War sovereign Soaring The Heavens 3030-3036
WSSTH ตอนที่ 3,030 : หนึ่งสบถเสียงเย็น
หลังได้ฟังเรื่องราวความทรงจำที่หายไปทั้งหมด ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจว่าทำไมเสียงสตรีในทะเลวิญญาณของเขา ถึงได้ขอให้เขาช่วยบอกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นว่านางไม่เป็นอะไร
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!”
ต้วนหลิงเทียนเลือกจะส่งเสียงผ่านพลังไปทักหลิงเจวี๋ยอวิ๋น และพอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหันมามองเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า เชาก็เริ่มส่งเสียงผ่านพลังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกไปทันที
เรื่องที่เล่าก็มีการพบเจอกันหลังผ่านบททดสอบแรกในวังจอมราชันอมตะ และอีกฝ่ายเรียกเขาไปคุยเป็นการส่วนตัว จากนั้นก็บอกว่าหวงเอ้อได้ออกจากทะเลวิญญาณของอีกฝ่าย มาอยู่ในทะเลวิญญาณเขา
ทุกเรื่องที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูดกกับเขา ก็ถูกเล่าออกไปเช่นกัน
นอกจากนั้นเพื่อให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเชื่อว่าที่เขาพูดเป็นความจริง เขายังกล่าวถึงอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิประเภทชุดเกราะ รูปลักษณ์ผ้าคลุมที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นใช้ กระทั่งเอ่ยถึงกระบี่สีคราม 3 ฉื่ออันเป็นอุปกรณ์เทพที่อีกฝ่ายนำออกมาใช้ในหุบเขากาลเวลาด้วย
อันที่จริงแล้วกระบี่ที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนำออกมาใช้ในหุบเขากาลเวลาเพื่อสังหารอวิ๋นจ้านนั้น มันไม่ได้เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่มันเป็นอุปกรณ์เทพชิ้นหนึ่ง แม้จะเป็นระดับต่ำ แต่พลังอานุภาพก็ไม่มีทางด้อยกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิแน่นอน!!
ด้วยเพราะต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงเรื่องพวกนี้ออกมา แววตาที่สงสัยคลางแคลงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในตอนแรก ก็เริ่มอ่อนลงหลายส่วน
ด้วยเหตุนี้ ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจึงรับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านในวังจอมราชันอมตะ กลับกันคนอื่นๆที่ถูกส่งตัวออกมาจากวังจอมราชันอมตะนั้น ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรที่เกิดขึ้นด้านในเลย
กระทั่งมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเอง หลังออกมาสีหน้าของนางก็แลดูว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแม้แต่น้อย
“232 แต้ม…ด้วยคะแนนมากมายขนาดนี้ แต่ข้ายังไม่ได้อันดับ 1 อีกหรือ?”
หลังงตรวจสอบคะแนนสะสมในนป้ายหยกของตัวเอง มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองตารางจัดอันดับด้วยความตกใจ
“อันดับ 1 หลิงเจวี๋ยอวิ๋น 298 แต้ม?”
“อันดับ 2 ต้วนหลิงเทียน 286 แต้ม!?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวขมวดคิ้วยู่ย่น นางไม่เคยได้ยินชื่อสองคนนี้มาก่อนเลย เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่สองคนอันไร้ชื่อเสียงกลับสามารถรั้งอยู่ในอันดับ 1 และ 2 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ได้ ก็สร้างความตกใจให้นางไม่น้อย
“คุณหนูรอง”
ตอนนี้เองอาวุโสทั้ง 2 คนของตระกูลมู่หรงก็เหินร่างเข้าไปหามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ด้านมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพอเห็นทั้งคู่เข้ามา ก็เร่งทักทายกลับไปทันที
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั้น นอกจากเป็นอัจฉริยะที่ไม่เคยมีมาก่อนในตระกูลมู่หรงแล้ว ยังเป็นลูกคนที่ 2 และเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของผู้นำตระกูลมู่หรคนปัจจุบันอีกด้วย
เรียกว่าเป็นบุตรีที่โดดเด่นเหนือบุตรชายทั้งหมด!
“คุณหนูรอง…ท่านจดจำมิได้เลยหรือ ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านในบ้าง?”
อาวุโสตระกูลมู่หรงคนหนึ่งเอ่ยถาม
“อื้อ ข้าจำได้แค่ข้ามีคะแนนสะสม 12 แต้มเท่านั้น…จากนั้นความทรงจำของข้าก็เสมือนขาดหายไป ไม่คิดเลยว่ารู้ตัวอีกทีข้าจะมี 232 แต้มแล้ว แต่ที่น่าเหลือเชื่อก็คือขนาดนี้ข้ายังมิได้เป็นอันดับ 1”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวส่ายหัวก่อนค่อยกล่าวออกมา ยังอดถอนหายใจปิดท้ายไม่ได้
“ท่านผู้อาวุโสทั้ง 2 แล้วพวกท่านรู้หรือไม่ว่า 2 คนนั้นเป็นผู้ใด?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเอ่ยถามผู้อาวุโสตระกูลมู่หรงทั้งคู่ พลางหันไปมองรายชื่ออันดับ 1 และอันดับ 2 บนตารางจัดอันดับ
“คุณหนูรอง ทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มาในนามประเทศตงหมิง ส่วนต้วนหลิงเทียนเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มาในนามประเทศฝูชิว กล่าวได้ว่าล้วนเป็นคนของดินแดนพันประเทศทั้งคู่”
หนึ่งในอาวุโสตระกูลมู่หรงกล่าวตอบ
“คุณหนูรอง ชายทั้งสองนั่นมิใช่ผู้ฝึกตนอิสระธรรมดาๆเป็นแน่ เพราะคราวนี้ไม่เพียงแต่พวกมันจะได้อันดับ 1 กับอันดับ 2 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ…พวกมันยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี!”
อาวุโสอีกคนของตระกูลมู่หรงกล่าวเสริม สีหน้ายังแลดูเคร่งเครียดไม่น้อย
“อะไรนะ?”
“ไม่ถึง…อายุไม่ถึงร้อยปีงั้นเหรอ!?”
หากบอกว่าวาจาของอาวุโสคนแรกทำให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวประหลาดใจอยู่บ้างล่ะก็
วาจาของอาวุโสคนที่สอง นับว่าทำให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวตกใจครั้งยิ่งใหญ่จริงๆ!
ทั้งสองคนที่มีอันดับเหนือกว่านางไม่เพียงแต่จะเป็นผู้ฝึกตนอิสระ แต่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีด้วย?
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เริ่มหันมองตามสายตาของคนหมู่มาก จนในที่สุดก็สังเกตเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ลอยร่างอยู่โดดเดี่ยว
และครู่ต่อมา นางที่แผ่สำนึกเทวะออกไปก็พบว่าอีกฝ่ายยังมีกลิ่นอายเลือดเนื้อไม่ถึงร้อยปีจริงๆ
“ยังมีต้วนหลิงเทียนอีกคน…”
จากนั้นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็หันไปมองหาต้วนหลิงเทียน และพอพบเจออีกฝ่าย นางก็ตรวจพบว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน!
“หืม?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองจ้องมาของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ต้วนหลิงเทียนก็เผลอหันไปมองนางโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากภายในร่างเขา “เจ้าหนู สตรีนางนั้นคือมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว!
ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันทีว่านางเป็นใคร
นามนี้เขาได้ยินปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเล่าให้ฟังแต่แรก จึงรู้ว่าอีกฝ่ายมาพยายามตีซี้จนเขารำคาญที่หุบเขากาลเวลา แต่หลังจากที่รู้ว่าในหุบเขากาลเวลาไร้สมบัติที่ต้องช่วงชิง อีกฝ่ายก็เลิกสนใจเขาทันที
‘เท่าที่ดู ท่าทางนางจะจดจำข้าไม่ได้แม้แต่น้อย…’
หลังหันไปมองสบตามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวปราดเดียว จากสายตาที่นางมองส่งมา ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเสมือนพึ่งเคยเห็นเขาเป็นครั้งแรก และจดจำเขาไม่ได้เลย
“เอาล่ะ คนที่กลับออกมาจากแดนลับสวรรค์ใต้โบราณทั้งหลาย ขอให้พวกเจ้ากลับไปรวมตัวกับขุมกำลังของพวกเจ้าเสีย”
เสียงของจ่างซุนฉงฉี 1 ในคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลดังขึ้นอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนที่ลอยอยู่ข้างๆหวงเจียเชาก็เหินร่างออกจากบริเวณหน้าทางเขาแดนสวรรค์ใต้โบราณทันที
ต่อมาต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาก็กลับมารวมกลุ่มกับพวกหูหลินอี้และคนอื่นๆของประเทศฝูชิวอีกครั้ง
ด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ย้อนกลับไปรวมกลุ่มกับคนของประเทศตงหมิง
“ต้วนหลิงเทียน ขอแสดงความยินดีด้วย”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกลับมาพร้อมอันดับ 2 หูหลินอี้ก็คลี่ยิ้มหน้าบานต้อนรับต้วนหลิงเทียนอย่างกระตือรือร้น ท่าทางของมันคล้ายลืมเลือนการตายของลูกชายที่โดดเด่นที่สุดไปหมดสิ้น กระทั่งยังแลดูดีใจจนออกนอกหน้า
“และเจียเชา…เจ้าเองก็ไม่เลวเลยทีเดียวที่สามารถติดอยู่ใน 100 อันดับแรกได้”
หลังจากต้อนรับต้วนหลิงเทียนแล้ว หูหลินอี้ก็หันไปกล่าวชมหวงเจียเชาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“หืม? ชื่อขององค์ชาย 4 ล่ะ…”
ขณะเดียวกันหวงเจียเชาที่พึ่งจะกวาดตามองรายชื่อในตารางจัดอันดับจบ ก็พบเจอแค่ชื่อของพี่ชายตัวเองอย่างหวงเจียหลงเท่านั้น แต่กลับไม่พบชื่อ หูจี้หย่ง ขององค์ชาย 4 เลย
ด้วยเหตุนี้ก็มีความเป็นไปได้เพียงประการเดียวเท่านั้น
หูจี้หย่งตายแล้ว!
จากนั้นมันก็ลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆด้วยความหนาวเหน็บ มองหูหลินอี้อีกครั้ง สายตายังเผยความระมัดระวังไม่น้อย
“หย่งเอ๋อ ตกตายแล้ว…”
หูหลินอี้กล่าวออกมาเสียงเข้ม หลังเห็นสายตาของหวงเจียเชา
“ขอฝ่าบาทระงับความเศร้าโศกด้วย”
หวงเจียเชาเร่งกล่าวปลอบออกไปทันที
ขณะเดียวกัน ผู้คนมากมายที่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนกลับมารวมกลุ่มกับหูหลินอี้ฮ่องเต้ฝูชิวแล้ว พวกมันก็เร่งเข้ามาประสานมือกล่าวคำแสดงความยินดีทันที
“ฮ่องเต้หู ขอแสดงความยินดีด้วย!”
“ฮ่องเต้หู ท่านนับว่าโชคดียิ่ง ที่มียอดฝีมืออันร้ายกาจเช่นต้วนหลิงเทียน! ของรางวัลจาก 3 นิกาย 2 ตระกูล น่ากลัวคงทำให้ท่านร่ำรวยแย่แล้ว”
“อันดับที่ 2 ในตารางจัดอันดับ…จึกๆๆ ฮ่องเต้หู ในฐานะผู้แนะนำ รางวัลที่ท่านจักได้รับน่กลัวคงทำให้พวกเราอิจฉาตาร้อนแล้วจริงๆ”
…
ในขณะที่กลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาแสดงความยินดีกับหูหลินอี้ ในแววตาของพวกมันก็ฉายให้เห็นถึงความอิจฉาอย่างยากจะปกปิด แม้ผิวเผินพวกมันจะเข้ามาแสดงความยินดีกับหูหลินอี้ แต่ในใจลอบค่อนแคะว่าอีกฝ่ายก็แค่โชคดีเท่านั้น
การเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ 3 นิกาย 2 ตระกูลย่อมตบรางวัลให้ผู้แนะนำตามอันดับของคนที่ส่งเข้าไป…
ยิ่งคนของท่านทำผลงานได้ดีและมีอันดับสูงมากเท่าไหร่ รางวัลที่ผู้แนะนำจะได้รับก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
และด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนได้ถึงอันดับที่ 2 จึงกล่าวได้ว่า ของรางวัลที่หูหลินอี้จะได้รับ ก็คงเป็นรองแค่ฮ่องเต้ตงหมิงคนเดียว และแน่นอนว่ามันมากมายมหาศาลสำหรับฮ๋องเต้ประเทศระดับ 8 แน่นอน!
และฮ่องเต้ของประเทศตงหมิงนั้น เนื่องจากมันเป็นผู้นำหลิงเจวี๋ยอวิ๋น อันดับ 1 มาแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ ของรางวัลที่มันจะได้รับ ก็นับว่ามีมูลค่าสูงที่สุด!
“ฮ่าๆๆ…เจวี๋ยอวิ๋น เจ้านับว่าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!!”
ฮ่องเต้ตงหมิงเร่งรุดมาต้อนรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยตัวเอง ตอนนี้บนใบหน้ามันฉีกยิ้มไม่หุบ แลดูสดใสร่าเริงเหลือเกิน ท่าทางหลังจากนี้คงจะหลับฝันดีไปอีกนาน
อันที่จริงเรื่องที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคว้าอันดับแรกมาได้ มันยังรู้สึกอื้ออึงทั้งเหลือเชื่อ เสมือนคนงัวเงียพึ่งตื่นไม่หายจนถึงตอนนี้ด้วยซ้ำ
ในอดีตแม้มันจะรับทราบว่าพลังฝีมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นร้ายกาจมาก แต่มันก็ไม่เคยคิดเลยว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะสามารถติดอยู่ใน 10 อันดับแรกได้ เรื่องอันดับ 1 กระทั่งหลับมันยังไม่เคยฝันถึงด้วยซ้ำ!
ส่วนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่อยู่อีกด้าน ก็มีคนเข้ามาแสดงความยินดี เสนอหน้าเพื่อประจบประแจงนางไม่น้อย “ขอแสดงความยินดีด้วยคุณหนูมู่หรง ที่ครั้งนี้ท่านได้รับอันดับ 3”
“ด้วยพรสวรรค์ของคุณหนูมู่หรงที่คว้าอันดับ 3 มาได้ ย่อมอาศัย 3 นิกาย 2 ตระกูลต่างแท่นกระโดด คิดเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย…อีกทั้งแม้จะไปถึงคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว ด้วยความสามารถของคุณหนูมู่หรงย่อมเฉิดฉายไม่น้อยหน้าผู้ใดเป็นแน่!!”
“ขอแสดงความยินดีด้วยคุณหนูมู่หรง! ขอแสดงความยินดีด้วยคุณหนูมู่หรง!”
…
เผชิญหน้ากับคำเยินยอและประจบประแจง ของผู้คนโดยรอบ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย สายตาของนางยังคงมองสลับไปมาระหว่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับต้วนหลิงเทียนไม่เลิก
นางไม่อาจไม่สนใจทั้ง 2 คนที่ทำผลงานได้ดีกว่านาง และมีอันดับเหนือกว่านางได้จริงๆ
“เป็นผู้ใดที่ฆ่าฉุนเอ้อของข้ากันแน่…”
ท่ามกลางฝูงชน ก็มีชายชราในชุดสีเทาคนหนึ่ง กำลังมองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียน และมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว รวมถึงคนอื่นๆที่อยู่ใน 10 อันดับแรกด้วยสายตาแหลมคม ราวกับจะมองหาอะไรบางอย่าง
และมันก็คืออาวุโสสูงสุดของตระกูลสุมา สุมาผิงตง!
ตอนนี้มันคิดหาตัวฆาตกรฆ่าหลานชายอย่างสุมาฉุนจากพวกต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆให้พบ
ส่วนอีกด้าน
คนของตระกูลตงฟางเองก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆที่ติด 10 แรกไม่วางตา เป็นธรรมดาว่าจุดประสงค์ของพวกมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากสุมาผิงตง คิดหาตัวคนที่ฆ่าตงฟางจิ่นหลุน!
“หลี่หยวน…ที่แท้ใครเป็นคนฆ่าเจ้ากันแน่!?”
“ในบรรดาพวกมัน เป็นผู้ใดที่ฆ่าอวิ๋นจ้าน!?”
คนของขุมกำลังระดับ 8 ที่เป็นต้นสังกัดของหลี่หยวนและอวิ๋นจ้านเองก็กวาดตามองไปยังพวกต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆเช่นกัน หมายหาตัวฆาตกรไม่ต่างจากทั้ง 2 ตระกูล
“ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ตามที่สามารถมอบเบาะแสว่าใครเป็นคนที่ฆ่า สุมาฉุน หลานชายของข้าสุมาผิงตงผู้นี้ได้ ข้าในนามตระกูลสุมาขอสัญญาว่าจักมอบรางวัลให้คนที่แจ้งเบาะแสอย่างงาม!”
สุมาผิงตงพลันกล่าวประกาศออกมาเสียงดังปานฟ้าผ่า เรียกว่าผู้ที่ลอยร่างเหนือทะเลสาบอวิ๋นเยียนไม่มีใครไม่ได้ยิน ยังดังประหนึ่งฟ้าร้องในหูด้วยซ้ำ!
“หากผู้ใดมอบเบาะแสฆาตกรฆ่าตงฟางจิ่นหลุนออกมาได้ ตระกูลตงฟางของข้าย่อมไม่คิดเอาเปรียบท่านแน่!”
จากนั้นก็มีคนของตระกูลตงฟางอันเป็นตระกูลระดับ 7 ประกาศคำตามสุมาผิงตงออกมาติดๆ
ดูจากท่าทีแน่วแน่ของพวกมันแล้ว เห็นได้ชัดว่าคิดหาตัวฆาตกรให้พบให้จงได้!
หากผู้ที่ตายเป็นแค่ทายาทหรือลูกหลานในตระกูลทั่วๆไป พวกมันคงไม่คิดติดใจเอาความ
แต่ปัญหาก็คือ ผู้ที่ตายคราวนี้ก็คือลูกหลานที่โดดเด่นที่สุดในรอบหลายพันปีของตระกูล!
“เหอะ!”
