War sovereign Soaring The Heavens 3234-3239

 ตอนที่ 3,234 : แดนลับทวยเทพ


 


วงกตสรรพสิ่ง ตั้งอยู่ในหุบเขาอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง เมื่อเข้าไปแล้วก็จะพบเจอเส้นทางวกวนเต็มไปด้วยภาพลวงตา ไม่อาจหาทางออกได้ง่ายๆ


 


อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่ติดตามมาถึงและคิดชมดูต้วนหลิงเทียนเข้าไปท้าทายวงกตสรรพสิ่ง ทั้งหมดกลับเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้เข้าไป


 


แต่สตรีนามฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียน กลับเข้าไปแทน


 


“ต้วนหลิงเทียน…ไม่คิดจะเข้าไปหรือ?”


 


หลายคนที่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้เข้าไป ก็อดไม่ได้ที่จะงุนงงไปพักหนึ่ง


 


“วงกตสรรพสิ่ง ตอนนี้ผู้ที่ได้อันดับ 1 เป็น โหวจื่อหลงใช่หรือไม่?


 


ตารางจัดอันดับของวงกตสรรพสิ่งนั้น ถูกฉายอยู่กลางอากาศนอกวงกตสรรพสิ่งด้วยพลังของค่ายกล เรียกว่าเป็นดั่งกระดานลวงตาโปร่งแสง จับต้องไม่ได้ราวหมอกควัน


 


“ซูหลี่อยู่ในอันดับที่ 6 เท่านั้น”


 


“อวี่เทียนสิงอันดับที่ 8”


 


“เฟิ่งชีชี ได้อันดับที่ 4!”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็สังเกตเห็นตารางจัดอันดับที่ฉายกลางหาวแล้วเช่นกัน จึงรู้ว่าอัจฉริยะในแดนลับอัจฉริยะรอบนี้ใครทำผลงานได้ดีที่สุด


 


ถึงแม้พลังฝีมือซูหลี่อาจจะร้ายกาจกว่าใครในรายชื่ออันดับ แต่สุดท้ายก็ยังทำผลงานในวงกตสรรพสิ่งได้แค่อันดับที่ 6 เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าพลังฝีมือที่ร้ายกาจไม่ใช่ทุกสิ่ง


 


“โหวจื่อหลง ใช้เวลาไปแค่ 7 วัน 5 ชั่วโมงกับอีก 15 นาที ก็สามารถออกจตากวงกตสรรพสิ่งได้แล้ว!?”


 


“ซูหลี่กลับใช้เวลาไปถึง 16 วันเต็มๆ!”


 


ถึงแม้ว่าอันดับของโหวจื่อหลงในหอคอยจิตวิญญาณค่ายกล กับยอดเขาแรงโน้มถ่วงจะอยู่ใน 10 อันดับแรกด้วย แต่ก็อยู่ในอันดับล่างๆเท่านั้น บ่งบอกว่าพลังฝีมือของมันอ่อนด้อยกว่าซูหลี่มาก


 


อย่างไรก็ตาม มันกลับอยู่ในอันดับที่ 1 ของวงกตสรรพสิ่ง! บ่งชี้ว่ามันเก่งเรื่องวิชาลวงตา ไม่ก็คล้ายๆกับฮ่วนเอ๋อที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิดไม่กลัวภาพลวงตา


 


“สถิติของวงกตสรรพสิ่งที่ดีที่สุดคือเท่าไหรหรือ?”


 


ต้วนหลิเทียนหันไปเอ่ยถามชายหนุ่มที่พาเขากับฮ่วนเอ๋อมาด้วยความสงสัย แม้เขาจะรู้แล้วว่าเจ้าของสถิติคืออัจฉริยะของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์เมื่อแสนปีก่อน แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันใช้เวลาไปเท่าไหร่


 


เผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์นั้นมีความสามารถพิเศษคล้ายเผ่าจิ้งจอกมายามาก ล้วนเชี่ยวชาญการใช้ภาพลวงตาเหมือนกัน


 


อย่างไรก็ตาม เผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์นั้นจะเก่งในเรื่องทำลายอาคมและภาพมายามากกว่า ส่วนเผ่าจิ้งจอกมายาเก่งในเรื่องสร้างภาพมายามากกว่า


 


ด้วยเหตุนี้เผ่าพันธุ์ทั้ง 2 จึงเป็นดั่งศัตรูตามธรรมชาติ และในอวี้หวงเทียนแห่งนี้ 2 เผ่าพันธุ์ก็มีข้อพิพาทกันมาโดยตลอด


 


“3 วันกับอีก 1 ชั่วโมง”


 


ชายหนุ่มที่ถูกต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม กล่าวตอบเร็วไว


 


“3 วันกับ 1 ชั่วโมง?”


 


มุมปากต้วนหลิงเทียนกระตุกขึ้นมาตงิดๆ ‘โหวจื่อหลิงใช้เวลามากกว่าเป็นเท่าตัว แต่กลับเป็นอันดับ 1 ในแดนลับอัจฉริยะรอบนี้งงั้นเหรอ?’


 


‘ไม่ทราบฮ่วนเอ๋อ จะทำลายสถิตินั่นได้รึเปล่า’


 


หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ต้วนหลิงงเทียนยังมีความมั่นใจในตัวฮ่วนเอ๋อมากล่ะก็ ตอนนี้พอมาได้รับทราบความต่างระหว่างอันดับ 1 ในปัจจุบันกับสถิติที่ไม่มีใครทำลายได้ในอดีต เขาก็ชักจะไม่แน่ใจซะแล้ว


 


เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


และในบรรดาผู้ที่ติดตามมาชมดูเรื่องราว ในที่สุดก็มีคนอดไม่ไหว เอ่ยถามต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยความอยากรู้ “ต้วนหลิงเทียน แล้วท่านไม่คิดเข้าไปหรือ?”


 


“ข้าเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนชะงักไปครู่หนึ่ง ค่อยส่ายหัว “ข้าไม่คิดจะเข้าไป”


 


“ไม่คิดจะเข้าไป?”


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ทุกคนก็อึ้งไปทันที


 


แล้วพวกมันจะมาที่นี่ทำอะไร? ไม่ใช่ว่ามาเพื่อดูต้วนหลิงเทียนท้าทายวงกตสรรพสิ่งหรือไร แต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับบอกว่าไม่คิดจะเข้าไป?


 


“ไปกันเถอะ…ที่แท้ต้วนหลิงงเทียนก็ไม่ได้คิดจะเข้าสู่วงกตสรรพสิ่ง”


 


ชายวัยกลางคนที่ถามส่ายหัวไปมา ก่อนจะเหินร่างจากไป


 


“อั้ย ข้าเองก็หลงคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะมาท้าทายวงกตสรรสิ่งซะอีก แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายกลับไม่ได้จะเข้าไป ในเมื่อผู้อื่นไม่คิดเข้า แล้วพวกเราจะมารอกันทำอะไร?”


 


“ไปๆ แยกย้ายๆ”


 



 


ทว่าในขณะที่กลุ่มคนกำลังจะเหินร่างจากไปนั้นเอง พลันมีร่างหนึ่งผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า พาลให้สองเท้าของทุกคนหนักอึ้งเสมือนมีตะกั่วลากถ่วงจนยืนขาตาย ก้าวไม่ออกในบัดดล


 


เพียงเพราะร่างที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นฮ่วนเอ๋อ!


 


“ฮวนเอ๋อ?”


 


พอเห็นฮ่วนเอ๋อปรากฏตัวออกมาแบบนี้ กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็อึ้งไปเช่นกัน เพราะเขารู้ดีว่าการที่ฮ่วนเอ๋อปรากฏตัวออกมาแบบนี้มันหมายความว่าอะไร สิ่งนี้บ่งบอกว่านางผ่านวงกตสรรพสิ่งแล้ว!


 


ทว่า ไม่ใช่ฮ่วนเอ๋อพึ่งจะเข้าไปได้ 3 ชั่วโมงหรือไง?


 


“วงกตสรรพสิ่ง เว้นเสียแต่จะผ่านได้อย่างราบรื่น หาไม่แล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะออกมาในเวลาอันสั้น…ปกติมักจะถูกกักขังกันเป็นเดือน”


 


“แต่นี่นาง…ออกมาในเวลาแค่ 3 ชั่วโมงงั้นหรือ เช่นนั้นไม่ใช่ว่านางผ่านวงกตสรรพสิ่งได้ในเวลา 3 ชั่วโมงหรือไร?”


 


“3 ชั่วโมง เวลานี้เป็นไปไม่ได้กระมัง?”


 


“3 ชั่วโมง กระทั่งอัจฉริยะเผ่าววิฬารทมิฬไร้ลักษณ์เมื่อแสนกว่าปีก่อนยังใช้เววลา 3 วัน…แต่นาง 3 ชั่วโมง! บ้าไปแล้ว มันเป็นไปได้ยังไงกัน!?”


 


“ไม่ใช่ว่านางเล่นตุกติกไม่ได้ผ่านวงกตสรรพสิ่งด้วยวิธีปกติ แล้วมีวิธีกลับออกมาหรอกนะ?”


 



 


การที่ฮ่วนเอ๋อใช้เวลา 3 ชั่วโมงก็ออกมาแบบนี้ ทำให้ผู้คนรอบๆตกใจไม่น้อย กระทั่งกลุ่มคนที่คิดจะจากไป ก็หวนกลับมาชมดูเรื่องราวทันที


 


และคนก่อนหน้าที่จากไป ใครที่มีสหายคอยแจ้งเรื่องราวก็รีบย้อนกลับมาทันที


 


“นางได้บุกผ่านวงกตสรรสิ่งหรือไม่ แค่ดูที่ตารางจัดอันดับด้านบนก็รู้ได้ หากนางลุยผ่านมันแทนที่จะมีวิธีหลบหนีออกมา เช่นนั้นชื่อของนางต้องปรากฏในตารางจัดอันดับแน่นอน!”


 


ด้วยมีเสียงหนึ่งกล่าวเตือน ทำให้สายตาของทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียน แหงนขึ้นไปจับจ้องมองตารางจัดอันดับของวงกตสรรพสิ่งทันที


 


และอันดับ 1 ในตอนนี้ก็ไม่ใช่โหวจื่อหลงอีกต่อไป แต่เป็น…ฮ่วนเอ๋อ!


 


ฮ่วนเอ๋อ 3 ชั่วโมง!


 


เมื่อเห็นชื่อฮ่วนเอ๋อ รวมถึงเวลาที่นางใช้ไปด้านหลัง ผู้คนที่ชมมองก็อึ้งไปตามๆกัน


 


นี่มัน…ที่แท้เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?!


 


ในเวลาเดียวกัน ผู้คนในวงกตสรรสิ่งที่อื่น ก็อดตะลึงไปไม่ได้


 


เพราะในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังมุ่งหน้ามาวงกตสรรพสิ่งที่ตั้งอยู่ที่นี่ คนที่ติดตามมาก็ส่งข่าวแจ้งไปยังสหายให้รับทราบ เช่นนั้นหลายๆคนที่ได้รับการบอกต่อก็เดินทางไปยังวงกตสรรพสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ


 


เดิมทีคิดว่าจะได้เห็นชื่อต้วนหลิงเทียนขึ้นในตารางจัดอันดับของวงกตสรรพสิ่ง แต่ไม่คิดเลยว่าแค่รอดูอยู่ไม่ทันไร ชื่อสตรีนามฮ่วนเอ๋อ ที่อยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียนกลับโผล่ขึ้นมาแทน!


 


และเวลาหลังชื่อฮ่วนเอ๋อ ก็ถล่มสามัญสำนึกของพวกมันจนราบ


 


นางใช้เวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ก็ผ่านวงกตสรรพสิ่งได้แล้ว


 


“เหอๆ แสนปีก่อนอัจฉริยะเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ใช้เวลาไป 3 วันเต็มๆกว่าจะผ่านวงกตสรรพสิ่ง…แต่ฮ่วนเอ๋อผู้นี้กลับใช้เวลาไปแค่ 3 ชั่วโมง?”


 


“จ้าวสวรรค์ช่วย! สถิตินี้มันจะไม่ฝืนฟ้าไปหน่อยรึไง!?”


 


“เหอะๆ สถิตินี้ วันหน้ายังจะมีผู้ใดทำลายได้อีกเล่า?”


 


“สถิติ 3 วันก็ดำรงอยู่มาแสนกว่าปี ไม่มีผู้ใดมีทีท่าว่าจะทำลายได้แล้ว…เช่นนั้น สถิติ 3 ชั่วโมงนี่จะอยู่นานแค่ไหนกัน? ล้านๆปี?”


 


“บ้าไปแล้ว! ร้ายกาจเกิน!!”


 



 


ความสำเร็จของฮ่วนเอ๋อในการบุกฝ่าวงกตสรรพสิ่งทำให้ทุกคนตกใจแล้วจริงๆ กระทั่งอัจฉริยะจากขุมกำลังอันดับ 1 ทั้งหลายก็อึ้งไปเป็นแถบ


 


เดิมทีคิดว่าต้วนหลิงเทียนนั่นเป็นตัวประหลาดมากแล้ว ไม่คิดเลยว่าฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างกายจะเป็นตัวประหลาดยิ่งกว่า


 


“นางทำได้อย่างไรกัน!?”


 


ตอนนี้หลายๆคนยังไม่อาจเชื่อได้ลงคอ กระทั่งสงสัยว่าใช่ฝันไปรึเปล่า เพราะสุดท้ายแล้ว เวลา 3 ชั่วโมงมันก็น้อยเกินไป!


 


ถึงแม้การเข้าสู่หอคอยจิตวิญญาณค่ายกลและยอดเขาแรงโน้มถ่วงของต้วนหลิงเทียน จนทำลายสถิติที่อวี่เจี้ยนเฉิงสร้างไว้เมื่อ 20,000 ปีก่อนลงได้ทั้งคู่ จะสร้างความตกใจให้ผู้คน แต่ยังห่างไกลจากความตกใจที่ฮ่วนเอ๋อนำมา…


 


ก่อนอื่นเลย ฮ่วนเอ๋อได้ทำลายสถิติเมื่อ แสนปีที่แล้ว


 


ประการที่ 2 สถิติเก่าเมื่อแสนปีก่อน มันไม่อาจเทียบกับสถิติที่ฮ่วนเอ๋อพึ่งสร้างขึ้นวันนี้เลย


 


กลับกัน ต้วนหลิงเทียนนั้นทำเวลาเร็วกว่าอวี่เจี้ยนเฉิงแค่ไม่กี่ลมหายใจในหอคอยจิตวิญญาณค่ายกล และขึ้นบันไดไปมากกว่าอวี่เจี้ยนเฉิงแค่ร้อยกว่าขั้น


 


3 ชั่วโมง


 


3 วัน


 


นี่มันต่างกันกี่เท่า?


 


“ข้าไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าข้าจะได้เห็นสถิติในแดนลับอัจฉริยยะถูกทำลายลง 3 สถิติในรอบนี้…ในประวัติศาสตร์แดนลับอัจฉริยะ ในรอบไม่กี่แสนปีหลัง นี่นับว่าเป็นครั้งที่ 3 เท่านั้นใช่ไหม?”


 


“ใช่ เป็นครั้งที่ 3!”


 


“ข้าจำได้ว่าในแดนลับัจฉริยะมีตำนานอยู่เรื่องหนึ่ง ทว่าตำนานนั้นดำรงอยู่แค่ช่วงแรกๆที่แดนลับอัจฉริยะเปิดออก…ว่าหากมีผู้ใดทำลายสถิติที่บันทึกไว้ในแดนลับอัจฉริยะรอบนั้นๆได้ แดนลับทวยเทพจะเปิดออก?”


 


“แดนลับทวยเทพ? นั่นมันเป็นแค่ตำนานไม่ใช่รึไง?”


 


“ข้าจำได้ว่าแดนลับทวยเทพที่ว่า เป็นแดนลับที่ซ่อนอยู่ในแดนลับอัจฉริยะอีกที ด้านในนั้นจะเป็นซากระนาบทวยเทพที่ลมสลายใช่ไหม?”


 


“ใช่ เห็นว่าเป็นเช่นนั้น!”


