War sovereign Soaring The Heavens 3218-3225

ตอนที่ 3218

 

ในระนาบเทวโลกนั้น หากไม่นับวิหารเฟิ่งฮ่าวแล้ว ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือขุมกำลังส่วนตัวของจักรพรรดิสวรรค์


 


และขุมกำลังของจักรพรรดิสวรรค์นั้น ก็ถูกเรียกหาว่า ‘พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์’ ผู้ที่เป็นจ้าวเหนือหัวก็คือตัวจักรพรรดิสวรรค์เอง


 


ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิสวรรค์ หรือตัวตนที่กล่าวได้ว่าเป็นผู้ปกครองสูงสุดของระนาบเทวโลกนั้นๆ แน่นอนว่าย่อมต้องดูแลเหล่าผู้ที่อยู่ใต้อาณัติ หรือ กล่าวได้ว่าต้องดูแลเหล่าเซียนอมตะไม่เว้นสิ่งมีชีวิตใดๆที่เป็นคนของระนาบเทวโลกนั้นๆด้วย


 


แดนสมบัติขุนเขาโอสถ ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่จักรพรรดิสวรรค์สร้างไว้ให้คนในแดนสวรรค์ของตัวเอง


 


แดนสมบัติขุนเขาโอสถเองก็แบ่งออกได้เป็นสามหกเก้า กล่าวได้ว่ามีระดับสูงต่ำต่างๆ


 


ในแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 1 นั้น มีแม้แต่ผลไม้อมตะรวมถึงสมุนไพรที่จะช่วยให้ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะยกระดับพลังฝึกปรือของตัวเอง เพียงแค่มีน้อยและหายากมาก สำหรับจอมราชันอมตะก็จะมีมากขึ้นมาหน่อย และไม่ถือว่าหายากมาก


 


และในแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 1 นั้น จะผลไม้อมตะหรือสมุนไพรอมตะที่สามารถยกระดับพลังให้กับตัวตนด่านพลังราชาอมตะได้ ก็มีมากมายมหาศาลจนไม่ต่างอะไรจากวัชพืชที่ขึ้นตามภูเขาเลย เรียกว่ามองไปทางไหนก็เจอ!


 


แต่แน่นอนว่าแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 1 ก็เป็นอะไรที่ยากพบเจอเป็นที่สุด


 


จักรพรรดิสวรรค์นั้น จะสร้างแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 1 ขึ้นในแดนสวรรค์ที่ตัวเองปกครองทุกๆ 10,000 ปี


 


และรองลงมาจากแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 1 ก็คือ แดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 2


 


แดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 2 จะมีผลไม้อมตะและสมุนไพรอมตะที่สามารถช่วยเหลือตัวตนขอบเขตพลังจอมราชันอมตะให้ยกระดับพลังฝึกปรือไม่ก็ช่วยปรับด่านพลังบางส่วน เรียกว่าแม้จะหายากแต่ก็ไม่ใช่จะไม่มี


 


สมุนไพรอมตะและผลไม้อมตะ สำหรับตัวตนขอบเขตราชาอมตะในแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 2 ถือว่ามีมากพอสมควร เสมือนผลไม้ป่ากับสมุนไพรป่าตามภูเขาในชนบท


 


ส่วนผลไม้อมตะกับสมุนไพรอมตะสำหรับขุนนางอมตะในแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 2 เรียกว่าไม่ต่างอะไรจากวัชพืชบนภูเขา…


 


แดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 2 จะปรากฏขึ้นทุกๆ 1,000 ปี


 


รองลงมาก็จะเป็นแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3


 


แดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 นั้นจะปรากฏขึ้นทุกๆ 100 ปี แม้ด้านในจะมีผลไม้อมตะกับสมุนไพรอมตะที่ส่งเสริมการบ่มเพาะให้จอมราชันอมตะอยู่ด้วย แต่ปริมาณของมันเรียกว่ามีน้อยมากๆ หายากประหนึ่งเขามังกรขนหงส์


 


สำหรับผลไม้และสมุนไพรอมตะที่สามารถส่งเสริมพลังฝึกปรือให้กับตัวตนขอบเขตราชาอมตะได้ ก็มีอยู่บางส่วน แม้จะหายากแต่ก็ไม่ใช่ว่าตั้งใจหาแล้วจะไม่เจอเลย


 


สำหรับผลไม้อมตะและสมุนไพรอมตะที่สามารถช่วยเหลือตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะนั้น ในแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 เรียกว่ามีมากมาย ยิ่งผลไม้อมตะและสมุนไพรอมตะสำหรับตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะเรียกว่าไม่ต่างอะไรจากพืชหญ้าธรรมดา


 


แน่นอนว่าในแดนสมบัติขุนเขาโอสถ ไม่เพียงแต่จะมีผลไม้อมตะกับสมุนไพรอมตะที่ส่งเสริมเรื่องการบ่มเพาะพลังเท่านั้น ยังมีผลไม้อมตะรวมถึงสมุนไพรอมตะที่มีประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกมากมาย


 


‘แดนสมบัติขุนเขาโอสถที่จะปรากฏขึ้นแถวนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 1…เพราะแดนสมบัติขุนเขาโอสถจะปรากฏขึ้นก็แต่ในแดนอวี้หวงเท่านั้น’


 


ต้วนหลิงเทียนรู้เรื่องนี้ดี


 


‘สำหรับแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 2 ก็มีความเป็นไปได้ แต่ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดสมควรเป็นแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 มากกว่า’


 


ระหว่างเดินทาง ต้วนหลิงเทียนย่อมคิดวาดหวังในใจ


 


หากเป็นแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 2 แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด


 


หากเป็นเพียงแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 แม้จะแย่กว่าแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 2 แต่ก็ยังพอมีหวังให้เขาพบเจอผลไม้อมตะที่เขาต้องการ


 


สำหรับสมุนไพรอมตะนั้น แม้จะมีบางขนานสามารถช่วยกระดับพลังฝึกปรือได้ แต่ผลที่ได้มันจะด้อยกว่าผลไม้อมตะมาก


 


ปกติแล้วสมุนไพรอมตะหากจะใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็มักจะนำไปหลอมปรุงโอสถอมตะ


 


ทว่าตอนนี้ความสามารถในการหลอมโอสถอมตะของต้วนหลิงเทียน มันไม่อาจไล่ตามด่านพลังของเขาได้ทัน เพราะเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 3 ของเขา ยังมีพลังเทียบได้กับเพลิงอมตะระดับสูงเท่านั้น…


 


เขาจึงได้แต่หวังพึ่งผลไม้อมตะ


 


3 วันต่อมา ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ถูกไฉฉงอี้พามาพบเจอผู้อาวุโสคนหนึ่งของนิกายอมตะเสวี่ยหยา ที่ไฉฉงอี้ส่งให้มาคอยเกาะติดสถานการณ์


 


“ข้าน้อยขอคารวะผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2”


 


อาวุโสของนิกายอมตะเสวี่ยหยา มาในรูปลักษณ์ชายชราไม่อ้วนไม่ผอมหน้าตาแลดูเหมือนอาแปะชราทั่วไป เมื่อพบเจอต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ มันก็เร่งรุดประสานมือโค้งคารวะทักทายอย่างนอบน้อม กับต้วนหลิงเทียนนั้นมันมองด้วยความเคารพนับถืออย่างสูง


 


ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่ฮ่วนเอ๋อเลย ด้วยกลัวจะสร้างความไม่พอใจให้ฮ่วนเอ๋อ


 


“ผู้เฒ่า…ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนถาม


 


“เรียนท่านอาวุโสทรงเกียรติ เมื่อรุ่งสางแดนสมบัติขุนเขาโอสถได้ปรากฏสัญญาณบ่งบอกระดับออกมา…และมันเป็นสัญญาณของแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 ขอรับ”


 


อาวุโสของนิกายอมตะเสวี่ยหยากล่าว “ในเมื่อเป็นแดนสมบัติขุนเขาโอสถ เช่นนั้นหมายความว่าอาศัยแค่ขุมกำลังระดับ 5 ย่อมไม่อาจปิดกั้นผู้คนได้หมด…เพราะเมื่อถึงเวลาที่แดนสมบัติขุนเขาโอสถะระดับ 3 เปิดออก ผู้ที่อยู่ห่างจากแดนสมบัติขุนเขาโอสถในรัศมีหมื่นลี้สามารถเข้าไปด้านในได้เพียงแค่ห้วงคิดเดียว…”


 


“ไม่ว่าขุมกำลัระดับ 5 จักมีคนมากมายแค่ไหน ก็ไม่มีทางกระจายกำลังปกคลุมได้ทั่วอาณาบริเวณกินรัศมีหมื่นลี้ได้แน่นอน”


 


ทันทีที่ผู้อาวุโสของนิกาอมตะเสวี่ยหยากล่าวออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ได้ทราบทันที ว่าแดนสมบัติขุนเขาโอสถที่ปรากฏขึ้นและกำลังจะเปิดออกคราวนี้ เป็นเพียงแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 เท่านั้น


 


“อีกทั้งยามรุ่งสางก็เริ่มปรากฏรัศมีมงคลส่องสว่างขึ้นเบาบางแล้ว…เช่นนั้นไม่เกิน 3 วัน แดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 แห่งนี้ต้องเปิดออกแน่”


 


ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบข้อมูลเรื่อง รัศมีมงคล จากยันต์อมตะเก็บความทรงจำแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าหลังจากที่รัศมีมงคลเริ่มปรากฏ อีกไม่เกิน 3 วันแดนสมบัติขุนเขาโอสถนั้นๆ ก็จะเปิดออก


 


และรัศมีมงคลไม่ได้มีแค่แดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 เท่านั้น จะระดับ 2 หรือระดับ 1 ก็มีเช่นกัน


 


“ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติ ข้าน้อยได้จัดสร้างที่พักชั่วคราวให้ท่านสำหรับพักอาศัยสำหรับ 3 วันหลังจากนี้ไว้แล้ว เชิญท่านติดตามข้าน้อยมาด้านนี้”


 


ภายใต้การจัดแจงของผู้อาวุโสนิกายอมตะเสวี่ยหยา ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ได้เข้าพักในสถานที่พักชั่วคราว อันตั้งอยู่ห่างจากจุดที่ปรากฏสัญญาณส่อแววการเปิดออกของแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 ครั้งนี้ไม่กี่พันลี้


 


เมื่อถึงเวลาที่แดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 เปิดออก พวกเขาไม่จำเป็นเดินทางไปไหนเลย ไม่ต้องออกจากที่พักแห่งนี้ด้วยซ้ำ ขอเพียงแค่แผ่สำนึกเทวะออกไปสัมผัสกับรัศมีมงคลที่จะส่องสว่างออกมาพร้อมการเปิดออกของแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 ก็จะสามารถเข้าไปในนั้นได้ภายในห้วงคิดเดียว


 


รัศมีมงคลที่จะกำจายออกมาในขณะที่แดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 เปิดออกนั้น จะสาดส่องกินอาณารัศมีหมื่นลี้จากจุดศูนย์กลาง ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในรัศมีมงคล ขอเพียงแผ่สำนึกเทวะออกมาสัมผัสรัศมีมงคล จากนั้นอาศัยแค่หนึ่งห้วงคิดก็จะเข้าไปได้ทันที


 


หากเป็นแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 2 รัศมีมงคลที่จะกำจายออกมานั้น มันกินอาณารัศมีแค่ 100 ลี้เท่านั้น เรียกว่าพื้นที่กินวงรัศมีแค่ร้อยหมี่ ไม่ได้ใหญ่โตเกินกำลังของขุมกำลังระดับสูงหน่อยจะผูกขาด!


 


สำหรับรัศมีมงคลของแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 1 นั้น มันจะสาดส่องออกมาแค่ 1 ลี้เท่านั้น! เรียกว่าเล็กกระจิ๋วหลิวทุดที่ผู้ใดจะสังเกตเห็น!!


 


“พี่หลิงเทียน…อย่างไรก็เหลือเวลาอีกตั้ง 30 ปี ท่านต้องทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้ทันแน่นอน!”


 


หลังจากเข้าสู่ห้องหับในเรือนพักที่ผู้อาวุโสของงนิกายอมตะเสวี่ยหยาบรรจงงสร้างเอาไว้ให้แล้ว ฮ่วนเอ๋อก็กล่าวกับต้วนหลิงเทียนที่กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง เหม่อมองไปยังทิศทางที่ปรากฏสัญญาณการเปิดออกของแดนสมบัติขุนเขาโอสถ


 


“ฮ่วนเอ๋อ ข้ารู้สถานการณ์ตัวเองดี…ตั้งแต่วันที่ข้าทะลวงถึงราชาอมตะ 10 ทิศเมื่อ 20 ปีก่อน ตลอดระยะเวลา 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะพยายามเต็มที่แล้วแต่ด่านพลังของข้ากลับก้าวหน้าช้ามาก เว้นเสียแต่จะพบพานโชควาสนาครั้งใหญ่ หาไม่แล้วคงเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ”


 


ต้วนหลิงเทียนที่กลับมารู้สึกตัว ส่ายหัวไปมาเนือยๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มฝืนๆ


 


“ในแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 ต้องมีโชควาสนาครั้งใหญ่รอพี่หลิงเทียนอยู่แน่นอน!”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวด้วยท่าทางขึงขัง


 


“หวังได้…แต่ไม่อาจยึดมั่น สุดแล้วแต่โชคชะตาจะนำพาเถอะ…”


 


หลังจากผ่านมา 30 ปี ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าความหวังที่จะได้เข้าสู่แดนลับอัจฉริยะช่างเลือนลางเสียเหลือเกิน ทำให้ตอนนี้เขาปลงแล้ว ได้แต่ปล่อยไปตามยถากรรม…


 


ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่ 30 ปีเท่านั้น แดนลับอัจฉริยะก็จะเปิดออกแล้ว


 


3 วันผ่านพ้นไปในพริบตา


 


ตลอด 3 วันที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนก็ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะสั่งสมพลัง สำหรับฮ่วนเอ๋อนั้นใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำความเข้าใจกฏมิติด้วยผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด


 


“พี่หลิงเทียน…นั่นใช่รัศมีมงคลที่กำจายออกมาจากแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่ลุกมาเฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่างตั้งแต่เช้ามืด อยู่ๆก็พบเห็นรัศมีสีทองส่องสว่างกำจายออกมาในฉับพลัน และหลังจากที่มันสาดส่องออกมาแล้ว มันก็แลดูจางลงราวกับพร้อมจะดับลงได้ทุกเมื่อ


 


“ฮ่วนเอ๋อเร่งแผ่สำนึกเทวะออกไปสัมผัสรัศมีสีทองนั่น และคิดว่าจะเข้าไปด้านในเร็วเข้า”


 


หลังจากกล่าวเตือนฮ่วนเอ๋อแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็แผ่สำนึกเทวะออกไปสัมผัสรัศมีมงคลที่เป็นแสงสีทองกำจายออกมาย้อมอาณาบริเวณหมื่นลี้ทันที


 


หลังสัมผัสรัศมีมงคลแล้ว เพียงหนึ่งห้วงคิด ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเบื้องหน้ากลับกลายเป็นมืดมิดไปในทันใด ต่อมาเมื่อดวงตาเขาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองมาปรากฏตัวในโลกอันเต็มไปด้วยความเขียวขจี ทั้งมีบรรยากาศแสนสดชื่นแล้ว…


 


“สมุนไพรอมตะว่านมรกต มีมากมายขนาดนี้เชียว…”


 


ต้วนหลิงเทียนกวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่าพืชเขียวขจีที่ขึ้นอยู่รอบๆเขาตอนนี้ ไม่เพียงแค่เป็นต้นหญ้าพืชพรรณธรรมดาเท่านั้น แต่มันมีสมุนไพรอมตะสีเขียวจ๋าที่เรียกว่า ว่านมรกต ขึ้นแซมเต็มไปหมด และเขาก็พบว่ารอบๆกายเขาไม่มีใครอยู่ใกล้ๆอีกด้วย


 


ฮ่วนเอ๋อไม่ได้อยู่กับเขาแล้วเช่นกัน


 


แต่สำหรับเรื่องนี้เขาไม่ได้แปลกใจอะไร


 


ต่อให้ตอนที่เข้ามาเขากับฮ่วนเอ๋อจะกุมมือกัน แต่สุดท้ายเมื่อเข้ามาภายในแดนสมบัติขุนเขาโอสถแห่งนี้ ก็ต้องถูกสุ่มให้ปรากฏอยู่ดี


 


อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็นับว่ามีข้อดีอยู่บ้าง เขากับฮ่วนเอ๋อจะได้แยกกันเก็บผลไม้อมตะและสมุนไพรอมตะได้มากขึ้น


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้กล่าวบอกฮ่วนเอ๋อไว้แต่แรกแล้วด้วย


 


สำหรับความปลอดภัยของฮ่วนเอ๋อนั้น ต้วนหลิงเทียนไม่ห่วงเลย


 


ในละแวกนี้ขุมกำลังที่แข็งงแกร่งที่สุดก็ยังเป็นแค่ขุมกำลังระดับ 5 เท่านั้น และโดยปกติแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ในขุมกำลังระดับ 5 จะปรากฏตัวตนจอมราชันอมตะสมญานาม!


 


ในเวลานี้ขอเพียงไม่ใช่จอมราชันอมตะสมญานาม ก็ไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามอะไรกับฮ่วนเอ๋อ!


 


ฮ่วนเอ๋อไม่ใช่แค่ทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้วเท่านั้น แต่ความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติที่นางเข้าใจ ก็ได้บรรลุความสำเร็จอย่างสูง


 


ไม่ต้องกล่าวถึงจอมราชันอมตะ 10 ทิศทั่วไปเลย ต่อให้เป็นจอมราชันอมตะสมญานาม แต่ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเทียบกับฮ่วนเอ๋อได้ในแง่การตระหนักรู้กฏ


 


“นั่นมัน…ผลอมตะหลิวหยวน!!”


 


หลังเก็บว่านมรกตในละแววนี้จนหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่เดินทางต่อมาได้สักพัก ก็สังเกตเห็นการปะทะกันเบื้องหน้าไกลๆ และดูท่าพวกมันกำลังจะช่วงชิงอะไรกันอยู่


 


จากนั้นหลังกวาดตามองไปรอบๆปราดหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นต้นไม้ต้นเล็กๆอยู่ไม่ไกลจากจุดปะทะ และมีผลไม้อมตะ 3 ผลห้อยโตงเตงอยู่…


 


มองปราดเดียวเขาก็บอกได้ทันทีว่านั่นคือผลอมตะหลิวหยวน! มันเป็นผลไม้อมตะที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะพลังของตัวตนขอบเขตราชาอมตะได้ และเป็นผลไม้อมตะประเภทที่เขากำลังต้องการเป็นอย่างยิ่งในตอนนี้!!


 


“นั่นผลอมตะหลิวหยวน!”


 


“โอ้ว! ผลอมตะหลิวหยวนจริงๆด้วย!”


 



 


ในขณะเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนพบเห็นผลอมตะหลิวหยวน คนอื่นที่เร่งรุดเดินทางมาหลังได้ยินเสียงการปะทะ ก็พบเห็นผลอมตะหลิวหยวนเช่นกัน และไม่ว่าใครก็ทำตาลุกวาวทั้งนั้น


 


วูบ!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนที่ใช้การเคลื่อนย้ายข้ามมิติ ก็อันตรธานหายไปจากจุดเดิมในฉับพลัน ปรากฏตัวอีกครั้งก็ข้างๆต้นไม้เล็กๆนั่นแล้ว


 


และเพียงยื่นมือออกมา เขาก็เด็ดผลอมตะหลิวหยวนทั้ง 3 ออกจากต้นทันที


 


“นั่นมันความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ!”


 


“ไอ้หน้าขาวชุดม่วงนั่นมันเข้าใจกฏมิติ!!”


