War sovereign Soaring The Heavens 3016-3029

 WSSTH ตอนที่ 3,016 : โคตรตัวประหลาดทั้ง 2!


 


 


“นั่นเป็นร่างที่แท้จริงของมัน!”


 


หลังเห็นฉากประหลาดอย่างมีหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกคนปรากฏตัวออกมาจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ตาแดงฉานปานก้อนโลหิตเข่นฆ่าชายชรา ชายวัยกลางคนที่ลอยร่างไม่ไกลเชวียจิงอวี่ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก


 


“ร่างที่มีดวงตาสีเลือดเป็นแค่ร่างแยกของมันเท่านั้น…กล่าวให้ถูกคือร่างแฝดจากพลังแห่งกฏ!”


 


ชายวัยกลางคนเอ่ยออกเสียงเข้ม


 


“ดูจากลักษณะร่างกายทั้งการลงมือของมัน…น่ากลัวว่ามันจะเข้าใจ กฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุด!”


 


ลูกตาของชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ไม่ไกลก็หดหยีลง เอ่ยออกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เท่าที่ข้ารู้มาในบรรดาความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย มีความลึกซึ้งที่เรียกว่า ‘ร่างแฝดแห่งความตาย’ อยู่”


 


“ร่างแฝดแห่งความตายนั้น สามารถสร้างร่างแฝดที่เหมือนกันกับตัวผู้เข้าใจความลึกซึ้งประการนี้ได้จนแทบแยกไม่ออก อีกทั้งพลังต่อสู้ไม่เว้นการป้องกันก็ไม่ต่างอะไรจากร่างจริง…”


 


“ที่สำคัญ ร่างแฝดแห่งความตายนั่น ยังสามารถใช้อุปกรณ์อมตะหรือสิ่งของใดๆที่ร่างต้นมีได้ กระทั่งยังใช้ความลึกซึ้งประการอื่นๆที่ร่างจริงเข้าใจได้อีกด้วย!”


 


“ร่างหลักนั้นสามารถเลือกที่จะต่อสู้เคียงข้างร่างแฝด หรืออาจจะซ่อนตัวในร่างแฝดแห่งความตาย และเฝ้ารอโอกาสออกกระบวนท่าสังหารในห้วงเวลาชี้ขาด!”


 


ชายหนุ่มกล่าวถึงจุดนี้ สายตาที่ใช้มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ลอยร่างกลางหาวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


 


ซูว!


 


พร้อมกันนั้นเองร่างแฝดแห่งความตายที่สองตาแดงฉาน ก็หายเข้าไปในร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นราวกับไม่เคยปรากฏออกมาก่อน


 


พร้อมกันนั้นพลังเซียนอมตะทั่วร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ได้ถูกรั้งกลับเข้าร่างโดยสมบูรณ์ คนลอยร่างค้างกลางหาวด้วยสภาวะปานเมฆคล้อยลอยเอื่อย แลดูสบายๆไม่คล้าเหนื่อยแรงอะไร


 


“กฎแห่งความตาย?”


 


“กฏที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเลือกเข้าถึง…กลับเป็นกฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุดเช่นนั้นหรือ? โอจ้าวสวรรค์ช่วย! กฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุดนั่นมิใช่อะไรที่จะเข้าใจได้โดยฝึกปรือวรุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาอันใด จำต้องพึ่งพาโชควาสนา ความบังเอิญในการผจญภัย ทั้งมรดก!”


 


“ท่ามกลางสวรรค์และโลก พลังแห่งกฏที่เข้าถึงได้ยากที่สุดกก็คือพลังแห่งกฏสูงสุดทั้ง 4…แต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ ทั้งที่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่กลับเข้าใจกฏแห่งความตายแล้ว อีกทั้งยังเข้าใจความลึกซึ้ง 2 ประการอย่าง ‘ความหมายแห่งความตาย’ กับ ‘ร่างแฝดแห่งความตาย’ ได้ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!!”


 


“นรก! พรสวรรค์มันนับว่าสูงล้ำกว่าต้วนหลิงเทียนหลายขุม! เพราะสุดท้ายกฏที่มันเข้าถึงก็คือกฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุด! ตัวประหลาดเอ๊ย…สองโคตรตัวประหลาด!!”


 



 


เชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆ บัดนี้ก็กลับมารู้สึกตัวกันหมดแล้ว และพวกมันมต่างตื่นตระหนกกับความแข็งแกร่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเผยออกมาให้เห็นนัก!


 


ไม่มีใครคิดเลยว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะแข็งแกร่งจนน่ากลัวขนาดนี้ ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าต้วนหลิงเทียนเสียอีก


 


จากนั้นทั้งหลายก็เริ่มหันมามองหน้าสบตากัน ก่อนที่จะเห็นแววตาระทมทั้งรอยยิ้มขื่นขมของกันและกัน


 


ในอดีตพวกมันรู้สึกว่าตัวเองก็คืออัจฉริยะยากพบพานอยู่แล้ว


 


แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น พวกมันไม่กล้าเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะอีกต่อไป กระทั่งความมั่นใจยังถูกทำร้ายอย่างแรง!


 


ต้วนหลิงเทียนอายุไม่ถึงร้อย เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ…


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่อายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน ก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการ…


 


ขวับ!


 


หลังฆ่าชายชราไปแล้ว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็คว้าเกราะอมตะระดับราชามาเก็บไว้ และเชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆอีก 5 คนก็ไม่มีใครกล้าที่จะขัดขวางแม้แต่น้อย


 


พวกมันรู้ดีแก่ใจ ว่าตอนนี้หากทะลึ่งลงมือขัดขวางอะไร ก็คงต้องตายอนาถเยี่ยงชายชราแน่แท้!


 


“ว่าแต่ผ้าคลุมที่มันใช้ก่อนหน้า…ดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันที่เด่นเรื่องป้องกันมิใช่หรือไร? ด้วยมีพลังของผ้าคลุมนั่นแล้ว ไฉนมันยังต้องการเกราะอมตะระดับราชานั่นอีกเล่า?”


 


เชวียจิงอวี่อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา


 


“เหอะๆ”


 


แทบจะทันทีที่เชวียจิงอวี่บ่นจบคำ ชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลก็หัวเราะเยาะออกมา “ให้ขาถามเจ้าสักคำ หากเจ้ามีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน เจ้ากล้าควักมันออกมาใช้ง่ายๆหรือไม่?”


 


“มิผิด เนื่องเพราะที่นี่คือวังจอมราชันอมตะ หากพวกเรารอดกลับออกไปย่อมไม่อาจจดจำเรื่องราวใดๆได้ ดังนั้นมันจึงกล้านำอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันออกมาใช้ เพราะมันรู้ดีว่าไม่มีผู้ใดสามารถเปิดโปงเรื่องนี้ได้ เรื่องที่มันครอบครองอุปกรณ์อมตะจอมราชันในที่สุดก็ต้องเลือนหายไป”


 


“จะว่าไปยังดีที่สถานที่แห่งนี้คือวังจอมราชันอมตะ หาไม่แล้วหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่พ้นต้องฆ่าปิดปากพวกเราหมดสิ้น”


 


“มันคงไม่กล้าฆ่าคนมั่วซั่วกระมัง…เกิดพวกเราตกตายกันหมด ไม่ใช่จะเร่งให้แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้เปิดออกอีกครั้งรึไร สุดท้ายที่นี่ก็จะเปิดให้กลับออกไปหลังมีคนตายถึงกำหนดนี่นา?”


 


“จริง! หากคนตายครบกำหนดแล้ว ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าคนที่อยู่ในวังจอมราชันอมตะก็ต้องรีบกลับออกไป ไม่งั้นไม่ใช่จะถูกขังอยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำไปอีกนานหรือไร?”


 



 


เห็นได้ชัดว่าทุกคนเดาได้ว่าไฉนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นถึงกล้าใช้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันที่นี่ ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าหลิงเจวี๋อวิ๋นคงไม่คิดฆ่าคนไม่เลือกหน้าแน่นอน


 


“ตอนนี้ของรางวัลจากการผ่านบททดสอบแรกก็ถูก 2 คนนั่นเอาไปหมดแล้ว…พวกเราเล่า ต้องทำอย่างไรกันต่อไป?”


 


เชวียจิงอวี่หันไปมองรอบๆก็พบว่านอกเหนือจากห้องโถงทั้ง 10 แล้ว มองไปไกลๆก็แลเห็นแต่ความมืดมิดอันไร้สิ้นสุด


 


คนอื่นๆก็เริ่มค้นหาไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบเช่นกัน หากแต่ไม่มีใครพบเบาะแสหรือวิธีออกไปจากที่นี่เลย


 


“รอก่อนเถอะ…ข้าว่าคงใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงใด…”


 


สุดท้ายทั้งหมดก็เห็นพ้องต้องกัน


 


ขณะเดียวกันเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆก็พบอีกว่า หลังจากที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอาเกราะอมตะระดับราชาตัวสุดท้ายไปแล้ว อีกฝ่ายก็เหินร่างกลับไปยืนบนพื้นข้างๆต้วนหลิงเทียน


 


“แปลกยิ่ง ไฉนพวกมันถึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขเล่า…หรือตอนที่พวกมันเข้าไปคุยอะไรกันในห้องโถง พวกมันจะทำข้อตกลงอะไรกันไว้แล้ว?”


 


“อาจเป็นได้…”


 


“ให้ข้าเดา เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนเลือกจะเหลือเกราะอมตะระดับราชาไว้ตัวหนึ่ง สิบในสิบไม่พ้นจงใจเหลือไว้ให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นแน่นอน!”


 


“พอพวกเจ้าพูดขึ้นมา ข้าว่ามันก็เข้าเค้าจริงๆ หาไม่แล้วด้วยพลังของต้วนหลิงเทียน ไฉนยังจะเหลือเกราะอมตะทิ้งไว้ตัวหนึ่งโดยไม่เอาไปทั้งหมด!”


 


“ข้ายังหวังว่าให้ทั้งคู่ต่อสู้ช่วงชิงกันเองอยู่เลย แต่ดูท่าในช่วงสั้นๆคงยากจะมีการปะทะกันแน่”


 



 


เชวียจิงอวี่และคนอื่นๆได้แต่จับจ้องมองไปยยังต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ยืนไม่ห่างกันอย่างสงบสุข ด้วยความรู้สึกยากบรรยาย


 


เรียกว่าทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงนั้น เสมือนเมฆดำสองก้อนที่ปกคลุมใจพวกมันเอาไว้ ทำให้พวกมันรู้สึกหดหู่ไม่น้อย


 


“หลังจากนี้หากเป็นไปได้จำต้องแยกจากพวกมันให้เร็วที่สุด…หาไม่แล้วด้วยมีพวกมัน ยังจะเหลืออะไรตกถึงมือพวกเรา”


 


“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”


 


“ข้าเองก็หวังว่าจะมีโอกาสแยกตัวออกห่างพวกมัน…มิฉะนั้น ถึงจะรอดกลับออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทั้งยังมีชีวิตได้จริง แต่คงไม่ได้รับอันใดในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้เลย”


 



 


ตอนนี้เชวียจิงอวี่และคนอื่นๆวาดหวังว่าจะมีโอกาสแยกทางจากพวกต้วนหลิงเทียนโดยเร็ว เพราะตราบใดที่มีพวกต้วนหลิงเทียนอยู่ เกิดมีสิ่งของดีๆที่พวกมันอยากได้ ก็ไม่พ้นต้องถูกทั้งคู่เอาไปหมดไม่มีเหลือ


 


หลังผ่านไปสักพักเมื่อทุกคนพบว่าไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็เริ่มหาเรื่องคุยกันฆ่าเวลา


 


“จะว่าไปแล้ว เท่าที่ข้ารู้มา ยอดเซียนอมตะที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครานี้ ยังมีอีก 7 คนที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการแล้ว”


 


ชายวัยกลางคนเปิดประเด็นขึ้นมา


 


“7 รึ? มากขนาดนั้นเชียว? เท่าที่ข้ารู้มีแค่ 5 คนเท่านั้นเอง!”


 


ชายหนุ่มอีกคนโพล่งออกมาด้วยความตกใจ


 



 


ด้วยมีเรื่องให้พูดคุยกัน ทุกคนจึงรู้สึกเสมือนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


“ยังมีสุมาฉุนของตระกูลสุมานั่น มันสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 2 ประการแล้ว พลังฝีมือของมันนับว่าไม่ใช่ธรรมดา…ที่สำคัญว่ากันว่านอกจากความหมายแห่งลมแล้ว ความลึกซึ้งอีกประการที่มันเข้าใจก็คือ ‘ลมกรด’!”


 


“ลมกรด!? ความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่ขึ้นชื่อเรื่องโดดเด่นในด้านความเร็วน่ะรึ?! เห็นว่าไม่เพียงแต่จะเพิ่มพูนความเร็วในการโจมตีให้ผู้ใช้ ยังสามารถเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ให้ผู้ใช้ได้จมหู!”


 


“เดิมทีพวกที่เลือกจะตีความกฏแห่งลมก็มีวรยุทธ์หลักสายความเร็วอยู่แล้ว…สุมาฉุนนั่นเห็นว่าเชี่ยวชาญเรื่องกระบี่ไว กอปรกับท่าร่างพิสดารเป็นที่สุด ลองมันมีพลังของลมกรด เกรงว่าคงยากที่จะหาคนต่อกรกับมันได้ หากไม่ใช่คนที่เข้าใจความลึกซึ้ง 3 ประการ เรื่องจะฆ่ามันเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย!”


 


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว! สุมาฉุนนั่นด้วยมีความลึกซึ้งอย่างลมกรดของกฏแห่งลมหนุนเสริม ความเร็วของมันนับว่าไม่เป็นสองรองใครในบรรดายอดเซียนอมตะที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้เลย…และต่อให้มันเจอคนที่มันเอาชนะไม่ได้ มันก็เลือกที่จะหนีได้สบายๆ!”


 


“วรยุทธ์ใดในใต้หล้า ความเร็วนับเป็นที่สุด! ขอแค่มันเร็วเหนือการลงมือผู้อื่น มันก็เสมือนอยู่ในตำแหน่งคงกระพันแล้ว!”


 



 


เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็ฟังคนพวกนั้นสนทนากันอ่างออกรสด้วยสีหน้าสนใจ แต่พอพวกมันทุกคนเอ่ยถึงสุมาฉุนขึ้นมา สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกไปเล็กน้อย


 


สุมาฉุน ด้วยความเร็วที่มี มันคงกระพันไร้พ่าย?


 


“ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้นล่ะ หรือจะรู้จักสุมาฉุนอะไรที่พวกมันพูดถึงด้วย?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นมักจะลอบมองต้วนหลิงเทียนอยู่บ่อยๆ พอเห็นสีหน้าต้วนหลิงเทียนแปลกไป มันก็ส่งเสียงผ่านพลังไปถามด้วยความอยากรู้ทันที


 


“ก็ไม่ใช่คนรู้จักอะไรหรอก แค่ก่อนจะเข้ามาในวัจอมราชันอมตะ ข้าบังเอิญเจอกับมันเข้า..”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบ


 


“ได้ตีกันรึเปล่า?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามต่อ


 


ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับ


 


“มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 2 ประการ ทั้งความลึกซึ้งอีกประการนอกจากความหมายแห่งลมยังเป็นลมกรด…หากเป็นข้าที่ต้องปะทะกับมัน ไม่ใช่อุปกรณ์อมตะจักรพรรดิหรืออุปกรณ์เทพ ปกติแล้วคงฆ่ามันไม่ได้แน่”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูดถึงจุดนี้ ก็หยีตามองต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย “หากเจ้าประมือกับมัน ด้วยความเร็วที่มันมีเว้นเสียแต่เจ้าจะใช้กระบี่เทพในร่าง…คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะฆ่ามัน”


 


“มัน..ตายแล้วสินะ?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามอีกรอบ


 


ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับอีกครั้ง


 


“ใช้กระบี่เทพรึ?”


 


คำถามดังกล่าวของหลิงเจวี่ยอวิ๋น ถูกต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา


 


ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นย่นคิ้วด้วยความสงสัย ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะกล่าวออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ถาม “ถึงข้าไม่ได้ใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน แต่ข้าก็ใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันน่ะ”


 


“ก็ใช่หากเจ้าใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันเจ้าอาจมีพลังฆ่ามันได้…แต่ด้วยความเร็วระดับมัน คงยากที่เจ้าจะฆ่ามันได้ เพราะทันทีที่เห็นเจ้าใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชัน มันคงรีบล่าถอยออกไปให้พ้นจากระจู่โจมของเจ้ากระมัง? สุดท้ายแล้วตัดสินจากความลึกซึ้งของกฏแห่งดินที่เจ้าเข้าใจ ความเร็วก็นับเป็นจุดอ่อนของเจ้า”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยสายตามองขาด


 


“เจ้ายังมองได้ขาดจริงๆ…แต่พอดีข้ายังพอมีฝีมือย่อยอยู่บ้าง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ นับว่าอ่านสถานการณ์ตอนเขาเจอกับสุมาฉุนได้ขาดจริงๆ


 


ตอนนั้นแม้เขาจะนำอุปกรณ์อมตะจอมราชันออกมาใช้จริง แต่หากไม่ได้พื้นที่แรงงโน้มถ่วงที่เขาพอจะเข้าใจอยู่บ้างช่วยถ่วงรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ เกรงว่าเขาคงไม่อาจฆ่าสุมาฉุนได้จริงๆ


 


ถึงแม้ว่าพื้นที่โน้มถ่วงของเขาจะยังห่างจากขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นอยู่บ้าง แต่ว่าพลังของมันก็สามารถนำมาใช้งานจริงได้แล้ว และมีส่งผลกระทบต่อผู้อื่นมากพอสมควร ในห้วงเวลาสำคัญสามารถใช้มันเป็นจุดเปลี่ยนได้


 


ตอนที่เขาประมือกับสุมาฉุนวันนั้น ก็ด้วยพื้นที่โน้มถ่วงที่ดูดรั้งสุมาฉุนเอาไว้ทำให้ความเร็วของมันตกลง ก็เลยทำให้เขาฆ่ามันได้ในที่สุด


 


หากไม่มีพื้นที่โน้มถ่วง สุมาฉุนย่อมสามารถหลบหนีไปได้แน่ๆ


 


“ฝีมือย่อยหรือ ฝีมือย่อยอันใด?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามด้วยความสนใจ


 


แต่ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตอบคำอะไรหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เขาพลันพบว่าทั่วร่างรู้สึกหวิวๆ และความรู้สึกเสมือนร่วงตกจากที่สูงก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


 


จากนั้นสายตาเขาก็เหมือนจะมืดดับไปวูบหนึ่ง ก่อนที่จะปรากฏแสงจ้าแยงตา พอรู้ตัวเขาก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไป แต่มาปรากฏตัวในสถานที่แห่งใหม่แล้ว


WSSTH ตอนที่ 3,017 : น้ำพิฆาตวิญญาณ!


 


 


 


หลังผ่านพ้นประสบการณ์ร่างหวิวราวกับตกจากที่สูงและสายตามืดบอด ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนที่กลับมามองเห็นเรื่องราวอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนแท่นศิลาขนาดใหญ่แท่นหนึ่ง ส่วนเบื้องหน้าก็เป็นดั่งหุบเหวลึกไร้สิ้นสุดปานจะดิ่งลงไปถึงก้นบึ้งของนรก


 


“ที่นี่ที่ไหน?”


 


“พวกเราออกจากพื้นที่บททดสอบแรกแล้วรึ?”


 


“ที่นี่จะใช่สถานที่รับบททดสอบที่ 2 ของวังจอมราชันอมตะหรือไม่?”


 



 


เสียงซุบซิบถามไถ่เริ่มดังระงมเข้าหูต้วนหลิงเทียน พอเขาหันรีหันขวางไปรอบๆ ก็พบว่านอกจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับคนที่เจอก่อนหน้าแล้ว ยังมีคนอื่นๆที่เขาไม่รู้จักเพิ่มมาอีก 8 คน


 


ทันใดนั้นสายตาของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่เว้นพวกเชวียจิงอวี่ที่เหลือก็หันไปจับจ้องมองสำรวจ 8 คนที่ไม่คุ้นหน้าทันที


 


ในบรรดา 8 คนที่ไม่คุ้นหน้านั้น มีชายวัยกลางคน ชายหนุ่ม และก็สตรีนางหนึ่งที่มีรูปโฉมงดงาม ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นงดงามเกินห้ามใจ ยากหาสตรีใดเสมอเหมือน แต่ก็นับว่ามีเสน่ห์ไม่ใช่เล่น


 


“นั่นมัน…ตงฟางจิ่นหลุน!”


 


เชวียจิงอวี่ที่สายตาไปหยุดลงยังร่างชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์เรียบง่ายคนหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าของมันยังเริ่มเต็มไปด้วยความหวาดกลัวหลายส่วน


 


“ตงฟางจิ่นหลุน!?”


 


ทันใดนั้นหลายๆคนที่อยู่ไม่ห่างเชวียจิงอวี่เท่าไหร่ ก็เริ่มหันไปมองตามสายตามันทันที จากนั้นจึงแลเห็นชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์ที่ว่า


 


“เป็นตงฟางจิ่นหลุนผู้นั้นจริงๆ!!”


 


“ตงฟางจิ่นหลุนผู้นี้ นับเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในรอบหมื่นปีของตระกูลตงฟาง อายุของมันพึ่งจะ 200 ปีเศษๆเท่านั้น แต่กลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งสายฟ้าได้ 2 ประการแล้ว!”


 



 


เห็นได้ชัดว่าในกลุ่มของต้วนหลิงเทียนยังมีคนรู้จักอีกฝ่ายไม่น้อย


 


“ตงฟางจิ่นหลุนรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปตามสายตาของพวกเชวียจิงอวี่ ในที่สุดก็เห็นชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์คนหนึ่ง


 


ชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์ที่ว่า มีรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้ารูปเหลี่ยม คิ้วหนาตาโตริมฝีปากหนาให้ความรู้สึกดุดัน


 


มันยืนอยู่ตรงนั้นดั่งหอคอยเหล็ก นิ่งสงบไม่ไหวติงดั่งภูผา แม้จะได้ยินเสียงอุทานทักของพวกเชวียจิงอวี่ คนก็ยังคงเฉยเมยไร้แสสิ่งใด


 


“ตงฟางจิ่นหลุน เป็นทายาทสายตรงของสกุลตงฟางอันเป็นตระกูลระดับ 7 อายุได้ 200 ปีเศษ แต่เข้าใจความลึกซึ้งอย่าง ‘ความหมายแห่งสายฟ้า’ และ ‘อัสนีฟาด’ ของกฏแห่งสายฟ้าแล้ว”


 


ก่อนหน้าที่พวกเชวียจิงอวี่สนทนาฆ่าเวลากันเรื่องยอดฝีมือระดับแนวหน้าที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ก็มีเอ่ยถึงตงฟางจิ่นหลุนผู้นี้เช่นกัน


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงพอจะรับทราบความเป็นมาของอีกฝ่ายคร่าวๆ รู้ว่าอีกฝ่ายนับเป็นยอดเซียนอมตะที่โดดเด่นคนหนึ่ง ในแง่ของความเร็วยังไม่ได้ด้อยไปกว่าสุมาฉุนที่เขาฆ่าทิ้งไปด้วยซ้ำ


 


ความลึกซึ้งของกฏสายฟ้าอย่าง ‘อัสนีฟาด’ นั้น กล่าวไปในแง่ของการเพิ่มพูนความเร็วแล้วก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า ลมกรด อันเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งลมเท่าไหร่ ขณะเดียวกันยังนับเป็นความลึกซึ้งที่ค่อนข้างทรงพลังไม่น้อยของกฏแห่งสายฟ้า


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



เชวียจิ่งอวี่และคนอื่นๆ เร่งรุดเหินร่างมาหยุดยืนด้านหลังต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที เห็นได้ชัดว่าพวกมันคิดใช้ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นเกราะกำบัง


 


เพราะสำหรับพวกมัน ให้เทียบกับต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว อีก 8 คนนั่นอันตรายกว่า!


 


“สตรีนางนั้น…ไฉนข้ารู้สึกว่าหน้านางคุ้นๆนักนะ?”


 


ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆเชวียจิงอวี่ หลังสังเกตเห็นสตรีที่ยืนอยู่เพียงลำพังในบรรดาคนทั้ง 8 ไกลๆ ก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา


 


“นางก็คือ โอวหยา จากด่านน้ำแข็งยะเยือก”


 


เชวียจิงอวี่เอ่ยออกเสียงหนัก


 


ในฐานะองค์ชายรองที่โดดเด่นที่สุดในบรรดายอดเซียนอมตะของประเทศหนันฉี่แห่งดินแดนพันประเทศในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว มันมักติดตามฮ่องเต้หนันฉี่ไปเยี่ยมขุมกำลังหลักต่างๆเพื่อสานไมตรี จึงมีโอกาสได้พบอัจฉริยะในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวหลายคน


 


ไม่ว่าจะเป็นตงฟางจิ่นหลุนของตระกูลระดับ 7 อย่างตระกูลตงฟาง หรือโอวหยาแห่งด่านน้ำแข็งยะเยือกอันเป็นขุมกำลังระดับ 8 มันก็เคยพบปะสนทนากันมาแล้ว


 


แต่เป็นธรรมดาว่ามันจดจำผู้อื่นได้ แต่ผู้อื่นไม่แน่ว่าจะจดจำมันได้


 


“ด่านน้ำแข็งยะเยือก โอวหยา?”


 


“ข้าเคยได้ยินชื่อเสีงเรียงนามของโอวหยาแห่งด่านน้ำแข็งยะเยือกมาบ้าง เห็นว่านางยังเป็นอัจฉริยะหญิงที่พลังฝีมือร้ายกาจอย่างยากจะพบพานในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว…อายุไม่ถึง 200 ปี แต่กลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏน้ำแข็งได้ 2 ประการแล้ว!”


 


“วัดกันในแง่พลังฝีมือ โอวหยาแห่งด่านน้ำแข็งยะเยือกผู้นี้ ยังร้ายกาจยิ่งกว่าตงฟางจิ่นหลุนเสียอีก…แต่กระนั้นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็สมควรสยบนางได้อย่างไร้ปัญหา”


 



 


คนที่มาหลบด้านหลังต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น หลังเหลือบมองสตรีหนึ่งเดียวในอีก 8 คนที่ไม่คุ้นหน้าสักพัก ก็วกกลับมามองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


“โอวหยา?”


