War sovereign Soaring The Heavens 3048-3057
WSSTH ตอนที่ 3,048 : ชั้นบนสุดของหอตำรา
ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว ตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนเข้ามาอยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่
ตลอดช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา ปกติแล้วเขาก็ฝึกฝนบ่มเพาะพลังในลานของเขา นอกจากนั้นก็ช่วยให้หวงเอ้อผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน
หลังผ่านไปครึ่งเดือน ด้วยมีเพลิงเทพโกลาหลคอยช่วยเหลือ ในที่สุดเขาก็ใช้ทรายประกายดาราที่ได้รับมาจากคลังสมบติของนิกายอมตะเป้าผู่จนหมด
และทำให้การผสานหลอมรวมเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของหวงเอ้อ สำเร็จลุล่วงไปแล้วราวๆ 6 ส่วน เหลืออีกแค่ 4 ส่วนเท่านั้น นางก็จะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนโดยสมบูรณ์!
ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาสามารถพบเจอวัตถุดิบที่คล้ายๆกับทรายประกายดารา เขาก็สามารถเร่งกระบวนการผสานหลอมรวมระหว่างหวงเอ้อกับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้อีก ถึงตอนนั้นนางก็จะผสานรวมกับกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาอันสั้น!
และพอถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนจะฟื้นคืนพลังอำนาจของอุปกรณ์เทพระดับสูงเท่านั้น แต่หวงเอ้อยังสามารถแยกตัวออกมาจากกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนและใช้ชีวิตเหมือนผู้คนทั่วไปได้อีกด้วย
หลังจากที่ทรายประกายดาราหมดลง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดบ่มเพาะพลังในลานต่อ แต่เลือกจะออกจากลานบนเกาะส่วนตัว ทั้งออกจากหุบเขาที่พักศิษย์ฝ่ายในกับศิษย์ที่แท้จริง มายังหอตำราฝ่ายในแห่งนี้
จุดประสงค์ก็คือมาหาวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาฝึกปรือที่ชั้นบนสุด
ถึงแม้ฟังดูอาจจะเหมือนโลภเกินกว่าจะกลืนได้หมด แต่เขาก็คิดจะเอาวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังทั้งหมดของนิกายอมตะเป้าผู่! ในเมื่อวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาทั้งหลายอยู่ในรูปแบบยันต์อมตะเก็บความทรงจำใช้ครั้งเดียวทิ้ง และมีให้เลือกมากมายแถมจะผลิตเมื่อไหร่ก็ได้ ไหนเลยเขาจะเกรงใจ?
‘คราวนี้ข้าจะเหมาวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังประจำนิกายอมตะเป้าผู่ไปให้เกลี้ยง…’
ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดด้วยใจตั้งมั่น ขณะก้าวอาดๆเข้าไปในหอตำรา
ขณะเดียวเขาก็บึ่งตรงไปยังชั้นบนสุดทันที
และเขาก็ถูกหยุดไว้ตามชั้นต่างๆ แน่นอนว่าเพียงแสดงป้ายศิษย์ที่แท้จริง เขาก็ผ่านมาได้ทันที
ในระหว่างกระบวนการดังกล่าว เหล่าผู้ที่คอยประจำตามชั้นต่างๆพอเห็นป้ายศิษย์ที่แท้จริงของเขา ต่างรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร จึงพยายามทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น
เรียกว่าหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน เรื่องที่เขาได้กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 10 อันเป็นตำแหน่งที่ว่างอยู่ ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วนิกายอมตะเป้าผู่แล้ว และเรื่องราวของเขาก็ถูกผู้คนรับทราบกันหมด
ตอนนี้ภายในนิกายอมตะเป้าผู่ เว้นเสียแต่ศิษย์ที่ปิดด่านบ่มเพาะมานาน กับศิษย์ที่ออกไปทำภารกิจนอกนิกาย แทบไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเขา
“เจ้าคือต้วนหลิงเทียนรึ? ร้ายกาจ ร้ายกาจ!”
ผู้ที่รับผิดชอบเฝ้าชั้นบนสุดเป็นชายชราแก่หง่อมเส้นผมขนคิ้วขาวโพลน ใบหน้าเหี่ยวย่นเผยให้รู้ว่าผ่านวันเวลามามากแล้ว
“ผู้อาวุโส”
ถึงแม้จะไม่ทราบฐานะและตัวตนของอีกฝ่าย แต่ต้วนหลิงเทียนก็ป้องมือประสานคารวะทักทายออกไปอย่างสุภาพ
“ประเสริฐ! ไม่เพียงมากพรสวรรค์และประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเยาว์ เจ้ายังนิสัยดีมีมารยาท…คนหนุ่มเช่นเจ้านับว่าหาได้ยากแล้วในยุคสมัยที่ผู้คนต่างก็ถือดีกันเช่นนี้”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราคลี่ยิ้มสดใส แต่แลแล้วช่างขัดลูกตาผู้คนปานร่ำไห้
หลังยิ้มร่าเอ่ยชม ชายชราก็เอ่ยถามต้วนหลิงเทียนอย่างตรงไปตรงมา “เจ้ามานี่…คิดหาวรยุทธ์อมตะ เวทย์พลังระดับราชา หรือเคล็ดอมตะไปบ่มเพาะกันเล่า?”
“เรียนอาวุโส…ข้ามาที่นี่เพราะคิดหาวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังไปฝึกปรือ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“เอาล่ะ”
ชายชราพยักหน้ารั ค่อยยถามเพิ่ม “ว่าแต่ เจ้าสนใจวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังแบบใด?”
“วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังแบบใดหรือ?”
ต้วนหลิงเทียยนสงสัยเล็กน้อย ด้วไม่คำว่า ‘แบบใด’ ที่ชายชราเอ่ยถามคืออะไร
“ก็…วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่เจ้าต้องการน่ะ เจ้าต้องการให้มันแฝงกฏอันใดไว้”
ชายชรากล่าวเสริม
“ข้าเอาทั้งหมดเลยไม่ได้รึ?”
ต้วนหลิงเทียนถามตาปริบๆ
บอกตรงๆจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่วันนี้ก็คือเหมาวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังประจำนิกายยอมตะเป้าผู่ไปทั้งหมด! ส่วนอันไหนใช้ได้ใช้ดี หรืออันไหนเหมาะสมนั้น เขาค่อยไปปรึกษากับเหล่าเทพธาตุในร่าง เรียกว่าเอามาก่อน ใช้ได้หรือไม่ได้ว่ากัน!!
เพราะสุดท้ายแล้วในนิกายอมตะเป้าผู่ ก็ต้องมีคนที่สามารถสร้างยันต์อมตะเก้บความทรงจำวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังเหล่านี้เป็นประจำอยู่แล้ว ให้เขาเอาไปหมดก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบอะไรต่อนิกายอมตะเป้าผู่มาก…
“เอาทั้งหมด!?”
ได้ยินคำถามดังก่าวของต้วนหลิงเทียน มุมปากชายชราถึงกับกระตุก เอ่ยถ่ามออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่ผู้ใดเป่าหูเจ้ามาว่าสามารถเอาไปได้ทั้งหมด?”
“บอกข้ามา…ข้าจักไปหักขามันเดี๋ยวนี้!”
จากนั้นชายชราก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทางหงุดหงิด
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเลยว่าชายชราเบื้องหน้าจะของขึ้นแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มเจื่อนๆกล่าวไปว่า “อาวุโส ไม่มีใครบอกข้าหรอกว่าสามารถเอาไปได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่มีใครบอกข้าเหมือนกันว่าเอาไปทั้งหมดไม่ได้”
ต้วนหลิงเทียนยังจดจำได้ว่าซุนเหลียงเผิงเคยบอกเขาไว้ ว่าหากต้องการเคล็ดอมตะ วรยุทธ์อมตะ หรือเวทย์พลัง ก็สามารถไปรับได้ที่ชั้นบนสุด แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้บอกมาว่าเขาเอาไปได้เท่าไหร่ และไม่ได้บอกว่าเอาไปหมดไม่ได้
ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียนใบหน้าหงุดหงิดของชายชราก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่อยู่ที่นี่ สำหรับศิษย์ที่แท้จริงแล้ว สามารถเลือกไปได้ก็แต่วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่มีกฏชนิดเดียวกันเท่านั้น…และนี่เป็นกฏข้อบังคับของนิกาอมตะเป้าผู่ตั้งแต่สมัยโบราณ”
“เหตผลที่ไฉนตั้งกฏข้อบังคับเช่นนี้ขึ้น ก็เพราะบรรพชนทั้งหลายกลัวชนรุ่นหลังเป็นสิงโตปากกว้าง และสุดท้ายก็กลายเป็นกลืนคำใหญ่เกินกว่าจักเคี้ยวได้ไหว…”
“เช่นนั้นเจ้าที่คิดมาเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังวันนี้ สามารถเลือกที่มันมีกฏชนิดเดียวเท่านั้น…แน่นอนว่าหากเป็นวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่มีกฏชนิดเดียวกัน เจ้าจะหยิบไปเท่าไหร่ก็ได้”
“แต่แน่นอนว่าเจ้ามิอาจเอากลับไปได้ ก่อนเจ้าจะออกไปจากที่นี่ เจ้าต้องใช้ยันต์อมตะเก็บความทรงจำเหล่านั้นให้หมดก่อนเท่านั้น!”
ชายชรากล่าวออกมารวดเดียวจบคำ
ต้วนหลิงเทียนคลิ้มออกมาอย่างขื่นขม
เขาไม่คิดเลยว่านากยอมตะเป้าผู่มีกฏอะไรแบบนี้อยู่ด้วย
ต้องทราบด้วยว่าก่อนมา กระทั่งมาถึงที่นี่แล้วเขายังคิดไปด้วยใจตั้งมั่นว่า ‘พี่จะเอาไปให้หมด’ แม้จะใช้ไม่ได้ในตอนนี้แต่ก็เก็บไว้ใช้ภายหลัง หรือถ้าไม่ใช้จริงๆเอาไปให้ผู้อื่นหรือไม่ก็เอาไปขายไปแลกอะไรทำนองนั้น…
พอมาได้ยินคำพูดชายชราเบื้องหน้า เขาจึงรู้ว่าวันนี้เขาเลือกได้แค่วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่มีกฏชนิดเดียวเท่านั้น หากเขาเลือกธาตุดิน ก็ไม่อาจเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุอื่นๆได้เลย
“ข้าได้ยินมาว่าบัดนี้เจ้าได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว…เช่นนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังรดับราชาที่มีกฏแห่งดินแฝงเร้นอยู่”
“จักว่าไป นิกายอมตะเป้าผู่เราก็มีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินรวมแล้ว 3 อย่าง…เป็นวรยุทธ์อมตะระดับราชา 1 กับเวทย์พลังระดับราชา 2”
ชายชรากล่าวสืบต่อ
“ผู้อาวุโส…ข้าขอลองดูวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินที่มีทั้งหมดก่อนได้ไหม ว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“ย่อมได้”
ชายชราพยักหน้า
จากนั้นชายชราก็เดินนำเขาไปทันที และไม่นานนักต้วนหลิงเทียนก็มาถึงชั้นวางหนังสือที่มียันต์อมตะเก็บความทรงจำใช้ครั้งเดียวทิ้งของวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินทั้ง 3 อย่าง
และด้านหน้ายันต์อมตะใช้ครั้งเดียวทิ้ง ที่บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินเอาไว้ ก็มียันต์อมตะเก็บความทรงจำตั้งอยู่
“เจ้าใช้ยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่ตั้งอยู่ด้านหน้าดู เจ้าจักได้รู้ว่าวรุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังดังกล่าวเป็นแบบใด และมีแนวทางอันใด มีกฏอะไรแฝงเอาไว้บ้าง เรียกว่าเป็นข้อมูลให้เจ้าใช้ตัดสินใจเลือก”
ชายชราเอ่ยเตือน
หลังกล่าวจบคำ ชายชราก็ยืนอยู่ข้าๆ มองต้วนหลิงเทียนทดลองใช้ยันต์อมตะเก็บความทรงจำเงียบๆ
“ดีจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็เริ่มแผ่สำนึกเทวะเข้าไปในยันต์อมตะเก็บความทรงจำชิ้นแรก จากนั้นข้อมูลจำนวนมากก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจเขา
“นี่คือเวทย์พลังระดับราชาที่เรียกว่า มังกรปฐพีหลีกลี้ ซึ่งแฝงเร้นไปด้วยความลึกซึ้ง ความหมายแห่งดิน กับคววามลึกซึ้ง เคลื่อนพิภพ”
“เคลื่อนพิภพ…เป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งดินประการเดียวที่เน้นความเร็วเป็นหลัก อย่างไรก็ตามความลึกซึ้งนี้หากสำเร็จเพียงขั้นตอนเบื้องต้น จักมิอาจใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพยามลอยอยู่กลางอากาศ และจุดเด่นของมันก็คือยามอยู่บนผืนดิน ใช้พลังเพียงเสี้ยวกลับบังเกิดผลลัพธ์มหาศาล คนกลับกลายเป็นว่องไวดั่งมังกรเปรียว!”
ต้วนหลิงเทียน้องก็เคยได้ยินปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเอ่ยถึงความลึกซึ้งประการต่างๆของกฏแห่งดินให้เขาฟังคร่าวๆแล้ว เขาจึงรู้ดีว่ากฏแห่งงดินนั้นมีจุดอ่อนในเรื่องการเคลื่อนไหวบางอย่าง
“หากเจ้าต้องการความลึกซึ้งที่หนุนเสริมความเร็วเป็นหลักของกฏแห่งดิน ถ้าเจ้ายังมิอาจฝึกฝนมันจนบรรลุขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ เจ้าจำต้องหลอกล่อศัตรูเข้าไปสู้ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยด้วย หาไม่แล้วมันจักไร้ประโยชน์ทันที!”
“ความลึกซึ้งที่เสริมความเร็วเป็นหลักของกฏแห่งดินนั้น มีเพียงแต่ต้องบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่เท่านั้น เจ้าถึงจักใช้มันได้ดั่งใจในอากาศ ตอนนั้นแม้จะไม่ได้สัมผัสผืนดินหยิบยืมพลังปพี แต่เขาก็สามารถหยิบยืมพลังของอณูธาตุดินในบรรยากาศได้ และมิได้แตกต่างจากตอนอยู่บนพื้นแม้แต่น้อย”
นั่นคือคำพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน
‘ลองดูอย่างอื่นก่อนแล้วกัน…’
ต้วนหลิงเทียนยถอนรั้งสำนึกเทวะออกมา จากนั้นก็เริ่มชำแรกเข้าไปตรวจสอบยันต์อมตะที่วางอยู่ด้านหน้าวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับราชาอย่างอื่น ไม่นานข้อมูลของมันก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเขา
“นี่คือวรยุทธ์อมตะระดับราชาที่เรียกว่า ‘พันธนาการเขี้ยวกระชาก’ นอกจากจะมีความลึกซึ้งความหมายแห่งดินแล้ว ยังแฝงเร้นไปด้วยความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงของกฏแห่งดินอีกด้วย”
‘ให้ตายเถอะวรยุทธ์อมตะนี่มันไม่ได้แตกต่างจากคุกศิลาทมิฬที่ข้ามีเลย ต่างกันก็แค่การควบคุมพลังธาตุดินสร้างลูกกรงให้เป็นคมเขี้ยวแทน แต่แก่นแท้ของมันก็คือการควบคุมแรงโน้มถ่วงทำให้ศัตรูเสมือนถูกปั่นในวังวนคมเขี้ยว จนร่างถูกฉีกกระชากเท่านั้นเอง…’
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
ขณะเดียวกันความสนใจของต้วนหลิงเทียนก็ไปหยุดอยู่กับเวทย์พลังอย่างสุดท้าย “นี่เป็นเวทย์พลังระดับราชาที่เรียกว่า ชีพจรปฐพีสะท้าน นอกจากความลึกซึ้งความหมายแห่งดินแล้ว ยังมีความลึกซึ้ง สั่นสะเทือน”
ความลึกซึ้ง สั่นสะเทือน
ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอประกายวับวาวขึ้นมา
เพราะเขาเคยได้ยินปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพูดไว้ แม้ความลึกซึ้งแห่งดินส่วนใหญ่จะเน้นเสริมผู้ใช้ในแง่การป้องกัน แต่ก็ยังมีความลึกซึ้งที่เน้นจู่โจมเป็นหลัก!
และความลึกซึ้งที่มุ่งเน้นในการโจมตีเป็นหลักของงกฏแห่งดิน ก็คือความลึกซึ้ง ‘สั่นสะเทือน’ นั่นเอง
‘เวทย์พลังมหาชีพจรปฐพีสะท้านที่มีความลึกซึ้งสั่นสะเทือนนั้น สำหรับข้าแล้วมันน่าสนใจกว่ามังกรปฐพีหลีกลี้ที่แฝงความลึกซึ้ง เคลื่อนพิถพ ไว้มาก…และสามารถใช้งานจริงได้ทันที ไม่ต้องลำบากหาสภาพแวดล้อมเหมาะสมอะไร’
‘สำหรับวรยุทธ์อมตะ พันธนาการเขี้ยวกระชากนั้น ดันมีความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วง ซึ่งจะไปซ้ำซ้อนกับคุกศิลาทมิฬที่ข้ามีอยู่…ถึงได้มันมาก็แค่มีรูปแบบการโจมตีเพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่ได้เพิ่มพลังให้ข้าอย่างมีนัยสำคัญอะไรเลย’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกลำคอแห้งผากอยู่บ้าง
หากพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ถ้าเขาเลือกวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินทั้ง 3 จริงอยู่ที่มันจะทำให้เขาแค่มีความหลากหลายในการโจมตีเพิ่มขึ้น และปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็สามารถช่วยให้เขาเข้าใจพวกมันในเวลาที่สั้นกว่าคนนอื่นหลายเท่า
อย่างไรก็ตามกล่าวกันตามตรงตอนนี้ความลึกซึ้งของกฏแห่งดินที่เขาเข้าใจก็มีแค่ความหมายแห่งดินเท่านั้น ต่อให้เขาจะเลือกละทิ้งกฏแห่งดินไปเลือกกฏอื่นๆก่อน ก็แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างเลย
“ผู้อาวุโส แล้ววรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่มีกฏแห่งทองกับกฏแห่งไฟอยู่ตรงไหนหรือ ข้าขอลองดูพวกมันหน่อยได้ไหม?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามชาชรา
ตอนนี้เขาต้องการเพิ่มพูนพลังของตัวเองให้เร็วที่สุด เช่นนั้นจึงอยากรู้ว่าที่นิกายอมตะเป้าผู่แห่งนี้ มีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาที่แฝงกฏแห่งทองหรือไฟกี่แบบไหนบ้าง เพราะทั้ง 2 กฏนี้เขามีทองเทพสุดลี้ลับกับเพลิงเทพโกลาหลที่สามารถช่วยให้เขาเข้าใจความหมายแห่งกฏได้แทบจะทันที และหากพวกมันมีความหลากหลายมากกว่ากฏแห่งดิน เขาก็จะเลือก 1 ใน 2 กฏนี้ที่มีประโยชน์ต่อตัวเขาสูงสุด!
WSSTH ตอนที่ 3,049 : ทางเลือกของต้วนหลิงเทียน
และสำหรับวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาที่แฝงไว้ด้วยกฏอื่นๆนอกเหนือจากนี้ เขาไม่คิดจะสนใจมันเลย
กฏแห่งดินนั้น ด้วยมีปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินช่วยเหลือ ไม่เพียงเขาจะเข้าใจคววามลึกซึ้ง ‘ความหมายแห่งดิน’ ได้ในเวลาชั่วข้ามคืน กระทั่งความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏแห่งดิน เวลาที่ใช้ก็จะร่นลง 10 เท่าเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ
และกฏแห่งไฟกับกฏแห่งทองนั้น ด้วยมีเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับช่วยเหลือ แน่นอนว่าไม่เพียงเขาจะเข้าใจความหมายแห่งกฏได้ในเวลาสั้นๆเท่านั้น แต่ความลึกซึ้งประการอื่นเขาก็จะเข้าใจมันได้รวดเร็วสุดที่คนอื่นๆจะเทียบได้
กระทั่งต่อให้เป็นผู้ที่มีไหวพริบปฏิภาณรวมถึงเชาว์ปัญญาเลิศล้ำแค่ไหน หากไร้เทพแห่งธาตุทั้ง 5 ช่วยเหลือแบบเขา ก็ไม่มีวันทำความเข้าใจความลึกซึ้งต่างๆได้เร็วเท่าเขาเลย
“ต้วนหลิงเทียน อย่าได้กลืนคำใหญ่เกินกว่าที่เจ้าจักเคี้ยวไหว…”
เดิมทีชายชราคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินทั้ง 3 ไปแน่นอนแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยถามถึงกฏอื่น มันจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ จากนั้นจึงเลือกจะเอ่ยเตือนออกมา
“ข้าทราบดี ท่านผู้อาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆตอบคำ แต่แววตาที่มองสบตาชายชรายังแน่วแน่ไม่หวั่นไหว “รบกวนผู้อาวุโสพาข้าไปดูวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่มีกฏแห่งทองหรือไฟแฝงเร้นอยู่เถอะ”
เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยนของต้วนหลิงเทียน รวมถึงตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนเพียงเอ่ยถึงกฏแห่งทองกับกฏแห่งไฟเท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงกฏอื่นๆเลย ใจของชายชราก็เริ่มสะท้านไปทันที
หรือต้วนหลิงเทียนผู้นี้ยังเข้าถึงกฏแห่งทองกับกฏแห่งไฟแล้วด้วย?
ไม่ใช่ว่ากฏเดียวที่อีกฝ่ายเข้าถึงคือกฏแห่งดินหรอกหรือ?
คิดถึงจุดนี้ชายชราก็บังเกิดความคิดเหลวไหลขึ้นมาประการหนึ่ง ‘ไม่! เป็นไปไม่ได้ มิมีทางเป็นไปได้เลย…เจ้าหนูนี่อายุยังไม่ทันถึงร้อยปีด้วยซ้ำ แค่ด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดและเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินได้ 2 ประการมันก็เป็นอัจฉริยะอันร้ายกาจมากแล้ว ไหนเลยจะไปเข้าใจความลึกซึ้งของกฏอื่นๆได้!’
