War sovereign Soaring The Heavens 3058-3063

 ตอนที่ 3058

 

“อะไร!?”


 


ได้ยินคำพูดดังกล่าว แม้จะเป็นซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ที่ผ่านโลกมามาก ยังอดไม่ได้ที่จะต้องตกใจจนเสียอาการ


 


เรื่องที่มีคนจ้างวานนักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดมาฆ่าต้วนหลิงเทียน นับว่าทำให้มันตกใจจนเหงื่อเย็นชุ่มหลังแล้วจริงๆ…


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียนยังกลับมาเล่าเรื่องราวได้ มันก็เข้าใจว่าสมควรมีใครปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนให้รอดพ้นหายนะได้ทันเวลา…


 


อย่างไรก็ตาม มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบกลับมาว่าเป็นคนฆ่านักฆ่าผู้นั้นด้วยตัวเอง!


 


เท่าที่มันรู้มาองค์กรกะโหลกเลือดนับเป็น 1 ใน 3 องค์กรมือสังหารระดับพระกาฬของแดนสวรรค์ใต้ ต่อให้เป็นนักฆ่าที่อ่อนด้อยที่สุดก็ยังเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด!


 


ยิ่งไปกว่านั้น กล่าวไปในระดับหนึ่ง องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดก็ถือว่าเป็นขุมพลังระดับ 5! ย่อมไม่ขาดแคลนวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังแน่นอน!!


 


จึงพูดได้เลย ว่าถึงจะเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดขององค์กรกะโหลกโลหิต แต่ทั้งหมดล้วนเป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่ร้ายกาจอย่างหาตัวจับยาก ล้วนเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏหลายประการแล้วทั้งสิ้น! ไม่ใช่อะไรที่ราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดของคฤหาสน์เฉวียนโยวจะเทียบได้เลย!!


 


“ต้วนหลิงเทียน…นี่เจ้าคงไม่ได้กำลังล้อข้าเล่นอยู่หรอกนะ?”


 


ซุนเหลียงเผิงมองต้วนหลิงเทียนไม่พูดไม่จาอยู่พักหนึ่ง ค่อยสูดหายใจเข้าลึกๆจากนั้นก็เอ่ยถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ


 


“ประมุข…ข้าไม่จำเป็นต้องล้อท่านเล่น”


 


ต้วนหลิงเทียนยักไหล่กล่าว


 


ขณะเดียวกันเพียงหนึ่งห้วงคิด สำนึกเทวะอันทรงพลังของเขาก็แผ่ไปปกคลุมทั่วร่างซุนเหลียงเผิง จงใจให้ซุนเหลียงเผิงสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันมหาศาลของเขา!


 


ซูว


 


แทบจะทันทีที่ถูกสำนึกเทวะอันทรงพลัของต้วนหลิงเทียนแผ่มาปกคลุม สีหน้าท่าทีซุนเหลียงเผิงก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง


 


เพราะตอนนี้ตัวมันสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่กดดันบีบคั้นจิตใจ จนตัวมันรู้สึกเสมือนว่าตัวเองเป็นแค่เรือใบลำน้อยที่กำลังลอยคอท่ามกลางมหาสมุทรคุ้มคลั่ง ไม่อาจทำต่อต้านแข็งขืนใดๆ สามารถพลิกคว่ำอับปางได้ทุกเมื่อ!


 


“พะ..พลังวิญญาณนี่มัน…ราชาอมตะ 10 ทิศ!”


 


สำนึกเทวะอันเปี่ยมล้นไปด้วยพลังวิญญาณมหาศาลระดับนี้ทำให้ใจซุนเหลียงเผิงสั่นไหวเต้นไปไม่เป็นจังหวะ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเผชิญหน้ากับสำนึกเทวะระดับนี้ เพราะมันเคยโดนสำนึกเทวะที่มีพลังอำนาจสะกดข่มระดับเดียวกันกดดันมาก่อนในอดีต


 


มันยังจดจำได้ ในตอนนั้นเป็นรองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวที่แผ่สำนึกเทวะมากดดันมัน!


 


ในขณะที่ซุนเหลียงเผิงมองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความตื่นตระหนกตกใจทั้งไม่อยากจะเชื่อ ต้วนหลิงเทียนก็ถอนรั้งสำนึกเทวะกลับไปเรียบร้อยแล้ว


 


ยิ่งไปกว่านั้น มันยังสัมผัสได้ชัดเจน…


 


ว่าสำนึกเทวะน่ากลัวที่กดทับร่างมันเมื่อครู่ ได้ถอนรั้งกลับไปยังร่างต้วนหลิงเทียน!


 


“ต้วน…ต้วนหลิงเทียน เจ้าไฉนมีสำนึกเทวะทรงพลังงระดับนี้ได้!?”


 


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถามออกมาด้วความประหลาดใจ


 


“หากข้าบอกว่าตอนที่ข้าฆ่านักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือด สำนึกเทวะข้าทรงพลังกว่าในตอนนี้…ท่านประมุขคิดว่าไงเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองจ้องซุนเหลียงเผิง กล่าวถาม


 


“ทรงพลังกว่าตอนนี้งั้นหรือ เช่นนั้นหมายคามว่าสำนึกเทวะก่อนหน้านี้ของเจ้า…ไม่ใช่ว่าจะเทียบได้กับสำนึกเทวะของจอมราชันอมตะแล้วหรือไร!?”


 


ยิ่งมาใบหน้าซุนเหลียงเผิงยิ่งฉายชัดถึงความประหลาดใจ และทันใดนั้นเองในใจมันคล้ายมีประกายยแสงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง ด้วยฉุดคิดได้ถึงอะไรบางอย่าง  “เจ้า…เจ้าคงมิได้มีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลืองหรอกนะ?”


 


ถึงแม้จะมียันต์อมตะสายสนับสนุนที่ทรงพลังบางอย่าง สามารถช่วยให้ผู้ใช้ถือครองพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดกระทั่งพลังวิญญาณอันเทียบกับขอบเขตจอมราชันอมตะได้ แต่ระยะเวลาแสดงผลก็ไม่นานนัก


 


ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อระยะเวลาแสดงผลของยันต์อมตะสนับสนุนดังกล่าวหมดลง พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดไม่เว้นพลังวิญญาณก็จะหายไป ระดับพลังของผู้ใช้ก็จะหวนคืนสู่สภาพปกติทันที


 


อย่างไรก็ตาม หากเป็นอุปกรณ์อมตะประเภทสิ้นเปลืองล่ะก็ เรื่องราวมันจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ว่าจะเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดหรือพลังวิญญาณก็ตาม มันสามารถกักเก็บไว้ในร่างผู้ใช้ ให้เลือกนำออกมาใช้ได้ตามใจชอบ


 


เมื่อใช้พลังดังกล่าว พลังที่กักเก็บไว้ในร่างกายก็จะค่อยๆหมดลง ระดับพลังเองก็จะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ


 


ดุจเดียวกับต้วนหลิงเทียนในตอนนี้


 


สำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ บ่งบอกชัดว่าระดับพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ หากกล่าวว่าก่อนหน้ามีระดับพลังวิญญาณเหนือกว่านี้ล่ะก็…เช่นนั้นหมายความว่าก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนก็ต้องถือครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะสถานเดียว!


 


สิ่งนี้เผยให้รู้ชัด ว่าเป็นต้วนหลิงเทียนใช้อุปกรณ์อมตะระดับบจอมราชันประเภทสิ้นเปลือง!


 


“ชัดเจนแล้วรึยัง?”


 


ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม


 


และพอเสียงย้อนถามเขาดังเข้าหูซุนเหลียงเผิง มันก็ทำให้ซุนเหลียงเผิงแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง สิ่งนี้บ่งบอกว่าอีกฝ่ายเข้าใจกระจ่างแล้ว จากนั้นพักหนึ่งพอซุนเหลียงเผิงได้สติ ก็เร่งเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ต้วนหลิงเทียน อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองนี่…เจ้าคงไม่ได้มาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณใช่ไหม?”


 


“ไม่ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ข้าได้มันมาจากที่อื่น”


 


“แล้วใช้ได้กี่ครั้งหรือ?”


 


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถามด้ยความสงสัย


 


พอเสียงของซุนเหลียงเผิงดังจบคำ สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็จมลงทันที “ใช้ได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้น…และตอนนี้ข้าก็กำลังใช้ครั้งสุดท้ายอยู่”


 


เขาไม่คิดจะบอกซุนเหลียงเผิงว่าอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองที่เขามียังสามารถใช้ได้อีกครั้งหนึ่ง เพราะใครจะไปรู้ว่าซุนเหลียงเผิงจะถูกความโลภเข้าครอบงำหรือไม่?


 


นี่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะอุปกรณ์อมตะจอมราชันประเภทสิ้นเปลืองมันยั่วยวนใจเกินไป กระทั่งผู้นำขุมกำลังระดับ 7 อย่างซุนเหลียงเผิงก็ยากจะห้ามใจได้ไหว!


 


เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งนี้ก็เสมือนทำให้ซุนเหลียงเผิงมีโอกาสถือครองพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั้งพลังวิญญาณขอบเขตจอมราชันอมตะได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง


 


“ต้วนหลิงเทียนเจ้าฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว…เจ้าสมควรปรึกษาข้าเรื่องนี้แต่แรก ข้าย่อมสามารถซ่อนตัวลอบคุ้มครองเจ้าอย่างลับๆได้ อย่างไรเสียนักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดที่ถูกส่งมาฆ่าเจ้า ก็ไม่น่าจะมีด่านพลังสูงมากนัก หากข้าลอบติดตามเจ้าไปมันไม่อาจตรวจพบได้ด้วยซ้ำ!”


 


ซุนเหลียงเผิงได้แต่คลี่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม เพราะมันรู้สึกว่าครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนฟุ่มเฟือยเกินไปแล้วจริงๆ ถึงกับใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองที่ใช้ได้ 2 ครั้งเท่านั้น


 


ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ครั้งนี้ยังเป็นครั้งสุดท้ายอีก!


 


“ข้าไม่อาจเสี่ยงใดๆได้ เพราะหากคนที่จ้างนักฆ่านั่นมาเป็นคนของนิกายอมตะเป้าผู่ ขอเพียงมันคอยช่วยประสานนอกในให้ความช่วยเหลือนักฆ่านั่น พอตรวจพบว่าประมุขไม่อยู่แล้วแจ้งไป ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่นักฆ่านั่นมันจะเดาได้ว่าท่านลอบติดตามคุ้มครองข้าอยู่…”


 


ขณะกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็มองสบตาซุนเหลียงเผิงเขม็ง


 


ได้ยินคำพูดนี้ ทั้งเห็นแววตาที่มองจ้องมาของต้วนหลิงเทียน ซุนเหลียงเผิงก็หน้าเสียทันที “ต้วนหลิงเทียน เจ้าพูดมาแบบนี้…หรือเจ้าสงสัยว่าผู้ที่จ้างองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดให้ส่งนักฆ่ามาฆ่าเจ้า เป็นคนของนิกายอมตะเป้าผู่?”


 


“ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“เจ้ามีหลักฐานยืนยันข้อสันนิษฐานของเจ้าหรือไม่?”


 


สองตาซุนเหลียงเผิงทอประกายเยียบเย็น หากผู้ที่จ้างวานนักฆ่ามาเป็นคนของนิกายอมตะเป้าผู่จริงๆ มันไม่มีทางปล่อยคนๆนั้นไว้แน่


 


“ไม่”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา


 


“แล้วตั้งแต่ที่เจ้ามานิกายอมตะเป้าผู่เรา เจ้าเคยมีเรื่องขัดแย้งกับผู้ใดบ้าง?”


 


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง


 


“เรื่องความขัดแย้งกับคนอื่นไม่มีแน่นอน แต่การมาของข้านั้น…กล่าวไปในระดับหนึ่ง สมควรไปขัดผลประโยชน์ของคนบางคนเข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนหยยุดเล็กน้อย ค่อยกล่าวต่อว่า “ด้วยผลประโยชน์ดังกล่าว ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเลือกจ้างนักฆ่ามากำจัดข้าให้พ้นทาง”


 


“ขัดผลประโยชน์?”


 


ซุนเหลียงเผิงงุนงงยกใหญ่ “เจ้าก็พึ่งมานิกายอมตะเป้าผู่ได้ไม่ทันไร ยังจะไปขัดผลประโยชน์ผู้ใดได้เล่า?”


 


“ศิษย์ที่แท้จริง”


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตามองจ้องซุนเหลียงเผิง กล่าวออกชัดถ้อยชัดคำ


 


พอได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ลูกตาซุนเหลียงเผิงก็หดเล็กลงทันใด จากนั้นก็เอ่ยออกมาตรงๆว่า “นับว่าเจ้าขัดผลประโยชน์ในเรื่องนี้จริงๆ…แต่ถึงเจ้าจักไม่มา ก็มีแค่ 3 คนเท่านั้นที่สามารถแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงได้”


 


“คนแรกเลยก็คือ เจิ้งหงอี้ ศิษย์สายตรงคนที่ 3 ของข้าเอง…หากแต่เกณฑ์ในการจ้างวานองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดนั้นสูงมาก มันไม่มีทางติดต่อจ้างวานนักฆ่าให้มาฆ่าเจ้าได้แน่นอน”


 


“คนต่อไปก็คือหวังหง นางเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่เรา…แต่กระนั้นนางก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะจ้างวานองค์กรมือสังหารอย่างกะโหลกเลือดได้”


 


“คนสุดท้ายก็คือจ้วงฝาน และคนผู้นี้มีความเป็นมาลึกลับนัก แม้แต่นิกายอมตะเป้าผู่ของเราก็มือาจสืบพบความเป็นมาของมันได้ ผู้อาวุโสใหญ่เองก็เคยคิดจะรับมันเป็นศิษย์ แต่สุดท้ายกลับถูกมันปฏิเสธ”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าว


 


“ความเป็นมาลึกลับ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้ว “ถ้างั้นหมายความว่า…มีจ้วงฝานเพียงผู้เดียว ที่อาจจะจ้างนักฆ่าของอค์กรกะโหลกเลือดมาฆ่าข้าได้?”