 


ต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองโอวหยาที่ยืนอยู่ไกลตาเช่นกัน เขาเองก็เคยได้ยินพวกเชวียจิงอวี่เอ่ยถึงความเป็นมาของนางมาก่อน จึงรู้ว่านางมาจากขุมกำลังระดับ 8 ด่านน้ำแข็งยะเยือก และเป็นอัจฉริยะหญิงที่โดดเด่นของที่นั่น


 


ถึงแม้ด่านน้ำแข็งยะเยือกจะจัดเป็นขุมกำลังระดับ 8 ก็จริง แต่พลังรบโดยรวมของพวกมันนับว่าเหนือกว่าขุมกำลังระดับ 8 ทั่วไปมาก


 


อย่างน้อยๆก็ไม่มีประเทศระดับ 8 ใดในดินแดนพันประเทศ สามารถเทียบกับด่านน้ำแข็งยะเยือกได้


 


และวรยุทธ์อมตะประจำด่านน้ำแข็งยะเยือก ก็เป็นวรยุทธ์อมตะระดับราชาที่มีกฏน้ำแข็งแฝงเร้นเอาไว้ ทำให้ผู้ฝึกสามารถเข้าใจความหมายแห่งน้ำแข็ง และความลึกซึ้งอีกประการอย่าง เยือกแข็ง ของกฏน้ำแข็งได้


 


‘ความลึกซึ้ง เยือกแข็ง ของกฏน้ำแข็ง…แค่ฟังชื่อความลึกซึ้งนี่ ก็บอกได้ว่าสมควรเป็นความลึกซึ้งที่มีพลังอำนาจแช่แข็งคู่ต่อสู้…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดาในใจ


 


ส่า!


 


ส่า!



 


ไม่นานหลังจากที่คน 2 กลุ่มปรากฏตัว ก็บังเกิดเสียงดังขึ้นมาจากเบื้องหน้า ฟังแล้วคล้ายเสียงน้ำที่กำลังจะเอ่อล้นท่วมตลิ่งอยู่บ้าง


 


“นี่มัน…”


 


พอต้วนหลิงเทียนกลับมารู้สึกตัว มองไปเบื้องหน้าเขาก็พบว่าอดีตหุบเหวที่ลึกจนไม่เห็นก้นนั่น บัดนี้ได้ปรากฏมววลน้ำหนึ่งกำลังเพิ่มระดับขึ้นมาด้วยความเร็วสูง


 


และต้วนหลิงเทียนยังตระหนักได้ว่าจุดที่พวกเขายืนอยู่นั้น เสมือนเป็นตลิ่งข้างแม่น้ำ


 


มวลน้ำเบื้องหน้ายังแลดูคุ้มคลั่งเกรี้ยวกราด คลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดสาดไปมาดั่งมังกรเกรี้ยวกราด แลดูอันตรายไม่ใช่เล่น


 


ยิ่งไปกว่านั้นคลื่นน้ำที่สาดซัดไปมาเหล่านี้ สำนึกเทววะที่ต้วนหลิงเทียนแผ่ไปตรวจสอบก็บอกได้ทันทีว่ามันไม่ใช่น้ำธรรมดาๆ!


 


คลื่นน้ำที่สาดไปมาราวทะเลคลั่งเบื้องหน้า เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายน่ากลัวประการหนึ่ง และกลิ่นอายน่ากลัวที่ว่าก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างยิ่งยวด


 


กระทั่งวิญญาณของเขายังรู้สึกเสมือนสะท้านไปทันทีที่พบเจอมัน


 


“ที่เจ้าเห็นอยู่คือ น้ำพิฆาตวิญญาณ”


 


ทันใดนั้นเสียงหวงเอ้อพลันดังขึ้นในใจต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ “น้ำพิฆาตวิญญาณที่ว่า เมื่อกระทบถูกร่างผู้คน มันก็สามารถเปล่งพลังเข้าไปทำลายดวงจิตของผู้คนได้”


 


“ไม่ว่าผู้ใดหากยังอยู่ใต้ขอบเขตขุนนางอมตะ หรือไร้อุปกรณ์อมตะป้องกันวิญญาณระดับสูง หากสัมผัสกับน้ำพิฆาตวิญญาณย่อมต้องตกตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”


 


หวงเอ้อกล่าว


 


“น้ำพิฆาตวิญญาณ?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีเล็กลง ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มเหินร่างลอยขึ้น ด้วยตระหนักว่าอีกไม่นานน้ำพิฆาตวิญญาณที่ว่าต้องเอ่อล้นมาท่วมตลิ่งที่เขายืนอยู่แน่


 


“แต่เป็นธรรมดาว่าน้ำพิฆาตวิญญาณนี่ไม่อาจทำอะไรเจ้าได้เลย…เพราะด้านนอกดวงจิตของเจ้ามีพลังของทองเทพสุดลี้ลับคุ้มกันอยู่ อาศัยพลังของน้ำพิฆาตวิญญาณย่อมไม่อาจนับเป็นอะไรได้”


 


วาจาต่อมาของหวงเอ้อ ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักว่าเขากังวลมากเกินไป ที่แท้เขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไรน้ำพิฆาตวิญญาณนี่เลย


 


“ชิบหาย มารดามัน! นิ…นี่คือน้ำพิฆาตวิญญาณ!!”


 


“น้ำพิฆาตวิญญาณ!? น้ำที่หากด่านพลังอ่อนด้อยกว่าขุนนางอมตะ เมื่อถูกมันสาดกระทบก็จำต้องตกตายคาที่นั่นนน่ะรึ!?”


 


“ให้ตายเถอะ นี่คือบททดสอบที่ 2 ของวังจอมราชันอมตะรึ?!”


 



 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเริ่มลอยร่างขึ้นไปบนอากาศ บางคนก็เริ่มทำตาม และมีบางคนที่จดจำน้ำพิฆาตวิญญาณได้ ก็โพล่งออกมาอย่างตื่นกลัว ทำให้คนที่เหลือพอได้ฟังก็เร่งรุดเหินขึ้นไปบนฟ้าตามๆกัน


 


และเมื่อระดับน้ำของน้ำพิฆาตวิญญาณเพิ่มสูงขึ้น จนปรากฏคลื่นน้ำซัดสาดไปยังแท่นหินที่เป็นดั่งริมตลิ่งที่พวกมันยืนอยู่เมื่อครู่ หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ!


 


“พวกเจ้าดูนั่นเร็ว…กล่อง! มีกล่องลอยอยู่บนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณด้วย!!”


 


เสียงหนึ่งดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน ทำให้เขาก้มลงไปมองน้ำพิฆาตวิญญาณเบื้องล่างทันที


 


มองไปปราดเดียว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเหนือผิวน้ำพิฆาตวิญญาณเบื้องล่าง มีกล่องหลายใบลอยล่องอยยู่ หากแต่ด้วยพลังบางประการที่ปกคลุมทั่วกล่อง จึงทำให้สำนึกเทวะของเขาไม่อาจชำแรกเข้าไปตรวจสอบสิ่งของด้านในได้


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ได้ทันทีว่าเมื่อเขาไม่อาจตรวจสอบสิ่งของภายในกล่องได้ คนอื่นก็ไม่อาจตรวจสอบได้เช่นกัน


 


เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนในที่นี้ก็เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเหมือนเขา ระดับพลังวิญญาณย่อมทัดเทียมกัน


 


“ในกล่องพวกนี้…สิบในสิบข้าเชื่อว่าต้องมีสมบัติที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทิ้งไว้!”


 


ในบรรดา 8 คนที่ลอยร่างอยู่ไม่ไกลมากนัก ปรากฏชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวออกด้วยรอยยิ้มร่า ดิ่งร่างนำลงไปเป็นคนแรก มุ่งหน้าไปยังกล่องใบหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด!


 


กล่องที่ว่านั้นกว้างยาวสูงด้านละ 5 ฉื่อ เรียกว่าสามารถเก็บอุปกรณ์อมตะไว้ได้เกือบทุกชนิด!


 


แน่นอนว่าเมื่อดิ่งร่างลงไปจนเข้าใกล้กล่องแล้ว ชายวัยกลางคนก็ไม่กล้าผลีผลามวู่วาม ความเร็วของมันเริ่มชะลอตัว


 


นอกจากนั้นทั่วร่างของมันยังปรากฏเงาร่างเกราะสีน้ำเงินให้เห็น บ่งบอกว่ามันได้เตรียมพร้อมเป็นอย่างดี


 


ต่อหน้าน้ำพิฆาตวิญญาณ ไหนเลยมันจะกล้าประมาท!


 


“กล่องใบนี้เป็นของข้า!!”


 


ครู่ต่อมาร่างชายวัยกลางคนก็มาหยุดอยู่เหนือกล่องที่ลอยตุ๊บป่องบนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณ มันยังพุ่งมือลงไปหมายคว้าจับกล่องดังกล่าวทันที


 


หมับ!


 


ชายวัยกลางคนที่พุ่งมือไปฉับไวปานสายฟ้า พอคว้าจับกล่องได้แล้ว มันก็พยายามยกขึ้นรวดเดียว!


 


อย่างไรก็ตามวินาทีที่มือของชายวัยกลางคนแตะถูกกล่องนั้น บริเวณผิวกล่องก็เริ่มปรากฏพลังลี้ลับออกมาทันใด


 


จากนั้นพลังลี้ลับดังกล่าวก็แผ่กำจายออกไปดั่งวงคลื่นน้ำ


 


ซัว!


 


ซัว!


 



 


เมื่อคลื่นพลังลี้ลับกำจายออกไปได้ไม่ทันไร น้ำพิฆาตวิญญาณโดยรอบก็คล้ายมีชีวิตขึ้นมา พวกมันปะทุลุกฮือขึ้นมาปานมังกรพิโรธทะยานออกจากลำน้ำ!


 


“หนักไม่ใช่เล่นเลย”


 


ขณะที่ยกกล่องขึ้นมา ชายวัยกลางคนก็พบว่าตัวกล่องมีน้ำหนักไม่ใช่เล่นๆ แม้มันจะพยายามใช้พลังทั้งหมดแล้ว แต่ก็ทำได้แค่หอบหิ้วกล่องขึ้นมาด้วยความเร็วปานหอยทากตะกาย…


 


และตอนนี้เองมันที่ไม่ทันระวัง น้ำพิฆาตวิญญาณโดยรอบที่อยู่ๆก็ปะทุขึ้น ก็ตลบม้วนสาดเข้ามาทางมันปานข่ายฟ้าแหสวรรค์ ไร้ซึ่งหนทางหลบหนีใดๆ ทำให้สีหน้าชายวัยกลางคนที่พึ่งพบความเคลื่อนไหวรอบตัวดังกล่าวเปลี่ยนไปใหญ่หลวง!


 


“ไม่–!!”


 


ชายวัยกลางคนทำได้แค่กรีดร้องออกมาเสียงหลงอย่างลนลาน จากนั้นมันก็ถูกคลื่นน้ำพิฆาตวิญาณที่สาดเข้ามาจากทุกทิศทางม้วนกลืนร่างไปในพริบตา เสียงมันยังดับวูบลงทันใด


 


และเมื่อน้ำพิฆาตวิญญาณที่ปั่นป่วนม้วนกลืนร่างมันไปค่อยๆสงบลง ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็แลเห็นร่างชายวัยกลางคนนอนฟุบอยู่บนกล่องที่มันคิดจะหยิบยกเมื่อครู่ สองตายังเบิกโพลงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เห็นชัดว่ามันไม่อยากตาย


 


อย่างไรก็ตามพลังในร่างของมันค่อยๆสิ้นสลายไปอย่างรวดเร็ว เนื่องเพราะดวงจิตของมันได้ถูกน้ำพิฆาตวิญญาณทำลายสิ้น วิญญาณของมันด้านในก็ดับสูญไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…


 


“น่ากลัวนัก!”


 


“ให้ตายเถอะ…แค่พริบตาเดียว น้ำพิฆาตวิญญาณนั่นก็ทำลายวิญญาณของเจ้านั่นจนสลายไปแล้ว!”


 


“อันตราย! ช่างอันตรายยิ่งนัก!!”


 


“เดิมทีข้าก็คิดจะลงไปเก็บกล่องนั่นขึ้นมาดูว่าด้านในมีสมบัติอันใด…โชคดีที่เจ้านั่นมันลงมือก่อนข้า ไม่งั้นคนที่ตายคากล่องนั่นอาจเป็นข้า!!”


 



 


พอเห็นชายวัยกลางคนวิญญาณสลายตกตายไปในชั่วพริบตาเดียว หลายคนที่ลอยร่างชมดูเรื่องราวอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดเสียว และรู้สึกโชคดีนักที่พวกมันไม่ได้เป็นคนลงมือคนแรก!


 


“หึ! ไม่เจียมตัว!”


 


เสียงสบถเยียบเย็นมากล้นไปด้วยความดูแคลนหนึ่งดังขึ้น และเจ้าของเสียงสบถดังกล่าวก็คือ ตงฟางจิ่นหลุน อัจฉริยะจากตระกูลตงฟาง…ตระกูลระดับ 7!


WSSTH ตอนที่ 3,018 : ต้วนหลิงเทียนผู้ร้ายกาจ!


 


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงตงฟางจิ่นหลุนดังจบคำ ห้วงอากาศรอบตัวมันก็คล้ายสั่นสะเทือนเลือนลั่น จากนั้นร่างคนทั้งคนก็อันตรธานหายไปทันที!


 


ทั้งหมดที่ทุกคนเห็นก็คือประกายอัสนีสายหนึ่ง ที่ฟาดผ่าลงไปยังเบื้องล่าง เป็นร่างตงฟางจิ่นหลุนที่เปี่ยมไปด้วยพลังสายฟ้ากำลังดิ่งลงไปฉับไวดั่งอัสนีฟาด!


 


ความลึกซึ้ง ‘อัสนีฟาด’ ของกฏสาฟ้า!


 


หากคิดจะใช้พลังความลึกซึ้งอย่างอัสนีฟาด แน่นอนว่าจำต้องเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งสายฟ้าให้ได้เสียก่อน เช่นนั้นก่อนที่ดิ่งร่างไปเป็นประกายอัสนี พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของตงฟางจิ่นหลุนจึงผสานไปด้วยพลังสายฟ้า


 


เป็นธรรมดาว่าอาจมีวิธีอื่น


 


เปรี๊ยะ!!


 


ซัวว!!


 



 


กล่องเป้าหมายของตงฟางจิ่นหลุน ก็เป็นกล่องใบเดียวกันกับที่ชายวัยกลางคนอันตกตายด้วยน้ำพิฆาตวิญญาณก่อนหน้าคว้าหยิบ และทันทีที่ร่างดั่งประกายอัสนีของตงฟางจิ่นหลุนลุมาถึงและคว้าจับกล่องเอาไว้ พลังลี้ลับที่ผิวกล่องก็เริ่มกำจายออกไปโดยยรอบอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่น้ำพิฆาตวิญญาณจะม้วนตลบกลืนร่างตงฟางจิ่นหลุน คนก็หอบหิ้วกล่องรวมทั้งศพของชายวัยกลางคนเหินทะยานโผล่พ้นวงล้อมของคลื่นน้ำพิฆาตวิญญาณไปแล้ว!


 


เช่นนั้นน้ำพิฆาตวิญญาณจึงได้แต่ม้วนกลืนอากาศธาตุเข้าไปคำหนึ่ง…


 


เปรี๊ยง!!


 


ตงฟางจิ่นหลุนดิ่งลงไปปานอัสนีฟาด ขากลับก็พุ่งทะยานขึ้นมาฉับไวปานอัสนีฟาด! มันคว้ากล่องทั้งหอบหิ้วขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เมื่อขึ้นมาลอยยังจุดปลอดภัยแล้ว มันค่อยพลิกกล่องปล่อยให้ศพชายวัยกลางคนที่นอนฟุบอยู่ร่วงตกลงไปในน้ำพิฆาตวิญญาณ ก่อนที่จะจมหายไปในไม่กี่ลมหายใจ…


 


‘เร็วจริงๆ…’


 


‘ความเร็วที่ระเบิดออกมาในชั่วพริบตาของมัน…เทียบกับสุมาฉุนแล้วเหมือนจะรวดเร็วกว่าด้วยซ้ำ’


 


มองตงฟางจิ่นหลุนอีกครั้ง แววตาต้วนหลิงเทียนฉายให้เห็นถึงความประหลาดใจอยู่บ้าง


 


นั่นเพราะเมื่อครู่ ความเร็วในการเคลื่อนไหวของตงฟางจิ่นหลุน มันรวดเร็วสุดที่น้ำพิฆาตวิญญาณจะตามได้ทัน เช่นนั้นจึงไม่อาจกระทบถูกเปล่งพลังทำลายวิญญาณอะไรได้


 


แกร่ก!


 


ท่ามกลางสายตาของทุกคน ตงฟางจิ่นหลุนที่พลิกกล่องไปมา ก็คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง พอมันตบลงไปมุมหนึ่งของกล่องเบาๆ ตัวกล่องก็เริ่มเปิดออกทันที เปิดเผยทุกสิ่งที่อยู่ด้านในท่ามกลางสายตาสนใจของทุกผู้คน…


 


“เอ่อ…”


 


ทว่าเมื่อกล่องถูกเปิดออกมา ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง กระทั่งตัวตงฟางจิ่นหลุนเองยังต้องขมวดคิ้วยู่ย่นเป็นปม


 


นั่นเพราะหลังกล่องเปิดออกมา…ด้านในกลับว่างเปล่า ไม่มีอะไรเก็บเอาไว้เลย!


 


เห็นฉากดังกล่าว ทุกคนพลันตระหนักได้ทันที


 


“ดูเหมือนว่าไม่ใช่ทุกกล่องที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำพิฆาตวิญญาณจะมีสมบัติเก็บไว้…”


 


อย่างไรก็ตามแม้จะรู้เรื่องนี้แล้ว แต่สายตาทุกคนยังกวาดมองไปยังกล่องทั้งหลายที่ลอยล่องเหนือผิวน้ำพิฆาตวิญญาณตาเป็นมัน…


 


บางกล่องอาจว่างเปล่าบ๋อแบ๋จริง แต่ต้องมีบางกล่องที่กักเก็บสมบัติเลิศล้ำเอาไว้!


 


ฟุ่บบ!!


 


ทันใดนั้นบังเกิดเสียงแหวกฝ่าสาลมหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่คลื่นลมแรงอันหอบกลิ่นอายความหมายแห่งน้ำแข็งอันเยียบเย็นจะแผ่มากระทบถูกร่างผู้คน พาลให้ทั้งหมดรู้สึกเสมือนฤดูหนาวมาเยือนในฉับพลัน


 


“แม่นางโอวหยาลงมือแล้ว!”


 


เป็นโอวหยา ศิษย์อัจฉริยะของด่านน้ำแข็งยะเยือก ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดสตรีเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้เคลื่อนไหวลงมือ!


 


ทั้งหมดเห็นร่างโอวหยาโรยตัวลงไปปานเทพธิดาน้ำแข็ง พริบตาก็เจียนบรรลุถึงกล่องหนึ่งที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำพิฆาตวิญญาณ


 


ซัวว!


 


ครืนนน!!


 



 


เมื่อโอวหยาบรรลุถึงกล่องใบหนึ่ง และสัมผัสมัน ปรากฏการณ์เดิมก็อุบัติขึ้น น้ำพิฆาตวิญญาณโถมมาดั่งคลื่นสมุทรคุ้มคลั่งคิดม้วนกลืนร่างบางในหนึ่งคำ!


 


เมื่อเห็นว่าร่างบางของโอวหยา เจียนจะโดนคลื่นน้ำพิฆาตวิญญาณม้วนกลืนร่างเต็มที หลายคนที่จับจ้องชมดูเรื่องราวอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดหายใจลงด้วยความลุ้นระทึก!


 


อย่างไรก็ตาม ในห้วงพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ


 


เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!


 



 


เสียงหนึ่งพลันดังระงมขึ้นระรัว และท่ามกลางทุกสายตาของผู้คน ห้วงอากาศรอบตัวโอวหยา เสมือนจับตัวเป็นม่านน้ำแข็งทรงกลมดังดวงแก้วน้ำแข็ง! ปิดกั้นทั้งแช่น้ำพิฆาตวิญญาณโดยรอบให้จับตัวเป็นน้ำแข็งในฉับพลัน!!


 


เพล๊ง!!


 


โอวหยาที่หอบหิ้วกล่องใบหนึ่ง พุ่งทะยานขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อดวงแก้วน้ำแข็งที่ปกคลุมรอบกายกระทบถูกคลื่นน้ำพิฆาตวิญญาณที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง พวกมันก็แตกสลายเป็นละอองระยับ ร่วงตกไปกองบนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณน้ำแข็งเบื้องล่างที่เป็นดั่งลานน้ำแข็งหย่อมหนึ่งดังกราว


 


จนเมื่อโอวหยาเหินร่างขึ้นมาถึงตำแหน่งที่นางลอยอยู่ก่อนหน้า ดวงแก้วน้ำแข็งรอบกายจึงค่อนสลายตัวลง น้ำพิฆาตวิญญาณที่จับตัวแข็งอันติดมากับดวงแก้วก็เริ่มร่วงตกลงไปเช่นกัน ก่อนที่จะถึงเบื้องล่างมันก็เริ่มละลายกลายเป็นน้ำอีกครั้ง


 


และผิวน้ำพิฆาตวิญญาณรอบๆกล่องที่จับตัวเป็นลานน้ำแข็งเมื่อครู่ ก็ค่อยๆละลายหวนคืนกลับสู่สภาพเดิม…


 


“เจ๋งโคตร!”


 


“พลังแช่แข็งอันร้ายกาจ! สมแล้วที่เป็นความลึกซึ้ง เยือกแข็ง ของกฏน้ำแข็ง!”


 


“ให้ตายเถอะ! กระทั่งน้ำพิฆาตวิญญาณยังถูกนางแช่แข็งได้ ความลึกซึ้งเยือกแข็งช่างทรงพลังอะไรจะขนาดนี้! น่ากลัวยิ่งนัก!!”


 



 


เมื่อเห็นว่าโอวหยาได้รับกล่องมาอย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ


 


พวกมันหลายคนนั้น แม้จะเข้าถึงพลังแห่งกฏแล้วก็จริง แต่ความลึกซึ้งที่เข้าใจ ก็มีแค่ความหมายแห่งกฏเท่านั้น ไม่อาจสำแดงความสามารถอันยอดเยี่ยมร้ายกาจของกฏได้เช่นนี้เลย


 


เมื่อเทียบกับคนที่เข้าใจความลึกซึ้งที่สองของกฏแล้ว พวกมันนับว่าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย


 


แม้ความหมายแห่งกฏ จะเป็นความลึกซึ้งของกฏเช่นกัน แต่พลังที่มอบให้ก็อ่อนด้อยกว่าความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏมากนัก ทำได้แค่เสริมพลังทุกด้านประมาณหนึ่ง ไม่มีความสามารถโดดเด่นเฉพาะทางเช่นนี้


 


“เอ่อ..กล่องเปล่าอีกแล้ว?”


 


ท่ามกลางสายตาของทุกคน ในที่สุดกล่องในมือโอวหยาก็ถูกเปิดออกมา พบว่าด้านในมันโล่งโจ้งไม่มีสิ่งใดนอกจากอากาศธาตุ


 


จังหวะนี้หน้างามของโอวหยาอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มแห้งๆออกมาอย่างขื่นขม เสียงใสดังขึ้นเบาๆ “โชคร้ายยิ่ง…”


 


“นั่นมัน…ร่างแยกรึ!?”


 


ทว่าทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งโพล่งดังขึ้นจากกลุ่มคนที่ลอยร่างอยู่ทางฝั่งตงฟางจิ่นหลุนและโอวหยา


 


และแต่เดิมฝั่งของตงฟางจิ่นหลุนและโอวหยาที่มี 8 คนนั้น ก็คงเหลือแค่ 7 คน เพราะชายวัยกลางคนผู้หนึ่งได้ตกตายไปแล้ว


 


ได้ยินเสียงอุทานดังกล่าว พอตงฟางจินหลุนกับโอวหยาหันไปชมดูเรื่องราว ทั้งคูก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


ฟุ่บ!


 


เพราะในเวลาชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็เห็นร่างชายหนุ่มชุดเทาอันมีสองตาแดงฉานปานก้อนหิตคนหนึ่งดิ่งร่วงลงจากฟ้า บรรลุถึงกล่องใบหนึ่งบนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณ และกำลังคว้าจับกล่องอยู่


 


ซัว!


 


ครืนนน!!


 



 


น้ำพิฆาตวิญญาณปะทุมาดั่งคลื่นสมุทรคุ้มคลั่ง ม้วนกลืนร่างชายหนุ่มสองตาแดงฉานปานก้อนเลือด หากทว่ากลับไม่อาจส่งผลกระทบใดๆต่อร่างดังกล่าวได้เลย


 


จากนั้นทั้งหมดก็เห็นชายหนุ่มสองตาแดงงฉานปานก้อนเลือดใช้พลังขับน้ำวิญญาณที่เปียกชุ่มไปทั่วร่างออกอย่างรังเกียจ และเหินร่างขึ้นมาพร้อมหอบหิ้วกล่องมาด้วยอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


ชายหนุ่มสองตาแดงเลือดที่ว่า ก็คือร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่นเอง มันไม่มีวิญญาณอะไร จะมีก็แต่ร่างกายเท่านั้น


 


ในเมื่อไร้ซึ่งวิญญาณ น้ำพิฆาตวิญญาณก็ไม่ต่างอะไรจากน้ำเปล่า ไร้ซึ่งผลกระทบใดๆต่อร่างแฝดแห่งความตายทั้งสิ้น


 


และท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน ร่างแฝดแห่งความตายก็เหินลอยมาถึงหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก่อนที่จะซ้อนทับเข้ากับร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น รวมผสานเป็นหนึ่งเดียว กล่องที่ถือขึ้นมาก็ไปอยู่ในมือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแทน


 


แกร่ก!


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไม่รอช้าเปิดกล่องในมือออกทันที จนพบว่าด้านในมีดาบยาว 4 ฉื่อเล่มหนึ่งอยู่ภายใน และจากกลิ่นอายคมกล้าดุร้ายเหนือดาบอมตะระดับราชาทั่วไปที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวดาบ ก็บอกได้ทันทีว่ามันคือดาบอมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลหล่อเลี้ยงด้วยพลังของจอมราชันอมตะมาพักหนึ่ง!


 


“เฮ่ ดูเหมือนข้าจะยังพอมีโชคไม่เลวทีเดียว”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน ด้วยน้ำเสียงท้าทาย “ยังไงเล่า เจ้าจะลองดูบ้างรึเปล่า?”


