War sovereign Soaring The Heavens 3037-3047

 WSSTH ตอนที่ 3,037 : จักรพรรดิอมตะสมญานาม…ตาย!


“นั่นมันใต้เท้าเมิ่งหลัวนี่!”


“ฮึ่ม! ลองใต้เท้าเมิ่งหลัวออกโรงเองเช่นนี้ เจ้านั่นที่หาญกล้าเรียกองค์จักรพรรดิสวรรค์ด้วยพระนามตรงๆ ต่อให้วันนี้มันจะไม่ตายก็ต้องมีหนังลอกกันบ้าง!!”


“แต่ข้ารู้สึกว่าการที่มันหาญกล้าเรียกพระนามองค์จักรพรรดิสวรรค์ตรงๆ พลังฝีมือมันต้องมิใช่ชั่วเป็นแน่!”



คนของวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน หลังได้ยินคำว่า ‘เป็นผู้ใดหาญกล้าเรียกชื่อองค์จักรพรรดิสวรรค์ตรงๆ’ ก็จดจำได้ทันทีว่าผู้ใดเป็นเจ้าของเสียงดุร้ายดังกล่าว


เมิ่งหลัว จักรพรรดิอมตะ 10 ทิศแห่งวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนนั้น ยังเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามเช่นกัน และมีสมญานามว่า เทียนหม่าง!


(สวรรค์เกรี้ยวกราด)


จักรพรรดิอมตะสวรรค์เกรี้ยวกราด ได้ติดตามรับใช้ ฟงชิงหยาง จักรพรรดิอมตะผลาญฟ้า ตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาครอบครองวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนและดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ด้วยซ้ำ หลังจากนั้นมันก็คอยติดตามรับใช้ฟงชิงหยางอยู่ข้างกายมาโดยตลอด


ต่อมาพอฟงชิงหยางถูกผู้คนไล่ล่าจนต้องหนีเข้าไปในนรกอสุรา และจ้าววังจักรพรรดิสวรรค์มีอันต้องเปลี่ยนมือ หากแต่เมิ่งหลัวก็ไม่คิดจากไปไหน เลือกที่จะอยู่ต่อและเฝ้ารอนายเหนือของมัน


ทั้งยังกล่าวได้ว่าจักรพรรดิอมตะสวรรค์เกรี้ยวกราด เมิ่งหลัว ผู้นี้ ยังเป็นผู้ที่มีพลังงฝีมือสู่งส่งระดับแนวหน้าของวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน จะเป็นรองก็แต่ตัวตนที่ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์เท่านั้น


ในขณะที่ผู้คนในวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนกำลังพากันเหินร่างขึ้นไบนฟ้าเพื่อชมดูเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นนั้นเอง


เสียงประหนึ่งฟ้าร้องของเมิ่งหลัวพลันดังขึ้นอีกครั้ง และทำให้ทุกคนในวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนระดับสูงหรือระดับต่ำถ้วนหน้าอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงพรึงเพริด


“เฉินชิวปั๋ว นายท่านของข้า ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์กลับมาแล้ว! เจ้ายังไม่รีบออกมาต้อนรับและส่งมอบตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์คืนนายท่านอีก!!”


วาจานี้ของเมิ่งหลัว ทำให้หลายคนในวังจักรพรรดิสวรรค์ตาลุกวาว ทั้งเผยความปิติยินดีออกมาทันที “อะ…องค์จักรพรรดิสวรรค์กลับมาแล้ว!? ท่านกลับมาแล้ววจริงๆ!?”


“ฮ่าๆๆๆ! ข้าบอกแล้วอย่างไร อย่างใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกเรา นรกอสุรายังจะนับเป็นอันใดได้! พระองค์ย่อมเอาตัวรอดกลับมาได้เป็นแน่!!”


“อย่างไรก็ตาม เฉินชิวปั๋วผู้นั้นหาใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันไม่ และข้าได้ยินมาว่ามันพึ่งบรรลุความก้าวหน้าเมื่อไม่กี่ปีก่อน ความแข็งแกร่งของมันตอนนี้น่ากลัวจักมิได้อ่อนนด้อยไปกว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แล้ว…”


“เพ่ย! ท่านคิดว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ไปเดินเล่นที่นรกอสุราหรือไร ท่านมิคิดว่าใต้เท้าจะบรรลุความก้าวหน้าบ้างหรือ!?”


“พวกเจ้าจักเถียงกันทำซากอะไร! ยังไม่รีบไปคารวะทั้งต้อนรับใต้เท้าองค์จักรพรรดิสวรรค์อีก!!”



ทั่วทั้งวังจักรพรรดิสวรรค์จีเมี่ยเทียน เหล่าผู้ที่จงรักภักดีต่อฟงชิงหยางมาโดยยตลอด ต่างเร่งรุดเหินขึ้นมาบนฟ้าด้วยใบหน้าตื่นเต้นยินดี และไม่นานพวกมันก็บรรลุถึงเหนือฟ้าสูงวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน จากนั้นก็โร่เข้าไปหาร่าง 2 ร่างที่เหินลอยอยู่กลางหาวด้วยความตื่นเต้น


“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์!!”


เมื่อเห็นร่างชายหนุ่มในชุดขาว เหล่าผู้จงรักภักดีทั้งหลายก็เร่งงประสานมือโค้งคารวะด้วยความตื่นเต้นสุดใจ


เพราะชายหนุ่มชุดขาวเบื้องหน้าไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นอดีตจ้าววังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนแห่งนี้ จักรพรรดิอมตะผลาญฟ้า ฟงชิงหยาง!


“อืม”


เมื่อเห็นคนคุ้นหน้าทั้งหลายที่เร่งรุดขึ้นมาทำความเคารพด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี  ฟงชิงหยางเพียงพยักหน้ารับเบาๆ ต่อมาลูกตาก็หดหยีลงเล็กน้อย หันไปจับจ้องยังบูรพาทิศเหนือน่านฟ้าวังจักพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน


เพราะที่นั่นพลันปรากฏร่างชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สีหน้าแลดูประหลาดใจไม่น้อย คนมาในชุดคลุมสีเงิน ใบหน้าเกลี้ยงเกลปานหยกเสลา หากแต่แลดูน่าเกรงขามไม่ธรรมดา


“ฟงชิงหยาง ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าเจ้ายังสามารถเอาตัวรอดกลับออกมาจากนรกอสุราได้! ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง!!”


ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเงินเหินร่างตัดฟ้าเข้ามาแต่ไกล และทุกย่างเก้าที่เท้ามันนย่ำเหยียบลง ความว่างเปล่าเบื้องล่างพลันสะเทือนเลือนลั่นปานที่ย่ำลงไม่ใช่ผู้คน แต่เป็นมหายักษ์ตัวเขื่องทรงพลานุภาพ


“เฉินชิวปั๋ว…”


ฟงชิงหยางเหลือบมองชายวัยกลางคนในชุดคลุมเงินผ่านๆ และฟังจากคำทัก ก็บอกให้รู้ว่าชายวัยกลางคนชุดคลุมเงินผู้นี้ ก็คือจักรพรรดิสวรรค์คนปัจจุบันของจี้เมี่ยเทียน!


“หลายปีที่ข้าไม่อยู่ ลำบากเจ้าคอยดูแลวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งนี้แทนข้าแล้ว…”


เสียงเฉยเมยยของฟงชิงหางดังขึ้น หากแต่แฝงเร้นไปด้วยอำนาจอันไม่อาจปฏิเสธได้ประการหนึ่ง


“ฟงชิงหยาง! หากเจ้าคิดจะมายึดตำแหน่งจักรพรรดิสววรค์ทั้งวังจี้เมี่ยเทียนแห่งนี้คืน ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้ามีความสามารถมากพอหรือไม่!!”


เฉินชิวปั๋วไม่คิดเลย ว่าพอฟงชิงหยางปริปากพูดออกมา ก็เป็นการเปิดประตูเห็นภูผาบอกเจตนาจะกลับมายึดตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แบบนี้ ลูกตามันหดเล็กลงทันใด ยังฉายประกายแหลมคมวูบวาบ


“หากข้าจำไม่ผิด…เจ้ามันก็ไม่ใช่ตัวอะไรมากไปกว่าคนที่แพ้ข้าเท่านั้น”


ฟงชิงอย่างเอ่ยออกเสียงเบา


“เหอะ! นั่นมันเรื่องเมื่อก่อน!”

novel-lucky


ได้ยินฟงชิงหยางขุดคุ้ยอดีต เฉินชิวปั๋วก็พ่นลมสบถออกมาเสียงเย็น “เวลานี้ข้าหาได้เป็นอย่างเช่นวันนั้นไม่…ทั้งข้าเองก็อยากทราบนัก ว่าตัวเจ้าก้าวหน้าขึ้นจากวันนั้นมากเพียงใด…”


พอกล่าวจบคำ ในมือเฉินชิวปั๋วก็ปรากฏดาบวงพระจันทร์เล่มหนึ่ง ตัวดาบดังกล่าวยังแผ่กลิ่นอายแหลมคมแกร่งกร้าวออกมาอย่างน่ากลัว


“เจ้าขึ้นมารับตำแหน่งจักรพรรดิสววรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนแล้วแท้ๆ…แต่กระทั่งอุปกรณ์เทพก็ไม่มีหรือ?”


เหลือบมองไปยังดาบวงพระจันทร์ในมือเฉินชิวปั๋วปราดหนึ่ง มุมปากฟงชิงหยางก็ยกยิ้มบางๆ ราวกับจะล้อเลียนความไร้สามารถของเฉินชิวปั๋ว


“ฮ่าๆๆ!! ฟงชิงหยาง เจ้าอย่าได้คิดใช้เรื่องนี้มากล่าวข่มข้าเสียให้ยาก เจ้าอย่าได้คิดว่าข้ามิรู้เชียว! วันที่เจ้าถูกไล่ล่าจนหนีหัวซุกหัวซุนวันนั้น ‘กวงหลิง’ จิตวิญญาณกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญของเจ้ามันได้ดับสูญไปแล้ว…บัดนี้กระบี่ผลาญฟ้าอาสัญของเจ้า อย่างดีก็มีพลังพอๆกับกระบี่อมตะจักรพรรดิในมือข้าเท่านั้นล่ะ!!”


เฉินชิวปั๋วหัวเราะเยาะออกมาอย่างสะใจ


“กวงหลิง…”


ได้ยินวาจาหัวร่อนี้ของเฉินชิวปั๋ว ในใจของฟงชิงหยางก็ปรากฏร่างกวงหลิง จิตวิญญาณกระบี่ผลาญฟ้าอาศัยขึ้นมา…


จากนั้นสองหมัดของฟงชิงหยางก็กำแน่นจนข้อลั่นเปรี๊ยะๆ กระทั่งยังลอบปฏิญาณในใจอย่างมุ่งมั่น ‘กวงหลิง…รอให้ดินแดนแห่งทวยเทพเปิดออกเมื่อไหร่ ข้าจะหาทางขึ้นไปและตามหาสารเลวนั่น ฆ่ามันล้างแค้นให้เจ้าให้จงได้!!’


กวงหลิงนั้น เป็นจิตวิญญาณกระบี่ผลาญฟ้าอาศัย ศาสตราวุธคู่กายของฟงชิงหยาง


“การสู้ชิงตำแหน่งครานี้ เจ้าคิดให้มันเป็นการประลองรู้แพ้ชนะ หรือจักให้เป็นการประลองเป็นตาย?”


ฟงชิงหยางไม่พิรี้พิไรให้มากความ เอ่ยถามเข้าประเด็นออกไปตรงๆ


“หากเจ้ากับข้าเพียงประมือกันให้รู้แพ้รู้ชนะก็ออกจะน่าเบื่อเกินไปหน่อยกระมัง…ย่อมประลองเป็นตายเสียประเสริฐกว่า!!”


เฉินชิวปั๋วกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม!


“เอาล่ะ ประลองเป็นตายก็ประลองเป็นตาย”


ฟงชิงหยางพยักหน้ารับ


และแทบจะพร้อมกันกับที่ฟงงชิงหยางพยักหน้ารับ ทั่วร่างก็กลับกลายเป็นแสงพลังสีกากี อีกทั้งแวงพลังสีกากีที่ส่องสว่างขึ้นมายังคล้ายปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายอันแหลมคมปานกระบี่!


วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!



ครู่ต่อมา ร่างฟงชิงหยางที่กลับกลายเป็นแสงพลังสีกากีสว่างเจิดจ้า ก็เริ่มแยกย้ายสลายตัวเป็นอณูพลังปกคลุมไปทั่วสารทิศ!


และในเวลาเพียงเสี้ยวพริบตา เหนือน่านฟ้าวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ก็ปรากฏกรงมหึมาประหนึ่งจะกักขังได้ทั้งสวรรค์และโลกอุบัติขึ้นในฉับพลัน ยังห้อมล้อมกักร่างเฉินชิวปั๋วเอาไว้ในบัดดล!


ครืนนนน!!


กึง! กึง! กึง! กึง! กึง! กึง!



เสียงสั่นสะเทือนเลือนลั่นปานฟ้าถล่มดังขึ้น เมฆลมเหนือฟ้าบัดนี้กลับกลายเป็นวิปริตแปรปรวน ห้วงมิติเหนือวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเริ่มไร้เสถียรภาพ บิดเบื่อนสั่นไหวอย่างรุนแรงปานจะพังทลายลงได้ทุกเวลา!


ทันใดนั้น กรงที่มหึมาปานจะล้อมกักได้กระทั่งสววรรค์และโลกก็หดเล็กลง สุดท้ายก็กลายเป็นกรงขนาดพอให้เฉินชิวปั๋วดินไปดิ้นมาเท่านั้น


“นิ..นี่มันอันใดกัน!”


ตั้งแต่วินาทีที่เห็นทั่วร่างฟงชิงหยางกลับกลายเป็นแสงพลังสีกากีสว่างจ้า สีหน้าเฉินชิวปั๋วก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวงแล้ว


และพอรู้ตัวอีกทีมันก็เห็นกรงมหึมาที่หดเล็กลงจนมาล้อมกักร่างมันปานคุกขังเดี่ยว อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงอณูพลังธาตุดินที่เต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนปานจะถล่มทลายห้วงมิติ และแรงดึงดูดมหาศาลที่เคี่ยวกรำไปทั่วร่างมันปานจะบดบี้ป่นกระดูก มันก็จำต้องแตกตื่นหนักหนา เพราะบัดนี้มันไม่อาจเร่งเร้าโคจรพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างได้เลย!!


“ฟงชิงหยางเจ้า…เจ้าทะลวงถึงขอบเขตเทพเจ้าแล้ว!?”


เฉินชิวปั๋วที่ตื่นตระหนกโพล่งร้องออกมาอย่างเสียขวัญ แววตามันไม่เพียงท่วมท้นไปด้วยความตื่นตระหนก ยังฉายชัดถึงความสิ้นหวัง


ทะลวงผ่าน กลับกลายเป็นเทพเจ้า!


นี่เป็นหนึ่งก้าวที่ยากเย็นแสนเข็ญที่สุดสำหรับจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ และยังเป็นความฝันชั่วชีวิตของพวกมันที่ยากจะกระทำให้เป็นจริงนัก….


เรียกว่าหนึ่งก้าวนี้ยากเย็นยิ่งกว่าคนธรรมดาปีนบันไดมีดขึ้นสวรรค์เสียอีก!


“เทพเจ้า!?”


“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์…ท่าน…กลายเป็นเทพเจ้าแล้ว…นี่…นี่…”

novel-lucky


“ดูเหมือนภัพิบัติครั้งก่อนที่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์พบเจอ ไม่เพียงแต่จักมิอาจคร่าชีวิตใต้เท้าได้ แต่กลับทำให้ท่านพบพานวาสนาในคราวเคราะห์!!”



จังหวะนี้สองตาของเหล่าผู้ที่จงรักภักดีของวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนก็ลุกวาวสว่างจ้าปานดวงดารา “ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าไฉนอยู่ๆใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ถึงได้ใช้พลังของกฏแห่งดิน…ที่แท้นี่คือร่างแฝดจากกฏแห่งดินของใต้เท้านั่นเอง”


“ข้าได้ยินผู้คนกล่าวขานกันมาเนิ่นนานแล้ว ว่าตราบใดที่บรรลุถึงขอบเขตเทพเจ้า ขอเพียงเข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดกฏหนึ่งครบทุกประการ ก็สามารถควบแน่นพลังแห่งกฏสร้างร่างแฝดแห่งกฏขึ้นมา และร่างแฝดแห่งกฏดังกล่าวก็สามารถแยกตัวออกมาเป็นอิสระจากร่างต้น และใช้ความลึกซึ้งแห่งกฏนั้นได้ทุกประการมิต่างใดจากการลงมือของร่างต้น!!”


“ที่แท้ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ที่กลับมาวันนี้ เป็นเพียงร่างแฝดแห่งกฏเท่านั้น!”


“ให้ตายเถอะ อาศัยแค่ร่างแฝดแห่งกฏ ก็สามารถบดขยี้จักรพรรดิอมตะสมญานามเช่นเฉินชิวปั๋วได้ง่ายดายปานพลิกฝ่ามือ…นี่คือพลังของ ‘เทพเจ้า’ หรือ!?”



เหล่าผู้อาวุโสของวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมายกใหญ่


ส่วนอีกด้านนั้น เฉินชิวปั๋วที่พบว่าบัดนี้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของตัวเองถูกสะกดเอาไว้ไม่ให้โคจรใช้ออกได้เพียงเสี้ยว กระทั่งมันพยายามควบรวมพลังแห่งกฏ ก็มิวายถูกแรงโน้มถ่วงกับพลังสั่นสะเทือนมหาประลัยป่นทำลายในชั่วพริบตา มันก็บังเกิดความสิ้นหวังขึ้นมาจับใจ


“ฟงชิงหยาง!!”


และเมื่อเห็นว่ากรงที่ห้อมล้อมกักขังมันเริ่มหดเล็กลงเรื่อยๆ เฉินชิวปั๋วก็สูดได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่กระชั้นเข้ามาทุกขณะ มันเร่งโพล่งออกมาเสียงดังไม่หยุดปาก “ข้าไม่ต้องการตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แล้ว! คืนเจ้า ข้าคืนให้เจ้า! ข้าไม่เอาแล้ว! ข้าคืนให้เจ้า!!”


“เจ้ากลายเป็นเทพเจ้าไปแล้ว…คงไม่จำเป็นต้องรังแกจักรพรรดิอมตะตัวน้อยๆเช่นข้าใช่หรือไม่?”


ตอนนี้น้ำเสียงของเฉินชิวปั๋ว ฟังดูเปี่ยมล้นไปด้วยความวิงวอนหมดท่า


มันหวาดกลัวแล้ว หวาดกลัวแล้วจริงๆ!


ถึงแม้พลังฝีมือของมันจะก้าวหน้าขึ้นจนเหนือกว่าในครั้งอดีตที่เคยพ่าแพ้ฟงชิงหยางมา แต่พลังฝีมือของมันก็เพียงเทียบได้กับฟงชิงหยางก่อนที่จะถูกไล่ล่าเท่านั้น


บัดนี้ฟงชิงหยางที่หวนกลับมาดันบรรลุขอบเขตเทพเจ้าไปเสียแล้ว อีกฝ่ายได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่มันทำได้แค่ฝันถึง พลังความแข็งแกร่งยังเพิ่มพูนขึ้นไปเหนือจินตนาการ ทำให้ตัวมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลย!


กระทั่งต่อหน้าฟงชิงหยางเวลานี้ เรี่ยวแรงจะต่อต้านยังไม่มี!


“หากจำไม่ผิด…ไม่ใช่เจ้าบอกว่าต้องการประลองเป็นตายไม่ใช่รึ?”


เสียงฟงชิงหยางดังก้องออกมาจากทุกทั่วสารทิศ ราวกับที่กำลังพูดอยู่ก็คือกรงมรณะที่ห้อมล้อมกักร่าง


ขณะเดียวกัน เฉินชิวปั๋วก็พบว่าไม่เพียงกรงที่กักร่างมันจะหดตัวช้าลง ความเร็วในการหดตัวกลับทวีเพิ่มขึ้นทุกขณะ ทำให้ลูกตาของมันแทบจะปริแตกเสียให้ได้


ตอนนี้ไม่เพียงแต่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันถูกสะกดเท่านั้น แม้แต่พลังจากฏใดๆไม่เว้นร่างกายก็ถูกแรงโน้มถ่วงทั้งแรงสั่นสะเทือนมหาประลัยเคี่ยวกรำจนไม่อาจทำอะไรได้เลย


ที่สำคัญหากมีแค่แรงโน้มถ่วงกับแรงสั่นสะเทือนมหาประลัยนี่ยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือลูกกรงแต่ละซี่นั้น ไม่เพียงแต่จะแผ่กลิ่นอายพลังกฏแห่งดินอันหนักแน่นทรงพลัง ยังอัดแน่นไปด้วยเจตจำนงกระบี่อันคมกล้า ปานจะสะบั้นได้ทุกสรรพสิ่ง ทำให้เฉินชิวปั๋วนั้นกดดันจนหายใจไม่ออก!


“ฟงชิงหยาง! ขอเพียงเจ้าไว้ชีวิตข้า พันปีหลังจากนี้…ไม่สิอีกหลายพันปีหลังจากนี้ ข้ายินดียอมรับเจ้าเป็นนาย และข้าจะดูแลจัดการเรื่องราวทุกอย่างตามที่เจ้าสั่งดั่งม้าลา!!”


เมื่อกรงหดตัวมากเข้า เฉินชิวปั๋วก็เริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแหลมคมและพลังสั่นสะเทือนมหาประลัยที่เริ่มชำแรกเข้าร่างของมัน และเริ่มโคจรไปทั่วร่างปานจะสะบั้นทั้งป่นทำลายร่างมันให้แหลกเป็นธุลี มันก็ได้แต่ร่ำร้องออกมาเสียงหลง เอ่ยคำยอมรับเป็นข้าทาสฟงชิงหยาง


“ข้าไม่สน”


อย่างไรก็ตาม คำตอบการวิงวอนของเฉินชิวปั๋วก็คือ ถ้อยคำ 3 พยางค์ด้วยน้ำเสียงไร้แยแสของฟงชิงหยาง


“ไม่!!”


ลูกตาเฉินชิวปั๋วหดเล็กลง ร่ำร้องออกมาเสียงหลงด้วยความเสียใจ


และนั่นก็เป็นเสียงสุดท้ายที่มันเหลือทิ้งไว้ในโลกนี้


ปงงง!


เสียงระเบิดดังขึ้นเบาๆ แม้กรงจะไม่หดตัวลงถึงขีดสุด หากแต่ร่างเฉินชิวปั๋วด้านในก็ระเบิดเป็นหมอกโลหิตเสียก่อน จากนั้นพอหมอกโลหิตดังกล่าวสัมผัสกับซี่ลูกกรง พวกมันก็ถูกพลังอำนาจมหาศาลทำลายจนสลายหายไปในความว่างเปล่า ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้เห็น…


เฉินชิวปั๋วจักรพรรดิอมตะสมญานามผู้น่าเกรงขาม ตาย!


หลังจากเฉินชิวปั๋วตกตาย พลังสีกาก็ก็เริ่มสลายตัวและพุ่งไปควบรวมก่อเกิดร่างฟงชิงหยางอีกครั้ง


“ก่อนที่ข้าจะสู้กับมันเมื่อครู่ ข้าได้ใช้พลังปิดกั้นเสียงเอาไว้หมดแล้ว…”


ฟงชิงหยางกวาดตามองผู้ที่เหินร่างขึ้นมาดูชมเรื่องราวทั่วๆ พลาเอ่ยออกเสียงเบาว่า “ข้าไม่อยากให้ใครล่วงรู้เรื่องที่ข้าบรรลุถึงขอบเขตเทพเจ้า…”


“หากข้ารู้ว่ามันผู้ใดแพร่งพรายออกไปล่ะก็…”


แม้ฟงชิงหยางจะไม่ได้พูดต่อให้จบคำ แต่อาศัยแค่จิตสังหารที่วูบวาบในแววตา ก็ได้อธิบายทุกอย่างไว้ชัดเจน…


WSSTH ตอนที่ 3,038 : เจิ้งหงอี้


“ขอใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์โปรดวางใจ พวกเรามิมีวันแพร่งพรายเรื่องราวออกไปเด็ดขาด”


ข้ารับใช้เก่าของฟงชิงหยางนำโดยเมิ่งหลัว หลังสังเกตเห็นแววตาแฝงความนัย ก็เร่งขานรับออกมาเป็นมั่นเหมาะ


ขณะเดียวกันพอพวกมันย้อนนึกฉากเรื่องราวการลงมือสังหารเมื่อครู่ พวกมันก็อดตะลึงไม่ได้


ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมัน หลังบรรลุขอบเขตเทพเจ้าแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะสามารถสังหารเฉินชิวปั๋ว จักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้ง่ายดาย! ทั้งๆที่อาศัยร่างแฝดของกฏแห่งดินเท่านั้น!!


ต้องทราบด้วยว่าเฉินชิวปั๋วที่มาดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนแทนนั้น จะอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม และมีชื่อเสียงโด่งดังในจี้เมี่ยเทียนแห่งนี้อย่างยิ่ง ก่อนใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมันจะกลับมา พลังฝีมือของเฉินชิวปั๋วเรียกว่าแกร่งกล้าสูงสุด ไม่เป็นสองรองผู้ใดในจี้เมี่ยเทียน!!


และหากพวกมันจดจำไม่ผิดล่ะก็


ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมัน สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดหาใช่กฏแห่งดินไม่ แต่เป็นกฏแห่งงการทำลายล้างต่างหาก!


ไม่นานเรื่องการต่อสู้ชิงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์เหนือน่านฟ้าวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนก็เริ่มแพร่กระจายออกไป แน่นอนว่าไม่มีเรื่องที่ฟงชิงหยางบรรลุขอบเขตเทพเจ้าแล้ว


จักรพรรดิสวรรค์องค์เก่าอย่าง ฟงงชิงหยาง หรือที่รู้จักกันในนามจักรพรรดิอมตะผลาญฟ้า ได้หวนกลับมาจากนรกอสุรา 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลก สามารถเอาชนะเฉินชิวปั๋ว จักรพรรดิอมตะมัชฌิมผกผัน กระทั่งสังหารอีกฝ่ายตกตายคาที่ ชิงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์กลับมาได้สำเร็จ!


เมื่อเรื่องราวดังกล่าวแพร่กระจายออกไป ก็ทำให้เหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลายเริ่มอยู่ไม่สุข แต่ละคนตกใจกับข่าวเรื่องราวดังกล่าวไม่น้อย


ขณะเดียวกันเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ผู้ที่รับทราบเรื่องราวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีบางคนที่ตระหนักเรื่องราวใดได้บางอย่าง


“จักรพรรดิอมตะผลาญฟ้ากลับมาคราวนี้ช่างทรงพลังนัก ถึงกับเข่นฆ่าจักรพรรดิอมตะมัชฌมิผกผัน เฉินชิวปั๋ว ผู้นั้นได้ทันที…ดูเหมือนการเข้าสู่นรกอสุราครานี้จะได้พบพานโชควาสนาบางประการ ทำให้พลังฝีมือพัฒนากล้าแข็งขึ้น หาไม่แล้วคงไม่อาจฆ่าเฉินชิวปั๋วผู้นั้นได้”


“แม้ในกาลก่อนเฉินชิวปั๋วจะอ่อนด้อยกว่าฟงชิงงหยางมาก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเฉินชิวปั๋วบังเกิดการรู้แจ้งจนพลังฝีมือยกระดับไปเทียบได้กับฟงชิงหยางในเวลานั้นที่ใช้อุปกรณ์เทพ…แต่กระนั้นมันยังถูกฆ่าตาย เห็นได้ชัดว่าพลังฝีมือของฟงชิงหยางได้เพิ่มพูนขึ้นไปไม่น้อย! ต้องทราบด้วยว่าบัดนี้กระบี่ผลาญฟ้าอาศัย ไร้ซึ่งจิตวิญญาณกระบี่แล้ว!!”


“ด้วยพลังฝีมือของฟงชิงหยางตอนนี้ เกรงว่าอันดับในรายนามจักรพรรดิสวรรค์ ให้พูดว่าติดอยู่ใน 10 อันดับแรกแล้วก็ไม่เกินเลย!”



