War sovereign Soaring The Heavens 3074-3081
ตอนที่ 3074
ยันต์เงาวายุ เป็นยันต์อมตะหลบหนีใช้ได้ครั้งเดียวหมดไป และมันสามารถเพิ่มความเร็วให้ต้วนหลิงเทียนได้สิบลมหายใจ
ยันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงมอบให้ต้วนหลิงเทียน ยังถูกสร้างโดยจอมราชันอมตะ ที่บรรจุความลึกซึ้งกายสายลมและลมกรดอันบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยเอาไว้…
ในแดนสวรรค์ใต้นั้น จอมราชันอมตะที่บรรลุความลึกซึ้งถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย ก็มีอยู่ไม่มากนัก
อย่างแรกเลยก็คือวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับจอมราชันธาตุลมมันหาได้ยาก กับตระกูลใหญ่หรือขุมกำลังระดับแนวหน้าใดๆ ก็เป็นดั่งสิ่งของล้ำค่า ไม่คิดแบ่งปันให้ใครที่ไหนง่ายๆ
อีกอย่างนั้น การเข้าใจความลึกซึ้งให้บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องที่มีเวลาแล้วก็จะกระทำได้เสมอไป กระทั่งคนที่มีสติปัญญาสูง ก็ต้องพึ่งพาโอกาสอย่างอื่นเพื่อให้บรรลุความเข้าใจดังกล่าว
แดนสวรรค์ใต้นั้นเป็นแค่พื้นที่ๆหนึ่งของหลิงหลัวเทียนเท่านั้น หากมองพื้นที่ทั้งหมดแล้วก็ไม่ถือว่าใหญ่โตอะไรมากมาย
ด้วยเหตุนี้จึงมีน้อยคนนักที่มีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับจอมราชันไว้ฝึกปรือ ยิ่งผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งใดๆถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยแล้ว ก็ยิ่งหายากไปกันใหญ่
สำหรับโอกาสช่วยให้เข้าใจที่ว่า ก็อาจเป็นสถานที่จำเพาะเจาะจง หรือค่ายกลที่ช่วยส่งเสริมความเข้าใจ
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงรู้ดี ว่ายันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงมอบให้เขา มันล้ำค่าขนาดไหน
จริงอยู่หากมองไปทั่วทั้งหลิงหลัวเทียนแล้ว ยันต์เงาวายุแผ่นนี้อาจไม่ได้มีมูลค่าอะไร แต่กับแดนสวรรค์ใต้ถือว่ามันเป็นสมบัติจริงๆ เพราะมีคนจำนวนแค่หยิบมือเท่านั้นที่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้
เพราะหากคิดจะสร้างมันขึ้นมา เป็นแค่จอมราชันอมตะอย่างเดียวยังไม่พอ ยังต้องเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่เหมาะสมถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย ที่สำคัญเลยก็คือ…ต้องหาวัตถุดิบที่รองรับพลังอำนาจได้อีกด้วย!
จึงกล่าวได้ว่ายันต์หลบหนีเงาวายุนั้น นับเป็นยันต์อมตะที่มีมูลค่าระดับต้นๆของแดนสวรรค์ใต้เลยก็ว่าได้
“ในแดนสวรรค์ใต้ ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจอมราชันอมตะและเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย ปกติแล้วล้วนอยู่ในตระกูลหรือนิกายใหญ่ระดับต้นๆ…ในองค์กรกะโหลกเลือด ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีใครบรรลุความเข้าใจความลึกซึ้งถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยมาก่อน”
ซุนเหลียงเผิงกล่าว “เช่นนั้นข้ามั่นใจนัก ว่านักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักที่องค์กรกะโหลกเลือดส่งมา ไม่มีทางบรรลุความเข้าใจความลึกซึ้งใดถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยแน่นอน”
“ความลึกซึ้งของกฏขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย…พลังอำนาจที่มันมอบให้ผู้ใช้ กล่าวไปก็เทียบได้กับความลึกซึ้ง 3 ประการที่บรรลุความเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น”
“นอกจากนั้นหากเจ้ายังเหลือพลังเซียนอมตะมากพอ หลังใช้ยันต์เงาวายุนี่แล้ว ในเวลา 10 ลมหายใจข้าเชื่อว่ามันไม่อาจเห็นแม้แต่เงาเจ้า คิดจะฆ่ามันให้ตายก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวสืบค่อ
หลังได้ยินคำพูดดังกล่าวของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็อดคิดไปในใจไม่ได้ว่า ‘หรือหลังใช้ยันต์เงาวายุนี่แล้ว ก็ใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองด้วยเลยดี? จะได้ฆ่านักฆ่านั่นให้ตาย ทีนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขณะเดินทางออกจากนิกายอมตะเป้าผู่อีกต่อไป…’
อย่างไรก็ตาม พอคิดทบทวนอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจว่าไม่ทำแบบนั้นจะดีกว่า เพราะเขาเคยบอกซุนเหลียงเผิงไว้แล้วว่าเขาใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองไปหมดสิ้น เกิดเขาฆ่ามันตายขึ้นมา ซุนเหลียงเผิงยังจะไม่รู้ความจริงอีกหรือไร
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนตัดสินใจเลือกที่จะใช้ยันต์เงาวายุอย่างเดียว เอาแค่หนีให้พ้นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักขององค์กรกะโหลกเลือดก็พอ
“ต้วนหลิงเทียน แล้วเจ้าจะออกเดินทางเมื่อใดหรือ?”
ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถาม
“ตอนนี้เลย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“เช่นนั้น…ข้าจะไปส่งเจ้า”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวพลางลุกขึ้นยืน “ข้าจะเดินไปส่งเจ้าที่ชายขอบนิกาย จากนั้นเจ้าก็ค่อยใช้ยันต์เงาวายุ จักได้ไม่เสียพลังของมันไปเปล่าๆ”
“ขอบคุณประมุข”
ต้วนหลิงเทียนลุกขึ้นและกล่าวขอบคุณออกมา เขารู้ดีว่าซุนเหลียงเผิงทำแบบนี้ ก็จะช่วยให้ยันต์เงาวายุเกิดประสิทธิผมากที่สุด
หลังจากทั้งสองลุกขึ้นยืนแล้ว ก็พากันออกจากคฤหาสน์ส่วนตัวประจำตำแหน่งประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ทันที
“หืม?”
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกับซุนเหลียงเผิงก้าวออกจากคฤหาสน์ อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ หวังเชียนจ้านก็ค้นพบความเคลื่อนไหวดังกกล่าวทันที
ทันใดนั้นสองงตาหวังเชียนจ้านก็หดหยีลง ทั้งทอแสงเยียบเย็นเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหาร “ต้วนหลิงเทียน…ในที่สุดเจ้าก็ทนอุดอู้อยู่ในบ้านไม่ไหวแล้วหรือ?”
มันเฝ้ารอที่นี่มา 7 ปีแล้ว
หลังจากผ่านไป 7 ปี ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็โผล่หัวออกมาจากคฤหาสน์ของซุนเหลียงเผิงเสียที!
เมื่อหวังเชียนจ้านเห็นต้วนหลิงเทียนเดินออกจากคฤหาสน์ไปกับซุนเหลียงและทิศทางที่มุ่งหน้าไป ดูเหมือนยังเป็นสถานที่อยู่ของศิษย์ฝ่ายนอก มันก็เร่งส่งข้อความติดต่อไปยังนักฆ่ากะโหลกเลือดที่เฝ้ารออยู่นอกนิกายอมตะเป้าผู่ทันที
“ใต้เท้าเหลิ่งเอี้ย ต้วนหลิงเทียนคนนั้นได้ออกจากคฤหาสน์ประมุขแล้ว…ดูจากทิศทางที่พวกมันกำลังมุ่งหน้าไป สมควรทางออกฝั่งที่พักอาศัยศิษย์ฝ่ายนอกนิกายอมตะเป้าผู่”
ด้วยมีซุนเหลียงเผิงอยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียน ต่อให้หวังเชียนจ้านอยากฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายมากแค่ไหน มันก็ทำไม่ได้
พลังฝีมือของซุนเหลียนเผิง สูงกว่ามันมาก
ดังนั้นพอเห็นต้วนหลิงเทียนกับซุนเหลียงเผิงทำท่าคล้ายจะออกจากนิกายไปทางที่พักศิษย์ฝ่ายนอก มันก็เร่งติดต่อถึงนักฆ่ากะโหลกเลือดทันที
ในความเห็นมัน ต่อให้ซุนเหลียงเผิงจะร้ายกาจแค่ไหน และคอยติดตามคุ้มกันต้วนหลิงเทียนดีเพียงใด แต่ถ้าก้าวพ้นเขตนิกายเมื่อไหร่ ต้วนหลิงเทียนก็มีแต่ตายสถานเดียว!
จริงอยู่ที่นักฆ่ากะโหลกเลือดไม่กล้าบุกรุกเข้ามาฆ่าคนอย่างอุกอาจในเขตนิกายอมตะเป้าผู่…
ทว่าหากต้วนหลิงเทียนก้าวเท้าออกจากนิกายอมตะเป้าผู่เมื่อไหร่ นักฆ่าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอะไรอีกต่อไป…
“มันกล้าออกมาหรือ?”
ภายในถ้ำที่ขุดขึ้นกลางผนังผาแห่งหนึ่ไม่ไกลจากนิกายอมตะเป้าผู่มากนัก นักฆ่าระดับราชาอมตะ 9 ตำหนักขององค์กรกะโหลกเลือดพอได้รับข้อความ สองตาก็ทอประกายจ้า มุมปากยังเริ่มยกยิ้มเหี้ยมเกรียมขึ้นมา
ลูกตาของมัน ยังเผยจิตสังหารอันเยียบเย็นอย่างไม่คิดจะระงับ
พริบตาต่อมาร่างมันก็อันตรธานหายไปจากโถงถ้ำ และไปโผล่บริเวณใกล้ๆนิกายอมตะเป้าผู่ทันที
…
แถวๆเขตที่พักศิษย์ฝ่ายนอก ต้วนหลิงเทียนกับซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ก็เดินทอดน่องอย่างไม่รีบไม่ร้อน ทำราวกับกำลังเดินเล่นชมสวน
“ประมุข ผู้อาวุโสใหญ่ดูเหมือนจะจ้องข้าไม่วางตาเลย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางยิ้มบางๆ
ตั้งแต่ตอนที่ออกจากคฤหาสน์ประมุข ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาหวังเชียนจ้านที่มองมาทันที ยังเป็นสายตาที่เย็นชานัก
“ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา อาวุโสใหญ่เฝ้ารอเจ้าอยู่ไม่ไปไหน…การตายของหวังหงนับว่าครอบงำจิตใจมันหมดสิ้น”
ซุนเหลียงเผิงส่ายหัวไปมาพลางกล่าว
ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่าน มันออกไปจากคฤหาสน์ที่พักคราใด ก็พบอาวุโสใหญ่ที่ยังนั่งเฝ้ารอบนยอดเขาไม่ไกลเสมอ อีกฝ่ายจับตาดูความเคลื่อนไหวคฤหาสน์ส่วนตัวมันแทบจะทุกฝีก้าว
ถึงแม้มันจะไม่พอใจกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ แต่ตราบใดที่หวังเชียนจ้านไม่ลงมือทำความผิด ต่อให้มันจะเป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรหวังเชียนจ้านได้
เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้หวังเชียนจ้านก็ยังดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่อยู่ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ลงมือก่อความผิดอะไร อาวุโสระดับสูงคนอื่นๆย่อมไม่เห็นดีกับเรื่องที่ซุนเหลียงเผิงจะลงมือก่อนแน่นอน
ดังนั้นต่อให้ซุนเหลียงเผิงจะไม่พอใจกับการกระทำของหวังเชียนจ้านมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่อาจทำอะไรหวังเชียนจ้านได้เลย ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งเฝ้า ทั้งติดตามความเคลื่อนไหวของมันไปเรื่อยแบบนี้
“จริงสิประมุข…เมื่อครู่ท่านบอกว่านักฆ่ากะโหลกเลือดมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่เราแล้วรึ?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“ใช่”
ซุนเหลียงเผิงพยักหน้า
“แล้วอาวุโสใหญ่นั่น มันไม่ติดต่อบอกความเคลื่อนไหวของพวกเราให้นักฆ่าคนนั้นรู้แล้วหรือไร ว่าข้ากำลังจะออกจากนิกายอมตะเป้าผู่?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“อาจติดต่อไปแล้วจริงๆ”
ซุนเหลียงเผิงพยักหน้าอีกครั้ง
มันเองก็รู้ดีแก่ใจ ว่าด้วยนิสัยของหวังเชียนจ้าน ป่านนี้คงแจ้งความเคลื่อนไหวไปยังนักฆ่าเรียบร้อยแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้มันจะแจ้งนักฆ่ากะโหลกเลือดไปก็เท่านั้น สุดท้ายมันก็ถูกกำหนดให้ผิดหวังอยู่ดี…”
“เพราะมันไม่มีทางคิดถึงแน่ ว่าข้าจะมอบยันต์เงาวายุเพียงหนึ่งเดียวที่มีให้กับเจ้า…”
กล่าวถึงท้ายประโยค มุมปากของซุนเหลียงเผิงก็ยกยิ้มขบขันขึ้นมา แน่นอนว่าเป้าหมายของยิ้มเย้ยดังกล่าวก็เป็นหวังเชียนจ้านที่ตามมาห่างๆนั่น
ไม่นานนัก ต้วนหลิงเทียนกับซุนเหลียงเผิงก็เดินมาถึงชายขอบนิกายอมตะเป้าผู่
ถึงแม้จะเป็นชายขอบ แต่ที่นี่ก็ยังมีพลังอาคมของค่ายกลที่ปรมาจารย์ค่ายกลจากคฤหาสน์เฉวียนโยวมาจัดตั้งไว้ให้อย่างยากลำบากอยู่ ตราบใดที่ก้าวเท้าข้ามเขตมา ก็จำต้องถูกผลของอาคมติดตัวทันที
นักฆ่ากะโหลกเลือดนั่น หากก้าวเข้ามาในเขตอาคมแม้แต่ก้าวเดียว มันก็จะถูกพลังอาคมปนเปื้อนติดร่าง และจะถูกมองว่าหมิ่นหยามคฤหาสน์เฉวียนโยวทั้งเบื้องหลังคฤหาสน์เฉวียนโยวทันที เบื้องบนต้องไม่ปล่อยมันไปง่ายๆแน่!
ด้วยเหตุนี้เอง ต่อให้นักฆ่ากะโหลกเลือดที่มาจะเป็นราชาอมตะ 9 ตำหนัก แต่มันก็ไม่กล้าบุกเข้ามาเข่นฆ่าผู้คนในเขตนิกายอมตะเป้าผู่อย่างอุกอาจ เพราะเมื่อมันก่อเรื่องร้ายแรงขนาดนั้น มันก็เสมือนถูกลิขิตให้ตายตก!
พอต้วนหลิงเทียนกับซุนเหลียงเผิงเดินมาถึงชายขอบนิกาย นักฆ่ากะโหลกเลือดที่ซุ่มอยู่ก็สังเกตเห็นทั้งคู่เช่นกัน
‘ขอเพียงพวกเจ้าก้าวออกมาจากเขตอาคมของค่ายกลบัดซบนั่นเมื่อไหร่ ต้วนหลิงเทียนนั่นได้ตายแน่…ส่วนซุนเหลียงเผิงนั่นอย่างไรเสียก็เป็นประมุขนิกายอมตะเป่าผู่ หากข้าฆ่ามันก็ไม่พ้นต้องปัญหามากเรื่องตามมาแน่นอน เช่นนั้นยังคงไว้ชีวิตมันเถอะ’
‘ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายที่ทำให้ข้าต้องถ่อมาถึงนี่ ก็มีแค่ต้วนหลิงเทียนคนเดียวเท่านั้น’
ในเงามิด นักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดด่านพลังราชาอมตะ 9 ตำหนัก ก็ซุ่มซ่อนอย่างมิดชิด ลูกตาจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนเขม็ง ประหนึ่งนักล่าจับตาดูเหยื่อ
พลังเซียนอมตะของมันเริ่มโคจรขึ้นมาม้วนวนคลุมกาย เพียงรอให้ต้วนหลิงเทียนก้าวเท้าออกมานอกเขตอาคมนิกายอมตะเป้าผู่เมื่อไหร่ มันจะปะทุพลังสังหารลงมือในบัดดล!
ด้านต้วนหลิงเทียนที่มายืนบริเวณชายขอบนิกายอมตะเป้าผู่ ก็ไม่อาจจับสัมผัสใดๆได้เลย ว่ามีใครซุ่มซ่อนอยู่หรือไม่
ท้ายที่สุด พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดรวมถึงพลังวิญญาณที่ได้รับมาจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ก็ได้หมดลงตั้งแต่ตอนทุ่มพลังทั้งหมดสังหารนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานขององค์กรกะโหลกเลือดแล้ว
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าจากไปครั้งนี้ข้าคงไม่คิดจะกล่าวใดอีก…หวังเพียงแต่เจ้าจักหวงแหนหนึ่งชีวิตของเจ้าให้มาก แม้ผลเทพสังเวยสวรรค์จักล้ำค่า แต่ก็หาได้มีค่ากว่าชีวิตเจ้าไม่ เช่นนั้นจงยึดความปลอดภัยของตัวเองเป็นที่ตั้งเถอะ”
ซุนเหลียงเผิงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงขรึม “ท้ายที่สุดแล้ว…หากตกตายไป เจ้าก็มิเหลืออะไรเลย”
ตอนที่ 3075
“ขอบคุณสำหรับคำเตือนประมุข”
หลังกล่าวขอบคุณซุนเหลียงเผิงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หยิบยันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงมอบให้ก่อนหน้าออกมา
ถึงแม้ว่าพลังของยันต์เงาวายุจะอยู่ได้แค่ 10 ลมหายใจเท่านั้น…
แต่สำหรับเขา มันก็มากเกินพอแล้ว
“ท่านประมุข ข้าไปก่อนล่ะ”
หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวลาซุนเหลียงเผิง เขาก็ก้าวออกมาจากเขตอาคมที่ปกคลุมนิกายอมตะเป้าผู่ทันที และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ เท้าข้างหนึ่งของเขายื่นออกมาจากเขตอาคม…
ทันใดนั้นสองตาของนักฆ่ากะโหลกเลือดนาม เหลิ่งเอี้ย ที่ซ่อนตัวในเงามืดก็ทอประกายสว่างจ้า พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ม้วนวนทั่วร่างมัน พลันทวีความรุนแรงขึ้นในฉับพลัน
และในห้วงเวลานั้นเอง…
“หืม?!”
