War sovereign Soaring The Heavens 3074-3081

 ตอนที่ 3074

 

ยันต์เงาวายุ เป็นยันต์อมตะหลบหนีใช้ได้ครั้งเดียวหมดไป และมันสามารถเพิ่มความเร็วให้ต้วนหลิงเทียนได้สิบลมหายใจ


 


ยันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงมอบให้ต้วนหลิงเทียน ยังถูกสร้างโดยจอมราชันอมตะ ที่บรรจุความลึกซึ้งกายสายลมและลมกรดอันบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยเอาไว้…


 


ในแดนสวรรค์ใต้นั้น จอมราชันอมตะที่บรรลุความลึกซึ้งถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย ก็มีอยู่ไม่มากนัก


 


อย่างแรกเลยก็คือวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับจอมราชันธาตุลมมันหาได้ยาก กับตระกูลใหญ่หรือขุมกำลังระดับแนวหน้าใดๆ ก็เป็นดั่งสิ่งของล้ำค่า ไม่คิดแบ่งปันให้ใครที่ไหนง่ายๆ


 


อีกอย่างนั้น การเข้าใจความลึกซึ้งให้บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องที่มีเวลาแล้วก็จะกระทำได้เสมอไป กระทั่งคนที่มีสติปัญญาสูง ก็ต้องพึ่งพาโอกาสอย่างอื่นเพื่อให้บรรลุความเข้าใจดังกล่าว


 


แดนสวรรค์ใต้นั้นเป็นแค่พื้นที่ๆหนึ่งของหลิงหลัวเทียนเท่านั้น หากมองพื้นที่ทั้งหมดแล้วก็ไม่ถือว่าใหญ่โตอะไรมากมาย


 


ด้วยเหตุนี้จึงมีน้อยคนนักที่มีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับจอมราชันไว้ฝึกปรือ ยิ่งผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งใดๆถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยแล้ว ก็ยิ่งหายากไปกันใหญ่


 


สำหรับโอกาสช่วยให้เข้าใจที่ว่า ก็อาจเป็นสถานที่จำเพาะเจาะจง หรือค่ายกลที่ช่วยส่งเสริมความเข้าใจ


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงรู้ดี ว่ายันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงมอบให้เขา มันล้ำค่าขนาดไหน


 


จริงอยู่หากมองไปทั่วทั้งหลิงหลัวเทียนแล้ว ยันต์เงาวายุแผ่นนี้อาจไม่ได้มีมูลค่าอะไร แต่กับแดนสวรรค์ใต้ถือว่ามันเป็นสมบัติจริงๆ เพราะมีคนจำนวนแค่หยิบมือเท่านั้นที่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้


 


เพราะหากคิดจะสร้างมันขึ้นมา เป็นแค่จอมราชันอมตะอย่างเดียวยังไม่พอ ยังต้องเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่เหมาะสมถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย ที่สำคัญเลยก็คือ…ต้องหาวัตถุดิบที่รองรับพลังอำนาจได้อีกด้วย!


 


จึงกล่าวได้ว่ายันต์หลบหนีเงาวายุนั้น นับเป็นยันต์อมตะที่มีมูลค่าระดับต้นๆของแดนสวรรค์ใต้เลยก็ว่าได้


 


“ในแดนสวรรค์ใต้ ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจอมราชันอมตะและเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย ปกติแล้วล้วนอยู่ในตระกูลหรือนิกายใหญ่ระดับต้นๆ…ในองค์กรกะโหลกเลือด ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีใครบรรลุความเข้าใจความลึกซึ้งถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยมาก่อน”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าว “เช่นนั้นข้ามั่นใจนัก ว่านักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักที่องค์กรกะโหลกเลือดส่งมา ไม่มีทางบรรลุความเข้าใจความลึกซึ้งใดถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยแน่นอน”


 


“ความลึกซึ้งของกฏขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย…พลังอำนาจที่มันมอบให้ผู้ใช้ กล่าวไปก็เทียบได้กับความลึกซึ้ง 3 ประการที่บรรลุความเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น”


 


“นอกจากนั้นหากเจ้ายังเหลือพลังเซียนอมตะมากพอ หลังใช้ยันต์เงาวายุนี่แล้ว ในเวลา 10 ลมหายใจข้าเชื่อว่ามันไม่อาจเห็นแม้แต่เงาเจ้า คิดจะฆ่ามันให้ตายก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวสืบค่อ


 


หลังได้ยินคำพูดดังกล่าวของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็อดคิดไปในใจไม่ได้ว่า ‘หรือหลังใช้ยันต์เงาวายุนี่แล้ว ก็ใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองด้วยเลยดี? จะได้ฆ่านักฆ่านั่นให้ตาย ทีนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขณะเดินทางออกจากนิกายอมตะเป้าผู่อีกต่อไป…’


 


อย่างไรก็ตาม พอคิดทบทวนอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจว่าไม่ทำแบบนั้นจะดีกว่า เพราะเขาเคยบอกซุนเหลียงเผิงไว้แล้วว่าเขาใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองไปหมดสิ้น เกิดเขาฆ่ามันตายขึ้นมา ซุนเหลียงเผิงยังจะไม่รู้ความจริงอีกหรือไร


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนตัดสินใจเลือกที่จะใช้ยันต์เงาวายุอย่างเดียว เอาแค่หนีให้พ้นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักขององค์กรกะโหลกเลือดก็พอ


 


“ต้วนหลิงเทียน แล้วเจ้าจะออกเดินทางเมื่อใดหรือ?”


 


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถาม


 


“ตอนนี้เลย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“เช่นนั้น…ข้าจะไปส่งเจ้า”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวพลางลุกขึ้นยืน “ข้าจะเดินไปส่งเจ้าที่ชายขอบนิกาย จากนั้นเจ้าก็ค่อยใช้ยันต์เงาวายุ จักได้ไม่เสียพลังของมันไปเปล่าๆ”


 


“ขอบคุณประมุข”


 


ต้วนหลิงเทียนลุกขึ้นและกล่าวขอบคุณออกมา เขารู้ดีว่าซุนเหลียงเผิงทำแบบนี้ ก็จะช่วยให้ยันต์เงาวายุเกิดประสิทธิผมากที่สุด


 


หลังจากทั้งสองลุกขึ้นยืนแล้ว ก็พากันออกจากคฤหาสน์ส่วนตัวประจำตำแหน่งประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ทันที


 


“หืม?”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกับซุนเหลียงเผิงก้าวออกจากคฤหาสน์ อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ หวังเชียนจ้านก็ค้นพบความเคลื่อนไหวดังกกล่าวทันที


 


ทันใดนั้นสองงตาหวังเชียนจ้านก็หดหยีลง ทั้งทอแสงเยียบเย็นเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหาร “ต้วนหลิงเทียน…ในที่สุดเจ้าก็ทนอุดอู้อยู่ในบ้านไม่ไหวแล้วหรือ?”


 


มันเฝ้ารอที่นี่มา 7 ปีแล้ว


 


หลังจากผ่านไป 7 ปี ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็โผล่หัวออกมาจากคฤหาสน์ของซุนเหลียงเผิงเสียที!


 


เมื่อหวังเชียนจ้านเห็นต้วนหลิงเทียนเดินออกจากคฤหาสน์ไปกับซุนเหลียงและทิศทางที่มุ่งหน้าไป ดูเหมือนยังเป็นสถานที่อยู่ของศิษย์ฝ่ายนอก มันก็เร่งส่งข้อความติดต่อไปยังนักฆ่ากะโหลกเลือดที่เฝ้ารออยู่นอกนิกายอมตะเป้าผู่ทันที


 


“ใต้เท้าเหลิ่งเอี้ย ต้วนหลิงเทียนคนนั้นได้ออกจากคฤหาสน์ประมุขแล้ว…ดูจากทิศทางที่พวกมันกำลังมุ่งหน้าไป สมควรทางออกฝั่งที่พักอาศัยศิษย์ฝ่ายนอกนิกายอมตะเป้าผู่”


 


ด้วยมีซุนเหลียงเผิงอยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียน ต่อให้หวังเชียนจ้านอยากฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายมากแค่ไหน มันก็ทำไม่ได้


 


พลังฝีมือของซุนเหลียนเผิง สูงกว่ามันมาก


 


ดังนั้นพอเห็นต้วนหลิงเทียนกับซุนเหลียงเผิงทำท่าคล้ายจะออกจากนิกายไปทางที่พักศิษย์ฝ่ายนอก มันก็เร่งติดต่อถึงนักฆ่ากะโหลกเลือดทันที


 


ในความเห็นมัน ต่อให้ซุนเหลียงเผิงจะร้ายกาจแค่ไหน และคอยติดตามคุ้มกันต้วนหลิงเทียนดีเพียงใด แต่ถ้าก้าวพ้นเขตนิกายเมื่อไหร่ ต้วนหลิงเทียนก็มีแต่ตายสถานเดียว!


 


จริงอยู่ที่นักฆ่ากะโหลกเลือดไม่กล้าบุกรุกเข้ามาฆ่าคนอย่างอุกอาจในเขตนิกายอมตะเป้าผู่…


 


ทว่าหากต้วนหลิงเทียนก้าวเท้าออกจากนิกายอมตะเป้าผู่เมื่อไหร่ นักฆ่าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอะไรอีกต่อไป…


 


“มันกล้าออกมาหรือ?”


 


ภายในถ้ำที่ขุดขึ้นกลางผนังผาแห่งหนึ่ไม่ไกลจากนิกายอมตะเป้าผู่มากนัก นักฆ่าระดับราชาอมตะ 9 ตำหนักขององค์กรกะโหลกเลือดพอได้รับข้อความ สองตาก็ทอประกายจ้า มุมปากยังเริ่มยกยิ้มเหี้ยมเกรียมขึ้นมา


 


ลูกตาของมัน ยังเผยจิตสังหารอันเยียบเย็นอย่างไม่คิดจะระงับ


 


พริบตาต่อมาร่างมันก็อันตรธานหายไปจากโถงถ้ำ และไปโผล่บริเวณใกล้ๆนิกายอมตะเป้าผู่ทันที


 



 


แถวๆเขตที่พักศิษย์ฝ่ายนอก ต้วนหลิงเทียนกับซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ก็เดินทอดน่องอย่างไม่รีบไม่ร้อน ทำราวกับกำลังเดินเล่นชมสวน


 


“ประมุข ผู้อาวุโสใหญ่ดูเหมือนจะจ้องข้าไม่วางตาเลย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางยิ้มบางๆ


 


ตั้งแต่ตอนที่ออกจากคฤหาสน์ประมุข ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาหวังเชียนจ้านที่มองมาทันที ยังเป็นสายตาที่เย็นชานัก


 


“ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา อาวุโสใหญ่เฝ้ารอเจ้าอยู่ไม่ไปไหน…การตายของหวังหงนับว่าครอบงำจิตใจมันหมดสิ้น”


 


ซุนเหลียงเผิงส่ายหัวไปมาพลางกล่าว


 


ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่าน มันออกไปจากคฤหาสน์ที่พักคราใด ก็พบอาวุโสใหญ่ที่ยังนั่งเฝ้ารอบนยอดเขาไม่ไกลเสมอ อีกฝ่ายจับตาดูความเคลื่อนไหวคฤหาสน์ส่วนตัวมันแทบจะทุกฝีก้าว


 


ถึงแม้มันจะไม่พอใจกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ แต่ตราบใดที่หวังเชียนจ้านไม่ลงมือทำความผิด ต่อให้มันจะเป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรหวังเชียนจ้านได้


 


เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้หวังเชียนจ้านก็ยังดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่อยู่ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ลงมือก่อความผิดอะไร อาวุโสระดับสูงคนอื่นๆย่อมไม่เห็นดีกับเรื่องที่ซุนเหลียงเผิงจะลงมือก่อนแน่นอน


 


ดังนั้นต่อให้ซุนเหลียงเผิงจะไม่พอใจกับการกระทำของหวังเชียนจ้านมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่อาจทำอะไรหวังเชียนจ้านได้เลย ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งเฝ้า ทั้งติดตามความเคลื่อนไหวของมันไปเรื่อยแบบนี้


 


“จริงสิประมุข…เมื่อครู่ท่านบอกว่านักฆ่ากะโหลกเลือดมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่เราแล้วรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนถาม


 


“ใช่”


 


ซุนเหลียงเผิงพยักหน้า


 


“แล้วอาวุโสใหญ่นั่น มันไม่ติดต่อบอกความเคลื่อนไหวของพวกเราให้นักฆ่าคนนั้นรู้แล้วหรือไร ว่าข้ากำลังจะออกจากนิกายอมตะเป้าผู่?”


 


ต้วนหลิงเทียนถาม


 


“อาจติดต่อไปแล้วจริงๆ”


 


ซุนเหลียงเผิงพยักหน้าอีกครั้ง


 


มันเองก็รู้ดีแก่ใจ ว่าด้วยนิสัยของหวังเชียนจ้าน ป่านนี้คงแจ้งความเคลื่อนไหวไปยังนักฆ่าเรียบร้อยแล้ว


 


“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้มันจะแจ้งนักฆ่ากะโหลกเลือดไปก็เท่านั้น สุดท้ายมันก็ถูกกำหนดให้ผิดหวังอยู่ดี…”


 


“เพราะมันไม่มีทางคิดถึงแน่ ว่าข้าจะมอบยันต์เงาวายุเพียงหนึ่งเดียวที่มีให้กับเจ้า…”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค มุมปากของซุนเหลียงเผิงก็ยกยิ้มขบขันขึ้นมา แน่นอนว่าเป้าหมายของยิ้มเย้ยดังกล่าวก็เป็นหวังเชียนจ้านที่ตามมาห่างๆนั่น


 


ไม่นานนัก ต้วนหลิงเทียนกับซุนเหลียงเผิงก็เดินมาถึงชายขอบนิกายอมตะเป้าผู่


 


ถึงแม้จะเป็นชายขอบ แต่ที่นี่ก็ยังมีพลังอาคมของค่ายกลที่ปรมาจารย์ค่ายกลจากคฤหาสน์เฉวียนโยวมาจัดตั้งไว้ให้อย่างยากลำบากอยู่ ตราบใดที่ก้าวเท้าข้ามเขตมา ก็จำต้องถูกผลของอาคมติดตัวทันที


 


นักฆ่ากะโหลกเลือดนั่น หากก้าวเข้ามาในเขตอาคมแม้แต่ก้าวเดียว มันก็จะถูกพลังอาคมปนเปื้อนติดร่าง และจะถูกมองว่าหมิ่นหยามคฤหาสน์เฉวียนโยวทั้งเบื้องหลังคฤหาสน์เฉวียนโยวทันที เบื้องบนต้องไม่ปล่อยมันไปง่ายๆแน่!


 


ด้วยเหตุนี้เอง ต่อให้นักฆ่ากะโหลกเลือดที่มาจะเป็นราชาอมตะ 9 ตำหนัก แต่มันก็ไม่กล้าบุกเข้ามาเข่นฆ่าผู้คนในเขตนิกายอมตะเป้าผู่อย่างอุกอาจ เพราะเมื่อมันก่อเรื่องร้ายแรงขนาดนั้น มันก็เสมือนถูกลิขิตให้ตายตก!


 


พอต้วนหลิงเทียนกับซุนเหลียงเผิงเดินมาถึงชายขอบนิกาย นักฆ่ากะโหลกเลือดที่ซุ่มอยู่ก็สังเกตเห็นทั้งคู่เช่นกัน


 


‘ขอเพียงพวกเจ้าก้าวออกมาจากเขตอาคมของค่ายกลบัดซบนั่นเมื่อไหร่ ต้วนหลิงเทียนนั่นได้ตายแน่…ส่วนซุนเหลียงเผิงนั่นอย่างไรเสียก็เป็นประมุขนิกายอมตะเป่าผู่ หากข้าฆ่ามันก็ไม่พ้นต้องปัญหามากเรื่องตามมาแน่นอน เช่นนั้นยังคงไว้ชีวิตมันเถอะ’


 


‘ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายที่ทำให้ข้าต้องถ่อมาถึงนี่ ก็มีแค่ต้วนหลิงเทียนคนเดียวเท่านั้น’


 


ในเงามิด นักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดด่านพลังราชาอมตะ 9 ตำหนัก ก็ซุ่มซ่อนอย่างมิดชิด ลูกตาจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนเขม็ง ประหนึ่งนักล่าจับตาดูเหยื่อ


 


พลังเซียนอมตะของมันเริ่มโคจรขึ้นมาม้วนวนคลุมกาย เพียงรอให้ต้วนหลิงเทียนก้าวเท้าออกมานอกเขตอาคมนิกายอมตะเป้าผู่เมื่อไหร่ มันจะปะทุพลังสังหารลงมือในบัดดล!


 


ด้านต้วนหลิงเทียนที่มายืนบริเวณชายขอบนิกายอมตะเป้าผู่ ก็ไม่อาจจับสัมผัสใดๆได้เลย ว่ามีใครซุ่มซ่อนอยู่หรือไม่


 


ท้ายที่สุด พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดรวมถึงพลังวิญญาณที่ได้รับมาจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ก็ได้หมดลงตั้งแต่ตอนทุ่มพลังทั้งหมดสังหารนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานขององค์กรกะโหลกเลือดแล้ว


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าจากไปครั้งนี้ข้าคงไม่คิดจะกล่าวใดอีก…หวังเพียงแต่เจ้าจักหวงแหนหนึ่งชีวิตของเจ้าให้มาก แม้ผลเทพสังเวยสวรรค์จักล้ำค่า แต่ก็หาได้มีค่ากว่าชีวิตเจ้าไม่ เช่นนั้นจงยึดความปลอดภัยของตัวเองเป็นที่ตั้งเถอะ”


 


ซุนเหลียงเผิงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงขรึม “ท้ายที่สุดแล้ว…หากตกตายไป เจ้าก็มิเหลืออะไรเลย”

 

 

 


ตอนที่ 3075

 

“ขอบคุณสำหรับคำเตือนประมุข”


 


หลังกล่าวขอบคุณซุนเหลียงเผิงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หยิบยันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงมอบให้ก่อนหน้าออกมา


 


ถึงแม้ว่าพลังของยันต์เงาวายุจะอยู่ได้แค่ 10 ลมหายใจเท่านั้น…


 


แต่สำหรับเขา มันก็มากเกินพอแล้ว


 


“ท่านประมุข ข้าไปก่อนล่ะ”


 


หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวลาซุนเหลียงเผิง เขาก็ก้าวออกมาจากเขตอาคมที่ปกคลุมนิกายอมตะเป้าผู่ทันที และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ เท้าข้างหนึ่งของเขายื่นออกมาจากเขตอาคม…


 


ทันใดนั้นสองตาของนักฆ่ากะโหลกเลือดนาม เหลิ่งเอี้ย ที่ซ่อนตัวในเงามืดก็ทอประกายสว่างจ้า พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ม้วนวนทั่วร่างมัน พลันทวีความรุนแรงขึ้นในฉับพลัน


 


และในห้วงเวลานั้นเอง…


 


“หืม?!”


