War sovereign Soaring The Heavens 3240-3247

 WSSTH ตอนที่ 3,240 : แดนลับทวยเทพ


 


 


‘กงซุนจิ้ง…ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนข้าถึงรู้สึกคุ้นชื่อนี้นัก ที่แท้ข้าเคยฆ่าคนชื่อนี้มาก่อนนี่เอง…’


 


ก่อนหน้านี้ตอนซูหลี่กล่าวแนะนำชื่อกงซุนจิ้งออกมา ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าชื่ออีกฝ่ายมันคุ้นๆหูพิกล แต่นึกอยู่สักพักยังนึกไม่ออก


 


เมื่อเหินร่างมาพร้อมกับฮ่วนเอ๋อและซูหลี่จนเข้าใกล้มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนพลันนึกขึ้นได้


 


ก่อนหน้านี้ตอนเขายังอยู่ในคฤหาสน์เฉวียนโยว เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่เขาเข้าไปยังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางช่วงปลายเดือนนั้น เขาได้พบเจอศิษย์ของคฤหาสน์ปี้ชิงนามว่า กงซุนจิ้ง และอีกฝ่ายก็คิดลงมือสังหารเขาก่อน สุดท้ายเขาจึงฆ่ามันทิ้ง…


(ตอน 3,133)


 


หลังเห็นพวกต้วนหลิงเทียนเหินร่างไปได้ครึ่งทาง กงซุนจิ้งศิษย์สายซวนหยวนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ก็ตัดสินใจเหินร่างมาสมทบกับพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 เร็วไว


 


พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ ไม่เพียงจะพลังฝีมือเหนือกว่า อายุยังน้อยกว่ามันเป็นรอบ เรียกว่ามีอนาคตไกลกว่ามันทั้งสิ้น


 


หากไม่มั่นใจว่าปลอดภัย มีหรือตัวตนเช่นนี้จะเสี่ยงไปตายอย่างโง่งม?


 


ดังนั้นกงซุนจิ้งจึงติดตามมาด้วยความมั่นใจ


 


“พวกนั้นมันคิดจะทำอะไรกัน?”


 


เมื่อเห็นพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 กำลังเหินร่างมุ่งหน้าเข้าหามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัว อัจฉริยะหลายคนที่สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าว จึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย


 


“พวกมันคิดเข้าแดนลับทวยเทพก่อนเวลางั้นเหรอ?”


 


“พวกมันไม่กลัวตายหรือไร?”


 



 


เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายไม่ว่าจะคนของขุมกำลังระดับ 1 ก็ดี อัจฉริยะรากหญ้าก็ดี พอเห็นต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 4 เหินร่างเข้าไปหามังกรชั่วร้าย หัวใจพวกมันก็เริ่มระส่ำเต้นไปไม่เป็นจังหวะ


 


ในความเห็นพวกมัน เมื่อพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 เข้าใกล้มังกรชั่วร้ายมากพอ ไม่พ้นต้องถูกมังกรชั่วร้ายคู่นั้นเข่นฆ่าจนไม่เหลือซากแน่!


 


“รนหาที่ตาย!!”


 


กลุ่มศิษย์นิกายปีศาจพันกรนำโดยอวิ๋นเอี้ย มองจ้องพวกต้วนหลิงเทียนที่กำลังเข้าใกล้มังกรชั่วร้ายด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ หมายชมดูฉากการตายของทั้ง 4!


 


“ซูหลี่ นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร!?”


 


ทว่าด้านอวี่เทียนสิงกับคนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะนั้นหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างมาก และอวี่เทียนสิงอดไม่ได้ที่จะโพล่งเตือนซูหลี่ออกมา


 


ถึงแม้ว่าหากซูหลี่กับต้วนหลิงเทียนตายไป ตัวมันจะหวนกลับไปเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะอีกครั้ง…


 


แต่ชัยชนะที่ได้มาเพราะคนอื่นไม่อยู่นั้น มันช่างน่าสมเพชเหลือเกิน…


 


ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยมีซูหลี่กับต้วนหลิงเทียนอยู่ จะส่งผลเลิศล้ำต่อนิกายกระบี่หมื่นหายนะในภายภาคหน้าสุดที่จะจินตนาการได้ออก ตัวมันที่อุทิศชีวิตให้นิกายกระบี่หมื่นหายนะ ย่อมไม่อาจทนมองต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ตกตายได้!


 


แต่มันก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างเช่นกัน


 


กงซุนจิ้ง สิบในสิบสมควรถูกซูหลี่เรียกไป


 


เพราะก่อนหน้านั้นกงซุนจิ้งยังเหินร่างรวมกลุ่มกับพวกมัน กระทั่งคุยกันอยู่หลัดๆ


 


อย่างไรก็ตามได้ยินคำตะโกนเตือนของอวี่เทียนสิง ซูหลี่เพียงหันมามองด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นก็หันกลับไปเหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้าใกล้มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 มากขึ้นทุกขณะ


 


พอเห็นทั้ง 4 คนเข้าใกล้มังกรชั่วร้ายมากเข้า เหล่าอัจฉริยะที่ชมดูอยู่ล้วนคิดว่าทั้ง 4 ชะตาขาดแน่นอน


 


อย่างไรก็ตามฉากเรื่องราวต่อมาก็มีอันทำให้พวกมันต้องอ้าปากค้างกันเป็นแถบ!


 


เนื่องเพราะแม้พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 จะเข้าใกล้มังกรชั่วร้ายแล้ว แต่มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัวทำราวกับมองไม่เห็นทั้ง 4 คนอย่างไรอย่างนั้น! ปล่อยให้ทั้ง 4 เหินร่างลอยข้ามหัวพวกมันจนไปถึงประตูที่แง้มเปิดอยู่ ผลักเปิดประตูเบาๆ ก่อนจะเหินร่างเข้าไปหน้าตาเฉย


 


“ไม่เป็นอะไรจริงๆหรือเนี่ย?!”


 


ขณะที่เหินร่างข้ามหัวมังกรชั่วร้ายทั้งคู่มากงซุนจิ้งนั้นใจหายแว้บไปเลย แต่พอเห็นว่ามาถึงประตูก็แล้ว แต่มังกรชั่วร้ายยังไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีอะไร มันก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็เหินร่างเข้าประตูติดตามต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ กับซูหลี่ไปติดๆ


 


เมื่อทั้ง 4 ผลักเปิดประตูเพื่อเข้าไป เช่นนั้นประตูที่แต่เดิมแง้มเปิดเล็กน้อย ก็เปิดกว้างอ่าซ่า ราวกับกำลังเอ่ยคำ ‘มาสิๆ’ เชิญชวนให้ผู้คนตามเข้าไป


 


ด้านหลังประตูนั้น ทั้งหมดเห็นเพียงแสงสีเทาอันไร้ขอบเขตไม่อาจเห็นสิ่งใดได้ชัดเจน พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 ก็จมหายไปในแสงสีเทาดังกล่าวอย่างไร้ร่องรอย


 


“นี่มันอะไรกันแน่!?”


 


“มังกรชั่วร้าย 2 ตัวนั่น…หรืออาการตาฝ้าฟางมองไม่ชัดของมันพึ่งกำเริบ?”


 


“ทั้ง 4 คนทำได้อย่างไรกันแน่ พวกมันเข้าไปได้อย่างไร? ไฉนราวกับมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัวนั่นมองไม่เห็นพวกมัน?”


 



 


เหล่าอัจฉริยะรากหญ้าทั้งหลายที่เห็นพวกต้วนหลิงเทียนหายเข้าไปในประตู่สู่แดนลับทวยเทพหน้าตาเฉย อดไม่ได้ที่จะตะลึงพรึงเพริด ลูกตาแทบถลนออกเบ้าปากอ้าค้างกันเป็นแถบ!


 


กระทั่งอัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 ยังอดไม่ได้ที่จะเสียอาการ


 


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


 


หน้าของไป๋หลี่หงเฟยเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ หากมันไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง มันไม่มีทางเชื่อได้เลยว่าจะมีอัจฉริยะคนไหนสามารถฝ่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่นเข้าไปได้หน้าตาเฉยแบบนี้!


 


“มังกรชั่วร้าย…หรือตอนนี้มันไม่คิดโจมตีผู้ใดแล้ว?”


 


อัจฉริยะรากหญ้าคนหนึ่งครุ่นคิดอย่างลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดก็ตัดสินใจเคลื่อนร่างเข้าไปใกล้มังกรชั่วร้ายอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตามพอมันเข้าสู่อาณาเขตระวังภัยของมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 มันก็ถูกมังกรชั่วร้ายพ่นลมหายใจเข่นฆ่าทันที!


 


จังหวะนี้อัจฉริยะทั้งหลายพลันตระหนักได้ถึงความจริงอันน่าเหลือเชื่อประการหนึ่ง ไม่ใช่มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไม่โจมตีผู้คน เพียงแค่พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 มีกลวิธีบางประการที่ทำให้มังกรชั่วร้ายไม่โจมตี!


 


หลังจากนั้นอัจฉริยะทั้งหลาย ก็ได้ใช้กลวิธีมากมายเพื่อทดสอบมังกรชั่วร้าย ไม่ว่าจะยันต์อมตะเร้นกาย อุปกรณ์อมตะสนับสนุนอย่างผ้าคลุมล่องหน แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนไร้ประโยชน์ ทุกสิ่งอย่างถูกมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 มองออกอย่างง่ายดาย


 


กระทั่งยันต์อมตะล่องหนที่เฟิ่งชีชีนำออกมา ถึงจะมีพลังอำนาจหลอกได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะทั่วๆไป แต่ก็ถูกมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 มองออกทันที!


 


ซ้ำร้ายเฟิ่งชีชียังจ่ายราคาด้วยการบาดเจ็บเล็กน้อย


 


“ต้วนหลิงเทียน ซูหลี่…พวกมันเข้าไปได้อย่างไรกันแน่?”


 


“ไฉนไม่พาพวกเราเข้าไปด้วยเล่า!?”


 



 


อัจฉริยะของนิกายกระบี่หมื่นหายนะอดไม่ได้จะโอดครวญออกมาด้วยความไม่พอใจ


 


“พวกมันสมควรพาคนเข้าไปได้ไม่มาก…”


 


อวี่เทียนสิงเอ่ยออกเสียงเบา “ซูหลี่ผู้นั้นแม้ข้าจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับมันมาก แต่มันมิใช่คนจิตใจคับแคบที่จะไม่แยแสพวกเราแน่นอน เพราะหากมันเป็นคนจิตใจคับแคบ ท่านลุงข้าคงไม่ตีค่ามันสูงถึงขนาดนั้น”


 


“พวกเจ้าลองคิดดูเถอะ…หากมันไม่คิดจะพาผู้ใดเข้าไปด้วยจริงๆ มันจักเรียกกงซุนจิ้งไปคนเดียวทำอะไร? เพียงเพราะมันรู้จักกับกงซุนจิ้งมากกว่าใครแค่นั้นหรือ?”


 


กล่าวถึงจุดนี้อวี่เทียนสิงก็กล่าวชี้นำให้ทุกคนได้คิด


 


“แต่ไฉน…มันถึงเรียกกงซุนจิ้งไปแทนที่จะเป็นศิษย์พี่เทียนสิงเล่า…หรือมันเห็นว่าศิษย์พี่เทียนสิงด้อยกว่ากงซุนจิ้ง?”


 


เหอจ้าน ศิษย์นิกายกระบี่หมื่นหายนะสายจ้านลู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาเสียงหนัก


 


“มันย่อมมีความคิดของมัน”


 


อวี่เทียนสิงกล่าว


 



 


ส่วนอีกด้าน


 


หลังจากที่พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 เดินผ่านประตูเข้ามา ทุกคนเหินร่างต่อมาเล็กน้อยก็พบว่าอยู่ในม่านหมอกแห่งหนึ่ง


 


สุดท้ายด้วยมีแสงสลัวๆอยู่เบื้องหน้า ทั้งหมดจึงเหินร่างมาถึงโลกอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง


 


เพียงแค่โลกอันกว้างใหญ่นี้อยู่ในสภาพยับเยิน ประหนึ่งฟ้าถล่ม แผ่นดินพลิกคว่ำคะมำหงาย เห็นเศษซากแผ่นดินมหึมาเป็นแผ่นๆลอยล่องอยู่ทั่วไปหมด ในสายตาไม่มีสิ่งใดสมประกอบเลย


 


“ที่นี่คือ…ซากปรักหักพังของระนาบเทพที่ล่มสลายงั้นรึ?”


 


เมื่อเข้ามาสู่โลกนี้ สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ก็คือไอพลังวิญญาณฟ้าดินอันบริสุทธิ์เข้มข้นที่ปกคลุมไปทั่วร่าง กลิ่นอายพลังวิญญารฟ้าดินที่นี่แม้จะไม่หนาแน่นเหมือนในระนาบเทวโลก แต่เหมือนมันจะมีคุณภาพสูงกว่าพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทวโลกลิบลับ


 


“พี่หลิงเทียน ดูเหมือนพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่จะต่างออกไป…”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ฮ่วนเอ๋อเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดแปลกไปในสภาพแวดล้อมเช่นกัน


 


ด้านซูหลี่กับกงซุนจิ้งก็ตกใจไม่น้อย


 


ทั้ง 4 เดินพลังปรับตัวเข้ากับพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบอยู่ราวๆ 1 เค่อ ค่อยดึงสติกลับมาได้


 


“ต้วนหลิงเทียน ซูหลี่ ในเมื่อพวกเราเข้ามาได้แล้ว…เช่นนั้นพวกเราแยกย้ายกันไปแสวงโชคดีหรือไม่?”


 


กงซุนจิ้งกล่าวทักต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ด้วยรอยยิ้ม ทำท่าราวกับจะขออนุญาตแยกตัวจากไป


 


ในซากระนาบเทพนั้นไร้สิ่งใดอันตราย เรื่องนี้กงซุนจิ้งย่อมรู้ดี เพราะในวินาทีที่ระนาบเทพถูกทำลายและล่มสลายลง ค่ายกลรวมถึงสรรพชีวิตทั้งมวลที่อยู่ภายในก็จะถูกทำลายไปพร้อมๆกัน


 


“อืม”


 


ในขณะที่ซูหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวตอบเสียงเบา จากนั้นกงซุนจิ้งก็เหินร่างจากไปเร็วไว


 


“กงซุนจิ้งผู้นี้คงกลัวไม่ได้อะไรหากอยู่กับพวกเรา…”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มอ่อน


 


“หากมันคิดเช่นนี้ ก็นับว่ามันจิตใจคับแคบเกินไป…”


 


ซูหลี่ส่ายหัว


 


“ไปกันเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยชวนฮ่วนเอ๋อกับซูหลี่ จากนั้นก็สุ่มเหินร่างมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง ท่องไปในซากระนาบเทพอันกว้างใหญ่ไพศาลราวกับไร้จุดหมาย


 


แน่นอนว่ามันมันเป็นการสุ่ม ราวกับไร้จุดหมายสำหรับซูหลี่และฮ่วนเอ๋อเท่านั้น


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนไม่ใช่!


 


“ตรงไปอีกครึ่งลี้”


 


ในความคิดต้วนหลิงเทียน เสียงจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน หวงเอ้อ ดังขึ้นอีกครั้ง และเป็นหวงเอ้อกำลังนำพาต้วนหลิงเทียนไปยังอุปกรณ์เทพที่อยู่ใกล้ที่สุด!


 


ในที่สุด ต้วนหลิงเทียนก็มาหยุดลอยเหนือซากปรักหักพัง ที่แลดูเสมือนเศษซากพระราชวังหลังหนึ่ง


 


เป็นธรรมดาที่ไฉนเขาคิดว่ามันเป็นพระราชวังนั้น เพราะมันมีสิ่งปลูกสร้างมากมายที่โอ่อาแลดูหรูหรา ไม่ต่างอะไรกับสิ่งปลูกสร้างภายในวังเลย


 


“หืม?”


 


การที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็หยุดลง ทำให้ซูหลี่แปลกใจอยู่บ้าง


 


“ซูหลี่…เจ้าลองเข้าไปดูในนั้นสิ”


 


ต้วนหลิงเทียนชี้ไปยังจุดหนึ่งท่ามกลางซากปรักหักพัง ค่อยกล่าวบอกซูหลี่ต่อ “เจ้ามุดเข้าไปในซากตำหนักหลังใหญ่นั่นราวๆ 30 หมี่…น่าจะเจอกระบี่เล่มหนึ่ง”


 


“กระบี่?!”


 


ถึงแม้จะไม่ทราบว่าต้วนหลิงเทียนรู้ได้อย่างไรว่าตำแหน่งดังกล่าวมีกระบี่อยู่ แต่สองตาซูหลี่ก็ส่องแสงจ้าขึ้นมาเร็วไว


 


เพราะกระบี่ที่อยู่ในซากระนาบเทพ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นกระบี่สามัญธรรมดา!


 


ถึงแม้จะไม่ใช่กระบี่เทพ แต่อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ!


 


ฟุ่บ!


 


ถึงแม้จะไม่ได้เจอต้วนหลิงเทียนมาหลายปีแล้ว แต่ซูหลี่ก็ยังเชื่อใจต้วนหลิงเทียนอย่างไม่คิดคลางแคลงสงสัย เพราะมันรู้สึกว่าไม่แปลกอะไรหากต้วนหลิงเทียนจะทำเรื่องมหัศจรรย์


 


เหมือนดั่งเช่นก่อนที่จะเข้ามาที่นี่ มันคิดว่าคงไม่มีทางเข้ามาได้เร็วกว่าใคร แต่สุดท้ายสตรีข้างกายต้วนหลิงเทียนพูดไม่กี่คำ ก็เข้ามาได้แล้ว…


 


ซูมมม!!


 


ครึ่ก! ปงง!!


 



 


ร่างซูหลี่ห่อหุ้มไปด้วยแสงพลังกระบี่หนึ่ง ก่อนคนจะพุ่งทะลวงเจาะเข้าไปในซากปรักหักพังทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนบอกทันที


 


นับว่าเป็นการลงมือรวบรัดหมดจดนัก


 


ไม่นานนักซูหลี่ก็เหินร่างกลับมา และในมือมีกระบี่ประหลาดๆเล่มหนึ่งถือไว้ ใบกระบี่ครึ่งหนึ่งเป็นสีดำสนิทแลดูชั่วร้าย ส่วนอีกครึ่งกับเป็นสีแดงฉานปานโลหิตให้ความรู้สึกกระหายเลือด!


 


“เป็นอุปกรณ์เทพระดับกลาง น่าเสียดายที่จิตวิญญาณกระบี่ถูกทำลายไปแล้ว…ด้วยพลังฝึกปรือของชายผู้นั้น อานุภาพที่ตัวกระบี่จะปลดปล่อยออกมาได้ ก็คงไม่ต่างอะไรกับกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ”


 


เสียงหวงเอ้อพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอ่างประจวบเหมาะ “อย่างไรก็ตามแม้ตอนนี้อานุภาพหนุนเสริมพลังที่ใช้ได้จะพอๆกับกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ แต่ถ้านำไปฟันปะทะกันตรงๆ…กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิได้ถูกฟันหักแน่!”


 


“รอให้ชายผู้นั้นบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะก่อน ถึงแม้กระบี่เล่มนี้จักไร้จิตวิญญาณ แต่ก็สามารถใช้พลังอานุภาพของตัวกระบี่ได้ถึงอุปกรณ์เทพระดับต้น”


 


หวงเอ้อกล่าวสืบต่อ


 


ต้วนหลิงเทียนก็เอาคำพูดของหวงเอ้อมาบอกให้ซูหลี่ฟังอีกทอด


 


“อุปกรณ์เทพระดับกลาง!!”


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะพูด ซูหลี่ก็ชมมองกระบี่ด้วยความหลงไหลอยู่นานแล้ว แลดูถูกชะตากับกระบี่เล่มนี้อย่างไรไม่ทราบ


 


ตอนนี้พอมาได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ซูหลี่จึงเลือกที่จะยื่นส่งกระบี่มาให้ต้วนหลิงเทียนทันที “ต้วนหลิงเทียน กระบี่เล่มนี้เจ้าเอาไปเถอะ”


 


“เจ้าเก็บไว้เถอะหน่า ยังมาเกรงใจอะไรข้าอีกเล่า”


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่รับเอาไว้ เพียงส่ายหัวแล้วยิ้ม “เจ้าไม่ต้องห่วง…หลังจากนี้ ไม่ใช่แค่เจ้า ข้ากับฮ่วนเอ๋อไม่มีทางขาดแคลนอุปกรณ์เทพแน่”


 


ฟังคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน รวมกับการมุ่งหน้าตรงดิ่งมาของต้วนหลิงเทียนั้งแต่แรก ซูหลี่พลันตระหนักเรื่องราวอะไรได้ มันสูดลมหายใจเข้าลึกๆฟอดหนึ่ง เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ “ต้วนหลิงเทียน เจ้ารู้ได้อย่างไรกันแน่ว่าที่นี่มีกระบี่เทพเล่มนี้?”


WSSTH ตอนที่ 3,241 : มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไร้สติปัญญาจริงหรือ?


