War sovereign Soaring The Heavens 3101-3109

ตอนที่ 3101

 

“จักรพรรดิอมตะ!?”


 


หลินเฟยหยางมองเจียงหลานด้วยสายตาเหลือเชื่อ เอ่ยถามออกไปอย่างยากลำบากว่า “ในเมื่อเจ้าเคยเป็นถึงจักรพรรดิอมตะ แล้วไฉนต้องลำบากลำบนหลอกพวกเราให้มาที่นี่ด้วย…ข้าเกรงว่าวัตถุประสงค์ของเจ้าคงมิใช่แค่เรื่องเล็กน้อยอย่างทำเพื่อความสนุกสนานกระมัง?”


 


จักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด!


 


ฐานะดังกล่าวของเจียงหลาน ทำให้หลินเฟยหยางยากจะเชื่อได้ลงคอจริงๆ!


 


ต้องทราบด้วยว่าสถานที่ๆมันอยู่ ผู้ที่ทรงพลังสูงสุดก็ยังเป็นแค่จอมราชันอมตะเท่านั้น!


 


สำหรับจักรพรรดิอมตะนั้น ในอดีตอาจจะเคมีปรากฏขึ้นมาบ้าง แต่มันก็ไม่เคยได้ยินหรือพบเห็นมาก่อนเลย


 


แต่ถึงกระนั้นคำ จักรพรรดิอมตะ ก็ทำให้ร่างงมันสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัวแล้วจริงๆ


 


ตั้งแต่ที่เจียงหลานประกาศตัวว่าเป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด มันยังรู้สึกเสมือนหนังศีรษะกลับกลายเป็นชาด้าน บังเกิดความหวาดกลัวไม่น้อย


 


จักรพรรดิอมตะ…นั่นคือตัวตนที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังถึงเพียงใด!?


 


แต่บัดนี้ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าของมัน กลับเป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด!


 


หลังประสบเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงมากมาย หลินเฟยหยางก็ไม่คิดสงสัยในคำพูดของเจียงหลานแม้แต่น้อย ด้วยรู้ดีว่ามาถึงขั้นนี้แล้วเจียงหลานไม่จำเป็นต้องโกหกมัน


 


อาศัยพลังฝีมือของเจียงหลาน คิดสังหารพวกมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร จะเสียเวลาปั้นเรื่องหลอกพวกมันไปทำไม?


 


อย่างไรก็ตาม มันยังอดอยากรู้ไม่ได้…


 


ว่าไฉนเจียงหลานที่เป็นถึงจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิด ต้องลงทุนลงแรงเดินทางไปยังเขตต่างๆของ 5 ระนาบเทวโลก เพื่อหลอกพวกมันมาถึงที่นี่?


 


อีกฝ่ายมีแผนอะไรกันแน่?


 


ตอนนี้หากเจียงหลานบอกว่าไม่มีแผนอันใด ให้ฆ่ามันให้ตายมันก็ไม่เชื่อ!


 


“มาถึงขนาดนี้แล้ว…บอกพวกเจ้าไปก็ไม่เสียหายอันใด”


 


ได้ยินคำถามของหลินเฟยหยาง เจียงหลานก็ค่อยๆกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ที่ข้าไปล่อลวงพวกเจ้ามา ก็เพื่อให้พวกเจ้าเป็นเครื่องสังเวยของต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์…”


 


เครื่องสังเวยของต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์!


 


ได้ยินคำตอบดังกล่าวของเจียงหลาน สายตาหลินเฟยหยางและยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอีก 2 คน ก็หันไปจับจ้องต้นไม้สูงตระหง่านบนเกาะกลางน้ำใต้ฝ่าเท้าเจียงหลานทันที


 


เป็นครั้งแรกเลยที่พวกมันเริ่มมองสำรวจต้นไม้สีเลือดนี่จริงๆจังๆ โดยเฉพาะก้อนเลือดสีแดงฉานทั้ง 2 บนต้นไม้สีเลือดที่ตั้งตระหง่านนั่น ตอนนี้กำลังยุบๆพองๆราวกับกำลังเติบโต!


 


“ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์?”


 


“มันคืออะไร?!”


 


“มันหลอกพวกเรามาเพื่อใช้เป็นเครื่องสังเวยต้นไม้ประหลาดนี่…แถมตอนนี้ก็มีคนตายไปนับหมื่นแล้ว! ที่แท้ต้นไม้ผีสางนั่นมันมีประโยชน์อะไรกับเจียงหลานกันแน่?!”


 



 


ลูกตาพวกหลินเฟยหยางทั้ง 3 ละออกจากต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ไปหยุดลงบนร่างเจียงหลานอีกครั้ง ในแววตาเต็มไปด้วยความสับสนระคนสงสัย


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเองก็หันไปมองเจียงหลานพลางชักสีหน้าสงสัยอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เจียงหลานพบเห็นพิรุธอันใด


 


“หึ!”


 


เจียงหลานย่นจมูกพ่นลมสบถเสียงเย็นคำหนึ่ง ค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงถือดี “พวกเจ้าล้วนมาจากขุมกำลังระดับ 7 อันต้อยต่ำ จะไม่รู้จักต้นไม้เทพสังเวสวรรค์ก็ไม่แปลกอันใด”


 


“ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ก็คือ…ฯลฯ”


 


เมื่อเจียงหลานเริ่มอธิบายให้ฟังว่าต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์คืออะไร ไม่ว่าจะเป็นหลินเฟยหยางหรือยอดเซียนอมตะขั้นสงสุดอีก 2 คน ลมหายใจก็เริ่มหอบถี่ขึ้นมาทันที


 


ผลเทพสังเวยสวรรค์…สามารถทำให้ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่รับประทาน ทะลวงด่านพลังจนบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศในคราเดียว?


 


นอกจากนั้นยังสามารถริเริ่มทำความเข้าใจกฏที่ไม่เคยทำความเข้าใจมาก่อน และอาจจะเข้าใจความลึกซึ้งถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นได้หลาประการในคราวเดียว?


 


กระทั่งสถิติที่บันทึกไว้สูงสุดนั้น ก็คือสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ถึง 8 ประการ? และผู้ที่ทำความเข้าใจได้น้อยที่สุด ก็ยังสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ถึง 6 ประการ?


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 


ลูกตาหลินเฟยหยางกับยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอีก 2 คนหดเล็กลงแทบปิด ยังสูดลมหายใจเข้าลึกๆด้วยความแตกตื่นสุดระงับ


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ่นจะไม่ออกอาการเหมือนทั้ง 3 แต่สีหน้าก็เปลี่ยนไปไม่น้อย แลดูเหมือนคนที่กำลังพยายามนิ่งสงบ


 


‘หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ สมแล้วที่เป็นคนที่ข้าสนใจ…ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยังสามารถสงบอารมณ์ไม่ออกอาการให้เห็นชัดเหมือนหลินเฟยหยาง…’


 


ความเปลี่ยนแปลงของทั้ง 5 รวมถึงต้วนหลิงเทียนย่อมไม่พ้นสายตาของเจียงหลาน และนั่นทำให้มันยิ่งบังเกิดความพอใจในตัวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมากขึ้น


 


‘หวังว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้จะยอมศิโรราบต่อข้า และให้ข้าปลูกฝังตราทาสลงวิญญาณแต่โดยดี…’


 


สองตาเจียงหลานเต็มไปด้วยความคาดหวัง


 


สำหรับด้านต้วนหลิงเทียนที่แลดูสามารถสงบสติอารมณ์ได้ดีไม่แพ้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น เจียงหลานเชื่อว่าเขาเคยโชคดีพบพานวาสนายิ่งใหญ่บางอย่าง ทำให้โลกทัศน์เปิดกว้างมากกว่า จึงไม่ตกใจจนเสียอาการเหมือนพวกหลินเฟยหยางทั้ง 3


 


ไม่ว่าจะอย่างไร ต้วนหลิงเทียนก็คือยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ครอบครองอุปกรณ์อมตะจอมราชัน 2 ชิ้น และยังเป็นอุปกรณ์อมตะจอมราชันประเภทคู่อีกด้วย!


 


‘เอาล่ะ ถึงเวลาลงมือเสียที…’


 


เมื่อสำนึกเทวะของเจียงหลานสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนของตัวอ่อนผลเทพสังเวยสวรรค์ด้านล่าง และพบว่าบัดนี้กระบวนการดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว มันก็ตัดสินใจลงเมื่อเพื่อจบเรื่องราวทันที ลูกตาควบแน่นทันใด


 


ในดวงตายังเผยประกายเยียบเย็นวาบขึ้น


 


วินาทีต่อมา พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดก็ปะทุลุกโชนขึ้นมาทั่วร่าง ระลอกคลื่นสีฟ้ายังเริ่มกำจายออกไปทั่ว ประหนึ่งมีทะเลสาบเล็กๆอุบัติขึ้นกลางเวหา และผิวทะเลสาบเล็กๆดังกล่าวก็กระเพื่อมเสมือนมีคนพึ่งปาหินลงไป!


 


“แย่แล้ว!!”


 


เมื่อกลิ่นอายทั่วร่างเจียงหลานแปรเปลี่ยนไปในฉับพลัน สีหน้าหลินเฟยหยางและยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้ง 2 ก็เปลี่ยนไปทันที


 


ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หันมามองหน้าส่งสาตากันวาบหนึ่ง สีหน้าท่าทียังเปลี่ยนเป็นขึงขังจริงจัง


 


ในที่สุดเจียงหลานก็คิดลงมือแล้วหรือ?


 


ปงงงง!!


 


ซู่มมม!!


 



 


เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งทำนบกันน้ำพังทลาย จากนั้นร่างเจียงหลานก็พุ่งมาดั่งเงาเลือน คนคล้ายกลับกลายเป็นภูตผี!


 


ทันทีที่เห็นสภาวะร่างเจียงหลานแปรเปลี่ยนไป ต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ่นและคนอื่นๆ ก็เร่งเร้าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาเตรียมพร้อมรับมือทันที นอกจากต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เร่งพุ่งร่างฉีกออกข้างไปแล้ว ด้านหลินเฟยหยางกับยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้ง 3 ก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้กันโดยไม่รู้ตัว


 


ในสายตาของหลินเฟยหยางกับพวก 3 คน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจียงหลานที่มีพลังแข็งแกร่งเหนือกว่า เช่นนั้นพวกมันก็คิดว่าต้องร่วมมือกันถึงจะต้านทานรับมือเจียงหลานได้


 


“พวกเจ้าทั้งคู่ทำอะไรกัน!? ไฉนตอนนี้ยังไม่เข้ามาผนึกกำลังกับพวกเรา จะรอให้ถูกมันฆ่าตายทีละคนรึไง!?”


 


ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดในรูปลักษณ์ชายวัยกลางคนที่ขยับเข้ามารวมกลุ่มกับหลินเฟยหยางและชายหนุ่มอีกคน พอเห็นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นฉีกตัวออกไปสองฟาก ก็เร่งแผดเสียงตะโกนออกมาทันที


 


“พวกเจ้าคิดว่า…หากผนึกกำลังกันแล้วจักรับมือข้าได้งั้นรึ!?”


 


เมื่อเจียงหลานวูบร่างตัดระยะมาเจียนบรรลุถึงพวกหลินเฟยหยางทั้ง 3 ที่รวมกลุ่มกัน มันก็ชะรอความเร็วลง และค่อยๆย่ำเหยียบความว่างเปล่าลงมา ทำราวกับเดินเล่นชมสวน


 


หลังมองกล่าวกับชายวัยกลางคนด้วยสายตาเย้ยหยันแล้ว มันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ต้วนหลิงเทียน แม้อุปกรณ์อมตะจอมราชันประเภทคู่ของเจ้าหลังผสานรวมกันแล้ว จักมีพลังอำนาจแทบจะเทียบได้กับศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิ…”


 


“แต่สุดท้ายมันก็มิใช่ศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิ!”


 


“วันนี้ก่อนที่เจ้าจักตาย ข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าชมดูกับตาสักครา ว่าศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร!!”


 


พอเจียงหลานกล่าวจบคำมันก็ยกมือขวาขึ้นมาแบหงายทันที


 


จากนั้น เหนือฝ่ามือของมัน ก็ปรากฏรังสีดาบสีฟ้าผุดข้นมาเล่มหนึ่ง รังสีดาบดังกล่าวยังเปล่งแสงสีฟ้าออกมาเรืองรอง! ถึงกับสว่างยิ่งกว่าแสงพลังสีฟ้าที่กำจายออกมาทั่วร่างมันเสียอีก!!


 


และเมื่อรังสีดาบดังกล่าวปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือเจียงหลานได้ไม่ทันไร…


 


มวลแสงสีฟ้าดังกล่าวก็เริ่มควบรวมก่อเกิดเป็นดาบสีฟ้าที่ใสราวผลึกแก้วเล่มหนึ่งขึ้นให้เห็นชัดเจน!


 


ดาบผลึกแก้วสีฟ้านี้ ทันทีที่ปรากฏ มันก็แผ่กลิ่นอายเยียบเย็นออกไปสะท้านบรรยากาศ พาลให้ร่างทุกคนสะท้านไปด้วยความหนาวเหน็บ…


 


ต้องทราบด้วยว่าอาศัยด่านพลังฝึกปรือในปัจจุบันของงต้วนหลิงเทียนกับคนที่เหลือทั้ง 5 ทุกคนล้วนไม่สะทกสะท้านต่อความเย็นของฤดูหนาวอีกต่อไป หากแต่กลิ่นอายพลังจากดาบผลึกแก้วสีฟ้าเล่มนี้กลับทำให้ทุกคนรู้สึกเย็นยะเยือก!


 


“นี่มัน…ดาบอมตะระดับจักรพรรดิ!?”


 


“จะ…จักรพรรดิ! อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”


 



 


ตั้งแต่ที่ได้ยินคำพูดของเจียงหลาน ลูกตาหลินเฟยหยางทั้งยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอีก 2 คนก็เริ่มหดหยีเล็กลงแต่แรก


 


มาตอนนี้พอได้เห็นดาบผลึกแก้วที่ส่องแสงสีฟ้าแผ่กลิ่นอายเยียบเย็นนั่น กอปรกับสิ่งที่เจียงหลานพึ่งกล่าว หัวใจพวกมันก็เสมือนมีไอเย็นแผ่ซ่านปกคลุมทันที!


 


ตอนแรกที่ได้รู้ว่าเจียงหลานเป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด พวกมันยังอดคิดไปอย่างวาดหวังไม่ได้ว่า…


 


เจียงหลานที่กลับมาเกิดใหม่ อาจจะยังไม่ได้รับสมบัติที่เก็บไว้เมื่อชาติก่อน หรือสมบัติในชาติก่อนของมันอาจจะถูกผู้คนพบเจอและกวาดเอาไปหมดแล้ว…


 


ทว่าพอเจียงหลานเรียกดาบอมตะระดับจักรพรรดิออกมาแบบนี้ ก็ทำให้พวกมันบังเกิดความสิ้นหวังจับใจ!


 


หากเจียงหลานมีเพียงอุปกรณ์อมตะระดับราชาให้พึ่งพิง แม้จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำ 4 ประการ แต่ถ้า 5 คนที่อยู่ ณ ที่นี้ผนึกกำลังร่วมมือกันล่ะก็ ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจต้านทานรับมือเจียงหลานได้!


 


ที่สำคัญเลยก็คือ


 


ต้วนหลิงเทียนถือครองอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันอมตะ 2 ชิ้น! แถมเป็นอุปกรณ์อมตะจอมราชันประเภทคู่ ที่ยามผสานรวมกันก็มีพลังอำนาจแทบจะเทียบได้กับศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิ!


 


แต่มาตอนนี้ เมื่อเห็นเจียงหลานนำดาบอมตะระดับจักรพรรดิออกมา พวกมันก็หมดสิ้นกำลังใจจะแข็งข้อต่อต้านทันที…


 


ฟั่ฟฟฟ!!


 


เจียงหลานตวัดดาบผลึกแก้วสีฟ้าออกไปคราหนึ่ง ก็ปรากฏคลื่นดาบสีฟ้าพุ่งไปดั่งเสี้ยวจันทร์ ผ่าร่างชายวัยกลางคนที่พึ่งมาตอบสนองเอาตอนคลื่นดาบอยู่เบื้องหน้าแล้วออกเป็นสองเสี่ยง ตกตายไปอย่างที่ไม่อาจต่อต้านอะไรได้เลย…


 


เมื่อร่างสองเสี่ยงของมันแยกตกไปซ้ายขวา ลูกตาแต่ละข้างยังคงมองจ้องเขม็ง เห็นชัดว่าตกตายตาไม่หลับ!


 


และศพชายวัยกลางคน ก็เป็นศพแรกของผู้คนที่ตกตายภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่


 


เนื่องเพราะต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์มันไม่ได้ดูดซับโลหิตดวงจิตของผู้ตายอีกต่อไป เช่นนั้นศพของมันจึงไม่ถูกสูบโลหิตจนแห้งกรังแล้วสลายหายไปเหมือนคนอื่นๆ


 


สิ่งนี้บ่งบอกให้รู้ว่าต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ไม่ต้องการเครื่องสังเวยอีกต่อไป และโลหิตกับดวงจิตที่ดูดซึมมา ก็มากพอแล้วที่มันจะหล่อเลี้ยงตัวอ่อนผลเทพสังเวยสวรรค์ให้เติบโตกลายเป็นผลเทพสังเวยสวรรค์…


 


เป็นธรรมดาว่าสุดท้ายแล้วผลเทพสังเวยสวรรค์จะเติบโตสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับฟ้าเท่านั้น…


 


“อย่า…อย่าข้าฆ่าเลย!”


 


หลังเห็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอย่างชาวักลางคนตกตาอย่างไร้ต้านทาน ยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดในรูปลักษณ์ชายหนุ่ม ก็คุกเข่าให้เจียงหลานที่ลอยล่องกลางอากาศทันที


 


“ใต้เท้าจักรพรรดิอมตะ ในเมื่อท่านมิต้องใช้ข้าน้อยเป็นเครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวสวรรค์แล้ว เช่นนั้นขอท่านเมตตาละเว้นข้าน้อยด้วยเถอะ…หากท่านต้องการข้าน้อยยินดีมอบสมบัติทั้งหมดที่มีในตัวให้ท่าน!”


 


ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดในรูปลักษณ์ชายหนุ่มที่คุกเข่าลงไป เร่งวิงวอนร้องขอชีวิตออกมา ขณะเดียวกันมันก็ถอดเกราะอมตะระดับราชาที่สวมใส่อยู่ รวมถึงถอดแหวนพื้นที่แล้วประคองยื่นออกไปเบื้องหน้า เห็นชัดว่ามันคิดใช้ทุกสิ่งที่มีในตัวเพื่อแลกกับหนึ่งชีวิตน้อยๆของมัน


 


“เจ้าคิดว่าหากข้าฆ่าเจ้าทิ้ง ของๆเจ้าจักมิกลายเป็นของๆข้าหรือ?”


 


เจียงหลานเอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


อย่างไรก็ตาม ยิ้มอ่อนนี้ของเจียงหลาน ในสายตาของชายหนุ่มที่คุกเข่าประเคนของร้องขอชีวิต มันไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มของปีศาจแม้แต่น้อย ร่างมันจึงสั่นสะท้านไประริกราวลูกนกตกน้ำ เร่งก้มหัวร้องขอความเมตตาออกมาอีกครั้ง “ใต้เท้าจักรพรรดิอมตะได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย! ขอท่านอภัยให้ข้าน้อยด้วย!!”


 


“แล้ว…เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าจักสนใจสิ่งของเล็กๆน้อยๆที่เจ้ามี?”


 


เจียงหลานเมินคำวิงวอนร้องขอชีวิตของชายหนุ่ม และพอมันกล่าวจบคำ ดาบผลึกฟ้าในมือก็ตวัดฟันออกไปอีกครั้ง…


 


ฉัวะ!!


 


คลื่นดาบสะบั้นที่พุ่งไปอีกสาย พรากหนึ่งชีวิตของชายหนุ่มไปอย่างไร้เรื่องราว…



 

 

 


ตอนที่ 3102

 

คลื่นดาบที่พุ่งไปพรากชีวิตของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้ง 2 นั่น แม้จะเห็นว่าไร้เรื่องราว หากแต่ที่แท้แล้วมันอัดแน่นไปด้วยพลังจากความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำ 4 ประการที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!


 


สำหรับผลลัพธ์ดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไม่ได้แปลกใจเลย กระทั่งหลินเฟยหยางก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเช่นกัน


 


เจียงหลานถึงจะเป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดที่มีอายุน้อยกว่าร้อยปี และบรรลุด่านพลังขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดดุจเดียวกัน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำได้ 4 ประการแล้ว พลังก็ย่อมเหนือกว่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้ง 2 เป็นธรรมดา


 


หลินเฟยหยางยังรู้ดี ว่าต่อให้เจียงหลานไม่ใช้ดาบอมตะระดับจักรพรรดิและอาศัแค่ศาสตราอมตะระดับราชา ก็สามารถเข่นฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้ง 2 ได้ง่ายดาย…เช่นนั้นยังจะนับประสาอะไรกับใช้ดาบอมตะระดับจักรพรรดิ?


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่แปลกใจที่เจียงหลานฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้ง 2 ได้ง่ายราวกับหายใจ กระทั่งคิดว่ามันต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว!


 


ในสายตาของมัน หากมันสลับดาบอมตะระดับจักรพรรดิในมือเจียงหลานกับอุปกรณ์อมตะระดับราชาในมือมันได้ ถึงตอนนั้นต่อให้ความแข็งแกร่งของเจียงหลานจะอยู่เหนือมัน แต่มันก็สามารถเข่นฆ่าเจียงหลานได้ง่ายๆเช่นกัน


 


อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิมันเพิ่มพูนพลังให้ผู้ใช้สุดที่อุปกรณ์อมตะจอมราชันจะเทียบได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงพวกมันที่ไม่มีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันเหมือนต้วนหลิงเทียนเลย…


 


พวกมันมีก็แต่อุปกรณ์อมตะระดับราชาคู่กายร้ายๆเท่านั้น…


 


“เป็นอย่างไรเล่า…เห็นเช่นนี้แล้วเจ้ายังกล้าคิดใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันคู่นั้นของเจ้า เพื่อต่อต้านข้าอยู่อีกหรือไม่?”


 


หลังจากเจียนหลานปลิดปลงชีวิต 2 ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไปแล้ว สองตามันก็เบนไปตกยังร่างต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่น มุมปากคลี่ยิ้มแสยะ ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน


 


อย่างไรก็ตามรอยยิ้มแสยะเย้ยหยันที่มุมปากของมัน มีอันต้องชะงักค้างเติ่งไปทันใด เมื่อเห็นสีหน้าท่าทีของต้วนหลิงเทียน


 


เดิมทีเจียงหลานคิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องบังเกิดความหวาดกลัวสิ้นหวังแล้วเป็นแน่ กระทั่งเผลอๆอาจจะเริ่มคุกเข่าร้องของชีวิตเช่นยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดเมื่อครู่


 


อย่างไรก็ตามสิ่งที่มันเห็นก็คือ ต้วนหลิงเทียนยังคงมองมาที่มันด้วยสายตาสงบ ใบหน้าไม่เผยความยินดียินร้ายใดๆ หามีแม้แต่เศษเสี้ยวความหวาดกลัวไม่!