 


เหลิ่งเอี้ยพบว่า ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งของต้วนหลิงเทียนย่ำเหยียบพื้นนอกเขตอาคม ยันต์อมตะที่พึ่งเอาออกมาถือไว้ก็ถูกบดขยี้จนแหลก จากนั้นไอพลังสีเขียวครามหนึ่งก็ปะทุขึ้นมาห้อมล้อมไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียน


 


แถมไอพลังเขียวครามดังกล่าว ยังปลดปล่อยกลิ่นอายพลังรุนแรงออกมาประหนึ่งจะทะลวงกวาดได้ทั้งแผ่นฟ้า พริบตาก็กำจายออกไปทั่วสารทิศ


 


เหลิ่งเอี้ยเองก็สังเกตเห็นกลิ่นอายพลังไม่ธรรมดานั่นด้วยเช่นกัน


 


“ออกมาแล้ว!”


 


แต่ไม่ทันที่มันจะได้คิดอะไร มันก็พบว่าต้วนหลิงเทียนก้าวเท้าอีกข้างออกมาจากเขตนิกายอมตะเป้าผู่ และย่ำเหยียบลงพื้นนอกเขตอาคมเสียก่อน ลูกตามันหดหยีเล็กลง ประกายเยียบเย็นฉายแสงจ้า มากล้นไปด้วยจิตสังหารอำมหิต พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างปะทุออกมาปานจุดระเบิด!


 


“ตาย!!”


 


ในห้วงเวลาเสี้ยวพริบตาดุจอัสนีวาบลั่น ร่างเหลิ่งเอี้ยพลันพุ่งทะยานข้ามฟ้าไปฉับไว พริบตาก็บรรลุถึงครึ่งทาง สองมือสะบัดเริ่มงองุ้มเป็นกรงเล็บฟาดตะปบออกไป ประหนึ่งอสูรกายจากขุมนรกแยกเขี้ยวยิงฟันหมายขย้ำกลืนร่างต้วนหลิงเทียนในหนึ่งคำ!


 


“ระวัง!!”


 


อยู่ๆเหลิ่งเอี้ยก็ผุดโผล่ขึ้นมาปานภูตผีแบบนี้ กระทั่งซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่เองก็อดสะดุ้งตกใจไม่ได้ ยังโพล่งเตือนต้วนหลิงเทียนออกไปอย่างไม่รู้ตัว


 


จังหวะนี้มันลืมไปเสียสิ้น ว่าต้วนหลิงเทียนได้ใช้ยันต์เงาวายุไปแล้ว


 


“ตาย! ตายห่าไปเสีย!!”


 


ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก หวังเชียนจ้านที่เห็นร่างวูบมาปานผีร้ายของเหลิ่งเอี้ยก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความสะใจ สองตาทอแสงเย็นเยียบ ใบหน้าแลดูบิดเบี้ยววิปริตนัก


 


มันมาที่นี่มีเพียงหนึ่งเหตุผลเท่านั้น ชมดูว่าต้วนหลิงเทียนจะตกตายคามือนักฆ่ากะโหลเลือดอย่างไร!


 


ในสายตาของมัน


 


นักฆ่ากะโหลกเลือดขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก ลงมือเข่นฆ่ามาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่มีหนทางรอดชีวิตแน่นอน!!


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอะไรนั่นให้ใช้อีกครั้ง แต่อย่างดีก็ทำให้ระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดและพลังวิญญาณบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น อาศัยความเข้าใจในกฏของต้วนหลิงเทียน ย่อมไม่มีวันต้านทานกระทั่งหลบหนีนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักขององค์กรกะโหลกเลือดได้เลย!!


 


“ที่ต้องมา ก็มาจริงๆ…”


 


ได้ยินคำโพล่งอุทานของซุนเหลียงเผิง ใจต้วนหลิงเทียนก็สั่นไปไม่น้อย อย่างไรก็ตามเสี้ยวพริบตาต่อมา ร่างคนก็อันตรธานหายไปในความว่างเปล่า ราวกับสาบสูญไปในสวรรค์และโลก!


 


อย่างน้อยๆก็ไม่มีใครในที่นี้เห็นร่องรอยความเคลื่อนไหวใดๆของเขาเลย


 


ต่อให้จะเป็นนักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือด เหลิ่งเอี้ย ราชาอมตะ 9 ตำหนัก ที่ปะทุพลังสังหารจู่โจมเข้ามาเร็วรี่ ก็ไม่ทันได้เข้าใกล้ร่างต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ มันก็พบว่าต้วนหลิงเทียนหายตัวไปแล้ว พาลให้หน้ามันเปลี่ยนสีไปอย่างแรง


 


“สักวัน ข้าจะเป็นฝ่ายไปเยือนองค์กรกะโหลกเลือดของเจ้าเอง…”


 


หลังจากร่างต้วนหลิงเทียนอันตรธานหายไปไม่ทันไร ก็แว่วเสียงหนึ่งดังมาจากที่ไกลๆ แม้น้ำเสียงจะฟังดูราบเรียบ แต่หากฟังให้ดีก็แฝงเร้นไปด้วยโทสะอันยากระงับไว้ในนั้น


 


“นี่มันอะไรกัน!?”


 


ร่างเหลิ่งเอี้ยที่จู่โจมเข้ามาด้วยสภาวะพลังอำมหิต จำต้องชะงักค้างกลางอากาศ หลังจากหันมองไปรอบๆแต่กลับไม่พบร่องรอยใดๆ สีหน้ามันก็กลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!


 


จังหวะนี้ต่อให้มันจะมีความรู้สึกเฉื่อยชาเพียงใด แต่มันก็คาดเดาได้ว่า…ไม่พ้นต้วยหลิงเทียนต้องใช้ยันต์อมตะเสริมความเร็วอะไรบางอย่างแน่นอน! และพลังจากยันต์นั่น ก็ทำให้มันไม่อาจแลเห็นแม้แต่เงาของต้วนหลิงเทียน นับประสาอะไรกับจะไล่ตามให้ทัน!!


 


“ใต้เท้าเหลิ่งเอี้ย!”


 


ทันใดนั้นหวังเชียนจ้านที่ชักสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยาก ก็ส่งเสียงผ่านพลังไปหาเหลิ่งเอี้ยด้วยความคับแค้น “มิพ้นซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ต้องมอบยันต์หลบหนีเงาวายุที่ได้มาจากผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวในอดีตให้ต้วนหลิงเทียนไปเป็นแน่…หาไม่แล้วไหนเลยต้วนหลิงเทียนจะหนีหายไปจากสายตาใต้เท้าเหลิ่งเอี้ยท่านได้!”


 


หวังเชียนจ้านเองก็ล่วงรู้เรื่องที่ซุนเหลียงเผิงมียันต์เงาวายุอยู่ในครอบครองเช่นกัน


 


ด้วยเหตุนี้พอเห็นต้วนหลิงเทียนหายตัวไปต่อหน้าต่อตามันแบบนี้ ก็ไม่ยากที่มันจะเชื่อมโยงไปถึงยันต์เงาวายุของซุนเหลียงเผิง


 


“ยันต์เงาวายุนั่นถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือจอมราชันอมตะ ทั้งไม่ได้มีแต่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของจอมราชันอมตะผู้นั้นอย่างเดียว ยังมีความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยบรรจุไว้…ที่สำคัญมันคือความลึกซึ้งกายสายลมกับลมกรด!”


 


“เท่าที่ข้ารู้มายันต์เงาวายุเมื่อครู่ สมควรมีระยะเวลาแสดงผลแค่เพียง 10 ลมหายใจเท่านั้น…อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแค่ 10 ลมหายใจ แต่ก็มากพอให้ต้วนหลิงเทียนนั่นมันหายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว! ใต้เท้าเหลิ่งเอี้ย ซุนเหลียงเผิงทำเช่นนี้เห็นชัดว่าคิดขัดขวางองค์กรกะโหลกเลือดของท่านถึงที่สุด!!”


 


หวังเชียนจ้านแต่เดิมคิดว่าวันนี้ต้องเป็นวันตายของต้วนหลิงเทียนแน่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะสามารถหลบหนีไปในห้วงเวลาคับขันได้หน้าตาเฉย…


 


ยิ่งไปกว่านั้น 9 ใน 10 ไม่พ้นเป็นซุนเหลียงเผิงมอบยันต์เงาวายุให้!


 


ด้วยเหตุนี้โทสะแค้นที่มันมีต่อต้วนหลิงเทียนก็ปันไปยังซุนเหลียงเผิงส่วนหนึ่ง เสียงที่ส่งผ่านพลังไปถึงเหลิ่งเอี้ยของมัน จึงแฝงจุดประสงค์ยั่วยุให้เข่นฆ่าซุนเหลียงเผิงทิ้งไปเสีย


 


“ความลึกซึ้งกายสายลมกับความลึกซึ้งลมกรดขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย…”


 


“กลิ่นอายที่คงค้างในอากาศ เป็นกลิ่นอายความลึกซึ้งของกฏแห่งมสองประการนั่นไม่ผิดจริงๆ…”


 


ได้ยินคำเตือนของหวังเชียนจ้าน เหลิ่งเอี้ยก็ตระหนักได้ทันทีว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงอันตรธานร่างหายไปต่อหน้าต่อตามันอย่างอัศจรรย์ได้ จากนั้นก็ยืนยันได้ไม่ยากว่าสมควรเป็นเพราะยันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงมอบให้จริงๆ!


 


ขณะเดียวกันมันก็ตระหนักได้ชัดเจน


 


ว่าถึงแม้ผลของยันต์เงาวายุที่ว่าจะอยู่ได้แค่ 10 ลมหายใจ แต่ความเร็วที่ต้วนหลิงเทียนได้รับ น่ากลัวจะทำให้อีกฝ่ายหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้วแน่นอน…


 


“ซุนเหลียงเผิง!”


 


เหลิ่งเอี้ยที่เหินร้างค้างกลางหาว หันไปมองซุนเหลียงเผิงด้วยสายตาดุร้าย กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน “เจ้าถึงกับมอบยันต์เงาวายุให้ต้วนหลิงเทียนนั่นแบบนี้…เจ้ามิเสียดายรึ!?”


 


“หืม?”


 


ซุนเหลียงเผิงอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อได้ยินวาจาดังกล่าวของเหลิ่งเอี้ย อีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่ามันมอบยันต์เงาวายุให้ต้วนหลิงเทียน?


 


ทว่าปราดเดียวซุนเหลียงเผิงก็ฉุกคิดอะไรได้ออก จึงหันขวับไปยังหวังเชียนจ้านอาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ทันที


 


มันรู้ได้ไม่ยาก ว่าไม่พ้นหวังเชียนจ้านต้องเอาเรื่องที่มันมียันต์เงาวายุบอกต่อเหลิ่งเอี้ยไปแล้วแน่นอน


 


หวังเชียนจ้านและอาวุโสคนอื่นๆล้วนรู้ดีว่ามันได้รับยันต์เงาวายุมาจากผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยว อีกทั้งยังไม่ใช่ยันต์เงาวายุธรรมดาๆ แต่เป็นยันต์เงาวายุที่มีพลังอำนาจร้ายกาจถึงขั้นทำให้ผู้ใช้มีความเร็วเหนือจอมราชันอมตะทั่วๆไปด้วยซ้ำ


 


ซุนเหลียนเผิงมองหวังเชียนจ้านด้วยสายตาเย็นชาครู่หนึ่ง ค่อยหันกลับไปมองเหลิ่งเอี้ย พลางเอ่ยออกเสียงเฉยว่า “ใต้เท้าเหลิ่ง ข้ามอบยันต์เงาวายุให้ต้วนหลิงเทียนแล้วจะอย่างไร?”


 


“ข้าคือประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ หรือจักมอบรางวัลอันใดให้ศิษย์ที่โดดเด่นมิได้เลย?”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวจบคำ มุมปากก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา


 


ถึงแม้นักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดผู้นี้จะมีด่านพลังราชาอมตะ 9 ตำหนัก และร้ายกาจสุดที่มันจะรับมือได้ไหว แต่มันก็ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือกับมันโดยง่าย เพราะไม่ว่าอย่างไรเบื้องหลังนิกายอมตะเป้าผู่มันก็คือคฤหาสน์เฉวียนโยว!


 


หากเรื่องที่มันถูกนักฆ่ากะโหลกเลือดสังหารแพร่กระจายออกไป ย่อมสร้างความตื่นตระหนกให้คฤหาสน์เฉวียนโยวไม่น้อย!


 


หากกระทั่งผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูลที่อยู่ใต้คฤหาสน์เฉวียนโยวยังตกตายใต้เงื้อมมือนักฆ่ากะโหลกเลือด เช่นนั้นคนอื่นๆจะรู้สึกปลอดภัยได้อย่างไร?


 


ถึงตอนนั้นคฤหาสน์เฉวียนโยวย่อมไม่ปล่อยปละละเลยเรื่องนี้แน่นอน วิธีจัดการที่ดีที่สุดก็คือตามล่าหาตัวนักฆ่าผู้ลงมือ จากนั้นก็ฆ่าทิ้งเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง!


 


มันก็เลยไม่กลัวนักฆ่ากะโหลกเลือดจะกล้าลงมือฆ่ามันแม้แต่น้อย


 


“ประเสริฐ! เจ้าประเสริฐนักซุนเหลียงเผิง!!”


 


เหลิ่งเอี้ยมองจ้องซุนเหลียงเผิงตาขวาง แต่ต่อให้มันมีโมโหมากเท่าไหร่ มันก็ไม่คิดลงมือทำอะไรซุนเหลียงเผิง เพราะกริ่งเกรงคฤหาสน์เฉวียนโยวที่อยู่เบื้องหลัง จากนั้นมันก็หันหลังจากไปทันที


 


และการจากไปคราวนี้ของมัน ก็ไม่ใช่การไปซ่อนตัวใกล้ๆนิกายอมตะเป้าผู่อีกต่อไป ทว่าเลือกที่จะย้อนกลับไปยังองค์กรกะโหลกเลือดทันที


 


เป้าหมายของมันจากไปแล้วแบบนี้ แถมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเมื่อไหร่ ทั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกลับมาที่นี่อีกหรือไม่ เช่นนั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่รอให้เสียเวลา เพราะเกิดเป้าหมายไม่ย้อนกลับมาจริงๆ มันจะเฝ้ารอไปทำเพื่อ…


 


“ไปแล้ว?”


 


หวังเชียนจ้านรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ที่เห็นเหลิ่งเอี้ยจากไปในลักษณะนี้


 


“หวังเชียนจ้าน!”


 


ในขณะที่หวังเชีนจ้านกำลังผิดหวัง ซุนเหลียงเผิงก็หันกลับมามองมันด้ววยสายตาเย็นชา “ถึงแม้ข้าไม่มีหลักฐานว่าเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับนักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดผู้นั้นหรือไม่…แต่วันนี้ข้าซุนเหลียงเผิงขอบอกให้เข้าทราบไว้เรื่องหนึ่ง  ข้ารังเกียจสวะที่ขายพวกพ้องมากที่สุด เช่นนั้นเจ้าจักไปเองหรือจะเลือกรั้งอยู่ต่อไปก็เรื่องของเจ้า แต่อย่าได้โทษข้าเสียเล่า หากว่าวันไหนข้าเกิดอารมณ์ไม่ดี นึกอยากจะฆ่าเจ้าทิ้งเพราะนึกสงสัยเรื่องนี้ขึ้นมา!”


 


กล่าวจบคำมุมปากของซุนเหลียงเผิงก็ยกยิ้มแสยะเหี้ยมเกรียม สองตาที่มองจ้องหวังเชียนจ้านยังฉายชัดถึงจิตฆ่าฟันอย่าไม่คิดจะกักเก็บ พาลให้หวังเชียนจ้านหวาดกลัวจนขนหัวลุก!


 


เท่าที่หวังเชียนจ้านรู้ ซุนเหลียงเผิงนั้น เป็นคนที่พูดแล้วทำแน่นอน!


 


ย้อนกลับไปในอดีต ที่ไฉนซุนเหลียงเผิงโดดเด่นขึ้นมาเหนือใคร และเอาชนะคู่แข่งมากมายจนกลายเป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ได้ ก็ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนแน่วแน่เด็ดเดี่ยวหรือไร?


 


อีกฝ่ายไม่เคยปล่อยให้ใครที่กล้าต่อต้านรอดไปสักครั้ง ยิ่งคนทรยศยิ่งแล้วใหญ่!


 


“ในเมื่อต้วนหลิงเทียนก็ไปแล้ว เช่นนั้นนิกายอมตะเป้าผู่นี่ข้าก็ไม่คิดจะอยู่อีกต่อไป…”


 


ถึงแม้จะตกใจกลัวไม่น้อย แต่ภายนอกหวังเชียนจ้านยังทำเป็นเข้มอยู่ หลังกล่าววาจาตัดเยื่อใยจบ มันก็เหินร่างไปจากนิกายอมตะเป้าผู่ทันที


 


หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ มันก็คงไม่รั้งอยู่นิกายอมตะเป้าผู่แต่แรก เพราะนิกายอมตะเป้าผู่ก็คือผู้ที่ตัดสินโทษประหารให้หลานสาวของมัน!


 



 


“เร็วจริงๆ!”


 


“นี่น่ะเหรอความเร็วของจอมราชันอมตะที่เข้าใจความลึกซึ้งกายสายลมกับลมกรดถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย?”


 


ในขณะที่หวังเชียนจ้านเดินทางออกจากนิกายอมตะเป้าผู่อย่างไม่คิดจะหวนกลับ ด้านต้วนหลิงเทียนที่ใช้ยันต์เงาวายุ หลังสร้างร่องรอยปลอมแล้ว ก็เร่งรุดมุ่งหน้าไปหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เมืองฝูซานตามนัดหมายทันที ขณะเดินทางยังอดไม่ได้ที่จะพึมพำด้วยความทึ่งอยู่บ้าง


 


แม้พลังของยันต์เงาวายุจะคงอยู่แค่ 10 ลมหายใจ แต่ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนได้สัมผัสถึงความเร็วอัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขารู้สึกเสมือนตัวเบาราวขนนก กระทั่งยามเหินบินด้วยความเร็วเต็มที่ สองตาเขาก็ไม่อาจแลเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้เลย ทั้งหมดเสมือนเส้นแสงวิ่งสวนมาวูบวาบเท่านั้น


 


ความเร็วระดับนี้ ไม่ใช่อะไรที่เขาตอนถือครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดจะมีได้


 


“เมืองฝูซาน!”