 



 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนวูบร่างไปเก็บผลอมตะหลิวหยวนทั้ง 3 หน้าตาเฉย ผู้คนทั้งหลายที่พึ่งจะพบเห็น และไม่มีแม้แต่เวลาจะเคลื่อนไหวลงมือ ก็ได้แต่มองต้วนหลิงเทียนคว้าของไปตาปริบๆ นอกจากละโมบแล้วในแววตาของพวกมันยังเต็มไปด้วยความอิจฉาและความไม่พอใจ


 


“สหายชุดม่วง พี่ท่านมาคนเดียวแต่คิดจะฮุบผลอมตะหลิวหยวนทั้ง 3 ไปคนเดียวดื้อๆเลยหรือ…นี่พี่ท่านจะไม่จิตใจคับแคบไปหน่อยหรือไร?”


 


ชายหัวโล้นร่างใหญ่ปานหมีควายผู้หนึ่ง ก้าวออกมามองจ้องต้วนหลิงเทียนพลางถามเสียงดัง


 


“แล้วไง? เจ้าข้องใจหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองสบตาชายหัวโล้นพลางถาม


 


“เหอะๆ ข้าเกรงว่าคงไม่ได้มีแต่ข้ากระมังที่ข้องใจ…พี่ท่านไม่ลองถามผู้อื่นแถวนี้ดูหน่อยหรือ ว่ามีผู้ใดไม่ข้องใจบ้าง?”


 


ชายหัวโลนกล่าวออกเสียงเหี้ยม


 


“ถ้างั้นเอาแบบนี้เป็นไร…เจ้าลองรับมือข้าสักกระบวนท่าดีหรือไม่? ขอเพียงเจ้ารับหนึ่งกระบวนท่าของข้าได้ ข้าจะยกผลอมตะหลิวหยวนทั้ง 3 ให้เจ้าไปเลย”


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตามองชายหัวโล้นพลางถาม


 


“เจ้าพูดจริงรึ?!”


 


สองตาชายหัวโล้นลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันใด


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติเมื่อครู่ จะมากจะน้อยเขาก็ต้องใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิด ทำให้หลายคนที่อยู่โดยรอบสามารถสัมผัสกลิ่นอายพลังของเขาได้ และสามารถบ่งบอกได้ทันทีว่าด่านพลังฝึกปรือของเขาก็คือราชาอมตะ 10 ทิศ


 


และชายหัวโล้นผู้นี้ก็เป็น 1 ในหลายคนที่มองด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนออก


 


ที่สำคัญที่สุดก็คือชายหัวโล้นผู้นี้ ก็เป็นราชาอมตะ 10 ทิศเช่นกัน


 


วูบ!


 


และแทบจะทันทีที่ชายหัวโล้นกล่าวจบคำ ไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว ร่างต้วนหลิงเทียนก็ใช้เคลื่อนมิติก็มาผุดโผล่เบื้องหน้ามันอย่างอัศจรรย์ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันผสานธาตุมิติปะทุออกมาดั่งน้ำเชี่ยว เพียงยกมือก็ปรากฏรอยแยกมิติ 3 รอยเบื้องหน้าชายหัวโล้น!!


 


ซูววว!!


 


คมมีดมิติสีเทาทั้ง 3 พุ่งผ่านทุกสิ่งที่ชายหัวโล้นเร่งร้อนใช้ จบชีวิตของมันในพริบตา! ง่ายดายเพียงเท่านี้!!


 


ผู้ชมโดยพร้อมใจกันเงียบลงโดยไม่ได้นัดหมาย


 


“พลังฝีมือเจ้านับว่าร้ายกาจไม่เบาในบรรดาราชาอมตะ 10 ทิศ…แต่ตอนนี้ เจ้าส่งผลอมตะหิวหยวนทั้ง 3 นั่นมาให้ข้าเสียแต่โดยดีเถอะ!”


 


ทันใดนั้นเองปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบ พร้อมกันกับที่มีร่างหนึ่งก้าวอาดๆออกมาจากฝูงชน มันมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ


 


“นั่นอาวุโสซุนหยูของนิกายอมตะเหิงซาเฉวียน นิกายอมตะระดับ 5! หนึ่งในขาใหญ่ละแวกนี้!!”


 


“อาวุโสซุนหยูผู้นี้…จัดเป็นผู้เข้มแข็งขอบเขตจอมราชันอมตะคนหนึ่ง!!”



 


หลายคนจดจำผู้ที่ออกคำสั่งให้ต้วนหลิงเทียนส่งมอบผลอมตะหลิวหยวนได้


WSSTH ตอนที่ 3,219 : แย่งเนื้อจากปากเสือ


 


 


คนที่ก้าวออกมากล่าวสั่งให้ต้วนหลิงเทียนส่งมอบผลอมตะหลิวหยวนนั้น เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินผู้หนึ่ง ใบหน้ามันเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา ไฝสีดำทะมึนกลางหัวเหม่งของมันเป็นอะไรที่เตะตานัก


 


“จอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด?”


 


ตั้งแต่ตอนที่ชายวัยกลางคนเหินร่างมาถึง ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดจากกลิ่นอายพลังเซียนอมตะบางเบาที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


“หากอยากได้ผลไม้อมตะในมือข้า นั่นก็ต้องดูด้วยว่าเจ้ามีปัญญาสามารถพอไหม”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ กล่าวคำด้วยน้ำเสียงเฉยเมย แต่ต้นจนจบทำราวกับไม่เห็นจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดอยู่ในสายตา


 


และนั่นก็ทำให้ผู้ที่อยู่รอบๆผงะไปเป็นแถบ พากันมองต้วนหลิงเทียนตาปริบๆอย่างเหลือเชื่อ


 


“มารดามันช่างห้าวยิ่ง…แค่ราชาอมตะ 10 ทิศคนหนึ่ง กลับกล้าพูดกับผู้เฒ่าซุนหยูแบบนี้เลยหรือ?”


 


“ไอ้หน้าขาวนั่นไม่รู้หรือไรว่าผู้เฒ่าซุนหยูไม่เพียงแต่จะเป็นอาวุโสของนิกายอมตะเหิงซาเฉวียนเท่านั้น แต่ยังเป็นจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดมือดีแถบนี้อีกด้วย…มันเสียสติไปแล้วเรอะ?”


 


“เฮอะๆ เจ้านั่นไม่พ้นดับอนาถแน่”


 



 


เหล่าผู้ที่มุงชมเรื่องราวต่างมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเวทนา เพราะปากของต้วนหลิงเทียนไม่ต่างอะไรกับหาเรื่องตายเลย


 


“ไอ้หนู ในเมื่อเจ้าแส่หาที่ตายนัก เช่นนั้นข้าจักสงเคราะห์ให้เจ้าเอง!”


 


ขณะที่สองตาของซุนหยูเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา ร่างมันก็ไหววูบก่อนจะห้อเหยียดข้ามฟ้าไปด้วยความเร็วสูง มันไม่แม้แต่จะชักอุปกรณ์อมตะใดๆ เพียงตบฟาดฝ่ามือเปล่าเปลือยออกไป เพราะในสายตาของมัน อาศัยราชาอมตะ 10 ทิศคนหนึ่ง ยังไม่ถึงขั้นให้มันชักอาวุธ!


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


กฏที่ซุนหยูเข้าถึงก็คือกฏแห่งลม ยามพุ่งจี้เข้าใส่ต้วนหลิงเทียน คนก็กลับกลายคล้ายสายลมกรรโชกหอบหนึ่ง!


 


อย่างไรก็ตามเมื่อร่างมันอยู่ห่างต้วนหลิงเทียนไม่กี่ก้าว คลื่นพลังจากฝ่ามือที่เข่นฆ่านำมาก็ได้แต่ถล่มลมดังขวับ เนื่องเพราะร่างต้วนหลิงเทียนได้อันตรธานหายวับไปแล้ว!


 


“เคลื่อนมิติรึ?”


 


ซุนหยูกล่าวเย้ยคำหนึ่ง “ต่อให้เจ้าเข้าใจกฏมิติแล้วจะอย่างไร!? อาศัยความเร็วของข้า คิดไล่ล่าเจ้ายังง่ายดายนัก!”


 


“อ้อ จริงรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติวูบร่างไปอยู่ด้านหลังซุนหยู 100 หมี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน “งั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าเล่นไล่จับกับข้าดูสักคราเป็นไง ดูว่าเจ้าจะไล่ข้าทันได้ง่ายๆจริงรึเปล่า?”


 


หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ปล่อยให้ชายวัยกลางคนไล่ล่าป้อนกระบวนท่าสังหารเข้ามา โดยเขาเอาแต่เคลื่อนย้ายข้ามมิติวูบไปวูบมาถ่ายเดียว


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าชายวัยกลางคนแซ่ซุนจะรีดเค้นเร่งเร้าพลังห้อตะบึงบึ่งตามแค่ไหน  กลับไม่มีวี่แววว่าจะไล่ต้วนหลิงเทียนได้ทันเลย สิ่งนี้ทำให้สีหน้ามันยิ่งมายิ่งอัปลักษณ์หนักข้อ


 


“ไหงเจ้าช้าเป็นเต่าขาเจ็บเลยเล่า…เสียทีที่เป็นจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่ใช้กฏแห่งลมโดยแท้…”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองซุนหยูที่หมดปัญญาจะไล่เขา พลางกล่าว “เช่นนั้นก็พอเถอะ ข้าคร้านจะเล่นกับเจ้าแล้ว”


 


พอกล่าวจบคำ ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของทุกคน ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบไปผุดโผล่ด้านหลังซุนหยูในฉับพลัน!


 


ในขณะที่ซุนหยูจับสัมผัสได้ถึงการปรากฏของต้วนหลิงเทียน พลังเซียนอมตะผสานธาตุลมทั่วร่างของมันก็ปะทุขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด รวมรั้งพลังชั่วชีวิตตบฟาดกลับหลังไปทันที ทว่าด้านต้วนหลิงเทียนก็ได้สะบัดมือออกมาส่งๆคราหนึ่ง ปรากฏคมพลังสีทองเข่นฆ่าสังหารออกไป


 


คมพลังสีทองดังกล่าวก็คือคมมีดมิติ 3 สายที่พุ่งออกจากรอยแยก โดยมีพลังงานสีทองดั่งเปลวไฟฉาบเคลือบ


 


ซัว! ซัว! ซัว!


 


คมมีดมิติทั้ง 3 พุ่งผ่ากระบวนท่าฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังชั่วชีวิตของซุนหยูไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะผ่าร่างจบชีวิตซุนหยูลงในพริบตา


 


จอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด ตกตายเพียงเท่านี้


 


“เหอะๆ เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมถึงขั้นตอนเล็กน้อยแค่ 3 ประการ…แต่ยังกล้าเสนอหน้าหาเรื่องผู้อื่น?”


 


หลังฆ่าซุนหยูตาย ต้วนหลิงเทียนที่ริบสินสงครามมาแล้ว ก็กล่าวทิ้งท้ายออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นคนก็วูบร่างจากไปทันที


 


จนเมื่อต้วนหลิงเทียนหายไปต่อหน้าต่อตาได้สักพัก หลายๆคนค่อยดึงสติกลับมาได้ “อะ…อาวุโสซุนหยูถูกฆ่าง่ายๆเช่นนี้เลยหรือ?”


 


“มารดามันเถอะ! เจ้านั่นมันแค่ราชาอมตะ 10 ทิศไม่ใช่หรือไร! ไฉนถึงสังหารอาวุโสซุนหยู ที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้ง่ายนักเล่า!?”


 


“เมื่อครู่ ห้วงเวลาสุดท้ายก่อนอาวุโสซุนหยูจะตาย ชุดเกราะอมตะยังไม่ทันได้สำแดงพลังป้องกันอันใดด้วยซ้ำ…เจ้าหนุ่มนั่นมันจะไม่ลงมือรวดเร็วเกินไปหน่อยหรือ?”


 


“ความเข้าใจในกฏมิติของมันน่ากลัวมาก…เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้รางๆ ว่าอย่างน้อยๆความลึกซึ้งของกฏมิติที่มันใช้ ก็ต้องบรรลุขั้นตอนเล็กน้อยไปแล้ว 4 ประการ ที่สำคัญพวกเจ้าเห็นพลังที่เสมือนเปลวไฟสีทองที่ปกคลุมคมมีดมิติของมันหรือไม่? ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันน่ากลัวยิ่งนัก ไม่ทราบเป็นทักษะผีสางอันใดกันแน่…”


 


“เมื่อครู่ต่อให้อาวุโสซุนหยูจะชักอาวุธออกมาก็ไม่มีทางรอดตายไปได้ เพราะเจ้านั่นมันก็ไม่ได้ใช้อาวุธอะไรเหมือนกัน…อาวุโสซุนหยูสู้มันไม่ได้เลย”


 


“ไม่ทราบมันเป็นผู้ใดและมาจากไหนกันแน่ ราชาอมตะ 10 ทิศเช่นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะไร้ชื่อเสียงเรียงนาม…ข้าอยู่ละแวกนี้มาชั่วชีวิต ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามียอดฝีมือเช่นมันอยู่ด้วย”


 



 


หลังจากทุกคนหายจากอาการตกใจก็มีพูดคุยเรื่องต้วนหลิงเทียนกันสักพัก จากนั้นก็เริ่มแยกย้ายออกไปหาผลไม้และสมุนไพรอมตะกันต่อ


 


ถึงแม้ตอนนี้สมุนไพรอมตะจะแทบไม่มีประโยชน์อะไรกับต้วนหลิงเทียน แต่เขาก็เก็บมาหากเป็นสมุนไพรอมตะระดับสูงๆ


 


เพราะสุดท้ายแล้วสมุนไพรอมตะเหล่านี้ก็มีค่ามากในโลกภายนอก เพราะมีแต่คนต้องการ แต่ไม่มีคนขาย


 


แถมใครจะไปรู้ว่าวันหน้าเขาจะมีโชควาสนา จนสามารถยกระดับเพลิงเทพโกลาหลให้พุ่งพรวดขึ้นไปขั้นสูงได้ในคราวเดียวรึเปล่า ถึงตอนนั้นเขาก็สามารถหลอมปรุงโอสถอมตะได้อีกครั้ง!


 


“เฮ่พวก ข้าได้ยินมาว่าทางนั้นมีผลอมตะหงเหอปรากฏขึ้น!”


 


“จริงรึ? ไปดูกันเร็ว!!”


 


“แต่พวกเราต้องระวังหน่อย คนที่บอกเรื่องนี้กับข้าเมื่อครู่ บอกว่ามีชนชั้นอาวุโสของนิกายจ๋างหั่วฉานกับอาวุโสของนิกายเหิงซาเฉวียนตีกันอยู่…ดูเหมือนกำลังตัดสินกันว่าผู้ใดจะได้ผลอมตะหงเหอ”


 


“อะไร อาวุโสของนิกายจ๋างหั่วฉานกับนิกายเหิงซาเฉวียนงั้นรึ…งั้นพวกเราก็หมดสิทธิ์แล้วล่ะ แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วไปดูชมพวกมันตีกันสักคราเถอะ”


 



 


ต้วนหลิงเทียนที่กำลังก้มลงเก็บสมุนไพรชิ้นหนึ่งหลังต้นไม้ เมื่อเห็นกลุ่มคนนับสิบกำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน ทั้งได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ก็บังเกิดความสนใจขึ้นมาทันที


 


“ผลอมตะหงเหอรึ?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างไสว เพราะเขารู้ว่าผลอมตะหงเหอคืออะไร นั่นเป็นผลไม้อมตะที่สามารถช่วยเพิ่มระดับพลังฝึกปรือของตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะได้ และจัดเป็นผลไม้อมตะระดับต้นๆในบรรดาผลไม้อมตะสำหรับตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะอีกด้วย!


 


‘ด้วยด่านพลังฝึกปรือของฮ่วนเอ๋อตอนนี้ ขอเพียงได้ผลหงเหอ นางย่อมทะลวงไปถึงจอมราชันอมตะ 2 ยศได้ในเวลาสั้นๆแน่นอน’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


วูบ!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนวูบหายไปทันที ติดตามกลุ่มคนดังกล่าวไปอย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ


 


ไม่นานเขาก็ติดตามคนกลุ่มนี้มาถึงพื้นที่หุบเขาสวยงามแห่งหนึ่ง มองไปก็เห็นร่างชายชรา 2 คนเผชิญหน้ากัน โดยมีผู้คน 50-60 คนมุงชมอยู่ห่างๆ


 


ชายชราทั้ง 2 ที่เผชิญหน้ากันก็กำลังประมือกันอย่างไม่มีใครยอมใคร


 


และห่างออกไปไม่ไกลจากจุดปะทุของพวกมัน ก็มีผลไม้อมตะสีแดงเติบโตบนเถาไม้เลื้อยบริเวณผนังผา ผลไม้อมตะสีแดงดังกล่าวมีหมอกสีแดงม้วนวน แลดูไปนานๆประหนึ่งสายน้ำสีแดงไหลเชี่ยวก็ไม่ปาน


 


นับว่าสมชื่อ หงเหอ


(แม่น้ำแดง)


 


“เฒ่าหวังไฉนเจ้านิสัยเสียนักเล่า ผลหงเหอนี่เป็นข้าพบเห็นก่อนเจ้า…หากเจ้ายังหน้าด้านคิดสู้ช่วงชิงกับข้าไม่เลิก ยังไม่เป็นการเสียเวลาไปหาผลไม้อมตะผลอื่นๆหรือไร?”


 


ชายชราในชุดสีเขียวคนหนึ่งมองถามชายชราอีกคนในชุดสีครามเสียงหนัก


 


“เหอะๆ ในเมื่อเจ้ากลัวเสียเวลา เช่นนั้นมิสู้มอบมันให้ข้าแต่โดยดีเล่า?”


 


ชายชราในชุดสีครามยิ้มร่า


 


“บัดซบ! แพะเฒ่าแซ่หวังหน้าไม่อายเจ้า คิดจะสู้กับข้าให้ได้งั้นหรือ!?”


 


ชายชราชุดเขียวตะคอกถามเสียงเย็น


 


“แล้วทำไม…ข้าแค่อยากรู้ว่าไอ้แก่เจ้าตอนนี้ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว เอาเช่นนี้เป็นไร? หากเจ้าเอาชนะข้าได้สักครึ่งท่า ข้าจะมอบผลหงเหอให้เจ้าแต่โดยดี!”


 


ชายชราในชุดสีครามกล่าวด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน


 


“ข้าจะทุบหน้ายิ้มโง่ๆนั่นเจ้า!”


 


ชายชราชุดเขียวที่โดนกวนใจไม่เลิก ในที่สุดก็ไม่ไหวจะทน ปะทุพลังชั่วชีวิต รวมรั้งจู่โจมซัดออกไปฉับไวปานสายฟ้า พลังมหาศาลขุมหนึ่งเข่นฆ่าไปทางชายชราชุดครามอย่างเกรี้ยวกราด!!


 


ชายชราชุดครามหัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะเร่งเร้าพลังตบฟาดฝ่ามือสวนเข้าใส่อย่างไม่ครั่นคร้าม


 


เฒ่าชราทั้ง 2 คนนี้ หนึ่งใช้กฏแห่งน้ำ อีกหนึ่งใช้กฏแห่งไฟ ยามพวกมันปะทะหักหาญกัน ช่างให้อารมณ์น้ำกับไฟที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วจริงๆ


 


ทุกคนที่มามุงชมโดยรอบก็สนใจการประมืออันดุเดือดของเฒ่าชราทั้ง 2 นัก


 


“ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว ระหว่างอาวุโสหวังของนิกายจ๋างหั่วฉานกับอาวุโสฉินของนิกายเหิงซาเฉวียน…ผู้ใดจะชนะกันแน่”


 


“พูดยาก ทั้งคู่เขม่นกันมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ตีกันมาตั้งแต่รุ่นๆ…แต่สุดท้ายเสมือนฟ้าลิขิตมาให้ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ได้แต่เสมอกันทุกรอบ”


 


“อ้อ ที่แท้เป็นอริเก่าหรอกรึ? ไม่น่าแปลกเลยที่ไฉนพอเจอหน้ากันก็ตีกันทันที”


 



 


ทุกคนที่ชมดูได้การประมือของสองชรา สนทนากันอย่างออกรส แต่ไม่มีใครคิดลอบไปเก็บผลอมตะหงเหอเลย ด้วยไม่มีใครอยากรนหาที่ตาย


 


เพราะในสายตาของทุกคน การไปช่วงชิงผลไม้อมตะจากยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะทั้ง 2 แบบนี้ ไม่ต่างอะไรจากคิดแย่งเนื้อจากปากเสือ!