 


เผชิญกับสีหน้าท้าทายราวกับจะท้าแข่งว่าใครจะได้ของดีกว่ากันของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆโรยตัวลงปังกล่องใบหนึ่งบนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


และกล่องที่ว่ายังเป็นกล่องที่มีขนาดเล็กที่สุด ในบรรดากล่องทั้งหมดที่ลอยอยู่บนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณอีกด้วย!


 


แน่นอนว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนมาหยุดลอยใกล้ๆกับกล่องและเอื้อมมือออกมาคว้าจับกล่องใบนั้น มวลน้ำพิฆาตวิญญาณโดยรอบก็เริ่มกลับกลายเป็นคุ้มคลั่ง คลื่นยักษ์ดั่งปากกระหายเลือดของอสูรสมุทรสาดโถมเข้ามาจากทุกทิศทาง!


 


หากแต่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้มีทีท่าว่าจะหลบหลีก หรือป้องกันคลื่นน้ำพิฆาตวิญญาณอันคุ้มคลั่งจากทั่วสารทิศแต่อย่างใด! คนเพียงยืนนิ่งอยู่เฉยๆคล้ายอยากรับทราบถึงพลังอำนาจทำลายวิญญาณของน้ำพิฆาตวิญญาณ!!


 


“หืม?!”


 


เห็นฉากดังกล่าว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะย่นคิ้ว เนื่องเพราะกระทั่งมันเองหากไม่ใช้ร่างแฝดแห่งความตาย ก็ไม่กล้าทานรับน้ำพิฆาตวิญญาณด้วยร่างเนื้อตรงๆ


 


ดังนั้นพอเห็นต้วนหลิงเทียนกระทำแบบนี้ มันจึงอดไม่ได้ที่จะงุนงงสงสัย


 


เป็นธรรมดาว่ามันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะโง่งมถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย เพราะมันรู้ดีว่าคนอย่างต้วนหลิงเทียนไม่มีวันทำอะไรโง่เขลาอย่างหาเรื่องตายแน่นอน


 


“มันเสียสติไปแล้วหรือไร!?”


 


“มันคิดว่าตัวเองเป็นร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ่นรึไร ถึงได้หาญกล้าใช้ร่างเนื้อทานรับพลังของน้ำพิฆาตวิญญาณเช่นนั้น! นี่ไยมิใช่รนหาที่ตายอีกเล่า!?”


 


“ต้วนหลิงเทียนนั่นมันเสียสติไปแล้ว! เลอะเลือนแล้ว!!”


 



 


เชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆตกใจกับการกระทำของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย และไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้ทำอะไรสิ้นคิดเช่นนี้ ร่างเลือดเนื้อของผู้คนยังจะไปเทียบกับร่างแฝดแห่งความตายได้หรือ?


 


หากจังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนใช้ทักษะป้องกันตัวอะไรบ้าง พวกมันจะไม่แปลกใจเลย


 


แต่ปัญหาก็คือ ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับลอยตัวรออยู่เฉยๆ ไม่ลงมือใช้พลังใดๆทั้งสิ้น!


 


เห็นได้ชัดว่าคนคิดใช้ร่างเลือดเนื้อทานรับน้ำพิฆาตวิญญาณแล้วจริงๆ!


 


“หาที่ตาย!”


 


ตงฟางจิ้นหลุนมองต้วนหลิงเทียน พลางยกยิ้มแสะด้วยความดูแคลน


 


โอวหยาเองก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนไม่วางตา อย่างไรก็ตามในแววตาของนางกลับฉายชัดถึงความสงสัยไม่น้อย


 


ปกติแล้วสัมผัสที่ 6 ของสตรีค่อนข้างมีความแม่นยำทีเดียว


 


ถึงแม้นางจะแลเห็นว่าชายหนุ่มชุดม่วงคนนั้นคล้ายคนกำลังรอรับความตาย แต่สัญชาตญาณของนางกลับบอกว่าเรื่องราวหาได้ง่ายดายดั่งที่ตาเห็นไม่!


 


คนที่สามารถเข้ามาในวังจอมราชันอมตะได้ ไหนเลยจะธรรมดาสามัญ ย่อมไม่มีใครรนหาที่ตายอย่างโง่เขลาเช่นนี้


 


‘แบบนี้นี่เอง…’


 


หลังต้วนหลิงเทียนยกกล่องได้ไม่ทันไร เขาก็สัมผัสได้ว่าที่แท้ตัวกล่องได้แผ่พลังลี้ลับขุมหนึ่งไปกระตุ้นให้น้ำพิฆาตวิญญาณโดยรอบเคลื่อนไหว จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความเยียบเย็นของน้ำพิฆาตวิญญาณที่สาดโถมเข้ามาทั่วร่างชัดเจน ยังรู้สึกเย็นพอๆกับเอาถังน้ำแข็งมาราดรดลงหัวกลางหน้าหนาว…


 


‘นี่น่ะเหรอพลังของมัน…’


 


ขณะเดียวกันกับที่น้ำเย็นสาดโถมเข้าใส่ร่าง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณล้างผลาญหลายขุมที่โถมถันเข้ามาจากทุกส่วนของร่างกาย และต่างพากันบึ่งตรงไปทางดวงจิตของเขา!


 


อย่างไรก็ตามเพียงแค่มันเข้าใกล้ดวงจิต พลังล้างผลาญทั้งหลายก็ถูกพลังลี้ลับของทองเทพสุดลี้ลับสลายทำลายไปหมดสิ้นในชั่วพริบตา!


 


เรียกม่านพลังสีทองสลัวๆอันลี้ลับของทองเทพสุดลี้ลับ ได้ปิดกั้นพลังล้างผลาญของน้ำพิฆาตวิญญาณได้หมดจด! มันไม่อาจบุกเข้าสู่ดวงจิตไปสำแดงพลังอำนาจล้างผลาญวิญญาณในทะเลวิญญาณของต้วนหลิงเทียนได้อย่างสิ้นเชิง!!


 


ในเมื่อไม่อาจเข้าสู่ดวงจิตไปสำแดงพลังล้างผลาญในทะเลวิญญาณ ก็ไม่อาจทำอะไรวิญญาณต้วนหลิงเทียนได้…


 


ท่ามกลางสายตาหวาดกลัวของทุกคน ร่างต้วนหลิงเทียนที่เปียกมะล่อกมะแล่กไปด้วยน้ำพิฆาตวิญญาณ ก็ค่อยๆเหินกลับขึ้นมากลางอากาศอย่างไม่รีบไม่ร้อน ระหว่างนั้นคนก็เปล่งพลังระเหยน้ำที่เปียกทั่วกาย สุดท้ายก็เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย


 


“จ้าวสวรรค์ช่วย! นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…มันทำได้อย่างไร? ไฉนมัน…ถึงไม่ตายเล่า!?”


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความแตกตื่น


 


“ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้น ข้าเชื่อว่ามันสมควรมีอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางขึ้นไปพกติดตัวเป็นแน่! เพราะตราบใดที่เป็นอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางขึ้นไป ย่อมสามารถปิดกั้นพลังอำนาจของน้ำพิฆาตวิญญาณได้ชะงัด!”


 


อย่างไรก็ตามในบรรดาผู้คนที่กำลังตกตะลึง ก็มีบางคนที่คาดเดาอะไรบางอย่างได้


 


“อุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางขึ้นไป? บ้าไปแล้ว เจ้าไม่รู้หรือว่าในบรรดาอุปกรณ์อมตะทั้งหมด อุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณนั้นหาได้ยากที่สุด…กระทังในแง่มูลค่าแล้ว เครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนาง ยังสูงกว่าเกราะอมตะระดับราชาเสียอีก!”


 


“หากมันมีอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางพกติดตัวจริง เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่มันจะหาญกล้าใช้ร่างเลือดเนื้อต้านทานน้ำพิฆาตวิญญาณ!”


 


“เหอะๆ มันมีเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางแบบนี้…เหมือนการทดสอบรอบที่สองของวังจอมราชันอมตะ เอาของขวัญมาให้มันเปล่าๆ!!”


 



 


ทุกคนที่กำลังพูดถึงเรื่องนี้ นอกจากพวกเชวียจิงอวี่ที่รับทราบพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน และไร้ความกล้าคิดช่วงชิงอะไร ด้านผู้คนอีกฝั่งไม่เว้นตงฟางจิ่นหลุน ล้วนมองมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอิจฉาริษยา ราวกับทนรอพุ่งมาช่วงชิงอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณไปจากต้วนหลิงเทียนไม่ไหวแล้ว!


 


“เจ้าหนู เจ้ามีอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางพกติดตัวมาด้วยงั้นรึ?”


 


และเป็นตงฟางจิ่นหลุนที่ไม่อาจทนอำนาจยั่วยวนได้ไหว ออกตัวเป็นคนแรก มันมองจ้องมาทางต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเฉยชา พลางถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น!


 


อย่างไรก็ตามแม้สายตาของมันจะเย็นชาไร้แยแสแลดูเฉยเมย หากแต่ถ้ามองสำรวจให้ดี จะพบว่ามีประกายแห่งความโลภหนึ่งฉายให้เห็นรางๆ!


WSSTH ตอนที่ 3,019 : อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ


 


 


อย่างไรก็ตามแม้มูลค่าของอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณจะทัดเทียมกับเกราะอมตะระดับราชา หากทว่าผู้ที่มีเกราะอมตะราชา จะไปหาแลกเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางนั้น คงเป็นไปไม่ได้


 


เพราะต่อให้เป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงโดยจอมราชันอมตะ ก็ยังไม่อาจหาแลกเครื่องรางคุ้มกันระดับขุนนางได้ด้วยซ้ำ!


 


นั่นเพราะเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางหายากเกินไป แถมไม่เพียงยากที่จะหลอมสร้างขึ้นมาได้ แต่วัตถุดิบเฉพาะที่ต้องใช้หลอมมันนั้น เรียกว่าหาได้ยากเย็นอย่างยิ่ง!


 


สำหรับพลังอำนาจของเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณ ก็สามารถต้านทานการโจมตีทางวิญญาณใดๆที่มีระดับต่ำกว่าขุนนางอมตะได้อย่างสมบูรณ์!


 


เรียกว่าหากเป็นการโจมตีทางวิญญาณต่ำกว่าขอบเขตขุนนางอมตะ ต่อให้จะเป็นการโจมตีทางวิญญาณที่แฝงไปด้วยพลังจากความลึกซึ้งความหมายแห่งกฏ ยังสามารถป้องกันได้อยู่


 


แต่หากผู้ที่โจมตีแตกฉานความลึกซึ้งของกฏบางประการถึงขั้นตอนเบื้องต้นแล้ว ก็คงยากที่จะป้องกันเอาไว้ได้


 


ส่วนพลังของน้ำพิฆาตวิญญาณนั้น มันก็แค่เทียบได้กับการโจมตีทางวิญญาณของขุนนางอมตะที่ไม่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏเท่านั้น ทำให้แค่เครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางก็สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย กระนั้นนั่นก็ไม่ใช่อะไรที่เกราะอมตะระดับราชาจะต้านทานได้เลย!


 


ด้วยเหตุนี้ มูลค่าของเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนาง จึงค่อนข้างสูงกว่าเกราะอมตะระดับราชามาก แม้จะเป็นเกราะอมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะใช้พลังหล่อเลี้ยงขัดเกลามาแล้วก็ตาม!


 


“เจ้าหนู เจ้ามีอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางพกติดตัวมาด้วยงั้นรึ?”


 


เมื่อตงฟางจิ่นหลุนมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาละโมบ ทุกผู้คนก็ตระหนักได้ทันทีว่าตงฟางจิ่นหลุนบังเกิดความสนใจในเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณของต้วนหลิงเทียนขึ้นมาแล้ว


 


“ทำไม? เจ้าอยากได้รึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองจ้องตงฟางจิ่นหลุนเขม็ง พลางเอ่ยถามเสียงเบา


 


“ส่งเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางนั่นมาให้ข้าเสีย จากนั้นข้าไม่เพียงแต่จะไว้ชีวิตเจ้า แต่ข้ายังจะคุ้มครองเจ้าให้รอดกลับออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย”


 


ตงฟางจิ่นหลุนกล่าว


 


ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้านั้นยังมีอายุไม่ถึง 100 ปีด้วยซ้ำ สำหรับมันอีกฝ่ายไม่ใช่ภัยคุกคามอะไรเลย


 


ให้ถอยไปหมื่นก้าว ต่อให้อีกฝ่ายจะเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการ มันก็ไม่จำเป็นต้องกลัว!


 


“เครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางแม้จะมีมูลค่า แต่มันก็คงไม่มีค่าเท่าหนึ่งชีวิตของเจ้ากระมัง”


 


ตงฟางจิ่นหลุนเอ่ยออกมาอีกครั้ง สองตายังฉายแววแหลมคม เผยเจตนาฆ่าฟันออกมาชัดเจน


 


“ไม่ผิด”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวอย่างเห็นด้วย “อย่าว่าแต่เครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางเลย ต่อให้เป็นของที่มีค่ามากกว่านี้ ก็ยังไม่มีค่าอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าหนึ่งชีวิต…เพราะสุดท้ายมันก็แค่ของนอกกายชิ้นหนึ่ง”


 


“โฮ่? ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้ดีแล้วเช่นนั้นก็ประเสริฐ! รีบมอบเครื่องรางงนั่นมาให้ข้าเสีย! หากชักช้าจนข้าลงมือ ถึงตอนนั้นเจ้าคิดจะเสียใจก็คงไม่ทัน!!”


 


ตงฟางจิ่นหลุนเย้ยเยาะ


 


ถึงแม้ในสายตาของตงฟางจิ่นหลุน มันจะสามารถฆ่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าได้อย่างง่ายดาย และสามารถชิงสิ่งของใดๆในตัวอีกฝ่ายมาได้ไม่ยาก


 


แต่หากมันเลือกได้ มันก็ไม่คิดจะเข่นฆ่าใครในวังจอมราชันอมตะมั่วซั่ว


 


ใครจะไปรู้ล่ะ เกิดมันฆ่าชายหนุ่มชุดม่วงแล้วพอดีมีคนตายครบกำหนด จนแดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกอีกครั้งให้คนรีบกลับ มันจะทำอย่างไรล่ะ?


 


เพราะสุดท้ายแล้วเงื่อนไขในการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำก็ชัดเจนนัก นั่นก็คือมีคนตายครบ 7 ส่วนของผู้ที่เข้ามา!


 


ดังนั้นหากเลือกจะไม่ฆ่าได้ มันก็ไม่คิดฆ่าคน เพราะมันไม่อยากด่วนออกจากวังจอมราชันอมตะเร็วนัก ยังอยากไปแสวงหาโชคและโอกาสทั้งหลายที่รอคอยมันอยู่ในวังจอมราชันอมตะ


 


ในสายตาของตงฟางจิ่นหลุนแล้ว แม่ในร่างของชายหนุ่มชุดม่วงอาจจะมีของดีอย่างอื่นอีก แต่มันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เพราะมันคงไม่ขาดของเหล่านั้น ที่มันสนใจก็มีแต่เครื่องรางคุ้มกันวิญญาณของอีกฝ่ายเท่านั้น


 


“งั้นหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลงพลางเอ่ยออกด้วยรอยยิ้มบางๆ “ถ้างั้นให้ข้าดูหน่อย ว่าเจ้าจะทำอย่างไรถึงทำให้ข้าคิดเสียใจก็สายเกิน”


 


พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ พลังในร่างต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเคลื่อนไหวตามห้วงคิด จิตสังหารที่คล้ายหลับใหลไปเนิ่นนานก็เสมือนได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง


 


“ในเมื่อเจ้าเบื่อชีวิตคิดอยากตายนัก ข้าจักสงเคราะห์ให้!”


 


ตงฟางจิ่นหลุนไม่คิดเลยจริงๆว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าจะเพิกเฉยคำขู่ของมัน! หน้ามันจมลงโดยพลัน จากนั้นพลังเซียนอมตะที่ผสานไปด้วยสายฟ้าสีม่วงก็เริ่มลุกโชนขึ้น!!


 


ซู่มม!!


 


วินาทีต่อมา ดาบเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือตงฟางจิ่นหลุน จากนั้นคนก็คล้ายกลับกลายเป็นสายฟ้าเส้นใหญ่ ฟาดผ่าไปทางต้วนหลิงเทียน!


 


ตงฟางจิ่นหลุนที่ชักดาบเข่นฆ่าเข้ามา คนดาบให้สภาวะดุร้ายน่าเกรงขามนัก! เห็นชัดว่ามันไม่ได้ลงมืออย่างขอไปที!!


 


ถึงแม้มันจะไม่คิดว่าชายหนุ่มชุดม่วงจะสร้างปัญหาอะไรให้มันได้ แต่ยามลงมือมันกลับใช้ออกด้วพลังทั้งหมด ไม่มีคำว่าประมาทแม้แต่น้อย!


 


พอทุกคนเห็นตงฟางจิ่นหลุนมีเรื่องกับต้วนหลิงเทียน กระทั่งเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ พวกมันก็ชมดูเรื่องราวด้วยความลุ้นระทึกทันที!


 


ทว่าฉากเรื่องราวในสายตาของพวกมัน อยู่ดีๆก็อุบัติเรื่องประหลาดขึ้น ร่างต้วนหลิงเทียนที่ลอยล่องอยู่นั้น อยู่ๆก็ปรากฏรังสีกระบี่พวยพุ่งออกมาเปล่งประกายหลากสีสัน มีทั้งม่วงครามน้ำเงินเขียวเหลืองแสดแดง พวกมันเริ่มควบรวมก่อเกิดเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง อันฉาบคลุมไปด้วยพลังสีกากี สีทอง ทั้งไอพลังสีม่วงอีกชั้น!


 


ฟั่ฟฟฟ!!


 


ทันใดนั้นเอง เสียงหอนกระบี่หนึ่งก็ดังขึ้นกรีดหู! อีกเสียงดังกล่าวยังชวนให้ผู้คนใจสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ แม้ลำแสงกระบี่หลากสีสันดังกล่าวจะไม่ได้เพ่งเล็งมาที่พวกมันก็ตาม!


 


“นี่มัน…”


 


สองตาทุกคนไม่อาจไม่เบิกโพลง ยังท่วมท้นไปด้วยความสยดสยอง! เนื่องเพราะตงฟางจิ่วหลุนที่เดิมพุ่งเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนฉับไวปานเส้นสายอัสนีนั้น พอพุ่งมาถึงกลางทางร่างมันก็ชะงักกลางหาวเล็กน้อย! เป็นหว่างคิ้วของมันถูกกระบี่หลากสีที่พุ่งไปปานลำแสงเจาะทะลวงผ่านไปในพริบตา!!


 


อีกทั้งกระบี่หลากสีดังกล่าวไม่ว่าพุ่งผ่านไปที่ใด ความว่างเปล่าก็ยังคงสงบไร้ระลอกประหนึ่งย่ำหิมะไร้รอยเท้า! ยามปะทะกับม่านพลังดาบที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังสายฟ้าอันฉาบคลุมกายของตงฟางจิ่นหลุนเมื่อครู่ มันก็ทะลวงผ่านไปได้อย่างง่ายดาย คล้ายไม่ได้เจออุปสรรคขวางกั้นใดๆ!


 


พรูด!


 


หลังกระบี่หลากสีสันที่พุ่งไปดั่งลำแสงนั่น ทะลวงเจาะหว่างคิ้วตงฟางจิ่นหลุนแล้ว โลหิตก็พุ่งทะลักออกมาเป็นเส้นสาย กลิ่นอายพลัง ทั้งเส้นสายอัสนีใดๆที่แล่นวาบแปลบปลาบอยู่รอบตัวตงฟางจิ่นหลุนก็เริ่มดับหายไปจนหมด


 


สองตาของตงฟางจิ่นหลุนอันเต็มไปด้วยคววามดุร้ายก่อนหน้า บัดนี้กลับกลายเป็นไร้ประกายดั่งปลาตาย หากแต่ร่างคนยังเหินทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนตามแรงเฉื่อย…


 


ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นมาสะบัดเบาๆดั่งปัดแมลงวัน ซัดพลังฝ่ามือขุมหนึ่งออกไปหยุดร่างตงฟางจิ่นหลุนไม่ให้เข้าใกล้ปนรังเกียจ จากนั้นก็แผ่พุ่งพลังไร้สภาพไปดูดรั้งดาบอมตะพร้อมแหวนพื้นที่ในมืออีกฝ่าย ไม่เว้นเกราะอมตะที่ตงฟางจิ่นหลุนสวมใส่ มาเก็บไว้เป็นของตัวเอง


 


ตูมมม! ซ่า!!


 


จนเมื่อร่างตงฟางจิ่นหลุนร่วงตกลงน้ำพิฆาตวิญญาณเบื้องล่างทั้งจมหายไปแล้ว ผู้คนถึงค่อยทยอยกันได้สติกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง


 


ตอนนี้นอกจากสีหน้าของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ยังคงสงบแล้ว คนอื่นๆไม่เว้นอัจฉริยะของด่านน้ำแข็งยะเยือกอย่างโอวหยา ก็พากันมองต้วนหลิงเทียนด้วยความตื่นตระหนก!


 


“กระบี่เล่มนั้นมัน…”


 


โอวหยามองจ้องกระบี่หลากสีสันที่เหินย้อนกลับมาอยู่ในมือต้วนหลิงเทียนไม่วางตา ในแววตายังฉายชัดถึงความไม่อยากจะเชื่อ “การลงมือของมันเมื่อครู่ ไม่ว่าจะกลิ่นอายพลังจากวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังอย่างดีก็แค่ระดับราชา นอกจากนั้นพลังแห่งกฏที่มันใช้ หากข้าสัมผัสไม่ผิดก็มีแต่พลังจากความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งดิน…”


 


“ที่มันสามารถสังหารตงฟางจิ่นหลุนได้อย่างง่ายดาย…ล้วนอาศัยพลังอานุภาพของกระบี่ประหลาดเล่มนั้น!”


 


“กระบี่เล่มนั้น…ใช่อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันหรือไม่?”


 


“ไม่! ต่อให้เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน อาศัยปฏิกิริยาตอบสนองและพลังฝีมือของตงฟางจิ่นหลุน เมื่อครู่มันย่อมสามารถหลบหลีกได้ทัน อย่างน้อยๆก็ต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองอันใด มิใช่ตกตายไปอย่างไม่รู้ตัว…”


 


“มันเป็น…จักรพรรดิ…กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ!?”


 


จากนั้นเมื่อพบว่ากระบี่หลากสีสันในมือต้วนหลิงเทียนค่อยๆกลับกลายเป็นลำแสงหลากสี จากนั้นก็วูบหายเข้าไปในร่างต้วนหลิงเทียน ลูกตาโอวหยาก็หดหยีลงแทบปิด สีหน้าแววตาฉายชัดถึงความตกใจเหลือเชื่ออันยากอธิบาย!


 


เพราะเท่าที่นางรู้ ต่อให้เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน ก็ไม่อาจหลอมรวมผสานเข้าร่างผู้คนได้แบบนั้น


 


มีแต่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอย่างเดียว ที่ทำอะไรแบบนั้นได้!


 


“นี่มัน…”


 


“นั่น…คือ”


 



 


ในขณะที่โอวหยาแลเห็นกระบี่หลากสีสันในมือต้วนหลิงเทียน กลับกลายเป็นรังสีแสงก่อนจะวูบหายเข้าร่างต้วนหลิงเทียนไป หลายคนที่ตระหนักได้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรก็เบิกตากว้างปากอ้าค้าง หนังศีรษะกลับกลายเป็นชาด้าน!


 


โอสวรรค์!


 


พวกมันเห็นอะไรอยู่กัน!?


 


กระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนใช้สังหารตงฟางจิ่นหลุนเมื่อครู่ สามารถหลอมรวมเข้าร่างผู้คนได้ ราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย!


 


“เกิดอะไรขึ้น? กระบี่นั่นไฉนอยู่ๆก็หลอมรวมเข้าไปในร่างต้วนหลิงเทียนได้เล่า?”


 


“นั่นมันอาวุธอมตะระดับใดกัน!? เป็นอาวุธอมตะระดับจอมราชันรึ?!”


 


“ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดหลอมรวมอาวุธเข้าร่างตัวเองแบบนี้มาก่อนเลย…แล้วอาวุธนั่นมันหลอมรวมเข้าร่างผู้คนได้อย่างไร หรือต้วนหลิงเทียนคนนั้นได้เปิดโลกใบเล็กภายในกายแล้ว?”


 


“เหลวไหล! ต้วนหลิงเทียนยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น มันที่ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะไฉนจะสามารถเปิดโลกใบเล็กภายในกายได้? ”


 


“แล้วตกลงมันยังไงกันแน่เล่า?”


 



 


หลายคนพากันตกใจยกใหญ่ เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนที่ยังเป็นยอดเซียนอมตะคนหนึ่ง กลับทำให้กระบี่หลากสีนั่นผสานเข้าร่างตัวเองได้! พวกมันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่าปรากฏการณ์นี้คืออะไร!!


 


“ถึงแม้ขุนนางอมตะจะสามารถเปิดโลกใบเล็กภายในกายได้ แต่ก็ไม่มีใครคิดเก็บอาวุธคู่กายไว้ในนั้นหรอก…เพราะคิดจะเรียกอาวุธตัวเองออกมาจากโลกใบเล็กภายในกาย มันค่อนข้างยุ่งยากวุ่นวายกว่าเก็บไว้ในแหวนพื้นที่มาก”


 


ชายยวัยกลางคนมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาตื่นตระหนก หว่างคิ้วขดย่นเป็นปม เอ่ยออกมาเสียงหนัก “ที่สำคัญด่านพลังต้วนหลิงเทียนก็ยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปิดโลกใบเล็ก เพื่อซ่อนอาวุธแบบนั้นได้”


 


“อย่างไรก็ตามเท่าที่ข้ารู้มา ยังมีอาวุธอมตะประเภทหนึ่งที่สามารถผสานหลอมรวมเข้ากับร่างกายผู้ใช้ได้แบบนี้…และนั่นคืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของชายวัยกลางคนไม่เพียงแต่จะดังขึ้นผิดปกติ ยังสั่นเครือไปชัดเจน!


 


อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!


 


และวาจาดังกล่าวของชายวัยกลางคน พอดังเข้าหูเชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักลักษณะพิเศษของอาวุธอมตะระดับจักรพรรดิ ก็ทำให้พวกมันตกตะลึงอึ้งไปอยู่นาน ขณะเดียวกันร่างของพวกมันก็เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว


 


อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?