 


“ลือกันว่า สถานที่แห่งนั้นได้ถูกบรรพชนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะค้นพบ และต่อมาก็ได้ผนึกกำลังร่วมกับเผ่าหงส์ฟ้าโบราณและตระกูลไป๋หลี่ เพื่อเปิดสรางช่องทางเชื่อมต่ออันนำไปสู่ซากระนาบทวยเทพแห่งนั้น แต่จริงเท็จอย่างไรไม่มีผู้ใดทราบ”


 



 


เนื่องจากสถิติของบททดสอบทั้ง 3 แห่งในแดนลับอัจฉริยะถูกต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อทำลายไปทีละอย่าง หลายคนจึงอดนึกถึงตำนานแดนลับทวยเทพที่ซ่อนอยู่ในแดนลับอัจฉริยะขึ้นมาไม่ได้


 


อย่างไรก็ตามทุกคนคิดว่ามันเป็นแค่ตำนานเท่านั้น


 


“3 สถิติถูกทำลาย…แดนลับทวยเทพพำลังจะเปิดออก ไม่คิดเลยยว่า ข้าอวี่เทียนสิง จะได้อยู่ในเหตุการณ์แบบนี้”


 


ด้านนอกวงกตสรรพสิ่งที่หนึ่ง อวี่เทียนสิงกับเหอจ้านที่ลอยร่างอยู่กลางหาว บัดนี้สองตาอวี่เทียนสิงที่มองจ้องไปยังตารางจัดอันดับกลางอากาศ เต็มไปด้วยความร้อนแรงปานจะแผดเผาได้ทุกสิ่ง


 


“อั้ย ศิษย์พี่เทียนสิงดูเหมือนพวกเราจักมีโอกาสได้เห็นแดนลับทวยเทพแล้ว…เห็นว่าแดนลับทวยเทพที่ว่านั้นเป็นดั่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการบ่มเพาะพลังเลย กระทั่งในนั้นอาจพบเจออุปกรณ์เทพอีกด้วย! โอ้ย ข้าตื่นเต้นยิ่ง!!”


 


สองตาเหอจ้านเองก็เต็มไปด้วยความคาดหวังล้นปรี่


 


คนอื่นๆนั้นนอาจคิดว่าแดนลับทวยเทพเป็นแค่ตำนานเล่าขานกันมา


 


อย่างไรก็ตามในฐานะศิษย์ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ และยังเป็นอัจฉริยะของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ พวกมันจึงรู้ดีว่าเรื่องแดนลับทวยเทพไม่ใช่ตำนานปรัมปรา!


 


แดนลับทวยเทพมีอยู่จริงๆ!


 


ยิ่งไปกว่านั้น มันก็คือซากระนาบแห่งทวยเทพที่ล่มสลายจริงๆ!!


 


ย้อนกลับไปในอดีต บรรพชนผู้ทรงพลังของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เผ่าหงส์ฟ้าโบราณ และตระกูลไป๋หลี่ ได้ผนึกกำลังกันเปิดสร้างช่องทางเชื่อมต่อไปยังระนาบทวยเทพที่ล่มสลาย และเพื่อรักษาเสถียรภาพของห้วงมิติ จึงได้ทำการเชื่อมโยงซากระนาบแห่งทวยเทพนั่นเข้ากับโลกใบเล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งโลกใบเล็กแห่งนั้นก็กลายมาเป็นแดนลับอัจฉริยะในวันนี้


 


ซากระนาบทวยเทพนั่น ตอนแรกเมื่อ 3 ขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดคิดจะเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ก็พบว่าการเข้าไปของพวกมัน จะทำให้ห้วงมิติพังทลาย


 


ต่อมาพวกมันก็พบว่า ขอเพียงขอบเขตจักรพรรดิอมตะไม่เข้าไป ซากระนาบทวยเทพก็จะคงสภาวะเอาไว้ได้


 


ด้วยเหตุนี้แดนลับอัจฉริยะ จึงเปิดให้ตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะเข้าไปได้เท่านั้น…และถ้าหากมันเป็นค่ายกลที่จำกัดด่านพลังเอาไว้ ขอเพียงเป็นจักรพรรดิอมตะที่มีพลังกล้าแข็งหน่อย ย่อมบุกฝ่าเข้าไปได้


 


ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงเลือกจะเพิ่มเงื่อนไขเรื่องจำกัดไม่ให้คนที่มีอายุเกิน 1,000 ปีเข้าไปแทน


 


เมื่อมีเงื่อนไขดังกล่าว ก็เสมือนจำกัดจักรพรรดิอมตะแทบทั้งหมดเอาไว้โดยปริยาย


 


เพราะในตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของระนาบเทวโลก ตัวตนขอบเขตพลังจักรพรรดิอมตะที่มีอายุไม่ถึงพันปีนั้น มันปรากฏขึ้นน้อยมาก


 


“ทางเข้าแดนลับอัจฉริยะนั้น เห็นว่าบรรพชนของพวกเราได้ขอแรงคนของวิหารเฟิงฮ่าวมาช่วยจัดตั้งค่ายกลกำหนดอายุเอาไว้…แม้แต่จักรพรรดิอมตะสมญานามที่ว่ากันว่าร้ายกาจที่สุด ก็ยังไม่อาจฝ่าค่ายกลเข้ามาได้”


 


“มีแค่ตัวตนขอบเขตเทพในตำนานเท่านั้นที่สามารถบุกฝ่าเข้ามาได้…แต่ทว่าเมื่อบุกฝ่าเข้ามา แดนลับอัจริยะก็จะล่มสลา และซากระนาบทวยเทพก็จะพังทลายหายสาบสูญไปเช่นกัน”


 


เมื่อหลายคนเริ่มกล่าวถึงแดนลับทวยเทพออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบว่าที่แท้แดนลับอัจฉริยะมันเกิดขึ้นได้อย่างไร!


ตอนที่ 3,235 : สัญญาณชี้นำ


 


ในอดีตต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินมาจากเพลิงเทพโกลาหลว่า กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถเปิดระนาบทวยเทพได้นั้น ก็มีวันตกตายเช่นกัน


 


และหลังจากที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดตกตาย ระนาบทวยเทพที่เปิดสร้างก็จะถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดอีกคนที่เป็นคนฆ่า ทำลายทิ้งอีกด้วย


 


เพราะในสวรรค์และโลกแห่งนี้ สามารถมีระนาบทวยเทพได้แค่ 18 ระนาบเท่านั้น


 


หากระนาบทวยเทพเดิมไม่หายไป ระนาบทวยเทพใหม่ก็ไม่อาจปรากฏขึ้นมาได้


 


“ในโลกนี้…มีซากระนาบทวยเทพที่ล่มสลายอยู่จริงๆหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถามเทพเบญจธาตุในร่างอย่างทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล และปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดู


 


และสิ่งที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพูดบอกเขาในวันนั้นก็เสมือนดังก้องในหูอีกรอบ


 


ทั้งหมดเป็นเพราะ มหาสหัสโลกธาตุแห่งนี้สามารถรองรับระนาบทวยเทพได้พร้อมกันเพียง 18 ระนาบเท่านั้น


 


ยามเมื่อมีผู้แข็งแกร่งที่สุดคนใหม่ถือกำเนิดขึ้น และสามารถเข่นฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เปิดระนาบทวยเทพได้ ก็จะสามารถทำลายระนาบทวยเทพของอีกฝ่าย จนเปิดระนาบทวยเทพแห่งใหม่ของตัวเองขึ้นมาได้


 


แต่หากสู้ไม่ได้แล้วตกตายเสียเอง ก็ทำได้แค่ตกตายไปอย่างโง่งม ไม่ต้องคิดฝันจะเปิดระนาบทวยเทพของตัวเองอันใด


 



 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน เพลิงเทพโกลาหลก็กล่าวตอบออกมาก่อนใครเพื่อน “ย่อมมีเป็นธรรมดา”


 


“ระนาบเทพเป็นระนาบที่เปิดสร้างโดยผู้แข็งแกร่งที่สุด เช่นนั้นตัวตนผู้แข็งแกร่งที่สุดด้วยกันก็สามารถทำลายมันได้ไม่ยาก และเพียงแค่ทำลายแกนกลางมันก็เท่านั้น…แต่โดยทั่วไปแล้ว ยามเมื่อผู้แข็งแกร่งที่สุดคิดทำลายยระนาบเทพของอีกฝ่าย ก็มักจะทุบทำลายแค่แกนกลางทิ้ง ไม่คิดจะเหนื่อยแรงไปไล่ทุบทำลายระนาบเทพให้แหลกเป็นผง”


 


“ประการแรกเลย เพราะมันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ขอแค่เพียงฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดและทำลายแกนกลางระนาบเทพของอีกฝ่าย ระนาบเทพที่ว่าก็จะถูกลบชื่อออกไปจากสวรรค์และโลก เท่านี้ก็สามารถเปิดสร้างระนาบเทพใหม่ของตัวเองได้แล้ว”


 


“ประการที่สอง หากแกนของระนาบเทพถูกทำลาย ปกติระนาบเทพทั้งระนาบก็จะล่มสลายหายไปเองหลังจากผ่านไปสักพัก ไม่ต้องเหนื่อยแรงทำอะไร เพราะหากคิดจะทุบทำลายให้สิ้นซากคามือ กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่สุดก็ต้องลงแรงอยู่บ้าง เช่นนั้นหลังฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เป็นเป้าหมายและทุบทำลายแกนได้ ก็มักจะไม่เหนื่อยแรงอะไรสืบต่อ”


 


“ส่วนระนาบทวยเทพที่สูญเสียแกนกลางนั้น มันก็จะจมดิ่งสู่ห้วงมิติผันผวนประหนึ่งก้อนหินร่วงหล่นลงสระ หลังจากร่วงตกไปถึงก้นบึ้งแล้ว ก็แน่นิ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้วงมิติผันผวนนั่น”


 


“และนั่นก็คือระนาบเทพที่ล่มสลายกลายเป็นซากปรักหักพัง”


 


“มีซากปรักหักพังของระนาบเทพไม่น้อย ที่ถูกจักรรพรรดิอมตะพบเจอโดยบังเอิญขณะเปิดสร้างโลกใบเล็ก…หากจักรพรรดิอมตะผู้นั้นพลังฝีมือกล้าแข็งพอ มันก็สามารถเปิดสร้างช่องทางเชื่อมต่อไปยังซากระนาบบเทพที่ล่มสลายได้…”


 


“อย่างไรก็ตามหากตัวจักรพรรดิอมตะเข้าสู่ซากปรักหักพังของระนาบเทพนั่นด้วยตัวเอง ระนาบเทพที่สูญสิ้นแกนกลางไปแล้วย่อมไม่อาจทานรับแรงกดดันที่เกิดจากตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะได้ ทำให้มันจะสลายตัวไปทันที”


 


“เช่นนั้นเรื่องที่พวกมันพูดเมื่อครู่ สมควรเป็นความจริง…แดนลับอัจฉริยะแห่งนี้น่าจะมีช่องทางที่จะนำไปสู่ซากระนาบเทพที่ล่มสลาย เพราะสุดท้ายหากไม่มีลมก็ไม่คลื่น”


 


เพลิงเทพโกลาหลกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“เจ้าหนู”


 


ตอนนี้เองเสียงเด็กน้อยหัดพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพลันดังขึ้น “หากมีระนาบเทพที่ล่มสลายจริงๆ เจ้านับว่าได้กำไรครั้งยิ่งใหญ่แล้ว…เพราะต่อให้เป็นแค่ซากปรักหักพังของระนาบเทพที่ล่มสลาย อย่างไรก็ตามอาศัยพลังวิญญาณฟ้าดินที่ตกค้างในนั้น ก็ล้ำค่าสุดที่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะแห่งหนใดของระนาบเทวโลกจะเทียบได้”


 


“ในระนาบเทวโลกทั้งมวล ต่อให้เจ้ามีพฤกษาเทพกำเนิดชีพช่วยเหลือในการบ่มเพาะพลัง แต่พลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทวโลกมันก็มีขีดจำกัดไม่น้อย มากจนพฤกษาเทพกำเนิดชีพช่วยเจ้าได้อย่างจำกัดนัก”


 


“กลับกัน หากเจ้าเข้าสู่ระนาบเทพที่กลายเป็นซากได้ล่ะก็ ด้วยมีความช่วยเหลือของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเจ้าจะเพิ่มขึ้นนับสิบนับร้อยเท่า!”


 


กล่าวถึงจุดนี้เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็คึกคักขึ้นอักโข “ยิ่งไปกว่านั้น ในระนาบเทพที่ล่มสลาย ความเร็วในการตระหนักรู้และเข้าใจกฏต่างๆยังจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย!”


 


“และหากเทพเบญจธาตุที่ยังระดับต่ำๆอยู่เหมือนพวกเราได้เข้าสู่ซากระนาบเทพ พวกเราก็สามารถดูดซับพลังของธาตุทั้ง 5 ที่อยู่ในระนาบเทพนั่นได้เช่นกัน!!”


 


กล่าวถึงจุดนี้ปฐพีเทพแรกกำเนิดก็แลดูตื่นเต้นนัก


 


“นอกจากนั้น ในซากปรักหักพังของระนาบเทพ ย่อมมีอุปกรณ์เทพมากมาย…เพราะในยามที่ผู้แข็แกร่งที่สุดเข่นฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดอีกคน ทั้งทำลายแกนของระนาบเทพทิ้ง แกนกลางที่ถูกทำลายจะปะทุพลังล้างผลาญออกมากวาดล้างสรรพชีวิตทั้งมวลในระนาบเทพนั้นๆจนสิ้นสูญ…”


 


“แน่นอนว่าสรรพชีวิตในระนาบเทพจะมากจะน้อยก็ต้องมียอดฝีมือขอบเขตเทพทั้งหลาย และอุปกรณ์อมตะไม่เว้นสมบัติชั่วชีวิตของพวกมันก็ยังคงอยู่ในซากระนาบเทพไม่ไปไหน”


 


“เพียงแค่ คิดจะค้นหาสมบัติที่ว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะยามที่ระนาบเทพพังทลาย ห้วงมิติก็เสมือนถล่มลงในฉับพลัน ฟ้าดินย่อมไม่ต่างใดจากพลิกคว่ำคะมำหงาย ทุกสิ่งล้วนกระจัดกระจายมั่วไปหมด มันจะไปซ่อนอยู่ตามหลืบไหน หรือฝังอยู่ในดิน ไม่เว้นตั้งแหมะอยู่โทนโท่ ก็สุดที่ใครจะบอกได้”


 


“แน่นอนว่านี่สำหรับคนธรรมดาเท่านั้น ส่วนเจ้าที่มีกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนและมีจิตวิญญาณกระบี่แล้วย่อมได้เปรียบกว่าใครเขา เพราะจิตวิญญาณกระบี่ของเจ้านั้นจะมีสัมผัสรับรู้อันแยบคาย ขอเพียงมีอุปกรณ์เทพอยู่ใกล้ๆนางย่อมค้นพบทั้งหมด”


 


กล่าวถึงจุดนี้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็หยุดลงชั่วคราว ค่อยกล่าวออกมาสืบต่อด้วน้ำเสียงอิจฉา “บางทีข้าก็อดอิจฉาเจ้าไม่ได้จริงๆเจ้าหนู อิจฉาในโชคของเจ้า ว่าทำไมมันถึงได้โชคดี ยังโชคดีกว่าผู้อื่นเขา”


 


หลังได้ยินคำพูดของเพลิงเทพโกลาหลกับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็รู้ว่าซากระนาบเทพที่ล่มสลายไม่ใช่แค่ตำนานปรัมปรา…


 


มันมีอยู่จริง!


 


และในขณะที่ความคิดของต้วนหลิงเทียนกำลังโลดแล่น อยู่ๆก็มีสุรเสียงหนึ่งดังขึ้นเข้าหู และเป็นเสียงเดียวกับที่เคยประกาศไปทั่วแดนลับอัจฉริยะหลายครั้งก่อนหน้า


 


เสียงยังคงดังกึกก้อง กังวาลไปทั่วแดนลับอัจฉริยะ ประหนึ่งฟ้าร้องในหู


 


“แดนลับทวยเทพจะเปิดออกในอีกครึ่งปีหลังจากนี้…”


 


หลังเสียงดังกล่าวดังไปทั่ววแดนนับอัจฉริยะ เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายก็อื้ออึงไปพักหนึ่ง หลังดึงสติกลับมาได้แล้ว ทั้งหมดก็เผยให้เห็นความตื่นเต้นยินดี!