 


“ก็ไม่เชิง…เพราะถึงจ้วงฝานผู้นั้นจะมีความเป็นมาลึกลับ หากแต่มันมิได้กระตือรือร้นจะช่วงชิงตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรื่องนี้มันเทียบเจิ้งหงอี้ศิษย์ข้ากับหวังหงหลานสาวผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้เลย”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าว


 


พอกล่าวจบ ซุนเหลียงเผิงก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยเสริมต่อว่า “แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้ว่าจ้วงฝานเสแสร้งแสดงทำทีเป็นไม่สนใจศิษย์ที่แท้จริงมาตลอด”


 


ขณะเดียวกันคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ซุนเหลียงเผิงจึงหันไปพูดกับต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง “องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด เป็นหนึ่งในองค์กรมือสังหารระดับชั้นนำของแดนสวรรค์ใต้…และองค์กรมือสังหารชั้นนำ ปกติแล้วก่อนลงมือจัดการเป้าหมาย มักจะเรียกเก็บค่ามัดจำก่อน ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของราคาจ้างวานฆ่า…”


 


“หากคนที่จ้างนักฆ่าจากกะโหลกเลือดมาฆ่าเจ้าเป็น 1 ใน 3 ศิษย์ที่ข้าเอ่ยมาจริง เช่นนั้นมันก็จำต้องจ่ายค่ามัดจำครึ่งหนึ่ง และค่าจ้างที่องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเรียกเก็บ หากเป็นผลึกอมตะชั้นยอดก็สามารถจ่ายได้ แต่เขตคฤหาสน์เฉวียนโยวเราอย่างดีก็มีแต่ผลึกอมตะระดับสูงเท่านั้น…”


 


พอซุนเหลียงเผิงกล่าวถึงจุดนี้มันก็หยุดลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยข้อสันนิษฐานออกมา “ข้าเดาว่า…หากเป็น 1 ใน 3 คนนั่นจ้างนักฆ่าจากกะโหลกเลือดมาฆ่าเจ้าจริง สิบในสิบสมควรเป็นอุปกรณ์อมตะ”


 


“เรียกว่าอย่างน้อยก็ต้องเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชา…หาไม่แล้วก็ต้องเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะ!”


 


ซุนเหลียงเผิง


 


“อย่างดีก็เป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะสินะ? ชีวิตของข้ามีค่าขนาดนั้นเชียว?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง


 


ถึงแม้ในตัวเขาจะมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาจากจอมราชันอมตะหลายชิ้น แต่อย่างไรก็ตามในสายตาของตัวตนระดับสูงๆ เขาก็ยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะคนหนึ่งเท่านั้น ชีวิตของเขาไม่สมควรมีค่าขนาดนั้นไม่ใช่รึไง?


 


“องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด จักอย่างไรก็เป็นองค์กรมือสังหารระดับแนวหน้าของแดนสวรรค์ใต้ ราคาย่อมสูงกว่าองค์กรมือสังหารทั่วไปอยู่แล้ว…ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันต้องถ่อมาฆ่าเจ้าถึงที่นี่ ราคาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวสืบต่อ


 


เห็นได้ชัดว่าซุนเหลียงเผิงเองก็รู้จักองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดไม่น้อย


 


“นี่เป็นแหวนพื้นที่ของนักฆ่า”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้น เรียกแหวนพื้นที่ออกมาวงหนึ่ง ขณะเดียวกันเขาก็อาศัยหนึ่งห้วงคิด นำสิ่งของที่อยู่ในแหวนทั้งหมดออกมาทันทีดั่งเทกระจาด!


 


พริบตาลานด้านหน้าของที่พักซุนเหลียงเผิง ก็ปรากฏสิ่งของมากมายก่ายกอง เรียกว่ามองไปยังคล้ายกองขยะอยู่บ้าง


 


“ประมุขลองดู…ว่ามีอะไรคุ้นตาท่านบ้างรึเปล่า”


 


พอได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ซุนเหลียงเผิงก็ตอบสนองเรื่องราว จากนั้นก็เริ่มกวาดตามองไปยังสิ่งของที่กองอยู่บนพื้นเร็วไว


 


‘หืม?’


 


พอสายตาของซุนเหลียงเผิงมองไปตกยังของสิ่งหนึ่ง ลูกตาของมันก็หดเล็กลงทันที


 


แม้ลูกตามันจะหรี่ลงแค่เบาบางอย่างยากที่ใครจะมองเห็น แต่ต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นอาการดังกล่าวชัดถนัดตา กระทั่งแม้ซุนเหลียงเผิงจะพยายามปกปิดโดยการเบนสายตาไปมองของชิ้นอื่นต่อทันที แต่ก็สายเกินไปแล้ว


 


“ประมุข…ดูเหมือนว่าท่านจะจดจำของบางอย่างได้สินะ”


 


ในขณะที่ซุนเหลียงเผิงเร่งมองไปยังของชิ้นอื่นด้วยความรู้สึกผิด ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


พร้อมกันนั้นเอง เขายกมือขึ้นโบกเบาๆคราหนึ่ง เกราะอมตะเรืองแสงสีเขียวอันเสมือนถักทอมาจากเถาวัลย์แก้ว ก็ค่อยๆลอยขึ้นมาจากพื้นทันที…

 

 

 


ตอนที่ 3059

 

เห็นต้วนหลิงเทียนยกเกราะเถาวัลย์แก้วขึ้นมา ซุนเหลียงเผิงก็ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม


 


“ดูเหมือน…นี่จะเป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมาแล้วสินะ”


 


เมื่อตระหนักได้ว่าเกราะที่หยิบยกขึ้นมาเป็นอะไร ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก “ถึงกับใช้เกราะตัวนี้จ่ายค่าจ้างนักฆ่ากะโหลกเลือด นับว่าให้ราคาชีวิตข้าสูงจริงๆ”


 


“ประมุข…ตอนนี้ท่านคงไม่ตีเนียนทำเป็นไม่รู้จักเกราะอมตะตัวนี้หรอกนะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนจ้องตาซุนเหลียงเผิงเขม็งพลางถาม


 


“เกราะอมตะระดับราชาตัวนี้ เป็นของ ‘หวังเชียนจ้าน’ ผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่เรา…แน่นอนว่าข้ารู้แค่เพียงว่านี่เคยเป็นเกราะของมันเท่านั้น แต่มันจะมอบให้ใครไปในภายหลังก็สุดที่ข้าจะทราบได้”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าว


 


“อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ หวังเชียนจ้าน?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้ว “หากข้าจำไม่ผิด…ก่อนหน้าท่านประมุขบอกว่า ศิษย์คนหนึ่งที่หวังตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริง ‘หวังหง’ เป็นหลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่ใช่ไหม?”


 


“หากข้าเข้าใจไม่ผิด…เกราะอมตะระดับราชาตัวนี้สมควรเป็นหวังเชียนจ้านมอบให้หวังหงกระมัง?จากนั้นนางก็นำไปจ่ายเป็นฆ่าจ้างนักฆ่าองค์กรกะโหลกเลือดให้มากำจัดข้า?”


 


“เพราะสุดท้ายแล้วหากระดับอาวุโสใหญ่คิดฆ่าข้าจริง ก็คงไม่จำเป็นต้องยืมมือใคร…ไหนเลยต้องลำบากลำบนจ้างนักฆ่าให้วุ่นวาย?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองซุนเหลียงเผิงพลางเอ่ยข้อสันนิษฐานออกมาทีละประโยค


 


“ย่อมมิใช่ฝีมืออาวุโสใหญ่แน่นอน!”


 


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ก็มิน่าจะเป็นหวังหงไปได้…เพราะหากหวังหงคิดจะฆ่าเจ้าจริง นางเพียงเอ่ยปากให้อาวุโสใหญ่ลงมือก็ได้ ไฉนต้องลำบากลำบนไปติดต่อองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเพื่อจ้างนักฆ่าด้วย?”


 


“เช่นนั้น…เจ้าตามข้าไปพบอาวุโสใหญ่เถอะ ข้าจักไปถามว่าเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วตัวนี้ ที่แท้มันเคยให้ใครไป!”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวชวนต้วนหลิงเทียนจบ ก็เริ่มเหินร่างนำต้วนหลิงเทียนไปยังสถานที่พักอาศัของอาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ทันที


 


แน่นอนว่าก่อนจะออกเดินทางไปกับซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือเก็บเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วรวมถึงของที่เทกระจาดออกมาไปไว้ในแหวนพื้นที่เขา


 


เพราะสุดท้ายแล้วทั้งหมดที่กองอยู่เมื่อครู่ ก็คือสินสงครามที่เขาได้มาจากนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1ต้นกำเนิดขององค์กรกะโหลกเลือด แน่นอนว่าไม่อาจทิ้งไว้เฉยๆได้


 


ไม่ต้องกล่าวใดให้มาก นอกจากเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วที่เป็นเบาะแสชิ้นสำคัญแล้ว ยังมีอุปกรณ์อมตะทั้งสมบัติมากมายที่นักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดเก็บสะสมไว้ด้วย


 


เรียกว่าเอาแค่อุปกรณ์อมตะระดับราชาก็มีนับสิบๆแล้ว


 



 


ผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ หวังเชียนจ้าน นั้น ใครได้ฟังชื่อก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงร่างสูงใหญ่กำยำดั่งแม่ทัพดุดัน


(เชียนจ้าน = พันสงคราม)


 


อย่างไรก็ตาม ตัวจริงหวังเชียนจ้านนั้น กลับผอมเหลือเกิน และหากผอมกว่านี้ไม่พ้นต้องถูกผู้คนเรียกลำไผ่แล้ว


 


อย่างน้อยๆตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่ เขาก็ไม่เคยเห็นใครผ่ายผอมกว่าหวังเชียนจ้านเลย นอกจากนักฆ่ากะโหลกเลือดที่เขาฆ่าทิ้งไป


 


“ประมุข”


 


ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่ เมื่อพบเห็นประมุขนิกายมาเยือน มันก็เร่งประสานมือโค้งคารวะทันที


 


ขณะเดียวกันสำนึกเทวะของมันก็แผ่ออกมาตรวจสอบชายหนุ่มชุดม่วงที่ติดตามอยู่ข้างกายซุนเหลียงเผิง


 


“อาวุโสใหญ่”


 


ซุนเหลียงเผิงส่งยิ้มให้หวังเชียนจ้างพลางกล่าวทักทาย จากนั้นก็ผายมือแนะนำต้วนหลิงเทียนให้อีกฝ่ายรู้จัก “นี่คือต้วนหลิงเทียน ผู้อาวุโสใหญ่คงเคยได้ยินเรื่องเขามาแล้วกระมัง”


 


“ข้าย่อมเคยได้ยินเป็นธรรมชาติ…ด้วยความสำเร็จในวัยเพียงเท่านี้ นับเป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจอันยากจะพบพานในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวนัก นับเป็นพรของนิกายอมตะเป้าผู่เราจริงๆที่ตัวตนเช่นนี้เลือกจะเข้าร่วมเป็นศิษย์!”


 


หวังเชียนจ้านกล่าว ขณะเดียวกันก็พยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม


 


“อาวุโสใหญ่”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักอาวุโสใหญ่ จากนั้นก็สะบัดมือเรียกเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วออกมาทันที รัศมีแสงสีเขียวนวลตาเริ่มเรืองสว่างออกมา


 


การกระทำดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนกระทั่งซุนเหลียงเผิงยังอึ้งไปด้วยไม่คิดคาดอยู่บ้าง


 


“เกราะอมตะเถาวัลย์แก้ว!?”


 


แทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนสะบัดมือเรียกเกราะออกมา หวังเชียนจ้านก็โพล่งอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าท่าทีงุนงง “ต้วนหลิงเทียน ไฉนเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วถึงมาอยู่กับเจ้าได้เล่า!?”


 


“ข้าจำได้ว่า…เมื่อ 3 ปีก่อน ตอนข้าออกไปทำธุระด้านนอก ข้าได้ใช้มันเพื่อแลกกับวัตถุดิบหายากบางอย่างเพื่อนำมาสร้างยันต์อมตะไปแล้วนี่นา…”


 


หวังเชียนจ้านกล่าว


 


ตั้งแต่วินาทีที่ต้วนหลิงเทียนสะบัดมือเรียกเกราะเถาวัลย์แก้วออกมา เขาก็จับตาดูความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าอารมณ์ของหวังเชียนจ้านไม่วางตา


 


ทว่าเขากลับไม่พบพิรุธใดๆเลย


 


หวังเชียนจ้านดูเหมือนจะประหลาดใจจริงๆ ที่เห็นเขานำเกราะตัวนี้ออกมาได้


 


“อาวุโสใหญ่…ท่านแน่ใจหรือว่าเมื่อ 3 ปีก่อน ท่านได้นำเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วตัวนี้ไปแลกเปลี่ยนวัตถุดิบกับผู้อื่น?”


 


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถาม


 


ได้ยินคำถามของซุนเหลียงเผิง หวังเชียนจ้านก็พยักหน้ารับเร็วไว “มิผิด ข้าจำได้แม่น ตอนนั้นข้าใช้มันเพื่อแลกกับวัตถุดิบเลิศล้ำสำหรับสร้างยันต์อมตะระดับราชานับสิบๆชนิด”


 


“ต้วนหลิงเทียน หรือเจ้ารู้จักผู้ฝึกตนที่ข้าเคยแลกเปลี่ยนวัตถุดิบด้วยคนนั้น?”


 


หวังเชียนจ้านหันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าประหลาดใจ “หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ นับเจ้ามีวาสนาต้องกันกับข้าไม่น้อยเลย”


 


“อาวุโสใหญ่…ท่านมีหลักฐานใดพิสูจน์หรือไม่ ว่าเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วตัวนี้ เป็นตัวเดียวกันกับที่ท่านใช้แลกเปลี่ยนวัตถุดิบไปเมื่อ 3 ปีก่อน?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองหวังเชียนจ้านด้วยสีหน้าท่าทีสงบ เอ่ยถามออกด้วยน้ำเสียงรางเรียบ ไม่หยิ่งหรือนอบน้อมอะไร


 


“หลักฐานหรือ?”


 


หวังเชียนจ้านขมวดคิ้ว “ข้าไม่มีหรอก…แต่ข้ามั่นใจว่าเกราะอมตะในมือเจ้า เป็นเกราะอมตะที่ข้าเคยมีในอดีตแน่นอน เพราะไม่ว่าจะกลิ่นอายหรือลักษณะมันเหมือนกันทุกประการ”


 


เกราะอมตะระดับราชานั้น ล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว


 


แม้จะพบเจอเกราะอมตะที่มีลักษณะคล้ายๆกันอยู่บ้าง แต่หากสังเกตให้ละเอียดแล้ว เกราะอมตะทุกตัว ไม่เว้นอุปกรณ์อมตะระดับราชาใดๆ ย่อมมีกลิ่นอายเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน


 


‘หวังเชียนจ้านนี่มันไม่ได้โกหกจริงๆงั้นเหรอ?’


 


ต้วนหลิงเทียนที่ไม่พบพิรุธหรือเบาะแสใดๆในสีหน้าท่าที ไม่เว้นแววตาของหวังเชียนจ้านเลย อดไม่ได้ที่จะลอบคิดในใจ ‘หรือ…ระหว่างเดินทางมาที่นี่ประมุขได้ลอบแจ้งเรื่องราวแก่หวังเชียนจ้านผ่านยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณไปแล้ว ให้หวังเชียนจ้านนี่มันเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า?’