การสังหารเฉินชิวปั๋วของฟงชิงหยาง สร้างความตกตะลึงให้เหล่าจักรพรรดิอมตะของจี้เมี่ยเทียนไม่น้อย บางคนยังรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของฟงชิงหยางตอนนี้ มากพอจะติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของรายนามจักรพรรดิสวรรค์แล้ว


‘รายนามจักรพรรดิสวรรค์’ ที่ว่า ก็คือการจัดอันดับพลังฝีมือของจักรพรรดิสวรรค์ทั้ง 81 องค์


พลังฝีมือของฟงชิหยางนั้น เดิมทีรั้งอยู่ในอันดับที่ 18 ของรายนามจักรพรรดิสวรรค์ และนี่ยังเป็นเพราะมีอุปกรณ์เทพที่กำเนิดจิตวิญญาณไว้ในถือครอง


หากไร้อุปกรณ์เทพ น่ากลัวอันดับคงไม่สูงถึงขนาดนี้


ยิ่งไปกว่านั้นอุปกรณ์เทพที่ฟงชิงหยางถือครอง ยังจัดเป็นอุปกรณ์เทพที่ค่อนข้างทรงพลังของระนาบเทวโลก และในอดีตกาลมันเคยถูกเรียกว่าอุปกรณ์เทพอันดับ 1 ของระนาบเทวโลกอีกด้วย


ย้อนกลับไปในตอนนั้น ฟงชิงหยางที่สามารถเอาชนะจักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนได้ จนได้รับการยอมรับจากจิตวิญญาณกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญ จากนั้นจึงได้ถือครองกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญ พลังความแข็งแกร่งเลยเพิ่มพูนขึ้นไปอีกขั้น


และฟงชิงหยางก็ไม่ได้ไปทดสอบที่วิหารเฟิงฮ่าวแต่อย่างไร ทว่าตามกฏของวิหารเฟิงฮ่าวแล้ว หากคิดจะมีสมญานามเป็นของตัวเอง นอกจากไปเข้าร่วมการทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่ง…


นั่นก็คือสยบปราบจักรพรรดิสวรรค์องค์ใดองค์หนึ่ง และแทนที่อีกฝ่ายกลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์คนใหม่


ถึงตอนนั้นวิหารเฟิงฮ่าวก็จะทำการมอบสมญานามให้


และสมญานามผลาญฟ้า ของฟงชิงหยางก็ได้มาด้วยสาเหตุนี้


จึงกล่าวได้ว่าสมญานาม ‘ผลาญฟ้า’ นั้น ฟงชิงหยางไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่เป็นวิหารเฟิงฮ่าวตั้งให้ และคำผลาญฟ้าที่ว่าก็มาจากกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญที่ยอมรับฟงชิงหยางเป็นเจ้านายคนใหม่นั่นเอง


จักรพรรดิอมตะทั้งหลายของจี้เมี่ยเทียนไม่ได้ล่วงรู้เรื่องที่ฟงชิงหยางทะลวงถึงขอบเขตเทพเจ้าแล้วเลย หาไม่แล้วพวกมันคงไม่คาดเดาว่าพลังฝีมือฟงชิงหยางเพียงรั้งอยู่ใน 10 อันดับแรกของรายนามจักรพรรดิสวรรค์หรอก


ต้องทราบด้วยว่าในรายนามจักรพรรดิสวรรค์นั้น มีจักรพรรดิสวรรค์เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ทะลวงถึงขอบเขตเทพเจ้าได้สำเร็จ แม้แต่อันดับที่ 2 กับ 3 ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์ก็ยังเป็นแค่ครึ่งเทพเท่านั้น


ด้วยเพราะฟงชิงหยางจงใจปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ จึงไม่มีใครล่วงรู้ว่าตนได้บรรลุขอบเขตเทพเจ้าแล้ว นอกจากเหล่าข้ารับใช้คนสนิท


ส่วนเหตุผลที่ไฉนฟงชิงหยางจึงต้องปิดบังเรื่องนี้ เกรงว่าคงมีเพียงแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้


“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ สาเหตุที่ทำให้ท่านเลือกจะปิดบังเรื่องที่ทะลวงถึงขอบเขตเทพเจ้าแล้ว ใช่เป็นเพราะวิหารเฟิงฮ่าวหรือไม่?”


ณ สถานที่แห่งหนึ่งของวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน บนเกาะลอยส่วนตัว ปรากฏร่างเมิ่งหลัวยืนอยู่หน้ากระท่อมไม้เก่าๆหลังหนึ่ง กำลังเอ่ยถามชายหนุ่มชุดขาวที่นั่งบนโต๊ะหินอ่อนเรียบง่ายด้านหน้ากระท่อมไม้


“เมิ่งหลัวเรื่องบางเรื่องเจ้ารู้อยู่ในใจก็พอ…อย่าได้พูดมันออกมา”


ชายหนุ่มชุดขาวหรือก็คือฟงชิงหยางที่หวนคืนสู่ฐานะจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนเรียบร้อยแล้ว เงยหน้าขึ้นมาเหลือบมองเมิ่งหลัวพลางเอ่ยออกเสียงเบา


“ขอรับ”


ได้ยินดังนั้น เมิ่งหลัวก็เงียบไปทันที พอเอ่ยออกอีกครั้ง ก็เป็นการถามเปลี่ยนเรื่อง “ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ท่านหลบหนีออกมาจากนรกอสุราได้อย่างไร?”

novel-lucky


นรกอสุรานั้น เป็น 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามขงระนาบเทวโลกทั้งมวล อีกทั้งระดับความอันตรายของมันยังนับว่าไม่น้อยเลยในบรรดาสถานที่ต้องห้ามทั้ง 7!


เคยมีกลุ่มยอดฝีมืออนุมานกันว่า…


ในบรรดาจักรพรรดิสวรรค์ทั้ง 81 องค์นั้น หากจะมีจักรพรรดิสวรรค์องค์ใดที่สามารถรอดกลับออกมาจากนรกอสุราทั้งที่ยังมีชีวิตได้ ก็เกรงว่าคงมีแต่จักรพรรดิสวรรค์ที่รั้งอยู่ใน 3 อันดับแรกของรายนามจักรพรรดิสวรรค์เท่านั้น


และต้องทราบด้วยว่าจักรพรรดิสวรรค์ทั้ง 3 องค์นั้น หนึ่งบรรลุถึงขอบเขตเทพเจ้าแล้ว อีก 2 คนก็บรรลุถึงครึ่งก้าวเทพ!


“กล่าวไปตัวข้าถือว่ายังไม่ได้ออกจากนรกอสุรา”


ฟงชิงหยางกล่าวคำด้วยน้ำเสียงสงบ “ร่างหลักของข้ายังคงติดอยู่ในนรกอสุรา…ตอนนี้มีเพียงร่างแฝดแห่งกฏทำลายล้างกับร่างแฝดของกฏแห่งดินเท่านั้นที่ออกมา”


“จะอย่างไรก็ตามตัวข้านับว่าโชคดีนัก…หาไม่แล้วข้าคงตกตายตั้งแต่วันแรกๆที่เข้าไป”


กล่าวถึงประโยคท้าย แม้น้ำเสียงของฟงชิงหยางจะฟังดูสงบ แต่เมิ่งหลัวที่ติดตามรับใช้มานานย่อมสัมผัสได้ว่านี่คือการพยายามทำให้สงบ ในใจนั้นเห็นชัดว่าปั่นป่วนหวาดกลัวไม่น้อย


ยิ่งไปกว่านั้นเมิ่งหลัวก็ทราบดี ว่าต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตเทพเจ้า ก็สามารถตกตายในนรกอสุราได้ง่ายๆ


หาไม่แล้วนายท่านของมันผู้นี้ ไฉนไม่กลับมาด้วยร่างหลัก จะส่งร่างแฝดแห่งกฏกลับออกมาก่อนทำไม ไยต้องปล่อยให้ร่างหลักติดอยู่ในนั้นด้วย?


“นรกอสุรา…น่ากลัวถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”


เมิ่งหลัวแตกตื่นไม่น้อย


“น่ากลัวกว่าที่เจ้าคิดไว้มาก”


น้ำเสียงของฟงชิงหยางแม้จะยังคงสงบ หากแต่มือพลันกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว กลางฝ่ามือยังปรากฏเหงื่อเย็นผุดซึม


“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แล้ว…ร่างแฝดของกฏทำลายล้างท่านอยู่ที่ใดหรือ?”


เมิ่งหลัวเอ่ยถาม


มันยังจำได้ว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของมันคนนี้ ก่อนที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินทั้งหมด อีกฝ่ายได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏทำลายล้างหมดสิ้นแล้ว เมื่อทะลวงถึงขอบเขตเทพเจ้าแล้วเช่นนี้ มันจึงเชื่อว่าร่างแฝดแห่งกฏร่างแรกที่ควบสร้างขึ้นมา ไม่พ้นต้องเป็นร่างแฝดของกฏทำลายล้าง


“ข้าส่งไปจัดการธุระบางอย่าง”


ฟงชิงหยางกล่าว



ณ หลิงหลัวเทียน


แดนสวรรค์ใต้ เขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว


นิกายอมตะเป้าผู่นั้น เป็น 1 ใน 3 นิกาย 2 ตระกูลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคฤหาสน์เฉวียนโยว ยิ่งไปกว่านั้นยังครอบครองสายแร่ผลึกอมตะระดับกลางมากมายหลายแห่ง


สำหรับสถานที่ตั้งของนิกายอมตะเป้าผู่นั้น ก็อยู่บริเวณกึ่งกลางของสายแร่ผลึกอมตะระดับกลางทั้งหลาย ปรากฏค่ายกลรวมวิญญาณขนาดมโหราฬจัดตั้งเอาไว้ ชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินจากสายแร่ผลึกอมตะระดับกลางเหล่านั้นมาเติมเต็มบรรยากาศของนิกายอมตะเป้าผู่


ด้วยเหตุนี้พลังวิญญาณฟ้าดินในเขตนิกายอมตะเป้าผู่จึงนับว่าหนาแน่นบริบูรณ์ เหนือล้ำกว่าโลกภายนอกมาก เรียกว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกตนแถวนั้นเลยทีเดียว


เป็นธรรมดาว่าไม่ใช่ทุกที่ของนิกายอมตะเป้าผู่จะมีความหนาแน่นของพลังวิญญาณฟ้าดินเท่ากันทั้งหมด


พลังวิญญาณฟ้าดินบางสถานที่นั้น มันหนาแน่นทั้งเข้มข้นสุดที่สถานที่อื่นๆจะเทียบได้ เรียกว่าหนาแน่นกว่ากันถึง 5 เท่าเลยทีเดียว!


“ท่านรองประมุข!”


“ท่านรองประมุข!”

novel-lucky



ต้วนหลิงเทียนที่ติดตามจางกวงเจิ้งเดินทางมายังนิกายอมตะเป้าผู่ ในที่สุดก็บรรลุถึงเบื้องหน้านิกายอมตะเป้าผู่เป็นที่เรียบร้อย และทันทีที่เข้าเขตของนิกายอมตะเป้าผู้ ก็ปรากฏร่างศิษย์และอาวุโสลาดตระเวนระวังภัยมากมายเร่งุรดเข้ามาคารวะทักทายจางกวงเจิ้งอย่างนอบน้อม


ขณะเดียวกันสายตาของเหล่าศิษย์และอาวุโสหน่วยลาดตระเวนทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย ต่างอยากรู้กันนัก ว่าชายหนุ่มชุดม่วงที่เหินร่างอยู่ข้างกายจางกวงเจิ้งคนนี้เป็นผู้ใดกันแน่


อีกฝ่ายมีฐานะความเป็นมาสูงส่งถึงเพียงใดกัน ถึงได้รับการไว้หน้าจาก จางกวงเจิ้ง รองประมุขนิกาอมตะเป้าผู่ของพวกมันแบบนี้ ถึงกับได้เหินร่างเคียงข้างกันราวกับคนมีฐานะเท่าเทียม


“อาจารย์ลุง!”


ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังทักมาแต่ไกล


จากนั้นจากสุดขอบฟ้าไกลตา ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดสีครามคนหนึ่งเหินเข้ามาด้วยความเร็ว ไม่ทันไรก็บรรลุถึงเบื้องหน้าคณะเดินทางของจางกวงเจิ้งแล้ว


และเมื่อมันมาปรากฏตัวเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับจางกวงเจิ้ง มันก็ประสานมือโค้งคารวะจางกวงเจิ้งอย่างเคารพทันที


“หงอี้ อาจารย์เจ้ารู้ว่าพวกเรากลับมาถึงแล้วหรือ?”


เมื่อเห็นร่างผู้ที่เร่งรุดเข้ามาทักทาย จางกวงเจิ้งก็เอ่ยถามออกไปด้วยรอยยิ้ม


“มิผิด อาจารย์ลุง”


ผู้ที่พึ่งมาพยักหน้ารับ “ท่านอาจารย์บอกให้ข้ามาเชิญอาจารย์ลุงกับศิษย์น้องต้วนหลิงเทียนไปพบ…ส่วนคนอื่นๆนั้นให้ข้าจัดการพาไปทำเรื่องลงทะเบียนให้”


หลังกล่าวจบคำ ชายหนุ่มชุดครามก็หยุดลงเล็กน้อย และเริ่มมองสำรวจต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างข้างๆจางกวงเจิ้ง “ข้าคิดว่าชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้ก็คือศิษย์น้องต้วนหลิงเทียนกระมัง?”


ทันทีที่ผู้มาใหม่หันมามองทัก ต้วนหลิงเทียนที่มองสำรวจอีกฝ่ายแต่แรก ก็พบว่าลึกลงไปในแววตาของอีกฝ่ายกลับฉายให้เห็นถึงความอิจฉา


ตอนนี้พออีกฝ่ายทักทายเขาตรงๆ เขาก็พบว่าความอิจฉาของอีกฝ่าย เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความริษยาและความเกลียดชัง!


‘ไอ้เจ้านี่…มันเป็นใครกันอีก? หากจำไม่ผิดข้าว่าข้ากับมันก็พึ่งจะเคยเจอกันครั้งแรกนี่นา’


‘อิจฉา? มันมาอิจฉาข้าเรื่องอะไร?’


‘แถมแววตาเกลียดชังนั่นมันยังไงกันแน่ ข้าไปทำอะไรให้มันเจ็บแค้นใจหรือ?’


จังหวะนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะงุนงงสงสัยอยู่บ้าง


อย่างไรก็ตาม ถึงจะเผชิญกับการทักทายที่ไร้ความจริงใจ เขาก็ยังพยักหน้ารับคำทักออกไปเบาๆ


“ต้วนหลิงเทียน นี่คือเจิ้งหงอี้ เป็นศิษย์คนที่ 3 ของประมุขนิกายเป้าผู่คนปัจจุบัน…เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรารีบไปพบท่านประมุขกันก่อนเถอะ”


จางกวงเจิ้งหันไปมองชวนต้วนหลิงเทียนด้วยรอยิ้ม


ครู่ต่อมามันก็หันกลับไปมองเจิ้งหงอี้ “เอาล่ะหงอี้ คนอื่นๆก็ฝากเจ้าจัดการแล้ว”


“ขอรับอาจารย์ลุง”


เจิ้งหงอี้นั้น พอหันมามองจางกวงเจิ้ง ความอิจฉาและความเกลียดชังในส่วนลึกของแววตามัน ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้จางกวงเจิ้งไม่อาจทราบเรื่องราวใดๆได้เลย


“ศิษย์น้องต้วนหลิงเทียน เจ้านับว่าเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของนิกายอมตะเป้าผู่เราจริงๆ ยังไม่ทันได้ลงทะเบียนเข้าร่วมนิกายแท้ๆ แต่เจ้าก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศิษย์ที่แท้จริงรอไว้แล้ว!”


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเหินร่างจากไปพร้อมจางกวงเจิ้ง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเข้าหูเขา


และตอนที่อีกฝ่ายเอ่ยคำว่า ศิษย์ที่แท้จริง น้ำเสียงของอีกฝ่ายก็ทำราวกับกำลังกัดฟันทั้งกำหมัดอยู่


“ศิษย์ที่แท้จริง!?”


และพอเสียงกล่าววาจาประโยคนี้ของเจิ้งหงอี้ดังจบคำ ไม่เพียงแต่ศิษย์และอาวุโสลาดตระเวนที่อยู่ใกล้ๆจะตกใจ กระทั่งศิษย์นิกายอมตะเป้าผู่ที่ติดตามจางกวงเจิ้งไปยังทะเลสาบอวิ๋นเยียนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ และยอดเซียนอมตะที่ติดตามมาเพื่อเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่ ล้วนอดตกตะลึงไปไม่ได้


“ที่คนผู้นั้นพูดมา…หมายความว่า ต้วนหลิงเทียนคนนี้ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ลงทะเบียนเป็นศิษย์นิกายอมตะเป้าผู่ แต่ก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นศิษย์ที่แท้จริงแล้วงั้นเหรอ!?”


“ศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่ ล้วนได้รับการดูและสนับสนุนอย่างดีเลิศ…ต่อให้เป็นศิษย์สายตรงของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ แต่ดูเหมือนคนที่กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงได้ก็มีอยู่ด้วยกันแค่ 2 คนมิใช่หรือ?”


WSSTH ตอนที่ 3,039 : ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ซุนเหลียงเผิง!


“เจิ้งหงอี้ผู้นี้ ถึงจะเป็นศิษย์สายตรงคนที่ 3 ของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นศิษย์ที่แท้จริง…”


“ไม่น่าแปลกใจเลยไฉนที่ข้าสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงอิจฉาของมัน…ที่แท้มันอิจฉาต้วนหลิงเทียนนี่เอง”


“อย่าว่าแต่มันจะอิจฉาเลย…ข้าเองยังอดอิจฉาไม่ได้!”



ถึงแม้ยอดเซียนอมตะเหล่านี้จะยังไม่ได้เข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่ แต่พวกมันก็ศึกษาเรื่องราวของนิกายอมตะเป้าผู่มาไม่น้อย ย่อมเคยได้ยินเรื่องราวศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่มาก่อน และรู้ดีว่าศิษย์ที่แท้จริงนั้นมีอภิสิทธิ์มากมายเพียงใด


“ตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 10 ที่เว้นว่างอยู่…ท่านประมุขตัดสินใจมอบให้เจ้าหนูที่ยังไม่ทันได้เข้าร่วมนิกายผู้นี้ไปแล้วจริงๆหรือ?”


เมื่อเหล่าศิษย์และชนชั้นอาวุโสของนิกายอมตะเป้าผู่มองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาของพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะเผยความตกตะลึงทั้งอิจฉาออกมา


“แล้วเจ้าหนูนี่มันเป็นใครมาจากไหนกันแน่?”


“นั่นสิ มันยังไม่ทันได้เข้าร่วมนิกายเราด้วยซ้ำ แต่ท่านประมุขกลับตัดสินใจมอบตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงให้มันแล้ว…ที่สำคัญดูเหมือนท่านรองประมุขจางจะแลดูใจดีกับมันมาก”


“หากข้าจำไม่ผิด กลุ่มคนที่ท่านรองประมุขจางพากลับมาด้วยคราวนี้ สมควรเป็นเหล่ายอดเซียนอมตะที่รอดชีวิตกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณใช่ไหม?”


“เจ้าหนูนี่…หรือว่ามันไม่เพียยงแต่จะรอดชีวิตกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณได้ แต่ยังทำผลงานได้ดีจนอยู่ในอันดับสูงๆ?”


“อันดับสูงๆ? เจ้าหนูนี่ยังอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ พวกเจ้าจะให้อันดับมันสูงแค่ไหนล่ะ?”


“หืออายุไม่ถึงร้อยปีรึ?”


“มารดามันเถอะ…อายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆด้วย!”


“ต่อให้เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอายุไม่ถึงร้อยปี และเข้าใจความลึกซึ้งของกฏอย่างความหมายเบื้องต้นแล้ว…แต่ก็ไม่น่าจะทำให้ท่านประมุขประเมินมันไว้สูงถึงขนาดนี้ไม่ใช่หรือไร?”


“นั่นสิ หากทำได้เท่านี้ ถึงแม้กล่าวไปจะยอดเยี่ยมไม่น้อย แต่เรื่องจะให้ดำรงตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงของพวกเรา นับว่ายังขาดอยู่บ้าง”



เหล่าศิษย์ลาดตระเวนเริ่มกระซิบกระซาบกันดังระงมปานกบร้อง แต่ละคนสงสัยแคลงใจไม่น้อยว่าไฉนชายหนุ่มชุดม่วงถึงได้รับการปฏิบัติจากรองประมุขและประมุขนิกายของพวกมันดีขนาดนี้


“ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่เขาก็ได้รับอันดับที่ 2 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณ”


ในฐานะรองประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ พลังฝีมือของจางกวงเจิ้งไหนเลยจะต่ำทรามได้ โสตประสาทรับฟังของมันย่อมไม่ใช่ชั่วเช่นกัน จึงได้ยินเสียงกระซิบกระซาบคุยกันของเหล่าศิษย์ลาดตระเวนชัดเจน


“ที่สำคัญ ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะได้รับอันดับที่ 2 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้เท่านั้น แต่ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว…”


จางกวงเจิ้งกล่าวสืบต่อ


หลังกล่าวจบ มันก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะต้วนหลิงเทียน อย่าได้สนใจพวกมันเลย…ตามข้าไปพบท่านประมุขนิกายก่อนเถอะ”


“อ่า”


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็เหลือบมองเจิ้งหงอี้ผ่านๆอีกรอบ ค่อยเลิกสนใจอีกฝ่ายแล้วติดตามจางกวงเจิ้งไปทันที


ตอนนี้เขาก็รู้แล้ว ว่าทำไมเจิ้งหงอี้ถึงแลดูอิจฉาริษยาทั้งเกลียดชังเขานัก!


ที่แท้เป็นเพราะเขาถูกแต่งตั้งให้กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงตั้งแต่ยังไม่ทันได้เป็นศิษย์นิกายอมตะเป้าผู่นั่นเอง!!


ทว่าด้านเจิ้งหงอี้นั้น ทั้งๆที่เป็นศิษย์สายตรงคนที่ 3 ของประมุขนิกาย กลับไม่ได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงด้วยซ้ำ


‘ไม่พ้นเจ้าเจิ้งหงอี้นี่ต้องหมายตาตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 10 ที่เว้นว่างอยู่แน่นอน แต่อยู่ดีๆข้าที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ดันได้รับตำแหน่งไปหน้าตาเฉย…มันไม่พ้นต้องไม่พอใจเป็นแน่ ที่ประมุขนิกายตัดสินใจอะไรแบบนี้’


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็เดาต้นตอและสาเหตุของเรื่องราวได้ไม่ยาก


และหลังจากต้วนหลิงเทียนติดตามจางงกวงเจิ้งไปได้สักพัก ก็เป็นจางกวงเจิ้งที่เริ่มอธิบายเหตุผลที่เจิ้งหงอี้ไม่พอใจออกมา เป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของเขาทันที


“…หากเจ้าไม่ปรากฏตัวขึ้นมา เจิ้งหงอี้ก็พอมีลุ้นตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 10 อยู่บ้าง…”

novel-lucky


จางกวงเจิ้งกล่าว


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกับจางกวงเจิ้งจากไป นอกจากเชวียจิงอวี่และเจิ้งหงอี้ที่รับทราบความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนแต่แรกแล้ว เหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลาย ไม่เว้นเหล่าศิษย์ลาดตระเวนพอได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอึ้งค้างไปเป็นแถบ


“แม่เจ้า…บรรลุยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดด้วยวัยไม่ถึงร้อยปี ก็นับว่าร้ายกาจมากแล้ว…แต่เจ้านั่นมันดันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินได้ 2 ประการแล้วงั้นเรอะ! มันโผล่มาจากนรกขุมใดกัน!?”


“เหอๆ เรื่องได้อันดับที่ 2 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะโชคช่วย…แต่มันที่อายุไม่ถึงร้อยปีไม่เพียงบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินสองประการอีก นี่มันของจริง!!”


“ให้ตายเถอะ สิ่งที่มันทำได้ ข้าว่าให้มองไปทั่วประวัติศาสตร์ของนิกายอมตะเป้าผู่ ไม่ว่าจะอัจฉริยะที่ปรากฏตัวขึ้นกี่ยุคสมัย ก็ไม่มีใครเทียบมันได้เลยมิใช่หรือไร?”


“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าหนูชุดม่วงนั่นเห็นหน้าหล่อๆแลดูไม่มีพิษมีภัย ที่แท้มันจะร้ายกาจราวสัตว์ประหลาดแบบนี้! ข้าล่ะไม่แปลกใจเลยว่าไฉนท่านประมุขกับรองประมุขจางถึงได้ให้เกียรติมันขนาดนั้น!”


“จังหวะนี้ข้าไม่สงสัยแล้วล่ะว่าไฉนท่านประมุขถึงตัดสินใจมอบตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงที่ว่างอยู่ให้มัน…ที่แท้จะศักยภาพพรสวรรค์หรือไหวพริบปฏิภาณไม่เว้นเชาว์ปัญญาของมันก็สูงส่งขนาดนี้นี่เอง!”



ก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่เหล่าศิษย์ลาดตระเวนเท่านั้น ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดส่วนใหญ่ที่ติดตามมา แทบไม่มีใครล่วงรู้ถึงความสามารถของต้วนหลิงเทียนเลย พอมาได้รู้ความจริง ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจกันอยู่นานกว่าจะหาย


“แต่เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้วแน่หรือ?”


ยังมียอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดบางคนที่แคลงใจสงสัย อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม


“เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องสงสัยหรอก…เพราะก่อนที่แดนสวรรค์ใต้โบราณจะเปิดออก ข้าก็ได้เห็นตอนเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นประมือกับ เชวียจิงอวี่ องค์ชายรองของประเทศหนันฉี่กับตา และเชวียจิงอวี่ยังแพ้พ่ายมันในกระบวนเดียว”


ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนหนึ่งที่เงียบมาตั้งแต่ต้น สุดท้ายก็คันปากจนทนไม่ไหว เอ่ยให้ข้อมูลออกมาก่อน ค่อยหันไปมองเชวียจิงอวี่แล้วเอ่ยขึ้นสืบต่อว่า “หากพวกเจ้าไม่เชื่อข้า เช่นนั้นลองถามเชวียจิ่งอวี่เพื่อยืนยันได้”


ทันใดนั้นทุกสายตาก็หันไปตกลงบนร่างเชวียจิงอวี่ทันที


เมื่อพบว่าทุกสายตาจดจ้องมองมาที่ตัว เชวียจิงอวี่ก็พยักหน้าตอบคำ “ไม่ผิด ต้วนหลิงเทียนนั่นเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้วไม่ผิดแน่ แถมความลึกซึ้งของกฏแห่งดินประการที่ 2 ที่มันเข้าใจ สมควรโดดเด่นเรื่องการป้องกันเป็นพิเศษ”


“กระทั่งข้าทุ่มเททุกสิ่งจู่โจมออกไปด้วยพลังทั้งหมดแล้ว ยังไม่อาจฝ่าม่านพลังป้องกันของมันได้เลย มิหนำซ้ำยังโดนมันตีสวนกลับมาจนปลิว…”


เชวียจิงอวี่กล่าว


และ เชวียจิงอวี่ ในฐานะองค์ชายรองของประเทศหนันฉี่ และเป็นอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศหนันฉี่ ย่อมมีคนรู้จักหรือเคยได้ยินเรื่องราวมันมาไม่น้อย ทำให้รับทราบพลังฝีมือของเชวียจิงอวี่ดี


พอมาได้ยินคำพูดยืนยันจากปากเชวียจิงอวี่ พวกมันจึงไม่เหลือข้อสงสัยใดๆสืบไป


“เอ่าละ พวกเจ้าตามข้ามา…ข้าจะพาพวกเจ้าไปลงทะเบียนเป็นศิษย์ที่ตำหนักทะเบียน”


เจิ้งหงอี้ที่ลอยร่างอยู่ไม่ไกล หลังมองจ้องแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนกับจางกวงเจิ้งจนหายลับไปจากสายตา มันก็สูดอากาศเข้าลึกๆ ค่อยหันไปกล่าวกับเชวียจิงอวี่ และเหล่ายอดเซียนอมตะคนอื่นๆ


และในขณะที่มันพาเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆไปลงทะเบียนเป็นศิษย์นั้น มันก็เงียบไปไม่พูดจา หากแต่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเย็นเยือกออกมาไม่หยุด


‘ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนหนึ่ง หากออกไปปฏิบัติภารกิจแล้วตกตายก็นับเป็นเรื่องปกติ! และหากมันตกตายเพราะอุบัติเหตุก็ไม่มีใครคิดสงสัยข้าเป็นแน่!!’


