War sovereign Soaring The Heavens 3064-3073
ตอนที่ 3064
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
…
ท่ามกลางความว่างเปล่า แว่วเสียงเสียดแก้วหูดังขึ้นระรัว เส้นด้ายสีเงินที่มันตวัดฟันฟาดออกมา ไม่เพียงซัดคลื่นพลังสะบั้นเข่นฆ่านำมาเท่านั้น ยิ่งมายิ่งก่อเกิดคมมีดสายลมมากขึ้นเรื่อยๆ!
คมมีดสายลมดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าควบแน่นก่อเกิดจากพลังธาตุลม และมันก็คือพลังจากความลึกซึ้ง ‘คมมีดสายลม’ หนึ่งในความลึกซึ้งที่มุ่งเน้นการโจมตีเป็นหลักของกฏแห่งลม!
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้
เพราะความว่างเปล่าเบื้องของนักฆ่าที่กำลังตวัดเส้นด้ายสีเงินซัดคลื่นสะบั้นทั้งก่อเกิดคมมีดสายลมไม่หยุดนั้น เริ่มบิดเบือนปั่นป่วนอย่างรุนแรง สายลมทั่วหุบเขาเสมือนหลั่งไหลมาควบรวม จากนั้นก็อุบัติเป็นพายุใต้ฝุ่นลูกหนึ่ง คมมีดสายลมทั้งคลื่นสะบั้นเองก็เริ่มม้วนวนกลมกลืนเข้าไปกับพายุดังกล่าว!!
ไม่ทันไร ด้วยพายุที่ก่อตัวทั้งคมมีดสายลมสีเขียวที่ม้วนวนไปกับพายุ ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่อาจแลเห็นร่างของนักฆ่ากะโหลกเลือดด้านหลังพายุได้อีกต่อไป!
ในสายตาของต้วนหลิงเทียน ตอนนี้พายุพร้อมด้วยคมมีดสายลมรวมถึงคลื่นพลังสะบั้นอันน่ากลัว ได้ปิดกั้นทัศนวิสัยระหว่างต้วนหลิงเทียนกับนักฆ่ากะโหลกเลือดเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ที่สำคัญพายุใต้ฝุ่นดังกล่าวยิ่งมายิ่งขยายใหญ่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ!!
“นี่มัน…ความลึกซึ้ง ‘พายุ’ ของกฏแห่งลม!!”
สีหน้าต้วนหลิงเทียนบัดนี้ฉายความเคร่งเครียดถึงขีดสุด
เพราะถึงตอนนี้ นักฆ่ากะโหลกเลือดเบื้องหน้า ได้ใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งลมออกมาทั้งสิ้น 6 ประการเข้าไปแล้ว!!
ธาตุลม ลมกรด ควบรวมสายลม สะบั้น คมมีดสายลม และสุดท้ายก็เป็นพายุ!
หากไม่นับรวมความหมายแห่งลม กล่าวได้ว่าคนผู้นี้ได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมได้ถึง 5 ประการแล้ว!
“ไอ้หนู แม้เจ้าจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง แต่อย่างไรเจ้ามันก็แค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดกระจ้อยร่อยคนหนึ่งเท่านั้น การที่เจ้าได้ตายด้วยการโจมตีอันทุ่มพลังทั้งหมดของข้าแบบนี้ เจ้าสมควรภูมิใจได้แล้ว!”
นักฆ่ากะโหลกเลือดกล่าวจบ ร่างก็โจนทะยานเข้าสู่พายุมหาประลัยเบื้องหน้าทันที ไม่ได้สนใจคลื่นพลังสะบั้นพร้อมด้วยคมมีดสายลมอันน่ากลัวแม้แต่น้อย!!
“ลงมือเต็มกำลัง?”
ได้ยินคำพูดของนักฆ่ากะโหลกเลือด ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะลงมือปะทะเข่นฆ่ากับเขาโดยตรงแล้ว
นอกจากอาวุธประหลาดที่มีลักษณะเป็นด้ายสีเงินที่แผ่กลิ่นอายดุจเดียวกับอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาจากจอมราชันอมตะ อีกฝ่ายยังได้ปลดปล่อยพลังความลึกซึ้งของกฏแห่งออกมาถึง 6 ประการ!
ต้องทราบด้วยว่า ความลึกซึ้งทั้งหมดของกฏแห่งลมนั้น มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 9 ประการ และนักฆ่าผู้นี้กลับเข้าใจความลึกซึ้ง 6 ประการถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้ว…
มองไปทั่วแดนสวรรค์ใต้ ผู้ที่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดๆได้ครบ 9 ประการนั้น แม้ทั้ง 9 ประการที่เข้าใจจะเป็นแค่ขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น แต่ก็นับว่ามีอยู่น้อยคน!
ความลึกซึ้งทั้ง 9 ประการของกฏใดกฏหนึ่งนั้น การเข้าใจความลึกซึ้งไม่กี่ประการนับว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
แต่ทว่าความลึกซึ้งหลังๆ ยิ่งมาจะยิ่งยากเข้าใจ!
เนื่องจากความลึกซึ้งบางกระการ มันมีบางจุดที่ขัดแย้งกันเอง มีเพียงต้องเข้าใจถึงจุดสมดุลระหว่างความลึกซึ้งที่ขัดแย้งกันแล้วเท่านั้น ถึงจะเข้าใจความลึกซึ้งดังกล่าวได้
และการที่ราชาอมตะ 6 ผสานคนหนึ่ง สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมได้ถึง 6 ประการ ก็นับว่าเป็นอะไรที่หาได้ยากไม่น้อย!
“ไอ้หนู ยอมรับความตายเสีย!!”
เสียงตะคอกคำอำมหิตของนักฆ่ากะโหลกเลือดดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด!
และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงตะคอกอำมหิตดังขึ้น พายุใต้ฝุ่นอันหอบหิ้วพลังมหาประลัยดังกล่าวก็พัดกรรโชกไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูง! ความเร็วของมันยังรวดเร็วเหนือกว่าความเร็วในปัจจุบันของต้วนหลิงเทียนเสียอีก แม้จะไม่เหนือกว่ามากมายอะไรก็ตามที!
หากต้วนหลิงเทียนเลือกที่หลบหนีด้วยความเร็วในตอนนี้ เขาก็ยังพอหนีได้พักหนึ่ง!
อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจประคองความเร็วระดับนี้ได้นานนัก เพราะพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศของเขามันมาจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง
เมื่อพินิจจากสถานการณ์ในปัจจุบัน และระดับพลังที่ใช้ประคองสภาวะความเร็วสูงสุด ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ชัดเจน ว่าเขาสามารถรักษาสภาวะสูงสุดนี่ได้แค่ 30 ลมหายใจเท่านั้น! เมื่อครบแล้วด่านพลังของเขาสมควรถดถอยไปอยู่ที่ขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก!!
ถึงตอนนั้นความเร็วของพายุมหาประลัยนั่น จะกลายเป็นเหนือกว่าเขามาก สุดท้ายแค่พริบตาเดียวก็คงพัดโถมเข้ามาฮุบกลืนปั่นร่างเขาจนแหลกเป็นเศษเนื้อ!!
“ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจักรักษาระดับพลังเซียนอมตะในตอนนี้ได้นานแค่ไหน…แต่ข้าเชื่อว่าภายใน 50 ลมหายใจเจ้าได้ตายแน่!!”
เมื่อพายุใต้ฝุ่นพัดกรรโชกเข้าใส่ร่างต้วนหลิงเทียน นักฆ่ากะโหลกเลือดที่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนเลือกจะเปลี่ยนทิศทางเป็นฉากหลบล่าถอย ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเย้ยออกมาด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน
‘ข้าไม่อาจปล่อยให้พลังเสียไปโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้ได้นาน…หาไม่แล้วอีกไม่ถึง 30 ลมหายใจข้าได้ตายแน่’
ต้วนหลิงเทียนที่ประคองสภาวะพลังสูงสุด เหินร่างฉับไวพุ่งหนีไปในหุบเขา พยายามรักษาระยะห่างจากพายุใต้ฝุ่นมหาประลัยนั่นให้ได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตามเขารู้ดีว่าเขาสามารถรักษาความเร็วสูงสุดได้แค่ 30 ลมหายใจเท่านั้น หลังจากผ่านไปครบ 30 ลมหายใจระดับพลังในร่างของเขาก็จะถดถอยลงไปขั้นหนึ่ง!
พายุใต้ฝุ่นกรรโชกพัดมาอย่างเกรี้ยวกราด ส่งเสียงคำรามน่ากลัวสะท้านหุบเขา นอกเหนือจากความหมายแห่งลมแล้ว พายุใต้ฝุ่นลูกนี้ยังอัดแน่นไปด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งลมถึง 5 ประการ!
‘ด้วยระดับพลังในร่างของข้า ถ้าใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน ก็ไม่ยากที่จะทำลายกระบวนท่าสังหารของมัน…ทว่าหลังจากทำลายกระบวนท่ามันได้แล้ว ระดับพลังในร่างข้าไม่พ้นต้องตกฮวบลงไปอยู่ที่ขอบเขตราชาอมตะ 8 ชะตา กระทั่งอาจจะถดถอยลงไปมากกว่านั้น’
‘ถึงตอนนั้นต่อให้ข้าจะทำลายกระบวนท่ามันได้ก็จริง แต่มันที่สมควรไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมาย คิดจะฆ่าข้าคงกลับกลายเป็นเรื่องราวอันง่ายดายแล้ว’
เมื่อเผชิญกับพายุใต้ฝุ่นมหาประลัยที่กระชั้นเข้ามาทุกขณะ ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนห้วงเวลามันไหลผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ขณะเดียวกันเขาก็สูดได้ถึงกลิ่นอายความตายที่คืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ
“ทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล…คราวนี้พวกเราทั้ง 3 คนต้องร่วมมือกันแล้วล่ะ ไม่งั้นเจ้าหนูนี่ดับอนาถแน่!”
เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นภายในร่างของต้วนหลิงเทียน และเสียงกล่าวของมันยังจริงจังทั้งตึงเคียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ข้าย่อมรู้”
เสียงทองเทพสุดลี้ลับดังขึ้นขานรับ ยังหนักอึ้งไม่น้อย
“เจ้าหนู เจ้าทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับการโจมตีเถอะ เล็งจุดตายเพื่อดับชีพมันให้ได้ในกระบวนเดียว…ตอนนี้พวกเรามีโอกาสลงมือเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!”
ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนเสียงเครียด
“เจ้าอย่าได้ร้อนรนไป…ความเร็วของเจ้าตอนนี้มิได้ด้อยกว่ามันมากมายอะไร คิดจะเล็งจุดตายของมันยังไม่ใช่เรื่องยาก”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินที่ตระหนักว่ามือที่กอบกุมกระบี่ของต้วนหลิงเทียนเริ่มกระชับแน่นผิดจากที่เคย ก็เร่งกล่าวปลอบออกมา “นอกจากนั้น หากมันเห็นว่าเจ้าเลือกจู่โจมสวนเข้าไป มันย่อมคิดว่าเจ้ากำลังจักดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อสู้แค่ตาย มันที่ชะล่าใจย่อมไม่มีทางคิดหลบหนีกระบวนท่าสิ้นหวังอย่างโง่งมของเจ้าแน่!!”
“และกว่ามันจะรู้ตัวว่าผิดท่า และตระหนักถึงความไม่ธรรมดาของกระบี่เจ้าหลังได้ทองเทพสุดลี้ลับฉาบเคลือบให้ในห้วงเวลาเป็นตาย…ก็สายไปแล้ว!”
เสียงกล่าวของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินรอบนี้ เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจถึงขีดสุด
“การปะทุพลังสังหารครานี้เรียกว่า ‘ทุบหม้อจมเรือ’ แม้เจ้าจะฆ่ามันได้ และมีพลังของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินปกป้องร่างกาย แต่เจ้าไม่พ้นต้องเจ็บหนักแน่นอน”
ตอนนี้เองเพลิงเทพโกลาหลยังกล่าวเสริมออกมาอีกว่า “หลังเจ้าใช้กระบวนท่าสังหารฆ่ามันได้แล้ว ให้พยายามรวมรั้งพลังที่เหลือทั้งหมดลงสู่เกราะอมตะ เพื่อป้องกันผลพวงจากการโจมตีที่เหลืออยู่”
ได้ยินคำพูดของเหล่าเทพแห่งธาตุในร่างทั้ง 3 ใจต้วนหลิงเทียนก็ปั่นป่วนเล็กน้อย แต่ก็สามารถสงบสติลงได้แทบจะทันที
เสมือนคลื่นทะเลที่กำลังปั่นป่วนคุ้มคลั่ง อยู่ๆกลับกลายเป็นสงบลงในชั่วพริบตา
ที่ไฉนต้วนหลิงเทียนสามารถครองสติและสงบอารมณ์ได้ดีขนาดนี้ เพราะในอดีตเขาผ่านห้วงแห่งความเป็นตามามากแล้ว
เขาย่อมรู้ดีแก่ใจว่ายิ่งตกอยู่ในห้วงแห่งความเป็นตายมากเท่าไหร่ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือครองสติและสงบจิตใจให้ได้มากที่สุด ผลลัพธ์ของเรื่องนี้เรียกว่าสามารถตัดสินได้เลยว่าใครจะอยู่ใครจะไป! คนที่เสียสมาธิและไม่อาจครองสติได้ มักจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ตกตายเสมอ!!
ฟุ่บบบ!!
ในสายตาของนักฆ่ากะโหลกเลือดที่กำลังขับเคลื่อนพายุใต้ฝุ่นมหาประลัย พบว่าร่างที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงอันพุ่งหนีไปปานดาวตกนั้น อยู่ดีๆก็หยุดลงกลางหาว!
ยิ่งไปกว่านั้นเปลวเพลิงที่ลุกโชนท่วมร่างของอีกฝ่าย ยังมอดดับลงชั่วขณะ จนเผยให้เห็นร่างชายหนุ่มชุดม่วงที่อยู่ด้านใน จากนั้นพร้อมกันกับที่คนหันหลังกลับมามวลเพลิงก็ปะทุลุกโชนขึ้นอีกครา ที่สำคัญยังพุ่งเข้ามาทางมัน!!
ซู่มมมม!!
ฟู่มมมม!!
…
เปลวเพลิงลุกโชนทะยานข้ามฟ้าแผดเผาบรรยากาศเข้ามาเร็วรี่ มองไปยังเห็นคลื่นความร้อนกำจายออกไปดั่งระลอกคลื่น ความว่างเปล่าตามรายทางที่ร่างเพลิงพ้นผ่าน ปรากฏไฟลุกติดพรึ่บอยู่ครู่หนึ่งค่อยดับลง
หากมีใครเหินร่างผ่านมายังหุบเขาแห่งนี้ คงเห็นได้ชัดเจน
ว่าภายในหุบเขาปรากฏดวงเพลิงลุกโชนสว่างจ้าลูกหนึ่ง กำลังพุ่งสวนเข้าใส่พายุใต้ฝุ่นสีเขียวเปี่ยมพลังทำลายล้างด้วยสภาวะปานดาวตก!
“หึ! ไอ้หนู ในที่สุดเจ้าก็เลิกดิ้นรนอย่างสูญเปล่าแล้วรึ?”
นักฆ่ากะโหลกเลือดพ่นลมสบถออกมาเสียงเย็น มุมปากค่อยๆยกยิ้มแสยะเย้ยหยัน
ในสายตาของมัน ต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเปลวไฟในตะเกียงสิ้นน้ำมัน ที่พยายามลุกโชนขึ้นมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดับมอดลง…เรียกว่านี่เป็นดั่งการโจมตีอันสิ้นหวังที่ดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย!!
และในเมื่อตัวมันเองก็กระจ่างแจ้งในความแข็งแกร่งทั้งหมดของต้วนหลิงเทียนแล้ว เช่นนั้นมันยังต้องกลัวอันใด?
ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนจะเป็นแค่ยยอดเซียนนอมตะขั้นสูงสุด แต่ด้วยพลังของอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอีกฝ่ายจึงถือครองพลังขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ ทว่าความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟที่เข้าใจก็มีแค่ 3 ประการเท่านั้น….
และในสายตาของมัน ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาและเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมาแล้วก็เท่านั้น เพราะมันเองก็มีเช่นกัน ส่วนนี้จึงไม่ถือว่าส่งผลอะไรทั้งสิ้น
ครืนนนน!!
ฟู่มมม!!
…
พายุใต้ฝุ่นคงพัดไปด้วยสภาะวะพลังดุร้ายเกรี้ยวกราด ฝุ่นดินหินทรายต้นไม้ใบหญ้าตามรายทางบัดนี้ถูกพลังมหาประลัยป่นปี้ทำลายจนแหลกไม่มีชิ้นดี กระทั่งห่างออกไปจากรัศมีทำลาย อาศัยแค่แรงลมก็สร้างความฉิบหายให้บุปผาน้อยใหญ่ ทั้งต้นไม้ที่ไม่เติบโตมากนัก ต่างกระเด็นปลิดปลิวไปทั้งรากทั้งโคน จะมีก็แต่ต้นไม้ใหญ่ราวๆ 5-8 คนโอบไกลๆเท่านั้นที่ยังยืนหยัดค้านทานสายลมวิปริตเอาไว้ได้
นอกจากนั้นผนังผาโดยรอบก็ปรากฏร่องรอยเชือดเฉือนปริแตกแยกร้าว หน้าดินถล่มลงวุ่นวายไปหมด ฝุ่นละอองธุลีคลีปลิวว่อนฟุ้งขจรไปทั่วหุบเขา!
“มันอยู่ใจกลางพายุเลย…”
“ข้าเห็นตัวมันแล้ว…หากเข้าไปใกล้ๆ คิดจะเพ่งเล็งจุดตายของมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
เมื่อเปลวเพลิงที่ห่อหุ้มคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเริ่มสัมผัสกับวงนอกของพายุใต้ฝุ่น เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่เคี่ยวกรำเข้ามา พาลให้รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออกอยู่บ้าง
ขณะเดียวกันพลังของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็เริ่มหลั่งไหลออกมาผสานเข้าร่าง กลมกลืนไปกับเปลวเพลิงสีแดง ช่วยลดแรงกดดันให้เขาไม่น้อย
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
…
พายุใต้ฝุ่นมหาประลัยกับดาวตกเพลิงปะทะหักหาญกันเช่นนี้ ย่อมก่อเกิดเป็นแรงระเบิดอันน่าพรั่นพรึง มวลอากาศโดยรอบยังแตกระเบิด ก่อเกิดคลื่นกระแทกทั้งคลื่นลมวิปริตพุ่งกวาดซัดทำลายไปทั่วทุกสารทิศ หุบเขาที่โดนคลื่นกระแทกพัดกวาด ก็ถล่มทลายประหนึ่งบังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เสียงอึกทึกคึกโครมกระหึ่มขึ้นไม่หยุดปานทัพม้ายาตรา
ในเวลาเดียวกัน
“ทางด้านนั้นเหมือนจักมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง!”
ห่างออกไปจากหุบเขาทางทิศตะวันออกหลายร้อยลี้ ซุนเหลียงเผิงที่กำลังเหินร่างปูพรมค้นหาต้วนหลิงเทียนอยู่ พลันชะงักร่างหยุดลงกลางหาว และหันขวับไปมองยังขอบฟ้าไกลตา อันเป็นทิศทางเดียวกันกับที่ตั้งหุบเขามืดมิด
ถึงแม้ว่าแรงสั่นสะเทือนจากการปะทะจะแผ่ขยายมาไม่ถึงจุดที่มันอยู่ไม่มากนัก แต่มันก็ยังพอจับสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่าง ทั้งได้ยินเสียงระเบิดที่แว่วดังมาแต่ไกล ทำให้มันเดาได้ไม่ยากว่าเบื้องหน้าไกลห่างทิศทางนี้ กำลังเกิดการปะทะของพลังอันรุนแรงขึ้น!!
“เป็นที่นั่นไม่ผิดแน่!!”
สีหน้าซุนเหลียงเผิงฉายความตึงเครียดมากกังวล ร่างคนพุ่งทะยานตัดฟ้าไปด้วยความเร็วสูงสุด มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่บังเกิดการปะทะรุนแรงดังกล่าวเร็วไว “ต้วนหลิงเทียน เจ้าต้องอดทนเอาไว้…รอข้าก่อน!!”
“ทางนั้น!”
ในขณะที่ซุนเหลียงเผิงกำลังเหินตัดฟ้าไปด้วยความเร็วสูงสุด น้องรองของมันอันเป็นชายหนุ่มชุดคลุมเขียว ก็คืนร่างเดิมกลับกลายเป็นสัตว์อมตะรูปลักษณ์เสมือนเหยี่ยวภูเขาตัวเขื่อง จากนั้นก็เร่งโฉบทะยานตัดฟ้าไปด้วยความเร็วจนร่างเขื่องกลับกลายเป็นเงาเลือน!
“ดูเหมือนทางนั้นจักมีการปะทะอะไรบางอย่าง!”
“ไป! ไปกันเร็วเข้า!!”
“การปะทะดูเหมือนจะอยู่ห่างออกไปไกลไม่ใช่เล่น…แต่กลับส่งผลกระทบมาถึงตรงนี้ สองคนที่ประมือกันอยู่ย่อมมีพลังฝีมือมิใช่ชั่วแน่ น่าจะเป็นนักฆ่ากะโหลกเลือดกับต้วนหลิงเทียน!!”
…
เหล่าอาวุโสของนิกายอมตะเป้าผู่ที่ออกมาช่วยตามหาต้วนหลิงเทียนบางส่วน พอจับสัมผัสความเคลื่อนไหวรุนแรงจากที่ไกลๆได้ ก็เร่งมุ่งหน้าไปยังหุบเขาที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ทันที!!
ตอนที่ 3065
หุบเขาอันมืดมิดไร้แสงตะวันสาดส่องยามนี้ เสมือนเผชิญหน้ากับภัยพิบัติเพลิงวายุ ทั้งหุบเขาบังเกิดความวินาศสันตะโรครั้งยิ่งใหญ่ ราวกับวันสิ้นโลกมาถึงแล้วก็ไม่ปาน
“เล็งได้แล้ว!”
ท่ามกลางเพลิงไฟที่ลุกโชนเร่าๆ ร่างต้วนหลิงเทียนที่บุกฝ่าพายุใต้ฝุ่นมหาประลัย อันเต็มไปด้วยคลื่นพลังสะบั้น คมมีดสายลมไม่เว้นเส้นด้ายดั่งไหมเงินเข้ามา ในที่สุดก็สามารถเพ่งเล็งไปยังหว่างคิ้วของนักฆ่ากะโหลกเลือดได้สำเร็จ
“ดิ้นรนได้ไม่เลวนี่…ถึงกับฝ่าเข้ามาหาข้าได้”
เมื่อเห็นร่างอันยับเยินที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยแผล ทั้งเสื้อคลุมขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีของต้วนหลิงเทียน นักฆ่ากะโหลกเลือดก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง ที่ต้วนหลิงเทียนสามารถดิ้นรนเข้ามาใกล้ตัวมันได้ขนาดนี้
“อย่างไรก็ตาม เจ้ามาได้แค่นี้ล่ะ…เรื่องราวสมควรจบได้เสียที”
มุมปากนักฆ่ากะโหลกเลือดยกยิ้มแสยะเย้ยเยาะ พร้อมกันนั้นมือมันก็สะบัดไปทางต้วนหลิงเทียน อาวุธที่มีลักษณะเป็นไหมสีเงินของมันก็เริ่มม้วนขนด ก่อนจะสะบัดฟาดไปทางต้วนหลิงเทียนดั่งหางอสรพิษปราดเปรียว!
ไหมเงินฟาดมาครานี้ สภาวะพลังของมันประหนึ่งทัพม้านับพันยาตราก็ไม่ปาน เพราะยามมันฟาดฟันเข้ามา ก็ปรากฏคลื่นสะบั้นนับร้อยพันก่อเกิดติดตามมาดั่งเงา ทำราวกับจะสะบั้นหั่นร่างต้วนหลิงเทียนให้ไร้ซากศพสมบูรณ์!
ขณะออกกระบวนท่าสังหาร สองตานักฆ่ากะโหลกเลือดก็ชืดชาเหลือเกิน สีหน้าของมันไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆอยู่เลย
ประหนึ่งในสายตาของมัน ต้วนหลิงเทียนก็คือคนที่ตายไปแล้ว
“ตอนนี้ล่ะ เจ้าหนู!!”
