War sovereign Soaring The Heavens 3082-3090

ตอนที่ 3082

 

สถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทวโลกต่างๆของเมืองฝูซานนั้น เป็นอาคารมหึมารูปวงแหวน มีห้องโถงใหญ่ 9 ห้องเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม


 


ด้วยเหตุนี้อาคารดังกล่าวจึงมีทางเข้าออกทั้งสิ้น 9 ทาง และเป็นประตูใหญ่ของแต่ละโถงนั่นเอง


 


“ห้องโถงใหญ่ทั้ง 9 ก็คือสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายขามระนาบของเมืองฝูซาน…ภายในห้องโถงใหญ่ทั้ง 9 แต่ละห้อง จะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบอยู่ 9 ค่ายกลสำหรับเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทวโลกต่างๆ 9 ระนาบ”


 


“หากนับรวมจำนวนค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้ง 9 โถง ก็เรียกว่ามีครบ 81 ค่ายกลตรงกับจำนวนระนาบเทวโลกพอดี แน่นอนว่ารวมหลิงหลัวเทียนที่พวกเราอยู่ด้วย”


 


หลังเดินข้ามจัตุรัสมาหยุดหน้าอาคารมหึมาที่มีโถง 9 โถงเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็กล่าวแนะนำรายละเอียดเบื้องต้นให้ต้วนหลิงเทียนฟัง


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมาอยู่เมืองฝูซานได้ 10 เดือนแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยแวะมาที่นี่เลย เพียงไปเดินหาซื้อของที่มีประโยชน์เท่านั้น


 


“รวมถึงหลิงหลัวเทียนด้วยงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนแปลกใจเล็กน้อย “ที่นี่ก็ไม่ใช่หลิงหลัวเทียนรึไง…แล้วจะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายมาหลิงหลัวเทียนอีกทำไม?”


 


“ย่อมมีเหตุผลเป็นธรรมดา”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “ทั้งหมดเพื่อให้คนในเมืองฝูซานที่คิดเดินทางไปยังสถานที่แห่งอื่นในหลิงหลัวเทียน สามารถไปถึงที่นั่นได้ทันที”


 


“แต่ก็อย่างที่ข้าเคยพูดไว้ ต้องเป็นสถานที่ใหญ่ๆและมีความสำคัญในระดับหนึ่งอย่างคฤหาสน์เฉวียนโยวแบบนี้”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวสืบต่อจนจบ


 


“งั้น…หมายความว่าคนจากเขตคฤหาสน์ระดับ 6 อื่นๆถ้าขี้เกียจเหาะเหินเดินทาง ก็ใช้ค่ายกลมาที่เขตคฤหาสน์เฉวียนโยวได้ทันทีสินะ?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง


 


“เป็นเรื่องธรรมดา”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า “แต่ไม่มีใครคิดจะทำแบบนั้นหรอก…กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะยังไม่คิดจะทำอย่างเจ้าว่าเลย”


 


“ประการแรกหากเป็นจอมราชันอมตะ คิดเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างเขตคฤหาสน์ระดับ 6 ของแดนสวรรค์ใต้ อาศัยความเร็วในการเดินทางของมัน ก็ไม่ใช้เวลามากมายอะไร กระทั่งต่อให้คิดจะเวียนรอบเขตคฤหาสน์ระดับ 6 ในแดนสวรรค์ใต้ก็ไม่กี่วันเท่านั้น”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว


 


“ไม่ค่อยมีใครทำ? หรือค่าใช้จ่ายมันสูง?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้ว “หรือจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี่…ต้องจ่ายผลึกอมตะมากงั้นเหรอ?”


 


“มากอยู่แล้ว”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ตอบกลับมาทันที “เรียกว่าแต่ละครั้งที่เจ้าคิดจะใช่ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก ก็ต้องมี 100,000 ผลึกอมตะระดับสูง…ไม่ว่าเจ้าจะไปไหน ใกล้ไกลยังไง ก็ต้องจ่าย 100,000 ผลึกอมตะระดับสูงหมด”


 


“และนี่ยังเป็นแค่ราคาเปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเท่านั้นนะ”


 


“เพราะนอกจากต้องจ่ายค่าเปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้ว เจ้ายังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ผู้ดูแลอีก…กล่าวได้ว่าหากคิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นี่ ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้ผู้ดูแลที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวส่งมา 10,000 ผลึกอมตะระดับสูง”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวรวดเดียวจบคำ


 


ได้ยินเรื่องที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูด ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่ง


 


“ทุกครั้งที่ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย ไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องจ่ายค่าเปิดค่ายกล 100,000 ผลึกอมตะระดับสูง…นอกจากนั้นยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ผู้ดูแลอีก 10,000 ผลึกอมตะระดับสูง…”


 


“งั้นไม่ได้หมายความว่า…จะไปไหนสักที่ก็ต้องเสีย110,000 ผลึกอมตะระดับสูง?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง


 


ถึงแม้เขาจะพอเดาได้ว่าคิดจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกต้องเสียเงินไม่น้อย แต่ไม่คิดเลยว่าจะต้องจ่ายแพงขนาดนี้


 


ผลึกอมตะระดับสูง 100,000 ชิ้น!


 


ต้องทราบด้วยว่า ราคานี้มันสามารถนำไปซื้ออุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไปได้ชิ้นนึงเลย!


 


กระทั่งบางที่ 100,000 ผลึกอมตะระดับสูง สามารถซื้ออาวุธอมตะระดับราชาคุณภาพดีๆได้เลย!


 


“แต่ก็ต้องดูด้วยว่าไปกันกี่คน…หากเจ้าไปคนเดียวก็ต้องจ่าย 110,000 ผลึกอมตะระดับสูง แต่ถ้าไปกันสองคนก็หารกันแค่คนละ 55,000 เท่านั้น”


 


“เพราะทุกครั้งที่เปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย หากไม่นับค่าธรรมเนียม จะไปคนเดียวหรือไป 2 คน ก็ต้องจ่าย 100,000 ผลึกอมตะ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว


 


“ถึงไป 2 คนก็จ่ายค่าเปิดใช้ค่ายกลเท่าเดิมสินะ…?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเปล่งแสงวาบหนึ่ง


 


หากหารกันได้ ก็นับว่าไม่แพงมากมายอะไร


 


คนเดียวจ่ายแสน หากมีสองคนก็แค่คนละ 50,000


 


นอกจากนั้นต่อให้จะแบกค่าธรรมเนียมไว้เอง แต่ถ้ามีเพื่อนไปด้วยอีกคน ก็จ่ายแค่ 60,000 ผลึกอมตะระดับสูงเท่านั้น


 


“ใช่”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า


 


“แล้วถ้าไป 3 คนล่ะ ได้รึเปล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนถามอีกครั้ง


 


หากไปพร้อมกันได้ 3 คน หมายความว่าราคาที่ต้องจ่ายต่อคนก็จะน้อยลงไปอีก เรียกว่าตกคนละ 30,000 กว่าๆเท่านั้นเอง


 


“ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกที่นี่สามารถใช้งานได้พร้อมกันเต็มที่ 2 คนเท่านั้น…และเป็นเพราะปรมาจารย์ค่ายกลของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวทำได้แค่นี้”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “หากเป็นสถานที่ๆใหญ่โตและเจริญกว่านี้ ปรมาจารย์ค่ายกลที่จัดตั้งค่ายกลย่อมมีความสามารถสูงขึ้น ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่พวกมันจัดตั้งก็อาจใช้งานได้พร้อมๆกัน 3-4 คน หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ และทุกครั้งที่เปิดใช้ค่ายกลก็เสียแค่ 100,000 ผลึกอมตะระดับสูงเท่ากัน”


 


ต้วนหลิงเทียนได้ฟังก็เข้าใจ


 


ที่แท้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก จะส่งคนไปได้กี่คนก็อยู่ที่ฝีมือปรมาจารย์ค่ายกลที่จัดตั้งมันด้วย


 


ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็อดได้ที่จะนึกถึงนักฆ่ากะโหลกเลือด 3 คนที่มาฆ่าเขา


 


‘เคลื่อนย้ายครั้งหนึ่งเสีย 110,000 ผลึกอมตะระดับสูง…ต่อให้นักฆ่ากะโหลกเลือดจะสามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมาที่เขตคฤหาสน์เฉวียนโยวได้โดยตรง แต่พวกมันคงไม่ใช้แน่นอน เพราะค่าใช้จ่ายมันได้ไม่คุ้มเสียเลย’


 


‘ไม่ต้องพูดถึงนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด กับนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสาน ต่อให้เป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักนั่น ก็ไม่มีทางควักผลึกอมตะระดับสูงเพื่อใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมาหาข้าที่เขตคฤหาสน์เฉวียนโยวแน่นอน’


 


‘นอกจากนั้น อาศัยความเร็วในการเหาะเหินเดินทางของนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก คิดจะมานิกายอมตะเป้าผู่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวก็คงใช้เวลาไม่นานมากมายอะไร’


 


ราชาอมตะ 9 ตำหนัก ไม่เพียงทรงพลัง แต่ความเร็วยังสูงตามด่านพลังอีกด้วย


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังได้ประสบกับความเร็วของยันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่มอบให้ ต้วนหลิงเทียนก็พอจะประมาณความเร็วของยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะทั่วไปได้คร่าวๆ


 


ในอดีตแม้เขาจะเคยใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองจนได้รับพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด แต่ความเร็วของเขาก็นับว่ายังห่างไกลจากจอมราชันอมตะคนอื่นๆมากนัก


 


เอาแค่ราชาอมตะ 9 ตำหนักขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดที่มาฆ่าเขา จากการเคลื่อนไหวที่มันลงมือเข่นฆ่าเข้ามาหลังเขาก้าวเท้าออกนอกเขตนิกายอมตะเป้าผู่ เห็นได้ชัดว่ามันเร็วกว่าเขาตอนถือครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดเสียอีก


 


นั่นเพราะเขาเข้าใจความลึกซึ้งของกฏน้อยเกินไป


 


“มีผู้คนมากมายที่มักมาหาคนที่คิดจะเดินทางไปที่เดียวกัน เพื่อจะได้หารค่าใช้จ่าย”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวประโยคนี้จบ มันกับต้วนหลิงเทียนก็เดินมาถึงหน้าทางเข้าประตูโถงแห่งหนึ่งพอดี


 


“ค่ายกลเคลื่อนย้าไปอวี้หวงเทียนอยู่โถงนี้”


 


หลังเดินมาถึง หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวอีกครั้ง


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ จากนั้นก็มองสำรวจหน้าโถงด้วยความสนใจ


 


ห้องโถงเบื้องหน้าแตกต่างจากห้องโถงส่วนใหญ่ที่เขาเคยเห็น การตกแต่งมันค่อนข้างโบราณ ชวนให้ผู้คนรู้สึกเสมือนย้อนยุคอย่างไรอย่างนั้น


 


และเขายังสังเกตเห็นอีกด้วยว่ามีคนมากมายยืนออกันอยู่ด้านนอกห้องโถง และพอเห็นใครเดินมาคนเดียว ก็จะก้าวเข้าไปถามทันที


 


“พี่ชาท่านนี้ ท่านคิดไปโหมวอวิ๋นเทียนหรือไม่ หากใช่ท่านมาหารค่าเดินทางกับข้าได้”


 


“สหายท่านนั้นคิดไปที่ใดหรือ? หากจะไปหวู่เฉวียนเทียนท่านไปกับข้าเถอะ…และถ้าบังเอิญท่านคิดไปในเขตที่ข้าจะไปพอดี นอกจากค่าธรรมเนียม 10,000 ผลึกอมตะระดับสูงแล้ว ท่านจ่ายค่าเดินทางแค่ 30,000 ผลึกอมตะระดับสูงเป็นไร?”


 


“คุณชาย ใช่ท่านคิดเดินทางไปหงอวิ๋นเทียนรึเปล่า?”


 



 


ต้วนหลิงเทียนที่เดินข้างๆหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็ได้ยินทั้งเห็นผู้คนที่ยืนรอด้านนอกโถงพยายามถามหาคนที่มาคนเดียวกันใหญ่…ว่าจะเดินทางไปไหน เห็นชัดว่าคิดหาคนไปที่เดียวกันเพื่อประหยัดเงิน!


 


แต่เป็นธรรมดาทันทีที่เดินผ่านประตูเข้าโถงมา สรรพเสียงจอแจด้านนอกก็ไม่ดังเข้ามาเลย


 


ยิ่งไปกว่านั้นภายในห้องโถง เขาก็ไม่ได้ยินเสียใครพูดคุยกันเลย


 


‘ดูเหมือนพฤติกรรมหาแนวร่วมอะไรด้านนอก จะห้ามกระทำในโถง’


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามาในโถงแล้ว เขาก็สังเกตเห็นร่างคนที่ยืนตัวตรงดั่งหอกหลายคน


 


ในบรรดาคนที่ยืนนิ่งตัวตรงดั่งหอกนั่น ก็มีทั้งชายหนุ่ม ชายวัยกลางคน และชายชรา ทุกคนล้วนสวมใส่ชุดคลุมสีน้ำเงินปักอักษร เฉวียโยว เอาไว้โดยมีลายเมฆเป็นพื้นหลัง


 


แม้แต่ละคนจะยืนตัวตรงดั่งหอก หากแต่สายตาแหลมคมของพวกมันก็คอยสอดส่องมองซ้ายมองขวาตลอดเวลา


 


“คนที่ยืนเฝ้าพวกนี้…คนของคฤหาสน์เฉวีนโยวงั้นรึ”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามลอยๆ


 


“ใช่”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า “ในห้องโถงแบบนี้ ปกติจะมีคนเฝ้าดูแลทั้งสิ้น 20 คน ทั้งหมดมาจากวังเฉวียนโยว…9 คนทำหน้าที่เฝ้าประจำค่ายกลต่างๆ ส่วนที่เหลือจะคอยดูแลความสงบเรียบร้อยในห้องโถง”


 


ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันทีว่า คนไม่กี่คนที่เขาเห็นหันซ้ายทีขวาที ก็คือผู้ที่คอยดูแลความสงบในห้องโถง


 


“ข้างนอกมีคนถามหาคนไปที่เดียวกันก็จริง แต่ด้านในห้องโถงไม่มีใครกล้าพูดคุยกับผู้อื่นเพื่อหาคนร่วมทางแน่นอน ทั้งหมดเพราะมีคนเฝ้าอยู่อย่างที่เห็น…และนั่นคือกฏของที่นี่”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “หากกล้าถามเรื่องพวกนั้นในโถง ไม่เพียงจะโดนคนของคฤหาสน์เฉวียนโยวสั่งสอน ยังจะโดนคาดโทษไว้ให้ไม่อาจใช้ค่ายกลที่นี่ได้อีก 1 ปี…ถึงตอนนั้นต่อให้มีความจำเป็นต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพียงใด ก็ต้องไปใช้ที่เมืองอื่นสถานเดียว”


 


คำกล่าวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ยืนยันความคิดต้วนหลิงเทียนก่อนหน้า


 


ในห้องโถงห้ามไม่ให้พูดคุยหาคนใดๆทั้งสิ้น



 

 

 


ตอนที่ 3083

 

ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นตำแหน่งที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกทั้ง 9


 


เป็นเวทียกสูง 9 เวที และขอบด้านหน้าของแต่ละเวทีจะมีคนในชุดคลุมสีน้ำเงินยืนตัวตรงดั่งหอกเฝ้าไว้ หากสังเกตให้ดีจะพบว่าพื้นเวทีดังกล่าว มีลวดลายและอักขระวาดเอาไว้ดั่งวงเวทย์


 


ลวดลายและอักขระบนวงเวทย์ดังกล่าวยังปรากฏแสงสีทองไหลเวียนอยู่ มองไปคล้ายเลือดที่สูบฉีดไปตามเส้นเลือด บ้างเร็วบ้างช้า เปล่งแสงวูบวาบไม่หยุด


 


“นั่นคือผู้พิทักษ์ค่ายกลที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวส่งมา จะเรียกว่าผู้ดูแลก็ได้”


 


คล้ายสังเกตเห็นสายตาของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลันกล่าวอธิบายออกมาทันที “ผู้พิทักษ์ค่ายกลที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวส่งมา แม้จะมีพลังฝีมือปานกลาง หากแต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่สามารถควบคุมค่ายกลที่คอยปกป้องค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกได้ทั้งสิ้น เรียกว่าหากทะเล่อทะล่าบุกขึ้นเวทีเคลื่อนย้ายหมายก่อการใดๆ ผู้พิทักษ์แต่ละคนสามารถเปิดใช้ค่ายกลสังหาร ที่สามารถฆ่าผู้ที่อยู่บนเวทีได้ในห้วงคิดเดียว”


 


“หากเป็นราชาอมตะชนชั้นสุดยอดฝีมือก็มีความเป็นไปได้ที่จะรอดพ้นจากความตาย แต่อย่างไรก็ไม่พ้นต้องถูกทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก เรียกว่าสามารถถ่วงเวลาให้มากพอที่กำลังเสริมจากทางคฤหาสน์เฉวียนโยวจะมาถึง แน่นอนว่ากำลังเสริมที่ว่าก็จะถูกส่งผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมาเช่นกัน และสามารถมาปรากฏตัววที่นี่ได้ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ”


 


“เหตุไฉนที่แต่ละเวทีถึงมีผู้พิทักษ์คอยควบคุมใช้ค่ายกลสังหารแบบนั้น ก็เพื่อป้องกันผู้ที่คิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแต่ไม่เต็มใจจะจ่ายผลึกอมตะระดับสูง 10,000 ชิ้นเป็นค่าธรรมเนียม…”


 


“นอกจากนั้นยังป้องกันคนที่คิดจะตีเนียนใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายอีกด้วย…”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก


 


ไม่แปลกอะไรที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวจะทำแบบนี้


 


คฤหาสน์เฉวียนโยวไม่ใช่องค์กรการกุศล ย่อมต้องคิดหารายได้เป็นธรรมดา ในเมื่อพวกมันลงทุนจ้างปรมาจารย์ค่ายกลมาจัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้คนแบบนี้ ก็ย่อมคิดหาทุนคืนและหาผลกำไรระยะยาวเป็นธรรมดา


 


“ค่ายกลบนเวทีข้างหน้า เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จะพาพวกเราไปอวี้หวงเทียน”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เดินนำต้วนหลิงเทียนมาหยุดยืนหน้าเวทีแห่งหนึ่งกล่าว


 


พอมองไปต้วนหลิงเทียนก็เห็นชายวัยกลางคนกับชายชรากำลังควักผลึกอมตะระดับสูงออกมาคนละ 10,000 ชิ้นเพื่อจ่ายให้กับผู้พิทักษ์เวที จนเมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว ผู้พิทักษ์ถึงปล่อยให้ทั้งคู่ขึ้นไปบนเวทีได้


 


หลังจากทั้งคู่ขึ้นไปบนเวที ชายวัยกลางคนกับชายชราก็หยิบควักผลึกอมตะระดับสูงออกมาคนละ 50,000 ชิ้น พริบตาบนเวทีก็เต็มไปด้วยกองผลึกอมตะ 100,000 ชิ้น


 


หลังผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ วงเวทย์ค่ายที่มีลวดลายสีทองบนเวทีก็เริ่มเปล่งแสงสว่างทั้งสร้างหมอกขาวออกมา และพริบตาหมอกดังกล่าวก็แผ่ซ่านไปปกคลุมผลึกอมตะระดับสูงทั้ง 100,000 ชิ้นเอาไว้ จากนั้นผลึกอมตะระดับสูงทั้ง 100,000 ชิ้นก็เริ่มหลอมละลายกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมอกสีขาว


 


หมอกขาวที่ว่า หลังหลอมรวมเข้ากับผลึกอมตะระดับสูง 100,000 ชิ้นแล้ว พวกมันก็คล้ายจะควบแน่นจับตัวเป็นของเหลวสีขาว จากนั้นก็เริ่มแผ่ขยายไหลไปทั่ววงเวทย์บนเวที


 


พริบตาต่อมาของเหลวสีขาวบนเวที ก็เริ่มปั่นป่วนคล้ายกำลังจะเดือดพล่าน!


 


วู้มมม!!


