War sovereign Soaring The Heavens 3120-3129
ตอนที่ 3120
ถึงแม้จะเป็น 1 ใน 10 ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวดุจเดียวกัน แต่ในแง่ลำดับอาวุโสแล้วปี้ไห่หมิงเฟิงนั้นถือว่าต่ำกว่าฉีเทียนหมิง เพราะฉีเทียนหมิงนั้นอยู่ในรุ่นเดียวกับบรรพบุรุษของนิกายอมตะเหอฮวน
เช่นนั้นยามพบเจอฉีเทียนหมิง ปี้ไห่หมิงเฟิงจึงเรียกหาด้วยคารวะว่า อาจารย์ลุง
นอกจากนั้นพลังฝีมือของปี้ไห่หมิงเฟิงเองก็ด้อยกว่าฉีเทียนหมิงที่รั้งอยู่ใน 3 อันดับแรกของ 10 ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยว ทำให้มันเองก็เต็มใจเรียกหาฉีเทียนหมิงว่าอาจารย์ลุง
“นี่เจ้าจะกลับแล้วรึ…”
ฉีเทียนหมิงพยักหน้าให้ปี้ไห่หมิงเฟิงเล็กน้อย ค่อยหันไปพูดกับต้วนหลิงเทียน “ต้วนหลิงเทียน นี่คือ 1 ใน 3 ประมุขนิกายอมตะเหอฮวน ทั้งยังเป็น 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา…และยังเป็นผู้ที่มีโอกาสบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะมากที่สุดในบรรดา 10 ผู้ตรวจการ”
“หากข้าจำไม่ผิดตอนแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออกครั้งล่าสุด มันก็เป็นตัวแทนของนิกายอมตะเหอฮวน…เจ้าเองก็คงเคยพบเจอแล้วกระมัง?”
ฉีเทียนหมิงเอ่ยถาม
“ใช่ผู้เฒ่าฉี…ข้าเคยพบเจอผู้ตรวจการปี้ไห่ตอนไปแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ…”
ต้วนหลิงเทียนขานรับ จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้ปี้ไห่หมิงเฟิงด้วยรอยยิ้มเป็นการทักทาย
“ข้าก็ว่าอยู่แล้วเชียวว่าเจ้าหน้าตาคุ้นๆพิกล…ไม่ใช่ว่าเจ้าคือ ต้วนหลิงเทียน ที่ได้อันดับที่ 2 ของแดนสวรรค์ใต้ราณระดับต่ำหรอกรึ?”
ปี้ไห่หมิงเฟิงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ามันยังคงจำต้วนหลิงเทียนได้
“ข้าเอง”
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าตอบยืนยัน
“ในเมื่อพวกเจ้าเคยเจอกันแล้วข้าคงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก…ผู้ตรวจการปี้ไห่ ข้าต้องพาต้วนหลิงเทียนไปทำธุระก่อน ไว้ว่างๆเจ้าแวะกลับมานี่เมื่อไหร่ พวกเราค่อยไปนั่งดื่มกัน”
ฉีเทียนหมิงเอ่ยลาปี้ไห่หมิงเฟิง ก่อนที่จะพาต้วนหลิงเทียนจากไป
ถึงแม้ปี้ไห่หมิงเฟิงจะเป็นรุ่นน้องและพลังฝีมือยังเทียบมันไม่ได้ อย่างไรก็ตามอายุอีกฝ่ายน้อยกว่ามันมาก พรสวรรค์ทั้งเชาว์ปัญญาก็สูงกว่ามัน จึงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นที่อีกฝ่ายจะก้าวข้ามมัน เช่นนั้นฉีเทียนหมิงเองก็ไม่คิดจะใช้ความอาวุโสกดข่มปี้ไห่หมิงเฟิง และปฏิบัติต่อปี้ไห่หมิงเฟิงอย่างเท่าเทียม
“นี่มันยังไงกันล่ะเนี่ย?”
ปี้ไห่หมิงเฟิงมองแผ่นหลังฉีเทียนหมิงกับต้วนหลิงเทียนที่ห่างออกไปด้วยความงุนงง คิ้วขดย่นเป็นปมเบาๆด้วยความสงสัย “ไฉนผู้ตรวจการฉีถึงพาต้วนหลิงเทียนมาคฤหาสน์เฉวียนโยวเล่า…คงไม่ใช่คิดรับต้วนหลิงเทียนมาเป็นศิษย์ส่วนตัวหรอกนะ?”
“แต่เรื่องนี้มันผิดกฏมิใช่หรือ?”
ถึงแม้คฤหาสน์เฉวียนโยวจะไม่ได้ห้ามไม่ให้ผู้ตรวจการรับศิษย์ แต่หากจะรับก็จำต้องให้ศิษย์คนนั้นผ่านเกณฑ์เข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวด้วยตัวเองเสียก่อน ไม่ใช่นึกจะพามาเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็พามาได้ตามใจชอบ
คฤหาสน์เฉวียนโยวเปิดรับศิษย์จาก 3 นิกาย 2 ตระกูลเสมอ แต่หากผู้ตรวจการหรือใครคิดจะเฟ้นหาอัจฉริยะมาเป็นศิษย์ ก็ต้องให้ศิษย์ผู้นั้นผ่านการประเมินที่จะจัดขึ้นเป็นประจำตามกำหนดเสียก่อน
ตราบใดที่ผ่านบททดสอบของคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว ถึงจะสามารถเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวได้
“ตอนนี้ก็ยังห่างจากช่วงเวลาประเมินรับศิษย์ใหม่หลายปีไม่ใช่รึไง? แล้วผู้ตรวจการฉีพาต้วนหลิงเทียนมาทำอะไรที่นี่?”
หลังขบคิดอยู่นานปี้ไห่หมิงเฟิงก็คิดไม่ออกจริงๆ สุดท้ายมันก็ส่ายหัวไปมาทั้งเลิกคิด ค่อยเหินร่างไปทำงานของตัวเองต่อ
มันไม่ได้รู้เลย…หรือให้กล่าวว่ากระทั่งหลับก็ยังไม่อาจฝันถึง
ว่าฉีเทียนหมิงกำลังพาต้วนหลิงเทียนไปยัง วังศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งภายในคฤหาสน์เฉวียนโยว และยังเป็นวังศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนแทบจะลืมเลือนกันไปแล้วอย่าง วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว
ชนรุ่นหลังของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น มีไม่กี่คนแล้ว ที่ล่วงรู้ว่าในคฤหาสน์เฉวียนโยว มีวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยดำรงอยู่
และอัจฉริยะที่โดดเด่นใน 30,000 ปีหลังมานี้ ก็ไม่มีใครผ่านเกณฑ์เป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยแม้แต่คนเดียว ทำให้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
เรียกว่า สำหรับชนรุ่นหลังของคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย เป็นดั่งวังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกหลงลืมไป
กระทั่งชนชั้นอาวุโสเองก็ไม่ใช่ว่าจะรู้จักวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยกันทุกคน เพราะหลายคนนั้นได้มาเข้าร่วมวังหลังเกิดเรื่องหลายปี กอปรทั้งผู้ที่รู้ก็ไม่เอ่ยเรื่องที่เป็นดั่งแผลใจออกมา ทำให้พวกมันก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเลย…
ถิ่นที่อยู่ของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น มีหมู่เกาะลอยล่องกลางฟ้ามากมาย ยิ่งวงนอกก็ยิ่งมีจำนวนเกาะมากมายมหาศาล ห้อมล้อมเกาะด้านในไว้ดั่งดาวล้อมเดือน
และถิ่นที่อยู่ของคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็ได้จัดแบ่งเขตที่อยู่อาศัยออกเป็น 3 เขต
เขตในสุด หรือที่อยู่ใจกลางจะมีเกาะอยู่ด้วยกัน 3 เกาะ
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ภายใต้การนำพาของฉีเทียนหมิง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ถูกพามาถึง 1 ใน 3 เกาะชั้นในสุดในจุดศูนย์กลาง และนับเป็นเกาะแรกสุดที่ต้วนหลิงเทียนได้มาเหยียบหลังจากมาถึงคฤาหสน์เฉวียนโยว
เดิมทีมองจากกภายนอก เขาก็เห็นเพียงบนเกาะนั้นแลดูสงบร่มรื่น เต็มไปด้วยกลิ่นอายและความงดงามของธรรมชาติ แต่ก็ยากจะมองเห็นเรื่องราวใด้ชัด เพราะเมฆหมอกปกคลุมหนาตา
เป็นธรรมดาว่าหากจะรู้สภาพการณ์อาศัยสำนึกเทวะแผ่ไปตรวจสอบก็ไม่ยากเย็น แต่เขาจะทำได้เหรอ?
คนของคฤหาสน์เฉวียนโยว หรือจะใจกว้างยินยอมให้ใครก็ไม่รู้แผ่สำนึกเทวะเข้ามาตรวจสอบได้ตามอำเภอใจ?
เรียกว่าขอเพียงสำนึกเทวะของเขาแผ่ไปถึงรัศมีตรวจจับ ไม่พ้นต้องเจอเหล่าศิษย์อาวุโสหน่วยลาดตระเวนออกมาต้อนรับพร้อมปรับทัศนคติเขาแน่นอน!
หลังเหินร่างติดตามฉีเทียนหมิงผ่านเมฆหมอกจนเข้าสู่เขตเกาะลอย 1 ใน 3 ของวงใน เขาก็แลเห็นสิ่งปลูกสร้างที่งดงามปานพระราชวังปลูกสร้างเอาไว้ไม่กี่หลัง แม้วังจะไม่ได้แลดูใหญ่โตอะไรมากมาย หากแต่ให้ความรู้สึกเสมือนอสูรกายบรรพกาลแสนดุร้ายที่กำลังหลับไหลอยู่ พาลให้สัญชาตญาณเขาร้องเตือนถึงอันตรายทันที!
“ผู้เฒ่าฉี…วังเหล่านี้ไอ้สวยมันก็สวยดีแถมแลดูหรูหรามีระดับ มองแว่บแรกให้ความรู้สึกโอ่อ่าไม่เบา แต่ไฉนมันกลับให้ความรู้สึกอันตรายนักเล่า? ข้าคงไม่ได้คิดไปเองหรอกนะ?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหันไปถามฉีเทียนหมิงด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่เจ้าคิดไปเองหรอก…เจ้ารู้สึกแบบนี้ยังไม่แปลกด้วยซ้ำ และอย่าว่าแต่เจ้าเลย กระทั่งตัวข้าเองก็รู้สึกอันตรายไม่ต่างกัน”
ฉีเทียนหมิงส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “วังที่เจ้าเห็นเหล่านั้น มีค่ายกลที่จัดตั้งมาตั้งแต่สมัยโบราณ เรียกว่าเป็นค่ายกลที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ยุคแรกๆของคฤหาสน์เฉวียนโยว และไม่เพียงค่ายกลป้องกัน มันยังเต็มไปด้วยค่ายกลสังหารอันน่ากลัว กระทั่งให้เป็นจอมราชันอมตะ แต่หากล้วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตสังหารยังสิบตายไร้ทางรอด!”
“กล่าวได้ว่าหากข้าเผลอล่วงล้ำเข้าไปโดไม่ได้รับอนุญาติ ข้าก็คงต้องตกตายเป็นผีเฝ้าค่ายกลไปชั่วกาล…”
กล่าวถึงท้ายประโยค เสียงของฉีเทียนหมิงยังเผยความกลัวไม่น้อย
“ร้ายแรงถึงขนาดนั้นเชียว?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ “เนื่องจากค่ากลสังหารเหล่านี้อันตรายมาก…แล้วใครเป็นเจ้าของวังเหล่านั้นหรือ?”
“แต่ละวังที่เจ้าเห็น ล้วนมีเจ้าวังคอยพิทักษ์ปกปักษ์อยู่”
ฉีเทียนหมิงกล่าว “แต่วังที่มีค่ายกลทรงพลังเช่นนั้นจัดตั้งไว้ มองทั่วคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้วก็มีเพียงแค่ 10 วังเท่านั้น…บนเบื้องหน้าที่เจ้าเห็นมี 4 วัง…จากนั้นอีก 2 เกาะก็มีอีกเกาะละ 3 วัง”
“ที่ไฉนเกาะนี้จึงมีวังมากกว่าเกาะอื่นๆ เพราะอีกวังที่เพิ่มมาก็คือ วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย…สำหรับทั้ง 10 วังที่มีค่ายกลอันตรายจัดตั้งปกป้องเอาไว้ คฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกเราเรียกว่า 10 วังศักดิ์สิทธิ์…แต่เป็นธรรมดาว่าผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าคฤหาสน์เฉวียนโยวเรามีแค่ 9 วังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยได้ถูกหลงลืมไปแล้ว”
“เหตุผลเพราะวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยมีค่ายกลอำพรางปกคลุมเอาไว้ ทำให้ตัวตนต่ำกว่าขอบเขตจอมราชันอมตะหากไม่ล่วงรู้แต่แรก ก็ไม่อาจหามันพบเจอ…เจ้าเองก็คงสงสัยตั้งแต่ตอนที่ข้าบอกกว่าเกาะแห่งนี้มี 4 วังแต่เจ้าเห็นได้แค่ 3 วังแล้วกระมัง”
กล่าวถึงจุดนี้ ฉีเทียนหมิงก็หันไปเอ่ยถามต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนที่มองเห็นเพียงแค่ 3 วังบนเกาะจริงๆ ก็พยักหน้า “ใช่แล้วผู้เฒ่าฉี”
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย”
จากนั้นฉีเทียนหมิงก็เลือกจะใช้พลังปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียน และหอบหิ้วเข้าไปในเกาะเบื้องหน้า
“ผู้เฒ่าฉี เท่าที่ข้ารู้มาในคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น ผู้นำคฤหาสน์จะมีสถานะสูงสุด รองลงมาก็จะเป็นชนชั้นรองผู้นำ…และลำดับถัดมาก็คือ 10 ผู้ตรวจการใช่หรือไม่…เช่นนั้นเจ้าวังศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 10 แม้จะควบคุมค่ายยกลสังหารอันทรงพลัง แต่พลังฝีมือส่วนตัว สมควรเทียบพวกท่านไม่ได้ใช่หรือไม่?”
ขณะเดินทางฝ่าม่านหมอก ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
“หากเจ้าคิดเช่นนั้นก็นับว่าผิดแล้ว…จริงอยู่ที่ผู้นำคฤหาสน์มีสถานะสูงสุด ทว่าแม้รองผู้นำจะมีสถานะเหนือกว่า 10 ผู้พิทักษ์เช่นข้า แต่พลังฝีมือของรองผู้นำก็พอๆกับพวกเรา 10 ผู้พิทักษ์เท่านั้น ที่ไฉนได้ดำรงตำแหน่งรองผู้นำคฤหาสน์ ล้วนเป็นเพราะพวกมันเป็นทายาทสายตรงของคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้น”
ฉีเทียนหมิงส่ายหัวไปมา “หากแต่เจ้าวังศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 10 ของคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา…ในบรรดาเจ้าวังที่พลังอ่อนด้อยที่สุดก็ยังบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด…แล้วเจ้ายังคิดว่าพลังของชนชั้นจ้าววังอ่อนด้อยกว่าพวกข้าอยู่หรือไม่เล่า?”
แทบจะทันทีที่ฉีเทียนหมิงกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็อดสูดอากาศเข้าลึกๆไม่ได้!
ชนชั้นเจ้าวังศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 10 ผู้ที่อ่อนด้อยที่สุดก็คือจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด?
“แน่นอนว่าถึงแม้เจ้าวังทั้ง 10 จักเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าของคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทัดเทียมกับผู้นำคฤหาสน์ได้ในแง่พลังฝีมือ…และจากข่าวลือ ผู้ที่ทรงพลังเหนือผู้นำคฤหาสน์นั้นมีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น”
กล่าวถึงจุดนี้ ฉีเทียนหมิงกก็หันไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนยด้วยสายตาล้ำลึกพลางถาม “เจ้าลองเดาดูเถอะว่าเป็นผู้ใด”
“คงไม่ใช่…เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยหรอกนะ?”
ฉีเทียนหมิงบอกให้ต้วนหลิงเทียนเดา ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาไปอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก ยังไม่สนด้วยว่าจะถูกหรือผิด
“มิผิด! เป็นเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย”
ฉีเทียนหมิงพยักหน้า “เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย ตามคำร่ำลือนั้น ท่านเป็นตัวตนที่ดำรงอยู่ในคฤหาสน์เฉวียนโยวมานานกว่าใคร…ไม่เคยมีผู้ใดเห็นเจ้าวังคนนี้ลงมือมาก่อน แต่อย่างไรก็ตาม กระทั่งผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเรายังต้องปฏิบัติต่อท่านด้วยความเคารพ ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย”
“มีคนเคยถามผู้นำคฤหาสน์คราหนึ่ง ว่าหากประมือกับเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยจักสามารถเอาชนะได้หรือไม่…เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านผู้นำคฤหาสน์เอ่ยตอบว่าอันใด?”
“ท่านผู้นำเอ่ยตอบว่า…ท่านไม่มีแม้แต่ความกล้าจักลงมือต่อเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย และต่อให้เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคิดจะฆ่าท่าน ตัวท่านก็จักรอรับความตายโดยสดุดี!”
พอกล่าวถึงจุดนี้ สองตาฉีเทียนหมิงก็เต็มไปด้วยความเคารพ “ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เจ้าวังผู้พิทักกษ์คฤหาสน์น้อยจะไม่เคยปรากกฏตัวต่อหน้าผู้คน แต่สำหรับพวกเราที่ล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของท่าน ก็ปฏิบัติต่อท่านดั่งเทพเจ้า ไม่กล้าไม่เคารพ ทั้งยังยำเกรงถึงที่สุด”
“หืม? ผู้เฒ่าฉี หรือว่าท่านไม่เคยเจอเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยมาก่อน?”
ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟัง ก็จับใจความได้บางอย่างจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจจนต้องถามออกไป
“ไม่เคย”
ฉีเทียนหมิงคลี่ยิ้มแห้งๆ “อย่าว่าแต่ข้าเลย กระทั่งผู้ตรวจการอีก 9 คนที่เหลือ และแม้แต่รองผู้นำคฤหาสน์อีก 2 คน ก็ไม่เคยเห็นเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยด้วยซ้ำ…อันที่จริงในคฤหาสน์เฉวียนโยวแห่งนี้ ข้าเกรงว่านอกจากผู้นำคฤหาสน์ เจ้าวังศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออีก 9 คน กับรองผู้นำคฤหาสน์อีกคน ก็คงไม่มีผู้ใดเคยพบเจอเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยอีกแล้ว”
ตอนที่ 3121
กระทั่งรองผู้นำ 2 คน รวมถึง 10 ผู้ตรวจการที่นับว่ามีสถานะสูงส่งในคฤหาสน์เฉวียนโยวแห่งนี้ ยังไม่เคยพบเจอเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย?
หลังได้ยินคำพูดดังกล่าวของฉีเทียนหมิง ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมากับความลึกลับของเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยที่ว่า
ราว 1 เค่อต่อมา หลังฉีเทียนหมิงหอบหิ้วเขาเหินร่างวนไปวนมาในม่านหมอก ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ถูกพามาถึงหุบเขาอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง บรรยากาศภายในหุบเขาสงบรมรื่น เต็มไปด้วยบุปผานานาพรรณแมกไม้เขียวขจี
จากนั้นฉีเทียนหมิงก็พาต้วนหลิงเทียนไปถึงน้ำตกแห่งหนึ่งในหุบเขา และไปหยุดยืนบนศิลาก้อนใหญ่กลางน้ำ เบื้องหน้าม่านน้ำตก
“ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยว ฉีเทียนหมิง พาคนที่จักเข้ารับการทดสอบตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย มาคารวะท่านเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย”
ฉีเทียนหมิงที่ยืนตัวตรงดั่งหอกบนศิลาใหญ่กลางน้ำไม่ทันไร ก็ประสานมือโค้งคารวะอย่างนอบน้อม กล่าวส่งเสียงไปยังม่านน้ำตกเบื้องหน้า เสียงอันผสานพลังพุ่งผ่านเข้าไปยังม่านน้ำตกโดยไร้สิ่งใดกีดขวาง
อย่างไรก็ตามหลังกล่าวไปสักพักแล้ว แต่ก็ไม่มีสิ่งใดตอบสนองกลับมา
ต้วนหลิงเทียนที่หันรีหันขวางก็อดเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยไม่ได้
วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย อยู่หลังม่านน้ำตกนี่จริงๆหรือ?
หากเป็นเช่นนั้น ม่านน้ำตกเบื้องหน้าก็สมควรเป็นภาพมายาที่เกิดจากค่ายกลอย่างที่ไม่ต้องสงสัยเลย
“หรือจะไม่มีคนอยู่ผู้เฒ่าฉี?”
หลังผ่านไปหลายสิบลมหายใจ แต่ยังไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากหลังม่านน้ำตก ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปกระซิบถามฉีเทียนหมิงเบาๆ
อย่างไรก็ตาม ฉีเทียนหมิงยังคงนิ่งไม่พูดจา
สองตาเพียงมองจ้องม่านน้ำตกเบื้องหน้าเขม็ง จากนั้นก็กล่าวออกด้วยน้ำเสียงนอบน้อมอีกครั้ง “ท่านเจ้าวัง ชายหนุ่มข้างกายข้าคนนี้ ข้าพามาเพื่อเข้ารับการทดสอบเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนใหม่…ข้ารู้สึกว่าเขามีความสามารถมากพอจักขึ้นดำรงตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเป็นคนแรกในรอบ 30,000 ปี!”
หลังฉีเทียนหมิงเอ่ยจบคำได้ สิบกว่าลมหายใจแล้วยังไร้เสียงตอบกลับ ฉีเทียนหมิงก็เลือกที่จะเอ่ยต่อว่า
“ชายหนุ่มผู้นี้เรียกว่า ต้วนหลิงเทียน เป็นอัจฉริยะที่ซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่แนะนำ…ถึงแม้ชายหนุ่มผู้นี้จะยังมีอายุไม่ถึง 100 ปี หากแต่สามารถบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว อีกทั้งยังสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้ถึง 6 ประการ!”
