War sovereign Soaring The Heavens 3202-3213
WSSTH ตอนที่ 3,202 : จวินชิวเหอ
“ช้าก่อน…เหยียนหรูอวี้ นี่เจ้าจะบอกว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้ เป็นคนๆเดียวกับต้วนหลิงเทียนของคฤหาสน์เฉวียนโยวงั้นเหรอ!?”
ได้ยินคำพูดของเหยียนหรูอวี้ สีหน้าโฮ่วตงเฉียนก็ฉายชัดถึงความตกตะลึง แววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
คนอื่นๆก็อึ้งไปเพราะคำพูดของเหยียนหรูอวี้ไม่น้อย
“เรื่องจริงหรือเนี่ย?”
“เฮ่ นี่มันจะไม่น่ากลัวไปหน่อยรึไง 30 ปีก่อนเป็นแค่ขุนนางอมตะ 10 ทิศ…แต่ 30 ปีต่อมากลับกลายเป็นราชาอมตะ 3 ศักดิ์ที่ไต่ขึ้นมาถึงอันดับที่ 13 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงเนี่ยนะ!?”
“เหยียนหรูอวี้ นี่เจ้าหลอกพวกเราเล่นรึเปล่า?”
…
จังหวะนี้อีก 7 คนที่เหลือหันไปมองเหยียนหรูอวี้ด้วยสายตาคลางแคลงสงสัย สีหน้าของพวกมันฉายชัดถึงความไม่เชื่อ
“ข้าจะโกหกพวกเจ้าไปให้มันได้อะไรขึ้นมา”
เหยียนหรูอวี้ส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวสืบต่อ “ข้ารับรองได้ตรงนี้เลย…ว่าทุกสิ่งที่ข้าพูดมาล้วนเป็นความจริงทุกประการ วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสพบเจอมัน หรือเจอใครที่ถูกมันจัดการ ก็ลองไปถามเพื่อยืนยันได้เลย”
“ให้ตายเถอะ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก…30 ปีก่อนเลื่องลืออยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง 30 ปีต่อมาสร้างชื่อเสียงในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงแล้ว”
โฮ่วตงเฉวียนระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน
“หึ! ข้าว่ามันไม่พ้นต้องพึ่งอิสตรีข้างกายจนไต่มาถึงอันดับนี้มากกว่า…อาศัยขั้นพลังของมันไหนเลยจะทำให้มันไต่ขึ้นมาถึงอันดับที่ 13 ได้ด้วยตัวเอง?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวคนหนึ่งกล่าวสบถออกเสียงเย็น
“หู่เหลย มีคำกล่าวที่ว่าหากเดินไม่ทั่วเล้าไก่อย่าพึ่งนับไข่ในตะกร้า ในเมื่อเรื่องยังไม่แน่ชัด เจ้าก็อย่าได้ด่วนสรุปไป…ข้าบอกเจ้าไว้ตรงนี้เลย ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ”
เหยียนหรูอวี้ยังคงกล่าวสืบต่อ
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้จักมัน แต่มันเรียกว่ารู้จักต้วนหลิงเทียนตั้งแต่ยังไม่มีชื่อเสียงอะไรจนไต่เต้ามาถึงวันนี้!
“สหายเหยียน แล้วไฉนเจ้าพูดราวกับรู้จักมันดีนักเล่า?”
หู่เหลย ทายาทสายตรงของตระกูลหู่ 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่เอ่ยถามเหยียนหรูอวี้ด้วยความสงสัย
“ข้าไม่กล้าบอกว่ารู้จักมันดี…แต่เจ้าว่าคนที่สมควรกลายเป็นเครื่องสังเวยให้ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ แต่กลับสามารถตอบโต้แผนการของจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดได้สำเร็จ กลับกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย จนได้รับผลเทพสังเวสวรรค์มาใช้เอง คิดว่ามันจะเป็นคนธรรมดาได้หรือไม่เล่า?”
เหยียนหรูอวี้มองจ้องหู่เหลย พลางกล่าวเสียงขรึม
“หืม?! ผลเทพสังเวยสวรรค์รึ!?”
พอเหยียนหรูอวี้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่เพียงหู่เหลยจะตกใจ คนอื่นๆ ก็หันมามองด้วยความตกตะลึงทันที
“ช้าก่อน เจ้าจะบอกว่าข่าวลือหลายปีก่อน เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ?”
“นั่นสิ ข้าเองก็ได้ยินผู้อาวุโสหลายคนพูดถึงอยู่นะ…แต่ข้าคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเหลวไหลมาตลอดเลย”
“ตัวตนที่เป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิด ไหนเลยจะธรรมดาสามัญ สามารถตอบโต้แผนการตัวตนเช่นนี้ ทั้งสามารถช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์มาใช้เองได้…ไม่ว่าพวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าคนนึงล่ะที่ไม่เชื่อ!”
…
หลายคนส่ายหัวไปมา
“มันเป็นเรื่องจริง”
เหยียนหรูอวี้ยังคงกล่าวเสียงขรึม “ข้ามีสหายคนหนึ่ง ที่เป็นลูกชายของ เฉินหยวนซาน รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ในอดีตมันเผลอไปค้ำประกันออกภารกิจสังหาร เพื่อตอบแทนบุญคุณศิษย์นิกายระดับ 7 ครั้งหนึ่ง…และเป้าหมายสังหารที่ว่าก็คือต้วนหลิงเทียน”
“ในเวลานั้น ต้วนหลิงเทียนยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนหนึ่งเท่านั้น”
“อย่างไรก็ตาม แม้มันจะเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่นักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดที่รับงานไปฆ่ามัน 2 คนแรกที่แข็งแกร่งกว่ามันมาก สุดท้ายกลับตกตายด้วยน้ำมือมัน”
“พวกเจ้าทุกคนสมควรรู้ดี…ว่านักฆ่าขององค์กรมือสังหารระดับนี้ ที่อ่อนด้อยที่สุดก็คือราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด”
“แน่นอนว่ามันไม่ได้พลังพลังฝีมือส่วนตัว ทว่าอาศัยพลังภายนอกในการฆ่านักฆ่านั่น แต่แล้วยังไง? ทั้งหมดก็คือความสามารถของมัน! ที่สำคัญหลังจากนั้นมันยังรอดพ้นเงื้อมมือนักฆ่าจนไปถึงอวี้หวงเทียนได้!!”
“สุดท้ายไม่ว่าเรื่องราวที่แท้จริงระหว่างมันกับจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดเป็นอย่างไร แต่ผลก็คือมันสามารถช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์มาได้สำเร็จ และทะลวงจากยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไปยังขุนนางอมตะ 10 ทิศในเวลาสั้นๆ”
ได้ยินเรื่องราวที่เหยียนหรูอวี้เล่าออกมา สีหน้าท่าทีของ 8 คนที่ฟังอยู่ก็แลดูเคร่งขรึมจริงจังนัก เพราะพวกมันรู้ดีว่าเหยียนหรูอวี้ไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกพวกมันแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนต้วนหลิงเทียนผู้นั้น จะไม่ธรรมดาจริงๆ”
“สามารถแย่งผลเทพสังเวยสวรรค์จากปากจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดได้…มารดามันเถอะ! ทำไปได้อย่างไรกัน?! หากเป็นข้า ไม่รู้ว่าจะทำอะไรแบบนั้นได้รึเปล่า…”
“เหอะๆ ตัวตนที่เป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดนั่น ไม่พ้นต้องวางแผนการมาอย่างดี เรื่องผลเทพสังเวยสวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ชาติก่อนมันต้องเตรียมการจนมั่นใจแล้วแน่ แม้ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลก มีจักรพรรดิอมตะที่วางแผนการเรื่องผลเทพสังเวยสวรรค์มาดิบดี แต่ล้มเหลวเป็นกรณีตัวอย่างเสมือนตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น ทว่าผู้ที่ชิงผลเทพสังเวยสวรรค์ไปนั่น ก็เป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดเหมือนกัน และยังแข็งแกร่งกว่าผู้วางแผนอีกด้วย…”
“ตอนนี้ข้ารู้สึกสนใจมันขึ้นมาแล้ว…หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสได้เจอมัน”
…
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เรื่องเลย ว่า 9 คนที่อยู่ในแดนลับสมบัติระดับ 1 ไม่เว้นเหยียนหรูอวี้ กำลังพูดคุยถึงเรื่องเขากันอย่างออกรส
ตอนนี้เขาก็อยู่ในแดนลับสมบัติระดับ 2 กับฮ่วนเอ๋อ
ตอนนี้รอบๆกายเขากับฮ่วนเอ๋อ ก็มีคนยืนรอคอยอยู่ด้วยกัน 28 คน
แดนลับสมบัติระดับ 2 ที่ว่า เขามองอย่างไรมันก็เป็นห้องโถงกว้างใหญ่ที่ปิดทึบราวกล่องใบหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะบนล่างซ้ายขวา ล้วนปิดผนึกแน่นหนา ไม่มีทางออกเลย
‘ดูเหมือนว่าต้องรอเวลาสักพัก….แดนลับสมบัติระดับ 2 ที่แท้จริงถึงจะถูกเปิดอย่างเป็นทางการ’
ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนได้รับทราบเรื่องราวของแดนลับสมบัติระดับต่างๆจากปากของจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยมาบ้างแล้ว และรู้ว่าหลังจากถูกอาคมเคลื่อนย้ายมายังแดนลับสมบัติ จะต้องรอเวลาอีกราวๆครึ่งชั่วยาม ก่อนที่แดนลับสมบัติจะเปิดออกอย่างเป็นทางการ
ตอนนี้ในห้องโถงใหญ่ปิดตาย นอกจากเขากับฮ่วนเอ๋อแล้ว ก็มีกลุ่มที่มีกันอยู่ 2-3 คนอีกกลุ่ม ส่วนคนที่เหลือดูเหมือนพยายามเว้นระยะห่างจากผู้อื่น ท่าทางระแวงคนรอบกายไปหมด ทำให้บรรยากาศมันอึมครึมทั้งตึงเครียดอยู่บ้าง
สายตาหลายต่อหลายคู่จับจ้องมองมาที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อบ่อยครั้ง เห็นได้ชัดว่าอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย
เพราะอย่างไรเสียต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อในตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจาก ‘คนดัง’ ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงเลย
ท้ายที่สุดแล้ว ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้ระดับสูงเป็นครั้งแรก จะสามารถติดอยู่ใน 20 อันดับแรกได้…
“พี่ชายท่านนี้ พอดีข้าพึ่งเคยเข้ามาแดนลับสมบัติระดับ 2 เป็นครั้งแรก…ก่อนหน้าข้าก็เคยเข้าไปในแดนลับสมบัติระดับ 3 เท่านั้น ไม่ทราบว่าที่นี่มีข้อควรระวังอันใด และต้องใส่ใจอันใดเป็นพิเศษหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง หันไปเอ่ยถามชายวัยกลางคนข้างๆอย่างสุภาพ แลดูสงสัยใคร่รู้นัก
อย่างไรก็ตามชายวัยกลางคนที่ถูกถามเมินมันอย่างสิ้นเชิง เรียกว่าหางตายังไม่เหลียวแล
เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา
ในแดนลับสมบัติระดับ 2 แห่งนี้ ทุกคนไม่ต่างอะไรจากคู่แข่ง เว้นเสียแต่จะสนิทสนมคุ้นเคยกันจริงๆ ใครจะไปคิดช่วยเหลือผู้อื่น?
ดุจชั่วพริบตา ครึ่งชั่วยามก็ได้ล่วงเลยผ่านไป
ครืนนน!!
กึง! กึง! กึง!
…
เสียงดังสนั่นก้องขึ้นทั่วโถง จากนั้นพบว่าผนังห้องโถงทั้ง 4 ด้าน มีประตูกำลังเปิดอ้าออกรวมทั้งสิ้น 4 บาน
ทันใดนั้นเองร่าง 19 ร่างที่คล้ายล่วงรู้แต่แรก ก็พุ่งออกไปยังประตู 4 บานด้วยความเร็วปานสายฟ้า พริบตาก็แยกย้ายกันข้ามประตูทั้ง 4 บานจนหายลับตาไป
“หืม?”
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนพลันพบว่า ผู้ที่ไม่ได้เร่งรีบออกไปไหน อยู่ๆก็หันมามองเขากับฮ่วนเอ๋อ
คนเหล่านี้เดิมทีก็แลดูไม่สุงสิงกัน แยกกันอยู่ตัวใครตัวมัน แต่ไม่ทราบไฉนบัดนี้กลับหันมามองจ้องเขากับฮ่วนเอ๋อเป็นสายตาเดียวกันได้…
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
เสียงแหวกฝ่าสายลมฉับไวดังขึ้น คนที่เหลือในโถง 9 คน บัดนี้ได้แยกย้ายยกันมาปิดล้อมต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเอาไว้ตรงกลาง และจับจ้องมองมาที่พวกเขาไม่วางตา
“นี่พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จักคนเหล่านี้เลย อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีจิตสังหารต่อเขา แต่ไฉนถึงมาปิดล้อมเขากับฮ่วนเอ๋อเอาไว้ก็ไม่ทราบ?
“หากเจ้าจะไปก็เชิญไปเสีย แต่สตรีนางนั้นต้องอยู่ที่นี่!”
สตรีเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาคนทั้ง 9 ที่ปิดล้อมเขากับฮ่วนเอ๋อเอาไว้ นางมาในชุดหนังรัดรูปสีแดง แต่ต้นจนจบสองตาเอาแต่มองจ้องฮ่วนเอ๋ออย่างเฉยเมย ก็ได้เหลือบมามองเขาปราดหนึ่ง ค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“หืม?”
พอฮ่วนเอ๋อได้ยินคำพูดของสตรีชุดหนังรัดรูปสีแดงเพลิง นางก็อดไม่ได้ที่จะเอียงคอด้วยความงุนงง สองตากลมใสกระพริบปริบๆมองจ้องอีกฝ่ายด้วยความว่างเปล่า ไม่ทราบว่าไฉนสตรีที่นางไม่เคยพบเคยเจอนางนี้ ถึงต้องมุ่งเป้ามาที่นางด้วย…
“ทำไม?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเสียงเข้ม ลึกลงไปในแววตายังเผยประกายเย็นชาเรืองขึ้นวูบหนึ่ง
คนพวกนี้หากเพ่งเล็งมาที่เขา ตัวเขาก็คร้านจะแยแส แต่ถ้าหากคิดร้ายกับฮ่วนเอ๋อ เช่นนั้นคงยากที่เขาจะปล่อยพวกมันไป
“เจ้าหนุ่ม…นี่เจ้าไม่รู้หรือ ว่านางเป็นผู้ใด?”
ชายวัยกลางคน 1 ใน 9 คนที่ปิดล้อมมองถามเขาด้วยรอยยิ้มก่อน ค่อยหันไปมองสตรีชุดหนังรัดรูปสีแดง
“นางเรียกว่าจวินชิวเหอ เป็นศิษย์หลักของนิกายวิถีวายุอัสนี…จวินวั่งเฉินที่ถูกสตรีข้างกายเจ้าฆ่าตายไปเมื่อหลายเดือนก่อน เป็นน้องชายแท้ๆของนางเอง”
ชายชราคนหนึ่งกล่าวเสริมออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง…”
ได้ยินสิ่งที่ชายชรากล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่านี่เป็นเรื่องราวใด
“เจ้านับว่ามีความสามารถไม่เบาเลยทีเดียว ถึงกับจ้างให้คนพวกนี้มาทำงานเพื่อเจ้าได้”
ต้วนหลิงเทียนมองจวินชิวเหอด้วยความประหลาดใจ “จ้างคนพวกนี้ให้มาทำงานได้ ท่าทางเจ้าคงต้องจ่ายออกไปไม่น้อยเลยกระมัง?”
หากมีแค่คนสองคนช่วยจวินชิวเหอ ต้วนหลิงเทียนคงคิดว่าเป็นสหาย
แต่ตอนนี้กลับมีคนที่คอยช่วยจวินชิวเหออยู่ถึง 8 คน และทั้งหมดก็ติดอยู่ใน 30 อันดับแรกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง ไม่พ้นต้องเป็นจวินชิวเหอจ้างพวกมันมา โดยอาศัยผลประโยชน์เข้าแลกแน่นอน
“ขอเพียงข้าสามารถล้างแคนให้น้องชายคนเดียวของข้าได้ ให้จ่ายออกไปเท่าไหร่มันก็คุ้มค่า”
จวินชิวเหอกล่าวเย้ยหยัน สองตาของนางมองจ้องไปยังฮ่วนเอ๋ออย่างอาฆาต ราวกับแทบทนรอฆ่าฮ่วนเอ๋อให้ตาย เพื่อล้างแค้นให้น้องชายอย่างจวินวั่งเฉินไม่ไหวแล้ว!
“ที่น้องชายเจ้าต้องตาย กล่าวได้ว่ามันทำตัวเองทั้งนั้น…ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ไปซะ! หาไม่แล้วอย่าได้โทษพวกเราที่ไร้ปราณี!”
ต้วนหลิงเทียนหยีตากล่าวคำเสียงเรียบ ลึกลงไปในแววตายังฉายประกายเยียบเย็นวูบวาบ
“หึ! ข้าอยากจะรู้นัก ว่าไร้ปราณีของพวกเจ้าที่แท้มันเป็นเช่นไร!!”
จวินชิวเหอพ่นลมสบถเย้ยหยันออกมาอีกครั้ง และพอกล่าวจบคำทุกคนก็ลงมือเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียง! ประหนึ่งเส้นสายอัสนีวูบวาบ 9 สาย แต่ละคนเพ่งเล็งไปยังฮ่วนเอ๋อทั้งสิ้น!!
และร่างจวินชิวเหอที่ทะยานเข้าใสฮ่วนเอ๋อรวดเร็วกว่าใคร ทั่วกายนางก็ปรากฏเส้นสายอัสนีสีม่วงแล่นวาบแปลบปลาบ จนคนคล้ายกลับกลายเป็นเทพสายฟ้า แลดูทรงพลังทั้งน่าเกรงขามเหลือเกิน!
เห็นได้ชัดว่านางเชี่ยวชาญกฏสายฟ้า!
เผียะ!
ขณะที่จวินชิวเหอโจนทะยานร่างเข้าใส่ ในมือนางปรากฏแส้ยาวเส้นหนึ่งกระชับถือไว้เป็นมั่นเหมาะ ตัวแส้ยาวเป็นสีแดงเพลิง บัดนี้เมื่อถูกถ่ายทอดพลังลงไป ก็ปรากฏอัสนีแลบลั่นแปลบปลาบดั่งอสรพิษน้อยวูบวาบเลื้อยลดไปตามตัวแส้ พอสะบัดฟาดออกมา มวลอากาศก็แทบจะแหลกระเบิดลงตรงนั้น!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
หลังเห็นจวินชิวเหอลงมืออย่างดุร้าย อีก 8 คนที่โจนทะยานร่างเข้ามาก็เริ่มเร่งเร้าพลัง ชักอาวุธป้อนกระบวนท่าเข่นฆ่าไปทางฮ่วนเอ๋อเช่นกัน ในเมื่อพวกมันรับเงินจวินชิวเหอมาแล้วก็ต้องลงมือให้สมราคา!
“ฮ่วนเอ๋อ อย่าได้เมตตา”
เมื่อเห็นการกลุ้มรุมจู่โจมเข้ามาของทั้ง 9 ดวงตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายให้เห็นจิตสังหารอำมหิต หันไปเอ่ยคำกับฮ่วนเอ๋อเบาๆ จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดพลันปะทุออกทั่วร่าง ผสานรวมเข้ากับพลังธาตุมิติฉับไว จนห้วงมิติรอบกายเริ่มสั่นไหวสะท้าน
“เข้าใจแล้วพี่หลิงเทียน”
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันในน้ำเสียงต้วนหลิงเทียน สีหน้าท่าทีสงบไม่นำพาของฮ่วนเอ๋อก็เริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง
และพริบตาต่อมา เมื่อกระบวนท่าห่าพลังของทั้ง 9 เจียนบรรลุถึงร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ร่างทั้งคู่ก็อันตรธานหายไปในฉับพลัน!
ปรากฏตัวอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็แยกย้ายกันไปคนละทาง!
“พวกเจ้า 4 คนไปฆ่าไอ้หนุ่มชุดม่วงเสีย…ส่วนพวกเจ้าที่เหลือตามข้าไปฆ่านังสารเลวน้อยนั่น!!”
จวินชิวเหอกวาดตากล่าวแบ่งงานคราหนึ่ง จากนั้นก็เหินร่างนำคนพุ่งทะยานเข่นฆ่าไปทางฮ่วนเอ๋อ แส้ในมือที่อัดแน่นไปด้วยพลังอัสนีสะบัดฟ้าไปทางฮ่วนเอ๋ออย่างดุดัน!!
4 คนพุ่งเข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน
5 คนรวมถึงจวินชิวเหอ เข่นฆ่าเข้าใส่ฮ่วนเอ๋อ
“ในเมื่อพวกเจ้าวอนตายกันนัก..ข้าจะสงเคราะห์ให้”
เผชิญหน้ากับร่างชายทั้ง 4 ที่โจนทะยานเข่นฆ่าเข้ามา ลูกตาต้วนหลิงเทียนเย็นลงปานจะแช่แข็งผู้คน จากนั้นก็ไม่คิดใช้เคลื่อนมิติหลบหลีกกระบวนท่าสังหารอะไรอีก พลังเซียนอมตะผสานธาตุมิติทั่วร่างพุ่งพล่านขึ้นมาดั่งทะเลเดือด จากนั้นก็กำจายออกไปก่อเกิดเขตแดนในชั่ววพริบตา!
ในห้วงเวลาเสี้ยวพริบตา ร่างทั้ง 4 ก็ตกอยู่ในเขตแดนมิติของเขาเรียบร้อย!
‘กักกัน!’
เพียงหนึ่งห้วงคิด ร่างทั้ง 4 ก็ตกอยู่ในใจกลางกรงมิติลูกบาศก์ ผนังแต่ละด้านลุกโชนไปด้วยเพลิงสีทอง!
WSSTH ตอนที่ 3,203 : นิกายวิถีวายุอัสนี
“ราชาอมตะ 3 ศักดิ์คนหนึ่งคิดจะกักขังพวกเรางั้นเหรอ ตัวโง่งมฝันละเมอ!!”
“อาศัยกรงมิติง่อยๆของเจ้าจักมีปัญญาทำอะไรได้? ข้าลำบากเพียงยกมือก็ทำลายมันได้แล้ว!!”
…
แม้จะเห็นว่าผนังทุกด้านของกรงมิติมิติลูกบาศก์ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงสีทอง ทั้ง 4 คนนั้นก็ไม่ได้ยึดถือเป็นจริงเป็นจังอะไร
ครู่ต่อมาทั้ง 4 ก็ลงมือพร้อมเพรียง หมายทำลายกรงมิติให้แหลกลง!
‘ผ่ามิติ’
ทว่าในขณะที่ทั้ง 4 กำลังลงมือ ต้วนหลิงเทียนอาศัยหนึ่งห้วงคิด ความว่างเปล่านอกกรงมิติ ก็เริ่มปรากฏรอยแยกมิติมืดดำ มองไปคล้ายอสูรกาย 3 ตัวอ้าปากกว้าง
พริบตาต่อมา
ซัว! ซัว! ซัว!
คมมีดมิติสีเทา 3 สายพุ่ออกมาจากรอยแยกมิติฉับไว จากนั้นก็อุบัติเพลิงสีทองลุกโชนท่วมทั่ว
‘ส่งผ่าน’
แววตาต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปวาบหนึ่ง คมมีดมิติทั้ง 3 ก็ถูกเคลื่อนย้ายข้ามมิติไปปรากฏภายในกรงมิติลูกบาศก์สีทองในฉับพลัน!
ทั้ง 4 คนที่ออกกระบวนท่าหมายทำลายกรงมิติ ก็หันมาให้ความสนใจคมมีดมิติทั้ง 3 ที่อยูๆก็อุบัติขึ้นมาภายในกรงทมันที!
ตอนนี้ทั้ง 4 ไม่ว่าใคร ก็นำอุปกรณ์อมตะของตัวเองออกมาใช้กันเต็มกำลังยางไม่ประมาท
ทั่วร่างแต่ละคนปรากฏเงาร่างชุดเกราะแปลกตาขึ้นมา ไม่ว่าจะเงาชุดเกราะหนัก เงาชุดคลุมประหลาด หรือมีแม้กระทั่งเงาร่างคล้ายเสื้อธรรมดาๆ
แต่ทั้งหมดคือเกราะอมตะระดับราชาที่พวกมันมี
จังหวะนี้ถึงแม้พวกมันจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นแค่ราชาอมตะ 3 ศักดิ์ แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกว่าการโจมตีด้วยความลึกซึ้งผ่ามิติของต้วนหลิงเทียนสามารถคุกคามพวกมันได้
ซัว! ซัว! ซัว!
3 คมมีดมิติทะยานผ่านความว่างไปฉับไว เพ่งเล็งสังหารไปยัง 3 ใน 4 ร่าง!
ทั้ง 3 ที่สัมผัสได้ว่าตัวเองถูกคมมีดมิติเพ่งเล็ง กระบวนท่าที่แต่เดิมหมายจะใช้เพื่อทะลายฝ่ากรง ก็เบนเป้าไปซัดทำลายใส่คมมีดมิติอันเต็มไปด้วยเพลิงทองลุกโชนทันที
อย่างไรก็ตามกระบวนท่าของพวกมันที่มั่นใจนักหนาว่าต้องสลายคมมีดมิติได้แน่ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงทำให้เพลิงพลังสีทองที่กคลุมอยู่เสมือนอ่อนโทรมลงเท่านั้น ตัวคมมีดมิติยังเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่พวกมันไม่เลิกรา ทำให้สีหน้าพวกมันเปลี่ยนไปใหญ่หลวง
“แย่แล้ว!!”
“อะไรกัน!? ไฉนผ่ามิติของมันมันทรงพลังนักเล่า!?”
…
เรียกว่าทั้ง 3 หน้าเสียจนดูไม่เป็นคน
ขณะเดียวกัน การโจมตีของคนที่ 4 ก็ซัดกระทบเข้ากับผนังกรงมิติที่ฉาบไปด้วยเพลิงพลังสีทองเข้าอย่างจัง และก็ทำได้แค่ทำให้เพลิงพลังสีทองดับหายไปด้านหนึ่งเท่านั้น
ทว่าตัวกรงมิติจริงๆยังคงอยู่ดี ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย…
ฟั่ฟฟฟฟ!!
และในขณะที่ทั้ง 4 กำลังอื้ออึงกับเรื่องราวอันไม่คาดฝันนั้นเอง พลันปรากฏเสียงเสียดแก้วหูหนึ่งดังขึ้น
ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ หากแต่ต้วนหลิงเทียนได้วูบร่างมาผุดโผล่เบื้องหน้ากรงมิติ และยืนประจัญหน้ากับทั้ง 4 ห่างไปไม่กี่ก้าว และเสียงแหวกฝ่าอากาศฉับไวที่ว่า ก็คือเสียงตวัดกระบี่ด้วยความเร็วสูงล้ำจนน่ากลัว! พวกมันแลเห็นไม่ชัดว่าเป็นกระบี่อะไร เพียงรู้ว่ามันเปล่งแสง 7 สีสว่างเจิดจ้าเหลือเกิน!!
กระบี่ในมือต้วนหลิงเทียนที่ตวัดฟันออกไป ก็คือกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่ไม่ได้ใช้มานานนั่นเอง
ถึงแม้ในปัจจุบันหวงเอ้อจะยังผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนไม่สมบูรณ์ ยังไม่ได้กลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่แท้จริง แต่ก็ทำให้พลังอำนาจของตัวกระบี่เพิ่มขึ้นไม่น้อย
“ไม่จริง!”
“กระบี่ของมัน…ระดับใดกันแน่!?”
…
ทั้ง 4 ที่ได้ยินเสียงตวัดกระบี่เสียดแก้วหู กว่าจะดึงสติกลับมาได้ และกว่าจะรู้ตัวว่ากระบี่ในมือต้วนหลิงเทียนไม่ธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว…
สัวะ! สัวะ! สัวะ! สัวะ!
รังสีกระบี่เปล่งประกายสวว่างวาบหนึ่ง สีสันในโลกหล้าปานจะถูกแสงกระบี่นี้ย้อมกลบ พอแสงสว่างซาลง หนึ่งกระบี่ที่ตวัดฟันออกไปเมื่อครู่ ก็ซัดลำแสงกระบี่เจาะทะลวงหว่างคิ้วร่างทั้ง 4 ไปเรียบร้อย และ 3 ใน 4 ร่างไม่เพียงแต่จะโดนแสงกระบี่เจาะทะลวงหว่างคิ้ว ร่างยังโดนคมมีดมิติผ่าซ้ำให้ศพไม่สวยอีก..