และในขณะที่ขุมกำลังระดับ 8 ต้นสังกัดของหลี่หยวนกับอวิ๋นจ้านคิดจะป่าวประกาศออกมาตาม 2 ตระกูล ทันใดนั้นก็ปรากฏเสียงพ่นลมสบถอันเยียบเย็นหนึ่งดังขึ้น จากนั้นพลังอันน่าพรั่นพรึงขุมหนึ่งก็แผ่ซ่านออกมาปกคลุมในบรรยากาศเหนือฟ้า ครอบงำจิตใจผู้คนให้บังเกิดความหวาดกลัวในฉับพลัน!
WSSTH ตอนที่ 3,031 : ปี้ไห่หมิงเฟิงผู้ร้ายกาจ!
“ดูเหมือนพวกเจ้าสองคนจะไม่เห็นพวกเรา 3 นิกาย 2 ตระกูลอยู่ในสายตาแล้วสินะ”
หลังเสียงสบถเยียบเย็น ก็มีเสียงอันเย็นชาหนึ่งดังขึ้น และทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าวผู้คนก็รู้สึกเสมือนตกไปอยู่ในหล่มน้ำแข็งอันยะเยือก
และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงดังจบคำ
ฟุ่บ!
ดั่งสายลมกรรโชกพัดมาหอบหนึ่ง
พริบตาต่อมาท่ามกลางสายตาทุกคู่ ร่างปี้ไห่หมิงเฟิง ก็ไปผุดโผล่เบื้องหน้าสุมาตงผิงอาวุโสสูงสุดของตระกูลสุมา ราวกับปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ!
“ปี้ไห่หมิงเฟิง!”
พอสุมาตงผิงเห็นว่าผู้ที่วูบมาปรากฏเป็นใคร ไม่ทันที่มันจะได้ทำอะไร ร่างที่วูบมาก็ลงมือออกมาปานอัสนีฟาดผ่า ไร้ซึ่งโอกาสให้มันได้แก้ต่างอันใด
ซุ่มมม!!
พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างของสุมาตงผิงพึ่งจะเริ่มเคลื่อนไหว ไม่ทันได้ปลดปล่อย ก็เป็นหนึ่งมือที่ยกขึ้น คว้าจับพู่กันอันเขื่องที่ผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่า ตวัดฟาดเข้ามาอย่างดุร้ายประหนึ่งมังกรสะบัดหาง! สภาวะพลังครอบงำน่ากลัวนัก!!
พริบตาต่อมา
ปงงงง!!
ซัวว ลา ลา!!
……
พู่กันสะบัดฟาดมาดั่งมังกรสะบัดหาง สะท้านสะเทือนความว่างเปล่า หอบมวลพลังสุดไพศาลถล่มทับลงมายังร่างสุมาตงผิง! พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันที่พึ่งเร่งเร้าออกมาได้ไม่ทันไรก็ถูกพลังสุดไพศาลถล่มทลาย จากนั้นร่างก็ถูกขนแปรงของพู่กันดังกล่าวปัดกระทบ จนคนแหลกสลาย กลับกลายเป็นหมอกโลหิตคาวคลุ้งฟุ้งกระจายไปทั่วแผ่นฟ้า
คงเหลือเพียงเกราะอ่อนรูปลักษณ์เสื้อกั๊กพร้อมกับแหวนพื้นที่วงหนึ่ง ร่วงตกลงจากฟ้าอย่างเงียบงัน
ครืนนนน!!
ฟิ่ววว!!
…
ขณะเดียวกัน ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังกระแทกมหาประลัยหนึ่งกวาดข้ามฟ้ามาฉับไว ผลักดันห้วงอากาศให้เกิดเป็นสายลมวิปริต พัดกระหน่ำออกไปทั่วสารทิศ ชุดเสื้อคลุมผมเผ้าโบกสะบัดวุ่นวายไปหมด
ผู้ที่อยู่ใกล้จุดปะทะก็จำต้องหยีตา พลางเร่งรุดล่าถอยออกไปทันที
“ตายแล้วรึ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดลงเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าอาวุโสสูงสุดของตระกูลสุมาอย่างสุมาตงผิง จะถูกฆ่าตายง่ายๆในชั่วพริบตา
นับว่าผู้ลงมือเข่นฆ่าสังหารได้หมดจดยิ่งนัก!
“อะ…อาวุโสสูงสุดตระกูลสุมา…ตกตายเพียงเท่านี้!?”
“ให้ตายเถอะ สุมาตงผิง อาวุโสสูงสุดตระกูลสุมาผู้นั้น นับเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดของตระกูลสุมาแล้ว…แต่ต่อหน้าประมุขลำดับ 3 ของนิกายอมตะเหอฮวน กลับไม่อาจรับได้แม้ท่าเดียว? ต่อให้จะไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นทำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้มิใช่หรือ?”
“เรื่องธรรมดา…อย่าได้ลืมไปว่าประมุขลำดับ 3 ของนิกายอมตะเหอฮวนพลังฝีมือกล้าแข็งปานใด เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่ากระทั่งประมุขอีก 2 คนยังเทียบไม่ได้ แถมต้องไม่ลืมว่ามันเป็น 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว”
“นับว่าผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลสุมาโชคร้ายยิ่ง…หากวันนี้คนของนิกายอมตะเหอฮวนที่มามิใช่ปี้ไห่หมิงเฟิง อย่างน้อยถึงจะทำผิดกฏแต่ก็ยังพอเจรจาอันใดบ้าง แต่กับประมุข 3 ของนิกายอมตะเหอฮวนที่ดำรงตำแหน่ง 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว ผู้อื่นย่อมมีอำนาจลงมือจัดการมันได้ทันที ไม่จำเป็นต้องยั้งมือไว้ไมตรีอันใด”
…
ในชั่วพริบตา ประมุข 3 ของนิกายอมตะเหอฮวนที่ระเบิดพลังสังหาร ก็จบชีวิต สุมาตงผิง ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลสุมาได้อย่างง่ายดาย เรื่องนี้นับว่าสะเทือนขวัญผู้คนที่ชมดูรอบๆนัก
จังหวะนี้เหล่าคนของขุมกำลังงระดับ 8 ต้นสังกัดหลี่หยวนกับอวิ๋นจ้าน ก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นชุ่มโชก
โชคดีเหลือเกินที่เมื่อครู่พวกมันไม่ทันมีเวลาได้ประกาศคำอะไร! หาไม่แล้วอาจจะตกเป็นเป้าสังหารของปี้ไห่หมิงเฟิงอีกคน ถึงตอนนั้นพวกมันได้ตายไร้ที่ฝังแน่!!
ความแข็งแกร่งของสุมาตงผิงไม่ทราบเหนือกว่ามันเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่ยังถูกฆ่าตายง่ายดายเยี่ยงสุนัขข้างงถนน!
“ผู้อาวุโสสูงสุด…”
อาวุโสของตระกูลสุมาอีกคน ที่เห็นอาวุโสสูงสุดถูกปี้ไห่หมิงเฟิงฆ่าตายคามือต่อหน้าต่อตา ก็ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมออกมาอย่างอับจนหนทาง
“แล้วคนของตระกูลตงฟางเล่า…”
หลังจากที่ปี้ไห่หมิงเฟิงฆ่าสุมาผิงตงแล้วว ผู้คนโดยรอบก็เริ่มหันไปมองคนของตระกูลตงฟางทันที
เพราะเมื่อครู่ ก็มีคนของตระกูลตงฟางที่ประกาศถ้อยคำออกมาทำนองเดียวกับสุมาตงผิง!
และถ้อยคำดังกล่าวก็ถือเป็นการละเมิดกฏของแดนสวรรค์ใต้โบราณชัดเจน
เป็นธรรมดาว่าหลังประหารสุมาตงผิงแล้ว ร่างปี้ไห่หมิงเฟิงก็อันตรธานหายไปจากสายตาผู้คน ก่อนจะไปปรากฏตัวเบื้องหน้าคนของตระกูลตงฟางที่กล่าวคำเมื่อครู่ในเสี้ยวพริบตา!
คนของตระกูลตงฟางที่ประกาศถ้อยคำดุดันก่อนหน้า ก็เป็นแค่อาวุโสธรรมดาๆคนหนึ่งของตระกูลตงฟางเท่านั้น พอเห็นสุมาตงผิงถูกฆ่าตายคาตา หน้ามันก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง!
และบัดนี้พอเห็นปี้ไห่หมิงเฟิงวูบร่างมาหยุดลงเบื้องหน้า สีหน้าของมันก็ซีดลงปานกระดาษในฉับพลัน ไม่เหลือสีเลือดให้เห็นแม้แต่นิดเดียว!!
“ประมุข 3 เมตตาด้วย! ขอท่านประมุข 3 เมตตาข้าน้อยด้วย!!”
ท่ามกลางสายตาทุกผู้คน อาวุโสที่เอ่ยประกาศก่อนหน้าของตระกูลตงฟางก็เร่งรุดคุกเข่าลงกลางหาว มองกล่าววิงวอนร้องขอชีวิตต่อปี้ไห่หมิงเฟิงอย่างร้อนรน
ต่อให้มันจะเตรียมตัวแค่ไหน หากปี้ไห่หมิงเฟิงคิดฆ่ามัน อีกฝ่ายก็ลำบากเพียงยกมือเท่านั้น!
กับคนที่จบชีวิตสุมาตงผิงได้ในชั่วพริบตา จะฆ่ามันย่อมไม่ต่างอะไรกับบี้มด!
อย่างไรก็ตาม แม้อาวุโสสกุลตงฟางจะคุกเข่าวิงวอนร้องขอชีวิต แต่ปี้ไห่ก็ยังงคงเฉยเมยไร้แยแส สองตาเย็นชาไม่ได้เผยความหวั่นไหวแม้แต่น้อย
ภายใต้ดวงตาทุกคู่ ปี้ไห่หมิงเฟิงก็ยกมืออันถือพู่กันอันเขื่องขึ้นอีกครั้ง
จากนั้น…
ซู่มม!!
ปรากฏลำแสงพลังให้ความรู้สึกแหลมคมหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายพู่กัน ทะลวงเจาะความว่างเปล่าไปฉับไวปานดาวตก ให้เสียงคล้ายกระบี่ผ่าอากาศอยู่บ้าง!
ฉัวะ!!
ครู่ต่อมา ทุกคนก็ได้เห็น อาวุโสสกุลตงฟางที่คุกเข่าวิงวอนร้องขอชีวิตอยู่นั้น หว่างคิ้วได้ปรากฏหลุมโลหิตสยดสยองหลุมหนึ่ง ลูกตายังเบิกกว้างไปด้วยความตกตะลึง
ก่อนหน้าหลังจากที่ฆ่าสุมาผิงตงแล้ว ปี้ไห่หมิงเฟิงได้สะบัดมือเก็บเสื้อกั๊กอันเป็นชุดเกราะกับแหวนพื้นที่ของอีกฝ่ายเอาไว้
ทว่าหลังจากฆ่าคนของตระกูลตงฟาง มันกลับไม่ริบสิ่งของใดๆจากตัวอีกฝ่ายเลย ทำราวกับไม่เห็นสมบัติชั่วชีวิตของอาวุโสตระกูลตงฟางผู้นี้อยู่ในสายตา
อันที่จริงก็เป็นเช่นนั้น
ด้วยฐานะของปี้ไห่หมิงเฟิง ความมั่งคั่งและทรัพยากรของมันนั้น กระทั่งสุมาตงผิงอาวุโสสูงสุดของตระกูลสุมายังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ
เป็นธรรมดาว่าอาศัยแหวนพื้นที่ของอาวุโสธรรมดาๆของตระกูลตงฟาง ย่อมไม่อยู่ในสายตาของมัน
และหลังฆ่าอาวุโสตระกูลตงฟางแล้ว ร่างปี้ไห่หมิงเฟิงก็วูบกลับไปนั่งเอนกายบนเกี้ยวที่มีผู้คนแบกหามอยู่
“ประมุขปี้ไห่ ท่านสำแดงพลังฝีมือร้ายกาจแบบนี้ ข้าเกรงว่าคนส่วนใหญ่ที่รอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ คงเทใจให้นิกายอมตะเหอฮวนของท่านหมดสิ้น…”
ปี้ไห่หมิงเฟิงพึ่งกลับมานั่งเอนกายได้ไม่ทันไร รองงประมุขนิกายเป้าผู่ จางกวงเจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“นั่นสิประมุขปี้ไห่…ท่านแสดงความเก่งกาจขนาดนี้ ไม่เป็นการรังแกผู้คนเกินไปหน่อยหรือ”
เหิงฉานผู้นำโถงอรหันต์ของนิกายอมตะอวิ๋นไถ ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเช่นกัน
สำหรับคนจากตระกูลจ่างซุนและตระกูลกงหยาง แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่พวกมันก็หันมามองหน้ากัน พลางยิ้มขื่นขม
ประมุข 3 ของนิกายอมตะเหอฮวนแสดงพลังร้ายกาจขนาดนี้ แต่พวกมันกลับไม่ได้ทำอะไรเลย หากพวกมันเป็นคนที่กำลังจะเลือกขุมกำลังเข้าร่วม ไม่พ้นต้องเลือกจะเข้าร่วมกับนิกายอมตะเหอฮวนแน่นอน
“พวกเจ้าไม่ใช่ว่าหลังได้ยินที่สุมาผิงตงพูด ถึงจะไม่พอใจแต่ก็ไม่คิดจะลงมือทำอะไร จนข้าต้องลงมือไม่ใช่รึไง?”
ปี้ไห่หมิงเฟิงเหลือบมองจางกวงเจิ้งกับเหิงฉาน พลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ในเมื่อพวกเจ้าไม่กล้าลงมือ เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ลงมือเอง”
ได้ฟังวาจาดังกล่าวของปี้ไห่หมิงเฟิง จางกวงเจิ้งกับเหิงฉานก็หดหู่ใจไม่น้อย แต่พวกมันก็หมดคำจะพูด ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆอย่างจนปัญญาเท่านั้น
พวกมันก็อยากลงมืออยู่หรอก…
แต่พลังฝีมือของสุมาตงฉิงนั่น ไม่ได้ด้อยไปกว่าการร่วมมือกันของพวกมันด้วยซ้ำ! เช่นนั้นต่อให้พวกมันลงมือ แต่อย่างดีก็ทำได้แค่รบติดพันผู้อื่นเขาเท่านั้น!!
และถ้าสุมาตงผิงคิดหนีขึ้นมา ด้วยพลังของพวกมัน ก็คงยากจะหยุดยั้งอีกฝ่ายได้
ถึงตอนนั้นหากสุมาตงผิงหนีรอดพ้นเงื้อมมือพวกมันไปได้ พวกมันไม่พ้นต้องอับอายขายหน้าผู้คนมากกว่าอยู่เฉยๆเสียอีก
ด้วยเหตุนี้หลังจากชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว พวกมันจึงเลือกจะนิ่งเฉยเอาไว้ไม่ลงมือ
หลังปี้ไห่หมิงเฟิงลงมือ คนที่เหลือของตระกูลสุมาและตระกูลตงฟางก็สงบปากสงบคำกลายเป็นเรียบๆร้อยๆทันที
ขุมกำลังระดับ 8 เบื้องหลังหลี่หยวนกับอวิ๋นจ้านก็กลายเป็นเรียบๆร้อยๆ ไม่กล้าแม้แต่จะมองสังเกตต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆที่ติด 10 อันดับแรกเพื่อหาตัวฆาตกรต่อไปด้วยซ้ำ
“มีคนออกมาอีกแล้ว!”
หลังจากผ่านไปอีกสักพัก ก็เริ่มปรากฏผู้คนเหินร่างออกมาจากประตูที่ลอยค้างกลางหาว
เมื่อมีคนแรกออกมา หลังจากนั้นคนที่สองที่สามก็ทยอยกันออกมาติดๆกัน
“พี่เจียหลง!”
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เห็นหวงเจียหลงเหินร่างออกมา
นอกจากนี้เขารู้อยู่แล้วว่าหวงเจียหลงต้องรอดกลับออกมาแน่ เพราะชื่อของอีกฝ่ายยังเด่นหราอยู่ในตารางจัดอันดับ
ยิ่งไปกว่านั้นคะแนนของหวงเจียหลง ยังมากกว่าหวงเจียเชาด้วยซ้ำ และไม่เหมือนกับหวงเจียเชาที่ได้รับความช่วยเหลือจากต้วนหลิงเทียน มันใช้พลังฝีมือตัวเองหามาทั้งสิ้น
“สุดท้าย 9 คนของประเทศฝูชิว…ก็รอดกลับออกมาแค่ 4 คน”
“นอกจากพวกเรา 3 คนแล้ว…อีกคนก็คือเมิ่งชิวอวี่”
เมื่อเห็นหวงเจียหลงกลับมาโดยปลอดภัย ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองตารางจัดอันดับอีกครั้ง และหลังมองไล่รายชื่อดู ก็พบว่าคนของฝูชิวนอกจากพวกเขา 3 คน ก็เหลือแค่เมิ่งชิวอวี่คนเดียวเท่านั้น
เมิ่งชิวอวี่นั้นเป็นคนที่มีสตรีชราขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดติดตามดูแลอยู่ข้างกาย และยังเป็น 1 ใน 2 สตรีที่เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ของประเทศฝูชิว
“ฝ่าบาท! น้องต้วน!”
หวงเจียหลงพอกลับออกมา ก็เหินร่างไปหาพวกต้วนหลิงเทียนทันที จากนั้นมันก็ทักทายหูหลินอี้ฮ่องเต้ฝูชิวเล็กน้อย ค่อยหันมาคุยกับต้วนหลิงเทียน
“น้องต้วน เจ้าได้กี่คะแนนกัน คงไม่น้อยเลยล่ะสิ?”
หวงเจียหลงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
ขณะเดียวกับที่ถาม มันก็ไม่ลืมหยกป้ายหยกสะสมคะแนนขึ้นมาส่ายๆ “ส่วนของข้าในนี้มี 22 แต้มเอง!”
“ท่านลองดูเองเถอะ”
ได้ยินคำถามแกมอวดของหวงเจียหลง ต้วนหลิเทียนยักไหล่เบาๆ จากนั้นก็พยักหน้าไปทางตารางจัดอันดับที่ลอยล่องอยู่กลางอากาศไกลๆ ด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน
จากนั้นหวงเจียหลงก็หันมองตามสายตาไปยังตารางจัดอันดับไกลๆทันที
“หาจากด้านบน”
ในขณะที่หวงเจียหลงหันไป หวงเจียเชาก็เอ่ยเตือนขึ้นมาอยย่างประจวบเหมาะ ทำให้หวงเจียหลงไม่ต้องสุ่มไล่สายตา และเลือกจะมองจากด้านบนของตารางมาทันที
“อันดับที่ 1 หลิงเจวี๋ยอวิ๋น หืม!? มารดามันเถอะ 298 คะแนนเรอะ!?”