 


วูบ!


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนพอเห็นชายชรา 2 คนลงมือเต็มกำลัง เขาก็ไม่คิดอะไรให้มากความ ร่างอันตรธานวูบไปปรากฏกลางหาวใกล้ๆผนังผาที่มีผลอมตะหงเหออยู่ทันที


 


มือพุ่งไปคว้าเด็ดอย่างเรียบง่าย พริบตาก็เก็บผลอมตะหงเหอมาแล้ว


 


และเมื่อเขาเก็บผลอมตะหงเหอไปแบบนี้ ไม่เพียงแต่จะดึงดูดความสนใจของเหล่าคนกว่าครึ่งร้อยที่ชมดูสองผู้ชราตีกันเท่านั้น กระทั่งเฒ่าชราที่สู้กันอย่างดุเดือด ก็พร้อมใจกันหยุดมือและหันมามองเขาเป็นสายตาเดียวกัน


 


“ไอ้หนู เจ้าเบื่อชีวิตมากหรือ?!”


 


“สารเลวน้อยเจ้าช่างกล้านัก! แย่งชิงของผู้ใดไม่แย่ง หาญกล้ามาแย่งของผู้แซ่ฉินรึ รนหาที่ตาย!!”


 


เฒ่าชราทั้งสองตะคอกคำดุร้าย ก่อนจะลงมืออย่างพร้อมเพรียง มวลพลังหนึ่งน้ำหนึ่งไฟ ดั่งมังกรน้ำกับมังกรไฟ เข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด!


 


และเหตุไฉนที่พวกมันกล้าลงมือเข่นฆ่าเข้ามาแบบนี้ เพราะมันเห็นต้วนหลิงเทียนเก็บผลอมตะหงเหอลงแหวนพื้นที่ไปแล้ว


 


มิฉะนั้นพวกมันย่อมไม่กล้าลงมือเข่นฆ่าเข้ามาตามอำเภอใจแน่นอน เพราะด้วยกลัวจะพลั้งมือทำลายผลอมตะหงเหอไป


 


ปงงง!!


 


เปรี๊ยงงง!!


 



 


อย่างไรก็ตาม เมื่อมังกรน้ำกับมังกรอัคคีถล่มเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน ร่างต้วนหลิงเทียนกลับอันตรธานหายไปในอากาศ และมวลพลังสองขุมที่จู่โจมวืดก็ได้แต่ถล่มทำลายผนังผาจนพินาศยับเยิน อุบัติเป็นหลุมลึกมหึมา


 


“นั่นเป็นการเคลื่อนย้ายข้ามมิติ!!”


 


“ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ! แถมระยะการเคลื่อนย้ายของมัน ไม่ใช่ 100 หมี่ของขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น…มันเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยแล้ว!!”


 


“เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นเป็นผู้ใดมาจากไหนกัน? ไฉนข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลย ว่ามีราชาอมตะ 10 ทิศคนใดที่เก่งในกฏมิติ และเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติถึงขั้นตอนเล็กน้อยแล้ว?”


 



 


ต้วนหลิงเทียนที่ใช้เคลื่อนยย้ายข้ามมิติ ก็เลือกที่จะวูบร่างหลบไปอย่างชาญฉลาด อาศัยหน้าผาบดบังสายตา จากนั้นก็เคลื่อนย้ายข้ามมิติครั้งที่สองเต็มกำลังไปในทิศทางอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของสำนึกเทวะของชายชราทั้ง 2 ได้อย่างราบรื่น


 


‘หนึ่งเป็นจอมราชันอมตะ 2 ยศ อีกหนึ่งเป็นจอมราชันอมตะ 3 ศักดิ์…แต่พวกมันคงไม่คิดกระมัง ว่าข้าจะหาญกล้าชิงผลอมตะหงเหอไปต่อหน้าต่อตามัน?’


 


หลังใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติวูบร่างสุดระยะ 10,000 หมี่ 3 ครั้งติด ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้วูบร่างหนีอีกต่อไป เพราเขาตระหนักได้ว่าสำนึกเทวะของชายชราทั้ง 2 นั้นไม่อาจเพ่งเล็งมาที่เขาได้อีกต่อไป


 


ภายในหุบเขา ชายชราทั้ง 2 ที่ถูกฉกของไปต่อหน้าต่อตาผู้คนมากมาย ก็มีน้ำโหนัก แต่ละคนแลดูเดือดดาลเป็นที่สุด


 


“เฒ่าหวัง หากไม่ใช่เพราะเจ้าคิดจะแย่งผลอมตะหงเหอของข้าไม่เลิก พวกเราคงไม่ถูกผู้อื่นชิงไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้!!”


 


“ไอ้แก่ฉิน! ทั้งหมดเพราะเจ้ามันดื้อรั้นไม่ยอมมอบผลนั่นมาให้ข้าแต่โดยดี!!”


 



 


จากนั้นชายชราทั้ง 2 ก็เร่มเถียงกันอีกรอบ สุดท้ายก็ปะทุพลังพุ่งเข้ามาต่อยตีกันอีกครา ทำให้ผู้ที่ชมดูเรื่องราวรอบๆ รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง


 


อย่างไรก็ตาม หลังชมดูชายชราตีกันต่อสักพักพวกมันก็เริ่มแยกย้ายกันไปตามทาง ในเมื่อผลอมตะหงเหอก็ไม่มีแล้ว แม้การชมดูยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะต่อยตีกันจะทำให้พวกมันได้ประสบการณ์ไม่น้อย แต่เทียบกับไปแสวงหาผลไม้อมตะกับสมุนไพรอมตะแล้ว พวกมันเลือกอย่างหลังมากกว่า พเราะแดนสมบัติขุนเขาโอสถก็ไม่ใช่ว่าจะเปิดให้เก็บเกี่ยวนานนัก


 


อีกทั้งแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 แห่งนี้ก็กว้างใหญ่ไพศาลมาก


 


ถึงแม้จะมีผู้คนเข้ามามากมาย และเวลาก็ผ่านไปได้พักใหญ่ๆแล้ว แต่ก็มีพื้นที่อีกหลายจุดที่ยังไม่มีใครเฉียดผ่านเข้าไป


 


และสถานที่บางแห่งนั้น ด้วยความที่มีค่ายกลลวงตาปกปิดอยู่ ทำให้หากไม่พลัดหลงเข้าไปอยู่ในเขตค่ายกล ก็จะมองไม่ออกเลย


 


ในแดนสมบัติขุนเขาโอสถนั้น ไม่ว่าระดับใดก็จะไม่มีบททดสอบที่เป็นอันตราย และไม่มีจิตวิญญาณค่ายกลที่คอยทำร้ายขัดขวาง แน่นอนว่ายังไม่มีสัตว์อมตะหรือหุ่นเชิดใดๆ มีแค่ค่ายกลลวงตาปกคลุมพื้นที่ ให้หาผลไม้อมตะและสมุนไพรอมตะไม่เจอเท่านั้น


 


และที่ไฉนมีค่ายกลมายาคอยปกปิดพื้นที่ๆมีผลไม้อมตะกับสมุนไพรอมตะเอาไว้แบบนี้ ก็เพื่อให้เหลือของไว้ให้ผู้คนที่จะเข้ามาภายหลังและมีโชควาสนาได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อะไรติดไม้ติดมือออกไปบ้าง


 


หาไม่แล้วหากเปิดเผยแต่แรก ผู้ใดมาก่อนและมีพลังฝีมือกล้าแข็งเหาะเหินเร็วไว มีรัศมีตรวจจับกว้างไกล ก็ฉกฉวยไปกันหมด…คนที่มาภายหลังก็ไม่เหลืออะไรให้ฉกฉวยแล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 3220

 

“ฮ่วนเอ๋อ เจ้าอยู่แถวไหนหรือ?”


 


หลังเดินทางท่องไปในแดนสมบัติขุนเขาโอสถได้สักพักใหญ่ๆ ต้วนหลิงเทียนที่วาดแผนที่ในหัวไปได้หลายส่วนแล้วก็เริ่มติดต่อไปหาฮ่วนเอ๋อ ถามว่านางอยู่แถวไหน


 


ฮ่วนเอ๋อที่ได้รับข้อความก็เร่งติดต่อกลับมาเร็วไว “พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋ออยู่ที่ราบทุ่งหญ้ากว้างๆ ในละแวกนี้มีแค่เนินสูงๆ 2 แห่ง และระหว่างเนินทั้งสอง มีลำธารสายหนึ่งเลี้ยวลดคดเคี้ยวเหมือนงูเลย”


 


“ที่นี่มีร่องรอยสมุนไพรถูกขุดไปหมดแล้วด้วย พี่หลิงเทียนเคยผ่านมาหรือยัง”


 


ฮ่วนเอ๋อเริ่มเล่ารายละเอียดตำแหน่งที่นางอยู่ออกมาให้ต้วนหลิงเทียนฟัง


 


“ข้ารู้สึกคุ้นๆอยู่ ไม่แน่ใจว่าจะใช่ที่นั่นรึเปล่า…ข้าจะลองไปดูก่อน”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้า ใช้เคลื่อนย้ายข้ามมิติติดต่อกันอยู่ราวๆ 12 ลมหายใจ ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ๆมีลักษณะเหมือนกันกับที่ฮ่วนเอ๋อกล่าวอธิบายมาเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน


 


“พี่หลิงเทียน!”


 


และฮ่วนเอ๋อก็อยู่ที่นี่เช่นนกัน ทั้งสองจึงกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง


 


“ฮ่วนเอ๋อ ข้าพึ่งได้ผลอมตะหงเหอมา หลังออกจากที่นี่เมื่อไหร่ข้าจะเอาให้เจ้า…ด้วยระดับพลังบ่มเพาะของเจ้าตอนนี้ ถ้าใช้ผลอมตะหงเหอ สมควรทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 2 ยศได้ในเวลาสั้นๆแน่นอน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าววกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม  สีหน้าคล้ายมีความสุขที่เจอผลไม้อมตะให้ฮ่วนเอ๋อ มากกว่าเจอผลไม้อมตะที่ตัวเองใช้ประโยชน์ได้เสียอีก


 


“อื้อ! จริงสิพี่หลิงเทียนฮ่วนเอ๋อก็เก็บผลไม้อมตะได้ไม่น้อยเหมือนกัน เป็นผลไม้อมตะที่ราชาอมตะใช้ได้เกือบ 20 ผล!”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าว


 


“อะไร? เกือบ 20!?”


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับเหวอไปทันที เขาพึ่งจะพบเจอผลไม้อมตะ 2-3 ผลเท่านั้นเอง แต่ฮ่วนเอ๋อได้ไปเกือบ 20 ในเวลาสั้นๆ?


 


“ฮ่วนเอ๋อ นี่เจ้าไปหาผลไม้อมตะมาจากไหนเยอะแยะ ทั้งที่พึ่งจะผ่านไปได้ไม่ทันไร?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“ก็มีแย่งของคนอื่นมาบ้าง หาเจอเองบ้าง…แต่ที่ได้เยอะที่สุด ฮ่วนเอ๋อได้จากพื้นที่ๆถูกค่ายกลมายาปกปิดเอาไว้ ข้าเจอที่แบบนั้นหลายแห่ง และทุกแห่งก็ไม่เคยมีใครมีใครเข้าไปเลย”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าว


 


พื้นที่ๆถูกค่ายกลมายาปกปิด?


 


ได้ยินคำของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าเป็นเรื่องราวใด ค่ายกลมายาเหล่านั้นไม่พ้นมีไว้ซ่อนผลไม้อมตะกับสมุนไพรอมตะ ไว้ให้ให้คนที่จะเข้ามาภายหลัง แต่พอดีค่ายกลมายาใดๆดันไม่มีผลกับฮ่วนเอ๋อเลย นางสามารถมองออกทั้งหมด กลับกันถ้าเป็นเขาหากไม่พลัดหลงเข้าไปก็จะไม่รู้เลย


 


“พี่หลิงเทียนเก้าในสิบพื้นที่ๆถูกค่ายกลมายาปกปิดเอาไว้น่าจะไม่มีใครเข้าไปเก็บเกี่ยว…พวกเราเน้นหาของในพื้นที่แบบนี้ดีกว่า”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวกับต้วนหลิงเทียน


 


“เอาสิ”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเดินทางไปยังสถานที่ๆฮ่วนเอ๋อยังไม่เคยไป และก็เจอพื้นที่ๆถูกค่ายกลมายาปกปิดไว้ไม่น้อย


 


ในบรรดาสถานที่เหล่านั้น มีที่หนึ่งถูกคนค้นพบโดยบังเอิญไปแล้ว


 


ส่วนที่อื่นนั้นยังไม่มีใครเข้าไปเลย เพราะค่ากลมายาที่ปกปิดก็มีสูงต่ำ และสถานที่ๆยังไม่มีใครพบนั้นค่อนข้างมีระดับสูง


 


อย่างไรก็ตามไม่ว่าค่ายกลมายาจะมีระดับสูงและแนบเนียนแค่ไหน ในนสายตาของฮ่วนเอ๋อ มันก็เสมือนไม่มีอยู่


 


ครู่ต่อมาด้วยความสามารถของฮ่วนเอ๋อ ทั้งคู่ก็ได้เก็บเกี่ยวผลไม้อมตะและสมุนไพรอมตะได้มากมาย


 


“ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสถานที่ๆไม่น่าจะมีอะไรที่ข้าเคยผ่านมาก่อนหน้า ที่จริงมันจะต่างออกไปราวฟ้ากับดินแบบนี้…”


 


ในบรรดาสถานที่ๆต้วนหลิงเทียนเคยไปมานั้น มี 2 แห่งที่พื้นที่บางส่วนถูกค่ายกลมายาปกปิดเอาไว้ จึงไม่ได้เข้าไป..


 


จนเมื่อเขาพาฮ่วนเอ๋อผ่านมา จึงพบว่ามีพื้นที่ส่วนหนึ่งถูกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด


 


“เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามครึ่ง ก่อนที่แดนสมบัติขุนเขาโอสถจักปิดตัวลง”


 


หลังได้รับผลไม้อมตะระดับราชาจากสถานที่แห่งหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินสุรเสียงทรงอำนาจหนึ่ง


 


‘เสียงนี่…หรือว่าจะเป็นเสียงของจักรพรรดิหยก จักพรรดิสวรรค์แห่งอวี้หวงเทียน เง็กเซียนฮ่องเต้ในตำนานปรัมปราของโลกมนุษย์?!’


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองตาฉายแววสวางจ้า


 


จักรพรรดิหยกเป็นตัวตนในตำนานที่เขาได้ยินมาตั้งแต่เป็นเด็กเมื่อชาติก่อน พอได้ยินเสียงของตัวตนที่อาจจะเป็นคนๆเดียวกันกับเจ้าของตำนานดังกล่าว ใจต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเต้นรัวขึ้น


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ชาติก่อนเขาก็เป็นชาวโลกคนหนึ่ง ที่สำคัญความทรงจำครั้งยังอยู่บนโลกก็ครบถ้วนสมบูรณ์


 


“พี่หลิงเทียน ตอนนี้เหลือเวลาอีก 1 ชั่วยามครึ่ง…พวกเราลองไปทางนั้นดูไหม เผื่อจะเจอพื้นที่ๆถูกค่ายกลมายาปกปิดไว้”


 


ฮ่วนเอ๋อชี้นิ้วไปยังทิศทางที่ยังไม่เคยไปพลางถามต้วนหลิงเทียนเสียงใส


 


“เอาสิ”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็เร่งเดินทางไปยังจุดที่ยังไม่เคยไปในแดนสมบัติขุนเขาโอสถ


 


และ 2 เค่อต่อมา ทั้งคู่ก็พบกับพื้นที่ๆถูกค่ายกลมายาปกปิดเอาไว้จริงๆ หลังจากเก็บเกี่ยวผลไม้อมตะและสมุนไพรอมตะทั้งหมดแล้ว ทั้งคู่ก็จากไป


 


‘รวมกับผงเมื่อครู่ นับว่าได้ผลไม้อมตะมาเพิ่มอีก 20 กว่าผล…หากรวมกับของเดิมที่ข้ามีและของที่ฮ่วนเอ๋อเก็บได้…ตอนนี้ก็มีผลไม้อมตะเกือบ 50 ผลแล้ว’


 


หลังออกจากสถานที่ๆถูกค่ายกลมายาปกปิดเอาไว้ ต้วนหลิงเทียนก็คิดในใจอยย่างวาดหวัง ‘ไม่รู้ว่าด้วยเวลาที่ยังพอมีเหลืออีก 1 ชั่วยาม จะเก็บผลไม้อมตะได้เกิน 50 ผลหรือไม่’


 


ยังดีที่ความคิดในหัวของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบันไม่มีผู้ใดล่วงรู้ หากรู้ไม่พ้นพวกมันต้องบุกเข้ามาสู้ตายแน่!


 


ผู้อื่นนั้น หากพบเจอผลไม้อมตะสัก 2-3 ผลก็ดีใจแทบตายแล้ว!


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนกลับคาดหวังจะเก็บผลไม้อมตะให้ได้เกิน 50 ผล!


 


“ไอ้หนู! เป็นเจ้า!!”


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนพึ่งออกเดินทางไปต่อได้ไม่ทันไร เขาก็ได้ยินเสียงดังสนั่นปานฟ้าร้องหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง


 


พอหันกลับไปมอง ก็พบว่าเป็นผู้อาวุโสแซ่หวังของนิกายจ๋างหั่วฉาน ที่ประมือกับอาวุโสแซ่ฉินของนิกายเหิงชาเฉวียนเพื่อช่วงชิงผลอมตะหงเหอ แต่กลับถูกต้วนหลิงเทียนฉกไปหน้าตาเฉย


 


ชายชราแซ่หวังคนนี้ เป็นจอมราชันอมตะ 3 ศักดิ์


 


ถึงงแม้ว่ามันจะไม่อาจเอาชนะอาวุโสของนิกายเหิงชาเฉวียนที่มีด่านพลังฝึกปรือเพียงจอมราชันอมตะ 2 ยศได้ ก็ไม่ใช่เพราะว่ามันอ่อนแอ แต่อีกฝ่ายนั้นเข้าใจกฏแห่งน้ำ ทว่าสิ่งที่มันเข้าใจกลับเป็นกฏแห่งไฟ และหากพลังไล่เลี่ยกันน้ำจะข่มไฟได้ก็ไม่แปลก


 


และตอนนี้นอกจากชายชราแซ่หวังแล้ว ข้างๆมันยังมีชายชราเพิ่มมาอีกคน


 


“อาวุโสหวัง ท่านรู้จักมันหรือ?”


 


ชายชราดังกล่าวเอ่ยถามด้วยสงสัย


 


“อาวุโสหลิว เจ้านั่นเป็นคนที่ข้ากล่าวบอกท่านไปก่อนหน้าอย่างไรเล่า…ในตอนที่เฒ่าฉินน่าตายมารบเร้าพัวพันเพราะคิดแย่งผลอมตะหงเหอกับข้า ไอ้หนูนั่นมันก็ใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติไปฉกของแล้วหนีหายไปต่อหน้าต่อตาพวกเรา…”


 


ชายชราแซ่หวัง ผู้อาวุโสของนิกายจ๋างหั่วฉาน เอ่ยตอบเสียงขรึม


 


ได้ยินคำเรียกหาอย่างสนิทสนม เห็นได้ชัดว่าชายชราข้างๆมัน ก็เป็นอาวุโสของนิกายจ๋างหั่วฉานเช่นกัน


 


“เจาหนุ่มนี่น่ะรึ?”


 


ได้ยินคำของชายชราแซ่หวัง สองตาของอาวุโสหลิวก็ทอแสงจ้าขึ้นมาทันที มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง แววตายังคล้ายนักล่าเห็นเหยื่ออันโอชะ!