 


หลังเหินร่างเดินทางได้ไม่นาน ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เห็นสถานที่นัดพบกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เป็นเมืองที่แลดูเก่าแก่โบราณ และมีขนาดใหญ่โตมากเมืองหนึ่ง….

 

 

 


ตอนที่ 3076

 

หลังเดินมาถึงนอกเมืองฝูซาน ต้วนหลิงเทียนก็ติดต่อไปหาหลิงเจี๋ยอวิ๋นทันที


 


“พอเจ้าไปถึงใจกลางเมืองฝูซาน แถวๆจัตุรัสกลางเจ้าจะเห็นศาลาเปิดหลังหนึ่งข้างป้ายใหญ่ๆ…เจ้าไปยังศาลานั่นแล้วคุยกับพนักงานที่โต๊ะรับรองเพื่อขอเปิดห้อง มันจะถามชื่อของเจ้าก่อน จากนั้นให้แจ้งชื่อข้าไป เดี๋ยวมันจะพาเจ้ามาหาข้าเอง”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ส่งข้อความตอบกลับต้วนหลิงเทียนมาทันที


 


ได้ยินดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ทำตามที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นบอกทันที มุ่งหน้าไปยังจัตุรัสกลางเมืองฝูซาน


 


ตั้งแต่ตอนที่เหินร่างอยู่นอกเมือง ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นแล้วว่าเมืองนี้มีผู้คนคึกคักมาก พอมาเดินบนถนนก็เห็นเหล่าอมตะชนเดินดูของราวสายธารมนุษย์ เปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวา


 


ร้านค้าริมสองฟากฝั่งถนนท่าทางจะมีกิจการดีไม่น้อย พ่อค้าหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ยังมีพ่อค้าตั้งแผงขายหินดิบในราคาย่อมเยาว์เอาใจนักพนันมากมายย


 


หากกล่าวถึงธุรกิจทำเงินแล้ว เป็นธรรมดาว่าการพนันย่อมมาอันดับหนึ่ง ส่วนธุรกิจทำเงินอันดับสองก็คงหนีไม่พ้นร้านค้าโอสถอมตะและยันต์อมตะทั้งหลาย


 


นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังเห็นร้านขายอุปกรณ์อมตะมากมาย ยังมีร้านขายพวกวัตถุดิบต่างๆ บางชิ้นก็แลดูแปลกตาพิกล และที่น่าสนใจก็คือร้านขายลูกแก้วเงาลอย


 


ร้านขายอุปกรณ์อมตะก็มีอาวุธชุดเกราะให้เลือกซื้อหลากหลายชนิด ร้านวัตถุดิบก็มีทั้งหายากและพบได้ทั่วไป ยังมีวัตถุดิบสำหรับสร้างยันต์อมตะให้เลือกซื้อ กล่าวได้ว่ามีของขายครบวงจร


 


สำหรับร้านขายลูกแก้วเงาลอยนั้น ต้วนหลิงเทียนพอเห็นก็เดาได้ทันทีว่าเป็นลูกแก้วเงาลอยอะไร และหลังจากหยีตามองป้ายแนะนำบั้นชั้นวางลูกแก้ว ก็พบว่ามันเป็นอย่างที่เขาคิดจริงงๆ ลูกแก้วเงาลอยเหล่านี้ล้วนบันทึกการประมือของยอดฝีมือที่ใช้กฏต่างๆ


 


ในระนาบเทวโลก ผู้ที่ขาดประสบการณ์และไร้ผู้ใดชี้แนะ ลูกแก้วเงาลอยก็ไม่ต่างอะไรจากที่พึ่งสำคัญ มันจะช่วยให้ผู้ฝึกตนพบแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเอง ยังช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจทั้งเพิ่มความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏต่างๆ ดังคำกล่าว ศึกษาเองสิบปี มิสู้ชมดูผู้เชี่ยวชาญลงมือหนึ่งครั้ง


 


และเป็นธรรมดาว่าลูกก้อยเหล่านี้ย่อมมีราคาค่างวดไม่น้อย ผู้ที่จะซื้อหาส่วนมากก็จะซื้อหาลูกแก้วที่บันทึกฉากยอดฝีมือที่เข้าใจความลึกซึ้งประการเดียวกับตัว หรือความลึกซึ้งที่มีลักษณะคล้ายๆกันไปศึกษา


 


‘จะว่าไป ในช่วงที่ไม่มีอาวุโสเพลิงเทพโกลาหลช่วยเหลือ สาเหตุหนึ่งที่ช่วยให้ข้าเข้าใจความลึกซึ้งเผาไม้ได้เร็วขึ้น ก็หนีไม่พ้นลูกแก้วเงาลอยที่ที่บันทึกการลงมือของประมุขมา…’


 


การที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใจความลึกซึ้งเผาไหม้จนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นได้เร็วกว่าที่ตัวเองคาดไว้ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้ลูกแก้วเงาลอยที่ซุนเหลียเผิง ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่มอบให้


 


ลูกแก้วเงาลอยนั้นแม้สำหรับขุมพลังระดับต่ำในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้วมันจะมีค่าไม่น้อย แต่สำหรับประมุขนิกายอมตะเป้าผู่อย่างซุนเหลียงเผิง มันไม่ได้มีค่าอะไรมากเลย


 


กระทั่งในหอตำราของนิกายอมตะเป้าผู่ ก็มีลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกฉากการลงมือผู้เชี่ยวชาญความลึกซึ้งแทบทุกกฏเก็บไว้


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยนิกายอมตะเป้าผู่มีวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลัระดับราชาธาตุไฟมากที่สุด ทำให้ในหอตำราจะมีลูกแก้วเงาลอยที่ยันทึกฉากยอดฝีมือที่ใช้กฏแห่งไฟมากกว่ากฏอื่น แน่นอนว่าของดีเช่นนี้ย่อมมีผู้คนไปเข้าแถวรอใช้กันมากมาย และถ้าหากไม่ได้ไปต่อแถวรอสักหลายๆวันล่ะก็ เกรงว่าชาตินี้คงไม่ได้ใช้


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็เข้าใจเรื่องนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปหอตำราฝ่ายในแล้ว เช่นนั้นเขาจึงไม่คิดไปต่อแถวรอ แต่เลือกจะไปหาซุนเหลียงเผิงโดยตรง


 


และซุนเหลียงเผิงก็ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวอะไร มอบลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกฉากยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญกฏแห่งไฟให้ต้วนหลิงเทียนมาศึกษา 12 ลูก


 


และ 9 ในบรรดา 12 ลูก ก็ได้บันทึกฉากยอดฝีมือที่ใช้ความลึกซึ้งเผาไหม้ปะทะกับศัตรูเอาไว้


 


เป็นธรรมดาว่าผู้ที่ใช้ความลึกซึ้งเผาไหม้ที่ว่า ก็ไม่ใช่จะใช้ความลึกซึ้งเผาไหม้อย่างเดียว แต่ยังมีความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏแห่งไฟรวมอยู่ด้วย


 


‘ลูกแก้วเงาลอยที่ประมุขให้มา ยอดฝีมือที่ใช้กฏแห่งไฟส่วนมากมักจะใช้ความลึกซึ้งเผาไหม้ ปะทุ…สำหรับความลึกซึ้งอื่นๆของกฏแห่งไฟค่อนข้างมีน้อย’


 


คุณค่าของลูกแก้วเงาลอยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการลงมือของผู้ที่ถูกบันทึกไว้ ว่าใช้ความลึกซึ้งกี่ประการ แล้วเห็นชัดเจนหรือไม่


 


เช่นเดียวกับลูกแก้วเงาลอยที่ต้วนหลิงเทียนได้มาทั้ง 12 ลูก อันบันทึกฉากยอดฝีมือที่เข้าใจความลึกซึ้งกฏแห่งไฟประมือกับยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญกฏอื่นๆเอาไว้ ที่มีค่าที่สุดก็เห็นจะเป็นลูกแก้วเงาลอยที่ได้บันทึกผู้ใช้กฏแห่งไฟอันเข้าใจความลึกซึ้งได้ถึง 6 ประการเอาไว้!


 


และผู้ที่ถูกบันทึกดังกล่าว ก็คือตัวซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่เอง


 


จึงกล่าวได้ว่าลูกแก้ววเงาลอยที่บันทึกซุนเหลียงเผิงเอาไว้ เป็นลูกแก้วเงาลอยที่มีค่าที่สุดในมือต้วนหลิงเทียน


 


สำหรับลูกแก้วเงาลอยอื่นๆ ยอดฝีมือที่ใช้กฏแห่งไฟที่รองมาก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟแค่ 4 ประการเท่านั้น


 


‘เดี๋ยวไปหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก่อนแล้วกัน ค่อยย้อนกลับมาร้านขายลูกแก้วเงาลอยนี่ เผื่อจะมีลูกแก้วเงาลอยที่ข้าต้องการ’


 


ต้วนหลิงเทียนทอดสายตามองร้านขายลูกแก้วเงาลอยพลางกล่าวในใจ จากนั้นก็ละสายตากลับมาแล้วเดินต่อ


 


บริเวณใจกลางเมืองฝูซาน ก็มีจัตุรัสอันกว้างขวางใหญ่โต บริเวณขอบจัตุรัสด้านหนึ่ง ก็พบแท่นศิลาสูงราว 10 หมี่ที่เด่นสะดุดตาเป็นอย่างมากตั้งอยู่ และแท่นศิลาดังกล่าวยังสลักอักษร 3 ตัว ที่แลดูงดงามทั้งให้ความรู้สึกน่าเกรงขามประหนึ่งหงส์มังกร


 


อวิ๋นซ่างโหลว!


 


“อวิ๋นซ่างโหลว?”


 


เมื่อเห็นอักษรทั้ง 3 ตัว ต้วนหลิงเทียนก็หยีตาลงทันที


 


เพราะตอนหาข้อมูลในหอตำรา เขาเองก็ได้อ่านเจอบันทึกเรื่องอวิ๋นซ่างโหลวด้วยเช่นกัน และรู้ดีว่ามันเป็นกิจการโรงเตี๊ยมที่พักที่ทางคฤหาสน์เฉวียโฉวเป็นเจ้าของ และยังมีสาขาย่อยมากมายกระจายไปทั่วเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว


 


เป็นธรรมดาว่าทุกเมืองที่อยู่ใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรงจะมีอวิ๋นซ่างโหลวเปิดกิจการอยู่


 


‘ดูเหมือนว่าเมืองฝูซานที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายไประนาบเทวโลกต่างๆแห่งนี้ ก็จะอยู่ใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรง’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


ภายในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว เมืองที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทวโลกต่างๆ ก็ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเมืองใต้การปกครองโดยตรงของคฤหาสน์เฉวียนโยวทั้งหมด


 


แต่เมืองที่อยู่ใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรงทั้งหมดนั้น ล้วนมีค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทวโลกอื่นๆตั้งอยู่!


 


ยิ่งไปกว่านั้น มีแต่ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ภายในเมืองใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรงเท่านั้น ที่กำหนดพิกัดจุดหมายปลายทางได้อย่างจำเพาะเจาะจง


 


ส่วนค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทวโลกต่างๆของเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรง มันไม่อาจระบุพิกัดได้ แม้จะไปยังระนาบเทวโลกที่ต้องการได้จริง แต่สถานที่ปรากฏตัวจะเป็นแบบสุ่ม…


 


เหตุผลที่ไฉนมันถึงมีความแตกต่างกันมากขนาดนี้ ก็เพราะทางคฤหาสน์เฉวียนโยวต้องการดึงดูดผู้คนให้มาใช้บริการค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เมืองใต้การปกครองโดยตรงของตัวเอง เป็นการเสริมสร้างความมั่งคั่งให้กับเมืองใต้ปกครองของตัวเองโดยตรง


 


‘ข้าก็ว่าแล้วเชียว…หากไม่ใช่เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของคฤหาสน์เฉวียนโยว ไฉนมันจะรุ่งเรืองเฟื่องฟูขนาดนี้ได้ ทั้งๆที่มาตั้งอยู่ในสถานที่เปลี่ยวร้างแบบนี้?’


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ขณะเดียวกันสองเท้าก้าวอาดๆไปยังชายขอบจัตุรัสอีกฟาก ที่มีศาลาเปิดตั้งอยู่ข้างๆแท่นศิลาสูง 10 หมี่นั่น


 


และพอต้วนหลิงเทียนไปถึงก็พบว่ามีโต๊ะรับรองว่างอยู่พอดี ผิดกับศาลาเปิดอื่นๆที่มีคนเต็มไปหมด ดูเหมือนโชคเขาจะยังใช้การได้อยู่


 


ด้านหลังโต๊ะรับรองก็ปรากฏสตรีในชุดเครื่องแบบเรียบร้อยแลดูตาหวานคนหนึ่ง พอเห็นต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามานางก็ยิ้มถามอย่างมากอัธยาศัยว่า “คุณชายท่านนี้ มาเพื่อเปิดห้องหรือเจ้าคะ?”


 


“อืม”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็แจ้งชื่อตัวเองไป ทั้งไม่ลืมเอ่ยชื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


ตั้งแต่ที่เห็นป้ายศิลาสลักคำอวิ๋นซ่างโหลว ต้วนหลิงเทียนก็รู้อยู่แล้วว่าศาลาเปิดแห่งนี้เป็นสถานที่ต้อนรับและคอยให้บริการแขกที่จะมาใช้บริการของอวิ๋นซ่างโหลว หากเทียบกับชาติที่แล้วก็เสมือน เคาน์เตอร์ต้อนรับในล็อบบี้ของโรงแรมนั่นล่ะ


 


“คุณชาย…สหายของท่านพักอยู่ที่ ‘ลานเทียนอี’ ของอวิ๋นซ่างโหลวเรา อีกทั้งยังกำชับทางเราไว้แล้วว่าท่านจะมา ยังให้ทางเรารับท่านไปยังลานดังกล่าว”


(ลานฟ้า หมายเลข 1)


 


สตรีที่ดังกล่าวเปิดสมุดจดบนโต๊ะรับรองดูเล็กน้อย ก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียน


 


และพอนางกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่ามีชายวัยกลางคนในชุดสุภาพคนหนึ่งกำลังก้าวมาหาเขาจากไกลๆ ชุดคลุมที่อีกฝ่ายสวมใส่ สมควรเป็นเครื่องแบบพนักงานของอวิ๋นซ่างโหลว


 


“ไปส่งคุณชายท่านนี้ที่ลานเทียนอี”


 


สตรีดังกล่าวหันไปพูดสั่งชายวัยกลางคนที่พึ่งเดินมาถึง


 


ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับคำอย่างเรียบๆร้อยๆ จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน ใบหน้าแลดูทึมทื่อของมันค่อยๆคลี่ยิ้มโง่งมพลางกล่าว “ใต้เท้า เชิญตามข้าน้อยมาทางนี้”


 


พอกล่าวจบคำ ร่างชายวักลางคนก็เหินขึ้นฟ้า นำทางไปทันที


 


“ข้างบนรึ…”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วเล็กน้อย ค่อเหินร่างติดตามไป


 


‘ลานเทียนอีที่ว่า…สมควรเป็นลานที่พักที่ดีที่สุดของอวิ๋นซ่างโหลว หากจำไม่ผิดดูเหมือนนอกจากลานชั้นเทียนแล้ว อวิ๋นซ่างโหลวก็มีลานชั้นตี้ กับหลานชั้นเหรินอยู่อีก’


(ฟ้า ดิน มนุษย์)


 


‘ลานชั้นเทียนมีราคาแพงที่สุด รองลงมาก็เป็นนลานชั้นตี้ สุดท้ายก็เป็นลานชั้นเหริน…ค่าเข้าพักบานชั้นเทียนหนึ่งวันเหมือนจะเป็น 1,000 ผลึกอมตะระดับสูง’


 


‘พูดได้ว่า หากเข้าพักลานเทียนอีสัก 100 วัน ก็ต้องจ่ายผลึกอมตะระดับสูงหลักแสน…ราคานี้มันสามารถซื้ออาวุธอมตะระดับราชาได้เลย…’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นเบาๆ เมื่อนึกถึงราคาที่พักของลานชั้นเทียนของอวิ๋นซ่างโหลว ที่เขาเคยอ่านเจอมา


 


แน่นอนว่าราคาดังกล่าวสำหรับเขาในตอนนี้ ก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร


 


ไม่ต้องกล่าวถึงทรัพย์สินที่เขาได้มามากมายมหาศาลจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเลย เอาแค่สินสงครามที่เขาได้มาจากนักฆ่าองค์กรกะโหลกเลือดทั้ง 2 เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่าน ก็มากพอให้เขาพักอยู่ในลานชั้นเทียนของอวิ๋นซ่างโหลวหลายปี


 


ก็แค่บ่นไปตามประสา เพราะรู้สึกว่ามันแพงเท่านั้น…


 


‘อย่างไรก็ตามถึงจะแพงไปหน่อย แต่ก็นับว่าคุ้มค่าคุ้มราคาอยู่…ลานชั้นเทียนของอวิ๋นซ่างโหลวอันเป็นกิจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น เรียกว่ารับรองความปลอดภัยให้แขกได้อย่างดี แถมยังมีค่ายกลและผู้พิทักษ์อยู่ กระทั่งราชาอมตะ 10 ทิศยังไม่กล้าจะบุกเข้าไปด้วยซ้ำ…เรียกว่าอยู่ที่นี่ก็ปลอดภัยหายห่วง’


 


‘ถึงลานชั้นตี้จะด้อยลงมาหน่อย แต่ก็มีราชาอมตะ 3 ศักดิ์ชนชั้นยอดฝีมือคอยดูแลอยู่ อย่างไรก็ตามมันไม่มีค่ายกลเหมือนลานชั้นเทียน หากผู้ที่คิดลงมือมีพลังฝีมือเหนือกว่าราชาอมตะ 3 ศักดิ์ และไม่เห็นแก่หน้าคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็สามารถลงมือฆ่าแขกที่เข้าพักได้’


 


‘สำหรับลานชั้นเหรินที่ถูกที่สุด แม้จะมีราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดให้ความคุ้มครอง แต่ก็ไม่ได้มีหน้าที่คอยดูแลชีวิตและทรัพย์สินของผู้เข้าพัก มีหน้าที่แค่จับตาดูผู้บุกรุกและคอยแจ้งเรื่องให้ยอดฝีมือมาจัดการและเก็บค่าเสียหายในภายหลังเท่านั้น’


 



 


ต้วนหลิงเทียนที่อ่านเจอข้อมูลของอวิ๋นซ่างโหลวในยันต์อมตะเก็บความทรงจำ ย่อมเข้าใจความแตกต่างของลานที่พักทั้ง 3 รดับของอวิ๋นซ่างโหลวเป็นอย่างดี


 


‘สมแล้วที่ตั้งชื่อว่าอวิ๋นซ่างโหลว สถานที่พักล้วนอยู่เหนือเมฆทั้งสิ้น….’


