War sovereign Soaring The Heavens 3214-3217

 WSSTH ตอนที่ 3,214 : หุบเขาน้ำแข็ง


 


 


 


ทุ่งน้ำแข็งทางตอนเหนือของแดนทักษินยุทธ์นั้น นอกจากนิกายอมตะระดับ 6 อย่างนิกายเสวี่ยหยาแล้ว ยังมีขุมกำลังระดับ 6 อื่นๆอีก 3 ขุมกำลัง


 


หนึ่งในนั้นเป็นนิกายอมตะระดับ 6 เช่นกัน ส่วนอีก 2 ขุมกำลังเป็นตระกูลระดับ 6


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อได้กลายเป็นผู้อาวุโสทรงเกียรติของนิกายอมตะเสวี่ยหยาแล้ว ทั้งคู่ก็ได้พักอาศัยในหุบเขาที่ผู้อาวุโสสูงสุดทั้ง 2 ของนิกายเคยใช้ เพราะที่นี่คือสถานที่ๆมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุดในนิกายอมตะเสวี่ยหยา


 


กระทั่งประมุขนิกายอมตะเสวี่ยหยาเอง ยังมีสถานที่บ่มเพาะไม่ดีเท่านี้


 


อีกทั้งหุบเขานี้ยังจัดเป็นสถานที่ต้องห้ามของนิกายยอมตะเสวี่ยหยาอีกด้วย นอกจากประมุขและตัวผู้อาวุโสสูงสุดทั้ง 2 แล้วคนอื่นๆของนิกายอมตะเสวี่ยหยาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้มีผู้ที่สามารถเข้ามาได้เพิ่มขึ้น 2 คน ก็คือต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อนั่นเอง


 


“พี่หลิงเทียน ข้าชอบที่นี่จัง”


 


ในบ้านลานเล็กๆที่ปลุกสร้างไว้มุมหนึ่งของหุบเขา ห่วนเอ๋อที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในลาน กำลังโล้ชิงช้าเล่นอย่างสนุกสนานราวเด็กน้อย หันไปยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนไม่ไกล


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังนั่งละเลียดชาที่พึ่งได้มาอยู่


 


ผู้อาวุโสสูงสุดทั้ง 2 ของนิกาอมตะเสวี่ยหยาได้มอบชาให้เขามาป้านหนึ่ง เรียกว่าหยาดน้ำฟ้าลอยเมฆ และมันเป็นชาที่นิกายอมตะเสวี่ยหยาปลูกเอง ผู้ที่มีด่านพลังฝึกปรือต่ำกว่าขุนนางอมตะ หากดื่มเป็นประจำยังมีส่วนช่วยในการบ่มเพาะพลังไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามสำหรับต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เขาทำได้แค่ลิ้มรสชาติมันเท่านั้น


 


และต้องบอกเลยว่ามันรสชาติดีไม่เบา


 


“ในเมื่อฮ่วนเอ๋อชอบก็อยู่ที่นี่เพื่อบ่มเพาะฆ่าเวลา…มีนิกายอมตะเสวี่ยหยาเป็นหูเป็นตา หากพบโอกาสใดๆ พวกเราก็จะได้รู้จากนิกายอมตะเสวี่ยหยา และสามารถเข้าร่วมแข่งขันช่วงชิงได้ทันท่วงที”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม


 


“หืม?”


 


ทว่าทันใดนั้นเอง คล้ายต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สองตาเขาจึงกวาดมองไปนอกลานทิศทางหนึ่ง


 


ปรากฏร่าง 3 ร่างกำลังเดินเข้ามา สองผู้ชราที่เดินนำหน้านั้นเขาคุ้นหน้าแล้ว เพราะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดทั้ง 2 ที่เขาเคยเจอ…ส่วนชายวัยกลางคนที่เดินตามหลังทั้งคู่มาต้อยๆ ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะพึ่งเคยเห็นอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ยากที่เขาจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


 


ประมุขนิกายยอมตะเสวี่ยหยา ไฉฉงอี้


 


“อาวุโสทรงเกียรติฮ่วนเอ๋อ อาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียน”


 


ทั้ง 3 เดินมาถึงประตูทางเข้าลานก็หยุดลง และชายชราทั้ง 2 ก็ให้เสียงทักทายออกมามากเคารพ


 


“เข้ามาเถอะ”


 


จนเมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวเชิญ ทั้ง 3 จึงกล้าที่จะเดินเข้ามา


 


ตอนนี้เองก็เป็นชายวัยกลางที่อยู่ด้านหลังชายชราทั้ง 2 ก้าวออกมาประสานมือโค้งคารวะทักทายต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออย่างนอบน้อม “ข้าน้อย ประมุขนิกายเสวี่ยหยา ไฉฉงอี้ ขอคารวะท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้งสอง”


 


“ยินดีที่ได้พบประมุขไฉ…ว่าแต่ไฉนพวกท่านมากันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำทักทายด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะกวาดตามองทั้ง 3 แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย


 


ชายชราทั้ง 2 นั้นเป็นอาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะเสวี่ยหยาแห่งนี้ ชายชราที่แลดูรูปร่างสูงใหญ่กว่าด้านซ้ายเรียกว่า เหลี่ยนชิวเหอ ซึ่งถูกฮ่วนเอ๋อทุบตีจนเปลี้ยนในหนึ่งกระบวนท่า เรียกว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฮ่วนเอ๋อเลย!


 


ต้องทราบด้วยว่าแม้อีกฝ่ายจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันแล้ว ก็ไม่อาจต้านทานหนึ่งกระบวนท่าที่ฮ่วนเอ๋อลงมือส่งๆได้ไหว


 


สำหรับชายชราร่างผอมที่อยู่ด้านขวานั้นเรียกว่า เห่าวั่ง และหลังเห็นเหลี่ยนชิวเหอไม่ใช่คู่มือฮ่วนเอ๋อเลย มันก็ยืงนิ่งขาตาย ไม่กล้าแม้แต่จะลงมือ


 


ทั้ง 2 เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายอมตะเสวี่ยหยาแล้ว เป็นดั่งเสาหลักที่นิกายอมตะเสวี่ยหยาไม่อาจขาดได้


 


“ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2 ข้าน้อยมีบางเรื่อง ไม่ทราบว่าท่านจะยินดีออกหน้าช่วยเหลือพวกเราสักครั้งได้หรือไม่”


 


เหลี่ยนชิวเหอกล่าวออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ


 


“ไหนลองว่ามา”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามเหลี่ยนชิวเหอด้วยความสงสัย ว่าอีกฝ่ายจะให้เขาช่วยเหลือเรื่องอะไร


 


หากเป็นเรื่องที่เขาทำได้ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยพวกมัน เพราะสุดท้ายเขากับฮ่วนเอ๋อก็ตั้งใจจะพักอาศัยอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝนบ่มเพาะ และอาศัยกำลังของพวกมันหาทรัพยากร


 


“เรื่องเป็นเช่นนี้…”


 


จากนั้นเหลี่ยนชิวเหอก็เริ่มปริปากกล่าวอธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวออกมา “ลึกเข้าไปในทุ่งน้ำแข็ง มีหุบเขาน้ำแข็งลี้ลับแห่งหนึ่ เมื่อไปบ่มเพาะสั่งสมพลังที่นั่นไม่เพียงแต่จะสามารถดูดวับพลังวิญญาณฟ้าดินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ยังสามารถสัมผัสได้กฏน้ำแข็งอีกด้วย”


 


“สถานที่ลี้ลับแห่งนั้น  เป็นนิกายอมตะเสวี่ยหยาของพวกเรากับอีก 3 ขุมกำลังของทุ่งน้ำแข็งทางตอนเหนือแห่งนี้พบเจอในเวลาไล่เลี่ยกัน…เดิมทีพวกเราก็ตกลงกันว่าแต่ละขุมกำลังจักผลัดกันเข้าไปใช้หุบเขาน้ำแข็งลี้ลับนั่นขุมกำลังละ 3 เดือน…ต่อมาภายหลังเมื่อข้ากับเห่าวังพลังฝีมือก้าวหน้าไม่ทันจอมราชันอมตะอีก 3 ขุมกำลัง เช่นนั้นพวกมันจึงรวมหัวกันบีบเวลาเข้าใช้หุบเขาน้ำแข็งของนิกายเสวี่ยหยาเรา จาก 3 เดือนลดมาเหลือเพียงแค่ 1 เดือน…”


 


“ตอนนี้เมื่อนิกายอมตะเสวี่ยหยาเรามีท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้งสองแล้ว พวกเราจึงคิดจะไปทวงงเวลาที่สมควรเป็นของนิกาอมตะเสวี่ยหยาของพวกเรากลับมา”


 


“แต่ข้ามิทราบว่า…ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติจินดีออกหน้าช่วยเหลือสักครั้งหรือไม่”


 


หลังกล่าวถามประโยคนี้ออกไป เห็นได้ชัดว่าเหลี่ยนชิวเหอแลดูประหม่าไม่น้อย เพราะสุดท้ายแล้วทั้ง 2 คนเบื้องหน้าก็พึ่งจะมาเข้าร่วมนิกายอมตะเสวี่ยหยาของพวกมันได้ไม่ทันไร พวกมันยังไม่ได้มอบผลประโยชน์อะไรให้อีกฝ่ายเลย แต่กลับขอให้อีกฝ่ายช่วยออกหน้าลงแรงแล้ว จึงดูไม่เกรงใจอยู่บ้าง


 


“มีสถานที่อะไรแบบนั้นด้วยรึ?”


 


ได้ยินสิ่งที่เหลี่ยนชิวเหอพูด ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที เพราะเขารู้ดีว่าสถานที่ลึกลับดังกล่าว ไม่มีทางก่อให้เปิดปรากฏการณ์ประหลาดแบบนี้โดยไร้สาเหตุแน่นอน ต้องมีบางสิ่งลี้ลับซ่อนอยู่เป็นแน่!