และในขณะที่นักฆ่ากะโหลกเลือดเห็นร่างต้วนหลิงเทียนบุกฝ่าพายุใต้ฝุ่นคมพลังมหาประลัยของมันเข้ามาได้ และออกกระบวนท่าสังหารไปหมายปิดงาน เสียงของทองเทพสุดลี้ลับก็โพล่งดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ!
“ตาย!”
ได้ยินเสียงโพล่งดังของทองเทพสุดลี้ลับ สองตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองนักฆ่ากะโหลกเลือดก็กลับกลายเป็นเยียบเย็น ขณะเดียวกันกระบี่ในมือก็ปะทุแสงพลังออกมาสว่างเจิดจ้า 7 สีสัน!
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในมือต้วนหลิงเทียนที่แต่เดิมไม่คล้ายมีอะไรพิเศษ บัดนี้ได้ปลดปล่อยพลังงอำนาจออกมาถึงขีดสุด! แสงพลังส่องสว่างเจิดจ้า กลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงปะทุออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บ!!
รังสีกระบี่ 7 สายหลากสีสัน พวยพุ่งออกมาจากตัวกระบี่อย่างพร้อมเพรียง พวกมันเริ่มโคจรม้วนวนรอบๆกระบี่ เปล่งแสงประชันกันและกัน!
อีกทั้งรังสีกระบี่ทั้ง 7 สี ยังเปล่งกลิ่นอายที่แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง
และเมื่อรังสีกระบี่ 7 สีดังกล่าวห้อมล้อมเวียนวนรอบกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนอยู่พักหนึ่ง กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนก็เริ่มสั่นไหวไปปานโดนฉีดเลือดไก่ แสงพลังสาดส่องออกมาเจิดจ้า พริบตากลิ่นอายของมันก็คล้ายจะทวีความดุร้ายคมกล้าขึ้นไป 5 เท่า!
กลิ่นอายที่แผ่กำจายออกมาทั่วกระบี่ยามนี้มันทรงพลังอันตรายเหลือเกิน
“นี่มัน…”
นักฆ่าโครงกระดูกที่พึ่งลงมือป้อนกระบวนท่าสังหารเข่นฆ่ามาทางต้วนหลิงเทียน หากวินาทีนี้มันยังไม่รับทราบถึงความไม่ธรรมดาของกระบี่ในมือต้วนหลิงเทียน น่ากลัวชีวิตที่อยู่มานานของมันคงไร้ค่าเยี่ยงชีวิตสุนัข!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มันจะทันได้มีเวลาตอบสนองกับความเปลี่ยนแปลงที่อุบัติขึ้นในฉับพลัน มันก็เหลือบไปเห็นด้ายสีทองที่เริ่มหลั่งไหลไปทั่วกระบี่ของต้วนหลิงเทียน
หากมองดูให้ดีนั่นมิใช่ด้ายสีทองอันใด แต่เป็นกระแสพลังสีทอง! แถมบัดนี้กระแสพลังดังกล่าวคล้ายกลายเป็นสายน้ำเชี่ยวหนึ่ง หลั่งไหลฉาบเคลือบไปทั่วตัวกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเร็วไว!!
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
ไหมสีเงินในมือนักฆ่ากะโหลกเลือด ยังคงตวัดฟาดฟันหอบหิ้วคลื่นพลังสะบั้นนับไม่ถ้วนเข่นฆ่ามาทางต้วนหลิงเทียน ด้วยสภาวะพลังดุร้าย หมายสับสะบั้นหั่นร่างต้วนหลิงเทียนให้แหลกเป็นหมื่นๆชิ้น
เผชิญหน้ากับฉากอันตรายดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนหาได้นำพาความตาย เพียงควบรวมสำนึกเทวะลงสู่ตัวกระบี่และใช้ออกด้วยกระบวนท่าใจกระบี่เหินสวนออกไปอย่างไร้หวั่นหวาด!
ฟั่ฟฟฟฟฟฟ!!
หนึ่งกระบี่ พุ่งทะยานออกไปด้วสภาวะพลังน่าพรั่นพรึง ประหนึ่งจะทะลวงได้กระทั่งความว่างเปล่า ไม่ว่ามันจะผ่านพ้นไปที่ใด กระแสพลังสีทองที่ห่อหุ้มก็เปล่งพลังอานุภาพทะลวงทำลายคลื่นสะบั้นที่โถมถันเข้ามาเบื้องหน้าหมดสิ้น!
อย่างไรก็ตามคลื่นสะบั้นบางส่วนยังคงเล็ดลอดมาเชือดเฉือนเลือดเนื้อต้วนหลิงเทียน ทำให้ร่างกายที่ยับเยินอยู่แล้วของเขาปรากฏบาดแผลฉกรรจ์อีกนับร้อยจุดในชั่วพริบตา ประหนึ่งคนพึ่งวิ่งผ่านเครื่องปั่นเนื้อมาอย่างไรอย่างนั้น
เรียกว่าบัดนี้ถึงกาลอวสานของชุดคลุมสีม่วงตัวเก่งที่แท้จริง! ชิ้นเนื้อบางส่วนยังขาดวิ่นปลิดปลิว โลหิตสาดกระจายส่งกลิ่นคาวคลุ้ง สภาพดูแทบไม่คล้ายผู้คน!!
เรื่องราวทั้งหมดอุบัติขึ้นในห้วงเวลาชั่วพริบตาดุจฟ้าแลบ
“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!!”
นักฆ่ากะโหลกเลือดที่เห็นสภาวะพลังแกร่งกล้าหาใดเปรียบของกระบี่ อันฉาบเคลือบไปด้วยกระแสพลังสีทองที่พุ่งฝ่าคลื่นสะบั้นและกระบวนท่าโจมตีของมันเข้ามาได้ง่ายดาย อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก และรู้ตัวอีกทีปลายกระบี่ก็จดจ่ออยู่ที่หว่างคิ้วมันแล้ว!
นักฆ่ากะโหลกเลือดไม่มีเวลาป้องกันหลบหนีหรือทำอะไรได้ทันเลย เพราะกระบี่บินนี้ของต้วนหลิงเทียนมาได้รวดเร็วเกินไป ทั้งทรงพลังอัศจรรย์เกินไป!
กระทั่งมันยังรู้สึกเสมือนพึ่งเห็นว่ากระบี่ในมือต้วนหลิงเทียนปรากฏกระแสพลังสีทองฉาบเคลือบอยู่แหม็บๆ ไม่ทันรู้ตัว เสี้ยวพริบตากระบี่ดังกล่าวก็พุ่งจี้มาถึงหว่างคิ้วมันเสียแล้ว
สวบ!
เสียงละมุนหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา ฟังไปคล้ายมีดเจาะผ่านเต้าหู้อยู่บ้าง เป็นกระบี่บินทะลวงฟ้ามาฉับไว ได้เสือกทะลวงเข้ากลางหว่างคิ้วของนนักฆ่ากะโหลกเลือด แรกเข้าใบกระบี่ใสสะอาด หากแต่ยามทะลุออกหลังหัวกลับเต็มไปด้วยสีแดงฉาน..
ในขณะที่กระบี่ชำแรกทะลวงเข้าหว่างคิ้วนั้น กระแสพลังสีทองที่ฉาบเคลือบตัวกระบี่เอาไว้ยังปะทุพลังอานุภาพเกรี้ยวกราด ป่นทำลายดวงจิตทั้งพลังวิญญาณที่กักเก็บภายในจนสิ้นสลาย ดั่งหนึ่งเท้าย่ำเหยียบใบไม้แห้งกรอบ แหลกลงเป็นผงละออง…
สองตานักฆ่ากะโหลกเลือดยังคงมองจ้องมาที่ต้วนหลิงเทียนอย่างไม่เข้าใจ จากนั้นร่างไร้วิญญาณที่สองตาเบิกโพลง เพียงเหินโถมมาอีกเล็กน้อยก็ค่อยๆร่วงลงตามแรงเฉื่อย
ก่อนที่มันจะตกตาย มันได้ทุ่มพลังทั้งหมดที่เหลือในร่างลงสู่เกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะเพื่อสร้างม่านพลังป้องกันเต็มที่แล้ว อนิจจาม่านพลังดังกล่าวกับถูกหนึ่งกระบี่เหินทะลวงเจาะเข้ามาได้อย่างไร้เรื่องราว…
เรียกว่ากระบวนการเจาะทะลวงของกระบี่อันส่องประกายแสงหลากสีสันนั่น เสมือนกำแพงแก้วอันแสนเปราะบางคิดต้านทานหอกขุนพลอย่างไรอย่างนั้น…
และก่อนที่จะถูกฆ่าตาย ในหัวของนักฆ่ากะโหลกเลือดก็คงเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ ไฉนจึงใช้ความลึกซึ้ง ‘ทะลวงเจาะ’ ของกฏแห่งทองได้ ทั้งๆที่กำลังใช้ความลึกซึ้งแห่งไฟอยู่?”
ลักษณะพลังของทองเทพสุดลี้ลับที่ฉาบเคลือบกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของต้วนหลิงเทียนนั้น ให้ความรู้สึกคล้ายความลึกซึ้งทะลวงเจาะของกฏแห่งทองอยู่บ้าง
ตัวนักฆ่ากะโหลกเลือดเองก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมหลายประการ ทำให้มันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ละม้ายคล้ายคลึงกันกับความลึกซึ้งของกฏแห่งลมประการหนึ่งจากกระบี่ของต้วนหลิงเทียนได้ไม่ยาก…
ความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่ว่า ก็คือ สะบั้น…
กฏแห่งทองนั้นมีความลึกซึ้ง ‘ทะลวงเจาะ’ ส่วนกฏแห่งลมก็มีความลึกซึ้ง ‘สะบั้น’ ซึ่งเป็นการเสริมพลังให้สุดโต่งไปทางหนึ่งเหมือนๆกัน เรียกว่าแม้จะส่งเสริมคนละด้าน แต่แนวทางการเสริมพลังก็มีส่วนคล้ายกัน
เดิมทีนักฆ่ากะโหลกเลือดผู้นี้ เพื่อที่จะทำความเข้าใจความลึกซึ้งสะบั้น มันเองไม่เพียงแต่จะศึกษาจากลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกฉากผู้ใช้ความลึกซึ้งสะบั้นของกฏแห่งลมเท่านั้น แต่ยังศึกษาลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกฉากคนใช้ความลึกซึ้ง ทะลวงเจาะของกฏแห่งทอง เพื่อหาแรงบันดาลใจอีกด้วย…
ด้วยเหตุนี้มันจึงเห็นฉากที่ผู้ใช้ความลึกซึ้งทะลวงเจาะของกฏฏแห่งทองมามากมาย ไม่ได้ด้อยไปกว่าที่ฉากผู้ใช้ความลึกซึ้งสะบั้นของกฏแห่งลมเลยด้วยซ้ำ…
เป็นธรรมดาว่าหากตัวต้วนหลิงเทียนนั้น จะเข้าใจความลึกซึ้งทะลวงเจาะของกฏแห่งทองด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องที่มันคิดว่าเป็นไปไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังใช้ความลึกซึ้ง ความหมายแห่งไฟ ลุกโหม ปะทุ ของกฏแห่งไฟอยู่ชัดๆ แต่ไฉนอีกฝ่ายถึงได้ใช้ความลึกซึ้งทะลวงเจาะของกฏแห่งทองออกมาได้? สิ่งนี้ทำให้มันไม่อาจเข้าใจได้สิ้นเชิง ยังล้มล้างความคิดที่ว่าความลึกซึ้งของกฏต่างชนิดกันไม่อาจใช้พร้อมกันได้ไปโดยสมบูรณ์
ฟู่มมมม!!
ซัว ลา ลา!
…
หลังนักฆ่ากะโหลกเลือดตกตาย พายุพลังมหาประลัยที่เต็มไปด้วยคลื่นสะบั้นทั้งคมมีดสายลมเมื่อไร้ผู้ควบคุม ก็สูญสิ้นเสถียรภาพและแตกกระจายทันที บังเกิดเป็นสายลมวิปริตรุนแรงซัดกวาดไปทั่วสารทิศ นอกจากนั้นคลื่นสะบั้นทั้งคมมีดสายลมก็ซัดทำลายออกไปวุ่นวาย!
ทันใดนั้น
เปรี้งงงง!!
ตูมม!! ครืนนนน! ครึก! ครึกก!!
…
หุบเขาสั่นสะท้านสะเทือนประหนึ่งบังเกิดแผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ หน้าดินถล่มลงมาอย่างรุนแรง ฝุ่นละอองคละคลุ้งไปทั่ว
“อั๊ค…แค่ก แค่ก..”
“แฮ่ก~~แฮ่ก~~แฮ่ก~~”
…
หลังพายุมหาประลัยสลายตัว ร่างต้วนหลิงเทียนที่อยู่ ณใจกลางแรงระเบิด แน่นอนว่าย่อมได้รับผลกระทบครั้งใหญ่ คนปลิดปลิวร่วงไปกองสิ้นท่าอยู่บนพื้น คนนอนแผ่หรากระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ทั้งหอบหายใจแฮ่กๆ
หลังจากรีดเค้นพลังเฮือกสุดท้ายควบคุมกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้บินย้อนกลับมาและเก็บกลับไป ต้วนหลิงเทียนก็ถูกความเจ็บปวดเคี่ยวกรำจนแทบสิ้นสติ
หลังนอนหอบหายใจอยู่พักใหญ่ ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆยกมือที่บัดนี้บังเกิดรอยแผลชิ้นเนื้อขาดวิ่นเห็นกระดูกดั่งผ้าขี้ริ้วเก่าๆขึ้นมาเบาๆ เรียกโอสถรักษาออกจากแหวนพื้นที่ก่อนจะตบเข้าปาก จากนั้นก็รอให้โอสถแสดงผลอยู่พักหนึ่งเริ่มโคจรพลังเพื่อกระจายผลของมันไปทั่วร่าง
ผ่านไปไม่กี่สิบลมหายใจอาการบาดเจ็บของเขาก็ทุเลาลงจนเริ่มมีเรี่ยวแรงให้พอขยับร่างได้อีกครั้ง
“เจ้าหนู เพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับ ได้เข้าสู่ห้วงนิทราเป็นการชั่วคราวเพราะช่วยเจ้า…ข้าเองก็จำต้องงีบหลับเพื่อฟื้นฟูพลังสักระยะ…”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเริ่มมีเรี่ยวแรงขยับตัว และคิดจะไปเก็บอุปกรณ์อมตะของนักฆ่ากะโหลกเลือดและแหวนพื้นที่ของอีกฝ่าย ก็พอดีกับที่เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นในหัวเขาเสียก่อน
ในอดีตนั้นน้ำเสียงเล็กๆปานเด็กน้อยยังไม่หย่านมมารดาของปฐพีเทพสุดลี้ลับจะเต็มไปด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวา ทว่าคราวนี้กลับเฉื่อยชาคล้ายเด็กน้อยง่วงนอน และยิ่งพูดเสียงก็เบาลงมากขึ้นทุกขณะ
“ขยันบ่มเพาะให้มาก เพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด…นอกจากนี้แม้เพลิงเทพโกลาหลจะเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่เจ้าไม่เพียงจุดเพลิงขึ้นมาเพื่อหลอมโอสถ เจ้ายังใช้เป็นสื่อเพิ่มเพิ่มความเร็วในการทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟได้อยู่…”
“ด้วยวิธีนี้ความเร็วในการทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟของเจ้า ก็จะยังก้าวหน้ารวดเร็วกว่าผู้อื่น…”
“แน่นอนว่าถึงจะเร็วขึ้นกว่าคนอื่นก็จริง แต่ก็ยังด้อยกว่ามีเพลิงเทพโกลาหลคอยชี้แนะมาก…”
“ทว่า…ตอนนี้ต่อให้เจ้าอยากได้รับคำชี้แนะจากเพลิงเทพโกลาหลมากแค่ไหน ข้าก็เกรงว่าเจ้าต้องรอจนกว่ามันจะตื่นขึ้นอีกครั้ง…”
เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ สุดท้ายพอกล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดลงกะทันหัน จากนั้นก็เงียบหายไปเลย
‘ดูเหมือนหลังจากนี้คงต้องพึ่งตัวเองอย่างเดียวแล้ว…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
“ต้วนหลิงเทียน!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเก็บสินสงครามจากนักฆ่ากะโหลกเลือดอีกครั้ง ก็พลันมีเสียงดังขึ้นจากด้านนอกหุบเขาเสียก่อน แถมเสียงดังกล่าวยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลอย่างมาก
ฟังแล้ว ต้นเสียงยังห่างจากหุบเขาอยู่พอสมควร…
“ประมุขรึ?”
อย่างไรก็ตามพอต้วนหลิงเทียนรู้สึกตัวและจดจำได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร ก็ปรากฏร่างหนึ่งผุดโผล่ขึ้นในอากาศเบื้องหน้าเขาปานภูตผี
เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างปานกลางค่อนไปทางผอม มาในชุดนักพรตเต๋าเก่าๆ
เป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ซุนเหลียงเผิง
“ต้วนหลิงเทียนเจ้า…เจ้าบาดเจ็บสาหัสนัก!”
พอเห็นบาดแผลเหวอะหวะทั่วร่างต้วนหลิงเทียน กระทั่งบางจุดยังลึกจนเห็นอวัยวะภายในไม่เว้นกระดูก สีหน้าซุนเหลียงเผิงก็เปลี่ยนไปไม่น้อย จากนั้นก็ถามออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า “แล้วนักฆ่ากะโหลกเลือดเล่า…”
“ตรงนั้น…”
ต้วนหลิงเทียนเงยหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง ซึ่งตรงนั้นปรากฏร่างแหลกเหลวจากการร่วงตกจากที่สูงของนักฆ่ากะโหลกเลือดนอนตายจมแอ่งเลือดคาวคลุ้งอยู่…
ซุนเหลียงเผิงโรยตัวลงมายืนบนพื้น จากนั้นก็เดินไปดูศพของนักฆ่ากะโหลกเลือดทันที
พอเห็นว่าเป็นศพของนักฆ่ากะโหลกเลือดจริงๆ ซุนเหลียงเผิงก็ตกตะลึงอึ้งไปโดยสมบูรณ์ “นิ…นี่คือนักฆ่ากะโหลกเลือด?”
“มัน…ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายงั้นหรือ!?”
ในขณะที่ซุนเหลืองเผิงฟื้นสติจากความตกใจ ก็พอดีกับต้วนหลิงเทียนที่ใช้พลังเก็บของจากร่างไร้วิญญาณของนักฆ่ากะโหลกเลือดมาได้ในที่สุด
“นี่นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ข้าเห็นอุปกรณ์อมตะประเภทศาสตราที่มีลักษณ์เป็นเส้นไหมแบบนี้…แม้มันจะดูบอบบาง แต่หากไปอยู่ในมือของผู้ใช้กฏแห่งทองหรือกฏแห่งลมจะเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำขณะตรวจสอบอาวุธที่นักฆ่ากะโหลกเลือดใช้
ก่อนหน้านี้ยามนักฆ่ากะโหลกเลือดลงมือ เส้นไหมสีเงินนี่มันแหวกฝ่าอากาศมารวดเร็วเหลือเกิน ความว่างเปล่าเสมือนถูกมันตัดผ่าได้อย่างง่ายดาย
ฟุ่บ!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเก็บไหมเงินของนักฆ่ากะโหลกเลือดลงแหวนพื้นที่แล้วเสร็จ ก็พอดีกับที่ร่างซุนเหลียงเผิงมาปรากฏตัวข้างๆเขาอีกครั้ง
“ต้วนหลิงเทียน นักฆ่ากะโหลกเลือดผู้นี้มีด่านพลังฝึกปรือขอบเขตใด?”
ซุนนเหลียงเผิงมองถามระดับบ่มเพาะนักฆ่ากะโหลกเลือดจากต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย
“ราชาอมตะ 6 ผสาน…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
ตอนที่ 3066
“ราชาอมตะ 6 ผสาน!?”
สิ้นคำกล่าวต้วนหลิงเทียน สีหน้าซุนเหลียงเผิงก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง!
นักฆ่าระดับราชาอมตะ 6 ผสานขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดนั้น…มั่นใจได้เลยว่ามันไม่ใช่ราชาอมตะ 6 ผสานธรรมดาๆเป็นแน่! ความลึกซึ้งที่เข้าใจย่อมเหนือกว่าราชาอมตะ 6 ผสานในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวส่วนใหญ่แน่นอน!!
“นักฆ่านั่น…เป็นราชาอมตะ 6 ผสานงั้นเหรอ!?”
ในขณะที่หน้าซุนเหลียงเผิงเปลี่ยนสี ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอกหุบเขา จากนั้นเงาทะมึนจากรางมหึมาที่แทบจะบดบังแผ่นฟ้าก็เริ่มทาบทับไปทั่วหุบเขาบริเวณนี้
พอต้วนหลิงเทียนเงยหน้าขึ้นไปก็พบนกตัวใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายเหยี่ยวภูเขาที่เขารู้จักตัวหนึ่ง และพริบตาต่อมาร่างมหึมาดังกล่าวก็ทอแสงสว่างเรืองวาบ จากนั้นก็กลับกลายเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียว คนโรยตัวลงมาจากฟากฟ้า พริบตาก็บรรลุถึงข้างกายซุนเหลียงเผิง…
“ต้วนหลิงเทียน นี่คือ ชิงหง น้องรองของข้าเอง”
หลังชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวลงมาหยุดยืนข้างกาย ซุนเหลียงเผิงก็ผายมือแนะนำอีกฝ่ายให้ต้วนหลิงเทียนรู้จักทันที
ถึงแม้ตั้งแต่ตอนที่ต้วนหลิงเทียนเริ่มก้าวออกมาจากนิกายอมตะเป้าผู่ ชิงหงก็ติดตามคุ้มกันเขามาตลอดทาง แต่ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่เคยเห็นตัวชิงหงเลย นี่นับเป็นครั้งแรกจริงๆที่เขาได้เห็นหน้าค่าตาอีกฝ่าย
“ขอบคุณอาวุโสชิงหงที่คอยติดตามให้ความคุ้มครองข้า”
ตั้งแต่ที่เห็นร่างผู้มาใหม่ปรากฏตัว ต้วนหลิงเทียนก็พอจะคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้ พอมาได้ยินซุนเหลียงเผิงแนะนำอย่างเป็นทางการ ต้วนหลิงเทียนก็รีบประสานมือคารวะทักทายอีกฝ่ายทันที
“ครั้งนี้เป็นข้าประมาทเกินไป ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะใช้ค่ายกลเคลื่อนนย้ายครั้งเดียวแบบนี้…โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร ไม่งั้นข้าไม่รู้จะสู้หน้าพี่ใหญ่อย่างไรแล้ว”
ชิงหงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
มันไม่ได้รู้จักอะไรกับต้วนหลิงเทียนเลย
แต่ไฉนที่มันมาลอบติดตามคุ้มครองต้วนหลิงเทียนนั้น เพราะพี่ใหญ่มาขอความช่วยเหลือจากมันด้วยตัวเอง
หาไม่แล้วต้วนหลิงเทียนจะอยู่หรือตายเกี่ยวอะไรกับมัน?
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้เรื่องนี้ดี เช่นนั้นหลังจากกล่าวทักทายขอบคุณชิงหงพอเป็นพิธีเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกฝ่าย
“นักฆ่ากะโหลกเลือดคนนี้ สมควรเข้าใจกฏแห่งลมใช่ไหม?”
หังชิงหงกวาดตามองความวินาศสันตะโรทั่วหุบเขาพักหนึ่ง ก็หันมามองถามต้วนหลิงเทียนเพื่อยืนยัน
มันเองก็เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในกฏแห่งลมเช่นกัน ดังนั้นมันย่อมมองออกได้แทบจะทันทีจากร่องรอยการทำลายล้างที่หลงเหลืออยู่ทั่วหุบเขา ว่านักฆ่ากะโหลกเลือดนั้นเชี่ยวชาญในกฏแห่งลมเหมือนมัน
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานของกะโหลกเลือดที่เชี่ยวชาญกฏแห่งลมงั้นหรือ…ดูจากร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ในหุบเขาแล้ว รวมกับความหมายแห่งลมมันสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมอีกราวๆ 4-5 ประการ”
ซุนเหลียงเผิงเดา
เท่าที่มันรู้มา ปกติแล้วนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานขององค์กรมือสังหารระดับแนวหน้าของแดนสวรรค์ใต้อย่างองค์กรกะโหลกเลือด ปกติแล้วก็จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏราวๆ 4-5 ประการ
“4-5 ประการ?”