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างติดตามชายวัยกลางคนมา ก็พบว่าบัดนี้ได้เหินขึ้นมาในระดับความสูงชั้นเมฆแล้ว และยังคงเหินร่างไปต่อจนทะลุชั้นเมฆ


 


พอพ้นแพเมฆขาว เขาก็พบเห็นแพเกาะมากมายลอยอยู่ค้างกลางหาว แพเกาะลอยที่ว่ายังแบ่งออกเป็นระดับชั้นต่างๆ ทั้งสิ้น 3 ระดับ และแต่ละระดับเหมือนจะมีระยะห่างมากกว่าร้อยหมี่


 


ยิ่งชั้นสูงขึ้น จำนวนเกาะลอยก็ยิ่งมีน้อยลง


 


‘เกาะลอยชั้นสูงสุดที่มีจำนวนน้อยกว่าเกาะลอย 2 ชั้น…สมควรเป็นลานชั้นเทียนสินะ’


 


หลังเหินผ่านเมฆขึ้นมาและเห็นแพเกาะที่ลอยอยู่ 3 ระดับชั้น ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันที


 


และความจริงก็พิสูจน์ว่าต้วนหลิงเทียนคิดถูก


 


“ใต้เท้า ที่นี่คือลานเทียนอีขอรับ”


 


ชายวัยกลางคนที่พาต้วนหลิงเทียนเหินร่างขึ้นมายังเกาะลอยชั้นสูงสุด ผายมือไปยังเกาะลอยเกาะหนึ่งพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ

 

ต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปตามมือที่ผายของชายวัยกลางคนทันที


 


จากนั้นเขาก็พบว่าเกาะลอยบนชั้นสูงสุดเกาะหนึ่ง มีบ้านลานขนาดปานกลางตั้งอยู่ และหน้าประตูบ้านลานดังกล่าวก็มีป้ายเขียนว่า ลานเทียนอี แปะไว้


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ว่ายตามองไปยังเกาะลอยข้างๆในระดับชั้นเดียวกัน จึงเห็นว่าเหนือประตูบ้านลานดังกล่าวมีคำว่า ลานชิงเทียน เขียนไว้ สิ่งนี้ก็ทำให้เขางงเล็กน้อย ว่าไฉนไม่เป็นลานเทียนเอ้อ หรือเทียนซัน…


(ลานฟ้า 2 ลานฟ้า 3)


 


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น”


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวไปมาเบาๆ ค่อยหันกลับมามองลานเทียนอีอีกครั้ง และส่งเสียงผ่านพลังเข้าไปในบ้านลานดังกล่าว เพื่อเรียกหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที


 


แอ๊ด…


 


หลังต้วนหลิงเทียนส่งเสียงไปได้ไม่ทันไร ประตูบ้านลานเทียนอีบนเกาะลอยกลางหาวเบื้องหน้าก็ค่อยๆแง้มเปิดออกมา จากนั้นก็ปรากฏร่างในชุดสีเทาก้าวออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย


 


เป็นชายหนุ่มชุดเทาอันมีใบหน้าเฉยชาไร้แยแสนัก บริเวณเอวข้างหนึ่งสะพายกระบี่เอาไว้ ยามก้าวเดินออกมาในลานอย่างไม่รีบไม่ร้อน เส้นผมยาวที่รวบมัดโบกสะบัดไปตามสายลมให้ความรู้สึกสง่างามน่าเกรงขามปานเซียนกระบี่


 


เป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอง


 


เมื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก้าวออกยังลานได้สักพัก มันก็เหินร่างขึ้นมาหาต้วนหลิงเทียน ส่วนทางด้านชายวัวยกลางคนเมื่อเห็นว่าแขกพบเจอสหายแล้ว ก็เหินร่างจากไปเงียบๆ


 


“นี่เจ้ามารอข้าอยู่กี่วันแล้ว?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


 


“ 3 วัน”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวตอบเสียงเรียบ


 


ต้วนหลิงเทียนลองนึกเวลาดู เขาก็พบว่าตัวเองใช้เวลาเดินทางจากนิกายอมตะเป้าผู่มาถึงเมืองฝูซานแห่งนี้ 2 วันเต็มๆ กล่าวได้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาถึงที่นี่ได้วันเดียว ก็ติดต่อมาหาเขาเลย


 


“เข้าไปคุยข้างในเถอะ”


 


หลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวชวนต้วนหลิงเทียนจบคำ มันก็เหินร่างกลับไปยังลานเบื้องล่างทันที


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหินตามเข้าไปก็พบว่าก่อนจะถึงลานบนเกาะ ห้วงอากาศว่างเปล่าก็ปรากฏระลอกคลื่นวงกลมเล็กน้อย ราวกับประตูบานหนึ่งเปิดออก รอให้ผู้คนก้าวเข้าไป


 


ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก ว่านี่สมควรเป็นม่านพลังจากค่ายกลที่ป้องกันลานเทียนอี


 


‘หืม? เห็นลานชั้นตี้ กับลานชั้นเหรินแล้ว…’


 


ก่อนจะเข้ามาในเขตลานเทียนอี ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นแต่แรกว่า เมื่อเหินขึ้นมาถึงระดับหนึ่งจะมองไม่เห็นลานชั้นตี้กับลานชั้นเหรินอีกต่อไป เห็นเพียงแพเมฆสีขาวเบื้องล่างกับลานชั้นเทียนอื่นๆรอบข้างเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หากหรี่ตามองดูให้ดีเขาจะพบว่ามีจุดดำๆใต้เมฆขาวให้เห็นรางๆ


 


และหากเพ่งมองให้ละเอียดจะพบว่าจุดดำๆใต้แพเมฆขาวก็คือลานชั้นตี้ กับลานชั้นเหรินนั่นเอง


 


‘ตอนข้าอยู่ด้านล่าง ทันทีที่เหินผ่านแพเมฆมาก็จะเห็นลานชั้นเหริน ชั้นตี้ และชั้นเทียนชัดเจน และดูเหมือนจะอยู่สูงเหลื่อมล้ำกันชั้นละ 100 หมี่เท่านั้น…’


 


‘แต่ตอนเหินขึ้นมาถึงน่านฟ้าของลานชั้นเทียน พอมองลงไปกลับไม่เห็นอะไรเลย จนมาเข้าเขตม่านพลังของลานเทียนอีก่อน ค่อยสังเกตเห็นลานชั้นตี้กับหลานชั้นเหรินอีกครั้ง แต่ระยะห่างจากลานชั้นตี้ตอนนี้มันเกินหมื่นหมี่เสียอีก..’


 


‘ลานชั้นตี้ยังดีที่หากเพ่งมองก็พอเห็นเรื่องราวได้บ้าง แต่ลานชั้นเหรินยากจะเห็นอะไรได้ชัด…’


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักได้แต่แรก ว่าระยะทางที่ตาเห็นนั้นมันมันผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง แม้จะเห็นว่าลานแต่ละชั้นห่างกันร้อยหมี่ แต่ที่จริงมันมากกว่านั้น และทั้งหมดสมควรเป็นเพราะค่ายกลบางอย่างแน่นอน


 


หลังจากที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าไปในม่านพลังปกคลุมลานเทียนอีแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างตามมาติดๆ ก็สัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะหนึ่งแผ่มาปกคลุมรอบกายเขา จากนั้นหลังเขาผ่านม่านพลังดั่งระลอกคลื่นนั่นเข้ามา ระลอกคลื่นดังกล่าวก็หายไปทันที


 


เห็นได้ชัดว่าม่านพลังที่ปกคลุมลานเทียนอีอยู่ มันปิดตัวลงทันทีที่เขาเข้ามา


 


“นี่คือป้ายหยกเข้าลานเทียนอี เจ้าพกติดตัวไว้ด้วย ตอนจะเข้าจะออกก็แผ่สำนึกลงป้ายหยกนี่ ม่านพลังก็จะเปิดให้เจ้าผ่านเข้าออก”


 


หลังต้วนหลิงเทียนโรยตัวมาหยุดยืนบนลานแล้ว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เหินลงมาถึงก่อน ก็หันกลับมายื่นส่งป้ายหยกแผ่นหนึ่งให้เขา


 


บนป้ายหยกดังกล่าวก็มีอักษร ลานเทียนอี สลักไว้อย่างบรรจง


 


ต้วนหลิงเทียนที่สายตาเฉียบคม ก็สังเกตเห็นแต่แรกว่าบริเวณเอวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็มีป้ายหยกลักษณะนี้ห้อยแขวนอยู่


 


ต้วนหลิงเทียนจึงรู้ได้ทันทีว่าป้ายหยกดังกล่าว ก็ไม่ต่างอะไรจากคีย์การ์ดห้องพักตามโรงแรมเมื่อชาติก่อน


 


หลังรับป้ายหยกมา ต้วนหลิงเทียนก็ติดตามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไปนั่งบนโต๊ะหินอ่อนในลาน


 


หลังจากนั่งลง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแผ่สำนึกเทวะไปยังป้ายหยกที่เอว จากนั้นป้ายหยกที่เอวของอีกฝ่ายก็แผ่กลิ่นอายพลังลี้ลับหนึ่งออกมาผสานหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่าโดยรอบ


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียนมอมาด้วยสายตาสงสัย หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็กล่าวอธิบายทันที “ป้ายหยกนี่ไม่เพียงแต่จะใช้ผ่านเข้าออกลานได้เท่านั้น มันยังใช้ควบคุมค่ายกลที่จัดตั้งในลานได้ระดับหนึ่ง”


 


“เมื่อครู่ข้าพึ่งเปิดใช้ค่ายกลลวงตาของลานเทียนอี มันจะทำให้ผู้คนด้านนอกมองไม่เห็นพวกเราที่นั่งอยู่ จะเห็นก็แต่ลานว่างๆเท่านั้น”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “เจ้าลองแผ่สำนึกเทวะลงไปดู ใช้ยังไงเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็ลองแผ่สำนึกลงป้ายหยกที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึ่งให้มาดู จากนั้นก็มีข้อมูลซับซ้อนมากมายหลั่งไหลเข้ามาในห้วงสำนึกเขา


 


ข้อมูลดังกล่าวก็เป็นการแนะนำวิธีเปิดใช้ม่านพลังผ่านเข้าออกที่ปกคลุมทั่วลานเทียนอีแห่งนี้ นอกจากนั้นก็มีวิธีเปิดใช้ค่ายกลยิบย่อยต่างๆในลาน


 


หลังรับทราบข้อมูลและวิธีใช้ดังกล่าวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมปรมาจารย์ค่ายกลที่จัดตั้งค่ายกลต่างๆของลานเทียนอีในใจอยู่บ้าง


 


หลังลองใช้ป้ายหยกเพื่อเปิดปิดค่ายกลเล่นอยู่พักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็เอามันไปห้อยไว้ที่เอว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เอ่ยถามเข้าประเด็นทันที “วันนั้นเจ้าบอกข้าว่าหลังผ่านไป 2 ปีพวกเราจะออกจากหลิงหลัวเทียนเพื่อไปยังอวี้หวงเทียนตามที่เจ้านั่นมันนัดหมาย…”


 


“แล้วเจ้านั่นเล่า มันจะมาสมทบกับพวกเรา แล้วใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเมืองฝูซานแห่งนี้เพื่อไปอวี้หวงเทียนด้วยกันรึเปล่า?”


 


“ไม่”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่ายหัว “อันที่จริงพวกเราจะเดินทางหลังจากนี้อีก 10 เดือน เพราะเวลาที่มันนัดหมายจริงๆคือ 3 ปี ข้าแค่นัดเจ้ามาก่อนเพื่อไม่ให้ฉุกละหุก พอถึงเวลาพวกเราจะออกจากเมืองฝูซานแห่งนี้ไปอวี้หวงเทียนกัน 2 คน…ส่วนเจ้านั่นมันสมควรไปของมันเอง”


 


“แต่แน่นอนว่าสถานที่ๆมันจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย ก็สมควรเป็นเมืองที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายระบุตำแหน่งจำเพาะเจาะจงเหมือนเมืองฝูซาน…”


 


“เพราะพวกเราต้องไปรวมตัวกันที่สถานที่แห่งหนึ่งของอวี้หวงเทียนก่อน ค่อยเดินทางไปยังแดนลับที่มันสร้างขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว


 


ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจ


 


“ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีก 10 เดือนก่อนออกเดินทาง…10 เดือนนี้พวกเราก็เตรียมตัวให้ดีเถอะ”


 


“ถึงแม้พวกเราจะมี ‘ไพ่ตาย’ อยู่ในมือ…แต่เจ้านั่นจะอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด แถมแดนลับที่พวกเราจะไปมันก็สร้างขึ้นด้วยตัวเอง ถึงตอนนี้มันจะไม่มีพลังเหมือนชาติที่แล้ว แต่อย่างน้อยๆมันก็สมควรควบคุมอะไรในแดนลับได้บางส่วน”


 


“กล่าวได้ว่าพวกเรามีไพ่ตาย มันเองก็มีไพ่ตาย…นอกจากนั้นไพ่ตายของมัน อาจจะเหนือกว่าความสามารถในการควบคุมแดนลับของมันเสียอีก”


 


ขณะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวเรื่องนี้ สีหน้าท่าทีก็แลดูจริงจังไม่น้อ


 


ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับ เรื่องนี้เขาก็คิดไว้แต่แรกแล้ว ไม่กล้าประมาทเด็ดขาด


 


“จะว่าไปพวกเราไปครั้งนี้ก็เสี่ยงไม่เบาเหมือนกัน…เช่นนั้น 10 เดือนหลังจากนี้ สิ่งที่พวกเราจะทำได้ก็คือพยายามเตรียมตัว เพื่อลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว


 


สิ่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูดมา ต้วนหลิงเทียนก็คิดไว้เช่นกัน จากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปเตรียมความพร้อมทันที


 



 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว สตรีอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในรอบหลายพันปีของตระกูลมู่หรง ที่บัดนี้อยู่ใน 3 นิกาย 2 ตระกูล ก็กำลังเตรียมตัวจะออกเดินทางไปยังอวี้หวงเทียนในอีก 10 เดือนให้หลังเช่นกัน


 


‘ในเมื่อเจ้านั่นมันมาชวนข้า เช่นนั้นก็สมควรไปชวนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับต้วนหลิงเทียนเช่นกัน…ไม่ทราบมันจะไปชวนใครในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวอีกบ้าง’


 


เห็นได้ชัดว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเอง ก็ได้รับคำเชิญจากจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดเช่นกัน!


 


แน่นอนล่ะว่านางไม่ได้รู้เลยว่าคนที่มาชวนนางนั้น ที่แท้เป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด นางเข้าใจว่าคนๆนั้นสมควรพบเจอโลกใบเล็กอันเป็นมรดกสถานขอจักรพรรดิอมตะจริงๆ


 


วันนั้นตอนที่ชายคนดังกล่าวมาหานาง ก็ได้มีประมือกับนางรอบหนึ่ง และตัวนางก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกฝ่ายใน 30 กระบวนท่า!


 


ที่สำคัญอีกฝ่ายยังเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งไม่ต่างจากนางเท่าไหร่ แถมอาวุธอมตะระดับราชาที่ใช้ก็มีพลังพอๆกับของนาง


 


แต่ทว่านางยังคงพ่ายแพ้


 


ทักษะและประสบการณ์การต่อสู้ของอีกฝ่ายนั้น ช่างร้ายกาจสุดที่นางจะเทียบได้!


 


หลังประมือกันแล้ว นางยังรู้สึกว่ากระทั่งชนชั้นอาวุโสในตระกูลของนาง หากด่านพลังทัดเทียมกันยังมีพลังฝีมือไม่สู้อีกฝ่ายเลย!


 


เช่นนั้นนางจึงเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นอัจฉริยะอันร้ายกาจเยี่ยงปีศาจตนหนึ่ง


 


ต่อมานางก็ได้ยินอีกฝ่ายบอกว่า ตัวมันไม่ได้เป็นคนของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว แต่มาหาสหายที่ตามอาจารย์มาอาศัยอยู่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว เพื่อคอยช่วยเหลือกันในมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะเท่านั้น


 


และก็พอดีกับที่มันพบว่าตัวนางได้อันดับ 3 ในการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ จึงตั้งใจมาชวนเป็นพิเศษ เพราะพลังฝีมือของนางน่าจะช่วยเหลือมันได้มาก และยังกำชับวว่าขอให้นางอย่าได้ไปบอกใครเรื่องนี้เด็ดขาด หาไม่แล้วผลประโยชน์ที่ได้ก็ต้องน้อยลง


 


ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคิดว่าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ได้อันดับสูงกว่านาง ก็สมควรถูกชวนไปด้วยเช่นกัน


 


และนางก็ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะชวนใครไปอีกบ้าง


 


ตอนนี้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่ได้รู้เลย


 


ว่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดปริศนาที่มาชักชวนนางนั้น ไม่ได้ชวนใครในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวอีกเลยสหายที่ว่าก็แค่เรื่องปั้นแต่ง คนที่มันมาชวนก็มีแค่นาง ต้วนหลิงเทียนและเจวี๋ยอวิ๋นเท่านั้น


 


สำหรับคนอื่นๆ มันไม่เห็นอยู่ในสายตา!


 



 


ณ ที่ไหนสักแห่งของอวี้หวงเทียน


 


“ยังเหลือเวลาอีก 10 เดือน…ถึงตอนนั้นก็ได้เวลาที่ข้าจะเรียกพวกมันให้มารวมตัวกันเสียที”


 


เหนือบึงน้ำอันมืดมิดแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างนั่งขัดสมาธิลอยค้างกลางอากาศ เสียงพึมพำกับตัวของมันเผยความวาดหวังออกมาไม่น้อย


 


จากนั้นเมื่อมีแสงสว่างส่องลอดแนวป่าลงมา ก็เผยให้เห็นร่างที่นั่งขัดสมาธิเหนือบึงชัดเจน เป็นชายหนุ่มที่แลดูมีรูปร่างสมส่วนไม่อ้วนไม่ผอมคนหนึ่ง


 


“เกรงว่าป่านนี้พวกเด็กน้อยทั้งหลาย คงกำลังคิดฝันว่าแดนลับที่ข้าสร้างไว้เพื่อสังเวยชีวิตพวกมันให้ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ จักเป็นโลกใบเล็กที่จักรพรรดิอมตะสร้างทิ้งไว้ให้ใครมารับมรดกไปอยู่กระมัง…”


 


ขณะกล่าวพึมพำออกมาอีกครั้ง มุมปากของชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มแสะแลดูชั่วร้ายออกมา ชวนให้ผู้คนรู้สึกขนลุกพิกล


 


“หากนำยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดมาฆ่าเพื่อเป็นการสังเวย โอกาสที่ผลเทพสังเวยสวรรค์จักสุกงอมก็มีแค่ 1 ส่วนเท่านั้น…อย่างไรก็ตามหลังจากข้าเสาะหามานานปีเมื่อชาติที่แล้ว ในที่สุดข้าก็เจอวิธีเพิ่มโอกาสให้ผลเทพสังเวยสวรรค์สุกงอมเพิ่มเป็น 5 ส่วนได้สำเร็จ!”