 


“แดนลับทวยเทพไม่ใช่แค่เรื่องเล่าในตำนาน…แต่มีอยู่จริงๆงั้นหรือ!?”


 


“แดนลับทวยเทพที่ว่า ก็คือซากปรักหักพังของระนาบเทพใช่หรือไม่? เห็นว่าในระนาบเทพที่ล่มสลายเช่นนั้นไม่เพียงมีอุปกรณ์เทพอยู่ทุกแห่งหน แต่ยังมีซากของเทพอยู่เต็มไปหมด…ล้วนเป็นของล้ำค่าทั้งสิ้น!!”


 


“ข้าได้ยินมาว่าพลังวิญญาณฟ้าดินในซากระนาบเทพยังหนาแน่นกว่าในระนาบเทวโลกมาก การบ่มเพาะพลังในนั้นดั่งลงแรงแค่ครึ่งเดียวแต่ได้ผลลัพธ์เป็น 2 เท่า!”


 


“ใช่ เห็นว่าการตระหนักรู้และการทำความเข้าใจกฏในนั้นก็เช่นกัน!”


 



 


ด้วยมีประกาศว่าแดนลับทวยเทพจะเปิดออกครึ่งปีให้หลังดั่งไปทั่วแดนลับอัจฉริยะแบบนี้ เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายก็เสมือนเลือดในร่างเดือดพล่านกันเป็นแถบ


 


จังหวะนี้ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือฮ่วนเอ๋อ ก็เสมือนถูกเรื่องแดนลับทวเทพช่วงชิงแสงไฟที่ฉายส่องลงมาไปจนหมด


 


เพราะสุดท้ายแล้วแดนลับทวยเทพก็เป็นประโยชน์ต่อทุกคน


 


ส่วนต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็แค่ทำลายสถิติให้พวกมันรู้สึกน่าดูชมเท่านั้น


 


แน่นอนว่ายังมีหลายคนที่ขอบคุณต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ เพราะหากไม่มีทั้งคู่แดนลับทวยเทพก็คงไม่เปิดออก


 


“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ”


 


ก่อนที่เสียงประกาศเรื่องแดนลับทวยเทพจะดังขึ้น ก็มีเสียงประกาศเรื่องฮ่วนเอ๋อทำลายสถิติดังขึ้นก่อนแล้ว


 


นอกจากนั้นเมื่อครู่ฮ่วนเอ๋อยังได้รับอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเป็นรางวัลแล้วด้วย และสิ่งที่นางได้ก็คือชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิ!


 


‘กว่าข้าจะได้ชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิก้องทำลายสถิติไป 2 รอบ…แต่ฮ่วนเอ๋อทำลายสถิติรอบเดียวก็ได้มาเลย…’


 


‘ดูเหมือนว่าเพราะการทำลายสถิติครั้งนี้ของฮ่วนเอ่อมันมจะฝืนฟ้าเกินไปหน่อย นางจึงได้รับสิทธิพิเศษ’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดา


 


เพราะถึงเขาจะทำลายสถิติของยอดเขาแรงโน้มถ่วงกับหอคอยจิตวิญญาณค่ายกล แต่สถิติของเขาก็เหนือจากสถิติเก่าไม่ได้มากมายอะไรมากนัก


 


แต่สถิติของฮ่วนเอ๋อนั้น กลับเหนือกว่าสถิติเดิม 20 กว่าเท่า!!


 


20 กว่าเท่า นี่จะให้คิดอย่างไร?


 


ตลอดระยะเวลา 5 เดือนหลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อไปตระเวนท้าทายบททดสอบต่างๆ แต่บททดสอบเหล่านั้นมันยุ่งยากเกินไป และไม่ใช่อะไรที่เขาจะจัดการได้ด้วยกำลัง


 


อย่างเช่น บททดสอบจัดตั้งค่ายกล


 


ยังมีบททดสอบ หลอมโอสถอมตะ


 


จริงอยู่ที่เขาเคยหลอมโอสถอมตะตอนอยู่พื้นที่ชายแดน และเมื่อมีความช่วยเหลือของเพลิงเทพโกลาหล ความสามารถเขาจึงไม่ใช่ชั่ว


 


อนิจจาตอนนี้เพลิงเทพโกลาหลยังพึ่งจะอยู่ในขั้น 3 เท่านั้น ไม่ผ่านเงื่อนไขต่ำสุดของบททดสอบด้วยซ้ำ


 


นอกจากนี้ยังมีบททดสอหลอมสร้างอุปกรณ์อมตะ จารึกอาคมสร้างยันต์อมตะ ฯลฯ


 


‘ยังเหลือเวลาอีกเดือนนึงก่อนจะถึงวันที่แดนลับทวยเทพเปิดออก…แต่มันเปิดออกที่ไหนล่ะ แล้วเราจะรู้ได้ยังไง?’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัยในเรื่องนี้


 


เพราไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่ไม่รู้ กระทั่งเหล่าอัจฉริยะของขุมกำลังอื่นๆ ไม่เว้นขุมกำลังระดับ 1 ก็ไม่มีใครรู้กันสักคน


 


ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากที่อัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 บอก ทางเข้าสู่แดนลับทวยเทพก็ใช่ว่าจะเป็นจุดเดิมเสมอไป


 


ปกติแล้วก่อนที่มันจะเปิดออก ทุกคนจะได้รับการชี้นำบางอย่าง


 


‘ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น…ตามหลักแล้ว สัญญาณชี้นำอะไรนั่นก็สมควรปรากฏได้แล้วกระมัง ไม่งั้นอัจฉริยะที่อยู่ห่างไกลจะไปทันได้ยังไง’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


และหลังจากผ่านไปอีกครึ่งค่อนวัน ก็ปรากฏแสงสว่างสีทองสาดส่องออกมาเรืองรองปานดวงตะวันขึ้นไกลๆ ดึงดูดความสนใจของต้วนหลิงเทียนทันที


 


“พี่หลิงเทียน นั่นใช่สัญญาณชี้นำไปแดนลับทวยเทพที่ท่านว่ารึเปล่า?”


 


ฮ่วนเอ๋อหันไปมองถามต้วนหลิงเทียน


 


“แสงสีทองนั่น เกรงว่าทั่วทั้งแดนลับอัจฉริยะคงไม่มีใครมองไม่เห็น…มันสมควรเป็นสัญญาณชี้นำไปแดนลับทวยเทพอย่างไม่ต้องสงสัยเลย พวกเราไปกันเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเร่งเหินร่างเดินทางไปยังแสงสีทองดังกล่าวทันที


 


ในเวลาเดียวกัน เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายทั่วแดนลับอัจฉริยะก็สังเกตเห็นแสงสีทองสว่างจ้าดังกลาวเช่นกัน ทั้งหมดจึงตระหนักได้ว่าสิ่งนี้สมควรเป็นสัญญาณชี้นำของแดนลับทวยเทพ ต่างพากันละวางสิ่งที่กำลังทำอยู่ แล้วเร่งุรดมุ่งหน้าไปทันที!


 


“ทางเข้าแดนลับทวยเทพปรากฏขึ้นแล้ว…ที่ทางเข้านั่น น่าจะได้เจอต้วนหลิงเทียนผู้นั้น”


 


ซูหลี่เองก็เร่งรุดเดินทางไปยังต้นแสงสีทองทันที ขณะเดียวกันมันก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ว่าอัจฉริยะรากหญ้านามต้วนหลิงเทียนที่เผยความสามารถไม่ธรรมดาคนนี้ จะใช่สหายเก่านามต้วนหลิงเทียนของมันหรือไม่


 


แน่นอนว่าลึกๆในใจของมัน ก็หวังไว้ว่าให้อัจฉริยะรากหญ้าคนนี้ ก็คือสหายเก่าของมัน!


 


ถึงแม้ใจมันจะคิดไปว่าสิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่มันก็อดคิดได้ว่าถ้าเป็นสหายเก่าที่มักสร้างปาฏิหาริย์อยู่บ่อยครั้ง ก็น่าจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้เหมือนกัน


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


ไม่ว่าจะอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ก็ดี อัจฉริยะรากหญ้าก็ดี ล้วนเร่งรุดเดินทางไปยังต้นแสงสีทองนั่นทั้งนั้น


 


แดนลับทวยเทพ ต่อให้มีมงคลบีบรัดหัวแทบแตก พวกมันก็ยังจะเข้าไปให้ได้!!


WSSTH ตอนที่ 3,236 : สัตว์กึ่งเทพ มังกรชั่วร้าย


 


 


แหล่งกำเนิดแสงสีทองนั่นอยู่สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือยอดเขาแรงโน้มถ่วงเสียอีก แม้จะมีม่านเมฆปกคลุม หากแต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งแสงทองที่สาดส่องลงมาได้


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!ฟุ่บ!ฟุ่บ!


 



 


เงาร่างเลือนรางสายแล้วสายเล่าแหวกฟ้าพุ่งมาจากทั่ว 4 ทิศ 8 ทาง เพื่อมารวมตัวกันยังต้นแสงสีทองสว่างจ้ากลางฟ้า!


 


มองไปปราดเดียว ทั้งหมดก็เห็นว่าภายในดวงแสงสีทองนั่น ปรากฏประตูบานหนึ่งที่ให้กลิ่นอายผ่านพ้นวันเวลามานานนับอสงไขย เต็มไปด้วยความเก่าแก่โบราณ


 


ตัวประตูเป็นสีแดงสด ล้อมกรอบไว้ด้วยโลหะบางอย่างสีคล้ายทองสัมฤทธิ์โบราณ มีลวดลายและอักขระซับซ้อนมากมายจารึกสลักเอาไว้


 


ลวดลายบางอย่างมองไปแล้วคล้ายสัตว์อสูรบางอย่าง และเพียงมองจ้องไปก็เสมือนสัตว์อสูรในลวดลายคล้ายหวนกลับมามีชีวิต พุ่งออกมาจากลวดลายเขมือบร่างผู้ชมมองไปในหนึ่งคำ พาลให้ผู้ที่ชมมองเสียขวัญเหงื่อแตก


 


และทั้ง 2 ด้านของประตู ปรากฏสัตว์ประหลาด 2 ตัวที่มีลักษณะคล้ายมังกรตะวันออกกับตะวันออกรวมตัวกัน จะงูก็ไม่ใช่งู จะกิ้งก่าก็ไม่ใช่กิ้งก่า ร่างมันตระหง่านอยู่ตรงนั้น แผ่กลิ่นอายอันทรงพลังชวนสยอง


 


ประตูบานเขื่องเบื้องหลังของพวกมันแง้มเปิดออกเล็กน้อย มีหมอกดำไหลออกมาจากประตูดั่งหมอกควันเจือจางสายหนึ่ง ให้กลิ่นอายลี้ลับพิศวงนัก


 


“นี่มันสัตว์อมตะสายพันธุ์ใดกัน?”


 


ผู้ที่มาถึงก่อนก็คือเหล่าอัจฉริยะรากหญ้าและอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ที่อยู่ไม่ไกลจากจุดนี้มากนัก


 


พอแลเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดคล้ายมังกรทั้ง 2 ตัวเบื้องหน้า สองตาอัจฉริยะทั้งหลายก็ว่างเปล่า เพราะนี่เป็นครั้งแรกของพวกมันเลย ที่เคยเห็นสัตว์อมตะที่มีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดแบบนี้


 


สัตว์ประหลาดทั้ง 2 น่าเกลียดทั้งแลดูน่ากลัวมาก เขี้ยวของพวกมันแหลมคม ปรากฏน้ำลายไหลย้อยหยดลงตลอดเวลา ดวงตา 3 เหลี่ยมของพวกมันส่องแสงเยียบเย็น ให้ความรู้สึกราวกับสัตว์ร้ายกระหายเลือดโหยหิว


 


ทั้งคู่ยืนตระหง่านตีคู่กันประหนึ่งเป็นผู้พิทักษ์ประตู คอยเฝ้าไว้ไม่ให้ใครล่วงล้ำ เอาแต่จ้องมายังพวกมันตลอดเวลา โซ่หนาเท่าร่างผู้ใหญ่ที่ผูกล่ามเอาไว้ก็ถูกดึงจนตึง!


 


บอกให้รู้ว่าหากไม่มีโซ่ดังกล่าวล่ามเอาไว้ ไม่พ้นสัตว์ประหลาดทั้ง 2 คงพุ่งเข้าใส่เหล่าอัจฉริยะไปแล้ว


 


“ดูเหมือนว่าด้านหลังประตูบานนั้น…จะเป็นแดนลับทวยเทพ!”


 


อัจฉริยะคนนหนึ่งกล่าว


 


“อีดเดือนนึง มันถึงจะเปิดให้เข้าไปสินะ!”


 


ดวงตาหลายคนทอประกาจ้า


 


“พวกเจ้าไม่คิดบ้างหรือ…ประตูนี่เหมือนมันจะแง้มเปิดแล้ว ขอเพียงผลักเปิดพวกเราก็น่าจะเข้าไปได้เลยกระมัง?”


 


อัจฉริยะที่มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางงคนผู้หนึ่งกล่าว หลังมองจ้องประตูไกลๆพลันกล่าวออกมาวองตาทอประกายเรืองวูบ


 


หลังจากนั้นคล้ายมันทนความอยากรู้ไม่ไหว ร่างพลันสั่นไหววูบวาบพุ่งไปดั่งเส้นสายอัสนี มุ่งตรงไปยังประตูด้านหลังสัตว์ร้ายตัวเขื่อง


 


และฉากเรื่องราวต่อมาก็ทำให้อัจฉริยะทั้งหลายไม่มีวันลืม


 


ทั้งหมดเห็นชัดถนัดตา ว่าร่างชายวัยกลางคนที่เหินไปด้วยความเร็วสูงนั้น พอเข้าใกล้ประตู สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็อ้าปากออก จากนั้นพลังน่ากลัวขุมหนึ่งก็เริ่มรวมรั้งรวดเร็ว!


 


“ฮู่มมม!!”


 


เสียงคำรามของสัตว์ร้าย ดังสนั่นลั่นออกมาอ้วยอานุภาพสะท้านสะเทือนแดนดิน! จากนั้นแลเห็นเป็นคลื่นพลังมหาศาลขุมหนึ่ง พุ่งยิงเข้าใส่ร่างชายวัยกลางคนดังกล่าวประหนึ่งลำแสงทำลายล้าง!!


 


ชายวัยกลางคนเองก็ตอบสนองเรื่องราวเร็วไว เร่งใช้ออกด้วยทักษะป้องกันทั้งหมดที่มี อนิจจาไม่ว่ามันจะทุ่มเทพลังอย่างไร ลำแสงทำลายล้างดังกล่าวก็กลืนร่างมันจนอันตรธานหายไปง่ายดาย จนเมื่อลำแสงพลังทำลายยล้างดับลง คนก็สาบสูญไปชวนใจหาย ไม่มีแม้แต่ละอองโลหิตใดๆหลงเหลือ…


 


เห็นเพียงแหวนพื้นที่เสียหายวงหนึ่ง กำลังร่วงตกลงมาจากกลางอากาศเท่านั้น


 


สำหรับอุปกรณ์อมตะทั้งชุดเกราะอมตะที่ชายวัยกลางคนนำออกมา มันสูญสลายหายไปหมดสิ้น


 


“นี่มัน…หรือจะเป็นพลังขอบเขตจักรพรรดิอมตะ!?”


 


หลายคนหันไปมองสัตว์ประหลาดที่ยิงงพลังออกมาด้วยความแตกตื่น ใจพวกมันสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ไม่มีใครคิดใครฝันเลยว่าสัตว์ประหลาดน่ากลัวตัวเขื่อง จะทรงพลังร้ายกาจขนาดนี้!


 


พลังนั่นไม่ใช่อะไรที่พวกมันจะต้านทานได้เลย


 


เมื่อครู่ลำแสงทำลายล้างที่อีกฝ่ายพ่นยิงออกมา ทำลายได้กระทั่งอุปกรณ์อมตะไม่เว้นชุดเกราะอมตะ เป็นขุมพลังงขอบเขตจักรพรรดิอมตะไม่ผิดแน่ ยังแฝงไว้ด้วยพลังอำนาจแห่งกฏอันน่าสะพรึงกลัว!