 


ดุจเดียวกับสถานที่ลี้ลับทั้งหลายที่ขุมกำลังระดับสูงมักแย่งกันครอบครอง ปกติแล้วในสถานที่ลี้ลับทั้งหลาย มักมีทรัพยากรหรือสมบัติล้ำค่าบางอย่าง จึงเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์ได้


 


หากทรัพยากรหรือสมบัติล้ำค่าที่ว่าถูกเอาไป สถานที่ลี้ลับดังกล่าวก็จะกลายเป็นสถานที่ธรรมดาทันที


 


“ใช่”


 


เห่าวั่งพยักหน้า


 


“พวกท่านไม่ได้ตรวจสอบกันรึ ว่าที่นั่นมีอะไรซุกซ่อนอยู่กันแน่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ตรวจสอบ แต่พวกเราทำอะไรไม่ได้…เพราะภายใต้สถานที่แห่งนั้นมีค่ายกลอันทรงพลังยิ่ง พวกเราเหล่าจอมราชันอมตะเคยร่วมมือกันจู่โจมแล้ว แต่กลับถูกค่ายกลสะท้อนพลังกลับจนแทบตาย…”


 


เห่าวั่งคลี่ยิ้มขื่นขม “ด้วยเหตุนี้หลังจากที่พวกเราเจ็บตัวไปตามๆกัน ก็ไม่มีใครคิดจะสืบค้นความลับอันใดอีก…ยิ่งไปกว่านั้นการที่มีดินแดนสักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับบ่มเพาะพลัง รวมถึงทำความเข้าใจกฏน้ำแข็ง ก็ทำให้พวกเราพอใจมากแล้ว”


 


“พวกมันรวมหัวกันบีบเวลาพวกท่านแบบนี้ หรือพวกมันไม่กลัวว่าวันหนึ่งพวกท่านจะนำเรื่องนี้ไปโพทนา?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


 


“เป็นเพราะพวกมันกลัวพวกเราทำเช่นนั้นนั่นล่ะ พวกมันจึงเหลือเวลาให้พวกเราเข้าใช้หุบเขาน้ำแข็งนั่น 1 เดือน หาไม่แล้วสักเดือนพวกมันก็ไม่เว้นให้…”


 


เหลี่ยนชิวเหอกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม


 


“เอาล่ะพวกท่านนำทางไปเถอะ…ข้ากับฮ่วนเอ๋อจะไปดูหน่อย”


 


ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความสนใจใคร่รู้ในสถานที่ลับแห่งนั้นไม่น้อย จึงกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อที่โล้ชิงช้าอยู่ จากนั้นก็ติดตามทั้ง 3 ออกจากลานไป


 


ทั้ง 5 เดินทางออกจากนิกายอมตะเสวี่ยหยา และมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือ


 


หลังจากเดินทางได้ราวๆ 1 เค่อ ความเร็วในเการะเหาะเหินของ 3 ร่างเบื้องหน้าก็ช้าลง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอก็เลยชะลอตัวลงตาม


 


และตอนนี้ทุกคนก็มาเหินร่างลอยอู่ด้านนอกหุบเขาน้ำแข็งแห่งหนึ่ง


 


“อากาศแถวนี้เย็นจริงๆ”


 


เมื่อมองลงไปยังหุบเขาน้ำแข็งเบื้องล่าง แม้จะอยู่ด้านนอกหุบเขา แต่ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกด้านใน ราวกับต้นตอไอเย็นดังกล่าว เพียงพริบตาก็สามารถแช่ร่างเขาให้แข็งไปถึงกระดูกก!


 


“ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2 นี่คือสถานที่ๆพวกเรากล่าวถึง”


 


ประมุขนิกายอมตะเสวี่ยหยา ไฉฉงอี้ กล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อออกมาอย่างประจวบเหมาะ


 


“ตามข้อตกลงในอดีต ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนสมควรถึงรอบที่นิกายอมตะเสวี่ยหยาของพวกเราจะได้เข้าใช้หุบเขาน้ำแข็งแล้ว…หากยึดตามข้อตกลงเดิมถึงพวกเราจะเข้าใช้ตอนนี้ ก็ยังเหลือเวลาอีก 2 เดือนครึ่ง”


 


เหลี่ยนชิวเหอกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอย่างวาดหวัง “ดังนั้นพวกเราจึงหวังให้ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2 ออกหน้าทวงคืนเวลา 2 เดือนของพวกเรากลับมา…และวันหน้าพวกท่านก็สามารถแบ่งใช้สถานที่แห่งนี้กับพวกเราเพื่อบ่มเพาะพลังและตระหนักรู้กฏน้ำแข็ง…”


 


“หากพวกท่านเข้าไปในหุบเขา เวลาที่ใช้ในการตระหนักรู้กฏน้ำแข็งจักรวดเร็วยิ่ง…หากพวกเราได้บ่มเพาะฝึกฝนที่นี่ปีละ 3 เดือน อย่างมากพันปี ความตระหนักรู้ในกฏน้ำแข็งของพวกเรา ก็สมควรก้าวหน้าเหนือกฏที่พวกเราตระหนักรู้อยู่ตอนนี้…”


 


เหลี่ยนชิวเหอคิดว่าคำพูดของตัวเองนั้น สมควรเย้ายวนใจต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อเป็นอย่างมาก แต่อันที่จริงเรื่องที่มันถูดไม่ได้ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อสนใจอะไรมากนัก


 


“ว่าแต่พวกท่านรวมถึงจอมราชันอมตะของ 4 ขุมกำลัง ไม่อาจเข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะร่วมกันได้หรือ? ไฉนต้องมาแบ่งให้แต่ละขุมกำลังผลัดกันใช้รอบละ 3 เดือนด้วย?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


 


“ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียน ท่านยังไม่ได้เข้าไปยังสถานที่แห่งนี้จึงมิอาจรู้…”


 


เห่าวั่งคลี่ยิ้มขื่นขมกล่าวอธิบาย “การฝึกฝนบ่มเพาะในนั้น ยิ่งมีคนเข้าไปใช้น้อยเท่าไหร่ ผลกระทบก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น…ไม่ว่าจะความเร็วในการบ่มเพาะพลังก็ดี หรือความเร็วในการตระหนักรู้กฏน้ำแข็งก็ดี”


 


“เช่นนั้นหมายความว่า หากข้ากับฮ่วนเอ๋อเข้าไปใช้ ความเร็วในการบ่มเพาะรวมถึงความเร็วในการตระหนักรู้กฏน้ำแข็งของพวกท่านก็จะช้าลงด้วยสิ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้ว พลางถาม


 


“เป็นเช่นนั้นจริง”


 


เห่าวั่งพยักหน้า “อย่างไรก็ตามพวกเรา 3 คนคุยกันแล้ว…ว่าหากพวกท่านสามารถทวงคืนเวลา 2 เดือนมาได้ เช่นนั้นพวกเราทั้ง 3 จักใช้เวลา 1 เดือนเพื่อเข้าไปฝึกฝนร่วมกัน ส่วนอีก 2 เดือนที่เหลือก็ยกให้ท่านอาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2”


 


“นอกจากนั้นในช่วงเวลา 1 เดือนของพวกเรา หากผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2 ไม่รังเกียจก็สามารถเข้าไปบ่มเพาะกับพวกเราได้”


 


เห่าวั่งกล่าว


 


“แบบนี้พวกท่านก็แทบไม่ได้อะไรเลยน่ะสิ”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้ม


 


“คนเรามีชีวิตอยู่ด้วยใบหน้า…หากท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2 ช่วงชิงเวลา 2 เดือนของพวกเราคืนมาได้ ก็เสมือนให้หน้าพวกเราและยังเป็นการกู้หน้าให้นิกายอมตะเสวี่ยหยาของพวกเรา เท่านี้พวกเราก็พอใจแล้ว”


 


เหลี่ยนชิวเหอกล่าว


 


“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยชวนพลางเหินร่างนำฮ่วนเอ๋อเข้าไปในหุบเขาน้ำแข็งที่ฟุ้งตลบไปด้วยไอเย็นยะเยือกทันที


 


เขาเหินร่างเข้าสู่หุบเขาได้ไม่ทันไร ก็เริ่มแลเห็นร่าง 4 ร่างที่นั่งหลับตาบ่มเพาะพลังอยู่ด้านล่าง เป็นชายวัยกลางคน 2 คน และชายชรากับชายหนุ่มอย่างละคน


 


“ผู้ใด!?”


 


และเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนฮ่วนเอ๋อเหินร่างเข้ามา ทั้ง 4 ที่นั่งหลับตาบ่มเพาะอยู่ก็ลืมตาทั้งยืนขึ้น แหงนขึ้นมามองจ้องต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อทันที


 


“คนของนิกายอมตะเสวี่ยหยา!”


 


ครู่ต่อมาชายชราคล้ายหูตาว่องไวกว่าใคร เหลือบไปเห็นอาวุโสสูงสุดทั้ง 2 ของนิกายอมตะเสวี่ยหยาที่เหินร่างตามต้วนหลิงเทียนกับอ่วนเอ๋อก่อนอีก 3 คน


 


“พวกเจ้าจะออกไปเอง…หรือให้ข้าส่งพวกเจ้าออกไป?”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองร่างทั้ง 4 รอบหนึ่งค่อยเอ่ยออกเสียงเบา


 


“ไฉฉงอี้ เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร? ไฉนพวกเจ้าถึงได้พาคนนอกมาที่นี่? หรือพวกเจ้าลืมเลือนข้อตกลงที่พวกเรา 4 ขุมกำลังเห็นพ้องต้องกันแล้ว?”


 


ชายหนุ่ม 1 ในบรรดาร่างทั้ง 4 มองไฉฉงอี้ด้วยสายตาดุร้ายหน้าตาถมึงทึง เอ่ยถามออกไปเสียงหนัก!