 


ทันใดนั้นเอง อยู่ดีๆของเหลวสีขาวที่คล้ายกำลังเดือดพล่าน ก็เริ่มเปลงแสงสว่างออกมาเจิดจ้า ทำให้ชายวัยกลาคนและชายยชราบนเวทีถูกแสงขาวกลืนกินไปในชั่วพริบตา ยากที่ใครจะมองเห็นทั้งคู่ได้อีก


 


และพอแสงสว่างสีขาวดับลง ร่างทั้ง 2 คนบนเวทีก็หายไปแล้ว


 


นอกจากนั้นบนเวทีก็หวนกลับสู่สภาพปกติ ไร้แสงสีขาว ไร้ของเหลวสีขาว คงเหลือเพียงวงเวทย์ที่มีพลังสีทองไหลเวียนเหมือนตอนแรก…


 


“หืม? แค่เอาผลึกอมตะออกมากองก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องบอกสถานที่อะไรให้ผู้พิทักษ์เลยรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋ย


 


“ไม่ต้องบอก”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่ายหัวไปมา “พอขึ้นไปบนเวที หลังจากที่นำผลึกอมตะระดับสูงแสนชิ้นออกมากอง และรอให้พวกมันเปลี่ยนเป็นของเหลวสีขาวที่คล้ายน้ำเดือด เพียงเจ้าแผ่สำนึกเทวะลงไปและคิดถึงสถานที่ๆจะไปค่ายกลก็จะส่งตัวเจ้าไปทันที”


 


“เป็นธรรมดาว่าสถานที่ๆจะไปต้องเหมือนกับที่ข้าเคยบอกไว้ก่อนหน้า เป็นสถานที่เฉพาะเจาะจงในระดับหนึ่ง อย่างเช่นเขตคฤหานน์เฉวียนโยวที่พวกเราอยู่…และพอเจ้าคิดว่าจะเคลื่อนย้ายไปเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ในใจเจ้าจะสัมผัสได้ถึงสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวในเขตนั้นทั้งหมดทันที”


 


หลิงจือหยุนกล่าว


 


“ค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัว…”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง เขาย่อมเคยอ่านเจอข้อมูลเรื่องนี้ในหอตำราฝ่ายในของนิกายอมตะเป้าผู่มาแล้ว ค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวที่ว่า ก็คือค่ายกลที่มีไว้สำหรับรองรับผู้ที่ถูกส่งตัวมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายโดยเฉพาะ


 


แทบจะทุกที่ๆมีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกจัดตั้งไว้ ก็จะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวจัดตั้งไว้ด้วยเสมอ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องนำมาตั้งไว้ติดๆกัน


 


ที่สำคัญค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัว ในสถานการณ์ปกติก็ไม่จำเป็นต้องมีคนคุ้มกันอะไร และไม่จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันใดๆมากนัก


 


“ในเมืองฝูซานก็สมควรมีสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวด้วยสินะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


“มี”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า “ค่ายกลเคลื่อนย้ายยรับตัวของเมืองฝูซานถูกจัดตั้งไว้นอกประตูเมืองทิศตะวันออก…แน่นอนว่าแถวนั้นไม่ได้คึกคักมีคนมากมายเหมือนที่นี่ เป็นแค่พื้นที่เปิดโล่งๆ และมีแค่กระดานแผนที่บอกทิศทางให้ผู้ที่เดินทางมาถึงเท่านั้น”


 


สิ่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบมา ก็เหมือนกับข้อมูลที่ต้วนหลิงเทียนรู้มา


 


แทบทุกที่ๆมีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกจัดตั้งเอาไว้ มักมีค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวจัดตั้งไว้ด้วยเสมอ และมักมีระยะห่างกันประมาณหนึ่ง


 


ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็เห็นชายอีกคนที่มาคนเดียวจ่ายค่าธรรมเนียมให้ผู้พิทักษ์ จากนั้นก็ขึ้นไปบนเวทีค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังอวี้หวงเทียน ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปอววี้หวงเทียนเพียงลำพัง


 


ครู่ต่อมาเมื่อแสงสว่างสีขาววดับลง ชายคนดังกล่าวก็หายไปจากเวทีแล้ว


 


ขณะเดียวกันด้านหน้าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไม่เหลือใครอีก เรียกว่าถึงตาพวกเขาแล้ว


 


เดิมทีต้วนหลิงเทียนคิดจะจ่ายผลึกอมตะระดับสูง 20,000 ชิ้นให้ผู้พิทักษ์เป็นค่าธรรมเนียม หากแต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับไวกว่า อีกฝ่ายราวกับเตรียมไว้แต่แรก สะบัดมือส่งผลึกอมตะระดับสูง 20,000 ชิ้นให้ผู้พิทักษ์ตัดหน้าเขา และหันมามองกล่าวชวนต้วนหลิงเทียนทันที “ไปกันเถอะ”


(แก้นิดนึงครับ ค่าธรรมเนียมต้องจ่ายคนละ 10,000 ตอนก่อนผมเข้าใจผิดว่าถึงมา 2 คนก็ต้องจ่ายแค่ 10,000 เดียว)


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าและเดินตามหลิงเจวี๋ยอวิ๋ขึ้นเวทีไป ขณะเดียวกันเมื่อมาหยุดยืนกลงเวทีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือเรียกผลึกอมตะระดับสูง 100,000 ชิ้นให้ออกมากองเกลื่อนพื้นเวทีทันที


 


เห็นฉากดังกล่าวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก


 


เพราะสำหรับมันแล้ว ผลึกอมตะระดับสูง 100,000 ชิ้นก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย


 


เป็นธรรมดาวว่าผลึกอมตะระดับสูง 100,000 ชิ้นก็ไม่ได้มีค่ามากมายอะไรสำหรับต้วนหลิงเทียนในตอนนี้เช่นกัน เพียงแค่ต้วนหลิงเทียนไม่คิดติดค้างอะไรหลิงเจวี๋ยอวิ๋น กระทั่งยังเลือกจะจ่ายเผื่อให้ด้วย


 


ตั้งแต่เมื่อชาติก่อนตอนอยู่บนโลก เขามักทำตามหลักการที่ว่า


 


ตราบใดที่เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงิน เขาไม่คิดติดค้างใคร


 


หนี้น้ำใจ นับเป็นหนี้ที่ยากชำระคืนมากที่สุดในโลก


 


‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนบันทึกในหอตำราฝ่ายในของนิกายอมตะกล่าวไว้ ว่าต้องใช้ผลึกอมตะระดับสูงเท่านั้นหากคิดจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย…เพราะสุดท้ายหากเป็นผลึกอมตะระดับกลางหรือต่ำ ค่ายกลเคลื่อนย้ายคงไม่อาจทำงานได้…’


 


ขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองผลึกอมตะระดับสูง 100,000 ชิ้น ถูกหมอกสีขาวจากค่ายกลเคลื่อนย้ายแผ่มาปกคลุม ก็นึกถึงเรื่องที่เขาได้รู้จากหอตำราของนิกายอมตะเป้าผู่ขึ้นมา


 


ตัวค่ายกลนั้นสามารถรองรับผลึกอมตะได้แค่ 100,000 ชิ้นเท่านั้น หากไม่ใช่ระดับสูงเกรงว่าพลังงานที่ได้จะไม่พอ จำต้องใช้ผลึกอมตะระดับสูงขึ้นไป


 


“หากสองคนคิดจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วยกัน ก็ต้องผสานสำนึกเทวะลงสู่ของเหลวสีขาวทั้งคู่ก่อน…ค่ายกลถึงจะเริ่มต้นกะบวนการส่งตัว แน่นอนว่าถ้าคิดถึงจุดหมายไม่เหมือนกัน มันก็จะไม่ทำงาน”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยขึ้น


 


“เอาล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็รอให้หมอกสีขาวทำการย่อยสลายดูดซับผลึกอมตะระดับสูงทั้ง 100,000 ชิ้นจนกลายเป็นของเหลวแล้วเสร็จ ค่อยแผ่สำนึกเทวะไปยังของเหลวสีขาวตามที่หลิงเทียนอวิ๋นบอก


 


‘อวี้หวงเทียน แดนผิงเทียน คฤหาสน์เอี้ยนซาน’


 


ต้วนหลิงเทียนคิด


 


เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่พอกำลังจะเดินทางไปจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย


 


นั่นเพราะในอวี้หวงเทียน มีตัวตนที่เขารู้จักดีในชาติก่อน


 


อย่างเช่นราชาวานร ซุนหงอคง แม่ทัพเทียนเผิง ตือโป๊ยก่าย หรือซัวเจ๋งจากไซอิ๋ว และยังมียอดคนอื่นๆอีก


 


เรียกว่าทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนในตำนานปรัมปราทั้งสิ้น


 


‘อย่างไรเสียด้วยด่านพลังของข้าตอนนี้คงยากจะเข้าถึงตัวตนเหล่านั้นได้…ในบรรดาตัวตนในตำนานทั้งหลาย ที่อ่อนแอที่สุด ก็ไม่พ้นต้องเป็นจักรพรรดิอมตะกันแล้วกระมัง’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนในใจ


 


หากเขาเป็นจักรพรรดิอมตะคนนึงในอวี้หวงเทียน ก็อาจจะมีลู่ทางพบเจอตัวตนในตำนานเหล่านั้นของอวี้หวงเทียนได้ แต่อาศัยด่านพลังของเขาตอนนี้ กระทั่งยามหน้าประตูบ้านผู้อื่นก็คงไม่อาจเป็นได้


 


‘จะว่าไป…แดนผิงเทียนที่ว่านั่น?’


 


‘หากจำไม่ผิด…คนที่ราชาวานรซุนหงอคงนับถือเป็นพี่ใหญ่อย่าง ราชาปีศาจวัว ก็เหมือนจะถูกเรียกหาว่า ผิงเทียนต้าเซิ่น…ไม่ทราบจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับแดนผิงเทียนที่ว่ารึเปล่า?’


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัยเรื่องนี้ ของเหลวสีขาวใต้เท้าเขาก็เริ่มเปล่งแสงสว่างขึ้นมาห่อหุ้มเขาพอดี


 



 


ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเดินทางออกจากหลิงหลัวเทียนไปยังอวี้หวงเทียนนั้น


 


ใกล้ๆสถานที่ตั้งนิกายอมตะเป้าผู่ คนของหน่วยข่าวกรององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ก็ได้บดขยี้ยันต์อมตะสื่อสาร เพื่อส่งข้อมูลที่ได้รับมากลับไปยังหน่วยข่าวกรองขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด


 


“ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่ ไม่ได้ย้อนกลับมานิกายอมตะเป้าผู่…”


 


นี่คือข้อความที่คนของหน่วยข่าวกรององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดส่งกลับไป


 


หลังหน่วยข่าวกรองขององค์กรกะโหลกเลือดได้รับทราบข้อความดังกล่าว ก็ประสานติดต่อแจ้งไปยังผู้ที่รับผิดชอบภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนทันที


 


กล่าวไปผู้รับผิดชอบภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนก็ได้เปลี่ยนมือไปแล้วหลายครั้ง และในตอนนี้ก็ตกอยู่ในความรับผิดชอบของ 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด เฉินหย่วนซาน


 


‘สารเลวน้อยนี่…ไฉนไปรับงานยุ่งยากเช่นนี้มาได้! ไอ้หนูแซ่ต้วนนั่นมันรู้แล้วว่าองค์กรกะโหลกเลือดไม่คิดเลิกราเรื่องไล่ฆ่ามัน เช่นนั้นหลังออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ได้ ไม่พ้นต้องหายเข้ากลีบเมฆแน่แท้ ไหนเลยจะโผล่หัวออกมาให้เจอตัวง่ายๆอีก’


 


‘คิดจะตามล่าหาตัวมันเกรงว่าคงยากเย็นแล้ว’


 


เฉินหย่วนซานเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหนักแน่นมั่นคง หว่างคิ้วไม่ขาดอำนาจบารมี แลดูน่าเกรงขามนัก


 


เฉินหลี เป็นลูกชายคนเดียวของมัน


 


เฉินหลีที่ว่า ก็คือผู้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากเจิ้งหงอี้ศิษย์สายตรงลำดับ 3 ของซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายยอมตะเป้าผู่ จากนั้นจึงตอบแทนเจิ้งหงอี้ด้วยการค้ำประกันให้องค์กรกะโหลกเลือดออกภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียน



 

 

 


ตอนที่ 3084

 

ณ ดินแดนอิสระแห่งหนึ่งที่แยกตัวออกมาเป็นเอกเทศน์จากเขตคฤหาสน์ระดับ 6 ของแดนสวรรค์ใต้


 


ภายในเมืองใหญ่อันมีพื้นที่สุดไพศาล ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดคลุมทองที่กำลังจิบชาบนโต๊ะในลานของคฤหาสน์หลังเขื่อง อยู่ๆมือมันก็ชะงักหยุดลง สีหน้ายังเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดมน


 


“มีเรื่องอะไรหรือเฉินหลี?”


 


ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะฝั่งตรงข้าม ขมวดคิ้วเอ่ยถามชายหนุ่มในชุดคลุมทองด้วยความเอะใจสงสัย


 


ชายหนุ่มอีกคนที่ว่า มาในชุดคลุมสีขาว ใบหน้าหล่อเหลา ในมือถือไว้ด้วยพัดเล่มหนึ่ง แลดูภูมิฐาน และด้วยความที่บนใบหน้ามักมีรอยยิ้มอ่อนโยน ช่างชวนให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่นเสมือนสายลมฤดูใบไม้ผลินัก


 


“เจ้ายังจำเรื่องศิษย์อัจฉริยะคนหนึ่งของนิกายอมตะเป้าผู่ที่ข้าเคยพูดถึงตอนที่เจ้ามาหาข้าครั้งก่อนได้ไหม…”


 


ชายหนุ่มในชุดคลุมสีทอง ก็คือลูกชายนอกสมรสของ 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด เฉินหลี นั่นเอง และเมื่อครู่มันก็พึ่งได้รับข้อความที่บิดาติดต่อมา


 


“ก็จำได้อยู่”


 


ชายหนุ่มชุดขาวพยักหน้า “มีอะไรรึ?”


 


“ภารกิจสังหารมัน…จนถึงวันนี้ยังไม่สำเร็จ”


 


เฉินหลีเอ่ยออกเสียงหนัก


 


“หา?”


 


ชายหนุ่มชุดขาวอึ้งไปเล็กน้อย มันย่อมรู้ความสามารถขององค์กรกะโหลกเลือดดี แต่จนถึงตอนนี้…ยังไม่อาจฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนนึงได้?


 


“มัน…มียอดฝีมือคอยติดตามคุ้มกันรึ?”


 


ชายยหนุ่มชุดขาวเอ่ยถามด้วยสงสัย


 


“เปล่า ทางเรายืนยันแล้วว่ามันมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง…ด้วยพลังของอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองนั่น มันสามารถฆ่านักฆ่าคนแรกที่องค์กรกะโหลกเลือดเราส่งไปได้”


 


เฉินหลีกล่าว


 


“อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองงั้นหรือ…ก็ไม่แปลกอะไร เพราะพอมันใช้อุปกรณ์นั่น มันก็ได้พลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดมาครอง ต่อให้มันจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ไม่กี่ประการ แต่คิดจะฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดขององค์กรกะโหลกเลือดเจ้าก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยาก”


 


ชายหนุ่มชุดขาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นก็เอ่ยถามออกไปว่า “ว่าแต่หลังนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดถูกมันฆ่าตาย องค์กรกะโหลกเลือดของเจ้าก็สมควรสงนักฆ่าที่แข็งแกร่งมากพอไปจัดการมันต่อไม่ใช่รึ?”


 


องค์กรกะโหลกเลือด ในฐานะอค์กรมือสังหารระดับแนวหน้าของแดนสวรรค์ใต้ ย่อมไม่รับภารกิจมั่วซั่ว แต่ถ้าหากรับงานมาแล้ว…หากเป้าหมายไม่ตาย ไม่คิดเลิกรา!


 


มันรู้เรื่องนี้ดี


 


“ก็ใช่ และนักฆ่าคนที่ 2 ที่ทางองค์กรกะโหลกเลือดเราส่งไป ก็เป็นราชาอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 6 ประการ…”


 


เฉินหลีกล่าว


 


“ราชาอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 6 ประการ? ความแข็งแกร่งระดับนี้ต่อให้เป็นในคฤหาสน์เฉวียนโยวยังนับเป็นกำลังสำคัญ อาศัยนิกายอมตะเป้าผู่ อย่างดีก็คงมีแค่คนสองคนที่รับมือได้กระมัง?”


 


ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยถามออกไปด้วยความประหลาดใจ “เจ้าอย่าบอกนะ…ว่ามันพลาด?!”


 


“มันไม่เพียงแต่จะพลาด…แต่ยังมีจุดจบเหมือนนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด เอาชีวิตไปทิ้งในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว”


 


สีหน้าเฉินหลียิ่งมายิ่งมืดมน


 


“อะไร!? ราชาอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 6 ประการยังตาย!?”


 


ชายหนุ่มชุดขาวอดตกใจไม่ได้ “หรือยอดฝีมือของนิกายอมตะเป้าผู่ลงมือ?”


 


“เรื่องนี้ไม่รู้เลย…เพราะก่อนที่นักฆ่าผู้นั้นจะตายตก มันมิได้ส่งข้อความอันใดกลับมา ทำให้พวกเราไม่รู้เลยว่ามันโดนใครฆ่าตายกันแน่”


 


เฉินหลีกล่าวสืบต่อ “หลังจากนั้น ทางองค์กรกะโหลกเลือดเราก็ได้ส่งนักฆ่าไปเป็นคนที่ 3 และครานี้ก็คือนักฆ่าขอบเขตพลังราชาอมตะ 9 ตำหนัก”


 


ราชาอมตะ 9 ตำหนัก!


 


ชายหนุ่มชุดขาวเลิกคิ้วขึ้น “นักฆ่าระดับราชาอมตะ 9 ตำหนัก ในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว หากไม่ต้องกังวลเรื่องตั้งตัวเป็นศัตรูกับคฤหาสน์เฉวียนโยวอย่างเปิดเผย พลังฝีมือของมันก็สมควรกวาดล้างขุมกำลังระดับ 7 ของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวได้หมดกระมัง”


 


ในสายตาของชายหนุ่มชุดขาว การส่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก ไปสังหารยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนหนึ่ง มันไม่ได้ต่างอะไรกับคิดฆ่าไก่ด้วยมีดฆ่าโค! สมควรจัดการได้เหลือๆ!!


 


“นักฆ่าคนนี้ แม้จะไม่ถึงกับพลาดท่าตายตก…แต่เป้าหมายก็หนีรอดไปได้”


 


บัดนี้สีหน้าเฉิงหลีมืดดำลงจนแทบจะคั้นได้เป็นหยดน้ำหมึก!


 


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


 


หว่างคิ้วชายหนุ่มชุดขาวเริ่มขดย่นเป็นปม


 


“ประมุขนิกาอมตะเป้าผู่ มอบยันต์อมตะหลบหนีให้มัน ยังเป็นยันต์เงาวายุที่คฤหาสน์เฉวียนโยวมอบให้เป็นรางวัล…ยันต์เงาวายุนั่น ไม่เพียงบรรจุพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตจอมราชันอมตะเอาไว้ ยังมีพลังจากความลึกซึ้งกายสายลมและความลึกซึ้งลมกรดบรรจุเอาไว้ด้วย…”


 


กล่าวถึงจุดนี้เฉินหลีก็กัดฟันกล่าวออกมา “และไม่ว่าจะความลึกซึ้งกายสายลมหรือลมกรด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นความลึกซึ้งที่บรรลุขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยทั้งคู่!”


 


“เมื่อเป้าหมายใช้ยันต์เงาวายุนั่น จึงหลบหนีไปภายใต้เงื้อมมือนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักของเราได้อย่างง่ายดาย กระทั่งไม่เหลือร่องรอยใดๆให้สืบสาว สุดท้ายนักฆ่าเราก็ได้แต่กลับมาพร้อมความล้มเหลว”


 


สองตาเฉินหลีเบิกกว้าง มากล้นไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน เพราะเป้าหมายนั่นมันสามารถรอดพ้นเงื้อมมือนักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดไปได้หลายครั้งหลายครา จึงสร้างความกดดันให้ผู้ที่ค้ำประกันภารกิจอย่างมันไม่น้อย


 


หากไม่ใช่ว่าตอนนี้บิดาหนุนหลังมันอยู่ล่ะก็ เจ้าหน้าที่อาวุโสของอค์กรกะโหลกเลือดคงไม่เก็บมันไว้แน่!