 


“ทำไม? เจ้าคิดจะฆ่าข้าเป็นคนต่อไปงั้นรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่มองสบตาเจียงหลานอย่างเฉยเมย เอ่ยถามออกไปเสียงเรียบ


 


“โฮ่? ไม่คิดเลยจริงๆว่าถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังทำเป็นนิ่งอยู่ได้…ไม่ลองคิดคุกเข่าร้องขอชีวิตข้าดูหน่อยรึไร เผื่อข้าจักใจดีเมตตาละเว้นชีวิตเจ้าสักครา?”


 


เจียงหลานเพียงอึ้งอยู่ชั่วครู่ก็ดึงสติกลับมาได้ และเข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนก็แค่เสแสร้งทำเป็นนิ่งเท่านั้น ในใจสมควรเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสิ้นหวังแล้วแน่แท้!


 


ซู่มมมม!!


 


ฟู่มมม!!


 



 


ทว่าเสียงกล่าวเจียงหลานยังดังไม่ทันจบคำดี เปลวเพลิงทั่วร่างต้วนหลิงเทียนพลันปะทุลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรง ไม่เพียงแต่จะปกคลุมไปทั่วร่างเท่านั้น สภาวะพลังยังแกร่งกร้าวขึ้นประหนึ่งจะแผดเผาได้กระทั่งความว่างเปล่า!


 


“หืม!?”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่กำจายออกมาเปลวไฟที่ลุกโชนท่วมร่างของต้วนหลิงเทียน ลูกตาเจียงหลานก็หรี่ลงเล็กน้อย “นี่มัน…ความลึกซึ้ง เผาไหม้ ของกฏแห่งไฟ?”


 


“เจ้า…นี่เจ้าปกปิดพลังมาโดยตลอด!?”


 


เจียงหลานไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าของมัน ต้วนหลิงเทียนผู้นี้…ที่มันเข้าใจว่าเพียงโชคดีกว่าคนอื่นจนได้อุปกรณ์อมตะจอมราชันคู่มาครอง และสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟแค่ 2 ประการเท่านั้น…


 


แต่ที่แท้อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะเข้าใจความหมายแห่งไฟ กับ ลุกโหม เท่านั้น ยังเข้าใจความลึกซึ้ง เผาไหม้ ของกฏแห่งไฟอีกด้วย!


 


บรึมมม!


 


ฟู่มมมม!!


 



 


วินาทีต่อมา เพลิงพลังที่ลุกโชนท่วมร่างต้วนหลิงเทียน พลันปะทุระเบิดขึ้นมาอย่างแรง ปรากฏละอองไฟไฟกระเด็นออกไปวาบดับประปราย สิ่งนี้ทำให้ลูกตาเจียงหลานจำต้องหดแคบลงอีกครา


 


“นี่มัน…ความลึกซึ้ง ปะทุ!?”


 


“ต้วนหลิงเทียนเจ้า…ที่แท้เจ้ามิใช่แค่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ 3 ประการ…แต่เจ้ายังเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งปะทุของกฏแห่งไฟบางส่วนแล้วรึ!?”


 


จังหวะนี้เจียงหลานอึ้งไปแล้วจริงๆ


 


มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่า


 


ต้วนหลิงเทียนจะเป็นสุดยอดอัจฉริยะดุจเดียวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นและหลินเฟยหยาง! อายุไม่ถึงร้อยปี ไม่เพียงแต่จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น 3 ประการ แต่ยังริเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 4 ได้บางส่วนแล้ว!!


 


ในขณะเดียวกัน ทางด้านหลินเฟยหยางเองก็หวาดกลัวความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน ด้วยไม่คิดมาก่อนเลยว่าต้วนหลิงเทียนที่แท้จะไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามันแม้แต่นิดเดียว


 


และนี่ยังไม่ได้คำนึงถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนยครอบครองอุปกรณ์อมตะจอมราชันคู่!


 


ต้วนหลิงเทียนยามใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันคู่ที่มีพลังอำนาจไล่ๆกับศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิ สมควรมีพลังถึงขั้นหากคิดจะเข่นฆ่ามันก็คงลำบากเพียงยกมือเท่านั้น!


 


“ต้วนหลิงเทียน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะซุกซ่อนได้ลึกและมิดชิดขนาดนี้…ที่แท้ความสามารถของเจ้ากลับไม่ได้ด้อยไปกว่าหลินเฟยหยางและหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!”


 


เจียงหลานที่เดิมทีคิดลงมือฆ่าคน พอเห็นความสามารถที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน ในใจก็บังเกิดความคิดรักถนอมอัจฉริยะขึ้นมา


 


“แต่กระนั้น ด้วยความต่างของอุปกรณ์อมตะ เจ้าก็ยังอ่อนกว่าข้าหลายขุม…ต่อให้มิต้องกล่าวถึงอุปกรณ์อมตะ เดิมทีพลังระดับนี้ของเจ้าก็ยังถือว่าห่างกับข้าอยู่มาก”


 


เจียงหลานเอ่ยออกเสียงเรียบ


 


พอกล่าวจบคำ ร่างเจียงหลานก็ค่อยๆลอยตัวขึ้นสูง ก้มลงมองต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น และหลินเฟยหยางด้วยท่าทีราวกับเจ้าชีวิตมองข้าทาสบริวาร “ข้าจักให้โอกาสพวกเจ้าทั้ง 3 ได้มีชีวิตรอด…”


 


“ตราบใดที่พวกเจ้ายินยอมให้ข้าปลูกฝังตราทาสลงวิญญาณ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าพวกเจ้า…”


 


“ไม่เพียงแต่ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้าเท่านั้น ข้ายังจะมอบโอกาสประเสริฐให้พวกเจ้าทั้ง 3 คนอีกด้วย…ขอเพียงพวกเจ้าทั้ง 3 ยอมจำนนต่อข้า พวกเจ้าก็สามารถประลองกันเพื่อผลเทพสังเวยสวรรค์อีกผลที่เหลืออยู่ ใครแข็งแกร่งที่สุดก็จักได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์ไปใช้!”


 


“แน่นอนว่า ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ต้วนหลิงเทียนเจ้า…มิอาจใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันคู่นั่นได้!”


 


กล่าวถึงประโยคท้าย เจียงหลานก็หันไปหยุดมองต้วนหลิงเทียนโดยไม่รู้ตัว เสียงยังเน้นหนักเป็นพิเศษ


 


ยอมให้ปลูกฝังตราทาส?


 


หน้าต้วนหลิงเทียนจมลงโดยพลัน


 


เขาย่อมรู้ดีว่าตราทาสที่ว่าคืออะไร เมื่อปลูกฝังแล้ว มันไม่อาจลบเลือนไปจากวิญญาณได้ เว้นเสียแต่ผู้ที่ปลูกฝังตราทาสลงมือลบตราทาสดังกล่าวด้วยตัวเอง หาไม่แล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถขจัดมันได้เลย!


 


ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อยินยอมให้ผู้อื่นปลูกฝังตราทาสลงวิญญาณแล้ว ก็เสมือนขายตัวเป็นข้าทาสผู้อื่นเขา และยังต้องเป็นทาสไปชั่วชีวิตอีกด้วย!


 


“เจ้าฝันไปเถอะ!”


 


หลินเฟยหยางเป็นคนแรกที่ตะโกนออกมา “ให้เจ้าปลูกฝังตราทาสลงวิญญาณข้าหรือ? ไม่มีวัน! ข้ายอมตายเสียดีกว่า!!”


 


“ฝันละเมอของตัวโง่งม!”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังอดกล่าวเย้ยหยันออกมาไม่ได้


 


“หากข้ายอมให้เจ้าปลูกฝังตราทาส…ถึงจะได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์นั่นจนข้ากลายเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้วยังจะมีความหมายอันใด?”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็อดกล่าวเย้ยออกมาไม่ได้


 


“เหอะๆๆ…ดูเหมือนพวกเจ้าทั้ง 3 ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตางั้นสินะ?”


 


ถึงแม้จะมีคิดไว้บ้างแล้วว่าเรื่องราวอาจจะลงเอยอีหร็อบนี้ แต่พอเผชิญหน้าเข้าจริงๆ เจียงหลานก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่สบอารมณ์


 


“เช่นนั้นข้าจักส่งพวกเจ้าทั้ง 3 ไปตามทาง แล้วรับผลเทพสังเวยสวรรค์ทั้งสองไปเสีย!”


 


พอเจียงหลานกล่าวจบคำ ดาบผลึกแก้วสีฟ้าในมือของมันก็สาดแสงสีฟ้าออกมาเจิดจ้า โถงถ้ำกว้างใหญ่คล้ายถูกชโลมย้อมไปด้วยสีฟ้าทันใด!


 


“ฆ่า!!”


 


หลินเฟยหยางคำรามออกมาอย่างดุร้าย สองตาแผดแสงแรงกล้า ร่างพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปดั่งมังกรสมุทรทะยานโผล่พ้นลำน้ำ ปรี่ตงเข้าหาเจียงหลานอย่างเกรี้ยวกราด!


 


ขณะเดียวกันด้านต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เริ่มลงมือทันที


 


ทั้งหมดลงมืออย่างที่ไม่ต้องนัดหมายใดๆทั้งสิ้น


 


เพราะจังหวะนี้ต่อให้ไม่ต้องหารือกัน ทั้ง 3 คนก็รู้ดีว่าจำต้องร่วมมือกันปะทะเจียงหลานเพื่อเอาตัวรอด!


 


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น หลินเฟยหยาง ข้าจักฆ่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้นก่อน…ถึงตอนนั้นหากพวกเจ้าเกิดเปลี่ยนใจก็ให้รีบบอกข้าล่วงหน้า เพราะข้าเกรงว่าข้าอาจจะพลั้งมือฆ่าพวกเจ้าตกตายเสียก่อน!”


 


เผชิญหน้ากับร่างทั้ง 3 ที่โจนทะยานขึ้นมา เจียงหลานยังคงมีสีหน้าสงบไม่นำพา ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับหลินเฟยหยางเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้พิจารณาเรื่องยอมสยบต่อมัน!


 


“พวกเจ้าสมควรรู้ดีว่าหากตกตายไปแล้ววก็มิเหลืออันใด ตราบใดที่พวกเจ้ายอมจำนนต่อข้า ข้ารับรองได้เลยว่าหลังจากที่ข้าบรรลุถึงจักรพรรดิอมตะแล้ว ข้าจักถอนตราทาสในวิญญาณของพวกเจ้า ปลดปล่อยพวกเจ้าให้เป็นอิสระ!”


 


วาจาประโยคสุดท้ายของเจียงหลาน ฟังแล้วดูเหมือนจะเลือกประนีประนอมให้บางส่วน


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น หรือหลินเฟยหยาง ก็ตอบคำเกลี้ยกล่อมของพวกมันด้วยการโจนทะยานเข่นฆ่าไปหามันสืบต่อ! ทั้งหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับหลินเฟยหยางยังซัดกระบวนท่าสังหารนำออกไปด้วยซ้ำ!!


 


ตอนนี้พลังที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นใช้ออก ยังคงเท่าเดิมที่เคยเปิดเผยให้เห็นก่อนหน้า เลือกจะปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้


 


ส่วนทางด้านต้วนหลิงเทียนที่ถูกเจียงหลานจับจ้องเป็นพิเศษนั้น ก็ไม่ได้ลงมือออกกระบวนท่าใดๆนำไปเหมือนทั้ง 2 แต่กลับเอื้อมมือขวาออกไปราวกับจะคว้าจับความว่างเปล่า


 


พริบตาต่อมา ก็ปรากฏลำแสงกระบี่ 7 สีพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของต้วนหลิงเทียน เป็นกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่แฝงอยู่ในร่างของเขา!


 


และทันทีที่กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนปรากฏ แสง 7 สีปานรุ้งก็สาดส่องไปทั่วโถงถ้ำกว้างใหญ่ทันที เรียกว่าประชันขันแข่งกับแสงสีฟ้าที่เปล่งออกมาจากดาบของเจียงหลานได้เลย!


 


“นี่มัน…”


 


เจียงหลานที่บัดนี้ทั่วร่างปรากฏเงาร่างชุดเกราะออกมา ต้านทานรับมือกระบวนท่าของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นและหลินเฟยหยางที่ซัดนำมาได้อย่างง่ายดาย ก็เพิกเฉยหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับหลินเฟยหยางไปโดยสมบูรณ์ สองตาจับจ้องมองไปยังกระบี่ 7 สีสันที่พึ่งปรากฏขึ้นเข้ามือต้วนหลิงเทียนเขม็ง!


 


“ต้วนหลิงเทียน! เจ้านับว่าทำให้ข้าต้องประหลาดใจครั้งใหญ่แล้วจริงๆ…เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าได้อุปกรณ์อมตะจอมราชันคู่มาครองก็เป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว! แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าโชควาสนาของเจ้าจักสูงล้ำสุดเหนือความคาดหมายของข้า!”


 


“เจ้า…ถึงกับมีศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิ!!”


 


เจียงหลานที่มองจ้องไปยังกระบี่ที่เปล่งแสง 7 สีในมือต้วนหลิงเทียนไม่วางตา และในแววตาของมันก็ฉายชัดถึงความโลภที่ลุกโชนขึ้นมาดั่งเพลิงไฟ!


 


ต่อให้ชาติที่แล้วตัวมันจะเป็นถึงจักรพรรดิอมตะ แต่มันก็มีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือดาบผลึกฟ้าในมือของมัน


 


และนี่ยังเป็นเพราะในชาติก่อน พลังฝีมือของมันนับว่าโดดเด่นท่ามกลางจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศทั่วๆไป และใกล้จะไล่ตามความแข็งแกร่งของเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามได้ทัน!


 


จักรพรรดิอมตะทั่วๆไป ยากนักที่จะมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิในครอบครอง!


 


เนื่องเพราะอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดินั้น นอกจากยากจะหาผู้หลอมสร้างมันได้ อาศัยแค่วัตถุดิบในการหลอมสร้างก็พบพานได้ยากเย็นแล้ว


 


ด้วยเหตุนี้อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิใดๆ จึงล้ำค่ามาก!


 


กระทั่งเงาร่างชุดเกราะที่ปรากฏขึ้นมาปกคลุมไปทั่วร่างเจียงหลานยามนี้ ก็เป็นแค่เกราะอมตะระดับจอมราชันเท่านั้น ไม่ใช่เกราะอมตะระดับจักรพรรดิแต่อย่างใด


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเพียงเกราะอมตะระดับจอมราชัน แต่ก็มีพลังเหลือเฟือจะปิดกั้นทุกการโจมตีของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับหลินเฟยหยาง!


 


“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”


 


หลินเฟยหยางที่พึ่งปลดปล่อยกระบวนท่าใส่เจียงหลานถึงกับผงะร่างไปวูบหนึ่ง และหันกลับมาดูกระบี่ในมือต้วนหลิงเทียนยที่เปล่งแสง 7 สีสาดส่องไปทั่วโถงถ้ำ!


 


สีหน้าของมันยังฉายชัดถึงความตกตะลึงพรึงเพริด!


 


ต้วนหลิงเทียนที่ทำให้มันบังเกิดความรู้สึกอบอุ่นและเสมือนถูกดึงดูดให้เข้าหาผู้นี้เป็นใครกันแน่? ไฉนถึงมีแม้กระทั่งอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิได้ แถมยังเป็นศาสตราประเภทกระบี่อีกด้วย!!


 


“เจ้าได้รับอนุญาติให้มีศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิได้…แต่ข้าไม่ได้รับอนุญาติให้มีศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ยหยัน


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรที่เจียงหลานเข้าใจว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของเขาเป็นกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ และเขาก็ไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจให้มันด้วย


 


ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน พลังที่กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในมือจะมอบให้เขาได้ ก็พอๆกับศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิเท่านั้น


 


“ข้าต้องบอกเลยว่า ต้วนหลิงเทียนเจ้าไม่เพียงแต่จะมากพรสวรรค์ทั้งสติปัญญา แต่โชควาสนาของเจ้าช่างทำให้ผู้อื่นอิจฉานัก…แต่อย่างไรเสีย วันนี้เจ้าก็ถูกลิขิตให้ตกตายด้วยมือข้า!”


 


“กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิของเจ้า ก็ถูกลิขิตให้ตกเป็นของข้าเจียงหลานผู้นี้เช่นกัน!”


 


สองตาเจียงหลานสว่างไสวไปด้วยแสงแห่งความละโมบ จากนั้นคนที่คล้ายเวิ้งน้ำกำจายรอบตัวพร้อมเงาร่างชุดเกราะ ก็ดิ่งลงจากกลางหาวพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนฉับไว ดาบผลึกฟ้าในมือยิ่งมายิ่งเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า!



 

 

 


ตอนที่ 3103

 

เผชิญหน้ากับเจียงหลานที่ดิ่งลงฟ้ามาพร้อมสภาวะพลังดุดันแกร่งกร้าว สองตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงวูบหนึ่งก่อนจะเบิกกว้างขึ้นในฉับพลัน มองไปในแววตาดั่งจะมีเพลิงขุมหนึ่งปะทุ!


 


ปงงงง!!


 


ซู่มมม!!


 



 


ร่างต้วนหลิงเทียนไหววูบคราหนึ่งก่อนปะทุพลังออกอย่างเกรี้ยวกราดปานจุดระเบิด ส่งตัวคนให้พุ่งทะยานสวนขึ้นใส่เจียงหลานที่เข่นฆ่าสังหารลงมา!


 


หนึ่งดาบสับลงปลดปล่อยคลื่นดาบสีฟ้า หนึ่งกระบี่ตวัดขึ้นซัดรังสีกระบี่สีแดง!


 


เปรี๊ยงงง!! ครืนนนน!!


 


หนึ่งน้ำหนึ่งไฟปะทะกันกลางหาวสนั่นลั่นถ้ำ ดั่งจะบอกว่าน้ำไฟไม่ไม่อาจอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันได้!


 


และในขณะที่ขุมพลังหนึ่งน้ำหนึ่งไฟปะทะต้านทานกันกลางหาว ราวกับยากจะตัดสินผลแพ้ชนะได้ในเวลาอันสั้นนั้นเอง


 


บังเกิดกลิ่นหอมหนึ่งฟุ้งขจรขจายไปทั่วโถงถ้ำอย่างกะทันหัน!


 


ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆเมื่อสูดได้กลิ่นหอมดังกล่าว ก็เผลอหันไปมองยังแหล่งกำเนิดกลิ่นหอมจรุงดังกล่าวทันที


 


ทันใดนั้นทั้งหมดพลันเห็นว่า…


 


บริเวณปลายยอดต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ ปรากฏผลไม้อมตะสีแดงเลือดนกขนาดเท่าก้ำปั้นผู้ใหญ่ 2 ผล


 


ผลไม่สีแดงเลือดนกห้อยแขวนอยู่ตรงนั้น ห้อมล้อมไปด้วยอัสนีสีแดงปานอสรพิษโลหิตมุดเข้ามุดออก แล่นวาบแปลบปลาบแลดูงดงงามพิกล


 


‘นั่นมัน…ตัวอ่อนผลเทพสังเวยสวรรค์ เติบโตกลายเป็นผลเทพสังเวยสวรรค์ได้สำเร็จแล้ว!?’


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน จากนั้นเขาก็เร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับสติอารมณ์ลงได้ในพริบตา!


 


ที่เขามาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น…นั่นก็คือผลเทพสังเวยสวรรค์! เขาทราบแล้วว่าผลเทพสังเวยสวรรค์มีโอกาสปรากฏต่ำเตี้ยเรี่ยดิน กระทั่งต่อให้รอดจนถึงท้ายสุดก็ไม่แน่ว่าจะได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์!


 


ดั่งคำว่าความพยายามอยู่ที่คน สำเร็จอยู่ที่ฟ้า…ต้องพึ่งโชควาสนาล้วนๆ!


 


ทว่าตอนนี้นับว่าฟ้ามีใจให้แล้วจริงๆ ถึงส่งผลเทพสังเวยสวรรค์มาให้เขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกชื่นใจนัก!


 


“ผลเทพสังเวยสวรรค์!!”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเต็มไปด้วยความสุขล้นใจ และพยายามสงบสติอารมณ์ ด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เจียงหลานและหลินเฟยหยาง ก็ค้นพบเรื่องที่ผลเทพสังเวยสวรรค์ปรากฏขึ้นสำเร็จแล้วเช่นกัน!


 


ทันใดนั้นสองตาพวกมันก็ลุกวาวสว่างจ้า ลมหายใจยังถี่รัวขึ้นมาทันที หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงประหนึ่งเครื่องสูบลม!


 


“ฮ่าๆๆๆ….สำเร็จ! ในที่สุดก็สำเร็จ!!”


 


เจียงหลานยังระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดั่งร่าด้วยความดีใจ รอยยิ้มแห่งความสุขความยินดีอันหาดูได้ยากเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้า!


 


“ข้าไม่คิดออมมือเพื่อละเล่นกับพวกเจ้าอีกต่อไป!!”


 


“ข้าจักฆ่าพวกเจ้าให้หมด แล้วรับผลเทพสังเวยสวรรค์ทั้ง 2 ไปเสีย!!”


 


ทันใดนั้นเจียงหลานก็ปะทุพลังเกรี้ยวกราดปัดกระบวนท่าของต้วนหลิงเทียน จากสำนึกเทวะของมันก็ระเบิดออกไปเพ่งเล็งผนึกลงบนร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นและหลินเฟยหยางเร็วไว! เพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวทั้งคู่ ด้วยกลัวว่าทั้งคู่จะฉวยโอกาสตอนมันประมือกับต้วนหลิงเทียนไปช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์!!


 


เมื่อทำเช่นนี้แล้ว ต่อให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับหลินเฟยหยางเลือกที่ฉวยโอกาสไปช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์จริงๆ มันมั่นใจว่าต่อให้ประมือกับต้วนหลิงเทียนอยู่ก็สามารถปลดปล่อยกระบวนท่าสังหารทั้งคู่ได้ทันท่วงที!!


 


ต้วนหลิงเทียนนั้นพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วจริงๆ แม้จะไม่ถึงขั้นกดดันมันได้ แต่มันคิดจะฆ่าอีกฝ่ายจำต้องใช้เวลาอยู่บ้าง!


 


“ความแข็งแกร่งของเจ้าไม่ธรรมดา ทั้งศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิในมือเจ้าก็เลิศล้ำ…น่าเสียดายที่เจ้ายังเข้าใจความลึกซึ้งปะทุได้แค่บางส่วน หาไม่แล้วเจ้าย่อมมีพลังสามารถมากพอเป็นคู่มือข้าได้!”