 


 


ก่อนที่จะพบเจอกระบี่เทพระดับกลาง ซูหลี่ยังไม่คิดอะไรมาก


 


ทว่าตอนนี้ด้วยยการนำทางของต้วนหลิงเทียนไม่เว้นการระบุตำแหน่งเมื่อครู่ ต่อให้ซูหลี่ความรู้สึกช้าแค่ไหน ก็ย่อมรู้ว่ามันไม่ใช่แล้ว!


 


“พอดีกระบี่ข้ามีจิตวิญญาณน่ะ ทำให้ข้าสามารถรับรู้ได้ว่าซากระนาบเทพใกล้ๆแถวนี้ มีอุปกรณ์เทพอยู่หรือไม่”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบพลางหัวเราะเบาๆ


 


ต่อหน้าซูหลี่เรื่องแค่นี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบัง เพราะเขารู้ว่าซูหลี่ไม่ขายเขาแน่


 


หากซูหลี่เป็นคนประเภทหักหลังสหาย เช่นนั้นตอนที่ยังอยู่ในอาณาจักรนภาล่อง ซูหลี่คงไม่เลือกแตกหักกับตระกูล ละทิ้งอนาคตด้วยการอพยพครอบครัวหลบหนี เพราะไม่ยอมช่วยตระกูลฆ่าเขาหรอก


 


“จิตวิญญาณกระบี่!?”


 


ซูหลี่อดประหลาดใจไม่ได้ เพราะมันรู้ดีว่ากระบี่ที่มีจิตวิญญาณกระบี่นั้นทรงพลังอานุภาพแค่ไหน จากน้อยๆก็ไม่ใช่อะไรที่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิจะเทียบได้แน่!


 


“ต้วนหลิงเทียน ข้าหลงคิดว่าข้าโชคดีมากๆแล้ว แต่ดูเหมือนโชคข้ายังคงเทียบกับเจ้าไม่ได้เลย”


 


ซูหลี่กล่าวอย่างทอดถอน


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเบาๆอีกรอบ ก่อนจะเดินทางไปในซากปรักหักพังพร้อมซูหลี่กับฮ่วนเอ๋อ


 


“ฮ่วนเอ๋อ ข้าจำได้ว่า…เหมือนคนด้านนอกจะพูดกันว่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไม่มีสติปัญญานี่นา แล้วเจ้าคุยกับพวกมันรู้เรื่องได้อย่างไรกัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเรื่องที่เขาสงสัยออกมา


 


พอได้ยินต้วนหลิงเทียนถาม ซูหลี่ก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นได้ จึงหันไปมองฮ่วนเอ๋อเพื่อรอฟังคำตอบเช่นกัน สองตาฉายแววอยากรู้ไม่น้อย


 


อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าหากเป็นสัตว์ที่ไร้สติปัญญานั้น เมื่อพบเจอผู้คนก็มีแต่จะลงมือจู่โจมทันทีตามสัญชาติญาณ ยากที่จะสื่อสารอะไรกันรู้เรื่อง


 


สัตว์กึ่งเทพก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


“พี่ใหญ่หลิงเทียน”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวอธิบายออกมาเร็วไว “มองไปในระดับหนึ่ง มังกรชั่วร้ายเสมือนสัตว์ไร้สติปัญญา…แต่ทั้งหมดเป็นเพราะพวกมันไม่อาจสื่อสารกับมนุษย์ได้ เนื่องจากพวกมันไม่เข้าใจภาษามนุษย์”


 


“นอกจากนั้นมังกรชั่วร้ายทุกตัวเมื่อเกิดมาก็จะมีความเกลียดชังมนุษย์แต่กำเนิดจากมรดกความทรงจำ เพราะบรรพบุรุษของพวกมันในอดีต เคยถูกมนุษย์จับไปเป็นทาส”


 


“ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่มังกรชั่วร้ายเห็นมนุษย์ ความคิดแรกก็คือเข่นฆ่าให้สิ้น…มนุษย์เองก็ไม่อาจสื่อสารกับมันได้ เช่นนั้นพอเวลาผ่านไปนานเข้าทุกคนจึงคิดว่ามังกรชั่วร้ายไร้สติปัญญา”


 


“อันที่จริงในฐานะสัตว์กึ่งเทพ โดยเฉพาะมังกรชั่วร้ายที่โตเต็มไวก็จะเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศอันทรงพลังแน่นอน…ตัวตนเช่นนี้จะไร้สติปัญญาได้อย่างไร?”


 


“หากไร้สติปัญญา ไหนเลยพวกมันจะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้มากมาย?”


 


ได้ยินคำพูดของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจทันที เพราะหากไร้สติปัญญามังกรชั่วร้ายจะเข้าใจกฏได้อย่างไร?


 


เข้าใจตามสัญชาตญาณ?


 


ในความทรงจำของเขา เท่าที่รู้มาสัตว์ไร้สติปัญญาส่วนใหญ่แทบจะใช้พลังของกฏไม่ได้


 


ถึงแม้จะมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสัตว์ที่เดิมทีมีสติปัญญา จนเมื่อเข้าใจกฏแล้ว แต่ดันสูญเสียสติปัญญาไปด้วยเหตุผลบางอย่าง


 


“แบบนี้นี่เอง”


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนเข้าใจ ซูหลี่ที่ฟังอยู่ก็ตระหนักได้เช่นกัน


 


“ต้วนหลิงเทียน ตอนนี้เจ้าพบกระบี่เทพระดับกลางให้ข้าแล้ว…ข้าว่าจะออกไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยหน่อย เจ้ากับฮ่วนเอ๋อไปต่อกัน 2 คนเถอะข้าไม่อยู่เป็นก้างดีกว่า”


 


หลังนิ่งงไปสักพัก ซูหลี่ก็หันไปเอ่ยกับต้วนหลิงเทียนพลางหัวเราะ


 


แน่นอนว่าเหตุผลที่มันอยากแยกตัวออกไป นอกจากเหตุผลอย่างที่เอ่ยออกมาแล้ว เป็นเพราะซูหลี่กังวลว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะหาอุปกรณ์เทพให้มัน


 


ถึงแม้การติดตามต้วนหลิงเทียนไปจะทำให้มันได้รับอุปกรณ์เทพมากมาย แต่ซูหลี่ไม่อยากใช้ประโยชน์จากต้วนหลิงเทียน


 


“ตามใจเจ้า ไว้เจอกัน”


 


ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าซูหลี่คิดอะไรอยู่? เช่นนั้นเมื่อซูหลี่พยายามกล่าวเพื่อปลีกตัวออกไป เขาก็ไม่คิดจะฝืนใจอีกฝ่าย


 


อย่างไรก็ตามก่อนซูหลี่จะจากไป ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมขอแลกลูกแก้ววิญญาณกับซูหลี่เอาไว้ เพื่อให้ติดต่อกันได้สะดวกๆ


 


ยิ่งไปกว่านั้น ข้อได้เปรียบหนึ่งเดียวในซากระนาบเทพของเขาก็คือการค้นหาอุปกรณ์เทพเท่านั้น


 


สำหรับโอกาสและวาสนาอื่นๆเขาก็ไม่มีข้อได้เปรียบอะไร


 


บางทีการที่ซูหลี่แยกจากเขากับฮ่วนเอ๋อไป อาจจะไปพบพานวาสนาประเสริฐของตัวเองก็ได้


 



 


ด้านนอก…ด้วยมีมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัวเฝ้าหน้าประตูเอาไว้ ทำให้ไม่มีอัจฉริยะคนไหนคิดจะลองดีอีก


 


“แป๊บๆ ก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ที่พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 นั่นเข้าไป…ถึงด้านในจะมีของงดีอะไร ป่านนี้พวกมันคงเอาไปหมดแล้วกระมัง?”


 


อัจฉริยะรากหญ้าคนหนึ่งพร่ำบ่น สองตามากล้นไปด้วยความอิจฉา


 


อย่างไรก็ตามหลังมันบ่นจบคำไม่ทันไร ศิษย์นิกายปีศาจพันกรคนหนึ่งก็พ่นลมสบถกล่าวแย้ง “เฮอะ! นั่นเป็นไปไม่ได้! เจ้ารู้หรือว่าซากระนาบเทพมันใหญ่โตเพียงใด?”


 


“ถึงแม้ซากระนาบเทพนั่นจักกลายเป็นนซากปรักหักพัง แต่ก็ไม่มีทางที่จอมราชันอมตะคนหนึ่งจะสามารถเดินทางไปทั่วได้ในเวลาแค่เดือนเดียว”


 


“อีกทั้งขณะเหินร่างเดินทางถ้ามันต้องคอยมองหาสมบัติไปด้วย ข้าเกรงว่าป่านนี้พวกมันยังเดินทางสำรวจไปไม่ถึง 1 ใน 1,000 ส่วนของทั้งซากระนาบเทพด้วยซ้ำ”


 


คำกล่าวของศิษย์นิกายปีศาจพันกรคนนี้ ก็มีอัจฉริยะหลายคนเห็นด้วย


 


ทันใดนั้นอัจฉริยะรากหญ้าที่ไม่รู้ว่าซากระนาบเทพเป็นอย่างไร ก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


“แต่ถึงแม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับพวกเรามากเพราะไปก่อน…แต่อย่างน้อยๆพวกมันก็มีเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม เว้นเสียแต่พวกมันจะดวงกุด…หาไม่แล้ววย่อมเก็บเกี่ยวได้มากกว่าพวกเราแน่นอน”


 


กระนั้น อัจฉริยะรากหญ้หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาอยู่ดี สุดท้ายพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 ก็เข้าไปก่อนตั้งหนึ่งเดือนเต็มๆ


 


วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


ไม่ทันไร ระยะเวลารอคอย 1 เดือนก็หมดลง


 


“วันนี้แดนลับทวยเทพสมควรเปิดให้พวกเราเข้าไป…ตลอดสามวันหลังจากนี้ พวกเจ้าจงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด หาไม่แล้วคงยากที่จะได้รับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน”


 


“อย่าได้หวังน้อยเลือกจะใช้เวลา 3 วันเพื่อบ่มเพาะเด็ดขาด พยายามตามหาอุปกรณ์เทพให้ได้สักชิ้น หาไม่แล้วก็เสมือนเสียโอกาสไปเปล่าๆ!”


 


“ซากระนาบเทพก็คืออดีตระนาบเทพที่อุดมสมบูรณ์ เพียงแค่ตอนนี้สรรพสิ่งดับสูญ ฟ้าถล่มแผ่นดินพลิกคว่ำ อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ระดับเทพมากมายของเทพนับไม่ถ้วนนั้นกระจัดกระจายอยู่ทั่ว แน่นอนว่าที่พบเจอง่ายๆสมควรโดนบรรพชนของพวกเราเอาไปเกือบหมดแล้ว”


 


“แต่เรื่องนี้ก็เป็นธรรมดา เพราะแดนลับทวยเทพก็มิใช่ว่าจะพึ่งเคยเปิดออกเป็นครั้งแรก…”


 


เหล่าผู้นำขุมกำลังระดับ 1 ต่างๆเริ่มเอ่ยกำชับความสำคัญให้ศิษย์น้องฟัง


 



 


และในที่สุด เวลาที่เหล่าอัจฉริยะรอคอยก็มาถึง มังกรชั่วร้ายเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว


 


ทั้งหมดเห็นว่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัว ได้แยกออกไปซ้ายขวา ราวกับเปิดทางให้ทุกคนเข้าสู่ประตูกลางหาวอย่างสะดวก


 


“เอ่อ มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่น…แค่ถอยไปข้างๆเนี่ยนะ? มันไม่ถูกส่งกลับไปหรือ?”


 


“หลบออกไปด้านข้างแบบนี้ เกิดมันหมั่นเขี้ยวพุ่งกลับมากัดพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”


 


“มีผู้ใดนำไปก่อนหรือไม่ ข้าไม่กล้าไป…เห็นว่ามังกรชั่วร้ายนี่มันไร้สติปัญญาไม่ใช่หรือไร? ใครจะแน่ใจได้ว่ามันจะไม่แว้งกัดเราจริงๆ?”


 



 


ถึงแม้มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 จะฉากหลบออกข้างเปิดทางให้เดินสะดวกแล้ว แต่เหล่าอัจฉริยะที่รอคอยยอยู่กับไม่มีใครอยากเป็นวิหกจ่าฝูง เรียกว่ารอดูเชิงกันอยู่ครึ่งค่อนวัน


 


สุดท้ายเฟิ่งชีชีของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณก็ออกตัวคนแรก เหินร่างนำคนของเผ่าหส์ฟ้าโบราณมุ่งตรงเข้าประตูไปอย่างราบรื่น…


 


เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชีชีรวมถึงคนของเผ่าหงส์ฟ้าสามารถผ่านประตูไปได้อย่างราบรื่น เหล่าอัจฉริยะที่รอดูเชิงทั้งหลายก็พากันระบายมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


เป็นธรรมดาว่า เริ่มมีคนที่เอะใจสงสัยอะไรบ้างแล้ว “เจ้ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่นมันไร้สติปัญญาแน่เหรอ? แล้วมันรูได้อย่างไรว่าตอนไหนต้องหลีกทางให้เรา ตอนไหนต้องกันไม่ให้พวกเราเข้าไป?”


 


“นั่นสิ หากบอกว่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไร้สติปัญญาข้าก็รู้สึกเชื่อไม่ลงจริงๆ”


 


“ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะไร้สติปัญญาเหมือนกัน”


 



 


ท่ามกลางเสียงซุบซิบด้วยความสงสัย ไป๋หลี่หงเฟยก็เหินร่างนำคนตระกูลไป๋หลี่เข้าประตูไป


 


จากนั้นคนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ นำโดยอวี่เทียนสิงก็ทยอยกันเข้าสู่แดนลับทวยเทพไปติดๆ


 


ขณะเดียวกันเหล่าอัจฉริยะรากหญ้าหลายคนก็เหินร่างทะยานเข้าประตูตามๆกันไป


 


เมื่อผู้ที่ยังหวั่นใจอยู่เห็นว่าทุกคนสามารถเข้าสู่ประตูกันได้อย่างราบรื่น พวกมันก็เริ่มมั่นใจว่าไร้เรื่องราวจึงพากันเหินร่างตามไปอย่างไม่รอช้า


 


และหลังจากที่กลุ่มของนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำที่นำโดยเอี้ยอู๋เต้าผ่านเข้าประตูไปหมดแล้ว อวิ๋นเอี้ย ก็เริ่มเหินร่างนำผู้คนของนิกายปีศาจพันกรมุ่งหน้าสู่ประตูเช่นกัน


 


อัจฉริยะรากหญ้าหลายคนก็เหินร่างไปด้วย


 


อย่างไรก็ตามเมื่อคนของนิกายปีศาจพันกรเหินร่างมาอยู่ระหว่างมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 เจียนจะผ่านพวกมันไปถึงประตูสู่แดนลับทวยเทพ ก็บังเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงไม่คาดฝันขึ้น!


 


“ฮู่มม—!!”


 


“ฮู่มม—!!”


 


พร้อมๆกันกับเสียงคำรามดุร้าย 2 สำเนียงสนั่นลั่นก้อง มังกรชั่วร้ายทั้งคู่ อยู่ๆก็หันมามองจ้องคนของนิกายปีศาจพันกร ปากกระหายเลือดอ้าออกกว้าง พ่นลมหายใจที่แลดูไม่ต่างใดจากลำแสงทำลายล้างออกมา ลบคนนิกายปีศาจพันกรทั้งหมดให้อันตรธานสาบสูญไปจากสวรรค์และโลกทันที…


 


เรียกว่าอวิ๋นเอี้ย รวมถึงศิษย์นิกายปีศาจพันกร ไม่มีใครรอดชีวิตสักคน


 


และคนที่ตกตายพร้อมพวกมัน ยังมีอัจฉริยะรากหญ้าบางส่วนที่เหินร่างอยู่ใกล้ๆ สิ่งนี้ทำให้อัจฉริยะคนอื่นๆที่กำลังเหินร่างตามมาด้านหลังหน้าเปลี่ยนสีทันที พากันหยุดร่างชะงักค้างลงกลางหาว มองจ้องเรื่องราวหน้าประตูด้วยความเสียขวัญ


 


“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น!?”


 


“คนของนิกายปีศาจพันกร…ตกตายหมดสิ้นแล้ว?”


 



 


พอเห็นเหล่าอัจฉริยะของนิกายปีศาจพันกร รวมถึงอัจฉริยะรากหญ้าบางส่วนถูกฆ่า เหล่าอัจฉริยะรากหญ้ารวมถึงคนของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ที่กำลังจะเหินร่างเข้าประตู ตอนนี้ก็ได้แต่ลังเลไม่กล้าเคลื่อนไหวทันที


 


กระทั่งเนิ่นนานผ่านไปก็ไม่มีใครขยับตัว


 


จนเมื่อ มังกรชั่วร้ายที่เข่นฆ่าสังหารคนของนิกายปีศาจพันกรเริ่ม ทำตัวเอื่อยเฉื่อยคล้ายจะฟุบลงนอน หลายคนก็เริ่มเอะใจสงสัยอะไรบางอย่าง


 


“พวกมัน…ไฉนถึงแลดูเหมือนจงใจจะฆ่าแต่คนนิกายปีศาจพันกรเล่า?”


 


“นั่นสิ แปลกประหลาดยิ่งนัก…คนอื่นๆของขุมกำลังระดับ 1 เข้าไปก็ไม่มีใครมีปัญหา ไฉนพอถึงตอนคนนิกายปีศาจพันกร พวกมันกลับลงมือเข่นฆ่า?”


 


“ไฉนข้ารู้สึกว่า…มันจงใจฆ่าคนนิกายปีศาจพันกรโดยเฉพาะ?”


 


“พวกเจ้าว่า…จะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกต้วนหลิงเทียนรึเปล่า?”


 


“นั่นน่ะสิ! เพราะสตรีข้างกายต้วนหลิงเทียนเป็นคนฆ่าอวิ๋นเซียวนายน้อยนิกายปีศาจพันกรไป จึงเป็นดั่งหนามยอกอกของนิกายปีศาจพันกร พอจับมารวมกับเรื่องที่พวกต้วนหลิงเทียนเข้าไปได้ก่อน ข้าว่าเรื่องนี้เอาจเกี่ยวข้องกับพวกมันจริงๆ”


 


“แล้วมันจะไปเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร? หรือเจ้าว่าพวกต้วนหลิงเทียนนั่นมันคุยกับมังกรชั่วร้ายแล้วบอกว่า ‘เฮ่ พี่มังกรขอพวกข้าเข้าไปก่อนนะ แล้วหลังจากนั้นพอคนปีศาจพันกรคิดจะเข้าก็ช่วยฆ่าให้ที’ แบบนี้รึ?”


 


“เหอะๆ เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่ใช่มังกรชั่วร้ายกึ่งเทพทั้ง 2 นั่นมันไร้สติปัญญาหรือไร?”


 


“เห็นขนาดนี้แล้วเจ้ายังคิดว่ามันไร้สติปัญญาอีกรึ?”


 



 


หลังคนของนิกายยปีศาจพันกรถูกฆ่าล้าง ก็ไม่มีใครคิดจะไปไหนอยู่ 2 เค่อ…


 


สุดท้ายก็มีอัจฉริยะรากหญ้าคนหนึ่งที่รวบรวมความกล้า ค่อยเหินร่างไปช้าๆราวเมฆคล้อย จนในที่สุดก็ผ่านเข้าประตูไปได้สำเร็จ…


 


แต่ต้นจนจบมังกรชั่วร้ายไม่แม้แต่จะเหลือบมองมันเลย


 


เมื่อมีผู้กล้าเปิด หลายคนก็ตามทันที


 


คนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ก็เช่นกัน


 


เมื่อคนที่อยู่ด้านหลังเห็นว่าไม่มีใครโดนมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 โจมตีอีกแล้ว นอกจากโล่งใจพวกมันยังอดสงสัยไม่ได้


 


ไฉนมังกรชั่วร้ายคู่นี้ ต้องเข่นฆ่าเฉพาะคนของนิกายปีศาจพันกรด้วย?


 


ที่แท้เป็นเรื่องบังเอิญ หรือตั้งใจกันแน่?


 


หากเป็นเรื่องบังเอิญก็แล้วไป แต่ถ้าจงใจ…หรือจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนและสตรีที่อยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียนจริงๆ?


 


หลายคนสับสนกับเรื่องนี้นัก



 

 

 


ตอนที่ 3242

 

ณ แดนลับทวยเทพ


 


ซากปรักหักพังของระนาบเทพในอดีต จากเดิมที่มีแต่ความเงียบเหงา พอมีเหล่าอัจฉริยะกรูกันเข้ามา ก็คล้ายจะหวนกลับมามีชีวิตชีวาทันใด


 


อย่างไรก็ตาม ผู้ที่พึ่งเหินร่างมาถึง ไม่มีใครคิดรั้งอยู่ใกล้ๆจุดเริ่มต้นสักคน ทั้งหมดเร่งรุดเหินร่างจากไปทันที ด้วยคิดว่าหากมีสมบัติใดๆอยู่ ก็ไม่พ้นคนที่มาก่อนต้องฉกฉวยไปหมดสิ้นแล้ว


 


พวกมันมีเวลากันแค่ 3 วันเท่านั้น ไมอาจมาเสียเวลาที่นี่ได้


 


“พลังวิญญาณฟ้าดินในซากระนาบเทพบริสุทธ์และมีคุณภาพสูงล้ำไม่ธรรมดาจริงๆ…ว่าแต่มันจะไม่เบาบางไปหน่อยหรือ? ไฉนข้ารู้สึกว่าต่อให้บ่มเพาะพลังที่นี่มันก็ไม่แตกต่างอะไรจากโลกภายนอกเลยเล่า?”