จะอย่างไรก็แล้วแต่ ด้วยเห็นความประสงค์อันแน่วแน่ของต้วนหลิงเทียน ชายชราก็ได้แต่พาต้วนหลิงเทียนไปดูวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุทองกับธาตุไฟเท่านั้น
“ไอ้หนู คราวนี้เจ้าตัดสินใจได้ถูกแล้ว…หากที่นี่มีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุทองหรือไฟที่ดีกว่า เจ้าสมควรเลือกมัน”
เสียงเด็กน้อยยังไม่หย่านมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นในใจต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ถาม แต่อีกฝ่ายก็เลือกที่จะกล่าวแนะนำออกมา
“วรยุทธ์กับเวทย์พลังธาตุดินของที่นี่มีแค่ 3 อย่างเท่านั้น…มังกรปฐพีหลีกลี้ที่แฝงความลึกซึ้งเคลื่อนพิภพนั่น เจ้าได้มาตอนนี้ก็นับว่าไร้ประโยชน์”
“สำหรับ พันธนาการคมเขี้ยวกระชาก ก็ดันไปซ้ำซ้อนกับคุกศิลาทมิฬ นับว่าไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง…สำหรับมหาชีพจรปฐพีสะท้าน ที่มีความลึกซึ้งสั่นสะเทือนอันนี้พอได้หน่อย กล่าวไปก็นับว่ามีประโยชน์สำหรับเจ้าไม่เบา”
“แต่ลองไปเลือกชมดูวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุทองกับไฟก่อนนับว่าดีแล้ว หากพวกมันมีความลึกซึ้งหลากหลายมากกว่านี้ก็เป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า แต่ถ้าไม่มีก็ค่อยกลับไปเอาวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุดินทั้ง 3 นั่นก็ได้”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวออกมารวดเดียวจบ
“เข้าใจแล้ว”
ด้วยมีปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินสนับสนุน ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้น
“นิกายอมตะเป้าผู่เรา มีเวทย์พลังระดับราชาธาตุทองเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น…”
ไม่นานชายชราก็พาต้วนหลิงเทียนมาถึงชั้นวางเวทย์พลังระดับราชาธาตุทอง ซึ่งสภาพแลดูโหรงเหรงวังเวงนัก เพราะมันตั้งอยู่แค่อันเดียวโดดๆ
“อย่างเดียว?”
ต้วนหลิงเทียนผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่คิดอะไรให้มากความเลือกจะส่ายหัวไปมาเอ่ยว่า “เช่นนั้นรบกวนผู้อาวุโสพาข้าไปดูวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุไฟเลยเถอะ”
เวทย์พลังระดับราชาธาตุทองของนิกายอมตะเป้าผู่ ไม่ว่ามันจะมีความลึกซึ้งอะไรอื่นแฝงอยู่นอกจากความหมายแห่งทอง ก็นับว่าช่วยเหลืออะไรต้วนหลิงเทียนแทบไม่ได้เลย
หากจะเลือกธาตุทอง มิสู้หันกลับไปเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินทั้ง 3 นั่นยังประเสริฐกว่า!
เพราะวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินนั้น จะอย่างไรก็มีความลึกซึ้งใหม่ๆให้เขาทำความเข้าใจ 2 ประการ ที่สำคัญหนึ่งในนั้นยังเป็นความลึกซึ้งที่มุ่งเน้นการโจมตีเป็นหลักของกฏแห่งดินอย่างความลึกซึ้งสั่นสะเทือน
สำหรับความลึกซึ้งเคลื่อนพิภพ ที่เป็นความลึกซึ้งหนุนเสริมการเคลื่อนไหวนั้น แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีประโยชน์ แต่ในภาภาคหน้าย่อมมีประโยชน์
สำหรับพันธนาการคมเขี้ยวกระชากที่มีความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วง แม้มันจะซ้ำซ้อนกับคุกศิลาทมิฬ แต่ใครจะไปรู้ว่าหากเขาศึกษามันและพบเจออีกหนทางหนึ่งที่มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน มันจะไม่ทำให้เขาเข้าใจความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงได้ไวกว่าเดิมอีกเท่าตัว?
ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่เขาจะมีรูปแบบการโจมตีเพิ่มขึ้นเพราะสำเร็จวรยุทธ์อมตะพันธนาการคมเขี้ยวกระชาก แต่เขาอาจจะเข้าใจพื้นที่โน้มถ่วงได้เร็วกว่าเดิมก็ได้!
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ชายชราก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
ในสายตาของมัน เว้นเสียแต่ต้วนหลิงเทียนจะไปโดนลาดีดหัวจนสมองกลับมา หาไม่แล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาเลือกเวทย์พลังระดับราชาธาตุทองเพียงอย่างเดียว แทนที่จะย้อนกลับไปเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินทั้ง 3
“ท่านผู้อาวุโส…นิกายอมตะเป้าผู่เรา คงไม่ได้มีวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟเพียงแค่อย่างเดียวอีกหรอกนะ?”
ขณะเดินตามหลังชายชราไปต้อยๆ ต้วนหลิงเทีนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเรื่องนี้ออกมา เพราะหากมันเป็นแบบนั้นจริงมิสู้เขาย้อนกลับไปเอาวรยยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุดิน 3 อย่างเลยไม่ดีกว่าเหรอ
“จักเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรเล่า!”
ชายชราตอบกลับมาเร็วไว อีกทั้งน้ำเสียงยังแฝงเร้นไปด้วยความภาคภูทิใจอย่างออกหน้าออกตา “นิกายอมตะเป้าผู่เรา ครอบครองวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมากกว่าธาตุอื่นๆ!!”
“กระทั่งในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น นอกจากตัวคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว ข้าเกรงว่านิกายอมตะเป้าผู่ของเราก็คือผู้ที่ครอบครองวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมากกว่าผู้ใด!”
ชายชรากล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจ
ได้ยินคำพูดของชาชรา ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที
วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟ นอกจากคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว นิกายอมตะเป้าผู่นั้นมีมากกว่าขุมกำลังอื่นๆงั้นหรือ?
“ท่านผู้อาวุโส แล้วนิกายอมตะเป้าผู่เรามีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟเท่าไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยคววามสนใจ
“เจ้าชมดูเอาเองเถอะ”
เสีงชายชราดังขึ้น ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็พบว่าชายยชราไปหยุดยืนที่ชันวางหนังสือแห่งหนึ่ง เขาจึงก้าวอาดๆตามเข้าไปทันที
“ทั้งหมดนี่เลย!?”
และพอสายตาต้วนหลิงเทียนมองตกไปยังชั้นวางหนังสือเบื้องหน้าชายชรา ลูกตาของเขาก็เปล่งแสงจ้าออกมาทันที!
เพียงเพราะว่าบนชั้นวางหนังสือเบื้องหน้าชายชรานั้น มียันต์อมตะเก็บความทรงจำวางอยู่ทั้งสิ้น 10 ชุด และแบ่งเป็นแถวหน้าและแถวหลัง ด้านหลังย่อมเป็นยันต์อมตะเก็บความทรงจำใช้แล้วทิ้งที่บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟเอาไว้ ส่วนด้านหน้าก็เป็นยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกข้อมูลรายละเอียดของมัน
หากทั้งหมดที่เขาเห็นนั้นเป็นวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟทั้งหมด หมายความว่าอย่างน้อยๆนิกายอมตะเป้าผู่ก็ต้องมีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟที่แฝงความลึกซึ้งของธาตุไฟไว้ 5 ประการ!
“เจ้าเลือกชมดูเองเถอะ”
ชายชรากล่าว
และแทบจะทันทีที่ชายชรากล่าวจบคำ สำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนก็แผ่ออกไปชำแรกลงสู่ยันต์อมตะเก็บความทรงจำชิ้นซ้ายสุดทันที
ไม่นานข้อมูลที่ยันต์อมตะเก็บความทรงจำชิ้นนี้บันทึกเอาไว้ ก็หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของต้วนหลิงเทียน
“นี่คือวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุไฟ ซึ่งหากฝึกปรือสำเร็จเจ้าจักเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งไฟ และความลึกซึ้ง สุริยันสาดแสง ของกฏแห่งไฟ”
ความลึกซึ้ง สุริยันสาดแสง ของกฏแห่งไฟนั้น เป็นความลึกซึ้งที่ช่วยเหลือผู้ใช้ในแง่ของการสร้างความสับสนและเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ได้มีคุณลักษณะเสริมการโจมตี การป้องกัน หรือความเร็วแต่อย่างไร
นี่เป็นสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนได้รับทราบจากปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน
หลังจากนั้นสำนึกเทวะของเขาก็ถอนรั้งออกจากยันต์อมตะเก็บคววามทรงจำอันแรก แล้วชำแรกเข้าสู่ยันต์อมตะเก็บความทรงจำอันถัดมาทางขวาทันที
“นี่คือเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟ เมื่อเจ้าฝึกปรือจนสำเร็จไม่เพียงจักเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งไฟ แล้ว เจ้ายังจักเข้าใจความลึกซึ้ง ท่องอัคคี ของกฏแห่งไฟได้”
ความลึกซึ้ง ‘ท่องอัคคี’ ของกกฏแห่งไฟนั้น เป็น 1 ใน 2 ความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟที่หนุนเสริมการเคลื่อนไหวเป็นหลัก และมันคล้ายๆกับเคลื่อนพิภพของกฏแห่งดินอยู่บ้าง เพราะความึลกซึ้ง ‘ท่องอัคคี’ นี้หากยังเข้าใจแค่ขั้นตอนเบื้องต้น ก็ทำได้แค่เคลื่อนร่างท่องไปมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเพลิงไฟเท่านั้น
จนเมื่อเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้วเท่านั้น ถึงจะใช้อณูธาตุไฟที่แฝงอยู่ในบรรยากาศได้
อย่างไรก็ตาม หากคิดจะยกระดับความเข้าใจมันให้บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ หมายความว่าเขาต้องไปหาวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับจอมราชันธาตุไฟที่มีความลึกซึ้ง ท่องอัคคี แฝงอยู่ จากนั้นยังต้องไปหาวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับจักรพรรดิ ที่มีความลึกซึ้ง ท่องอัคคี แฝงอยู่เช่นกัน…
ยันต์อมตะเก็บความทรงจำชิ้นถัดไป!
“…หากเจ้าสำเร็จจักเข้าใจความลึกซึ้ง ปะทุ ของกฏแห่งไฟ”
ความลึกซึ้งปะทุของกฏแห่งไฟนั้น เป็น 1 ใน 3 ความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟที่มุ่งเน้นไปในแง่การโจมตีเป็นหลัก และเป็นแนวทางของการปะทุระเบิดพลัง
หากเทียบกับความลึกซึ้งจากเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินทั้ง 2 เวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟชิ้นนี้นับว่ากระตุ้นความสนใจของต้วนหลิงเทียนมากกว่า เพราะในแง่ของการระเบิดพลังฉับพลันแล้ว ความลึกซึ้งปะทุของกฏแห่งไฟ ย่อมเหนือกว่าความลึกซึ้ง สั่นสะเทือน ของกฏแห่งดิน!
ถัดไป
“…เจ้าสามารถเข้าใจความลึกซึ้ง ลุกโหม ของกฏแห่งไฟ”
ความลึกซึ้งลุกโหมนั้น เป็น 1 ใน 2 ความลึกซึ้งที่มุ่งเน้นในเรื่องเสริมความเร็วเป็นหลักของกฏแห่งไฟ แต่ใช้งานได้ดีกว่า ท่องอัคคี เนื่องเพราะแค่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น ก็สามารถใช้งานจริงได้แล้ว ที่สำคัญมันยังเสริมความเร็วให้ไม่น้อยกว่าความลึกซึ้ง ‘ลมกรด’ ของกฏแห่งลมเลย
และยังมีคำกล่าวที่ว่า
พัดพาดั่งลม ลุกโหมดั่งเพลิงไฟ
หลังจากนั้นพักหนึ่งในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็แผ่สำนึกเทวะเข้าไปตรวจสอบยันต์อมตะเก็บความทรงจำอันขวาสุด ซึ่งเป็นชิ้นสุดท้ายแล้ว
กระแสข้อมูลมหาศาลปานสายธารก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
“นี่เป็นเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟ นอกจากจะช่วยให้ผู้ฝึกปรือเข้าใจความลึกซึ้งความหมายแห่งไฟแล้ว ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจความลึกซึ้ง เผาไหม้ ของกฏแห่งไฟอีกด้วย”
พอรับทราบข้อมูล ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกาสวว่างจ้าขึ้นมาทันที
ความลึกซึ้งเผาไหม้ของกฏแห่งไฟนั้น เป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟที่มุ่งเน้นในเรื่องการโจมตีเป็นหลัก
และเสียงอุทานของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินที่โพล่งขึ้นในหัวอย่างประจวบเหมาะ ก็ยืนยันความคิดต้วนหลิงเทียนทันที
“อั้ยเจ้าหนู เจ้าโชคดียิ่ง! ความลึกซึ้งเผาไหม้นี่เป็น 1 ใน 3 ความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟที่มุ่งเน้นไปในเรื่องการโจมตีเป็นหลัก…และความลึกซึ้งทั้ง 3 ประการที่มุ่งเน้นการโจมตีเป็นหลักของกฏแห่งไฟก็ได้แก่ ปะทุ เผาไหม้ และลุกลาม!”
“ในบรรดาทั้ง 3 ความลึกซึ้งปะทุกับเผาไหม้นับเป็น 2 ความลึกซึ้งที่มีพลังอำนาจจู่โจมรุนแรงที่สุดของกฏแห่งไฟ…สำหรับความลึกซึ้งลุกลามนั้น มันมีเงื่อนไขที่ค่อนข้างยุ่งยากเล็กน้อย และค่อนข้างจะเข้าใจได้ยาก ทว่ากลับเป็นการโจมตีเชิงขยายผลของกฏแห่งไฟอันน่ากลัว”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว
“เจ้าเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลัง 5 อย่างนั่นมาเถอะ…ด้วยมีเพลิงเทพโกลาหลช่วยเหลือ ไม่นานเจ้าก็สามารถเข้าใจพวกมันได้แล้ว”
ฟังจากคำพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันได้เลือกเฟ้นวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟที่เหมาะสมให้ต้วนหลิงเทียนเรียบร้อย
วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเลือกให้ต้วนหลิงเทียนนั้น นอกเหนือจากความหมายแห่งไฟแล้ว ยังทำให้เขาสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟได้ 5 ประการ
และความลึกซึ้งดังกล่าวก็คือ สุริยันสาดแสง ท่องอัคคี ลุกโหม ปะทุ เผาไหม้
อันที่จริงต่อให้ไม่มีปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวแนะนำ ต้วนหลิงเทียนเองก็ตั้งใจจะเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวท์พลังระดับราชาธาตุไฟทั้ง 5 อย่างนี้มาแล้ว เพราะพวกมันค่อนข้างมีประโยชน์สำหรับเขาในตอนนี้
“ท่านผู้อาวุโส ข้าเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟ 5 อย่างนี้”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวกับชายชราที่ยืนรออยู่ด้านข้างๆเงียบๆอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าคิดดีแล้วรึ?”
ชายชราเอ่ยถามเพื่อยืนยัน
“ข้าคิดดีแล้วผู้อาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับอย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
“เอาล่ะ”
ชาชราพยักหน้าและไม่เอ่ยขัดอะไรอีก เพราะคำเตือนที่มันต้องพูดกับต้วนหลิงเทียนก็ได้พูดไปหมดแล้ว ถึงแม้มันจะไม่ได้มองโลกในแง่ดีเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนมาเลือกกฏแห่งไฟเท่าไหร่ แต่ในเมื่อนี่เป็นการตัดสินใจของอีกฝ่าย มันก็ไม่อาจแทรกแซงได้
WSSTH ตอนที่ 3,050 : ราคาของกะโหลกเลือด!
“วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาทั้ง 5 เจ้าต้องใช้มันต่อหน้าข้า มิอาจนำมันออกจากหอตำราแห่งนี้ได้”
ชายชรายกมือขึ้นเบาๆก็ปรากฏพลังไร้สภาพหอบหิ้วยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาทั้ง 5 ที่ต้วนหลิงเทียนเลือกเอาไว้ออกมา ขณะที่ยื่นส่งให้ต้วนหลิงเทียน ชายชรายังไม่ลืมเอ่ยเตือนเรื่องดังกล่าวอีกรอบ
ยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟทั้ง 5 นั้น แน่นอนว่าสามารถใช้ได้ครั้งเดียว พอใช้แล้วมันก็จะแตกสลายกลับกลายเป็นละอองธุลีทันที…
เช่นนั้นชั้นบนสุดของหอตำราจึงต้องมีผู้เฝ้า และปกติชั้นวางจะมียันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาเหล่านี้เอาไว้แค่ชิ้นเดียว เมื่อมีคนใช้มันก็จะหายไป และผู้ที่เฝ้าดูแลก็จะนำชิ้นใหม่ไปเติมในชั้นวาง
แน่นอนว่าหากจะสร้างยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชา ก็ต้องให้ผู้ที่ฝึกปรือมันเข้าใจความลึกซึ้งที่แฝงอยู่ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างมันออกมาได้ แน่นอนว่าตอนสร้างก็สิ้นเปลืองพลังไม่น้อย
“ทราบแล้วอาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าขานตอบชายชรา จากนั้นเขาก็เริ่มบดขยี้ยันต์อมตะเก็บความทรงจำทั้ง 5 เพื่อใช้งานมันทีละชิ้นๆต่อหน้าอีกฝ่าย และเคล็ดความของวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟทั้ง 5 ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำเขาทันที
ต้วนหลิงเทียนยืนหลับตาจัดเรียงข้อมูลมหาศาลที่ได้รับมาอยู่พักหนึ่ง และเมื่อเขาตรวจสอบคร่าวๆแล้วว่าไม่มีสิ่งใดผิดพลาด สองตาของเขาก็ลืมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ยังเผยประกายสดใส รอยยิ้มพึงใจคลี่กางขึ้นบนใบหน้า
‘กฏแห่งไฟ…หากนับรวมกับความหมายแห่งไฟแล้ว มีความลึกซึ้งทั้งสิ้น 9 ประการ…และตอนนี้ข้าก็ได้โอกาสที่จะเข้าใจความลึกซึ้ง 6 ประการในคราวเดียว…แค่ต้องใช้เวลาสักหน่อย ข้าต้องเข้าใจมันได้ทั้งหมดแน่’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดรู้สึกยินดีมีสุขไม่ได้
“ขอบคุณผู้อาวุโส”
หลังกลับมารู้สึกตัว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองชายชราข้างๆพลางเอ่ยคำขอบคุณออกมา
“เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้อยู่แล้ว มิต้องขอบคุณข้าหรอก”
ชายชรากล่าว
“อย่างไรข้าก็ยังต้องขอบคุณผู้อาวุโสอยู่ดีที่สละเวลามาช่วยเหลือข้า หาไม่แล้วข้าคงต้องเสียเวลาเดินสำรวจยันต์อมตะเก็บความทรงจำไปเรื่อยกว่าจะเจอสิ่งที่ข้าต้องการ แต่พอมีผู้อาวุโสช่วยแบบนี้ นับว่าประหยัดเวลาไปได้มากโขทีเดียว”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ
ชายชราผงะไปด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ค่อยส่ายหัวไปมาพลางยิ้ม “เจ้าหนู นอกจากมากพรสวรรค์แล้วเจ้ายังปากหวานอีกด้วย…เอาล่ะ หากเจ้าไม่รีบร้อนก็ลองไปดูชมชั้นอื่นๆต่อเถอะ ชั้นล่างๆมียันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกข้อมูลอันมีประโยชน์ไว้มากมาย ยังมีลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกฉากการต่อสู้ของผู้ใช้พลังแห่งกฏต่างๆ สิ่งเหล่านี้สมควรมีประโยชน์และเป็นแนวทางให้กับเจ้าได้มิใช่น้อย”
“ขอบคุณอาวุโสที่ชี้แนะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณชายชราอีกครั้ง จากนั้นก็ผสานมืออำลาอีกฝ่าย ก่อนจะเดินลงจากชั้นบนสุด
หลังเดินลงมาจากชั้นบนสุด ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รีบร้อนไปไหน แต่เลือกที่จะลองศึกษาหาข้อมูลในหอตำราดูก่อน
ดั่งที่ชายชราว่าไว้ ในหอตำรามียันต์อมตะเก็บความทรงจำที่เป็นประโยชน์กับเขามากมาย ชั้นวางแต่ละชั้นก็มีการแบ่งประเภทไว้เรียบร้อย ทำให้เขาสามารถเลือกศึกษาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างสะดวก ท้ายที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบความรู้มากมายที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนในอดีต
กระทั่งต้วนหลิงเทียนยังเลือกจะหาความรู้อยู่ที่หอตำราเป็นเวลา 3 เดือนเต็ม!
ทั้งหมดเพราะความรู้ในยันต์อมตะเก็บความทรงจำนั้นมีประโยชน์กับเขามาก และต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าความรู้คือพลัง และขุมทรัพย์ที่มีค่ามากกว่าสิ่งใด เมื่อมีโอกาสอยู่เบื้องหน้าไหนเลยเขาจะไม่คว้าเอาไว้ จึงใช้เวลาไปกับมันพอสมควร
“3 เดือน?”
อย่างไรก็ตาม แม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ว่าตัวเองอยู่ในหอตำราเป็นเวลานาน แต่ก็อดผงะไม่ได้เมื่อพบว่าตัวเองนั้นท่องไปในมหาสมุทรแห่งความรู้โดยกินเวลาไปทั้งสิ้น 3 เดือนเต็มๆ!
“ได้เวลากลับแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้ก็คือรีบทะลวงไปยังขอบเขตขุนนางอมตะ นอกจากนั้นด้วยมีความช่วยเหลือของเพลิงเทพโกลาหล เรื่องจะเข้าใจความลึกซึ้งแห่งไฟได้ครบ 6 ประการก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ความลึกซึ้งทั้ง 6 ประการที่ว่าก็มาจากวรุทธ์อมตะกับเวทย์พลังทั้ง 5 ที่เขาเลือกมานั่นล่ะ แน่นอนว่ายังมีผลพลอยได้คือเขาจะมีวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังให้ใช้รับมือสถานการณ์ได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
“ต้วนหลิงเทียน”
ทว่าหลังจากต้วนหลิงเทียนกลับจากหอตำราได้ไม่ทันไร ขณะเดินทางไปยังหุบเขาที่พักศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ที่แท้จริง เขาก็พบร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาขวางทางเขาเอาไว้
“ประมุข?”
ผู้มาก็คือประมุขนิกายอมตะเป้าผู้ ซุนเหลียงเผิง!
“ท่านประมุขมาหาข้าแบบนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?”
พอเห็นซุนเหลียงเผิงที่ย่ำเท้าผ่าอากาศมาบรรลุถึงเบื้องหน้าในพริบตา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย
“ข้าได้ยินมาจากผู้เฒ่าโจว…เจ้าไปชั้นบนสุดของหอตำรา แต่ไม่ได้เลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุดิน ทว่ากลับเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุไฟไป 5 อย่างหรือ?”
หว่างคิ้วซุนเหลียงเผิงขดย่นเป็นปมหลวมๆเอ่ยถาม
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนลงมาจากชั้นบนสุด มันก็ได้รับแจ้งจากผู้เฒ่าโจว ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่เฝ้าดูแลหอตำราชั้นบนสุดทันที สิ่งนี้ยังทำให้ซุนเหลียงเผิงอดไม่ได้ที่จะงุนงงอยู่บ้าง ด้วยไม่ทราบว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงตัดสินใจเลือกแบบนี้
มันไม่เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้ นอกจากเข้าถึงกฏแห่งดินแล้วยังจะเข้าถึงกฏแห่งไฟอีกด้วย!