 


หากซุนเหลียงเผิงลอบให้ความร่วมมือกับหวังเชียนจ้านจริงๆ เขาก็ถูกลิขิตให้ไม่อาจพบเจอผู้ที่จ้างนักฆ่าองค์กรกะโหลกเลือดให้มาฆ่าเขา โดยใช้เกราะอมตะตัวนี้เป็นหลักฐานได้แน่นอน


 


“ผู้อาวุโสใหญ่!”


 


ตอนนี้เองซุนเหลียงเผิงก็ชักสีหน้าเคร่งขรรึม กล่าวเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น


 


ในบรรดาเรื่องราวที่เล่า ยังจงใจเน้นย้ำเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนพบเกราะอมตะตัวนี้จากแหวนพื้นที่ของนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด!


 


“อันใด!?”


 


“อะ…องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดหรือ!?”


 


“เกราะอมตะเถาวัลย์แก้วตัวนี้อยู่ในแหวนมัน!?”


 



 


พอซุนเหลียงเผิงเล่าถึงจุดนี้ สีหน้าของหวังเชียนจ้านก็ฉายความตกใจ ทำให้ผู้คนรู้สึกเสมือนมันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยจริงๆ


 


‘หากทั้งหมดเป็นหวังเชียนจ้านนี่กำลังเสแสร้งหลอกลวงข้าอยู่…นับว่าทักษะการแสดงของมัน หากเป็นในโลกเก่าคงเหมารางวัลตุ๊กตาทองได้ทุกสาขาแล้วจริงๆ’


 


ต้วนหลิงเทียนที่จับตาดูหวังเชียนจ้านเงียบๆ ลอบกล่าวในใจ


 


“เช่นนั้นหมายความว่า เกราะอมตะเถาวัลย์แก้วตัวนี้ นักฆ่าอาจได้รับมาจากผู้ฝึกตนที่ทำการแลกเปลี่ยนวัตถุดิบกับท่านเมื่อ 3 ปีก่อนสินะ?”


 


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยคาดเดา


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น”


 


หวังเชียนจ้านพยักหน้าเบาๆ จากนั้นหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ต้วนหลิงเทียน ทีหลังหากเกิดเรื่องเช่นนี้เจ้าสมควรหารือกับท่านประมุขก่อน แม้เจ้าจักกังวลเรื่องที่นักฆ่าอาจจับตัวสหายเจ้าไปจริงแต่ก็มิจำเป็นต้องวู่วามแบบนี้”


 


“อีกทั้งหากเจ้ากลัวว่าความเคลื่อนไหวใดๆของประมุขหรือคนในนิกายอาจจะถูกนักฆ่าล่วงรู้…เพียงท่านประมุขติดต่อไปยังผู้อาวุโสนิกายอมตะเป้าผู่เราที่ไปทำธุระด้านนอกให้มาช่วยเจ้าก็จบแล้ว”


 


“เจ้ามิจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองนั่นให้เสียเปล่าเลย…ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดขององค์กรกะโหลกเลือด ก็ยังมิคู่ควร…”


 


วาจาที่หวังเชียนจ้านกล่าวออกมา มันชักสีหน้าเป็นกังวลทั้งเสียดายแทนออกมาอย่างไร้พิรุธ เสมือนมันเสียดายที่ต้วนหลิงเทียนใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองไปเพราะสาเหตุนั้นจริงๆ


 


และตอนที่ซุนเหลียงเผิงเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ หวังหง หลานสาวของอีกฝ่ายได้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปแล้วแม้แต่น้อย


 


ทำให้หวังเชียนจ้านเองก็ไม่ได้เผยท่าทีผิดแปลกอะไรออกมา


 


‘ดูเหมือนการมาครั้งนี้จะไม่ได้เรื่องอะไร….’


 


พอเห็นเรื่องราวดำเนินไปในลักษณะดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวลาซุนเหลียงเผิงกับหวังเชียนจ้าน ก่อนจะเหินกลับไปยังลานบนเกาะส่วนตัวเพียงลำพัง ทีท่ายังแลดูเฉยเมยไร้แสนัก


 


ไม่ว่าหวังเชียนจ้านจะพูดความจริงหรือเล่าความเท็จ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีหลักฐานใดๆมาบ่งชี้ว่าเกราะอมตะตัวนี้เป็นสิ่งที่หวังหงมอบให้นักฆ่าเป็นค่ามัดจำจริงๆ


 


‘อย่างไรก็ตาม วันหน้าอย่าให้ข้ารู้แล้วกันว่าเป็นเจ้ามอบเกราะนี่ให้หลานสาวตัวดีของเจ้า แล้วนางเอาไปจ่ายเป็นค่ามัดจำให้นักฆ่า…ถึงตอนนั้นอย่าหวังว่าหลานสาวเจ้ากับข้าจะอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้!’


 


พอกลับมาถึงลานส่วนตัว สีหน้าแววตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายแววอำมหิตนัก จิตสังหารยังแผ่ซ่านออกมาหนาแน่น จนบรรยากาศในห้องหับกลับกลายเป็นเยียบเย็นไม่น้อย ทำราวกับจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คนเป็นๆ!


 


คราวนี้หากไม่ใช่เพราะเขามีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลือง เขาก็ไม่พ้นต้องตายกลายเป็นผีคามือนักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดไปแล้ว


 


ดังนั้นเขาย่อมอยากลากคอผู้จ้างวานออกมาสำเร็จโทษ!


 


และตอนนี้เขาก็เพ่งเล็งหวังหง หลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่ไว้เป็นพิเศษ หากมีหลักฐานอะไรล่ะก็เขาไม่คิดเลิกราแน่!


 


อีกด้านหนึ่ง


 


หลังต้วนหลิงเทียนจากไปไม่นานนัก ซุนเหลียงเผิงเองก็อำลาหวังเชียนจ้านและเหินกลับที่พักของตัวเองเช่นกัน


 


และเมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้ว สีหน้าหวังเชียนจ้านก็เปลี่ยนไปทันที ยังเร่งส่งข้อความไปแจ้งหวังหงหลานสาวของมัน เพื่อให้นางรับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่มันได้ฟังมาจากซุนเหลียงเผิงทันที


 


ด้านหวังหงพอได้รับทราบเรื่องราวที่ปู่ส่งมา นางก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอึ้งค้างไปพักใหญ่


 


“นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดนั่น…ที่แท้กลับตกตายด้วยน้ำมือตัวต้วนหลิงเทียนงั้นหรือ!?”


 


“มันถึงกับมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง!?”


 


หวังหงจำต้องตะลึงอึ้งค้างไปแล้วจริงๆ


 


เพราะผลลัพธ์ดังกล่าว กระทั่งหลับนางยังไม่อาจฝันถึงด้วยซ้ำ


 


และพอหวังหงนำเรื่องทั้งหมดไปเล่าให้เจิ้งหงอี้ฟัง ตัวเจิ้งหงอี้เองก็ถึงกับสติล่องลอยไปพักใหญ่ “เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น…มันกลับมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองติดตัวจริงๆ? หมายความว่ามันถือครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะงั้นสิ!?”


 


เช่นเดียวกับหวังหง เจิ้งหงอี้เองก็สุดที่จะคาดคิดได้ออกจริงๆ


 


ว่านักฆ่าของกะโหลกเลือดนั่น ที่แท้ก็ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตาย!

 

 

 


ตอนที่ 3060

 

“ไอ้เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น…มันเป็นผู้ใดในใต้หล้ากันแน่!? ไฉนมันถึงมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองติดตัวได้!?”


 


ทั้งเจิ้งหงอี้กับหวังหงตกตะลึงกับเรื่องดังกล่าวจริงๆ


 


“เจิ้งหงอี้…เจ้าว่าต้วนหลิงเทียนนั่น มันจะเป็นจอมราชันอมตะกลับชาติมาเกิดรึเปล่า แล้วอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองที่ว่า…ก็เป็นของที่มันเอาไปซ่อนไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว”


 


หวังหงส่งบอกเจิ้งหงอี้ถึงข้อสันนิษฐานของนาง ขณะเดียวกันก็อยากรับทราบความคิดเห็นของเจิ้งหงอี้


 


“อาจเป็นได้”


 


เจิ้งหงอี้คิดว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว!


 


“น่าเสียดายที่พลังฝึกปรือของพวกเราอ่อนด้อยเกินไป…หาไม่แล้วตราบใดที่เราฆ่ามันได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันมีก็จะกลายเป็นของพวกเรา!”


 


หวังหงกล่าว


 


“ข้าคงไม่มีโอกาสได้ของมันแน่นอน แต่หวังหง…สำหรับเจ้ายังมีโอกาส!”


 


เจิ้งหงอี้กล่าว


 


“ข้า? มีโอกาสหรือ?”


 


หวังหงตกใจ


 


“ตราบใดที่อาวุโสใหญ่เต็มใจลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียนนั่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันมีก็ต้องตกอยู่ในมือผู้อาวุโสใหญ่ ถึงตอนนั้นเจ้าที่เป็นแก้วตาดวงใจของผู้อาวุโสใหญ่ ยังกลัวจะไม่ได้สมบัติต้วนหลิงเทียนอีกหรือ?”


 


เสียงของเจิ้งหงอี้เต็มไปด้วยการชี้นำยวนยั่ว…


 



 


ต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงลานฝึกบนเกาะส่วนตัวเล็กๆได้ไม่นาน เขาก็ได้รับข้อความจากซุนเหลียงเผิงประมุขนิกาอมตะเป้าผู่


 


“ต้วนหลิงเทียนแม้ครั้งนี้นักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดจะลงมือพลาดไป…แต่ตามกฏขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดแล้ว พวกมันไม่เพียงแต่จะลดค่าจ้างลงครึ่งหนึ่ง แต่พวกมันยังจะส่งนักฆ่าคนใหม่มาปฏิบัติภารกิจลอบสังหารเจ้าต่อ!”


 


“ดังนั้นวันหน้าเป็นการดีเสียกว่าที่เจ้าจักไม่ออกไปจากนิกายอมตะเป้าผู่…และหากเจ้ามีเรื่องจำเป็นต้องออกไปไหนจริงๆ ก็ต้องแจ้งข้าก่อน ข้าจักได้ส่งคนไปติดตามคุ้มครองเจ้าได้”


 


กล่าวถึงกลางประโยคน้ำเสียงของซุนเหลียงเผิงก็ฟังดูเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่ามันหวั่นใจ กลัวนักฆ่ากะโหลกเลือดจะล่อต้วนหลิงเทียนออกไปฆ่าอีกรอบ


 


“ขอบคุณประมุข”


 


แม้ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ดีว่าองค์กรกะโหลกเลือดไม่มีทางเลิกราไปในลักษณะนี้ และต้องส่งนักฆ่าคนใหม่มา แต่ก็ยังคงขอบคุณซุนเหลียงเผิงที่กล่าวเตือน


 


ตอนที่เขาไปหอตำรา ไม่เพียงเขาจะได้รู้ข้อมูลคร่าวๆขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเท่านั้น เขายังรู้กฏและขั้นตอนการปฏิบัติงานของพวกมันด้วย


 


‘หลังฆ่านักฆ่ากะโหลกเลือดนั่นไป พลังของข้าก็พร่องไปบางส่วน…ตอนนี้ระดับพลังที่เหลืออยู่ในร่างข้า เทียบได้กับขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศเท่านั้น’


 


‘อย่างไรก็ตาม แม้ระดับพลังข้าจะเทียบได้กับราชาอมตะ 10 ทิศ แต่ข้าเข้าใจความลึกซึ้งของกฏน้อยเกินไป…ต่อให้นักฆ่าหน้าใหม่ที่จะมาถึงเป็นแค่ราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ แต่ถ้ามันเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏพอๆกับนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดนั่น ถ้าไม่ใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน ข้าก็คงสู้มันไม่ได้’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


ความลึกซึ้งของกฏนั้น ส่งผลต่อพลังความแข็งแกร่งไม่ใช่เล่นๆเลยทีเดียว กระทั่งทำให้สามารถสู่ข้ามขั้นพลังได้หลายขั้นไม่ยาก


 


‘ข้าต้องรีบทำความเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมของกฏแห่งไฟให้ได้โดยเร็วที่สุด…ด้วยความลึกซึ้ง 2ประการ อย่างน้อยๆด้วยพลังที่ข้ามีอยู่ตอนนี้ ขอเพียงองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดไม่ส่งนักฆ่าที่ทรงพลังมากมาจริงๆ อย่างน้อยข้าก็พอจะป้องกันตัวได้’


 


พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มทำความเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมของกฏแห่งไฟโดยมีเพลิงเทพโกลาหลช่วยเหลือทันที ยังตั้งใจถึงที่สุด ทำให้ความเข้าใจเขาก้าวหน้าไปเร็วมาก


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนทุ่มจิตสมาธิทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟอยู่นั้น


 


ฟุ่บ!


 


ณ บริเวณชายขอบเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว ปรากฏร่างในชุดคลุมลมดำหนึ่งเหินทะยานตัดฟ้ามาด้วยความเร็วสูงล้ำ


 


ร่างสีดำพุ่งทะลวงกลีบเมฆมาไม่ทันไร ก็ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของคฤหาสน์เฉวียนโยวเรียบร้อย


 


“ไม่ทราบจริงๆว่าทางองค์กรคิดอะไรอยู่กันแน่…ถึงขั้นต้องส่งข้ามาลงมือด้วยตัวเองแบบนี้ นี่จะไม่ระวังเกินเหตุไปหน่อยรึไง?”


 


“กับอีแค่ผู้ที่ถือครองด่านพลังราชาอมตะ 10 ทิศเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ…ขอแค่สุ่มเลือกนักฆ่าราชาอมตะ 4 รูปมาสักคน ก็สมควรฆ่ามันได้ง่ายๆ!”


 


ร่างสีดำเมื่อเหินเข้าเขตของคฤหาสน์เฉวียนโยวมาแล้ว มันก็เหินร่างข้ามฟ้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งนิกายอมตะเป้าผู่ด้วยความเร็วสูง


 


และฟังจากเสียงพึมพำขณะมันเดินทาง ตัวตนของมันก็ถูกเปิดเผยให้ทราบ


 


นักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือด!


 


นักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงขอบเขตราชาอมตะ 4 รูปเลย แม้จะเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 3 ศักดิ์ แต่ความลึกซึ้งที่เข้าใจ ก็เหนือล้ำสุดที่ราชาอมตะขั้นเดียวกันในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวจะทาบติด


 


เรียกว่าสำหรับราชาอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแค่ 2 ประการ…ไม่ใช่เรื่องยากที่นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 4 รูปจะฆ่าให้ตาย! กระทั่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 3 ศักดิ์ก็สามารถรับมือได้!