 


“ยันต์อมตะหลบหนี…เงาวายุ ไม่เพียงมีพลังของจอมราชันอมตะ แต่ยังบรรจุพลังจากความลึกซึ้งกายสายลมกับลมกรดขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยเอาไว้…”


 


ชายหนุ่มชุดขาวหยีตาเอ่ยออกเสียงเข้ม “ยันต์อมตะหลบหนีระดับนี้ นับประสาอะไรกับราชาอมตะ 9 ตำหนัก ต่อให้เป็นนักฆ่าไพ่ตายขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศขององค์กรกะโหลกเลือดเจ้า ก็คงทำได้แค่มองคนหายไปตาปริบๆ…”


 


“อย่างไรก็ตาม ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าประมุขนิกายอมตะระดับ 7 จะมียันต์อมตะระดับนี้ในมือ…ดูเหมือนคฤหาสน์เฉวียนโยวจะให้ความสำคัญกับมันไม่น้อย”


 


ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยออกอีกครั้ง


 


“ไม่ว่ามันจะสำคัญขนาดไหน ก็ไม่มีทางเทีบบเจ้าศิษย์หลักของนิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับได้หรอก”


 


พอเฉินหลีเอ่ยถึงจุดนี้ มันก็คล้ายนึกอะไรได้ออก จึงหันไปมองถามชายหนุ่มชุดขาวด้วยความสนใจทันที “จะว่าไปนิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับของเจ้าดูเหมือนจะเริ่มทำการคัดเลือกศิษย์ที่แท้จริงคนใหม่แล้วมิใช่รึ รอบนี้เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะได้นั่งเก้าอี้ศิษย์ที่แท้จริง?”


 


“ข้ามั่นใจเต็มสิบส่วน!“


 


ชายหนุ่มชุดขาวหยีตากล่าว ลูกตายังทอแสงสว่างวาบ ใบหน้าฉายชัดถึงความมั่นใจถึงขีดสุด


 


“เยี่ยม! ยินดีกับเจ้าด้วย!!”


 


รอยยิ้มหายากคลี่กางขึ้นบนใบหน้าเฉินหลีอีกครั้ง แค่พอมาคลี่กางบนใบหน้าของมันแล้ว กลับดูอนาถกว่าร่ำไห้ก็เท่านั้น


 


สหายของมันคนนี้เป็นศิษย์หลักของ 1 ใน 5 นิกายใหญ่ของแดนสวรรค์ใต้ นิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับ และยังเป็นตัวตนระดับแนวหน้าของศิษย์หลักทั้งหลาย


 


และครานี้หากสหายของมันสามารถผ่านการคัดเลือกให้เป็นศิษย์ที่แท้จริงของนิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับได้จริงๆล่ะก็ อีกฝ่ายจะกลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงที่มีอายุน้อยที่สุดของนิกายปราญช์เต๋าเร้นลับ!


 


ต้องทราบด้วยว่านิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับนั้นมีตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงอยู่แค่ 3 ตำแหน่งเท่านั้น ความสำคัญของมันไม่ใช่อะไรที่ศิษย์ที่แท้จริงนิกายทั่วไปจะเทียบได้เลย


 


“ว่าแต่ก่อนหน้านี้เจ้าได้รับการติดต่อจากใครกันแน่ ไฉนสีหน้าถึงแลดูอึดอัดนักเล่า?”


 


ชายหนุ่มชุดขาวมองจ้องเฉินหลีพลางถาม


 


“พ่อข้าเอง…”


 


เฉินหลีถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ค่อยกล่าว “ท่านพ่อพึ่งบอกข้าว่าเป้าหมายดูเหมือนจะเดินทางไปยังอวี้หวงเทียนด้วยค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกในเมืองฝูซานที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของคฤหาสน์เฉวียนโยวเมื่อ 3 วันก่อน…ส่วนเรื่องมันไปส่วนไหนของอวี้หวงเทียน เกรงว่ามีแค่เป้าหมายกับสหายของมันเท่านั้นที่รู้”


 


“เป็นธรรมดาว่าหากทางคฤหาสน์เฉวียนโยวยินดีให้ความร่วมมือกับเรา…ปล่อยให้ปรมาจารย์ค่ายกลเราตรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายไปอวี้หวงเทียนนั่นดู ก็สามารถระบุจุดหมายปลายทางของพวกมันได้ไม่ยาก”


 


“แต่ปัญหาคือทางคฤหาสน์เฉวียนโยวไม่ยอมให้ความร่วมมือกับพวกเรา”


 


กล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงของเฉินหลีก็ฟังดูอ่อนใจและไม่ยินยอมอยู่บ้าง


 


“คฤหาสน์เฉวียนโยวรึ…”


 


ได้ยินคำของเฉินหลี ชายหนุ่มชุดขาวพลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “บางทีเรื่องนี้ข้าอาจจะพอช่วยเจ้าได้”


 


“หือ?”


 


เฉินหลีที่ได้ยินดังกล่าว ก็เงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มชุดขาวอย่างไม่รู้ตัว


 


“ข้ามีศิษย์น้องคนนึงที่เหมือนจะมาจากคฤหาสน์เฉวียนโยว…และข้ายังเคยได้ยินมันเล่าว่าบิดาของมันเป็นรองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยว”


 


“เรื่องให้มันช่วยฆ่าศิษย์อัจฉริยะของนิกายอมตะเป้าผู่ที่อยู่ใต้อาณัติคฤหาสน์เฉวียนโยวย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน…แต่ถ้าแค่อยากรู้ว่าเป้าหมายของเจ้าไปส่วนไหนของอวี้หวงเทียน โดยการตรววจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายไม่น่าจะมีปัญหา”


 


“แต่เป็นธรรมดาว่า เจ้าไม่อาจเปิดเผยตัวตนของเจ้าได้ ทั้งไม่อาจให้พวกมันล่วงรู้เหตุผลที่เจ้าต้องการตรวจสอบค่ายกลเด็ดขาด ว่าเจ้าทำไปเพราะคิดหาจุดหมายปลายทางของศิษย์อัจฉริยะนิกายอมตะเป้าผู่…”


 


ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวออกมารวดเดียวจบคำ


 


เฉินหลีพอได้ยิน สองตามันก็ทอประกายขึ้นมาสว่างจ้า มองชายหนุ่มชุดขาวด้วยสายตาจริงจังกล่าวออกเสียงเข้ม “พี่หรูอวี้หากท่านทำได้ นับว่าข้าติดค้างท่านครั้งใหญ่แล้ว”


 


“ระหว่างเจ้ากับข้า ยังจะมาติดค้างอันใดกันอีก”


 


ชายหนุ่มชุดขาวคลี่ยิ้มบางๆ พัดในมือที่ไม่ทราบคลี่กางขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็เริ่มโบกพัดเบาๆ


 


แม้จะดูเหมือนพัดธรรมดา แต่หากดูให้ดีจะพบว่ายามโบกพัด กลับมีกระแสพลังสีฟ้าเรืองออกมาเรื่อๆ มองไปคล้ายอสรพิษน้อยเลื้อยลดอยู่บ้าง


 


และครู่ต่อมา ชายหนุ่มชุดขาวก็หยิบยันต์อมตะสื่อสารออกมาบดขยี้ทันที


 


ในเวลาเดียวกัน


 


ณ ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะปราชญ์เต๋าเร้นลับ ชายหนุ่มที่กำลังนั่งบ่มเพาะพลังอยู่ ก็ได้รับข้อความจากชาหนุ่มชุดขาววทันที


 


“ศิษย์พี่เหยียนหรูอวี้?”


 


หลังได้ยินเสียงข้อความที่ติดต่อมา ชายหนุ่มก็ชักหน้าเคร่งทันที สองตายังเผยความประหลาดใจไม่น้อย


 


เพราะมันไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าศิษย์พี่เหยียนหรูอวี้จะเป็นฝ่ายติดต่อมาหามันแบบนี้ กระทั่งยั่งบอกว่าจะขอความช่วยเหลือจากมันบางอย่างอีกด้วย


 


เหยียนหรูอวี้ เป็นศิษย์ปิดสำนักของประมุขนิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับ ไม่เพียงเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ในบรรดาศิษย์หลัก ยังเป็นอัจฉริยะในรอบหลายพันปีของนิกาอมตะปราชญ์เต๋าเร้นลับอีกด้วย!


 


ที่สำคัญ อีกไม่นานก็สมควรกลายเป็น 1 ใน 3 ศิษย์ที่แท้จริงของนิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับแล้ว!


 


ตัวตนดังกล่าว เป็นอะไรที่มันทำได้แค่แหงนมองไปชั่วชีวิต!


 


“ศิษย์พี่หรูอวี้ ท่านอยากให้ศิษย์ย้องคนนี้ช่วยเหลืออันใดโปรดกล่าว ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟไม่มีหวั่น!”


 


ชายหนุ่มเร่งตอบกลับไปอย่างไม่กล้ารอช้า


 


“เจ้าไม่ต้องไปบุกน้ำลุยไฟอะไรหรอก…”


 


เหยียนหรูอวี้กล่าวส่งข้อความเสียงเบา “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกข้าว่าพ่อเจ้าเป็นรองผู้นำคฤหาสน์อมตะระดับ 6…คฤหาสน์เฉวียนโยวใช่ไหม?”


 


“ใช่ขอรับ!”


 


ชายหนุ่มเร่งตอบกลับ


 


“ข้าอยากให้เจ้าขอความช่วยเหลือจากพ่อเจ้าให้หน่อย…ให้ปรมาจารย์ค่ายกลของสหายข้าไปรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกค่ายนึงที่อยู่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวของพ่อเจ้า…เรื่องนี้เจ้าพอจะช่วยข้าได้รึเปล่า?”


 


เหยียนหรูอวี้ถาม


 


“ตรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกค่ายนึงในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวหรือ?”


 


ชายหนุ่มได้ยินข้อความก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อยบดขยี้ยันตค์ถามไปด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ศิษย์พี่หรูอวี้…ไม่ทราบสหายท่านกำลังตามหาผู้ใดหรือ?”


 


การตรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกแบบนี้ ปกติก็มักทำเพื่อตามหาตัวคน!


 


เรื่องนี้มันย่อมรู้



 

 

 


ตอนที่ 3085

 

“ลูกหลานไม่รักดีคนหนึ่งในตระกูลสหายข้า มันก่อเรื่องบางอย่างในตระกูลจึงหลบหนีไปด้วยกลัวความผิด…ทางตระกูลสหายข้าก็เลยคิดจับตัวมันมารับโทษน่ะ”


 


เหยียนหรูอวี้กล่าวคำอ้างที่ตระเตรียมไว้แต่แรกออกมา


 


“เป็นเช่นนี้นี่เอง”


 


ชายหนุ่มเร่งตอบรับเร็วไว “ศิษย์พี่หรูอวี้ข้าจะเร่งติดต่อหาท่านพ่อ…ข้าจะช่วยท่านเรื่องนี้เต็มที่”


 


“ขอบคุณเจ้ามาก…วันหน้าหากเจ้ามีปัญหาอะไรก็มาหาข้าได้เลย”


 


เหยียนหรูอวี้กล่าว


 


ได้ยินข้อความประโยคนี้ของเหยียนหรูอวี้ สองตาชายหนุ่มก็ส่องแสงจ้าขึ้นมาทันใด ลมหายใจยังเริ่มกลายเป็นถี่รัว


 


ในอดีตนั้นก่อนที่มันจะมายังนิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับ มันก็ถือเป็นศิษย์อัจฉริยะคนหนึ่งของนิกายอมตะเฉวียนโยว


 


อย่างไรก็ตามหลังมาถึงนิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับแล้ว มันก็พบเห็นอัจฉริยะเช่นตัวมันเกลื่อนกลาด นอกจากนั้นยังมีอัจฉริยะปีศาจที่ร้ายกาจกว่ามันมากมาย


 


และในบรรดาอัจฉริยะปีศาจเหล่านั้น เหยียนหรูอวี้ ศิษย์ปิดสำนักของประมุขคือผู้ที่โดดเด่นเหนือใคร


 


เหยียนหรูอวี้ไม่เพียงมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังและเชาว์ปัญญาสูงล้ำยากหาใครเทียบ อีกฝ่ายยังมีฐานะไม่ธรรมดาเป็นที่สุด เป็นตัวตนที่มันทำได้แค่แหงนมอง เรื่องสานไมตรีกับอีกฝ่ายนั้นกระทั่งหลับมันยังฝันถึง!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ทำให้เหยียนหรูอวี้ติดค้างมันเลย!


 


มันก็เลยตัดสินใจได้ทันที


 


ว่าแม้สิ่งที่เหยียนหรูอวี้ขอแรงช่วยจะยากเย็นไม่น้อย มันก็จะพยายามโน้มน้าวบิดามันให้ช่วยสหายเหยียนหรูอวี้เรื่องตรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายให้จงได้!


 


ยิ่งไปกว่านั้นมันรับบปากเหยียนหรูอวี้ไปแล้วว่าจะช่วย ย่อมไม่อาจกลับคำได้


 


“ท่านพ่อ!”


 


ชายหนุ่มสูดอากาศเข้าลึกๆเพื่อสงบจิตสงบใจ หลังจากนั้นก็เร่งติดต่อไปหาบิดาผู้เป็น 1 ใน 3 รองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวทันที


 


“เอี้ยนเอ๋อ วันนี้ไฉนติดต่อมาหาพ่อได้เล่า?”


 


บิดาของชายหนุ่ม หลี่หลินอี้ 1 ใน 3 รองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวตอบกลับทันทีหลังได้รับข้อความ


 


ถึงแม้มันจะมีลูกชายหลายคน แต่มีแค่ลูกชายคนนี้เท่านั้นที่มีพรสวรรค์และสติปัญญาสูงสุด


 


ลูกชายคนนี้แม้จะเป็นลูกชายคนสุดท้องและอายุน้อยที่สุด แต่อีกฝ่ายกลับใช้การได้มากที่สุด พลังฝึกปรือเหนือกว่าลูกชายคนอื่นๆของมันหลายคน


 


ที่สำคัญลูกชายคนเล็กของมัน ยังได้เข้าร่วมกับนิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 นิกายอมตะใหญ่ของแดนสวรรค์ใต้!


 


วันหน้าเมื่อลูกชายของมันเติบโตขึ้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เป็นชนชั้นอาวุโสของนิกาย


 


ถึงตอนนั้น ตราบใดที่ผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวหมดวาระหวนกลับสู่ตระกูลต้นสังกัดคฤหาสน์เฉวียนโยว พอถึงเวลาที่คฤหาสน์เฉวียนโยวเลือกผู้นำคนใหม่ ตัวมันย่อมมีภาษีดีกว่าใคร สุดที่รองผู้นำอีก 2 คนจะเทียบได้!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงตั้งความหวังกับลูกชายคนนี้มาก ยังดูแลเอาใจใส่อย่างดี ไม่ได้ห่างเหินเหมือนลูกชายคนอื่นๆ


 


“ท่านพ่อ คือแบบนี้…”


 


หลังจากนั้น หลี่เอี้ยน ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้บิดาฟัง ยังไม่ลืมกำชับเรื่องฐานะและความสำคัญของเยยียนหรูอวี้ที่มีต่อนิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับออกไป


 


เรียกว่าเน้นย้ำเรื่องที่เหยียนหรูอวี้เป็นศิษย์ปิดสำนักของประมุข และเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุด เป็นคนที่มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นประมุขนิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับคนต่อไปมากที่สุด!


 


“มีโอกาสเป็นประมุขนิกายปราช์เต๋าเร้นลับคนต่อไปมากที่สุด?!”


 


หลังได้ยินข้อความที่ลูกชายส่งมา ร่างหลี่หลินอี้ถึงกับสะท้านขึ้นมาทันที!


 


นิกาปราชญ์เต๋าเร้นลับ เป็นนิกายระดับ 5 แม้ในแง่ขุมกำลังจะเหนือกว่าคฤหาสน์ระดับ 6 อย่างเฉวียนโยวแค่ระดับเดียว แต่ช่องว่างระหว่างหนึ่งระดับนี้กลับยากเย็นสุดที่จะข้ามผ่านนัก!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่นใด เอาแค่ตระกูลใหญ่ที่เป็นดั่งต้นสังกัดของคฤหาสน์เฉวียนโยวก็พอ…


 


ตระกูลใหญ่ที่ว่าก็คือ 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่ของแดนสวรรค์ใต้ และเป็นตระกูลระดับ 5! ในแง่สถานะแล้วก็มีศักดิ์ศรีทัดเทียมกับนิกายระดับ 5…แต่ในแง่ของกำลังรบ เกรงว่าจะอ่อนด้อยกว่านิกายอันดับ 5 หลายส่วน!


 


ตระกูลระดับ 5 นั่น อย่าว่าแต่ตัวมันที่เป็นแค่รองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเลย ต่อให้เป็นผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกมัน เมื่อหมดวาระแล้วกลับตระกูลไปในอนาคต แต่อย่างดีก็เป็นได้แค่อาวุโสฝ่ายในเท่านั้น


 


ในบรรดาตระกูลระดับ 5 ทั้งหลาย แม้อาวุโสฝ่ายในจะมีไม่มากเท่าอาวุโสฝ่ายนอก แต่ก็มีอยู่ไม่น้อย สถานะในตระกูลเรียกว่าแค่กลางๆเท่านั้น


 


“เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยากอยู่บ้าง หากข้านำไปแจ้งรองผู้นำทั้ง 2 ไม่พ้นมันต้องยกเรื่องข้าใช้อำนาจส่วนตัวมาถล่มข้าต่อหน้าผู้นำแน่…อย่างไรก็ตามหากสามารถสานไมตรีกับตัวตนอย่างเหยียนหรูอวี้ได้ก็นับว่าคุ้มค่า!”


 


หลี่หลินอี้รีบตอบกลับลูกชายเร็วไว และคำตอบของมันก็ชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียในใจมาอย่างดีแล้ว


 


ตัวมันเป็นคนไร้พื้นเพภูมิหลังอันใด แต่สามารถก้าวเดินทีละก้าวๆไต่เต้ามาถึงวันนี้ได้ มันก็ถือว่าเป็นคนที่ฉลาดเลือกคนหนึ่ง


 


มันย่อมรู้ดีแก่ใจ


 


ตัวตนอย่างเหยียนหรูอวี้นั้น เมื่อออกปากขอความช่วยเหลือลูกชายมันมาแล้ว หากทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง เกรงว่าต่อไปลูกชายมันคงไม่มีวันสานไมตรีกับอีกฝ่ายได้แน่นอน!


 


“ขอบคุณท่านมากท่านพ่อ!”


 


เดิมทีหลี่เอี้ยนคิดว่าจะต้องชักแม่น้ำทั้ง 5 มาเกลี้ยกล่อมบิดามันเสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าบิดามันจะตอบรับเร็วไวขนาดนี้


 


“เอี้ยนเอ๋อ เจ้าติดต่อศิษย์พี่หรูอวี้ของเจ้าได้เลย ว่าหากคนของตระกูลสหายผู้นั้นมาถึงแล้ว ให้มาติดต่อขอพบข้าโดยตรง”


 


หลี่หลินอี้กล่าว


 


“ทราบแล้วท่านพ่อ”


 


หลังหลี่เอี้ยนส่งข้อความด้วยน้ำเสียงดีใจถึงบิดาแล้ว มันก็เร่งติดต่อไปหาเหยียนหรูอวี้อย่างกระตือรือร้นทันที “ศิษย์พี่หรูอวี้ เรื่องที่ท่านขอมาท่านพ่อข้ารับปากแล้ว…ท่านพ่อยังฝากข้ามาบอกท่าน ว่าหากคนของตระกูลสหายท่านมาถึงคฤหาสน์เฉวียนโยวเมื่อไหร่ก็ไปหาท่านพ่อของข้าได้ทันที”


 


“ท่านพ่อของข้าเรียกว่า หลี่หลินอี้ เป็น 1 ใน 3 รองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยว”


 


หลี่เอี้ยนไม่ลืมกล่าวเตือนไปอีกประโยคหนึ่ง ด้วยกลัวเหยียนหรูอวี้จะลืม


 


“เอาล่ะ ขอบใจเจ้ามาก”


 


เหยียนหรูอวี้ ตอบกลับ


 


“ศิษย์พี่หรูอวี้ท่านเกรงใจไปแล้วว ได้ช่วยเหลือท่านนับเป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่ง”


 


หลี่เอี้ยนส่งข้อความกลับมาอย่างกระตือรือร้น


 


“ไม่ต้องยอข้าหรอก ถือว่าข้าติดค้างเจ้าเรื่องหนึ่ง”


 


จากนั้นเหยียนหรูอวี้ก็ตอบกลับอีกประโยค ค่อยหันไปมองเฉินหลีที่นั่งตรงข้ามพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “เรียบร้อย ไม่มีปัญหา…เจ้าบอกพ่อเจ้าได้เลย ว่าคนที่ส่งไปตรวจสอบค่ายกลสามารถไปคฤหาสน์เฉวียนโยวและติดต่อคนที่ชื่อ หลี่หลินอี้ 1 ใน 3 รอผู้นำคฤหาสน์เฉวียน เพื่อให้มันอำนวยความสะดวกเรื่องตรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกได้ทันที จะได้รู้ว่าที่แท้เป้าหมายนั่นมันไปส่วนไหนของอวี้หวงเทียนกันแน่”


 


ได้ฟังคำสหาย สองตาเฉินหลีก็ทอประกายสว่างจ้า และเร่งหยิบยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณออกมาบดขยี้ทิ้งทันที ติดต่อบิดาของมันที่เป็นรองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดอย่างไม่รอช้า


 


“สารเลวน้อยนี่…มีสหายเยี่ยงเหยียนหรูอวี้นับว่ามันเกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้วจริงๆ!”