อย่างไรก็ตามได้ยินการคาดเดาของซุนเหลียงเผิงต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มแหยๆออกมา มุมปากยังกระตุกขึ้นมาตงิดๆ เนื่องเพราะซุนเหลียงเผิงประเมินนักฆ่าที่เขาพึ่งฆ่าทิ้งไปต่ำไป!
นักฆ่ากะโหลกเลือดคนนี้ หากนับรวมความหมายแห่งลมเข้าไปด้วยล่ะก็ อีกฝ่ายนั้นเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม0จนบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นไปแล้วถึง 6 ประการเลยทีเดียว!
“ไม่ มันเข้าใจความลึกซึ้งมากกว่า 5 ประการ!”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเอ่ยบอกซุนเหลียงเผิงว่า ที่แท้นักฆ่ากะโหลกเลือดคนนี้มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมถึง 6 ประการนั้น เสียงของชิงหงก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ข้าดูจากร่องรอยในหุบเขาที่เกิดจากการประมือระหว่างมันกับต้วนหลิงเทียน หากรวมความหมายแห่งลมแล้ว…นักฆ่าคนนี้สมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมถึง 6 ประการ!”
ชิงหงกล่าวเสียงเข้ม
และคำพูดดังกล่าวของชิงหง ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนจำต้องมองชิงหงใหม่อีกรอบ เพราะอีกฝ่ายกล่าวถูกเผง!
และพอเห็นสีหน้ามั่นใจของชิงหง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนังศีรษะชาด้านอยู่บ้าง เพราะท่าทางอีกฝ่ายจะไม่ได้เดาส่งเดช แต่มั่นใจแบบนั้นจริงๆ
เห็นๆกันอยู่ว่าชิงหงผู้นี้สมควรไม่ได้เห็นฉากตอนที่เขาประมือกับนักฆ่ากะโหลกเลือด แต่อีกฝ่ายกลับสามารถระบุจำนวนความลึกซึ้งที่นักฆ่าเข้าใจได้อย่างแม่นยำจากร่องรอยการต่อสู้!
“น้องรอง เจ้าแน่ใจรึ!?”
ได้ยินคำพูดของชิงหง ซุนเหลียงเผิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าต้องทราบด้วยว่า ต่อให้เป็นองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเอง นักฆ่าระดับราชาอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึง 6 ประการ ก็นับว่ามีน้อยคน!”
“ไม่ผิดแน่นอน”
สายตาชิงหงหันไปกวาดมองร่องรอการต่อสู้ทั่วหุบเขาอีกครั้ง “พี่ใหญ่ท่านดูร่องรอยการต่อสู้บนพื้นกับรอบๆนี่สิ…สมควรเกิดจากความลึกซึ้ง พายุ ไม่ผิดแน่ ถึงได้ส่งผลกระทบร้ายแรงเป็นวงกว้างขนาดนี้”
“ท่านเห็นรอยแตกจมลึก แต่ปากรอยเรียบเนียนที่เต็มไปหมดหรือไม่…มันเป็นผลจากโดนคมมีดสายลมแน่นอน”
“ส่วนร่องรอยที่ผนังอันคล้ายถูกบางสิ่งเชือดเฉือนถี่ยิบนั่น…เป็นผลจากความลึกซึ้ง สะบั้น”
…
“อีกทั้ง ร่องรอยตัดลากยาวจากจุดโน้นมาถึงจุดนั้น…สมควรเป็นมันใช้อาวุธมีคมเล็กๆบางอย่างตัดผ่านด้วยความเร็วที่สูงล้ำมากๆ อีกทั้งจากข้าแผ่สำนึกเทวะเข้าไปดูร่องรอยกลับลึกอย่างน่าเหลือเชื่อ หมายความว่ามันไม่เพียงแต่จะใช้อาวุธระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาจากจอมราชันเท่านั้น แต่มันสมควรผสานพลังจากความลึกซึ้ง ควบรวมสายลม และลมกรด ลงไปด้วย…”
นอกจากความหมายแห่งลมแล้ว ชิงหงสามารถระบุชื่อความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่นักฆ่ากะโหลกเลือดออกมาได้อย่างมีเหตุผลทีละประการๆ จนครบ 5 ประการโดยที่ไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย
หลังชิงหงกล่าวจบคำ มันก็หันมามองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง พลางถามว่า “ข้าพูดถูกหรือไม่?”
“ถูก”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ แม้ผิวเผินเขาจะแลดูเฉยๆ แต่ในใจเสมือนมีพายุก่อตัวขึ้นมาอยู่บ้าง
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความแตกตื่นแล้ว ซุนเหลียงเผิง ก็หันมามองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความเหลือเชื่อ “ต้วนหลิงเทียน ในเมื่อนักฆ่าจากกะโหลกเลือดคนนี้มันเป็นถึงราชาอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมถึง 6 ประการ…ต่อให้เจ้าจะถือครองพลังขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง…แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินแค่ 2 ประการหรือไร?”
“แล้ว…เจ้าฆ่ามันได้อย่างไร?”
ตอนนี้ในใจของซุนเหลียงเผิงเต็มไปด้วยความสับสนงุนงงนัก
ราชาอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 6 ประการ คิดฆ่าราชาอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินแค่ 2 ประการ สมควรเป็นเรื่องราวที่ง่ายดายไม่ต่างอะไรจากตัดหญ้าฆ่าไก่…
ช่องว่างระหว่างความลึกซึ้ง 4 ประการนั้น มันบดขยี้ช่องว่างระหว่างด่านพลังบบ่มเพาะ 4 ขั้นได้อย่างราบคาบ!
ราชาอมตะ 10 ทิศนั้น หากคิดจะประมือกับราชาอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏถึง 6 ประการ อย่างน้อยๆก็ต้องเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึง 4 ประการ!
อย่างไรก็ตาม เท่าที่มันทราบต้วนหลิงเทียนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินแค่ 2 ประการเท่านั้น แถมความลึกซึ้งนอกเหนือจากความหมายแห่งดินแล้ว ก็สมควรเด่นเรื่องการป้องกันเป็นหลัก สำหรับความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใจได้บางส่วนนั้น เกรงว่าจะยังไม่ทรงพลังถึงขั้นนำมาใช้งานจริงได้
จริงอยู่ที่ต้วนหลิงเทียนอาจใช้การโจมตีทางวิญญาณ แต่พลังแห่งกฏเองก็สามารถต้านทานพลังวิญญาณได้เช่นกัน
กล่าวได้ว่าต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะใช้การโจมตีทางวิญญาณจริง แต่อาศัยพลังวิญญาณขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏแค่ 2 ประการกับอีกนิดหน่อย ไม่มีทางทำอะไรนักฆ่าราชาอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 6 ประการได้เลย…
“ประมุข…”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนที่เตรียมคำตอบไว้ตั้งแต่แรก ก็กล่าวตอบออกมาทันที ขณะเดียวกันสีหน้าเขายังปรากฏความรู้สึกผิดขึ้นมา “อันที่จริงกฏที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุดไม่ใช่กฏแห่งดิน…กฏแห่งดินเป็นแค่กฏรองของข้าเท่านั้น”
“ข้าเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟได้ 4 ประการแล้ว…ในแง่ความแข็งแกร่งของพลัง ข้ากับมันถือว่าทัดเทียมกัน แต่ข้าเลือกจะใช้พลังทั้งหมดที่ได้รับจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองทุ่มลงกับการโจมตีเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังเลือกจะเสี่ยงโจมตีแลกชีวิตกับมันด้วย สุดท้ายจึงฆ่ามันได้…”
“อย่างไรก็ตาม การลงมือแบบทุบหม้อจมเรือของข้า ทำให้ถึงแม้ข้าจะฆ่ามันได้…แต่ข้าก็ร่อแร่อย่างที่ท่านเห็น และอาการบาดเจ็บของข้าตอนนี้ เกรงว่าต่อให้ใช้โอสถรักษาอย่างน้อยๆข้าก็คงต้องพักฟื้นรักษาตัว 2-3 เดือน…”
กล่าวถึงท้ายประโยค ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ 4 ประการ
ข้อแก้ตัวดังกล่าวต้วนหลิงเทียนเตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
เนื่องจากเขาสามารถฆ่าราชาอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมได้ถึง 6 ประการ ซุนเหลียงเผิงสิบในสิบไม่พ้นต้องถามหาคำอธิบายแน่นอน หากเขาตอบไปว่าเข้าใจความลึกซึ้งแห่งไฟได้แค่ 2 ประการ จะให้ซุนเหลียงเผิงคิดอย่างไร…
ในฐานะที่เป็นถึงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ซุนเหลียงเผิงใช่ตัวโง่งมหรือ? มันไม่พ้นต้องเชื่อมโยงไปกับบางสิ่งที่สามารถทำให้พลังของเขาเพิ่มพูนขึ้นได้อย่างมหาศาลอีกแน่!
ศาสตราหรือชุดเกราะอมตะระดับจอมราชัน?
หรือใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอีกครั้ง?
กล่าวไปตั้งแต่ที่เห็นพลังของนักฆ่าคนใหม่ ต้วนหลิงเทียนก็มีความคิดว่าจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันครั้งสุดท้ายอยู่บ้าง
ด้วยวิธีนี้จะทำให้เขาถือครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดอีกครั้งในช่วงระเวลาหนึ่ง
ถึงตอนนั้นต่อให้เขาจะไม่มีหนทางเข่นฆ่าอีกฝ่ายจริง แต่ถ้าใช้พลังทั้งหมดเพื่อการหลบหนี ก็ย่อมหลบหนีได้พ้นแน่นอน…
พอเสียงกล่าวต้วนหลิงเทียนดังจบคำ นอกจากชิงหงที่มองต้วนหลิงเทียนและเห็นด้วยกับคำตอบราวกับเป็น ‘จริง’ ตามนั้นแล้ว ด้านซุนเหลียงเผิงถึงกับตกตะลึงอึ้งไปยากจะฟื้นอยู่นาน
อันที่จริงตัวชิงหงนั้น ตั้งแต่ที่มันเริ่มกวาดตามองร่องรอยการปะทะที่หลงเหลือทั่วหุบเขารอบที่สอง มันไม่เพียงแต่จะเห็นร่องรอยการทำลายจากความลึกซึ้งของลม มันยังเห็นร่องรอยจากความลึกซึ้งของกฏอีกอย่างเช่นกัน
และร่องรอยของกฏอีกอย่างที่ว่า ไม่ใช่อะไรที่เกิดจากความลึกซึ้งของกฏแห่งดินแน่นอน แต่สมควรเป็นกฏแห่งไฟ!
เพราะตัวมันเองก็เชี่ยวชาญกฏแห่งไฟเป็นกฏรองเช่นกัน
ทำให้มันเองยังอดคิดไปไม่ได้ว่า…
หรือกฏที่ต้วนหลิงเทียนช่ำชองที่สุดจะไม่ใช่กฏแห่งดิน แต่เป็นกฏแห่งไฟ?
ทำให้ต้วนหลิงเทียนที่เข้าไปเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังในหอตำราชั้นนสุด ไม่ได้เลือกวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินมาเลย แต่กลับเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุไฟมาแทน
จากนั้นสักพัก ในที่สุดซุนเหลียงเผิงก็ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง และหันไปมองต้วนหลิงเทียนทั้งกล่าวออกด้วยความตกใจ “ต้วนหลิงเทียน เจ้านับเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถสูงล้ำที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นกระทั่งเคยได้ยินมาชั่วชีวิต…”
“ไม่ต้องกล่าวถึงประวัติศาสตร์ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวเลย ต่อให้เป็นประวัติศาสตร์ของทั้งแดนสวรรค์ใต้ ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว ว่ายังจะมีอัจฉริยะคนใดที่อายุไม่ถึงร้อยปี หากแต่บรรลุด่านพลังขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ทั้งยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏหลัก 4 ประการ และความลึกซึ้งของกฏรองได้ 2 ประการ…”
ยิ่งกล่าวสองตาที่ซุนเหลียงเผิงใช้มองจ้องต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งทอประกายสว่างเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
“อายุไม่ถึงร้อยปี?”
ได้ยินวาจาดังกล่าวของซุนเหลียงเผิง ชิงหงจำต้องหันไปมองต้วนหลิงเทียนใหม่อีกรอบ ในแววตาฉายชัดถึงความประหลาดใจครั้งยิ่งใหญ่
ถึงแม้มันจะตระหนักได้แต่แรก ว่าพี่ใหญ่ของมันให้ความสำคัญกับต้วนหลิงเทียนคนนี้มาก หาไม่แล้วคงไม่ถึงกับออกปากให้มันมาลอบติดตามคุ้มครองความปลอดภัยของอีกฝ่ายด้วยตัวเองแบบนี้…
อย่างไรก็ตามมันไม่เคยรู้เลยว่าต้วนหลิงเทียนยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี!
‘ก็ว่าแล้วเชียว…หากไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจเยี่ยงปีศาจ พี่ใหญ่คงไม่ให้คุณค่าเจ้ามากขนาดนี้’
คิดถึงจุดนี้ชิงหงก็เข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้ง
“ให้เป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์แล้วยังไง กระทั่งคนข้างกายข้ายังไม่อาจปกป้องได้…”
ต้วนหลิงเทียนค่อยๆหอบหิ้วร่างยับเยินไปยังมุมหนึ่งของหุบเขา จากนั้นก็ไปรวบรวมชิ้นส่วนร่างหลิวก่วงหลิงที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ก่อนที่จะใช้สองมือค่อยๆขุดหลุมฝังอีกฝ่ายอย่างบรรจง
ตอนนี้เองสองตาต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นแดงก่ำ อดรู้สึกเสียใจไม่ได้ “บางที ตอนนั้นหากข้าเลือกจะยืนกรานให้หลิวก่วงหลินลงหลักปักฐานที่ประเทศฝูชิวเสียก็คงดี จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องอะไรแบบนี้…”
ในเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนยืนเศร้าเสียใจหน้าหลุมศพหลิวก่วงหลิง
ห่างออกไปจากเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว ณ สาขาหนึ่งขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด มีคนพบว่าลูกแก้ววิญญาณของนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานได้แตกเป็นเสี่ยง!
ตอนที่ 3067
เก่ออวิ๋นจ้ง นามนี้หากให้มองทั่วองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดแล้วอาจไม่นับเป็นอะไร และคงมีมากมายหลายคนที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ…
อย่างไรก็ตาม หากไปไถ่ถามจากเหล่านักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสาน…นามเก่ออวิ๋นจ้งนั้น เรียกว่าโด่งดังปานฟ้าร้องเลยทีเดียว!
เพราะในบรรดานักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดนับบไม่ถ้วน มีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้นที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ถึง 6 ประการ!
ด้วยเหตุนี้หากนับกันในบรรดานักฆ่าระดับราชาอมตะ 6 ผสานขององค์กรกะโหลกเลือดอย่างเดียว เก่ออวิ๋นจ้ง เป็นดั่งมือดีระดับไพ่ตายขององค์กรเลยทีเดียว!
“มีคนตาย…เป็นเก่ออวิ๋นจ้ง!”
หลังพบว่าเก่ออวิ๋นจ้งตายตก คนขององค์กรกะโหลกเลือดสาขาย่อยก็บังเกิดความรู้สึกแตกตื่นกันไม่น้อย
“เก่ออวิ๋นจ้งผู้นั้นตายแล้ว? มันมิใช่ว่าถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจที่เขตคฤหาสน์เฉวียนโยวมิใช่หรือไร หรือมันเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น?”
“หากข้าได้ยินมาไม่ผิด ดูเหมือนมันจะไปรับภารกิจสังหารต่อจากที่นักฆ่าระดับราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด…เป้าหมายนั่น เห็นว่าถึงแม้จะเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่กลับฆ่านักฆ่าระดับราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้”
“อะไร? อาศัยเป้าหมายระดับยยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดกลับฆ่านักฆ่าราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดของเราได้? แถมขนาดตัวตนระดับเก่ออวิ๋นจ้งลงมือยังพลาดท่าตายตกอีกรึ? ดูเหมือนเป้าหมายที่ว่าสมควรมีราชาอมตะ 7 ดาราลอบให้ความคุ้มครองอย่างดีสินะ?”
“สมควรเป็นเช่นนั้น…จะอย่างไรเก่ออวิ๋นจ้งก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานขององค์กรเรา มองทั่วเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ไหนเลยจะมีราชาอมตะ 6 ผสานสามารต่อกรมันได้ เช่นนั้นคนที่ฆ่ามันไม่พ้นต้องเป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 7 ดาราแน่นอน!”
…
องค์กรกะโหลกเลือดสาขาย่อยที่เก่ออวิ๋นจ้งประจำการอยู่ไม่อาจไม่สะเทือน! จากนั้นระดับสูงๆที่ประจำการที่อยู่ ก็เร่งรายงานเรื่องราวทั้งหมดไปยังสำนักงานใหญ่ขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดทันที!!
ภารกิจที่เดิมที่คิดว่าง่ายดายไร้เรื่องราว ที่แท้แล้วกลับยากเย็นกว่าที่คิด!
บัดนี้กระทั่งเก่ออวิ๋นจ้งยังตกตาย!
“นักฆ่าระดับราชาอมตะ 6 ผสานสาขาเจ้า…ก่อนที่มันจะตายมันได้ส่งข้อความมาหรือไม่ ว่าเป็นผู้ใดเข่นฆ่ามัน?”
ไม่นานนัก ระดับสูงขององค์กรกะโหลกเลือดสาขาย่อยที่เก่ออวิ๋นจ้งประจำการอยู่ ก็ได้รับการติดต่อกลับมาจากคนของสาขาหลัก
“ไม่มีเลย…มันสมควรถูกเล่นงานขณะลงมือทำการกิจเป็นแน่ กระทั่งเผลอๆอาจเป็นฝ่ายถูกลอบสังหารเสียเอง ถึงขั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะติดต่อกลับมาก่อนตาย”
ผู้ดูแลสาขาย่อยตอบกลับเร็วไว
“เอาล่ะ ทางสำนักงานใหญ่รับทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว…ต่อไปภารกิจนี้ทางสำนักงานใหญ่จะรับช่วงต่อเอง สาขาเจ้าให้หยุดติดตามภารกิจนี้ทันที”
หลังได้รับข้อความดังกล่าวจากคนของสำนักงานใหญ่ ผู้บริหารสาขาก็อดไม่ได้ที่จะลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “ในที่สุดข้าก็หลุดพ้นจากภารกิจไม่ชอบมาพากลนี่ได้เสียที…น่าเสียดายที่เก่ออวิ๋นจ้งต้องมาพลาดท่าตายตกไปอีกคน”
“หากข้ารู้แต่แรกว่าเป้าหมายภารกิจในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวนั่นมันเคี้ยวยากขนาดนี้ ข้าสมควรปฏิเสธแต่แรก…เก่ออวิ๋นจ้งจะอย่างไรก็เป็นดั่งนักฆ่าไพ่ตายขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานสาขาเราแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับต้องเอาชีวิตไปทิ้งในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวอย่างน่าเสียดาย”
ผู้บริหารของสาขาย่อยองค์กรกะโหลกเลือดอดไม่ได้ที่จะพึมพำกล่าวออกมาเสียงเข้ม สีหน้ายิ่งมายิ่งกลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก
…
ณ มุมหนึ่งของแดนสววรรค์ใต้ พื้นที่อิสระอันเป็นเอกเทศน์จากการปกครองของคฤหาสน์ระดับ 6 ภายในคฤหาสน์หลังโตอันตั้งอยู่ในเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่ง ปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองกำลังนั่งละเลียดชาชั้นดี อย่างสบายอารมณ์ในศาลาชมจันทร์…
หากทว่าชายหนุ่มที่กำลังละเลียดชาที่ว่า อยู่ดีๆมือของมันก็ชะงักไป เนื่องเพราะมันได้รับข้อความหนึ่งส่งตรงมาถึง
และหลังจากที่มันดูเนื้อความแล้ว สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง “อะไรกัน!?”
“ราชาอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 6 ประการที่สานต่อภารกิจในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวนั่น…ถูกฆ่าตายไปแล้ว?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองหรูหรา ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ ‘เฉินหลี’ นั่นเอง
เฉินหลี เป็นลูกชายนอกสมรสของ 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด อีกทั้งมันยังเป็นลูกชายคนเดียวของรองผู้นำที่ว่าอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ มันจึงได้รับความโปรดปรานทั้งเอาใจใส่จากรองผู้นำคนนั้นมาก ทำให้ฐานะของมันในองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดสูงเอาเรื่องทีเดียว
และตอนนี้ ผู้ที่เป็นดั่งมือซ้ายมือขวาของบิดาเฉินหลี อันเป็นชนชั้นอาวุโสคนหนึ่งในองค์กรกะโหลกเลือดสาขาหลัก ก็ได้ส่งข้อความเสียงติดต่อกลับมา
“นายน้อยหลี ผู้ใดเป็นคนออกภารกิจสังหารยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดผู้นั้นกันแน่? ท่านทราบหรือไม่ว่าเพื่อสังหารยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดนั่น ไม่เพียงแต่องค์กรกะโหลกเลือดสาขาย่อยจะเสียนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดไปแล้วคนนึง บัดนี้ยังต้องมาเสียนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานไปอีกคน”
“ที่สำคัญนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานที่สาขาย่อยพึ่งเสียไป ยังมิใช่นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานธรรมดาๆ…มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมถึง 6 ประการแล้ว เรียกว่าเป็นนักฆ่าไพ่ตายของสาขาย่อยนั่นเลยก็ว่าได้”
“และการตายของมัน ก็ทำให้นายน้อยหลีที่เป็นคนรับรองการออกภารกิจ กลายเป็นจุดสนใจของเหล่าผู้บริหารไม่น้อย…ข้าเกรงว่าเรื่องนี้อีกไม่นานต้องลุกลามใหญ่โตแน่”
“ข้ากลัวว่าถึงตอนนั้น ฝ่ายรองผู้นำทั้ง 2 นั่นต้องฉวยโอกาสใช้เรื่องนี้มาสร้างปัญหาให้นายท่าน ผ่านการประเมินทางวินัยเรื่องการใช้สิทธิ์โดยไม่ชอบของนายน้อยหลีเป็นแน่…เพราะสุดท้ายนายน้อยท่าน ก็เป็นผู้ที่รับรองให้ออกภารกิจสังหารดังกล่าว”
ข้อความเสียงที่อาวุโสของสาขาหลักส่งมาดังถึงจุดนี้ก็หยุดลง และไม่ได้ติดต่ออะไรกลับมาอีก
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!? แล้วภารกิจที่ข้ารับรองเล่า…จะหยุดลงแต่เพียงเท่านี้หรือ? ข้าได้รับปากผู้จ้างวานไว้แล้วว่าจะจัดการเป้าหมายให้ลุล่วง! หากมิอาจกระทำได้ มิใช่ว่าชื่อเสียงองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเราต้องป่นปี้แล้วหรือไร!?”
หลังฟังข้อความที่ส่งมาจบ เฉินหลีก็เร่งบดขยี้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณเพื่อติดต่อกลับไปทันที “อีกทั้งเรื่องที่เป้าหมายยากต่อการจัดการ ไม่ใช่ว่าเป็นความรับผิดชอบของพวกหน่วยข่าวกรองรึไร? ไฉนข้าต้องโดนประเมินทางวินัยอะไรด้วย?”
“อีกทั้งเรื่องนี้ต่อให้ข้าใช้สิทธิ์เป็นผู้รับรองการออกภารกิจด้วยตัวเอง…แต่การตัดสินว่าจะรับงานหรือไม่รับงานขั้นสุดท้าย มันก็อยู่ที่ดุลยพินิจของหน่วยข่าวกรองเหมือนกันไม่ใช่รึไง?”
“ในประวัติศาสตร์องค์กรกะโหลกเลือดเรา เคยมีเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้เกิดขึ้นด้วย? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผู้ค้ำประกันต้องเป็นคนรับผิดชอบยามภารกิจล้มเหลว?”