 


“เป้าหมายบัดซบที่ลำบากให้ข้าต้องถ่อมาไกลถึงสถานที่บ้านนอกหลังเขานี่…หากเจ้าไม่เข้าใจความลึกซึงถึง 4 ประการ เจ้าได้ตายแน่!”


 


ฟังจากเสียงบ่นขณะเดินทางของร่างในชุดคลุมลมดำที่เหินตัดฟ้ามาว่องไวแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันมีความมั่นใจในตัวเองสูงลิบ


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลย


 


ว่าเพื่อที่จะฆ่าเขาให้ตาย คราวนี้องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดได้ส่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6ผสานมา!


 


นักฆ่าระดับราชาอมตะ 6 ผสานขององค์กรกะโหลกเลือดนั้น พลังฝีมือของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำขุมกำลังระดับ 7 ทั่วๆไปเลย!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงบ่นมาตลอดทางด้วยความไม่พอใจ ที่ทางองค์กรมอบภารกิจให้มันลงมือ เพราะมันรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างเป็นการลงแรงเกินเหตุนัก!


 


หนึ่งเดือนต่อมา


 


ในหุบเขาอันเป็นสถานที่พักอาศัยของเหล่าศิษย์ฝ่ายในนิกายอมตะเป้าผู่ ปรากฏร่างชายหนุ่มเดินออกมาจากบ้านลานของศิษย์ฝ่ายในหลังหนึ่ง


 


และทันทีที่มันก้าวออกมาจากบ้าน ศิษย์ฝ่ายในที่สังเกตเห็นมัน ก็เร่งทักทายมันด้วยน้ำเสียงเคารพทันที


 


“ศิษย์พี่เจิ้ง!”


 


“ศิษย์พี่เจิ้ง!”


 



 


ศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งเดินออกมาจากบ้านไม่ใช่ใครที่ไหน มันก็คือ เจิ้งหงอี้ ศิษย์สายตรงลำดับที่ 3 ของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่นั่นเอง


 


‘แค่เดือนเดียวนักฆ่าคนใหม่ของกะโหลกเลือดก็เดินทางมาถึงแล้วงั้นหรือ…ดูเหมือนจะเร็วกว่านักฆ่าคนก่อนหลายเดือนทีเดียว’


 


‘ท่าทางด่านพลังฝึกปรือของนักฆ่าคนใหม่ที่ทางกะโหลกเลือดส่งมา จะร้ายกาจกว่าคนเก่ามาก’


 


‘แต่ก็สมควรเป็นเช่นนี้…เพราะสุดท้ายข้าก็ได้แจ้งเฉินหลีไปแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนได้ใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองฆ่านักฆ่าราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด ไม่ใช่ยันต์อมตะใดๆ ทำให้ระดับพลังของมันที่หลงเหลือในร่างต้องอยู่ในขอบเขตราชาอมตะขั้นสูงๆแน่ เผลอๆจะเป็นขั้น 10 ด้วยซ้ำ!’


 


‘อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้เลยที่ทางกะโหลกเลือดจะส่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศมา…เพราะอย่างไรเสียพลังที่ต้วนหลิงเทียนถือครองอยู่ตอนนี้ใช้ไปส่วนก็หายไปอีกส่วน แม้จะทรงพลังทัดเทียมกับราชาอมตะ 10 ทิศ แต่ความลึกซึ้งที่มันเข้าใจก็นับว่าอ่อนด้อยนัก แค่ 2 ประการเท่านั้น แถมหนึ่งในนั้นก็คือความหมายแห่งกฏอีกด้วย…’


 


‘คิดจะฆ่ามัน ขอเพียงองค์กรกะโหลกโลหิตส่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 4 รูปมาก็น่าจะพอ…เพราะท้ายที่สุดแล้วต่อให้เป็นแค่นักฆ่าระดับราชาอมตะ 4รูป แต่ความลึกซึ้งที่เข้าใจก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาจารย์ข้าผู้เป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่แห่งนี้ด้วยซ้ำ’


 


‘และการที่มันใช้เวลาแค่เดือนเดียวก็เดินทางมาถึงที่นี่ได้…อย่างน้อยๆนักฆ่าคนใหม่ที่องค์กรกะโหลกเลือดส่งมาก็ต้องเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 3 ศักดิ์ขึ้นไปแน่นอน’


 


ในขณะออกจากหุบเขาที่พัก สองตาเจิ้งหงอี้ก็ทอประกายวูบวาบด้วยความตื่นเต้นไม่หยุด และก่อนจะออกจากหุบเขาไป มันยังไม่ลืมจะหันไปมองเกาะลอยเกาะหนึ่งบนฟ้าเหนือหุบเขา มุมปากเริ่มปรากฏรอยยิ้มอันเยียบเย็นออกมา


 


‘ต้วนหลิงเทียน เจ้ายังเหลือเวลาหายใจได้อีกไม่นานนักหรอก…เว้นเสียแต่เจ้าจักเป็นเต่าหัวหดหลบอยู่ในนิกาย หาไม่แล้วขอเพียงเจ้ากล้าออกนอกนิกายเมื่อไหร่ เจ้าได้ตายอนาถแน่!’


 


เจิ้งหงอี้ลอบหัวเราะเยาะในใจ


 


เกาะลอยที่เจิ้งหงอี้มองอยู่ แน่นอนว่าเป็นเกาะส่วนตัวอันมีบ้านลานที่ต้วนหลิงเทียนอาศัยอยู่นั่นเอง


 


ที่ไฉนมันเดินทางออกจากที่พักศิษย์ฝ่ายในแบบนี้ ก็เพราะเฉินหลีได้แจ้งมาว่า นักฆ่าคนใหม่ขององค์กรกะโหลกเลือดได้มาถึงแล้ว เจิ้งหงอี้ก็เลือกจะออกไปพบอีกฝ่าตามลำพังโดยไม่ได้แจ้งหวังหงแต่อย่างไร


 


และก็เป็นเช่นเดียวกับครั้งก่อน เฉินหลีได้แจ้งเจิ้งหงอี้มาว่าอีกฝ่ารอคอยอยู่ที่ไหน จะได้ไปแลกลูกแก้ววิญญาณเพื่อใช้ติดต่อคอยประสานในนอก


 


คราวที่แล้วที่มันพาหวังหงไปด้วย เนื่องเพราะนางคิดจะจ่ายมัดจำครึ่งหนึ่ง


 


ครั้งนี้เมื่อไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม เจิ้งหงอี้ย่อมไม่คิดจะแจ้งหวังหงเป็นธรรมดา


 


“ผู้อาวุโส”


 


ภายในหุบเขาอันห่างไกลทั้งไร้แสงตะวันส่องถึง เจิ้งหงอี้ที่มุ่งหน้าฝ่าความมืดมาถึงจุดหนึ่ง ก็ประสานมือคารวะทักทายนักฆ่าผู้มาใหม่ขององค์กรกะโหลกเลือด แม้ที่ทางจะมืดแต่เจิ้งหงอี้ก็ยังเห็นได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นชายวัยกลายคนที่มีรูปร่างสมส่วนคนหนึ่ง


 


ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็สวมใส่ชุดคลุมลมดำ บริเวณอกปักสัญลักษณ์กะโหลกไขว้ขององค์กรกะโหลกเลือดเอาไว้ตามปกติ อย่างไรก็ตามแววตาของอีกฝ่ายช่างเย็นชาเหลือเกิน เจิ้งหงอี้พอสบกับสายตาเย็นชาของอีกฝ่าย หนังศีรษะของมันพลันบังเกิดอาการชาด้านทันที


 


“หลังจากนี้ข้าจะพยายามหาวิธีล่อเป้าหมายออกมา…แน่นอนว่าหากตัวเจ้ามีวิธีล่อเป้าหมายให้ออกมาได้ องค์กรกะโหลกเลือดเราย่อมไม่คิดเอาเปรียบเจ้า และจักมอบโอสถ ‘จวินจี่’ ให้เจ้า 10 ขวด”


 


ชายวัยกลางคนเหลือบมองเจิ้งหงอี้ พลางเอ่ยออกเสียงเรียบ


 


ถึงแม้ด้วยพลังฝีมือของมัน ทั้งนิกายอมตะเป้าผู่สมควรมีซุนเหลียงเผิงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะประมือกับมันได้ไหว และไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะฆ่ามันได้แน่


 


เรียกว่าต่อให้มันบุกเข้าไปเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนคานิกายอมตะเป้าผู่อย่างอุกอาจ มันก็สมควรมีพลังมากพอจะเข้าไปและถอนตัวกลับออกมาได้ไม่ยากเย็น!


 


หากทว่ามันไม่กล้าทำแบบนั้น


 


เพราะถึงแม้นิกายอมตะเป้าผู่ที่เป็นขุมกำลังระดับ 7จะไม่ได้อยู่ในสายตาของมัน แต่อย่างไรก็มีสัมพันธ์กับคฤหาสน์เฉวียนโยว หากมันบุกเข้าไปฆ่าคนอย่างอุกอาจจริง ย่อมไม่ต่างอะไรจากไม่เห็นคฤหาสน์เฉวียนโยวอยู่ในสายตา


 


ถึงตอนนั้นต่อให้มันเลือกจะปกปิดตัวเอง ไม่เผยตัวว่าเป็นนักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือด และฆ่าต้วนหลิงเทียนได้จริงๆ แต่เกรงว่าคงยากจะหนีออกนอกเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวพ้น


 


เพราะ 3 นิกาย 2 ตระกูลที่เกี่ยวข้องกับคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรง ล้วนแล้วแต่มีค่ายกลที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวส่งปรมาจารย์ค่ายกลอมตะมาจัดตั้งไว้เป็นพิเศษ เรียกว่าทันทีที่มันเข้าไปด้านใน 3นิกาย 2 ตระกูล ตัวมันก็จะถูกค่ายกลตีตราประทับบางอย่างเอาไว้ และยากจะลบได้ออกในเวลาอันสั้น


 


ด้ายตราประทับที่ว่า ทำให้คฤหาสน์เฉวียนโยวสามารถตามรอยมาถึงมันได้โดยง่าย


 


ถึงตอนนั้นคฤหาสน์เฉวียนโยวไม่พ้นต้องส่งตัวตนระดับบผู้ตรวจการออกมาไล่ล่าสังหารมัน ทันทีที่ถูกอีกฝ่ายพบตัว เกรงว่ามันคงหนีไม่พ้นความตาย!


 


ดังนั้นมันทำได้แค่เฝ้ารอให้ต้วนหลิงเทียนออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ เพื่อให้ดำเนินการสังหารโดยสะดวก


 


“โอสถจวินจี่ 10 ขวด!?”


 


ได้ยินวาจาดังกล่าวของชายวัยกลางคน สองตาเจิ้งหงอี้ก็ทอประกายสว่างจ้าทันที


 


โอสถจวินจี่นั้น เป็นโอสถอมตะที่ผู้ฝึกตนขอบเขตขุนนางอมตะใช้บ่มเพาะพลัง และก็มีคุณสมบัติคล้ายๆโอสถหลัวเทียนที่ตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะนิยมใช้ หากแต่มันมีมูลค่าเหนือกว่าโอสถหลัวเทียนมาก และเป็นโอสถอมตะระดับขุนนาง


 


ต่อให้ตัวมันจะเป็นศิษย์สายตรงลำดับที่ 3 ของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ แต่มันจะได้รับโอสถจวินจี่ก็ต่อเมื่อใกล้ทะลวงด่านพลังแล้วเท่านั้น


 


แต่ตอนนี้มันกลับมีโอกาสได้รับโอสถจวินจี่ถึง 10ขวด!


 


ในระนาบเทวโลก โอสถขวดหนึ่งนั้นปกติแล้วจะบรรจุเม็ดยาเอาไว้ 10 เม็ด ซึ่งนี่เป็นมาตรฐานสากล


 


จึงกล่าวได้ว่าโอสถจวินจี่ 10 ขวด ก็หมายถึงโอสถจวินจี่ 100 เม็ด!


 


หลังจากแลกลูกแก้ววิญญาณเพื่อใช้ติดต่อกับชายวัยกลางคนแล้ว เจิ้งหงอี้ก็เร่งรุดกลับนิกายอมตะเป้าผู่ทันที


 


ระหว่างเดินทางกลับนิกายยอมตะเป้าผู่ เรียกว่าในใจของเจิ้งหงอี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอันยยากระงับ เพราะโอสถจวินจี่ 10 ขวดช่างเป็นอะไรที่ยั่วยวนใจของมันเหลือเกิน!


 


‘ทำอย่างไร ข้าถึงจะล่อเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นให้มันออกจากนิกายได้…’

 

 

 


ตอนที่ 3061

 

หลังจากที่เจิ้งหงอี้กลับมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่แล้ว วันๆมันก็ไม่คิดจะทำอะไรเอาแต่ลอบจับตาดูความเคลื่อนไหวเกาะลอยสำหรับศิษย์ที่แท้จริงเกาะที่ต้วนหลิงเทียนพักอาศัยอยู่


 


ในขณะที่จับตาดูความเคลื่อนไหว มันก็ครุ่นคิดหาวิธีล่อต้วนหลิงเทียนให้ออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ไม่หยุด


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่านไปหลายวันแล้ว แต่มันก็ไม่อาจหาวิธีที่จะใช้ล่อต้วนหลิงเทียนให้ออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ได้เลย ‘ดูเหมือนข้าจะถูกลิขิตให้ไร้วาสนากับโอสถจวินจี่ 10 ขมวดนั่นแล้ว…’


 


เจิ้งหงอี้ได้แต่ลอบทอดถอนในใจ


 


ทางด้านต้วนหลิงเทียนนั้น ก็เก็บตัวอยู่ในห้องทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟไม่ไปไหนเลย


 


ด้วยความช่วยเหลือทั้งได้เพลิงเทพโกลาหลชี้แนะ ความคืบหน้าในการทำความเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมของต้วนหลิงเทียนก็ดำเนินไปด้วยความเร็ว


 


วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


ชั่วพริบตา เวลาก็ได้ล่วงเลยไปอีก 5 เดือนแล้ว นับจากวันที่ต้วนหลิงเทียนใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองเข่นฆ่านักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดไป


 


ซู่มม!


 


ฟู่ววว!!


 



 


ภายในห้องหับแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างอันลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงกำลังวูบไปซ้ายทีขวาทีด้วยความเร็วสูง ทั้งควบคุมพลังได้อย่างแยบคายไม่มีพุ่งชนทำลายผนังห้องแม้แต่น้อย


 


ผ่านไปพักหนึ่งร่างที่พึ่งตัววูบไปวาบมาในห้องหับ ก็หยุดลอยค้างกลางห้องนิ่งๆ และเผยให้เห็นร่างที่อยู่ภายใต้เปลวเพลิงชัดเจน


 


เป็นชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดสีม่วง


 


“ยัง…เร็วได้อีก!”