ตอนนั้นซุนเหลียงเผิงก็คิดมาไถ่ถามต้วนหลิงเทียนทันที แต่ทว่าพอเห็นต้วนหลิงเทียนกำลังหยิบยืมยันต์อมตะเก็บความทรงจำจากชั้นต่างๆมาใช้งานอยู่ มันก็เลิกคิดที่จะเข้าไปขัดจังหวะและรบกวนอีกฝ่าย
จนเมื่อวันนี้ต้วนหลิงเทียนได้ออกจากหอตำรา และผู้ที่เฝ้าดูแลชั้น 1 ของหอตำราที่มันฝากไว้ให้แจ้งเตือนยามต้วนหลิงเทียนกำลังจะกลับ ได้ติดต่อมา มันจึงเร่งรุดมาหาถึงที่นี่ทันที
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ต้วนหลิงเทียน แม้นิกายยอมตะเป้าผู่เราจะมีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุไฟมากที่สุด แต่เจ้ามิจำเป็นต้องเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุไฟแบบนี้…ตัวเลือกที่ดีที่สุดของเจ้าก็คือวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุดิน”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ประมุขนิกาย หรือท่านกำลังคิดว่าที่ข้าเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมาเป็นเพราะความโลภ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ไหนเลยเขาจะไม่เข้าใจความนัยของซุนเหลียงเผิง?
แน่นอนว่าเขารู้ว่าที่ซุนเหลียงเผิงมาหาเขาแบบนี้ เพราะอีกฝ่ายคิดจะเตือนเขาด้วยความหวังดี
“เจ้า…คงมิได้เชี่ยวชาญกฏแห่งไฟจริงๆหรอกนะ?”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่คลี่กางบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน ใจซุนเหลียงเผิงอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ยังเผลอเอ่ยถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ประมุขนิกาย เรื่องนี้เดี๋ยววันหน้าท่านก็จะรู้เอง…ตอนนี้ข้าเองก็คิดจะกลับไปบ่มเพาะฝึกฝน หากท่านประมุขไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
หลังยกมือขึ้นมาป้องประสานเอ่ยคำขอตัว ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างจากไปทันที
ซุนเหลียงเผิงก็ได้แต่เฝ้ามองแห่นหลังต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างจากไปไวๆ ลูกตายิ่งมายิ่งฉายแววสับสน ทางเลือกดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน อีกทั้งความมั่นใจของต้วนหลิงเทียนนั่น ทำให้มันรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งยากหยั่งถึง
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้เป็นใครกันแน่?”
“ตัวตนเช่นนี้จักเป็นเพียงผู้ฝึกตนอิสระไร้พื้นเพจริงๆหรือ?”
ในใจของซุนเหลียงเผิงยิ่งมายิ่งปั่นป่วน ยากจะหาความสงบพบเจออยู่นาน
ในเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างกลับไปยังลานบนเกาะลอยส่วนตัวสำหรับศิษย์ที่แท้จริง
ภายในหุบเขาเดียวกัน ในลานของศิษย์ฝ่ายในแห่งหนึ่ง เจิ้งหงอี้ที่ยืนอยู่ในลานและแหงนมองต้วนหลิงเทียนเหินร่างกลับเข้าไปในลานบนเกาะส่วนตัว อยู่ๆก็ขมวดคิ้วคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
“หลังผ่านไป 3 เดือน…ในที่สุดก็มีข่าวแล้วหรือ?”
เจิงหงอี้พึ่งจะได้รับการติดต่อมาจากแดนไกล และผู้ที่ติดต่อมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลูกนอกสมรสของ 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ที่มันกำลังเฝ้ารอนั่นเอง
และมันก็ได้รอข้อความตอบกลับดังกล่าวมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว
ตลอดช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่าน กล่าวได้ว่ามันตั้งหน้าตั้งตารอการติดต่อกลับมาราวกับ ‘มองธารใส’ ถึงขั้นกังวลไปเองว่าลูกนอกสมรสของรองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดคนนี้ ใช่ลืมเลือนมันไปแล้วหรือไม่ ใช่ไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณอย่างที่รับปากมันไว้ก่อนหน้ารึเปล่า…
(มองธารใส = เฝ้ารอด้วยสายตาคำนึงหาเปี่ยมหวัง)
“ต้วนหลิงเทียนมาจากพื้นที่ชายแดน?”
และพอได้รับทราบข้อมูลที่อีกฝ่ายส่งมา สองตาเจิ้งหงอี้ก็ฉายชัดถึงความตกตะลึงไปพักหนึ่ง
พื้นที่ชายแดน?
มันย่อมรู้ดีว่าแดนสวรรค์ใต้นั้นจะแบ่งออกเป็นพื้นที่ภาคกลาง กับพื้นที่ชายแดน…
ในอดีตนั้น สำหรับมันพื้นที่ชายแดนก็ไม่ต่างอะไรจากดินแดนไร้อารยะของคนเถื่อน เพราะมีม่านพลังปิดกั้นระหว่างพื้นที่ชายแดนกับพื้นที่ภาคกลาง และในพื้นที่ชายแดนก็จำกัดให้ผู้อยู่อาศัยมีด่านพลังใต้ขอบเขตราชาอมตะเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ราชาอมตะจะไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดน
ด้วยเหตุนี้ในพื้นที่ชายแดน ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็ถือเป็นขุมกำลังระดับ 9 เท่านั้น ซึ่งอำนาจและอิทธิพลยังน้อยนิดจนไม่คู่ควรให้ยกมากล่าวถึงด้วยซ้ำ
เจิ้งหงอี้ย่อมไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าต้วนหลิงเทียน ผู้ฝึกตนอิสระที่มันอยากฆ่าให้พ้นทาง ที่แท้กลับเป็นคนที่มาจากพื้นที่ชายแดนอันไร้อารยะนั่น! สถานที่ๆกระทั่งนกยังไม่อยากแวะเวียนไปขับถ่าย!!
“ในพื้นที่ชายแดน…ยังมีอัจฉริยะมากพรสวรรค์และมีไหวพริบปฏิภาณเช่นมันดำรงอยู่ด้วย?”
“มัน…คงไม่ใช่ผู้อมตะอันทรงพลังกลับชาติมาเกิดหรอกนะ?”
เจิ้งหงอี้ลอบคาดเดา
ถึงแม้เงื่อนไขการกลับชาติมาเกิดนั้นจะรุนแรงไม่น้อยแถมยังมีความเสี่ยงสูง จนผู้อมตะที่สามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้มีน้อยคนนัก แต่ก็มีหลายคนยินดีที่จะเสี่ยง และในบรรดาผู้ที่กล้าเสี่ยงเหล่านี้ ก็มีบางคนที่สามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้อย่างราบรื่น
ผู้ที่กลับชาติมาเกิดนั้น กล่าวได้ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยต้นทุนที่สูงมาก ยามเมื่อปลุกความทรงจำในอดีตให้หวนกลับคืนมาได้ ก็จะสามารถเข้าใจสรรพวิชาไม่เว้นความลึกซึ้งของกฏต่างๆได้ในเวลาอันสั้น ถึงขั้นเรียกว่าท้าทายสวรรค์!
ด้วยเหตุนี้เจิ้งหงอี้จึงคาดเดาไปทำนองว่า…ต้วนหลิงเทียนก็คือผู้อมตะทรงพลังกลับชาติมาเกิด!
“มันเป็นคนที่ขึ้นสวรรค์มา?”
และพอเจิ้งหงอี้ได้รับทราบข้อมูลต่อมา พบว่าต้วนหลิงเทียนที่แท้เป็นคนจากระนาบโลกียะที่ขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ มันก็สับสนอื้ออึงไปพักหนึ่ง “ต้วนหลิงเทียนนั่น…มันเป็นแค่คนที่พึ่งขึ้นสวรรค์มางั้นเหรอ!?”
“อายุไม่ถึงร้อยปีมีความสำเร็จขนาดนี้แถมเป็นคนที่พึ่งขึ้นสวรรค์มา…ดูเหมือนว่ามันจะเป็นผู้อมตะกลับชาติมาเกิดจริงๆ แถมมันสมควรปลุกความทรงจำในชาติก่อนได้บางส่วนแล้วอีกด้วย มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะบรรลุความสำเร็จได้ขนาดนั้น แถมมีความเข้าใจในกฏสูงมาก”
เจิ้งหงอี้ลอบพึมพำกับตัวเบาๆ
ขณะเดียวกัน ทางด้านลูกชายนอกสมรสของ 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด เฉินหลี ก็ยังกล่าวอีกว่าหน่วยข่าวกรองขององค์กรมัน ก็สงสัยว่าต้วนหลิงเทียนคนนั้นสมควรเป็นผู้อมตะกลับชาติมาเกิด!
ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ทราบเรื่องราวเหล่านี้เลย หาไม่แล้วเขาคงต้องตกตะลึง กับความสามารถของหน่วยข่าวกรองขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดครั้งใหญ่!
ในเวลาแค่ 3 เดือน มิคาดหน่วยข่าวกรองขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด กลับสามารถขุดคุ้ยความเป็นมาของเขาได้หมดสิ้น กระทั่งพบว่าตัวเขาเป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาจากระนาบโลกียะ!
“การตรวจสอบความเป็นมาของต้วนหลิงเทียน องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดของเราได้ใช้ความพยายามไปอย่างมาก…อย่างไรเสียตามกฏขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเรา ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เจ้ามิต้องแบกรับอันใด แต่ทรัพย์สมบัติใดๆของเป้าหมายหลังจากที่ตกตาย จักเป็นของทางเราทั้งหมด”
เฉินหลีกล่าวบอกเจิ้งหงอี้ผ่านทางข้อความ
“เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว…ว่าแต่องค์กรกะโหลกเลือดของท่านตีราคาต้วนหลิงเทียนไว้เท่าไหร่?”
เจิ้งหงอี้ส่งข้อความติดต่อกลับ
เรื่องสุดท้ายที่เฉินหลีแจ้งมานั้น ไม่ใช่แค่กฏขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดอย่างเดียว แต่เป็นกฏขององค์กรมือสังหารทั้งหมดในแดนสวรรค์ใต้ เจิ้งหงอี้จึงไม่แปลกใจหรือขัดข้องแต่อย่างใด
“เกราะอมตะระดับราชา 6 ชิ้น หรือจะเป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันนอมตะมาแล้ว 2 ชิ้น”
เฉินหลีแจ้งราคากลับมา
“และเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมาแล้ว 1 ชิ้น ยังเทียบได้กับเกราะอมตะระดับราชาทั่วไป 3 ชิ้น นอกจากนั้นอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทศาสตรา 5 ชิ้น สามารถใช้แทนเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะมาแล้ว 1 ชิ้น…”
WSSTH ตอนที่ 3,051 : ธาตุไฟ
“เป็นธรรมดาว่าราคาที่ข้ากล่าวมาทั้งหมด คือราคาของราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด…หากเจ้าอยากให้ทางเราส่งนักฆ่าที่ด่านพลังฝึกปรือสูงกว่านี้ ราคาย่อมต่างออกไป”
เฉินหลีแจ้งต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่า…การฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดสักคน หรือนักฆ่าระดับต่ำสุดขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดยังไม่พอ?”
“ย่อมเพียงพอ!”
เจิ้งหงอี้เร่งติดต่อกลับไปทันที
‘แค่นักฆ่าระดับราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด ก็ต้องจ่ายเกราะอมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะหล่อเลี้ยงขัดเกลาถึง 2 ตัวเชียวหรือ…’
จังหวะนี้เจิ้งหงอี้อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อได้ยินราคาจ้างวานนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด
ถึงแม้มันจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ว่าราคาขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดไม่ต่ำแน่ แต่ก็ไม่คิดเลยว่ามันจะสูงขนาดนี้!
‘โชคดีที่ข้าเกลี้ยกล่อมหวังหงได้…ถึงข้าจะสามารถส่งมอบเกราะอมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะขัดเกลาหล่อเลี้ยงออกไป 2 ชิ้นด้วยตัวเอง แต่หากข้าจ่ายคนเดียว ข้ายังจะเหลือเกราะไว้ช่วยชีวิตอีกหรือ’
เจิ้งหงอี้รู้สึกว่าตัวเองมีโชคอยู่บ้าง
ในมือมันถือครองเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะแค่ 2 ตัวเท่านั้น แถมตัวหนึ่งมันก็ยังสวมใส่อยู่ตลอดเวลาเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง
ถึงมันจะเกลียดชังต้วนหลิงเทียนที่มาชิงตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนสุดท้ายขนาดไหน แต่หากให้มันต้องส่งมอบเกราะอมตะที่มีไว้ปกป้องชีวิตมันออกไปเพื่อแลกกับชีวิตของต้วนหลิงเทียน มันก็ไม่เอาด้วยหรอก
‘อย่างไรก็ตามเฉินหลีบอกว่าสามารถใช้เกราะอมตะระดับราชาธรรมดา 6 ชิ้นแทนเกราะอมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะขัดเกลา 2 ชิ้นได้’
‘เรียกว่าอยู่ในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 เท่านั้น’
‘แต่ทว่าในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว เกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาจากจอมราชันอมตะแล้ว เพียง 1 ชิ้นก็มีค่าเท่ากับเกราะอมตะระดับราชาธรรมดา 4 ชิ้น…’
‘สำหรับสัดส่วนอุปกรณ์อมตะอื่นๆนั้นไม่ต่างจากที่เฉินหลีกล่าวมาเท่าไหร่…’
พอคิดถึงจุดนี้สองตาเจิ้งหงอี้ก็ลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมา
ในมือมันมีเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะ 2 ชิ้นก็จริง แต่ตราบใดก็ตามที่มันได้เกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาจากจอมราชันอมตะจากหวังหงมาสักชิ้น มันก็สามารถนำไปแลกเป็นเกราะอมตะระดับราชาทั่วไปได้ 4 ชิ้น!
ถึงตอนนั้นมันควักเกราะอมตะระดับราชาออกไปเพิ่มแค่ 2 ชิ้น ก็มีเกราะอมตะระดับราชาทั่วไป 6 ชิ้นให้นักฆ่าขององค์กรมือสังหารแล้ว!
ด้วยวิธีนี้มันก็ไม่จำเป็นต้องส่งมอบเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะของมันออกไปเลย!
“เฉินหลี ราคานี้ข้าไม่มีปัญหา ว่าแต่ทางท่านจะส่งนักฆ่ามาเมื่อใดหรือ?”
เจิ้งหงอี้เร่งส่งข้อความผ่านยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณไปถามเฉินหลีอีกรอบ ตอนนี้มันแทบรอให้นักฆ่าจากกะโหลกเลือดมาฆ่าต้วนหลิงเทียนไม่ไหวแล้ว ยังอยากให้อีกฝ่ายมาถึงวันนี้เลยด้วยซ้ำ!
ทว่ามันก็รู้ดีแก่ใจ ว่านักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดไม่มีทางถึงที่นี่วันนี้ได้
ให้ถอยหลังหมื่นก้าว ต่อให้นักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดจะมาถึงที่นี่วันนี้ได้จริงๆ แต่ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนยังไม่ออกจากเขตนิกายอมตะเป้าผู่ ก็คงยากจะลงมือได้สำเร็จ!
เนื่องจากนักฆ่าที่จะมาเป็นแค่ราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด อีกฝ่ายย่อมไม่มีความสามารถถึงขั้นบุกข้ามาเข่นฆ่าคนในนิกายอมตะเป้าผู่ได้อย่างอุกอาจ
และต่อให้บุกเข้ามาเข่นฆ่าคนได้อย่างอุกอาจจริง แต่ก็คงยากจะรอดชีวิตกลับออกไปได้!
เพราะในนิกายไม่ขาดยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดเลย
และถึงแม้นักฆ่าดังกล่าวจะยกอ้างองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดออกมาข่ม แต่เบื้องหลังนิกายอมตะเป้าผู่ก็คือคฤหาสน์เฉวียนโยว ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ 10 ตระกูลหลักของแดนสวรรค์ใต้
และไม่มีตระกูลใดใน 10 ตระกูลหลักที่กริ่งเกรงองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเลย กระทั่งองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดก็ไม่กล้ารับงานฆ่าคนของ 10 ตระกูลหลักด้วยซ้ำ!
“ทางเราจะส่งนักฆ่าระดับราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดไปถึงที่นั่นภายใน 3 วัน…พอไปถึงแล้ว มันจักหาวิธีติดต่อเจ้าเอง”
“และกฏขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเราก็คือเก็บเงินก่อนครึ่งนึง…เช่นนั้นพอนักฆ่าผู้นั้นไปถึง เจ้าก็จ่ายมัดจำออกไปก่อนครึ่งหนึ่ง ที่เหลือจักเก็บอีกทีหลังจบงาน”
เฉินหลีกล่าว
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เจิ้งหงอี้ตอบกลับ จากนั้นมันก็ส่งข้อความอำลาอีกฝ่าย แล้วจบการสื่อสารแต่เพียงเท่านี้
‘อย่างไรก็ตามราคานักฆ่าระดับราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด นับว่าสูงกว่าราคาจ้างวานนักฆ่าขององค์กรมือสังหารในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวถึง 5 เท่า!’
หลังเลิกการติดต่อกับเฉินหลีแล้ว เจิ้งหงอี้ก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นพลางกล่าวในใจ ด้วยรู้สึกว่าราคาของกะโหลกเลือดนั้นสูงเกินไป
อย่างไรก็ตามมันรู้ดีว่าราคาของกะโหลกเลือดนั้น ไม่เพียงแต่จะขึ้นอยู่กับพลังฝีมือของเป้าหมายเท่านั้น ระยะทางยังมีส่วนอีกด้วย
นอกจากนั้นหากมันทะลึ่งไปจ้างวานองค์กรมือสังหารในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ถึงตอนนั้นต่อให้ฆ่าคนได้ แต่ขอเพียงประมุขนิกาอมตะเป้าผู่ติดต่อไปยังคฤหาสน์เฉวียนโยว ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวก็สามารถกดดันให้องค์กรมือสังหารคายชื่อผู้จ้างวานออกมาได้โดยง่าย!
ถึงตอนนั้น มันไม่เพียงแต่จะไม่มีโอกาสได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงอีกต่อไป ด้วยนิสัยของอาจารย์มัน น่ากลัวว่ามันคงต้องตกตายกลายเป็นศพ!
และต่อให้อาจารย์จะเห็นแก่ความสัมพันระหว่างศิษย์อาจารย์ จนเกิดความสงสารไม่อาจหักใจฆ่ามัน…แต่ทางนิกาอมตะเป้าผู่ก็ไม่คิดจะเลี้ยงมันไว้แน่!
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย มันเลือกจ่ายแพงหน่อยจะเป็นไรไป
มีอมตะวาจาหนึ่งกล่าวไว้ว่า
พึงระวังถึงแล่นเรือได้หมื่นปี!
‘ตอนนี้ไปหาหวังหงก่อนดีกว่า และให้นางมอบเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาจากจอมราชันอมตะมาให้ข้าตัวนึง…’
เจิ้งหงอี้คิดได้ดังนี้ ก็เริ่มเหินร่างออกจากบ้านลานที่พักของมันทันที บึ่งตรงไปยังที่พักหวังหงอย่างไม่รอช้า ‘ขอเพียงข้าได้เกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการหล่อเลี้ยงขัดเกลาโดยจอมราชันอมตะกับนางมาสักตัว และรีบไปแลกเปลี่ยนเป็นเกราะอมตะระดับราชาทั่วไป 4 ตัว ถึงตอนนั้นข้าแค่ออกเกราะอมตะระดับราชาทั่วไปอีก 2 ตัว ก็พอให้จ่ายค่าจ้างกะโหลกเลือดแล้ว!’
อนิจจาจินตนาการนั้นสวยหรู แต่พอดูความเป็นจริงช่างโหดร้าย
หลังไปพบหวังหงและเอ่ยราคาของกะโหลกเลือดออกไป หวังหงก็ไม่รอให้มันพูดอะไร ชิงกล่าวออกมาก่อนว่า “ถึงข้าจะไม่เคยติดต่อกับองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด แต่ข้าก็รู้ดีว่าองค์กรมือสังหารระดับชั้นนำในแดนสวรรค์ใต้ทำงานอย่างไร”
“พวกมันไม่พ้นต้องเก็บเงินมัดจำก่อนครึ่งหนึ่ง…พอนักฆ่ามาถึงเจ้าก็พาข้าไปด้วยเถอะ และข้าจะเป็นคนจ่ายค่ามัดจำนั่นเอง ส่วนที่เหลือหลังจบงานเจ้าก็เป็นคนจ่าย”
พอหวังหงเอ่ยดักทางมาแบบนี้ เจิ้งหงอี้ก็ไปไม่เป็นเลยทีเดียว
เพราะหวังหงทำแบบนี้ ทุกสิ่งที่มันวางแผนไว้ก่อนหน้าก็ไม่ต่างใดจากผายลม ไม่อาจฉวยโอกาสใดๆจากหวังหงได้อีก
…
ตั้งแต่กลับมาจากหอตำรา ต้วนหลิงเทียนก็อาศัยอยู่ในลานเล็กๆของตัวเองตลอดไม่ไปไหน ตอนนี้เขาก็นั่งอยยู่บนเตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหินในห้อง
เขาไม่ได้บ่มเพาะพลัง หากแต่คิดจะให้เพลิงเทพโกลาหลช่วยเหลือเขาให้เข้าใจความหมายแห่งไฟก่อน
ต้วนหลิงเทียนยังคงจำสิ่งที่เพลิงเทพโกลาหลพูดวันนั้นได้
“หากเจ้าได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมา ภายในเวลา 3 ชั่วโมง ข้าจะช่วยให้เจ้าเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งไฟ!”
ตอนที่เพลิงเทพโกลาหลพูดประโยคนี้ เขายังสัมผัสได้ถึงความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมในน้ำเสียงของอีกฝ่าย
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงตั้งหน้าตั้งตารอดูชมนัก!
ว่าเพลิงเทพโกลาหลจะสามารถช่วยให้เขาเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งไฟ ได้ในเวลาแค่ 3 ชั่วโมงจริงๆเหรอ?
จากนั้นในขั้นตอนทำความเข้าใจความหมายแห่งไฟ เพลิงเทพโกลาหลก็ได้เอ่ยคำชี้แนะ และต้วนหลิงเทียนก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ปลายนิ้วบัดนี้ยังปรากฏเพลิงสีเทาลุกโชนขึ้นมา
แน่นอนว่าเขาจุดเพลิงขึ้นมา ไม่ได้คิดจะใช้มันหลอมปรุงโอสถแต่อย่างใด
จากนั้นพอเขาลองแผ่สำนึกเทวะไปยังเพลิงที่ปลายนิ้ว เขาก็รู้สึกว่าบัดนี้เพลิงสีเทาที่อยู่ปลายนิ้วก็คือตัวเพลิงเทพโกลาหลเอง ไม่ใช่แค่พลังของอีกฝ่ายเหมือนแต่ก่อน
หลังผ่านไปสักพักต้วนหลิงเทียนก็พบว่าสำนึกเทวะของตัวเองได้หลอมรวมเข้ากับเพลิงสีเทาโดยสมบูรณ์ และอารมณ์ของเขาไม่ว่าจะโกรธ ยินดี หรือเศร้าโศก บัดนี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ของเพลิงสีเทา
ในระหว่างกระบวนการดังกล่าว ภาพความทรงจำมากมายก็เริ่มผุดขึ้นในหัวเขาทีละฉากๆ และภาพทั้งหมดไร้ซึ่งข้อยกเว้นใดๆ เป็นภาพตอนที่เขาหลอมกลั่นโอสถด้วยเพลิงเทพโกลาหลทั้งสิ้น
สำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนจมจ่อมอยู่ในเพลิงสีเทาจนลืมเลือนเวลาไปโดยสมบูรณ์
พอเขาตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่าสามารถติดต่อทั้งควบคุมพลังธาตุไฟของกฏแห่งไฟได้แล้ว และเข้าใจความลึกซึ้งความหมายแห่งไฟจนบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!