ในใจของเจิ้งหงอี้นั้น แม้จะพึ่งพบชายหนุ่มชุดม่วงแค่ครั้งเดียว แต่มันก็ตัดสินโทษตายให้อีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว


ถึงแม้ว่าต่อให้ชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้จะไม่ปรากฏตัวขึ้นมา มันก็ไม่ใช่ว่าจะได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงแน่นอน แต่อย่างน้อยๆมันก็มีความหวังเรื่องแข่งขันช่วงชิง


แต่ตอนนี้พออีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นมา ความหวังใดๆของมันล้วนดับสลายหายไปดั่งหมอกควันเบาบางต้องลม…


สถานที่บ่มเพาะของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ย่อมเป็นหนึ่งในสถานทีบ่มเพาะที่ดีที่สุดของนิกายอมตะเป้าผู่ เรียกว่าเพียงเข้าเขตที่พักของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ กลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินในสถานที่แห่งนี้ก็หนาแน่นกว่าด้านนอก 5 เท่าแล้ว


ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงความต่างเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย


และสถานที่พักอาศัยรวมถึงบ่มเพาะพลังของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่นั้น ก็ตั้งอยู่ในหุบเขาเล็กๆแห่งหนึ่ง อาณาบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยแมกไม้ทั้งบุปผานานาพรรณ มีสัตว์น้อยใหญ่ไม่เว้นวิหกส่งเสียงขับขานเจื้อยแจ้ว ให้บรรยากาศสมกับที่เป็นแดนสวรรค์จริงๆ


“ท่านประมุข”

novel-lucky


จางกวงเจิ้งที่พาต้วนหลิงเทียนเดินล่วงลึกเข้ามาในหุบเขา พอถึงบ้านไม้เล็กๆหลังหนึ่ง มันก็ประสานมือโค้งคำนับเอ่ยทักออกไปด้วยท่าทีสุภาพ


“ศิษย์พี่จาง ข้าบอกท่านหลายครั้งแล้ว ระหว่างข้ากับท่านไยต้องสุภาพมากมารยาทอีก ท่านเรียกข้าเหมือนแต่ก่อนก็ได้…อีกทั้งในกาลก่อนหากมิได้ศิษย์พี่จางยื่นมือช่วยเหลือ ข้าคงตายไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีวันนี้ได้!”


หลังจากจางกวงเจิ้งประสานมือโค้งคำนับเอ่ยคำทัก ต้วนหลิงเทียนก็เห็นร่างหนึ่งที่ราวกับผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่าเหนือบ้านไม้ อีกฝ่ายมีรูปลักษณ์เป็นชยวัยกลางคน รูปร่างไม่อ้วนไม่ผอม สวมใส่ชุดคลุมนักพรตเต๋าเก่าๆตัวหนึ่ง


ชายวัยกลางคนนั้นแลดูไปก็ไม่ต่างอะไรจากนักพรตเต๋าธรรมดาๆคนหนึ่ง หากแต่ประกายตาที่สดใสทั้งแหลมคมนั่นกลับให้ความรู้สึกว่าไม่ธรรมดาชวนให้ผู้คนสนใจอยู่บ้าง


‘นี่น่ะหรือ ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่?’


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง คนที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าตอนนี้ สมควรเป็นประมุขนิกายยอมตะเป้าผู่ไม่ผิดแน่


“มารยาท มิอาจละเลย!”


จางกวงเจิ้งมองชายวัยกลางคนเบื้องหน้า พลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง


ชายวัยกลางคนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆอย่างหมดปัญญา จากนั้นค่อยหันไปมองต้วนหลิงเทียนข้างๆจางกวงเจิ้งพลางกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัย “พ่อหนุ่ม เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรือ?”


“ส่วนข้าเจ้าคงเดาได้แต่แรก ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ซุนเหลียงเผิง”


ชายวัยกลางคนมองทักต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทีเป็นกันเอง ความรู้สึกที่ส่งออกมาจากสีหน้าแววตาช่างสบายราวสายลมฤดูใบไม้ผลิ พาลให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง


“ยินดีที่ได้พบท่านประมุข”


ได้ยินการแนะนำตัวของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ต้วนหลิงเทียนก็ป้องมือประสานกล่าวทักกลับไปด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์พี่จางเล่าเรื่องของเจ้าผ่านยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณให้ข้าฟังหมดแล้ว…”


ซุนเหลียงเผิงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน จากนั้นก็หยุดลงเล็กน้อยค่อยเอ่ยต่อด้วยสายตาเป็นประกายว่า “แต่ข้ายังคิดจะทดสอบพลังฝีมือเจ้าสักเล็กน้อย…เจ้าคงไม่รังเกียจใช่ไหม?”


เอ่ยถึงจุดนี้ ซุนเหลียงเผิงก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบอะไร เอ่ยเสริมออกมาต่อว่า “แน่นอนว่าข้าจะลดระดับพลังบ่มเพาะให้อยู่ในระดับเดียวกับเจ้า นอกจากนั้นข้าจะใช้ความลึกซึ้งแค่ 2 ประการเหมือนกับเจ้า”


“ย่อมไม่รังเกียจ”


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรกับคำขอของซุนเหลียงเผิง เพราะอย่างไรสิ่งที่อีกฝ่ายรับปากเขาไว้ก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก


“มาเถอะ”


ลูกตาซุนเหลียงเผิงทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นร่างวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าก็ย่ำเท้าขึ้นไปราวไต่บันไดเมฆ พริบตาก็บรรลุถึงความสูงพันหมี่เหนือพื้นดิน


ร่างต้วนหลิงเทียนก็ไหววูบคราหนึ่ง พริบตาก็ไปผุดโผล่ที่น่านฟ้าเหนือผืนดินพันหมี่เช่นกัน


“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน”


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ลอบติดต่อกับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินในใจ “ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ดูแล้วไม่น่าจะใช่คนธรรมดาๆ…ตอนเจ้าช่วยเสริมพลังป้องกันให้ข้า ช่วยทำให้กลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมามันคล้ายความลึกซึ้งของกฏแห่งดินให้ได้มากที่สุด เจ้าพอทำได้หรือไม่?”


“เรื่องขี้ประติ๋วหน่า! จิ๊บๆ!!”


เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นอย่างถือดี เห็นชัดว่ามันไม่ได้กังวลเรื่องที่ซุนเหลียงเผิงจะมองพลังของมันออกเลย


“ข้าได้ยินศิษย์พี่จางบอกมาแล้ว ว่าด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งดินประการที่สองทำให้เจ้าเก่งในเรื่องการป้องกันเป็นพิเศษ…เช่นนั้นข้าจะใช้พลังสูงสุดของขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ผสานไปด้วยพลังอำนาจความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง 2 ประการ พร้อมด้วยวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับราชาทั้งหมดลงมือกับเจ้า…”


ขณะที่ซุนเหลียงเผิงกับต้วนหลิงเทียนลอยร่างเผชิญหน้ากันกลางฟ้าเหนือหุบเขา ซุนเหลียงเผิงก็ผายมือออกไปด้านข้าง จากนั้นก็ปรากฏกระบี่แปลกประหลาดเล่มหนึ่งผุดขึ้นจากความว่างเปล่าเข้ามือ


ไฉนที่บอกว่ากระบี่เล่มนี้แปลกประหลาดนั้น นอกจากความยาวของมันจะอยู่ที่ราวๆ 4 ฉื่อแล้ว แต่ตัวกระบี่ยังปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งแปลกๆ แต่ละเกล็ดยังแผ่กลิ่นอายแหลมคมเยียบเย็นออกมา ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง


“นี่คือกระบี่อมตะระดับราชาที่ได้รับการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะ และเป็นกระบี่คู่กายข้ามานาน…เนื่องจากเจ้ารอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โดยได้อันดับที่ 2 ข้าเชื่อว่าเจ้าคงไม่ขาดชุดเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะใช่ไหม?”


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถาม


WSSTH ตอนที่ 3,040 : คลังสมบัติ!


“ข้าพอมี”


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ถึงแม้เข้าจะจดจำไม่ได้ว่าเข่นฆ่าปล้นชิงผู้ใดมาบ้าง แต่ในตัวเขาไม่เพียงมีอาวุธอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมากมายเท่านั้น เขายังมีชุดเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะอยู่ด้วย 2 ชิ้น


“เอาล่ะ”


ซุนเหลียงเผิงพยักหน้า จากนั้นมันก็ยกมือขึ้น กระบี่ค่อยๆถูกชักออกจากฝักมาตั้งขวางไว้เบื้องหน้า ตัวกระบี่เริ่มสั่นสะเทือน จากนั้นก็ปรากฏรังสีกระบี่ผุดโผล่ห้อมล้อมทอประกายระยิบระยับออกมา หากมองไกลๆเสมือนมีบุปผาน้ำแข็งมากมายเริ่มเบ่งบานห้อมล้อมตัวกระบี่!


พริบตาต่อมาบุปผาน้ำแข็งมากมายอันวิจิตรงดงามรอบกระบี่ ก็เริ่มเปล่งกลิ่นอายพลังแหลมคมน่ากลัว


“กระบี่ของข้าตอนนี้ นอกจากความหมายแห่งทองแล้ว ข้ายังผสานพลังความลึกซึ้งของกฏแห่งทองอีกประการลงไปด้วย…”


ในขณะที่กระบี่ในมือซุนเหลียงเผิงเริ่มปลดปล่อยพลังอำนาจอันน่ากลัว มันก็ไม่ลืมเอ่ยเตือนต้วนหลิงเทียน “และความลึกซึ้งประการทั้สองของกฏแห่งทองที่ข้าเลือกใช้ก็คือ ‘เจาะทะลวง’ ยังเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งทองที่เสริมพลังอานุภาพให้กับการจู่โจมรุนแรงที่สุด”


และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ซุนเหลียงเผิงเอ่ยจบคำ กระบี่ในมือของมันก็ตวัดฟาดจี้มาทางต้วนหลิงเทียน ทันใดนั้นมวลบุปผาน้ำแข็งวิจิตรทั้งหลายก็ม้วนวนดั่งมหาพายุ ก่อนจะพุ่งเรียงรายเข้ามาทางต้วนหลิงเทียน พริบตาก็ผสานหลอมรวมเป็นหนึ่งบุปผาพุ่งมาดั่งลำแสงกระบี่ เปี่ยมล้นไปด้วยสภาวะพลังแหลมคมนัก!!


ซู่มมม!!


บุปผาน้ำแข็งรวมหนึ่งที่พุ่งมาดั่งลำแสงกระบี่ ยิ่งมาพลังสภาวะยิ่งทวีความแหลมคมมากขึ้นทุกขณะ!!


และเมื่อบุปผาน้ำแข็งไม่ต่างลำแสงกระบี่ทะยานตัดห้วงอากาศมาได้ครึ่งทาง มันก็เริ่มบีบอัดจนเริ่มเล็กลงดั่งเส้นดาย!


มองไปประหนึ่งด้ายสีทองพุ่งทะลวงฝ่าอากาศมาฉับไว หากแต่เสียงทะลวงเจาะห้วงอากาศกลับไม่ได้ดังมากมายอะไร จะมีก็แต่เสียงเล็กแหลมเสียดแทงแก้วหู ราวกับด้ายสีทองนี้ไม่เพียงแต่จะเจาะทะลวงทุกอย่าง ยังตัดได้ทุกสิ่งอีกด้วย!


‘เป็นวิชากระบี่ที่ร้ายกาจนัก…ไม่เพียงบีบอัดพลังทั้งหมดจนแปรสภาพเป็นเส้นด้าย ทำให้มีสภาวะทะลวงทรงพลังน่ากลัวจริงๆ…นี่น่ะเหรอความลึกซึ้ง ‘ทะลวงเจาะ’ ของกฏแห่งทองที่ขึ้นชื่อว่าทรงพลังที่สุดในแง่เสริมการโจมตี?’


ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับฟังเรื่องราวของกฏแห่งทองจากทองเทพสุดลี้ลับมาบ้าง จึงได้รู้ว่าในบรรดาความลึกซึ้งของกฏแห่งทองนั้น สิ่งที่ช่วยเสริมพลังอานุภาพให้กับการจู่โจมได้ยอดเยี่ยมเป็นที่สุดก็คือความลึกซึ้ง ทะลวงเจาะ!


เห็นการจู่โจมอันทรงพลังของซุนเหลียงเผิงจี้ตรงเข้ามาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่โง่ยืนเฉยๆต้านรับตรงๆโดยไม่คิดทำอะไร ร่างเริ่มไหววูบฉากออกข้างคิดหลบหลีกทันที อย่างไรก็ตามเขาพลันพบว่ารังสีกระบี่ลักษณ์ด้ายสีทองดังกล่าว ประหนึ่งมีดวงตางอกเงยก็ไม่ปาน มันเปลี่ยนทิศทางจี้เข้าใส่เขาได้อย่างทันท่วงที!


ที่สำคัญ ความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขา สู้ความเร็วของกระบวนท่าที่จู่โจมเข้ามาของซุนเหลียงเผิงไม่ได้!


เวิง! เวิง! เวิง! เวิง! เวิง!



ด้ายสีทองพุ่งทะลวงแหวกอากาศมาฉับไว ส่งเสียงดังเววิงๆให้ความรู้สึกแหลมคมราวกับจะทะลวงได้กระทั่งห้วงมิติ!


ต้วนหลิงเทียนที่ลองฉากร่างหลบไปแล้ว พบว่ากระบวนท่าอีกฝ่ายเสมือนจรวดนำวิถี ก็หยุดร่างลงไม่คิดขยยยับไปไหนอีก ในเมื่อหลบไม่ได้ก็ไม่ต้องหลบ!


ทันใดนั้นทั่วร่างเขาพลันปรากฏเงาร่างเกราะทมิฬตัวหนึ่งขึ้นมาปกคลุม ยังมีประกายอัสนีสีม่วงแล่นวาบแปลบปลาบ! จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่แปรเปลี่ยนเป็นสีกากีในฉับพลัน ก็เริ่มถ่ายทอดลงสู่เงาร่างเกราะทมิฬดังกล่าวไม่ขาดสาย


นอกจากนั้นวรยุทธ์อมตะระดับขุนนางอย่างราชันไม่เคลื่อนไหว ไม่เว้นเวทย์พลังระดับขุนนางอย่างปราณม่วงบูรพาก็ถูกใช้ออกเต็มกำลัง ปิดท้ายด้วยปฐมเวทยย์กลืนกินที่ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบแปรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด หล่อเลี้ยงทุกสรรพวิชาให้ยกระดับพลังขึ้นทันที!


เรียยกว่าในห้วงเวลาชั่วพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ ต้วนหลิงเทียนก็ปลดปล่อยการป้องกันที่ทรงพลังที่สุดออกมา


พร้อมกันนั้นเองปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ลงมือสอดประสานได้อย่างเหมาะสม มวลพลังสีเหลืองแผ่พุ่งออกจากร่างต้วนหลิงเทียน ฉาบคลุมไปทั่วเงาร่างชุดเกราะทมิฬที่บัดนี้ถูเงาร่างพุทธองค์สีทองผสานไอพลังสีม่วงปกคลุมเอาไว้ทันที


แต่หากมองให้ดี จะพบว่าเงาร่างเกราะสีดำสนิทนั้นได้ทอประกายสีเหลืองแก่ออกมาเรืองๆ พาลให้ผิวเกราะทมิฬเรืองประกายปานผิวบุษราคัม

novel-lucky


‘นั่นมัน…ความลึกซึ้ง ‘ปราการผลึก’ ของกฏแห่งดินงั้นรึ!?’


ลูกตาของซุนเหลียงเผิงทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง ในฐานะประมุขของนิกายอมตะเป้าผู่ ความลึกซึ้งของกฏต่างๆมีอะไรบ้าง มันย่อมล่วงรู้ไม่น้อย


ความลึกซึ้งปราการผลึกของกฏแห่งดิน นับเป็น 1 ใน 2 ความลึกซึ้งของกฏแห่งดินที่เน้นหนักไปเรื่องการป้องกันอย่างเดียว


‘จะวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังไม่เว้นเวทย์พลังสนับสนุนที่เจ้าหนูนี่ใช้ล้วนมิใช่ระดับราชาสักอย่าง…กฏก็ใช้ออก 2 ประการเหมือนข้า ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจักหยุดกระบวนท่านี้ของข้าได้อย่างไร!?’


ซุนเหลียงเผิงที่ควบคุมรังสีกระบี่รูปลักษณ์ด้ายสีทองอยู่ด้านหลัง บังเกิดความคาดหวังในใจไม่น้อย ขณะเดียวกัน อาศัยเพียงหนึ่งห้วงคิด ด้ายสีทองที่พุ่งทะลวงแหวกความว่างเปล่าด้วยสภาวะประหนึ่งจะทะลวงทั้งสะบั้นได้ทุกสิ่ง ก็ปะทุความเร็วในฉับพลัน พุ่งจู่โจมเข้าใส่ปราการพลัง ลักษณ์ชุดเกราะทมิฬที่บัดนี้ทอประกายเรืองรองปานผลึกบุษราคัมของต้วนหลิงเทียนทันที!


“ไอ้หนู รีบใช้ความลึกซึ้ง พื้นที่โน้มถ่วง บั่นทอนพลังกระบวนท่ามันเร็วเข้า! วรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังของเจ้าที่ใช้มีระดับต่ำเกินไป! หากมันทำลายไม่ได้ มันไม่พ้นต้องบังเกิดความสงสัยแน่!!”


ในขณะที่ด้ายสีทองกำลังจะปะทะกับเกราะพลังทมิฬเรืองประกายสีเหลืองแก่ เสียงเด็กยังไม่หย่านมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างเร่งร้อน


“เข้าใจแล้ว”


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนขานรับ เขาก็พุ่งมือขวาออกไปเบื้องหน้า จากนั้นก็งองุ้มเป็นกรงเล็บควบสร้างสนามพลังโน้มถ่วง อันมีทิศทางแรงโน้มถ่วงฉุดดึงสวนทางการเคลื่อนที่ของด้ายสีทองออกไปทันที!


วินาทีถัดมา ด้ายสีทองที่เปี่ยมพลังสภาวะทะลวงเจาะอันเหี้ยมหาญ ก็เผชิญกับสนามพลังโน้มถ่วงเข้าอย่างจัง!


แน่นอนว่าการต่อต้านเล็กน้อยเพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจหยุดยั้งด้ายสีทองได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยๆก็ทำให้มันชะงักลง และสิ้นสูญพลังสภาวะไปบางส่วน


‘โอ!? นี่มันความลึกซึ้ง พื้นที่โน้มถ่วง!!’


ลูกตาซุนเหลียงเผิงทอประกายเจิดจ้าเรืองขึ้นอีกครา ‘ถึงเจ้าหนูจะยังไม่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น แต่ก็แตะถึงธรณีประตูแล้ว จะเข้าใจเมื่อใดก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น…’


‘ให้ตายเถอะน่าประหลาดใจจริงๆ ช่างเป็นเจ้าหนูที่ร้ายกาจยิ่งนัก!’


‘อย่าว่าแต่เวทีระดับคฤหาสน์เฉวียนโยวเลย…ต่อให้เป็นเวทีทั้งแดนสวรรค์ใต้ ก็ยังคงเล็กไปสำหรับมัน! อายุไม่ถึงร้อยปีไม่เพียงบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ แถมยังหยั่งถึงธรณีประตู พื้นที่โน้มถ่วง ความลึกซึ้งประการที่ 3…อัจฉริยะเช่นนี้ไม่ปรากฏในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวมานับพันหมื่นปีแล้ว’


‘ดูเหมือนนิกายอมตะเป้าผู่เรา จักได้สมบัติล้ำค่ามาแล้วจริงๆ!!’


จังหวะนี้ซุนเหลียงเผิงยอมรับในความสามารถของต้วนหลิงเทียนหมดใจ จากนั้นด้ายสีทองที่กำลังฝ่าสนามแรงโน้มถ่วงเข้าไป ก็อันตรธานหายไปในทันที


“หืม?”


พอเห็นว่าในห้วงเวลาสำคัญ ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่กลับถอนรั้งพลังกลับไปหน้าตาเฉย ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งไปอยู่บ้าง ด้วยไม่ทราบว่าประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร


“ข้าเห็นพลังของเจ้าแล้ว…เท่านี้ก็เกินพอ”


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มพึงใจ


ขณะเดียวกันก็หันไปมองจางกวงเจิ้งที่เริ่มเหินตามขึ้นมาบนฟ้า “ศิษย์พี่จางท่านเดินทางมาเหนื่อยๆเช่นนั้นท่านไปพักก่อนเถอะ…ต่อจากนี้ข้าจัดการเอง”


“ได้”


จางกวงเจิ้งย่อมเข้าใจสิ่งที่ซุนเหลียงเผิงคิดจะทำ ไม่มีอะไรมากไปกว่าหลังได้เห็นความสามารถของต้วนหลิงเทียน ซุนเหลียงเผิงก็คิดจะต้อนรับต้วนหลิงเทียนเข้าสู่นิกายเป็นการส่วนตัว ให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของนิกายอมตะเป้าผู่


เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของนิกาย รวมถึงรู้สึกว่าได้รับการยอมรับจากนิกายไปมากกว่ามีประมุขนิกายมาดูแลจัดการเรื่องราวให้เป็นการส่วนตัว


ดังนั้นหลังจางกวงเจิ้งหันไปร่ำลาต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย มันก็จากไปอย่างรู้งานทันที


“ต้วนหลิงเทียนเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปยังคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่เรา…เดิมทีข้ารับปากเจ้าไว้ว่าจะให้เจ้าเลือกสมบัติในนั้นได้ตามใจสองชิ้น แต่ตอนนี้พอเห็นความสามารถของเจ้า เรื่องที่เจ้าเอ่ยขอสมบัติ 3 ชิ้นมาในตอนแรกนั้น นับว่าเหมาะสมแล้วจริงๆ เช่นนั้นข้าจักให้เจ้าเลือกสิ่งใดก็ได้ตามใจเจ้ากลับไป 3 ชิ้น”


หลังจากที่จางกวงเจิ้งเหินร่างจากไป ซุนเหลียงเผิงก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม

novel-lucky


‘ซุนเหลียงเผิงผู้นี้ไม่เพียงวางตัวได้อย่างดีทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจและเป็นกันเอง แต่ยังรู้จักวิธีซื้อใจผู้คนเป็นอย่างดี!’


ต้วนหลิงเทียนย่อมมองออกได้ทันที ว่าที่ซุนเหลียงเผิงกำลังกระทำอยู่ ล้วนแล้วแต่เป็นการซื้อใจเขา หรือกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำให้เขารู้สึกติดค้างและบังเกิดความรู้สึกว่าต้องตอบแทนบุญคุณในภายหลัง


“ท่านประมุข หากข้าเห็นสิ่งที่ข้าสนใจในนั้นเป็นชิ้นที่ 3 ข้าก็ขอรบกวนท่านประมุขแล้ว…”


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางคลี่ยิ้มบางๆ


และความนัยวาจาของเขาก็เข้าใจได้ง่ายดายนัก


เขาจะเลือกของที่ต้องการในคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่แค่ 2 ชิ้นตามข้อตกลงก่อนหน้า เว้นเสียแต่จะพบเจอของชิ้นที่ 3 ที่ทำให้เขาสนใจและอยากได้จริงๆ เขาถึงจะเลือกติดค้างน้ำใจซุนเหลียงเผิง


และหากไม่มีอะไรที่เขาต้องการเป็นชิ้นที่ 3 จริงๆ ก็หมายความว่าเขาไม่ได้ติดค้างอะไรซุนเหลียงเผิงหรือนิกายอมตะเป้าผู่เลย


“ตามใจเจ้า”


รอยยิ้มบนใบหน้าซุนเหลียงเผิงยังคลี่กางสดใสไม่แปรเปลี่ยน หากแต่ในใจคล้ายมีระลอกคลื่นก่อตัว ‘ต้วนหลิงเทียนผู้นี้แม้จะยังเยาว์แต่มิใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันจริงๆ…คนธรรมทั่วไปลองพบเจอกับการยั่วยวนด้วยสมบัติล้ำค่า คงยากที่จะสงบจิตสงบใจ ทำตัวคล้ายไม่นับเป็นเรื่องอะไรเช่นมันได้’


‘ตัวตนเช่นมันขอเพียงไม่ตกตายไปก่อนวัยอันควร วันหน้าเมื่อเติบโตต้องกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากแน่…ไม่ต้องกล่าวถึงเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวด้วยซ้ำ กระทั่งแดนสวรรค์ใต้อาจจะยังคับแคบเกินไปสำหรับมัน!’


จังหวะนี้ซุนเหลียงเผิงไม่กล้าดูเบาต้วนหลิงเทียน เพราะเห็นว่ายังเยาว์และพลังฝึกปรืออ่อนด้อยอีกต่อไป..


คลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่นั้น ได้รับการป้องกันจากค่ายกลอันทรงพลังมากมาย และค่ายกลที่ว่ายังทรงพลังถึงขั้นที่ ต่อให้เป็นจอมราชันอมตะทั่วๆไปมาเอง ก็ยังไม่อาจฝ่าทำลายได้เลย


ด้วยเหตุนี้คลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่ จึงไม่มีผู้ใดอยู่เฝ้าแม้แต่คนเดียว!


เพราะมันไม่จำเป็น!!


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าอาจจะเห็นว่าข้าพาเจ้าฝ่าค่ายกลเข้ามาง่ายๆ แต่อย่าได้หลงคิดว่ามันจะง่ายอย่างที่ตาเห็นเชียว…หากไม่ใช่เพราะเป็นข้าพาเจ้าเข้ามา ต่อให้เป็นจอมราชันอมตะทั่วไปบุกเข้ามาล่ะก็ น่ากลัวคงได้แต่กลับบ้านมือเปล่า”


ขณะที่เดินผ่านช่องทางใต้ดินอันสลับซับซ้อน ซุนเหลียงเผิงก็เอ่ยขึ้นกับต้วนหลิงเทียนเสียงเบา


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


อันที่จริงในระหว่างทางที่มา เขาที่สังเกตเห็นท่าทีเคร่งเครียดจริงจังของซุนเหลียงเผิงขณะจัดการปิดค่ายกลไปทีละค่ายๆ เขาก็รู้แล้วว่าค่ายกลที่ปกป้องคลังสมบัตินิกายอมตะเป้าผู่อยู่มันน่ากลัวขนาดไหน นับว่าไม่ใช่อะไรที่ค่ายกลทั่วๆไปจะนำมาเปรียบเทียบได้เลย


จากนั้นไม่นานนัก ต้วนหลิงเทียนก็ติดตามซุนเหลียงเผิงมาถึงแท่นบูชาแห่งหนึ่ง เป็นแท่นบูชาที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย และด้านบนก็ปรากฏรูปปั้นมนุษย์ตั้งตระหง่านอยู่


รูปปั้นมนุษย์ที่ว่า มองไปก็เห็นเป็นรูปปั้นนักพรตเต๋าคนหนึ่ง ที่ชูกระบี่ 3 ฉื่อสีเขียวแทงขึ้นฟ้า แม้จะเป็นเพียงรูปปั้นไร้ชีวิต แต่ช่างให้ความรู้สึกอันทรงพลังน่าเกรงขามนัก!


“รูปปั้นที่เจ้าเห็นอยู่ก็คือบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกายอมตะเป้าผู่ของพวกเรา”


ซุนเหลียงเผิงปนระสานมือพลางโค้งหัวคำนับให้รูปปั้นเบื้องหน้า 3 ครั้ง ก่อนจะหันมากล่าวบอกคววามเป็นมาของรูปปั้นให้ต้วนหลิงเทียนฟัง


หลังจากนั้นภายใต้การชมมองอยู่ข้างๆของต้วนหลิงเทียน ซุนเหลียงเผิงก็ได้ทำสัญลักษณ์มืออันซับซ้อนอยู่ราวๆ 1 เค่อ


และในที่สุดพอซุนเหลียงเผิงหยุดมือ วงเวทย์อาคมอันมีลวดลายสลับซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้า จากนั้นพอซุนเหลียงเผิงจ่ายพลังลงสู่ลวดลายดังกล่าว ก็เห็นเป็นพลังสีทองหลั่งไหลไปตามลวดลายต่างๆ แลดูงดงามไม่น้อย


จนเมื่อพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดสีทองไหลผ่านตามลวดลายสลับซับซ้อนจนหมด วงเวทย์อันมีลวดลายสลับซับซ้อนก็ประหนึ่งมีชีวิตขึ้นมา เหินบินไปยังรูปปั้นบนแท่นบูชาทันที


หลังจากที่วงเวทย์อันเรืองสว่างไปด้วยเส้นพลังสีทองประทับลงสู่ตัวรูปปั้น สองตาของรูปปั้นก็เริ่มเปล่งแสงสว่างจ้า จากนั้นก็ยิงลำแสงสีทองพุ่งออกมา 2 สาย


พร้อมกันนั้นเอง


ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!