และพอเห็นชื่อคนได้อันดับที่ 1 หวงเจียหลงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้เพราะรู้สึกคุ้นๆ จากนั้นพอเห็นคะแนนอีกฝ่ายเท่านั้นล่ะ มันก็โพล่งออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ “บ้าไปแล้ว นี่มันไปขุดคะแนนมาจากไหนกัน!?”
“ฮัยยา ท่านพี่มันจะไปขุดมาแต่ไหนก็ช่างเถอะ ท่านรีบดูอันดับถัดมาเร็วๆ”
หวงเจียเชากล่าวขัด ไม่งั้นหวงเจียหลงได้ฮือฮาอีกนานแน่นอน
ได้ยินดังนั้นหวงเจียหลงก็ระงับความแตกตื่นในใจและเริ่มมองอันดับถัดมาทันที
และพอมองไปได้ไม่ทันนไร มันก็อึ้งไปตาตั้ง
อันดับที่ 2
ต้วนหลิงเทียน
286 คะแนน!
เมื่อมันอ่านชื่อทั้งดูเลขคะแนนซ้ำสามรอบจนมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ลูกตาของมันก็เบิกโพลงกว้างขึ้น
“นะ..น้องต้วน…ท่าน…นี่ท่านได้อันดับ 2 รึ!? จะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!!”
จากนั้นหวงเจียหลงก็หันขวับมามองต้วนหลิงเทียนตาโต เอ่ยถามด้วยสีหน้าแตกตื่น “นี่ท่านทำได้อย่างไรกันแน่!?”
“ทำได้ไงข้าก็ไมรู้ รู้แต่ทำไปแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนยักไหล่อีกรอบ ค่อยตอบอย่างขอไปที
ฟุ่บ!
สายลมหอบหนึ่งพัดมาแผ่วๆ เป็นเมิ่งชิวอวี่ที่พึ่งกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ เหินร่างกลับมาหาสตรีชราที่ลอยไม่ห่างงฮ่องเต้ฝูชิว
และเมื่อนางกลับออกมา ก็กล่าวได้ว่า ในบรรดาคนทั้ง 9 ของประเทศฝูชิวที่เข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้…4 คนที่รอดชีวิต ได้กลับออกมาหมดแล้ว…
WSSTH ตอนที่ 3,032 : ออกมากันหมด
‘เมิ่งชิวอี่ผู้นี้กลับเก็บคะแนนสะสมได้ถึง 31 แต้ม…นับว่ามากกว่าพี่เจียหลงเกือบครึ่ง’
หลังเมิ่งชิวอี่กลับออกมา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะมองนางด้วยความแปลกใจ และยังแปลกใจไม่น้อยทีเดียว ‘ดูท่าในการประลองสวรรค์ใต้ตอนนั้น นางจะซุกซ่อนพลังฝีมือส่วนใหญ่เอาไว้’
31 แต้ม!
ในบรรดาผู้คนมากมายนับหมื่นที่เข้าไปเข่นฆ่าช่วงชิงกันในแดนสวรรค์ใต้ นับว่าเป็นคะแนนที่ไม่น้อยเลย ยังติดอยู่ใน 100 อันดับแรกด้วยซ้ำ!
“ต้วนหลิงเทียน ได้อันดับ 2?”
หลังเมิ่งชิวอวี่กลับออกมาได้สักพัก นางก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองต้วนหลิงเทียน หลังเห็นรายชื่อผู้ที่ได้อันดับที่ 2 ในตารางจัดอันดับ ใบหน้างามยังฉายชัดถึงความประหลาดใจเป็นที่สุด
ถึงแม้ก่อนหนานี้นางจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ธรรมดา แต่นางก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนก็แค่ไม่ธรรมดาในขอบเขตประเทศฝูชิวหรือประเทศอื่นๆในดินแดนพันประเทศเท่านั้น
เขตปกครองของงคฤหาสน์เฉวียนโยวกว้างใหญ่ไพศาล มีประเทศอมตะระดับ 8 อย่างประเทศฝูชิวนับพัน นอกจากนั้นยังมีขุมกำลังงระดับ 8 ไม่เว้นตระกูลระดับ 8 อีกนับไม่ถ้วน ไม่ต้องกล่าวถึงขุมกำลังระดับ 7 ด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้นางจึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนคว้าอันดับ 2 มาได้จริงๆ กระทั่งยังตกใจจนตาลอยไปอยู่นานกว่าจะดึงสติกลับมาได้
“ทำได้ไงไม่รู้ รู้แต่ทำไปแล้ว?”
หวงเจียหลงนับว่าโดนวาจาประโคนี้ของต้วนหลิงเทียนทำเอาเหวอไปอีกรอบ จากนั้นพอมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง มุมปากก็กระตุกขึ้นมาตงิดๆ
มันต่อสู้ดินรนแทบวายปราณ กระทั่งข้ามผ่านหุบเหวแห่งความตายมาหลายครั้ง แต่ยังได้คะแนนสะสมมาเพียงแค่ 22 แต้ม…
แต่ต้วนหลิงเทียนกลับบอกว่าทำได้ไงไม่รู้ รู้แต่ทำไปแล้ว…ที่สำคัญคือนั่นมันตั้ง 286 คะแนน!
หวงเจียหลงนับว่าโดนความรู้สึกอ่อนด้อยทิ่มแทงจิตใจจนสาหัส ได้แต่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาว่างเปล่าไปพักหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวถามเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่น้องต้วนท่านคิดไว้แล้วยัง ว่าจะเข้าร่วมกับขุมกำลังใด?”
“แต่ก่อนอื่นข้าขอแนะนำอะไรหน่อย…อย่าได้เข้าร่วมกับตระกูลจ่างซุนหรือตระกูลกงหยางจะดีกว่า…เพราะต่อให้เข้าไป พวกมันก็จะปฏิบัติกับท่านเหมือนแค่ทายาทสายตรงเท่านั้น ต่อให้ท่านคิดจะเข้าร่วมกับคฤหาสน์เฉวียนโยวภายหลัง พวกมันอย่างดีก็แคสนับสนุนไปพอประมาณ ขีดจำกัดการลงทุนนับว่าต่ำมาก”
“แต่กับนิกายยอมตะเป้าผู้ เหอฮวน และอวิ๋นไถนั้นต่างกัน ในระบบนิกายนั้นล้วนเต็มไปด้วยการแข่งขันและไม่ค่อยเลือกที่รักมักที่ชัง ใครโดดเด่นพวกมันก็พร้อมจะสนับสนุนเต็มที่ ถึงตอนนั้นพวกมันต้องลงทุนกับท่านอย่างไม่เสียดายเพื่อส่งท่านเข้าคฤหาสน์เฉวียนโยวให้จงได้”
หวงเจียหลงกล่าว
“ข้าก็คิดไว้แบบนั้นเหมือนกัน”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วย อันที่จริงเรื่องที่หวงเจียยหลงเตือนนั้น เขาก็คิดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว จึงไม่ได้เก็บเอา 2 ตระกูลมาอยู่ในรายชื่อตัดสินใจเลือกเลย
“หรือ…น้องต้วนท่านไปอยู่นิกายอมตะเหอฮวนกับข้าดีไหม นิกายอมตะเหอฮวนไม่เพียงแต่มีตัวตนอันทรงพลังมากอำนาจอย่างประมุข 3 ปี้ไห่เท่านั้นนะ แต่ยังมีสาวกสตรีที่เป็นขาเตาคุณภาพดีให้บริการท่านอีกด้วย…”
หวงเจียหลงกล่าวถึงจุดนี้สองตามันก็เปล่งประกายวับวาวขึ้นมาปานดวงดารากลางฟ้ามค่ำคืน
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าขาเตาที่หวงเจียหลงเอ่ยถึงคืออะไร พวกนางไม่ใช่ขาเตาจริงๆ หากแต่เป็นสตรีที่งดงามและไม่ได้มีพรสวรรค์ในการฝึกปรือสูงมากมายอะไร ทว่าถูกนิกายอมตะเหอฮวนชุบเลี้ยงมาอย่างดี เพื่อทำหน้าที่เป็นคู่บ่มเพาะให้ศิษย์นิกายอมตะเหอฮวน…
เป็นธรรมดาว่า สตรีที่ถูกชุบเลี้ยงให้เป็นขาเตานั้น ล้วนมีแต่ผู้ที่สมัครใจทั้งสิ้น นิกายอมตะเหอฮวนไม่เคยไปบังคับข่มขู่หรือจับตัวใครมาทำหน้าที่นี้เลยยแม้แต่คนเดียว
เรียกว่าเรื่องนี้นิกายอมตะเหอฮวนกระทำได้อย่างโปร่งใส ไม่เคยบีบคั้นผู้ใดจริงๆ ทำให้แม้ชื่อเสียงของนิกายอมตะเหอฮวนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว เพราะเสมือนแหล่งมั่วสวาท แต่ก็ไม่มีใครมองว่านิกายอมตะเหอฮวนเป็นนิกายอมตะชั่วร้ายหรือนิกายฝ่ายอธรรม
“ข้าคิดว่าที่พี่เจียหลงอยากเข้านิกายอมตะหวนเฮอ สิบในสิบก็ไม่พ้นขาเตาที่ว่าใช่ไหม?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงระอา
“เหอะๆ…”
ได้ยินคำกล่าวจี้ใจของต้วนหลิงเทียน หวงเจียหลงก็ได้แต่หัวเราะออกมาด้วยความละอายเล็กน้อยจากนั้นก็หันไปมองหวงเจียเชา พลางกล่าวแก้เขินออกมาว่า “ว่าแต่เจียเชา เจ้านับว่าโชคดีไม่น้อยเลยนะ! ไม่เพียงแต่จะรอดชีวิตกลั[ออกมาได้ ยังเก็บคะแนนสะสมได้ตั้ง 17 แต้ม”
ก่อนที่จะเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ หวงเจียหลงก็รู้อยู่แล้ว่าด้านในนั้นอันตรายมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายในรูปแบบไหนบ้าง
จนเมื่อมันรอดชีวิตกลับออกมาได้ จึงได้รับทราบถึงความอันตรายของแดนสวรรค์ใต้โบราณซึ้งถึงทรวง
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเคยคิดด้วยซ้ำ ว่าน้อง 5 ของมันอาจจะถูกผู้อื่นเข่นฆ่าไปแล้ว
“เป็นข้าโชคดีมากจริงๆ…หากไม่ได้น้องต้วนช่วยไว้ ป่านนี้ข้าคงนอนตัวเย็นอยู่ข้างใน ไม่ได้ออกมาแบบนี้แล้วล่ะ…”
หวงเจียเชากล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสำนึกบุญคุณ เพราะหากไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนมาช่วยมันได้ทันเวลา ป่านนี้มันคงตกตายไปแล้ว
“หือ!? เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ?”
หลังหวงเจียหลงได้รับทราบเรื่องราวจากหวงเจียเชา มันก็หันไปขอบคุณต้วนหลิงเทียนซ้ำอยู่หลายรอบ
ได้ยินคำขอบคุณซ้ำๆของหวงเจียหลง ในใจต้วนหลิงเทียนกลับรู้สึกแปลกประหลาดยังไงไม่รู้
เพราะถ้าเขาไม่ได้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีไปช่วยหวงเจียเชาเอาไว้ เพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่เขารู้เรื่องวังจอมราชันอมตะ ความทรงจำหลังจากนั้นก็เสมือนถูกกำหนดให้ลบเลือนหายไป…
ส่วนหวงเจียเชา ที่ไฉนจำได้ว่าเขาเป็นคนช่วยชีวิตนั้น เพราะอีกฝ่ายพึ่งมารับทราบเรื่องวังจอมราชันอมตะ หลังจากที่ถูกเขาช่วยเอาไว้แล้วนั่นเอง
และตั้งแต่วินาทีที่หวงเจียเชาได้รับฟังเรื่องวังจอมราชันอมตะจากเขา ความทรงจำตั้งแต่จุดนั้นของมันก็ถูกกำหนดให้หายไปเช่นกัน
“น้องต้วน…ท่านกับเจียเชาเสียความทรงจำไปงั้นเหรอ?”
พอได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนกับน้องชายได้สูญเสียความทรงจำที่อยู่ในแดนสวรรค์ใต้ไปบางส่วน หวงเจียหลงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
ต้องทราบด้วยว่าตั้งแต่วินาทีแรกที่มันเข้าไปสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณ จวบจนวินาทีสุดท้ายก่อนกลับออกมา ทุกเรื่องราวมันล้วนจดจำได้ทุกประการ ไม่มีความทรงจำใดๆสูญหายไปทั้งสิ้น
“ใช่”
หวงเจียเชาพยักหน้า “ที่สำคัญนอกจากข้าแล้ว น้องต้วนกับผู้ที่ติดอันดับสูงๆในตาราง ยังถูกส่งตัวกลับออกมาก่อนใคร”
“และพวกเราก็จดจำไม่ได้เลยว่าอยู่ที่ไหนก่อนที่จะถูกส่งตัวออกมา”
เล่าถึงจุดนี้หวงเจียเชาก็คลี่ยิ้มขื่นขมออกมา เพราะมันเองก็ไม่รู้จริงๆว่าหลังจากต้วนหลิงเทียนช่วยชีวิตเอาไว้แล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะมันจดจำเรื่องราวหลังจากนั้นไม่ได้เลย รู้ตัวอีกทีก็ถูกส่งตัวออกมาแล้ว
“แม้พวกเจ้าจะสูญเสียความทรงจำ…แต่มิใช่ว่าอาวุโสจ่างซุนฉงฉีได้กล่าวไว้แล้วรึ ว่าพวกเจ้าได้พบพานโชควาสนาที่ดีที่สุดในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำมา…”
ตอนนี้เองชายชราที่ติดตามอยู่ข้างกายหูหลินอี้ฮ่องเต้ฝูชิว พลันเอ่ยออกมา “และวาสนาที่ดีที่สุดที่ว่า ก็ทำให้ผู้ที่สูญเสียความทรงจำมีโอกาสเข้าใจกฏแห่งเวลา!”
ชายชรากล่าวถึงตรงนี้ หูหลินอี้ก็กล่าวเสริมออกมาต่อว่า “แต่โอกาสที่ว่าก็น้อยนิดนัก…อย่างน้อยๆในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวของเรา ผู้ที่รอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนับหมื่นๆคนที่สูญเสียความทรงจำไป ข้าก็ไม่เคยได้ยินเลยว่ามีใครจะเข้าใจกฏแห่งเวลาได้”
“ส่วนในเขตปกครองของคฤหาสน์ระดับ 6 อื่นๆ เมื่อหลายร้อยปีก่อนข้าเคยได้ยินว่า…มีบางคนที่สูญเสียความทรงจำหลังออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับบต่ำของที่นั่น สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งเวลา อย่างความหมายแห่งเวลาได้สำเร็จ”
เห็นได้ชัดว่าหูหลินอี้ ฮ่องเต้ฝูชิวก็รู้เรื่องนี้มาไม่น้อย
“ดังนั้นพวกเจ้าอย่าตั้งความหวังกับเรื่องกฏแห่งเวลาให้มาก…หากเข้าใจได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ก็นับเป็นเรื่องธรรมดา”
หูหลินอี้มองหวงเจียเชากับต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวแนะนำออกมา
ได้ยินดังนั้น ทั้งคู่ก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ฝ่าบาทกล่าวถูกแล้ว กฏแห่งเวลา…อย่างไรก็คือ 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ว่ากันว่าลี้ลับยากหยั่งถึงที่สุด ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าถึงมันได้”
หวงเจียเชาก็พยักหน้ากล่าวออกมาอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของหูหลินอี้
‘แต่ข้ารู้สึกว่า…ข้าเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งเวลานิดๆ กระทั่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่วันหน้าข้าจะเข้าใจกฏแห่งเวลา’
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองได้อะไรมา เขาเริ่มมองเห็นประตูสู่กฏแห่งเวลาแล้ว หากมีโอกาสดีๆ ไม่แน่เขาอาจจะเปิดประตูบานดังกล่าว และเข้าใจความหมายแห่งเวลาได้ทันที
ในเรื่องนี้ตัวเขาเอง ก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยไม่น้อย
กฏแห่งเวลา จะอย่างไรก็คือ 1 ใน 4 กฏสูงสุด และยังเป็นกฏที่ทรงพลังที่สุด เหนือกว่า มิติ ชีวิตและความตายเสียอีก
ไม่ว่าใครก็อยากเข้าใจกฏอันทรงพลังเช่นนี้ เขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
หลังเวลาผ่านไปอีกสักพัก ผู้คนก็เริ่มทยอยกันกลับออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
…
และหลังผ่านไปอีก 10 วัน เหล่าผู้ที่ยังรอดชีวิตในแดนสวรรค์ใต้โบราณ ก็กลับออกมากันหมดทุกคน ประตูบานเขื่องที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าก็ปิดตัวลงโดยอัตโนมัติ และอันตรธานหายไปอีกครั้ง
“ตอนนี้ขอให้เหล่ายอดเซียนอมตะที่รอดชีวิตกลับออกกมาได้ ก้าวออกมารวมที่นี่ และนำป้ายหยกสะสมคะแนนของพวกเจ้าออกมาถือไว้ในมือให้เห็นเสีย”
จ่างซุนฉงฉี ก้าวออกมากล่าวคำเสียงดัง
จากนั้นต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก็เริ่มเหินร่างไปรวมตามุจดที่กำหนด และหยิบป้ายหยกสะสมคะแนนออกมาถือไว้ให้เห็นชัดๆ
ถึงแม้ว่าป้ายหยกสะสมคะแนนจะมีทั้งสิ้น 5 สี แลดูละลานตาอยู่บ้าง แต่เพียงมองไปปราดเดียวก็พบว่าผู้ที่รอดกลับออกมานั้น ถือป้ายหยกสีใดมมากที่สุด
“ฮ่าๆๆ…ขออภัยด้วยท่านทั้ง 4 แต่คราวนี้นิกายอมตะอวิ๋นไถของข้าเป็นผู้ชนะ”
เหิงฉานแห่งนิกายอมตะอวิ๋นไถหลังเหลือบมองป้ายหยกสะสมคะแนนในมือทุกคนปราดเดียว ก็ไม่ยากที่จะบอกได้ว่ามีสีประจำนิกายตัวเองมากที่สุด จึงหันไปมองปี้ไห่หมิงเฟิงและคนอื่นๆด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม กล่าวคำออกมาอย่างพึงพอใจ
ป้ายหยกสะสมคะแนนที่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆถือนั้น ส่วนมากแล้วจะเป็นป้ายหยกสีทองกับสีเขียว อีก 3 สีมีแค่ประปรายเท่านั้น
และป้ายหยกสีทองที่มีจำนวนมากที่สุด ก็เป็นป้ายหยกที่นิกายอมตะอวิ๋นไถสร้างขึ้น
ทุกครั้งที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออก 3 นิกาย 2 ตระกูลมักจะเล่นพนันเล็กๆจนกลายเป็นประเพณีอย่างหนึ่ง
เนื้อหาเกมเดิมพันที่ว่าก็คือ ผู้ที่รอดชีวิตออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น ถือป้ายหยกสีใดมากที่สุด ขุมกำลังที่เป็นคนสร้างป้ายหยกสีนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ
และนิกายที่พ่ายแพ้ทั้ง 4 ก็จำต้องมอบสิ่งของเดิมพันให้แก่นิกายที่เป็นเจ้าของป้ายหยกที่มีคนรอดกลับออกมาถือไว้มากที่สุด
“ฮึ่ม”
จางกวงเจิ้งพ่นลมสบถเสียงเย็น จากนั้นก็ยกมือขึ้นปรากฏแหวนพื้นที่วงหนึ่งค่อยโยนมันไปให้เหิงฉาน
กลับกันปี้ไห่หมิงเฟิงเพียงเรียกแหวนออกมาโยนออกไปส่งๆ ไม่คล้ายสนใจเรื่องที่แพ้เดิมเดิมพันครั้งนี้แต่อย่างใด
และที่จริงมันก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่ต้องจ่ายเป็นของเดิมพันนั้น ทางนิกายเป็นผู้จัดเตรียม ไม่ใช่ของๆมัน…
ตอนนี้สิ่งที่มันกำลังสนใจมากที่สุดก็คือ
คราวนี้มันจะชักชวน 3 อันดับแรกที่โดดเด่นที่สุดนั่น กลับไปนิกายอมตะเหอฮวนของมันได้หรือไม่
สายตาของปี้ไห่หมิงเฟิงนั้นแม้จะมองไปทางหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียน และมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว แต่มันไม่ค่อยสนใจมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมากเท่าไหร่ มันสนใจต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมากกว่า
“เจ้าคิดจะเข้าขุมกำลังใด?”