เขาเองก็ไม่รู้ว่ากระบวนการดังกล่าวมันกินเวลาไปเท่าไหร่
วูบหนึ่งก็เสมือนผ่านไปพริบตา บางคราก็เสมือนเนิ่นนานนับศตวรรษ
“ข้าใช้เวลาไปเท่าไหร่เหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเพลิงเทพโกลาหล
“สองชั่วโมงครึ่ง”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าวตอบ
“ฮึ!”
และแทบจะทันทีที่เพลิงเทพโกลาหลกล่าวจบคำ เสียงพ่นลมสบถเย็นๆของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ดังขึ้นตามติด “เหลวไหล! เจ้าอย่าโม้ให้มากได้หรือไม่? เห็นกันอยู่ชัดๆว่าเจ้าใช้เวลาไปทั้งสิ้น สองชั่วโมงครึ่งกับอีก 3 ลมหายใจ!”
อย่างไรก็ตาม ได้ยินคำโวยวายไร้แก่นสารของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน เพลิงเทพโกลาหลก็เลือกที่จะเมินเฉย ไม่สนใจมันอย่างสิ้นเชิง
ด้านต้วนหลิงเทียนยังได้ยินชัดเจน ว่าในน้ำเสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินนั้น มันแฝงไว้ด้วยความสลดหดหู่ไม่น้อย
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ต้องใช้เวลาหนึ่งคืนเต็มๆ ถึงจะช่วยให้เขาเข้าใจความหมายแห่งดินได้…
ทว่าตอนนี้ เพลิงเทพโกลาหลกลับช่วยให้เขาเข้าใจความหมายแห่งไฟได้ในเวลาแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง…ไม่ถึง 3 ชั่วโมงอย่างที่พูดไว้ตอนนั้นด้วยซ้ำ!
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีแก่ใจว่าไฉนที่เพลิงเทพโกลาหลช่วยให้เขาเข้าใจความหมายแห่งไฟได้เร็วขนาดนี้นั้น เหตุผลหลักๆเลยก็คือเขาได้เพลิงเทพโกลาหลมานานแล้ว แถมยังใช้อีกฝ่ายหลอมกลั่นโอสถอยู่บ่อยครั้ง
ในขณะที่เขาใช้เพลิงเทพโกลาหลหลอมกลั่นโอสถ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับไฟของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว
มาตอนนี้พอได้เพลิงเทพโกลาหลช่วยชี้นำ สุดท้ายเขาก็เข้าใจทุกอย่างที่ผ่านมาได้ชัดขึ้น จึงกลายเป็นเข้าใจความหมายแห่งไฟได้ในเวลาแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งอย่างที่เห็น
“ธาตุไฟ…”
พอใจคิด พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดต้วนหลิงเทียนก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างกาย จากนั้นพอคิดอีกครา พลังธาตุไฟก็เริ่มผสานหลอมรวมเข้าใจพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขา ทำให้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขากลับกลายเป็นสีแดงเพลิง ขณะเดียวกันปลายขอบรัศมีพลัง ก็เสมือนปรากฏคลื่นความร้อนแผ่ออกมาเป็นระลอกๆ
ฟู่ว! ฟู่ว! ฟู่ว! ฟู่ว! ฟู่ว! ฟู่ว!
…
เมื่อผสานพลังจากความลึกซึ้งความหมายแห่งไฟเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดแบบนี้ คุณสมบัติพลังที่ปกคลุมทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นร้อนแรง ทั้งยังสัมผัสได้ถึงการเผาไหม้ในอากาศ
ซู่มม! ซู่มม! ซู่มม!
…
และพอต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นโบก พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดสีแดงเพลิงก็เริ่มเคลื่อนไหว ดั่งอสูรเพลิงทะยานผ่านอากาศ แผ่กลิ่นอายพลังอันดุร้ายน่าเกรงขามออกมาอย่างครอบงำ!
WSSTH ตอนที่ 3,052 : ทองเทพสุดลี้ลับตื่นแล้ว
“พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานเข้ากับพลังธาตุไฟ…ดูเหมือนจะทรงพลังกว่าตอนผสานเข้ากับพลังธาตุดินเสียอีก…”
พอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่แผ่ซ่านออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ระบุเรื่องนี้ได้ทันที
เมื่อต้วนหลิงเทียนคิดลองผสานพลังธาตุดินเข้าไปในพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอีกอย่าง เขาก็พบว่าพลังธาตุไฟที่ผสานรวมกับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอยู่ก่อน ได้ผลักไสพลังธาตุดิน! ทำให้มันไม่อาจผสานหลอมรวมได้เลย!!
“อ่าว…”
พอตระหนักได้ ต้วนหลิงเทียนก็งุนงงอยู่บ้าง จากนั้นก็อดถามเพลิงเทพโกลาหลกับปฐพีเทพแรกกำเนิดไม่ได้
“เจ้าหนู…ก่อนที่เจ้าจะบรรลุถึงขอบเขตเทพและควบรวมร่างแฝดแห่งกฏ ในเวลาเดียวกันเจ้าสามารถเลือกใช้พลังของกฏเพื่อต่อสู้ได้แค่ทีละอย่างเท่านั้น”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว “หากเจ้าคิดใช้กฏอีกข้อก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแค่เจ้าต้องถอนรั้งพลังแห่งกฏที่ผสานอยู่ในพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกไปก่อน ถึงตอนนั้นเจ้าก็สามารถผสานพลังของกฏธาตุอื่นเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเจ้าได้…”
“เจ้าเองก็สมควรรู้แล้วว่าความลึกซึ้งใดๆก็ตาม จำต้องอาศัยพลังจากความหมายแห่งกฏนั้นๆผสานเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเจ้าเสียก่อน…”
“กล่าวได้ว่า ในขณะที่เจ้าผสานพลังธาตุดินเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด เจ้าก็มิอาจใช้พลังจากความลึกซึ้งของกฏอื่นๆได้เลย เจ้าจะใช้ได้ก็แต่พลังจากความลึกซึ้งของกฏแห่งดินเท่านั้น”
“หากเจ้าเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป ก่อนที่จะบรรลุถึงขอบเขตเทพ ข้าก็คงแนะนำให้เจ้าเลือกทุ่มเวลาฝึกปรือให้เชี่ยวชาญกฏสักอย่างเท่านั้น”
“แต่ด้วยสถานการณ์ของเจ้าตอนนี้ ข้าขอแนะนำให้เจ้าเลือกที่จะทำความเข้าใจกฏธาตุทอง ไฟ และดินไปพร้อมๆกัน เพราะเจ้ามีข้า เพลิงเทพโกลาหล แล้วก็ทองเทพสุดลี้ลับคอยช่วยเหลือ เจ้าย่อมสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏทั้ง 3 ได้อย่างรวดเร็ว ยังเร็วกว่าผู้อื่นทำความเข้าใจแค่กฏเดียวเสียอีก เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเวลาเปล่าเลย”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวแนะนำออกมาอย่างจริงจัง
“ด้วยมีพวกเราช่วยเหลือ ก่อนที่เจ้าจะบรรลุถึงขอบเขตเทพ ถึงตอนนั้นเจ้าสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏทั้ง 3 ธาตุได้ครบทุกประการแน่!”
“อีกทั้งหากเจ้าช่วยยกระดับพัฒนาพวกเราให้บรรลุขั้นสูงๆได้ล่ะก็ เรื่องที่ความลึกซึ้งทุกประการของกฏทั้ง 3 ธาตุจะบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่…ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวสืบต่อ
“แต่จากที่เจ้าว่ามา…สุดท้ายหากข้ายังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพ ยามต่อสู้กับผู้อื่น ก็จะสามารถเลือกใช้พลังได้แค่ทีละกฏสินะ?”
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ดีแก่ใจ ว่าในขณะประมือกระทั่งเข่นฆ่ากับผู้อื่น คงยากที่จะสลับใช้กฏได้ เพราะหากคิดจะใช้พลังของกฏใด ก็จำต้องผสานพลังจากฏนั้นๆลงสู่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเสียก่อน
ในกฏณีแบบนี้ สมควรเลือกใช้กฏที่ตัวเองเข้าใจมากที่สุดจะดีกว่า
“ก็ใช่”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเอ่ยตอบ “ดังนั้นก่อนเจ้าบรรลุเทพ เจ้าเข้าใจกฏไหนมากที่สุดก็เลือกใช้กฏนั้นสู้”
“อย่างไรก็ตาม ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันของเจ้า ตอนนี้มุ่งเน้นทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟไปก่อน นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
ถึงแม้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินจะช่วยให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏแห่งดินได้รวดเร็ว แต่นั่นมันก็ต้องให้ต้วนหลิงเทียนได้วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาที่สอดคล้องกันด้วย
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็มีวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินที่แฝงความลึกซึ้ง พื้นที่โน้มถ่วง อย่างเดียวเท่านั้น ทำให้ถึงจะเสียเวลาทำความเข้าใจมัน แต่สุดท้ายก็เอาไปใช้งานได้จำกัด
กลับกัน ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟที่มีความลึกซึ้งให้ทำความเข้าใจถึง 5 ประการ หากไม่รวมความลึกซึ้ง ความหมายแห่งไฟ ที่เขาเข้าใจไปเรียบร้อยแล้ว
ความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟที่รอให้เขาเข้าใจก็มี สุริยันสาดแสง ท่องอัคคี ลุกโหม ปะทุ เผาไหม้
เรียกว่าหากนับรวมกับความหมายแห่งไฟอันเป็นความลึกซึ้งที่ต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจไปแล้ว ก็ทำให้เขาจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟได้ถึง 6 ประการ ต่างจากดินที่มีแค่ 2 ประการเท่านั้น
ดังนั้นเขามุ่งเน้นทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟก่อนจะดีกว่า
“อ่า ในตอนนี้นับว่ากฏแห่งไฟเหมาะกับข้ามากกว่าจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วย
“อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เจ้าบังเกิดอาการตีบตันยามทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ…เจ้าก็ย้อนกลับไปทำความเข้าใจพื้นที่โน้มถ่วงของกฏแห่งดินต่อได้ เพราะเมื่อเจ้าบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น อย่างน้อยๆเจ้าก็ยังสามารถใช้มันได้เต็มประสิทธิภาพยามจำเป็น”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเอ่ยอีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าอีกรอบ
“อาวุโสเพลิงตอนนี้เมื่อข้าเข้าใจความหมายแห่งไฟแล้ว หมายความว่าต่อไปข้าก็สามารถเลือกจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏแห่งไฟต่อได้เลยสินะ…”
พอนึกถึงวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาทั้ง 5 ที่มี ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกละลานตาอยู่บ้าง จึงเลือกจะถามความเห็นของผู้รู้จริงอย่างเพลิงเทพโกลาหล “เช่นนั้นต่อไปท่านว่าข้าสมควรมุ่งเน้นทำความเข้าใจความลึกซึ้งประการใดก่อนดี?”
“เฮ่อ เจ้าหนูเอยเรื่องแค่นี้เจ้าไม่ต้องถามมันข้าก็ตอบเจ้าได้…ความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟที่เจ้าสมควรเข้าใจให้เร็วที่สุดมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการได้แก่ ปะทุ ลุกโหม และเผาไหม้!”
ไม่ทันที่เพลิงเทพโกลาหลจะทันได้ตอบอะไร ก็เป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินชิงตอบออกมาก่อน
“อันดับแรกที่เจ้าควรทำความเข้าใจก็คือความลึกซึ้ง ลุกโหม…”
เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ความลึกซึ้งปะทุนั่น ถึงแม้จะได้รับความช่วยเหลือจากข้า แต่เมื่อเทียบกับความลึกซึ้งลุกโหมกับแผดเผาแล้ว เจ้าต้องใช้เวลาทำความเข้าใจนานกว่า”
“ในฐานะที่เจ้าเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะ ลักษณะการใช้ไฟที่เจ้าใช้บ่อยที่สุดก็คือการเผาไหม้ กับลุกโหม…สำหรับการปะทุนั้น เจ้าแทบไม่ได้สัมผัสถึงมันเลย”
“จึงกล่าวได้ว่า หากเทียบกับความลึกซึ้งปะทุแล้ว ตัวเจ้าจะเข้าใจความลึกซึ้งเผาไหม้กับลุกโหมได้เร็วกว่ามาก พอเจ้าเข้าใจ 2 ประการนี้แล้ว ค่อยเลือกทำความเข้าใจความลึกซึ้งปะทุเป็นลำดับที่ 3”
เทียบกับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน เพลิงเทพโกลาหลย่อมเข้าใจสถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้มากกว่า เช่นนั้นจึงเลือกจัดลำดับความสำคัญให้ต้วนหลิงเทียนได้ไม่ยาก
“ความลึกซึ้ง เผาไหม้ ลุกโหม หนึ่งมุ่งเน้นการโจมตีเป็นหลัก ส่วนอีกหนึ่งมุ่งเน้นความเร็วเป็นหลัก…อย่างไรก็ตามความลึกซึ้งเผาไหม้แม้จะมุ่งเน้นเป็นหลักแต่พลังทำลายที่ได้ยังไม่ถือว่าสุดโต่ง ในเรื่องนี้ความลึกซึ้งปะทุจะทรงพลังกว่า…เช่นนั้นในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างพลังที่เพิ่มขึ้นมาไม่สุดกับความเร็วที่เพิ่มได้เต็มที่ เจ้าสมควรเลือกความลึกซึ้งลุกโหมก่อนจะดีที่สุด”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าวออกมารวดเดียวจบ
“เอาล่ะ ข้าเชื่ออาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนเห็นด้วย
“นอกจากนั้นความลึกซึ้งลุกโหมของกฏแห่งไฟนั้น ไม่เพียงแต่จักทำให้เจ้ามีเปรียบศัตรูในแง่ของความเร็วเท่านั้น…มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจเสริมพลังโจมตีให้เจ้าได้เลย กล่าวไปยังหนุนเสริมให้ไม่ใช่ชั่วอีกด้วย”
“เพราะเมื่อเจ้าใช้ความลึกซึ้งลุกโหมผสานเข้ากับกระบวนท่าจู่โจมของเจ้า ก็จะทำให้กระบวนท่าของเจ้าว่องไวทั้งทรงพลังมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
“ถึงแม้พลังที่เพิ่มขึ้นมาจะไม่ได้รุนแรงเท่ากับความลึกซึ้งปะทุ เผาไหม้ หรือลุกลาม แต่อย่างไรก็ถือว่าเพิ่ม”
เพลิงเทพโกลาหลยังกล่าวสืบต่อ
“เข้าใจแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
ที่เพลิงเทพโกลาหลพูดมา เขาเข้าใจได้ทั้งหมด
ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ เขาก็ได้เผชิญหน้ากับสุมาฉุนมาแล้ว อีกฝ่ายเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 2 ประการ นอกจากความหมายแห่งลมแล้วก็คือความลึกซึ้ง ‘ลมกรด’
ความลึกซึ้ง ลมกรด นับเป็นความลึกซึ้งที่มุ่งเน้นความเร็วเป็นหลักของกฏแห่งลม
อย่างไรก็ตาม มันไม่เพียงทำให้ผู้ใช้มีความเร็วในการเคลื่อนไหวสูงขึ้นเท่านั้น ยังสามารถผสานเข้ากับการโจมตี ทำให้กระบี่ของอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะว่องไวเท่านั้น ยังทรงพลังมากขึ้นอีกด้วย
เพราะเมื่อความเร็วสูงขึ้น พลังทำลายก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย
กระทั่งในโลกเก่าของต้วนหลิงเทียน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ใครๆก็รู้
หลังได้ฟังคำชี้แนะทั้งหมดของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจเลือกทำความเข้าใจความลึกซึ้ง ลุกโหม เป็นอันดับแรก แน่นอนว่ายังมีเพลิงเทพโกลาหลคอยช่วยเหลืออีกแรง
ไม่ทันไรเวลาก็ล่วงเลยไปอีกเดือน ความเข้าใจในความลึกซึ้งลุกโหมของต้วนหลิงเทียนก็เพิ่มพูนสูงขึ้นด้วยอัตราเร็วน่ากลัว เรียกว่าไม่ทันไรก็เทียบได้กับความเข้าใจที่เขามีต่อความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงแล้ว
ถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็สามารถใช้ความลึกซึ้งลุกโหมได้ไม่แตกต่างอะไรจากที่เขาใช้ความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงเลย
“ไงทองเทพสุดลี้ลับ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นได้ซะทีนะ!”
ตอนนี้เอง เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ดังขึ้นในร่างเขา ทำให้ต้วนหลิงเทียนทราบว่าทองเทพสุดลี้ลับที่หลับไหลไปนาน ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมาเสียที
วันนั้นเป็นเพราะทองเทพสุดลี้ลับกับเพลิงเทพโกลาหลผนึกกำลังกันลงมือ จึงช่วยเหลือให้พฤกษาเทพกำเนิดชีพสามารถอมรับเขาเป็นนายได้ก่อนที่เขาจะบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ และทั้งคู่ก็เสียพลังไปมากเลยต้องเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อพักฟื้นพลัง
แต่ด้วยความที่เพลิงเทพโกลาหลบรรลุถึงขั้นที่ 3 แล้ว มันก็เลยตื่นก่อนทองเทพสุดลี้ลับ
ทองเทพสุดลี้ลับ จะอย่างไรตอนนี้ก็เป็นเพียงขั้นที่ 2 เท่านั้น จึงใช้เวลาฟื้นฟูพลังนานกว่าเพลิงเทพโกลาหลถึง 3 เดือน
“ปฐพีน้อย ข้าตื่นมาก็เรียกหาข้าทันทีแบบนี้…เจ้ามีอะไรกันแน่?”
น้ำเสียงขรึมๆของทองเทพสุดลี้ลับบัดนี้ฟังแล้วเหมือนคนงัวเงียอยู่บ้าง เห็นชัดว่ายังตื่นไม่เต็มที่
“เฮ่ ทองเทพสุดลี้ลับ ข้ามีข่าวดีกับข่าวร้ายอย่างละเรื่อง…เจ้าอยากฟังอันไหนก่อนดีล่ะ?”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินไม่ได้มีโมโหอะไรที่โดนทองเทพสุดลี้ลับเรียกหาว่าปฐพีน้อย เพราะมันปลงแล้ว เพียงกล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน
“พิรี้พิไรนัก”
ทองเทพสุดลี้ลับเอ่ยออกเสียงเฉย “ต่อให้เจ้าไม่บอกข้า เดี๋ยวเพลิงเทพโกลาหลก็เป็นคนบอกข้าอยู่ดี”
“งั้นข้าบอกข่าวร้ายให้เจ้าฟังก่อนแล้วกัน”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่แยแสของทองเทพสุดลี้ลับ ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ไม่คิดยึกยักอะไร ชิงกล่าวออกมาก่อนด้วยกลัวจะไม่ได้พูด “เจ้าหนูนี่มันพึ่งได้วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมา 5 อย่างแหล่ะ…เช่นนั้นหมายความว่าหลังจากนี้มันก็จะมุ่งเน้นทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ ส่วนกฏแห่งทองเจ้าน่ากลัวจะไม่มีบทอีกนาน…”
“หืม? วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟ 5 อย่างรึ?”
หลังได้ยินปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพูด ทองเทพสุดลั้บก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย “ดูท่าตอนที่ข้าหลับอยู่…เจ้าหนูจะมีโชคไม่เบา”
“แล้วข่าวดีคืออะไร?”
สำหรับข่าวร้ายที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพูดมา ทองเทพสุดลี้ลับไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย เพราะต่อให้ต้วนหลิงเทียนได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุทองมาจริง มันที่ยังอยู่ในขั้นที่ 2 ก็เกรงว่าคงไม่อาจช่วยอะไรต้วนหลิงเทียนได้
“อั้ย! ข้าลืมไป…เจ้ายังพึ่งอยู่ในขั้นที่ 2 นี่นา!”
ได้ยินน้ำเสียงเฉยเมยไม่ได้แลดูยินดียินร้ายอะไรขอทองเทพสุดลี้ลับ ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินที่ตระหนักใดได้ น้ำเสียงเด็กน้อยยังไม่หย่านมของมันจึงฟังดูขัดใจอยู่บ้าง
และในขณะที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกำลังบ่นอยู่ไม่ทันได้ตอบ ทองเทพสุดลี้ลับก็เอ่ยถามออกมาเสียก่อน “เจ้าหนู…หรือว่าเจ้าได้ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 มาเช่นนั้นรึ?”
และยังเป็นการเอ่ยถามกับต้วนหลิงเทียนโดยตรง
“โชคข้านับว่าไม่เลว…ข้าช่วยหาทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ให้ท่านได้ก้อนนึง”
ขณะกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือเรียกทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ออกมาจากแหวนพื้นที่
และทันทีที่เขานำทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ออกมา ก็ปรากฏพลังสีทองพวยพุ่งออกไปจากร่างเขาฉับไว พริบตาก็ม้วนกลืนทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 หายไปในหนึ่งคำ!
WSSTH ตอนที่ 3,053 : ฮ่วนเอ๋อ?
ห่างออกไปทางตอนเหนือของนิกายอมตะเป้าผู่หลายพันลี้ ภายในป่ารกชัดเขียวขจีแห่งหนึ่ง ปรากฏชายวัยกลางคนร่างผอมในชุดคลุมลมดำลอยตัวอยู่เหนือพื้นดินไม่ถึง 3 ฉื่อ
ชายวัยกลางคนร่างผอมมีสีหน้าซีดเซียว และด้วยความที่มันซูบผอมจนแก้มตอบ ก็ทำให้โหนกแก้มของมันแลดูสะดุดตานัก ตัวแก้มเองยังบุ๋มลง มองคล้ายหัวกระโหลกหุ้มหนังบางๆอย่างไรชอบกล
นอกจากนั้นหากใครตาดีหน่อยจะสังเกตเห็นว่า
บริเวณหน้าอกของชุดคลุมลมดำของมัน ปรากฏสัญลักษณ์รูปกะโหลกไขว้สีแดงเลือดนกปักเอาไว้…
ทันใดนั้นเอง ชายวัยกลางคนคล้ายตระหนักได้ถึงสิ่งใดบางอย่าง คิ้วมันเลิกขึ้นเล็กน้อย
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
พร้อมๆกับสำเนียงแหวกสายลมฉับไวดังขึ้น ปรากฏร่าง 2 ร่างเหินตีคู่กันมาตามแนวยอดไม้ของผืนป่า และพริบตาก็เหินลงมาหยุดยืนเบื้องหน้าชายวัยกลางคน
“เจ้าคือ เจิ้งหงอี้?”
สายตาชายวัยกลางคนจับจ้องมองไปนังร่างชายหนุ่มในบรรดา 2 คนที่พึ่งลุมาถึง พลางถามออกไปอย่างไม่รอช้า
แต่ต้นจนจบมันไม่ได้เหลือบแลสตรีอีกคนที่อยู่ข้างๆชายหนุ่มเลย ทำราวกับนางไม่มีตัวตน!