เสียงข้อความท้ายประโยคที่เฉินหลีส่งไป น้ำเสียงยังแฝงความเย้ยหยันไม่น้อย
“ถึงที่ท่านพูดมาจะไม่ผิด แต่นายน้อยหลี ท่านเองก็รู้ดี…เจ้าพวกนั้นมันก็เสมือนคิดหากระดูกในไข่ หมายสร้างปัญหาให้นายท่านมานานแล้ว”
“ยิ่งไปกว่านั้นท่านที่เป็นคนค้ำประกันภารกิจนี้ใช่คนธรรมดาที่ไหน…ท่านเองก็ควรทราบดีว่าหากมิใช่ท่านเป็นบุตรชายของนายท่าน ตัวท่านย่อมไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆในองค์กรกะโหลกเลือดเลย ทั้งหมดเป็นเพราะทุกคนเห็นแก่หน้านายท่านทั้งสิ้น ถึงยอมหลับตาให้ท่านข้างหนึ่ง”
“แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เรื่องราวมันร้อนมาถึงหัวแล้ว…ข้าเกรงว่าต่อให้เป็นนายท่านเองก็ไม่พ้นต้องถูกท่านผู้นำตำหนิแน่”
“และท่านสมควรรู้ดีแก่ใจ ว่าต่อให้เป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องเพียงใด บางทีก็อาจส่งผลกระทบกับการตัดสินใจเลือกตำแหน่งผู้นำคนใหม่ในภายภาคหน้าได้…ท่านก็มิใช่ไม่รู้ว่ารองผู้นำอีก 2 คนนั่น มันจ้องจะจับผิดนายท่านขนาดไหน”
ผู้อาวุโสของสาขาหลักส่งข้อความเสียงตอบกลับเฉินหลี
“พวกบัดซบน่าตายเอ๊ย…เอาล่ะๆ เดี๋ยวข้าจะหารือกับท่านพ่อเองว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง!”
ข้อความเสียงสุดท้ายที่เฉินหลีส่งไปหาอาวุโสสาขาหลัก น้ำเสียงของมันฟังแล้วเห็นชัดว่าหงุดหงิดทั้งไม่พอใจอย่างแรง! อย่างไรก็ตามแม้มันจะหัวเสียแค่ไหน แต่ในใจก็อดไม่ได้ที่จะกังวล…ด้วยไม่รู้จะจัดการปัญหาครั้งนี้อย่างไร
“มารดามันเถอะ ไอ้ศิษ์นิกายอมตะเป้าผู่นามต้วนหลิงเทียนนั่นมันเป็นตัวบัดซบอันใดกันแน่? ไฉนฆ่าไม่ตายเสียที เป็นเพราะมันคนเดียวข้าถึงได้ซวยโดนตำหนิ แถมยังจะเปิดช่องให้ศัตรูเล่นงานท่านพ่ออีก!”
เฉินหลีพึมพำกับตัวอย่างไม่สบอารมณ์ สีหน้าของมันแลดูบิดเบี้ยวน่าเกลียดมาก
ถึงวาจาที่มันกล่าวไป จะถูกต้องทุกอย่างว่ายามภารกิจเกิดเหตุผิดพลาดอะไรขึ้นมา ก็ไม่ใช่อะไรที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบเลย แต่ทั้งหมดเป็นความบกพร่องของหน่วยข่าวกรอง ที่ไม่อาจหาข้อมูลเป้าหมายได้ละเอียดพอ…
อย่างไรก็ตาม พวกฝ่ายตรงข้ามบิดามันที่สาขาหลัก ก็ไม่พ้นยกอ้างเรื่องหนึ่งขึ้นมาพูด
บิดาของมันใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยการให้ท้ายมัน แถมไปค้ำประกันให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้ จนเป็นเหตุให้องค์กรต้องประสบกับความสูญเสีย!!
ในเมื่อมันได้ค้ำประกันเรื่องออกภารกิจสังหารคนๆหนึ่ง แต่สุดท้ายดันเกิดปัญหาและความสูญเสียขึ้นมาแบบนี้ ย่อมไม่ต่างอะไรกับเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามบิดามัน ยกอ้างเรื่องนี้มาเล่นงานบิดาของมัน!
“เจิ้งหงอี้!!”
พอนึกถึงตัวปัญหาของเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้นมา เฉินหลีก็หัวเสียนัก สุดท้ายจึงเลือกจะส่งข้อความเสียงไปด่าเจิ้งหงอี้อย่างสาดเสียเทเสีย
แต่เป็นธรรมดาว่าตามกฏขององค์กรกะโหลกเลือด…เมื่อรับงานมาแล้วก็ต้องฆ่าต้วนหลิงเทียนให้จงได้! อย่าได้พูดถึงเรื่องราชาอมตะ 6 ผสานตายตกเลย ต่อให้ผู้ที่ตายตกจะเป็นราชาอมตะ 10 ทิศ ทางองค์กรก็ไม่อาจล้มเลิกภารกิจได้ เพราะมันกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความน่าเชื่อถือของทั้งองค์กรไปแล้ว!
ภารกิจสังหารต้องดำเนินต่อไป!
และคราวหน้า นักฆ่าที่จะส่งไปปฏิบัติภารกิจ ย่อมไม่ใช่นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะธรรมดาๆแน่
แต่เป็นธรรมดาว่าทางองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ไม่คิดส่งนักฆ่าคนใหม่ไปดำเนินภารกิจต่อทันทีอย่างวู่วาม พวกมันจำต้องเก็บข้อมูลของเป้าหมายกันอย่างละเอียดอีกครั้ง
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ข้อมูลใดๆก็ตามของต้วนหลิงเทียนที่พวกมันได้มาก่อนหน้านี้ ไม่อาจใช้อ้างอิงในการตัดสินใจใดๆได้อีกต่อไป!
“หืม? กล้าไม่ตอบข้อความข้างั้นเหรอ!?”
หลังจากรออยู่นานสองนานแต่ทางด้านเจิ้งหงอี้กลับไม่ติดต่อกลับมา ทำให้สีหน้าเฉินหลีมืดดำคล้ำลงปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก สองตายยังเริ่มฉายเจตนาฆ่าฟันออกมา
อย่างไรก็ตามเฉินหลีไม่ได้รู้เลย…ว่าบัดนี้เจิ้งหงอี้กำลังเผชิญหน้ากับวิฤตการณ์ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นตาย+ และหากมันก้าวผิดเพียงก้าวเดียว ก็อาจต้องตายเพราะภัยพิบัติที่มาเยือนถึงตัว!
ภายในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว
ณ ถิ่นที่อยู่ขนิกายอมตะเป้าผู่ ภายในบ้านพักส่วนตัวที่ซุนเหลียงเผิงพักอาศัย
ปรากฏร่างหนึ่งคุกเข่าอยู่ในลานด้านหน้า แต่คนหาได้ก้มหัวอันใด ยังเงยหน้าขึ้นมาโต้เถียงอย่างดื้อรั้นไม่ยินยอม เสียงกล่าวของมันแทบจะเป็นการคำรามออกมาจากลำคอ “ต้วนหลิงเทียน ไฉนอยู่ๆเจ้าต้องมาใส่ร้ายข้าด้วย!?”
“หรือทั้งหมดเป็นเพราะวันแรกที่พวกเราพบกัน ข้าเผยท่าทีไม่พอใจเจ้า?”
ผู้ที่คุกเข่าอยู่ในลานด้านหน้าคนดังกล่าว กำลังเงยหน้ามองจ้องชายหนุ่มชุดม่วง 1 ใน 2 ร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตาเขม็ง สองตายังฉายชัดถึงความไม่เต็มใจทั้งไม่ยอมแพ้!
เบื้องหน้าชายหนุ่มที่กำลังคุกเข่า นอกจากชายหนุ่มชุดม่วงแล้ว อีกคนก็คือซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ผู้เป็นอาจารย์ของมัน
หลังจากกลบฝังหลิวก่วงหลินด้วยสองมือแล้วเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยกับซุนเหลียงเผิงเสียงแข็ง ว่าการตายของหลิวก่วงหลินต้องมีผู้รับผิดชอบ!!
อีกทั้งก่อนที่หลิวก่วงหลินจะถุกฆ่าตาย อีกฝ่ายก็ได้ส่งเสียงผ่านพลังมาแจ้งให้เขาทราบแล้ว ว่าใครที่อยู่กับมันก่อนที่สติจะดับวูบไป และคนๆนั้นสมควรเป็นผู้ที่พาตัวมันไปส่งถึงมือนักฆ่ากะโหลกเลือดไม่ผิดแน่!
ด้านซุนเหลียงเผิงเอง แม้ก่อนหน้าจะคาดเดาได้แล้วว่าภายในนิกายต้องมีผี เพราะคนนอกไม่มีทางลักพาตัวหลิวก่วงหลินออกไปนอกนิกายโดยที่มันไม่มีทางรู้ได้แน่นอน
ก็แค่ มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าผีภายในตัวที่ว่า ที่แท้จะเป็น เจิ้งหงอี้ ศิษย์ของมัน!
หลังซุนเหลียงเผิงพาต้วนหลิงเทียนกลับมาจากหุบเขาแล้ว มันก็พาต้วนหลิงเทียนมาที่นี่ จากนั้นก็เรียกเจิ้งหงอี้มาทันที จากนั้นก็ทำการผนึกพลังทั่วร่างทั้งริบแหวนพื้นที่มา ไม่ให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสทำอะไรหรือติดต่อกับใคร ค่อยจี้ถามเรื่องนักฆ่ากะโหลกเลือดออกไป
อย่างไรก็ตาม เจิ้งหงอี้ กลับปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
“ต้วนหลิงเทียน ข้าในฐานะลูกผู้ชายขอให้ฟ้าดินเป็นพยาน…แม้ตัวข้า เจิ้งหงอี้ จะอิจฉาเจ้าที่ได้เป็นศิษย์ที่แท้จริง แต่ข้าไม่เคยคิดฆ่าเจ้าแม้แต่ครั้งเดียว! ข้อกล่าวหาของเจ้า ต่อให้ข้าเจิ้งหงอี้ต้องตายข้าก็ไม่ยอมรับ!!”
“นอกจากนั้นเรื่องที่เจ้าใส่ความว่าข้าเป็นคนจ้างนักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดมาฆ่าเจ้า มันจะไม่ฟังดูเหลวไหลไปหน่อยหรือไร? ทุกคนล้วนทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าหากคิดจะว่าจ้างงานองค์กรกะโหลกเลือด อย่างน้อยๆผู้ว่าจ้างต้องมีคนค้ำประกัน…”
“เจ้าคิดว่า…ด้วยความสามารถของศิษย์ฝ่ายในตัวเล็กๆเช่นข้า จักมีปัญญาไปหาผู้ใดมาค้ำประกันเพื่อติดต่อว่าจ้างองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดได้จริงๆหรือ?”
เจิ้งหงอี้มองจ้องต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง ลูกตาของมันฉายชัดถึงโทสะและความไม่ยินยอม ราวกับตัวมันได้รับความอยุติธรรมสุดแสน!
ตอนที่ 3068
เห็นเจิ้งหงอี้ปากแข็งยืนกรานไม่ยอมรับผิด ต้วนหลิงเทียนเพียงมองฟังมันด้วยสายตาสงบ และพอเจิ้งหงอี้กล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามออกไปอย่างใจเย็นว่า “เจ้าพูดจบรึยัง?”
‘หืม?’
พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังนิ่งอยู่ได้ ในใจเจิ้งหงอี้ก็บังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาทันที ‘เจ้าต้วนหลิงเทียนนี่…หรือมันจะได้หลักฐานอะไรมา?’
ใจเจิ้งหงอี้ไม่อาจไม่กังวล
ตอนที่มันถูกเรียกที่มาที่นี่ มันก็หวั่นๆว่านักฆ่ากกะโหลกเลือดจะไม่ได้เข่นฆ่าผู้ติดตามของต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะตื่น สุดท้ายก็มีโอกาสส่งข้อความถึงต้วนหลิงเทียน ว่ามันเป็นคนที่ทำร้ายและลักพาตัวไปส่งนักฆ่ากะโหลกเลือด!
และตอนนี้มันก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ…ว่านักฆ่ากะโหลกเลือดได้ตายไปแล้ว! ยังคิดว่านักฆ่ากะโหลกเลือดยังคงเฝ้ารอต้วนหลิงเทียนอยู่!!
“ประมุข…ลองดูว่าในนี้มีลูกแก้ววิญญาณของเจิ้งหงอี้ไหม”
ในขณะที่ใจของเจิ้งหงอี้เต็มระส่ำไปด้วยความกังวล ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือเรียกแหวนพื้นที่ออกมาวงหนึ่ง ก่อนจะยื่นส่งให้ซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่
ด้านซุนเหลียงเผิงนั้น พอเห็นว่าลูกศิษ์ของตัวเองอย่างเจิ้งหงอี้ยืนกรานปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ไม่ยอมรับว่าจ้างนักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดรวมถึงให้ความร่วมมือกับนักฆ่าลักพาตัวคน! ถึงแม้มันจะเชื่อคำพูดต้วนหลิงเทียนมากกว่า แต่มันก็ไม่อาจพูดอะไรได้ เพียงรอให้ต้วนหลิงเทียนแสดงหลักฐานอะไรออกมา
ตอนนี้พอเห็นต้วนหลิงเทียนส่งแหวนพื้นที่วงหนึ่งมาให้ มันก็ตระหนักได้ทันที
จริงด้วย แหวนพื้นที่ของนักฆ่ากะโหลกเลือดอยู่ในมือต้วนหลิงเทียน!
หากเจิ้งหงอี้เป็นคนสมรู้ร่วมคิดกับนักฆ่ากะโหลกเลือดจริง ในแหวนพื้นที่ของนักฆ่ากะโหลกเลือดก็ต้องมีลูกแก้ววิญญาณของเจิ้งหงอี้เก็บไว้!
“เฮอะ! ต่อให้ในแหวนวงนั้นมีลูกแก้ววิญญาณของข้าอยู่ในนั้น แล้วจักบ่งบอกอันใดได้?”
เห็นต้วนหลิงเทียนยื่นแหวนพื้นที่วงหนึ่งให้ซุนเหลียงเผิง เจิ้งหงอี้ก็แสยะยิ้มกล่าวเย้ยออกมา “ในนิกายไม่ทราบมีศิษย์กี่คนที่มีลูกแก้ววิญญาณของข้า ไฉนเจ้าจักไปหามาสักลูกเพื่อใส่ความข้าไม่ได้?”
“อ้อ แล้วถ้าหากข้าบอกว่าแหวนพื้นที่วงนี้เป็นขอนักฆ่ากะโหลกเลือดเล่า?”
ได้ยินคำกล่าวอ้างของเจิ้งหงอี้ ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมาเหลือบมองมันด้วยสายตาเย็นชา มุมปากยังยกยิ้มแสยะบางๆด้วยความสมเพช
พอต้วนหลิงเทียนพูดจบคำ เจิ้งหงอี้ก็ตะลึงไปทันใด
แหวนพื้นที่ของนักฆ่ากะโหลกเลือด!?
หากนั่นเป็นแหวนพื้นที่ของนักฆ่ากะโหลกเลือด…แล้วไฉนมาอยู่ในนมือของต้วนหลิงเทียนได้?
เว้นเสียแต่…นักฆ่ากะโหลกเลือดจะตายไปแล้ว!
จากนั้นก็เห็นว่า ซุนเหลียงเผิงได้เรียกลูกแก้ววิญญาณลูกหนึ่งออกมาจากแหวนด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ มันที่เป็นอาจารย์ของเจิ้งหงอี้ ย่อมคุ้นเคยกับกลิ่นอายพลังวิญญาณของลูกศิษย์ตัวเองดี! และลูกแก้ววิญญาณที่มัหยิบบออกมาจากแหวนพื้นที่นักฆ่ากะโหลกเลือดลูกนี้ เห็นได้ชัดว่ามีพลังวิญญาณของเจิ้งหงอี้ประทับเอาไว้!!
“เป็นเจ้าจริงๆ…ศิษย์สารเลว!!”
ซุนเหลียงเผิงหันมามองเจิ้งหงอี้อีกครั้ง คราวนี้แววตาก็แลดูเยียบเย็นนัก พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดยังปะทุออกมาลุกโชนท่วมร่างปานเพลิงไฟ แผ่ซ่านเจตนาฆ่าฟันอำมหิตออกมาอย่างไม่คิดจะระงับ ราวกับคิดจะฟาดเจิ้งหงอี้ให้ตายตกคามือแทนคำอธิบายให้ต้วนหลิงเทียน
“ท่านอาจารย์!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันจากซุนเหลียงเผิง สีหน้าเจิ้งหงอี้เปลี่ยนไปใหญ่หลวง เร่งกล่าวแก้ตัวออกมาอย่างร้อนรน “ท่านอย่าได้หลงเชื่อมัน…หรือมันบอกว่านั่นเป็นแหวนพื้นที่ของนักฆ่ากะโหลกเลือด ก็ต้องเป็นแหวนพื้นที่ของนักฆ่ากะโหลกเลือดจริงๆ?”
“สารเลวเจ้ายังไม่สำนึกอีก! เป็นข้าเห็นกับตาว่าต้วนหลิงเทียนหยิบแหวนวงนี้ขึ้นมาจากศพของนักฆ่ากะโหลกเลือด!!”
ยิ่งมาเจตนาฆ่าฟันในแววตาซุนเหลียงเผิงยิ่งรุนแรง จากนั้นมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน กล่าวออกอย่างตรงไปตรงมาว่า “ต้วนหลิงเทียน ศิษย์สารเลวของข้าคนนี้เชิญเจ้าประหารมันด้วยตัวเองเถอะ…ฆ่ามันล้างแค้นให้ผู้ติดตามของเจ้า!”
“ขอบคุณประมุข”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็ก้มลงไปมองเจิ้งหงอี้ด้วยสายตาเปี่ยมจิตสังหาร
การตายของหลิวก่วงหลินนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะเขาคนเดียว
เช่นนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาต้องคืนความุติธรรมให้กับหลิวก่วงหลินที่ตกตายไปอย่างไม่เป็นธรรมให้จงได้!
ตอนนี้ไม่ว่าเจิ้งหงอี้จะกล่าวแถแก้ตัว บอกว่าต้วนหลิงเทียนอาจขโมยลูกแก้ววิญญาณของมันจากศิษย์คนอื่น และนำมาใส่แหวนพื้นที่ของนักฆ่ากะโหลกเลือดทีหลัง แต่ซุนเหลียงเผิงก็ไม่คิดฟังแม้แต่น้อย เพียงมองมันด้วยสายตาเฉยเมย คล้ายไม่แยแสอีกต่อไปว่ามันจะอยู่หรือตาย
วูบ
พอเห็นว่าอาจารย์ของมัน ไม่แยแสคววามเป็นตายของมันอีกต่อไป ทั้งยังสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันอำมหิตที่เอ่อล้นออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียน สีหน้าเจิ้งหงอี้ก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน สองตาของมันบัดนี้ฉายชัดถึงความหวาดกลัวจับใจ
และพอเห็นต้วนหลิงเทียนกำลังจะลงมือ เจิ้งหงอี้ที่สีหน้าแปรเปลี่ยนสลับกลับกลายไปไม่หยุด ก็เร่งโพล่งกล่าวออกมาเสียงดัง “ต้วนหลิงเทียน! ไม่ใช่ข้าแค่คนเดียวที่สมรู้ร่วมคิดกับนักฆ่ากะโหลกเลือด! หวังหง…หวังหงเองก็ร่วมมือกับข้าเพื่อจ้างนักฆ่ากะโหลกเลือดมาฆ่าเจ้าด้วย!!”
“ในแหวนพื้นที่ของนักฆ่ากะโหลกเลือดคนก่อน สมควรมีเกราะอมตะระดับราชาตัวหนึ่งที่คล้ายเถาวัลย์สีเขียวโปร่งแสงอยู่ และยังเป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะแล้ว! มันคือเกราะเถาวัลย์แก้วที่หวังหงจ่ายเป็นค่ามัดจำให้นักฆ่ากะโหลกเลือด!!”
เมื่อสัมผัสได้ว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้และเป็นดั่งชะตาที่มิอาจหลีกเลี่ยง เจิ้งหงอี้ก็กัดฟันกล่าวออกมาอย่างดุร้าย หมายลากหวังหงให้ลงนรกไปกับมันด้วย!
ด้วยวิธีนี้ต่อให้มันจะถูกประหารตายตก แต่อย่างน้อยๆหวังหงก็ต้องร่วมหัวจมท้ายตกตายไปพร้อมกันกับมันด้วย!
แต่ถ้าหากหวังหงไม่ถูกประหาร ก็ไม่แน่ว่ามันจะต้องตาย!
นับว่านี่เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของมันแล้ว
“หวังหง”
จิตสังหารในแววตาของต้วนหลิงเทียนปะทุขึ้นมาอีกรอบ จากนั้นก็หันไปกล่าวกับซุนเหลียงเผิงเสียงเย็น สองตายังมองจ้องสบตาอีกฝ่ายยเขม็ง “ประมุข…ดูเหมือนว่าเรื่องที่อาวุโสใหญ่บอกข้ากับท่านวันก่อน ท่าทางจะไม่ใช่ความจริง”
“ศิษย์สารเลว เจ้ามีหลักฐานหรือไม่!?”
ซุนเหลียงเผิงหันไปมองจ้องเจิ้งหงอี้พลางเอ่ยถามเสียงหนัก
แม้ปากมันจะกล่าวถามออกไป หากแต่ในใจนั้นเชื่อไปแล้วเต็มสิบส่วนว่าหวังหงมีเอี่ยวด้วยจริงๆ
“ท่านอาจารย์ ข้าไม่มีหลักฐานอันใดหรอก…แต่ข้าสามารถนัดนางมาคุยได้ ตราบใดที่ท่านซ่อนตัวแอบฟัง ย่อมได้ยินเรื่องที่ข้าคุยกับนาง เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะใส่ร้ายนาง”
เจิ้งหงอี้กล่าว
หวังหงนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทางองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดได้ส่งนักฆ่าอีกคนมาแล้ว กระทั่งไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วยเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เช่นนั้นเจิ้งหงอี้จึงส่งข้อความติดต่อไปหานางโดยบอกว่า บัดนี้นักฆ่าคนใหม่ขององค์กรกะโหลกเลือดได้มาถึงแล้ว และคิดจะชวนนางไปพบด้วยกัน จึงนัดนางออกมาพบในที่ลับตา
หวังหงที่ได้รับข้อความก็ไม่ได้เอะใจสงสัยอะไ รเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องมีนักฆ่าคนใหม่มา จึงเร่งรุดมาหาเจิ้งหงอี้ทันที
“เจิ้งหงอี้ แล้วนักฆ่าคนใหม่ที่ทางองค์กรกะโหลกเลือดส่งมามีด่านพลังฝึกปรืออันใด? ข้าได้ยินจากท่านปู่มาว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนสมควรถือครองพลังขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศอยู่…”
พอพบเจอเจิ้งหงอี้ หวังหงก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความอยากรู้ทันที
“หากเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะทั่วไป…ข้าเกรงว่าจะไม่อาจฆ่าเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นได้”
หวังหงยังเอ่ยต่อออกมา โดยที่ไม่รอฟังคำตอบของเจิ้งหงอี้ด้วยซ้ำ
“ท่านได้ยินแล้วกระมัง”
พอเสียงกล่าวถามของหวังหงดังจบคำ เจิ้งหงอี้ก็หันไปกล่าวคำกับความว่างเปล่า พอหวังหงได้ยินดังนั้น นางก็หน้าเสียไปทันที ในใจของนางยังบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาประการหนึ่ง!
“หวังหง ที่แท้เจ้ามีส่วนกับเรื่องนี้ด้วยจริงๆ!”
วินาทีต่อมา ในสายตาของหวังหงก็เห็นร่างซุนเหลียงเผิงกับต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นมาปานภูตผี!
ขณะที่ซุนเหลียงเผิงกล่าว สองตาก็มองจ้องไปยังหวังหงด้วยโทสะ!
มันไม่คิดไม่ฝันจริงๆหวังหงจะมารวมหัวทำชั่วกับเจิ้งหงอี้แบบนี้ หรือนางไม่คำนึงบ้าง ว่าปู่ของนางเป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่ในนิกาย?
ด้านต้วนหลิงเทียนก็มองหวังหงด้วยสายตาชืดชาไร้อารมณ์ ทำราวกับกำลังมองคนตาย!
“ประ…ประมุข!”
ตั้งแต่ที่เห็นเจิ้งหงอี้หันไปมองอากาศว่างเปล่าแล้วกล่าววาจาเมื่อครู่ออกมา หวังหงก็รู้สึกใจคอไม่ดีอยู่แล้ว ตอนนี้พอเห็นว่าซุนเหลียงเผิงกับต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวออกมาพร้อมกัน นางก็ตกตะลึงอึ้งไปโดยสมบูรณ์!