 


เมื่อสำนึกเทวะเพ่งเล็งไปยังร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับหลินเฟยหยางได้แล้ว เจียงหลานก็พอได้โล่งใจไปเปราะหนึ่ง จากนั้นมันพุ่งไปปะทะกับต้วนหลิงเทียนอีกรอบ ดาบผลึกแก้วในมือเริ่มเปล่งแสงสีฟ้าเจิดจ้าออกมาอีกครั้ง!


 


อย่างไรก็ตามแสงพลังสีฟ้าที่ส่องสาดออกมาครานี้ หาได้แผ่ซ่านออกมาอ่างดุร้ายถ่ายเดียว พวกมันเริ่มรวมรั้งลงสู่ตัวดาบ บ่งชี้ว่าเจียงหลานคิดอาศัยเชิงดาบสังหารต้วนหลิงเทียนให้จงได้แล้ว!


 


“ตายยย!!”


 


ทันใดนั้นเจียงหลานก็ตะโกนออกมาดังสนั่น! คนทะยานเข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนทันที!!


 


ต้วนหลิงเทียนที่พบว่าสภาวะพลังอีกฝ่ายกลับกลายเป็นกล้าแข็ง ก็พยายามอาศัยเคล็ดอ่อนสยบแข็งเต็มกำลัง ตวัดกระบี่ออกไปต้านทานรับมือกระบวนท่าดาบของอีกฝ่ายจนมือเป็นระวิง!


 


เมื่อเห็นสองร่างประมือกันด้วยความรุนแรง หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับหลินเฟยหยยางก็ไม่คิดเข้าใกล้ อาศัยการซัดคลื่นพลังเข้าใส่เจียงหลานไม่หยุด!


 


อนิจจาด้วยเงาร่างชุดเกราะที่กางกั้นขึ้นมาด้วยเกราะอมตะระดับจอมราชัน สามารถหยุดการจู่โจมของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นและหลินเฟยหยางได้ชะงัด และการปลดปล่อยพลังไม่หยุดเช่นนี้ก็มิใช่ว่าจะทำได้ตลอดเวลา ซึ่งเจียงหลานก็อาศัยวินาทีที่การลงมือของทั้งคู่ขาดห้วง ยักย้ายพลังที่ถ่ายทอดลงสู่ชุดเกราะไปรวมรั้งที่ดาบผลึกแก้วทันที!


 


ทันใดนั้นแสงพลังสีฟ้าปกคลุมทั่วตัวดาบ ก็คล้ายจะทวีความเข้มข้นขึ้น แผ่กลิ่นอายที่ทรงพลังเหนือล้ำกว่าเดิม!


 


ร่างเจียงหลานพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนพร้อมออกกระบวนท่าดาบเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างดุดัน ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่เร่งเร้าพลังทั้งหมดต้านทานสุดกำลัง แม้จะสามารถอาศัยเชิงกระบี่และประสบการณ์ต่อสู้ชั่วชีวิตสกัดกั้นเอาไว้ได้ หากแต่ยิ่งมาก็ยิ่งเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด!


 


“ไม่ได้การแล้ว…หากเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราไม่พ้นต้องตายหมดแน่!!”


 


เมื่อเห็นฉากต้วนหลิงเทียนเริ่มตกเป็นรองมากขึ้นทุกขณะ หลินเฟยหยางที่หอบหายใจถี่หลังเร่งเร้าพลังสุดตัวซัดใส่เจียงหลานจนพลังขาดห้วง ก็เริ่มชักสีหน้าเคร่งเครียด ตอนนี้มันวิตกกังวลจับใจ!


 


เรื่องผลเทพสังเวยสวรรค์ได้ถูกมันโยนทิ้งไปเป็นการชั่วคราว


 


ถึงแม้ผลเทพสังเวสวรรค์จะเลิศล้ำ หากแต่ชีวิตย่อมสำคัญกว่า!


 


สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ ก็คือหาวิธีรอดพ้นเงื้อมมือเจียงหลานให้ได้ก่อนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!


 


ครู่ต่อมา หลินเฟยหยางที่ยังไม่ทันได้ฟื้นพลังดี ก็กัดฟันแน่น และเริ่มซัดคลื่นพลังออกไปใส่เจียงหลานอีกครั้ง!


 


เจียงหลานที่สัมผัสได้ว่าพลังของหลินเฟยหยางและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นขาดห้วงจากสำนึกเทวะเมื่อครู่ จึงยักย้ายพลังจากชุดเกราะไปรวมรั้งในดาบ พอพบว่าหลินเฟยหยางกลับไม่ฟื้นฟูพลังให้สมบูรณ์พร้อม แต่เลือกจะลงมือจู่โจมออกมาอย่างกะทันหัน ก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายพลังกลับไปถ่ายทอดลงเกราะได้ทัน!


 


เช่นนั้นถึงชุดเกราะอมตะจอมราชันของมันจะกางกั้นม่านพลังขึ้นมาปกป้องมันโดยอัตโนมัติ แต่มันก็ได้รับผลกระทบอยู่บ้าง เลือดลมปั่นป่วนไปเล็กน้อย ทำให้สองตาของมันเริ่มแดงฉานไปด้วยโทสะ!


 


“สวะเจ้า! แส่หาที่ตาย!!”


 


เจียงหลานหันกลับไปมองหลินเฟยหยางด้วยสายตาอำมหิต แผดคำตะโกนออกมาดังลั่น จากนั้นมันก็เลือกปลดปล่อยพลังที่รวมรั้งไว้ในดาบผลึกแก้วออกมาขุมหนึ่ง ผลักต้วนหลิงเทียนที่พัวพันอยู่ให้ล่าถอยออกไป


 


หลังจากระเบิดพลังจนทำให้ต้วนหลิงเทียนต้องผละถอยออกไปแล้ว เจียงหลานก็ตวัดดาบผลึกแก้วไปทางหลินเฟยหยางทันที!


 


ฟั่ฟฟฟ!!


 


เสียงคลื่นดาบสะบั้นผ่าอากาศไปฉับไวดังขึ้น และหลินเฟยหยางที่กัดฟันปลดปล่อยพลังออกมาสุดตัวเมื่อครู่ บัดนี้ก็สิ้นไร้พลังจะป้องกันอันใด ทำให้ได้แค่มองคลื่นดาบของเจียงหลานพุ่งมาปลิดปลงศีรษะตัวเองไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ…


 


ตัวมันนั้นเป็นดั่งลูกรักสวรรค์ที่มีศักยภาพเลิศล้ำทั้งความเข้าใจในกฏแห่งน้ำสูงส่ง อนาคตเรียกว่ากว้างไกลไร้ขอบเขต…


 


อนิจจาด้วยความวู่วามร้อนใจ และเลือกจะลงมือเข้าใส่เจียงหลานตอนที่ยังไม่พร้อม สุดท้ายก็ถูกเจียงหลานวกกลับมาเล่นงาน จนต้องตกตายไปอย่างไม่ยินยอม!


 


มันไม่ยินยอม ไม่ยินยอมถึงขีดสุด!!


 


“ตอนนี้ล่ะ!!”


 


และในขณะที่ศีรษะหลินเฟยหยางปลิดปลิวออกจากบ่าด้วยคลื่นดาบของเจียงหลานนั้นเอง พลันมีเสียงหนึ่งตะโกนดังขึ้นสนั่นลั่นโถง และเป็นเสียงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่อยู่ลอยร่างอยู่ด้านหลังเจียงหลานนั่นเอง!


 


เวิง! เวิง! เวิง! เวิง! เวิง! เวิง!


 



 


เสียงกระบี่กู่ร้องขึ้นมาดังเวิงๆ ในมือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลันปรากฏบี่สีเทาหนึ่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ


 


และเสียงกระบี่กู่ร้องนั่นก็ก่อเกิดมาจากกระบี่สีเทาเล่มดังกล่าว!!


 


อีกทั้งทันทีที่กระบี่สีเทาเล่มนี้ปรากฏขึ้น มันก็สาดแสงสีเทาออกไปย้อมโถงถ้ำประชันกับแสงสีฟ้าและแสงสีรุ้งทันที!!


 


ครืนนน!!


 


และทันใดนั้นเอง อยู่ดีๆทั่วร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ปรากฏไอพลังสีแดงฉานปานหมอกโลหิตขึ้นมาในฉับพลัน! หมอกโลหิตดังกล่าวยังเริ่มผสานหลอมรวมเข้ากับไอพลังสีดำอันแผ่ซ่านกลิ่นอายแห่งความตายออกมาคละคลุ้ง!!


 


ในชั่วพริบตานั้นเอง เคียวมทูต ที่ก่อสร้างขึ้นมาจากพลังความลึกซึ้งเคียวยมทูตแต่เดิมที่มีรูปร่างหยาบๆพร่าเลือนดั่งเงานั้น ก็เริ่มควบแน่นกลับกลายเป็นแจ่มชัด ประหนึ่งกลับกลายเป็นเคียวยมทูตมีสภาพ!!


 


ต้องทราบด้วยว่าเคียวยมทูตแต่เดิมของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ไฉนมีรูปร่างหยาบๆ และพร่าเลือนดั่งเงา…มันเกิดจากการที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังเข้าใจความลึกซึ้งเคียวมทูตของกฏแห่งความตายไม่ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!!


 


เคียวที่ก่อร่างขึ้นหยาบๆและพร่าเลือนดั่งเงานั้น พลังอำนาจของมันย่อมมิอาจเทียบกับเคียวยมทูตที่ก่อร่างสมบูรณ์ประหนึ่งวัตถุมีสภาพได้เลย!


 


เพราะเคียวยมทูตที่ปรากฏรูปร่างชัดเจนดั่งมีสภาพเช่นนี้ มันจะก่อเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าใจความลึกซึ้งเคีวยมทูตของกฏแห่งความตายถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้วเท่านั้น!


 


‘หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้มีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิด้วยหรือ!?’


 


‘นอกจากนั้น…มิใช่มันยังเข้าใจความลึกซึ้งเคียวยมทูตได้แค่ผิวเผินหรือไร ไฉนอยู่ดีๆกลับเข้าใจถึงขั้นตอนเบื้องต้นแล้วเล่า!?’


 


เจียงหลานที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพลังครั้งยิ่งใหญ่ในฉับพลันของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นย่อม รวมทั้งเห็นกระบี่สีเทาที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นในในมือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่น หน้ามันก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง!!


 


มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ


 


ว่าไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่ปกปิดความแข็งแกร่งมาโดยตลอด แม้แต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเองก็ปกปิดพลังความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้อีกด้วย!!


 


ปงงงงง!!


 


ฟู่มมมม!!


 



 


และในขณะที่เจียงหลานหันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจนแตกตื่นอยู่นั้น มันก็พลันได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นดังขึ้นจากด้านหลังอีกรอบ!


 


พอมันหันมองกลับไปโดยไม่รู้ตัว มันก็พบว่ากลิ่นอายพลังทั่วร่างของต้วนหลิงเทียนนั้น อยู่ๆก็ทรงพลังเพิ่มขึ้นในฉับพลัน!!


 


ที่สำคัญเลยก็คือเพลิงพลังที่ลุกโชนทั่วตัวกระบี่ยามนี้ มันปะทุพลังออกมาอ่างรุนแรงผิดกับก่อนหน้าลิบลับ ถึงขั้นทำให้มันสูดได้กลิ่นความตายขึ้นมาในฉับพลัน!


 


‘นั่นมัน…ความลึกซึ้ง ปะทุ?’


 


‘ไม่ใช่! นั่นมิใช่ความลึกซึ้งปะทุ! แล้วมันคืออันใดกันแน่!?’


 


เจียงหลานที่พบเหตุเปลี่ยนแปลงไม่คาดฝันประดังเข้ามาในฉับพลัน จำต้องตะลึงลานไปแล้วจริงๆ


 


นั่นเพราะมันพบว่าพลังที่อัดแน่นในกระบี่ของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ มันทรงพลังถึงขั้นครอบงำพลังสูงสุดที่มันจะใช้ออกได้โดยสมบูรณ์!!


 


และห้วงเวลาเสี้ยวพริบตานี้เอง มันก็ตระหนักได้ถึงเรื่องราวประการหนึ่ง…


 


ต้วนหลิงเทียนที่ประมือกับมันมาสักพัก และเริ่มตกเป็นรองจนมันเจียนจะลงมือเผด็จศึกได้อยู่รอมร่อ ที่แท้ยังคงปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้!!


 


‘ให้ตายเถอะ!!’


 


‘ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้!?’


 


เจียงหลานที่ถูกต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกระหนาบ ในห้วงเวลาเสี้ยวพริบตาสีหน้าถึงกับแปรเปลี่ยนสลับกลับกลายไปไม่หยุด แต่มันก็หาได้ตะลึงลานจนนิ่งเฉยไม่ พลังเซียนอมตะที่ผสานไปด้วยพลังธาตุน้ำของมันถูกเร่งเร้าขึ้นมาสุดชีวิต จากนั้นก็เร่งถ่ายทอดลงสู้เกราะอมตะจอมราชัน เพื่อเปิดกางม่านพลังป้องกันต้านทานการจู่โจมของต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที!


 


วู้มมมม!!


 


เงาร่างชุดเกราะปรากฏขึ้นห้อมล้อมร่างเจียงหลานในฉับพลันปานภูตผี!


 


แต่กระนั้น เจียงหลานก็ไม่ได้รู้สึกว่าปลอดภัยแม้แต่น้อย


 


ด้วยสีหน้าที่ฉายชัดถึงความกังวล สองมือมันก็เริ่มขยับแปลงสัญลักษณ์อาคมเร็วรี่! ลื่นไหลราวกับซักซ้อมมาแล้วชั่วชีวิต!!


 


เห็นได้ชัดว่าชาติที่แล้ว เจียงหลานสมควรเชี่ยวชาญเรื่องแปลงสัญลักษณ์มือดุจการหายใจเข้าออก!


 


อย่างไรก็ตาม เจียงหลานที่เชี่ยวชาญการแปลงสัญลักษณ์มือจนคล่องประหนึ่งหายใจเขาออก บัดนี้กลับรู้สึกว่ามือตัวเองขยับได้เชื่องช้าเหลือเกิน เชื่องช้าเสียจนรู้สึกว่าต้องใช้เวลาอีกเป็นปีกว่าจะทำเสร็จ!


 


แต่ทว่าบัดนี้มันไม่มีเวลาเหลือแล้ว!!


 


เพราะมันไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่แท้จะมีความแข็งแกร่งถึงระดับนี้ พลังของทั้งคู่อยู่ๆก็ปะทุขึ้นมาอย่างน่ากลัว ถึงขั้นครอบงำพลังของมันโดยสมบูรณ์!!


 


พลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นหาได้ด้อยไปกว่ามันไม่ และที่น่ากลัวก็คือบัดนี้พลังของต้วนหลิงเทียนกลับเหนือกว่ามันทุกด้าน!!


 


‘พวกมันซุกซ่อนได้ลึกยิ่ง…พวกมันซุกซ่อนได้ลึกเกินไป!!’


 


เจียงหลานที่ร้อนรนใจแทบเป็นบ้า เร่งขยับสองมือด้วยความเร็วชั่วชีวิต! มันแตกตื่นกับพลังของต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจนเสียขวัญแล้ว!!


 


“จัดการมันเสีย!!”


 


เมื่อเห็นเจียงหลานทุ่มพลังทั้งหมดเข้าสู่เกราะป้องกัน และเริ่มขยับมือว่องไวทำสัญลักษณ์บางอย่าง จนความว่างเปล่ารอบๆเริ่มสั่นสะเทือน สีหน้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เปลี่ยนไปทันที เร่งตะโกนบอกต้วนหลิงเทียน ขณะเดียวกันมันก็รีดเค้นพลังทั้งหมด เพื่อลงมือให้เร็วขึ้นอีกสักเสี้ยวก็ยังดี!


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


เคียวยมทูตอันเปี่ยมล้นไปด้วยความตายและ กระบี่ที่เปล่งแสงพลังสีเทาเจิดจ้า ของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นฟาดเข้าใส่เงาร่างชุดเกราะของเจียงหลานอย่างแรง จนเกราะพลังของมันสั่นไหวไปอย่างรุนแรง ก่อนจะแตกออกดั่งกระจกแก้ว!!


 


“ไม่ว่าเจ้าคิดจะทำอะไรอยู่ ก็สายไปแล้ว!”


 


ร่างต้วนหลิงเทียนที่ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง พอรวมรั้งพลังทั้งหมดถ่ายทอดพลังลงกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนแล้วเสร็จ ก็จี้กระบี้ออกฉับไว ปลดปล่อยลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งทะยานเข้าใส่เจียงหลานทันที! ลำแสงกระบี่พุ่งทะยานแหวกฟ้าเข้าใส่เจียงหลานฉับไวประหนึ่งดาวตก!


 


เพียงชั่วเวลาเสี้ยวพริบตาดุจฟ้าแลบ ลำแสงกระบี่สีรุ้งทั้งเต็มไปด้วยเพลิงไฟและมีแสงพลังสีเทากับทองจางๆแฝงมาอย่างยากจะมองเห็น จนเปี่ยมล้นไปด้วยสภาวะพลังประหนึ่งจะทะลวงได้ทุกสิ่งทุกอย่าง! ก็เสมือนตัดผ่านความว่างเปล่า มาผุดโผล่เบื้องหน้าเจียงหลานในชั่วพริบตา ยังเล็งจี้มาที่หว่างคิ้วของมันเขม็ง!!


 


“ไม่—-!!”


 


“ข้าไม่เต็มใจ! ข้าไม่เต็มใจยอมรับ!!!”


 


เสียงหวีดร้องโหยหวนดังลั่นออกจากปากเจียงหลานก้องกังวลไปทั่วโถงถ้ำอันสุดไพศาล แฝงไว้ด้วยความคับแค้นและไม่ยินยอมจับใจ!


 


ในวินาทีที่ลำแสงพลังกระบี่สีรุ้งอันแฝงไปด้วยแสงพลังสีแดงเพลิงทั้งทองกับเทาเสือกทะลวงหว่างคิ้วเจียงหลานจนทะลุออกหลังหัวของมันนั้น มือที่แปลงสัญลักษณ์อาคมของมัน ก็หยุดค้างลงที่สัญลักษณ์สุดท้ายพอดี….


 


ตราบใดที่ให้เวลามันอีกเสี้ยวของเสี้ยวลมหายใจล่ะก็ มันก็สามารถแปลงสัญลักษณ์มือได้ครบกระบวนแล้วเสร็จ ถึงตอนนั้นมันก็จะสามารถเปิดใช้ค่ายกลป้องกันที่จัดตั้งไว้ในโถงถ้ำ และค่ายกลดังกล่าวก็จะป้องกันมันกับผลเทพสังเวยสวรรค์เอาไว้ได้สมบูรณ์ ดั่งจะตัดขาดพวกมันกับสิ่งอื่น…


 


ค่ายกลป้องกันดังกล่าวที่มันจัดตั้งไว้เมื่อชาติที่แล้ว แม้จะผ่านวันเวลามาร้อยปี แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ระดับพลังของต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในตอนนี้จะสั่นคลอนได้เลย…


 


ถึงตอนนั้นเมื่อค่ายกลป้องกันสำแดงพลังแล้ว ตัวมันก็จะรับผลเทพสังเวยสวรรค์และจากไปได้ง่ายดาย…ส่วนชะตาชีวิตของต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็จะตกอยู่ในมือมันสมบูรณ์!


 


หากวันนี้ผลเทพสังเวยสวรรค์ไม่อาจก่อตัวขึ้นมาได้สำเร็จแม้มันจะรู้สึกเสียใจ แต่ก็ไม่ถึงขั้นคับแค้นและไม่ยินยอมจับใจขนาดนี้แน่!


 


แผนการของมันที่วางไว้ตั้งแต่ชาติก่อน มาชาตินี้เรียกว่าสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี! ผลเทพสังงเวยสวรรค์ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แค่มันเอื้อมมือไปคว้าก็ได้มาง่ายดาย แต่ตอนนี้ทุกอย่างช่างห่างไกลเหลือเกิน…


 


ห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เจียงหลานไม่เพียงแต่จะคับแค้นทั้งไม่ยินยอมจับใจ กระทั่งยังเสียใจอย่างสุดซึ้ง…


 


เสียใจที่ไฉนไม่เลือกจะกางม่านพลังป้องกันผลเทพสังเวยสวรรค์กับตัวมันเอาไว้แต่แรก ปิดกั้นมันจากพวกต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เก็บผลเทพสังเวยสวรรค์แล้วจากไปอย่างไร้เรื่องราว…



 

 

 


ตอนที่ 3104

 

ห้วงเวลาสุดท้ายก่อนที่เจียงหลานตายตก มันบังเกิดความรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งจริงๆ


 


ทั้งๆที่มันมีโอกาสรับผลเทพสังเวยสวรรค์และจากไปง่ายดาย โดยแลกกับการปล่อยให้ต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น และหลินเฟยหยางถูกทิ้งในถ้ำแห่งนั้นแล้วแท้ๆ…


 


อนิจจามันกลับเลือกที่จะฆ่าพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ด้วยเหตุผลที่มันถูกปฏิเสธ ทำให้มันพลาดโอกาสได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์และจากไปอย่างไร้เรื่องราว


 


เป็นธรรมดาว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ มันประเมินพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ต่ำเกินไป จนเมื่อต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเปิดเผยพลังที่แท้จริงออกมา มันก็ไม่มีเวลามากพอจะกระตุ้นค่ายกลป้องกันในถ้ำที่มันสร้างไว้ตั้งแต่เป็นจักรพรรดิอมตะเมื่อชาติก่อนด้วยซ้ำ


 


ฉัวะ!


 


หลังลำแสงกระบี่ทะลวงหว่างคิ้วเจียงหลานจนทะลุหลังหัวไปได้สักพักแล้ว เสียงทะลวงกะโหลกเลือดเนื้อพึ่งจะดังขึ้นเบาๆในโถงถ้ำ…


 


นี่ก็ช่วยไม่ได้ ความเร็วของลำแสงกระบี่ต้วนหลิงเทียนมันเร็วกว่าเสียงมาก


 


และหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าเจียหลานได้แล้ว เขาก็ไม่แม้แต่จะสนใจแหวนพื้นที่กับดาบผลึกแก้วไม่เว้นเกราะอมตะจอมราชันของเจียงหลานแม้แต่น้อย…


 


ร่างคนเพียงไหววูบ ดิ่งลงจากฟ้าด้วยความเร็วสูง พริบตาก็มาหยุดลงข้างๆศพหลินเฟยหยางที่พึ่งตกตายทันที


 


และตอนนี้เหนือศพของหลินเฟยหยางก็ปรากฏมวลน้ำใสกระจ่างก้อนหนึ่ง


 


“นี่น่ะเหรอ วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหม่อมองมวลน้ำที่เปลี่ยนรูปร่างไปมาเบื้องหน้า เอ่ยถามเทพแห่งธาตุในร่างโดยไม่รู้ตัว


 


มวลน้ำเบื้องหน้า มองไปก็ไม่ต่างอะไรจากก้อนน้ำก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่ในอากาศ


 


อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนก็ไม่เห็นความแตกต่างอะไรเลย


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนแผ่ออกไปตรวจสอบมวลน้ำเบื้องหน้า เขาก็พบว่ามีพลังบางอย่างปิดกั้นสำนึกเทวะของเขาเอาไว้ไม่ให้ชำแรกผ่านเข้าไปได้


 


“มิผิด นี่ก็คือวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2…อย่างไรก็ตามตอนนี้มันยังหลับอยู่ หลังจากร่างต้นของมันตกตาย มันจึงผละออกจากร่างต้นโดยไม่รู้ตัว”


 


เพลิงเทพโกลาหลตอบ


 


“เจ้าหนู เจ้ายังยืนงงอะไรอยู่เล่า รีบเก็บมันเร็วเข้า! ตอนนี้มันอยู่ในสภาวะหลับใหลไม่ได้สติ ไม่ว่าใครก็สามารถเอามันไปได้ทั้งนั้น!!”