เสียงหอนกระบี่พลันแว่วดังขึ้นในอากาศ เป็นกระบี่สีเขียว 3 ฉื่อที่รูปปั้นถือชี้ฟ้าอยู่ ได้ปลดปล่อยรังสีกระบี่สีทองออกมาเป็นชุด และในที่สุดก็ผสานหลอมรวมเข้ากับลำแสงสีทอง 2 สายที่พุ่งยิงออกมาจากดวงตาของรูปปั้น


ซุ่มมม!!


ซุ่มมม!!



ชั่วพริบตาแสงสีทองที่ผสานหลอมรวมกันก็กลับกลายเป็นลำแสงขนาดใหญ่ เล็งจี้มาทางต้วนหลิงเทียนกับซุนเหลียงเผิง!


“ทำตัวตามสบาย อย่าได้ต่อต้าน”


ซุนเหลียยงเผิงเอ่ยเตือนต้วนหลิงเทียน


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงเตือนของซุนเหลียงเผิงดังขึ้น ลำแสงสีทองดังกล่าวก็สาดส่องปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้แล้ว ทำให้เขารู้สึกเสมือนกำลังจะถูกฉุดดึงไปที่ไหนสักแห่ง


เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดจะต่อต้านอยู่หรอก แต่พอได้ยินคำเตือนของซุนเหลียงเผิง เขาก็เลิกแข็งขืนต่อต้านทันที


‘นี่มัน…ค่ายกลเคลื่อนย้ายงั้นเหรอ?’


ยิ่งถูกลำแสงสีทองสาดส่องนานเข้า ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงฉุดดึงที่มากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นฉากเรื่องราวเบื้องหน้าสองตาต้วนหลิงเทียนก็ดับมืดไปทันที ครู่ต่อมาใต้เท้าเขาก็เริ่มเปล่งแสงสว่างจ้า


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมบอกได้ทันที ว่าลำแสงสีทองนั่นที่แท้ก็คือลำแสงส่งตัวของค่ายกลเคลื่อนย้ายนั่นเอง


จนเมื่อสองงตาต้วนหลิงเทียนมองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง เขาก็พบว่าได้มาปรากฏตัวอยู่ในโถงถ้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว


WSSTH ตอนที่ 3,041 : พฤกษาเทพครองสวรรค์


 


 


ช่างเป็นถ้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลนัก อีกทั้งไม่อาจแลเห็นทางเข้าออกใดๆเลย ราวกับมันไร้ซึ่งช่องทางเข้าออก


 


“ที่นี่คือคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่เรา”


 


ต้วนหลิงเทียนที่กวาดตามองสำรวจถ้ำอยู่ พลันได้ยินเสียงซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่เอ่ยขึ้นข้างหู  “เจ้าอย่าได้เห็นว่าคลังสมบัตินิกายอมตะเป้าผู่เราแม้กว้างใหญ่แต่มีสมบัติไม่มากมายอะไรเล่า แต่ละชิ้นนั้นล้วนมีค่ามหาศาลทั้งสิ้น”


 


“อย่างน้อยๆอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่เจ้าเห็น ไม่ว่าชิ้นใดล้วนผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมาแล้วทั้งสิ้น อีกทั้งยังจัดวว่ามีอานุภาพอยู่ในระดับแนวหน้า…อุปกรณ์ระดับราชาที่ไม่ผ่านการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะต่อให้ดีแค่ไหนล้วนไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่…”


 


เสียงกล่าววาจาประโยคถัดมาของซุนเหลียงเผิง ฉายความภาคภูมิใจไม่น้อย


 


“แล้วที่นี่มีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันรึเปล่า”


 


อย่างไรก็ตามความหยิ่งผยองบนใบหน้าของซุนเหลียงผิงจำต้องมลายหายไปทันทีเมื่อได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน กระทั่งมุมปากยังกระตุกไปอย่างแรง


 


จริงอยู่ที่นิกายอมตะเป้าผู่ของมันมีอุปกรณ์อมตะจอมราชัน อีกทั้งยังอู่ในมือของมันด้วย อย่างไรก็ตามในนิกายไม่มีใครล่วงรู้เลยว่ามันมี


 


กล่าวได้ว่าคนของนิกายอมตะเป้าผู่นั้น ผู้ที่ล่วงรู้ว่านิกายอมตะเป้าผู่มีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันไว้ในครอบครองก็มีแต่ตัวประมุขเท่านั้น เพราะมันคือมรดกตกทอดของประมุขนิกายจากรุ่นสู่รุ่น


 


และอุปกรณ์อมตะจอมราชันชิ้นนี้จะไม่มีวันถูกนำออกมาใช้ง่ายๆ เว้นเสียแต่นิกายจะพบเจอกับหายนะภัยภิบัติถึงขั้นถูกฆ่าล้างนิกาย


 


เนื่องเพราะหากอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันถูกเปิดเผยออกมา เกรงว่านิกายอมตะเป้าผู่คงไม่มีปัญญารักษาไว้


 


“ย่อมไม่”


 


ซุนเหลียงเผิงสูดอากาศเข้าลึกๆค่อยเอ่ยตอบต้วนหลิงเทียน “อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันล้ำค่าเกินไป นิกายอมตะเป้าผู่เราไหนเลยจะมีได้…และต่อให้มีจริงๆ พวกมันคงถูกส่งมอบให้คฤหาสน์เฉวียนโยวนานแล้ว”


 


“เนื่องเพราะอาศัยความแข็งแกร่งของนิกายอมตะเป้าผู่เรา ยังไม่ทรงพลังมากพอจะรักษาอุปกรณ์อมตะจอมราชันเอาไว้”


 


หลังกล่าวจบ ซุนเหลียงเผิงก็ผายมือไปเบื้องหน้า “อย่างไรก็ตามถึงนิกายอมตะเป้าผู่เราจะไม่มีอุปกรณ์อมตะจอมราชัน แต่พวกเราก็มีสมบัติล้ำค่ามากมาย…อย่างน้อยๆอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่เจ้าเห็นเบื้องหน้านับร้อยๆชิ้นนั้น ไม่เพียงมีเกราะอมตะระดับราชาที่ได้รับการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะ 3 ชิ้น ชิ้นอื่นๆก็มีมูลค่าไม่ด้อยกว่าเกราะที่ว่ากันทั้งสิ้น”


 


อันที่จริงตั้งแต่วินาทีแรกที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตัวว่ามาโผล่ในถ้ำแห่งนี้ เขาก็ได้แผ่สำนึกเทวะออกไปสำรวจคร่าวๆดูทั่วทั้งโถงถ้ำแล้ว


 


ในบรรดาอุปกรณ์อมตะระดับราชามากมาย มีเกราะอมตะระดับราชา 3 ตัวที่แผ่กลิ่นอายไม่ได้ด้อยไปกว่าเกราะอมตะระดับราชาที่เขาได้มาจากวังราชันอมตะทั้ง 2 ตัวนั่นเลย เห็นได้ชัดว่าผ่านการหล่อเลี้ยงขัดเกลาโดยจอมนราชันอมตะมานาน


 


นอกจากเกราะทั้ง 3 ตัวที่ว่า ยังมีอุปกรณ์อย่างอื่นอีกนับร้อยชิ้น


 


นอกจากอุปกรณ์อมตะประเภทศาสตรากับชุดเกราะแล้ว ยังมีเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณ ยันต์อมตะที่เต็มไปด้วยฝุ่นเกาะ จานค่ายกล แล้วก็วัตถุดิบล้ำค่าทั้งหลาย


 


ต้วนหลิงเทียนจดจำวัตถุดิบางชิ้นได้และทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นของหายากทั้งสิ้น ทว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขาในตอนนี้มากนัก


 


นอกจากนั้นยังมีอีกหลายอย่างที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จักว่ามันคืออะไร


 


อย่างไรก็ตามในบรรดาสิ่งของทั้งหมด ที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความสนใจมากที่สุดก็คือกิ่งไม้แห้งๆกิ่งหนึ่งที่แลดูไม่น่าสนใจ


 


‘จะใช่สมุนไพรล้ำค่าอะไรที่ข้าไม่รู้จักรึเปล่านะ…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดา จากนั้นค่อยละสายตาไปมองอย่างอื่น


 


“อุต๊ะ! เจ้าหนู เจ้านับว่าโชคดีเสียจริง!”


 


ทันใดนั้นเอง เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ดังขึ้นในร่างต้วนหลิงเทียน “ข้าไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีพฤกษาเทพครองสวรรค์ขั้นที่ 1 อยู่ด้วย!”


 


พฤกษาเทพครองสวรรค์!


 


พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงโดยพลัน ใจยังสะท้านไปอย่างอดไม่ไหว “พฤกษาเทพครองสวรรค์ 1 ใน 5 ธาตุเทพ!?”


 


พฤกษาเทพครองสวรรค์นั้น เป็น 1 ใน 5 ธาตุเทพ และมีศักดิ์ศรีเท่ากับทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน แล้วก็วารีเทพชำระโลกา


 


“พฤกษาเทพครองสวรรค์อยู่ไหน”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน


 


“ตรงนั้นน่ะ”


 


พอปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินใช้พลังชักนำ ในที่สุดสายตาต้วนหลิงเทียนก็หันกลับไปตกลงบนกิ่งไม้แห้งแลดูธรรมดาๆอีกครั้ง


 


“กิ่งไม้นั่นน่ะหรือ…พฤกษาเทพครองสวรรค์?”


 


ต้วนหลิงเทียนตะลึงไม่น้อย เขาไม่คิดเลยว่ากิ่งไม้แห้งๆแลดูธรรมดาๆกิ่งนี้ ที่แท้กลับเป็นพฤกษาเทพครองสวรรค์ 1 ใน 5 ธาตุเทพ!


 


‘ก็นะมันจะแลดูธรรมดามากก็ไม่แปลกหรอก สุดท้ายมันก็เป็นแค่ขั้น 1 นี่นา กระทั่งทองเทพสุดลี้ลับขั้น 1 ที่ข้าเจอบนเขาใกล้ๆเมืองวายุโปรยยังแลดูไม่ต่างอะไรจากหินสีดำโง่ๆก้อนหนึ่งเลย…’


 


ต้วนหลิงเทียนสามารถเข้าใจสภาพของมันได้ทันที เพราะอย่างน้อยๆเขาก็เคยมีประสบการณ์มาก่อน ตอนเจอทองเทพสุดลี้ลับขั้น 1 ในอดีต


 


“ท่านประมุขนี่คืออะไรเหรอ? ใช่วัตถุดิบเอาไปหลอมปรุงโอสถอมตะอะไรรึเปล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปเอ่ยถามซุนเหลียงเผิง พลางชี้ไปทางพฤกษาเทพครองสวรรค์


 


“ไม่ใช่หรอก”


 


ซุนเหลียงเผิงส่ายหน้าไปมา ขณะเดินไปหยิบกิ่งไม้แห้งๆแลดูธรรมดาชิ้นนั้นขึ้นมาถือ “กิ่งไม้นี่เป็นท่านประมุขรุ่นที่ 3 ของนิกายอมตะเป้าผู่เราพบพานโดยบังเอิญ มันเป็นสมบัติที่แปลกประหลาดนัก และงสงสัยว่าจะมีความลึกซึ้ง พัวพัน ของกฏแห่งไม้แฝงเร้นอยู่”


 


พอกล่าวอธิบายถึงจุดนี้มือที่ถือกิ่งไม้แห้งๆของซุนเหลียงเผิงก็ปรากฏพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขึ้นมาขุมหนึ่ง ค่อยถ่ายทอดลงสู่กิ่งไม้แห้งๆดังกล่าวทันที


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนจึงพบว่ากิ่งไม้แห้งๆที่อยู่ในมือซุนเหลียงเผิง อยู่ๆก็คล้ายมีชีวิตขึ้นมา กิ่งแห้งๆดังกล่าวเริ่มแผ่ขยายยืดยาวออกไป ม้วนพันมือของซุนเหลียงเผิง กระทั่งยังลุกลามไปถึงข้อศอก


 


จากนั้นมือของซุนเหลียงเผิงก็คล้ายจะกลมกลืนไปกับกิ้งไม้แห้งๆดังกล่าว ราวกับรากแก้ว


 


“เมื่อถอนรั้งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดกลับมา กิ่งไม้นี่ก็จักหวนคืนสู่สภาพเดิม”


 


พอกล่าวจบซุนเหลียงเผิงก็ถอนรั้งพลังทันใด และกิ่งไม้แห้งๆที่ยืดยาวไปม้วนพันแขนดั่งเถาวัลย์รากไม้ก็หวนคืนสู่สภาพเดิมเร็วไว ราวกับไม่เคยบังเกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆมาก่อน กลับไปเป็นกิ่งไม้แห้งๆธรรมดาๆ ประหนึ่งกิ่งที่หักร่วงลงมาจากต้นไม้ทั่วๆไปเพราะความแห้งแล้ง


 


“อย่างไรก็ตาม แม้กิ่งไม้กิ่งนี้จะถูกสงสัยว่าอาจมีความลึกซึ้ง พัวพัน ของกฏแห่งไม้แฝงอยู่ แต่เป็นเวลานับหมื่นปีแล้วที่ไม่มีใครในนิกายอมตะเป้าผู่เราสามารถเข้าใจความลึกซึ้ง พัวพัน ของกฏแห่งไม้ได้เลยสักคน กระทั่งหลายพันปีที่ผ่านมานี้ เท่าที่ข้าทราบก็ไม่มีใครที่ใช้มันช่วยเพิ่มพูนระดับความเข้าใจของความลึกซึ้งพัวพันให้ถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยได้เช่นกัน”


 


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยต่อ


 


“ที่ข้าบอกว่าช่วยเพิ่มพูนความลึกซึ้งพัวพันนั้นถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยนั้น ก็คือเคยมีคนที่เข้าใจความลึกซึ้งพัวพันของกฏแห่งไม้ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นมาทดลองใช้มันดูแล้ว แต่ไม่อาจพัฒนาถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย…”


 


ซุนเหลียงเผิงกลัวต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ว่าขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นกับเล็กน้อยแตกต่างกันอย่างไร ก็เร่งอธิบายออกมาปานกูรู “วรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชานั้น เพียงช่วยให้ผู้คนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่แฝงอยู่ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นเท่านั้น…”


 


“หากเจ้าคิดจะยกระดับความเข้าใจจากขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นไปยังขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย เจ้าต้องได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับจอมราชันที่มีความลึกซึ้งแห่งกฏที่แฝงอยู่สอดคล้องกับระดับราชา นอกจากนั้นหากเจ้าคิดจะพัฒนาขั้นตอนความสำเร็จจากเล็กน้อยไปเป็นยิ่งใหญ่ เจ้าก็จำต้อได้รับวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาที่มีความลึกซึ้งสอดคล้องเช่นกัน”


 


ซุนเหลียงเผิงค่อยๆอธิบายออกมาอย่างอดทน


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เท่าที่ข้ารู้กิ่งไม้นี่ไม่อาจช่วยให้คนบังเกิดเข้าใจความลึกซึ้งพัวพันของกฏแห่งไม้ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นได้ และมิอาจช่วยยกระดับความเข้าใจให้บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยได้…แต่ก็ไม่แน่ว่ามันอาจจะช่วยให้คนที่เข้าใจความลึกซึ้งพัวพันขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ก็เป็นได้”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวสืบต่อ แถมวาจายังอวดอ้างสรรพคุณของกิ่งแห้งๆในมือ ทำราวกับคิดจะขายของให้ต้วนหลิงเทียน


 


“ท่านประมุข ที่พูดมาน่ะ ท่านเชื่อแบบนั้นจริงๆ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตามองจ้องซุนเหลียงเผิงเขม็ง


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนมองจ้องมาตาเขม็ง ซุนเหลียงเผิงได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆออกมา ด้วยมันเองก็รู้ดีว่ากิ่งไม้แห้งๆในมือคงไม่มีพลังอำนาจขนาดนั้น ไม่มีทางช่วยให้ผู้คนที่เข้าใจความลึกซึ้งพัวพันขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้แน่นอน


 


หากกิ่งไม้แห้งนี่มีความสามารถเลิศล้ำขนาดนั้นจริง ไหนเลยจะช่วยให้ผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งพัวพันขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น ยกระดับไปเป็นขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยไม่ได้?


 


“ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นล่ะ…อันที่จริงมันไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรมากหรอก เพียงเป็นแค่ของสะสมชิ้นหนึ่งเท่านั้น หากเจ้าต้องการสมบัติที่มันใช้งานได้จริงๆ เจ้าควรเลือกอย่างอื่นประเสริฐกว่า”


 


หลังคลี่ยิ้มแห้งๆแล้ว ซุนเหลียงเผิงก็กล่าวตอบมาตามความจริง และแนะนำอย่างมีมารยาท


 


ขณะเดียวกันมันก็วางกิ่งไม้แห้งๆกลับที่เดิมของมัน


 


ในขณะที่ซุนเหลียงเผิงคิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องหมดความสนใจในกิ่งไม้แห้งๆนี่ไปแล้ว มิคาดต้วนหลิงเทียนกลับหยิบมันขึ้นมาพลิกไปพลิกมาด้วยท่าทางทำราวกับสนใจไม่น้อย


 


“ประมุขพูดถูก สิ่งนี้อาจทำอะไรไม่ได้แต่ถ้ามีไว้สะสมก็ได้อยู่…กล่าวไปข้าบังเอิญเป็นคนชอบสะสมของแปลกๆที่ไม่รู้จักพอดี งั้นของในคลังสมบัตินี่ข้าขอเลือกมันชิ้นแรกแล้วกัน”


 


กล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็เก็บกิ่งไม้แห้งๆดังกล่าวลงแหวนพื้นที่ทันที


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้า…”


 


จนเมื่อต้วนหลิงเทียนเก็บกิ่งไม้แห้งๆลงแหวนไปแล้ว ซุนเหลียงเผิงถึงจะฟื้นสติ จากนั้นก็ขมวดคิ้วกล่าวถามออกมา “นี่เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”


 


ในความเห็นของมัน กระทั่งยอดคนของนิกายอมตะเป้าผู่ลองศึกษามากว่าหมื่นปีแล้ว แต่ยังไม่พบว่ามันมีประโยชน์อะไร เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีวันเข้าถึงความไม่ธรรมดาของมันได้แน่นอน


 


ทว่าเพื่อซื้อใจคน มันยังจงใจกล่าวเตือนออกมา “กิ่งไม้แห้งนั่นแม้จะดูไม่ธรรมดา แต่มันไร้ประโยชน์อันใดจริงๆ”


 


“เรื่องนี้ขอท่านประมุขอย่าได้กังวล ข้าไม่ได้เลือกมันเพราะประโยชน์…แค่ข้าไม่เห็นอะไรเข้าตาจริงๆ เลยเลือกมันเพราะเห็นว่าแปลกดี”


 


กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็หันไปกวาดตามองไปทั่วๆคลังสมบัติด้วยสีหน้าแววตาเฉยเมย อดทำให้ซุนเหลียงเผิงรู้สึกไม่ได้ ว่าต้วนหลิงเทียนใช่ทำเป็นไม่สนอยู่หรือไม่


 


“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน มีเทพแห่งธาตุทั้ง 5 อื่นๆอยู่อีกไหมอย่างเช่น…วารีเทพชำระโลกาน่ะ น้ำในขวด 2 ขวดนั่น ข้าว่ามันน่าจะเป็นวารีเทพชำระโลกาใช่ไหม?”


 


เอ่ยถามปฐพีเทพแรกกำเนิดในร่างถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปหยีตามองน้ำในขวดใสที่ตั้งอยู่ไกลๆทันที


 


“เหอๆ เจ้าหนู…นี่เจ้าคิดว่าเทพธาตุเป็นหัวผักกาดเรอะ!?”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ปฐพีเทพแรกกำเนิดอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาเสียงดัง


 


และนี่ก็เป็นการบอกต้วนหลิงเทียนทางอ้อม ว่าน้ำในขวดทั้ง 2 นั่นไม่ใช่วารีเทพชำระโลกา


 


“ประมุข น้ำในขวดทั้ง 2 นั่นคืออะไรเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนชี้ไปยังขวดทั้ง 2 พลางหันไปถามซุนเหลียงเผิง


 


แม้เขาจะรู้แล้วว่ามันไม่ใช่วารีเทพชำระโลกา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าน้ำในขวดนั่นมันคืออะไรกันแน่ เพราะอะไรก็ตามที่นำมาเก็บไว้ในคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่ได้ ก็ไม่น่าจะเป็นแค่น้ำธรรมดาๆ


WSSTH ตอนที่ 3,042 : ทรายประกายดาว


 


 


“นั่นคือวัตถุดิบเหลวที่หายากชนิดหนึ่ง ขวดด้านซ้ายมันมีไว้ใช้ในการหลอมกลั่นอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณ…ส่วนอีกขวดนั้นก็เป็นวัตถุดิบเหลวตั้งต้นอันหาได้ยาก สำหรับให้จอมราชันอมตะใช้จารึกสลักอาคมสร้างยันต์อมตะอันทรงพลัง”


 


เมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัยขณะชี้ไปยังขวดทั้ง 2 ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ซุนเหลียงเผิงก็กล่าวอธิบายออกมาตามตรง


 


ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าร้อง อ้อ เป็นอันรับทราบ


 


ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนของเหลว 2 ขวดนั่นถึงสามารถนำมาเก็บไว้ในคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่ได้ ที่แท้ด้วยคุณสมบัติและประโยชน์ของพวกมัน ต่อให้เป็นทั้งแดนสวรรค์ใต้ก็นับว่าหายาก


 


‘ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีๆเลย…’


 


ผ่านไปพักใหญ่ๆ ภายใต้การแนะนำของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบว่าวัตถุดิบและสิ่งของแปลกๆที่เขาไม่รู้จักในคลังสมบัตินิกายอมตะเป้าผู่คืออะไรบ้าง


 


อย่างไรก็ตามหลังจากได้รับทราบแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้สึกว่ามันจะมีอะไรพิเศษ


 


‘ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ ไม่สนใจอันใดเลยหรือ?’


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนหันมองไปยังสมบัติทั่วๆพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ซุนเหลียงเผิงก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออกอยู่บ้าง


 


มันย่อมเห็นชัดว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้กำลังเลือกไม่ถูกว่าจะเอาชิ้นไหน แต่เป็นไม่รู้จะฝืนเลือกอันไหนดีต่างหาก!


 


ทำราวกับบสมบัตินับร้อยๆชิ้นในคลังสมบัติแห่งนี้ ไม่มีอะไรเข้าตาแล้วจริงๆ


 


เรื่องนี้ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง


 


ต้วนหลิงเทียนคนนี้เป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระจริงๆเหรอ?


 


ผู้ฝึกตนอิสระหัวสูงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


 


“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน เจ้าว่าข้าควรเลือกอะไรดี?”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จริงๆว่าจะหยิบอะไรติดมือกลับไปดี สุดท้ายก็ได้แต่ขอคำแนะนำจากปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน


 


“เหอะๆ เรื่องนี้เจ้าอย่ามาถามข้าจะดีกว่านะ…สำหรับข้าแล้วไอ้ที่กองๆอยู่ในคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่เนี่ย ล้วนแล้วแต่เป็นขยะทั้งนั้น ไม่มีค่าอะไรในสายตาข้าเลย เก็บมาก็รกแหวนเจ้าเปล่าๆ…”


 


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินตอบ


 


หลังได้ยินคำตอบของปฐพีเทพแรกกำเริดฟ้าดินแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่ไม่รู้จะเลือกอะไรดี สุดท้ายก็ตัดสินใจจะเลือกอะไรติดมือไปอีกชิ้นให้ครบๆ แต่ทันใดนั้นเอง…


 


“กล่องสีแดงลายทองทางขวามือของเจ้า…เอามันมาเสีย”


 


เสียงชราที่ไม่แปลกหูหนึ่งดังขึ้น และต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่ามันเป็นเสียงของเพลิงเทพโกลาหล!


 


“ผู้อาวุโสท่าน…ตื่นแล้วหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง


 


ในวันนั้น เพื่อช่วยให้กิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพยอมรับเขาเป็นนาย เพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับเหมือนจะใช้พลังไปอย่างมาก จึงเข้าสู่นิทราอีกครั้ง


 


“อืม”


 


เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยตอ หากแต่น้ำเสียงยังไร้ชีวิตชีวาไม่ทรงพลังเหมือนก่อน ประหนึ่งคนที่พึ่งตื่นนอน


 


“ผู้อาวุโส หากข้าจำไม่ผิดในกล่องสีแดงลายทองนั่นเก็บวัตถุดิบที่เรียกว่า ‘ทรายประกายดารา’ เอาไว้ เห็นว่ามีไว้สำหรับหลอมอาวุธอมตะระดับจอมราชัน”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมจดจำคำแนะนำที่ซุนเหลียงเผิงกล่าวอธิบาย หลังจากเขาถามไปว่าในกล่องสีแดงมีอะไรได้ชัดเจน ขณะเดียวกันอีกฝ่ายยังเปิดให้ดู และพบว่าด้านในเก็บทรายไว้ราวๆ 1 กำมือ


 


“ไม่ผิด”


 


เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยตอบอีกครั้ง ยังอธิบายความสำคัญออกมาว่า “ทรายประกายดารานี่ สามารถช่วยให้จิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในทะเลวิญญาณของเจ้า ผสานเข้ากับกระบี่เทพในร่างเจ้าได้เร็วขึ้น ยังลดเวลาได้ไม่น้อยทีเดียว…”


 


ได้ยินคำพูดของเพลิงเทพโกลาหล สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวสว่างจ้าทันที


 


หวงเอ้อนั้นแม้จะเคยเป็นจิตวิญญาณของกรี่เทพระดับสูง แต่อย่างไรก็เป็นจิตวิญญาณของกระบี่เล่มอื่น คิดจะรวมผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของเขา ก็นับว่าต้องใช้เวลามากพอสมควรกว่าจะหลอมรวมได้สมบูรณ์แบบ


 


ถึงแม้เขาจะรู้เรื่องนี้มานนานแล้ว แต่ในใจเขาก็อยากให้หวงเอ้อผสานรวมเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้ได้เร็วๆ เพราะถึงตอนนั้นก็เท่ากัว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่


 


เพราะจิตวิญญาณของอุปกรณ์เทพ สามารถแยกตัวออกมาจากอุปกรณ์เทพได้ กระทั่งยังควบสร้างร่างมนุษย์ได้ จนเรียกว่าไม่แตกต่างอะไรจากคนธรรมดาเลยด้วยซ้ำ


 


“แล้วทรายประกายดารานี่…ต้องใช้อย่างไรหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“เจ้าเอามันมาให้ได้ก็พอ ส่วนเรื่องจะใช้อย่างไรปล่อยให้ข้าจัดการเอง เจ้าไม่ต้องห่วง”


 


เพลิงเทพโกลาหลกล่าว


 


หลังเพลิงเทพโกลาหลพูดมาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลังเลใดๆสืบไป ก้าวอาดๆไปหยิบกล่องสีแดงลายทองอันบรรจุทรายประกายดาราขึ้นมาถือไว้ทันที


 


“นั่นคือวัตถุดิบสำหรับหลอมสร้างอุปกรณ์อมตะ…ถึงแม้มันจะใช้หลอมอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันได้ แต่หากเจ้าคิดจะหลอมอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันจริงๆ ยังต้องใช้วัตถุดิบอื่นอีกเป็นจำนวนมาก และทั้งหมดล้วนมีมูลค่าเท่าเทียมกับทรายประกายดารา…”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนหยิบกล่องดังกล่าวขึ้นมา ซุนเหลียงเผิงก็เร่งเอ่ยเตือนทันที


 


“ข้าทราบแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ ขณะเดียวกันก็มองจ้องกล่องสีแดงในมือ “ท่านประมุข ของชิ้นที่ 2 ที่ข้าต้องการคือทรายประกายดารา”


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกของในคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่ได้ครบ 2 ชิ้นตามที่ตกลงไปกับรองประมุขนิกายยอมตะเป้าผู่อย่างจางกวงเจิ้งแต่แรก


 


“ท่านประมุข พวกเรากลับออกไปกันเถอะ”


 


หลังเก็บกล่องอันบรรจุทรายประกายดาราลงแหวนพื้นที่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวกับซุนเหลียงเผิงเสียงเรียบ


 


เดิมทีซุนเหลียงเผิงคิดว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะเลือกของชิ้นที่ 3 หลังตัดสินใจเลือกชิ้นที่ 2 ได้ แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายเลือกกลับทันที!