หากเป็นคนอื่นกล้าไม่เห็นหัวนางแบบนี้ หวังหงคงวีนแตกไปแล้ว…
เพราะสุดท้ายนางไม่เพียงแต่จะเป็นศิษย์ฝ่ายในที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในนิกายอมตะเป้าผู่เท่านั้น แต่นางยังเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่อีกด้วย!
ทว่าต่อหน้าชายวัยกลางคนเบื้องหน้า นางไม่กล้าวางท่าจองหองอวดดีแม้แต่น้อย
ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายจะด้อยกว่าปู่ของนางที่เป็นอาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่มาก
หากทว่า ขุมกำลังเบื้องหลังชายวัยกลางคนผู้นี้…เป็นอะไรที่กระทั่งปู่ของนางก็ไม่กล้าตอแยด้วยง่ายๆ!
กะโหลกเลือด…1 ใน 3 องค์กรมือสังหารที่ทรงพลังที่สุดในแดนสวรรค์ใต้! ยังมีชื่อเสียงเลื่องลือในแดนสวรรค์ใต้ไม่น้อย ขุมกำลังในแดนสวรรค์ใต้ที่ไม่กลัวพวกมัน น่ากลัวจะมีแค่ 10 ตระกูลหลัก 5 นิกายใหญ่เท่านั้น!!
นิกายอมตะเป้าผู่จะอย่างไรก็เป็นแค่นิกายอมตะระดับ 7 ถึงแม้จะมีความสัมพันกับคฤหาสน์เฉวียนโยว แต่อย่างไรก็ยังเป็นแค่ 1 ในขุมกำลังระดับ 7 มากมาย ที่อยู่ใต้อาณัติขุมกำลังระดับ 6 อย่างคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้น
“ใช่แล้วผู้อาวุโส…ข้าเรียกว่าเจิ้งหงอี้”
เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าชายวัยกลางคนแบบนี้ เจิ้งหงอี้ที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายฆ่าฟันที่เล็ดลอดออกมาจากร่างอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ ก็ทำให้มันบังเกิดอาการหวาดกลัวไม่น้อย จึงรีบตอบคำกลับไปอย่างไม่กล้ารอช้า
“เจ้าติดต่อกะโหลกเลือดผ่านผู้ใด?”
ชายวัยกลางคนเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง และคำถามของมัน เห็นชัดว่าเป็นการยืนยันตัวตนของคนเบื้องหน้า ว่าใช่ผู้ที่ติดต่อกะโหลกเลือดของมันจริงๆรึเปล่า
“นายน้อย เฉินหลี”
เจิ้งหงอี้ตอบ
“กฏ เจ้าสมควรรู้แล้วกระมัง?”
ชายวัยกลางคนหรี่ตาที่มองเจิ้งหงอี้อยู่เล็กน้อย
“ข้ารู้”
เจิ้งหงอี้พยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองสตรีด้านข้าง พลางกล่าว “หวังหง”
“ผู้อาวุโส นี่ค่ามัดจำ”
หวังหงโบกมือเบาๆ ก็ปรากฏชุดเกราะผุดจากความว่างเปล่าตัวหนึ่ง
มองแวบแรก เกราะตัวนี้คล้ายถักทอขึ้นมาจากเถาวัลย์แก้วสีเขียว มันเปล่งประกายเรืองรองแลดูวิจิตรงดงามปานงานศิลปะ
“อืม”
ชายวัยกลางคนรับเกราะเถาวัลย์ดังกล่าวมาทันที หลังจากตรวจสอบเล็กน้อยมันก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะ…”
หลังสะบัดมือเก็บเกราะเถาวัลย์ ชายวัยกลางคนก็หันไปมองเจิ้งหงอี้สลับกับหวังหง พลางเอ่ยออกเสียงเฉย “หากเป้าหมายออกจากนิกายอมตะเป้าผู่เมื่อไหร่ อย่าลืมแจ้งให้ข้าทราบโดยเร็วที่สุด…หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว ข้าจะเรียกเจ้ามาจ่ายอีกครึ่งที่เหลือ”
ชายวัยกลางคนเอ่ยกำชับเจิ้งหงอี้กับหวังหง ขณะเดียวกันก็สะบัดมือเรียกลูกแก้ววิญญาณออกมาส่งมอบให้เจิ้งหงอี้และหวังหงไปคนละลูก เพื่อให้ทั้งคู่ใช้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณติดต่อมันได้สะดวก
หลังจากแลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณกันเรียบร้อยแล้ว ชายวัยกลางคนก็จากไปทันที
อีกทั้งร่างคนยังแว่บหายไปต่อหน้าต่อตาเจิ้งหงอี้กับหวังหง ประหนึ่งอันตรธานหายไปในความว่างเปล่า
สำหรับเรื่องนี้เจิ้งหงอี้กับหวังหงไม่ได้แปลกใจอะไร สุดท้ายอีกฝ่ายก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด และในฐานะที่เป็นถึงนักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด พลังฝีมือของมันยังนับว่าร้ายกาจกว่าบรรดาสุดยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวนัก!
ไม่ต้องกล่าวถึงความสามารถในการทำความเข้าใจของอีกฝ่ายเลย เอาแค่ในองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดนั้น น่ากลัวว่าจะมีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังให้คนในองค์กรเลือกฝึกปรือมากมาย สุดที่ตัวตนระดับราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวจะเทียบได้
“ว่าแต่ ถ้าเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันไม่คิดออกจากนิกาย ต่อให้เป็นนักฆ่าของกะโหลกเลือด ก็ไม่น่าจะมีโอกาสฆ่ามันได้เลยนี่นา?”
หวังหงหันไปมองถามเจิ้งหงอี้ “เท่าที่ข้ารู้ เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นตั้งแต่ที่มาอยู่นิกายเรา นอกจากไปหอตำราครั้งหนึ่งแล้ว มันก็เก็บตัวอยู่ในลานบนเกาะส่วนตัว ไม่ได้ออกไปไหนเลย”
“หากเจ้าคิดจะล่อให้มันออกไปด้านนอกข้าว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย…แถมหากมีพิรุธอันใดให้มันสงสัย แค่มันติดต่อไปหาอาจารย์เจ้าให้ส่งคนไปคุ้มกันมันก็จบ”
“เพราะถึงตอนนั้น ต่อให้นักฆ่าของกะโหลกเลือดลงมือ ก็ไม่ใช่ว่าจะฆ่ามันได้”
หวังหงเผยความกังวลออกมา
“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้เลย”
ได้ยินความกังวลของหวังหง เจิ้งหงอี้ก็กล่าวด้วยท่าทางไร้แยแส “มัน…อีกไม่นานต้องเร่งรุดออกจากนิกายไปเพียงลำพังแน่นอน!”
“ทำไมเล่า?”
หวังหงเอ่ยถาม
“ความลับ”
เจิ้งหงอี้มองสบตาหวังหงพลางคลี่ยิ้มมีเลศนัยออกมา จากนั้นก็ถีบเท้าเหินร่างขึ้นไปในอากาศ ทิ้งผืนป่าไว้เบื้องล่าง
หวังหงก็ทานร่างติดตามไปทันที หากแต่ใบหน้าของนางยามนี้แลดูอัปลักษณ์ปั้นยากนัก
เจิ้งหงอี้ผู้นี้กลับกล้ามีลับลมคมในกับนาง?
จะอย่างไรนางก็ออกค่าจ้างวานฆ่าต้วนหลิงเทียนครึ่งนึงนะ!
…
3 วันต่อมา
ณ หุบเขาที่พักสำหรับเหล่าศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ที่แท้จริง
“ต้วนหลิงเทียน!”
ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่ง อันเหินร่างลอยล่องอยู่ด้านนอกเกาะที่พักของต้วนหลิงเทียน ได้ส่งเสียงผ่านพลังเรียกหาเขา
ภายในห้องของบ้านลานเล็กๆบนเกาะ ต้วนหลิงเทียนที่กำลังทำความเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมของกฏแห่งไฟอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียกหาจากด้านนอก
“ใครมาหาข้ากัน?”
ด้วยความสงสัย ต้วนหลิงเทียนก็ลุกขึ้นแล้วเปิดประตูออกไปยังลานบ้าน จากนั้นก็เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งลอยร่างค้างกลางหาวด้านนอกม่านพลัง
คนที่เรียกเขาเมื่อครู่ สมควรเป็นชายวัยกลางคนผู้นี้
“เจ้ามีธุระอะไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“พอดีเมื่อครู่ตอนที่ข้ากำลังจะกลับเข้านิกายข้าได้ยินเสียงผ่านพลังหนึ่งรั้งข้าเอาไว้…จากนั้นคนที่ส่งเสียงผ่านพลังนั่นก็ซัดจดหมายให้ข้าฉบับหนึ่ง และบอกให้ข้าเอามาส่งให้ถึงมือเจ้า”
ขณะกล่าว ชายวัยกลางคนก็ใช้พลังหอบหิ้วจดหมายฉบับหนึ่งไปให้ต้วนหลิงเทียน
และจดหมายฉบับดังกล่าวยังจ่าหน้าซองว่า ‘ถึงต้วนหลิงเทียน’ อย่างน่าดูชม
“วิธีการติดต่อแบบนี้…”
ทันทีที่เห็นซองจดหมายต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะตั้งแต่ที่เขาขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่เจอใครบางคนเลือกจะติดต่อด้วยวิธีโบราณอย่างการส่งจดหมาย
“ใครเป็นคนฝากจดหมายฉบับนี้มาให้ข้าเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยถามชายวัยกลางคนอีกรอบ
“ข้าเองก็ไม่เห็นเหมือนกันว่าเป็นใคร”
ชายวัยกลางคนส่ายหัวไปมา “แต่เท่าที่ข้าฟังจากเสียงแล้ว สมควรเป็นผู้ชาย”
“ผู้ชาย?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่?
“ต้วนหลิงเทียนหากไม่มีอะไรแล้ว ข้ากลับบ้านก่อนนะ”
ชายวัยกลางคนกล่าว
“อ่า ขอบคุณเจ้ามาก”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
หลังจากที่ชายวัยกลางคนเหินร่างกลับลงไปด้านล่างแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเปิดซองจดหมาย ก่อนจะหยิบจดหมายที่พับไว้ด้านในออกมาเพื่อคลี่กางดูเนื้อหาของมัน
และข้อความสองย่อหน้าบนจดหมาย ก็ปรากฏสู่สายตาเขาชัดเจน
วูบ
และพอเห็นข้อความ 2 ย่อหน้าดังกล่าวบนจดหมาย สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที
ย่อหน้าแรกของจดหมาย มีอักษรเขียนไว้แค่ 2 ตัวเท่านั้น
ฮ่วนเอ๋อ!
ส่วนย่อหน้าที่สอง เป็นข้อความยาว 2 บรรทัด
ห่างออกไปแสนลี้ทางทิศตะวันออกของนิกายอมตะเป้าผู่ เหนือทะเลสาบกลางทุ่งหญ้า หากเจ้าให้ใครติดตามเจ้ามาด้วย ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่ได้เจอข้า นางยังต้องตาย!
“ฮ่วนเอ๋อ!!”
ตั้งแต่ที่ฮ่วนเอ๋อหายตัวไป ใจต้วนหลิงเทียนก็ทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงนางมาโดยตลอด ตอนนี้พอมาเห็นเนื้อความในจดหมายนี่ ความวิตกกังวลก็เอ่อล้นขึ้นมาท่วมใจทันที
“ฮ่วนเอ๋อ…ถูกจับตัวไปงั้นเหรอ?”
“แถมคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้…ยังจะให้ข้าออกไปเจอมันคนเดียว?”
“แค่ดูก็รู้ว่าจุดประสงค์ของมันไม่ใช่เรื่องดีแน่…”
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ฮ่วนเอ๋ออาจจะไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ต่อให้นางรู้ ด้วยนิสัยของนางไม่มีวันบอกคนร้ายแน่นอน…ที่สำคัญเจ้านี่มันรู้จักฮ่วนเอ๋อได้ยังไง? ที่แท้ฮ่วนเอ๋อใช่อยู่กับมันจริงหรือไม่?”
ถึงแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความวิตกกังวล แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ขาดสติ หลังสูดอากาศเข้าลึกๆคำหนึ่ง เขาก็ไตร่ตรองเรื่องราวได้อย่างใจเย็น
“ไม่ว่าฮ่วนเอ๋อจะอยู่กับมันจริงไหม และไม่ว่าจุดประสงค์ของมันคืออะไรกันแน่ ข้าก็ต้องไปดูให้รู้ชัดอยู่ดี!”
ถึงแม้ว่าฮ่วนเอ๋ออาจจะไม่ได้ถูกอีกฝ่ายจับไปจริง และเรื่องทั้งหมดอาจเป็นแค่อีกฝ่ายต้องการล่อเขาออกไป…
ทว่าเขาไม่กล้าเสี่ยง
เพราพหากอีกฝ่ายจับตัวฮ่วนเอ๋อไว้จริงๆ เกิดเขาไม่ให้ความร่วมมือกับมัน อีกฝ่ายก็มีแนวโน้มว่าจะทำอันตรายต่อฮ่วนเอ๋อ
“แต่การที่มันเลือกให้ข้าไปคนเดียวแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน…คงต้องระวังให้มาก”
เพียงห้วงคิดเดียว ร่างต้วนหลิงเทียนก็เหินออกจากเกาะลอย กระทั่งออกจากหุบเขาที่พักสำหรับศิษ์ฝ่ายในและศิษย์ที่แท้จริง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกทันที
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างออกจากหุบเขา ก็ปรากฏร่างหนึ่งเดินออกมาจากหลังประตู และหยุดยืนในลานที่พักของศิษย์ฝ่ายใน เงยหน้าเหม่อมองไปขอบฟ้าทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนมุ่งไป
“ดีล่ะ”
เจ้าของร่างที่ว่าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจิ้งหงอี้ ศิษย์สายตรงลำดับ 3 ของซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่
และตอนนี้บนใบหน้าเจิ้งหงอี้ ก็ปรากฏรอยยิ้มคลี่กางอย่างสดใส
“จึกๆๆ องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด สมแล้วที่เป็น 1 ใน 3 องค์กรมือสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนสวรรค์ใต้…เดิมทีข้ายังห่วงเรื่องที่จักล่อต้วนหลิงเทียนให้ออกจากนิกายไปคนเดียวได้อย่างไร แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะมีวิธีทำให้ต้วนหลิงเทียนเร่งรุดออกไปเพียงลำพังแบบนี้ได้จริงๆ”
“ไม่ทราบว่านักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดทำได้อย่างไรกันแน่…และในจดหมายนั่น ที่แท้มันเขียนว่าอะไร”
ถึงแม้เจิ้งหงอี้จะรู้ว่าองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดมีวิธีล่อต้วนหลิงเทียนออกไป แต่มันก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไร
เมื่อสามวันก่อน เหตุไฉนที่มันทำเป็นมีลับลมคมในกับหวังหงนั้น เพราะอันที่จริงมันเองก็ไม่รู้! ทั้งหมดเป็นเฉินหลีติดต่อมาบอกกมันไว้ก่อนแล้ว ว่าทางองค์กรมีวิธีของตัวเอง มันไม่จำเป็นต้องสนใจ!!
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนนั่นยังจะออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ไปเพียงลำพังอย่างว่าง่าย ไม่กล้าขอกำลังเสริมหรือผู้คุมกันอะไรไปด้วยแน่
“มันออกไปแล้ว”
สองตาเจิ้งหงอี้ทอประกายอำมหิตวาบหนึ่ง จากนั้นก็บดขยี้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณ ติดต่อไปยังนักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดที่กำชับให้มันจับตาดูความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนเอาไว้ หากคนออกจากนิกายอมตะเป้าผู่เมื่อไหร่ให้แจ้งไปทันที
ในขณะเดียวกัน
“ติดเบ็ดแล้วรึ…”
ห่างออกไป 50,000 ลี้ทางทิศตะวันออกของนิกายอมตะเป้าผู่ ชายวัยกลางคนร่างผอมในชุดคลุมลมดำที่นั่งหลับตาขัดสมาธิบนศิลาก้อนใหญ่ในป่า อยู่ๆก็ลืมตาขึ้นมา มุมปากยกยิ้มแสยะเหี้ยมเกรียม แลดูชั่วร้ายนัก!
WSSTH ตอนที่ 3,054 : ว่านโช่วเทียน
ว่านโช่วเทียน เช่นเดียวกับหลิงหลัวเทียน เป็น 1 ในเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลก
(ว่านโช่วเทียน = สวรรค์หมื่นอสูร)
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ทำให้ว่านโช่วเทียนแตกต่างจากหลิงหลัวเทียนก็คือ…
สิ่งมีชีวิตกว่า 99 ในร้อยส่วนของว่านโช่วเทียนนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์อมตะทั้งสิ้น! เนื่องจากสัตว์อมตะในว่านโช่วเทียนจะขับไล่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่ไม่ใช่สัตว์อมตะออกไปจากว่านโช่วเทียน! กระทั่งส่วนใหญ่เมื่อพบเจอสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากสัตว์อมตะ ยังเลือกจะลงมือไล่ล่าสังหารให้สิ้นซาก!!
กลับกัน ด้านหลิงหลัวเทียนนั้นเป็นแดนสวรรค์ที่ค่อนข้างเปิดกว้าง จะมนุษย์หรือสัตว์อมตะไม่เว้นสิ่งมีชีวิตอันใด ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ไม่มีกีดกันเชื้อชาติเผ่าพันธุ์
ในว่านโช่วเทียนนั้น ภายใต้วังจักรพรรดิสวรรค์ว่านโช่วเทียน หนึ่งในขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดก็คือเผ่าพันธุ์มังกร
ผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรยังเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ พลังฝีมือยังร้ายกาจไม่ได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิสวรรค์ของว่านโช่วเทียนสักเท่าไหร่
นอกจากตัวผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรแล้ว ยังมียอดฝีมืออันทรงพลังมากมายในเผ่าพันธุ์มังกร และด้วยการดำรงอยู่ของตัวตนอันทรงพลังเหล่านั้น ก็ทำให้เผ่าพันธุ์มังกรในว่านโช่วเทียนเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์อมตะที่ทรงพลังจนไม่มีใครหาญกล้าตอแย
สถานที่ตั้งเผ่ามังกร ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ไพศาลนามว่า แดนบรรพชนมังกร และพื้นที่ราบลุ่มทั้งหมดยังถือเป็นอาณาเขตของเผ่าพันธุ์มังกรอีกด้วย ปกติแล้วก็แทบไม่มีสัตว์อมตะตนใดหาญกล้าเฉียดกรายเข้าใกล้!
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ณ เขตรอบนอกของที่ราบแดนบรรพชนมังกร ปรากฏร่างสองร่างพุ่งออกมาจากเขตแดนบรรพชนมังกรด้วยความเร็วสูง มองไปประหนึ่งเส้นสายอัสนีสีดำกับสีขาวแล่นวาบตัดอากาศ พริบตา 2 ร่างดังกล่าวก็พุ่งออกนอกอาณาเขตแดนบรรพชนมังกรไปไกลลิบ
และไม่นานหลังจากที่ร่างทั้ง 2 พุ่งออกจากอาณาเขตแดนบรรพชนมังกร ร่างสีเทาหนึ่งก็คล้ายจะผุดโผล่ขึ้นมาจากอากาศว่างเปล่าเหนือน่านฟ้าบริเวณชายขอบอาณาเขตแดนบรรพชนมังกร
เป็นชายชราในชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่แลดูกำยำดุร้าย หากแต่บัดนี้สองตาของมันกลับฉายแววอับจนหนทางไม่น้อย
วูบ!
ชายชรายกมือขึ้นโบกเบาๆ ก็ปรากฏยันต์อมตะแผ่นหนึ่งผุดจากความว่างเปล่าเข้ามือ จากนั้นพอมันบดขยี้ยันต์อมตะดังกล่าว ก็ปรากฏลำแสงอาคมสีรุ้งพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็วสูง
แทบจะพร้อมกันกับที่ปรากฏลำแสงหลากสีพวยพุ่งขึ้นฟ้า ความว่างเปล่าไกลห่างรอบๆก็เริ่มสั่นไหว จากนั้นก็ปรากฏร่างผู้คนกลุ่มพุ่งมาจากขอบฟ้าไกลตา ผู้คนกลุ่มนี้ยังเคลื่อนตัวมาเป็นขบวน แลดูพร้อมเพรียงน่าเกรงขามไม่ใช่ชั่ว
กลุ่มดังกล่าวมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 11 คน นำโดยชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง และทุกคนล้วนแล้วแต่สวมชุดเกราะสีเงิน ในบรรดา 11 คนดังกล่าว ตัวผู้นำยังใส่ชุดเกราะสีเงินที่แลดูครบเครื่องและทรงพลังที่สุด
“อาวุโส 13”
พอเห็นว่าผู้ส่งสัญญาณเป็นชายชราชุดเทา ชายวัยกลางคนก็ประสานมือโค้งคารวะอย่างนอบน้อม 10 ที่ติดตามมาอย่างเป็นระเบียบก็ประสานมือโค้งคารวะอย่างพร้อมเพรียง
“พวกเจ้าเห็นเด็กน้อย 2 คนที่พึ่งออกไปหรือไม่?”
ชายชราหันไปมองชายวัยกลางคน เอ่ยถามออกมาเสียงเข้ม
ชายวัยกลางคนส่ายหัวไปมา
ในขณะที่ชายชราชุดเทาบังเกิดความรู้สึกผิดหวังนั้นเอง ชายวัยกลางคนก็เอ่ยออกมาว่า “อาวุโส 13 ถึงข้าจะไม่เห็นเด็กน้อย 2 คนที่ท่านว่า แต่ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด 2 สายที่เร่งรุดจากไป”
“หากข้าจับสัมผัสไม่ผิด ทั้งคู่มุ่งหน้าไปทางนี้”
หลังกล่าวจบ ชายวัยกลางคนก็ชี้ไปทางทิศใต้
และแทบจะทันทีที่เสียงงของชายวัยกลางคนดังจบคำ ร่างชายชราชุดเทาก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาชายวัยกลางคนและอีก 10 คนที่เหลือปานภูตผี
“เหอะๆ…ดูเหมือนเจ้าหนูทั้ง 2 นั่นจะหนีออกไปได้สำเร็จ…”
หลังชายชราวูบร่างหายไป ชายวัยกลางคนก็ส่ายหัวไปมา กล่าวอย่างทอดถอนใจ
“หัวหน้าท่านรู้หรือว่าผู้อาวุโส 13 กำลังตามหาผู้ใด?”
ชายหนุ่มคนหนึ่ในบรรดา 10 คนที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยถามชายวัยกลางคนออกมาด้วยความสงสัย
“เจ้าสมควรได้ยินเรื่องเมื่อ 2-3 ปีก่อนมาแล้วใช่หรือไม่…ว่าอาวุโสที่อายุน้อยที่สุดในเผ่าพันธุ์มังกรของพวกเราอย่างอาวุโสจี้เซียง ได้นำเด็กน้อย 2 คนกลับมาจากระนาบโลกียะ?”