เหลิ่งเอี้ยพบว่า ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งของต้วนหลิงเทียนย่ำเหยียบพื้นนอกเขตอาคม ยันต์อมตะที่พึ่งเอาออกมาถือไว้ก็ถูกบดขยี้จนแหลก จากนั้นไอพลังสีเขียวครามหนึ่งก็ปะทุขึ้นมาห้อมล้อมไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียน
แถมไอพลังเขียวครามดังกล่าว ยังปลดปล่อยกลิ่นอายพลังรุนแรงออกมาประหนึ่งจะทะลวงกวาดได้ทั้งแผ่นฟ้า พริบตาก็กำจายออกไปทั่วสารทิศ
เหลิ่งเอี้ยเองก็สังเกตเห็นกลิ่นอายพลังไม่ธรรมดานั่นด้วยเช่นกัน
“ออกมาแล้ว!”
แต่ไม่ทันที่มันจะได้คิดอะไร มันก็พบว่าต้วนหลิงเทียนก้าวเท้าอีกข้างออกมาจากเขตนิกายอมตะเป้าผู่ และย่ำเหยียบลงพื้นนอกเขตอาคมเสียก่อน ลูกตามันหดหยีเล็กลง ประกายเยียบเย็นฉายแสงจ้า มากล้นไปด้วยจิตสังหารอำมหิต พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างปะทุออกมาปานจุดระเบิด!
“ตาย!!”
ในห้วงเวลาเสี้ยวพริบตาดุจอัสนีวาบลั่น ร่างเหลิ่งเอี้ยพลันพุ่งทะยานข้ามฟ้าไปฉับไว พริบตาก็บรรลุถึงครึ่งทาง สองมือสะบัดเริ่มงองุ้มเป็นกรงเล็บฟาดตะปบออกไป ประหนึ่งอสูรกายจากขุมนรกแยกเขี้ยวยิงฟันหมายขย้ำกลืนร่างต้วนหลิงเทียนในหนึ่งคำ!
“ระวัง!!”
อยู่ๆเหลิ่งเอี้ยก็ผุดโผล่ขึ้นมาปานภูตผีแบบนี้ กระทั่งซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่เองก็อดสะดุ้งตกใจไม่ได้ ยังโพล่งเตือนต้วนหลิงเทียนออกไปอย่างไม่รู้ตัว
จังหวะนี้มันลืมไปเสียสิ้น ว่าต้วนหลิงเทียนได้ใช้ยันต์เงาวายุไปแล้ว
“ตาย! ตายห่าไปเสีย!!”
ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก หวังเชียนจ้านที่เห็นร่างวูบมาปานผีร้ายของเหลิ่งเอี้ยก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความสะใจ สองตาทอแสงเย็นเยียบ ใบหน้าแลดูบิดเบี้ยววิปริตนัก
มันมาที่นี่มีเพียงหนึ่งเหตุผลเท่านั้น ชมดูว่าต้วนหลิงเทียนจะตกตายคามือนักฆ่ากะโหลเลือดอย่างไร!
ในสายตาของมัน
นักฆ่ากะโหลกเลือดขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก ลงมือเข่นฆ่ามาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่มีหนทางรอดชีวิตแน่นอน!!
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอะไรนั่นให้ใช้อีกครั้ง แต่อย่างดีก็ทำให้ระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดและพลังวิญญาณบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น อาศัยความเข้าใจในกฏของต้วนหลิงเทียน ย่อมไม่มีวันต้านทานกระทั่งหลบหนีนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักขององค์กรกะโหลกเลือดได้เลย!!
“ที่ต้องมา ก็มาจริงๆ…”
ได้ยินคำโพล่งอุทานของซุนเหลียงเผิง ใจต้วนหลิงเทียนก็สั่นไปไม่น้อย อย่างไรก็ตามเสี้ยวพริบตาต่อมา ร่างคนก็อันตรธานหายไปในความว่างเปล่า ราวกับสาบสูญไปในสวรรค์และโลก!
อย่างน้อยๆก็ไม่มีใครในที่นี้เห็นร่องรอยความเคลื่อนไหวใดๆของเขาเลย
ต่อให้จะเป็นนักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือด เหลิ่งเอี้ย ราชาอมตะ 9 ตำหนัก ที่ปะทุพลังสังหารจู่โจมเข้ามาเร็วรี่ ก็ไม่ทันได้เข้าใกล้ร่างต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ มันก็พบว่าต้วนหลิงเทียนหายตัวไปแล้ว พาลให้หน้ามันเปลี่ยนสีไปอย่างแรง
“สักวัน ข้าจะเป็นฝ่ายไปเยือนองค์กรกะโหลกเลือดของเจ้าเอง…”
หลังจากร่างต้วนหลิงเทียนอันตรธานหายไปไม่ทันไร ก็แว่วเสียงหนึ่งดังมาจากที่ไกลๆ แม้น้ำเสียงจะฟังดูราบเรียบ แต่หากฟังให้ดีก็แฝงเร้นไปด้วยโทสะอันยากระงับไว้ในนั้น
“นี่มันอะไรกัน!?”
ร่างเหลิ่งเอี้ยที่จู่โจมเข้ามาด้วยสภาวะพลังอำมหิต จำต้องชะงักค้างกลางอากาศ หลังจากหันมองไปรอบๆแต่กลับไม่พบร่องรอยใดๆ สีหน้ามันก็กลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!
จังหวะนี้ต่อให้มันจะมีความรู้สึกเฉื่อยชาเพียงใด แต่มันก็คาดเดาได้ว่า…ไม่พ้นต้วยหลิงเทียนต้องใช้ยันต์อมตะเสริมความเร็วอะไรบางอย่างแน่นอน! และพลังจากยันต์นั่น ก็ทำให้มันไม่อาจแลเห็นแม้แต่เงาของต้วนหลิงเทียน นับประสาอะไรกับจะไล่ตามให้ทัน!!
“ใต้เท้าเหลิ่งเอี้ย!”
ทันใดนั้นหวังเชียนจ้านที่ชักสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยาก ก็ส่งเสียงผ่านพลังไปหาเหลิ่งเอี้ยด้วยความคับแค้น “มิพ้นซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ต้องมอบยันต์หลบหนีเงาวายุที่ได้มาจากผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวในอดีตให้ต้วนหลิงเทียนไปเป็นแน่…หาไม่แล้วไหนเลยต้วนหลิงเทียนจะหนีหายไปจากสายตาใต้เท้าเหลิ่งเอี้ยท่านได้!”
หวังเชียนจ้านเองก็ล่วงรู้เรื่องที่ซุนเหลียงเผิงมียันต์เงาวายุอยู่ในครอบครองเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้พอเห็นต้วนหลิงเทียนหายตัวไปต่อหน้าต่อตามันแบบนี้ ก็ไม่ยากที่มันจะเชื่อมโยงไปถึงยันต์เงาวายุของซุนเหลียงเผิง
“ยันต์เงาวายุนั่นถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือจอมราชันอมตะ ทั้งไม่ได้มีแต่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของจอมราชันอมตะผู้นั้นอย่างเดียว ยังมีความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยบรรจุไว้…ที่สำคัญมันคือความลึกซึ้งกายสายลมกับลมกรด!”
“เท่าที่ข้ารู้มายันต์เงาวายุเมื่อครู่ สมควรมีระยะเวลาแสดงผลแค่เพียง 10 ลมหายใจเท่านั้น…อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแค่ 10 ลมหายใจ แต่ก็มากพอให้ต้วนหลิงเทียนนั่นมันหายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว! ใต้เท้าเหลิ่งเอี้ย ซุนเหลียงเผิงทำเช่นนี้เห็นชัดว่าคิดขัดขวางองค์กรกะโหลกเลือดของท่านถึงที่สุด!!”
หวังเชียนจ้านแต่เดิมคิดว่าวันนี้ต้องเป็นวันตายของต้วนหลิงเทียนแน่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะสามารถหลบหนีไปในห้วงเวลาคับขันได้หน้าตาเฉย…
ยิ่งไปกว่านั้น 9 ใน 10 ไม่พ้นเป็นซุนเหลียงเผิงมอบยันต์เงาวายุให้!
ด้วยเหตุนี้โทสะแค้นที่มันมีต่อต้วนหลิงเทียนก็ปันไปยังซุนเหลียงเผิงส่วนหนึ่ง เสียงที่ส่งผ่านพลังไปถึงเหลิ่งเอี้ยของมัน จึงแฝงจุดประสงค์ยั่วยุให้เข่นฆ่าซุนเหลียงเผิงทิ้งไปเสีย
“ความลึกซึ้งกายสายลมกับความลึกซึ้งลมกรดขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย…”
“กลิ่นอายที่คงค้างในอากาศ เป็นกลิ่นอายความลึกซึ้งของกฏแห่งมสองประการนั่นไม่ผิดจริงๆ…”
ได้ยินคำเตือนของหวังเชียนจ้าน เหลิ่งเอี้ยก็ตระหนักได้ทันทีว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงอันตรธานร่างหายไปต่อหน้าต่อตามันอย่างอัศจรรย์ได้ จากนั้นก็ยืนยันได้ไม่ยากว่าสมควรเป็นเพราะยันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงมอบให้จริงๆ!
ขณะเดียวกันมันก็ตระหนักได้ชัดเจน
ว่าถึงแม้ผลของยันต์เงาวายุที่ว่าจะอยู่ได้แค่ 10 ลมหายใจ แต่ความเร็วที่ต้วนหลิงเทียนได้รับ น่ากลัวจะทำให้อีกฝ่ายหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้วแน่นอน…
“ซุนเหลียงเผิง!”
เหลิ่งเอี้ยที่เหินร้างค้างกลางหาว หันไปมองซุนเหลียงเผิงด้วยสายตาดุร้าย กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน “เจ้าถึงกับมอบยันต์เงาวายุให้ต้วนหลิงเทียนนั่นแบบนี้…เจ้ามิเสียดายรึ!?”
“หืม?”
ซุนเหลียงเผิงอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อได้ยินวาจาดังกล่าวของเหลิ่งเอี้ย อีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่ามันมอบยันต์เงาวายุให้ต้วนหลิงเทียน?
ทว่าปราดเดียวซุนเหลียงเผิงก็ฉุกคิดอะไรได้ออก จึงหันขวับไปยังหวังเชียนจ้านอาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ทันที
มันรู้ได้ไม่ยาก ว่าไม่พ้นหวังเชียนจ้านต้องเอาเรื่องที่มันมียันต์เงาวายุบอกต่อเหลิ่งเอี้ยไปแล้วแน่นอน
หวังเชียนจ้านและอาวุโสคนอื่นๆล้วนรู้ดีว่ามันได้รับยันต์เงาวายุมาจากผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยว อีกทั้งยังไม่ใช่ยันต์เงาวายุธรรมดาๆ แต่เป็นยันต์เงาวายุที่มีพลังอำนาจร้ายกาจถึงขั้นทำให้ผู้ใช้มีความเร็วเหนือจอมราชันอมตะทั่วๆไปด้วยซ้ำ
ซุนเหลียนเผิงมองหวังเชียนจ้านด้วยสายตาเย็นชาครู่หนึ่ง ค่อยหันกลับไปมองเหลิ่งเอี้ย พลางเอ่ยออกเสียงเฉยว่า “ใต้เท้าเหลิ่ง ข้ามอบยันต์เงาวายุให้ต้วนหลิงเทียนแล้วจะอย่างไร?”
“ข้าคือประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ หรือจักมอบรางวัลอันใดให้ศิษย์ที่โดดเด่นมิได้เลย?”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวจบคำ มุมปากก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา
ถึงแม้นักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดผู้นี้จะมีด่านพลังราชาอมตะ 9 ตำหนัก และร้ายกาจสุดที่มันจะรับมือได้ไหว แต่มันก็ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือกับมันโดยง่าย เพราะไม่ว่าอย่างไรเบื้องหลังนิกายอมตะเป้าผู่มันก็คือคฤหาสน์เฉวียนโยว!
หากเรื่องที่มันถูกนักฆ่ากะโหลกเลือดสังหารแพร่กระจายออกไป ย่อมสร้างความตื่นตระหนกให้คฤหาสน์เฉวียนโยวไม่น้อย!
หากกระทั่งผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูลที่อยู่ใต้คฤหาสน์เฉวียนโยวยังตกตายใต้เงื้อมมือนักฆ่ากะโหลกเลือด เช่นนั้นคนอื่นๆจะรู้สึกปลอดภัยได้อย่างไร?
ถึงตอนนั้นคฤหาสน์เฉวียนโยวย่อมไม่ปล่อยปละละเลยเรื่องนี้แน่นอน วิธีจัดการที่ดีที่สุดก็คือตามล่าหาตัวนักฆ่าผู้ลงมือ จากนั้นก็ฆ่าทิ้งเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง!
มันก็เลยไม่กลัวนักฆ่ากะโหลกเลือดจะกล้าลงมือฆ่ามันแม้แต่น้อย
“ประเสริฐ! เจ้าประเสริฐนักซุนเหลียงเผิง!!”
เหลิ่งเอี้ยมองจ้องซุนเหลียงเผิงตาขวาง แต่ต่อให้มันมีโมโหมากเท่าไหร่ มันก็ไม่คิดลงมือทำอะไรซุนเหลียงเผิง เพราะกริ่งเกรงคฤหาสน์เฉวียนโยวที่อยู่เบื้องหลัง จากนั้นมันก็หันหลังจากไปทันที
และการจากไปคราวนี้ของมัน ก็ไม่ใช่การไปซ่อนตัวใกล้ๆนิกายอมตะเป้าผู่อีกต่อไป ทว่าเลือกที่จะย้อนกลับไปยังองค์กรกะโหลกเลือดทันที
เป้าหมายของมันจากไปแล้วแบบนี้ แถมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเมื่อไหร่ ทั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกลับมาที่นี่อีกหรือไม่ เช่นนั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่รอให้เสียเวลา เพราะเกิดเป้าหมายไม่ย้อนกลับมาจริงๆ มันจะเฝ้ารอไปทำเพื่อ…
“ไปแล้ว?”
หวังเชียนจ้านรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ที่เห็นเหลิ่งเอี้ยจากไปในลักษณะนี้
“หวังเชียนจ้าน!”
ในขณะที่หวังเชีนจ้านกำลังผิดหวัง ซุนเหลียงเผิงก็หันกลับมามองมันด้ววยสายตาเย็นชา “ถึงแม้ข้าไม่มีหลักฐานว่าเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับนักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดผู้นั้นหรือไม่…แต่วันนี้ข้าซุนเหลียงเผิงขอบอกให้เข้าทราบไว้เรื่องหนึ่ง ข้ารังเกียจสวะที่ขายพวกพ้องมากที่สุด เช่นนั้นเจ้าจักไปเองหรือจะเลือกรั้งอยู่ต่อไปก็เรื่องของเจ้า แต่อย่าได้โทษข้าเสียเล่า หากว่าวันไหนข้าเกิดอารมณ์ไม่ดี นึกอยากจะฆ่าเจ้าทิ้งเพราะนึกสงสัยเรื่องนี้ขึ้นมา!”
กล่าวจบคำมุมปากของซุนเหลียงเผิงก็ยกยิ้มแสยะเหี้ยมเกรียม สองตาที่มองจ้องหวังเชียนจ้านยังฉายชัดถึงจิตฆ่าฟันอย่าไม่คิดจะกักเก็บ พาลให้หวังเชียนจ้านหวาดกลัวจนขนหัวลุก!
เท่าที่หวังเชียนจ้านรู้ ซุนเหลียงเผิงนั้น เป็นคนที่พูดแล้วทำแน่นอน!
ย้อนกลับไปในอดีต ที่ไฉนซุนเหลียงเผิงโดดเด่นขึ้นมาเหนือใคร และเอาชนะคู่แข่งมากมายจนกลายเป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ได้ ก็ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนแน่วแน่เด็ดเดี่ยวหรือไร?
อีกฝ่ายไม่เคยปล่อยให้ใครที่กล้าต่อต้านรอดไปสักครั้ง ยิ่งคนทรยศยิ่งแล้วใหญ่!
“ในเมื่อต้วนหลิงเทียนก็ไปแล้ว เช่นนั้นนิกายอมตะเป้าผู่นี่ข้าก็ไม่คิดจะอยู่อีกต่อไป…”
ถึงแม้จะตกใจกลัวไม่น้อย แต่ภายนอกหวังเชียนจ้านยังทำเป็นเข้มอยู่ หลังกล่าววาจาตัดเยื่อใยจบ มันก็เหินร่างไปจากนิกายอมตะเป้าผู่ทันที
หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ มันก็คงไม่รั้งอยู่นิกายอมตะเป้าผู่แต่แรก เพราะนิกายอมตะเป้าผู่ก็คือผู้ที่ตัดสินโทษประหารให้หลานสาวของมัน!
…
“เร็วจริงๆ!”
“นี่น่ะเหรอความเร็วของจอมราชันอมตะที่เข้าใจความลึกซึ้งกายสายลมกับลมกรดถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย?”
ในขณะที่หวังเชียนจ้านเดินทางออกจากนิกายอมตะเป้าผู่อย่างไม่คิดจะหวนกลับ ด้านต้วนหลิงเทียนที่ใช้ยันต์เงาวายุ หลังสร้างร่องรอยปลอมแล้ว ก็เร่งรุดมุ่งหน้าไปหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เมืองฝูซานตามนัดหมายทันที ขณะเดินทางยังอดไม่ได้ที่จะพึมพำด้วยความทึ่งอยู่บ้าง
แม้พลังของยันต์เงาวายุจะคงอยู่แค่ 10 ลมหายใจ แต่ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนได้สัมผัสถึงความเร็วอัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขารู้สึกเสมือนตัวเบาราวขนนก กระทั่งยามเหินบินด้วยความเร็วเต็มที่ สองตาเขาก็ไม่อาจแลเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้เลย ทั้งหมดเสมือนเส้นแสงวิ่งสวนมาวูบวาบเท่านั้น
ความเร็วระดับนี้ ไม่ใช่อะไรที่เขาตอนถือครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดจะมีได้
“เมืองฝูซาน!”