แน่นอนว่าไม่มีใครในบรรดาพวกมันสามารถทำลายป้ายหยกประจำตัวจนหนีไปได้เลย เรียกว่าไม่มีแม้แต่เวลาจะหยิบป้ายออกมาด้วยซ้ำ…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนลงมือฆ่าคนทั้ง 4 จนตาย ทางด้านฮ่วนเอ๋อ ที่อาศัยพลังสายเลือดทั้งใช้แหวน 9 วิญญาณหยินหยาง ก็สามารถฆ่าทั้ง 5 คนที่มากลุ้มรุมนางลงได้เช่นเดียวกัน
9 คนที่มาปิดล้อมต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ แม้ทุกคนจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏครบ 9 ประการถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น แต่ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจความลึกซึ้งบางประการถึงขั้นตอนเล็กน้อย
น่าเสียดายที่คนไม่กี่คนที่เข้าใจความลึกซึ้งถึงขั้นตอนเล็กน้อยนั่น ความลึกซึ้งที่พวกมันเข้าใจ ดันไม่ได้มุ่งเน้นไปในการจู่โจมหรือเสริมความเร็วเป็นหลัก ทำให้พลังต่อสู้ของพวกมันก็แค่ครึ่งๆกลางๆไม่โดดเด่นอะไร
เมื่อเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อที่เข้าใจกฏมิติอันทรงพลัง อาศัยพลังครึ่งๆกลางๆของพวกมัน การปิดล้อมครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากแมงเม่าบินเข้ากองไฟโดยแท้
“พวกเราไปกันเถอะ ฮ่วนเอ๋อ”
ในขณะที่ กระบี่หลิงหลง 7 สลายเป็นแสงผสานเข้าไปในร่าง ต้วนหลิงเทียนก็หันไปเอ่ยทักฮ่วนเอ๋อ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปยังประตูที่เปิดออกด้านหนึ่งของห้องโถง
จากนั้นภายในห้องโถง ก็คงเหลือแต่ซากศพทั้ง 9 พร้อมโลหิตเจิ่งนองคาวคลุ้ง
แน่นอนว่าก่อนออกจากห้องโถงไป ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมสะบัดมือริบสินสงครามจากศพพวกมันมาเก็บไว้
…
นิกายวิถีวายุอัสนี เป็น 1 ใน 5 นิกายหลักของแดนสวรรค์ใต้
ทว่าอยู่ดีๆวันนี้ จวนหลังหนึ่งในนิกายวิถีวายุอัสนี ก็ปรากฏเสียงคำรามด้วยโทสะดังลั่นสนั่นทุ่งขึ้นมา “เหอเอ้อ!!”
พริบตาต่อมาท่ามความสะดุ้งงตกใจของศิษย์นิกายวิถีวายุอัสนี ร่างชราหนึ่งก็พุ่งออกมาจากจวนหลังนั้นด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ดูไม่ได้
ร่างชราดังกล่าวเป็นถึงรองจ้าวหอคุมกฏแห่งนิกายวิถีวายุอัสนี จวินฉงซาน!
“เกิดอะไรขึ้นกัน? เป็นผู้ใดทำให้รองจ้าวหอมีโทสะขนาดนี้?”
“อืม ข้าจำได้ว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนก็มีฉากทำนองนี้เกิดขึ้น…และตอนนั้นก็เป็นศิษย์พี่จวินวั่งเฉินหลานชายของรองจ้าวหอคุมกฏ ที่ตกตายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง”
“ใช่แล้วศิษย์พี่ ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าหลังจวินวั่งเฉินตกตาย ศิษย์พี่หญิงจวินชิวเหอที่เป็นพี่สาวแท้ๆของมัน ก็ไปตระเวนหายอดฝีมือในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงมากมาย เพื่อว่าจ้างไปฆ่าคนร้ายที่เข่นฆ่าจวินวั่งเฉิน นับจากเวลาตอนนี้ก็สมควรเป็นช่วงที่ทุกคนในตางรางจัดอันดับถูกส่งตัวไปยังแดนลับสมบัติ…คงไม่ใชว่าเจอตัวคนร้ายแล้วหรอกนะ?”
“ข้าว่าชัดเจน…ดูทรงแล้ว ศิษย์พี่จวินชิวเหอไม่พ้นเกิดเรื่องอีกคนแน่แท้”
…
เหล่าศิษย์นิกายวิถีวายุอัสนีได้แต่มองคาดเดาไปเรื่อย หากแต่เหล่าอาวุโสที่ล่วงรู้เรื่องราวมากกว่าก็ตระหนักได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดยังตระหนักได้ว่า เกิดเรื่องกับจวินชิวเหอแล้ว!
“รองจ้าวหอจวิน…เกิดอะไรขึ้น?”
ทันใดนั้นเองปรากฏร่างหนึ่งเหินพุ่งขึ้นฟ้ามาหยดลงเบื้องหน้าจวินฉงซานพลางถาม
“นั่นรองจ้าวหอทะลวงฟัน อู่กัง!”
ศิษย์หลายยคนรู้จักชายชราร่างใหญ่ที่อยู่ๆก็เหินร่างขึ้นมาปรากฏกายกันดี ลูกตาของพวกมันยังอดหดเล็กลงไม่ได้
เพราะตอนนี้ทั้ง 2 ร่างที่เหินลอยอยู่กลางหาวนั่น ก็คือชนชั้นรองจ้าวหอที่มีอำนาจในนิกายวิถีวายุอัสนีของพวกมันไม่น้อยเลย
เพียง 2 ร่างลอยล่องอยู่เฉยๆ ก็ทำให้พวกมันรู้สึกกดดันมากแล้ว นับประสาอะไรกับรองจ้าวหอคุมกฏจวินฉงซานกำลังอยู่ในอารมณ์เดือดดาลปานจะฆ่าคนแบบนี้!
“ชิวเหอ…ตายแล้ว”
จวินฉงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง สองหมัดกำแน่น พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดปะทุออกมาอย่างไม่อาจควบคุม กลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามกวาดสะท้านออกไปทั่วสารทิศ
เหล่าศิษย์นิกายวิถีวายุอัสนีที่พลังฝึกปรือไม่สูง ล้วนหน้าเปลี่ยนสีทันที ทั้งหมดเร่งรุดเหินร่างออกไปให้ห่างจววินฉงซานทันที
“อะไร?”
ลูกตาอู่กังหดเล็กลงทันที “จวินชิวเหอ…ก็ตกตายแล้วหรือ!?”
ในขณะที่อู่กังงกำลังตกใจ ร่างจวินฉงซานก็เหินพุ่งตัดฟ้าหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
“จวินชิวเหอ…ตายแล้วจริงๆ?”
“ให้ตายเถอะ! ที่พวกเราเดากันล้วนถูกเผงเลย สตรีนามฮ่วนเอ๋อในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง สมควรฆ่าจวินชิวเหอพร้อมคนที่นางจ้างไปหมดแล้ว…”
“ร้ายกาจจริงๆ…หากนางมีพลังฝีมือทำอะไรแบบนั้นได้ น่ากลัวว่าพลังของสตรีนามฮ่วนเอ๋อผู้นั้น สมควรติดอยู่ใน 10 อันดับแรกได้แล้วเป็นแน่”
“ว่าแต่ทางงที่รองจ้าวหอจวินเหาะไปนั่น…ไม่ใช่ว่าเป็นจวนของรองประมุขหรือไร?”
“หากข้าเดาไม่ผิดรองจ้าวหอจวินสมควรไปหารองประมุขโฮ่ว เพื่อร้องขอให้ประมุขโฮ่วช่วยติดต่อลูกชายอย่าง โฮ่วตงเฉวียน ให้ลงมือล้างแค้นให้จวินวั่งเฉินกับจวินชิวเหอแน่นอน”
…
ในขณะที่เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายวิถีวายุอัสนีกำลังซุบซิบคุยกัน รองจ้าวหอคุมกฏจวินฉงซาน ก็ได้มาถึงจวนที่พักของรองประมุขนนิกายวิถีอัสนี โฮ่วเจิน เรียบร้อย
“รองประมุขโฮ่ว ขอท่านแจ้งให้โฮ่วตงเฉวียนบุตรท่าน ช่วยลงมือล้างแค้นให้หลานชายกับหลานสาวของข้าด้วย!”
เมื่อจวินฉงซานพบเจอโฮ่วเจิน สิ่งแรกที่มันทำก็คือประสานมือก้มหัวร้องขอออกมา และไม่เงยหน้าอยู่นาน ราวกับหากโฮ่วเจินไม่ตอบรับมันจะไม่เงยหน้าขึ้นมา
“รองจ้าวหอจวิน ที่แท้มันเรื่ออะไรกัน? ท่านเงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าวเรื่องราวก่อนเถอะ”
โฮ่วเจินกล่าวด้วยท่าทางตกใจ
หลังจากนั้นภายใต้การเล่าเรื่องราวของจวินฉงซาน ในที่สุดโฮ่วเจินก็เข้าใจสถานการณ์ทันที “ท่านจะบอกว่า…หลานชิวเหอ ได้ไปจ้างวานยอดฝีมือ 8 คนที่ติดอยู่ใน 30 อันดับแรกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงแล้ว แต่สุดท้ายยังตกตายด้วยน้ำมือของสตรีนามฮ่วนเอ๋องั้นรึ?”
“รองจ้าวหอจวิน ท่านใช่เข้าใจอะไรผิดพลาดหรือไม่…มิใช่ว่าหลานชิวเหอเพลี่ยงพล้ำตกตายเพราบดทดสอบในแดนลับสมบัติหรอกนะ?”
โฮ่วเจินกล่าวคาดเดา
“เป็นไปไม่ได้!”
จวินฉงซานส่ายหัวไปมา “ก่อนที่เหอเอ้อจะลงมือกับสตรีนางนั้น นางพึ่งส่งข้อความแจ้งมาว่าพบเจอคนร้ายในห้องโถงแดนลับสมบัติแล้ว…และหลังจากที่นางส่งข้อความนี้มาได้ไม่นานนัก นางก็ตาย”
“ในตอนนั้นจากที่ข้าฟัง ในโถงกลางของแดนลับสมบัติ ไม่พ้นเหลือแต่นางกับคนของนาง และสตรีนามฮ่วนเอ๋อกับชายหนุ่มนามต้วนหลิงเทียน”
จวินฉงซานกล่าว
“แล้วหลานชิวเหอไปจ้างผู้ใดมาบ้าง ท่านรู้จักหรือไม่?”
โฮ่วเจินเอ่ยถาม
“ข้าพอรู้จักอยู่บ้าง…และข้าก็พอรู้จักผู้อาวุโสของบางคน หลังติดต่อไปถาม จึงพบว่าคนที่เหอเอ้อจ้างล้วนตกตายหมดสิ้น!”
สีหน้าจวินฉงซานบัดนี้ บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก!
ด้านโฮ่วเจินพอได้ฟัง ลูกตามันก็หดเล็กลงเร็วไว “หาก 2 คนนั่นสามารถฆ่าหลานสาวท่านกับทั้ง 8 คนนั่นได้…ข้าเกรงว่าพลังฝีมือของพวกมัน ต่อให้เทียบกับ โฮ่วตงเฉวียน ลูกชายข้า ก็ไม่น่าจะด้อยกว่ามากนัก”
“รองจ้าวหอจวิน ข้าจะส่งข้อความไปหาลูกชายให้ไปลองดู…แต่ข้าไม่อาจรับปากท่านได้ ว่าลูกชายข้าจะมีพลังพอเข่นฆ่าพวกมัน…”
โฮ่วเจินกล่าว
“รองประมุขโฮ่ว หากแม้แต่โฮ่วตงเฉวียนยังไม่อาจทำอะไรพวกมันได้ เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ทำใจแล้ว!”
จวินฉงซานกัดฟันกล่าว
…
ณ แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงง
โฮ่วตงเฉวียนที่แยกตัวออกมาท่องไปทั่วแดนลับสมบัติระดับ 1 หมายหาสมบัติล้ำค่า อยู่ๆก็ได้รับข้อความหนึ่งติดต่อมา และเป็นบิดาของมันเอง
“ต้วนหลิงเทียน กับฮ่วนเอ๋อ…ฆ่าจวินชิวเหอ?”
“ยิ่งไปกว่านั้น จวินชิวเหอยังพาพวกไปด้วย 8 คน?”
ต้องบอกเลยว่าทันทีที่โฮ่วตงเฉวียนได้รับข้อความดังกล่าว มันหวาดกลัวไม่น้อย
ต้องทราบด้วยว่าลำพังจวินชิวเหอเองพลังฝีมือก็ไม่ใช่ชั่ว และคนทั้ง 8 ที่นางรวบบรวมมาก็ล้วนติดอยู่ใน 30 อันดับแรกทั้งสิ้น ทั้งหมดไม่ใช่คนอ่อนแอไร้สามารถ
อย่างไรก็ตามกระทั่งกลุ้มรุมกัน 9 คนแต่ยังถูกต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข่นฆ่าจนเหี้ยน?
“ท่านพ่อ หากที่ท่านพูดเป็นความจริง…ข้าไม่น่าจะไหว”
โฮ่วตงเฉวียนกล่าวออกเสียงเข้ม
“หากสบโอกาสเจ้าก็ลองไปหยั่งเชิงพวกมันดูก่อนเถอะ…แต่อย่าได้เผยทีท่าคิดร้ายหมายฆ่าฟันอันใดต่อพวกมันเด็ดขาด! เพราะเท่าที่ข้ารู้มาทั้งคู่มิได้ฆ่าคนตามอำเภอใจ เว้นเสียแต่ผู้อื่นจะคิดฆ่าพวกมันก่อน หาไม่แล้วพวกมันก็ไม่ได้เข่นฆ่าสังหารผู้ใดอย่างอำมหิต”
โฮ่วเจินกล่าว
และนี่เป็นเหตุผลสำคัญว่าไฉนมันถึงบอกจวินฉงซานว่าจะให้ลูกชายของมันไปลองดูก่อน
ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ไม่ได้ฆ่าคนตามใจชอบ
หาไม่แล้วมันไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อลูกหลานคนอื่นหรอก!
“ถ้าแค่ลองดูก็ไม่มีปัญหาอะไร”
โฮ่วตงเฉวียนระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นสองตามันก็ทอประกายยวาบหนึ่ง เร่งส่งข้อความออกไปทันที “เหยียนหรูอวี้ เรื่องต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อนั่น เจ้ายังรู้อะไรอีกบ้าง?”
ตอนที่ 3204
ณ แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง
แดนลับสมบัติระดับ 2…
“พี่หลิงเทียน ตอนนี้เราจะไปทางไหนกันดี?”
หลังก้าวผ่านประตูที่เปิดออกของห้องโถงมาแล้ว เบื้องหน้าในสายตาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็คือโลกอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
พอหันกลับไปมองด้านหลัง ก็ไม่แลเห็นประตูห้องโถงอีกต่อไป
ราวกับทันทีที่เดินผ่านพ้นประตูนั่นมา ก็คือการเข้าสู่โลกใหม่ในทันที
“สุ่มเอาสักทางเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนยิ้ม “ฮ่วนเอ๋ออยากไปทางไหน พวกเราก็ไปทางนั้นแล้วกัน”
ในแดนลับสมบัติระดับ 2 มีโชควาสนามากมาย ไม่ว่าจะอุปกรณ์อมตะ โอสถอมตะ ผลไม้อมตะ ยันต์อมตะ…หากแต่สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนต้องการในตอนนี้ก็คือโอสถอมตะกับผลไม้อมตะที่สามารถช่วยให้ระดับพลังฝึกปรือของเขาก้าวหน้าขึ้นเร็วๆ
ในระดับราชาอมตะ มีโอสถอมตะและผลไม้อมตะน้อยอย่างนัก ที่จะสามารถยกระดับพลังฝึกปรือให้เพิ่มพูนขึ้นโดยตรง
ในแดนสวรรค์ใต้ ถึงแม้จะพอมีอยู่บ้าง พวกมันก็ไม่ต่างอะไรจากเขามังกรขนหงส์เลย
แน่นอนว่ายังมีโอสถอมตะและผลไม้อมตะอีกไม่น้อยที่สามารถช่วยให้ตัวตนขอบเขตราชาอมตะบ่มเพาะพลังได้เร็วขึ้น
เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนสามารถทะลวงจากราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดมายังราชาอมตะ 3 ศักดิ์ได้ในเวลาเพียง 30 ปี ทั้งหมดก็เพราะโอสถอมตะและผลไม้อมตะมากมายที่จ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยนำมามอบให้เขา
และเขาก็ได้แบ่งมันให้ฮ่วนเอ๋อครึ่งหนึ่ง
เป็นธรรมดาว่าถึงเขาจะไม่ได้แบ่งให้ฮ่วนเอ๋อ แต่ด่านพลังของเขาก็ไม่มีทางทะลวงไปถึงราชาอมตะ 6 ผสานเหมือนนาง
เอาแค่ช่องว่างระหว่าราชาอมตะ 3 ศักดิ์กับราชาอมตะ 4 องค์ประกอบ ก็เป็นดั่งหุบเหวกว้างใหญ่
“งั้นไปทางนี้กันเถอะพี่หลิงเทียน”
ฮ่วนเอ๋อหันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ชี้ไปทางขวามือแล้วหันมากล่าวชวนต้วนหลิงเทียน
“ไปสิ”
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แย้งอะไร เพียงเหินร่างไปพร้อมฮ่วนเอ๋อ มุ่งไปตามทางเรื่อยๆ สำนึกเทวะก็แผ่ออกไปตรวจสอบที่ทางโดยรอบ มองหาโอกาสต่างๆ
ในแดนลับสมบัติระดับ 2 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง แม้จะมีโชควาสนา แต่เป็นธรรมดาว่าโชควาสนาเหล่านั้นก็มาพร้อมความเสี่ยง
ความเสี่ยงที่ว่าบางครั้งก็ถึงชีวิต!
เป็นธรรมดาว่ายิ่งเป็นสมบัติที่มีมูลค่าสูงมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็ยิ่งมีมากตามไปด้วย
อย่างเช่นชุดเกราะอมตะระดับจอมราชัน ในแดนลับสมบัติของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงแห่งนี้ก็มี หากแต่ทุกคราที่ปรากฏจะมีจิตวิญญาณพิทักษ์ค่ายกลอันทรงพลังคอยปกป้องอยู่เสมอ
จิตวิญญาณพิทักษ์ค่ายกลที่ว่า เป็นร่างจิตที่อุบัติขึ้นจากพลังอำนาจของค่ายกล พลังนับว่าร้ายกาจไม่ใช่ชั่ว
แม้ระดับพลังฝึกปรือของจิตวิญญาณค่ายกลจะอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศเช่นกัน แต่พลังแห่งกฏที่มันใช้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยทีเดียว ร้ายกาจพอๆกับ 10 อันดับแรกในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงด้วยซ้ำ
ปกติแล้วหากพบเจอจิตวิญญาณค่ายกลอันทรงพลังดังกล่าว หลายๆคนจะเลือกร่วมมือกัน
“อย่างไรก็ตาม อันตรายในแดนลับสมบัติก็ไม่ต่างอะไรจากอันตรายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงสักเท่าไหร่ เพราะพวกเจ้าสามารถใช้การทำลายป้ายหยกประจำตัว เพื่อหลบหนีเอาชีวิตรอดได้ทุกเมื่อ”
ข้อความด้านบนเป็นต้วนหลิงเทียนได้ยินมาจากจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยก่อนที่จะเข้ามา
เป็นธรรมด่าวาการทำลายป้ายหยกประจำตัว ก็เสมือนลาจากแดนลับสมบัติไปทันที เพราะถึงจะเข้ามาใหม่ก็จะปรากฏในพื้นที่ปกติของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงตามเดิม ไม่อาจเข้ามาในแดนลับสมบัติได้อีกแล้ว
“พี่หลิงเทียน ดูเหมือนจะมีเสียงดังมาจากทางนั้น”
หลังต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเหินร่างเดินทางไปได้ราวๆ 1 ชั่วยาม ฮ่วนเอ๋อก็ชี้ไปยัภูเขาไฟไกลๆลูกหนึ่งพลางกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน
ตอนนี้ผืนดินเบื้องล่างของทั้งคู่ก็เป็นพื้นที่ทะเลทรายอันแห้งแล้ง ห่างออกไปไกลๆ เห็นภูเขาไฟหลายลูกที่กำลังพ่นลาวาไอร้อนออกมาไม่หยุด ไอร้อนลวกลอยสูงขึ้นไปจะเผาฟ้า
ฮ่วนเอ๋อบอกว่าได้ยินเสียงบางอย่างมาจากทิศทางดังกล่าว ทว่าต้วนหลิงเทียนกลับไม่ได้ยินอะไรเลย
กระนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ยังไปดูชมเรื่องราวกับฮ่วนเอ๋อ และหลังจากเข้าใกล้เขตภูเขาไฟดังกล่าวอีกหน่อย ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงที่ว่าแล้ว
ปงงง!!
ตูมมม!!
…
เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้องปานแผ่นดินถล่มดังกระหึ่มมาแต่ไกล จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นว่าท่ามกลางเปลวเพลิงที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า ปราฏร่างผู้คนพุ่งวูบไปวาบมาปานจะหยอกล้อเพลิงไฟ
และนอกจากร่างผู้คน 2-3 คนแล้ว ยังมีร่างใหญ่โตมหึมาที่คล้ายผู้คน แต่ไม่น่าจะใช่ผู้คนอีกด้วย!
“ในแดนลับสมบัติ หากมีความเคลื่อนไหวใหญ่โตอะไร ก็เป็นไปได้วว่าจะมีสมบัติที่นั่น…และยิ่งสมบัติล้ำค่ามากเท่าไหร่ จิตวิญญาณค่ายกลก็จะยิ่งทรงพลัง หากมีคนไปพบเจอก่อนก็ยากจะหลีกเลี่ยงการปะทะวุ่นวายเอิกเกริก”
“สมบัติบางอย่างในแดนลับสมบัติ กระทั่ง 10 ตระกูลใหญ่กับ 5 นิกายหลักเองยังต้องตาลุกวาว”
ในหูต้วนหลิงเทียนเสมือนมีคำพูดของจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยดังซ้ำไปซ้ำมา และนั่นทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันที
“ดูเหมือนว่าของที่จิตวิญญาณค่ายกลเบื้องหน้าปกป้องอยู่…จะไม่ธรรมดา”
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก ว่าร่างมหึมาดั่งยักษ์เพลิงเบื้องหน้า สมควรเป็นจิตวิญญาณค่ายกลที่ปกป้องสมบัติบางอย่างเอาไว้แน่นอน!
ไม่ยากที่เขาจะบอกได้ว่ามันร้ายกาจขนาดไหน เมื่อเห็นมันประมือกับคนไม่กี่คนเบื้องหน้า
“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกุมมือฮ่วนเอ๋อเอาไว้ จากนั้นก็ใช้เคลื่อนมิติพาร่างฮ่วนเอ๋อวูบตัดระยะไป 10,000 หมี่ในชั่วพริบตา!
และการเคลื่อนย้ายข้ามมิติครั้งนี้เพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างมันหายไปถึง 1 ใน 3 ส่วน!
‘ให้ตายเถอะ ด้วยระดับพลังฝึกปรือของข้าตอนนี้ปริมาณพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่มี กลับไม่พอให้ใช้พลังความลึกซึ้งเคลื่อนมิติขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยได้ตามอำเภอใจ…’
ต้วนหลิงเทียนได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมออกมา
ความลึกซึ้งเคลื่อนมิตินั้น ต้วนหลิงเทียนได้ตระหนักรู้มันจนบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยแล้ว และทำให้สามารถเคลื่อนย้ายข้ามระยะทางได้ทีเดียว 10,000 หมี่
(10,000 หมี่ = 10,000 เมตร = 10 กิโลเมตร = 20 ลี้)
อย่างไรก็ตามการจะเคลื่อนย้ายข้ามมิติทีเดียว 10,000 หมี่นั้น มันกินพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขาสูงมาก
พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดระดับนี้สำหรับจอมราชันอมตะคงไม่นับเป็นอะไร แต่กับราชาอมตะ นับว่าสร้างความกดดันไม่น้อย
ดุจเดียวกับต้วนหลิงเทียนตอนนี้ที่เป็นแค่ราชาอมตะ 3 ศักดิ์ หากเขาใช้พลังความลึกซึ้งเคลื่อนมิติเต็มระยะ 10,000 หมี่ในคราวเดียว ก็ทำให้เขาถึงกับจ่ายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดไปถึง 1 ใน 3 ส่วน!
แต่ถ้าเขาเลือกจะเคลื่อนย้ายมิติในระยะ 100 หมี่ หรือ 1,000 หมี่ติดๆกันหลายครั้งจนได้ 10,000 หมี่ มันจะไม่สิ้นเปลืองพลังอะไรมากมายขนาดนั้น
เมื่อวูบร่างข้ามระยะมาทีเดียว 20 ลี้ ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็บรรลุถึงน่านฟ้าเหนือแนวภูเขาไฟแล้ว
ตอนนี้ทั้งคู่ยังแลเห็นเรื่องราวการต่อสู้ชัดถนัดตา เป็นชาย 3 คนกำลังรับมือกับอสูรเพลิงตัวเขื่องที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเปลวเพลิงลุกโชนเร่าๆ
ร่างอสูรกายมหึมาตัวนี้ เนื้อตัวของมันเป็นหินสีแดงฉาน ที่ดูอย่างไรก็เสมือนก้อนลาวา…ถ่านที่พึ่งชักออกจากใต้เตาก็ว่า!
“3 คนนั่น…”
ต้วนหลิงเทียนกวาดตามองสำรวจไปยังร่างคนทั้ง 3 จึงพบว่าชายวัยกลางคนกับชายหนุ่มอีก 2 คน ก็คือคนที่เขาเคยเห็นในโถงรอของแดนลับสมบัติระดับ 2 ก่อนหน้า และเป็น 3 คนที่ยืนอยู่เป็นกลุ่มนอกจากเขากับฮ่วนเอ๋อ
เห็นชัดว่าทั้ง 3 นั้นไม่อาจเอาชนะอสูรเพลิงตัวเขื่องได้ กระทั่งยังตกเป็นรองมากขึ้นทุกขณะ
ซู่มมม!!
อสูรเพลิงตัวเขื่องราวสบโอกาสเหมาะ มันชกหมัดทะลวงแหวกฟ้าไปฉับไว สภาวะประหนึ่งอุกาบาตเพลิงลูกใหญ่ ทรงพลังสุดไพศาล!
หนึ่งหมัดที่มันชกออกมาครานี้ผสานไปด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟหลายประการ กระทั่งบางประการยังบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยแล้วอีกด้วย
‘ความลึกซึ้งปะทุ แผดเผา…ล้วนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย!’
ก่อนที่จะหันมาใช้กฏมิติ ต้วนหลิงเทียนก็เลือกใช้กฏแห่งไฟ ทำให้มองไปปราดเดียวก็บอกได้ทันทีว่าอสูรเพลิงตัวเขื่องนี่ใช้พลังอะไรอยู่บ้าง
ความแข็งแกร่งของอสูรเพลิงตัวเขื่องเบื้องหน้า นับว่าเหนือกว่า 9 คนที่พึ่งตกตายคามือเขากับฮ่วนเอ๋อไปมากนัก
แม้ในบรรดา 9 คนนั่น จะมีบางคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนเล็กน้อย 2 ประการ แต่ความลึกซึ้งที่พวกมันเข้าใจกลับไม่ได้ทรงพลังโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่งทั้งหมด
ความลึกซึ้งของกฏนั้นบางประการเน้นโจมตี บางประการเน้นความเร็ว บ้างก็เน้นป้องกัน บ้างก็เน้นสนับสนุนขัดขวาง บ้างก็เน้นในการเสริมพลังทุกอย่าง เช่นนั้นแล้ว หากเข้าใจความลึกซึ้งที่คละประเภท ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นแบบครอบคลุม
กลับกัน อสูรเพลิงตัวเขื่องเบื้องหน้ามันเข้าใจความลึกซึ้งปะทุกับแผดเผาที่เป็นความลึกซึ้งที่หนุนเสริมการโจมตีเป็นหลักของกฏแห่งไฟทั้งคู่ ทำให้มันมีพลังจู่โจมอันเกรี้ยวกราดน่ากลัวนัก!
ตูมมม!!
อสูรเพลิงตัวเขื่องไม่คิดจับปลาสองมือ หมัดเพลิงของมันชกเข่นฆ่าเข้าใส่ร่างคนที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดเพียยงคนเดียว เพิกเฉยอีก 2 ไปโดยสมบูรณ์! และชายคนดังกล่าวเมื่อตกอยู่ในห้วงเวลาแห่งความเป็นตาย มันก็ไม่ลังเลใดๆเรียกป้ายหยกประจำตัวออกมาบดขยี้ทันที คนอันตรธานหายวับไปในอากาศ!!
หมัดของอสูรเพลิงตัวเขื่องสุดท้ายก็จั่วลมวูบใหญ่ อย่างไรก็ตามคลื่นพลังจากหมัดของมัน ก็พุ่งผ่านอากาศไปถล่มภูเขาไฟอีกลูกไกลๆ จนแหลกระเบิดไม่มีชิ้นดี พาลให้วุ่นวายกันยกใหญ่
และภูเขาไฟลูกอื่นคล้ายถูกกระตุ้นด้วยแรงระเบิดดังกล่าว จึงเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาครืนๆ!
