่ยากจะปรากฏในรอบหลายล้านปีได้ถือกำเนิดขึ้นในเผ่าแล้ว แต่พวกมันก็รับรู้ได้คร่าวๆว่าจิ้งจอกมายาดังกล่าวปรากฏขึ้นในสายเลือดตระกูลตู้เท่านั้น ไม่อาจทราบตัวตนจำเพาะเจาะจงของจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาที่ถือกำเนิดได้เลย…
WSSTH ตอนที่ 3,255 : ผู้อาวุโสฟงชิงหยางยังมีชีวิตอยู่?
“ขุมกำลังระดับสวรรค์?”
ในขณะที่สีหน้าฮ่วนเอ่อเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดีหลังได้ยินคำพูดของจางฮั่นเทียน ด้านต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามจางฮั่นเทียนซ้ำด้วยสีหน้าจริงจังเสียงเครียด
“มิผิด ตู้เสวียนเดินทางไปยังวังเทียนฉือแห่งอู๋หยาเทียนด้วยตัวเอง…เพราะบิดาของเจ้าถูกขุมกำลังของตัวจับส่งไปยังวังเทียนฉือ…”
ขณะกล่าวประโยคท้าย จางฮั่นเทียนก็หันไปมองฮ่วนเอ๋อ
“วังเทียนฉือ?”
ได้ยินชื่อขุมกำลังระดับสวรรค์ดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่ไม่รู้จักจึงไม่รู้สึกอะไรมากมาย ทว่าสีหน้าท่าทีของจูเก่ออวิ๋นที่อยู่ข้างๆได้เปลี่ยนไปทันที
กระทั่งท่าทางของจูเก่อฟงยังฉายชัดถึงความเคร่งเครียด
ขณะนั้นเองต้วนหลิงเทียนที่หันหน้ามาด้วยคิดจะถามจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นว่ารู้จักวังเทียนฉือที่ว่าหรือไม่ ก็พบว่าสีหน้าของทั้งคู่เปลี่ยนไป เขาจึงตระหนักได้ทันที ว่าไม่เพียงแต่ทั้งคู่จะรู้จัก กระทั่งสิบในสิบวังเทียนฉือที่ว่า มันหาได้ง่ายดายไม่!
“ผู้นำสายทั้ง 2…จากท่าทีของพวกท่านที่ผิดปกติไปทันทีแบบนี้ หรือวังเทียนฉือที่ว่ามันร้ายกาจมาก?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“ต้วนหลิงเทียน”
จากนั้นจูเก่ออวิ๋นที่มีท่าทีผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ความแข็งแกร่งของวังเทียนฉือนั้น กล่าวไปแล้วอย่างดีก็ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆของขุมกำลังระดับสวรรค์ทั้งหลายเท่านั้น…ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของวังเทียนฉือไม่ใช่ขุมพลังของพวกมันเอง แต่เป็นความสัมพันธ์กับจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนต่างหาก!”
“และจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนที่ว่า…ก็คือปู่แท้ๆของมารดาผู้ให้กำเนิดเจ้าวังเทียนฉือคนปัจจุบัน!”
“นอกจากนั้น จักรพรรดิสวรรค์ผู้ปกครองแดนอู๋หยาเทียนนั่น ยังเป็นยอดฝีมือที่ติดอยู่ใน 10 อันดับแรก ของรายนามจักรพรรดิสวรรค์แห่งระนาบเทวโลกทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบ พลังฝีมือของมันนับว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของจักรพรรดิสวรรค์ทั้งหลาย”
“นี่คือขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่อยู่เบื้องหลังวังเทียนฉือ…”
จูเก่ออวิ๋นกล่าว
“เป็นเช่นนั้น”
ต้วนหลิงเทียนยังไม่ทันได้พูดอะไร จางฮั่นเทียนก็พยักหน้าเห็นด้วย และกล่าวเสริมออกมาว่า “นอกจากนั้น อัจฉริยะหญิงที่บุรุษของตู้เสวียนปฏิเสธการหมั้นหมายไปนางนั้น ก็คือลูกสาวของจ้าววังเทียนฉือคนปัจจุบัน…”
“ว่ากันว่าลูกสาวของเจ้าวังเทียนฉือนางนั้น ยังเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนอีกด้วย…พอบุรุษของตู้เสวียนล้มเลิกการหมั้นหมายกับนางโดยพลการ จึงกล่าวได้ว่าล่วงเกินไปถึงตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์ผู้หนึ่ง เช่นนั้นต่อให้ขุมกำลังของบุรุษตู้เสวียนเองก็เป็นขุมกำลังระดับสวรรค์เช่นกัน พวกมันก็ไร้หนทางเลือกอื่น นอกจากขับไล่บุรุษผู้นั้นออก และจับตัวคนส่งไปให้วังเทียนฉือลงโทษแต่โดยดี….”