หลังเหินร่างเดินทางได้ไม่นาน ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เห็นสถานที่นัดพบกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เป็นเมืองที่แลดูเก่าแก่โบราณ และมีขนาดใหญ่โตมากเมืองหนึ่ง….
ตอนที่ 3076
หลังเดินมาถึงนอกเมืองฝูซาน ต้วนหลิงเทียนก็ติดต่อไปหาหลิงเจี๋ยอวิ๋นทันที
“พอเจ้าไปถึงใจกลางเมืองฝูซาน แถวๆจัตุรัสกลางเจ้าจะเห็นศาลาเปิดหลังหนึ่งข้างป้ายใหญ่ๆ…เจ้าไปยังศาลานั่นแล้วคุยกับพนักงานที่โต๊ะรับรองเพื่อขอเปิดห้อง มันจะถามชื่อของเจ้าก่อน จากนั้นให้แจ้งชื่อข้าไป เดี๋ยวมันจะพาเจ้ามาหาข้าเอง”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ส่งข้อความตอบกลับต้วนหลิงเทียนมาทันที
ได้ยินดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ทำตามที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นบอกทันที มุ่งหน้าไปยังจัตุรัสกลางเมืองฝูซาน
ตั้งแต่ตอนที่เหินร่างอยู่นอกเมือง ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นแล้วว่าเมืองนี้มีผู้คนคึกคักมาก พอมาเดินบนถนนก็เห็นเหล่าอมตะชนเดินดูของราวสายธารมนุษย์ เปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวา
ร้านค้าริมสองฟากฝั่งถนนท่าทางจะมีกิจการดีไม่น้อย พ่อค้าหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ยังมีพ่อค้าตั้งแผงขายหินดิบในราคาย่อมเยาว์เอาใจนักพนันมากมายย
หากกล่าวถึงธุรกิจทำเงินแล้ว เป็นธรรมดาว่าการพนันย่อมมาอันดับหนึ่ง ส่วนธุรกิจทำเงินอันดับสองก็คงหนีไม่พ้นร้านค้าโอสถอมตะและยันต์อมตะทั้งหลาย
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังเห็นร้านขายอุปกรณ์อมตะมากมาย ยังมีร้านขายพวกวัตถุดิบต่างๆ บางชิ้นก็แลดูแปลกตาพิกล และที่น่าสนใจก็คือร้านขายลูกแก้วเงาลอย
ร้านขายอุปกรณ์อมตะก็มีอาวุธชุดเกราะให้เลือกซื้อหลากหลายชนิด ร้านวัตถุดิบก็มีทั้งหายากและพบได้ทั่วไป ยังมีวัตถุดิบสำหรับสร้างยันต์อมตะให้เลือกซื้อ กล่าวได้ว่ามีของขายครบวงจร
สำหรับร้านขายลูกแก้วเงาลอยนั้น ต้วนหลิงเทียนพอเห็นก็เดาได้ทันทีว่าเป็นลูกแก้วเงาลอยอะไร และหลังจากหยีตามองป้ายแนะนำบั้นชั้นวางลูกแก้ว ก็พบว่ามันเป็นอย่างที่เขาคิดจริงงๆ ลูกแก้วเงาลอยเหล่านี้ล้วนบันทึกการประมือของยอดฝีมือที่ใช้กฏต่างๆ
ในระนาบเทวโลก ผู้ที่ขาดประสบการณ์และไร้ผู้ใดชี้แนะ ลูกแก้วเงาลอยก็ไม่ต่างอะไรจากที่พึ่งสำคัญ มันจะช่วยให้ผู้ฝึกตนพบแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเอง ยังช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจทั้งเพิ่มความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏต่างๆ ดังคำกล่าว ศึกษาเองสิบปี มิสู้ชมดูผู้เชี่ยวชาญลงมือหนึ่งครั้ง
และเป็นธรรมดาว่าลูกก้อยเหล่านี้ย่อมมีราคาค่างวดไม่น้อย ผู้ที่จะซื้อหาส่วนมากก็จะซื้อหาลูกแก้วที่บันทึกฉากยอดฝีมือที่เข้าใจความลึกซึ้งประการเดียวกับตัว หรือความลึกซึ้งที่มีลักษณะคล้ายๆกันไปศึกษา
‘จะว่าไป ในช่วงที่ไม่มีอาวุโสเพลิงเทพโกลาหลช่วยเหลือ สาเหตุหนึ่งที่ช่วยให้ข้าเข้าใจความลึกซึ้งเผาไม้ได้เร็วขึ้น ก็หนีไม่พ้นลูกแก้วเงาลอยที่ที่บันทึกการลงมือของประมุขมา…’
การที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใจความลึกซึ้งเผาไหม้จนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นได้เร็วกว่าที่ตัวเองคาดไว้ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้ลูกแก้วเงาลอยที่ซุนเหลียเผิง ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่มอบให้
ลูกแก้วเงาลอยนั้นแม้สำหรับขุมพลังระดับต่ำในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้วมันจะมีค่าไม่น้อย แต่สำหรับประมุขนิกายอมตะเป้าผู่อย่างซุนเหลียงเผิง มันไม่ได้มีค่าอะไรมากเลย
กระทั่งในหอตำราของนิกายอมตะเป้าผู่ ก็มีลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกฉากการลงมือผู้เชี่ยวชาญความลึกซึ้งแทบทุกกฏเก็บไว้
อย่างไรก็ตาม ด้วยนิกายอมตะเป้าผู่มีวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลัระดับราชาธาตุไฟมากที่สุด ทำให้ในหอตำราจะมีลูกแก้วเงาลอยที่ยันทึกฉากยอดฝีมือที่ใช้กฏแห่งไฟมากกว่ากฏอื่น แน่นอนว่าของดีเช่นนี้ย่อมมีผู้คนไปเข้าแถวรอใช้กันมากมาย และถ้าหากไม่ได้ไปต่อแถวรอสักหลายๆวันล่ะก็ เกรงว่าชาตินี้คงไม่ได้ใช้
ต้วนหลิงเทียนเองก็เข้าใจเรื่องนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปหอตำราฝ่ายในแล้ว เช่นนั้นเขาจึงไม่คิดไปต่อแถวรอ แต่เลือกจะไปหาซุนเหลียงเผิงโดยตรง
และซุนเหลียงเผิงก็ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวอะไร มอบลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกฉากยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญกฏแห่งไฟให้ต้วนหลิงเทียนมาศึกษา 12 ลูก
และ 9 ในบรรดา 12 ลูก ก็ได้บันทึกฉากยอดฝีมือที่ใช้ความลึกซึ้งเผาไหม้ปะทะกับศัตรูเอาไว้
เป็นธรรมดาว่าผู้ที่ใช้ความลึกซึ้งเผาไหม้ที่ว่า ก็ไม่ใช่จะใช้ความลึกซึ้งเผาไหม้อย่างเดียว แต่ยังมีความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏแห่งไฟรวมอยู่ด้วย
‘ลูกแก้วเงาลอยที่ประมุขให้มา ยอดฝีมือที่ใช้กฏแห่งไฟส่วนมากมักจะใช้ความลึกซึ้งเผาไหม้ ปะทุ…สำหรับความลึกซึ้งอื่นๆของกฏแห่งไฟค่อนข้างมีน้อย’
คุณค่าของลูกแก้วเงาลอยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการลงมือของผู้ที่ถูกบันทึกไว้ ว่าใช้ความลึกซึ้งกี่ประการ แล้วเห็นชัดเจนหรือไม่
เช่นเดียวกับลูกแก้วเงาลอยที่ต้วนหลิงเทียนได้มาทั้ง 12 ลูก อันบันทึกฉากยอดฝีมือที่เข้าใจความลึกซึ้งกฏแห่งไฟประมือกับยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญกฏอื่นๆเอาไว้ ที่มีค่าที่สุดก็เห็นจะเป็นลูกแก้วเงาลอยที่ได้บันทึกผู้ใช้กฏแห่งไฟอันเข้าใจความลึกซึ้งได้ถึง 6 ประการเอาไว้!
และผู้ที่ถูกบันทึกดังกล่าว ก็คือตัวซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่เอง
จึงกล่าวได้ว่าลูกแก้ววเงาลอยที่บันทึกซุนเหลียงเผิงเอาไว้ เป็นลูกแก้วเงาลอยที่มีค่าที่สุดในมือต้วนหลิงเทียน
สำหรับลูกแก้วเงาลอยอื่นๆ ยอดฝีมือที่ใช้กฏแห่งไฟที่รองมาก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟแค่ 4 ประการเท่านั้น
‘เดี๋ยวไปหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก่อนแล้วกัน ค่อยย้อนกลับมาร้านขายลูกแก้วเงาลอยนี่ เผื่อจะมีลูกแก้วเงาลอยที่ข้าต้องการ’
ต้วนหลิงเทียนทอดสายตามองร้านขายลูกแก้วเงาลอยพลางกล่าวในใจ จากนั้นก็ละสายตากลับมาแล้วเดินต่อ
บริเวณใจกลางเมืองฝูซาน ก็มีจัตุรัสอันกว้างขวางใหญ่โต บริเวณขอบจัตุรัสด้านหนึ่ง ก็พบแท่นศิลาสูงราว 10 หมี่ที่เด่นสะดุดตาเป็นอย่างมากตั้งอยู่ และแท่นศิลาดังกล่าวยังสลักอักษร 3 ตัว ที่แลดูงดงามทั้งให้ความรู้สึกน่าเกรงขามประหนึ่งหงส์มังกร
อวิ๋นซ่างโหลว!
“อวิ๋นซ่างโหลว?”
เมื่อเห็นอักษรทั้ง 3 ตัว ต้วนหลิงเทียนก็หยีตาลงทันที
เพราะตอนหาข้อมูลในหอตำรา เขาเองก็ได้อ่านเจอบันทึกเรื่องอวิ๋นซ่างโหลวด้วยเช่นกัน และรู้ดีว่ามันเป็นกิจการโรงเตี๊ยมที่พักที่ทางคฤหาสน์เฉวียโฉวเป็นเจ้าของ และยังมีสาขาย่อยมากมายกระจายไปทั่วเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว
เป็นธรรมดาว่าทุกเมืองที่อยู่ใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรงจะมีอวิ๋นซ่างโหลวเปิดกิจการอยู่
‘ดูเหมือนว่าเมืองฝูซานที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายไประนาบเทวโลกต่างๆแห่งนี้ ก็จะอยู่ใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรง’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
ภายในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว เมืองที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทวโลกต่างๆ ก็ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเมืองใต้การปกครองโดยตรงของคฤหาสน์เฉวียนโยวทั้งหมด
แต่เมืองที่อยู่ใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรงทั้งหมดนั้น ล้วนมีค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทวโลกอื่นๆตั้งอยู่!
ยิ่งไปกว่านั้น มีแต่ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ภายในเมืองใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรงเท่านั้น ที่กำหนดพิกัดจุดหมายปลายทางได้อย่างจำเพาะเจาะจง
ส่วนค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทวโลกต่างๆของเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรง มันไม่อาจระบุพิกัดได้ แม้จะไปยังระนาบเทวโลกที่ต้องการได้จริง แต่สถานที่ปรากฏตัวจะเป็นแบบสุ่ม…
เหตุผลที่ไฉนมันถึงมีความแตกต่างกันมากขนาดนี้ ก็เพราะทางคฤหาสน์เฉวียนโยวต้องการดึงดูดผู้คนให้มาใช้บริการค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เมืองใต้การปกครองโดยตรงของตัวเอง เป็นการเสริมสร้างความมั่งคั่งให้กับเมืองใต้ปกครองของตัวเองโดยตรง
‘ข้าก็ว่าแล้วเชียว…หากไม่ใช่เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของคฤหาสน์เฉวียนโยว ไฉนมันจะรุ่งเรืองเฟื่องฟูขนาดนี้ได้ ทั้งๆที่มาตั้งอยู่ในสถานที่เปลี่ยวร้างแบบนี้?’
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ขณะเดียวกันสองเท้าก้าวอาดๆไปยังชายขอบจัตุรัสอีกฟาก ที่มีศาลาเปิดตั้งอยู่ข้างๆแท่นศิลาสูง 10 หมี่นั่น
และพอต้วนหลิงเทียนไปถึงก็พบว่ามีโต๊ะรับรองว่างอยู่พอดี ผิดกับศาลาเปิดอื่นๆที่มีคนเต็มไปหมด ดูเหมือนโชคเขาจะยังใช้การได้อยู่
ด้านหลังโต๊ะรับรองก็ปรากฏสตรีในชุดเครื่องแบบเรียบร้อยแลดูตาหวานคนหนึ่ง พอเห็นต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามานางก็ยิ้มถามอย่างมากอัธยาศัยว่า “คุณชายท่านนี้ มาเพื่อเปิดห้องหรือเจ้าคะ?”
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็แจ้งชื่อตัวเองไป ทั้งไม่ลืมเอ่ยชื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
ตั้งแต่ที่เห็นป้ายศิลาสลักคำอวิ๋นซ่างโหลว ต้วนหลิงเทียนก็รู้อยู่แล้วว่าศาลาเปิดแห่งนี้เป็นสถานที่ต้อนรับและคอยให้บริการแขกที่จะมาใช้บริการของอวิ๋นซ่างโหลว หากเทียบกับชาติที่แล้วก็เสมือน เคาน์เตอร์ต้อนรับในล็อบบี้ของโรงแรมนั่นล่ะ
“คุณชาย…สหายของท่านพักอยู่ที่ ‘ลานเทียนอี’ ของอวิ๋นซ่างโหลวเรา อีกทั้งยังกำชับทางเราไว้แล้วว่าท่านจะมา ยังให้ทางเรารับท่านไปยังลานดังกล่าว”
(ลานฟ้า หมายเลข 1)
สตรีที่ดังกล่าวเปิดสมุดจดบนโต๊ะรับรองดูเล็กน้อย ก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียน
และพอนางกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่ามีชายวัยกลางคนในชุดสุภาพคนหนึ่งกำลังก้าวมาหาเขาจากไกลๆ ชุดคลุมที่อีกฝ่ายสวมใส่ สมควรเป็นเครื่องแบบพนักงานของอวิ๋นซ่างโหลว
“ไปส่งคุณชายท่านนี้ที่ลานเทียนอี”
สตรีดังกล่าวหันไปพูดสั่งชายวัยกลางคนที่พึ่งเดินมาถึง
ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับคำอย่างเรียบๆร้อยๆ จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน ใบหน้าแลดูทึมทื่อของมันค่อยๆคลี่ยิ้มโง่งมพลางกล่าว “ใต้เท้า เชิญตามข้าน้อยมาทางนี้”
พอกล่าวจบคำ ร่างชายวักลางคนก็เหินขึ้นฟ้า นำทางไปทันที
“ข้างบนรึ…”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วเล็กน้อย ค่อเหินร่างติดตามไป
‘ลานเทียนอีที่ว่า…สมควรเป็นลานที่พักที่ดีที่สุดของอวิ๋นซ่างโหลว หากจำไม่ผิดดูเหมือนนอกจากลานชั้นเทียนแล้ว อวิ๋นซ่างโหลวก็มีลานชั้นตี้ กับหลานชั้นเหรินอยู่อีก’
(ฟ้า ดิน มนุษย์)
‘ลานชั้นเทียนมีราคาแพงที่สุด รองลงมาก็เป็นนลานชั้นตี้ สุดท้ายก็เป็นลานชั้นเหริน…ค่าเข้าพักบานชั้นเทียนหนึ่งวันเหมือนจะเป็น 1,000 ผลึกอมตะระดับสูง’
‘พูดได้ว่า หากเข้าพักลานเทียนอีสัก 100 วัน ก็ต้องจ่ายผลึกอมตะระดับสูงหลักแสน…ราคานี้มันสามารถซื้ออาวุธอมตะระดับราชาได้เลย…’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นเบาๆ เมื่อนึกถึงราคาที่พักของลานชั้นเทียนของอวิ๋นซ่างโหลว ที่เขาเคยอ่านเจอมา
แน่นอนว่าราคาดังกล่าวสำหรับเขาในตอนนี้ ก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร
ไม่ต้องกล่าวถึงทรัพย์สินที่เขาได้มามากมายมหาศาลจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเลย เอาแค่สินสงครามที่เขาได้มาจากนักฆ่าองค์กรกะโหลกเลือดทั้ง 2 เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่าน ก็มากพอให้เขาพักอยู่ในลานชั้นเทียนของอวิ๋นซ่างโหลวหลายปี
ก็แค่บ่นไปตามประสา เพราะรู้สึกว่ามันแพงเท่านั้น…
‘อย่างไรก็ตามถึงจะแพงไปหน่อย แต่ก็นับว่าคุ้มค่าคุ้มราคาอยู่…ลานชั้นเทียนของอวิ๋นซ่างโหลวอันเป็นกิจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น เรียกว่ารับรองความปลอดภัยให้แขกได้อย่างดี แถมยังมีค่ายกลและผู้พิทักษ์อยู่ กระทั่งราชาอมตะ 10 ทิศยังไม่กล้าจะบุกเข้าไปด้วยซ้ำ…เรียกว่าอยู่ที่นี่ก็ปลอดภัยหายห่วง’
‘ถึงลานชั้นตี้จะด้อยลงมาหน่อย แต่ก็มีราชาอมตะ 3 ศักดิ์ชนชั้นยอดฝีมือคอยดูแลอยู่ อย่างไรก็ตามมันไม่มีค่ายกลเหมือนลานชั้นเทียน หากผู้ที่คิดลงมือมีพลังฝีมือเหนือกว่าราชาอมตะ 3 ศักดิ์ และไม่เห็นแก่หน้าคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็สามารถลงมือฆ่าแขกที่เข้าพักได้’
‘สำหรับลานชั้นเหรินที่ถูกที่สุด แม้จะมีราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดให้ความคุ้มครอง แต่ก็ไม่ได้มีหน้าที่คอยดูแลชีวิตและทรัพย์สินของผู้เข้าพัก มีหน้าที่แค่จับตาดูผู้บุกรุกและคอยแจ้งเรื่องให้ยอดฝีมือมาจัดการและเก็บค่าเสียหายในภายหลังเท่านั้น’
…
ต้วนหลิงเทียนที่อ่านเจอข้อมูลของอวิ๋นซ่างโหลวในยันต์อมตะเก็บความทรงจำ ย่อมเข้าใจความแตกต่างของลานที่พักทั้ง 3 รดับของอวิ๋นซ่างโหลวเป็นอย่างดี
‘สมแล้วที่ตั้งชื่อว่าอวิ๋นซ่างโหลว สถานที่พักล้วนอยู่เหนือเมฆทั้งสิ้น….’
ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างติดตามชายวัยกลางคนมา ก็พบว่าบัดนี้ได้เหินขึ้นมาในระดับความสูงชั้นเมฆแล้ว และยังคงเหินร่างไปต่อจนทะลุชั้นเมฆ
พอพ้นแพเมฆขาว เขาก็พบเห็นแพเกาะมากมายลอยอยู่ค้างกลางหาว แพเกาะลอยที่ว่ายังแบ่งออกเป็นระดับชั้นต่างๆ ทั้งสิ้น 3 ระดับ และแต่ละระดับเหมือนจะมีระยะห่างมากกว่าร้อยหมี่
ยิ่งชั้นสูงขึ้น จำนวนเกาะลอยก็ยิ่งมีน้อยลง
‘เกาะลอยชั้นสูงสุดที่มีจำนวนน้อยกว่าเกาะลอย 2 ชั้น…สมควรเป็นลานชั้นเทียนสินะ’
หลังเหินผ่านเมฆขึ้นมาและเห็นแพเกาะที่ลอยอยู่ 3 ระดับชั้น ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันที
และความจริงก็พิสูจน์ว่าต้วนหลิงเทียนคิดถูก
“ใต้เท้า ที่นี่คือลานเทียนอีขอรับ”
ชายวัยกลางคนที่พาต้วนหลิงเทียนเหินร่างขึ้นมายังเกาะลอยชั้นสูงสุด ผายมือไปยังเกาะลอยเกาะหนึ่งพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปตามมือที่ผายของชายวัยกลางคนทันที
จากนั้นเขาก็พบว่าเกาะลอยบนชั้นสูงสุดเกาะหนึ่ง มีบ้านลานขนาดปานกลางตั้งอยู่ และหน้าประตูบ้านลานดังกล่าวก็มีป้ายเขียนว่า ลานเทียนอี แปะไว้
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ว่ายตามองไปยังเกาะลอยข้างๆในระดับชั้นเดียวกัน จึงเห็นว่าเหนือประตูบ้านลานดังกล่าวมีคำว่า ลานชิงเทียน เขียนไว้ สิ่งนี้ก็ทำให้เขางงเล็กน้อย ว่าไฉนไม่เป็นลานเทียนเอ้อ หรือเทียนซัน…
(ลานฟ้า 2 ลานฟ้า 3)
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวไปมาเบาๆ ค่อยหันกลับมามองลานเทียนอีอีกครั้ง และส่งเสียงผ่านพลังเข้าไปในบ้านลานดังกล่าว เพื่อเรียกหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที
แอ๊ด…
หลังต้วนหลิงเทียนส่งเสียงไปได้ไม่ทันไร ประตูบ้านลานเทียนอีบนเกาะลอยกลางหาวเบื้องหน้าก็ค่อยๆแง้มเปิดออกมา จากนั้นก็ปรากฏร่างในชุดสีเทาก้าวออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย
เป็นชายหนุ่มชุดเทาอันมีใบหน้าเฉยชาไร้แยแสนัก บริเวณเอวข้างหนึ่งสะพายกระบี่เอาไว้ ยามก้าวเดินออกมาในลานอย่างไม่รีบไม่ร้อน เส้นผมยาวที่รวบมัดโบกสะบัดไปตามสายลมให้ความรู้สึกสง่างามน่าเกรงขามปานเซียนกระบี่
เป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอง
เมื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก้าวออกยังลานได้สักพัก มันก็เหินร่างขึ้นมาหาต้วนหลิงเทียน ส่วนทางด้านชายวัวยกลางคนเมื่อเห็นว่าแขกพบเจอสหายแล้ว ก็เหินร่างจากไปเงียบๆ
“นี่เจ้ามารอข้าอยู่กี่วันแล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“ 3 วัน”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวตอบเสียงเรียบ
ต้วนหลิงเทียนลองนึกเวลาดู เขาก็พบว่าตัวเองใช้เวลาเดินทางจากนิกายอมตะเป้าผู่มาถึงเมืองฝูซานแห่งนี้ 2 วันเต็มๆ กล่าวได้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาถึงที่นี่ได้วันเดียว ก็ติดต่อมาหาเขาเลย
“เข้าไปคุยข้างในเถอะ”
หลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวชวนต้วนหลิงเทียนจบคำ มันก็เหินร่างกลับไปยังลานเบื้องล่างทันที
ต้วนหลิงเทียนที่เหินตามเข้าไปก็พบว่าก่อนจะถึงลานบนเกาะ ห้วงอากาศว่างเปล่าก็ปรากฏระลอกคลื่นวงกลมเล็กน้อย ราวกับประตูบานหนึ่งเปิดออก รอให้ผู้คนก้าวเข้าไป
ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก ว่านี่สมควรเป็นม่านพลังจากค่ายกลที่ป้องกันลานเทียนอี
‘หืม? เห็นลานชั้นตี้ กับลานชั้นเหรินแล้ว…’
ก่อนจะเข้ามาในเขตลานเทียนอี ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นแต่แรกว่า เมื่อเหินขึ้นมาถึงระดับหนึ่งจะมองไม่เห็นลานชั้นตี้กับลานชั้นเหรินอีกต่อไป เห็นเพียงแพเมฆสีขาวเบื้องล่างกับลานชั้นเทียนอื่นๆรอบข้างเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หากหรี่ตามองดูให้ดีเขาจะพบว่ามีจุดดำๆใต้เมฆขาวให้เห็นรางๆ
และหากเพ่งมองให้ละเอียดจะพบว่าจุดดำๆใต้แพเมฆขาวก็คือลานชั้นตี้ กับลานชั้นเหรินนั่นเอง
‘ตอนข้าอยู่ด้านล่าง ทันทีที่เหินผ่านแพเมฆมาก็จะเห็นลานชั้นเหริน ชั้นตี้ และชั้นเทียนชัดเจน และดูเหมือนจะอยู่สูงเหลื่อมล้ำกันชั้นละ 100 หมี่เท่านั้น…’
‘แต่ตอนเหินขึ้นมาถึงน่านฟ้าของลานชั้นเทียน พอมองลงไปกลับไม่เห็นอะไรเลย จนมาเข้าเขตม่านพลังของลานเทียนอีก่อน ค่อยสังเกตเห็นลานชั้นตี้กับหลานชั้นเหรินอีกครั้ง แต่ระยะห่างจากลานชั้นตี้ตอนนี้มันเกินหมื่นหมี่เสียอีก..’
‘ลานชั้นตี้ยังดีที่หากเพ่งมองก็พอเห็นเรื่องราวได้บ้าง แต่ลานชั้นเหรินยากจะเห็นอะไรได้ชัด…’
ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักได้แต่แรก ว่าระยะทางที่ตาเห็นนั้นมันมันผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง แม้จะเห็นว่าลานแต่ละชั้นห่างกันร้อยหมี่ แต่ที่จริงมันมากกว่านั้น และทั้งหมดสมควรเป็นเพราะค่ายกลบางอย่างแน่นอน
หลังจากที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าไปในม่านพลังปกคลุมลานเทียนอีแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างตามมาติดๆ ก็สัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะหนึ่งแผ่มาปกคลุมรอบกายเขา จากนั้นหลังเขาผ่านม่านพลังดั่งระลอกคลื่นนั่นเข้ามา ระลอกคลื่นดังกล่าวก็หายไปทันที
เห็นได้ชัดว่าม่านพลังที่ปกคลุมลานเทียนอีอยู่ มันปิดตัวลงทันทีที่เขาเข้ามา
“นี่คือป้ายหยกเข้าลานเทียนอี เจ้าพกติดตัวไว้ด้วย ตอนจะเข้าจะออกก็แผ่สำนึกลงป้ายหยกนี่ ม่านพลังก็จะเปิดให้เจ้าผ่านเข้าออก”
หลังต้วนหลิงเทียนโรยตัวมาหยุดยืนบนลานแล้ว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เหินลงมาถึงก่อน ก็หันกลับมายื่นส่งป้ายหยกแผ่นหนึ่งให้เขา
บนป้ายหยกดังกล่าวก็มีอักษร ลานเทียนอี สลักไว้อย่างบรรจง
ต้วนหลิงเทียนที่สายตาเฉียบคม ก็สังเกตเห็นแต่แรกว่าบริเวณเอวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็มีป้ายหยกลักษณะนี้ห้อยแขวนอยู่
ต้วนหลิงเทียนจึงรู้ได้ทันทีว่าป้ายหยกดังกล่าว ก็ไม่ต่างอะไรจากคีย์การ์ดห้องพักตามโรงแรมเมื่อชาติก่อน
หลังรับป้ายหยกมา ต้วนหลิงเทียนก็ติดตามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไปนั่งบนโต๊ะหินอ่อนในลาน
หลังจากนั่งลง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแผ่สำนึกเทวะไปยังป้ายหยกที่เอว จากนั้นป้ายหยกที่เอวของอีกฝ่ายก็แผ่กลิ่นอายพลังลี้ลับหนึ่งออกมาผสานหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่าโดยรอบ
พอเห็นต้วนหลิงเทียนมอมาด้วยสายตาสงสัย หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็กล่าวอธิบายทันที “ป้ายหยกนี่ไม่เพียงแต่จะใช้ผ่านเข้าออกลานได้เท่านั้น มันยังใช้ควบคุมค่ายกลที่จัดตั้งในลานได้ระดับหนึ่ง”
“เมื่อครู่ข้าพึ่งเปิดใช้ค่ายกลลวงตาของลานเทียนอี มันจะทำให้ผู้คนด้านนอกมองไม่เห็นพวกเราที่นั่งอยู่ จะเห็นก็แต่ลานว่างๆเท่านั้น”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “เจ้าลองแผ่สำนึกเทวะลงไปดู ใช้ยังไงเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็ลองแผ่สำนึกลงป้ายหยกที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึ่งให้มาดู จากนั้นก็มีข้อมูลซับซ้อนมากมายหลั่งไหลเข้ามาในห้วงสำนึกเขา
ข้อมูลดังกล่าวก็เป็นการแนะนำวิธีเปิดใช้ม่านพลังผ่านเข้าออกที่ปกคลุมทั่วลานเทียนอีแห่งนี้ นอกจากนั้นก็มีวิธีเปิดใช้ค่ายกลยิบย่อยต่างๆในลาน
หลังรับทราบข้อมูลและวิธีใช้ดังกล่าวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมปรมาจารย์ค่ายกลที่จัดตั้งค่ายกลต่างๆของลานเทียนอีในใจอยู่บ้าง
หลังลองใช้ป้ายหยกเพื่อเปิดปิดค่ายกลเล่นอยู่พักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็เอามันไปห้อยไว้ที่เอว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เอ่ยถามเข้าประเด็นทันที “วันนั้นเจ้าบอกข้าว่าหลังผ่านไป 2 ปีพวกเราจะออกจากหลิงหลัวเทียนเพื่อไปยังอวี้หวงเทียนตามที่เจ้านั่นมันนัดหมาย…”
“แล้วเจ้านั่นเล่า มันจะมาสมทบกับพวกเรา แล้วใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเมืองฝูซานแห่งนี้เพื่อไปอวี้หวงเทียนด้วยกันรึเปล่า?”
“ไม่”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่ายหัว “อันที่จริงพวกเราจะเดินทางหลังจากนี้อีก 10 เดือน เพราะเวลาที่มันนัดหมายจริงๆคือ 3 ปี ข้าแค่นัดเจ้ามาก่อนเพื่อไม่ให้ฉุกละหุก พอถึงเวลาพวกเราจะออกจากเมืองฝูซานแห่งนี้ไปอวี้หวงเทียนกัน 2 คน…ส่วนเจ้านั่นมันสมควรไปของมันเอง”
“แต่แน่นอนว่าสถานที่ๆมันจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย ก็สมควรเป็นเมืองที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายระบุตำแหน่งจำเพาะเจาะจงเหมือนเมืองฝูซาน…”
“เพราะพวกเราต้องไปรวมตัวกันที่สถานที่แห่งหนึ่งของอวี้หวงเทียนก่อน ค่อยเดินทางไปยังแดนลับที่มันสร้างขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจ
“ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีก 10 เดือนก่อนออกเดินทาง…10 เดือนนี้พวกเราก็เตรียมตัวให้ดีเถอะ”
“ถึงแม้พวกเราจะมี ‘ไพ่ตาย’ อยู่ในมือ…แต่เจ้านั่นจะอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด แถมแดนลับที่พวกเราจะไปมันก็สร้างขึ้นด้วยตัวเอง ถึงตอนนี้มันจะไม่มีพลังเหมือนชาติที่แล้ว แต่อย่างน้อยๆมันก็สมควรควบคุมอะไรในแดนลับได้บางส่วน”
“กล่าวได้ว่าพวกเรามีไพ่ตาย มันเองก็มีไพ่ตาย…นอกจากนั้นไพ่ตายของมัน อาจจะเหนือกว่าความสามารถในการควบคุมแดนลับของมันเสียอีก”
ขณะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวเรื่องนี้ สีหน้าท่าทีก็แลดูจริงจังไม่น้อ
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับ เรื่องนี้เขาก็คิดไว้แต่แรกแล้ว ไม่กล้าประมาทเด็ดขาด
“จะว่าไปพวกเราไปครั้งนี้ก็เสี่ยงไม่เบาเหมือนกัน…เช่นนั้น 10 เดือนหลังจากนี้ สิ่งที่พวกเราจะทำได้ก็คือพยายามเตรียมตัว เพื่อลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
สิ่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูดมา ต้วนหลิงเทียนก็คิดไว้เช่นกัน จากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปเตรียมความพร้อมทันที
…
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว สตรีอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในรอบหลายพันปีของตระกูลมู่หรง ที่บัดนี้อยู่ใน 3 นิกาย 2 ตระกูล ก็กำลังเตรียมตัวจะออกเดินทางไปยังอวี้หวงเทียนในอีก 10 เดือนให้หลังเช่นกัน
‘ในเมื่อเจ้านั่นมันมาชวนข้า เช่นนั้นก็สมควรไปชวนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับต้วนหลิงเทียนเช่นกัน…ไม่ทราบมันจะไปชวนใครในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวอีกบ้าง’
เห็นได้ชัดว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเอง ก็ได้รับคำเชิญจากจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดเช่นกัน!
แน่นอนล่ะว่านางไม่ได้รู้เลยว่าคนที่มาชวนนางนั้น ที่แท้เป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด นางเข้าใจว่าคนๆนั้นสมควรพบเจอโลกใบเล็กอันเป็นมรดกสถานขอจักรพรรดิอมตะจริงๆ
วันนั้นตอนที่ชายคนดังกล่าวมาหานาง ก็ได้มีประมือกับนางรอบหนึ่ง และตัวนางก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกฝ่ายใน 30 กระบวนท่า!
ที่สำคัญอีกฝ่ายยังเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งไม่ต่างจากนางเท่าไหร่ แถมอาวุธอมตะระดับราชาที่ใช้ก็มีพลังพอๆกับของนาง
แต่ทว่านางยังคงพ่ายแพ้
ทักษะและประสบการณ์การต่อสู้ของอีกฝ่ายนั้น ช่างร้ายกาจสุดที่นางจะเทียบได้!
หลังประมือกันแล้ว นางยังรู้สึกว่ากระทั่งชนชั้นอาวุโสในตระกูลของนาง หากด่านพลังทัดเทียมกันยังมีพลังฝีมือไม่สู้อีกฝ่ายเลย!
เช่นนั้นนางจึงเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นอัจฉริยะอันร้ายกาจเยี่ยงปีศาจตนหนึ่ง
ต่อมานางก็ได้ยินอีกฝ่ายบอกว่า ตัวมันไม่ได้เป็นคนของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว แต่มาหาสหายที่ตามอาจารย์มาอาศัยอยู่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว เพื่อคอยช่วยเหลือกันในมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะเท่านั้น
และก็พอดีกับที่มันพบว่าตัวนางได้อันดับ 3 ในการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ จึงตั้งใจมาชวนเป็นพิเศษ เพราะพลังฝีมือของนางน่าจะช่วยเหลือมันได้มาก และยังกำชับวว่าขอให้นางอย่าได้ไปบอกใครเรื่องนี้เด็ดขาด หาไม่แล้วผลประโยชน์ที่ได้ก็ต้องน้อยลง
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคิดว่าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ได้อันดับสูงกว่านาง ก็สมควรถูกชวนไปด้วยเช่นกัน
และนางก็ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะชวนใครไปอีกบ้าง
ตอนนี้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่ได้รู้เลย
ว่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดปริศนาที่มาชักชวนนางนั้น ไม่ได้ชวนใครในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวอีกเลยสหายที่ว่าก็แค่เรื่องปั้นแต่ง คนที่มันมาชวนก็มีแค่นาง ต้วนหลิงเทียนและเจวี๋ยอวิ๋นเท่านั้น
สำหรับคนอื่นๆ มันไม่เห็นอยู่ในสายตา!