“ถอยก่อน!!”
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของชาย 2 คนที่เหลืออยู่เปลี่ยนไปทันที จากนั้นพวกมันก็เร่งเหินร่างล่าถอยกันตาลีตาเหลือก จนในที่สุดก็ออกห่างจากแนวพื้นที่ภูเขาไฟได้สำเร็จ อสูรกายเพลิงตัวเขื่องเอง เมื่อเห็นว่าศัตรูออกจากระยะไปแล้ว มันก็เริ่มสงบลง
อสูรกายเพลิงตัวเขื่องที่สงบลงแล้ว ก็ค่อยๆจมหายไปในธารลาวาร้อนลวกในปากปล่องภูเขาไฟอย่างเงียบงัน สุดท้ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับมันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ด้านชาย 2 คนที่ล่าถอยจนหลุดออกนอกระยะเขตภูเขาไฟที่ปะทุคุกรุ่น ก็แลดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แววตาทั้งคู่ฉายชัดถึงความไม่ยินยอมพร้อมใจ
“นั่นน่ะเหรอ สมบัติที่ปรากฏขึ้น?”
หลังเห็นอาการไม่ยินยอมของทั้งสองคน รวมถึงสายตาเสียดายนั่น ต้วนหลิงเทียนจึงพาฮ่วนเอ๋อเหินร่างเข้าไปใกล้อีกนิด จนในที่สุดเขาก็เห็นว่าลึกลงไปบริเวณใจกลางปากปล่องภูเขาไฟลูกใหญ่ อันคุกรุ่นไปด้วยธารลาวาลวกร้อน ปรากฏต้นไม้ต้นหนึ่งที่เติบโตขึ้นบนหินหลอมเหลว ต้นไม้ที่ว่ายังแลดูพิกลนัก แม้ลำต้นรวมถึงใบจะลุกโชนไปด้วยเพลิงไฟระอุ แต่กลับมีสีเขียวขจีไร้รอยไหม้!
ที่สะดุดตาเขาที่สุดก็คือบริเวณแง่งกิ่งหลักติดลำต้น ดูเหมือนจะออกผลมาทั้งสิ้น 5 ผล แน่นอนว่าทั้ง 5 ผลนั่นก็คือผลไม้อมตะ!
หากสังเกตให้ดีจะพบอีกว่า
ทั่วพื้นผิวของผลไม้อมตะดังกล่าว แม้จะเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นมา หากแต่ยังมีกระแสพลังสีคราม 3 สายไหลวนเวียนอยู่รอบๆ
“นั่นมัน…ผลเปลวอัคคีลายครามงั้นรึ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนฉายแสงจ้าขึ้นมาทันที “ที่สำคัญกลับมีมากถึง 5 ผล…ด้วยระดับพลังบบ่มเพาะของข้าตอนนี้ แค่ 2 ผลก็มากพอจะให้ข้าทะลวงไปถึงราชาอมตะ 4 องค์ประกอบได้ในเวลาสั้นๆ!”
ผลไม้อันเต็มไปด้วยเปลวเพลิงลุกโชนและมีกระแสพลังสีคราม 3 สายม้วนวนรอบผลไม่หยุด ก็คือผลไม้อมตะชนิดหนึ่งที่สามารถส่งเสริมพลังฝึกปรือให้ขอบเขตราชาอมตะได้
คนที่พึ่งทะลวงมาถึงราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด สามารถทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ 2 ยศได้ในเวลาอันสั้น หากรับประทานผลเปลวอัคคีลายคราม 2 ผล
แต่ยิ่งด่านพลังฝึกปรือสูงขึ้นเท่าไหร่ พลังของผลเปลวอัคคีลายครามก็ดูเหมือนจะช่วยได้น้อยลงตาม…
ตัวอย่างก็เช่นราชาอมตะ 9 ตำหนัก ต่อให้รับประทานผลเปลวอัคคีลายครามไปทีเดียว 10 ผล ก็ยังไม่อาจทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศได้
ยังดีที่ผลเปลวอัคคีลายครามนี้ต่อให้กินมากเท่าไหร่ ผลกระทบก็จะไม่ลดลง
“ผลเปลวอัคคีลายคราม?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจดจำผลเปลวอัคคีลายครามได้ ด้านฮ่วนเอ๋อก็จดจำมันได้เช่นกัน เพราะในมรดกความทรงจำของจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ก็มีเรื่องผลไม้อมตะ รวมถึงสมบัติฟ้าดินต่างๆบันทึกไว้มากมาย
“เป็นผลเปลวอัคคีลายครามจริงๆ…แถมยังมีถึง 5 ผล”
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง
ถึงแม้คฤหาสน์เฉวียนโยวจะมอบทรัพยากรบ่มเพาะให้เขามากมาย แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับผลเปลวอัคคีลายคราม
ผลเปลวอัคคีลายครามเป็นผลไม้อมตะที่หาได้ยากมาก อย่าว่าแต่คฤหาสน์เฉวียนโยวเลย กระทั่ง 10 ตระกูลใหญ่ กับ 5 นิกายหลัก ยังไม่ใช่ว่าจะหามาใช้ได้
“หืม?!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อค้นพบผลเปลวอัคคีลายคราม ทางด้าน 2 คนที่พึ่งหนีออกมาเมื่อครู่ก็สังเกตเห็นพวกเขาเช่นกัน
ครู่ต่อมา ดวงตาพวกมันก็ทอประกายสดใส จากนั้นก็พากันเหินร่างมาหาต้วนหลิงเทียน “ใต้เท้าทั้ง 2 มาร่วมมือกับพวกเรา เพื่อช่วงชิงผลเปลวอัคคีลาครามนั่นด้วยกันไหม?”
“ไม่ล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองงทั้งสองด้วยสายตาเฉยเมย “ตอนนี้พวกเจ้าเลือกเอา ว่าจะรีบไปให้ห่างจากที่นี่…หรือทำลายป้ายหยกประจำตัวแล้วออกไป”
“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าคิด 5 ลมหายใจ…หาไม่แล้วก็จงแบกรับความเสี่ยงเอาเอง”
ตอนที่ 3205
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ สีหน้าชายทั้ง 2 ก็เปลี่ยนไปทันที
“ใต้เท้าต่อให้ท่านไม่คิดร่วมมือกับพวกเรา ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องขับไล่ไสส่งพวกเรากระมัง? ท่านทำเช่นนี้…ไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยหรือ?”
ชายวัยกลางคน เอ่ยยถามออกมาเสียงเย็น
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆเอง ก็ชักสีหน้าอัปลักษณ์บิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ อย่างไรก็ตามในดวงตายังฉายความหวาดกลัวทั้งยำเกรงชัดเจน
เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็รู้ดี ว่าหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเบื้องหน้า คนนึงอยู่ในอันดับที่ 13 อีกคนก็ 15!
สหายข้างกายมันแม้จะอยู่ในอันดับที่ 12 แต่ทว่าตัวมันก็แค่อันดับที่ 19 เท่านั้น
“ในเมื่อเจ้าไร้ความสามารถเก็บผลเปลวอัคคีลายครามทั้ง 5 นั่นมาได้ แล้วเจ้าคิดจะรั้งอยู่ไปทำอะไร คิดเป็นเฒ่าประมงรอฉกฉวยรึ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ย
“ใต้เท้า ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่า…ท่านทั้ง 2 สามารถเก็บผลเปลวอัคคีลายครามได้เช่นนั้นหรือ?”
ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
จากการลงมือเมื่อครู่ มันจึงตระหนักถึงพลังอันน่ากลัวของจิตวิญญาณค่ายกลเบื้องล่างชัดเจนแจ่มแจ้ง กระทั่งมันกับสหายอีก 2 คนยังไม่ไหวจะสู้ด้วยซ้ำ!
แต่ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า กลับบอกว่าสามารถเก็บผลเปลวอัคคีลายครามทั้ง 5 ได้งั้นหรือ?
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน กระทั่งชายวัยกลางคนเองยังอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ ในแววตายังเผยให้เห็นความหวาดกลัว แต่มันกลับไม่คิดจากไป
กระทั่งในแววตาหวาดกลัว กลับฉายให้เห็นถึงความโลภบางประการ
“ยังเหลืออีก 3 ลมหายใจ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเตือนเสียงหนัก
“ใต้เท้า…ผู้คนในหนทางเดียวกันวันนี้แยกไปวันหน้ายังพบใหม่ ใยต้องหักหาญน้ำใจกันถึงขนาดนี้เล่า?”
สีหน้าชายวัยกลางคนเริ่มเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก
“พี่หลิงเทียนอุตส่าห์ให้เจ้าไปแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ไป เช่นนั้นก็อย่าได้คิดจะไป!”
ฮ่วนเอ๋อที่ลอยร่างข้างกายต้วนหลิงเทียน พอเห็นว่าชายวัยกลางคนทำท่าราวกับจะรั้นอยู่ไม่ยอมจากไป ร่างบางก็อันตรธานหายไปในฉับพลัน ผุดโผล่อีกครั้งก็อยู่ด้านหลังชายวัยกลางคนแล้ว!
พริบตาต่อมา ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะทันได้ตอบสนองเรื่องราวใด ห้วงมิติรอบกายก็ผนึกแข็ง กลับกลายเป็นกรงหนึ่งกักร่างมันเอาไว้!
เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!
ท่ามกลางความว่างเปล่า พลันอุบัติรอยแยกมิติ 3 รอยขึ้น และปรากฏคมมีดมิติสีเทาพุ่งออกจากรอยแยกมิติทั้ง 3 ดังกล่าวฉับไว เข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ชายวัยกลางคนที่ติดแหง็กอยู่ในกรงมิติ!
และเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลมันอุบัติขึ้นในชั่วเวลาเสี้ยวพริบตา กว่าที่ชายวัยกลางคนจะตอบสนองเรื่องราว คมมีดมิติทั้ง 3 ก็เข่นฆ่าเข้ามาจนห่างร่างมันไม่ถึง 10 ก้าวแล้ว!
สีหน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปใหญ่หลวง พลังเซียนนอมตะต้นกำเนิดทะลักออกมาท่วมร่าง ดาบอมตะในมือกระชับแน่นเปล่งแสงพลังพลางกู่ร้องเวิงๆ มือไม้ป่ายปาดออกกระบวนท่าไม้ตายตอบโต้กลับไปทันที!
และหลังจากปะทุพลังใช้เพลงดาบฟาดทำลายคมมีดมิติทั้ง 3 ที่เข่นฆ่าเข้ามาได้หมดแล้ว ชายวัยกลางคนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกคำหนึ่ง
แต่ทว่ามันพึ่งจะโล่งอกได้ไม่ทันไร เสียงโพล่งตะโกนด้วยความร้อนใจพลันดังงขึ้นจากด้านข้าง “ระวัง!!”
และผู้ที่โพล่งออกมาก็คือชายหนุ่มที่ลอยอยู่ข้างๆร่างวัยกลางคน มันเห็นชัดเจนว่าฮ่วนเอ๋อที่ลงมือใส่ชายวัยกลางคน ก็ไม่ได้หยุดยั้งอะไร นางเรียกแหวนประหลาดออกมา ก่อนที่จะสร้างกระบี่พลังมีสภาพแล้วจู่โจมเข้าใส่ชายวัยกลางคนอย่างต่อเนื่อง
ซู่มมม!!
กระบี่พลังที่สร้างขึ้นจากแหวน 9 วิญญาณหยินหยาง พุ่งทะยานตัดความว่างเปล่าฉับไว แสงพลังสองสีสันสาดส่อง และเมื่อเจียนปะทะกับกรงมิติมันก็อันตรธานหายไปในฉับพลัน
ปรากฏขึ้นอีกครั้งก็อยู่ภายในกรงมิติแล้ว!
“ไม่!!”
การโจมตีต่อเนื่องของฮ่วนเอ๋อรอบนี้ต่างจากก่อนหน้าที่ชายวัยกลางคนรับได้อย่างสิ้นเชิง เพราะนางได้ใช้แหวน 9 วิญญาณหินหยางในการลงมือ
ผลลัพธ์ย่อมจินตนาการได้ออก
ดาบในมือของชายวัยกลางคนถูกกระบี่พลังมีสภาพจากแหวน 9 วิญญาณหยินหยางปัดจนกระเด็นละลิ่ว ง่ามมือฉีกขาด จากนั้นกระบี่พลังมีสภาพก็พุ่งทะลวงป่นร่างวัยกลางคนเป็นหมอกโลหิต คงเหลือเพียงแหวนพื้นที่ ชุดเกราะอมตะ กับดาบอมตะระดับราชาที่กระเด็นละลิ่วไปนู่น…
หลังเข่นฆ่าชายวัยกลางคนแล้ว ฮ่วนเอ๋อก็สะบัดมือเบาๆคราหนึ่งดูดรั้งสิ่งของไม่เว้นดาบที่กระเด็นละลิ่วไปกลับมา ก่อนที่จะวูบร่างกลับไปอยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียนในพริบตา ส่งมอบของทั้งหมดไปอยย่างคล่องแคล่ว
จากนั้นนางก็กุมมือต้วนหลิงเทียน สีหน้าท่าทีกลับมาแลดูอ่อนโยนว่าง่ายอีกรอบ
ชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลได้แต่มองฮ่วนเอ๋อด้วยสายตาหวาดผวา รูม่านตามันหดแคบลงแทบปิด ขณะเดียวกันยังรู้สึกเสมือนมีไอเย็นสายหนึ่งแล่นวาบจากปลายเท้าจรดศีรษะ
หากมันไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง มันไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าแม่นางน้อยที่ดูอ่อนโยนเชื่อฟังเบื้องหน้า จะดุร้ายเด็ดขาดขนาดนี้!
“เจ้ายังเหลือเวลาอีก 1 ลมหายใจ”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองชายยหนุ่ม พลางกล่าวเสียงเรียบ
และพอได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ชายหนุ่มก็คล้ายตื่นจากฝัน ร่างปะทุพลังเกรี้ยวกราด หันหลังพุ่งร่างออกไปเร็วไว
ระหว่างที่เหินร่างหลบหนีมา ชายหนุ่มไม่กล้าหันกลับไปมองด้านหลังด้วยซ้ำ ไม่ทันไรก็ห้อตะบึงหายลับไปจากสายตาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ เพราะห้วงเวลาสังหารเพียง 1 ลมหายใจเมื่อครู่ทำให้มันหวาดกลัวทั้งคู่จับใจ!
หลังเห็นชายหนุ่มหายลับไปจากสายตา ต้วนหลิงเทียนก็หันไปพูดกับฮ่วนเอ๋อว่า “ฮ่วนเอ๋อ เจ้าคอยระวังรอบๆ…ข้าจะไปเอาผลเปลวอัคคีลายคราม”
ที่ต้วนหลิงเทียนไม่อยากให้พวกมันรั้งอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพราะเขากลัวว่าพวกมันจะประฉกฉวยโอกาสลอบก่อการอะไรทั้งนั้น
เหตุผลที่เขาไล่พวกมันไป เพราะไม่อยากให้พวกมันรู้เรื่องของเขามากเกินไป
อย่างน้อยๆก็มีกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน
จิตวิญญาณค่ายกลพิทักษ์ต้นเปลวอัคคีลายครามนั่นร้ายกาจไม่ใช่เล่นๆเลย ด้วยความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ หากไม่ใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนยังยากจะสยบมันได้
จริงอยู่ที่ฮ่วนเอ๋อก็มีพลังพอถ่วงรั้งจิตวิญญาณค่ายกล แต่ถ้ามีคนหนึ่งลงมือ เกิด 2 คนนั่นคิดไม่ซื่อขึ้นมา ถ้าไม่ใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนก็ยากจะฆ่าพวกมันได้หมด
และเมื่อใช้กระบี่ออกมา เกิดอีกฝ่ายบดขยี้ป้ายหยกหนีไปได้ทันขึ้นมา เรื่องกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนไม่แพร่กระจายไปทั่วรึไง?
แน่นอนว่าพวกมันไม่มีทางรู้ว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์เทพ แต่ไม่พ้นต้องเข้าใจผิดคิดว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิแน่นอน
หากเรื่องอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิถูกเปิดเผยออกไป เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาในตอนนี้
“อื้อ”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้ารับฟังอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ปล่อยมือที่กุมมือต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็มองต้วนหลิงเทียนเหินร่างลงไปยังปากปล่องภูเขาไฟเบื้องล่างด้วยสายตาระแวดระวัง
“ร้อนจริงๆ…ไม่แปลกใจเลยว่าไฉนจิตวิญญาณค่ายกลเมื่อครู่มันถึงได้ว่องไวนัก ที่แท้บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยไอเพลิงแบบนี้ มันสามารถใช้ความลึกซึ้งท่องอัคคีได้นี่เอง…”
ในกฏแห่งไฟ มีความลึกซึ้งประการหนึ่งที่เรียกวว่า ท่องอัคคี…
ความลึกซึ้งท่องอัคคีนั้น หากตระหนักรู้จนบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นหรือเล็กน้อย ยังไม่อาจใช้ออกได้ตามใจ เว้นเสียแต่จะใช้มันในสถานที่ๆเต็มไปด้วยเพลิงไฟ
มีเพียงบรรลุความเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้วเท่านั้น ถึงจะใช้ได้ทุกที่…
หากแต่เมื่อครู่ลาวาปะทุขนาดนั้น เรียกว่าบรรยากาศอบอวลไปด้วยเพลิงไฟอย่างแท้จริง เข่นนั้นจิตวิญญาณค่ายกลที่ใช้กฏแห่งไฟนั่น ก็สามารถใช้ท่องอัคคีได้เต็มประสิทธิภาพ
“อ๋าวว วูววว!!”
ในขณะที่ร่างต้วนหลิงเทียนดิ่งลงไปยังปากปล่องภูเขาไฟ เสียงคำรามที่ฟังอย่างไรก็ไม่ต่างจากเสียงหอนของหมาป่าก็ดังกังวานสะท้านสะเทือนถึงแก้วหูต้วนหลิงเทียนจากเบื้องล่าง!
พริบตาต่อมา ประหนึ่งมังกรสมุทรทะยานพ้นลำน้ำ ร่างอสูรกายตัวเขื่องพลันทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากลาวา โจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างดุดัน!
วู้ม!
ต้วนหลิงเทียนพลิกฝ่ามือคราหนึ่ง กอบกุมกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่ก่อเกิดจากอณูแสงที่สาดส่องออกมาจากฝ่ามือ จากนั้นเพียงหนึ่งคิด ร่างก็พุ่งทะลุมิติไปผุดโผล่ด้านหลังอสูรกายตัวเขื่องในชั่วพริบตา ก่อนจะรวมรั้งพลังทั้งหมดลงสู่กระบี่ ตวัดฟันออกไปฉับไว!
ฟั่ฟฟฟฟฟ!!
เสียงหอนของกระบี่กรีดฟ้าดังขึ้นกึกก้อง แสง 7 สีพลันสาดส่องออกมาจากกระบี่ พุ่งเข่นฆ่ากวาดล้างไปราวแสงแห่งวันโลกาวินาศ เมื่อตกกระทบร่างอสูรกายเพลิงตัวเขื่อง พลันปะทุพลังทำลายอันน่าพรั่นพรึง ป่นทำลายร่างเขื่องจนสลายเป็นละอองพลังในบัดดล!
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เก็บกระบี่หลิงหลง 7 สมบัติกลับเข้าร่าง ก่อนจะโรยตัวลงไปเด็ดผลเปลวอัคคีลายครามทั้ง 5 มาเก็บไว้
“ฮ่วนเอ๋อ ไปที่อื่นต่อเถอะ”
หลังเก็บผลเปลวอัคคีลายยครามทั้ง 5 แล้วเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อนก่อนจะกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อให้เดินทางต่อ
เขาไม่ได้คิดจะพอใจแค่ผลเปลวอัคคีลายครามทั้ง 5
แดนลับสมบัติระดับ 2 นั้นแม้จะอยู่ได้ไม่ถึง 30 วันเหมือนแดนลับสมบัติระดับ 1 แต่ก็สามารถอยู่ได้ 20 วัน
สำหรับแดนลับสมบัติระดับ 3 จะอยู่ได้แค่ 10 วันเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะสมบัติหรือโอกาสอะไรในแดนลับระดับ 3 กว่าจะได้มาครองก็ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก เรียกว่าต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าแดนลับสมบัติระดับ 2 มาก แน่นอนว่าแดนลับสมบัติระดับ 2 ก็มีความลำบากมากกว่าแดนลับสมบัติระดับ 1
…
หลังได้รับผลเปลวอัคคีลายครามแล้ว ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ได้ตระเวนไปทั่วแดนลับสมบัติระดับ 2 ตลอด 20 วัน และได้ผลไม้อมตะและโอสถอมตะล้ำค่าที่คฤหาสน์เฉวียนโยวหามามอบให้เขาไม่ได้มากพอสมควร
และสิ่งที่เรียกว่าคุ้มค่ามากที่สุดก็คืออุปกรณ์อมตะประเภทชุดเกราะตัวหนึ่ง ที่มาในรูปแบบชุดผ้าที่ไม่ต่างอะไรจากชุดของนางฟ้าสีขาวแลดูงดงามเป็นที่สุด เรียกว่าฮ่วนเอ๋อตกหลุมรักมันตั้งแต่แรกเห็นเลยทีเดียว
พอเห็นฮ่วนเอ๋อมีความสุข ต้วนหลิงเทียนก็พลอยมีความสุขไปด้วย
สำหรับผลไม้อมตะที่พบเจอในภายหลังนั้น หากวัดกันในแง่ประสิทธิภาพแล้วพวกมันไม่อาจสู้ผลเปลวอัคคีลายครามได้เลย แต่ก็ถือว่าใช้ได้และมีคุณค่าไม่ใช่เล่นๆ
ยันต์อมตะเอง ต้วนหลิงเทียนก็พบเจอของที่ใช้การได้อยู่ 2-3 ชิ้น แต่สุดท้ายยันต์อมตะก็คือพลังภายนอก ไม่อาจใช้ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงได้โดยไม่ต้องจ่ายราคา
เพราะในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงก็มีพลังอาคมจากค่ายกลจำกัดเอาไว้ประการหนึ่ง ทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ใช้ยันต์อมตะนั้น จะหลบหนีก็ดีสังหารผู้อื่นก็ดี มันจะส่งผลทำให้ป้ายหยกประจำตัวสูญเสียพลังเคลื่อนย้ายออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงทันที!
ไม่ว่าจะอยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงหรือในแดนลับสมบัติ!
กล่าวอีกอย่างได้ว่า
ใครที่ใช้ยันต์อมตะไม่ว่าจะใช้กับศัตรูหรือตัวเองในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง หากคิดจะกลับออกไปด้านนอก ก็จำต้องไปใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายในเขตปลอดภัยที่ปรากฏตัวครั้งแรกในรอบนั้นๆเท่านั้น
และในแดนลับสมบัติ จะสามารถออกไปได้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่แดนลับสมบัติปิดตัวลง
วิ้ง! วิ้ง!
เมื่อแดนลับสมบัติถึงเวลาปิดตัวลง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ถูกพลังอาคมเคลื่อนย้ายส่งตัวกลับมายังเขตปลอดภัยทันที
“ฮ่วนเอ๋อ พวกเรากลับไปบ่มเพาะพลังกันก่อน จากนั้นค่อยกลับมาเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงอีกครั้ง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อให้ออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง เพื่อกลับไปบ่มเพาะพลังที่วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย
ด้วยพลังฝีมือของขับฮ่วนเอ๋อตอนนี้ จริงอยู่ว่าถ้าร่วมมือกันก็ติด 10 อันดับแรกได้ แต่ก็ยังมีหลายคนที่สามารถคุกคามพวกเขาได้
ที่สำคัญใน 10 อันดับแรกก็มีจางจินอี้อยู่ด้วย ตอนนี้เขายังไม่มีความสามารถมากพอจะปะทะแตกหักกับมัน
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทีนยจึงคิดจะปิดด่านบ่มเพาะพลังสักระยะ และใช้ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดในการตระหนักรู้กฏมิติ หลังจากเพิ่มพูนพลังฝีมือจนพร้อมแล้ว ค่อยหวนกลับมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงอีกครั้งก็ยังไม่สาย
“อื้อ พี่หลิงเทียนว่าอย่างไรฮ่วนเอ๋อว่าอย่างนั้น”
ไม่ว่าเมื่อไหร่ ฮ่วนเอ๋อก็ไม่คิดคัดค้านการตัดสินใจของต้วนหลิงเทียน เพราะในสายตานาง ไม่ว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะทำอะไรล้วนเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด!
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงพาฮ่วนเอ๋อกลับมายังวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย และปิดด่านบ่มเพาะอย่างสันโดษ ตัดขาดจากโลกภายนอก ทุ่มสมาธิไปกับการสั่งสมเพิ่มพูนพลังและตระหนักรู้กฏมิติ
เรื่องราวดังกล่าว คนนอกไม่ได้รู้เลย
คนนอกที่ว่าก็อย่างเช่นจางตงหนาน หัวหน้าเผ่าจิ้งจอกมายาสาขาแดนสวรรค์ใต้
หลังจากที่จางจินอี้ตกลงเรื่องใช้นามผู้อื่นเป็นการสวมรอยเพื่อเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงแล้ว จางตงหนานก็รีบไปดำเนินการทันที และเป้าหมายของมันก็คือผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดคนหนึ่ง ที่เคยทำผลงานดีที่สุดในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงโดยการติดอยู่ในอันดับที่ 13
ผู้ฝึกตนอิสระคนนี้ เมื่อไร้ทรัพยยากรบ่มเพาะ ก็มักจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง และหากโชคไม่เลวร้ายเกินไปก็มักจะติดอยู่ใน 20 อันดับแรก
‘ถึงเจ้านี่จักมิเคยติดอยู่ใน 10 อันดับแรก…อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงนานกว่า 10 ปีแล้ว แม้ทูตจะใช้ชื่อมัน จนติดอยู่ใน 10 อันดับแรกได้ ก็คงไม่มีใครคิดสงสัย’
จางตงหนานที่หาตัวผู้ฝึกตนอิสระที่ต้องการพบเจอ ก็อดคิดไปด้วยความยินดีไม่ได้ก่อนจะลงมือ
สำหรับผู้ฝึกตนอิสระคนนั้น จวบจนตายก็ไม่อาจเข้าใจ ว่ามันไปล่วงเกินยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะตรงที่ใด…
“ท่านทูต”
หลังฆ่าผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นได้แล้ว จางตงหนานก็ย้อนกลับมายังเผ่าจิ้งจอกมายา และไปหาจางจินอี้ทันที “ข้าน้อยได้ไปจัดการหานามผู้ฝึกตนอิสระให้ท่านมาได้แล้ว”
“คราวนี้ยามท่านเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง ขอให้ท่านแกะสลักนาม ต๋งเยวี่ย ลงไปบนป้ายหยกประจำตัว”
“และมันได้ถูกข้าฆ่าทิ้งไปเรียบร้อย จากนี้ต่อไปมันไม่มีวันปรากฏตัวในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงได้อีก…และมันเองก็ไม่ได้เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงมานานนับ 10 ปีแล้ว อันดับที่ดีที่สุดในอดีตที่มันเคยทำได้คืออันดับที่ 13…”
ตอนที่ 3207
หลังผ่านไป 100 ปี ต้วนหลิงเทียนที่กลับเข้ามายังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงอีกครั้ง รู้สึกห่างเหินไม่คุ้นเคยราวกับมันเปลี่ยนไปคนละโลก
เมื่อต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมาปรากฏตัวในเขตปลอดภัยแห่งหนึ่งในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง แน่นอนว่าย่อมเป็นจุดสนใจทันที และสาเหตุก็ใช่ใดอื่น เป็นฮ่วนเอ๋อ
“มารดาเรา…ไฉนนางงดงามได้ถึงเพียงนั้นกัน!!”
“อา เกิดมาชั่วชีวิตข้ามิเคพบสตรีเลอโฉมเช่นนางมาก่อน…รูปโฉมนางช่างไร้ที่ใดให้ตำหนิจริงๆ!”
“ข้าว่าสตรีนางนี้ ต่อให้เป็นฮ่วนเอ๋อเมี่อร้อยปีก่อน ก็ไม่มีทางงดงามเทียบเท่าได้กระมัง!?”
…
นอกจากคนที่อยู่มานานนับหมื่นปีแล้ว บุรุษหลายคนที่อายุไม่กี่พันอดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจกับฮ่วนเอ๋อ
“นางคือฮ่วนเอ๋อ!!”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงหนึ่งโพล่งดังขึ้น “เมื่อ100 ปีก่อนข้าถูกนางทุบตีจนต้องทำลายป้ายออกไป ข้าจดจำนางได้ไม่มีววันลืม!”
ที่โพล่งออกมาเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สีหน้าแววตาของมันฉายชัดถึงความหวาดกลัว
“นั่น เซียวหงคุน!”
