War sovereign Soaring The Heavens 3110-3119

 ตอนที่ 3110

 

อารามตกใจกับเรื่องราวที่อุบัติขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนหยุดจ่ายพลังวิญญาณไปประคองสภาพโลกใบเล็กชั่วขณะ


 


อย่างไรก็ตามแม้ต้วนหลิงเทียนจะเผลอหยุดจ่ายพลังวิญญาณไปประคองสภาพ หากแต่กระบวนการสร้างโลกใบเล็กกลับดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ถึงขั้นที่ดำเนินการต่อไปด้วยความเร็วที่เหนือล้ำกว่าเดิม!


 


โลกใบเล็กภายในกายต้วนหลิงเทียนยังคงถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมหาศาลหลั่งไหลออกจากชีพจรสวรรค์ 99 สายไปเองราวกับโดนบางอย่างควบคุม และพวกมันก็ช่วยให้ต้วนหลิงเทียนสร้างโลกใบเล็กได้ดียิ่งขึ้น


 


“นี่มัน…เป็นเพราะกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพ!”


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็พบว่า


 


กิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพแต่เดิมที่เพียงทิ่มแทงรากไปยังโลกใบเล็ก บัดนี้มันได้ไปอยู่กลางห้วงมิติภายในโลกใบเล็กที่ยังสร้างขึ้นไม่เสร็จดีของเขาแล้ว แถมรากยังเริ่มยืดยาวออกมาชอนไชเบื้องล่าง


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ใต้กิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพบัดนี้ ได้ปรากฏผืนดินขึ้นมาอย่างฉงน! และผืนดินดังกล่าวยังมีแสงสีเขียวอาบไล้ไปทั่ว!!


 


แสงสีเขียวอาบไล้ผืนดินไม่นาน ก็เริ่มปรากฏหญ้าผุดขึ้นเรียงรายแลดูประหนึ่งทุ่งหญ้า นอกจากนั้นอยู่ๆบุปผานานาพรรณก็เริ่มงอกเงยขึ้นมาจากทุ่งหญ้าดังกล่าว พริบตาก็มีนับร้อยๆสายพันธ์ เบ่งบานอย่างพร้อมเพรียง แลดูงดงามเหลือเกิน


 


“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมแลเห็น ว่าแสงสีเขียวที่อาบไล้ไปทั่วนั้น มันสาดส่องออกมาจากกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ


 


ขณะเดียวกันพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมหาศาลที่หลั่งไหลมาจากชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 สาย ก็เริ่มแผ่เข้ามาเติมเต็มห้วงมิติในโลกใบเล็กของเขา ทำให้โลกใบเล็กที่ว่างเปล่าร้างพลังวิญญาณฟ้าดินเมื่อครู่ เริ่มท่วมท้นไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินทันที


 


จากนั้นขุนเขาขนาดย่อมลูกหนึ่งก็ราวกับจะผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า ต่อมาก็แผ่ขยายใหญ่โตห้อมล้อมชายขอบห้วงมิติของโลกใบเล็กจนทำให้จุดศูนย์กลางห้วงมิติประหนึ่งอยู่ในหุบเขา จากนั้นบนยอดเขาก็เริ่มปรากฏสายธารไหลรินลงมา พร้อมต้นไม้เขียวขจีที่เริ่มเติบโตขึ้นมาตั้งตระหง่านในเวลาชั่วพริบตา


 


ผ่านไปไม่นานนัก บัดนี้ขุนเขาดังกล่าวก็อุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยความเขียวขจี จากนั้นสายธารที่ไหลรินบนแนวอดเขาก็ไหลมารวมกันที่หน้าผาแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เกิดเป็นน้ำตกงดงามตระการตา มวลน้ำของน้ำตกก็เริ่มหลั่งไหลไปรวมังที่แห่งหนึ่ง ก่อเกิดเป็นทะเลสาบเล็กๆภายในหุบเขา


 


ภายในทะเลสาบที่น้ำใสกระจ่างก็ค่อยๆปรากฏหินหลากสีสันขึ้นที่ก้นทะเลสาบอย่างอัศจรรย์


 


“นี่มัน…”


 


วินาทีต่อมาต้วนหลิงเทียนยังเห็นอีกว่า


 


บนสนามหญ้าภายในหุบเขา เริ่มปรากฏร่างเล็กๆขึ้นจากความว่างเปล่า เป็นนกและสัตว์ป่าตัวเล็กตัวน้อย พวกมันเริ่มโผบินทั้งวิ่งเล่นไปในหุบเขาอย่างมีความสุขราวสถานที่แห่งนี้คือแดนเซียน นับว่าทำให้ต้วนหลิงเทียนตกตะลึงอึ้งไปโดยสมบูรณ์


 


อย่างไรก็ตามทั้งวิหกและสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ก็พร้อมใจกันหลีกเลี่ยงกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่ตั้งตระหง่านกลางหุบเขา


 


“ดูเหมือนว่าเรื่องราวทั้งหมด สมควรเกิดจากกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพ…”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ไม่ยากว่าความเปลี่ยนแปลงอัศจรรย์ภายในโลกใบเล็กของเขาเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพอย่างแยกไม่ออก


 


“เย่! สำเร็จแล้ว!!”


 


ทันใดนั้นอยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินโพล่งดังขึ้นอย่างดีใจ


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้วว่าปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินที่เดิมฝังอยู่ในต้นแขนของเขา ได้ผละออกจากตรงนั้นและพุ่งเข้ามายังโลกใบเล็กของเขาที่ยังสร้างไม่เสร็จ


 


อย่างไรก็ตามดูจากความเสถียรภาพของมัน เกรงว่ากระบวนการสร้างโลกใบเล็กของเขาคงสิ้นสุดลงในเวลาไม่นาน


 


หลังจากปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเคลื่อนมาถึงโลกใบเล็ก มันก็เริ่มควบรวมพลังชีวิตสร้างร่างมนุษย์ขึ้นมาทันที รูปลักษณ์ยังเป็นเด็กชายตัวน้อยอายุราวๆ 2-3 ขวบ รูปร่างเจ้าเนื้อ แก้มจ้ำม่ำสีอมชมพูแลดูหมั่นเขี้ยวน่าหยิกนัก


 


อย่างไรก็ตามแม้จะก่อสร้างร่างมนุษย์ขึ้นมาแล้ว แต่ร่างมนุษย์ของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็แลดูเสมือนภาพมายา ราวกับหมอกกลุ่มหนึ่งที่อาจกระจัดกระจายสลายหายไปได้ง่ายๆหากต้องสายลมเบาๆพัดพา


 


“เจ๋ง! เยี่ยมไปเลย! พลังชีวิตในโลกใบเล็กจากกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพนี่มีมากพอให้ข้าสร้างร่างมนุษย์ได้แล้ว!”


 


เด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่กลางหุบเขาและจับจ้องมองไปยังกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพไม่ไกล  พยักหน้างึกๆแลดูพึงพอใจถึงขีดสุด


 


ซูว! ซูวว!!


 


หลังเด็กชายตัวน้อยปรากฏตัวขึ้นในหุบเขา ก็มีร่างอีก 2 ร่างค่อยๆก่อตัวขึ้นมา


 


และเมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้แต่แรกว่าทองเทพสุดลี้ลับ กับเพลิงเทพโกลาหลในร่างเขาได้เริ่มเคลื่อนย้ายเข้ามายังโลกใบเล็กที่สร้างไม่เสร็จดีของเขา


 


ทองเทพสุดลี้ลับได้ก่อร่างเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีทอง ใบหน้ามันเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา หว่างคิ้วแผ่พุ่งความเคร่งขรึมจริงจัง ไม่ขาดสง่าราศี


 


เพลิงเทพโกลาหลก็ได้ควบรวมพลังก่อร่างเป็นชายชราในชุดคลุมสีแดงเพลิง รูปร่างสูงใหญ่ หว่างคิ้วปรากฏปานรูปเปลวเพลิงโดดเด่น แลดูมากอำนาจบารมี สองตาฉายชัดถึงความมากประสบการณ์


 


อย่างไรก็ตามดุจดั่งเด็กชายตัวน้อย จะชายวัยกกลางคนในชุดคลุมสีทองก็ดีหรือชายชราในชุดคลุมสีแดงเพลิงก็ดี ร่างกายของทั้งคู่ก็แลดูเสมือนเงาเลือนดั่งภาพมายา


 


“ท่านทั้งหลาย ผู้ใดบอกข้าได้บ้างว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนทนความอยากรู้ไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเอ่ยถามทั้ง 3 ออกไปตรงๆ


 


“ฮ่าๆๆ เจ้าหนู เจ้าโชคดีจริงๆ พึ่งจะเปิดสร้างโลกใบเล็กแท้ๆ แต่เจ้ากลับได้รับการยอมรับจากกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพจนมันหยั่งรากลงในโลกใบเล็กของเจ้าแล้ว”


 


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินที่บัดนี้กลายเป็นเด็กชายตัวน้อยไปแล้ว หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานพลางกล่าวตอบ “ก่อนอื่นเลยเจ้าต้องรู้ว่าเรื่องแบบนี้โอกาสเกิดขึ้นมันน้อยแสนน้อย…ต่อให้เป็นเจ้าที่มีชีพจรสวรรค์ยังมีโอกาสเกิดขึ้นไม่ถึง 3 ส่วนด้วยซ้ำ”


 


“แล้วสิ่งนี้มันมีประโยชน์อย่างไร?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามอย่างตรงไปตรงมา เพราะสิ่งที่เขาอยากรู้ที่สุดก็คือมันมีประโยชน์อะไรกับเขากันแน่


 


“ประโยชน์แน่นอนว่ามี!”


 


เด็กน้อยกล่าวออกเสียงดัง ยังเชิดหน้าขึ้นวางมาดราวมหาปราชญ์ตัวจิ๋ว “กิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพหยั่งรากลงในโลกใบเล็กของเจ้าแบบนี้ นอกจากทำให้เส้นทางสู่ผู้แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าพบพานอุปสรรคน้อยลงแล้ว มันยังจะช่วยให้เจ้าเข้าใจกฏแห่งชีวิตได้แน่นอน!”


 


“ก่อนหน้าหากเจ้าคิดจะทำความเข้าใจกฏแห่งชีวิต แม้กิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพจะยอมรับเจ้าเป็นนายแล้ว แต่เจ้าก็ยังต้องพึ่งตัวเอง…ทว่าตอนนี้กิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพไม่เพียงแต่จะยอมรับเจ้าเป็นนาย มันยังเลือกจะลงหลักปักฐานในโลกใบเล็กของเจ้า ทำให้ต่อให้ตัวเจ้าจะไม่สนใจทำความเข้าใจกฏแห่งชีวิตเลย แต่ภายใต้พลังชีวิตมหาศาลที่อุดมอยู่ในโลกใบเล็กของเจ้า วันหนึ่งเจ้าก็จะเข้าใจมันไปตามธรรมชาติ!”


 


“กระทั่งตราบใดที่เจ้ามีชีวิตอยู่นานพอ ให้เจ้านั่งๆนอนๆทั้งวันเจ้าก็จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งชีวิตทั้งหมดได้แน่นอน…ที่สำคัญความลึกซึ้งทั้งหมดของกฏแห่งชีวิตของเจ้า สักวันจะเข้าใจถึงความสำเร็จขั้นตอนยิ่งใหญ่ไปเอง!!”


 


“แต่เป็นธรรมดาว่ามันต้องใช้เวลานานมากๆเลยทีเดียว…”


 


“แต่ถ้าเจ้าไม่รอให้เข้าใจไปเองหรือไม่อยากเสียเวลานานขนาดนั้น เจ้าก็สามารถริเริ่มทำความเข้าใจกฏแห่งชีวิตด้วยตัวเอง และความเร็วในการทำความเข้าใจของเจ้า ก็จะไม่น้อยกว่าความเร็วในการทำความเข้าใจกฏของธาตุทั้ง 5 ยามได้รับความช่วยเหลือจากพวกเราเลย”


 


เด็กชายตัวน้อยอ้าปากเล็กๆกล่าวออกมารวดเดียวจบคำ พอมันพูดจบสองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที


 


เขาไม่คิดเลยว่าการที่กิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพเลือกจะมาหยั่งรากลงในโลกใบเล็กของเขา มันจะให้ผลประโยชน์เลิศล้ำขนาดนี้!


 


“เจ้าหนู ตอนนี้เจ้ารีบฉกฉวยโอกาสตอนกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพสร้างโลกใบเล็กเพื่อทำความเข้าใจกระบวนการสร้างโลกใบเล็กเถอะ…บางทีเจ้าอาจจะเข้าใจกฏมิติได้”


 


ชายวัยกลางคนในชุดคลุมทอง หรือก็คือทองเทพสุดลี้ลับกล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียนออกมา “กฏแห่งมิติเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุด หากเจ้าคิดจะทำความเข้าใจมันเจ้าต้องเคาะประตูสู่ความลึกลับของมันให้ได้เสียก่อน…และตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเจ้าในการเคาะประตูดังกล่าว”


 


“มิแน่ว่าการเคาะประตูครั้งนี้ของเจ้า อาจทำให้เจ้าโชคดีจนสามารถเปิดประตูสู่กฏแห่งมิติได้”


 


วาจาประโยคท้ายของทองเทพสุดลี้ลับ ยังเต็มไปด้วยการกระตุ้นนัก


 


พอได้ยินคำแนะนำของทองเทพสุดลี้ลับ ใจต้วนหลิงเทียนก็เต้นไปไม่เป็นจังหวะทันที


 


และในเวลาเดียวกัน เขาก็พบว่าไม่จำเป็นต้องงมือทำอะไรเพื่อสร้างโลกใบเล็กอีกแล้ว กระบวนการทั้งหมดมันดำเนินการไปเอง ทำให้เขาสามารถทุ่มสมาธิทำความเข้าใจความลึกลับของห้วงมิติได้เต็มที่


 


กิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพมันคอยดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบให้หลั่งไหลผ่านชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 สายและขัดเกลาเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดโดยอัติโนมัติ ยังควบคุมมาสร้างโลกใบเล็ก ให้มีเสถียรภาพมากขึ้นทุกขณะ


 


“กฏแห่งมิติ!”


 


หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์ตื่นเต้น ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มแผ่สำนึกเทวะไปปกคลุมโลกใบเล็กที่กำลังสร้างอยู่ทั้งหมด ราวกับต้องการดูว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร


 


โลกใบเล็กของเขากำลังก่อตัวขึ้นด้วยความเร็วสูง และพอสัมผัสกระบวนการถือกำเนิด ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างได้คลุมเคลือ


 


และนั่นก็คือการสัมผัสถึงกฏเกณฑ์แห่งมิติ


 


แน่นอนว่าข้อมูลเชิงลึกนั้นต้วนหลิงเทียนยังไม่อาจทำความเข้าใจได้ ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจพอสมควรเพราะก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสัมผัสกฏแห่งมิติมาก่อนเลย


 


ไม่ทันรู้ตัวจิตสมาธิของต้วนหลิงเทียนก็จดจ่ออยู่กับกระบวนการสร้างโลกใบเล็กโดยสมบูรณ์ พริบตาก็ผันผ่านไปครึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว


 


บัดนี้ในห้วงสำนึกเขาจดจ่ออยู่กับห้วงมิติของโลกใบเล็กที่ค่อยๆมีเสถียรภาพมากขึ้นทุกขณะ


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังพยายามจะทำความเข้าใจกับความลึกลับของห้วงมิตินั้น ก็ทำให้เขารู้สึกท้อใจอยู่บ้าง เพราะสิ่งนี้เสมือนคิดวัดปริมาณน้ำในห้วงสมุทรสุดไพศาลว่ามีกี่หยด…ทั้งที่ตัวเองกำลังลอยคออยู่ในมหาสมุทรดังกล่าว ทำให้ไม่อาจจับต้นชนปลายได้ถูก ยากจะเข้าใจใดๆได้


 


“หืม?”


 


หากทว่าในห้วงสำนึกของต้วนหลิงเทียน อยู่ๆพลันมีข้อมูลอันลึกลับและคลุมเครือหนึ่งผุดขึ้นอย่างมหาศาล จากนั้นข้อมูลลึกลับดังกล่าวก็เริ่มย่อยสลายและหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเขา


 


ข้อมูลลึกลับที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาอย่างมหาศาลนี้ หลั่งไหลประดังเข้ามาสู่จิตใจของต้วนหลิงเทียนประหนึ่งมวลน้ำเชี่ยวกราด ทำให้ต้วนหลิงเทียนสมองอื้ออึงไปพักใหญ่ เนิ่นนานกว่าจะผ่อนคลาย


 


ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ตามสัญชาติญาณว่า…ข้อมูลลึกลับดังกล่าว อาจจะเกี่ยวข้องกับพลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง!


 


เพราะในขณะที่ความลึกลับและคลุมเครือดังกล่าวประดังเข้ามาสู่จิตใจ ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่าพลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของเขากำลังลดลงด้วยความเร็ว ประหนึ่งเลือดไก่ที่ถูกต้มจนเริ่มจับตัว


 


จากนั้นเขาก็รู้สึกเสมือนทั่วร่างร้อนลวกปานเพลิงไฟ ขณะเดียวกันสมองก็อื้ออึงจนหนังศีรษะคล้ายกลับกลายเป็นด้านชา


 


“นี่มันอะไรกัน…”


 


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความรู้สึกลึกลับบางอย่าง พอลืมตาขึ้นมาขยับมือเบาๆ เขาก็สัมผัสได้ว่ามันเกี่ยวข้องกับความว่างเปล่ารอบกายของเขา


 


ความรู้สึกลึกลับที่ว่า เหมือนจะเป็นความรู้สึกดั่งทุกสิ่งถูกควบคุมอยู่ในกำมือ ราวกับเขาสามารถควบคุมความว่างเปล่ารอบๆตัวได้


 


“ไม่จริงหน่า…”


 


ห้วงเวลาดุจฟ้าแลบ ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความคิดอุกอาจประการหนึ่งขึ้น สองตายังลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที


 


ตอนนี้หากมีใครมาอยู่ใกล้ๆและมองสบตาต้วนหลิงเทียนล่ะก็…


 


จะพบว่าสองตาคู่นี้ของต้วนหลิงเทียนมันเปล่งประกายระยับปานดวงดาราสุกสกาวกลางฟ้ายามราตรีกาล! กระทั่งยังเจิดจ้าเสียจนทำให้ผู้คนที่ชมมองตาแทบบอด!!


 


“ฟืดด!!”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดหายใจเข้าลึกยาวคำใหญ่ เพื่อบังคับให้สติอารมณ์ของตัวเองสงบลง ขณะเดียวกันก็เริ่มแยกแยะข้อมูลลึกลับในใจ ซึ่งเดิมทีเขารู้สึกถึงมันอย่างคลุมเครือ


 


แต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพบว่าข้อมูลลึกลับที่ทำให้เขารู้สึกคลุมเครือนั้น ราวกับมันติดตัวเขามาแต่กำเนิดและทำให้เขาเข้าใจมันไปเองโดยธรรมชาติ


 


และข้อมูลนี้ก็บ่งบอกถึงสิ่งหนึ่ง…


 


ว่าการคาดเดาในใจก่อนหน้าของเขามันถูกต้อง!


 


“ให้ตายเถอะ…ใช่จริงๆด้วย!”


 


ต้วนหลิงเทียนกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น ร่างยังสั่นเทิ้มไปเบาๆ หากทว่ายิ่งมาก็ยิ่งสั่นแรงขึ้นอย่างยากจะควบคุม!


 


ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ต้วนหลิงเทียนจะตื่นเต้นจนตัวสั่น เพราะหากใครอยู่ที่นี่และได้ล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ไม่พ้นต้องตกใจครั้งใหญ่แน่!


 


“กฏมิติ!!”


 


“กฏที่ผลเทพสังเวยสวรรค์ช่วยให้ข้าเข้าใจกลับเป็นกฏแห่งมิติจริงๆ!!”


 


เหตุผลที่ไฉนตอนนี้ต้วนหลิงเทียนถึงได้ตื่นเต้นหนักหนานั้น…


 


เพราะพลังที่ช่วยให้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏจากผลเทพสังเวยสวรรค์ที่เขารอคอยอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดหลังผ่านไปครึ่งเดือนมันก็ปรากฏขึ้นแล้ว และมันยังช่วยทำให้เขาเข้าใจกฏแห่งมิติ 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่กระทั่งหลับเขายังฝันถึง!!



 

 

 


ตอนที่ 3111

 

ก่อนที่พลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ที่ช่วยให้เข้าใจความลึกซึ้งจะปรากฏขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยมัน และหวังว่ามันจะช่วยให้เขาเข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุด


 


หลังได้ฟังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอธิบาย เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ว่าผลเทพสังเวยสวรรค์คงไม่อาจช่วยให้เขาทำความเข้าใจกฏแห่งเวลาได้ เพราะเขาเคยริเริ่มทำควมเข้าใจมันมาแล้วในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว


 


อย่างไรก็ตาม อีก 3 ใน 4 กฏสูงสุดอย่าง กฏแห่งมิติ กฏแห่งชีวิต และกฏแห่งความตายนั้น ยังมีโอกาสที่มันจะช่วยให้เขาเข้าใจได้อยู่


 


แต่ถึงกระนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก


 


ท้ายที่สุดแล้ว กฎสูงสุดมันก็เข้าใจได้ยากกว่ากฎทั่วไป ถึงผลเทพสังเวยสวรรค์จะมีพลังงอำนาจท้าทายสวรรค์ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะท้าทายสวรรค์มากพอถึงขั้นช่วยให้เข้าใจกฏสูงสุดได้


 


วันนี้พอดีเขานึกอยากจะเปิดสร้างโลกใบเล็กของตัวเอง ที่เขาสร้างได้ตั้งแต่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดขึ้นมา เดิมทีเรื่องราวก็ดำเนินไปตามปกติ ทว่าเพราะการแทรกแซงของกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ทำให้เขาประสบกับเหตุการณ์อัศจรรย์เหนือคาดคิด


 


และเพราะการเข้ามาแทรกแซงของกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องควบคุมดูแลการสร้างโลกใบเล็กอีกต่อไป เพราะกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพมันควบคุมจัดการทุกอย่าง ไม่ว่าจะให้ชีพจรสวรรค์ 99 สายของเขาดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน ขัดเกลาเป็นพลังเซียนยอมตะต้นกำเนิด ขวบขนกระทั่งชักนำไปสร้างโลกใบเล็กด้วยตัวเอง แถมความเร็วยังเหนือกว่าที่เขาทำเองอีกด้วย!


 


ในขณะที่เขากำลังอึ้งกับเรื่องราวเหล่านั้น ทองเทพสุดลี้ลับก็แนะนำให้เขาฉกฉวยโอกาสดังกล่าว เพื่อสัมผัสกระบวนการสร้างโลกใบเล็กดู เผื่อจะมีโอกาสเข้าใจกฏแห่งมิติ


 


หลังได้รับคำแนะนำของทองเทพสุดลี้ลับ เขาก็เริ่มอุทิศตัวสัมผัสกระบวนการสร้างโลกใบเล็กของกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพทันที และทุ่มสมาธิจดจ่อกับมันโดยไม่สนสิ่งใดอื่น


 


และทันใดนั้นเอง อยู่ดีๆก็มีชุดข้อมูลลึกลับคลุมเครือมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจเขา ทว่าผ่านไปสักพักชุดข้อมูลลึกลับคลุมเครือที่ว่าก็กลายเป็นกระจ่างแจ้ง ราวมันอยู่กับเขามาตั้งแต่เกิด ทำให้เขาเข้าใจมันไปเองอย่างเป็นธรรมชาติ…


 


หลังจากพิจารณาชุดข้อมูลที่อยู่ๆก็เข้าใจอย่างงงๆไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็ยืนยันได้ทันที…


 


ว่าชุดข้อมูลดังกล่าว มันก็คือความลึกซึ้งต่างๆของกฏแห่งมิติ และเห็นได้ชัดว่าเป็นผลเทพสังเวยสวรรค์ช่วยให้เขาเข้าใจ เพราะพลังอำนาจผลเทพสังเวสวรรค์ที่ไหลเวียนในร่างเขามันลดลงพอดิบพอดีกับที่ชุดข้อมูลดังกล่าวปรากฏขึ้น…


 


“กฏแห่งมิติ…”


 


ต้วนหลิงเทียนพยายามระงับบความตื่นเต้นในใจ จากนั้นก็เริ่มนึกทบทวนชุดข้อมูลที่เขาเข้าใจกระจ่างในใจแล้วอีกรอบ “ความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติ ที่ผลเทพสังเวยสวรรค์ช่วยให้ข้าเข้าใจมีทั้งสิ้น…”


 


“6 ความลึกซึ้ง!”