…
ณ ที่ไหนสักแห่งของอวี้หวงเทียน
“ยังเหลือเวลาอีก 10 เดือน…ถึงตอนนั้นก็ได้เวลาที่ข้าจะเรียกพวกมันให้มารวมตัวกันเสียที”
เหนือบึงน้ำอันมืดมิดแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างนั่งขัดสมาธิลอยค้างกลางอากาศ เสียงพึมพำกับตัวของมันเผยความวาดหวังออกมาไม่น้อย
จากนั้นเมื่อมีแสงสว่างส่องลอดแนวป่าลงมา ก็เผยให้เห็นร่างที่นั่งขัดสมาธิเหนือบึงชัดเจน เป็นชายหนุ่มที่แลดูมีรูปร่างสมส่วนไม่อ้วนไม่ผอมคนหนึ่ง
“เกรงว่าป่านนี้พวกเด็กน้อยทั้งหลาย คงกำลังคิดฝันว่าแดนลับที่ข้าสร้างไว้เพื่อสังเวยชีวิตพวกมันให้ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ จักเป็นโลกใบเล็กที่จักรพรรดิอมตะสร้างทิ้งไว้ให้ใครมารับมรดกไปอยู่กระมัง…”
ขณะกล่าวพึมพำออกมาอีกครั้ง มุมปากของชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มแสะแลดูชั่วร้ายออกมา ชวนให้ผู้คนรู้สึกขนลุกพิกล
“หากนำยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดมาฆ่าเพื่อเป็นการสังเวย โอกาสที่ผลเทพสังเวยสวรรค์จักสุกงอมก็มีแค่ 1 ส่วนเท่านั้น…อย่างไรก็ตามหลังจากข้าเสาะหามานานปีเมื่อชาติที่แล้ว ในที่สุดข้าก็เจอวิธีเพิ่มโอกาสให้ผลเทพสังเวยสวรรค์สุกงอมเพิ่มเป็น 5 ส่วนได้สำเร็จ!”
“และนั่น…ต้องให้เหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมากพรสวรรค์ทั้งหลายเข่นฆ่าสังเวยเลือดเนื้อเพื่อผลเทพสวรรค์กันเอง!”
“และยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดที่ข้าลำบากไปตามหามาครานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบเทวโลกทั้งมวล! มันต้องสำเร็จแน่!!”
ตอนที่ 3078
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คิดจะปลูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ เพราะถึงมันจะให้ผลเลิศล้ำกับยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด หากแต่โอกาสที่จะเกิดผลก็มีแค่ 1 ใน 10 ส่วนเท่านั้น
อัตราความสำเร็จที่ต้ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้ กับจำนวนเครื่องสังเวยที่ต้องใช้ เรียกว่ามันไม่คุ้มเสี่ยงอย่างแรง เช่นนั้นไม่ว่าใครก็ตาม หากได้รับเมล็ดพันธุ์ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์มา มักจะนำไปใช้เป็นกระสายยาเสียมากกว่า
และในระนาบเทวโลก ก็มีคนที่ไม่อาจยอมรับโอกาสสุกงอมของผลเทพสังเวยสวรรค์ ได้ดิ้นรนขวนขวายหาวิธีเพิ่มโอกาสสุกงอมของผลเทพสวรรค์ไม่น้อย
บางคนพยายามอยู่นานปีแต่ไม่พบเจอหนทางใดๆ ก็ได้แต่ยอมแพ้เลิกราไป
และยังมีบางคนไม่คิดเลิกรา ดิ้นรนหาวิธีไปไม่หยุดและสุดท้ายก็พบเจอแต่ทางตัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางคนที่ในที่สุดก็พบเจอวิธีเพิ่มโอกาสสุกงอมของผลเทพสังเวยสวรรค์ได้สำเร็จ
เจียงหลัน ก็เป็นบางคนในประเภทที่ 3 นั่นเอง
เจียงหลันนั้น ก็คือชื่อในชาติที่แล้วของจักรพรรดิที่กลับชาติมาเกิด ถึงแม้มันจะไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่ก็นับเป็นจักรพรรดิอมตะที่พลังฝีมือไม่ใช่ชั่วคนหนึ่ง มีจักรพรรดิอมตะที่ไร้สมญานามเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นคู่ต่อสู้ของมันได้
อย่างไรก็ตามด้วยเพราะรากฐานมันไม่ดี พรสวรรค์และเชาว์ปัญญาของมันก็ไม่สูง ทำให้มันไร้หนทางจะกลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม
ดังนั้นมันจึงเลือกที่จะเสี่ยงกลับชาติมาเกิดใหม่
และก่อนที่มันจะกลับชาติมาเกิดใหม่ มันก็ได้เมล็ดพันธุ์ต้นเทพสังเวยสวรรค์มา และได้ดิ้นรนขวนขวายจนหาวิธีเพิ่มโอกาสสุกงอมได้สำเร็จ
กล่าวไปต้องบอกว่าตัวมันมีโชคอยู่บ้าง เพราะในถ้ำโบราณแห่งหนึ่งที่มันพบเจอโดยบังเอิญ มีบันทึกโบราณที่บ่งบอกวิธีเพิ่มอัตราสุกงอมของผลเทพสังเวยสวรรค์เอาไว้ และวิธีดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสสุกงอมให้สูงขึ้นเป็น 5 ส่วน!
หลังรับทราบความรู้จากถ้ำนั้นแล้ว มันก็เริ่มสร้างแดนลับและกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่จะเข้าไปได้ต้องเป็นตัวตนที่ด่านพลังต่ำกว่าขุนนางอมตะเท่านั้น จากนั้นมันก็ตระเตรียมค่ายกลต่างๆมากมาย และทำการปลูกต้นเทพสวรรค์เอาไว้
หลังจากมันปลูกต้นเทพสวรรค์และมั่นใจว่าจะเติบโตได้อย่างไร้ปัญหา มันก็เริ่มคำนวณหาเวลาที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จในการกลับชาติมาเกิดใหม่
สุดท้ายมันก็ชนะเดิมพัน สามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้สำเร็จ จากนั้นมันก็บ่มเพาะฝึกปรือมาจนมีวันนี้
และจนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้วที่มันได้ปลูกต้นเทพสังเวยสวรรค์เมื่อชาติก่อน
กล่าวให้ชัดก็คือปีหน้า ก็จะครบ 100 ปีที่มันปลูกต้นเทพสังเวยสวรรค์
ในชีวิตนี้พอเจียงหลันมีอายุได้ 50 ปี มันก็สามารถปลุกความทรงจำเมื่อชาติก่อนได้สำเร็จ จากนั้นมันก็ไปนำสมบัติที่มันซ่อนไว้เมื่อชาติที่แล้วมาใช้
อาศัยความทรงจำเมื่อชาติก่อน พร้อมด้วยสมบัติมากมาย ทำให้ตอนนี้ถึงมันจะยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้สำเร็จ อีกทั้งยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำได้ 4 ประการ
แน่นอนว่าใน 4 ประการนั่น รวมความหมายแห่งน้ำไว้แล้ว
นอกจากนั้นในสมบัติที่มันทิ้งไว้เมื่อชาติก่อน ยังมียันต์อมตะช่วยชีวิตมากมายและมีอุปกรณ์อมตะอีกด้วย
“อย่างไรก็ตามยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ข้าไปเสาะหาทั่วระนาบเทวโลก หลายสิบคนที่ท้าประลองกับข้า ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังมิอาจรับมือข้าได้ถึง 100 กระบวนท่า…”
พอนึกถึงอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะที่มันไปชักชวนและท้ามันประลอง เจียงหลันก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา
“เจ้าพวกเด็กน้อยนั่น กระทั่งข้าใช้ความลึกซึ้งให้ทัดเทียมกับพวกมัน ทั้งไม่ได้ใช้อุปกรณ์อมตะจักรพรรดิ หรือยันต์อมตะใดๆ พวกมันก็ไม่มีปัญญาสู้ข้าแล้ว…”
“หากข้าเอาจริง พร้อมด้วยอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ…ต่อให้พวกมันมัดรวมกันมา ก็ไม่พอมือให้ข้าฆ่า!”
พึมพำถึงจุดนี้ สีหน้าเจียงหลันที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศเหนือบึ้งน้ำ ก็ฉายชัดถึงความหยิ่งผยองออกมา
ตัวมันจะอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด ต่อให้จะไม่ใช้อุปกรณ์อมตะหรือยันต์อมตะเลิศล้ำที่เตรียมไว้ตั้งแต่ชาติก่อน อาศัยแค่อุปกรณ์อมตะและความลึกซึ้งพอๆกัน ก็ยากจะหาคนรับมือมันได้
ประสบการณ์ที่มันสั่งสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อน มากพอให้มันฉกฉวยโอกาสช่วงชิงชัยชนะได้ไม่ยาก
…
ณ หลิงหลัวเทียน
แดนสวรรค์ใต้ เขตปกครองงคฤหาสน์เฉวียนโยว เมืองฝูซาน
“เฮ่ ไม่ใช่ว่าเจ้าใช้กฏแห่งดินรึไง? ไฉนเจ้าซื้อแต่ลูกแก้วเงาลอยของผู้ใช้กฏแห่งไฟเล่า?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่มาซื้อของกับต้วนหลิงเทียน อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วความสงสัย เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเอาแต่ซื้อลูกแก้วเงาลอยของผู้ใช้กฏแห่งไฟ
“ใช้กฏแห่งดินแล้วข้าจะศึกษากฏแห่งไฟด้วยไม่ได้รึไง?”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ
“อย่าได้กัดคำใหญ่เกินจะเคี้ยว”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นขมวดคิ้วกล่าวเตือน
ถึงแม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรรู้เรื่องนี้ดี แต่มันก็ยังกลัวต้วนหลิงเทียนจะใจโลเลเปลี่ยนไปสนใจกฏอื่น จนเสียเวลาไปเปล่าๆ
“ทำไมเล่า? หรือคิดว่าข้าจะดันทุรังเรื่องกฏแห่งไฟ?”
หลังกล่าวหยอกพลางหัวร่อ ต้วนหลิงเทียนก็หยีตามองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลางถามว่า “หรือพวกเราลองประมือกันสักตั้งเป็นไร?”
“ข้ายังจำได้ ก่อนที่พวกเราจะแยกกันที่ทะเลสาบอวิ๋นโยว ข้าบอกเจ้าว่าวันหน้าพอพวกเราไปถึงคฤหาสน์เฉวียนโยว คอยมาลองประมือกันสักตั้ง…วันนี้พวกพวกเรามาประมือกันล่วงหน้าเลยเป็นไง?”
ต้วนหลิงเทียนยังจำได้ ว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ทะเลสาบอวิ๋นโยว หลังที่ถูกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวขู่ว่าหากเขาไม่ดีกับหวงเอ้อที่จะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้เขา อีกฝ่ายจะไม่มีวันเลิกรากับเขาแน่
ตอนนั้นเขาก็เลยกล่าวไว้ว่า หลังไปเจอกันที่คฤหาสน์เฉวียนโยวจะประมือกัน
“สมใจข้าพอดี!”
สองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทอประกายจ้า มันเห็นด้วยทันที
ราวๆครึ่งชั่วโมงต่อมา
เหนือแนวป่าเลียบภูเขาอันเปลี่ยวร้างห่างไกลจากเมือง ปรากฏร่างสองร่างลอยค้างกลางหาวเผชิญหน้ากัน เป็นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่พึ่งเดินทางออกจากเมืองฝูซาน
เมื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบรับบคำท้าประลองของต้วนหลิงเทียน ทำให้ทั้งคู่เลิกเดินดูของและพากันเหินร่างมายังสถานที่ร้างผู้คนทันที
บัดนี้ต้วนหลิงเทียนลอยร่างอยู่เหนือภูเขา ส่วนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นลอยร่างเหนือป่า
เสื้อคลุมทั้งคู่โบกพลิ้วไปตามลม แว่วเสียงเนื้อผ้าสะบัดดังเบาๆ
“เจ้าคิดประลองอย่างไร จะใช้หรือไม่ใช้อุปกรณ์อมตะ?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามต้วนหลิงเทียน
“ไม่ต้องใช้หรอก มือเปล่าก็พอ”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา จากนั้นบนร่างเขาก็ปรากฏเงาร่างเกราะอมตะสีดำหนึ่ง จากนั้นก็วูบหายไปในอากาศ
เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะเก็บเกราะอมตะที่ได้มาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ
เกราะอมตะดังกล่าวไม่ได้เป็นแค่เกราะอมตะระดับราชาธรรมดา แต่ยังเป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงโดยจอมราชันอมตะ
“ข้าก็ว่างั้น”
พอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวจบคำ ร่างมันก็ปรากฏเงาร่างเกราะอมตะสีดำลักษณะคล้ายๆของต้วนหลิงเทียนขึ้นมา ก่อนจะหายวับไป
ก็เป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมาเหมือนกัน และยังเป็น 1 ใน 3 เกราะอมตะที่มันแบ่งกับต้วนหลิงเทียนในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ
เกราะอมตะระดับราชานั้น แม้จะไม่จ่ายพลังลงไป แต่มันก็จะปกป้องผู้ใช้โดยอัตโนมัติ ต่างจากอุปกรณ์อมตะทั่วไปที่ต้องจ่ายพลังลงไปเพื่อใช้งาน
สำหรับกระบี่ที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นสะพายไว้ที่เอว ก็ยังคงสะพายไว้อย่างนั้น แค่ไม่ได้คิดจะชักออกจากฝัก
“ระหว่างเจ้ากับข้าเมื่อไม่ใช้อุปกรณ์อมตะ ก็คงได้แค่พึ่งความลึกซึ้งกับฝีมือส่วนตัวเท่านั้น…แต่เจ้าจะสู้ข้าได้เหรอ? ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ มันไม่เหมือนตอนที่อยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณหรอกนะ”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองสบตาต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวอย่างทะนงตัว “และถึงข้าจะจำไม่ได้ แต่ข้าเชื่อว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั่น ข้าไม่เคยใช้พลังฝีมือเต็มสิบส่วนแน่นอน”
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้พูด
ว่าในตอนนี้มันร้ายกาจกว่าตอนที่อยู่ในแดนสววรรค์ใต้โบราณมาก!
“ถ่อมาถึงนี่แล้ว…เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวรึไง?”
แม้จะเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแลดูมั่นใจในตัวเองมาก แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่หวั่นแม้แต่น้อย กลับกันสองตาเขายังทอประกายแหลมคมฉายความคาดหวังประการหนึ่ง พลังในร่างเริ่มโคจรดั่งน้ำเชี่ยว “ป้อนกระบวนท่าเถอะ!”
แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ
“ตามคำขอ!”
หลังโพล่งคำดุดัน พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดพลันปะทุออกมาท่วมร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น จากนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นสีดำ พาลให้บรรยยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายทันที!
กลิ่นอายแห่งความตายที่กำจายออกมา ยังชวนให้ผู้คนรู้สึกหดหู่ซึมเซาไม่น้อย ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่เว้น
ฟู่มมม!!
อย่างไรก็ตามหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นปะทุพลังออกมาไม่ทันไร ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏพลังพวยพุ่งออกมาดั่งเพลิงไฟ ทั้งพริบตาต่อมาพลังทั่วร่าง ยังกลายเป็นสีแดงเพลิงไม่ต่างอะไรจากเพลิงไฟจริงๆ
“หืม?”
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนพลันพับว่า พลังของกฏแห่งความตายที่ปกคลุมร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่ มันเริ่มควบรวมก่อเกิดเป็นเงาร่างดั่งภูตผีตัวเขื่อง
เงาร่างดังกล่าวมีขนาดใหญ่โตแลดูน่ากลัว ในมือถืออาวุธประเภทเคียว แถมตัวเคียวยังแผ่กลิ่นอายแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัวออกมา!
“นั่นมัน…เงาร่างยมทูต!”
เห็นรูปลักษณ์ของงเงาร่างมหึมาดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ฉุกคิดถึงข้อมูลกฏแห่งความตายที่อ่านเจอในบันทึกของหอตำราฝ่ายในนิกายอมตะเป้าผู่ขึ้นมาทันที
บันทึกที่อยู่ในยันต์อมตะเก็บความทรงจำดังกล่าว ได้บอกไว้ว่าความลึกซึ้งประการหนึ่งของกฏแห่งความตายนั้น เมื่อใช้จะเริ่มควบรวมพลังแห่งความตายสร้างเงาร่างยมทูตหรือเทพแห่งความตายขึ้นมาก่อน
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดถึงจุดนี้ เขาก็พบว่าเงาร่างยมทูตตัววเขื่องที่ถือเคียวแห่งความตายนั้น กำลังหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็กลายเป็นกลุ่มก้อนพลังสีดำราวกับหมึก จากนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาซึมหายเข้าไปในศีรษะของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
พริบตาต่อมาสองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็กลับกลายเป็นสีแดงฉาน ทั่วร่างแผ่ไอพลังสีดำออกมาอีกรอบ หากแต่ครานี้ไอพลังสีดำดังกล่าวเริ่มม้วนวนไปทั่วร่างปานพายุ
“นี่มัน…ความลึกซึ้ง ยมทูตครอบงำ ของกฏแห่งความตาย?”
ถึงแม้จะได้อ่านข้อมูลความลึกซึ้งของกฏแห่งตายจากยันต์อมตะเก็บความทรงจำในหอตำราฝ่ายในของนิกายอมตะเป้าผู่มาแล้ว แต่นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ต้วนหลิงเทียนได้เห็นใครสำแดงกฏแห่งความตายแบบนี้ เช่นนั้นเขาก็ทำได้แค่เดาเท่านั้น ไม่กล้ายืนยัน
อย่างไรก็ตามพอเห็นร่างหลิงเจวี๋นอวิ๋นโจนทะยานเข้ามาดั่งสายฟ้าฟาด! ความเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาตอนที่ใช้ความลึกซึ้งลุกโหมเลย ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจว่าเขาเดาถูก!!
“เป็นความลึกซึ้งยมทูตครอบงำของกฏแห่งความตายจริงๆ!”
ยมทูตครอบงำ ก็คือหนึ่งในความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย ยามใช้งานตัวผู้ใช้ควบรวมพลังแห่งความตายก่อลักษณ์เงาร่างเทพแห่งความตายขึ้นมา จากนั้นก็ควบแน่นพลังผสานเข้าสู่ร่างตัวเองอีกที สามารถเพิ่มความเร็ว ทั้งพลังให้กับผู้ใช้
ความลึกซึ้ง ยมทูตครอบงำ ของกฏแห่งความตายนั้น ก็ให้ผลลัพธ์ทำนองเดียวกับความลึกซึ้ง ลุกโหม ของกฏแห่งไฟ และคล้ายๆกับความลึกซึ้งลมกรด ของกกฏแห่งลม
‘ลุกโหม!’