 


“อึก! ต่อให้เป็นอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุด ข้าว่าก็ไม่มีปัญญารับลำแสงพลังนั่นได้ไหวกระมัง…”


 


อัจฉริยะรากหญ้าคนหนึ่งกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก กล่าวออกมาด้วยความสยอง


 


“นั่น ไป๋หลี่หงเฟย!!”


 


จากนั้นไม่นานก็มีหลายคนสัเกตเห็นการมาถึงของไป๋หลี่หงเฟย และยังมีอีก 5-6 คนติดตามมาด้านหลังไป๋หลี่หงเฟย เห็นได้ชัดว่าเป็นคนตระกูลไป๋หลี่


 


“พี่หงเฟย เจ้าตัวประหลาดนั่นมันเป็นสัตว์อมตะอันใดกัน?”


 


หลังคนตระกูลไป๋หลี่มาถึง สตรีที่เหินร่างติดตามอยู่ด้านหลังไป๋หลี่หงเฟยก็อดถามออกมาเสียงใสด้วยความอยากรู้ไม่ได้


 


จากนันสายตาของเหล่าอัจฉริยะในที่เกิดเหตุก็หันไปมองไป๋หลี่หงเฟยทันที


 


ไป๋หลี่หงเฟยจะอย่างไรก็คืออัจฉริยะจากตระกูลไป๋หลี่ 1 ใน 3 ขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนทักษินยุทธ์ ความรู้ย่อมสุดที่คนทั่วไปจะเทียบได้


 


“หากข้าเดาไม่ผิด พวกมันทั้งคู่ไม่ใช่สัตว์อมตะ…แต่เป็นสัตว์กึ่งเทพ!”


 


ไป๋หลี่หงเฟยที่มองจ้องสัตว์ประหลาดทั้ง 2 อยู่ก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง


 


“สัตว์กึ่งเทพ!?”


 


ได้ยินคำตอบของไป๋หลี่หงเฟย แม้อัจฉริยะหลายคนจะพึ่งได้ยินคำว่าสัตว์กึ่งเทพเป็นครั้งแรก แต่พวกมันก็พอเดาได้ว่าสัตว์กึ่งเทพคืออะไร


 


นั่นคือสัตว์ที่หากโตเต็มวัย ก็จะถือครองพลังอำนาจใกล้เคียงกับตัวตนขอบเขตเทพ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือสัตว์อมตะทั้งมวล!


 


ท้ายที่สุดแล้วกระทั่งสัตว์อมตะทั้งหลาย ด่านพลังก็จะไปตันอยู่ที่จักรพรรดิอมตะ 10 ทิศเหมือนเซียนอมตะทั่วไป หากคิดจะทะลวงผ่านขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศสู่ขอบเขตเทพ ก็ต้องพึ่งพาโชควาสนาครั้งยิ่งใหญ่ไม่ต่างอะไรกับเหล่าเซียนอมตะ


 


ถึงแม้ว่าสัตว์กึ่งเทพจะไม่ใช่สัตว์อมตะ


 


แต่ทว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์อมตะใดๆทั้งมวล


 


“พี่หงเฟย…สัตว์กึ่งเทพ มิใช่ว่าเหนือสัตว์อมตะในแดนดิน และใกล้เคียงกับการกลายเป็นสัตว์เทพมากที่สุดหรือไร?”


 


ชายหนุ่มอีกคนของตระกูลไป๋หลี่เอ่ยถาม


 


“ใช่”


 


ไป๋หลี่หงเฟยพยักหน้า “หากข้าจำไม่ผิด สัตว์ประหลาดทั้ง 2 เบื้องหน้าพวกเรา ก็คือมังกรชั่วร้าย…เป็นสัตว์กึ่งเทพที่ไร้สติปัญญา มีเพียงสัญชาตญาณในการต่อสู้เท่านั้น!”


 


สัตว์กึ่งเทพที่ไม่มีสติปัญญา มีเพียงสัญชาตญาณในการต่อสู้?


 


ปกติแล้วสัตว์ที่ไม่มีสติปัญญาและมีแต่สัญชาตญาณในการต่อสู้นั้น พวกมันไม่คิดหวั่นกลัวเลย


 


แต่สำหรับสัตวืกึ่งเทพตัวนี้ เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายไม่อาจไม่กลัว แค่มองยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกซู่!


 


“พี่หงเฟย ดูเหมือนมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัวจะตั้งใจบังขวางประตูด้านหลังเอาไว้”


 


หญิงสาวของตระกูลไปหลี่คนก่อนหน้าเอ่ยออกอีกครั้ง


 


ได้ยินเรื่องนี้ไป๋หลี่หงเฟยก็พยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด กล่าวไปนี่ยังเป็นเรื่องปกติ กำหนดเปิดแดนลับอัจฉริยะนั้นยังเหลืออีก 1 เดือน ทั้งหมดเพื่อดึงเวลาให้อัจฉริยะทั้งหมดเดินทางมาเข้าสู่แดนลับทวยเทพได้ทัน”


 


“แต่หากใครคิดจะเข้าสู่แดนลับทวยเทพก่อน ก็จำต้องผ่านบททดสอบเข้าสู่แดนลับทวยเทพ…ตอนนี้ดูเหมือนมังกรชั่วร้ายจะเป็นบททดสอบที่ว่า แต่ข้าดูๆแล้วการจะฝ่าพวกมันเข้าสูแดนลับทวยเทพก่อนผู้ใด มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!”


 


อย่างน้อยๆตัวไป๋หลี่หงเฟยเอง ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถฝ่ามังกรชั่วร้ายอันน่ากลัวนั่นเข้าสู่แดนลับทวยเทพได้


 


มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ถึงแม้ว่าพวกมันอาจจะยังไม่ใช่มังกรชั่วร้ายตัวเต็มวัย แต่กลิ่นอายพลังของพวกมันที่แผ่ออกมาตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าก้าวข้ามขอบเขตจอมราชันอมตะไปไกลโข!


 


มังกรชั่วร้ายขอบเขตพลังจักรพรรดิอมตะ 2 ตัว กอปรทั้งพันธนาการที่สะกดพวกมันไว้ดูๆแล้วก็เสมือนแค่จำกัดอิสระภาพของพวกมันในระดับหนึ่ง ไม่ใช่อะไรที่ใครจะรับมือมันได้ง่ายๆ


 


“เอ่อ…เช่นนั้นหมายความว่าหากมีผู้ใดสามารถฝ่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 เข้าไปได้ ก็จักได้เข้าสู่แดนลับทวยเทพก่อนผู้ใดงั้นหรือ?”


 


คนของตระกูลไป๋หลี่อีกคนเอ่ยถาม


 


“ประมาณนั้นล่ะ”


 


ไป๋หลี่หงเฟยพยักหน้า “แต่พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงตายอย่างไร้ความหวัง เพราะรออีกแค่เดือนเดียว มังกรชั่วร้ายทั้งสองก็สมควรจากไป หรือไม่ก็มีอาคมจำกัดพวกมันเอาไว้ เพื่อให้พวกเราผ่านเข้าไปได้สะดวก”


 


“พี่หงเฟย แล้วหากหลังจากผ่านไป 1 เดือน พอมังกรชั่วร้ายนั่นปล่อยให้พวกเราเข้าไปได้ พวกเราจะอยู่ในแดนลับทวยเทพได้นานเท่าไหร่หรือ?”


 


“เพียง 3 วัน”


 


เมื่อได้ยินบทสนทนาของคนตระกูลหลี่ อัจฉริยะทั้งหลายที่มาเฝ้ารออยู่ก่อนก็อึ้งไปเป็นแถบ!


 


หากไม่อาจเข้าสู่แดนลับทวยเทพล่วงหน้าได้ เพียงรอเข้าไปตามเงื่อนไขปกติ พวกมันก็จะอยู่ในแดนลับทวยเทพได้เพียง 3 วันเท่านั้น?


 


“3 วันเองหรือ? นี่จะไม่น้อยเกินไปหน่อยรึไง?”


 


กระทั่งคนของตระกูลไป๋หลี่ที่เหลือยังอดไม่ได้ที่โอดครวญออกมา เพราะพวกมันรู้สึกว่าเวลาที่เปิดให้อยู่ในแดนลับทวยเทพมันน้อยนิดเกินไป!


 


“ก็เป็นแบบนี้มาตลอดนั่นล่ะ…”


 


ไป๋หลี่หงเฟยส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “แดนลับทวยเทพที่ว่า ด้านในคือซากปรักหักพังของระนาบเทพที่ล่มสลาย หากเจ้าโชคดีก็อาจพบเจอกระทั่งอุปกรณ์เทพที่ทรงพลังยิ่งกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเสียอีก…ทำไม? เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถอยู่ในนั้นได้จนกระทั่งถึงเวลาออกจากแดนลับอัจฉริยะรึไง?”


 


“เจ้าฝันเฟื่องแล้ว”


 


อันที่จริงหลายๆคนก็แอบหวังว่าจะสมารถอยู่ในแดนลับทวยเทพได้นานจวบจนถึงเวลาปิดตัวแดนลับอัจฉริยะ แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะอยู่ในนั้นได้แค่ 3 วันเท่านั้น


 


“โอย อยู่ได้ 3 วันมันจะไปพอยาไส้อันใดเล่า?”


 


“มารดามันเถอะ…เข้าไปได้แค่ 3 วัน ต้องโชคดีเบอร์ใดกันถึงจะพบอุปกรณ์เทพ?”


 


“เหอะๆ ดูเหมือนว่าจะมีแต่หาทางฝ่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่นไปได้ ถึงจะมีโอกาสอยู่ในแดนลับทวยเทพได้นานขึ้น”


 


“ฝ่ามังกรชั่วร้าย? เอาที่สบายใจเลยสหาย…หากเจ้ามั่นหน้าว่าไหวก็ไปเถอะ ข้าจะให้กำลังใจเจ้าอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ และไม่ต้องกังวลไป ข้าจักดูแลภรรยาเจ้าให้อย่างดี…”


 



 


ในขณะที่เหล่าอัจฉริยะต่างโอดครวญร่ำร้องกันด้วยความเสียดาย ก็มีผู้คนกลุ่มใหญ่เดินทางมาถึง


 


“นั่นคนของนิกายปีศาจพันกร!”


 


จังหวะนี้ก็มีอัจฉริยะหลาคนจดจำผู้มาใหม่ได้ว่าเป็นเหล่าศิษย์ของนิกายปีศาจพันกร และคนที่เหินร่างนำกลุ่มคนนิกายปีศาจพันกรมาก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น อวิ๋นเอี้ย อัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายปีศาจพันกร


 


“เฮ่ อวิ๋นเอี้ย ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปดักรอต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่หอคอยจิตวิญญาณ แต่พอทั้งคู่ออกมา เจ้าก็รีบเปิดตูดหนีเลยรึ?”


 


ไป๋หลี่หงเฟยเห็นอวิ๋นเอี้ยมาถึงก็กล่าวเย้ยเยาะด้วยรอยยิ้มทันที “อะไรกัน? ไม่ใช่ว่าเจ้าลั่นคำดุดันนักหนาว่าจะล้างแค้นให้ศิษย์น้องอย่างอวิ๋นเซียวไม่ใช่รึไง?”


 


“ไป๋หลี่หงเฟย!!”


 


ได้ยินคำพูดของไป๋หลี่หงเฟย รวมถึงสายตาล้อเลียนของอีกฝ่าย อวิ๋นเอี้ยก็หน้าดำปานไปมุดกองถ่าน


 


มันรู้ได้ทันทีว่าลองไป๋หลี่หงเฟยกล่าวล้อเลียนมันออกมาแบบนี้ อีกฝ่ายไม่พ้นต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าหอคอยจิตวิญญาณแล้วแน่


 


อย่าให้มันรู้เชียวว่าเป็นนอ้ายอีตัวใดส่งข่าวนี้ให้ไป๋หลี่หงเฟย ไม่งั้นมันจะตีให้ตาย!


 


“เอ่อ ที่ไป๋หลี่หงเฟยกล่าวถึงมันเรื่องอะไรกัน?”


 


ยังมีอัจฉริยะหลายคนที่ไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ว่าที่ไป๋หลี่หงเฟยกล่าวกับอวิ๋นเอี้ยนั้นมันอะไรยังไงกันแน่ จนเมื่อมีคนเล่าออกมา พวกมันจึงเข้าใจเรื่องราวได้


 


จากนั้นหลายคนก็หันไปมองอวิ๋นเอี้ยด้วยสายตาเย้ยหยันทันที


 


หลังจากนั้นไม่นานนัก คนของนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำก็เดินทางมาถึงเช่นกัน


 


และขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลายก็เริ่มทยอยกันมาถึง ไม่ว่าจะเป็นตระกูลถัวปา นิกายจ้าวมังกรสัประยุทธ์ และเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์


 


เรียกว่าเหล่าคนของขุมกำลังระดับแนวหน้าแดนทักษินยุทธ์มาถึงแล้ว 6 ขุมกำลัง ขาดอีกแค่ 2 เท่านั้น


 


นิกายกระบี่หมื่นหายนะ กับเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ


 


ในแดนทักษินยุทธ์มีขุมกำลังระดับ 1 อยู่ทั้งสิ้น 8 ขุมกำลัง และในบรรดา 8 ขุมกำลังที่ว่า นิกายกระบี่หมื่นหายนะ เผ่าหงส์ฟ้าโบราณและตระกูลไป๋หลี่ เป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด


 


อีก 5 ขุมกำลังเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกอีก 3 ขุมกำลังฮุบกลืน พวกมันก็ได้แต่ผนึกกำลังเป็นพันธุมิตรกัน


 


แต่โชคดีที่ทั้ง 3 ขุมกำลังไม่คิดจะฮุบกลืนเพื่อรวมอำนาจอะไร หาไม่แล้วต่อให้อีก 5 ขุมกำลังรวมตัวกัน ก็ได้แต่รอวันถูกบุกถล่มเท่านั้น…


WSSTH ตอนที่ 3,237 : เหล่าอัจฉริยะรวมตัว


 


 


“คนของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณมาแล้ว!”


 


ไม่นานนักเหล่าคนที่มารวมตัวกันอยู่ใกล้ๆทางเข้าแดนลับทวยเทพก็โพล่งออกมา เมื่อเห็นร่างคนกลุ่มหนึ่งเหินลัดฟ้ามาแต่ไกล โดยเฉพาะผู้นำนั้นสะดุดตาคนมากเป็นพิเศษ


 


เป็นสตรีรางบางในชุดคลุมสีม่วงแดง รูปโฉมงดงามไม่ใช่ชั่ว ลักษณะท่วงท่าส่าผ่าเผยมาดดั่งนางพญา สองตากระจ่างดั่งสารทฤดูคู่นั้น ให้ความรู้สึกชินชากับโลกหล้า


 


นางก็คืออัจฉริยะอันดับ 1 แห่งเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ เฟิ่งชีชี!


 


“ชีชี”


 


เมื่อเห็นเฟิ่งชีชีมาถึง ไป๋หลี่หงเฟยก็ออกหน้าทักทายนางด้วยรอยยิ้มอย่างกระตือรือร้น


 


อย่างไรก็ตาม เห็นชัดว่าเฟิ่งวชีชีไม่ได้สนใจอะไรมันมากนัก “ไป๋หลี่หงเฟย อย่าได้เรียกชื่อข้าห้วนๆเช่นนั้น หากคิดเรียกก็ให้เรียกชื่อข้าเต็มๆเสีย”


 


ไป๋หลี่หงเฟยนั้นไล่เกี้ยวนางมาร้อยกว่าปีแล้ว เรียกว่าประหนึ่งเห็บสุนัขเกาะไม่ปล่อย ไม่ว่านางจะปฏิเสธอย่างไรไป๋หลี่หงเฟยก็ตามตื๊อไม่เลิกรา


 


สิ่งนี้ทำให้นางอับจนหนทางอยู่บ้าง


 


ในแง่พลังฝีมือ ไป๋หลี่หงเฟยก็พอๆกับนาง ไม้แข็งไม่อาจใช้ ส่วนไม้อ่อนอย่าว่าแต่ใช้ไม่ได้ผลเลย เกรงว่าหากใช้ไปไม่พ้นไป๋หลี่หงเฟยยิ่งได้ใจไปอีกคืบ


 


“นั่นน่ะหรือ เฟิ่งชีชีแห่งเผ่าหงส์ฟ้า?”