พริบตาก็มีคนที่จดจำชายวัยกลางคนที่โพล่งดังขึ้นมาได้ จึงเอ่ยนามมันออกมาทันที
และนามเซียวหงคุนก็มีชื่อเสียงในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงไม่น้อย อีกฝ่ายมักติดอยู่ใน 30 อันดับแรกเสมอ
ตัวตนเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วผู้คนจะรู้จักชื่อ
“ที่แท้นางก็คือฮ่วนเอ๋อคนนั้นนี่เอง!”
“ว่าแต่นางไม่ได้ปรากฏตัวออกมาร้อยปีแล้วมิใช่หรือ?”
“ข้ายังจำได้ว่าเมื่อร้อยปีก่อน อายุของนางยังไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ แต่นางก็ร้ายกาจขนาดนั้นแล้ว…ตอนนี้พอผ่านไปร้อยปี ไม่ทราบนางจะร้ายกาจขึ้นสักเพียงใด”
“บอกตามตรงหากนางไม่เข้ามา ข้าก็หลงคิดว่านางน่าจะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะไปแล้ว…แต่ในเมื่อนางเข้ามาแบบนี้ ด่านพลังของนางอยย่างน้อยๆก็ต้องเป็นราชาอมตะ 10 ทิศ!”
“ในอดีตตอนนางเป็นราชาอมตะ 6 ผสานนางก็ติดอยู่ในอันดับที่ 15…ตอนนี้นางสมควรกลายเป็นราชาอมตะ 10 ทิศ แถมร้อยปีผ่านไป กฏมิติของนางไม่ทราบเข้าใจไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ข้าเกรงว่าอย่างน้อยๆพลังฝีมือของนางก็ต้องทัดเทียมเหยียนหรูอวี้!”
“อาจเป็นได้”
…
เนื่องจากผลงานในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงเมื่อ 100 ปีก่อนของฮ่วนเอ๋อมันน่าทึ่งเกินไป หลายคนจึงเชื่อว่านางที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไป 100 ปีต้องทวีความร้ายกาจมากขึ้นแน่นอน!
ท่ามกลางสายตาทุกผู้คน ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ไปหยิบป้ายหยกประจำตัว จากนั้นก็พากันออกนอกเขตปลอดภัยไป
ดุจเดียวกับครั้งก่อน ขณะออกจากเขตปลอดภัยทั้งคู่ก็ไม่ได้เปิดใช้อาคมล่องหนในป้ายหยกประจำตัว
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าลงมือจู่โจมทั้งคู่อีกต่อไป ทั้งหมดเพียงจับตามองทั้งคู่เหินร่างจากไปอย่างเงียบงัน เพราะเรื่องราวเมื่อ 100 กว่าปีก่อนเป็นอุทาหรณ์สอนใจอย่างดี จึงไม่มีใครคิดจะเดินซ้ำรอยเดิม
ด้านนอกเขตปลอดภัย เหล่าผู้ที่ซุ่มตัวรอลงมือจัดการเหยื่อที่ผ่านไปมา ก็ไม่มีใครลงมือเช่นกัน เพราะสายที่อยู่ในเขตปลอดภัยก็เร่งส่งข้อความแจ้งมาถึงแต่แรก จึงอยู่อย่างเรียบๆร้อยๆไม่กล้าวู่วามลงมือ
ด้วยเหตุนี้ การออกจากเขตปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนกับอ่วนเอ๋อก็สงบราบรื่น ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ใด ราวทุกคนหายตัวไปหมด
“ฮ่วนเอ๋อ เป้าหมายของพวกเรารอบนี้ก็คือติดอยู่ในอันดับที่ 31 ถึง 100 ก็พอ…เพราะในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงตอนนี้ คงมีแต่แดนลับสมบัติระดับ 3 เท่านั้นที่สร้างแรงกดดันให้เจ้าได้มากพอ”
ต้วนหลิงเทียเอ่กับฮ่วนเอ๋อ
ด้วยเหตุนี้ ต้วนหลิงเทียนถึงไม่ได้แลดูกังวลอะไรแม้จะไม่พบเจอใครให้เก็บคะแนน
ไฉนเขาถึงได้ตัดสินใจเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงอีกครั้ง ก่อนที่จะไปยังอวี้หวงเทียนนั้น ทั้งหมดเพราะคิดให้ฮ่วนเอ๋อหาโอกาสทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อกำลังออกเดินทางอย่างสบายๆไม่รีบไม่ร้อนในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง จางจินอี้ในนามตงเยวี่ยก็ได้ออกเข่นฆ่าผู้คนเป็นผักปลา เรียกว่าพบเทพฆ่าเทพพบพระสงฆ์ฆ่าพระสงฆ์!
อันดับของมันก็กำลังพุ่งทะยานขึ้นด้วยความรวดเร็ว
หลังจากเข้ามาได้เพียงเดือนเดียว มันก็ติดอยู่ในอันดับที่ 39 แล้ว
“หืม?”
ขณะที่มันกำลังจะค้นหาเป้าหมายต่อไป มันที่ลองตรวจสอบอันดับของตัวเองในป้ายดู ก็พบเจอกับนามอันคุ้นเคยหนึ่ง เป็นนามที่มันเฝ้ารอจะเห็นมาตลอดเวลา 100 ปี
ฮ่วนเอ๋อ!
อันดับที่ 96!
“นางเข้ามาแล้ว!?”
ลูกตาจางจินอี้หดเล็กลงแทบปิด ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจไม่น้อย “ครั้งสุดท้ายที่ข้าคิดเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงบัดซบนี่ เจ้ากลับปรากฏตัวขึ้นงั้นเหรอ?”
“ฮ่าๆๆ…ดูเหมือนว่ากระทั่งทวยเทพยังช่วยเหลือข้า!!”
มันเฝ้ารอสตรีนางนี้มาร้อยปีแล้ว!
ในที่สุดนางก็ปรากฏตัวขึ้นเสียที!
“ข้าไม่อาจรีบไต่อันดับได้อีก…รอให้อันดับของนางกระเตื้องขึ้นมาจนแซงงข้าไปก่อน และข้าค่อยพยายามรักษาอันดับให้อยู่ในช่วงเดียวกับนาง”
จางจินอี้ลอบกล่าว
ตอนนี้จางจินอี้ไม่ได้รีบร้อนอะไร ทั้งไม่ได้ลืมความตั้งใจเดิม จึงไม่คิดจะไต่อันดับอะไรอีกต่อไป
พริบตาวันเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปอีกครึ่งเดือน
อันดับของฮ่วนเอ๋อก็กระเตื้องขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 82 แล้ว ขณะเดียวกันด้านต้วนหลิงเทียนก้อยู่ในอันดับที่ 89
“ยังอีก…”
จางจินอี้ได้มาซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง ที่นี่มักมีผู้คนน้อยคนนแวะเวียนผ่านมา และถึงใครจะผ่านมา จางจินอี้ก็ไม่ฆ่า ทั้งไม่กำจัดคู่ต่อสู้ เพียงทำให้คู่ต่อสู้หวาดกลัวจนรีบหนีไป
ด้วยเหตุนี้ในเวลาแค่ครึ่งเดือนอันดับของมันจึงร่วงตกมาจากอันดับที่ 39 มาอยู่ในอันดับที่ 46
อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ร้อนรนอะไร เพียงเฝ้ารออย่างเงียบงัน
มันรอมาร้อยปีแล้ว กะอีแค่รออีกไม่ถึงปีไฉนจะทำไม่ได้?
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เดือนแล้วเดือนเล่าดุจห้วงเวลาชั่ววพริบตา ไปๆมาๆรู้ตัวอีกทีก็เหลือเวลาอีกแค่ 1 เดือนก่อนที่อันดับในตารางจะถูกล้างใหม่แล้ว
“หืม?”
บัดนี้จางจินอี้ก็ได้พบว่าอันดับของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อได้หยุดลงใน 40 อันดับแรกเท่านั้น
6 เดือนก่อนทั้งคู่ก็มีอันดับประมาณนี้ และตอนนี้ก็ยังมีอันดับประมาณนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
ฮ่วนเอ๋ออยู่ในอันดับที่ 35
ส่วนต้วนหลิงเทียนอยู่ในอันดับที่ 37
“พวกมัน…คงไม่ใช่คนอื่นมาสวมรอยหรอกนะ?”
พอคิดถึงุจดนี้ จางจินอี้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วย่นยู่
ร้อยปีที่แล้ว คนที่สามารถติดอยู่ในอันดับที่ 15 ได้…ไฉนวันนี้กลับไม่แม้แต่จะติดอยู่ใน 30 อันดับแรก?
“ช่างเถอะ พวกมันจะจริงหรือหลอกเดี๋ยวก็รู้ สุดท้ายอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงก็ไม่มีความหมายสำหรับข้า เช่นนั้นเข้าไปแดนลับสมบัติระดับ 3 พร้อมพวกมันยังจะนับเป็นอะไร”
“หากพวกมันไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อตัวจริง…เช่นนั้นก็ให้พวกมันชดใช้ราคาความโง่เขลาครั้งนี้ด้วยชีวิตเสีย!”
สองตาจางจินอี้ทอประกายเยยียบเย็นวูบวาบ ใบหน้าฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟัน ราวกับจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน
ฟุ่บ!
ขณะเดียวกันจางจินอี้ก็เริ่มพุ่งร่างออกจากที่ซ่อน และคิดไปเข่นฆ่าหาคะแนนในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง
เพราะคะแนนสะสมในปัจจุบันของมัน ไม่พอให้ติดอยู่ใน 100 อันดับแรกอีกต่อไปแล้ว…
อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังฝีมือของจางจินอี้ แม้จะเหลือเวลาเพียงแค่ 1 เดือน มันก็สามารถเข่นฆ่าจนติดอยู่ใน 100 อันดับแรกได้อย่างง่ายดาย
…
นิกายวิถีวายุอัสนี
หอคุมกฏ
“สตรีนามว่าฮ่วนเอ๋อ ปรากฏตัวขึ้นแล้วรึ?”
รองจ้าวหอคุมกฏ จวินฉงซาน พอได้รับข่าวดังกล่าวสองตาก็ทอประกายสว่างจ้าขึ้นมาทันที แต่ไม่นานก็เริ่มหม่นแส คิ้วยังขมวดย่นเป็นปม “แต่อยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงเกือบปีแล้ว แต่อันดับยังอยู่ที่ 30 กว่าๆ?”
“ชยหนุ่มนามต้วนหลิงเทียนข้างกาย ก็ติดอยู่ใน 40 อันดับแรกเท่านั้นเหมือนกัน?”
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ไฉนร้อยปีผ่านไป…พวกมันไม่ก้าวหน้าแต่กลับถดถอยลง?”
สุดท้ายจวินฉงซานก็ได้แต่ตัดสินไปว่า…
สิบในสิบสตรีนามฮ่วนเอ๋อที่ปรากฏขึ้นรอบนี้เป็นตัวปลอม
“สตรีนามฮ่วนเอ๋อนั่นเมื่อร้อยปีก่อนทั้งๆที่นางยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี พลังฝีมือก็ร้ายกาจขนาดนั้นแล้ว…ตอนนี้เวลาผ่านไปอีกร้อยปี พลังฝีมือของนางต้องก้าวหน้าขึ้นครั้งใหญ่แน่นอน กระทั่งเหยียนหรูอวี้อาจจะไม่ใช่คู่มือของนางแล้วด้วยซ้ำ”
“เผลอๆตอนนี้นางอาจจะทะลวงไปถึงขอบเขตจอมราชันอมตะไปแล้วก็เป็นได้”
“วั่งเฉิน ชิวเหอ…ปู่ไม่เอาไหน ไม่อาจล้างแค้นให้พวกเจ้าได้แล้ว…”
ถึงแม้ว่าจวินฉงซานจะยังคงมีความเกลียดชังล้นใจ แต่มันก็รู้ตัวดี…ว่าคงเป็นเรื่องยากสำหรับมัน ที่จะล้างแค้นให้หลานทั้งสองที่ถูกผู้อื่นเข่นฆ่าได้!
“เรียนรองจ้าวหอคุมกฏ มีศิษย์หลักคนหนึ่งมาขอเข้าพบท่านขอรับ!”
ทว่าทันใดนั้นเองพลันมีเสียงรายงานหนึ่งดังขึ้นปลุกสติของจวินฉงซาน พอกลับมารู้สึกตัวมันก็บอกให้พาตัวศิษย์หลักที่ว่าเข้ามา
“คารวะรองจ้าวหอคุมกฏ”
ไม่นานศิษย์หลักดังกล่าวก็เข้ามาคารวะทักทายอย่างเรียบๆร้อยๆ
“เจ้ามาขอพบข้า มีเรื่องอันใดหรือ?”
จวินฉงซานเอ่ยถามเสียงเรียบ ตอนนี้มันได้ขจัดความเศร้าโศกบนใบหน้าอกไปหมดสิ้น แลดูเหมือนคนปกติทั่วไป
“เรียนท่านรองจ้าวหอ เมื่อร้อยปีก่อนข้าถูกสตรีนามฮ่วนเอ๋อจัดการ…คราวนี้ข้าถูกต้วนหลิงเทียนที่อยู่ข้างกายนางจัดการ”
ศิษย์หลักคนนั้นกล่าวรายงานเสียงดังฉะฉาน “ข้าจึงมารายยงานท่านรองจ้าวหอให้ทราบโดยเฉพาะ…ว่าพวกมันเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงอีกครั้งแล้ว…”
“อันใด!?”
จวินฉงซานที่ปักใจไปแล้วว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อตอนนี้สมควรเป็นตัวปลอม พอมาได้ยินวาจาของศิษย์หลักเบื้องหน้า ลูกตามันก็ฉายแสงจ้าทันที “เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกมันคือต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อตัวจริง…ไม่ใช่ผู้อื่นปลอมชื่อ?!”
“ข้ามั่นใจ”
ศิษย์หลักพยักหน้ารับแข็งขัน “เมื่อร้อยปีก่อนข้าถูกพวกมันจัดการ…ไหนเลยข้าจะจำหน้าพวกมันผิดพลาดได้”
“แล้วเจ้าไม่เห็นรึ…ว่าตอนนี้อันดับของพวกมันต่ำต้อยยกว่าครั้งก่อนมาก!”
จวินฉงซานเอ่ยถามเสียงหนัก
“สำหรับเรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ…บางทีพวกมันอาจจะอยากเข้าแดนลับสมบัติระดับ 3 ก็เป็นได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วในประวัติศาสตร์ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง ก็มียอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศที่ทรงพลังมากมาย จงใจลดอันดับของตัวเองเพื่อเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 โดยเฉพาะ”
ศิษย์หลักกล่าว
และวาจาของมันก็ทำให้สองตาจวินฉงซานสว่งวาบทันที จากนั้นการตัดสินใจอันกล้าหาญและบ้าบิ้นหนึ่งที่มันเคยตัดสินใจไว้นานแล้วพลันปรากฏขึ้นในใจของมันอีกครั้ง
“อย่าให้ข้ารู้ภายหลังว่าเจ้าโกหกข้า…หาไม่แล้วข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปง่ายๆ!”
จวินฉงซานมองจ้องศิษย์หลักตาเขม็ง หมายข่มขู่เพื่อดูท่าทีอีกฝ่าย แต่พอพบว่าอีกฝ่ายกล้าสบตามันตรงๆโดยไม่หวาดกลัวใดๆ มันก็ให้ศิษย์หลักดังกล่าวจากไปอย่างพึงพอใจ
“นับว่าฟ้ายังเมตตาข้าอยู่…วั่งเฉิน ชิวเหอ ปู่มีหนทางล้างแค้นให้พวกเจ้าแล้ว”
จวินวั่งเฉินกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ ในแววตาฉายประกายมุ่งมั่นแน่วแน่ประการหนึ่ง
ในเวลาต่อมา มันก็สะบัดมือเรียกหลอดแก้วบรรจุน้ำยาสีดำเปล่งแสงทมิฬสลัวๆออกมาหลอดหนึ่ง จากนั้นมันก็เปิดจุกแล้วกลืนน้ำยาสีดำดังกล่าวลงไปทันที! ทำให้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างบังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พลังอำนาจค่อยๆถดถอยลง!!
จากจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด ในเวลาไม่กี่ชั่วยามก็ถดถอยกลับมาอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ!
“นับว่าใช้งานได้จริงๆ…ตอนนี้แม้พลังฝึกปรือของข้าจักเป็นราชาอมตะ 10 ทิศ แต่อย่างไรข้าก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟครบทั้ง 9 ประการแถมยังบรรลุความเข้าใจถึงขั้นความสำเร็จเล็กน้อยแล้ว 4 ประการ กระทั่งเหยียนหรูอวี้นั่นก็ยังไม่ใช่คู่มือข้า!”
“หากสตรีนามฮ่วนเอ๋อนั่นแข็งแกร่งกว่าข้า เช่นนั้นก็แค่หนีนางออกมาเสีย…แต่หากนางอ่อนด้อยกว่า เช่นนั้นแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงจักเป็นที่ฝังร่างนาง!!”
ดวงตาจวินฉงซานทอแสงเย็นวูบวาบไม่หยุด จากนั้นมันก็หยิบจานค่ายกลออกมาเปิดใช้งาน เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงทันที!
ตอนที่ 3208
พิษหวนคืน เป็นโอสถอมตะที่ค่อนข้างอันตรายขนานหนึ่ง หากจอมราชันอมตะต้องพิษนี้ และไม่อาจใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดต้านทานพลังของพิษร้ายได้ทันท่วงทีล่ะก็ ด่านพลังก็จะถดถอยกลับไปเรื่อยๆจนถึงขอบเขตราชาอมตะ!
จวินฉงซานที่ใช้พิษหวนคืน ด่านพลังจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดของมันก็ถดถอยกลับมาอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามจวินฉงซวานนับว่าคุมพลังและผลกระทบของพิษได้เป็นอย่างดี ทำให้ด่านพลังถดถอยถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศแทบพอดิบพอดี และคุณภาพพลังเซียนยอมตะต้นกำเนิดที่ถดถอยลงไปก็ปริ่มเปร่จะทะลวงถึงจอมราชันอมตะอีกครั้ง
แน่นอนว่าหากมันต้องการทะลวงกลับไปยังขอบเขตจอมราชันอมตะอีกครั้ง มันก็ต้องขจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกายออกให้หมดเสียก่อน
และกว่าจะเดินพลังขับพิษร้ายออกจากร่างได้หมด ก็สมควรใช้เวลาราวๆ 30-50 ปี
อย่างไรก็ตามเพื่อล้างแค้นให้กับหลานชายและหลานสาวตัวเอง มันเต็มใจใช้พิษหวนคืน เพื่อเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง!
“ระ…รองจ้าวหอคุมกฏจวิน!?”
เมื่อจวินฉงซานมาปรากฏตัวในเขตปลอดภัยของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง ก็พอดีกับมีศิษย์หลักของงนิกายวิถีวายุอัสนีอยู่ในเขตปลอดภัยดังกล่าวด้วย จึงจดจำจวินฉงซานได้แทบจะทันที
ศิษย์หลักนิกายวิถีวายุคนนั้นอดงุนงงไปไม่ได้อยู่บ้าง
รองจ้าวหอคุมกฏแซ่จวิน ไม่ใช่ว่าด่านพลังอยู่ในขอบเขตจอมราชันอมตะรึไร? ไฉนถึงเข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงได้เล่า?
ผู้ที่ด่านพลังฝึกปรือเหนือขอบเขตราชาอมตะ ไม่อาจเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงได้ นี่เป็นกฏเหล็ก!
กระทั่งหากใครมาทะลวงด่านพลังราชาอมตะในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง พริบตาที่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างก้าวถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ ก็จะถูกอาคมเคลื่อนย้ายส่งตัวออกไปทันที!
‘หรือว่า…เพื่อล้างแค้นให้หลานทั้ง 2 รองจ้าวหอจวินเลยใช้พิษหวนคืน?’
สำหรับศิษย์หลักนิกายวิถีวายุอัสนี ยาพิษหวนคืนไม่ใช่สิ่งของลึกลับอะไร เพราะเป็นหนึ่งในยาพิษที่ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะของนิกายวิถีวายุอัสนีพวกมันหลอมเก่ง
แน่นอนว่ายาพิษหวนคืน จัดเป็นโอสถอมตะอันตรายไม่อาจนำไปขายอย่างประเจิดประเจ้อได้
‘ดูเหมือนว่ารองจ้าวหอจวินจะได้รับทราบข่าวเรื่องฮ่วนเอ๋อปรากฏตัวในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงแล้ว….’
ศิษย์หลักนิกายวิถีวายุอัสนีคนดังกล่าวเฝ้ามองจวินฉงซานรับป้ายหยกประจำตัว และเหินร่างออกจากเขตปลอดภัยขณะคิดในใจ
‘หืม?’
และพอเห็นว่ามีคนเริ่มเคลื่อนไหวติดตามจวินฉงซานไป สีหน้าของมันก็เผยความเย้ยเยาะทันที ‘ตัวโง่งม รนหาที่ตายแท้ๆ…’
จวินฉงซานเป็นรองจ้าวหอคุมกฏนิกายวิถีวายุอัสนีของมัน ด่านพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด ถึงแม้ตอนนี้ด่านพลังจะถดถอยลงมาอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศแล้ว แต่กฏที่เข้าใจยังคงอยู่เหมือนเดิม
ในสายตาของมัน ความเข้าใจในกฏของจวินฉงซาน ต่อให้มองไปทั่วแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง เกรงว่าคงมีแต่สตรีนามฮ่วนเอ๋อเท่านั้นที่เทียมเทียมได้
แม้แต่เหยียนหรูอวี้ ศิษย์ที่แท้จริงของนิกายปราชญ์เต๋าลี้ลับ ที่ครองอันดับ 1 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงมาเนิ่นนานถึง 100 ปี ก็ไม่น่าจะเหนือกว่าจวินฉงซานในแง่การตระหนักรู้ถึงกฏ!
…
1 เดือนต่อมา
ที่ไหนสักแห่งภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง จางจินอี้ยกมือขึ้นสะบัดคราหนึ่ง ก็ปรากฏพลังพุ่งไปเข่นฆ่าสังหารชายวัยกลางคน ปล้นชิงคะแนนของอีกฝ่ายมา
“ดูเหมือนพวกมันจะควรจะกลับไปรออยู่ในเขตปลอดภัย หรือไม่ก็ทำเหมือนข้า หลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าผู้อื่น…”
เมื่อเห็นตารางจัดอันดับในป้ายหยกประจำตัว จางจินอี้ก็กล่าวพึมพำออกมาสองตาเป็นประกาย หลังพบว่าอันดับของฮ่วนเอ๋อตกไปอยู่ในอันดับที่ 40
ในเดือนนี้อันดับของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไม่เพิ่มขึ้นเลย ยังจะถดถอยลงด้วยซ้ำ
และพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงจะทำการล้างอันดับใหม่แล้ว…
ดังนั้นต่อให้อันดับของทั้งคู่จะถดถอยแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะถดถอยจนหลุด 50 อันดับแรกไปแน่นอน
“อีกแค่วันเดียว….”
และตอนนี้คะแนนสะสมของจางจินอี้ ก็ส่งให้มันกลับมาอยู่ใน 40 อันดับแรกอีกครั้ง ด้วยอันดับนี้ มันก็สามารถเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 พร้อมกับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อได้
แน่นอนว่าจนบัดนี้จางจินอี้ยังไม่กล้ายืนยันว่าทั้งคู่คือต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อตัวจริง เพราะอันดับของอีกฝ่ายรอบนี้มันร่วงตกลงมาต่ำผิดหูผิดตาเกินไป
“น่าจะพอแล้วกระมัง”
ในเวลาเดียวกัน อีกมุมหนึ่งของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง จวินฉงซาน ที่พึ่งเข้ามาได้เดือนเดียวกำลังมองอันดับตัวเองผ่านป้ายหยก จึงเห็นได้ไม่ยากว่าอันดับของมันตอนนี้คือ 59
จวินฉงซานไม่ได้ชื่อตัวเอง แต่เลือกจะสลักชื่อ จวินชิวเฉิน ลงไปบนป้ายหยกประจำตัว
ใช้แซ่จวินเหมือนเดิม
แต่ชื่อนั้นเอาคำชิวมาจากจวินชิวเหอของหลานสาว ส่วนเฉินเอามาจากจวินวั่งเฉินที่เป็นชื่อของหลานชาย
“พรุ่งนี้อันดับก็จะถูกล้าง…จากนั้นก็จะเข้าสู่แดนลับสมบัติ”
สองตาจวินฉงซานเผยประกายเยียบเย็น “แดนลับสมบัติระดับ 3 จักเป็นหลุมฝัศพของพวกมันทั้งคู่!”
…
คฤหาสน์เฉวียนโยว วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย
“ไปกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนจูงมือฮ่วนเอ่อเข้าสู่วงเวทย์เคลื่อนย้ายของจานค่ายกล เพื่อกลับไปยังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงอีกครั้ง
เดือนที่แล้วทั้งคู่ออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง และกลับมาพักอยู่ด้านนอกตลอดทั้งเดือน
ในช่วงเวลานี้ ก็มีไปคุยเล่นกับชายชราจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยอยู่หลายวัน
จนบัดนี้อีก 1 ชั่วยามอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงก็จะทำการล้างใหม่แล้ว ถึงตอนนั้นแดนลับสมบัติก็จะเบิดออกเช่นกัน
จึงได้เวลาที่เขากับฮ่วนเอ๋อจะกลับเข้าไป
การกลับเข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงรอบนี้ แม้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะมาปรากฏตัวในเขตปลอดภัย ก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจผู้คนมากมายอะไร
เพราะผู้คนมัวแต่ให้ความสนใจกับป้ายหยกประจำตัว
พวกมันกำลังจับตาองความเคลื่อนไหววของตารางจัดอันดับผ่านป้ายหยกอย่างใจจดใจจ่อ
เวลาเพียง 1 ชั่วยามผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดอันดับก็ถูกตัดสินอย่างเป็นทางการ
อันดับของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อแม้จะตกลงมา แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับการเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3
‘แดนลับสมบัติระดับ 3 มีคนเข้าไปทั้งสิ้น 70 คน…และอยู่ได้แค่ 10 วันเท่านั้น’
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่เคยเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 แต่เขาก็พอรู้ข้อมูลมาบ้าง
ไม่เพียงในแดนลับสมบัติระดับ 3 จะมีเวลาให้อยู่แสวงหาโอกาสน้อยนิด เหล่าจิตวิญญาณค่ายกลทั้งหลายยังทรงพลังกล้าแข็งขึ้นอย่างมาก รวมถึงบททดสอบอื่นๆก็เช่นกัน เรียกว่าไม่ใช่อะไรที่ความยากของแดนลับสมบัติระดับ 2 จะเทียบได้เลย ยิ่งยากกว่าแดนลับสมบัติระดับ 1 ราวคนละโลก
เรียกว่าหากเทียบกับแดนลับสมบัติระดับ 3 แล้ว แดนลับสมบัติระดับ 1 เหมือนหยิบยื่นสมบัติให้ตรงๆ
‘ไม่รู้คนทั้ง 70 คนจะถูกส่งไปที่เดียวกันรึเปล่า…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าป้ายหยกประจำตัวของเขาเริ่มอุ่นขึ้น เขาจึงกุมมือฮ่วนเอ๋อโดยไม่รู้ตัว
วินาทีต่อมาเขาพบว่าเบื้องหน้าเสมือนกลายเป็นมืดมิด และพอสองตาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองถูกส่งมาปรากฏกายในคุก!
และคุกนี้แม้จะมีลูกกรงตามปกติ หากทว่าด้านนอกลูกกรงกลับเป็นร่างมหึมามากมาย ที่ถูกโซ่ขนาดใหญ่ล่ามเอาไว้! เป็นสัตว์อมตะตัวเขื่องที่แลดูดุร้าย กลิ่นอายพลังไม่ใช่ชั่วทุกตัว!!
ในบรรดาสัตว์อมตะตัวเขื่องเบื้องหน้า ตัวที่แลคล้ายหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ที่สุด สัตว์อมตะตัวอื่นก็มีขนาดตัวแตกต่างกัน บางกลัวก็มีรูปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว และเขาเองก็ไม่เคยพบเคยเห็นมันมาก่อนเลย
“พี่หลิงเทียน ทั้งหมดเป็นภาพลวงตา…”
เสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ ปลุกต้วนหลิงเทียนให้ตื่นขึ้นทันที
ในแง่ของภาพลวงตาแล้ว ฮ่วนเอ๋อในฐานะจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาที่ยากจะปรากฏตัววในเผ่าจิ้งจอกมายาในรอบหลายล้านปี กล่าวได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของสายวิชามายาลวงตาก็ว่าได้
ฮ่วนเอ๋อนั้นไม่กลัวภาพมายาใดๆแม้แต่น้อย และไม่ว่าจะภาพมายาลวงตาใดๆในใต้หล้า ก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อนาง เลย นางสามารถเพิกเฉยมองผ่านมันได้อย่างสมบูรณ์
สิ่งนี้เป็นดั่งพรสวรรค์แต่กำเนิดของฮ่วนเอ๋อ
หลังกลับมารู้สึกตัว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าในห้องขังแห่งนี้นอกจากเขากับฮ่วนเอ๋อ ยังมีคนอื่นอีก 8 คน
‘หลงคิดว่าจะถูกส่งมารวมอยู่ที่เดียวกัน 70 คนเลยเสียอีก ที่แท้ดูเหมือนจะถูกจัดแบ่งเป็นกลุ่มๆละ 10 คนแทน’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็เริ่มมองสำรวจ 8 คนที่อยู่ร่วมห้องขัง ในบรรดาทั้ง 8 มี 2 คนที่เขาคุ้นหน้า ส่วนคนอื่นๆนั้นเรียกว่าพึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลย
และทั้ง 2 คนที่ต้วนหลิงเทียนคุ้นหน้า พอสัมผัสได้ว่าต้วนหลิงเทียนมองมา พวกมันก็หันมามองตอบเช่นกัน และนั่นทำให้ร่างพวกมันสะดุ้งโหยงทันที
พริบตาต่อมา ความประหลาดใจทั้งเหลือเชื่อก็ฉายชัดไว้กลางหน้าผาก 1 ในนั้นยังอดโพล่งออกมาเสียงดังไม่ได้ “ทะ…ท่านคือต้วนหลิงเทียน ส่วนนั่นก็แม่นางฮ่วนเอ๋อ!!”