หลังจากกลับมารู้สึกตัว นางก็หันไปถลึงตามองเจิ้งหงอี้อย่างดุร้าย กัดฟันกล่าวออกมาอย่างอาฆาต “เจิ้งหงอี้ เจ้าจะตายไฉนไม่ตายไปคนเดียว! ไม่คิดเลยว่าเจ้ายังจะลากข้าลงน้ำไปด้วย!!”
หากหวังหงยังไม่รู้ตัวอีกว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น เกรงว่าชีวิตที่อยู่มาหลายร้อยปีของนาง คงไร้ค่าเยี่ยงชีวิตสุนัขแล้ว
…
หลังได้ยินคำสารภาพของเจิ้งหงอี้กับหวังหงแล้ว ซุนเหลียงเผิงก็ติดต่อไปหาผู้อาวุโสใหญ่รวมถึงผู้อาวุโสคนอื่นๆของนิกายอมตะเป้าผู่ทันที เพื่อหารือเรื่องจะจัดการกับเจิ้งหงอี้และหวังหงอย่างไร…
“เรื่องนี้ชั่วร้ายเกินไปจนข้ามิอาจรับไหว! หากศิษย์เข่นฆ่ากันเองเพื่อช่วงชิงข้ายังพอเข้าใจได้…แต่ถึงกับจ้างนักฆ่าด้านนอกให้มาลงมือแบบนี้ มันจะมากเกินไปแล้ว!!”
รองประมุขนิกายจางกวงเจิ้ง ที่เป็นคนนำต้วนหลิงเทียนมายังนิกายอมตะเป้าผู่ แผดเสีงกล่าวออกมาอย่างโมโห “ข้าเห็นว่าสมควรประหารศิษย์สารเลวทั้งคู่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง! ต่อไปจักได้มิเกิดเรื่องอุบาทว์พรรค์นี้ขึ้นในนิกายเราอีก!!”
“ข้าเห็นด้วยกับรองประมุขจาง”
รองประมุขอีกคนของนิกายอมตะเป้าผู่ อันเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาปานกลาง กล่าวเห็นด้วยเรื่องประหารเจิ้งหงอี้กับหวังหง
นอกจากตัวหวังเชียนจ้านผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่ปู่ของหวังหงที่ยังไม่พูดอะไร อาวุโสคนอื่นๆของนิกายอมตะเป้าผู่ล้วนเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์กับรองประมุขทั้งสอง
“อาวุโสใหญ่ท่านคิดเห็นอย่างไร”
ซุนเหลียงเผิงหันไปมองถามหวังเชียนจ้าน
พร้อมกันนั้นเหล่าอาวุโสคนอื่นๆรวมถึงรองประมุขทั้ง 2 ก็หันไปมองจ้องหวังเชียนจ้านเช่นกัน สร้างแรงกดดันให้หวังเชียนจ้านอย่างหนัก
“ประหารก็ประหารเถอะ”
หวังเชียนจ้านเอ่ยคำเสียงเบา พอพูดจบมันก็หันหลังแล้วเหินร่างจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
แม้น้ำเสียงของหวังเชียนจ้านฟังแล้วจะคล้ายไร้แยแส แต่อาวุโสของนิกายอมตะเป้าผู่ทั้งหมดย่อมเข้าใจดีว่าตอนนี้หวังเชียนจ้านรู้สึกอย่างไร ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าอีกฝ่ายจะหยาบคายยที่เลือกจะจากไปดื้อๆแบบนี้
หลังจากนั้นเจิ้งหงอี้กับหวังหงก็ถูกตัดสินโทษประหาร โดยซุนเหลียงเผิงเองก็มอบหมายหน้าที่เพชรฆาตให้ต้วนหลิงเทียนลงมือด้วยตัวเอง นับว่าเป็นการเอาใจต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รั้งรออะไร เลือกจะสะบัดมือส่งๆสร้างกระบี่พลังตัดหัวหวังหงก่อน จากนั้นก็หันไปมองเจิ้งหงอี้ พลางเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “เจิ้งหงอี้ ข้ายังอยากรู้เรื่องหนึ่ง…ใครมันเป็นคนค้ำประกันให้เจ้ากันแน่? เจ้าถึงสามารถทำให้องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดออกภารกิจสังหารข้าได้?”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวถามเรื่องนี้ออกมาอาวุโสของนิกายอมตะเป้าผู่ทุกคนในจุดเกิดเหตุ ก็หันไปมองเจิ้งหงอี้เพื่อรอฟังคำตอบเช่นกัน
องค์กรกะโหลกเลือด เป็น 1 ใน 3 องค์กรมือสังหารระดับแนวหน้าของแดนสวรรค์ใต้ เกณฑ์การจ้างวานนับว่าสูงมาก
ผู้ที่คิดจ้างงานองค์กรกะโหลกเลือด จำต้องมีผู้ค้ำประกันเป็นผู้นำขุมกำลังระดับ 6 หรือไม่ก็ต้องเป็นจอมราชันอมตะ
นอกเหนือจากนี้ เกรงว่าคงต้องมีเส้นสายภายในเท่านั้น
ทุกคนรู้สึกว่าเจิ้งหงอี้สมควรมีเส้นสายภายในมากกว่า ถึงสามารถจ้างงานองค์กรกะโหลกเลือดได้
“ข้าจะตายอยู่แล้ว…ทำไมยังต้องบอกเจ้าด้วย”
เจิ้งหงอี้กล่าวเย้ย
“หากเจ้าสารภาพมาตามตรง ข้าจะให้เจ้าได้ตายอย่างรวบรัดโดยมีสภาพศพสมบูรณ์…หาไม่แล้วข้าจะแล่เนื้อเถือหนังเจ้า!”
(แล่เนื้อเถือหนัง คือการใช้มีดค่อยๆเฉือนร่างทีละชิ้นๆจนครบพันชิ้น เพื่อให้เจ็บปวดทรมาณที่สุดจนกว่าจะตาย)
สองตาต้วนหลิงเทียนพลันปะทุจิตฆ่าฟันอำมหิตออกมา น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความเย็นชา พาลให้ผู้ที่ได้ฟังรู้สึกเสมือนติดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ
แล่เนื้อเถือหนัง!
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สีหน้าเจิ้งหงอี้ก็เปลี่ยนไปทันใด ยังซีดลงราวกระดาษ!
และเมื่อเห็นจิตสังหารอำมหิตในแววตาต้วนหลิงเทียน เจิ้งหงอี้ก็รู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้พูดเล่น
“ครั้งหนึ่งที่ข้าออกไปด้านนอกนิกาย ข้าบังเอิญไปเจอลูกชายของตัวตนระดับสูงขององค์กรกะโหลกเลือดกำลังตกที่นั่งลำบาก จึงได้ช่วยเหลือมันเอาไว้…มันก็เลยมอบลูกแก้ววิญญาณไว้ให้ข้า และรับปากข้าว่าจะช่วยออกภารกิจสังหารให้ข้า 2 ครั้ง”
เจิ้งหงอี้ที่หวาดกลัวต้วนหลิงเทียนจะทรมาณมันจนตายด้วยวิธีแล่เนื้อเถือหนัง ก็รีบกล่าวออกไปตามตรงด้วยความตื่นตระหนก
ตอนที่ 3069
คำตอบดังกล่าวของเจิ้งหงอี้ นับว่าเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของเหล่าอาวุโสนิกายอมตะเป้าผู่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ทั้งหมดเป็นเพราะเจิ้งหงอี้มีเส้นสายภายในจริงๆ ถึงสามารถจ้างองค์กรกะโหลกเลือดมาเอาชีวิตต้วนหลิงเทียนได้
“หึ! รู้จักกับลูกของระดับสูงในกะโหลกเลือด ทั้งได้รับ 2 โอกาสในการจ้างวานฆ่าคน…ไม่คิดเลยว่า 1 ใน 2 โอกาสนั่นเจ้าจะใช้มันกับข้าต้วนหลิงเทียน จะให้ข้าพูดว่าเป็นเกียรติของข้าดี หรือพูดว่าเจ้าให้ความสำคัญกับข้ามากเกินไปดี?”
ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากปากเจิ้งหงอี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวกล่าวเย้ย
“ต้วนหลิงเทียน ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร…ข้าหวังว่าเจ้าจะทำตามคำพูด จัดการข้าอย่างรวบรัดเถอะ”
เจิ้งหงอี้กล่าวออกเสียงหนัก จากนั้นก็หลับตาลง ยอมรับความตายโดยสดุดี แต่ต้นจนจบไม่มีการวิงวอนร้องขอชีวิตใดๆทั้งสิ้น
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ 2 นิ้วจี้ออกต่างกระบี่ เปล่งรังสีกระบี่เสือกทะลวงหว่างคิ้วของเจิ้งหงอี้ ป่นปี้ทำลายวิญญาณ คร่าชีวิตมันไปในบัดดล
หลังจากต้วนหลิงเทียนฆ่าเจิ้งหงอี้ไปแล้ว รองประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ จางกวงเจิ้น ก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ต้วนหลิงเทียน ตอนนี้องค์กรกะโหลกเลือดล้มเหลวในการจัดการเจ้า 2 ครั้งแล้ว พวกมันสูญเสียนักฆ่าไป 2 คน…แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานอีก…”
“ข้าเกรงว่า…พวกมันไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”
หลังยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด จางกวงเจิ้งก็เอ่ยเตือนเสียงเข้มต่อว่า “วันหน้า เจ้าอย่าได้ออกจากเขตนิกายอมตะเป้าผู่เราโดยง่าย…ขอเพียงเจ้ายังอยู่ในเขตนิกายอมตะเป้าผู่เรา แม้องค์กรกะโหลกเลือดจะเป็น 1 ใน 3 องค์กรมือสังหารระดับต้นๆของแดนสวรรค์ใต้ แต่พวกมันก็ไม่กล้าบุกเข้ามาในนิกายอมตะเป้าผู่ของพวกเราอย่างอุกอาจแน่นอน”
“ข้าทราบ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็รู้ดีว่ากำลังของตัวเองยังน้อยนิดเกินไป เว้นเสียแต่จะเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เขาย่อมไม่คิดออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ง่ายๆอยู่แล้ว
คราวนี้พวกมันส่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานมา แต่กลับล้มเหลวตกตาย ครั้งหน้าไม่ทราบองค์กรกะโหลกเลือดจะส่งนักฆ่าขอบเขตใดมากันแน่ แต่ที่เขารู้อย่างหนึ่ง..พลังฝีมือต้องไม่อ่อนด้อยไปกว่าคนก่อนแน่นอน!
นอกจากนั้นเผลอๆองค์กรกะโหลกเลือดอาจตัดสินใจส่งนักฆ่าที่ทรงพลังเหนือกว่าซุนเหลียงเผิงหรือยอดฝีมือทุกคนในนิกายอมตะเป้าผู่มาเก็บเขาด้วยซ้ำ กล่าวได้ว่าต่อให้เขามีใครติดตามคุ้มครองก็คงไร้ผล!
ที่เขายังปลอดภัยดีอยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่แบบนี้ ไม่ใช่ว่าองค์กรมือสังหารจะหวาดกลัวคฤหาสน์เฉวียนโยวแต่อย่างไร ที่พวกมันกริ่งเกรงจริงๆก็คือขุมกำลังเบื้องหลังคฤหาสน์เฉวียนโยวอีกทีต่างหาก จึงไม่กล้าบุกเข้ามาฆ่าเขาถึงในนิกายอย่างอุกอาจ
‘อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นด้านในนิกายอมตะเป้าผู่เองก็ใช่ว่าข้าจะปลอดภัย…แววตานั่นของอาวุโสใหญ่ น่ากลัวตอนนี้มันคงแทบรอฆ่าข้าให้ตายเพื่อล้างแค้นให้หวังหงไม่ไหวแล้วกระมัง’
ถึงแม้การตายของหวังหง จะเกิดขึ้นเพราะการกระทำของนางทั้งนั้น
อย่างไรก็ตามเท่าที่เขาได้ฟังมาจากซุนเหลียงเผิง อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ หวังเชียนจ้าน ผู้นั้น มิใช่ตัวดีอันใด ยังเป็นคนจิตใจคับแคบเจ้าคิดเจ้าแค้นนัก
หลานที่มันรักและเอ็นดูปานแก้วตาดวงใจตกตายไปแบบนี้ ด้วยนิสัยคนถ่อยเช่นมัน ไม่มีทางที่จะไม่ฆ่าเขาเพื่อล้างแค้นแน่นอน!
ด้วยเหตุนี้เอง ซุนเหลียงเผิงถึงกับบอกให้เขาออกจากบ้านลานบนเกาะส่วนตัวของศิษย์ที่แท้จริง และมาพักอาศัยรวมถึงบ่มเพาะพลังในคฤหาสน์ส่วนตัวประจำตำแหน่งประมุขนิกายอมตะเป้าผู่…
เพราะซุนเหลียงเผิงเองก็กลัวหวังเชียนจ้านจะลงมือเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนเพื่อล้างแค้น!
วินาทีแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินเรื่องนี้จากซุนเหลียงเผิง เขาแทบอยากหอบข้าวหอบของไปให้ห่างนิกายอมตะเป้าผู่จริงๆ…
ไม่ปลอดภัยทั้งภายนอกภายใน แล้วนี่เขาจะมาที่นี่ทำเพื่อ!?
อย่างไรก็ตามพอนึกถึงตอนที่ซุนเหลียงเผิงตัดสินใจละทิ้งศิษย์สายตรงของตัวเอง กระทั่งเลือกจะแก้ปัญหาของหวังหงอย่างยุติธรรม เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะจากไปทันที
ถึงแม้การกระทำของเจิ้งหงอี้และหวังหงครั้งนี้จะเลวร้ายมาก แต่ตราบใดที่ซุนเหลียงเผิงเลือกที่จะปิดข่าว ก็คงไม่ยากอะไรที่จะรักษาชีวิตเจิ้งหงอี้และหวังหงเอาไว้ได้
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดีแก่ใจ
ที่ซุนเหลียงเผิงไม่ปกป้องเจิ้งหงอี้กับหวังหงเลย ทั้งหมดนั้นทำเพื่อเขาล้วนๆ หากเป็นคนอื่นเขาเชื่อว่าซุนเหลียงเผิงอาจไม่จัดการเรื่องราวเด็ดขาดแบบนี้
เพราะการละทิ้งเจิ้งหงอี้นั้น ไม่นับเป็นอะไร
แต่การละทิ้งหวังหง ก็เสมือนละทิ้งหวังเชียนจ้านที่เป็นหนึ่งในเสาหลักของนิกายอมตะเป้าผู่ไปด้วยอีกคน!
ถึงเขาจะรู้ดีแก่ใจว่าทั้งหมดที่ซุนเหลียงเผิงทำไปนั้น เห็นแก่ความสำเร็จในอนาคตของเขา และสิ่งที่เขาจะมอบให้เป็นการตอบแทนในภายหลัง เมื่อเขาออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ไปยังคฤหาสน์เฉวียนโยว กระทั่งไปยังเวทีที่เหนือกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ซุนเหลียงเผิงก็ไม่ยังได้รับประโยชน์ใดๆเป็นชิ้นเป็นอันจากเขาทั้งสิ้น ทำให้เขาจดจำไมตรีครั้งนี้ของซุนเหลียงเผิงอย่างดี
…
หลังจากอาวุโสหอคุมกฏของนิกายอมตะเป้าผู่ ได้ออกประกาศเรื่องความผิดของเจิ้งหงอี้และหวังหง ให้ทราบว่าทั้งคู่ถูกตัดสินโทษประหารไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ย้อนกลับไปที่พักของตัวเอง แต่เลือกจะติดตามซุนเหลียงเผิงไปยังสถานที่พักของอีกฝ่ายทันที
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนติดตามซุนเหลียงเผิงเข้าไปในเขตที่พักของประมุขนั้น ห่างออกไปไม่ไกล ก็ปรากฏร่างหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขา พลางมองจ้องมาด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยาก
“ประมุขนิกาย ทำแบบนี้เพื่อเห็นแก่คนนอกคนนึง…ไม่กลัวข้าเอาใจออกห่างงั้นหรือ…”
ในขณะที่หวังเชียนจ้านชักสีหน้าอัปลักษณ์ ลูกตาของมันก็เริ่มแดงฉาน สองหมัดกำแน่น พลังเซียนอมตะทั่วร่างคล้ายหลุดการควบคุม เริ่มเอ่อล้นออกมาสะท้านสะเทือนความว่างเปล่ารอบกาย
อย่างที่ซุนเหลียงเผิงเดาไว้ไม่มีผิด!
หวังเชียนจ้านตั้งใจจะฆ่าต้วนหลิงเทียนเพื่อล้างแค้น และถอนตัวออกจากนิกายอมตะเป้าผูโดยที่ไม่สนใจตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่อีกต่อไป…
ด้วยพลังฝึกปรือและประสบการณ์ชั่วชีวิตของมัน ตัวมันเชื่อมั่นว่าต้องสามารถฆ่าคนและหลบหนีรอดพ้นเงื้อมมือซุนเหลียงเผิง ยอดฝีมืออันดับ 1 ของนิกายอมตะเป้าผู่ได้อย่างปลอดภัย…
อย่างไรก็ตาม มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าซุนเหลียงเผิงเลือกจะให้ต้วนหลิงเทียนมาอาศัยอยู่ในสถานที่พักส่วนตัวของประมุข!
แบบนี้ ก็ยากที่มันจะลงมือเข่นฆ่าคนได้สำเร็จ!
ให้บุกเข้าที่พักประมุขหรือ? เผลอๆมันอาจไม่ทันได้เห็นตัวต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ ซุนเหลียงเผิงก็คงปรากฏตัวออกมาขวางมันเอาไว้แล้ว!!
ในฐานะที่มันเป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ หวังเชียนจ้านย่อมรู้ดีว่าสถานที่พักบ่มเพาะพลังของซุนเหลียงเผิง ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่นั้น มีมาตรการป้องกันแน่นหนาขนาดไหน ต้องทราบด้วยว่านั่นคือสถานที่พักของประมุขนิกายทุกรุ่น! ค่ายกลป้อกันไม่ทราบพัฒนาและเพิ่มเสริมไปกี่ชั้นต่อกี่ชั้น จนเป็นดั่งปราการไร้ทลายไปแล้ว!!
อันที่จริงไม่ต้องกล่าวถึงค่ายกลป้องกันใดๆด้วยซ้ำ อาศัยด่านพลังฝึกปรือของซุนเหลียงเผิง กระทั่งมันย่างเข้าใกล้ที่พัก ซุนเหลียงเผิงก็คงค้นพบได้แต่แรก
“ต้วนหลิงเทียน…เก่งจริงเจ้าก็หดหัวอยู่ในนั้นให้ได้ตลอดชีวิตเถอะ…ขอแค่ข้าสบโอกาสเหมาะๆ ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายคามือ!!”
หวังเชียนจ้านมองไปยังคฤหาสน์ที่พักซุนเหลียงเผิงที่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ ด้วยสายตาเปี่ยมโทสะ เพลิงแค้นลุกโชนไปทั่วร่าง จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บ แลดูดุร้ายราวกระหายเลือดเนื้อผู้คน
“หืม?”
ตั้งแต่ที่เดินทางมาถึงเขตคฤหาสน์ที่พักของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็จับสัมผัสได้แต่แรกว่ามีคนกำลังเพ่งเล็งมาที่เขาด้วยความอาฆาต พอหันมองไป ก็พบว่าปรากฏร่างหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาไม่ไกล
“เจ้านั่น…”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน
“เป็นผู้อาวุโสใหญ่นั่นล่ะ…”
เสียงซุนเหลียงเผิงดังขึ้นอย่างประจววบเหมาะ “มันติดตามพวกเรามาตั้งแต่แรกแล้ว…แน่นอนว่าทำเพื่อจับตาดูเจ้าโดยเฉพาะ”
“ดูเหมือนจะไม่ผิดจากที่ข้าเดาไว้จริงๆ…มันไม่คิดปล่อยเจ้าไปง่ายๆ”
ซุนเหลียงเผิงกล่าว
“อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มันจะลงมือกับเจ้า ตามกฏของนิกายข้ามิอาจทำอะไรมันได้เลย…เพราะมิว่าจะให้กล่าวอย่างไร ตอนนี้มันก็ยังเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่เรา”
กล่าวถึงจุดนี้ซุนเหลียงเผิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ฟังแล้วดูเหมือนจะจนปัญญาไม่น้อย
ถึงแม้ด้วยพลังฝีมือของมัน คิดฆ่าหวังเชียนจ้านทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง…
แต่คิดจะฆ่าอาวุโสใหญ่ของนิกาย ไหนเลยจะไร้เหตุผลอันสมควรได้?
ก็จริงที่อีกฝ่ายจ้องจะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย แต่ในเมื่อยังไม่ริเริ่มลงมือทำอะไร ก็ถือว่าไร้ความผิด! อีกทั้งจะให้มันชิงลงมือก่อนโดยอ้างเหตุผลว่าตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม แต่อาวุโสคนอื่นๆของนิกายอมตะเป้าผู่สามารถยอมรับได้หรือ?!
วันหน้าเกิดมีใครทะเลาะกัน สุดท้ายจึงชิงลงมือฆ่าคนก่อน แล้วค่อยยกอ้างเหตุผลว่าคิดตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่ว่าจะเหลวไหลใหญ่แล้วหรือ? มาตรฐานและกฏระเบียบของนิกายอยู่ที่ใด!?
ตัวมันเป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ เรื่องจะขับไล่หวังเชียนจ้านให้ออกไปจากนิกายก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จำเป็นต้องมีเหตุผลอันเหมาะสมด้วย…
ดังนั้นต่อให้รู้ว่าหวังเชียนจ้านจ้องจะฆ่าต้วนหลิงเทียนทันทีที่มีโอกาส แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ได้ลงมือ จึงพูดได้ว่ายังไม่มีความผิด ตัวมันจะทำอย่างไรได้?