 


“ที่แท้เป็นผู้เฒ่าหวังนั่นเอง ว่าแต่ผู้เฒ่าทั้ง 2 เป็นอย่างไรบ้างเล่า พวกท่านสมควรได้ของดีไม่น้อยกระมัง?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัย


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องีท่ตอนนี้เขามีฮ่วนเอ๋ออยู่ด้วยเลย ต่อให้ไม่มีฮ่วนเอ๋อถึงชายชราเบื้องหน้า 2 คนจะมัดรวมกันมา เขาก็ไม่ได้เห็นพวกมันอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย


 


นิกายจ๋างหั่วฉานเป็นแค่นิกายอมตะระดับ 5 และไม่มีแม้แต่จอมราชันอมตะสมญานามสักคนดำรงอยู่ กับอีแค่อาวุโสคนหนึ่งที่ถูกส่งมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในแดนสมบัติขุนเขาโอสถ ไม่ถือเป็นตัวตนระดับเสาหลักของนิกายด้วยซ้ำ


 


ตัวตนระดับนี้ถึงเขาจะยังมีด่านพลังราชาอมตะ 10 ทิศ เขาก็ไม่ได้หวั่นเกรงอะไรมันเลย


 


เรียกว่าหากเขาชักกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมา ก็คงลำบากแค่ลมหายใจเดียวไม่พ้นต้องฆ่าชายชราแซ่หวังนั่นได้ ส่วนอีกคนนั้น อย่างดีก็สิ้นเปลืองอีกแค่หนึ่งลมหายใจเช่นกัน…


 


ตอนนี้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนมีจิตวิญญาณกระบี่แล้ว ถึงแม้ว่าพลังอำนาจของตัวกระบี่ ด้วยระดับพลังฝึกปรือของเขาตอนนี้อาจจะยังใช้มันได้ไม่เต็มอานุภาพ แต่พลังที่มันจะสำแดงออกมาได้ นับว่าเหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิไปไกลโข!


 


ต่อให้เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีจิตวิญญาณแล้ว พลังอานุภาพก็ไม่อาจนำมาเทียบกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้เลย!


 


ที่สำคัญในกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนยังมีหวงเอ้อที่สามารถสร้างร่างออกมาช่วยเขาได้


 


ถึงแม้ระดับพลังของหวงเอ้อจะถูกจำกัดตามระดับพลังบ่มเพาะของเขา ทำให้นางไม่อาจใช้พลังทั้งหมดของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้ แต่ความเข้าใจในกฏทำลายล้างของนางในอดีตไม่ได้หายไปไหน แค่พลังที่มีตอนนี้ไม่พอขับเคลื่อนมันเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามต่อให้ไม่ต้องใช้พลังสูงสุด เอาแค่พลังที่นางสามารถใช้ได้ในปัจจุบัน พลังฝีมือของหวงเอ้อก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแล้ว


 


เมื่อ 10 ปีก่อน เขาก็ลองประมือกับหวงเอ้อดู


 


และการประลองก็จบลงด้วยผลเสมอ


 


ต้องทราบด้วยว่าตอนนี้ตัวเขาก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย!


 


“อะไร เจ้าถามแบบนี้ หรือคิดจะแย่งของพวกเราด้วย?”


 


อาวุโสหลิวของนิกายจ๋างหั่วฉานคลี่ยิ้มเยาะ “ไอ้หนู เจ้าเป็นแค่ราชาอมตะ 10 ทิศแท้ๆ นี่เจ้าจักไม่ละโมบเกินไปหน่อยหรือ?”


 


“ไอ้หนู เรื่องไร้สาระไม่ต้องกล่าว รีบมอบผลอมตะหงเหอคืนมาให้ข้าเสียประเสริฐกว่า…หาไม่แล้วต่อให้เจ้าจะใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติหนีไปซ่อนข้าได้ก็จริง แต่หลังจากที่เจ้าออกไปแล้วข้าไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆแน่!”


 


อาวุโสหวังมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วสายตาน้ำเสียงข่มขู่


 


“หนีไปซ่อน?”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้ม “ข้าไปบอกพวกท่านตอนไหนว่าข้าจะหนีไปซ่อน?”


 


“เหอะๆ หากไม่หนีไปซ่อน หรือเจ้าจะอยู่ต่อยตีกับพวกเรา?”


 


อาวุโสหวังยกยิ้มอย่างดูถูก


 


“ฮ่วนเอ๋อเจ้ากับข้าจัดการตาแก่นั่นคนละหนึ่ง…ไม่ต้องเอาถึงตาย แค่ชิงผลไม้อมตะมาก็พอ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับฮ่วนเอ๋อ


 


ในเวลาต่อมา ท่ามกลางสายตาดูแคลนของชายชราทั้ง 2 แห่งนิกายจ๋างหั่วฉาน ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อก็แยกย้ายกันลงมือทันที พริบตาก็วูบร่างไปผุดโผล่เบื้องหน้าชายชราพร้อมลงมือฉับไวปานฟ้าผ่า


 


แม้ชายชราแซ่หวังจะเร่งเรียกใช้อุปกรณ์อมตะคู่กายออกมา แต่สุดท้ายก็ถูกต้วนหลิงเทียนเล่นงานยับเยินไม่อาจตอบโต้ได้เลย


 


และแต่ต้นนจนจบต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ใช้อุปกรณ์อมตะใดๆ


 


“ผู้เฒ่าหวังหากไม่อยากตาย…ก็มอบสิ่งที่ได้ในนี้ออกมาเถอะ อ่อสหายข้านางสามารถสะกดจิตสหายของท่านได้ และตอนนี้นางก็รู้เรื่องที่ควรรู้หมดแล้ว ดังนั้นอย่าคิดเล่นตุกติกอะไรจะดีกว่า”


 


หลังจัดการชายชราของนิกายจ๋างหั่วฉานทั้งคู่จนอยู่หมัด ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มกล่าวกับอาวุโสหวัง


 


จังหวะนี้ชายชราทั้ง 2 ที่เห็นพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อแล้ว ก็จมอยู่ในความสิ้นหวัง ต่อให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไม่เตือน พวกมันก็ไม่กล้าเล่นตุกติกอะไรอยู่แล้ว


 


เพราะท้ายที่สุด พลังฝีมือของต้วนนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะฆ่าพวกมันตอนไหนก็ได้ หากทั้งคู่ต้องการเกรงงว่าพวกมันคงตายไปแล้ว


 


“นี่เป็นผลไม้อมตะทั้งหมดที่ข้าได้หลังจากเข้ามาที่นี่”


 


“ส่วนนี่เป็นผลไม้อมตะทั้งหมดที่ข้าได้มา…”


 


อาวุโสทั้ง 2 ของนิกายจ๋างหั่วฉานก็ยื่นส่งแหวนพื้นที่วงสำรอง ที่เก็บผลไม้อมตะอันได้มาในแดนสมบัติขุนเขาโอสถแห่งนี้ให้ต้วนหลิงเทียนอย่างเรียบๆร้อยๆ


 


ตอนนี้พวกมันยังพอได้ระบายลมหายใจอย่างโล่งอกอยู่บ้าง เพราะต้วนหลิงเทียนไม่ได้ต้องการสมุนไพรอมตะที่พวกมันได้มา


 


อนิจจาคำพูดต่อมาของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้พวกมันสลดไปด้วยความสิ้นหวังจับใจทันที “จริงสิ ส่งสมุนไพรอมตะทั้งหมดที่ได้มาในนี้ออกมาด้วย”


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนยึดผลการเก็บเกี่ยวที่ชายชราทั้ง 2 ได้มาในแดนสมบัติขุนเขาโอสถแห่งนี้หมดแล้ว เขากับฮ่วนเอ๋อก็เตรียมตัวเดินทางต่อทันที แต่ทว่าทันใดนั้นเอง….


 


“อาวุโส 3 เป็นมัน! เจ้านั่นก็คือคนที่สังหารอาวุโสซุนหยู!!”


 


พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล กระตุกความสนใจให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อหันไปชมมองทันที ชายชราทั้ง 2 ของนิกายจ๋างหั่วฉานก็หันไปมองด้วยความสนใจเช่นกัน


 


จึงพบว่าสุดฟ้าไกลตาทิศทางหนึ่งมีร่าง 4 ร่างเร่งรุดเหาะมาทางนี้ เป็นชายวัยกลางคน 1 ผู้ชรา 3


 


ที่สำคัญ 1 ใน 3 ผู้ชราที่มาใหม่ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับต้วนหลิงเทียนแต่อย่างใด มันก็คืออาวุโสฉินของนิกายเหิงชาเฉวียนที่คิดช่วงชิงผลอมตะหงเหอกับอาวุโสหวังแห่งนิกายจ๋างหั่วฉานนั่นเอง


 


“ที่แท้เป็นเจ้าเองเรอะ สารเลวน้อย!!”


 


ในขณะที่อาวุโสฉินเบิกตากว้างเมื่อจดจำต้วนหลิงเทียนได้ มันก็เหลือบไปเห็นผู้อาวุโสทั้ง 2 ของนิกายจ๋างหั่วฉานที่อยู่ใกล้ๆต้วนหลิงเทียนด้วยเช่นกัน


 


“เฒ่าหวัง หลิวถง…นิกายเหิงชาเฉวียนของพวกเราต้องการผลอมตะหงเหอในมือสารเลวน้อยนี่! พวกเจาสมควรรู้ดีว่าควรตัดสินใจเช่นไร!!”


 


อาวุโสฉินมองจ้องชายชราทั้ง 2 ของนิกายจ๋างหั่วฉานเขม็งเอ่ยออกเสียงเข้ม อย่างไรก็ตามในแววตาของมันกลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ


 


นั่นเพราะมันมีคนเยอะกว่า หากเกิดการปะทะย่อมได้เปรียบแน่นอน


 


“เจ้า…”


 


อาวุโสหลิวของนิกายจ๋างหั่วฉานคิดจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่อาวุโสหวังกลับส่งเสียงผ่านพลังมาห้ามไว้ก่อน “ไม่ต้องเตือนพวกมัน!!”


 


“หรือท่านเต็มใจให้มีแต่พวกเราที่ต้องทนทุกข์?”


 


หลังส่งเสียงผ่านพลังกล่าวบอกอาวุโสหลิวด้วยสายตาลึกล้ำแล้ว อาวุโสหวังก็หันไปมองอาวุโสฉินแห่งนิกายเหิงชาเฉวียน และกล่าวด้วยท่าทางไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่บ้าง “ไอ้แก่ฉินน่าตาย หากไม่ใช่วันนี้เพราะนิกายอมตะเหิงชาเฉวียนของเจ้ามีคนเยอะกว่า ข้าไม่มีทางปล่อยมือจากผลอมตะหงเหอแน่!!”

 

 

 


ตอนที่ 3221

 

เมื่ออาวุโสหวังของนิกายจ๋างหั่วฉานกล่าวจบคำ มันก็ทำหน้าปั้นปึ่งและถอยออกไปเล็กน้อย เห็นชัดว่าไม่คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพียงอยู่เพื่อชมดูเรื่องราว


 


อาวุโสหลิวของนิกายจ๋างหั่วฉานเห็นดังนั้น มุมปากอดกระตุกไปไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่เหินร่างไปลอยข้างๆอาวุโสหวังเงียบๆ


 


“ไอ้หนู เจ้าเป็นคนฆ่าอาวุโสซุนหยูของนิกายเหิงชาเฉวียนข้างั้นเรอะ!?”


 


อาวุโสฉินแห่งนิกายเหิงชาเฉวียนที่แต่เดิมมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเฉยเมย บัดนี้ในดวงตามันกลับฉายประกายเยียบเย็นวูบวาบ


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“ไฉนต้องฆ่าอาวุโสซุนหยูของพวกเราด้วย?”


 


คนของนิกายเหิงชาเฉวียนอีก 3 คนที่เหลือก็เปลี่ยนจากสายตาเฉยเมย เป็นมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเยียบเย็นเช่นกัน


 


“ข้าได้ผลไม้อมตะมาแล้ว แต่มันกลับลงมือแย่งชิงด้วยเจตนาฆ่าฟัน…หากข้าไม่ฆ่ามัน หรือจะรอให้มันฆ่าข้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองคนของนิกายเหิงชาเฉวียนผ่านๆ กล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่แยแส


 


“สารเลวน้อย เมื่อเจ้ากล้าฆ่าอาวุโสของนิกายเหิงชาเฉวียนของข้า…วันนี้ ก็หยุดอยู่ที่นี่เถอะ!”


 


ชายวัยกลางคนหนึ่งเดียวในบรรดาคนนิกายเหิงชาเฉวียนทั้ง 4 เอ่ยออกเสียงเย็น ดวงตาท่วมท้นไปด้วยจิตสังหาร


 


คนนิกายเหิงชาเฉวียนอีก 3 คนที่เหลือ โดยเฉพาะชายชราแซ่ฉินเอง ก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนยด้วยสายตาอำมหิตปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน


 


“อะไร? พวกเจ้าคิดฆ่าข้ารึ?”


 


มุมปากต้วนหลิงเทียนยกยิ้มบางๆ จากนั้นก็หยีตามองเพ่งคนนนิกายเหิงชาเฉวียนทั้ง 4 เอ่ยเอ่ยถามเน้นเสียง “เรื่องนี้…พวกเจ้าต้องคิดให้ดี”


 


“เฮอะ! ยังต้องคิดอันใด? ในเมื่อไอ้หนูเจ้าฆ่าอาวุโสนิกายเหิงชาเฉวียนข้า เช่นนั้นวันนี้เจ้าต้องตาย!!”


 


ชายวัยกลางคนแค่นคำเสียงเย็น


 


เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เจียนแตกหักเต็มที อาวุโสหลิวของนิกายจ๋างหั่วฉานอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงผ่านพลังไปถามอาวุโสหวังข้างๆ “อาวุโสหวัง พวกเราไม่เตือนพวกมันจักดีหรือ สองคนนั่นไม่พ้นต้องลงมือเข่นฆ่าพวกมันทั้ง 4 จนหมด ไม่ออมรั้งยั้งมือให้เหมือนพวกเราแน่”


 


“อาวุโสหลิว ท่านเป็นอาวุโสนิกายจ๋างหั่วฉาน ส่วนพวกมันเป็นคนของนิกายเหิงชาเฉวียน ความตายของพวกมัน สำคัญกับท่านตรงที่ใด?”


 


อาวุโสหวังส่งเสียงผ่านพลังไปด้วยน้ำเสียงไม่แยแส


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่มันเอ่ยส่งเสียงผ่านพลังจบคำ ทั้ง 4 ของนิกายอมตะเหิงชาเฉวียนก็เปิดฉากเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างพร้อมเพรียง


 


เนื่องเพราะพวกมันได้รับทราบจากอาวุโสฉินมาก่อนแล้วว่า ต้วนหลิงเทียนเชี่ยวชาญกฏมิติ และยังเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย เช่นนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ต้วนหลิงเทียนหนีรอดไปได้ พวกมันจึงคิดกลุ้มรุมสังหารต้วนหลิงเทียนในกระบวนเดียว


 


เห็นฉากดังกล่าว ด้านอาวุโสหวังของนิกายจ๋างหั่วฉาน ก็ยกยิ้มแสยะราวกับมีความสุขเมื่อเห็นผู้อื่นกำลังจะประสบทุกข์หนัก


 


และเป็นดั่งที่มันคิดไว้ไม่มีผิด ทั้ง 4 คนของนิกายอมตะเหิงชาเฉวียนล้วนตกตายหมดสิ้น ไม่มีผู้ใดรอดพ้น


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้มันประหลาดใจก็คือ


 


ตั้งแต่ต้นจนจบชายยหนุ่มชุดม่วงไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นสตรีงดงามชุดขาวที่ลอยอยู่ข้างๆเป็นผู้ลงมือฆ่าฟัน


 


ยิ่งไปกว่านั้น สตรีชุดขาวนั่นเข่นฆ่าจอมราชันอมตะทั้ง 4 ของนิกายเหิงชาเฉวียนได้ในเวลาเพียง 1 ลมหายใจเท่านั้น


 


“นั่นมัน…อำนาจจิต? ทักษะวิญญาณ?”


 


เมื่อย้อนนึกถึงฉากการตายของคนนิกายอมตะเหิงชาเฉวียนทั้ง 4 ชายชราแซ่หวังอดไม่ได้ที่จะตกใจ เพราะมันเห็นว่าก่อนที่ทั้ง 4 จะตกตาย แววตาของพวกมันกลับเลื่อนลอย ร่างยังหยุดนิ่งกลางหาว! สิ่งนี้ทำให้ใจมันบังเกิดความหวั่นหวาดอย่างแรง สีหน้ายังฉายชัดถึงความกลัว


 


อาวุโสหลิวที่ลอยร่างข้างๆ ก็หน้าเสียไปเป็นแถบ แววตาเต็มไปด้วยความสยดสยอง อดพึมพำกับตัวด้วยความหวาดเสียวไม่ได้ “โชคดีที่ก่อนหน้านี้นางไม่ได้เล่นงานข้าเช่นนี้…หาไม่แล้วข้าไม่พ้นต้องตายอย่างโง่งม!”


 


เมื่อตรู่ตอนปะทะกับพวกต้วนหลิงเทียน คู่มือของมันก็คือฮ่วนเอ๋อ


 


จังหวะนี้มันยังงตระหนักได้อีกเรื่อง ว่าก่อนหน้าเป็นฮ่วนเอ๋อออมมือให้มันมากมาย


 


หลังเก็บแหวนพื้นที่ของคนนิกายอมตะเหิงชาเฉวียนทั้ง 4 แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองตาอาวุโสหวังของนิกายจ๋างหั่วฉานเขม็ง “หากข้าเข้าใจไม่ผิด…ท่านจงใจใช้พวกเราต่างมือปืนรับจ้างสินะ?”


 


เมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนย่อมเห็นชัดว่าอาวุโสหวังผู้นี้จงใจไม่บอกพลังฝีมือของเขากับฮ่วนเอ๋อ ให้คนของนิกายอมตะเหิงชาเฉวียนทั้ง 4 รับรู้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้คนของนิกายเหิงชาเฉวียนทั้ง 4 รอดพ้นคราวเคราะห์


 


“ใต้เท้า…ข้า…ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าในเมื่อพวกข้าขาดทุนแล้ว พวกมันก็สมควรต้องขาดทุนด้วยเช่นกัน หมายให้พวกมันส่งมอบผลไม้อมตะกับสมุนไพรอมตะทั้งหมดให้กับใต้เท้าเหมือนพวกเราเท่านั้น…”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน หน้าอาวุโสหวังของนิกายจ๋างหั่วฉานก็เปลี่ยนสีไปทันใด เร่งกล่าวอธิบายออกมาเร็วไว “ท้ายที่สุดแล้วหากพวกมันไม่คิดลงมือต่อใต้เท้า ไหนเลยใต้เท้าจักมีเหตุผลดีๆ ในการช่วงชิงผลไม้อมตะกับสมุนไพรอมตะของมันเล่า?”


 


“อ้อ นี่เจ้าจะบอกว่าเจ้าหวังดีต่อข้างั้นสิ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


 


“ย่อมเป็นเช่นนั้น”


 


อาวุโสหวังพยักหน้ารับเป็นมั่นเหมา กล่าวออกเสียงดังฟังชัด แลดูชอบธรรมอย่างยิ่ง ราวกับมันคิดแบบนี้จริงๆ! สิ่งนี้ถึงกับทำให้อาวุโสหลิวที่อยู่ข้างๆรู้สึกหน้าม้าน อยากขุดหลุมอากาศแล้วมุดหลบอยู่บ้าง!!


 


“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักฮ่วนเอ๋อ ก่อนจะเหินร่างนำออกไปทันที คร้านจะหยอกล้ออะไรกับอาวุโสหวังอีกต่อไป เจตนาอีกฝ่ายจะอย่างไรก็ช่าง เพราะทั้ง 4 คนนั่นถูกลิขิตให้ต้องตายตั้งแต่เผยจิตสังหารต่อเขาแล้ว


 


และตอนนี้เวลาก็เหลือน้อยเต็มที


 


ก่อนที่จะถึงวินาทีสุดท้าย เขาไม่คิดจะถอดใจ เร่งเดินทางตระเวนหาพื้นที่ๆถูกค่ายกลมายาปกปิดกับฮ่วนเอ๋ออย่างตั้งใจ


 


ทางด้านอาวุโสหวังกับอาวุโสหลิวของนิกายจ๋างหั่วฉาน เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจากไปลับสายตาแล้ว พวกมันก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้


 


“ให้ตายเถอะ ราชาอมตะ 10 ทิศกับจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดไฉนร้ายกาจได้ขนาดนั้นกัน? เห็นทั้งคู่แล้ว ข้ารู้สึกเสมือนชั่วชีวิตที่ผ่านมาของข้า มันไร้ค่าเยี่ยงชีวิตสุนัข!!”