 


ชายหนุ่มชุดม่วงเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และแทบจะทันทีที่กล่าวพึมพำจบลง ทั่วร่างก็เริ่มสั่นไหวอีกครา คล้ายกำลังหลอมรวมผสานเข้ากับเปลวเพลิงที่ลุกโชนท่วมกาย จากนั้นคนก็เริ่มพุ่งตัวไปมาด้วยความเร็วที่สูงล้ำกว่าเดิม!


 


ซู่มม! ซู่มม! ซู่มม! ซู่มม! ซู่มม!


 



 


คราวนี้ในห้องหับปรากฏลูกไฟวูบไปวาบมาด้วยความเร็วที่สูงล้ำมากขึ้น คลื่นความร้อนทั้งแรงอัดอากาศจากการเคลื่อนไหว ก็เริ่มอาละวาดไปทั่วห้องหับ หน้าต่างประตูสั่นสะเทือนเลือนลั่นราวจะปลิวหลุดได้ทุกเมื่อ คงเหลือแต่เพียงเตียงน้ำแข็งที่ตั้งชิดผนังห้องด้านหนึ่งเท่านั้นที่แน่นิ่งไม่ไหวติงปานภูผา


 


อย่างไรก็ตาม หากสังเกตให้ดีจะพบว่าตอนนี้ตัวเตียงน้ำแข็งก็ได้สั่นสะเทือนด้วยความถี่สูงมาก แต่ไม่ถึงกับชัดเจนเท่าประตูหน้าต่าง


 


“นี่น่ะเหรอพลังความลึกซึ้งขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น? ไม่ธรรมดาจริงๆ!”


 


เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำวูบวาบไปมา ได้หยุดลงกลางห้องอีกครั้ง ร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงก็เผยให้เห็นชัดอีกครา และขณะที่พึมพำกับตัวเองรอบนี้ รอยยิ้มสดใสก็เริ่มคลี่กางขึ้นบนใบหน้า


 


ชายหนุ่มชุดม่วงที่ว่าย่อมเป็น ต้วนหลิงเทียน


 


หลังปิดด่านไป 5 เดือน ด้วยมีความช่วยยเหลือของเพลิงเทพโกลาหล ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!


 


ความลึกซึ้ง ลุกโหม ของกฏแห่งไฟนั้น ก็พอๆกันกับความลึกซึ้ง ลมกรด ของกฏแห่งลม ไม่เพียงแต่จะเสริมความเร็วในการเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการจู่โจมให้ทรงพลังมากขึ้นอีกด้วย!


 


และการเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแบบนี้ ยังเป็นการบ่งบอกอีกว่าต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจเวทย์พลังระดับราชาที่แฝงความลึกซึ้งลุกโหมได้ถึงขั้นตอนไร้ตำหนิเรียบร้อย


 


ในวันที่ไปเยือนหอตำรา ต้วนหลิงเทียนก็ได้เลือกวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมาทั้งสิ้น 5 อย่าง ซึ่งจะทำให้เขาเข้าใจความลึกซึ้งของกกฏแห่งไฟได้ 5 ประการนอกเหนือจากความหมายแห่งไฟ


 


และในตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้เข้าใจความลึกซึ้งหนึ่งประการแล้ว


 


‘ไปหาก่วงหลินหน่อยดีกว่า’


 


หลังเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนอารมณ์ดีไม่น้อย จึงเปิดประตูและเดินออกจากห้องไป


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเปิดประตูห้องออกมา เจิ้งหงอี้ที่เฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของเกาะส่วนตัวต้วนหลิงเทียนอยู่ก็รับทราบได้ทันที สองตามันยังทอแสงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจบอกได้ว่าเจิ้งหงอี้กำลังจับตาดูเขาอยู่ เพราะทันทีที่เขาเปิดประตูออกจากห้อง เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตามากมายหลายร้อยคู่ แน่นอนว่าสายตาแทบทุกคู่ล้วนมองมาด้วยความอิจฉาทั้งสิ้น


 


หลิวก่วงหลินนั้นก็ได้ถูกคนที่ซุนเหลียงเผิงเรียกหาว่าน้องรอง รับตัวจากประเทศระดับ 8 อย่างประเทศฝูชิวของแดนพันประเทศอันห่างไกล และพามาถึงนิกายอมตะเป้าผู่นานแล้ว แต่เป็นธรรมดาว่าหลิวก่วงหลินไม่ได้พักอาศัยอยู่ในเขตที่พักของศิษย์ฝ่ายใน ซุนเหลียงเผิงได้จัดที่พักให้มันไปอาศัยรวมกับผู้ติดตามไม่เว้นข้ารับใช้ของศิษย์ที่แท้จริงคนอื่นๆที่หุบเขาแห่งหนึ่ง


 


หุบเขาแห่งนั้น ยังเป็นสถานที่ๆมีไว้รับรองแขกของนิกายอมตะเป้าผู่อีกด้วย สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะนับว่าดีทีเดียว ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าสภาพแวดล้อมของสถานที่พักของศิษย์ฝ่ายในเลย


 


อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่หลิวก่วงหลินมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่ จวบจนวันนี้ก็ยังไม่ได้พบกับต้วนหลิงเทียนสักครั้ง


 


อย่างไรก็ตามแม้ต้วนหลิงเทียนจะยังไม่เคยมาหาหลิวก่วงหลิน แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่เรียบร้อย พอติดต่อไปถามที่อยู่อีกฝ่ายจากซุนเหลียงเผิง เขาจึงทราบตำแหน่งที่พักของหลิวก่วงหลินทันที


 


ฟุ่บ!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนโจนทะยานขึ้นฟ้า ทิ้งหุบเขากว้างใหญ่เอาไว้เบื้องหลัง ไม่นานก็หายไปจากสายตาของเหล่าศิษย์ฝ่ายใน


 


“มันไปไหนกัน?”


 


เห็นต้วนหลิงเทียนเหินร่างออกจากเกาะลอย ลูกตาเจิ้งหงอี้ก็ทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง จากนั้นก็รีบติดต่อไปหานักฆ่ากะโหลกเลือดทันที “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้เดินทางออกจากสถานที่พัก และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก…แต่ไม่ทราบว่ามันจะออกไปนอกนิกายอมตะเป้าผู่หรือไม่”


 


“ตอนนี้ระดับพลังของมันสมควรอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ ข้าไม่กล้าตามมันไป…”


 


ฟังจากข้อความที่เจิ้งหงอี้ส่งไปหานักฆ่ากะโหลกเลือด เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่คนใจร้อน และไม่ถูกโอสถจวินจี่ 10 ขวดล่อจนขาดความยับยั้งชั่งใจ!


 



 


“มันกลับมาแล้ว?”


 


ราวๆ หนึ่งชั่วโมงต่อมาเจิ้งหงอี้ก็พบว่าต้วนหลิงเทียนเหินร่างกลับมาแล้ว มันก็รีบติดต่อไปหานักฆ่ากะโหลกเลือดอีกครั้งทันที เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไปเสียเวลาเฝ้ารออย่างเปล่าประโยชน์


 


เป็นธรรมดาว่ามันไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะเสียเวลารอเก้ออะไรจริงๆ


 


อย่างไรก็ตามมันแค่คำนึงถึงเรื่องที่หากอีกฝ่ายไปเสียเวลารอเก้อเพราะการแจ้งของมัน อาจทำให้อีกฝ่ายบังเกิดความไม่พอใจและมีโมโหมันขึ้นมา


 


นั่นไม่ใช่อะไรที่มันอยากจะเห็นเลย


 


‘หลิวก่วงหลินมาอยู่นิกายอมตะเป้าผู่ไม่ทันถึงปี ก็เข้าใจความหมายแห่งดิน อันเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งดินแล้ว’


 


หลังกลับมาถึงที่พักต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนในใจ ด้วยไม่คิดว่าหลิวก่วงหลินเองก็มีความเข้าใจในระดับสูงแบบนี้


 


เพราะการไปเยี่ยมหลิวก่วงหลินคราวนี้ ทำให้เขารับทราบว่าอีกฝ่ายได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินอย่างความหมายแห่งดินเรียบร้อยแล้ว


 


ต้องทราบด้วยว่าถึงตัวเขาจะเข้าใจความหมายแห่งดินได้ในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน แต่นั่นเป็นเพราะเขามีปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินคอยช่วยเหลือ


 


แต่หลิวก่วงหลินไม่มีปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินช่วยเหลือเหมือนเขา


 


และเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินที่หลิวก่วงหลินกำลังตีความฝึกปรืออยู่นั้น ก็เป็นซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป็นคนมอบให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง


 


เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะรู้ว่าซุนเหลียงเผิงทำแบบนี้ ก็เพื่อซื้อใจเขา


 


และเรื่องนี้ก็ทำให้เขารู้สึกขอบคุณ


 


หลิวก่วงหลินได้ติดตามรับใช้เขามาก็นานปี แถมอีกฝ่ายยังจงรักภักดีไม่น้อย เขาเองก็รู้สึกสะดวกสบายเมื่อมีหลิวก่วงหลินคอยจัดการเรื่องราวยิบย่อยให้


 


ก่อนหน้าถึงแม้เขาจะเสนอทางเลือกให้หลิวก่วงหลินว่าจะอยู่ลงหลักปักฐานใช้ชีวิตดีๆในประเทศฝูชิว หรือจะติดตามเขามานิกายอมตะเป้าผู่ก็ตามที


 


แต่อันที่จริงลึกๆแล้วเขาก็อยากให้หลิวก่วงหลินติดตามเขามา


 


แน่นอนว่าถึงหลิวก่วงหลินเลือกจะลงหลักปักฐานที่ประเทศฝูชิว เขาก็จะยอมรับการตัดสินใจของอีกฝ่าย


 


“ต้วนหลิงเทียนนั่นมันออกไปแค่ชั่วโมงเดียว…มันไปไหนและไปทำอะไรกันแน่?”


 


พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนออกไปแค่ชั่วโมงเดียวก็กลับมาแล้ว เจิ้งหงอี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย


 


และหลังจากลองไปสืบดู ในที่สุดเจิ้งหงอี้ก็ทราบว่าต้วนหลิงเทียนไปไหนมา


 


‘ผู้ติดตามของมันงั้นรึ?’


 


เจิ้งหงอี้ขมวดคิ้ว พลางกล่าวในใจ ‘เจ้าผู้ติดตามนั่นพลังฝึกปรืออ่อนด้อย ข้าจะทำให้มันสลบแล้วลอบพาตัวออกไปนอกนิกายก็คงไม่มีปัญหาอะไร…แต่อาศัยผู้ติดตามคนหนึ่งจะล่อต้วนหลิงเทียนนั่นให้ออกไปได้รึเปล่า?’


 


เจิ้งหงอี้ลองคิดในมุมของตัวเอง ว่าหากเป็นมัน ตัวมันคงไม่คิดจะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอีแค่ผู้ติดตามคนหนึ่งแน่นอน


 


‘ช่างเถอะ!’


 


อย่างไรก็ตามพอนึกถึงโอสถจวินจี่ 10 ขมวด เจิ้งหงอี้ก็ได้แต่กัดฟันตัดสินใจ ‘ลองพามันไปก่อนก็แล้วกัน…’


 


‘หากต้วนหลิงเทียนไม่คิดออกไปช่วยมัน เจ้าผู้ติดตามนั่นก็ซวยไปเถอะ…แต่ถ้าต้วนหลิงเทียนไปช่วยมันขึ้นมา ต่อให้มันจะซวยเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้ซวยคนเดียว ยังสามารถลากต้วนหลิงเทียนไปลงนรกด้วยอีกคน!’


 


‘ถึงตอนนั้นข้าก็จะได้โอสถจวินจี่ 10 ขวด!’


 


คิดถึงจุดนี้สองตาเจิ้งหงอี้ก็ส่องแสงจ้าปานจะพุ่งยิงลำแสงความร้อน ลิ้นยังเริ่มแลบเลียริมฝีปากด้วยความโลภ


 


‘ลองหาวิธีเข้าหาขี้ข้านั่นก่อน พอมันตายใจเมื่อไหร่ก็ใช้ยันต์ประกายอัสนีขาวทำให้มันสลบ และหาโอกาสลอบพามันออกจากนิกายโดยไม่ให้ใครเห็น!’


 


แม้เจิ้งหงอี้ตัดสินใจจะลักพาตัวหลิวห่วงหลินออกนอกนิกายเพื่อล่อต้วนหลิงเทียน แต่มันก็ไม่วู่วาม ทั้งคิดหาวิธีลงมืออย่างดี ด้วยกลัวหลิวก่วงหลินจะเอะใจแล้วติดต่อไปหาต้วนหลิงเทียนเสียก่อนที่จะถูกมันลักพาตัวออกกไป


 


ถึงตอนนั้นไม่พ้นมันได้ถูกเปิดโปงแน่ และคงยากจะรอดตัวไปได้!


 


ดังนั้นมันต้องระวังให้มาก


 



 


หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน


 


ห่างออกไปทางตะวันตกของนิกายยอมตะเป้าผู่ ในหุบเขาอันมืดมิดไร้แสงตะวันสาดส่อง เจิ้งหงอี้ก็ได้มาเจอกับนักฆ่ากะโหลกเลือดอีกครั้ง


 


“มันเป็นผู้ใด?”


 


พอเห็นเจิ้งหงอี้สะบัดมือจนความว่างเปล่าเริ่มบิดเบือน จากนั้นก็ปรากฏร่างคนที่ยังมีลมหายใจหนึ่งผุดโผล่ออกมาและร่วงไปนอนฟุบกับพื้น นักฆ่ากะโหลกเลือดก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถาม


 


ผู้ที่เจิ้งหงอี้พึ่งนำออกมาจากโลกใบเล็กของมัน ก็คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สลบไสลไม่ได้สติ


 


“เจ้านี่ก็คือผู้ติดตามของต้วนหลิงเทียน เป้าหมายการเดินทางมาครั้งนี้ของท่าน”


 


ได้ยินคำถามจากนักฆ่ากะโหลกเลือด เจิ้งหงอี้ก็ไม่กล้ารอช้าเร่งตอบกลับไปเร็วไว


 


ขณะเดียวกันยังไม่ลืมจะกล่าวเสริมอีกว่า “ผู้ติดตามของต้วนหลิงเทียนคนนี้มาจากดินแดนพันประเทศ…และดูเหมือนอาจารย์ของข้าประมุขนิกายอมตะเป้าผู่…จะส่งคนไปรับมันมาเป็นการส่วนตัว”


 


“ผู้ติดตาม?”