 


“ถูกแล้ว นางไม่เพียงแต่จะเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ในบรรดาคนอายุไม่ถึงพันของเผ่าหงส์ฟ้าเท่านั้น แต่นางยังเป็นโฉมงามอันดับ 1 ในรุ่นด้วย”


 


“โฉมงามอันดับ 1 แห่งเผ่าหงส์ฟ้า? หากก่อนหน้าที่ข้าจะได้เจอฮ่วนเอ๋อ ข้าคงรู้สึกว่าน้อยคนนักที่จะเทียบเทียมนางได้ แต่พอได้เห็นฮ่วนเอ๋อแล้ว ข้ารู้สึกว่านางก็แลดูธรรมดาไปถนัดตา”


 


“จริง ข้าเห็นด้วยเลย”


 



 


หลังเฟิ่งชีชีกับคนของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณปรากฏตัว เหล่าอัจฉริยะรากหญ้าหลายคนก็เริ่มกระซิบกระซาบคุยกัน และมีอัจริยะรากหญ้าหลายคนแล้วที่ได้เห็นหน้าค่าตาฮ่วนเอ๋อ วาจาของพวกมันจึงไม่ตระหนี่คำชมเชยยกย่องฮ่วนเอ๋อแม้แต่น้อย


 


ในแง่รูปโฉมแม้เฟิงชีชีจะถือได้ว่าเป็นโฉมสคราญนางหนึ่ง แต่ขออภัย พอดีฮ่วนเอ๋อนั้นคือโฉมสคราญไร้ผู้ต้าน!


 


สตรีทุกคนล้วนรักสวยรักงาม


 


โดยเฉพาะสตรีที่มีทุกอย่างเพรียบพร้อมทั้งพลังและฐานะ ย่อมให้ความสำคัญกับรูปโฉมมากขึ้น


 


แม้เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าอัจฉริยะรากหญ้าจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่เฟิงชีชีก็ยังได้ยิน


 


ทำให้สีหน้าของเฟิ่งชีชีเริ่มเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ทันที


 


เฟิ่งชีชีได้ยิน ไหนเลยไป๋หลี่หงเฟยจะไม่ได้ยิน พอเห็นสีหน้าเฟิ่งชีชีเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดี มันจึงหันไปถลึงตามองเหล่าอัจฉริยะรากหญ้าตาขวางด้วยมีโมโหทันที


 


และเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายพอเห็นไป๋หลี่หงเฟยมองมาด้วยสายตาเอาเรื่อง พวกมันก็พร้อมใจกันเงียบปากทันที


 


อัจฉริยะอันดับ 1 แห่งตระกูลไป๋หลี่ ไม่ใช่คนที่พวกมันจะตอแยด้วยได้


 


“อา! ใต้หล้ามีสตรีงดงามถึงขนาดนี้ด้วยหรือ!?”


 


และในขณะที่ไป๋หลี่หงเฟยกำลังถลึงตามองอัจฉริยะที่กล่าวซุบซิบอยู่จนทำให้ผู้ที่กล่าวซุบซิบเมื่อครู่จำต้องเงียบปาก สตรีนางหนึ่งของตระกูลไป๋หลี่ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาหลังเหลือบไปเห็นร่างที่กำลังเหินมาไกลตาร่างหนึ่ง


 


ได้ยินเสียงนาง หลายคนก็หันไปมองตามทันที


 


จากนั้นจึงเห็นว่ามีร่าง 2 ร่างกำลังเหาะมาแต่ไกล เป็นชายในชุดม่วงกับโฉมงามนางหนึ่งในชุดสีขาว


 


ชายหนุ่มคนนี้คิ้วคมเข้มปานดาบกระบี่ สองตากระจ่างใสปานดวงดารา ลักษณะท่วงท่าองอาจเหนือสามัญ บรรยากาศรอบกายให้ความรู้สึกเสมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ


 


ส่วนสตรีที่ราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดก็กำลังกุมมือชายหนุ่มเอาไว้ แลดูเหมาะสมกันประหนึ่งกิ่งทองใบหยก


 


“เป็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ!!”


 


“ทั่งคู่มาถึงแล้ว!!”


 



 


เหล่าอัจฉริยะที่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนมาก่อน อุทานออกมาเสียงดัง


 


และเหล่าอัจฉริยะรากหญ้าทั้งหลาย ก็พอยิ้มกันฉีกจนแก้มแทบปริ เพราะต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็คืออัจฉริยะรากหญ้าเหมือนพวกมัน!


 


“กล่าวไป ครั้งนี้ที่พวกเรามีโอกาสได้เข้าสู่แดนลับทวยเทพ ทั้งหมดเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อแท้ๆ หากไม่มีทั้งคู่ พวกเราไหนเลยจะมีโอกาสได้เข้าสู่แดนลับทวยเทพ”


 


อัจฉริยะรากหญ้าคนหนึ่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


“จริงของเจ้า หากไม่ใช่เพราะทั้งคู่สามารถทำลายสถิติได้ถึง 3 รายการ อย่าว่าแต่จะเข้าไปแสวงหาโอกาสอันใด พกเรายังไม่อาจยืนยันได้ด้วยซ้ำว่าเรื่องแดนลับทวยเทพเป็นจริงหรือเท็จ”


 


คำพูดของสองคนนี้ เหล่าอัจฉริยะโดยรอบล้วนเห็นด้วย


 


ด้านอวิ๋นเอี้ย อัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายปีศาจพันกร ก็ได้แต่มองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไกลๆ ด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากนัก ทำราวกับมันพึ่งเคี้ยวข้าวแล้วเจอแมลงสาบครึ่งตัวในชาม


 


อย่างไรก็ตามมันเพียงเหลือบมองทั้งคู่ปราดเดียวแล้วก็ละสายตาออกมา ราวกับกลัวต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะสังเกตเห็น


 


“คนเยอะขนาดนี้เชียว?”


 


เมื่อเห็นกลุ่มคนที่ลอยตัวกันหนาตาปานแพเมฆทะมึนมืดเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าเขากับฮ่วนเอ๋อมาสาย


 


“ยินดีที่ได้พบคุณชายต้วนหลิงเทียน ข้าคือเฟิ่งชีชี”


 


และเมื่อต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมาถึง เฟิ่งชีชีก็ถอนสายตาอิจฉาที่มองฮ่วนเอ๋อ กลับมามองต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม และก้าวออกมาประสานมือกล่าวทักทายต้วนหลิงเทียนเป็นคนแรก “ข้าขอเป็นตัวแทนเผ่าหงส์ฟ้าโบราณเชิญคุณชายต้วนเข้าร่วมเผ่าหงส์ฟ้าโบราณของพวกเรา”


 


“ตราบใดที่คุณชายต้วนเลือกจะเข้าร่วมเผ่าหงส์ฟ้าโบราณของเรา…เรื่องอื่นข้าอาจรับประกันให้ท่านไม่ได้ แต่สิ่งที่ข้ารับประกันได้ก็คือ ท่านจักได้รับทรัพยากรบ่มเพาะและการดูแลปฏิบัติในเผ่าไม่ด้อยไปกว่าตัวข้า เฟิ่งชีชี!”


 


เรียกว่าพอต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมาถึง เฟิ่งชีชีก็ออกตัวเร็วกว่าผู้ใด ยื่นกิ่งมะกอกให้ต้วนหลิงเทียนเป็นคนแรก


 


“ยินดีที่ได้พบคุณชายต้วนหลิงเทียน ข้าได้ยินคำร่ำลือเลิศล้ำของท่านมานานแล้ว พบพานตัวจริงนับว่าคำร่ำลือยังถือว่าด้อยไป ข้าเรียกว่าไป๋หลี่หงเฟยมาจากตระกูลไป๋หลี ตัวข้าเองก็ขอเรียนเชิญคุณชายต้วนเข้าร่วมกับตระกูลไป๋หลี่ของเรา”


 


แม้ไป๋หลี่หงเฟยจะตามเกี้ยวเฟิ่งชีชี แต่พอเห็นต้วนหลิงเทียนมาถึง มันก็ละวางเรื่องส่วนตัวและเห็นแก่ภาพรวมก่อนทันที ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของตระกูลไป๋หลี่กล่าวเชิญชวนต้วนหลิงเทียน แย่งชิงคนกับเฟิ่งชีชีตรงๆ


 


ขณะเดียวกันมันก็ไม่ลืมหันไปมองฮ่วนเอ๋อพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าตระกูลไป๋หลี่ของพวกเรา ยินดีต้อนรับแม่นางฮ่วนเอ๋อเข้าร่วมด้วยเช่นกัน”


 


“ตราบใดที่คุณชายต้วนกับแม่นางฮ่วนเอ๋อเข้าร่วมตระกูลไปหลี่ของเรา…ข้าขอรับปากว่าวันหน้าพวกท่านทั้งคู่จักได้รับทรัพยากรและการดูแลปรนนิบัติที่เหนือกว่าตัวข้า ไป๋หลี่หงเฟย!”


 


ไป๋หลี่หงเฟยให้คำมั่นออกไปด้วยน้ำเสียงจริงใจ แววตากระจ่างใสไร้เคลือบแคลง


 


“พี่ท่านต้วนหลิงเทียน แม่นางฮ่วนเอ๋อ ข้าขอเป็นตัวแทนนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำเชิญท่านทั้ง 2 เข้าร่วมนิกายของพวกเราเช่นกัน”


 


เอี้ยอู่เต้าอัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำก็ไม่รอช้าก้าวออกมากล่าวเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้มมากไมตรี


 


“น้องสาวฮ่วนเอ๋อ ท่านช่างงดงามยิ่ง ผู้อื่นเห็นยังอดไม่ได้ที่จะอิจฉาแทบตายแล้ว…”


 


ทันใดนั้นเองสตรีในชุดแดงหน้าตาสะสวยรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรนางหนึ่ง ที่สังเกตเรื่องราวอยู่สักพัก พลันก้าวออกมากล่าวชมฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม “นับว่าพี่ใหญ่ต้วนช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้น้องสาวฮ่วนเอ๋อเป็นคู่ครอง”


 


นับว่าคำกล่าวของสตรีชุดแดงนางนี้ได้ใจฮ่วนเอ๋อไม่น้อย ทำให้นางลอบเหลือบมองต้วนหลิงเทียนอย่างระวัง พอพบว่าพี่หลิงเทียนของนางไม่ได้ปฏิเสธอะไร แก้มนางก็ขึ้นสีระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว


 


“คุณชายต้วน แม้ตระกูลถัวปาของข้าจักด้อยกว่าตระกูลไป๋หลี่ และเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ แต่ขอเพียงท่านทั้ง 2 ยินดีเข้าร่วมกับตระกูลถัวปาของข้า ข้าสามารถเป็นตัวแทนท่านพ่อซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลถัวปา กล่าวให้คำมั่นต่อท่านตรงนี้…ว่าตระกูลถัวปาเราจักดูแลส่งเสริมท่านอย่างดีที่สุด ไม่มีทางให้ท่านขาดตกบกพร่องใดๆ”


 


สตรีในชุดแดง ที่แท้ก็คือลูกสาวของผู้นำตระกูลถัวปา ถัวปาหง


 


ขณะเดียวกันนางก็คืออัจฉริยะอันดับ 1 ของตระกูลถัวปาด้วย แต่พลังฝีมือของนางแข็งแกร่งไม่สู้เฟิ่งชีชีกับไป๋หลี่หงเฟย ยังอ่อนด้อยกว่าเอี้ยอู๋เต้าอยู่มากด้วยซ้ำ


 


ด้วยเหตุนี้นางจึงอยากให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้าร่วมตระกูลถัวปาจับใจ เพื่อไม่ให้บิดาของนางเป็นกังวลเรื่องอนาคตของตระกูลถัวปา ว่าจะไร้ยอดฝีมือยืนหยัดต้านทานขุมกำลังอื่นๆในอนาคต


 


“สหายยุทธ์ต้วน แม่นางฮ่วนเอ๋อ ข้าเรียกว่าหยวนฉู และข้าพูดไม่เก่ง แต่ข้าขอเป็นตัวแทนนิกายจ้าวมังกรสัประยุทธ์เชิญพวกท่านเข้าร่วมจากใจ รับรองพวกท่านไม่ผิดหวังแน่!”


 


หลังจากถัวปาหง ก็เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายจ้าวมังกรสัประยุทธ์ หยวนฉู ก้าวออกมากล่าวเชิญต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางจริงจัง “ขอเพียงท่านทั้งสองเข้าร่วมนิกายจ้าววมังงกรสัประยุทธ์เรา ทรัพยากรบ่มเพาะสำหรับรุ่นเราทั้งหมดที่ได้มา จะให้ความสำคัญกับพวกท่านเป็นลำดับแรก”


 


ขุมกำลังระดับ 1 ก้าวเข้ามาเชื้อเชิญทาบทามต้วนหลิงเทียนอย่างต่อเนื่อง


 


เห็นฉากดังกล่าวเหล่าอัจฉริยะรากหญ้ามากมายก็มองจ้องด้วยความอิจฉาตาละห้อย


 


อย่างไรก็ตามพวกมันรู้ดีว่านี่คือสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อควรได้รับ เพราะผลงานของทั้งคู่ในแดนลับอัจฉริยะ เป็นอะไรที่เหนือล้ำสุดที่อัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลายจะทาบติดด้วยซ้ำ


 


ตอนนี้ขุมกำลังระดับ 1 ที่อยู่ ณ ที่นี้ ขุมกำลังที่ยังไม่ได้ออกมาเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนก็มี นิกายกระบี่หมื่นหายนะ นิกายปีศาจพันกร และเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์


 


คนของนิกายปีศาจพันกรนั้นไม่ออกมาเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ไม่แปลก เพราะรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไม่มีทางเข้าร่วมนิกายปีศาจพันกรของพวกมันแน่


 


ถึงพวกมันจะก้าวออกมาเชิญ ก็มีแต่จะโดนเพิกเฉยไม่เหลียวแล จนสร้างความอัปยศให้ตัวเองเท่านั้น


 


สำหรับอัจฉริยะของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์นั้น หลายคนพอเห็นฮ่วนเอ๋อแล้วก็พากันย่นคิ้วเป็นปม สีหน้าพวกมันฉายชัดถึงความสงสัยคลางแคลง


 


เพราะจากร่างของฮ่วนเอ๋อ พวกมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเบาบางสายหนึ่ง…กลิ่นอาย ‘จิ้งจอกมายา’ อริคู่ฟ้าของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์!


 


อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายฮ่วนเอ๋อแปลกมาก มันไม่เหมือนจิ้งจอกมายาที่เคยพบเจอเลย…


 


นอกจากนี้อีกฝ่ายยังทำลายสถิติที่บรรพชนของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์สร้างไว้เมื่อแสนปีก่อนอีกด้วย…ต้องทราบด้วยว่าบรรพชนผู้นั้นของงเผ่าวิฬารไร้ลักษณ์ยังดำรงอยู่ในเผ่า และเป็นดั่งเสาหลักที่ไม่อาจขาดได้ของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์


 


ปกติแล้วพวกมันยามพบเจอบรรพชนท่านนั้น ก็เสมือนได้เห็นเทพเจ้าของเผ่าวิฬารไร้ลักษณ์ ดั่งผู้นำจิตวิญญาณสูงสุดของเผ่าก็ว่า


 


แต่ครั้งนี้พวกมันที่เข้าแดนลับอัจฉริยะมา กลับพบว่าฮ่วนเอ๋อสามารถทำลายสถิติที่บรรพชนพวกมันสร้างไว้เมื่อแสนปีก่อน ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ของพวกมันลงต่อหน้าต่อตา!


 


ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่วนเอ๋อไม่เพียงทำลาสถิติเท่านั้น แต่ยังถล่มสถิติของบรรพชนพวกมันจนยับเยิน ทำเวลาได้เหนือกว่ากัน 20 กว่าเท่า!!