 


อาวุโสหวังคลี่ยิ้มขื่นขม


 


“เฮ่อ ไม่ใช่แค่ท่าน…ข้าเองก็สะเทือนใจยิ่ง”


 


อาวุโสหวังก็ยิ้มแหยๆออกมาเช่นกัน


 



 


ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ นับว่าได้ประโยชน์จากแดนสมบัติขุนเขาโอสถระดับ 3 ไม่น้อยเลยทีเดียว และสิ่งนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนมั่นใจมาก ว่าในเวลา 30 ปีที่เหลือ เขาจะสามารถทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะได้แน่!


 


และตลอด 30 ปีที่เหลือ เขาพาฮ่วนเอ๋อกับไปพักที่บ้านลานในนิกายอมตะเสวี่ยหยา ไม่ได้ไปหุบเขาน้ำแข็งอีกเลย


 


นั่นเพราะไอพลังวิญญาณฟ้าดินที่ยังหลงเหลือในหุบเขาน้ำแข็ง มันแทบไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลยเมื่อเทียบกับผลไม้อมตะทั้งหลาย


 


นอกจากนี้ฮ่วนเอ๋อก็ชอบจะอยู่ที่บ้านลานในนิกายอมตะเสวี่ยหยามากกว่าอยู่ในหุบเขาน้ำแข็ง


 


วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อยๆ จากวสันต์ผ่านพ้นสู่คิมหันต์จนย่างเข้าสารทรอบแล้วรอบเล่า แต่ทัศนียภาพยังติดค้างในเหมันตฤดู


 


20 ปีต่อมา ฮ่วนเอ๋อสามารถทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 3 ศักดิ์ได้อย่างราบรื่น


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนกลับยังอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ ไม่อาจทะวงถึงจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้


 


แม้แต่การเข้าใจในกฏมิติเองก็ไม่อาจก้าวหน้า


 


‘ความลึกซึ้งทั้ง 9 ประการของกฏมิตินอกจากความหมายแห่งมิติแล้ว อีก 8 ประการที่เหลือข้าล่วนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยแต่แรก…’


 


‘แต่มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ทุกคราที่ข้าคิดจะทำความเข้าใจมันให้บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ กลับเสมือนติดข้อจำกัดอะไรบางอย่าง…บ่อยครั้งที่ข้ารู้สึกเหมือนจะเข้าใจ แต่กลับไม่อาจเข้าใจมันได้’


 


ด่านพลังติดขัดไม่ก้าวหน้า ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนหงุดหงิดมากแล้ว


 


ตอนนี้พอการตระหนักรู้กฏมิติกลับหยุดชะงักไปด้วย ทำให้ต้วนหลิงเทียนหัวเสียไปกันใหญ่


 


สุดท้ายหลังจากที่เพลิงเทพโกลาหลได้รับทราบปัญหาของต้วนหลิงเทียน มันก็กล่าวอธิบายออกมาทันที “เจ้าหนู เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเจ้าหรือใครก็ตามจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ หากด่านพลังยังไม่บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ”


 


“หากเจ้าคิดจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏให้ถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ เจ้าต้องทะลวงผ่านไปยังขอบเขตจอมราชันอมตะให้ได้สถานเดียว”


 


คำอธิบายของเพลิงเทพโกลาหลก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที และสิ่งนี้ยิ่งทำให้เขารำคาญใจไปกันใหญ่


 


“ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่ 10 ปีเท่านั้น แดนลับอัจฉริยะก็จะเปิดออกแล้ว…ข้าหวังว่าใน 10 ปีนี้ข้าจะทะลวงด่านพลังได้สำเร็จ”


 


ตอนนี้ระดับพลังบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนมันปริ่มเปร่จะทะลวงถึงจอมราชันอมตะเต็มที เรียกว่าพลังของเขาเข้าใกล้ขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดอย่างไร้สิ้นสุด


 


อย่างไรก็ตาม ยังไม่อาจทะลวงผ่าน


 


ตอนนี้สถานการณ์ของเขา ไม่ได้แตกต่างอะไรจากฮ่วนเอ๋อตอนที่จะออกจากหลิงหลัวเทียนเลย


 


ทว่าสุดท้ายสถานการณ์ของฮ่วนเอ๋อ ก็สามารถคลี่คลายลงเพราะเวลา…ผ่านไปสักพักด่านพลังของนางก็ทะลวงผ่านไปเอง!


 


“ให้ตายเถอะ หรือข้าทำได้แค่รอคอยเวลาอย่างเดียว?”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มระทม


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจออกไปเดินเล่นด้านนอก มองหาโอกาส พยายามทุกทางเพื่อทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะให้ได้ในเวลา 10 ปี


 


เช่นนั้น ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ได้ออกจากนิกายอมตะเสวี่ยหยาอีกครั้ง เดินทางท่องไปทั่วๆละแวกทุ่งน้ำแข็งทางตอนเหนือ


 


อย่างไรก็ตาม ผ่านปีแล้วปีเล่า แต่ด่านพลังของต้วนหลิงเทียนยังไม่อาจทะลวงผ่าน


 


‘ปีหน้าก็ถึงเวลาที่แดนลับอัจฉริยะจะเปิดออกอีกครั้งในรอบพันปีแล้ว…ข้าเหลือเวลาอีกแค่ปีเดียวเท่านั้น’


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกกดดันอย่างมาก


 


ตอนนี้ตัวเขาจะมีวาสนาได้เข้าไปในแดนลับอัจฉริยะหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าปีหน้าเขาจะทะลวงงผ่านไปยังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้ทันเวลารึเปล่า


 



 


การเปิดออกของแดนลับอัจฉริยะในรอบพันปี นับเป็นเหตุการณ์สำคัญของแดนทักษินยุทธ์ ถึงตอนนั้นอัจฉริยะทั้งหมดของแดนทักษินยุทธ์จะมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา


 


เช่นนั้นเมื่อย่างเข้าสู่ปีสุดท้ายก่อนที่แดนลับัจฉริยะจะเปิดออก ทั่วทั้งแดนทักษินยุทธ์จะกลายเป็นคึกครื้นรื่นเริงไม่น้อย เซียนอมตะมากมายเลือกที่จะออกจากการปิดด่านฝึกตน ออกมาเสพย์รับบรรยากาศอันมีชีวิตชีวา


 


“เฮ่อ แดนลับอัจฉริยะที่ว่า กล่าวไปก็นานมากแล้วที่ไม่มี ‘อัจฉริยะรากหญ้า’ อันร้ายกาจฝืนฟ้าปราฏตัวขึ้นเลย ทุกคนที่พอมีแววก็ถูกกอัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลายสะกดข่มกันหมด…ตลอดหมื่นปีที่ผ่าน แม้จะมีอัจฉริยะรากหญ้าบางคนโดดเด่นขึ้นมา แต่ก็ทำผลงานได้ไม่เท่าอัจฉริยะท้าทายสวรรค์พวกนั้น”


 


“เรื่องนี้มันก็สมเหตุสมผลแล้วล่ะ อัจฉริยะรากหญ้า จะอย่างไรก็ขาดแคลนทรัพยากร ไหนเลยจะไปเทียบพวกอัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 ที่เกิดมาบนช้อนเงินช้อนทองได้เล่า? เป็นธรรมดาที่พลังฝีมือของพวกมันจะเหนือล้ำกว่าอัจฉริยะสามัญ”


 


“จริง กล่าวไปแค่มีอัจฉริยะรากหญ้าสามารถโดดเด่นขึ้นมาจนเป็นที่ต้องตาพึงใจของขุมกำลังระดับ 1 สุดท้ายจึงถูกทาบทามให้เข้าร่วม เพียงเท่านี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่แล้ว”


 


“นี่ล่ะถึงมีคนกล่าวไว้ ว่าแดนลับอัจฉริยะมิใช่แค่ให้อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลายมาประชันขันแข่งแสวงหาโชควาสนากันเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีให้อัจฉริยะรากหญ้ามีโอกาสแสดงพลังสามารถและศักยภาพเพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกด้วย”


 


“อัจฉริยะรากหญ้าที่โดดเด่นจักถูกทาบทามให้เข้าร่วมขุมกำลังระดับ 1 ก็จริง…ทว่าในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา ในบรรดา 3 ขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนทักษินยุทธ์เรา ดูเหมือนจักมีอัจฉริยะรากหญ้าแค่ 2 คนไม่ใช่หรือไร ที่ถูกเผ่าหงส์ฟ้าโบราณกับตระกูลไป๋ลี่ทาบทาม? ทว่าขุมกำลังระดับ 1 อย่างนิกายกระบี่หมื่นหายนะกลับไม่สนใจอัจฉริยะรากหญ้าคนใดเลย…”


 



 


เผ่าหงส์ฟ้าโบราณ ตระกูลไป๋ลี่ และนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เป็นขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาขุมกำลังระดับ 1 ทั่วทั้งแดนทักษินยุทธ์


 


เหตุไฉนที่แดนทักษินยุทธ์แห่งนี้ไร้จักรพรรดิอมตะสมญานามปกครอง ก็สืบเนื่องมาจากการดำรงอยู่ของขุมกำลังทั้ง 3


 


บางคนยังตั้งข้อสงสัยว่าอันที่จริงใน 3 ขุมกำลังระดับ 1 นี้ ล้วนมีตัวตนระดับจักรพรรดิอมตะสมญานามดำรงอยู่ แต่เนื่องจากทั้งหมดล้วนรู้ไส้รู้พุงกันดี จึงได้แต่ลอบถ่วงดุลกันและกัน จึงไม่มีผู้ใดคิดจะออกมาอ้างตัวเป็นจ้าวปกครองดินแดนอย่างเบ็ดเสร็จ


 


เช่นนั้นจึงปรากฏสถานการณ์ไร้จักรพรรดิอมตะสมญานามปกครองแดนทักษินยุทธ์ให้เห็น


 


แดนลับอัจฉริยะ เป็นแดนลับที่จะเปิดออกทุกๆรอบ 1,000 ปี และมีเพียงผู้ที่ยังมีอายุไม่ถึง 1,000 ปีรวมถึงบรรลุขอบเขตจอมราชันอมตะแล้วเท่านั้นถึงจะเข้าไปด้านในได้


 


และยกเว้นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของขุมกำลังระดับ 1 แล้ว อัจฉริยะที่มาจากขุมกำลังรองลงมาหรืออัจฉริยะที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดอะไร จะถูกเรียกเหมารวมว่า ‘อัจฉริยะรากหญ้า’ ทั้งหมด


 


อัจฉริยะอายุไม่ถึงพันปีของขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลายนั้น การเข้าสู่แดนลับอัจฉระของพวกมันโดยปกติแล้วก็เพื่อโดดเด่นในการทดสอบต่างๆเป็นการประกาศศักดิ์ดา รวมถึงแสวงหาสมบัติจากการทำลายสถิติบททดสอบต่างๆ ช่วงชิงโชควาสนาของผู้อื่น


 


สำหรับอัจฉริยะจากขุมกำลังรองลงมาทั้งหลายไม่เว้นอัจฉริยะไร้สังกัด ที่กระตือรือร้นจะเข้าสู่แดนลับอัจฉริยะนั้น นอกเหนือจากแสวงโชควาสนาแล้ว ยังเพื่อพิสูจน์คุณค่าตัวเอง เพื่อจะได้เข้าสู่ขุมกำลังระดับ 1


 


แน่นอนว่าอัจฉริยะทั้งหลายก็ล้วนมุ่งหวังจะเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้ง 3 อย่างเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ ตระกูลไป๋ลี่ และนิกายกระบี่หมื่นหายนะ


 


ทุกครั้งที่แดนลับอัจฉริยะเปิดออก 3 ขุมกำลังที่ว่า จะเปิดรับศิษย์จำนวนหนึ่ง


 


อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่จะเป็นศิษย์เหล่านั้นเลือกที่จะเข้าร่วมด้วยตัวเอง


 


ตลอดระยะเวลา 10,000 ปีที่ผ่านมา มีเพียงอัจฉริยะรากหญ้าแค่ 2 คนเท่านั้น ที่ได้รับคำเชิญชวนจากเผ่าหงส์ฟ้าโบราณและตระกูลไป๋ลี่เป็นการส่วนตัว


WSSTH ตอนที่ 3,223 : ปีนยอดเขาแรงโน้มถ่วง


 


 


‘ประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะคนปัจจุบัน บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 6 ผสานตั้งแต่ตอนที่อายุยังไม่ถึงพันปีงั้นหรือ?’


 


ได้ยินบทสนทนาของผู้คนรอบๆ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ที่ประมุขของ 1 ใน 3 ขุมกำลังระดับ 1อันแข็งแกร่งที่สุดในแดนทักษินยุทธ์อย่างนิกายกระบี่หมื่นหายนะ จะเป็นอัจฉริยะแบบนั้น!


 


‘ในเมื่อสามารถทำลายสถิติเดิมและกลายเป็นเจ้าของสถิติคนใหม่ได้นานนับ 20,000 ปี ความเข้าใจในกฏต้องไม่ใช่ชั่วแน่นอน’


 


จุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้เช่นกัน


 


จากนั้นสักพัก ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็บรรลุถึงตีนเขาแรงโน้มถ่วงแล้ว


 


ตอนที่มาถึง เขาก็พบว่ามีคนนับสิบๆ มารออยู่


 


‘ดูเหมือนจะมีคนเข้ามาในแดนลับอัจฉริยะไม่น้อยเลยทีเดียว…’


 


ต้วนหลิงเทียนพึ่งได้ทราบว่ามียอดเขาแรงโน้มถ่วงแบบนี้ทั้งสิ้น 99 แห่ง แต่ทว่าที่นี่กลับมีคนมายืนรอกันอยู่ก่อนแล้ว 30 กว่าคน


 


นอกจากนั้นยังมีคนอีกมากมายที่กำลังเดินทางมา


 


‘แต่พอคิดๆดู มันก็สมควรเป็นแบบนี้อยู่แล้ว’


 


‘ถึงแม้อัจฉริยะที่บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันก่อนอายุพันปี แต่ละขุมกำลังจะไม่ได้มีมากมายอะไร…แต่แดนทักษินยุทธ์กว้างใหญ่ขนาดไหน? มีขุมกำลังเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่…พอรวมๆกันแล้วก็เยอะแยะมากมาย’


 


‘นอกจากนั้นคนที่เข้าสู่แดนลับอัจฉริยะก็ใช่ว่าจะเป็นคนของแดนทักษินยุทธ์เสียเมื่อไหร่ ยังมีคนนอกที่จงใจมาที่นี่โดยเฉพาะอีกด้วย’


 


แดนทักษินยุทธ์ ไร้จักรพรรดิอมตะสมญานามคอยปกครอง แต่ถูกขุมกำลังระดับ 1 ทั้ง 3 ที่ถ่วงดุลอำนาจกันปกครอง


 


เรียกว่าสภาพแวดล้อมในแดนทักษินยุทธ์จะค่อนข้างตึงเครียดกว่าดินแดนขั้นสูงอื่นๆอีก 7 แห่งของอวี้หวงเทียน คนของขุมกำลังระดับ 1 แต่ละฝ่าย ยามพบเจอกันเรียกว่าหากมีโอกาสก็อาจเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารกันทันที


 


สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยภาวะแข็งขันแบบนี้ ย่อมทำให้ทุกขุมกำลังพยายามเพาะสร้างยอดฝีมือกันสุดกำลัง แต่ละคนเองก็พยายามยกระดับพลังตัวเองให้กล้าแข็งเร็วขึ้นที่สุด


 


‘ไม่รู้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะได้ข่าวที่นี่ แล้วเข้ามาด้วยรึเปล่า…’


 


คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหลิงเจวี๋ยอวิ่น อีกฝ่ายเองก็ได้ใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์เหมือนเขา


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นเป็นถึงอดีตคุณชายตระกูลลับในดินแดนแห่งทวยเทพ เดิมทีสมควรใช้คำว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แม้จะระหกระเหินแต่เด็กจนยากจะมีทรัพยากรติดตัวมามาก แต่อย่างไรเสียก็ต้องมีทรัพยากรบ่มเพาะติดตัวมาแน่นอน


 


ตอนนี้ในเมื่อตัวเขาสามารถบรรลุถึงจอมราชันอมตะได้ เขาเชื่อว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็สมควรทะลวงผ่านแล้วเช่นกัน


 


“พวกเจ้าดูนั่น มิใช่เอี้ยอวี่เฉินของนิกายปีศาจพันกรหรอกรึ! มันกำลังจะขึ้นยอดเขาแรงโน้มถ่วงแล้ว!!”


 


ในขณะที่สายตาของผู้คนจำนวนมากที่ยืนรอกันอยู่ใต้ยอดเขาแรงโน้มถ่วงกำลังเหม่อมองฮ่วนเอ๋อที่งดงามหาใดเปรียบจนตาลอย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นไกลๆ ปลุกสติของทุกคน และยังดึงดูดความสนใจจากต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อให้หันไปชมมอทันที


 


พอต้วนหลิงเทียนหันมองไป ก็แลเห็นร่างหนึ่งกำลังห้อเหยียดไปทางยอดเขาแรงโน้มถ่วง


 


ยอดเขาแรงโน้มถ่วงนั้น มองจากไกลๆก็เสมือนอดเขาสูงชันธรรมดา แต่พอมาดูใกล้ๆก็พบว่าเป็นนยอดเขา ที่มีบันไดทอดยาวขึ้นไปสุดลูกหูลูกตา


 


ระยะห่างของแต่ละขั้นบันไดของยอดเขาแรงโน้มถ่วงค่อนข้างสูงพอสมควร เพราะแต่ละขั้นมันสูงเหลื่อมล้ำกันถึง 10 หมี่


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


ร่างในชุดสีดำพุ่งไปดั่งเงาพราย ก้าวๆโดดๆขึ้นบันไดแต่ละขั้นไปด้วยความเร็วสูง พริบตาก็โจนทะยานขึ้นไปแล้วกว่าพันขั้น


 


พันขั้นบันได ก็เท่ากับหมื่นหมี่!


 


อย่างไรก็ตามไม่ทราบยอดเขาแรงโน้มถ่วงนี้ผู้สร้างจงใจหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ มีแต่ต้องก้าวขึ้นถึงขั้นที่ 3,000 เท่านั้น ถึงจะอยู่สูงพอแตะก้อนเมฆ


 


ตอนนี้ร่างในชุดดำที่โจนทะยานขึ้นไปดั่งเงาพราย ก็ไต่ไปได้ 1 ใน 3 ของระยะทางระหว่างผืนดินกับก้อนเมฆแล้ว


 


“เจ้านั่นน่ะเหรออัจฉริยะอายุไม่ถึงพันปีของนิกายปีศาจพันกร เอี้ยอวี่เฉิน ที่ลือกันว่าพึ่งทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 4 รูปได้ไม่นาน?”


 


“เป็นมัน! ข้าเคยติดตามอาจารย์ไปทำธุระ จึงได้พบเจอมันครั้งหนึ่ง!”