เผชิญหน้ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เหินร่างทะยานเข้ามาฉับไว ใจต้วนหลิงเทียนก็เคลื่อนไหวทันที
พริบตาทั้งร่างเขาก็คล้ายจมอยู่ในเพลิงไฟ กระทั่งเพลิงพลังยังลุกโชนประหนึ่งจะแผดเผาได้กระทั่งความว่างเปล่า
ตอนที่ 3079
หลังต้วนหลิงเทียนผสานพลังธาตุไฟเข้ากับพลังเซียนอมตะและใช้พลังจากความลึกซึ้งลุกโหมทับไปอีกชั้น ก็ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนไหวเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ใช้ยมทูตครอบงำแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม กฏแห่งความตายนั้นคือ 1 ใน 4 กฏสูงสุด และทรงพลังเหนือกว่ากฏทั่วไป!
อย่างเช่นตอนนี้ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ใช้ความลึกซึ้งยมทูตครอบงำนั้น เมื่อเทียบกับต้วนหลิงเทียนที่ใช้ความลึกซึ้งลุกโหมแล้ว มีแต่แข็งแกร่งกว่า ไม่อ่อนด้อยกว่าแน่นอน
ความลึกซึ้งลุกโหมของต้วนหลิงเทียน จริงอยู่ที่นอกจากเสริมความเร็วเป็นหลักแล้ว ยังช่วยหนุนเสริมในแง่ของการโจมตีได้ด้วย แต่เป็นธรรมดาว่ามันหนุนเสริมพลังโจมตีได้ด้อยกว่าความลึกซึ้งที่เสริมพลังโจมตีเป็นหลัก
ทว่าความลึกซึ้งยมทูตครอบงำของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่เพียงแต่จะเพิ่มพูนความเร็วให้ไม่ด้อยไปกว่าความลึกซึ้งลุกโหมเท่านั้น มันยังเพิ่มพูนพลังโจมตีได้ไม่ต่างอะไรกับความลึกซึ้งที่เสริมพลังโจมตีเป็นหลัก!
ด้วยเหตุนี้หากมองในภาพรวมแล้ว ความลึกซึ้งยมทูตครอบงำของกฏแห่งความตาย มันเหนือกว่าความลึกซึ้งลุกโหมขอกฏแห่งไฟ!
“ไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้าจะเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมของกฏแห่งไฟ…”
เมื่อเห็นร่างต้วนหลิงเทียนที่กลับกลายเป็นลูกไฟพุ่งฉากหลบออกข้างไป และพริบตาก็ฉีกระยะไปนู่น หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ประหลาดใจอยู่บ้าง
“อย่างไรก็ตาม หากวันนี้นอกจากความลึกซึ้งลุกโหมกับความหมายแห่งไฟแล้ว เจ้าไม่เจ้าใจความลึกซึ้งประการอื่นของกฏแห่งไฟ เจ้าก็มีแต่แพ้กับแพ้!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตะเบ็งเสียงลำพองไม่ทันจบคำ ก็ปรากฏร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกคนแยกออกมาจากตัวมันปานภูตผี!
อย่างไรก็ตามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นคนนี้ สองตากลับไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แถมยังแดงฉานปานก้อนเลือด แม้ทั่วร่างจะไม่มีพลังใดๆก็ตาม แต่ยามเหินทะยานออกไป พลังสภาวะของมันไม่คล้ายอ่อนแอกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกคนเลย
หลังจากใช้ออกด้วยความลึกซึ้งยมทูตครอบงำแล้ว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังใช้ความลึกซึ้งร่างแฝดแห่งความตายออกมาทันที!
ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินมาก่อนแล้ว ว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ใช้ร่างแฝดแห่งความตาย
อย่างไรก็ตามเขาจดจำไม่ได้ และไม่ทราบว่าที่แท้ร่างแฝดแห่งความตายมันมีความสามารถอะไรบ้าง
จนเมื่อได้ไปหอตำราฝ่าในของนิกายอมตะเป้าผู่
ในหอตำรามียันต์อมตะเก็บความทรงจำที่อธิบายความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายเอาไว้ชัดเจน จะยมทูตครอบงำก็ดี ร่างแฝดแห่งงความตายก็ดี ลักษณะพลังนั้นเขาเคยอ่านผ่านตามาหมดแล้ว
เขาจึงรู้ว่าร่างแฝดแห่งความตาย ไม่เพียงจะมีรูปลักษณ์เหมือนร่างต้นราวฝาแฝด แต่ยังมีด่านพลังฝึกปรือเท่าเทียมกับร่างต้น อีกทั้งยังสามารถใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายได้ด้วย
อย่างไรก็ตามความลึกซึ้งของกฏแห่งตายที่มันใช้ได้นั้น นอกจากความหมายแห่งความตายแล้ว ก็ไม่อาจใช้ความลึกซึ้งอื่นๆได้
หากใช้ได้ ไม่ใช่ว่ามันจะใช้สร้างร่างแฝดแห่งความตายได้อย่างไร้สิ้นสุดหรือไร?
แต่กระนั้นก็ไม่ได้ลดทอนความน่ากลัวของร่างแฝดแห่งความตายเลย
ร่างแฝดแห่งความตายนั้นไม่อาจทำลายได้เว้นเสียแต่จะฆ่าร่างต้น ต่อให้ถูกพลังป่นปี้จนแหลกสลาย มันก็จะกลับกลายพลังแห่งความตายและก่อร่างขึ้นมาใหม่อีกครั้งทันที
นอกจากนั้นขณะที่ใช้ความลึกซึ้งร่างแฝดแห่งความตาย ตัวผู้ใช้ยังจะมีพลังและความเร็วเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่งอีกด้วย!
ด้วยเหตุนี้ในวินาทีที่ร่างแฝดแห่งความตายปรากฏขึ้น ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เปลี่ยนทิศทางโจนทะยานติดตามต้วนหลิงเทียนไป อยู่ๆความเร็วก็พุ่งสูงขึ้นในชั่วพริบตา!
ฟุ่บบบ!!
เมื่อความเร็วของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเพิ่มพูนขึ้นในฉับพลัน ร่างมันก็พุ่งไปด้วยความเร็วเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนที่ใช้คววามลึกซึ้งลุกโหมอย่างเห็นได้ชัด!
ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ความเร็วเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด พริบตาก็พุ่งตามไปเจียนบรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียน!
ฟุ่บบบ!!
ไม่เพียงหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังจะไล่ทันต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ร่างแฝดแห่งความตายเองก็พุ่งติดตามมาด้านหลังมันราวกับเงาตามตัว!
‘วัดกันแต่ความเร็ว ตอนนี้ข้านับว่าด้อยกว่ามันมาก…ร่างแฝดแห่งความตายนั่นเพิ่มความเร็วให้มันพอพอสมควรเลย ต่อให้ข้าใช้ความลึกซึ้งเผาไหม้ตอนนี้ แต่อย่างดีก็เพิ่มความเร็วได้ไม่เท่าไหร่ ไม่เท่าร่างแฝดแห่งความตายของมันแน่’
เมื่อเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับร่างแฝดแห่งความตายจี้เข้ามาติดๆ และอีกไม่นานคงตามทัน สองตาต้วนหลิงเทียนพลันหดหยีลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็เรืองประกายวาบขึ้นปานฟ้าแล่บ ในใจบังเกิดความคิดประการหนึ่ง!
ตอนนี้หากยังคิดจะฉีกระยะหยั่งเชิง ไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์ แต่ไม่พ้นต้องถูกร่างต้นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพุ่งแซงไปก่อน จากนั้นก็ถูกร่างแฝดแห่งความตายที่ติดตามมาด้านหลังกลุ่มรุมกระหนาบหัวท้ายแน่นอน
เนื่องเพราะความเร็วของเขาที่อาศัยความลึกซึ้งลุกโหมอย่างเดียว มันสู้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ใช้ยมทูตครอบงำกับร่างแฝดแห่งความตายไม่ได้เลย
เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงล้มเลิกการฉีกระยะหยั่งเชิง และลงมือจู่โจมออกกไปทันที!
อาศัยความลึกซึ้งลุกโหมกับเผาไหม้ ก็มากพอจะทำให้เขามีพลังโจมตีเหนือกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในตอนนี้แล้ว
ความลึกซึ้งลุกโหมของกฏแห่งไฟอาจเพิ่มพูนพลังโจมตีได้ไม่เท่ายมทูตครอบงำของกฏแห่งความตาย
อย่างไรก็ตามความลึกซึ้งเผาไหม้นั้น มันสามารถเพิ่มพูนพลังโจมตีให้เขาได้มากกว่าร่างแฝดแห่งความตายหลายขุม!
เพราะความลึกซึ้งเผาไหม้เป็นหนึ่งในความลึกซึ้งที่เสริมพลังเป็นหลักของกฏแห่งไฟ!
เรียกว่ายามผสานใช้ความลึกซึ้งลุกโหมกับความลึกซึ้งเผาไหม้ พลังโจมตีของเขาจะทรงพลังเหนือกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ใช้ความลึกซึ้งยมทูตครอบงำกับร่างแฝดแห่งความตายแน่นอน!
“รับมือ!”
ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังจะไล่ตามต้วนหลิงเทียนที่กลายเป็นดั่งลูกไฟได้ทันนั้น อยู่ๆต้วนหลิงเทียนที่กลายเป็นลูกไฟร้อนระอุก็โพล่งคำออกมาอย่างดุดัน!
จากนั้นลูกไฟที่พุ่งไปเบื้องหน้าฉับไว คล้ายบังเกิดการระเบิดขึ้น พริบต่าต่อมามันก็วกกลับมาหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสภาวะดุร้ายดื้อๆ!
ปงงงงงง!!
ฟู่มมมม!!
…
เสียงระเบิดของพลังหนึ่งก็ดังสนั่นกึกก้องไปทั่วฟ้า ลูกเพลิงอยู่ๆก็เปลี่ยนทิศทางย้อนศรกลับมาอย่างอัศจรรย์! จากนั้นลูกไฟระอุก็คล้ายจะขยายใหญ่ขึ้นในชั่วพริบตา!!
ที่สำคัญตอนนี้เปลวไฟที่ลุกโชนนั่นเสมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่ากลัว มวลอากาศโดยรอบประหนึ่งจะถูกแผดเผาจนมอดไหม้!
“นี่มัน…ความลึกซึ้งเผาไหม้!”
เดิมทีหลิงเจวี๋ยอวิ๋นคิดว่าจะอาศัยความเร็วที่เหนือกว่าพุ่งแซงต้วนหลิงเทียนไปแล้ววกกลับมาจู่โจมซึ่งจะทำให้ต้วนหลิงเทียนเสมือนโดนกระหนาบจู่โจมทั้งหัวท้าย แต่อยู่ๆพอเห็นต้วนหลิงเทียนวกกลับมาหน้าตาเฉย ทั้งเปลวเพลิงทั่วร่างก็คล้ายจะทวีความรุนแรงขึ้นในฉับพลัน กอปรกับสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุปานบรรยากาศมอดไหม้! ลูกตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หดเล็กลงทันที!!
กระทั่งลึกลงไปในแววตา ยังฉายชัดถึงความตกตะลึงเหลือเชื่อขึ้นมา!
‘ต้วนหลิงเทียนนั่น…ไม่ใช่ว่ามันเชี่ยวชาญกฏแห่งดินหรือไร!?’
‘หรือในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำและตอนประลองกับองค์ชายรองหนันฉี่นั่น มันใช้กฏแห่งดินออกมาเพื่อตบตาทุกคน แต่ที่แท้มันเชี่ยวชาญกฏแห่งไฟมากที่สุด!?’
เห็นต้วนหลิงเทียนใช้ความลึกซึ้งลุกโหม ตามมาด้วยความลึกซึ้งเผาไหม้แบบนี้ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่อาจไม่แปลกใจ ยังคิดไปว่าที่ผ่านมาต้วนหลิงเทียนจงใจใช้กฏแห่งดินเพื่อปิดบังกฏแห่งไฟ!
“หากเจ้าทำได้แค่นี้…ไม่เกิน 10 กระบวนท่าเจ้าแพ้ข้าแน่!”
ต้วนหลิงเทียนที่วกร่างโจนทะยานเข้ามาหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพร้อมเพลิงพลังที่ลุกโชนท่วมร่างอย่างน่ากลัว เอ่ยออกเสียงเรียบ
และแทบจะพร้อมกันกับที่กล่าวจบคำ ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดหีลง จากนั้นเปลวเพลิงมหึมารอบกายก็รวมควบรวมก่อเกิดกระบี่ไฟเล่มแล้วเล่มเล่า!
กระบี่ไฟหลายเล่มอุบัติขึ้นในห้วงเวลาชั่วพริบตา พวกมันเหินวนเวียนรอบร่างต้วนหลิงเทียนไม่กี่รอบ ก็พุ่งทะยานเข้าใส่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นปานห่าอุกกาบาต!
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
…
เสียงหอนกระบี่ดังขึ้นระงม กระบี่เพลิงที่พุ่งไปฉับไวปานลำแส ทะลวงแหวกอากาศมาประหนึ่งห่าพิรุณเปลวเพลิง!
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนที่ควบคุมห่ากระบี่ให้พุ่งใส่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้วเสร็จ ร่างคนก็ปะทุพลังขึ้นอีกขุม จากคนก็โจนทะยานขึ้นฟ้าพลางง้างมือขึ้นแล้วตบฟาดลงมาทันที!
เป้าหมายการตบฟายย่อมเป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
ในห้วงเวลาพริตาดุจละอองไฟวาบดับ ต้วนหลิงเทียนก็ลงมือจู่โจมออกมา 2 กระบวนท่า!
ปงงงง!!
ซู่มมม!!
…
เสียงระเบิดประหนึ่งฟ้าคำรนดังขึ้นกึกก้อง พร้อมๆกันกับที่ฝ่ามือต้วนหลิงเทียนฟาดตบลงมา มวลพลังเพลิงที่ปะทุขึ้นมาทั่วร่างก็เริ่มผนึกลงสู่ฝ่ามือ จากนั้นก็พุ่งออกไปเป็นสายประหนึ่งธารลาวาเชี่ยวโถมเข้าใส่หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
กระบี่เพลิงฉับไวปานประกายแสงหลายเล่ม พร้อมด้วยกระแสพลังร้อนระอุปานธารลาวาเชี่ยวหลั่งไหลจากฟากฟ้า ต่างโถมถันเข้าใส่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอย่างดุดัน!
เผชิญกับกระบวนท่าเปี่ยมล้นไปด้วยพลังทำลายอันน่าพรั่นพรึง 2 กระบวนติด หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลันชะงักร่างลงกลางหาว พร้อมๆกับร่างแฝดแห่งความตายที่พุ่งมาหยุดข้างกายมัน!
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าซุกซ่อนได้ลึกยิ่ง!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองต้วนหลิงเทียนบนฟ้า ด้วยสีหน้าท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง จากนั้นพลังแห่งความตายที่ม้วนวนรอบร่างมันก็เริ่มปั่นป่วนปานมหาพายุ!
ทันใดนั้นพลังเซียนอมตะที่ผสานไปด้วยพลังแห่งความตายดังกล่าว ก็เริ่มมาควบรวมก่อเกิดเป็นเคียวเล่มหนึ่ง!
อย่างไรก็ตามเคียวเล่มนี้ยังแลดูหยาบๆ คล้ายยังควบแน่นก่อเกิดไม่สมบูรณ์ ราวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังไม่บรรลุพลังดังกล่าว!
วู้ม! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
เสียงพลังงกู่ร้องดังขึ้น พร้อมกันนั้นก็บังเกิดเสียงแหวกอากาศดังขึ้นแผ่วเบาระรัว เป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ปะทุพลังควบรวมก่อเกิดเคียว ได้ตวัดฟันฟาดเคียวออกไปปานจักรผัน ซัดคลื่นพลังหมายต้านทานรับห่าพิรุณกระบี่เพลิงของต้วนหลิงเทียนอย่างไม่หวาดหวั่น!!
ปง! ปง!
…
พร้อมกันนั้นเองร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ย่ำเท้าเหยียบอากาศอย่างแรงจนมวลอากาศแตกระเบิด ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นปานจรวด จากนั้น 2 มือก็ตบฟาดขึ้นไปเบื้องบนจนอากาศแตกระเบิดอีกครา ท่าทางมันคิดจะแบกรับธารลาวาเชี่ยวที่โถมถันลงมาของต้วนหลิงเทียนตรงๆ!!
พริบตาต่อมา กระบี่เพลิงที่กระหน่ำลงมาปานห่าพิรุณของต้วนหลิงเทียนก็ปะทะเข้ากับคลื่นพลังที่ซัดออกจากเคียวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
พร้อมๆกับกระแสพลังเพลิงระอุดั่งธารลาววาเชี่ยวที่ถล่มลงจากฟากฟ้า ก็สาดโถมลงร่างแฝดแห่งความตาย!
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
…
เสียงระเบิดสนั่นดังขึ้นถี่ยิบ กระบี่เพลิงดั่งประกายแสงถูกคลื่นพลังจากเคียวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นปะทะต้านทานอย่างจัง แม้พวกมันสามารถเอาชนะคลื่นพลังจากเคียวได้ กระนั้นพลังก็ลดทอนลงไปหลายส่วน
ส่วนอีกด้านกระแสพลังเพลิงระอุที่โถมลงมาดั่งธารลาวาเชี่ยวก็กลืนร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ไม่ยากเย็น ร่างแฝดแห่งความตายประหนึ่งถูกหลอมจนสลายเป็นไอพลังสีดำ!
อย่างไรก็ตามไอพลังสีดำดังกล่าว ก็ควบรวมก่อเกิดร่างแฝดแห่งความตายอีกครา และยังคงยกฝ่ามือขึ้นฟ้าหมายแบกรับธารลาวาเชี่ยวเอาไว้ ประหนึ่งนักรบเดนตายไร้ความกลัว
เหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวดำเนินขึ้นถี่ยิบในห้วงเวลาแค่พริบตา
จนในที่สุดความเร็วในการควบสร้างร่างแฝดแห่งความตายก็เริ่มช้าลง อย่างไรก็ตามกระแสพลังเพลิงระอุที่หลั่งไหมาปานธารเชี่ยวก็เริ่มช้าลงเช่นกัน
ฟุ่บบบ!!
ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ตวัดเคียวซัดพลังต้านกระบี่เพลิงของต้วนหลิงเทียนเป็นพัลวัน ฉวยโอกาสดังกล่าวพุ่งร่างหลบออกจากจุดเดิมไปด้วยความเร็วฉับไวปานภูตผี!