 


เสียงเด็กน้อยไม่หย่านมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ “แน่นอนว่าหลังจากที่มันตื่นขึ้นแล้ว หากมันไม่ถูกใจร่างต้นใหม่ที่เก็บมันมาตอนมันหลับ มันก็สามารถแยกตัวจากไปได้…”


 


“แต่เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วงเลย ด้วยมีข้าอยู่ทั้งคน อาศัยลิ้นทองคำของข้าแค่พูดตะล่อมๆมันไม่กี่คำ มันก็ต้องยอมอยู่กับเจ้า ไม่คิดไปไหนแน่นอน!”


 


กล่าวถึงจุดนี้เสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็ฟังดูโอ้อวดไม่น้อย


 


ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะสนใจวาจาอวดโอ่อะไรของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน เอื้อมมือไปจับมวลน้ำเบื้องหน้าทันที


 


พอมือเขาจับมวลน้ำ นอกจากความรู้สึกเย็นๆเปียกๆแล้ว เขาก็สัมผัสได้ว่ามวลน้ำดังกล่าว มันเริ่มซึมเข้ามือของเขา จากนั้นก็ไหลเวียนเข้ามาในร่าง ก่อนจะไปซุกอยู่ในมุมหนึ่งของร่างกายเขา


 


“แล้วเมื่อไหร่มันจะตื่นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“ก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนแรกมันใช้พลังไปมากขนาดไหน…อย่างไรก็ตามแต่ เมื่อมันอยู่ในร่างเจ้า มันต้องตื่นเร็วขึ้นกว่าตอนที่อยู่ในร่างหลินเฟยหยางแน่นอน”


 


เพลิงเทพโกลาหลกล่าว “พวกเราจะอย่างไรก็ล้วนแล้วแต่เป็นเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ดุจเดียวกัน แม้จะต่างธาตุกัน แต่กลิ่นอายพลังของพวกเรายังหนุนเสริมกันและกันได้ในระดับหนึ่ง”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนฟังเรื่องราวด้วยความสนใจ สองตาเขาก็ทอแสงวาบหนึ่งด้วยนึกอะไรออกได้ “ตอนที่ผู้อาววุโสเพลิงเทพโกลาหลอยู่ในขั้นที่ 2 ท่านก็สามารถช่วยข้าเรื่องหลอมโอสถอมตะได้แล้ว…”


 


“แถมทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ก็สามารถป้องกันดวงจิตของข้าได้”


 


“เช่นนั้นวารีเทพชำระโลกานี่ ถึงจะยังอยู่ในขั้นที่ 2 แต่ก็สมควรช่วยเหลืออะไรข้าได้บ้างเหมือนกันใช่ไหม?”


 


หลังเอ่ยถามออกไป ในแววตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายความวาดหวังไม่น้อย


 


“ย่อมได้เป็นธรรมดา”


 


เพลิงเทพโกลาหลตอบ “ตอนนี้วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ก็ยอมรับเจ้าเป็นนายแล้ว…ถึงแม้มันจะยังหลับใหลไม่ได้สติแต่มันก็รู้ว่าเจ้าคือนายของมัน ยามเจ้าตกอยู่ในอันตรายมันก็สามารถลงมือตอบโต้ได้อัตโนมัติ”


 


“วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 นั้น สามารถสร้างม่านพลังป้องกันอ่อนหยุ่นฉาบผิวกายของเจ้าได้โดยอัตโนมัติเมื่อเจ้าตกอยู่ในอันตราย สามารถช่วยป้องกันลดทอนพลังที่จะทำร้ายเจ้าได้บางส่วน”


 


“แน่นอนว่าพลังป้องกันที่มันจะช่วยเหลือเจ้า ยังไม่อาจเทียบได้กับพลังป้องกันที่ปฐพีเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 จะช่วยเจ้าได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงขั้นที่ 3 เลย…”


 


ทันทีที่เพลิงเทพโกลาหลกล่าวถึงจุดนี้ เสียงเด็กน้อยไม่หย่านมที่เปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจพลันดังขึ้นตามติด “นั่นมันแน่อยู่แล้ว! สิ่งที่ข้าเก่งกาจที่สุดก็คือการป้องกัน…ในด้านการป้องกัน ใต้หล้าฟ้าดินยังจะมีธาตุใดเทียบเทียมข้าได้?”


 


“ในด้านการป้องกัน? เช่นนั้นเจ้าป้องกันพลังวิญญาณได้หรือไม่?”


 


เสียงภาคภูมิใจของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังไม่ทันจบคำดี เสียงทองเทพสุดลี้ลับก็ดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ เรียกว่าคำพูดยังประหนึ่งรื้อเวทีผู้อื่นทันที


 


ได้ฟังดังนั้น ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็หงอยลงทันที สิ่งที่มันเชี่ยวชาญที่สุดคือการป้องกันทากายภาพ ในเรื่องการป้องกันทางวิญญาณ ในรรดาเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ย่อมไม่มีใครเก่งเหนือทองเทพสุดลี้ลับ


 


พอเสียงในร่างต้วนหลิงเทียนเงียบลง เพลิงเทพโกลาหลก็เอ่ยออกอีกครั้งว่า “นอกจากนั้น หากเจ้าคิดจารึกอาคมสร้างยันต์อมตะหรือวาดวงเวทย์อาคมอันใด หากเจ้าเร่งเร้าพลังของวารีเทพชำระโลกามาใช้เป็นส่วนผสมทำหมึกอาคม จักทำให้อัตราความสำเร็จของเจ้าสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่ว่ายันต์อมตะที่เจ้าจะสร้างมันจะมีระดับสูงแค่ไหนก็ตาม”


 


หลังได้ฟังวาจาของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียน ก็รับรู้ถึงคุณประโยชน์ที่วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 จะมอบให้เขาได้


 


“ที่เจ้าพึ่งเก็บไปเมื่อครู่…คือวารีเทพชำระโลกางั้นสินะ?”


 


เสียงหนึ่งดังขึ้น ดึงสติต้วนหลิงเทียนให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง จากนั้นก็เห็นว่าข้างๆมีหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ไม่ทราบมาหยุดยืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่


 


“หืม? เจ้าจำวารีเทพชำระโลกาได้ด้วยหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนประหาดใจอยู่บ้าง


 


“แหงอยู่แล้ว”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้ารับ ค่อยเอ่ยออกมาสืบต่อว่า “ว่าแต่เจ้าจะเก็บมันไปทำอะไร มันไม่ได้มีความหมายอะไรกับเจ้าเลยนี่นา? ปกติแล้วเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เว้นแต่จะอยู่ในภาวะไม่ได้สติ หาไม่แล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเลือกทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุดเป็นร่างต้น”


 


“ตอนนี้ถึงเจ้าจะเก็บมันไปได้ แต่ก็เป็นเพราะมันอยู่ในสภาวะหลับใหลไม่ได้สติเท่านั้น…รอมันตื่นเมื่อไหร่มันก็ต้องรีบออกไปจากร่างเจ้าอยู่ดี”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว


 


“ทำไมล่ะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนงุนงงสงสัยอยู่บ้าง เพราะเขาพึ่งจะเคยได้ยินเรื่องราวทำนองนี้เป็นครั้งแรก และพวกเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ในร่างเขาอย่างเพลิงเทพโกลาหล หรือทองเทพสุดลี้ลับก็ไม่เคยบอกเขาเรื่องนี้มาก่อนเลย


 


“ก็เพราะพลังสายเลือดของทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุดอย่างพวกเรามันขัดแย้งกับพลังของเทพแห่งธาตุทั้ง 5 น่ะสิ…พลังสายเลือดของพวกเรา จะดูดซับพลังไม่เว้นวิญญาณของเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ไม่ต่างอะไรจากของว่าง เช่นนั้นไม่ว่าพวกมันจะบรรลุถึงขั้นอะไร แต่หากมาอยู่ในร่างของผู้ที่มีพลังสายเลือดเช่นเราๆ พวกมันก็จะถดถอยและย้อนกลับไปสู่รูปแบบดั้งเดิมในที่สุด”


 


ขณะกล่าวถึงจุดนี้ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ยื่นผลไม้สีแดงเลือดนกให้ต้วนหลิงเทียนผลหนึ่ง


 


ผลไม้สีแดงเลือดนกผลนี้ แน่นอนก็คือผลเทพสังเวสวรรค์ที่ก่อนหน้าห้อแขวนอู่บริเวณยยอดต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์


 


“แค่นั้นหรือ?”


 


หลังต้วนหลิงเทียนได้ยินคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นสีหน้าของเขาก็เผยความประหลาดใจอยู่บ้าง จากนั้นก็เอื้อมมือไปรับผลเทพสังเวยสวรรค์มา พลางถามต่อด้วยความอยากรู้


 


“ก็แค่นั่นแหล่ะ…ว่าแต่แปลกยิ่ง เจ้าในฐานะทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุด ในเมื่อเจ้าเองก็รู้จักวารีเทพชำระโลกา เจ้าก็น่าจะรู้เรื่องพวกนี้แล้วนี่นา นี่มันสามัญสำนึกพื้นฐานสำหรับพวกเราเหล่าทายยาทผู้แข็งแกร่งที่สุดชัดๆ”


 


กล่าวถึงจุดนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสีงหนักว่า “ช่างเถอะ พวกเราออกจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยคุยกันดีกว่า”


 


“นอกจากนั้นระหว่างที่เจ้าเก็บวารีเทพชำระโลกานั่น ข้าก็ไปยึดแหวนพื้นที่ของเจียงหลานกับดาบและเกราะมันมาแล้ว…”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว


 


และหลิงเจวี๋อวิ๋นกล่าวจบคำไม่ทันไร ยังไม่ทันให้ต้วนหลิงเทียนได้ตอบสนองอะไรด้วยซ้ำ อยู่ๆโถงถ้ำกว้างใหญ่ก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง ประหนึ่งบังเกิดแผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่


 


ขณะเดียวกันรอยแยกมิติก็เริ่มปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นทั่วโถงถ้ำก็ปรากฏรอยแยกมิติมากมาย กระพริบวูบวาบ แลดูน่ากลัวเหลือเกิน


 


“ฉิบหายแล้วไง! รีบไปเร็วเข้า!!”


 


เห็นฉากเรื่องราวโดรอบ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หน้าเสียทันที มันโพล่งชวนต้วนหลิงเทียนคำหนึ่ง ก็เร่งเหินร่างพุ่งเข้ารอยแยกมิติที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างไม่รอช้า…


 


ที่นี่คือแดนลับที่เจียงหลานสร้างไว้เมื่อชาติก่อนครั้งยังเป็นจักรพรรดิอมตะ และสมควรเป็นโลกใบเล็กของมัน


 


ในเมื่อโลกใบเล็กกำลังจะแตกสลายพังทลาย ทุกรอยแยกมิติที่เกิดขึ้น ก็จะนำไปสู่ด้านนอกทันที


 


ต้วนหลิงเทียนที่สัมผัสได้ถึงความเร่งร้อนของสถานการณ์ก็รีบโดดร่างตามหลิงเจวี๋อวิ๋นเข้ารอยแยกมิติเข้าไปทันที หากแต่ก่อนที่เข้าจะเข้าไป เขายังทันได้เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง…


 


เกาะกลางน้ำอันมีต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ตั้งอยู่นั้น ได้ถูกรอยแยกมิติมากมาฉีกกระชากจนพังทลายไม่เป็นท่า


 


สำหรับต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ที่เคยตั้งงตระหง่านอยู่บนเกาะ บัดนี้มันก็ถูกพลังบางอย่างป่นปี้ทำลาย! แหลกสลายเป็นละอองธุลี ลอยฟุ้งไปทั่วโลกใบเล็กที่กำลังจะพังทลายแห่งนี้


 


เห็นได้ชัดว่าหากผลเทพสังเวยสวรรค์ ไม่ถูกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเด็ดมาและยังอยู่บนต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ล่ะก็…ป่านนี้มันแหลกเป็นฝุ่นไปแล้ว!!


 


เมื่อโลกใบเล็กที่ถูกเปิดสร้างโดยจักรพรรดิอมตะพังทลายลง ทุกรอยแยกมิติที่ที่ปรากฏขึ้นนั้น ก็เป็นดั่งทางออก สามารถนำไปสู่สถานที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งที่ตั้งโลกใบเล็กแห่งนี้ได้


 


หากออกจากรอยแยกมิติเดียวกัน ก็จะถูกส่งไปที่เดียวกัน


 


เช่นเดียวกับต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่โดดเข้ารอแยกมิติเดียวกันมา ทั้งคู่ก็มาโผล่ที่เดียวกัน และยังเป็นยอดเขาหมาป่าหอนฟ้าอีกด้วย!


 


“ให้ตายเถอะ…เมื่อครู่เป็นการลงมือทิ้งท้ายของเจียงหลานงั้นเหรอ?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหรี่ลงเล็กน้อย เขารู้สึกว่าเจียงหลานผู้นั้นช่างจองล้างจองผลาญเสียจริง ถึงตัวเองจะตายไปแล้วแท้ๆ แต่ไม่วายสร้างปัญหาให้ผู้อื่นได้อีก…


 


เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมือไวไปเด็ดผลเทพสังเวยสวรรค์มาก่อนล่ะก็ เกรงว่าเขากับหลงเจวี๋ยอวิ๋นไม่พ้นต้องเสียใจอย่างสุดซึ้งเหมือนเจียงหลานแล้ว!


 


“ไอ้บ้าเจียงหลานนั่นมันช่างร้ายจริงๆ…พอโลกใบเล็กที่มันเปิดสร้างไว้เมื่อชาติก่อนเริ่มพังทลาย ค่ายกลสังหารก็กระตุ้นการทำงานทันที ยังป่นปี้ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์โดยตรง!”


 


“ค่ายกลสังหารเมื่อครู่ แม้ตัวมันในชาตินี้จะไม่อาจควบคุมบังคับให้เปิดใช้ตามใจได้…แต่ด้วยพลังที่เกิดจากการล่มสลายของโลกใบเล็ก ก็สามารถกระตุ้นให้ค่ายกลเริ่มต้นทำงานโดยอัตโนมัติ!”


 


สีหน้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเผยความหวาดเสียวไม่น้อย เมื่อครู่นับว่ามันตัดสินใจถูกจริงๆ ที่เร่งรุดไปเก็บผลเทพสังเวยสวรรค์เอาไว้ก่อน


 


ถ้ามันไม่เลือกไปเก็บผลเทพสังเวยสววรรค์ แต่ไปสนใจวารีเทพชำระโลกาเหมือนต้วนหลิงเทียน ป่านนี้ผลเทพสังเวยสวรรค์ก็ไม่พ้นต้องถูกทำลายจนย่อยยับไปพร้อมๆกับต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์แน่แท้


 


“ใช่เรื่องบังเอิญหรือไม่ ที่โลกใบเล็กของมันเริ่มต้นกระบวนการทำลายตัวเองแบบนี้หลังมันตกตาย?”


 


ต้วนหลิงเทียนถาม


 


เขารู้สึกว่าที่โลกใบเล็กของเจียงหลานมันเริ่มพังทลายลงหลังเจียงหลานตกตายแบบนี้ มันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญไปได้


 


“ไม่ใช่อยู่แล้ว”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่ายหัวไปมา พลางตอบ “เจ้าบ้าเจียงหลานนั่น ไม่พ้นมันต้องเชื่อมลูกแก้ววิญญาณในชาตินี้เข้ากับค่ายกลบางอย่างในโลกใบเล็กแน่นอน…”


 


“พอมันตกตายลูกแก้ววิญญาณแหลกสลาย ค่ายกลบางอย่างในโลกใบเล็กนั่นก็เลยถูกกระตุ้นให้เปิดการทำงาน และเริ่มต้นกระบวนการทำลายโลกใบเล็กทันที”



 

 

 


ตอนที่ 3105

 

“สภาพนี้จะให้พูดว่าเจ้านั่นมันไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากพอ หรือมันแค่เตรียมเผื่อไว้เฉยๆก็ได้…แต่อย่างไรเสียนับว่ามันเตรียมไว้ได้ถูกจริงๆ”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างวาบ หันไปมองกล่าวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นว่า “โชคดีจริงๆที่เจ้าไปเก็บผลเทพสังเวยสวรรค์มาได้ทัน ไม่งั้นมีหวังพวกเราได้แต่นั่งมองผลเทพสังเวยสวรรค์แหลกเป็นผงตาปริบๆแน่…”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็ฉายชัดถึงความหวาดกลัวไม่น้อย!


 


หากช้าไปนิดเดียว ก็คงอดผลเทพสังเวยสวรรค์แล้ว!


 


“ข้าเองก็เพราะกริ่งเกรงวิกาลยาวนานฝันยุ่งเหยิงนี่ล่ะ เลยรีบไปเก็บมันมาไว้ก่อน…จะยังไงก็แล้วแต่ รอบนี้เจ้ากับข้า พวกเรานับเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย!!”


 


บนใบหน้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเริ่มปรากฏรอยยิ้มคลี่กางขึ้นมา ยังเป็นรอยยิ้มสดใสที่หาดูได้ยากนัก


 


“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าว่าพวกเราไปหาสถานที่เงียบๆ เพื่อใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์กันดีกว่า”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวแนะ


 


“ก็ดี”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นเขาก็เหินร่างตระเวณหาสถานที่เหมาะๆกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก่อนจะพบหุบเขาที่ไม่ค่อยสะดุดตาแห่งหนึ่ง จากนั้นแต่ละคนก็ไปขุดถ้ำที่ผนังผาหุบเขา เพื่อให้ย่อยพลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ได้อย่างสงบ


 


‘หลังจากกินผลเทพสังเวยสวรรค์ และค่อยๆดูดซับพลังของมัน…ไม่เกิน 1 เดือนข้าก็จะบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศได้จริงๆหรือ?’


 


ต้วนหลิงเทียนที่นั่งพักอยู่ในถ้ำเล็กๆที่เขาพึ่งขุดเสร็จ พอนึกถึงสรรพคุณของผลเทพสังเวยสวรรค์ที่ได้ฟังมา ก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความตื่นเต้นครั้งใหญ่ ยากจะสงบใจลงได้อยู่นาน


 


‘สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…ผลเทพสังเวยยสวรรค์นี่ ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับพลังฝึกปรือให้ผู้คนข้ามขอบเขตใหญ่ได้ในเวลาหนึ่งเดือน แต่มันยังช่วยให้ข้าริเริ่มทำความเข้าใจกฏที่ข้าไม่เคยทำความเข้าใจมาก่อนได้อีกด้วย…’


 


‘แถมไม่ว่าจะเป็นกฏอะไร แต่อย่างน้อยๆก็สามารถเข้าใจความลึกซึ้งได้ถึง 6 ประการ…ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจเข้าใจความลึกซึ้งของกฏนั้นๆได้ 7 ประการ กระทั่ง 8 ประการก็ยังได้!’


 


‘ไม่รู้ว่าหลังใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์จนด่านพลังบรรลุขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว ข้าจะเลือกทำความเข้าใจกฏอะไรดี…’


 


หลังจากคิดไปอย่างวาดหวังแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆสงบอาการตื่นเต้นในใจลง จากนั้นก็เรียกผลเทพสังเวยสวรรค์ออกมาถือไว้


 


ผลเทพสังเวสวรรค์ในมือต้วนหลิงเทียน ก็ยังมีสีแดงฉานปานก้อนโลหิตไม่เปลี่ยน


 


นอกจากนั้นรอบๆผลเทพสังเวยสวรรค์ยังปรากฏอัสนีสีแดงแล่นวาบแปลบปลาบ มุดเข้ามุดออกปานอสรพิษโลหิตตัวน้อยซุกซน แลดูงดงามตระการตาไม่น้อย


 


เรียกว่าผลเทพสังเวยสวรรค์ที่นอนแน่นิ่งในมือต้วนหลิงเทียน ประหนึ่งผลงานศิลปะอันสมบูรณ์แบบ ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกลำบากใจที่จะกินมันอยู่บ้าง


 


อย่างไรก็ตามความล่อลวงของด่านพลังขุนนางอมตะ 10 ทิศ และความเย้ายวนเรื่องที่เขาจะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่ยังไม่รู้จะเลือกกฏอะไรดี ก็ทำให้เขายัดผลเทพสังเวยสวรรค์ใส่ปากแล้วเคี้ยวหงับๆไม่กี่คำจนหมดทันที


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็คายบางอย่างออกมา และเขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันคือเมล็ดพันธุ์ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์นั่นเอง


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะตั้งแต่ที่ได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์มาเขาก็รู้อยู่แล้วว่าจะได้รับเมล็ดพันธุ์มันมาด้วย


 


แต่เขาไม่ได้สนใจเมล็ดพันธุ์นี้สักเท่าไหร่ เช่นนั้นจึงเก็บลงแหวนไปทันที จากนั้นก็เริ่มจดจ่อไปกับพลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ที่เริ่มไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา


 


พลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ที่ไหลเวียนไปทั่วร่างนั้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก ประหนึ่งตอนนี้เขากำลังเอนหลังล่องลอยท่ามกลางหมู่เมฆดั่งจะกลับกลายเป็นสายลม


 


เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่เขารู้สึกผ่อนคลายขนาดนี้


 


พลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ต้วนหลิงเทียนเร่งรีบดูดซับแต่อย่างใด มันจะค่อยๆย่อยสลายไปเอง


 


กล่าวอีกอย่างได้ว่า ต้วนหลิงเทียนไม่ต้องทำอะไร เพียงให้เวลาสักพัก พลังเหล่านี้ก็จะค่อยๆถูกร่างกายเขาดูดซับไปตามธรรมชาติ


 


จังหวะนี้สิ่งเดียวที่ต้วนหลิงเทียนทำได้ก็คือรอ


 


ในระหว่างรอต้วนหลิงเทียนที่ไม่มีอะไรทำก็เริ่มเอ่ยถามเพลิงเทพโกลาหลในร่างด้วยความสงสัยทันที “อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล ก่อนหน้าข้าได้ยินจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาว่า เหล่าเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ไม่อาจอยู่ในร่างทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุดได้…มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”


 


“ใช่”


 


เพลิงเทพโกลาหลตอบคำทันใด จากนั้นก็พูดคล้ายๆกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น “…อย่างข้า หากไปอยู่ในร่างของผู้ที่เป็นทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุด หากมันไม่คอยป้อนเพลิงเทพโกลาหลตนอื่นมาให้ข้าดูดซับเรื่อยๆล่ะก็ พลังสายเลือดในร่างของมันที่คอยดูดกลืนพลังของข้าตลอดเวลา ก็จะทำให้ข้าถดถอยกลับไปเป็นเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 2 ในเวลาไม่นาน…”


 


“จากนั้นข้ายังจะถดถอยกลับไปเป็นเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 1…และสุดท้ายข้าก็จะถูกพลังสายเลือดในร่างทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุดนั่นดูดซับจนสลายหายไปไม่มีเหลือ!”