 


นักฆ่ากะโหลกเลือดขมวดคิ้ว “เจ้าลักพาตัวผู้ติดตามของมันออกมา…หรือคิดจะใช้เป็นเหยื่อล่อต้วนหลิงเทียนนั่น?”


 


“ไม่ผิด”


 


เจิ้งหงอี้พยักหน้าขานตอบ


 


“เจ้าคิดว่าอัจฉริยะอย่างต้วนหลิงเทียนผู้นั้น จักโง่เสี่ยงชีวิตออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ เพื่อเห็นแก่ผู้ติดตามคนหนึ่งงั้นหรือ?”


 


นักฆ่ากะโหลกเลือดกล่าวเยาะเย้ย


 


“ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้ข้านึกหาวิธีอื่นไม่เจอแล้วจริงๆ…อย่างไรก็ตามข้าคิดว่าลองใช้วิธีนี้ดูก่อนก็ไม่เสียหาย”


 


เจิ้งหงอี้ก้มหัวด้วยความกริ่งเกรง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ “อย่างไรเสีย ท่านผู้อาวุโสก็คงไม่อยากเสียเวลารออยู่เฉยๆใช่ไหม?”


 


“ถึงแม้ท่านอาจจะมองว่าวิธีนี้คงไม่ได้ผล…แต่หากมันได้ผลขึ้นมาเล่า?”


 


เจิ้งหอี้พยายามรวบรวมความกล้ากล่าวโน้มน้าวนักฆ่ากะโหลกเลือด


 


“ก็ใช่”


 


นักฆ่ากะโหลกเลือดครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เห็นด้วยกับวิธีของเจิ้งหงอี้


 


พอเห็นว่าสามารถโน้มน้าวนักฆ่ากะโหลกเลือดได้สำเร็จ เจิ้งหงอี้ก็ลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอกลับๆ จากนั้นก็มองกล่าวกับนักฆ่ากะโหลกเลือดด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆอีกครั้งว่า “ท่านผู้อาวุโส เจ้านี่มันเห็นหน้าข้าทั้งรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร…หากยังไง ถ้าท่านสามารถใช้เจ้านี่ล่อต้วนหลิงเทียนออกมาได้จริง ท่านก็ฆ่ามันก่อนที่มันจะตื่นเถอะ”


 


“และหากต้วนหลิงเทียนไม่ออกมา…ก็ขอให้ท่านฆ่ามันทิ้งเช่นกัน”


 


เจิ้งหงอี้กล่าวร้องขอ


 


“ได้”


 


นักฆ่ากะโหลกเลือดพยักหน้ารับเบาๆ


 


ถึงแม้มันจะไม่ได้แยแสชีวิตของเจิ้งหงอี้ แต่ถ้าเกิดแผนนี้ล้มเหลวแต่เจิ้งหงอี้ยังมีชีวิตอยู่เพราะไม่โดนเปิดโปง ก็นับว่ายังมีประโยชน์กับมัน เพราะอีกฝ่ายสามารถช่วยเป็นหูเป็นตาและคอยประสานให้ความช่วยเหลือมันจากภายในได้…

 

 

 


ตอนที่ 3062

 

ด้านเจิ้งหงอี้ก็ไม่ได้รู้เลยว่าชีวิตมันกำลังตกอยู่ในอันตรายและเสี่ยงจะถูกเปิดโปง เพราะความไม่แยแสของนักฆ่ากะโหลกเลือดขนาดไหน


 


ในแผนที่มันคิดไว้ หากไม่อาจล่อต้วนหลิงเทียนออกมาได้ นักฆ่ากะโหลกเลือดก็สมควรรู้งานและรีบฆ่าผู้ติดตามคนนี้ของต้วนหลิงเทียนก่อนที่อีกฝ่ายจะตื่นและมีโอกาสติดต่อไปหาต้วนหลิงเทียน


 


ทว่าหากแผนสำเร็จและสามารถล่อต้วนหลิงเทียนออกมาได้จริง ตอนนั้นไม่พ้นนักฆ่ากะโหลกเลือดก็คงสนใจแต่ต้วนหลิงเทียน มันจึงเกรงว่านักฆ่ากะโหลกเลือดจะไม่สนใจเรื่องที่หลิวก่วงหลินจะตื่นหรือไม่ตื่น ยิ่งไม่สนใจเรื่องที่หลังจากนั้นอีกฝ่ายจะกลับไปเปิดโปงเรื่องราวอะไร


 


เพราะนักฆ่ากะโหลกเลือด ก็สนใจแต่เรื่องฆ่าต้วนหลิงเทียน ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากองค์กรเท่านั้น


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็คาดไม่ถึงจริงๆ


 


ว่าหลังผ่านไปครึ่งปี เขากลับได้รับบจดหมายแบบเดียวกับที่เขาเคยได้รับเมื่อครึ่งปีก่อนอีกครั้ง…


 


แถมเนื้อความในจดหมายก็คล้ายๆกัน


 


อย่างไรก็ตาม คราวนี้คนที่อีกฝ่ายเอามาขู่ไม่ใช่ฮ่วนเอ๋ออีกต่อไป แต่กลับเป็นหลิวก่วงหลินผู้ติดตามของเขา!


 


ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไปยืนยันข้อเท็จจริงถึงที่พักหลิวก่วงหลินเรียบร้อย และพบว่าหลิวก่วงหลินได้หายตัวไปจริงๆ!


 


“เข้าไปยังที่พักสำหรับแขกทั้งพาตัวคนของเจ้าออกไป…ผู้ลงมือมิมีทางเป็นนักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดแน่นอน”


 


“เพราะจะอย่างไรนักฆ่าของกะโหลกเลือดนั่นก็นับเป็นคนแปลกหน้า ทันทีที่มันก้าวเท้าเข้ามาในเขตนิกายเรา ทางเราย่อมได้รับสัญญาณเตือนจากค่ายกลป้องกันผู้บุกรุกทันที!”


 


ด้านบนก็คือคำตอบที่ต้วนหลิงเทียนได้รับจากซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ หลังเขาส่งข้อความแจ้งเรื่องที่หลิวก่วงหลินถูกลักพาตัวไป


 


“ฟังจากที่ประมุขกล่าวมา…ผู้ลงมือสิบในสิบเป็นผีภายใน? คนนิกายอมตะเป้าผู่?”


(ผีภายใน = เกลือเป็นหนอน)


 


ต้วนหลิงเทียนถาม


 


“ใช่”


 


ซุนเหลียงเผิงตอบกลับด้วยความมั่นใจ


 


“ในจดหมายบอกให้ข้าไปคนเดียวเหมือนเดิม…หากประมุขหรืออาวุโสคนอื่นๆติดตามข้าไป เกรงว่าผีภายในนั่นต้องแจ้งไปยังนักฆ่ากะโหลกเลือดแน่”


 


ต้วนหลิงเทียนส่งข้อความไปอีกครั้ง


 


“ต้วนหลิงเทียน เรื่องนี้ข้าได้เตรียมการเอาไว้แต่แรกแล้ว…ตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องกับเจ้าเมื่อครึ่งปีก่อน ข้าได้ขอให้น้องรองทำทีออกไปทำธุระนอกนิกาย”


 


หลังซุนเหลียงเผิงไดรับข้อความจากต้วนหลิงเทียน มันก็ส่งข้อความตอบกลับทันที น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความมั่นใจมาก “ตอนนี้น้องรองเพียงรอข้าติดต่อไปเท่านั้น…และรอบนี้ข้าจะให้น้องรองลอบติดตามเจ้าไปหานักฆ่ากะโหลกเลือดนั่นด้วยกัน”


 


“ท่านประมุข มั่นใจหรือว่าน้องรองของท่านจะคุ้มครองข้าได้แน่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา


 


ถึงแม้ว่าเขาตัดสินใจไปแล้วว่าจะออกไปช่วยหลิวก่วงหลินแน่นอน แต่ก่อนจะจากไปเขาเองก็คิดเตรียมตัวให้พร้อมก่อน


 


เพราะสุดท้ายเขาก็ไม่รู้จริงๆว่าคราวนี้องค์กรกะโหลกเลือดจะส่งนักฆ่าระดับใดมา


 


เป็นธรรมดาว่าถึงเขาจะไม่รู้ระดับนักฆ่าที่องค์กรกะโหลกเลือดจะส่งมา แต่ที่เขารู้แน่ๆก็คือ ไม่มีทางที่นักฆ่าคนใหม่จะทรงพลังมากเกินไป อย่างดีก็แค่คำนวณความสามารถเขาแล้วส่งนักฆ่าที่สามารถกดดันเขาได้เท่านั้น


 


ถึงตอนนี้ในสายตาขององค์กรกะโหลกเลือดเขาจะไม่ใช่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอีกต่อไป แต่เป็นราชาอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ…


 


แต่อีกฝ่ายก็สมควรรู้แล้วว่าเขาใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ซึ่งระดับพลังของเขาจะลดลงทุกครั้งที่ลงมือ และพอระดับพลังลดลงเขาก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ


 


“เจ้าวางใจได้เลย”


 


ได้ยินความแคลงใจของต้วนหลิงเทียน ซุนเหลียงเผิงก็กล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยม “น้องรองของข้า ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือจะอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ หากแต่ความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่เข้าใจนับว่าร้ายกาจมาก!”


 


“เรียกว่า ให้มองไปทั่วเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว แต่ราชาอมตะ 5 องค์ประกอบที่เป็นคู่มือน้องรองของข้าได้นั้น…หามีไม่!”


 


“พลังฝีมือของน้องรองข้า ต่อให้เทียบกับราชาอมตะ 5 องค์ประกอบขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ก็มีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่มีทางอ่อนด้อยกว่าแน่นอน!”


 


ซุนเหลียงเผิงตอบ


 


“นอกจากนั้น องค์กรกะโหลกเลือดก็รู้แล้วว่าถึงตอนนี้เจ้าจะมีพลังขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ หากแต่เจ้าก็เข้าใจกฏแห่งดินแค่ 2 ประการเท่านั้น รวมกับเรื่องที่ระดับพลังเจ้าจักลดลงเรื่อยๆ พวกมันไม่มีทางส่งนักฆ่าที่พลังฝีมือสูงมากเกินความจำเป็นมาแน่นอน”


 


“จากที่ข้าคาดเอาไว้…อย่างดีพวกมันก็ส่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบมาเท่านั้น! กระทั่งมีความเป็นไปได้สูงที่พวกมันจะส่งมาแค่นักฆ่าระดับราชาอมตะ 4 รูป!!”


 


ฟังจากน้ำเสียงหนักแน่นแล้ว เห็นชัดว่าซุนเหลียงเผิงมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตัวเองเป็นที่สุด


 


“สำหรับนักฆ่าระดับราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ ด้วยพลังฝีมือของน้องรอข้าย่อมจัดการได้แน่นอน…กระทั่งหลังประมือไปได้สักพัก น้องรองข้าต้องฆ่ามันได้แน่!”


 


“และต่อให้นักฆ่านั่นคิดจะหนีเพราะสู้น้องรองข้าไม่ได้ อาศัยความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่น้องรองข้าเข้าใจ คิดจะจับมันก็คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร…กระทั่งต่อให้ฆ่ามันไม่ได้จริงๆ น้องรองก็สามารถติดต่อมาหาข้าได้ทุกเมื่อ ขอเพียงข้าเร่งรุดไปทันที นักฆ่ากะโหลกเลือดนั่นมันต้องตาย!”


 


เสียงซุนเหลียงเผิงที่ติดต่อมาเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจถึงขีดสุด


 


“เอาล่ะ”


 


หลังได้ฟังคำยืนยันจากซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็วางใจไปเปราะหนึ่ง


 


“ประมุข แล้วข้าจะออกเดินทางได้เมื่อไหร่?”


 


หลังจากวางใจไปเปราะหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนที่รีบร้อนจะไปช่วยหลิวก่วงหลิน ก็บดขยี้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณอีกชิ้น เพื่อนัดหมายเวลากับซุนเหลียงเผิง


 


“เจ้าสามารถออกเดินทางตอนนี้ได้เลย…ตอนนี้น้องรอข้าซ่อนตัวรอเจ้าอยู่ไม่ห่างจากนิกายเท่าไหร่ นอกจากนั้นร่างที่แท้จริงของน้องรองข้าก็นับว่าชำนาญในการซ่อนตัวเป็นที่สุด อย่าว่าแต่นักฆ่ากะโหลกเลือดขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบเลย ต่อให้นักฆ่าที่องค์กรกะโหลกเลือดส่งมาจักเป็นราชาอมตะ 6 ผสานกระทั่งราชาอมตะ 7 ดารา ก็ไม่มีทางค้นพบน้องรองข้าขณะซ่อนตัวได้แน่นอน!!”


 


ซุนเหลียงเผิงตอบกลับอีกครั้ง


 


“ว่าแต่สถานที่ๆนักฆ่านัดให้เจ้าออกไปพบอยู่ทิศทางใด? ใช่ทางตะวันออกอีกหรือไม่?”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวถามมาอีกครั้ง


 


“เปล่า คราวนี้เป็นทางตะวันตก”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบกลับ


 


“เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ…ข้าจะติดต่อไปเป็นระยะๆ นอกจากนั้นข้าจะให้น้องรองลอบติดตามเจ้าอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะปรากฏตัวออกมาช่วยเจ้าได้ทันท่วงที”


 


หลังได้รับข้อความดังกล่าวจากซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มออกเดินทางทันที มุ่งหน้าออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ไปยังทิศตะวันตก และระยะทางที่ต้องไปยังไกลกว่ารอบที่แล้วไม่น้อย


 


ซัวว!


 


ในขณะที่เดินทางออกจากนิกายอมตะเป้าผู่มุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดหมายนั้น แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดใช้พลังเซียนอมตะของตัวเองให้สิ้นเปลือง แต่เขาเลือกจะใช้นาวาอมตะเพื่อเดินทางแทน


 


นาวาอมตะนั้น ที่ระดับต่ำที่สุดก็จัดเป็นอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางแล้ว ขั้นตอนการหลอมสร้างก็ค่อนข้างยุ่งยากวุ่นวายอยู่บ้าง ทำให้ก่อนที่จะเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่ ต้วนหลิงเทียนไม่รู้เลยว่ามีพาหนะอะไรแบบนี้ด้วย


 


และนาวาอมตะระดับขุนนางนั้น ก็ยังแบ่งออกได้อีก 3 ขั้นตามคุณภาพ ยิ่งคุณภาพดีความเร็วก็ยิ่งสูง


 


นาวาอมตะคุณภาพสูงที่เร็วที่สุดนั้น มันสามารถท่องเวหาได้ด้วยความเร็วทัดเทียมกับขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก!