อยู่ๆก็มีเสียงผ่านพลังหนึ่งส่งตรงถึงหูต้วนหลิงเทียน ทำให้ต้วนหลิงเทียนหันมองไปทางซ้ายทันที
จึงพบว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ลอยร่างอยู่ทางนั้น กำลังมองมาที่เขา
“หืม? หรือเจ้าคิดจะเข้าร่วมขุมกำลังเดียวกันกับข้า?”
ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม
“ก็ใช่”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบ
“ทำไม”
ต้วนหลิงเทียนถามอีกรอบ
“ข้ากลัวเจ้าจะด่วนตาย แล้วทำให้พี่หญิงหวงเอ้อตกที่นั่งลำบาก”
เหตุผลของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นง่ายเพียงเท่านี้
หวงเอ้อนั้น เป็นอดีตจิตวิญญาณกระบี่เทพระดับสูงคู่กายพี่สาวแท้ๆของมัน และได้ละทิ้งกระบี่เทพเล่มนั้นออกมาแล้ว วิญญาณของนางเองก็ยังอยู่ในช่วงอ่อนแอเป็นที่สุด
และตอนนี้นางก็จำเป็นต้องพักฟื้นพลังในทะเลวิญญาณของต้วนหลิงเทียนก่อน เมื่อมีกำลังมากพอถึงจะเริ่มผสานหลอมรวมเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 สมบัติได้ หากต้วนหลิงเทียนดันมาตกตายก่อนที่นางจะผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 สมบัติ นางก็ยากจะหนีความตายได้พ้นเช่นกัน! เพราะคนอื่นๆที่ไม่รู้ว่านางคืออะไรไม่พ้นต้องเลือกจะทำลายวิญญาณเช่นนางไว้ก่อน!!
ได้ฟังเหตุผลของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็พูดไม่ออกจริงๆ
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้หันไปพูดอะไรกับหลิงเจวี๋นอวิ๋นต่อทันที แต่เลือกจะคุยกับหวงเอ้อในทะเลวิญญาณของเขาแทน “หวงเอ้อ…ดูเหมือนเจ้านั่นจะห่วงใยเจ้ามาก”
WSSTH ตอนที่ 3,033 : นิ่งสงบ ไม่หวั่นไหว
“เจ้าบอกเสี่ยวเฟิงไป ว่าข้ามิอยากให้พวกเจ้าทั้งคู่เข้าร่วมขุมกำลังเดียวกัน…แยกกันอยู่ประเสริฐกว่า”
ทันใดนั้นหวงเอ้อพลันกล่าวกับต้วนหลิงเทียนขึ้นมา “นั่นเพราะหากพวกเจ้าอยู่ร่วมกัน พวกเจ้ามิพ้นต้องพึ่งพาอาศัยกันโดไม่รู้ตัวเรื่องนี้อาจส่งผลต่อการเติบโตของพวกเจ้า แยกกันอยู่ย่อมขัดเกลาตัวเองได้มากกว่า”
เห็นได้ชัดว่าหวงเอ้อ ไม่ต้องการให้ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าร่วมขุมกำลังเดียวกัน ด้วยเหตุผลเรื่องการเติบโตก้าวหน้า
“อันที่จริง ถึงตอนนี้ข้ากับมันจะแยกกัน แต่สุดท้ายไม่วายพวกเราต้องได้ไปเจอกันที่คฤหาสน์เฉวียนโยวอยู่ดี…แต่เจ้าก็พูดถูก อย่างน้อยๆก่อนที่จะไปคฤหาสน์เฉวียนโยว หากพวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรพวกเราก็ต้อง เผชิญหน้าและจัดการด้วยตัวเอง ย่อมมีแรงผลักดันมากกว่า”
ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำแนะนำของหวงเอ้อก็เห็นด้วย สุดท้ายจะเลือกจะส่งผ่านวาจานางไปถึงหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
ตอนนี้หวงเอ้อได้อาศัยอยู่ในทะเลวิญญาณของต้วนหลิงเทียนแล้ว นางย่อมไร้หนทางสื่อสารกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นโดยตรง
“…เจ้าช่วยบอกพี่หญิงหวงเอ้อด้วย ว่าข้าเข้าใจแล้ว”
แม้สีหน้าของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะแลดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ยอมรับเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดขัดคำของหวงเอ้อ
“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าขอให้ผู้ที่ได้ 3 อันดับแรกในตาราจัดอันดับก้าวออกมา และผู้ที่นำพา 3 อันดับแรกที่ว่าก็ก้าวออกมาด้วย”
จ่างซุนฉงฉีที่เหินร่างไปยังอากาศว่างเปล่าทิศทางหนึ่งเอ่ยออกเสียงดัง ขณะเดียวกันก็กวาดตามองไปทางหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียน และมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว
จากนั้นทั้ง 3 ก็เหินไปหยุดลอยร่างกลางอากาศเบื้องหน้ามัน
ขณะเดียวกันนก็มีอีก 3 ร่างเหินออกมาจากกลุ่มคน เป็นหูหลินอี้ฮ่องเต้ฝูชิว ฮ่องเต้ประเทศตงหมิง แล้วก็ผู้อาวุโสตระกูลมู่หรง
จากนั้นจ่างซุนฉงฉี ก็บอกให้พวกต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก้าวออกมาเพื่อรับรางวัล
คนคู่แรกที่ออกไปรับรางวัลก็คือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นและฮ่องเต้ตงหมิง และของรางวัลที่ว่าก็มีแค่แหวนพื้นที่วงเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ด้านในจะมีอะไร ก็เกรงว่าจะมีแค่ทั้งสองคนที่ได้รับไปเท่านั้นที่ล่วงรู้
อย่างไรก็ตาม ทุกคนเห็นชัดว่าหลังฮ่องเต้ประเทศตงหมิงได้รับแหวนพื้นที่ดังกล่าวมา แววตามันก็ลุกวาวสว่างวาบ ลมหายใจกลับกลายเป็นถี่รัว มุมปากฉีกยิ้มร่าอย่างยากจะหุบ ก็ไม่ยากที่ผู้คนจะคาดเดาได้ว่าของที่มันได้รับต้องมีค่ามหาศาลแน่ๆ
จากนั้นสายตาอิจฉาริษยามากมายก็รุมจ้องไปยังฮ่องเต้ประเทศตงหมิงทันที
แน่นอนว่าเจ้าของสายตาเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนจากขุมกำลังระดับ 8 ไม่ว่าจะประเทศอื่นๆก็ดี ตระกูลหรือพรรคสำนักนิกายกก็ดี สำหรับขุมกำลังระดับ 7 ทั้งหลายไม่ได้แยแสอะไรเท่าไหร่
เนื่องเพราะของรางวัลที่ทำให้ผู้นำขุมกำลังระดับ 8 ออกอาการลิงโลด พอไปอยู่ในมือขุมกำลังระดับ 7 แล้ว ก็ไม่อาจนับเป็นอะไรได้
“จึกๆ…ฮ่องเต้หมิงผู้นั้น ทั้งๆที่เป็นผู้นำประเทศระดับ 8 ที่สมควรรักษาภาพพจน์อันน่าเกรงขามเอาไว้เสมอ แต่ไม่คิดเลยว่ามันยังมิอาจสำรวมสู้ชายหนุ่มอายุไม่ถึง 100 ปีได้!”
หลังเห็นอาการลิงโลดของฮ่องเต้ตงหมิง ฮ่องเต้ของประเทษระดับ 8 มากมายก็เริ่มหัวเราะออกมา
เหตุผลที่ไฉนพวกมันกล่าวแซวเรื่องนี้ นั่นเพราะหลังรับแหวนพื้นที่มาแล้ว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังคงสงบนิ่งไม่หวั่นไหว ราวกับไม่เห็นสิ่งของในแหวนเป็นจริงจังอะไร
เป็นที่ทราบกันดีว่าของรางวัลที่ผู้ชนะอันดับ 1 กับผู้แนะนำได้รับจ่างซุนฉงฉี ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย และสิ่งของที่ได้ก็คล้ายๆกัน
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงกล่าวชื่นชมหลิงเจวี๋ยอวิ๋นว่ารักษาอาการได้ดีกว่าฮ่องเต้ตงหมิง
“ฮ่าๆๆ ก็ข้าดีใจนี่นา พวกเจ้าไม่ได้เองไม่มีวันรู้หรอก!!”
เมื่อถูกฮ่องเต้ของประเทศระดับ 8 ทั้งหลายกล่าวแซวด้วยเสียงหัวเราะ ฮ่องเต้ตงหมิงหาได้นำพาไม่ กระทั่งยังหัวเราะพลางกล่าวออกมาอย่างสนุกสนาน ด้วยรู้ดีว่าที่คนกล่าวแซวออกมา ล้วนแล้วแต่าอิจฉามันทั้งสิ้น!
อย่างไรก็ตาม หลายคนยังประหลาดใจกับความสงบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่น้อย
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ไม่ต้องกล่าวถึงศักยภาพพรสวรรค์หรือไหวพริบปฏิภาณและเชาว์ปัญญาอันใด อาศัยคนยังนิ่งสงบไม่หวั่นไหวไปกับสมบัติเช่นนี้ได้ รอให้มันเติบโตขึ้นไป ในภายภาคหน้าไม่พ้นต้องกลายเป็นยอดอัจฉริยะของแดนสวรรค์ใต้เราแน่!”
เหิงฉาน จากนิกายอมตะอวิ๋นไถ มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลางกล่าววออกมา ลูกตามันฉายชัดถึงความชื่นชม
มันลองถามตัวเองดู ว่าหากตอนที่มันรั้งอยู่ขอบเขตอดเซียนอมตะแล้วได้รับรางวัลอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแบบนี้ยังจะนิ่งได้แบบนั้นไหม ก็ตอบได้ทันทีว่าไม่!
“อันใดเหิงฉาน เจ้าสนใจเจ้าหนุ่มนี่งั้นรึ?”
ปี้ไห่หมิงเฟิงหันไปมองเหิงฉานพลางถาม
“ย่อมสน”
เหิงฉานเองก็ตอบกลับตรงๆอย่างไม่คิดจะปิดบัง “หากมันยินดีเข้าร่วมกับนิกายอมตะอวิ๋นไถของเรา ทางนิกายย่อมยินดีทุ่มเททรัพยากรเพื่อสนับสนุนมันอย่างเต็มที่ แม้วันหน้ามันจะถูกลิขิตให้ออกจากนิกายอมตะอวิ๋นไถไปยังคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ตาม”
“นิกายอมตะอวิ๋นไถของพวกเรา เมื่อพบพานผู้มีวาสนาโชคชะตาร่วมกันแล้ว ย่อมยินดีที่จะสานไมตรีอันดีไว้!”
กล่าวถึงจุดนี้ เหิงฉานก็พนมมือขึ้น สองตาที่มองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นต่อไปอีกครู่หนึ่งก็เริ่มหลับลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิ่มเอม
“เหิงฉาน…เจ้าลาหัวโล้นนี่ทำเป็นพูดดีไป! เจ้าหนุ่มนี่วันหน้าหากเติบโตขึ้นก็เสมือนถูกลิขิตให้เป็นตัวตนอันโดดเด่นของแดนสวรรค์ใต้ ที่นิกายอมตะอวิ๋นไถเจ้าคิดช่วยเหลือสนับสนุนมันเต็มที่ มิใช่คิดเพาะสร้างบุญคุณ เพื่อที่วันหลังมันจะได้ตอบแทนพวกเจ้ากลับหรือไร? สุดท้ายก็ทำเพื่อผลประโยชน์ล้วนๆ ยังจะยกอ้างเรื่องวาสนาโชคชะตาร่วมกันทำมะเขืออันใด!!”
จางกวงเจิ้งแห้งนิกายอมตะเป้าผู่มองเหิงฉานด้วยสายตาเหยียดๆ และกล่าวออกมาตรงๆเพื่อทำลายวาจาดีๆของเหิงฉาน “เช่นนั้นต่อหน้าเรา อย่าได้ทำเป็นมีคุณธรรมสูงส่งและมีเมตตาอันใด…คิดว่าพวกเราไม่รู้ความคิดลาหัวโล้นเจ้ารึ?”
เมื่อเห็นว่าจางกวงเจิ้งไม่ได้ไว้หน้าเหิงฉานแม้แต่น้อย กล่าวแขวะออกมาตรงๆ กงหยางอวี่ที่ลอยอยู่ข้างๆแม้จะรู้สึกขบขันจนอยากหัวเราะ แต่มันก็ไม่กล้าหัวเราะออกมา
สำหรับปี้ไห่หมิงเฟิง แม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร แต่สายตาที่เหลือบมองเหิงฉานตอนนี้ ยังฉายความระอาไม่น้อย
แต่เป็นธรรมดาว่าจะปี้ไห่หมิงเฟิงก็ดี หรือจางกวงเจิ้งก็ดี ล้วนถูกใจความนิ่งสงบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่น้อย
หากพวกมันล่วงรู้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ หรือแม้แต่อุปกรณ์เทพล่ะก็ พวกมันคงไม่มีวันคิดแบบนี้แน่
ผู้ที่มีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิหรือแม้แต่อุปกรณ์เทพไว้ในครอบครอง กับสิ่งของด้อยคุณภาพกว่ามากที่ 3 นิกาย 2 ตระกูลมอบให้ แม้มันจะมีประโยชน์อู่บ้าง แต่ไหนเลยจะทำให้เสียอาการหรือดีใจจนออกหน้าออกตาได้?
ต่อมา
หลังจากที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับฮ่องเต้ตงหมิงได้รับรางวัลแล้ว ต่อไปก็เป็นตาต้วนหลิงเทียนกับฮ่องเต้ฝูชิวออกไปรับแหวนพื้นที่กันมาคนละวง
ด้านหูหลินอี้ หลังได้รับแหวนมาและส่องภายในดู สีหน้ามันก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แววตาฉายชัดถึงความตื่นเต้น
เรียกว่าจังหวะนี้ เสมือนมันลืมเลือนการตายของลูกชายประเสริฐอย่างหูจี้หย่งไปหมดสิ้น!
ต้วนหลิงเทียนที่ส่องภายในชมดูสิ่งของในแหวน ก็พบว่าไม่มีอุปกรณ์อมตะระดับราชาแม้แต่ชิ้นเดียว มีแค่ยันต์อมตะจำนวนหนึ่ง กับโอสถเพียงไม่กี่ขวดเท่านั้น
แน่นอนว่าข้างๆยันต์อมตะเหล่านั้น ยังมียันต์อมตะเก็บความทรงจำอยู่ด้วย พอสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนถ่ายทอดลงไปเพื่อตรวจสอบ ก็พบได้ทันทีว่ายันต์อมตะเก็บความทรงจำเหล่านี้บันทึกเรื่องราวอะไรเอาไว้
‘ยันต์อัสนีบาตพิฆาต ประกอบไปด้วยความลึกซึ้งแห่งกฏสายฟ้า 2 ประการ ผู้สร้างยังเป็นราชาอมตะ หากใช้งานถูกจังหวะกระทั่งขุนนางอมตะไม่ก็อาจรอด…’
‘ยันต์สารทพิรุณ ประกอบไปด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ 2 ประการ สร้างขึ้นโดยราชาอมตะเช่นกัน เมื่อบดขยี้ใช้งานจะฟื้นฟูรักษาอาการบดาเจ็บทั่วร่างผู้ใช้ในเวลาอันสั้น..’