 


“สำหรับเทพแห่งธาตุทั้ง 5 อย่างพวกเรา พลังสายเลือดของทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุดไม่ต่างอะไรจาก ‘ดาววิบัติ’ …แน่นอนว่าพลังสายเลือดของทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุดจะสะกดข่มและดูดกลืนพวกเราได้ ก็ต่อเมื่อพวกเราอยู่ในร่างมันเท่านั้น…หากเป็นร่างต้นของพวกเราที่ปะทะกับทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุดล่ะก็ แม้มันจะใช้พลังสายเลือดอันใดพวกเราก็ไม่มีกลัว”


 


“เหมือนครั้งสุดท้ายที่เจ้าประมือกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่น…ถึงมันจะใช้พลังสายเลือด แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังอาศัยพลังข้าเอาชนะมันได้ง่ายๆ!”


 


เพลิงเทพโกลาหลค่อยๆกล่าวอธิบายออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


หลังได้ยินคำพูดของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียนก็พอตระหนักเรื่องราวได้ จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆกล่าวว่า “ดูเหมือนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะปักใจเชื่อว่าข้าเป็นทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุดเหมือนมันจริงๆ…”


 


ต้วนหลิงเทียนจำได้ชัดเจน ว่าตอนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาหาเขาหลังเขาได้รับวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ได้ไม่ทันไร อีกฝ่ายกล่าวไว้ชัดเจน ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะเก็บมันไว้


 


หากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นรู้ว่าเขาไม่ใช่ทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุด อีกฝ่ายคงไม่พูดแบบนั้นออกมาแน่นอน เผลอๆอาจจะอิจฉาเขาด้วยซ้ำ


 


“ผู้อาวุโส หากเป็นแบบนี้…หมายความว่าทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็ไม่มีทางกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดได้โดยอาศัยความช่วเหลือจากเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เลยน่ะสิ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ฉุกคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เอ่ยถามออกไปทันที


 


ก่อนหน้านี้เขาได้ยินจากเพลิงเทพโกลาหลมาแล้วว่า หนึ่งในวิธีที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดได้นั้น ก็คือการยกระดับพัฒนาเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ให้บรรลุถึงขั้นสุดท้าย


 


แน่นอนว่า เมื่อสามารถยกระดับเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ในร่างให้ถึงขั้นสุดท้ายได้แล้ว ร่างต้นก็จะมีโอกาสกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น จะตัดผ่านได้หรือไม่ก็ต้องดูความสามารถอีกที…


 


อย่างไรก็ตามนี่ยังเป็น 1 ในวิธีหลัก เพื่อกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด


 


“มิผิด”


 


เพลิงเทพโกลาหลกล่าว “เพราะเหตุนี้ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของสวรรค์และโลก…จึงมีลูกหลานผู้แข็งแกร่งที่สุดไม่กี่คนเท่านั้น ที่สามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดได้”


 


“เพราะสุดท้ายแล้ว การยกระดับเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ที่มีให้บรรลุถึงขั้นสุดท้าย และอาศัยพลังช่วยเหลือของเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ขั้นสุดท้าย ก็เป็นวิธีหลักที่ใช้ในการบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด และยังเป็นวิธีที่ถือว่าง่ายที่สุดอีกด้วย”


 


“แน่นอนว่า ข้าพูดได้แค่ว่ามีเพียงไม่กี่คน แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย…เพราะลูกหลานของผู้แข็งแกร่งที่สุด ที่สามารถเข้าใจกฏข้อใดข้อหนึ่งได้ครบถ้วน และหลอมรวมพลังแห่งกฏได้อย่างสมบูรณ์ ก็จักชักนำรางวัลจากสวรรค์และโลกมาอาบร่างจนเกิดใหม่ บรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดได้เช่นกัน”


 


“อย่างไรก็ตาม กรณีเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่งนัก”


 


เพลิงเทพโกลาหลกล่าว


 


ต้องบอกเลยว่าคำอธิบายของเพลิงเทพโกลาหล ทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจเรื่องราวเพิ่มขึ้นไม่น้อย


 


ขณะเดียวกันพอได้ยินเพลิงเทพโกลาหลพูดถึงเรื่องผู้แข็งแกร่งที่สุดแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาสำเหนียกถึงความกระจ้อยร่อยของตัวเองมากขึ้น! เทียบกับตัวตนระดับนั้นเขาไม่ต่างอะไรจากเศษละอองธุลีเลยด้วยซ้ำ!!


 


“ผู้แข็งแกร่งที่สุดหรือ…ไม่รู้ว่าชาตินี้ข้าต้วนหลิงเทียนจะมีโอกาสบรรลุถึงหรือไม่”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สองหมัดต้วนหลิงเทียนพลันกำแน่น แววตาฉายชัดถึงความคาดหวัง


 


อย่างไรก็ตามแวววตาคาดหวังดังกล่าวปรากฏได้ไม่ทันไร ก็หม่นแสงลงทันที ยังอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะตัวเอง “ข้าก็ช่างเพ้อฝันไปได้…ดั่งตัวโง่งมฝันละเมอโดยแท้”


 


“กระทั่งเค่อเอ๋อ เสี่ยวเฟยเอ๋อ เทียนหวู่ ท่านพ่อท่านแม่และทุกคนข้ายังไม่มีปัญญาจะช่วยได้เลยด้วยซ้ำ…กลับเพ้อคิดไปถึงเรื่องบรรลุขอบเขตผู้แข็งแกรงที่สุดแล้ว”


 


หลังพึมพำถึงจุดนี้ อารมณ์ต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นหดหู่อีกครั้ง


 


“ป่านนี้เค่อเอ๋อกับเสี่ยวเฟยเอ๋อจะเป็นอย่างไรแล้ว…ยังมีเทียนหวู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ ซือหลิง เนี่ยนเทียนและทุกคนอีก…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงจุดนี้อารมณ์ก็กลายเป็นสะทกสะท้อน สองตาเริ่มหลับลง และพยายามระงับความเศร้าในใจ


 


อย่างไรก็ตาม หากมองจากหน้าอกที่ยุบๆพองๆปานลูกสูบแล้ว เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ที่พุ่งพล่านขึ้นมานี้ คงยากจะระงับได้ในเวลาอันสั้น


 


จนเมื่อคืนหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนผ่านไป คลื่นพลังทั้ง 5 ธาตุก็เริ่มโคจรไหลเวียนไปทั่วร่างเขาอย่างรุนแรง ทำให้ต้วนหลิงเทียนลืมตาตื่นขึ้นมาทันที อารมณ์ที่กระสับกระส่ายและหดหู่ ก็สลายหายไปในพริบตา


 


ไม่ใช่ใดอื่น แต่เพราะ…


 


เขาทะลวงด่านพลังได้แล้ว!


 


“นี่น่ะเหรอ…ขอบเขตขุนนางอมตะ…”


 


หลังสัมผัสได้ถึงความเปลี่นแปลงราวพลิกฟ้าคว่ำดินในร่าง สองตาต้วนหลิงเทียนก็สว่างไสวขึ้นมาดั่งดาราสุกสกาวกลางฟ้ายามราตรีกาล สีหน้ายังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี


 


และหลังต้วนหลิงเทียนทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะได้ไม่นาน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่อยู่ในถ้ำอีกแห่งก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมสีหน้ายินดีเช่นกัน


 


เนื่องเพราะหลังต้วนหลิงเทียนทะลวงด่านพลังได้สักพัก หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็สามารถทะลวงด่านพลังได้เช่นกัน


 



 


ย้อนกลับไปเมื่อ 1 วันกับอีก 1 คืนก่อนหน้า…


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพบเจอหุบเขาเหมาะๆและเริ่มขุดถ้ำกันเพื่อกินผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น


 


บริเวณใกล้ๆยอดเขาหมาป่าหอนฟ้า ก็ปรากฏอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญ 2 คนมาถึง…


 


“เหลิ่งเอี้ย หากข้าเดาไม่ผิด ต้วนหลิงเทียนนั่นมันไม่พ้นถูกผู้ที่เป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดหลอกมาที่นี่แน่…ในสายตาข้าสิบในสิบไม่พ้นมันตกอยู่ในเงื้อมมือของจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่นแล้ว ป่านนี้คงต้องกลายเป็นเครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ไปแล้ว”


 


น่านฟ้าเหนือยอดเขา ร่างหนึ่งเอ่ยกับอีกร่างที่ลอยข้างๆ


 


“จะอย่างไรพวกเราก็ลองตระเวนหาแถวนี้สักสิบวันครึ่งเดือนเถอะ…หากไม่พบร่องรอยของมันแล้วจริงๆ พวกเราค่อยกลับกัน”


 


อีกคนกล่าว


 


หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ ต้องจดจำคนที่พึ่งพูดทีหลังได้แน่นอน


 


เนื่องเพราะคนผู้นี้หาใช่ใครอื่นไม่ แต่มันก็คือนักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ที่เขาพบเจอด้านนอกเขตนิกายยอมตะเป้าผู่ เหลิ่งเอี้ย!


 


เหลิ่งเอี้ยเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักที่ทางองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดส่งมาฆ่าเขา พลังฝีมือของมันยังเหนือกว่าประมุขนิกายอมตะเป้าผู่เสียอีก


 


วันนั้นที่ไฉนต้วนหลิงเทียนสามารถหลบหนีไปภายใต้เปลือกตาของเหลิ่งเอี้ยผู้นี้ได้ ทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้ยันต์หลบหนี เงาวายุ ที่ซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่กัดฟันมอบให้เขามา…


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลย


 


องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ไม่เพียงล่วงรู้เรื่องที่เขาใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก เดินทางออกจากหลิงหลัวเทียนมาแล้วเท่านั้น แต่อีกฝ่ายยังรู้ด้วยว่าเขาไปที่ไหน


 


อวี้หวงเทียน แดนผิงเทียน เขตปกครองคฤหาสน์เอี้ยนซาน!


 


“หากเจ้าหนูนั่นมันตกตายเพราะกลายเป็นเครื่องสังเวยของจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดไปแล้ว ก็นับว่ามันโชคดีไป…”


 


เหลิ่งเอี้ยกล่าวออกเสียงเย็น


 


วันนั้น เมื่อเห็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดตัวกระจ้อย สามารถหนีไปต่อหน้าต่อตาของมันได้ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่ทำให้เหลิ่งเอี้ยบังเกิดความรู้สึกอัปยศเหลือจะกล่าวนัก!


 


ดังนั้นหากมันเจอตัวเป้าหมายอีกครั้ง มันไม่คิดปล่อยให้อีกฝ่ายตกตายสบายๆแน่ มันจะค่อยๆป่นกระดูกทีละชิ้น เฉือนเนื้อเถือหนังทีละแผ่น จนกว่าอีกฝ่ายจะทรมานจนตาย!!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


เหลิ่งเอี้ยและสหายนักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดอีกคน แยกย้ายกันปูพรมค้นหาโดยยึดยอดเขาหมาปาหอนฟ้าที่ เจียงหลาน จักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดหลอกลวงทุกคนมาสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ ยังแผ่สำนึกเทวะตรวจสอบทุกซอกทุกมุมโดยละเอียด แม้แต่มดสักตัวในหลืบหินก็ไม่อาจเล็ดรอดสัมผัสพวกมันได้!


 


และ 3 วันต่อมา ทั้งคู่ก็มาปรากฏตัวเหนือหุบเขาที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเลือกมาขุดถ้ำเพื่อดูดซับพลังของผลเทพสังเวยสวรรค์



 

 

 


ตอนที่ 3106

 

สำนึกเทวะของเหลิ่งเอี้ยเริ่มแผ่ออกไปปกคลุมทั้งหุบเขา


 


เดิมทีมันก็คิดว่าครั้งนี้ผลการตรวจสอบก็คงเหมือนครั้งอื่นๆ อย่างไรก็ตามเมื่อสำนึกเทวะของมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลัง 2 ขุมในหุบเขา ลูกตามันก็ฉายแสงจ้าขึ้นมาทันที


 


เพราะหนึ่งในนั้น ก็คือเป้าหมายของมัน ต้วนหลิงเทียน!


 


“สารเลวน้อย ข้าเจอตัวเจ้าแล้ว!”


 


เหลิ่งเอี้ยที่ปกติมีสีหน้าเย็นชา บัดนี้กลับคลี่ยิ้มสดใสออกมาอย่างหาดูได้ยาก!


 


อย่างไรก็ตามรอยยิ้มสดใสเพียงปรากฏอยู่ไม่ทันไร ก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันเยียบเย็นถึงขีดสุด!


 


“ไม่คิดเลยวว่ามันจะยังรอดอยู่ได้…แต่ในเมื่อมันยังมีชีวิตอยู่แบบนี้ก็นับเป็นเรื่องดี! เพราะข้าจักได้ฆ่ามันด้วยมือตัวเอง!!”


 


เหลิ่งเอี้ยกล่าวพึมพำกับตัวเองเบาๆ จากนั้นก็ดิ่งร่างลงไปทันที


 


หลังกล่าวจบ นักฆ่ากะโหลกเลือดที่อยู่ข้างๆก็ตระหนักเรื่องราวได้เช่นกัน จากนั้นก็ดิ่งร่างลงปานพญาเหยี่ยวติดตามเหลิ่งเอี้ยไป


 


ครู่ต่อมาทั้งคู่ ก็มาหยุดลอยกลางหุบเขา


 


ขณะเดียวกันสำนึกเทวะของเหลิ่งเอี้ยก็แผ่ไปปกคลุมทั่วทั้งหุบเขาโดยไม่ปล่อยให้มีอะไรคลาดสายตา เช่นนี้แล้วหากต้วนหลิงเทียนไม่มียันต์อมตะหลบหนีอย่างยันต์เงาวายุนั่นอีกแผ่น ก็ไม่มีทางรอดพ้นเงื้อมมือมันไปได้แน่!


 


อย่างไรก็ตามยันต์หลบหนีอย่างยันต์เงาวายุที่ต้วนหลิงเทียนใช้ครั้งก่อน กระทั่งเหลิ่งเอี้ยยังนับเป็นสิ่งของล้ำค่า


 


มันไม่เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนจะมีปัญญาควักยันต์เงาวายุออกมาใช้เป็นแผ่นที่สองได้!


 


“ต้วนหลิงเทียน!!”


 


เหลิ่งเอี้ยที่ลอยยร่างกลางหุบเขา มองจ้องไปยังหนึ่งใน 2 ถ้ำที่ขุดอยู่ตรงผนังผาด้วสายตาแหลมคม


 


“เจ้าจักไสหัวออกมาเองหรือจักให้ข้าไปลากคอเจ้าออกมา!”


 


เสียงเหลิ่งเอี้ยที่เอ่ยถามออกไป ฟังแล้วยังเต็มไปด้วยความหยามหยันให้ความรู้สึกดั่งแมวหยอกหนู


 


“เสียงนี้มัน…”


 


พอเสียงเหลิ่งเอี้ยดังเข้ามาในถ้ำ ต้วนหลิงเทียนก็พบได้ทันทีว่ามีคนมาหาเขาโดยเฉพาะ และรู้ได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายต้องมาร้ายเป็นแน่ แถมเขายังรู้สึกคุ้นๆน้ำเสียงอีกฝ่ายพิกล


 


จากนั้นไม่ทันไร ในใจต้วนหลิงเทียนดั่งมีแสงสว่างวาบ และพอเขาจดจำได้ว่าเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหน สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที


 


‘ให้ตายเถอะ! เจ้านี่…มันสมควรเป็นนักฆ่ากะโหลกเลือดที่ลงมือนอกนิกายอมตะเป้าผู่วันนั้น! นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก!!’


 


พอต้วนหลิงเทียนรู้ว่าผู้มาเป็นใคร หน้าเขาก็บิดเบี้ยวไปดูแทบไม่ได้


 


วันนั้นหากไม่ใช่เพราะยันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงประมุขนิกาอมตะเป้าผู่มอบให้ เขาคงไม่มีวันหนีรอดมาได้ใต้เปลือกตาของเหลิ่งเอี้ย!


 


‘นักฆ่ากะโหลกเลือดอย่างมันไฉนมาถึงที่นี่ได้?’


 


‘ที่สำคัญมันถึงรู้ได้ยังไงว่าข้ามาที่นี่?’


 


ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเจอตัวเขาโดยบังเอิญแน่นอน เพราะที่นี่คืออวี้หวงเทียน ไม่ใช่หลิงหลัวเทียน!


 


และนักฆ่ากะโหลกเลือดผู้นี้จะอย่างไรก็เป็นคนจากองค์กรมือสังหารในแดนสวรรค์ใต้ของหลิงหลัวเทียน ปกติแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่อยู่ๆอีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวที่นี่!


 


กระทั่งต่อให้ไม่ปกติ อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะถ่อมาถึงที่นี่ได้ด้วยซ้ำ!


 


เช่นนั้นมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น


 


อีกฝ่ายมาหาเขาโดยเฉพาะ!


 


‘หรือก่อนที่ข้าออกจากหลิงหลัวเทียน มันบังเอิญเจอข้าในเมืองฝูซาน…’


 


ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิด


 


‘ไม่สิ ต่อให้มันเจอข้าที่เมืองฝูซาน แต่ในเมื่อข้าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกออกจากหลิงงหลัวเทียนมาอวี้หวงเทียนแบบนี้…ต่อให้นักฆ่ากะโหลกเลือดนั่นจะเห็นข้าจริง แต่มันก็ไม่มีทางติดตามข้ามาได้ถูกไม่ใช่รึไง?’


 


ต้วนหลิงเทียนไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่าไฉนอีกฝ่ายถึงหาตัวเขาเจอได้


 


“ต้วนหลิงเทียนใครมันมาหาเจ้ากัน? เจ้ามีศัตรูที่นี่ด้วยรึ?”


 


พอเสียงผ่านพลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดังเข้าหู ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนๆ “ต่อให้ข้าอยากจะมีศัตรูที่นี่ แต่ข้าก็ต้องมีเวลาไปหาเรื่องผู้คนก่อน…”


 


“แต่เจ้านั่นที่มา ไม่ใช่คนของที่นี่…มันตามข้ามาจากแดนสวรรค์ใต้ของหลิงหลัวเทียน!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“อะไร มันเป็นคนจากแดนสวรรค์ใต้ของหลิงหลัวเทียน? แล้วมันตามเจ้ามาถึงนี่ได้ยังไง!?”


 


ได้ยินเสียงผ่านพลังตอบกลับของต้วนหลิงเทียน ลูกตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หดเล็กลง “นี่เจ้าไปฆ่าบิดาฉุดภรรยามันมาหรือไง? มันถึงได้แค้นเคืองเจ้าจนถ่อตามล่าเจ้ามาถึงที่นี่ได้?”


 


“ที่สำคัญ ต่อให้มันจะเห็นเจ้าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมาอวี้หวงเทียนตอนอยู่เมืองฝูซาน แต่มันรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะมาที่เขตนี้? เท่าที่ข้าทราบหากมันอยากหาตำแหน่งเจ้า มีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น คือต้องไปขอความร่วมมือจากคฤหาสน์เฉวียนโยวเพื่อตรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะทำให้คฤหาสน์เฉวียนโยวร่วมมือถึงขั้น ปล่อยให้มันตรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เจ้าใช้”


 


“ที่แท้มันเป็นใครกันแน่?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามอีกครั้ง


 


“มันเป็นนักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด…”


 


ต้วนหลิงเทียนได้แต่กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น


 


“องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด? 1 ใน 3 องค์กรมือสังหารระดับแนวหน้าของแดนสวรรค์ใต้นั่นน่ะรึ?!”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นประหลาดใจไม่น้อย ด้วยไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะไปตกเป็นเป้าสังหารขององค์กรมือสังหารระดับนั้นได้ “ไฉนเจ้าไปตกเป็นเป้าหมายขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดได้เล่า?”


 


“เท่าที่ข้ารู้มา จะทำให้องค์กรมือสังหารออกภารกิจสังหารใครสักคนได้ ไม่ใช่เรื่องที่ใครคิดจะทำก็ทำได้…”


 


ไม่ทันที่หลิงเจวี๋ยอวิ่นจะทันได้พูดจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน “เรื่องนั้นข้าค่อยเล่าให้เจ้าฟังทีหลัง…ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือต้องหาวิธีหนีไปให้ได้ก่อน!”


 


“นักฆ่ากะโหลกเลือดที่มานั่น…มันเป็นราชาอมตะ 9 ตำหนัก!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียงเครียด


 


“อะไร?! นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก!? เพื่อฆ่าเจ้าองค์กรมือสังหารกกะโหลกเลือดมันถึงกับส่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักมาเลยงั้นเรอะ!?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นงุนงงเล็กน้อย ด้วยมันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าไฉนองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดถึงกับต้องส่งราชาอมตะ 9 ตำหนักออกมาฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแค่คนเดียว!


 


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลิงเจวี๋ยหยุนจะงุนงงสงสัย แต่หลังจากกล่าวนัดแนะอะไรกับต้วนหลิงเทียนต่อสักพัก มันก็ออกจากถ้ำไปพร้อมๆกับต้วนหลิงเทียน จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าเผชิญหน้ากับบอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญทั้ง 2


 


“เจ้าหนูนั่นน่ะรึ ต้วนหลิงเทียน?”


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนออกมาจากถ้ำ นักฆ่ากะโหลกเลือดอีกคนที่ติดตามเหลิ่งเอี้ยมาด้วย ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจทันที


 


ก่อนมาที่นี่มันก็ได้รับทราบรูปพรรรสันฐานของต้วนหลิงเทียนจากเหลิ่งเอี้ยมาแล้ว เช่นนั้นมันก็จดจำต้วนหลิงเทียนได้ตั้งแต่แรกเห็น


 


“ไม่ผิด เป็นมัน”


 


เหลิ่งเอี้ยพยักหน้ารับ จากนั้นก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนตาเขม็งเอ่ยออกเสีงเย็น “ต้วนหลิงเทียน ครั้งสุดท้ายเพราะยันต์เงาวายุจากซุนเหลียงเผิง ถึงทำให้เจ้ารอดพ้นเงื้อมมือข้ามาได้…วันนี้ให้ข้าชมดูเถอะ ว่าเจ้าจักเอาปัญญาที่ไหนมาหลบหนีไปต่อหน้าต่อตาข้าได้อีก!”