WSSTH ตอนที่ 3,215 : ค่ายกล มหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็ง


 


 


ไฉฉงอี้ เหลี่ยนชิวเหอ เห่าวั่ง


 


“ถงจิน 2 ท่านนี้มิใช่คนนอก”


 


หลังชายหนุ่มเบื้องล่างตะคอกจบคำ ไฉฉงอี้ก็เอ่ยออกเสียงเรียบ “ทั้งคู่คือผู้อาวุโสทรงเกียรติที่พึ่งจักเข้าร่วมกับนิกายอมตะเสวี่ยหยาของพวกเราเมื่อไม่นานมานี้”


 


“ท่านนี้คือผู้อาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียน ส่วนท่านนี้คืออาวุโสทรงเกียรติฮ่วนเอ๋อ”


 


ไฉฉงอี้เกริ่นเล็กน้อย ค่อยผายมือแนะนำต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อออกมาให้ทั้ง 4 เบื้องล่างที่แต่ละคนกำลังชักสีหน้าอัปลักษณ์ได้รู้จัก


 


“อาวุโสทรงเกียรติทั้งสอง พวกมันล้วนเป็นคนของตระกูลถง…ตระกูลถงก็คือ 1 ใน 4 ขุมกำลังระดับ 6 ของทุ่งน้ำแข็งทางตอนเหนือ ถงจินผู้นั้นก็คือผู้นำตระกูล ส่วนอีก 3 คนที่เหลือเป็นชนชั้นอาวุโสระดับสูง”


 


หลังกล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อให้อีกฝ่ายรู้จักแล้ว ไฉฉงอี้ ก็กล่าวบอกความเป็นมาของทั้ง 4 ให้ต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อรับทราบต่อ


 


“ฮ่วนเอ๋อ พวเรามาโยนพวกมันออกไปข้างนอกกันเถอะ”


 


เมื่อเห็นว่าทั้ง 4 เบื้องล่างไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด ต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองพวกมันด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย ค่อยหันไปยิ้มกล่าวกับฮ่วนเอ๋อ


 


“ได้เลยพี่หลิงเทียน”


 


ฮ่วนเอ๋อขานรับเร็วไว สองตากลมฉายแววจ้า จากนั้นพลังวิญญาณมหาศาลขุมหนึ่งก็กำจายออกจากร่างนางเร็วไว ปกคลุมไปยังร่างทั้ง 4 ในฉับพลัน!


 


และทันทีทั้ง 4 ถูกพลังวิญญาณของฮ่วนเอ๋อปกคลุม ลูกตาพวกมันก็หดเล็กลงทั่วร่างเสมือนถูกผนึกแข็ง และทันใดนั้นเองร่างต้วนหลิงเทียนที่ไม่ทราบวูบมาผุดโผล่ด้านหลังพวกมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็หวดเตะใส่ก้นพวกมันเต็มข้อ!


 


ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!


 



 


กว่าที่ทั้ง 4 จะเคลื่อนไหวร่างได้อีกครั้งพวกมันก็ถูกเตะโด่งลอยละลิ่วปลิดปลิวออกมานอกหุบเขาน้ำแข็งแล้ว ร่างยังกระแทกพิ้นกลิ้งหลุนๆไปพักหนึ่ง เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัวว โดยเฉพาะก้นพวกมันที่ระบบนัก คงยากจะนั่งลงได้อีกหลายวัน!


 


จังหวะนี้สีหน้าทั้ง 4 เปลี่ยนไปใหญ่หลวง


 


มองไปยังฮ่วนเอ๋อกับต้วนหลิงเทียนที่อยู่ภายในหุบเขาน้ำแข็งอีกครั้ง ดวงตายังฉายแววหวาดกลัวถึงที่สุด


 


“บ้าไปแล้ว! ทั้ง 2 นั่นจากกลิ่นอายพลังยังไม่ใช่จอมราชันอมตะด้วยซ้ำ ไฉนพวกมันถึงได้น่ากลัวนัก เมื่อครู่นางทำอะไรกันแน่? และเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น หากมันไม่ยั้งมือเอาไว้ พวกเราไม่ถูกมันเตะตายคาเท้าไปแล้วหรือ!?”


 


ชายชราของตระกูลถงเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงหวาดผวาเสียขวัญ


 


“สตรีนางนั้นเมื่อครู่นางใช้พลังวิญญาณอันใดกัน แถมระดับพลังของนางยังเป็นแค่ราชาอมตะ 10 ทิศเท่านั้น…ที่สำคัญเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นยังเป็นแค่ราชาอมตะ 9 ตำหนักด้วยซ้ำ แต่ไฉนถึงได้ร้ายกาจนักเล่า!?”


 


สีหน้าชายวัยกลางคนตอนนี้บิดเบี้ยวอัปลักษณ์เหลือเกิน เพราะกลิ่นอายพลังวิญญาณของฮ่วนเอ๋อกับกลิ่นอายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียน ได้เปิดเผยพลังฝึกปรือของทั้งคู่ออกมาหมดสิ้น


 


ที่แท้คนที่เตะโด่งจอมราชันอมตะเช่นพวกมันทั้ง 4 ออกนอกหุบเขาน้ำแข็งได้อย่างง่ายดาย ยังเป็นเพียงราชาอมตะ!


 


หากเมื่อก่อนมีผู้ใดมาบอกพวกมันว่ามีราชาอมตะที่ร้ายกาจถึงขั้นเตะตูดพวกมันจนปลิวได้ง่ายๆแบบนี้ ให้ตายพวกมันก็ไม่มีวันเชื่อแน่นอน!


 


แต่ตอนนี้ พอมาโดนดีกับตัว ต่อให้ไม่อยากจะเชื่อแค่ไหนก็ต้องเชื่อ!


 


“ข้าว่าเป็นพวกเราประมาทพวกมันมากเกินไปมากกว่า! หาไม่แล้วไฉนอยู่ๆจะโดนพวกมันเล่นงานได้ง่ายๆแบบนี้?”


 


ถงจินเอ่ยออกเสียงหนัก


 


“ข้าก็คิดแบบนั้น”


 


ชายวัยกลางคนอีกคน ก็เอ่ยออกมาอย่างเห็นด้วย


 


ครู่ต่อมาพวกมัน 2 คนก็เหินร่างขึ้นไปในอากาศทีละคน เห็นได้ชัดว่าคิดลุยกลับเข้าไปในหุบเขาน้ำแข็งอีกรอบ


 


“หากยังกล้าเข้ามาอีก…ถ้างั้นวันนี้ก็อย่าหวังจะได้ไปไหน


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเย็น


 


“ฮ่าๆๆๆ…ข้าขอบังอาจแนะนำพวกเจ้าทั้ง 4 สักครา ว่าอย่าได้ลองดีเสียประเสริฐกว่า กระทั่งข้ากับสหายเหลี่ยนร่วมมือกัน ยังมิใช่คู่มือผู้อาวุโสทรงเกียรติคนใหม่ของนิกายอมตะเสวี่ยหยาสักท่านเลย”


 


เห่าวั่งกล่าวด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน


 


แน่นอนว่าที่มันกล่าวออกมาก็เพราะคิดจะขู่ให้ทั้ง 4 หวาดกลัวโดยเฉพาะ และทั้ง 4 ก็หวาดกลัวจริงๆ สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปในฉับพลัน จากนั้นก็เลือกจะถอนตัวจากไป


 


“ไฉฉงงอี้ เหลี่ยนชิวเหอ เห่าวั่ง…เวลาในหุบเขาน้ำแข็งของนิกายอมตะเสวี่ยหยาพวกเจ้า มิใช่แค่ตระกูลถงของข้าเท่านี้ที่กำหนด หากพวกเจ้าคิดจะทวงคืนเวลาทั้ง 3 เดือนกลับคืน เจ้าต้องได้รับความยินยอมจากพวกเรา 3 ขุมกำลังทั้งหมด!”


 


ก่อนจากไป ถงจินกวาดตาเย็นชามองไฉฉงอี้กับพวก พร้อมเอ่ยทิ้งท้ายเสียงเข้ม “พวกเราจักไปเยือนนิกายอมตะเชียนฉวิน กับตระกูลซือถูเดี๋ยวนี้…ข้าหวังว่าพวกเจ้านิกายอมตะเสวี่ยหยาจักสามารถโน้มน้าวพวกเรา 3 ขุมกำลังได้สำเร็จ!”


 


กล่าวจบคำทั้ง 4 ก็เหินร่างจากไปเร็วไว


 


“หึ! พวกมันไปขนจอมราชันอมตะทั้งหมดมาแล้วะจะอย่างไร? มีผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2 อยู่ หากพวกมันยังกล้าโอหัง ก็อย่าได้โทษที่นิกายอมตะเสวี่ยหยาเราจักยึดหุบเขาน้ำแข็งไว้แต่เพียงผู้เดียว!”


 


เหลี่ยนชิวเหอสบถกล่าวออกมาเสียงเย็น


 


“ไฉนท่านพูดแบบนั้นเล่า…ไม่ใช่ว่าเดิมทีท่านบอกจะให้พวกข้าช่วยทวงคืนเวลา 2 เดือนของนิกายอมตะเสวี่ยหยากลับมาก็พอหรือไร?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวแซว


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ไฉฉงอวี้กับพวกที่กำลังคึกคักก็คลี่ยิ้มเขินอายออกมาทันที


 


หลังกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมาให้ความสนใจหุบเขาน้ำแข็ง เพราะเขาเองก็สัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่หนาแน่นบรูณ์จริงๆ หากเขาบ่มเพาะพลังที่นี่พร้อมด้วยความช่วยเหลือจากพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาต้องเพิ่มขึ้นแน่


 


นอกจากนั้นในหุบเขาน้ำแข็งแห่งนี้ เขายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายยะเยือกเสียดกระดูก กลิ่นอายดังกล่าวช่างลึกลับเหลือเกิน เพราะบางครั้งเขาก็รู้สึกเสมือนว่ามันดำรงอยู่ แต่วินาทีต่อมากลับหายไปแล้ว ยากเข้าใจได้จริงๆ


 


‘กฏน้ำแข็งงั้นรึ’


 


พอฉุกคิดถึงคำพูดก่อนหน้าของพวกไฉฉงอี้ทั้ง 3 ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก  ว่านี่สมควรเป็นพลังอำนาจของกฏน้ำแข็งแน่นอน


 


สิ่งที่เป็นดั่งนามธรรมเช่นกฏนั้น ไม่อาจจับต้องได้ มีเพียงต้องบรรลุความเข้าใจมันด้วยตัวเองเท่านั้น


 


“พี่ใหญ่หลิงเทียน…ดูเหมือนจะมีบางอย่างอยู่ที่นี่ล่ะ กลิ่นอายของมันมาจากตรงนั้น!”


 


ทันใดนั้นเองเสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อก็ดังขึ้นในหูเขา


 


ต้วนหลิงเทียนก็ลองแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบทันที จึงตระหนักถึงสิ่งที่ฮ่วนเอ๋อบอก “นั่นสมควรเป็นค่ายกลประหลาดที่ทั้ง 3 เคยบอกไว้…ค่ายกลที่จอมราชันอมตะทั้งหมดในแถบนี้ร่วมมือกันยังไม่อาจทำลายมันได้”


 


“พี่หลิงเทียนค่ายกลนี้ทรงพลังมากจริงๆ…อย่างไรก็ตามในมรดกความทรงจำของข้าดูเหมือนจะมีเรื่องราวของค่ายกลนี้บันทึกเอาไว้ด้วย เหมือนมันจะเรียกว่า ค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็ง…เป็นค่ายกลที่มีไว้กักเก็บ สิ่งเย็นจัด โดยเฉพาะ”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวอต้วนหลิงเทียน


 


“ค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็ง?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะทวนคำด้วยความสงสัย จากนั้นจึงลองกล่าวถามเทพเบญจธาตุในร่างทั้ง 3 ดู “พวกท่านมีผู้ใดรู้จักค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งบ้างหรือไม่?”