 


“เอี้ยอวี่เฉินผู้นี้ ในบรรดาอัจฉริยะอายุไม่ถึงพันปีของนิกายปีศาจพันกร เห็นว่าพลังฝีมือของมันติดอยู่ใน 3 อันดับแรก…ไม่ทราบว่าผลงานการไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงของมันจะออกมาเป็นเช่นไร”


 


“แดนลับอัจฉริยะจะเปิดขึ้นทุกๆพันปี ทั้งยังกำหนดเงื่อนไขว่าต้องอายุไม่ถึงพันจึงเข้าได้ หมายความว่าทุกคนล้วนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นที่จะเข้าสู่แดนลับอัจฉริยะ…ไม่เพียงแต่พวกเราเท่านั้นจะเข้ามาเป็นครั้งแรก พวกอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ก็พึ่งเข้ามาครั้งแรกเหมือนกัน”


 


“เอี้ยอวี่เฉินผู้นี้ หากให้วัดกันในบรรดาอัจฉริยะอายุไม่ถึงพันปีจริงๆ ข้าเชื่อว่าพลังฝีมือของมันเพียงอยู่กลางๆค่อนไปทางสูงเท่านั้น”


 



 


ได้ยินบทสนทนาของผู้ที่ยืนอออยู่ที่ตีนเขา ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบว่าร่างที่ห้อเหยียดไต่บันไดขึ้นเขาไปก็คือ เอี้ยอวี่เฉิน แห่งนิกายปีศาจพันกร


 


แน่นอนว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่ออีกฝ่ายมาก่อน


 


หลายปีที่ผ่านมา ตอนเขาอยู่ในนิกายอมตะเสวี่ยหยาก็เอาแต่พยายามทะลวงผ่านด่านพลัง ตอนออกไปหาโอกาสด้านนอกก็ไม่ได้สนใจเรื่องซุบซิบพวกนี้ จึงไม่รู้ว่าขุมกำลังระดับ 1 นั้นมีขุมกำลังอะไรบ้าง และแต่ละคนร้ายกาจอะไรกันแค่ไหน


 


“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราก็ไปลองดูกันเถอะ”


 


เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตั้งใจจะปีนยอดเขาแรงโน้มถ่วงเลย คล้ายกำลังเฝ้ารอดูคนอื่นก่อน ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยชวนฮ่วนเอ๋อและไปปีนยอดเขาแรงโน้มถ่วงทันที


 


แรกๆทั้งคู่ก็จับมือกันไปหมายช่วยกันไต่ขึ้นเขา แต่ไม่คิดว่าพอก้าวเข้าเขตขั้นบันไดแรก จะมีพลังไร้สภาพอ่อนหยุ่นขุมหนึ่งผลักพวกเขาให้แยกออกจากนั้น


 


เห็นได้ชัดว่ามีค่ายกลจำกัดเอาไว้ ว่าการไต่บันไดขึ้นเขา ทำได้แค่พึ่งพาตัวเอง ไม่อาจร่วมมือกับบใคร


 


“เจ้าพวกนั้นคิดไต่ขึ้นเขาด้วย!”


 


“ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร แต่พอเห็นพวกมันถูกจับแยกกันข้ารู้สึกสะใจพิกล…แม้ข้าจะไม่รู้จักพวกมันมาก่อนก็ตามที”


 


“เฮ่อ ใครใช้ให้ไอ้หนุ่มชุดม่วงนั่นมีสาวงามขนาดนั้นข้างกายเล่า ตราบใดที่เป็นผู้ชายและใช้การได้ อย่างไรก็ต้องมีอิจฉามันบ้าง…อย่าว่าแต่เจ้าเลย ตอนเห็นพวกมันจูงมือกันมา ข้าล่ะนึกอยากจะวิ่งผ่ากลางปล้อง ชนมือพวกมันให้แยกเสียให้รู้แล้วรู้รอด”


 



 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อคิดไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงด้วย ความสนใจของผู้ที่มายืนออใต้ยอดเขาแรงโน้มถ่วงก็หันกลับมาสนใจทั้งคู่อีกครั้ง ฟังจากคำพูดคำจาแต่ละคนเห็นชัดว่าอิจฉาต้วนหลิงเทียนกันไม่น้อย


 


“ไป! พวกเราจักรออันใด ขึ้นไปลุยกันเถอะ!!”


 


“จริง! ข้าก็ไม่เข้าใจว่าไฉนทุกคนพอมาถึงก็ละล้าละลังไม่มีใครขึ้นไปเสียที…ทั้งๆที่หากข้าจำไม่ผิดยอดเขาแรงโน้มถ่วงแต่ละแห่ง หากไต่ขึ้นไปเกิน 20,000 หมี่ ก็สามารถทิ้งชื่อเอาไว้ได้!!”


 


“เอ๊า! มีเรื่องเช่นนั้นด้วยรึ เช่นนั้นข้ารีบไปดีกว่า ให้ชื่อข้ามันขึ้นผ่านตาผู้คนสักวันก็ยังดี!!”


 



 


พริบตาต่อมา เหล่าคนที่ยืนออกันอยู่ ก็มีหลายสิบคนที่หิวแสง อยากชื่อขึ้นให้คนรู้จัก ก็เริ่มไต่บันไดยอดเขาแรงโน้มถ่วงเช่นกัน พากันโจนทะยานไล่ตามต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไปอย่างคึกคัก


 


‘อย่างที่คิด ยิ่งสูงขึ้นเท่าไหร่ แรงโน้มถ่วงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…’


 


ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่แป๊บๆ ก็ไต่บันไดขึ้นไปใกล้ถึงพันขั้น ก็ใกล้จะผ่านระยะทาง 10,000 หมี่แรกแล้ว


 


ตอนที่พวกเขาพึ่งเข้ามา ก็ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรมากนัก


 


และความเร็วที่ทั้งคู่ใช้ไต่ขั้นไดไปจนถึงระยะ 10,000 หมี่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเอี้ยอวี่เฉินแห่งนิกายปีศาจพันกรเลย กระทั่งกล่าวไปยังเร็วกว่าหลายส่วนด้วยซ้ำ


 


“เฮ่ เจ้า 2 คนนั่นมันเป็นใครกันแน่ ไฉนมันโดดโหยงๆขึ้นไปเร็วนักเล่า? นั่นมันเร็วกว้าเอี้ยอวี่เฉินอีกนะ!”


 


“ข้าก็ไม่รู้จัก…แต่หน้าตาดีขนาดนี้ ทั้งดูมากสง่าราศีแบบนั้น พวกมันจะใช่อัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 ที่ไหนสักแห่งหรือไม่?”


 


“ไม่น่านะ…พอดีน้องสาวข้าชมชอบติดตามข่าวสารอัจฉริยะหนุ่มของขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลาย จึงพลอยให้ข้ารู้จักอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 แทบทุกคน แต่ข้ากลับไม่รู้จักพวกมันเลย มามีพวกเจ้าก็ไม่รู้จักมันอีก เช่นนั้นข้าว่าทั้งคู่ไม่น่าจะใช่อัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 แล้วล่ะ”


 


“ไม่แน่อาจจะเป็นอัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 ที่ถูกซ่อนไว้เป็นไพ่ตาย เพื่อให้มาเปิดตัวในแดนลับอัจฉริยะ!”


 


“ใครจะไปรู้ล่ะ อาจจะเป็นแค่อัจฉริยะรากหญ้าก็ได้…”


 



 


เห็นการแสดงอันโดดเด่นของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ทำให้เหล่าผู้ที่ไต่บันไดอยู่ รวมถึงผู้ที่ยังชมดูเรื่องราวด้านล่างของยอดเขาแรงโน้มถ่วงอดไม่ได้ที่จะคาดเดากันไปเรื่อยเปื่อย


 


‘เอี้ยอวี่เฉินนั่นพอถึงขั้นที่ 1,600 ความเร็วในการไต่บันไดของมันก็เริ่มชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด’


 


หลังไต่บันไดขึ้นไปถึงขั้นที่ 1,000 ต้วนหลิงเทียนที่แหงนมองขึ้นไป ก็พบว่าเอี้ยอวี่เฉินที่นำอยู่เริ่มช้าลงแล้ว


 


อย่างไรก็ตามเอี้ยอวี่เฉินยังไม่ทันข้ามผ่านบันไดขั้นที่ 1,700 เลย นั่นหมายความว่าแค่ระดับความสูง 17,000 หมี่ ก็สร้างปัญหาให้มันแล้ว


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


ด้านต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อยังคงไต่บันไดขึ้นไปด้ววยความเร็วคงที่


 


ไม่นานนักในขณะที่เอี้ยอวี่เฉินไต่บันไดขึ้นไปถึงขั้นที่ 1,800 ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ไล่ตามอีกฝ่ายได้ทัน


 


“หืม?!”


 


เอี้ยอวี่เฉิน ผู้มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มในชุดสีดำ  ชักสีหน้าเคร่งขรึมทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่กระชั้นเข้ามาจากด้านหลัง สุดท้ายพอเห็นว่ามีคนไล่จี้มาจนตามทันแล้ว สีหน้ามันก็เผยความประหลาดใจอยู่บ้าง


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันเห็นหน้าค่าตาทั้ง 2 คนชัด มันก็อดไม่ได้ที่จะเผยความตกใจยกใหญ่ “อัจฉริยะรากหญ้ารึ!?”


 


ในฐานะอัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 อย่างนิกายปีศาจพันกร มันย่อมมั่นใจถึงที่สุดว่าในบรรดาขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลาย ไม่มีอัจฉริยะที่อายุน้อยกว่าพันปีอย่าง 2 คนนี้ดำรงอยู่แน่นอน!


 


อัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 มักมีงานที่ต้องพบปะสังสรรค์กันบ่อยครั้ง และตัวมันก็เข้าร่วมงานเหล่านั้นไม่เคยพลาด  ในระดับหนึ่งจึงกล้าพูดว่า…มันเคยเห็นอัจฉริยะที่มีอายุไม่ถึงพันของขุมกำลังระดับ 1 ทุกคน!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงมั่นใจตั้งแต่แรกเห็น…


 


ว่าสองคนที่บัดนี้ได้แซงมันไปแล้ว ไม่ใช่คนของขุมกำลังระดับ 1 แน่นอน!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


เอี้ยอวี่เฉินพึ่งเห็นหน้าตาฮ่วนเอ๋อกับต้วนหลิงเทียนทันไร ทั้ง 2 ก็วูบร่างไต่ขึ้นไปด้วยความเร็วแล้ว และพริบตาก็ทิ้งห่างมันไปถึง 49 ขั้นบันได


 


“กฏมิติงั้นรึ!?”


 


บัดนี้เอี้ยอวี่เฉินยังสังเกตเห็นรัศมีพลังสีเทาที่ปกคลุมไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออีกด้วย และจากกลิ่นอายพลังลี้ลับอันเป็นเอกลักษณ์นั่น มันก็ระบุได้ทันทีว่าทั้งคู่ใช้พลังของกฏมิติ!


 


“พับผ่าเถอะ! สองคนนั่นร้ายกาจกว่าเอี้ยอวี่เฉินซะอีก!!”


 


“ร้ายกาจจริงๆ จนบัดนี้ความเร็วของทั้งคู่ยังไม่ตกเลย…เช่นนี้สมควรข้ามผ่านระยะ 20,000 หมี่ได้แน่นอน!”


 


“พวกเจ้าดูแผ่นศิลาที่ตีนเขาสิ มีรายชื่อปรากฏออกมาไม่น้อยแล้ว…โหยวผิงจื่อ นั่นสมควรเป็นอัจฉริยะจากเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ ไป๋หลี่เซิง แค่แซ่ก็รู้ว่าเป็นอัจฉริยะของตระกูลไป๋หลี่แน่นอน ยังมีโอวหยางเฉิน ของตระกูลโอวหยาง…แล้วก็ ฯลฯ”


(ขอแก้ชื่อตระกูลไป๋ลี่ เป็นไป๋หลี่นะครับ)


 


เหล่าคนที่อยู่ใต้ยอดเขาแรงโน้มถ่วงเมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ตกใจไม่น้อย และในขณะที่พวกมันคาดเดาว่าทั้งคู่ต้องทะลุผ่านระยะ 20,000 หมี่และสามารถทิ้งชื่อไว้ได้แน่ ก็มีคนสังเกตเห็นแผ่ศิลาขนาดใหญ่ด้านล่าง ซึ่งบนศิลาดังกล่าวไม่ทราบปรากฏอักษรแสงแจ้งชื่อให้เห็นตั้งแต่เมื่อไหร่


 


ด้านหลังชื่อที่ปรากฏขึ้นมา ยังมีบอกระยะทางที่สามารถทำได้เอาไว้อีกด้วย


 


ตัวอย่างเฉินไป๋หลี่เซิงที่เดิมทีอยู่ในอันดับ 2 ด้วยจำนวนขั้นบันได 2,113 ขั้น อยู่ๆก็แซงขึ้นไปเป็นที่ 1ในพริบตา เอาชนะคนที่อยู่ในอันดับ 1 ก่อนหน้าได้


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


และในขณะที่ทุกคนด้านล่างกำลังให้ความสนใจกับรายชื่ออันดับที่พึ่งปรากฏขึ้น ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่ไต่บันไดบนยอดเขาแรงโน้มถ่วง ก็ก้าวขึ้นมาเหยียบบันไดขั้นที่ 2,000 เป็นที่เรียบร้อย


 


และทันทีที่เท้าย่ำเหยียยบบันไดขั้นที่ 2,000 ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันหนึ่งกดทับลงมาอย่างแรง แตกต่างจากก่อนหน้าลิบลับ


 


“พี่หลิงเทียนแรงกดดันที่นี่…ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเป็นอีกระดับเลย”


 


เสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อก็ดังขึ้นในหูเขาอยย่างประจวบเหมาะ


 


“ใช่ ข้าสัมผัสได้เหมือนกัน”


 


ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับ


 


“โปรดทิ้งชื่อของเจ้าเอาไว้”


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อพึ่งจะก้าวขึ้นมายังบันไดขั้นที่ 2,000 และพบว่าแรงกดดันได้เปลี่ยนไปเป็นหนักหน่วงขึ้น ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นในหู


 


พริบตาต่อมา ในความว่างเปล่าเบื้องหน้าทั้งคู่ ก็ปรากฏเงาพู่กันด้ามหนึ่งผุดขึ้น


 


อย่างไรก็ตามเงาพู่กันดังกล่าว พอต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเอื้อมมือออกไป ก็สามารถจับเอาไว้ได้ราวมีสภาพ! จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มเขียนชื่อตัวเองลงในอากาศ


 


เมื่อทั้งคู่เขียนชื่อตัวเองเสร็จแล้ว ชื่อของทั้งคู่ก็ไปปรากฏอยู่ท้ายตารางจัดอันดับบนศิลาก้อนเขื่องที่อยู่ด้านล่างยอดเขาแรงโน้มถ่วงทันที


 


ฮ่วนเอ๋อ 2,000 ขั้น


 


ต้วนหลิงเทียน 2,000 ขั้น


 


และทุกคนที่อยู่ใกล้ๆยอดเขาแรงโน้มถ่วงก็เริ่มสังเกตเห็นชื่อทั้งคู่


WSSTH ตอนที่ 3,224 : เฟิงชีชี


 


 


“ฮวนเอ๋อ? ต้วนหลิงเทียน? ข้าไม่คุ้นเลย แล้วพวกเจ้าเล่า มีผู้ใดเคยได้ยินรึเปล่า?”


 


“ดูเหมือนว่าทั้งคู่จักมิใช่คนของขุมกำลังระดับ 1!”


 


“ก่อนหน้านี้ชื่อที่ปรากฏขึ้นบนศิลาบอกอันดับดูเหมือนจักเป็นอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 หมดทั้งสิ้น…หรือ 2 ชื่อใหม่ที่พึ่งปรากฏขึ้น จักเป็นชื่อของอัจฉริยะรากหญ้า?”


 



 


ยอดเขาแรงโน้มถ่วงจุดอื่นภายในแดนลับอัจฉริยะ เริ่มได้ยินเสียงเอ่ยถามด้วยความสงสัยทำนองนี้ดังขึ้น


 


ในดินแดนทักษินยุทธ์ ขุมกำลังที่มีอัจฉริยะมากที่สุดแน่นอนว่าย่อมเป็นขุมกำลังระดับ 1


 


เนื่องเพราะขุมกำลังระดับ 1 ครอบครองแหล่งทรัพยากรมากมาย อัจฉริยะที่ถูกขุมกำลังระดับ 1 เพาะสร้างมาตั้งแต่ยังเด็ก เรียกว่าเติบโตมาบนกองทรัพยากร เช่นนั้นความสำเร็จของพวกมันย่อมสุดที่คนธรรมดาจะเทียบได้


 


ตอนนี้พอปรากฏสองชื่อที่ทุกคนสงสัยกันว่าจะเป็นอัจฉริยะรากหญ้าขึ้นมาบนศิลาจัดอันดับของยอดเขาแรงโน้มถ่วง จึงทำให้เหล่าอัจฉริยะรากหญ้าทั้งหลายที่เห็น อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นคึกคักขึ้นมาทันที!


 


ต้องทราบด้วยว่าในแดนลับอัจฉริยะนั้น จำนวนอัจฉริยะรากหญ้ามีมากกว่าอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 หลายเท่าตัว!


 


อย่างไรก็ตามแม้จะมีปริมาณมากกว่า แต่ทว่าคุณภาพกลับมิอาจเทียบกันได้เลย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เหล่าอัจฉริยะรากหญ้าทั้งหลายหดหู่ใจไม่น้อย


 


บัดนี้พอได้เห็นอัจฉริยะรากหญ้า 2 คนปรากฏชื่อขึ้นบนตารางอันดับยอดเขาแรงโน้มถ่วง ก็ทำให้เหล่าอัจฉริยะรากหญ้าที่สนใจอันดับของยอดเขาแรงโน้มถ่วงอดตื่นเต้นไม่ได้!


 


“มีอีกคนที่คาดว่าน่าจักเป็นอัจฉริยะรากหญ้าปรากฏขึ้นในอันดับยอดเขาแรงโน้มถ่วงแล้ว!!”


 


และในขณะที่ทุกคนกำลังชมมองชื่อต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไต่อันดับขึ้นไปถึงกลางตารางด้วยความรวดเร็ว ท้ายตารางก็ปรากฏชื่อไม่คุ้น ที่หลายคนคิดว่าน่าจะเป็นอัจฉริยะรากหญ้าขึ้นมาอีกคน!


 


โหวจื่อหลง 2,000 ขั้น


 


“โหวจื่อหลงรึ? ข้าไม่เคยได้ยินเลย…สมควรเป็นอัจฉริยะรากหญ้าไม่ผิดแน่!”


 


“น่าจะเป็นเช่นนั้น”


 


“ดูเหมือนว่าแดนลับอัจฉระเปิดออกรอบนี้ อาจจะมีอัจฉริยะรากหญ้าที่โดดเด่นหลายคน!”


 



 


เหล่าอัจฉริยะรากหญ้าที่เอาแต่จับจ้องศิลาจัดอันดับของยอดเขาแรงโน้มถ่วงโดยยังไม่คิดจะไปลองปีนดูด้วยตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเมื่อเห็นชื่ออัจฉริยะรากหญ้าปรากฏขึ้น และสร้างผลงานได้ไม่เลว


 


ตอนนี้รายชื่อผู้ที่ไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงถึงระดับความสูง 20,000 หมี่ ก็มีทั้งสิ้น 22 รายชื่อแล้ว


 


และต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ใช้เวลาสั้นๆในการไต่ขึ้นมาถึงอันดับที่ 4 และ 5…เบื้องหน้าพวกเขาทั้ง 2 มีคนอื่นๆที่ทำผลงานดีกว่าอีกแค่ 3 คนเท่านั้น และระยะทางก็ห่างอีกไม่มากแล้ว


 


“แรงกดดันเพิ่มขึ้นมากจริงๆ…”


 


หลังไต่ขึ้นถึงบันไดขั้นที่ 2,600 ของยอดเขาแรงโน้มถ่วง ต้วนหลิงเทียนก็แทบจะใช้พลังทั้งหมดแล้ว แต่เขายังรู้สึกกดดันมากอยู่ดี


 


“ฮ่วนเอ๋อ เจ้าไม่ต้องรอข้าแล้ว…ไต่ขึ้นไปก่อนเลย พยายามทำให้ดีที่สุด สู้ๆ!”


 


ต้วนหลิงเทียนหันกลับไปมองฮ่วนเอ๋อด้วยสีหน้าพึงพอใจ เอ่ยให้กำลังใจผ่านพลัง


 


เขาย่อมมองออกได้ไม่ยาก


 


ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อยังไม่ได้รู้สึกกดดันมากเหมือนเขา และสมควรไต่ขึ้นไปได้สูงกว่านี้อีกหลายขั้น


 


“อื้อ!”