แทบจะทันทีที่ฉีเทียนหมิงเอ่ยวาจาประโยคนี้ดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าม่านน้ำตกเบื้องหน้าบังเกิดความปั่นป่วนไปเล็กน้อยอย่างยากจะมองเห็น หากแต่ก็ไม่พ้นสายตาต้วนหลิงเทียน
ขณะเดียวกันแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรเข้ามาใกล้ แต่เขารู้สึกเสมือนตัวเองกำลังเปลือเปล่า ถูกผู้อื่นมองเห็นทะลุปรุโปร่ง
ความรู้สึกนี้ บ่งบอกให้เขาทราบถึงเรื่องหนึ่ง
หลังม่านน้ำตกเบื้องหน้า มียอดฝีมือกำลังใช้สำนึกเทวะตรวจสอบเขาอยู่ เพียงแค่สำนึกเทวะของอีกฝ่ายทรงพลังเกินไปเขาจึงไม่อาจตรวจพบได้
“มันอยู่ เจ้าไปได้”
หลังต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนถูกมองทะลุจนไม่เหลือความลับใดๆที่สามารถปกปิดเอาไว้ได้ เสียงทุ้มต่ำแหบๆหนึ่งก็ดังออกมาจากหลังม่านน้ำตก
เสียงนี้พอดังออกมาก็ปานจะกึกก้องไปทั่วสารทิศ กังวาลอยู่ในหูต้วนหลิงเทียนกับฉีเทียนหมิง
แม้แต่ตัวฉีเทียนหมิงเอง พอได้ยินเสียงดังกล่าว มันก็รู้สึกเสมือนวิญญาณตัวเองได้ถูกชำระล้าง ราวกับสุรเสียงนี้ทรงพลังอย่างหาที่สุดไม่ได้ ทั่วร่างถึงกับเริ่มสั่นเทาขึ้นมา
กลับกัน ด้านต้วนหลิงเทียนกลับไม่ได้ออกอาการอะไรมากมายเหมือนฉีเทียนหมิง
เห็นได้ชัดว่ายิ่งด่านพลังฝึกปรือสูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงความลึกล้ำมากขึ้นเท่านั้น
“ท่านเจ้าวัง?”
พอได้ยินเสียงดังกล่าว สองงตาฉีเทียนหมิงก็ส่องแสงจ้าขึ้นมาทันที เมื่อก่อนมันไม่เพียงแต่จะไม่เคยเห็นจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเท่านั้น กระทั่งเสียงยังไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่นนั้นจึงไม่คุ้นเสียงของเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเลย
ตอนนี้พอมันได้ยินเสียงดังกล่าว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย มันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมา ผ่านไปเนิ่นนานค่อยดึงสติกลับมาได้
และเมื่อครู่ทันทีที่ได้ยินเสียงดังกล่าว วิญญาณของมันเสมือนถูกพลังอำนาจชำระล้าง! ฉีเทียนหมิงก็ยืนยันได้เต็ม 10 ส่วน ว่าเจ้าของเสียงที่พึ่งก้องเข้าหูมัน ไม่พ้นต้องเป็นเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!!
อาศัยแค่เสียงกลับทำให้วิญญาณของมันที่เป็นขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศบังเกิดความรู้สึกราวกับถูกกวาดผ่าน เรื่องนี้กระทั่งผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวยังไม่อาจกระทำได้
“หึ–”
ในขณะที่ฉีเทียนหมิงยังคงยืนอึนเพราะได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงแค่นคำสบถหนึ่งก็ดังขึ้นจากหลังม่านน้ำตก ขณะเดียวกันมวลน้ำที่กำลังร่วงหล่นก็เริ่มสั่นไหว จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นหยดน้ำนับไม่ถ้วนพุ่งตรงเข้าใส่ฉีเทียนหมิง
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
หยดน้ำทะยานแหวกอากาศฉับไว ประหนึ่งห่าไข่มุก!
หยดน้ำประหนึ่งห่าไข่มุกดังกล่าวพุ่งแหวกอากาศมาปานกระสุน ทว่าก่อนบรรลุถึงตัวฉีเทียนหมิงไม่กี่ก้าวพวกมันก็อันตรธานหายไปอย่างอัศจรรย์ ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
อย่างไรก็ตามแม้หยดน้ำดังกล่าวจะหายไป แต่คลื่นอากาศที่เกิดจากการพุ่งมาด้วยความเร็วสูงของหยด ก็ไม่ต่างอะไรจากสายลมอันเกรี้ยวกราด ซัดปะทะเข้าร่างฉีเทียนหมิงอย่างจัง!
สายลมยังพัดเข้าปะทะร่างต้วนหลิงเทียนเช่นกัน พาลให้ชุดคลุมสีม่วงของเขาโบกสะบัดดังพั่บๆ ใบหน้าเขาก็ถูกสาลมตีปะทะเบาๆให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำ
กลับกัน ทางด้านฉีเทียนหมิงที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนนั้น
ปงงง!!
วินาทีที่สาลมดังกล่าวพัดปะทะร่างฉีเทียนหมิงอย่างจัง ฉีเทียนหมิงก็รู้สึกเสมือนทัพม้านับพันย่ำเหยียบ แม้จะพยายามเร่งเร้าพลังเพื่อต้านทานแล้ว แต่คนยังกระเด็นปลิวละลิ่วไปดั่งหุ่นกระบอกไร้ด้าย….
ตึงงงงง!!
ครืนนน! ขลุก! กึง! กึง!
…
ฉีเทียนหมิงที่ถูกซัดปลิดปลิวคนลอยละลิ่วไปกระแทกผนังผาไกลตาอย่างแรง! พาลให้ทั้งหุบเขาสะเทือนเลือนลั่น หน้าดินพังทลายวุ่นวาย พอฉีเทียนหมิงแงะตัวออกจากผนังผา สารรูปคนก็มอมแมมยับเยิน สีหน้าราวลุกหมาคลุกโคลน มุมปากยังปรากฏรอยเลือดย้อยเป็นสาย!!
“ขอบพระคุณท่านเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยที่เมตตา!”
ฉีเทียนหมิงยกมือขึ้นปาดเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก ค่อยประสานมือโค้งหัวคารวะกล่าวคำกับม่านน้ำตกไกลตา จากนั้นก็เร่งเหินร่างออกจากหุบเขาไปเร็วไว
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าวางใจได้เลย ด้วยความสำเร็จในตอนนี้ของเจ้า…เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแน่นอน…หลังจากเจ้าผ่านการทดสอบที่นี่แล้ว เจ้าค่อยติดต่อมาหาข้า”
ก่อนจากไป ฉีเทียนหมิงยังไม่ลืมกล่าวลาต้วนหลิงเทียน
“อ่า”
เสียงผ่านพลังของฉีเทียนหมิงที่กล่าวทิ้งท้ายไว้ ก็ดึงสติต้วนหลิงเทียนให้กลับมาจากอาการอึ้งๆทันที ฉากที่ฉีเทียนหมิงถูกซัดปลิวอย่างไร้พลังต้านทานเมื่อครู่ สร้างความตกใจให้เขาที่อยู่ข้างๆไม่น้อย
สายลมกรรโชกเมื่อครู่ กับเขามันแค่พัดให้ชุดคลุมกระพือสะบัด รับความเย็นสบาย
ทว่ายามตกกระทบฉีเทียนหมิง กลับเป็นพลังกระแทกอันร้ายกาจ ถึงขั้นซัดฉีเทียนหมิงให้ปลิดปลิวหมดท่าปานหุ่นกระบอกไร้ด้าย!
“ผู้อาวุโส…”
เล่นงานราชาอมตะ 10 ทิศจนหมดท่า ทั้งที่ไม่ปรากฏตัวให้เห็น ต้วนหลิงเทียนย่อมจินตนาการได้ออกว่าผู้ลงมือร้ายกาจปานใด หลังจากเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้ว ก็ประสานมือโค้งตัวเล็กน้อยไปยังม่านน้ำตก
และบัดนี้ม่านน้ำตกก็ได้หายไปแล้ว แทนที่ด้วยโลกบุปผาอันมีวิหกน้อยโผบินละเล่น กลมกลืนไปกับทิวทัศน์ของหุบเขาโดยรอบอย่างไร้แบ่งแยก
แน่นอนว่าม่านน้ำตกเมื่อครู่ก็กลมกลืนไปกับหุบเขาอย่างไร้แบ่งแยก
ทว่าม่านน้ำตกนั่น ที่แท้เป็นภาพลวงตาจากค่ายกลมายา
และฉากเรื่องราวทุ่งดอกไม้ทั้งมีวิหกน้อยโผบิน โดยมีพระราชวังแลดูเรียบง่ายไม่หรูหราหลังหนึ่งตั้งอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นความจริงไม่ใช่ภาพมายา และแผ่นป้ายโลหะที่มีคำว่า ‘วังผู้พิทักษ์คฤหาส์น้อย’ ก็บ่งบอกทุกอย่าง…
วูว!
หลังต้วนหลิงเทียยนประสานมือโค้งตัวคารวะเบาๆ พอกลับมายืนตรง เขาก็พบว่าฉากเรื่องราวรอบกายได้เปลี่ยนไปพลิกฟ้าคว่ำดินอีกครั้ง เขามาหยุดยืนบนลานศิลาอันกว้างใหญ่ไพศาล มองไปโดยรอบไม่เห็นจุดสิ้นสุด!
“ภาพลวงตา?”
สองตาต้วนหลิงเทียนหดหยีเล็กน้อย ใจสงบไม่แตกตื่น เพราะเขารู้ดีว่าเขาอยู่ในหุบเขา ไม่ใช่ลานศิลาไร้ขอบเขตอย่างที่ตาเห็น
วูบ!
ทันใดนั้นเองร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นบนลานศิลาปานภูตผี มาหยุดยืนเผชิญหน้าสบตากับเขา
และจังหวะนี้ ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนกำลังมองกระจกอยู่ก็ไม่ปาน
เพราะร่างที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวเขาเอง! ไม่ว่าจะหน้าตาส่วนสูง หรือลักษณะชุดคลุมเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากเขาแม้แต่น้อย!!
หากต้องการแยกแยะความแตกต่างว่าร่างเบื้องหน้าไม่เหมือนเขาที่ตรงจุดใด ก็เห็นทีจะดูได้จากดวงตาที่ไร้แววคู่นั้น
ดวงตาเป็นดั่งหน้าต่างของหัวใจ
ร่างเบื้องหน้าแม้จะเหมือนต้วนหลิงเทียนทุกระเบียบนิ้ว หากแต่ดวงตากลับไร้ประกายใดๆ ราวกับซากศพไร้ชีวิต
‘ดูเหมือนเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคิดทดสอบข้า…บางทีนี่อาจจะบททดสอบสำหรับผู้ที่คิดจะเป็นผู้พิทักษคฤหาสน์น้อย? หากผ่านก็สามารถกลายเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว?’
คิดถึงจุดนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายประกายสว่างจ้า ขณะเดียวกันพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดก็เริ่มโคจรพุ่งพล่านไปทั่วชีพจรสวรรค์ 99 สายดั่งน้ำเชี่ยว พร้อมปะทุระเบิดพลังออกมาได้ทุกเวลา!
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนที่จับจ้องมองร่างเบื้องหน้าไม่วางตา ก็พบว่าร่างเบื้องหน้าเริ่มเคลื่อนไหวลงมือแล้ว!
ปงงง!!
เขาเห็นว่าร่างเบื้องหน้ากระทืบเท้าลงพื้นคราหนึ่ง ลานศิลาก็เสมือนสะท้านไปดั่งแผ่นดินไหว ขณะเดียวกันก็ปรากฏเถาวัลย์สีเขียวมรกตอันเต็มไปด้วยหนามแหลมผุดขึ้นทั้งเติบโตแผ่ขยาย พุ่งจู่โจมเข้ามาทางเขาทันที!
“กฏแห่งไม้รึ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนควบแน่น เถาวัลย์หนามนั่นมาได้ไวนัก! พริบตาก็กำลังจะม้วนพันรอบตัวเขาแล้ว หนามแหลมังเผยประกายเยียบเย็นใกล้จะข่วนแทงเขาอยู่รอมร่อ แม้จะโคจรเร่งเร้าพลังเซียนอมตะพร้อมลงมือไว้แต่แรก แต่แทบตอบสนองไม่ทัน!!
‘เคลื่อนมิติ’
เพียงหนึ่งห้วงคิดพลังเซีนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานพลังธาตุมิติจนกลับกลายเป็นสีเทาก็กระเพื่อมสั่นไหว ร่างคนอันตรธานหายไปจากวงล้อมเถาวัลย์หนามีท่เจีนรัดตัวเขาในฉับพลัน!
“ความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ?”
ขณะที่ร่างต้วนหลิงเทียนวูบหลบออกไปด้านซ้ายราว 100 หมี่ ชายหนุ่มชุดม่วงหน้าเหมือนเขาก็หันมามองเขาแทบจะทันทีปากยังยกยิ้มแสยะเย็นชาปานจะเย้ยเยาะ
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนที่พุ่งจะเคลื่อนย้ายข้ามมิติมายังไม่ทันได้ตั้งตัวอะไร เขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายสะบัดมือฉับไว จากนั้นเถาวัลย์อันเต็มไปด้วยหนามแหลมก็พุ่งมาด้วยความเร็วอันน่ากลัวกำลังจะรัดพันทิ่มแทงเขาอีกรอบ!
ครึก! ครึก! ครึก! ครึก! ครึก!
…
เถาวัลย์สีมรกตเต็มไปด้วยหนามพุ่งทะลวงแหวกอากาศมาฉับไว ประหนึ่งอสรพิษดุร้าย!
‘แย่แล้ว’
พอต้วนหลิงเทียนตอบสนองเรื่องราว เขาก็พบว่าครานี้ไม่เพียงเถาวัลย์หนามดังกล่าวกำลังจะรัดพันร่างเขา อีกฝ่ายยังสร้างเถาวัลย์หนาปกคลุมไปทุกทางปานโดม ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนมิติวูบหายไปในฉับพลันจุดใดก็ไม่อาจหนีพ้น! มันล้อมดักปิดกั้นเขาไว้ทุกทาง!!
ตอนที่ 3122
ในปัจจุบันต้วนหลิงเทียนเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติของกฏแห่งมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นเท่านั้น ทำให้ระยะทางในการเคลื่อนย้ายจำกัดอยู่ที่ 100 หมี่
ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเขาทุกประการ ได้ใช้พลังของกฏแห่งไม้สร้างเถาวัลย์หนามปกคลุมอาณาบริเวณรอบกายเขากินรัศมี 100 หมี่เอาไว้ มันก็เหมือนปิดกั้นการเคลื่อนย้ายของเขากลายๆ
เพราะให้เขาใช้เคลื่อนมิติไปที่ใด ก็ไม่อาจรอดพ้นเถาวัลยย์หนามที่เป็นดั่งกรงนี้ได้…
‘คิดใช้ลูกไม้เพียงเท่านี้จัดการข้าหรือ?’
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มเย็น จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานธาตุมิติทั่วร่างก็ปะทุขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มก่อเกิดเขตแดนมิติปกคลุมรอบกายเขาเอาไว้!
แขตแดนมิติ ก็คือ 1 ใน 6 ความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติที่เขาเข้าใจ
ทันทีที่เขตแดนมิติก่อเกิดขึ้น เถาวัลย์หนามที่พุ่งเข้ามาจากทั่วสารทิศ ก็ถูกสกัดเอาไว้ในระ 10 หมี่รอบกาย! ปลายเถาเริ่มถูกทำลายด้วยความเร็วสูง ไม่อาจล่วงล้ำฝ่าเข้ามาได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตามสถาพดังกล่าวดำเนินไปอยู่ไม่นาน เถาวัลย์หนามทั้งหลายก็เริ่มเปล่งแสงสีเขียวเรืองจ้าขึ้นมา จากนั้นก็สังเกตเห็นได้ไม่ยากกว่าบริเวณที่ถูกทำลายลงนั้น กำลังฟื้นฟูด้วยความเร็วสูง สุดท้ายอัตราการฟื้นฟูก็เร็วกว่าถูกทำลายทำให้รุกคืบเข้ามาได้อีกครา!!
แม้พลังของเขตแดนมิติจะทำลายพวกมันไม่หยุด แต่แสงสีเขียวที่ยิ่งมายิ่งเรืองสว่างก็สามารถทำให้พวกมันงอกเงยออกมาใหม่ได้!
‘เป็นความลึกซึ้งที่มีคุณสมบบัติรักษาของกฏแห่งไม้งั้นรึ?’
เห็นฉากเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปตรงหน้า ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงอีกครั้ง
ดูเหมือนชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับเขาทุกประการ จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ไม่น้อยเลยทีเดียว และสมควรเท่าๆกันกับเขา!
ที่สำคัญด่านพลังฝึกปรือของอีกฝ่าย ก็เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศเหมือนกันกับเขา!
จุดนี้เขาก็พึ่งรับทราบหลังประมือกับอีกฝ่าย
‘ความลึกซึ้ง ผ่ามิติ!’
สองตาที่หดหยีของต้วนหลิงเทียนเผยประกายแหลมคมวาบหนึ่ง จากนั้นความว่างเปล่ารอบตัวเขาก็เริ่มฉีกเปิด ราวรอยแตก!
และทันทีที่รอยแตกดังกล่าวปรากฏขึ้น ก็ปรากฏแสงสีเทาที่มีรูปลักษณ์คล้ายคมมีดพุ่งออกมาจากรอยแตกดังกล่าว ราวกับเป็นการโจมตีที่มาจากมิติอื่น ถล่มทำลายเข้ามาในมิตินี้
ซัว!
แสงมีดพุ่งผ่านไปที่ใด ก็ทิ้งร่องรอยไว้ตามทาง และเมื่อพุ่งผ่านเถาวัลย์หนาม พวกมันก็ถูกตัดขาดได้อย่างง่ายดาย
มีดแสงเทาประหนึ่งดาบของผู้กล้าในตำนาน ไร้สิ่งใดที่ไม่อาจตัดผ่าน!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนใช้เขตแดนมิติพร้อมด้วยผ่ามิติเพื่อจัดการการโจมตีที่คุกกคามเข้ามา เถาวัลย์หนามที่ไม่อาจรุกคืบได้ ก็เปลี่ยนนรูปแบบการจู่โจมในฉับพลัน หนามแหลมที่ติดกับเถานั้นถูกยิงพุ่งออกมาดั่งห่าพิรุณ ปานเม่นสลัดขนก็ว่า!!
เขตแดนมิติกับคมมีดมิติจัดการเถาวัลย์หนามที่พุ่งแทงเข้ามาได้จริง แต่หนามที่พุ่งมาฉับไวแบบนี้ เกรงว่าจะไม่อาจทำลายได้หมด เพราะพวกมันถล่มเข้ามาประหนึ่งห่าพิรุณไม่มีผิด!
‘บิดเบือนมิติ!’
อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับห่าหนามที่พุ่งเข้ามาฉับไวปานศรสายฟ้าทั่วสารทิศ ต้วนหลิงเทียนหาได้แตกตื่นแต่อย่างใด พริบตาความว่างเปล่ารอบกายก็เริ่มบิดเบือนไป ราวห้วงมิติถูกจับบิด!
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
หนามที่พุ่งมาดั่งห่าพิรุณ ในที่สุดก็พุ่งปะทะเข้ากับห้วงมิติบิดเบือนดังกล่าว
ทันใดนั้นความว่างเปล่าก็เริ่มสะเทือนสะท้าน หนามทั้งหลายที่เข้าสู่ห้วงมิติบิดเบือนเริ่มถูกป่นทำลายลงด้วยความเร็วอัศจรรย์ อย่างไรก็ตามพวกมันถูกทำลายได้ไม่นาน หนามที่พุ่งไล่หลังมาก็เริ่มปรากฏแสงพลังสีเขียวเรืองสว่างเจิดจ้า แม้จะถูกป่นทำลายไปแล้ว แต่ละอองธุลีของพวกมันก็เริ่มควบรวมก่อเกิดรูปลักษณ์ ราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากห้วงมิติบิดเบือน
ทันใดนั้นเหล่าผงหนามที่ควบรวมก่อเกิดรูปลักษณ์คล้ายมีดดาบก็สับบฟันเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนปานเคียวมรณะ รุกคืบเข้ามาใกล้ร่างต้วนหลิงเทียนมากขึ้นเรื่อยๆ
‘ความลึกซึ้งอีกประการของกฏแห่งไม้งั้นเหรอ?’
ต้วนหลิงเทียนหยีตาเพ่งหนามที่ถูกทำลายหากแต่เริ่มควบรวมก่อเกิดใบมีดเขม็ง แม้หนามส่วนใหญ่จะถูกห้วงมิติบิดเบียนกับพลังของเขตแดนทำลาย แต่เสี้ยวหนึ่งของมันก็สามารถก่อลักษณ์จู่โจมมาอย่างทรหด!
ไม่ยากที่ต้วนหลิงเทียนจะบอกได้ว่าการโจมตีดังกล่าวเกิดจากการเพิ่มพลังของความลึกซึ้งอีกประการลงไป
‘กักกัน!’
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจว่าร่างเสมือนตัวเขาเบื้องหน้า สมควรเกิดจากค่ายกลบางอย่างของเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย และทั้งหมดไม่พ้นอีกฝ่ายทำเพื่อประเมินพลังฝีมือของเขา หรือไม่ก็กำลังทำการทดสอบว่าเขาจะสามารถขึ้นรับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยในรอบ 30,000 ปีได้หรือไม่!
แน่นอนว่าเขาอยากให้เป็นอย่างหลังมากกว่า
ด้วยเหตุนี้แม้เขาจะมีวิธีรับมือการโจมตีของกฏแห่งไม้ที่ฝ่าเขตแดนมิติและห้วงมิติบิดเบือนมาได้ง่ายๆ แต่เขาก็เลือกที่จะใช้ความลึกซึ้งอีกประการของกฏแห่งมิติหยุดการโจมตี เพื่อสกัดกั้นกระบวนท่าของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์!
กึก! กึก! กึก! กึก! กึก! กึก!
…
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องไปยังคมมีดไม้ที่ฝ่าเขตแดนมิติทั้งห้วงมิติบิดเบือนเข้ามาเขม็ง สองตาทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง จากนั้นหวงมิติรอบๆคมมีดไม้ดังกล่าวก็ดั่งจะถูกผนึกแข็ง!
พริบตาต่อมาคมมีดไม้ที่เกิดจากการควบรวมเศษหนามที่ป่นสลายก็หยุดกึกลงกลางหาว ราวกับพุ่งชนกำแพงอะไรบางอย่าง ไม่อาจขยับเขยื้อนแผลงฤทธิ์ใดๆได้สืบต่อ ประหนึ่งพวกมันถูกผนึกค้างกลางอากาศโดยสมบูรณ์! สุดท้ายไม่กี่ลมหายใจต่อมาพวกมันก็สลายหายไปในอากาศราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน!!