 


เทพเบญจธาตุทั้ง 3 ในร่างเขา จะทองเทพสุดลี้ลับก็ดี เพลิงเทพโกลาหลก็ดี หรือจะปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ทุกคนล้วนมีความทรงจำอันเก่าแก่โบราณผ่านวันเวลามาเนิ่นนาน ไม่ต่างอะไรกับสารานุกรมเดินได้ เขาเชื่อว่าถ้าค่ายกลหหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งทรงพลังมากพอ ทั้ง 3 ต้องรู้จักแน่…


 


“หืม? ค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งรึ?”


 


“เจ้าหนู ไฉนเจ้าถามเรื่องนี้…หรือเจ้าพบเจอมัน?”


 


เสียงเพลิงเทพโกลาหลและทองเทพสุดลี้ลับดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง น้ำเสียงฟังแล้วูเหมือนจะแปลกใจกันไม่น้อย


 


“หากที่เจ้าพบเจอเป็นค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งจริงๆ เช่นนั้นมันต้องกำลังกักเก็บบางสิ่งที่เย็นจัดอยู่แน่ๆ…โดยทั่วไปแล้วสมบัติฟ้าดินที่มีคุณสมบัติเย็นจัดถึงขั้นต้องใช้ค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งกักเก็บเอาไว้ จักมีคุณค่าสูงล้ำสำหรับจิตวิญญาณศาสตรา…ดูท่าคงมีใครพบเจอสมบัติฟ้าดินเย็นจัดแต่ยังไม่มีเวลาหรือไม่สะดวกจะใช้ จึงตั้งค่ายกลนี่เพื่อกักเก็บเอาไว้ก่อน หมายกลับมาใช้ในภายหลัง…”


 


เสียงเด็กยังไม่หย่านมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นตบท้าย และฟังดูมันก็แปลกใจไม่น้อยเหมือนกัน


 


“เฮ่ เจ้าหนู! หากที่เจ้ากำลังพบเจอเป็นค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งจริงๆ อย่างน้อยๆผู้ที่จัดตั้งมันได้ก็ต้องเป็นชนชั้นยอดฝีมือของเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานาม…เจ้าอย่าได้ทะลึ่งใช้กำลังเด็ดขาด ไม่งั้นมีหงายเงิบแน่! สิ่งที่เจ้าทำได้คือปล่อยให้หวงเอ้อเข้าไปตรวจสอบดูว่านางใช้ประโยชน์ขากของด้านในได้รึเปล่า อย่างไรเสียนางก็คือจิตวิญญาณกระบี่ ค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งย่อมไม่ปิดกั้นนาง”


 


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวสืบต่อ


 


“หวงเอ้อ?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลง ก่อนจะกล่าววเห็นด้วย “ตามนั้น”


 


ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของพวกไฉฉงอี้ทั้ง 3 ต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็ยกมือขึ้นและตบฟาดพลังฝ่ามือออกไปยังพื้นเบื้องล่างจนก่อให้เกิดหลุมน้ำแข็งขนาดใหญ่ทั้งลึกไม่ใช่เล่นๆ แต่ไม่ทันไรก็ปรากฏไอเย็นยะเยือกทั้งแสงสว่างสาดส่องออกมาจากก้นหลุมน้ำแข็งที่ว่า


 


“ขออาวุโสทรงเกียรติโปรดระวัง นั่นเป็นค่ายกลที่พวกเราเคยกล่าวถึง!”


 


ไฉฉงอี้เอ่ยออกเสียงขรึม “ท่านอาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียน ค่ายกลนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง! ต่อให้เป็นจอมราชันอมตะสมญานาม ข้าเกรงว่าคงไม่อาจทะลวงฝ่าได้ ท่าน…”


 


ในขณะที่ไฉฉงอี้คิดกล่าวเกลี้ยกล่อมต้วนหลิงเทียน ด้านต้วนหลิงเทียนกลับไม่ได้สนใจจะฟังมัน เลือกที่จะโดดลงไปในหลุมน้ำแข็งหน้าตาเฉย


 


เห็นฉากดังกล่าวสีหน้าคนนิกายอมตะเสวี่ยหยาทั้ง 3 ก็เปลี่ยนไปทันที ทว่าพวกมันพึ่งจะก้าวเท้าเดินออกไปได้ไม่ทันไร ฮ่วนเอ่อกลับก้าวเข้ามาหยุดขวางพวกมันเอาไว้ก่อน


 


“ผู้อาวุโสทรงเกียรติฮ่วนเอ๋อ พวกเรามิได้มีเจตนาใดเพียงแค่อยากเตือนผู้อาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียนว่าอย่าได้วู่วามโจมตีค่ายกลเด็ดขาด! เพราะค่ายกลนี้มิใช่ค่ายกลธรรมดา ยิ่งใช้พลังจู่โจมมันมากเท่าไหร่ ก็จักยิ่งถูกพลังสะท้อนทำร้ายกลับรุนแรงมากเท่านั้น!!”


 


เหลี่ยนชิวเหอคลี่ยิ้มเจื่อนๆ


 


“อาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียนโปรดระวังด้วย ตรวจสอบค่ายกลให้แน่ชัดเสียก่อน อย่าได้วู่วามลงมือเต็มกำลัง!”


 


เห่าวั่งเร่งตะโกนกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนที่โดดลงหลุมออกมาด้วยความหวังดี


 


อย่างไรก็ตาม ด้านต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดจะลงมือจู่โจมค่ายกลที่ว่าแม้แต่นิดเดียว หลังโดดลงมาหยุดยืนที่ก้นหลุมน้ำแข็งแล้วเขาก็ก้มลงมองม่านพลังของค่ายกลด้านล่าง ที่แลไม่ต่างอะไรจากกระจกแก้วเลย


 


อย่างไรก็ตามด้านหลังม่านพลังดั่งกระจกแก้วที่ว่านั้น คล้ายฟุ้งตลบไอด้วยหมอกยะเยือก ยากจะแลเห็นสถานการณ์เรื่องราวภายใน


 


“หวงเอ้อ เจ้าลองไปดู”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยทักหวงเอ้อภายในร่าง “ลองดูว่ามันมีประโยชน์อะไรกับเจ้ารึเปล่า…ถ้ามีก็ถือว่าเป็นโชควาสนาของเจ้า”


 


“ข้ารู้ว่าด้านในมีสิ่งใด ข้าจักนำกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเข้าไปในนั้น”


 


ครู่ต่อมาเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏเงาร่างหนึ่ง เป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามไม่ใช่ชั่ว และบัดนี้ชุดที่นางสวมใส่ก็เปลี่ยนจากเดิมกลายเป็นสีรุ้ง สง่างามประหนึ่งเทพธิดาจากฟ้าเบื้องบนมาเยือนแดนดิน


 


“ได้”


 


ได้ยินคำกล่าวของหวงเอ้อ ต้วนหลิงเทียนก็นำกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมายื่นส่งให้นาง


 


“หากไม่มีเหตุผิดพลาดใด…คราวนี้ข้าสามารถใช้สิ่งที่ถูกสะกดไว้ในค่ายกลแห่งนี้เพื่อทำให้ข้าสามารถผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นข้าก็จักทำให้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้!”


 


หวงเอ้อที่รับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนมา กล่าวกับต้วนหลิงเทียนเล็กนอย จากนั้นร่างนางก็จมหายลงไปในค่ายกลเบื้องล่างพร้อมกระบี่ทันที


 


ม่านพลังจากค่ายกลที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไม่อาจเข้าไปได้ แต่หวงเอ้อที่ถือกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนไปด้วยกลับผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย แต่ต้นจนจบไม่ได้ถูกขัดขวางอะไรเลย ราวกับนางกำลังเดินกลับเข้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น


 


แน่นอนว่านอกจากต้วนหลิงเทียนแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดแลเห็นฉากนี้


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะโดดลงมา เขาได้ส่งเสียงผ่านพลังบอกฮ่วนเอ๋อเอาไว้แล้ว ว่าอย่าให้คนของนิกายยอมตะเสวี่ยหยาเข้ามาใกล้ เพราะเขาไม่อยากให้พวกมันเห็นหวงเอ้อ และกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน


 


ฟุ่บ!


 


หลังหวงเอ้อนำกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนจมหายไปในค่ายกลแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็โดดขึ้นมาจากก้นหลุมน้ำแข็ง จนกลับมายืนอยู่บนพื้นหุบเขาน้ำแข็งอีกครั้ง


 


ขณะเดียวกันเขาก็โบกมือคราหนึ่ง รวบรวมเศษน้ำแข็งที่กระจายออกมาจากการขุดหลุมก่อนหน้า ไปกลบหลุมน้ำแข็งดังกล่าว


 


และเมื่อจัดการกลบหลุมอะไรเสร็จแล้ว พอไอเย็นยะเยือกแผ่ซ่านขึ้นมาอีกระลอก หลุมน้ำแข็งที่พึ่งถูกกลบก็ควบแน่นกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง ไม่อาจเห็นร่องรอยว่ามันเคยเป็นหลุมเป็นบ่ออะไรมาก่อน


 


‘หากหวงเอ้อผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์…เช่นนั้นพลังของกระบี่ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน!’


 


‘นอกจากนั้นต่อไปหวงเอ้อก็สามารถแยกตัวออกจากกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนและสร้างร่างอวตารขึ้นมาได้ พลังฝีมือของนางต้องไม่ใช่ชั่วแน่นอน!’


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายวูบวาบ มากล้นไปด้วยความคาดหวัง!