 


“ก่อนที่เจ้าจะลงมือ ขอข้าถามสักคำได้ไหม…ว่าเจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองเหลิ่งเอี้ยพลางเอ่ยถามเรื่องที่เขาสงสัยออกไป ด้วยสีหน้าซึมเซาราวกับคนที่ปลงตกกับชีวิตแล้ว


 


“ฮ่าๆๆ ในเมื่อเจ้าเป็นคนกำลังจะตายเช่นนั้นบอกเจ้าไปก็ไม่เสียหาย…รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดของพวกเรา อาศัยเส้นสายบางประการในคฤหาสน์เฉวียนโยว จนในที่สุดก็พบว่าเจ้าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกออกจากหลิงหลัวเทียนมายังเขตคฤหาสน์เอี้ยนซานในแดนผิงเทียนของอวี้หวงเทียน!”


 


“แน่นอนว่าเขตคฤหาสน์เอี้ยนซานนั้นกว้างใหญ่ไม่ใช่เล่นๆ…อย่างไรก็ตาม พวกเรามาถึงได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินข่าวลือเรื่องที่มีจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิด หลอกเหล่าอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของระนาบเทวโลกทั้ง 5 มาเป็นเครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์!”


 


“เช่นนั้นพวกเราจึงเดาได้ไม่ยาก ว่าเจ้าเองก็สมควรเป็นผู้ที่ถูกจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดอะไรนั่นหลอกให้มาเป็นเครื่องสังเวยเช่นกัน”


 


“ถึงแม้ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่นใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งตัวพวกเจ้าไปที่ไหนสักแห่ง แต่ข้าคิดว่าคงส่งไปได้ไม่ไกลนัก…เช่นนั้นพวกเราจึงลองปูพรมค้นหาเจ้าดู”


 


“และในที่สุดวันนี้ข้าก็หาเจ้าเจอ!!”


 


เห็นได้ชัดว่าในสายตาของเหลิ่งเอี้ย ต้วนหลิงเทียนก็แค่คนกำลังจะตาย หาไม่แล้วมันคงไม่พูดมากแบบนี้!


 


หากว่านี่เป็นครั้งแรกที่มันเจอต้วนหลิงเทียนล่ะก็ มันคงไม่คิดพูดพร่ำทำเพลงอะไรมากมาย


 


เหตุผลก็เพราะ ครั้งสุดท้ายต้วนหลิงเทียนกลับหนีรอดไปได้ต่อหน้าต่อตามัน! ทำให้มันบังเกิดความรู้สึกอับอายขายหน้าเป็นที่สุด!!


 


เช่นนั้นมันจึงไม่คิดจะรีบฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย แต่จะทำให้ต้วนหลิงเทียนสิ้นหวังถึงขีดสุด หลังจากนั้นก็จะค่อยๆทรมานต้วนหลิงเทียนจนต้องร้องขอความตาย!


 


มีแต่กระทำเช่นนี้ จึงพอจะบรรเทาความเจ็บแค้นในใจของมันได้!


 


“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”


 


หลังได้ฟังคำพูดของเหลิ่งเอี้ย ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุทันที จากนั้นก็หันไปมองนักฆ่ากะโหลกเลือดอีกคนข้างๆเหลิ่งเอี้ย “ว่าแต่…ผู้เฒ่าที่มาพร้อมกับเจ้า หรือจะเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักเหมือนเจ้าด้วย?”


 


“โฮ่? เจ้าหนูผู้นี้ฉลาดไม่เบานี่ ถึงกับเดาด่านพลังข้าได้ออก…ต้วนหลิงเทียนถึงแม้วันนี้พวกเราจะพบกันครั้งแรก แต่ข้า…ไม่สิทั้งองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเราก็ได้ยินความร้ายกาจของเจ้ามานานแล้ว นับว่าทำให้ข้าอดชื่นชมเจ้าไม่ได้จริงๆ”


 


นักฆ่ากะโหลกเลือดข้างๆเหลิ่งเอี้ยกล่าวเสียดสีออกมาเสียงเย็น


 


“มารดามันเถอะ…ราชาอมตะ 9 ตำหนัก 2 คน!”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ลอยร่างอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน พอได้ยินคำพูดของนักฆ่ากะโหลกเลือด ใจมันก็อดสะท้านไปไม่ได้


 


จังหวะนี้มันอดไม่ได้ที่จะสงสัยจับใจ ว่าไฉนองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดถึงได้ส่งนักฆ่าที่ทรงพลังถึงขนาดนี้มาเพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียนแค่คนเดียวด้วย!


 


มันมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างอยู่เบื้องหลังแน่


 


หาไม่แล้วองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ไม่มีวันสิ้นเปลืองทรัพยากรบุคคลขนาดนี้หรอก!


 


“ข้าถึงกับมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือในองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดได้ วันนี้ต่อให้ข้าต้วนหลิงเทียนต้องตาย ก็ไม่ถือว่าข้าตายอย่างไม่เป็นธรรมแล้ว…”


 


ได้ยินวาจาเสียดสีของนักฆ่าข้างๆเหลิ่งเอี้ย ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ


 


อย่างไรก็ตามพอกล่าววจบคำ สีหน้าซึมๆของต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปเป็นแจ่มใสในฉับพลัน มุมปากยังยิ้มยิ้มแสยะขึ้นมาบางๆ “ก็แค่…ข้ากลัววว่าคราวนี้พวกเจ้า 2 คนจะถูกลิขิตให้ถ่อมาเสียเที่ยวซะแล้ว”


 


“หืม?”


 


วาจาที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งพูดออกมา ทำให้เหลิ่งเอี้ยและนักฆ่ากะโหลกเลือดอีกคนข้างๆ อดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


และในขณะที่ทั้งคู่กำลังอึ้งไปกับคำพูดของต้วนหลิงเทียนนั้นเอง


 


ฟู่ววว!!


 


ยันต์อมตะแผ่นหนึ่งที่ไม่ทราบมาอยู่ในมือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่บัดนี้มันกับลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ! พริบตาต่อมาเปลวเพลิงดังกล่าวก็ลุกลามท่วมร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น จนคนคล้ายกลับกลายเป็นมนุษย์ไฟ!


 


จากนั้นเปลวไฟทั่วร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็แผ่ซ่านกลิ่นอายอันทรงพลังน่าเกรงขามออกมา พาลให้สีหน้านักฆ่ากะโหลกเลือดทั้ง 2 เปลี่ยนไปใหญ่หลวง!


 


ด้วยกลิ่นอายพลังดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องยากที่พวกมันจะตระหนักได้…ว่ายันต์อมตะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึ่งใช้ไม่ใช่ยันต์อมตะธรรมดาๆ!


 


ซู่มมมม!!


 


ฟู่มมมม!!


 


……


 


ทั่วร่างเหลิ่งเอี้ยปะทุพลังออกมาเต็มพิกัด! อนิจจาพอมันคิดจะลงมือ เปลวเพลิงทั่วร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็แผ่มาปกคลุมต้วนหลิงเทียน จากนั้นทั้งคู่ก็อันตรธานหายวับไปต่อหน้าต่อตาเหลิ่งเอี้ยเสียก่อน ทำให้เหลิ่งเอี้ยหัวเสียนัก!!


 


ยันต์อมตะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึ่งใช้ เป็นยันต์อมตะหลบหนีที่มีไว้ช่วยชีวิตยามคับขัน พลังของมันไม่ได้ด้อยไปกว่ายันต์เงาวายุที่ต้วนหลิงเทียนใช้แม้แต่น้อย ดังนั้นเหลิ่งเอี้ยจึงไม่อาจเห็นแม้แต่ร่องรอยใดๆของต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


นักฆ่ากะโหลกเลือดอีกคนที่ปะทุพลังคิดลงมือ ก็ได้แต่รั้งพลังคืนกลับ จากนั้นก็หันไปมองเหลิ่งเอี้ยด้วยสายตาคาดโทษ “เหลิ่งเอี้ย หากเจ้าไม่มัวไปเสียเวลากล่าวเวิ่นเว้อกับมันและฆ่ามันให้จบๆไปแต่แรก ไหนเลยมันจะหนีไปเช่นนี้ได้…”



 

 

 


ตอนที่ 3107

 

“อ๊าคคค—”


 


แทบจะทันทีที่เสียงบ่นของนักฆ่ากะโหลกเลือดอีกคนดังจบคำ เหลิ่งเอี้ยที่หวนกลับมารู้สึกตัว ก็ตะโกนขึ้นฟ้าด้วยความคับแค้นทั้งไม่เต็มใจถึงขีดสุด


 


พลังที่เร่งเร้าขึ้นมาทั่วร่างพลันปะทุระเบิด ส่งคลื่นพลังมหาประลัยกวาดทำลายออกไปโดยรอบอย่างเกรี้ยวกราด!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


ผนังหุบเขาโดยรอบ เมื่อถูกพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างเหลิ่งเอี้ย ก็มีอันต้องพังทลายลง ละอองธุลีเริ่มปลิดปลิวคละคลุ้งขึ้นมาวุ่นวาย


 


ในฐานะราชาอมตะ 9 ตำหนัก แม้มันจะไม่ได้จงใจลงมือซัดพลังทำลาย อาศัยแค่การปะทุพลังออกมาแบบนี้ ก็สร้างความวินาศสันตะโรให้สภาพแวดล้อมครั้งใหญ่แล้ว!


 


เดิมทีเหลิ่งเอี้ยคิดว่าต้วนหลิงเทียนคงไม่มียันต์อมตะหลบหนีล้ำค่าอย่างยันต์เงาวายุอีกใบเป็นแน่ และไม่พ้นต้องถูกลิขิตให้ตายตกคามือมัน…


 


มันก็เลยไม่รีบร้อนฆ่าต้วนหลิงเทียน หมายทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความสิ้นหวังถึงขีดสุด จากนั้นก็จะค่อยๆลงมือทรมานต้วนหลิงเทียนให้อยู่ไม่สู้ตาย ระบายความคับแค้นใจ ล้างความอัปยศในอดีต…


 


อย่างไรก็ตาม มันไม่คิดไม่ฝันจริงๆ


 


ว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนกลับมียันต์อมตะหลบหนี ที่มีพลังอานุภาพไม่ได้ด้อยไปกว่ายันต์เงาวายุแม้แต่น้อย พาต้วนหลิงเทียนหลบหนีมันไปได้ในพริบตา หลุดพ้นอาณาเขตตรวจจับของสำนึกเทวะมันไปได้อย่างไร้ร่องรอย…


 


มันเสียใจนัก


 


เสียใจที่ไม่ได้ฆ่าต้วนหลิงเทียนทันทีที่พบ!


 


อย่างที่สหายของมันบอกไว้ไม่ผิดแม้ครึ่งคำ หากมันไม่มัวไปเสียเวลาสนทนาเวิ่นเว้ออะไรกับอีกฝ่าย แล้วลงมือฆ่าคนไปให้จบๆ ไหนเลยชายหนุ่มข้างกายต้วนหลิงเทียนคนนั้น จะมีเวลาพาต้วนหลิงเทียนหนีไปได้ทัน?


 


“กลับกันเถอะ…คราวนี้พวกเราแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว เรื่องจะหาตัวมันเจออีกครั้งคงยากยิ่งกว่าคนธรรมดาปีนป่ายขึ้นสวรรค์แล้วล่ะ”


 


นักฆ่ากะโหลกเลือดข้างๆเหลิ่งเอี้ยกล่าว


 


พอกล่าวจบคำ มันยังกล่าวเสริมต่ออีกว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะไม่รายงานเรื่องนี้กลับไปยังองค์กร…ข้าจักรายงานไปว่าพวกเราไม่พบต้วนหลิงเทียนแทน”


 


“อย่างไรก็ตามหลังจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าหวังว่าเจ้าจักเลิกประมาทได้แล้ว…ต้วนหลิงเทียนนั่นแม้มันจะเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่มันสามารถรอดพ้นเงื้อมมือพวกเราได้หลายครั้งหลายครา ก็เห็นกันชัดแล้วว่ามันไม่ธรรมดาจริงๆ”


 


นักฆ่ากะโหลกเลือดข้างเหลิ่งเอี้ยกล่าวด้วยความหวังดี


 


“ขอบคุณเจ้ามาก”


 


เหลิ่งเอี้ยพอได้ฟังก็สงบสติอารมณ์ลงได้หลายส่วน จากนั้นก็เร่งกล่าวขอบคุณสหายร่วมอาชีพข้างกายทันที


 


มันรู้ดี


 


หากเรื่องราววันนี้ถูกรายงานกลับไปยังองค์กรล่ะก็ องค์กรไม่มีทางปล่อยมันไว้แน่…เพราะครั้งนี้ที่ต้วนหลิงเทียนหนีรอดไปได้ เป็นเพราะความประมาทของมันล้วนๆ!


 


ส่วนอีกด้าน


 


ด้วยพลังมหาศาลจากยันต์อมตะ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ได้หอบหิ้วต้วนหลิงเทียนหลบหนีออกมาจากหุบเขาเมื่อครู่ไกลลิบ จนในที่สุดก็มาถึงป่ามืดทึบแห่งหนึ่ง


 


“ขอบคุณเจ้ามาก”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยขอบคุณหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


คราวนี้หากไม่ได้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น เกรงว่าเขาคงต้องตายกลายเป็นผีคาหุบเขาเมื่อครู่ไปแล้ว เพราะถ้าไม่มียันต์อมตะหลบหนีที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึ่งใช้เมื่อครู่ เขาไม่เห็นหนทางรอดพ้นเงื้อมมือนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 2 คนเลย


 


“ต่อไปเจ้าทำดีกับพี่สาวหวงเอ้อของข้าให้มากๆก็พอ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว ขณะเดียวกันสีหน้าของมันก็ฉายแววเจ็บปวดใจอยู่บ้าง


 


ยันต์อมตะหลบหนีที่มีไว้ช่วยชีวิตเมื่อครู่ มันมีอยู่แค่ไม่กี่แผ่นเท่านั้น ใช้ไปหนึ่งก็ลดน้อยลงไปอีกหนึ่ง


 


ในตอนนั้นที่มันเร่งรุดหลบหนีออกมาจากตระกูลในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ด้วยความฉุกละหุกจึงไม่ได้นำสมบัติอะไรติดตัวมามากมาย


 


ที่มันมีก็คือของที่พกติดตัวไว้เท่านั้น


 


ดังนั้นจึงมีไม่ได้มากมาย


 


ท้ายที่สุดแล้ววันนั้นตระกูลของมันก็กำลังเผชิญหน้ากับหายนะฆ่าล้างตระกูล มันเองก็แทบจะตกตายอย่างโง่งมโดยที่ไม่รู้เรื่องราวด้วยซ้ำ ที่มันหลบหนีมาได้เป็นเพราะพี่สาวหวงเอ้อทั้งสิ้น หาไม่แล้วอาศัยเด็กน้อยด่านพลังต่ำต้อยเช่นมันจะหนีมาได้อย่างไร…


 


“เรื่องนี้เจ้าวางใจเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ในเมื่อตอนนี้นางกำลังจะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่เทพของข้า ข้าไม่มีวันปฏิบัติกับนางไม่ดีแน่นอน”


 


“ได้แบบนั้นก็ดี ส่วนตอนนี้พวกเรารีบไปจากที่นี่ดีกว่า…ขืนรั้งอยู่แถวนี้เกิดนักฆ่าราชาอมตะ 9 ตำหนัก 2 คนนั่นมันไม่ยอมแพ้ และเลือกจะปูพรมค้นหาอีกรอบ เกรงว่าไม่นานคงหาพวกเราเจอ”


 


พอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็เริ่มเหินนำออกไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับหุบเขาเมื่อครู่ทันที


 


“ว่าแต่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย ว่าเจ้าไปทำอีท่าไหนกันแน่ถึงทำให้องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดถึงกับส่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักมาตามฆ่าเจ้าได้ แถมพวกมันยังมากัน 2 คนแบบนั้น”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นขบคิดเท่าไหร่ ก็ไม่อาจคิดเรื่องนี้ได้ออกจริงๆ


 


ต้วนหลิงเทียนจะอย่างไรก็เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แม้พรสวรรค์กับความเข้าใจจะสูง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องส่งนักฆ่าทรงพลังระดับนี้มาไม่ใช่หรือไง?


 


“เพราะองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดมันเคยส่งนักฆ่ามาจัดการข้า 2 คน แต่ข้าเป็นฝ่ายฆ่าพวกมันทิ้งทั้งหมด”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“อะไร!?”


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ลูกตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หดเล็กลงทันที “เจ้า…เจ้าฆ่านักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดไป 2 คนแล้ว?”


 


รอบนี้ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคิดว่าตัวเองได้ยินอะไรผิดพลาดไปหรือไม่


 


เพราะเท่าที่มันรู้มา นักฆ่าองค์กรกะโหลกเลือดนั้น ที่อ่อนด้อยที่สุดก็สมควรเป็นชนชั้นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดไม่ใช่หรือไร? แล้วต้วนหลิงเทียนไปฆ่าอีกฝ่ายได้ยังไง?


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“ช้าก่อน เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา นักฆ่าของค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ที่อ่อนด้อยที่สุดก็สมควรเป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้วไม่ใช่รึไง แล้วเจ้าไปทำอีท่าไหนถึงฆ่ามันได้เล่า?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามตาปริบๆ


 


“ข้าใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง…”


 


กับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะปกปิดอะไร เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่เหลียวแลอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองของเขาแน่นอน


 


ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะเกิดอยากได้ขึ้นมา อีกฝ่ายก็ไม่มีทางแย่งกับเขาแน่


 


สุดท้ายแล้วหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เคารพหวงเอ้อมาก และตอนนี้หวงเอ้อก็กลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของเขาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นอะไร อาศัยแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไม่มีทางคิดร้ายกับเขาแน่


 


“ต่อให้ตอนนั้นข้าจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏไม่กี่ประการ แต่ด้วยพลังของอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองที่มอบพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดให้ข้า จะฆ่าราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดก็ลำบากแค่ยกมือเท่านั้น…และหลังฆ่ามันไปแล้ว ถึงพลังจะลดลงไปบางส่วน แต่อาศัยราชาอมตะธรรมดาๆก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ


 


“เจ้ามีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองด้วยรึ?”


 


ถึงแม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ความสงสัยก่อนหน้าของมันก็หายไปทันที เพราะถ้าต้วนหลิงเทียนมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง เรื่องจะฆ่าราชาอมตะทั่วๆไป ก็ไม่นับว่าเหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ


 


แต่แน่นอนมันยังรู้ดีอีกด้วย ว่าหากเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 2 เมื่อครู่ ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองจนได้รับพลังขอบเขตจอมราชันอมตะมาครอง แต่อย่างดีก็คงทำได้ฝืนหลบหนีหรือรับมือได้ไม่กี่ลมหายใจ


 


เพราะความลึกซึ้งของกฏที่เข้าใจ มันแตกต่างกันมากเกินไป


 


ราชาอมตะ 9 ตำหนักส่วนใหญ่ในแดนสวรรค์ใต้ ล้วนแล้วแต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดกฏหนึ่ง 6-7 ประการทั้งสิ้น ที่ร้ายกาจหน่อยก็อาจจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ 8 ประการแล้ว


 


ส่วนราชาอมตะ 9 ตำหนักที่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ 9 ประการนั้น หรือก็คือเข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดกฏหนึ่งจนครบแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะมาปรากฏตัวอยู่ในแดนสวรรค์ใต้


 


เว้นเสียแต่จะเป็นสถานที่ๆอยู่เหนือแดนสวรรค์ใต้ ถึงจะพบเจอตัวตนเช่นนั้น


 


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น”


 


ในขณะที่เร่งรุดเดินทาง ต้วนหลิงเทียนก็พลันฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เหินร่างข้างๆด้วยสองตาลุกวาว “พอผ่านไปเดือนนึงหลังใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์ ไม่เพียงแต่จะบรรลุขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ และยังสามารถริเริ่มเข้าใจกฏข้อใดข้อหนึ่ง จนสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏนั้นๆได้หลายประการ…”


 


“แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะใช้มันเพื่อเข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุด?”