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเขาพบได้แต่แรกว่าจะเถาวัลย์หนามก็ดี หนามที่ยิงพุ่งออกมาก็ดี หรือคมมีดไม้ที่ก่อเกิดจากเศษหนามควบรวมก็ดี ล้วนแล้วถูกสร้างขึ้นจากพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดและพลังของกฏแห่งไม้ทั้งสิ้น ไม่ใช่เถาวัลย์รากไม้อะไรที่แท้จริง
และเมื่อต้วนหลิงเทียนทำลายการโจมตีของเถาวัลย์หนามและคมมีดไม้ลงได้อย่างสมบูรณ์ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเบื้องหน้าประหนึ่งมีแสงสว่างวาบขึ้น จากนั้นไม่เพียงแต่ร่างปลอมของเขาจะอันตรธานหายไป ลานศิลาอันไร้ขอบเขตใต้เท้าเขาก็หายไปแล้ว ทุกอย่างสาบสูญไปราวไม่เคยมีมาก่อน
‘ออกจากภาพมายาแล้วรึ’
มองไปยังฉากเรื่องราวรอบๆ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าบัดนี้เขาได้กลับมาอยู่ในหุบเขา ที่เต็มไปด้วยบุปผานานาพรรณและมวลหมู่วิหกเรียบร้อย นอกจากนั้นยังมีวังแลดูเก่าแก่โบราณหลังหนึ่งตั้งอยู่ ป้ายเหนือประตูวังดังกล่าวปรากฏอักษรงดงามดั่งหงส์มังกรเด่นหรา
วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย!
“เจ้าต้องการเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวเราหรือ?”
ทันใดนั้นเอง เสียงทุ้มต่ำและแหบแห้งก็ดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน
พอได้ยินต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของคนที่พุ่วซัดฉีเทียนหมิงจนปลิวไปก่อนหน้า อีกฝ่ายสมควรเป็นเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยแห่งคฤหาสน์เฉวียนโยว เขาจึงตอบกลับไปฉับไว “ใช่แล้ว ผู้อาวุโส”
“เพราะเหตุใด?”
เสียมทุ้มต่ำทั้งแหบแห้งดังขึ้นอีกครา และราวกับกำลังถามไถ่ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงอยากเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย
เพราะเหตุใด?
ต้วนหลิงเทียนก็อดอึ้งไปไม่ได้เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เขาก็รีบตอบกลับฉับไวอย่างตรงไปตรงมาว่าไฉนถึงอยากเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว “เพราะสิ่งนี้จะทำให้ข้าสามารถเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวได้ทันทีดั่งมีทางลัด…นอกจากนั้นยังทำให้ข้าได้รับทรัพยากรบ่มเพาะจากคฤหาสน์เฉวียนโยวอย่างมหาศาล”
“ข้าคิดใช้คฤหาสน์เฉวียนโยวต่างแท่นกระโดด เพื่อส่งตัวออกจากคฤหาสน์เฉวียนโยว กระทั่งออกจากแดนสวรรค์ใต้ไปยังเวทีที่กว้างใหญ่กว่านี้…”
“ข้าไม่คิดจมปลักอยู่ในแดนสวรรค์ใต้ไปชั่วชีวิต!”
คำตอบของต้วนหลิงเทียนนับว่าตรงไปตรงมาทั้งฟังดูเหิมเกริมไม่น้อย ราวกับจะบอกว่าไม่ขอเป็น ‘หัวไก่ ‘ในแดนสวรรค์ใต้ แต่อยากไปเป็น ‘หางหงส์’ ในเวทีที่กว้างใหญ่กว่านี้
อันที่จริงต้วนหลิงเทียนไม่ได้ไม่พอใจแค่แดนสวรรค์ใต้เท่านั้น กระทั่งยังไม่คิดจมปลักอยู่ในหลิงหลัวเทียนแห่งนี้…ไม่แม้แต่ระนาบเทวโลกใดๆด้วยซ้ำ!
เพราะเป้าหมายของเขาคือขึ้นไปยังระนาบเทพ ที่เรียกว่า ‘ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ’ ที่คนสำคัญของเขาถูกจับตัวไว้
ถึงตอนนั้นหากเขาไม่มีพลังเหนือตัวตนใดๆในระนาบเทวโลก ทุกสิ่งที่วาดหวังก็ดั่งฟองฝัน…
“ความทะเยอทะยานของเจ้าไม่น้อยจริงๆ ทั้งเจ้ายังซื่อสัตย์นัก”
เสียงทุ้มต่ำอันแหบแห้งดังขึ้นอีกครา ฟังแล้วเห็นได้ชัดว่าพึงพอใจกับคำตอบของต้วนหลิงเทียน ขณะเดียวกันก็ไม่กล่าวอะไรออกมาอีกเลย บรรยากาศกลายเป็นเงียบงันในฉับพลัน
“ผู้อาวุโส…”
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็เป็นฝ่ายริเริ่มทำลายความเงียบออกมา “ที่ข้าเจอเมื่อครู่ใช่การทดสอบเข้ารับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยยหรือไม่…อีกทั้ง ท่านคิดว่าด้วยอายุและความสามารถของข้า ตัวข้ามีคุณสมบัติเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยในรอบ 30,000 ปีแล้วหรือยัง?”
“เมื่อครู่ข้าแค่ตั้งใจทดสอบพลังฝีมือของเจ้าเท่านั้น หาใช่บททดสอบสำหรับผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยไม่”
ได้ยินเสียงไถ่ถามของต้วนหลิงเทียน เสียงทุ้มต่ำแหบแห้งก็ดังขึ้นอีกรอบ “สำหรับตัวเจ้าที่ประสบความสำเร็จด้วยวัยเพียงเท่านี้นับว่ายอดเยี่ยมมาก และนับว่ามีคุณสมบัติเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยในรอบ 30,000 ปีจริงๆ…แต่กระนั้นเจ้าต้องผ่านการทดสอบที่กำหนดโดยวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเสียก่อน”
“บททดสอบอะไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเพื่อช่วงชิงอันดับ 1 มาเสีย…และตราบใดที่เจ้าได้อันดับ 1 ติดต่อกัน 12 เดือน เช่นนั้นเจ้าจักได้เป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวคนแรกในรอบ 30,000 ปี”
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง และบอกเงื่อนไขในการทดสอบที่วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยกำหนดไว้ออกมา
เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง และช่วงชิงอันดับ 1!
หากได้รับอันดับ 1 ติดต่อกัน 12 เดือน เขาก็จะได้เป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวคนแรกในรอบ 30,000 ปี!
“ผู้อาวุโส การทดสอบนี้มัน…”
หลังได้ฟังเงื่อนไขดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็อดคลี่ยิ้มขื่นขมออกมาไม่ได้ ถึงแม้เขาจะมั่นใจพลังของตัวเองในปัจจุบัน แต่การจะได้อันดับ 1 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางติดต่อกัน 12 เดือนนับว่ายากเย็นเหลือเกิน…
ระหว่างเดินทางมาคฤหาสน์เฉวียนโยว ฉีเทียนหมิงก็ได้บอกเขาหมดแล้วว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง มีขุนนางอมตะ 10 ทิศ ที่คฤหาสน์อมตะระดับ 6 ทั้งหลาย เพาะสร้างมาโดยเฉพาะ ตัวตนเหล่านั้นหาใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันไม่!
“หากเจ้าคิดยอมแพ้ ก็ออกไปจากคฤหาสน์เฉวียนโยวเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย…รอให้คฤหาสน์เฉวียนโยวเปิดรับสมัครศิษย์จาก 3 นิกาย 2 ตระกูลเมื่อไหร่ เจ้าค่อยเข้าร่วมการทดสอบดังกล่าวในฐานะศิษย์นิกายอมตะเป้าผู่ สำหรับเจ้าแล้วคงไม่ยากอะไร”
เสียงกล่าวยังคงดังขึ้นสืบต่อ ทำราวกับต้นหลิงเทียนต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน
เพราะสุดท้ายแล้วต้วนหลิงเทียนพึ่งลั่นวาจาไปว่า เหตุผลที่คิดรับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย ก็เพื่ออยากใช้ทางลัดเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยว!
“ข้าตกลง”
ต้วนหลิงเทียนตอบตกลงออกไป เขารู้ดีว่าเขาได้ลั่นวาจาบอกเจตนาไว้แล้ว สิ่งนั้นย้อนกลับมามัดตัวเขาดั่งเขวี้ยงงูไม่พ้นคอ ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นอีก
ที่สำคัญ แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางที่ว่า จะช้าจะเร็วเขาก็ต้องเข้าไปอยู่ดี ตอนนี้ก็แค่เข้าไปไวหน่อยเท่านั้น
เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ตั้งใจจะคว้าอันดับ 1 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางดังกล่าวให้ได้ 24 เดือนติดต่อ เพื่อจะเข้าสู่ 10 ตระกูลใหญ่ของแดนสวรรค์ใต้!
ตระกูลที่อยู่เหนือคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็เป็น 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่ของแดนสวรรค์ใต้
เมื่อเข้าสู่ตระกูลใหญ่ใดได้ ก็เสมือนขึ้นสู่เวทีสูงสุดของแดนสวรรค์ใต้แล้ว…
ตอนที่ 3123
“ข้าตกลง”
สิ้นเสียงกล่าวต้วนหลิงเทียน หุบเขาก็หวนกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เสียงของเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเงียบหายไปเลย ราวคนไม่อยู่แล้ว
ต้วนหลิงเทียนที่รออยู่พักหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเรียกอีกฝ่าย “ผู้อาวุโส…”
ฟ่บ!
หากแต่ต้วนหลิงเทียนยังพูดไม่ทันจบคำ ก็ปรากฏบางสิ่งพุ่งออกมาจากวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเบื้องหน้ามาทางเขา และพอบางสิ่งที่ว่าเข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนความเร็วของมันก็ค่อยๆชะลอตัวจนต้วนหลิงเทียนคว้าเอาไว้ไม่ยาก
หลังคว้าวัตถุดังกล่าวมาดู เขาก็พบว่ามันเป็นป้ายๆหนึ่ง และที่เขากำลังดูอยู่ก็คือด้านหลังของป้าย อันมีลวดลายสลับซักซ้อนแต่ตรงกลางว่างเปล่า พอพลิกกลับมาดูเขาก็เห็นว่ามันสลักตัวอักษรเอาไว้ 2 แถว โดยแถวบนอ่านได้ว่า คฤหาสน์เฉวียนโยว
ส่วนบรรทัดต่อมา ขนาดอักษรเล็กกว่าคำ คฤหาสน์เฉวียนโยว เล็กน้อยและอ่านได้ว่า…
ศิษย์ฝ่ายนอก
“นั่นคือป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา…เมื่อเจ้าสลักชื่อเจ้าไว้ตรงกลางด้านหลังที่ว่างอยู่ จากนั้นก็หยดเลือดลงไปให้มันจดจำเจ้าของ เจ้าก็ถือเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวเราแล้ว…ด้วยป้ายนี้เจ้าที่เป็นศิษย์ฝ่ายนอก ก็สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังจุดส่งตัวเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง และสามารถรับป้ายหยกสะสมคะแนน เพื่อเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้ทุกเมื่อ…”
หลังต้วนหลิงเทียนพลิกป้ายดังกล่าวดู เสียงเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้น จะอนุญาตให้เจ้าอยู่ได้ 10 วันต่อเดือน…ส่วนอีก 20 วันที่เหลือ เจ้าก็ให้เด็กน้อยที่พาเจ้ามาที่นี่จัดหาที่พักให้เจ้าเถอะ”
“เมื่อใดที่เจ้าได้อันดับ 1 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางติดต่อกัน 12 เดือน เจ้าก็จะถือว่าผ่านบททดสอบรับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยที่ข้าตั้งไว้ให้เจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าก็สามารถรับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย และเพลิดเพลินกับทรัพยากรสูงสุดที่คฤหาสน์เฉวียนโยวจักจัดหาให้เจ้าได้…ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว”
พอเสียงของเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยดังจบคำ ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้าสายตาต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง เห็นอีกทีเขาก็พบว่าตัวเองกับมายืนอยู่บนศิลากลางน้ำ และเบื้องหน้ากลับกลายเป็นม่านน้ำตกไปเสียแล้ว…
เห็นดังนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล่าวอะไรสืบต่อ และหยิบยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณขึ้นมาบดขยี้เพื่อติดต่อฉีเทียนหมิงทันที
ระหว่างเดินทางมาคฤหาสน์เฉวียนโยว เขาก็ได้แลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณกับฉีเทียนหมิงเอาไว้เรียบร้อย เช่นนั้นคิดจะติดต่อฉีเทียนหมิงก็ทำได้สะดวกนัก หากยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณไม่หมดลงเสียก่อน…
“อันใด? คว้าอันดับ 1 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางติดต่อกัน 12 เดือน!?”
พอฉีเทียนหมิงได้ยินเงื่อนไขบททดสอบที่เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยตั้งไว้ให้ต้วนหลิงเทียน มันก็หน้าเหวอไปทันที ด้วยรู้ดีว่าเรื่องนี้มันยากเย็นแสนเข็ญสำหรับชายหนุ่มเบื้องหน้าขนาดไหน…
สุดท้ายแล้วต้วนหลิงเทียนก็ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี
ในประวัติศาสตร์ของแดนสวรรค์ใต้ อย่าว่าแต่ไร้ขุนนางอมตะ 10 ทิศที่อายุ 100 ปีปรากฏขึ้นมาก่อนแม้แต่คนเดียว ต่อให้มีผู้อายุไม่ถึง 100 ปีคิดจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ทว่าทั้งหมดก็เข้าไปเที่ยวชมเท่านั้น ถึงขั้นที่หากเจอแม้แต่เงาคนก็จำต้องรีบทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนเพื่อหนีออกมาทันที…
ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแต่เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยจะบีบให้ต้วนหลิงเทียนเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง แต่อีกฝ่ายยังต้องการให้ต้วนหลิงเทียนคว้าอันดับ 1 ติดต่อกัน 12 เดือน ถึงจะผ่านบททดสอบรับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย?
หากเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย คิดใช้เงื่อนไขดังกล่าวในการคัดเลือกผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยกับผู้ที่มีอายุไม่ถึง 100 ปีจริงๆ ฉีเทียนหมิงรู้สึกว่า…
อย่าว่าแต่จะไม่มีใครได้เป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยในรอบ 30,000 ปีเลย ต่อให้ 300,000 ปีก็น่ากลัวว่าอัจฉริยะระดับนั้นยังไม่มาเกิดที่คฤหาสน์เฉวียนโยว!
“อ่า…ตามนั้นล่ะท่าน”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มแหยๆพลางพยักหน้า “ข้าเองก็ว่าบททดสอบนี่มันยากเอาเรื่องจริงๆ…แต่ก็นะ ในเมื่อพูดไปแล้ว ก็มีแต่ต้องลุยกันดูสักตั้งเท่านั้นล่ะ”
“ก็จริงของเจ้า…อีกทั้งในเมื่อเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยตัดสินใจไปแล้ว อย่าว่าแต่ข้าเลย กระทั่งผู้นำคฤหาสน์เราก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้หรอก…”
ฉีเทียนหมิงถอนหายใจออกมาอีกเฮือก ก่อนที่จะพาต้วนหลิงเทียนกลับไปยังที่พักบ่มเพาะของมัน เป็นเคหะสถานที่ค่อนข้างใหญ่โตบนเกาะวงในเกาะหนึ่งที่อยู่ถัดออกมาจากใจกลาง สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะนับว่าดีไม่น้อย นับว่าเป็นสถานที่ๆมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุดตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงระนาบเทวโลกเลยก็ว่าได้ แม้แต่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะใกล้ๆวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยก็เทียบไม่ได้
เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนยังรู้อีกด้วย
ว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะนอกวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย มันไม่อาจเทียบกับด้านในตัววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยได้เลย
อย่างน้อยๆสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะภายในวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยก็ต้องดีกว่าที่นี่ ไม่มีทางด้อยกว่าแน่นอน
“หลังจากนี้เจ้าก็พักอาศัยอยู่กับข้าไปก่อนแล้วกัน”
ฉีเทียนหมิงกล่าว
“ผู้เฒ่าฉีนี่มันจะรบกวนท่านเกินไปรึเปล่า”
ต้วนหลิงเทียนย่อมทราบถึงความหวังดีของฉีเทียนหมิง “จะอย่างไรสถานะของข้าตอนนี้ก็เป็นแค่เพียงศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้น มันก็สมควรมีที่พักสำหรับเหล่าศิษย์ฝ่านอกไม่ใช่หรือ?”
“ไอ้มีมันก็มีอยู่หรอก แต่สภาพแวดล้อมสำหรับฝึกปรือไม่อาจเทียบบ้านข้าได้หรอก”
ฉีเทียนหมิงกล่าว “พรสวรรค์ระดับเจ้าไปอยู่ที่นั่นไม่เสียเปล่าตายหรือ อย่าให้การฝึกฝนของเจ้าต้องล่าช้าเพราะเรื่องเหลวไหลเลย เพียงอยู่ที่นี่ไปเถอะ…รอให้เจ้าผ่านบททดสอบของท่านเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเมื่อใดเจ้าก็สบายแล้ว! ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเข้าไปบบ่มเพาะที่นั่น แต่กล่าวกันว่าในคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา สถานที่ๆมีสภาพแวด้อมในการบ่มเพาะที่ดีที่สุดก็คือที่นั่น…แม้แต่ท่านผู้นำคฤหาสน์เองยังมักไปปิดด่านบ่มเพาะที่นั่นเลย”
“หือ? ผู้นำคฤหาสน์ก็มักไปปิดด่านบ่มเพาะที่วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยงั้นรึ?”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของฉีเทียนหมิง ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจได้เต็มสิบส่วน ว่าสภาพแวดล้อมในวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย น่ากลัวจะดีกว่าสถานที่พักส่วนตัวของผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเสียอีก
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้เรื่องมากกับสถานที่บ่มเพาะอะไรก็ตามที
เพราะสุดท้ายแล้วในร่างเขาก็มีพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ด้วยความช่วยเหลือของมัน ตอนนี้เขาไม่ต้องสนใจสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะมากนัก
อย่างไรก็ตามการได้เป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย และเข้าสู่วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย สิ่งที่เขาจะได้ไม่ใช่แค่สถานที่บ่มเพาะ หากแต่เป็นทรัพยากรที่ตอนนี้เขาต้องการอย่างมาก ทั้งหมดเพื่อให้ด่านพลังฝึกปรือของเขาก้าวหน้าขึ้นรวดเร็วที่สุด
ดังนั้นเขาก็เลยอยากผ่านบททดสอบและกลายเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเร็วๆ เพื่อจะได้เสวยสุขกับทรัพยากรเหล่านั้นเสียที
“จริงสิผู้เฒ่าฉี แล้วค่ายกลเคลื่อนย้ายไปแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางอยู่ที่ไหนรึ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปถามฉีเทียนหมิงด้วยความสงสัย
“อันใด หรือเจ้าคิดเข้าไปแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางแล้ว?”
ฉีเทียนหมิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ก็ระหว่างเดินทางมา ไม่ใช่ท่านบอกข้าหรือว่า…อันดับของงแดนสวรรค์ใต้โบราณจะล้างใหม่ทุกวันแรกของเดือน นี่ก็ยังเหลืออีกตั้ง 7 วันนี่นา?”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายวับวาว
“นี่เจ้าคิดจะเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางไปสู้ช่วงชิงอันดับ 7 วันสุดท้ายก่อนขึ้นเดือนใหม่หรือ?”
พอฉีเทียนหมิงได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน มันก็ส่ายหัวไปมา “ต้วนหลิงเทียน ไม่ต้องกล่าวถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศในแดนสวรรค์ใต้โบราณมิใช่ชนชั้นต่ำทรามเลย…ต่อให้ตอนนี้เจ้าจะมีพลังมากพอเอาชนะพวกมันได้แทบทั้งหมด แต่หากเข้าไปช่วงนี้ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะได้อันดับดีๆ…”
“ทำไมล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนงุนงง
“นั่นเพราะการจัดอันดับของเดือนนี้กำลังจักสิ้นสุดลงเต็มที เหล่าขุนนางอมตะ 10 ทิศระดับแนวหน้า พวกมันต่อสู้ช่วงชิงคะแนนกันจบไปตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกลางเดือนแล้วน่ะสิ…มีน้อยคนนักที่จะเข้าไปช่วงใกล้ๆสิ้นเดือน เพราะเข้าไปตอนนี้ก็ไม่ค่อยเจอยอดฝีมือที่ติดอันดับต้นๆแล้ว”
ฉีเทียนหมิงกล่าว
ฟังที่ฉีเทียนหมิงพูด ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก
ผู้ที่ได้คะแนนสูงๆนั้น ได้สู้ช่วงชิงกันไปตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกลางเดือนกันหมดแล้ว และพวกมันก็สมควรใช้เวลาครบกำหนด 10 วันเป็นที่เรียบร้อย จึงไม่อาจเข้าไปได้อีก ทำได้แค่รอสรุปคะแนนอันดับเท่านั้น
คนส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้คนที่มีคะแนนในอันดับสูงๆส่วนใหญ่ ก็มักจะไม่ปรากฏตัวในนนั้นช่วงปลายเดือน
ในกรณีนี้ต่อให้ร้ายกาจแค่ไหน ก็ได้แค่เก็บแต้มเล็กๆน้อยๆจากขุนนางอมตะ 10 ทิศที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่คนเท่านั้น และต่อให้จัดการได้หมดก็มีคะแนนสะสมแค่ไม่กี่แต้ม ยากที่จะได้อันดับสูงๆอะไร
“แบบนี้นี่เอง”
หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ยังคิดจะเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางอยู่ดี ถึงแม้เดือนนี้เขาจะไม่ได้อันดับดีๆอะไร แต่ก็เสมือนไปดูที่ทางเอาไว้ก่อน เป็นการเตรียมตัวเพื่อจะช่วงชิงอันดับในเดือนหน้า
ต้วนหลิงเทียนก็ได้เอ่ยความคิดดังกล่าวออกไปให้ฉีเทียนหมิงฟัง และฉีเทียนหมิงก็เห็นด้วยทันที “เจ้าจะไปดูที่ทางก่อนก็ดีเหมือนกัน…เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าอยากไปข้าจะพาเจ้าไปเอง”
“ในคฤหาสน์เฉวียนโยวของเรา เกาะหลักทั้ง 3 เกาะล้วนมีค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งตัวไปยังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางทั้งสิ้น ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปค่ายกลเคลื่อนย้ายบนเกาะหลักที่ผู้คนมักไปใช้กัน”
ภายใต้การนำพาของฉีเทียนหมิง ต้วนหลิงเทียนก็ได้มาถึงเกาะหลักแห่งหนึ่ง ที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง และค่ายกลที่ว่าก็ตั้งอยู่ในตำหนักหลังใหญ่มุมหนึ่งของเกาะ
ตำหนักหลังนี้ต่างจากที่พักของฉีเทียนหมิงไม่น้อย มันใหญ่โตกว่ากันมาก และลานด้านหน้าตำหนักก็กว้างขวางกว่าสนามฟุตบอลในโลกเก่าของเขาหลายเท่า
นอกจากนั้นในลานดังกล่าว ก็มีค่ายกลเคลื่อนย้ายมหึมาจัดตั้งเอาไว้ และยังมีผู้คนมากมายยืนคุยกันเต็มไปหมด
“หลิวจี๋ของคฤหาสน์หานชิงที่พึ่งเข้าไปเมื่อ 5 วันก่อน ไม่คิดเลยว่าจะเก็บแต้มได้มากขนาดนี้ แถมอันดับมันยังกระเตื้อขึ้นเรื่อยๆ…รอบนี้ข้าว่ามันคงติด 30 อันดับแรกได้อย่างไร้ปัญหา”
ที่ข้าสนใจเป็น เหลิ่งอวิ๋นโหยว ของคฤหาสน์ชิงหลิงที่อยู่ใน 20 อันดับแรกมากกว่า…ตอนนี้มันอยู่อันดับ 11 แล้วแต่เวลาของมันเหลือแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น แม้คะแนนมันจะห่างจากอันดับ 10 แค่ 12 แต้ม แต่ไม่รู้ว่ามันจะเก็บได้ทันรึเปล่า”
“เหลิ่งอวิ๋นโหยวผู้นั้นข้าก็จับตาดูอยู่เหมือนกัน…ปกติแล้วมันมักติดอยู่ใน 10 อันดับแรกเสมอ แม้รอบนี้จะทุลักทุหน่อยแต่ถ้าโชคของมันยังใช้การได้อยู่ ข้าว่าจะติด 10 อันดับแรกเหมือนเดิมก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
…
หลายคนในลานกำลังสนทนากันอย่างออกรส หัวข้อก็ไม่พ้นยอดฝีมือขุนนางอมตะ 10 ทิศที่สู้ชิงอันดับกันในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง
“เฮ่อ…หากข้าจำไม่ผิด หากนับรวมเดือนนี้เข้าไปอีก ดูเหมือนศิษย์พี่โจวหงเจี๋ยจะไม่ติด 20 อันดับแรกมาเกือบปีแล้วใช่รึเปล่า?”