“แม่นางฮ่วนเอ๋อ? ต้วนหลิงเทียน?”
อีก 6 คนที่เหลือในตะแลงแกง ก็ได้ยินเสียงอุทานของพวกมัน จึงหันมองไปตามสายตาจนเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อทันที
โดยเฉพาะฮ่วนเอ๋อนั่น ด้วยรูปโฉมอันงดงามพิลาศล้ำไร้ตำหนิ ช่างทำให้สรรพสิ่งโดยรอบแลดูหมองลงถนัดตา
“ดูเหมือนจักเป็นแม่นางฮ่วนเอ๋อจริงๆ!”
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะเป็นทั้งคู่ตัวจริง…เดิมทีตอนเห็นชื่อทั้งคู่อยู่ในอันดับกลางๆ ข้าคิดว่าเป็นใครแอบอ้างนามทั้งคู่เสียอีก”
“แล้วไฉนทั้งคู่ถึงตั้งใจเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 เล่า?”
“ไม่สำคัญหรอกว่าทั้งคู่เลือกแดนลับสมบัติระดับ 3 ทำไม…เพราะล้วนเป็นผลดีกับพวกเราทั้งสิ้น!!”
…
ทั้ง 6 คนพอดึงสติกลับมาได้แล้ว นอกจากความประหลาดใจ ใบหน้าก็เริ่มฉายชัดถึงความตื่นเต้นขึ้นมา
แดนลับสมบัติระดับ 3 นั้น ทั้ง 70 คนเมื่อถูกส่งตัวเข้ามา จะถูกจับแบ่งเป็น 7 กลุ่ม…และ 1 ในบรรดากลุ่มทั้ง 7 จะถูกเลือกให้ชนะผ่าน ส่วนอีก 6 กลุ่มที่เหลือต้องต่อสู้กันเอง เพื่อตัดสินว่า 3 กลุ่มไหนจะได้เข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 จริงๆ
“พวกเราเป็นกลุ่มที่ 3”
ครู่ต่อมา มีเสียงหนึ่งดังขึ้น พอดีกับที่ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นว่ากลางห้องขัง อยู่ๆก็ปรากฏเลข 3 ผุดขึ้นกลางอากาศ
“กลุ่มที่ 5 ชนะผ่าน…”
ทันใดนั้นเอง ก็มีสุรเสียงไร้อารมณ์หนึ่งดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ดังในหูต้วนหลิงเทียนเท่านั้น แต่ดังเข้าหูทุกคนในห้องขัง
กระทั่งคนทั้ง 70 คนที่อยู่ตามห้องขังต่างๆล้วนได้ยินกันหมด
“ฮ่าๆๆ! กลุ่มที่ 5 ของพวกเราชนะผ่าน!!”
“ดูเหมือนการเข้าแดนลับสมบัติระดับ 3 ครั้งนี้ดวงข้าจะมา…ไม่คิดเลยว่าจะมีโชคได้ชนะผ่าน!”
“ข้าด้วย ตลอด 200 ปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกของข้าเลยที่อยู่ในกลุ่มชนะผ่าน”
…
คนของกลุ่มที่ 5 แลดูคึกคักมีชีวิตชีวานัก และส่วนใหญ่ก็แลดูตื่นเต้นกันหมด มีเพียงคนเดียวเท่านั้นทื่นนิ่งอยู่ในมุมเงียบๆ คิ้วยังขดย่นเป็นปมเล็กน้อย
“เฮ่น้องชาย พวกเราชนะผ่านแล้ว ไฉนเจ้าทำหน้ามุ่ยนักเล่า?”
ชายวัยกลางคนที่อารมณ์ดี ก็หันไปถามชายหนุ่มที่หน้านิ่วคิ้วขมวดมุมห้องด้วยรอยยิ้ม
“เงียบปาก แล้วไสหัวไปไกลๆหน้าข้า…”
ชายหนุ่มเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงไร้แยแส
ทันใดนั้นสีหน้าชายวัยกลางคนก็ชะงักค้างทั้งเริ่มบิดเบี้ยวทันที อีก 8 คนก็หันมามองชายวัยกลางคนกับชายหนุ่มด้วยความสนใจ เพราะดูท่าจะมีเรื่องดีๆให้ชมดูแล้ว…
“น้องชาย ข้าก็แค่ถามเจ้าเฉยๆ…ไฉนเจ้าต้องกล่าวเช่นนี้ด้วย?”
ชายวัยกลางคนเอ่ยถามเสียงหนัก มันรู้สึกขายหน้าผู้คนไม่น้อย ที่โดนย้อนไล่จนหน้าสั่นแบบนี้!
“พูดอีกคำเดียว ข้าจะให้เจ้าตาย”
ชายหนุ่มยังคงไม่แยแสชายวัยกลางคน เพียงกล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงไร้แยแสเช่นเดิม
“เจ้า จะให้ข้าตาย?”
ชายวัยกลางคนยิ้มแสยะ “น้องชาย…เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าอยู่ในอันดับที่ 33 เจ้าจักให้ข้าตายอย่างไรหรือ?”
“หึ!”
แทบจะทันทีที่ชายวัยกลางคนพูดจบคำ เสี่ยงพ่นลมสบถอันเย็นชาก็ดังขึ้นจากชายหนุ่ม
พริบตาต่อมา ไม่อาจแลเห็นว่าชายหนุ่มลงมือเคลื่อนไหวอย่างไร หากทว่าในความว่างเปล่าบังเกิดระลอกหนึ่งกระเพื่อมไปฉับไว
และพริบตาต่อมาชายวัยกลางคนก็นิ่งค้างไปก่อนที่ร่างจะค่อยๆหงายหลังลงไปนอนตาย โดยที่ใบหน้ายังคงฉีกยิ้มแสยะถือดีไม่หาย..
ตอนที่ 3209
การที่ชายวัยกลางคนตกตายลงในชั่วพริบตา ทำให้อีก 8 คนในห้องขังแห่งนี้ตัวแข็งไปทันที รูม่านตาหดแคบ หน้าเสียไปเป็นแถบ มองชายหนุ่มอีกครั้งสายตายังทำราวกับเห็นผี!
ชายวัยกลางคนที่ถูกฆ่าไปนั่น พวกมันรู้จักดี และพลังฝีมือจัดว่าร้ายกาจ อยู่เหนือกว่าพวกมันอีกด้วย!
ทว่าพริบตาเดียว กลับตกตายด้วยน้ำมือชายหนุ่มเบื้องหน้าเสียแล้ว
‘พลังฝีมือของมัน คิดจะเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 2 ยังไม่ใช่เรื่องยากอะไร…ไฉนมันมาอยู่ในแดนลับสมบัติระดับ 3 ได้?’
จังหวะนี้ทั้ง 8 คนต่างใจสั่นไม่น้อย
และทั้ง 8 ก็ไม่ได้รู้เลยว่าพวกมันยังประเมินชายหนุ่มผิดไป
เพราะตราบใดที่ต้องการ ชายหนุ่มผู้นี้สามารถชิงอันดับ 1 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงได้ตั้งแต่ 90 กว่าปีก่อนด้วยซ้ำ!
พลังฝีมือของมัน กระทั่งเหยียนหรูอวี้แห่งนิกายปราชญ์เต๋าลี้ลับยังไม่อาจเทียบได้
ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น มันก็คือจางจินอี้ที่สวมรอยใช้ชื่อ ‘ต๋งเยวี่ย’ นั่นเอง เดิมทีมันก็คิดว่าเมื่อเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 แล้วจะได้พบเจอฮ่วนเอ๋อทันทีเสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกสุ่มมาอยู่ในคุกกับคนอื่นอีก 9 คน ซึ่งมันมั่นใจว่าฮ่วนเอ๋อไม่ใช่ 1 ใน 9 คนเบื้องหน้าแน่นอน
“ด้วยพลังฝีมือของมัน ถึงแม้ว่ากลุ่มที่ 5 ของพวกเราจะไม่ได้ชนะผ่าน ก็สามารถเอาชนะอีกกลุ่มจนเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับสามได้ง่ายๆ”
ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าไฉนชายหนุ่มผู้นี้ถึงได้แลดูเฉยๆ ไม่ได้มีความสุขอะไรเพราะได้ชนะผ่าน
เพระอีกฝ่ายไม่ได้สนใจชัยชนะที่ว่างเปล่า
…
“ไม่มีสตรี…ไม่ใช่กลุ่มเดียวกับฮ่วนเอ๋อนั่นงั้นรึ?”
จวินฉงซานที่ใช้นามแฝงว่าจวินชิวเฉิน ก็ได้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ 6 และมาปรากฏตัวในห้องขังแห่งหนึ่งเช่นกัน หลังมันกวาดตามองไปทั่วๆ ก็พบว่าคนที่อยู่ในกลุ่มมันมีแต่ผู้ชายล้วนๆ ไม่มีผู้หญิงสักคน
“พี่น้องท่านนี้ ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลย…มิทราบท่านมีนามว่าอะไรหรือ?”
ชายชราคนหนึ่ง มองถามจวินฉงซานด้วยรอยยิ้มมากไมตรี
ตอนนี้ภายในห้องขัง 8 คนล้วนมีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนกับชายหนุ่ม คงเหลือแต่มันกับคนเบื้องหน้าเท่านั้นที่เลือกจะปล่อยตัวให้แก่ตามวัย จึงทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยกว่าคนอื่นๆ
“จวินชิวเฉิน”
จวินฉงซานมองชายชราที่เข้ามาเอ่ยถามด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวตอบออกไปเสียงเรียบ
“จวินชิวเฉิน?”
ชายยชราผงะไปเล็กน้อยคอยยิ้มกล่าว “ที่แท้เป็นพี่น้องจวินชิวเฉิน ข้าได้ยินนามเลิศล้ำมานานแล้ว…”
แน่นอนว่าในความทรงจำของชายชราไม่เคยได้ยินชื่อจวินชิวเฉินมาก่อนเลย แต่เพราะคิดตีซี้ไว้เผื่อได้ใช้ประโยชน์ภายหลัง มันจึงทำทีเป็นกล่าวชมออกไปด้วยท่าทางจอมปลอม
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าใช้ชื่อนี้เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง…”
อย่างไรก็ตามจวินฉงซานเลือกจะกล่าวเปิดโปงความหน้าซื่อใจคดของชายชราออกมาอย่างไร้ปราณี
ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าชายชราก็ชะงักค้างทันใด และเอ่ยสวนมาด้วยน้ำเสียยงไม่สบอารมณ์ “เจ้าช่างมารยาททรามนัก! เป็นข้าไว้หน้าเจ้า แต่เจ้ากลับฉีกหน้าข้างั้นรึ?”
“ข้ายังต้องให้เจ้าไว้หน้าด้วย?”
จวินฉงซานจะอย่างไรก็คือรองจ้าวหอคุมกฏแห่งนิกายยวิถีวายุอัสนี สถานะของมันสูงส่งเพียงใด? อาศัยราชาอมตะ 10 ทิศกระจอกๆเบื้องหน้ายังนับเป็นตัวอะไรได้?
ราชาอมตะ 10 ทิศเบื้องหน้ามัน ด้วยมาปรากฏตัวที่นี่เช่นนั้นพลังฝีมือมีเท่าไหร่ก็รู้ได้ อย่างดีก็คงเข้าใจความลึกซึ้งถึงขั้นตอนเล็กน้อยสักประการเท่านั้น
ในสายตาของมัน ราชาอมตะ 10 ทิศที่มีพลังฝีมือเพียงเท่านี้ จัดว่าธรรมดาถึงขีดสุด
“หึ! หน้าใหม่เดี๋ยวนี้ หยิ่งยะโสโอหังถึงเพียงนี้เชียวรึ?”
สองตาชายชราฉายแววเย็นชา น้ำเสียงยังกลายเป็นห้วนแข็ง พาลให้บรรยากาศในคุกลดต่ำลงหลายองศา
“ทำไม? เจ้าคิดจะสั่งสอนข้ารึไง?”
จวินฉงซานหัวเราะเยาะ
“ไม่ผิด!”
สิ้นเสียงชรา พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างของมันก็ปะทุระเบิดออกมาครืนๆ ก่อนจะกลับกลายเป็นเปลวเพลิงร้อนระอุลุกโชนไปทั่วร่าง!
พริบตาต่อมาร่างชราไหววูบคราหนึ่ง คนก็ห้อเหยียดมาทางจวินฉงซานเร็วรี่ ประหนึ่งลูกไฟพุ่งถล่มหล่นฟ้า!
“คิดเล่นไฟต่อหน้าข้า…เจ้ายังนับว่าอ่อนหัด!”
เผชิญหน้ากับชายชราที่โถมเข้ามาดั่งบอลไฟ จวินฉงซานยกยิ้มแสยะมุมปาก กล่าวเย้ยออกไปคำหนึ่ง ร่างคนก็แปรเปลี่ยนไปคล้ายเพลิงโลกันต์ โถมถันเข้าไปกลืนกินเปลวเพลิงของผู้ชราเบื้องหน้าทันที!
ทามกลางสายตาตกตะลึงทั้งอกสั่นขวัญแขวนของคนทั้ง 8 จวินฉงซานที่กลับกลายคล้ายเพลิงโลกันต์ พอปะทะเข้ากับชายชรา เปลวเพลิงทั่วร่างชราก็เสมือนกองไฟขาดฟืนต้องลม ดับลงเร็วไว
สุดท้ายร่างชราก็กลับกลายเป็นละอองธุลีกองหนึ่ง ค่อยๆฟุ้งกระจายหายไปในอากาศ…
คงเหลือเพียยงแหวนพื้นที่ร้อนลวก ที่ถูกจวินฉงซานสะบัดมือเก็บไปอย่างไร้แยแส
ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!
…
ทั้ง 8 อดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ มองไปยังจวินฉงซานอีกครั้ง แววตาก็แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
‘พลังฝีมือของมัน อย่าว่าแต่ 30 อันดับแรกเลย คิดจะติดอยู่ใน 20 อันดับแรกคงไม่มีปัญหาอันใด…’
ทั้ง 8 อดคิดไปทำนองดังกล่าวไม่ได้
และพอคิดถึงจุดนี้ใบหน้าของทั้ง 8 ก็เริ่มฉายแววยินดีขึ้นมา เพราะในเมื่อกลุ่มที่ 6 ของพวกมันมีตัวตนอันร้ายกาจเยี่ยงนี้ เช่นนั้นเรื่องกำจัดกลุ่มอื่นต้องไม่มีปัญหาแน่!
…
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
ครึ่งชั่วยามต่อมา ภายในกรงขังของกลุ่มที่ 5 ก็ปรากฏประตูมิติบานหนึ่ง มองลอดออกไปก็พบว่าด้านหลังประตูคล้ายโลกอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยกิ่นหอมของบุปผา แว่วเสียงวิหกหยอกเย้าดังลอดมาแต่ไกล
“แดนลับสมบัติระดับ 3 มันกว้างใหญ่สักเพียงใด?”
ก่อนที่ทั้ง 8 จะก้าวผ่านพ้นประตูออกไป จางจินอี้ก็เอ่ยถามออกมา ทำให้ร่างทั้ง 8 พร้อมใจกันชะงักลงทันที
“เรียนใต้เท้า…”
เมื่อได้เห็นพลังฝีมืออันน่ากลัวของจางจินอี้ไปแล้ว ทั้ง 8 คนไหนเลยจะหาญกล้าเพิกเฉยละเลย เร่งประสานมือแย่งกันกล่าวตอบอย่างสุภาพ “แดนลับสมบัติระดับ 3 มิได้กว้างใหญ่อะไรมากมาย ด้วยความเร็วของราชาอมตะ 10 ทิศทั่วไป แค่วันสองวันก็มากพอจะให้เหินบินสำรวจทั่วๆแล้วขอรับ…”
“อย่างไรก็ตาม แม้แดนลับสมบัติระดับ 3 จักมิได้กว้างใหญ่อะไร หากแต่บททดสอบเพื่อรับวาสนาใดๆนั้นยากยิ่ง โดยเฉพาะจิตวิญญาณค่ายกลต่างๆ ยิ่งสมบัติและวาสนาเลิศล้ำเพียงใด ก็จะยิ่งทรงพลังงมากขึ้นเท่านั้น”
“หากแต่ด้วยพลังฝีมือของใต้เท้า บททดสอบใดๆเกรงว่าคงไม่ต่างจากของเด็กเล่น…”
…
วาจาของทั้ง 8 ฟังดูยกย่องจางจินอี้ไม่น้อย
“แดนลับสมบัติระดับ 3 นี่..อาศัยราชาอมตะ 10 ทิศทั่วไป แค่วันสองวันก็บินสำรวจได้ทั่วๆงั้นรึ?”
สองตาจางจินอี้ฉายประกายวาววับ มันพลันตระหนักว่า ต่อให้ก้าวผ่านประตูออกไปจะไม่พบใคร แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไม่เจอ ทันใดนั้นมันก็ก้าวนำออกมาก่อนใคร
อย่างไรก็ตามหลังก้าวผ่านประตูออกมาแล้ว จางจินอี้พบว่าประตูยังเปิดค้างกลางอากาศไม่ได้หายไปไหน อีก 8 คนก็ค่อยๆก้าวตามออกมาอย่างระแววดระวัง
นอกจากนั้นด้านข้างยังปรากฏประตูลักษณะเดียวกันอีก 3 บานลอยค้างกลางหาว แต่ดูเหมือนมันจะปิดอยู่
“ใต้เท้า ประตูมิติทั้ง 3 บานนั่น มีไว้ให้อีก 3 จากใน 6 กลุ่มขอรับ”
“หลังจากที่กลุ่มของพวกมันจับคู่ต่อสู้กัน กลุ่มใดที่เป็นผู้ชนะก็จะก้าวผ่านประตูออกมา…”
เมื่อเห็นจางจินอี้มองประตูมิติบานอื่นลอยค้างกลางหาว ชายวัยกลางคนที่ก้าวตามออกมาก่อนคล้ายตระหนักใดได้ ก็รีบกล่าวแนะนำออกไปเร็วไว “และประตูมิติแต่ละบานนั้น เมื่อคนด้านในออกมาครบแล้ว มันก็จะปิดตัวลงทันที….”
“วันหน้าหากใต้เท้าคิดจะออกไปที่นี่ หากไม่บดขยี้ทำลายป้ายหยก เช่นนั้นก็อยู่ในนี้ให้ครบกำหนดเวลา 10 วัน แล้วใต้เท้าก็จะถูกอาคมส่งตัวออกไปเองขอรับ”
ชายวัยกลางคนกล่าวแนะนำอย่างละเอียด
“เจ้าหมายความว่าอะไร…เจ้าจะบอกว่านอกจาก 3 กลุ่มที่ถูกคัดออกไปแล้ว อีกประเดี๋ยว 3 กลุ่มที่ชนะจักออกมาจากประตูทั้ง 3 บานนั่นรึ!?”
ถึงแม้จะมีคาดเดาไว้บ้างแล้ว แต่พอได้ยินชายวัยกลางคนกล่าวยืนยัน สองตาจางจิ้นอี้ยิ่งมาก็ยิ่งเปล่งแสงจ้า ปานจะพุ่งยิงลำแสงความร้อนออกมาได้!
“มิผิดใต้เท้า”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า “เมื่อใดที่ประตูมิติทั้ง 3 เปิดออก คนของแต่ละกลุ่มที่ชนะจะออกมา…เมื่อพวกมันออกมาหมดทุกคนแล้ว ประตูก็จะปิดตัวลงและหายไปเช่นกัน”
“เอาล่ะ”
จางจินอี้พยักหน้า
“ใต้เท้า หากท่านไม่มีใดแล้ว ข้าน้อยขอตัวลาก่อน”
ชายวัยกลางคนกล่าว
จากนั้นพอเห็นจางจินอี้พยักหน้าเบาๆ ชายวัยกลางคนรวมถึงคนอื่นๆจึงค่อยบังเกิดความกล้าเหินร่างจากไป
“แบบนี้ข้าก็ไม่ต้องลำบากวิ่งวุ่นไปตามหาพวกมันสินะ แค่อยู่ตรงนี้เฝ้ารอพวกมันดังดักกระต่ายหน้าโพรง…”
พอเห็นว่าหลัง 8 คนในกลุ่มของมันออกมากันหมด ประตูมิติที่มันก้าวออกมาก็หายไป จางจินอี้ก็จับจ้องมองไปยังประตูมิติที่ยังปิดตัวอยู่เขม็ง
ในเวลาเดียวกัน
“กลุ่ม 3 ปะทะ กลุ่ม 6”
ภายในห้องขังของกลุ่ม 3 เสียงเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆพลันดังขึ้นอีกครั้ง ก้องอยู่ในหูของทุกคนในกรง
“คู่ต่อสู้ของพวกเราคือกลุ่ม 6!”
“อั้ย จะกลุ่มใดก็มาเถอะ! มีคุณชายต้วนกับแม่นางฮ่วนเอ๋ออยู่ พวกมันก็ถูกลิขิตให้กลับบ้านมือเปล่าแล้ว!”
…
อีก 8 คนในกลุ่ม 3 ล้วนมั่นใจในพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออย่างมาก
ทันใดนั้นเองด้านข้างกรงพลันเปิดออก ปรากฏสะพานโซ่ทอดยาวไปในความว่างเปล่า เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ
“แม่นางฮ่วนเอ๋อ คุณชายต้วน เมื่อพวกเราก้าวออกจากกรงขึ้นสะพานโซ่ไปสักพัก ก็จะเจอสนามรบระหว่างพวกเรากับอีกกลุ่ม…เป็นการประลองแบบตะลุมบอนสิบต่อสิบ อย่างไรก็ตามหากตกอยู่ในอันตราย ก็ยังสามารถทำลายป้ายหยกเพื่อเอาตัวรอดได้เหมือนเดิม”
หนึ่งในนั้นกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ
“เอาล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
ขณะเดียวกันทางด้านห้องขังของกลุ่ม 6 นอกจากคนที่ถูกจวินฉงซานฆ่าตายไปแล้ว คนที่เหลือก็ล้วนชักสีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจทั้งสิ้น
เพราะพลังฝีมือที่จวินฉงซานเผยออกเมื่อครู่ เกรงว่าต่อให้พวกมันร่วมมือกัน ยังไม่มั่นใจวว่าจะเอาอยู่!
ดังนั้นในสายตาของพวกมัน ด้วยในกลุ่มที่ 6 มีจวินฉงซานอยู่ทั้งคน ชัยชนะก็เสมือนนอนมาแล้ว ต้องเอาชนะกลุ่ม 3 และได้บัตรผ่านเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 แน่นอน!
“ใต้เท้าเชิญท่าน”
ต่อหน้าจวินฉงซานบัดนี้คนอื่นๆล้วนเผยทีท่าเคารพหมดสิ้น
และจวินฉงซานก็ก้าวนำออกจากห้องขังก้าวขึ้นสะพานโซ่ที่ทอดยาวไปยังความว่างเปล่าไปด้วยท่าทางมั่นใจ พร้อมเข้าสู่สนามรบเพื่อชิงชัยกับอีกกลุ่ม
‘ข้าหวังว่าจะได้เจอพวกมัน…หากไม่เจอ เช่นนั้นก็ต้องรีบจัดการฝ่ายตรงข้ามให้เร็วที่สุด จะได้ออกไปดักรอพวกมันด้านนอก’
ในขณะที่จวินฉงซานยังเป็นเพียงศิษย์หลักของนิกายวิถีวายุอัสนี มันก็เคยเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงมาก่อน กระทั่งยังเข้ามาโลดแล่นอยู่นานปี จึงรู้จักแดนลับสมบัติระดับ 3 ดี
สนามรบระหว่างกลุ่มนั้น เป็นดั่งเวทีที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาว เรียกว่าเสมือนลานประลองกลางอวกาศ มองไปทางใดก็เห็นดวงนดาวสุกสกาวทอแสงระยับ งดงามตระการตานัก
2 ด้านของสนามรบปรากฏสะพานโซ่ที่ทอดยาวไปในความมิดของท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาว สังเกตให้ดีตรงปลายจะเห็นเป็นช่องว่างมิติอันมืดดำหนึ่ง ซึ่งกลมกลืนไปกับห้วงอวกาศโดยรอบนัก มองแตไกลๆจึงคล้ายโซ่จมหายไปในความว่างเปล่า
ทันใดนั้นเอง จากด้านในหลุมดำด้านหนึ่ง พลันปรากฏจวินฉงซานเดินนำคนกลุ่มที่ 6 ออกมาตามสะพานโซ่
หลังจากที่คนของกลุ่ม 6 ก้าวอาดๆออกมาไม่ทันไร หลุมดำปลายโซ่อีกด้าน ก็ค่อยๆปรากฏร่างคนกลุ่มที่ 3 ทยอยกันก้าวออกมา และผู้ที่เดินนำอยู่หน้าสุดก็เป็นชายหนุ่มในชุดสีม่วงแลดูหล่อเหลา ข้างกายมีสตรีในชุดขาวที่รูปโฉมงดงามพิลาศล้ำ พาลให้ผู้ที่มองชมรู้สึกลมหายใจขาดห้วงอยู่บ้าง
“ช่างเป็นสตรีที่เลอโฉมนัก”
“ให้ตายเถอะ กระทั่งโอวหยางอวี่เวยผู้นั้น…ให้มาเทียบกับนางแล้ว ยังหมองลงถนัดตา!”
“ดูเหมือนว่านางจะเป็นฮ่วนเอ๋อที่ร่ำลือ!”
“ให้ตายเถอะ ข้าหลงคิดว่าเป็นคนแอบอ้างชื่อนางมาเสียอีก เพราะพลังฝีมือของนางสมควรเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 1 ได้ง่ายๆ!”
“โอย…จบสิ้นกันแล้ว! ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไฉนนางต้องเลือกเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 ด้วย…”
…
เมื่อคนอื่นๆของกลุ่ม 6 เห็นนว่าสตรีที่อยู่เบื้อหน้าก็คือฮ่วนเอ๋อ สีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที บางคนก็แลดูสลดซึมเซา
กลับกัน จวินฉงซานที่เดินนำคนของกลุ่ม 6 มานั้น เรียกว่ามองฮ่วนเอ๋อด้วยสองตาเบิกกว้างทั้งยังลุกวาวสว่างจ้า
กระทั่งลึกลงไปในลูกตาที่เปล่งประกายจ้า ยังเอ่อล้นไปด้วยจิตฆ่าฟันอันกระหายเลือด!
ตอนที่ 3210
“หืม?”
สายตาที่จวินฉงซานใช้มองฮ่วนเอ๋อนั้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนขมวคคิ้วทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันลึกล้ำที่อีกฝ่ายมีต่อฮ่วนเอ๋อ
‘จิตสังหารที่มันมีต่อฮ่วนเอ๋อ นับว่าอาฆาตนัก…มันเป็นใครกันแน่?’
ใจต้วนหลิงเทียนเริ่มเต้นเร็วขึ้น
“มิผิดจากที่คิดจริงๆ…โฉมงามเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะโดยแท้! วันนี้ข้าผู้เฒ่าจักกำจัดต้นตอเภทภัยทั่วหล้าแทนฟ้า!!”
ทั้ง 2 กลุ่มพึ่งมองจ้องกันไม่ทันมีใครเคลื่อนไหวอะไร จวินฉงซานก็โพล่งดังขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นก็พุ่งร่างทะยานเข้ามาปานดาวหาง! ดั่งสัญญาณเริ่มศึก อีก 8 คนที่เหลือของแต่ละฝ่ายก็พุ่งเข้าใส่กันทันที!!
จังหวะนี้ในสนามรบผู้ที่ยังสงบสติอารมณ์อยู่ได้ก็มีแต่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเท่านั้น
ทว่าด้านฮ่วนเอ๋อนั้น กำลังเผชิญหน้ากับจวินฉงซานที่กำลังพุ่งร่างเข้ามาด้วยจิตสังหารอำมหิต
แรกเริ่มทั่วร่างจวินฉงซานก็ปะทุพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดพร้อมพลังธาตุไฟอันเกรี้ยวกราด เมื่อเข้าใกล้ฮ่วนเอ๋อแล้วพลังความลึกซึ้งจึงถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมด! จนคนคล้ายกลับกลายเป็นดาวหางเพลิงลูกหนึ่ง พุ่งข้ามห้วงอวกาศมาฉับไว!!