 


หลังจากยืนยันได้แน่ชัดแล้วว่าตอนนี้เขาเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติ 6 ประการ ใจที่พึ่งสงบลงของต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นว้าวุ่น เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีอีกครั้ง รอบนี้ยังยากที่จะสงบลงได้อยู่นาน!


 


ถึงแม้เขาจะเข้าใจมาก่อนแล้วว่าผลเทพสังเวยสวรรค์สามารถช่วยให้คนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้อย่างน้อย 6 ประการ และหากโชคดีผลเทพสังเวยสวรรค์ก็อาจช่วยให้เข้าใจคววามลึกซึ้งได้มากถึง 8 ประการ


 


อันหมาความว่าการที่เขาเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้แค่ 6 ประการแบบนี้ ถือว่าน้อยที่สุด…


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ได้ผิดหวังที่ผลเทพสังเวสวรรค์ช่วยเขาได้เท่านี้แม้แต่นิดเดียว เพราะถึงมันจะช่วยให้เขาเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้แค่ 6 ประการ ทว่าต้องเข้าใจด้วยว่าความลึกซึ้งที่มันช่วยให้เขาเข้าใจหาใช่กฏธรรมดาๆไม่!


 


นี่มันคือความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติ!


 


กฏแห่งมิติเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุด! มันยากที่จะเข้าใจเหนือกฏทั่วไปหลายขุม!!


 


กฏทั่วไปนั้น ขอเพียงมีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาขึ้นไปให้ฝึกปรือก็สามารถเข้าใจได้ผ่านการฝึก ในขณะที่ 4 กฏสูงสุดนั้น ไม่อาจเข้าใจผ่านการฝึกปรือวรุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังใดๆได้เลย เช่นนั้นการจะทำความเข้าใจ 4 กฏสูงสุด นับว่ายากยิ่งกว่ากฏทั่วไปมากมายนัก


 


ต้วนหลิงเทียนพึงพอใจกับผลลัพธ์ครั้งนี้มาก กระทั่งดีใจเป็นที่สุด!


 


เรื่องนี้มองจากร่างที่ยังคงสั่นระริกไม่หยุดทั้งลมหายใจที่ถี่รัวปานคนหอบเหนื่อยก็รู้


 


“ความลึกซึ้งทั้ง 6 ประการของกฏมิติที่ผลเทพสังเวยสวรรค์ช่วยให้ข้าเข้าใจ…”


 


ราวๆ 1 เค่อต่อมา หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนสามารถสงบสติอารมณ์ตื่นเต้นยินดีที่หาได้ยากลงได้แล้ว เขาก็เริ่มหันมาให้ความสนใจกับความลึกซึ้งทั้ง 6 ประการของกฏแห่งมิติที่ผลเทพสังเวยสวรรค์ช่วยให้เขาเข้าใจ


 


“ความลึกซึ้งทั้ง 6 ประการ…นอกจากความหมายแห่งมิติที่ทำให้ใช้พลังธาตุมิติได้แล้ว…ก็มีความลึกซึ้งอีก 5 ประการได้แก่ ความลึกซึ้งกักกัน, บิดเบือน, เคลื่อนมิติ, ผ่ามิติ และ เขตแดนมิติ…”


 


“ในบรรดาความลึกซึ้งทั้ง 5 ความลึกซึ้งกักกันจัดเป็นความลึกซึ้งที่เน้นสนับสนุนเป็นหลัก”


 


“ส่วนความลึกซึ้งบิดเบือน กับผ่ามิติเป็นความลึกซึ้งที่เสริมการโจมตีเป็นหลัก”


 


“สำหรับความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ เป็นความลึกซึ้งที่มุ่งเสริมด้านการเคลื่อนไหว”


 


“ส่วนเขตแดนมิติเป็นความลึกซึ้งประเภทป้องกัน…”


 


พลังของผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น ทำให้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติทั้ง 6 ประการเสมือนเขาได้ทำความเข้าใจมันทีละก้าวๆด้วยตัวเอง ไม่เพียงแต่คุ้นเคยและเข้าใจกระจ่างชัด แต่เขายังเข้าใจลักษณะของพวกมันชัดเจน


 


กระทั่งยามใช้พลัง ก็คล่องแคล่วประหนึ่งแขนขาของเขา


 


“ความลึกซึ้งกักกัน!”


 


เพียงห้วงคิด พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนก็ปะทุออกมาทั่วร่าง จากนั้นก็เริ่มผสานเข้ากับธาตุมิติ จนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา จากนั้นพลังสีเทาดังกล่าวก็แผ่พุ่งไปในอากาศก่อนจะอันตรธานหายไปในพริบตา


 


ครู่ต่อมา


 


“เจ้าแล้วกัน!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่มองลอดหน้าต่างออกไป สายตาเขาก็ไปหยุดอยู่บนร่างด้วงสีดำที่กำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่งบนต้นไม้ในลานบ้าน จากนั้นพร้อมๆกันกับที่ใจคิด กิ่งไม้ดังกล่าวก็สั่นไหวเบาๆ


 


ขณะเดียวกันเมื่อกิ่งไม้สั่นไหว ด้วงสีดำเจ้ากรรมก็สะดุ้งตกใจ และเริ่มโผบินหมายหลบหนีไปจากกิ่งไม้ทันที


 


อย่างไรก็ตามทันทีที่มันบินขึ้น มันก็เสมือนกำลังชนเข้ากับบางสิ่ง และไม่อาจบินออกห่างจากกิ่งไม้ได้เลย ไม่ว่าจะบินว่อนไปทางไหนก็ตาม


 


เพราะโดยยึดตำแหน่งที่มันเกาะอยู่บนกิ่งไม้เมื่อครู่เป็นจุดศูนย์กลาง รัศมีรอบๆจุดนั้น 1 ฉื่อ เสมือนมีกรงอากาศปิดกั้นเอาไว้ ทำให้มันไม่อาจออกไปไหนได้เลย…


 


เป็นต้วนหลิงเทียนที่ใช้ความลึกซึ้งกักกันของกฏแห่งมิติ ผนึกห้วงมิติรอบๆกิ่งไม้โดยมีรัศมี 1 ฉื่อเอาไว้ ทำให้ดวงสีดำตัวน้อยเสมือนติดอยู่ในคุกทรงกลมไม่อาจหลบลี้หนีไปที่ใดได้


 


“บีบอัด!”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลง ทันใดนั้นเองพื้นที่มิติทรงกลมรัศมีหนึ่งฉื่อที่ล้อมรอบด้วงสีดำตัวน้อยนั่นก็หดเล็กลงในฉับพลัน จากนั้นด้วงสีดำตัวน้อยผู้เคราะห์ร้ายก็ถูกบีบอัดจนกลายเป็นจุดเล็กๆ จากนั้นร่างมันก็แตกระเบิดเป็นละอองเลือด เศษซากอวัยวะจะเปลือกจะปีกล้วนป่นปี้ไม่มีชิ้นดี…


 


“ความลึกซึ้งกักกันของกฏแห่งมิติ ไม่เพียงใช้กักขังเท่านั้น ยังสามารถทำร้ายกระทั่งเข่นฆ่าได้ด้วย…”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะศึกษาหาความรู้จากหอตำราฝ่ายในของนิกายอมตะเป้าผู่ จนรู้ความสามารถคร่าวๆของความลึกซึ้งประการต่างๆของกฏแห่งมิติมาบ้างแล้ว แต่ทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรจากการอ่านข้อความที่เขียนอยู่บนกระดาษ


 


ตอนนี้พอลองมาใช้ความลึกซึ้งเล่นงานด้วงตัวน้อยดู ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจถึงความน่ากลัวของความลึกซึ้งกักกันทันที…


 


“ความลึกซึ้ง บิดเบือน…”


 


หลังดึงสติกลับมาได้แล้ว สองตาต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องไปยังกิ่งไม้ที่ด้วงเกาะอยู่เมื่อครู่ทันที จากนั้นเพียงหนึ่งห้วงคิด ความลึกซึ้งบิดเบือนก็ถูกใช้ออก ภาพเรื่องราวเบื้องหน้าแลดูอัศจรรย์นัก เพราะห้วงมิติเริ่มสั่นสะท้าน ฉากเรื่องราวเริ่มบิดเบือน จนเสมือนมีคนบิดภาพวาด จากนั้นกิ่งไม้ดังกล่าวก็เสมือนถูกบิดเป็นเกลียว


 


กิ่งไม้เพียงสั่นไหวรุนแรงอยู่ไม่ทันไร มันก็ถูกห้วงมิติที่บิดเบือนดังกล่าวบิดจนแหลกเป็นฝุ่น ราวกับถูกวังวนมรสุมปั่นทำลาย…


 


“ความลึกซึ้ง ผ่ามิติ…”


 


ต้วนหลิงเทียนคิดอีกครั้ง ทันใดนั้นเบื้องหน้า ณ จุดที่สายตาจับจ้องก็ปรากฏรอยแยกมิติฉีกเปิดกลางอากาศ และทันทีที่รอยแยกมิติดังกล่าวปรากฏ ก็ปรากฏคลื่นสะบั้นสีดำราวกับคมมีดมิติพุ่งออกมา! ราวกับมีคนจู่โจมออกมาจากในห้วงมิติ!!


 


ซูว!


 


เมื่อคมมีดมิติพุ่งผ่านต้นไม้ไป ไม่เพียงมันจะตัดต้นไม้ให้ขาดกลางได้อย่างง่ายดาย กระทั่งจุดที่ถูกคมมีดมิติตัดผ่าน ยังแลดูยับเยินเสมือนถูกกรดรุนแรงกัดกร่อนจนสึกหรอ!


 


“ความลึกซึ้ง ผ่ามิติ ไม่เพียงแต่จะมีพลังโจมตีรุนแรงราวกับตัดได้ทุกสิ่ง กระทั่งยามตัดผ่านสิ่งใด รอยตัดยังถูกพลังมิติกัดกร่อนอย่างรุนแรง…หากใครโดนคมมีดมิติเมื่อครู่เล่นงาน ไม่เพียงแต่จุดที่โดนจะถูกตัดขาด กระทั่งพลังของมันยังจะกัดกร่อนภายในได้อีก…กระทั่งยังกัดกร่อนด้วยความเร็วสูงอีกด้วย!”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ


 


ความลึกซึ้งผ่ามิตินั้น เป็นความลึกซึ้งประเภทจู่โจมที่แปลกประหลาดที่สุดในกฏแห่งมิติ มันเหมือนการโจมตีที่ควบรวมพลังเข่นฆ่าทำลายที่มาจากมิติอื่น ทำให้ผู้คนยากจะป้องกัน กระทั่งหากโดนจู่โจมแล้วยังมีผลกระทบกัดกร่อนอันน่ากลัวอีกด้วย


 


“ความลึกซึ้งคลื่นมิติ…”


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนกลับมาให้ความสนใจกับความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ เขาก็ใช้พลังปิดหน้าต่างที่เปิดลงก่อน ทำให้ทั้งห้องกลายเป็นพื้นที่ปิดทึบทันที


 


พริบตาต่อมา


 


วูว!


 


พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานพลังธาตุมิติจนกลับกลายเป็นสีเทาทั่วร่างต้วนหลิงเทียนกระเพื่อมเบาๆคราหนึ่ง ก่อนที่ร่างต้วนหลิงเทียนจะอันตรธานหายไปจากห้องที่ปิดทึบทันที!


 


ปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ไปหยุดยืนอยู่ในลานด้านนอกแล้ว!


 


‘ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ นับเป็นการเคลื่อนที่ผ่านห้วงมิติจริงๆ…สามารถเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้ทันที ต่อให้จะมีอะไรขวางกั้นก็ข้ามผ่านได้ง่ายดาย สามารถออกจากห้องที่ปิดทึบมาโผล่ในลานได้ทันทีทันใด!’


 


‘เรียกว่าร่างข้าวูบมาปรากฏตัวตรงนี้ทันทีดั่งทะลุมิติมาอยู่ตรงนี้โดยตรง!!’


 


‘อย่างไรก็ตามระยะทางที่ข้าสามารถเคลื่อนย้ายข้ามมิติได้ในตอนนี้…สมควรมีรัศมีเพียง 100 หมี่’


 


ระยะทาง 100 หมี่สำหรับคนธรรมดาสามัญนั้นอาจจะเล็กน้อย และมนุษย์ธรรมดาก็ใช้เวลาราวๆ 10 วินาทีในการวิ่งข้ามระทางดังกล่าว


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนในตอนนี้อย่าว่าแต่ระยะทางแค่ 100 หมี่ กระทั่งหนึ่งลี้ก็เกรงว่าไม่ต่างอะไรจากครึ่งก้าว สามารถบรรลุถึงทันทีที่คิดจะไป ทว่ามันแตกต่างจากการเคลื่อนย้ายข้ามมิติมากโข เพราะเขาจะบรรลุถึงตำแหน่งที่ต้องการไปทันทีโดยที่ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆให้สืบสาว สิ่งนี้ทำให้เขาระเบิดการโจมตีได้ในฉับพลัน โดยที่ศัตรูไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าเขาเคลื่อนไหวมาอย่างไร…


 


‘ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ หากเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นจะมีรัศมีเคลื่อนย้ายแค่ 100 หมี่…ถ้าเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยก็จะเพิ่มเป็น 10,000 หมี่…และถ้าบรรลุขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ก็จะกลายเป็น 1,000,000 หมี่!’


 


‘ระยะทาง 1,000,000 หมี่ ก็ไม่ต่างอะไรจาก 2,000 ลี้…ที่สำคัญมันบรรลุถึงทันทีทันใด!’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ เขานึกภาพยามเข้าใจมันถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้เลย ว่าสิ่งนี้มันทรงพลังทั้งน่ากลัวอย่างไร


 


‘อย่างไรก็ตามแม้ข้าจะพึ่งเข้าใจมันถึงขั้นตอนคววามสำเร็จเบื้องต้น ทั้งยามต่อสู้จริงผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏอื่นๆที่เสริมความเร็วเป็นหลักก็เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าข้า…แต่นั่นก็คือการเคลื่อนที่ตรงๆ เผยให้เห็นร่องงรอยความเคลื่อนไหว แต่ข้าสามารถไปที่ไหนก็ได้โดยไม่ถูกสิ่งใดขัดขวาง!’


 


หากต้องเผชิญหน้ากับศัตรู และอยู่ๆก็ไปผุดโผล่เบื้องหลังอีกฝ่ายอย่างไร้ร่องรอยปานภูตผี ต่อให้อีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วเพียงใด การลงมือของเขาก็สมควรบรรลุถึงแผ่นหลังของอีกฝ่ายแล้ว…


 


อาศัยแค่สิ่งนี้ก็ทำให้ผู้คนไม่อาจไม่กลัว ยังถึงขั้นต้องมีหวาดผวากันบ้าง!!



 

 

 


ตอนที่ 3112

 

ตึง!


 


ต้วนหลิงเทียนที่เดิมยืนอยู่บนลาน พลันถีบเท้าลงพื้นครั้งหนึ่งดังตึง คนก็โจนร่างทะยานขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะลอยค้างกลางหาวราวไม่สนแรงโน้มถ่วง


 


“ความลึกซึ้ง เขตแดน…”


 


เพียงหนึ่งห้วงคิด ต้วนหลิงเทียนก็ใช้ความลึกซึ้งประการสุดท้ายในบรรดาความลึกซึ้ง 6 ประการของกฏแห่งมิติ เขตแดน พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานธาตุมิติจนกลับกลายเป็นสีเทาทั่วร่างพุ่งพล่านขึ้นมาคราหนึ่ง จากนั้นเขตแดนมิติก็แผ่ขยายกำจายออกมาปกคลุมรอบกาย


 


ในเขตแดนมิติ ปรากฏรอยแยกมิติกระพริบวูบวาบไปทั่ว ราวกับมีพลังจากอีกห้วงมิติฟาดฟันทำลายความว่างเปล่าเข้ามา ยังปรากฏอัสนีสีเทากระพริบแปลบปลาบไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียน


 


ถึงแม้เขตแดนมิติจะเป็นความลึกซึ้งที่หนุนเสริมการป้องกันเป็นหลัก หากแต่ในแง่การโจมตีก็หาได้อ่อนโทรมไม่! เพียงแค่มันเน้นหนักไปในด้านป้องกันมากกว่าก็เท่านั้น!!


 


‘ตอนข้าใช้เขตแดนมิติหากใครเข้ามาต่อสู้ระยะประชิดกับข้า…มันไม่เพียงแต่จะต้องรับมือการโจมตีโดยตรงของข้า แต่ยังต้องเจียดสมาธิไประวังพลังจากเขตแดนมิติของข้าอีกด้วย หาไม่แล้วก็ต้องโดนพลังจากเขตแดนมิติของข้าเล่นงานเอา…’


 


ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างกลางหาว เริ่มอ้าแขนออกพลางหลับตา สัมผัสพลังของเขตแดนมิติโดยรอบที่ปกป้องคลุมกายเขา จนทราบถึงความดุร้ายของมันชัดเจน หากใครล่วงล้ำเข้ามามันพร้อมจะฉีกกระชากทำลายให้สิ้นทันที!


 


อย่างไรก็ตามสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว พลังดุร้ายนี้กลับอบอุ่นนัก ให้ความรู้สึกเสมือนอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น พาลให้ต้วนหลิงเทียนอดนึกถึงความรู้สึกถึงอ้อมกอดมารดาครั้งยังเป็นวัยรุ่นไม่ได้


 


“หืม?”


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา เพราะสัมผัสได้ถึงแมลงตัวหนึ่งที่บินอยู่ไม่ไกล มือเขาพลันสะบัดฉับไวปานสายฟ้า ปรากฏพลังไร้สภาพขุมหนึ่งพุ่งไปห้อหุ้มแมลงดังกล่าว และนำมันเข้ามาภายในเขตดินมิติของเขาทันที


 


และเมื่อแมลงดังกล่าวเข้ามาภายในเขตแดนมิติของเขาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ถอนรั้งพลังไร้สภาพที่ปกคลุมมันทันที


 


เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!


 



 


แมลงวันตัวน้อยที่ล่วงล้ำเข้าเขตแมนมิติของต้วนหลิงเทียน เมื่อไร้ซึ่งพลังของเขาคอยปกป้อง มันก็ถูกสับสะบั้นแหลกเป็นชิ้นๆด้วยพลังของเขตแดนมิติ สลายหายไปในอากาศในบัดดล


 


‘จากข้อมูลของกฏแห่งมิติที่ข้าเคยศึกษามา…เขตแดนที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นดูเหมือนจะมีรัศมีรอบกาย 10 หมี่ เมื่อบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยก็จะขยายออกไปเป็น 100 หมี่ จนเมื่อบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ถึงจะกินรัศมี 1,000 หมี่รอบตัว’


 


คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ลองแผ่ขยายเขตแดนมิติให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงพบว่าเมื่อเขตแดนของเขากางออกไปกินรัศมี 10 หมี่แล้ว มันก็ไม่อาจแผ่ขยายออกไปได้อีก


 


เป็นดั่งที่เขาศึกษามาจริงๆ


 


หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ถอนรั้งพลังทั้งหมดคืนกลับเข้าร่าง โรยตัวลงมาจากฟ้า อย่างไรก็ตามจวบจนเท้าแตะพื้นดินอีกครั้ง ใบหน้าก็ยังเผยความประหลาดใจไม่หาย


 


ความลึกซึ้ง 6 ประการของกฏแห่งมิติ…


 


เพียงเวลาชั่วพริบตา เขาก็กระจ่างทุกอย่าง


 


ถึงแม้ผลเทพสังเวยสวรรค์จะช่วยให้เขาเข้าใจคววามลึกซึ้งของกฏอื่น 9 ประการ เขาก็ไม่แน่ว่าจะดีใจเหมือนตอนนี้ เพราะกฏแห่งมิตินั้นเป็นถึง 1 ใน 4 กฏสูงสุด! ความลึกซึ้งประการต่างๆ เป็นอะไรที่ลึกล้ำยากจะเข้าถึงได้เป็นอย่างยิ่ง!!


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนคล้ายจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ในใจเสมือนมีประกายแสงสว่างวาบ ลูกตาหรี่ลง “นี่มัน…ความลึกซึ้ง ส่งผ่าน งั้นเหรอ!?”


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนพลันพบเรื่องราวที่ทำให้เขาตกใจอีกเรื่อง


 


ที่แท้ผลเทพสังเวยยสวรรค์ไม่เพียงจะช่วยให้เขาเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้ 6 ประการ แต่มันยังทำให้เขาริเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 7 ของกฏมิติแล้วด้วย!


 


และความลึกซึ้งประการที่ 7 ที่เขาเริ่มหยั่งถึงก็คือ ความลึกซึ้ง ส่งผ่าน!


 


ปกติแล้วการส่งผ่านที่ว่า ผู้คนจะสัมผัสถึงมันได้ก็ต่อเมื่อใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งส่งผ่านของกฏแห่งมิติ ก็สามารถใช้วิธีดังกล่าวได้เช่นกัน


 


แน่นอนว่าถึงแม้จะเข้าใจความลึกซึ้งส่งผ่านของกฏแห่งมิติแล้ว แต่ระทางที่จะส่งตัวไปได้ก็มีขีดจำกัด ไม่อาจเทียบกับค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ใช้วัตถุดิบหนุนเสริมและมีขุมพลังมหาศาลได้


 


และเป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งจะริเริ่มเข้าใจมันได้บางส่วนเท่านั้น ยังต้องใช้เวลาและความเพียรอีกมากกว่าจะเข้าใจมันถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น


 


แต่กระนั้น ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความประหลาดใจของต้วนหลิงเทียน


 


เพราะการจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏประการใดก็ตาม สิ่งแรกที่ต้องกระทำคือหาทางเคาะประตูสู่ความลึกซึ้งนั้นให้ได้เสียก่อน และต่อให้เคาะประตูได้แล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนานกว่าจะริเริ่มเข้าใจมันได้บางส่วน


 



 


วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


พริบตาเดียว วันเวลาก็ได้ล่วงเลย 1 เดือน นับตั้งแต่ต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลินผลเทพสังเวยสวรรค์ลงท้อง


 


และบัดนี้ ห่างออกไปไกลๆนอกเมืองเทียนจี่ ปรากฏร่าง 2 ร่างกำลังปะทะกันกลางหาว หนึ่งในนั้นมาในชุดสีเทาหากแต่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยเพลิงพลังสีทองสว่างเจิดจ้า ราวทวยเทพมาเยือนโลกมนุษย์ ในมือถือไว้ด้วยดาบพลังมีสภาพสีทองเรืองรอง ตวัดฟันเข้าใส่คู่ต่อสู้เบื้องหน้าอย่างเกรี้ยวกราด


 


ส่วนอีกร่างหนึ่งนั้น คนในชุดสีม่วงคล้ายกิ่งหลิวลู่ลมเอียงกายพลิ้วร่างหลบกระบี่พลังสีทองได้อย่างลื่นไหล ทั้งกระบี่พลังมีสภาพสีเทาที่ควบแน่นในมือ ยังตวัดฟันออกไปราวพู่กันของจิตรกรมือเอก เบี่ยงเบนวิถีกระบี่สีทองได้ชะงัด จนเมื่อกระบี่พลังสีทองเปลงพลังเกรี้ยวกราดสุดต้านทาน ร่างในชุดม่วงดังกล่าวก็อันตรธานหายไปในอากาศทันที!