 


อัจฉริยะที่พุ่งเข้ามาหลายต่อหลายคนตระหนักถึงเรื่องนี้


 


“ขึ้นชื่อว่าข่าวลือเจ้าจะให้มันจริงสักเท่าไหร่เชียว…โอกาสในซากระนาบเทพล้วนมาในรูปแบบอุปกรณ์เทพอะไรมากกว่า การบ่มเพาะพลังคงไม่ได้ให้ผลอะไรมากหรอก อย่าได้เสียเวลาบ่มเพาะที่นี่เลย”


 


“ใช่ รีบเข้าไปลึกๆกันเถอะ ไม่แน่พวกเราอาจจะโชคดีได้อุปกรณ์เทพติดไม้ติดมือกันไปคนละชิ้นสองชิ้นก็เป็นได้”


 



 


ซากปรักหักพังของระนาบเทพที่ล่มสลายนั้น ทุกคนเคยได้ยินข่าวลือมาว่ามันเป็นดั่งสรวงสวรรค์ของการบ่มเพาะ…แต่ตอนนี้เหล่าอัจฉริยะที่เข้ามา กลับไม่พบว่ามันจะมีอะไรพิเศษแบบนั้น!


 


“คุณภาพและความบริสุทธิ์ของพลังวิญญาณฟ้าดินมันเหนือกว่าระนาบเทวโลกลิบลับเลยก็จริง…แต่จักไม่เบาบางเกินไปหน่อยหรือ? ศิษย์พี่เทียนสิงท่านว่ามันแตกต่างจากคำ ‘ดินแดนศักดิ์สิทธ์แห่งการบ่มเพาะ’ ที่นิกายเราบันทึกไว้หรือไม่?”


 


เหอจ้านกับเหล่าศิษย์นิกายกระบี่หมื่นหายนะ หันไปมองถามอวี่เทียนสิงที่เหินร่างนำอยู่ด้านหน้าด้วยความสงสัย


 


“อืม แตกต่างจากที่ข้าเคยได้ยินมาจริงๆ…”


 


อวี่เทียนสิงพยักหน้าตอบรับ “ที่สำคัญยังถือว่าห่างไกลจากในบันทึกลิบลับ…หรือบางทีกลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่จะค่อยๆจางหายไปตามกาลเวลา?”


 


ไม่เพียงแต่อวี่เทียนสิงกับเหอจ้านและคนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะเท่านั้น อัจฉริยะจากขุมกำลังอื่นๆก็งุนงงไม่แพ้กัน


 


เป็นธรรมดาว่าพวกมันก็คาดเดาไปทำนองเดียวกับอวี่เทียนสิง


 


หากจะถามว่าในบรรดาอัจฉริยะทั้งหมด มีใครที่คิดต่างออกไป เห็นทีคงจะมีแค่ ซูหลี่ กับ กงซุนจิ้ง!


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไฉนผ่านไปแค่เดือนเดียว แต่พลังวิญญาณฟ้าดินในซากปรักหักพังของระนาบเทพกลับเบาบางลงเรื่อยๆถึงจุดนี้ได้? ตอนนี้ให้เทียบกับความหนาแน่นของพลังวิญญาณฟ้าดินจากวันที่เข้ามา มันยังเหลือไม่ถึง 1 ใน 100 ส่วนด้วยซ้ำ!”


 


กงซุนจิ้ง ที่เหินร่างท่ามกลางซากปรักหักพังมุมหนึ่งของซากระนาบเทพ อดไม่ได้ที่จะงุนงง


 


มันเข้ามาอยู่ในนี้ได้เดือนนึงแล้ว…


 


ตลอดเดือนที่ผ่านมา มันสัมผัสได้ชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณฟ้าดินในสภาพแวดล้อมโดยรอบ วันแรกนั้น ทุกที่ท่างหนาแน่นไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดิน หากทว่าแต่ละวันที่ผันผ่านมันกับลดลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายตอนนี้มันก็แทบไม่เหลือเลย…


 


ซากระนาบเทพ แม้จะเป็นซากปรักหักพังของระนาบเทพที่ล่มสลายไปแล้ว แต่ยังกว้างใหญ่ไพศาลสุดจินตนาการนัก


 


หากทว่าในสถานที่อันใหญ่โตเหนือจินตนาการแห่งนี้ เพียงช่วงเวลาสั้นๆแค่หนึ่งเดือน พลังวิญญาณฟ้าดินกลับหายสาบสูญไปกว่า 99 ใน 100 ส่วน!


 


“หรือเพราะการเข้ามาของงพวกเรา มันขัดต่อกฏเกณฑ์ฟ้าดินที่นี่?”


 


ในขณะที่กงซุนจิ้งงงงวย ซูหลี่เองก็อื้ออึงไม่แพ้กัน


 


เพียงแค่ต่อให้เป็นซูหลี่เอง ก็ไม่อาจจินตนาการได้ออกเลย ว่าความเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณฟ้าดินมากมายมหาศาลในซากระนาบเทพแห่งนี้ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา…ทั้งหมดเป็นเพราะสหายประเสริฐของมัน ต้วนหลิงเทียน!


 


ณ สถานที่แห่งหนึ่งในซากระนาบเทพ ดั่งห้วงลึกไร้ก้นบึ้ง


 


ในห้วงลึกไร้ก้นบึ้งดังกล่าว ปรากฏดวงแสงหนึ่งที่ส่องสว่างเจิดจ้าปานดวงตะวัน


 


ด้านข้างของดวงแสงดังกล่าว มีสตรีนางหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ และหากสังเกตให้ดีจะพบว่าต่อให้นางไม่ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน แต่พลังวิญญาณฟ้าดินก็ยังหลั่งไหลเข้าร่างของนางอยู่ดี


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่พลังวิญญาณฟ้าดินดังกล่าวจะไหลเข้าสู่ร่างนาง มันได้ผ่านดวงแสงที่สว่างจ้าปานตะวันนั่นก่อน ทั้งยังเป็นกระแสพลังบริสุทธิ์ที่ไหลมาอย่างต่อเนื่อง มองไปคล้ายเส้นไหมเชื่อมระหว่างสตรีนางนี้กับดวงแสงจ้าอยู่บ้าง


 


และดวงแสงเจิดจ้าปานตะวันที่ว่า หากดวงตาใครสามารถทนมองผ่านแสงสว่างเข้าไป ย่อมพบว่าต้นตอของดวงแสงที่ว่ากลับเป็นร่างคนๆหนึ่ง! เป็นร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่กำลังนั่งขัดสมาธิเดินพลังด้วยสีหน้าจริงจัง และแสงสว่างจ้าปานดววงตะวันก็คือพลังวิญญาณฟ้าดินบริสุทธิ์ ที่ถูกควบรวมออกมาปานรังไหมให้ฮ่วนเอ๋อได้ดูดซับสะดวกๆ!!


 


“กิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ…พอผสานเข้ากับพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่กำลังจะตายในซากปรักหักพังของระนาบเทพแห่งนี้ รวมถึงดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเกือบทั้งหมดในซากระนาบเทพนี่…ไม่คิดเลยว่ามันจะหวนกลับมาเป็นพฤกษาเทพกำเนิดชีพสมบูรณ์ต้นมหึมาได้อีกครั้ง!”


 


ตอนนี้เมื่อต้วนหลิงเทียนมองไปยังโลกภายในร่างเขา ก็สามารถเห็นได้ชัดเจน


 


กลางโลกใบเล็กของเขา กิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพจากเดิมที่ไม่ต่างอะไรจากต้นกล้าเล็กๆ บัดนี้ได้กลับกลายเป็นต้นไม้ใหญ่โตมหึมา ราวกับจะตระหง่านเย้ยฟ้าดิน เปล่งกลิ่นอายพลังชีวิตมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา


 


สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้ภายในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน กลับอุดมไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินของซากระนาบเทพ เรียกว่าหนาแน่นบริบูรณ์จนแทบจะกลั่นตัวเป็นโคลนเหลว


 


“เจ้าหนู…ข้าว่าชาติก่อนเจ้าต้องเคยกอบกู้มหาสหัสไตรโลกธาตุมาแน่ๆ”


 


ภายในร่างเขาปรากฏเสียงเด็กน้อยปากยยังงไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้น ฟังแล้วแลท่าจะยังตกใจไม่หาย “ข้าว่าตั้งแต่ยุคบรรพโกลาหลจวบจนปัจจุบัน คงมีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่มีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย ได้รับกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพ รวบรวมเทพเบญจธาตุได้ครบ และได้เข้าสู่ซากระนาบเทพแบบนี้”


 


“วารีเทพชำระโลกาที่เจ้ายัดเยียดให้เจ้าหยูหวงเจียหลงนั่น สุดท้ายในซากระนาบเทพนี่ เจ้าไม่เพียงได้พบเจอพฤกษาเทเทพกำเนิดชีพที่กำลังจะตาย แต่ยังพบเจอวารีเทพชำระโลกาอีก…แถมยังเป็นวารีเทพชำระโลกาขั้น 5 อีกด้วย!”


 


กล่าวถึงจุดนี้เสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ฟังดูเหลือเชื่อ เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ข้าเกรงว่าโลกใบเล็กในร่างข้า คงไม่อาจฝืนดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินจากซากระนาบเทพมาเก็บไว้ทั้งหมดได้กระมัง?”


 


ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมา


 


ก่อนจะเข้าสู่ซากระนาบเทพ เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้พบเจอมหาโชคเทียมฟ้าขนาดนี้


 


เดิมทีเขาคิดว่าจะเข้ามากอบโกยอุปกรณ์เทพเพราะมีหวงเอ้อ ที่ไม่ต่างอะไรจากเรดาร์ในโลกเก่าเขาเลย แค่นางคือเรดาร์หาอุปกรณ์เทพเท่านั้น


 


ทว่าเขาไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าอยู่มาวันหนึ่ง กิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพในร่างเขากลับชักจูงเขา จนไปพบเจอพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่กำลังจะตายในซากระนาบเทพเข้า…!


 


ระนาบเทพทุกระนาบ ล้วนมีพฤกษาเทพกำเนิดชีพดำรงอยู่


 


ยามเมื่อระนาบเทพถูกทำลาย ปกติแล้วพฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ไม่อาจอยู่รอดได้เช่นกัน แต่ทว่าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพฤกษาเทพกำเนิดชีพในซากระนาบเทพแห่งนี้กลับสามารถรอดชีวิตมาได้…และที่มันรอดมาได้ก็เพราะวารีเทพชำระโลกา!


 


ทว่าราคาในการรักษาชีวิตของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ก็ทำให้วารีเทพชำระโลกาดังกล่าวได้ถดถอยจากขั้นที่ 9 ลงมาถึงขั้นที่ 5!!


 


วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 9 นั้น เรียกว่ามันคือเทพเบญจธาตุที่สามารถช่วยให้คนผู้หนึ่งบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดได้แล้ว


 


เจ้าของเดิมของมัน และยังเป็นเจ้าของพฤกษาเทพกำเนิดชีพในระนาบเทพแห่งนี้ เดิมทีกำลังจะทะลวงถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่แล้ว แถมยังเป็นคนแรกอีกด้วยที่กำลังจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเพราะพฤกษาเทพกำเนิดชีพ!


 


อนิจจาในช่วงเวลาที่มันกำลังจะทะลวงถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด กลับถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดคนอื่นล่วงรู้ และโดนบุกมาเข่นฆ่าสังหาร กระทั่งแกนกลางของระนาบเทพแห่งนี้ก็ถูกทำลายลงไปเช่นกัน


 


ในช่วงเวลาที่แกนกลางของระนาบเทพถูกทำลาย สำนึกสติของพฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ได้ถูกทำลายลงไปด้วย ถึงแม้วารีเทพชำระโลกาจะยังสามารถรักษาสำนึกสติของตัวเองเอาไว้ได้ แต่เพื่อรักษาพฤกษาเทพกำเนิดชีพเอาไว้ จึงได้แต่ใช้พลังของตัวเองค้ำจุน จนในที่สุดก็ถดถอยกลับมาเป็นวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 5


 


มันปกป้องพฤกษาเทพกำเนิดชีพเอาไว้ จนในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็มาพบเจอ


 


ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย ยังสามารถทำให้พฤกษาเทพกำเนิดชีพยอมรับเป็นนายได้ล่วงหน้า และนอกจากทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน เขายังมีพฤกษาเทพครองสวรรค์ขั้นที่ 1 ติดตัวอยู่ด้วย…


 


ต่อมาภายใต้การจัดการของวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 5 พฤกษาเทพกำเนิดชีพของซากระนาบเทพแห่งนี้ก็ได้ผสานหลอมรวมเข้ากับกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน


 


“เทพเบญจธาตุทั้ง 5 บรรจบ มหาค่ายกลเบญจธาตุผ่านฟ้า!”


 


จากนั้นภายใต้การชี้นำของวารีเทพชำระโลกา 4 เทพเบญจธาตุในร่างต้วนหลิงเทียน ก็ได้ร่วมมือกันสร้างมหาค่ายกลไว้ในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็งุนงงเพราะไม่เห็นว่ามหาค่ายกลที่ว่าจะทำอะไรได้เลย แต่ทันทีที่คิดแบบนี้ เขาก็สัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณฟ้าดินในซากระนาบเทพ…กำลังถูกมหาค่ายกลดังกล่าวชักนำเข้ามากักเก็บในโลกใบเล็กของเขาด้วยความเร็วอันน่าพรั่นพรึง!!


 


เรียกว่ามหาค่ายกลดังกล่าว เป็นมหาค่ายกลที่ท้าทายสวรรค์อย่างแรง!!


 


จากนั้นในขณะที่มหาค่ายกลดำเนินการ เทพเบญยจธาตุทั้ง 5 ในร่างของเขาก็ประสบกับความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง…ทั้งหมดยกระดับพัฒนาไปถึงขั้นที่ 6 ในคราวเดียว!


 


กล่าวได้ว่าครั้งนี้ผู้ที่ก้าวหน้าน้อยที่สุดก็คือตัววารีเทพชำระโลกาเอง


 


ผู้ทีบังเกิดการกระดับพัฒนายิ่งใหญ่กว่าใครเพื่อนก็คือ พฤกษาเทพครองสววรรค์ เพราะมันพุ่งพรวดจากขั้น 1 มาถึงขั้น 6 ในคราเดียว!


 


“พี่หญิงพี่สุ่ยขา เมื่อไหร่ข้าจะพัฒนาเป็นขั้นที่ 7 ได้อ่า?”


 


เมื่อพฤกษาเทพครองสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนเริ่มก่อเกิดสำนึกเทวะ  นางก็ประสบกับความก้าวหน้ารวดเร็วฉับไวกว่าใคร และความก้าวหน้าทั้งหมดของนางเป็นวารีเทพชำระโลกานำพามา นางจึงยึดถือวารีเทพชำระโลกาเป็นพี่สาวคนสนิท


 


“น้องหญิงมู่…มหาค่ายกลเบญจธาตุหลอมฟ้า แม้จะปล้นชิงพลังวิญญาณฟ้าดินจากทั่วทั้งซากระนาบเทพแห่งนี้มา จนช่วยยกระดับพวกเราจนถึงขั้นที่ 6 ได้ แต่นั่นก็นับเป็นขีดจำกัดแล้ว…หากเจ้าคิดจะพัฒนาต่อไปมีแต่ต้องหาวิธีอื่นเท่านั้น”


 


เสียงของพฤกษาเทพครองสวรรค์กับวารีเทพชำระโลกาล้วนเป็นเสียงของสตรีด้วยกันทั้งคู่


 


อย่างไรก็ตาม เสียงของพฤกษาเทพครองสวรรค์กลับไม่เหมือนเสียงของวารีเทพชำระโลกาที่เติบโตเป็นสาวแล้ว เสียงนางยังฟังเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งเท่านั้น


 


“งั้นหรือ?”


 


เห็นได้ชัดว่าพฤกษาเทพครองสวรรค์จ๋อยลงทันที


 


“หนูน้อยมู่เอย…แค่เดือนเดียววิวัฒน์จากขั้นที่ 1 เป็นขั้นที่ 6 เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ?”


 


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าววกับพฤกษาเทพครองสวรรค์ด้วยวาจาราวอาวุโสกล่าวปรามรุ่นเยาว์ หากแต่เสียงเด็กน้อยยังไม่หย่านมของมัน ไม่ได้มีอานุภาพสะกดผู้ใดได้เลย


 


“น้องถู เสียงเจ้าเด็กน้อยมากเลย…รอวันหลังเมื่อพวกเราจำแลงกายได้เมื่อไหร่ ต้องปล่อยให้พี่สาวหยิกแก้มตุ้ยนุ้ยน่ารักของเจ้าเล่นด้วย”


 


พฤกษาเทพครองสวรรค์กล่าวด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน


 


“ข้าพูดไปกี่รอบแล้วว่าข้าไม่ใช่น้องถู! สำนึกสติของเจ้าพึ่งจะก่อเกิดมาไม่ถึงเดือนที แต่ริอาจเรียกข้าว่าน้องรึ! ตัวข้าก่อเกิดสำนึกเทวะมาเนิ่นนานกว่าเจ้าเป็นร้อยๆเท่า! เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ชายรู้หรือไม่!?”


 


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวค้านอย่างไม่ยินยอม


 


เดิมทีทองเทพสุดลี้ลับกับเพลิงเทพโกลาหลก็แลดูไม่สนใจมันอยู่แล้ว


 


กับวารีเทพชำระโลกาที่สามารถช่วยให้มันยกระดับกลายเป็นขั้น 6 ในเวลาอันสั้นแถมอีกฝ่ายยังดำรงอยู่มาเนิ่นนานยิ่งกว่าเพลิงเทพโกลาหล ทองเทพสุดลี้ลับ รวมถึงตัวมันมากมาย เช่นนั้นมันย่อมไม่กล้าหืออือ


 


แต่ตอนนี้พฤกษาเทพครองสวรรค์ที่พึ่งจะก่อเกิดสำนึกสติได้ไม่ถึงเดือนดี กลับคิดจะกดหัวมันและเรียกหามันว่าน้องชายอีก?


 


“อัยยะ เสียงเด็กน้อยเช่นนี้ยังคิดเป็นพี่ชายข้าหรือ…น้องถูเจ้าโง่รึเปล่า?”


 


เสียงเย้ยเยาะของพฤกษาเทพครองสวรรค์ดังขึ้นอีกรอบ ทำให้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินหัวร้อนแทบตาย อยากได้วิธีทำให้เสียงของมันเป็นหนุ่มใหญ่เหลือเกิน…


WSSTH ตอนที่ 3,243 : พลังของเทพเบจธาตุ


 


 


 


ตอนนี้เทพเบญจธาตุทั้งหมด ได้ทิ้งร่างจริงไว้ในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนแล้ว ยามเมื่อพวกมันจำแลงกายก็จะอยู่ในโลกใบเล็กของเขาด้วย


 


และเมื่อเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ของเขาบรรลุถึงขั้นที่ 6 ไม่เพียงแต่พวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ยังสามารถช่วยต้วนหลิงเทียนได้เพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนมาก!


 


ตอนที่ทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล กับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน อยู่ในขั้นที่ 2-3 ก็นับว่าช่วยเขาได้ไม่น้อยแล้ว


 


ตอนนี้ทั้งหมดกลับยกระดับไปถึงขั้นที่ 6! ย่อมช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนได้เพิ่มขึ้นหลายขุม!!