 


สำหรับพวกมันแล้ว อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเป็นอะไรที่อยู่ห่างไกลแสนไกล กระทั่งในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำที่พวกมันเข้ามาครั้งนี้ 3 นิกาย 2 ตระกูลก็ไม่มีปัญญาหาอุปกรณ์อมตะจอมราชันมาใส่ไว้ให้พวกมันช่วงชิงด้วยซ้ำ


 


อุปกรณ์อมตะรดับจักรพรรดินั่น ยังเป็นอะไรที่อยู่เหนืออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันไปอีก กวาดตามองไปทั่วแดนสวรรค์ใต้ทั้งหมด น่ากลัวว่าอาจจะมีเพียงแค่ไม่กี่ชิ้น


 


แต่ตอนนี้ กลับมีชิ้นหนึ่งมาปรากฏอยู่ในมือต้วนหลิงเทียน!


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น…มันเป็นผู้ใดในโลกกันแน่!?”


 


ในฐานะคนที่เคยประมือกับต้วนหลิงเทียนมาก่อน เชวียจิงอวี่ย่อมดึงสติกลับมาได้ก่อนใคร พอมองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ใจมันก็สะท้านไปอย่างแรง


 


เป็นยอดเซียนอมตะผู้หนึ่ง  แต่กลับถือครองอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!


 


ก่อนที่จะมาเห็นฉากเรื่องราวก่อนหน้ากับตา ให้คนมาพูดเรื่องนี้จนปากฉีก หรือตีมันให้ตาย…มันก็ไม่มีวันเชื่อ!


 


เพราะแม้แต่ทายาทสายเลือดหลักของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ จ้าวผู้ปกครองแดนสวรรค์ใต้แห่งนี้ น่ากลัวจะยังไม่มีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิไว้ใช้ด้วยซ้ำ!


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ที่แท้เป็นใครมาจากไหนกันแน่…ไฉนมันถึงมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิได้!?”


 


“ให้ตายเถอะ…ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม!?”


 


“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ…ข้าไม่คิดเลยว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะมีโอกาสได้เห็นมันกับตา!”


 



 


จากนั้นหลายๆคนก็ทยอยกันคืนสติ


 


“อุปกรณ์อมตะรดับจักรพรรดินั่นของมัน…คงมิได้มาจากวาสนาสถานภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้หรอกนะ?”


 


ชายหนุ่มผู้หนึ่งคาดเดา


 


และข้อสันนิษฐานของมันก็ถูกคนอื่นคัดค้านอย่างแรงทันที!


 


“เจ้าฝันไปหรือ! อย่าพูดถึงแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้เลย ให้เป็นระดับกลางหรือระดับสูง ก็ไม่มีทางมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิให้ผู้คนพบเจอได้!”


 


“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดินั่น กระทั่งจอมราชันอมตะสมญญานามอย่างจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ของพวกเรา จะมีใช้หรือไม่ก็ไม่รู้ มันเป็นดั่งสมบัติที่พบพานด้วยโชควาสนา แสวงหามิอาจพานพบ!!”


WSSTH ตอนที่ 3,020 : โค้งสุดท้าย


 


 


“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ?”


 


ได้ยินวาจาคาดเดาด้วยความแตกตื่นระคนประหลาดใจของทุกคน ใบหน้าเย็นชาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เผยความรังเกียจเหยียดหยามออกมาทันที


 


เพราะตอนนี้สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งนำออกมาใช้ให้เห็น หาใช่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิไม่ แต่เป็นอุปกรณ์เทพที่อยู่เหนืออุปกรณ์เทพทั้งมวล


 


อุปกรณ์เทพระดับสูง!


 


“น่าเสียดายที่ความทรงจำภายในวังจอมราชันอมตะของพวกเราจักต้องถูกลบหายไป…เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิไว้ในครอบครอง พวกเราก็ถูกกำหนดให้ไม่อาจนำออกไปแพร่งพรายได้”


 


“ใช่ หากเรื่องที่มันครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิแพร่งพรายออกไป คงสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวเป็นแน่ เผลอๆจะวุ่นวายกันทั้งทั่วแดนสวรรค์ใต้ด้วยซ้ำ!”


 


“เหอะๆ พวกเจ้าไม่คิดบ้างเหรอ…ว่าหากหลังออกไปพวกเรายังจดจำเรื่องราวในวังจอมราชันอมตะได้ ต้วนหลิงเทียนยังจะเอากระบี่จักรพรรดินั่นออกมาใช้? แม้ไม่รู้ว่ามันมีความเป็นมาอย่างไร แต่ถ้าเรื่องที่มันครอบครองกระบี่จักรพรรดิแพร่งพรายออกไป มันต้องกลายเป็นเป้าหมายร่วมของยอดฝีมือทั้งแดนสวรรค์ใต้! เสี่ยงถูกฆ่าปล้นกระบี่นั่นตลอดเวลา!!”


 


“ข้าว่าก็ไม่แน่นักหรอก…เพราะเจอตงฟางจิ่นหลุนเข่นฆ่าเข้าไปแบบนั้น นอกจากใช้กระบี่จักรพรรดิแล้ว มันยังจะมีหนทางอื่นรับมือตงฟางจิ่นหลุนได้หรือ?”


 



 


เป็นธรรมดาว่าคนที่กล่าวแบบนี้ ย่อมเป็น 1 ใน 6 คนที่เหลือรวมถึงโอวหยา


 


“เหอะ! ไม่มีหนทางรึ?”


 


และคำพูดดังกล่าวของมันก็โดนพวกเชวียจิงอวี่ที่ลอยอยู่ด้านต้วนหลิงเทียนแขวะทันที “ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช้กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ แต่มันก็มิกลัวตงฟางจิ่นหลุนนั่นแน่นอน!”


 


“มิผิด! ต่อให้ตงฟางจิ่นหลุนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งอัสนี 2 ประการแล้วอย่างไร ให้มันทรงพลังร้ายกาจมากแล้วอย่างไร…แต่วันนี้ให้ตายมันก็ไม่มีทางทำร้ายต้วนหลิงเทียนได้หรอก!!”


 


“เฮอะ พวกโง่เขลา ต้วนหลิงเทียนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว แถมหนึ่งในนั้นยังเอกอุเรื่องป้องกันด้วยซ้ำ!!”


 


“มิผิด เมื่อครู่ต่อให้การลงมือของตงฟางจิ่นหลุนจะทรงพลังเพียงใด แต่จากการประเมินของข้า น่ากลัวว่าคงมิอาจฝ่าปราการป้องกันต้วนหลิงเทียนได้ด้วยซ้ำ! จริงอยู่ว่าต้วนหลิงเทียนคงมิอาจไล่ตามความเร็วของตงฟางจิ่นหลุนได้ทัน อย่างไรเสียประเด็นมันอยู่ที่ เมื่อครู่ถึงต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช่กระบี่จักรพรรดิ แต่คิดรับมือตงฟางจิ่นหลุนก็ง่ายดายนัก!!”


 


“ในความเห็นของข้า ที่ต้วนหลิงเทียนนำกระบี่อมตะจักรพรรดิออกมา ก็เพื่อเข่นฆ่าตงฟางจิ่นหลุนโดยเฉพาะ…หากไม่ใช่เพราะต้องการฆ่ามันให้ตาย ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่จักรพรรดิอันใดก็สามารถรับมือตงฟางจิ่นหลุนได้ง่ายๆแล้ว!”


 



 


ไม่มีใครรู้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนดีไปกว่าพวกเชวียจิงอวี่แล้ว


 


และทางด้านโอวหยากับคนอื่นๆ พอได้ยินวาจาเย้ยเยาะของพวกเชวียจิงอวี่ ก็พากันแตกตื่นเป็นการใหญ่


 


“ต้วนหลิงเทียน…เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้วหรือ!?”


 


“ตอนนี้ พวกมันหลอกเราไปก็มิได้อะไร สมควรเป็นความจริง!”


 


“ใช่ ดูจากท่าทีของพวกมันแล้วมิคล้ายกล่าวไปเรื่อย…แต่ต้วนหลิงเทียนนั่น มิใช่ว่ายังอายุไม่ถึงร้อยปีหรือไร?”


 


“อายุไม่ถึงร้อยปี แต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการได้แล้ว? ความสามารถในการตีความของมันช่างร้ายกาจยิ่งนัก!!”


 


“ให้ตายเถอะ! มันเป็นตัวประหลาดจากนรกขุมใดกัน!?”


 



 


ด้าน 6 คนทางฝั่งโอวหยาตื่นตกใจกันไม่น้อย แต่ละคนอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ กระทั่งโอวหยาเอง ตอนนี้แววตาที่นางใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว


 


“อายุไม่ถึงร้อยปี?”


 


เชวียจิงอวี่เห็นอาการผวาทั้ง 6 ก็แลดูสนุกสนานไม่น้อย มันจึงแสยะยิ้มกล่าวออกมาอีกรอบ “เมื่อครู่พวกเจ้าคงเห็นแล้วสินะ ว่าทางฝั่งพวกเรามีคนผู้หนึ่งใช้ ร่างแฝดแห่งความตาย ซึ่งเป็นความลึกซึ้งของ 1 ใน 4 กฏสูงสุด กฏแห่งความตาย”


 


“แต่ไม่ทราบพวกเจ้าทันได้สังเกตกันหรือไม่…ว่ามันก็อายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน!”


 


วาจาของเชวียจิงอวี่ ทำให้โอวหยาและคนอื่นๆ หันไปให้ความสนใจหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที


 


“ร่างแฝดแห่งความตาย!?”


 


ทันใดนั้นพวกมันก็โพล่งออกมาด้วยความตกใจทันที เพราะมาตอนนี้พวกมันก็นึกขึ้นได้ ว่าก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะลงมือ ชายคนนั้นก็เป็นคนที่พึ่งลงไปเก็บกล่องมาแล้วเปิดได้ดาบอมตะระดับราชา!


 


เพราะต้วนหลิงเทียนลงมือต่อทันที และด้วยวิธีการน่าเหลือเชื่อ จึงทำให้พวกมันลืมชายคนนั้นไปเสียสนิท!


 


พอนึกดูอีกที…สิ่งที่อีกฝ่ายใช้ มิใช่ร่างแฝดแห่งความตายหรอกหรือไร!?


 


“ที่แท้ร่างแยกที่เจ้านั่นใช้ เป็นร่างแฝดแห่งความตาย! ให้ตายเถอะ…มันถึงกับเข้าใจกฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุดงั้นเหรอ!?”


 


“กฏแห่งความตาย ในฐานะ 1 ใน 4 สูงสุด ย่อมมิอาจเข้าใจผ่านวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังใดๆ มีเพียงต้องพบเจอโชควาสนาหรือสืบทอดมรดกจากยอดคน!”


 


“สวรรค์! มันอายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!!”


 


“หากคิดจะเข้าใจความลึกซึ้งร่างแฝดแห่งความตาย อย่างน้อยๆก็ต้องเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งความตายเสียก่อน…กล่าวได้ว่าตอนนนี้มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายไปแล้ว 2 ประการ!!”


 


“ไฉนสัตว์ประหลาดเช่นพวกมัน 2 คนถึงได้ปรากฏตัวในเขตคฤหาสน์เฉวีนโยวของพวกเราพร้อมกันได้เล่า!?”


 



 


หลังโอวหยาและคนอื่นๆย้อนนึกถึงเรื่องราวการลงมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก่อนหน้า ทั้งหมดก็หันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นใหม่อีกรอบ ตอนนี้ในแววตาของทั้ง 6 ฉายถึงความหวาดกลัวให้เห็นชัดเจน


 


“กล่องเปล่างั้นหรือ…”


 


และในขณะที่ทุกคนหันไปสนใจหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็กลับมาสนใจกล่องที่เขาพึ่งลงไปเก็บมา พอเปิดออกดูก็พบว่าด้านในว่างเปล่าไร้สิ่งใด…


 


“หึหึ ดูเหมือนว่าโชคเจ้าจะสู้ข้าไม่ได้นะ…”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคลี่ยิ้มออกมาอย่างถือดี


 


ต้วนหลิงเทียนเพิกเฉยรอยยิ้มย่ามใจของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก่อนที่จะพุ่งร่างลงไปยังเวิ้งน้ำพิฆาตวิญญาณเบื้องล่างอีกครั้ง จากนั้นก็พุ่งไปหากล่องใกล้ๆและเปิดมันออกมาตรงนั้นเลย…และในขณะที่เขาไล่เปิดกล่อง ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วงชิงอะไร


 


กระทั่งโอวหยาเองก็ไม่กล้าลงไปช่วงชิงกล่องกับต้วนหลิงเทียน


 


เพราะเกิดต้วนหลิงเทียนไม่สบอารมณ์ที่นางลงไปแย่งกล่องขึ้นมา แล้วชักกระบี่เข่นฆ่าเข้าใส่ นางไม่พ้นต้องลงเอยเหมือนตฟางจิ่นหลุนแน่…จบเห่!


 


อย่างไรก็ตาม ยังมีคนไม่กลัวต้วนหลิงเทียนอยู่


 


นั่นก็คือหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนลงไปไล่เปิดกล่องหาสมบัติ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ส่งร่างแฝดแห่งความตายออกไปแย่งกล่องกับต้วนหลิงเทียนอย่างสนุกสนาน


 


ฉากดังกล่าวนับว่าทำให้ผู้อื่นอิจฉาแทบตาย แต่ทั้งหมดก็ได้แค่อิจฉาไม่กล้าสอดมือทำอะไรทั้งสิ้น


 


เพราะในที่นี้นอกจากโอวหยาที่พอจะมีความสามารถลงไปช่วงชิงกล่องแล้ว คนอื่นนั้นท่าทางจะลงไปคว้ากล่องมาเปิดได้ยาก


 


อย่างไรก็ตามถึงแม้โอวหยาจะมีความสามารถลงไปคว้ากล่องมาเปิด แต่นางก็ไม่กล้าลงไปแย่งอะไรกับพวกต้วนหลิงเทียน ด้วยยังหวาดกลัววฉากกระบี่ที่พุ่งไปดั่งประกายแสงนั่นไม่หาย กระบี่อมตะจักรพรรดิที่สามารถรวมเข้าไปในร่างผู้ใช้ได้เล่มนั้น!


 


ราวๆ 1 เค่อต่อมา ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ไล่เปิดกล่องไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เปิดกล่องครบทุกใบ เรียกว่าแบ่งของกันแค่สองคนผู้อื่นไม่เกี่ยว


 


เป็นธรรมดาว่ากล่องส่วนใหญ่นั้นด้านในจะว่างเปล่า


 


สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนได้มาก็มีอุปกรณ์อมตะระดับราชา 5 ชิ้น ขวดบรรจุโอสถอมตะ 3 ขวด และยันต์อมตะ 6 แผ่น


 


ด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้อุปกรณ์อมตะระดับราชา 6 ชิ้น ขวดโอสถอมตะ 2 ขวด แล้วก็ยันต์อมตะ 3 แผ่น


 


ครืนนน!!


 


ส่า!!


 



 


เมื่อต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเปิดกล่องจนหมดแล้ว น้ำพิฆาตวิญญาณก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกกครั้ง พวกมันเริ่มลดระดับลงด้วยความเร็วสูง มาทางไหนกลับไปทางนั้น


 


ครู่ต่อมาน้ำพิฆาตวิญญาณก็หายไปจากสายตาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง ราวกับพวกมันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน


 


หากไม่ใช่เพราะว่าบริเวณแท่นศิลาที่ทุกคนยืนอยู่ตอนแรก ปรากกฏศพนอนตายอยู่ 2 ศพ ทุกคนอาจคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นมายาฝันตื่นหนึ่ง


 


“หืม?”


 


หลังจากที่น้ำพิฆาตวิญญาณหายไปหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังลี้ลับขุมหนึ่งที่เริ่มผุดขึ้นในความว่างเปล่าโดยรอบ


 


และครู่ต่อมาพลังลี้ลับที่ผุดขึ้นจากความว่างเปล่าโดยรอบก็แผ่มาปกคลุมเขากับคนอื่นๆ ในขณะเดียวกันเขายังสัมผัสได้อีกว่า พลังลี้ลับดังกล่าวเป็นพลังอันอ่อนโยน ไม่ได้มุ่งร้ายอะไร


 


“นี่มัน…”


 


“จะเคลื่อนย้ายไปที่อื่นอีกแล้วรึ”


 


แม้อยู่ๆก็ปรากกฏพลังลี้ลับขึ้นมาปกคลุมทุกคนอย่างกะทันหัน แต่ทุกคนก็ไม่มีใครแตกตื่นตกใจ เพราะสัมผัสได้ว่ามันเป็นพลังอ่อนโยน และคล้ายกับพลังลี้ลับก่อนหน้าที่จะปรากฏขึ้นตอนพาพวกมันเปลี่ยนสถานที่


 


อันที่จริงมันก็เหมือนกันทุกประการเลย


 


เมื่อพลังลี้ลับแผ่ออกไปปกคลุมพวกต้วนหลิงเทียนทั่วๆแล้ว มันก็ทำหน้าที่คล้ายเรือขนส่ง หอบหิ้วทุกคนหายวูบเข้าห้วงมิติ เบื้องหน้าทุกคนกลับกลายเป็นความมืดมิดอีกครั้ง


 


“ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าด้วยที่ผ่านบททดสอบที่ 2 ของวังจอมราชันอมตะ…สถานที่ต่อไป จะเป็นสถานที่สุดท้ายสำหรับพวกเจ้าในวังจอมราชันอมตะแล้ว”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆถูกพลังลี้ลับเคลื่อนย้าย จนแลเห็นเพียงความมืดมิด เสียงที่สงสัยว่าจะเหลือทิ้งไว้โดยจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ ก็ดังก้องขึ้นมาในหูทุกคนอีกครั้ง


 


“สถานที่สุดท้าย?”


 


“จบเร็วยิ่ง?”


 


“แล้วสถานที่สุดท้ายจักมีอันใดกันนะ?”


 


“จักมีอันใดก็ช่าง แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว…พวกเราคงไม่ได้อะไรหรอก”


 


“ทำอย่างไรได้เล่า ภายใต้จมูกต้วนหลิงเทียนกับหลิวเจวี๋ยอวิ๋น ยังจักเหลืออันใดตกถึงมือพวกเราได้อีก…เจ้าพวกนั้นได้กินเนื้อแล้วแท้ๆแต่ยังไม่ปันน้ำแกงสักถ้วยให้พวกเราดื่ม!”


 



 


ถึงแม้จะรู้ว่ากำลังถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่สุดท้ายในวังจอมราชันอมตะ แต่โอวหยาและคนอื่นๆก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไร กลับกันยังได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมออกมา


 


ด้านนอกทางเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ น่านฟ้าเหนือบริเวณใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน


 


“จิ่นหลุน!!”


 


เสียงร่ำร้องด้วยความโศกเศร้าหนึ่งดังออกมาอย่างโหยหวน เป็นชายวัยกลางคนในชุดเขียวผู้หนึ่งที่บัดนี้หน้าตาแลดูอัปลักษณ์ปั้นยากถึงขีดสุด เปี่ยมล้นไปด้วยความเจ็บปวดทั้งความเหลือเชื่อ


 


เพราะตอนนี้ อยู่ดีๆรายชื่อที่เคยได้อันดับ 1 ในตารางจัดอันดับก็ได้หายวับไป!


 


“เป็นนายท่านลำดับ 2 ของตระกูลตงฟาง!”


 


“พวกเจ้าดูตารางเร็ว ชื่อตงฟางจิ่นหลุนหายไปแล้ว!”


 


“ตงฟางจิ่นหลุน เป็นบุตรชายที่โดดเด่นที่สุดของนายท่านลำดับ 2 ของตระกูลตงฟาง…กระทั่งยังเป็นอัจฉริยะในรอบหมื่นปีของตระกูลตงฟาง แต่มันกลับตกตายด้านในจริงๆ?”


 


“ว่ากันว่าตงฟางจิ่นหลุนผู้นั้นเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งสายฟ้า 2 ประการ นอกเหนือจากความหมายแห่งสายฟ้าแล้ว ความลึกซึ้งอีกประการที่มันเข้าใจก็คือ ‘อัสนีฟาด’ ใช่ไหม?”


 


“ความลึกซึ้ง อัสนีฟาด ของกฏแห่งสายฟ้า…นั่นเป็น 1 ในความลึกซึ้งที่เอาเรื่องในกฏสายฟ้ามิใช่รึ? จะใช้เสริมการโจมตีหรือเคลื่อนไหว ก็นับว่าไม่ใช่เล่นๆเลยนี่นา?”


 


“ให้ตายเถอะ พลังฝีมือระดับตงฟางจิ่นหลุนยังตกตายอีกหรือ…แล้วผู้ที่ลงมือสังหารมันได้จะร้ายกาจถึงขนาดไหนกัน?”


 



 


หลังได้รับทราบว่าตงฟางจิ่นหลุนถูกฆ่าตายไปแล้ว ผู้คนที่รวมตัวกันเหนือทะเลสาบอวิ๋นเยียนก็บังเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาทันที!


 


“มันเป็นคนที่ 2 แล้วที่ตกตายทั้งๆที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏสองประการ…คนแรกก็คือสุมาฉุนแห่งตระกูลสุมา ตอนนี้ก็มามีตงฟางจิ่นหลุนของตระกูลตงฟางอีก”


 


“ให้ตายเถอะ หรือยอดเซียนอมตะที่เข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ ยังมีคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการด้วย?”


 


“อาจเป็นได้! หาไม่แล้วตงฟางจิ่นหลุนกับสุมาฉุนคนนั้นจะตกตายได้อย่างไร”


 



ด้วยความตายของสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุน ทำให้บรรยากาศเหนือทะเลสาบอวิ๋นเยียนกลายเป็นตึงเครียดไม่น้อย


 


สายตาผู้คนจำนวนมากจับจ้องมองไปยังตารางจัดอันดับอย่างไม่วางตา


 


ตอนนี้แต้มคะแนนสะสมของผู้ที่อยู่หัวตารางนั้น ไม่ได้แตกต่างกันมากมายอะไร


 


อันดับ 1 คือ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว


 


อันดับที 2 คือ ต้วนหลิงเทียน


 


อันดับที่ 3 คือหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 



 


“แม้คะแนนต้วนหลิงเทียนจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่ยังคงรั้งอยู่ในอันดับที่ 2…ส่วนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอันดับ 1 นั่น ดูเหมือนจะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในรอบหมื่นปีของตระกูลมู่หรง ตระกุลระดับ 7…ที่สำคัญนางยังเป็นสตรี!”


 


หูหลินอี้ ฮ่องเต้ฝูชิวจับจ้องไปยังรายชื่ออันดับ 2 ในตารางจัดอันดับไม่วางตา ลูกตาของมันตอนนี้ฉายแววสว่างจ้ามากล้นไปด้วยความตื่นเต้น


 


เพราะตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนสามารถรักษาอันดับนี้เอาไว้ได้จนถึงเวลาที่ทุกคนกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ มันจะได้รับรางวัวลมหาศาลจาก 3 นิกาย 2 ตระกูล!


 


“อย่างไรก็ตามคะแนนของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้นก็จี้ต้วนหลิงเทียนมาติดๆแล้ว…”


 


สองมือหูหลินอี้เริ่มกำหมัดแน่น ยังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ด้วยกังวลว่าโค้งสุดท้ายอาจบังเกิดความเปลี่ยนแปลง และมีอันทำให้อันดับต้วนหลิงเทียนลดลง!


WSSTH ตอนที่ 3,021 : มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว


 


 


ตอนนี้หูหลินอี้ก็ไม่ได้รู้เลย


 


ว่าไฉนที่คะแนนต้วนหลิงเทียนยังรั้งอยู่ในอันดับที่ 2 นั้น เพราะอำนาจของกฏแห่งเวลาในแดนสวรรค์ใต้โบราณกำลังช่วยเหลือเขาอยู่ ด้วยการทยอยเพิ่มคะแนนให้เขาอย่างช้าๆต่างหาก!


 


กล่าวได้ว่าคะแนนที่เขาได้รับตงฟางจิ่นหลุน ยังไม่ถูกเพิ่มเข้าไปทั้งหมด


 


หากมันถูกเพิ่มทั้งหมดแล้ว เขาย่อมพุ่งขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ทันที!


 


“โชคของประเทศฝูชิวกับประเทศตงหมิงไฉนยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้นะ อยู่ดีๆกลับมีผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นอัจฉริยะมาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณในนามของประเทศพวกมัน…”


 


น่านฟ้าด้านหนึ่ง เหล่าฮ่องเต้ของประเทศระดับ 8 ของดินแดนพันประเทศ ตอนนี้ก็ได้รับทราบกันถ้วนหน้าแล้ว ว่าอันดับที่ 2 กับอันดับที่ 3 นั้นเป็นใครมาจากไหน ยังอดไม่ได้ที่จะอิจฉาริษยาประเทศฝูชิวกับประเทศตงหมิงจับใจ พากันมองจ้องฮ่องเต้ฝูชิวกับฮ่องเต้ตงหมิงด้วยสายตาเกลียดชัง


 


น่านฟ้าบริเวณที่เหล่าคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลลอยร่างอยู่


 


“อันดับที่ 2 ต้วนหลิงเทียน กับอันดับที่ 3 หลิเจวี๋ยอวิ๋นนั่น ดูเหมือนจะมีอายุไม่ถึงร้อยปี…”


 


จ่างซุนฉงฉี ผู้ที่นำพาคนของตระกูลจ่างซุนมองไปยังหัวตารางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “นอกจากนั้น ยังได้ยินคนของดินแดนพันประเทศกล่าวกันหนาหูว่าทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่พึ่งจะปรากฏตัว…”


 


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่น ถึงแม้มันจะเลือกตีความกฏแห่งความตาย…แต่ในเมื่อมันมาถึงจุดนี้ได้ ไม่พ้นต้องเข้าใจความลึกซึ้งอีกประการของกฏแห่งความตายแล้วแน่นอน”


 


กงหยางอวี่ผู้นำคนของตระกูลกงหยางกล่าวคาดเดา


 


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เหมือนต้วนหลิงเทียนที่อยยู่อันดับ 2 มันเองก็ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน…แต่ข้าเชื่อว่ามันสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการดั่งท่านว่าจริงๆ”


 


เหิงฉาน ผู้นำโถงอรหันต์ของนิกายอมตะอวิ๋นไถกล่าว


 


“ทั้ง 2 ล้วนเป็นอัจฉริยะปีศาจ…กระทั่งยังนับว่าโดดเด่ดเหนือมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอัจฉริยะหญิงในรอบหมื่นปีของตระกูลมู่หรงที่รั้งอู่ในอันดับ 1 ตอนนี้เสียอีก ล้วนแล้วแต่น่าสนใจและน่าดึงตัวมาเข้าร่วมทั้งสิ้น”


 


ผู้นำนิกาอมตะเป้าผู้ จางกวงเจิ้งเอ่ยออก จากนั้นก็หันไปมองเหิงฉาน ผู้นำโถงอรหันต์ของนิกาอมตะอวิ๋นไถพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตาม อันดับ 1 อย่างมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว…ดูเหมือนจะถูกกำหนดให้ไร้วาสนากับนิกายอมตะอวิ๋นไถท่านแล้วล่ะ…”


 


“หึ!”