WSSTH ตอนที่ 3,216 : การเปลี่ยนแปลงของหวงเอ้อ


 


 


ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ พึ่งจะนั่งบ่มเพาะพลังในหุบเขาน้ำแข็งไปได้แค่ครึ่งวัน ก็ถูกไฉฉงอี้ ประมุขนิกายอมตะเสวี่ยหยาเรียกหาเสียแล้ว


 


เมื่อได้ยินเสียงเรียกของไฉฉงอี้ ต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาขึ้นมา จากนั้นเขาก็แลเห็นร่างคนตระกูลถงทั้ง 4 ที่ถูกเขาเตะโด่งออกไปก่อนหน้า ย้อนกลับมาอีกรอบ และนอกจากพวกมันยังมีอีก 5 ติดตามมาด้วย


 


ดูจากระยะห่างแล้ว 5 ร่างด้านหลังได้แบ่งพรรคแบ่งพวกชัดเจน ฝ่ายนึงมี 2 อีกฝ่ายมี 3


 


“2 คนที่เหาะใกล้กันด้านซ้ายคือแพะเฒ่าจากตระกูลซือถู…ส่วน 3 คนด้านขวานั่น คือผู้พิทักษ์อาวุโสของนิกายอมตะเชียนฉวิน และทั้งหมดล้วนเป็นจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด และจะตระกูลซือถูหรือนิกายอมตะเชียนฉวินพวกมันยังมีจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดอีกคนที่เป็นผู้นำ ทว่าไม่ได้มา”


 


ก่อนที่ทั้ง 9 จะเหินร่างเข้าเขตหุบเขาน้ำแข็ง ไฉฉงอี้ก็เอ่ยความเป็นมาของพวกมันให้เขาทราบ


 


และหลังจากไฉฉงอี้กล่าวจบคำได้ไม่นานนัก ร่างทั้ง 9 ก็เหินเข้าเขตหุบเขาน้ำแข็งแล้ว


 


“เป็น 2 คนนั่น! ไฉฉงอี้อ้างว่าพวกมันทั้งคู่เป็นอาวุโสทรงเกียรติของนิกายอมตะเสวี่ยหยา…แต่ข้าดูทรงแล้วมิพ้นพวกมันเป็นมือปืนรับจ้างที่ไฉฉงอี้จ้างมาเป็นแน่! หาไม่แล้วอาศัยนิกายเสวี่ยหยาของพวกมัน ไฉนดึงดูดยอดฝีมือเช่นนี้มาเข้าร่วมได้?!”


 


หลังจากที่ร่างทั้ง 9 ลุถึงหุบเขาน้ำแข็ง ถงจิน ผู้นำตระกูลถง ก็มองจ้องมายังร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเขม็ง พลางกล่าวกับคนของตระกูลซือถูและนิกายอมตะเชียนฉวินด้วยประกายตาเรืองวาบ ราวกับเชื่อว่าข้อสันนิษฐานของตัวเองต้องถูกต้องแน่ๆ


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่คนของตระกูลซือถูกับนิกายอมตะเชียนฉวินจะได้ตอบสนองสิ่งใด ฮ่วนเอ๋อแต่เดิมที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน ก็ย่ำเท้าก้าวขึ้นมาในอากาศ ก่อนจะกวาดตามองคนทั้ง 9 ผ่านๆรอบหนึ่ง ค่อยมาตกลงบนร่างพวกถงจินทั้ง 4 พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้ากลับกล้ายึดถือคำพูดของพี่หลิงเทียนเป็นแค่ลมที่ผ่านหูงั้นหรือ…”


 


ขณะที่ฮ่วนเอ๋อกล่าวคำเย็นชาออกมา พลังวิญญาณของนางก็กำจายออกไปเป็นวงกว้าง ทำให้ร่างทั้ง 9 ชะงักค้างไปทันใด และรอบนี้สายตาทุกคนกลับกลายเป็นเหม่อลอยดุจคนไร้สติสัมปชัญญะ!


 


ในขณะที่ทั้ง 9 คล้ายเลื่อนลอยไม่ได้สติ ฮ่วนเอ๋อก็อันตรธานร่างไปจากจุดเดิม ปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่เบื้องหน้าคนตระกูลถงทั้ง 4 แล้ว แหวน 9 วิญญาณหยินหยานปราฏขึ้นในมือ ก่อนจะก่อเกิดกระบี่พลังมีสภาพพุ่งไปทางคนตระกูลถงทั้ง 4 ปานลำแสง!!


 


ซึบ! ซึบ! ซึบ! ซึบ!


 



 


กระบี่พลังมีสภาพที่พุ่งไปดั่งลำแสงจากแหวน 9 วิญญาณหยินหยาง เจาะทะลวงหว่างคิ้วทะลุหลังหัว ลากเส้นแดงเป็นสายยาวไปกลางหาว พรากชีวิตคนสกุลถงทั้ง 4 ไปในบัดดล!


 


ในเวลาเดียวกันกับที่ชีวิตของคนสกุลถงทั้ง 4 หลุดลอย อีก 5 คนจาก 2 ขุมกำลังก็หวนกลับมาได้สติอีกครั้ง จากนั้นเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นสีหน้าพวกมันก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ร่างแต่ละคนเร่งปะทุพลังชั่วชีวิตแยกย้ายกันล่าถอยออกไปตั้งหลักเร็วไว ค่อยมองจ้องมายังฮ่วนเอ๋อด้วยสายตาทำราวกับเห็นศัตรูตัวฉกาจ!


 


บัดนี้ ในแววตาของพวกมีแต่ความหวาดกลัว!!


 


หวาดกลัวจับใจ!


 


สตรีที่มีรูปโฉมงดงามไร้คู่เปรียบนางนี้ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!!


 


เพียงเวลาแค่เสี้ยวพริบตา จอมราชันอมตะทั้ง 4 ของตระกูลถงก็ถูกฆ่าตายหมดสิ้น!!


 


ต้องทราบด้วยว่าหากทั้ง 4 ของตระกูลถงผนึกกำลังกันลงมือ ต่อให้พวกมัน 5 คนจะร่วมมือกัน อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาราวๆ หนึ่งก้านธูปถึงจะสยบปราบได้


 


แต่สตรีเบื้องหน้า เข่นฆ่าในพริบตา! ยังรวบรัดหมดจดนัก!!


 


“หากว่าเมื่อครู่ เป้าหมายของนางเป็นพวกเรา…พวกเราคงตายไปแล้ว”


 


ทั้ง 5 หันมามองหน้าสบตากันเร็วไว ก่อนจะแลเห็นซึ้งถึงความหวาดกลัวของกันและกัน


 


“นี่…”


 


ไฉฉงอี้ประมุขนิกายอมตะเสวี่ยหยา ไม่เว้นเหลี่ยนชิวเหอกับเห่าวั่งอาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะเสวี่ยหยา บัดนี้ได้แต่มองร่างบางชุดขาวกลางหาวด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด


 


ถึงแม้พวกมันจะรู้แต่แรกแล้วว่าอาวุโสทรงเกียรติฮ่วนเอ๋อนางนี้ร้ายกาจมาก


 


อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่คิดไม่ฝันว่านางจะร้ายกาจปานนี้!


 


ในเวลาเพียงชั่วพริบตา กลับเข่นฆ่าสังหารคนสกุลถงทั้ง 4 ได้อย่างง่ายดาย สุดที่ทั้ง 4 จะต้อต้านแข็งขืนใดๆได้เลย!


 


“พี่ใหญ่หลิงเทียน”


 


ในขณะที่ทุกสายตากำลังชมมองฮ่วนเอ๋อด้วยความหวาดผวาขลาดกลัว ฮ่วนเอ๋อก็โบกมือเก็บแหวนพื้นที่ของคนสกุลถงเป็นสินสงคราม จากนั้นนางก็โรยตัวลงมาหยุดยืนข้างต้วนหลิงเทียน พลางยืนแหวนส่งให้ด้วยท่าทางว่าง่าย


 


“ว่าแต่พวกเจ้า 5 คน…จะนิกายอมตะเชียนฉวินก็ดีตระกูลซือถูก็ดี มีใครคันไม้คันมือรึเปล่า?”


 


หลังจากเก็บแหวนพื้นที่ของคนตระกูลถงทั้ง 4 แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆหันไปกวาดตามองถามคนทั้ง 5 จากนิกายอมตะเชียนฉวินและตระกูลซือถูด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


 


คันไม้คันมือ?


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน มุมปากทั้ง 5 อดกระตุกขึ้นมาตงิดๆไม่ได้


 


คันไม้คันมือกับผีสิ!


 


คนตระกูลถงทั้ง 4 ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าพวกมันเลย แต่เสี้ยวพริบตาทั้งหมดก็ตายเป็นผีกันหมด แล้วพวกมันจะไปมีผลลัพธ์แตกต่างอันใด?


 


“ข้าซือถูเฟิง ในนามของตระกูลซือถู พวกเราจักมิคัดค้านการตัดสินใจใดๆของนิกายอมตะเสวี่ยหยาพวกท่านอีก…นอกจากนั้นในเมื่อจอมราชันอมตะทั้ง 4 ของตระกูลถงตกตายหมดสิ้นแล้ว หมายความว่าตระกูลถงมิอาจมาใช้ที่นี่ได้อีก เช่นนั้นต่อไปนิกายอมตะเสวี่ยหยาจักสามารถใช้เวลาที่นี่ได้นานครึ่งปี ส่วนพวกเราตระกูลซือถูกับนิกายอมตะเชียนฉวินจักยึดถือเวลา 3 เดือนดังเดิม มิทราบใต้เท้าเห็นเป็นเช่นไร?”


 


ในขณะที่คนของตระกูลซือถูเอ่ยถามความเห็นต้วนหลิงเทียนออกมา สีหน้าท่าทีของมันเผยอาการกล้าๆกลัวๆชัดเจน แววตาฉายชัดถึงความวิตกกังวล


 


“นิกายอมตะเชียนฉวินเราเห็นด้วยกับตระกูลซือถู”


 


คนของนิกายอมตะเชียนฉวินทั้ง 3 ก็เร่งกล่าวเห็นชอบกับคนตระกูลซือถูทันที ราวกับพวกมันหวาดกลัวจะเดินตามรอยเท้าคนของตระกูลถงทั้ง 4 ไป


 


“พวกเจ้านับว่าฉลาด”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ “ในเมื่อพวกเจ้าฉลาดเฉลียวแบบนี้ ข้าก็ไม่คิดสร้างความลำบากใจให้พวกเจ้า…ทว่าสิ่งที่พวกเจ้าเสนอนั้น ข้าคิดว่าให้นำไปใช้หลังจากนี้อีก 60 ปีจะดีกว่า และตลอดระยะเวลา 60 ปีนับจากวันนี้ ที่นี่จักมีนิกายอมตะเสวี่ยหยาใช้ได้เพียงผู้เดียว ตระกูลซือถูรวมถึงนิกายอมตะเชียนฉวินไม่อาจก้าวเข้ามาที่นี่ได้แม้แต่ครึ่งก้าว!”