พอคำถามดังกล่าวดังขึ้น เสียงในลานก็เงียบลงทันที
และตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนกับฉีเทียนหมิงก็พึ่งเดินเข้ามาในลานพอดี แม้เสียงฝีเท้าพวกเขาจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ในเมื่อคนในลานพร้อมใจกันเงียบพอดี ก็นับว่าดังมากพอจะเข้าหูหลายๆคน
จากนั้นผู้ที่หันมามองและจดจำฉีเทียนหมิงได้ ก็เร่งประสานมือโค้งคารวะทักทายทันที
“ผู้ตรวจการฉี!”
“ผู้ตรวจการฉี!”
…
คนอื่นๆที่ไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้า พอได้ยินเสียงทักดังขึ้นก็หันมามอง และพอเห็นว่าใครมาก็เร่งประสานมือคารวะทักทายตามๆกัน
สุดท้ายแล้วฐานะผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวก็สูงมาก เป็นรองก็แค่ผู้นำคฤหาสน์ ชนชั้นรองผู้นำไม่กี่คน แล้วก็เจ้าวังศักดิ์สิทธิ์ที่แทบไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นเท่านั้น…
“โจวหงเจี๋ยที่ศิษย์ตรงนั้นพูดถึงกันเมื่อครู่ ก็คือคนที่ข้าเคยบอกเจ้าไว้ก่อนหน้านี้…ขุนนางอมตะ 10 ทิศของคฤหาสน์เฉวียนโยวเราที่เข้าใจกฏแห่งไม้ 7 ประการ…นับว่าเป็นยอดฝีมือขุนนางอมตะ 10 ทิศมือดีของคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา ยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์หลักเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย”
หลังฉีเทียนหมิงหันไปพักหน้าให้เหล่าศิษย์เป็นการทักทาย ก็หันมาส่งเสียงผ่านพลังบอกต้วนหลิงเทียน
ตอนที่ 3124
ก่อนหน้านี้ระหว่างเดินทางออกจากนิกาอมตะเป้าผู่มายังคฤหาสน์เฉวียนโยว ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินฉีเทียนหมิงกล่าวถึงเรื่องที่คฤหาสน์เฉวียนโฉวเพาะสร้างขุนนางอมตะ 10 ทิศ เพื่อเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางโดยเฉพาะมาแล้ว
คนที่เข้าใจความลึกซึ้ง 6 ประการนั้นมีอยู่สองสามคน แต่คนที่เข้าใจความลึกซึ้งถึง 7 ประการนั้นมีอยู่แค่คนเดียว
และผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้ง 7 ประการที่ว่า ก็เลือกใช้กฏแห่งไม้
“โจวหงเจี๋ย…”
ต้วนหลิงเทียนยังจำชื่อคนๆนั้นได้
ขณะเดียวกันเขายังได้ทราบข้อมูลบางอย่างจากเหล่าศิษย์ที่กำลังสนทนากันเบื้องหน้าอีกด้วย
ดูเหมือนโจวหงเจี๋ย ขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ 7 ประการและมีอายุไม่ถึง 1,000 ปี คนที่คฤหาสน์เฉวียนโยวเพาะสร้างมาเพื่อเข้าสู่แดนสวรรค์ใตโบราณระดับกลางโดยเฉพาะนั้น กลับไม่ได้ติด 20 อันดับแรกมาเกือบปีแล้ว
‘เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ถึง 7 ประการแต่กลับไม่ติด 20 อันดับแรกมาเกือบปี…ดูเหมือนขุนนางอมตะ 10 ทิศที่คฤหาสน์อมตะอื่นๆเพาะสร้างมาก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันสินะ’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ไม่ยากว่า ยอดฝีมือของคฤหาสน์อมตะระดับ 6 อื่นๆที่เพาะสร้างไว้สำหรับแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเป็นพิเศษ ก็ไม่ใช่เล่นๆเลย
คฤหาสน์อมตะระดับ 6 เหล่านั้น ท่าทางจะมียอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 7 ประการหรือกระทั่งมากกว่าเป็นแน่!
หาไม่แล้วด้วยพลังฝีมือของโจวหงเจี๋ยไฉนกับอีแค่ 20 อันดับแรกยังทำไม่ได้?
สำหรับเรื่องที่ฉีเทียนหมิงบอกว่าโจวหงเจี๋ยเป็นศิษย์หลัก ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
เขารู้มาว่าในคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น นอกจากขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เพาะสร้างไว้เป็นพิเศษ ผู้ที่ต่ำกว่าขอบเขตราชาอมตะ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ฝ่ายนอกทั้งสิ้น
เนื่องจากเกณฑ์การทดสอบของคฤหาสน์เฉวียนโยวสำหรับเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในนั้นมันสูงมาก ทำให้มีเพียงขุนนางอมตะ 10 ทิศชนชั้นสุดยอดฝีมือไม่กี่คนเท่านั้นถึงจะผ่านได้ ส่วนมากแล้วมีแต่ผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะแล้วเท่านั้นจึงจะเป็นศิษย์ฝ่ายในได้สำเร็จ
สำหรับศิษย์หลักนั้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่บรรลุขอบเขตราชาอมตะทั้งสิ้น และอายุยังต่ำกว่า 1,000 ปีอีกด้วย ไม่เพียงแต่พลังฝีมือจะร้ายกาจ แต่พรสวรรค์และความสามารถยังสูงส่งไม่ธรรมดา
โจวหงเจี๋ยจริงอยู่ที่ยังเป็นแค่ขุนนางอมตะ 10 ทิศ แต่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ได้ถึง 7 ประการแล้ว เรียกว่ามันเข้าใจความลึกซึ้งได้มากกว่าศิษย์หลักหลายๆคนเสียอีก
และเหตุไฉนที่ด่านพลังฝึกปรือของโจวหงเจี๋ยยังติดอยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ ก็เป็นเพราะคฤาหสน์เฉวียนโยวให้อีกฝ่ายระงับด่านพลังฝึกปรือเอาไว้
หาไม่แล้วมันคงทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะไปเนิ่นนาน
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะได้เป็นศิษย์หลัก
“ม่านแสงที่เป็นดั่งจอภาพกลางลานตรงนั้น จะแสดงอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเอาไว้…แน่นอนว่าที่เจ้าเห็นเป็นแค่อันดับในเดือนนี้เท่านั้น หากจะดูอันดับย้อนหลังเจ้าต้องไปตรวจสอบด้านใน”
ขณะแนะนำ ฉีเทียนหมิงก็เดินนำต้วนหลิงเทียนเข้าไปยังตำหนักหลังใหญ่
พอเห็นฉีเทียนหมิงพาต้วนหลิงเทียนมาด้วยตัวเองแบบนี้ เหล่าศิษย์ของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่ยืนออกันในลานก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยในตัวตนของต้วนหลิงเทียน “เฮ่ พวกเจ้าเคยเห็นเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นรึเปล่า? ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย…”
“ถึงกับมีผู้ตรวจการฉีพามาด้วยตัวเองแบบนี้ ท่าทางมันจะไม่ใช่คนธรรมดา”
“ด้วยมีผู้ตรวจการฉีเดินข้างๆมัน ข้าก็ได้แต่แผ่สำนึกเทวะไปให้ใกล้ที่สุดไม่กล้าตรวจสอบมันตรงๆ…อย่างไรก็ตามข้าสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายเลือดเนื้อของมันยังอ่อนวัยนัก…เหมือนมันจะยังมีอายุไม่ถึง 100 ปี”
“อายุไม่ถึง 100 ปี?”
“อั้ย ข้าล่ะหลงคิดว่าเจ้านั่นคือคนนอกที่ผู้ตรวจฉีพามาช่วยคฤหาสน์เฉวียนโยวเราช่วงชิงอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเสียอีก…ดูเหมือนจะเป็นข้าคิดมากไปเอง”
“พาคนนอกมาช่วย? คิดหาคนนอกมาช่วยมันทำได้ง่ายๆที่ไหนกัน…ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ผู้ฝึกตนอิสระอายุไม่ถึงพันปียากนักจะเป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศอันร้ายกาจ ต่อให้มีก็ไม่วายโดนคฤหาสน์อมตะระดับ 6 อื่นๆช่วงชิงไปนานแล้ว ไหนเลยจะเหลือมาถึงคฤหาสน์เฉวียนโยวเราง่ายๆ”
…
ฟังจากที่เหล่าศิษย์คุยกันแล้ว ดูเหมือนแต่ละคนนจะสงสัยกับตัวตนของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย
ท้ายที่สุดแล้วฉีเทียนหมิงก็คือ 1 ใน 10 ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยว คนธรรมดาไหนเลยจะถูกอีกฝ่ายพามาด้วยตัวเองแบบนี้ได้!
โดยเฉพาะเมื่อทราบว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะอายุไม่ถึงร้อยปี พวกมันก็ต้องคิดหนัก
“หาคนนอกมาช่วย?”
ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งจะเดินเข้าตำหนักตามฉีเทียนหมิงมา ยังพอได้ยินเสียงคุยกันของเหล่าศิษย์ในลาน จึงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง
จากนั้นเขาก็ส่งเสียงผ่านพลังไปถามฉีเทียนหมิงทันที “ผู้เฒ่าฉี เรื่องเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง สามารถหาคนนอกมาช่วยได้ด้วยเหรอ?”
“สามารถทำได้”
ฉีเทียนหมิงพยักหน้า “การหาคนนอกมาช่วยไม่ถือว่าผิดกฏแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางแต่อย่างใด…แต่นั่นหมายความว่าเจ้าต้องหาคนนอกมาช่วยให้ได้เสียก่อน ผู้ฝึกตนที่อายุไม่ถึงพันปีและเข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 7 ประการนั้น ไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ”
“และปกติแล้วก็คงมีแต่ผู้ฝึกตนอิสระเท่านั้นที่จะยินดีให้ความช่วยเหลือคฤหาสน์อมตะระดับ 6…สำหรับยอดฝีมือจาก 10 ตระกูลใหญ่ หรือ 5 นิกายอมตะชั้นนำนั่น โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครลดตัวมาช่วยพวกเราเพื่อช่วงชิงอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางแน่”
“นอกจากนั้นทาง 10 ตระกูลใหญ่ ก็ได้กำหนดไว้แล้วว่าศิษย์สาวกในตระกูลห้ามมิให้เข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเด็ดขาด หากถูกพบเจอจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลทันที! ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครเสี่ยงมาช่วย ถึงจะมีก็ต้องมีผลประโยชน์รองรับคุ้มค่าเสี่ยง…”
“แต่ไหนเลยคฤหาสน์อมตะระดับ 6 จะตอบสนองความต้องการของคนจากตระกูลระดับ 5 ได้? เช่นนั้นภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวคงยากที่อัจฉริยะจากตระกูลชั้นนำจะลดตัวลงมาเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเพื่อช่วยคฤหาสน์อมตะระดับ 6…คนนอกที่เราจะหามาช่วยได้ ก็จำกัดแค่ผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดเท่านั้น”
ฉีเทียนหมิงร่ายยาวออกมารวดเดียวจบ ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก
ในบรรดา 10 ตระกูล และ 5 นิกาย แน่นอนว่าย่อมมีอัจฉริยะขอบเขตขุนนางอมตะที่สามารถกวาดล้างแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้ง่ายดาย
เรื่องนี้เขาก็ไม่แปลกใจอะไร
สุดท้ายแล้ว 10 ตระกูล 5 นิกายก็คือขุมกำลังระดับแนวหน้าของแดนสวรรค์ใต้ ไม่ใช่อะไรที่ขุมกำลังธรรมดาจะเทียบได้
กระทั่งองค์กรกะโหลกเลือดก็ไม่อาจทรงพลังเทียบเท่า
หลังฉีเทียนหมิงกล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็เดินติดตามอีกฝ่ายมาถึงด้านในตำหนักแล้ว
พอเข้ามาในตัวตำหนัก เขาก็พบห้องโถงอันกว้างใหญ่ ทั้ง 2 ฟากซ้ายขวามีโต๊ะรับรองคอยให้บริการเรียงรายเป็นตับ และมองไปลึกๆก็พบเวทีศิลาอันมีลวดลายสลับซับซ้อน
“โต๊ะรับรองทั้ง 2 ฟากที่เจ้าเห็นมีไว้สำหรับรับป้ายหยกสะสมคะแนน…และหากเจ้าต้องดูอันดับของเดือนที่ผ่านๆมา เจ้าก็ติดต่อขอดูข้อมูลจากโต๊ะรับรองได้เช่นกัน”
“สำหรับเวทีศิลาด้านในสุดที่มีลวดลาทั้งอักขระซับซ้อนนั่น ก็คือค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ตราบใดที่เจ้ามีอายุไม่ถึงพันปี และมีป้ายหยกสะสมคะแนนของคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา เจ้าก็สามารถใช้มันได้ทันที”
“แต่ละคนสามารถรับป้ายหยกสะสมคะแนนได้แค่ 1 ป้ายต่อเดือนเท่านั้น นอกจากนั้นป้ายหยกสะสมคะแนนจะเก็บคะแนนในแดนสวรรค์ใต้โบราณได้แค่ 10 วัน พอครบกำหนดแล้วหากเจ้ายังอยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ค่ายกลเคลื่อนย้ายในป้ายก็จะส่งตัวเจ้าออกมาทันที และคะแนนในป้ายจะถูกส่งไปยังส่วนกลาง เจ้าได้คะแนนเท่าไหร่ก็เท่านั้น”
หลังเข้ามาในโถงตำหนักอันกว้างใหญ่ ฉีเทียนหมิงก็เริ่มอธิบายให้ต้วนหลิงเทียนรูปว่าโต๊ะบริการทั้ง 2 ฟากซ้ายขวามีไว้ทำอะไร
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับทราบ
“ผู้ตรวจการฉี!”
“ผู้ตรวจการฉี!”
…
ภายในโถงตำหนักก็มีคนที่จำฉีเทียนหมิงได้ไม่น้อย ทั้งหมดก็เร่งประสานมือโค้งคารวะทันที และหลายคนที่ไม่ทันสังเกตเห็นก็หันมาดูชมและเร่งประสานมือคารวะตาม
จากนั้นทุกคนนก็เริ่มจับจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียนข้างๆฉีเทียนหมิงด้วยความสงสัย
ทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรจากศิษย์ที่ลานด้านนอก อยากรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นใครเช่นกัน
ใครกันแน่ ที่ 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวอย่างฉีเทียนหมิงถึงกับต้องพามาด้วยตัวเอง
“ใช่คนนอกที่หามาช่วยหรือไม่?”
หลายคนเริ่มคาดเดาไปในทำนองดังกล่าว
อย่างไรก็ตามพอหลายคนพบว่าอายุของต้วนหลิงเทียนยังไม่ถึงร้อยปี ทั้งหมดก็ปัดความคิดดังกล่าวตกไปทันที และคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นคุณชายนายน้อยที่มีความเป็นมาไม่ธรรมดาแทน
“ลงทะเบียนมอบป้ายหยกสะสมคะแนนให้เขาเสีย”
ฉีเทียนหมิงพาต้วนหลิงเทีนมายังโต๊ะบริการหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวกับชายวักลางคนด้านหลังโต๊ะบริการตรงๆ
ชายวัยกลางคนที่ว่าก็เป็นผู้อาวุโสในคฤหาสน์เฉวียนโยว มันยังอดตะลึงไปไม่ได้เมื่อได้ยินคำสั่งของฉีเทียนหมิง
ลงทะเบียน มอบป้ายหยกสะสมคะแนน?
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็นำป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งได้ออกมาวางไว้บนโต๊ะบริการเบื้องหน้าชายวัยกลางคนอย่างรู้งาน “นี่คือป้ายประจำตัวของข้า ข้าต้องการลงทะเบียนเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง”
เมื่อต้วนหลิงเทียนนำป้ายประจำตัวศิษย์ออกมา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ป้ายประจำตัวของศิษ์ฝ่ายนอก แต่ผู้คนที่ชมดูเรื่องราวในโถงตำหนักก็อดไม่ได้ที่จะซุบซิบคุยกันยกใหญ่
“เจ้าหนุ่มนั่นมันมีป้ายศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวเราด้วย…มันเป็นผู้ใดกันแน่แลดูไม่ธรรมดายิ่งนัก”
“อายุไม่ถึงร้อยปี แต่กลับคิดจะเข้าไปเที่ยวเล่นในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางงั้นหรือ? ทว่ามันถึงกับก็ถูกผู้ตรวจการฉีพามาส่งเป็นการส่วนตัว ทั้งยังมีป้ายศิษย์ฝ่ายนอกอีก…พวกเจ้าเองก็สมควรรู้ว่าถึงจะเป็นป้ายศิษย์ฝ่ายนอกแต่ไม่ใช่จะให้ใครก็ได้”
“มิผิด! ต่อให้เป็นผู้ตรวจการฉี กกระทั่งรองผู้นำทั้ง 3 ก็ไม่มีทางมอบป้ายประจำตัวศิษย์ให้ผู้ใดโดยพลการ ทั้งหมดต้องทำตามขั้นตอนทั้งสิ้น…เว้นเสียแต่จะเป็นท่านผู้นำ หรือจ้าววังทั้ง 9 เข้ามาแทรกแซง”
“เจ้าจะบอกว่า…ชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้ สมควรมีสัมพันกับท่านผู้นำ หรือไม่ก็ท่านจ้าววังทั้ง 9 งั้นหรือ?”
“ไม่ธรรมดาจริงๆ…เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นไม่ใช่คนธรรมดาแน่!”
…
ถึงแม้เสียงกระซิบกระซาบในโถงตำหนักจะไม่ดัง แต่ต้วนหลิงเทียนกับฉีเทียนหมิงก็ได้ยินชัดเจน
ทว่าฉีเทียนหมิงไม่ได้สนใจอะไร
กลับกัน ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าพวกนี้ช่างคิดไปได้
แต่เป็นธรรมดาว่าเขาเองก็รู้ดีว่าไฉนทั้งหมดคิดไปทำนองดังกล่าว ทั้งหมดเป็นเพราะอายุของเขาเอง
คนอายุไม่ถึงร้อยปี คิดเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง หากไม่ใช่เพื่อเข้าไปท่องเที่ยวแล้วจะเข้าไปทำอะไร?
“เจ้าสลักชื่อของเจ้าไว้บนป้ายหยกนี่เสีย และหลังจากข้าตรวจสอบแล้วว่ามันตรงกับชื่อในป้ายประจำตัวเจ้า เจ้าถึงจะหยดเลือดลงนป้ายหยกนั่นได้”
อาวุโสของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่ประจำโต๊ะรับรองยื่นป้ายหยกสะสมคะแนนให้ต้วนหลิงเทียนพลางกล่าว
ต้วนหลิงเทียนที่รับป้ายหยกสะสมคะแนนมา ก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของมันทันที
แม้จะยังไม่ถ่ายทอดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดลงไป แต่แค่ถือเอาไว้ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอาคมขุมหนึ่งที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ด้านในชัดเจน…
ตอนที่ 3125
ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที
ว่าพลังอาคมที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ในป้ายหยกสะสมคะแนน ก็คือพลังจากค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งตัว รวมถึงอาคมเก็บสะสมคะแนน
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ทำการสลักชื่อตัวเองลงบนป้ายหยกสะสมคะแนน และยื่นกลับไปให้อีกฝ่ายนำไปตรวจ หลังชายวัยกลางคนนำป้ายทั้ง 2 มาเทียบชื่อแล้วพบว่าไม่มีปัญหาอะไร มันก็ยื่นป้ายทั้งสองกลับมาให้ต้วนหลิงเทียน
ติ๋ง!
และต้วนหลิงเทียนก็หยดเลือดลงบนป้ายหยกสะสมคะแนนตามที่อีกฝ่ายกล่าวบอกไว้ก่อนหน้าทันที ทันใดนั้นป้ายหยกสะสมคะแนนก็สั่นไหวเบาๆ ไม่นานค่อยสงบลง
‘ต้วนหลิงเทียน…’
ชายวัยกลางคน ผู้อาวุโสของคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็จดจำนามของต้วนหลิงเทียนที่พึ่งเห็นเอาไว้ในใจ
แน่นอนว่าที่ไฉนมันจดจำชื่อต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ก็เพื่อนำมาสืบหาข้อมูล
อย่างไรก็ตามไม่ว่ามันจะครุ่นคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก กระทั่งลองป้อนชื่อลงบนแผ่นค่ายกลจัดเก็บข้อมูลส่วนกลาง ก็ไม่เจอว่ามีนามนี้เคยเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางมาก่อน
ทั้งยังแซ่ ต้วนอีก…
ในบรรดา 10 ตระกูลใหญ่ เหมือนจะไม่มีตระกูลไหนแซ่ต้วนนี่นา…
หรือจะเป็นคนของ 5 นิกาย?