‘ยันต์เงาว่างเปล่า…’
……
ยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่ว่า ที่แท้ก็มีไว้แนะนำยันต์อมตะแผ่นต่างๆที่เก็บไว้ในแหวนนั่นเอง และยังมียันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า ที่ต้วนหลิงเทียนเคยใช้อีกด้วย
ยันต์เงาว่างเปล่านั้น เป็นยันต์หลบหนีที่ใช้กันทั่วไป แม้แต่ที่พื้นที่ชายแดนก็ยังมี
แต่ยันต์อมตะชนิดอื่นๆ ในพื้นที่ชายแดนนับว่ายากจะพบพาน
‘พวก 3 นิกาย 2 ตระกูลไม่ได้มอบอุปกรณ์อมตะระดับราชาอะไรให้ข้าเลย แต่เลือกจะมอบพวกยันต์เหล่านี้ให้กับข้าอย่างเดียว…ไม่พ้นคงคิดคำนวณมาแล้ว ว่าข้าที่รอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ คงไม่ขาดอุปกรณ์อมตะระดับราชา’
รางวัลในแหวนพื้นที่นั้น เห็นได้ชัดว่ามีแต่ยันต์อมตะประเภทต่างๆ กับโอสถอมตะที่จำเป็นต้องใช้จำนวนหนึ่ง ซึ่งต้วนหลิงเทียนก็ไม่แปลกใจอะไรกับรางวัลเหล่านี้ ‘แถมด้วยอันดับของข้า พวกมันคงรู้ว่าข้าไม่ขาดกระทั่งงอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงโดยจอมราชันอมตะแน่นอน’
‘ในสถานการณ์แบบนี้ หากพวกมันมอบอุปกรณ์อมตะระดับราชาให้ข้า ก็ไม่ต่างอะไรจาก ‘เพิ่มลายปักบุปผาบนผ้าดิ้น’ …สุดท้ายจึงเลือกที่จะมอบยันต์อมตะและโอสถที่จำเป็นต้องใช้ให้ข้าแทน’
(เพิ่มลายปักบุปผาบนผ้าดิ้น = ของมันดีอยู่แล้วไปตกแต่งเพิ่ม ก็เหมือนทำอะไรที่ไม่จำเป็น)
‘เพียงแต่พวกมันคงไม่รู้…ว่าภายในวังจอมราชันอมตะข้าไม่เพียงได้รับพวกอุปกรณ์อมตะระดับราชา ข้ายังได้ยันต์อมตะและโอสถมาเพียบ…’
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงมองของรางวัลที่ 3 นิกาย 2 ตระกูลด้วยสีหน้าท่าทีเฉยๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้แลดูสะทกสะท้านกับของรางวัลแม้แต่น้อยย หลายคนก็มองเขาสูงขึ้นหลายส่วน
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เป็นผู้ฝึกตนอิสระแท้ๆแต่กลับรักษาอาการ ไม่ตื่นเต้นยินดีได้ในเวลาแบบนี้ ช่างหาได้ยากนัก!”
“การเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณคราวนี้ ผู้ฝึกตนอิสระอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับต้วนหลิงเทียนนับว่าเป็นม้ามืดที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์จริงๆ ไม่ทราบที่แท้ทั้งคู่มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่”
“ข้ารู้สึกว่าทั้งคู่มิน่าจะใช้ผู้ฝึกตนอิสระ…”
……
หลายคนเริ่มยกประเด็นผู้ฝึกตนอิสระของต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นออกมาพูด ต่างรู้สึกกันว่าทั้ง 2 ไม่น่าจะใช่ผู้ฝึกตนอิสระธรรมดาๆแน่นอน เพราะพลังฝีมือกับวัยนั้น อยู่เหนือสามัญสำนึกเรื่องผู้ฝึกตนอิสระของพวกมันอย่างแรง
“ของรางวัลพวกนี้…ไม่ใช่ว่าสมควรมอบให้พวกเราหลังจากที่พวกเราตัดสินใจเข้าร่วมขุมกำลังแล้วหรอกหรือ?”
พอถึงตาที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวกับผู้อาวุโสในตระกูลออกไปรับรางวัล มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความสงสัย
“นั่นมันเมื่อก่อน…”
จ่างซุนฉงฉีกล่าว “ทว่าตั้งแต่ครั้งนี้เป็นต้นไป ทุกคราที่แดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออก 3 นิกาย 2 ตระกูลจะมอบรางวัลให้ผู้ที่รอดกลับออกมาเสียก่อน จากนั้นค่อยเปิดโอกาสให้พวกเจ้าเลือกขุมกำลังที่จะเข้าร่วม”
“และนี่ยังเป็นคำสั่งของคฤหาสน์เฉวียนโยว”
กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของงจ่างซุนจงฉีก็เผยความลำบากออกมาไม่น้อย
ถึงแม้ของรางวัลที่นำออกมาแจกจ่ายคราวนี้ ตระกูลจ่างซุนและตระกูลกงหยางจะออกของรางวัลในมูลค่าที่เทียบได้เพียงครึ่งของ 3 นิกายเท่านั้น….
แต่กระนั้นพวกมันก็เสียเปรียบหนักแล้ว
นั่นเพราะทุกคราที่ผู้คนรอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ ขุมกำลังที่พวกมันเลือกจะเข้าร่วมนั้น ก็มุ่งเน้นไปที่ 3 นิกาย ยิ่งเก่งกาจมากพรสวรรค์เท่าไหร่ ยิ่งไม่แยแส 2 ตระกูลมากขึ้นเท่านั้น
และนี่เป็นดั่งพันธนาการของตระกูล
ตระกูลกับนิกายนั้น แตกต่างกันอย่างมาก
เรื่องนี้ตัวมันเองก็รู้ดีแก่ใจ ทำให้ถึงจะรู้สึกจนปัญญา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ
หากพวกมันเป็นยอดเซียนอมตะมากฝีมือ พวกมันก็ไม่คิดจะเข้าร่วมตระกูลจ่างซุนกับตระกูลกงหยางเช่นกัน
“ที่แท้เป็นเพราะสาเหตุนี้”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพอได้ฟังก็เข้าใจเรื่องราวได้ไม่ยาก จากนั้นนางก็รับรางวัลมา อาวุโสตระกูลมู่หรงข้างๆก็รับของรางวัลมาเช่นกัน
และไม่ว่าจะมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ดี อาวุโสตระกูลมู่หรงข้างๆก็ดี หลังได้รับรางวัลมาก็ไม่มีใครเผยอาการใดๆ สีหน้านิ่งสงบไม่สะทกสะท้าน
แต่ไม่มีใครแปลกใจเลย
เพราะทั้งคู่จะอย่างไรก็เป็นคนของตระกูลมู่หรง และตระกูลมู่หรงก็เป็นตระกูลระดับ 7 ที่พลังอำนาจไม่ได้แตกต่างจากตระกูลจ่างซุนและตระกูลกงหยางมากเท่าไหร่
เพียงแค่ตระกูลจ่างซุนกับตระกูลกงหยางนั้นมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคฤหาสน์เฉวียนโยวมากกว่า ฐานะของพวกมันจึงแลดูเหนือกว่าตระกูลมู่หรงอยู่บ้าง
แต่ในแง่ทรัพยากรแล้ว สิ่งที่ตระกูลมู่หรงมีก็ไม่ได้ต่างอะไรจากตระกูลจ่างซุนและตระกูลกงหยางเลย
WSSTH ตอนที่ 3,034 : การเลือก
“ข้าเองก็รู้สึกตงิดๆเหมือนมีอะไรผิดแปลกตั้งแต่แรก…ที่แท้เป็นเพราะทุกคนยังไม่ทันเลือกเข้าร่วมขุมกำลังใด 3 นิกาย 2 ตระกูลก็เริ่มแจกจ่ายของรางวัลตามอันดับแล้วนี่เอง”
หลังจากที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวยิงคำถามดังกล่าวออกไป หลายๆคนก็ตระหนักได้ว่าเรื่องราวมันต่างจากกาลก่อนตรงจุดไหน
ในอดีตหลังจากแดนสวรรค์ใต้โบราณปิดตัวลง ยอดเซียนอมตะที่รอดกลับออกมาได้ จะเลือกขุมกำลังที่ตนเองจะเข้าร่วมก่อน จากนั้นขุมพลังที่มันเลือกจึงจะส่งมอบของรางวัลให้ตามสมควร
เป็นธรรมดาว่า มีแต่ยอดเซียนอมตะกับผู้แนะนำเท่านั้นที่จะได้รับของรางวัล คนอื่นไม่เกี่ยว
และยิ่งอันดับสูง ขอรางวัลที่ได้ก็จะยิ่งสูง
3 อันดับแรกย่อมได้ของรางวัลมากที่สุด และเป็นธรรมดาว่าอันดับ 3 จะได้ของรางวัลน้อยกว่าอันดับ 2 ส่วนอันดับ 2 ก็จะได้ของราวัลน้อยกว่าอันดับที่ 1
หลังจากที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวกับผู้อาวุโสตระกูลมู่หรงรับมอบรางวัลไปแล้ว จ่างซุนก็กวาดตามองไปยังกลุ่มยอดเซียนอมตะที่ลอยอยู่ไม่ไกล พลางเอ่ยออกมาเสียงดังฟังชัดว่า “ต่อไปขอให้ผู้ที่ได้อันดับ 4 ถึงอันดับที่ 10 กับผู้นำแนะออกมารับของรางวัล”
หลังจากแจกของรางวัลให้ 3 อันดับแรกแล้ว ต่อมาก็คือแจกของรางวัลอีก 7 อันดับที่เหลือซึ่งก็คืออันดับ 4 ถึง อันดับ 10
หลังจากนั้นก็จะเริ่มมอบของรางวัลให้ตั้งแต่อันดับที่ 11 ลงไป…
และแน่นอนว่ายิ่งอันดับต่ำ ของรางวัลที่ได้รับก็จะน้อยลงตามลำดับ
…
เมื่อของรางวัลถูกแจกจ่ายแล้วเสร็จ เสียงของจ่างซุนฉงฉีก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง
“จากนี้ไปขอให้ยอดเซียนอมตะที่ติดอยู่ใน 30 อันดับแรก ทำการเลือกขุมกำลังที่จะเข้าร่วม และขอให้ผู้ที่ได้อันดับที่ 1 ทำการเลือกก่อน”
“และเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจเข้าร่วมขุมกำลังใดๆแล้ว พวกเจ้ามิอาจเปลี่ยนใจภายหลังได้ เช่นนั้นก่อนจะตัดสินใจเลือกก็ขอให้พวกเจ้าคิดให้ดีเสียก่อน”
จ่างซุนฉงฉีกล่าวเตือนออกมาปิดท้าย หลังจากนั้นก็เริ่มหันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ได้รับอันดับที่ 1 พลางกล่าว “เชิญเจ้าเหินร่างออกมาเบื้องหน้าเพื่อพินิจขุมกำลังที่จักเข้าร่วม”
ฟุ่บ!
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ได้ยินก็เหินร่างออกไปหยุดค้างกลางหาวเบื้องหน้าตัวแทนจาก 5 ขุมกำลัง พลางว่ายตามองสำรวจแต่ละคน
และทันทีที่เหินร่างออกมาถึง ในหูมันก็ปรากฏเสียงหนึ่งส่งตรงมาถึงเร็วไว 5 สำเนียง เป็นการยื่นข้อเสนอจูงใจของ 5 ขุมกำลังนั่นเอง
และทั้ง 5 ก็ส่งเสียงผ่านพลังมาบอกผลประโยชน์และสวัสดิการที่มันจะได้รับ แน่นอนว่าไม่ขาดคำรับประกันว่าจะช่วยสนับสนุนมันให้เข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยเร็วที่สุด
“ข้าเลือก…”
ท่ามกลางสายตาสงบเจือลุ้นระทุกของทุกๆคน ในที่สุดหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ค่อยๆกล่าวออกมา
จังหวะนี้ทุกคนล้วนพากันหยุดหายใจอย่างพร้อมเพรียง กระทั่งตัวแทนของ 5 ขุมกำลังก็ไม่เว้น
“นิกายอมตะอวิ๋นไถ!”
ในที่สุดหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ตัดสินใจเลือกเข้าร่วมกับนิกายอมตะอวิ๋นไถออกมา!
นิกายอมตะอวิ๋นไถ แม้ศิษ์สาวกส่วนใหญ่จะบวชเป็นหลวงจีน แต่ก็มีศิษย์ธรรมดาหรือที่เรียกว่าศิษย์ฆราวาสอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งศิษย์ฆราวาสก็ไม่จำเป็นต้องปลงผมออกบวชรักษาศีลอันใด และไม่ต้องใส่จีวรอะไรทำนองนั้น แต่จะมีเครื่องแต่งกายเฉพาะอีกแบบ กระทั่งจะสวมใส่ชุดตามใจชอบก็ไม่ว่า
แต่ทว่าไร้ซึ่งข้อยกเว้นใด ผู้ที่จะเป็นศิษย์ฆราวาสได้นั้นล้วนต้องเป็นชนชั้นอัจฉริยะ! เพราะมีแต่ชนชั้นอัจฉริยะเท่านั้นถึงจะได้รับสิทธิ์ให้เป็นศิษย์ฆราวาส!!
และศิษย์ฆราวาสก็เสมือนศิษย์ที่ทางนิกายอมตะอวิ๋นไถผ่อนปรนเรื่องข้อบังคับปฏิบัติของนิกายให้เป็นพิเศษ!
ต้องทราบด้วยว่า ในอดีตนั้นหากใครคิดจะเป็นศิษย์ของนิกายอมตะอวิ๋นไถ หากมิใช่ชนชั้นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมเหนือคนแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกท่านหลานเธอหรือมีความเป็นมายิ่งใหญ่เพียงไหน ท่านก็ต้องโกนหัวให้ล้านเลี่ยนเตียนโล่ง และใส่จีวรรักษาศีลอย่างเคร่งครัด
“นิกายอมตะอวิ๋นไถยินดีต้อนรับประสกหลิง!”
รอยยิ้มสดใสปานบุปผาเบ่งบานคลี่กางขึ้นบนใบหน้าเหิงฉานทันที เมื่อครู่นั้นมันได้มอบสิทธิพิเศษมากมายเท่าที่ขอบเขตอำนาจของมันจะทำได้ให้ชายหนุ่มชุดเทาอายุไม่ถึงร้อยปีผู้นี้!
ครู่ต่อมาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หันกลับไปพักหน้าให้ฮ่องเต้ตงหมิงคราหนึ่ง จากนั้นค่อยเหินร่างไปหยุดยืนด้านหลังเหิงฉาน
“เจ้าลาหัวโล้นเฒ่าเหิงฉาน ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าจะเอาคนผู้นี้ให้ได้…น่ากลัวสัญญาที่เจ้าลั่นไปคงไม่เบากระมัง ใช่ถึงขั้นนำโถงอรหันต์เจ้าไปจำนองแล้วหรือไม่?”
จางกวงเจิ้นแห่งนิกายอมตะเป้าผู่หั่นไปมองกล่าวกับเหิงฉานด้วยสีหน้าอิจฉา
“นักพรตเฒ่าจาง…มีคำกล่าวที่ว่า ‘ไม่เสียสละเลือดเนื้อไหนเลยจับหมาป่าได้’ หากท่านมิคิดทุ่มทุนสร้างสักหน่อย ไหนเลยจักให้ผู้อื่นเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่ได้เล่า”
เหิงฉานหันไปมองกล่าวกับจางกวงเจิ้งอย่างผู้ชนะ สีหน้าแววตาเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจถึงขีดสุด
จางกวงเจิ้งเพิกเฉยทีท่ามั่นหน้าของเหิงฉาน จากนั้นก็หันไปจับจ้องชายหนุ่มในชุดสีม่วงตาเขม็ง แววตาเผยความมุ่งมั่นออกมาเต็มเปี่ยม
‘นิกายอมตะเป้าผู่ กับนิกายอมตะเหอฮวน…ข้าจะเลือกนิกายไหนดีนะ’
หลังจากที่เห็นหลิ’เจวี๋ยอวิ๋นตัดสินใจเลือกนิกายอมตะอวิ๋นไถแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างออกกมาเป็นลำดับถัดไป ก็หันไปมองอีก 2 นิกายที่เหลืออย่างสองจิตสองใจ ด้วยไม่รู้จะเลือกนิกายไหนดี
ปี้ไห่หมิงเฟิง ประมุข 3 ของนิกายอมตะเหอฮวนนั้น แน่นอนว่าเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจจริงๆ อีกฝ่ายเป็นถึง 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว หากเข้าร่วมนิกายอมตะเหอฮวน เขาย่อมมีลู่ทางเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะตัดสินใจเลือกเข้านิกายอมตะเหอฮวนเพราะสาเหตุนี้อย่างเดียว
“ต้วนหลิงเทียน หากเจ้าตัดสินใจเข้าร่วมตระกูลจ่างซุนของพวกเรา ตระกูลจ่างซุนของพวกเรายินดีมอบศาสตราและชุดเกราะระดับราชาอมตะที่เจ้าต้องการ อีกทั้งพวกมันยังเป็นของที่ผ่านการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะแล้ว นอกจากนั้นพวกเราจักมอบยันต์อมตะหลบหนี ซึ่งมีพลังมากพอให้เจ้ารอดพ้นเงื้อมมือราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดให้…”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสองจิตสองใจและลังเลด้วยไม่รู้จะเลือกนิกายไหนดี ก็มีเสียงหนึ่งส่งตรงถึงหูเขา
เจ้าของเสียงก็คือจ่างซุนฉงฉี ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธารจัดการเรื่องราวแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้
‘ของที่ให้ก็ฟังดูดีอยู่หรอก…แต่ไม่ใช่ว่ามันจะงกเกินไปหน่อยรึไง?’
คนส่วนใหญ่อาจสนใจของที่จ่างซุนฉงฉีเสนอ แต่ต้วนหลิงเทียนนั้นไม่คิดจะเหลียวแลแม้แต่น้อย
“ต้วนหลิงเทียน ตราบใดที่เจ้าเข้าร่วมกับตระกูลกงหยางของพวกเรา…”
หลังจากเสียงผ่านพลังของจ่างซุนฉงฉีดังจบไปได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงผ่านพลังของกงหยางอวี่ดังขึ้นในหูเขา อีกฝ่ายก็ยื่นข้อเสนออกมาด้วยสิ่งของที่มีมูลค่าไม่แตกต่างจากจ่างซุนฉงฉีมากนัก
ถัดมาก็เป็นเสียงผ่านพลังของปี้ไห่หมิงเฟิง “ต้วนหลิงเทียนหากเจ้าเลือกเข้าร่วมนิกายอมตะเหอฮวน ไม่เพียงแต่เจ้าจะได้รับการปฏิบัติไม่ต่างอะไรจากศิษย์หลักของนิกายอมตะเหอฮวนเท่านั้น ข้ายังจะช่วยให้เจ้าเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวเท่าที่ข้าจะทำได้”
เทียบกับจ่างซุนฉงฉีและกงหยางอวี่แล้ว ข้อเสนอของปี้ไห่หมิงเผิงนับว่าโน้มน้าวใจเขาได้มากกว่า
และถัดจากเสียงผ่านพลังของปี้ไห่หมิงเฟิง เสียงผ่านพลังของจางกวงเจิ้งก็เริ่มดังขึ้นในหูเขา
“ต้วนหลิงเทียนหากเจ้าเลือกนิกายอมตะเป้าผู่ของเราเป็นที่พักพิง ไม่เพียงแต่ข้าจะเสนอชื่อเจ้าให้เป็นศิษย์สายตรงของประมุขนิกาย นอกจากนั้นพวกเราจักสนับสนุนเจ้าให้เข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวเต็มที่ นอกจากนั้นเมื่อเจ้าเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว ข้าจักติดต่อให้ท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่าของนิกายอมตะเป้าผู่เราที่ดำรงตำแหน่ง 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวอยู่ คอยดูแลเจ้าอย่างดี”
กล่าวถึงจุดนี้จางกวงเจิ้งก็หยุดลงสักครู่ ค่อยกล่าวสืบต่อว่า “นอกจากนั้นข้ายังจะมอบโอกาสให้เจ้าเข้าสู่คลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่เรา และให้เจ้าเลือกหยิบสมบัติที่เจ้าต้องการได้ตามใจชอบชิ้นหนึ่ง!”