 


ขณะที่เอ่ยถามเรื่องนี้ออกไป สองตาต้วนหลิงเทียนก็เปล่งแสงจ้า มากล้นไปด้วยความคาดหวัง


 


“เรื่องนี้…”


 


ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็คือ ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ช่างโลภเหลือเกิน…


 


ส่วนความคิดที่สองก็คือความคาดหวัง


 


เพราะหากทำได้ มันเองก็อยากจะเข้าใจกฏใดกฏหนึ่งของ 3 ใน 4 กฏสูงสุดที่เหลือเช่นกัน เพราะผลเทพสังเวสวรรค์นั้นก็สามารถช่วยให้ผู้ใช้ทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่ไม่เคยริเริ่มทำความเข้าใจมาก่อนได้หลายประการ


 


แต่เป็นธรรมดาว่ามันเองก็รู้ตัวดี


 


ว่าตัวเองนั้นเข้าใจกฏแห่งความตายซึ่งเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดอยู่แล้ว แม้ผลเทพสังเวยสวรรค์จะช่วยให้เข้าใจกฏสูงสุดได้จริง แต่มันก็ไม่อาจเลือกกฏแห่งความตายได้


 


“ข้าเคยได้ยินมาก็แต่ผู้ที่ใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่ไม่เคยทำความเข้าใจมาก่อนเลยได้ทีเดียวหลายประการ…อย่างไรก็ตามข้าไม่รู้ว่าผู้ที่เคยใช้มันได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไรกันบ้าง ที่ได้ยินมาก็มีแต่ลือกันว่าไม่เคยมีใครใช้ผลเทพสังเวยสววรรค์เข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุดมาก่อน แต่ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ก็คงยากจะพิสูจน์…”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวตอบมาตรงๆ


 


“แล้วเจ้าว่า…มันทำได้รึเปล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอย่างคาดหวัง


 


“มันก็อาจจะเป็นไปได้นั่นล่ะ แต่โอกาสที่เจ้าหรือข้าจะสามารถทำความเข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุดจากผลเทพสังเวยสวรรค์มันก็มีน้อยนิดจริงๆ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคลี่ยิ้มเจื่อนๆ


 


“ทำไมเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วยู่ย่น


 


“ก็อย่างข้าที่เข้าใจกฏแห่งความตายผ่านสายเลือดตระกูล…มันจะแตกต่างจากคนอื่นๆที่เข้าใจกฏแห่งความตายด้วยตัวเองเพราะยังสามารถทำความเข้าใจกฏแห่งชีวิตได้ ทว่าด้วยสายเลือดตระกูลข้า ทำให้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่มีวันเข้าใจกฏแห่งชีวิตได้แน่นอน…ดังนั้นข้าไม่อาจทำความเข้าใจกฏแห่งชีวิตโดยใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์ได้แน่ๆแล้วกฏหนึ่ง”


 


“นอกจากนั้นกฏแห่งเวลา เจ้ากับข้าก็เคยสัมผัสและริเริ่มทำความเข้าใจมันมาแล้วในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ถึงแม้พวกเราจะยังไม่แม้แต่จะเข้าใจความหมายแห่งเวลา แต่พวกเราก็เคยสัมผัสมันมาแล้ว เช่นนั้นตัดกฏแห่งเวลาออกไปได้เลย”


 


“สำหรับตัวข้า เว้นเสียแต่ผลเทพสังเวยสวรรค์จะช่วยให้ข้าเข้าใจกฏแห่งมิติ…หาไม่แล้วข้าก็ไม่มีทางเข้าใจกฏสูงสุดข้ออื่นได้เลย”


 


“ด้านหนึ่งคือกฏมิติ ส่วนอีกด้านคือกฏแห่งธาตุทั้ง 5 รวมถึงกฏลม กฏแห่งสายฟ้า กฏน้ำแข็ง…ฯลฯ เทียบกันแล้วโอกาสที่ข้าจะเข้าใจกฏแห่งมิตินั้นแทบไม่มี เพราะอีกด้านมันมีโอกาสมากกว่า”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว


 


“แต่เป็นธรรมดาว่านี่สำหรับข้าเท่านั้น…ตัวเจ้ายังมีโอกาสเข้าใจกฏสูงสุดมากกว่าข้า”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นหยยีตามองต้วนหลิงเทียน พลางกล่าวสืบต่อ


 


“กฏสูงสุดที่เจ้าเคยสัมผัสก็น่าจะมีแต่กฏแห่งเวลากระมัง? ถึงเจ้าจะได้รับกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพไป แต่ถ้าเจ้ายังไม่ได้ริเริ่มทำความเข้าใจกฏแห่งชีวิต หมายความว่าเจ้าก็สามารถเข้าใจกฏแห่งชีวิต รวมถึงกฏแห่งความตายไม่เวนกฏแห่งมิติได้โดยอาศัยความช่วยเหลือจากผลเทพสังเวยสวรรค์อยู่”


 


ฟังจากคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว เห็นชัดว่าอีกฝ่ายพิจารณามาอย่างรอบคอบจริงๆ


 


“เจ้า…รู้จักพฤกษาเทพกำเนิดชีพด้วยรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย


 


ถ้าเขาจำไม่ผิด หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเองก็อยู่ในงานประมูลตอนเขประมูลกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพเช่นกัน


 


ตอนนั้นเขาไปเข้าร่วมงานประมูลพร้อมคนประเทศฝูชิว ส่วนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไปพร้อมกับคนของประเทศตงหมิง


 


“ข้าเองก็มาจากระนาบทวยเทพ ข้าย่อมรู้จักพฤกษาเทพกำเนิดชีพเป็นธรรมดา”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “อันที่จริงตอนนั้นที่ข้าเห็นเจ้าประมูลกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ข้าก็เดาไว้แล้วว่าเจ้าอาจจะรู้จักมัน…แต่ข้าไม่คิดจริงๆว่าเจ้าเองก็จะเป็นลูกหลานผู้แข็งแกร่งที่สุดด้วย พอมาตอนนี้ข้าเลยเข้าใจว่าเจ้าจะรู้จักกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”


 


“ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่านั่นคือกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ แล้วทำไมถึงปล่อยให้ข้าประมูลได้ไปง่ายๆล่ะ? เจ้าไม่อยากได้มันบ้างรึไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย



 

 

 


ตอนที่ 3108

 

ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ส่ายหัวไปมาอีกรอบ


 


“อย่าว่าแต่กิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพเลย ต่อให้เป็นพฤกษาเทพกำเนิดชีพทั้งต้นก็ไม่มีประโยชน์กับข้าเลย…ถึงแม้พฤกษาเทพกำเนิดชีพมันจะช่วยให้ผู้คนเข้าใจกฏแห่งชีวิตและยังมีพลังอำนาจอีกมาก อย่างไรก็ตามพลังทั้งหมดของมันก็เกี่ยวข้องกับกฏแห่งชีวิต หมายความว่าข้าถูกกลิขิตให้ไม่อาจใช้ประโยชน์อะไรจากมันได้”


 


“สายเลือดที่สืบทอดต่อๆกันมาของตระกูลข้า เป็นตัวกำหนดให้ชั่วชีวิตข้ามิอาจเกี่ยวข้องกับกฏแห่งชีวิตได้ และพฤกษาเทพกำเนิดชีพเองเมื่อสัมผัสได้ถึงสายเลือดข้า มันก็จะผลักไสทั้งไม่มีวันอยู่ร่วมกับข้าแน่นอน”


 


ฟังจากคำตอบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็ได้บอกให้รู้ถึงเรื่องหนึ่งแจ่มชัด


 


ไม่ใช่ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ต้องการพฤกษาเทพกำเนิดชีพ


 


ทว่าปัญหาอยู่ที่ อีกฝ่ายไม่อาจใช้พฤกษาเทพกำเนิดชีพได้…


 


“แบบนี้นี่เอง…”


 


ได้ยินคำตอบของหลิงเจวี๋อวิ๋นต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักถึงต้นสายปลายเหตุ ขณะเดียวกันก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามสืบต่อว่า “ถึงเจ้าจะใช้มันไม่ได้ แต่เจ้าก็สามารถบอกคนของประเทศตงหมิงได้นี่นา ว่าพฤกษาเทพกำเนิดชีพมันเป็นสมบัติล้ำค่าขนาดไหน…ข้าเชื่อว่าหากคนของประเทศตงหมิงรู้คุณค่าของพฤกษาเทพกำเนิดชีพแล้ว พวกมันย่อมไม่คิดเอาเปรียบเจ้าแน่นอน”


 


“ก็จริงที่หากข้าบอกพวกมันแล้ว พวกมันอาจจะรู้ถึงคุณประโยชน์ของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ…แต่ถ้าข้าเล่าเรื่องนี้ ชาติกำเนิดของข้าไม่เสี่ยงเปิดเผยรึไง”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่ายหัวไปมา จากนั้นมุมปากก็ยกยิ้มแสยะมากรังเกียจ “แล้วเรื่องที่เจ้าบอกว่าพวกมันจะไม่เอาเปรียบข้า…เจ้าคิดจริงๆเหรอว่าพวกมันจะปัญญาให้อะไรดีๆข้าได้?”


 


พอได้ฟังต้วนหลิงเทียนก็คลิ้มแหยๆออกมาทันที


 


เขาก็นึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะอย่างไรก็คือนายน้อยตระกูลลับจากระนาบเทพ ยังจะมีของล้ำค่าใดในประเทศอมตะระดับ 8 ที่อยู่ในสายตาของอีกฝ่าย?


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


หลังจากผ่านไป 5 วัน ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เร่งรุดเดินทาง ก็มาถึงเมืองอีกแห่งที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของคฤหาสน์เอี้ยนซาน เหมือนๆกันกับเหมืองฝูซานที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของคฤหาสน์เฉวียนโยว


 


และเมืองแห่งนี้ก็มีชื่อเรียกว่า เมืองเทียนจี่


 


หลังจากเข้ามาในเมืองเทียนจี่แล้ว ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไปตระเวนหาที่พัก สุดท้ายก็ไปใช้บริการที่พักอันเป็นกิจการของคฤหาสน์เอี้ยนซาน ยังเลือกจะจับจองที่พักที่ดีที่สุด


 


เมื่อพักอาศัยอยู่ในลานที่พักที่ดีที่สุดแบบนี้ ต่อให้จะเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 2 ขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ก็อย่าได้หวังจะแตะต้องพวกเขาได้แม้แต่ปลายเล็บ!


 


นอกเสียจากนักฆ่าทั้ง 2 เบื่อชีวิตคิดรนหาที่ตาย หาไม่แล้วพวกมันไม่มีทางบุกเข้ามาก่อการที่นี่แน่นอน


 


“หืม? ยันต์อมตะเก็บความทรงจำอะไรเยอะแยะล่ะเนี่ย?”


 


ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋อวิ๋นที่ได้บ้านลานที่พักแล้ว พอเข้ามายังที่พักต้วนหลิงเทียนก็พบว่าภายในห้องหับนอกจากสิ่งอำนวยความะสดวกในการใช้ชีวิตแล้ว มุมหนึ่งยังมีชั้นวางยันต์อมตะเก็บความทรงจำเอาไว้เป็นตั้งๆ ไม่ต่างชั้นวางหนังสือ


 


แน่นอนว่าเพียงสังเกตเห็นลักษณะยันต์อมตะเก็บความทรงจำเหล่านี้ ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ในพริบตาว่ามันเป็นยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่ใช้ได้เรื่อยๆ


 


อีกทั้งขอบชั้นวางยังมีป้ายบอกรายละเอียดคร่าวๆว่า เป็นยันต์อมตะเก็บความทรงจำเรื่องราวใด


 


ยันต์อมตะเก็บความทรงจำบันทึกเรื่องราวสำคัญๆต่างๆในอวี้หวงเทียนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน หวังว่าท่านลูกค้าจักเพลิดเพลิน…


 


“เอ่อ?”


 


“พวกนี้มัน…ต่างอะไรกับหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารในโลกเก่าข้าล่ะเนี่ย?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพลางยิ้ม ไม่คิดเลยว่าที่พักอันเป็นกิจการของคฤหาสน์เอี้ยนซาน จะมีบริการเอาใจลูกค้าดีขนาดนี้ ถึงกับจัดเตรียมยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่ไม่ต่างอะไรจากหนังสือพิมพ์ให้แขกที่เข้าพักด้วย


 


พอดีกับที่ต้วนหลิงเทียนตอนนี้ไม่มีอะไรทำ เพราะเขายังรอให้พลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ถูกร่างกายเขาดูดซับโดยสมบูรณ์อยู่


 


ระหว่างเดินทางมายังเมืองเทียนจี่แห่งนี้ ด่านพลังของเขาก็ทะลวงมาถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 5 องค์ประกอบแล้ว และหากนับเวลากันจริงๆ มันก็พึ่งผ่านไปแค่ 8 วันเท่านั้นตั้งแต่ที่เขากลืนผลเทพสังเวยสวรรค์ลงท้อง


 


อย่างไรก็ตามด่านพลังขั้นหลังๆ ก็จะยิ่งใช้เวลามากขึ้นเรื่อยๆ


 


ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ ตอนแรกหลังเขากินผลเทพสังเวยสวรรค์ไป มันก็ใช้เวลาแค่ 1 วันกับอีก 1 คืนเพื่อทำให้เขาทะลวงผ่านขอบเขตยอดเซียยนอมตะขั้นสูงสุดมาถึง ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด และใช้เวลา 2 วันกับอีก 1 คืนเพื่อทำให้เขาทะลวงจากขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดมาถึง ขุนนางอมตะ 2 ยศ


 


และเวลาที่ใช้ในการทะลวงผ่านจากขุนนางอมตะ 2 ยศไปขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน และการทะลวงจากขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ไป ขุนนางอมตะ 4 รูป จนถึงขุนนางอมตะ 5 องค์ประกอบก็กินเวลาไปแล้วทั้งสิ้น 8 วัน


 


เรียกว่าด่านพลังขั้นหลังยิ่งมาก็จะยิ่งใช้เวลามากขึ้นเรื่อยๆ


 


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สุดท้ายแล้วหลังจากที่กินผลเทพสังเวยสวรรค์เข้าไป ก็จะใช้เวลาราวๆ 1 เดือนเท่านั้น ก็สามารถบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศได้แล้ว


 


ทว่าจนบัดนี้ แม้ด่านพลังจะทะลวงถึงขุนนางอมตะ 5 องค์ประกอบแล้ว แต่พลังที่ช่วยให้ทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏจากผลเทพสังเวยสวรรค์นั้นยังไม่ปรากฏ


 


แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาเชื่อว่ามันต้องดำเนินการไปเป็นขั้นเป็นตอนอะไรทำนองนี้แน่ และที่เขาต้องทำก็คือรอไปอีก 20 วันเศษๆเท่านั้น


 


‘ตลอดช่วงเวลา 20 กว่าวันหลังจากนี้ ด้วยพลังในร่างที่เพิ่มพูนขึ้นตลอดเวลาข้าคงไม่อาจบ่มเพาะพลังอะไรได้แน่นอน กระทั่งจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟก็คงไม่ได้…เช่นนั้นนับว่ายันต์อมตะเก็บความทรงจำพวกนี้ ก็มาได้ถูกเวลาพอดี อย่างน้อยๆข้าก็จะได้ไม่เบื่อตายซะก่อน…’


 


‘แถมไม่แน่อาจมีเรื่องราววสำคัญๆอะไรในบันทึกพวกนี้ที่ข้าเคยรู้จักมาก่อน…อย่างไรเสียจักรพรรดิสวรรค์ของอวี้หวงเทียนแห่งนี้ ก็คือจักรพรรดิหยกในตำนานของบ้านเกิดข้า…’


 


จักรพรรดิหยกนั้น เป็นที่รู้จักกันดีในนาม ‘เง็กเซียนฮ่องเต้’ เป็นดั่งผู้นำเหล่าเทพเซียนทั้งหลายในตำนานปรัมปราของจีน


(เง็กเซียนฮ่องเต้ เป็นสำเนียงเป็นฮกเกี้ยนผสมแต้จิ๋ว ปกติจีนกลางจะเรียก อวี้หวงต้าตี้ หรือ อวี้หวงซ่างตี้)


 


พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า หลังเดินไปนอนเอนหลังบนเตียงแล้ว ก็ใช้พลังหอบหิ้วยันต์อมตะเก็บความทรงจำบนชั้นมากองไว้ข้างๆ ค่อยหยิบยันต์อมตะดังกล่าวขึ้นมาแผ่นหนึ่ง พลางแผ่สำนึกลงไป


 


“บุตรชายคนที่ 3 ของจอมราชันอมตะคงหมิง แห่งแดนคงหมิง…อายุไม่ทันถึงร้อยปี ก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด? อีกทั้งหลังเปิดโลกใบเล็ก ก็สามารถทำความเข้าใจความลึกซึ้งประการที่  4 ของกฏแห่งมิติถึงขั้นตอนเบื้องต้นได้สำเร็จ?”


 


ยันต์อมตะเก็บความทรงจำแผ่นแรกที่ต้วนหลิงเทียนใช้ ก็ได้บอกเล่าเรื่องราวของลูกชายคนสุดท้องของจอมราชันอมตะคงหมิงแห่งแดนคงหมิงของอวี้หวงเทียน


 


พอได้รับข้อมูลจากยันต์อมตะเก็บความทรงจำแผ่นนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที…ว่าก่อนที่ลูกชายคนที่ 3 ของจอมราชันอมตะคงหมิงจะทะลวงถึงขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด อีกฝ่ายสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติอยู่ก่อนแล้ว 3 ประการ


 


จนเมื่อสามารถทะลวงผ่านถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้สำเร็จ อีกฝ่ายก็อาศัยช่วงเวลาที่เปิดโลกใบเล็กทำความเข้าใจกฏแห่งมิติเพิ่มเติม จนในที่สุดก็สามารถเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 4 ของกฏแห่งมิติได้สำเร็จ


 


“อายุไม่ถึงร้อยปี บรรลุขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดและเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติ 4 ประการ…ความสำเร็จเพียงเท่านี้ ก็ทำให้ลูกชายคนที่ 3 ของจอมราชันอมตะคงหมิง ถูกนับว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะแห่งแดนคงหมิงที่ยากจะปรากฏขึ้นในรอบหมื่นปีแล้วงั้นหรือ?”


 


หลังได้รับทราบเรื่องราวในยันต์อมตะเก็บความทรงจำแผ่นแรก ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาพลางกล่าวพึมพำด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนให้มองไปทั่วระนาบเทวโลก หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับข้าก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นอัจฉริยะในรอบพันปีเช่นกันสินะ…”


 


“ที่สำคัญหลังจากผ่านไปอีก 20 วัน…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับข้าก็จะกลายเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว…”


 


“ด้วยอายุที่ยังไม่ถึงร้อยปี เข้าใจความลึกซึ้ง 3 ประการถึงขั้นตอนเบบื้องต้นกับริเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 4 แถมบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ…ในระนาบเทวโลกตัวตนเช่นนี้ก็คงยากปรากฏในรอบแสนปีกระมัง?”


 


“หรือ…กระทั่งในรอบล้านปี อาจไม่มีคนอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับข้าปรากฏขึ้น?”


 


ถึงแม้วาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำกับตัว จะออกแนวอวตัวเองหน่อยๆ แต่อย่างไรเสียในใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจกับความสำเร็จของบุตรชายคนที่ 3 ของจอมราชันอมตะคงหมิงผู้นี้อยู่บ้าง


 


แน่นอนว่าที่ทำให้เขาตกใจก็แค่เชาว์ปัญญาของอีกฝ่ายเท่านั้นไม่ใช่ด่านพลังของอีกฝ่าย


 


“ก่อนจะทะลวงถึงขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด ก็สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้ถึง 3 ประการแล้ว…ไม่ว่าลูกชายคนเล็กของจอมราชันอมตะคงหมิงผู้นี้จะพบพานวาสนาอันใดมาหรือมีเชาว์ปัญญาสูงล้ำแต่กำเนิด ก็ล้วนบ่งบอกว่ามันไม่ธรรมดาจริงๆ”


 


กฏแห่งมิติจะอย่างไรก็คือ 1 ใน 4 กฏสูงสุด ไม่เพียงลึกลับยากหยั่งถึง แต่ยังหาทางทำความเข้าใจได้ยากจริงๆ


 


ต้องทราบด้วยว่าที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นสามารถทำความเข้าใจกฏแห่งความตายที่เป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดได้ นั่นก็เพราะสายเลือดของอีกฝ่ายมีส่วนช่วยเหลืออย่างมาก


 


ที่สำคัญ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นใคร?


 


นั่นคือคนของตระกูลลับในระนาบเทพอย่างดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ กระทั่งมีสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดไหลเวียนอยู่ในร่าง!


 


แต่ลูกชายคนที่ 3 ของจอมราชันอมตะคงหมิงผู้นี้ เป็นแค่ลูกชายของผู้ครองดินแดนคงหมิงที่เป็นดินแดนหนึ่งในอวี้หวงเทียนเท่านั้น พื้นเพของอีกฝ่ายเรียกว่าถูกฐานะของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นบดขยี้ยับเยิน!


 


จอมราชันอมตะคงหมิง ก็เป็นแค่จอมราชันอมตะสมญานามคนนึงเท่านั้น…


 


ในอวี้หวงเทียนมีดินแดนอย่างดินแดนคงหมิงมากมาย จอมราชันอมตะสมญานามเองก็มีมากมายนับไม่ถ้วน จอมราชันอมตะคงหมิงก็แค่หนึ่งในนั้น…


 


เมื่อดูจากสิ่งนี้แล้ว ก็บอกให้รู้ว่าลูกชายคนที่ 3 ของจอมราชันอมตะคงหมิงไม่ธรรมดาจริงๆ ที่สามารถโดดเด่นขึ้นมาแบบนี้ได้


 


“อย่างไรก็ตาม ดูจากอายุของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับด่านพลังแล้ว…ท่าทางคงไม่ทันได้เพลิดเพลินกับทรัพยากรของตระกูล ทางตระกูลก็ดันเกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน พอต้องระหกระเหินหลบหนีมายังแดนสวรรค์แบบนี้…เช่นนั้นความสำเร็จของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นสมควรด้อยกว่าเหล่าคุณชายนายน้อยของตระกูลทั่วไปในระนาบเทพมากโข…ไม่ต้องพูดถึงเหล่าคุณชายนาน้อยในตระกูลใหญ่หรือตระกูลลับด้วยซ้ำ…”


 


ต้วนหลิงเทียนก็สามารถเข้าใจประเด็นนี้ได้ไม่ยาก


 


คนของระนาบเทพ ยิ่งเป็นเหล่าคุณชายนายน้อยทั้งหลาย น่ากลัวหากใช้ทรัพยากรบ่มเพาะในตระกูล ความสำเร็จคงก้าวไกลสุดที่เขาจะจินตนาการได้แน่นอน และนั่นไม่ใช่อะไรที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้ดิ้นรนด้วยตัวเองจะเทียบได้เลย


 


สุดท้ายแล้วระนาบเทพก็คือระนาบที่สูงส่งกว่าระนาบเทวโลก ตระกูลทั่วๆไปในระนาบเทพ…เกรงว่าต่อให้เป็นขุมกำลังของจักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่มีปัญญาเทียบเทียมได้!


 


“อันนี้เป็นไงนะ…”


 


หลังใช้พลังหอบหิ้วยันต์อมตะเก็บความทรงจำแผ่นแรกที่บันทึกความสำเร็จของบุตรชายคนที่ 3 ของจอมราชันอมตะคงหมิงไปเก็บไว้บนชั้น ต้วนหลิงเทียนก็สุ่มหยิบยันต์อมตะอีกชิ้นที่กองตั้งอยู่ข้างกาย


 


พอแผ่สำนึกเทวะลงไปข้อมูลชุดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นให้รับทราบ


 


และทันทีที่ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันที สีหน้ายังเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


 


“ข้าราชบริพารของจักรพรรดิสวรรค์แห่งอวี้หวงเทียน จักรพรรดิอมตะ 3 ตา หยางเจี่ยน ด้วยความฮึกเหิมหลังบังเกิดความก้าวหน้า จึงออกสารท้าประลองจักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดิน ซุนหงอคง ฉบับที่ 98…อนิจจาขาใหญ่ยังคงร้ายกาจดังเดิม จักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดินซุนหงอคง อาศัยทุบฟาดออกไปเพียง 3 พลอง จักรพรรดิอมตะ 3 ตาก็สิ้นท่า น้ำตาแทบซึมไหลออกจากตาที่ 3 มีอันต้องกลับวังจักรพรรดิสวรรค์ไปอย่างหงอยเหงา….”


(หยางเจี่ยน เป็นชื่อเดิมของ เทพเอ้อหลางในไซอิ๋ว)


 


“เป็นที่น่าฉงนนัก ก่อนหน้านี้จักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดินซุนหงอคงแม้ทุบตีเอาชนะจักรพรรดิอมตะ 3 ตามาได้ตลอด หากแต่ชัยชนะที่ได้มาเร็วสุด ก็จำต้องควงพลองฟาดทุบออกไปร้อยกว่ากระบวนท่า…หรือที่แท้จักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดินซุนหงอคงได้แตะถึงธรณีประตูสู่ขอบเขตเทพแล้วกันแน่?”


 


ยันต์อมตะเก็บความทรงจำแผ่นที่ 2 ที่ต้วนหลิงเทียนหยิบขึ้นมาใช้ กลับบันทึกข้อมูลของตัวตนที่เขารู้จักมาตั้งแต่โลกก่อนเอาไว้ ทำให้จินตนาการเขาหลุดลอยไปยังตัวละครในภาพยนตร์ที่เขาเคยดูทันที


 


“หยางเจี่ยน? จักรพรรดิอมตะ 3 ตา?”


 


“ซุนหงอคง? จักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดิน?”