“เอาล่ะ”
ในขณะที่ชายวัยกลางคนหลังโต๊ะรับรองกำลังครุ่นคิดไปเรื่อย ฉีเทียนหมิงก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “ตอนนี้เจ้าสามารถใช้ป้ายหยกสะสมคะแนนของเจ้าเพื่อเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้แล้ว…แต่เจ้าคิดจะเข้าไปตอนนี้ไม่เปลี่ยนใจแน่รึ?”
“อ่า ข้าอยากลองดู”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ก่อนที่จะเดินไปยังเวทีศิลาด้านในโถงอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เวทีศิลาดังกล่าวก็ได้จัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายไปแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเอาไว้ แน่นอนว่าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
“พอเจ้าขึ้นไปยืนบนเวทีแล้ว ก็ถ่ายทอดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเจ้าลงไปในป้ายหยกสะสมคะแนนของเจ้าเสีย ป้ายหยกสะสมคะแนนจะกระตุ้นค่ายกลเคลื่อนย้ายและส่งตัวเจ้าเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางทันที…เมื่อเจ้าถูกส่งตัวไปที่นั่น เจ้าจักพบว่าเจ้าอยู่ในค่ายของคฤหาสน์เฉวียนโยว หากคิดจะเก็บสะสมคะแนน ก็จำต้องออกไปนอกค่ายเสียก่อน”
ต้วนหลิงเทียนเดินขึ้นมาบนเวทีได้ไม่ทันไร เสียงผ่านพลังของฉีเทียนหมิงก็ดังขึ้นในหูเขาอย่างประจวบเหมาะ
ขณะที่ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เขาก็เริ่มมองป้ายหยกสะสมคะแนนในมือ
จากนั้นพอถ่ายทอดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดลงไป เขาก็พบว่าป้ายหยกสะสมคะแนนได้เปล่งพลังสีขาวราวน้ำนมออกมา จากนั้นมวลพลังดังกล่าวก็ปกคลุมไปทั่วเวทีที่เขายืนอยู่ และเริ่มจับตัวกลายเป็นของเหลวไหลเวียนไปตามลวดลายอักขระบนเวที
ครู่ต่อมาลวดลายและอักขระซับซ้อนก็ราวกับจะมีชีวิตขึ้นมา พวกมันเปล่งแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้
หลังแสงสีขาวปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียน พวกมันก็ค่อยๆสลายหายไปราวหมอกควันต้องลม
จนเมื่อแสงขาวจางหายไปหมด ร่างต้วนหลิงเทียนบนเวทีศิลาก็ไม่อยู่แล้ว
“ท่านผู้ตรวจการฉี…มิทราบชายหนุ่มผู้นั้นเป็นใครหรือ? ไฉนท่านถึงกับต้องพามาส่งถึงที่นี่ด้วยตัวเองเล่า?”
ชายวัยกลางคนหลังโต๊ะบริการพอเห็นต้วนหลิงเทียนหายไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาถามฉีเทียนหมิงด้วยน้ำเสียงเคารพ มันสงสัยจริงๆว่าชายหนุ่มชุดม่วงเป็นใครกันแน่ แววตาจึงเต็มไปด้วยความอากรู้อยากเห็นนัก
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
ฉีเทียนหมิงหันไปมองอาวุโสที่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มลี้ลับ จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากห้องโถงตำหนักไปทันที
…
“ที่นี่…แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนที่สองตาเสมือนมืดบอดไปครู่หนึ่ง พอเห็นแสงสว่างอีกครั้งเขาก็หันไปมองรอบๆทันที จึงพบว่าเขาถูกส่งมาปรากฏบนเวทีศิลาในหุบเขาอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง และภายในหุบเขาแห่งนี้ก็มีอาคารเรียบง่ายตั้งอยู่ มีหลายคนยืนสนทนากันนอกอาคาร บ้างก็จับคู่ประลองกันอยู่ อย่างไรก็ตามเห็นชัดว่ายั้งมือกันไว้ไม่ลงมือหนักเกินไป
หลังจากมองสำรวจอยู่สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่า
ไม่มีข้อยกเว้น ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศกันหมด
“พวกมัน…คนของคฤหาสน์เฉวียนโยวหมดเลยงั้นเหรอ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ยากที่เขาจะสังเกตเห็น
บริเวณเอวของขุนนางอมตะ 10 ทิศเบื้องหน้า ล้วนแล้วแต่ห้อยป้ายประจำตัวของคฤหาสน์เฉวียนโยวเอาไว้ทุกคน และไม่ได้เป็นป้ายศิษย์ฝ่ายนอกเหมือนของเขา แต่เป็นป้ายศิษย์ฝ่ายใน
“มีคนพึ่งเข้ามาหรือ?”
และการที่ต้วนหลิงเทียนมาปรากฏตัวในหุบเขาแบบนี้ บางคนก็หันมามองด้วยความสนใจทันที
“เจ้านั่นใครกัน? ข้าไม่เคยเห็นหน้ามันมาก่อนเลย”
“ข้าก็ไม่คุ้นหน้ามันเลย…และข้าเชื่อว่าข้าจดจำขุนนางอมตะ 10 ทิศในคฤหาสน์เฉวียนโยวเราได้หมดทุกคนด้วย”
“อั้ย พวกเจ้าจะไม่รู้จักมันก็ไม่แปลกหรอก…นู่น ไม่เห็นรึไรที่เอวมันห้อยป้ายศิษย์ฝ่ายนอกเอาไว้ พลังฝีมือของมันจักมีสักเท่าไหร่เชียว?”
“นอกจากนั้น…พวกเจ้ายังไม่ได้ตรวจสอบดูหรือ เจ้านั่นอายุมันยังไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ!”
“หือ? อายุไม่ถึงร้อยรึ?”
…
เดิมทีก็มีไม่กี่สิบคนที่สนใจต้วนหลิงเทียน แต่หลังหลายคนเริ่มคุยกันดังเข้า คนอื่นๆก็หันมาให้ความสนใจเขาเช่นกัน และเริ่มคาดเดากันไปเรื่อย
หลังจากนั้นขุนนางอมตะ 10 ทิศทั้งหลายก็หยุดในสิ่งที่กำลังทำอยู่ไม่ว่าจะพูดคุยหรือประลอง และหันมาให้ความสนใจต้วนหลิงเทียนตามคนอื่นๆ
ในคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น ขอเพียงเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศที่มีฝีมือดีหน่อย ก็ไม่ยากอะไรที่จะผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายใน
ด้วยเหตุนี้ขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ฝ่ายในมือดีทั้งสิ้น มีขุนนางอมตะ 10 ทิศไม่กี่คนที่เป็นศิษย์ฝ่ายนอกแต่กล้าเข้ามาเสี่ยงตายที่นี่ เพราะพวกมันอาจพบเจอยอดฝีมือของคฤหาสน์อมตะอื่นๆได้ทุกเมื่อ และถ้าศัตรูร้ายกาจจนไม่ทันได้บดขยี้ป้ายหยกสะสมคะแนนเพื่อหลบหนีออกไปก็จบกัน
เพราะถ้าหนีไม่ทัน ก็เหมือนเอาชีวิตมาทิ้งในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเปล่าๆ
“เจ้าศิษย์ฝ่ายนอกนั่นมันมาทำอะไรที่นี่กัน?”
“มันไม่กลัวตายรึไง?”
…
ขุนนางอมตะ 10 ทิศหลายคนขมวดคิ้วยู่ย่น
หุบเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ตั้งค่ายของคฤหาสน์เฉวียนโยว ดังนั้นคนที่อยู่ที่นี่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นขุนนนางอมตะ 10 ทิศของคฤหาสน์เฉวียนโยว และเป็นศิษย์ฝ่ายในเสียส่วนใหญ่
“เฮ่ เจ้าหนู ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ๆศิษย์ฝ่ายนอกอย่างเจ้าจะมาเที่ยวเล่นนา…”
ศิษย์ฝ่ายในของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนขึ้น ขมวดคิ้วกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงเข้ม
“ใช่! เจ้ารีบกลับไปเถอะ! เกิดทะเล่อทะล่าออกไปด้านนอกแล้วเจอคนของคฤหาสน์อมตะอื่นๆเข้า ข้าเกรงว่าแม้แต่โอกาสที่เจ้าจะทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนเพื่อหนีไปยังจะไม่มี”
ชายวัยกลางคนอีกคนก็กล่าวโน้มน้าวต้วนหลิงเทียน
ได้ยินวาจาเกลี้ยกล่อมให้กลับไปของเหล่าศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยว ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าทั้งหมดดูเบาเขาเพราะป้ายศิษย์ฝ่ายนอกที่ห้อยแขวนอยู่ที่เอวกับอายุ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สนใจเรื่องนี้
หากเขาสนใจคำดูแคลนของผู้อื่น เกรงว่าชีวิตที่อยู่มาหลายปีของเขาคงเสียเปล่าแล้ว…
“ขอบคุณทุกท่านที่เตือนสติข้า…แต่ในเมื่อข้าเลือกจะเข้ามา ข้าก็ไม่มีความคิดที่จะกลับไปเฉยๆ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
หุบเขาแห่งนี้ในฐานะที่เป็นค่ายของคฤหาสน์เฉวียนโยวในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง มันก็มีค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับไปคฤหาสน์เฉวียนโยวจัดตั้งเอาไว้เช่นกัน และยังเป็นเวทีศิลาที่อยู่ข้างๆเวทีศิลาที่ต้วนหลิงเทียนยืนอยู่
พอกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็มองไปทางออกหุบเขา จากนั้นร่างเขาก็อันตรธานหายไปโผล่ห่างจากจุดเดิม 100 หมี่ จากนั้นก็วูบหายไปโผล่ห่างออกไป 100 หมี่อีกครั้ง
ไม่ทันไร ร่างต้วนหลิงเทียนก็หายไปจากสายตาทุกคนในหุบเขาแล้ว
“เอ่อ…”
เห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน เหล่าศิษย์ฝ่ายในของคฤหาสน์เฉวียนโยวก็อดไม่ได้ที่จะอึ้ง เพราะการเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนมันแปลกประหลาดมาก พวกมันไม่อาจเห็นร่องรอยใดๆได้เลย
“นั่นมัน…หรือจะเป็นความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ ของกฏมิติ?”
“กฏมิติ? ในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกมีคนที่เข้าใจกฏมิติด้วยงั้นเหรอ?”
“หากมันเข้าใจกฏมิติจริงๆต่อให้เป็นศิษย์ฝ่ายนอกก็ไม่มีทางไร้ชื่อเสียงเรียงนามแน่…ในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกที่โดดเด่น ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครที่เข้าใจกฏแห่งมิติจะมีลักษณะเช่นมัน”
“หรือเจ้านั่น…มันพึ่งจะเข้าใจกฏมิติเฉพาะความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ?”
“เป็นไปไม่ได้! ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่กฏมิติเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ยากเข้าใจ จนความลึกซึ้งเคลื่อนมิติไม่ใช่อะไรที่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ…ต่อให้มันเป็นศิษย์ฝ่ายนอกที่เข้าใจกฏมิติจริงๆ ด้วยอายุของมันเต็มที่ก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติแค่ 2 ประการเท่านั้น…และเจ้าว่าคนที่เข้าใจความลึกซึ้งแค่ 2 ประการยังจะกล้าเข้ามาที่นี่หรือไร?”
“มิผิด! ข้าเคยเห็นศิษย์ฝ่ายนอกที่เข้าใจกฏมิติ 2 ประการคนหนึ่ง เมื่อ 3 เดือนก่อนด่านพลังของมันยังพึ่งอยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ 8 ชะตาเท่านั้น และไม่ได้มีหน้าตาเหมือนเจ้าหนุ่มเมื่อครู่แน่…ยิ่งไปกว่านั้นอย่าว่าแต่ขุนนางอมตะ 8 ชะตาเลย ให้เป็นขุนนางอมตะ 9 ตำหนักหรือขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งได้แค่ 2-3 ประการ มีหรือจะหาญกล้าเข้ามาที่นี่?”
…
ความเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียนทำให้เหล่าศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวอื้ออึงไม่น้อย และต่างสงสัยในตัวตนของต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างมาก
“ข้าจะออกไปถามคนด้านนอกดู…”
ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งทนความอยากรู้ไม่ไหว ก็โดดขึ้นเวทีศิลา จากนั้นก็เปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อกลับออกไปด้านนอกทันที และไม่นานนักมันก็กลับมาอีกครั้งบนเวทีศิลาข้างๆ
หลังจากมันกลับมา ก็พบพานสายตาอยากรู้ของศิษย์จำนวนมากที่จับจ้องมาที่มันเขม็ง “เมื่อครู่ข้าออกไปถามด้านนอกดูแล้ว…ทั้งหมดบอกว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นคนที่ผู้ตรวจการฉีพามาส่งด้วยตัวเอง น่าจะเป็นคุณชายนายน้อยที่มีความเป็นมาไม่ธรรมดา คิดมาเที่ยวชมมากกว่า”
ได้ยินคำพูดของศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งกลับมา หลายคนก็ตระหนักได้ว่าเป็นเรื่องราวใด
“คุณชาย นายน้อยมาเที่ยว? ไม่แปลกใจเลยที่ไฉนมันถึงกล้าเข้ามาในนี้ทั้งที่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี…”
“อายุไม่ถึงร้อยปี? ให้ตายข้าเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว…เมื่อครู่มันใช้เคลื่อนมิติ ข้าก็ไม่ทันสัมผัสว่าด่านพลังมันอยู่ขอบเขตใด หรือมันจะเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว?”
“ขุนนางอมตะ 10 ทิศอายุไม่ถึง 100? เจ้าล้อเล่นหรือ?”
“เจ้านั่นมันกล้าเข้ามาที่นี่ทั้งที่อายุไม่ถึงร้อยปี…มันมั่นใจอะไรจะขนาดนั้น? หรือไม่กลัวตกตายอย่างโง่งม?”
…
เหล่าศิษย์ฝ่ายในคุยกันไปคุยกันมาก็ได้แต่ส่ายหัว พวกมันรู้สึกว่าชายหนุ่มชุดม่วงเมื่อครู่ช่างหาเรื่องวอนตายดีแท้
“ข้าว่าพวกเราตามมันไปดีหรือไม่? หากมันมีความเป็นมาไม่ธรรมดาจริง เกิดพวกเราช่วยชีวิตมันไว้ ไม่แน่พวกเราอาจได้รับความโปรดปรานจากมัน อย่างไรเสียลองมันมีผู้ตรวจการฉีพามาส่งด้วยตัวเอง ข้าว่าความเป็นมามันไม่ใช่ชั่วแน่ๆ”
ชายชราคนหนึ่งกล่าวเสนอจบ ก็เหินร่างพุ่งลิ่วขึ้นฟ้า ไล่ตามต้วนหลิงเทียนไปทันที
จากนั้นก็มีอีกหลายคนที่เหินร่างตามไป
เรื่องทั้งหมดต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนออกจากหุบเขามา เขาก็สุ่มมุ่งหน้าไปทางหนึ่ง ไม่นานก็เหินร่างมาถึงป่าหินเปลี่ยวร้าง
หลังเหินร่างผ่านป่าหินแล้ว เขาก็พบที่ราบอันเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังสีดำราวตะกรัน
จากสายตา ต้วนหลิงเทียนก็มองออกได้ไม่ยากว่าเป็นคราบเลือดที่แห้งไปนานแล้ว
“ดูเหมือนจะมีคนตายที่นี่ไม่น้อยเลยทีเดียว…”
ตอนที่ 3126
‘แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา…’
‘ที่นี่จะอย่างไรก็เป็นที่ราบไร้จุดอับ พอมาถึงที่นี่ก็ไม่มีที่ให้หลบอะไร เกิดเจอคนต่างคฤหาสน์ขึ้นมาก็ต้องปะทะกันเป็นธรรมดา…’
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรที่เห็นคราบเลือดแห้งกรังมากมายแถวนี้
เพราะลักษณะภูมิประเทศที่ราบแบบนี้ ก็เสมือนถูกกำหนดให้เป็นทุ่งสังหาร
ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง มีเพียงช่วงชิงคะแนนสะสมของผู้อื่นเท่านั้นถึงจะเพิ่มคะแนนสะสมของตัวเองได้ และคนในคฤหาสน์อมตะเดียวกันก็ไม่อาจแบ่งปันคะแนนให้กันได้
เช่นเดียวกับต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน
ต่อให้จะมีศิษย์ของคฤหาสน์เฉวียนโยวมาทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนใกล้ๆหมายส่งคะแนนให้เขา คะแนนในป้ายหยกของเขาก็จะไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างไร
ไฉนจึงมีกฏแบบนี้…ก็เพื่อป้องกันให้ไม่เกิดการส่งคะแนนให้กันจนติด 20 อันดับแรก!
แน่นอนว่าหากเป็นคนต่างคฤหาสน์อมตะ ก็สามารถถ่ายโอนคะแนนให้กันได้ แต่ก็มีไม่กี่คนที่คิดจะทำอะไรแบบนั้น
หนึ่งเลยก็คือ การทำแบบนั้นมันเสี่ยงมาก หากถูกพบเจอก็มีโทษถึงประหาร!
เหตุผลที่ 2 ก็คือ ต่อให้เสี่ยงทำอะไรแบบนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่วายเอาชีวิตไปเสี่ยงอย่างเสียเปล่า
อย่างไรก็ตามมีคำกล่าวที่ว่า ความมั่งคั่งมาพร้อมความเสี่ยง อยู่…
แม้จะมีไม่กี่คนที่เลือกจะทำอะไรแบบนั้น แต่ก็มีคนที่ลอบกระทำการดังกล่าวอยู่ไม่ขาด
แน่นอนว่าคนที่คิดจะทำอะไรแบบนั้น อย่างดีก็ทำแค่ครั้งสองครั้ง ไม่มีใครคิดจะขายคะแนนทุกรอบโดยไม่จำเป็น เพราะหากพลาดชึ้นมาราคาที่ต้องจ่ายก็คือชีวิต
‘ข้างหน้าเป็นพื้นที่ป่าเขางั้นรึ…’
หลังจากเดินทางต่อมาสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง สภาพแวดล้อมในเขาแลดูสลับซับซ้อนไม่เบา เหมาะแก่การซุ่มโจมตีเป็นที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วผู้ที่เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางก็ล้วนเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศเหมือนกันทั้งสิ้น จึงยากที่จะปิดกั้นอำพรางจากสำนึกเทวะผู้อื่นได้
‘เมื่อครู่ข้าผ่านป่าหินมา จากนั้นก็เป็นที่ราบ มาตอนนี้ก็เจอพื้นที่ภูเขา…ดูเหมือนสภาพภูมิประเทศของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางจะมีหลากหลาย สร้างมาเอื้อให้ผู้คนต่อยตีเข่นฆ่ากันโดยแท้…’
ภูมิประเทศนั้น ตราบใดที่สอดคล้องกับกฏที่ใช้ มันก็มีส่วนช่วยได้
‘หืม?’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดจะลองเข้าไปสำรวจภายในภูเขาดู ร่างก็ชะงักไปเล็กน้อยคล้ายพบเจออะไรบางอย่างด้านหลังภูเขาเบื้องหน้า จึงหยุดร่างลงและรอดูทันที
ครู่ต่อมา
ฟุ่บ!
จากด้านหลังภูเขาเบื้องหน้า ปรากฏร่างหนึ่งเหาะเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วสูง พริบตาก็มาพุ่งมาดักด้านหลังของเขา ยังมองจ้องเขาตาเขม็งอีกด้วย
‘ป้ายนั่น…’
ร่างที่เหาะมาดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงจะมองออกว่ามีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม แต่ยังเห็นป้ายที่ห้อยแขวนที่เอวของอีกฝ่ายชัดเจน ‘มันเป็นคนของคฤหาสน์หลิ่วสือ’
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังเห็นอักษร 2 ตัวที่สลักไว้ใต้ คำคฤหาสน์หลิ่วสืออีกด้วย
หงจี!
เห็นได้ชัดว่าคนที่เหินร่างมาดักหลังเขา ก็คือศิษย์ของคฤหาสน์หลิ่วสือนามว่า หงจี
“เจ้า…”
หงจีที่เหินร่างมาหยุดอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน เมื่อครู่สายตามันก็เหลือบไปเห็นป้ายที่ห้อยแขวนบริเวณเอวของต้วนหลิงเทียนขณะที่อ้อมมาดักด้านหลัง…
ต่อมาสีหน้าท่าทีเคร่งขรึมของมันก็เริ่มผ่อนคลายลง “เจ้าเป็นศิษย์ฝ่ายนนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวงั้นเหรอ?”
จากนั้นหงจีก็หันไปมองภูเขาด้านหลัง จากนั้นก็เอ่ยออกเสียงดังว่า “ออกมาเถอะ…เจ้านี่เป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยว”
ฟุ่บ!
แทบจะทันทีที่เสียงหงจีดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีคนเหินร่างออกมาจากทิศทางที่หงจีพุ่งเหาะออกมา
เหมือนกับหงจี อีกฝ่ายมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม
และเมื่อดูจากป้ายที่ห้อยแขวนไว้ที่เอว ก็รู้ว่าเป็นศิษย์ของคฤหาสน์หลิ่วสือนามว่า ถงฉี่ซาน
“ศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยว?”
หลังถงฉี่ซานปรากฏตัวขึ้น มันก็มาหยุดลงเบื้องหน้าเขา เรียกว่ามันกับหงจีเสมือนกำลังกระหนาบหน้าหลังเขาไม่ให้คิดหนี ถงฉี่ซานที่ว่ายังมองจ้องเขาไม่ว่างตา คิ้วขดย่นเป็นปมหลวมๆ
“เจ้าหนู ศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวเช่นเจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่?”
หงจีเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ในเมื่อข้าเข้ามาที่นี่แบบนี้ เป็นธรรมดาว่าต้องคิดแข่งขันแย่งชิงคะแนน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ
“เจ้า…ศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยว คิดมาแข่งขันชิงคะแนน?”
ถงฉี่ซานที่มองต้วนหลิงเทียนอยู่สองตาถึงกับเบิกโพลง ใบหน้าฉายชัดถึงความตกตะลึง “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่…ว่าตอนนี้เจ้ามีกี่คะแนนแล้ว?”