 


เหิงฉานพ่นลมสบถออกมาเมื่อถูกจางกวงเจิ้งกล่าวแซว แต่จะให้ทำอย่างไรได้ นิกายอมตะอวิ๋นไถของมันรับแต่ศิษย์บุรุษ ไม่รับศิษย์สตรี ให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวร้ายกาจให้ตาย มันก็ไม่อาจรับนางได้


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อมันหันไปมองชื่อต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น สองตามันก็ฉายความมุ่งมั่นออกมา


 


เป้าหมายของมันคือ 2 คนนี้!


 


ถึงตอนนี้อันดับของทั้งคู่จะสู่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้ กระทั่งพลังฝีมืออาจจะยังอ่อนด้อยกว่านาง แต่อย่างไรก็ตามมันเชื่อว่าทั้ง 2 นั้นมีคุณค่ามหาศาลกว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว


 


เนื่องจากมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคนนั้น อายุเจียนจะ 200 อยู่แล้ว


 


แต่ทั้งคู่ยังมีอายุไม่ถึง 100 ปี!


 


ในบรรดาผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูล มีเพียงปี้ไห่หมิงเฟิงคนเดียวที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


อย่างไรก็ตามแม้มันจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตามันก็จับจ้องไปยัง 3 อันดับแรกในตารางไม่วางตาเช่นกัน


 


ภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ


 


ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆนั้น บัดนี้ได้ถูกพลังลี้ลับเคลื่อนย้ายมาถึงสถานที่แห่งใหม่ มองไปแล้วพบว่าเป็นหุบเขาอันมืดมิดแห่งหนึ่ง


 


และหลังจากที่พลังลี้ลับดังกล่าวเคลื่อนย้ายมาถึงหุบเขาแห่งนี้แล้ว มันก็อันตรธานสาบสูญไปในความว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย


 


“หุบเขานี่มัน…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองไปรอบๆเขาก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง กล่าวไปยังเสมือนเขาอยู่ใต้หุบเหวอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งก็ว่าได้ เพราะผา 2 ฟากนั้นมันห่างไกลและสูงชันเหลือเกิน มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิด หากแต่สูงขึ้นไปเหนือใจกลางหุบเขา ปรากฏแท่นหินมากมายลอยล่องอยู่กลางหาวอย่างเงียบงัน


 


แท่นหินที่ว่ายังมีขนาดเล็กนัก มองไปเหมือนเบาะรองนั่งทรงกลม มีที่พอให้ผู้คนนั่งได้แค่คนเดียว ลอยตัวเรียงรายในระดับความสูงแตกต่างกัน และที่ลอยอยู่สูงสุดก็มีแท่นเดียว


 


ส่วนต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ อยู่ก็ถูกพลังลี้ลับเคลื่อนย้ายมายังก้นหุบเขา จึงไม่ทราบว่าถูกพามาจากทิศทางใดกันแน่


 


และไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็พบเจอแต่ความมืดอันไร้สิ้นสุด


 


นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังพบว่า นอกจากจุดที่เขากับคนอื่นส่งตัวมา ห่างออกไปไกลๆในความมืด 2 จุดก็เสมือนมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง


 


“มีคนมา”


 


“พวกที่มาถึงก่อนเรางั้นหรือ?”


 



 


เสียงอุทานจากคนในกลุ่มดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน จากนั้นเขาก็พบว่าในความมืดมิดใต้หุบเขาอันไร้แสงสว่างส่องถึงนั้น มีความเคลื่อนไหวบางอย่าง และสมควรเป็นคน 2 กลุ่มที่กำลังพุ่งเข้ามาจากทิศทางที่แตกต่างกัน


 


สำหรับคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยากว่าสมควรถูกพลังลี้ลับเคลื่อนย้ายมาที่นี่เช่นกัน และถูกส่งตัวมาที่นี่ก่อนพวกเขา


 


ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันก็เป็นคนที่เหลือรอดอยู่ในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้


 


“น้องหญิงโอวหยา!”


 


ปรากฏเสียงใสไพเราะหนึ่ง ดังขึ้นจากบรรดากลุ่มคนที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นเงาร่างบางในชุดเขียวอ่อนเหินเข้ามาทางเขา และพริบตาก็ไปหยุดลงเบื้องหน้าโอวหยาที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลสักเท่าไหร่


 


“พี่หญิงมู่หรง!”


 


เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร รอยยิ้มสดใสก็คลี่กางขึ้นบนใบหน้าโอวหยาทันที


 


คนที่พึ่งมาถึงนั้น เป็นอิสตรีที่มีรูปลักษณ์งดงามทั้งแลดูสูงศักดิ์ยิ่งกว่าโอวหยาเสียอีก จากบรรยากาศที่แผ่ออกมารอบกายนางอย่างเป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกว่านางเป็นสตรีที่กล้าได้กล้าเสียนางหนึ่ง


 


“มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว!”


 


เชวียจิงอวี่ที่ยืนห่างจากต้วนหลิงเทียนไม่ไกล พอเห็นว่าผู้ที่พึ่งมาถึงเป็นใครก็อุทานออกมาเสียงเข้ม ลูกตายังหดหยีลงแลดูหวั่นเกรงผู้อื่นเขาไม่น้อย


 


“มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว?”


 


ได้ยยินคำอุทานของเชวียจิงอวี่ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปสังเกตสตรีผู้มาใหม่ทันที “นางน่ะเหรอ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว?”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั้น เขาได้ยินมาว่านางคืออัจฉริยะอันดับ 1 ในรอบหมื่นปีของตระกูลมู่หรงที่เป็นตระกูลระดับ 7 อายุเกือบ 200 ปี หากแต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำ 2 ประการแล้ว


 


อีกทั้งร่ำลือกันว่านางได้หยั่งถึงความลึกซึ้งประการที่ 3 ของกฏแห่งน้ำ กระทั่งเริ่มใช้พลังของความลึกซึ้งดังกล่าวได้บางส่วน!


 


เช่นเดียวกับต้วนหลิงเทียนที่เริ่มหยั่งถึงความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วง แม้จะยังไม่บรรลุความสำเร็จขั้นตอนเบื้องต้น แต่เขาก็สามารถใช้พลังอำนาจของมันได้บางส่วน


 


แม้ปกติหากใช้ออกอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ในห้วงเวลาคับขันมันอาจชี้เป็นชี้ตายสถานการณ์ และเปลี่ยนผลการต่อสู้ได้ทันที


 


ดุจเดียวกับตอนที่ต้วนหลิงเทียนใช้มันเพื่อฆ่าสุมาฉุนก่อนหน้านี้ ถึงเขาจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชัน แต่ถ้าไม่ได้พื้นที่โน้มถ่วงคอยฉุดรั้งสุมาฉุนเอาไว้ให้ไม่อาจใช้ความเร็วได้เต็มที่ ก็คงยากที่เขาจะฆ่ามันได้


 


เมื่อเห็นว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเหินร่างเข้ามาทักทายโอวหยา และด้านโอวหยาก็คลี่ยิ้มสดใสตอนรับผู้มา ทุกคนก็บอกได้ไม่ยากว่าทั้ง 2 รู้จักมักคุ้นกัน


 


และอันที่จริงทั้งคู่ไม่ใช่แค่รู้จักมักคุ้น แต่นับเป็นสหายที่สนิทสนมกันอีกด้วย


 


สตรีนั้นในเรื่องบ่มเพาะพลังหรือการต่อสู้ ด้วยสรีระตามธรรมชาติไม่เอื้อ ก็ทำให้ยอดฝีมือสตรีมีจำนวนน้อยกว่าบุรุษ ยังผลให้เหล่าสตรีที่โดดเด่นไม่กี่คนในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว เสมือนได้พบคนที่มีหัวอกเดียวกัน และเข้าใจความยากลำบากของกันและกัน


 


ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด


 


“น้องหญิงโอวหยา เจ้าสมควรเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยกระมัง?”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวยิ้มถาม


 


อย่างไรก็ตาม ได้ยินคำถามนี้ของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โอวหยาอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาเจื่อนๆ จากนั้นก็หันไปมองทางต้วนหลิงเทียน


 


หากไม่มีต้วนหลิงเทียน การเก็บเกี่ยวของนางก็คงจะดีอยู่หรอก


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อต้วนหลิงเทียนใช้กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิเข่นฆ่าตงฟางจิ่นหลุนอย่างอุกอาจในสถานที่ก่อนหน้าของวังจอมราชันอมตะ ก็ทำให้นางบังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย ไม่กล้าช่วงชิงกล่องที่ลอยอยู่บนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณกับอีกฝ่าย…


 


“เอ๊ะ? มีอะไรรึ?”


 


เมื่อเห็นว่าโอวหยาคลี่ยิ้มขื่นขม พลางหันมองไปยังชายหนุ่มุชดม่วงคนหนึ่ง ก็ทำให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพอจะคาดเดาเรื่องราวอะไรได้บางอย่าง


 


“มิมีใดพี่หญิง”


 


โอวหยาส่ายหัวไปมา จากนั้นก็หันกลับมามองถามมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว “แล้วพี่หญิงมูหรงเล่า ท่านสมควรได้ของดีๆมาไม่น้อยเลยสิ?”


 


“พอได้”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยักหน้ารับเบาๆ อย่างไรก็ตามดูจากรอยยิ้มสดใสของนาง โอวหยาก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่าต้องเก็บเกี่ยวได้ของดีมาไม่น้อย


 


“น้องหญิงโอวหยา ทางเจ้าคงเกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่ไหม…ที่แท้มีเรื่องอะไรกันแน่? ชายผู้นั้น ใช่มีปัญหาอะไรหรือไม่?”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้สนิทสนมกับโอวหยามาแค่วันสองวัน ไหนเลยจะดูไม่ออกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย


 


ด้วยเจอการจี้ถามของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โอวหยาก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอนคราหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงผ่านพลังเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวฟัง


 


และหลังจากที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวได้ยินเรื่องราวจากเสียงผ่านพลังของโอวหยา นางก็ตกตะลึงไปพักหนึ่ง สีหน้าแววตายังเริ่มฉายให้เห็นถึงความหวาดกลัว


 


ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอายุไม่ถึงร้อยปี เข้าใจความลึกซึ้งของงกฏแห่งดิน 2 ประการ…


 


ความสามารถอันร้ายกาจเช่นนี้ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความละอายและพ่ายแพ้ในใจ


 


อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่เท่าไหร่


 


แต่อีกฝ่ายกลับมีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิในครอบครอง! ที่สำคัญยังใช้กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิดังกล่าวเข่นฆ่าตงฟางจิ่นหลุนได้ง่ายดาย เยี่ยงตัดหญ้าฆ่าไก่!!


 


นางย่อมรู้ดีว่าตงฟางจิ่นหลุนเป็นใคร


 


กระทั่งตงฟางจิ่นหลุนนั้นยังเป็นบุรุษที่ตามจีบนางผู้หนึ่ง จึงทำให้นางเข้าใจความสามารถของตงฟางจิ่นหลุนไม่น้อย


 


ถึงแม้ว่าหากให้นางประมือกับตงฟางจิ่นหลุน นางเองก็สามารถเอาชนะกระทั่งฆ่าอีกฝ่ายได้ ทว่าอย่างไรก็ต้องประมือกันไปไม่ต่ำกว่าร้อยกระบวนท่า จะให้เข่นฆ่าในกระบวนเดียว นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!


 


หลังสูดอากาศเข้าด้วยความหนาวเหน็บ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็กลับมาครองสติอีกครั้ง


 


สำหรับเรื่องที่โอวหยาเล่ามา นางเชื่อโดยที่ไม่คิดสงสัยแม้แต่น้อย


 


“น้องหญิงโอวหยา เจ้าพาข้าไปแนะนำตัวกับมันหน่อยสิ”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมองกล่าวกับโอวหยา ก่อนจะสลับไปมองต้วนหลิงเทียน ที่อยู่ไม่ห่างจากนางกับโอวหยามากเท่าไหร่


 


“พี่หญิงมู่หรง ข้าก็ไม่ได้รู้จักอะไรมัน แถมข้ายังไม่เคยพูดกับมันสักคำเลย…”


 


โอวหยาคลี่ยิ้มขมขื่น


 


“ฮัยยา สาวน้อยนางนี้ช่างหน้าบางยิ่ง…ฟังจากเรื่องราวและเหตุผลที่มันฆ่าตงฟางจิ่นหลุนแล้ว ทั้งไม่ได้ทำอะไรตอนเจ้าลงไปเอากล่องนั่นเลย ก็บอกให้รู้ว่ามันมิใช่คนจิตใจคับแคบ ข้าว่าต่อให้ตอนนั้นเจ้าลงไปคว้าไว้สักสองสามกล่อง มันก็ไม่รังแกเจ้าหรอก…”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวส่ายหัวไปมาพลางกล่าว


 


ด้านต้วนหลิงเทียนเดิมทีก็กำลังสังเกตที่ทางโดยรอบ และแหงนมองแท่นหินที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยความสงสัย ว่ามีเอาไว้ทำอะไร  แล้วสถานที่สุดท้ายแห่งนี้จะมีบททดสอบอะไรกันแน่


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงสายตาบางคู่ที่มองจ้องมา จึงหันไปมองตามสายตาดังกล่าวทันที จึงพบว่ามีสตรีสองคนกำลังเดินมาหาเขา


 


และสตรีทั้ง 2 ที่เดินมาหาต้วนหลิงเทียนก็คือมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวกับโอวหยานั่นเอง


 


“ยินดีที่ได้พบ ข้าเรียกว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว มาจากตระกูลมู่หรง ตระกูลระดับ 7”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่พาโอวหยาเดินมาหาต้วนหลิงเทียน พอมาถึงก็กล่าวทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มสดใสเป็นกันเอง ราวกับไม่รู้ว่าสตรีควรวางตัวอย่างไร


 


“อืม”


 


มีคำกล่าวว่าไม่อาจตบหน้าคนยิ้ม เมื่อมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเดินมาทักเขาด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัย ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับคำทัก หากแต่สีหน้ายังคงสงบและไม่คิดจะกล่าวคำอะไรกับนาง


 


แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว แต่ก็ไม่ยากที่มองออกว่าสตรีนางนี้ไม่ธรรมดา และท่าทางเหมือนกำลังคิดจะตี้ซี้เขา จากรอยยิ้มจอมปลอมกับท่าทางกระตือรือร้นของนาง


 


“ข้าแนะนำตัวเองแล้ว…ท่านเล่า ไม่คิดแนะนำตัวเองหน่อยหรือ?”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเพิกเฉยกับความเฉยเมยของต้วนหลิงเทียน ยังคงคลี่ยิ้มสดใสชวนคุยต่อไป


 


“ต้วนหลิงเทียน”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบเสียงเบา


 


ในขณะที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยายามสรรหาหัวข้อมาชวนต้วนหลิงเทียนคุยไปเรื่อยเปื่อ และต้วนหลิงเทียนก็พยายามตอบสั้นๆด้วยความรำคาญนั้นเอง…


 


“ไอ้หน้าขาวนั่นมันเป็นใครกัน!?”


 


ชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่ง ในกลุ่มคนที่ยืนห่างออกไปจากจุดนี้ พอเห็นฉากดังกล่าว สีหน้าของมันก็เริ่มมืดดำลงทันที


 


มันไล่ตามมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมานานหลายปีแล้ว แต่กลับไม่มีความคืบหน้าอันใด และนางก็ไม่ได้สนใจอะไรมันเลย กระทั่งยังถูกนางเมินอยู่ร่ำไป…


 


แต่วันนี้มันกลับพบว่าคนที่พยายามผลักไสมัน กลับพยายามเข้าหาบุรุษผู้หนึ่ง แต่ดูจากสีหน้าท่าทีของชายหนุ่มผู้นั้นแล้ว อีกฝ่ายทำเหมือนนางในดวงใจของมันเป็นแค่เห็บหมาน่ารำคาญก็ไม่ปาน!


 


สิ่งนี้จะให้มันทนไหวได้อย่างไร!


 


“ดูเหมือนเจ้านั่นจะมาพร้อมกับแม่นางโอวหยา…หรือมันจะรู้จักกับแม่นางโอวหยา? แม่นางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจึงแลดูสนใจมันออกนอกหน้า?”


 


ชายหนุ่มชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างๆชายหนุ่มชุดดำกล่าว


WSSTH ตอนที่ 3,022 : กฎแห่งเวลา


 


 


“พี่หยวน ไอ้หนูนั่นเหมือนมันจะยังอายุไม่ถึงร้อยปี…”


 


ชายชุดเขียวแผ่สำนึกเทวะออกกไปได้ไม่ทันไร ก็พบว่าชายหนุ่มชุดม่วงไกลๆนั้น ยังมีอายุน้อยกว่าร้อยปีเสียอีก


 


และชายหนุ่มชุดม่วงที่ว่า บัดนี้ก็กำลังสนทนากับ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ด้วยท่าทางทำราวกับรำคาญนางเต็มที!


 


ถึงแม้พวกมันจะรู้ตัวดี ว่ากับมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั้นพวกมันคงไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวนาง แต่เห็นชายหนุ่มชุดม่วงทำกิริยาเช่นนั้นกับนาง พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะโมโห!


 


“อายุมันไม่ถึงร้อยงั้นเหรอ?”


 


ได้ยินคำพูดของชาหนุ่มชุดเขียว สำนึกเทวะของชายหนุ่มชุดดำก็เริ่มแผ่ขยายออกไปทันที ครู่ต่อมามันก็ยืนยันได้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงขัดตาผู้นั้น อายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!


 


ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอายุไม่ถึงร้อย สามารถรอดมาถึงที่นี่ได้…นับว่าอีกฝ่ายมีโชคไม่ใช่น้อย!


 


มันไม่คิดว่าที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยายามเข้าหาชายหนุ่มชุดม่วงนั่นด้วยท่าทางระริกระรี้ จะเป็นเพราะพลังฝีมือของอีกฝ่ายเลย แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายสมควรรู้จักกันกับโอวหยามากกว่า!


 


“จะเป็นเพราะมันรู้จักกับโอวหยาหรืออะไรก็ช่าง…แต่ไอ้หนูชุดม่วงนั่นกล้าชักสีหน้าแบบนั้นใส่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวของข้า! อภัยให้มันไม่ได้!!”


 


ชายหนุ่มชุดดำถลึงตามองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อ ทำราวกับอีกฝ่ายเข่นฆ่าบิดาถล่มมารดาของมันมา!


 


แน่นอนว่าลึกลงไปในแววตาของมัน ยังฉายถึงความหึงหวงปานเพลิงไฟ!


 


“หืม?”


 


แทบจะทันทีที่ทั้ง 2 แผ่สำนึกเทวะมาตรวจสอบ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ทันที จากนั้นเขาก็พบว่ามีชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งกำลังมองจ้องมาทางเขาด้วยสายตาดุร้ายปานยักษ์มาร!


 


‘ไอ้เจ้านั่น…มันเป็นใครอีกกัน?’


 


ต้วนหลิงเทียนย่นคิ้วเล็กน้อย


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลอบมองไปยังมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวหลายครั้ง เขาก็ตระหนักได้ถึงต้นตอของปัญหา ‘ให้มันได้ยังงี้สิ..สตรีนับเป็นบ่อเกิดเภทภัยโดยแท้’


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดในใจอย่างเอือมระอา ด้านมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ยังขุดหัวข้อมากมายมาชวนต้วนหลิงเทียนคุยไม่หยุด


 


วู้มมม!!


 


ครืนนนน!!


 



 


ทันใดนั้นเองเสียงสั่นสะเทือนเลือนลั่นหนึ่งพลันดึงขึ้นจากบนฟ้าเหนือหุบเขา ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหมดในหุบเขาไปทันที


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็เงยหน้าขึ้นไปมองชมเรื่องราวเหนือหุบเขาเช่นกัน


 


เขาจึงพบว่าเดิมฟ้าที่มีสีครามปานฟ้าในวันอากาศแจ่มใส บัดนี้ได้กลับกลายเป็นอึมครึมดั่งพยับหมอก อีกทั้งยังแลเห็นวันพลังลักษณะดั่งวงแหวนสีเทาสองวงซ้อนกัน กำลังหมุนคว้างอย่างแปลกประหลาด


 


มวลพลังบริเวณวงแหวนรอบนอกนั้นหมุนวนตามเข็มนาฬิกา


 


หากแต่วงแหวนพลังด้านในกลับหมุนวนทวนเข็มนาฬิกา


 


และทันใดนั้นเอง เสียงที่ทุกคนสงสัยว่าจะเป็นเสียงของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง


 


“ณ สถานที่สุดท้ายของวังจอมราชันอมตะแห่งนี้ พววกเจ้าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจลี้ลับแห่งกาลเวลาที่ข้าเหลือทิ้งไว้ในค่ากลได้ ข้าจักเปิดโอกาสให้พวกเจ้าทุกคนได้มีโอกาสสัมผัสถึงกฏแห่งเวลา มีโอกาสเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลา…”


 


“หุบเขาแห่งนี้ ข้าตั้งชื่อมันว่าหุบเขากาลเวลา…ขอเพียงพวกเจ้าขึ้นไปนั่งบนแท่นศิลาที่ลอยล่องอยู่ ก็จักสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจลี้ลับของกฏแห่งเวลาในนค่ายกลที่ข้าเหลือทิ้งเอาไว้ได้ทันที”


 


“และยิ่งแท่นหินอยู่สูงเท่าไหร่ ก็จะเชื่อมโยงกับค่ายกลของข้ามากขึ้นเท่านั้น ทำให้มีโอกาสเข้าถึงกฏแห่งเวลามากขึ้นตามไปด้วย…แต่แน่นอนว่าทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเชาว์ปัญญาและความสามารถส่วนตัวของพวกเจ้า”


 


“หากพวกเจ้ามีความสามารถมากพอ ต่อให้ขึ้นไปนั่งบนแท่นหินที่มิได้สูงอะไร เจ้าก็อาจเข้าถึงกฏแห่งเวลาผ่านค่ายกลที่ข้าเหลือทิ้งไว้ได้…แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า หากเป็นผู้ที่มีความสามารถทัดเทียมกัน ยิ่งอยู่บนแท่นหินที่สูงมากเท่าไหร่ โอกาสที่พวกเจ้าจะเข้าถึงกฏแห่งเวลาได้มันก็จักยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”


 


“สำหรับเวลาที่พวกเจ้าจักได้อยู่ที่นี่เพื่อพยายามสัมผัสและเข้าถึงพลังของกฏแห่งเวลา…ก็คือเวลาก่อนที่แดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้จะเปิดออกอีกครั้ง”


 


“เมื่อทางเข้าออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้เปิดออกอีกครั้ง พวกเจ้าจะถูกส่งตัวออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้ทันที”


 


“และพวกเจ้าที่พยายามจนสามารถมาถึงววังจอมราชันอมตะได้ เป็นธรรมดาว่าไม่ต้องไปตามหาทางออกเหมือนผู้อื่น…”


 


เสียงดังถึงจุดนี้ก็เงียบหายไป


 


“กฏแห่งเวลา..เข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลา!?”


 


“หากพวกเราไปนั่งบนแท่นศิลาที่ลอยล่องอยู่เหล่านั้น…พวกเราจะมีโอกาสเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งเวลาอย่างความหมายแห่งเวลาผ่านค่ายกลที่ท่านจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทิ้งไว้รึ?”


 


“ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่า หลังจากที่มีคนกลับออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ บางคนอยู่ๆก็เริ่มเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลาบางส่วน แม้จะไม่มีใครเข้าใจจนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนตกตะลึงแล้ว ถึงอย่างไรนั่นก็คือกฏแห่งเวลา 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ขึ้นชื่อว่าลี้ลับและพิสดารเป็นที่สุด!”


 


“ใช่ ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มา แต่คนเหล่านั้นก็จำไม่ได้เลยว่าได้สัมผัสกับพลังของกฏแห่งเวลาภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณหรือไม่…ดูเหมือนทุกคนจะเคยสัมผัสมาก่อนจริงๆ และได้สัมผัสหลังผ่านบททดสอบของวังจอมราชันอมตะจนมาถึงที่นี่เหมือนพวกเรา! ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงไม่เหลือความทรงจำใดๆเกี่ยวกับวังจอมราชันอมตะเลย!!”


 



 


ลึกลงไปใต้หุบเขา ตอนนี้มีคนอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 3 กลุ่ม อย่างไรก็ตามหลังได้ยินเสียงที่สงสัยว่าจะเป็นของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทิ้งไว้เมื่อครู่ ไม่มีข้อยยกเว้น ทุกคนล้วนตื่นตะลึงกันหมด!


 


“กฏแห่งเวลา?”


 


ลูกตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังลุกวาวขึ้นมาทันใด จากนั้นก็มองไปยังแท่นศิลาที่ลอยเด่นสูงสุด


 


เรียกว่าแท่นศิลาที่ลอยสูงสุดนั่น เป็นสถานที่ๆดีที่สุดในหุบเขาแห่งนี้


 


ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองไปยังแท่นศิลาสูงสุดนั่น ก็มีหลายคนที่มองจ้องไปเช่นกัน นอกจากคนที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการที่คิดจะต่อสู้ช่วงชิงแล้ว คนที่เหลือทำได้แค่รอดูท่าที


 


“กฏแห่งเวลา?”


 


ตอนนี้เองมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็หยุดการหาเรื่องชวนคุยต้วนหลิงเทียน และเงยหน้าขึ้นไปมองแท่นศิลาที่อยู่สูงสุดด้วยสายตาวาดหวัง!