ฟู่ม! ฟู่ม! ฟู่ม! ฟู่ม! ฟู่ม! ฟู่ม!
…
ท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาวแสนมืดมิด พอปรากฏดาวหางเพลิงลากผ่านมา จึงเห็นเป็นเส้นทางแดงสว่างสายหนึ่งลากผ่านห้วงอากาศปานถนนไฟ!
‘ความลึกซึ้งแผดเผา ความลึกซึ้งปะทุ ความลึกซึ้งลุกโหม อีกทั้งยังความลึกซึ้งกายอัคคีของมัน ล้วนบรรลุความเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยแล้ว?’
ต้วนหลิงเทียนที่มองชมเรื่องราวอยู่ ย่อมมองเห็นซึ้งถึงพลังทั้งหมดที่จวินฉงซานใช้อยู่ง่ายดาย ‘เจ้านี่มันเป็นใครกันแน่? ต่อให้เป็นอันดับ 1 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงคนปัจจุบัน เกรงว่าพลังฝีมือคงไม่สูงเท่าเจ้านี่กระมัง?’
ราชาอมตะ 10 ทิศคนหนึ่ง ไม่เพียงเข้าใจความลึกซึ้งทั้ง 9 ประการของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนเบื้องต้นหมดสิ้น แต่ความลึกซึ้ง 4 ใน 8 นอกจากความหมายแห่งไฟ ยังบรรลุความเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยอีกด้วย…
พลังฝีมือระดับนี้ หากจับมาโยนไว้ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง ก็เป็นดั่งหายนะเดินได้ ที่สามารถกวาดล้างทุกคนได้อย่างง่ายดาย
กระทั่งผู้ที่ได้ชื่อว่าอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ไร้ผู้ต้านในอดีตของนิกายฟ้าหมื่นศึก ก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยได้ 3 ประการเท่านั้น
แน่นอนว่ามันก็แพ้พ่ายไปแล้ว และเสียตำแหน่งอัจฉริยะผู้ต้านในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงให้แก่เหยียนหรูอวี้แห่งนิกายปราชญ์เต๋าลี้ลับ อย่างไรก็ความความเข้าใจในกฏของเหยียนหรูอวี้ก็ไม่ได้สูงไปกว่านั้น
“ฮ่วนเอ๋ออย่าพึ่งรีบฆ่ามัน ลองดูก่อนว่ามันเป็นใครมาจากไหนกันแน่ ไฉนถึงได้แลดูอาฆาตแค้นเจ้าถึงขนาดนั้น”
ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปถึงฮ่วนเอ๋อ
และแทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังจบคำ จวินฉงซานที่แต่เดิมห้อตะบึงเร่งเร้าพลังเข่นฆ่าสังหารมาทางฮ่วนเอ๋อ อยู่ๆมันก็ทุ่มพลังถล่มซัดใส่ความว่างเปล่าเบื้องหน้าฮ่วนเอ๋ออย่างน่าฉงน! และหลังจากออกกระบวนท่าแรกแล้ว มันยังเร่งเร้าพลังจู่โจมถล่มความว่างเปล่าตรงนั้นต่ออีก 2 ท่า!
มวลเพลิงโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง อนิจจามันแผดเผาทำลายได้ก็แต่ความว่างเปล่า ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ฮ่วนเอ๋อแม้แต่นิดเดียว อย่างไรก็ตามคนลมือไม่คล้ายรู้ตัวเลย สีหน้ายังเต็มไปด้วยความปิติยินดี ราวกับได้ปลดเปลื้องอะไรบางอย่าง “เหอเอ้อ เฉินเอ๋อ…ปู่ชราผู้นี้ล้างแค้นให้พวกเจ้าได้แล้ว!”
“พวกเจ้าจงไปสู่สุขคติเถอะ หากชาติหน้ามีจริงขอให้พวกเจ้ามีชีวิตที่ดี…”
พอได้ยินคำพูดของชายชราต้วนหลิงเทียนอดขมวดคิ้วไม่ได้ เพราะคำเรียกหาของมันเป็นชื่อย่อด้วยความสนิทสนม เขาจึงยากจะคาดเดาว่ามันเป็นใคร
“พี่หลิงเทียน เจ้านี่เป็นปู่ของจวินวั่งเฉินกับจวินชิวเหอแน่ะ…”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนงุนงง ฮ่วนเอ๋อพลันหันกับมาส่งเสียงผ่านพลังบอกเขา
ตอนนี้จวินวั่งเฉินตกอยู่ในโลกมายาของฮ่วนเอ๋อ ด้วยพลังของฮ่วนเอ๋อตอนนี้รวมถึงเคล็ดวิชาที่สืบทอดมาในมรดกความทรงจำของจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ทำให้จวินวั่งเฉินไม่อาจรู้ตัวเลยว่าประสาทสัมผัสของมันทั้งหมดตกอยู่ในกำมือฮ่วนเอ๋อ…
อีกทั้งในโลกมายาของฮ่วนเอ๋อ ทุกสิ่งในใจของชายชรา จะถูกฉายออกมาเป็นภาพมายาให้ฮ่วนเอ๋อแลเห็นเป็นฉากๆราวชมดูภาพยนตร์
สิ่งนี้น่ากลัวไม่ต่างงอะไรจากการอ่านใจเลย ที่สำคัญเป็นการอ่านใจแบบเห็นภาพชัดเจน!
แน่นอนว่าให้กวาดตามองทั่วทั้งเผ่าจิ้งจอกมายา ก็คงมีแต่จิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาเท่านั้นที่มีพลังสามารถระดับนี้
“ที่แท้ก็เป็นปู่ของจวินวั่งเฉินกับจวินชิวเหอนี่เอง…”
พอได้ยิน ต้วนหลิงเทียนก็จดจำทั้ง 2 คนนั่นได้ทันที และตระหนักว่าเป็นเรื่องราวใด เพราะคนแรกที่เขากับฮ่วนเอ๋อสังหารในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงก็คือหลานชายของมัน ต่อจากนั้นหลานสาวของมันอีกคนที่จ้างคนมาล้างแค้น สุดท้ายก็ถูกฮ่วนเอ๋อฆ่าตายในแดนลับสมบัติระดับสอง
ในเมื่อชายชราผู้นี้เป็นปู่ของทั้งคู่ ก็ไม่แปลกที่มันจะมาล้างแค้นให้หลาน
“ดูเหมือนพวกเราจะตกเป็นเป้าหมายของมันมาตั้งนานแล้ว…ไม่งั้นด้วพลังฝีมือของมันไม่ควรมาปรากฏตัวในแดนลับสมบัติระดับ 3 ได้”
“ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนมันจะใช้ยาพิษหวนคืนที่ลือชื่อของนิกายวิถีวายุอัสนีมาแล้ว ไม่งั้นมันคงเข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงไม่ได้”
ในอดีต หลังฆ่าจวินชิวเหอและกลับออกจากแดนลับสมบัติระดับ 2 ต้วนหลิงเทียนก็ได้เล่าเรื่องราวให้จ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยฟัง จากนั้นต้วนหลิงเทียนจึงได้รับทราบจากจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยว่า ทั้ง 2 คนนั่นมีญาติผู้ใหญ่ที่มีฐานะไม่ใช่ชั่วในนิกายวิถีวายุอัสนี และเป็นชนชั้นถึงรองจ้าวหอคุมกฏ
นอกจากนั้นด่านพลังยังบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด
อาศัยจอมราชันอมตะต้นกำเนิดผู้หนึ่ง พลังฝึกปรือย่อมสูงเกินเกณฑ์เข้าสู่แดนสวรรค์ในโบราณระดับสูง…
ดังนั้นหากอีกฝ่ายอยากจะมาล้างแค้นเขา ถ้าไม่ว่าจ้างผู้อืนก็เหลือความเป็นไปได้เพียงประการเดียวเท่านั้น
กินยาพิษหวนคืน!
ยาพิษหวนคืนของนิกายวิถีวายุอัสนี เป็นโอสถอมตะขนานหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแดนสวรรค์ใต้…แน่นอนว่าที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่เพราะใดอื่น แต่เป็นเพราะพิษของมันร้ายแรงไม่ใช่ชั่วเลยจริงๆ!
“ช่างมีความมุ่งมั่นเสียจริง…เพื่อแก้แค้นให้กับหลานชายและหลานสาว ถึงกับยอมกินยาพิษหวนคืน”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองชายชราที่ตกอยู่ในโลกมายาเบื้องหน้าด้วยสายตาประหลาดใจอยู่บ้าง
ต้องทราบด้วยว่ามีไม่กี่คนที่กล้าใช้พิษหวนคืน และปกติก็มักจะใช้กับผู้อื่นไม่มีใครกินเอง
“ในเมื่อที่ต้องรู้ก็รู้แล้ว…เช่นนั้นก็ได้เวลาส่งมันไปตามทาง”
สายตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองชาชราเปลี่ยนเป็นเฉยชาในฉับพลัน จากนั้นร่างเขาก็อันตรธานหายไปจากจุดเดิม ปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ด้านหลังของชายชราแล้ว
ปงงงง!!
ต้วนหลิงเทียนตบฟาดฝ่ามือออกไปส่งๆคราหนึ่ง ด้านชายชราก็เหมือนจะหลุดพ้นออกจากโลกมายาของฮ่วนเอ๋อ กลับมาแลเห็นความเป็นจริงอีกครั้ง
อนิจจาชายชราพึ่งฟื้นสติได้ไม่ทันไร มันก็ตระหนักได้ว่าพลังฝ่ามือที่ต้วนหลิงเทียนซัดเข้าใส่นั้น แฝงเร้นไปด้วพลังมิติอันน่าพรั่นพรึงสุดที่มันจะต้านทานรับไหว และเริ่มกร่อนทำลายพลังทั่วร่างมันอย่างอำมหิต
“เป็นไปไม่ได้!!”
จวินฉงซานที่ตื่นตระหนก พลันเหลือบไปเห็นฮ่วนเอ๋อลอยร่างเบื้องหน้าไม่ไกลด้วยสภาพสมบูรณ์พร้อม สองตาของมันก็เบิกโพลงปานจะถลนออกจากเบ้า จากนั้นร่างของมันก็แหลกสลายหายไปในความว่างเปล่าพร้อมความคับข้องใจ…
จวินฉงซาน รองจ้าวหอคุมกฏแห่งนิกายวิถีวายุอัสนี ตกตายลงแต่เพียงเท่านี้
ในเวลาเดียวกัน หอวิญญาณของนิกายวิถีวายุอัสนีอันมีลูกแก้ววิญญาณของคนในนิกายเก็บรวบรวมเอาไว้ อาวุโสที่รับหน้าที่เฝ้าหอพอพบว่าลูกแก้วของจวินฉงซานแตกลง ก็เร่งรุดรายงานการตายของของมันไปถึงประมุขนิกายทันที
หลังจากสืบสวนอยู่อยู่สักพัก นิกายวิถีวายุอัสนีก็ค้นพบสาเหตุการตายของจวินฉงซาน ที่แท้อีกฝ่ายใช้ยาพิษหวนคืนเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงเพื่อไปล้างแค้นให้หลาน แต่พลาดท่าตายตกเสียงเอง…
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง
ตัดกลับมาทางแดนลับสมบัติระดับ 3 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง เมื่อต้วนหลิงเทียนสังหารจวินฉงซานด้วยความเชื่อเหลือของฮ่วนเอ๋อแล้ว เขาก็เริ่มกวาดตามองจ้องไปยังคนอื่นๆ
จึงพบว่าอีก 8 คนที่ก้าวตามเขาออกมา ก็ได้พุ่งไปโรมรันพันตูกับอีก 8 คนของกลุ่ม 6 แล้ว
จนเมื่อมีคนของกลุ่ม 6 คนหนึ่งพบว่าจวินฉงซานถูกฆ่าตายไปแล้ว และเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อยังปลอดภัยดี มันก็ตกใจเสียขวัญเร่งสะบัดมือควักป้ายหยกมาบดทำลายเร็วไว
เมื่อมีคนหนึ่งรีบร้อนหนีไปแบบนี้ อีก 7 คนที่เหลือของกลุ่ม 6 ก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง และพอหันไปเห็นสาเหตุการจากไป พวกมันก็หน้าเสียและเร่งควักป้ายมาทุบทำลายกันจ้าละหวั่น
ฉากรีบร้อนทุบทำลายป้าย ราวกับจะแข่งกันหลบหนีออกไปเช่นนี้ ทำให้ 8 คนของกลุ่มต้วนหลิงเทียนงุนงงไม่น้อย ทว่าไม่ทันไรพวกมันก็เริ่มตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อพวกมันหันไปมองทิศทางหนึ่งและพบบว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อลอยร่างอย่างสงบ ทว่าผู้นำของอีกฝ่ายหายไปแล้ว พวกมันก็ยืนยันการคาดเดาได้ทันที
“จวินฉงซานนั่น มันตกตายไปทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ลงมือเต็มที่ด้วยซ้ำ…อย่างไรก็ตามก่อนตายมันได้เห็นภาพมายาว่าล้างแค้นสำเร็จแล้วจากฮ่วนเอ๋อ ก็นับว่ามันไม่ถึงกับตกตายอย่างไร้ความเป็นธรรมสักเท่าไหร่…”
ถึงแม้ว่าภาพมายาของฮ่วนเอ๋อจะทรงพลังมาก แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา ด้วยระดับพลังฝึกปรือของฮ่วนเอ๋อ อย่างดีก็ประคองสภาพได้ไม่กี่ลมหายใจ
เมื่อครู่ตอนต้วนหลิงเทียนเคลื่อนย้ายข้ามมิติไปปรากฏด้านหลังจวินฉงซานและตบฟาดมันไปหนึ่งฝ่ามือ เหตุไฉนที่มันได้สติทันทีไม่ใช่ว่าพลังฝ่ามือของต้วนหลิงเทียนปลุกสติมันกลับมา แต่มันหลุดจากโลกมายาของฮ่วนเอ๋อ เพราะหมดเวลาพอดี
และด้วยพลังฝึกปรือของฮ่วนเอ๋อตอนนี้ หลังจากใช้โลกมายาอันทรงพลังดังกล่าวออกไป จำต้องรอเวลาอีกราวๆ 2-3 วันถึงจะสามารถใช้มันได้อีกครั้ง
“ประตูมิติเปิดแล้ว!”
“ฮ่าๆๆ…ในที่สุดพวกเราก็ได้เข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 จริงๆเสียที!!”
…
หลังจวินฉงซานตกตายไป และอีก 8 คนที่เหลือทุบทำลายป้ายหยกจนออกไปกันหมด กลุ่มต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ถือว่าชนะการประลองระหว่างกลุ่มเป็นที่เรียบร้อย
จกานั้นบนทองฟ้าอันเต็มไปด้วววยหมู่ดาวไร้จำกัดเหนือเวทีประลอง ก็ค่อยๆปรากฏประตูมิติเปิดกว้างออก
อย่างไรก็ตามเบื้องหลังประตูมิติมันเห็นแต่ความมืดดำ ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดอยู่ด้านหลังเลย
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของประตูมิติ
“รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว?”
จางจินอี้หันไปมองประตูมิติ 1 ใน 3 บานกกลางหาวที่เปิดออก สอตาก็ทอประกายวูบวาบขึ้นมาทันใด “ดูเหมือนคนกลุ่มนี้พลังฝีมือค่อนข้างดีทีเดียว…”
“เช่นนั้นหากต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไม่ใช่ตัวปลอม และจงใจเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3…สิบในสิบสมควรอยู่ในกลุ่มนี้แน่”
จางจินอี้พึมพำข้อสันนิษฐานกับตัวเบาๆ
ครู่ต่อมาเมื่อประตูมิติเปิดออกจนสุด ก็มีร่างคนค่อยๆทยอยกันก้าวออกมาจากประตูมิติดังกล่าวทีละคนๆ ให้จางจินอวี้เห็นชัดถนัดตา
ที่ออกมาตอนนี้มี 8 คน
มีคนยังไม่ออกมา และหากไม่มีใครตายก็สมควรเหลืออีก 2 คน
เมื่อเห็นว่าคนทั้ง 8 กำลังจะจากไป จางจินอี้ก็ปรากฏตัวออกไปหยุดขวางพวกมันทันที “อีก 2 คนที่เหลืออยู่ด้านในเป็นใคร?”
“ไสหัวไปเสีย!”
ทว่าในบรรดา 8 คน มีคนไม่พอใจที่ถูกจางจินอี้มาขวาง จึงอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไปด้วยความไม่สบอารมณ์
และจุดจบของมันก็น่าสังเวชนัก
สองตาจางจินอี้ทอประกายเย็นชาขึ้นวาบหนึ่ง จากนั้นคนเพียงโบกมือออกไปส่งๆ ก็ปรากฏแสงพลังสีทองพุ่งทะลวงผ่านห้วงอากาศไปฉับไว ความว่างยังสะท้านสะเทือนเป็นระลอก
พริบตาต่อมาคนที่ตะคอกไล่จางจินอี้ก็ตกตายคาที่! ร่างยังถูกสับหั่นเป็นชิ้นเนื้อปานลูกเต๋านับหมื่นพัน แต่ต้นจนจบไม่มีแม้แต่เวลาจะตอบสนองงเรื่องราวใดๆ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องหยิบป้ายหยกมาทุบทำลายหลบหนีด้วยซ้ำ
เมื่ออีก 7 คนที่เหลือเห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนสีไปทันที
“เรียนใต้เท้า! อีก 2 คนที่ยังไม่ออกมาเป็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ!!”
ชายหนุ่ม 1 ใน 7 คนที่ยังเหลืออยู่รีบขายต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อทันที เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตมันทั้งสิ้น!
ชายหนุ่มเบื้องหน้าของมันดุร้ายเกินไป แข็งแกร่งเกินไป ทำให้มันรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตอย่างแรง!
“ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ? แล้วพวกมันเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม?”
จางจินอี้เอ่ยถามเสียงเข้ม
“ไม่มีทางเป็นตัวปลอมไปได้”
อีกคนส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “ไม่ต้องกล่าวถึงต้วนหลิงเทียน แค่เพียงแม่นางฮ่วนเอ๋อนั่น…นางนับเป็นสตรีที่งดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาตลอดชั่วชีวิต…และข้าก็อยู่มาหลายพันปีแล้ว นางงดงามเสียจนยามแรกเห็น ตัวข้าถึงกับลืมหายใจ”
“ต่อให้เป็นโอวหยางอวี่เวยของนิกายร้อยบุปผาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับ 1 ของแดนสวรรค์ใต้ แต่ไม่ว่าจะรูปร่างหรือหน้าตา ยังด้อยกว่าแม่นางฮ่วนเอ๋อมาก”
คนอื่นๆก็เร่งกล่าวเสริมออกมา
“ใช่แล้วใต้เท้า ทั้งสองสมควรเป็นตัวจริง ไม่แปลกปลอมแน่นอน”
หลังได้ยินวาจาจากคนไม่กี่คนเบื้องห้นา สองตาของจางจินอี้สว่างโรจน์ คล้ายจะยิงลำแสงความร้อนออกมารอมร่อ และแววตาที่เปลี่ยนไปของมัน ก็ทำให้ในใจของทั้ง 7 บังเกิดสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่ง!
ซู่มมม!!
อุบัติแสงทองสาดส่องข้ามฟ้าอีกครั้ง พรากหนึ่งชีวิตของทั้ง 7 ไปอย่างง่ายดาย
ไม่ว่าจะเป็นชายคนแรกที่ถูกจางจินอี้ฆ่าตาย หรือทั้ง 7 คนที่พึ่งตกตายไปเมื่อครู่ ก่อนที่พวกมันจะตกตาย สองตาของพวกมันแลดูเลื่อนลอยพิกล
ทั้งหมดสืบเนื่องมาจากขณะลงมือเข่นฆ่า จางจินอี้ได้ใช้พลังสายเลือดของเผ่าจิงจอกมายา เป็นดั่งพรสวรรค์วิชาแต่กำเนิดที่จะมีแต่ในเฉพาะผู้ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น
เพียงหนึ่งห้วงคิด พลังวิญญาณของมันก็กำจายออกไปเป็นวงกว้าง ส่งผลต่อการรับรู้ของทุกคนในระยะ
วุ้ม! วุ้ม!
ในขณะที่ทั้ง 7 คนถูกจาจินอี้ฆ่าตาย ก็พอดีกับร่าง 2 ร่างค่อยๆก้าวออกมาจากประตูมิติอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เป็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อนั่นเอง
ตอนที่ 3211
“ในที่สุดพวกเจ้าก็โผล่หัวออกมาเสียที…”
ถึงแม้ว่าจางจินอี้จะไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมาก่อน แต่รูปโฉมอันงดงามไร้คู่เปรียบของฮ่วนเอ๋อ และกลิ่นอายเผ่าเดียวกันที่แผ่ออกจากร่างของนางจางๆ ก็ทำให้มันรู้ได้ทันทีว่า 2 เบื้องหน้าคือต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ…
“หืม?”
ตอนที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก้าวออกมาจากประตูมิติ ก็ทันได้เห็นฉากทั้ง 7 คนถูกจางจินอี้ลงมือสังหารพอดี ทั้งหมดยังตกตายในกระบวนท่าเดียว!
และพอมองเห็นหน้าค่าตาผู้ลงมือชัดๆ ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลงเร็วไว ภาพจำเมื่อร้อยปีก่อนพลันปรากฏขึ้นในใจ
‘เจ้านั่น…จางจินอี้คนจากเผ่าจิ้งจอกมายาสาขาหลักของ แดนฟ้าสิ้นสุด 1 ใน 7 ภูมิภาคเบื้องบน’
ในวันนั้นเขากับฮ่วนเอ๋อได้ซ่อนตัวอยู่ในโลกใบเล็กของจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย จึงได้เห็นเรื่องราวและการประลองทั้งหมดระหว่างอีกฝ่ายกับจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย
ดังนั้นเขาจึงจำจางจินอี้ได้ทันที
‘ผ่านไปร้อยปีแล้ว แต่มันยังไม่ออกจากแดนสวรรค์ใต้อีก…ดูเหมือนคนของเผ่าจิ้งจอกมายาไม่คิดจะล้มเลิกเรื่องการยืนยันตัวตนฮ่วนเอ๋อง่ายๆ’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
“พี่หลิงเทียนคนผู้นี้เป็นคนของเผ่าจิ้งจอกมายาไม่ผิดแน่…และหน้าตามันคุ้นๆเหมือนฮ่วนเอ๋อจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ฮ่วนเอ๋อจำไม่ได้แล้ว”
ทันใดนั้นเสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนพอดี
“ฮ่วนเอ๋อเจ้ายังจำได้รึเปล่า…เมื่อ 100 ปีก่อน ตอนที่พวกเราซ่อนตัวอยู่ในโลกใบเล็กของจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเกิดอะไรขึ้น?”
ต้วนหลิงเทียนกระตุ้นเตือน
“อ๋อ ที่แท้เป็นเจ้านั่นเอง…”
หลังได้ยินคำเตือนของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อก็ฉุกคิดขึ้นได้ เพราะสุดท้ายแล้วหากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับต้วนหลิงเทียน นางไม่ค่อยเก็บเอามาใส่ใจสักเท่าไหร่
“ฮ่วนเอ๋อเดี๋ยวข้าจัดการมันเอง…เจ้าไม่ต้องลงมือ”
ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังบอกฮ่วนเอ๋อว่า “ตอนที่เจ้าไม่ลงมืออย่างดีมันก็แค่บอกได้ว่าเจ้าเป้นจิ้งจอกมายาเท่านั้น แต่หากเจ้าลงมือจนกลิ่นอายพลังเปิดเผย ไม่พ้นมันต้องรู้แน่ว่าเจ้าคือจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ถึงตอนนั้นถ้ามันส่งข่าวเรื่องเจ้ากลับไปยังเผ่าหลักที่แดนฟ้าสิ้นสุด…กับพวกเราที่กำลังจะออกจากหลิงหลัวเทียนคงไม่ต้องกลัวอะไร แต่จ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยไม่พ้นพลอยรับเคราะห์ไปด้วยแน่”
“ดังนั้นเจ้าไม่อาจให้มันรู้ตัวตนของเจ้าได้เด็ดขาด ถ้าเกิดมันรู้ ก็ต้องทำให้มั่นใจ…ว่ามันไม่ทันส่งข้อความกลับแดนฟ้าสิ้นสุด!”
น้ำเสียงของต้วนหลิงเทียนนั้นเคร่งขรึมจริงจังนัก
เขากับฮ่วนเอ๋อนั้นจะหนีไปไหนก็ได้
อย่างไรก็ตามคฤหาสน์เฉวียนโยวเป็นเป้านิ่ง
จ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวดีต่อเขากับฮ่วนเอ๋อมาก เขาไม่คิดจะจากไปโดยทิ้งเภทภัยไว้ให้คฤหาสน์เฉวียนโยว
หากทางเผ่าหลักของงจิ้งจอกมายาที่แดนฟ้าสิ้นสุดล่วงรู้เรื่องนี้ ไม่พ้นพวกมันต้องเลือกจะระบายโทสะใส่คฤหาสน์เฉวียนโยวข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับพวกเขาและปกปิดความจริง ถึงตอนนั้นเกรงว่าต่อให้เป็นตระกูลเบื้องหลังคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วย
“พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อเข้าใจแล้ว”
ได้ยินความจริงจังในน้ำเสียงต้วนหลิงเทียน สีหน้าฮ่วนเอ๋อก็แปรเปลี่ยนเป็นขึงขังขึ้นมาหน่อย พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่พุ่งพล่านในร่างค่อยๆสงบลงทันที
“ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นผู้ใดหรือ…ฟังจากที่เจ้าพูดเมื่อครู่ หรือเจ้ากำลังรอพวกเราอยู่?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามจางจินอี้ด้วยน้ำเสียงสงบ ทีท่าเฉยเมยไม่เผยอาการใดๆ
“ไม่ผิด”
จางจินอี้พยักหน้า จากนั้นมันก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนทันได้พูดอะไรสืบต่อ แสงสีทองสว่างจ้าพลันสาดส่องออกมาจากทั่วร่างของมัน จากนั้นคนก็พุ่งจี้ไปทางฮ่วนเอ๋อปานลำแสง
วูบ!
อย่างไรก็ตาม ร่างต้วนหลิงเทียนเคลื่อนย้ายข้ามมิติมาคั่นกลางระหว่างมันกับฮ่วนเอ๋อทันที คนลอยร่างเผชิญหน้ากับการโจนทะยานเข้ามาของจางจินอี้อย่างไม่หวาดหวั่น สองตาฉายแววเย็นเยียบ
“เจ้าไม่ใช่คู่มือข้า!”
จางจินอี้ที่โจนทะยานเข่นฆ่าสังหารเข้ามา มองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวเสียงเย็น “พลังฝีมือเจ้าไม่เท่านาง เช่นนั้นก็ไสหัวไปให้นางลงมือเสีย!”
“อยากให้นางลงมือ เจ้าก็ต้องเอาชนะข้าให้ได้ก่อน”
ต้วนหลิงเทียนฉีกยิ้มแสยะ
หากเป็นเมื่อ 100 ปีก่อน จางจินอี้พูดว่าเขาไม่ใช่คู่มือของมัน เขาจะไม่เถียงสักคำ
แต่ตอนนี้…
จางจินอี้ ไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาของเขา!
“ในเมื่อเจ้าเบื่อชีวิตคิดอยากตายนัก ข้าจะสงเคราะห์ให้!!”
ดวงตาจางจินอี้เปล่งแสงเย็นชาวูบวาบ จากนั้น พลันปรากฏพลังวิญญาณขุมหนึ่งกำจายออกมาจากร่างมันเป็นวงกว้าง ปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนในชั่วพริบตา!
และนี่คือพรสวรรค์แต่กำเนิด ของผู้ที่มีสายเลือดจิ้งจอกมายาบริสุทธิ์! สามารถสะกดประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของคู่ต่อสู้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง! บิดเบือนเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของอีกฝ่ายได้ตามใจ!!