 


‘ตอนนี้ดีที่มีโลกใบเล็กให้ทุกคนอาศัยอยู่แล้ว แถมอาศัยแค่หนึ่งห้วงคิดก็สามารถปิดกั้นโลกใบเล็กจากโลกภายนอก ไม่ให้เห็นว่ากำลังทำอะไรอยู่ได้ทันที’


 


ถึงแม้ว่าแต่ก่อน การคงอยู่ของทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล รวมถึงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินจะช่วยเหลือเขาได้มาก


 


อย่างไรก็ตามเขารู้สึกเสมือนเปลือยเปล่าต่อหน้าทั้ง 3 เพราะไม่อาจปิดบังอะไรได้เลย


 


ยังดีที่ภรรยาทั้ง 2 ของเขาไม่อยู่ใกล้ๆ ไม่งั้นเกรงว่าจะทำการบ้านกับภรรยาก็คงต้องระแวง


 


แต่ตอนนี้เมื่อเขาเปิดโลกใบเล็กได้แล้ว และเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ได้ทิ้งร่างจริงไว้ในโลกใบเล็ก เช่นนั้นหากเขาคิดจะทำอะไรที่เป็นส่วนตัวอย่างเช่นทำรักกับภรรยา ก็สามารถปิดโลกใบเล็กในร่างในความคิดเดียว ป้องกันไม่ให้ทั้งหมดแลเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก


 


‘เหมือนข้ามีลูกน้อยเพิ่มมาเป็น 2 คนจริงๆ…’


 


ต้วนหลิงเทียนพบว่าจะปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ดี หรือพฤกษาเทพครองสวรรค์ที่พึ่งตื่นขึ้นก็ดี ไม่เพียงแต่น้ำเสียงจะฟังดูไร้เดียงสา แต่บุคลิกภาพยยังแลดูไร้เดียงสาอีกด้วย ประหนึ่งเด็กน้อย 2 คนที่ยังไม่โต


 


เพลิงเทพโกลาหล ทองเทพสุดลี้ลับ กับวารีเทพชำระโลกาที่พึ่งมาใหม่นั้น หนึ่งเหมือนผู้ชราผ่านโลกมามาก อีกหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนเคร่งขรึมจริงจัง อีกหนึ่งเป็นดั่งสาวใหญ่วัยทำงาน…


 


‘บางทีเสียงของเหล่าเทพเบญจธาตุก็จะเกี่ยวพันถึงบุคลิกภาพของพวกมันด้วย’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


‘นับจากวันเวลา ตอนนี้พวกอัจฉริยะทั้งหลายคงเข้ามากันแล้ว เวลาที่อยู่ในซากระนาบเทพได้ก็เหลืออีกแค่ 2 วันสินะ’


 


ต้วนหลิงเทียนคำนวณเวลาเล็กน้อย หลังสูดลมหายใจเข้าปอดฟอดหนึ่งเขาก็ลุกขึ้นยืนในอากาศ จากนั้นแสงพลังสีขาวที่สว่างจ้าดั่งดวงตะวัน ก็ถูกดูดรั้งเข้ามาในร่าง หวนคืนสู่โลกใบเล็กของเขา


 


‘พลังวิญญาณฟ้าดินแทบทั้งหมดในซากระนาบเทพ ตอนนี้สมควรถูกนำมากักเก็บไว้ในโลกใบเล็กของข้าแล้ว…’


 


เมื่อรวมรั้งพลังที่ถักทอปานรังไหมสว่างจ้ากลับเข้าร่าง ต้วนหลิงเทียนที่ลองแผ่สัมผัสออกไปรอบกาย ก็พบว่าพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศของซากระนาบเทพมันเบาบางจนแทบไม่เหลือ ยังเหลือไม่ถึงหนึ่งในร้อยของวันแรกที่เข้ามาด้วยซ้ำ!


 


“พี่หลิงเทียน”


 


หลังพลังบริสุทธิ์ที่ถูกต้วนหลิงเทียนเร่งเร้าออกมารอบร่างดั่งรังไหมหายไป ฮ่วนเอ๋อที่อาศัยพลังดังกล่าวบ่มเพาะก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาทันที


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนพบว่าฮ่วนเอ๋อไม่ได้บ่มเพาะถึงช่วงสำคัญอะไร เช่นนั้นพอเขารั้งพลังคืนกลับ นางก็ย่อมไม่มีพลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาลให้ดูดซับอีก เพราะอาศัยแค่พลังวิญญาณฟ้าดินในซากระนาบเทพตอนนี้ แม้นางจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน ก็แทบดูดซับมาไม่พอให้บ่มเพาะด้วยซ้ำ…


 


“ฮ่วนเอ๋อ ได้เวลาที่พวกเราต้องไปจากที่นี่แล้ว…ยังเหลือเวลาอีก 2 วัน พวกเราไปลองตระเวนรอบๆดูเถอะ เผื่อจะหาอุปกรณ์เทพเพิ่มได้สัก 2-3 ชิ้น”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับฮ่วนเอ๋อ


 


เดือนก่อนหลังจากช่วยหากระบี่เทพระดับกลางให้ซูหลี่แล้ว เขาก็พาฮ่วนเอ๋อไปหาอุปกรณ์เทพได้แค่ 3 ชิ้นเท่านั้น ก่อนจะถูกกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพชักนำให้มาที่นี่


 


ในเมื่อเหลือเวลาอีกแค่ 2 วัน เขาก็เลยคิดพาฮ่วนเอ๋อออกไปตระเวนหาสมบัติเพิ่ม


 


“อื้อ”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวตอบต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็พากันเหินร่างขึ้นไปจากสถานที่ๆไม่ต่างอะไรจากห้วงลึกไร้ก้นบึ้งแห่งนี้


 


และในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินทางกลับขึ้นมานั้นเอง


 


ด้านนอกห้วงลึกไร้ก้นบึ้ง ปรากฏร่างไม่กี่ร่างลอยอยู่ และพวกมันทั้ง 3 ก็คืออัจฉริยะของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ แต่ละคนกำลังขมวดคิ้วมองจ้องไปยังสถานที่ๆไม่ต่างอะไรจากหลุมดำเบื้องหน้า


 


“แสงสว่างที่สาดส่องออกมาจากด้านในหลุมบัดซบนี่หายไปแล้วหรือ?”


 


“สาดแสงแรงกล้าแบบนั้นไม่พ้นต้องเป็นสมบัติเทพเลิศล้ำแน่…หรือจะมีใครมาถึงก่อนพวกเราและลงไปเก็บมันไว้แล้ว?”


 


“อาจเป็นได้!”


 


อัจฉริยะทั้ง 3 ของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ที่พึ่งเดินทางมาถึงหลุมดำ และกำลังจะลงไปสำรวจนั้น ไม่ทันได้เดินทางอะไร พวกมันกลับพบว่าแสงสว่างดังกล่าวที่สาดส่องออกมาเจิดจ้าก่อนหน้าดันดับหายไปซะก่อน


 


“หืม? ดูเหมือนมีคนกำลังขึ้นมา?”


 


“ดี! เช่นนั้นก็ฆ่าพวกมันชิงของเสีย!!”


 


ทั้ง 3 เหลือบมองตาอย่างรู้กันคราหนึ่ง แต่ละคนก็เร่งเร้าพลังสภาวะถึงขีดสุด ออกกระบวนท่าสังหาร จู่โจมเข่นฆ่าลงไปใส่บางคนที่กำลังเหินร่างขึ้นมาทันที!


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


ตูมมม!!!


 



 


พลังที่ทั้ง 3 จู่โจมซัดออกนั้น ได้อัดแน่นไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดและพลังจากความลึกซึ้งของกฏเต็มกำลัง เสียงระเบิดจึงดังสนั่นประหนึ่งดาวเคราะห์ระเบิด!


 


“มันคงตายแล้วกระมัง?”


 


หลังลงมือ ทั้ง 3 ก็ไม่คิดซ่อนตัวอะไร แต่ละคนเหินร่างออกไปเตรียมลงไปยังหลุมดำเบื้องหน้าทันที


 


อย่างไรก็ตาม พริบตาต่อมาสีหน้าของพวกมันก็จำต้องแปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง!


 


เนื่องเพราะในสายตาของพวกมันทั้ง 3 ปรากฏดวงแก้วทรงกลมสีกากีหนึ่งคอยๆลอยล่องขึ้นมา ดวงแก้วสีกากีนี้มิพ้นเป็นม่านพลังธาตุดินไม่ผิดแน่ แต่พิกลนัก ร่องรอยการถูกพลังซัดทำลายเมื่อครู่กลับมีแสงสีเขียวห่อหุ้ม จนเห็นได้ชัดว่าม่านพลังสีกากีดังกล่าวกำลังถูกฟื้นฟูอยู่ด้วยความเร็วน่าพรั่นพรึง!!


 


“กฏดิน? กฏไม้?”


 


ดวงแก้วสีกากีอันมีแสงเขียวปกคลุมฟื้นฟูอยู่นั่น ทำให้พวกมันนทั้ง 3 สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจของกฏแห่งดินและกฏแห่งไม้ชัดเจน!


 


‘หรือจะเป็นวิชาป้องกันคู่ ที่ต้องอาศัยคนที่เชี่ยวชาญกฏ 2 ธาตุผนึกกำลังกัน?’


 


ในใจทั้ง 3 อุบัติความคิดดังกล่าวขึ้นมาทันที


 


“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีอัจฉริยะจากขุมกำลังใดเดินทางเป็นคู่และใช้กฏแห่งดินกับกฏแห่งไม้ร้ายกาจขนาดนี้…หรือพวกมันจะเป็นอัจฉริยะรากหญ้า?”


 


ทั้ง 3 มองหน้าสบตากัน ก่อนจะแลเห็นถึงความอึ้งในสายตากันและกัน


 


และพริบตาต่อมาพวกมันก็แลเห็นว่าม่านพลังดั่งดวงแก้วสีกากีที่กำลังถูกพลังสีเขียวฟื้นฟูอยู่นั้น ได้จางหายไป ก่อนที่จะปรากฏร่าง 2 ร่างให้พวกมันเห็นชัดถนัดตา!


 


และเมื่อเห็นร่างทั้ง 2 ดังกล่าว สีหน้าของพวกมันทั้ง 3 ก็ซีดลงทันที


 


เพราะพวกมันมไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าผู้ที่กำลังขึ้นมาจากหลุมดั่งงที่เป็นดั่งห้วงลึกไร้ก้นบึ้งนี่จะเป็น 2 คนนี้ไปได้! ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ!!


 


หลังฝีมือของสองคนเบื้องหน้าสูงส่งเหลือเกิน ให้กวาดตามองไปทั่วแดนลับอัจฉริยะแห่งนี้ พลังฝีมือของทั้งคู่ ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็ล้วนติดอยู่ใน 3 อันดับแรกทั้งสิ้น


 


โดยเฉพาะต้วนหลิงเทียนที่ยืนหนึ่งอย่างไร้ข้อกังขา!


 


และฮ่วนเอ๋อก็เป็นอันดับสองรองจากซูหลี่!


 


“ข้าก็สงสัยอยู่เชียวว่าเป็นใครที่กล้าโจมตีพวกเรา…ที่แท้ก็อัจฉริยะจากเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์นี่เอง”


 


ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่ค่อยๆลอยตัวขึ้นมาด้วยกันอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อเหินร่างโผล่พ้นหลุมดำขึ้นมาแล้ว ก็หยุดลอยเผชิญหน้ากับทั้ง 3 ยังมองจ้องสบตาพวกมันตาเขม็ง


 


“ขออภัยด้วยต้วนหลิงเทียน! เข้าใจผิด! ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด!!”


 


หลังเห็นว่าเป้าหมายที่แท้เป็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ อัจฉริยะทั้ง 3 ของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์มองตากันปราหนึ่งก็เห็นพ้องต้องกันทันทีว่าไม่ไหวจะสู้ แต่ละคนเร่งยกมือโบกไปมาเป็นพัลวัน ส่ายหน้ากล่าวคำด้วยน้ำเสียงท่าทางขอขมา


 


“เข้าใจผิดรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ “การโจมตีของพวกเจ้าเมื่อครู่…ดูเหมือนจะเป็นการโจมตีเต็มกำลังใช่ไหม?”


 


“ถ้างั้น…ข้าจะใช้พลัง 5 ส่วนเพื่อลงมือกับพวกเจ้า และหากพวกเจ้า 3 คนสามารถรับได้ เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไป…พวกเจ้าคิดว่าไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะทั้ง 3 ของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที เพราะต่อให้ต้วนหลิงเทียนร้ายกาจแค่ไหน แต่อาศัยพลังแค่ครึ่งเดียว พวกมันทั้ง 3 ย่อมสามารถรับไหวแน่นอน!


 


อย่างไรก็ตาม วินาทีที่เห็นต้วนหลิงเทียนลงมือ พวกมันคิดจะสำนึกเสียใจก็สายเกินไป…


 


ซัว! ซัว! ซัว!


 



 


คมมีดมิติ 9 สายพุ่งออกมาจากรอยแยกมิติทั้ง 9 ฉับไว มันไร้พลังจากความลึกซึ้งใดอื่น หากแต่คมมีดมิติทั้ง 9 กลับมีพลังหลากสีฉาบเคลือบเอาไว้!


 


ทอง เขียว ฟ้า แดง กากี!


 


และในพลังประหลาด 5 สีนี้ กลับมีกลิ่นอายของธาตุทั้ง 5 อันเข้มข้นนัก!


 


คมมีดมิติทั้ง 9 สาย ไม่เพียแต่จะปิดกั้นทางหนีของอัจฉริยะเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ทั้ง 3 เอาไว้หมดสิ้น ยังปลิดปลงศีรษะพวกมันได้ในเสี้ยวพริบตา


 


กระทั่งชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิของพวกมัน ยังถูกหนึ่งคมมีดมิติฟันผ่าไปได้ง่ายดายคล้ายไม่มีอยู่จริง…


 


วินาทีสุดท้าย ดวงตาทั้ง 3 คู่ของคนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ก็เบิกกว้างจนแทบถลนออกเบ้า ฉายชัดถึงความตกตะลึงเหลือเชื่อ!


 


ก่อนตายพวกมันก็หลงเหลือแค่ความคิดเดียวเท่านั้น


 


การจู่โจมของต้วนหลิงเทียน ไฉนไม่ใช่แค่ผ่ามิติ แต่ยังมีพลังของธาตุทั้ง 5 ผสานรวมมาได้?


 


เป็นสามัญสำนึกของทุกคน ว่าต่อให้จะเข้าใจกฏหลายชนิด แต่ยามใช้พลังก็ใช้ออกได้ทีละกฏเท่านั้น…


 


เนื่องเพราะพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด สามารถผสานรวมกับพลังจากความลึกซึ้งอย่าง ‘ความหมายแห่งกฏ’ ได้แค่ประการเดียวเท่านั้น และเมื่อผสานพลังเข้าด้วยกันแล้ว ก็ไม่อาจผสานพลังจากความลึกซึ้ง ความหมายแห่งกฏ ประการอื่นเพิ่มเข้าไปได้…


 


“ได้ตายด้วยพลังของเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ที่บรรลุถึงขั้น 6 แบบนี้ พวกเจ้านับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้วจริงๆ…”


 


หลังเหลือบมองเศษซากร่างทั้ง 3 เบื้องหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้แยแสจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือ รวบเก็บแหวนพื้นที่รวมถึงอุปกรณ์อมตะทั้งหมดของพวกมันเร็วไว


 


จากนั้นเขาก็พาฮ่วนเอ๋อเดินทางไปจากที่นี่


 


“พี่หลิงเทียน…ตอนนี้ด่านพลังของท่านทะลวงผ่านแล้วเหรอ?”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวถามด้วยความสงสัย


 


เพราะเท่าที่นางรู้ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา นางสามารถทะวงถึงจอมราชันอมตะ 4 รูปได้ก็จริง แต่พี่หลิงเทียนของนางยังคงเป็นจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น


 


นั่นเพราะตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา พี่หลิงเทียนของนางเอาแต่ใช้ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดเพื่อทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติอย่างเดียว


 


“ใช่ ตอนนี้ข้าเป็นจอมราชันอมตะ 3 ศักดิ์แล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ “ข้าทะลวงมาได้ 2 ขั้นก็จริง แต่ทั้งหมดเป็นเพราะข้าใช้ร่างตัวเองเป็นสื่อกลางเพื่อดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินในซากระนาบเทพอยู่เกือบเดือน”


 


“โอกาสแบบนี้เกรงว่าวันหน้าคงไม่มีอีกแล้วล่ะ”


 


ในเวลาแค่เดือนเดียวกลับสามารถทะลวงผ่านจากจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดไปยังจอมราชันอมตะ 3 ศักดิ์ อย่างไรก็ตามในสายตาต้วนหลิงเทียนด่านพลังที่เพิ่มมาแค่ 2 ขั้นนั้น มันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น


 


ในแง่ความแข็งแกร่งแล้ว สิ่งที่ทำให้พลังของเขากล้าแข็งขึ้นอย่างใหญ่หลวงก็คือ…การที่เทพเบจธาตุทั้ง 5 ในร่างของเขาบรรลุถึงขั้นที่ 6 ต่างหาก!


 


นั่นเพราะพลังที่เทพเบญจธาตุทั้ง 5 มอบให้เขา มันไม่จำเป็นต้องใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานเข้ากับพลังจากความลึกซึ้งความหมายแห่งกฏอะไร


 


แม้เขาจะใช้พลังของกฏมิติอยู่ แต่เขาก็สามารถผสานพลังของพวกมันลงไปในทุกๆการลงมือได้ง่ายดาย!


 


“ถึงอย่างนั้น…ตอนนี้โลกใบเล็กของพี่หลิงเทียนก็อัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินทั่วทั้งซากระนาบเทพ วันหน้ายามท่านบ่มเพาะพลัง แค่อาศัยพลังวิญญาณฟ้าดินที่ท่านกักเก็บไว้มาเพาะ ท่านต้องทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 4 ได้ง่ายๆแน่!”


 


ฮวนเอ๋อกล่าวด้วยท่าทางคึกคัก


 


นางเองก็รู้สถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนดี เพราะต้วนหลิงเทียนก็บอกนางด้วย


 


“คงอีกสักพักล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


การเข้ามาแดนลับทวยเทพของเขาครั้งนี้ กำไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือการที่กิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้ผสานเข้ากับพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่ถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดทำลาย จากนั้นก็คือการได้รับวารีเทพชำระโลกาที่คอยปกป้องพฤกษาเทพกำเนิดชีพเอาไว้


 


ด้วยความช่วยเหลือของวารีเทพชำระโลกา จึงทำให้เทพเบญจธาตุทั้งหมดในร่างเขายกระดับขึ้นไปถึงขั้นที่ 6 ทั้งหมด!


 


ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ…


 


วารีเทพชำระโลกา พร้อมด้วยความช่วยเหลือของเทพเบญจธาตุที่เหลือ ได้จัดตั้งมหาค่ายกลเบญจธาตุผ่านฟ้า ทำให้ยักย้ายพลังวิญญาณฟ้าดินแทบทั้งหมดจากทั่วทั้งซากระนาบเทพมากักเก็บเอาไว้ในโลกใบเล็กของเขา!


 


เรียกว่าตอนนี้ภายในโลกใบเล็กของเขา มันอัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาลสุดที่จะคณนานับ และทั้งหมดยังเป็นพลังวิญาณฟ้าดินชนิดเดียวกับระนาบเทพทั้งหลาย!!


WSSTH ตอนที่ 3,244 : ออกจากแดนลับทวยเทพ


 


 


‘ฟังจากที่วารีเทพชำระโลกากล่าว…ในสวรรค์และโลกนี้ นอกจากผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถกักเก็บพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพเอาไว้ในโลกใบเล็กได้อีกแล้ว’


 


‘กระทั่งเหล่าตัวตนขอบเขตเทพในระนาบเทพเอง ในโลกใบเล็กของพวกมันก็ไม่มีทางกักเก็บพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพเอาไว้ได้’


 


หลังได้ฟังเรื่องราวจากวารีเทพชำระโลกา ต้วนหลิงเทียนจึงได้รับทราบว่าสถานการณ์ของเขานั้นค่อนข้างพิเศษมาก พิเศษจนนอกจากผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้วไม่อาจมีใครเทียบเขาได้ในบางแง่มุม


 


‘วันหน้าไม่เพียงแต่ข้าจะสามารถใช้พลังวิญญาณฟ้าดินในโลกใบเล็กเพื่อบ่มเพาะเท่านั้น ฮ่วนเอ๋อก็สามารถใช้มันได้ด้วย’


 


โชควาสนาที่ต้วนหลิงเทียนได้รับในครั้งนี้ เขาไม่เพียงสามารถใช้ประโยชน์ได้คนเดียว ยังสามารถแบ่งให้ฮ่วนเอ๋อใช้ได้ด้วย


 


“ฮ่วนเอ๋อ ว่าแต่เจ้าจะช่วยเหลือมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 อย่างไรหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่รู้ว่าอีก 2 วันก็ต้องออกไปแล้ว จึงอดถามฮ่วนเอ๋อไม่ได้


 


“พี่หลิงเทียนเรื่องนี้พวกเราต้องออกไปก่อน…อย่างไรก็ตามโซ่ที่ล่ามพวกมันเอาไว้ข้าเกรงว่าคงไม่อาจตัดได้ด้วยกำลังอย่างเดียว จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เทพเพื่อตัดโซ่ด้วย”


 


ฮวนเอ๋อกล่าว


 


“ได้สิ…เช่นนั้นรอให้เวลาใกล้หมดแล้วพวกเราก็ออกไปกันก่อน”


 


สำหรับมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัวนั่น ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกขอบคุณพวกมันไม่น้อย เพราะหากพวกมันไม่ป่อให้เขาเข้ามาก่อน เกรงว่าคงไม่มีทางที่เขาจะรับโชควาสนาครั้งนี้ได้เลย


 


“มังกรชั่วร้ายรึ?”