 


เมื่อเห็นแววตาคาดหวังทั้งให้กำลังใจของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อก็พยักหน้ารับงุดๆแล้วโดดขึ้นบันไดไปเร็วไว


 


หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจนางก็สามารถแซงขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 3 ได้สำเร็จ


 


จากนั้นก็แซงขึ้นไปอู่ในอันดับที่ 2


 


สุดท้ายนางก็แซงขึ้นไปอู่ในอันดับที่ 1!


 


ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อไม่เพียงมีระดับพลังฝึกปรือเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนเท่านั้น แต่ยังตระหนักรู้ความลึกซึ้งของกฏมิติเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย เรียกว่าไล่ตามต้วนหลิงเทียนมาติดๆแล้ว


 


ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยจนหมดตั้งแต่ก่อนที่จะออกเดินทางจากหลิงหลัวเทียน


 


อย่างไรก็ตามหากด่านพลังฝึกปรือเขาไม่อาจทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะได้ เขาก็ไม่มีทางเขาใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้เลย…


 


และก่อนที่เขาจะเข้ามายังแดนลับอัจฉริยะครั้งนี้ เรียกวาเขาพึ่งทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดมาสดๆร้อนๆ อย่าว่าแต่จะมีเวลาใช้ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดยยกระดับความเข้าใจในกฏมิติ กระทั่งเวลาจะปรับด่านพลังให้เสถียรมั่นคงยังไม่มีด้วยซ้ำ…


 


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฮ่วนเอ๋อที่ใช้ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดมาโดยตลอด จึงมีความเข้าใจในกฏมิติแทบไม่น้อยไปกว่าเขาแล้ว


 


‘อย่างไรเสียถึงจะมีแรงกดดันไม่น้อย แต่หากข้าพยายามเต็มกำลัง เรื่องจะไต่ไปให้ถึง 30,000 หมี่ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร’


 


ต้วนหลิงเทียนแม้ว่าจะเริ่มไต่บันไดช้าลงทุกขณะ แต่เขาก็ยังไต่ขึ้นไปไม่หยุด ไม่ทันไรก็สามารถแซงขึ้นไปอยู่ที่ 3 ได้สำเร็จ เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะเริ่มไม่ไหวแล้ว


 


บริเวณตีนเขาแรงโน้มถ่วงทั้งหลาย บัดนี้ก็แทบหาความสงบไม่เจอ


 


“ให้ตายเถอะ! ฮ่วนเอ๋อผู้นั้น นางไต่ไปถึงอันดับ 1 ของอันดับยอดเขาแรงโน้มถ่วงแล้ว…นางขึ้นบันไดไปได้ถึง 2,932 ขั้น! ไม่ทราบนางจะขึ้นไปถึงขั้นที่ 3,000 ได้สำเร็จหรือไม่!?”


 


“ด้วยพลังของนางตอนนี้ต่อให้จะไต่ไปไม่ถึงขั้นที่ 3,000 แต่เผ่าหงส์ฟ้าโบราณกับตระกูลไป๋หลี่ต้องทาบทามนางแน่นอน และหากนางสามารถไต่ไปถึงบันได้ขั้นที่ 3,000 ได้จริง ข้าว่าเผลอๆกระทั่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ก็คงไม่อาจนั่งเฉยๆได้อีกต่อไป!”


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ถึงจะตกไปอยู่ที่ 5…เอ๊า ขึ้นมาอยู่ที่ 3 แล้ว! อัยยะ คราวนี้นับว่าทั้งคู่ให้หน้าอัจฉริยะรากหญ้าอย่างพวกเรายิ่ง!!”


 



 


ภายในแดนลับอัจฉริยะตอนนี้ ตามยอดเขาแรงโน้มถ่วง เหล่าอัจฉริยะรากหญ้าทั้งหลายพากันคึกคักออกหน้าออกตา ทำให้เหล่าอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 หน้าดำไม่น้อย


 


สุดท้ายเหล่าอัจฉริยะที่ยังไม่ได้สำแดงฝีมือไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วง ก็เริ่มลงมือไต่เขาทันที


 


ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการเพิ่มขึ้นของตัวเลขบันไดของพวกมัน ก็ไม่ได้ช้าเลย!


 


‘พอเท่านี้ก่อนดีกว่า…ถึงแม้จะยังไม่ถึงขีดจำกัด แต่ถ้าฝืนเช่นนี้นานๆก็ไม่เป็นผลดีกับด่านพลัง หากใช้เคลื่อนย้ายข้ามมิติก็สมควรบรรลุถึงบันไดขั้นที่ 3,000 นั่นได้ทันที แต่คงถูกแรงกดดันโถมเข้าใส่ในคราเดียวจนเจ็บตัวเปล่าๆ เรียกว่าทางไหนก็ได้ไม่คุ้มเสียสักนิด’


 


เมื่อขึ้นมาถึงบันไดขั้นที่ 2,839 ของยอดเขาแรงโน้มถ่วง ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจไม่ไปต่อ เลือกจะหยุดลงดื้อๆ


 


‘เอาไว้ไปปรับด่านพลังทั้งหาเวลาทำความเข้าใจกฏมิติก่อนสักพัก ค่อยมาปีนยอดเขาแรงโน้มถ่วงอะไรนี่ใหม่…อย่างไรเสียแดนลับอัจฉริยะแห่งนี้ก็เห็นว่าจะเปิดให้แข่งขันกันแบบนี้ 10 ปีเต็มๆ วันหน้ายังมีโอกาสทำผลงานถมเถ’


 


พอฉุกคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ทราบว่าจะรีบร้อนไปทำอะไร


 


มีเวลา 10 ปี


 


ด้วยมีผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุด เขามั่นใจว่าต้องสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้แน่นอน!


 


‘ฮ่วนเอ๋อกำลังจะขึ้นไปถึงขั้นที่ 3,000 แล้ว…’


 


หลังตัดสินใจไม่ไปต่อ ต้วนหลิงเทียนก็แหงนมองไปยังบันไดขั้นบนๆของยอดเขาแรงโน้มถ่วง จึงเห็นว่าฮ่วนเอ๋อกำลังเข้าใกล้บันไดขั้นที่ 3,000 มากขึ้นทุกขณะ


 


‘ดี’


 


ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นฮ่วนเอ๋อสามารถกระโดดครั้งขึ้นไปยืนบนบันไดขั้นที่ 3,000 ได้สำเร็จ


 


“พี่ใหญ่หลิงเทียน แรงกดดันยิ่งมายิ่งมากแล้ว”


 


หลังจากนั้นสักพัก เสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อพลันดังขึ้นในหูของต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง และแฝงความเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง


 


“ฮ่วนเอ๋อ ถ้างั้นพอเท่านี้ก่อนก็ได้…ไว้ครั้งหน้าค่อยมาลุยกันใหม่ วันนี้เจ้าทำได้ดีมากแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับทันที


 


หลังจากได้ลองทดสอบการปีนเขาแรงโน้มถ่วงด้วยตัวเอง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ากุญแจสู่ความสำเร็จนั้นนอกเหนือจากความแข็งแกร่งแล้ว ยังต้องอาศัยความอดทนต่อแรงกดดันจากยอดเขาแรงโน้มถ่วงอีก


 


ความแข็งแกร่งของเขากับฮ่วนเอ๋อ ในระดับจอมราชันอมตะทั่วไปนั้น ถือว่าสูงมาก


 


อย่างไรก็ตามในแดนลับอัจฉริยะแห่งนี้ ยังมีจอมราชันอมตะที่ด่านพลังฝึกปรือสูงกว่าเขากับฮ่วนเอ๋อหลายขั้นอยู่ ไม่ว่าจะจอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบ หรือจอมราชันอมตะ 6 ผสาน


 


และจอมราชันอมตะเหล่านั้น ไม่เพียงแต่ระดับพลังบ่มเพาะฝึกปรือของพวกมันจะเหนือกว่าเขากับฮ่วนเอ๋อ กระทั่งความเข้าใจในกฏยังเหนือกว่าพวกเขาอีกด้วย


 


‘ย้อนกลับไปในอดีตตอนที่ อวี่เจี้ยนเฉิน ประมุขคนปัจจุบันของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ สร้างสถิติที่ยอดเขาแรงโน้มถ่วง…ไม่เพียงด่านพลังจะบรรลุถึงจอมราชันอมตะ 6 ผสาน แต่สมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่! ที่สำคัญไม่น่าจะแค่ประการเดียว!!’


 


ก่อนที่จะลองไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วง ต้วนหลิงเทียนไม่อาจอนุมานใดๆได้


 


แต่ตอนนี้เขาที่ลองเจอแรงกดดันมากับตัวและเห็นสภาพากลำบากของฮ่วนเอ๋อ ย่อมพออนุมานได้ว่ามันเป็นอย่างไร


 


จากนั้นท่ามกลางสายตาของทุกคน ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็เลิกล้มการไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วง และกลับลงมายังตีนเขาด้วยกัน


 


คราวนี้เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกุมมือฮ่วนเอ๋อเอาไว้ หลายคนไม่รู้สึกอิจฉาต้วนหลิงเทียนอีกแล้ว และรู้สึกว่ามีเพียงบุรุษอย่างต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่คู่ควรกับสตรีงดงามเช่นนาง


 


“พี่ชายท่านนี้…ท่านสุดยอดมาก! เจ๋งโคตร!!”


 


“พี่ชายกับแม่นางท่านนี้ พวกท่านนับว่าทำให้อัจฉริยะรากหญ้าอย่างพวกเราได้หน้าไม่น้อยเลย”


 


“ว่าแต่พาชายกับแม่นางท่านนี้ เป็นอัจฉริยะรากหญ้าจริงๆใช่ไหม?”


 



 


เมื่อลงมาถึงตีนเขาแรงโย้มนอกจากเอี้ยอวี่เฉินของนิกายปีศาจพันกรแล้ว อัจฉริยะรากหญ้าทั้งหมดล้วนกรูเข้ามาทักทายถามไถ่ต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มอย่างคึกคัก แลดูกระตือรือร้นนัก


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ข้าเข้ามาแดนลับอัจฉริยะครั้งนี้ จุดประสงค์หลักก็เพราะคิดจะหาขุมกำลังอันดับ 1 เข้าร่วมนี่ล่ะ”


 


“โอ้ว! พี่ชายท่านนี้อย่าได้กังวลเรื่องนี้อีกเลย ด้วยความสามารถของท่านเมื่อครู่ ขุมกำลังระดับ 1 ไหน ก็ยินดีต้อนรับท่านหมดแน่”


 


“ใช่แล้วๆ”


 



 


หลังได้รับคำยืนยันว่าต้วนหลิงเทียนเป็นอัจฉริยะรากหญ้าจริงๆ เหล่าอัจฉริยะรากหญ้าทั้งหลายก็ยิ่งคึกคักไปกันใหญ่


 


ด้านเอี้ยอวี่เฉิน อัจฉริยะของนิกายปีศาจพันกรเอง ก็ก้าวเข้ามาหาต้วนหลิงเทียน สองตายังมองจ้องสลับไปมาระหว่าต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “สหายทั้ง 2 มิทราบสนใจเข้าร่วมนิกายปีศาจพันกรของข้าหรือไม่ หากต้องการข้าจักแนะนำพวกท่านด้วยตัวเอง”


 


ในสายตาของเอี้ยอวี่เฉิน หากมันสามารถดึงอัจฉริยะรากหญ้าที่แลดูร้ายกาจอย่างสองคนนี้มาเข้าร่วมนิกายปีศาจพันกรได้ ก็นับว่าสร้างผลงานใหญ่ได้สำเร็จแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม มันรู้ดีว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่เต็มใจเข้าร่วมนิกายของมัน


 


ท้ายที่สุดแล้วนิกายปีศาจพันกรของมัน ท่ามกลางขุมกำลังระดับ 1 มากมายของแดนทักษินยุทธ์ ก็มีพลังรบแค่กลางๆไม่ต่างจากขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลายมากนัก เรียกว่าไม่อาจเทียบกับเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ ตระกูลไป๋หลี่ และนิกายกระบี่หมื่นหายนะได้เลย


 


หากมันเป็น 1 ใน 2 คนเบื้องหน้า มันย่อมไม่คิดจะเข้าร่วมขุมกำลังระดับ 1 ทั่วไป และเลือก 3 ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดนั่นก่อนแน่


 


“ขอบคุณท่านมากสำหรับคำชวน แต่แดนลับอัจฉริยะเปิดนานถึง 10 ปี พวกเราก็ว่าจะลองดูไปก่อนค่อยตัดสินใจในปีหลังๆน่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มขอบคุณ และปฏิเสธคำชวนของเอี้ยอวี่เฉินอย่างสุภาพ


 


“แล้วแต่สหายจะสะดวกเลย นี่คือลูกแก้ววิญญาณของข้า ขอเพียงสหายสนใจคิดเข้าร่วมนิกายยปีศาจพันกรของข้า สามารถติดต่อมาหาข้าได้ทุกเวลา…ข้าเป็นศิษย์คนที่ 3 ของประมุขนิกาย เอี้ยอวี่เฉิน”


 


หลังจากเอี้ยอวี่เฉินมอบลูกแก้ววิญญาณให้ต้วนหลิงเทียนแล้ว มันก็จากไปทันที แต่ต้นจนจบไม่คิดเซ้าซี้สร้างความรำคาญอะไรให้ต้วนหลิงเทียนเลย


 


“อัจฉริยะรากหญ้าคนนี้ก็ร้ายกาจไม่เบาทีเดียว….มันไต่ถึงบันไดขั้นที่ 2,500 แล้ว แถมยังติดอยู่ใน 10 อันดับแรกแล้วด้วย!”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงกล่าวด้วยความชื่นชมหนึ่งดังขึ้น


 


พอหันไปดูเขาก็พบ่าในตารางอันดับยยอดเขาแรงโน้มถ่วง มีคนพุ่งเข้าสู่ 10 อันดับแรกได้สำเร็จ และมีชื่อว่า โหวจื่อหลง


 


หลังจากฟังคนรอบๆคุยกัน เขาก็ทราบได้ว่าอีกฝ่ายเป็นอัจฉริยยะรากหญ้าเหมือนกับเขาและฮ่วนเอ๋อ


 


‘ความแข็งแกร่งของโหวจื่อหลงผู้นี้นับว่าไม่เบาเลยทีเดียว’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


‘หืม?’


 


ทว่าทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันพบว่ามีชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นท้ายตาราง จากนั้นชื่อดังกล่าวก็พุ่งทะยานพรวดๆขึ้นมาด้วยความเร็วสูงล้ำ!


 


ไม่ทันไรชื่อดังกล่าวก็ไต่บันไดขึ้นไปถึงขั้นที่ 3,000 และความเร็วก็พึ่งจะมาชะลอตัวลงหลังถึงขั้นนี้!


 


แน่นอนว่าชื่อดังกล่าวไม่ทันไรก็แซงขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 1 และเบียดฮ่วนเอ๋อให้ตกไปอยู่อันดับที่ 2


 


“เฟิ่งชีชี!”


 


“เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ที่อายุไม่ถึงพันปีของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ เฟิ่งชีชี!!”


 


“ร้ายกาจเหลือเกิน…ความเร็วในการไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงของเฟิ่งชีชี นับว่าขู่ขวัญผู้คนแทบตายแล้ว แค่พริบตาเดียวนางกลับไต่ขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่ 3,300!”


 


“อย่างไรก็ตามตอนนี้ดูเหมือนความเร็วของนางจักตกลงแล้ว…ดูท่าคงยากที่นางจะไปได้ถึงบันไดขั้นที่ 3,500”


 



 


เมื่อได้ยินเสียงแตกตื่นฮือฮาจากผู้คนโดยรอบ ต้วนหลิงเทียนจึงรู้ว่าชื่อ เฟิ่งชีชี ที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นบนตารางจัดอันดับและพุ่งทะยานพรวดๆ ที่แท้ก็คืออัจฉริยะอันดับ 1 ที่อายุน้อยกว่าพันปีของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ


 


ที่สำคัญที่สุดก็คือ…


 


เฟิ่งชีชีเป็นสตรี!


 


“เฟิ่งชีชี…แซ่เฟิ่ง…ไม่รู้ป่านนี้เทียนหวู่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”


 


ด้วยความที่เฟิ่งชีชีมีแซ่ว่าเฟิ่ง ต้วนหลิงเทียนจึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึง เฟิ่งเทียนหวู่ สตรีที่เต็มใจสละได้กระทั่งชีวิตเพื่อช่วยเขาในอดีต…


WSSTH ตอนที่ 3,225 : ลูกชายประมุขนิกายปีศาจพันกร!


 


 


การที่เฟิ่งชีชีสามารถขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ของยอดเขาแรงโน้มถ่วง และปีนบันไดขึ้นไปได้ถึง 3,400 ขั้นแล้ว ก็ดึงดูดความสนใจของผู้ที่อยู่บริเวณตีนเขาแรงโน้มถ่วงนัก!


 


กระทั่งคนที่กำลังไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงเดียวกับเฟิ่งชีชี ยังถึงกับหยุดลงชั่วคราว พากันแหงนมองเฟิงชีชีด้านบนกันยกใหญ่


 


เฟิ่งชีชี 3,432 ขั้น


 


เฟิ่งชีชี 3,433 ขั้น


 



 


จำนวนขั้นบันไดของเฟิ่งชีชียังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าความเร็วในการเพิ่มมันช้าลงอย่างมาก สุดท้ายกว่าจะขึ้นไปได้แต่ละขั้นก็กินเวลาถึง 10 กว่าลมหายใจ


 


สุดท้ายเฟิ่งชีชีก็หยุดลงตรงบันไดขั้นที่ 3,462 ของยอดเขาแรงโน้มถ่วง


 


แต่กระนั้นความสำเร็จของนางก็นับว่าโดดเด่นไม่น้อย


 


ตอนนี้แม้ฮ่วนเอ๋อจะอยู่ในอันดับที่ 2 หากแต่ช่องว่างระหว่างนางกับอันดับ 1 ก็กว้างมาก…


 


“ร้ายกาจจริงๆ! สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ที่มีอายุไม่ถึงพันปีของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ…ความสามารถของเฟิ่งชีชีคนนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่า อวี่เจี้ยนเฉิน ประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะในอดีตสักเท่าไหร่”


 


“มิผิด ย้อนกลับไปในตอนนั้น สถิติของอวี่เจี้ยนเฉินก็คือ 37,870 หมี่ หรือก็คือไปถึงบันไดขั้นที่ 3,787…วันนี้เฟิ่งชีชีหยุดลงที่บันไดขั้นที่ 3,462 นับว่าห่างกันอีกแค่ 300 กว่าขั้นเท่านั้น!”


 


“เฮ่อ อัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 ไม่ใชอะไรที่อัจฉริยะรากหญ้าอย่างเราๆจะเทียบได้เลย”


 


“น่าทึ่งจริงๆ”


 


“ว่าแต่มีผู้ใดสังเกตบ้างหรือไม่…ตอนนี้ไม่ว่าจะอันดับ 1 หรืออันดับ 2 ของยอดเขาแรงโน้มถ่วง ล้วนแล้วแต่เป็นอิตรีทั้งสิ้น! หรือบุรุษอย่างพวกเราไม่อาจสู้สตรีทั้ง 2 ได้จริงๆ?!”