เสียงผ่านพลังประโยคท้ายของจากวงเจิ้งนั้น น้ำเสียงฟังดูหนักไม่น้อย เห็นชัดว่ามันกัดฟันพูดแล้วจริงๆ
จังหวะนี้ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความหวั่นไหวขึ้นมาทันที
เพราะเท่าที่เขาทราบมา นิกายอมตะเป้าผู่นั้น นับเป็นนิกายอมตะระดับ 7 ที่สืบทอดมรดกมานานหลายพันหมื่นปีแล้ว เรียกว่าดำรงอยู่มานานสุดที่นิกายอมตะเหอฮวนกระทั่งนิกายอมตะอวิ๋นไถจะเทียบได้
“ต้วนหลิงเทียน”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังหวั่นไหวไปกับข้อเสนอของจางกวงเจิ้งนั้นเอง เสียงผ่านพลังของเหิงฉานผู้นำโถงอรหันต์ของนิกายอมตะอวิ๋นไถพลันดังขึ้นในหูเขา
อ่างไรก็ตามข้อเสนอที่อวิ๋นไถหยิบยื่นให้เขานั้นพอๆกับปี้ไห่หมิงเฟิง และยังนับว่าห่างกับคำสัญญาของงจางกวนเจิ้งแห่งนิกายอมตะเป้าผู่อยู่บ้าง
“เฮ่ ตอนโล้นเฒ่านี่ชวนเจ้าไปเข้าร่วมนิกายอมตะอวิ๋นไถ มันเสนออะไรให้เจ้าบ้าง?”
ต้วนหลิงเทียนที่นึกเอะใจสงสัย เลยลองส่งเสียงผ่านพลังไปถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดู
หลังได้รับฟังคำตอบผ่านพลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลอบสบถด่าในใจว่า ‘ไอ้โล้นเฒ่าน่าตายเอ๊ย’ ออกมา นั่นเพราะข้อเสนอที่เหิงฉานสัญญาว่าจะมอบให้เขานั้น มันช่างด้อยกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาก!
ข้อเสนอที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น เรียกว่าเทียบกับสัญญาที่จางกวงเจิ้นมอบให้เขาเลย
“อาวุโสจาง ตอนเข้าไปในคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่…ข้าขอเลือกของเพิ่มเป็น 3 ชิ้นได้หรือไม่?”
อย่างไรก็ตามแม้จะตัดสินใจไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังเลือกจะส่งเสียงผ่านพลังไปถามจางกวงเจิ้งก่อนเผื่อได้ของเพิ่ม “หากท่านรับปากเรื่องนี้ ข้าจะเลือกเข้าร่วมกับนิกายอมตะเป้าผู่ทันที”
ทว่าด้านจางกวงเจิ้ง เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน มันไม่ได้ตอบเขาทันที
แต่ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก ว่าไม่พ้นจางกวงเจิ้งต้องกำลังใช้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณติดต่อกับประมุขนิกายอมตะเป้าผู่อยู่แน่นอน
หลังจากนั้น จางกวงเจิ้งก็ส่งเสียงผ่านพลังมาให้คำตอบเขา “เต็มที่พวกเราให้เจ้าได้แค่ 2 ชิ้น…หากเจ้ายังคงยืนกรานว่าต้องได้ 3 ชิ้น เช่นนั้นเกรงว่านิกายอมตะเป้าผู่เราคงไร้วาสนากับเจ้าแล้ว”
หลังได้ฟังคำตอบของจางกวงเจิ้ง ต้วนหลิงเทียนก็รับทราบได้ทันทีว่านั่นคือขีดจำกัดที่อีกฝ่ายจะมอบให้ได้แล้ว หลังจากพยักหน้ารับคำ เขาก็เอ่ยออกเสียงดังฟังชัดว่า “ข้าเลือก…นิกายอมตะเป้าผู่!”
หลังกล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างไปหยุดลงด้านหลังจางกวงเจิ้งทันที ทำให้ใบหน้าจางกวงเจิ้งเผยรอยยิ้มที่แลดูน่าเกลียดปานร่ำไห้ออกมา “นิกายอมตะเป้าผู่ยินดีต้อนรับเจ้า…”
เมื่อเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับต้วนหลิงเทียนทยอยกันเลือกนิกายอมตะอวิ๋นไถและนิกายอมตะเป้าผู่ทีละคนๆ สีหน้าของปี้ไห่หมิงเฟิงก็เริ่มกลายเป็นบิดเบี้ยวดูไม่ได้
“ไม่ทราบว่านักพรตเฒ่าจาง กับลาหัวโล้นเหิงพวกท่าน…เสนอเงื่อนไขอันใดออกไปหรือ?”
ปี้ไห่หมิงเฟิงเลือกจะกล่าวถามออกมาตรงๆ เพราะมันรู้สึกว่าข้อเสนอของมันก็มากแล้ว แต่ไฉนยังไม่อาจทำให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับต้วนหลิงเทียนหวั่นไหวได้เล่า?
ทว่าจางกวงเจิ้งกับเหิงฉานนั้นไม่ต้อบอะไรออกมา เพียงคลี่ยิ้มบางๆให้ปี้ไห่หมิงเฟิงแทนคำตอบเท่านั้น
จังหวะนี้ปี้ไห่หมิงเฟิงที่บังเกิดอาการคันในหัวใจยากจะเกา ก็ไม่อาจทนได้ไหว จึงส่งเสียงผ่านพลังไปถามต้วนหลิงเทียนทันที “เจ้าหนูเจ้าบอกข้ามาที ว่าเมื่อครู่ลาหัวโล้นกับเจ้าพรตเฒ่านั่นเสนอเงื่อนไขอันใดให้…หากเจ้าบอกมาข้าจะมอบยันต์เงาว่างเปล่าให้เจ้า 3 แผ่น”
“10”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองปี้ไห่หมิงเฟิงเล็กน้อย ค่อยเอ่ยคำตอบกลับ
ยันต์เงาว่างเปล่าไม่ใช่ของหายากอะไรสำหรับนิกายอมตะเหอฮวนแน่นอน ต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดเกรงใจอะไร คำแรกที่เอ่ยออกไปจึงเพิ่มจาก 3 เป็น 10 ทันที
“ไอ้หนู ช่างเป็นสิงโตปากกว้างนัก…แต่เอาเถอะ ข้ายังพอรับได้! 10 ก็ 10 เจ้าบอกข้ามาเร็วๆ!!”
ปี้ไห่หมิงเฟิงผงะไปเล็กน้อย ก่อนที่จะยอมรับคำขอ และรบเร้าให้ต้วนหลิงเทียนรีบตอบ
และพอต้วนหลิงเทียนเอ่ยข้อเสนอที่จางกวงเจิ้นกล่าวมา มุมปากปี้ไห่หมิงเฟิงก็กระตุกไปทันที
เรื่องให้เป็นศิษย์สายตรงประมุขนั้น ก็นับว่าดีใช้ได้
ส่วนเรื่องให้บรรพบุรุษเฒ่าที่เป็น 1 ใน 10 ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยววไปแล้ว สำหรับมันนับว่างั้นๆ
แต่ถึงกับเปิดโอกาสให้เลือกสมบัติในคลังนิกาย 2 ชิ้นเชียวหรือ?
กระทั่งตัวปี้ไห่หมิงเฟิงเอง พอได้ฟังมันยังอดหวั่นไหวไปกับข้อเสนอนี้ไม่ได้เลย…
ต้องทราบด้วยว่านิกายอมตะเป้าผู่นั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และดำรงอยู่มานานยิ่งกว่านิกายยอมตะเหอฮวนของมันเสียอีก…
นอกจากนี้มันยังได้ยินมาว่าค่ายกลที่ปกป้องคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่นั้น กระทั่งตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะทั่วไป ยังไม่อาจทำลายได้ด้วยซ้ำ…ของด้านในจะมีมูลค่าปานไหนมันย่อมพอจะตระหนักได้จากจุดนี้
หลังทราบว่าจางกวงเจิ้งยื่นข้อเสนออะไรให้ต้วนหลิงเทียน ปี้ไห่หมิงเฟิงก็ยอมรับความพ่ายแพ้โดยสดุดี และรู้ว่าสิ่งที่มันเสนอไปนั้นไม่อาจเทียบได้จริงๆ
และในขณะที่ปี้ไห่หมิงเฟิงเริ่มหันมองไปทางหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ด้วยคิดถามว่าเหิงฉานเสนอผลประโยชน์อะไรให้นั้น
“ท่านมอบยันต์เงาว่างเปล่าให้ข้าเพิ่มอีก 10 แผ่น แล้วข้าจะบอกว่านิกายอมตะอวิ๋นไถหยิบยื่นข้อเสนอใดให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น…”
เสียงของต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้นในหูปี้ไห่หมิงเฟิงอย่างประจวบเหมาะ ทำให้มุมปากปี้ไห่หมิงเฟิงกระตุกไปอย่างแรงอีกรอบ
ไอ้หนูนี่ ไฉนไร้ยางอายนักเล่า!?
WSSTH ตอนที่ 3,035 : มุ่งหน้าสู่นิกายอมตะเป้าผู่
อย่างไรก็ตามหลังได้ฟังวาจากรรโชกทรัพย์ของต้วนหลิงเทียนแล้ว ปี้ไห่หมิงเฟิงก็เลือกจะถลึงตามองค้อนต้วนหลิงเทียนอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็เริ่มหันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกครั้ง
ทว่าต้วนหลิงเทียนที่เห็นอีกฝ่ายเพิกเฉย ก็เลือกจะส่งเสียงผ่านพลังไปอีกรอบ
“ท่านอย่าพยายามให้เปล่าประโยชน์เลย เพราะตราบใดที่ข้าออกปาก หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่มีทางบอกท่านหรอกว่านิกายอมตะอวิ๋นไถเสนอผลประโยชน์อะไรให้”
หลังเอ่ยบอกปี้ไห่หมิงเฟิงเรื่องนี้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ชิงหันไปส่งเสียงผ่านพลังถึงหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในจังหวะที่ปี้ไห่หมิงเฟิงชะงักทันที “เฮ่ อีกเดี๋ยวถ้าปี้ไห่หมิงเฟิงถามอะไรเจ้า เรื่องที่นิกากยอมตะอวิ๋นไถมอบผลประโยชน์อะไรให้ เจ้าอย่าได้บอกมันเชียว ให้มันมาถามข้าเอง”
“หืม?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ได้ฟังเสียงผ่านพลังดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนก็งุนงงไม่น้อย จากนั้นไม่ทันที่มันจะได้ตอบสนองอะไรเสียงผ่านพลังของปี้ไห่หมิงเฟิงก็ดังขึ้นในหูพอดี จึงหันไปส่งเสียงผ่านพลังถึงต้วนหลิงเทียนก่อน “มันถามข้าจริงๆด้วย…”
“เอาล่ะ เจ้าอย่าบอกมันก็พอ โยนมาให้ข้าตอบเอง”
ต้วนหลิงเทียนกำชับ
สำหรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องขี้ประติ๋ว และตอนนี้หวงเอ้อที่มันเห็นไม่ต่างอะไรจากพี่สาวแท้ๆต่อไปก็จะยอมรับต้วนหลิงเทียนเป็นนายแล้ว เช่นนั้นมันย่อมไม่มีทางปฏิเสธเรื่องเล็กน้อยที่ต้วนหลิงเทียนขอมาแบบนี้แน่นอน
“ไปถามต้วนหลิงเทียนเถอะ มันรู้”
ถึงแม้พลังฝีมือปี้ไห่หมิงเฟิงจะร้ายกาจ แต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นใคร?
ตอนยังอยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพ ไม่ทราบสาวใช้ที่คอยดูแลมันร้ายกาจกว่าจักรพรรดิสวรรค์เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ไฉนต้องมากริ่งเกรงหรือไว้หน้ากับอีแค่ตัวตนขอบเขตพลังราชาอมตะด้วย? อีกฝ่ายยังไม่มีคุณสมบัติจะหิ้วรองเท้าให้มันด้วยซ้ำ!!
ได้ยินคำตอบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น มุมปากปี้ไห่หมิงเฟิงยิ่งมาก็ยิ่งกระตุก จากนั้นมันก็ละสายตาจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับมามองต้วนหลิงเทียน พลางกล่าวผ่านพลังด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ไอ้หนู ข้าล่ะเชื่อเจ้าเลยจริงๆ ถึงกับสั่งให้มันร่วมมือกับเจ้าได้แบบนี้”
“ขอบคุณสำหรับคำชม ประมุขปี้ไห่”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวผ่านพลัง จากนั้นก็เอ่ยออกเสียงดังฟังชัด “เหมือนเดิม ยันต์เงาว่างเปล่า 10 แผ่นแล้วข้าจะบอก…”
ปี้ไห่หมิงเฟิงรู้สึกอ่อนแรงอยู่บ้าง มันก็ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวมาหลายปีแล้ว แต่นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่มันรู้สึกไร้อำนาจต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ในสถานการณ์เช่นนี้มันย่อมไม่อาจใช้กำลังหรืออำนาจใดๆข่มขู่บีบคั้นเด็กน้อยคนหนึ่งได้ เว้นเสียแต่มันจะไม่กลัวขายขี้หน้าประชาชี…
“พูดมา!”
ปี้ไห่หมิงเฟิงเอ่ยผ่านพลังด้วยน้ำเสียงขัดใจเป็นที่สุด
หลังจากนั้นพอได้ฟังคำตอบผ่านพลังของต้วนหลิงเทียน ปี้ไห่หมิงเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเหิงฉานแห่งนิกายอมตะอวิ๋นไถด้วยสายตาอับจน ‘ไม่คิดเลยว่าลาหัวโล้นเฒ่านั่น มันถึงกับกล้าทุ่มทุนสร้างขนาดนี้…’
ผลประโยชน์ที่เหิงฉานเสนอให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าผลประโยชน์ที่ทางจางกวงเจิ้นเสนอให้ต้วนหลิงเทียนเลย
‘บ้าเอ๊ย ทั้งหมดเป็นเพราะข้ายังอ่อนประสบการณ์ในด้านนี้เกินไป…หากรู้แต่แรกข้ายอมเฉือนเนื้อออกไปสักหน่อยก็จบแล้ว เพราะสุดท้ายเนือที่เฉือนไป ก็ใช่เนื้อข้าเสียเมื่อไหร่!’
จังหวะนี้ปี้ไห่หมิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่มันมาจัดการเรื่องราวอะไรพวกนี้ และมันก็ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้โดยสมบูรณ์ ไหนเลยจะเจนจัดเท่าหมาป่าเฒ่าเจ้าเล่ห์ทั้งหลายที่นี่ สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับจางกวงเจิ้งและเหิงฉานไปอย่างน่าเสียดาย…
‘แต่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั่น ข้าต้องนำตัวนางมาให้ได้ ไม่งั้นประมุขอีก 2 คนได้ดูแคลนข้าแน่!!’
เมื่อปี้ไห่หมิงเฟิงเห็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเหินร่างออกมาหยุดลอยเบื้องหน้า มันก็คิดจะเสนอผลประโยชน์ในระดับเดียวกับที่ได้ฟังมาเมื่อครู่ออกไปทันที อนิจจามันยังไม่ทันพูดอะไร มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพลันกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัดเสียก่อน!
“ข้าเลือก…ตระกูลกงหยาง!”
ทันทีที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเหินร่างออกมาถึง นางก็ตัดสินใจเลือกตระกูลกงหยางทันที สุดที่ใครจะทันได้ยื่นข้อเสนอทั้งสิ้น
จังหวะนี้อย่าว่าแต่ปี้ไห่หมิงเฟิงไม่ทันได้ส่งเสียงผ่านพลังไปหยิบยื่นข้อเสนอ กระทั่งจางกวงเจิ้นและ จ่างซุนฉงฉีก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะพูดออกมาสักคำ!
สำหรับเหิงฉานของนิกายอมตะอวิ๋นไถนั้น ไม่คิดยื่นข้อเสนอใดๆให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอยู่แล้ว เพราะพวกมันไม่ไหวจะรับอิสตรีจริงๆ!
ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวได้อันดับที่ 3 เลย ต่อให้เป็นอันดับที่ 1 มันก็ไม่สนใจ!
แม้นิกายอมตะอวิ๋นไถจะอนุโลมให้มีศิษย์ฆราวาสได้ แต่นั่นก็เป็นอภิสิทธิ์สูงสุดเท่าที่พวกมันจะอนุโลมให้ได้แล้ว…
ลูกศิษย์สตรีหรือ?
นิกายอมตะอวิ๋นไถไม่ไหวจะรับจริงๆ! พวกมันจะอย่างไรก็เป็นผู้ออกบวช ไหนเลยจะปล่อยให้มีสีกาเข้ามายั่วศิษย์หนุ่มกลัดมันที่ตบะยังไม่แข็งแกร่งได้? และหากเกิดเรื่องฉาวโฉ่อะไรขึ้นมา น่ากลัวให้ท่อง ‘บาปกรรมๆ’ สำนึกผิดไปร้อยพันปี ก็ไม่อาจสู้หน้าบรรพชนได้!!
“เฒ่ากง…เจ้านับว่าลงมือได้รวดเร็วยิ่ง!”
จ่างซุนฉงฉีอดไม่ได้ที่จะหันไปมองกงหยางอวี่ด้วยความอึ้ง และสิ่งที่ทำให้มันสงสัยก็คือ ที่แท้กงหยางอวี่เสนอเงื่อนไขเลิศล้ำอันใดออกไปกันแน่ ถึงดึงดูดมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวให้ไปเข้าร่วมได้!