ปกติแล้ว มันกับหงจีคงลงมือทันที ไม่คิดสนทนาอะไรกับคู่ต่อสู้แบบนี้ ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะเร่งรุดหลบหนีไป
แต่ทว่าวันนี้เหยื่อที่มันกับหงจีพบเจอ กลับเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยว มันจึงไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะมีปัญญารอดพ้นเงื้อมมือพวกมันไปได้
สำหรับเรื่องที่อีกฝ่ายจะทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนเพื่อหลบหนี มันกับหงจีก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะมันกับหงจีไม่ใช่ฆาตกรฆ่าคนไม่เลือกหน้า
อีกฝ่ายไม่ได้มีความแค้นความเกลียดชังอะไรกับมัน หากอีกฝ่ายไม่คิดฆ่ามันและยินดีที่จะทำลายป้ายหยกส่งมอบคะแนนให้ พวกมันก็ไม่คิดเข่นฆ่าอีกฝ่าย
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง…และพวกเจ้าก็คือคนแรกกับคนที่ 2 ที่ข้าพบเจอนอกเหนือจากคนของคฤหาสน์เฉวียนโยว”
ต้วนหลิงเทียนตอบเสียงเบา
“ค่ายคฤหาสน์เฉวียนโยวสมควรอยู่ใกล้ๆสินะ…นี่เจ้าคงพึ่งออกมาเลยกระมัง?”
ถงฉี่ซานรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง เมื่อเจอชายหนุ่มที่แลดูไม่ต่างอะไรจากตัวโง่งมไม่กลัวตายแบบนี้
“ใช่แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เหอะๆ ข้าไม่คิดเลยว่าจะเจอหน้าใหม่แบบนี้…เจ้าหนู เจ้าทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนของเจ้าแล้วออกไปเถอะ…โชคดีนักที่เจ้ามาเจอพวกเรา หากเป็นคนอื่นไม่แน่ว่าพวกมันจะปล่อยให้เจ้าจากไปทั้งยังมีชีวิต”
หงจีมองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าว วาจาของมันบ่งบอกชัดเจนว่าให้ต้วนหลิงเทียนทำลายป้ายหยกเพื่อมอบคะแนนให้พวกมัน แล้วจากไปเพราะอาคมส่งตัวออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง…
“ให้ตายเถอะข้าพึ่งเห็น…เจ้าหนู นี่เจ้าไม่ใช่แค่ศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้น แต่เจ้ายังอายุไม่ถึง 100 ปีด้วยเรอะ!?”
ถงฉี่ซานที่พึ่งแผ่สำนึกเทวะออกมาตรวจสอบต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงอีกรอบเมื่อพบอายุของต้วนหลิงเทียน
“อายุไม่ถึงร้อยปี!?”
หงจีถึงกับอึ้งไปไร้คำจะกล่าวอยู่พักหนึ่ง “เจ้าหนูเอย…นี่เจ้าว่างไม่มีอะไรทำเลยเข้ามาเสี่ยงตายเล่นรึไงหา? อายุไม่ถึงร้อยปียังกล้ามาแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง…ต่อให้คนในนี้จะไม่ใช่ฆาตกรรักการฆ่าทุกคน แต่หากเจ้าเจอคนของคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ที่บาดหมางกับคฤหาสน์เฉวียนโยวเจ้า ขอเพียงมันร้ายกาจหน่อย มันไหนเลยจะปล่อยเจ้าไปเป็นๆ!”
“รีบทุบป้ายหยกของเจ้าแล้วไปซะเถอะ…หรือจะให้พวกเราช่วยทุบ?”
ถงฉี่ซานโบกมือให้ต้วนหลิงเทียนส่งๆพลางส่ายหัว เห็นต้วนหลิงเทียนยังนิ่งไม่พูดจา มันก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เสียงยังเข้มขึ้น
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มคลี่ยิ้มออกมา
เห็นรอยยิ้มที่คลี่กางขึ้นมาบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน ถงฉี่ซานกับหงจีก็ผงะ ก่อนหงจีจะเอ่ยถามออกมาตาปริบๆ “เจ้า…ยังมีหน้ามายิ้มได้อีก!”
ต้วนหลิงเทียนที่คลี่ยิ้มอยู่ก็หันไปมองหงจี พลางกล่าว “พวกเจ้านับว่าใจดีกันจริงๆ…เอาล่ะ ข้าจะไม่ลงมือทำร้ายพวกเจ้าแล้วกัน พวกเจ้ารีบทำลายป้ายหยกแล้วออกไปเองเถอะ”
ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ต้วนหลิงเทียนก็เห็นม่านแสงที่ลานด้านนอกตำหนักเคลื่อนย้ายเช่นกัน และยังกวาดตาชมมองไปเรียบร้อย
ม่านแสงดังกล่าวก็คือตารางจัดอันดับของคนที่เข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง
แน่นอนว่าตารางจัดอันดับดังกล่าว แสดงแค่ 100 อันดับแรกเท่านั้น
กระนั้นต้วนหลิงเทียนก็จดจำชื่อของทุกคน รวมถึงต้นสังกัดด้านหลังชื่อได้ชัดเจนว่าใครมาจากคฤหาสน์อมตะใดบ้าง
หงจี ถงฉี่ซาน…
เขาไม่เห็นชื่อทั้งคู่อยู่บนตารางจัดอันดับ
กล่าวได้ว่าทั้งคู่ไม่ได้ติดอยู่ใน 100 อันดับแรกของขุนนางอมตะที่เข้ามาแข่งขันช่วงชิงคะแนนในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง
ตัวตนเช่นนี้ต่อให้ร่วมมือกัน ก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามเขาแม้แต่นิดเดียว
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตัดความเป็นนไปได้เรื่องที่ทั้งคู่พึ่งจะเข้ามายังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางไม่นาน จึงยังไม่ทันเก็บคะแนน ก็เลยไม่ติด 100 อันดับแรกออกไป
แต่ถึงกระนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดว่าทั้งคู่จะร้ายกาจอะไรมากมาย
เพราะในสายตาของเขา
ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางที่เต็มไปด้วยภาวะแข่งขันแบบนี้ หากเป็นยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศที่มั่นใจในตัวเอง หากไม่มีเหตุจำเป็นย่อมไม่คิดจะร่วมมือกับใคร เพราะเอาไปพูดให้ใครฟังก็คงไม่มีใครยกย่อง
“มัน…มันจะไม่ลงมือทำร้ายเรา?”
“ให้พวกเราบดขยี้ป้ายหยกกันเอง”
พอเสียงกล่าวต้วนหลิงเทียนดังออกมาจบคำ ไม่ว่าจะหงจีหรือถงฉี่ซานก็ชักสีหน้าเลื่อนลอย จากนั้นพอรู้สึกตัวก็หันมามองหน้ากันเอง สีหน้ายังทำราวกับพึ่งเห็นผีมาหยกๆ
“เจ้าหนูนี่…มันเสียสติไปแล้วหรืออย่างไรกัน?”
“เหอๆศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ดันเข้ามาที่นี่ กล่าวไปเรื่องนี้ยังต่างอะไรจากคนเสียสติ…หรือมันจะเสียสติไปแล้วจริงๆ?”
“ดูมันทำหน้าเข้า ท่าทางมันไม่คิดจะทำลายป้ายหยกให้พวกเราแต่โดยดี…ท่าทางพวกเราคงต้องทุบป้ายหยกให้มันแล้วล่ะ…”
“เอาล่ะ นานๆทีจะเจอคนดื้อรั้นแบบนี้สักครั้ง แต่อย่างไรเสียมันก็ยังเยาว์นัก เพียงทุบตีสั่งสอนเบาะๆแล้วส่งมันออกไปเถอะ เผื่อมันจะได้สติสตังกลับมาบ้าง วันหลังจะได้ไม่ห้าวเข้ามาหาเรื่องตายแบบนี้อีก…”
…
หลังหงจีกับถงฉี่ซานส่งเสียงผ่านพลังคุยกันสักพัก ถงฉี่ซานก็พยักหน้า ให้หงจีลงมือจัดการ
ในสายตาของพวกมัน กับอีแค่ศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวอายุไม่ถึงร้อย คงไม่ต้องให้พวกมันถึงขั้นกลุ้มรุม อาศัยแค่คนใดคนหนึ่งก็ควรจัดการได้ง่ายๆ
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
กฏที่หงจีเชี่ยวชาญก็คือกฏแห่งทอง พอลงมือมันก็ใช้ออกด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง 3 ประการทันที ดาบสีทองเล่มหนึ่งควบแน่นกระชับในมือ ตวัดฟันสร้างข่ายพลังดาบจู่โจมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน!
อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับข่ายพลังดาบของหงจี ต้วนหลิงเทียนยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง
พริบตากระบวนท่าของหงจีก็เจียนบรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียนแล้ว
“เฮ่ย เจ้ายั้งมือเร็ว!”
เห็นฉากดังกล่าว ถงฉี่ซานก็เร่งตะโกนออกมาปรามสหายทันที ด้วยกลัวว่าหงจีจะพลั้งมือฆ่าเด็กน้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่อายุไม่ทันถึง 100 ปีคนนี้ไปอย่างไม่ตั้งใจ
ถึงแม้ว่าการเข่นฆ่าศัตรูที่นี่จะไม่ถือว่ามีความผิด และคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ไม่อาจมาเอาเรื่องอะไรพวกมันได้
แต่เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยเบื้องหน้านั้น อ่อนแอเสียจนไม่อาจตอบสนองการโจมตีส่งๆของหงจีได้ด้วยซ้ำ เช่นนั้นมันรู้สึกกระดากใจที่จะเข่นฆ่ารังแกคนอ่อนแอเช่นนี้อยู่บ้าง
“งามไส้แล้วไง! ไอหนูนี่มันอ่อนด้อยขนาดนี้เชียว!?”
พอถงฉี่ซานโพล่งเตือนออกมา หงจีก็หน้าเสียไปทันทีด้วยไม่คิดว่าแค่การลงมือเบาะๆแบบนี้อีกฝ่ายจะถึงกับตอบสนองอะไรไม่ทัน มันก็ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม ทั้งรีบถอนรั้งพลังคืนกลับทันที
อย่างไรก็ตามในขณะที่ข่ายดาบสีทองของมันเริ่มอ่อนจางลง ลูกตามันก็หดเล็กลงโดยพลันด้วยความตกใจ!
และเพราะความตกใจดังกล่าว ทำให้มันลืมเรื่องถอนรั้งพลังไปหมดสิ้น
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
ข่ายพลังดาบพุ่งแหวกอากาศไปเสียงดัง!
ตอนที่ 3127
ก่อนที่ข่ายพลังดาบของหงจีจะบรรลุเป้าหมายนั้น ร่างในชุดสีม่วงกลับอันตรธานหายไปในความว่างเปล่า!
เช่นนั้นข่ายดาบอันเกรี้ยวกราดจึงได้แต่จู่โจมทำร้ายสายลม ล้มเหลวในการทำอะไรเป้าหมายโดยสมบูรณ์
“นี่มัน…อะไรกัน!?”
ที่ไฉนหงจีถึงได้ตกใจจนลืมถอนรั้งพลังนั้น เนื่องเพราะเห็นต้วนหลิงเทียนหายไปต่อหน้าต่อตานั่นเอง
“หงจี ซ้ายมือเจ้า!!”
จนเมื่อเสียงของถงฉี่ซานโพล่งดังขึ้น หงจีจึงเร่งตอบสนองมองไปตามคำชี้นำ สุดท้ายจึงพบว่าร่างในชุดสีม่วงได้ลอยห่างออกไปทางซ้าย 100 หมี่จากจุดเดิม
ทว่าอีกฝ่ายหลบข่ายพลังของมันอย่างไร เคลื่อนไหวไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง มันไม่อาจมองเห็นร่องรอยอะไรได้เลย
ราวกับอีกฝ่ายหายไปในความว่างเปล่า แล้วไปปรากฏตัวจากอากาศธาตุ ณ จุดนั้นในฉับพลัน
“เจ้า…เมื่อครู่เจ้าเห็นความเคลื่อนไหวของมันไหม?”
หงจีกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ค่อยเอ่ยยถามถงฉี่ซานออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่เลย…”
ถงฉี่ซานส่ายหัวไปมา ก่อนจะตอบออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากข้าดูไม่ผิด…ความเคลื่อนไหวของมันเมื่อครู่สมควรเป็นความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ ของกฏแห่งมิติ”
“พลังจากความลึกซึ้งเคลื่อนมิติของกฏแห่งมิตินั้น ระยะทางไม่ได้อิงกับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่าง ขอเพียงแค่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น ก็จะสามารถเคลื่อนไหวไปจุดใดก็ได้ในรัศมี 100 หมี่…”
“แต่เป็นธรรมดาว่ายิ่งด่านพลังฝึกปรือสูงเท่าใด ความถี่ในการใช้งานมันก็จะเพิ่มขึ้น…”
“กล่าวได้ว่าพลังฝึกปรือมิเกี่ยวกับระทาง หากแต่ผู้ใช้สามารถใช้มันได้ติดต่อแค่ไหน ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเป็นพลังขับเคลื่อน”
ฟังจากคำพูดของถงฉี่ซานแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ล่วงรู้เรื่องความลึกซึ้งเคลื่อนมิติของกฏแห่งมิติไม่น้อย
“ความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ…”
ได้ยินคำพูดของถงฉี่ซาน หงจีพลันตระหนักได้ว่าเป็นเรื่องราวใด “มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนความเคลื่อนไหวของมันถึงได้น่ากลัวปานภูตผี ที่แท้ก็เป็นพลังจากความลึกซึ้งเคลื่อนมิตินี่เอง…”
“อย่างไรก็ตาม ความลึกซึ้งเคลื่อนมิตินั่น มิใช่ความลึกซึ้งที่ยากเข้าใจที่สุดในกฏแห่งมิติหรือไร? แล้วไฉนเด็กน้อยอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นมันถึงเข้าใจได้เล่า?”
หลังส่งเสียงผ่านพลังคุยกับถงฉี่ซานแล้ว หงจีก็หันไปมองชายหนุ่มชุดม่วงอีกครั้ง
“ข้าว่ามันสมควรพบพานโชควาสนาอันใดบางอย่าง ทำให้หลังเข้าใจความหมายแห่งมิติแล้ว ก็โชคดีเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติได้เป็นอย่างแรก”
ถงฉี่ซานกล่าวเสียงเข้ม “แต่ถึงกระนั้น ขอเพียงด่านพลังฝึกปรือมันไม่ได้ด้อยไปกว่าข้ากับเจ้า หากพวกเราคิดไล่ตามจับตัวมัน นับว่ายากเย็นยิ่งกว่าให้คนธรรมดาปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก…”
“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมันอายุไม่ถึงร้อยปี เช่นนั้นด่านพลังฝึกปรือของมันก็ไม่น่าจะทัดเทียมข้ากับเจ้าได้…ขอเพียงพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันด้อยกว่าพวกเรา ต่อให้มันจะสามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาได้ แต่ก็ต้องใช้เวลารวมพลัง…จึงไม่ใช่เรื่องยากที่พวกเราจะไล่มันได้ทัน”
กล่าวถึงจุดนี้สองตาถงฉี่ซานก็ทอประกายสว่างจ้า เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจในด่านพลังฝึกปรือของมันกับหงจี
หงจีพยักหน้ารับ ค่อยหันไปมองชายหนุ่มชุดม่วงไม่ไกล พลางเอ่ยออกอีกครั้ง “เจ้าหนูจากคฤหาสน์เฉวียนโยว…ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติทั้งที่ยังอายุไม่ถึงร้อยปีได้…”
“เพียงแต่ หากเจ้าคิดว่าอาศัยความลึกซึ้งเคลื่อนมิตินั่น จักสามารถหลบหนีพวกเราได้ล่ะก็ เช่นนั้นเจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไป!”
เสียงของหงจีเต็มไปด้วยความถือดี เย่อหยิ่ง
“หนี?”
ต้วนหลิงเทียนที่วูบร่างหลบการโจมตีของหงจีไปได้อย่างอัศจรรย์ อดไม่ได้ที่จะผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมาดังร่า
“ข้าไปพูดตั้งแต่เมื่อไหร่…ว่าข้าจะหนี?”
จากนั้นรอยยิ้มสดใสก็เริ่มคลี่กางขึ้นบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน
“เอาล่ะ ตอนนี้เชิญเจ้าลงมือเข้ามาได้เต็มที่…และเห็นแก่ที่พวกเจ้าใจดีไม่คิดฆ่าข้า เช่นนั้นข้าเองก็จะเมตตาละเว้นพวกเจ้าเหมือนกัน”
ขณะกล่าวประโยคท้าย ใบหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงคลี่กางร้อยยิ้มสดใสไม่ห่างหาย
“เมตตาละเว้นพวกเรา?”
ดั่งคำกล่าว อรหันต์ยังมีวันพิโรธ นับประสาอะไรกับหงจีและถงฉี่ซาน พอได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ก็เริ่มมีโมโหขึ้นมาแล้ว
ศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวผู้นี้ ไม่เพียงแต่จะไม่ยอมรับความหวังดีของพวกมัน แต่ยังหาญกล้ากล่าวคำว่าจะเป็นฝ่ายเมตตาละเว้นพวกมัน?
หรืออีกฝ่ายยังไม่ตื่นจากฝัน?
“เจ้าหนูเอย…เห็นทีหากข้าไม่ทุบตีเจ้าจนร่ำร้องโอดโอยเสียหน่อย ดูท่าเจ้าคงไม่อาจรู้ได้ว่าในโลกนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน…เช่นนั้นข้าจักให้เจ้ารับทราบถึงความแตกต่างระหว่างศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวกับพวกเรา ศิษย์ฝ่ายในคฤหาสน์หลิ่วสือจนซึ้งไปถึงทรวง!”
หงจีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากระงับโทสะอารมณ์ลงแล้ว มันก็มองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุดัน กล่าวคำเสียงเย็น
พอกล่าวจบคำ แสงพลังสีทองทั่วร่างของมันก็ส่องสาดออกมาสว่างจ้า จากนั้นผิวกายของมันก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม ทั้งร่างสีทองของมันยังห้อมล้อมไปด้วยประกายอัสนีสีทองแลบลั่นแปลบปลาบ แผ่กลิ่นอายเยียบเย็นอันตรายนัก!
“ความลึกซึ้งกายาทองคำ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนหดหยีเล็กลง ไม่ยากที่เขาจะมองได้ออกว่าพลังที่หงจีกำลังใช้อยู่ ก็คือพลังจากความลึกซึ้งกายาทองคำของกฏแห่งทอง
ความลึกซึ้งกายาทองคำ ทำให้ทั่วร่างผู้ใช้อัดแน่นไปด้วยพลังของธาตุทอง เพิ่มพูนพลังสามารถทุกสาย ไม่ว่าจะความเร็วก็ดี พลังป้องกันก็ดี ยังมีการโจมตีอีกด้วย
หลังจากใช้ออกด้วยความลึกซึ้งกายาทองคำแล้ว แม้จะไม่ได้ใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอะไร หากแต่ทุกการโจมตีที่ปลดปล่อยออกมาก็เปี่ยมล้นไปด้วยพลังธาตุทองอันแข็งแกร่ง
“เจ้าหนู วันนี้ข้าจะรับหน้าที่สั่งสอนบทเรียนให้เด็กน้อยเจ้าแทนผู้อาวุโสของเจ้าสักครา…ว่าหากยังไร้ความสามารถ ทีหลังก็อย่าได้อวดโอ่ทะนงตัว!”
ร่างหงจีไหววูบคราหนึ่ง จากนั้นคนก็พุ่งทะยานเข้ามาปานลำแสงสีทอง ทะลุผ่านห้วงอากาศด้วยสภาวะประหนึ่งดาวตกสีทอง
ซูววว!!
ประกายแสงสีทองลากตัดฟ้ามาฉับไว คล้ายไร้แรงต้านทานของอากาศ ประหนึ่งแรงต้านของอากาศไม่มีอยู่จริง!
“ความลึกซึ้ง ทะลวงเจาะ!”
ต้วนหลิงเทียนย่อมมองออกได้ทันทีว่าแม้ร่างหงจีจะพุ่งมาฉับไวปานไม่พบเจอแรงต้านทานของอากาศ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ว่ามันไม่พบเจอแรงต้านทานของอากาศ แต่มันพบเจอเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น!
ทั้งหมดเป็นเพราะ
ในขณะที่เหินทะยานเข้ามา หงจีได้ใช้ความลึกซึ้งทะลวงเจาะ!
ความลึกซึ้งทะลวงเจาะก็สมดั่งชื่อ มันทะลวงเจาะห้วงอากาศได้อย่างง่ายดาย จนเสมือนพบพานกับแรงต้านทานของอากาศแค่น้อยนิด เรียกว่าแทบไม่พบเจอแรงเสียดทานอันใด!
‘จนถึงตอนนี้ หงจีได้แสดงความลึกซึ้งของกฏแห่งทองออกมา 5 ประการแล้ว…’
‘เมื่อครู่ก่อนที่ข้าจะเคลื่อนย้ายมิติหลบหนี การโจมตีของมันผสานไว้ด้วยความลึกซึ้ง ความหมายแห่งทอง เฉือน ตัดผ่า’
‘มาตอนนี้ มันก็ใช้ความลึกซึ้ง กายาทองคำ อีกทั้งความลึกซึ้งทะลวงเจาะ…’
ด้วยสายตาของต้วนหลิงเทียน ย่อมมองออกไม่ยากว่าหงจีใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งทองประการใดออกมาบ้าง และรวมทั้งสิ้นก็มี 5 ประการ
หลังหงจีเปิดเผยพลังออกมา 2 ครั้งและครั้งนี้ยังเพราะความโมโห เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนก็แทบจะมั่นใจได้แล้วว่า
หงจีผู้นี้ สมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองแค่ 5 ประการ…
‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันต้องร่วมมือกับผู้อื่น…ที่แท้ก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองได้แค่ 5 ประการ’
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา จากนั้นเขาก็ใช้เคลื่อนมิติหลบหลีกการพุ่งจู่โจมของหงจีได้อย่างง่ายดาย แต่คราวนี้หงไม่ได้ยืนตะลึงอึ้งค้างอีกต่อไป สองตาของมันหดหยีเล็กลงจากนั้นคนก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งทะยานกลางหาว จู่โจมออกไปอีกครั้ง ทว่าต้วนหลิงเทียนก็เคลื่อนย้ายมิติเปลี่ยนตำแหน่งไปอีกครา
“นี่มัน…”
ห่างออกไปไกลๆ ถงฉี่ซานที่จับตามองความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนอยู่ตลอด สีหน้าแต่เดิมที่สงบนิ่ง บัดนี้แปรเปลี่ยนไปจนดูแทบไม่ได้ “มัน…มันก็เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศเหมือนกัน!!”
เมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนได้ใช้เคลื่อนมิติออกถึง 2 ครั้งติดต่อในเวลาไล่เลี่ยกัน!