 


หลังเฉินหยวนซานได้รับข้อความของเฉินหลี มันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งหลังพบว่าเหยียนหรูอวี้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ


 


มันย่อมรู้ดีว่าลูกชายนอกสมรสของมันสนิทสนมกับเหยียนหรูอวี้ขนาดไหน ทั้งคู่ต่างเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ และสนิทกันด้วยใจไร้ซึ่งผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น นับว่าเป็นเพื่อนประเสริฐคนหนึ่ง


 


อย่างไรก็ตามแตกต่างจากลูกชายนอกสมรสของมันลิบลับ เหยียนหรูอวี้ถูกพบว่ามีศักยภาพและพรสวรรค์ไม่เว้นเชาว์ปัญญาสูงล้ำตั้งแต่เด็กๆ จากนั้นก็เติบโตก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้เข้าร่วมนิกายปราชญ์เต๋าเร้นลับ และกลายเป็นศิษย์ปิดสำนักของประมุขนิกาย


 


อย่างไรก็ตามแม้เหยียนหรูอวี้จะเติบโตก้าวหน้าจนมีอย่างทุกวันนี้แล้ว อีกฝ่ายก็ไม่เคยลืมเลือนสหายในวัยเด็กอย่างเฉินหลีเลย และมักกลับมาหาเฉินหลีอยู่บ่อยๆ


 


กระทั่งเพื่อเฉินหลีแล้ว เหยียนหรูอวี้ถึงกับมาหามันเป็นการส่วนตัว ยังขู่ว่าหากดูแลเฉินหลีไม่ดี จะไม่มีทางปล่อยมันไปแน่!


 


เป็นธรรมดาว่าเรื่องนี้มันไม่เคยบอกเฉินหลี เฉินหลีจึงไม่ได้รู้เลย


 



 


อวี้หวงเทียน เป็น 1 ในเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลก


 


และยังเป็นระนาบเทวโลกที่อยู่ใกล้กับระนาบโลกียะอย่างระนาบเหยียนหวง ระนาบที่โลกเก่าเมื่อชาติที่แล้วของต้วนหลิงเทียนตั้งอยู่มากที่สุด…


 


อันที่จริงตอนที่ต้วนหลิงเทียนขึ้นสวรรค์ เขาก็สมควรมาโผล่ที่อวี้หวงเทียน


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่พอดีกับระนาบทวยเทพคู่ขนานทั้งหลายโคจรมาปะทะกัน ทำให้ห้วงมิติเกิดความผันผวน สุดท้ายเขาก็เลยขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนแบบงงๆ


 


“ด้วยความเร็วของพวกเราตอนนี้ ต่อให้เร่งรุดเดินทางไม่พัก แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนกว่าจะถึงเมืองอวี้เฟิง…พวกเราจะไปทันรึเปล่า?”


 


ณ ที่ไหนสักแห่งของแดนผิงเทียน เขตปกครองของคฤหาสน์เอี้ยนซาน ปรากฏร่าง 3 ร่างเหินทะยานข้ามฟ้าเคียงไหล่กันมา


 


1 ในนั้นก็กำลังเอ่ยถามสหายข้างกายด้วยสีหน้าเป็นกังวล


 


“เหอะๆ นี่เจ้าไม่ได้ฟังที่เจ้านั่นมันพูดวันนั้นเลยสินะ…หลังมาถึงอวี้หวงเทียนแล้ว พวกเรายังเหลือเวลาอีก 2 เดือนกว่าจะถึงวันนัดหมายที่เมืองอวี้เฟิง…ทันถมเถ!”


 


ผู้ถูกถามกล่าวตอบ


 


“คราวนี้เพื่อเข้าไปมรดกสถานที่จักรพรรดิอมตะเหลือทิ้งไว้อะไรนั่น พวกเรานับว่าลงทุนไปไม่น้อยกว่าจะออกจากหลิงหลัวเทียนมาถึงที่นี่ได้…อย่าให้ข้ารู้นะว่าเจ้านั่นมันหลอกพวกเรา ถึงตอนนั้นข้าไม่ปล่อยมันไปง่ายๆแน่”


 


คนสุดท้ายเอ่ยออกเสียงเข้ม


 


“ไม่ปล่อยมันไปหรือ? หากข้าจำไม่ผิดไม่ใช่เจ้าที่ห้าวไปท้าตีกับมัน…สุดท้ายเป็นฝ่ายโดนอัดมาตาเขียวหรอกรึ?”


 


คนที่พูดถามออกมาคนแรกสุดหันไปมองสหายที่พูดคนสุดท้าย ด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงหยอกล้อ


 


“เพ่ย! นั่นไม่นับ เป็นข้าประมาทมันหรอกถึงถูกมันเล่นงานทีเผลอจนแพ้! หาไม่แล้วมันที่มีด่านพลังกับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏพอๆกับข้า จะเอาชนะข้าได้ไง? เจอกันอีกทีข้าไม่มีวันแพ้มันแน่!!”


 


คนสุดท้ายโพล่งคำออกมาอย่างหัวเสีย กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง


 


ฟังจากบทสนทนาของทั้ง 3 แล้ว เห็นชัดว่าพวกมันก็มาจากหลิงหลัวเทียน และสมควรมาถึงคฤหาสน์เอี้ยนซานที่อยู่ในอวี้หวงเทียน ด้วยค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก


 


ที่พวกมันถ่อเดินทางมาถึงที่นี่ ก็เพราะได้รับการชักชวนเช่นกัน


 


พวกมันทั้ง 3 แม้อายุยังไม่ถึงร้อยปี แต่ก็เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดกันแล้ว อีกทั้งยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏกันอย่างน้อย 2 ประการ


 


เมืองอวี้เฟิงที่ว่า ก็เป็นสถานที่นัดพบที่คนลึกลับที่มาชักชวนพวกมันกล่าวไว้ แต่อีกฝ่ายบอกเพียงว่ามรดกสถานของจักรพรรดิอมตะถูกทิ้งไว้ในเขตคฤหาสน์เอี้ยนซานในแดนผิงเทียนของอวี้หวงเทียนเท่านั้น


 


ในขณะเดียวกัน


 


นอกเมืองอวี้เฟิง ปรากฏร่าง 2 ร่างกำลังเหินทะยานข้ามฟ้าเข้าใกล้เมืองทุกขณะ


 


ในบรรดาทั้งคู่ ชายหนุ่มในชุดสีม่วงนั้นมีหน้าตาหล่อเหลา แม้สีหน้าจะแลดูเฉยเมย หากแต่สายตากระจ่างทั้งให้ความรู้สึกอ่อนโยนนั่น ก็พาลให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆรู้สึกสบายใจไม่น้อย


 


สำหรับชายหนุ่มอีกคนในชุดสีเทานั้น ใบหน้าของมันเย็นชาเหลือเกิน สายตายังเผยความไร้แยแสราวไม่เห็นหัวใคร ทั่วร่างแผ่ความรู้สึกยากเข้าถึง ปานจะผลักไสผู้อื่นให้ถอยห่างไปพันลี้


 


ทั้ง 2 คนที่ว่าก็คือต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เดินทางจากหลิงหลัวเทียนมายังอวี้หวงเทียนด้วยค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบบเทวโลกนั่นเอง


 


“ข้างหน้าสมควรเป็นเมืองอวี้เฟิง”


 


ทันใดนั้นในสายตาทั้งคู่ ก็แลเห็นจุดดำจุดหนึ่งที่กำลังขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ และเพียงไม่กี่อึดใจเค้าโครงเมืองๆหนึ่งก็เริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัด


 


“ดูเหมือนพวกเราจะมาถึงก่อนเวลานัดหมายล่วงหน้าเป็นเดือน…แบบนี้ก็ดี จะได้ทำความคุ้นเคยกับเมืองอวี้เฟิงนี่ก่อน แถมยังอาจได้รู้คร่าวๆว่าจักรพรรดิอมตะที่กับชาติมาเกิดนั่นมันชวนคนมาเท่าไหร่กันแน่”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว


 


“อืม”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ขณะเดียวกันก็บังเกิดความสนใจนัก ว่าแดนลับที่จักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดนั่นปลูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์เอาไว้อยู่ไหน


 


ในเมื่ออีกฝ่ายนัดหมายให้ทุกคนมาพบกันที่เมืองอวี้เฟิง ย่อมหมายความว่าแดนลับดังกล่าวสมควรอยู่ในเขตคฤหาสน์เอี้ยนซาน!



 

 

 


ตอนที่ 3086

 

เมืองอวี้เฟิงเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของคฤหาสน์เอี้ยนซานโดยตรง กล่าวได้ว่าสถานะของเมืองอวี้เฟิงก็ไม่ต่างอะไรจากเมืองฝูซานในคฤหาสน์เฉวียนโยวเลย


 


ในเมืองอวี้เฟิงเองก็มีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเหมือนที่เมืองฝูซาน แถมค่าธรรมเนียมการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็มีราคา 10,000 ผลึกอมตะระดับสูงเช่นกัน


 


ขนาดของเมืองอวี้เฟิง ก็ไม่ได้แตกต่าจากเมืองฝูซานสักเท่าไหร่


 


ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เดินเข้าเมืองอวี้เฟิงมาด้วยกัน ก็เห็นขบวนรถม้าและผู้คนเรียงตัวเป็นแถวไม่สิ้นสุด นับว่าบรรยากาศคึกคักมีชีวิตชีวานัก ผู้คนที่กำลังออกจากเมืองอวี้เฟิงเองก็มีไม่น้อย


 


“พวกเรายังเหลือเวลาอีกเดือนกว่า…เช่นนั้นระหว่างนี้ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ เมืองอวี้เฟิงนี่จะอย่างไรก็พอๆกับเมืองฝูซาน สมควรมีที่พักอันเป็นกิจการของคฤหาสน์เอี้ยนซานคล้ายๆกับอวิ๋นซ่างโหลวที่เมืองฝูซาน ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวแนะนำ


 


ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าเห็นด้วย


 


หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย จนพบที่พักอันเป็นกิจการของคฤหาสน์เอี้ยนซานเรียกว่า ต้าอี้เก๋อ


 


ถึงแม้ลานที่พักจะไม่ได้อยู่บนฟ้าเหมือนอวิ๋นซ่างโหลวของเมืองฝูซาน แต่ความหรูหราทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากอวิ๋นซ่านโหลวแม้แต่น้อย


 


เรียกว่าลานที่ดีที่สุดของที่นี่ ก็มีคุณภาพไม่ต่างอะไรกับลานชั้นเทียนของอวิ๋นซ่างโหลวเลย


 


ทว่ายังมีจุดที่แตกต่างจากอวิ๋นซ่างโหลวอยู่บ้าง เพราะลานชั้นเทียนอันเป็นที่พักระดับสูงสุดของอวิ๋นซ่างโหลวนั้น สามารถให้แขกเข้าพักได้เต็มที่ 2 คนต่อลาน ทว่าสถานที่พักของต้าอี้เก๋อกิจการของคฤหาสน์เอี้ยนซานแห่งนี้ ลานพักที่ดีที่สุดอนุญาตให้แขกอาศัยอยู่ได้ถึง 3 คนต่อลาน


 


หลังเข้าที่พักแล้ว ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็แยกย้ายกันเข้าห้องหับ ทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏฆ่าเวลา รอให้ถึงกำหนดวันนัดหมาย ที่จักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดผู้นั้นกล่าวบอก


 


หลังต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าพักในต้าอี้เก๋อได้ไม่กี่วัน ลานที่พักข้างๆก็ปรากฏแขกสตรีที่เดินทางมาจากแดนไกลผู้หนึ่งเข้าพักอาศัย


 


หากต้วนหลิงเทียนไม่ได้อยู่ในห้องหับ แต่นั่งเล่นอยู่ในลานว่างล่ะก็ คงต้องเห็นแขกสตรีที่พึ่งเข้าที่พักและจดจำนางได้ทันทีแน่นอน


 


แขกสตรีนางนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ที่ได้อันดับ 3 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว เป็นรองก็แค่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับเขา


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ยังเป็นรุ่นเยาว์อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลมู่หรง ซึ่งเป็น 1 ในตระกูลระดับ 7 ในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวอีกด้วย


 


และมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็เดินทางออกจากเขตคฤหาสน์เฉวียโยวของหลิงหลัวเทียนมาที่นี่เช่นกัน


 


เป็นธรรมดาว่ายังมีบางอย่างที่ต่างจากต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


นั่นก็คือนางไม่ได้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกของเมืองฝูซาน แต่ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกของเมืองอื่นในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว


 


ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเท่านั้นที่ไม่รู้ว่ามี ‘คนรู้จัก’ อีกคนจากเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวมาถึงที่นี่ แต่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่ได้รู้เลยว่าลานที่พักใกล้ๆกับนางมี ‘คนรู้จัก’ 2 คนมาถึงก่อนนาง 1 วัน!


 


ต้าอี้เก๋อ ในฐานะกิจการที่พักที่ดีที่สุดในเมืองอวี้ฟง ปกติแล้วใครที่มีพื้นหลังความเป็นมาดีหน่อยหรือไม่ก็พลังฝีมือสูงๆ มักมาพักอาศัยกันที่นี่


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น รวมถึงมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจะมาเข้าพัก ต้าอี้เก๋อแห่งนี้ก็มียอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากหลิงหลัวเทียนและนาบเทวโลกอื่นๆมาเข้าพักแล้วเช่นกัน


 


ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลาย ก็ถูกชวนมาเหมือนกัน และมีจุดประสงค์ดุจเดียวกับพวกต้วนหลิงเทียน


 


เข้าสู่มรดกสถานที่คาดกันว่าเป็นโลกใบเล็กที่จักรพรรดิอมตะเหลือทิ้งไว้


 



 


ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ภายในห้องหับ ตอนนี้ก็จมจ่อมในภวังค์การทำความเข้าใจความลึกซึ้ง ปะทุ ของกฏแห่งไฟอย่างลืมวันเวลา


 


ด้วยมีความช่วยเหลือของเพลิงเทพโกลาหล ความเข้าใจในความลึกซึ้งปะทุ ก็ก้าวหน้าขึ้นทุกขณะ และบ่อยครั้งเขาก็รู้สึกว่าติดอีกแค่นิดเดียวก็จะบรรลุถึงขั้นตอนเบื้องต้นได้แล้ว ขาดแค่โอกาสเล็กๆเท่านั้น


 


ทว่าหลังผ่านมาอีกครึ่งเดือน ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกว่ามันขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งปะทุได้ทุกเมื่อ กลับไม่อาจข้ามผ่านได้เสียที


 


“ผู้อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


 


หลังเผชิญหน้ากับความรู้สึกอีกนิดๆแต่กลับไม่อาจเข้าใจได้เสียที ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเพลิงเทพโกลาหลออกมา


 


“หลังเจ้าเข้าใจความหมายแห่งไฟ ความลึกซึ้งลุกโหม ความลึกซึ้งเผาไหม้จนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น ในที่สุดเจ้าก็ขาดอีกแค่เล็กน้อยจะบรรลุความเข้าใจความลึกซึ้งปะทุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น หากแต่เจ้ารู้สึกเสมือนยังไม่อาจเข้าใจได้เสียทีสินะ…”


 


เพลิงเทพโกลาหลเกริ่นนำ ค่อยกล่าวเข้าประเด็นสำคัญ “สิ่งนี้เป็นเพราะความเข้าใจเกี่ยวกับความลึกซึ้งปะทุของเจ้าเผชิญหน้ากับจุดตีบตัน และจุดตีบตันดังกล่าวมันก็เกิดจากความเข้าใจความลึกซึ้งก่อนหน้า ที่จะมากจะน้อยก็มักทิ้งร่องรอยความคิดบางอย่างไว้ในใจของเจ้า…”


 


หลังฟังคำอธิบาของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเข้าใจว่าไฉนเขาถึงพบเจอจุดรอคอยในกระบวนการทำความเข้าใจความลึกซึ้งปะทุแบบนี้


 


ที่แท้ทั้งหมดเป็นเพราะความลึกซึ้งลุกโหม กับความลึกซึ้งเผาไหม้ที่เขาเข้าใจนั่นเอง


 


“ข้าพึ่งจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งถึงประการที่ 4 กลับพบเจอจุดรอคอยแบบนี้แล้ว…วันหน้าไม่ใช่ตอนข้าทำความเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 5 6 7 8 กระทั่งประการที่ 9 ของกฏแห่งไฟ จะไม่เจอจุดรอคอยที่หนักกว่านี้หรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


 


“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา”


 


เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยออกเสียงเรียบ “ไม่ว่ากฏอันใดก็ตาม การทำความเข้าใจความลึกซึ้งประการแรกๆนั้นมักราบรื่นไร้ปัญหา…แต่พอเข้าสู่ความลึกซึ้งประการหลังๆแล้วมันจะเริ่มยากขึ้น กระทั่งหลายคนก็ติดอยู่ที่ความลึกซึ้งประการที่ 5 และไม่อาจทำความเข้าใจเพิ่มได้เลย”


 


“คิดจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งให้ครบทั้ง 9 ประการนั้นยากประหนึ่งปีนบันไดมีดขึ้นฟ้า…คนที่มีสติปัญญาปานกลางไม่ว่าจะทุ่มเทเวลามากเท่าไหร่ และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพียงใด ก็ยากนักที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดๆให้ครบทั้ง 9 ประการ”


 


เพลิงเทพโกลาหลยังกล่าวสืบต่อ


 


ต้วนหลิงเทียนก็รับฟังไปเงียบๆ


 


ถึงแม้เรื่องที่เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยถึง เขาจะเคยได้ยินมาก่อนแล้ว แต่หากไม่เจอกับตัวเขาก็ไม่รู้เลย


 


มาตอนนี้ฟังจากคำพูดของเพลิงเทพโกลาหล เขาจึงค่อยตระหนัก


 


ว่ายิ่งเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้มากประการเพียงใด…คิดจะเข้าใจความลึกซึ้งประการหลังๆ นับว่าเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน


 


“หากเจ้าติดจุดรอคอยเช่นนี้ ข้าแนะนำให้ริเริ่มทำความเข้าใจความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏแห่งไฟไปก่อน…หลายคนที่พบเจอจุดรอคอยเช่นเจ้า ก็มักจะเลือกทำความเข้าใจลึกซึ้งประการอื่นๆ จนบางครั้งก็บังเกิดความรู้แจ้ง บ้างก็พบจุดตัดทางความคิดบางอย่าง สุดท้ายก็สามารถทะลวงจุดรอคอยของความลึกซึ้งได้หลายประการในเวลาเดียวกัน”


 


เพลิงเทพโกลาหลกล่าวแนะนำออกมา


 


ให้ต้วนหลิงเทียนพักการทำความเข้าใจความลึกซึ้งปะทุไว้ก่อน แล้วพยามทำความเข้าใจความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏแห่งไฟ บางทีอาจบังเกิดความเข้าใจขณะทำความเข้าใจความลึกซึ้งอื่นๆ หรือเกิดแรงบันดาลใจอะไร จนสามารถทะลวงจุดรอคอยของความลึกซึ้งปะทุได้…


 


“ทำเช่นนี้ก็ได้หรือ…”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็เชื่อในคำชี้แนะของเพลิงเทพโกลาหล


 


“ผู้อาวุโส ตอนนี้วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุไฟที่ข้ามี และยังไม่ได้เริ่มต้นตีความฝึกฝนก็เหลือแต่วรยุทธ์อมตะที่แฝงความลึกซึ้ง สุริยันสาดแสง และเวทย์พลังที่แฝงความลึกซึ้งท่องอัคคี…”


 


“2 อย่างนี้ ท่องอัคคีดูเหมือนจะยังไม่อาจใช้การได้…เช่นนั้นข้าเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งสุริยันสาดแสงก่อนดีหรือไม่?”