 


“พวกเจ้ายอมรับหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน คนของตระกูลซือถูกับคนนิกายอมตะเชียนฉวินก็หน้าเปลี่ยนสีทันที ด้วยไม่คิดเลยว่าพอพูดออกมา ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะยึดครองที่นี่ฝ่ายเดียว 60 ปีทันที


 


แต่ในที่สุดพวกมันก็ยอมรับได้


 


เวลาแค่ 60 ปีพวกมันรอได้สบาย


 


ยิ่งไปกว่านั้นหากนับเวลาที่พวกมันเอาเปรียบนิกายอมตะเสวียหยามาเนิ่นนาน หากต้องชดใช้คืนกันจริงๆ เกรงว่าคงเกิน 60 ปีไปไกลโข!


 


จนเมื่อคนของตระกูลซือถูและนิกายอมตะเชียนฉวินจากไปได้สักพักแล้ว พวกไฉฉงอี้ทั้ง 3 ถึงดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้อีกครั้ง แต่นี่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้พวกมันรู้สึกเสมือนกำลังฝันไปอย่างไรอย่างนั้น


 


“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2!”


 


และพอทั้ง 3 กลับมามีสติแล้ว สิ่งงแรกที่พวกมันทำก็คือพร้อมใจกันประสานมือโค้งคารวะให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อด้วยความซาบซึ้ง


 


“หลังจากนี้พวกข้าจะบ่มเพาะพลังที่นี่แล้วกัน…พวกท่านก็ไม่ต้องใส่ใจพวกเรามากนัก สามารถมาใช้ที่นี่ได้ตลอดเวลา เพราะพวกเราไม่ได้สนใจพลังวิญญาณฟ้าดินหรือการตระหนักรู้กฏน้ำแข็งสักเท่าไหร่”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับคนของนิกายอมมตะเสวี่ยหยาทั้ง 3


 


หลังจากนี้เขาคิดจะเฝ้าอยู่ที่นี่ เพื่อติดตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของหวงเอ้อ หากเกิดอะไรผิดพลาดจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที


 


“ขอบคุณผู้อาวุโสทรงเกียรติ!”


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ดวงตาคนทั้ง 3 ก็ทอประกายสว่างจ้าขึ้นมา มองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตายังฉายถึงความสำนึกบุญคุณไม่น้อย


 


“หากพวกท่านคิดจะตอบแทน…วันหน้าหากได้เบาะแสเรื่องผลไม้อมตะหรือโอสถอมตะล้ำค่าที่สามารถส่งเสริมการบ่มเพาะพลังขอบเขตราชาอมตะได้ เพียงแจ้งข้าให้ทราบก็พอ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“เรื่องนี้ขอท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติอย่าได้เป็นกังวล หากหน่วยยข่าวกรองนิกายอมตะเสวี่ยหยาเราได้เบาะแสใดที่ยืนยันข้อเท็จจริงได้แล้ว…พวกเราจะแจ้งให้ท่านทราบทันที”


 


ไฉฉงอี้กล่าวรับปากเป็นมั่นเหมาะ


 


“ท่านอาวุโสทรงเกียรติ พอดีข้ามีผลไม้อมตะที่ราชาอมตะสามารถใช้ได้ติดตัวอยู่ 2 ผล…หากท่านไม่รังเกียจโปรดรับไว้ด้วย”


 


“ข้าก็มีเหมือนกัน”


 


เหลี่ยนชิวเหอกับเห่าวั่งเร่งหยิบควักผลไม้อมตะที่มีติดตัวไว้ในแหวนนานปี ออกมามอบให้ต้วนหลิงเทียนทั้งหมดอย่างไม่เสียดาย


 


ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ผลไม้อมตะธรรมดาๆไม่ได้มีค่ามากมายอะไร แต่อย่างน้อยๆมันก็ช่วยส่งเสริมพลังฝึกปรือให้ราชาอมตะได้จริงๆ สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว จังหวะนี้อะไรเขาก็เอาหมด เพราะถึงยุงจะตัวเล็กแค่ไหนมันก็ยังมีเนื้อ


 


หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็เลือกจะอาศัยอยู่ในหุบเขาน้ำแข็ง


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดนั่งกลางแจ้ง ยังสร้างเรือนไม้ให้ฮ่วนเอ๋อเป็นพิเศษ ย้อนกลับไปขุดสนามหญ้า รวมถึงต้นไม้ใหญ่ที่มีชิงช้ามาปลูกไว้บนพื้นน้ำแข็งโดยอาศัยค่ายกลบางประการ ไม่เว้นแปลงดอกไม้ทั้งหลายจากบ้านลานหลังเดิม เรียกว่าดุจเนรมิตรที่พักในนิกายอมตะเสวี่ยหยาให้มาปรากฏที่หุบเขาน้ำแข็งก็ไม่ปาน


 


ในกระบวนการก่อสร้างจัดแต่งดังกล่าว 3 จอมราชันอมตะของนิกายอมตะเสวี่ยหยาก็ช่วยเหลือด้วยความกระตือรือร้น เรียกว่าเป็นลูกมือทำตามคำสั่งต้วนหลิงเทียนราวน้องชายผู้ว่าง่าย


 


อันที่จริงตั้งได้แต่ได้เห็นฉากเรื่องราวการเข่นฆ่าคนตระกูลถงทั้ง 4 ในเสี้ยวพริบตาของฮ่วนเอ๋อ พวกมันก็เคารพต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อดุจดั่งเทพเจ้า ไม่เพียงจะไม่กล้าละเลย ยังกลัวจะทำอะไรผิดพลาด จนเป็นเหตุทำให้ต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อเกิดความขุ่นเคือง จนออกจากนิกายอมตะเสวี่ยหยาไป


 


ตอนนี้พวกมันได้แต่หวังว่าทั้งคู่จะอยู่ในนิกายอมตะเสวี่ยหยาตลอดกาล


 


อย่างไรก็ตาม พวกมันรู้ดีแก่ใจว่วาเรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้


 


“60 ปี…ข้ารู้สึกว่ากำหนดเวลาที่อาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียนกล่าวออกมา มิได้กล่าวออกมาลอยๆอย่างไร้ความหมาย และข้ามักรู้สึกว่า…หลังจากผ่านไปครบ 60 ปีแล้ว ทั้งคู่จะจากไป”


 


เหลี่ยนชิวเหอส่งเสียงผ่านพลังคุยกับเห่าวั่ง


 


“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า อย่างไรเสียพวกแพะเฒ่าของตระกูลซือถูกับตัวน่าตายจากนิกายยอมตะเชียนฉิวทั้งหลาย ต้องไม่กล้าผิดสัญญาและลงมือบุ่มบ่ามแน่นอน…เว้นเสียแต่พวกมันจะยืนยันได้แล้วว่าอาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะไม่ย้อนกลับมานิกายอมตะเสวี่ยหยาของพวกเราจริงๆ มิฉะนั้นพวกมันก็ทำได้แค่ซุกหางไว้ให้มิดชิดเท่านั้น…”


 


เห่าวั่งกล่าว


 



 


วสันต์ผ่านพ้นสู่คิมหันต์ จวบจนสารทมาเยือนก็แล้ว หากแต่ทุ่งน้ำแข็งรวมถึงหุบเขาน้ำแข็งแห่งนี้กลับไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใดๆ


 


ทุ่งน้ำแข็งก็ยังคงมีทัศนียภาพดั่งเดิม หยาดหิมะหล่นฟ้าโปรยปราย ว่อนปลิวไปตามสายลมหนาว ทุกที่ทางทับถมไว้ด้วยหิมะขาวหนาตา


 


“หวงเอ้อ”


 


หลังผ่านไป 10 ปี เบื้องหน้าห้องหับในเรือนไม้เล็กๆของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็ปรากฏสตรีงดงามในชุดสีรุ้ง ตอนแรกร่างของนางก็เลือนลางปานภูตผี แต่ต่อมาก็ค่อยๆชัดขึ้นจนคล้ายมีสภาพ


 


เป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน หวงเอ้อ!


 


“ขอบคุณนายท่านที่มอบชีวิตใหม่ให้ข้า!”


 


หวงเอ้อป้องมือประสานพลางคุกเข่าลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ตอนนี้จะภายนอกภายในคล้ายนางเคารพต้วนหลิงเทียนหมดใจ


 


และต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกได้ชัดเจน ว่าหวงเอ้อนั้นแตกต่างไปจากกาลก่อน


 


ถึงแม้ในอดีตหวงเอ้อจะเลือกเป็นจิตวิญญาณกระบี่หิงหลง 7 เปลี่ยนให้เขา แต่นางเสมือนคนที่มีชีวิตและประสบการณ์ รวมถึงการความคิดและการตัดสินใจเป็นตัวของตัวเอง เหมือนเลือกจะเป็นจิตวิญญาณกระบี่ให้เขาเพราะความจำเป็น


 


อย่างไรก็ตาม หวงเอ้อในตอนนี้ประหนึ่งกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่ที่เกิดมาเพื่อเขา ราวกับทุกถ้อยคำที่เขาเอ่ยสั่งนางล้วนปฏิบัติตามอย่างไร้เงื่อนไข ไม่ยึดติดกับชีวิตและความทรงจำในอดีตอีกต่อไป


 


“ผู้อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล…นี่มันยังไงกันแน่?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่งุนงงสงสัยในเรื่องนี้ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเพลิงเทพโกลาหลในร่าง


 


“มิแปลก ยังเข้าใจได้ง่ายนัก”


 


เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยตอบเสียงดังฟังชัด “กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนนั้นแต่เดิมมันยอมรับเจ้าเป็นนายแล้ว ทั้งยังอยู่กับเจ้ามาเนิ่นนาน…แม้ก่อนหน้าหวงเอ้อจักเป็นจิตวิญญาณกระบี่เล่มอื่น แต่หลังจากที่นางผสานรวมเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนโดยสมบูรณ์ ความคิดและจิตใจของนางก็จักได้รับอิทธิพลจากความจงรักภัคดีของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่มีต่อเจ้า”


 


“ตอนนี้ต่อให้เจ้าสั่งให้นางฆ่าเจ้าหนูที่เรียกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่น นางก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย”


 


เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยตอบ


 


“หรือว่า…ความทรงจำของนางทั้งหมด มันหายไปแล้ว?”