 


“และนั่น…ต้องให้เหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมากพรสวรรค์ทั้งหลายเข่นฆ่าสังเวยเลือดเนื้อเพื่อผลเทพสวรรค์กันเอง!”


 


“และยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดที่ข้าลำบากไปตามหามาครานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบเทวโลกทั้งมวล! มันต้องสำเร็จแน่!!”

 

 

 


ตอนที่ 3078

 

 


มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คิดจะปลูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ เพราะถึงมันจะให้ผลเลิศล้ำกับยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด หากแต่โอกาสที่จะเกิดผลก็มีแค่ 1 ใน 10 ส่วนเท่านั้น


 


อัตราความสำเร็จที่ต้ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้ กับจำนวนเครื่องสังเวยที่ต้องใช้ เรียกว่ามันไม่คุ้มเสี่ยงอย่างแรง เช่นนั้นไม่ว่าใครก็ตาม หากได้รับเมล็ดพันธุ์ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์มา มักจะนำไปใช้เป็นกระสายยาเสียมากกว่า


 


และในระนาบเทวโลก ก็มีคนที่ไม่อาจยอมรับโอกาสสุกงอมของผลเทพสังเวยสวรรค์ ได้ดิ้นรนขวนขวายหาวิธีเพิ่มโอกาสสุกงอมของผลเทพสวรรค์ไม่น้อย


 


บางคนพยายามอยู่นานปีแต่ไม่พบเจอหนทางใดๆ ก็ได้แต่ยอมแพ้เลิกราไป


 


และยังมีบางคนไม่คิดเลิกรา ดิ้นรนหาวิธีไปไม่หยุดและสุดท้ายก็พบเจอแต่ทางตัน


 


อย่างไรก็ตาม ยังมีบางคนที่ในที่สุดก็พบเจอวิธีเพิ่มโอกาสสุกงอมของผลเทพสังเวยสวรรค์ได้สำเร็จ


 


เจียงหลัน ก็เป็นบางคนในประเภทที่ 3 นั่นเอง


 


เจียงหลันนั้น ก็คือชื่อในชาติที่แล้วของจักรพรรดิที่กลับชาติมาเกิด ถึงแม้มันจะไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่ก็นับเป็นจักรพรรดิอมตะที่พลังฝีมือไม่ใช่ชั่วคนหนึ่ง มีจักรพรรดิอมตะที่ไร้สมญานามเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นคู่ต่อสู้ของมันได้


 


อย่างไรก็ตามด้วยเพราะรากฐานมันไม่ดี พรสวรรค์และเชาว์ปัญญาของมันก็ไม่สูง ทำให้มันไร้หนทางจะกลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม


 


ดังนั้นมันจึงเลือกที่จะเสี่ยงกลับชาติมาเกิดใหม่


 


และก่อนที่มันจะกลับชาติมาเกิดใหม่ มันก็ได้เมล็ดพันธุ์ต้นเทพสังเวยสวรรค์มา และได้ดิ้นรนขวนขวายจนหาวิธีเพิ่มโอกาสสุกงอมได้สำเร็จ


 


กล่าวไปต้องบอกว่าตัวมันมีโชคอยู่บ้าง เพราะในถ้ำโบราณแห่งหนึ่งที่มันพบเจอโดยบังเอิญ มีบันทึกโบราณที่บ่งบอกวิธีเพิ่มอัตราสุกงอมของผลเทพสังเวยสวรรค์เอาไว้ และวิธีดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสสุกงอมให้สูงขึ้นเป็น 5 ส่วน!


 


หลังรับทราบความรู้จากถ้ำนั้นแล้ว มันก็เริ่มสร้างแดนลับและกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่จะเข้าไปได้ต้องเป็นตัวตนที่ด่านพลังต่ำกว่าขุนนางอมตะเท่านั้น จากนั้นมันก็ตระเตรียมค่ายกลต่างๆมากมาย และทำการปลูกต้นเทพสวรรค์เอาไว้


 


หลังจากมันปลูกต้นเทพสวรรค์และมั่นใจว่าจะเติบโตได้อย่างไร้ปัญหา มันก็เริ่มคำนวณหาเวลาที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จในการกลับชาติมาเกิดใหม่


 


สุดท้ายมันก็ชนะเดิมพัน สามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้สำเร็จ จากนั้นมันก็บ่มเพาะฝึกปรือมาจนมีวันนี้


 


และจนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้วที่มันได้ปลูกต้นเทพสังเวยสวรรค์เมื่อชาติก่อน


 


กล่าวให้ชัดก็คือปีหน้า ก็จะครบ 100 ปีที่มันปลูกต้นเทพสังเวยสวรรค์


 


ในชีวิตนี้พอเจียงหลันมีอายุได้ 50 ปี มันก็สามารถปลุกความทรงจำเมื่อชาติก่อนได้สำเร็จ จากนั้นมันก็ไปนำสมบัติที่มันซ่อนไว้เมื่อชาติที่แล้วมาใช้


 


อาศัยความทรงจำเมื่อชาติก่อน พร้อมด้วยสมบัติมากมาย ทำให้ตอนนี้ถึงมันจะยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้สำเร็จ อีกทั้งยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำได้ 4 ประการ


 


แน่นอนว่าใน 4 ประการนั่น รวมความหมายแห่งน้ำไว้แล้ว


 


นอกจากนั้นในสมบัติที่มันทิ้งไว้เมื่อชาติก่อน ยังมียันต์อมตะช่วยชีวิตมากมายและมีอุปกรณ์อมตะอีกด้วย


 


“อย่างไรก็ตามยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ข้าไปเสาะหาทั่วระนาบเทวโลก หลายสิบคนที่ท้าประลองกับข้า ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังมิอาจรับมือข้าได้ถึง 100 กระบวนท่า…”


 


พอนึกถึงอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะที่มันไปชักชวนและท้ามันประลอง เจียงหลันก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา


 


“เจ้าพวกเด็กน้อยนั่น กระทั่งข้าใช้ความลึกซึ้งให้ทัดเทียมกับพวกมัน ทั้งไม่ได้ใช้อุปกรณ์อมตะจักรพรรดิ หรือยันต์อมตะใดๆ พวกมันก็ไม่มีปัญญาสู้ข้าแล้ว…”


 


“หากข้าเอาจริง พร้อมด้วยอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ…ต่อให้พวกมันมัดรวมกันมา ก็ไม่พอมือให้ข้าฆ่า!”


 


พึมพำถึงจุดนี้ สีหน้าเจียงหลันที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศเหนือบึ้งน้ำ ก็ฉายชัดถึงความหยิ่งผยองออกมา


 


ตัวมันจะอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด ต่อให้จะไม่ใช้อุปกรณ์อมตะหรือยันต์อมตะเลิศล้ำที่เตรียมไว้ตั้งแต่ชาติก่อน อาศัยแค่อุปกรณ์อมตะและความลึกซึ้งพอๆกัน ก็ยากจะหาคนรับมือมันได้


 


ประสบการณ์ที่มันสั่งสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อน มากพอให้มันฉกฉวยโอกาสช่วงชิงชัยชนะได้ไม่ยาก


 



 


ณ หลิงหลัวเทียน


 


แดนสวรรค์ใต้ เขตปกครองงคฤหาสน์เฉวียนโยว เมืองฝูซาน


 


“เฮ่ ไม่ใช่ว่าเจ้าใช้กฏแห่งดินรึไง? ไฉนเจ้าซื้อแต่ลูกแก้วเงาลอยของผู้ใช้กฏแห่งไฟเล่า?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่มาซื้อของกับต้วนหลิงเทียน อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วความสงสัย เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเอาแต่ซื้อลูกแก้วเงาลอยของผู้ใช้กฏแห่งไฟ


 


“ใช้กฏแห่งดินแล้วข้าจะศึกษากฏแห่งไฟด้วยไม่ได้รึไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ


 


“อย่าได้กัดคำใหญ่เกินจะเคี้ยว”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นขมวดคิ้วกล่าวเตือน


 


ถึงแม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรรู้เรื่องนี้ดี แต่มันก็ยังกลัวต้วนหลิงเทียนจะใจโลเลเปลี่ยนไปสนใจกฏอื่น จนเสียเวลาไปเปล่าๆ


 


“ทำไมเล่า? หรือคิดว่าข้าจะดันทุรังเรื่องกฏแห่งไฟ?”


 


หลังกล่าวหยอกพลางหัวร่อ ต้วนหลิงเทียนก็หยีตามองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลางถามว่า “หรือพวกเราลองประมือกันสักตั้งเป็นไร?”


 


“ข้ายังจำได้ ก่อนที่พวกเราจะแยกกันที่ทะเลสาบอวิ๋นโยว ข้าบอกเจ้าว่าวันหน้าพอพวกเราไปถึงคฤหาสน์เฉวียนโยว คอยมาลองประมือกันสักตั้ง…วันนี้พวกพวกเรามาประมือกันล่วงหน้าเลยเป็นไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนยังจำได้ ว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ทะเลสาบอวิ๋นโยว หลังที่ถูกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวขู่ว่าหากเขาไม่ดีกับหวงเอ้อที่จะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้เขา อีกฝ่ายจะไม่มีวันเลิกรากับเขาแน่


 


ตอนนั้นเขาก็เลยกล่าวไว้ว่า หลังไปเจอกันที่คฤหาสน์เฉวียนโยวจะประมือกัน


 


“สมใจข้าพอดี!”


 


สองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทอประกายจ้า มันเห็นด้วยทันที


 


ราวๆครึ่งชั่วโมงต่อมา


 


เหนือแนวป่าเลียบภูเขาอันเปลี่ยวร้างห่างไกลจากเมือง ปรากฏร่างสองร่างลอยค้างกลางหาวเผชิญหน้ากัน เป็นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่พึ่งเดินทางออกจากเมืองฝูซาน


 


เมื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบรับบคำท้าประลองของต้วนหลิงเทียน ทำให้ทั้งคู่เลิกเดินดูของและพากันเหินร่างมายังสถานที่ร้างผู้คนทันที


 


บัดนี้ต้วนหลิงเทียนลอยร่างอยู่เหนือภูเขา ส่วนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นลอยร่างเหนือป่า


 


เสื้อคลุมทั้งคู่โบกพลิ้วไปตามลม แว่วเสียงเนื้อผ้าสะบัดดังเบาๆ


 


“เจ้าคิดประลองอย่างไร จะใช้หรือไม่ใช้อุปกรณ์อมตะ?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามต้วนหลิงเทียน


 


“ไม่ต้องใช้หรอก มือเปล่าก็พอ”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา จากนั้นบนร่างเขาก็ปรากฏเงาร่างเกราะอมตะสีดำหนึ่ง จากนั้นก็วูบหายไปในอากาศ


 


เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะเก็บเกราะอมตะที่ได้มาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ


 


เกราะอมตะดังกล่าวไม่ได้เป็นแค่เกราะอมตะระดับราชาธรรมดา แต่ยังเป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงโดยจอมราชันอมตะ


 


“ข้าก็ว่างั้น”


 


พอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวจบคำ ร่างมันก็ปรากฏเงาร่างเกราะอมตะสีดำลักษณะคล้ายๆของต้วนหลิงเทียนขึ้นมา ก่อนจะหายวับไป


 


ก็เป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมาเหมือนกัน และยังเป็น 1 ใน 3 เกราะอมตะที่มันแบ่งกับต้วนหลิงเทียนในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ


 


เกราะอมตะระดับราชานั้น แม้จะไม่จ่ายพลังลงไป แต่มันก็จะปกป้องผู้ใช้โดยอัตโนมัติ ต่างจากอุปกรณ์อมตะทั่วไปที่ต้องจ่ายพลังลงไปเพื่อใช้งาน


 


สำหรับกระบี่ที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นสะพายไว้ที่เอว ก็ยังคงสะพายไว้อย่างนั้น แค่ไม่ได้คิดจะชักออกจากฝัก


 


“ระหว่างเจ้ากับข้าเมื่อไม่ใช้อุปกรณ์อมตะ ก็คงได้แค่พึ่งความลึกซึ้งกับฝีมือส่วนตัวเท่านั้น…แต่เจ้าจะสู้ข้าได้เหรอ? ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ มันไม่เหมือนตอนที่อยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณหรอกนะ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองสบตาต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวอย่างทะนงตัว “และถึงข้าจะจำไม่ได้ แต่ข้าเชื่อว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั่น ข้าไม่เคยใช้พลังฝีมือเต็มสิบส่วนแน่นอน”


 


ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้พูด


 


ว่าในตอนนี้มันร้ายกาจกว่าตอนที่อยู่ในแดนสววรรค์ใต้โบราณมาก!


 


“ถ่อมาถึงนี่แล้ว…เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวรึไง?”


 


แม้จะเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแลดูมั่นใจในตัวเองมาก แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่หวั่นแม้แต่น้อย กลับกันสองตาเขายังทอประกายแหลมคมฉายความคาดหวังประการหนึ่ง พลังในร่างเริ่มโคจรดั่งน้ำเชี่ยว “ป้อนกระบวนท่าเถอะ!”


 


แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ


 


“ตามคำขอ!”


 


หลังโพล่งคำดุดัน พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดพลันปะทุออกมาท่วมร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น จากนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นสีดำ พาลให้บรรยยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายทันที!


 


กลิ่นอายแห่งความตายที่กำจายออกมา ยังชวนให้ผู้คนรู้สึกหดหู่ซึมเซาไม่น้อย ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่เว้น


 


ฟู่มมม!!


 


อย่างไรก็ตามหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นปะทุพลังออกมาไม่ทันไร ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏพลังพวยพุ่งออกมาดั่งเพลิงไฟ ทั้งพริบตาต่อมาพลังทั่วร่าง ยังกลายเป็นสีแดงเพลิงไม่ต่างอะไรจากเพลิงไฟจริงๆ


 


“หืม?”


 


ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนพลันพับว่า พลังของกฏแห่งความตายที่ปกคลุมร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่ มันเริ่มควบรวมก่อเกิดเป็นเงาร่างดั่งภูตผีตัวเขื่อง


 


เงาร่างดังกล่าวมีขนาดใหญ่โตแลดูน่ากลัว ในมือถืออาวุธประเภทเคียว แถมตัวเคียวยังแผ่กลิ่นอายแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัวออกมา!


 


“นั่นมัน…เงาร่างยมทูต!”


 


เห็นรูปลักษณ์ของงเงาร่างมหึมาดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ฉุกคิดถึงข้อมูลกฏแห่งความตายที่อ่านเจอในบันทึกของหอตำราฝ่ายในนิกายอมตะเป้าผู่ขึ้นมาทันที


 


บันทึกที่อยู่ในยันต์อมตะเก็บความทรงจำดังกล่าว ได้บอกไว้ว่าความลึกซึ้งประการหนึ่งของกฏแห่งความตายนั้น เมื่อใช้จะเริ่มควบรวมพลังแห่งความตายสร้างเงาร่างยมทูตหรือเทพแห่งความตายขึ้นมาก่อน


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดถึงจุดนี้ เขาก็พบว่าเงาร่างยมทูตตัววเขื่องที่ถือเคียวแห่งความตายนั้น กำลังหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็กลายเป็นกลุ่มก้อนพลังสีดำราวกับหมึก จากนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาซึมหายเข้าไปในศีรษะของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


พริบตาต่อมาสองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็กลับกลายเป็นสีแดงฉาน ทั่วร่างแผ่ไอพลังสีดำออกมาอีกรอบ หากแต่ครานี้ไอพลังสีดำดังกล่าวเริ่มม้วนวนไปทั่วร่างปานพายุ


 


“นี่มัน…ความลึกซึ้ง ยมทูตครอบงำ ของกฏแห่งความตาย?”


 


ถึงแม้จะได้อ่านข้อมูลความลึกซึ้งของกฏแห่งตายจากยันต์อมตะเก็บความทรงจำในหอตำราฝ่ายในของนิกายอมตะเป้าผู่มาแล้ว แต่นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ต้วนหลิงเทียนได้เห็นใครสำแดงกฏแห่งความตายแบบนี้ เช่นนั้นเขาก็ทำได้แค่เดาเท่านั้น ไม่กล้ายืนยัน


 


อย่างไรก็ตามพอเห็นร่างหลิงเจวี๋นอวิ๋นโจนทะยานเข้ามาดั่งสายฟ้าฟาด! ความเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาตอนที่ใช้ความลึกซึ้งลุกโหมเลย ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจว่าเขาเดาถูก!!


 


“เป็นความลึกซึ้งยมทูตครอบงำของกฏแห่งความตายจริงๆ!”


 


ยมทูตครอบงำ ก็คือหนึ่งในความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย ยามใช้งานตัวผู้ใช้ควบรวมพลังแห่งความตายก่อลักษณ์เงาร่างเทพแห่งความตายขึ้นมา จากนั้นก็ควบแน่นพลังผสานเข้าสู่ร่างตัวเองอีกที สามารถเพิ่มความเร็ว ทั้งพลังให้กับผู้ใช้


 


ความลึกซึ้ง ยมทูตครอบงำ ของกฏแห่งความตายนั้น ก็ให้ผลลัพธ์ทำนองเดียวกับความลึกซึ้ง ลุกโหม ของกฏแห่งไฟ และคล้ายๆกับความลึกซึ้งลมกรด ของกกฏแห่งลม


 


‘ลุกโหม!’


 


เผชิญหน้ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เหินร่างทะยานเข้ามาฉับไว ใจต้วนหลิงเทียนก็เคลื่อนไหวทันที


 


พริบตาทั้งร่างเขาก็คล้ายจมอยู่ในเพลิงไฟ กระทั่งเพลิงพลังยังลุกโชนประหนึ่งจะแผดเผาได้กระทั่งความว่างเปล่า

 

 

 


ตอนที่ 3079

 

หลังต้วนหลิงเทียนผสานพลังธาตุไฟเข้ากับพลังเซียนอมตะและใช้พลังจากความลึกซึ้งลุกโหมทับไปอีกชั้น ก็ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนไหวเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ใช้ยมทูตครอบงำแม้แต่น้อย


 


อย่างไรก็ตาม กฏแห่งความตายนั้นคือ 1 ใน 4 กฏสูงสุด และทรงพลังเหนือกว่ากฏทั่วไป!