 


พอปรากฏตัวอีกครั้ง คนก็ไปผุดโผล่เบื้องหลังคู่ต่อสู้อย่างอัศจรรย์ กระบี่พลังสีเทายังเสือกแทงไปยังแผ่นหลังอีกฝ่ายปานสายฟ้า!


 


“มาไม้นี้อีกแล้ว! ให้ตายเถอะ…หากข้าไม่ก้าวหน้าไปอีกสักขั้นจนมีความเร็วเหนือกว่าเจ้ามากจริงๆ ข้าไม่อาจต้านรับลูกเล่นเคลื่อนมิติน่ารังเกียจนี่ของเจ้าได้เลย!”


 


แม้โดนกระบี่พลังสีเทาเสือกแทงเข้ามาด้านหลัง แต่ร่างที่เต็มไปดด้วยเพลิงพลังสีทองก็หาได้ไหวหวั่น คนเร่งเร้าพลังทั่วร่างพร้อมระเบิดปะทุออกมาคราหนึ่ง ก็ผลักร่างในชุดสีม่วงที่เสือกแทงกระบี่สีเทามาให้ผละออกไปได้ไม่ยากเย็น สุดท้ายเมื่อทั้งคู่ผละออกจากกันแล้ว ร่างที่เต็มไปด้วยเพลิงพลังสีทองก็หันกลับมามองกล่าวด้วยน้ำเสียงอับจน


 


“อีหร็อบนี้ต่อไปถึงเจ้าจะเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า แต่ตราบใดที่มันไม่เก่งเรื่องความเร็วเป็นพิเศษ สุดท้ายเจ้าก็อยู่ในจุดไร้พ่ายอยู่ดี!”


 


วาจาประโยคท้ายของชายหนุ่มชุดเทาที่มีเพลิงพลังสีทองคลุมร่าง บ่งบอกถึงความจนปัญญาประการหนึ่ง


 


ทั้ง 2 ที่ประมือกันไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ที่พึ่งเดินทางออกจากเมืองเทียนจี่มาเมื่อเช้านั่นเอง


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ดูดซับพลังของผลเทพสังเววยสวรรค์เสร็จสมบูรณ์แล้ว ด่านพลังของเขาก็บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเป็นที่เรียบร้อย


 


ที่สำคัญด่านพลังของเขานั้น เรียกว่าจวนเจียนจะทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้วด้วย!


 


แต่ถึงจะจวนเจียนอย่างไร การจะทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี


 


นอกจากช่วยให้ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้อย่างราบรื่นแล้ว ผลเทพสังเวยสวรรค์ยังทำให้ทั้งคู่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนได้อย่างน่าพอใจ…


 


อย่างเช่นต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้ 6 ประการถึงขั้นตอนเบื้องต้น อีกทั้งยังริเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 7 แล้วด้วย


 


สำหรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น ผลเทพสังเวสวรรค์ช่วยให้มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองได้ถึง 8 ประการ! เรียกว่าขอเพียงมันเข้าใจความลึกซึ้งประการสุดท้ายของกฏแห่งทองได้เมื่อไหร่ มันก็จะเป็นตัวตนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองได้ครบทุกประการ!


 


แต่เจวี๋ยอวิ๋นที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองได้ 8 ประการ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจยกใหญ่เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนเข้าใจกฏแห่งมิติ! อย่างไรก็ตามพอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเข้าใจคววามลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้แค่ 6 ประการ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ท้าต้วนหลิงเทียนประลองทันที


 


ดังนั้นจึงปรากฏฉากทั้งคู่มาประมือกันนอกเมืองเทียนจี่


 


ในการประลองกันรอบที่แล้ว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นฝ่ายแพ้พ่ายต้วนหลิงเทียน ถึงแม้มันจะไม่ได้ติดใจเอาความเรื่องนี้แล้ว แต่หากมันมีโอกาสทุบตีเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้บ้าง ไหนเลยมันจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ….


 


ก็เลยมาประมือกันอย่างที่เห็น


 


ในการประลองครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้พึ่งพลังของเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ในร่างแม้แต่นิดเดียว อาศัยเพียงความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติที่เข้าใจแล้วทั้ง 6 ประการมาประมือกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเท่านั้น เป็นธรรมดาว่าเมื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองได้ 8 ประการแล้ว เขาก็ไม่อาจวัดพลังกับอีกฝ่ายตรงๆได้


 


แต่ประสบการณ์การต่อสู้และไหวพริบ รวมถึงความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ ก็ทำให้เขาตกอยู่ในสถานะไร้พ่ายต่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ถึงขั้นที่อีกฝ่ายไม่อาจแตะได้แม้แต่ชายเสื้อของเขา!


 


เป็นธรรมดาว่าพลังที่ได้จากความลึกซึ้ง 6 ประการ จะอย่างไรก็ยังด้อยกว่าความลึกซึ้ง 8 ประการมาก ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่อาจทำร้ายหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้เช่นกัน แม้จะวูบร่างมาจู่โจมด้านหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ถึงอีกฝ่ายจะหันกลับมารับมือไม่ทัน ก็อาศัยการระเบิดพลังออกรอบตัวเพื่อป้องกันเขาได้…


 


สุดท้ายก็เลยไม่มีใครทำอะไรอีกฝ่ายได้


 


หลังสถานการณ์ดังกล่าวดำเนินต่อไปสักพัก ในที่สุดหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เป็นฝ่ายกกล่าวยุติการประลอง เพราะมันรู้ดีว่าถึงจะประมือกันต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ที่สำคัญหากจะประลองให้รู้แพ้รู้ชนะกันจริงๆ มันก็รู้ดีว่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันต้องหมดลงก่อนของต้วนหลิงเทียนแน่!!


 


ในเมื่อด่านพลังฝึกปรือทัดเทียมกัน แต่อีกฝ่ายใช้พลังขับเคลื่อนความลึกซึ้งแค่ 6 ส่วนมันจ่ายพลังไปขับเคลื่อนความลึกซึ้งถึง 8ประการ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันย่อมถูกใช้ไปในปริมาณที่เหนือกว่าต้วนหลิงเทียนมาก!!


 


หากยังประมือลากยาวกันไป สุดท้ายมันต้องแพ้แน่นอน!!


 


ด้วยเหตุนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจึงเป็นฝ่ายกล่าวยุติการประลองครั้งนี้ออกมา


 


“เจ้าคิดจะอยู่ที่อวี้หวงเทียน และไม่กลับไปหลิงหลัวเทียนจริงหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


เพราะระหว่างเดินทางออกจากเมืองเทียนจี่มาหาที่ประลอง เขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ได้หารือกันเรื่องหลังจากนี้จะทำอย่างไร และบอกอีกฝ่ายไปว่าเขาคิดกลับนิกายอมตะเป้าผู่ที่หลิงหลัวเทียน…ทว่าด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับบอกว่ามันเลือกที่จะรั้งอยู่ในอวี้หวงเทียนแห่งนี้


 


“ใช่ ข้าจะอยู่ที่นี่ล่ะ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า “ข้าไม่เหมือนเจ้า ข้าไม่ได้ติดค้างนิกายอมตะอวิ๋นไถมากนัก…นอกจากนั้นสำหรับข้าแล้วจะอวี้หวงเทียนหรือหลิงหลัวเทียนมันก็เหมือนๆกัน เช่นนั้นข้าก็คร้านจะกลับไปหลิงหลัวเทียนแล้ว”


 


ตอนแรกมันก็สงสัยไม่น้อยว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้ยืนกรานเรื่องจะกลับหลิงหลัวเทียน แต่พอได้ฟังต้นสายปลายเหตุและพบว่าต้วนหลิงเทียนติดค้างนิกายอมตะเป้าผู่อย่างไร มันก็เข้าใจ


 


หากไม่ใช่เพราะประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ซุนเหลียงเผิงมอบยันต์เงาวายุให้ ต้วนหลิงเทียนคงออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับมาถึงอวี้หวงเทียนและประสบผลสำเร็จอย่างตอนนี้


 


นับว่าเป็นบุญคุณครั้งใหญ่จริงๆ


 


“อันที่จริงเจ้ากลับไปพร้อมข้าก็ได้…วันหน้าพอพวกเราไปถึงคฤหาสน์เฉวียนโยว กระทั่งเวทีที่ใหญ่กว่านั้น พวกเราก็สามารถช่วยเหลือกันได้”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยชวน


 


“ข้าไม่อยากกลับไปจริงๆ หนึ่งเลยนิกายอมตะอวิ๋นไถไม่ได้ประคบประหงมอะไรข้า แม้จะมีดูแลข้าบ้างแต่ก็นับเป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าค่อยหาทางตอบแทนวันหน้าก็ไม่สาย อย่างไรก็ตามเหตุผลหลักจริงๆยังคงเป็นเพราะเจ้านั่นล่ะ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวตอบตามตรง


 


“เพราะข้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจ


 


“ถูก”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า ค่อยกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ารู้ดีว่าหากกลับไปหลิงหลัวเทียนกับเจ้า และพวกเราต่างคอยช่วยเหลือกัน ไม่ว่าเรื่องใดก็น่าจะหาทางกันได้ไม่ยาก สิ่งนี้นับว่าลดแรงกดดันไปได้เยอะ…แต่ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น ข้าไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกว่าเรื่องราวมันง่ายดาย และไร้ความกดดัน”


 


“ข้าอยากเติบโต้ก้าวหน้าใต้ความกดดันเพียงลำพัง…ทั้งไม่อยากให้ตัวหย่อนคล้อยแม้แต่วินาทีเดียว”


 


กล่าวถึงประโยคท้ายน้ำเสียงหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


ฟังจากวาจาของมัน เห็นได้ชัดว่ามันคิดทำให้ตัวเองตกอยู่ภายใต้แรงกดดันให้มากที่สุด จะได้เป็นแรงผลักดันให้เติบโตก้าวหน้าเร็วๆ…และทั้งหมดเพื่อล้างแค้นให้ตระกูลที่ถูกทำลายล้าง!



 

 

 


ตอนที่ 3113

 

“ข้าฝากเจ้าบอกพี่สาวหวงเอ้อด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วงข้า…ตอนนี้ข้าไม่ใช่เด็กน้อยคนนั้นแล้ว ถึงจะไม่มีพี่สาวคอยดูแล แต่ข้าก็สามารถปิดบังแผ่นฟ้าของระนาบเทวโลกด้วยมือของข้าได้!”


 


ก่อนที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะลาจากไป ก็ได้กล่าววาจาทิ้งท้ายประโยคนี้ให้ต้วนหลิงเทียน


 


ในปัจจุบันหวงเอ้อยังไม่ได้ผสานรวมเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนโดยสมบูรณ์ และยังคงอาศัยอยู่ในทะเลวิญญาณภายในดวงจิตของต้วนหลิงเทียน ทำให้นางไม่อาจรับรู้เรื่องราวภายนอกได้


 


อย่างไรก็ตามหากต้วนหลิงเทียนกล่าวผ่านพลังวิญญาณเพื่อพูดคุยกับเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ภายในร่าง นางก็สามารถได้ยินเช่นกัน ทำให้นางก็รับทราบเรื่องที่เขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์และบังเกิดความก้าวหน้าครั้งใหญ่เรียบร้อย และตัวนางก็ยินดีกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นอย่างมาก


 


“เด็กน้อยขี้แยคนนั้น…เติบโตแล้ว”


 


หลังได้ฟังเรื่องราวจากต้วนหลิงเทียน หวงเอ้อก็ระบายลมหายยใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นนางก็ไม่ได้กล่าวอะไรสืบต่อ เงียบหายไปอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงความกังวลและความห่วงใยอันล้นปรี่จากเสียงถอนหายใจเมื่อครู่ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวปลอบออกไป


 


“ด้วยพลังฝีมือของเจ้านั่นตอนนี้…ขอเพียงมันไม่เสี่ยงอะไรมากมายและเลือกที่จะเติบโตอย่างมั่นคง เกรงว่าคนที่สมควรกังวลก็คือคู่ต่อสู้ของมันมากกว่า”


 


พอได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าววปลอบ หวงเอ้อก็ตอบรับทันที และน้ำเสียงก็ฟังดูคลายกังวลลงมาก


 


“เอาล่ะ ข้าเองก็ได้เวลากลับหลิงหลัวเทียนสักที…”


 


หลังแผ่นหลังของหลิงเจวี๋นอวิ๋นลับหายไปจากสายตาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันหลังกลับไปยังเมืองเทียนจี่ เพื่อใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก ย้อนกลับไปยังเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวของแดนสววรรค์ใต้


 


เพราะการมาครั้งนี้ เขาถึงได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์และประสบความสำเร็จอย่างน่าพึงพอใจ และทั้งหมดเกี่ยวข้องกับความช่วยเหลือของซุนเหลียงเผิงอย่างแยกไม่ออก


 


วันนั้นหากไม่ใช่ซุนเหลียงเผิงตัดใจส่งมอบยันต์เงาวายุแสนล้ำค่ามาให้เขา กระทั่งเรื่องจะออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ให้ปลอดภัยและรอดพ้นเงื้อมมือนักฆ่าราชาอมตะ 9 ตำหนักของอค์กรกะโหลกเลือดก็นับว่ายากเย็นจริงๆ เว้นเสียแต่เขาจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอีกครั้ง


 


ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองจริง แต่การปะทะกับนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก ไม่พ้นต้องทำให้เขาจ่ายราคามหาศาลแน่


 


นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก ความลึกซึ้งของกฏที่เข้าใจสมควรมากกว่าเขาแน่นอน แถมอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันที่เขาจะเข่นฆ่าได้ง่ายๆ


 


ด้วยเหตุนี้เมื่อเดือนก่อนตอนอยู่ในหุบเขา พอเขาพบว่ามีนักฆ่ากะโหลกเลือดขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักมาด้วยกันถึง 2 คน ไม่ใช่เขาไม่คิดจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองครั้งสุดท้าย แต่เขารู้ดีว่าต่อให้เขาใช้มันก็คงไม่อาจรอดพ้นไปได้ง่ายๆ


 


มันต่างจากตอนถูกดักฆ่านอกนิกายอมตะเป้าผู่มาก เพราะมีราชาอมตะ 9 ตำหนักถึง 2!


 


นับว่าโชคดีนักที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวบอกเขาไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ในถ้ำว่ามียยันต์อมตะหลบหนี หาไม่แล้วเกรงว่าเขาก็ได้แต่เสี่ยงใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองเข่นฆ่าเปิดทางหนีมาแน่นอน


 


‘ข้ามาครั้งนี้นับว่าไม่ทำให้ยันต์เงาวายุของประมุขซุนเสียเปล่าจริงๆ…ข้ายังอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ด่านพลังฝึกปรือบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศแบบนี้ สมควรเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวได้โดยตรงกระมัง?’


 


ระหว่างเหินร่างกลับมายังเมืองเทียนจี่ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดไปด้วยยใจมุ่งหวัง สองตายังทอประกายจ้า


 


ขุนนางอมตะ 10 ทิศอายุไม่ถึงร้อยปี หากคิดจะเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยว เขาเชื่อว่าคงไม่จำเป็นต้องผ่านบดทดสอบอะไรทั้งสิ้น


 


ก่อนหน้านี้ถึงแม้เขาจะบรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดโดยมีอายุไม่ถึงร้อยปี และเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ 2 ประการ จนเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะอันหาได้ยากในคฤหาสน์เฉวียนโยว…


 


แต่ทว่าในคฤหาสน์เฉวียนโยว แม้จะหาตัวตนแบบเขาได้ยาก ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย


 


ยิ่งไปกว่านั้น ในประวัติศาสตร์ของคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็มีอัจฉริยะที่มีความสามารถพอๆกับเขามากมายปรากฏตัวขึ้น หากแต่กลับไม่อาจประสบความสำเร็จเลิศล้ำอันใด เรียกว่าโดดเด่นแค่ประเดี๋ยวประด๋าวเปล่งประกายเจิดจ้าชั่วพริบตาปานพลุไฟ สุดท้ายก็ไม่อาจรักษาอัตราความก้าวหน้าไว้ได้


 


ดังนั้นสำหรับคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว อาศัยอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่อายุไม่ถึง 100 ปี และเข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการ ก็ยังไม่ถึงขั้นที่คฤหาสน์เฉวียนโยวจะเปิด ‘ประตูหลัง’ ให้


 


ด้วยเหตุนี้แม้ผลงานก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนจะดี แต่เขาก็ทำได้แค่อยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่อย่างสงบเสงี่ยม เพียงรอให้ถึงเวลาเท่านั้นจึงจะเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวได้


 


และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์สมดังใจ ไม่เพียงบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว แต่ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติ 6 ประการอีกด้วย…


 


ที่สำคัญเลยก็คือตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี


 


กล่าวได้เลยว่าความสำเร็จด้วยวัยเพียงเท่านี้ของต้วนหลิงเทียน ได้เหนือกว่าสุดยอดอัจฉริยะคนใดในประวัติศาสตร์ของคฤหาสน์เฉวียนโยว


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะประสบความสำเร็จเลิศล้ำอันใดในอนาคต อาศัยแค่ความสำเร็จในตอนนี้ของต้วนหลิงเทียน ก็มากเกินพอจะดึงดูดความสนใจของคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว ถึงแม้ว่าความสำเร็จที่มีจะเกิดจากการกินผลเทพสังเวยสวรรค์ก็ตาม


 


แต่ในระนาบเทวโลก โชควาสนาก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของพลังฝีมือ


 



 


ณ แดนสวรรค์ใต้ ของหลิงหลัวเทียน


 


แม้นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 2 จะหอบความล้มเหลวกลับมา แต่เนื่องจากทั้งคู่ไม่ได้รายงานเรื่องที่พบเจอต้วนหลิงเทียน ทำให้ทางองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเริ่มสรุปกันไปว่า ต้วนหลิงเทียนได้ตกตายไปเพราะถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ไปแล้ว


 


ทำให้องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเพิกถอนภารกิจของต้วนหลิงเทียนออกไปเป็นการชั่วคราว


 


การเพิกถอนภารกิจเป็นการชั่วคราว ไม่ได้หมายความว่าถอดถอนภารกิจออกไปโดยสมบูรณ์ ทั้งหมดเพราะไม่เห็นศพและไม่อาจยืนยันการตายของต้วนหลิงเทียนได้เท่านั้น แต่ยังไม่อาจนับว่าคนตกตายไปแล้วจริงๆ


 


ในกรณีแบบนี้ หากเป้าหมายไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย ภารกิจดังกล่าววก็จะอยู่ในสถานเพิกถอนเป็นการชั่วคราวตลอดไป


 


อย่างไรก็ตาม หากเป้าหมายปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดก็จะเปิดภารกิจสังหารอีกครั้ง และหากเป้าหมายไม่ตายก็ไม่มีทางเลิกรา


 


‘ข้าไม่อาจปล่อยให้ภารกิจสังหารมันอยู่ในสถานะเพิกถอนเป็นการชั่วคราวได้…ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนนั่นจะไม่กลับมาอีก แต่ข้าปล่อยให้ภารกิจมันถูกพักไม่ได้!’


 


หลังได้รับทราบว่าทางองค์กรตัดสินใจเพิกถอนภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนเป็นการชั่วคราว สีหน้านักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักอย่าง เหลิ่งเอี้ย ที่พึ่งกลับมาถึงองค์กรกะโหลกเลือดได้ไม่นานก็มืดดำราวถ่านไหม้ ‘แต่เป็นธรรมดาว่าข้าไม่อาจเปิดเผยเรื่องที่เจอต้วนหลิงเทียนออกไปได้…’


 


‘เพราะสุดท้ายหลังกลับมา ข้ากับโจวจวิ้นก็ส่งรายงานไปแล้วว่าไม่เจอตัวมัน…’


 


หลังเหลิ่งเอี้ยกับนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักอีกคนกลับมาถึงองค์กร พวกมันก็ส่งรายงานไปว่าไม่พบเจอต้วนหลิงเทียน ทำให้ทางองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดตัดสินว่า ต้วนหลิงเทียนสมควรถูกตัวตนที่อ้างว่าเป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดใช้เป็นเครื่องสังเวยจนตายไปแล้ว


 


อันที่จริงเหลิ่งเอี้ยก็ยังสามารถอ้างได้ว่าต้วนหลิงเทียนมียันต์อมตะหลบหนี ไม่ก็มีสหายช่วยเหลือโดยการใช้ยันต์อมตะหลบหนีที่ไม่ด้อยกว่ายันต์เงาวายุพาหนีไป


 


อย่างไรก็ตามหากมันรายงานไปแบบนั้น ไม่พ้นต้องถูกสืบสวนรายละเอียดแน่นอน…และนักฆ่าก็รู้ๆกันอยู่ว่ามุ่งเน้นลอบสังหารเป้าหมายให้ตายโดยที่เป้าหมายไม่ทันรู้ตัว จะให้มันบอกว่า พอดีมันปรากฏตัวออกไปสนทนาทับถมอีกฝ่ายจนเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนีไป มันยังไม่โดนองค์กรฆ่าเอารึไง?


 


เพื่อให้อะไรๆมันง่ายขึ้น พวกมันจึงเลือกรายงานไปว่าไม่พบคน


 


อย่างไรก็ตาม พอรู้ว่าทางองค์กรจะเลือกเพิกถอนภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนออกไปเป็นชั่วคราว เหลิ่งเอี้ยก็ถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้


 


ต้วนหลิงเทียนนั่น เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแท้ๆ แต่อีกฝ่ายกลับหนีรอดไปต่อหน้าต่อตามันถึง 2 ครั้ง 2 ครา เรื่องนี้ทำให้มันไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วจริงๆ ยังอยากจะสับร่างต้วนหลิงเทียนให้เป็นพันๆชิ้น ค่อยเผาอีกฝ่ายให้กลายเป็นขี้เถ้าเพื่อระบายแค้น!