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตระกูลกงหยางก็เป็นขุมกำลังประเภทตระกูลดุจเดียวกับตระกูลจ่างซุนมันเลย มันรู้ดีว่าให้เสนออะไรไปมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็คงยากจะสนใจเป็นแน่
ที่สำคัญที่สุดก็คือ
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจะอย่างไรก็เป็นคนของตระกูลระดับ 7 ที่มีพลังอำนาจไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลกงหยางหรือตระกูลจ่างซุนแม้แต่น้อย ของที่พวกมันคิดจะมอบให้ ตระกูลมู่หรงไหนเลยจะขาดแคลน!
“ข้าไม่ได้รับปากอันใดแม่นางมู่หรงทั้งสิ้น”
กงหยางอวี่ยิ้ม
“เพ่ย! เจ้ายังกล้าพูดออกมาอีกว่ามิได้รับปากอันใด เจ้าคิดหลอกผู้ใดกัน หรือเห็นข้าเป็นเด็ก 3 ขวบแล้วจริงๆ? หากเจ้าไม่ทุ่มสุดตัวมีหรือนางจะเลือกเข้าร่วมกับตระกูลกงหยางของเจ้าได้?!”
จ่างซุนฉงฉีย่อมไม่เชื่อวาจาดังกล่าวของกงหยางอวี่
“ฮ่าๆๆ เรื่องนี้เกรงว่าแพะเฒ่าเจ้าคงยังไม่รู้…คุณชาย 3 ตระกูลกงหยางของพวกเรากำลังจักวิวาห์กับคุณหนู 4 ตระกูลมู่หรงแล้ว”
กงหยางอวี่หัวเราะออกมาอย่างถูกใจ พลางเอ่ยชี้แจง
และทันทีที่กงหยางอวี่พูดประโยคดังกล่าวออกมา ไม่เพียงแต่จ่างซุนฉงฉีจะอึ้ง แม้แต่จางกวงเจิ้งกับเหิงฉางก็ผงะไปตามๆกัน
“เท่าที่ข้ารู้มาคุณหนู 4 ของตระกูลมู่หรงนั่นเป็นน้องสาวแท้ๆของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว…และคุณชาย 3 ของตระกูลหยางกง ก็คือผู้ที่จะรับสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปของตระกูลหยางกง…”
ปี้ไห่หมิงเฟิงหยีตากล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย บัดนี้มันไม่แปลกใจเลยว่าไฉนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวถึงเลือกจะเข้าร่วมกับตระกูลหยางกง
เพราหากไร้ข้อผิดพลาดใดๆ น้องสาวของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็จะกลายเป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูลหยางกง!
การที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเข้าร่วมกับตระกูลหยางกงแบบนี้ ไม่ต่างอะไรจากไปเพาะสร้างขุมกำลังที่ตระกูลหยางกงก่อน เป็นการปูทางให้น้องสาวของนางดำรงตำแหน่งฮูหยินเอกอย่างราบรื่น…
‘ตุ๊กตายาโถวนี่ ไม่ธรรมดาจริงๆ…’
ปี้ไห่หมิงเฟิงคิดในใจ ขณะมองจ้องมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่กำลังเหินร่างไปอยู่ด้านหลังหยางกงอวี่เขม็ง
หลังจากมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแล้ว คนอื่นๆที่มีอันดับรองลงมาก็เริ่มทยอยกันเหินร่างออกมาเลือกขุมกำลังที่จะเข้าร่วมทีละคนๆ
อาจเป็นเพราะพลาดรับ 3 อันดับแรกมาเข้าร่วมนิกายอมตะเหอฮวน เช่นนั้นปี้ไห่หมิงเฟิงจึงลงทุนไม่น้อยเพื่อรับอัจฉริยะหลังจากนั้น และสุดท้ายในบรรดา 27 ที่เหลือมันก็ชักชวนมาเข้าร่วมนิกายอมตะเหอฮวนได้มากกว่าครึ่ง!
กระทั่ง 7 คนที่เหลือใน 10 อันดับแรก มันยังคว้ามาได้ถึง 5 คน!!
“ประมุขปี้ไห่ ครั้งนี้นับว่านิกายอมตะเหอฮวนของท่านเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยทีเดียว…”
จางกวงเจิ้งหันไปมองกล่าวกับปี้ไห่หมิงเฟิงด้วยรอยยิ้ม
“พรตเฒ่าจาง คนเรามิควรปากอย่างใจอย่าง…ว่าแต่ท่านสนใจเรื่องนี้หรือไม่ ท่านส่งต้วนหลิงเทียนมาแล้วข้าจักมอบ 5 ใน 10 อันดับแรกให้ท่านเป็นไร?”
ปี้ไห่หมิงเฟิงส่งเสียงผ่านพลังไปเสนอกับจางกวงเจิ้ง
เหตุผลที่ไฉนมันจึงเลือกจะส่งเสียงผ่านพลัง ด้วยเพราะกลัวว่าหากอีกฝ่ายไม่เล่นด้วย ก็เท่ากับมันทำให้ 5 ใน 10 อันดับแรกที่มันอุตส่าห์ดึงตัวมาได้ เอาใจออกห่างนิกาอมตะเหอฮวนเปล่าๆ…
เช่นนั้นด้วยกลัวทั้ง 5 คนที่อุตส่าห์ดึงตัวมาได้จากการเฉือนเนื้อนิกายอมตะเหอฮวนไปไม่น้อยเอาใจออกห่าง ปี้ไห่หมิงเฟิงจึงเลือกจะส่งเสียงผ่านพลังไปถึงจางกวงเจิ้งอย่างลับๆ
เป็นธรรมดาที่มันคิดว่าจางกวงเจิ้งคงไม่เลือกจะตอบรับข้อเสนอนี้แต่แรก หาไม่แล้วมันคงเลือกจะกล่าวออกไปตรงๆ ไม่จำเป็นต้องส่งเสียงผ่านพลังคุยกันลับๆแบบนี้
และเป็นอย่างที่ปี้ไห่หมิงเฟิงคิดไว้ไม่มีผิด จางกวงเจิ้งไม่ตอบอะไรเพียงส่งยิ้มกลับมาเท่านั้น
หลังจากเรื่องราวดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ ในที่สุดเหล่ายอดเซียนอมตะที่รอดชีวิตกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ ก็ต่างเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลกันหมด
และเป็นธรรมดาว่าคนส่วนใหญ่นั้น เลือกที่จะเข้าร่วมกับ 3 นิกาย มีน้อยคนนักที่จะเลือกเข้าร่วมกับ 2 ตระกูล
กระทั่งในท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนที่เลือกจะเข้าร่วม 2 ตระกูลรวมกัน ยังมีไม่ถึงครึ่งของคนที่เลือกจะเข้าร่วมนิกายอมตะเหอฮวนด้วยซ้ำ
“เอาล่ะ หลังจากนี้พวกเราจะให้เวลาพวกเจ้าครึ่งชั่วยามเพื่อจัดการร่ำลาคนรู้จัก…หลังจากนี้อีกครึ่งชั่วยาม พวกเราจะแยกย้ายกันออกเดินทางกลับทันที”
จ่างซุนฉงฉีกวาดตามองเหล่ายอดเซียนอมตะทั้งหลายที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังตัวแทนขุมกำลังต่างๆ พลางกล่าวประกาศออกมาเสียงดังฟังชัด
จากนั้นหลายคนก็เริ่มไปร่ำลาผู้อาวุโสของตัวเอง บ้างก็ไปลาสหาย
“อั้ย น้องต้วน! ไฉนท่านไม่เลือกนิกายอมตะเหอฮวนเล่า? นิกายอมตะเหอฮวนน่าอยู่ยิ่งนัก มีขุนเขาลำน้ำ ธรรมชาติงดงามยิ่งกว่าแดนเซียน ที่สำคัญยังมีสาวงามมากมาย…ว่ากันว่าศิษย์สตรีของนิกายอมตะเหอฮวนยังมีจำนวนมากกว่าครึ่งนึงของศิษย์ทั้งหมด และนี่ยังไม่นับสาวกขาเตาด้วยนะ…”
หวงเจียหลงกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยไม่ทราบจริงๆว่าไฉนน้องต้วนผู้นี้ถึงไม่เลือกจะอยู่นิกายอมตะเหอฮวน ในเมื่อบรรยากาศก็ดี หญิงก็งาม ช่างชวนให้บ่มเพาะพลังอย่างสำราญใจแท้ๆ…
และมันเองก็รู้ดีแก่ใจ ว่าการแยกจากกันคราวนี้ วันหน้ากว่าจะได้พบกันใหม่เกรงว่าคงไม่ง่ายแล้ว
“เหมือนๆกันนั่นล่ะ ไม่ใช่ว่าจะเลือกอะไรเดี๋ยวก็ได้เจอกันที่คฤหาสน์เฉวียนโยวอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าว
อัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่โดดเด่นใน 3 นิกาย 2 ตระกูล ล้วนมีโอกาสได้เข้าร่วมกับคฤหาสน์เฉวียนโยว
และเมื่อสามารถเข้าร่วมกับคฤหาสน์เฉวียนโยวได้ ย่อมหมายความว่าได้ขึ้นไปโลดแล่นในเวทีที่แท้จริงของแดนสวรค์ใต้แห่งนี้แล้ว
เพราะถึงตอนนั้น จะต้องเผชิญหน้ากับอัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 6 และคนของตระกูลใหญ่ทั้ง 10 ซึ่งนั่นก็คือชนชั้นอัจฉริยะระดับแนวหน้าของแดนสวรรค์ใต้อย่างแท้จริง
ถึงแม้หวงเจียหลงจะสลดกับทางเลือกของต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง แต่มันก็รู้ดีว่าไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว จึงยากจะเปลี่ยนแปลงใดๆได้อีก ทำได้เพียงยอมรับความจริงเท่านั้น
(ไม้กลายเป็นเรือ = เปรียบเปรยว่าเรื่องราวที่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดไปแล้ว ไม่อาจย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้)
อย่างไรก็ตาม ในใจมันบังเกิดแรงกดดันไม่น้อย และได้ตัดสินใจอย่างลับๆว่ามันจะพยายามเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวให้ได้
มันรู้ดีว่าด้วยศักยภาพพรสวรรค์ของน้องต้วนคนนี้ คิดจะเข้าร่วมกับคฤหาสน์เฉวียนโยวไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ยังนับว่าเป็นเรื่องราวอันง่ายดายประหนึ่งนอนมาด้วยซ้ำ
แต่สำหรับตัวมันนั้น ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก!
ใน 3 นิกาย 2 ตระกูลมีอัจฉริยะที่มีทั้งศักยภาพพรสวรรค์ ไหวพริบปฏิภาณรวมถึงเชาว์ปัญญาที่ไม่ได้ด้อยกว่ามัน กระทั่งยังเหนือกว่ามันมาก แต่กระนั้นคนที่ถีบตัวไปเข้าร่วมกับคฤหาสน์เฉวียนโยวได้ กลับมีเพียงแค่หยิบมือเดียว…
“เจ้าดูแลพี่หญิงหวงเอ้อของข้าให้ดี หากเกิดเรื่องอะไรกับพี่หญิง ข้าไม่มีวันเลิกรากับเจ้าแน่!”
ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหันมามองจ้องเขาด้วยสายตาแหลมคม จากนั้นเสียงผ่านพลังของอีกฝ่ายก็ส่งตรงมาถึงหูเขาอย่างดุดัน
“เรื่องนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่านางเชื่อฟังข้ารึเปล่า…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวแซวออกไปอย่างสนุกสนาน และพริบตาต่อมาเขาก็เห็นแววตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นลุกโชนขึ้นมาปานเพลิงไฟ ทำท่าราวกับทนรอวิ่งมาต่อยตีกับเขาไม่ไหวแล้ว
“ตอนนี้ด้วยสถานการณ์ไม่เอื้อ ดูท่าพวกเราคงยากจะประมือกันได้…เอาไว้พอไปถึงคฤหาสน์เฉวียนแล้วมาสู้กันสักตั้งดีหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังออกไปพลางยักคิ้ว
ก่อนหน้านี้เขาได้รับทราบจากปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินว่า ในสถานที่สุดท้ายของวังจอมราชันอมตะภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ อันเป็นสถานที่ๆเรียกว่าหุบเขากาลเวลานั้น แม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะมีพลังฝีมือกล้าแข็งไม่ใช่ชั่ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่เลือกจะแย่งชิงแท่นศิลาที่ดีที่สุดกับเขา…
และเป็นธรรมดาว่าเหตุผลที่ทำให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเลือกจะไม่แข่งขันกับเขา ก็เพราะกลัวเขาแพ้พ่ายแล้วจะติดใจเอาความ ทำให้เก็บเอาไปลงกับหวงเอ้อในภายหลัง
อันที่จริงตั้งแต่ได้ทราบถึงพลังฝีมืออันกล้าแข็งของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจากปากของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดจิตคิดสู้กับอีกฝ่ายสักตั้ง!
ด้วยอยากรู้ว่าที่แท้ความลึกซึ้ง 2 ประการของกฏแห่งความตายที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าใจ กับเขาที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 1 ประการกับอีกนิดหน่อย โดยมีพลังของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินสนับสนุน ใครจะแน่กว่ากัน!
“ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าหนีแล้วกัน!”
เสียงผ่านพลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดังขึ้น เปี่ยมล้นไปด้วยจิตต่อสู้อันฮึกเหิมเช่นกัน!
ไม่ทันไรดุจชั่วพริบตา เวลาครึ่งชั่วยามก็ได้ล่วงเลยผ่านไป
จากนั้น ปี้ไห่หมิงเฟิง จางกวงเจิ้ง เหิงฉาน จ่างซุนฉงฉี กงหยางอวี่ อันเป็นผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูล ก็ได้หอบหิ้วพายอดเซียนนอมตะทั้งหลายที่ได้รับมา ออกเดินทางออกจากน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน…
ผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูลก่อนจะแยกย้ายกันนำคนจากไป ก็มีพยักหน้าร่ำลากันพอเป็นพิธี
และทิศทางที่ตั้งนิกายอมตะเป้าผู่นั้น แตกต่างจากทิศทางที่ตั้งของ 3 นิกาย 2 ตระกูลอื่นๆคนละเรื่อง เช่นนั้นจึงไม่มีการร่วมทางอะไรไปสักพัก จางกวงเจิ้งได้นำต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆแยกตัวจากไปทันที
และตั้งแต่ต้นจนจบ ต้วนหลิงเทียนนั้นได้เหินร่างเดินทางอยู่ข้างกายจางกวงเจิ้ง ทำให้เหล่ายอดเซียนอมตะที่อยู่ด้านหลัง อดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนด้วยความอิจฉา!
WSSTH ตอนที่ 3,036 : วังจักรพรรดิสวรรค์ จี้เมี่ยเทียน!
เป็นธรรมดาว่าคนที่มองต้วนหลิงเทียนด้วยความอิจฉาจนตาแดงก่ำนั้น ไม่ใช่ศิษย์ของนิกายอมตะเป้าผู่ที่ติดตามจางกวงเจิ้งมาด้วยแต่แรก แต่เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เลือกจะเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่…
ท่ามกลางยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเหล่านี้ ไม่มีใครไร้ความมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเอง จิตใต้สำนึกยังสั่งให้พวกมันเชื่อไปโดยไม่รู้ตัวว่า…สาเหตุที่ต้วนหลิงเทียนได้อันดับที่ 2 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณรอบนี้ ล้วนเป็นเพราะอีกฝ่ายโชคดี
หากลองให้พวกมันมีโชคอย่างต้วนหลิงเทียนบ้าง ไหนเลยจะคว้าอันดับที่ 2 มาไม่ได้!
‘ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ไม่มีทางแข็งแกร่งไปกว่าข้าแน่นอน…แต่ตอนนี้มันกลับได้เหินร่างเคียงข้างรองประมุขจาง อีกทั้งรองประมุขจางยังให้เกียรติมันนัก’
ชายชราคนหนึ่งในชุดสีเทาที่เหินร่างท่ามกลางเหล่ายอดเซียนอมตะ มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยความอิจฉาตาร้อน
ตัวมันได้ฝึกปรือจนบรรลุถึงด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แถมยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น 2 ประการ พลังฝีมือของมันนับว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของบรรดายอดเซียนอมตะที่เข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้
แต่ตอนนี้มันกลับรั้งอยู่ในอันดับที่ 9 เท่านั้น
มันยังเป็น 1 ใน 10 อันดับแรกอีกคนนอกจากต้วนหลิงเทียน ที่เลือกจะเข้าร่วมกับนิกายอมตะเป้าผู่
และเหตุไฉนที่มันเลือกจะเข้าร่วมกับนิกายอมตะเป้าผู่นั้น เพราะมันทราบว่านิกายอมตะเป้าผู่มีวรยุทธ์อมตะรวมถึงเวทย์พลังระดับราชาอันแฝงเร้นไปด้วยกฏแห่งไฟเหนือกว่า 3 นิกาย 2 ตระกูลที่เหลือ…
เมื่อมันเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่ มันย่อมมีโอกาสได้ฝึกปรือวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับราชาเหล่านั้น ซึ่งนั่นจะส่งผลให้มันมีโอกาสได้ทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟประการอื่นๆ!
สำหรับเรื่องที่จะเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น มันไม่ได้หวังเอาไว้เลย!
เพราะตัวมันหาใช่ผู้ที่จะนับเป็นรุ่นเยาว์ได้อีกต่อไป และเกณฑ์การรับอัจฉริยะจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น จะรับเพียงอัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่มีอายุไม่ถึง 300 ปีเท่านั้น!
ดังนั้นวัตถุประสงค์หลักที่ มันเลือกจะเข้าร่วมกับนิกายอมตะเป้าผู่ ก็คือสร้างผลงานจนมีความดีความชอบมากพอจะได้รับวรยุทธ์อมตะและเวท์พลังระดับราชาที่แฝงเร้นไปด้วยกฏแห่งไฟเหล่านั้น
ทว่ายังไม่ทันไปถึงนิกายอมตะเป้าผู่ด้วยซ้ำ พอเห็นชายหนุ่มที่อายุไม่ถึง 100 ปีได้เหินร่างเคียงข้างกับรองประมุขนิกายอมตะเป้าผู่อย่างจางกวงเจิ้ง ส่วนมันทำได้แค่เหินร่างติดตามอยู่กับเหล่าศิษย์ทั่วไป จึงทำให้มันรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้องอยู่บ้าง
ชายชราชุดเทาผู้นี้ ได้ลืมเลือนไปหมดสิ้นแล้ว…ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้างในวังจอมราชันอมตะของแดนสวรรค์ใต้โบราณ หาไม่แล้วมันคงไม่กล้าคิดอิจฉาต้วนหลิงเทียนแบบนี้แน่!