 


ทว่าชมดูอยู่ไม่ทันไร ก็คล้ายนางจะนึกอะไรได้ออก จึงก้มลงมามองต้วนหลิงเทียนที่อยู่ใกล้ๆทันที


 


“มีคำกล่าวว่า สุภาพสตรีก่อน…ต้วนหลิงเทียน ท่านเป็นบุรุษอกสามศอก คงไม่คิดช่วงชิงแท่นศิลาสูงสุดนั้นกับข้าหรอกกระมัง?”


 


หากที่นี่ไร้ตัวตนอย่างต้วนหลิงเทียนดำรงอยู่สักคน มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคงมุ่งมั่นจะสยบทุกคนและช่วงชิงแท่นศิลาสูงสุดนั่นไปแล้ว


 


อย่างไรกก็ตาม ด้วยมีต้วนหลิงเทียนอยู่ ทำให้นางบังเกิดแรงกดดันอย่างหนัก!


 


เพราะนางรู้ดีแก่ใจ ว่าด้วยพลังของต้วนหลิงเทียน หากไม่เป็นฝ่ายเต็มใจสละแท่นศิลาสูงสุดนั่นให้นางด้วยตัวเอง ตัวนางก็ไม่มีวันช่วงชิงกับอีกฝ่ายได้เลย!


 


ถึงแม้จะรู้ดีว่าโอกาสมีริบหรี่ ทั้งเรื่องที่นางขอยังหน้าด้าน แต่นางก็ยังคงกล่าวออกไป เพื่อโอกาสที่ดีที่สุดในการเข้าถึงกฏแห่งเวลา


 


“เจ้าแก่แล้ว ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ต้องเสียสละให้เด็กหรอกรึ?”


 


ได้ยินคำพูดหน้าด้านของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ต้วนหลิงเทียนก็ตอบกลับทันที และคำพูดนี้ยังทำให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวของขึ้นไม่น้อย แก่อะไร ผู้ใหญ่เสียสละให้เด็กอะไร!?


 


บุรุษผู้นี้กลับกล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมาได้อย่างไร!?


 


หรือไม่ทราบว่าการล้อเลียนเรื่องอายุของสตรีเป็นข้อห้ามในสามโลก?


 


“พี่หยวน ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสถานที่สุดท้ายในวังจอมราชันอมตะ จะมีโอกาสให้พวกเราเข้าถึงกฏแห่งเวลา!!”


 


ชายหนุ่มุชดเขียวที่อยู่ข้างๆชาหนุ่มชุดดำ กล่าวออกมาอย่างทอดถอน


 


“นั่นสิ ข้าเองก็ไม่คิดไม่ฝันจริงๆ…”


 


ชาหนุ่มชุดดำก็พยักหน้าเห็นด้วย


 


ตอนนี้สายตาของมันมก็จับจ้องไปยังแท่นศิลาสูงุสดเหนือหุบเขาไม่วางตาเช่นกัน เพราะนั่นคือสถานที่ๆดีที่สุดสำหรับการสัมผัสถึงพลังของกฏแห่งเวลา


 


อย่างไรก็ตาม แม้มันจะรู้ตัวดีว่าตนเองพลังฝีมือไม่ใช่ชั่ว และเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการแล้ว…


 


ทว่าพลังฝีมือของมันนั้น ยังอ่อนด้อยกว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอยู่บ้าง


 


‘โธ่เว้ย!’


 


ขณะที่ลอบสบถในใจ สายตาชายชุดดำก็ละออกจากแท่นศิลาสูงสุดที่ลอยเด่นเป็นสง่า และหันไปมองแท่นศิลาอีก 2 แท่นแทน


 


แท่นศิลาอีก 2 แท่นนั้นลอยอยู่ในเพดานบินเดียวกัน และอยู่ตำกว่าแท่นศิลาที่ลอยสูงสุดราวๆ 100 หมี่


 


“แท่นศิลาสูงสุดนั่นต้องเป็นของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแน่…ดูเหมือนข้าได้แต่ถอยก้าวหนึ่ง แล้วเลือกแท่นศิลารองลงมาแทน”


 


“อย่างไรก็ตาม มันมีแค่ 2 แท่นเท่านั้น”


 


พึมพำถึงจุดนี้ สายตาของชายหนุ่มชุดดำก็หันไปมองชายหนุ่มชุดเขียวข้างๆ พลางกล่าวเสียงเบา “หวังเซียน ไหนๆเจ้าก็อุตส่าห์ได้มาพบข้า เช่นนั้นข้าจะช่วยให้เจ้าได้ 1 ใน 2 แท่นศิลารองลงมานั่นดีหรือไม่?”


 


ชายหนุ่มชุดเขียวพอได้ฟัง ก็ละสายตาออกมาจากแท่นศิลาที่อยู่สูงสุดทันที แม้ในแววตามันจะฉายถึงความปรารถนาไม่น้อย แต่มันก็รู้ดีว่านั่นไม่ใชอะไรที่มันจะครอบครองได้


 


จากนั้นมันก็หันไปมองแท่นนศิลา 2 แท่นรองลงมา


 


กล่าวไปด้วยพลังฝีมือของมัน กระทั่งแท่นศิลาที่รองลงมาทั้ง 2 แท่นนี้ก็ค่อนข้างเกินตัวมันอยู่บ้าง


 


เพราะสุดท้ายแล้ว แม้มันจะเข้าถึงกฏแห่งลม และเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งลม ทว่าความลึกซึ้งของกฏแห่งลมอีกประการมันยังไม่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น แค่เพียงพอหยั่งถึงและใช้พลังได้บางส่วนเท่านั้น ทำให้ความแข็งแกร่งของมันเพิ่มขึ้นไม่เท่าไหร่…


 


ตอนนี้พอมันมาได้ยินคำพูดของชายหนุ่มชุดดำ ลมหายใจของมันจึงถี่รัวขึ้นทันที ลูกตายังทอประกายเจิดจ้ามากล้นไปด้วยความยินดี!


 


“ขอบคุณพี่หยวน! ขอบคุณพี่หยวนมาก!!”


 


จากนั้นมันก็ป้องมือประสานกล่าวคำขอบคุณชายหนุ่มชุดดำยกใหญ่ ทำราวกับ 1 ใน  2 แท่นศิลารองลงมานั่น เป็นของมันแล้ว


 


“ต้วนหลิงเทียน…”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยประกาตาลี้ลับ เสียงผ่านพลังที่ส่งไปก็ฟังดูอ่อนลงแปลกๆ


 


“อะไร อย่าบอกนะว่าเจ้าต้องการแท่นศิลาสูงสุดนั่น…โทษทีแต่ข้าก็ต้องการมันเหมือนกัน”


 


ไม่ทันที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะได้เอ่ยปากพูดอะไร ต้วนหลิงเทียนก็ชิงพูดออกมาเสียก่อน สองตายังมองจ้องอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน “แต่เป็นธรรมดาว่าหากเจ้าอยากได้มันก็ไม่ใช่ว่าจะไร้หนทาง..แค่เรามาสู้กันสักตั้ง!”


 


สิ้นคำพูดดักทางของต้วนหลิงเทียน มุมปากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นถึงกับกระตุกไปทันที


 


ถึงแม้มันจะไม่คิดว่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนจะเหนือกว่ามัน เพราะถึงต้วนหลิงเทียนจะมีอุปกรณ์เทพ หรือมันไม่มี?


 


และถึงในมือต้วนหลิงเทียนจะเป็นอุปกรณ์เทพระดับสูง ส่วนในตัวมันที่ดีที่สุดก็คืออุปกรณ์เทพระดับกลาง แต่เรื่องต้องประมือกับต้วนหลิงเทียน มันก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ด้วยระดับพลังของพวกมันตอนนี้ ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์เทพระดับสูงหรือระดับกลาง จุดแข็งของพวกมันก็พอๆกัน


 


ทว่ามันไม่กลัวต้วนหลิงเทียนก็จริง แต่มันไม่อาจไม่คำนึงถึงหวงเอ้อที่กำลังจะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของต้วนหลิงเทียนได้!


 


หวงเอ้อนั้น เดิมทีเป็นจิตวิญญาณของอุปกรณ์เทพระดับสูงคู่กายพี่สาวแท้ๆของมัน ภายหลังอีกฝ่ายได้หลบหนีออกจากอุปกรณ์เทพระดับสูงชิ้นนั้น ด้วยไม่คิดยอมสยบรับใช้ศัตรูฆ่าพี่สาว เร่งรุดกลับมาแจ้งเหตุร้ายแก่มัน จนทำให้มันรอดพ้นออกจากคราวเคราะห์ที่ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ และยังพามันมาถึงหลิงหลัวเทียนได้สำเร็จ…


 


กล่าวได้ว่าหากไม่ใช่เพราะหวงเอ้อ ป่านนี้มันคงถูกศัตรูฆ่าตายไปอย่างโง่งม


 


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หวงเอ้อมีบุญคุณช่วยชีวิตมันด้วยซ้ำ ตัวมันเองก็ให้ความเคารพหวงเอ้ออย่างสูง ตอนเด็กมันยังเห็นหวงเอ้อเป็นดั่งพี่สาวแท้ๆคนหนึ่ง


 


ตอนนี้พี่สาวหวงเอ้อของมันกำลังจะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของต้วนหลิงเทียนแล้ว กล่าวได้ว่าต่อไปนางจะเป็นจะตายก็ขึ้นอยู่กับ 1 ห้วงคิดของต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นมันจึงไม่กล้าทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่พอใจ


 


ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่อาจได้ยินความคิดดังกล่าวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ ไม่งั้นเขาคงหมดคำจะพูดกับมันจริงๆ


 


นี่อีกฝ่ายเห็นเขา ต้วนหลิงเทียน เป็นคนแบบนั้นหรือ?


 


“ไงเล่า ลองกันสักตั้งไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสายตาลุกวาว เขาเองก็อยากลองประมือกับอีกฝ่ายไม่น้อย “จะใช้อุปกรณ์เทพหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้าเลย…ถ้าเจ้าไม่ใช้ข้าก็จะไม่ใช้ และเต็มที่พวกเราจะใช้กันแต่อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้มาเป็นไง?”


 


“ฮึ่ย!”


 


อย่างไรก็ตามคำตอบที่ต้วนหลิงเทียนได้รับ ก็คือหนึ่งพ่นลมสบถเสียงเย็นของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!


 


และหลังสบถ ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไหววูบ คนกลับกลายคล้ายสายลมหอบหนึ่ง พัดแหวกอากาศฉับไวไปทางแท่นศิลา 2 แท่นรองลงมา…


WSSTH ตอนที่ 3,023 : ข้าลำบากแค่ 1 ท่าก็ฆ่าพวกมันได้ในพริบตา


 


 


“อ่าวเจ้านั่น…ไฉนทำเหมือนจะยอมแพ้ซะเล่า?”


 


“นี่ไม่เหมือนลักษณะนิสัยมันเลยนี่นา?”


 


เมื่อเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพ่นลมทิ้งทายคำหนึ่ง ก็เลือกจะเหินไปทางแท่นหินรองลงมาแทน ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำออกมาด้วยความงุนงง


 


“เสี่ยวเฟิงกลัวว่าเจ้าจะมีโมโหที่พ่ายแพ้ สุดท้ายก็เอาโทสะมาลงกับข้า…”


 


เสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นจากด้านในทะเลวิญญาณของต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งไปไร้คำจะพูด


 


“เจ้าบ้านั่น…มันเห็นข้าเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองจ้องแผ่นหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสายตาอึ้งๆ รู้สึกหมดคำจะพูดแล้วจริงๆ


 


หลังจากที่หวงเอ้อตื่นขึ้นแล้วกล่าวอธิบายให้ฟัง ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจสาเหตุได้ไม่ยากว่าไฉนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นถึงเลือกถอยไปไม่สู้ ที่แท้มันกลัวเขาแพ้ แล้วเอาไปลงกับหวงเอ้อ!


 


เดิมทีผู้คนในหุบเขาทั้ง 3 ยังคงตะลึงกับโอกาสที่จะสัมผัสถึงกฏแห่งเวลา ตอนนี้พอมาเห็นบางคนนกำลังมุ่งหน้าไปยังแท่นศิลาเหนือหุบเขา ก็พลันได้สติและเริ่มเคลื่อนไหวทันที


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


ไม่เว้นพวกเชวียจิงอวี่ที่อยู่ไม่ห่างต้วนหลิงเทียน ตอนนี้พวกมันก็เริ่มเหินร่างมุ่งหน้าไปยังแท่นศิลาเหนือหุบเขาเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามพวกมันรู้ระดับของตัวเองดี จึงไม่มีใครคิดทำอะไรเกินตัวและเลือกแท่นศิลาที่อยู่สูงสุด


 


กระทั่งแท่นศิลารองลงมา 2 แท่นที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังมุ่งหน้าไป พวกมันก็ไม่คิดจะเลือก


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นได้เลือก 1 ใน 2 แท่นศิลาที่ลอต่ำถัดจากแท่นศิลาสูงสุด และยังเป็นแท่นศิลา 2 แท่นที่ชายหนุ่มชุดดำที่แลดูเกลียดชังต้วนหลิงเทียนหมายตาไว้ตั้งแต่แรก


 


ตอนนี้คนที่เหินร่างขึ้นไปยังแท่นศิลาเหมือนหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแค่ประการเดียวเท่านั้น


 


เนื่องจากพวกมันค่อนข้างรู้กำลังของตัวเองดี ว่าอยู่ในระดับบใด จึงไม่คิดที่จะชิงแท่นศิลาที่สูงสุด 6 แท่นแรกให้เสียเวลา…


 


แท่นศิลาที่ลอยอยู่สูงสุดมี 1 แท่น ต่ำลงมาอีก 100 หมี่ก็มี 2 แท่น จากนั้นต่ำลงมาอีก 100 หมี่ ก็มี 3 แท่น


 


และตอนนี้การปะทะเพื่อช่วงชิงแท่นศิลาถัดจากทั้ง 6 แท่นด้านบน ก็ชุลมุนทั้งดุเดือดไม่น้อย!


 


เป็นธรรมดาว่าแม้จะต่อสู้กันชุลมุนและลงมือกันอย่างดุดัน แต่ก็ไม่มีใครคิดลงมือถึงขั้นฆ่าคน ต่างสงวนกำลังไว้ให้พอยั้งมือได้ไม่ลำบาก เพียงแค่ประมือกันให้รู้สูงต่ำแล้วให้ผู้แพ้เลิกราไปเองก็พอ


 


และทุกคนก็เหมือนจะเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้


 


ที่ไฉนสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ เพราะไม่ว่าใครก็กลัวจะมีคนตายมากเกินไป ถึงตอนนั้นเกิดครบกำหนด 7 ส่วน ทำให้แดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกอีกครั้ง ไม่ซวยกันถ้วนหน้ารึไง?


 


เพราะเกิดฆ่าไปสักคน แล้จำนวนคนตายดันครบกำหนดแดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกพอดี โอกาสเข้าใจความหมายแห่งเวลาที่ไม่รู้ชาตินี้จะมีมาอีกไหม ไม่หายวับไปต่อหน้าต่อตาแล้วหรือ…


 


จากนั้นหลังผ่านไปสักพัก ในที่สุดนอกจาก 6 แท่นสิลาด้านบนแล้ว แท่นศิลาด้านล่างก็มีคนจับจองกันหมด


 


ในตอนนี้ก็เหลือคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังไม่ลงมือ


 


ต้วนหลิงเทียน มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โอวหยา


 


นอกจากนั้นยังมีชายหนุ่มชุดดำชายหนุ่มชุดเขียว จากนั้นก็มีชายชุดวักลางคนชุดสีน้ำเงิน ชายชุดแดง ชายชราในชุดคลุมสีเงิน แล้วก็คนสุดท้ายชายชราในชุดคลุมสีเทา


 


ในบรรดาคนพวกนี้ ชายหนุ่มชุดเขียวกับชุดดำที่ยืนเคียงข้างกัน 2 คน ส่วนอีก 4 คนรวมกันเป็นกลุ่มคล้ายรู้จักกัน


 


“ไปกันเถอะ”


 


หลังจากทราบความสำคัญของสถานที่สุดท้ายวังจอมราชันอมตะแล้ว มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่คิดจะเสียเวลากับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป หลังชวนโอวหยา ทั้งคู่ก็พากันเหินร่างขึ้นไปเหนือหุบเขาทันที


 


ก่อนที่ความสำคัญของสถานที่สุดท้ายวังจอมราชันอมตะจะเผยออกมา มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็คิดจะสานไมตรีกับต้วนหลิงเทียน เพื่อให้ต้วนหลิงเทียนเห็นแก่หน้านางบ้าง


 


อย่างน้อยๆหากมีสมบัติอะไร อีกฝ่ายก็จะปล่อยให้ตกมาถึงมือนางบางส่วน


 


แต่ตอนนี้เมื่อได้รู้แล้วว่าสถานที่สุดท้ายของวังจอมราชันอมตะแห่งนี้คืออะไร และทราบว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดสละแท่นศิลาสูงสุดให้ นางก็ล้มเลิกความคิดตี้ซี้ต้วนหลิงเทียนทันที


 


“ไอ้หนู ต่อไปก็อยู่ห่างๆมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไว้ให้มาก…หาไม่แล้วเจ้าอาจตายไม่รู้ตัว!”


 


หลังเห็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวกับโอวหยาเหินร่างขึ้นไปแล้ว ชายหนุ่มชุดดำก็พาชายหนุ่มชุดเขียวมาหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน มันมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสาตาเยียบเย็นเอาเรื่อง ทิ้งคำขู่ไว้คำหนึ่ง ก่อนจะพาชายหนุ่มชุดเขียวเหินร่างขึ้นไปยังแท่นศิลาเหนือหุบเขา


 


หากไม่ใช่ว่ากลัวฆ่าต้วนหลิงเทียนไปแล้ว อีกฝ่ายอาจเป็นคนสุดท้ายที่ตายครบกำหนดเงื่อนไขการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณล่ะก็ ชายหนุ่มชุดดำคงเลือกลงมือสังหารต้วนหลิงเทียนไปนานแล้ว


 


เผชิญกับวาจาข่มขู่ของชายหนุ่มชุดดำ ต้วนหลิงเทียนแค่ส่ายหัวไปมาเบาๆ แต่ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา


 


“ฮ่าๆๆ น้องชายเจ้านับว่าโชคดียิ่งนัก! ปกติหลี่หยวนผู้นั้นนิสัยอำมหิตไม่ไว้หน้าใคร ไม่คิดเลยว่ามันจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ”


 


หลังชายหนุ่มชุดดำกับบชายหนุ่มชุดเขียวพากันเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า ชายชุดแดง 1 ใน 4 คนที่เหลือก็มองมาทางต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ


 


“ใช่แล้วน้องชาย..ด้วยนิสัยของหลี่หยวน หากไม่ใช่เพราะมันกลัวว่าเกิดฆ่าเจ้าไป แล้วทุกคนอาจจะถูกส่งออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณทันที มันไม่พ้นต้องลงมือจัดการเจ้าแน่ นับว่าเจ้าโชคดีจริงๆ!”


 


ชายชราในชุดคลุมสีเงินกล่าวเสริม เห็นชัดว่ามันเห็นด้วยกับชายหนุ่มชุดแดง


 


“ฟังจากที่พวกท่านพูด…หมายความว่าหากมันคิดฆ่าข้า ตัวข้าก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือมันได้หรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยถาม


 


ที่แท้ชายหนุ่มชุดดำที่เขม่นเขาเพราะหญิง ก็คือหลี่หยวนนี่เอง


 


หลี่หยวนเป็นใครนั้น เขาเคยได้ยินเชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆคุยกันตอนรอเวลาก่อนหน้านี้ มันก็คือคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการเช่นกัน และยังเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง!


 


นอกจากนั้นหลี่หยวนยังเป็นอัจฉริยะของนิกายระดับ 8 กระทั่งเป็นอัจฉริยะในรอบพันปีของนิกายระดับ 8 ที่ว่าอีกด้วย


 


แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ผู้ที่จะมาถึงวังจอมราชันอมตะและสถานที่สุดท้ายแบบนี้ได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้าของเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวทั้งสิ้น


 


“น้องชายอย่าพึ่งไม่พอใจพวกเราเลย…ที่พวกเรากล่าวเช่นนี้ ก็เพราะเจ้าหลี่หยวนคนนั้นมันร้ายกาจมิใช่ชั่วจริงๆ…มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง 2 ประการแล้ว!”


 


ชายชราในชุดคลุมสีเงินกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“แล้วพลังฝีมือของมันหากให้เทียบกับสุมาฉุนหรือตงฟางจิ่นหลุน นับว่าเป็นยังไง?”


 


เผชิญหน้ากับรอยิ้มของชายชราชุดคลุมสีเงิน ต้วนหลิงเทียนก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ พลางถามสืบต่อ


 


และคำถามดังกล่าวของเขา ก็ทำให้ชายชราในชุดคลุมสีเงินกับคนอื่นๆที่กำลังจะเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า พลันชะงักลงทันที จากนั้นทั้ง 4 ก็หันมามองจ้องเขาอย่างพร้อมเพรียง


 


“สุมาฉุน? ตงฟางจิ่นหลง?”


 


ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ชายในชุดแดงอดตกตะลึงไปไม่ได้ จากนั้นมันก็เริ่มหันไปหรี่ตามองสำรวจทุกคนที่อยู่บนฟ้าทันที “จะว่าไปก่อนหน้าข้าก็ไม่ทันได้สังเกต…สุมาฉุนับตงฟางจิ่นหลุนไปไหน? อาศัยพลังฝีมือของพวกมัน คิดจะมาถึงที่นี่คงมิใช่เรื่องยากอันใดนี่นา?”


 


“ใช่ ในบรรดาคนที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้ พวกมันนับเป็นคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการที่เหลือที่ข้ายังไม่เห็น…”


 


ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินเอ่ยถามออกมาลอยๆเสียงเข้ม “ตามหลักแล้ว ไม่น่าจะเป็นแบบนี้ไปได้…หรือพวกมันทั้งคู่ตกตายไปแล้ว?”


 


“นั่นสิ หากพวกมันยังไม่ตาย หากเข้ามาในวังจอมราชันอมตะได้ ก็สมควรมาปรากฏตัวที่นี่เช่นกัน…”


 


ชายชราในชุดคลุมสีเทากล่าวอย่างเห็นด้ววย


 


จากนั้นชายชราในชุดสีเงินกับอีก 3 คนที่เหลือก็หันมามองหน้าสบตากัน และพอนึกถึงคำถามก่อนหน้าของชายหนุ่มชุดม่วงตรงหน้า ลูกตาของพวกมันก็เริ่มฉายความหวาดกลัวให้เห็น


 


“น้องชาย…อยู่ดีๆเจ้าก็ถามถึงสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนแบบนี้ หรือน้องชายล่วงรู้ว่าพวกมันอยู่ที่ใด?”


 


ชายชราในชุดคลุมสีเงินสูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง ค่อยเอ่ยถามออกมา


 


“อ่อ ข้าย่อมรู้…”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองชายชราชุดคลุมเงิน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกมันสองคนตายแล้ว”


 


ถึงแม้ทั้ง 4 จะตระหนักได้ว่าผลลัพธ์อาจเป็นแบบนี้ แต่พอได้ฟังคำยืนยันจากปากต้วนหลิงเทียน พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกตกใจ!


 


สุมาฉุน อัจฉริยะจากตระกูลระดับ 7 อยย่างตระกูลสุมา ผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมอย่างความหมายแห่งลมกับ ลมกรด…


 


ความแข็งแกร่งของอีกฝ่า หากให้เทียบกับพวกมันแล้ว ก็ไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย


 


ถึงพวกมันทั้ง 4 จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการ แต่เรื่องที่จะให้ฆ่าสุมาฉุนนั้น พวกมันรู้ตัวว่าทำไม่ได้ เพราะหากสุมาฉุนคิดหนี พวกมันก็จนปัญญาจะเข่นฆ่าจริงๆ


 


เพราะสุมาฉุนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมอย่าง ลมกรด ไม่ใช่อะไรที่พวกมันจะไล่ตามได้ทัน!


 


สำหรับตงฟางจิ่นหลุนนั่น…


 


อีกฝ่ายก็คืออัจฉริยะของตระกูลตงฟางที่เป็นตระกูลระดับ 7 เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งสายฟ้า 2 ประการ นอกจากความหมายแห่งสาฟ้า ความลึกซึ้งอีกประการก็คือ อัสนีฟาด …


 


กล่าวได้ว่าพลังฝีมือของตงฟางจิ่นหลุนนั้นพอๆกับสุมาฉุนเลย เทียบกับพวกมันแล้วก็มีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่อ่อนด้อยกว่าแน่นอน


 


ทว่า 2 คนนั้น ตายแล้วจริงๆเหรอ?


 


“น้องชาย…พวกมัน…พวกมันคงไม่ใช่ว่าถูกเจ้าฆ่าตายไปหรอกนะ?”


 


ชายวัยยกลางคนในชุดสีน้ำเงิน มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวั่นๆ หลังกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ก็เอ่ยถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อเรื่องราว


 


ขณะเดียวกัน อีก 3 คนก็หันไปมองรอฟังคำตอบต้วนหลิงเทียนเช่นกัน


 


“อ่า”


 


เผชิญกับสายตาคาดหวังคำตอบของทั้ง 4 ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นก็กระโดดเบาๆส่งร่างให้ลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนคนจะเหินลอยขึ้นไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


“พวกมันแต่ละคนล้วนมาหาเรื่องข้า…สุดท้ายอาศัยพลังฝีมืองั้นๆของพวกมัน ข้าลำบากแค่ 1 ท่าก็ฆ่าพวกมันในพริบตา”


 


พอวาจาต่อมาของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นเข้าหูทั้ง 4 ลูกตาพวกมันก็หดเล็กลงโดยพลัน สีหน้ายังเผยความประหลาดใจทั้งเหลือเชื่อ


 


กระทั่งจังหวะนี้ทั้ง 4 ยังได้ยินเสียงลมหายใจหอบถี่ของคนข้างๆชัดเจน


 


เพียงเพราะคำพูดของชายหนุ่มชุดม่วงสะท้านขวัญเกินไป!


 


หากชายหนุ่มชุดม่วงเพียงยอมรับว่าฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนไปเท่านั้น พวกมันจะไม่แลดูตื่นตระหนกขนาดนี้


 


แต่ปัญหาก็คือ…


 


ชายหนุ่มชุดม่วงไม่เพียงยอมรับว่าฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนเท่านั้น แต่ยังกล่าวอีกว่าอาศัย 1 ท่าก็ฆ่าทั้งคู่ได้ในพริบตา!!


 


“มัน…มันล้อพวกเราเล่นรึเปล่า?”