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ย้อนกลับมาหลิงหลัวเทียน แต่มันก็ไม่อยากให้ภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนถูกพักเอาไว้


 


เพราะเมื่อภารกิจถูกพักเอาไว้ หมายความว่าหากมันคิดจะตามล่าฆ่าต้วนหลิงเทียน มันก็ต้องลงมือตัวคนเดียว ไม่อาจพึ่งพลังและทรัพยากรขององค์กรได้ นั่นหมายความว่ามันต้องไปตระเวนหาอีกฝ่ายที่อวี้หวงเทียนเพียงลำพัง…


 


อย่างไรก็ตามหากภารกิจไม่ถูกพัก ขอแค่องค์กรเลือกจะดำเนินภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนต่อ ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะอยู่ในอวี้หวงเทียน ทางองค์กรก็จะใช้เครือข่ายข่าวกรองที่มีบางส่วนในการตามล่าหาตัวต้วนหลิงเทียน


 


‘คงต้องอาศัย หวังเชียนจ้าน นั่นแล้ว…’


 


หลังครุ่นคิดเรื่องนี้ไปสักพัก เหลิ่งเอี้ย ก็นึกถึงผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่อย่าง หวังเชียนจ้าน และนำลูกแก้ววิญญาณของงอีกฝ่ายออกมา เพื่อทำการติดต่อไปหาหวังเชียนจ้านทันที


 


เป็นธรรมดาว่าเหลิ่งเอี้ยจะไม่รู้ ว่าในปัจจุบันหวังเชียนจ้านได้ออกจากนิกายอมตะเป้าผู่มาแล้ว ตั้งแต่วันที่ต้วนหลิงเทียนใช้ยันต์เงาวายุหลบหนีไปต่อหน้าต่อตามัน หวังเชียนจ้านก็ออกจากนิกายอมตะเป้าผู่เพราะคำขู่ซุนเหลียงเผิงทันที


 


หวังเชียนจ้าน อดีตอาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่ พอออกจากนิกายอมตะเป้าผู่มา ชีวิตมันก็ไม่ใช่ว่าจะดีนัก เพราะก่อนหน้านี้ศัตรูของมันยังคงกริ่งเกรงนิกายยอมตะเป้าผู่ที่อยู่เบื้องหลังมัน ตอนนี้พอรู้ว่ามันออกจากนิกายอมตะเป้าผู่แล้ว ศัตรูเก่าก็เร่งมาตามล่าหาตัวมันเพื่อชำระหนี้แค้นทันที


 


“ใต้เท้า…”


 


เมื่อได้รับข้อความจากเหลิ่งเอี้ย หวังเชียนจ้านตอนนี้ที่มาอาศัยอยู่ใต้บึงน้ำแห่งหนึ่งอย่างน่าสังเวช แม้จะขุ่นเคืองเหลิ่งเอี้ยที่ลงมือล้มเหลวจนเป็นเหตุให้มันต้องออกจากนิกาอมตะเป้าผู่ส่วนนึง แต่มันก็ไม่กล้าละเลยเหลิ่งเอี้ย


 


“เท้าที่ข้ารู้มา ในเมื่อต้วนหลิงเทียนนั่นมันเป็นถึงศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่เจ้า…เช่นนั้นโถงวิญญาณของพวกเจ้าก็สมควรมีลูกแก้ววิญญาณของมันเก็บไว้ใช่หรือไม่? เจ้าไปดูให้ข้าหน่อยว่าลูกแก้ววิญญาณของมันแตกเป็นเสี่ยงบ่งบอกว่ามันตกตายไปแล้วหรือยัง?”


 


เหลิ่งเอี้ยส่งข้อความไปถามเสียงขรึม หมายสร้างความกดดันให้หวังเชียนจ้าน แม้มันจะรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่ตาย แต่มันก็ไม่คิดจะเสี่ยงเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปเพราะความประมาทเลินเล่อ


 


“ใต้เท้าเหลิ่ง…ท่านหมายความว่าอย่างไร เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนอาจตกตายไปแล้ว?”


 


ได้ยินเสียงที่ส่งมาทางวิญญาณของเหลิ่งเอี้ย สองตาหวังเชียนจ้านก็ทอแสงจ้าขึ้นมาทันที ใบหน้าที่หดหู่ซึมเซามานาน เริ่มปรากฏรอยยิ้มสดใสให้เห็น


 


เดิมทีมันยังขุ่นเคืองและไม่พอใจเหลิ่งเอี้ยอยู่บ้าง


 


เป็นเพราะมันสมรู้ร่วมคิดกับอีกฝ่าย จนสุดท้ายก็ถูกซุนเหลียงเผิงบีบให้ออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ แต่ทั้งๆที่มันทำขนาดนี้แล้วต้วนหลิงเทียนกลับไม่ตาย มันจึงโทษว่าเป็นความผิดของเหลิ่งเอี้ยทั้งหมด!


 


ทว่าพอได้ยินอีกฝ่ายกล่าวทำนองต้วนหลิงเทียนอาจจะตกตายไปแล้ว ความขุ่นเคืองและไม่พอใจที่มีต่อเหลิ่งเอี้ยก็หายไปหมดสิ้นทันที


 


“อืม”


 


หลังจากนั้นเหลิ่งเอี้ยก็เริ่มส่งข้อความเล่าเรื่องราวทั้งหมดเท่าที่จะเปิดเผยได้ออกไป ว่าหลังออกจากนิกาอมตะเป้าผู่ต้วนหลิงเทียนไปไหน รวมถึงเรื่องถูกหลอกไปเป็นเครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ “เพราะพวกเราไม่พบตัวต้วนหลิงเทียนที่จุดเกิดเหตุ…ดังนั้นพวกเราจึงลงความเห็นว่ามันตกตายไปเพราะถูกคนที่อ้างตัวว่าเป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดใช้เป็นเครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์”


 


“ต้วนหลิงเทียนนั่น…มันถูกหลอกให้ไปเป็นเครื่องสังเวยให้ต้นไม้เทพสังงเววสวรรค์งั้นหรือ!?”


 


หวังเชียนจ้าน ในฐานะอดีตผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่ มันยังอยู่มานานกว่าซุนเหลียงเผิงซะอีก มันเองก็เคยได้ยินเรื่องราวของผลเทพสังเวยสวรรค์มาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนนั่นถูกหลอกไปเป็นเครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์


 


ผู้ที่ตระเตรียมการเรื่องผลเทพสังเวยสวรรค์ ไหนเลยจะเป็นคนธรรมดาสามัญได้


 


และเหลิ่งเอี้ยยังกล่าวบอกอีกว่า ผู้ที่ลงมือจัดการเรื่องนี้เป็นตัวตนที่อ้างตัวว่าเป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิด ดังนั้นมันจึงคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะมีทางรอดชีวิตไปได้


 


“ใต้เท้าเหลิ่งเอี้ย ข้าว่าท่านคิดมากเกินไปหรือไม่…ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นหากถูกจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดหลอกไปเป็นเครื่องสังเวย แล้วมันจักรอดไปได้อย่างไร? ป่านนี้มันต้องตายกลายเป็นผีไปแล้วอย่างที่มิต้องสงสัยเลย!!”


 


หลังระเบิดเสียงหัวเราะดังร่าด้วยความถูกใจพักหนึ่ง หวังเชียนจ้าน ก็ติดต่อกลับไปหาเหลิ่งเอี้ยทันที


 


“ข้าต้องการให้เจ้ายืนยันความเป็นตายมัน จากลูกแก้ววิญญาณของมัน”


 


เหลิ่งเอี้ยส่งข้อความกลับมาเสียงหนัก



 

 

 


ตอนที่ 3114

 

ก่อนจะเจอตัวต้วนหลิงเทียน เหลิ่งเอี้ยเองก็คิดว่าสิบในสิบต้วนหลิงเทียนสมควรตกตายไปแล้ว


 


แต่ในเมื่อตอนนี้มันรู้ดีแก่ใจว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่ตาย เช่นนั้นจึงตั้งใจให้หวังเชียนจ้านตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ ทั้งหมดเพื่อให้มันมีคำพูดไปกล่าวบอกต่อองค์กรว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่ตาย ทำให้องค์กรออกภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนดังเดิม


 


“ใต้เท้าเหลิ่งเอี้ย…”


 


หวังเชียนจ้านคลี่ยิ้มขื่นขม ค่อยบดขยี้ยันต์อมตะส่งเสียงไปอย่างขมขื่น  “เรื่องนี้ท่านคงไม่ทราบ…แต่หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนหลบหนีออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ใต้จมูกท่านวันนั้น ข้าก็โดนซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ขับไล่ออกจากนิกายอมตะเป้าผู่แล้ว….”


 


“หากตอนนี้ข้ายังเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่อยู่ เรื่องไปตรวจสอบลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนที่ตั้งโทนโท่ในโถงวิญญาณคงไม่นับเป็นอันใด…แต่ตอนนี้ข้ามิอาจทำเช่นนั้นได้อีก”


 


หวังเชียนจ้านกล่าว


 


“เหอะ!”


 


ได้ยินคำพูดของงหวังเชียนจ้าน เหลิ่งเอี้ยก็สบถคำเสียงเย็น ค่อยกล่าวสืบต่อ “ต่อให้เจ้าจะไม่ใช่ผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่แล้วอย่างไร หรือเจ้าไม่มีญาติสนิทมิตรสหายสักคนในนิกายอมตะเป้าผู่? คิดให้พวกมันตรวจสอบลูกแก้ววิญญาณต้วนหลิงเทียนว่ายังอยู่ดีหรือไม่ ข้าว่ามันคงไม่ยากอะไรกระมัง?”


 


“ใต้เท้าเหลิ่ง…ตอนข้าอยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่ข้าล่วงเกินผู้คนมากมาย ตั้งแต่ที่ข้าออกจากนิกายอมตะเป้าผู่มาข้าต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆ…คนที่เคยเรียกหาเป็นพี่น้องทั้งสหายกับข้าในวันวาน ยามข้ารุ่งเรืองพวกมันล้วนยินดีช่วยเหลือข้า วันนี้พอข้าลำบาก พวกมันก็ไม่แม้แต่จะเหลียวแล นับประสาอะไรจะช่วยข้า…”


 


หวังเชียนจ้านกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย้ยเยาะตัวเอง


 


“ทำให้ดีที่สุดก็พอ…หากเจ้าทำได้ข้าจะแนะนำเจ้าให้เข้าเป็นนักฆ่าองค์กรกะโหลกเลือดของเรา”


 


เหลิ่งเอี้ยกล่าว


 


แทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงข้อความประโยคนี้ของเหลิ่งเอี้ย สองตาหวังเชียนจ้านก็ลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที ใบหน้ายังฉายชัดถึงความประหลาดใจถึงที่สุด “ตะ…ใต้เท้าเหลิ่ง ที่ท่านกล่าว…จริงหรือ?”


 


“ก็ต้องดูว่าเจ้าจะจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่…”


 


เหลิ่งเอี้ยกล่าว


 


“ขอใต้เท้าเหลิ่งอย่าได้ห่วง…ข้าน้อยจักจัดการให้เรียบร้อย!”


 


หวังเชียนจ้านลั่นวาจาออกไปเป็นมั่นเหมาะ


 


ถึงแม้เรื่องที่มันกล่าวกับเหลิ่งเอี้ยจะเป็นความจริง แต่กับอีแค่หาคนไปดูลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนในโถงวิญญาณนิกายอมตะเป้าผู่ก็ไม่นับว่ายากเย็นอะไร ขอแค่มันยอมจ่ายราคาบางอย่าง ก็มีหลายคนพร้อมช่วยมัน


 


“อาวุโส 3”


 


หวังเชียนจ้านควักลูกแก้ววิญญาณของอาวุโส 3 นิกายอมตะเป้าผู่ออกมาก่อนจะบดขยี้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณติดต่อหาอีกฝ่ายทันที และหลังจากที่อีกฝ่ายได้รับการติดต่อของหวังเชียนจ้าน มันก็แปลกใจไม่น้อย “อะ..อาวุโสใหญ่!?”


 


“ข้าไหนเลยจักเป็นอาวุโสใหญ่อันใดอีก…อาวุโส 3 ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา ที่ข้าติดต่อมาหาท่านเพราะมีเรื่องคิดให้ท่านช่วยเหลือ แน่นอนว่าเรื่องที่ข้าจักขอให้ท่านช่วยสำหรับท่านก็ง่ายดายปานพลิกฝ่ามือ มิทำให้ท่านต้องลำบากใจอันใดแน่นอน ทั้งข้ายังไม่ให้ท่านช่วยเปล่าๆแต่จักจ่ายราคาให้ท่านอย่างงาม”


 


หลังได้ยินข้อความของหวังเชียนจ้าน สองตาอาวุโส 3 นิกายอมตะเป้าผู่ก็ลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที “อาวุโสใหญ่เรื่องีท่ท่านอยากให้ข้าช่วยเป็นเรื่องเล็กน้อยจริงหรือ? แล้วจ่ายให้อย่างงามที่ท่านกล่าวที่แท้มันอย่างไร?”


 


จ่ายให้อย่างงามที่ว่าคืออะไร?


 


ได้ยินคำถามละโมบของอาวุโส 3 หวังเชียนจ้านก็ไม่ได้แยแส


 


จ่ายหนักไหม?


 


ก็อาจจะหนัก!


 


ทว่าเมื่อเทียบกับการได้เข้าร่วมองค์กรกะโหลกเลือดแล้ว ต่อให้จ่ายหนักกว่านี้ก็ไม่มีปัญหา!


 


หลังจากบอกรายละเอียดอะไรไป และเฝ้ารออยู่ราวๆครึ่งชั่วยาม ในที่สุดอาวุโส 3 นิกายอมตะเป้าผู่ก็ส่งข้อความติดต่อกลับมายังหวังเชียนจ้านอีกครั้ง และข้อความดังกล่าวก็ทำให้สีหน้าหวังเชียนจ้านมืดลงทันที ยังอดถามกลับไปไม่ได้ว่า “อาวุโส 3…ท่านแน่ใจหรือว่าลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนในโถงวิญญาณยังอยู่ดีมิได้แตกสลายอันใด?”


 


“ข้าแน่ใจ”


 


อาวุโส 3 นิกายอมตะเป้าผู่ก็ตอบกลับอย่างไม่รอช้า “เป็นข้าไปดูมันด้วยตาตัวเอง ทั้งยังไปสอบถามเพื่อขอคำยืนยันกับอาวุโสโถงวิญญาณซ้ำหลายรอบ…ลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนยังคงอยู่ดีจริงๆ”


 


“เอาล่ะ ข้าทราบแล้ว”


 


หวังเชียนจ้านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นสีหน้ามันก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เอาล่ะอาวุโส 3 ท่านไปนำสิ่งนั้นได้เลย…ข้าซ่อนมันไว้ที่…ฯลฯ”


 


ฟังจากข้อความที่หวังเชียนจ้านตอบกลับไปรอบนี้ เห็นชัดว่าสิ่งที่มันจ่ายค่าจ้างอาวุโส 3 ก็คือสมบัติที่มันซุกซ่อนไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่


 


ในเมื่อตอนนี้มันไม่มีโอกาสกลับไปเอาแล้ว เช่นนั้นให้ผู้อื่นไปก็ไม่ถือว่าเสียหายอะไร


 


“ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนนั่นทั้งๆที่มันถูกจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดหลอกให้ไปเป็นเครื่องวังเวยต้นไม้เทพสวรรค์แล้วแท้ๆ แต่มันกลับยังงรอดชีวิตมาได้…”


 


สองตาหวังเชียนจ้านฉายแววไม่พอใจเป็นที่สุด มันยากจะยอมรับผลลัพธ์ดังกล่าวจริงๆ สุดท้ายก็ได้แต่กล่าวปลอบใจตัวเอง “บางที…จักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดผู้นั้น ยังไม่ทันได้ใช้มันเป็นเครื่องสังเวย…หลังจากนี้ไม่นานมันอาจจะตายก็เป็นได้”


 


หลังกล่าวปลอบใจตัวเองอยู่พักหนึ่ง หวังเชียนจ้านก็เริ่มติดต่อไปหาเหลิ่งเอี้ยเพื่อรายงานเรื่องราวทันที “ใต้เท้าเหลิ่ง ข้าน้อยยืนยันได้แล้วว่าลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนยังอยู่ดีไม่บุบสลาย…มันยังไม่ตาย!”


 


“เอาล่ะ”


 


หลังเหลิ่งเอี้ยตอบกลับ มันก็บอกให้หวังเชียนจ้านใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเดินทางไปยังสาขาย่อยแห่งหนึ่งขององค์กรกะโหลกเลือด จากนั้นมันจะไปรับตัวหวังเชียนจ้านเข้าร่วมองค์กรกะโหลกเลือดด้วยตัวเอง


 


หวังเชียนจ้านก็ไม่รอช้าเร่งรุดเดินทางทันที


 


เหลิ่งเอี้ยก็ไม่ได้หลอกหวังเชียนจ้านแต่อย่างไร หลังรับตัวหวังเชียนจ้านและแนะนำอีกฝ่ายจนได้เข้าร่วมองค์กรกะโหลกเลือดด้วยตัวเองแล้ว มันก็ให้หวังเชียนจ้านเป็นพยานเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนยังไม่ตายทันที


 


และด้วการจัดแจงของเหลิ่งเอี้ย รวมถึงมีหวังเชียนจ้านอดีตอาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ยืนยัน ในที่สุดองค์กรกะโหลกเลือดก็ยอมรับว่าต้วนหลิงเทียนยังมีชีวิตอยู่จริงๆ


 


จากนั้นภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนที่พึ่งจะถูกเพิกถอนเป็นการชั่วคราวได้ไม่ทันไร ก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง


 


“อะไรกัน?”


 


“ภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่ได้ถูกเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งงั้นหรือ?”


 


หลังพบว่าภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ‘เฉินหลี’ ลูกชายของเฉินหยวนซานรองผู้นำองค์กรกะโหลกเลือด ก็ได้รับการติดต่อจากบิดาทันที


 


“ต้วนหลิงเทียนนั่น มันมิใช่ว่าถูกจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดหลอกให้ไปเป็นเครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์แล้วหรือไร? ไฉนมันยังมีชีวิตอยู่ได้เล่า?”


 


เฉินหลีรู้สึกเหลือเชื่อนัก


 


“ที่แท้มันยังไม่ตายจริงๆ…”


 


เฉินหยวนซานกล่าวติดต่อกลับมาเสียงหนัก “เป็นธรรมดาที่พวกเราคงยากจะรู้ได้ ว่าทั้งหมดเป็นเพราะจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดผู้นั้น ยังไม่ทำการสังเวยมันหรืออะไรกันแน่…หากเป็นเช่นนั้นจริง อีกไม่นานมันก็คงต้องตาย!”


 


“ต้องเป็นเพราะแบบนั้นแน่นอน…ต่อให้จักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่นจังมีพลังฝึกปรือไม่สูงมาก แต่อาศัยฝีมือย่อยของมัน ต่อให้มี 10 ต้วนหลิงเทียนก็ไม่พอให้มันละเล่นในกำมือ!”


 


เฉินหลีกล่าว


 


“แต่แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อีกประการหนึ่ง…ต้วนหลิงเทียนนั่นมันรอดพ้นเงื้อมมือของจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดได้จริงๆ และมิได้ถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย”


 


เฉินหยวนซานกล่าวต่อ


 



 


ในขณะที่เฉินหลี รู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ได้ยินข้อความดังกล่าวของบิดา


 


ณ แดนสวรรค์ใต้ของหลิงหลัวเทียน ค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวหนึ่งในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็ปรากฏร่างหนึ่งผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า ชวนให้ฝุ่นละอองแถวนั้นคละคลุ้งขึ้นมา


 


“ที่นี่มันที่ไหนล่ะเนี่ย?”


 


ร่างที่พึ่งปรากฏจนทำให้ฝุ่นที่จับรอบๆค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวแห่งหนึ่งของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวฟุ้งขึ้นมา ก็คือต้วนหลิงเทียนที่พึ่งใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก กลับมาจากเมืองเทียนจี่ในเขตคฤหาสน์เอี้ยนซานของแดนผิงเทียนแห่งอวี้หวงเทียนนั่นเอง


 


“เมืองหงซาน?”


 


หลังจากถามผู้คนแถวนั้น ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็รู้ว่าเขามาโผล่เมืองไหน และเขาเองก็รู้ว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวทันที เพราะเขาได้ดูแผนที่ของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวตอนไปหอตำราฝ่ายในนิกายอมตะเป้าผู่มาแล้ว


 


เขาจึงรู้ว่าเมืองหงซานนั้น มันตั้งอยู่ทางทิศใต้ของนิกายอมตะเป้าผู่ ห่างจากนิกายอมตะเป้าผู่พอสมควร


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยความเร็วของเขาตอนนี้ คิดจะเดินทางไปนิกายอมตะเป้าผู่ก็ไม่ได้ใช้เวลานานมากมายอะไร


 


หลังผ่านไปสองสามวัน ในที่สุดต้วนหลิงเทียน ก็เหินร่างกลับมาถึงหน้าประตูใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่


 


“ข้าพึ่งจากไปไม่นานแท้ๆ…แต่กลับให้ความรู้สึกราวกับนานเป็นชาติ…”


 


ต้วนหลิงเทียนเหม่อคิดกลางฟ้าด้านหน้าประตูใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่สักพัก ก็เหาะเข้าไปในนิกายอมตะผู่ทันที


 


และทันทีที่มาถึง เขาก็ถูกกลุ่มคนขวางทางเอาไว้


 


“ศิษย์ที่แท้จริง!!”


 


เมื่อเห็นป้ายประจำตัวที่ต้วนหลิงเทียนยกขึ้นมาแสดง เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนก็โค้งคำนับให้ต้วนหลิงงเทียนทันที หลังต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆแล้วเหินร่างจากไป พวกมันก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวกระซิบกระซาบด้วยความสงสัย


 


“นิกายอมตะเป้าผู่เรา มีศิษย์ที่แท้จริงคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


 


“เจ้าพึ่งกลับมาจากการทำภารกิจเป็นผู้ช่วยผู้อาวุโสฝ่ายนอกที่ไปสร้างพรรคคุมพื้นที่ทางตะวันออกคงไม่รู้ ว่าตอนนี้ตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนสุดท้ายที่ว่างเว้นอยู่ของนิกาอมตะเป้าผู่เรามีคนผู้หนึ่งรับไปแล้ว…มันเรียกว่าต้วนหลิงเทียน และพึ่งจะเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่เราได้ไม่นาน”


 


“หากข้าเดาไม่ผิดชายหนุ่มชุดม่วงเมื่อครู่สมควรเป็นต้วนหลิงเทียนคนนั้น!”


 


“ช้าก่อน ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดหรือไร? เมื่อครู่ข้าไม่เห็นจะสัมผัสได้ถึงพลังแห่งกฏอันใด แต่ไฉนมันเหาะไวขนาดนั้นเล่า? ความเร็วระดับนั้นมิใช่ระดับขุนนางอมตะแล้วหรือไร?”


 


“หรือมันจะทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะแล้ว?”


 


“เหอะๆ…ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดอายุไม่ถึงร้อยปีหรือ?”


 



 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างจากมาไกลแล้ว ย่อมไม่ได้ยินบทสนทนาของหน่วยลาดตระเวน


 


หลังเข้ามาในนิกายอมตะเป้าผู่ ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ที่พักประจำตำแหน่งประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ทันที อีกฝ่ายก็มายืนรอเขาอยู่แล้ว


 


“ประมุข”


 


เนื่องจากซุนเหลียงเผิงรับทราบการกลับมาของต้วนหลิงเทียนและแจ้งไปล่วงหน้า จึงไม่มีใครขัดขวางต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นพอเขาเข้ามาไม่ทันไร ก็พบเจอซุนเหลียงเผิงที่มายืนรอเขาอยู่ในลานด้านหน้า


 


“เป็นอย่างไรบ้าง?”


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียน สองตาซุนเหลียงเผิงก็ฉายแสงวับวาวทันที


 


ก่อนหน้านี้ไม่นานนักมันก็ได้ยินข่าวเรื่องราวอันน่าตกใจจากด้านนอก ว่ามีจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด ได้ปลูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ไว้ตั้งแต่ชาติก่อน และหลอกสุดยอดอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจาก 5 ระนาบเทวโลกไปเป็นเครื่องสังเวย กอปรทั้งก่อนต้วนหลิงเทียนจากไปก็ได้บอกเหตุผลไว้แต่แรกว่าจะไปเพราะผลเทพสังเวยสวรรค์


 


ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากที่มันจะเชื่อมโยงเรื่องราวเข้าด้วยกัน


 


ซัว!


 


คำถามดังกล่าวของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนเลือกจะถอนรั้งพลังของทองเทพสุดลี้ลับออก จากนั้นก็แผ่พลังวิญญาณออกมาให้ซุนเหลียงเผิงสัมผัสได้ชัดเจน


 


“นี่มัน…”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียน ลูกตาซุนเหลียงเผิงก็อดหดเล็กลงไม่ได้!