 


“ทั้ง 2 ท่าน ข้าคืออวี่เทียนสิง จากสายท่ายอาของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ”


 


ในขณะที่หลายคนสงสัยว่าทำไมนิกายกระบี่หายนะถึงไม่ทาบทามต้วนหลิงเทียนเสียที จนเมื่อไม่มีขุมกำลังใดออกมาทาบทามต้วนหลิงเทียนแล้ว อวี่เทียนสิงก็ก้าวออกมากล่าวกับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม


 


“ข้าในนามนิกายกกระบี่หมื่นหายนะ ขอเชิญพวกท่านทั้งคู่เข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะของเรา”


 


“ขอเพียงท่านทั้งคู่ตกลงเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ข้าสามารถรับรองต่อพวกท่านได้ตรงนี้…วันหน้านิกายปีศาจพันกรจะไม่มีวันแตะต้องพวกท่านทั้งคู่ได้อีก ไม่ว่าจะเปิดเผยหรือลอบเร้น”


 


อวี่เทียนสิงไม่ได้กล่าวเสนอผลประโยชน์ฟุ้งเฟ้อเหมือนคนอื่นๆ พอกล่าวออกมาก็เอ่ยรับปากเพียงเรื่องเดียว…


 


ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้าร่มนิกายกระบี่หมื่นหายนะ นิกายกระบี่หมื่นหายนะจะปกป้องทั้คู่อย่างดี ไม่มีทางปล่อยให้นิกายปีศาจพันกรเหิมเกริมลงมือทำอะไรได้อีกต่อไป!


 


ซูว


 


ได้ยินคำพูดรับรองของอวี่เทียนสิง สีหน้าอวิ๋นเอี้ยเปลี่ยนไปทันใด กระทั่งสีหน้าท่าทีของคนนิกายปีศาจพันกรด้านหลังอวิ๋นเอี้ยก็เปลี่ยนไปไม่ต่าง


 


อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดรู้ดีว่าอวี่เทียนสิงมีคุณสมบัติพอที่จะพูดคำนั้น


 


นิกายกระบี่หมื่นหายนะไม่ใช่อะไรที่นิกายปีศาจพันกรของพวกมันจะกล้าล่วงเกินจริงๆ


 


“เผ่าหงส์ฟ้าเองก็รับรองว่า นิกายปีศาจพันกรไม่อาจแตะต้องพวกท่านได้เช่นกัน”


 


เฟิ่งชีชีก็กล่าวออกมาตามติด


 


“ทางตระกูลไป๋หลี่ของพวกเราก็ให้สัญญาว่านิกายปีศาจพันกรไม่กล้าแหยมพวกท่านแน่!”


 


ไป๋หลี่หงเฟยก็ก้าวออกมาเอ่ยคำมั่นอีกรอบ


 


ตอนนี้ทั้งหมลืมไปแล้วจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนได้ฆ่า อวิ๋นเซียว นายน้อยของนิกายปีศาจพันกรไป เพราะผลงานเลิศล้ำและความโดดเด่นของของทั้งคู่ได้กลบเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ไปจนหมด


 


“ตระกูลถัวปาของพวกเราก็ไม่กลัวนิกายปีศาจพันกร”


 


ถัวปาหงก็ไม่รอช้ารีบยืนยันอีกคน


 


“นิกายจ้าวมังกรสัประยุทธ์ของพวกเราก็ยินดีสู้กับนิกายปีศาจพันกรให้ตายกันไปข้างเพื่อพวกท่าน”


 


หยวนฉูยังกล่าวออกมาอย่างขึงขัง ท่าทางแลดูฮึกเหิมเอาเรื่อง


 


“ข้าเอี้ยอู๋เต้าขอกล่าวไว้ตรงนี้ว่าจักไม่ยอมให้นิกายยปีศาจพันกรมาเหิมเกริมต่อหน้าพวกท่านเด็ดขาด พวกมันกล้าโผล่หัวมาหนึ่งคน ก็ตัดหัวพวกมันเพิ่มขึ้นหนึ่งหัว! พวกเราพร้อมให้นิกายปีศาจพันกรนองเลือด!!”


 


ขณะที่เอี้ยอู๋เต้าก้าวออกมากล่าวประโยยคนี้ สายตาของมันยังหันไปกวาดมองคนของนิกายปีศาจพันกรอย่างอำมหิต ราวกับว่า หากต้วนหลิงเทียนขอให้มันแสดงความจริงใจ มันจะชักกระบี่เข่นฆ่าผู้คนเสียให้สิ้น!


 


จากนั้นเหล่าขุมกำลังระดับ 1 ที่ออกมาเอ่ยชวนต้วนหลิงเทียนกกับฮ่วนเอ๋อแล้วเสร็จ ก็เฝ้ามองทั้งคู่ด้วยสายตาคาดหวัง รอฟังคำตอบของทั้งคู่อย่างลุ้นระทึก


 


“นั่นซูหลี่นี่!”


 


“ซูหลี่มาแล้ว!!


 



 


ในขณะที่บรรยากาศเริ่มเงียบลงเพราะต่างรอฟังคำตอบต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็มีอัจฉริยะรากหญ้าหลายคนที่อยู่วงนอกค้นพบการมาถึงของร่างในชุดสีดำผู้หนึ่ง


 


ฟั่ฟฟฟ!


 


กระบี่โลหิตทะลวงฟ้ามาฉับไว ด้วยสภาวะพลังอันน่าเกรงขาม คนที่ท่องกระบี่มาก็ผ่าเผยทระนงไม่แพ้กัน


 


เป็นซูหลี่ จากสายเฉิงหยิ่งแห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะ!


WSSTH ตอนที่ 3,238 : เพื่อนแท้ พบกันอีกครั้ง


 


 


“ซูหลี่?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะหันมองไปยังขอบฟ้าทิศทางหนึ่งด้วยความสงสัยเช่นกัน


 


ซูหลี่แห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ก่อนที่เขาจะเข้าสู่หอคอยจิตวิญญาณค่ายกลและปีนยอดเขาแรงโน้มถ่วงอีกครั้งหลังเก็บตัวฝึกฝนไป 8 ปี ก็คือคนที่ครองอันดับ 1 ของสถานที่ทดสอบยอดนิยมทั้ง 2 แห่งเอาไว้


 


ที่สำคัญเลยก็คือ


 


ซูหลี่ นามนี้คุ้นหูเขาเกินไป


 


ในอดีตตอนที่เขาอยู่ในระนาบเซียนอันเป็นระนาบโลกียะบ้านเกิดเขาในชีวิตที่ 2 เขาก็ได้พบเจอชายหนุ่มนามซูหลี่ ในค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กแห่งอาณาจักรนภาล่อง ต่อมาอีกฝ่ายก็ได้กลายเป็นสหายประเสริฐที่เขามีอยู่ไม่กี่คน


 


ตอนเด็กนั้น  ซูหลี่เลือกที่จะออกจากตระกูลซูและละทิ้งอนาคตสดใสด้วยการออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลไป เพียงเพราะไม่คิดหักหลังเขา! ทำให้เขายึดถืออีกฝ่ายเป็นเพื่อนแท้มาตั้งแต่ก่อนจะออกนากอาณาจักรนภาล่อง!!


 


ต่อมาก็ได้พบเจอซูหลี่อีกหลายครั้ง และแต่ละรอบก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นยังคงเติบโตก้าวหน้าได้อย่างดี เรียกว่าเหนือความคาดหมายของเขาทุกรอบ…จนสุดท้ายเมื่อขึ้นมาระนาบเทวโลกแล้ว เขาก็ไม่ได้พบเจอซูหลี่อีกเลย


 


“นั่นน่ะหรือ ซูหลี่อัจฉริยะนิกายหมื่นกระบี่แห่งสายเฉิงหยิ่ง ที่ก่อนหน้าร่ำลือกันว่าพลังฝีมือทัดเทียมกับอวี่เทียนสิง แต่ในปัจจุบันกลับก้าวข้ามอวี่เทียนสิงไปแล้ว?”


 


“ใช่ มันก้าวข้ามอวี่เทียนสิงไปแล้วจริงๆ ตอนนี้คำอัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะตกเป็นของซูหลี่อย่างไร้ข้อกังขาแล้ว!”


 


“ซูหลี่คนนี้ อาจนำพานิกายกระบี่หมื่นหายนะเข้าสู่ยุคใหม่!”


 



 


ทุกสายตาพร้อมใจกันจับจ้องมองไปยังซูหลี่ กระทั่งเฟิ่งชีชีอัจฉริยะอันดับ 1 แห่งเผ่าหงส์ฟ้าโบราณเอง พอเห็นซูหลี่สองตานางก็ลุกวาวขึ้นมาอย่างออกหน้าออกตาทีเดียว


 


ไป๋หลี่หงเฟยที่สังเกตเห็นสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก จากนั้นก็หันไปมองจ้องซูหลี่ด้วยสายตาระแวงทันที จนเมื่อเห็นว่าซูหลี่ไม่แม้แต่จะเหลือบแลเฟิ่งชีชี มันจึงพอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก!


 


“ซูหลี่”


 


สำหรับอัจฉริยะของนิกายกระบี่หมื่นหายนะนั้น สายตาที่ใช้มองซูหลี่ช่างเต็มไปด้วยหลายรสชาติหลากอารมณ์เหลือเกิน เพราะซูหลีนั้นมาทีหลังแถมอ่อนวัยกว่าพวกมัน แต่กลับประสบความสำเร็จเหนือพวกมัน…


 


ในขณะที่ทุกสายตากำลังจับจ้องมองไปยังซูหลี่ ด้านซูหลี่กลับมองข้ามฝูงชนนับร้อยพัน มาหยุดลงบนร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงคนหนึ่ง


 


ในเวลาเดียวกัน สองตาต้วนหลิงเทียนก็จับจ้องมองซูหลี่เขม็ง


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


ท่ามกลางสายตาของทุกคน ร่างซูหลี่พลันโจนทะยานออกจากกระบี่ดิ่งลงจากฟากฟ้า ส่วนต้วนหลิงเทียนเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าด้วยความเร็ว


 


ปล่อยฮ่วนเอ๋อไว้ให้ยืนงงอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


2 ร่างที่โจนเข้าหากันพลันหยุดลงกลางหาว ห่างไม่ถึง 10 หมี่ จากนั้นก็จับจ้องมองกันเขม็ง


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


“หรืออัจฉริยะที่โดดเด่นในแดนลับอัจฉริยะคู่นี้…กำลังจะประมือกันเพื่อให้รู้สูงต่ำ?”


 


“อะไร? จะตีกันหรือ เช่นนั้นพวกเรากำลังจะได้ชมเรื่องดีๆแล้วสิ!!”


 



 


มีอัจฉริยะหลายคนที่คิดว่าการเผชิญหน้ากันระหว่างต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ เพราะทั้งคู่คิดสู้วัดฝีมือกัน!


 


มีแต่ฮ่วนเอ๋อเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นยินดีของต้วนหลิงเทียนจากสีหน้าและแววตาขณะที่เหินร่างขึ้นไปบนฟ้าเมื่อครู่


 


ราวกับชายหนุ่มนุชดคลุมดำผู้นั้น ทำให้พี่หลิงเทียนของนางรู้สึกยินดีที่ได้พบเจอ


 


ครู่ต่อมา ความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึง


 


ทั้งหมดเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่นั้นพุ่งเข้ามากอดกันบนฟ้า ตบหลังกันอย่างแรง หัวเราะออกมาฮ่าๆอย่างสะใจ


 


ซูหลี่นั้นทุกคนรู้กันดีว่าเป็นมือกระบี่ไร้ใจ ใบหน้ามักเย็นชาไร้อารมณ์เสมอ กระทั่งเหล่าอัจฉริยะของนิกายกระบี่หมื่นหายนะเอง ก็ไม่เคยเห็นซูหลี่ยิ้มเลยสักครั้ง นับประสาอะไรกับระเบิดเสียงหัวเราะแบบนี้


 


“ทั้งคู่…รู้จักกันมาก่อนหรือเนี่ย!?”


 


เห็นฉากเรื่องราวดังกล่าว หลายๆคนย่อมคาดเดาเรื่องนี้ได้ออก


 


บางคนยังคิดว่าทั้งคู่ไม่น่าจะรู้จักกันธรรมดาๆ


 


ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ที่กอดกันอยู่ ก็เอาแต่ตบหลังอีกฝ่ายพลางหัวเราะเสียงดัง


 


ตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ


 


แต่ถึงจะไม่ต้องพูดอะไร ต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร…มันนาน ยังเนิ่นนานเหลือเกินที่ไม่ได้พบเจอ!


 


นับจากเวลา ก็ร่วมๆ 200 ปีเห็นจะได้


 


ตอนที่ทั้งคู่พบเจอกันครั้งแรก แต่ละฝ่ายยังอายุสิบกว่าปีเท่านั้น


 


ครั้งสุดท้ายที่ได้พบเจอ แต่ละฝ่ายก็อายุไม่กี่สิบปี เรียกว่าไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ


 


เรียกว่าการจากกันครั้งสุดท้าย เป็นการจากลากันที่เนิ่นนานที่สุด


 


“ต้วนหลิงเทียน ตอนข้าเห็นชื่อเจ้าครั้งแรกบนตารางจัดอันดับยอดเขาแรงโน้มถ่วง ข้าก็สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าจะใช่เจ้ารึเปล่า…หลังจากข้าลองคิดดูหลายครั้ง ข้าถึงรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้”


 


หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ก็ผละออกจากกัน และเป็นซูหลี่ที่กล่าวออกมาพลางระบายลมหายใจออกเฮือกหนึ่ง


 


“เจ้ายังดีที่กล้าคิด…ส่วนข้าสิ พอเข้าแดนลับอัจฉริยะนี่มา ก็ปิดด่านไป 8 ปี ออกมาอีกทีก็เห็นชื่อเจ้าได้อันดับ 1 ทั้ง 2 แห่งไม่ว่าจะหอคอจิตวิญญาณหรือยอดเขาแรงโน้มถ่วงแบบนั้น แม้มันจะทำให้คิดถึงเจ้าขึ้นมา แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นเจ้าไปได้”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหน้าไปมา อย่างไรก็ตามรอยยิ้มสดใสยังคงคลี่กางบนใบหน้าไม่ห่างหาย


 


ถึงแม้เขากับซูหลี่กล่าวไปจะพบเจอและอยู่ด้วยกันไม่นานนัก แต่มิตรภาพระหว่างทั้งคู่เรียกว่ายากจะมีใครทำลายได้


 


“ปกติแล้วเจ้ามันขยันสร้างปาฏิหาริย์เกินไป…เริ่มตั้งแต่วันที่อยู่ในค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กที่อาณาจักรนภาล่องวันนั้น เจ้าก็สร้างความประหลาดใจให้ข้าทุกครั้งที่กลับมาพบเจอกัน”


 


ซูหลี่ถอนหายใจ ค่อยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงรำลึกความหลัง “ดังนั้นพอข้าเห็นชื่อเจ้าโผล่มาอีกที จึงอดคิดไปไม่ได้…ว่าบางทีเจ้าอาจจะยังประสบความสำเร็จเหนือกว่าข้า”


 


“และตอนนี้ดูเหมือนมันก็จะยังคงเป็นแบบนั้นจริงๆ”


 


ถึงแม้ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน ดูท่าแล้วจะเหนือกว่าตัวเองชัดเจน หากแต่ซูหลี่ไม่มีจิตคิดอิจฉาอะไร ในใจมีก็แต่ความยินดีเท่านั้น


 


“เฮ่อ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าเองก็จะบ่มเพาะมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เข้ามาในแดนลับอัจฉริยะได้ไม่ว่า แต่ยังกลายไปเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ในนิกายกระบี่หมื่นหายนะแล้วด้วย”


 


ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


“เรื่องมันยาวน่ะ…รอให้ออกจากแดนลับอัจฉริยะแล้วเข้าจะเล่าให้ฟัง”


 


ซูหลี่คลี่ยิ้ม


 


“ดี!”


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขากับซูหลี่กลายเป็นนจุดสนใจของทุกคนไปแล้ว หลังจากพยักหน้าชวนซูหลี่ เขาก็เหินกลับลงมาหาฮ่วนเอ๋อทันที


 


“ฮ่วนเอ๋อ นี่คือซูหลี่ เป็นสหายประเสริฐของข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหินนำลงมาหาฮ่วนเอ๋อ ก็ผายมือไปทางซูหลี่และแนะนำให้ฮ่วนเอ๋อรู้จักทันที แม้เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ได้เจอซูหลี่อีกครั้ง เขาก็อยากแบ่งปันความยินดีนี้ให้ฮ่วนเอ๋อรับทราบด้วย


 


“นี่น่ะหรือแม่นางฮ่วนเอ๋อ? ข้าได้ยินเสียงร่ำลือมานานแล้วว่าเป็นโฉมสคราญไร้ผู้ต้าน”


 


ซูหลี่มองฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันไปขยิบตาให้ต้วนหลิงเทียนรอบหนึ่ง ค่อนมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตารู้กัน


 


“พี่ใหญ่ซูหลี่”


 


ฮ่วนเอ๋อก็ทักทายซูหลี่ด้วยรอยยิ้มสดใส


 


“พี่ใหญ่?”