 


ได้ยินเรื่องที่เพลิงเทพโกลาหลพูด ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะผงะไป


 


“เปล่า ความทรงจำในอดีตของนางไม่ได้หายไปไหน เพียงแค่เสมือนมันเจือจางและกลายเป็นเรื่องราวอันห่างไกลไร้สำคัญ…ตอนนี้สิ่งที่นางให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือการจงรักภัคดีต่อเจ้า เชื่อฟังคำสั่งของเจ้า เรียกว่าชีวิตของนางตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของเจ้า ดุจเจ้าคือเหตุผลเดียวในการดำรงอยู่ของนาง”


 


เพลิงเทพโกลาหลกล่าวสืบต่อ


WSSTH ตอนที่ 3,217 : กฏทำลายล้าง


 


 


หลังได้ฟังคำอธิบายของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียนจึงตระหนักเรื่องราว


 


ถึงแม้หวงเอ้อในตอนนี้จะยังเป็นหวงเอ้อคนเดิม แต่เนื่องจากนางผสานหลอมรวมเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนโดยสมบูรณ์แล้ว เจตจำนงของนางจึงถูกเจตจำนงของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนครอบงำ ทุกเรื่องราวจึงแล้วแต่ผู้เป็นนายอย่างเขา


 


เพื่อทดสอบหวงเอ้อ ต้วนหลิงเทียนจึงเอ่ยถามเรื่องหนึ่งออกมา “หวงเอ้อวันหน้าหากข้ามีพลังสามารถสูงพอแล้ว แต่ข้าเลือกกลับคำพูดและไม่คิดช่วยหลิงเจวี๋ยอวิ๋นล้างแค้นให้ตระกูลหลิงเล่า…เจ้าจะว่าไง?”


 


“หากนายท่านไม่เต็มใจ หวงเอ้อย่อมไม่บังคับ”


 


หวงเอ๋อกล่าวตอบออกมาอย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ แต่ต้นจนจบจะสีหน้าท่าทางหรือแววตา ไม่มีความไม่พอใจใดๆแฝงเร้นอยู่เลย


 


เห็นแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที


 


ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างของหวงเอ้อขึ้นอยู่กับความต้องการของเขาแล้ว กระทั่งเขาจะกลับคำพูดนางก็ไม่สนใจ ขอเพียงเขาสบายใจก็พอ


 


“ข้าแค่พูดเล่นเฉยๆ…ไม่ต้องห่วงไป วันหน้าหากข้ามีพลังมากพอแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าตามที่รับปากไว้แน่นอน”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพลางกล่าว


 


อย่างไรก็ตามแม้เขาจะกล่าวแก้ไขออกมา แต่หวงเอ้อก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ราวกับไม่ว่าต้วนหลิงเทียนจะทำอะไร นางก็พร้อมจะสนับสนุนเขาอย่างไร้เงื่อนไข


 


‘ดูเหมือนนางจะถูกข้าครอบงำแล้วจริงๆ’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


ขณะเดียวกันเขาก็อดไม่ได้ที่จะลอบโล่งอกในใจ เพราะในอดีตตอนที่หวงเอ้อมีเจตจำนงเสรีนั้น…มันทำให้เขาอดห่วงไปไม่ได้ ว่าหากวันหนึ่งนางที่กลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ยังเห็นเรื่องล้างแค้นให้ตระกูลของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นสิ่งสำคัญอันดับ 1 เขาจะทำยังไงดี?


 


หรือวันหนึ่งหากมีเหตุผลให้เขาต้องอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่ใช่นางจะรวมหัวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจัดการเขาหรอกนะ?


 


แต่ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงของหวงเอ้อ นับว่าทำให้ต้วนหลิงเทียนพึงพอใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีใครหน้าไหนอยากพกระเบิดเวลาติดตัวไว้หรอก


 


“พี่หลิงเทียน นางคือ…”


 


เมื่อเห็นว่ามีสตรีที่ไหนก็ไม่รู้มาโผล่ข้างกายพี่หลิงเทียนของนาง ดวงตาฮ่วนเอ๋อก็เต็มไปด้วยความระแวดระวังทันที


 


ถึงแม้รูปร่างหน้าตาของสตรีนางนี้จะด้อยกว่านาง แต่บางสิ่งที่สตรีนางนี้มี ตัวนางกลับไม่มี


 


“ฮ่วนเอ๋อ นี่คือ หวงเอ้อ จิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน ที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังอย่างไรเล่า”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าว “ตอนนี้นางได้ผสานหลอมรวมเข้กับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนโดยสมบูรณ์แล้ว นางจึงสามารถสร้างร่างของนางขึ้นมาได้”


 


“เอ๋? นางคือจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของพี่หลิงเทียนหรือ!?”


 


ฮ่วนเอ๋อเข้าใจได้ทันที


 


“จะว่าไป ทั้งหมดก็ต้องขอบคุณสถานที่แห่งนี้…”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มอธิบายต้นสายปลายเหตุออกมา “หลังผ่านไป 10 ปี หวงเอ้อก็ได้ใช้สิ่งที่อยู่ภายในค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็ง จนผสานหลอมรวมเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์”


 


พอกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่ง


 


และทันใดนั้น หวงเอ้อที่แต่เดิมคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ก็กลายเป็นแสงกระบี่สีรุ้งพุ่งหายเข้าไปในร่างของเขาทันที


 


“หวงเอ้อ ว่าแต่ของเย็นจัดที่ถูกค่ายกลเก็บไว้มันคืออะไร?”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามหวงเอ้อในร่างด้วยความสงสัย


 


“เรียนนายท่าน สิ่งนั้นคือ แก่นแท้น้ำแข็งนิรันดร์”


 


หวงเอ้อที่อยู่ในร่างต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมาทันที “มีพลังของแก่นแท้น้ำแข็งนิรันดร์เชื่อมประสาน ข้าจึงสามารถผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้โดยสมบูรณ์ อีกทั้งข้ายังใช้แก่นแท้น้ำแข็งนิรันดร์ทั้งหมดที่มีไปแล้ว”


 


“บรรยากาศเย็นยะเยือกในหุบเขาแห่งนี้ รวมถึงพลังวิญญาณฟ้าดิน จะหายไปโดยสมบูรณ์ภายในเวลาไม่เกิน 100 ปี”


 


หวงเอ้อกล่าว


 


ฟังจากคำพูดของหวงเอ้อ  เห็นได้ชัดว่าหลังจากผ่านไปอีก 100 ปี หุบเขาน้ำแข็งแห่งนี้ ก็จะกลายเป็นหุบเขาน้ำแข็งธรรมดาๆไม่มีความพิเศษอะไรอีก


 


ถึงตอนนั้นการฝึกฝนบ่มเพาะที่นี่จะไม่เร็วขึ้นอีกต่อไป


 


นอกจากนั้นการมานั่งตระหนักรู้กฏน้ำแข็งที่นี่ ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดอีก


 


‘ไม่คิดเลยว่าการผสานหลอมรวมเข้ากับกกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนอย่างสมบูรณ์ของหวงเอ้อ จะแลกมาด้วยโชควาสนาของนิกายอมตะเสวี่ยหยา…ในอีก 50 ปีหลังจากนี้ หวังว่าข้าจะมีโอกาสชดเชยให้พวกมันได้บ้าง’


 


หากไม่ได้คนของนิกายอมตะเสวี่ยหยาพามาที่นี่ เขากับฮ่วนเอ๋อคงไม่พบเจอสถานที่แห่งนี้ และเป็นไปไม่ได้เลยที่หวงเอ้อจะสามารถผสานหลอมรวมเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้ในเวลาอันสั้น


 


ดังนั้นจึงเสมือนเขาติดค้างนิกายอมตะเสวี่ยหยา


 


มาตอนนี้เมื่อรู้ว่าเพราะเรื่องหวงเอ้อ กลับทำให้วันหน้านิกายอมตะเสวี่ยหยาต้องสูญเสียสถานที่ประเสริฐแห่งนี้ไป จึงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดในใจ


 


“แล้วเจ้าในตอนนี้แข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน”


 


ต้วนหลิงเทียนฉุกคิดเรื่องสำคัญได้ออก จึงรีบเอ่ยถามออกมา ถึงแม้ตอนนี้หวงเอ้อจะเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน อย่างไรก็ตามในอดีตนางเคยเป็นจิตวิญญาณกระบี่เทพระดับสูงในมือยอดฝีมือขอบเขตเทพมาก่อน แม้นางจะอยู่ในร่างมนุษย์ แต่พลังฝีมือต้องไม่ใช่ชั่วแน่


 


“ด้านพลังบ่มเพาะของข้าจะเท่ากับนายท่านเสมอ…ไม่ว่านายท่านมีด่านพลังฝึกปรือขั้นใด ตัวข้าก็จะมีด่านพลังฝึกปรือขั้นนั้น”


 


หวงเอ้อกล่าวตอบ “สำหรับกฏที่ข้าตระหนักรู้ในอดีตก็ยังคงเดิม…อย่างไรก็ตามด้วยพลังฝึกปรือของนายท่านในตอนนี้ ข้าที่เป็นจิตวิญญาณของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนจึงไม่อาจใช้พลังทั้งหมดที่เคยมีได้…พลังจากกฏที่ข้าใช้ได้ถูกจำกัดไว้โดยด่านพลัง”


 


“ทว่า พลังรบของข้าในตอนนี้ ไม่น่าจะอ่อนด้อยกว่านายท่าน”


 


หวงเอ้อกล่าว


 


“แล้วเจ้าเข้าใจกฏใด”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“ดุจเดียวกับจิตวิญญาณศาสตราทั้งหลาย เข้าใจกฏทำลายล้าง”


 


หวงเอ้อตอบ


 


“กฏทำลายล้าง?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเป็นประกาย จากที่เขารู้มา กฏทำลายล้างนั้น เป็นเหมือนกฏแห่งแสงหรือกฏแห่งความมืด มันเป็นกฏที่แยกออกมาจากธาตุทั้ง 5


 


แม้แต่กฏน้ำแข็ง กฏสายฟ้า และกฏแห่งลม ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับธาตุทั้ง 5


 


นอกจากนี้ยังมีการกล่าวขานถึงกันหนาหู ว่าในแง่ความทรงพลังของกฏแล้ว รองลงมาจากกฏสูงสุดทั้ง 4 ก็คือกฏทำลายล้าง กฏแห่งความมืด และกฏแห่งแสง