 


สำหรับนาวาอมตะระดับขุนนางคุณภาพต่ำที่เชื่องช้าที่สุด ความเร็วของมันก็เทียบได้กับขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์เท่านั้น


 


นี่คือข้อแตกต่างระหว่างนาวาอมตะระดับขุนนางคุณภาพสูงกับคุณภาพต่ำ ซึ่งเป็นการเปรียบบเทียบระหว่างดีสุดกับด้อยสุด


 


สำหรับนาวาอมตะระดับขุนนางคุณภาพปานกลาง จะมีความเร็วในการเหินเวหาทัดเทียมกับขุนนางอมตะ 6 ผสาน และไม่ว่าจะคุณภาพระดับใด ก็ขับเคลื่อนด้วยผลึกอมตะ และไม่อาจเสริมพลังแห่งกฏเพื่อเพิ่มความเร็วมันได้เลย


 


สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนกำลังนั่งอยู่ ก็คือนาวาอมตะระดับขุนนางคุณภาพต่ำเท่านั้น เขาใช้ผลึกอมตะไม่กี่ชิ้นก็ซื้อหามาใช้ได้แล้ว ผู้ขายก็เป็นผู้อาวุโสในนิกายอมตะเป้าผู่คนหนึ่ง


 


ผู้อาวุโสของนิกายอมตะเป้าผู่ที่ว่า เป็นปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางเท่านั้น และยังเป็นปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางเพียงคนเดียวของนิกายอมตะเป้าผู่ที่หลอมสร้างนาวาอมตะออกมาได้


 


อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายหลอมได้แค่นาวาอมตะระดับขุนนางคุณภาพต่ำเท่านั้น


 


และตั้งแต่ที่หลอมสร้างนาวาอมตะมา ก็เคยโชคดีหลอมได้นาวาอมตะระดับคุณภาพปานกลางแค่ 2 ลำ สำหรับนาวาอมตะระดับขุนนางคุณภาพสูง ชั่วชีวิตยังหลอมออกมาไม่ได้สักลำ…


 


‘ที่นี่สินะ’


 


ต้วนหลิงเทียนที่เดินทางด้วยนาวาอมตะระดับขุนนางคุณภาพต่ำ ก็ใช้เวลาเดินทางไปทั้งสิ้น 1 วันกับอีก 1 คืนเต็มๆ ก่อนที่จะมาถึงุจดนัดพบที่ระบุไว้ในจดหมาย


 


จุดนัดพบที่ว่าก็คือที่ราบลุ่มอันแห้งแล้ง และมีต้นไม้ใหญ่เพียงต้นเดียวเท่านั้น


 


ต้นไม้ใหญ่ที่ว่า แม้จะมีขนาดใหญ่โตแต่ไม่มีใบไม้สักใบ ลำต้นกิ่งก้านยังแห้งแตกเปลือกไม้หลุดร่อน เห็นได้ชัดว่ามันสูญเสียพลังชีวิตไปหมดแล้ว…


 


“ลูกแก้ววิญญาณ…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองไปก็พบลูกแก้ววิญญาณตั้งอยู่บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะสิ่งนี้ก็มีระบุไว้ในจดหมายเช่นกัน


 


หลังได้ลูกแก้ววิญญาณมา เขาก็คิดจะใช้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณเพื่อติดต่อกับอีกฝ่ายทันที


 


หากทว่าทันทีที่สำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนชำแรกลงลูกแก้ววิญญาณหมายเชื่อมโยงเข้ากับวิญญาณที่ประทับเอาไว้ เพื่อใช้เป็นสื่อติดต่ออีกฝ่ายนั้น…


 


วู้ม! ครืนนนน!!


 


แกรก! แกรก!


 



 


เสียงบางอย่างพลันดังขึ้น จากนั้นต้นไม้แห้งไร้ชีวิตก็เริ่มสั่นสะเทือนจนกิ่งก้านที่แห้งกรอบเริ่มแตกหัก


 


และทันใดนั้นเอง พลันปรากฏจุดแสงหลายจุดตามกิ่งก้านต่างๆของต้นไม้สว่างวาบขึ้น ดั่งดวงดาวทอแสง!


 


จากนั้นจุดแสงที่ส่องสว่างขึ้นก็เริ่มพุ่งยิงลำแสงออกมาเชื่อมโยงกัน พริบตาต้วนหลิงเทียนก็ติดอยู่ในข่ายแสงประหลาดเสียแล้ว!


 


ข่ายแสงประหลาดที่ว่านั้นไม่เพียงครอบคลุมต้วนหลิงเทียนเท่านั้น เรียกว่ามันครอบคลุมทั้งต้นไม้แห้งๆนี่เลยก็ว่าได้


 


และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตัว เขาก็พบว่าสองตาของเขากลับกลายเป็นมืดบอดไม่เห็นสิ่งใด ใจเริ่มเต้นรัวไปไม่เป็นจังหวะ ‘นี่มัน…อาคมเคลื่อนย้าย! ค่ายกลส่งผ่านทางไกล!!’


 


“แย่แล้ว!!”


 


ท่ามกลางความว่างเปล่าที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก พลันปรากฏวิหกสีเขียวลักษณะคล้ายเหยี่ยวตัวหนึ่งผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า! ราวกับมันมีความสามารถซ่อนตัวอยู่ในอากาศธาตุได้อย่างไรอย่างนั้น!!


 


และทันทีที่เหยี่ยวสีเขียวดังกล่าวปรากฏตัว ร่างมหึมาของมันก็ทอแสงจ้ากลับกลายเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวทันที!


 


บัดนี้ชายหนุ่มคลุมเขียวได้แต่เหม่อมองข่ายอาคมที่ส่องสว่างเจิดจ้าเบื้องหน้าด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยาก ทำราวกับพึ่งเคี้ยวข้าวถูกแมลงวัน “บัดซบ! นักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดคนนี้…กลับเป็นปรมาจารย์ค่ายกลด้วยงั้นหรือ!?”


 


“แถมฝีมือของมันยังร้ายกาจนัก! สามารถจัดตั้งค่ายกลแฝงไว้ในต้นไม้นี่ได้อย่างแยบยล จนข้าไม่อาจสัมผัสได้ถึงร่องรอยพลังอาคมใดๆได้เลย!!”


 


“ไม่รู้…ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไปอยู่ที่ไหนแล้ว!”


 


ชายหนุ่มในชุดคลุมเขียวผู้นี้ ก็คือน้องรองของซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่นั่นเอง มันเป็นสัตว์อมตะที่มีพลังฝึกปรือขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ


 


ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากน้ำเสียงมั่นใจหนักหนาของซุนเหลียงเผิงก่อนหน้า มันสมควรเป็นราชาอมตะ 5 องค์ประกอบที่พลังฝีมือร้ายกาจสุดที่ราชาอมตะ 5 องค์ประกอบคนใดในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวจะทาบติด!


 


และพลังฝีมือของมันก็ร้ายกาจดังว่าจริงๆ…


 


แต่กระนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ยังหายตัวไปต่อหน้าต่อตามันอยู่ดี…


 


“บัดซบ เป็นค่ายกลที่ใช้ได้ครั้งเดียวจริงๆ”


 


ถึงแม้จะเดาได้แล้วว่าค่ายกลส่งผ่านทางไกลที่ต้วนหลิงเทียนกระตุ้นสมควรเป็นค่ากลเคลื่อนย้ายที่ใช้ได้ครั้งเดียว แต่พอชายหนุ่มชุดเขียวที่เร่งเหินร่างลงมาตรวจสอบค่ายกลที่ลอบจัดตั้งไว้บนต้นไม้ และพบว่าค่ายกลที่ส่งตัวต้วนหลิงเทียนไปไหนไม่รู้มันใช้ได้ครั้งเดียวจริงๆสีหน้ามันก็ยิ่งอัปลักษณ์ดูไม่ได้ไปกันใหญ่…


 


“พี่ใหญ่…”


 


หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ชายหนุ่มชุดเขียวที่บัดนี้สีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากถึงขีดสุด ก็เร่งส่งข้อความถึงซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ทันที


 


และซุนเหลียงเผิง ที่รอการติดต่อในนิกายอมตะเป้าผู่ พอได้รับข้อความที่ชายหนุ่มชุดคลุมเขียยวส่งมา สีหน้าแต่เดิมที่เคยสงบเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ ก็กลับกลายเป็นบิดเบี้ยวเหยเกแลดูไม่ได้ทันที


 


“นักฆ่าที่องค์กรกะโหลกกเลือดส่งมาคราวนี้…กลับเป็นปรมาจารย์ค่ายกลด้วยหรือ!?”


 


ความสามารถในการจัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายใช้ได้ครั้งเดียวบนต้นไม้แห้งที่ตายไปแล้วอย่างแยบคาย จนน้องรองมันไม่อาจตรวจพบร่องรอยหรือความผันผวนของพลังอาคมใดๆได้เลยจนกระทั่งเริ่มต้นการทำงานแบบนี้ ต่อให้มีวัตถุดิบครบ ก็ไม่ใช่อะไรที่ใครจะทำได้…


 


เรียกว่าปรมาจารย์ค่ายกลธรรมดาๆ ไม่มีทางทำได้เลย…


 


และต้องทราบด้วยว่ากระทั่งในคฤหาสน์เฉวียนโยว ยังมีปรมาจารย์ค่ายกลระดับนี้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น…

 

 

 


ตอนที่ 3063

 

“มิใช่ว่าตัวมันเองต้องเป็นปรมาจารย์ค่ายกล…อาจเป็นได้ที่มันจ้างวานปรมาจารย์ค่ายกลที่รู้จักให้มาช่วยเหลือ”


 


ซุนเหลียงเผิงตอบกลับ


 


“แต่ให้ตายเถอะ! ข้ามิคิดเลยว่านักฆ่ากะโหลกเลือดคนใหม่จักเจ้าเล่ห์เพียงนี้! มันถึงกับตระเตรียมค่ายกลเคลื่อนย้ายครั้งเดียวที่เจ้าเองยังไม่อาจมองออกได้!!”


 


ซุนเหลียงเผิงส่งข้อความสืบต่อ น้ำเสียงยังเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง “อย่างไรก็ตาม ค่ายกลเคลื่อนย้ายครั้งเดียวแบบนี้…ปกติแล้วรัศมีเคลื่อนย้ายยังค่อนข้างจำกัดนัก…น้องรอง เจ้ารีบปูพรมค้นหาแถวๆนั้นเถอะ ข้าจะรีบตามไปสมทบ!”


 


ส่งข้อความดังกล่าวเสร็จ ร่างซุนเหลียงเผิงก็เหินทะยานออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ด้วยความเร็วสูงสุด


 


ระหว่างเร่งรุดเดินทาง ซุนเหลียงเผิงยังไม่ลืมติดต่ออาวุโสระดับสูงในนิกายอมตะเป้าผู่ ให้ทุกคนช่วยกันค้นหาอีกแรง


 


ไม่ทันไร อาวุโสระดับสูงกว่าครึ่งของนิกายอมตะเป้าผู่ก็เร่งรุดเดินทางออกจากนิกาย กระจายกำลังกันออกตามหาต้วนหลิงเทียนทั่วทุกสารทิศ!


 


และในขณะที่เหล่าอาวุโสของนิกายอมตะเป้าผู่กำลังวุ่นวายกันยกใหญ่ ด้านต้วนหลิงเทียนก็ได้ถูกเคลื่อนย้ายมายังหุบเขาอันมืดมิดเรียบร้อย


 


ภายในหุบเขาอันมืดมิดแห่งนี้ ยังมีกลิ่นเหม็นอับนัก ทำให้ต้วนหลิงเทียนจำต้องใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดสร้างม่านพลังคลุมกายเอาไว้


 


แน่นอนว่าม่านพลังคลุมกายที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันกลิ่น มันไม่ได้กินพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมากมายอะไร


 


เรียกว่าต่อให้กางม่านพลังแบบนี้ต่อไปอีก 180 ปี ระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศของต้วนหลิงเทียน ก็ไม่ถึงกับลดลงไปอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก


 


‘เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายจริงๆ…และดูจากที่น้องรองของประมุขไม่อาจติดตามมาได้ มันสมควรเป็นค่ายยกลเคลื่อนย้ายที่ใช้ได้ครั้งเดียว’


 


‘นักฆ่ากะโหลกเลือดคนใหม่นับว่าเตรียมการมาพร้อมจริงๆ’


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตอนนี้คลื่นแห่งความหวาดกลัวเริ่มแผ่ปกคลุมไปทั่วใจ เพราะตอนนี้เขาทำได้แค่พึ่งกำลังของตัวเองแล้ว


 


“ในเมื่อข้าเองก็ถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งมาถึงที่นี่แล้ว…เจ้ายังไม่คิดจะโผล่หัวออกมาอีกหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกวาดตามองไปรอบๆ พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


และแทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามจบคำ เสียงไม่แยแสหนึ่งพลันดังขึ้น “จึกๆๆ…ช่างเป็นเจ้านายกับลูกน้องที่รักกันดีจริงๆ….”


 


เสียงดังกล่าวคล้ายจะก้องดังมาจากทุกทิศทาง


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนที่กวาดตามองไปรอบๆแต่แรก ก็พบต้นตอของเสียงได้ไม่ยาก


 


ผนังผาด้านหนึ่งของหุบเขาอันมืดมิดแห่งนี้ มีถ้ำไม่สะดุดตาที่ไม่น่าจะเกิดจากธรรมชาติแห่งหนึ่ง และบัดนี้ก็มีร่างคนค่อยๆก้าวเดินออกมาจากถ้ำดังกล่าว ในมือยังหอบหิ้วร่างคนอีกคนมาด้วย


 


พอร่างดังกล่าวโผล่พ้นห้วงความมืดที่ปกคลุมภายในถ้ำ ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดเจน


 


เป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างปานกลางสวมใส่ชุดคลุมลมดำปักสัญลักษณ์องค์กรกะโหลกเลือด ลักษณะเดียวกับนักฆ่ากะโหลกเลือดคนก่อน


 


ชายวัยกลางคนผู้นี้หน้าตาไม่ได้มีจุดเด่นอะไร หากแต่แววตาของมันเย็นชาเหลือเกิน เรียกว่ายามถูกสายตาดังกล่าวมองจ้องมา ร่างต้วนหลิงเทียนก็เสมือนมีสายลมหนาวอาบไล้ไปทั่ว


 


“ก่วงหลิน!”