 


ซูหลี่ตกใจทั้งรู้สึกอายเล็กน้อย “เอ่อ อันที่จริงข้ายังมีอายุไม่ถึง 300 ปีเลย…”


 


“อะไร ฮ่วนเอ๋อแค่เรียกเจ้าว่าพี่ใหญ่ เจ้ากลับหน้าบางรู้สึกรับไม่ไหวรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ พลางกล่าวออกมาด้วยรอยยยิ้มสนุกสนาน “ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อยังอายุไม่ถึง 200 ปีเลย”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เห็นซูหลี่หน้าม้านไป ก็รู้ดีว่าไม่พ้นซูหลี่คิดว่าฮ่วนเอ๋อแก่กว่า จึงไม่กล้ารับคำเรียกหาจากฮ่วนเอ๋อว่าพี่ใหญ่


 


“อะไร! อายุไม่ถึง 200 ปีรึ!?”


 


คำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะทำให้ซูหลี่ตกใจเท่านั้น กระทั่งอัจฉริยะคนอื่นๆที่อยู่รอบๆก็ตกใจครั้งใหญ่เช่นกัน พวกมันไม่มีใครคิดใครฝัน ว่าในแดนลับอัจฉริยะแห่งนี้ ยังจะมีใครอายุน้อยกว่าซูหลี่อยู่อีก!


 


ที่สำคัญ สตรีที่อายุไม่ถึง 200 ปีนางนี้ กลับสร้างงสถิติอันน่าพรั่นพรึงในวงกตสรรพสิ่งอีกด้วย!


 


“ศิษย์น้องซูหลี่ เจ้ารู้จักต้วนหลิงเทียนด้วยหรือ?”


 


ตอนนี้เองพลันมีอัจฉริยะที่รูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เหินร่างมาถามซูหลี่ด้วยความสงสัย “เท่าที่ข้ารู้มา ตั้งแต่ที่ศิษย์น้องซูหลี่ติดตามอาจารย์ลุงตู๋กูมาเข้าร่วมกับนิกายกระบี่หมื่นหายนะของพวกเรา เจ้าก็มิเคยออกไปไหนเลยนี่นา?”


 


“จะว่าไป เพราะการเปิดออกของแดนลับอัจฉริยะ เลยทำให้เจ้าเดินทางออกจากนิกายกระบี่หมื่นหายนะเราครั้งแรกไม่ใช่หรือ?”


 


อัจฉริยะหนุ่มของนิกายกระบี่หมื่นหายนะอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามด้วยความสงสัย


 


“ต้วนหลิงเทียนเป็นสหายของข้าตั้งแต่ตอนที่ข้าอยู่ระนาบโลกียะแล้ว”


 


ซูหลี่ยิ้ม


 


“ต้วนหลิงเทียน นี่คือศิษย์พี่กงซุนจิ้ง เป็นศิษย์พี่ที่อยู่สายกระบี่ซวนหยวนในนิกายกระบี่หมื่นหายนะของข้า”


 


ขณะเดียวกันซูหลี่ก็แนะนำศิษย์นิกายกระบี่หมื่นหายนะที่เข้ามาทักให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก


 


“ซูหลี่ในเมื่อเจ้ากับต้วนหลิงเทียนก็รู้จักกัน เช่นนั้นไม่ชวนสหายมาอยู่นิกายกระบี่หมื่นหายนะกับพวกเราเล่า?”


 


หลังกงซุนจิ้งพยักหน้าและทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยความกระตือรือร้นแล้ว มันก็หันไปกล่าวกับซูหลี่อย่างเป็นกันเอง


 


“ถึงต้วนหลิงเทียนจะเป็นสหายสนิทข้า แต่ข้าก็เคารพการตัดสินใจของมัน…เรื่องที่จะเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะหรือไม่ ต้องสุดแล้วแต่การตัดสินใจของเจ้าต้วนมัน อย่างไรเสียมิตรภาพระหว่างพวกเราล้วนไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”


 


ซูหลี่ส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวจากใจ


 


เดิมที พอเห็นซูหลี่ทักทายกับต้วนหลิงเทียนอย่างสนิทสนม และเปิดเผยว่าเป็นสหายกับต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลายก็รู้สึกว่าคงหมดหวัง เรื่องจะดึงตัวต้วนหลิงเทียนมาเข้าร่วมขุมกำลังแล้ว


 


จนมาได้ยินคำพูดดังกล่าวของซูหลี่ สองตาพวกมันจึงฉายแสงขึ้นมาด้วยความคาดหวังอีกรอบ


 


กลับกัน พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของซูหลี่ ไม่ว่าจะอวี่เทียนสิง กงซุนจิ้ง หรืออัจฉริยะคนอื่นๆของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ก้พอกันขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้


 


ในความเห็นของพวกมัน ในเมื่อซูหลี่สนิทกับต้วนหลิงเทียน แค่กล่าวชวนสักหน่อย ก็ไม่พ้นต้องทำให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะได้ไม่ยากเย็นแล้ว


 


แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าซูหลี่กลับเลือกที่จะไม่ชวนต้วนหลิงเทียน และปล่อยให้สหายตัดสินใจเอาเองว่าจะเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะหรือไม่…


 


“ซูหลี่”


 


อวี่เทียนสิงมองกล่าวกับซูหลี่เสียงเข้ม “หากอาจารย์ลุงตู๋อยู่ที่นี่ด้วย ข้าเชื่อว่าอาจารย์ลุงเองก็ต้องหวังให้เจ้าชักชวนต้วนหลิงเทียนแน่”


 


ซูหลี่เหลือบมองอวี่เทียนสิงด้วยสายตาเฉยเมย “อวี่เทียนสิง ข้ารู้ว่าท่านคิดอ่านอันใด…อย่างไรก็ตามข้าเชื่อว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่าของข้าต้องเคารพการตัดสินใจของข้าแน่”


 


อาจารย์ผู้เฒ่าที่ซูหลี่กล่าวถึงก็คือ ผู้นำสาย เฉิงหยิ่ง แห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะที่ไปรับตัวซูหลี่จากระนาบโลกียะมาเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะที่อวี้หวงเทียนด้วยตัวเอง


 


อาจารย์ลุงตู๋ที่อวี่เทียนสิงกล่าวถึง ก็หมายถึงผู้นำสายเฉิงหยิ่ง ตู๋กู เช่นกัน


 


“เจ้า”


 


อวี่เทียนสิงก็รู้ดีว่าที่ซูหลี่พูดมานั้นไม่มีผิดเพี้ยน เพราะสำหรับสายเฉิงหยิ่งแล้ว ซูหลี่ไม่ต่างอะไรจากสมบัติล้ำค่า ไม่มีใครกล้าทำให้ซูหลี่ไม่พอใจแน่นอน แล้วใครยังจะกล้าขัดใจซูหลี่เพราะเรื่องเท่านี้?


 


“ซูหลี่ ท่านประมุขเองก็ปฏิบัติกับเจ้าอย่างดีมิใช่หรือ ไม่ใช่เจ้าสมควรแสวงหาอัจฉริยะมาเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะเราเพื่อให้ท่านอาจารย์ดีใจหน่อยหรือไร?”


 


เมื่ออวี่เทียนสิงเห็นว่ายากจะโน้มน้าวให้ซูหลี่ชวนต้วนหลิงเทียนเพราะเรื่องเป็นสหาย มันก็อดไม่ได้ที่จะยกอ้างอาจารย์ของมันผู้เป็นประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะขึ้นมา


 


ตั้งแต่ที่ซูหลี่เข้าสู่นิกายกระบี่หมื่นหายนะ ประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะอย่างอวี่เจี้ยนเฉิงก็ดูแลซูหลี่อย่างดี เรียกว่าให้สิทธิพิเศษแก่ซูหลี่หลายอย่าง


 


ได้ยินวาจาดังกล่าวของอวี่เทียนสิง ซูหลี่ก็ขมวดคิ้วย่นเป็นปมทันที จากนั้นก็เหลือบไปมองทางต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาฝืนๆ ยากจะเอ่ยคำ


 


“ซูหลี่ ฮ่วนเอ๋อกับข้าจะเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะ”


 


ต้วนหลิงเทียน เห็นซูหลี่มองมาอย่างไม่ร้จะทำอย่างไร ก็กล่าวออกไปเคล้าเสียงหัวเราะ


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าไม่ต้อง…”


 


ซูหลี่คิดว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะตัดสินใจเข้าร่วมนิกายกระบี่เพราะเห็นแก่หน้าตัวเอง จึงคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทว่าต้วนหลิงเทียนก็กล่าวขัดออกมาเสียก่อน “เดิมทีข้ากับฮ่วนเอ๋อก็คิดมาสร้างผลงานในแดนลับอัจฉริยะ เพื่อหาขุมกำลังเข้าร่วมอยู่แล้ว…ในเมื่อเจ้าอยู่นิกายกระบี่หมื่นหายนะ เช่นนั้นข้ากับฮ่วนเอ๋อก็ไม่ขัดข้องที่จะเข้าร่วม จะว่าไปมีเจ้าอำนวยความสะดวกให้แบบนี้ก็ยิ่งดี”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงจุดนี้ก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน แต่แน่นอนว่าทั้งหมดที่กล่าวมานั้นล้วนเป็นความจริงทุกประการ


 


ไฉนเขาต้องดันด้นมาเข้าร่วมแดนลับอัจฉริยะ? ไม่ใช่เพราะคิดจะเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับ 1 ทั้ง 3 อย่างนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เผ่าหงส์ฟ้าโบราณ และตระกูลไป๋หลี่หรอกหรือไร?


 


และในบรรดาขุมกำลังทั้ง 3 ตัวเลือกอันดับ 1 ของเขาก็คือนิกายกระบี่หมื่นหายนะอย่างไม่ต้องสงสัยเลย


 


ตอนนี้พอรู้ว่าซูหลี่ก็อยู่นิกายกระบี่หมื่นหายนะด้วย เรื่องราวทั้งหมดยิ่งกลายเป็นราบรื่นด้วยซ้ำ


WSSTH ตอนที่ 3,239 : ทำข้อตกลงกับมังกรชั่วร้าย


 


 


คำพูดของต้วนหลิงเทียน ไม่ต่างอะไรจากทำลายความหวังที่พึ่งจะก่อเกิดขึ้นในใจอีกครั้ง ของเหล่าอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 อื่นๆเลย


 


แต่พวกมันย่อมไม่อาจทำอะไรได้เป็นธรรมดา


 


เพราะสุดท้ายแล้วสิทธิ์ขาดในการเลือกก็ขึ้นอยู่กับต้วนหลิงเทียน…


 


ยิ่งไปกว่านั้นด้วยพลังฝีมือของพวกมัน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้กำลังบีบบังคับต้วนหลิงเทียนให้ยอมจำนน เพราะหากต้วนหลิงเทียนเป็นคนที่พวกมันบีบบังคับได้ พวกมันคงไม่พยายามกล่าวชวนด้วยการยื่นข้อเสนอดีงามแบบนี้แต่แรก


 


เพราะพลังฝีมืออันโดดเด่นของต้วนหลิงเทียน จึงทำให้พวกมันละทิ้งความหยิ่งผยอง และกล่าวเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนให้เข้าร่วมขุมกำลังของตัววเองอย่างสุภาพ


 


“ซูหลี่…เมื่อครู่เจ้าบอกว่าต้วนหลิงเทียนเป็นสหายของเจ้าที่ระนาบโลกียะ หรือว่าต้วนหลิงเทียนก็มีอายุพอๆกับเจ้าด้วย?”


 


กงซุนจิ้ง อัจฉริยะสายซวนหยวนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เอะใจอะไรบางอย่าง จึงหันไปมองถามซูหลี่ด้วยความสงสัย


 


“ใช่”


 


ซูหลี่พยักหน้า “ต้วนหลิงเทียนก็มีอายุพอๆกับข้า…หากจะให้ชี้ชัดจริงๆ ต้วนหลิงเทียนอ่อนวัยกว่าข้าเล็กน้อย”


 


ทันทีทีซูหลี่กล่าวประโยคนี้ออกมา เหล่าอัจฉริยะโดยรอบก็พร้อมใจกันเงียบกริบ ไร้แม้กระทั่งเสียงลมหายใจ


 


ต้วนหลิงเทียนอายุพอๆกับซูหลี่ กระทั่งยังอ่อนกว่าเล็กน้อย?


 


อวี่เทียนสิงที่ได้ยินชัดถนัดหู มุมปากก็กระตุกขึ้นมาตงิดๆ มันไม่คิดเลยว่านิกายกระบี่หายนะปรากฏคนอย่างซูหลี่ขึ้นมาแล้ว แต่ยังจะมีต้วนหลิงเทียนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าซูหลี่ปรากฏตัวขึ้นมาอีก!


 


เหล่าอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลาย หันไปมองศิษย์ของนิกายกระบี่หายนะด้วยสายตาแดงเรื่อ แววตาฉายชัดถึงความอิจฉาริษยาจับใจ ถึงขั้นเกลียดชังกันเลยก็มี


 


“ว่าแต่ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”


 


ซูหลี่หันไปมองถามกงซุนจิ้ง


 


“ไม่รู้สิ พวกเราก็พึ่งมาถึงก่อนเจ้าไม่ทันไรเหมือนกัน”


 


กงซุนจิ้งกล่าวตอบ


 


ขณะเดียวกันสายตาของทุกคนก็หวนกลับไปมองจ้องมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ที่ขวางประตูสู่แดนนลับทวยเทพอีกครั้ง


 


“มังกรชั่วร้าย!”


 


จังหวะนี้สีหน้าเฟิ่งชีชีพลันเปลี่ยนไป ในฐานะอัจฉริยะอันดับ 1 ของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ นางย่อมรู้จักมังกรชั่วร้ายเป็นธรรมดา


 


“เมื่อครู่มีอัจฉริยะรากหญ้าคนหนึ่งคิดลองฝ่ามังกรชั่วร้ายเพื่อเข้าประตูนั่น สุดท้ายจึงถูกมังกรชั่วร้ายพ่นแสงพลังใส่…เปรี้ยงเดียวแม้แต่ศพก็ไม่เหลือ…”


 


ไป๋หลี่หงเฟยกล่าว


 


“มังกรชั่วร้าย แค่อยู่นิ่งๆไม่ต้องทำอะไร แรงกดดันพลังที่แผ่ออกกมาตามธรรมชาติของมันก็ร้ายกาจกว่าจักรพรรดิอมตะทั่วๆไปแล้ว…”


 


เฟิ่งชีชีกล่าวออกเสียงหนัก!


 


แค่แรงกดดันตามธรรมชาติ ก็รุนแรงกว่าจักรพรรดิอมตะทั่วไป?


 


ได้ยินคำพูดของเฟิ่งชีชีเหล่าอัจฉริยะไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็ชักสีหน้าเคร่งขรึมทันที


 


“หากใช้เคลื่อนมิติของกฏมิติเล่า? จะฝ่ามันเข้าไปได้รึเปล่า?”


 


อัจฉริยะคนหนึ่งจากนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำเอ่ยถามลอยๆด้วยความอยากรู้


 


อัจฉริยะที่เอ่ยถามออกมาลอยยๆคนนี้ของนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำ ก็เป็นอัจฉริยะที่เข้าใจกฏแห่งมิติ และความลึกซึ้งเคลื่อนมิติของมันก็เข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยแล้ว


 


สามารถเคลื่อนย้ายข้ามมิติได้ถึง 10,000 หมี่


 


“เจ้าไม่ลองดูเล่า…”


 


เฟิ่งชีชีเอ่ยออกเสียงเบา ในแววตายังเผยความท้าทายเล็กน้อย


 


อัจฉริยะของนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว แต่ต่อมามันก็เลือกจะเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง ใช้เคลื่อนย้ายมิติวูบร่างไปทันที หากทว่ามันกลับไม่ได้ไปผุดโผล่ที่ประตู แต่เป็นควางว่างเปล่าเบื้องหน้าใกล้ๆศีรษะของมังกรชั่วร้ายแทน!