 


เพราะกลิ่นอายพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียน ก็คือกลิ่นอายพลังวิญญาณขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ!


 


“เจ้า…เจ้าชิงผลเทพสังเวยสวรรค์มาได้!?”


 


ถึงแม้ซุนเหลียงเผิงจะคาดเดาเรื่องราวได้ทันที หลังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังวิญญาณที่ต้วนหลิงเทียนแผ่ออกมา แต่มันก็อดถามไม่ได้ เห็นได้ชัดว่ามันอยากได้ยินคำยืนยันจากปากของต้วนหลิงเทียน!



 

 

 


ตอนที่ 3115

 

“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพนักหน้าตอบคำ และนั่นทำให้สีหน้าซุนเหลียงเผิงกลายเป็นแดงก่ำ สองตาทอประกายจ้าหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงราวที่สูบลม


 


“ประมุข…”


 


และในขณะที่ซุนเหลียงเผิงกำลังตื่นเต้นกับคำยยืนยันของต้วนหลิงเทียน ว่าสามารถช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์มาได้จริงๆ ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ปกติแล้ว มีหนทางใดบ้างที่นักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือด จะสามารถล่วงรู้ตำแหน่งของข้า และไล่ตามไปฆ่าข้าได้ถูกที่?”


 


“ว่าอะไร!?”


 


ซุนเหลียงเผิงที่เดิมกำลังตื่นเต้นยินดี ก็มีอันต้องตกตะลึงไปเพราะคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน “เจ้าจะบอกว่า…นักฆ่ากะโหลกเลือด มันไล่ตามไปเข่นฆ่าเจ้าถึงอวี้หวงเทียนเลยงั้นหรือ?”


 


“ไม่ผิด”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “พวกมันไม่เพียงตามไปถึงอวี้หวงเทียน แต่พวกมันยังมุ่งหน้าไปคฤหาสน์เอี้ยนซานแดนผิงเทียนของอวี้หวงเทียนที่ข้าอยู่เสมือนนกรู้”


 


ต้วนหลิงเทียนยังคงจำได้ดี ว่าวันที่เขาพบเจอนักฆ่าทั้ง 2 นั้นอีกฝ่ายก็บอกมาเอง ว่าพอตามเข้ามาถึงคฤหาสน์เอี้ยนซานก็บังเอิญได้ยินข่าวลือเรื่องเจียงหลาน…ไม่ใช่ได้ยินข่าวลือแล้วจึงมา!


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาอยากรู้นัก ว่านักฆ่าองค์กรกะโหลกเลือดหาตัวเขาเจอได้ยังไง กระทั่งใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายตามมาที่เดียวกับเขาได้


 


ราวกับอีกฝ่ายล่วงรู้แต่แรกว่าตอนเขาใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายออกกจากหลิงหลัวเทียนนไปอวี้หวงเทียน เขาจะไปเขตคฤหาสน์เอี้ยนซานในแดนผิงเทียน!


 


“หากเป็นกรณีนี้…องค์กรกะโหลกเลือดต้องส่งปรมาจารย์ค่ายกลไปตรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เจ้าใช้ไม่ผิดแน่”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวออกด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง “อย่างไรก็ตาม หากจะตรวจสอบค่ายยกลเคลื่อนย้าย อย่างน้อยๆก็ต้องได้รับการอนุมัติจากตัวตนระดับ รองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเสียก่อน”


 


“แน่นอนว่าผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเองก็มีอำนาจดังกล่าว…อย่างไรก็ตามผู้นำคฤหาสน์ไม่เคยอนุมัติเรื่องนี้มาก่อนแม้กับคนใน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องให้ความร่วมมือกับคนนอกอย่างองค์กรกะโหลกเลือดเลย”


 


“ดังนั้นข้าเดาว่า…สมควรเป็นฝีมือผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวคนใดสักคน!”


 


กล่าวถึงประโยคท้าย น้ำเสียงของซุนเหลียงเผิงก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวไม่ผิดไปจากนี้แน่นอน!


 


และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ซุนเหลียงเผิงกล่าวจบคำ สองตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลง ในแววตายังเผยประกายเยียบเย็นเรืองวูบ “ประมุขหมายความว่า…คนที่จะร่วมมือกับองค์กรกะโหลกเลือดได้ ก็มีแต่ชนชั้นรองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้นสินะ ถึงทำให้นักฆ่ากะโหลกเลือดนั่นมันตามตัวข้าเจอ?”


 


“ใช่”


 


ซุนเหลียงเผิงพยักหน้า


 


สองตาที่ทอประกายเยียบเย็นของต้วนหลิงเทียน ยิ่งมายิ่งเต็มไปด้วยจิตสังหาร เอ่ยถามซุนเหลียงเผิงออกไปเสียงเข้ม “แล้วรองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวมีกี่คน?”


 


“เพียง 3”


 


หลังตอบต้วนหลิงเทียนแล้ว ซุนเหลียงเผิงก็เอ่ยข้อสันนิษฐานออกมาต่อ “อย่างไรก็ตาม รองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวทั้ง 3 ไม่มีทางให้ความร่วมมือกับองค์กรกะโหลกเลือดแน่นอน”


 


“เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ผู้นำคฤหาสน์ก็ไม่มีทางปล่อยปละละเว้นพวกมันแน่”


 


“เช่นนั้นหากข้าเดาไม่ผิด รองผู้นำสมควรให้ความร่วมมือกับองค์กรกะโหลกเลือดโดยไม่รู้ตัว…นั่นก็คือไม่รู้ว่าคนที่ไปตรวจสอบค่ายกลคือคนขององค์กรกะโหลกเลือด…”


 


ซุนเหลียงเผิงจะอย่างไรก็เป็นประมุขนิกากยอมตะเป้าผู่ที่อยู่ในสายบังคับบัญชาของคฤหาสน์เฉวียนโยวมานาน ดังนั้นมันก็ย่อมรู้จักคฤหาสน์เฉวียนโยวเป็นอย่างดี


 


“และหากข้าเดาไม่ผิด..รองผู้นำคนนั้น คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกองค์กรกะโหลกเลือดหลอกใช้ จนเผลอให้ความร่วมมือเรื่องฆ่าเจ้า…”


 


“เพราะรองผู้นำคนนั้นก็ไม่อาจไม่หวั่นเกรงเรื่องนี้…เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ผู้นำคฤหาสน์ไม่มีวันละเว้นชีวิตมันแน่”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวเสริม


 


“มันจะรู้หรือไม่รู้ก็ช่าง แต่ที่ข้ารู้คือเพราะมันอำนวยความสะดวกให้องค์กรกะโหลกเลือด…หาไม่แล้วนักฆ่าทั้ง 2 ไม่มีวันตามตัวข้าเจอแน่”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนฉายประกายเย็นชาจ้าขึ้นอีกรอบ ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะหลิงเจวี๋ยอวิ๋น สิบในสิบเขาได้กลายเป็นผีโง่งมเพราะนักฆ่ากะโหลกเลือดทั้ง 2 ไปแล้ว


 


“แล้วนักฆ่ากะโหลกเลือดทั้ง 2 คนที่ตามล่าเจ้ามันเป็นนักฆ่าระดับใด?”


 


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยยถาม


 


“ก็มีนักฆ่าที่ลอบสังหารข้าครั้งสุดท้ายคนนึง กับนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักอีกคน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“อะไร?!”


 


สีหน้าซุนเหลียงเผิงเปลี่ยนไปใหญ่หลวง เพราะมันจดจำได้ว่านักฆ่ากะโหลกเลือดคนสุดท้ายที่มาลงมือที่ชายขอบนิกาย ก็เป็นราชาอมตะ 9 ตำหนักเข้าไปแล้ว ทว่านักฆ่าคนนั้นไม่เพียงตามไปฆ่าต้วนหลิงเทียนถึงอวี้หวงเทียนคนเดียว แต่ยังพานักฆ่าราชาอมตะ 9 ตำหนักไปด้วยอีกคน?


 


2 นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก!


 


แค่คิดถึงเรื่องนี้ หนังศีรษะซุนเหลียงเผิงก็ด้านชาหนึบๆแล้ว!


 


นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักขององค์กรกะโหลกเลือด อย่าว่าแต่ 2 คนเลย ต่อให้มาแค่คนเดียวถึงจะมีซุนเหลียงเผิงเป็นสิบๆคน เกรงว่ายังไม่พอให้อีกฝ่ายฆ่า!


 


หลังจากอารมณ์ซุนเหลีงเผิงพุ่งพล่านไปด้วยความหวาดหวั่นครู่หนึ่ง มันก็หันมามองถามต้วนหลิงเทียนเสียงขรึม “ต้ววนหลิงเทียน แล้วเจ้ารอดพ้นเงื้อมมือนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 2 มาได้อย่างไร?”


 


มันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงหลบหนีมาภายใต้เปลือกตานักฆ่าราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้งสองได้…


 


‘หรืออุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองของต้วนหลิงเทียน ที่จริงยังสามารถใช้ได้?’


 


ขณะที่เอ่ยถามต้วนหลิงเทียนออกไป ซุนเหลียงเผิงก็มีคาดเดาในใจไว้เช่นกัน ‘หากเป็นเช่นนั้นจริง และนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้งสองมาพบต้วนหลิงเทียนตอนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏหลายประการจากผลเทพสังเวยสวรรค์ คิดจะหลบหนีภายใต้สายตาของพวกมันย่อมกระทำได้ มิแน่ว่าต้วนหลิงเทียนอาจเข่นฆ่าพวกมันทั้งคู่ไปแล้วก็ได้!’


 


“พอดีสหายของข้าได้ใช้ยันต์อมตะหลบหนีที่มีอานุภาพไม่ด้อยกว่ายันต์เงาวายุที่ประมุขให้ข้าวันก่อน พาข้าหนีมาได้น่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“สหายเจ้ารึ?”


 


ซุนเหลียงเผิงตกใจ


 


“คนที่ได้อันดับ 1 หลังออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออกครั้งล่าสุด หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ที่เข้านิกายอมตะอวิ๋นไถผู้นั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ “ผลเทพสังเวยสวรรค์ปรากฏขึ้น 2 ผล…เป็นข้ากับมันแบ่งกันคนละผล”


 


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!?”


 


ซุนเหลียงเผิงประหลาดใจไม่น้อย “หรือว่า…พวกเจ้าทั้งคู่ร่วมมือกันและช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์มาจากตัวตนจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิด?”


 


“ประมาณนั้นล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“นิกายอมตะอวิ๋นไถนับว่ามีโชคไม่น้อยเลยทีเดียว….”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ “หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้น เมื่อเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยว มันก็ต้องโดดเด่นเฉิดฉายเช่นเจ้า…ถึงตอนนั้นลาเฒ่าหัวโล้นของนิกายอมตะอวิ๋นไถพวกนั้นไม่พ้นได้รางวัลจากผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวยกใหญ่แน่”


 


อย่างไรก็ตาม แม้ซุนเหลียงเผิงจะกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ แต่มันก็ไม่ได้เผยความอิจฉาอะไร


 


เพราะนิกายอมตะอวิ๋นไถมีหลิงเจวี๋ยอวิ๋น แต่นิกายอมตะเป้าผู่ของมันก็มีต้วนหลิงเทียนเช่นกัน!


 


“ไม่หรอก เพราะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้กลับมาหลิงหลัวเทียนพร้อมกับข้า แต่เลือกที่จะรั้งอยู่อวี้หวงเทียนต่อ”


 


ต้วนหลิงเทียนได้ยิน ก็ส่ายหัวไปมาพลางกล่าว


 


“ฮ่าๆๆ!!!”


 


ได้ยินคำพูดนี้ของต้วนหลิงเทียนซุนเหลียงงเผิงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่าด้วยความสะใจ “ดูเหมือนพวกลาเฒ่าหัวโล้นของนิกายอมตะอวิ๋นไถ จักมิอาจรักษาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอาไว้ได้!”


 


หลังระเบิดเสียงหัวเราะดังร่าอยู่พักหนึ่ง ซุนเหลียงเผิงก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจังแฝงซาบซึ้ง “ต้วนหลิงเทียน ขอบคุณเจ้ามาก”


 


ซุนเหลียงเผิงย่อมรู้ดีแก่ใจ


 


ว่าอันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงย้อนกลับมานิกายอมตะเป้าผู่เลย


 


ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายเลือกที่จะกลับมา เห็นชัดว่าตั้งใจเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวในนามคนของนิกายอมตะเป้าผู่!


 


และเมื่อต้วนหลิงเทียนเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวในนามนิกายอมตะเป้าผู่ และไปฉายแสงที่นั่น ตัวมันซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ในฐานะตัวตนที่แนะนำต้วนหลิงเทียนให้เข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยว ย่อมไม่มีทางถูกคฤหาสน์เฉวียนโยวละเลยแน่นอน!


 


“ประมุขไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก หากไม่ใช่เพราะวันนั้นประมุขมอบยันต์เงาวายุให้ข้า ข้าคงยากจะหลบหนีไปภายใต้เปลือกตานักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักนั่นได้…และเพราะข้าหนีไปได้ในวันนั้น จึงทำให้ข้ามีโอกาสได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์อย่างวันนี้”


 


ได้ยินคำขอบคุณจากใจของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายหัวไปมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้สำหรับข้าแล้ว ให้เทียบระหว่างอวี้หวงเทียนที่ไม่คุ้นเคยกับหลิงหลัวเทียนที่ข้าอยู่มาสักพัก…การเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับข้า”


 


หลังจากกล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอให้ซุนเหลียงเผิงตอบโต้อะไร เลือกที่จกล่าวถามออกมาสืบต่อว่า “ว่าแต่ท่านประมุข ตอนนี้หากข้าคิดเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวเร็วๆ…ท่านพอจะมีวิธีใดหรือไม่?”


 


“ฮาย! ด้วยพลังฝีมือของเจ้าตอนนี้คิดจะเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวยังจะเป็นเรื่องยากอันใดอีกเล่า?”


 


ขณะกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะ ซุนเหลียงเผิงก็เร่งสะบัดมือเรียกยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณออกมาบดขยี้ทันที


 


ครู่ต่อมาซุนเหลียงเผิงที่ยืนหน้าต้วนหลิงเทียนก็แลดูเหม่อลอยไปสักพัก พอกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง มันก็หันมาคลี่ยิ้มสดใสให้ต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่น “ต้วนหลิงเทียนข้าแจ้งอาจารย์ลุงของข้าไปแล้ว…3 วันหลังจากนี้อาจารย์ลุงจะมารับเจ้าไปคฤหาสน์เฉวียนโยวด้วยตัวเอง”


 


“อาจารย์ลุงของประมุขรึ?”


 


ดวงตาทั้งคู่ของต้วนหลิงเทียนเปล่งแสงวาบหนึ่ง “ใช่ 1 ใน 10 ผู้ตรวจการณ์ของคฤหาสน์เฉวียนโยวหรือไม่?”


 


ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่ เขาก็ได้ยินคนพูดถึงหลายครั้งว่านิกายอมตะเป้าผู่เองก็มีสัมพันกับ 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว และคนผู้นั้นยังเป็นชนชั้นบรรพบุรุษคนหนึ่ง


 


ชนชั้นบรรพบุรุษคนนั้น ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นอาจารย์ลุงของซุนเหลียงเผิง


 


ต้วนหลิงเทียนก็เลยถามออกไปแบบนั้น


 


“ใช่แล้ว”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พอท่านอาจารย์ลุงข้าทราบว่าเจ้าอายุไม่ถึงร้อยปีแต่ได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์ จนทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้แล้ว ท่านอาจารย์ลุงก็บังเกิดความสนใจในตัวเจ้าอย่างยิ่ง…กระทั่งบอกว่าเจ้าผ่านมาตรฐานการเข้าสู่นิกายอมตะเป้าผู่ไปเกินร้อยส่วน กระทั่งความสามารถของเจ้าอาจเป็นได้ถึง ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย”


 


“ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย”


 


ต้วนหลิงเทียนเผยความสงสัยอยู่บ้าง เพราะเขาไม่เคยได้ยินเรื่องผู้พิทักษ์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวมาก่อนเลย


 


“ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย เป็นตำแหน่งที่พิเศษสำหรับคฤหาสน์เฉวียนโยวมาก และคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ไร้ผู้ดำรงตำแหน่งนี้มานานกว่า 30,000 ปีแล้ว…ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงของคฤหาสน์เฉวียนโยวจึงค่อยๆถดถอยลงทุกวันๆ กระทั่งบัดนี้หลายคนในคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ลืมเลือนไปแล้วว่ายังมีตำแหน่ง ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยอยู่”


 


พอซุนเหลียงเผิงกล่าวถึงจุดนี้ สองตาที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนก็กระพริบวาบ “ต้วนหลิงเทียน เดี๋ยวรอให้อาจารย์ลุงมาถึง…ด้วยพลังฝีมือของเจ้าตอนนี้ สมควรผ่านการทดสอบสำหรับผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยได้แน่ และเจ้าอาจเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนแรกในรอบ 30,000 ปี!”


 


“ตลอด 30,000 ปีที่ผ่าน ไม่มีใครในคฤหาสน์เฉวียนโยวได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเลยรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย “ประมุข คิดจะเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยมันยากขนาดนั้นเลยหรือ?”


 


“ยากเย็นยิ่งนัก”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวตอบออกมาทันที สายตายังเริ่มฉายความยำเกรงออกมา “ครั้งสุดท้ายที่ปรากฏผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย ก็เมื่อ 30,000 กว่าปีก่อน”


 


“ตอนนั้น ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยพึ่งมีอายุเกือบ 200 ปี แต่ก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักได้แล้ว ทั้งยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมได้ถึง 5 ประการ”


 


ขณะกล่าวเล่าออกมาสืบต่อ สายตาของซุนเหลียงเผิงก็ฉายความนับถือชัดขึ้นทุกขณะ


 


“อายุไม่ถึง 200 ปีบรรลุขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก ทั้งเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 5 ประการ?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน


 


เขารู้ดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักก่อนอายุ 200 ปี ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมได้ 5 ประการเลย


 


ทว่าในคฤหาสน์เฉวียนโยว กลับปรากฏตัวตนเช่นนี้ขึ้นมาจริงๆ?



 

 

 


ตอนที่ 3116

 

“ประมุข…แล้วคนผู้นั้นไปไหนแล้วเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามซุนเหลียงเผิงด้วยสายตาสงสัย


 


ในความเห็นเขา ในเมื่อคนผู้นั้นประสบความสำเร็จระดับนี้ตั้งแต่ 30,000 กว่าปีก่อน หากยังอยู่ในแดนสวรรค์ใต้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆแน่นอน


 


ท้ายที่สุดแล้วเมื่อ 30,000 ปีก่อนก็เป็นถึงขุนนางอมตะ 9 ตำหนักที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมถึง 5 ประการ!


 


“ตาย”


 


ซุนเหลียงเผิงถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ตอนนั้นด้วยพรสวรรค์และอัจฉริยะภาพของมัน ทำให้ผู้คนในคฤหาสน์เฉวียนโยวยุคนั้นต้องตกตะลึงพรึงเพริด…ต่อมาเมื่อเข้าสู่ตระกูลที่อยู่เหนือคฤหาสน์เฉวียนโยวและได้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม พรสวรรค์และเชาว์ปัญญาก็เฉิดฉายจนโดดเด่นเหนือใคร”


 


“ทว่าพอบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสาน ภรรยาที่คบหากันโดยไม่เปิดเผยของมันกลับถูกอัจฉริยะคนหนึ่งในตระกูลใหญ่ข่มขืน ถึงแม้อัจฉริยะผู้นั้นจะมีพรสวรรค์และความเข้าใจด้อยกว่า…แต่อย่างไรด่านพลังฝึกปรือก็ยังเหนือกว่า สุดท้ายพอเกิดการท้าประลองเป็นตายเพื่อศักดิ์ศรีขึ้น ก็มีอันต้องจบชีวิตลงไปอย่างน่าเศร้า…”


 


“หาไม่แล้วหากยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ เกรงว่าพลังฝีมือและความสามารถ คงเหนือกว่าอัจฉริยะในตระกูลผู้นั้นไปไกล สุดที่จะเทียบเทียมกันได้”


 


เสียงกล่าวประโยคท้ายของซุนเหลียงเผิง ฉายชัดถึงความเสียดายอย่างถึงที่สุด


 


“ตกตายไปกลางคัน ไม่ทันได้เติบโตเต็มศักยภาพงั้นหรือ?”


 


หลังได้ยินเรื่องราวจากปากซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็เสียดายแทนอัจฉริยะที่เป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวเมื่อ 30,000 กว่าปีก่อนอยู่บ้าง เพราะหากอีกฝ่ายไม่ตกตายไปเสียก่อน ความสำเร็จย่อมไม่ต้อยต่ำ ไม่แน่อาจจะเทียบได้กับจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของแดนสวรรค์ใต้


 


“หากผู้พิทักษ์น้อยคนนั้นอดทนเสียหน่อย ก็ไม่ใช่ว่าจะเข่นฆ่าอัจฉริยะคนนั้นไม่ได้มิใช่หรือ?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายวาบหนึ่ง


 


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว เพราะพรสววรรค์และความเฉลียวฉลาดของมัน ไม่ใชอะไรที่อัจฉริยะในตระกูลใหญ่คนนั้นจะเทียบเทียมได้เลย”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวด้วยความมั่นใจ


 


“แล้วอัจฉริยะของตระกูลใหญ่ที่ว่า…ยังมีชีวิตอยู่ไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนถามเพิ่มด้วยความอยากรู้


 


“ยังอยู่”


 


ซุนเหลียงเผิงพยักหน้า ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มขื่นขม “มันไม่เพียงแต่ยังมีชีวิตอยู่…แต่มันยังกลายเป็นผู้นำของตระกูลใหญ่นั้นแล้วด้วย…ผู้นำของ 10 ตระกูลใหญ่ในแดนสวรรค์ใต้ แม้จะไม่ใช่ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ถือว่าเป็นพลังระดับสูงของแดนสวรรค์ใต้”


 


“และพลังฝีมือของมัน ยังเหนือกว่าผู้นำ 10 ตระกูลใหญ่คนอื่นๆ กล่าวกันว่าพลังฝีมือของมันแทบจะใกล้เคียงกับจอมราชันอมตะสมญานามแล้ว”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าว


 


“ในปัจจุบันมันประสบความสำเร็จถึงขั้นนั้นแล้วรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “มิได้หมายความว่าหากอัจฉริยะที่เป็นอดีตผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวยังอยู่…ก็คงกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานามไปแล้วหรือไร?”


 


ซุนเหลียงเผิงพยักหน้า “มิผิด หากยังอยู่และสามารถรักษาอัตราความก้าวหน้า ด้วยพรสวรรค์และความเฉลียวฉลาดป่านนี้อย่างน้อยๆก็ต้องกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานาม เผลอๆอาจจะทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะไปแล้วด้วยซ้ำ! เรียกว่าหากยังไม่ตาย พลังฝีมือก็ไม่น่าจะอ่อนด้อยไปกว่าจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้คนปัจจุบันที่ปกครองแดนสวรรค์ใต้อยู่เลย”


 


“น่าเสียดายที่ฟ้าริษยาอัจฉริยะ จึงทำให้มันตกตายก่อนวัยอันควร…ว่ากันว่าตอนภรรยาของมันถูกขืนใจ ในท้องก็ตั้งครรภ์ลูกของมันแล้ว ต่อมาหลังจากที่มันตายตก ภรรยาที่ตั้งครรภ์ลูกในท้องของมัน ก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ หลายคนกล่าวกันว่าอัจฉริยะของตระกูลใหญ่คนนั้น ได้ฆ่านางเพื่อตัดรากถอนโคนไปแล้ว”


 


“ข้าได้ยินมาว่า…ภรรยาของผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยนั้นจิตใจเข้มแข็งนัก แม้จะโดนอัจฉริยะของตระกูลใหญ่ข่มขืนแต่นางก็ไม่เลือกหนทางปลิดปลงชีวิตตัวเองเพื่อหนีความอัปยศ แต่เลือกที่จะกล้ำกลืนความอัปยศอดสูรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้เพื่อลูกในท้อง!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของซุนเหลียงเผิงก็เผยให้เห็นโทสะประการหนึ่ง


 


ได้ยินคำพูดของซุนเหลียงเผิง สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเยียบเย็นเช่นกัน


 


ไปข่มขืนภรรยาผู้อื่นเขาแล้ว ไม่เพียงแต่จะฆ่าผู้อื่น แต่ยังฆ่าภรรยาของผู้อื่นที่กำลังตั้งครรภ์เพื่อตัดรากถอนโคนอีก?