 


ถึงแม้ในใจต้วนหลิงเทียนจะตัดสินใจเลือกไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงเลือกจะถามเพลิงเทพโกลาหลก่อน


 


เพราะความลึกซึ้งท่องอัคคีของกฏแห่งไฟนั้น อย่าว่าแต่ขั้นตอนเบื้องต้นต่อให้จะบรรลุความเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่อาจใช้การอะไรได้จริงจังด้วยซ้ำ! เพียงใช้ได้ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเพลิงไฟเท่านั้น มีเพียงเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ให้ได้ก่อน ถึงจะไม่ต้องพึ่งสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยไฟ แต่อาศัยอณูพลังธาตุไฟในฟ้าดินได้โดยตรง


 


“อืม เลือกทำความเข้าใจความลึกซึ้ง สุริยันสาดแสงก่อนก็ดี…”


 


คำตอบของเพลิงเทพโกลาหล ก็ยืนยันตัวเลือกของต้วนหลิงเทียน


 


“ไม่สิ!”


 


ทันใดนั้นคล้ายต้วนหลิงเทียนตระหนักอะไรได้บางอย่าง ลูกตาเขาหดเล็กลง และเอ่ยถามเพลิงเทพโกลาหลออกไปทันทีว่า


 


“อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล ความลึกซึ้งท่องอัคคีของกฏแห่งไฟ กับความลึกซึ้งเคลื่อนพิภพของกฏแห่งดิน มันมีลักษณะการใช้งานเหมือนๆกัน…งั้นหมายความว่าความลึกซึ้งที่หนุนเสริมการเคลื่อนที่ของกฏแห่งลมก็สมควรมีลักษณะเดียวกันใชไหม?”


 


“ในเมื่อความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟกับกฏแห่งดินล้วนมีข้อจำกัดดุจเดียวกัน ความลึกซึ้งของกฏแห่งลมก็สมควรมีข้อจำกัดเหมือนๆกันมิใช่หรือ?”


 


“เช่นนั้น ไฉนตอนที่ข้าใช้ยันต์เงาวายุ อันมีพลังจากความลึกซึ้งกายสายลมขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยบรรจุไว้ มันกลับหนุนเสริมความเร็วให้ข้าได้มหาศาลเลยเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยจุดที่เขาสงสัยออกไปทันที


 


และในห้วงเวลาดุจฟ้าแลบ เขาก็นึกย้อนถึงฉากตอนที่ใช้ยันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงมอบให้ทันที


 


วันนี้ที่เขาใช้มัน ตัวยันต์นอกจากจะมีพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของจอมราชันอมตะแล้ว ยังมีพลังจากความลึกซึ้งกายสายลมกับความลึกซึ้งของกฏแห่งลมขั้นตอนคววามสำเร็จเล็กน้อยบรรจุเอาไว้ด้วย…ทำให้เขาสามารถหลบหนีไปต่อหน้าต่อตานักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักได้ง่ายดาย


 


และตัวเขาที่ผ่านการใช้ยันต์เงาวายุดังกล่าวมาแล้ว เขายย่อมสัมผัสได้ชัดเจนว่าความเร็วที่เขาได้รับนั้น มันได้จากความลึกซึ้งกายสายลมมากกว่าความลึกซึ้งลมกรดเสียอีก…


 


อย่างไรก็ตาม พลังจากความลึกซึ้งกายสายลมที่บรรจุอยู่ในยันต์ ไม่ใช่เป็นขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยหรือไร ไฉนมันถึงใช้งานได้แล้วล่ะ?


 


ไม่ใช่ว่ามันสมควรโดนจำกัดเหมือนความลึกซึ้งที่เน้นการเคลื่อนไหวเป็นหลักของกฏแห่งไฟกับกฏแห่งดินหรอกหรือ? ที่สมควรมีผลลัพธ์ใช้ได้ทุกที่…หลังเข้าใจมันถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว?


 


“ก่อนที่เจ้าจะถามเรื่องนี้ออกมา…เจ้าเคยฉุกคิดบ้างไหม ว่าหลังจากที่เจ้าใช้ยันต์เงาวายุนั่นแล้ว สภาพแวดล้อมรอบกายเจ้าเป็นอย่างไร”


 


เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยถามต่อว่า “หรือเจ้าไปใช้มันในสถานที่ไร้ซึ่งสายลม?”


 


“สภาพแวดล้อมที่ไม่มีลมพัด…?”


 


พอได้ยินคำถามชี้นำความคิดของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียนที่นิ่งคิดไปวูบหนึ่ง ก็ตระหนักได้ทันที “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง! ถึงแม้ความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่เสริมการเคลื่อนไหวก็มีขีดจำกัดเหมือนกฏแห่งไฟกับกฏแห่งดินเช่นกัน แต่นั่นหมายความว่าต้องอยู่ในสถานที่ปิด! เพราะปกติแล้วในสถานที่เปิดจะมากจะน้อยอากาศล้วนมีการเคลื่อนไหว จึงถือว่ามีลมเสมอ เช่นนั้นความลึกซึ้งของกฏแห่งลมก็ได้เปรียบธาตุอื่นมาก เพราะมันสามารถใช้ได้ตั้งแต่แรก!!”


 


“กล่าวได้ว่าหากอยู่ในสถานที่ปิดสนิทไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวของอากาศ เช่นนั้นความลึกซึ้งเสริมการเคลื่อนไหวของกฏแห่งลมอย่างกายสายลมที่ยังไม่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ ก็จะง่อยรับประทานเช่นกัน!”


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนพลันเข้าใจได้กระจ่าง


 


ตราบใดที่ไม่อยู่ในห้วงอวกาศ หรือพื้นที่ปิด ทุกที่ล้วนมีลมเสมอ…อยู่ที่จะมากหรือน้อย


 


ถึงแม้บางแห่งจะดูเหมือนไร้ลมพัดจริงๆ แต่อันที่จริงแล้วอากาศก็เกิดการกระเพื่อมและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่มันเล็กน้อยเกินไป จนผู้คนไม่อาจสัมผัสได้


 


‘ให้ตายเถอะ พวกเข้าใจกฏแห่งลมนี่มันได้เปรียบจริงๆ…คนที่เลือกกฏแห่งไฟกับกฏแห่งดินกว่าจะใช้มันเสริมความเร็วได้ดั่งใจก็มีแต่ต้องทำความเข้าใจจนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่เท่านั้น…ผิดกับพวกกฏแห่งลมแค่เข้าใจถึงขั้นตอนเบื้องต้นก็เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ให้ตัวเองได้แล้ว เพราะคงยากที่จะไปสู้กันในพื้นที่ปิดและไร้ลมใดๆเลย’


 


ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลอบทอดถอนในใจ


 


จังหวะนี้เขายังอดอิจฉาพวกเลือกทำความเข้าใจกฏแห่งลมอยู่บ้าง


 


หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่คำ จนสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนที่อาศัยความช่วยเหลือของเพลิงเทพโกลาหล ก็เริ่มต้นทำความเข้าใจความลึกซึ้งสุริยยันสาดแสงทันที และในที่สุดก็ลืมเลือนเวลาไปอีกครั้ง


 


เขาไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดังขึ้นจากด้านนอก



 

 

 


ตอนที่ 3087

 

“ถึงเวลาแล้วรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ลุกออกมาเปิดประตู ก็มองถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ยืนรออยู่ในลาน


 


“อืม”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า “เจ้านั่นพึ่งส่งข้อความมาถึงข้า บอกให้พวกเราไปรวมตัวกันที่เทือกเขาแห่งหนึ่งทางทิศใต้ห่างจากเมืองอวี้เฟิงไป 130,000 ลี้…จุดสังเกตจะเป็นภูเขาที่เสมือนหมาป่ากำลังแหงนมองฟ้าพลางเห่าหอน มันยังบอกให้พวกเราขึ้นไปรอคอยบนยอดเขาลูกนั้น”


 


“อีกทั้งก่อนมืดวันนี้ หากผู้ใดยังไปไม่ถึงที่นั่น ก็จะถือว่าสละสิทธิ์ในการเข้าสู่แดนลับดังกล่าว…นี่คือข้อความทั้งหมดที่มันส่งมา”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“งั้นก็ไปกันเลยเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบรับ


 


“ไป”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า จากนั้นก็เดินออกจากลานไปพร้อมต้วนหลิงเทียน เตรียมที่จะไปคืนห้องพักแล้วออกจากต้าอี้เก๋อ


 


อย่างไรก็ตามทั้งคู่พึ่งจะเดินออกมาจากลานได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ได้ยินเสียงแปลกใจหนึ่งดังขึ้นเข้าหู “ต้วนหลิงเทียน? หลิงเจวี๋ยอวิ๋น?”


 


พอต้วนหลิงเทียนได้ยินเสียงทัก คิ้วเขาก็ขมวดเป็นปมทันที


 


ที่นีมีคนรู้จักเขาด้วย? แถมยังรู้จักหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีก?


 


ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากเสียงแล้วก็สมควรเป็นผู้หญิงไม่ผิดแน่


 


พอต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหันหน้าไปตามเสียงได้ไม่ทันไร ก็เห็นร่างเพรียวบางอันมีใบหน้างดงามหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ขณะเดียวกันใบหน้างามดังกล่าวก็กำลังฉายชัดถึงความประหลาดใจไม่น้อย สองตากลมใสยังมองจ้องพวกเขาไม่วางตา


 


“มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว?”


 


ถึงแม้วันเวลาจะผ่านไปเกือบ 10 ปีแล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนก็จดจำสตรีนางนี้ได้ทันทีที่เห็น เป็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว รุ่นเยาว์อัจฉริยะของตระกูลมู่หรง ซึ่งเป็นตระกูลระดับ 7 ตระกูลหนึ่งในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว


 


ในอดีตตอนที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออก ผู้ที่รอดออกมาได้และครองอันดับ 3 รองจากเขาและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็คือนางนั่นเอง


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงจดจำมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวได้ชัดเจน


 


“ดูเหมือนว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ได้รับคำชวนจากจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่นเหมือนกัน”


 


เสียงผ่านพลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่งตรงเข้ามาถึงหูเขา


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเบาๆ


 


ในเวลาแบบนี้การที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมาปรากฏตัวที่นี่ได้ ไม่พ้นเหมือนพวกเขาสองคน…ได้รับคำชวนจากจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่น!


 


“ไปเถอะ…หากทำได้ก็อย่าไปยุ่งกับนางให้มาก ข้าไม่อยากได้ตัวภาระ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง จากนั้นกล่าวจบก็เดินนำตัวปลิวไปทันที


 


ต้วนหลิงเทียนที่ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ได้แต่เดินตามไปอย่างไร้คำใดจะกล่าว สายตาเมื่อครู่ของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหมายความว่าอะไร?


 


หรือคิดว่าเขาจะยินดีรับมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมาร่วมทาง? หรือเข้าใจว่าเขาหลงใหลโฉมงาม?


 


ถึงแม้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจะหน้าตาไม่เลว แต่ก็ไม่อาจเทียบเค่อเอ๋อกับลี่เฟยภรรยาเขาได้เลย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงฮ่วนเอ๋อ สตรีที่งดงามปานสวรรค์บรรจงสร้างอย่างยากที่จะหาใดเสมอเหมือนที่เขาได้เจอหลังขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนได้ไม่นาน


 


“2 คนนี้…”


 


พอเห็นว่านางที่อุตส่าห์ทักไป แต่อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะพูดอะไรกับนางสักคำ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็รู้สึกหัวเสียอยู่บ้าง


 


หากเป็นในเวลาปกติ ด้วยความหยิ่งและถือดีในตัวของนาง มีหรือจะไปทักต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก่อนแบบนี้?


 


ทว่าครานี้นางเดินทางออกจากหลิงหลัวเทียนมายังอวี้หวงเทียนเพียงลำพัง นางเองก็คิดถึงความปลอดภัยของตัวเองเช่นกัน เพราะอย่างไรสถานที่ๆจะไปคราวนี้ก็คือมรดกสถานที่สงสัยว่าจะเป็นของจักรพรรดิอมตะเหลือทิ้งไว้


 


หากสานไมตรีกับต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ นางก็สามารถมั่นใจเรื่องความปลอดภัยได้หลายส่วน


 


ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว นางก็เลือกที่จะตามต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไปอย่างไม่เกรงใจ “ต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น พวกเจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?”


 


“ในเมื่อพวกเจ้ามาที่นี่ด้วย หมายความว่าพวกเจ้าก็ได้รับคำชวนมาเหมือนกันใช่ไหม?””


 


“พวกเจ้ามุ่งหน้าลงใต้แบบนี้ ดูท่าว่าจะไปที่เดียวกับข้า…หลังเข้ามรดกสถานของจักรพรรดิอมตะแล้ว พวกเรา 3 คนร่วมมือกันดีหรือไม่?”


 


“แน่นอนว่าพวกเจ้าไม่ต้องแบ่งของให้ข้าเท่าๆกันก็ได้…ไม่ว่าอันใดล้วนแบ่งออกเป็น 5 ส่วน พวกเจ้าเอาไปคนละ 2 ส่วน และข้าจะเอาส่วนที่เหลือเองเป็นไง?”


 


ตั้งแต่ออกจากต้าอี้เก๋อ จวบจนออกจากเมืองอวี้เฟิงและเหินร่างมุ่งหน้าลงใต้ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ตามต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแจ ขณะเดียวกันก็พยายามกล่าวทำนองอยากขอเข้าร่วมกลุ่ม และร่วมเดินทางไปในมรดกสถานที่สงสัยว่าจะเป็นตัวตนระดับจักรพรรดิอมตะสร้างไว้ด้วย


 


กระทั่งเพื่อแสดงความจริงใจครั้งใหญ่เท่าที่นางจะทำได้ นางยังกล่าวว่าจะรับผลประโยชน์แค่ 2 ใน 10 ส่วนเท่านั้น หากเจอสมบัติใดๆด้านใน


 


ในสายตานาง ในเมื่อตัวนางเลือกที่จะสละผลประโยชน์ให้ทั้งคู่ขนาดนี้แล้ว ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นต้องรับนางเข้ากลุ่มด้วยแน่นอน


 


ท้ายที่สุดแล้วพลังฝีมือของนางก็หาได้อ่อนด้อยไม่ หากนางเข้าร่วมกับทั้งคู่ได้ เช่นนั้นการเข้าไปในมรดกสถานที่สงสัยว่าน่าจะเป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะเหลือทิ้งไว้ นางย่อมไม่ต่างอะไรจากปลาได้น้ำ


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคิดไม่ถึงก็คือ…


 


กระทั่งนางยอมลงและเสนอผลประโยชน์ให้ทั้งคู่ขนาดนี้แล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เอาแต่เหินร่างไปเงียบๆ ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองนางเลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับตอบรับข้อเสนอของนาง


 


จังหวะนี้สีหน้ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจึงกับกลายเป็นปั้นยากนัก สองตาดั่งสารทของนางยังฉายชัดถึงความไม่พอใจออกมาถึงที่สุด!


 


ตัวนางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โฉมงามอัจฉริยะของตระกูลมู่หรง เคยถูกผู้คนเมินเฉยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


 


“เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ ที่เหินร่างลงใต้ตอนนี้ นอกจากพวกเราแล้วยังมีคนไม่น้อยเลยที่ออกจากต้าอี้เก๋อ…ท่าทางพวกมันจะได้รับคำชวนจากจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่นเช่นกัน”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่งเสียงผ่านพลังคุยกับต้วนหลิงเทียน “อย่างไรก็ตาม นอกจากมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแล้วข้าไม่คุ้นหน้าผู้ใดเลย…ดูเหมือนในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว เจ้าจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่นจะชวนแค่พวกเรา 3 คน”


 


“เชิญแค่พวกเรา 3 คนงั้นหรือ”


 


ได้ยินเสียงผ่านพลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหันมองสำรวจผู้คนที่เหินร่างนำอยู่ด้านหน้า จากนั้นก็หันมองด้านข้างกระทั่งหันกลับไปมองด้านหลัง และพบว่าผู้คนนับพันๆที่สบตากับเขา นอกจากมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแล้ว ไม่มีใบหน้าที่เขาคุ้นตาอยู่เลย


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนยังรู้อีกด้วย ว่าเหล่าคนที่กำลังมุ่งหน้าลงใต้ ก็ไม่แน่ว่าจะไปตามคำนัดหมายของจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด


 


คนที่ออกจากเมืองอวี้เฟิงไม่ได้มุ่งหน้าไปแต่ทางใต้อย่างเดียว กระทั่งมุ่งหน้าไปทิศอื่นก็มีมากมาย


 


และความจริงก็พิสูจน์ว่าต้วนหลิงเทียนเดาถูก


 


หลังมุ่งหน้าลงใต้ไปราวๆ 7-8 พันลี้ ในที่สุดผู้คนหลายพันที่เหินร่างลงใต้รอบๆ ก็ค่อยๆแยกย้ายกันไปทางอื่น จนลดน้อยลงเหลือแค่ราวๆ 2 พันคน และหลังจากมุ่งหน้าลงใต้ไปอีกหลายหมื่นลี้ ในที่สุดก็หลงเหลือแค่เพียงพันคนเท่านั้น…


 


“สถานที่นัดหมาย สมควรเป็นเขาลูกหนึ่งในแนวเทือกเขาเบื้องหน้า…”


 


หลังเหินร่างข้ามผ่านทะเลทรายอันกว้างใหญ่ และที่ราบลุ่มมากมาย ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เห็นแนวเทือกเขาที่ทอดตัวยาวเบื้องหน้าไกลๆ


 


ด้วยเพราะระยะทางยังอยู่อีกไกล จึงไม่อาจเห็นรูปลักษณ์ของยอดเขาได้ชัดเจน


 


“ดูจากระยะทางแล้ว…สมควรอยู่ในแนวเทือกเขาเบื้องหน้าจริงๆ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นสังเกตเห็นแนวเทือกเขาเบื้องหน้า มู่หรงเซี่ยวเซี่ยยวและคนอื่นๆก็สังเกตเห็นเช่นกัน จากนั้นก็มีหลายคนที่เร่งความเร็วในการเหินบิน ราวกับจะรีบไปช่วงชิงสมบัติอย่างไรอย่างนั้น


 


ด้านต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับไม่รีบไม่ร้อนและเหินร่างเดินทางด้วยความเร็วปกติ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเองก็เงียบไม่พูดไม่จา เพราะตอนนี้นางไม่มีหน้าพูดอะไรออกมาแล้วจริงๆ


 


ก่อนหน้านี้นางพยายามเข้าหาต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็แล้ว บากหน้าขอเข้าร่วมกลุ่มโดยรับผลประโยชน์แค่เล็กน้อยก็แล้ว แต่ทั้งคู่กลับไม่แม้แต่จะแสนางเลย เช่นนั้นนางก็ไม่คิดจะหน้าด้านพะเน้าพะนออะไรอีก


 


และตอนนี้นางก็ได้ตัดใจเรื่องเข้าร่วมกลุ่มกับต้วนหลิงเทียนโดยสมบูรณ์


 


เพราะนางเห็นแล้วว่าทั้งคู่ไม่คิดจะร่วมมือกับนางจริงๆ หาไม่แล้วทั้งคู่ไม่มีวันปฏิเสธนางแน่ เพราะนางก็ยอมลงและปันส่วนผลประโยชน์ให้มากขนาดนี้แล้ว


 


“หากเจ้านั่นมันไปเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้วชวนพวกเรากับมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแค่ 3 คน…เช่นนั้นมันต้องวิ่งโร่ไปกี่แห่งกันแน่ถึงจะชักชวนคนมาได้มากมายขนาดนี้ ที่สำคัญคนพวกนี้เผลอๆจะเป็นแค่คนบางส่วนที่มันชวนมาด้วยซ้ำ”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนมั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าผู้คนนับพันๆที่เหินร่างอยู่ในสายตาเขาตอนนี้ สมควรมาเพราะถูกชวนเหมือนเขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


“นั่นสิ…”


 


ได้ยินเสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับ “นอกจากนั้นดูจากการที่มันเลือกพวกเรา 3 คนจากทั้งเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว…หากมันยังรักษามาตรฐานระดับนี้ เกรงว่าผู้คนที่มาล้วนแล้วแต่เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดชนชั้นอัจฉริยะที่เข้าใจความลึกซึ้ง 2 ประการขึ้นไปจริงๆ”


 


“ไม่ใช่เจ้าเคยบอกว่า…เครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ ขอเพียงเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดก็พอหรือไร เช่นนั้นไฉนมันต้องจงใจเฟ้นหาอัจฉริยะที่สมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏด้วย?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามผ่านพลัง


 


“ข้าก็ไม่แน่ใจ…หรือการที่มันจงใจคัดเลือกแต่ยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดชนชั้นอัจฉริยะแบบนี้ จะมีส่วนช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จที่จะเกิดผลเทพสังเวยสวรรค์?”