 



 


ขณะที่เฟิ่งชีชีหยุดลงที่บันไดขั้นที่ 3,462 ของยอดเขาแรงโน้มถ่วง และกลายเป็นอันดับ 1 คนใหม่ ผู้คนที่อยู่บริเวณตีนเขาแรงโน้มถ่วงในแดนลับอัจฉริยะก็เริ่มคึกคักขึ้นมาทันตาเห็น


 


เฟิ่งชีชี นับเป็นอัจฉริยะที่โด่งดังทั้งมีชื่อเสียงในแดนทักษินยุทธ์ไม่น้อย เพราะนางคืออัจฉริยะอันดับ 1 ในบรรดาคนที่มีอายุไม่ถึงพันปีของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ


 


อย่างไรก็ตามเกือบทุกคนรู้แค่ว่านางน่าทึ่งและร้ายกาจมาก แต่ไม่เคยประมือกับนาง หรือเห็นนางลงมือกับตา ทำให้ไม่ทราบว่าที่แท้นางร้ายกาจอย่างไรกันแน่…


 


วันนี้ด้วยมีความสำเร็จดังกล่าว ทำให้หลายๆคนเริ่มตระหนักถึงพลังสามารถของเฟิ่งชีชี


 


เดิมทีเพราะผลงานของฮ่วนเอ๋อ ทำให้เหล่าอัจฉริยะรากหญ้าคึกคักทั้งฮึกเหิมไม่น้อย แต่พอเห็นความสำเร็จที่เหนือกว่ากันอย่างมากของเฟิ่งชีชี ก็ทำให้เหล่าอัจฉริยะรากหญ้าจ๋อยกันไปเป็นแถบ


 


แต่หลายคนก็คิดว่าฮ่วนเอ๋อทำได้ดีมากแล้ว


 


“พวกเจ้าดูเร็ว มีอีกคนที่กำลังไต่ขึ้นยอดเขาแรงโน้มถ่วง หลังขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่ 2,000 ก็พุ่งพรวดขึ้นมาเลย”


 


“นั่นมันไป๋หลี่หงเฟย!”


 


“ไป๋หลี่หงเฟยอัจฉริยะอันดับ 1 ที่มีอายุน้อยกว่าพันปีของตระกูลไป๋หลี่! ว่ากันว่าพลังฝีมือของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเฟิ่งชีชีแม้แต่น้อย!”


 


“รอดูเถอะ ว่าสุดท้ายมันจะขึ้นไปถึงขั้นใดกันแน่!”


 



 


ชื่อที่พึ่ปรากฏขึ้นและไต่อันดับยอดเขาแรงโน้มถ่วงด้วยความเร็ว ก็คืออัจฉริยะอันดับ 1 ของตระกูลไป๋หลี่ ไป๋หลี่หงเฟย!


 


ชั่วพริบตาเดียวไป๋หลี่หงเฟงก็ไต่ขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่ 3,000 แล้ว


 


หลังจากนั้นความเร็วของมันก็เริ่มตกลง


 


และยิ่งมาก็ยิ่งชะลอตัวลงเรื่อยๆ แต่ละขั้นใช้เวลาเป็นสิบๆลมหายใจ


 


จนสุดท้ายมันก็ไปหยุดลงที่บันไดขั้นที่ 3,466 ซึ่งสูงกว่าเฟิ่งชีชีแค่ 4 ขั้นเท่านั้น…


 


“สูงกว่าเฟิ่งชีชี 4 ขั้น…เช่นนั้นหมายความว่าพลังฝีมือของมันเหนือกว่าเฟิ่งชีชีน่ะสิ!”


 


หลายคนคิดไปในทำนองดังกล่าว


 


เป็นธรรมดาว่าบางคนไม่คิดแบบนั้น “เฟิ่งชีชีปีนขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่ 3,462 ก่อนไป๋หลี่หงเฟย การไปได้สูงกว่า 4 ขั้นมิได้บ่งบอกว่าไป๋หลี่หงเฟยจะเหนือกว่านาง เพียงเพราะมันปีนขึ้นเขาทีหลัง และเห็นผลงานของเฟิ่งชีชีแล้ว จึงมีแรงผลักดันมากกว่า”


 


“จริง ข้าเองก็คิดแบบนั้น หากลองให้ไป๋หลี่หงเฟยไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงก่อน แล้วให้เฟิ่งชีชีไปทีหลัง ข้าว่าเฟิ่งชีชีก็ไปได้สูงกว่ามัน!”


 



 


ต้วนหลิงเทียนที่ฟังบทสนทนาขอผู้คนรอบๆอยู่ ก็รู้สึกเห็นด้วยกับเรื่องนี้


 


เมื่อมีตัวเปรียบเทียบ ย่อมมีแรงผลักดันเพิ่มขึ้น!


 


หลังเฟิ่งชีชีพุ่งทะลวงขึ้นไปเกินความสูง 30,000 หมี่ และไปได้ไกลกว่าฮ่วนเอ๋อ นางก็เสมือนไร้คู่แข่งแล้ว ในเมื่อไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัด สภาวะจิตใจจะมากจะน้อยก็ต้องมีหย่อนคล้อยกันบ้าง


 


กลับกัน ด้านไป๋หลี่หงเฟยนั้น ไม่พ้นมันต้องเต็มไปด้วยแรงผลักดันที่จะเหนือกว่าเฟิ่งชีชีแต่แรก แถมดูจากช่วงสุดท้ายที่ใช้เวลาเนิ่นนานนัก เผลอๆมันอาจจะเค้นเรี่ยวแรงดูดนมมารดาออกมาทั้งหมด เพื่อปีนบันไดต่ออีก 4 ขั้นก็เป็นได้…


 


‘หากดันทุรังฝืนตัวแล้วไปได้อีกแค่ 4 ขั้น…ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของไป๋หลี่หงเฟยอาจเทียบเฟิงชีชีไม่ได้’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


หลังจากไป๋หลี่หงเฟยแล้ว ก็ไม่มีอัจฉริยะที่โดดเด่นคนไหนไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงอีก


 


เช่นนั้นแม้จะผ่านไปกว่า 2 เค่อ ฮ่วนเอ๋อก็ยังคงรั้งอยู่อันดับที่ 3


 


“พวกเราไปกันเถอะฮ่วนเอ๋อ”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเดินทางออกจากยอดเขาแรงโน้มถ่วง เพราะสุดท้ายแล้วแดนลับอัจฉริยะก็ไม่ได้มีแค่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงเท่านั้น


 


“พี่หลิงเทียน ท่านพบแล้วหรือไม่…ว่าหลังจากที่พวกเราไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วง ดูเหมือนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างมันจะแข็งแกร่งและเพิ่มพูนขึ้นเล็กน้อย”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าว


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่ฮ่วนเอ๋อพูด ต้วนหลิงเทียนก็ลองตรวจสอบพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของตัวเองดูทันที และพบว่าด่านพลังของเขาเริ่มเสถียรและแข็งแกร่งมากขึ้น รวมถึงปริมาณก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจริงๆ


 


‘ดูเหมือนว่าการอาศัยแรงกดดันจากยอดเขาแรงโน้มถ่วงมาเคี่ยวกรำ จะช่วยขัดเกลาพลังได้เล็กน้อย’


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายขึ้นมาวาบหนึ่ง


 


‘ได้ยินมาว่าในแดนลับอัจฉริยะมีสถานที่ทดสอบที่เรียกว่า ฟ้าดินแห่งกฏ อยู่ด้วย…ในนั้นผู้ที่เข้าทดสอบสามารถยกระดับความเข้าใจในกฏของตัวเองผ่านการประมือกับจิตวิญญาณค่ายกล’


 


ต้วนหลิงเทียนีเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนที่จะเข้าสู่แดนลับอัจฉริยะ


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงสนใจสถานที่ทดสอบที่เรียกว่าฟ้าดินแห่งกฏพอสมควร


 


หลังเดินทางไปสักพัก โดยอาศัยการถามทางเอาจากผู้ที่บังเอิญพบเจอ ในที่สุดต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ฮก็มาถึงสถานที่อันเรียกว่า ฟ้าดินแห่งกฏ


 


สถานที่ๆเรียกว่าฟ้าดินแห่งกฏในแดนลับอัจฉริยะไม่ได้มีมากเหมือนยอดเขาแรงโน้มถ่วง


 


ยอดเขาแรงโน้มถ่วงนั้น มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 99 แห่ง


 


ทว่า ฟ้าดินแห่งกฏ นั้นมีเพียงแค่ 9 แห่งเท่านั้น


 


ด้วยเหตุนี้เมื่อต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมาถึง เขาก็พบว่ามีผู้คนมาเฝ้ารอกันอยู่เป็นร้อยๆคนแล้ว เรียกว่าอย่างต่ำก็มีสามร้อยกว่าคน!


 


และนี่ยังเป็นเพราะผู้คนส่วนใหญ่ไปออกันอยู่ที่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงอีกด้วย


 


ฟ้าดินแห่งกฏนั้น ตั้งอยู่ในสถานที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ เมื่อมาถึงบริเวณพื้นที่ราบลุ่มแห่งนี้ มองไปจะพบพื้นที่อันมีพลังแห่งกฏผันผวนอยู่เป็นจุดๆ ซึ่งมีระยะและอาณาเขตชัดเจน ตั้งอยู่ห่างกันมากพอสมควร


 


พลังแห่งกฏที่ผันผวนในพื้นที่เหล่านั้น ก็คือพลังแห่งกฏที่อัดแน่นอยู่ในฟ้าดิน


 


และแต่ละพื้นที่ก็เป็นอิสระ แยกออกจากกันเป็นเอกเทศน์


 


ทุกพื้นที่ดังกล่าวก็มีผู้คนเข้าไปทดสอบอยู่ คิดจะเข้าไปทดสอบเกรงว่าต้องรอถ่ายเดียว…


 


พื้นที่แห่งกฏดังกล่าว เมื่อเข้าไปแล้วจะปรากฏจิตวิญญาณค่ายกลก่อตัวขึ้นมา ซึ่งอิงจากระดับความเข้าใจในกฏและด่านพลังฝึกปรือของตัวผู้เข้าทดสอบ ไม่ว่าท่านใช้กฏอะไรและมีด่านพลังฝึกปรือขั้นไหน จิตวิญญาณค่ายกลก็จะมีเหมือนท่าน


 


แต่สิ่งที่แตกต่างกันและเป็นจุดสำคัญเลยก็คือ…ประสบการณ์ในการต่อสู้ของจิตวิญญาณค่ายกลนั้น มันคือประสบการณ์การต่อสู้ของจักรพรรดิอมตะทั่วไป! ทำให้มีน้อยคนนักที่จะสามารถต่อสู้กับจิตวิญญาณค่ายกลที่นี่ได้!!


 


ในสถานที่ทดสอบ ฟ้าดินแห่งกฏ นั้น คนที่สามารถต่อสู้เสมอกับจิตวิญญาณค่ายกลได้ก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว!


 


ผู้ที่สามารถเอาชนะจิตวิญญาณค่ายกลได้ ไม่เพียงแต่จะได้รับของรางวัลจากสถานที่ทดสอบฟ้าดินแห่งกฏตามผลงานเท่านั้น แต่ยังจะได้รับความสนใจจากทุกคนอีกด้วย!


 


นั่นเพราะตราบใดที่มีคนสามารถต่อสู้เอาชนะจิตวิญญาณค่ายกลในพื้นที่ทดสอบฟ้าดินแห่งกฏได้ สถานที่ทดสอบฟ้าดินแห่งกฏจะทำการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ว่าผู้เข้าทดสอบชื่อนี้ สามารถเอาชนะจิตวิญญาณค่ายกลได้!


 


และในช่วงระยะเวลา 10,000 ปีที่ผ่านมา สาเหตุที่อัจฉริยะรากหญ้า 2 คนได้รับการทาบทามจากเผ่าหงส์ฟ้าโบราณและตระกูลไป๋หลี่นั้น เพราะทั้งคู่สามารถเอาชนะจิตวิญญาณค่ายกลได้นั่นเอง!


 


“จึกๆๆ…ช่างเป็นแม่นางน้อยที่งดงามยิ่งนัก!!”


 


ทว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมาถึงฟ้าดินแห่งกฏ กลับมีชายยหนุ่มในชุดหรูหรา หน้าตาแลดูชั่วร้ายชอบกล ก้าวอาดๆเข้ามาพร้อมพัดขนนกในมือที่โบกวีใส่ตัวเบาๆ


 


“ข้าคืออวิ๋นเซียวจากนิกายปีศาจพันกร มิทราบแม่นางเรียกว่าอะไร?”


 


ชายหนุ่มหน้าตาแลดูชั่วร้ายพอก้าวอาดๆมาถึงมันก็ไม่แยแสต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย เพียงหยีตามองถามฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้มถือดี


 


อย่างไรก็ตาม ฮ่วนเอ๋อกระทั่งหางตายังไม่คิดจะเหลือบแลมัน เมินเฉยโดยสมบูรณ์


 


“ไสหัวไป!”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนฉายประกายเย็นชาวาบหนึ่ง ตะคอกคำออกไปด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น


 


“ไอ้หนู เจ้าคงไม่รู้กระมังว่าข้าอวิ๋นเซียวเป็นใคร? ข้านายน้อยคือบุตรชายของประมุขนิกายปีศาจพันกร เจ้าหาญกล้าล่วงเกินข้ารึ?”


 


ตอนนี้เองชายหนุ่มชุดหรูหน้าตาชั่วร้ายก็หันมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นชาแฝงอำมหิต “ข้าจักให้โอกาสเจ้าคุกเข่าโขกหัวขอขมาข้า 3 ครั้ง…จากนั้นก็รีบไสหัวไปให้ห่างนางเสีย หาไม่แล้วข้าจักฆ่าเจ้าให้ตาย!!”


 


พอกล่าวจบคำ ทั่วร่างชายหนุ่มก็ปรากฏแสงพลังสีดำพวยพุ่งออกมาหนาเตอะ ประหนึ่งหมอกทมิฬปิดฟ้าบังตะวัน!


 


ความเคลื่อนไหวเตะตาจุดนี้ ก็ดึงดูดความสนใจผู้คนที่รอทดสอบฟ้าดินแห่งกฏไม่น้อย


 


“หืม? เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นเผลอไปล่วงเกินอวิ๋นเซียวเข้ารึ?”


 


“อวิ๋นเซียวผู้นี้ไม่เพียงแต่จะเป็นอัจฉริยะของนิกายปีศาจพันกร แต่มันยังเป็นลูกชายคนเดียวของประมุขนิกายปีศาจพันกรอีกด้วย…แล้วเจ้าชุดม่วงนั่นเป็นผู้ใดมาจากไหนกัน? ไฉนกล้าไปล่วงเกินมันได้?”


 


“ข้าว่าเจ้าหนุ่มนั่นมันไม่ได้ไปล่วงเกินอวิ๋นเซียวตรงที่ใด แต่อวิ๋นเซียวสมควรเป็นฝ่ายไปหาเรื่องเจ้าหนุ่มนั่นก่อนมากกว่า…”


 



 


หลายคนแลเห็นต้วนหลิงเทียนตั้งแต่ที่มาถึง จึงพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่บางคนนก็พึ่งหันมาเห็นตอนมีเรื่องกันแล้ว


 


“พลังฝีมือของอวิ๋นเซียวนั่น ในนิกายปีศาจพันกรมันก็นับว่าไม่ใช่ชั่ว…กลับกันด้านชายหนุ่มชุดม่วงนั่น ลักษณะหน้าตาของมันข้าไม่คุ้นเลย สมควรเป็นอัจฉริยะรากหญ้าไม่ผิดแน่…เช่นนั้นข้าเกรงว่ามันจะซวยแล้วล่ะ”


 


หายคนอดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสงสาร


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับอวิ๋นเซียวมองหน้ากันตาขวาง ราวพร้อมจะชักดาบออกมาจ้วงแทงพุงกันได้ทุกเมื่อ จนผู้คนพากันจับจ้องให้ความสนใจกับทั้งคู่ รอลุ้นว่าผู้ใดจะเปิดก่อน…


 


ทว่าทันใดนั้นเอง อยู่ฮ่วนๆเอ๋อที่อยู่ข้างต้วนหลิงเทียน พลันลงมือเคลื่อนไหวในฉับพลัน!


 


ท่ามกลางทุกสายตาเหลือเชื่อของทุกคน ฮ่วนเอ๋อเพียงยกมือขึ้นตวัดฟันออกไปฉับไว ปรากฏคลื่นพลังสะบั้นสีเทาสายหนึ่ง พุ่งไปผ่ากลางร่างอวิ๋นเซียวออกเป็นสองเสี่ยง!


 


และในขณะที่ฮ่วนเอ๋อลงมือ อวิ๋นเซียวก็ยืนอึ้งไปราวตัวโง่งมถูกฟ้าผ่า ไม่มีทีท่าว่าจะต้านทานขัดขืนอะไรแม้แต่น้อย!


 


“คิดฆ่าพี่หลิงเทียน สมควรตาย!”


 


ฮ่วนเอ๋อเหลือบมองศพอวิ๋นเซียวด้วยสายตาเย็นชา กล่าวออกด้วยน้ำเสียงชวนให้ผู้คนรู้สึกเหน็บหนาวจับใจ


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 



 


เห็นฮ่วนเอ๋ออยู่ๆก็ระเบิดพลังสังหารในฉับพลันแบบนี้ กอปรทั้งวาจาอำมหิตที่กล่าวกับศพอวิ๋นเซียวทิ้งท้าย เหล่าผู้ที่มุงชมเรื่องราวอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าอย่างเหน็บหนาว มองฮ่วนเอ๋ออีกครั้ง สายตาแต่ละคนยังทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ!


 


“สตรีนางนี้จะไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยหรือ? เจ้านั่นมันอวิ๋นเซียวของนิกายปีศาจพันกรเชียวนะ! ถึงแม้มันจะไม่ใช่อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในนิกายปีศาจพันกร แต่ก็จัดเป็นชนชั้นอัจฉริยะที่มีพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงมันยังปีนบันไดไปได้ 2,300 ขั้น…”


 


“สตรีนางนั้นเข่นฆ่ามันได้ในพริบตา…นอกจากนี้ในเมื่อนางกล้าฆ่าอวิ๋นเซียว ก็บอกให้รู้ว่าความเป็นมาของนางไม่ธรรมดาแน่ ถึงขั้นไม่เห็นนิกายปีศาจพันกรอยู่ในสายตา มิทราบที่แท้นางมาจากขุมกำลังใดกัน?”


 


“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”


 


“ว่าแต่พวกเจ้าได้ยินหรือไม่…เมื่อครู่นางเรียกหาเจ้าหนุ่มชุดม่วงข้างๆว่า พี่หลิงเทียน?”


 


“หลิงเทียน…อย่าบอกนะว่าจะเป็นต้วนหลิงเทียน? อัจฉริยะรากหญ้าที่พึ่งมีชื่อปรากฏขึ้นในอันดับยอดเขาแรงโน้มถ่วง?”


 


“ว่ากันว่าฮ่วนเอ๋อที่ขึ้นบันไดไปได้ 3,000 ขั้นนิดๆเป็นสหายของมัน…หรือฮ่วนเอ๋อที่ว่าจะเป็นสตรีนางนี้?”


 


“สมควรใช่แล้วล่ะ! เมื่อครู่สหายข้าที่ส่งข่าวมาบอก ยังกำชับด้วยว่าฮ่วนเอ๋อที่ว่าเป็นโฉมงามไร้คู่เปรียบ ใต้หล้ายากหาใดเสมอเหมือน…เจ้าเองก็เห็นนางแล้ว เช่นนั้นเจ้าเคยเห็นสตรีนางใดงดงามเทียบนางได้หรือไม่เล่า?”


 



 


หลายคนเริ่มคุยกันอยากออกรส ไม่นานก็คาดเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อได้


 


“หากข้าจำไม่ผิด ไม่ใช่ว่าทั้งคู่สมควรเป็นอัจฉริยะรากหญ้าหรือไร? อาศัยอัจฉริยะรากหญ้าสองคน ถึงกับกล้าสังหารอวิ๋นเซียวเชียวหรือ?”


 


“ฆ่าอวิ๋นเซียวก็ไม่ต่างอะไรจากตบหน้าประมุขนิกายปีศาจพันกร หลังกลับออกไปจากแดนลับอัจฉริยะ ไม่พ้นทั้งคู่ต้องโดนประกาศิตสั่งตายแน่…นอกเสียจากทั้งคู่จะเข้าร่วมขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้ง 3 และได้รับการคุ้มครอง…ไม่งั้นข้าไม่เห็นทางรอดเลย”


 


“เหอะๆ หากทั้งคู่อยากให้ขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดออกหน้าคุ้มครอง ข้าเกรงว่าอาศัยความสามารถที่เผยออกตอนนี้ยังไม่พอ…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)