เห็นได้ชัดว่าจางฮั่นเทียนล่วงรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตู้เสวียนเป็นอย่างดี
“จักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน…ยอดฝีมือที่ติด 1 ใน 10 ของรายนามจักรพรรดิสวรรค์เช่นนั้นรึ?”
ต้วนหลิงเทียนเองก็มาถึงระนาบเทวโลกได้ 200 กว่าปีแล้ว เขาย่อมล่วงรู้เรื่องราวทั่วไปในระนาบเทวโลกหลายประการ
ในบรรดาเรื่องราวที่ว่าก็มี ‘รายนามจักรพรรดิสวรรค์’ รวมอยู่ด้วย นั่นคือรายนามอันดับพลังฝีมือของจักรพรรดิสวรรค์ทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบ!
ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นรายนามที่ว่ากับตา แต่ก็รู้ว่ามันมีอยู่จริงๆ และรู้ว่ามีเพียงตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์ทั้ง 81 แดนสวรรค์เท่านั้น ที่จะปรากฏชื่ออยู่ในรายนามดังกล่าวได้
ในระนาบเทวโลกทั้งมวล มีจักรพรรดิสวรรค์คนไหนที่ไม่ใช่ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในระนาบเทวโลกของตัว?
เช่นนั้นการจะถีบตัวให้ขึ้นไปติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของรายนามจักรพรรดิสวรรค์ได้ ก็บ่งบอกให้รู้แล้วว่าพลังฝีมือนั้น ต้องร้ายกาจเพียงใด!
‘จักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน สามารถติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของรายนามจักรพรรดิสวรรค์ได้…เช่นนั้นหมายความว่าในบรรดาจักรพรรดิสวรรค์ทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบ พลังฝีมือของมันร้ายกาจจนติดอยู่ 10 อันดับแรก!’
พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ยากเลยที่เขาจะประมาณได้ว่าจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนที่ว่าทรงพลังขนาดไหน
“ฮ่วนเอ๋อ”
ต้วนหลิงเทียนกุมมือฮ่วนเอ๋อเอาไว้แน่น เขาย่อมสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ฮ่วนเอ๋อในเวลานี้
“สำหรับขุมกำลังระดับสวรรค์ที่บุรุษของตู้เสวียนเคยอยู่ มันเรียกว่า ‘ขุนเขากระบี่ฟ้า’ เป็นขุมกำลังที่ตั้งรกรากอยู่ในระนาบจี้เมี่ยเทียน…”
พอจางฮั่นเทียนกล่าวถึงจุดนี้ มันก็หันไปมองจูเก่ออวิ๋นเล็กน้อย “ใต้เท้าจูเก่อทั้งสอง ก็คงรู้ดีว่าขุมกำลังนี้เป็นขุมกำลังของเหล่าเซียนกระบี่กระมัง?”
“อืม”
จูเก่ออวิ๋นพยักหน้า “จักรพรรดิสวรรค์แห่งจีเมี่ยเทียนส่วนใหญ่แล้ว ล้วนเป็นเซียนกระบี่ทั้งสิ้น…ด้วยเพราะเป็นคนบนหนทางเดียวกัน เช่นนั้นจี้เมี่ยเทียนก็เป็นดั่งแดนสวรรค์ของเหล่าเซียนกระบี่ก็ว่าได้ ขุมกำลังส่วนใหญ่ก็ล้วนเต็มไปด้วยมือกระบี่อันร้ายกาจ”
“จี้เมี่ยเทียน?”
พอได้ยินจางฮั่นเทียนกับจูเก่ออวิ๋นกล่าวถึงระนาบจี้เมี่ยเทียน ร่างต้วนหลิงเทียนก็อดสะท้านไปไม่ได้ และเขาก็นึกถึงจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ฟงชิงหยาง ที่นับได้ว่ามีชะตาข้องเกี่ยวกับเขาอย่างแยกไม่ออกขึ้นมาทันที
ฟงชิงหยางนั้น ถึงแม้เขาจะไม่เคยพบเคยเจออีกฝ่าย แต่เขาก็นับถืออีกฝ่ายเป็นอาจารย์แล้ว
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ทั้งหมดเพราะเขาได้รัสืบทอดเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่าง ‘ยอดใจกระบี่’ ที่ฟงชิงหยางเหลือทิ้งไว้…
เมื่อไม่นานมานี้ ตอนอยู่ในนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ที่เขากล่าวบอกจูเก่อฟงไปแต่แรกว่าไม่อาจรับผู้ใดเป็นอาจารย์ได้อีก ทั้งหมดเป็นเพราะฟงชิงหยาง
‘ข้าหวังเพียงว่าอาวุโสฟงชิงหยางจะไม่เกิดเรื่องอะไรในนรกอสุรา…หาไม่แล้วสักวันไม่เพียงแต่ข้าจะฆ่าอวิ๋นชิงเหยียนนั่น แต่ข้าจะล้างบางทั้งโคตรตระกูลอวิ๋นของมันให้สิ้นซาก!’