 


พอเห็นหลิวกิ่งหลินที่สลบไสลไม่ได้สติในมือนักฆ่ากะโหลกเลือด สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็มืดลงทันใด จากนั้นก็โพล่งเสียงดังเรียกคนออกไป


 


พร้อมกับที่เขาโพล่งเรียกอีกฝ่าย สำนึกเทวะเขาก็ชำแรกเข้าร่างหลิวก่วงหลิน ไม่ทันไรก็พบว่ามีพลังคล้ายอัสนีสีขาวขุมหนึ่งไหลเวียนไปทั่วร่างหลิวก่วงหลิน


 


พลังดังกล่าวได้ปิดกั้นช่องพลังและระบบประสาททั้งหมดของหลิวก่วงหลินเอาไว้ ทำให้หลิวก่วงหลินไม่อาจตื่นขึ้นมาด้วยตัวเองได้


 


ต้วนหลิงเทียนเร่งเร้าพลังสำนึกเทวะเล็กน้อย ก็สามารถขับกระแสพลังดั่งอัสนีสีขาวดังกล่าวให้ออกจากร่างหลิวก่วงหลินได้อย่างง่ายดาย


 


เมื่อพลังทั่วร่างเริ่มโคจรหมุนเวียน และกระแสประสาทสามารถแล่นได้ตามเดิม หลิวก่วงหลินก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา และสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนทันที


 


ทันใดนั้นสองตาหลิวก่วงหลินก็เบิกโพลง เอ่ยทักออกไปโดยไม่รู้ตัว “นาย…นายท่าน!”


 


เสียงหลิวก่วงหลินยังแหบพร่ามาก กลิ่นอายพลังทั่วร่างยังอิดโรยคล้ายผ่านพ้นการทรมาณครั้งใหญ่มา


 


แต่กระนั้น หลิวก่วงหลินก็ยังครองสติแจ่มใส เร่งรุดส่งเสียงผ่านพลังบอกข้อมูลสำคัญให้ต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่น


 


เสียงผ่านพลังดังกล่าว ก็ได้บอกต้วนหลิงเทียนเรื่องที่มันถูกจับตัวมาได้อย่างไร


 


ถึงแม้ตอนนี้มันจะพึ่งตื่นและไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด หากแต่เมื่อเห็นสถานที่ไม่คุ้นตา และเห็นต้วนหลิงเทียน มันก็คาดเดาได้ทันทีว่าสมควรมีคนจับตัวมันมาเพื่อเล่นงานนายท่านของมันแน่


 


เช่นนั้นมันจึงไม่ลังเลใดๆ เร่งบอกข้อมูลที่มันคิดว่ามีความสำคัญมากที่สุดออกไปทันที


 


“เจิ้งหงอี้!?”


 


ได้ยินเสียงผ่านพลังของหลิก่วหินที่บอกว่ามันพบเจอศิษย์ที่มีนามว่าเจิ้งหงอี้เป็นคนสุดท้ายก่อนนจะสลบไป สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็มืดคล้ำดำลงทันที


 


และตอนนี้เอง เสียงไม่แยแสหนึ่งพลันดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน


 


“เจ้าไปเฝ้ารอนายของเจ้าที่ถนนสู่ปรโลกเถอะ…”


 


เป็นเสียงของนักฆ่ากะโหลกเลือดที่หิ้วหลิวก่วงหลินเอาไว้


 


‘แย่แล้ว!’


 


ทันทีที่เสียงดังกล่าวดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน สีหน้าท่าทีเขาเปลี่ยนไปทันใด มวลพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดปะทุออกท่วมร่าง ยังกลับกลายเป็นเพลิงไฟสีแดงเข้มในฉับพลัน!


 


ปงงง!!


 


ซู่มมม!!


 



 


ร่างต้วนหลิงเทียนคล้ายกลับกลายเป็นลูกไฟดวงเขื่อง คนพุ่งออกไปดั่งดาวตก จี้ตรงเข้าหานักฆ่ากะโหลกเลือดด้วยความเร็วสูง!


 


“ช้าไป!”


 


ตั้งแต่วินาทีแรกที่ต้วนหลิงเทียนเริ่มเคลื่อนไหว นักฆ่ากะโหลกเลือดก็ลงมือออกไปแล้ว แม้ร่างต้วนหลิงเทียนจะพุ่งทะยานวูบเข้ามาดั่งภูตผีแต่ก็สายเกินการณ์!


 


เพราะบัดนี้ต้วนหลิงเทียนพบว่า


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ในมือข้างที่หอบหิ้วหลิวก่วงหลินของนักฆ่ากะโหลกเลือด พลันปรากฏเส้นด้ายสีเงินอันยากจะมองเห็น และพอมันตวัดมือเส้นด้ายสีเงินดังกล่าวก็รัดพันทั้งฉีกร่างหลิวก่วงหลินออกเป็นชิ้นๆทันที!


 


“ก่วงหลิน!”


 


เห็นหลิวก่วงหลินถูกฆ่าตาย ร่างต้วนหลิงเทียนก็หยุดลงทันที สองตายังเริ่มแดงฉานปานก้อนเลือด!


 


จากนั้นเปลวเพลิงทั่วร่างก็ลุกโหมขึ้นมาอย่างร้อนแรง พริบตาคนก็กลับกลายเป็นมนุษย์เพลิง!


 


“ไม่ต้องห่วง…เดี๋ยวข้าจะส่งเจ้าตามมันไปเส้นทางสู่ปรโลกให้เอง…”


 


เมื่อเห็นท่าทีเดือดดาลเปี่ยมโทสะของต้วนหลิงเทียน รอยยิ้มสดใสก็คลี่กางขึ้นเบนใบหนน้านักฆ่ากะโหลกเลือด วาจาที่เอ่ยออก ยังทำเหมือนเห็นต้วนหลิงเทียนไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว


 


“ตาย!!”


 


เสียงกล่าวของนักฆ่ากะโหลกเลือดยังดังไม่ทันจบคำดี สองตาเยียบเย็นของต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องมันเขม็ง ตะคอกคำออกมาด้วยน้ำเสียงอำมหิต!


 


ทันใดนั้นร่างต้วนหลิงเทียนก็พุ่งไปคล้ายดาวตกเพลิงอีกครั้ง ความเร็วที่จี้เข้าใส่นักฆ่ากะโหลกเลือดนั้น นับว่ารวดเร็วกว่าความเร็วของนักฆ่ากะโหลกเลือดเสียอีก!


 


“ข้าอยากจะเห็นนัก ว่าเจ้าจะมีปัญญารักษาระดับความเร็วนี่ไว้ได้นานแค่ไหน…สุดท้ายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่เจ้าใช้อยู่ มันก็ไม่ใช่ของเจ้า!”


 


ตั้งแต่ที่เห็นต้วนหลิงเทียนรี่เข้ามา นักฆ่ากะโหลกเลือดก็ปะทุพลังกล้าแข็งพุ่งร่างหนีไปทันที เห็นชัดว่ามันไม่คิดปะทะกับต้วนหลิงเทียนตรงๆ!


 


และฟังจากคำพูดของมันขณะเหินร่างหนีไป เห็นได้ชัดว่าตั้งใจให้ต้วนหลิงเทียนเผาผลาญพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดไปอย่างสูญเปล่า รอให้พลังในร่างต้วนหลิงเทียนอ่อนโทรมถดถอยลงเมื่อไหร่ มันถึงจะคิดลงมือปะทะแตกหัก!


 


“อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้นับว่าพวกหน่วยข่าวกรองทำงานไม่ได้เรื่องจริงๆ…พวกมันบอกว่าเจ้าเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ แต่จากพลังที่เจ้าใช้อยู่เห็นชัดว่ามันเป็นพลังของกฏแห่งไฟ!”


 


“ธาตุไฟ!”


 


“ซ้ำยังมีความลึกซึ้งลุกโหม!”


 


ขณะเหินร่างหลบหนีต้วนหลิงเทียนที่จี้กระชั้นเข้ามาทุกขณะ นักฆ่ากะโหลกเลือดก็กล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ “ยังดีที่ครั้งนี้คนที่มาเป็นข้า…ไม่งั้นหากส่งราชาอมตะ 4 รูปแม้กระทั่งราชาอมตะ 5 องค์ประกอบมา น่ากลัวไม่พ้นต้องมาตายเปล่าแน่”


 


“ผู้อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล!”


 


หลังเห็นเจตนาของนักฆ่ากะโหลกเลือด สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็จมลง ขณะเดียวกันก็เร่งติดต่อเพลิงเทพโกลาหลภายในร่างทันที


 


และแทบจะในวินาทีเดียวกันกับที่เขาร้องเรียกเพลิงเทพโกลาหล ทั่วร่างของเขาก็ปรากฏมวลพลังดั่งเพลิงสีเทาขุมหนึ่งปะทุออกมาจากร่างกาย และเริ่มหลอมรวมผสานเข้ากับเพลิงสีแดงเข้มที่ลุกโชนไปทั่วร่างเร็วไว


 


ตูมม!!


 


ทันใดนั้นเสียงประหนึ่งเพลิงระเบิดพลันดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว!


 


พริบตาต่อมาเปลวเพลิงทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปะทุพวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงปานจุดระเบิด!


 


เสี้ยวพริบตาความเร็วของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นมาจนเหนือกว่าความเร็วของนักฆ่ากะโหลกเลือดหลายเท่าตัว!


 


“นี่มัน…ความลึกซึ้งปะทุ!?”


 


สีหน้านักฆ่ากะโหลกเลือดเปลี่ยนไปใหญ่หลวง ขณะเดียวกันมันก็รู้ตัวทันทีว่าไม่อาจหลีกหนีได้อีกต่อไป เพราะความเร็วของต้วนหลิงเทียนตอนนี้สามารถไล่มันทันได้ง่ายๆ!


 


และเนื่องจากเห็นว่าเมื่อครู่อยู่ๆเพลิงไฟทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็คล้ายจุดระเบิดขึ้นมา จึงทำให้นักฆ่ากะโหลกเลือดเข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนกำลังใช้ความลึกซึ้ง ปะทุ ของกฏแห่งไฟ!


 


ความลึกซึ้ง ปะทุ ของกฏแห่งไฟ แม้จะเป็นความลึกซึ้งที่เสริมพลังโจมตีเป็นหลัก แต่มันก็สามารถใช้เสริมความเร็วในการเคลื่อนไหว ไม่เว้นความเร็วในการจู่โจมได้ด้วย!


 


เพราะยามใช้พลัง เสมือนการจุดระเบิด มวลเพลิงที่ปะทุออกยังรุนแรงนัก จะใช้จู่โจมก็ดี หรือผลักดันความเร็วในการเคลื่อนไหวก็ดี!


 


เดิมทีก็มีความลุกซึ้งลุกโหมที่หนุนเสริมความเร็วเป็นหลักอยู่แล้ว พอมาจุดระเบิดพลังด้วยความลึกซึ้งปะทุแบบนี้ ความเร็วที่ปะทุขึ้นในชั่วพริบตาก็กลับกลายเป็นรวดเร็วจนน่ากลัว!


 


ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ!


 



 


นักฆ่ากะโหลกเลือดที่รู้ตัวว่าไม่อาจหนีได้พ้น ก็หันกลับมาตวัดมือเป็นพัลวัน จากนั้นเส้นด้ายดั่งไหมสีเงินก็เริ่มตวัดฟันไปทั่วดั่งอสรพิษปราดเปรียว บังเกิดเป็นคลื่นพลังสะบั้นสีเขียวยิบย่อยมากมายซัดแหวกอากาศมาฉับไว สภาวะพลังคมกล้าปานมีดดาบ!


 


นอกจากนั้นในขณะที่ลงมือ เส้นด้ายสีเงินของนักฆ่ากะโหลกเลือดยังคล้ายถูกฉาบเคลือบไปด้วยพลังสีเขียว!


 


ทั่วร่างของมันเองก็คล้ายมีวังวนพลังแสงสีเขียวหนึ่งห้อมล้อมอยู่ตลอดเวลา ราวกับพายุสีเขียวที่มองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า!


 


เพียงมองดูก็รู้ว่ากฏที่นักฆ่ากะโหลกเลือดผู้นี้เชี่ยวชาญก็คือกฏแห่งลม อีกทั้งสิ่งที่มันกำลังสำแดงอยู่ตอนนี้ก็คือความลึกซึ้งของกฏแห่งลมหลายประการพร้อมๆกัน!


 


และตั้งแต่ที่มันเคลื่อนร่างหลบหนีจวบจนหันกลับมาจู่โจม มันก็ได้เผยความลึกซึ้งของกฏแห่งลมออกมา 3 ประการแล้ว หนึ่งเลยก็คือความลึกซึ้งลมกรด ความลึกซึ้งควบรวมสายลม และความลึกซึ้งสะบั้น!


 


สำหรับความลึกซึ้งจากความหมายแห่งลมที่ทำให้ใช้พลังธาตุลมได้นั้น ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง เพราะการจะใช้ความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏแห่งลมได้ ก็จำต้องเข้าใจความลึกซึ้งความหมายแห่งลมก่อนอยู่แล้ว


 


“ราชาอมตะ 6 ผสาน!”


 


ขณะเดียวกัน เมื่อนักฆ่ากะโหลกเลือดผู้นี้หันกลับมาลงมือเต็มกำลัง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสกลิ่นอายพลังที่แท้จริงของมันได้ชัดเจน จึงมองด่านพลังฝึกปรือของมันออกได้ทันที


 


นอกจากนั้นความลึกซึ้งของกฏแห่งลมทั้งหลายที่นักฆ่ากะโหลกเลือดใช้ออก ต้วนหลิงเทียนก็รู้จักทั้งหมด


 


“กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน!”


 


ในห้วงเวลาพริบตาดุจฟ้าแลบ ต้วนหลิงเทียนได้เรียกกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมาจากร่าง เตรียมใช้กระบวนท่าสังหารเต็มกำลังจัดการนักฆ่ากะโหลกเลือดให้เร็วที่สุด!


 


เป็นธรรมดาว่าในขณะที่เรียกกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมาจากร่าง ต้วนหลิงเทียนก็จงใจควบคุมให้มันปรากฏขึ้นมาจากอากาศธาตุดั่งผุดโผล่ออกมาจากแหวนพื้นที่ เพื่อไม่ให้นักฆ่ากะโหลกเลือดค้นพบความไม่ธรรมดาและมองออกว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของเขาเป็นอุปกรณ์เทพ


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 



 


ทว่าทันใดนั้นเอง รอบกายนักฆ่ากะโหลกเลือด พลันปรากฏบางสิ่งส่งเสียงดังเสียดแก้วหูออกมา และหลังจากแลเห็นสิ่งที่อุบัติขึ้น ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันที!


 


‘นี่มัน…ความลึกซึ้ง คมมีดสายลม!’


 


นักฆ่ากะโหลกเลือดผู้นี้ หลังจากเผยความลึกซึ้งลมกรด ควบรวมสายลม ทั้งสะบั้นแล้ว…มันยังเผยความลึกซึ้ง คมมีด สายลมออกมาอีก!!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)