 


สองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทอประกายสว่างจ้า จากนั้นก็เริ่มคาดเดาอย่างอุกอาจ “หาไม่แล้วไฉนมันถึงต้องลงทุนนลงแรงตระเวนไปยังสถานที่ต่างๆมากมายขนาดนี้ด้วย? เอาแค่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว แม้ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่แข็งแกร่งกว่าพวกเราจะไม่มี แต่ระดับเดียวกับมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวหรืออ่อนด้อยกว่าเล็กน้อยก็ยังมีอีกมากมาย แต่มันกลับไม่สนใจคนพวกนั้นเลย…”


 


“ก็นะ อย่างไรตอนนี้พวกเราก็ได้แต่เดาไปเรื่อย…สุดท้ายแล้วไม่แน่ว่าอาจจะมียอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนอื่นจากเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวอยู่อีก เพียงแค่พวกมันไม่ได้เดินทางมาพร้อมๆคนกลุ่มนี้เหมือนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ก็ไม่แน่…ต้องรอดูกันว่าคนที่จะไปรวมตัวกันบนยอดเขานั่นเป็นยังไง หากพวกเราไม่เห็นคนที่คุ้นหน้าแล้วจริงๆ เรื่องที่ข้าเดาก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบ


 


“หากที่เจ้าเดามันเป็นความจริงก็ดี…เพราะสุดท้ายแล้วพวกเราก็มาเพื่อผลเทพสังเวยสวรรค์ เรื่องอื่นจะอย่างไรก็ช่าง”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง ลึกลงไปในแววตายังเผยเพลิงปรารถนาอันแรงกล้าลุกโชนขึ้นมา


 


เพราะหากคนที่เป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดนั่น เลือกจะชวนแค่เขา หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแค่ 3 คนจากทั้งเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวจริง และเป็นการเลือกเฟ้นผู้คนตามมาตรฐานระดับนี้…


 


หมายความว่าอีกฝ่ายต้องทำไปเพราะมีเหตุผลแน่นอน!


 


หาไม่แล้วไฉนมันถึงต้องลำบากลงทุนลงแรงมหาศาลเพื่อตามหาผู้คนแบบนี้ด้วย?


 


‘หากเป็นแบบนั้นจริงๆ สิ่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเดาก็มีความเป็นไปได้สูง’


 


‘ยิ่งยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ถูกสังเวยมีอัจฉริยะภาพและความเข้าใจสูงส่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสสำเร็จในการเกิดผลเทพสังเวยสวรรค์!’


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดไปในใจอย่างคึกคัก เสียงผ่านพลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพันดังขึ้นในหูเขาพอดี


 


“ถึงแล้ว!”



 

 

 


ตอนที่ 3088

 

ได้ยินเสียงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ดึงสติกลับมาจากอาการเหม่อ จากนั้นจึงพบว่าเขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้เหินร่างเข้าสู่แนวเทือกเขามาแล้ว อีกทั้งมองไปเบื้องหน้ายังเห็นขุนเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง


 


เรียกว่ามันใหญ่โตทั้งตั้งตระหง่านโดดเด่นเหนือเขาลูกใด ประหนึ่งหงส์ในฝูงไก่!


 


ที่สำคัญที่สุดก็คือ มองไปแวบแรก ขุนเขาสูงชันตระหง่านนี้ แลดูเหมือนหมาป่ากำลังนั่งเชิดหน้าขึ้นมองฟ้า อ้าปากกระหายเลือดเห่าหอนออกมาปานจะร่ำร้องให้ดังก้องสวรรค์


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเหล่าผู้คนที่เหินร่างอยู่ด้านหน้าเขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็ได้โรยตัวลงไปจากฟากฟ้า และลงจอดยังยอดเขาหมาป่าชูคอหอนฟ้านั่น


 


ถึงแม้ยอดเขาจะมีรูปลักษณ์เสมือนปลายจมูกของหมาป่า จนแลดูไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ทั้งหมดเป็นเพราะยังอยู่ห่างไกล พอเหินร่างเข้าไปใกล้มากเข้า ก็พบว่ามันช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน กระทั่งให้ผู้คนนับหมื่นมายืนรวมตัวกันบนนั้นยังไม่แออัด เรียกว่าเหลือพื้นที่ให้นอนกลิ้งเล่นได้หลายตลบด้วยซ้ำ


 


“ลงไปกันเถอะ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยทักต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เหินร่างลงไปยังยอดเขาด้านล่าง ที่เสมือนส่วนจมูกของหมาป่าชูคอหอนฟ้านั่น…


 


ตุบ!


 


ต้วนหลิงเทียนที่โรยตัวตามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นลงมา ก็มาหยุดยืนบนยอดเขาข้างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


บริเวณยอดเขาแห่งนี้ช่างผิดกับส่วนอื่นของเขาลูกนี้ลิบลับ มันไร้ซึ่งดอกไม้ใบหญ้าหรือพืชใดๆขึ้นอยู่ แถมพื้นส่วนใหญ่ยังเรียบปานกระจก ราวกับมันถูกดาบคมฟันขวางตัดปลายยอดที่แท้จริงจนกุดไป ไม่มีกองหินหรือเนินดินอะไรให้เห็น


 


ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่หันไปมองสำรวจยอดเขารอบๆก็พบเห็นว่า มีผู้คนมาถึงที่นี่และยืนรอคอยอยู่หลายพันแล้ว อีกทั้งในขณะที่เขากำลังหันมองก็ยังมีผู้ที่พึ่งเดินทางมาถึงและกำลังโรยตัวลงมาจากฟ้า


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเอง ก็ลงมาหยุดยืนไม่ห่างต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเท่าไหร่ นอกจากนั้นก็มีเหล่าคนที่เหินร่างไล่หลังเขามาก่อนหน้าด้วย และพอต้วนหลิงเทียนหันไปมองยังขอบฟ้าไกล เขาก็พบว่ามีคนกำลังมุ่งหน้ามาสมทบอีกมากมาย


 


ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่แค่ทิศทางเดียว มีผู้คนเร่งรุดเหินร่างมาจากทิศทางอื่นๆมากมาย พอมาถึงก็ดิ่งลงมาหยุดยืนบนยอดเขาด้วยความสนใจ


 


“สหายท่านนี้ ท่านมาเพราะมรดกสถานที่คาดว่าจักรพรรดิอมตะสร้างทิ้งไว้เหมือนกันหรือ?”


 


ไม่ไกลจากจุดที่ต้วนหลิงเทียนยืนอยู่ ปรากฏร่างชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งหันมามองเขาสักพัก จากนั้นก็เดินเข้ามาถามด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัย


 


“ข้าเกรงว่าคนที่มาที่นี่ ก็เพื่อมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะเหมือนกันหมดกระมัง?”


 


ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม


 


“แหะๆ ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหล่ะ”


 


ชายหนุ่มคลี่ยิ้มโง่งม จากนั้นก็เอ่ยถามออกมาอีกครั้ง “ว่าแต่สหายมาจากที่ใดหรือ?”


 


“หลิงหลัวเทียนน่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปตอบชายหนุ่ม จากนั้นก็มองอีกฝ่ายทั้งถามกลับไปด้วยความสงสัย “ท่านเล่า มาจากที่ไหนหรือ?”


 


“อ้อ ข้าเดิมก็เป็นคนของอวี้หวงเทียนนี่ล่ะ…แต่ข้าก็ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกมาเหมือนกัน เพราะที่ๆข้าอยู่มันไกลจากที่นี่มาก ไม่งั้นข้าคงไม่มีปัญญามาถึงที่นี่ หรืออย่างน้อยๆก็คงไม่อาจมาทันเวลาได้แน่นอน”


 


ชายหนุ่มกล่าว


 


“สหาย ข้าเรียกว่าหลินเฟยหยาง ท่านชื่ออะไรหรือ?”


 


ชายหนุ่มเอ่ยถามอีกรอบ


 


“ต้วนหลิงเทียน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


อันที่จริงเขาสังเกตเห็นแต่แรก วว่าชายหนุ่มนามหลิงเฟยหยางผู้นี้ได้หันมามองเขาตั้งแต่ตอนที่เขามาถึง อีกทั้งเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายจะคุยกับใครเลย แต่อยู่ๆก็ดันเข้ามาคุยกับเขาซะงั้น สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกงุนงงสงสัยอยู่บ้าง


 


ต้องทราบด้วยว่า เดิมทีหลิงเฟยหยางผู้นี้ยืนอยู่ห่างเขาหลายช่วงตัว และมีคนที่อยู่ใกล้มันมากกว่าเขาอย่างน้อยๆ ก็ 5-6 คน แต่อีกฝ่ายไม่สนใจใคร เพียงเดินบึ่งเข้ามาทักเขาเฉยเลย


 


“เจ้าหนู ในร่างเจ้าหนุ่มหลินเฟหยางนี่ มีวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 อยู่…อย่างไรก็ตามวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ของมันสมควรเป็นสมบัติที่มีมาแต่กำเนิด และยังไม่ตื่น”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังงุนงงว่าไฉนหลินเฟยหยางเดินเข้ามาชวนเขาคุย เสียงของทองเทพสุดลี้ลับพลันดังขึ้นพอดี และทำให้เขาตกใจไม่น้อย


 


“วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2!?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน


วารีเทพชำระโลกา ก็เป็น 1 ใน 5 ธาตุเทพ ไม่ต่างอะไรจากทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล และปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินในร่างเขา…


 


เทพแห่งธาตุทั้ง 5 นั้นนอกเหนือจากทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล และปฐบพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินแล้ว เขายังมีพฤกษาเทพครองสวรรค์อีกอย่าง


 


อย่างไรก็ตามพฤกษาเทพครอสวรรค์ที่เขามี มันยังเป็นแค่ขั้นที่ 1 เท่านั้น จึงยังไม่มีสำนึกสติใดๆ และบัดนี้ก็ได้มาอยู่ในร่างของเขาแล้ว ตำแหน่งของมันก็อยู่ใกล้ๆหัวใจเขา และเกิดการสั่นพ้องบางประการกับพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่หยั่งรากอยู่ในหัวใจของเขา


 


“ที่ท่านว่าสมควรเป็นสมบัติแต่กำเนิด…มันหมายความว่าอย่างไรหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามทองเทพสุดลี้ลับ


 


“ความหมายก็คือก่อนที่มันจะลืมตาดูโลก หรือก็คือตั้งแต่ตอนที่อยู่ในครรภ์มารดา วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ก็ได้รวมผสานเข้ากับร่างของมันไปแล้ว…และจากการตรวจสอบของข้า วารีเทพชำระโลกาในร่างของมันก็ยังไม่เคยตื่นขึ้นมา”


 


ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวสืบต่อ “อย่างไรก็ตามแม้วารีเทพชำระโลกาในร่างของมันยังไม่ตื่น แต่เนื่องจากมันเกิดมาพร้อมวารีเทพชำระโลกา ทำให้มันได้รับความสามารถบางอย่างของวารีเทพชำระโลกามาด้วย กระทั่งยังสัมผัสได้ถึงการดำนงอยู่ของเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ธาตุอื่นๆ”


 


“อย่างเช่นในตอนนี้ สาเหตุที่ไฉนมันเข้าหาเจ้า เพราะมันสมควรรู้สึกอย่างคลุมเครือว่าในร่างเจ้ามีเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ดำรงอยู่…แน่นอนว่าตอนนี้มันอาจจะยังไม่รู้ว่าเทพแห่งธาตุทั้ง 5 คืออะไร แต่มันสมควรพบว่าเจ้าให้ความรู้สึกคุ้นเคยและดึงดูดมันไม่น้อย”


 


ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวสืบต่อ


 


“ข้า? ให้ความรู้สึกคุ้นเคยทั้งดึงดูด?”


 


ได้ยินคำพูดของทองเทพสุดลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนก็หายสงสัยทันที


 


หากเป็นแบบนี้ก็อธิบายได้ไม่ยาก ว่าไฉนอีกฝ่ายถึงไม่คิดจะคุยกับคนอื่นๆ แต่เลือกที่จะเดินเข้ามาชวนเขาคุย


 


“ว่าแต่ในเมื่อวารีเทพชำระโลกาในร่างของมันก็เป็นขั้นที่ 2 แล้ว แต่ไฉนยังไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดถามไม่ได้


 


“เทพแห่งธาตุทั้ง 5 ที่อยู่ในขั้นที่ 2 ขึ้นไปสามารถเลือกร่างต้นได้…ในบรรดาวิธีการเลือกร่างต้นทั้งหมด ที่เสี่ยงที่สุดก็คือเลือกร่างต้นที่ยังไม่คลอดออกมา หรือก็คือเลือกร่างต้นตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดา เหมือนวารีเทพชำระโลกาในร่างเจ้าหนุ่มนี้ สิ่งนี้จะทำให้ร่างต้นที่ยังเป็นตัวอ่อนได้รับผลกระทบจากพลังของเทพแห่งธาตุนั้นๆตั้งแต่เกิด…อย่างเช่นความสามารถในการทำความเข้าใจกฏแห่งน้ำได้เร็วเป็นพิเศษ”


 


ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดลงเล็กน้อยค่อยกล่าวสืบต่อ “นอกจากนั้นการที่วารีเทพอยู่ในร่างเจ้าหนุ่มนี่ตั้งแต่มันยังเป็นตัวอ่อน ก็จะช่วยให้เจ้าหนุ่มนี่เปิดชีพจรสวรรค์ได้มากยิ่งขึ้น และช่วยให้เจ้าหนุ่มนี่สามารถสัมผัสพลังวิญญาณฟ้าดินได้ดีขึ้น กล่าวได้ว่ามันพยายามขัดเกลาส่งเสริมร่างต้นให้มีรากฐานแน่นหนาตั้งแต่เป็นตัวอ่อน”


 


“ในขณะเดียวกัน เนื่องจากเจ้าหนุ่มนี่มันใกล้ชิดกับวารีเทพชำระโลกตั้งแต่เกิด ทำให้มันมีความเข้าใจในกฏแห่งน้ำสูงตามธรรมชาติ เรียกว่าความเร็วในการทำความเข้าใจกฏแห่งน้ำของมันถึงขั้นท้าทายสวรรค์…ตัวตนเช่นมัน หากให้เวลามากพออย่างไรก็ต้องเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำได้ครบทั้ง 9 ประการแน่นอน…”


 


กล่าวถึงจุดนี้ ทองเทพสุดลี้ลับก็กล่าววออกมาด้วยน้ำเสียงทอดถอน  “อย่างไรก็ตามการตัดสินใจเลือกร่างต้นเช่นนี้นับว่าวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 เสี่ยงเกินไปแล้วจริงๆ…เพราะการที่ต้องตกอยู่ในสภาพหลับไหลแบบนี้ หากไปบังเอิญพบเจอคนที่มีวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 เหมือนกันหรือเหนือกว่า มันจักไม่มีความสามารถในการต่อต้านอันใดได้เลย ทำได้แค่ถูกอีกฝ่ายดูดกลืนทันที เป็นได้แค่อาหารเสริมของผู้อื่นเท่านั้น”


 


“เพราะสุดท้ายแล้วการเลือกที่จะเข้าไปผสานกับร่างตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน ต้องใช้พลังและความพยายามอย่างมาก…เช่นนั้นจึงต้องเข้าสู่ห้วงนิทราไปเพราะความอ่อนล้าสิ้นพลัง…กว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลานับร้อยปี ไม่แน่ก็อาจจะนานกว่านั้น”


 


“อย่างไรก็ตามข้าดูแล้วต้องบอกเลยว่าวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ในร่างเจ้าหนูนี่มันมีโชคสูงยิ่ง เพราะสุดท้ายแล้วมันไม่เคยพบเจอวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 หรือเหนือกว่านั้นเลยสักครั้ง หาไม่แล้วคงถูกกลืนไปแต่แรก”


 


“น่าเสียดายที่ในนร่างเจ้าไม่มีวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 อยู่ หาไม่แล้วเจ้าสามารถฆ่าเจ้าหนุ่มนี่ทิ้งและดูดกลืนวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ในร่างของมันได้อย่างง่ายดาย!”


 


กล่าวถึงจุดนี้น้ำเสียงของทองเทพสุดลี้ลับก็ฉายความเสียดายออกมา


 


“และน่าเสียดายนักที่วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ในร่างเจ้าหนุ่มนี่ยังไม่ตื่น หาไม่แล้วเจ้าแค่ชักชวนให้ละทิ้งเจ้าหนุ่มนี่แล้วมาอยู่ในร่างเจ้าก็ได้…”


 


“ถึงตอนนั้น ในร่างเจ้าก็จักมีเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ครบองค์ประกอบ!”


 


เสียงกล่าวประโยคท้ายของทองเทพสุดลี้ลับ เผยความมุ่งหวังประการหนึ่ง


 


‘หลินเฟยหยางผู้นี้…’


 


หลังได้ยินคำกล่าวของทองเทพสุดลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนก็แผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว ด้านหลินเฟยหยางอยู่ๆก็ถูกเขาแผ่สำนึกเทวะมาปกคลุมแบบนี้ ก็สะดุ้งตกใจอยู่บ้าง


 


“อายุไม่ถึงร้อยปีรึ…”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรที่พบว่าอีกฝ่ายมีด่านพลังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือหลินเฟยหยางก็มีอายุพอๆกับเขาหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ยังไม่ถึงร้อยปี!


 


หลังสะดุ้งไปเพราะอยู่ๆก็ถูกต้วนหลิงเทียนแผ่สำนึกเทวะมาตรวจสอบ คิ้วหลินเฟยหางขมวดย่นเป็นปมเล็กน้อย หากแต่ไม่นานก็คลาย เห็นได้ชัดว่าไม่คิดติดใจเอาความอะไรต้วนหลิงเทียน


 


“กฏที่ท่านเข้าใจ ใช่กฏแห่งน้ำหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามหลินเฟยหยางออกมา ด้วยอยากรู้ว่าสิ่งที่ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวบอกจะเป็นความจริงหรือไม่


 


หากหลินเฟยหยางผู้นี้เป็นดั่งที่ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวไว้จริงๆ และมีความสามารถในการทำความเข้าใจกฏแห่งน้ำท้าทายสวรรค์ นั่นหมายความว่ากฏที่อีกฝ่ายใช้สมควรเป็นกฏแห่งน้ำ และไม่น่าจะเป็นกฏอื่นไปได้


 


“ท่านรู้ได้อย่างไร?!”


 


หลินเฟยหยางตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน


 


ต้องทราบด้วยว่าท่ามกลางผู้คนมากมายในที่นี้ มันไม่รู้จักใครและไม่น่าจะมีใครรู้จักมัน อีกทั้งมันไม่ได้ประมือกับใครหรือใช้พลังอะไรออกมาสักครั้ง สิ่งนี้หมายความว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่จะมีคนล่วงรู้ว่ามันใช้กฏแห่งน้ำ


 


“ท่านแค่ใช้สำนึกเทวะตรวจสอบข้า…ท่านก็บอกได้แล้วหรือว่ากฏที่ข้าเข้าใจคือกฏแห่งน้ำ!?”