“ต้วนหลิงเทียน หลังจากนี้ไม่มีเหตุจำเป็นอันใด เจ้าก็บ่มเพาะฝึกฝนอยู่ที่นี่เถอะ และหากจำเป็นต้องออกไปที่ใดจริงๆ เจ้าต้องแจ้งข้าก่อนแล้วข้าจะไปกับเจ้าเอง ทั้งหมดเพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้า”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวกำชับต้วนหลิงเทียนเสียงหนัก
ตอนนี้นี่เป็นวิธีการแก้ปัญหาเดียว เท่าที่มันจะสามารถนึกออกได้…
“ส่วนเรื่องออกไปด้านนอกนิกาย…ข้าว่าเจ้าอย่าออกไปไหนเลยประเสริฐกว่า เพราะนักฆ่าที่ทางองค์กรกะโหลกเลือดจะส่งมาอีกครั้ง ข้าเกรงว่ากระทั่งตัวข้าเองก็คงมิอาจรับมือได้ไหว”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวสืบต่อ
“เข้าใจแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
สำหรับเขาแล้วสถานที่พักของซุนเหลียงเผิงนั้น ก็มีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากลานบนเกาะส่วนตัวของศิษย์ที่แท้จริงเลย เรียกว่าเขาบ่มเพาะฝึกฝนที่นี่ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเรื่องสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะมากนัก
เนื่องเพราะกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่ไปหยั่งรากในหัวใจของเขาตอนนี้ ทำให้เขาได้รับพลังวิญญาณฟ้าดินที่บริสุทธิ์ที่สุด และมีปริมาณสูงถึงขีดจำกัดเท่าที่เขาจะรับไหว
ด้วนการบ่มเพาะพลังจากพลังวิญญาณฟ้าดินบริสุทธิ์ดังกล่าว กระทั่งผลึกเทพที่ฮ่วนเอ๋อเหลือทิ้งไว้ให้เขา ยังไม่อาจเปรียบเทียบได้
และตอนนี้ด้วยความที่เพลิงเทพโกลาหลได้หลับไหลไปอีกครั้ง ความคืบหน้าในการทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ จึงค่อยๆดำเนินไปอย่างช้าๆ แน่นอนว่าช้าที่ว่ายังเหนือกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว นอกจากนั้นเขาก็เริ่มบ่มเพาะพลังหมายทะลวงไปให้ถึงขอบเขตขุนนางอมตะ
จากขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไปยังขุนนางอมตะนั้น เสมือนการก้าวข้ามแม่น้ำสายใหญ่
ตราบใดที่ทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ ก็จะสามารถเปิดโลกใบเล็กภายในกายของตัวเองได้ อีกทั้งเขายังได้ยินมาว่าหลังจากที่เปิดโลกใบเล็กภายในกายได้แล้ว สามารถอาศัยมันทำความเข้าใจกฏแห่งมิติได้อีกด้วย
กฏมิตินั้น เป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุด และยังเป็นกฏที่มิอาจเข้าใจผ่านวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังใดๆได้
ดุจเดียวกับกฏแห่งเวลา ชีวิต และความตาย กฏทั้ง 4 ที่ไม่อาจเข้าใจผ่านววรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังใดๆได้เลย หากแต่กฏแห่งมิตินั้น ยังพอจะทำความเข้าใจได้ผ่านโลกใบเล็กที่มีกฏแห่งมิติภายในตัว
เป็นธรรมดาว่ายังมีวิธีการอื่นๆที่ส่งเสริมให้เข้าใจกฏสูงสุดทั้ง 4 แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นโชควาสนาอันเลิศล้ำทั้งสิ้น
วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
ต้วนหลิงเทียนที่จมจ่อมกับการบ่มเพาะทำความเข้าใจ ได้ลืมเลือนเวลาไปอย่างสิ้นเชิง
ไม่ทันรู้ตัวด่านพลังของเขาก็ใกล้จะทะลวงผ่านขอบเขตขุนนางอมตะอยู่รอมร่อ เรียกว่าเหลือเพียงแค่ก้าวเดียวก็จะทะลวงผ่านไปได้
อย่างไรก็ตามหนึ่งก้าวนี้ ยังประหนึ่งช่องว่างอันกว้างใหญ่ ไม่ใช่คิดจะข้ามผ่านก็ข้ามผ่านไปได้โดยง่าย
ในเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง
“ฟู่วว…”
หลังผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาขึ้นมา หยุดการบบ่มเพาะพลังเอาไว้ชั่วคราว และเริ่มเปลี่ยนไปทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟแทน
หลังจากเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งไฟ และความลึกซึ้ง ลุกโหม ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้ว ความลึกซึ้งประการต่อมาที่ต้วนหลิงเทียนเลือกจะทำความเข้าใจ ก็คือความลึกซึ้ง เผาไหม้ ของกฏแห่งไฟ…
เพราะเพลิงเทพโกลาหลได้กล่าวแนะนำเขาไว้โดยละเอียดแล้ว ในฐานะที่เขาเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถนั้น เขาคลุกคลีอยู่กับความลุกซึ้งลุกโหมกับเผาไหม้มากกว่าความลึกซึ้งใดๆของกฏแห่งไฟ กล่าวได้ว่าตลอดเวลาที่เขาจุดเพลิงเทพโกลาหลเพื่อหลอมโอสถอมตะ เปลวไฟดังกล่าวก็ลุกไหม้แผดเผาอยู่ตลอดเวลา…
หากเริ่มต้นจากสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด เขาย่อมเข้าใจพวกมันได้เร็วกว่าความลึกซึ้งประการอื่นๆมากมาย
ว่ากันว่าการบ่มเพาะฝึกตนนั้น ไร้นิยามคำว่าเวลา…
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะในขณะที่เขาจมจ่อมในภวังค์ทำความเข้าใจความลึกซึ้ง เขาก็ลืมเลือนเวลาไปโดยสมบูรณ์
ไม่ทันรู้ตัว ต้วนหลิงเทียนก็ได้พักอาศัยอยู่ในสถานที่พักส่วนตัวของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่เป็นเวลา 5 ปีแล้ว…
ในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่าน ต้วนหลิงเทียนได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำความเข้าใจความลึกซึ้งเผาไหม้ ซึ่งตอนนี้ก็ห่างอีกแค่นิดเดียวเท่านั้นก็จะบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้ว ขาดแค่สัญญาณเล็กๆดั่งลมบูรพาเท่านั้น
สำหรับจุดรอคอยขอบเขตขุนนางอมตะ ในที่สุดก็คลายตัว ด่านพลังเขาได้เพิ่มพูนขึ้นจวนเจียนจะทะลวงผ่านด่านยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไปยังด่านพลังขุนนางอมตะเต็มที!
‘อีกไม่เกินหนึ่งปี สมควรทะลวงถึงขุนนางอมตะได้อย่างราบรื่น…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
ตอนที่ 3070
“หืม?”
หลังจากต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้นมา และกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าเขาสมควรทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะได้ภายใน 1 ปีนั้น เขาพลันสัมผัสได้ว่ามีข้อความหนึ่งส่งตรงมาถึงเขา
ถึงแม้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เขาจะได้รับข้อความติดต่อมาจากกหวงเจียหลง และได้ยินเรื่องชีวิตของอีกฝ่ายหลังใช้ชีวิตอยู่ที่นิกายอมตะฮวนเหอมากมาย
แต่ทว่า ข้อความที่พึ่งส่งมาถึงเขาตอนนี้ กลับเป็นข้อความแรกของคนๆหนึ่ง
อยู่ๆอีกฝ่ายก็ติดต่อมาแบบนี้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
และผู้ที่ส่งข้อความติดต่อมาหาเขาครั้งนี้ ก็คือ หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
“เจ้ายังไม่ได้ทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะใช่ไหม?”
ประโยคแรกที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นติดต่อมาหลังจากผ่านไปหลายปี ก็เป็นการเอ่ยถามเรื่องด่านพลังของเขาออกมาตรงๆ ว่าทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะแล้วหรือยัง…
“ยัง…เจ้าล่ะ ทะลวงผ่านแล้วรึ?”
พอได้ยินคำถามของอีกฝ่าย สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนคิดก็คือ อีกฝ่ายไม่พ้นต้องทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะแล้วแน่นอน ที่ติดต่อมาถาม ก็น่าจะเพื่อเปรียบเทียบแข่งขันความเร็วในการก้าวหน้ากับเขา
“ไม่”
ทว่าคำตอบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจทันที
ไม่?
ในเมื่อไม่ได้คิดอวดด่านพลัง แล้วอีกฝ่ายติดต่อมาถามเขาแบบนี้เขาทำไม?
หรืออีกฝ่ายกังวลว่าเขาจะทะลวงผ่านได้ก่อน?
ทำให้หลังได้รู้คำตอบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้จะไปต่อยังไง ได้แต่เงียบไปรอให้อีกฝ่ายเปิดประเด็น
“ต้วนหลิงเทียน อีก 2 ปีหลังจากนี้ ข้าจะไปหาเจ้า…หลังจากนั้นพวกเราจะเดินทางไปยังอวี้หวงเทียนด้วยกัน”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ส่งข้อความติดต่อมาอีกครั้ง
“อวี้หวงเทียน?”
(สวรรค์จักรพรรดิหยก)
พอได้ยินข้อความดังกล่าวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันที
สำหรับเขา อวี้หวงเทียน ไม่ใช่นามแปลกหูเลย
กระทั่งตอนที่เขาขึ้นสู่สวรรค์ ตัวเขายังอยู่ในระนาบเหยียนหวง ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาก็สมควรขึ้นสวรรค์ไปยังอวี้หวงเทียน
อย่างไรก็ตามเนื่องจากห้วงมิติเกิดการแปรปรวน หลังระนาบทวยเทพได้โคจรมาชนกันในรอบหมื่นปี ทำให้ผู้คนในระนาบโลกียะใดๆ ไม่อาจขึ้นสู่แดนสวรรค์อย่างที่ควรจะเป็น
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“เจ้าคิดจะพาข้าไปทำอะไรที่อวี้หวงเทียน?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
ถึงแม้ว่าการเดินทางไปยังระนาบเทวโลกต่างๆนั้น ขอเพียงบรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนและมีผลึกอมตะเพียงพอ ก็สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบได้
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดจะออกจากหลิงหลัวเทียน
ประการแรกเลย เขาขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ และอยู่จนคุ้นชินแล้ว หากเดินทางไปยังแดนสววรรค์แห่งอื่น ก็ไม่ต่างอะไรจากไปยังสถานที่แปลกตา และต้องเสียเวลารวบรวมข้อมูลทำความเข้าใจกับสถานการณ์ใหม่อีกรอบ…
ประการที่สอง คิดจะเดินทางข้ามระนาบเทวโลกไหนเลยเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย? ความเสี่ยงย่อมมีไม่มากก็น้อย!
หากด่านพลังฝึกปรืออ่อนด้อยเกินไป ยังต่างอะไรจากปลาบนเขียงให้ผู้อื่นแล่สับ
ดังนั้นจนถึงวันนี้ เขาจึงไม่มีความคิดจะเดินทางออกจากหลิงหลัวเทียนไปไหนเลย แม้จะบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแล้วก็ตาม
“เมื่อ 3 วันก่อนมีคนมาหาข้า…”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ตอบกลับมาว่า “และคนที่มาหาข้าพอรู้ว่าข้ายังไม่บรรลุถึงขุนนางอมตะ มันก็ถามข้าว่าสามารถติดต่อเจ้าได้หรือไม่ เพราะมันรู้ว่าข้ากับเจ้าได้อันดับ 1 กับ 2 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว”
“จากนั้นพอข้าถามมันว่ามาหาข้าทำไม แล้วคิดจะติดต่อเจ้าทำไม มันก็บอกว่าเพราะอยากให้พวกเราไปยังอวี้หวงเทียน…”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
“แล้วเจ้านั่นมันเป็นใครมาจากไหนกัน? มันบอกให้ข้ากับเจ้าไปอวี้หวงเทียน? แล้วพวกเราก็ต้องไปกับมันงั้นเหรอ ที่นั่นมีอะไรสำคัญกันแน่?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามตรงๆ เพราะเขารู้ว่าตัวตนอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นคงไม่คิดสนใจแน่นอน หากไม่ใช่อะไรที่สำคัญและล้ำค่าจริงๆ!
“เจ้านั่นบอกข้าว่ามันบังเอิญไปเจอมรดกสถานที่สมควรเป็นของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ภายในสมควรมีสิ่งของล้ำค่ามากมาย และยังพึ่งปรากฏขึ้นมาได้ไม่นาน อีกทั้งมันเจออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันแต่ไม่อาจเก็บได้…มันยังใช้ลูกแก้วเงาลอยให้ข้าดูด้วย ว่ามันไปเจอของดีมาจริงๆ”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “สิ่งของที่วางอยู่ตรงหน้าแต่มันเอามาไม่ได้…เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันจริงๆ”
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้านั่นพอพบว่าเจ้ายังไม่ทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ ก็เลยถามต่อว่าติดต่อข้าได้หรือไม่…และข้อความแรกที่เจ้าติดต่อขามาก็คือถามข้าว่าข้าบรรลุถึงขุนนางอมตะแล้วรึยัง…”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง “หรือมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะที่ว่า…จำกัดด่านพลังผู้ที่จะเข้าไปด้านในให้ไม่เกินขุนนางอมตะ?”
“ไม่ผิด”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบกลับ
“หากมีแค่อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน หรือแม้แต่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ คงไม่อาจทำให้เจ้าสนใจได้กระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
คนอื่นๆนั้นอาจไม่ทราบความเป็นมาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น แต่เขารู้ดีว่าหลิงเจวี่ยอวิ๋นนั้นเป็นคนที่มาจากตระกูลใหญ่ของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ อีกทั้งยังมีอุปกรณ์เทพด้วยซ้ำ กับอีแค่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิย่อมมีไม่ขาด
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง “อย่าว่าแต่อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันเลย ต่อให้จะเป็นระดับจักพรรดิ…ไม่เว้นเคล็ดอมตะ วรยุทธ์อมตะ หรือเวทย์พลังระดับจักรพรรดิ ในสายตาข้าล้วนไร้ค่า!”
“เหตุผลที่ข้าอยากไปที่นั่น เพราะจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพของข้าสัมผัสได้…ว่าเจ้านั่นมันเป็นผู้อมตะกลับชาติมาเกิด!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
“ผู้อมตะกลับชาติมาเกิด?”
ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจอยู่บ้าง
ถึงเขาจะยังไม่เคยเจอผู้อมตะกลับชาติมาเกิดในหลิงหลัวเทียน แต่เขาก็เคยเจอมาแล้วในระนาบโลกียะ เพราะเค่อเอ๋อภรรยาเขาก็เป็นผู้อมตะกลับชาติมาเกิดใหม่เช่นกัน
ชาติที่แล้วของเค่อเอ๋อ ยังเป็นถึงเซี่ยหนิงเสวี่ย คุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ยของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ!
ในชีวิตนี้ ก่อนที่ความทรงจำของเค่อเอ๋อจะฟื้นคืน นางก็ได้กลายเป็นภรรยาของเขากระทั่งมีลูกสาวกับเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกวันนี้ในนิกายอมตะเป้าผู่ก็ลือกันหนาหูว่าเขา ต้วนหลิงเทียน นั้น เป็นผู้อมตะกลับชาติมาเกิด หาไม่แล้วคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะประสบความสำเร็จเฉกเช่นทุกวันนี้ได้
“ไม่ผิดแน่!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบกลับ “ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่ใช่ผู้อมตะกลับชาติมาเกิดใหม่ธรรมดาๆ…จิตวิญญาณอุปกรณ์เทพข้าบอกกว่า ชาติที่แล้วของเจ้านั่นอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นจักรพรรดิอมตะ”
จักรพรรดิอมตะ ที่กลับชาติมาเกิดใหม่!
ใจต้วนหลิงเทียนยอดไม่ได้ที่จะสะท้าน
“พอรู้ว่ามันเป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดใหม่ ข้าก็พอจะคาดเดาวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมันได้ออกทันที ว่าไฉนถึงเอาเรื่องมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะและอุปกรณ์อมตะจอมราชันมาล่อลวงข้า กระทั่งยังคิดจะให้ข้าชวนเจ้าไปด้วยแบบนี้…”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
“ทำไมหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“หากข้าเดาไม่ผิด ชาติที่แล้วมันสมควรได้เมล็ดพันธุ์ของ ‘ผลเทพสังเวยสวรรค์’ มาโดยบังเอิญ จากนั้นก็นำไปปลูกเอาไว้ก่อนที่จะกลับชาติมาเกิดใหม่ กระทั่งสมควรวางแผนการบางอย่างเอาไว้เรียบร้อย…พอมันกลับชาติมาเกิดและความทรงจำเมื่อชาติที่แล้วหวนคืนมา มันก็เลยพยายามหายอดเซียนอมตะมากพรสวรรค์ ให้ไปเข่นฆ่ากันเองต่อหน้าต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์…ทั้งหมดเพื่อสร้าง ผลเทพสังเวยสวรรค์!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
“ผลเทพสังเวยสวรรค์ มันคืออะไรกัน?”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะทะยานขึ้นมาหลิงหลัวเทียนได้สักพัก และล่วงรู้เรื่องราวต่างๆในระนาบเทวโลกมากมาย
อย่างไรก็ตามนี่นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เขาได้ยินคำว่า ผลเทพสังเวยสวรรค์
ทว่าถึงจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก แต่เขารู้ดีว่าลองมีคำว่า ‘เทพ’ อยู่ในชื่อแบบนี้ มันต้องเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่นอน!
“ผลเทพสังเวยสวรรค์ก็เป็นผลไม้อมตะชนิดหนึ่ง…ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผลไม้อมตะที่จะส่งผลกับผู้กินที่ยังมีด่านพลังไม่ถึงขอบเขตขุนนางอมตะเท่านั้น”
สำหรับเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จักผลเทพสังเวยสวรรค์ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะผลเทพสังเวยสวรรค์เป็นอะไรที่หาได้ยากมาก ถึงแม้จะปรากฏเมล็ดพันธุ์ของมันอยู่บ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็จะถูกเอาไปใช้เป็นกระสายยามากกว่า
มีน้อยคนนักที่คิดจะปลูกต้นไม้เทพสังเวยสววรค์ เพราะมันต้องใช้พลังงานหล่อเลี้ยงมหาศาล ไม่เว้นต้องใช้วัตถุดิบมากมายเผื่อทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโต
อีกทั้งหลังต้นไม้เทพสวรรค์โตถึงจุดๆหนึ่งแล้ว จำต้องให้ตัวตนใต้ขอบเขตขุนนางอมตะที่เข้าใจกฏแล้วมาเข่นฆ่ากันเบื้องหน้า เพื่อสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ ให้มันออกผล…
ที่สำคัญต่อให้สังเวยไปมากพอแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับผลเสมอไป
เรียกว่ามันมีโอกาสฝ่อถึง 9 ส่วน และมีโอกาสเกิดผลแค่ 1 ส่วนเท่านั้น
“ส่วนเดียว!?”
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ฟังข้อความร่ายยาวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะอึ้ง กับอัตราการปรากฏของผลเทพสังเวยสวรรค์ “มีเงื่อนไขยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้ แต่มีโอกาสที่ผลจะสุกแค่ส่วนเดียว…ข้าเกรงว่าคนที่ปลูกต้นเทพสังเวยสวรรค์นี้ สมควรมีแต่คนบ้าใช่ไหม?”
“ถูก ล้วนมีแต่คนบ้าทั้งสิ้น!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “ตอนที่ข้าอยู่ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา รู้สึกจะมีแค่ 3 คนเท่านั้นที่ปลูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์จนโต และได้ผลของมัน”
“มี 2 ที่ตกตายไปแล้ว”
“คนสุดท้ายก็คือจักรพรรดิสวรรค์คนปัจุบันของว่านโช่วเทียน”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูดต่อ
“จักรพรรดิสวรรค์ว่านโช่วเทียน?!”
ต้วนหลิงเทียนอดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้
ว่านโชวเทียนนั้น เป็นแดนสวรรค์ที่ต้อนรับเฉพาะสัตว์อมตะเท่านั้น ส่วนมนุษย์จะถูกไล่ฆ่าทันทีที่เห็น เรียกว่าเป็นดินแดนของสัตว์อมตะก็ว่าได้
ด้วยเหตุนี้ภาวะแข่งขันในว่านโช่วเทียนสมควรดุร้ายรุนแรงมาก แล้วผู้ที่จะกลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์ของว่านโช่วเทียนได้จะร้ายกาจปานใด?
“เจ้าออกทะเลมาไกลแล้ว…ไหนว่ามา ที่แท้ผลเทพสังเวยสวรรค์นั่นทำอะไรได้บ้าง? แล้วไฉนมีแต่ผู้ที่ยังไม่บรรลุถึงขุนนางอมตะเท่านั้นถึงจะกินได้?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยสงสัย
นั่นเพราะผลเทพสังเวยสวรรค์มีคำว่า ‘เทพ’ อยู่ในชื่อ แถมยังจำกัดด่านพลังผู้ที่จะใช้ว่าต้องไม่เกินขุนนางอมตะอีก มันต้องมีเหตุผลอะไรสำคัญแน่นอน
เขาก็เลยอยากรู้
ว่าที่แท้ผลเทพสังเวยสวรรค์มันให้ผลเลิศล้ำอันใด?!
“ผลเทพสังเวยสวรรค์ที่ว่า ทันทีที่เจ้ากินมัน…มันจะทำให้ด่านพลังของเจ้ายกระดับไปหนึ่งขอบเขตทันที”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ตอบกลับทันที “ยกระดับไป 1 ขอบเขตที่ข้าว่า ไม่ใช่ว่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดพอกินเข้าไปแล้วจะทะลวงถึงขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด แต่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ว่า…จะทะลวงถึงด่านพลังขุนนางอมตะ 10 ทิศทันที!”
ภายในถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะอวิ๋นไถ
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่นั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนในลานเล็กๆแห่งหนึ่ง หลังส่งข้อความสุดท้ายให้ต้วนหลิงเทียน ก็เคาะนิ้วลงโต๊ะเบาๆ
เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนนิ่งไปไม่ตอบอะไรกลับมาอยู่นานนั้น มันไม่ได้แปลกใจอะไรเลย
“แค่นี้เจ้าต้วนหลิงเทียนก็อึ้งแล้วหรือ? มันยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำ…ว่าแค่ยกระดับด่านพลังไปหนึ่งขอบเขตนั่น ยังเป็นแค่ 1 ใน 2 ความสามารถของผลเทพสังเวยสวรรค์เท่านั้น”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึมพำกับตัวเบาๆด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน “หากมันรู้ว่าผลเทพสังเวยสวรรค์นั่นพอกินไปแล้ว ยังจะทำให้เข้าถึงกฏใดกฏหนึ่ง กระทั่งอาจเข้าใจความลึกซึ้งได้มากมายหลายประการมันจะทำหน้าอย่างไรนะ…”
ในลานแห่งหนึ่งของคฤหาสน์ส่วนตัวประมุขนิกายอมตะเป้าผู่
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินข้อความของหลิงเจวี๋ยอวิ่นก็ตกตะลึงไปแล้วจริงๆ
ผลเทพสังเวยสวรรค์นั่นหากยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดกินไป จะทำให้บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้เลยงั้นเหรอ?
หลังอื้ออึงไปพักหนึ่ง ลมหายใจต้วนหลิงเทียนก็ถี่รัวขึ้นปานหอบเหนื่อย “ในสวรรค์และโลกกลับมีผลไม้อมตะที่มีพลังอำนาจน่ากลัวขนาดนี้อยู่ด้วย?”
“หากมันมีประสิทธิภาพทำให้ผู้ที่กินบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศได้ทันที ก็สมแล้วที่มีคำว่า ‘เทพ’ อยู่ในชื่อ”
ผ่านไปอีกสักพักลมหายใจของต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆสงบลง แต่กว่าจะสงบได้เขาก็ใช้ความพยายามไม่น้อย
ตอนที่ 3071
ผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น มันเย้ายวนยั่วใจต้วนหลิงเทียนมากเหลือเกิน…
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้ก็คือ ‘เวลา’ เพราะเขาต้องรีบบ่มเพาะพลังแข่งกับเวลา หลังจากผ่านไปพันปี เขาก็ต้องเดินทางไปช่วยครอบครัวคนรักและสหายของเขาที่ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ!
ถึงแม้ตอนนี้เวลาพันปีที่เขามี จะพึ่งผ่านไปไม่มาก
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนรู้ดี ว่ายิ่งด่านพลังสูงขึ้นมากเท่าไหร่ เวลาที่ใช้ในการบ่มเพาะก็ต้องเพิ่มขึ้นเท่านั้น
เอาแค่หลังบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะนั้น คิดจะทะลวงผ่านจากขุนนางอมตะไปยังราชาอมตะ ก็นับว่าต้องใช้เวลาไม่น้อย ไม่ใช่อะไรที่ขอบเขตยอดเซียนอมตะจะเทียบได้แม้เศษเสี้ยว
ไม่ต้องกล่าวถึงการทะลวงจากขอบเขตราชาอมตะไปยังจอมราชันอมตะ และจักรพรรดิอมตะเลย
ยิ่งด่านพลังหลังๆ กว่าจะทะลวงผ่านได้สักขั้นก็หฤโหดนัก!
เท่าที่เขาทราบมา ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะนั้น หากสามารถยกระดับพลังได้สักขั้นอย่างเช่น จักรพรรดิอมตะ 1 กำเนิดไปยังจักรพรรดิอมตะ 2 ยศ หรือจักรพรรดิมอตะ 2 ยศไปยังจักรพรรดิอมตะ 3 ศักดิ์ได้ในเวลา 1,000 ปี ก็นับว่ามากพรสวรรค์แล้ว!
ตอนนี้พอเขาได้รับรู้เรื่องราวผลเทพสังเวยสวรรค์จากหลิงเจวี๋ยอวิ๋น จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร
หลังได้กินผลเทพสังเวยสวรรค์นั่น ด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของเขาจะบรรลุถึงขอบเขตขุนนางงอมตะ 10 ทิศทันที!
ก้าวข้ามไป 1 ขอบเขตพลังใหญ่แบบนี้ มันประหยัดเวลาให้เขาเท่าไหร่กัน!?
ทันใดนั้น สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกโชนขึ้นมาดั่งเพลิงไฟ และยังเป็นเพลิงแห่งความปรารถนาอันแรงกล้า หมายช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์อะไรนั่นมาให้จงได้!
“เจ้าแน่ใจหรือว่าผลเทพสังเวยสวรรค์นั่นมันทรงพลังถึงขนาดนั้นจริงๆ?”
ต้วนหลิงเทียนสูดหาใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกรอบ ก่อนจะส่งข้อความไปถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกครั้ง
หากผลเทพสังเวยสวรรค์มันมีอิทธิฤทธิ์น่ากลัวขนาดนั้นจริง เรียกว่าพลังของมันท้าทายสวรรค์เลยก็ว่าได้ แต่เนื่องเพราะผลของมันเลิศล้ำเกินไป ต้วนหลิงเทียนจึงต้องถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นย้ำเพื่อความแน่ใจ
“แน่อยู่แล้ว…หากเจ้าไม่เชื่อข้าลองถามพี่สาวหวงเอ้อดูก็ได้ นางเองก็รู้จักผลเทพสังเวยสวรรค์ และรู้ซึ้งถึงพลังอำนาจของมันดี”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวตอบเสียงเรียบ
มันมได้แปลกใจอะไรที่ต้วนหลิงเทียนจะสงสัยในเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าใครก็ตามพอได้รับรู้ถึงพลังอำนาจของผลเทพสังเวยสวรรค์ครั้งแรก ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยกันทั้งนั้น กระทั่งตัวมันที่มีความเป็นมาไม่ธรรมดา ตอนได้รู้ครั้งแรกก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ได้ยินข้อความที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบกลับ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ติดต่อกลับไป แต่เลือกที่จะถามหวงเอ้อที่อาศัยอยู่ในทะเลวิญญาณของเขาทันที “หวงเอ้อ เจ้ารู้จักผลเทพสังเวยสวรรค์ไหม?”
ขณะที่ถาม ต้วนหลิงเทียนยังเล่าเรื่องทั้งหมดให้หวงเอ้อฟัง
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้รับคำตอบของหวงเอ้อ “ผลเทพสังเวยสวรรค์ เมื่อรับประทานลงไป สามารถทำให้ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้อย่างราบรื่นภายในเวลา 1 เดือน”
“นอกจากนั้นพลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ยังไม่ได้มีแค่นี้…เพราะมันยังช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจความหมายแห่งกฏๆหนึ่ง และยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏๆนั้นได้หลายประการทันที”
“เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา ผู้ที่เคยใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือเข้าใจความลึกซึ้งของกฏๆหนึ่งได้ 6 ประการเท่านั้น ส่วนผู้ที่โชคดีและเข้าใจความลึกซึ้งได้มากที่สุด ก็สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ถึง 8 ประการทันที”
“แน่นอนว่าเข้าใจความลึกซึ้ง 6 ประการกับ 8 ประการที่ว่า นับรวมความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งกฏไปแล้ว”
หวงเอ้อกล่าวกับต้วนหลิงเทียนต่อว่า “และเท่าที่ข้ารับทราบมา ผู้ที่ใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น ถึงแม้จะไม่มีใครเคยเข้าใจความลึกซึ้งของ 4 กฏสูงสุดมาก่อน…แต่ความลึกซึ้งของกฏที่พวกมันจะเข้าใจ ยังเป็นความลึกซึ้งของกฏใหม่ที่ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน”
หลังได้ยินคำตอบของหวงเอ้อ ต้วนหลิงเทียนก็ตกอยู่ในความเงียบอีกรอบ คราวนี้วิญญาณเขาเสมือนหลุดลอยไปแล้วจริงๆ!
ผลเทพสังเวยสวรรค์ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้ใช้ทะลวงจากยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไปยังขุนนางอมตะ 10 ทิศได้ในเวลา 1 เดือน แต่ยังจะช่วยให้เข้าใจความลึกซึงของกฏที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนได้อย่างน้อยๆ 6 ประการ และมากที่สุดก็มีถึง 8 ประการ!
จังหวะนี้ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนเริ่มหอบถี่ขึ้นมาทันที หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงราวลูกสูบ ยากที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้อยู่นาน
หลังได้ยินคำยืนยันจากหวงเอ้อ เขาก็ไม่สงสัยเรื่องพลังอำนาจของผลเทพสังเวยสวรรค์อีกต่อไป!
“เจ้าแน่ใจหรือ…ว่าคนที่เจ้าพบว่าเป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดใหม่นั่น สมควรมาล่อลวงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเพื่อสังเวยให้ผลเทพสังเวยสวรรค์สุกจริงๆ? ไม่ใช่ว่ามันแค่พบเจอมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะเฉยๆ?”
ต้วนหลิงเทียนจี้ถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
“เหอะๆ หากที่นั่นเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะจริง เจ้าคิดว่ามันจะถ่อมาหาข้าเป็นการส่วนตัวเหรอ? ตราบใดที่มันแพร่ข่าวนี้ออกมา น่ากลัวยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลายจะแห่กันไปอวี้หวงเทียนแทบไม่ทัน!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงมันใจ “นอกจากนั้นจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพของข้าก็มั่นใจเต็มสิบส่วน…ว่าชาติที่แล้วอย่างน้อยมันก็ต้องเป็นจักรพรรดิอมตะ”
“ในฐานะจิตวิญญาณของอุปกรณ์อมตะระดับเทพ ย่อมไวต่อสัมผัสวิญญาณที่กลับชาติมาเกิดมาก…เจ้ารอให้พี่สาวหวงเอ้อผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของเจ้าก่อน ภายหลังพอเจ้าเจอใครที่กลับชาติมาเกิด พี่สาวหวงเอ้อก็บอกเจ้าได้ทันทีเหมือนกัน”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่งข้อความถึงจุดนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเสริมอีกประโยคด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียยนยังไม่เชื่อ “ไม่เชื่อเจ้าก็ลองถามพี่สาวหวงเอ้อดูสิ”
คราวนี้ต้วนหลิงเทียนไม่คิดถามหวงเอ้ออีกต่อไป แต่เลือกจะเชื่อคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแทน
“ต่อให้ที่นั่นจะมีต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ และปรากฏผลเทพสังเวยสวรรค์ขึ้นจริงๆ…แล้วพวกเราจะแบ่งกันยังไง?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
เท่าที่เขารู้มายิ่งผลไม้อมตะทรงพลังเท่าไหร่ บนต้นไม้ก็จะปรากฏผลไม้อมตะดังกล่าวน้อยลงเท่านั้น
ผลเทพสังเวยสวรรค์มีพลังอำนาจท้าทายสวรรค์ขนาดนี้ ทั้งต้นก็สมควรมีแค่ผลเดียวไม่ใช่หรือ?
“ยามต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ออกผล ล้วนมี 2 ผลเสมอ…เรื่องนี้ไม่มีข้อยกเว้น!”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ตอบกลับไปทันที ยังเล่าเสริมด้วยว่า “ก็เหมือนตอนจักรพรรดิสวรรค์ว่านโช่วเทียน มันเองก็ได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์มา 2 ผล มันใช้เองผลหนึ่ง ส่วนอีกผลมันจะเก็บไว้หรือให้ใครไปแล้ว ก็สุดที่ผู้ใดจะทราบได้”
2 ผล!
สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาปานดวงดาวกลางฟ้ายามค่ำคืน!
“เอาล่ะ…ข้าจะไปอวี้หวงเทียนกับเจ้า?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบรับคำชวนหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
และพอกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็คล้ายนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบถามออกไปอีกครั้งว่า “ว่าแต่ต้องไปเมื่อไหร่ แล้วด่านพลังฝึกปรือของจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่นมันเป็นยังไง?”
“อีก 2 ปีหลังจากนี้ และด่านพลังของเจ้านั่นก็ยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเหมือนพวกเรา”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบกลับ
“เอาล่ะ อีก 2 ปีเจอกัน”
หลังได้รับคำตอบ ต้วนหลิงเทียนก็ตอบกลับ จากนั้นค่อยเก็บยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณที่หยิบมากองเผื่อไว้กลับลงแหวนพื้นที่…
หากเป็นเรื่องธรรมดา เขาคงไม่คิดจะเสี่ยงออกจากนิกายอมตะเป้าผู่แน่นอน แต่ในเมื่อเรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึง ผลเทพสังเวยสวรรค์ อันเป็นสิ่งลำค่าถึงขนาดนั้น เขาจำต้องเสี่ยง!
สุดท้ายแล้วความมั่งคั่งย่อมมาพร้อมความเสี่ยง!
‘เดิมทีข้าคิดจะทะลวงให้ถึงขอบเขตขุนนางอมตะให้เร็วที่สุด…แต่ตอนนี้ดูเหมือนข้าทำได้แค่พยายามทำความเข้าใจความลึกซึ้ง เผาไหม้ ของกฏแห่งไฟให้ได้มากที่สุดแทน…’
ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที ว่าลองจักรพรรดิมอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่น ออกมาตามหายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดด้วยตัวเอง ที่สำคัญตัวมันก็ยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแบบนี้! เผยให้รู้ว่ามีเพียงยอดเซียนอมตะขั้นสูงุสดเท่านั้นที่จะเข้าไปในสถานที่ปลูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ได้!!
ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเล่ามา ดูเหมือนการสังเวยชีวิตเพื่อต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ ผู้สังเวยจำต้องเป็นตัวตนในขอบเขตพลังยอดเซียนอมตะเท่านั้น
ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการเข้าใจความลึกซึ้งเผาไหม้ของกฏแห่งไฟ และเมื่อพบเจอจุดตีบตัน เขาก็หันไปพยายามทำความเข้าใจความลึกซึ้ง ปะทุ ของกฏแห่งไฟแทน
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
การทำความเข้าใจความลึกซึ้งเผาไหม้กับปะทุของกฏแห่งไฟต้วนหลิงเทียนเอง ก็มีความคืบหน้าไม่น้อย
ในระนาบโลกียะเขาก็เป็นผู้หลอมโอสถ พอมาระนาบเทวโลกเขาก็เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะ ทำให้ตัวเขาคลุกคลีกับไฟมาก ย่อมมีความเข้าใจในกฏแห่งไฟสูงกว่ากฏอื่นๆ
อีกทั้งสติปัญญาของเขาก็ไม่ใช่ชั่ว
ดังนั้นต่อให้ไม่มีเพลิงเทพโกลาหลคอยชี้แนะโดยตรง แต่ความเร็วในการทำความเข้าใจความลึกซึ้งเผาไหม้กับปะทุ ของต้วนหลิงเทียน ก็รวดเร็วสุดที่คนทั่วไปจะทาบติด
…
ระนาบเซียน เป็นระนาบบโลกียะเล็กๆ ท่ามกลางระนาบโลกียะอันนับไม่ถ้วนในมหาสหัสโลก
เปรียะ!
เหนือทะเลสาบที่ไหนสักแห่งของระนาบเซียน อยู่ดีๆความว่างเปล่าก็เริ่มปริแตก บังเกิดเป็นรอยแยกมิติอันมืดดำแลดูน่ากลัวนัก
และหลังจากที่ห้วงมิติฉีกเปิดได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏร่างกำยำหนึ่งก้าวลอดออกมา
เป็นชายวัยกลางคนร่างกายสูงใหญ่แลดูแข็งแรงในชุดคลุมสีเขียว หลังก้าวออกมาจากรอยแยกมิติแล้ว ร่างมันก็ลอยตระหง่านค้างกลางหาวแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ให้สภาวะประหนึ่งหอคอยเหล็กตั้งตระหง่าน!
“ในที่สุดข้าก็หาเจอเสียที…ที่นี่น่ะหรือระนาบเซียนที่ใต้เท้าฟงชิงหยางขอให้ข้ามา?”
ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นชายวัยกลางคนที่ฟงชิงหยางช่วยชีวิตไว้ไม่ไกลจากทางเข้าออกนรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก
ถึงแม้ชายวัยกลางคนผู้นี้ วันนั้นจะแลดูสิ้นท่าทำได้แค่รอรับความตาย และถ้าไม่ได้ฟงชิงหยางช่วยไว้ ป่านนี้มันคงตกตายไปแล้ว…
แต่อย่างไรก็ตาม นั่นเพราะชายชราเผชิญหน้ากับสัตว์อมตะที่ทรงพลังอย่างมาก อันที่จริงพลังฝีมือของมันก็ไม่ใช่ชั่วเลย เพราะมันเองก็เป็นถึงจักรพรรดิอมตะ 7 ดาราคนหนึ่ง!
ตัวตนอันทรงพลังขอบเขตจักรพรรดิอมตะนั้น การมาเยือนระนาบโลกียะของมันย่อมไม่ต้องหวั่นหวาดผลกรรมทางโลกอะไร กระทั่งยังเดินทางมายังระนาบโลกียะได้ในชั่วพริบตา เสมือนเดินเล่นในสวนหลังบ้าน
หลังผ่านไป 1 เดือน ชายวัยกลางคนก็ยืนยันเรื่องราวได้แน่ชัด
ว่าเจ้าหนู ‘ต้วนหลิงเทียน’ ที่ฟงชิงหยางขอแรงให้มันออกไปตามหาและพาไปวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนนั้น ได้ออกจากระนาบโลกียะแห่งนี้ไปนานแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนใต้เท้าฟงชิงหยางจักมิรู้เรื่องที่เจ้าหนูนั่นมันขึ้นสวรรค์ไปแล้ว…ดูเหมือนข้าต้องไปเยือนวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้ใต้เท้าฟงชิงหยางทราบ”
สูงขึ้นไปเหนือฟ้า ชายวัยกลางคนกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ
และพอกล่าวจบคำ ชายวัยกลางคนเพียงโบกมือเบาๆคล้ายโบกปัดแมลงวัน หากทว่าเบื้องหน้าก็ปรากฏรอยแยกมิติฉีกเปิดขึ้นมาทันใด
พริบตาต่อมาร่างมันก็เลือนหายไปในรอยแยกมิติดังกล่าว ราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
และหลังจากที่ชายวัยกลางคนจากไปได้ราวๆ 1 เดือน ร่าง 3 ร่างก็ทอยกันปรากฏตัวขึ้นในระนาบเซียนทีละคนๆ
เป็นชายหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึมในชุดดำ กับสตรี 2 คนที่แลดูน่าเกรงขามไม่เบา
สตรีทั้ง 2 นั้น หนึ่งมาในชุดสีขาวกระจ่างท่าทีสงบนิ่งปานเทพธิดา ส่วนอีกคนมาในชุดสีทองแลดูคึกคัก คล้ายองค์หญิงจอมซนจากวังไหนสักแห่ง
ทั้ง 3 คนก็คือ เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ แล้วก็เสี่ยวจิน ที่พึ่งออกจากว่านโช่วเทียนและหวนกลับมายังระนาบเซียน
“บ้านเกิดของข้า! ข้ากลับมาแล้ววว!!”
เสี่ยวจินสูดลมหายใจเข้าลึกๆค่อยตะโกนออกมาอย่างเริงร่า แก้มงามสีอมชมพูระเรื่อปรากฏรอยยิ้มสดใส แลดูมีความสุขนัก
“บ้าน…ในที่สุดข้าก็ได้กลับบ้าน”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่สองตาของเสี่ยวไป๋ก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
ถึงแม้เสี่ยวเฮยจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้ามาดขรึมของมันตอนนี้ ก็แลดูอ่อนโยนลงหลายส่วน แววตายังฉายชัดถึงความคิดถึงประการหนึ่ง
ระนาบโลกียะแห่งนี้คือบ้านเกิดของพวกมัน
ที่นี่มากล้นไปด้วยความทรงจำของพวกมัน
และความทรงจำส่วนใหญ่ของพวกมัน ก็จะมีชายหนุ่มชุดม่วงคนหนึ่งอยู่ด้วยเสมอ เป็นพี่ใหญ่หลิงเทียนของพวกมัน ที่คอยเลี้ยงดูเอาใจใส่และเล่นกับพวกมันมาแต่เล็กแต่น้อย
ตอนที่ 3072
จนบัดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่ได้รู้เลย ว่าครอบครัวและสหายของเขาที่ถูกอวิ๋นชิงเหยียนจับไปดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพนั้น ได้ถูกเซี่ยเจี๋ยอาสามของเค่อเอ๋อช่วยให้หลบหนีไปยังระนาบโลกียะต่างๆแล้ว
หลังจากทุกคนหลบหนีมายังระนาบโลกียะ แต่ละคนก็พบพานเส้นทางของตัวเอง
ที่น่าห่วงที่สุดก็คือเค่อเอ๋อที่ยังคงอยู่ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ
กล่าวให้ชัดก็คืออยู่ใน ระนาบสมรภูมิ ที่เกิดจากการโคจรมาปะทะกันของระนาบทวยเทพ!
และเขาไม่ได้รู้เลยว่าเหล่าตัวน้อยทั้ง 3 ที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเยาว์ ตอนนนี้ได้แอบหนีออกจากระนาบเทวโลกและลงไปตามหาเขาที่ระนาบเซียน บ้านเกิดในชีวิตนี้ของเขา
ในปัจจุบันต้วนหลิงเทียน ยังคงทำความเข้าใจความลึกกซึ้ง เผาไหม้ และปะทุอย่างตั้งอกตั้งใจ เรียกว่าตัดขาดกับโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์
เขากำลังรอให้ถึงเวลานัดหมาย 2 ปีกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ถึงตอนนั้นเขาก็จะออกจากหลิงหลัวเทียน และไปยังอวี้หวงเทียนกับอีกฝ่าย
แน่นอนว่าหลังจากไปอวี้หวงเทียนแล้ว ไม่ว่าจะกลับมาได้หรือไม่ได้ เขาก็ยังไม่ได้คิดวางแผนอะไรทั้งสิ้น แค่รอดูสถานการณ์และตัดสินใจไปตามสมควร
อย่างไรก็ตาม หากไม่มีเหตุผิดพลาดอะไร เขาก็คิดจะกลับมา
สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคิดตอบแทนบุญคุณซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่
อย่างไรก็ตาม หากมีสถานที่ใดที่จะช่วยยกระดับให้เขาก้าวหน้าขึ้นรวดเร็วที่สุดในเวลาพันปี เขาก็ไม่ขัดข้องที่จะไปที่นั่น
วันเวลาพันปีแม้ไม่สั้น แต่ก็ไม่นาน
เขาจำต้องเพิ่มพูนพลังให้ไดมากที่สุด จะได้บุกไปช่วยทุกคนที่ถูกจับในดินแดนการล่มสลหายแห่งทวยเทพ!
…
ต้วนหลิงเทียนได้พักอยู่ที่คฤหาสน์ส่วนตัวของซุนเหลียงเผิงเป็นเวลา 5 ปี โดยไม่ได้ออกไปไหนเลย
เรื่องนี้ทำให้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่อย่างหวังเชียนจ้านโมโหทั้งจนปัญญาไม่น้อย “เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันคิดจะหดหัวอยู่แต่ในคฤหาสน์ประมุขไปชั่วชีวิตเลยหรือไร?”
ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ด้วยความที่หวังเชียนจ้านกลัวจะคลาดสายตา จนทำให้ต้วนหลิงเทียนมีโอกาสหนีไปได้ เช่นนั้นมันจึงเอาแต่เฝ้าจับตาดูคฤหาสน์ซุนเหลียงเผิงไม่ไปไหนเช่นกัน
มันก็เลยเหน็ดเหนื่อยไปทั้งใจกาย
แม้เวลา 5 ปีจะไม่ได้นานอะไรสำหรับมัน แต่ให้มันทุ่มสมาธิกับการเฝ้าจับตาดูโดยไม่ไปไหนแบบนี้ ก็นับว่าทรมานไม่น้อย
และตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก็มีนักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดมาเยือนนิกายอมตะเป้าผู่เช่นกัน
ที่สำคัญอีกฝ่ายยังเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก!
นักฆ่ากะโหลกเลือดผู้นี้ ด้วยพลังฝีมือของมัน หากคิดจะทำลายล้างนิกายอมตะเป้าผู่ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
อย่างไรก็ตามด้วยความที่มันกริ่งเกรงตระกูลใหญ่เบื้องหลังคฤหาสน์เฉวียนโยว ซึ่งจัดเป็นขุมกำลังชั้นนำของแดนสวรรค์ใต้…นับประสาอะไรกับทำลายนิกายอมตะเป้าผู่ กระทั่งจะบุกรุกเข้าไปมันยังไม่กล้า!
เป็นธรรมดาว่าถึงมันจะไม่กล้าบุกเข้านิกายอมตะเป้าผู่อย่างอุกอาจ แต่มันก็ยังติดต่อขอพบประมุขนิกายอมตะเป้าผู่อย่างซุนเหลียงเผิง เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ขับไล่ต้วนหลิงเทียนออกจากนิกายอมตะเป้าผู่
อย่างไรก็ตาม ซุนเหลียงเผิงได้ยืนกรานปฏิเสธมัน
เช่นนั้นนักฆ่ากะโหลกเลือดก็ได้แต่หงุดหงิดและขัดใจที่ทำอะไรไม่ได้ สุดท่ายก็ได้แต่ดักรอต้วนหลิงเทียนด้านนอกนิกายอมตะเป้าผู่ ประหนึ่งเฝ้ากระต่ายหน้าโพรง
แน่นอนว่าการเฝ้ารอด้านนอกนิกายอมะเป้าผู่ของมันก็ไม่ถึงกับไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยๆมันก็ได้ติดต่อกับหวังเชียนจ้าน อาวุโสใหญ่ของนิกาอมตะเป้าผู่
ด้วยเหตุนี้หวังเชียนจ้านจึงเป็นดั่งหูตาให้มัน
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงนักฆ่ากะโหลกเลือดจะล้มเหลวเรื่องการทำภารกิจให้ลุล่วง แต่มันยังทำได้แค่ขุดถ้ำแห่งหนึ่งในเขาไม่ไกลจากนิกายอมตะเป้าผู่ เพื่อพักอาศัยและบ่มเพาะพลังเท่านั้น…
เฝ้ารอให้เป้าหมายอย่างต้วนหลิงเทียนออกจากนิกายอมตะเป้าผู่อย่างอดทน!
ตราบใดที่หวังเชียนจ้านแจ้งมาถึงมันว่าต้วนหลิงเทียนกล้าออกจากนิกายอมตะเป้าผู่แล้วล่ะก็ มันจะเร่งรุดไปฆ่าอีกฝ่ายทันที!
…
วันเวลาผันผ่านดั่งม้าขาวทะยานข้ามทุ่ง
อีก 2 ปีก็ได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
“ต้วนหลิงเทียน ตอนนี้ข้ารอเจ้าอยู่ที่เมืองฝูซาน ห่างออกไปทางตอนเหนือ 300,000 ลี้จากนิกายอมตะเป้าผู่…ที่นั่นมีค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลนำไปสู่ระนาบเทวโลกอื่นๆ ที่คฤหาน์เฉวียนโยวสร้างไว้”
หลังจากผ่านไป 2 ปี 1 เดือน ในที่สุดหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ติดต่อมาหาต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
“ถึงเวลาเดินทางแล้ว…”
หลังได้รับการติดต่อจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋น สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอแสงจ้าขึ้นมาทันที เขาหลุดการทำความเข้าใจความลึกซึ้ง ปะทุ ของกฏแห่งไฟทันที
สำหรับความลึกซึ้งเผาไหม้นั้น เขาบรรลุถึงความสำเร็จเบื้องต้นตั้งแต่ 3 เดือนก่อนแล้ว ตอนนี้จึงใช้มันได้คล่องไม่ต่างมือเท้า
เรียกว่าวันนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นได้ 3 ประการ
ความหมายแห่งไฟ ลุกโหม และเผาไหม้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่น่ายินดีอีกอย่าง
ตั้งแต่เมื่อปีก่อน ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน เพลิงเทพโกลาหล และทองเทพสุดลี้ลับก็ได้ทยอยกันตื่นขึ้นจนครบ
เหตุผลที่ไฉนทั้ง 3 ถึงหลับไปนานปี เนื่องเพราะการช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนครั้งสุดท้าย พวกมันได้ทุ่มพลังทั้งหมดอย่างไม่กล้าประมาท
ในอดีตแม้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินจะคอยช่วยเหลือต้วนหลิงเทียน แต่มันก็ไม่ได้ทุ่มพลังมากมายอะไรขนาดนั้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องนอนพักฟื้นฟูพลัง
หลังติดต่อตอบกลับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ส่งข้อความถึงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ซุนเหลียงเผิง ทั้งยังแจ้งไปตรงๆว่า “ประมุข ข้าต้องการออกไปนอกนิกาย”
หลังข้อความของต้วนหลิงเทียนส่งไปได้ไม่กี่ลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงซุนเหลียงเผิงดังขึ้นนอกประตู “ออกมาสนทนากันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนลุกจากเตียงน้ำแข็งและเดินไปเปิดประตูทันที จึงพบว่าซุนเหลียงเผิงมาหาถึงที่
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็อาศัยอยู่ในลานแห่งหนึ่งของซุนเหลียงเผิง ในลานก็มีโต๊ะหินอ่อนพร้อมม้านั่งเล็กๆ
ต้วนหลิงเทียนที่เปิดประตูมา ก็เห็นซุนเหลียงเผิงนั่งรออยู่ที่โต๊ะ
“ประมุข”
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดว่าซุนเหลียงเผิงจะมาหาทันทีหลังจากที่เขาติดต่อไปแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะประทับใจอีกฝ่ายในระดับหนึ่ง
“นั่งก่อน”
หลังซุนเหลียงเผิงชวนให้ต้วนหลิงเทียนนั่งลง มันก็ขมวดคิ้วยิงคำถามออกมาทันที “เจ้าจำเป็นต้องออกไปด้านนอกให้ได้หรือ?”