เพราะในตอนนั้น มันได้เห็นกับตา ว่าหลี่หยวนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ 2 ประการเหมือนกับมันตกตายในกระบี่เดียว!
อีกทั้งความลึกซึ้งงประการที่ 2 ของกฏแห่งไฟอย่าง ‘ปะทุ’ ที่หลี่หยวนเข้าใจนั้น ยังทรงพลังกว่าความลึกซึ้งประการที่ 2 ของกฏแห่งไฟที่มันเข้าใจเสียอีก ทำให้พูดได้ว่าพลังความแข็งแกร่งของมันนั้นยังเป็นรองหลี่หยวน!
ในวินาทีที่มันเห็นว่าหลี่หยวนจบชีวิตด้วหนึ่งกระบี่ของต้วนหลิงเทียน แม้มันจะอิจฉาต้วนหลิงเทียนที่ได้ครอบครองแท่นศิลาสูงสุดของหุบเขากาลเวลา แต่มันก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อสู้แย่งชิงด้วยซ้ำ!
อย่างไรก็ตามความทรงจำทั้งหมด พอมันกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ ก็ถูกลบเลือนหายไปสิ้น…
ด้วยเหตุนี้ทำให้มันคิดไปว่า ต้วนหลิงเทียนที่คว้าอันดับ 2 มาได้ก็แค่โชคดีเท่านั้น!
เป็นธรรมดาว่าในปัจจุบันไม่ได้มีแต่ชายชราชุดเทาที่นั้นที่กำลังอิจฉาต้วนหลิงเทียนอยู่ ยังมียอดเซียนอมตะขั้นสูงุสดอีกมากมายที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแล้ว รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น อายุของมันไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำแต่ดันได้อันดับที่ 2…ในสายตาข้าพลังฝีมือมันคงไม่เท่าไหร่ แต่โชคของมันนับว่าท้าทายสวรรค์แล้วจริงๆ!!”
“ข้าก็คิดเหมือนกัน ลำพังแค่จะบรรลุยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดโดยอายุไม่ถึงร้อยปีก็ยากแล้ว เช่นนั้นมันมีหรือจะเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏอันใดได้?”
“หึ! ฟ้าช่างไร้ความเป็นธรรมนัก…ลองข้ามีโชคเหมือนมันบ้างเถอะ นอกจากจะได้อันดับเหนือกว่ามันแล้ว การเก็บเกี่ยวด้านในแดนสวรรค์ใต้โบราณไม่พ้นต้องมากกว่ามันหลายเท่า!!”
…
เหล่ายอดเซียนอมตะที่ค่อนข้างมีพลังฝีมือกล้าแข็งพอตัว มองแผ่นหลังงต้วนหลิงเทียนด้วยยความอิจฉาไม่พอ ยังเริ่มกระซิบกระซาบออกมาด้วยความไม่พอใจ ต่างรู้สึกว่า…ที่ต้วนหลิงเทียนได้อันดับ 2 มาแบบนี้ ไม่พ้นเพราะมีโชคถ่ายเดียว!!
แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ไม่คิดแบบนั้น
อย่างเช่นเชวียจิงอวี่
เชวียจิงอวี่ องค์ชายรองของประเทศหนันฉี่ ตัวมันได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งสายฟ้าอย่าง ‘ความหมายแห่งสายฟ้า’ แล้ว พลังฝีมือของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าคนที่กำลังซุบซิบนินทาสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามสายตาที่มันใช้จับจ้องมองไปยังแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียน หาได้มีความดูแคลนแม้แต่ส่วนเดียว
ต้องทราบด้วยว่าก่อนที่มันจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณ มันได้ประมือกับต้วนหลิงเทียนแล้วรอบหนึ่ง จึงรู้ดีว่าพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนนั้นร้ายกาจปานใด!
‘ไอ้พวกโง่ทั้งหลายช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ลองกล่าววาจาผายลมแบบนั้นออกมาได้ เกรงว่าพวกมันคงยังไม่รู้สินะ ว่าต้วนหลิงเทียนนั่นถึงจะยังอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว?’
เช่นนั้นพอเชวียจิงอวี่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านี้ มันจึงรู้สึกว่าตัวเองช่างฉลาดล้ำเหนือกว่าตัวโง่งมทั้งหลายนัก
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนอิสระจริงๆหรือ?”
จางกวงเจิ้งที่คุยสัพเพเหระกับต้วนหลิงเทียนระหว่างเดินทางไปเรื่อย ในที่สุดก็เอ่ยคำถามที่มันอยากรู้มานานออกมา
“ใช่”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของจางกวงเจิ้ง ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับเป็นธรรมดา
เพราะในระนาบเทวโลกแห่งนี้ เขาไร้ขุมกำลังใดสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจริงๆ เช่นนั้นเขาก็ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งเท่านั้น
และต่อให้ขุมกำลังที่เขาเคยไปเป็นอาคันตุกะทรงเกียรติอย่างนิกายอมตะไท่อี เดินทางออกมาจากพื้นที่ชายแดนจนมาถึงภาคกลาง ก็ยังไม่อาจนับเป็นขุมกำลังเบื้องหลังเขาได้ เพราะอีกฝ่ายไม่มีอะไรที่จะสามารถสนับสนุนเขาได้เลย เช่นนั้นต่อให้มาจริง ในสายตาคนอื่นๆเขาก็ไม่ต่างอะไรจากผู้ฝึกตนอิสระอยู่ดี…
“ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระ เจ้ากลับบรรลุถึงความแข็งแกร่งระดับนี้ได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ ข้าล่ะยอมรับนับถือเจ้ายิ่งนัก…อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้ามิใช่ผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดอีกแล้ว แต่เจ้าจักเป็นศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่เรา!!”
ถึงแม้จางกวงเจิ้งไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่เรื่องต้วนหลิงเทียนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ แต่ในเมื่อเจ้าตัวอย่างต้วนหลิงเทียนตอบมาแบบนี้ มันก็มีแต่ต้องเออออตามไป และไม่คิดจะเซ้าซี้อะไรให้มากความ
“ศิษย์ที่แท้จริงรึ?”
ต้วนหลิงเทียนทั้งแปลกใจทั้งสงสัยไม่น้อย “แล้วศิษย์ที่แท้จริงมันคืออะไรหรือ?”
“ศิษย์ที่แท้จริงของงนิกายอมตะเป้าผู่เรา ก็คือศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในนิกายอมตะเป้าผู่เรา…และไม่ว่าจะอย่างไร ศิษย์ที่แท้จริงของพวกเราจักมีเพียงแค่ 10 คนเท่านั้น”
“เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ศิษย์ที่แท้จริงคนหนึ่งของพวกเราโชคร้ายตายตกขณะเดินทางออกไปทำภารกิจนอกนิกาย…ทำให้ตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงยังคงเว้นว่างไว้ตำแหน่งหนึ่ง และยังมิได้ทำการตัดสินใจว่าเลือกผู้ใดขึ้นมาเป็นศิษย์ที่แท้จริงคนใหม่”
“เจ้าที่เลือกเข้าร่วมกับนิกาอมตะเป้าผู่เรามาอย่างได้จังหวะพอดี ท่านประมุขจึงตั้งใจให้เจ้าดำรงตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงดังกล่าว”
จางกวงเจิ้งเอ่ย
ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็รู้สึกเอะใจเรื่องหนึ่ง จึงเอ่ยถามออกไปว่า “แล้วศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่ มีความแตกต่างจากศิษย์หลักของนิกายอมตะเหอฮวนหรือไม่?”
“ความแตกต่างแน่นอนว่าย่อมมี”
จางกวงเจิ้งกล่าวตอบ “อย่างแรกเลย ศิษย์ที่แท้จริงของพวกเราจะมีอยู่แค่ 10 คนเท่านั้น ส่วนศิษย์หลักของนิกายอมตะเหอฮวนจะมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 100 คน…”
พอต้วนหลิงเทียนได้ยินคำตอบดังกล่าวว เขาก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งกับข้อเสนอของประมุข 3 นิกายอมตะเหอฮวนอย่างปี้ไห่หมิงเฟิงก่อนหน้าอยู่บ้าง และรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างตระหนี่ถี่เหนียวเหลือเกิน…
ก่อนหน้านี้ตอนปี้ไห่หมิงเฟิงยื่นขอเสนอให้เขา อีกฝ่ายบอกว่าหากเขาเข้าร่วมกับนิกายอมตะเหอฮวน อีกฝ่ายจะมอบตำแหน่งศิษย์หลักให้เขา…
ทว่านิกายอมตะเหอฮวนนั้นมีศิษย์หลักทั้งสิ้น 100 คน เช่นนั้นต่อให้ปฏิบัติดีกับเขาเพียงไหน แต่ยังจะดีได้สักเท่าไหร่เชียว?
“ในเมื่อนิกายอมตะเป้าผู่มีศิษย์ที่แท้จริงน้อยขนาดนี้ ย่อมมีสิทธิพิเศษมากมายใช่หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“เป็นเช่นนั้น”
จางกวงเจิ้งพยักหน้า “เมื่อเป็นศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่เราแล้ว ประการแรกเลยย่อมสามารถเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาที่นิกายอมตะเป้าผู่เรามีไปฝึกปรือได้ตามใจชอบ”
“และเป็นธรรมดาว่ายังมีสิทธิพิเศษอย่างอื่นอีกมาก…เรื่องเหล่านี้พอเจ้าไปถึงนิกาย ก็ไม่สายเกินกว่าที่เจ้าจะได้รู้”
จางกวงเจิ้งกล่าว
“ว่าแต่ก่อนหน้าที่ท่านบอกข้ามา ไม่ใช่ว่าท่านจะให้ข้าเป็นศิษย์สายตรงของประมุขนิกายหรือไร ไฉนให้ข้ากลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงแทนซะเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนย่อมจดจำคำสัญญาที่จางกวงเจิ้งกล่าวเอาไว้ได้ชัดเจน จึงหยีตากล่าวถามออกไปด้วยสายตาแหลมคม
“กล่าวไปแล้ว หากเจ้าได้เป็นศิษย์ที่แท้จริง สิ่งที่เจ้าจะได้รับก็ไม่ได้ด้อยกว่าเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุขเลย กระทั่งบางเรื่องเจ้ายังมีอิสระมากกว่าด้วยซ้ำ หากเจ้าไปถามศิษย์นนิกายอมตะเป้าผู่ ไม่ว่าใครก็เลือกเป็นศิษย์ที่แท้จริงมากกว่าศิษย์สายตรงท่านประมุขทั้งนั้น เพราะกระทั่งศิษย์สายตรงท่านประมุขก็ไม่แน่ว่าจะได้เป็นศิษย์ที่แท้จริง!”
จางกวงเจิ้งกล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดลงเล็กน้อย ค่อยเอ่ยออกเสียงหนักต่อว่า “ข้าขอบอกต่อเจ้าตามตรง อันที่จริงข้ายังคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าเจ้าจะได้รับอนุญาติให้กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงทันทีแบบนี้ แต่ทั้งหมดเป็นเพราะท่านประมุขออกปากมาระหว่างที่ข้าติดต่อไปเรื่องที่เจ้าขอสมบัติในคลังเพิ่ม 3 ชิ้นนั่นล่ะ…”
จางกวงเจิ้งกล่าวจบก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็เข้าใจ และยอมรับได้ทันที ในเมื่อมันไม่ได้ด้อยกว่าและมีอิสระมากกว่า ก็นับว่าถูกใจเขาพอดี…
…
ระนาบเทวโลกนั้น มีทั้งสิ้นเก้าเก้า 81 ระนาบ
และระนาบเทวโลกแต่ละระนาบ จะมีสถานที่ๆเรียกว่า วังจักรพรรดิสวรรค์ดำรงอยู่ ซึ่งเป็นสถานที่พักอาศัยและบ่มเพาะของตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์
ขณะเดียวกัน ทุกผู้คนในระนาบเทวโลกนั้นๆยังยอมรับว่า นี่คือสถานที่ตั้งขุมกำลังที่ทรงพลังและมีอำนาจสูงสุดของระนาบเทวโลกหากไม่นับรวมวิหารเฟิงฮ่าว
ณ วังจักรพรรดิสวรรค์ จี้เมี่ยเทียน
เนื่องจากอดีตจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนอย่างฟงชิงหยาง ถูกไล่ล่าสังหารโดยข้ารับใช้ของอวิ๋นชิงเหยียน จนต้องหนีตายเข้าสู่นรกอสุรา 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลกทั้งมวล ทำให้เหล่าจักรพรรดิอมตะทั้งหลายฉวยโอกาสที่ตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ว่างเว้น ต่อสู้ช่วงชิงเพื่อขึ้นแท่นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ของจี่เมี่ยเทียน
สุดท้ายก็เป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศสมญานาม มัชฌิมผกผัน ที่มีชัยเหนือจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศสมญานามทั้งมวล ขึ้นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์องค์ใหม่!
ฟุ่บบบ!
ดั่งสายลมกรรโชกแรงหอบหนึ่งพัดแผ่น จากนั้นเหนือน่านฟ้าอันมืดมิดยามรัตติกาลของวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ก็ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นมาปานภูตผี
“เฉินชิวปั๋ว…”
และทันทีที่ร่างดังกล่าวปรากฏตัวขึ้นมา เสียงอันเฉยชาไร้แยแสหนึ่งคล้ายมีเวทมนตร์ ก็ดังก้องไปทั่ววังจักรพรรดิสวรรค์ ให้ทุกผู้คนในวังด้านล่างได้ยินกันถ้วนหน้าไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด หรือแม้จะมีค่ายกลปิดกั้นเสียงกางไว้กี่ชั้นก็ตามที
“เสียงนี่มัน…เป็นผู้ใดกัน!?”
“เป็นผู้ใดกล้าเอ่ยพระนามองค์จักรพรรดิสวรรค์ห้วนๆกัน!?”
“ใช่คิดกบฏหรือไม่!?”
…
เมื่อเสียงอันไร้แยแสดังกล่าวกังวาลก้องไปทั่ววังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ทุกคนที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง เพราะผู้ที่มานั้น กลับกล้าเอ่ยชื่อแซ่ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ออกมาตรงๆ!
เฉินชิวปั๋ว นั้นเป็นชื่อแซ่ที่แท้จริงของจักรพรรดิอมตะมัชฌิมผกผัน ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แห่งวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนคนปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามแม้ชื่อแซ่ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนคนใหม่ จะเป็นที่ล่วงรู้ของทุกคน แต่ก็หามีผู้ใดหาญกล้าเรียกชื่อแซ่ที่แท้จริงเช่นนี้ออกมาตรงๆไม่ เพราะนั่นประหนึ่งการดูหมิ่นจักรพรรดิสวรรค์!
“เป็นผู้ใดหาญกล้าเรียกชื่อองค์จักรพรรดิสวรรค์ตรงๆ!?”
หลังจากนั้น ก็ปรากฏร่างกำยำสูงใหญ่หนึ่งทะยานขึ้นมาจากวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ร่างใหญ่มองไปประหนึ่งย่ำอากาศขึ้นฟ้ามาทีละก้าวๆ หากแต่กลับบรรลุถึงต้นเสียงในพริบตา!
“ข้าเอง”
ชายหนุ่มในชุดขาว รูปร่างสมส่วนหน้าตาหล่อเหลาแลดูอ่อนวัยหากแต่น่าเกรงขาม เหลือบมองผู้ที่พึ่งเหินร่างขึ้นมาพลางเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ท่าน…”
ร่างสูงใหญ่แลดูบึกบึนกำยำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราเฟิ้มปานโจรป่า เส้นผมหยิกหยอยปานรังนกโดนพายุ พอเห็นชายหนุ่มชุดขาวเบื้องหน้าชัดถนัดตา ลุกตาดุร้ายของมันก็หดหยีลง ใบหน้าพลันฉายชัดถึงความประหลาดใจทั้งเหลือเชื่อ!!
“ตะ…ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์!!”
วินาทีต่อมา ชายร่างกำยิงผมหยิกแลดูประหนึ่งคนเถื่อน บัดนี้สองตาเริ่มแดงก่ำ จากนั้นปรากฏหยาดน้ำใสๆสองสายไหลรินออกมารดแก้ม คล้ายในร่างอันดุร้ายดิบเถื่อนนี้…ที่แท้หัวจิตหัวใจกลับเป็นสตรีน้อยขี้แงนางหนึ่ง!
“เจ้าบ้านี่…”
ชายหนุ่มชุดขาวพอเห็นอาการขี้แยของอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลกขบขันอยู่บ้าง กล่าวแซวออกมาด้วยน้ำเสียงหัวร่อ “อะไร ไม่ใช่ตอนนี้เจ้ารับใช้เฉินชิวปั๋วอยู่หรือไร? แถมเมื่อครู่ยังดุร้ายห้าวหาญปานจะออกหน้าเข่นฆ่าศัตรูเพื่อเฉินชิวปั๋วให้วอดวายมิใช่รึ?”
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ขอท่านอย่าได้ล้อข้าน้อยเล่นเลย…เหตุผลที่ข้าน้อยยังไม่ไปจากวังจักรพรรดิสวรรค์มิใช่ว่าเพราะลูกแก้ววิญญาณของท่านยังอยู่ดีหรอกหรือ? ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยการกลับมาของท่านเสมอ…”
ชายหนวดเคราเฟิ้มผมหยอกทรงโจร ยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาพลางกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม
จากนั้น ชายร่างกำยำดังกล่าวคล้ายเอะใจอะไรขึ้นมา จึงเอ่นถามออกไปด้วยสงสัย “ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ไฉนข้าฟังแล้ว…เสียงของท่านเหมือนมันต่ำลงเล่า? หากเป็นเสียงเดิมของท่าน ต่อให้ข้าหูหนวกข้ายังจำได้!!”
“นี่เป็นเพียงร่างแฝดจากกฏแห่งดินของข้า”
ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยเสียงเบา
พอได้ยินวาจาตอบคำดังกล่าว ลูกตาของชายร่างใหญ่ก็หดเล็กลงโดยพลัน ใบหน้ายังฉายชัดถึงความตกตะลึง “ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ท่าน…ท่านทะลวงผ่านแล้วหรือ!?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น