 


หลินเฟยหยางมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ เพราะมันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าไฉนสำนึกเทวะของอีกฝ่ายกลับตรวจพบกฏที่ตัวมันเข้าใจได้


 


“ถึงท่านจะยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี…แต่สมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำได้หลายประการแล้วสินะ 3 หรือ 4 เล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตามองจ้องหลินเฟยหยางพลางถามออกมาอีกครั้ง


 


ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน สายตาที่หลินเฟยหยางใช้มองต้วนหลิงเทียนก็ทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ!


 


มันไม่เข้าใจและไม่อาจทราบได้จริงๆ ว่าไฉนชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า พอเอ่ยปากถามก็เปิดโปงความลับของมันออกมาได้ทุกครั้ง…


 


“ท่าน…นี่ท่านคงไม่รู้จักข้ามาก่อนหรอกนะ?”


 


หลินเฟยหยางมองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างระแวง


 


บนยอดเขาแห่งนี้ ท่ามกลางผู้คนนับร้อยพัน มีต้วนหลิงเทียนคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้มันบังเกิดความรู้สึกคุ้นเคยและดึงดูด อย่างที่มันเองก็อธิบายไม่ถูก


 


ยิ่งคำถามแต่ละอย่างของต้วนหลิงเทียน ก็ยิ่งสร้างความตกใจทำให้มันบังเกิดความสงสัยมากขึ้น


 


หรือชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้ จะรู้จักมันมาก่อน ทำให้ทราบข้อมูลส่วนตัวของมัน?


 


“ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ข้ามาเยือนอวี้หวงเทียน…แล้วท่านคิดว่าข้าจะเคยรู้จักท่านมาก่อนไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ จากนั้นก็ละสายตาออกมาจากหลิงเฟยหยาน ไม่ได้สนใจจะคุยอะไรกับอีกฝ่ายสืบต่อ


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนที่เริ่มหันมองไปรอบๆก็พบว่าจำนวนผู้คนยิ่งมาก็ยิ่งมากแล้ว!


 


จากที่เขามองกะประมาณด้วยสายตา อย่างน้อยๆบนยอดเขาแห่งนี้ก็มีคนยืนอยู่ไม่ต่ำกว่า 5,000 คน!


 


‘จักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่น…มันไปชวนคนมาเท่าไหร่กันแน่!?’


 


ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจทั้งสงสัยนัก



 

 

 


ตอนที่ 3089

 

จังหวะนี้ไม่ใช่แค่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่ตกใจ คนอื่นๆเองก็ตื่นตกใจไม่น้อย


 


“คนเยอะขนาดนี้เชียว…ทั้งหมดล้วนมาเพราะมรดกสถานที่น่าจะเป็นของตัวตนระดับจักรพรรดิอมตะเหลือทิ้งไว้หรือ?”


 


“ข้าไม่ทราบว่าผู้อื่นมาที่นี่เพื่ออะไร…แต่ข้ามาเพราะมรดกสถานที่อาจเป็นของจักรพรรดิอมตะจริงๆ อีกทั้งข้าก็มิใช่คนของอวี้หวงเทียนแต่มาจาก จี๋กวงเทียน โดยใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก แล้วพวกเจ้าเล่า?”


 


“ข้ามาจากจี๋กวงเทียนเช่นกัน”


 


“ส่วนข้ามาจากหลิงหลัวเทียน”


 


“ข้ามาจาก ปี้สุ่ยเทียน”


 


“ข้ามาจาก ชิงเฉวียนเทียน”


 


“ส่วนข้าถึงจะเป็นคนของอวี้หวงเทียน แต่ที่ๆข้าอยู่ห่างไกลจากคฤหาสน์เอี้ยนซานของแดนผิงเทียนมาก…หากไม่มีตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะคุ้มกันข้าคงไม่อาจมาถึงที่นี่ได้เลย สุดท้ายจึงต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเช่นกัน”


 



 


หลายคนเริ่มบอกที่มาของตัวเอง จากนั้นทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง


 


คนที่ยืนออกันไม่กี่คนตรงนี้กลับมาจากระนาบเทวโลกที่แตกต่างกันถึง 5 ระนาบ อันได้แก่อวี้หวงเทียน จี๋กวงเทียน หลิงหลัวเทียน ปี้สุ่ยเทียน แล้วก็ชิงเฉวียนเทียน


 


และเมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงโพล้เพล้ จำนวนของผู้คนที่มายืนรอคอยกันบนยอดเขาแห่งนี้ ก็เกิน 8,000 คนไปแล้ว อีกทั้งจนถึงบัดนี้ยังมีผู้คนทยอยกันมาถึงเรื่อยๆ คล้ายจะมาเพิ่มกันไม่หยุดหย่อน!


 


ขณะเดียวกัน หลังผู้คนที่ยืนใกล้ๆเริ่มหันมาสนทนากัน ทั้งหมดจึงรับทราบว่า…


 


คนที่มีอายุมากที่สุดนั้น ก็ยังอายุไม่ถึง 200 ปี ทั้งหมดเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด และอย่างน้อยๆทุกคนก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการ เรียกได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งสิ้น!


 


“อายุไม่เกิน 200 ปีและเข้าใจความลึกซึ้งของกกฏ 2 ประการเป็นอย่างต่ำ…”


 


เมื่อข้อมูลดังกล่าวปรากฏออกมา แม้แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ เงื่อนไขในการคัดคนกลับสูงถึงขนาดนี้ ต่อให้เป็นทั้งเขตคฤหาสน์เฉวียนโยยวของแดนสวรรค์ใต้ ก็เกรงว่าผู้ที่ผ่านคุณสมบัติดังกล่าวจะมีเพียงแค่หยิบมือเดียว


 


“ความแข็งแกร่งของข้า…ในบรรดาผู้คนที่มารวมตัวกัน มันไร้ค่าขนาดนี้เชียวหรือ?”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน สองตาแลดูเลื่อนลอยไม่น้อย


 


ในฐานะรุ่นเยาว์อัจฉริยะในรอบหลายพันปีของตระกูลมู่หรง มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั้นมักถือดีและมีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงส่ง จนเมื่อได้พบกับต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋น นางถึงได้รู้ว่าในใต้หล้าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคนเสมอ…


 


แต่มาวันนี้พอได้รับทราบว่าผู้คนเรือน 10,000 ที่อยู่บนยอดเขานี่ ต่อให้หลับตาสุ่มชี้ใครสักคน ก็ไม่มีผู้ใดอ่อนด้อยไปกว่านางแม้แต่คนเดียว กระทั่งคนอายุไม่ถึง 200 ปีและเข้าใจความลึกซึ้ง 2 ประการเช่นนางยังจัดว่าธรรมดาถึงขีดสุด!  สิ่งนี้สะท้านจิตสะเทือนใจนางอย่างแรง ประหนึ่งความภาคภูมิใจชั่วชีวิตของนางที่แท้ไม่ต่างอะไรจากผายลม…


 


“ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ข้าเดาไว้ไม่ผิด…จักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่น มันไม่เพียงแต่จะต้องการยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมาสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์เท่านั้น แต่มันยังคัดมาแต่ชนชั้นอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด!”


 


เสียงผ่านพลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน “อย่างที่ข้ากล่าวไว้ก่อนหน้า การกระทำเช่นนี้ของมันต้องมีจุดประสงค์แน่นอน…หาไม่แล้วไฉนมันถึงต้องลำบากลำบนไปชักชวนชนชั้นอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแบบนี้ด้วย…”


 


“การรวบรวมสุดยอดอัจฉริยะนับหมื่นเช่นนี้ มิใช่เรื่องราวอันง่ายดายเลย…แม้มันจะรวบรวมคนมาจาก 5 ระนาบเทวโลก แต่อย่างน้อยๆเอาแค่ใช้จ่ายขณะเดินทางของมัน ก็ไม่ต่างอะไรจากเอาอุปกรณ์อมตะระดับราชานับพันชิ้นไปละลายน้ำ…”


 


“มันลงทุนเฟ้นหาอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะถึงขนาดนี้…ให้บอกว่ามันไม่มีจุดประสงค์อะไร ข้าไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด”


 


“บางทีสิ่งที่ข้าเดาไว้ตอนแรกคงไม่ผิด…ยอดเซียนอมตะขั้นสูงุสดชนชั้นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์และเชาว์ปัญญาสูงสมควรเพิ่มโอกาสที่ผลเทพสังเวยสวรรค์จะสุกงอมได้ในระดับหนึ่ง!”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“อืม นอกจากเรื่องนี้ข้าเองก็มองไม่เห็นเหตุผลอื่น…แต่แบบนี้ก็นับว่าส่งผลดีกับพวกเราจริงๆ เพราะสุดท้ายแล้วหากโอกาสเกิดผลเทพสังเวยสวรรค์มันมีแค่ 1 ใน 10 ส่วน ต่อให้พวกเราสองคนจะรอดจนจบ แต่โอกาสได้ผลเทพสังเวยสวรรค์ของพวกเราก็ริบหรี่เกินไป”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วยพลางกล่าว “ถ้าโอกาสที่ผลเทพสังเวยสวรรค์จะปรากกฏเพิ่มสูงขึ้น หากพวกเรารอดก็หมายความว่าพวกเรามีโอกาสได้รับมันมากขึ้น!”


 


“ถูก!”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า สองตามันสั่นไหวไม่น้อย กระทั่งลึกลงไปในแววตายังเริ่มฉายแสงจ้าขึ้นมาทุกขณะ


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน แผ่นฟ้าย้ามนี้ล้วนกลับกลายเป็นสีแดงฉาน เมฆเบื้องบนจากที่ขาวก็กลับกลายคล้ายก้อนเลือด และคนที่ทยอยกันมาถึงยอดเขาแห่งนี้ก็ลดน้อยลงทุกขณะ เรียกว่าผู้มาใหม่มีแค่ประปรายแล้ว


 


แต่กระนั้น บนยอดเขาแห่งนี้ ก็มีผู้คนมารวมตัวกันเกินหมื่น!


 


กลุ่มคนที่มาถึงทีหลังพวกต้วนหลิงเทียน หรือกลุ่มคนที่มาถึงก่อน ฟังแล้วก็มาจากระนาบเทวโลก 5 ระนาบที่แตกต่างกัน ได้แก่ หลิงหลัวเทียน อวี้หวงเทียน ปี้สุ่ยเทียน ชิงเฉวียนเทียน จี๋กกวงเทียน


 


เป็นธรรมดาว่าคนของอวี้หวงเทียนเอง ก็ล้วนอยู่ห่างไกลจากที่นี่มากเช่นกัน ทุกคนล้วนใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเหมือนคนที่มาจากระนาบอื่น ที่น่าสนใจก็คือ…ไม่มีคนจากคฤหาสน์เอี้ยนซานของแดนผิงเทียนแห่งนี้แม้แต่คนเดียว!


 


เห็นได้ชัดว่าคนที่ไปชักชวน ไม่คิดจะชักชวนคนในพื้นที่!


 


ยังดูเหมือนจงใจหลีกเลี่ยงด้วยซ้ำ!


 


“หรือว่าแดนลับที่สมควรเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะนั่น จะจำกัดอายุผู้เข้า?”


 


ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนหนึ่งของปี้สุ่ยเทียนคาดเดา


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น…หาไม่แล้วไฉนทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่ ล้วนแล้วแต่เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอายุไม่ถึง 200 ปี? เห็นได้ชัดว่าแดนลับมรดกสถานที่ว่า ไม่เพียงแต่จะจำกัดด่านพลัง แต่ยังจำกัดอายุอีกด้วย”


 


ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากชิงเฉวียนเทียนคนหนึ่งกล่าวเห็นด้วย


 


หลายคนยังเริ่มพูดคุยกันถึงประเด็นนี้ และยิ่งมายิ่งยืนยันกันได้แน่ชัด ว่าสมควรเป็นแบบนี้แน่นอน


 


“ต้วนหลิงเทียน ท่านรู้สึกไหม ว่าดูเหมือนเรื่องราวครั้งนี้อาจมิได้ง่ายดายอย่างที่ตาเห็น…”


 


ทันใดนั้นเองมีเสียงผ่านพลังฟังดูจริงจังหนึ่งส่งตรงถึงหูต้วนหลิงเทียน เป็นหลินเฟยหางที่ส่งเสียงมาถึงเขานั่นเอง “มีคนรวบรวมยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเช่นพวกเรามามากมายแบบนี้…จุดประสงค์เพื่อให้ช่วยเหลือกันฝ่าฟันมรดกสถานขอจักรพรรดิอมตะแน่หรือ?”


 


“หากว่ามันต้องการหาคนช่วยฝ่าฟันมรดกสถานขอจักรพรรดิอมตะจริง แค่มิกี่สิบหรือหลักร้อยก็น่าจะเพียงพอ แต่ไฉนต้องลำบากรวบรวมคนมากมายจากทั้ง 5 ระนาบเทวโลกแบบนี้ด้วยเล่า?”


 


หลินเฟยหยางเอ่ยถามผ่านพลัง


 


เวลานี้หลินเฟยหยางก็ไม่ได้ระแวงสงสัยต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป ว่าอาจจะเป็นคนที่รู้จักมันมาก่อน เพราะมันคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย และดูจากท่าทีเฉยๆของต้วนหลิงเทียนที่มีต่อมัน ก็เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้วางแผนคิดร้ายอะไรมันแน่นอน


 


เมื่อได้ยินเสียงผ่านพลังของหลินเฟยหยาง ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่หันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาดใจ หากแต่เขาเองก็ไม่รู้จะตอบอีกฝ่ายกลับไปอย่างไรดี


 


จากนั้นห้วงรัตติกาลก็มาเยือน ความมืดเริ่มแผ่ปกคลุมไปทั่วยอดเขา


 


และบัดนี้ผู้คนที่มารวมตัวกันบนยอดเขาหมาป่าหอนฟ้า ก็มีราวๆ 11,000 คน และไม่มีใครมาเพิ่มอีกแล้ว


 


“ว่าแต่ ไฉนเจ้านั่นยังไม่มาอีกเล่า?”


 


“นั่นสิ มันนัดให้พวกเรามา แต่ไฉนตัวมันถึงยังไม่มา?”


 


“มันทำอะไรของมันอยู่กัน…คงไม่คิดเอาพวกเรามาปล่อยทิ้งไว้ที่นี่เหมือนปล่อยนกพิราบหรอกนะ?”


 


“เหอะๆ…มันลำบากลำบนชวนคนมาขนาดนี้ หากมันคิดจะปล่อยให้พวกเราเคว้งอยู่ที่นี่ มันจะไม่ว่างเกินไปหน่อยหรือ?”


 



 


พอเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว หากแต่คนที่ชักชวนพวกมันทั้งหมดมาที่นี่ บัดนี้ยังไม่ปรากฏตัว หลายคนก็เริ่มหมดความอดทน หากแต่ยังมีหลายคนที่รอคอยอย่างสงบ ไม่พูดไม่จา


 


“พวกเจ้าไม่คิดเหรอ…ว่าเจ้านั้นมันไปชักชวนพวกเรามาแบบนี้ มันต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายขนาดไหน ที่สำคัญดูเหมือนมันจะไปแทบทุกพื้นที่ของ 5 ระนาบเทวโลกเลยด้วยซ้ำ มันคิดชวนพวกเรามาช่วงชิงมรดกในมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะจริงๆ?”


 


ทันใดนั้นเองยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากจี๋กวงเทียนคนหนึ่งพลันผสานพลังลงเสียง กล่าวออกมาให้คนทั้งหมดบนยอดเขาได้ยินกันชัดถนัดหู และเสียงผสานพลังของมันยังกลบเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของผู้คนได้อย่างชะงัด


 


และพอเสียงมันดังจบคำ ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบทันที


 


คนที่มารวมตัวกัน ณ ที่นี้หาใช่ตัวโงง่งมไม่ แทบทุกคนเอะใจเรื่องนี้อยู่แล้ว กระทั่งหลายคนยังแตกตื่นด้วยซ้ำเมื่อพบว่าคนนับหมื่นที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะไม่ต่างจากตัวเอง


 


“ข้าก็คิดเช่นนั้นแต่แรก…อีกทั้งยิ่งมาข้าก็ยิ่งสงสัย เดิมทีข้าก็โดนเจ้านั่นมาชวนเป็นการส่วนตัว ตอนแรกข้ายังหลงนึกไปด้วยซ้ำ ว่าคงมีแค่ 4-5 คนเท่านั้นที่จะเข้าไปช่วยยเหลือฟันฝ่ามรดกของจักรพรรดิอมตะ! แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะมาพบเจอผู้คนมากมายขนาดนี้!!”


 


“มิผิด ค่าใช้จ่ายสำหรับเคลื่อนย้ายไปพื้นที่ต่างๆของ 5 ระนาบเทวโลกเพื่อชวนผู้คนทั้งหมดมันไม่ใช่น้อยๆ หากบอกว่าที่เรียกพวกเรามาไร้แผนการอันใด ให้ตายข้าก็มิเชื่อ!”


 


“ที่แท้เจ้านั่นมันคิดจะทำบ้าอะไรกันแน่!?”


 



 


หลายคนเริ่มแตกตื่น กระทั่งไม่อาจทำใจเย็นอยู่ได้สืบไป จริงอยู่ว่ามรดกสถานของจักรพรรดิอมตะมันล่อลวงยวนยั่วใจ แต่บัดนี้พอพบว่าเรื่องราวมันต่างที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง ยิ่งมาในใจของพวกมันก็ยิ่งบังเกิดสังหรณ์อัปมงคล!


 


“ช่างหัวมัน! ข้าไม่เอาแล้ว มรดกสถานจักรพรรดิอันใดข้าไม่คิดเข้าไปอีก ข้าจะกลับ!”


 


ทันใดนั้นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียนคนหนึ่งก็โพล่งดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด จากนั้นคนก็พุ่งทะยานขึ้นฟ้า คิดออกจากยอดเขาแห่งนี้โดยเร็ว!


 


วู้ม!


 


วู้ม!


 



 


อย่างไรก็ตาม ทุกคนพลันเห็นว่า ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของระนาบปี้สุ่ยเทียนที่กำลังจะเหินจากไปนั้น อยู่ๆห้วงอากาศเบื้องหน้าของมันพลันปรากฏม่านพลังโปร่งแสงหนึ่ง และม่านพลังดังกล่าวยังประถ้วยคว่ำ ที่หล่นร่วงลงมาจากฟ้าฉับไว พริบตาก็คลุมครอบไปทั่วยอดเขาหมาป่าหอนฟ้า!!


 


เปรี๊ยงงง!!


 


ร่างยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียนชนเข้ากับม่านพลังโปร่งแสงดังกล่าวอย่างจัง อย่างไรก็ตามม่านพลังเพียงสั่นไหวเบาบางก่อเกิดระลอกคลื่นกำจายออกไปไม่กี่วงก็สงบลง ไม่เสียหายแต่อย่างใด


 


“หืม?”


 


หลังอื้ออึงอยู่สักพัก ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของระนาบปี้สุ่เทียนก็หวนกลับมาครองสติ สีหน้ามันเปลี่ยนไปใหญ่หลวง “มารดามันเถอะ! ดูเหมือนที่ข้าเดาไว้จักมิผิดเลย มันชวนพวกเรามานี่ด้วยมีแผนร้าย!!”


 


ขณะที่กำลังโพล่งคำอย่างเดือดดาล ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของระนาบปี้สุ่ยเทียนดังกล่าว ก็เรียกศาสตราอมตะคู่กายของมันออกมาทันที จากนั้นก็เร่งเร้าพลังเต็มสิบส่วนออกกระบวนท่าหมายทะลวงฝ่าม่านพลัง!


 


อย่างไรก็ตามพลังเต็มสิบส่วนของมัน กลับไม่อาจทำอะไรม่านพังได้เลย เพียงทำให้ม่านพลังกระเพื่อมสั่นไหวทั้งเปล่งแสงพลังวูบวาบไม่กี่ครั้งและไม่นานก็หวนกลับมาเป็นปกติ ไม่มีทีท่าว่าจะพังทลายลงแต่อย่างใด!


 


“บัดซบ! พวกเราติดกับแล้ว!!”


 


“ให้ตายเถอะ! พวกเราซวยแน่!!”