ในความคิดมัน เป็นไปไม่ได้ที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่ทราบสถานการณ์ในปัจจุบันที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ ว่าหากออกไปนอกนิกายอมตะเป้าผู่แม้แต่ก้าวเดียว ต้องตายแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนยังติดต่อมาว่าจะออกไป นั่นหมายความว่าต้องมีเหตุผลสำคัญที่ต้องไป
เช่นนั้นแทนที่จะห้ามต้วนหลิงเทียน มันจึงเลือกถามคำถามดังกล่าวออกมาแทน
“ข้าต้องไป”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเข้ม
“เพราะอันใด?”
ซุนเหลียงเผิงถาม
“ผลเทพสังเวยสวรรค์!”
ได้ยินคำถามของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดปิดบัง เพราะหากเขาได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์จริงๆ ถึงตอนนั้นเมื่อย้อนกลับมานิกายอมตะเป้าผู่ด้วยด่านพลังขุนนางอมตะ 10 ทิศ ซุนเหลียงเผิงก็สมควรเดาออกแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นถึงจะบอกเรื่องผลเทพสังเวยสวรรค์ไป เขาก็ไม่ต้องกลัวซุนเหลียงเผิงจะบังเกิดความโลภอะไร เพราะมันมีประโยชน์ก็แต่ตัวตนที่ยังไม่บรรลุถึงขุนนางอมตะเท่านั้น
“ผล…ผลเทพสังเวยสวรรค์!?”
พอเสียงพูดต้วนหลิงเทียนดังจบคำ สีหน้าซุนเหลียงเผิงก็เปลี่ยนไปทันที ลูกตายังหดเล็กลงอย่างแรง
ถึงแม้ในบันทึกของนิกายอมตะเป้าผู่จะไม่มีเรื่องผลเทพสังเวยสวรรค์บันทึกเอาไว้เลย แต่ในฐานะที่เป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ซุนเหลียงเผิงย่อมเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง จากเหล่าสหายในคฤหาสน์เฉวียนโยว
ผลเทพสังเวยสวรรค์ สำหรับตัวตนใต้ขอบเขตขุนนางอมตะแล้ว มันถือเป็นสมบัติล้ำค่า!
ต้าหลัวจินเซียนขั้นสูงสุดหากใช้มัน ก็สามารถบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้ทันที
และหากยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้รับประทานมัน เรียกว่าจะได้ลัพธ์ผลเลิศล้ำที่สุด เพราะจะทะลวงถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศได้โดยตรง!
จากขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด กลับทะลวงถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศได้ในบัดดล เรื่องนี้จะให้พูดอย่างไร?
ตอนที่ซุนเหลียงเผิงได้ยินเรื่องของผลเทพสังเวยสวรรค์ครั้งแรก มันก็ถึงกับตกตะลึงอึ้งค้างไปอยู่นาน ด้วยไม่คิดว่าในสวรรค์และโลกกลับมีผลไม้อมตะที่มีสรรพคุณน่ากลัวถึงขนาดนี้ดำรงอยู่
“ต้วนหลิงเทียนเจ้า…เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นผลเทพสังเวยสวรรค์จริงๆ? ผลเทพสวรรค์นั่นเสมือนผลไม้อมตะที่มีแต่ในตำนาน ข้าได้ยินว่ามันเคยปรากฏแต่ในระนาบเทวโลกอื่นๆเท่านั้น ไม่เคยมีปรากฏขึ้นในหลิงหลัวเทียนเราแม้แต่ครั้งเดียว”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวถามด้วยความเหลือเชื่อ
ตอนนั้นที่ได้ฟังเรื่องผลเทพสังเวยสวรรค์ ซุนเหลียงเผิงก็พอรับทราบข้อมูลของมันมาคร่าวๆเช่นกัน
ถึงแม้จะปลูกต้นเทพสังเวยสวรรค์ และมีเครื่องสังเวยมากพอ แต่โอกาสเกิดผลที่สุกงอมก็มีแค่ส่วนเดียวเท่านั้น
“เป็นผลเทพสังเวยสวรรค์แน่นอน”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบกลับซุนเหลียงเผิงทันที จากนั้นก็เล่าเรื่องที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นบอกเขาออกมา
เป็นธรรมดาว่าเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพ เพราะหากพูดไปก็ไม่ต่างอะไรจากเปิดเผยเรื่องที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมีอุปกรณ์เทพออกไปโดยตรง
อุปกรณ์เทพนั้น มูลค่ามันผิดกับผลเทพสังเวยสววรรค์ลิบลับ
ผลเทพสังเวยสวรรค์แม้จะล้ำค่าและมิอาจประเมินค่ามันได้ แต่ก็มีประโยชน์กับซุนเหลียงเผิงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์เทพนั่นไม่ใช่! ซุนเหลียงเผิงต้องบังเกิดความโลภแน่นอน เพราะสามารถใช้ได้!!
เขาแค่เล่าไปว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมีความสามารถในการระบุว่าผู้ใดเป็นผู้อมตะกลับชาติมาเกิด และอีกฝ่ายมั่นใจกว่า 9 ส่วนว่าอีกฝ่ายต้องปลูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ไว้แน่ ถึงได้ลอบมาชักชวนยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดเป็นการลับด้วยตัวเอง ทั้งหมดไม่พ้นต้องคิดนำไปสังเวย!
สำหรัมรดกสถานขอจักรพรรดิอมตะที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง ก็สมควรตั้งค่าไว้แล้วว่ามีแต่ตัวตนต่ำกว่าขุนนางงอมตะเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้
“หากมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด และอีกฝ่ายจงใจมาล่อลวงก็แต่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดชนชั้นอัจฉริยะจริงๆ…ก็เป็นไปได้สูงที่มันหมายใช้ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลายเป็นเครื่องสังเวยเพื่อผลเทพสังเวยสวรรค์”
ซุนเหลียงเผิงพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขวดคิ้วกล่าวถามต่อว่า “อย่างไรก็ตามเพื่อผลเทพสังเวยสวรรค์ ยอดเซียนอมตะมากมายล้วนถูกกำหนดให้ตกตาย…นอกจากนั้นมันต้องมั่นใจว่าตัวเองจะเป็นคนได้รับผลประโยชน์”
“เพราะอย่างไรเสียสถานที่ๆมันปลูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์เอาไว้ ก็เป็นมันสร้างขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว และสมควรเป็นโลกใบเล็กของมัน ต่อให้ตอนนี้มันอาจจะไม่มีพลังมากพอควบคุมทุกสิ่งอย่าง แต่มันก็ต้องสามารถจัดการควบคุมอะไรบางอย่างในโลกใบเล็กนั่นได้แน่นอน”
“ถึงตอนนั้นต่อให้กระบวนการสังเวยจะดำเนินไปอย่างงราบรื่นจนได้ผลเทพสังเวยสวรรค์จริงๆ ก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะได้ผลเทพสังเวยสวรรค์นั่นมาครอง!”
“กระทั่งตัวเจ้า อาจกลายเป็นผู้ที่ต้องถูกสังเวยด้วยซ้ำ!”
ฟังจากคำพูดซุนเหลียงเผิงแล้ว เห็นชัดว่าแม้มันจะคิดว่าต้วนหลิงเทียนมีโอกาสได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์จริงๆ แต่เรื่องจะได้นั้นไม่ใช่ง่ายๆแน่นอน!
“ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองเจ้าใช้ไปหมดแล้ว…ต่อให้เจ้ายังเหลือโอกาสใช้มันได้จริง แต่เนื่องจากในโลกใบเล็กนั่นมันมีการจำกัดด่านพลังเอาไว้ ทันทีที่เจ้าใช้ก็ไม่วายต้องถูกขับออกจากโลกใบเล็กนั่นทันที”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวต่อ
ฟังจากคำพูดมากมายของมัน เห็นชัดว่าไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนเข้าไปเสี่ยง
ตอนที่ 3073
หากต้วนหลิงเทียนสามารถได้ผลเทพสวรรค์มาจริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากหนึ่งก้าวถึงฟ้า ต่อให้จะเสี่ยงอะไรมากแค่ไหนแล้วเสียอะไรไปก็นับว่าคุ้มค่า
อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับมาครอง หรือสุดท้ายกลายเป็นแค่ 1 ในผู้ที่ถูกสังเวยผลเทพสังเวยสวรรค์ ก็เรียกว่ามีแต่เสียกับเสีย
ที่สำคัญที่สุดก็คือ…
ต่อให้ผู้อมตะกลับชาติมาเกิดนั่นควบคุมเรื่องการสังเวยได้ราบรื่น จนยอดเซียนอมตะทั้งหลายตกตายจนหมด ก็ไม่แน่ว่าจะได้ผลเทพสังเวยสวรรค์ด้วยซ้ำ เพราะโอกาสก็มีแค่ 1 ใน 10 ส่วนเท่านั้น
ซุนเหลียงเผิงลองไถ่ถามตัวเองดูก็ตอบได้ทันที ว่าหากมันเป็นต้วนหลิงเทียนที่มีอนาคตสดใสแบบนี้ มันจะไม่มีวันเอาชีวิตไปเสี่ยงกับผลเทพสังเวยสวรรค์ที่ไม่รู้จะได้รับหรือไม่แน่นอน!
อีกอย่างผู้ที่วางแผนเรื่องนี้แม้จะเป็นจักรพรรดิมอมตะที่กลับชาติมาเกิดใหม่ และไม่ได้ถือครองด่านพลังขอบเขตจักรพรรดิอมตะแล้ว แต่ต้องทราบว่าความทรงจำและประสบการณ์สมัยครั้งยังเป็นจักรพรรดิอมตะก็ยังดำรงอยู่ คิดจะควบคุมเหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดให้อยู่ในกำมือยังจะไปยากอะไร?
“ท่านประมุข ข้าตัดสินใจแน่แล้ว”
ได้ยินคำเกลี้ยกล่อมโน้วน้าวของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวพลางคลี่ยิ้มบางๆ
แม้จะคลี่ยยิ้มบางๆแลดูเหมือนทำเล่น แต่สีหน้าแววตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายชัดถึงความจริงจังแน่วแน่ ชวนให้ผู้คนรู้สึกว่าไม่มีอะไรสั่นคลอนได้
“เจ้าทราบหรือไม่…ว่านักฆ่าของกะโหลกเลือดที่มาเฝ้ารอเจ้าอยู่ด้านนอกตอนนี้เป็นราชาอมตะ 9 ตำหนัก?”
ซุนเหลียงเผิงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงขรึม “มันมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่เราได้สักพักแล้ว กระทั่งยังพยายามเกลี้ยกล่อมให้ข้าส่งตัวเจ้าออกไปด้วยซ้ำ…แต่ข้าก็ไม่ได้เห็นดีด้วย”
“ตอนนี้มันสมควรซุ่มรอเจ้าอยู่ที่ไหนสักแห่งด้านนอกนิกายอมตะเป้าผู่เรา…ตราบใดที่เจ้ากล้าออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ข้าเชื่อว่ามันต้องลงมือฆ่าเจ้าทันทีแน่!”
ซุนเหลียงเผิงกล่าว
“ประมุข ในนิกายสมควรมีค่ากลเคลื่อนย้ายที่คล้ายๆกับค่ายกลเคลื่อนย้ายไปคลังสมบัติอยู่บ้างใช่ไหม? ก็แค่ให้ข้าใช้ค่ายกลเครื่องย้ายนั่น ไม่แน่มันอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าออกไปแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เจ้าว่าพวกเรามีอยู่ก็จริง แต่คงยากจะหลบเลี่ยงการตรวจพบของมัน…สำนึกเทวะขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก แม้จะไม่อาจแผ่เข้ามาตรวจสอบเรื่องราวด้านในนิกายเราตอนเจ้าใช้ค่ายกล แต่มันสมควรตรวจจับเจ้าพบหลังถูกส่งตัวไปได้ทันทีแน่นอน อาศัยความเร็วของมัน ข้าเกรงว่าเจ้ายังไปได้ไม่ถึงไหนมันก็ตามเจ้าทันแล้ว”
กล่าวถึงจุดนี้ซุนเหลียงเผิงก็ส่ายหัวไปมา “ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปข้างนอกนิกาย ไม่เหมือนกับค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังคลังสมบัติ”
“ที่นั่นเป็นสถานที่ปิดทั้งถูกซ่อนไว้อย่างดี แถมยามคิดจะกลับก็ต้องผ่านค่ายกลเท่านั้น…หาไม่แล้วก็ไม่มีทางกลับมาได้”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวจบก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ได้ยินคำพูดของซุนเหลียงเผิงต้วนหลิงเทียนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “หรือ…ไม่มีทางออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ โดยไม่ให้นักฆ่ากะโหลกเลือดนั่นรู้จริงๆ?”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเตรียมใจ้ไว้แล้วว่านักฆ่ากะโหลกเลือดที่มาฆ่าเขารอบนี้จะร้ายกาจ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเคี้ยวยากขนาดนี้ กระทั่งจะลักลอบออกไปนอกนิกายโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ก็ดูท่าจะทำไม่ได้!
มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ ว่าบางทีเขายังมองเรื่องราวง่ายเกินไปอยู่บ้าง
แค่จะออกไปอย่างปลอดภัย ยังไม่ง่ายเลย
‘หรือข้าต้องใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองครั้งสุดท้ายจริงๆ? หากระดับพลังข้าทัดเทียมกับจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด บวกกับกฏแห่งไฟที่เข้าใจในตอนนี้ โดยมีเพลิงเทพโกลาหล ทองเทพสุดลี้ลับ และปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินช่วยอีกแรง ก็อาจจะฆ่านักฆ่ากะโหลกเลือดนั่นได้…’
คิดถึงจุดนี้ หว่างคิ้วต้วนหลิงเทียนก็ขดย่นเป็นปมโดยไม่รู้ตัว เพราหากไม่จำเป็นจริงๆ เขาไม่อยากใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองครั้งสุดท้ายในลักษณะนี้เลย
อุปกรณ์อมตะจอมราชันนั่น มันเหลือให้เขาใช้ได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อใช้ไปแล้ว มันก็จะหมดสิ้นคุณค่าทันที
และในขณะที่คิ้วต้วนหลิงเทียนขดย่นเป็นปม เขาก็พบว่าซุนเหลียงเผิงก็กำลังขมวดคิ้วอยู่เช่นกัน สีหน้าแววตายังเต็มไปด้วยความลังเล คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
‘หืม?’
สีหน้าท่าทีของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนย่อมมองออกได้ทันที สองตาเขาจึงลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมา “ประมุข ท่านมีวิธีรึ?”
“หากท่านมีวิธี…ครั้งนี้ข้าถือว่าติดค้างท่าน วันหน้าไม่ว่าจะได้รับหรือไม่ได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์ ข้าจะตอบแทนบุญคุณท่านอย่างงามแน่!”
ต้วนหลิงเทียนมองซุนเหลียงเผิงพลางกล่าวให้คำมั่นออกมา
“ต้วนหลิงเทียนคำพูดเจ้าข้าย่อมเชื่อ เพราะรู้ว่าคนอย่างเจ้าหากพูดแล้วย่อมไม่คิดคืนคำ…แต่บางครั้งไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าจะตอบแทน เจ้าก็จะสามารถตอบแทนข้าได้จริงๆ หากการไปครั้งนี้ของเจ้าเกิดเรื่องอันใดกระทั่งตกตายไปเล่า?”
ซุนเหลียงเผิงส่ายหัวไปมา
ได้ยินคำพูดของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็เงียบไปทันที
เขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นมีความมั่นใจในตัวเองว่าต้องเอาตัวรอดกันได้แน่ เพราะเขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นล้วนมี ‘ไพ่ตาย’ ด้วยกันทั้งคู่ ก็แค่ไพ่ตายเหล่านั้นไม่เหมาะจะเปิดเผยให้ใครล่วงรู้เท่านั้น
และพอได้ยินคำนี้ของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ตัดสินใจขั้นเด็ดขาด
เขาจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอีกครั้ง จากนั้นก็ให้เพลิงเทพโกลาหล ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน และทองเทพสุดลี้ลัผนึกกำลังกัน ฆ่านักฆ่ากะโหลกเลือดขอบเขตราชอมตะ 9 ตำหนักนั่นที่ดักรอนอกนิกายอมตะเป้าผู่ไปเสีย!
คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เริม่ติดต่อกับเพลิงเทพโกลาหลในร่างทันที “อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล…หากข้าใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง และกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนโดยมีพวกท่านช่วยเหลือ…ด้วยกฏที่ข้าเข้าใจตอนนี้ มีโอกาสที่ข้าจะฆ่านักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักได้หรือไม่?”
“หากเจ้าใช้ทุกสิ่งที่มี คิดฆ่านักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 หนักทั่วไปก็มีความเป็นไปได้ราว 9 ส่วน…แต่หากนักฆ่าราชาอมตะ 9 ตำหนักนั่น มันเข้าใจความลึกซึ้งประการใดของกฏบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยแล้วล่ะก็…คิดฆ่ามันในกระบวนเดียวย่อมยากเย็นนัก กระทั่งหลังเจ้าออกกระบวนท่าสังหารไปแล้วหากมันไม่ตาย ด้วยพลังที่สมควรลดลงไปเหลือขอบเขตราชาอมตะของเจ้า มันต้องจัดการเจ้าได้ง่ายๆแน่”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าว “แต่ก็เป็นธรรมดา ว่านักฆ่าจากกะโหลกเลือดนั่นอาจไม่ร้ายกาจถึงขั้นนั้น”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำพูดของเพลิงเทพโกลาหล และสองตาเขาส่องสว่างลุกวาวขึ้นมาราวกับจะตัดสินใจได้แล้ว เสียงของซุนเหลิงเผิงก็ดังขึ้นพอดี “ต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นเจ้าเอายันต์อมตะชิ้นนี้ไปใช้เถอะ”
พอต้วนหลิงเทียนมองไปยังซุนเหลียงเผิงอีกครั้ง ก็พบว่าอีกฝ่ายเรียกยันต์อมตะออกมาแผ่นหนึ่งและยื่นส่งมาให้เขา
ยันต์อมตะดังกล่าวมองผ่านๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากยันต์อมตะทั่วไป
อย่างไรก็ตาม พอสังเกตให้ดี ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ายันต์อมตะแผ่นนี้กลับมีแสงพลังสีเขียวเรืองรองออกมา พอแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบ ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังว่องไวหนึ่ง คล้ายๆกลิ่นอายพลังจากความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟที่เสริมความเร็ว
“นี่คือยันต์หลบหนีเงาวายุ ที่ข้าได้รับเป็นรางวัลหลังทำภารกิจหนึ่งให้คฤหาสน์เฉวียนโยว…เป็นยันต์ที่จอมราชันอมตะอันที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมหลายประการบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยสร้างขึ้น…”
“นอกจากนั้น พลังแห่งกฏที่บรรจุไว้ในยันต์นี้ ไม่ว่าจะกายสายลมหรือลมกรด ก็ล้วนแล้วแต่บรรลุขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย…”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนมองสำรวจยันต์อมตะในมือ ซุนเหลียงเผิงก็อธิบายออกมา
“ฟืด~”
แทบจะทันทีที่ซุนเหลียงเผิงกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ใจยังสะท้านไปอยู่บ้าง “ยันต์อมตะที่จอมราชันอมตะสร้างขึ้นหรือ?”
“ซ้ำยังบรรจุไว้…ด้วยความลึกซึ้งลมกรดกับกายสายลมที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย?!”
ต้องทราบด้วยว่าวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชานั้น สามารถช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏต่างๆได้แค่ขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นเท่านั้น หากคิดจะบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย ก็จำต้องได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับจอมราชันที่สอดคล้องกันมาฝึก…
อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นราชาอมตะ 10 ทิศระดับแนวหน้า ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นมี่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดๆถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย เพราะวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับจอมราชันมีค่ามาก และต่อให้จะได้มาฝึกปรือ แต่คิดจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่แฝงอยู่ในนั้นถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย…ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ!
“ด้วยมียันต์อมตะแผ่นนี้ ต่อให้เป็นจอมราชันอมตะทั่วไปยังไล่เจ้าไม่ทัน…นักฆ่าของกะโหลกเลือดที่เป็นแค่ราชาอมตะ 9 ตำหนัก ย่อมไม่มีปัญญาไล่เจ้าทันได้แน่นอน!”
กล่าวจบคำซุนเหลียงเผิงก็ใช้พลังส่งยันต์อมตะแผ่นดังกล่าวให้มาหยุดลอยเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเห็นได้ชัดเจน ว่าสีหน้าอีกฝ่ายยังเต็มไปด้วยความลังเลคล้ายเสียดายหนักหนา
“ประมุขนิกาย ยันต์อมตะแผ่นนี้ล้ำค่าเกินไป ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก…”
เมื่อเห็นถึงความลังเลไม่เต็มใจของซุนเหลียงเผิง กอปรทั้งยันต์หบหนีเงาวายุแผ่นนี้ก็มีค่ามากจริงๆ ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวตอบปฏิเสธไป แม้จะหวั่นไหวเพราะรู้ดีว่ายันต์ใบนี้สามารถช่วยชีวิตเขาได้แน่นอนก็ตาม
หากเขาไม่มีหนทางออกจากนิกายอมตะเป้าผู่แล้วจริงๆ ต่อให้ต้องบากหน้าร้องขอ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รีรอที่จะคว้ายันต์อมตะแผ่นนี้แน่นอน เพราะเขาต้องการมันจริงๆ
ต่อให้ต้องติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายครั้งใหญ่เขาก็ยอม
แต่ตอนนี้เขาพอมีหนทางอยู่บ้าง เช่นนั้นจึงปฏิเสธความเมตตานี้ของซุนเหลียงเผิง
“เจ้าเอาไปเถอะ…ข้าเก็บไว้ก็ไม่รู้ว่าจะได้ใช้เมื่อไหร่”
ตอนนี้เองความลังเลและไม่เต็มใจในสีหน้าแววตาของซุนเหลียงเผิงพลันสลายหายไป และยังใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดหอบหิ้วยันต์เข้าไปใกล้ต้วนหลิงเทียนมากขึ้น เรียกว่าขอแค่ต้วนหลิงเทียนยื่นมาออกมาเล็กน้อยก็คว้าได้ทันที
“ประมุข…”
ต้วนหลิงเทียนยังคิดจะปฏิเสธ หากแต่ดูเหมือนซุนเหลียงเผิงจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “เอาไปเถอะ! แล้วอย่าทรยศความคาดหวังของข้าเล่า! และหากเจ้ารอดชีวิตกลับมาได้ วันหน้าเจ้าต้องชดใช้ให้ข้า 2 เท่า…ข้ามิโลภนักหรอก ขอแค่ได้ยันต์เงาวายุเหมือนแผ่นนี้สัก 2-3 แผ่นก็พอ”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวพลางหัวเราะ
ถึงแม้จะรู้ดีว่าซุนเหลียงเผิงกล่าวล้อเล่น แต่ต้วนหลิงเทียนก็จดจำคำพูดของซุนเหลียงเผิงไว้ในใจ ขณะเดียวกันก็ไม่คิดปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่ายอีก เพราะเขาเองก็มองเห็นว่าตอนนี้ปฏิเสธไปก็เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขายังยืนกรานปฏิเสธอีก ก็เหมือนไม่ไว้หน้าซุนเหลียงเผิง
“ประมุขนิกาย…ไม่ต้องห่วง ท่านไม่ขาดทุนแน่!”
ต้วนหลิงเทียนยื่นมือออกไปคว้ายันต์หลบหนีเงาวายุมากำไว้แน่น จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองกล่าวกับซุนเหลียงเผิงอย่างจริงจัง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น