ชายวัยกลางคนย้อนถาม
“เรื่องนี้เองรึ…ข้าเคยได้ยินมาแล้วหัวหน้า”
ลูกตาชายหนุ่มทอประกายวับวาว จากนั้นก็กล่าวออกออกมาด้วยความสนใจ “ว่ากันว่าเด็กน้อยทั้ง 2 คนจากระนาบโลกียะนั่นเป็นมังกรเทพยดา 8 กรงเล็บ…และพอมาถึงเผ่าพันธุ์มังกรเรา หลังจากลงไปในสระชำระมังกรแล้วทั้งคู่ก็มีแน้วโน้มว่าจะพัฒนาไปเป็นมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ!”
“อีกทั้งในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทั้งคู่ก็เผยพรสวรรค์อันร้ายกาจออกมา…ทั้งๆที่ยังอายุไม่ถึง 100 ปีกันแท้ๆ แต่กลับทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะได้แล้ว”
“แถม 1 ในนั้นยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นได้ 4 ประการ…ส่วนอีกคนถึงแม้จะพึ่งเข้าใจความลึกซึ้งของกฏทำลายล้างได้ 3 ประการ…ทว่า 1 ในความลึกซึ้งที่เข้าใจกลับบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย! ทำให้พลังฝีมือร้ายกาจยิ่งกว่าอีกคนเสียอีก!!”
“เรียกว่าเด็กน้อยทั้ง 2 คนนั่น นับเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งในเผ่าพันธุ์มังกรแห่งว่านโช่วเทียน! ด้วยเหตุนี้เหล่าอาวุโสจึงให้ความสำคัญกับทั้งคู่มาก กระทั่งยังส่งอาวุโส 13 ให้คอยติดตามดูแลความปลอดภัยทั้งคู่ไม่ห่าง…”
พอกล่าวถึงจุดนี้ ชายหนุ่มก็ชะงักไปคล้ายตระหนักอะไรได้บางอย่าง ลูกตามันหดหยีลง หันไปมองถามชายวัยกลางคนด้วยความประหลาดใจว่า “หัวหน้า…ที่ผู้อาวุโส 13 เอ่ยถามถึงเมื่อครู่ คงไม่ใช่เด็กน้อยคู่นั้นหรอกนะ?
“เหอะๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกมันนั่นล่ะ”
ชายยวัยกลางคนคลี่ยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “อีกทั้งจากสีหน้าของผู้อาวุโส 13 เมื่อครู่ เห็นชัดว่าต้องเสียท่าเด็กน้อยคู่นั้น และทำพวกมันคลาดสายตาไปแล้วเป็นแน่…”
“ข้าหวังว่าอาวุโส 13 จะไล่ตามเด็กน้อยทั้งคู่นั่นทัน…หาไม่แล้วหากเกิดอะไรขึ้นกับเด็กน้อยคู่นั้นล่ะก็ อย่าว่าแต่อาวุโส 13 จะถูกลงโทษเลย กระทั่งพวกเราที่เป็นหน่วยลาดตระเวณพื้นที่แถบนี้ก็ไม่พ้นโดนดีไปด้วย…”
กล่าวถึงท้ายประโยต ชายวัยกลางคนก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ชายชราชุดเทาที่พึ่งออกจากอาณาเขตแดนบรรพชนมังกรและกำลังมุ่งหน้าไปทางใต้นั้น แม้จะพยายามปูพรมค้นหาแล้ว แต่กลับไม่พบเจอแม้แต่เงาเป้าหมาย…
ทันใดนั้นสีหน้าชายชราก็กลับกลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันที “เจ้าเด็กน้อยคู่นี้แสบยิ่งนัก…ตั้งแต่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะก็พยายามแอบหนีไปไม่หยุด…”
“2-3 ครั้งก่อนยังดีที่ข้าไหวตัวทันและจับพวกมันได้…แต่ครานี้พวกมันวางแผนได้แสบนัก! ไม่เพียงให้คนมาล่อข้าได้สำเร็จ ยังหลบหนีคนที่ข้าสั่งให้เฝ้ามาได้อีก!!”
“หวังว่าพวกมันจักไม่เป็นไร…หาไม่แล้วข้าจักไปอธิบายให้ท่านผู้เฒ่าฟังได้อย่างไร…”
ชายชราชุดเทาได้แต่บ่นกับตัวเองอย่างอ่อนใจ เรียกว่าขณะกล่าวน้ำเสียงยิ่งมายิ่งเผยความจนปัญญาอย่างสุดซึ้ง…
ในเวลาเดียวกัน ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือหลายหมื่นลี้จากจุดที่ชายชราชุดเทาเหินร่างหยุดบ่น ประกายอัสนีสีดำสีขาวที่แล่นวาบตัดฟ้ามาฉับไว ในที่สุดก็ค่อยๆชะลอตัวลง เผยให้เห็นเป็นร่าง 2 ร่างชัดเจน
ทั้ง 2 ร่างนั้น หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย เป็นชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่ง
ชายหนุ่มนั้นมาในชุดสีดำ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา หากแต่แลดูเย็นชาไร้แยแส แววตายังนิ่งสงบไม่เผยอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
ร่างสูงลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกประหนึ่งหอคอยเหล็กตระหง่าน ไร้สิ่งใดสั่นคลอน
ส่วนสตรีอีกคนนั้นมาในชุดขาวรูปลักษณ์งดงามไม่น้อย และแม้จะแลดูงดงามหากทว่าไม่คล้ายอ่อนแอ แววตาให้ความรู้สึกกล้าหาญ พาลให้ผู้คนบังเกิดอาการยำเกรงยากที่จะเข้ามาตอแยนางได้ง่ายๆ
นอกจากนี้สตรีชุดขาวยังค่อนข้างสูงกว่าสตรีทั่วไป เพราะตัวนางสูงเกือบหนึ่งหมี่แปด อย่างไรก็ตามเมื่อยืนอยู่ข้างๆชายหนุ่มชุดดำที่สูงเกือบสองหมี่ นางก็แลดูตัวเล็กไปถนัดตา…
(180 ซม. , 200 ซม.)
ถึงแม้ชุดสีขาวที่นางสวมใส่อยู่จะแลดูหลวมไปบ้าง แต่ก็ไม่อาจปกปิดรูปร่างอันโค้งเว้าของนางได้เลย โดยเฉพาะขาเรียวยาวคู่นั้น ยังยาวเกินหนึ่งหมี่เสียอีก
“ดูเหมือนพวกเราจะสลัดตาแก่นั่นหลุดแล้ว…”
สตรีชุดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงโล่งใจ
จากนั้น นางก็หันไปมองกล่าวกับชายหนุ่มชุดดำ “เสี่ยวเฮย เจ้าได้ติดต่อเสี่ยวจินไปรึยัง”
“เรียบร้อย”
ชายหนุ่มในชุดดำพยักหน้า จากนั้นสองตาก็ทอประกาเรืองขึ้นวูบพนึ่งกล่าวว่า “อันที่จริงป่านนี้นางควไปถึงที่นั่นเรียบร้อยแล้ว…ตอนนี้ก็คงรอพวกเราด้วสีหน้าเบื่อๆ”
“นางช่างสบายยิ่ง ไม่มีผู้ใดคอยเฝ้าตามแจ แถมอยากไปที่ใดก็ไปได้…”
สตรีชุดขาวกล่าวพึมพำเบาๆ จากนั้นนางกับชายหนุ่มชุดดำก็เหินร่างออกเดินทางทันที สองคนกลับกลายเป็นเส้นสายอัสนีสีขาวดำพุ่งวาบตัดฟ้า บึ่งลงใต้ไปด้วยความเร็วสูง
ในขณะที่ทั้งคู่มุ่งหน้าลงใต้ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จากจุดที่ทั้งคู่อยู่ อาวุโส 13 ของเผ่าพันธุ์มังกรที่หาตัวทั้งคู่ไม่เจอ ก็ยังคงง่วนกับการตามหาทั้งคู่อยู่แถวนนั้น….
ไม่ได้รู้เลยว่าทั้งคู่นั้น หาได้อยู่ในทิศทางที่มันตามหาอีกสืบไป…
…
สามวันต่อมา
ในทะเลทรายแห่งหนึ่ง เมืองร้างอันเป็นซากปรักหักพังอันปกคลุมไปด้วยฝุ่นทรายสีเหลือง อีกทั้งไม่ว่าจะมองไปทางใดก็เห็นแต่เห็นทรายสีเหลืองสุดลูกหูลูกตา พาลให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกเปลี่ยวร้างวังเวงนัก…
และตอนนี้ เหนือซากปรักหักพังของเมืองร้างกลางทะเลทรายดังกล่าว ก็ปรากฏร่างในชุดสีทองลอยล่องอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเป็นที่สุด
เป็นสตรีในชุดสีทองนางหนึ่ง ใบหน้ากระจ่างใสบริเวณแก้มยังขึ้นสีชมพูระเรื่อน่ามอง หากแต่แลดูก็รู้ว่านางไม่ได้แต่งหน้าทาปากอันใด เรียกว่างดงามน่าดูตามธรรมชาติ ไปอยู่ที่ใดรอบกายก็คล้ายจะหมองลงถนัดตา
นอกจากนี้นางยังสูงราวๆหนึ่งหมี่เจ็ดห้า เรียกว่าสูงกว่าสตรีทั่วไปไม่น้อยแถมรูปร่างยังผอมเพรียวอีกด้วย
(175 ซม.)
“มากันแล้ว!”
ทันใดนั้นเองคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สตรีแก้มอมชมพูที่ทำหน้าซังกะตาย ก็หันขวับไปจับจ้องขอบฟ้าทางทิศเหนือด้วยยตาลุกวาวทันที
จากนั้นจุดดำเล็กๆ 2 จุดที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยความเร็วสูงก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
หลังจากนั้นไม่นานนัก จุดดำเล็กๆ 2 จุดที่ว่า ขยายใหญ่พอให้เห็นว่าเป็นร่างคนสองคน
“เสี่ยวไป๋! เสี่ยวเฮย!”
เมื่อเห็นร่างผู้มา สองแก้มอมชมพูที่เผยความเบื่อหน่ายก่อนหน้า ก็ปรากฏรอยยิ้มสดใสคลี่กางขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันร่างสูงเพรียวยังพุ่งเข้าไปหาผู้มาเร็วไว ท่าทางคึกคักอักโขนัก
“ไม่เจอกันนานเลยเสี่ยวจิน เจ้าสวยขึ้นจนข้าจำแทบไม่ได้แล้ว…”
สตรีชุดขาวยิ้มทัก
“โอย~ เสี่ยวไป๋อ่าอย่าชมข้าเลย เจ้าสวยกว่าข้าอีก…ข้าล่ะไม่รู้จริงๆว่าเจ้าที่เป็นพี่น้องกับเสี่ยวเฮยหน้าตาดีถึงขนาดนี้ แต่ไฉนเสี่ยวเฮยถึงได้อัปลักษณ์นักนะ”
ขณะกล่าว สตรีชุดทองก็กลอกตามองไปทางชายหนุ่มชุดดำข้างๆสตรีชุดขาวที่กำลังเหลือบมองมาที่นางเช่นกัน
และพอได้ยินคำพูดของสตรีชุดทอง มุมปากของชายหนุ่มชุดดำก็กระตุกขึ้นมาตงิดๆ จากนั้นสองตาเฉยเมยที่เหลือบมอง ก็กลายเป็นหันมามองจ้องหน้าสบตานางเขม็ง
อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายเย็นชาไร้แยแสที่มักแผ่ออกมาอยู่เสมอ บัดนี้ดูเหมือนจะอ่อนจางลงไปมาก
“ถึงเจ้าจะดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน…แต่หน้าอกยังเล็กอยู่ดี หากไม่รู้จักกันมาก่อนข้านึกว่าเจ้าเป็นผู้ชายปลอมตัวมาซะอีก”
ชายหนุ่มชุดดำกล่าวออกเสียงเฉย แต่นับว่าเป็นวาจายืดยาวที่นานๆจะกล่าวออกมาสักที และพอเอ่ยปากพูดมา ก็ทำให้สีหน้าสตรีชุดทองกลับกลายเป็นบิดเบี้ยวดูไม่ได้
และในขณะที่สตรีชุดทองกำลังงจะออกฤทธิ์พุ่งไปสู้ตายกับชายหนุ่มชุดดำ สตรีชุดขาวก็หัวเราะกล่าวออกมาเป็นการห้ามทัพ “เอาล่ะๆ พวกเจ้าสองคนไม่เจอกันก็นานแล้ว ไฉนพอเจอหน้าก็ต้องหาเรื่องกันอีกแล้วเล่า?”
“อย่าได้ลืมไป…ว่าคราวนี้พวกเรามารวมตัวกันเพื่ออะไร?”
ประโยคแรกที่สตรีชุดขาวเอ่ยแม้จะห้ามทัพจับศึกได้สำเร็จ หากแต่สตรีชุดทองกับชายหนุ่มชุดดำก็ยังมองหน้าจ้องตากันเขม็งอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ทว่าพอเอ่ยถึงประโยคหลัง ทั้งคู่ก็หันกลับมามองสตรีชุดขาวทันที
“เสี่ยวไป๋…นี่มันก็ผ่านไปหลายปีแล้ว เจ้าว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนกับพี่สาวเค่อเอ๋อและคนอื่นๆจะยังอยู่ในระนาบเซียนกันไหม?”
สตรีชุดทองมองถามสตรีชุดขาว
“ไม่ว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนกับพี่สาวเค่อเอ๋อและคนอื่นๆจะยังอยู่ที่ระนาบเซียนกันรึเปล่า พวกเราก็ต้องลองไปดูก่อน…ตอนนี้พวกเราล้วนบรรลุขุนนางอมตะกันหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวกรรมทางโลกอันใด!”
สตรีชุดขาวตอบ
พอได้ยินคำพี่ใหญ่หลิงเทียนกับพี่สาวเค่อเอ๋อจากปากสตรีชุดทองและสตรีชุดขาว สีหน้าแววตาของชายหนุ่มชุดดำที่ลอยอยู่ข้างๆก็เผยความอ่อนโยนทั้งคิดถึงออกมาทันที
“เจอพวกเราตอนนี้ ข้าว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนกับพี่สาวเค่อเอ๋อรวมถึงพี่สาวลี่เฟย ต้องจำพวกเราไม่ได้แน่ๆ!”
สตรีชุดทองกล่าวพึมพำ
WSSTH ตอนที่ 3,055 : นักฆ่าจากกะโหลกเลือด
ณ หลิงหลัวเทียน
ภายในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว ของแดนสวรรค์ใต้
ห่างออกไปทางตะวันออกราวๆ 80,000 – 100,000 ลี้ของนิกายอมตะเป้าผู่นั้น เป็นพื้นที่ราบทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล
และห่างออกไปจากนิกายอมตะเป้าผู่ทางตะวันออก 100,000 ลี้ จะพบเจอทะเลสาบแห่งหนึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้า ทะเลสาบดังกล่าวมีลักษณะคล้ายวงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 2 ลี้ น้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าใส
เรียกว่าทะเลสาบที่ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้าผืนนี้ มองจากฟ้าสูงแล้วประหนึ่งมีคนนำกระจกทรงกลมมาวางตั้งเอาไว้ก็ไม่ปาน ผืนน้ำใสดั่งกระจกนั่นปรากฏภาพสะท้อนเมฆขาวฟ้าครามเบื้องบน อีกทั้งยามแสงตะวันร้อนสาดส่องลงมา ผิวน้ำยังทอประกายระยิบระยับดั่งผลึกแก้ว
ฟุ่บบ!
ดั่งสายลมกรรโชกมาหอบหนึ่ง สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือทะเลสาบ ปรากฏร่างในชุดสีม่วง
“หืม?”
ร่างในชุดสีม่วงไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นต้วนหลิงเทียนที่เร่งรุดเดินทางออกมาจากนิกายยอมตะเป้าผู่ และพอมาถึงสถานที่นัดหมาย เขากลับไม่พบเจอใครเลย สำนึกเทวะที่แผ่ออกไปล้วนพบเจอแต่ความว่างเปล่า
ที่ไฉนต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะจดหมายที่เขาได้รับมามีส่วนเกี่ยวข้องกับฮ่วนเอ๋อ
ในเมื่อผู้ที่เขียนจดหมายถึงเขาจงใจนัดให้เขามาที่นี่ เช่นนั้นจะช้าจะเร็วคนก็ต้องมาแน่นอน
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ร้อนใจอะไร เริ่มนั่งขัดสมาธิลงกลางอากาศ ทำความเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมโดยมีเพลิงเทพโกลาหลให้ความช่วยเหลือ
ด้วยมีเพลิงเทพโกลาหลช่วยเหลือ ความลึกซึ้งลุกโหมของเขานั้น ก็เข้าใจใกล้บรรลุถึงขั้นตอนเบื้องต้นเต็มที
‘ด้วยอัตราความก้าวหน้าระดับนี้…ภายในครึ่งปีข้าต้องเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมได้แน่นอน’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
แน่นอนว่าคำเข้าใจได้แน่ที่ต้วนหลิงเทียนพูดถึง ก็คือเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นเท่านั้น เนื่องจากวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชามันช่วยให้เข้าถึงพลังแห่งกฏได้เพียงเท่านี้
อย่างไรก็ตาม แม้ต้วนหลิงเทียนจะนั่งขัดสมาธิและทำความเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมกลางอากาศ แต่เขาก็ไม่ใช่ไม่ระวังตัว สำนึกเทวะยังแผ่ออกไปตรวจสอบรอบกายเสมอ ขอเพียงมีใครล่วงล้ำเข้ามาในรัศมี ไม่ว่าพลังฝึกปรืออีกฝ่ายจะเหนือกว่าเขาหลายขั้น หากเจ้ามาอยู่ในระยะเขาย่อมจับบสัมผัสได้ไม่ยาก กระทั่งยังตอบสนองเรื่องราวได้ทันท่วงที
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนทำความเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมเหนือทะเลสาบกลางทุ่งหญ้า คน 2 คนในนิกายยอมตะเป้าผู่ก็ยุ่งวุ่นวายไม่น้อย
สองคนที่กำลังยุ่งวุ่นวาย ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเจิ้งหงอี้ ศิษย์สายตรงลำดับ 3 ของซุนเหลียงเผิงประมุขนิกาอมตะเป้าผู่ กับหวังหง หลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่
ตอนนี้ทั้งคู่ได้แบ่งหน้าที่กันออกไปตรวจสอบอาวุโสขอบเขตราชาอมตะของนิกายยอมตะเป้าผู่ เพื่อดูว่ามีใครหายไปจากที่พักหรือไม่
ทั้งคู่ทำแบบบนี้ ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด
จะอย่างไรนักฆ่าที่องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดส่งมาครั้งนี้ ก็เป็นแค่ราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น แม้พลังฝีมือจะดี แต่ในนิกายอมตะเป้าผู่ก็มีอาวุโสที่ทรงพลังเหนือกว่ามันมากมาย
ในฐานะนักฆ่าขององค์กรมอสังหารกะโหลกเลือดแน่นอนว่าย่อมมีความระวังตัวสูง เช่นนั้นหลังจากที่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนงับเหยื่อและออกเดินทางมาตามนัด มันก็สั่งให้เจิ้งหงอี้ไปยืนยันว่ามีขอบเขตราชาอมตะของนิกายอมตะเป้าผู่คนใดออกจากนิกายไหม และมันก็เฝ้ารอคำตอบดังกล่าวก่อนที่จะตัดสินใจลงมือทำอะไร
หลังผ่านไป 3 วัน เจิ้งหงอี้กับหวังหงก็มาเจอกันอีกครั้ง
“คนที่ข้าไปตรวจดูทั้งหมดล้วนอยู่ในนิกายทั้งหมด ด้านเจ้าเล่า?”
หวังหงเอ่ยถามเจิ้งหงอี้ทันที
“ด้านข้าก็เหมือนกัน”
เจิ้งหงอี้พยักหน้ารับ จากนั้นก็ไม่รอช้า เร่งใช้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณรายงานเรื่องงราวให้นักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดที่รอข่าวทันที
“ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้ชนชั้นอาวุโสของนิกายอมตะเป้าผู่เรา นอกจากที่ออกไปงานด้านนอกยังไม่กลับมาแล้ว ไม่มีใครออกจากเขตนิกายเลย…ดูเหมือนต้วนหลิงเทียนนั่นจะไม่ได้ลอบติดต่อกับใคร และขอความช่วยเหลือผู้ใดทั้งสิ้น”
นี่เป็นข้อความที่เจิ้งหงอี้รายงานไป จากนั้นมันก็เร่งส่งข้อความไปอีกประโยคเป็นการเยินยอนักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด “ท่านผู้อาวุโสช่างน่าทึ่งยิ่งนัก ไม่เพียงล่อให้ต้วนหลิงเทียนออกไปเพียงลำพังได้ ยังทำให้มันไม่กล้าติดต่อหาคนช่วยได้เช่นนี้ เป็นฝีมืออันแยบคายจริงๆ”
“อืม”
น่าเสียดายที่คำประจบเยินยอของเจิ้งหงอี้ถูกลิขิตให้ไร้ผล นักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดสนใจแต่เรื่องที่สั่งเท่านั้น กับเจิ้งหงอี้มันไม่แยแสแม้แต่น้อย
“ได้เวลาปิดงานเสียที…”
บริเวณรอบนอกพื้นที่ทุ่งหญ้าที่ติดกับป่ารก ชายวัยกลางคนร่างผอมที่นั่งอยู่กลางอากาศเหนือพื้นดินไม่มากก็ลุกขึ้นยืนทันที
ครู่ต่อมาสาตามันก็มองจองไปยังที่ราบทุ่งหญ้าเบื้องหน้า จิตสังหารอำมหิตยังเริ่มแผ่ซ่านออกมาอย่างน่ากลัว
“ดูเหมือนหน่วยข่าวกรองขององค์กรจะถูกต้อง…คนชื่อ ‘ฮ่วนเอ๋อ’ มีความสำคัญกับมันนัก”
“อย่างไรก็ตาม…เจ้านั่นมันออกมาตามนัดโดยที่ไม่บอกผู้ใดเลยจริงๆ? นี่มันไม่เอะใจบ้างหรือไรว่าจดหมายนั่นอาจเป็นการล่อมันออกมาสู่หายนะ?”
“หรือ…มันคิดจริงๆว่าหากมาตามนัดหมายข้า แล้วชีวิตมันจะไม่ตกอยู่ในอันตรายใดๆ?”
“ช่างเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสานัก”
หลังกล่าวพึมพำอยู่พักหนึ่งจนจบ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมลมดำก็คลี่ยิ้มเย็นชาออกมา จากนั้นคนก็คล้ายกลับกลายเป็นอัสนีสีดำ พุ่งเข้าสู่ที่ราบทุ่งหญ้าไปด้วยความเร็วสูง
…
ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลใต้ผืนฟ้าคราม แม้ให้ความรู้สึกมีอิสระเสรี แต่มุมหนึ่งก็แลดูอ้างว้างให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวพิกล
ทะเลสาบกระจกอันตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้านั้น มองไกลๆแล้วยังคล้ายมุกมณีที่หล่นร่วงลมาจากฟ้าไปฝังตัวบนทุ่งหญ้าอยู่บ้าง ทำให้แลดูงดงามสะดุดตาเป็นพิเศษ
เหนือทะเลสาบ ร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงยังคงนั่งขัดสมาธิหลับตากลางหาว คนคล้ายกำลังพักผ่อนจิตใจ แต่ถ้าใครสังเกตรอบกายให้ดี จะพบว่าปรากฏคลื่นความร้อนกำจายออกมาเป็นระลอกๆแล้วระลอกเล่า
หากไม่ใช่กลางวันแต่เป็นกลางคืน ระรอกคลื่นความร้อนดังกล่าวสมควรถูกพบเห็นได้ไม่ยาก เพราะมันเรืองแสงสีแดงปานเพลิงไฟ
เป็นพลังจากความลึกซึ้ง ลุกโหม ของกฏแห่งไฟ!