 


ทันใดนั้นเองเสียงสตรีที่นุ่มนวลหากแต่แฝงความเฉลียวฉลาดพลันดังขึ้นในร่างต้วนหลิงเทียน “เสี่ยวเทียน เจ้าให้พวกมันเข้ามาอยู่ในโลกใบเล็กของเจ้าประเสริฐกว่า เพราะเจ้าสามารถเลี้ยงพวกมันไว้ในโลกใบเล็กของเจ้า และอาจทำให้พวกมันเป็นสัตว์องครักษ์ของเจ้าได้”


 


“พี่สุ่ย…ปัญหาก็คือพวกมันไม่อยากเข้ามาในโลกใบเล็กของข้าน่ะสิ พวกมันแค่เชื่อฮ่วนเอ๋อคนเดียวเท่านั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม


 


“อย่าได้ห่วงไป พอถึงเวลาข้าจักเจรจากับพวกมันเอง เพราะสำหรับพวกมันแล้ว การได้เข้าสู่โลกใบเล็กของเจ้า เท่ากับพวกมันได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ หากพวกมันปฏิเสธ ก็นับว่าพวกมันโง่งมเกินเยียวยาแล้วจริงๆ”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจเป็นที่สุด


 


“ว่าแต่เหมือนพวกมันจะไม่เข้าใจภาษามนุษย์นะพี่สุ่ย…ท่านมีวิธีคุยกับมันรู้เรื่องหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


 


“ในมหาสหัสโลกธาตุแห่งนี้ เว้นเสียแต่จะเป็นภาษาถิ่นของชนเผ่าเล็กๆที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก ทำให้ข้าจนปัญญาจะทราบ…การที่เจ้าอยู่มานานมากพอ วันหนึ่งเจ้าก็สามารถเรียนรู้ภาษาต่างๆได้เอง”


 


ในขณะที่วารีเทพชำระโลกากล่าวถึงประโยคนี้ น้ำเสียงของนางก็เปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ


 


“แบบนั้นก็ดีเลยพี่สุ่ย!”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วยทันที เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้มังกรชั่วร้ายนั่นเข้าไปหลบในโลกใบเล็กของอ่วนเอ๋อ เพราะกังวลว่าพววกมันจะเล่นไม่ซื่ออะไร แต่ถ้ามาหลบในโลกใบเล็กของเขา ยังพอวางใจได้หน่อย


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ในปัจจุบัน อาศัยพลังของมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไม่มีทางทำลายโลกใบเล็กของเขาได้เลย แค่การดำรงอยู่ของเทพเบจธาตุก็มากพอจะกสะกดข่มพวกมัน ทั้งป้องกันไม่ให้พวกมันทำอะไรในโลกใบเล็กของเขาได้แล้ว


 


“ฮ่วนเอ๋อ งั้นพวกเราไปเที่ยวกันอีกวัน…ถึงวันสุดท้ายแล้วพวกเราค่อยออกไป”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อ


 


วันต่อมา ด้วยมีหวงเอ้อคอยช่วยเหลือ ต้วนหลิงเทียนจึงพบเจออุปกรณ์เทพอีก 2 ชิ้น น่าเสียดายที่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ อุปกรณ์เทพที่เขาพบเจอและเขาใช้ได้หากไม่ใช่ขั้นต่ำก็แค่ขั้นกลางเท่านั้น


 


ส่วนอุปกรณ์เทพระดับสูงเพียงชิ้นเดียวที่เขาพบเจอก็คือ ‘สายรัดแพรสีขาว’ และเขาก็มอบให้ฮ่วนเอ๋อทันทีที่เจอ


(สายรัดแพรสีขาว มันเป็นอาวุธที่เป็นผ้าริบบิ้นอะ ถ้าเคยดูมังกรหยกภาคเอี้ยก้วย 2014 จะรู้ เพราะเป็นอาวุธเปิดตัวของเซียวเหล่งนึ่ง)


 


“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราออกไปกันเถอะ”


 


ด้วยเพราะต้องไปจัดการช่วยเหลือมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนจึงพาฮ่วนเอ๋อกลับออกจากแดนลับทวยเทพก่อนหมดเวลา แน่นอนว่าย้อนกลับมายังทางเดิมที่เข้ามา


 


ด้านนอก มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ที่เห็นฮ่วนเอ๋อออกมา สองตาไม่แยแสกลมใหญ่ของพวกมันก็ฉายความตื่นเต้นออกมาให้เห็นชัดเจน


 


ดูจากสิ่งนี้ก็บอกได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้ไม่มีสติปัญญา


 


ชิ้ง!


 


ท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างตื่นเต้นของมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนก็เรียกกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมา จกนั้นก็ตวัดฟันออกไปฉับไว ทำลายโซ่ที่มัดล่ามพวกมันเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น


 


ทว่าในขณะที่ฮ่วนเอ๋อกำลังจะคุยกับมังกรชั่วร้ายยทั้ง 2 เพื่อให้ผ่อนคลายไม่ต่อต้าน จะได้เอาพวกมันเข้ามาอยู่ในโลกใบเล็ก นางก็พบว่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 กลับเหม่อลอยไม่สนใจนาง


 


ยิ่งไปกว่านั้นครู่ต่อมาพวกมันก็แลดูตื่นเต้นจนออกนอกหน้า จากนั้นก็วูบร่างเข้าสู่โลกใบเล็กต้วนหลิงเทียนไปหน้าตาเฉย


 


“เอ๋…เกิดอะไรขึ้นหรือพี่หลิงเทียน?”


 


ฮ่วนเอ๋อแลดูงุนงงอยู่บ้าง


 


“พอดีพี่สุ่ยเจรจาเรื่องให้พวกมันเข้ามาอยู่ในโลกใบเล็กของข้าน่ะ…และหลังจากพวกมันเข้ามาอยู่ในโลกใบเล็กของข้า แลดูมันจะถูกใจกันมากๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบฮ่วนเอ๋อ พลางส่องภายในไปชมดูเรื่องราวในโลกใบเล็ก


 


หลังจากที่มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 เข้าไปอยู่ในโลกใบเล็กของเขา พวกมันก็โผบินวนเวียนในโลกใบเล็กของเขาด้วยความคึกคัก กู่ร้องกันใหญ่ ทำให้แม้จะฟังพวกมันพูดไม่รู้เรื่อง แต่ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความความสุขความยินดีของพวกมันได้ชัดเจน


 


“เสี่ยวเทียนข้ากำลังคุยกับพวกมันเรื่องให้จดจำเจ้าเป็นนาย…หากพวกมันยินดีรับเจ้าเป็นนาย เช่นนั้นก่อนที่เจ้าจะบรรลุถึงขอบเขตเทพ พวกมันก็จะเป็นประโยชน์กับเจ้าอย่างใหญ่หลวง”


 


เสียงวารีเทพชำระโลกาพลันดังขึ้นในร่างต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง “ด้วยสภาพแวดล้อมในโลกใบเล็กของเจ้า ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นที่พวกมันจะทะลวงด่านพลังจนบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ”


 


“ยิ่งไปกว่านั้นการอยู่ในโลกใบเล็กของเจ้า ก็จะช่วยให้พวกมันสามารถเข้าใจกฏได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“ให้พวกมันจดจำข้าเป็นนายรึ? พวกมันจะยอมหรือ แล้วเชื่อถือได้ขนาดไหน?”


 


ต้วนหลิงเทียนย่นคิ้วเบาๆพลางถาม เขาเองก็ไม่อยากพกระเบิดเวลา 2 ลูกติดตัวสักเท่าไหร่


 


“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้เลย หากพวกมันยินยอม ข้าย่อมมีอาคมที่จะสะกดพวกมัน ไม่ให้พวกมันกล้าคิดคดทรยศเจ้า”


 


วารีเทพชำระโลกากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ


 


“อาคมงั้นหรือ…”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “เช่นนั้นก็แล้วแต่พี่สุ่ยจะจัดการเลย”


 


“ฮ่วนเอ๋อ ตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลืออีกไม่น้อย เช่นนั้นเข้าไปข้างในอีกสักรอบเถอะ เผื่อจะเจออะไรดีๆเพิ่ม”


 


เมื่อพบว่าเรื่องราวกลับจบลงง่ายดายกว่าที่คิด ต้วนหลิงเทียนที่เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบวันเต็มๆ เขาก็เลยชวนฮ่วนเอ๋อเข้าไปเตร็ดเตร่หาสมบัติในแดนลับทวยเทพอีกรอบ


 


จากนั้นพอครบวันเขากับฮ่วนเอ๋อก็กลับออกมาพร้อมคนอื่นๆ


 


ถึงทุกคนจะสามารถเลือกอยู่ในแดนลับทวยเทพต่อ และไม่กลับออกมาก็ได้


 


อย่างไรก็ตาม หากเลือกที่จะอยู่ในนี้แล้ว พอประตูมิติเชื่อมระหว่างแดนลับทวยเทพกับแดนนลับอัจฉริยะปิดตัว เกิดแดนลับทวยเทพไม่เปิดออกอีกครั้ง ก็ไม่มีทางที่จะกลับออกมาได้เลย…


 


ในซากปรักหักพัง อันล้อมรอบไปด้วยห้วงมิติไร้ขอบเขตแบบนี้ ยังจะมีผู้ใดอยากติดอยู่ด้านในเพียงลำพัง?


 


การติดอยู่ด้านในเพียงลำพัง ก็เสมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์อย่างน้อยๆพันปี และหากพันปีหลังจากนี้ไม่มีใครทำลายสถิติได้ก็ไม่อาจกลับออกมาได้ เช่นนั้นต่อให้พบเจออุปกรณ์เทพมากมายแล้วจะยังมีประโยชน์อันใด?


 


“ต้วนหลิงเทียน ผลการเก็บเกี่ยวเจ้าเป็นไงบ้าง?”


 


ซูหลี่เอ่ยถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม


 


“ดีทีเดียว”


 


ต้วนหลิงเทียนยพยักหน้าตอบ ค่อยยักคิ้วเอ่ยถามกลับ “เจ้าเล่า เป็นไง?”


 


“เหอะๆ ข้าบินว่อนอยู่ในนั้นเป็นเดือน นอกจากกระบี่เทพขั้นกลางที่เจ้าให้ ก็เจอกระบี่เทพขั้นต่ำอีกแค่เล่มเดียวเท่านั้น”


 


ซูหลี่ส่ายหัว “นอกจากนั้นก็มีของจุกจิกติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง…แต่ให้เทียบกับกระบี่เทพระดับกลางแล้วก็ไม่คู่ควรให้พูดถึงเท่าไหร่”


 


กล่าวจบคำซูหลี่ก็ยักไหล่อย่างไม่คิดอะไรมาก


 


“หืม? ไฉนไม่เห็นคนของนิกายปีศาจพันกรเลยเล่า? พวกมันไม่คิดออกมากันแล้วรึไง?”


 


อัจฉริยะที่เข้าไปในแดนลับทวยเทพเป็นกลุ่มแรกๆ ย่อมไม่ทันได้เห็นคนของนิกายปีศาจพันกรถูกมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 เข่นฆ่าจนตกตายหมดสิ้น พอหันมองไปรอบๆไม่เห็นคนจึงอดถามออกมาไม่ได้


 


“เหอๆ พวกนิกายปีศาจพันกรหรือ…ถูกมังกรชั่ววร้าย 2 ตัวนั่นฆ่าตายยกก๊วนไปแล้วล่ะ…”


 


ไม่นานอัจฉริยะที่เข้าไปท้ายๆ ก็กล่าวตอบออกมา


 


“อะไร? ถูกมังกรชั่วร้ายฆ่า? ไม่ใช่ว่าประตูสู่แดนลับทวยเทพก็เปิดออกแล้วหรือไง…ไฉนพวกมันยังถูกมังกรชั่วร้ายฆ่าเอาอีกเล่า?”


 


เมื่อได้รับทราบเรื่องนี้ อัจฉริยะหลายคนก็ตกใจไม่น้อย


 


“อย่าบอกนะว่าพวกมันสิ้นคิด ถึงขั้นลงมือกับมังกรชั่วร้าย?”


 


“คงไม่หรอกมั้ง?”


 



 


หลายคนเริ่มคิดไปทำนองว่าใช่คนของนิกายปีศาจพันกรอุตริ เห็นมังกรชั่ววร้ายเปิดทางแล้ว คงคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไร ก็เลยลองโจมตีไปดูทำนองนั้นหรือไม่? แต่หลายคนก็คิดว่าคนนิกายปีศาจพันกรต่อให้โง่ ก็ไม่มีทางโง่จนไร้หนทางเยียวยาขนาดนั้นแน่!


 


“พวกมันไม่ได้ยั่วยุมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 แต่อย่างไร พวกมันก็เหินร่างจะเข้าประตูเหมือนๆคนอื่น…แต่อยู่ๆก็ถูกมังกรชั่วร้ายนั่นหันมาพ่นพลังฆ่าทิ้ง ข้าไม่ทราบจริงๆว่าที่แท้เป็นเพราะพวกมันโชคร้าย หรือมีผู้ใดบงการมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ให้ฆ่ามันกันแน่…”


 


อัจฉริยะที่กล่าวประโยคนี้ก็คือคนของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ และขณะกล่าวถึงท้ายประโยคมันก็หันไปหยุดมองยังร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ


 


“บงการมังกรชั่วร้าย? เจ้าคิดมากไปแล้ว…”


 


“นั่นสิ อย่างมังกรชั่วร้าย 2 ตัวนั่น ยังจะไปมีผู้ใดบงการให้พวกมันลงมือตามใจได้เล่า?”


 



 


อัจฉริยะหลายคนกล่าวค้านคำพูดคาดเดาดังกล่าวของอัจฉริยะเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ หากแต่เจ้าตัวก็ไม่คิดหยุดลงเพียงเท่านี้ “แล้วพวกเจ้าคิดว่าในบรรดาพวกเรา ยังจะมีใครมีความสามารถมากพอจะทำให้มังกรชั่วร้ายเพิกเฉย จนสามารถเข้าสู่แดนลับทวยเทพได้ก่อนผู้อื่นบ้างเล่า?”


 


“ทำให้มังกรชั่วร้ายเพิกเฉย จนเข้าสู่แดนลับบทวยเทพได้ก่อน…”


 


พออัจฉริยะของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ดังกล่าวเอ่ยถึงประโยคนี้ ทั้งหมดก็พร้อมใจกันเงียบกริบ จากนั้นคนส่วนใหญ่ก็เริ่มหันไปมองต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ ซูหลี่ และกงซุนจิ้งโดยไม่รู้ตัว


 


“อะไร? หรือเจ้าคิดว่าพวกเราสั่งให้มังกรชั่วร้าย 2 ตัวนั่นฆ่าคนของนิกายปีศาจพันกร?”


 


เมื่อเห็นว่าตั้งแต่ต้นเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์คนนี้ เหลือบมองมาที่เขากับฮ่วนเอ๋อบ่อยครั้ง ยังพยายามชักนำความคิดมวลชนให้สงสัยในตัวเขาอีก ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองมันด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงไร้แยแส


 


ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจเขา


 


“เจ้าคิดว่า ข้า ต้วนหลิงเทียน คิดฆ่าพวกสัดใส่ข้าวใช้การไม่ได้ของนิกายปีศาจพันกร…ยังต้องลำบากยืมมือมังกรชั่วร้าย?”


 


เห็นอีกฝ่ายทำเฉย ต้วนหลิงเทียนก็หัวเราะเย้ยคำหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดมือเบาๆ ทันใดนั้นเองพลันอุบัติรอยแยกมิติขึ้นข้างๆกายคนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์คนดังกล่าว!


 


ซัว!!


 


พริบตาต่อมา คมมีดมิติ 1 สาย ก็พุ่งทะยานออกจากรอยแยกดังกล่าวฉับไวสุดที่ใครจะมองตามได้ทัน ตัดแขนคนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษร์ผู้นั้นจนขาดด้วนเสมอไหล่! และด้วยอานุภาพกัดกร่อนของพลังมิติเขาตอนนี้ แขนของมันก็ไม่อาจนำกลับมาต่อได้อีกแล้ว…


 


“พี่หลิงเทียน…คนของนิกายปีศาจพันกร เป็นฮ่วนเอ๋อบอกให้มังกรชั่วร้าย 2 ตัวนั่นจัดการเอง…”


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนลงมือตัดแขนคนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ไปแล้ว ฮ่วนเอ๋อก็ส่งเสียงผ่านพลังมาสารภาพกับเขาด้วยน้ำเสียงซุกซน ทำให้ต้วนหลิงเทียนผงะไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวผ่านพลังตอบกลับนาง ด้วยน้ำเสียงช่วยไม่ได้ “ถ้างั้นข้าก็ได้แต่เสียใจกับคนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ผู้นั้นแล้วล่ะ”


 


อย่างไรก็ตามแม้จะพูดไปแบบนั้น แต่สีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนก็ยังดูเฉยเมย ไม่คล้ายแยแสอะไรกับคราวเคราะห์ของอีกฝ่ายเลย


 


“ต้วนหลิงเทียน! เจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับเผ่าวิฬารทมิฬของพวกเรางั้นรึ?!”


 


อัจฉริยะอันดับ 1 ของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ อันมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มหน้าตามารดาไม่รัก ในชุดคลุมสีเลือดคนหนึ่ง ก้าวออกมามองจ้องต้วนหลิงเทียนตาขวาง เอ่ยถามเสียงหนัก!


 


“อ้อ แล้วเผ่าวิฬารทมิฬลึกลับเจ้า ร้ายกาจมากหรือ?”


 


ไม่รอให้ต้วนหลิวเทียนพูดอะไร กงซุนจิ้งพลันก้าวออกมาเหลือบมองชายหนุ่มในชุดคลุมสีเลือดด้วยสายตาดูแคลน เอ่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เฉวียนคง หากเจ้าข้องใจอะไรต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นก็อย่าน้ำลายให้มาก เพียงออกมาสู้กับต้วนหลิงเทียนตัวๆมันเสียตรงนี้ หรือจักกลับบ้านไปร่ำร้องฟ้องบิดาเจ้าให้มาหาความกับปู่ข้าที่สายซวนหยวนก็มา!”


 


ได้ยินวาจาท้าทายดังกล่าวของกงซุนจิ้ง สีหน้าท่าทีของชายหนุ่มหน้ามารดาไม่รักในชุดคลุมสีเลือดก็กลายเป็นอัปลักษณ์หนักข้อทันที


 


ให้มันออกไปสู้ตัวๆกับต้วนหลิงเทียน?


 


ไม่บอกให้มันชักดาบออกมาปาดคอตัวเองเลยล่ะ?


 


สำหรับเรื่องให้บิดามันไปหาความกับปู่กงซุนจิ้งที่สายซวนหยวนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เกรงว่าต่อให้บิดามันมีความกล้ามากกว่าปกติร้อยเท่า ก็ไม่มีทางไปแน่นอน!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงบิดามันด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นบรรพบุรุษของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ ยังไม่กล้าแหยมผู้นำสายซวนหยวนของกระบี่หมื่นหายนะเลย!


 


“เจ้าเฉวียนคงนั่น มันเป็นลูกชายของผู้นำเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์…พลังฝีมือแค่กลางๆ ดีแต่ปากเท่านั้น”


 


ซูหลี่กล่าวผ่านพลังบอกต้วนหลิงเทียน


 


“ก็แค่ตัวตลก”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองเฉวียนคงอีกปราดหนึ่ง ค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้แยแส


 


เฉวียนคงเองก็ได้ยินน้ำเสียงไร้แยแสดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน สีหน้ามันจึงเปลี่ยนไปอีกรอบ สองตาถลึงมองสลับไปมาระหว่างต้วนหลิงเทียนกับกงซุนจิ้งอย่างเอาเรื่อง แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ


 


ในแง่พลังฝีมือส่วนตัว มันอ่อนด้อยกว่าต้วนหลิงเทียนหลายขุม


 


ในแง่ภูมิหลัง ต้วนหลิงเทียนที่มีกระบี่หมื่นหายนะสนับสนุน เผ่าวิฬารทมิฬมันก็ไม่กล้าแม้แต่จะมีความคิดใดๆ…


 


‘ซูหลี่ผู้นี้ ที่แท้คิดอ่านไว้แต่แรก…’


 


อวี่เทียนสิงที่ชมดูเรื่องราวอยู่ไม่ไกล พอเห็นกงซุนจิ้งออกหน้าให้ต้วนหลิงเทียน สองตามันพลันหรี่ลงเล็กน้อย ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว ว่าไฉนตอนแรกซูหลี่ถึงเลือกที่จะกล่าวชวนกงซุนจิ้งให้เข้าไปในแดนลับทวยเทพก่อน


 


เห็นได้ชัดว่าคิดปูทางให้ต้วนหลิงเทียนที่กำลังจะเข้าสู่นิกายกระบี่หายนะ…


ตอนที่ 3,245 : นิกายกระบี่หมื่นหายนะ


 


“มังกรชั่วร้าย 2 ตัวนั่นอยู่ที่ใดแล้วเล่า?”