 


อย่างเช่นตอนนี้ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ใช้ความลึกซึ้งยมทูตครอบงำนั้น เมื่อเทียบกับต้วนหลิงเทียนที่ใช้ความลึกซึ้งลุกโหมแล้ว มีแต่แข็งแกร่งกว่า ไม่อ่อนด้อยกว่าแน่นอน


 


ความลึกซึ้งลุกโหมของต้วนหลิงเทียน จริงอยู่ที่นอกจากเสริมความเร็วเป็นหลักแล้ว ยังช่วยหนุนเสริมในแง่ของการโจมตีได้ด้วย แต่เป็นธรรมดาว่ามันหนุนเสริมพลังโจมตีได้ด้อยกว่าความลึกซึ้งที่เสริมพลังโจมตีเป็นหลัก


 


ทว่าความลึกซึ้งยมทูตครอบงำของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่เพียงแต่จะเพิ่มพูนความเร็วให้ไม่ด้อยไปกว่าความลึกซึ้งลุกโหมเท่านั้น มันยังเพิ่มพูนพลังโจมตีได้ไม่ต่างอะไรกับความลึกซึ้งที่เสริมพลังโจมตีเป็นหลัก!


 


ด้วยเหตุนี้หากมองในภาพรวมแล้ว ความลึกซึ้งยมทูตครอบงำของกฏแห่งความตาย มันเหนือกว่าความลึกซึ้งลุกโหมขอกฏแห่งไฟ!


 


“ไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้าจะเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมของกฏแห่งไฟ…”


 


เมื่อเห็นร่างต้วนหลิงเทียนที่กลับกลายเป็นลูกไฟพุ่งฉากหลบออกข้างไป และพริบตาก็ฉีกระยะไปนู่น หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ประหลาดใจอยู่บ้าง


 


“อย่างไรก็ตาม หากวันนี้นอกจากความลึกซึ้งลุกโหมกับความหมายแห่งไฟแล้ว เจ้าไม่เจ้าใจความลึกซึ้งประการอื่นของกฏแห่งไฟ เจ้าก็มีแต่แพ้กับแพ้!”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตะเบ็งเสียงลำพองไม่ทันจบคำ ก็ปรากฏร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกคนแยกออกมาจากตัวมันปานภูตผี!


 


อย่างไรก็ตามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นคนนี้ สองตากลับไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แถมยังแดงฉานปานก้อนเลือด แม้ทั่วร่างจะไม่มีพลังใดๆก็ตาม แต่ยามเหินทะยานออกไป พลังสภาวะของมันไม่คล้ายอ่อนแอกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกคนเลย


 


หลังจากใช้ออกด้วยความลึกซึ้งยมทูตครอบงำแล้ว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังใช้ความลึกซึ้งร่างแฝดแห่งความตายออกมาทันที!


 


ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินมาก่อนแล้ว ว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ใช้ร่างแฝดแห่งความตาย


 


อย่างไรก็ตามเขาจดจำไม่ได้ และไม่ทราบว่าที่แท้ร่างแฝดแห่งความตายมันมีความสามารถอะไรบ้าง


 


จนเมื่อได้ไปหอตำราฝ่าในของนิกายอมตะเป้าผู่


 


ในหอตำรามียันต์อมตะเก็บความทรงจำที่อธิบายความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายเอาไว้ชัดเจน จะยมทูตครอบงำก็ดี ร่างแฝดแห่งงความตายก็ดี ลักษณะพลังนั้นเขาเคยอ่านผ่านตามาหมดแล้ว


เขาจึงรู้ว่าร่างแฝดแห่งความตาย ไม่เพียงจะมีรูปลักษณ์เหมือนร่างต้นราวฝาแฝด แต่ยังมีด่านพลังฝึกปรือเท่าเทียมกับร่างต้น อีกทั้งยังสามารถใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายได้ด้วย


 


อย่างไรก็ตามความลึกซึ้งของกฏแห่งตายที่มันใช้ได้นั้น นอกจากความหมายแห่งความตายแล้ว ก็ไม่อาจใช้ความลึกซึ้งอื่นๆได้


 


หากใช้ได้ ไม่ใช่ว่ามันจะใช้สร้างร่างแฝดแห่งความตายได้อย่างไร้สิ้นสุดหรือไร?


 


แต่กระนั้นก็ไม่ได้ลดทอนความน่ากลัวของร่างแฝดแห่งความตายเลย


 


ร่างแฝดแห่งความตายนั้นไม่อาจทำลายได้เว้นเสียแต่จะฆ่าร่างต้น ต่อให้ถูกพลังป่นปี้จนแหลกสลาย มันก็จะกลับกลายพลังแห่งความตายและก่อร่างขึ้นมาใหม่อีกครั้งทันที


 


นอกจากนั้นขณะที่ใช้ความลึกซึ้งร่างแฝดแห่งความตาย ตัวผู้ใช้ยังจะมีพลังและความเร็วเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่งอีกด้วย!


 


ด้วยเหตุนี้ในวินาทีที่ร่างแฝดแห่งความตายปรากฏขึ้น ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เปลี่ยนทิศทางโจนทะยานติดตามต้วนหลิงเทียนไป อยู่ๆความเร็วก็พุ่งสูงขึ้นในชั่วพริบตา!


 


ฟุ่บบบ!!


 


เมื่อความเร็วของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเพิ่มพูนขึ้นในฉับพลัน ร่างมันก็พุ่งไปด้วยความเร็วเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนที่ใช้คววามลึกซึ้งลุกโหมอย่างเห็นได้ชัด!


 


ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ความเร็วเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด พริบตาก็พุ่งตามไปเจียนบรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียน!


 


ฟุ่บบบ!!


 


ไม่เพียงหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังจะไล่ทันต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ร่างแฝดแห่งความตายเองก็พุ่งติดตามมาด้านหลังมันราวกับเงาตามตัว!


 


‘วัดกันแต่ความเร็ว ตอนนี้ข้านับว่าด้อยกว่ามันมาก…ร่างแฝดแห่งความตายนั่นเพิ่มความเร็วให้มันพอพอสมควรเลย ต่อให้ข้าใช้ความลึกซึ้งเผาไหม้ตอนนี้ แต่อย่างดีก็เพิ่มความเร็วได้ไม่เท่าไหร่ ไม่เท่าร่างแฝดแห่งความตายของมันแน่’


 


เมื่อเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับร่างแฝดแห่งความตายจี้เข้ามาติดๆ และอีกไม่นานคงตามทัน สองตาต้วนหลิงเทียนพลันหดหยีลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็เรืองประกายวาบขึ้นปานฟ้าแล่บ ในใจบังเกิดความคิดประการหนึ่ง!


 


ตอนนี้หากยังคิดจะฉีกระยะหยั่งเชิง ไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์ แต่ไม่พ้นต้องถูกร่างต้นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพุ่งแซงไปก่อน จากนั้นก็ถูกร่างแฝดแห่งความตายที่ติดตามมาด้านหลังกลุ่มรุมกระหนาบหัวท้ายแน่นอน


 


เนื่องเพราะความเร็วของเขาที่อาศัยความลึกซึ้งลุกโหมอย่างเดียว มันสู้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ใช้ยมทูตครอบงำกับร่างแฝดแห่งความตายไม่ได้เลย


 


เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงล้มเลิกการฉีกระยะหยั่งเชิง และลงมือจู่โจมออกกไปทันที!


 


อาศัยความลึกซึ้งลุกโหมกับเผาไหม้ ก็มากพอจะทำให้เขามีพลังโจมตีเหนือกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในตอนนี้แล้ว


 


ความลึกซึ้งลุกโหมของกฏแห่งไฟอาจเพิ่มพูนพลังโจมตีได้ไม่เท่ายมทูตครอบงำของกฏแห่งความตาย


 


อย่างไรก็ตามความลึกซึ้งเผาไหม้นั้น มันสามารถเพิ่มพูนพลังโจมตีให้เขาได้มากกว่าร่างแฝดแห่งความตายหลายขุม!


 


เพราะความลึกซึ้งเผาไหม้เป็นหนึ่งในความลึกซึ้งที่เสริมพลังเป็นหลักของกฏแห่งไฟ!


 


เรียกว่ายามผสานใช้ความลึกซึ้งลุกโหมกับความลึกซึ้งเผาไหม้ พลังโจมตีของเขาจะทรงพลังเหนือกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ใช้ความลึกซึ้งยมทูตครอบงำกับร่างแฝดแห่งความตายแน่นอน!


 


“รับมือ!”


 


ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังจะไล่ตามต้วนหลิงเทียนที่กลายเป็นดั่งลูกไฟได้ทันนั้น อยู่ๆต้วนหลิงเทียนที่กลายเป็นลูกไฟร้อนระอุก็โพล่งคำออกมาอย่างดุดัน!


 


จากนั้นลูกไฟที่พุ่งไปเบื้องหน้าฉับไว คล้ายบังเกิดการระเบิดขึ้น พริบต่าต่อมามันก็วกกลับมาหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสภาวะดุร้ายดื้อๆ!


 


ปงงงงงง!!


 


ฟู่มมมม!!


 



 


เสียงระเบิดของพลังหนึ่งก็ดังสนั่นกึกก้องไปทั่วฟ้า ลูกเพลิงอยู่ๆก็เปลี่ยนทิศทางย้อนศรกลับมาอย่างอัศจรรย์! จากนั้นลูกไฟระอุก็คล้ายจะขยายใหญ่ขึ้นในชั่วพริบตา!!


 


ที่สำคัญตอนนี้เปลวไฟที่ลุกโชนนั่นเสมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่ากลัว มวลอากาศโดยรอบประหนึ่งจะถูกแผดเผาจนมอดไหม้!


 


“นี่มัน…ความลึกซึ้งเผาไหม้!”


 


เดิมทีหลิงเจวี๋ยอวิ๋นคิดว่าจะอาศัยความเร็วที่เหนือกว่าพุ่งแซงต้วนหลิงเทียนไปแล้ววกกลับมาจู่โจมซึ่งจะทำให้ต้วนหลิงเทียนเสมือนโดนกระหนาบจู่โจมทั้งหัวท้าย แต่อยู่ๆพอเห็นต้วนหลิงเทียนวกกลับมาหน้าตาเฉย ทั้งเปลวเพลิงทั่วร่างก็คล้ายจะทวีความรุนแรงขึ้นในฉับพลัน กอปรกับสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุปานบรรยากาศมอดไหม้! ลูกตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หดเล็กลงทันที!!


 


กระทั่งลึกลงไปในแววตา ยังฉายชัดถึงความตกตะลึงเหลือเชื่อขึ้นมา!


 


‘ต้วนหลิงเทียนนั่น…ไม่ใช่ว่ามันเชี่ยวชาญกฏแห่งดินหรือไร!?’


 


‘หรือในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำและตอนประลองกับองค์ชายรองหนันฉี่นั่น มันใช้กฏแห่งดินออกมาเพื่อตบตาทุกคน แต่ที่แท้มันเชี่ยวชาญกฏแห่งไฟมากที่สุด!?’


 


เห็นต้วนหลิงเทียนใช้ความลึกซึ้งลุกโหม ตามมาด้วยความลึกซึ้งเผาไหม้แบบนี้ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่อาจไม่แปลกใจ ยังคิดไปว่าที่ผ่านมาต้วนหลิงเทียนจงใจใช้กฏแห่งดินเพื่อปิดบังกฏแห่งไฟ!


 


“หากเจ้าทำได้แค่นี้…ไม่เกิน 10 กระบวนท่าเจ้าแพ้ข้าแน่!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่วกร่างโจนทะยานเข้ามาหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพร้อมเพลิงพลังที่ลุกโชนท่วมร่างอย่างน่ากลัว เอ่ยออกเสียงเรียบ


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่กล่าวจบคำ ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดหีลง จากนั้นเปลวเพลิงมหึมารอบกายก็รวมควบรวมก่อเกิดกระบี่ไฟเล่มแล้วเล่มเล่า!


 


กระบี่ไฟหลายเล่มอุบัติขึ้นในห้วงเวลาชั่วพริบตา พวกมันเหินวนเวียนรอบร่างต้วนหลิงเทียนไม่กี่รอบ ก็พุ่งทะยานเข้าใส่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นปานห่าอุกกาบาต!


 


ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!


 



 


เสียงหอนกระบี่ดังขึ้นระงม กระบี่เพลิงที่พุ่งไปฉับไวปานลำแส ทะลวงแหวกอากาศมาประหนึ่งห่าพิรุณเปลวเพลิง!


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนที่ควบคุมห่ากระบี่ให้พุ่งใส่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้วเสร็จ ร่างคนก็ปะทุพลังขึ้นอีกขุม จากคนก็โจนทะยานขึ้นฟ้าพลางง้างมือขึ้นแล้วตบฟาดลงมาทันที!


 


เป้าหมายการตบฟายย่อมเป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!


 


ในห้วงเวลาพริตาดุจละอองไฟวาบดับ ต้วนหลิงเทียนก็ลงมือจู่โจมออกมา 2 กระบวนท่า!


 


ปงงงง!!


 


ซู่มมม!!


 



 


เสียงระเบิดประหนึ่งฟ้าคำรนดังขึ้นกึกก้อง พร้อมๆกันกับที่ฝ่ามือต้วนหลิงเทียนฟาดตบลงมา มวลพลังเพลิงที่ปะทุขึ้นมาทั่วร่างก็เริ่มผนึกลงสู่ฝ่ามือ จากนั้นก็พุ่งออกไปเป็นสายประหนึ่งธารลาวาเชี่ยวโถมเข้าใส่หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!


 


กระบี่เพลิงฉับไวปานประกายแสงหลายเล่ม พร้อมด้วยกระแสพลังร้อนระอุปานธารลาวาเชี่ยวหลั่งไหลจากฟากฟ้า ต่างโถมถันเข้าใส่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอย่างดุดัน!


 


เผชิญกับกระบวนท่าเปี่ยมล้นไปด้วยพลังทำลายอันน่าพรั่นพรึง 2 กระบวนติด หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลันชะงักร่างลงกลางหาว พร้อมๆกับร่างแฝดแห่งความตายที่พุ่งมาหยุดข้างกายมัน!


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าซุกซ่อนได้ลึกยิ่ง!”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองต้วนหลิงเทียนบนฟ้า ด้วยสีหน้าท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง จากนั้นพลังแห่งความตายที่ม้วนวนรอบร่างมันก็เริ่มปั่นป่วนปานมหาพายุ!


 


ทันใดนั้นพลังเซียนอมตะที่ผสานไปด้วยพลังแห่งความตายดังกล่าว ก็เริ่มมาควบรวมก่อเกิดเป็นเคียวเล่มหนึ่ง!


 


อย่างไรก็ตามเคียวเล่มนี้ยังแลดูหยาบๆ คล้ายยังควบแน่นก่อเกิดไม่สมบูรณ์ ราวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังไม่บรรลุพลังดังกล่าว!


 


วู้ม! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!


 



 


เสียงพลังงกู่ร้องดังขึ้น พร้อมกันนั้นก็บังเกิดเสียงแหวกอากาศดังขึ้นแผ่วเบาระรัว เป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ปะทุพลังควบรวมก่อเกิดเคียว ได้ตวัดฟันฟาดเคียวออกไปปานจักรผัน ซัดคลื่นพลังหมายต้านทานรับห่าพิรุณกระบี่เพลิงของต้วนหลิงเทียนอย่างไม่หวาดหวั่น!!


 


ปง! ปง!


 



 


พร้อมกันนั้นเองร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ย่ำเท้าเหยียบอากาศอย่างแรงจนมวลอากาศแตกระเบิด ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นปานจรวด จากนั้น 2 มือก็ตบฟาดขึ้นไปเบื้องบนจนอากาศแตกระเบิดอีกครา ท่าทางมันคิดจะแบกรับธารลาวาเชี่ยวที่โถมถันลงมาของต้วนหลิงเทียนตรงๆ!!


 


พริบตาต่อมา กระบี่เพลิงที่กระหน่ำลงมาปานห่าพิรุณของต้วนหลิงเทียนก็ปะทะเข้ากับคลื่นพลังที่ซัดออกจากเคียวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


พร้อมๆกับกระแสพลังเพลิงระอุดั่งธารลาววาเชี่ยวที่ถล่มลงจากฟากฟ้า ก็สาดโถมลงร่างแฝดแห่งความตาย!


 


ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!


 



 


เสียงระเบิดสนั่นดังขึ้นถี่ยิบ กระบี่เพลิงดั่งประกายแสงถูกคลื่นพลังจากเคียวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นปะทะต้านทานอย่างจัง แม้พวกมันสามารถเอาชนะคลื่นพลังจากเคียวได้ กระนั้นพลังก็ลดทอนลงไปหลายส่วน


 


ส่วนอีกด้านกระแสพลังเพลิงระอุที่โถมลงมาดั่งธารลาวาเชี่ยวก็กลืนร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ไม่ยากเย็น ร่างแฝดแห่งความตายประหนึ่งถูกหลอมจนสลายเป็นไอพลังสีดำ!


 


อย่างไรก็ตามไอพลังสีดำดังกล่าว ก็ควบรวมก่อเกิดร่างแฝดแห่งความตายอีกครา และยังคงยกฝ่ามือขึ้นฟ้าหมายแบกรับธารลาวาเชี่ยวเอาไว้ ประหนึ่งนักรบเดนตายไร้ความกลัว


 


เหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวดำเนินขึ้นถี่ยิบในห้วงเวลาแค่พริบตา


 


จนในที่สุดความเร็วในการควบสร้างร่างแฝดแห่งความตายก็เริ่มช้าลง อย่างไรก็ตามกระแสพลังเพลิงระอุที่หลั่งไหมาปานธารเชี่ยวก็เริ่มช้าลงเช่นกัน


 


ฟุ่บบบ!!


 


ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ตวัดเคียวซัดพลังต้านกระบี่เพลิงของต้วนหลิงเทียนเป็นพัลวัน ฉวยโอกาสดังกล่าวพุ่งร่างหลบออกจากจุดเดิมไปด้วยความเร็วฉับไวปานภูตผี!


 


เปรี๊ยง! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!