 


“ช่วยกันเร็วเข้า! รีบทำลายม่านพลังนั่นเสีย!!”


 



 


จังหวะนี้เหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลายที่อยู่บนยอดเขาหมาป่าหอนฟ้า นอกจากต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ยังคงยืนนิ่งสงบไม่นำพาเรื่องราวแล้ว คนอื่นๆไม่เว้นหลินเฟยหยาง มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ต่างหน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่ และพากันเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า หมายผนึกกำลังกับผู้อื่นทำลายม่านพลัง


 


ผู้คนมากมายเริ่มหยิบควักอาวุธคู่กายออกมา บ้างก็เริ่มหยิบยันต์อมตะสื่อสารออกมาบดขยี้เพื่อติดต่อขอความช่วยเหลือ


 


ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า!


 



 


หากทว่าทุกคนเหินร่างขึ้นมาบนฟ้าไม่ทันไร ยังไม่ได้ทันเร่งเร้าพลังเพื่อลงมือทะลวงม่านพลัง ก็บังเกิดเสียงดั่งน้ำเชี่ยวดังขึ้นระงมก้องฟ้า และพริบตาต่อมาทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับฉากเรื่องราวเบื้องหน้า!


 


กระทั่ฉากดังกล่าวยังสยดสยองชวนให้ทุกคนชะงักร่างไปด้วยความตกใจ!



 

 

 


ตอนที่ 3090

 

สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือยอดเขา ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียนที่ลงมือจู่โจมม่านพลังคนแรก บัดนี้มันกำลังเผชิหน้ากับมวลพลังสีฟ้าขุมหนึ่ง ที่อยู่ๆก็พวยพุ่งออกมาจากม่านพลังดั่งน้ำป่าไหลหลาก!


 


และพริบตาต่อมา


 


ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า!


 



 


เสียงธารเชี่ยวดังขึ้นกระหึ่ม ทั่วร่างยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของปี้สุ่ยเทียนพยายามเร่งเร้าพลังชั่วชีวิตออกมาหมายต้านทานธารน้ำเชี่ยวเบื้องหน้า สภาวะพลังยังรุนแรงกล้าแข็งถึงขีดสุด!


 


ตูมมมมม!


 


ซัว ลา ลา…


 


……


 


อนิจจา พลังชั่วชีวิตของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียน ดั่งคลื่นน้ำในอ่างพบพานคลื่นสมุทรสุดคุ้มคลั่ง! ไม่อาจต้านทานใดๆได้แม้แต่นิดเดียว กระทั่งจะทำให้มวลพลังดั่งธารเชี่ยวสี่ฟ้าที่ปะทุออกมาจากม่านพลังช้าลงสักเสี้ยวก็ไม่ได้! สภาวะพลังธารเชี่ยวไม่แม้แต่จะถดถอย พริบตาก็โถมถันมาถึง ม้วนกลืนร่างมันหายไปในบัดดล!!


 


จากนั้นทุกสายตาพลันเห็นมวลพลังดั่งธารเชี่ยวสีฟ้านั่น แต่งแต้มไปด้วยสีแดงฉาน หากแต่เศษซากชิ้นเนื้อผู้คนกลับหามีไม่ ล้วนโดนพลังเกรี้ยวกราดสีฟ้าดังกล่าวป่นปี้ทำลายจนไม่มีเหลือ! และไม่ทันไรมวลพลังดั่งธารเชี่ยวอำมหิตก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!!


 


สุดท้าย ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน ก็คงเหลือแต่แหวนพื้นที่วงหนึ่ง ชุดเกราะอมตะ และอุปกรณ์อมตะคู่กายของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียน ค่อยๆหล่นร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วง พร้อมๆกันกับที่หัวจิตหัวใจทุกคนก็ดิ่งวูบลงไปตามๆกัน…


 


“ช่างเป็นค่ายกลที่ร้ายกาจนัก…ไม่เพียงแต่จะปกคลุมปิดกั้นได้ทั่วทั้งยอดเขา แต่กลับมีพลังสังหารน่ากลัวขนาดนี้…”


 


ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดหลายคนได้แต่กล่าวออกมาอย่างหวาดกลัว


 


และเมื่อเห็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียนตกตายไปต่อหน้าต่อตา ถึงแม้เหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เหลือจะคิดหลบหนีจากไปเหมือนเดิม แต่พวกมันก็ไม่กล้าทำลงมือส่งเดชอีก ทั้งหมดเอาแต่จับจ้องไปยังม่านพลังโปร่งแสงที่ครอบคลุมยอดเขาหมาป่าหอนฟ้าเอาไว้ ด้วยสายตาทำราวกับนั่นคือศัตรูชั่วชีวิต!


 


และหลังจากนั้นไม่ทันไร ม่านพลังโปร่งแสงดังกล่าว ก็ค่อยๆจางลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็อันตรธานหายไปจากสายตาของทุกคน


 


อย่างไรก็ตามแม้ม่านพลังโปร่งแสงนั่นจะดูเหมือนหายไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าคิดลองดีอีก พวกมันเห็นกรณีตัวอย่างจากยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียนกับตา จึงรู้ว่าม่านพลังดังกล่าวก็แค่ถูกซ่อนเอาไว้ชั่วคราว และหากใครคิดจะหลบหนีอีก ไม่พ้นกระตุ้นค่ายกลให้เปิดกางม่านพลังอีกเป็นแน่!


 


“ค่ายกลนี่…จักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่น ไม่น่าจะควบคุมได้ดั่งใจใช่ไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยคิ้วขมวดย่นยู่ เอ่ยถามผ่านพลังเสียงหนัก “หากในแดนลับของมันจัดตั้งค่ายกลทำนองนี้ไว้อีก…กระทั่งหากมีค่ายกลที่ทรงพลังระดับนี้อย่างอื่น แล้วพวกเราจะช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์กับมันยังไง…”


 


พลังสังหารที่ค่ายยกปะทุออกมาเมื่อครู่ ต้วนหลิงเทียนไม่อาจไม่กลัว!


 


“เจ้าอย่าได้กังวล”


 


เมื่อเทียบกับความวิตกกังวลของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังคงสงบนิ่งไม่แยแส “ค่ายกลทั้งหมดของมันสมควรถูกจัดตั้งเมื่อชาติที่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปนับร้อยปีแบบนี้ ต่อให้ชาติก่อนมันจะอัดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตจักรพรรดิอมตะไว้แค่ไหน แต่บัดนี้อย่างดีก็คงเหลือพลังแค่ขอบเขตราชาอมตะเท่านั้น…”


 


“นอกจากนั้นพลังของกฏแห่งน้ำที่ปะทุออกมาเมื่อครู่ ก็เกิดจากพลังที่มันบรรจุไว้ในค่ายกลแต่แรก เรื่องจะฆ่ายอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดได้ก็ไม่แปลก”


 


“อย่างไรก็ตาม ที่ค่ายกลปะทุพลังสังหารเมื่อครู่ หาใช่การควบคุมของมันไม่! เพราะตอนนี้ด้วยพลังของมันคงไม่อาจควบคุมค่ายกลระดับนี้ได้…ทั้งหมดเป็นเพราะเมื่อครู่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของปี้สุ่ยเทียนลงมือก่อนเท่านั้น หากมันไม่ลงมือทำอะไร มันก็ไม่มีทางโดนโจมตีแน่นอน”


 


“เพราะค่ายกลนั่น สมควรตอบโต้กลับโดยอัตโนมัติ…”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะอย่างไรก็มาจากดินแดนการล่มสลายยแห่งทวยเทพ และเป็นคนของตระกูลลับ จึงกล่าวได้ว่าถึงมันไม่เคยกินหมู แต่อย่างน้อยๆก็ต้องเคยเห็นหมูวิ่ง และที่สำคัญตอนมันยังเด็ก ก็มีผู้อาวุโสในตระกูลทำของเล่นที่เกี่ยวกับค่ายกลมาให้มันเล่นบ่อยๆ มันจึงรู้เรื่องค่ายกลมากพอสมควร


 


ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็เข้าใจได้ทันที


 


“ยิ่งไปกว่านั้น หากแดนลับที่มันสร้างไว้เมื่อชาติก่อนจำกัดด่านพลังของผู้ที่จะเข้าไปให้ต่ำกว่าขุนนางอมตะ หมายความว่ามันก็ไม่อาจใช้พลังอำนาจใดๆที่เกิดขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดในนั้นได้เลย…”


 


“สำหรับความลึกซึ้งที่มันเคยเข้าใจเมื่อชาติก่อน โดยทั่วไปแล้วจะใช้ออกได้ก็ต้องอาศัยระดับพลังเซียยนอมตะต้นกำเนิดของมันเมื่อชาติก่อน หลังกลับมาเกิดใหม่แบบนี้ มันไม่อาจใช้งานได้แน่นอน ที่สำคัญตามกฏสวรรค์และโลก มันสมควรต้องเริ่มทำความเข้าใจกฏใหม่แต่แรก อย่างดีก็แค่ก้าวหน้าไวกว่าผู้อื่นเท่านั้น”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวสืบต่อ


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า หากเป็นแบบนี้จริงก็นับว่าภัยคุกคามขออีกฝ่ายที่มีต่อเขา มันลดน้อยลงไปมาก


 


“อย่างไรก็ตามในแดนลับที่มันสร้างไว้ มันก็สมควรควบคุมค่ายกลได้บางส่วน แต่แน่นอนว่ามันไม่มีทางควบคุมค่ายกลสังหารได้เลย…หาไม่แล้วข้าคงไม่ชวนเจ้ามาที่นี่แต่แรก”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวถึงจุดนี้ สีหน้าน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นจริงจังเล็กน้อย “หากข้าเดาไม่ผิด ในแดนลับที่ว่า ค่ายกลที่มันสามารถควบคุมและส่งผลกับพวกเราได้ สมควรเป็นค่ายกลประเภทมายาลวงตา ไม่ก็ค่ายกลหลอนประสาทเท่านั้น”


 


พร้อมๆกันกับที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวจบคำ


 


วู้มมม!


 


ฟุ่บบบ!!


 



 


ท่ามกลางสายตาของทุกคน สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือยอดเขา ปรากฏมวลพลังสีฟ้าดั่งแพเมฆอุบัติขึ้น จากนั้นแพเมฆดังกล่าวก็ส่องแสงลงมา ดูไปดั่งเสาแสงหนึ่งตั้งตระหง่านท่ามกลางความว่างเปล่า


 


จากนั้นไม่นาน ในสายตาของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นและคนอื่นๆ ในเสาแสงสีฟ้าดังกล่าว ก็ปรากฏร่างพร่าเลือนหนึ่งผุดโผล่ขึ้นมาปานภูตผี


 


ร่างพล่าเลือนดังกล่าวค่อยๆชัดขึ้นทีละนิดๆ และในที่สุดก็เห็นเป็นชายหนุ่มรูปร่างสมส่วนคนหนึ่ง!


 


ชายหนุ่มผู้นี้มาในชุดคลุมสีน้ำเงิน รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดาๆ เรียกว่าหากมันเดินปะปนไปกับฝูงชนก็คงยากจะชี้ตัวได้ อย่างไรก็ตามแววตาของมันกลับกระจ่างดั่งสระยามสารท ชวนให้ผู้คนรู้สึกถึงความอ่อนโยน


 


เรียกว่าดวงตาคู่นี้ของมัน เป็นจุดเด่นเพียงอย่างเดียวที่มันมี


 


“เป็นมัน!”


 


“ในที่สุดมันก็มาได้เสียที!”


 


“เจ้านัน่คือคนที่หลอกให้ข้ามาที่นี่!!”


 



 


เมื่อชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินปรากฏตัวขึ้น ลูกตายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมากมายก็หดเล็กลง สีหน้ายังเริ่มกลับกลายเป็นมืดมน!


 


เพราะยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ว่า ล้วนเคยพบเจอชาหนุ่มในชุดสีน้ำเงินมาแล้ว อีกฝ่ายก็คือคนที่ไปชักชวนพวกมันให้มายังที่แห่งงนี้ เพื่อร่วมมือกันเข้าสู่มรดกสถานของตัวตนที่น่าจะเป็นถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ!


 


“ใช่มันรึเปล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


เขาจำได้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเคยเจอกับคนที่ชักชวนพวกเขามาที่นี่


 


“อืม มันนั่นล่ะ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า และไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่สองตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่จับจ้องมองไปยังชายหนุ่มชุดคลุมสีน้ำเงินได้หดหยีเล็กลง เผยประกายเยียบเย็นหนึ่ง


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่อยู่ท่ามกลางผู้คน ก็มองจ้องชายหนุ่มชุดคลุมสีน้ำเงินด้วยสีหน้าแววตามืดมนเช่นกัน


 


เพราะนางก็ถูกอีกฝ่ายหลอกให้มาที่นี่ด้วย


 


เท่าที่นางพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ เกรงว่าที่ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินหลอกนางให้มาที่นี่ ไม่ใช่เพื่อเข้าสู่มรดกสถานของจักรพรรดิอมตะอะไร แต่สมควรมีการสมคบคิดอะไรบางอย่างแน่นอน!


 


“ยินดีที่ได้พบพวกเจ้าทุกคน ข้าชื่อ เจียงหลาน”


 


ชายหนุ่มชุดคลุมน้ำเงินคลี่ยิ้มเอ่ยทักทายทุกคน ขณะเดียวกันมันก็ค่อยๆก้าวออกมาจากเสาแสงสีฟ้า และพอร่างมันก้าวพ้นนอกรัศมีแสง เสาแสงสีฟ้าดังกล่าวก็จางหายไปในอากาศว่างเปล่า ราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน


 


“อาคมเคลื่อนย้าย?”


 


ตั้งแต่วินาทีแรกที่ต้วนหลิงเทียนเห็นชายหนุ่มชุดคลุมสีน้ำเงินปรากฏตัวในเสาแสงสีฟ้า เขาก็คาดเดาได้ทันทีว่ามันสมควรมาปรากฏตัวที่นี่ด้วยค่ากลเคลื่อนย้ายแน่นอน


 


พอเห็นลำแสงอันตรธานหายไปแบบนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ยืนยันข้อสันนิษฐานได้ทันที


 


“เจ้าหลอกพวกเรามาที่นี่ทำไม?”


 


ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบจี๋กวงเทียน เป็นผู้นำโพล่งถามออกมาเสียงแข็ง สองตามันมองจ้องเจียงหลานเขม็ง สีหน้าแลดูไม่สบอารมณ์อย่างถึงที่สุด


 


“ข้ามิได้บอกเจ้าไปแล้วหรือตอนที่ข้าชวนเจ้า? ข้าชวนเจ้ามาสำรวจมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะอย่างไรเล่า”


 


รอยยิ้มยังคงคลี่กางบนใบหน้าเจียงหลานไม่เสื่อมคลาย


 


“สำรวจมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะ…จำเป็นต้องชวนคนมามากมายถึงขนาดนี้?”


 


ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากปี้สุ่ยเทียนคนหนึ่ง พลันโพล่งถามต่อออกมาเสียงเข้ม


 


“หืม?”


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่เจียงหลานจะได้ตอบคำถามของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากปี้สุ่ยเทียน มันก็คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้าสูงไกลๆ ลูกตายังจับจ้องเพ่งเล็งไปยังจุดหนึ่ง จากนั้นมุมปากก็เริ่มยกยิ้มแสยะเย้ยหยัน แลดูชั่วร้ายพิกล


 


ตอนนี้ด้วยความที่ยอดเซียยนอมตะขั้นสูงสุดนับหมื่นบนยอดเขากำลังจับตาดูเจียงหลานอยู่ พอเห็นอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้า ทุกคนก็เลยเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าตามอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้


 


ต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปตามทิศทางสายตาอีกฝ่ายเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนที่มองขึ้นไปบนฟ้านอกจากฟ้าสีดำอันมีดาราทอประกายระยิบระยับก็พบเจอแต่ความว่างเปล่า ทำให้อดสงสัยไม่ได้ ‘เจียงหลานนั่นมันมองอะไรของมันอยู่?’


 


ทว่าความคิดดังกล่าวพึ่งจะปรากฏขึ้นมาไม่ทันไร สองตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลงทันที


 


นั่นเพราะสูงขึ้นไปบนฟ้ามืด เมฆขาวที่ถูกความมืดกลืนกินจนดำสนิทแต่เดิม บัดนี้ก็เสมือนถูกกระบี่มากมายฟันแหวก เผยให้เห็นฟ้ามืดทั้งดวงดาราสกาวอีกครั้ง


 


“มีคนมา?”


 


ถึงแม้ด้วยความมืดและไกลห่างทำให้ยากจะมองเห็นได้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ยากอะไรที่ต้วนหลิงเทียนจะเดาได้ว่าสมควรมีคนกำลังพุ่งแหวกเมฆลงมาด้วยความเร็วสูง อีกทั้งยังเป็นความเร็วอันเหนือล้ำสุดที่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจะเทียบได้อีกด้วย!


 


ต้วนหลิงเทียนลองไถ่ถามตัวเองดู ก็ตอบได้ทันที หากยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดล่ะก็ ต่อให้รวดเร็วแค่ไหน ก็ไม่มีทางรอดพ้นสายตาเขาไปได้แน่นอน!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


และในขณะเดียวกันกับที่ทุกคนกำลังถูกม่านเมฆบนฟ้ามืดที่อยู่ๆก็แยกออกดึงดูดความสนใจ เหนือยอดเขาหมาป่าหอนฟ้า ก็ปรากฏร่างมากมายวูบลงจากฟ้าสูงมาปรากฏดั่งภูตผี!


 


เมื่อแสงดาวสาดส่องลงมา ก็เปิดเผยให้รู้ว่าเหล่าผู้มาใหม่นับสิบนั้น มีทั้งหนุ่มสาว วัยกลางคน และผู้ชรา…


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


และหลังจากร่างนับสิบปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว ก็ปรากฏประกายแสงพลังวูบวาบปานดาวตกพุ่งมาหยุดเหนือน่านฟ้าของยอดเขาอีกมากมาย สุดท้ายน่านฟ้าเหนือยอดเขายามนี้ ก็มีร่างผู้มาใหม่ปรากฏตัวขึ้นทั้งสิ้น 500 กว่าคน จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดปรากฏตัวออกมามาอีก


 


และตั้งแต่ที่คนกลุ่มแรกปรากฏตัวขึ้นจนคนสุดท้าย ก็กินเวลาไปแค่ไม่ถึง 10 ลมหายใจ


 


“เจ้า เจียงหลานงั้นสินะ?”


 


ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มในชุดผ้าแพรหรูหราคนหนึ่งค่อยๆก้าวออกมาจากกลุ่มยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดบนยอดเขา เงยหน้ามองไปยังเจียงหลานด้วยสีหน้าถือดี แผดเสียงเข้มเอ่ยถามพลางแสยะยิ้ม “ตอนนี้อาจารย์ของข้ามาถึงแล้ว…เจ้าอย่าได้คิดเล่นลิ้นอันใด! เพียงบอกมาตรงๆเสียประเสริฐกว่า ว่าที่แท้เจ้าหลอกข้ามาที่นี่ทำอะไรกันแน่?!”


 


หลังได้ยินคำพูดถือดีของชายหนุ่มชุดแพรหรูหรานั่น คิ้วต้วนหลิงเทียนก็เลิกขึ้นเล็กน้อย


 


ดูเหมือนในบรรดายอดฝีมือทั้ง 500 กว่าคนที่พึ่งมาถึง จะมีอาจารย์ของอีกฝ่ายรวมอยู่ด้วย


 


สำหรับคนที่เหลือ ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยากว่าสมควรเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ก็ผู้อาวุโสของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ถูกล่อลวงให้มาเขตคฤหาสน์เอี้ยนซานของอวี้หวงเทียนแน่นอน


 


“อาจารย์ของเจ้า?”


 


มองไปยังชายหนุ่มในชุดผ้าแพรหรูหราที่ก้าวออกมาโพล่งคำโอหังถามไถ่มัน รอยยิ้มที่มุมปากของเจียงหลานยิ่งมาก็ยิ่งเผยความชั่วร้าย เอ่ยถามออกไปเสียงเรียบ “หากข้าจำมิผิด…”


 


“วันนั้นตอนที่ข้าชวนเจ้ามา ข้าสมควรกำชับเจ้าไว้แล้ว…ว่ามิให้เจ้านำเรื่องมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะไปบอกเล่าต่อผู้ใดใช่หรือไม่?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)