ชายหนุ่มชุดม่วงที่ว่า ก็คือต้วนหลิงเทียนเอง
ต้วนหลิงเทียนนั่งขัดสมาธิกลางหาวเป็นเวลา 2-3 วันแล้ว เขากำลังเฝ้ารอให้คนที่ส่งจดหายถึงเขาปรากฏตัว แต่เนิ่นนานอีกฝ่ายก็ไม่มาเสียที
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้รออยู่เฉยๆ แต่เลือกจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมไปพลางๆ เช่นนั้นจึงไม่รู้สึกว่าเวลา 2-3 วันมันเนิ่นนานอะไร
‘มาแล้ว!’
ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนที่หลับตานั่งขัดสมาธิกลางหาว อยู่ๆก็ลืมตาขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันคนก็ลุกขึ้นยืนในฉับพลัน สองตายังหันขวับไปจับจ้องความว่างเปล่าไกลตาทิศทางหนึ่ง
และแทบจะพร้อมๆกันกับที่สายตาเขามองทอดไป
ฟุ่บ!
ร่างสีดำอยู่ๆก็ผุดโผล่ขึ้นมาในความว่างเปล่าปานภูตผี เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมลมดำผู้หนึ่ง
ใบหน้าที่โผล่พ้นโม่งคลุมนั้น ช่างซูบผอมเหลือเกิน แก้มอีกฝ่ายตอบลงจนเห็นโหนกแก้มนูนเด่น กลิ่นอายพลังไร้สภาพที่แผ่ออกมาทั่วกายให้ความรู้สึกชั่วร้ายมืดดำ พาลให้คนใจสั่นไม่น้อย
“หืม?”
หลังชายวัยกลางคนในชุดคลุมลมดำปรากฏขึ้นไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นลายปักกะโหลกไขว้สีแดงเลือดนกที่ปักไว้กลางอกของมัน
สัญลักษณ์กะโหลกไขว้สีแดงเลือดนกนั่น ยามชุดคลุมกระพือเบาๆตามสายลม ยังชวนให้รู้สึกเหมือนหยดโลหิตหลั่งไหล แลดูน่ากลัวพิกล
“องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด?”
ต้วนหลิงเทียนเงยหน้าขึ้นมาสบกับดวงตาชืดชาของชายววัยกลางคนร่างผอม พลางเลิกคิ้วถาม
ก่อนที่เขาจะมานิกายอมตะเป้าผู่ เขาไม่รู้จักองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดแม้แต่น้อย ยิ่งไม่รู้เลยว่าลายปักบนอกเสื้อของอีกฝ่ายคือสัญลักษณ์ประจำองค์กร
ทว่าหลังมาอยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่ และได้ใช้เวลาศึกษาหาคามรู้ในหอตำรานานกว่า 3 เดือน ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจโครงสร้างอำนาจในแดนสวรรค์ใต้ รวมถึงเรื่องราวอื่นๆอีกมากมาย
ในบรรดาเรื่องราวเหล่านั้นก็รวมถึง 3 องค์กรมือสังหารระดับพระกาฬของแดนสวรรค์ใต้ด้วย และองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดที่เป็นดั่งฝันร้ายนั่น แน่นอนว่าเขาก็ทราบข้อมูลไม่น้อย
นักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด มักจะสวมชุดคลุมลมดำทั้งมีสัญลักษณ์กะโหลกไขว้ปักอยู่บริเวณอกให้เห็นได้ชัดเจน
นอกจากนั้น ระดับของนักฆ่าก็สามารถระบุได้คร่าวๆจากลายปักดังกล่าว
“นับว่าเจ้ามีความรู้กว้างขวางไม่เลว ถึงกับรู้ได้ทันทีว่าข้าคือนักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด”
ชายวัยกลางคนที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาไร้อารมณ์เอ่ยออกเสียงเฉย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ในใจของมันเสมือนมีมรสุมขนาดย่อมก่อตัว เพราะมันสังเกตเห็นได้ชัดเจน ว่าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้กลับรู้ตัวตั้งแต่ตอนที่มันเหินร่างมา
เรื่องนี้สำหรับมันแล้ว เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก!
เพราะสุดท้ายมันก็เป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด ส่วนอีกฝ่ายเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอันกระจ้อยร่อยเท่านั้น!
“ฮ่วนเอ๋ออยู่ไหน”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเสียงเรียบ ไม่ได้แยแสแววตาเฉยเมยของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“ฮวนเอ๋อ?”
ชายวัยกลางคนผงะไปเล็กน้อย ค่อยกล่าวออกมาเคล้าเสียงหัวเราะ “เหอะๆ ไม่มีฮ่วนเอ๋ออันใดทั้งงสิ้น…ทั้งหมดเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อล่อให้เจ้าออกมาจากนิกายอมตะเป้าผู่เท่านั้น”
“แค่ว่า ข้าไม่อยากจะเชื่อจริงๆเจ้ายังหาญกล้าออกมาเพียงลำพังดั่งที่ข้าต้องการ…ดูเหมือนว่าคนชื่อฮ่วนเอ๋อจะมีความสำคัญกับเจ้าจริงๆ”
“ฟังจากชื่อแล้ว นางสมควรเป็นสตรีสินะ…”
“น่าเสียดายที่วันนี้อัจฉริยะเช่นเจ้าต้องตายเพราะสตรี!”
ขณะกล่าววาจาท้ายประโยค น้ำเสียงของชายวัยกลางคนมากล้นไปด้วยความเย้ยหยัน!
“เช่นนั้น…เจ้าก็ไม่รู้สินะว่าฮ่วนเอ๋ออยู่ไหน?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น อย่างไรก็ตามในใจกลับรู้สึกโล่งอกขึ้นมา
“ไอ้หนู ข้ามิใช่พึ่งพูดไปหรือว่าทั้งหมดเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อล่อเจ้า?”
ชาวัยกลางคนหัวเราะเยาะอีกรอบ
“แม้จะเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อล่อข้ามา แต่อย่างน้อยๆนับว่าหน่วยข่าวกรองขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเจ้าไม่เลวเลบทีเดียว ถึงได้ล่วงรู้เรื่องฮ่วนเอ๋อ กระทั่งรู้ว่าสามารถใช้นางเพื่อล่อข้าออกมาได้”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเบา
“แล้วเจ้าบอกได้หรือไม่ ว่าใครเป็นคนจ้างวานองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดให้มาฆ่าข้า เพราะเท่าที่ข้ารู้มา คิดจะติดต่อองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็มีคุณสมบัติจะทำได้”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องตาชายวัยกลางคนเขม็งพลางจี้ถามออกไป
“เจ้ารู้มากทีเดียว…”
ชายวัยกลางคนมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาทำราวกับมอง ‘คนตาย’ เอ่ออกด้วยน้ำเสียงไร้แยแส “เจ้าเองก็เป็นเพียงคนกำลังจะตายเท่านั้น กล่าวไปต่อให้บอกคนที่กำลังจะตายก็คงไม่เป็นไร…แต่น่าเสียดายที่องค์กรกะโหลกเลือดของเรามีกฏ!”
“เจ้าจงตายไปพร้อมกับความเสียใจทั้งความโง่งมของตัวเองเถอะ!”
พอชายวัยกลางคนกล่าวประโยคนี้จบ ความว่างเปล่ารอบๆตัวมันก็เริ่มสั่นสะเทือน รัศมีพลังอันเกรี้ยวกราดหนึ่งสาดปะทุออกจากร่าง!
พร้อมกันนั้นเจตนาฆ่าฟันอำมหิตขุมหนึ่งก็เริ่มแผ่ซ่านออกมาบีบคั้นไปในบรรยากาศ!
ครู่ต่อมา
ฟุ่ฟฟฟ!!
ร่างวัยกลางคนอยู่ๆก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนปานภูตผี จากนั้นก็ยกมือขึ้นง้างหมัดทั้งชกออกมาเร็วไว รอบหมัดท่วมท้นไปด้วยพลังเซียนอมตะสีฟ้า เห็นชัดว่ามันได้ผสานหลอมรวมพลังจากกฏแห่งน้ำเอาไว้!
ปงงง!!
หมัดที่ชกออกมา ประหนึ่งมังกรวารีโผล่ทะยานพ้นลำน้ำ ยังจี้ตรงเข้าไปยังหน้าผากต้วนหลิงเทียน เห็นได้ชัดว่ามันคิดระเบิดศีรษะต้วนหลิงเทียนให้แหลกในหมัดเดียว!
ชายวัยกลางคนชกหมัดออกไปด้วยอิริยาบถผ่อนคลาย ทำราวกับมันเชื่อมันว่าต้วนหลิงเทียนถูกลิขิตให้ตกตายด้วยหมัดนี้ของมันแน่แล้ว!
อย่างไรก็ตาม ลูกตามันจำต้องเบิกกว้างค้างแข็ง สีหน้ายังเปลี่ยนไปใหญ่หลวง
หมับ!
ในขณะที่ลุกตามันเบิกกว้างค้างแข็งและสีหน้าเปลี่ยนไปใหญ่หลวงนั้น ก็บังเกิดเสียงเบาๆหนึ่งดังขึ้น และเสียงนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นต้นตอความตกใจของชายวัยกลางคน!
เพราะมันเห็นว่า ต้วนหลิงเทียนที่ประหนึ่งยืนรอรับความตายแน่ๆแล้วนั้น คล้ายยกมือขึ้นมาตามอำเภอใจไร้เรื่องราว หากแต่ฝ่ามือที่ปรากฏแสงพลังสีกากีนั่น กลับคว้าจับหมัดเปี่ยมพลังเกรี้ยวกราดของมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย!
WSSTH ตอนที่ 3,056 : จอมราชันอมตะกลับชาติมาเกิด?
ชายวัยกลางคนตะลึงอึ้งค้างไปโดยสมบูรณ์!
อันที่จริงตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนดูเหมือนจะรู้จักองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด อีกทั้งรู้ว่ามันสมควรเป็นนักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดแต่ยังนิ่งเฉยอยู่ได้ ไม่ได้เผยท่าทีหวาดหวั่นขลาดกลัวอันใด มันก็รู้สึกทะแม่งๆแล้ว
ทว่าพอนึกถึงข้อความจากเจิ้งหงอี้ ศิษย์ฝ่ายในนิกายอมตะเป้าผู่ที่เป็นหูเป็นตาให้มัน กอปรทั้งรายงานจากหน่วยข่าวกรองที่บอกว่าต้วนหลิงเทียนเป็นแค่คนจากระนาบโลกะที่ขึ้นสวรรค์มา มันก็รู้สึกว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดไปได้
ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นผู้อมตะทรงพลังที่กลับชาติมาเกิด และสมควรปลุกความทรงจำเมื่อชาติก่อนได้จริง…
แล้วยังไง?
เพราะไม่ว่าชาติที่แล้วอีกฝ่ายจะเป็นใคร ร้ายกาจแค่ไหน แต่ในปัจจุบันก็เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น!
“เจ้า…เจ้าทำได้ยังไงกัน…เป็นไปได้ยังไง!?”
ชายวัยกลางคนยิ่งมายิ่งแตกตื่น เพราะมันพบว่าไม่ว่าจะเร่งเร้าพลังเท่าไหร่ กระทั่งใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำประการอื่นๆมากแค่ไหน หากแต่ไม่อาจถอนรั้งหมัดออกมาได้เลย!
ต้วนหลิงเทียนเพียงลอยร่างแน่นิง ปล่อยให้พลังจากความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำของอีกฝ่าดิ้นรนวุ่นวายไปเรื่อย ไม่ได้สะทกสะท้านใดๆทั้งสิ้น!
“หึ!”
ต้วนหลิงเทียนพ่นลมสบถเสียงเย็น พร้อมกันนั้นฝ่ามือก็เริ่มออกแรงบีบหมัดชายวัยกลางคนเล็กน้อย
จากนั้น!
กร๊อบ คว่าก!!
เสียงกระดูกแตกทั้งเนื้อฉีกกระชากดังขึ้น เป็นทั้งแขนของชายวัยกลางคนถูกต้วนหลิงเทียนบิดกระชากจนขาดออกอย่างแรง จากนั้นก็โยนทิ้งไปดั่งขยะชิ้นหนึ่ง!
ไม่กี่ลมหายใจ แขนข้างที่ถูกกระชากขาดของชายวัยกลางคนก็ร่วงตกลงไปยังผิวทะเลสาบอันกระจ่างใส ก่อเกิดบุปผาลิตแดงฉาน มองไปราวกับมีกุหลาบน้ำผลิบาน
ระหว่างที่แขนร่วงตก แม้ชายวัยกลางคนจะมีเวลามากพอให้ใช้พลังดูดรั้งแขนกลับมาต่อ แต่มันก็ไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้น
มันได้แต่มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสองตาเบิกโพลง ทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ “เจ้า…เจ้ามิใช่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด!”
“เจ้า…ไฉนเจ้าถึงได้มีพลังเซียนอมตะมหาศาลขนาดนี้ได้!!”
พอกล่าวจบคำ ร่างชายวัยกลางคนที่หลั่งเหงื่อเย็นชุ่มโชก ก็เร่งล่าถอยยออกไปจากต้วนหลิงเทียนอย่างเร็ว คล้ายต้วนหลิงเทียนเป็นเทพแห่งโรคห่า หรือไม่ก็จะกลืนกินมันอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อครู่ ตอนที่ต้วนหลิงเทียนลงมือ มันเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังธาตุดิน
อีกทั้งต้วนหลิงเทียนไม่ได้ใช้วิธีการอื่นใดเลย เพียงแค่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานพลังธาตุดินเท่านั้น
เหตุผลที่ไฉนพลังของต้วนหลิงเทียนถึงได้กล้าแข็งสุดที่มันจะทำอะไรได้ เป็นเพราะพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนทรงพลังเกินไป ถึงขั้นที่พลังเซียนอมตะของราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด อันผสานพลังของความลึกซึ้งจากฏแห่งน้ำทั้งหลายเอาไว้ของมัน ไม่อาจทำอะไรได้เลย!!
‘ถึงจะเป็นพลังเซียนอมตะของตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ ก็ไม่มีพลังอำนาจสะกดข่มข้าถึงขนาดนี้…และไม่ทรงพลังเท่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเมื่อครู่ของมันด้วยซ้ำ!’
‘รู้สึกเหมือน…พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันได้ก้าวข้ามขอบเขตราชาอมตะไป และบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะแล้ว!’
คิดถึงจุดนี้ ชายวัยกลางคนย่อมรู้ตัวดีว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป อย่างน้อยๆมันก็ไม่อาจทำอะไรต้วนหลิงเทียนได้เลย!
‘ต้วนหลิงเทียนนั่นมันพึ่งจะออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณมาไม่นาน บ่งบอกว่าด่านพลังของมันเมื่อไม่กี่เดือนก่อนสมควรอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะไม่ผิดแน่..’
‘แต่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันวันนี้ สมควรแตะถึงขอบเขตจอมราชันอมตะแล้ว…สิ่งนี้เป็นไปได้ประการเดียว มันมีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลือง!’
‘ตอให้พลังที่มันได้มาจะใช้แล้วหมดไป…ทว่าคิดจะฆ่าข้าก่อนพลังหมด นับเป็นเรื่องราวอันง่ายดายนัก’
ในห้วงเวลาดุจฟ้าแลบ ชายวัยกลางคนก็คาดเดได้ว่าไฉนพลังของต้วนหลิงเทียน ถึงเทียบได้กับพลังของจอมราชันอมตะ
และจังหวะนี้ ในใจของมันหลงเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
หนี!
อนิจจาในขณะที่ชายวัยกลางคนริเริ่มเคลื่อนไหว ต้วนหลิงเทียนที่เดาได้แต่แรก ก็ยกมือขึ้นมาโบกอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานกับพลังธาตุดินก็เริ่มปะทุออกมา
ครืน! ครืน! ครืน! ครืน! ครืน!
…
พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานพลังธาตุดิน แผ่พุ่งออกไปไม่ทันไรก็ควบรวมก่อเกิดเสาศิลาทมิฬมากมาย จากนั้นก็พุ่งไปก่อตัวเป็นลูกกรง กักขังร่างชายวัยกลางคนเอาไว้ในฉับพลัน!
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะยังเข้าใจความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงไม่ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น และไม่อาจใช้วรยุทธ์อมตะระดับราชาอย่างคุกศิลาทมิฬได้เต็มประสิทธิภาพ
ที่สำคัญสนามพลังโน้มถ่วงในคุก ก็ไม่ได้รุนแรงถึงจุดสูงสุดเคล็ดวรยุทธ์
แต่ทว่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนที่ขับเคลื่อนวรยุทธ์อยู่ตอนนี้ มันเป็นพลังที่เทียบได้กับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด…
พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดระดับนั้น เมื่อรวมกับพลังจากความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วง ถึงจะเข้าใจแค่พอให้ใช้พลังได้บางส่วน แต่ผลลัพธ์กลับทรงพลังมาก!!
อย่างน้อยๆชายวัยกลางคนที่ถูกคุกศิลาทมิฬกักขังเอาไว้ ตอนนี้ร่างก็ร่วงไปกองติดลูกกรงด้านล่างหนึบ! ไม่อาจลุกขึ้นได้เลย!!
“บัดซบ!”
ชายวักลางคนกล่าวสบถออกมาด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน บัดนี้มันเกร็งพลังทั่วร่างหมายแข็งขืนแรงดึงดูดที่กดทับร่างอย่างหนักหน่วงเต็มกำลัง อนิจจาแม้เส้นเลือดที่ขมับจะปูดโปนทั้งดวงตาแทบปริแตกร่างสั่นระริก ไม่เว้นพลังจากความลึกซึ้งธาตุน้ำจะทะลักออกมาเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่อาจลุกขึ้นได้เลย
“หนีไม่ได้…ข้าตายแน่!”
จังหวะนี้สีหน้าชายวัยกลางคนเริ่มเปลี่ยนเป็นซีดเทา ยังตระหนักได้ชัดเจน ว่ามันต้องตายแน่นอนแล้ว
“ตราบใดที่เจ้าพูดมาว่าใครเป็นคนจ้างองค์กรกะโหลกเลือดของเจ้าให้มาสังหารข้า เห็นแก่ที่พวกเราไม่เคยมีความแค้นใดๆต่อกัน และเจ้าก็แค่ทำงานรับเงิน ข้าจะเมตตาละเว้นเจ้าสักครั้ง”
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังชายวัยกลางคนที่หน้าซีดเทา พลางเอ่ยออกเสียงเรียบ
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ชายวัยกลางคนก็ทำแค่พยายามเงยหน้าขึ้นมามองต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มขมขื่นเท่านั้น
และพริบตาต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็เห็นว่าทั่วร่างชายวักลางคนเรืองแสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้น จากนั้นคนทั้งคนก็ระเบิดออกเป็นซากเนื้อเลอะเลือน! ชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆร่วงลอดซี่ลูกกรง ตกลงไปยังทะเลสาบเบื้องล่าง…
ท่ามกลางซากเนื้อแหลกเป็นชิ้น ก็มีแหวนพื้นที่ ชุดเกราะอมตะ ร่วงตกลงไปด้วย
‘ฆ่าตัวตาย?’
คิ้วต้วนหลิงเทียนขดย่นเป็นปมหลวมๆครู่หนึ่ง ค่อยคลายออก ‘ถึงจะทำตัวไม่สมกับเป็นนักฆ่า ไม่เพียงเผยตัวมาลงมือโง่ๆทั้งเสียเวลาพล่ามกับเหยื่ออย่างอ่อนหัด แต่อย่างน้อยๆก็สมแล้วที่เป็นคนขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดที่โด่งดัง…ยอมตายแต่ไม่ขายผู้จ้างวาน’
‘อย่างไรเสีย ถึงมันจะตายแต่แหวนพื้นที่มันก็ยังอยู่ ในนั้นสมควรมีค่ามัดจำที่รับมาก่อนครึ่งหนึ่ง…เพราะสุดท้ายไม่ว่าองค์กรมือสังหารใดในแดนสวรรค์ใต้ ก็ล้วนมีกฏจ่ายก่อนครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งต้องจ่ายหลังจบงานเหมือนกัน กะโหลกเลือดก็สมควรทำตามกฏนี้ไม่เว้น…’
‘บางที…ของที่ผู้จ้างจ่ายมัดจำไว้ อาจจะยังอยู่ในแหวนมัน’
‘ที่สำคัญดูจากระยะเวลาแล้ว คนที่จ้างวานฆ่าข้าสมควรเป็นคนในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้น…ไม่ต้องนับเรื่องที่ชื่อข้าสมควรยังแพร่ไปไม่ถึงเขตคฤหาสน์ระดับ 6 อื่นๆ เผลอๆนอกเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว คงไม่มีใครรู้จักข้าด้วยซ้ำ’
‘นอกจากนั้นหากเป็นคนในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว อาศัยผลึกอมตะที่หมุนเวียนใช้กันอยู่ก็คงไม่ใช่อะไรที่นักฆ่าจากองค์กรมือสังหารระดับนี้จะต้องการ’
‘กล่าวได้ว่า…คนที่จ้างวานฆ่าข้ามา สมควรถูกองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดสั่งให้จ่ายเงินมัดจำเป็นสิ่งของมากกว่า…’
ขณะมองซากเนื้อเลอะเลือนค่อยๆร่วงตกจากลูกกรง ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดในใจไม่หยุด หากแต่ยังไม่ลืมใช้พลังเก็บสินสงคราม
‘เรื่องที่เกิดขึ้นในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำคงยากที่จะมีใครล่วงรู้ และขุมกำลังเบื้องหลังคนที่ข้าฆ่าไป…ต่อให้สงสัยข้าแค่ไหน ก็ไม่มีใครกล้ามั่นใจว่าข้าเป็นคนลงมือเต็มสิบส่วนแน่ เช่นนั้นคงยากที่จะมีใครบ้าควักสมบัติออกมาเป็นค่าจ้างองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด’
‘กล่าวได้ว่า…คนที่จะจ้างวานองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดมาฆ่าข้าได้ สมควรเป็นคนของนิกายอมตะเป้าผู่’
ทันทีที่คิดถึงจุดนี้ ในใจต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏร่างคนผู้หนึ่งผุดขึ้น เป็นเจิ้งหงอี้ ศิษย์สายตรงลำดับที่ 3 ของซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ที่เขาได้พบเจอตั้งแต่วันแรกที่มาถึงนิกายอมตะเป้าผู่
‘ฟังจากที่พวกศิษย์ฝ่ายในคุยกันวันแรก ดูเหมือนหากข้าไม่ปรากฏตัวขึ้น ตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 10 นี้อาจจะเป็นของเจิ้งหงอี้นั่น’
‘และตอนที่ข้าเห็นหน้ามันครั้งแรก ก็เห็นได้ชัดว่าเจ้านั่นมันอิจฉาริษยาเผยความจงเกลียดจงชังข้าชัดเจน…หรือจะเป็นมันที่ลงทุนจ้างนักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดมาฆ่าข้า?’