พอคิดถึงฟงชิงหยาง สองตาต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา รังสีฆ่าฟันเอ่อล้นออกมาขุ่นคลั่ง แลดูดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน
“ข้าเองก็รู้เพียงเท่านี้ล่ะ”
จางฮั่นเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มขื่นขม จากนั้นก็หันไปมองกล่าวฮ่วนเอ๋อ พลางโน้วน้ามออกมาว่า “แม่นางน้อย เรื่องบิดามารดาของท่าน ข้าเกรงว่ามันมิใช่เรื่องที่ท่านจะสามารถทำอะไรได้ในตอนนี้”
“อย่างไรก็ตาม…มารดาของท่านยังมีชีวิตอยู่แน่นอน”
กล่าวถึงจุดนี้ จางฮั่นเทียนก็สะบัดมือเรียกลูกแก้ววิญญาณออกมา และยื่นส่งให้ฮ่วนเอ๋อ “นี่เป็นลูกแก้ววิญญาณมารดาท่าน”
“ท่านแม่…”
ฮ่วนเอ๋อยื่นมือออกไปรับลูกแก้ววิญญาณ จากนั้นก็ถือมันไว้ด้วยสองมือ ก่อนหยาดน้ำใสจะไหลพรากออกมาจากดวงตาคู่งามของนาง
“แม่นางน้อย ข้าขอบังอาจแนะนำท่านเรื่องหนึ่ง…ก่อนที่ท่านจักมีพลังทัดเทียมจักรพรรดิอมตะสมญานาม ทางที่ดีขอท่านอย่าได้ก่อการวู่วามเด็ดขาด!”
จางฮั่นเทียนไหนเลยจะมองไม่ออก ว่าในแววตาของฮ่วนเอ๋อเต็มไปด้วยความปรารถนอันแรงกล้าที่จะเดินทางไปยังวังเทียนฉือในอู๋หยาเทียนเพื่อตามหาตู้เสวียน มันจึงชิงกล่าวเตือนเอาไว้แต่เนิ่นๆ
“ขอบคุณมากผู้เฒ่าจาง”
หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณจางฮั่นเทียนแล้ว เขาก็จูงมือฮ่วนเอ๋อ ก่อนจะเหินร่างจากไปพร้อมจูเก่อฟงและจูเก่ออวิ๋นทันที
หลังออกจากเผ่าจิ้งจอกมายา บรรยากาศในกลุ่มก็กลายเป็นเงียบงันอึมครึม
“พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋ออยากไปอู๋หยาเทียน”
ฮ่วนเอ๋อกล่าวกับต้วนหลิงเทียน
“ได้”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็เดาได้แต่แรกแล้วว่าฮ่วนเอ๋อต้องคิดไปยังอู๋หยาเทียนแน่นอน จุดประสงค์ก็ไม่พ้นหาทางเข้าร่วมวังเทียนฉือเพื่อจะได้มีหนทางพบเจอมารดา
และเขาเองก็เข้าใจอารมณ์ในตอนนี้ของฮ่วนเอ๋อดี จึงไม่คิดปฏิเสธ
“ไม่ได้!”
อย่างไรก็ตาม เสียงตอบรับของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นไม่ทันไร จูเก่ออวิ๋นก็โพล่งห้ามออกมาเสียก่อน “อาศัยพลังฝีมือของพวกเจ้าตอนนี้ คิดจะเดินทางไปหาความที่วังเทียนฉือในอู๋หยาเทียนยังต่างอะไรจากรนหาที่ตาย?”
“พวกเจ้าไปไม่ได้!”