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าสามารถเลือกของไปได้อีกชิ้น”


 


ถึงแม้ซุนเหลียงเผิงจะรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่วายกล่าวเตือน


 


“ท่านประมุข ขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน…แต่ข้าไม่ต้องการของสิ่งใดแล้วจริงๆ หาไม่แล้วข้าคงต้องรบกวนประมุขแน่นอน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


หากในคลังสมบัติมีของชิ้นที่ 3 ที่เขาต้องการจริงๆ เขาคงหยิบมันมาแล้วโดยไม่สนว่าจะเป็นการติดค้างหนี้น้ำใจของซุนเหลียงเผิงหรือไม่


 


แต่ปัญหาคือ มันไม่มีอะไรที่เขาต้องการจริงๆ


 


ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ไหนเลยเขาจะเลือกติดค้างหนี้น้ำใจของซุนเหลียงเผิง


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนยืนกรานมาแบนี้ แม้จะคาดเดาไว้บ้างแล้ว แต่ซุนเหลียงเผิงก็รู้สึกอับจนหนทางอยู่บ้าง…


 


คลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่เก็บสะสมสิ่งของล้ำค่ามานับพันนับหมื่นปี แต่ไม่คิดเลยจริงๆว่าอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มชุดม่วงกลับไม่อาจดึงดูดความสนใจได้?


 


สุดท้ายซุนเหลียงเผิงก็ได้แต่พาต้วนหลิงเทียนออกจากคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่ด้วยอารมณ์หดหู่


 


ขากลับ ซุนเหลียงเผิงก็เริ่มวาดวงเวทย์อาคมกลางหาว จากนั้นก็ปรากฏพลังเคลื่อนย้ายพาต้วนหลิงเทียนกลับ และหลังจากในสายตากลายเป็นมืดมิดพักหนึ่ง พอเห็นแสงสว่างอีกครั้งต้วนหลิงเทียนก็พบว่ากลับมาอยู่หน้ารูปปั้นเหมือนเดิมแล้ว


 


บนแท่นบูชา รูปปั้นดังกล่าวยังคงยืนตระหง่านประหนึ่งมีชีวิต หากแต่สองตากับกระบี่ที่ชูได้สิ้นประกายไปแล้ว


 


“ไปกันเถอะ”


 


จากนั้นซุนเหลียงเผิงก็เริ่มพาต้วนหลิงเทียนกลัทางเดิม


 


‘คลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่อาจไม่ได้ตั้งอยู่ที่นี่…และขนาดต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลแบบนี้ ไม่แน่ว่ามันอาจจะถูกซ่อนไว้ในที่ลับอันห่างไกลจากนิกายอมตะเป้าผู่นับพันหมื่นลี้’


 


ในระหว่างเดินทางกลับ ต้วนหลิงเทียนก็ลอบคาดเดาในใจ


 


ถึงแม้เขาจะไปเยือนคลังสมบติของนิกายอมตะเป้าผู่มาแล้ว แต่เขาก็ไม่อาจระบุสถานที่ตั้งของมันได้เลย


 


เขาเชื่อว่าเผลอๆประมุขนิกาอมตะเป้าผู่อย่างซุนเหลียงเผิง ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่ตั้งอยู่ที่ไหน


 


“ประมุขนิกาย ท่านทราบสถานที่ตั้งเฉพาะของคลังสมบัติหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้


 


ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ร่างซุนเหลียงเผิงก็ชะงักเล็กน้อย ค่อยเดินต่อพลางถาม “เจ้าถามทำไมหรือ?”


 


“ในเมื่อท่านจำเป็นต้องไปยังคลังสมบัติผ่านอาคมเคลื่อนย้ายทางไกล นั่นหมายความว่าคลังสมบัติไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่…อันที่จริงแล้วแท่นบูชากับช่องทางที่เราเดินผ่านมา ก็เสมือนเป็นการป้องกันด่านแรกเท่านั้นใช่ไหม?”


 


กล่าวถึงจุดนี้สองตาต้วนหลิงเทียนก็หยีมองซุนเหลียงเผิงเขม็ง “การป้องกันที่แท้จริงสมควรเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายในรูปปั้นมากกว่า…กล่าวให้ชัดก็คือวิธีเปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ถูกต้อง”


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าไม่เพียงมีศักยภาพและพรสวรรค์เด่นล้ำเท่านั้น แต่เจ้ายังฉลาดเฉลียวกว่าคนธรรมดานัก…”


 


หลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ซุนเหลียงเผิงก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


และการถอนหายใจของมัน ก็ไม่ต่างอะไรจากการยืนยันข้อสันนิษฐานของต้วนหลิงเทียนเลย


 


“เจ้า…เป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระจริงๆหรือ?”


 


มองถามต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาซุนเหลียงเผิงก็เต็มไปด้วยความสงสัย


 


มันไม่อาจไม่สงสัย


 


เพราะมองจากศักยภาพพรสวรรค์ไหลความเฉลียวฉลาดของต้วนหลิงเทียนด้วยวัยไม่ถึงร้อยปี นับว่าเหนือกว่าผู้ฝึกตนอิสระที่มันเคยพบเจอมาจริงๆ


 


นอกจากพรสวรรค์ในการฝึกตนแล้ว ผู้ฝึกตนอิสระทั่วไปมักไม่ค่อยเห็นโลกกว้าง และยากจะพบพานกับสมบัติล้ำค่าขนาดนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนกลับไม่ได้แลดูต้องตาพึงใจสมบัติใดๆในคลังเลย


 


สถานการณ์ดังกล่าวทำให้มันอดคิดไปไม่ได้ ว่าต้วนหลิงเทียนมีพื้นเพความเป็นมาไม่ธรรมดา และเคยพบเจอสิ่งล้ำค่ามากกว่านี้มาแล้ว จึงดูถูกและไม่เห็นสมบัติในคลังของนิกายอมตะเป้าผู่มันอยู่ในสายตา


 


อีกทั้งแค่ไปยังคลังสมบัติครั้งเดียว ก็วิเคราะห์ได้วว่าคลังสมบัตินิกายอมตะเป้าผู่ของมันไม่ได้ตั้งอยู่ที่นี่จริงๆ แต่สมควรตั้งอยู่ที่อื่นที่ไกลออกไป เห็นชัดว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตื่นเต้นกับสมบัติอะไรจริงๆ เพราะอีกฝ่ายมีสติแจ่มใสพิจารณาเรื่องราวรอบๆได้อย่างกระจ่าง


 


ตัวตนเช่นนี้ยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระได้เหรอ?


 


กระทั่งอัจฉริยะที่เป็นผู้สืบทอดของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ของพวกมัน ก็เกรงว่าคงไม่อาจทำได้ดีไปกว่านี้ใช่ไหม?


 


เผลอๆยังทำได้ไม่เท่าต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ?


 


“ประมุขนิกาย ข้าเป็นผู้ฝึกตนอิสระจริงๆ…ยิ่งไปกว่านั้นข้าที่คิดเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวในนามนิกายอมตะเป้าผู่ ต่อให้ข้ามีความเป็นมาอะไรจริงๆ สำหรับนิกายอมตะเป้าผู่มันแตกต่างกันที่ใด?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


 


“ก็จริงของเจ้า…”


 


พอได้ยินต้วนหลิงเทียนเอ่ยย้ำเรื่องผู้ฝึกตนอิสระออกมา จังหวะนี้ในใจของซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวไปอีกรอบ…


 


หรือต้วนหลิงเทียนจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระจริงๆ?


 


หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพอนึกถึงประโยคท้ายที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวซุนเหลียงเผิงก็เลิกคิดให้วุ่นวาย


 


ก็อย่างที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวไว้ ไม่ว่าจะผู้ฝึกตนอิสระก็ดีมีความเป็นมายิ่งใหญ่ก็ดี สำหรับนิกายอมตะเป้าผู่แล้วมันก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันจริงๆ


 


หลังออกจากช่องทางใต้ดินอันลึกลับซับซ้อนประหนึ่งเขาวงกต ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง


 


“ต้วนหลิงเทียน นี่คือป้ายประจำตัวของศิษย์ที่แท้จริง ในนิกายอมตะเป้าผู่ ป้ายเช่นนี้มีเพียงแค่ 10 ป้ายเท่านั้น”


 


หลังออกมาเห็นแสสว่างได้ไม่ทันไร เสียงซุนเหลียงเผิงก็ดังขึ้นให้ต้วนหลิงเทียนได้ยินอีกครั้ง


 


พอหันไปมองดู ก็พบเห็นอีกฝ่ายยื่นส่งป้ายๆหนึ่งมาให้เขา ตัวป้ายเหมือนจะทำขึ้นจากไม้ชนิดหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีกระแสพลังสีเขียวเท่าเส้นด้ายม้วนพันรอบตัวป้ายเอาไว้เรืองๆปานงูเขียว


 


“นอกจากเจ้าแล้วในบรรดาศิษย์ที่แท้จริงอีก 9 คน ผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดก็บรรลุถึงขุนนางอมตะ 5 องค์ประกอบเรียบร้อย…แน่นอนว่าผู้ที่จะเป็นศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่ได้ มิได้ดูกันที่ด่านพลังบ่มเพาะ แต่ดูกันที่ศักภาพและพรสวรรค์”


 


“นอกจากนั้น ในประวัติศาสตร์นิกาอมตะเป้าผู่เรา เจ้านับว่าเป็นคนที่ 2 ที่กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงได้ตั้งแต่ยังอยู่ในด่านพลังยอดเซียนอมตะ”


WSSTH ตอนที่ 3,043 : ศิษย์ที่แท้จริง


 


 


“ส่วนศิษย์ที่แท้จริงขอบเขตยอดเซียนอมตะคนแรกในประวัติศาสตร์นิกายอมตะเป้าผู่เรานั้น ก็มีความสามารถคล้ายๆกับเจ้า อายุไม่ถึงร้อยปีแต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการแล้ว หากแต่ยังด้อยกว่าเจ้าตรงที่ด่านพลังยังไม่บรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด อย่างไรเสียพลังฝีมือก็เหนือกว่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ไม่เข้าใจกฏ 2 ประการอยู่ดี”


 


ในขณะที่ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถึงศิษย์ที่แท้จริงขอบเขตยอดเซียนอมมตะคนแรกออกมา ในแววตาของมันก็แฝงความเศร้าเสียใจเอาไว้ไม่น้อย


 


“แล้วต่อมาเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์คนนั้นเหรอ?”


 


ในสายตาของต้วนหลิงเทียนศิษย์ที่แท้จริงขอบเขตยอดเซียนอมตะของนิกายอมตะเป้าผู่คนนั้น สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ถึง 2 ประการทั้งที่อายุไม่ถึงร้อยปี แม้พรสวรรค์ในด้านบ่มเพาะจะไม่ร้ายกาจมากมาย แต่อนาคตจะอย่างไรก็ต้องไร้ขอบเขต


 


เพราะตัวตนดังกล่าว อย่าว่าแต่ในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวเลย ต่อให้เป็นทั่วทั้งแดนสวรรค์ใต้ก็นับว่าโดดเด่นไม่ธรรมดา


 


เพราะอัจฉริยะเช่นนี้ ต่อให้มองทั่วแดนสวรรค์ใต้ แต่ก็ไม่น่าจะมีมากมายอะไร


 


ทว่าพอเห็นนัยน์ตาเศร้าๆของซุนเหลิงเผิงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ว่าสมควรเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับศิษย์ที่แท้จริงคนนั้นก่อนจะได้เติบโตเต็มที่แน่นอน


 


เหตุผลที่เขาเดาเรื่องนี้ได้ไม่ยาก ก็เพราะนิกายอมตะเป้าผู่ยังคงรั้งอยู่ในระดับ 7 และเป็นผู้ใต้บัญชาของคฤหาสน์เฉวียนโยว ไม่ได้รุ่งโรจน์อะไรไปมากกว่านี้


 


หากศิษย์ที่แท้จริงคนนั้นเติบโตขึ้น จนกลายเป็นตัวตนที่ร้ายกาจจริง ย่อมนำพานิกายอมตะเป้าผู่ให้เจริญรุ่งเรือง แม้จะไม่ถึงขั้นเป็นนิกายอมตะระดับแนวหน้าในแดนสวรรค์ใต้ แต่อย่างน้อยๆก็ต้องเทียบเท่าคฤหาสน์เฉวียนโยวที่เป็นขุมกำลังระดับ 6


 


“ศิษย์คนนั้นอายุได้แค่ 100 กว่าปี และพึ่งจะทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 1 หยวน…มิคาดกลับถูกลอบสังหาร! และผู้ที่ลงมือสังหารยังเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ! ยามนั้นแม้นิกายอมตะเป้าผู่จะสามารถฆ่ามือสังหารผู้นั้นได้ แต่ก็มิอาจรักษาชีวิตศิษย์ที่แท้จริงคนนั้นได้ทัน…”


 


“สุดท้ายนิกายอมตะเป้าผู่เรา จึงเสียโอกาสที่จะก้าวหน้าและยืนหยัดขึ้นมา…”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค สีหน้าแววตาของซุนเหลียงเผิงก็ฉายความเศร้าโศกทั้งเจ็บแค้นจับใจ


 


“รู้ตัวคนจ้างวานมือสังหารรึเปล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


 


“ไม่”


 


ซุนเหลียงเผิงส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวเสริมว่า “อย่างไรก็ตาม แม้พวกเราจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนจ้างวานมือสังหาร แต่พวกเราก็พออนุมานความเป็นมาของมันได้จากสิ่งของในแหวนพื้นที่ และพบว่ามันไม่น่าจะใช่คนของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว”


 


“นอกจากนั้นในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ไร้องค์กรมือสังหารใดที่มีนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ…องค์กรสังหารที่มีอยู่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ด้วยความที่ถูกคฤหาสน์เฉวียนโยวสะกดอำนาจไว้ พวกมันจึงมิอาจเพาะสร้างขุมพลังที่เหนือกว่านั้นได้”


 


“จึงกล่าวได้ว่า ปกติแล้วมิอาจมีองค์กรมือสังหารใดใต้ขุมกำลังระดับ 6 สามารถส่งนักฆ่าขอบเขตราชา 5 อค์ประกอบออกมาได้”


 


กล่าวถึงจุดนี้ สองตาซุนเหลียงเผิงก็ฉายประกายเย็นชา “ดังนั้นผู้อาวุโสทของนิกายอมตะเป้าผู่ จึงเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรมีผู้ประสงค์ร้ายบางคนเดินทางออกนอกเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว และไปจ้างมือสังหารจากด้านนอกเพื่อจ้างฆ่าศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมมตะเป้าผู่เราโดยเฉพาะ”


 


“แม้ในเขตปกครองขุมกำลังระดับ 6 จะไร้องค์กกรมือสังหารใดที่มีนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ…แต่หากมองทั้งแดนสวรรค์ใต้แล้ว มีซุ้มมือสังหารมากมายที่มีขุมพลังน่ากลัวเช่นนั้น”


 


“และนิกายยอมตะเป้าผู่เราจะอย่างไรก็เป็นแค่ขุมกำลังระดับ 7 ย่อมไร้กำลังตามสืบสวน ให้พวกเราพยายามเพียงใดก็ยากจะระบุได้ว่าเป็นซุ้มมือสังหารใดในแดนสวรรค์ใต้ที่รับภารกิจฆ่าศิษย์ของเรามา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พบเจอแล้วจะไปเค้นเอาคำตอบได้อย่างไรด้วยซ้ำ…”


 


“แต่ที่พวกเรามั่นใจได้เต็มสิบส่วนก็คือ…ผู้จ้างวานสมควรอยู่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว!”


 


ประโยคสุดท้าย ซุนเหลียงเผิงกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจล้นปรี่


 


“อัจฉริยะที่ปรากฏตัวขึ้นในนิกายอมตะเป้าผู่เราตอนนั้น กล่าวได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ยากจะพานพบในคฤหาสน์เฉวียนโยว…กระทั่งให้มองทั่วทั้งแดนสวรรค์ใต้ก็เป็นอัจฉระที่ยากจะพบพานในรอบร้อยปี!”


 


“ด้วยการปรากฏตัวของอัจฉริยะระดับนี้ หากเติบโตขึ้น ย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างอำนาจในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวแน่นอน…ถึงตอนนั้นต้องมีหลายขุมกำลังเสียผลประโยชน์ กระทั่งอาจถูกกำจัด”


 


“ลืมมันไปเถอะ ข้ามิอยากพูดถึงมันอีกต่อไป สุดท้ายเรื่องราวมันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว…นี่นับเป็นชะตากรรมอันโหดร้ายของนิกายยอมตะเป้าผู่เรา หาไม่แล้วอัจฉริยะผู้นั้นคงไม่ต้องมาด่วนตายขนาดนี้”


 


กล่าวถึงจุดนี้ซุนเหลียงเผิงก็ระบายลมหายใจออกมาเฮือกแล้วเฮือกเล่าอย่างสะทกสะท้อน


 


“นักฆ่าระดับราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ”


 


หลังได้ยินเรื่อราวจากปากซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้น ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “ประมุขนิกาย ตอนนี้ข้าเองก็เป็นศิษย์นิกายอมตะเป้าผู่แล้ว…หากเรื่องของข้าแพร่งพรายออกไป ข้าคงไม่โดนคนจ้างนักฆ่ามากุดหัวหรอกนะ?”


 


“เรื่องนี้เจ้ามิต้องกังวลเลย”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ซุนเหลียงเผิงอดไม่ได้ที่จะผงะ จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะขบขันกับคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน “เจ้ามาเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่เราโดยการผ่านแดนสวรรค์ใต้โบราณ ไม่ว่าจะมีศักยภาพและพรสวรรค์มากมายเพียงใด ก็ไม่ถือว่าเป็นอันตรายกับคนพวกนั้น”


 


“มีเพียงอัจฉริยะอันโดดเด่นที่นิกายอมตะเป้าผู่เราเพาะสร้างขึ้นมาตั้งแต่อายุน้อยเช่นศิษย์ที่แท้จริงคนนั้นเท่านั้น ถึงจะกลายเป็นดั่งหอกข้างแคร่และหนามตำตาพวกมัน…เพราะมีเพียงอัจฉริยะอันโดดเด่นที่นิกายอมตะเป้าผู่เราชุบเลี้ยงเพาะสร้าง ถึงจะสนับสนุนนิกายอมตะเป้าผู่เราอย่างไร้เงื่อนไขเมื่อเติบโตขึ้น ศิษย์เช่นนี้ย่อมไม่คิดจากไปไหนแต่จะอยู่ช่วยเชิดชูนิกายอมตะเป้าผู่ที่เป็นดั่งมาตุภูมิให้ก้าวหน้า…”


 


“อัจฉริยะเช่นเจ้าที่เติบโตมาด้วยตัวเองจนมีความสามารถระดับนี้ แม้จะมีความเกี่ยวข้องกับนิกายอมตะเป้าผู่ของเรา แต่ก็อยู่ในรูปแบบผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น สุดท้ายถึงวันหนึ่งเจ้าก็ต้องจากไป และแม้ว่าเจ้าอาจจะช่วยเหลือนิกายอมตะเป้าผู่เราเป็นการตอบแทนในภายหลัง แต่ก็ไม่อาจผูกพันลึกซึ้งถึงขั้นทุ่มเททำเพื่อนิกายทุกสิ่งดั่งอัจฉริยะที่นิกายอมตะเป้าผู่ชุบเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย”


 


ฟังจากวาจาร่ายยาวที่ซุนเหลียงเผิงกล่าวออกมา ก็บอกต้วนหลิงเทียนเป็นนัยว่า…


 


เขาไม่มีทางตกเป็นเป้าหมาย และถูกใครจ้างนักฆ่ามาลอบสกัดดาวรุ่งเหมือนศิษย์ที่แท้จริงในอดีตคนนั้นของนิกายอมตะเป้าผู่แน่นอน!


 


“เช่นนั้นก็ดี”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ ใจที่รู้สึกหนักๆเพราะเป็นกังวลค่อยผ่อนลงไปบ้าง


 


ถึงแม้ในมือเขาจะมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองที่ใช้ได้อีก 2 ครั้ง ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องกลัวนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบหากต้องเผชิญหน้ากับมันตรงๆ


 


อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่านักฆ่ามีใครลงมือตรงๆบ้าง? ถึงตอนนั้นหากเขาถูกนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบลอบสังหารโดยที่ไม่ทันได้ใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองเล่า เขาไม่ตายหยังเขียดหรือไร?


 


หากเป็นแบบนั้นจริง ก็มีแต่จบสิ้นกันแล้ว!


 


“เอาล่ะ หลังจากที่เจ้าเป็นศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่เราแล้ว เจ้าสามารถเพลิดเพลินกับการสนับสนุนเต็มกำลังของนิกายเรา…ยกตัวอย่างก็เช่นไม่ว่าจะวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาใดๆ ขอเพียงเจ้าต้องการ เจ้าสามารถไปรับมันที่ชั้นบนสุดของนิกายอมตะเป้าผู่เราทุกเมื่อ เพียงแค่แสดงป้ายศิษย์ที่แท้จริงก็พอ”


 


“นอกจากนี้ ศิษย์ที่แท้จริงจักได้…”


 


หลังฟังซุนเหลียงเผิงกล่าวบอกสิทธิประโยชน์ต่างๆ ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบว่าศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่นั้นช่างมีอภิสิทธิ์เหลือเกิน อีกทั้งยังเป็นประโยชน์กับเขาอย่างยิ่ง


 


และในหลายๆด้าน นับว่าศิษย์ที่แท้จริงนั้นเหนือกว่าศิษย์สายตรงของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ อย่างที่เคยได้ยินจางกวงเจิ้งเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้มากจริงๆ


 


แต่เป็นธรรมดาว่าถึงศิษย์ที่แท้จริงจะได้รับทรัพยากรจากนิกายอมตะเป้าผู่มากกว่าศิษย์และผู้อาวุโสทั้งหลาย แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่จำต้องอาศัยความสามารถของตัวเองต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา


 


‘เดิมทีรองประมุขจางแค่สัญญาว่าจะมอบตำแหน่งศิษย์สายตรงของประมุขนิกายให้…แต่ตอนนี้ข้ากลับได้กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงที่ดีกว่า และทั้งหมดเป็นเพราะซุนเหลียงเผิงคนนี้…นับว่าข้าติดค้างมันในเรื่องนี้ครั้งหนึ่ง’


 


ต้วนหลิงเทียนมองซุนเหลียงเผิงพลางกล่าวในใจ


 


“ต้วนหลิงเทียน เดี๋ยวเรื่องลงทะเบียนยิบย่อยอะไรข้าจะให้ศิษย์พาเจ้าไปทำเรื่องภายหลัง…ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปดูที่พักที่เจ้าจักใช้มันบ่มเพาะและอยู่อาศัยจนกระทั่งเจ้าเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวในฐานะศิษย์ที่แท้จริงของพวกเรา”


 


หลังจากนั้นซุนเหลียงเผิงก็พาต้วนหลิงเทียนเหินร่างมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือขอนิกายอมตะเป้าผู่


 


“จริงสิ ท่านประมุข”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองซุนเหลียงเผิง พลางกล่าวออกมาตรงๆ “คนของข้าคนหนึ่งยังอยู่ในวังหลวงของประเทศฝูชิว…ไม่ทราบว่าท่านส่งคนไปรับคนของข้ามาได้หรือไม่?”


 


“ไม่มีปัญหา”


 


ซุนเหลียงเผิงรับปากทันทีอย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ค่อยยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “ข้าจัดการพาเจ้าไปยังที่พักก่อน แล้วเดี๋ยวข้าจะไปขอแรงน้องรองของข้าให้ไปรับคนของเจ้าที่วังหลวงประเทศฝูชิวด้วยตัวเอง”


 


“น้องรองของข้าเชี่ยวชาญกฏแห่งลม ลองไปด้วยตัวเอง ต่อให้เป็นประเทศที่อยู่ห่างไกลที่สุดในดินแดนพันประเทศ แต่ก็สามารถไปกลับได้ในเวลาแค่ 3 วันเท่านั้น!”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวอย่างภูมิใจ


 


“ต่อให้เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ไกลห่างที่สุดในดินแดนพันประเทศ แต่ใช้เวลาไปกลับแค่ 3 วันงั้นเหรอ!?”


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจกับวาจาประโยคนี้ของซุนเหลียงเผิงจริงๆ


 


ต่อให้เป็นราชาอมตะ 5 องค์ประกอบหรือราชาอมตะ 6 ผสาน ก็เกรงว่าจะไม่มีความเร็วอันน่ากลัวขนาดนี้ใช่ไหม?


 


และเท่าที่เขารู้มา ในบรรดาขุมกำลังระดับ 7 อย่างนิกายอมตะเป้าผู่นั้น อย่างดีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นแค่ราชาอมตะ 7 ดาราเท่านั้น และนิกายอมตะระดับ 7 ที่ทรงพลังจริงๆอาจจะมีไพ่ตายอย่างราชาอมตะ 8 ชะตาอยู่


 


“ท่านประมุข ท่านแค่ให้ใครไปรับก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้อาวุโสระดับสูงขนาดนั้นหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มแห้งๆออกมา


 


คนที่เขายอยากให้ซุนเหลียงเผิงส่งคนไปรับก็คือหลิวก่วงหลิน ที่ตอนนี้ยังคงอาศัยอยู่ในวังหลวงของประเทศฝูชิว อีกฝ่ายไม่ได้ไปทะเลสาบอวิ๋นโยวกับเขาตอนแดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออก


 


เมื่อครู่เขาลองถามหลิวก่วงหลินผ่านยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณ ว่าอีกฝ่ายอยากอยู่ในประเทศฝูชิวเพื่อรับตำแหน่งอันดีและลงหลักปักฐานที่นั่น หรือมาหาเขาที่นิกายอมตะเป้าผู่


 


หลิวก่วงหลินก็ตอบมาอย่างไร้ซึ่งความลังเลทันที ว่าจะมารับใช้เขาที่นิกายอมตะเป้าผู่ และจะคอยติดตามรับใช้เขาไปทุกที่


 


“น้องรองของข้าอยู่ว่างๆ และไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากนัก ให้น้องรองข้าได้ไปไหนมาไหนเพื่อยืดเส้นยืดสายบ้างก็ดี…”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“ท่านประมุข ไม่ทราบว่าน้องรองที่ท่านกล่าวถึง…เป็นผู้อาวุโสท่านใดในนิกายหรือ?”


 


ระหว่างที่เดินทางมายังนิกาอมตะเป้าผู่พร้อมจางกวงเจิ้ง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวแนะนำเรื่องบุคลากรสำคัญในนิกายอมตะเป้าผู่มาบ้าง แต่เขาไม่เคยได้ยินจางกวงเจิ้งพูดถึงเรื่องน้องรองของประมุขนิกายเลย


 


‘บางที…อาจเป็นผู้พิทักษ์อาวุโส หรือผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะเป้าผู่’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดาในใจ


 


“น้องรองของข้าไม่ได้มีตำแหน่งอาวุโสอะไรในนิกายหรอก…”


 


อย่างไรก็ตาม ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน ซุนเหลียงเผิงพลันส่ายหัวไปมา ค่อยพูดต่อพลางคลี่ยิ้มสดใสว่า “น้องรองของข้ายังไม่ใช่ผู้คน แต่เป็นสัตว์อมตะ…และมักเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ที่ยอดเขารัตติกาลสันโดษ ไม่ค่อยได้ออกไปไหน”


 


ขณะกล่าวซุนเหลียงเผิงก็หันไปมองยังขุนเขาสูงลูกหนึ่งไกลตา


 


เป็นภูเขาลูกที่สูงที่สุดในนิกายอมตะเป้าผู่ แถมยอดเขายังทิ่มแทงทะลุหมู่เมฆขึ้นไปอีกไกล เรียกว่าหากมองไกลๆแล้ว ประหนึ่งกระบี่เขียว 3 ฉื่ออันทรงพลังทิ่มแทงทะลวงฟ้า จนปลายกระบี่จมหายไปในแพเมฆหมอก…


WSSTH ตอนที่ 3,044 : น้ำแข็งวิเศษอมตะเหิน


 


 


 


“สัตว์อมตะรึ?”