 


“เจ้าเห็นท่าทีมัน…เจ้าคิดว่ามันล้อเล่นรึเปล่าเล่า?”


 


“สุมาฉุนกับตฟางจิ่นหลุน…ต่อให้เจ้าหนุ่มนั่นมันจะเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 3 ก็ไม่ใช่ว่าจะฆ่าทั้งคู่ได้มิใช่หรือไร?”


 


“กระทั่งให้มันมีอุกรณ์อมตะจอมราชันในมือ แต่ด้วยความเร็วของทั้งคู่มันจะฆ่าคนได้จริงๆ?”


 



 


ฟังจากวาจากระซิบกระซาบของทั้ง 4 เห็นชัดว่าพวกมันยากจะเชื่อในสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพูดได้ลงคอ และคิดว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะกล่าวเกินจริงไปหน่อย


 


ขณะเดียวกัน ร่างต้วนหลิงเทียนก็เหินตรงไปยังแท่นศิลาสูงสุด จนเข้าใกล้มันทุกขณะ


 


“เซี่ยวเซี่ยว…มิใช่เจ้าสมควรไปแท่นหินบนสุดหรือ…ไฉนมาหยุดลงตรงแท่นหินทั้ง 2 นี่เล่า?”


 


ชายหนุ่มชุดดำ หลี่หยวน และชายหนุ่มชุดเขียว หวังเซี่ยน พอเหินร่างมาถึงแท่นศิลาทั้ง 2 ที่รองลงมาจากแท่นศิลาสูงสุด ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อพบว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวกับโอวหยา ก็มาป้วนเปี้ยนแถวนี้เหมือนกัน


 


“หรือ…เจ้าคิดจะช่วยแม่นางโอวหยยาให้ได้รับแท่นศิลา 1 ใน 2 แท่นนี้?”


 


ครู่ต่อมา หลี่หยวนก็ตระหนักได้ถึงเรื่องราวบางประการ หลังเหลือบมองโอวหยาข้างๆมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวปราดหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามออกมา


 


ขณะเดียวกันสีหน้าของหวังเชี่ยนที่ฟังเรื่องราวอยู่ข้างๆก็เปลี่ยนไปทันที


 


ลำพัง โอวหยา ย่อมไม่อาจต่อกรกับหลี่หยวนได้ แต่หากมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคิดช่วยเหลือโอวหยาชิงแท่นศิลาจริง หลี่หยวนก็ไม่อาจช่วยอะไรมันได้ หมายความว่ามันเสมือนถูกลิขิตให้พลาดแท่นศิลาทั้ง 2 เบื้องหน้าแล้ว!


WSSTH ตอนที่ 3,024 : ไอ้โง่!


 


 


ได้ยินคำถามของหลี่หยวน มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้พูดตอบ หากแต่การกระทำของนางก็เสมือนเป็นการตอบหลี่หยวนกลายๆ


 


ฟุ่บ!


 


ร่างบางของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไหววูบคราหนึ่ง คนก็ไปหยุดยืนบน 1 ใน 2 แท่นศิลารองลงมาจากแท่นศิลาสูงสุด และเริ่มนั่งลงขัดสมาธิเงียบๆ


 


กล่าวได้ว่า 1 ใน 2 แท่นศิลาที่อยู่ในระดับรองลงมาจากแท่นศิลาสูงสุด ก็ตกอยู่ในความครอบครองของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว


 


ส่วนอีกแท่นที่เหลือนั้นนั้น ได้ถูกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นครองไว้แต่แรก ยังมาถึงก่อนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอีกด้วย


 


“เอ่อ…”


 


เห็นการกระทำดังกล่าวของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว หลี่หยวนอดไม่ได้ที่จะงุนงงสงสัย “เซี่ยวเซี่ยวเจ้า…เจ้าไม่คิดจะเอาแท่นหินบนสุดนั่นหรือ?”


 


พอหลี่หยวนกล่าวจบคำ มันก็เงยหน้าขึ้นไปมองแท่นศิลาสูงสุดโดยไม่รู้ตัว


 


พบว่าสูงขึ้นไป 100 หมี่ แท่นศิลาที่ลอยอยู่โดดเดี่ยวนั้น ยังไร้ผู้ใดจับจอง


 


“หืม?”


 


ทว่าหลี่หยวนเงยหน้าขึ้นไปได้ไม่ทันไร หางตามันก็เห็นร่างหนึ่งเหินผ่านไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน และไม่นานนักอีกฝ่ายก็ขึ้นไปถึงแท่นศิลาสูงสุด กระทั่งเริ่มนั่งขัดสมาธิลงไปหน้าตาเฉย


 


เมื่อเห็นร่างในชุดสีม่วงปรากฏตัวขึ้นมาครอบครองแท่นศิลาสูงสุดหน้าตาเฉย สีหน้าหลี่หยวนก็เปลี่ยนเป็นถมึงทึงทันใด ลูกตายังฉายแววดุร้ายแหลมคมออกมา “เจ้านั่นอีกแล้ว!”


 


“ไฉนเป็นมันไปได้! นี่มันกล้าขึ้นไปนั่งตรงนั้นจริงๆ มันไม่ใช่แค่เด็กอายุไม่ถึงร้อยปีหรือไร…แล้วมันอาศัยความกล้าจากที่ใดถึงขึ้นไปยึดแท่นศิลาบนสุดโดยไม่ถามผู้อื่นแบบนี้?”


 


ด้านหวังเชี่ยนที่อยู่ข้างๆหลี่หยวนเอง ก็สังเกตเห็นชายหนุ่มชุดม่วงขึ้นไปนั่งบนแท่นศิลาบนสุดเช่นกัน และมันก็จดจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่พวกมันพึ่งไปหา และถูกหลี่หยวนกล่าวขู่ เพราะเห็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเข้าหาอีกฝ่าย


 


“เซี่ยวเซี่ยว…นี่เจ้าตั้งใจมอบแท่นหินบนสุดนั่นให้มันงั้นเหรอ!?”


 


ครู่ต่อมา หลี่หยวนก็หันกลับมามองถามมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง


 


ในความเห็นมัน คนที่คิดจะขึ้นไปนั่งบนนั้นได้ อย่างน้อยๆก็ต้องมีคุณสมบัติที่จะนั่งด้วย! แต่ตอนนี้ใครที่ไหนก็ไม่รู้กลับขึ้นไปนั่งหน้าตาเฉย และพอคิดว่า…อาจเป็นนางในดวงใจของมันอย่างมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมอบให้อีกฝ่าย ก็ทำให้มันมีโมโหนัก! ใบหน้ามันเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดดำ แลดูรับไม่ได้!


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะโดนหลี่หยวนจี้ถาม แต่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่คิดอธิบายใดๆทั้งสิ้น นางเมินอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์เพียงหลับตาลง และเริ่มโคจรพลังจนทั่วร่างปรากฏไอพลังสีฟ้าปกคลุม ประหนึ่งจมจ่อมลงไปในห้วงสมุทรสีฟ้า


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเดิมทีก็มีรูปโฉมงดงามอยู่แล้ว เมื่อมีไอพลังสีฟ้าครอบคลุมยิ่งขับเน้นให้ใบหน้ากระจ่างของนางแลดูลึกล้ำ มากล้นไปด้วยเสน่ห์ชวนมอง


 


หากเป็นตอนปกติ ลองหลี่หวนได้เห็นฉากนี้ มันคงต้องมองนางอย่างเคลิบเคลิ้มตาลอย คิดเพ้อไปเรื่อย แต่ตอนนี้มันไม่มีอารมณ์และความคิดดังกล่าวแม้แต่น้อย


 


ยิ่งเห็นว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเมินมันโดยสมบูรณ์ สีหน้าของหลี่หยวนยิ่งมายิ่งมืดดำ แลดูบิดเบี้ยวอัปลักษณ์เป็นที่สุด!


 


ปงงง!!


 


หลี่หยวนกระทืบเท้าย่ำอากาศอย่างแรง คนทะยานพุ่งไปดั่งสายฟ้า พริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้าแท่นหินบนสุดที่ต้วนหลิงเทียนนั่งอยู่!


 


“ดูนั่นเร็ว เหมือนจักมีอะไรดีๆให้ชมดูแล้ว!”


 


“เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น ก่อนหน้านี้แม่นางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ทำราวกับจะไปตีสนิทมัน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่คนธรรมดาๆเป็นแน่!”


 


“หรือเจ้านั่นจะร้ายกาจกว่าแม่นางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ทำให้นางถึงกับต้องไปสานไมตรีกับมัน?”


 


“นั่นก็ไม่แน่นักหรอก…บางทีมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอาจต้องตาพึงใจมันก็เป็นได้ เจ้าลองมองมันให้ดีเถอะ…ไอ้หนุ่มนั่นมันหล่อเหลาเอาเรื่อง! เข้าตำราไอหนุ่มหน้าขาวที่สาวๆชมชอบนัก!!”


 


“ที่สำคัญก็คือ…ไอ้หนุ่มหน้าหล่อนั่นมันยังอายุไม่ถึงร้อยปีเสียด้วย! หรือที่แท้แม่นางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจะชมชอบรับประทานเด็ก!?”


 


“หือ? อายุไม่ถึงร้อยปีรึ?”


 


“ให้ตาย…เรื่องจริงหรือเนี่ย! มันอายุไม่ถึงร้อยปีแล้วไฉนมาโผล่ที่นี่ได้เล่า? หากมันมาด้วยกำลังของตัวเอง พรสวรรค์ของมันจะไม่ทำให้ผู้คนอิจฉาไปหน่อยเหรอ?”


 


“ใต้หล้าไร้คำว่าเท่าเทียมจริงๆ…ตอนข้าอายุได้ร้อยปี อย่าว่าแต่จะเข้าถึงพลังแห่งกฏเลย ด่านพลังยังไม่บรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ด้วยซ้ำ…เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นเป็นใครมาจากไหนกันแน่ พรสวรรค์ไม่ใช่เล่นๆเลย!”


 


“ไม่ว่าพรสวรรค์มันจะสูงเพียงใด แต่มันที่อายุไม่ถึงร้อย จะสู้หลี่หยวนได้ยังไง?”


 


“นั่นก็ไม่แน่นักหรอก…อย่าลืมว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยายามตีสนิทกับมัน แม้ความทรงจำในวังจอมราชันอมตะเมื่อออกไปก็ล้วนลืมหมด แต่มันอาจมีความเป็นมายิ่งใหญ่จริงๆ จนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ต้องดูแลมันให้รอดกลับออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณให้ได้”


 


“อาจเป็นได้…หรือไม่ก็บางทีเบื้องหลังของมันอาจเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่หรงเฉยๆ เลยทำให้นางคิดจะช่วยเหลือมัน”


 



 


เมื่อเห็นหลี่หยวนเหินร่างขึ้นไปบนแท่นศิลาบนสุดและเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน สายตาผู้คนมากมายก็เริ่มหันไปให้ความสนใจต้วนหลิงเทียน


 


“เจ้านั่น มันขึ้นไปนั่งบนแท่นหินบนสุดเลย?”


 


ขณะเดียวกัน ทั้ง 4 คนที่พึ่งจะหายจากอาการตกตะลึงเพราะคำพูดก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวบนฟ้า


 


“มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั่นเหมือนจะไม่มีความคิดต่อสู้แย่งชิงอะไรกับมันเลย…นางเลือกจะนั่งบนแท่นศิลารองลงมาก่อนมันขึ้นไปด้วยซ้ำ”


 


“ตอนนี้ข้าว่าเรื่องที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเข้าหาและทำราวกับจะตีสนิทมัน ข้าว่าอาจเป็นเพราะมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวล่วงรู้ว่ามันร้ายกาจปานใด ทำให้นางพยายามสานไมตรีเพื่อที่มันจะได้ปราณีไว้หน้า!”


 


“อาจเป็นได้ เพราะอย่างไรเสียโอวหยาก็โผล่มาพร้อมมัน และเรื่องที่โอวหยาสนิทกับมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวใครๆก็รู้ ข้าว่านางต้องบอกมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแล้วเป็นแน่ ว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง!”


 


“ข้าก็คิดแบบนั้น…เผลอๆโอวหยาอาจเห็นมันฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนกับตา จึงรู้ว่ามันร้ายกาจปานใด!!”


 


“แต่อย่างไรเสีย เรื่องที่เจ้าหนุ่มนั่นมันบอกว่ามันสามารถฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนได้ในท่าเดียว ข้าไม่อาจทำใจเชื่อได้ลงคอจริงๆ!”


 


“ตอนนี้เหมือนหลี่หยวนจะไม่พอใจที่มันขึ้นไปครองแท่นศิลาบนสุด และท่าทางคิดจะแย่งมาเอง…เช่นนั้นเรื่องที่มันจะมีพลังมากพอฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนจริงหรือไม่ เดี๋ยวพวกเราได้รู้กัน!”


 


“ความแข็งแกร่งของหลี่หยวนไม่ได้ด้อยไปกว่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากความหมายแห่งไฟ แล้วมันยังเข้าใจความลึกซึ้ง ปะทุ ของกฏแห่งไฟอีกด้วย!”


(ตอนก่อนบอกทอง มาตอนนี้เป็นไฟ…เอาเป็นว่ามันใช้ไฟนะ)


 


“ความลึกซึ้ง ‘ปะทุ’ ของมัน นับเป็นความลึกซึ้งที่ทรงพลังเป็นอันดับต้นๆของกฏแห่งไฟ…ด้วยมีความลึกซึ้งปะทุ หลี่หยวนสามารถระเบิดพลังและความเร็วให้ทัดเทียมกับพวกสุมาฉุนและตงฟางจิ่นหลุนได้ในช่วงสั้นๆ อย่างไรก็ตามพลังโจมตีของมันจักรุนแรงกว่า พวกเราเองหากประมาทก็อาจจะเสร็จมันได้ง่ายๆ”


 



 


ทั้ง 4 เริ่มสนทนากันอย่างออกรส และเห็นได้ชัดว่าพวกมันล่วงรู้ตื้นลึกหนาบางของหลี่หยวนดี!


 


“กล่าวไปในที่นี้ มีมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะสะกดหลี่หยวนได้…เพราะไม่เพียงกฏที่นางเลือกจะเป็นธาตุน้ำที่สะกดข่มไฟของหลี่หยวน นางยังเริ่มหยั่งถึงความลึกซึ้งประการที่ 3 ของกฏแห่งน้ำแล้ว”


 


“ข้าล่ะอยากเห็นจริงๆ…ว่าเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นที่บอกว่าอาศัยท่าเดียวฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนได้ในพริบตา ที่แท้มันจะร้ายกาจอย่างที่พูดไว้หรือไม่!”


 



 


สายตาของคนทั้ง 4 ตอนนี้เรียกว่าทุ่มความสนใจไปกับการเผชิญหน้าระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหลี่หยวนอย่างเดียว ทั้งหมดลอยร่างชมดูเรื่องราวกลางอากาศเหนือหุบเขา ไม่คล้ายคิดไปช่วงชิงแท่นศิลาอันใด


 


“ไอ้หนู ไสหัวลงไปเสีย!!”


 


หลี่หยวนที่ลอยร่างกลางอากาศ มองจ้องต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นศิลาตาดุ กล่าวตวาดไล่ออกมาอย่างเกรี้ยวกราด!


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็สัมผัสถึงการมาของหลี่หยวนแต่แรก


 


ตอนนี้พอโดนอีกฝ่ายตวาดไล่ออกมาด้วยเสียงฟังไม่เข้าหู สีหน้าเขาก็เริ่มมืดลง


 


“ข้าจะให้โอกาสเจ้า…รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสีย หาไม่แล้วเจ้าจะได้อยู่ในวังจอมราชันอมตะของแดนสวรรค์ใต้โบราณไปชั่วกาล!”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองหลี่หยวนด้วยสายตาไม่แยแส เสียงกล่าวยังเย็นชาเป็นที่สุด ชวนให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกเสมือนหลุดไปอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ!


 


โอ!


 


เสียงต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้เบาเลย เรียกว่าดังเข้าหูทุกผู้คนที่อยู่เหนือหุบเขาอันมืดมิดชัดเจน พาลให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา


 


เป็นธรรมดาว่ายังมีบางคนไม่ได้แปลกใจอะไร


 


อย่างเช่นพวกเชวียจิงอวี่ โอวหยา และคนอื่นๆที่เคยเห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียน โดยเฉพาะตอนที่ใช้หนึ่งกระบี่ฆ่าตงฟางจิ่นหลุนอย่างง่ายดายปานตัดหญ้าฆ่าไก่! ทั้งหมดจึงรู้ว่าหากต้วนหลิงเทียนคิดจะฆ่าหลี่หยวน ก็ลำบากเพียงยกมือเท่านั้น…!


 


จริงอยู่ที่ความแข็งแกร่งของหลี่หยวนอาจจะเหนือกว่าตงฟางจิ่นหลุน แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร แม้ในบางแง่มุมอาจจะทรงพลังเหนือตงฟางจิ่นหลุนจริง แต่เรื่องให้ฆ่าตงฟางจิ่นหลุน ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้…


 


บางครั้งพลังฝีมือที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้ และยามประมือนั้นมีเปรียบอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้เสมอไป


 


“หืม?”


 


ด้านหวังเชี่ยนนั้น ตอนแรกที่ได้ยินคำพูดหยิ่งผยองของต้วนหลิงเทียน มันก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนช่างแส่หาที่ตายโดยแท้…!


 


ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้าท่าทีโอวหยาไม่เว้นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่อยู่ไม่ห่าง มันก็พบว่าจะโอวหยาก็ดีมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ดี ต่างยังมีสีหน้าสงบ ไม่คล้ายแปลกใจอะไรกับวาจาหยิ่งผยองของชายหนุ่มชุดม่วงเลย!


 


ราวกับมันสมควรเป็นแบบนี้อยู่แล้ว!


 


‘หรือว่า…’


 


พอหวังเชี่ยนเริ่มนึกย้อนถึงฉากเรื่องราวก่อนหน้า ที่เห็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเป็นฝ่ายเข้าหาต้วนหลิงเทียน และทำท่าราวกับจะพยายามตีสนิท ก็ทำให้ขมับของมันเริ่มปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึมทันที…


 


‘เป็นไปได้ไหม…ที่เจ้าหนุ่มชุดม่วงนี่มันจะร้ายกาจกว่าโอวหยา กระทั่งเหนือกว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว?’


 


‘ที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยายามเข้าหาราวกับจะตีสนิทมัน หรือเพราะต้องการให้มันไว้ไมตรียามพบเจอสมบัติอันใด อย่างน้อยๆหากมันได้กินเนื้อก็เหลือน้ำแกงไว้ให้นางดื่ม?’


 


‘และหากจำไม่ผิด…ดูเหมือนหลังจากเสียงของคนที่อาจจะเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ดังขึ้น บอกว่าสถานที่แห่งนี้คือหุบเขากาลเวลาทั้งมีไว้ทำอะไร มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็เหมือนจะเลิกให้ความสนใจมัน ไม่กระทำตัวเป็นเห็บหมาให้มันรำคาญอีก…’


 


‘หรือเหตุผลที่นางเปลี่ยนท่าทีไปกะทันหัน เป็นเพราะล่วงรู้ว่าสถานที่แห่งสุดท้ายของวังจอมราชันอมตะอย่างหุบเขากาลเวลานี่ มีผลประโยชน์ชัดเจนแล้ว นางจึงไม่คิดจะตีซี้ต้วนหลิงเทียนอีก เพราะมันไม่มีประโยชน์อันใด?!’


 


ยิ่งคิดเรื่องนี้มาเท่าไหร่ หวังเชี่ยนก็รู้สึกว่าเรื่องราวยิ่งเข้าเค้า และมันเดาไม่ผิดแน่ ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ร่างยังสะท้านไปทันใด


 


และหลังจากสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บแล้ว หวังเชี่ยนก็ดึงสติกลับมาได้ และคิดจะส่งเสียงผ่านพลังไปแจ้งเรื่องราวให้หลี่หยวนรับทราบทันที!


 


อย่างไรก็ตาม พอมันเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้งและคิดจะส่งเสียงผ่านพลังเตือนหลี่หยวน มันก็พบว่าหลี่หยวนนั้นได้ปะทุพลังเกรี้ยวกราดจนคนคล้ายมีไฟลุกท่วม! พุ่งทะยานเข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้ายเสียแล้ว!!


 


ซู่มม!!


 


ฟู่วว!!


 



 


หลี่หยวนอันมีเปลวไฟลุกโชนท่วมร่าง คนพุ่งทะยานออกไปฉับไวปานอุกกาบาตเพลิงลัดฟ้า ห้วงอากาศโดยรอบประหนึ่งถูกไฟร้อนแผดเผาจนเกรียม จนสูดได้กลิ่นไหม้ในบรรยากาศจางๆ!


 


“ไอ้โง่!”


 


เสียงปรามาสหนึ่งพลันดังขึ้นจาก 1 ใน 2 แท่นศิลาชั้นรอง และเป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ไม่ทราบเงยหน้าขึ้นไปชมดูเรื่องราวด้านบนตั้งแต่เมื่อไหร่ กล่าวคำผรุสวาทออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


เป็นธรรมดาว่าคนที่มันด่าว่า ‘ไอ้โง่’ ก็คือหลี่หยวน!


 


ในสายตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ทุกคนในที่แห่งนี้ นอกจากตัวมันเพียงคนเดียวแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่แส่หาเรื่องคิดลงมือกับต้วนหลิงเทียน ล้วนแล้วแต่เป็นตัวโง่งมเบื่อชีวิตคิดหาที่ตายทั้งสิ้น!


 


ต้วนหลิงเทียนที่มีอุปกรณ์เทพระดับสูงในครอบครอง ประหนึ่งเทพสังหารที่ครองอำนาจเหนือผู้ใดในวังจอมราชันอมตะ! คิดจะให้ใครตาย คนนั้นก็ไม่อาจไม่ตาย!!


 


‘เอ๊ะ?’


 


วาจาก่นด่าของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดึงดูดความสนใจมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไม่น้อย ทำให้นางหันมาให้ความสนใจหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที


 


‘มันก็อายุไม่ถึงร้อยปีงั้นเหรอ?’


 


ขณะเดียวกันนางก็พบว่าชายหนุ่มชุดเทาผู้นี้เหมือนกับต้วนหลิงเทียน…อายุไม่ถึงร้อยปี!


 


‘ดูเหมือนมันจะมาปรากฏตัวในหุบเขาแห่งนี้พร้อมกับต้วนหลิงเทียนและน้องหญิงโอวหยา’


 


ความทรงจำของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวยังดีอยู่


 


และในขณะที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคิดถึงจุดนี้


 


ฟั่ฟฟฟฟ!!


 


เสียงหอนกระบี่หนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา เข้าหูผู้คนทั่วหุบเขากาลเวลา ให้คววามรู้สึกประหนึ่งเสียงเพรียกแห่งความตาย!


WSSTH ตอนที่ 3,025 : ความกลัวของโอวหยา


 


 


ท่ามกลางสายตาของทุกคน ร่างหลี่หยวนที่บังเกิดไฟลุกท่วมอันโจนทะยานเข้าใส่ชายหนุ่มชุดม่วงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นศิลาบนสุดนั้น อยู่ดีๆคนก็แบ่งออกเป็นสองเสี่ยง! ประหนึ่งมีบางสิ่งผ่ากลางร่างมันจากบนลงล่าง!!


 


ฟั่ฟฟฟฟ!


 


และในกระบวนการที่ร่างมันแบ่งออกเป็น 2 เสี่ยง นอกจากเสียงหอนกระบี่ดังขึ้นสั้นๆแล้ว ทุกคนก็แลเห็นประกายแสงหลากสีปานสารุ้งสว่างวาบขึ้นในตาวูบหนึ่ง!


 


ส่วนด้านหลี่หยวนนั้น หลังจากที่ร่างมันถูกแบ่งผ่าเป็น 2 เสี่ยง เปลวเพลิงที่ลุกโชนทั่วร่างมันก็ยังคงลุกโชนอยู่ สุดท้ายร่างมันก็ถูกเพลิงดังกล่าวย้อนกลับมาทำลาย แผดเผาจนกลับกลายเป็นเถ้าธุลี สลายหายไปกลางหาว


 


คงเหลือเพียงแหวน หอก เกราะสีทองเข้ม  กับป้ายหยกสะสมคะแนนเท่านั้นที่กำลังร่วงตกลงจากกลางอากาศ


 


“คะแนนสะสมของมัน ข้าให้เจ้าแล้วกัน!”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น พร้อมกันนั้นก็สะบัดมือปลดปล่อยพลังไร้สภาพออกไปขุมหนึ่ง ซัดป้ายหยกสะสมคะแนนของหลี่หยวนที่กำลังจะแตกสลายไปทางหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!


 


ป้ายหยกสะสมคะแนนของหลี่หยวนพริบตาก็พุ่งลงไปด้านล่างเกือบ 100 หมี่ ทำให้ระห่างระหว่างป้ายหยกดังกล่าวกับเขานั้น มากกว่าระห่างระหว่างมันกับแท่นศิลาทั้ง 2 เบื้องล่าง!


 


ถึงแท่นศิลาที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั่งอยู่ จะอยู่ในระดับเพดานบินเดียวกันกับแท่นศิลาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น หากทว่าต้วนหลิงเทียนจงใจซัดมันเยื้องไปทางที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่มากกว่า!


 


เปรี๊ยะ!


 


หลังจากป้ายหยกของหลี่หยวนแตกสลาย และปรากฏมวลแสงพุ่งไปหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋น  ต้วนหลิงเทียนก็ลองแผ่สำนึกเทวะลงป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเองดูเพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด และเมื่อเห็นว่าคะแนนสะสมของเขาไม่เพิ่มขึ้น ก็พอได้คลี่ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก


 


ก่อนหน้านี้เขาได้ฆ่าคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการอย่างตงฟางจิ่นหลุนไปอีกคน ทำให้คะแนนสะสมในป้ายหยกของเขาพุ่งสูงขึ้นไปไม่น้อย และจากที่ลอบฟังคะแนนของคนอื่นๆมา เขาก็รู้ว่าเขามีมากกว่าพวกมันเป็นร้อยๆ


 


หากตอนนี้เขาเลือกที่จะรับคะแนนสะสมของหลี่หยวนมาอีก น่ากลัวว่าแต้มคะแนนสะสมของเขาจะสูงจนผิดหูผิดตา! และไม่พ้นต้องมีคนเริ่มเชื่อมโยงการตายของหลี่หยวนมาที่เขาแน่!!