 


“ฮู่มมม!!”


 


และมังกรชั่วร้ายดังกล่าวก็อ้าปากคำรามพ่นพลัง เข้าใส่อัจฉริยะที่ร่างพึ่งจะปรากฏกายทันที!


 


“แย่แล้ว!!”


 


อัจฉริยะคนดังกล่าวเห็นว่าผิดท่าก็คิดจะใช้เคลื่อนมิติเพื่อวูบร่างกลับไปทันที ทว่าสีหน้าของมันพลันแปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง เมื่อพบว่าห้วงมิติรอบกายของมันคล้ายถูกพลังบางอย่างผนึกเอาไว้ ไม่มีทางใช้เคลื่อนมิติได้เลย!!


 


ปงงง!!


 


ลำแสงทำลายล้างที่มังกรชั่วร้ายพ่นออกมา ก็ลบร่างอัจฉริยะคนดังกล่าวของนิกามรรคาฟ้าลึกล้ำไปในบัดดล คงเหลือเพียงแหวนพื้นที่ที่สภาพจะพังแหล่มิพังแหล่ร่วงตกฟ้าตามแรงโน้มถ่วง…


 


สำหรับชุดเกราะอมตะที่มันสวมใส่ป้องกันตัว ถูกพลังล้างผลาญจนไม่เหลือแม้แต่ซาก


 


“เฟิ่งชีชี!!”


 


เมื่อเห็นว่าศิษย์น้องของมันตกตายไปต่อหน้าต่อตา เอี้ยอู๋เต้า อัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายยมรรคาฟ้าลึกล้ำก็หันไปมองจ้องเฟิ่งชีชีตาขวาง เอ่ยถามออกไปเสียงหนัก “เจ้ารู้แต่แรกแล้วสินะ?”


 


“ความสามารถแต่กำเนิดของมังกรชั่วร้ายคือบิดเบือนห้วงมิติรอบกาย…หากเคลื่อนมิติไปอยู่ในรัศมีของมัน ไม่ว่าจะด้านข้างด้านหลังก็ไม่พ้นถูกมันควบคุมให้มาโผล่ด้านหน้า และมันอาศัยแค่ห้วงคิดก็ปิดผนึกห้วงมิติ ทำให้ไม่อาจใช้เคลื่อนมิติได้ตามใจ”


 


เฟิ่งชีชีกล่าวตอบออกมา และคำตอบของนางก็เป็นการบอกเอี้ยอู๋เต้าชัดเจน ว่านางล่วงรู้แต้แรกว่าผลลัพธ์มันจะจบลงอีหร็อบนี้


 


“เจ้า!!”


 


เอี้ยอู๋เต้าโมโหนัก “ในเมื่อเจ้ารู้แต่แรกไฉนไม่กล่าวเตือนศิษย์น้องข้า? ยังจะกล่าวทำนองท้าให้มันลองทำอะไร? เจ้าจงใจให้ศิษย์น้องข้าตายงั้นเหรอ?”


 


“ข้าก็แค่คิดให้มันทดลองดูเท่านั้น ว่ามังกรชั่วร้ายทั้งสอง ใช่บรรลุถึงด่านพลังจักรพรรดิอมตะแล้วจริงหรือไม่…เพราะมีเพียงมังกรชั่วร้ายที่บรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถควบคุมห้วงมิติรอบกายได้ดั่งใจ”


 


เฟิ่งชีชียักไหล่พลางกล่าว “จากการที่ศิษย์น้องเจ้าไปผุดโผล่เบื้องหน้ามันแทนที่จะเป็นหน้าประตูโดยตรง รวมถึงเรื่องที่มันไม่อาจหนีกลับมาได้ ก็เท่ากับยืนยันให้รู้ว่ามังกรชั่วร้ายสองตัวนั่นบรรลุถึงด่านพลังจักรพรรดิอมตะแล้วจริงๆ มิใช่แค่อาศัยลูกเล่นหลอกลวงบางอย่างสร้างแรงกดดันขอบเขตจักรพรรดิอมตะออกมา”


 


คำตอบของเฟิ่งชีชีอดทำให้ผู้คนหนาวใจไม่ได้


 


เพียงเพื่อทดสอบให้รู้ชัดว่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 บรรลุถึงด่านพลังจักรพรรดิอมตะแล้วจริงๆหรือไม่ นางถึงกับกล่าวเชิงยั่วยุท้าทายให้ศิษย์นิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำคนหนึ่งใช้ชีวิตเป็นเครื่องทดสอบ…


 


“เฟิ่งชีชี เรื่องวันนี้ข้าจะจำไว้!”


 


เอี้ยอู๋เต้ามองจ้องตาเฟิ่งชีชีเขม็ง แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไร เพราะมันรู้ตัวดีว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟิ่งชีชี และถึงแม้มันจะสู้ได้ แต่การลงมือเข่นฆ่านางต่อหน้าผู้คนมากมายก็ไม่ใช่เรื่องดี


 


“วันหน้าหากพวกเจ้าคิดจะออกจากเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ ก็เดินดีๆล่ะ!”


 


เอี้ยอู๋เต้าหวาดตาไปมองคนของเผ่าหงส์ฟ้าด้านหลังเฟิ่งชีชี พลางกล่าวด้วยยิ้มบางๆ อย่างไรก็ตามรอยยิ้มบางๆนี้ของมัน ทำให้หน้าตามันแลดูอัปลักษณ์ไม่ต่างอะไรจากร้องไห้เลย


 


ด้านอัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ เจอคำพูดนี้พร้อมด้วยรอยยิ้มอัปลักษณ์นั่นของเอี้ยอู๋เต้า ก็หน้าเสียไปทันที


 


“เอี้ยอู๋เต้า หากเจ้าอยากโดนขับไล่ออกจากนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำ จากนั้นก็โดนเผ่าหงส์ฟ้าโบราณข้าไล่ล่าโดยไร้คนคุ้มกะลาหัว เจ้าก็ลองดูได้”


 


เฟิ่งชีชีกล่าวสวนกลับไปด้วยรอยยิ้มไร้แยแส


 


ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเอี้ยอู๋เต้าก็เปลี่ยนเป็นมืดดำทันที


 


นั่นคือความมั่นใจของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ


 


แม้นิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำจะเป็นขุมพลังระดับ 1 เหมือนกัน แต่พลังอำนาจไม่อาจเทียบกับเผ่าหงส์ฟ้าโบราณได้เลย และหากเผ่าหงส์ฟ้าโบราณเลือกที่จะกดดันให้นิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำขับไล่เอี้ยอู๋เต้าออกจากนิกายจริงๆ พวกมันก็ไม่อาจไม่ขับไล่


 


“ดูเหมือนว่าพวกเราทำได้แค่รอให้ครบ 1 เดือนแล้วจริงๆ ถึงจะเข้าไปในแดนลับทวยเทพได้”


 


อัจฉริยะหลายคนมองประตูสู่แดนลับทวยเทพที่แง้มเปิดเล็กน้อย จากนั้นก็หันกลับมามองมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 พักหนึ่งจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจนปัญญา


 


คนอื่นๆไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนในตอนนี้จะมีพลังไม่ใช่ชั่ว แต่ให้เจอกับมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ก็ไม่ไหวจะสู้เหมือนกัน เขารู้ว่าดีว่าตัวเองยังห่างไกลจากการจะปะทะกับมังกรชั่วร้าย 2 ตัวนั่น


 


‘ดูเหมือนจะทำได้แค่รอเท่านั้น’


 


ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่หันมามองสบตากัน ก่อนจะแลเห็นความนัยดุจเดียวกันในสายตาอีกฝ่าย


 


“ซูหลี่ ไหนๆก็ว่างไม่มีอะไรทำแล้ว…เจ้าเล่าให้ข้าฟังเร็วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่หลังพวกเราแยกกันวันนั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนเหินร่างพาฮ่วนเอ๋อกับซูหลี่ออกไปยังที่ว่างห่างผู้คน ค่อยหันมามองถามซูหลี่ด้วยรอยยิ้ม


 


ในขณะที่ซูหลี่กำลังจะกล่าวตอบ ฮ่วนเอ๋อพลันหันมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียก่อน “พี่หลิงเทียน…ข้าพึ่งคุยกับมังกรชั่วร้ายทั้งคู่…พวกมันอนุญาตให้ข้าเข้าไปก่อนได้ แต่อย่างมากข้าก็พาคนเข้าไปกับข้าได้อีกแค่ 3 คนเท่านั้น”


 


“หืม?”


 


วาจากะทันหันนี้ของฮ่วนเอ๋อ ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่อึ้งไปแล้วจริงๆ


 


“ฮ่วนเอ๋อ ที่เจ้าพูด…จริงรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนถามไปตาปริบๆ รู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง


 


“อื้อ!”


 


ฮ่วนเอ๋อพยักหน้างุดๆ


 


“แล้วไฉนพวกมันยอมให้เจ้าไปก่อนได้เล่า แถมให้พาคนไปด้วยได้อีก?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกรอบ


 


“เมื่อครู่ข้าคุยกับพวกมันอยู่ และสุดท้ายก็ตกลงกันได้…ตราบใดที่พวกมันให้พวกเราเข้าไปก่อน ข้าก็จะช่วยพาพวกมันออกจากแดนลับอัจฉริยะ”


 


พอฮ่วนเอ๋อกล่าวถึงจุดนี้ แววตาของนางก็เผยความเวทนาสงสารออกมาจับใจ “พี่หลิงเทียน พวกมันทั้งคู่น่าสงสารยิ่ง ถูกจับมาขังตั้งนานแล้ว…แถมคนที่จับพวกมันมาขังก็จำกัดการเติบโตก้าวหน้าของพวกมันเอาไว้”


 


“ช่วยพวกมันออกไปงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจ “ฮ่วนเอ๋อ เจ้าทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?”


 


“ไม่มีปัญหาแน่นอนพี่หลิงเทียน”


 


ฮ่วนเอ๋อคลี่ยิ้มพลางกล่าว “ข้าใช้ทักษะลวงตาเพื่ออำพรางพวกมันก่อน จากนั้นก็ให้พวกมันทั้งคู่เข้าไปหลบในโลกใบเล็กข้า คราวนี้ข้าก็สามารถพาพวกมันออกไปด้วยได้แล้ว”


 


“แต่แม้ข้าจะตกลงกับพวกมันได้แล้ว พวกมันก็ยังยอมให้ข้าพาคนเข้าไปด้วยแค่ 3 คนเท่านั้น”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าว


 


“ให้พวกมันเข้าไปหลบในโลกใบเล็กเจ้าหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วกล่าวออกเสียงหนัก “ไม่! อันตรายเกินไป…หากพวกมันคิดจะเข้าไปแอบในโลกใบเล็กให้มาแอบในโลกใบเล็กของข้านี่!”


 


ถึงแม้โลกใบเล็กในร่างหากถูกทำลายจะไม่ถึงตาย แต่หากผู้ลงมือเป็นตัวตนที่ทรงพลังเหนือกว่ามาก เจ้าของก็จะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดปล่อยให้ฮ่วนเอ๋อเสี่ยง


 


“พี่หลิงเทียน เรื่องนี้ท่านไม่ต้องห่วง ทั้งคู่ไม่มีทางทำร้ายข้าแน่นอน…และทั้งคู่ไม่คิดจะเข้าสู่โลกใบเล็กของท่านแน่ เพราะพวกมันไม่เชื่อใจมนุษย์เลย”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าว


 


ต่อมาภายใต้การอธิบายของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็พอได้สงบสติอารมณ์ลง


 


“แล่วนี่เจ้าเป็นฝ่ายทักพวกมันไปก่อนหรือยังไง หรือพวกมันเป็นฝ่ายชวนเจ้าคุย?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


 


“พวกมันทักมาหาข้า…เพราะพวกมันจดจำกลิ่นอายของข้าได้และรู้ว่าข้าเป็นจิ้งจอกมายา ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังบอกว่าบรรพบุรุษของพวกมันสนิทสนมกับบรรพบุรุษจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อนานมาแล้ว อีกทั้งในมรดกความทรงจำของข้าก็มีเรื่องของบรรพบุรุษพวกมันบันทึกไว้จริงๆ”


 


ฮวนเอ๋อกล่าว


 


ได้ยินคำพูดของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็พอได้วางใจลงไม่น้อย เพราะความทรงจำที่ตกทอดมาของฮ่วนเอ๋อไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน


 


“เจ้าสามารถพาคนไปได้อีก 3 คนงั้นหรือ…นอกจากข้ากับซูหลี่แล้ว ยังได้อีกคนสินะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามฮ่วนเอ๋อ


 


“อื้อ”


 


ฮ่วนเอ๋อพยักหน้า “พี่หลิงเทียนท่านจะพาใครไปแล้วแต่ท่านเลย ฮ่วนเอ๋อไม่รู้จักพวกมันสักคน หากท่านไม่อยากพาใครไป ก็ไม่ต้องพาไปเลยก็ได้”


 


“ซูหลี่เจ้ามีคนที่อยากพาไปด้วยไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามซูหลี่


 


“ข้าเหรอ? บอกตรงๆในนิกายกระบี่หมื่นหายนะข้าเองก็รู้จักไม่กี่คน…และคนที่ข้าเคยคุยด้วยมากหน่อยก็มีแต่กงซุนจิ้งสายซวนหยวนเท่านั้น เพราะสายซวนหยวนกับสายเฉิงหยิ่งข้าค่อนข้างสนิทกัน ถ้าจะชวนใครก็คงเป็นมั่นนั่นล่ะ”


 


“ที่สำคัญเลยก็คือผู้นำของสายซวนหยวน เป็นปู่ของกงซุนจิ้ง…พลังฝีมือยังจัดว่าร้ายกาจมาก ข้าสงสัยว่านั่นจะเป็นอีก 1 จักรพรรดิอมตะที่ทรงพลังทัดเทียมจักรพรรดิอมตะสมญานามในนิกายกระบี่หมื่นหายนะ”


 


ซูหลี่กล่าว


 


“หากเจ้าพากงซุนจิ้งเข้าไป ย่อมเป็นการสร้างบุญคุณให้กับผู้นำสายซวนหยวน…อย่างไรเสียเจ้าก็คิดจะเข้านิกายกระบี่หมื่นหายนะอยู่แล้ว มีคนเช่นนี้ติดค้างย่อมเป็นเรื่องดีไม่น้อย”


 


ซูหลี่กล่าวแนะนำ “แน่นอนว่านี่เป็นข้อเสนอข้าเท่านั้น ส่วนเจ้าจะพาใครไปก็แล้วแต่เจ้าเลย ข้าได้หมด”


 


“ถ้างั้นก็ชวนเจ้านั่นไปด้วยกันนั่นล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว “เจ้าส่งเสียงไปชวนมันเลย”


 


“แต่อย่าได้บอกความจริงกับมันก็พอ…ข้าไม่อยากให้มันรู้ว่าทำไมพวกเราถึงเข้าไปได้ก่อน”


 


กล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมเอ่ยเตือนซูหลี่ปิดท้าย


 


“ได้ ไม่มีปัญหา”


 


หลังจากนั้นพอซูหลี่หันไปเอ่ยชวนกงซุนจิ้งและบอกถึงสถานการณ์ตอนนี้ ก็ทำให้ลูกตากงซุนจิ้งเปล่งแสงจ้าทันที ยังแลดูตื่นเต้นยินดีไม่น้อย “ซูหลี่ นี่เจ้าไม่ได้หลอกให้ข้าดีใจเก้อหรอกนะ? เจ้าคงไม่ใช่พวกเห็นนิ่งๆแต่ที่จริงชอบแกล้งผู้อื่นใช่ไหม?”


 


“เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า…แต่พวกเรากำลังจะเข้าไปแล้ว”


 


ซูหลี่กล่าวชวนกงซุนจิ้งจบ ก็เอ่ยตัดบทแค่นี้ จากนั้นก็เหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ มุ่งหน้าไปยังประตูสู่แดนลับทวยเทพที่มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ปกปักษ์เอาไว้ทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)