 


เนื่องจากตอนที่ยังอยู่ในประเทศฝูชิว ต้วนหลิงเทียนได้พบเจอสัตว์อมตะของจวนเจ้าเมืองตู้อวิ๋นในรูปลักษณ์ผู้คนมาแล้ว 2 ตน จึงไม่ได้แปลกใจอะไรที่ได้รับทราบว่าน้องรองของประมุขที่ว่าเป็นสัตว์อมตะ


 


“ใช่”


 


ซุนเหลียงเผิงพยักหน้า “น้องรองคนนี้ ข้าได้พบเจอตั้งแต่สมัยยังเยาว์ พวกเราออกเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยกัน ผ่านพ้นความเป็นตายมาด้วยกัน ช่วยชีวิตกันและกันไม่ทราบกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จึงนับถือกันเป็นพี่น้อง และสนิทกันไม่ต่างใดจากพี่น้องแท้ๆ”


 


“ภายหลังข้าได้กลายเป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ น้องรองเองก็เลือกจะออกจากเผ่ามาอยู่ช่วยงานที่นิกายอมตะเป้าผู่กับข้า พออะไรๆเข้าที่เข้าทางแล้ว น้องรองที่ไม่ชอบความวุ่นวายก็เลือกจะไปอาศัยอยู่ที่ยอดเขารัตติกาลสันโดษ นานๆถึงจะชวนข้าหนีงานออกไปท่องเที่ยวแก้เบื่อ…”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวออกมาพลางหัวเราะ


 


หลังจากกล่าวจบ ซุนเหลียงเผิงที่เหินร่างนำต้วนหลิงเทียนมาต่อสักพักก็หยุดลง จากนั้นเริ่มผายมือไปยังหุบเขากว้างใหญ่เบื้องหน้า “เบื้องล่างนั้นจักเป็นสถานที่พักอาศัยของเหล่าศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่”


 


ต้วนหลิงเทียนได้ฟังก็ก้มลงไปดูเบื้องล่าง


 


จึงสังเกตเห็นว่าภายในหุบเขาอันกว้างใหญ่นั้น ตั้งแต่ปากทางเข้าใกล้ๆหุบเขา จนถึงส่วนลึกติดกำแพงผนังผา ได้มีการจัดสร้างบ้านเดี่ยวพร้อมลานว่างเอาไว้เป็นสัดส่วน แต่ละหลังเว้นระยะห่างกันพอสมควร ไม่ได้แลดูหนาแน่นอึดอัดอะไร


 


และในหุบเขาก็ปรากฏจุดเล็กๆสีดำ ที่สมควรเป็นผู้คนเหินไปว่อนมา บ้างก็ไปบ้านหลังอื่น บ้างก็กำลังไปที่ไหนไม่ทราบ ยังมีผู้ที่ออกมาฝึกวิชาท่าร่างพุ่งไปมาเหนือลาน รวมถึงผู้ที่ตั้งวงสนทนา แลดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย


 


“ที่เจ้าเห็นล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายอมตะเป้าผู่เรา”


 


ซุนเหลียงเผิงเอ่ยออกมา เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกำลังชมองวิถีชีวิตเหล่าศิษย์ที่อยู่เบื้องล่าง


 


จากนั้นซุนเหลียงเผิงก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย มองจ้องไปยังปลายสุดหุบเขา ซึ่งด้านบนปรากฏเกาะเล็กๆลอยอยู่ทั้งสิ้น 10 เกาะ พลางกล่าวอธายสืบต่อ “ส่วนปลายสุดหุบเขาด้านใน เจ้าเห็นเกาะเล็กๆ 10 เกาะที่ลอยอยู่ตรงนั้นหรือไม่ นั่นคือสถานที่พักอาศัยของเหล่าศิษย์ที่แท้จริงนิกายอมตะเป้าผู่เรา”


 


ต้วนหลิงเทียนมองตามไป ก็พบเกาะลอยเล็กๆ 10 เกาะ


 


แต่ละเกาะ ก็มีลานเล็กๆสร้างอยู่


 


“ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในอาณาเขตหุบเขาแห่งเดียวกัน หากแต่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของเกาะลอยอันเป็นที่อยู่ของศิษย์ที่แท้จริงนั้น จะดีกว่าที่พักของศิษย์ฝ่ายใน 2 เท่า”


 


“และสภาพแดล้อมในการบ่มเพาะของเกาะลอยเหล่านี้ ยังไม่ได้ด้อยไปกว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของที่พักข้าเลย”


 


“แต่นี่มิใช่ว่านิกายอมตะเป้าผู่เราตระหนี่ถี่เหนียว เลือกจะดูแลศิษย์ที่แท้จริงแต่ละเลยศิษย์ฝ่ายในแต่อย่างไร เนื่องเพราะพลังวิญญาณฟ้าดินที่ได้จากสายแร่ผลึกอมตะของพวกเราก็ยังมีขีดจำกัด ทำให้สร้างสถานที่บ่มเพาะอันมีสภาพแวดล้อมประเสริฐได้เท่าที่เห็น หากต้องการให้พลังวิญญาณฟ้าดินของศิษย์ฝ่ายในหนาแน่นมากกว่านี้ พวกเราก็ไม่อาจทำได้แล้ว”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวอธิบายจนจบ และวาจาประโยคสุดท้ายยังจงใจอธิบายเหตุผลออกมา ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระอาจไม่รู้เรื่องพวกนี้


 


เพราะสุดท้ายแล้วผู้ฝึกตนอิสระ อาจจะไม่ทราบว่าไฉนพื้นที่ต่างๆของนิกาย กลับมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะไม่เท่ากัน


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างตามซุนเหลียงเผิงเข้าไปในหุบเขา และไปลอยล่องอยู่เหนือเกาะลอยเล็กๆเกาะหนึ่ง


 


“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่นี่คือสถานที่พักอาศัยของเจ้า”


 


ซุนเหลียงเผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะมองไปยังลานเล็กๆบนเกาะลอยเบื้องหน้า


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็สว่างวาบขึ้นมาทันที


 


ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เข้าไปในลานเล็กๆบนเกาะลอยขนาดกะทัดรัดนี่ แต่เขาก็สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินที่ปกคลุมไปทั่วหุบเขาแห่งนี้ มันหนาแน่นเหนือกว่าส่วนอื่นๆของนิกายอมตะเป้าผู่ถึง 2 เท่า!


 


และฟังจากที่ซุนเหลียงเผิงบอกมา สภาพแวดล้อมภายในเกาะลอยเบื้องหน้าเขา ยังมีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นเป็นสองเท่าของหุบเขาแห่งนี้!


 


“เฮ่! นั่นท่านประมุขนิกายเรานี่!?”


 


“ไฉนท่านประมุขถึงมาที่นี่ได้กัน…จะว่าไปนี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกเลย ที่ข้าได้เห็นท่านประมุขมาถึงที่นี่!”


 


“ข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในมา 30 กว่าปี แต่นี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าเป็นท่านประมุขมาที่นี่…อีกทั้งตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ข้ายังไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อน ว่าท่านประมุขเคยมาที่นี่ด้วยซ้ำ”


 


“ท่านประมุขดูเหมือนจะพาเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นมาด้วย…มันเป็นใครกัน?”


 



การปรากฏตัวของซุนเหลียงเผิง ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่นับว่าดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์ฝ่ายในไม่น้อย


 


เหล่าศิษย์ฝ่ายในเริ่มคุยกันด้วยความสงสัยทันที ว่าไฉนประมุขนิกายถึงมาเยือนที่นี่ได้ กระทั่งยังสงสัยเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของชายหนุ่มชุดม่วงที่เหมือนจะถูกประมุขพามานัก!


 


“ข้าพึ่งกลับมาจากไปทำภารกิจนอกนิกาย…เลยได้รู้จากสหายที่ลาดตระเวนวันนี้ว่า ท่านรองประมุขจางพึ่งจะกลับมาจากทะเลสาบอวิ๋นเยียน”


 


“ทะเลสาบอวิ๋นเยียน สถานที่เข้าออกแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำน่ะรึ? หมายความว่ารองประมุขจางพึ่งจะพาคนที่กลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณกลับมาถึงน่ะสิ!”


 


“ไม่ผิด ข้าได้ยินมาว่าบรรดายอดเซียนอมตะที่ติดตามรองประมุขจางมา ล้วนถูกศิษย์พี่เจิ้งหงอี้พาไปลงทะเบียนรับป้ายประจำตัวเกือบหมด…เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกพาไปพบบท่านประมุข


 


“หืม? พาไปพบท่านประมุขงั้นรึ…ดูเหมือนคนๆนั้นที่รองประมุขจางพากลับมาจะไม่ธรรมดา!”


 



 


ในบรรดาศิษย์ฝ่ายในก็มีหลายคนที่พึ่งกลับออกมาจากการทำภารกิจนอกนิกาย และได้คุยกับเหล่าศิษย์ลาดตระเวน จึงตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนนั้น พึ่งจะถูกพากลับมาเป็นศิษย์นิกายอมตะเป้าผู่หลังรอดออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ


 


“ได้รับเกียรติถึงขั้นท่านประมุขมาส่งด้วยตัวเองแบบนี้…เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นจะไม่ธรรมดาถึงขนาดไหนกัน?”


 


หลายคนอดประหลาดใจไม่ได้ กระทั่งสงสัยแคลงใจกันนักว่าต้วนหลิงเทียนเป็นใครมาจากไหน


 


“ข้าเองยังได้ยินศิษย์ลาดตระเวนพูดกันอีกว่า…ดูเหมือนตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 10 ที่ว่างอยู่ จะถูกท่านประมุขตัดสินใจมอบให้กับเจ้าหนุ่มชุดม่วงคนนี้นี่ล่ะ”


 


ศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งกลับมาจากด้านนอกเอ่ยต่อ “ตอนนี้ดูเหมือนท่านประมุขจะพามันมาส่งยังที่พักศิษย์ที่แท้จริงที่ว่างอยู่ด้วยตัวเอง…มันคือคนที่ได้รับตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงที่ว่างไม่ผิดแน่!”


 


“อะไรกัน!?”


 


“ตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงที่ว่างอยู่ ท่านประมุขมอบให้เจ้าหน้าใหม่นั่นเหรอ?”


 


“เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน…คนที่รอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ อย่างดีก็เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไม่ใช่รึไง…ในประวัติศาสตร์เรา ศิษย์ที่แท้จริงที่ยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะดูเหมือนจะมีแค่คนเดียวใช่ไหม?”


 


“ใช่ได้รับข้อมูลมาผิดพลาดหรือไม่?”


 



 


ในขณะที่หลาคนคิดว่าศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งกลับมาอาจจะฟังเรื่องราวมาผิด พวกมันก็พลันเห็นว่า…


 


ชาหนุ่มชุดม่วงที่ลอยข้างๆประมุขนิกายบัดนี้ ได้เหินร่างออกไปยังเกาะลอยเบื้องหน้า จากนั้นป้ายสีเขียวที่ห้อยไว้บริเวณเอว ก็เริ่มเปล่งเส้นแสงสีเขียวออกมาม้วนพันไปทั่วร่าง


 


และครู่ต่อมา ร่างชายหนุ่มชุดม่วงที่ถูกเส้นแสงสีเขียวม้วนพันไปทั่วร่าง ก็เหินร่างมุ่งหน้าไปทางเกาะลอยดังกล่าว!


 


วู้ม!


 


วู้ม!


 



 


พอชายหนุ่มชุดม่วงเหินร่างเข้าไปใกล้เกาะและเตรียมจะลงไปด้านใน เหล่าศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายก็เห็นว่ารอบๆเกาะพลันปรากฏม่านพลังหนึ่งกางขึ้นในฉับพลัน หากทว่าเส้นแสงสีเขียวที่ม้วนพันรอบกายชายหนุ่ม ก็คล้ายจะทำให้ม่านพลังไม่ส่งผลอะไรทั้งสิ้น


 


“ป้ายประจำตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริง!!”


 


“ที่อยู่อาศัยของศิษย์ที่แท้จริง จำต้องมีป้ายประจำตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงเป็นดั่งกุญแจ หาไม่แล้วก็ไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปได้ และต้องติดม่านพลังดังกล่าวปิดกั้น…ดูเหมือนท่านประมุขจะมอบตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงที่ว่างเว้นอยู่ให้มันแล้วจริงๆ!”


 


“มันไม่ใช่ยอดเซียนอมตะคนหนึ่งที่พึ่งเข้านิกายมาหรือไร ไฉนไม่ทันได้ทำอะไรก็กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงได้เล่า?


 


“มันสร้างคุณงามความดีอะไรมากันแน่ ไฉนถึงได้รับตำแหน่งศิษย์แท้จริงทันที?”


 


“ข้าคิดว่าลองท่านประมุขมอบตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริง ทั้งพามันมาส่งด้วยตัวเองแบบนี้ มันต้องมีอะไรไม่ธรรมดาแน่นอน…เพราะสุดท้ายท่านประมุขก็ไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจอะไรผิดพลาดกับบเรื่องแบบนี้”


 


“ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”


 


… …


 


แม้จะมีศิษย์ฝ่ายในมากมายที่อิจฉาต้วนหลิงเทียน เพราะมีประมุขมาส่งถึงที่ด้วยตัวเอง และไม่อาจเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายมีสิทธิ์อะไร แต่ยังมีศิษย์ฝ่ายในหลาคนที่คิดว่าลองท่านประมุขมอบตำแหน่งและมาส่งถึงที่แบบนี้ ต้องมีความสามารถไม่ธรรมดาแน่นอน


 


เพราะพวกมันรู้ดีว่าประมุขนิกายอมตะเป้าผู่เก่งกาจทั้งเฉลียวฉลาดแค่ไหน มีหรือจะเข้าใจอะไรผิดและถูกหลอกได้ง่ายๆ?


 


“หากเจ้ามีเรื่องอะไรที่คิดติดต่อข้า นี่คือลูกแก้ววิญาณของข้า…ส่วนข้าก็ขอลูกแก้ววิญญาณเจ้าไว้สักลูก เพื่อให้ติดต่อเจ้าได้สะดวก”


 


ต่อมาซุนเหลียงเผิงก็เป็นฝ่ายส่งลูกแก้ววิญญาณให้ต้วนหลิงเทียนก่อน จากนั้นค่อยขอลูกแก้ววิญญาณต้วนหลิงเทียนมาเก็บไว้กับตัวลูกหนึ่ง


 


พอเห็นว่าซุนเหลียงเผิงเป็นฝ่ายออกปากขอแลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณด้วยตัวเองแบบนี้ เหล่าศิษย์ฝ่ายในก็ยิ่งเชื่อว่าเจ้าชุดม่วงหน้าใหม่ผู้นี้ ต้องมีอะไรไม่ธรรมดาแน่นอน!


 


‘สมแล้วที่เป็นสถานที่พักอาศัยและบ่มเพาะพลังของศิษย์ที่แท้จริงนิกายอมตะเป้าผู่…สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของที่นี่ดีมากจริงๆ’


 


ลานเล็กๆบนเกาะส่วนตัวของศิษย์ที่แท้จริงนั้น รูปแบบมันก็ไม่ต่างอะไรจากบ้านลานของศิษย์ฝ่ายในเท่าไร เว้นแต่มันต่างกันในเรื่องสถานที่ และปริมาณพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศ


 


ทั้งภายในลานเล็กๆแห่งนี้ ก็มีดอกไม้กับพุ่มไม้เป็นแนวกั้น ยังมีต้นไม้ไม่สูงใหญ่มากมายอะไรปลูกข้างเรือน 2 ต้น


 


ใต้ต้นไม้เล็กๆต้นหนึ่ง ก็มีชุดโต๊ะหินอ่อนพร้อมเก้าอี้นั่งทรงกลมดูเรียบง่าย ส่วนอีกต้นนั้นปลูกอยู่หน้าเรือนพัก และเรือนพักที่ว่าก็กินพื้นที่ลานเล็กๆแห่งนี้ไปเกือบครึ่งแล้ว


 


แอ้ด…


 


ต้วนหลิงเทียนเดินไปที่เรือนหลังเล็กที่เหมือนจะทำมาจากไม้เสียส่วนใหญ่ พอเปิดประตูเข้าไปก็พบเตียงใหญ่หลงังหนึ่งในสายตา นอกจากนั้น…นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว!


 


และเตียงใหญ่ดังกล่าวไม่ใช่เตียงธรรมดาๆ แต่เป็นเตียงที่ใสประหนึ่งผลึกแก้ว ทั้งแผ่ซ่านไอเย็นออกมาประหนึ่งเตียงน้ำแข็ง


 


นำแข็งพันปี หรือที่มีอายุมากกว่านั้น จะช่วยเหลือในการบ่มเพาะพลัง


 


ต้วนหลิงเทียนได้รับทราบเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยอยู่ในระนาโลกียะ


 


“ยังไงก็ตามให้เป็นน้ำแข็งที่มีอายุมากขนาดไหน และช่วยบ่มเพาะพลังได้เพียงใด นั่นก็เป็นเรื่องในระนาบโลกียะ…พอเป็นระนาบเทวโลกมันจะยังมีผลอะไรแบบนั้นอยู่อีกเหรอ? ดูท่าน้ำแข็งนี่จะไม่ธรรมดา…”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย


 


สุดท้ายแล้วการฝึกตนวิถีอมตะบนระนาบเทวโลกนั้น ก็ต่างจากการฝึกตนในโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง


 


“เจ้าหนู นี่มิใช่เตียงน้ำแข็งธรรมดา”


 


ได้ยินคำพูดพึมพำของต้วนหลิงเทียน เสียงเด็กยังไม่หย่านมของงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ดังขึ้นทันที “หากข้าดูไม่ผิด น้ำแข็งที่ถูกตัดมาทำเตียงหลังนี้ สมควรเป็นน้ำแข็งวิเศษอมตะเหิน…การบ่มเพาะพลังบนเตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหิน ทำให้ผู้ฝึกสามารถสงบจิตได้โดยง่าย อีกทั้งยังป้องกันมิให้เกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรก”


 


“นอกจากนั้นกล่าวกันว่า ผู้ที่มีความเข้าใจสูงพอ สามารถอาศัยน้ำแข็งวิเศษอมตะเหินจนเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งน้ำแข็งจากมันได้”


 


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว


 


“น้ำแข็งวิเศษอมตะเหิน?”


 


เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาว่าเตียงน้ำแข็งบนระนาบเทวโลก ไม่น่าจะใช่น้ำแข็งอายุมากธรรมดาๆเหมือนบนโลกมนุษย์แน่


 


พอมีเสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวเตือน ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนได้ยืนยันข้อสันนิษฐานดังกล่าว


 


“กฏน้ำแข็งรึ…”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจเรื่องที่เตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหินนี่จะช่วยให้เขาสงบใจและป้องกันธาตุไฟเข้าแทรกแม้แต่น้อย เพราะเขาสามารถควบคุมอารมณ์และจิตตัวเองได้เป็นอย่างดีมาแต่ไหนแต่ไร โอกาสธาตุไฟเข้าแทรกนับเป็นศูนย์เลยก็ว่าได้


 


อย่างไรก็ตาม เขาไม่สนเรื่องนั้น แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่สนเรื่องที่มันช่วยให้มีโอกาสเข้าใจกฏน้ำแข็ง!


 


น้ำแข็งก่อเกิดจากน้ำ หากแต่เย็นกว่าน้ำ


 


ในระนาบเทวโลก หากผู้ที่มีด่านพลังฝึกปรือเท่ากัน มีวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับเดียวกัน และความสามารถทั้งไหวพริบปฏิภาณไม่แตกต่างกัน ทว่าผู้ที่เข้าใจกฏน้ำแข็ง จะมีเปรียบผู้ที่เข้าใจกฏน้ำ


 


เพราะถึงแม้น้ำแข็งจะมาจากน้ำ แต่ประหนึ่งสีครามเข้มกว่าสีน้ำเงิน!


 


อย่างไรก็ตามแม้น้ำแข็งจะมากจากน้ำ หากแต่ความอ่อนโยนยืดหยุ่นกลับด้อยกว่าน้ำ เช่นนั้นกล่าวได้ว่าเมื่อมีขอดีก็มีข้อเสียเช่นกัน


 


“เย็นจริง!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ลองนั่งลงบนเตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหินโดยไม่ได้โคจรพลังอะไรเพื่อต้านทานความเย็น เขาก็พบว่าก้นเขานั้นเย็นยะเยือกจับใจ กระทั่งความเย็นดังกล่าวยังแล่นพล่านขึ้นไปถึงสมอง!


 


ทว่าเพียงห้วงคิดเดียว เมื่อพลังเซียนยอมตะต้นกำเนิดโคจรไหลเวียน ความเย็นดังกล่าวก็ถูกขับออกไปจากร่างในพริบตา…


WSSTH ตอนที่ 3,045 : หวังหง


 


 


ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ลองโคจรพลังบ่มเพาะดู


 


และเคล็ดวิชาที่เขาใช้บ่มเพาะพลังนั้นก็ยังคงเป็นเคล็ดอมตะระดับราชา ไท่อี้สุดลี้ลับ  ที่กูป๋อของฮ่วนเอ๋อถ่ายทอดให้เขาก่อนที่เศษเสี้ยววิญญาณที่เหลือของนางจะสลายหายไป


 


“ไม่รู้ว่าป่านนี้ฮ่วนเอ๋อเป็นอย่างไรบ้าง…”


 


ทุกครั้งที่ต้วนหลิงเทียนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดอมตะไท่อี้สุดลี้ลับ เขาก็อดคิดถึงฮ่วนเอ๋อขึ้นมาไม่ได้ กระทั่งยังกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของฮ่วนเอ๋ออยู่ร้ำไป


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หลับตาจมสู่ภวังค์บ่มเพาะ และการบ่มเพาะของเขาตอนนี้ก็คือการใช้พลังววิญยญาณฟ้าดินที่ผ่านการขัดเกลาจากพฤกษาเทพกำเนิดชีพมาแล้วอีกที พลังบริสุทธิ์ขุมแล้วขุมเล่าที่ถูกขัดเกลาเริ่มโคจรหมุนเวียนไปทั่วร่างก่อนจะถูกเพาะสร้างเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด และไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร หากแต่บัดนี้เหนือร่างเขา พลันมีเงาร่างปานภูตผีผุดโผล่ออกมาจากเตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหิน!


 


เงาร่างภูตผีดังกล่าวมองไปคล้ายเงาร่างของเทพธิดาน้ำแข็งที่กำลังเริงระบำไปมาเหนือร่างเขา อีกทั้งความเร็วในการเคลื่อนไหวยังรวดเร็วถึงขั้นเห็นเป็นภาพเงามายาแยกร่างไปมา


 


หากประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ได้มาเห็นฉากนี้ เกรงว่าคงมีตกใจกันลูกตาหลุดออกจากเบ้ากันบ้าง


 


นั่นเพราะเตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหินนั้น ยิ่งผู้ที่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังบนเตียงมีความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินมากเท่าไหร่ เตียงน้ำแข็งก็จะก่อปรากฏการณ์ให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น!


 


การที่ปรากฏร่างเทพธิดาน้ำแข็งเริงระลำเหินร่างงไปมาวูบวาบจนเป็นดั่งเงาเลือนแบบนี้ อมบ่งบอกว่าความเร็วในการบ่มเพาะของผู้ใช้มันสูงล้ำสุดที่ตัวมันจะจินตนาการได้ออก!


 


กระทั่งให้เป็นตัวซุนเหลียงเผิงเอง ยามนั่งบ่มเพาะพลังบนเตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหิน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ชัดเจนแบบนี้ และเทพธิดาน้ำแข็งก็ไม่ได้เหินร่างเต้นระบำว่องไวแบบนี้


 


หลังบ่มเพาะพลังไปราวๆครึ่งชั่วยาม ต้วนหลิงเทียนก็หยุดดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน พักการบ่มเพาะเอาไว้ก่อน


 


“ผู้อาวุโสเพลิงเทพ ไม่ทราบว่าท่านจะใช้ทรายประกายดารานี่อย่างไรหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่พักการบ่มเพาะ ลืมตาขึ้นมาไม่ทันไรก็สะบัดมือเรียกกล่องสีแดงลายทองออกมา พลางถามเพลิงเทพโกลาหลในร่างทันที


 


“เจ้าเรียกกระบี่เทพขั้นสูงของเจ้าออกมา แล้วใช้พลังของข้าให้ความร้อนมันเสีย…หลังจากนั้นข้าจะชักนำวิญญาณที่อาศัยอยู่ในทะเลวิญญาณของเจ้าให้เข้าไปอยู่ในกระบี่ ถึงตอนนั้นก็ให้เจ้าโรยทรายประกายดาราลงตัวกระบี่ทั่วๆ จากนั้นข้าจะเพิ่มพลังเพื่อหลอมกระบี่ เร่งกระบวนการผสานวิญญาณลงกระบี่ให้เจ้า”


 


เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยตอบเร็วไว แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วยังคล้ายคนง่วงไม่อยากลุกจากเตียง


 


“ได้!”


 


ต้วนหลิงเทียนขานรับ จากนั้นก็ทำตามคำแนะนำของเพลิงเทพโกลาหล เรียกกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมาจากร่างกาย ให้มันมาลอยล่องท่ามกลางความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขา


 


ฟู่วว!!


 


พริบตาต่อมาเขาก็ยกมือขวาขึ้นมาแบหงาย เพียงหนึ่งห้วงคิดเพลิงสีเทาพลันลุกโชนขึ้นมาดังพรึ่บ จากนั้นก็เริ่มควบคุมเพลิงให้พุ่งไปดั่งมังกรห้อมล้อมแผดเผาไปทั่วตัวกระบี่


 


อย่างไรก็ตามแม้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนจะถูกเปลวเพลิงสีเทาดั่งมังกรแผดเผา ทว่ามันหาได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปไม่


 


สำหรับเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร


 


เพราะสุดท้ายแล้วเพลิงสีเทาที่เขาใช้ออก ก็ยังมีพลังอำนาจเทียบได้กับเพลิงอมตะระดับสูงเท่านั้น ยังไม่ได้ทรงพลังเท่าเพลิงอมตะระดับขุนนางด้วยซ้ำ


 


เกิดเปลวเพลิงของเขาสามารถแผดเผากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้หลอมละลายหรือแค่เสียรูป เขาก็คงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า…กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่แท้ใช่อุปกรณ์เทพระดับสูงจริงรึเปล่า!


 


“ยาโถวน้อยหวงเอ้อ กระบวนการหลังจากนี้อาจทำให้เจ้ารู้สึกยากทานทนอยู่บ้าง…แต่ตราบใดที่เจ้าแข็งใจทนรับมันได้ไหว ขั้นตอนการผสานรวมเข้ากับกระบี่เทพเล่มนี้ของเจ้า นับว่าทำสำเร็จไปแล้วอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง!”


 


เสียงเพลิงเทพโกลาหลดังขึ้นภายในร่างต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง และเห็นชัดว่าคราวนี้อีกฝ่ายกำลังพูดกับหวงเอ้อ จิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในทะเลวิญญาณของต้วนหลิงเทียน


 


“ข้าสามารถทานรับความเจ็ปวดขณะแยกวิญญาณของจากกระบี่ที่เป็นดั่งร่างกายของข้าได้ ไฉนข้ายังต้องกลัวความเจ็บปวดเล็กน้อยเพียงเท่านี้”


 


เสียงหวงเอ้อยยังคงเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน แต่ครานี้กลับเปี่ยมล้นไปความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวน่าเกรงขาม!