เปรี๊ยง! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
…
ห่ากระบี่เพลิงของต้วนหลิงเทียนที่ถูกคลื่นเคียวซัดจนลดทอนสภาววะไปหลายส่วน ก็ได้แต่พุ่งเสียบอากาศอย่างจัง จากนั้นก็ร่วงตกลงไปถล่มทำลายผืนป่าเบื้องล่างจนวินาศสันตะโร! นอกจากนั้นกระแสพลังดั่งธารลาวาเชี่ยวก็พุ่งไปถล่มผืนดินเบื้องล่างจนเกิดหลุมลึก ปรากฏไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมาจากก้นหลุมขโมงโฉงเฉง!!
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเข้าใจความลึกซึ้ง เคียวยมทูต ของกฏแห่งความตายแล้วด้วย”
ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างค้างกลางหาว ชุดคลุมสีม่วงโบกสะบัดไปตามแรงลม ก้มลงมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเบื้องล่างพลางกล่าว แม้สายตาจะเฉยเมยหากแต่น้ำเสียงฟังดูประหลาดใจอยู่บ้าง
ตอนที่ 3080
เคียวยมทูต เป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายที่หนุนเสริมการโจมตีเป็นหลัก และยังทรงพลังที่สุดในกฏแห่งความตาย เรียกได้ว่าเป็นความลึกซึ้งเสริมการโจมตีหลักอันดับหนึ่ง!
อย่างไรก็ตามจากที่ต้วนหลิงเทียนเห็น หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังไม่ได้เข้าใจความลึกซึ้งเคียวยมทูตถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น เรียกว่าแค่เข้าใจบางส่วน และแทบจะใช้พลังของมันได้ไม่ถึงเสี้ยว
ระดับความเข้าใจก็ดุจเดียวกับพื้นที่โน้มถ่วงและความลึกซึ้งปะทุของต้วนหลิงเทียน
“เท่าที่ข้ารู้มา…เคียวยมทูตเหมือนจะเป็นความลึกซึ้งที่เข้าใจได้ยากที่สุดของกฏแห่งความตายใช่ไหม?”
ต้วนหลิงเทียนที่มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ
“นับว่าเจ้ารู้จักกฏแห่งความตายยไม่น้อยเลยทีเดียว…ไม่ผิด เคียวยมทูตเป็นความลึกซึ้งที่เข้าใจได้ยากที่สุดของกฏแห่งความตาย”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาแปลกใจเล็กน้อย ค่อยพยักหน้า “เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข้าพึ่งจะหยั่งถึงความลึกซึ้งเคียวยมทูต จนพอใช้พลังของมันได้บางส่วน”
“แต่ถึงเจ้าจะใช้พลังมันได้ไม่มากเท่าไหร่ พอเอามารวมกับสิ่งที่เจ้ามี…ก็นับว่าช่วยเจ้าได้ไม่น้อย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
หากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่อาจใช้เคียวยมทูตได้ล่ะก็ ถึงแม้ร่างแฝดแห่งความตาจะหยุดกระแสพลังเพลิงของเขาได้ แต่ร่างต้นก็คงไม่พ้นต้องถูกห่ากระบี่เพลิงของเขาจัดการอยู่ดี
“ต้วนหลิงเทียนความเข้าใจในกฏแห่งไฟของเจ้านับว่าเหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ…หากข้าเดาไม่ผิด ที่ทะเลสาบอวิ๋นเยียนทั้งในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ…เจ้าสมควรใช้กฏแห่งดินบังหน้าเพื่อปกปิดพลังที่แท้จริงของเจ้าสินะ”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวถาม
“หากข้าบอกว่า…ข้าพึ่งจะมาศึกษากฏแห่งไฟหลังจากเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่ เจ้าจะเชื่อรึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนยักไหล่พลางถาม
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เบ้ปาก แลดูไม่เชื่อแม้แต่น้อย
ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่ได้นานเท่าไหร่กัน?
ยังไม่ทันถึงสิบปี!
ภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี หากเข้าใจความหมายแห่งไฟก็ไม่นับเป็นเรื่องอะไร
แต่ตอนนี้นอกจากความหมายแห่งไฟ ต้วนหลิงเทียนยังเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมกับเผาไหม้ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้ว! เรื่องพรรค์นี้เก็บไว้หลอกเด็ก 3 ขวบเถอะ!!
“ต้วนหลิงเทียน จริงอยู่ที่ความสามารถเจ้าเหนือความคาดหมายของข้า…แต่ตอนนี้เลิกคุยเถอะ สมควรจบเรื่องได้แล้ว”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้ามั่นใจ และพอกล่าวจบชุดคลุมสีเทาของมันก็เริ่มโบกสะบัดแม้ไร้ลม จากนั้นไอพลังแห่งความตายก็เริ่มม้ววนวนทั่วร่าง แลดูมืดมนนัก
“จบได้แล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพลางกล่าวถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “หรือเจ้าจะยอมแพ้แล้ว?”
“ข้า? ยอมแพ้?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นแสยะยิ้มพลางส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็กล่าวออกด้วยน้ำเสียงถือดี “ข้าแค่จะบอกเจ้าว่า…เจ้ากำลังจะแพ้!”
“ข้ากำลังจะแพ้?”
ได้ยินวาจามั่นใจของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ “ต่อให้ข้าจะไม่เร็วเท่าเจ้า แต่อาศัยพลังของข้าตอนนี้…สมควรไล่ต้อนเจ้าได้ทุกทาง แล้วข้าจะเอาอะไรไปแพ้?”
“ดูจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ต่อให้ข้าใช้การไม่ได้แค่ไหน แต่อย่างน้อยๆคิดจะสู้เสมอกับเจ้าก็คงไม่มีปัญหาหรอกมั้ง?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงขบขัน
แน่นอนว่ามีบางสิ่งที่เขายังไม่ได้พูดออกไป นั่นคือเขาเองก็ยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด เพราะตอนนี้เขาเองก็เข้าใจความลึกซึ้งปะทุบางส่วนแล้ว เรียกว่าสามารถใช้พลังของมันได้ไม่ต่างอะไรจากเคียวยมทูตของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเลย
ถึงแม้ว่าความลึกซึ้งปะทุอาจจะยังเพิ่มพลังให้เขาได้ไม่มาก แต่ความเร็วของเขาย่อมเหนือกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอนนี้แน่นอน
นอกจากนั้นพลังโจมตีจากเดิมที่เหนือกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่เล็กน้อย ก็จะเพิ่มขึ้นจนเหนือกว่าที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะรับไหวทันที!
“ก็ถูกของเจ้า”
มุมปากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นค่อยๆกยิ้มแสยะ “แต่ก็อย่างที่เจ้าบอก…หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้น่ะนะ”
“ว่าแต่เจ้าแน่ใจเหรอ ว่าข้าลงมือเต็มที่แล้ว?”
กล่าวจบคำ ลูกตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หดเล็ก ทันใดนั้นแสงสีเลือดพลันสาดส่องออกมาจากดวงตา มองไปประหนึ่งดาวตกสีแดงพุ่งผ่านฟากฟ้ายามค่ำคืน!
และพร้อมกันกับที่สองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่องแสงสีแดงออกมา ทั่วร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เสมือนมีหมอกโลหิตปะทุออกมาในฉับพลัน!
ที่สำคัญหมอกโลหิตพอปะทุออกมา มันก็เริ่มหลอมรวมเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานพลังแห่งความตายทันที!
จากนั้นไอพลังสีดำอันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายรอบกายหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็เริ่มเปลี่ยนสีไปจนคล้ายถูกโลหิตอาบย้อม
“ตระกูลของข้าล้วนได้รับสืบทอดพลังสายเลือดต่อๆกันมา…ด้วยด่านพลังฝึกปรือของข้าในตอนนี้ แม้จะพึ่งปลุกพลังสายเลือดได้ไม่เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ช่วยอะไร!”
พอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวจบคำ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดสีดำที่ห้อมล้อมไปด้วยอัสนีสีแดงเลือด ก็ค่อยๆหลั่งไหลลงสู่เคียวยมทูตที่รูปลักษณ์ดูหยาบๆทันที
“อย่างน้อยๆ…มันก็ช่วยยกระดับความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายที่ข้าเข้าใจบางส่วนให้มีพลังทัดเทียมกับตอนข้าเข้าใจเต็มที่!”
พอกล่าวจบคำ เคียวยมทูตที่แลดูหยาบๆในมือหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็ค่อยๆชัดเจนทั้งควบแน่นจนไม่ต่างอะไรจากวัตถุมีสภาพ ประหนึ่งเป็นเคียวยมทูตที่แท้จริง!
“นี่มัน…”
ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนก็พบได้ไม่ยาก ว่าพลังโลหิตที่ปะทุออกมารอบกายหลิงเจวี๋ยอวิ๋น มันเริ่มผสานควบรวมเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอย่างกลมกลืน ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน
พริบตาต่อมา พลังดังกล่าวก็เริ่มหลั่งไหลลงสู่ตัวเคียวที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นสร้าง ทันใดนั้นเคียววที่มีรูปลักษณ์หยาบๆ ทั้งพร่าเลือนปานแสงโฮโลแกรม ก็ค่อยๆควบแน่นจนชัดเจน คล้ายกลับกลายเป็นวัตถุมีสภาพจับต้องได้จริงๆ!
สีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าหมายความว่าอะไรเขาย่อมรู้ดี
หมายความว่าตอนนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเสมือนเข้าใจความลึกซึ้งเคียวยมทูตได้แล้ว!
หากจะกล่าวว่าก่อนหน้านี้ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเสมือนพึ่งหยั่งถึงความลึกซึ้งเคียวยมทูตและใช้พลังของมันได้บางส่วนล่ะก็…
บัดนี้ความลึกซึ้งเคียวยมทูตของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่ต่างอะไรจากเข้าใจจนบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!
ทั้งสองเรื่อง เป็นอะไรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
“ตอนนี้ หลังข้าใช้พลังสายเลือด…ก็ไม่ต่างอะไรจากข้าเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 4 ประการถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น…แล้วเจ้ายังคิดว่าจะมีปัญญาสู้เสมอข้าได้อีกรึ?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยกยิ้มแสยะอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง จากนั้นก็โจนทะยานสวนเข้าใส่ด้วยท่าทางมั่นใจ ต่างจากตอนเร่งรุดล่าถอยเมื่อครู่ราวคนละคน!
ขณะเดียวกัน เคียวมทูตที่ไม่ต่างอะไรจากเคียวจริงๆ ก็ถูกควงเพื่อเร่งเร้าสภาวะอย่างชำนิชำนาญ ราวกับพร้อมฟาดสยบต้วนหลิงเทียนยได้ทุกเมื่อ!
ฟุ่บบ! ซู่มม!!
ร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็โจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนพร้อมร่างต้นอย่างดุร้าย!
คราวนี้ไม่เพียงแต่ความเร็วของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะเหนือกว่าต้วนหลิงเทียน กระทั่งพลังโจมตีก็เหนือกว่าต้วนหลิงเทียนไปแล้ว!
ความลึกซึ้งเคียวยมทูตที่พอเข้าใจบางส่วนกับเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น เรียกว่าพลังอำนาจไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย!
ทั้งความเร็วของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอนนี้ก็รวดเร็วเหลือเกิน ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้ตอบสนองใดๆ ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็พุ่งผ่านครึ่งทางแล้ว!
ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ!
…
พอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นโจนทะยานเข้ามาใกล้ถึงครึ่งทาง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงเคียวยมทูตที่ควงปานจักรผันได้ชัดถนัดหู!
กระทั่งเสียงควงเคียวนี้ยังดังสนั่น ประหนึ่งมันจะผ่าได้กระทั่งความว่างเปล่าก็ไม่ปาน!
อย่างไรก็ตาม แม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะโจนทะยานเข้ามาด้วยความเร็วสูง ต้วนหลิงเทียนก็ยังสามารถตอบโต้ได้ทัน
“ปะทุ!”
เผชิญหน้ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่โจนทะยานพร้อมควงเคียวยมทูตมาด้วสภาวะดุดันเหี้ยมหาญปานขุนพลชำนาญศึก นอกจากพลังที่ใช้ออกก่อนหน้าแล้ว ครานี้ต้วนหลิงเทียนยังเผยความลึกซึ้งปะทุออกมาอีกด้วย!
ความลึกซึ้งปะทุ นับเป็นความลึกซึ้งที่เน้นเสริมการโจมตีเป็นหลักของกฏแห่งไฟ และยังเพิ่มความเร็วได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย!
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ฟั่ฟฟ! ฟั่ฟฟ! ฟั่ฟฟ! ฟั่ฟฟ! ฟั่ฟฟ!
…
รอบกายต้วนหลิงเทียนอุบัติกระบี่เพลิงขึ้นมาม้วนวนดั่งดวงดาวอีกครา จากนั้นพวกมันก็พุ่งทะยานออกไปฉับไวปานจุดระเบิด!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เห็นกระบี่เพลิงพุ่งมาก็ไม่ตื่นตระหนก เร่งตวัดเคียวยมทูตในมือฟันฟาดทำลายกระบี่เพลิงระรัวปานจักรผัน! เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้อง กระบี่เพลิงแต่ละเริ่มถูกฟันจนแตกระเบิดปานพลุไฟ!!
อย่างไรก็ตาม หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตระหนักได้ชัดเจน ว่ากระบี่เพลิงของต้วนหลิงเทียนรอบนี้ มันทั้งรวดเร็วและทรงพลังมากกว่าเดิม!
“ความลึกซึ้งปะทุของกฏแห่งไฟ!?”
ถึงแม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะสามารถฟันกระบี่เพลิงที่จู่โจมเข้ามาในฉับพลันจนแตกระเบิดปานพลุไฟได้หมด แต่มันก็ไม่อาจไม่ประหลาดใจกับความลึกซึ้งปะทุของกฏแห่งไฟที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งใช้ออก!
เป็นธรรมดาว่ามันยังมองออกอีกด้วย
ว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่เข้าใจความลึกซึ้งปะทุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น! ก็แค่หยั่งถึงบางส่วนและพอๆกับที่มันเข้าใจเคียวยมทูตเท่านั้น!!
เพียงแค่ตอนนี้มันใช้พลังสายเลือด จึงทำให้เคียวยมทูตยกระดับพลังขึ้นเท่าเทียมกับการบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!
ฉากคล้ายๆกันก่อนหน้านี้ปราฏขึ้นอีกครา
ทว่าคราวนี้ฝ่ายที่รุกไล่กลับเป็นหลิเจวี๋ยอวิ๋น ส่วนต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถีบเท้าส่งร่างทะยานถอยหลังพลางควบสร้างกระบี่เพลิงจู่โจมเข้าใส่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่หยุด!
ด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นฟาดเคียวทำลายกระบี่เพลิงไม่หยุด ทั้งย่นระยะเข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนมากขึ้นทุกขณะ เห็นชัดว่ามันมีเปรียบ!!
“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งปะทุได้บางส่วนแล้ว…แต่กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี!!”
หลังจากที่รุกไล่เข้าใส่ต้วนหลิงเทียนพลางฟันทำลายกระบี่เพลิงที่ยิ่งถล่มมาปานปืนกลของต้วนหลิงเทียนไปพักหนึ่ง ในที่สุดหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ย่นระยะห่างระหวว่ามันกับต้วนหลิงเทียนได้อีกครึ่ง!
อีกทั้งด้านหลังมันก็ปรากฏร่างแฝดแห่งความตายพุ่งทะยานตามมาติดๆดั่งเงาตามตัว เรียกว่าพร้อมกลุ้มรุมทุบตีต้วนหลิงเทียนตลอดเวลา!
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
…
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่โจนทะยานใกล้ถึงตัวต้วนหลิงเทียน สีหน้ายิ่งมายิ่งฉายชัดถึงความมั่นใจ เคียวยมทูตในมือฟันฟาดออกไปอย่างคล่องแคล่ว ทุบทำลายกระบี่เพลิงได้อย่างหมดจด กระทั่งอานุภาพเคียวยังประหนึ่งจะฉีกกระชากได้กระทั่งห้วงมิติ
“เจ้ายังมีลูกไม้อันใดอีกหรือไม่? หากมีก็รีบใช้ออกเสีย!”
“หากไม่มีเจ้าก็แพ้ไปซะ! อาศัยพลังของเจ้าตอนนี้ หาใช่คู่มือข้าไม่!!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนได้มากพอ ก็ฟาดเคียวออกไปหมายตบร่างต้วนหลิงเทียนให้ปลิว วินาทีนี้มุมปากมันคลี่ยิ้มสดใสย่ามใจ ราวกับเห็นชัยชนะอยู่รำไร!
เพราะในสายตามัน เคียวนี้…ต้วนหลิงเทียนรับไม่ไหวแน่นอน! และไม่พ้นต้องถูกฟาดจนปลิวละลิ่วแพ้พ่าย!!
หากต้วนหลิงเทียนยังมีทีเด็ดอะไรอยู่จริงๆ ป่านนี้คงใช้ออกมาแล้ว ไม่รอให้จวนตัวแบบนี้หรอก!
เมื่อเห็นรอยยิ้มแสยะย่ามใจ ราวกับคว้าชัยชนะอยู่ในกำมือแน่แล้ว ต้วนหลิงเทียนที่เดิมทีก็ไม่ได้แยแสว่าจะชนะหรือแพ้สักเท่าไหร่ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย
‘ไอ่เจ้าบ้านี่…มันชนะแล้วจะได้โล่รึยังไง?’
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลง มุมปากยังยกยิ้มแสยะบางๆไม่ได้นำพาเคียวที่ฟาดแหวกอากาศเข้ามาแม้แต่น้อย ‘แต่ยังเร็วเกินไปที่เจ้าจะคิดว่าชนะข้าได้’
ในห้วงพริบตาที่คิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เรียกเพลิงเทพโกลาหลในร่างทันที “อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล…ช่วยข้าตบสั่งสอนเจ้านี่ได้รึเปล่า?”