อย่างไรก็ตาม จางจินอี้ที่เห็นว่าพลังวิญญาณของตัวเองปกกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนได้แล้ว แต่มันที่เข่นฆ่าสังหารเข้ามา กลับพบว่าต้วนหลิงเทียนดูเหมือจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากทักษะของมันเลย ยังมองจ้องมันด้วยรอยยิ้มบางๆอีกด้วย
“นี่เป็นพรสวรรค์วิชาของเจ้ารึ พลังจิตกล้าแข็งดีนี่…น่าเสียดายที่มันไม่มีผลกับข้า”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพล่างยิ้มเย้ย
พลังวิญญาณของจางจินอี้นั้น แม้จะทรงพลังทั้งลึกล้ำ แต่ทว่าก็ไม่อาจพุ่งเข้ามายังดวงจิตของเขาและส่งผลอะไรต่อเขาได้ เพราะมันถูกพลังของทองเทพสุดลี้ลับ 1 ในเทพเบญจธาตุขวางกั้นเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
ทองเทพสุดลี้ลับในร่างเขาแม้จะยังเป็นแค่ขั้นที่ 3 แต่ก็สามารถปกป้องดวงจิตของเขาได้เป็นอย่างดี ทั้งยังใช้พลังวิญญาณของเขาเป็นขุมพลังเพิ่มพูนพลังป้องกันได้อีก
กล่าวได้ว่าขอเพียงไม่ใช่พลังวิญญาณที่ทรงพลังเหนือชั้นเกินกว่าระดับพลังของเขาไปมากๆ ทักษะวิญญาณใดๆไม่เว้นสำนึกเทวะ อย่าหวังว่าจะแผ้วพานเขาได้
“เจ้า…เจ้ามีอุปกรณ์อมตะคุ้มกันวิญญาณระดับราชางั้นรึ!?”
ลูกตาจางจินอี้หดเล็กลงเร็วไว เอ่ยถามออกมาเสียงหนัก
อุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณนั้น สามารถป้องกันทักษะวิญญาณใดๆของตัวตนที่มีพลังวิญญาณต่ำกว่าขอบเขตจอมราชันอมตะได้อย่างง่ายดาย…
“ทำนองนั้น เจ้ารู้แค่ว่า…วิชามายาของเจ้าไม่มีผลกับข้าก็พอ…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว มุมปากยังคงยกยิ้มไม่คลาย
และตอนนี้เองเสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อก็ดังขึ้นในหูเขา บอกว่าสิ่งที่จางจินอี้ใช้เมื่อครู่ ก็คือพรสวรรค์วิชาที่จะมีแต่ในตัวตนที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น เป็นพลังสายเลือดที่มุ่งเน้นการจู่โจมทางวิญญาณ!
อย่างไรก็ตามเขาไม่กลัวแม้แต่น้อย
หากเป็นเผ่าจิ้งจอกมายาขอบเขตพลังจักรพรรดิอมตะมาใช้วิชานี้ใส่เขาล่ะก็ เขาอาจจะหวั่นเกรงอยู่ 3 ส่วน ด้วยกลัวว่าพลังของทองเทพสุดลี้ลับอาจจะเอาไม่อยู่ แต่อาศัยพลังวิญญาณระดับราชาอมตะ 10 ทิศอย่างจางจินอี้…เขาไม่มีกลัวแม้แต่น้อย!
“ในเมื่อสิ่งนี้ใช้กับเจ้าไม่ได้ผล เช่นนั้นข้าก็จักทุบตีเจ้าให้ตายคามือตรงๆ!!”
จางจินอี้ที่ถูกยิ้มหยันมีน้ำโหไม่น้อย แสงทองทั่วร่ายยิ่งมาย่งส่องสว่างเจิดจ้า จากนั้นก็ปรากฏเงาร่างสีทองหนึ่งปกคลุมไว้ทั่วร่างมันปานภูตผี
“ความลึกซึ้ง องครักษ์ทองคลุมกาย!”
มองปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันที ว่าความลึกซึ้งที่จางจินอี้ใช้อยู่คืออะไร นั่นเป็นความลึกซึ้ง องครักษ์ทองคลุมกาย ของกฏแห่งทอง
แม้ความลึกซึ้งของกฏแห่งทองประการนี้จะเน้นการป้องกันเป็นหลัก แต่ก็หนุนเสริมพลังโจมตีด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้นจางจินอี้ก็ยกมือขึ้น กระชับกระบี่ที่ผุดโผล่จากความว่างแน่น พลังงานสีทองหลั่งไหลลงสู่ตัวกระบี่ไม่ทันไร มันก็เริ่มปลดปล่อยไอพลังสีดำออกมา นอกจากนั้นยังมีประกายอัสนีสีเลือดแลบลั่นแปลบปลาบดูทรงพลังน่าเกรงขามนัก!
“หืม? กระบี่อมตะจอมราชันของเจ้า…ดูเหมือนจะคุณภาพสูงกก่ากระบี่อมตะจอมราชันทั่วไปมากทีเดียว…”
มองปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันที ว่ากระบี่อมตะจอมราชันในมือของจางจินอี้นั้นทรงพลังไม่ใช่ชั่วจริงๆ แม้จะไม่ได้มีอานุภาพสูงเท่าแหวน 9 วิญญาณหยินหยางอันเกิดจากแหวน 9 วิญญาณหยิน และแหวน 9 วิญญาณหยางผสานหลอมรวมกัน แต่ก็นับว่าทรงพลังสุดที่อุปกรณ์อมตะจอมราชันทั่วๆไปจะเทียบได้
“ไม่เกิน 3 กระบี่ เจ้าตาย!”
จางจินอี้ประกาศกร้าวเสียงเหี้ยม จากนั้นคนคล้ายกลับกลายเป็นประกายแสงสีทองวาบไปทางต้วนหลิงเทียนปานภูตผี อย่างไรก็ตามเมื่อมันเจียนบรรลุถึงตัว ร่างต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานหายไปในความว่างเปล่า ไปโผล่ที่อื่นเสียแล้ว
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเคลื่อนย้ายข้ามมิติ ฮ่วนเอ๋อเองก็เคลื่อนย้ายข้ามมิติเช่นกัน และยังสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนอีกด้วย
กล่าวได้ว่าฮ่วนเอ๋อรักษาตำแหน่งตัวเองดีมาก หากจางจินอี้คิดจะพุ่งไปเล่นงานนาง จะอย่างไรก็ต้องผ่านต้วนหลิงเทียนไปก่อน และนั่นหมายความว่ามันต้องถูกต้วนหลิงเทียนหยุดยั้งแน่นอน
กล่าวได้ว่าหากวันนี้จางจินอี้คิดจะทำอะไรฮ่วนเอ๋อ ก่อนอื่นเลยต้องจัดการต้วนหลิงเทียนให้ได้เสียก่อน!
“ข้าอยากจะรู้นัก ว่าเจ้าจะมีปัญญาหลบได้อีกกี่ครั้ง!!”
จางจินอี้หักเหร่างกลางอากาศ ประกายแสงสีทองพุ่งวาวบไปทางต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง มองไปประหนึ่งดาวตกสีทองลัดฟ้ายามคืนค่ำ!
และคราวนี้จางจินอี้คล้ายกลับกลายเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ แสงพลังกระบี่ปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มคุมกาย จนมองไกลๆคล้ายคนกลับกกลายเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง พุ่งทะลวงฟ้าไปด้วยความเร็วอัศจรรย์!!
เวิง! เวิง! เวิง! เวิง! เวิง!
…
เมื่อแสงกระบี่เล่มเขื่องพุ่งทะลวงอากาศไป ความว่างเปล่าพลันสะท้านสะเทือนส่งเสียงแปลกประหลาดออกมา ราวกับพวกมันกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
“กับอีแค่นี้ไหนเลยต้องหนี?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ยออกมาคำหนึ่ง ขณะเดียวกันพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดก็ปะทุออกมาฉับไว พลังธาตุมิติก็ผสานรวมเข้าไปในชั่วพริบตา
ด้วยชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะยังเป็นราชาอมตะ 9 ตำหนัก ทว่าความเร็วในการโคจรรวมรั้งพลังทั้งจ่ายออกของเขา เหนือกว่าราชาอมตะ 10 ทิศส่วนใหญ่เสียอีก
ในหมู่พวกนั้น แน่นอนว่ารวมถึงตัวจางจินอี้ด้วย
ทันใดนั้นเอง พลังมิติขุมหนึ่งพลันกำจายออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนเป็นวงกว้าง ปกคลุมอาณารัศมีรอบกายต้วนหลิงเทียน 100 หมี่เอาไว้ ร่างจางจินอี้ที่ทะยานเข้ามาก็อยู่ในขอบเขตเช่นกัน
ทันใดนั้นเห็นได้ชัดว่ากระบี่พลังสีทองเล่มเขื่องเริ่มชะลอตัวลง คล้ายกำลังบุกฝ่าดงโคลนหนืด เพราะไม่เพียงแต่มันจะต้องปะทะเข้ากับพลังมิติแปรปรวนอันเกิดจากความลึกซึ้งเขตแดนมิติ ยังพบเจอพลังห้วงมิติบิดเบือนจากความลึกซึ้งบิดเบือนอีกขุม!
“เฮอะ! ความตระหนักรู้ในกฏมิติเจ้าไม่เลวเลยนี่นา แต่น่าเสียดาย ต่อหน้าข้าจางจินอี้ มันยังขาดอยู่บ้าง!!”
จางจินอี้พ่นลมสบถเสียงเย็น จากนั้นแสงกระบี่สีทองที่ปกคลุมร่างมันก็ส่องสว่างจ้าขึ้น ความเร็วในการพุ่งทะลวงเข่นฆ่าสังหารของมันว่องไวขึ้นในฉับพลัน!
ซัววว!!
กระบี่แสงสะทองทะลวงแทงมาอย่างเกรี้ยวกราด พริบตาก็ทะลวงผ่านห้วงมิติแปรปรวนบิดเบือน เข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ใกล้บรรลุถึงร่างต้วนหลิงเทียน!
“มาได้ดี!”
เผชิญหน้ากับแสงพลังกระบี่ที่คุกคามเข้ามา สองตาต้วนหลินส่องประกายสีทองวาบหนึ่ง จากนั้นหนึ่งหมัดพลันชกออกไปเบื้องหน้าตามอำเภอใจ อุปบัติเป็นหมัดพลังไร้สภาพขุมหนึ่งปะทุไปเร็วไว ขณะเดียวกันยังอุบัติรอยแยกมิติ 3 รอยข้างหมัด!
พริบตานั้นเอง จากในรอยแยกมิติทั้ง 3 ปรากฏคมมีดมิติสีเทาพุ่งออกมาดั่งลำแสง!
คมมีดมิติสีเทาพุ่งออกมาได้ไม่ทันไร มันก็ผสานรวมเข้ากับพลังมิติโดยรอบ พาลให้ทรงพลังอำนาจขึ้นมหาศาล จากนั้นคมมีดมิติทั้ง 3 ก็พุ่งไล่หมัดไร้สภาพทัน ก่อนจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง! กลับกลายเป็นหมัดผ่ามิติทรงอำนาจจี้เข้าใส่กระบี่แสงสีทองอย่างไร้ครั่นคร้าม!!
หนึ่งหมัด!
เปรี๊ยงงงง!!
เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นหล้า แสงกระบี่สีทองนั้นไม่อาจต้านทานอานุภาพหนึ่งหมัดนี้ได้เลย มันย่อยยับในบัดดล พลังอันเกรี้ยวกราดของจางจินอี้ถูกบดขยี้ลงอย่างราบคาบ ก่อนหมัดพลังดังกล่าวจะซัดเข้าใส่ร่างจางจินอี้อย่างจัง จนคนปลิดปลิวละลิ่วไปดั่งว่าวสายป่านขาด!!
อย่างไรก็ตามสังเกตให้ดีจะพบว่าบัดนี้ทั่วร่างจางจินอี้ ปรากฏแสงพลังสีโลหิตคลุมกายเอาไว้ แสงพลังดังกล่าวยังให้กลิ่นอายพลังกล้าแข็งไม่ใช่ชั่วนัก!
“หืม…เกราะอมตะระดับจอมราชันรึ?!”
สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันที จากนั้นมุมปากก็ยกยิ้มบางๆ “นับว่าเจ้ารอดตัวไป หากไม่มีเกราะอมตะจอมราชันนั่น เมื่อครู่เจ้าตายคาที่ไปแล้ว…”
“ดะ…ได้อย่างไรกัน!?”
จังหวะนี้จางจินอี้ที่ถูกหนึ่งหมัดชกปลิวละลิ่ว ได้แต่มองจ้องร่างสงบของต้วนหลิงเทียนไกลห่างด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “จะ..เจ้ายังไม่ใช่อาวุธอมตะ…แต่เอาชนะข้าได้แล้ว?”
“เจ้า…นี่เจ้าเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนเล็กน้อยกี่ประการกันแน่!?”
ราชาอมตะ 9 ตำหนักสามารถเอาชนะมันได้ทั้งๆที่ไม่ใช้อุปกรณ์อมตะใดๆ! และตัวมันที่ใช้กระบี่อมตะจอมราชันคุณภาพต้นๆกลับแพ้พ่ายในการปะทะตรงๆ ซ้ำร้ายยังเก็บกู้หนึ่งชีวิตมาได้เพราะพลังของเกราะอมตะจอมราชัน!!
เรื่องนี้ทำให้มันรู้สึกยากยอมรับ!
ตัวมัน จางจินอี้ แม้จะในบรรดาราชาอมตะ 10 ทิศของตระกูลจางสาขาหลักแห่งเผ้าจิ้งจอกมายา แต่พลังฝีมือของมันก็รั้งอยู่ในอันดับที่ 3!
ทว่าบัดนี้ ในสถานที่เล็กๆอย่างแดนสวรรค์ใต้ กลับมีราชาอมตะ 9 ตำหนักคนหนึ่ง ที่พลังกล้าแข็งเหนือกว่ามันทุกทาง?
“อยากรู้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
ลูกตาจางจินอี้หดหยีลงทันที รอฟังวาจาถัดไปของต้วนหลิงเทียนอย่างสนใจ
ทว่าสิ่งที่รออยู่กลับไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นเงาติดตาของต้วนหลิงเทียนที่ค่อยๆพร่าเลือน เพราะต้วนหลิงเทียนได้ใช้เคลื่อนมิติอันตรธานร่างหายไปในบัดดล!
“แย่แล้ว!!”
สีหน้าจางจินอี้เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ขณะเดียวกันมือมันก็สะบัดฉับไวเรียกป้ายหยกประจำตัวออกมาอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ คิดบดขยี้ป้ายหยกเพื่อหลบหนีจากไป!
ตอนที่ 3212
ฟั่ฟฟฟฟฟ!!
แสงกระบี่สีรุ้งสว่างวาบขึ้น จากนั้นแสงกระบี่ดังกล่าวก็คล้ายจะอันตรธานหายไปในความว่างเปล่า ปรากฏอีกครั้งก็อยู่เบื้องหน้าจางจินอี้ที่พึ่งจะสะบัดมือเรียกป้ายหยกประจำตัวออกมาอย่างอัศจรรย์!
จางจินอี้ที่กำลังจะออกแรงบดขยี้ป้ายหยกประจำตัวในมือ แสงกระบี่สีรุ้งดังกล่าวก็ได้พาดผ่านร่างของมันตั้งแต่กลางกระหม่อมจรดหว่างขา แยกผ่าร่างของมันออกเป็น 2 เสี่ยงซ้ายขวาอย่างสมมาตร!
กระทั่งเกราะอมตะที่เปล่งม่านพลังสีเลือด ก็ถูกแสงกระบี่ดังกล่าวผ่าแยกเป็นสองเสี่ยงอย่าง่ายดาย ราวเป็นเยื่อกระดาษบางๆ!!
จางจินอี้ ทายาทสายตรงของตระกูลจางสาขาหลักแห่งเผ่าจิ้งจอกมายาในแดนฟ้าสิ้นสุด หลังจากใช้เวลาเฝ้ารออยู่ร้อยปี สุดท้ายก็ได้ทิ้งหนึ่งชีวิตลงในแดนลับสมบัติระดับ 3 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง…
แม้แต่ตัวจางจินอี้เอง ก็ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลย ว่าวันหนึ่งตัวมันจะพบพานจุดจบอะไรอย่างนี้…
“ไปกันเถอะ ฮ่วนเอ๋อ”
หลังฆ่าจางจินอี้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือริบสินสงครามมาเร็วไว จะแหวนพื้นที่ก็ดี กระบี่และเกราะอมตะจอมราชันก็ดี สุดท้ายก็กลายเป็นสินทรัพย์ของเขา
และจนถึงบัดนี้ประตูมิติอีก 2 บานยังไม่เปิดออก…
เห็นได้ชัดว่าการสู้ตะลุมบอนกันของ คน 4 กลุ่มใน 2 สนามประลองยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ
…
ณ 7 ภูมิภาคเบื้องบน
แดนฟ้าสิ้นสุด
ณ เผ่าจิ้งจอกมายา อาณาเขตของตระกูลจาง
“ผู้อาวุโส! ท่านผู้อาวุโส! แตกแล้ว…ลูกแก้ววิญญาณของจางจินอี้…แตกแล้วขอรับ!!”
ทันทีที่จางจินอี้ตกตาย ลูกแก้ววิญญาณของมันที่แตกลงก็ถูกพบเร็วไว และถูกรายงานไปยังอาวุโสระดับสูงของตระกูลจางทันที
“ว่าอะไร!?”
สีหน้าของผู้อาวุโสสูงตระกูลจางเปลี่ยนไปในฉับพลัน คนลุกขึ้นยืนพรวด “เกิดอันใดขึ้น มิใช่มันอยู่ที่แดนสวรรค์ใต้หรือไร? ยังมีผู้ใดในแดนสวรรค์ใต้หาญกล้าฆ่ามัน?”
จากนั้นไม่ทันไร อาวุโสที่รับหน้าที่ติดต่อกับตระกูลจางสาขาย่อยในแดนสวรรค์ใต้ก็ถูกอาวุโสระดับสูงของตระกูลจางเรียกตัวเข้าพบเป็นการด่วน
“จางจินอี้ตายแล้ว”
และวาจาของผู้อาวุโสสูงตระกูลจาง ก็ทำให้อาวุโสที่รับหน้าที่ติดต่อกับสาขาย่อยถึงกับหน้าเหวอไปทันที “อันใด!? จางจินอี้…ตายแล้ว!?”
“มิผิด เรื่องนี้เจ้าเร่งถามหัวหน้าเผ่าตระกูลจางสาขาแดนสวรรค์ใต้เสีย ว่าที่แท้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!? และหากมันไม่อาจหาคำอธิบายดีๆมามอบให้เจ้าได้ เช่นนั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไป”
อาวุโสสูงตระกูลจางเอ่ยออกเสียงเข้ม
“ขอรับ”
จากนั้นยันต์อมตะสื่อสารสีทองก็ถูกใช้เร็วไว ไม่นานข้อความจากตระกูลจางสาขาหลักบนแดนฟ้าสิ้นสุดก็ข้ามทะเลดาราโกลาหลจนมาถึง ตระกูลจางงสาขาแดนสวรรค์ใต้
“อะไรนะ!?”
หลังได้รับข้อความดังกล่าว จางตงหนาน หัวหน้าเผ่าจิ้งจอกมายาของสกุลจางสาขาแดนสวรรค์ใต้ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที “ทูต…ตายแล้ว? ไม่ใช่มันอยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงหรือไร? คงมิใช่ว่าหลังออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ ตอนกำลังเดินทางกลับมันเผลอไปหาเรื่องจอมราชันอมตะผู้ใดระหว่างทางแล้วถูกฆ่าตายหรอกนะ?”
จางตงหนานงุนงงไม่น้อย อยากรู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น
อย่างไรก็ตามไม่ว่ามันจะใช้วิธีอะไร แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ดี “สามารถยืนยันได้แค่เรื่องเดียวเท่านั้น…ด้วยอันดับของทูตยามนั้น สมควรเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3…”
“แต่ในแดนลับสมบัติระดับ 3 ยังมีสิ่งใดเป็นภัยคุกคามมันได้กัน? หรือมันจะประมาทจนถูกจิตวิญญาณฆ่าเอาจริงๆ?”
ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณค่ายกลในแดนลับสมบัติระดับ 3 จะเป็นภัยคุกคามอยู่บ้าง ทว่าด้วยพลังของจางจิ้นอี้ แม้จะเอาชนะไม่ได้ แต่ก็สมควรหนีเอาตัวรอดได้อยู่ดี
ในแดนลับสมบัติระดับ 3 ไม่มีจิตวิญญาณค่ายกลตัวใด ที่ร้ายกาจถึงขั้นที่จางจินอี้ไม่อาจหนีได้
“หืม? ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ…ก็เข้าสู่แดนลับสมัติระดับ 3 ด้วยรึ?”
หลังจากนั้นไม่นานจางตงหนานก็ได้รับข้อมูลเรื่องนี้ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที “หากเป็นฮ่วนเอ๋อตัวจริง…ในเมื่อร้อยปีก่อนนางมีพลังฝีมือถึงระดับนั้น…”
“ตอนนี้หลังผ่านไปอีกร้อยปี เรื่องที่นางจะแข็งแกร่งมากพอสังหารทูตก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!”
หลังคิดถึงจุดนี้ จางตงหนานก็รายงานกลับไปยังอาวุโสตระกูลจางสาขาหลักทันที
อาวุโสที่รับข้อความของจางตงหนาน ก็เร่งนำไปรายงานอาวุโสสูงของตระกูลจางอีกที
“เช่นนั้นเจ้าจงลงไปสืบเรื่องนี้ที่แดนสวรรค์ใต้เสีย…ไม่ว่ามันจะเป็นผู้ใด แต่ในเมื่อกล้าเข่นฆ่าทายาทสายตรงของสกุลจางเรา เช่นนั้นมันต้องตาย!”
อาวุโสสูงตระกูลจางเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“ผู้น้อยทราบ”
อาวุโสเร่งประสานมือรับคำเร็วไว จากนั้นก็หันหลังจากไป เร่งรุดเดินทางไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก
ในเวลาเดียวกัน
ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่ตระเวนไปในแดนลับสมบัติระดับ 3 ในที่สุดก็ได้พบเจอจิตวิญญาณค่ายกลตัวแรกที่ปกป้องสมบัติอยู่…
อย่างไรก็ตามจิตวิญญาณค่ายกลตัวนี้อ่อนแอเกินไป ต้วนหลิงเทียนเพียงชกออกไปส่งๆหมัดเดียวก็ทำลายมันได้ง่ายดาย
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ตระเวนหาจิตวิญญาณค่ายกลตัวอื่นต่อ
‘จางจินอี้ตายไปแบบนี้ ทางเผ่าจิ้งจอกมายาสาขาหลักไม่พ้นต้องเร่งตรวจสอบการตายของมันแน่…ฮ่วนเอ๋อหรือแม้แต่ข้าเองก็ไม่พ้นต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยหลัก’
‘อย่างไรก็ตาม ต่อให้พวกมันจะสงสัยพวกเรามากแค่ไหน พวกมันก็ไม่อาจไปหาความอะไรจากคฤหาสน์เฉวียนโยวได้เพราะเรื่องนี้…เพราะสุดท้ายแล้วฮ่วนเอ่อจะใชจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาหรือไม่ พวกมันก็ยังไม่อาจชี้ชัดได้’
‘และในสายตาของจางตงหนานหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกมายาสาสาขาแดนสวรรค์ใต้ พวกเราก็เดินทางออกจากคฤหาสน์เฉวียนโยวไปนานแล้ว ถึงแม้มันอาจเอะใจเรื่องที่พวกเราอาจไม่ได้ออกไปไหนจริงๆ แต่คนฉลาดอย่างมัน ไม่มีทางลากคฤหาสน์เฉวียนโยวลงน้ำเพราะเรื่องนี้แน่นอน’
‘มันในตอนนี้ ไม่กล้าคิดล่วงเกินข้ากับฮ่วนเอ๋อแน่…’
ถึงแม้จะได้พบเจอจางตงหนานแค่ 2 ครั้ง ทว่าแค่ครั้งแรกจางตงหนานก็ได้ทิ้งความประทับใจไว้ให้ต้วนหลิงเทียนไม่น้อย
เขามองออกได้ไม่ยากว่าจางตงหนานผู้นี้ ฉลาดเฉลียวทั้งเจ้าเล่ห์ไม่เบา
หากมันคิดจะขายคฤหาสน์เฉวียนโยวจริง มันก็ต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาหลังจากล่วงเกินเขากับฮ่วนเอ๋อด้วย
แม้ในตอนนี้เขากับฮ่วนเอ๋ออาจจะไม่เป็นภัยคุกคามอะไร แต่ในอนาคตเล่า? จางตงหนานไม่มีทางโง่งมถึงขั้นไม่คำนึงถึงจุดนี้แน่นอน
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนก็เลยไม่ได้กังวลอะไรมากมาย และพาฮ่วนเอ๋อท่องไปทั่วๆแดนลับสมบัติระดับ 3
อย่างไรก็ตาม แม้จะพบเจอจิตวิญญาณค่ายกลที่ร้ายกาจอยู่บ้าง จนทำให้ฮ่วนเอ๋อต้องทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อทำลายมัน อนิจจาฮ่วนเอ๋อยังไม่พบโอกาสที่จะทะลวงไปยังขอบเขตจอมราชันอมตะอยู่ดี
ตอนนี้เวลา 10 วันที่สามารถอยู่ในแดนลับสมบัติระดับ 3 ได้ ก็หลงเหลืออีกแค่ครึ่งวันเท่านั้น
“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราออกไปกันเถอะ…ได้เวลาออกจากหลิงหลัวเทียนและไปอวี้หวงเทียนกันแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อ ก่อนจะบดขยี้ป้ายหยกเพื่อออกไป จากนั้นเขาก็ได้ไปร่ำลาจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย ก่อนจะเดินทางออกจากคฤหาสน์เฉวียนโยว
หลังจากต้วนหลิงเทียนพาฮ่วนเอ๋อมาใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกในเมืองที่อยู้ใต้การปกครองโดยตรงของคฤหาสน์เฉวียนโยว ทั้งคู่ก็สามารถเดินทางไปยังหลิงหลัวเทียนได้อย่างราบรื่น
แน่นอนว่าตั้งแต่ก่อนจะกลับออกมาจากแดนลับสมบัติระดับ 3 ต้วนหลิงเทียนก็ได้นำชุดคลุมลมดำออกมา 2 ชุด สำหรับให้เขากับฮ่วนเอ๋อสวมใส่เพื่อปกปิดตัวตนเรียบร้อย
เหตุผลก็คือเพื่อหลีกเลี่ยงการชักนำปัญหาต่างๆมาสู่คฤหาสน์เฉวียนโยว
ในขณะเดียวกัน ด้านอาวุโสของตระกูลจางสาขาหลักแดนฟ้าสิ้นสุด ก็ได้มาพบกับจางตงหนาน ก่อนจะเริ่มตามสืบเรื่องราวของจางจินอี้จากเบาะแสทั้งหมดที่ได้มา และในที่สุดก็มาพบเจอคนที่เจอจางจินอี้ในแดนลับสมบัติระดับ 3
“เจ้านั่นพลังฝีมือของมันร้ายกาจมาก ก่อนจะเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 มันยังฆ่าคนที่ทำให้มันขุ่นเคือง…อย่างไรก็ตามหลังเข้าไปยังแดนลับสมบัติระดับ 3 แล้ว มันกลับไม่ออกไปตามหาสมบัติใดๆ เพียงรออยู่ด้านหน้าประตูมิติอีก 3 บายที่ยังไม่เปิด…หลังจากนั้นข้าที่รีบออกไปหาสมบัติ ก็ไม่รู้อะไรแล้ว”
จางตงหนานกับอาวุโสจากเผ่าหลักแดนฟ้าสิ้นสุด พอได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวก็ขมวดคิ้วทันที
“เจ้าคิดว่าคนที่ฆ่าจางจินอี้ จะใช่สตรีนามฮ่วนเอ๋อที่พวกเจ้าสงสัยว่านางจะเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาหรือไม่?”