 


“หยางเจี่ยนกับซุนหงอคงประลองกันบ่อยขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร…กระทั่งหนังเรื่องไซอิ๋วที่เคยดู เทพเอ้อหลางกับซุนหงอคงก็เขม่นกันบ่อยๆ…”


 


“จักรพรรดิสวรรค์ของอวี้หวงเทียนก็สมควรเป็นจักรพรรดิหยก หรือเง็กเซียนฮ่องเต้…หยางเจี่ยนเองจากตำนานปรัมปราในโลกเก่าข้า ก็เหมือนจะเป็นหลานชายของจักรพรรดิหยกและคอยติดตามรับใช้จักรพรรดิหยกมาโดยตลอด จะใช้คำว่าข้าราชบริพารของจักรพรรดิหยกก็ไม่แปลกอะไร…”


 


“ส่วนซุนหงอคงนั้นในตำนานที่โลกเก่าจะถูกเรียกวว่า ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน…เช่นนั้นจักรพรรดิอมตะเสมอฟ้าดิน ซุนหงอคงผู้นี้ ก็สมควรเป็นตัวตนเดียวกับเรื่องเล่าในตำนานที่ข้ารู้จัก…”


 


“จากข้อมูลในยันต์อมตะเก็บความทรงจำแผ่นนี้…ซุนหงอคงอาจแตะถึงธรณีประตูขอบเขตเทพแล้วหรือ?”


 


ขอบเขตเทพ!


 


ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าคำสั้นๆอย่างขอบเขตเทพนั้น เป็นดั่งคำนิยามตัวตนที่ทรงพลังที่สุดของระนาบเทวโลก!


 


ตราบใดที่ไร้ยอดฝีมือขอบเขตเทพจากระนาบเทพมาลดตัววลงมาวุ่นวาย เช่นนั้นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศที่ทะลวงถึงขอบเขตเทพ ก็สามารถกวาดล้างระนาบเทวโลกใดๆได้ตามใจ!



 

 

 


ตอนที่ 3109

 

“ซุนหงอคงแตะถึงธรณีประตูขอบเขตเทพแล้ว…เช่นนั้นหมายความว่าตอนนี้ด่านพลังก็สมควรบรรลุถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ และยังจวนเจียนจะตัดผ่านไปยังขอบเขตเทพเจ้า…”


 


“สำหรับหยางเจี่ยน…ในเมื่อกล้าท้าซุนหงอคงประลองแบบนี้ ด่านพลังก็สมควรอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศดุจเดียวกัน…”


 



 


หลังรับทราบข้อมูลในยันต์อมตะเก็บความทรงจำแผ่นนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักเรื่องราวได้ไม่ยาก ขณะเดียวกันในใจก็บังเกิดความรู้สึกขื่นขมเล็กน้อย


 


เดิมทีหลังจากที่ได้รับทราบว่าสิบในสิบตัวตนในตำนานปรัมปราจากบ้านเกิดของเขาสมควรมีอยู่จริง เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอโอกาสที่จะได้พบเจอตัวตนเหล่านั้นตัวเป็นๆ กระทั่งหากมีวาสนาได้นั่งลงสนทนาพลางจิบสุราเล่าเรื่องราวคงจะดีไม่น้อย


 


แต่ตอนนี้พอรับทราบความแข็งแกร่งของซุนหงอคงกับหยางเจี่ยนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที…


 


ว่ากระทั่งศิษย์สาวกชั้นปลายแถวของซุนหงอคงและหยางเจี่ยน ยังไม่น่าจะเหลียวแลเขาด้วยซ้ำ เช่นนั้นนับประสาอะไรกับซุนหงอคงที่สมควรยืนอยู่บนจุดสูงสุดของระนาบเทวโลกทั้งมวล


 


“หากคิดจะพบปะพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างเท่าเทียม อย่างน้อยๆก็ต้องมีพลังฝีมือไม่ด้อยไปกว่าอีกฝ่ายก่อน…ตอนนี้ข้ายังอ่อนแอเกินไป”


 


ต้วนหลิงเทียนถอนหาใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ใช้พลังหอบหิ้วยันต์อมตะเก็บความทรงจำในมือไปเก็บไว้บนชั้นวาง


 


เรื่องนี้เขารู้ตัวเองดี


 


หลังจากเก็บยันต์อมตะเข้าชั้นแล้ว เขาก็เริ่มหยิบยันต์อมตะแผ่นอื่นออกมาชมดู


 


ยันต์อมตะเก็บความทรงจำเหล่านี้ได้บันทึกเรื่องราวเอาไว้มากมาย เรื่องแปลกประหลาดทั้งพิสดารก็มีเต็มไปหมด ทำให้ต้วนหลิงเทียนเพลิดเพลินและรู้สึกสนุกสนานอยู่บ้าง เพราะบางอย่างเขาก็สุดที่จะจินตนาการได้ถึง


 


จะอย่างไรก็แล้วแต่หลังจากได้อ่านเรื่องราวทั้งหมดในยันต์อมตะเก็บความทรงจำแล้ว ก็เสมือนได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น ขยายขอบเขตความรู้ความเข้าใจในระนาบเทวโลกได้มากโข


 


ระนาบเทวโลกยังยิ่งใหญ่กว่าที่คิดไว้ตอนแรกมาก


 


ตัวอย่างเช่นแดนผิงเทียน อันมีคฤหาสน์เอี้ยนซานที่เขาพักอยู่ กับแดนสวรรค์ใต้ที่มีคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น เป็นแค่ดินแดนเล็กๆของอวี้หวงเทียนและหลิงหลัวเทียนเท่านั้น


 


ดินแดนระดับนี้จะมีจอมราชันอมตะสมญานามคนหนึ่งปกครอง และโดยปกติแล้วจะมีจอมราชันอมตะสมญานามดำรงอยู่เพียงคนเดียว


 


“กระจ้อยร่อยนัก…ตัวข้ายังกระจ้อยร่อยเกินไป”


 


“ถึงแม้คราวนี้ด้วยพลังของผลเทพสังเวยสวรรค์จะทำให้ข้าบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศ แต่ก็ยังไม่นับเป็นตัวอะไรในระนาบเทวโลก”


 


เหนือขุนนางอมตะ 10 ทิศยังมีราชาอมตะ…


 


ด่านพลังราชาอมตะเองก็แบ่งย่อยออกเป็น 10 ขั้นพลังเช่นกัน และเหนือกว่านั้นก็คือขอบเขตจอมราชันอมตะ


 


เหนือด่านพลังจอมราชันอมตะ ก็ยังมีขอบเขตจักรพรรดิอมตะ


 


จักรพรรดิอมตะนั้น แม้จะบรรลุถึงขั้นพลังสูงสุดอย่างจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศแล้ว แต่ก็ยังมีสูงมีต่ำ ไหนจะยังมีจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก


 


จักรพรรดิอมตะสมญานามที่ร้ายกาจมากหน่อยก็เป็นดั่งซุนหงอคง หยางเจี่ยน รวมถึงจักรพรรดิหยก ไม่เว้นเหล่าจักรพรรดิสวรรค์ทั้งหลาย


 


“หากซุนหงอคงแตะถึงธรณีประตูขอบเขตเทพทั้งยังเอาชนะหยางเจี่ยนได้ใน 3 พลอง…พลังฝีมือเกรงว่าไม่น่าจะด้อยกว่าจักรพรรดิหยกแล้วกระมัง…”


 


“ไม่ทราบว่าลักษณะของซุนหงอคงที่แท้จริงจะหยิ่งผยองไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเหมือนในตำนานที่เล่าขานกันมารึเปล่า…หากเป็นเช่นนั้น ใช่จะไปท้าทายจักรพรรดิหยกเพื่อชิงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ของอวี้หวงเทียนหรือไม่?”


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดสงสัยไม่ได้ กระทั่งยังบังเกิดความคาดหวังเล็กน้อย


 


หากราชาวานรผู้ร้ายกาจนั่นท้าทายจักรพรรดิหยก กระทั่งเอาชนะและชิงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์มาได้จริงๆ ต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โตที่แพร่กระจายไปทั่วระนาบเทวโลกทั้งมวลแน่


 


เรื่องใหญ่โตแบบนี้ ไม่พ้นต้องลือกระฉ่อนไปถึงหลิงหลัวเทียน


 


ดังนั้นต่อให้เขาจะกลับไปยังหลิงหลัวเทียนแล้ว แต่ก็ต้องได้ยินข่าวเรื่องราวแน่นอน


 


“ด่านพลังก็ก้าวหน้าขึ้นมาใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว…แต่พลังที่จะช่วยให้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏยังไม่ปรากฏขึ้นมาเลย”


 


ถึงงแม้ตอนแรกต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้กังวลกับเรื่องพลังที่ช่วยให้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏหลายประการมากเท่าไหร่ แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า ในใจก็เริ่มบังเกิดความกังวลขึ้นมาอยู่บ้าง


 


จากนั้นหลังสงบจิตสงบใจได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก้เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องใกล้ตัวอย่างเช่นการเปิดโลกใบเล็กที่สามารถกระทำได้ตั้งแต่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด


 


อย่างไรก็ตาม แม้โลกใบเล็กจะสามารถเปิดได้ตั้งแต่ขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันระหว่างโลกใบเล็กของด่านพลังสูงๆ


 


อย่างเช่นโลกใบเล็กที่ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะเปิดสร้างนั้น มันจะอยู่ติดตัวเสมอ กล่าวให้ถูกก็คือด่านพลังขุนนางอมตะ ทำได้แค่เปิดสร้างโลกใบเล็กภายในกายของตัวเอง


 


โลกใบเล็กดังกล่าว ก็แทบไม่ต่างอะไรจากการสร้างพื้นที่มิติเอาไว้เก็บของสักเท่าไหร่ แต่ต่างจากพื้นที่มิติของแหวนพื้นที่ๆมิอาจเก็บสิ่งมีชีวิตได้อยู่บ้าง เพราะโลกใบเล็กของขุนนางอมตะนั้นสามารถเก็บสิ่งมีชีวิตเอาไว้ภายในนั้นได้


 


โลกใบเล็กที่ถูกสร้างขึ้นโดยราชาอมตะ ก็จะมีการพัฒนาขึ้นมาหน่อย สามารถสร้างพื้นที่แยกย่อยใดๆและกำหนดควบคุมการเคลื่อนย้ายระหว่างพื้นที่แยกย่อยได้ สิ่งนี้ก็เหมือนกับโลกใบเล็กของยอดฝีมือนิกายอมตะสราญรมย์ที่เขาพลัดหลงเข้าไปพร้อมมู่หรงปิง สุดท้ายก็กลายเป็นมีชะตาผูกพันกันอย่างไม่ตั้งใจ…เป็นดั่งแดนลับกลายๆ


 


สำหรับโลกใบเล็กของตัวตนขอบเขตพลังจอมราชันอมตะนั้น จะทรงพลังกว่าโลกใบเล็กของราชาอมตะและมีขนาดกว้างใหญ่กว่ากันมาก ยกตัวอย่างก็เช่นแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำที่ต้วนหลิงเทียนเคยเข้าไปก่อนหน้า อันที่จริงมันก็คือโลกใบเล็กที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้เปิดสร้างเอาไว้


 


อย่างไรก็ตามแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ เป็นสิ่งที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้รุ่นแรกเปิดสร้างเอาไว้นานมากแล้ว จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้รุ่นหลังๆก็มีหน้าที่แค่คอยทำนุบำรุง ไม่ให้มันล่มสลายลงเพราะสูญสิ้นพลังมากเกินไปเท่านั้น


 


โลกใบเล็กที่ราชาอมตะหรือจอมราชันอมตะเปิดสร้าง สามารถจัดสร้างให้เป็นดั่งแดนลับได้ ถ้าไม่มีใครเข้าไปเลย ตามทฤษฎีแล้วมันก็สามารถดำรงอยู่ได้ชั่วกาลนาน แต่ถ้ามีคนเข้าไป พลังในนั้นก็จะค่อยๆถูกดูดซับไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็มีอันต้องพังทลายสลายหายไป…


 


‘วิธีการเปิดโลกใบเล็กข้าก็ศึกษามาจากหอตำราฝ่ายในของนิกายอมตะเป้าผู่โดยละเอียดแล้ว…ตอนนี้มาลองเปิดโลกใบเล็กของข้าเองดูดีกว่า’


 


คิดได้ดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็พยายามเปิดโลกใบเล็กภายในกาย ตามวิธีสร้างโลกใบเล็กที่เขาได้ศึกษามา


 


การเปิดสร้างโลกใบเล็กนั้นก็ไม่มีอะไรยากมาก อาศัยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตขุนนางอมตะเป็นหลัก จากนั้นก็ต้องใช้พลังวิญญาณขอบเขตขุนนางอมตะหนุนเสริม


 


ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากเปิดสร้างโลกใบเล็กขึ้นมาได้แล้ว ก็จำต้องใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดและพลังวิญญาณหล่อหลอมขัดเกลาอีกสักระยะ จึงจะทำให้โลกใบเล็กภายในกายมีเสถียรภาพ


 


หาไม่แล้วตอนที่ต้วนหลิงเทียนใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองจนได้ถือครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด เขาก็คงใช้มันเปิดสร้างโลกใบเล็กไปแล้ว แถมยังเป็นโลกใบเล็กของขอบเขตจอมราชันอมตะอีกด้วย


 


ที่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น ก็เพราะหลังเปิดสร้างโลกใบเล็กได้สำเร็จ เขาก็จำต้องใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดและพลังวิญญาณหล่อหลอมขัดเกลาสักพัก ดังนั้นในทางทฤษฎีแล้วมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้พลังที่ได้รับมาหล่อหลอมขัดเกลาให้มันมีเสถียรภาพได้…เว้นเสียแต่ท่านจะมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองเป็นเข่งให้ใช้ไม่หยุด!


 


วู้ม!


 


วู้ม!


 



 


ภายในร่างต้วนหลิงงเทียน บัดนี้เขาได้โคจรพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดให้มาควบรวมบีบอัด จนมีความหนาแน่นมากขึ้นทุกขณะ


 


หากคิดจะเปิดสร้างโลกใบเล็ก ก่อนอื่นเลยก็จำต้องรวบรวมพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมาควบแน่นโดยอาศัยพลังวิญญาณช่วยเหลือ จากนั้นเมื่อควบแน่นพลังจนถึงขีดสุดแล้ว พอจุดชนวนระเบิดตามวิธีการเฉพาะบางอย่างเพื่อสร้างห้วงมิติ โลกใบเล็กก็จะถูกเปิดสร้างขึ้น


 


“หากเจ้าคิดจะเปิดสร้างโลกใบเล็กของเจ้า ข้าขอแนะนำให้เจ้าไปเปิดสร้างมันใกล้ๆหัวใจ”


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังรวบรวมพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเพื่อเตรียมเปิดโลกใบเล็กนั้นเอง เสียงของทองเทพสุดลี้ลับพลันดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ


 


“หือ? เปิดมันใกล้ๆหัวใจหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนแปลกใจ “ทำไมต้องทำแบบนั้นเล่า?”


 


“อาจมีเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจเกิดขึ้น…”


 


ทองเทพสุดลี้ลับกล่าว


 


“เรื่องประหลาดใจ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามไปด้วยความสงสัย หากแต่ทองเทพสุดลี้ลับก็เงียบไม่พูดจา เห็นชัดว่าไม่คิดจะคลายความสงสัยให้เขา และด้านเพลิงเทพโกลาหลกับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเองก็เงียบไม่พูดอะไรเช่นกัน


 


เพลิงเทพโกลาหลไม่พูดอะไรต้วนหลิงเทียนยังพอเข้าใจได้ แต่การที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินไม่พูดไม่จาอะไรเลย ทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจอยู่บ้าง “ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน เจ้าไม่คิดจะบอกข้าบ้างหรือ ว่าเรื่องประหลาดใจที่ว่าคืออะไร?”


 


“เฮ่อ โอกาสสำเร็จมันมีน้อยนัก…หากทำสำเร็จก็นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจจริงๆ แต่ถ้าไม่สำเร็จก็เท่านั้น เช่นนั้นต่อให้ข้าบอกเจ้าตอนนี้มันก็เปล่าประโยชน์”


 


เสียงเล็กๆราวเด็กน้อยยังไม่หย่านมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้น และคำพูดของมันก็ยิ่งกระตุ้นต่อมอยากรู้ของต้วนหลิงเทียนให้บังเกิดอาการคันในหัวใจยากจะเกาเข้าไปใหญ่…


 


“โอกาสสำเร็จย่อมมีมากกว่าผู้อื่น…พวกเจ้าอย่าได้ลืมไปว่าเจ้าหนูมันมีชีพจรสวรรค์ 99 สาย แถมกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ยอมรับเจ้าหนูเป็นนายไปแล้วด้วย”


 


เพลิงเทพโกลาหลกล่าว


 


“แต่กระนั้นโอกาสสำเร็จก็มิถึง 3 ใน 10 ส่วน…”


 


เสียงทองเทพสุดลี้ลับดังขึ้นอีกครั้ง และเป็นการบอบต้วนหลิงเทียนให้รู้ว่า…โอกาสที่จะเกิดเรื่องประหลาดใจที่ว่า มันมีอัตราความสำเร็จไม่ถึง 3 ส่วน สิ่งนี้ยิ่งทำให้ต้วนหลิงเทียนงุนงงสงสัยไปกันใหญ่ ว่ามันคืออะไรกันแน่


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ในร่างทั้ง 3 ไม่คิดจะอธิบายอะไร ถึงต้วนหลิงเทียนจะสงสัย แต่ก็ไม่คิดจะถามเซ้าซี้ให้มากความ และเริ่มมุ่งความสนใจกับการควบแน่นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดต่อไป


 


เพราะเขารู้ดีว่าทุกข้อสงสัยที่คลางแคลงใจ หลังเปิดโลกใบเล็กสำเร็จแล้วมันก็จะเฉลยไปเอง


 


แต่เป็นธรรมดาว่าเขายังเลือกกระทำตามคำแนะนำของทองเทพสุดลี้ลับ และพยายามเปิดโลกใบเล็กภายในกายให้ใกล้กับหัวใจ


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


1 ชั่วโมง


 


2 ชั่วโมง


 



 


1 วัน


 


2 วัน


 



 


และหลังจากผ่านไป 3 วัน ด้วยอาศัยพลังวิญญาณควบคุมการบีบอัด ในที่สุดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของต้วนหลิงเทียน ก็ได้ควบแน่นจนถึงขีดสุด


 


‘ในที่สุดก็มาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ…จากบันทึกที่ข้าอ่านเจอในนิกายอมตะเป้าผู่ ตอนนี้ข้าจำต้องควบรวมพลังวิญญาณให้เล็กที่สุดเพื่อเจาะทะลวงเข้าไปในกลุ่มก่อนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ควบแน่นจนถึงขีดสุดดั่งการจุดชนวน จากนั้นพอมันเกิดการระเบิดขึ้นจนฉีกเปิดห้วงมิติ ก็ต้องจ่ายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดกับพลังวิญญาณในเพื่อจัดการเปิดสร้างโลกใบเล็กให้ได้ตามต้องการ…’


 


‘ที่สำคัญกระบวนการเปิดโลกใบเล็กหลังจากนั้น ก็ไม่อาจผ่อนปรนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดและพลังวิญญาณได้เลย จำต้องถ่ายทอดพลังเพื่อประคองสภาวะเอาไว้ตลอดจนจบสิ้นกระบวนการ…’


 


‘โลกใบเล็กแรกเปิดสร้างจักไร้ซึ่งสิ่งใดดั่งพื้นที่ว่างเปล่าเหมือนพื้นที่ในแหวน…หากคิดตกแต่งมัน ก็จำต้องขนดินขนน้ำรวมถึงพืชพรรณอะไรเข้าไปสร้างขึ้นด้วยตัวเอง…’


 


หลังจากใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มควบรวมพลังวิญญาณให้เล้กเรียวดั่งเข็ม ก่อนจะเจาะทะลวงเข้าไปในกลุ่มก้อนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ควบแน่นจนถึงขีดสุดทันที


 


เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนที่ได้ศึกษาวิธีมาอย่างละเอียดแล้ว ก็ควบคุมจัดการได้อย่างราบรื่น ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดอะไร


 


เวิง! เวิง! เวิง! เวิง! เวิง!


 



 


พลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนประหนึ่งพลังแห่งเทพผู้สร้าง มันเริ่มควบคุมพลังเซียนอมตะควบแน่นที่ถูกจุดระเบิดจนห้วงมิติเปิดออก และประคองสภาวะดังกล่าวเพื่อทำให้พื้นที่มิติที่ฉีกเปิดเริ่มเข้าสู่สภาวะคงตัว


 


สิ่งแรกที่ต้องกระทำก็คือกำหนดขอบเขตพื้นที่มิติดังกล่าว จากนั้นก็ใช้พลังควบคุมเพื่อให้ห้วงมิติขยายตัวจนมีเสถียรภาพตามที่ต้องการ


 


และทันใดนั้นเอง


 


วู้มมม!!


 


บังเกิดเสียงประหนึ่งมีพลังบางอย่างไหลเวียนไปทั่วร่างกายของต้วนหลิงเทียน และหากจะกล่าวชี้ชัด เสียงพลังดังกล่าวมันดังขึ้นจากหัวใจของเขา


 


วินาทีต่อมา เมื่อต้วนหลิงเทียนใช้สำนึกเทวะส่องภายในไปติดตามสถานการณ์ดังกล่าว เขาก็พบเห็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ๆก็อุบัติขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย!


 


เขาพบว่ากิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่ไปหยั่งรากและม้วนพันหัวใจเขาเอาไว้นั้น มันเริ่มลุกขึ้นทั้งถอนรากขึ้นมาอย่างรวดเร็วประหนึ่งกำลังจะย้ายถิ่นฐาน


 


และจากนั้นไม่ทันไร มันก็ละทิ้งหัวใจของเขา ก่อนที่จะแทงรากเข้าสู่ห้วงมิติที่กำลังขยายตัวด้านข้าง หรือก็คือโลกใบเล็กที่เขากำลังเปิดสร้างอยู่!


 


ชั่วพริบตาต่อมา ราวกับมันกลายเป็นหลุมดำ ดูดซับพลังงานทั้งหมดในร่างต้วนหลิงเทียนประหนึ่งแม่น้ำสายย่อยมากมายให้ไหลมารวมกันที่อ่าว จากนั้นก็เริ่มแพร่พลังดังกล่าวออกทางราก ไปเติมเต็มยังห้วงมิติของโลกใบเล็กที่เขากำลังเปิดสร้างอยู่!


 


ใขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 จุดสายของเขาเสมือนร้อนขึ้นปานไฟลวก และพอแบ่งสติมาชมดูเรื่องราวรอบกาย เขาก็พบว่าพลังวิญญาณฟ้าดินในสภาพแวดล้อมโดยรอบ กำลังถูกดูดกลืนเข้าร่างเขาอย่างบ้าคลั่ง และเริ่มต้นกระบวนการโคจรขัดเกลาแปรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็หลั่งไหลไปควบรวมที่หัวใจเขา


 


กล่าวให้ชัดคือพวกมันมาบรรจบกันยังโลกใบเล็กที่เขากำลังเปิดสร้างอยู่!


 


“นี่มันอะไรกัน…”


 


ความเปลี่ยนแปลงในฉับพลันดังกล่าวทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจทั้งสับสนนัก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)