‘ก็แค่…อย่างมันไปติดต่อกับองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดได้ยังไง แถมเอาคุณสมบัติอะไรไปจ้างวานอีกฝ่าย?’
ขณะเหินร่างกลับนิกายอมตะเป้าผู่ ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดไปเรื่อย ‘ช่างเถอะ ไว้ไปถึงนิกายลองให้ประมุขดูของในแหวนนักฆ่าดู…หากเป็นฝีมือเจิ้งหงอี้จริง และมีของที่มันจ่ายมัดจำไว้ ไม่แน่ประมุขอาจจำได้’
ถึงแม้เจิ้งหงอี้จะเป็นศิษย์สายตรงลำดับที่ 3 ของซุนเหลียงเผิง แต่เขาได้ยินมาว่าในบรรดาศิษย์สายตรงของซุนเหลียงเผิง เจิ้งหงอี้ก็มีพลังฝีมือแค่ปานกลางเท่านั้น
ศิษย์สายตรง 2 คนแรกของซุนเหลียงเผิง ล้วนเป็นศิษย์ที่แท้จริงทั้งคู่ และพรสวรรค์ของทั้งคู่ก็เหนือกว่าเจิ้งหงอี้มาก
นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เจิ้งหงอี้ล้มเหลวเรื่องขึ้นเป็นศิษย์ที่แท้จริง เพราะศักยภาพและความสามารถของมันมีจำกัด
ต้วนหลิงเทียนเชื่อว่า ถ้าเรื่องราวครั้งนี้เป็นฝีมือของเจิ้งหงอี้จริงๆ ซุนเหลียงเผิงตอบมอบคำอธิบายอันดีให้กับเขาแน่
ไม่ว่าจะแบบเปิดเผยหรือแบบส่วนตัวก็ตาม
หากให้มันเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายในธรรมดาๆ ซุนเหลียงเผิยย่อมประหารมันอย่างเปิดเผยแน่นอน
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ดีแก่ใจ
ซุนเหลียงเผิงต้องพยายามทำให้เขาพอใจมากที่สุด เพื่อให้เขาติดค้างบุญคุณนิกายอมตะเป้าผู่ สิ่งนี้มองจากท่าทีของซุนเหลียงเผิงตอนต้อนรับเขาเข้านิกายวันแรกก็รู้แล้ว
เพราะระดับซุนเหลียงเผิง ปกติแล้วไม่มีวันลงมาดูแลเรื่องแบบนั้นแน่นอน
ในระหว่างที่ต้วนหลิงเทียนเดินทางกลับนิกายอมตะเป้าผู่ องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดที่ตั้งอยู่ไกลห่าง ก็ได้รับข้อความสุดท้ายจากนักฆ่าที่พึ่งฆ่าตัวตายต่อหน้าต้วนหลิงเทียน
“เป้าหมาย ต้วนหลิงเทียน ถึงมันจะเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่มันมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ทำให้มันมีพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ…ข้อมูลผิดพลาด ข้าล้มเหลว”
หลังจากข้อความสุดท้ายก่อนตายของนักฆ่าดังกล่าวส่งกลับมาถึงองค์กรมือสังงหารกะโหลกเลือด มันก็ถูกรายงานต่อไปยังผู้ออกภารกิจอย่างเฉินหลี ลูกนอกสมรสของ 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดทันที
“อะไร!?”
“ต้วนหลิงเทียนนั่น มันกลับมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ที่ทำให้มันมีระดับพลังเทียบได้กับจอมราชันอมตะงั้นเหรอ?”
เฉินหลีอึ้งค้างไปทันทีหลังได้รับรายงาน
มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียน จะมีตัวช่วยอันน่ากลัวขนาดนี้!
‘ดูเหมือนมันจะเป็นผู้อมตะยอดฝีมือกับชาติมาเกิดจริงๆ และก่อนหน้านี้มันต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เผลอๆอาจจะเป็นจอมราชันอมตะ…และมันต้องกู้คืนความทรงจำเมื่อชาติที่แล้วได้แน่ กระทั่งไปเอาสมบัติที่ซ่อนไว้ในชาติก่อนมาแล้ว…’
ในสายตาของเฉินหลี อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนสามารถถือครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะได้นั้น สมควรเป็นสมบัติที่ตัวต้วนหลิงเทียนเมื่อชาติก่อนแอบซ่อนไว้
กล่าวได้ว่าชาติที่แล้วของต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นจอมราชันอมตะ!
และต้องไม่ใช่จอมราชันอมตะธรรมดาๆแน่!!
WSSTH ตอนที่ 3,057 : มันถูกข้าฆ่าตาย
ณ นิกายอมตะเป้าผู่ ภายใต้เขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว
ภายในหุบเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง เจิ้งหงอี้กับหวังหงนั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนตัวเดียวกัน เฝ้ารอให้นักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดติดต่อกลับมา
“ไฉนถึงได้ช้านักเล่า?”
หวังหงขมวดคิ้วกล่าวบ่น “ด้วยพลังฝีมือของมัน คิดฆ่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย ป่านนี้ก็น่าจะส่งข่าวกลับมาแล้วไม่ใช่รึไง?”
“ข้าก็ว่างั้น”
เจิ้งหงอี้เองก็รู้สึกว่านักฆ่าของกะโหลกเลือดช้าแปลกๆ “มันคงไม่สงสัยรายงานที่ข้าส่งไปหรอกนะ คงไม่คิดรอดูเพื่อตรวจสอบว่าไม่มีใครไปกับต้วนหลิงเทียนอะไรทำนองนั้น?”
“ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
หวังหงกล่าว
“เจ้าก็ลองส่งข้อความถามมันดูสิ”
หวังหงแนะ
เจิ้งหงอี้ก็พยักหน้าเห็นด้วย
แต่ครู่ต่อมา หวังหงที่รอให้เจิ้งหงอี้ติดต่อนักฆ่าของกะโหลกเลือด นางก็พบว่าอยู่ๆใบหน้าเจิ้งหงอี้พลันชะงักค้าง แถมสีหน้าแววตายังเปลี่ยนไปกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้น?”
หวังหงขมวดคิ้ว ในใจเริ่มบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่ง
“มัน…มันตายแล้ว!”
เติ้งหงอี้กล่าวตอบเสียงสั่น ร่างมันก็เริ่มสั่นไปเบาๆ ลูกตาหดเล็กลงแทบปิด ราวกับได้พบอะไรบางอย่างที่น่ากลัวสยดสยอง
“ว่าอะไร!?”
ในขณะที่หวังหงกำลังตกใจกับคำพูดของเจิ้งหงอี้ นางก็เหินว่าเจิ้งหงอี้สะบัดมือเบาๆ จากนั้นก็ปรากฏเศษซากลูกแก้ววิญญาณกองอยู่ในฝ่ามือ
จากนั้นเสียงตื่นตระหนกของเจิ้งหงอี้ก็ดังขึ้น “นี่…นี่เป็นลูกแก้ววิญญาณของนักฆ่าองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ที่ข้าใช้เป็นสื่อเพื่อติดต่อทางวิญญาณ”
“ตาย…มันตายแล้ว? ไฉนมันถึงตายได้เล่า!”
หวังหงมองจ้องซากลูกแก้ววิญญาณอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “หรือต้วนหลิงเทียนนั่นมันติดต่อขอความช่วยเหลือจากอาจารย์เจ้า? และอาจารย์เจ้าก็ไม่ได้ใช้คนที่อยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่ แต่เลือกจะติดต่ออาวุโสที่ไปทำงานนอกนิกายให้ไปช่วยต้วนหลิงเทียน?”
ตอนนี้หวังหงก็มีแต่เดาไปในทำนองนี้เท่านั้น
เพราะต่อให้หลับนางก็ไม่อาจฝันถึง ว่าต้วนหลิงเทียนจะเป็นคนลงมือสังหารนักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดด้วยตัวเอง!
“ข้าไม่รู้…”
เจิ้งหงงอี้ส่ายหัวไปมา สีหน้ามันมืดคล้ำดำลง ยากจะฟื้นสติอยู่นาน
“เจ้าไม่ลองติดต่อนายน้อยเฉินนั่นดูเล่า…นักฆ่าของพวกมันตายแบบนี้ พวกมันก็น่าจะรู้ได้ทันที นอกจากนั้นไม่แน่ก่อนที่นักฆ่านั่นจะตาย มันอาจจะส่งข้อความแจ้งสาเหตุการล้มเหลวกลับไป”
หวังหงที่สงบสติได้เร็วกว่า เร่งกล่าวเตือนเจิ้งหงอี้ออกมาทันที
พอได้ยิน เจิ้งหงอี้ก็เร่งหยิบลูกแก้ววิญญาณลูกหนึ่งออกมา จากนั้นก็ใช้ยันต์อมตะสื่อสารโดยใช้ลูกแก้ววิญญาณดังกล่าวเป็นสื่อทันที
เจ้าของลูกแก้ววิญญาณในมือ ก็คือเฉินหลี ลูกนอกสมรสของ 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด
“นายน้อยเฉิน…ลูกแก้ววิญญาณของนักฆ่าที่องค์กรท่านส่งมาในมือข้าบัดนี้ได้แตกไปแล้ว นักฆ่าของท่านคงตายไปแล้วไม่ผิดแน่”
เจิ้งหงอี้กล่าวรายงานเรื่องราวก่อน จากนั้นก็ถามต่อออกไปตรงๆทันที “ด้านท่านได้รับข้อความก่อนตายของนักฆ่าผู้นั้นหรือไม่?”
หลังจากส่งสัญญาณไปแล้ว เจิ้งหงอี้กับหวังหงก็นั่เฝ้ารอการติดต่อกลับมาด้วยกัน
“เจิ้งหงอี้…เจ้าว่าก่อนที่นักฆ่าผู้นั้นจะตาย มันได้ฆ่าต้วนหลิงเทียนไปแล้วหรือยัง?”
หวังหงหันไปมองถามเจิ้งหงอี้ หน้างามของนางบัดนี้เป็นกังวลไม่น้อย
“ข้าไม่รู้…”
เจิ้งหงอี้ส่ายหัวไปมา “ตอนนี้เราได้แต่รอให้นายน้อยเฉินติดต่อกลับมาก่อน จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และก่อนตายนักฆ่าผู้นั้นได้ทิ้งข้อความไว้หรือไม่”
“ตอนนี้ข้าหวังแค่ว่า ก่อนที่นักฆ่านั่นจะถูกฆ่าตาย มันจะส่งข้อความสุดท้ายก่อนตายกลับไปองค์กรเพื่อรายงานสถานการณ์ได้ทัน…”
หลังเจิ้งหงอี้พูดจบ มันก็เฝ้ารออย่างเงียบๆ
หวังหงที่พยักหน้ารับก็ไม่พูดอะไรต่อ เพียงนั่งรอเงียบๆเหมือนกัน
ยิ่งเวลาไหลผ่านไปนานเข้า สีหน้าเจิ้งหงอี้กับหวังหงก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นตึงเครียดจริงจัง
“มาแล้ว!”
ทันใดนั้นสองตาเจิ้งหงอี้ก็สว่างวาบขึ้น ลูกตากลมใสของหวังหงก็ทอประกายเรืองขึ้นเช่นกัน นางหันไปมองจ้องรอฟังเรื่องราวจากเจิ้งหงอี้ทันที
ครู่ต่อมานางพบว่าท่าทีเจิ้งหงอี้เปลี่ยนไปไม่สู้ดี แถมแววตายังสั่นพร่า สีหน้ายิ่งมายิ่งเสียขวัญ
“เกิดอะไรขึ้น?”
หวังหงเร่งถาม
ทว่าเจิ้งหงอี้ไม่ได้ตอบอะไรนาง เพราะมันยังคงตกใจกับข้อความที่พึ่งได้รับจากเฉินหลีไม่หาย
“เจิ้งหงอี้ นักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเราทำพลาด…ตามกฏขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด พวกเราจะดำเนินภารกิจต่อไปจนจบ และค่าจ้างจะลดลงครึ่งหนึ่ง”
“นักฆ่าที่ลงมือพลาดได้รับค่ามัดจำครึ่งหนึ่งไปแล้ว กล่าวได้ว่าเมื่อรวมกับค่าจ้างที่ทางเราลดให้อีกครึ่งนึง เจ้าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างอะไรอีก”
“สำหรับต้วนหลิงเทียนนั่น ทางเราจะส่งนักฆ่าคนใหม่ออกไปจัดการมันต่อ…อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นทางเรายังต้องขอความร่วมมือจากเจ้าต่อ”
ทั้งหมดคือข้อความที่เฉินหลีส่งตรงมาถึงวิญญาณมัน
“นายน้อยเฉิน แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าคนที่สังหารนักฆ่าขององค์กรท่านเป็นใคร ใช่ยอดฝีมือของนิกายอมตะเป้าผู่เราหรือไม่?”
หลังหายตื่นตระหนกจากข้อความของเฉินหลีแล้ว เจิ้งหงอี้ก็เร่งหยิบยันต์อมตะสื่อสารทางวิญาณมาบดขยี้เพื่อติดต่อกลับไปอีกชิ้น
“ไม่”
เฉินหลีติดต่อกลับมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย และเป็นการปฏิเสธที่จะตอบเจิ้งหงอี้ชัดเจน “เจ้าไม่ต้องสนใจว่ามันตายยังไง…เจ้ารู้แค่ว่าองค์กรกะโหลกเลือดของพวกเราจะทำงานต่อให้ลุล่วงเท่านั้นพอ”
เมื่อได้รับทราบข้อความดังกล่าวของเฉินหลีเจิ้งหงอี้ก็ชักหน้าอัปลักษณ์ทันที ไม่กล้าถามเซ้าซี้อะไรอีก
“เจิ้งหงอี้ นายน้อยเฉินตอบมาแล้วใช่ไหม?”
หวังหงถาม
“อืม”
ในที่สุดเจิ้งหงอี้ก็คืนสติ มันพยักหน้าเบาๆกล่าวตอบเสียงหนัก “นายน้อยเฉินแค่บอกว่านักฆ่านั่นล้มเหลว…อย่างไรก็ตามทางองค์กรกะโหลกเลือดจะส่งนักฆ่าคนใหม่มาจนกว่าต้วนหลิงเทียนจะตาย!”
“ล้มเหลว!?”
หน้าหวังหงจมลงทันที “แล้วมันได้บอกหรือไม่ว่าล้มเหลวเพราะอันใด ใช่คนที่จัดการนักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดเป็นอาวุโสของนิกายอมตะเป้าผู่เราไหม?”
“ที่เจ้าว่ามาข้าถามไปหมดแล้วแต่มันไม่ได้ตอบอะไร แค่บอกว่ากะโหลกเลือกจะดำเนินภารกิจต่อจนกว่าต้วนหลิงเทียนจะถูกฆ่าตายเท่านั้น”
เจิ้งหงอี้ตอบ
หลังกล่าวจบเจิ้งหงอี้ก็มองกล่าวกับหวังหงต่อว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง…นักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดต่อให้ต้องตายก็ไม่มีทางขายข้ากับเจ้าออกไปแน่นอน”
“เรื่องนี้ข้าย่อมเชื่อ ด้วยชื่อเสียงขององค์กรกะโหลกเลือดไม่มีทางเปิดเผยข้อมูลพวกเราแน่”
หลังหวังหงกล่าวจบคำ นางก็หยีตามองเจิ้งหงอี้พลางกล่าวต่อเสียงเข้ม “เจิ้งหงอี้ เท่าที่ข้ารู้มา องค์กรกะโหลกเลือดมีกฏอยู่ข้อหนึ่ง…”
“หากการลงมือครั้งแรกพลาด ไม่เพียงพวกมันจะส่งนักฆ่ามาดำเนินภารกิจต่อจนจบ…แต่ค่าจ้างที่ต้องจ่ายยังลดลงครึ่งนึงด้วยใช่ไหม?”
กล่าวจบคำ หวังหงก็มองจ้องเจิ้งหงอี้ตาเขม็ง
ได้ยินคำถามของหวังหง เจิ้งหงอี้ก็ลอบกระอักเลือดในใจเพราะสุดท้ายมันก็ต้องจ่ายอยู่ดี หลังจากลอบระบายลมหายใจอย่างลับๆ มันก็สะบัดมือเรียกเกราะอมตะระดับราชาทั่วไปออกมาส่งให้หวังหง 2 ชิ้น
หวังหงก็รับมาด้วยความพึงพอใจ
“หวังหง…นายน้อยเฉินบอกว่า นักฆ่าที่จะมาลงมือต่อ ยังอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากพวกเรา”
“หากเจ้าไม่คิดมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้อีกต่อไป เจ้าคืนเกราะอมตะ 2 ชิ้นนั่นมาให้ข้าก็ได้ แล้วข้าจะจัดการเรื่องหลังจากนี้ต่อเอง”
เจิ้งหงอี้ย่อมไม่อยากเสียเกราะอมตะระดับราชา 2 ชิ้นไป จึงพยามจะเอามันกลับ
“เหลวไหล!”
อย่างไรก็ตามข้อเสนอดังกล่าวของเจิ้งหงอี้ ก็ถูกหวังหงกล่าวเย้ยกลับมาทันที “เจิ้งหงอี้ องค์กรกะโหลกเลือดอย่างไรก็ไม่มีทางทรยศข้า และเจ้าก็ไม่อาจทรยศข้าได้…แล้วไฉนเจ้าถึงคิดว่าจะมีเจ้าคนเดียวที่จะร่วมมือกับนักฆ่าเพื่อจัดการต้วนหลิงเทียนต่อเล่า?”
ขณะกล่าวหวังหงก็สะบัดมือเก็บเกราะอมตะระดับราชาทั้ง 2 ชิ้นลงแหวน
“หวังหง หากข้าจำไม่ผิด…”
ทันใดนั้นเอง คล้ายเจิ้งหงอี้นึกอะไรได้ออก สีหน้ามันเปลี่ยนไปทันที “เกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาจากจอมราชันอมตะที่เจ้าจ่ายเป็นค่ามัดจำให้นักฆ่ากะโหลกเลือดนั่น…ใช่เกราะตัวที่อาวุโสใหญ่ได้มาจากคฤหาสน์เฉวียนโยวรึเปล่า?”
“ใช่ ทำไมหรือ?”
หวังหงมองเจิ้งหงอี้ด้วยสายตาว่างเปล่า ด้วยไม่เข้าใจว่าไฉนอยู่ดีๆเจิ้งหงอี้ถึงถามเรื่องนี้ออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ก็ในเมื่อนักฆ่านั่นมันถูกฆ่าตาย เช่นนั้นสิบในสิบไม่พ้นคนที่ฆ่ามันก็ต้องงเอาแหวนมันไปด้วย…หากคนที่ลงมือฆ่ามันและได้แหวนไปเป็นอาวุโสของนิกายอมตะเป้าผู่เรา หลังเจอเกราะนั่นในแหวนนักฆ่า ยังจะจำไม่ได้อีกเหรอว่าเป็นเกราะที่อาวุโสใหญ่ได้มาจากคฤหาสน์เฉวียนโยว?”
เจิ้งหงอี้มองหวังหงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวออกเสียงหนัก
พอได้ยินวาจาถามไถ่ประโยคนี้ของเจิ้งหงอี้ สีหน้าหวังหงก็เปลี่ยนไปทันใด ด้วยนางตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์แล้ว!
เกราะอมตะที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะที่นางให้นักฆ่านั่นไปเป็นค่ามัดจำ เป็นปู่นางได้มากจากคฤหาสน์เฉวียนโยวและให้นางอีกที ซึ่งเกราะอมตะระดับราชาที่คล้ายเถาวัลย์แก้วนั่น…มีอาวุโสแทบทุกคนในนิกายที่รู้ว่าเป็นของปู่นาง!
“หวังหง ข้าว่าเรื่องนี้เจ้ารีบไปหารือกับปู่เจ้าเถอะ…หากเรื่องมันแดงขึ้นมาจริงๆ ถ้าไม่มีปู่เจ้าคอยช่วยแก้ต่างอีกคน ข้าเกรงว่าเจ้าจะรอดตัวได้ยาก”
เจิ้งหงอี้กล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงแตกตื่น
เพราะหากหวังหงไม่อาจรอดพ้นเรื่องนี้ ด้วยนิสัยของหวังหง ไม่พ้นต้องซัดทอดมันแน่นอน!
และนั่นเป็นอะไรที่มันไม่อยากจะเห็น!
“ข้าจะรีบไปหาท่านปู่!”
และแทบจะพร้อมกันกับที่เจิ้งหงอี้กล่าวจบคำ หวังหงก็ลุกพรวดขึ้นมา จากนั้นก็เร่งเหินร่างไปหาปู่นาง อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่ทันที
‘ไม่คิดเลยว่าแค่จะฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนหนึ่งกลับเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้…และหากคนที่จัดการนักฆ่ากะโหลกเลือดนั่นไปเป็นอาวุโสนิกายอมตะเป้าผู่จริง ป่านนี้เรื่องคงไปถึงหูอาจารย์แล้วกระมัง?’
หลังหวังหงจากไป สีหน้าเจิ้งหงอี้ก็ทวีความเคร่งเครียดขึ้นไปอีก
ขณะเดียวกัน
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่ เขาก็บึ่งตรงไปหาประมุขนิกายอมตะเป้าผู่อย่างซุนเหลียงเผิงถึงที่พักอีกฝ่ายทันที
“ต้วนหลิงเทียน เจ้ามาหาข้าเช่นนี้ มีอันใดหรือ?”
ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถาม
“ประมุข…”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องราวของนักฆ่ากะโหลกเลือดออกไปให้อีกฝ่ายฟังทันที
“อะไร!?”
“นักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด!?”
…
พอซุนเหลียงเผิงได้รับทราบเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนถูกนักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดล่อออกไปฆ่า สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไฉนเจ้าไม่มาหาข้าแต่แรกเล่า?!”
ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถาม
“ข้ากลัวว่าฮ่วนเอ๋อจะอยู่ในมือของมันจริงๆ และหากมันมีวิธีตรวจสอบความเคลื่อนไหวในนิกายอมตะเป้าผู่ขึ้นมา ข้าบอกท่านไป ไม่เท่ากับผลักฮ่วนเอ๋อลงกองไฟรึไง?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?”
ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถามอีกรอบ
ถึงแม้มันจะเหงื่อตกเพราะเรื่องราวที่ต้วนหลิงเทียนเล่ามา แต่ในเมื่อต้วนหลิงเทียนยังกลับมาเล่าเรื่องราวให้มันได้อย่างปลอดภัย มันก็รู้ดีว่านักฆ่าคนนั้นลงมือไม่สำเร็จ
“หลังจากนั้นเหรอ…”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเยียบเย็นวาบหนึ่ง น้ำเสียงยังกลายเป็นเฉยเมยไร้อารมณ์ “มันถูกข้าฆ่าตาย”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น