 


จากนั้นก็จะเป็นกฏน้ำแข็ง กฏสายฟ้า กฏแห่งลม ค่อยมาเป็นกฏแห่งธาตุทั้ง 5


 


‘กฏที่สามารถเข้าใจผ่านวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังได้ก็มีแค่กฏทั้ง 5 รวมถึงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธาตุทั้ง 5 อย่างน้ำแข็ง สายฟ้า และก็ลมเท่านั้น…’


 


‘สำหรับกฏสูงสุดทั้ง 4  กับที่รองลงมาอย่าง กฏทำลายล้าง กฏแห่งแสงและกฏแห่งความมืด จำต้องใช้โอกาสวาสนา รวมถึงการรู้แจ้งด้วยตัวเองเพื่อเข้าใจมันเท่านั้น’


 


ต้วนหลิงเทียนก็รู้เรื่องนี้ดี


 


“นายท่าน หากท่านหมั่นใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้มากกว่านี้ ท่านเองก็จะตระหนักรู้ถึงกฏทำลายล้างที่ตัวข้าเข้าใจผ่านกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนด้วยเช่นกัน…กล่าวไปสำหรับผู้ที่ครอบครองยุทธ์ภัณฑ์วิญญาณนั้น เรื่องจะเข้าถึงกฏทำลายล้างไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากก็คือบรรลุความเข้าใจให้ลึกซึ้ง”


 


หวงเอ้อกล่าว


 


เรื่องที่หวงเอ้อกล่าว ต้วนหลิงเทียนเองก็เห็นด้วย และเข้าใจแต่แรก


 


ริเริ่มเข้าถึงกฏใดๆไม่ยากเย็น ที่ยากเย็นคือแตกฉานและรู้ซึ้งถึงกฏนั้นๆ


 


ทำให้ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ดี ว่าเขาสามารถเข้าใจกฏทำลายล้างผ่านการใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้ไม่ยาก แต่เขาก็ไม่คิดจะเสียเวลาไปง่วนอยู่กับกฏทำลายล้างโดยการฝึกใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเลย


 


เพราะถึงเขาจะเข้าใจกฏทำลายยล้างตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากไร้ประโยชน์ เพราะกฏมิติของเขานั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้ว…


 


เรียกว่าพยายามแค่ไหน ความเข้าใจในกฏทำลายล้างก็ไม่อาจไล่ทันกฏมิติ


 


ในเมื่อไล่ไม่ทัน เช่นนั้นจะเสียเวลาไปไย?


 


‘ด้วยมีผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด เช่นนั้นเรื่องจุดรอคอยขณะตระหนักรู้ถึงกฏมิติก็ลืมไปได้เลย…ก่อนที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติทั้งหมดถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับกฏอื่น’


 


ต้วนหลิงเทียนรู้เรื่องนี้ดี


 


กระทั่งเทพเบญจธาตุในร่างของเขาเอง ไม่ว่าจะเพลิงเทพโกลาหล ทองเทพสุดลี้ลับ หรือปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็แนะนำเขามาแบบนี้


 


ถึงแม้ทั้ง 3 จะช่วยให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจกฏแห่งไฟ กฏแห่งทองและกฏแห่งดินได้รวดเร็วเหนือผู้อื่นเป็นสิบๆเท่า แต่พวกมันรู้ดีว่าความเร็วที่เพิ่มมาจากพวกมัน ยังไม่อาจเทียบผลจากการครอบครองผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดได้…


 


ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งต้วนหลิงเทียนแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็มีแต่ผลดีสำหรับพวกมัน


 


ถึงตอนนั้นต่อให้พบเจอเทพเบญจธาตุที่มีระดับสูงกว่ามัน แต่ด้วยความช่วยเหลือของต้วนหลิงเทียน พวกมันก็สามารถกลืนกินอีกฝ่ายได้เช่นกัน!


 


กล่าวกันตามตรง ตอนนี้ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะขับไล่พวกมันออกไป พวกมันก็ไม่อยากไปไหนแล้ว!


 



 


“คารวะท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียน”


 


หลังวันเวลาล่วงเลยพ้นผ่านไปอีก 20 ปีตั้งแต่วันที่หวงเอ้อผสานหลอมรวมเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนโดยสมบูรณ์ ต้วนหลิงเทียนที่นั่งบ่มเพาะพลังอยู่ ก็ได้ยินเสียงเรียกจากด้านนอก


 


ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นออกจากเรือนพัก จึงเห็นว่าประมุขนิกายยอมตะเสวี่ยหยา ไฉฉงอี้ มายืนรอเขาอยู่ด้านนอกลานไม่ไกล


 


“ประมุขไฉ มีเรื่องอะไรรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนถาม


 


“ท่านอาวุโส พอดีข้าได้เบาะแสน่าสนใจมาเบาะแสหนึ่ง…เมื่อไม่นานมานี้ห่างออกไปหลายล้านลี้ทางตะวันออกของทุ่งน้ำแข็งเรา ปรากฏสัญญาณการเปิดออกของแดนลับที่เรียกว่า ‘แดนสมบัติขุนเขาโอสถ’ ขึ้นมา และมีผู้คนมากมายกำลังแห่กันไปที่นั่น”


 


ไฉฉงอี้กล่าว “อย่างไรก็ตาม พวกขุมกำลังระดับ 5 ทั้งหลายในละแวกใกล้เคียงที่รับทราบข่าวการปรากฏของแดนลับดังกล่าว ตอนนี้พวกมันสมควรส่งยอดฝีมือไปปิดกั้นพื้นที่เอาไว้แล้ว ทำให้ตอนที่แดนสมบัติขุนเขาโอสถเปิดออก ก็สมควรมีแต่คนของพวกมันเท่านั้นที่เข้าไปได้”


 


“แดนสมบัติขุนเขาโอสถรึ?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างไสวขึ้นมาทันที


 


ในระนาบเทวโลกนั้น แดนลับอย่าง ‘แดนสมบัติขุนเขาโอสถ’ นั้น เป็นแดนลับขนาดเล็ก ภายในจะมีสมุนไพรอมตะและผลไม้อมตะมากมายปลูกอยู่


 


และทุกคนก็สืบจนล่วงรู้กันแล้วว่า ‘แดนสมบัติขุนเขาโอสถ’ นั้น ก็คือผลประโยชน์ที่ขุมกำลังของจักรพรรดิสวรรค์ได้สร้างไว้เพื่อให้เหล่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา


 


มีแต่ผู้ที่มีวาสนาเท่านั้น ถึงจะพบแดนสมบัติขุนเขาโอสถ


 


และต้องมีวาสนาเท่านั้นถึงจะเข้าไปในแดนสมบัติขุนเขาโอสถและพบเจอผลไม้อมตะกับสมุนไพรอมตะ


 


ไม่มีบททดสอบหรือการเสี่ยงอันตรายใดๆทั้งสิ้นในแดนสมบัติขุนเขาโอสถ…อันตรายเพียงอย่างเดียวในนั้นก็คือผู้คน ที่เข้ามาแสวงหาโชควาสนาในแดนสมบัติขุนเขาโอสถ


 


ดังนั้นทันทีที่แดนลับอย่าง แดนสมบัติขุนเขาโอสถ ปรากฏขึ้น จึงมักจะถูกผูกขาดโดยขุมกำลังที่ทรงอำนาจในละแวกนั้นๆ และขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็มักได้ประโยชน์กว่าใคร เพราะพวกมันเสมือนเข้าไปเก็บเกี่ยวผลไม้อมตะและสมุนไพรอมตะราวกับเดินเล่นในสวนหลังบ้านก็ไม่ปาน


 


“เป็นแดนสมบัติขุนเขาโอสถจริงๆหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามย้ำ เนื่องจากแดนสมบัติขุนเขาโอสถนั้นเป็นอะไรที่ยากพานพบ และไม่ใช่อะไรที่ใครจะเดินดุ่มๆไปก็เจอง่ายๆ


 


ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา แม้ไฉฉงอี้จะนำเบาะแสจากหน่วยข่าวกรองของนิกายอมตะเสวี่ยหยา เรื่องผลไม้อมตะที่ช่วยยกระดับพลังฝึกปรือให้ขอบเขตราชาอมตะได้มาบอกต่อเขามากมาย แต่เขาก็ไม่ได้รับผลไม้อมตะใดๆเลย


 


สุดท้ายแล้วเรื่องนึ้ก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนา


 


อย่างเช่นหลังจากเข้าไปถึงที่นั่นแล้ว แต่กลับช้าไปก้าวหนึ่ง ไม่เพียงผลไม้อมตะที่ว่ามีผู้ได้ไปแล้ว แต่ยังใช้มันไปแล้วอีกด้วย


 


เหตุการณ์ดังกล่าวยังเกิดขึ้นซ้ำหลายครั้ง


 


นอกจากนั้นก็มีสถานการณ์อื่นๆเช่นกัน เรื่องแดนลับก็ไม่ต่าง


 


จนวันหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็เกิดความชินชา และคร้านจะเคลื่อนไหวไปไหนให้เสียเวลา หากเป็นเบาะแสของผลไม้อมตะทั่วไป เขาไม่คิดจะไปช่วงชิงอะไรอีก


 


อย่างไรก็ตามแดนสมบัติขุนเขาโอสถนั้นแตกต่างกัน!


 


“สิบในสิบเป็นเรื่องจริง!”


 


ไฉฉงอี้กล่าวออกเสียงขรึม “อย่างไรก็ตาม ที่นั่นตอนนี้สมควรถูกขุมกำลังระดับ 5 ผูกขาดไปแล้ว…หากท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติคิดเข้าไป…คงยากเย็นไม่น้อย”


 


“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “แล้วแดนสมบัติขุนเขาโอสถที่ว่ามันอยู่ที่ไหน?”


 


หลังสอบถามตำแหน่งสถานที่ปรากฏแดนสมบัติขุนเขาโอสถโดยละเอียดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปเรียกฮ่วนเอ๋อและออกเดินทางไปที่นั่นทันที


 


และนี่เป็นการเดินทางออกจากนิกายอมตะเสวี่ยหยาครั้งแรก ตั้งแต่ที่เขามาถึงเมื่อ 30 ปีก่อน…


 


ด่านพลังของฮ่วนเอ๋อนั้น ทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้อย่างราบรื่น


 


ส่วนเขาเองก็ทะวงถึงราชาอมตะ 10 ทิศได้อย่างราบรื่นเช่นกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)