 


คนแบบนี้ต่อให้เรียกว่าสัตว์เดรัจฉานก็ไม่เกินเลย!


 


“ในตอนนั้นหลังเกิดเหตุการณ์น่าสลดใจดังกล่าว คนของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวเราก็ไม่เคยพบเจอตัวตนที่จะดำรงตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยที่มีโอกาสจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแดนสวรรค์ใต้อีกเลย! ต้วนหลิงเทียน…ด้วยพรสวรรค์และความเฉลียวฉลาดของเจ้า กล่าวไปไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยผู้นั้น และเจ้าเองก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จเหนือผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนนั้น”


 


กล่าวถึงจุดนี้ ซุนเหลียงเผิงก็มองต้วนหลิงเทียนเขม็งพลางกล่าว “ด้วยความสำเร็จของเจ้าในวันนี้ เรื่องที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว ย่อมเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว!”


 


“อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียน…ก่อนที่เจ้าจักไปคฤหาสน์เฉวียนโยว ข้ามีเรื่องจักแนะนำเจ้าสักคำ…”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวถึงจุดนี้ ท่าทีสีหน้าเดิมที่สงบก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง “เจ้าเองก็รับทราบชะตากรรมของอดีตผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยแล้ว เพราะตกตายไปกลางคัน อนาคตอันใดล้วนพังทลายสาบสูญ…ข้าหวังว่าเจ้าจักไม่ผิดพลาดซ้ำรอยเช่นนั้น จนมีอันต้องทำให้อนาคตพังพินาศ…”


 


“ดั่งคำกล่าว ขุนเขาเขียวยังอยู่ไยต้องกลัวไร้ฟืนไฟ ขอเพียงคนยังอยู่ย่อมมีความหวังเสมอ…แต่หากคนผู้หนึ่งเลือกเดินทางผิด ความหวังอันใดก็ล้วนสลายไปดั่งหมอกควัน!”


 


สิ่งที่ซุนเหลียงเผิงกล่าวก็มีความหมายชัดเจน ไม่มีอะไรมากไปกว่าให้คำแนะนำแก่ต้วนหลิงเทียน และหวังว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ผิดพลาดและเดินซ้ำรอยอดีตผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย…


 


ในสายตาของซุนเหลียงเผิง ขอเพียงผู้พิทักษ์น้อยเลือกหนทางกล้ำกลืนความอัปยศ ไม่วู่วามแก้แค้น อย่างน้อยๆตอนนี้ไม่เพียงแต่จะล้างแค้นสำเร็จ แต่สมควรกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานามไปแล้ว


 


“ประมุขนิกาย ข้ากลับรู้สึกว่าผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยนั่นเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง…เพราะบางอย่างมิใช่ว่าให้ทนก็จะทนได้ไหว ข้าขอถามท่านสักคำ หากท่านพบเจอเรื่องราวดุจเดียวกับผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย ท่านจะอดทนไหวหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองซุนเหลียงเผิงไม่วางตา “ใต้หล้าบางเรื่องสามารถอดทนได้…แต่บางเรื่องก็มิอาจอดทนได้ไหว”


 


ซุนเหลียงเผิงพอได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียนก็เงียบไปครู่หนึ่ง เพราะมันลองแทนตัวเองในจุดเดียวกับผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยในอดีตดู มันเองก็อาจจะทนไม่ไหวเช่นกัน


 


ความแค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกก็คือความแค้นเข่นฆ่าบิดา ฉุดคร่าภรรยา!


 


“แน่นอนว่าข้าต้วนหลิงเทียน ย่อมไม่มีวันให้เรื่องพรรค์นั้นเกิดขึ้น…ข้านับถือผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง แต่ก็ต้องบอกเลยว่ามันไม่ใช่สามีที่ดี เพราะแม้แต่สตรีตัวเองยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้”


 


“ยิ่งไปกว่านั้นสตรีดังกล่าวกำลังตั้งครรภ์ลูกของมันอยู่ในท้อง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวแสดงความเห็น “หากมันเลือกที่จะสู้จนตัวตายก่อนภรรยามีมลทินก็แล้วไป…แต่มันมาเลือกที่จะสู้ตายทีหลังแบบนี้ มันถือว่าไร้ความรับผิดชอบนัก!”


 


ในสายตาต้วนหลิงเทียน หากผู้ชายไม่อาจปกป้องผู้หญิงของตัวเองได้ เช่นนั้นก็เป็นผู้ชายที่ไร้ค่าแล้ว


 


“กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ได้…ผู้ใดจะไปคิดว่าอัจฉริยะตระกูลใหญ่นั่นจักชั่วช้าลงมือกับภรรยาผู้อื่นเล่า?”


 


เห็นได้ชัดว่าซุนเหลียงเผิงไม่เห็นด้วยกับต้วนหลิงเทียน


 


ได้ยินคำพูดของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มบางๆ และไม่คิดจะโต้แยงกับซุนเหลียงเผิงในเรื่องนี้อีก


 


เพราะเขาเชื่อว่าเรื่องราวไม่มีทางอยู่ๆก็เกิดขึ้นปุบปับแน่ มันต้องส่อแววอะไรให้เห็นแต่แรก หากอดีตผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนนั้นเลือกที่จะจัดแจงปกป้องภรรยาให้ดี ป่าวประกาศให้ผู้คนรู้ว่านี่คือภรรยาของมัน ไหนเลยอัจฉริยะผู้นั้นจะหาญกล้าสร้างความเสื่อมเสียให้ตัวเอง?


 


แต่ท่าทางอดีตผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนนั้น คงมัวแต่บ่มเพาะฝึกปรือหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ทำให้เรื่องนี้ชัดเจนแต่แรก แล้วที่สำคัญไม่ใช่ว่ามีพรสวรรค์และสติปัญญาสูงส่งหรือไร ไฉนไม่ทำให้เหล่าอาวุโสหรือคนใหญ่คนโตในตระกูลที่ว่า ให้ความสำคัญและช่วยดูแลภรรยาของตัวเองได้?


 


พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนคร้านจะสนทนาเรื่องนี้สืบต่อ ซุนเหลียงเผิงก็กล่าวถามเปลี่ยนเรื่องออกมาว่า “ต้วนหลิงเทียนข้ารู้มาว่าผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้ที่ใช้มันบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่ไม่เคยสัมผัสหลายประการด้วย…”


 


“มิทราบว่าที่แท้เจ้าได้รับความเข้าใจในกฏอันใด และเข้าใจความลึกซึ้งของกฏนั้นได้กี่ประการ?”


 


หลังงเอ่ยถามออกไป สายตาซุนเหลียงเผิงที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนก็ท่วมท้นไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


“กฏแห่งมิติ และยังเข้าใจค…”


 


ทว่าไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะกล่าวจบคำ ลูกตาซุนเหลียงเผิงก็หดเล็กลงแทบปิด ยังโพล่งออกมาด้วยความตกตะลึงอย่างไม่รู้ตัว “เจ้า…เจ้าเข้าใจกฏแห่งมิติงั้นหรือ?!”


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“แล้วเข้าใจความลึกซึ้งได้กี่ประการ?”


 


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถามสืบต่อ


 


“ไม่มาก…แค่ 6 เท่านั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“6 ประการ? ไม่มาก!?”


 


ซุนเหลียงงเผิงถลึงตามองต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทีขุ่นเคือง แทบห้ามตัวเองไม่ให้พุ่งไปทุบตีต้วนหลิงเทียนไม่ไหว


 


“ก็ไม่มากไม่ใช่หรือ? ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่เคยกินผลเทพสังเวยสวรรค์เข้าไป อย่างน้อยๆก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ 6 ประการ…แต่ที่มากจริงๆก็สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ตั้ง 8 ประการ…”


 


ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ผายมือพลางกล่าว “อันที่จริงไม่ต้องพูดถึงคนอื่นคนไกล หลิงเจวี๋ยอวิ๋นสหายข้าที่เลือกรั้งอยู่ในอวี้หวงเทียน หลังกินผลเทพสังเวยสวรรค์ไปแล้ว เจ้านั่นก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองได้ตั้ง 8 ประการ…”


 


“เหอะๆ…เจ้ายังพูดเองว่ามันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง”


 


ซุนเหลียงเผิงส่ายหัวไปมา หัวเราะประชดพลางกล่าว “กฏแห่งทองจะอย่างไรก็เป็นกฏทั่วไป ไหนเลยจักนำไปเทียบกับกฏแห่งมิติได้…กฏแห่งมิตินั่นเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดอันยากแท้หยั่งถึง สุดที่ผู้ใดจะเข้าใจมันได้ง่ายๆ”


 


“และเท่าที่ข้ารู้มา ผู้ที่เคยใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์และเข้าใจความลึกซึ้งได้แค่ 6 ประการอันถือว่าน้อยสุด…แต่ทั้งหมดล้วนเป็นกฏทั่วไป กระทั่งข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำว่ามีผู้ใดใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์แล้วจะเข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุด”


 


กล่าวถึงจุดนี้สายตาที่ซุนเหลียเผิงใช้มองต้วนหลิงเทียน ก็เต็มไปด้วยความอิจฉา


 


มันอย่าว่าแต่กฏแห่งมิติเลย


 


ไม่ว่าจะ 1 ใน 4 กฏสูงสุดอันใด มันก็ไม่เข้าใจทั้งนั้น


 


หลังสนทนากับซุนเหลียงเผิงต่ออีกสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะกลับไปยังที่พักของศิษย์ที่แท้จริงนิกากยอมตะเป้าผู่ หากแต่ซุนเหลียงเผิงกลับรั้งให้เขาอยู่ต่อ “จะอย่างไรก็แค่ 3 วันเท่านั้น เจ้าก็อยู่ที่นี่กับข้าเถอะ…จะได้เล่าเรื่องราวให้ข้าฟังด้วย”


 


“เพราะข้าสนใจนัก ว่าเจ้าไปอวี้หวงเทียนคราวนี้พบเจออะไรบ้าง แล้วเจ้าไปทำอีท่าไหนกันแน่ถึงชิงผลเทพสังเวยสววรค์มากจากตัวตนที่เป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดนั่นได้”


 


เมื่ออีกฝ่ายชวน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจไม่ไว้หน้า เช่นนั้นตลอด 3 วันหลังจากนี้เข้าจึงอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ส่วนตัวของซุนเหลียงเผิง


 


ใน 3 วันที่ผ่าน เขายังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอวี้หวงเทียน แน่นอนว่ายังปกปิดส่วนสำคัญเอาไว้ อย่างเช่นไม่ได้เอ่ยถึงเทพแห่งธาตุทั้ง 5 รวมถึงอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน แม้ซุนเหลียงเผิงจะเอ่ยถามเรื่องสินสงครามจากจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิด ว่ามีอุปกรณ์อมตะจอมราชันหรืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิหรือไม่ เขาก็ตอบไปว่าไม่มีเลย


 


“ดูเหมือนว่าตัวตนที่เป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดผู้นั้น จะยังไม่ทันไปรับสมบัติที่มันซุกซ่อนไว้ตั้งแต่ชาติก่อน…หรือไม่แน่มันก็ซุกซ่อนไว้ไม่ดีพอจนถูกผู้คนพบเจอและนำไปหมดสิ้น…”


 


ซุนเหลียงเผิงคาดาเดาออกมาหลังต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าเห็นด้วยเป็นธรรมดา


 


แต่แน่นอนเขารู้ดีแก่ใจ


 


ว่าซุนเหลียงเผิงไม่มีทางเชื่อเรื่องที่เขาเล่าทั้งหมด


 


อย่างไรก็ตามขอเพียงเขายืนกรานเรื่องที่ไม่มีอุปกรณ์อมตะระดับจตอมราชันหรืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิจริงๆ ซุนเหลียงเผิงก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้…


 


ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงวันหน้าเขาทำผลงานได้ดีในคฤหาสน์เฉวียนโยว และได้รับความสนใจจากผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยว ซุนเหลียงเผิงในฐานะผู้ที่แนะนำเขาเข้าคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันจากผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยว…



 

 

 


ตอนที่ 3117

 

3 วันต่อมา ก็ปรากฏร่างหนึ่งเหินตัดฟ้ามาแต่ไกลด้วยความเร็วสูงล้ำ บรรลุถึงถิ่นที่อยู่ของนิกายยอมตะเป้าผู่


 


เป็นชายชราที่มีรูปร่างไม่อ้วนไม่ผอมเส้นผมขนคิ้วทั้งหนวดเคราเป็นนสีดอกเลา ผิดกับใบหน้าแลดูอ่อนวัยคล้ายคนหนุ่ม มันสวมใส่ไว้ด้วยชุดคลุมสีเทา และไม่เพียงแต่มันจะเหินร่างเข้าสู่เขตนิกายอมตะเป้าผู่โดยไม่ได้รับอนุญาติ ยังบุกเข้ามาถึงคฤหาสน์ส่วนตัวของซุนเหลียงเผิงได้ง่ายดาย ราวกับไม่มีผู้ใดเฝ้าระวัง


 


“เสี่ยวเผิงเผิง!”


 


เมื่อชายชราเหินร่างลุถึงน่านฟ้าเหนือคฤหาสน์ใหญ่ มันก็เอ่ยเรียกหาออกมาเสียงดัง


 


“เสี่ยวเผิงเผิง?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่นั่งสนทนากับซุนเหลียงเผิงประมุขนิกาอมตะเป้าผู่ที่โต๊ะหินอ่อนในลาน ก็ไม่อาจค้นพบการมาถึงของชายชราบนฟ้าได้เลย จนกระทั่งเสียงเรียกหาของชายชราดังขึ้น เขาจึงตระหนักได้ว่ามีร่างหนึ่งมาปรากฏตัวเหนือน่านฟ้าของคฤหาสน์เสียแล้ว


 


พอเห็นชายชราคลุมเทาบนฟ้า เขาก็เดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นผู้ที่ซุนเหลียงเผิงเรียกหาว่าอาจารย์ลุง และเป็น 1 ใน 10 ผู้ตรวจการณ์ของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่มารับตัวเขาวันนี้


 


ในขณะที่กำลังคาดเดาตัวตนของชายชรา พอนึกถึงเสียงเรียกหาของชายชรา ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมามองซุนเหลียงเผิงโดยไม่รู้ตัว แววตาเขายังเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


เสี่ยวเผิงเผิง?


 


ประมุขนิกายยอมตะเป้าผู่ผู้น่าเกรงขาม กลับถูกเรียกหาแบบนี้จริงๆ?


 


ได้ยินเสียงเอ่ยทักของชายชรา ซุนเหลียงเผิงก็หน้าม้านไปด้วยความอาย พอมาเห็นสายตาแปลกของต้วนหลิงเทียนที่มองมาด้วยความสงสัยซ้ำ ใบหน้าที่โรยราตามวัยของมันก็อดแดงขึ้นมาไม่ได้


 


“อาจารย์ลุง…ท่านเปลี่ยนคำเรียกหาข้าไม่ได้หรือ ตอนนี้ข้าเป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่แล้ว ท่านเรียกข้าแบบนี้ทำให้ภาพลักษณ์ข้าเสียหายยิ่ง…”


 


ขณะที่ซุนเหลียงเผิงยืนขึ้นทักทายชายชรา มันก็กล่าวเรื่องนี้ออกไปด้วยรอยยิ้มแหยๆ


 


“เด็กน้อยนี่อายเป็นแล้วหรือ แต่ก่อนเจ้ายังวิ่งเปลือยตูดท้าข้าแข่งฉีไกลอยู่เลย มาตอนนี้กลับเจ้ากี้เจ้าการข้าแล้ว…หรือโตเข้าหน่อย ก็คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งจริงๆ?”


 


ขณะชายชรากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง คนก็ค่อยๆโรยตัวลงมาจากกลางหาว จากนั้นก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนข้างซุนเหลียงเผิงโดยไม่รอคำชวน แล้วก็จัดแจงหยิบถ้วยออกมาเทน้ำชา ยกขึ้นดื่มดับกระหายอย่างสบายๆ แลดูไม่ได้เกรงใจอะไรประหนึ่งที่นี่เป็นบ้านที่ไม่ได้กลับมานาน


 


ในขณะที่ชายชรานั่งลง ซุนเหลียงเผิงก็ยังยืนอยู่ ต้วนหลิงเทียนเองจึงรีบลุกขึ้นยืนเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามพอเขาลุกขึ้นยืนได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏพลังไร้สภาพอ่อนโยนขุมหนึ่งบังคับให้เขานั่งลงตามเดิม “เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรือ เจ้าไม่ต้องเคร่งมารยาทเหมือนเสี่ยวเผิงเผิงมันหรอก ต่อหน้าข้าเจ้าก็ทำตัวตามสบายเถอะ ช่างหัวกฏเกณฑ์มารยาทอันใดมารดามัน”


 


“คารวะผู้อาวุโส”


 


ต้วนหลิงเทียนได้แต่คลี่ยิ้มแห้งๆ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของชายชรา


 


“ต้วนหลิงเทียน นี่คืออาจารย์ลุงของข้า เรียกว่าฉีเทียนนหมิง เปนอดีตผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะเป้าผู่เรา…เจ้าจักเรียกหาว่าผู่เฒ่าฉีก็ได้”


 


ซุนเหลียงเผิงเองก็นั่งลงเช่นกัน จากนั้นก็กล่าวแนะนำชายชราให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก และให้ต้วนหลิงเทียนเรียกหาอีกฝ่าอย่างสบายๆไม่มากธรรมเนียม


 


“ผู้เฒ่าฉี”


 


ต้วนหลิงเทียนป้องมือประสานกล่าวทักชายชราอีกครั้ง ขณะเดียวกันในใจก็ลอบหวั่นไหวไม่ได้


 


ด้วยพลังไร้สภาพอ่อนโยนที่ชายชราแผ่มากดให้เขานั่งลงเมื่อครู่ เขาก็สัมผัสได้คร่าวๆว่าด่านพลังฝึกปรือของชายชรานั้นเหนือกว่านักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 2 ที่ตามไปไล่ฆ่าเขาถึงอวี้หวงเทียนไม่น้อย…


 


และเหตุไฉนที่ต้วนหลิงเทียนสามารถสัมผัสได้คร่าวๆว่าพลังฝึกปรือของชายชราเหนือกว่านักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 9 ตำหนักมากนั้น เพราะเขาเองก็เคยใช้อุปกกรร์อมตะจตอมราชันสิ้นเปลืองจนได้รับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั้งพลังวิญญาณขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดมาแล้วถึง 2 ครั้ง


 


จากนั้นเขาที่ใช้พลังของมันจนระดับพลังในร่างถดถอยลง เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของด่านพลังต่างๆชัดเจน จึงบอกได้ทันทีว่าผู้ใดอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก และผู้ใดอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ เพราะเอกลักษณ์ของกลิ่นอายพลัง


 


“ท่านประมุข ผู้เฒ่าฉีอาจารย์ลุงของท่านคนนี้…เป็นราชาอมตะ 10 ทิศงั้นหรือ?”


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนยังส่งเสียงผ่านพลังไปถามซุนเหลียงเผิงเพื่อเป็นการยืนยัน


 


“ผู้ตรวจการทั้ง 10 ของงคฤหาสน์เฉวียนโยว ล้วนแล้วแต่เป็นราชาอมตะ 10 ทิศทั้งสิ้น เรื่องนี้มิได้เป็นความลับอันใด…ทำไมเล่า? เจ้ามิเคยได้ยินมาก่อนหรือ? หรือไม่เชื่อว่าเป็นความจริง?”


 


ซุนเหลียงเผิงก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับ


 


ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวล้วนแล้วแต่เป็นราชาอมตะ 10 ทิศ?


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง


 


เรื่องนี้เขาพึ่งรู้จริงๆ เพราะเขาไม่เคยถามและไม่มีใครเคยบอก ในอดีตเขารู้แค่ว่าผู้ตรวจการทั้ง 10 ของคฤหาสน์เฉวียนโยว จะแข็งแกร่งกว่าผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูล แต่เขาไม่รู้มาก่อนว่าทั้ง 10 จะบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศแล้ว


 


‘แบบนี้…ปี้ไห่หมิงเฟิง รวมถึงประมุขอีก 2 คนของนิกายอมตะเหอฮวนก็ล้วนบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศกันหมดแล้วน่ะสิ?’


 


อันที่จริงก่อนได้เจอฉีเทียนหมิง ต้วนหลิงเทียนก็เคยพบเจอผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวมาแล้วคนนึง นั่นก็คือปี้ไห่หมิงเฟิง 1 ใน 3 ประมุขของนิกายอมตะเหอฮวน


 


และปี้ไห่หมิงเฟิง ยังเป็นคนที่หวงเจียหลงยกให้เป็นแบบอย่างอีกด้วย


 


‘จะว่าไปไม่ทราบเจียหลงที่อยู่นิกายอมตะเหอฮวนป่านนี้เป็นไงบ้างแล้ว…มันคงไม่ได้กำลังสร้างฮาเร็มอยู่หรอกนะ’


 


พอคิดถึงหวงเจียหลงขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความคิดถึงอีกฝ่ายขึ้นมาอยู่บ้าง


 


หวงเจียหลงเป็นหนึ่งในสหายที่หาได้ยากของเขา หลังขึ้นมาหลิงหลัวเทียน เขาก็มีคนที่ถือว่าเป็นสหายอย่างหวงเจียหลงแค่คนเดียว จึงให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายไม่น้อย


 


ต้องทราบด้วยว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขา มีผู้ที่เรียกว่าสหาไม่มาก น้อยคนที่เขาจะให้ความสำคัญ


 


‘ไว้ตั้งหลักในคฤหาสน์เฉวียโยวได้แล้ว ว่างๆค่อยแวะไปหาที่นิกายอมตะเหอฮวน…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างลับๆ


 


“อาจารย์ลุงท่านพาต้วนหลิงเทียนกลับคฤหาสน์เฉวีนโยวไปครั้งนี้ ข้าว่าคงต้องสร้างความตกใจครั้งใหญ่ให้คฤหาสน์เฉวียนโยวเลยกระมัง?”


 


ซุนเหลียงเผิงคลี่ยิ้มสนุกสนานพลางถามฉีเทียนหมิง


 


หากแต่ฉีเทียนหมิงไม่สนใจคำถามหยอกล้อของซุนเหลียงเผิงแต่อย่างไร เพียงมองจ้องต้วนหลิงเทีนด้วยความสนใจเอ่ยถามว่า “ต้วนหลิงเทียน ข้าได้ยินจากเสี่ยวเผิงเผิงมาว่าเจ้าได้ใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์จนด่านพลังบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศ และยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้ 6 ประการงั้นหรือ?”


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“เช่นนั้นเจ้าแสดงให้ข้าดูเพื่อให้ข้าเปิดหูเปิดตาหน่อยเป็นไร?”