 


หลังกลับออกมาจากแดนลับทวยเทพได้สักพัก เหล่าอัจฉริยะก็เริ่มเอะใจเรื่องที่มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 หายตัวไปแล้ว คงเหลือเพียงร่องรอยโซ่ที่ถูกทำลายเท่านั้น…


 


ต่อมา ไม่ทันที่ทุกคนจะได้คิดอะไร ประตูสู่แดนลับทวยเทพกับโซ่ที่ถูกทำลายที่ว่า ก็ค่อยๆกลายเป็นเงาพร่าเลือนต่อหน้าต่อตาทุกคน จนในที่สุดก็อันตรธานหายไปในความว่างเปล่า


 


“ศิษย์น้องเยว่ ศิษย์น้องเหลิ่ง และศิษย์น้องหวังอยู่ที่ใด?”


 


ด้านเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์เองก็ตระหนักได้ว่า คนของเผ่ามันหายไป 3 คน


 


ส่วนคนอื่นๆที่เข้าไปในแดนลับทวเทพนั้น ไร้แม้แต่อาการบาดเจ็บ ร่างกายไม่บุบสลายใดๆ


 


มีแต่คนของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ของพวกมันเท่านั้นที่หายไป


 


เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงประการเดียว….


 


3 คนของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ไม่พ้นตกตายภายในแดนลับทวยเทพ หาไม่แล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่กลับออกมา!


 


ด้วยเหตุนี้ เฉวียนคง จึงเร่งตรววจสอบลูกแก้ววิญญาณของทั้ง 3 ในแหวนพื้นที่ทันที จึงพบว่าลูกแก้ววิญญาณได้แตกไปแล้วจริงๆ!


 


“ในซากปรักหักพังของระนาบเทพ ไร้สิ่งใดทำอันตรายศิษย์น้องทั้ง 3 ได้…เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้แค่ประการเดียวเท่านั้น ศิษย์น้องทั้ง 3 ถูกคนฆ่าตาย!!”


 


คิดถึงจุดนี้ เฉวียนคงก็กวาดสายตาเยียบเย็นมองไปยังเหล่าอัจฉริยะที่ลอยร่างอยู่โดยรอบทันที สีหน้ายังเริ่มกลายเป็นมืดมน แววตาเยียบเย็นนัก


 


“พวกเจ้ามีผู้ใดเห็นคนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ของข้าถูกฆ่าหรือไม่?”


 


เสียงเฉวียนคงดังก้องให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ได้ยินชัดถนัดหู “หากผู้ใดพบเห็นเรื่องราวการตายของคนเผ่าข้าทั้ง 3 เพียงส่งเสียงผ่านพลังบอกมา…ข้ารับรองว่าเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ของข้าไม่เอาเปรียบผู้ใดแน่นอน!”


 


จังหวะนี้เหล่าอัจฉริยะที่พึ่งกลับออกมาโดยรอบ ค่อยตระหนักได้ว่าคนของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์หายไป 3 คน “คนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ตกตายในแดนลับทวยเทพ 3 คนงั้นรึ?”


 


“ในแดนลับทวยเทพไร้อันตรายใดๆ…เว้นเสียแต่พวกมันเลือกจะไม่กลับออกมาเอง เช่นนั้นก็คงถูกคนฆ่าตายไปแล้วแน่นอน!”


 


“ข้าล่ะไม่ทราบจริงๆ ว่าผู้ใดเข่นฆ่าคนเผ่าวิฬารทมิฬทั้ง 3”


 



 


เหล่าอัจฉริยะโดยรอบเริ่มซุบซิบกันทันที อยากรู้อยากเห็นเรื่องราวไม่น้อย


 


“ตอนข้าอยู่ในแดนลับทวยเทพ ข้าเจอหนูสกปรก 3 ตัวซุ่มโจมตี…สุดท้ายพวกมันก็เป็นฝ่ายตกตายทั้งหมด”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองเฉวียนคงผ่านๆ พลางกล่าวด้วน้ำเสียงไร้แยแส


 


ซูว!


 


และพอเสียงพูดต้วนหลิงเทียนดังจบคำ สีหน้าของเฉวียนคงก็เปลี่ยนไปทันที “เป็นเจ้างั้นเรอะ!?”


 


“ไฉนเจ้าต้อฆ่าคนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ทั้ง 3 ของข้าด้วย!”


 


เฉวียคงถลึงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่อง น้ำเสียงยังฉายความเอาเรื่องไม่น้อย


 


“อ้อ ที่แท้ก็เป็นคนของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ของเจ้านี่เอง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาเร็วไว “พวกเจ้าเป็นคนเผ่าพันธุ์วิฬารแน่รึ? ไฉนข้าถึงรู้สึกว่ามันเหมือนมุสิกขลาดเขลาที่ทำได้แค่ซุ่มโจมตีผู้อื่นมากกว่าเล่า…จึกๆๆ ช่างร้ายกาจจริงๆ”


 


“เป็นไปไม่ได้!”


 


เฉวียนคงได้ฟัง ก็แย้งออกมาเสียงดัง “หากพวกมันเห็นว่าเป็นเจ้า ย่อมไม่…ไม่มีทางลงมือกับเจ้าแน่นอน!”


 


เดิมทีเฉวียนคงกำลังจะพูดว่า ‘ย่อมไม่กล้า’ ลงมือกับต้วนหลิงเทียนแน่นอน เพียงแค่ฉุกคิดได้ว่ากล่าวแบบนี้มันน่าอายไม่น้อย จึงรีบเปลี่ยนคำพูดเร็วไว


 


“หากพวกมันไม่ซุ่มโจมตีข้าก่อน ข้าจะไปฆ่าพวกมันทำอะไร?”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้ม “เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าข้า ต้วนหลิงเทียน ไม่เคยมีความแค้นใดๆกับคนของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์…”


 


“ต้วนหลิงเทียน ข้ารู้ว่าเจ้าเก่งทั้งยังเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงล้ำจนน่ากลัว…แต่หากเจ้าไม่อาจเติบโตได้ ไม่ว่าพรสวรรค์เจ้าจักเลิศล้ำสูงส่งเพียงใด มันก็เท่านั้น!”


 


สองตาเฉวียนคงฉายประกายเยียบเย็นออกมาวูบวาบ น้ำเสียงไม่ขาดการข่มขู่แม้แต่น้อย


 


“โฮ่! เรื่องนี้เกรงว่ายังไม่ถึงตาให้เผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ต้องเป็นกังวลหรอก!”


 


กงซุนจิ้งพลันโพล่งเย้ยออกมา “ต้วนหลิงเทียนจะเติบโตได้อย่างราบรื่นหรือไม่ มันมิใช่เรื่องที่เผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ของพวกเจ้าจะมีปัญญาควบคุมได้!”


 


“พวกเราไป!”


 


เห็นกงซุนจิ้งออกหน้าปกป้องคนอีกครั้ง สองตาเฉวียนคงก็ฉายแววเย็นชาอีกวาบ แต่มันก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงหันไปสั่งทุกคนให้จากไปเท่านั้น


 


พลังฝีมือมันไม่เท่าผู้อื่น แถมภูมิหลังก็แข็งแกร่งไม่สู้ผู้อื่น เช่นนั้นมันรั้งอยู่สืบต่อ ก็ไม่ต่างอะไรจากตัวตลกที่เล่นจำอวดให้ผู้อื่นขบขันเท่านั้น


 


“อัจฉริยะรากหญ้าคนใดที่สามารถทิ้งชื่อไว้ในตารางจัดอันดับของยอดเขาแรงโน้มถ่วงหอคอยจิตวิญญาณค่ายกลหรือสถานที่ทดสอบอื่นๆได้ หากคิดเข้าร่วมเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ของข้า ก็ติดตามข้ามาได้เลย”


 


เฉวียนคงที่นำคนของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์จากไป ฉุกคิดถึงภารกิจที่เผ่ามอบบให้ได้ออก  จึงหยุดร่างลง และหันกลับมากล่าวคำกับอัจฉริยะทั้งหลายเร็วไว


 


และในขณะที่มีอัจฉริยะรากหญ้าบางคนสนใจ อัจฉริยะของตระกูลถัวปา รวมถึงอัจฉริยะจากนิกายจ้าวมังกรสัประยุทธ์ก็ไม่ลืมโฆษณาออกมาเช่นกัน


 


ทันใดนั้นเหล่าอัจฉริยะรากหญ้าทั้งหลายก็เริ่มคึกคักกันขึ้นมาทันที และไม่มีใครคิดจะตามเผ่าวิฬารทมิฬไปเลย


 


เพราะสุดท้ายแล้ว การเหินร่างติดตามเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ไปตอนนี้ มันก็แลดูน่าอายไม่น้อย


 


ท้ายที่สุดแล้ว ตอนนี้คนของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ก็ไม่ต่างอะไรจากกำลังจะหนีหน้าเพราะความอับอาย!


 


นอกจากนั้นคนของนิกายมรรคฟ้าลึกล้ำอย่างเอี้ยอู๋เต้า ไม่เว้นไป๋หลี่หงเฟยของตระกูลไป๋หลี่ รวมถึงเฟิ่งชีชีจากเผ่าหงส์ฟ้าโบราณก็เริ่มประกาศรับคนออกมาเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับตระกูลถัวปา กับนิกายจ้าวมังกรสัประยุทธ์แล้ว ขุมกำลังทั้ง 3 มีเงื่อนไขในการเข้าร่วมสูงกว่าไม่น้อย


 


“สำหรับผู้ใดที่มีรายชื่อติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของยอดเขาแรงโน้มถ่วงหรือหอคอยจิตวิญญาณค่ายกล รวมถึงติด 10 ของสถานที่ทดสอบอื่นๆ สามารถเข้าร่วมกับนิกายกระบี่หมื่นหายนะของพวกเราได้”


 


ในเวลาเดียวกัน อวี่เทียนสิง แห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ก็เอ่ยเงื่อนไขในการรับคนออกมเช่นกัน


 


“ต้วนหลิงเทียน พวกเราไปเดินเล่นในนี้ต่อเถอะ…พอหมดเวลาเมื่อไหร่ ข้าจะพาเจ้าไปนิกายกระบี่หมื่นหายนะเอง”


 


ซูหลี่หันไปกล่าวคำกับต้วนหลิงเทียยน


 


ในขณะที่อวี่เทียนสิงกกำลังประกาศรับคน ซูหลี่ก็จากไปพร้อมต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ


 


กงซุนจิ้งที่เห็นทั้ง 3 กำลังจะจากไป ก็ร้องทักออกมา “เฮ่ ซูหลี่ ต้วนหลิงเทียน รอข้าด้วย!”


 


ตอนนี้เหมือนกงซุนจิ้งถือว่าตัวเองเป็นสมาชิกในกลุ่มเล็กๆของต้วนหลิงเทียนเรียบร้อย ไม่ได้กลับมารวมตัวกับพวกอวี่เทียนสิงอีก


 



 


วันเวลาก็ล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว ดุจชั่วพริบตา ก็มาถึงวันที่ทางออกแดนลับอัจฉริยะเปิดออกแล้ว


 


ก่อนที่แดนลับอัจฉริยะจะถึงเวลาเปิดออก ต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อรวมถึงซูหลี่กับกงซุนจิ้งก็เดินทางท่องไปทั่วแดนลับอัจฉริยะ แม้จะมีเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้าง แต่ให้เทียบกับสิ่งที่ได้จากแดนลับทวยเทพแล้ว ก็กลายเป็นเล็กน้อยไปถนัดตา


 


เมื่อถึงกำหนดเวลาที่ทางออกแดนลับอัจฉริยะปรากฏขึ้น ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็เดินทางไปยังนิกายกระบี่หมื่นหายนะภายใต้การนำทางของซูหลี่และกงซุนจิ้ง


 


นิกายกระบี่หมื่นหายนะเป็น 1 ใน 3 ขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนทักษินยุทธ์ ถิ่นฐานนิกายนั้นตั้งอยู่เหนือเมฆ และหากมองจากไกลๆ ก็เสมือนหมู่เกาะที่ลอยล่องอยู่บนทะเลเมฆหมอกไม่มีผิด


 


หมู่เกาะลอยเหล่านี้ ให้สภาวะแหลมคมประหนึ่งกระบี่ชี้ตระหง่านแทงขึ้นฟ้า ที่สำคัญเกาะลอยยังมีเป็นหมื่นๆเกาะ เรียกว่าแรงกดดันที่แผ่ออกมายามรวมตัวกัน ทำให้ผู้คนอดได้ที่จะบังเกิดความกลัวเพียงแค่จ้องมอง


 


อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเกาะลอยนับหมื่น ปรากฏเกาะลอยมหึมาปานทวีปย่อมๆอยู่ 10 เกาะ และนั่นก็คือเกาะที่ตั้งของ 10 สายย่อยในนิกายกระบี่หมื่นหายนะ!


 


“ต้วนหลิงเทียนเจ้าเห็นเกาะใหญ่ๆทั้ง 10 นั่นหรือไม่ นั่นก็คือสถานที่ตั้งของ 10 สายแห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะเรา…สำหรับเกาะลอยอื่นๆนับหมื่นนั้น พวกมันมีไว้เพื่อปกป้องทั้ง 10 เกาะนั่นเท่านั้น”


 


กงซุนจิ้งชี้มือชี้ไม้ไปยังหมู่เกาะลอยเบื้องหน้า พลางกล่าวอธิบายสถานการณ์ให้ต้วนหลิงเทียนฟัง


 


“หืม? มีเกาะลอยเป็นหมื่นๆเกาะเพื่อปกป้องนิกายหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ตระหนักอะไรได้ “หมายความว่าหมู่เกาะนับหมื่นนี่เป็นค่ายกลบางประการเพื่อรวมพลังกันปกป้อง 10 เกาะหลัก? มหาค่ายกลแบบนี้ให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามหลายคนก็ยากจะทำลายได้กระมัง?”


 


“ต้วนหลิงเทียนเจ้าผิดแล้ว”


 


กงซุนจิ้ม ยิ้มกล่าว “ถึงแม้นิกายกระบี่หมื่นหายนะเราในปัจจุบันจะถือว่าตกต่ำลง อย่างไรก็ตามมหาค่ายกลพิทักษ์ที่เจ้าเห็นอยู่ตอนนี้ เป็นบรรพบบุรุษของพวกเราจ่ายราคาไปมหาศาลเพื่อสร้างขึ้น…ไม่ต้องกล่าวถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามหายคน ให้มีหลายสิบกระทั่งหลายร้อยคนก็ยากจะทำลาย!”


 


“จักรพรรดิอมตะสมญานามหลายสิบกระทั่งหลายร้อยยากทำลาย!?”


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนตกตะลึงไปแล้วจริงๆ เขาพอเข้าใจได้ ว่าการรวมพลังกันของจักรพรดริอมตะสมญานามนับร้อยมันน่าพรั่นพรึงขนาดไหน


 


“ต่อให้เป็นมหาค่ายกลพิทักษ์ขุมกำลังสวรรค์ ที่เป็นรองก็แต่ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในระนาบเทวโลกอย่าง พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ก็ไม่น่าจะทรงพลังไปกว่านี้กระมัง…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวอย่างทอดถอน


 


“ต้วนหลิงเทียนย มหาค่ายกลพิทักษ์นิกายกระบี่หมื่นหายนะเรา ก็ถูกจัดตั้งขึ้นด้วยมาตรฐานเดียวกันกับมหาค่ายกลพิทักษ์ของขุมกำลังระดับสวรรค์ที่เจ้าพูดถึงนั่นล่ะ…”


 


ขณะกล่าวประโยคนี้ออกมา สองตากงซุนจิ้งฉายให้เห็นถึงความปรารถนาไม่น้อย “ข้าไม่ทราบว่า วันใดที่นิกายกระบี่หมื่นหายนะของพวกเราจะหวนกลับสู่ความรุ่งโรจน์ดั่งในอดีต กลับมาเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์อีกครั้ง…”


 


“ขุมกำลังระดับสวรรค์!?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินก็เอ่ยทวนออกมาด้วยความแปลกใจ ที่แท้นิกายกระบี่หมื่นหายนะแห่งนี้เคยเป็นถึงขุมกำลังระดับสวรรค์เชียวหรือ?


 


ต้องทราบด้วยว่าจะในระนาบเทวโลกใดๆขุมกำลังระดับสวรรค์ ก็คือขุมกำลังที่เป็นรองแค่ขุมกำลังของจักรพรรดิสวรรค์เท่านั้น ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะมีมากดั่งหมู่เมฆ!


 


กระทั่งจำนวนของจักรพรรดิอมตะสมญานาม เมื่อเทียบกับขุมกำลังของจักรพรรดิสวรรค์แล้ว ก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน


 


“ใช่”


 


กงซุนจิ้งพยักหน้า “เจ้าเองก็กำลังจะเข้าร่วมกับนิกายกระบี่หมื่นหายนะของพวกเราแล้ว หลังเข้าร่วมเจ้าก็ไปวิหารปัญญา เพื่อหาบันทึกเรื่องราวในอดีตอ่านดูได้เลย ที่นั่นก็มีประวัติศาสตร์นิกายกระบี่หมื่นหายนะเราบันทึกเอาไว้ทั้งหมด”


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ก่อนจะมองไปยัง 10 เกาะเบื้องหน้าที่เด่นสะดุดตาและให้ความรู้สึกดั่งกระบี่คมตระหง่านแทงฟ้ามากกว่าใคร “นิกายกระบี่หมื่นหายนะมีทั้งสิ้น 10 สาย ข้ารู้แค่ซูหลี่อยู่สายเฉิงหยิ่ง ส่วนท่านคือสายซวนหยวน และอวี่เทียนสิงอยู่สายท่ายอา ไม่ทราบสายอื่นที่เหลือคืออะไรบ้าง”


 


“ทั้ง 10 สายของนิกายกระบี่หมื่นหายนะเรา ก็มี ซวนหยวน จ้านลู่ ซื่อเซียว ท่ายอา ชีซิงหลงยวน…”


 


กงซุนจิ้งเริ่มกล่าวออกมา แต่ทว่าไม่ทันได้กล่าวจบคำ ก็ถูกต้วนหลิงเทียนแทรกขึ้นเสียก่อน “ต่อมาก็เป็นก้านเจี้ยง ม่อเหยีย อวี๋ฉาง ฉุนจวิน และเฉิงหยิ่งใช่หรือไม่?”


 


“เจ้าทราบแล้วรึ?”


 


กงซุนจิ้งแปลกใจเล็กน้อย


 


“อ่า…”


 


ต้วนหลิงเทียนขานรับด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ต้องทราบด้วยว่าชื่อสายทั้ง 10 ในนิกายกระบี่หมื่นหายนะนั้น มันไม่ต่างอะไรกับชื่อ 10 สุดยอดกระบี่ในตำนานที่บ้านเกิดของเขาบนโลกมนุษย์เลย…


 


ก่อนหน้านี้ตอนเขาได้ยินคนพูดว่าอวี่เทียนสิงอยู่สายท่ายอาของนิกากระบี่หมื่นหายนะ  ซูหลี่อู่สายเฉิงหยิ่ง และกงซุนจิ้งอยู่สายซวนหยวน เขาก็เอะใจสงสัยอยู่แต่แรกแล้ว ว่าไฉนมันช่างคุ้นหูนัก


 


ในที่สุดเขาก็รู้ว่าที่เขาคุ้นหูมันไม่ใช่เพราะใดอื่น แต่ชื่อ 10 สายของนิกายกระบี่หมื่นหายะนะมันไปพ้องกับชื่อของ 10 สุดยอดกระบี่ในตำนานที่บ้านนเกิดเขานั่นเอง


 


‘ดูเหมือนนิกายกระบี่หมื่นหายนะจะมีความเกี่ยวข้องกับระนาบเหยียนหวง ไม่เว้นโลก…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


โลก หรือที่เรียกว่า ดาวเคราะห์เหยียนหวง นั้นเป็นดั่งต้นกำเนิดผู้ฝึกตนของระนาบเหยียนหวง


 


“แล้วพวกเราจะไปไหนกันก่อนรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปถามซูหลี่กับกงซุนจิ้งด้วยความอยากรู้ ตอนนี้เขามาถึงนิกายกระบี่หมื่นหายนะแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งใช่ไหม?