“ย่อมได้ ต่อไปเจ้าคิดทำอะไรก็ทำได้ตามใจไม่ต้องถาม ขอเพียงเรื่องราวไม่หนักหนาเหมือนตอนฆ่ามือสังหารกะโหลกเลือดขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานนั่นก็พอ”
Home War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 3081
ตอนที่ 3081
ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องกล่าวยอมแพ้หรือพยายามหลบหนีไม่ก็ต้านทานสุดกำลัง ฉากเหนือคาดฝันพลันอุบัติขึ้นอีกครั้ง
มันเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่หลบไม่หนีไม่ป้องกัน แต่คนกลับชะงักร่างลงกลางอากาศ และทำท่าราวกับจะเผชิญหน้ากับเคียวของมันตรงๆ!
ฟู่มมม!!
ทันใดนั้นเองเปลวเพลิงทั่วร่างต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็ปะทุลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรง จนคนคล้ายจะจมหายไปในกองไฟโดยสมบูรณ์ คิดลงมือต้านรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่โจนทะยานจู่โจมเข้ามาตรงๆ!
ขวับ! ซู่มมม!!
การลงมือต้านทานที่ว่า ก็คือหนึ่งหมัดที่ง้างแล้วชกออกมาในฉับพลัน!
ทันใดนั้นเอง
ปงงงง!!
ครืนนนน!!
…
มวลพลังดั่งก้อนลาวาพวยพุ่งออกมาจากหมัดของต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด! ก้อนลาวาดังกล่าวยังเปี่ยมล้นไปด้วยเปลวเพลิงที่ลุกโชนแผดเผาอย่างน่ากลัว เรียกว่าห้วงอากาศเสมือนถูกเผาจนส่งกลิ่นเหม็นไหม้!!
ธาตุไฟ!
ความลึกซึ้งลุกโหม!
ความลึกซึ้งเผาไหม้!
มองจากพลังดังกล่าว นับว่าต้วนหลิงเทียนใช้พลังของกฏแห่งไฟจากความลึกซึ้ง 3 ประการอย่างเต็มกำลัง และในห้วงเวลาที่มวลพลังร้อนระอุดั่งก้อนลาวาพึ่งทะยานห่างออกจากหมัดไม่ทันไร ด้านหลังของมันก็เริ่มส่อสัญญาณระเบิด บังเกิดประกายเพลิงพวยพุ่งงปะทุออกมาเบาๆ!
เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนกำลังใช้ออกด้วยความลึกซึ้งหนุนเสริมพลังไปอีกอย่าง!
อย่างไรก็ตามหากพลังอานุภาพมีเพียงเท่านี้ ยังนับว่าด้อยกว่าเคียวยมทูตของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
“หาเรื่องเจ็บตัว!!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนยิงหมัดซัดพลังเพลิงสวนเข้ามา หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ยิ้มร่าโพล่งกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ เคียวยมทูตฟาดฟันไปยังมวลเพลิงปานก้อนลาวาอย่างเกรี้ยวกราด!
พริบตาต่อมา!
สองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทอประกายเรืองวาบ เคียวยมทูตคล้ายได้รับพลังอำนาจหนุนเสริมจากทวยเทพ ไอพลังสีดำทั้งประกายอัสนีสีแดงเลือดแปลบปลาบไปทั่วตัวเคียว! ฟาดปะทะเข้าใส่ก้อนลาวาอย่างจัง!!
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
พริบตาที่ปะทะเคียวยมทูตระเบิดแสงพลังสีดำออกมาปานจะลบเลือนแสงสว่าง! คล้ายจะย้อมโลกหล้าให้ตกอยู่ในห้วงแห่งความมืด!!
เมื่อเผชิญกับเคียวยมทูตที่เปล่งแสงพลังสีดำ มวลพลังเพลิงดั่งก้อนลาวาสีแดงฉาน ก็คล้ายเป็นดวงตะวันที่สาดแสงท่ามกลางความมืดมิด!
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
แสงพลังสีมืดจากเคียวพอปะทะเข้ากับแสงพลังสีแดงเพลิง ก็บังเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง! จากนั้นพอตัวเคียวยมทูตสัมผัสเข้ากับมวลพลังดั่งก้อนลาวาจังๆ ก็คล้ายตัวเคียวจะแหวกผ่าพลังเพลิงเข้าไปได้ไม่ยากเย็น!!
“เจ้าแพ้แล้ว!!”
เห็นดังนั้นสองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ทอประกายวับวาว รอยยิ้มแห่งชัยชนะคลี่กางขึ้นเต็มใบหน้า!!
ขณะเดียวกันมันก็มองจองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาผยอง ด้วยอยากเห็นว่าต้วนหลิงเทียนจะทำหน้าอย่างไรตอนแพ้พ่าย!
ทว่าห้วงเวลาเสี้ยวพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็พบว่า
บนหน้าต้วนหลิงเทียนนั้น ความสิ้นหวังหดหู่อันใดของคนแพ้หามีไม่ กลับกันยังปรากฏรอยยิ้มลี้ลับหนึ่งขึ้นมา
ห้วงเวลานี้มันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนยังจะมาฉีกยิ้มอะไรอยู่ได้
‘หรือ…ต้วนหลิงเทียนนี่มันยังกั๊กอันใดเอาไว้?’
จังหวะนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปอยู่บ้าง แต่หลังจากคิดอีกครั้งมันก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เห็นๆกันอยู่ว่าเคียวมันเริ่มผ่าก้อนพลังเพลิงของอีกฝ่ายเข้าไปได้แล้วชัดๆ! อีกเดี๋ยวต้องผ่าทำลายพลังอีกฝ่ายจนซัดคนปลิดปลิวได้แน่!!
“ไม่…เจ้าแพ้!”
ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรสิ้นท่าแน่แล้ว ก็พอดีกับที่เสียงต้วนหลิงเทียนดังขึ้นเข้าหูมันอย่างประจวบเหมาะ
ขณะนั้นเอง
“อะไร…เป็นไปได้ยังไง!?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะแตกตื่น เนื่องเพราะมวลพลังเพลิงดั่งก้อนลาวาที่เคียวมันเริ่มผ่าเข้าไปได้นั้น อยู่ๆเคียวมันก็หยุดกึกเสมือนพบเจอแรงต้านทานมหาศาล อีกทั้งไม่ทันให้มันทำอะไรมันก็สัมผัสได้ว่าด้านในก้อนเพลิงดังกล่าวกำลังมีพลังมหาศาลขุมหนึ่งระเบิดออก!!
เปรี๊ยงงงงง!!
ตูมมมม!!!
…
เสียงระเบิดปานฟ้าถล่มดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว บัดนี้หากใครมองมาแต่ไกล จะพบว่ากลางอากาศเหนือแนวป่าติดสันเขา อยู่ๆก็บังเกิดเมฆเห็ดสีแดงเพลิงเบ่งบานขึ้นอย่างน่ากลัว จากนั้นก็มีร่างในชุดสีเทาหนึ่งปลิดปลิวละลิ่วออกไปด้วยท่าทางดูไม่ได้ ปากยังพ่นเลือดออกมาเป็นสายลากยาวกลางหาว!!
หยาดโลหิตซ่านกระเซ็นเกลื่อนฟ้า พอต้องสะท้อนแสงแดงจากเมฆเห็ดสีเพลิงที่เบ่งบาน ก็เปล่งประกายวับวาวแลดูงดงามน่าดูพิกล!
ครืนน! ครืนนนน! กึงงง! แคร่ก!!
…
หลังเมฆเห็ดสีเพลิงเบ่งบาน ภูเขาเบื้องล่างก็ถูกเพลิงคลื่นลมร้อนระอุพัดถล่มจนหน้าดินทลาย ต้นไม้ในผืนป่าเบื้องล่างก็เริ่มล้มเอนหักโค่น ดอกไม้ใบหญ้าปลิดปลิวธุลีคลีกระจายวุ่นวายไปหมด!!
จากนั้นก็พบว่าส่วนหนึ่งของภูเขาก็ปรากฏเปลวเพลิงลุกท่วม ตัวป่าเองก็ปรากฏไฟไหม้ลุกลามใหญ่โต ทั้งคล้ายจะลุกลามไปทั้งป่าได้ในเวลาอันสั้น!!
เปลวเพลิงยังร้อนแรงนัก ราวกับจะเผาป่าเขาให้ราบแล้วจริงๆ!!
จนเมื่อเมฆเห็ดสีแดงเพลิงค่อยๆจางหายไป ท่ามกลางอากาศว่างเปล่าอันเต็มไปด้วยฝุ่นควัน ก็ค่อยๆปรากฏร่างหนึ่งลอยล่องอยู่ตรงนั้นปานทวยเทพ
ร่างดังกล่าวมาในชุดสีม่วง คิ้วคมเข้มปานดาบ สองตากระจ่างใสปานดวงดารา หล่อเหลาไม่ธรรมดายิ่ง
ชายหนุ่มที่ลอยร่างกลางหาว กลอกตาเกียจคร้านมองจ้องไปยังร่างในชุดสีเทาที่ไกลตาที่สภาพแลดูยักแย่ยักยัน
จากนั้นมุมปากก็ค่อยๆคลี่ยิ้มขึ้นมาบางๆ
“ข้ายั้งมือไว้แล้ว…ไม่งั้นเจ้าคงไม่แค่เจ็บตัวนิดๆหน่อยๆหรอก”
ต้วนหลิงเทียนมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในสภาพดูไม่ได้ที่กำลังเหินร่างขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มขบขัน
“เจ้า…เมื่อครู่มันอะไรกัน…ความลึกซึ้งปะทุของเจ้านั่นมัน…”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้สนใจที่ตัวเองแพ้พ่ายหรือหงุดหงิดเพราะรอยยิ้มเย้ยเยาะของต้วนหลิงเทียน เพียงมองถามต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงหนัก หว่างคิ้วขดย่นเป็นปม
ที่ไฉนมันถามออกไปแบบนี้ เพราะเมื่อครู่มันสัมผัสได้ชัดเจน ว่ามวลพลังเพลิงดั่งก้อนลาวาที่ปะทุระเบิดขึ้นมานั่น เป็นผลจากพลังของความลึกซึ้งปะทุไม่ผิดแน่!
เดิมทีความลึกซึ้งปะทุที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออก ก็หนุนเสริมพลังให้มวลเพลิงนั่นไม่ได้มากมายอะไร
แต่อยู่ๆไฉนมวลเพลิงดั่งก้อนลาวานั่นถึงระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรงได้? อีกทั้งนั่นเป็นผลจากความลึกซึ้งปะทุไม่ผิดแน่ แล้วทำไมถึงได้มีพลังเพิ่มขึ้นผิดหูผิดตาขนาดนั้น?
ด้วยไม่เข้าใจมันจึงไถ่ถามเรื่องนี้ออกมาก่อนใดอื่น
อย่างไรก็ตาม มันมั่นใจได้เรื่องหนึ่ง…พลังที่ปะทุระเบิดออกมาน่ากลัวเมื่อครู่ เป็นพลังของต้วนหลิงเทียนล้วนๆ หาได้มีพลังภายนอกอันใดไม่ และเป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะใช้ยันต์อมตะหรือตัวช่วยอะไรได้ทัน
“อะไร หรือเจ้ามีพลังสายเลือดได้คนเดียว แต่ข้ามีบ้างไม่ได้?”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวล้อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน
“เจ้า…นี่เจ้าก็มีพลังสายเลือดด้วยรึ!?”
ลูกตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหดเล็กลงโดยพลัน สีหน้ายังฉายชัดถึงความตกตะลึง “หมายความว่า…เจ้าเองก็เป็นทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุดเหมือนกันงั้นเหรอ!?”
ตระกูลหลิงของมัน ก็เหมือนกับตระกูลใหญ่ในระนาบทวยเทพทั้งหลาย ล้วนเป็นลูกหลานและทายาทที่สืบทอดสายเลือดมาจากผู้แข็งแกร่งที่สุด!
ด้วยเหตุนี้ทุกคนในตระกูลหลิง จึงได้รับพลังสายเลือดสืบทอดต่อๆกันมาทุกรุ่น
เพราะโดยปกติแล้ว ผู้ที่จะมีพลังสายเลือดได้ ก็มีแต่เหล่าผู้สืบสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น!
ได้ยินคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ตกใจ “พลังสายเลือด…มันเกี่ยวข้องกับผู้แข็งแกร่งที่สุดงั้นเหรอ?”
ขณะเดียวกันเขาก็ถามเพลิงเทพโกลาหลทันที
จากนั้นไม่ต้องรอนานนัก เพลิงเทพโกลาหลก็กล่าวตอบ “คนส่วนใหญ่ในระนาบทวยเทพเป็นทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุด และพวกมันก็มีพลังสายเลือดทั้งนั้น…”
“ในระนาบโลกียะหรือระนาบเทวโลก ยากนักจะพบพานผู้ที่มีพลังสายเลือด…หากจะมีก็สมควรเป็นคนในระนาบเทวโลก”
“อย่างไรก็ตาม ในระนาบทวยเทพ มีคนมากมายที่มีพลังสายเลือดอยู่ในร่าง”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าว
หลังได้ยินสิ่งที่เพลิงเทพโกลาหลพูด ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที
ที่แท้พลังสายเลือดก็มีที่มาที่ไปแบบนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนจะมีพลังสายเลือด เพราะอีกฝ่ายสมควรเป็นทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุด
ก่อนหน้านี้ในสายตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เขาไม่ใช่คนจากระนาบทวยเทพ
“เจ้าแพ้แล้ว”
ได้ยินคำถามของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตอบคำถามอะไร แต่เลือกจะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มหยอกล้อต่อแทน
ตั้งแต่ที่เห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นครั้งแรก จวบจนได้พบเจอกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในภายหลัง เขาก็รู้สึกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ช่างหยิ่งยะโสเหลือเกิน
ครั้งสุดท้ายก่อนจะจากกันที่ทะเลสาบอวิ๋นโยว อีกฝ่ายก็ยังข่มขู่เขาด้วย
ตอนนั้นเขาเองก็ไม่พอใจอยู่บ้าง จึงท้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นออกไป ว่าหลังไปเจอกันที่คฤหาสน์เฉวียนโยวเมื่อไหร่ ค่อยประลองกันสักตั้ง
วันนี้นับว่าเขาได้ประมือกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก่อนกำหนด และสุดท้ายก็เป็นคนที่ได้ชัยมาครอง!
ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากเห็นก็คือสีหน้าท่าทีผิดหวังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหลังจากพ่ายแพ้ให้เขา เพราะเขารู้สึกว่าเรื่องนี้สมควรเป็นเรื่องหนักหนาและยากที่คนอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะยอมรับได้
อย่างไรก็ตาม ฉากเรื่องราวต่อมากลับผิดคาดต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง
“อ่าข้าแพ้…”
โดนต้วนหลิงเทียนล้อเลียนแท้ๆ แต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับพยักหน้ากล่าวยอมรับออกมาคล้ายไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“แค่นี้?”
เห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแลดูเฉยๆมาก ต้วนหลิงเทียนก็แปลกใจอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าท่าทีของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมันไม่น่าจะเป็นแบบนี้ได้เลย
สำหรับคนเย่อหยิ่งอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่ใช่ว่าหากแพ้ขึ้นมา ถ้าไม่สลดหดหูแลดูผิดหวัง ก็ต้องหัวเสียรับไม่ได้ทั้งโวยวายใส่เขาหรือไร?
“ในเมื่อเจ้าเองก็มาจากระนาบทวยเทพแถมอายุก็พอๆกับข้า ถ้างั้นเจ้าจะเอาชนะข้าได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็กล่าวตอบออกมา
อย่างไรก็ตามหลังมันกล่าวจบคำได้ไม่ทันไร สองตาก็ทอประกายวูบวาบขึ้นมาทั้งลั่นวาจาเสียงแข็ง “แต่สักวัน ข้าต้องเอาชนะเจ้าได้แน่นอน!”
ได้ยินคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันทีว่าไฉนอีกฝ่ายแลดูเฉยๆที่แพ้พ่ายนัก
ปรากฏว่าอีกฝ่ายดันเชื่อจริงๆว่าเขามีพลังสายเลือด!
หากเขามีพลังสายเลือด หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เลยเข้าใจว่าถึงเขาจะไม่ได้มาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ก็สมควรมาจากระนาบทวยเทพอื่น
ต้วนหลิงเทียนได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม
ไฉนเขาต้องพูดล้อเล่นเรื่องมีพลังสายเลือดออกไปด้วย?
เขารู้ดีแก่ใจ
คนที่หยิ่งยะโสอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ต้องระหกระเหินหนีออกมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพนั้น หากมาแพ้คนจากระนาบทวยเทพที่อายุเท่าๆกัน ก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ทว่าหากพบว่าตัวเองแพ้คนที่ไม่ได้มาจากระนาบทวยเทพ ก็เสมือนมีระเบิดลูกใหญ่ถล่มลงกลางใจแน่นอน!
…
วันเวลาผันผ่านไปดั่งม้าขาวควบตะบึง
พริบตาก็ล่วงเลยไปอีก 10 เดือน
สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือจัตุรัสกลางเมืองฝูซาน ปรากฏร่างสองร่างก้าวออกมาจากประตูบ้านลานเทียนอีบนเกาะที่ลอยล่องเหนือเมฆ
เป็นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
ทั้งสองออกจากบ้านลานมาครั้งนี้ ก็มุ่งตรงไปยังโต๊ะรับรองของศาลาเปิดด้านล่างทันที เพื่อคืนป้ายหยกประจำลาน จากนั้นก็เดินไปยังมุมหนึ่งของจัตุรัสด้วยกัน
สถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายของเมืองฝูซานอยู่ที่นั่น
เมืองฝูซาน ในฐานะที่เป็นเมืองใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรง ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทวโลกต่างๆนั้น มีคุณภาพดีกว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายไประนาบเทวโลกของเมืองอื่นๆไม่น้อย
เพราะค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกของที่นี่ สามารถระบุสถานที่ๆจะไปได้
แน่นอนว่าสถานที่ๆจะไปนั้น ต้องเป็นสถานที่ใหญ่ในระดับหนึ่งอย่างคฤหาสน์เฉวียนโยวของหลิงหลัวเทียน
“แล้วพวกเราจะไปส่วนไหนของอวี้หวงเทียน?”
ในขณะที่เดินไปยังสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกของเมืองฝูซานกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความสงสัย
“คฤหาสน์เอี้ยนซานในแดนผิงเทียนของอวี้หวงเทียน”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น