อาวุโสตระกูลจางจากเผ่าหลัก หันไปเอ่ยถามจางตงหนานเสียงขรึม
“อาจเป็นได้…แต่ที่ข้าน้อยไม่เข้าใจก็คือ ในเมื่อฮ่วนเอ๋อนั่นร้ายกาจถึงเพียงนั้น แล้วนางเข้าไปทำอะไรในแดนลับสมบัติระดับ 3…เดิมทีข้ายังคิดมาตลอดว่านางเป็นตัวปลอม แม้ท่านทูตจะเข้าไปยังแดนลับสมบัติระดับ 3 ก็จริง แต่สุดท้ายข้ากลับไม่ได้รับแจ้งเลยว่านางเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่”
“นอกจากนั้นอาจเป็นไปได้ว่า ท่านทูตอาจจะบดขยี้ป้ายหยกเพื่อออกจากแดนลับสมบัติระดับ 3 ทันทีเมื่อพบว่าฮ่วนเอ๋อที่ว่าเป็นตัวปลอม จากนั้นก็ประสบอุบัติเหตุด้านนอกจนถึงแก่ความตาย”
“เพราะอย่างไรเสียตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ท่านทูตที่รอคอยเวลาอย่างเบื่อหน่ายก็เดินทางออกไปด้านนอก ข้าเองก็มิกล้าละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัว เช่นนั้นจึงไม่ทราบว่าท่านทูตไปที่ใด และข้าก็ไม่ทราบว่าท่านทูตจักไปดูแคลนผู้ใด จนอีกฝ่ายลงมืออย่างไม่สนฐานะของท่านทูตหรือไม่…”
จางตงหนานกล่าว “กล่าวได้ว่า หากเป็นกรณีนี้จริง เช่นนั้นการตามหาฆาตกรสังหารท่านทูต ก็มิต่างใดจากงมหาเข็มในกองฟางแล้ว”
แต่ต้นจนจบจางตงหนานพยายามกล่าวเบี่ยงประเด็นเพื่อให้อาวุโสจากตระกูลจางสาขาหลักสับสน โดยชักนำให้อีกฝ่ายคิดว่ามีความเป็นไปได้มากกว่าที่จางจินอี้จะถูกยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะเข่นฆ่าเอาด้านนอก
และเรื่องนี้ยิ่งมาก็ยิ่งสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้ไม่มีผิด
แต่ต้นจนจบจางตงหนานไม่เคยกล่าวถึงคฤหาสน์เฉวียนโยว ให้ผู้อาวุโสของตระกูลจางสาขาหลักที่มาจากแดนฟ้าสิ้นสุดฟังเลย เห็นได้ชัดว่าไม่คิดสร้างปัญหาอะไรเพิ่มเติม
แน่นอนว่าถึงแม้สุดท้ายมันอาจจะโดนลงโทษเพราะไม่ทราบเรื่องราวดั่งตัวโง่งม แต่โทษก็คงไม่หนักถึงขั้นตกตายแน่นอน เพราะบางเรื่องก็สุดที่มันจะควบคุมได้
และไม่ว่าจะอย่างไร จางตงหนานก็เป็นหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกมายาสาขาแดนสวรรค์ใต้ เว้นเสียแต่จะทำความผิดใหญ่หลวงจนก่อให้เกิดความเสียหายกับเผ่า หาไม่แล้วเผ่าจิ้งจอกมายาสาขาหลักก็ยากจะลงดาบมัน
ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาหลักคราวนี้ก็คือการตายของจางจินอี้ และในเมื่อจางจินอี้ออกจากเผ่าไปเพราะความตั้งใจของตัวเอง ใครจะไปรู้ได้ว่ามันไปไหน…
เรื่องนี้จางตงหนาน หัวหน้าเผ่าจิ้งจอกมายาสาขาย่อยแดนสววรรค์ใต้ย่อมรอดพ้นความผิดมาง่ายๆ ยังปัดสวะให้พ้นตัวได้อีก
“เอาล่ะ เรื่องนี้เจ้าพยายามสืบต่อไป ตราบใดที่เจ้าสามารถหาตัวฆาตกรให้เผ่าหลักยืนยัน จนนำไปสู่การล้างแค้นให้จางจินอี้ได้ล่ะก็ ทางเผ่าหลักก็ไม่คิดจะปฏิบัติกับเจ้าอย่างเลวร้าย”
อาวุโสของตระกูลจางสาขาหลักกล่าวกำชับจางตงหนานก่อนจะเดินทางออกจากแดนสวรรค์ใต้
อย่างไรก็ตาม จางตงหนานไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้เลย
ถึงแม้ในใจของมันนั้น จริงๆแล้วจะเชื่อไปกว่า 9 ส่วน ว่าจางจินอี้สมควรตกตายด้วยน้ำมือของฮ่วนเอ๋อผู้ต้องสงสัยว่าเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาในแดนลับสมบัติระดับ 3 ก็ตามที
แต่เพราะเหตุนี้ มันจึงรู้สึกว่าฮ่วนเอ๋อเติบโตก้าวหน้าได้รวดเร็วจนน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน!
อีก 100 ปี นางจะเติบโตไปถึงไหน?
เอาแค่ในตอนนี้แม้นางจะเป็นแค่ราชาอมตะ 10 ทิศ แต่หากวัดจากอัตราความก้าวหน้าของนางเมื่อร้อยปีก่อน น่ากลัวว่าฝีมือในปัจจุบันของนางคงไม่ใช่เล่นๆแน่!
หลังผ่านไปอีก 100 ปี อย่างน้อยๆก็ไม่อ่อนด้อยกว่ามันแน่นอน!
มันเป็นแค่อาวุโสตระกูลจางสาขาย่อยของเผ่าจิ้งจอกมายาคนหนึ่ง มันก็แค่ต้องการปกครองพื้นที่หนึ่งมู่สามเฟินของมันเท่านั้น หากฮ่วนเอ๋อยังไม่เติบโตก้าวหน้า มันอาจจะมีความคิดจัดการนางอยู่บ้าง
(หนึ่งมู่สามเฟินในที่นี้ สื่อถึง พื้นที่เล็กๆ,มันพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีแม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมาก)
ทว่าตอนนี้ฮ่วนเอ๋อเติบโตแล้ว มันที่เลือกได้ก็ย่อมเลือกที่จะเลี่ยงการสร้างปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าตัวมันจะรับไหวประเสริฐกว่า
แม้แต่ต้วนหลิงเทียนเอง ก็คิดไม่ถึงเลยว่าจางตงหนานจะฉลาดเลือกกว่าที่เขาคิด ไม่เพียงไม่ซัดทอดมาถึงคฤหาสน์เฉวียนโยว แต่ยังทำให้เรื่องราวการตายของจางจินอี้กลับกลายเป็นคลุมเครือ จับมือใครดมไม่ได้…
…
ณ อวี้หวงเทียน
การมาเยือนอวี้หวงเทียนครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนนไม่ได้พาฮ่วนเอ๋อไปยังดินแดนทั่วไปที่เขาเคยไปครั้งก่อนอย่างแดนผิงเทียน หากแต่พามาดินแดนสำคัญอย่าง แดนทักษินยุทธ์
แดนทักษินยุทธ์แห่งนี้ กับอีก 7 แดนสำคัญ จะถูกเรียกหาว่า 8 แดนขั้นสูงของอวี้หวงเทียน ซึ่งสถานะของ 8 แดนขั้นสูงของอวี้หวงเทียน ก็ไม่ต่างอะไรจาก 7 ภูมิภาคเบื้องบนของแดนสวรรค์ใต้เลย
ส่วนแดนผิงเทียนที่เขามาเยือนครั้งก่อนเพื่อผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น เป็นแค่ดินแดนทั่วๆไปในอวี้หวงเทียนเท่านั้น
“ฮ่วนเอ๋อ พวกเรามาปักหลักอยู่ที่เมืองนี้สักพัก…หลังจากข้าเข้าใจสถานการณ์ทั่วไปในระดับหนึ่งแล้ว ค่อยคิดว่าพวกเราจะทำอย่างไรต่อไป”
ใกล้ๆกับค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกมีเมืองที่เรียกว่า สวีหยาง อยู่ ต้วนหลิงเทียนก็ได้พาฮ่วนเอ๋อมาพักตั้งหลักที่นี่
ตอนที่ 3213
เมืองสวีหยางเป็นเมืองๆหนึ่งของ ‘แดนทักษินยุทธ์’ 1 ใน 8 ดินแดนขั้นสูงของอวี้หวงเทียน และอยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของสำนักอมตะก้วนชิง
‘สำนักอมตะก้วนชิง เป็นขุมกำลังระดับ 6 ซึ่งมีพลังอำนาจพอๆกับคฤหาสน์เฉวียนโยวของหลิงหลัวเทียน แต่ถ้าหากจะเทียบกันหมัดต่อหมัดแล้ว ยังนับว่าอ่อนด้อยกว่าคฤหาสน์เฉวียนโยว’
‘เพราะสำนักอมตะดังกล่าวเพียงมีเมืองใต้การปครองแค่ 2 เมืองรวมถึงเมืองสวีหยางแห่งนี้เท่านั้น…’
‘สมแล้วที่แดนทักษินยุทธ์เป็น 1 ใน 8 แดนขั้นสูงของอวี้หวงเทียน ขุมกำลังระดับ 6 แทบไม่อาจนับเป็นอะไรได้ แลดูอ่อนด้อยลงถนัดตา คล้ายกองกำลังหมู่บ้านไร้สำคัญ’
หลังจากมาถึงเมืองสวีหยางได้สองสามวัน ต้วนหลิงเทียนก็ไปตระเวนหาข้อมูลนูนนี่นั่นจนได้รับรู้อะไรเพิ่มเติมไม่น้อย
‘อวี้หวงเทียนยังมีรูปแบบคล้ายๆหลิงหลัวเทียนอยู่บ้าง…ดินแดนศูนย์กลางของหลิงหลัวเทียนเรียกว่าแดนหลิงหลัว และ 7 ภูมิภาคเบื้องบนอันเป็น 7 แดนที่สำคัญที่สุดของหลิงหลัวเทียนก็ประหนึ่งเป็นดาวล้อมเดือน ห้อมล้อมแดนหลิงหลัวเอาไว้ตรงกลาง’
‘จักรพรรดิสวรรค์ของหลิงหลัวเทียนก็อยู่ที่แดนหลิงหลัว แดนศูนย์กลางเช่นนี้มีขุมกำลังของจักรพรรดิสวรรค์รวมถึงขุมกำลังระดับ 1 ดำรงอยู่จำนวนมาก’
‘อวี้หวงเทียนแห่งนี้ก็ทำนองเดียวกัน มีดินแดนอวี้หวง เป็นจุดศูนย์กลางและมี 8 แดนขั้นสูง รวมถึงแดนทักษินยุทธ์ล้อมรอบเอาไว้ดั่งดาวล้อมเดือน’
ไม่กี่วันที่ผ่านมาต้วนหลิงเทียนไม่เพียงล่วงรู้ข้อมูลของเมืองสวีหยาง แต่ยังได้รู้ข้อมูลคร่าวๆของอวี้หวงเทียนรวมถึงแดนทักษินยุทธ์ด้วย
และกล่าวไป แดนทักษินยุทธ์แห่งนี้ จัดเป็นดินแดนที่แปลกประหลาดที่สุดในบรรดา 8 แดนขั้นสูงของอวี้หวงเทียนเลยก็ว่าได้
เพราะในบรรดา 8 แดนขั้นสูงนั้น นอกจากแดนทักษินยุทธ์แห่งนี้แล้ว อีก 7 แดนที่เหลือจะมีจักรพรรดิอมตะสมญานามเป็นจ้าวปกครองและกุมอำนาจทั้งหมดของดินแดนเอาไว้…ทว่าแดนทักษินยุทธ์แห่งนี้ กลับไร้จักรพรรดิอมตะสมญานาม!
กระทั่งในอดีต ครั้งหนึ่งเคยมีจักพรรดิอมตะสมญานามหมายจะรวมอำนาจของทั้งแดนทักษินยุทธ์ ตั้งตัวเป็นจ้าวครอบครองแดนทักษินยุทธ์เพียงผู้เดียว อนิจจาปณิธานแรงกล้ากลับตกม้าตายก่อนถึงฝั่งฝัน
นั่นเพราะในแดนทักษินยุทธ์แห่งนี้ 3 ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดนั้น ไม่ว่าขุมกำลังไหนต่างก็ทีเด็ด และมีพลังสามารถในการสังหารจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งสิ้น!
จักรพรรดิมอตะสมญานาม เว้นเสียแต่จะมีขุมกำลังส่วนตัวอันร้ายกาจติดตามมาช่วยลงหลักปักฐานในแดนทักษินยุทธ์แห่งนี้ หาไม่แล้วเกรงว่าคงไม่มีกำลังมากพอจะสยบปราบแดนทักษินยุทธ์และรวมอำนาจเป็นหนึ่งเดียว!
เช่นนั้นจึงกล่าวได้ว่าในบรรดาดินแดนขั้นสูงทั้ง 8 ของอวี้หวงเทียน แดนทักษินยุทธ์แห่งนี้แปลกประหลาดมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนกล่าวกันหนาหูอีกว่า…
ไม่ว่าจะขุมกำลังใดก็ตามในบรรดา 3 ขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนทักษินยุทธ์ หากวัดกันในแง่ขุมพลังรบโดยรวมแล้ว มันมากพอจะเทียบได้กับขุมพลังรบของขุมกำลังจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ปกครองแดนอื่นๆได้เลย! เพียงแค่ไร้จักรพรรดิอมตะสมญานามก็เท่านั้น!!
เช่นนั้นบัลลังก์อำนาจสูงสุดของแดนทักษินใต้แห่งนี้ จึงกล่าวได้คำเดียวว่า…
ยุ่งเหยิง!!
‘แดนทักษินยุทธ์ถูกขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุด 3 ขุมกำลังแบ่งกันปกครอง…ขุมกำลังแรกเป็นตระกูล ขุมกำลังที่สองเป็นนิกาย ส่วนขุมกำลังสุดท้ายเป็นเหล่าสัตว์อมตะที่สร้างพันธมิตรกัน’
‘ภายใต้ขอบเขตอำนาจพวกมันก็มีขุมกำลังระดับ 1 ที่อ่อนด้อยกว่าพวกมันอยู่ใต้สายบัญชาการ…’
หลังได้รับทราบสถานการณ์ของแดนทักษินยุทธ์แล้ว ต้วนหลิงเทียนอดเดาะลิ้นไม่ได้ เพราะนี่มันยังต่างอะไรกับ 3 ก๊กเล่า?
‘ในบรรดาขุมกำลังหลักทั้ง 3 นี่…พันธมิตรสัตว์อมตะตัดทิ้งไปเลย เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะไปเข้าร่วมกับพวกมันได้…เช่นนั้นก็เหลือให้พิจารณาแค่ขุมกำลังรูปแบบตระกูลกับนิกายเท่านั้น’
‘ในแง่ความเป็นอิสระให้เทียบระหว่างตระกูลกับนิกาย เข้าร่วมนิกายจะเป็นการดีกว่า…’
หลังจากมาถึงอวี้หวงเทียน ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีแก่ใจว่าหากคิดจะเติบโตก้าวหน้าขึ้นให้เร็วที่สุด ก็มีแต่ต้องยกระดับตัวเองด้วยการไปเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับสูงๆ ถึงจะมีโอกาสได้รับทรัพยากรในการบ่มเพาะมากขึ้น
หากยังมัวจมปลักอยู่ในแดนสวรรค์ใต้ เต็มที่ก็เข้าร่วมได้แค่ 10 ตระกูลใหญ่ 5 นิกายหลักเท่านั้น และในตอนนี้พวกมันก็ไม่เหลืออะไรที่ทำให้เขาสนใจอีกต่อไป เพราะสุดท้ายเมื่อจัดระดับแล้วพวกมันก็เป็นแค่ขุมกำลังระดับ 5 เท่านั้น
และในแดนทักษินยุทธ์ของอวี้หวงเทียนแห่งนี้ ขุมกำลังระดับ 1 กลับมีมากมายดั่งหมู่เมฆ เช่นนั้นต่อให้สุ่มเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับ 1 ใด ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับเขาทั้งนั้น
‘แต่ก็นะ ขุมกำลังระดับ 1 แค่พูดว่าจะเข้าร่วมก็สามารถเข้าร่วมได้ง่ายๆรึไง…’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบโอดครวญในใจอยู่บ้าง ‘ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มก่อน ดูว่ามีขุมกำลังระดับ 1 ไหนจะคัดเลือกคนเข้าร่วมเร็วๆนี้บ้าง หรือไม่ก็มีวิธีไหนทำให้เข้าร่วมขุมกำลังระดับ 1 ได้บ้าง’
หลังจากนั้น ในขณะที่ฮ่วนเอ๋อถ้าไม่หาทางทะลวงขอบเขตราชาอมตะไปยังจอมราชันอมตะก็ใช้ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด ด้านต้วนหลิงเทียนก็ออกไปตระเวนหาข้อมูลในเมืองเพียงลำพัง
ราวๆหนึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดเขาก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจมาข้อมูลหนึ่ง
‘ทุกๆพันปี แดนลับอัจฉริยะ ของแดนทักษินยุทธ์จะเปิดออก…ถึงตอนนั้นจะเปิดให้จอมราชันอมตะที่มีอายุต่ำกว่าพันปีเข้าไปแสวงหาโอกาสและแข่งขันชิงความเป็นเลิศ’
‘ในแดนลับอัจฉริยะมีสมบัติของบรรพชนยุคก่อน รวมถึงสถานที่ทดสอบจัดสร้างเอาไว้หลายแขนง ยังมีสมบัติและมรดกของยอดคนในอดีตของแดนทักษินยุทธ์ที่รอผู้มีวาสนามารับไปมากมาย อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ ไม่เว้นชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิก็มี ที่สำคัญยังมีคนเคยได้เครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับจักรพรรดิมาครองด้วย’
‘นอกจากนั้นยังมีผลไม้อมตะ โอสถอมตะที่ส่งเสริมการบ่มเพาะหลายอย่าง ที่ช่วยตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะได้’
‘ในนั้นนอกจากอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของแต่ละขุมกำลังของแดนทักษินยุทธ์จะเข้าไปแข่งขันชิงความเป็นเลิศแล้ว ยังเป็นสถานที่ให้ฉกฉวยโอกาสวาสนามากมาย…กระทั่งผู้ฝึกตนไร้สังกัดก็สามารถเข้าไปได้ และหากทำบททดสอบได้ดี หรือมีชื่อเสียงขึ้นมา ก็อาจจะเข้าตาขุมกำลังระดับแนวหน้าของแดนทักษินยุทธ์ มีโอกาสถูกทาบทาม…’
หลังจากที่ใช้เวลารวบรวมข้อมูลข่าวสารมาตลอดเดือน สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนเห็นว่าเข้าท่ามากที่สุดก็คือการเข้าสู่แดนลับอัจฉริยะที่จะเปิดออกทุกๆรอบหนึ่งพันปีนั่นเอง
และเท่าที่เขาพบเจอมา ก็นับว่าแดนลับอัจฉริยะจะให้ผลประโยชน์แก่เขาสูงสุด
หากสามารถผ่านบดทดสอบใดสักบทในนั้น และทำอันดับ 1 ได้ล่ะก็ ท่านจะไม่ถูกเมินแน่นอน กระทั่งยังจะได้รับการทาบทามอีกด้วย!
ท้ายที่สุดแล้วแดนลับอัจฉริยะนั่น ย้อนไปหลายล้านปีก่อน มันก็คือสนามแข่งของอัจฉริยะแต่ละขุมกำลัง มาตอนนี้แม้โครงสร้าอำนาจของแดนทักษินยุทธ์จะเปลี่ยนไป แต่ถ้าใครทำผลงานได้ดีในแดนลับอัจฉริยะ ก็เป็นดั่งเครื่องบ่งชี้ว่ามีศักยภาพสูงมาก ไม่ว่าขุมกำลังใดก็อยากรับตัวไปเพาะสร้าง
‘ถึงจะมีวิธีอื่นที่ค่อนข้างมั่นคงและปลอดภัยกว่า ทว่าหากเลือกวิธีแบบนั้น ก็ไม่พ้นเป็นได้แค่ศิษย์ธรรมดาของขุมกำลังนั้นๆ หากจะให้คนเห็นคุณค่าเช่นนั้นก็จำต้องทำตัวเองให้โดดเด่น’
‘แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเลือกหนทางไหนก็ย่อมมีอุปสรรคทั้งสิ้น…ในเมื่อใต้หล้าไม่ว่าที่ใดล้วนมีคนอิจฉาริษยา เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องกลัวคนอิจฉาริษยา แค่ระวังปัญหาให้มากก็พอ’
‘ถ้างั้นตอนนี้เห็นทีรอเข้าร่วมแดนลับอัจฉริยะและหาทางสร้างผลงานในนั้นให้ดี น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด…และจากข้อมูลที่ได้มา ก็เหลือเวลาอีก 60 ปีเศษก่อนที่แดนลับอัจฉริยะที่ว่าจะเปิดออก’
‘ในเวลา 60 ปี ฮ่วนเอ๋อสมควรทะลวงถึงจอมราชันอมตะได้แน่นอน…แต่ข้าเกรงว่าเรื่องนี้บีบหัวใจไม่น้อย’
ในเวลาเพียงแค่ 60 ปีคิดจะทะลวงจากขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักไปยังจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด ในสายตาผู้อื่นแล้วคงไม่ต่างอะไรจาก ฝันละเมอของตัวโง่งม
เพราะต่อให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของขุมกำลังระดับหนึ่งในแดนทักษินยุทธ์ ถ้าไม่มีทรัพยากรสำคัญ ก็ต้องใช้เวลาต่ำๆ 100 ปีหากคิดจะทะลวงจากราชาอมตะ 10 ทิศไปยังจอมราชันอมตะ
ลำพังแค่แต่ละขั้นของด่านพลังสูงๆก็มีความแตกต่างอันยากข้ามผ่านแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงขอบเขตที่เป็นการพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่เลย
ตอนนี้ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะอยู่ห่างจากราชาอมตะ 10 ทิศแค่ก้าวเดียว และอาจจะสามารถทะลวงผ่านไปถึงราชาอมตะ 10 ทิศได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตามเขามีเวลาเหลือแค่ 60 ปีเท่านั้น
ถึงแม้เขาจะมีความสามารถและไพ่ตายมากมาย ที่ช่วยให้เขายกระดับพลังต่อสู้จนสามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเทียบชนชั้นสุดยอดอัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างถวายประเคนมาไม่ขาด
‘พวกอัจฉริยะของขุมกำลังระดับแนวหน้าทั้งหลาย ถึงแม้พวกมันจะไม่มีกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพเหมือนข้า แต่พวกมันก็คงได้รับผลไม้อมตะและโอสถอมตะมาสนับสนุนการบ่มเพาะไม่เคยขาด แถมยังมีทรัพยากรอีกหลายอย่างรวมถึงสถานที่เฉพาะที่ช่วยให้พวกมันบ่มเพาะพลังรวดเร็วไม่ด้อยไปกว่าพฤกษาเทพกำเนิดชีพ…’
‘ในเรื่องความเร็วของการบ่มเพาะ จะให้ไปแข่งกับพวกมันที่มีทุกสิ่งทุกอย่างมาประเคนให้คงไม่ไหวจะสู้ แต่ในเรื่องตระหนักรู้ในกฏ พวกมันไม่มีทางเทียบข้ากับฮ่วนเอ๋อได้แน่นอน…’
ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด นับว่าเป็นตัวช่วยอันยิ่งใหญ่ที่สุดของต้วนหลิงเทียน
ต่อให้อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของขุมกำลังระดับแนวหน้าของแดนทักษินยุทธ์จะมีโคตรบิดามารดาทรัพยากรบ่มเพาะมากแค่ไหน พวกมันก็ไม่อาจเทียบความเร็วในการตระหนักรู้กฏของเขาได้ แม้พวกมันจะใช้ห้องค่ายกลที่ส่งเสริมการตระหนักรู้กฏก็ตาม
‘เหลือเวลาแค่ 60 ปี…ข้าได้แต่กำหมัดกัดฟันสู้ตายแล้ว…’
ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจอย่างทอดถอน
เนื่องเพราะเหลือเวลาอีกแค่ 60 ปี ต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดจะรั้งอยู่ในเมืองสวีหยางแห่งนี้นานนัก เช่นนั้นหลังจากฮ่วนเอ๋อตื่นจากการบ่มเพาะ เขาก็ชวนนางออกเดินทางทันที
ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อกลับมาสวมงอบผ้าและมีผ้าปิดปากอีกครั้ง และสิ่งนี้นางก็ดีว่าต้องใส่ แม้จะไม่อยากใส่แค่ไหนก็ตาม
ที่นี่คือแดนทักษินยุทธ์แม้พลังฝีมือของทั้งคู่จะดี แต่ก็เทียบได้กับจอมราชันอมตะทั่วๆไปเท่านั้น
ในแดนทักษินยุทธ์ที่เดินไปไหนก็เจอจมราชันอมตะแบบนี้ หากไม่มีฐานะภูมิหลังหรือพลังฝีมือมากพอ ขอท่านจงอย่าห้าวเสียประเสริฐกว่า
“พี่หลิงเทียน หรือข้าเอาแก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดให้ท่านอีก 6 หยดดีไหม?”
หลังจากที่ฮ่วนเอ๋อได้รับรู้แผนการของต้วนหลิงเทียน นางก็กล่าวเสนอกับต้วนหลิงเทียนออกมาทันที
“ไม่ได้!”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว “แก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดหยดที่ 10 ของเจ้าก่อนหน้านี้ก็แทบช่วยอะไรข้าไม่ได้แล้ว…ตอนนี้ถึงให้ข้าจะใช้อีก 6 หยด อย่างดีก็แค่ช่วยให้ข้าทะลวงถึงราชาอมตะ 10 ทิศและก้าวหน้าอีกเล็กน้อยเท่านั้น”
ถึงแม้แก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดของฮ่วนเอ๋อจะดี แต่ยิ่งใช้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพน้อยลงเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้แล้วด้วยว่า
ทุกคราที่รีดเค้นแก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดออกมา มันจะสร้างความเจ็บปวดให้ฮ่วนเอ๋อเป็นอย่างมาก ความเจ็บที่ว่าไม่ต่างอะไรจากถูกกระชากเล็บออกไปทั้ง 10 นิ้วพร้อมๆกัน!
หากเขาล่วงรู้เรื่องนี้แต่แรก และไม่ใช่เพราะฮ่วนเอ๋อลอบสกัดแก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดออกไปแล้วโดยที่ไม่ได้บอกเขาล่วงหน้า ไม่งั้นเขาคงห้ามไม่ให้ฮ่วนเอ๋อทำอะไรแบบนี้แน่นอน
กว่าเขาจะรู้ฮ่วนเอ๋อก็ได้สกัดแก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดมาให้เขา 10 หยดเรียบร้อยแล้ว เรียกว่าจะกลืนก็ไม่ได้ จะคายก็ไม่ออก
“ฮ่วนเอ๋อวันหลังอย่าได้พูดถึงเรื่องการสกัดแก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดอีกรู้หรือไม่…และพี่หลิงเทียนขอสั่งห้ามไม่ให้เจ้าสกัดแก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดออกมาเพื่อพี่หลิงเทียนอีกเด็ดขาด! ไม่งั้นต่อไปพี่หลิงเทียนจะไม่สนใจเจ้าแล้ว!!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวกำชับกับฮ่วนเอ๋อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
อันที่จริงเขาคิดจะพูดเรื่องนี้กับฮ่วนเอ๋อตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่วันนั้นฮ่วนเอ๋อได้สกัดเลือดเรียบร้อยและยังตกอยู่ในสภาพอ่อนแอ เขาจึงไม่คิดจะพูดออกไป
คราวนี้ฮ่วนเอ๋อริเริ่มมีความคิดดังกล่าวอีกครั้ง เขาจึงชิงห้ามเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
แม้จะคำขู่ของเขาอาจจะแรงสำหรับฮ่วนเอ๋อไปบ้าง แต่เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้ ไม่งั้นฮ่วนเอ๋อไม่วายต้องทำร้ายตัวเองอีกแน่
“ข้า…ข้าเข้าใจแล้วพี่หลิงเทียน”
ได้ยินคำขู่ของต้วนหลิงเทียนฮ่วนเอ๋อก็หน้าเสียทันที สองตายังเริ่มเอ่อคลอจนเหมือนมีหมอกสลัวปกกคลุม แลดูน่าเวทนาสงสารนัก ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะใจอ่อนเมื่อได้เห็นนางแลดูจะร้องไห้แบบนี้
อย่างไรก็ตาม เขาได้แต่ต้องใจแข็งไว้ เรื่องนี้อ่อนข้อไม่ได้…ไม่งั้นนางได้ลอบไปสกัดเลือดมาให้เขาอีกแน่!
ต้วนหลิงเทียนพาฮ่วนเอ๋อไปเดินเล่นรอบเมืองเป็นการตามใจนางก่อน จากนั้นก็เดินทางออกจากเมืองไป
หลังเดินทางไปได้สักพัก เขาก็ตัดสินใจจะเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับ 6 แห่งหนึ่งเป็นการชั่วคราว
ขุมกำลังระดับ 6 ที่ว่า มีจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น พลังฝีมือยังถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ความเข้าใจในกฏยังสู้รองจ้าวหอคุมกฏของนิกายวิถีวายุอัสนีอย่างจวินฉงซานที่เขาฆ่าตายไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงไม่ได้
ต้วนหลิงเทียนเลือกจะเข้าไปท้าทายทั้งคู่โดยตรง จากนั้นก็ปล่อยให้ฮ่วนเอ๋อออกไปทุบตีสยบพวกมัน…ซึ่งผลก็คือจัดการได้อย่างราบคาบ!
ทำให้จอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดทั้ง 2 บังเกิดความกระเหี้ยนกระหือรือ อยากให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้ามาเป็นอาวุโสทรงเกียรติจากใจ
และขุมกำลังระดับ 6 แห่งนี้ก็เป็นขุมกำลังประเภทนิกาย เรียกว่า นิกายอมตะเสวี่ยหยา
เหตุผลที่ไฉนเลือกนิกายนี้ เพราะฮ่วนเอ๋อรู้สึกชอบชื่อนิกาย…
และสถานที่ตั้งนิกายเสวี่ยหยาก็อยู่ในส่วนลึกของทุ่งน้ำแข็งแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของแดนทักษินยุทธ์
ที่นี่มิหิมะขาวโพลนตลอดทั้งปี โลกทั้งใบเสมือนถูกปกคลุมไปด้วยม่านเงินขาวกระจ่าง มีฉากหลังเป็นปุยขาวเย็นหล่นฟ้าแผ่วๆ บังเกิดเป็นฉากอันงดงามน่าดูไม่เบา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น