 


“เมื่อครู่ข้าส่งข้อความไปถึงท่านประมุขแล้ว…เช่นนั้นพวกเราไปหาประมุขนิกายกันก่อนเถอะ”


 


กงซุนจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้วนหลิงเทียน ท่านประมุขอยากรู้จักเจ้ามาก เพราะเจ้าสามารถทำลายสถิติที่ท่านประมุขสร้างทิ้งไว้เมื่อ 20,000 ปีก่อนบนยอดเขาแรงโน้มถ่วงกับหอคอยจิตวิญญาณค่ายกลได้สำเร็จ”


 


“ท่านประมุขนั้นรักถนอมอัจฉริยะมาโดยตลอด เจ้าที่เข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะเรา ไม่เพียงท่านประมุขจะไม่ละเลยเจ้า…ตัวเจ้ายังจะเหมือนซูหลี่ ที่ได้รับการดูแลอย่างดี”


 


ขณะกล่าวถึงประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ในแววตาน้ำเสียงของกงซุนจิ้งก็เผยความชื่นชมออกมาอย่างเห็นได้ชัด


 


กระทั่งต้วนหลิงเทียนยังพบว่าแววตาซูหลี่ก็ฉายความเคารพนนับถือออกมาเช่นกัน จึงทำให้เขาบังเกิดความอยากรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่าที่แท้ประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะเป็นอย่างไร


ตอนที่ 3,246 : แย่งคน


 


นิกายกระบี่หมื่นหายนะนั้น มีทั้งสิ้น 10 สาย และสายท่ายอาก็คือหนึ่งในนั้น


 


บนเกาะหลักทั้ง 10 แต่ละเกาะล้วนมียอดเขากระบี่ตั้งอยู่ และหนึ่งในเกาะดังกล่าวก็เป็นสถานที่ตั้งของสายท่ายอา และที่พำนักของผู้นำสายท่ายอาก็อยู่บนยอดเขาท่ายอา


 


เมื่อเข้าสู่ยอดเขาท่ายอา ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณฟ้าดินอันหนาแน่น เรียกว่ามันหนานแน่นมากกว่าสถานที่ใดที่เขาเคยพบเจอในระนาบเทวโลกมาก


 


เป็นธรรมดาว่ายังไม่อาจเทียบกับพลังวิญญาณฟ้าดินในซากระนาบเทพ ที่บัดนี้ได้ถูกกักเก็บไว้ในโลกใบเล็กของเขาได้เลย


 


“ศิษย์พี่กงซุนจิ้ง!”


 


“ศิษย์พี่กงซุนจิ้ง!”


 



 


เมื่อเริ่มเดินเข้าสู่ยอดเขาท่ายอา ต้วนหลิงเทียนก็เห็นศิษย์ลาดตระเวนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะท่องกระบี่ตรวจตราตามหน้าที่ พอพวกมันผ่านมาเห็นกงซุนจิ้ง ก็จะประสานมือคารวะทักทายด้วยท่าทางนอบน้อม


 


สำหรับซูหลี่ พวกมันไม่แม้แต่จะเหลียวแล เห็นชัดว่าไม่รู้จัก


 


“ซูหลี่ ข้าก็บอกเจ้าแต่ไหนแต่ไรแล้ว ว่าหัดออกมาแสดงตัวให้ผู้คนรู้จักบ้าง…ดูสิ เจ้าเห็นรึยัง เด็กน้อยเหล่านี้ไม่มีผู้ใดรู้จักอัจฉริยะอันดับ 1 ในนิกายกระบี่หมื่นหายนะเช่นเจ้าสักคน”


 


หลังศิษย์ลาดตระเวนจากไปแล้ว กงซุนจิ้งก็หันไปมองบ่นกับซูหลี่


 


ได้ยินคำบ่นของอีกฝ่าย ซูหลี่ก็คลี่ยิ้มเฉยเมย เพราะหากมันสนใจเรื่องพวกนี้ เกรงว่ามันคงไม่อาจมีวันนี้ได้


 


ตอนแรกนั้น ก่อนที่ซูหลี่จะได้รับสืบทอดมรดกของยอดฝีมือสายเฉิงหยิ่งที่บรรลุถึงขอบเขตเทพบนระนาบเหยียนหวง มันก็ต้องผ่านบททดสอบที่ยอดฝีมือผู้นั้นตั้งเอาไว้ก่อน


 


ในบรรดาบททดสอบทั้งหลาย ยังมีบททดสอบเกี่ยวกับลาภยศสรรเสริญรวมถึงความงาม มีเพียงเห็นทุกสิ่งเป็นดั่งหมอกควันเท่านั้น จึงจะสามารถผ่านบดทดสอบดังกล่าวได้


 


แค่ด่านทดสอบลาภยศสรรเสริญ ก็ไม่ทราบว่าสามารถหยุดผู้คนไปแล้วกี่หมื่นพัน


 


บางครั้งซูหลี่ถึงกับคิดว่า หากไม่ใช่เพราะทั้งชีวิตมันทุ่มให้กับการฝึกกระบี่ จนใจคล้ายหินก้อนหนึ่ง บางทีมันอาจจะไม่ได้รับสืบทอดมรดกของยอดฝีมือผู้นั้นมาก็ได้


 


“ต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ นี่คือประตูขึ้นสู่ยอดเขาท่ายอา…หลังจากจุดนี้ไปจะมีอาคมห้ามบินแล้ว พวกเราต้องเดินขึ้นไป”


 


เบื้องหน้าประตูสู่ยอดเขานั้น มีศิลาที่แกะสลักเป็นรูปกระบี่ตั้งอยู่ กงซุนจิ้งที่เหินร่างนำก็ร่อนลงพื้นเบื้องหน้ามันก่อนใคร “ที่นี่ต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะยังบินไม่ได้”


 


เมื่อเข้าใกล้ประตูสู่ยอดเขาที่ว่า ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันหนึ่งในบรรยากาศ และแรงกดดันที่ว่าก็ไม่หายไปจนเขาโรยตัวลงไปยืนบนพื้น


 


“ยอดเขาท่ายอา…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองไปยังแท่นศิลารูปทรงกระบี่ ก็พบว่ามีการสลักอักษร ยอดเขาท่ายอา เอาไว้ ตัวอักษรแลดูสง่างามน่าเกรงขามให้ความรู้สึกประหนึ่งหงส์ร่อนมังกรร่ายรำ


 


ที่สำคัญอักขระดังกล่าวยังแผ่พุ่งเจตนากระบี่อันร้ายกาจสุดหยั่ง เห็นได้ชัดว่าผู้สลักมันไว้เป็นมือกระบี่ที่ร้ายกาจคนหนึ่ง


 


หลังเดินขึ้นสู่ยอดเขาท่ายอาได้สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็ถูกกงซุนจิ้งนำมาถึงห้องโถงใหญ่ จึงได้เห็นผู้นำสายกระบี่ท่ายอา เป็นประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะคนปัจจุบัน อวี่เจี้ยนเฉิง!


 


อวี่เจี้ยนเฉิงคนนี้ ก็คือผู้ที่สร้างสถิติที่ไม่อาจมีใครทำลายได้ถึง 20,000 ปีของยอดเขาแรงโน้มถ่วงกับหอคอยจิตวิญญาณในแดนลับอัจฉริยะ


 


“ประมุข”


 


ซูหลีกับกงซุนจิ้งโค้งให้อวี่เจี้ยนเฉิงแต่พองาม


 


“อืม”


 


อวี่เจี้ยนเฉิงพยักหน้าให้ทั้งคู่เป็นการทักทาย จากนั้นสายตาก็เบนไปตกยังร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ เอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าทั้งคู่ ก็คือต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อกระมัง”


 


“ประมุขอวี่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้อวี่เจี้ยนเฉิงด้วยรอยยิ้ม สำหรับฮ่วนเอ๋อที่เดินตามอยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียนเพียงพยักหน้าให้อวี่เจี้ยนเฉิงเบาๆเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม แม้ฮ่วนเอ๋อจะแลดูหยาบคายไปบ้าง แต่อวี่เจี้ยนเฉิงก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย


 


ฟุ่บ!!


 


ไร้ซึ่งการแจ้งเตือนใดๆ อยู่ๆอวี่เจี้ยนเฉิงก็ควบรวมกระบี่สีดำจากมวลพลังที่แผ่ซ่านกลิ่นอายทำลายล้างขุ่นคลั่ก จากนั้นกระบี่พลังดังกล่าวก็ส่งเสียงแหวกฟ้าฉับไว จี้ตรงเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน!


 


“ประมุข!”


 


สีหน้าซูหลี่ทั้งกงซุนจิ้งเปลี่ยนไปทันที ด้วยไม่คิดว่าอยู่ๆอวี่เจี้ยนเฉิงจะลงมือจู่โจมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนแบบนี้


 


อย่างไรก็ตาม เผชิญหน้ากับกระบี่พลังที่พุ่งมาดั่งลำแสงของอวี่เจี้ยนเฉิง สองตาต้วนหลิงเทียนพลันทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานพลังธาตุมิติพลันปะทุออกมาท่วมร่างในชั่วพริบตา


 


พร้อมกันนั้นเบื้องหน้าของเขา ยังอุบัติรอยแยกมิติ 9 รอย ปรากฏคมมีดมิติ 9 สายพุ่งยิงออกมาด้วยความเร็วสูง จี้ตรงเข้าใส่กระบี่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างในพริบตา


 


กระบี่สีดำที่เปล่งกลิ่นอายพลังทำลายล้างที่พุ่งเข้ามาๆ อยู่ๆก็หยุดชะงักครู่หนึ่งคล้ายปะทะกับพลังบางอย่าง ก่อนจะพุ่งฝ่ามาได้ราวกับกระบี่ไร้เทียมทานไม่อาจทำลาย


 


‘กฏทำลายล้างอันร้ายกาจ!’


 


เมื่อครู่ที่ไฉนอยู่ๆกระบี่สีดำที่พุ่งมาดั่งลำแสงชะงักไปวูบหนึ่ง เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนได้ใช้ความลึกซึ้งกักกัน บิดเบือนและพายุแม่เหล็กสกัดเอาไว้


 


แต่กระนั้นกระบี่สีดำดังกล่าวกลับลุยฝ่ามาได้


 


อย่างไรเสียพลังที่อัดแน่นในกระบี่สีดำเล่มนี้ก็คือพลังของจอมราชันอมตะ 6 ผสาน ที่อัดแน่นไปด้วยพลังความลึกซึ้งของกฏทำลายล้างอันน่ากลัว


 


ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


ครู่ต่อมากระบี่พลังสีดำที่ถูกลดทอนพลังไปบางส่วน ก็ปะทะเข้ากับคมมีดมิติทั้ง 9 ตรงๆ จนในที่สุดมันก็ถูกคมมีดมิติทั้ง 9 ทำลายจนสลายหายไปในอากาศ


 


“ฝีมืออันร้ายกาจ!”


 


สองตาอวี่เจี้ยนเฉิงเปล่งประกาสว่างจ้า รู้สึกชื่นชมต้วนหลิงเทียนจากใจ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนเจ้าสามารถทำลายสถิติของ 2 บททดสอบที่ข้าสร้างทิ้งไว้เมื่อ 20,000 ปีลงได้…ความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ เหนือกว่าข้าตอนเข้าสู่แดนลับอัจฉริยะในปีนั้นมากนัก”


 


“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนข้าเข้าแดนลับอัจฉริยะ อายุของข้าก็ปาเข้าไปเกือบพันปีแล้ว…แต่เจ้ายังมีอายุไม่ถึง 300 ปีด้วยซ้ำ”


 


กล่าวถึงจุดนี้ อวี่เจี้ยนเฉิงก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้


 


“ประมุขอวี่กล่าวชมเกินไปแล้ว”


 


สีหน้าท่าทีของต้วนหลิงเทียนยังคงสงบไม่แปรเปลี่ยน เพราะเขาสามารถมองออกแต่แรก ว่าเมื่อครู่อวี่เจี้ยนเฉิงคิดทดสอบเขาเท่านั้น กระบี่ที่พุ่งเข้ามานั่น…มันไม่มีจิตมุ่งร้ายแม้แต่นิดเดียว


 


“เจ้าต้องการเข้าร่วมสายใดของนิกายกระบี่หมื่นหายนะเราหรือ? หากไม่รังเกียจ สายท่ายอาของข้าก็ยินดีต้อนรับเจ้า”


 


อวี่เจี้ยนเฉิงคลี่ยิ้มสดใส


 


“เพ่ย!!”


 


ต้วนหลิงเทียนยังไม่ทันได้ตอบคำอะไร เสียงสบถเย็นชาหนึ่งก็ดังขึ้นในโถงใหญ่ จากนั้นอยู่ๆก็ปรากฏร่างชายชราผ่ายผอมขึ้นอย่างกะทันหัน


 


เป็นชายชรามาในชุดหรูหรา แต่แลดูหลวมๆไม่พอดีตัว แม้เส้นผมขนคิ้วจะเป็นสีขาวโพลน แต่ใบหน้ากลับแลดูอ่อนวัยปานเด็กน้อย สองตาทอประกายสดใสปานดวงดารา


 


“ท่านปู่!”


 


พอเห็นชายชราผู้โผล่มาปานภูตผี กงซุนจิ้งก็รีบประสานมือโค้งคารวะทันที


 


“ปรมาจารย์กงซุน”


 


ซูหลี่ยังทำความเคารพชายชราที่มาใหม่เช่นกัน


 


‘ผู้นำสายกระบี่ซวนหยวนงั้นรึ?’


 


ได้ยินคำทักทายของกงซุนจิ้งกับซูหลี่ ต้วนหลิงเทียนก็พอจะคาดเดาตัวตนของผู้มาใหม่ได้ ว่าไม่พ้นต้องเป็นผู้นำสายซวนหยวนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ กงซุนคัง!


 


ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ!


 


“อาจารย์ลุงกงซุน ท่านไฉนมานี่ได้เล่า?”


 


พอเห็นร่างผู้มาใหม่ อวี่เจี้ยนเฉิงอดคลี่ยิ้มเจื่อนๆออกมาไม่ได้ เพราะไม่คิดเลยว่าอาจารย์ลุงของมันก็จะสนใจต้วนหลิงเทียนด้วย


 


เมื่อไม่นานมานี้ มันได้รับข้อความจากหลานอย่างอวี่เทียนสิง ว่าให้รีบชักชวนต้วนหลิงเทียนเข้าร่วมสายท่ายอาให้เร็วที่สุด


 


หาไม่แล้ว ผู้นำสายซวนหยวนอาจโผล่มาปล้นชิงผู้คน!


 


เพราะกงซุนจิ้งกับต้วนหลิงเทียนสมควรสนิทกันไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตาม มันคิดไม่ถึงจริงๆวาอาจารย์ลุงที่ไม่ได้ออกจากยอดเขาซวนหยวนมาเนิ่นนาน จะออกจากยอดเขาซวนหยวนและถ่อมาถึงยอดเขาท่ายอาเพื่อช่วงชิงผู้คนกับมันจริงๆ


 


“เหอะๆ หากข้าไม่มา ต้นกล้าดีๆไม่ถูกเจ้าฮุบไว้คนเดียวหมดรึ?”


 


ชายชรากล่าวออกด้วน้ำเสียงค่อนแคะ


 


“เจ้าหนูเจี้ยนเฉิงสายท่ายอาเจ้าก็มีเด็กน้อยเทียนสิงอันร้ายกาจอยู่แล้วทั้งคน…แต่สายซวนหยวนของข้ามีแค่อันธพาลน้อยอย่างจิ้งเอ๋อคนเดียว! เช่นนั้นมิใช่มีต้นกล้าดีๆก็ต้องให้สายซวนหยวนของข้าก่อนรึไร?”


 


ชายชรากล่าวกับอวี่เจี้ยนเฉิง


 


“อาจารย์ลุงกงซุน”


 


ในขณะที่อวี่เจี้นเฉิงคิดจะแย้ง เสียงชราอีกเสียงพลันดังขึ้นในโถงใหญ่ “ศิษย์พี่กงซุน เช่นนั้นสายข้าที่ไม่มีรุ่นเยาว์คนใดเทียบกงซุนจิ้งหลานชายของท่านได้…ยิ่งต้องได้รับความสำคัญมากกว่าผู้ใดสิ ต้นกล้าเช่นนี้ก็ต้องให้สายอวี๋ฉางของข้าก่อนแล้ว”


 


พร้อมๆกันกับที่เสียงชรานี้ดังขึ้น ในโถงใหญ่ก็ปรากฏร่างหญิงชราคนหนึ่งยืนหลังตรงอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกราวกับยอดเขาแหลมคม


 


หลังจากที่หญิงชราปรากฏตัวขึ้น นางก็เอาแต่มองจ้องกงซุนจิ้งไม่วางตา


 


“ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนศิษย์น้องหญิงอวิ๋นอีของสายอวี๋ฉางจะแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้นำสายของนางด้วย…เพราะนี่คือผู้นำสายอวี๋ฉาง และเป็นศิษย์น้องหญิงของท่านปู่ข้า ซีเหมินหวานหว่าน”


 


กงซุนจิ้งส่งเสียงผ่านพลังบอกต้วนหลิงเทียน


 


“ศิษย์น้องหญิงหวานหว่าน ไฉนเจ้าถึงแจ้นมานี่ได้เล่า?”


 


พอเห็นซีเหมินหวานหว่านปรากฏตัว กงซุนจิ้งก็ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ได้ออกจากยอดเขาอวี๋ฉางหลายพันปีแล้วหรือไร?”


 


“ศิษย์พี่กงซุน ข้าไม่คิดเรียกร้องอะไรมากมาย…ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อนั้น ข้าต้องการแค่คนเดียว”


 


ซีเหมินหวานหว่านมองไปยังต้วนหลิงเทียนก่อน ค่อยเบนตาไปมองฮ่วนเอ๋อที่ยืนข้างๆต้วนหลิงเทียน “ต้วนหลิงเทียนศิษย์น้องหญิงไม่แย่งกับศิษย์พี่ก็ได้”


 


“แต่ข้าอยากได้ฮ่วนเอ๋อมาเข้าร่วมสายอวี๋ฉาง”


 


เสียงของซีเหมินหวานหว่านนั้น เด็ดขาด ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ


 


“เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา”


 


สองตากงซุนคังทอประกายจ้าขึ้นมาทันที ตอนแรกมันคิดว่าศิษย์น้องหญิงของมันจะแย่งชิงต้วนหลิงเทียนกับมันซะอีก แต่พอได้ยินความต้องการของอีกฝ่าย มันก็ยอมรับได้ทันที


 


สายซวนหยวนของมัน ได้ต้วนหลิงเทียนมาเข้าร่วมแค่คนเดียวก็พอ


 


“ศิษย์พี่กงซุน ศิษย์พี่หญิงซีเหมิน ไฉนพวกท่านแอบมาแบ่งผู้คนกันเองไม่บอกข้าเลยเล่า…นี่จะไม่น่าเกลียดไปหน่อยหรือ?”


 


เสียงมีอายุพลันดังขึ้นอีกครั้ง ไม่นานก็มีชายวัยกลางคนร่างกายกำยำแข็งแกร่ง แลดูตัวใหญ่ก้าวอาดๆเข้ามาจากด้านนอก


 


“นั่นเป็นผู้นำสายจ้านลู่ เรียกว่าฉงจิ่ว…ดูเหมือนเหอจ้านก็จะส่งข้อความไปรายงานด้วย”


 


กงซุนจิ้งส่งเสียงผ่านพลังบอกตัวตนของผู้มาใหม่ให้ต้วนหลิงเทียนฟังอีกรอบ


 


“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่หญิง…สายจ้านลู่ของข้าขาดแคลนอัจฉริยะอย่างต้วนหลิงเทียนยิ่ง…ผู้เป็นศิษย์พี่ย่อมเสียสละให้ศิษย์น้อง และไม่คิดแย่งคนกับศิษย์น้องที่น่าสงสารเช่นข้าใช่หรือไม่?”


 


กล่าวถึงจุดนี้ฉงจิ่วก็หันไปมองกงซุนจิ้งกับซีเหมินหวานหว่านตาแป๋ว


 


“เพ่ย!”


 


กงซุนจิ้งพ่นลมสบถเสียงเย็น “ศิษย์น้องฉงจิ่ว เจ้าจะทำหน้าอ้อนก็ดูสารรูปเจ้าด้วย…ที่สำคัญสายจ้านลู่เจ้าไม่ใช่ว่ามีเหอจ้านแล้วรึไร พรสวรรค์ของเด็กน้อยเหอจ้านยังเหนือกว่ากุงซุนจิ้งหลานข้าซะอีก เจ้ายังกล้ามาทำหน้าทำตา คิดฉกคนจากข้าอีกรึ?”


 


“เหอจ้าน?”


 


ฉงจิ่วส่ายหัวไปมา “ศิษย์พี่กงซุนอ่า ในเมื่อท่านบอกว่าเหอจ้านดี…งั้นข้าจะให้เหอจ้านเปลี่ยนไปอยู่สายซวนหยวนท่าน  ส่วนท่านก็ไม่แย่งต้วนหลิงเทียนกับศิษย์น้องคนนี้เป็นไร?”


 


“เจ้า…”


 


กงซุนคังถึงกับอึ้ง ถึงขั้นพูดไม่ออกแถมลมหายใจติดขัดไปวูบหนึ่ง “ข้าไม่เจอเจ้าก็หลายปีดีดักแล้ว แต่เจ้ายังหน้าไม่อายไม่หายอีกหรือ?”


 


กงซุนจิ้งที่อยู่ไม่ไกลเองก็ตะลึงไปเช่นกัน


 


“อั้ย หากเหอจ้านนั่นมันรู้ว่าปรมาจาราย์ฉงจิ่วเอามันมาขายเลหลังแบบนี้…ข้าว่ามันต้องโมโหจนกระอักเลือดตายแน่”


 


กงซุนจิ้งกระซิบกล่าวกับต้วนหลิงเทียนและซูหลี่


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


และในขณะเดียวกับที่กงซุนจิ้งกำลังกระซิบคุยกับต้วนหลิงเทียนและซูหลี่นั้นเอง ร่างคน 2 พลันปรากฏขึ้นในโถงปานภูตผี


 


เป็นชายหนุ่มหล่อเหลา และหญิงสาวที่งดงามมาก


 


“ให้ตายเถอะ…กระทั่งผู้นำของสายก้านเจี้ยงกับม่อเหยียก็มาด้วยหรือ!?”