 


ฉีเทียนหมิงกล่าวถามด้วยความคึกคัก


 


“แล้วผู้เฒ่าฉีอยากให้ข้าแสดงให้ท่านดูอย่างไรเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าลองฉีเทียนหมิงเอ่ยถามมาแบบนี้ ไม่พ้นต้องคิดประลองกับเขาดูเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงแน่ เพราะสุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดอีกฝ่ายก็ได้รับทราบจากคำพูดของซุนเหลียงเผิงอย่างเดียว


 


หากชายชราเบื้องหน้าคิดจะพาตัวเขาไปคฤหาสน์เฉวียนโยว เพื่อรับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย สิ่งนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นครั้งใหญ่ให้คฤหาสน์เฉวียนโยวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง และถ้าตัวเขากลับไม่มีดีมากพอจะผ่านการทดสอบเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยขึ้นมา ไม่ใช่ว่าชายชราผู้นี้จะหน้าแตกยับเยินหรือไร?


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจความคิดของชายชราได้ไม่ยาก


 


“ก็…เจ้าลองพยายามลงมือกับข้าให้เต็มที่ ให้ข้าดูว่าเจ้าแตกฉานกฏมิติถึงขั้นใด”


 


ชายชรากล่าว


 


และแทบจะทันทีที่เสียงชายชราดังจบคำ กลิ่นอายพลังสุดไพศาลก็เริ่มกำจายออกมาจากร่างของมัน ยังปรากฏรัศมีพลังสีฟ้าเรืองรองออกมาปกคลุมไปทั่วโต๊ะหินอ่อน กระทั่งแสงพลังยยังสาดส่องย้อมไปทั่วลานว่างทั้งผนังคฤหาสน์


 


เรียกว่าเพียงอีกฝ่ายโคจรใช้พลังออกมาพร้อมต่อสู้ อาณาบริเวณส่วนนี้ของคฤหาสน์ก็ถูกแสงพลังสีฟ้าชโลมย้อมไปในบัดดล


 


‘กฏแห่งน้ำงั้นรึ…’


 


‘ยิ่งไปกว่านั้นจากกลิ่นอายพลังที่แผ่ซ่านออกมา อีกฝ่ายสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำได้ 7-8 ประการแล้ว’


 


หลังเห็นชายชราเร่งเร้าพลังเตรียมพร้อม ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง จากนั้นก็ไม่คิดพูดพร่ำทำเพลง พลังเซียนอมตะกำเนิดหลั่งไหลผ่านชีพจรสวววรรค์ 99 สายจนปะทุออกมาปานน้ำเชี่ยว พริบตาก็ห่อหุ้มคลุมกายและเริ่มผสานหลอมรวมเข้ากับธาตุมิติฉับไว


 


พริบตาต่อมา


 


เขตแดนมิติ!


 


กักกัน!


 


บิดเบือน!


 


ผ่ามิติ!


 


ต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติ 4 ประการ พร้อมควบแน่นกระบี่พลังสีเทาเสือกแทงเข้าใส่ฉีเทียนหมิงที่ยังนั่งข้างๆซุนเหลียงเผิงทันที!


 


เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!


 



 


ด้วยพลังอานุภาพของเขตแดนมิติ นับว่าโชคดีนักที่ฉีเทียนหมิงเร่งแผ่พลังไปปกป้องทุกสิ่งรอบกาย หาไม่แล้วอาศัยแค่กระบวนท่าเสือกแทงนี้ของต้วนหลิงเทียน ก็มากพอจะทำลายลานแห่งนี้ กระทั่งอาจทำให้คฤหาสน์ที่อยู่เบื้องหลังมีอันต้องป่นสลายเป็นละอองธุลี!


 


“หืม!? พลังนี่มัน เขตแดนมิติ กักกัน บิดเบือน ทั้งผ่ามิติ!?”


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะเสือกแทงกระบี่เข้าหน้าฉีเทียนหมิงในฉับพลัน กระทั่งด้านหลังอีกฝ่ายยังมีคมมีดมิติที่ฟุ่งเข้ามาอย่างดุร้าย ทั้งห้วงมิติรอบกายยังเริ่มถูกบิดเบือน ไม่เว้นรอบๆยังถูกพลังมิติกักขังเอาไว้ แต่ฉีเทียนหมิงก็ไม่ได้แลดูตึงมืออะไร กระทั่งยังเริ่มพินิจพลังต่างๆของต้วนหลิงเทียนอย่างสนอกสนใจ


 


สำหรับธาตุมิติจากความลึกซึ้งความหมายแห่งมิติ ชายชราไม่ได้กล่าวถึง


 


เพราะมันไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง หากจะใช้ความลึกซึ้งประการอื่นๆ แน่นอนว่าต้องใช้พลังธาตุนั้นๆให้ได้เสียก่อน


 


ส่วนด้านซุนเหลียงเผิงนั้น ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนปะทุพลังลงมือมันก็เร่งเปิดกางม่านพลังทันที หาไม่แล้วก็มิวายต้องซวยไปเพราะพลังของต้วนหลิงเทียนด้วย เพราะฉีเทียนหมิงก็นั่งอยู่ข้างๆมัน


 


อย่างไรก็ตามด้วยระดับพลังฝึกปรือของมัน อาศัยลูกหลงจากการลงมือของต้วนหลิงเทียนก็ยากจะทำอะไรมันได้ เรียยกว่าป้องกันได้อย่างง่ายดาย


 


วู้มมม!


 


ทันใดนั้นลูกตาของฉีเทียนหมิงก็หดหยีลง มันยกมือสะบัดปลดป่อยพลังขุมหนึ่งออกไปต้านทานรับมือกระบวนท่าของต้วนหลิงเทียนทันที


 


พริบตาต่อมา ห้วงอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้าพลันอุบัติมังกรวารีตัวหนึ่งขึ้นอย่างอัศจรรย์ พอก่อตัวแล้วเสร็จก็พุ่งหากระบี่พลังสีเทาต้วนหลิงเทียนฉับไว เมื่อบรรลุถึงเบื้องหน้ามังกรวารีดังกล่าวยังอ้าปากกระหายเลือดออกกว้าง หมายจะกลืนกระบี่ทั้งต้วนหลิงเทียนไปพร้อมๆกันในคำเดียว!


 


ซัว!


 


อย่างไรก็ตามวินาทีที่ปากกว้างของมังกรวารีขย้ำลง ร่างต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานหายไปในฉับพลัน!


 


“นี่มัน!”


 


ลูกตาซุนเหลียงเผิงหดเล็กลงทันใด เพราะร่างต้วนหลิงเทียนพลันอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตามันโดยสมบูรณ์ และไม่อาจมองเห็นร่องรอความเคลื่อนไหวใดๆของต้วนหลิงเทียนได้เลย ราวกับความเร็วของต้วนหลิงเทียนเหนือล้ำสุดที่สายตามันจะมองตามได้ทัน!


 


และพริบตาต่อมา ซุนเหลียงเผิงก็สัมผัสได้ว่าร่างต้วนหลิงเทียนวูบไปโผล่ด้านหลังซุนเหลียงเผิงเสียแล้ว สภาวะกระบี่สีเทายังถูกเร่งเร้าถึงขีดสุด จ้วงมาเจียนถึงแผ่นหลังฉีเทียนหมิงอยู่รอมร่อ!


 


“ความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ!”


 


พร้อมกันนั้นเองเสียงประหลาดใจของฉีเทียนหมิงก็ดังขึ้นเข้าหูซุนเหลียยเผิงอย่างประจวบเหมาะ ทำให้ซุนเหลียงเผิงตระหนักได้ทันที ‘ที่แท้เป็นความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ…มิน่าแปลกใจเลยที่ไฉนข้ามิอาจตับร่องรอยความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนได้’


 


‘ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ ประหนึ่งทำให้ผู้ใช้เคลื่อนย้ายข้ามห้วงมิติในฉับพลัน จักไม่ทิ้งร่องรอยอันใดไว้ก็ไม่แปลก…’


 


ซุนเหลียงเผิงย่อมรู้ดีแก่ใจ นับประสาอะไรกับมันที่ยังเป็นราชาอมตะเท่านั้น ต่อให้จอมราชันอมตะมายืนอยู่ตรงนี้ ก็ไม่อาจจับร่องคอยความเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียนได้ เพราะต้วนหลิงเทียนได้สาบสูญไปในความว่างเปล่าจริงๆ คนไปผุดโผล่อีกที่หนึ่งในฉับพลันด้วยการเคลื่อนย้ายข้ามมิติ จึงไม่ทิ้งร่องรองความเคลื่อนไหวใดๆเอาไว้


 


“ผู้เฒ่าฉี เท่านี้พอแล้วกระมัง?”


 


เมื่อกระบี่พลังมีสภาพสีเทาของต้วนหลิงเทียนแตะถึงแผ่นหลังของฉีเทียนหมิง เขาก็เอ่ยถามออกมา ขณะเดียวกันเสียงเขายังไม่ทันดังจบคำ ร่างเขาก็วูบข้ามมิติกลับมานั่งที่เดิมเรียบร้อย


 


และมังกรวารีที่ฉีเทียนหมิงปลดปล่อยออกมาจู่โจมต้วนหลิงเทียน ก็พึ่งจะพุ่งเลยจุดที่เขานั่งอยู่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น…


 


แต่เป็นธรรมดาว่าทั้งหมดเพราะฉีเทียนหมิงไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง หาไม่แล้วต้วนหลิงเทียนคงไม่ทันได้ใช้เคลื่อนมิติ และถูกมังกรขย้ำร่างไปโดยมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น…



 

 

 


ตอนที่ 3118

 

“ยอดเยี่ยม! ร้ายกาจนัก!!”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ชายชราก็โพล่งคำชมเชยออกมาอย่างถูกใจ จากนั้นก็ระบายลมหายใจออกมาอยย่างโล่งอกเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงชื่นชม “ไม่เพียงผ่าน ยังผ่านมากเกินพอ…อาศัยพลังฝีมือของเจ้าตอนนี้ คิดจะรับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวเราเป็นคนแรกในรอบ 30,000 ปี ย่อมไม่มีปัญหาอันใด!”


 


“กระทั่งอาศัยพลังฝีมือของเจ้าตอนนี้ หากเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง น่ากลัวว่าจะกวาดล้างอัจฉริยะหัวกะทิพวกนั้นได้ไม่น้อย คิดจะยืนหยัดรับอันดับต้นๆจนสร้างชื่อให้ลือชาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง นับว่าไม่ยากเย็นอันใด!”


 


กล่าวถึงจุดนี้สองตาที่ชายชราใช้มองต้วนหลิงเทียนก็จ้าขึ้นปานจะยิงลำแสงความร้อนออกมาอยู่รอมร่อ


 


แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง?


 


อันดับ?


 


ได้ยินประโยคนี้ของชายชรา สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกก็คือ ความคุ้นเคยประการหนึ่ง! เพราะก่อนที่เขาจะเข้าสู่นิกายอมตะเป้าผู่ เขาก็ได้เข้าไปแข่งขันในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ จนได้อันดับที่ 2 ท่ามกลางบรรดาอัจฉริยะยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลายที่เข้าไปในนั้น


 


เป็นธรรมดาว่าเหตุผลที่เขาได้ที่ 2 นั้น เป็นเพราะเขาโยนคะแนนที่ไม่ต่างอะไรจาก ‘เผือกร้อน’ ไปให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น หาไม่แล้วคะแนนของเขาไม่เพียงแต่จะเป็นอันดับ 1 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ แต่ยังจะทิ้งห่างอันดับ 2 ลิบลิ่ว!


 


“ผู้เฒ่าฉี แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางที่ท่านเอ่ยถึง เท่าที่ข้ารู้มามันจำกัดด่านพลังของผู้เข้าร่วมอยู่ที่ขุนนางอมตะ 10 ทิศใช่หรือไม่ แล้วกฏเกณฑ์อื่นๆใช่เหมือนกันกับแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำรึเปล่า? พอดีข้าได้ยินท่านเอ่ยถึงเรื่อง อันดับ อะไรเมื่อครู่ด้วย?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้


 


ก่อนหน้านี้ตอนได้ยินเรื่องแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำมา เขาก็ได้ยินมาว่ายังมีแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางและแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงอยู่ด้วย


 


ในบรรดาแดนลับเหล่านั้น แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ จำกัดผู้เข้าไว้ที่ขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด


 


สำหรับแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้น จำกัดขอบเขตพลังผู้เข้าไว้ให้ไม่เกินขุนนางอมตะ 10 ทิศ


 


สำหรับแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง จะจำกัดด่านพลังผู้เข้าร่วมไว้ที่ราชาอมตะ 10 ทิศ


 


“ทั้งใช่และไม่ใช่…”


 


ฉีเทียนหมิงส่ายหัวไปมา “กล่าวไปนอกจากการจำกัดด่านพลังแล้ว กฏเกณฑ์อื่นๆล้วนแตกต่างกัน…หากเจ้าอยากรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม เอาไว้ข้าจักเล่าให้เจ้าฟังระหว่างเดินทางไปคฤหาสน์เฉวียนโยว”


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้ฉีเทียนหมิง ด้านฉีเทียนหมิงก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบไม่ร้อน พลางหันไปมองกล่าวกับซุนเหลียงเผิงข้างๆ “เสี่ยวเผิงเผิง เช่นนั้นข้าจะพาต้วนหลิงเทียนไปคฤหาสน์เฉวียนโยวก่อน…ส่วนเจ้าก็รอรับรางวัลจากคฤหาสน์เฉวียนโยวได้เลย”


 


กล่าวถึงจุดนี้ รอยยิ้มสดใสก็คลี่กางขึ้นมาบนใบหน้าฉีเทียนหมิง


 


ซุนเหลียงเผิงเป็นดั่งลูกชายของมัน มันได้เห็นซุนเหลียงเผิงตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อยไม่ประสาจนเติบโตขึ้นมาถึงวันนี้ เรียกว่ายึดถือซุนเหลียงเผิงเป็นดั่งลูกชายของมันไปครึ่งนึงแล้ว พอรู้ว่าซุนเหลียงเผิงกำลังจะได้รับรางวัลจากคฤหาสน์เฉวียนโยว มันก็รู้สึกมีความสุขและยินดีกับซุนเหลียงเผิงจากใจ


 


“อาจารย์ลุง ท่านพึ่งมาถึงแท้ๆ ไม่อยู่พักผ่อนสักวันสองวันเล่า จะรีบไปไหนกัน?”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวตอบด้วยความตกใจ “ข้าจำได้…ท่านเองก็ไม่ได้ชี้แนะสอนสั่งข้ามานานแล้ว”


 


“เหอะ! เจ้าเชื่อฟังคำสอนของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อีกทั้งพอข้าจักสอนเจ้าทีไร ไม่ใช่เจ้ารึ ที่หนีหน้าข้าไปเล่นกับนังหนูผู้นั้นตลอด?”


 


ได้ยินวาจาของซุนเหลียงเผิง ฉีเทียนหมิงก็ได้แต่ถลึงตามองอีกฝ่ายพลางส่ายหน้าอย่างระอา จากนั้นก็หอบหิ้วต้วนหลิงเทียนเหินร่างหายไปต่อหน้าต่อตาซุนเหลียงเผิงราวสายลมหอบหนึ่ง


 


ครู่ต่อมา ในลานด้านหน้าของคฤหาสน์ส่วนตัวประจำตำแหน่งประมุขนิกายอมะตเป้าผู่ ก็คงเหลือแต่ซุนเหลียงเผิงที่ถูกทิ้งไว้ให้ยืนหน้าม้านยิ้มแห้งๆด้วยความอายเพียงลำพัง


 


ส่วนอีกด้าน


 


ในฐานะราชาอมตะ 10 ทิศ ความเร็วในการเหินบินของฉีเทียนหมิงเป็นธรรมดาว่ารวดเร็วเป็นอย่างมาก ไม่ทันไรก็หอบหิ้วร่างต้วนหลิงเทียนออกนอกเขตนิกายอมตะเป้าผู่ไปไกลแล้ว


 


“ผู้เฒ่าฉี ท่านเป็นอาจารย์ลุงของประมุข เช่นนั้นท่านก็สมควรเป็นศิษย์พี่ของอาจารย์ประมุขใช่หรือไม่…ในเมื่อตอนนี้ท่านเป็น 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว ท่านอาจารย์ประมุขเล่าใช่เป็นอาวุโสในคฤหาสน์เฉวียนโยวด้วยหรือไม่?”


 


ขณะเดินทาง ต้วนหลิงเทียนที่เห็นความสนิทสนมระหว่างฉีเทียนหมิงกับซุนเหลียงเผิง ก็อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องราวเพิ่มเติมออกมาด้วยความอยากรู้


 


“ไม่ผิด ข้าเป็นศิษย์พี่ของอาจารย์เสี่ยวเผิงเผิงจริงๆ…”


 


ดิ้นคำถามของต้วนหลิงเทียน ดวงตาของชายชราก็กลายเป็นพร่ามัวฉายแววคิดถึงไม่น้อย “ตอนนี้อาจารย์ของมันกับข้า พวกเราก็เข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวพร้อมๆกัน…แต่โชคมันไม่ดีเท่าข้า และตกตายไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง สุดท้ายจึงไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เห็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวกลายเป็นประมุขของนิกายอมตะเป้าผู่…”


 


“อย่างไรก็ตาม หากมันยังมีชีวิตอยู่บนฟ้าและสามารถรับรู้ได้ว่าเสี่ยวเผิงเผิงกลายเป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่แล้ว มันต้องยินดีอย่างยิ่งเป็นแน่…เพราะความปรารถนาชั่วชีวิตของมันก็คือได้เป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่”


 


กล่าวจบ ชายชราก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน


 


“แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง?”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว “นั่นมิใช่สถานที่ๆจำกัดด่านพลังผู้เข้าให้อยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศหรือไร? อาจารย์ท่านประมุขตกตายในนั้น…หมายความว่าตกตายก่อนบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะงั้นหรือ?”


 


“ถูกแล้ว”


 


ชายชรากล่าว “ตอนนั้นพวกเราทั้งคู่ก็ยังมีด่านพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเท่านั้น ในฐานะศิษย์คนหนึ่งของคฤหาสน์เฉวียนโยว พวกเราก็ต้องเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง…ข้าโชคดีรอดชีวิตมาได้ แต่มันกลับต้องตายอยู่ในนั้น”


 


“หลังจากมันตาย ข้าก็กลับมาทำใจอยู่ที่นิกาอมตะเป้าผู่และดูแลเสี่ยวเผิงเผิงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหวนกลับคฤหาสน์เฉวียนโยวอีกครั้ง…ต่อมาข้าก็ไต่เต้าจนได้กลายเป็นอาวุโสของคฤหาสน์เฉวียนโยว และก็เริ่มแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวกับผู้อื่น สุดท้ายข้าก็ชนะจนได้เป็น 1 ใน 10 ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยว”


 


ถึงแม้ชายชราจะไม่ได้กล่าวรายละเอียดมากมายอะไร แต่ฟังจากน้ำเสียงของชายชราที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าจากการสูญเสีย ความเหน็ดเหนื่อยและความยากลำบาก รวมถึงความภาคภูมิใจของชายชราที่ฟันฝ่ามาจนกลายเป็น 1 ใน 10 ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยว


 


“แบบนี้นี่เอง”


 


ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับบ จากนั้นก็เอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ท่านผู้เฒ่าฉี…ที่ท่านบอกข้าว่ากฏเกณฑ์ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางมันนต่างจากระดับต่ำ…ไม่ทราบว่ามันแตกต่างกันอย่างไรบ้างหรือ?”


 


“แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น นานๆทีจักเปิดและมีไว้สำหรับให้เหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเข้าไปแสวงหาโชควาสนา และมีเพียงแต่ผู้เข้มแข็งเท่านั้นถึงจักรอดชีวิตกลับออกมาได้…สิ่งนี้เป็นดั่งการคัดกรองยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของแต่ละเขตคฤหาสน์เฉยๆ ไม่ได้มีความขัดแย้งแข่งขันกับภายนอกแต่อย่างไร”


 


ชายชราหยุดลงเล็กน้อย ค่อยกล่าวสืบต่อ “หากทว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้น เป็นสถานที่ๆมีไว้สำหรับให้แต่ละคฤหาสน์แข่งขันกันอย่างเปิดเผย เป็นดั่งสนามประลองช่วงชิงผลงาน และจักสรุปผลงานทุกๆเดือน…ผู้ที่จักเข้าร่วมคือมือดีที่แต่ละคฤหาสน์เลือกเฟ้นมาแล้ว”


 


“ขุนนางอมตะ 10 ทิศของแต่ละคฤหาสน์จะแข่งขันแย่งชิงคะแนนกันในนั้น…และอันดับของขุนนางอมตะที่เข้าร่วมจะส่งผลต่อรางวัลที่ต้นสังกัดจักได้รับจาก 10 ตระกูลใหญ่ตลอดเวลา”


 


“ตัวอย่างก็เช่น หากขุนนางอมตะ 10 ทิศของคฤหาสน์เฉวียนโยวเราได้อันดับ 1 ในเดือนนี้…และสามารถรักษาอันดับ 1 ไปได้จนถึงสิ้นเดือน คฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกเราก็จักได้รับรางวัลจาก 10 ตระกูลใหญ่ ส่วนขุนนางอมตะ 10 ทิศที่ทำผลงานได้ดีจนเป็นอันดับ 1 ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวเราก็จักให้รางวัลมันเอง”


 


“ยิ่งอันดับที่ได้สูง ของรางวัลที่ได้ก็จะยิ่งมาก…”


 


หลังชายชรากล่าวออกมาคร่าวๆรวดเดียวจบ ต้วนหลิงเทียนก็จับประเด็นได้ไม่น้อย และชายชรายังเลือกกจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจมากขึ้น


 


ทำให้ต้วนหลิงเทียนเองก็รับทราบกระจ่างแจ้ง ว่าที่แท้แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเป็นอย่างไร…


 


แดนสวรรค์ใต้ระดับกลาง ไม่ต่างใดจากสถานที่ๆมีไว้สำหรับขัดเกลายอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศของ คฤหาสน์อมตะระดับ 6 และมันจะเปิดตลอดเวลา ซึ่งตารางอันดับก็จะทำการจัดใหม่ทุกเดือน และคฤหาสน์ระดับ 6 ทั้งหลายจะได้รางวัลจาก 10 ตระกูลใหญ่มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผลงานในแต่ละเดือน


 


โดยปกติแล้วคฤหาสน์ระดับ 6 แต่ละแห่ง จักต้องจ่ายส่วยเป็นผลึกอมตะระดับสูงจำนวนมากให้ 10 ตระกูลใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังทุกเดือน…


 


อย่างไรก็ตาม หากขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เป็นตัวแทนของคฤหาสน์ สามารถแสดงฝีมือได้ดีและติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง และสามารถครองอันดับได้จนถึงสิ้นเดือน ก็จะทำให้คฤหาสน์ต้นสังกัดได้รับรางวัลเป็นการไม่ต้องจ่ายส่วยเดือนนั้นให้ 10 ตระกูลใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง


 


หากสามารถติดอยู่ใน 10 อันดับแรกได้ ไม่เพียงเดือนนั้นคฤหาสน์ต้นสังกัดจะไม่ต้องจ่ายส่วยให้ 10 ตระกูลใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง กระทั่งเดือนหน้าก็ไม่ต้องจ่ายด้วย และถ้าเดือนหน้ายังสามารถครอง 10 อันดับแรกได้อีก ก็จะได้รับรางวัลเพิ่มเติม ยิ่งได้อันดับสูงเท่าไหร่ ของรางวัลที่จะได้รับจาก 10 ตระกูลใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังก็จะมากขึ้นตามไปด้วย


 


นอกจากนั้นยังมีกฏและรายละเอียดยิบย่อยต่างๆอีกมากมาย


 


“ฟืด—”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังได้ทราบว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางคืออะไร


 


เดิมทีเขานึกว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางก็จะมีลักษณะคล้ายแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ที่ให้เข้าไปต่อสู้ช่วงชิงโชควาสนา แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นดั่งเวทีประลองเป็นตายขนาดใหญ่ ที่ขุนนางอมตะ 10 ทิศของคฤหาสน์ระดับ 6 เข้าไปประหัตประหารเข่นฆ่ากันอย่างโจ๋งครึ่มเพื่อผลประโยชน์


 


เพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายส่วยในแต่ละเดือน คฤหาสน์อมตะระดับ 6 จะส่งมือดีขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศของตัวเองเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง และแข่งขันเพื่อชิง 20 อันดับแรกมาให้ได้…


 


“อันดับที่ได้รับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางก็จะคงอยู่ในแต่ละเดือน และจะประกาศอันดับที่ได้เป็นทางการเมื่อถึงสิ้นเดือน…พอวันแรกของเดือนใหม่เริ่มต้น ก็จะทำการโล๊ะอันดับทั้งหมด และเริ่มแข่งขันจัดอันดับกันใหม่…ดำเนินไปในลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า…”


 


ในหูของต้วนหลิงเทียนยังเสมือนมีเสียงอธิบายของชายชราดังก้องซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เขาเข้าใจกระจ่างว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเป็นอย่างไร


 


“ผู้เฒ่าฉี…”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหาใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองถามชาชราด้วยความสงสัยอีกครั้ง “เป็นไปได้ไหมที่เหล่าศิษย์ขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศที่สามารถทำผลงานในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้ดี…จะมีโอกาสได้รับอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน?”