 


ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกระทำตามคำชี้นำของเพลิงเทพโกลาหลเพื่อเร่งกระวนการผสานวิญญาณหวงเอ้อลงกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน…


 


ศิษย์สายตรงของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่คนที่ 3 เจิ้งหงอี้ หลังพายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลายไปลงทะเบียนแล้วเสร็จ มันก็พาทุกคนไปยังหุบเขาที่พักสำหรับศิษย์ฝ่ายในทันที


 


“นั่นศิษย์พี่หงอี้!”


 


“กลุ่มคนที่เหินตามหลังศิษย์พี่เจิ้งหงอี้มา ล้วนแล้วแต่เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งสิ้น!”


 


“สมควรเป็นคนที่ท่านรองประมุขจางพากลับมาจากทะเลสาบอวิ๋นเยียนเป็นแน่…นี่คือเหล่ายอดเซียนอมตะที่โดดเด่นในบรรดายอดเซียนอมตะทั้งเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว พวกมันกล่าวไปก็สบายไม่น้อย แรกเข้านิกายก็ได้เป็นศิษย์ฝ่ายในทันที”


 


“หึ! พวกมันเริ่มต้นได้เปรียบกว่าผู้อื่นเขาแล้วอย่างไร หากศักยภาพพรสวรรค์ของพวกมันอ่อนด้อย สุดท้ายก็ไม่พ้นถูกขับออกจากศิษย์ฝ่ายในอยู่ดี”


 


… …


 


เจิ้งหงอี้พาผู้คนกลับมาแบบนี้ ย่อมดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์มากมายทันที และที่ดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์ฝ่ายในก็คือกลุ่มยอดเซียนอมตะด้านหลังนั่นเอง


 


“ศิษย์พี่หงอี้!”


 


ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งวูบร่างมาหยุดเบื้องหน้าในชั่วพริบตา และดูท่าทีแล้วมันท่าทางจะสนิทสนมกับเจิ้งหงอี้ไม่น้อย “เมื่อครู่ท่านประมุขพึ่งมาที่นี่ด้วย”


 


“ท่านอาจารย์หรือ?”


 


เจิ้งหงอี้ขมวดคิ้วเบาๆ เอ่ยถามออกไปด้วยสงสัย “ท่านมาคนเดียวหรือไม่?”


 


“เปล่า ท่านประมุขมาพร้อมกับชายหนุ่มชุดม่วงคนหนึ่ง นอกจากนั้นข้าได้ยินมาว่าดูเหมือนท่านประมุขจะแต่งตั้งให้ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นเป็นศิษย์ที่แท้จริง และเป็นท่านประมุขมาส่งมันถึงลานที่ยังว่างอยู่ด้วยตัวเอง”


 


ศิษย์ฝ่ายในที่มากล่าวรายงาน


 


“อืม ข้ารู้แล้ว”


 


เจิงหงอี้พยักหน้ารับรู้ แม้ในใจมันจะบังเกิดความไม่พอใจมากแค่ไหน แต่มันก็รู้ดีว่าสิ่งที่อาจารย์ของมันตัดสินใจไปแล้ว คงยากที่มันจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้


 


ตราบใดที่มันกล้าฝ่าฝืนคำพูดหรือไม่เชื่อฟัง เกรงว่าอาจารย์ของมันเพียงแต่จะขับไล่มันออกไปจากสถานะศิษย์สายตรง เผลอๆมันอาจจะถูกขับไล่ออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งประมุข!


 


“ศิษย์พี่หงอี้ เจ้าหนูนั่นมันเป็นใครกัน อยู่ดีๆไฉนมันถึงมาตัดหน้าชิงตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงไปจากท่านได้เล่า…หากไม่ใช่เพราะมัน ตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงนั่นไม่พ้นต้องตกเป็นนของท่านแน่!”


 


เมื่อเห็นว่าสีหน้าท่าทีเจิ้งหงอี้ยังแลดูสงบ ศิษย์ฝ่ายในที่มารายงานก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ที่ลอยอยู่เบื้องหน้ามันคนนี้ สมควรโมโหเป็นฟืนเป็นไฟหรอกหรือไร?


 


มันรู้ว่าศิษย์พี่ผู้นี้มุ่งหวังในตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว


 


“อู๋เฟิง ปากเจ้าจะกินอะไรก็ได้ แต่อย่าได้พูดซี้ซั้ว ต่อให้ไม่มีมันตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงก็ไม่แน่ว่าจะเป็นข้าที่ได้…”


 


เจิ้งหงอี้เหลือบมองศิษย์ฝ่ายในเบื้องหน้าพลางเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนมีศักยภาพพรสวรรค์สูงนัก กระทั่งไหวพริบปฏิภาณทั้งเชาว์ปัญญาก็เด่นล้ำไม่ธรรมดา นับว่ามีคุณสมบัติเป็นศิษย์ที่แท้จริงครบถ้วน!”


 


“หากเจ้าไม่ยอมรับเรื่องนี้…หรือจะบอกว่าสายตามองคนของท่านอาจารย์ใช้การไม่ได้แล้ว?”


 


กล่าวถึงจุดนี้สองตาเจิ้งหงอี้ก็ทอประกายเยียบเย็นออกมาข่มขู่อู๋เฟิง เพื่อให้อีกฝ่ายเลิกพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกมาเสียที


 


“ในเมื่อเจ้ามาก็ดี เช่นนั้นฝากเจ้าดูแลพวกมันด้วยแล้วกัน…พาพวกมันไปจับจองที่พักที่ยังว่างอยู่เสีย”


 


หลังโยนภาวะให้ศิษย์ฝ่ายในนาม อู๋เฟิง แล้วเสร็จ เจิ้งหงอี้ก็เหินร่างจากไปทันที


 


จนเมื่อเจิ้งหงอี้เหินละลิ่วหายลับไปจากสายตาแล้ว อู๋เฟิงพึ่งตระหนักได้ว่าผู้อื่นโยนงานให้ตัว มันก็ได้แต่หันไปมองยอดเซียนยอมตะทั้งหลายที่ลอยร่างรอคอยอย่างเงียบๆพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ตามข้ามา”


 


เหล่ายอดเซียนอมตะเห็นท่าทีคล้ายเบื่อหน่ายรำคาญของอู๋เฟิง ก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง


 


ต้วนหลิงเทียนที่เข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่มาพร้อมกันกับพวกมัน ไม่เพียงแต่รองประมุขให้ความสำคัญ กระทั่งประมุขนิกายยังเลือกจะมาจัดการเรื่องราวให้ด้วยตัวเอง แต่พวกมันตอนแรกก็โดนโยนให้ศิษย์สายตรงคนหนึ่งรับเรื่อง มาตอนนี้ศิษย์สายตรงที่ว่าก็โยนพวกมันให้ศิษย์ฝ่ายในธรรมดาๆอีก!


 


“เฮ่ย ว่าแต่พวกเจ้าน่ะ มีใครรู้จักไอ้หนูชุดม่วงนั่นบ้าง?”


 


อู๋เฟิงที่เหินร่างไปอย่างเบื่อๆ พลันฉุกคิดอะไรขึ้นได้ จึงหันมามองถามยอดเซียนอมตะด้านหลัง


 


และพอได้รับคำตอบของคำถามแรก มันก็เริ่มยิงคำถามต่อมาระรัว ทำให้เหล่าศิษย์ฝ่ายในบังเกิดความสนใจ จากนั้นก็เข้ามามุงฟัง จนในที่สุดเหล่าศิษย์ฝ่ายในหลายคนก็ได้รู้ว่าอัจฉริยะคนใหม่ที่ประมุขพวกมันมาดูแลด้วยตัวเองของนิกายอมตะเป้าผู่เป็นอย่างไร


 


อายุไม่ถึงร้อยปี


 


บรรลุขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด


 


เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ


 


กลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณด้วยอันดับที่ 2!


 


……


 


ระหว่างที่อู๋เฟิงและเหล่าศิษย์ฝ่ายในระดมคำถามใส่เหล่ายอดเซียนยอมตะจนได้รับทราบเรื่องราว ในที่สุดพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเกาะลอยเหนือหุบเขาเกาะหนึ่ง


 


เกาะลอยที่ว่า ก็เป็นเกาะที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งเข้าไปจับจองเป็นเจ้าของลานเล็กๆนั่นเอง…


 


“ให้ตายเถอะวะ เจ้าหนุ่มชุดม่วงผู้นั้น ที่แท้เป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจถึงขนาดนี้เชียวหรือ!?”


 


“มันอายุไม่ถึงร้อยปีก็ร้ายกาจขนาดนี้แล้ว…โตไปมันจะเป็นสัตว์ประหลาดอันใดกัน!?”


 


“ตอนนี้ข้าไม่แปลกใจเลยที่ไฉนท่านประมุขปฏิบัติกับมันดีนัก ด้วยพรสวรรค์และความสามารถของมัน ขอเพียงไม่ตกตายไปเสียครึ่งทาง กระทั่งคฤหาสน์เฉวียนโยวยังไม่เพียงพอกับมัน เวทีของมันสมควรเป็นทั่วทั้งแดนสวรรค์ใต้! กระทั่งอาจจะเหนือกว่านั้น!!”


 


“นับว่าตัวตนที่ร้ายกาจเช่นมันมีคุณสมบัติเป็นศิษย์ที่แท้จริงครบถ้วนแล้วล่ะ!”


 



 


เหล่าศิษย์ฝ่ายในที่ไม่ยอมรับต้วนหลิงเทียนในฐานะศิษย์ที่แท้จริงก่อนหน้า พอได้รับทราบถึงความแข็งแกร่งต้วนหลิงเทียนที่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี ใจพวกมันก็บังเกิดความยอมรับทันที


 


“ข้าล่ะคิดว่าศิษย์ที่แท้จริงหากไม่เป็นของ ข้า เจิ้งหงอี้ก็ต้องเป็นหวังหงเสียอีก…ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะถูกดับฝันไปตั้งแต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรแบบนี้”


 


ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งที่พึ่งกลับมาจากด้านนอก เมื่อได้ยินบทสนทนาดังระงมจากเบื้องล่าง มันจึงหยุดเงี่ยหูฟังกลางหาว และพอรับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมาพลางถอนหายใจดังเฮือก


 


และเสียงถอนหายใจดังเฮือกของมัน ก็ทำให้ศิษย์ฝ่ายในสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ จึงเร่งรุดไปชมมอง พอเห็นว่าเป็นใครที่มาถอนหายใจแถวนี้ ก็เร่งรุดประสานมือทำความเคารพทันที


 


“ศิษย์พี่จ้วงฝาน”


 


“ศิษย์พี่จ้วงฝาน”


 



 


เหตุผลที่ไฉนเหล่าศิษย์ฝ่ายในถึงได้เร่งุรดประสานมือคารวะทักทายอีกฝ่าอย่างกระตือรือร้นแบบนี้ เป็นเพราะศิษย์ฝ่ายในนาม จ้วงฝาน คนนี้ เป็น 1 ใน 3 ศิษย์ฝ่ายในที่โดดเด่นที่สุด!


 


ส่วนอีก 2 คนนั้น ก็คือศิษย์สายตรงประมุขคนที่ 3 เจิ้งหงอี้ กับอีกคนที่เป็นศิษย์พี่หญิงของพวกมัน หลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่ หวังหง!


 


ในบรรดาทั้ง 3 เจิ้งหงอี้กับหวังหงล้วนมีทุนรอนอันดีในนิกายอมตะเป้าผู่ ต่างมีผู้สนับสนุนทั้งสิ้น หากแต่ จ้วงฝาน นั้นไม่มีผู้ใดหนุนหลัง


 


ด้วยเหตุนี้เมื่อเทียกับเจิ้งหงอี้ กับหวังหงแล้ว ศิษย์ฝ่ายในของนิกายอมตะเป้าผู่นับว่ามีความสนิทใจกับจ้วงฝานมากกว่า


 


“เอาล่ะ”


 


“ดีๆ”


 


……


 


เผชิญหน้ากับการทักทานของเหล่าศิษย์ฝ่ายใน จ้วงฝาน ก็พยักหน้าทักกลับด้วยรอยยิ้มทีละคน ท่าทางมากอัธยาศัยและเข้าถึงง่ายของมัน ทำให้ผู้คนรู้สึกเสมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ


 


ในเวลาเดียวกัน…


 


ณ ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะเป้าผู่ หุบเขาเล็กๆอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง


 


“เจิ้งหงอี้ นี่เจ้าถ่อมาหาข้าถึงนี่ เพราะเรื่องต้วนหลิงเทียนคนนั้นรึ?”


 


สตรีในชุดแดงอันมีทรวดทรงองค์เอวโค้งเว้า ใบหน้างดงามไม่น้อย ยืนข้างม่านน้ำตกริมผนังผาหุบเขาเล็กๆด้วยอิริยาบถผ่อนคลาย มองถามไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยสายตาสงบ


 


“หวังหง เมื่อก่อนที่พวกเราสู้กันก็เพราะคิดช่วงชิงตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงที่ว่างลง…แต่ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น มันพึ่งมาถึงไม่ทันได้ทำอะไรก็คว้าตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงไปแล้ว”


 


ชายหนุ่มที่กำลังเอ่ยคำกับสตรีนางนี้ ก็คือเจิ้งหงอี้ที่พึ่งออกจากสถานที่พักของเหล่าศิษย์ฝ่ายในมานั่นเอง


 


“เจ้าทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้หรือ?”


 


เจิ้งหงอี้เอ่ยถามเสียงหนัก


 


“ได้แล้วอย่างไร ไม่ได้แล้วอย่างไร? เรื่องนี้อาจารย์ของเจ้าตัดสินใจไปแล้ว กระทั่งท่านปู่ของข้าก็มิอาจเปลี่ยนแปลงอันใดได้”


 


หวังหงมองสบตาเจิ้งงหงงอี้พลางตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ต้นจนจบทีท่าของนางแลดูเฉยๆสบายๆ คล้ายเรื่องนี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับนาง


 


“หวังหงต่อหน้าข้าเจ้ามิต้องเสแสร้งอันใด…คนที่ไม่รู้จักเจ้าอาจจะเชื่อว่าเจ้าไม่ยี่หระกับเรื่องนี้…”


 


เจิ้งหงอี้แสยยะยิ้มเย้ยหยัน “แต่ข้ารู้ดี…ว่าคนที่ไม่เต็มใจกว่าใครก็คือเจ้า!”


WSSTH ตอนที่ 3,046 : กะโหลกเลือด


 


 


 


เมื่อถูกเจิ้งหงอี้กล่าวเย้ย สีหน้าที่เคยสงบของหวังหงในที่สุดก็เริ่มเผยให้เห็นความเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง


 


“แล้วที่เจ้ามาหาข้า…เจ้ามีวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้วรึไร หรือมีวิธีใดที่จะจัดการเจ้านั่น?”


 


หวังหงมองสบตาเจิ้งหงอี้พลางถาม


 


ขณะเดียวกัน ลึกลงไปในแววตาของนางก็เริ่มฉายเจตนาฆ่าฟันให้เห็น


 


เป็นธรรมดาว่าเป้าหมายเจตนาฆ่าฟันของนางหาได้พุ่งเป้าไปที่เจิ้งหงอี้เบื้องหน้าไม่ แต่พุ่งเป้าไปยังคนที่มาชิงตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนสุดท้ายไปหน้าตาเฉย!


 


ดังที่เจิ้งหงอี้กล่าว นางเป็นคนที่ไม่อาจทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้มากกว่าใคร


 


“หวังหงในเมื่อที่นี่ก็มีแค่เจ้ากับข้า 2 คน เช่นนั้นก็มาพูดกันตรงๆเถอะ”


 


เจิ้งหงอี้กล่าวจบคำ ในมือก็ปรากฏจานค่ายกลแผ่นหนึ่ง จากนั้นพอมันจ่ายพลังลงสู่ตัวจ่านค่ายกล ก็เกิดเป็นม่านพลังอาคมหนึ่งครอบคลุมทั้ง 2 ทันที


 


และจานค่ายกลดังกล่าว เมื่อใช้งานก็จะสร้างม่านอาคมปิดกั้นเสียงภายในเอาไว้ ต่อให้เป็นราชาอมตะอันทรงพลังมายืนอยู่ข้างๆ แต่ถ้าหากยังไม่ได้ทำลายม่านพลังอาคมนี้ ก็คงยากที่จะได้ยินว่าผู้ที่อยู่ในม่านอาคมพูดคุยเรื่องอะไรกัน


 


“เจ้ายังคงระวังตัวแจไม่เปลี่ยน”


 


เห็นการกระทำของเจิ้งหงอี้ หวังงหงก็หรี่ตาลง จากนั้นก็เอ่ยออกเสียงเบา “เจ้าคิดจะพูดอะไรก็ว่ามาเถอะ”


 


“หวังหง ข้าคิดจะจ้างมือสังหารมาฆ่าต้วนหลิงเทียน!”


 


เจิ้งหงอี้เปิดประตูเห็นภูผากล่าวออกมาตรงๆ


 


“จ้างมือสังหาร?”


 


หวังหงคลี่ยิ้ม “วิธีนี้มันก็ดีอยู่หรอก…แต่องค์กรมือสังหารในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวน่ากลัวจะรักษาความลับผู้จ้างวานได้ก็ต่อเมื่อเป้าหมายมิเกี่ยวข้องใดกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลเท่านั้น…”


 


“แต่หากเกี่ยวข้องกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลขึ้นมา ตราบใดที่อาวุโสของคฤหาสน์เฉวียนโยวสักคนออกหน้าไปเค้นความพวกมัน เกรงว่าพอถึงตอนนั้นเจ้าคงถูกขายออกไปง่ายๆดั่งเศษขยะ!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยคมุมปากหวังหงก็เผยรอยยิ้มแดกดัน สีหน้ายังฉายชัดถึงความเย้ยหยันอย่างแรง


 


หากองค์กรมือสังหารในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวใช้การได้จริง เจิ้งหงอี้กับจ้วงฝานจะยังมีลมหายใจเหลือรอดอยู่ถึงวันนี้อีกเหรอ?


 


จังงหวะนี้หวังงหงรู้สึกว่าเจิ้งหงอี้ที่แท้ก็โง่งมทั้งไร้เดียงสานัก


 


“แล้วผู้ใดบอกว่าข้าจะไปจ้างวานนักฆ่าขององค์กรมือสังหารในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว?”


 


เจิ้งหงอี้ไม่ติดใจอะไรเรื่องที่หวังหงยิ้มถากถางทั้งกล่าวประชด เพียงมองไปยังหวังหงด้วยสีหน้าสงบเอ่ยออกเสียงเรียบ “ข้าคิดจะใช้บริการขององค์กรมือสังหารที่ทรงอำนาจมากที่สุดในแดนสวรรค์ใต้! 1 ใน 3 องค์กรมือสังหารลือชื่ออย่างกะโหลกเลือด!!”


 


“กะโหลกเลือด!?”


 


ได้ยินวาจาประโยคนี้ของเจิ้งหงอี้ ลูกตาหวังหงหดเล็กลงทันที


 


กะโหลกเลือดนั้นเป็น 1 ใน 3 องค์กรมือสังหารที่ทรงพลังที่สุดในแดนสวรรค์ใต้ และเป็นที่รู้จักกันดีวว่าพวกมันคือฝันร้ายของแดนสวรรค์ใต้ แน่นอนว่าสำหรับองค์กรมือสังหารแล้วการถูกผู้คนเรียกหาว่าฝันร้าย ก็คือการชื่นชมสรรเสริญที่น่าภาคภูมิใจเป็นที่สุด บ่งบอกถึงความร้ายกาจของพวกมันได้เป็นอย่างดี!


 


ลือกันว่าในองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดนั้น มีแม้กระทั่งมือสังหารขอบเขตจอมราชันอมตะ เพราะกระทั่งยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศคนหนึ่ง ยังไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือนักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ที่สำคัญบาดแผลที่พรากชีวิตของมันไป เกิดจากการลงมือเพียงกระบวนท่าเดียว!


 


ทุกคนรู้กันดีว่า…ต่อให้จะเป็นการลอบโจมตีอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวเพียงใด แต่ผู้ที่จะลอบสังหารตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศได้ในกระบวนเดียว น่ากลัวว่าจะมีแต่ตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะขึ้นไปเท่านั้น!


 


“เจ้า…เจ้ามีลู่ทางติดต่อกะโหลกเลือดด้วย?”


 


หวังหงเอ่ยถามเจิ้งหงอี้ออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ แม้ตอนนี้นางจะพยายามทำใจให้นิ่งไม่แตกตื่น แต่น้ำเสียงของนางยังเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เรียกว่าเสียงสั่นกันเลยทีเดียว!


 


แม้จะเห็นหวังหงเสียอาการไป แต่เจิ้งหงอี้ก็ไม่คิดเอาเรื่องนี้มาล้ออีกฝ่าย เพราะมันเองก็รู้ดีถึงพลังอำนาจขู่ขวัญของกะโหลกเลือด!


 


ไม่ต้องพูดถึงหวังหง ต่อให้เป็นปู่ของหวังหง ผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่มาอยู่ที่นี่ หากรู้ว่ามันมีลู่ทางติดต่อกับกะโหลกเลือด น่ากลัวว่าคงตกใจไม่ต่างกัน


 


องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดนั้น เป็นที่รู้จักกันดีในแดนสวรรค์ใต้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถติดต่อองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด และจ้างวานนักฆ่าของกะโหลกเลือดให้ฆ่าคนได้ง่ายๆ


 


หากคิดจะติดต่อกับองค์กรกะโหลกเลือด และจ้างนักฆ่าให้ลงมือสังหารผู้คน อย่างน้อยๆท่านก็ต้องมีผู้นำขุมกำลังระดับ 6 เป็นผู้ค้ำประกัน…


 


แน่นอนว่าหากคนค้ำประกันท่านเป็นจอมราชันอมตะ ก็สามารถใช้บริการกะโหลกเลือดได้เช่นกัน


 


เหตุไฉนที่องค์กรกะโหลกเลือดต้องการให้มีผู้ค้ำประกันแบบนี้ เป็นเพราะพวกมันคิดทำธุรกิจกับระดับสูงๆเท่านั้น และจัดการกับเป้าหมายระดับสูงๆ


 


เรียกว่านี่เป็น 1 ในบรรทัดฐานของพวกมัน!


 


“ไม่สิ…ต่อให้เจ้าจะมีลู่ทางติดต่อกับกะโหลกเลือด แต่หากเจ้ามิมีตัวตนระดับผู้นำขุมกำลังระดับ 6 หรือมีความแข็งแกร่งขอบเขตจอมราชันอมตะเป็นผู้ค้ำประกัน เจ้าก็มิอาจจ้างวานองค์กรกะโหลกเลือดได้!”


 


พอฉุกคิดได้ถึงจุดนี้ หวังหงก็ขมวดคิ้ว ในน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยคำถาม


 


“ปกติแล้วมันก็คงต้องเป็นเช่นนั้น…”


 


เจิ้งหงอี้พยักหน้า ค่อยกล่าวต่อว่า “แต่ถ้าหากข้าจะบอกว่า…การออกไปทำภารกิจครั้งสุดท้ายด้านนอก ข้าบังเอิญพบเจอลูกชายของตัวตนระดับสูงๆในองค์กรกะโหลกเลือด แล้วทำให้มันติดค้างข้าได้เรื่องหนึ่งเล่า?”


 


“ลูกชายของตัวตนระดับสูงๆในกะโหลกเลือด!?”


 


หวังหงสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ


 


“บิดาของมันเป็น 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรกะโหลกเลือด…แน่นอนว่ามันเป็นแค่ลูกนอกสมรสเท่านนั้น อย่างไรก็ตามแม้มันจะเป็นแค่ลูกนอกสมรส แต่เรื่องออกภารกิจสังหารใครสักคน มันยังพอมีความสามารถกระทำได้ไม่ยาก!”


 


“วันนั้นข้าบังเอิญช่วยมันเอาไว้ มันจึงแลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณกับข้า…และมันยังรับปากข้าไว้อีกว่า หากข้าต้องการสังหารผู้ใด มันจะออกภารกิจสังหารคนผู้นั้นให้ข้าครั้งหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องมีผู้นำขุมกำลังระดับ 6 หรือยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะค้ำประกัน”


 


เจิ้งหงอี้กล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


อันที่จริงสิ่งที่เจิ้งหงอี้กล่าวออกไปนั้น ไม่เป็นความจริงทั้งหมด


 


และนั่นก็คือ


 


ลูกชายนอกสมรสของรองผู้นำองค์กรกะโหลกเลือดคนนั้น ไม่ได้รับปากว่าจะออกภารกิจสังหารให้มันแค่ครั้งเดียว แต่รับปากมันไว้ว่าจะออกภารกิจฆ่าคนให้ 2 ครั้งโดยไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน!


 


แต่เป็นธรรมดาว่าเจิ้งหงอี้ไม่มีทางบอกจำนวณคนที่มันสามารถจ้างฆ่าได้ออกไปตามตรง เพราะใครจะไปรู้ว่าหวังหงจะบังเกิดความระแวงตัวมัน เรื่องใช้โอกาสที่ 2 นั่นฆ่านางด้วยอีกคนรึเปล่า…


 


“หากเป็นเช่นนี้ เจ้าก็มิจำเป็นต้องมาหาข้าให้เสียเวลา ไฉนไม่ขอความช่วยเหลือจากลูกผู้นำอะไรนั่น ให้ฆ่าต้วนหลิงเทียนทิ้งตรงๆ”


 


หวังหงกล่าว


 


“ก็นะ…เจ้าเองก็น่าจะเคยได้ยินมาแล้วว่าต่อให้เป็นมือสังหารระดับต่ำสุดขององค์กรกะโหลกเลือด แต่ก็เป็นถึงราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด! ถึงแม้ข้าจะขอให้ลูกชายนอกสมรสรองผู้นำองค์กรกะโหลกเลือดออกภารกิจสังหารฆ่าคนให้ข้าได้ครั้งหนึ่ง…แต่ข้าก็ยังต้องจ่ายค่าจ้างอยู่ดี”


 


“และเจ้าเองก็คงเดาได้ว่าค่าจ้างมือสังหารขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดมันไม่ใช่น้อยๆ ข้าเองก็มีทรัพย์สินจำกัด คงยากจะจ่ายได้ไหว…”


 


เจิ้งหงอี้กล่าวถึงจุดนี้ก็ไม่พูดอะไรต่อ เพียงมองสบตาหวังหงเขม็ง


 


“ที่เจ้ามาหาข้า เพราะคิดให้ข้าช่วยจ่าย?”


 


หวังหงกล่าวเย้ย


 


“ไม่ผิด”


 


เจิ้งหงอี้พยักหน้า


 


“เจ้าคิดว่าข้าจะร่วมกระโดดลงหลุมนี้ไปกับเจ้ารึ? เจ้าอยากฆ่าต้วนหลิงเทียนนั่นมันก็เรื่องของเจ้า มายุ่งอะไรกับข้า”


 


หวังหงยังคงกล่าวเย้ยหยันออกมาไม่หยุด สีหน้าแววตาที่ใช้มองเจิ้งหงอี้ ก็ทำราวกับกำลังมองตัวโง่งม


 


“เจ้าต้องกระโดดลงมาแน่…”


 


เจิ้งหงอี้จ้องตาหวังหงเขม็ง “หวังหง เจ้าคงรู้ดีว่าในแง่ความมั่งคั่งข้าสู้เจ้าไม่ได้เลย…ราคาที่ข้าต้องจ่ายเพื่อจ้างมือสังหารขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดขององค์กรกะโหลกเลือด สำหรับข้าแล้วมันหนักหนาไม่น้อย เรียกว่ากล่าวสั้นๆได้ 4 คำ นักรบตัดข้อมือ…”


(นักรบตัดข้อมือ = จ่ายออกด้วยราคาสาหัส, มาจากนิทานเรื่องหนึ่งที่นักรบถูกงูกัด จึงรีบตัดข้อมือตัวเองทิ้ง แต่แม้จะรอดจากพิษงูนักรบก็ไม่เหลืออะไร ไม่อาจเป็นนักรบได้อีก)


 


“ดังนั้นหากเจ้าไม่คิดจะช่วยข้าจ่าย เจ้าก็ทนดูต้วนหลิงเทียนนั่นมันนั่งตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 10 ของนิกาอมตะเป้าผู่เราไปเถอะ!”