 


เห็นร่าง 2 ร่างที่พึ่งปรากฏขึ้น กงซุนจิ้งก็ตะลึงไปไม่น้อย


 


“พี่หลิงเทียน สองคนนี้หน้าตาเหมือนกันยิ่ง…”


 


เมื่อได้ยินเสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อดังขึ้นในหู ต้วนหลิงเทียนที่กำลังมองฉงจิ่วด้วยความสนใจ ก็พบว่าร่าง 2 ที่พึ่ปรากฏตัวขึ้นในโถงนั้น มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันอย่างมาก


ตอนที่ 3,247 : พี่ชายน้องสาวจูเก่อ


 


“ผู้นำของสายก้านเจี้ยงกับม่อเหยียเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ทั้งคู่จึงมีหน้าตาคล้ายกันเป็นธรรมดา”


 


กงซุนจิ้งที่ได้ยินคำพูดฮ่วนเอ๋อ ก็รีบกล่าวอธิบายออกมาทันที


 


“นอกจากนี้ถึงแม้หากลงมือตัวคนเดียว ไม่ว่าผู้นำสายก้านเจี้ยงหรือม่อเหยียจะไม่อาจสู้ท่านปู่ข้ากับท่านประมุขได้ ทว่ายามรวมมือกันต่อให้เป็นท่านปู่ข้าหรือท่านประมุข ก็ไม่อาจมีเปรียบ กระทั่งยิ่งสู้ไปนานเข้าจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกด้วย”


 


พอกงซุนจิ้งกล่าวถึงจุดนี้ ก็พยายามลดเสียงให้เบาลงกว่าเดิม “ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามคนล่าสุดที่คิดมาปกครองแดนทักษินยุทธ์ก็ถูกทั้งคู่กลุ้มรุมสังหาร”


 


“หากทั้งคู่ร่วมมือกัน…ไม่ใช่แค่นิกายกระบี่หมื่นหายนะของพวกเราเท่านั้น ให้มองไปทั่วแดนทักษินยุทธ์ก็ยากจะพบเจอผู้ใดทัดเทียม”


 


กงซุนจิ้งกล่าว “ด้วยความที่ทั้งคู่เป็นฝาแฝด เช่นนั้นจึงสามารถผนึกกำลังร่วมมือกันได้อย่างเลิศล้ำ ร้ายกาจสุดที่ผู้ใดจะทาบติด”


 


ได้ยินคำอธิบายของกงซุนจิ้ง ต้วนหลิงเทียนก็จำต้องมองคู่ชายหนุ่มหญิงสาวใหม่อีกรอบ สองตายังทอประกายสว่างไสวขึ้น


 


เขาดูอย่างไรก็บอกไม่ได้เลยว่าคู่ชายหนุ่มหญิงสาวหน้าตาดีคู่นี้ ที่แลดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นพิษเป็นภัยต่อสรรพชีวิตใดๆ  ที่แท้จะเป็นตัวตนที่ร้ายกาจขนาดนั้น!


 


เป็นตัวตนที่เข่นฆ่าได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานาม!


 


“พี่กงซุน พลังฝีมือของปู่ท่าน…ไม่อ่อนด้อยไปกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้วใช่หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปถามกงซุนจิ้ง


 


“ข้าได้ยินท่านปู่เล่าว่า ในอดีตท่านเคยประมือกับจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่บ้าง…หนึ่งในนั้นด้อยกว่าท่านปู่ แต่อีกหนึ่งมีพลังฝีมือพอๆกัน”


 


คำตอบผ่านพลังรอบนี้ของกงซุนจิ้งทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที


 


พลังความแข็งแกร่งของกงซุนคัง ผู้นำสายซวนหยวนแห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะ…ทัดเทียมกับจักรพรรดิอมตะสมญานาม!


 


“แล้วพลังฝีมือของประมุขอวี่เล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามผ่านพลังไปอีกรอบ


 


“พลังฝีมือของประมุขอวี่ไม่ได้ด้อยกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามแม้แต่น้อย…หากประมุขอวี่ต้องการ ท่านสามารถเดินทางไปยังวิหารเฟิงฮ่าวเพื่อรับสมญานามได้ตลอดเวลา”


 


พอกงซุนจิ้งกล่าวถึงจุดนี้ ก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ “หลายปีก่อนท่านประมุขกับท่านปู่ข้าก็เคยประมือกันรอบหนึ่ง แต่ผลออกมาคือเสมอ…แต่ในปัจจุบันข้าคิดว่าพลังฝีมือของประมุขอวี่สมควรก้าวข้ามท่านปู่ไปได้แล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเป็นอันรับทราบเบาๆ อย่างไรก็ตามในใจยังอดปั่นป่วนไปไม่ได้


 


นิกายกระบี่หมื่นหายนะแห่งนี้ มีตัวตนที่สามารถสังหารจักรพรรดิอมตะสมญานาม อีกทั้งยังมีผู้ที่มีพลังฝีมือทัดเทียมจักรพรรดิอมตะสมญานามอีกถึง 2 คน!


 


แต่ขุมพลังเช่นนี้กลับเป็นเพียงขุมกำลังระดับ 1?


 


‘ถึงจะเป็นขุมกำลังระดับ 1 ขั้นสูง ก็ได้ยินว่ามีจักรพรรดิอมตะสมญานามอย่างมากแค่คนสองคนไม่ใช่รึไง? ขุมพลังที่แท้จริงของนายกระบี่หมื่นหายนะตอนนี้แม้จะเทียบกับในอดีตไม่ได้ แต่ก็เหนือกว่าขุมกำลังระดับ 1 ไปไกลแล้ว…’


 


จากความเข้าใจเกี่ยวกับขุมกำลังในระนาบเทวโลก ไม่ใช่เรื่องยากที่ต้วนหลิงเทียนจะสรุปได้


 


ขณะเดียวกัน สายตาเขาก็หวนกลับมาชมดูเรื่องราวในห้องโถงหลักของยอดเขาท่ายอาอีกครั้ง


 


เมื่อสองยอดฝีมือจากสายก้านเจี้ยงและม่อเหยียมาถึง บรรยากาศภายในโถงหลังก็ตึงขึ้นทันที


 


“อะไร? เจ้าหนูน้อย 2 คนนี้…ก็คิดจะมาแย่งชิงผู้คนด้วย?”


 


เป็นกงซุนคังที่กล่าวทำลายความเงียบออกมาก่อนใคร กล่าวถามออกไปด้วรอยยิ้มฝืนๆในแววตาฉายความจนใจออกมาอยู่บ้าง


 


ถึงแม้ทั้ง 2 คนเบื้องหน้า ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็ไม่อาจสู้มันได้ แถมลำดับอาวุโสยังอ่อนกว่าหนึ่งรุ่น จนต้องเรียกหามันว่าอาจารย์อา อย่างไรก็ตามพอทั้งคู่ร่วมมือกัน พลังฝีมือก็เหนือมันไปแล้ว


 


“อาจาร์อา ข้าต้องการฮ่วนเอ๋อ”


 


ผู้นำสายม่อเหยีย ที่เป็นหญิงสาวงดงามนางหนึ่งกล่าวกับกงซุนจิ้งด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ


 


“ต้วนหลิงเทียน”


 


สำหรับผู้นำสายก้านเจี้ยง เพียงกล่าวคำออกกมาสามพยางค์เท่านั้น ราวกับหวงแหนวาจาดั่งทองคำ


 


“แล้วกันไปเถอะ…แล้วกันไปเถอะ…ไม่คิดเลยว่าเจ้าหนูทั้ง 2 จะสนใจเด็กน้อยสองคนนั่นด้วย…เช่นนั้นเราแม่เฒ่าไม่แย่งคนแล้ว”


 


ซีเหมินหวานหว่าน ผู้นำสายอวี๋ฉาง ในรูปลักษณ์หญิงชราส่ายหัวไปมาพลางถอนหายใจ จากนั้นก็ก้าวออกจากห้องโถงใหญ่ ก่อนจะวูบร่างหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


“อั้ยในเมื่อศิษ์หลานทั้ง 2 ออกปากแบบนี้ อาจารย์อาแก่แล้วกระดูกกระเดี้ยวก็ไม่ค่อยดี จะไปสู้พวกเจ้าได้อย่างไร”


 


ฉงจิ่วส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะจากไปอีกคน


 


“ศิษย์พี่ฟง ศิษย์พี่หญิงอวิ๋น…”


 


จังหวะนี้ กระทั่งอวี่เจี้ยนเฉิง ประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆทักทายผู้นำสายก้านเจี้ยงและสายม่อเหยียทั้ง 2


 


ผู้นำสายก้านเจี้ยงนั้นเรียกว่า จูเก่อฟง ส่วนผู้นำสายม่อเหยียเรียกว่า จูเก่ออวิ๋น


 


“ศิษย์น้องเจี้ยนเฉิง เจ้าคงไม่คิดแย่งชิงคนกับพวกเราใชไหม?”


 


จูเก่ออวิ๋นกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม


 


“ในเมื่อศิษย์พี่ฟงกับศิษย์พี่หญิงอวิ๋นมาเพื่อทั้งคู่ แล้วข้าจะกล้าแย่งชิงได้อย่างไร”


 


อวี่เจี้ยนเฉิงได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม


 


ได้ยินคำพูดของอวี่เจี้ยนเฉิง จูเก่ออวิ๋นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็หันไปมองกงซุนคัง “อาจารย์อากงซุนเจ้าขา…ท่านก็คงไม่คิดจะแย่งคนกับพวกเราสองพี่น้องที่โดดเดี่ยวหงอยเหงาใช่ไหม?”


 


“โดดเดี่ยวหงอยเหงา?”


 


ต้วนหลิงเทียนอึ้ง


 


“ไม่เหงาธรรมดา แต่เรียกว่าโคตรเหงายังได้ เพราะยอดเขาก้านเจี้ยงกับม่อเหยีย มีแค่ผู้นำทั้ง 2 คนเท่านั้น ไม่มีศิษย์สาวกแม้แต่คนเดียว…”


 


กงซุนจิ้งกล่าวเตือน “แต่เรื่องนี้กล่าวไปยังน่าประหลาดยิ่ง ทั้งคู่ไม่มีศิษย์ไปเข้าร่วมแดนลับอัจฉริยะแท้ๆ แต่ไฉนถึงได้รับข่าวรวดเร็วนักเล่า”


 


“ไม่ใช่ข้าบอกไปแล้วหรือ ว่าข้ารายงานให้อาจารย์ผู้เฒ่าทราบแต่แรก…”


 


ซูหลี่ที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้น


 


“ฮะ! จริงสิ! ข้าก็ลืมไปว่าสายเฉิงหยิ่งของเจ้าสนิทกับทั้งคู่มาก!”


 


กงซุนจิ้งคลี่ยิ้มโง่งม


 


“ซูหลี่ เดิมทีข้าคิดว่าที่เจ้าชวนกงซุนจิ้งให้เข้าสู่แดนลับทวยเทพกับพวกเราก่อนเพราะคิดให้ข้าเข้าสายซวนหยวนเสียอีก…”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปส่งเสียงผ่านพลังคุยกับซูหลี่ทันที “แต่ที่จริง…เจ้าคิดให้ข้ากับฮ่วนเอ๋อเข้าสายก้านเจี้ยงม่อเหยียแต่แรกแล้วใช่หรือไม่?”


 


“ต้วนหลิงเทียน ที่ข้าเลือกจะชวนกงซุนจิ้งไป เพียงแค่ให้ผู้นำสายซวนหยวนรู้สึกติดค้างเจ้าเท่านั้น”


 


ซูหลี่ก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับ “แต่ให้เทียบกกับสายซวนหยวนแล้ว ข้าอยากให้พวกเจ้าสองคนแบ่งไปเข้าสายก้านเจี้ยงกับสายม่อเหยียมากกว่า”


 


“ปรมาจารย์ฟงกับปรมาจารย์อวิ๋นนั้นเชี่ยวชาญการโจมตีผสาน มีคำกล่าวทั่วแดนทักษินยุทธ์ว่า ยามเมฆลมประสานคนดั่งมังกรทะยานไร้ผู้ต้าน หากเจ้ากับฮ่วนเอ่อสามารถฝึกปรือวิชาจากทั้งคู่ได้ย่อมเป็นเรื่องดี! สำหรับเรื่องอื่นๆ ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้จากผู้ใดแล้วกระมัง?”


 


“นอกจากนี้ปรมาจารย์ทั้งสองยังมีพลังอำนาจสะกดผู้อื่นได้น่ากลัวที่สุด…หากเจ้ากับฮ่วนเอ๋อกลายเป็นศิษย์ในสายของทั้ง 2 คนจริง อย่าว่าแต่ในนิกายกระบี่หมื่นหายนะเลย ต่อให้พวกเจ้าออกนอกนิกายกระบี่หมื่นหายนะก็ไม่มีผู้ใดกล้าแหยมกับพวกเจ้าหรอก”


 


ซูหลี่กล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“ต้องขอบใจเจ้าแล้ว ซูหลี่”


 


หลังได้ยินเสียงผ่านพลังของซูหลี่ ต้วนหลิงเทียนนย่อมมองเห็นความหวังดีของอีกฝ่าย จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาพลางทอดถอนใจ


 


“ระหว่างเข้ากับเจ้า ยังต้องเกรงใจอะไร”


 


ซูหลี่ยิ้ม มันกับต้วนหลิงเทียนเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้ว?


 


มันยิ่งไม่เคยคิดเคยฝันด้วยซ้ำว่าจะได้มาเจอกันอีกครั้งที่อวี้หวงเทียนแห่งนี้ กระทั่งได้เป็นศิษย์ร่วมนิกายเดียวกัน


 


“ในเมื่อเจ้าสองคนต้องตาพึงใจเด็กน้อยทั้ง 2 ข้าย่อมไม่คิดแย่งกับพวกเจ้าแล้ว…ดีเสียอีกที่พวกเจ้าหัดรับศิษย์กันบ้าง สายก้านเจี้ยงกับม่อเหยียของพวกเจ้าจะได้ไม่เปลี่ยวร้างวังเวงเกินไป”


 


กงซุนคังส่ายหัวกล่าว ก่อนจะเดินจากไปอีกคน


 


ตั้งแต่ที่ผู้นำสายก้านเจี้ยงกับม่อเหยียมาถึงแบบนี้ มันก็ไม่อาจแข่งขันอะไรกับทั้งคู่ได้อีก และทุกคนก็พร้อมใจกันยกต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อให้ทั้งคู่ด้วย


 


“ฮ่วนเอ๋อ เจ้ายินดีจะเข้าร่วมสายม่อเหยียของข้าหรือไม่?”


 


ถึงแม้คนอื่นๆจะไม่มีใครคิดช่วงชิง แต่จูเก่ออวิ๋นก็ยังเลือกจะมองถามฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม เพราะนี่เป็นเรื่องของฮ่วนเอ๋อ สุดท้ายก็ต้องให้นางเป็นคนตัดสินใจ


 


ได้ยินคำถามดังกล่าว ฮ่วนเอ๋อก็ไม่รีบตอบ เพียงหันไปมองขอความเห็นจากต้วนหลิงเทียนก่อน


 


“ฮ่วนเอ๋อ รีบตอบรับสิ”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าว ในเมื่อซูหลี่ปูทางไว้ให้พวกเขาอย่างดี ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความหวังดีของซูหลี่


 


“อื้อ”


 


หลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อก็หันไปหักหน้าจอบคำจูเก่ออวิ๋น


 


“เจ้าหนูคนนี้ ช่างโชคดีจริงๆ…”


 


จูเก่ออวิ๋นส่ายหัวไปมาพลางถอนหาใจ ค่อยหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “โชคดีที่ข้าไม่ใช่ผู้ชาย ไม่งั้นข้าต้องอิจฉาเจ้าแน่”


 


“ใครบอกว่าผู้ชายต้องอิจฉาเสมอไป?”


 


พอจูเก่ออวิ๋นกล่าวจบคำ เสียงจูเก่อฟงที่ยืนอยู่ข้างๆก็ดังขึ้นทันที


 


‘แล้วใครจะเป็นตาแก่ตายด้านเหมือนท่านเล่า?’


 


จูเก่ออวิ๋นหันไปมองจูเก่อฟงด้วยยสายตาทดท้อ เพราะนางสิ้นหวังเรื่องชีวิตคู่ของพี่ชายฝาแฝดผู้นี้แล้ว…


 


นางเคยส่งสตรีงดงามมากมายไปถึงเตียงพี่ชายด้วยซ้ำ แต่พี่ชายของนางกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย วันๆเอาแต่ฝึกกระบี่ไม่หยุด…


 


จนสุดท้าย นางก็คิดว่าชาตินี้คงไม่มีทางมีพี่สะใภ้แน่นอนแล้ว


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้ายินดีเข้าร่วมสายก้านเจี้ยงของข้าหรือไม่?”


 


เมื่อจูเก่อฟงหันไปมองถามต้วนหลิงเทียน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมจริงจังของมันก็เผยรอยยิ้มหาดูได้ยากออกมา


 


และรอยยิ้มนี้ของจูเก่อฟง ก็ทำให้น้องสาวฝาแฝดที่อยู่ข้างๆอย่างจูเก่ออวิ๋นอึ้งไปไม่น้อย


 


กระทั่งคนอื่นๆไม่ว่าจะเป็นอวี่เจี้ยนเฉิง ประมุขนิกายยกระบี่หมื่นหายนะ รวมถึงกงซุนจิ้ง ไม่เว้นซูหลี่ก็อึ้งไปไม่ต่าง


 


ผู้นำสายก้านเจี้ยง ที่ถูกเรียกหาว่าภูเขาน้ำแข็งผู้นี้ ยิ้มเป็นด้วยหรือ?


 


“ผู้อาวุโสข้ายินดีอยู่สายของท่าน…แต่ข้ามีอาจารย์อยู่แล้ว เช่นนั้นก่อนที่จะได้รับความเห็นชอบจากท่านอาจารย์ ชั่วชีวิตข้าไม่คิดรับผู้ใดเป็นอาจารย์คนที่สอง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับจูเก่อฟงอย่างตรงไปตรงมา “หากผู้อาวุโสคิดรับข้าเป็นศิษย์และให้ข้าเรียกหาว่าอาจารย์ ข้าเกรงว่าคงไม่อาจเข้าร่วมสายของท่านได้”


 


“ก็แค่ชื่อเรียกหยุมหยิม ข้าไม่สนใจหรอก”


 


ในขณะที่จูเก่อฟงส่ายหัว ก็อดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนนด้วยยความชื่นชมเพิ่มขึ้นหลายส่วน เพราะต่อหน้าผลประโยชน์มหาศาล ไม่ใช่ว่าทุกคนจะยังรักษาหลักการของตัวเองเอาไว้ได้


 


“เช่นนั้นข้าต้วนหลิงเทียน ขอคารวะผู้นำสาย”


 


ได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวทักแบบนี้ จูเก่อฟงก็คลี่ยิ้มสดใสออกมามากกว่าเดิม แววตายังฉายชัดถึงความถูกใจต้วนหลิงเทียนถึงที่สุด


 


พลังฝีมือส่วนตัวของมัน ด้อยกว่าประมุขนิกายอย่างอวี่เจี้ยนเฉิงเสมอ


 


และปกติอวี่เจี้ยนเฉิงก็มักจะโม้เรื่องสถิติที่สร้างไว้ในแดนลับอัจฉริยะ…ที่สำคัญคือเจ้าของสถิติยอดเขาแรงโน้มถ่วงกับหอคอยจิตวิญญาณเดิม ก่อนที่จะถูกอวี่เจี้นเฉิงทำลายลงไปนั้น…ก็คือมันเอง!


 


ตอนนี้พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนสามารถทำลายสถิติของอวี่เจี้ยนเฉิงได้ทุกอย่าง มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิมขึ้น


 


เจ้าอวี่เจี้ยนเฉิงทำลายสถิติของข้าได้แล้วอย่างไรเล่า?


 


ไม่ใช่ศิษย์ในสายข้าก็ทำลายสถิติของเจ้าได้รึไง?


 


ถึงแม้จูเก่อฟงจะแลดูเหมือนภูเขาน้ำแข็ง ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ หากแต่จริงๆแล้วในใจของมันนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย


 


แน่นอนว่าที่มันรู้สึกพึงพอใจต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เพราะต้วนหลิงเทียนสามารถทำลายสถิติของอวี่เจี้ยนเฉิงได้เท่านั้น แต่ยังพึงพอใจกับพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนอีกด้วย


 


ดุจเดียวกับซูหลี่ อายุยังไม่ถึง 300 ปี…แต่กลับแข็งแกร่งกว่าซูหลี่!


 


ก่อนหน้านี้มันก็มีอิจฉาผู้นำสายเฉิงหยิ่งอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มันไม่อิจฉาอะไรแล้ว


 


เพราะในปัจจุบันทุกคนเสมือนเท่าเทียม กระทั่งศิษย์ในสายมันคนนี้มันยังร้ายกาจกว่าซูหลี่ด้วยซ้ำ!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)