ทำให้ถงฉี่ซานพลันตระหนักได้ทันที…
พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียน สมควรอยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศด้วย! หาไม่แล้วระยะเวลาหน่วงก่อนที่จะทำการเคลื่อนย้ายข้ามมิติคงไม่สั้นถึงเพียงนี้!
“ขะ…ขุนนางอมตะ 10 ทิศ…อายุไม่ถึงร้อยปี?”
พอนึกถึงอายุของต้วนหลิงเทียนขึ้นมา หนังศีรษะของถงฉี่ซานกลับกลายเป็นด้านชาไปทันใด
เพราะมันรู้ดีว่าเรื่องอายุนั้นไม่อาจหลอกลวงได้
กลิ่นอายเลือดเนื้อสดใหม่ไม่ถึงร้อยปี จะมีก็แต่ในผู้ที่มีอายุไม่ถึงร้อยปีเท่านั้น กระทั่งจักรพรรดิอมตะ หรือแม้แต่เทพเจ้าในตำนานก็ไม่อาจปลอมแปลงได้!
‘ความลึกซึ้ง เขตแดน’
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนพลันเคลื่อนย้ายข้ามมิติอีกครั้ง และมาผุดโผล่ด้านหลังหงจีที่ยังไม่พบตัวเขาปานภูตผี ขณะเดียวกันรัศมีพลังของเขาก็แผ่ออกจากร่างปานสายฟ้า ปกคลุมรัศมี 10 หมี่รอบกายเขาชั่วพริบตา
เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!
…
ทันใดนั้นความผันผวนของห้วงมิติก็เริ่มกระหน่ำจู่โจมเข้าใส่หงจีจากทั่วสารทิศ ทั่วร่างของมันปรากฏรอยแผลเล็กๆน้อยขึ้นในชั่วพริบตา
‘กักกัน!’
‘บิดเบือน!’
พริบตาต่อมา ก่อนที่หงจีจะทันได้ตอบสนองเรื่องงราวใด ต้วนหลิงเทีนก็ใช้ความลึกซึ้งแห่งกฏมิติออกมาเพิ่ม 2 ประการ
ทันใดนั้นความว่างเปล่ารอบกายหงจีก็เริ่มแข็งตัวราวห้วงมิติถูกผนึกแข็ง ทั้งยังมีพลังบิดเบือนห้วงมิติเคี่ยวกรำกระหน่ำเข้ามา จนหงจีที่เสมือนอยู่ท่ามกลางมรสุมรู้สึกสิ้นไร้พลัง ไม่อาจเคลื่อนไหวไปไหนได้
ทันใดนั้นร่างที่เปล่งแสงสีทองอร่ามของมันก็สั่นสะท้านไปอย่างแรง บัดนี้เนื้อตัวของมันเริ่มปรากฏชิ้นเนื้อแหลกเหลวหลุดร่อนออกไปทุกขณะ! แต่คนก็ยังพยายามเร่งเร้าพลังเต็มพิกัด แสงสีทองยิ่งมายิ่งส่องสว่างเจิดจ้า หมายทำลายพลังกักขังและพลังที่กร่อนทำลายไปทั่วร่างของมันสุดชีวิต!
ในตอนนี้หงจีย่อมตื่นตระหนกตกใจกับการลงมือต่อเนื่องอย่างดุดันของต้วนหลิงเทียนถึงขีดสุด หากแต่ความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างทำให้มันไม่มีเวลามานั่งตกใจ!
“พังให้ข้า!!”
หงจีตะโกนออกมาสุดเสียง จากนั้นแสงพลังสีทองทั่วร่างก็คล้ายจะระเบิดลุกโชนออกมา พวกมันเริ่มควบรวมก่อเกิดเป็นคมมีดสีทองเล่มเขื่อง เปล่งพลังเฉือนผ่ากรงมิติของต้วนหลิงเทียนทันที!
“คิดทำลายกรงมิติบิดเบือนของข้าหรือ…”
การจู่โจมสุดชีวิตของงหงจี ทำให้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามไม่น้อย เพราะหากปล่อยให้หงจีปะทุพลังจู่โจมทะลวงฝ่าเช่นนี้สืบต่อ เกรงว่ากรงมิติบิดเบือนของเขาเองก็คงยากจะกักขังอีกฝ่ายได้นาน
ในห้วงเวลาคับขันดังกล่าว ลูกตาต้วนหลิงเทียนพลันควบแน่น จากนั้นมือก็ตวัดออกไปปานจะกรีดฟ้า
พริบตาต่อมา
เปรียะ!
บริเวณขอบกรงมิติของต้วนหลิงเทียน ความว่างเปล่าพลันปริฉีก จากนั้นก็เผยให้เห็นรอยแยกมิติอันมืดดำน่ากลัว
พร้อมกันนั้นเอง
ซัว!
แสงพลังสะบั้นสีเทาหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากรอยแยกมิติ ประหนึ่งแสงกระบี่ที่ฟันฟาดมาจากมิติอื่น พุ่งไปปะทะเข้ากับคมมีดสีทองของหงจีทันที!
เวิง! เวิง! เวิง! เวิง!เวิง!
…
แสงคมมีดสีทองกับแสงกระบี่สีเทาลุกโหมส่องสาดไปทั่ว อย่างไรก็ตามยิ่งมาแสงพลังสีทองยิ่งถดถอยอ่อนโทรม เนื่องเพราะแสงกระบี่สีเทานั้นทรงพลังเกินไป
อย่างไรก็ตามพริบตาต่อมาแสงพลังสีทองพลันส่องสาดออกจากร่างหงจี ก็ได้ควบรวมก่อเกิดคมมีดสีทองอีกเล่มพุ่งไปตามซ้ำ จนในที่สุดก็สามารถทำลายแสงสีเทาได้สำเร็จ!
หากทว่ามันพุ่งไปหมายฟาดผ่ากรงมิติได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏรอยแยกมิติอุบัติขึ้นเบื้องหน้าอีกครา
และพร้อมกันนั้นเอง รอยแยกมิติดังกล่าวยังไปเชื่อมต่อกับรอยแยกมิติที่ฉีกเปิดก่อนหน้า
ทันใดนั้นรอยแยกมิติที่รวมตัวกันจนเป็นรอยแตกกว้างใหญ่กลางอากาศ ก็เหมือนกับปากของอสูรกายร้ายกระหายเลือด ฮุบกลืนคมมีดสีทองที่ฟาดเข้ามาไปในหนึ่งคำ!
จนเมื่อรอยแยกมิติดังกล่าวปิดตัว และความว่างเปล่าหวนคืนสู่สภาพเดิม แสงคมมีดสีทองก็อันตรธานหายไปแล้ว ราวกับถูกห้วงมิติกลืนกินหายไป
“นั่นมัน…”
ไกลออกไปเล็กน้อย ถงฉี่ซานที่มองชมเรื่องราวอยู่ก็ถึงกับอ้าปากค้าง “ความลึกซึ้งเขตแดนมิติ? กักกัน? บิดเบือน?”
“อีกทั้ง…ยังมีความลึกซึ้งผ่ามิติ!?”
ตอนที่ 3128
“หึ!”
ต้วนหลิงเทียนพ่นลมสบถเสียงงเย็นออกมาคำหนึ่ง และหลังจากทำลายการโจมตีฝ่ากรงมิติบิดเบือนของหงจีได้แล้ว เขาก็เร่งเร้าพลัง ทำให้ห้วงมิติบิดเบือนทรงพลานุภาพมากกขึ้น!
พริบตาต่อมาร่างหงจีเสมือนถูกพายุคมมีดปั่นเฉือน ชิ้นเนื้อทั้งชุดคลุมหลุดหลุดร่อนก่อนจะถูกป่นสลายเป็นผุผง เลือดทะลักออกท่วมร่าง สีหน้าซีดลงปานกระดาษ จากนั้นคนก็กระเด็นละลิ่วร่วงฟ้าไปราวสุนัขตาย
เหตุผลที่ไฉนหงจีถึงกระเด็นร่วงฟ้าไปได้ แน่นอนว่าเป็นต้วนหลิงเทียนที่คลายกรงมิติบิดเบือน หาไม่แล้วอย่าว่าแต่ร่วงตกฟ้า กระทั่งคนอาจถูกปั่นเป็นเศษเนื้อสลายหายไปกลางอากาศ
ต่างจากหงจีที่ร่วงตกฟ้าไปด้วยสภาพับเยินปานผ้าขี้ริ้ว ต้วนหลิงเทียนยังลอยร่างค้างกลางหาวด้วยสภาพสมบูรณ์ แลดูไม่ได้เหน็ดเหนื่อยหรือสิ้นเปลืองพลังอะไรมากมาย
“หงจี เจ้าเป็นไรหรือไม่!?”
ถงฉี่ซานเร่งเหินร่างไปรับหงจีที่ร่วงตกฟ้า ทั้งตบโอสถเข้าปากอีกฝ่ายและเดินพลังย่อยโอสถให้อีกฝ่ายดูดซับได้ง่ายๆ เอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเป็นกังวล
เนื่องจากมันร่วมมือกับหงจีและช่วยเหลือกันในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางมานาน มันย่อมสนิทกับหงจีไม่น้อย เห็นอีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้มันย่อมเป็นห่วง
อย่างไรก็ตาม มันไม่มีความคิดลงมือล้างแค้นให้หงจีอยู่เลย เพราะหงจีแข็งแกร่งกว่ามันเสียอีก
ถึงแม้มันจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 5 ประการ แต่หากมันปะทะกับหงจี อย่างด็ทำได้แค่อาศัยความแข็งแกร่งในการป้องกันของกฏแห่งดินต้านทานหงจีถ่ายเดียว
ในแง่การโจมตี มันอ่อนด้อยกว่าหงจีหลายขุม
ความลึกซึ้งทั้ง 5 ประการของกฏแห่งทองที่หจีเข้าใจ ล้วนแล้วแต่หนุนเสริมพลังโจมตีได้ทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความลึกซึ้งเฉือน ความลึกซึ้งผ่า และความลึกซึ้งทะลวงเจาะ ล้วนแล้วแต่เป็นความลึกซึ้งที่หนุนเสริมการโจมตีเป็นหลักของกฏแห่งทอง!
หากเป็นคู่ต่อสู้ทั่วไปที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 5 ประการเหมือนกัน หงจีก็เสมือนตกอยู่ในจุดไม่พ่ายแพ้ เพราะมันสามารถอาศัยการโจมตีแลกกับคู่ต่อสู้ได้!
น่าเสียดายคนที่มันพบเจอคือต้วนหลิงเทียน
ถึงเมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนจะใช้ความลึกซึ้งของกฏมิติแค่ 5 ประการ ก็คงไม่ยากอะไรที่จะเอาชนะหงจีได้ แค่ต้องใช้เวลาสักหน่อยเท่านั้น
แต่พอต้วนหลิงเทียนใช้ความลึกซึ้งประการที่ 6 อย่างผ่ามิติออกมา ก็เอาชนะหงจีได้อย่างง่ายดาย
หลังประจักษ์ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนแล้ว ถงฉี่ซานก็รู้ดีแก่ใจว่าหากมันคิดแข็งข้อต่อต้านต้วนหลิงเทียน ต่อให้มันจะทุ่มพลังทั้งหมดไปกับการป้องงกัน ก็ไม่วายต้องแพ้พ่ายแน่นอน!
เนื่องเพราะต้วนหลิงเทียนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึง 6 ประการ!
กฏมิติเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดท่ามกลางสวรรค์และโลก มันทรงพลังเหนือกว่ากฏทั่วไปมากนัก แม้ต้วนหลิงเทียนจะใช้ความลึกซึ้งแค่ 5 ประการ ต่อให้มันกับหงจีร่วมมือกัน ก็ไม่อาจทำอะไรต้วนหลิงเทียนได้แล้ว
หากต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะจัดการพวกมันทีละคน ต่อให้มันกับหงจีจะร่วมมือกันให้ตาย แต่โอกาสสิ้นท่าก็มีมากกว่า 9 ส่วน!
เนื่องเพราะต้วนหลิงเทียนเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ สามารถวูบร่างไปมาได้อย่างไร้ร่องรอย คิดจะจัดการพวกมันทีละคนก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
“อั๊ค…ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่แผลภายนอกเท่านั้น แต่เจ้านั่นมันร้ายกาจเกินไป ข้าไม่มีทางทำอะไรมันได้เลย…”
หงจีที่ถูกถงฉี่ซานประคองไว้กล่าวออกด้วยสีหน้าซีดเซียว อาการบาดเจ็บของมันกล่าวไปไม่ได้หนักหนาอะไรมากนัก หากแต่มันเสียโลหิตไปมากหน่อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามในแววตาของมันตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“โชคดีที่พวกเราไม่ได้ชมชอบการฆ่าฟัน…หากวันนี้พวกเราคิดฆ่ามันก่อน มันคงฆ่าพวกเราทิ้งได้ง่ายๆ…”
“พลังบิดเบือนมิติเมื่อครู่ เป็นมันออมมือให้ข้าแล้ว…ไม่งั้นข้าได้ตายแน่!”
กล่าวถึงจุดนี้สีหน้าหงจีที่ซีดอยู่แล้วก็ซีดลงแทบไร้สีเลือด แววตาฉายชัดถึงความหวาดผวาจับใจ
“พวกเราไปกันเถอะ”
หงจีหยิบป้ายหยกสะสมคะแนนออกมา หลังมองป้ายด้วยความไม่เต็มใจครู่หนึ่ง มันก็บดขยี้ป้ายทิ้งดัง แคร่ก อย่างไม่รอช้า
หลังจากป้ายหยกสะสมคะแนนถูกทำลาย พลังสีขาวก็ระเบิดออกมาปกคลุมไปทั่วร่างของหงจีทันที
หลังแสงพลังสีขาวปกคลุมร่างหงจีได้สักพัก มันก็เริ่มจางหายไปดั่งหมอกควันต้องลม ร่างหงจีเองก็หายไปเช่นกัน
แคร่ก!
หลังหงจีทำลายป้ายหยก ถงฉี่ซานก็หิบป้ายหยกของงตัวเองออกมาอย่างไม่รอช้า ก่อนจะบดขยี้ทิ้งเพื่อออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางทันที
ไม่ว่าจะหงจีหรือถงฉี่ซาน ขณะจากไป ทั้งคู่ก็ได้จดจำชื่อหนึ่งไว้ขึ้นใจ…
ต้วนหลิงเทียน
จากป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวที่ต้วนหลิงเทียนห้อยแขวนไว้ที่เอว พวกมันทั้งคู่จึงทราบชื่อของต้วนหลิงเทียน
หลังจากที่หงจีกับถงฉี่ซานบดขยี้ป้ายหยกจากไป ป้ายหยกสะสมคะแนนของต้วนหลิงเทียนก็ได้รับแต้มเพิ่มมา 5 แต้ม และรวมกับคะแนนสะสมที่เขามีอยู่ 1 ก็ทำให้เขามีคะแนนสะสมทั้งสิ้น 6 แต้ม
ในป้ายหยกสะสมคะแนนของทุกคน ตอนได้รับมาล้วนมีคะแนนสะสมอยู่ 1 แต้ม
ในป้ายหยกกสะสมคะแนนของหงจีนั้นมีคะแนนสะสมอยู่ 3 แต้มบ่งบอกว่ามันได้จากคนอื่นมา 2 แต้ม ส่วนป้ายหยกสะสมคะแนนของถงฉี่ซานมีแค่ 2 แต้มเท่านั้น เห็นชัดว่ามันได้รับ 1 แต้มมาจากคนอื่นๆ
ตอนนี้เมื่อคะแนนสะสมของพวกมันกลายเป็นของต้วนหลิงเทียน ก็ทำให้คะแนนสะสมในป้ายหยกของต้วนหลิงเทียนเพิ่มขึ้นทันที
จาก 1 เป็น 6
‘หากข้าจำไม่ผิด…ในบรรดา 100 อันดับแรก คนที่ได้อันดับสุดท้ายเหมือนจะมีแค่ 4 แต้มสินะ…’
ต้วนหลิงเทียนยังจดจำได้ดี ว่าก่อนที่จะเข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ตอนเขามองม่านแสงอันเป็นตารางจัดอันดับที่นอกตำหนัก เขาก็พบว่าอันดับที่ 100 มีคะแนนสะสมอยู่แค่ 4 แต้มเท่านั้น
‘หากจำไม่ผิดอันดับที่ 89 ถึงอันดับที่ 92 มีอยู่ 6 แต้ม…ส่วนอันดับที่ 93 ก็มีคะแนนสะสมอยู่แค่ 5 แต้มเท่านั้น’
‘หากคะแนนสะสมของพวกมันยังไม่มีความเปลี่ยนแปลง หมายความว่าตอนนี้ข้าสมควรอยู่ในอันดับที่ 93 แล้วสินะ’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่ได้พึงพอใจแค่อันดับที่ 93…
ดังนั้นหลังเก็บป้ายหยกสะสมคะแนนแล้ว เข้าจึงมุ่งหน้าไปต่อ และพริบตาร่างในชุดสีม่วงก็วูบไปปรากฏห่างออกไป 100 หมี่ทันที
ร่างวูบหายไปอีกครั้ง คนก็ไปโผล่ไกลกว่าจุดเดิม 100 หมี่ เรียกว่าพริบตาคนก็ตัดผ่านระยะ 200 หมี่ไปได้อย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นไม่ทันไร ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบหายไปดั่งภูตผี ออกจากแนวป่าเขาทันที
ในเวลาเดียวกัน
1 ใน 3 เกาะหลักของคฤหาสน์เฉวียนโยว ลานด้านหน้าตำหนักเคลื่อนย้าย อยู่ๆก็คึกครื้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
และทั้งหมดเป็นเพราะอยู่ดีๆก็มีชื่อใหม่ปรากฏขึ้นบนม่านแสงตารางจัดอันดับกลางลานหน้าตำหนักเคลื่อนย้าย
แน่นอนว่าหากเป็นแค่ชื่อใหม่ คงไม่ดึงดูดความสนใจผู้คนมากขนาดนี้
ที่ไฉนชื่อใหม่ดังกล่าวถึงสร้างความสนใจให้ผู้คนได้ เพราะด้านหลังชื่อดังกล่าวมีคำว่า คฤหาสน์เฉวียนโยวเขียนไว้!
สิ่งนี้บ่งบอกว่า…
ชื่อใหม่ที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นบนตารางจัดอันดับแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง เป็นคนคฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกมัน!
“ต้วนหลิงเทียน?”
“มันเป็นผู้ใดกัน คนของคฤหาสน์เฉวียนโยวเรามีชื่อนี้ด้วยเหรอ?”
“ลองมีความสามารถติด 100 อันดับแรกในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้ อย่างน้อยๆพลังฝีมือย่อมไม่ต่ำทราม เป็นไปไม่ได้ที่จักไร้ชื่อเสียงเรียงนามในคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา…นอกจากนั้นในบรรดาศิษย์ฝ่ายในที่มีพลังฝีมือมากพอจะติดอยู่ใน 100 อันดับแรกได้ของคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา ก็ล้วนเป็นคนที่พวกเราคุ้นเคยทั้งสิ้น”
“เฮ่ พวกเจ้ามีผู้ใดรู้จักคนผู้นี้บ้าง?”
…
อยู่ดีๆก็มีชื่อใหม่ปรากฏขึ้นในตารางจัดอันดับและเป็นคนของคฤหาสน์เฉวียนโยวแบบนี้ ย่อมทำให้คนของคฤหาสน์เฉวียนโยวรู้สึกยินดีไม่น้อย
เพราะถึงจะไม่ติดอยู่ใน 20 อันดับแรก และไม่ได้นำผลประโยชน์อะไรมาสู่คฤหาสน์เฉวียนโยว แต่การติดอยู่ใน 100 อันดับแรกได้ ก็ไม่ต่างอะไรจากสัญลักษณ์บ่งบอกความแข็งแกร่ง
การจัดอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางที่ดำรงสืบทอดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่มีไว้ให้คฤหาสน์อมตะระดับ 6 ทั้งหลายแข่งขันกันเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น แต่ยังเป็นดั่งเกียรติยศของคฤหาสน์อมตะระดับ 6 อีกด้วย
ศิษย์ของคฤหาสน์อมตะคนใดสร้างผลงานได้ดีและครองอันดับสูงๆ ก็พลอยทำให้คฤหาสน์อมตะนั้นๆได้รับการนับหน้าถือตา เรียกว่านำเกียรติมาสู่คฤหาสน์อมตะต้นสังกัด
ด้วยเหตุนี้พอมีชื่อใหม่และเป็นคนของคฤหาสน์เฉวียนโยวปรากฏขึ้นในตารางจัดอันดับ ก็ทำให้เหล่าศิษย์ที่จับตาดูความเคลื่อนไหวบนตารางจัดอันดับบังเกิดความสนใจไม่น้อย
แต่ทว่าสำหรับพวกมันนั้น…
นามต้วนหลิงเทียนช่างไม่คุ้นเอาเสียเลย…
“ต้วนหลิงเทียน?”
อาวุโสที่ทำหน้าที่ประจำโต๊ะบริการโต๊ะหนึ่งของตำหนักเคลื่อนย้ายบน 1 ใน 3 เกาะหลัก พอได้ยินเสียงเสียงสนทนาถามไถ่ด้วยความสงสัยดังขึ้นจากด้านนอก มันก็ขมวดคิ้วทันที
ทันทีที่มันได้ยินชื่อนี้ มันก็รู้สึกคุ้นๆนัก
ครู่ต่อมาในใจมันคล้ายมีประกายแสงสว่างวาบ ลูกตายังทอแสงจ้าขึ้นมาโดนพลัน “ช้าก่อน…ต้วนหลิงเทียนนั่น มิใช่ชื่อศิษย์ฝ่ายนอกที่ผู้ตรวจการฉีพามาวันนี้หรือไร?”
มันย่อมจดจำได้ดีว่าวันนี้ผู้ตรวจการฉีพาศิษย์ฝ่ายนอกมาลงทะเบียนรับป้ายหยกสะสมคะแนน เพื่อเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางกับมันเป็นการส่วนตัวคนหนึ่ง
และชื่อบนป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายนอกผู้นั้นก็เป็นชื่อเดียวกันกับ ชื่อใหม่บนตารางจัดอันดับตอนนี้
“ต้วนหลิงเทียน…คงไม่ใช่แค่บังเอิญชื่อเหมือนกันกระมัง?”
จังหวะนี้อาวุโสวัยกลางคนหลังโต๊ะบริการอดไม่ได้ที่จะงุนงง เพราะมันจำได้ว่าศิษย์ฝ่ายนอกนามต้วนหลิงเทียนที่ฉีเทียนหมิงพามา ไม่ใช่ว่ายังมีอายุไม่ถึงร้อยปีหรือไร?