 


ถึงแม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะมีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันและไม่ได้มีแค่ 1 รวมถึงมีแม้กระทั่งอุปกรณ์ระดับเทพ แต่สิ่งเหล่านี้เขาไม่อาจนำออกมาใช้อย่างโจ่งแจ้งได้ หาไม่แล้วคงกลายเป็นหายนะสำหรับเขา


 


ดังคำกล่าวที่ว่า


 


คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก!


 


อย่างไรก็ตามหากไปถึงคฤหาสน์เฉวียนโยวและมีช่องทางให้ได้รับอุปกรณ์อมตะจอมราชัน เขาก็สามารถต่อสู้เพื่อช่วงชิงอุปกรณ์อมตะจอมราชันและนำมาใช้อย่างเปิดเผยได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวจะตกเป็นเป้าของคนอื่น เพราะคงไม่มีใครกล้าคิดแย่งชิงอุปกรณ์อมตะจอมราชันของคฤหาสน์เฉวียนโยว


 


“โอกาสย่อมมี”


 


พอชายชราพยักหน้าขานคำ และในขณะที่สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างวาบ มันก็เอ่ยต่อว่า “แต่ยากเย็นไม่น้อย”


 


“ยากเย็นขนาดไหนหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเพิ่ม


“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าถึงเดือนนี้เจ้าจักเข้าไปต่อสู้ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางจนได้รับอันดับ 1 มา ถึงเจ้าจะรักษาอันดับ 1 ได้ถึงสิ้นเดือน ทว่าพอขึ้นเดือนใหม่อันดับของเจ้าก็จะถูกล้างทันที หากคิดจะได้รับอันดับ 1 อีกครั้ง เจ้าก็ต้องต่อสู้ช่วงชิงและเก็บคะแนนให้มากพอขึ้นอันดับ 1 อีกรอบ”


 


 


ชายชรากล่าวถึงจุดนี้ก็หุดลงเล็กน้อย ค่อยเอ่ยออกเสียงเข้ม “และทาง 10 ตระกูลใหญ่ได้ทำข้อตกลงกันเอาไว้แล้ว ว่าหากมีขุนนางอมตะ 10 ทิศคนใดสามารถได้อันดับ 1 ติดต่อกันเป็นเวลาทั้งสิ้น 12 เดือน ก็จักได้รับอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันจาก 10 ตระกูลใหญ่เป็นของรางวัล”


 


“แน่นอนว่าเป็นอุปกรณ์อมตะจอมราชันประเภทอาวุธ…”


 


“แต่ถ้าหากเจ้าสามารถรั้งอันดับ 1 ไว้ได้ถึง 24 เดือนล่ะก็ เจ้าไม่เพียงจะได้รับอุปกรณ์อมตะจอมราชันชิ้นที่ 2 จาก 10 ตระกูลใหญ่ แต่อุปกรณ์อมตะจอมราชันชิ้นที่ 2 ที่เจ้าจักได้รับยังเป็นชุดเกราะ!”


 


“ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นเวลา 24 เดือนได้ ก็สามารถเลือกที่จะเข้าร่วมกับ 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่ได้ทันที และกลายเป็นคนของตระกูลใหญ่นั้นๆ เพลิดเพลินกับทรัพยากรบ่มเพาะมากมาย อีกทั้งยังมีโอกาสแข่งขันกับทายาทสายตรงของตระกูลใหญ่นั้นๆ เพื่อแย่งชิงทรัพยากรในการบบ่มเพาะที่ดียิ่งขึ้น”


 


ชายชรากล่าวถึงจุดนี้ ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง


 


ขณะเดียวกัน สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวขึ้นมาทันที


 


สำหรับเขาแล้ว สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรจากวิธีที่จะยกระดับพังฝึกปรือให้เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด!


 


24 เดือนก็คือ 2 ปี!


 


หากเขารั้งอันดับ 1 ได้เป็นเวลา 2 ปี…ก็จะได้เข้าสู่ 10 ตระกูลใหญ่! ถึงตอนนั้นก็สามารถฉกฉวยทรัพยากรล้ำค่าของพวกมัน และยกระดับพลังฝึกปรือของเขาได้อย่างรวดเร็ว!!



 

 

 


ตอนที่ 3119

 

หลังได้รับทราบเรื่องราวเพิ่มเติมของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางจาก ฉีเทียนหมิง ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันจะได้เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางในฐานะศิษย์ของคฤหาสน์เฉวียนโยว!


 


ฟังจากสิ่งฉีเทียนหมิงกล่าวมา แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้นเปิดให้เข้าไปตลอดเวลา อยากเข้าไปตอนไหนก็ได้


 


แน่นอนว่ามีเพียงผู้ที่ด่านพลังฝึกปรือต่ำกว่าขอบเขตราชาอมตะเท่านั้น จึงจะเข้าไปได้


 


กล่าวอีกอย่าง ผู้ที่จะเข้าไปต่อสู้ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ด่านพลังที่สูงที่สุดที่จะเป็นไปได้ก็คือ ขุนนางอมตะ 10 ทิศ!


 


“แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้น ในแต่ละเดือนไม่ว่าใครก็สามารถอยู่ภายในนั้นได้แค่ 10 วันเท่านั้น…และ 10 วันในที่นี้ก็คือการนับเวลารวม กล่าวคือเจ้าจะเข้าไปแช่ในนั้นจนครบ 10 วัน หรือจักเข้าไปวันละนิดละหน่อย จนใช้เวลาด้านในสะสมครบ 10 วันก็แล้วแต่เจ้า…”


 


ฉีเทียนหมิงยังคงกล่าวรายละเอียดปลีกย่อยของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางให้ต้วนหลิงเทียนฟัง “และทันทีที่เจ้าอาศัยอยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางครบกำหนด 10 วัน เจ้าก็จักถูกค่ายกลส่งตัวออกมาทันที และในเดือนนั้นเจ้าจะไม่สามารถเข้าไปได้อีก…จนเมื่อถึงเดือนใหม่และล้างอันดับเรียบร้อยแล้ว จึงจะเข้าไปได้ใหม่”


 


ฉีเทียนหมิงกล่าวเล่ารายละเอียดของแดนสวรรค์ใต้โบราณให้ต้วนหลิงเทียนฟังอย่างไม่ปกปิด และยังเล่าทุกเรื่องที่มันล่วงรู้ออกมาโดยละเอียด


 


“จริงสิ!”


 


ทันใดนั้นฉีเทียนหมิงคล้ายยฉุกคิดอะไรได้ออก จึงหันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนสืบต่อ “ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้น แน่นอนว่าการเข่นฆ่าศัตรูย่อมทำให้ได้รับคะแนนในป้ายหยกสะสมคะแนนของอีกฝ่าย…”


 


“อย่างไรก็ตาม หากอีกฝ่ทุบทำลายป้ายหยกสะสมคะแนน คะแนนสะสมของมันก็จะพุ่งเข้าไปยังป้ายหยกสะสมคะแนนของใครก็ตามที่อยู่ใกล้มันที่สุด…”


 


“ขณะเดียวกันหลังจากที่ทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนไปแล้ว ตัวมันก็จะถูกเคลื่อนย้ายออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง เพราะการบดขยี้ป้ายหยกสะสมคะแนนจะเป็นการกระตุ้นค่ายกลในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางให้ส่งตัวออกไป…”


 


กล่าวถึงจุดนี้ ฉีเทียนหมิงก็หยุดลงพักหายใจเล็กน้อย


 


แต่พอมันกำลังจะกล่าวสืบต่อ ก็เป็นต้วนหลิงเทียนที่เอ่ยถามออกมาก่อน “หมายความว่า…หากพบเจอศัตรูที่ไม่อาจเอาชนะได้ ก็สามารถทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเอง เป็นการมอบคะแนนสะสมให้อีกฝ่าย และหนีออกมาโดยความช่วยเหลือของค่ายกลส่งตัว?”


 


“มิผิด”


 


ฉีเทียนหมิงพยักหน้า “ดั่งคำกล่าวที่ว่า ผู้ฉลาดรู้สถานการณ์ จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้เปิดแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางขึ้น ไม่ได้ตั้งใจจะให้ผู้คนเข้าไปเข่นฆ่าจนต้องตายกันไปข้าง ยังเลือกที่จะเหลือหนทางงรอดเอาไว้ยามเปิดสร้างแดนสวรค์ใต้โบราณระดับกลางอีกด้วย…”


 


“แน่นอนว่าต่อให้บดขยี้ทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเอง ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกค่ายกลส่งตัวออกมาทันที มันมีเวลาดำเนินการเล็กน้อย…ดังนั้นหากพลังฝีมืออ่อนแอกว่าศัตรูมาก และอีกฝ่ายตั้งใจจะเข่นฆ่าให้ตายจริงๆ ต่อให้จะทุบทำลายป้ายหยกไปแล้วก็ไม่แน่ว่าจะรอดพ้นความตาย”


 


ฉีเทียนหมิงกล่าว


 


“ก็นับว่ายังมีมนุษย์ธรรมหลงเหลืออยู่ และไม่ได้บีบคั้นให้ผู้อ่อนแอให้ถึงขั้นสิ้นไร้หนทางรอด หาไม่แล้วคงยากจะหาคนเข้าไปต่อสู้เสี่ยงชีวิตในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง…”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเข้าใจ


 


“ว่าแต่…”


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนพลันนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามออกไปว่า “การบดขยี้ป้ายหยกสะสมคะแนน จนถูกค่ายกลส่งตัวออกมานอกแดนสวรรค์ใต้โบราณมันทำได้ครั้งเดียวชั่วชีวิตหรืออย่างไร วันหน้ายังจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้อีกหรือไม่?”


 


“ก่อนที่จะทำการโล๊ะอันดับ ผู้ใดก็ตามที่ทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเองเพื่อออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง จักไม่อาจได้รับป้ายหยกสะสมคะแนนใหม่ตลอดเดือน ย่อมทำให้ไม่อาจเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณในรอบเดือนนั้นได้อีกต่อไป…ต้องรอให้หมดเดือน และขึ้นเดือนใหม่ล้างอันดับใหม่เสียก่อน”


 


ฉีเทียนหมิงกล่าว


 


ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที แบบนี้ก็จะเป็นการป้องกันให้ไม่มีใครบางคนเลือกที่จะหลบหนีทุกครั้งที่สู้ไม่ไหว และกลับเข้าไปใหม่อย่างไร้จำกัด…


 


หากสู้ไม่ได้จนต้องหนีออกมา แต่สามารถกลับเข้าไปใหม่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด เช่นนั้นต้องมีคนที่จงใจจัดการแต่พลับสุกนุ่มนิ่มแน่นอน พอเจอของแข็งที่สู้ไม่ไหวก็บดทำลายป้ายหยกเพื่อหนี…


 


หากทำแบบนั้นได้จริง ไม่แน่ว่าเผลอๆจะเลือกบีบลูกพลับสุกจนได้อันดับสูงๆมาครองก็เป็นได้!


 


“ต้วนหลิงเทียน”


 


ราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ออก ฉีเทียนหมิงหันไปมองกล่าววกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าแววตาจริงจัง “ต่อหน้าผู้อื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกออกไป ว่าเจ้าได้ใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์มา…”


 


“ถึงแม้โชควาสนาจะถือเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเจ้า อย่างไรก็ตามหากเจ้าปล่อยให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเจ้ามาถึงจุดนี้ด้วยพรสวรรค์และความรู้ความสามารถของเจ้าเอง ก็จักทำให้ผู้อื่นประเมินค่าเจ้าสูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”


 


“นอกจากนั้น หากเจ้าให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าเจ้าสามารถช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์มาได้จากเงื้อมมือตัวตนจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิด พวกมันไม่พ้นต้องสืบสวนตัวเจ้าอย่างละเอียดแน่…ว่าเจ้ารอดพ้นเงื้อมมือมันมาได้อย่างไร ใช่ฆ่ามันแล้วชิงผลเทพสังเวยสวรรค์มาหรือไม่?”


 


“และถ้าเจ้าสามารถฆ่าจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดผู้นั้นได้จริงๆ เช่นนั้นเจ้าได้รับอันใดมาจากจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดผู้นั้นกันแน่? ถึงแม้จักรพรรดิอมตะไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิติดตัว แต่อย่างน้อยๆมันก็ต้องมีอุปกรณ์อมตะจอมราชัน…โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลัง!”


 


“อุปกรณ์อมตะจอมราชันไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือชุดเกราะ…แต่หากผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจักรพรรดิอมตะมาแล้ว มันมีมูลค่าสูงกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันทั่วไปมาก…”


 


“ข้าว่าเจ้าคงทราบเรื่องนี้ดีกระมัง?”


 


“อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมาแล้ว มีพลังมากกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไปขนาดไหนเจ้าคงเข้าใจดี เพราะเจ้าเองก็สมควรมีเช่นกัน…เช่นนั้นก็ไม่ต้องกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันทั่วไป กับอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันที่จักรพรรดิอมตะได้ใช้พลังหล่อเลี้ยงขัดเกลามาแล้วเลย…”


 


กล่าวถึงจุดนี้สีหน้าของฉีเทียนหมิงก็เผยความจริงจังถึงขีดสุด


 


“ผู้เฒ่าฉี ข้าทราบเรื่องนี้ดี”


 


จนเมื่อต้วนหลิงเทียนพยักหน้า สีหน้าของฉีเทียนหมิงจึงค่อยผ่อนคลายลง


 


จากนั้นฉีเทียนหมิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก และต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่มีเรื่องจะถามแล้ว ทั้งเขายังถูกฉีเทียนหมิงหอบหิ้วเดินทาง เช่นนั้นก็เลยใช้เวลาที่มีไปกับการทำความเข้าใจความลึกซึ้ง ส่งผ่าน ของกฏแห่งมิติอย่างไม่ให้สูญเปล่า


 


เดิมทีเขาก็คิดจะทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะให้ได้เร็วๆ


 


อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทราบถึงการคงอยู่ของแดนสวรรค์ใต้โบราณณะดับกลาง เขาก็ไม่รีบร้อนจะกระดับพลังฝึกปรือของตัวเอง


 


เพราะสุดท้ายแล้วการจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางและทำผลงานดีๆได้ ก็จำต้องมีด่านพลังไม่เกินขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเท่านั้น


 


“จริงสิผู้เฒ่าฉี”


 


หลังทำความเข้าใจความลึกซึ้งส่งผ่านของกฏแห่งมิติอยู่ครึ่งวัน ต้วนหลิงเทียนที่ฉุกคิดอะไรได้ ก็ลืมตาขึ้นมามองถามฉีเทียนหมิงทันที


 


“แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ในเมื่อมันเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์คฤหาสน์อมตะระดับ 6 แบบนี้…แล้วในบรรดาคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ทั้งหลาย ได้มีการเพาะสร้างยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเอาไว้ใช้ต่อสู้ช่วงชิงอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางโดยเฉพาะหรือไม่?”


 


นี่เป็นเรื่องที่เขาพึ่ฉุกคิดได้ขณะทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติ


 


เพราะขุนนางอมตะ 10 ทิศที่มีอายุพันปี กับหลายหมื่นปีนั้น พลังฝีมือย่อมไม่อาจนำมาเทียบกันได้แน่นอน ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่ก็หมาความว่ามีเวลาทำความเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏมากขึ้นเท่านั้น!


 


หากดำรงอยู่มานานมากๆ ต่อให้สติปัญญาจะต่ำตมแค่ไหน กระทั่งต่อให้เป็นท่อนไม้ยังบังเกิดความรู้แจ้งได้…


 


“นับว่าถามได้ดี!”


 


ฉีเทียนหมิงกล่าว “ในตอนที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้สร้างแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ก็มีฉุกคิดเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน…ดังนั้นผู้ที่จะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้ ก็ถูกจำกัดไว้ให้มีอายุไม่เกิน 1,000 ปี!”


 


“อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการจำกัดอายุไว้ให้ไม่เกิน 1,000 ปี แต่ก็มีขุนนางอมตะ 10 ทิศไม่น้อยที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้หลายประการ…”


 


กล่าวถึงจุดนี้ ฉีเทียนหมิงก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกล้ำ “มีขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 6 ประการมากมาย…กระทั่งยังมีหลายคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ถึง 7 ประการ และทั้งหมดถูกเพราะสร้างมาเพื่อช่วงชิงในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางโดเฉพาะ”


 


“คฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกเราเองก็มีตัวตนเช่นนี้เหมือนกัน ทางเรามีขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 6 ประการคนหนึ่ง และขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ได้ 7 ประการคนหนึ่ง ที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกเราได้ดูแลเป็นพิเศษ เพื่อใช้เข้าร่วมการแข่งขันช่วงชิงอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางโดยเฉพาะ”


 


“ในบรรดาขุนนางอมตะ 10 ทิศที่พวกเราดูแลเป็นพิเศษ ผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ก็มีอายุเกิน 980 ปีแล้ว อีกไม่นานก็คงไม่อาจเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณได้อีก”


 


ผู้ที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี จะไม่อาจเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้อีก…


 


‘ขุนนางอมตะ 10 ทิศที่สามารถเข้าใจกฏแห่งไม้ได้ 7 ประการ?’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


 


ความแข็งแกร่งระดับนี้ แทบจะเทียบได้กับหลิงเจวี๋อวิ๋นหลังย่อยพลังผลเทพสังเวยสวรรค์หมดแล้วเลย


 


แน่นอนว่าเป็นในกรณีที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้ใช้ไพ่ตายอะไร


 


‘กระทั่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดไม่กี่คนที่ข้าเคยพบเจอมาก่อน…พวกมันก็ไม่แน่ว่าจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึง 7 ประการ’


 


เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนยังรู้ดีแก่ใจ


 


ขุนนางอมตะ 10 ทิศเหล่านั้น เป็นคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ตั้งใจเพาะสร้างมาเป็นพิเศษ ทุกคนสมควรไม่ได้รับอนุญาติให้ทะลวงด่านพลัง จึงทำได้แค่ทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏต่างๆ…


 


หาไม่แล้วขุนนางอมตะ 10 ทิศเหล่านี้คงทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะไปนานแล้ว…


 


ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อทำให้พวกมันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้หลายประการ คฤหาสน์เฉวียนโยวไม่พ้นต้องทุ่มทรัพยากรบางส่วนเพื่อส่งเสริมความเร็วในการทำความเข้าใจความลึกซึ้งของพวกมัน


 


ด้วยกำลังทรัพย์ของคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะทุ่มเททรัพยากรบางส่วน เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้รวดเร็วยิ่งขึ้น


 


‘ข้าหลงคิดว่าด้วยพลังของข้าตอนนี้ หากเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางจะเข่นฆ่าได้ทั้ง 4 ทิศ 8 ทางดั่งขาใหญ่ไม่กลัวใครแล้วซะอีก…’


 


‘ถึงว่าล่ะ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนตอนฉีเทียนหมิงเจอข้าครั้งแรกถึงกล่าวแค่ว่า ข้าอาจกวาดล้างหัวกะทิพวกนั้นได้ไม่น้อย คิดจะยืนหยัดได้อันดับต้นๆก็ไม่ยากเย็น แต่กลับไม่ได้บอกว่าข้าจะต้องได้รับอันดับ 1 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางออกมา…’


 


‘ที่แท้คฤหาสน์อมตะระดับ 6 เหล่านี้ ยังมีการเพาะสร้างงขุนนางอมตะ 10 ทิศที่ใช้สำหรับแข่งขันช่วงชิงในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางโดยเฉพาะ!’


 



 


การเดินทางหลังจากนั้นก็ไม่มีการสนทนนาอันใด


 


พริบตาเวลาก็ล่วงเลยไปอีก 2 วัน และต้วนหลิงเทียนก็ถูกฉีเทียนหมิงหอบหิ้วมาถึงคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว…


 


คฤหาสน์เฉวียนโยวนั้นไม่ได้ปลูกสร้างบนพื้น แต่ปลูกสร้างไว้บนฟ้า เหนือยอดเขา เหนือแพเมฆ ตัวคฤหาสน์หลักตั้งอยู่บนเกาะลอยฟ้าขนาดมหึมา ที่ลอยค้างกลางหาวอย่างเงียบงัน รอบๆยังมีหมู่เกาะยิบย่อยมากมาย


 


เกาะหลักไม่เว้นเกาะย่อยล้วนเต็มไปด้วยความเขียวขจี นับว่าถูกสร้างมาให้ร่มรื่นสบายตา แลดูผ่อนคลายสบายอารมณ์นัก


 


อย่างไรก็ตามเกาะลอยเหล่านี้ไม่ได้ลอยสะเปะสะปะไร้รูปแบบ เกาะหลักที่ขนาดใหญ่ที่สุดลอยอยู่ตรงกลาง เกาะย่อยก็แบ่งออกเป็นวงๆ ยิ่งอยู่วงนอกมากเท่าไหร่ยิ่งมีจำนวนมากขึ้น ยิ่งเข้าใกล้กับเกาะหลักมากเท่าไหร่ก็มีจำนวนน้อยลง


 


ดั่งดาวล้อมเดือนก็ว่า…


 


“ท่านผู้ตรวจการ!”


 


“ท่านผู้ตรวจการ!”


 



 


เมื่อล้วงล้ำเข้ามาในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ต้วนหลิงเทียนก็พบเจอหน่วยลาดตระเวนหลายหน่วย และทุกหน่วยเมื่อพบเจอฉีเทียนหมิงก็จะหยุดคารวะทักทายด้วยท่าทางมากเคารพทั้งสิ้น


 


“อาจารย์ลุงฉี ท่านพึ่งกลับมาจากด้านนอกหรือ?”


 


ทันใดนั้นปรากฏร่างสง่างามหนึ่งเหินลอยมาแต่ไกล ก่อนจะหยุดเบื้องหน้าเขากับฉีเทียนหมิง


 


‘เป็นมัน!’


 


คิ้วต้วนหลิงเทียนเลิกขึ้นเล็กน้อย


 


ผู้ที่พึ่งเหินร่างเข้ามาหานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่เขาเคยเจอมาก่อน…


 


ปี้ไห่หมิงเฟิง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)