จูเก่ออวิ๋นเอ่ยออกเสียงเข้ม
“อาวุโส…”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มอย่างขื่นขม และคิดจะส่งเสียงผ่านพลังกล่าวอธิบายให้จูเก่ออวิ๋นเข้าใจว่าทำไมเขาถึงตอบรับฮ่วนเอ๋อออกไป จูเก่ออวิ๋นก็ขัดจังหวะเขาอีกครั้ง “ข้าเองก็เข้าใจว่าตอนนี้ฮ่วนเอ๋อรู้สึกอย่างไร แต่พวกเจ้ามิอาจไปที่นั่นได้จริงๆ”
“เอาอย่างนี้เถอะ พวกเรากลับไปยังนิกายกระบี่หมื่นหายนะก่อน จากนั้นเจ้ากับฮ่วนเอ๋อก็ตั้งใจฝึกฝนบ่มเพาะที่นิกายไป ส่วนข้ากับพี่ฟงจะไปลองสืบข่าวเรื่องมารดาฮ่วนเอ๋อดู”
จูเก่ออวิ๋นกล่าว
ได้ยินคำพูดนี้ของจูเก่ออวิ๋น สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายขึ้นมาโดยพลัน เพราะหากจูเก่ออวิ๋นยินดีออกหน้าช่วยสืบหาเรื่องราวให้ฮ่วนเอ๋อ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ทั้งคู่สามารถฆ่าได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานาม เช่นนั้นการไปสืบเสาะเรื่องราวเฉยๆย่อมไม่น่าจะมีปัญหาอะไร!
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมาก”
ต้วนหลิงเทียนเร่งประสานมือกล่าวขอบคุณไปทันที เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายจะเพิกเฉยเรื่องนี้ก็ได้ แต่กลับยินดีออกหน้าช่วยเหลือ จึงนับว่าเป็นน้ำใจครั้งยิ่งใหญ่!
“ฮ่วนเอ๋อ ข้ากับพี่ฟงจะเดินทางไปวังเทียนฉือแห่งอู๋หยาเทียน เพื่อสืบหาเบาะแสที่อยู่บิดามารดาของเจ้าเอง…หากมารดาของเจ้ามิได้ถูกวังเทียนฉือคุมขังเอาไว้ เช่นนั้นหลังจากข้าพบตัวนางก็จักนำพานางกลับมา เพื่อให้พวกเจ้าได้พบกันอีกครั้ง”
จูเก่ออวิ๋นกล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา
“ขอบคุณผู้นำสาย”
ฮ่วนเอ๋อก็เร่งกล่าวขอบคุณจูเก่ออวิ๋นเร็วไว
ระหว่างเหินร่างเดินทางไปยังตำแหน่งที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกที่ใกล้ที่สุด หมายกลับสู่นิกายกระบี่หมื่นหายนะในแดนทักษิยุทธ์ของอวี้หวงเทียน ต้วนหลิงเทียนที่ฉุกคิดอะไรได้ขึ้นมา ก็อดหันไปเอ่ยถามจูเก่ออวิ๋นไม่ได้ “ผู้อาวุโส ท่านพอจะทราบเรื่องราวเกี่ยวกับนรกอสุรา ที่เป็น 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลกบ้างหรือไม่?”
“นรกอสุรา!?”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน สีหน้าจูเก่ออวิ๋นก็เปลี่ยนไปทันที กระทั่งจูเก่อฟงที่แลดูเฉยเมยเสมอ ท่าทียังเปลี่ยนเป็นเคร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ต้วนหลิงเทียน ไฉนอยู่ๆเจ้าถึงเอ่ยยถามเรื่องนรกอสุราขึ้นมาเล่า?”
จูเก่ออวิ๋นเอ่ยถาม
“พอดีผู้อาวุโสของข้าคนหนึ่ง ได้ถูกศัตรูบีบคั้นจนต้องหลบหนีเข้าสู่นรกอสุรา…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มเหยเก
“นรกอสุรานั้น เป็นดินแดนที่จัดว่าอันตรายและโหดร้ายอย่างยิ่งในบรรดา 7 แดนต้องห้ามแห่งระนาบเทวโลก ลือกันว่ามีเพียง 3 อันดับแรกในรายนามจักรพรรดิสวรรค์เท่านั้น…ถึงจะเข้าไปในนั้นแล้วอยู่รอดได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่เข้าไปยังส่วนลึกของนรกอสุรา”
จูเก่ออวิ๋นเอ่ยออกเสียขรึม “ผู้อาวุโสของเจ้า เว้นเสียแต่จะเป็นตัวตนขอบเขตเทพ…หาไม่แล้วการถูกบีบให้หลบหนีเข้าไป ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรอดชีวิตกลับออกมา”
“อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะไม่นานมานี้ก็มีคนที่ยังไม่ได้บรรลุถึงขอบเขตเทพ แต่สามารถรอดกลับออกมาจากนรกอสุราได้…ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นั้นก็สมควรเข้าไปยังส่วนลึกของนรกอสุรามาแล้วด้วย”
ทันใดนั้นเองจูเก่ออวิ๋นทำท่าราวกับพึ่งนึกอะไรได้ออก จึงพูดออกมา
“เป็นใครหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะหากมีคนที่สามารถรอดกลับออกมาจากนนรกอสุราได้ทั้งๆที่ยังไม่ทะลวงถึงขอบเขตเทพ เชนนั้นก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่อาวุโสฟงชิงหยางจะรอดกลับออกมาเช่นกัน!
“จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ฟงชิงหยาง!”
จูเก่ออวิ๋นกล่าว
“อะไร!?”
และวาจานี้ของจูเก่ออวิ๋น นับว่ามาเหนือเมฆจนทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตั้งตัวไม่ทันจริงๆ เขาไม่คิดเลยว่าจูเก่ออวิ๋นจะเอ่ยนาม ฟงชิงหยาง อาวุโสที่เขายึดถือเป็นอาจารย์ออกมา!
“อาวุโส…ท่านแน่ใจหรือว่าผู้ที่รอดกลับออกมาจากนรกอสุราก็คือฟงชิงหยาง?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอย่างอื้ออึง
“ไม่ผิดแน่!”
จูเก่ออวิ๋นพยักหน้า จากนั้นในแววตาก็ฉายความเคารพเลื่อมไสอยู่บ้าง “คนผู้นั้นไม่เพียงรอดชีวิตกลับออกมาจากนรกอสุราได้ แต่ยังหวนกลับไปยังวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ก่อนจะประหารคนที่ขึ้นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ตอนที่ตัวเองไม่อยู่ทิ้ง ทวงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์คืนกลับมาได้อย่างง่ายดาย!”
ด้วยมีวาจาเล่าเรื่องราวยืนยันนี้ของจูเก่ออวิ๋น ใบหน้าต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏรอยยิ้มแห่งความโล่งใจคลี่กางขึ้นทันที
เขากลัวว่าฟงชิงหยางจะเกิดเรื่องในนรกอสุราเพราะมีเขาเป็นต้นเหตุ ตอนนี้พอได้รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถรอดกลับออกมาได้ เขาย่อมรู้สึกโล่งใจเป็นธรรมดา
และในตอนนี้เองพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 ก็เดินทางมาถึงงเมืองหนึ่งและถึงอาคารจัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเรียบร้อย ทั้งหมดจึงเดินทางกลับแดนทักษินยุทธ์แห่งอวี้หวงเทียนทันที
จากนั้นไม่นานทั้งหมดก็กลับมาถึงนิกายกระบี่หมื่นหายนะ
ระหว่างเดินทางกลับมา ในใจต้วนหลิงเทียนปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้ง ว่าจะเดินทางไปยังจี้เมี่ยเทียนเพื่อขอพบอาวุโสฟงชิงหยางดีหรือไม่…
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ปัดความคิดดังกล่าวตกไป
‘ผู้อาวุโสฟงชิงหางตอนนี้อย่างไรก็เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ท่านไม่พ้นต้องทิ้งมรดกไว้ตามสถานที่ต่างๆมากมาย…ทั้งใต้หล้าก็กว้างใหญ่ไพศาลนัก ข้าเองก็เป็นแค่ผู้ที่ได้รับสืบทอดมรดกคนหนึ่งเท่านั้น’
‘ยิ่งไปกว่านั้นมรดกที่ข้าได้รับ ก็เป็นมรดกในระนาบโลกียะ…ไม่นับว่ามีค่าอันใดในระนาบเทวโลก’
ด้วยเพราะฉุดคิดได้ถึงเรื่องราวดังว่า ต้วนหลิงเทียนก็ล้มเลิกความคิดเดินทางไปยังจี้เมี่ยเทียนเพื่อพบเจอฟงชิงหยางทันที
เดิมทีเขาคิดจะไปหาฟงชิงหยาง ด้วยความคิดอุกอาจประการหนึ่ง อย่างขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ให้ออกหน้าช่วยแก้ไขปัญหาให้บิดามารดาฮ่วนเอ๋อ…
แต่พอฉุกคิดขึ้นมาอีกรอบ เขาก็นึกได้ว่าจะอย่างไรนั่นก็คือตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์! ใช่คนที่ใครขอให้ช่วยก็จะช่วยหรือ?!
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อกลับมาถึงนิกายกระบี่หมื่นหายนะแล้ว ด้านจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นก็จากไปอีกครั้ง…ไปอู๋หยาเทียน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น