คงไม่ใช่ว่ามีศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวที่บังเอิญมีชื่อต้วนหลิงเทียนเหมือนกัน มาลงทะเบียนเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางที่โต๊ะอื่นตอนมันแอบงีบเมื่อครู่หรอกนะ?
“ลองตรวจดูอีกที…”
ในฐานะผู้อาวุโสที่โต๊ะบริการมันย่อมสามารถใช้แผ่นค่ายกลตรวจสอบข้อมูลส่วนกลางภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้ทันที และมันก็เลือกตรวจเฉพาะชื่อของศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวที่ลงทะเบียนนเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเดือนนี้
หลังจากตรวจสอบดูไม่นานนัก อาวุโสประจำโต๊ะบริการวัยกลางคนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เมื่อพบว่า…
ในบรรดาเหล่าศิษย์ของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่ลงทะเบียนเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเดือนนี้นั้น มีศิษย์นามต้วนหลิงเทียนแค่คนเดียวเท่านั้น! และเป็นคนๆเดียวกันกับที่ผู้ตรวจการฉีพามาส่งเป็นการส่วนตัว!!
“งั้นหมายความว่า…ศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวเราที่พึ่งติด 100 อันดับแรกนั่น เป็นเจ้าหนุ่มที่ผู้ตรวจการฉีพึ่งพามาลงทะเบียนวันนี้งั้นหรือ?”
“แต่เจ้าหนูนั่น…ไม่ใช่ว่ายังเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณไม่ทันถึงชั่วยามเลยหรือไร ไฉนติด 100 อันดับแรกได้แล้วเล่า?”
อาวุโสของคฤหาสน์เฉวียนโยวงุนงงไม่น้อย
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อาวุโสคนดังกล่าวก็เริ่มหันไปคุยับอาวุโสโต๊ะข้างๆ และไม่นานก็ทำให้ตำหนักเคลื่อนย้ายอื้ออึงไปด้วยเสียงสนทนาไม่อยากจะเชื่อทันที
“เฮ่ มีข่าวจากด้านในตำหนักล่ะ…เห็นว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้เป็นชายหนุ่มที่ผู้ตรวจการฉีพามา!”
“หือ! เป็นเจ้าหนุ่มที่ผู้ตรวจการฉีพามาคนนั้นหรือ? มันไม่ใช่พึ่งมาเมื่อชั่วยามก่อนหรือไร? แถมไม่ใช่ว่ามันอายุไม่ถึง 100 ปีหรอกเหรอ?”
“เหอะๆ อายุไม่ถึงร้อยเข้าไปด้านในไม่ถึงหนึ่งชั่วยามกลับสู้เอาชนะผู้อื่นในนั้นจนได้อันดับ 93…เรื่องพรรค์นี้เป็นไปได้ด้วยเหรอ?”
“เป็นไปไม่ได้แน่นอน! ไม่ต้องกล่าวถึงในประวัติศาสตร์คฤหาสน์เฉวียนโยวเรา หรือแม้แต่กระทั่งประวัติศาสตร์ของทั้งแดนสวรรค์ใต้ ที่ไม่เคยมีขุนนางอมตะ 10 ทิศอายุไม่ถึงร้อยปีปรากฏตัวมาก่อน! การที่มันจะได้รับแต้มเร็วขนาดนี้บ่งบอกให้รู้ว่ามันสมควรเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศไม่ผิดแน่ และความลึกซึ้งของกฏที่เข้าใจก็ไม่น้อย…แต่พวกเจ้าว่าเป็นไปได้หรอที่คนอายุไม่ถึงร้อยปีจะทำอะไรแบบนั้นได้?”
“ข้าเองก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้…ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ สิบในสิบต้องซื้อคนของคฤหาสน์อมตะอื่นเอาไว้ และให้อีกฝ่ายส่งมอบคะแนนให้เป็นแน่!”
“มันโกง!!”
ตอนที่ 3129
หลังเหล่าศิษย์และอาวุโสของคฤหาสน์เฉวียนโยวในลานและในตำหนักคุยกันไปสักพัก ก็เห็นพ้องต้องกันว่า…
ศิษย์ฝ่ายนอกนาม ต้วนหลิงเทียน ที่ผู้ตรวจการฉีพามาส่งเป็นการส่วนตัวเมื่อราวๆหนึ่งชั่วยามก่อน สมควรต้องใช้วิธีขี้โกงอะไรบางอย่างในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเพื่อเอาแต้มมาแน่นอน!
หาไม่แล้วชายหนุ่มที่อายุไม่ถึงร้อยปี ไฉนสามารถติดอยู่ใน 100 อันดับแรกได้?
“หรือว่าผู้ตรวจการฉีขอให้มันโกงเป็นพิเศษ…แต่ถ้าหากมันไม่ติด 20 อันดับแรก จะโกงไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรไม่ใช่รึ?”
หลายคนเอ่ยความเห็นออกมาด้วยความงุนงง
“ตอนนี้ก็เหลือเวลาไม่กี่วันก่อนที่จะล้างอันดับแล้ว…ต่อให้จะเข้าไปโกงจริง ก็ไม่น่าจะติด 20 อันดับแรกได้มิใช่หรือ?”
“ก็ไม่แน่นักหรอก…หากคนของคฤหาสน์อมตะอื่นๆที่พอมีคะแนนสูงเข้าหน่อย เลือกจะรับสินบนและช่วยโกงคะแนนให้มันเล่า? เรื่องติด 20 อันดับแรกก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่?”
“ที่เจ้าว่ามามันก็อาจเป็นไปได้…ไม่แน่ผู้ตรวจการฉีอาจจะจงใจพามันมาแบบรับความอัปยศโดยเฉพาะ เพื่อให้มันโกงจนติดอยู่ใน 20 อันดับแรก!”
“บัดซบ! นี่คฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกเราตกต่ำถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! กระทั่งเพื่อให้ติด 20 อันดับแรก จำต้องใช้วิธีต่ำช้าแบบนี้แล้วหรือ?”
…
หลังเหล่าศิษย์และอาวุโสของคฤหาสน์เฉวียนโยวเริ่มเห็นพ้องต้องกันว่า ต้วนหลิงเทียน สมควรเป็นคนที่ผูตรวจการฉีพามาแบกรับความอัปยศในการโกงเพื่อให้ติด 20 อันดับแรก พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน…
คฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกมัน ตกต่ำถึงขั้นนี้แล้วหรือ?
เพื่อให้ติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ก็ต้องอาศัยวิธีโกงคะแนนแบบนี้แล้ว?
เป็นธรรมดาว่ายังมีคนที่เห็นต่าง
“ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจจริงๆ หากคิดจะโกงเพื่อให้ติด 20 อันดับแรกจริง ไฉนไม่ให้ศิษย์พี่โจวหงเจี๋ยเป็นคนรับแต้มแทนมันเล่า? เพราะขาดแค่ไม่กี่แต้มก็ติด 20 อันดับแรกแล้วไม่ใช่หรือไร จำเป็นต้องไปหาเด็กอายุน้อยกว่า 100 ปีมารับหน้าที่โกงคะแนนด้วยหรือ? แถมเจ้าหนูนั่นก็ไม่มีแต้มติดตัวสักแต้ม แล้วต้องจ่ายไปเท่าไหร่กันถึงจะได้คะแนนมากพอ?”
“ฟังเจ้าพูดแล้วข้าปวดหัวตึ๊บเลย…มันก็จริงของเจ้า! หากจะโกงมิสู้ให้โจวหงเจี๋ยเป็นคนรับแต้มเสียประเสริฐกว่า ไฉนต้องไปหาคนอื่นมาด้วย”
“แต่ถ้าคะแนนที่ได้มาไม่ใช่เพราะการโกง…เหตุไฉนชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อย ถึงติด 100 อันดับแรกได้ทั้งที่เข้าไปไม่ทันไรเล่า?”
“พวกเจ้าว่า…มันจะเป็นไปได้รึเปล่า ที่เจ้าหนูนั่นมันเดินดุ่มๆไปเจอคนที่กำลังสู้กันอยู่ และพอดีทั้งดันคู่ตกตายไปพร้อมกัน มันเลยได้แต้มมาแบบงงๆ?”
“เหอะๆ…เรื่องพรรค์นี้กล่าวไปแทบเป็นไปไม่ได้เลย…แต่ก็นะใต้หล้าพิสดารมากมี ใครจะไปรู้เล่า…เจ้าหนูนั่นอาจจะแค่บังเอิญโชคดีจริงๆก็ได้”
“โชคดีหรือไม่เดี๋ยวก็รู้ พวกเราเพียงรอดูไปอีกสักพัก หากมันโกงจริงๆ อีกไม่นานคะแนนของมันต้องเพิ่มขึ้นแน่…แต่ถ้ามันได้แต้มมาเพราะโชคจริงๆ คะแนนมันก็สมควรหยุดอยู่แค่นั้นล่ะ!”
“หากข้าเป็นมัน ลองได้รับโชคหล่นทับแบบนี้ ข้าต้องรีบออกมาแน่…อายุไม่ถึงร้อยปีแบบนั้น ไม่ว่าเจอผู้ใดก็ล้วนถูกฆ่าตายได้ง่ายๆทั้งสิ้น!”
…
เหล่าคนของคฤหาสน์เฉวียนโยวคิดว่า หากจะโกงคะแนนให้ติด 20 อันดับแรกจริงๆ สมควรเลือกโจวหงเจี๋ยจะดีกว่า เพราะอย่างไรโจวหงเจี๋ยก็แข่งแกร่งที่สุดในบรรดาขุนนางอมตะ 10 ทิศของคฤหาสน์เฉวียนโยว
ถึงแม้โจวหงเจี๋ยจะไม่ติด 20 อันดับแรกมาเกือบปีแล้ว แต่เดือนนี้คะแนนก็อยู่ห่างจากการติด 20 อันดับแรกไม่เท่าไหร่
เช่นนั้นหากคฤหาสน์เฉวียนโยวคิดโกง ก็สมควรเลือกผู้รับแต้มเป็นโจวหงเจี๋ย เพราะค่าใช้จ่ายในการซื้อตัวคนคฤหาสน์อมตะอื่นก็ไม่มากมาย ไหนเลยจำเป็นต้องเลือกชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยให้มารับแต้มเพราะโกงแบบนี้ด้วย?
หลังจากคุยกันไปสักพัก ในที่สุดทุกคนก็เริ่มสรุปผลไปอีกทาง
ว่าสาเหตุที่ต้วนหลิงเทียนติดอยู่ใน 100 อันดับแรกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้แบบนี้ สมควรเป็นเพราะโชคดีมากกว่า!
แน่นอนว่ายังมีหลายคนที่จับตาดูอันดับในตารางของต้วนหลิงเทียน ว่าจะบังเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรอีกหรือไม่
เข้าไปไม่ถึง 1 ชั่วยามแต่ได้มา 6 คะแนน โชคดังกล่าวนับว่าขู่ขวัญผู้คนแล้วจริงๆ
ในประวัติศาสตร์ของคฤหาสน์เฉวียนโยว พวกมันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีใครโชคดีถึงขนาดนี้
…
คฤหาสน์หลิ่วสือเองก็เป็นคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ศักดิ์ศรีเทียบได้กับคฤหาสน์อมตะเฉวียนโยว
ในคฤหาสน์หลิ่วสือเองก็มีค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางอยู่ด้วยกัน 2 จุด
และตอนนี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายจุดหนึ่ง ก็ปรากฏร่างสะบักสะบอมผุดจากความว่างเปล่า จากนั้นก็มีอีกร่างปรากฏขึ้นมาตามติด ราวกับผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าเช่นกัน
“หงจี? ถงฉี่ซาน?”
ทันทีที่ทั้ง 2 คนปรากฏตัว พวกมันก็ดึงดูดความสนใจของศิษย์คฤหาสน์หลิ่วสือไม่น้อย ขณะเดียวกันก็มีหลาคนที่จดจำพวกมันได้
“หงจี ถงฉี่ซาน ดูจากสภาพของพวกเจ้าทั้งคู่แล้ว…สมควรทำลายป้ายหยกหลบหนีออกมาใช่หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนอันเป็นศิษย์ฝ่ายในของคฤหาสน์หลิ่วสือคนหนึ่งเอ่ยทัก เมื่อเห็นสารรูปดูไม่ได้ของหงจี
“ใช่”
ถงฉี่ซานพยักหน้าตอบ ขณะเอื้อมมือไปประคองร่างหงจี “คราวนี้พวกเราเจอดีเข้าให้แล้วจริงๆ…”
“หือ? พวกเจ้าทั้งคู่ร่วมมือกันก็สามารถต่อสู้คนที่ติด 100 อันดับแรกท้ายตารางได้อย่างไม่มีปัญหาไม่ใช่รึ? กระทั่งอันดับท้ายๆบบางคนยังสู้พวกเจ้ายามแยกกันลงมือไม่ได้ด้วยซ้ำ…เช่นนั้นคนที่เอาชนะพวกเจ้าได้ไม่น่าจะไร้ชื่อเสียงแน่ แล้วนี่เจ้าไปโดนผู้ใดเล่นงานมาเล่า?”
ศิษย์ฝ่ายในคฤหาสน์หลิ่วสืออีกคนที่มีรูปลักษณ์เป็นชายชราเอ่ยถาม
“เจ้านั่น ข้าเกรงว่าพวกเจ้าคงไม่มีใครรู้จัก…”
ได้ยินคำถามของชายชรา ทั้งเห็นสายตาอยากรู้ของสหายศิษย์โดยรอบ ถงฉี่ซานได้แต่คลี่ยิ้มแห้งๆกล่าวตอบ “เจ้านั่นชื่อว่าต้วนหลิงเทียน หลังจากได้รับคะแนนจากพวกเรา…ตอนนี้มันสมควรติดอยู่ใน 100 อันดับแรกแล้วแน่นอน”
ขณะกล่าว ถงฉี่ซานก็หันมองไปยังม่านแสงตารางจัดอันดับไม่ไกล ก่อนจะสังเกตเห็นชื่อหนึ่งท้ายตารางเร็วไว
ต้วนหลิงเทียน
‘อันดับที่ 93…’
สองตาถงฉี่ซานทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง ลอบกล่าวในใจอย่างเชื่อมั่น ‘เจ้านั่นฝีมือร้ายกาจขนาดนั้น…หากมีโชคหน่อย เผลอๆมันจะติดอยู่ใน 50 อันดับแรกของเดือนนี้ด้วยซ้ำ’
มันได้เห็นความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนมากับตา
ด้วยเหตุนี้มันจึงเชื่อมั่นนัก ว่าด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน คิดจะติด 50 หรือ 40 อันดับแรกของแดนสวรรค์ใต้โบราณยังนับว่าเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย!
ทว่าคราวนี้ต้วนหลิงเทียนเข้ามาสายเกินไป แม้จะเป็นแค่ 50 อันดับแรก ก็จำต้องพึ่งโชค
หากโชคดีพบเจอคู่ต่อสู้ที่มีคะแนนมากพอ และไม่แข็งแกร่งเท่าก็คงไม่มีปัญหาอะไร…
“ต้วนหลิงเทียน?”
หลังได้ยินเสียงกล่าวทั้งเห็นสายตาของถงฉี่ซาน หลายคนก็หันไปมองตาราจัดอันดับทันที ก่อนที่จะพบเจอชื่อที่ถงฉี่ซานกล่าวออกมาเมื่อครู่
“นั่นไง อันดับที่ 93!”
“ต้วนหลิงเทียน ศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวรึ? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย…คฤหาสน์เฉวียนโยวมีคนเช่นมันตั้งแต่เมื่อใด?”
“นั่นสิ ขุนนางอมตะ 10 ทิศของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่ฝีมือไม่ใช่ชั่ว ข้าว่าข้าก็จดจำพวกมันได้หมดทุกคน…แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อต้วนหลิงเทียนมาก่อนเลย”
“ศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวผู้นี้โผล่มาจากไหนกัน ลองมันเอาชนะหงจีกับถงฉี่ซานจนติด 100 อันดับแรกได้ ไม่น่าจะใช่คนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม…พวกเจ้ามีผู้ใดรู้จักมันหรือไม่?”
…
เหล่าศิษย์และอาวุโสของคฤหาสน์หลิ่วสือหันหน้าถามไถ่กันไปมา แต่สุดท้ายทั้งหลายก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะไม่รู้จักมักคุ้น…
ไม่นานสายตาทุกคนก็หันไปหยุดลงยังร่างหงจีกับถงฉี่ซานอีกครั้ง
“ถงฉี่ซาน ลองเจ้านั่นมันเอาชนะเจ้ากับหงจีได้ หมายความว่าอย่างน้อยๆมันสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดกฏหนึ่งได้ถึง 6 ประการใช่หรือไม่?”
อาวุโสของคฤหาสน์หลิ่วสือมองถามถงฉี่ซาน
“มิผิด”
ถงฉี่ซานพยักหน้า ค่อยกล่าวออกเสียงขรึมว่า “แถมเจ้านั่นไม่เพียงแต่จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึง 6 ประการเท่านั้น…ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือกฏที่มันเข้าใจคือกฏมิติ!”
กฏมิติ!
สิ้นคำกล่าวของถงฉี่ซาน สรรพเสียงโดยรอบก็เงียบหายไปในฉับพลัน!
เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติ 6 ประการ?
กฏมิตินั้น ทุกคนรู้กันดีว่าเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดและยากที่จะเข้าใจอย่างยิ่ง
คนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้ถึง 6 ประการ ให้มองทั่วคฤหาสน์หลิ่วสือของพวกมัน ดูเหมือนจะมีแค่คนเดียวเท่านั้น…
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ว่าก็เป็นผู้อาวุโสระดับสูงและมีลำดับอาวุโสในคฤหาสน์หลิ่วสือของพวกมันสูงมาก ยังเป็นจอมราชันอมตะแล้วด้วย…
นอกจากอาวุโสผู้นั้นแล้ว ในคฤหาสน์หลิ่วสือก็ไม่อาจหาผู้ใดเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้ถึง 6 ประการอีกเป็นคนที่สอง…
ทว่าตอนนี้ถงฉี่ซานกลับบอกพวกมันว่า…
ศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวนามต้วนหลิงเทียนผู้นั้น กลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติ 6 ประการ!?
“ถงฉี่ซาน ที่เจ้ากล่าวเป็นความจริงหรือ? ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลย ว่าในคฤหาสน์เฉวียนโยวมีขุนนางอมตะ 10 ทิศคนไหนจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติถึง 6 ประการ…”
ศิษย์คฤหาสน์หลิ่วสือคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่ต้องกล่าวถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติได้ถึง 6 ประการหรอก กระทั่งข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีขุนนางอมตะ 10 ทิศคนใดของคฤหาสน์เฉวียนโยวเข้าใจกฏแห่งมิติด้วยซ้ำ…ถงฉี่ซานเจ้าใช่เข้าใจอะไรผิดหรือไม่?”
อาวุโสของคฤหาสน์หลิ่วสืออีกคนเอ่ยถาม
ขวับ!
ในขณะที่ทุกคนมองถงฉี่ซานด้วยสายตาคลางแคลงสงสัย ถงฉี่ซานพลันสะบัดมือคราหนึ่ง ก็ปรากฏลูกแก้วลูกหนึ่งขึ้นเหนือฝ่ามือ
“ลูกแก้วเงาลอย!?”
เห็นลูกแก้วที่ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือถงฉี่ซาน สองตาทุกคนก็สว่างจ้าขึ้นมาทันที
เพราะนั่นคือลูกแก้วเงาลอย!
และการที่ถงฉี่ซานเลือกจะนำลูกแก้วเงาลอยออกมาตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายสมควรบันทึกฉากเรื่องราวยามประมือกับศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวนามต้วนหลิงเทียนผู้นั้นเอาไว้เป็นแน่!
วู้ม!
เมื่อพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของถงฉี่ซานถ่ายทอดลงสู่ลูกแก้วเงาลอยได้ไม่ทันไร ม่านแสงหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศต่อหน้าต่อตาเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสของคฤหาสน์หลิ่วสือ
ในม่านแสงที่ว่า ก็ปรากฏร่างคน 2 คนฉายอยู่
หนึ่งในนั้นก็คือหงจีที่พวกมันรู้จักดี ศิษย์ฝ่ายในคฤหาสน์หลิ่วสือที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง 5 ประการ
ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มชุดม่วง หันหน้าเข้าหาม่านแสงพอดี ทุกคนจึงเห็นหน้าค่าตาชัดเจน
ถึงแม้ว่าหน้าตาของชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้จะไม่คุ้นเคย แต่คนของคฤหาสน์หลิ่วสือก็เดาได้ไม่ยาก
ว่าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้สมควรเป็นศิษย์ของคฤหาสน์เฉวียนโยวนามว่าต้วนหลิงเทียนเป็นแน่
“หงจีลงมือแล้ว!”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ฉากเรื่องราวในลูกแก้วเงาลอยก็เปลี่ยนไป หงจีได้เร่งเร้าพลังสร้างดาบสีทองก่อนจะตวัดฟันคลื่นพลังสีทองออกไปดั่งข่ายดาบเข่นฆ่าสังหารไปทางชายหนุ่มชุดม่วง
ทุกคนยังเห็นชัดจากฉากเรื่องราวในม่านแสงเบื้องหน้า ว่าข่ายพลังดาบสีทองของหงจีพุ่งทะยานไปฉับไวและทรงพลังขนาดไหน
อย่างไรก็ตามในห้วงเวลาสุดท้าย ร่างชายหนุ่มชุดม่วงนั่นกลับอันตรธานหายไปราวภูตผี!
พอเห็นอีกทีคนก็ไปปรากฏตัวอยู่ทางซ้ายของหงจี และห่างออกไปจากจุดเดิมราวๆ 100 หมี่เรียบร้อยแล้ว
“นี่มัน…ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ!”
อาวุโสของคฤหาสน์หลิ่วสือคนหนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ ของกฏมิติ!”
หลายคนที่ชมดูอยู่อดไม่ได้ที่จะตกใจ เพราะไม่ว่าใครก็ล้วนทราบดีว่าความลึกซึ้งเคลื่อนมิตินั้นเป็นความลึกซึ้งที่ยากจะเข้าใจที่สุดของกฏแห่งมิติ!
เมื่อเข้าใจมันแล้ว ก็สามารถใช้การเคลื่อนย้ายในพริบตาได้อย่างไร้ร่องรอย!
“พวกเจ้า…ดูป้ายที่ห้อยแขวนที่เอวของเจ้านั่นสิ ป้ายนั่นมัน…”
ศิษย์ของคฤหาสน์หลิ่วสือที่ตาไวหน่อย ก็สังเกตเห็นป้ายที่ห้อยแขวนอยู่บริเวณเอวของต้วนหลิงเทียน และนั่นทำให้ลูกตามันหดเล็กลงทันที
“บ้าน่า…เจ้านั่นเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวงั้นเหรอ!?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น