 


เจิ้งหงอี้กล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดมองหวังหงเล็กน้อย ค่อยพูดต่อว่า “ถึงแม้เจ้านั่นมันจะออกจากนิกายอมตะเป้าผู่เราไปคฤหาสน์เฉวียนโยวไม่ช้าก็เร็ว แต่อย่างไรเสียตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงก็ยังคงเป็นของมันอยู่อีกนาน เจ้าเองก็ไม่ใช่ไม่ทราบว่าในบรรดาศิษย์ที่แท้จริง 9 คนที่เหลือ มีแค่ 3 คนเท่านั้นที่ยังอยู่ในนิกาย ส่วนที่เหลืออีก 6 คนไปอยู่ในคฤหาสน์เฉวียนโยวนานแล้วด้วยซ้ำ แต่จนวันนี้พวกมันยังคงมีสถานะศิษย์ที่แท้จริงอยู่”


 


เจิ้งหงอี้กล่าวถึงจุดนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง


 


“เจ้า…ลองคิดดูเองแล้วกัน”


 


พอกล่าวต่อออกมาจบคำ เจิ้งหงอี้ที่ปิดใช้จานค่ายกลแล้ว ก็ค่อยๆเหินร่างขึ้นไปในอากาศ เตรียมจะออกจากหุบเขาอันเป็นที่อยู่ของหวังหง


 


กล่าวไปหุบเขาแห่งนี้นั้น เป็นสถานที่บ่มเพาะของอาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ซึ่งเป็นปู่ของหวังหง ‘หวังหลงเซี่ยง’อย่างไรก็ตามนางในฐานะหลานสาวก็ชอบมาพักอาศัยที่นี่


 


เพราะสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่นี่ มันแทบจะเหมือนๆกับสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของสถานที่พักของศิษย์ที่แท้จริงเลย!


 


อย่างไรก็ตาม เจิ้งหงอี้นั้น แม้จะเป็นศิษย์สายตรงของซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ แต่มันก็ไม่มีสถานที่บ่มเพาะดีๆแบบนี้ ทำได้แค่บ่มเพาะพลังในที่พักสำหรับศิษย์ฝ่ายในเท่านั้น


 


ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากเจิ้งหงอี้เป็นศิษย์สายตรงของซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ อีกฝ่ายจึงคิดใช้มันเป็นแบบอย่างให้แก่เหล่าศิษย์ทั้งหลาย จึงไม่ได้มอบอภิสิทธิ์ใดๆให้มันสักอย่าง…


 


“เจ้าเองก็มีลูกแก้ววิญาณของข้า ย่อมใช้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณติดต่อข้าได้ทุกเมื่อ…ข้าจะรอคำตอบจากเจ้า”


 


ก่อนจะเหินร่างจากไป เจิ้งหงอี้ก็ไม่ลืมกล่าวทิ้งท้าย “อย่างไรก็ตามเจ้าสมควรให้คำตอบข้าให้เร็วที่สุด…เพราะคิดจะจ้างมือสังหารของกะโหลกเลือดฆ่าคน พวกมันก็ต้องทำการตรวจสอบเป้าหมายคร่าวๆก่อน”


 


“เมื่อพวกมันตรวจสอบเป้าหมายคร่าวๆเสร็จแล้ว…พวกมันถึงจะกำหนดราคาจ้างวานฆ่า”


 


“และตอนนี้เรื่องของต้วนหลิงเทียนที่พวกมันจะสืบพบ ก็มีแต่เรื่องที่ยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระพึ่งเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่เราเท่านั้น ราคาจ้างวานฆ่ามันยังคงไม่มากมายอะไร สมควรอยู่ในขอบเขตที่เจ้ากับข้าจ่ายไหว…”


 


หลังส่งเสียงผ่านพลังกล่าวประโยคนี้จบคำ ร่างเจิ้งหงอี้ก็เหินจากไปทันที และฟังจากคำพูดของมันแล้ว คล้ายไม่กังวลเรื่องที่หวังหงจะปฏิเสธแม้แต่น้อย


 


“ฮึ! สารเลว!”


 


หลังเจิ้งหงอี้เหินร่างจากไป สีหน้าหวังหงก็มืดลงทันที


 


ดังที่เจิ้งหงอี้กล่าว ด้วยฐานะของนาง ย่อมไม่อาจยอมรับใครที่ไหนก็ไม่รู้ แต่อยู่ๆก็มานั่งตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนสุดท้ายตัดหน้านางไปหน้าตาเฉยแบบนี้!


 


ทว่านางยังคงไม่พอใจนัก ที่เจิ้งหงอี้มากล่าวชวนนางในลักษณะนี้ เพราะนางรู้สึกเสมือนอีกฝ่ายกำลังจูงจมูกของนางอยู่!


 


อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ทำให้นางหงุดหงิดเท่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะมานั่งตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 10! ใจนางย่อมคิดอยากกำจัดต้วนหลิงเทียนให้พ้นทางโดยยเร็วที่สุด!!


 


‘ฮึ! เจิ้งหงอี้ ข้าไหนเลยจะให้เจ้ามาทำเป็นหยิ่งผยองลำพองต่อหน้าเจ้าได้…ข้าไม่มีวันเป็นฝ่ายติดต่อหาเจ้าก่อนหรอก อยากได้คำตอบเจ้าก็ต้องติดต่อท่านย่าผู้นี้มาเอง!!’


 


‘อีกทั้งเรื่องที่เจ้าคิดจะให้ข้าช่วยจ่ายครึ่งหนึ่งเจ้าฝันไปเถอะ อย่างดีข้าก็ช่วยจ่ายแค่ 3 ส่วนเท่านั้น!’


 


หวังหงลอบกล่าวในใจอย่างลับๆ


 


อย่างไรก็ตามแม้หวังหงจะลอบลั่นวาจาในใจอย่างแน่วแน่ แต่สุดท้ายพอเจิ้งหงอี้มาหานางอีกครั้งหลังจากผ่านไป 1 เดือน นางก็ยังคงรับปากเรื่องจะช่วยเจิ้งหงอี้ออกผลึกอมตะครึ่งหนึ่งอยู่ดี


 


เป็นธรรมดาว่า กะโหลกเลือดย่อมไม่พิศมัยผลึกอมตะของทั้งคู่ เช่นนั้นทั้งคู่จึงได้แต่จ่ายเป็นสิ่งของที่มีมูลค่าทัดเทียมอย่างอุปกรณ์อมตะและสมบัติล้ำค่าอย่างอื่นให้กับกะโหลกเลือดเท่านั้น


 


หลังจากเจิ้งหงอี้กับหวังหงตกลงเรื่องใครจะควักสิ่งใดออกมาจ่ายเป็นค่าจ้างแล้วเสร็จ มันก็เริ่มทำการติดต่อลูกชายนอกสมรสของ 1 ใน 3 ผู้นำองค์กรกะโหลกเลือดทันที


 


“นายน้อยเฉิน ข้าคือเจิ้งหงอี้จากนิกายอมตะเป้าผู่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว…พวกเราเคยเจอกันที่ป่าลี้ลับ ท่านจำได้หรือไม่ว่าท่านเคยบอกข้าไว้ ว่าท่านสามารถช่วยให้ข้าจ้างมือสังหารของกะโหลกเลือดฆ่าคนได้ 2 ครั้งโดยที่มิต้องมีผู้ใดค้ำประกัน ตอนนี้ข้าอยากใช้โอกาสที่ว่าสักครั้ง”


 


นั่นคือเนื้อหาที่ส่งผ่านยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณที่เจิ้งหงอี้ติดต่ออีกฝ่ายไปเป็นครั้งแรก


 


และหลังส่งข้อความผ่านยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณแล้ว เจิ้งหงอี้ก็ได้แต่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับเท่านั้น


 


และราวๆ 1 เค่อต่อมา มันก็ได้รับคำตอบ


 


“ข้อมูลเบื้องต้นของเป้าหมาย”


 


คำตอบของอีกฝ่ายก็ช่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมานัก


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้ฝึกตนอิสระ อายุไม่ถึงร้อยปี เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ โด่งดังขึ้นมาหลังออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวและเลือกจะเข้าร่วมกับนิกายอมตะเป้าผู่”


 


เจิ้งหงอี้ก็เร่งตอบกลับไปทันที


WSSTH ตอนที่ 3,047 : เฉินหลี


 


 


“อายุไม่ถึงร้อยปี เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการรึ?”


 


ในดินแดนสวรรค์ใต้ พื้นที่อิสระแห่งหนึ่งที่แยกตัวออกมาจากการปกครองของเขตคฤหาสน์ระดับ 6 ทั้งหลาย ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ปานพระราชวัง ร่างชายคนหนึ่งนั่งจิบชาอยู่ในลานว่าง อย่างไรก็ตามไม่ทราบเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆมือของมันก็ออกแรงบีบถ้วยชามากไป จนถ้วยชาแตกละเอียด!


 


“มีอะไรหรือ เฉินหลี?”


 


ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งงตรงข้ามกับชายหนุ่มที่บีบถ้วยชาแตก อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย


 


“ไม่มีใด…ข้าพึ่งได้รับการติดต่อจากคนในขุมกำลังระดับ 7 คนหนึ่งที่ข้าเคยพบตอนไปแถวเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว มันพึ่งติดต่อมาขอให้ข้าออกภารกิจฆ่าคนผู้หนึ่ง”


 


ชายหนุ่มที่พลั้งมือบีบถ้วยชาจนแหลกมีนามว่า เฉินหลี เป็นลูกชายนอกสมรสของ 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรมือสังหาร กะโหลกเลือด


 


และที่นั่งตรงข้ามกับเฉินหลี ก็เป็นสหายของมันเอง ลักษณะท่าทางให้ความรู้สึกไม่ธรรมดา เห็นชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ


 


เฉินหลียังมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม ใส่ชุดคลุมหรูหราขลิบเงิน หากแต่สีผิวรวมถึงสีหน้าของมันค่อนข้างซีดเล็กน้อย ราวกับพวกที่หลงมัวเมาในสุรานารี


 


อย่างไรก็ตาม เฉินหลีนั้นไม่ได้ติดสุรานารีแต่อย่างไร


 


เหตุไฉนที่ผิวมันซีดแบบนี้ เป็นเพราะขาดสารอาหารมาแต่กำเนิด


 


ในอดีตมารดาที่ตั้งครรภ์มัน ได้เร่งรุดหนีตายอย่างหัวซุกหัวซุน จากการตามล่าของมือสังหารที่ภรรยาหลวงบิดาส่งมา สุดท้ายนางก็หลบหนีได้พ้นจนคลอดมันออกมาได้สำเร็จ แต่ในระหว่างหลบหนีนั้น นางไหนเลยจะมีเวลาบำรุงครรภ์ เช่นนั้นมันพอคลอดออกมาก็ป่วยออดๆแอดๆตั้งแต่แบเบาะ


 


จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้บิดารู้สึกผิดกับมันมาก ภายหลังอีกฝ่ายจึงดูแลมันอย่างดีเป็นการชดเชย


 


อันที่จริงเหตุไฉนที่บิดาดูแลมันอย่างดีนั้น เพราะมันเป็นลูกชายคนเดียว พี่น้องร่วมบิดาของมันที่เหลือล้วนเป็นสตรีทั้งหมด!


 


เฉินหลีมีพี่สาวต่างมารดา 9 คน และน้องสาวต่างมารดา 13 คน!


 


เรียกว่ามันเป็นลูกชายคนเดียวของบิดา แม้สภาพร่างกายมันจะไม่ค่อยดีตั้งแต่แรกเกิด แต่บิดาของมันก็พยายามหาโอสถอมตะ ยาอายุวัฒนะมากมายหลายแหล่มาให้มันกิน จนในที่สุดร่างกายของมันก็ค่อยๆดีขึ้นจนเป็นอย่างปัจจุบัน


 


และตอนนี้ให้มันบำรุงมากแค่ไหน ก็ไม่อาจมีสภาพดีขึ้นไปกว่านี้ได้แล้ว


 


ด้วยเหตุนี้ ศักยภาพพรสวรรค์ และความเฉลียวฉลาดของมันจึงไม่ได้ดีเด่อะไร เพียงเทียบได้กับคนธรรมดาเท่านั้น ในบรรดาพี่น้องทั้งหลาย มันเป็นผู้ที่อ่อนด้อยที่สุด


 


อย่างไรก็ตามด้วยความที่มันเป็นลูกชายคนเดียว เช่นนั้นมันจึงได้รับสิ่งดีๆ สุดที่พี่สาวน้องสาวของมันจะเทียบได้


 


“ฆ่าใครรึ?”


 


ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเฉินหลีเอ่ยถามด้วยความอยากรู้


 


ชาหนุ่มผู้นี้สวมใส่ชุดคลุมสีขาว ใบหน้าหล่อเหลา ในมือถือพัดเล่มหนึ่ง ท่าทางกิริยาแลดูสง่างามไม่ธรรมดา ไม่เพียงให้ความรู้สึกพิเศษ ใบหน้ายังคลี่ยิ้มตลอดเวลา พาลให้ผู้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกเสมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ


 


เรียกว่าการที่มันมานั่งอยู่กับเฉินหลี ช่างเป็นอะไรที่ดูแตกต่างกันคนละขั้วจริงๆ


 


“ถึงกับทำให้เจ้าเหม่อได้..หรือจะไม่ธรรมดา?”


 


ชายหนุ่มผู้แลดูสง่างามเอ่ยถาม


 


“ผู้ฝึกตนอิสระอายุน้อยกว่าร้อย บรรลุยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แถมเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ…มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวตอนใต้ เพราะรอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณได้ในอันดับ 2 ตอนนี้ได้เข้าร่วมกับนิกายอมตะเป้าผู่แล้ว คนที่ติดต่อมาหาข้าก็เป็นคนของนิกายอมตะเป้าผู่เหมือนกัน”


 


เฉินหลี หยุดเล็กน้อยคล้ายนึกอะไรบางอย่าง สักพักก็กล่าวสืบต่อ “หากจำไม่ผิดคนที่ติดต่อข้ามาเรียกว่าเจิ้งหงอี้ เป็นศิษย์สายลำดับ 3 ของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่”


 


“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้านั่นจะติดต่อกะโหลกเลือดให้ฆ่าเจ้าหนุ่มอัจฉริยะนั่น ดูท่ามันคงกริ่งเกรงว่าความสามารถของเจ้าอัจฉริยะนั่นจะขัดผลประโยชน์ของมัน…แต่ไม่กล้าลงมือเองด้วยกลัวจะถูกสืบพบ เลยติดต่อข้ามาหมายให้กะโหลกเลือดลงมือแทน”


 


หากเจิ้งหงอี้อยู่ที่นี่คงอดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่บ้าง เพราะเฉินหลีเข้าใจสิ่งที่มันต้องการทั้งหมด


 


“อายุไม่ถึงร้อย ไม่เพียงทะลวงถึงอดเซียนอมตะขั้นสูงุสดแต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการว ยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระอีก ไม่พูดไม่ได้ ไอ้เจ้าหนุ่มนี่มันช่างมากพรสวรรค์และเฉลียวฉลาดผิดผู้คนจริงๆ”


 


ขณะกล่าวประโยคนี้เสียงเฉินหลีก็เริ่มเบาลงง ราวกับกำลังพึมพำกับตัวเองเบาๆ


 


ขณะเดียวกันลึกลงไปในแววตาของงมันก็บังเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมา…ไม่ผิด ในชีวิตเฉินหลี ที่อิจฉาที่สุดก็คือเหล่าอัจฉริยะผู้มากพรสวรรค์ทั้งหลาย!


 


เพราะไม่ว่าจะพรสวรรค์หรือวามสามารถใดๆมันก็อยู่แค่กลางๆเท่านั้น


 


“ไม่จริงหน่า อายุไม่ถึงร้อย เข้าใจความลึกซึ้ง 2 ประการแถมทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแล้ว แต่เป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระเนี่ยนะ?”


 


ได้ยินคำพูดของเฉินหลี่ ชายหนุ่มสง่างามก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย “ไอ้เจ้าหนุ่มนั่น ต่อให้มองไปทั่วคฤหาสน์ระดับ 6 ทั้งหลายก็ไม่ใช่ว่าจะพบเจอได้ง่ายๆไม่ใช่รึไง?”


 


ความสำเร็จขนาดนี้ด้วยวัยไม่ถึงร้อยปี ต่อให้เป็น 10 ตระกูลหลัก และ 5 นิกายระดับแนวหน้าของแดนสวรรค์ใต้ก็ไม่ใช่จะมีปรากฏให้เห็นบ่อยๆ ยังกล่าวได้ว่ายากจะปรากฏตัวด้วยซ้ำ


 


“แล้วเจ้าจะเอาไง?”


 


ชาหนุ่มสง่างามเอ่ยถาม


 


“ข้าเคยรับปากมันว่าจะตอบแทนบุญคุณที่มันช่วยข้าไว้…ธุรกิจครั้งนี้ข้าคงต้องทำในนามของพวกเรา”


 


เฉินหลีกล่าว


 


“เรื่องนี้เจ้าระวังให้มากหน่อยดีกว่า ตรวจสอบความเป็นมาเจ้าอัจฉริยะนั่นให้ละเอียดๆ…ข้ารู้สึกว่าตัวตนอัจฉริยะแบบมัน ไม่น่าจะเป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระไปได้”


 


ชายหนุ่มสง่างามเอ่ยเตือนอย่างจริงจัง


 


เฉินหลีเป็นสหายเพียงไม่กี่คนที่มันมี เป็นธรรมดาว่ามันไม่อยากให้เฉินหลีไปตอแยคนที่ไม่อาจล่วงเกิน จนอีกฝ่ายเผชิญกับหายนะเภทภัยยากแก้ไข


 


ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาของคนในขุมกำลัระดับ 7 เท่านั้น เรียกว่าไม่คุ้มเสี่ยงเลย!


 


“ไม่ต้องห่วงหน่า..”


 


ใบหน้าซีดเซียวของเฉินหลีคลี่ยิ้มอันหาได้ยากออกมา “หน่วยข่าวกรองของกะโหลกเลือดเราเป็นไงเจ้าเองก็รู้ดี ไม่ว่าเจ้านั่นจะมีความเป็นมาอะไร สุดท้ายก็ต้องโดนขุดออกมาจนหมด!”


 


“และหากตรวจสอบแล้วพบว่ามันมีความเป็นมาไม่ธรรมดาจริงๆ กะโหลกเลือดเราจะไม่เคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น และข้าก็ไม่ลังเลที่จะปฏิเสธเจ้าเจิ้งหงอี้นั่น”


 


เฉินหลีกล่าว


 


ถึงแม้กระโหลกเลือดจะน่ากลัวสำหรับผู้คนในแดนสวรรค์ใต้ แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่พวกมันไม่อาจแตะต้องได้


 


อย่างเช่นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับบจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่ปกครองแดนสวรรค์ใต้


 


ยกตัวอย่าง หากมีคนติดต่อขอให้ฆ่าศิษย์สาวกของ 10 ตระกูลหลัก หรือศิษย์คนสำคัญของ 5 นิกายใหญ่ ให้มันมีความกล้ามากกว่านี้ร้อยเท่า มันก็ไม่กล้ารับงานแน่นอน!


 


ในแดนสวรรค์ใต้ ขุมกำลังที่เหนือกว่าคฤหาสน์ระดับ 6 ก็คือขุมกำลังระดับ 5!


 


และต้องทราบด้วยว่า ในแดนสวรรค์ใต้ มีขุมกำลังระดับ 5 แค่ 15 ขุมกำลังเท่านั้น นั่นก็คือ 10 ตระกูลหลักและ 5 นิกายใหญ่ นับว่าพวกมันยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแดนสวรรค์ใต้


 


“เช่นนั้นก็ดี”


 


ดิ้นคำพูดของเฉินหลี ชายหนุ่มที่แลดูสง่างงามก็พยักหน้า คิ้วที่ขดย่นเป็นปมของมันเริ่มคลายตัว โล่งใจขึ้นมาไม่น้อย


 


มันเองก็รู้ความสามารถของหน่วข่าวกรองกะโหลกเลือด เรียกว่านั่นคือหน่วยข่าวกรองอันดับต้นๆของแดนสวรรค์ใต้เลยก็ว่าได้


 


กระทั่งหน่วยข่าวกรองของขุมกำลังเบื้องหลังมัน ก็ยังไม่ทรงพลังเท่าหน่วยข่าวกรองของกะโหลกเลือด


 


ท้ายที่สุดแล้วกะโหลกเลือดก็เป็นองค์กรมือสังหาร ย่อมให้ความสำคัญกับหน่วยข่าวกรองเป็นที่สุด เพราะธุรกิจหลักนั้นเรียกว่าต้องพึ่งข้อมูลเป็นหลัก


 


“ว่าแต่เจ้าจะกลับเมื่อไหร่รึ”


 


เฉินหลีหันไปมองถามชายหนุ่มถือพัด


 


“พรุ่งนี้ข้าว่าจะกลับแล้วล่ะ…ข้าออกข้างนอกมาครั้งนี้ก็นานพอดู สมควรที่ต้องกลับไปได้แล้ว วันหน้าหากเจ้าว่างก็แวะไปหาข้าบ้าง จะตอนไหนข้าก็พร้อมต้อนรับ”


 


ชายหนุ่มสง่างามกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“ได้…อย่างไรเสีย เจ้าก็นับเป็นสหายคนเดียวที่ข้ามี”


 


รอยยิ้มพลันปรากฏบนใบหน้าซีดเซียวของเฉินหลีอีกครั้ง และแลดูแปลกตาอยู่บ้าง


 


หากในโลกนี้จะมีอัจฉริยมากพรสวรรค์คนไหนที่มันไม่อิจฉาล่ะก็ เห็นทีจะเป็นชายหนุ่มเบื้องหน้าคนเดียวเท่านั้น


 


สหายเพียงคนเดียวของมัน


 


พอเสียงเฉินหลีดังจบคำ ชายหนุ่มสง่างามถือพัดก็อดทอดถอนในใจไม่ได้


 


หากถามว่าในโลกนี้ใครที่รู้จักเฉินหลีดีที่สุด เกรงว่านอกจากมารดาแท้ๆของเฉินหลีแล้ว ก็คงมีแต่มัน


 


“เจ้าก็จะเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้าตลอดไป…”


 


ชายหนุ่มสง่างามเอื้อมมือไปตบไหล่เฉินหลีเบาๆ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าซีดเซียวของเฉินหลีก็แลดูสดใสทั้งแปลกตามากยิ่งขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นอัปลักษณ์ปานจะร่ำไห้


 


แน่นอนว่าตอนนี้มันรู้สึกมีความสุขและยินดีจากใจ


 


ก็แค่ใบหน้าของมันไม่เอื้ออำนวยให้มันยิ้มเท่าไหร่ แถมสีหน้ายังซีดๆ พอยิ้มร่าจริงๆ ก็เลยกลายเป็นแบบนี้


 



 


ณ เขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว นิกายอมตะเป้าผู้


 


“นี่น่ะเหรอ หอตำรา?”


 


ต้วนหลิงเทียนหยุดยืนบนแท่นศิลาทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่คล้ายจะถูตัดด้วยกระบี่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มองจ้องไปยังอาคารสูง 7-8 ชั้นที่ตั้งตระหง่านแลดูน่าเกรงขาม ใจยังสั่นไหวไปเล็กน้อย


 


อันที่จริงอาคารหลังนี้มีทั้งหมด 9 ชั้น เป็นหอตำราฝ่ายในของนิกายอมตะเป้าผู่ ซึ่งภายในมีเคล็ดอมตะ วรยุทธ์อมตะ เวทย์พลัง และยันต์อมตะเก็บความทรงจำต่างๆมากมาย


 


แน่นอนว่ายังมีตำราเก่าๆ ยันต์อมตะเก็บความทรงจำ รวมถึงลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกการต่อสู้ของยอดฝีมือที่เข้าใจกฏต่างๆไว้มากมาย


 


และจุดประสงค์การมาที่นี่ของต้วนหลิงเทียน ก็คือขึ้นไปยังชั้น 9 ของหอตำรานิกายอมตะเป้าผู่ และยังเป็นชั้นบนสุดของหอตำราหลังนี้อีกด้วย


 


ที่ชั้นบนสุดของหอตำราจะมีเคล็ดอมตะ วรยุทธ์อมตะ และเวทย์พลังระดับราชาประจำนิกายอมตะเป้าผู่เก็บไว้


 


เคล็ดอมตะ วรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังประจำกายอมตะเป้าผู่นั้น มีแต่ศิษย์ฝ่ายในที่โดดเด่น ศิษย์ที่แท้จริง และศิษย์สายตรงเท่านั้นที่จะรับไปฝึกได้ หากไม่ใช่ผู้ที่โดดเด่นก็ได้แต่ฝึกวิชาอื่นๆที่ทางนิกายเก็บสะสมไว้เท่านั้น


 


เรียกว่ามีแต่ตัวตนระดับสูงๆเท่านั้นที่จะขึ้นไปได้


 


หอตำรามีประตูทางเข้าออกเพียงแค่แห่งเดียว ก็คือประตูที่ชั้นล่างสุด กล่าวได้ว่าหากต้วนหลิงเทียนคิดจะขึ้นไปชั้นบนสุดก็จำต้องเข้าทางประตูหน้า และเดินขึ้นไปตั้งแต่ชั้นแรก


 


ที่หน้าประตูชั้นแรก มีนักพรตเต๋าร่างกำยำ 2 คนขวางทางอยู่ พอเห็นต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามา ทั้งคู่ก็ชักกระบี่มาไขว้กันไว้เป็นกากบาท ปิดทางต้วนหลิงเทียนทันที


 


มีหอตำราในนิกายอมตะเป้าผู่ทั้งสิ้น 2 หอ หนึ่งในนั้นก็คือหอนี้ ส่วนอีกแห่งนั้นเป็นหอตำราฝ่ายนอก


 


และหอตำราแห่งนี้หรือก็คือหอตำราฝ่ายใน หากคิดจะเข้าไป ก็จำเป็นต้องแสดงป้ายประจำตัวบอกฐานะออกมาก่อน


 


ที่มีกฏแบบนี้ ก็เพื่อกันไม่ให้ศิษย์ฝ่ายนอกเข้าไปได้


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ว่าการเข้าหอตำราต้องใช้ป้ายประจำตัว แต่เขาก็พอจะเดาได้ เพราะเห็นว่าคนที่เข้าไปก่อนหน้านั้นต่างห้อยป้ายไว้ให้เห็นง่ายๆทั้งสิ้น มีแต่เขาที่เก็บไว้ในตัว จึงหยิบป้ายประจำตัวออกมาชูแสดงให้นักพรตที่ขวางทางทั้ง 2 แลเห็นชัดๆทันที


 


“ศิษย์ที่แท้จริง!?”


 


และพอเห็นป้ายประจำตัวที่ต้วนหลิงเทียนแสดง ลูกตานักพรตทั้ง 2 ก็หดเล็กลงโดยพลัน


 


“ที่แท้อัจฉริยะที่ได้ตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงตั้งแต่แรกเข้านิกายที่ลือกันอยู่ช่วงนี้ ก็คือสหายน้อยนี่เอง…ช่างหล่อเหลาทั้งมากพรสวรรค์จริงๆ!”


 


นักพรตเต๋าวัยกลางคนผู้หนึ่งมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาท่าที ทำราวกับจะประจบประแจงอัจฉริยะ


 


ส่วนนักพรตเต๋าวัยกลางคนอีกคนแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาก็เผยความกระตือรือร้นไม่น้อย กระทั่งยังเก็บกระบี่เร็วไวกว่าสหายที่กล่าวประจบเสียอีก


 


ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าส่งยิ้มให้ทั้งคู่เป็นการทักทายอบ่ามากอัธยาศัย ค่อยเดินเข้าไปด้านใน


 


เหล่าศิษย์ฝ่ายในด้านหลังที่คิดจะเข้าไปในหอตำราเช่นกัน พอได้ยินคำพูดนักพรตเต๋าวัยกลางคน ก็อดไม่ได้ที่จะมองแผ่นหลังชายหนุ่มชุดม่วงที่พึ่งก้าวอาดๆเข้าไปด้านในอย่างเหม่อลอย ด้วยไม่คิดเลยว่าคนเมื่อครู่ที่แท้จะเป็นคนดังในข่าวลือช่วงนี้นี่เอง


 


“ข้าได้ยินมาว่าต้วนหลิงเทียนคนนั้นยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ก็บรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้แล้ว…แถมยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการอีก!!”


 


“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าตัวตนที่ยากจะพบพานในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวกลับมาปรากฏตัวที่นิกายอมตะเป้าผู่เราจริงๆ”


 


“ที่น่าทึ่งเป็นที่สุดก็คือ มันเป็นผู้ฝึกตนอิสระนี่ล่ะ!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)