 



 


ห่ากระบี่เพลิงของต้วนหลิงเทียนที่ถูกคลื่นเคียวซัดจนลดทอนสภาววะไปหลายส่วน ก็ได้แต่พุ่งเสียบอากาศอย่างจัง จากนั้นก็ร่วงตกลงไปถล่มทำลายผืนป่าเบื้องล่างจนวินาศสันตะโร! นอกจากนั้นกระแสพลังดั่งธารลาวาเชี่ยวก็พุ่งไปถล่มผืนดินเบื้องล่างจนเกิดหลุมลึก ปรากฏไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมาจากก้นหลุมขโมงโฉงเฉง!!


 


“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเข้าใจความลึกซึ้ง เคียวยมทูต ของกฏแห่งความตายแล้วด้วย”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างค้างกลางหาว ชุดคลุมสีม่วงโบกสะบัดไปตามแรงลม ก้มลงมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเบื้องล่างพลางกล่าว แม้สายตาจะเฉยเมยหากแต่น้ำเสียงฟังดูประหลาดใจอยู่บ้าง

 

 

 


ตอนที่ 3080

 

เคียวยมทูต เป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายที่หนุนเสริมการโจมตีเป็นหลัก และยังทรงพลังที่สุดในกฏแห่งความตาย เรียกได้ว่าเป็นความลึกซึ้งเสริมการโจมตีหลักอันดับหนึ่ง!


 


อย่างไรก็ตามจากที่ต้วนหลิงเทียนเห็น หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังไม่ได้เข้าใจความลึกซึ้งเคียวยมทูตถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น เรียกว่าแค่เข้าใจบางส่วน และแทบจะใช้พลังของมันได้ไม่ถึงเสี้ยว


 


ระดับความเข้าใจก็ดุจเดียวกับพื้นที่โน้มถ่วงและความลึกซึ้งปะทุของต้วนหลิงเทียน


 


“เท่าที่ข้ารู้มา…เคียวยมทูตเหมือนจะเป็นความลึกซึ้งที่เข้าใจได้ยากที่สุดของกฏแห่งความตายใช่ไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ


 


“นับว่าเจ้ารู้จักกฏแห่งความตายยไม่น้อยเลยทีเดียว…ไม่ผิด เคียวยมทูตเป็นความลึกซึ้งที่เข้าใจได้ยากที่สุดของกฏแห่งความตาย”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาแปลกใจเล็กน้อย ค่อยพยักหน้า “เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข้าพึ่งจะหยั่งถึงความลึกซึ้งเคียวยมทูต จนพอใช้พลังของมันได้บางส่วน”


 


“แต่ถึงเจ้าจะใช้พลังมันได้ไม่มากเท่าไหร่ พอเอามารวมกับสิ่งที่เจ้ามี…ก็นับว่าช่วยเจ้าได้ไม่น้อย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


หากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่อาจใช้เคียวยมทูตได้ล่ะก็ ถึงแม้ร่างแฝดแห่งความตาจะหยุดกระแสพลังเพลิงของเขาได้ แต่ร่างต้นก็คงไม่พ้นต้องถูกห่ากระบี่เพลิงของเขาจัดการอยู่ดี


 


“ต้วนหลิงเทียนความเข้าใจในกฏแห่งไฟของเจ้านับว่าเหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ…หากข้าเดาไม่ผิด ที่ทะเลสาบอวิ๋นเยียนทั้งในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ…เจ้าสมควรใช้กฏแห่งดินบังหน้าเพื่อปกปิดพลังที่แท้จริงของเจ้าสินะ”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวถาม


 


“หากข้าบอกว่า…ข้าพึ่งจะมาศึกษากฏแห่งไฟหลังจากเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่ เจ้าจะเชื่อรึเปล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนยักไหล่พลางถาม


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เบ้ปาก แลดูไม่เชื่อแม้แต่น้อย


 


ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่ได้นานเท่าไหร่กัน?


 


ยังไม่ทันถึงสิบปี!


 


ภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี หากเข้าใจความหมายแห่งไฟก็ไม่นับเป็นเรื่องอะไร


 


แต่ตอนนี้นอกจากความหมายแห่งไฟ ต้วนหลิงเทียนยังเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมกับเผาไหม้ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้ว! เรื่องพรรค์นี้เก็บไว้หลอกเด็ก 3 ขวบเถอะ!!


 


“ต้วนหลิงเทียน จริงอยู่ที่ความสามารถเจ้าเหนือความคาดหมายของข้า…แต่ตอนนี้เลิกคุยเถอะ สมควรจบเรื่องได้แล้ว”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้ามั่นใจ และพอกล่าวจบชุดคลุมสีเทาของมันก็เริ่มโบกสะบัดแม้ไร้ลม จากนั้นไอพลังแห่งความตายก็เริ่มม้ววนวนทั่วร่าง แลดูมืดมนนัก


 


“จบได้แล้ว?”


 


ต้วนหลิงเทียนยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพลางกล่าวถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “หรือเจ้าจะยอมแพ้แล้ว?”


 


“ข้า? ยอมแพ้?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นแสยะยิ้มพลางส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็กล่าวออกด้วยน้ำเสียงถือดี  “ข้าแค่จะบอกเจ้าว่า…เจ้ากำลังจะแพ้!”


 


“ข้ากำลังจะแพ้?”


 


ได้ยินวาจามั่นใจของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ “ต่อให้ข้าจะไม่เร็วเท่าเจ้า แต่อาศัยพลังของข้าตอนนี้…สมควรไล่ต้อนเจ้าได้ทุกทาง แล้วข้าจะเอาอะไรไปแพ้?”


 


“ดูจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ต่อให้ข้าใช้การไม่ได้แค่ไหน แต่อย่างน้อยๆคิดจะสู้เสมอกับเจ้าก็คงไม่มีปัญหาหรอกมั้ง?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงขบขัน


 


แน่นอนว่ามีบางสิ่งที่เขายังไม่ได้พูดออกไป นั่นคือเขาเองก็ยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด เพราะตอนนี้เขาเองก็เข้าใจความลึกซึ้งปะทุบางส่วนแล้ว เรียกว่าสามารถใช้พลังของมันได้ไม่ต่างอะไรจากเคียวยมทูตของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเลย


 


ถึงแม้ว่าความลึกซึ้งปะทุอาจจะยังเพิ่มพลังให้เขาได้ไม่มาก แต่ความเร็วของเขาย่อมเหนือกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอนนี้แน่นอน


 


นอกจากนั้นพลังโจมตีจากเดิมที่เหนือกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่เล็กน้อย ก็จะเพิ่มขึ้นจนเหนือกว่าที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะรับไหวทันที!


 


“ก็ถูกของเจ้า”


 


มุมปากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นค่อยๆกยิ้มแสยะ “แต่ก็อย่างที่เจ้าบอก…หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้น่ะนะ”


 


“ว่าแต่เจ้าแน่ใจเหรอ ว่าข้าลงมือเต็มที่แล้ว?”


 


กล่าวจบคำ ลูกตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หดเล็ก ทันใดนั้นแสงสีเลือดพลันสาดส่องออกมาจากดวงตา มองไปประหนึ่งดาวตกสีแดงพุ่งผ่านฟากฟ้ายามค่ำคืน!


 


และพร้อมกันกับที่สองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่องแสงสีแดงออกมา ทั่วร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เสมือนมีหมอกโลหิตปะทุออกมาในฉับพลัน!


 


ที่สำคัญหมอกโลหิตพอปะทุออกมา มันก็เริ่มหลอมรวมเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานพลังแห่งความตายทันที!


 


จากนั้นไอพลังสีดำอันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายรอบกายหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็เริ่มเปลี่ยนสีไปจนคล้ายถูกโลหิตอาบย้อม


 


“ตระกูลของข้าล้วนได้รับสืบทอดพลังสายเลือดต่อๆกันมา…ด้วยด่านพลังฝึกปรือของข้าในตอนนี้ แม้จะพึ่งปลุกพลังสายเลือดได้ไม่เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ช่วยอะไร!”


 


พอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวจบคำ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดสีดำที่ห้อมล้อมไปด้วยอัสนีสีแดงเลือด ก็ค่อยๆหลั่งไหลลงสู่เคียวยมทูตที่รูปลักษณ์ดูหยาบๆทันที


 


“อย่างน้อยๆ…มันก็ช่วยยกระดับความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายที่ข้าเข้าใจบางส่วนให้มีพลังทัดเทียมกับตอนข้าเข้าใจเต็มที่!”


 


พอกล่าวจบคำ เคียวยมทูตที่แลดูหยาบๆในมือหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็ค่อยๆชัดเจนทั้งควบแน่นจนไม่ต่างอะไรจากวัตถุมีสภาพ ประหนึ่งเป็นเคียวยมทูตที่แท้จริง!


 


“นี่มัน…”


 


ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนก็พบได้ไม่ยาก ว่าพลังโลหิตที่ปะทุออกมารอบกายหลิงเจวี๋ยอวิ๋น  มันเริ่มผสานควบรวมเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอย่างกลมกลืน ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน


 


พริบตาต่อมา พลังดังกล่าวก็เริ่มหลั่งไหลลงสู่ตัวเคียวที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นสร้าง ทันใดนั้นเคียววที่มีรูปลักษณ์หยาบๆ ทั้งพร่าเลือนปานแสงโฮโลแกรม ก็ค่อยๆควบแน่นจนชัดเจน คล้ายกลับกลายเป็นวัตถุมีสภาพจับต้องได้จริงๆ!


 


สีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที


 


ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าหมายความว่าอะไรเขาย่อมรู้ดี


 


หมายความว่าตอนนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเสมือนเข้าใจความลึกซึ้งเคียวยมทูตได้แล้ว!


 


หากจะกล่าวว่าก่อนหน้านี้ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเสมือนพึ่งหยั่งถึงความลึกซึ้งเคียวยมทูตและใช้พลังของมันได้บางส่วนล่ะก็…


 


บัดนี้ความลึกซึ้งเคียวยมทูตของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น  ไม่ต่างอะไรจากเข้าใจจนบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!


 


ทั้งสองเรื่อง เป็นอะไรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!


 


“ตอนนี้ หลังข้าใช้พลังสายเลือด…ก็ไม่ต่างอะไรจากข้าเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 4 ประการถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น…แล้วเจ้ายังคิดว่าจะมีปัญญาสู้เสมอข้าได้อีกรึ?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยกยิ้มแสยะอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง จากนั้นก็โจนทะยานสวนเข้าใส่ด้วยท่าทางมั่นใจ ต่างจากตอนเร่งรุดล่าถอยเมื่อครู่ราวคนละคน!


 


ขณะเดียวกัน เคียวมทูตที่ไม่ต่างอะไรจากเคียวจริงๆ ก็ถูกควงเพื่อเร่งเร้าสภาวะอย่างชำนิชำนาญ  ราวกับพร้อมฟาดสยบต้วนหลิงเทียนยได้ทุกเมื่อ!


 


ฟุ่บบ! ซู่มม!!


 


ร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็โจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนพร้อมร่างต้นอย่างดุร้าย!


 


คราวนี้ไม่เพียงแต่ความเร็วของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะเหนือกว่าต้วนหลิงเทียน กระทั่งพลังโจมตีก็เหนือกว่าต้วนหลิงเทียนไปแล้ว!


 


ความลึกซึ้งเคียวยมทูตที่พอเข้าใจบางส่วนกับเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น เรียกว่าพลังอำนาจไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย!


 


ทั้งความเร็วของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอนนี้ก็รวดเร็วเหลือเกิน ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้ตอบสนองใดๆ ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็พุ่งผ่านครึ่งทางแล้ว!


 


ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ!


 



 


พอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นโจนทะยานเข้ามาใกล้ถึงครึ่งทาง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงเคียวยมทูตที่ควงปานจักรผันได้ชัดถนัดหู!


 


กระทั่งเสียงควงเคียวนี้ยังดังสนั่น ประหนึ่งมันจะผ่าได้กระทั่งความว่างเปล่าก็ไม่ปาน!


 


อย่างไรก็ตาม แม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะโจนทะยานเข้ามาด้วยความเร็วสูง ต้วนหลิงเทียนก็ยังสามารถตอบโต้ได้ทัน


 


“ปะทุ!”


 


เผชิญหน้ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่โจนทะยานพร้อมควงเคียวยมทูตมาด้วสภาวะดุดันเหี้ยมหาญปานขุนพลชำนาญศึก นอกจากพลังที่ใช้ออกก่อนหน้าแล้ว ครานี้ต้วนหลิงเทียนยังเผยความลึกซึ้งปะทุออกมาอีกด้วย!


 


ความลึกซึ้งปะทุ นับเป็นความลึกซึ้งที่เน้นเสริมการโจมตีเป็นหลักของกฏแห่งไฟ และยังเพิ่มความเร็วได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย!


 


พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!


 


ฟั่ฟฟ! ฟั่ฟฟ! ฟั่ฟฟ! ฟั่ฟฟ! ฟั่ฟฟ!


 



 


รอบกายต้วนหลิงเทียนอุบัติกระบี่เพลิงขึ้นมาม้วนวนดั่งดวงดาวอีกครา จากนั้นพวกมันก็พุ่งทะยานออกไปฉับไวปานจุดระเบิด!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เห็นกระบี่เพลิงพุ่งมาก็ไม่ตื่นตระหนก เร่งตวัดเคียวยมทูตในมือฟันฟาดทำลายกระบี่เพลิงระรัวปานจักรผัน! เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้อง กระบี่เพลิงแต่ละเริ่มถูกฟันจนแตกระเบิดปานพลุไฟ!!


 


อย่างไรก็ตาม หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตระหนักได้ชัดเจน ว่ากระบี่เพลิงของต้วนหลิงเทียนรอบนี้ มันทั้งรวดเร็วและทรงพลังมากกว่าเดิม!


 


“ความลึกซึ้งปะทุของกฏแห่งไฟ!?”


 


ถึงแม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะสามารถฟันกระบี่เพลิงที่จู่โจมเข้ามาในฉับพลันจนแตกระเบิดปานพลุไฟได้หมด แต่มันก็ไม่อาจไม่ประหลาดใจกับความลึกซึ้งปะทุของกฏแห่งไฟที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งใช้ออก!


 


เป็นธรรมดาว่ามันยังมองออกอีกด้วย


 


ว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่เข้าใจความลึกซึ้งปะทุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น! ก็แค่หยั่งถึงบางส่วนและพอๆกับที่มันเข้าใจเคียวยมทูตเท่านั้น!!


 


เพียงแค่ตอนนี้มันใช้พลังสายเลือด จึงทำให้เคียวยมทูตยกระดับพลังขึ้นเท่าเทียมกับการบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!


 


ฉากคล้ายๆกันก่อนหน้านี้ปราฏขึ้นอีกครา


 


ทว่าคราวนี้ฝ่ายที่รุกไล่กลับเป็นหลิเจวี๋ยอวิ๋น ส่วนต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถีบเท้าส่งร่างทะยานถอยหลังพลางควบสร้างกระบี่เพลิงจู่โจมเข้าใส่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่หยุด!


 


ด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นฟาดเคียวทำลายกระบี่เพลิงไม่หยุด ทั้งย่นระยะเข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนมากขึ้นทุกขณะ เห็นชัดว่ามันมีเปรียบ!!


 


“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งปะทุได้บางส่วนแล้ว…แต่กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี!!”


 


หลังจากที่รุกไล่เข้าใส่ต้วนหลิงเทียนพลางฟันทำลายกระบี่เพลิงที่ยิ่งถล่มมาปานปืนกลของต้วนหลิงเทียนไปพักหนึ่ง ในที่สุดหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ย่นระยะห่างระหวว่ามันกับต้วนหลิงเทียนได้อีกครึ่ง!


 


อีกทั้งด้านหลังมันก็ปรากฏร่างแฝดแห่งความตายพุ่งทะยานตามมาติดๆดั่งเงาตามตัว เรียกว่าพร้อมกลุ้มรุมทุบตีต้วนหลิงเทียนตลอดเวลา!


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 



 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่โจนทะยานใกล้ถึงตัวต้วนหลิงเทียน สีหน้ายิ่งมายิ่งฉายชัดถึงความมั่นใจ เคียวยมทูตในมือฟันฟาดออกไปอย่างคล่องแคล่ว ทุบทำลายกระบี่เพลิงได้อย่างหมดจด กระทั่งอานุภาพเคียวยังประหนึ่งจะฉีกกระชากได้กระทั่งห้วงมิติ


 


“เจ้ายังมีลูกไม้อันใดอีกหรือไม่? หากมีก็รีบใช้ออกเสีย!”


 


“หากไม่มีเจ้าก็แพ้ไปซะ! อาศัยพลังของเจ้าตอนนี้ หาใช่คู่มือข้าไม่!!”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนได้มากพอ ก็ฟาดเคียวออกไปหมายตบร่างต้วนหลิงเทียนให้ปลิว วินาทีนี้มุมปากมันคลี่ยิ้มสดใสย่ามใจ ราวกับเห็นชัยชนะอยู่รำไร!


 


เพราะในสายตามัน เคียวนี้…ต้วนหลิงเทียนรับไม่ไหวแน่นอน! และไม่พ้นต้องถูกฟาดจนปลิวละลิ่วแพ้พ่าย!!


 


หากต้วนหลิงเทียนยังมีทีเด็ดอะไรอยู่จริงๆ ป่านนี้คงใช้ออกมาแล้ว ไม่รอให้จวนตัวแบบนี้หรอก!


 


เมื่อเห็นรอยยิ้มแสยะย่ามใจ ราวกับคว้าชัยชนะอยู่ในกำมือแน่แล้ว ต้วนหลิงเทียนที่เดิมทีก็ไม่ได้แยแสว่าจะชนะหรือแพ้สักเท่าไหร่ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


‘ไอ่เจ้าบ้านี่…มันชนะแล้วจะได้โล่รึยังไง?’


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลง มุมปากยังยกยิ้มแสยะบางๆไม่ได้นำพาเคียวที่ฟาดแหวกอากาศเข้ามาแม้แต่น้อย ‘แต่ยังเร็วเกินไปที่เจ้าจะคิดว่าชนะข้าได้’


 


ในห้วงพริบตาที่คิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เรียกเพลิงเทพโกลาหลในร่างทันที “อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล…ช่วยข้าตบสั่งสอนเจ้านี่ได้รึเปล่า?”


 


“ย่อมได้ ต่อไปเจ้าคิดทำอะไรก็ทำได้ตามใจไม่ต้องถาม ขอเพียงเรื่องราวไม่หนักหนาเหมือนตอนฆ่ามือสังหารกะโหลกเลือดขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานนั่นก็พอ”

Home  War sovereign Soaring The Heavens  ตอนที่ 3081

 

 

 


ตอนที่ 3081

 

ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องกล่าวยอมแพ้หรือพยายามหลบหนีไม่ก็ต้านทานสุดกำลัง ฉากเหนือคาดฝันพลันอุบัติขึ้นอีกครั้ง


 


มันเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่หลบไม่หนีไม่ป้องกัน แต่คนกลับชะงักร่างลงกลางอากาศ และทำท่าราวกับจะเผชิญหน้ากับเคียวของมันตรงๆ!


 


ฟู่มมม!!


 


ทันใดนั้นเองเปลวเพลิงทั่วร่างต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็ปะทุลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรง จนคนคล้ายจะจมหายไปในกองไฟโดยสมบูรณ์ คิดลงมือต้านรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่โจนทะยานจู่โจมเข้ามาตรงๆ!


 


ขวับ! ซู่มมม!!


 


การลงมือต้านทานที่ว่า ก็คือหนึ่งหมัดที่ง้างแล้วชกออกมาในฉับพลัน!


 


ทันใดนั้นเอง


 


ปงงงง!!


 


ครืนนนน!!


 



 


มวลพลังดั่งก้อนลาวาพวยพุ่งออกมาจากหมัดของต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด! ก้อนลาวาดังกล่าวยังเปี่ยมล้นไปด้วยเปลวเพลิงที่ลุกโชนแผดเผาอย่างน่ากลัว เรียกว่าห้วงอากาศเสมือนถูกเผาจนส่งกลิ่นเหม็นไหม้!!


 


ธาตุไฟ!


 


ความลึกซึ้งลุกโหม!


 


ความลึกซึ้งเผาไหม้!


 


มองจากพลังดังกล่าว นับว่าต้วนหลิงเทียนใช้พลังของกฏแห่งไฟจากความลึกซึ้ง 3 ประการอย่างเต็มกำลัง และในห้วงเวลาที่มวลพลังร้อนระอุดั่งก้อนลาวาพึ่งทะยานห่างออกจากหมัดไม่ทันไร ด้านหลังของมันก็เริ่มส่อสัญญาณระเบิด บังเกิดประกายเพลิงพวยพุ่งงปะทุออกมาเบาๆ!


 


เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนกำลังใช้ออกด้วยความลึกซึ้งหนุนเสริมพลังไปอีกอย่าง!


 


อย่างไรก็ตามหากพลังอานุภาพมีเพียงเท่านี้ ยังนับว่าด้อยกว่าเคียวยมทูตของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!


 


“หาเรื่องเจ็บตัว!!”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนยิงหมัดซัดพลังเพลิงสวนเข้ามา หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ยิ้มร่าโพล่งกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ เคียวยมทูตฟาดฟันไปยังมวลเพลิงปานก้อนลาวาอย่างเกรี้ยวกราด!


 


พริบตาต่อมา!


 


สองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทอประกายเรืองวาบ เคียวยมทูตคล้ายได้รับพลังอำนาจหนุนเสริมจากทวยเทพ ไอพลังสีดำทั้งประกายอัสนีสีแดงเลือดแปลบปลาบไปทั่วตัวเคียว! ฟาดปะทะเข้าใส่ก้อนลาวาอย่างจัง!!


 


วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!


 



 


พริบตาที่ปะทะเคียวยมทูตระเบิดแสงพลังสีดำออกมาปานจะลบเลือนแสงสว่าง! คล้ายจะย้อมโลกหล้าให้ตกอยู่ในห้วงแห่งความมืด!!


 


เมื่อเผชิญกับเคียวยมทูตที่เปล่งแสงพลังสีดำ มวลพลังเพลิงดั่งก้อนลาวาสีแดงฉาน ก็คล้ายเป็นดวงตะวันที่สาดแสงท่ามกลางความมืดมิด!


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 


ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!


 



 


แสงพลังสีมืดจากเคียวพอปะทะเข้ากับแสงพลังสีแดงเพลิง ก็บังเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง! จากนั้นพอตัวเคียวยมทูตสัมผัสเข้ากับมวลพลังดั่งก้อนลาวาจังๆ ก็คล้ายตัวเคียวจะแหวกผ่าพลังเพลิงเข้าไปได้ไม่ยากเย็น!!


 


“เจ้าแพ้แล้ว!!”


 


เห็นดังนั้นสองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ทอประกายวับวาว รอยยิ้มแห่งชัยชนะคลี่กางขึ้นเต็มใบหน้า!!


 


ขณะเดียวกันมันก็มองจองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาผยอง ด้วยอยากเห็นว่าต้วนหลิงเทียนจะทำหน้าอย่างไรตอนแพ้พ่าย!


 


ทว่าห้วงเวลาเสี้ยวพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็พบว่า


 


บนหน้าต้วนหลิงเทียนนั้น ความสิ้นหวังหดหู่อันใดของคนแพ้หามีไม่ กลับกันยังปรากฏรอยยิ้มลี้ลับหนึ่งขึ้นมา


 


ห้วงเวลานี้มันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนยังจะมาฉีกยิ้มอะไรอยู่ได้


 


‘หรือ…ต้วนหลิงเทียนนี่มันยังกั๊กอันใดเอาไว้?’


 


จังหวะนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปอยู่บ้าง แต่หลังจากคิดอีกครั้งมันก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เห็นๆกันอยู่ว่าเคียวมันเริ่มผ่าก้อนพลังเพลิงของอีกฝ่ายเข้าไปได้แล้วชัดๆ! อีกเดี๋ยวต้องผ่าทำลายพลังอีกฝ่ายจนซัดคนปลิดปลิวได้แน่!!


 


“ไม่…เจ้าแพ้!”


 


ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรสิ้นท่าแน่แล้ว ก็พอดีกับที่เสียงต้วนหลิงเทียนดังขึ้นเข้าหูมันอย่างประจวบเหมาะ


 


ขณะนั้นเอง


 


“อะไร…เป็นไปได้ยังไง!?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะแตกตื่น เนื่องเพราะมวลพลังเพลิงดั่งก้อนลาวาที่เคียวมันเริ่มผ่าเข้าไปได้นั้น อยู่ๆเคียวมันก็หยุดกึกเสมือนพบเจอแรงต้านทานมหาศาล อีกทั้งไม่ทันให้มันทำอะไรมันก็สัมผัสได้ว่าด้านในก้อนเพลิงดังกล่าวกำลังมีพลังมหาศาลขุมหนึ่งระเบิดออก!!


 


เปรี๊ยงงงงง!!


 


ตูมมมม!!!


 



 


เสียงระเบิดปานฟ้าถล่มดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว บัดนี้หากใครมองมาแต่ไกล จะพบว่ากลางอากาศเหนือแนวป่าติดสันเขา อยู่ๆก็บังเกิดเมฆเห็ดสีแดงเพลิงเบ่งบานขึ้นอย่างน่ากลัว จากนั้นก็มีร่างในชุดสีเทาหนึ่งปลิดปลิวละลิ่วออกไปด้วยท่าทางดูไม่ได้ ปากยังพ่นเลือดออกมาเป็นสายลากยาวกลางหาว!!


 


หยาดโลหิตซ่านกระเซ็นเกลื่อนฟ้า พอต้องสะท้อนแสงแดงจากเมฆเห็ดสีเพลิงที่เบ่งบาน ก็เปล่งประกายวับวาวแลดูงดงามน่าดูพิกล!


 


ครืนน! ครืนนนน! กึงงง! แคร่ก!!


 



 


หลังเมฆเห็ดสีเพลิงเบ่งบาน ภูเขาเบื้องล่างก็ถูกเพลิงคลื่นลมร้อนระอุพัดถล่มจนหน้าดินทลาย ต้นไม้ในผืนป่าเบื้องล่างก็เริ่มล้มเอนหักโค่น ดอกไม้ใบหญ้าปลิดปลิวธุลีคลีกระจายวุ่นวายไปหมด!!


 


จากนั้นก็พบว่าส่วนหนึ่งของภูเขาก็ปรากฏเปลวเพลิงลุกท่วม ตัวป่าเองก็ปรากฏไฟไหม้ลุกลามใหญ่โต ทั้งคล้ายจะลุกลามไปทั้งป่าได้ในเวลาอันสั้น!!


 


เปลวเพลิงยังร้อนแรงนัก ราวกับจะเผาป่าเขาให้ราบแล้วจริงๆ!!


 


จนเมื่อเมฆเห็ดสีแดงเพลิงค่อยๆจางหายไป ท่ามกลางอากาศว่างเปล่าอันเต็มไปด้วยฝุ่นควัน ก็ค่อยๆปรากฏร่างหนึ่งลอยล่องอยู่ตรงนั้นปานทวยเทพ


 


ร่างดังกล่าวมาในชุดสีม่วง คิ้วคมเข้มปานดาบ สองตากระจ่างใสปานดวงดารา หล่อเหลาไม่ธรรมดายิ่ง


 


ชายหนุ่มที่ลอยร่างกลางหาว กลอกตาเกียจคร้านมองจ้องไปยังร่างในชุดสีเทาที่ไกลตาที่สภาพแลดูยักแย่ยักยัน


 


จากนั้นมุมปากก็ค่อยๆคลี่ยิ้มขึ้นมาบางๆ


 


“ข้ายั้งมือไว้แล้ว…ไม่งั้นเจ้าคงไม่แค่เจ็บตัวนิดๆหน่อยๆหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในสภาพดูไม่ได้ที่กำลังเหินร่างขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มขบขัน


 


“เจ้า…เมื่อครู่มันอะไรกัน…ความลึกซึ้งปะทุของเจ้านั่นมัน…”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้สนใจที่ตัวเองแพ้พ่ายหรือหงุดหงิดเพราะรอยยิ้มเย้ยเยาะของต้วนหลิงเทียน เพียงมองถามต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงหนัก หว่างคิ้วขดย่นเป็นปม


 


ที่ไฉนมันถามออกไปแบบนี้ เพราะเมื่อครู่มันสัมผัสได้ชัดเจน ว่ามวลพลังเพลิงดั่งก้อนลาวาที่ปะทุระเบิดขึ้นมานั่น เป็นผลจากพลังของความลึกซึ้งปะทุไม่ผิดแน่!


 


เดิมทีความลึกซึ้งปะทุที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออก ก็หนุนเสริมพลังให้มวลเพลิงนั่นไม่ได้มากมายอะไร


 


แต่อยู่ๆไฉนมวลเพลิงดั่งก้อนลาวานั่นถึงระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรงได้? อีกทั้งนั่นเป็นผลจากความลึกซึ้งปะทุไม่ผิดแน่ แล้วทำไมถึงได้มีพลังเพิ่มขึ้นผิดหูผิดตาขนาดนั้น?


 


ด้วยไม่เข้าใจมันจึงไถ่ถามเรื่องนี้ออกมาก่อนใดอื่น


 


อย่างไรก็ตาม มันมั่นใจได้เรื่องหนึ่ง…พลังที่ปะทุระเบิดออกมาน่ากลัวเมื่อครู่ เป็นพลังของต้วนหลิงเทียนล้วนๆ หาได้มีพลังภายนอกอันใดไม่ และเป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะใช้ยันต์อมตะหรือตัวช่วยอะไรได้ทัน


 


“อะไร หรือเจ้ามีพลังสายเลือดได้คนเดียว แต่ข้ามีบ้างไม่ได้?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวล้อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน


 


“เจ้า…นี่เจ้าก็มีพลังสายเลือดด้วยรึ!?”


 


ลูกตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหดเล็กลงโดยพลัน สีหน้ายังฉายชัดถึงความตกตะลึง “หมายความว่า…เจ้าเองก็เป็นทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุดเหมือนกันงั้นเหรอ!?”


 


ตระกูลหลิงของมัน ก็เหมือนกับตระกูลใหญ่ในระนาบทวยเทพทั้งหลาย ล้วนเป็นลูกหลานและทายาทที่สืบทอดสายเลือดมาจากผู้แข็งแกร่งที่สุด!


 


ด้วยเหตุนี้ทุกคนในตระกูลหลิง จึงได้รับพลังสายเลือดสืบทอดต่อๆกันมาทุกรุ่น


 


เพราะโดยปกติแล้ว ผู้ที่จะมีพลังสายเลือดได้ ก็มีแต่เหล่าผู้สืบสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น!


 


ได้ยินคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ตกใจ “พลังสายเลือด…มันเกี่ยวข้องกับผู้แข็งแกร่งที่สุดงั้นเหรอ?”


 


ขณะเดียวกันเขาก็ถามเพลิงเทพโกลาหลทันที


 


จากนั้นไม่ต้องรอนานนัก เพลิงเทพโกลาหลก็กล่าวตอบ “คนส่วนใหญ่ในระนาบทวยเทพเป็นทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุด และพวกมันก็มีพลังสายเลือดทั้งนั้น…”


 


“ในระนาบโลกียะหรือระนาบเทวโลก ยากนักจะพบพานผู้ที่มีพลังสายเลือด…หากจะมีก็สมควรเป็นคนในระนาบเทวโลก”


 


“อย่างไรก็ตาม ในระนาบทวยเทพ มีคนมากมายที่มีพลังสายเลือดอยู่ในร่าง”


 


เพลิงเทพโกลาหลกล่าว


 


หลังได้ยินสิ่งที่เพลิงเทพโกลาหลพูด ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที


 


ที่แท้พลังสายเลือดก็มีที่มาที่ไปแบบนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนจะมีพลังสายเลือด เพราะอีกฝ่ายสมควรเป็นทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุด


 


ก่อนหน้านี้ในสายตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เขาไม่ใช่คนจากระนาบทวยเทพ


 


“เจ้าแพ้แล้ว”


 


ได้ยินคำถามของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตอบคำถามอะไร แต่เลือกจะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มหยอกล้อต่อแทน


 


ตั้งแต่ที่เห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นครั้งแรก จวบจนได้พบเจอกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในภายหลัง เขาก็รู้สึกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ช่างหยิ่งยะโสเหลือเกิน


 


ครั้งสุดท้ายก่อนจะจากกันที่ทะเลสาบอวิ๋นโยว อีกฝ่ายก็ยังข่มขู่เขาด้วย


 


ตอนนั้นเขาเองก็ไม่พอใจอยู่บ้าง จึงท้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นออกไป ว่าหลังไปเจอกันที่คฤหาสน์เฉวียนโยวเมื่อไหร่ ค่อยประลองกันสักตั้ง


 


วันนี้นับว่าเขาได้ประมือกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก่อนกำหนด และสุดท้ายก็เป็นคนที่ได้ชัยมาครอง!


 


ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากเห็นก็คือสีหน้าท่าทีผิดหวังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหลังจากพ่ายแพ้ให้เขา เพราะเขารู้สึกว่าเรื่องนี้สมควรเป็นเรื่องหนักหนาและยากที่คนอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะยอมรับได้


 


อย่างไรก็ตาม ฉากเรื่องราวต่อมากลับผิดคาดต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง


 


“อ่าข้าแพ้…”


 


โดนต้วนหลิงเทียนล้อเลียนแท้ๆ แต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับพยักหน้ากล่าวยอมรับออกมาคล้ายไม่รู้สึกรู้สาอะไร


 


“แค่นี้?”


 


เห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแลดูเฉยๆมาก ต้วนหลิงเทียนก็แปลกใจอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าท่าทีของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมันไม่น่าจะเป็นแบบนี้ได้เลย


 


สำหรับคนเย่อหยิ่งอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่ใช่ว่าหากแพ้ขึ้นมา ถ้าไม่สลดหดหูแลดูผิดหวัง ก็ต้องหัวเสียรับไม่ได้ทั้งโวยวายใส่เขาหรือไร?


 


“ในเมื่อเจ้าเองก็มาจากระนาบทวยเทพแถมอายุก็พอๆกับข้า ถ้างั้นเจ้าจะเอาชนะข้าได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”


 


เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็กล่าวตอบออกมา


 


อย่างไรก็ตามหลังมันกล่าวจบคำได้ไม่ทันไร สองตาก็ทอประกายวูบวาบขึ้นมาทั้งลั่นวาจาเสียงแข็ง “แต่สักวัน ข้าต้องเอาชนะเจ้าได้แน่นอน!”


 


ได้ยินคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันทีว่าไฉนอีกฝ่ายแลดูเฉยๆที่แพ้พ่ายนัก


 


ปรากฏว่าอีกฝ่ายดันเชื่อจริงๆว่าเขามีพลังสายเลือด!


 


หากเขามีพลังสายเลือด หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เลยเข้าใจว่าถึงเขาจะไม่ได้มาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ก็สมควรมาจากระนาบทวยเทพอื่น


 


ต้วนหลิงเทียนได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม


 


ไฉนเขาต้องพูดล้อเล่นเรื่องมีพลังสายเลือดออกไปด้วย?


 


เขารู้ดีแก่ใจ


 


คนที่หยิ่งยะโสอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ต้องระหกระเหินหนีออกมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพนั้น หากมาแพ้คนจากระนาบทวยเทพที่อายุเท่าๆกัน ก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไร


 


ทว่าหากพบว่าตัวเองแพ้คนที่ไม่ได้มาจากระนาบทวยเทพ ก็เสมือนมีระเบิดลูกใหญ่ถล่มลงกลางใจแน่นอน!


 



 


วันเวลาผันผ่านไปดั่งม้าขาวควบตะบึง


 


พริบตาก็ล่วงเลยไปอีก 10 เดือน


 


สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือจัตุรัสกลางเมืองฝูซาน ปรากฏร่างสองร่างก้าวออกมาจากประตูบ้านลานเทียนอีบนเกาะที่ลอยล่องเหนือเมฆ


 


เป็นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


ทั้งสองออกจากบ้านลานมาครั้งนี้ ก็มุ่งตรงไปยังโต๊ะรับรองของศาลาเปิดด้านล่างทันที เพื่อคืนป้ายหยกประจำลาน จากนั้นก็เดินไปยังมุมหนึ่งของจัตุรัสด้วยกัน


 


สถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายของเมืองฝูซานอยู่ที่นั่น


 


เมืองฝูซาน ในฐานะที่เป็นเมืองใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรง ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทวโลกต่างๆนั้น มีคุณภาพดีกว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายไประนาบเทวโลกของเมืองอื่นๆไม่น้อย


 


เพราะค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกของที่นี่ สามารถระบุสถานที่ๆจะไปได้


 


แน่นอนว่าสถานที่ๆจะไปนั้น ต้องเป็นสถานที่ใหญ่ในระดับหนึ่งอย่างคฤหาสน์เฉวียนโยวของหลิงหลัวเทียน


 


“แล้วพวกเราจะไปส่วนไหนของอวี้หวงเทียน?”


 


ในขณะที่เดินไปยังสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกของเมืองฝูซานกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความสงสัย


 


“คฤหาสน์เอี้ยนซานในแดนผิงเทียนของอวี้หวงเทียน”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)