 


นอกจากนั้นไม่ว่าจะสุมาฉุนหรือกระทั่งตงฟางจิ่นหลุน คนก็จะมุ่งเป้ามาที่เขาเป็นอันดับหนึ่ง!


 


ถึงแม้หลังจากออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณคราวนี้ไป เขาจะอยู่ภายใต้ความสนใจของ 3 นิกาย 2 ตระกูล และคงไม่มีใครกล้าลงมือต่อเขาส่งเดช…


 


ทว่าหลังจากที่เขาเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลไปได้สักพักแล้วเล่า?


 


พวกมันจะส่งยอดฝีมือมาคุ้มครองเขาตลอดเวลารึเปล่า?


 


ต่อให้เขายังมีอุปกกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองที่ใช้ได้อีก 2 ครั้ง แต่เขาก็ไม่อยากใช้มันถ้าไม่จำเป็นจริงๆ


 


ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะส่งคะแนนไปให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น เพื่อให้คะแนนของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นเพิ่มขึ้นมาไล่เลี่ยกับเขา กระทั่งมากกว่าเขาไปเลยก็ยิ่งดี!


 


“เจ้าบ้าเอ๊ย เจ้าคิดผลักข้าลงกองไฟรึไง!?”


 


หลังพบว่าป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเองอยู่ดีๆ ก็มีแต้มพุ่งปรี๊ด หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หันไปกัดฟันกล่าวกับต้วนหลิงเทียนตาขวาง ท่าทางจะเคืองไม่น้อย!


 


“เอาหน่า เจ้าอย่ากังวลไปเลย…พวกมันไม่สงสัยเจ้าหรอก หากคะแนนพวกเราเท่าๆกันและไม่ทิ้งคนอื่นมาก คนอื่นก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยเช่นกัน เขาเรียกกระจายความเสี่ยง…”


 


ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวปลอบหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


ขวับ!


 


ต้วนหลิงเทียนสะบัดมืออีกครั้ง ก็ปรากฏพลังไร้สภาพหอบหิ้ว แหวนพื้นที่ หอก แล้วก็เกราะสีทองตัวหนึ่งที่กำลังร่วงตกลงจากกลางหาวให้เหินย้อนกลับมาเข้ามือเขา จากนั้นก็เก็บมันไปอย่างไร้เรื่องราว โดยที่ไม่แม้แต่จะตรวจสอบอะไร


 


“ข้าคิดว่าในหุบเขากาลเวลาแห่งนี้ ข้าแค่จะได้รับโอกาสในการเข้าใจความหมายแห่งเวลาเสียอีก…ไม่คิดเลยว่าจะมีคนนำอุปกรณ์อมตะระดับราชารวมถึงแหวนพื้นที่อันบรรจุทรัพย์สมบัติชั่วชีวิตมาให้ข้าแบบนี้…”


 


หลังต้วนหลิงเทียนเก็บสินสงครามของหลี่หยวนไปแล้ว เขาก็ส่ายหัวไปมาเบาๆพลางเอ่ยออกอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ถึงข้าจะไม่ได้ขาดแคลนอุปกรณ์อมตะระดับราชา แต่ในเมื่อมีคนเอามามอบให้ข้าถึงที่ ข้าก็ไม่ขัดข้องที่จะรับมันมาเก็บไว้เพิ่ม…”


 


เนื่องจากบัดนี้หุบเขากาลเวลามันตกอยู่ในความเงียบสงัดไร้สำเนียงใด เสียงกล่าวคำราวกับบ่นไปคนเดียวของต้วนหลิงเทียน จึงดังมากพอให้ทุกคนได้ยินชัดถนัดหู


 


ทุกคนที่กำลังตกอยู่ในอาการตกตะลึงพรึงเพริด พอได้ยินคำพูดสบายๆดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ก็หวนกลับมาครองสติอีกครั้ง และทุกคนก็รู้สึกเสมือนสิ้นไรถ้อยวาจา หมดคำจะพูด…


 


ท่านไม่ขาดอุปกรณ์อมตะระดับราชาหรือ?


 


หากท่านเหลือมาก เช่นนั้นแบ่งให้ข้าพเจ้าสักชิ้นเถอะ!


 


เป็นธรรมดาว่าถ้อยคำดังกล่าวพวกมันก็ทำได้แค่พูดในใจ ไม่กล้าแม้แต่จะพ่นออกมาแม้ครึ่งคำ ด้วยกลัวจะไปยั่วยุดาวมฤตยูชุดม่วงนั่น!


 


“แต่ข้าต้องขออภัยทุกคนด้วย…ในเมื่อข้าฆ่าคนเพิ่มไปอีกคน ก็หมายความว่าเวลาที่พวกเราจะได้อยู่ที่นี่ ก็เหมือนสั้นลงอีกส่วน…”


 


ต้วนหลิงเทียนก้มลงไปกวาดตามองผู้คนด้านล่าง ที่บ้างก็นั่งบนแท่นศิลา บ้างก็ลอยล่องกลางหาว พลางกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด “ต่อไปข้าหวังว่าทุกคนจะพยายามทุ่มความสนใจไปกับการสัมผัสพลังของกฏแห่งเวลาที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้อุตส่าห์สร้างค่ายกลเอาไว้ให้”


 


“เอาล่ะ ข้ารบกวนเวลาของทุกคนเพียงเท่านี้…หากไม่มีเรื่องสำคัญอย่าได้ปลุกข้า หากข้าตื่นขึ้นมา จะให้เข้าสู่ภวังค์อีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวต่ออย่างไม่รีบไม่ร้อนจนจบ แม้ในถ้อยคำวาจาที่กล่าวออกจะไม่มีการข่มขูอะไร แถมเสียงที่กล่าวยังฟังดูสบาๆปานพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ก็ทำให้ทุกคนที่ได้ฟังอดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้านอยู่ในใจ


 


พวกมันไม่มีใครสงสัยเลย…


 


หากใครกล้ายั่วยุดาวมฤตูผู้นี้อีก ไม่พ้นได้ไปเมืองผีตามหลี่หยวนเป็นแน่!


 


‘หวังว่าจะไม่มีใครมากวนใจข้าอีก…อย่างไรเสียคิดจะสัมผัสถึงพลังของกฏแห่งงเวลา และเข้าใจความหมายแห่งเวลาที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทิ้งไว้ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย’


 


ต้วนหลิงเทียนบ่นในใจ จากนั้นก็ค่อยๆหลับตาลง นอกจากเหลือสำนึกเทวะส่วนหนึ่งที่แผ่ไว้เพื่อระวังภัยแล้ว ที่เหลือก็ถูกกระจายออกไปรอบๆตัวเพื่อสัมผัสถึงพลังลี้ลับบางอย่างจากค่ายกล


 


‘นี่คือ…กฏแห่งเวลางั้นหรือ?’


 


หลังตั้งสมาธิรับสัมผัสสรรพสิ่งรอบกาย ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่ามีพลังลี้ลับบางประการไหลเวียนอยู่ทั่วๆร่างกายของเขา


 


อย่างเช่นความว่างเปล่าด้านขวามือของเขา กระแสอากาศที่ไหลเวียนไม่สม่ำเสมอบ้างหนักบ้างเบานั้น อยู่ๆก็หยุดลงในชั่วพริบตา ราวกับห้วงเวลา ณ จุดนั้นมันหยุดเดินไป!


 


กฏแห่งเวลา ขึ้นชื่อว่าเป็นกฏที่ลี้ลับและพิสดารที่สุดในบรรดากฏสูงสุดทั้ง 4 และมันยังเป็นกฏที่ลี้ลับที่สุดในสวรรค์และโลกอีกด้วย


 


กฏประเภทนี้ไม่อาจทำความเข้าใจผ่านวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังใดๆ ต้องใช้โชควาสนาและการพานโดยบังเอิญขณะผจญภัย ไม่ก็รับมรดกสืบทอด


 


‘อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอย่างเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่ข้าเคยยมี ก็น่าจะมีกฏแห่งเวลาแฝงอยู่…ทำให้เวลาที่ไหลในเจดีย์นั้นแตกต่างจากโลกภายนอกมากมาย’


 


หลังผ่านไปสักพักต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่เขาเคยมี กระทั่งยังคิดถึงผู้เฒ่าหั่วที่เป็นวิญญาณประจำชั้น 1 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติขึ้นมา


 


ไม่ทราบว่าตอนนี้ผู้เฒ่าหั่วไปอยู่ที่ใดแล้ว อีกทั้งเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติถูกใครเอาไปกันแน่


 


ณ แท่นศิลาบนสุด ต้วนหลิงเทียนก็จมจ่อมอยู่ในภวังค์รับรู้ สัมผัสถึงพลังลี้ลับอันแฝงไว้ด้วยกฏแห่งเวลาโดยรอบและพินิจมันอย่างตั้งใจ


 


ส่วนเบื้องล่างแท่นศิลาที่เขาอยู่นั้น สถานการณ์ยังคงยากที่จะหาความสงบได้เจอ


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้คนจะประมือกันก็ดี หรือทำอะไรก็ดี ไม่มีใครกล้าปล่อยให้การกกระทำใดๆส่งผลกระทบมาถึงเขา และไม่มีใครคิดจะขึ้นมายุ่งวุ่นวายอะไรกับเขาเลย


 


“การโจมตีนั่นจะทรงพลังเกินไปแล้ว…แสงกระบี่หลากสีนั้นเกิดจากอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มันครอบครองอยู่หรือ?”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่เห็นต้วนหลิงเทียนจบชีวิตหลี่หยวนได้ง่ายดายในกระบี่เดียว อดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่ ในใจบังเกิดความหวาดกลัวถึงขีดสุด


 


ก่อนหน้านี้ถึงแม้หลังได้ฟังเรื่องราวจากโอวหยา นางจะไม่ได้คลางแคงสงสัยในข้อเท็จจริง แต่การฟังเรื่องราวจากปากคนอื่น กับการได้มาเห็นกับตาตัวเองนั้น นับเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!


 


“หากข้าต้องเจอกับกระบี่นั่น…จุดจบของข้าคงไม่ดีไปกว่าหลี่หยวนแน่!”


 


พอคิดถึงจุดนี้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็น


 


“มัน…มันฆ่าหลี่หยวนได้ในชั่วพริบตา…ทั้งยัง…ยังอาศัยแค่ 1 กระบี่!?”


 


ทั้ง 4 คนที่ลอยร่างอยู่เหนือหุบเขาและยังไม่ได้ไปช่วงชิงแท่นศิลากับใคร ตอนนี้แต่ละคนก็ปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผาก ถึงแม้พวกมันจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการแล้ว แต่มันก็มองการลงมือขอต้วนหลิงเทียนยามสังหารหลี่หยวนไม่ทัน ได้ยินก็แต่เสียงหอนของกระบี่กรีดฟ้า กับความรู้สึกแหลมคมที่เสียดแทงจิตวิญญาณ


 


บัดนี้พวกมันตระหนักได้โดยที่ไม่เหลือคววามแคลงใจใดๆ ทั้งหมดที่ต้วนหลิงเทียนพูดมาก่อนหน้า หาได้มีคำโป้ปดแม้แต่คำเดียวจริงๆ!


 


“…สุดท้ายอาศัยพลังฝีมืองั้นๆของพวกมัน ข้าลำบากแค่ 1 ท่าก็ฆ่าพวกมันในพริบตา”


 


วาจาประโยคนั้นของต้วนหลิงเทียน พลันดักก้องขึ้นมาในหูพวกมันอีกรอบ


 


“มันจะร้ายกาจเกินไปแล้ว…ไฉนมันถึงได้มีพลังร้ายกาจขนาดนั้นได้กัน!?”


 


“หนึ่งกระบี่เมื่อครู่ แม้ข้ามองไม่ทันว่ามันลงมืออย่างไร แต่จากกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมา ข้าสัมผัสได้ว่ามีพลังจากความหมายแห่งดิน…แต่ข้าว่าพลังอันร้ายกาจจริงๆ สมควรเกิดจากกระบี่ที่มันใช้มากกว่า!”


 


“ข้าก็คิดแบบนั้น แม้จะมองกระบี่มันไม่ชัด แต่ข้าเห็นว่ากระบี่มันส่องสว่างปานสีรุ้ง…อีกทั้งไม่รู้พวกเจ้าทันสังเกตเห็นกันหรือไม่ ว่าหลังมีประกายแสงผ่าร่างหลี่หยวนไปแล้ว ประกายแสงที่ว่าพอย้อนกลับมาถึงมือมัน ก็เหมือนจะรวมเข้าไปในร่างกายของมัน ไม่ใช่หายไปเหมือนเก็บของลงอุปกรณ์พื้นที่”


 


“รวมเข้าไปในร่างของมันเหรอ? ช้าก่อน…เรื่องแบบนี้ข้าเคยได้ยินมา นั่นไม่ใช่ลักษณะของอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีในบันทึกหรือไร!?”


 


“อันใด? นี่เจ้าจะบอกข้าว่า…เมื่อครู่สิ่งที่มันใช้คืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิงั้นเหรอ!?”


 



 


ทั้ง 4 คนพากันสนทนานถามไถ่กันไม่หยุด และในบรรดาพวกมัน 4 คนก็มีคนสังเกตเห็นแสงรุ้งที่สมควรเป็นกระบี่นั้น  หลังจากที่เข่นฆ่าหลี่หยวนแล้ว พอวกกลับมาถึงมือต้วนหลิงเทียน ก็กลายเป็นละอองแสงรวมหายเข้าไปในร่างของต้ วนหลิงเทียน ทำให้บางคนฉุกคิดถึงเรื่องราว ‘อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ’ ที่มันเคยอ่านเจอในบันทึกขึ้นมาทันที


 


“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”


 


“เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น มันมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”


 



 


และไม่นานเรื่องราวดังกล่าวก็เริ่มแพร่กระจายลุกลามไปทั่ว ทำให้ทุกคนเริ่มตระหนักว่าต้วนหลิงเทียนนั้นมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิไว้ในครอบครอง แถมยังเป็นกระบี่อีกด้วย!


 


สำหรับคนที่ถูกส่งตัวมากลุ่มเดียวกับต้วนหลิงเทียนอย่างพวกโอวหยา และพวกเชวียจิงอวี่นั้น ไม่มีใครสงสัยหรือแปลกใจอะไรเลย เพราะทุกคนเห็นฉากเขาสังหารตงฟางจิ่นหลุนในกระบี่เดียวมากับตา


 


“เหอะๆ หลี่หยวนนั่นมันกล้าหาเรื่องต้วนหลิงเทียน นับว่าสวรรค์มีทางไม่ยอมเดิน นรกไร้ประตูดันทุรังมุดมาแท้ๆ!”


 


“เอาตรงๆ เมื่อครู่ ข้าคิดจะเตือนมันเหมือนกัน…แต่พอนึกถึงวีรกรรมของมันที่ข้าเคยได้ยินมา ข้าพลันรู้ไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ ก็เลยล้มเลิกความคิดเตือนมันไป”


 


“ข้าด้วย! ทั้งชีวิตดีแต่รังแกผู้อื่นเช่นมัน นับว่าสมควรตายแล้วล่ะ!!”


 



 


เหล่าผู้ที่กำลังสนทนากันก็เป็นคนที่ถูกส่งมาพร้อมต้วนหลิงเทียน พลังฝีมือของพวกมันค่อนข้างธรรมดา และแท่นศิลาที่เลือกก็คือชั้นล่างสุด จึงไม่มีใครคิดจะมาท้าทายแย่งชิง พวกมันจึงนั่งคุยกันอย่างสบายใจ


 


“น้องหญิงโอวหยา..ชายหนุ่มชุดเทาผู้นั้น ดูเหมือนมันจะอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่นั่งอยู่บน 1 ใน 2 แท่นศิลาชั้นรอง หลังจากสำรวจหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว นางก็หันไปส่งเสียงผ่านพลังคุยกับโอวหยาทันที “เจ้าไม่คิดท้าชิงแท่นศิลาของมันหรือ?”


 


“ด้วยพลังฝีมือของเจ้า คิดจะชิงแท่นศิลาของมันก็มิน่าจะยากเย็นอันใดนี่นา…หรือหากเจ้าไม่มั่นใจให้ข้าช่วยก็ได้นะ”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเสนอตัวด้วยความหวังดี


 


อยย่างไรก็ตาม พอได้ยินเสียงผ่านพลังถามไถ่ทั้งเสนอความช่วยเหลือดังกล่าววของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โอวหยาก็คลี่ยิ้มขื่นขมก่อน จากนั้นค่อยส่งเสียงผ่านพลังไปหามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว “พี่หญิงมู่หรง…น้ำใจของท่านข้าคงทำได้แค่รับมันไว้ด้วยใจแล้วล่ะ…”


 


“ทว่ากับบุรุษผู้นั้น ข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของมันจริงๆ…อีกทั้งต่อให้ท่านกับข้าร่วมมือกัน ก็คงไม่มีทางเอาชนะมันได้เลย”


 


“แทนที่จะรบกวนเวลาสัมผัสพลังของกฏแห่งเวลาอันมีค่าของท่าน ไม่สู้ข้าไปหาแท่นศิลาที่เหมาะสมกับพลังของข้า เพื่อสัมผัสถึงพลังงของกฏแห่งเวลาที่ท่านจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้สร้างทิ้งไว้ให้ดีกว่า”


 


ขณะกล่าวถึงประโยคท้าย น้ำเสียงของโอวหยาก็แฝงไว้ด้วยความขื่นขมจนปัญญาชัดเจน


 


และพอได้ยินเสียงสลดของโอวหยา มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็คล้ายจะตระหนักอะไรได้บางอย่าง “มัน…มันคงมิได้ครอบครองกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิเหมือนต้วนหลิงเทียนหรอกนะ!?”


 


คำถามดังกล่าวเป็นมู่หรงเซี่ยวเซวี่ยวกล่าวถามไปส่งๆเท่านั้น เพราะนางเองก็ไม่คิดว่าจะมีคนครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอีกเป็นคนที่สอง!


 


นั่นคืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ ไม่ใช่กะหล่ำปลีที่เห็นเต็มตลาด!


 


“มันไม่มีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ์…”


 


โอวหยากล่าว


 


“เช่นนั้นเจ้ากลัวมันทำไมเล่า?”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเอ่ยถาม


 


“มันไม่มีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิก็จริง…แต่ก่อนจะถูกส่งตัวมาที่นี่ ข้าได้ยินบางคนในกลุ่มมันคุยกัน ว่ามันครอบครองเกราะอมตะระดับจักรพรรดิ…นอกจากนั้นมันยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการแล้ว”


 


โอวหยากล่าวออกมารวดเดียวจบคำ น้ำเสียงของนางยังฟังดูอ่อนแอคล้ายคนไร้เรี่ยวแรง


 


ต้วนหลิงเทียน อายุไม่ถึงร้อยปีเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินสองประการ อีกทั้งยังมีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิสีรุ้งในครอบครอง…


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน ไม่เพียงเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการ แต่ยังครอบครองเกราะอมตะระดับจักรพรรดิที่มีลักษณะเป็นผ้าคลุม!


 


ทั้งสองคนทำให้นางหวาดกลัวจับใจ จนไม่เหลือแม้แต่ความกล้าจะคิดตอแย!


WSSTH ตอนที่ 3,026 : อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอีกชิ้น!


 


 


“อะไร?!”


 


คำพูดของโอวหยา นับว่าสร้างความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแล้วจริงๆ “เกราะ…เกราะอมตะระดับจักรพรรดิหรือ!?”


 


ดุจเดียวกับชุดเกราะอมตะระดับราชาที่หายากกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทต่างๆ เกราะอมตะระดับจักรพรรดิเองก็นับว่าหายากกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิประเภทอื่นๆไม่น้อย จะเป็นรองก็แค่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณเท่านั้น!


 


อันที่จริงแค่มูลค่าของชุดเกราะอมตะระดับจอมราชัน ก็เทียบได้กับอาวุธอมตะระดับจักรพรรดิทั่วไปแล้ว!


 


“มิผิด”


 


โอวหยาพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มเหินร่างลงไปยังแท่นศิลาชั้น 3 เพื่อหาคนท้าทาย


 


ด้วยพลังฝีมือของนางย่อมไม่ยากที่จะท้าชิงแท่นศิลาชั้น 3


 


อย่างไรก็ตาม โอวหยายอมแพ้เรื่องแท่นศิลาชั้น 2 แต่ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะล้มเลิกเหมือนนาง


 


ครู่ต่อมา ชายชุดแดงในบรรดากลุ่มชาย 4 คน ที่พึ่งหาจากอาการหวาดกลัวต้วนหลิงเทียน ก็ได้เหินร่างขึ้นมาหยุดลงในเพดานบินเดียวกับแท่นศิลาชั้น 2!


 


มันเองก็ยังมีความมั่นใจในตัวเองอยู่บ้างเพราะอย่างไรก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการแล้ว!!


 


แน่นอนว่ามันไม่กล้าท้าทายมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว เพื่อชิงแท่นศิลาของนาง


 


แต่มันตั้งใจจะชิงแท่นศิลาที่มีชายหนุ่มชุดเทานั่งอยู่ ด้วยเพราะมันไม่รู้จักอีกฝ่ายมากกก่อน


 


ด้วยความที่ก่อนหน้านี้ ตอนต้วนหลิงเทียนส่งคะแนนให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ทั้งคู่ก็อาศัยการสนทนาผ่านพลัง ทำให้มันไม่รู้ว่าทั้ง 2 คนรู้จักกัน


 


หาไม่แล้วด้วยความกลัวที่มีต่อต้วนหลิงเทียน มันย่อมไม่กล้ามาตอแยท้าชิงแท่นศิลาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแน่นอน


 


ถึงแม้เมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนมีโอกาสจะได้รับคะแนนสะสมเพิ่ม แต่ทุกคนรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนไม่อยากเป็น ‘ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น’ เท่านั้น จึงต้องป้องกันตัวเอง!


 


ต้วนหลิงเทียนไม่อยากมีคะแนนมากเกินไป จนเป็นจุดสนใจของผู้คนหลังกลับออกไป!


 


และคนทั้งหมดก็ไม่ได้แปลกใจอะไรกับการกระทำของต้วนหลิงเทียน เพราะสาเหตุที่ต้วนหลิงเทียนทำแบบนั้น ไม่พ้นต้องกลัวคนที่อยู่เบื้องหลัง ตงฟางจิ่นหลุน สุมาฉุน แล้วก็หลี่หยวนที่พึ่งตกตายเพ่งเล็ง!


 


หลี่หยวนนั้น ถึงจะมาจากนิกายระดับ 8 แต่ก็เป็นอัจฉริยะในรอบพันปี เรียกว่านิกายได้ตั้งความหวังกับมันไว้มาก ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเพาะสร้างสนับสนุนหลี่หยวน!


 


หากล่วงรู้ว่าใครฆ่าหลี่หยวน หรือแค่บังเกิดความสงสัยในตัวผู้ใด นิกายดังกล่าวไม่พ้นต้องลอบลงมือล้างแค้นเป็นการลับแน่นอน


 


ยิ่งความเป็นมาของสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งคู่ล้วนมาจากตระกูลระดับ 7 ยังมีอำนาจมากกว่านิกายระดับ 8 ไม่รู้เท่าไหร่!


 


หากทั้ง 2 ตระกูลเพ่งเล็งมุ่งเป้าไปที่คนๆเดียวกัน ต่อให้คนๆนั้นจะเป็นอัจฉริยะของ 3 นิกาย 2 ตระกูล แต่ชีวิตก็ยังคงตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี


 


ทำให้การกระทำกก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียน ทุกคนล้วนเข้าใจเหตุผลได้ไม่ยาก


 


สำหรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เป็นผู้ได้รับคะแนนนั้น ทั้งหมดคิดแค่ว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้รับคะแนนกินเปล่าไปเท่านั้น


 


ต่างจากพวกโอวหยาและเชวียจิงอวี่ ที่ล่วงรู้แต่แรกว่าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแลดูจะสนิทกันอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกมันต่างง่วนอยู่กับการช่วงชิงแท่นศิลาของตัวเอง ไม่ก็ทุ่มความสนใจไปกับการสัมผัสกฏแห่งเวลาจากค่ายกลเหนือหุบเขากกาลเวลา ไหนเลยจะมีเววลามากล่าวเตือนคนที่พวกมันไม่รู้จัก


 


“อวิ๋นจ้าน?”


 


เพียงเหลือบมองไปปราดเดียว มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็จดจำชายชุดแดงที่คิดท้าทายหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ทันที อีกฝ่ายเป็นคนของขุมกำลังระดับ 8 แต่อายุค่อนข้างมากแล้ว ที่สำคัญยังจงใจระงับด่านพลังบ่มเพาะอีกด้วย


 


อวิ๋นจ้านที่ยังแลดูเป็นชายวัยกลางคนนั้น อันที่จริงมีอายุมากกว่าพันปีแล้ว…


 


คนเช่นมันเรียกว่าตั้งเป้าจะเข้ามาช่ววงชิงสมบัติในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำโดยเฉพาะ จึงระงับด่านพลังให้หุดอยู่ที่ขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ไม่รีบทะลวงผ่าน


 


อีกทั้งอวิ๋นจ้านได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ กอปรกับมีชีวิตอยู่มานับพันปี ประสบการณ์การต่อสู้ของมันจึงไม่อาจดูแคลนได้ นับว่ามีพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วเลยทีเดียว


 


อย่างน้อยๆในตอนที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำแค่ 2 ประการไม่ทันหยั่งถึงความลึกซึ้งประการที่ 3 หากนางต้องประมือกับอวิ๋นจ้าน ก็คงเป็นนางที่แพ้พ่าย


 


“ข้าจะให้โอกาสเจ้า…รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสีย หาไม่แล้วเจ้าจะได้อยู่ในวังจอมราชันอมตะของแดนสวรรค์ใต้โบราณไปชั่วกาล!”


 


เมื่อเห็นอวิ๋นจ้านมาหยุดลงเบื้องหน้าไม่ไกล และแววตาที่จ้องมองมาของอีกฝ่ายแม้จะแลดูสงบ หากแต่แฝงไปด้วยจิตต่อสู้อันน่าเกรงขาม หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เหลือบมองมันด้วยสายตาไม่แยแส เอ่ยเตือนแกมขู่ออกไปเสียงเรียบ


 


หลังพูดจบ มันก็อดไม่ได้ที่จะลอบกล่าวในใจ ‘ได้พูดแบบนี้แล้วรู้สึกสะใจไม่เบา…’


 


ถ้อยคำที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึ่งพูดออกไป แน่นอนว่าลอกต้วนหลิงเทียนมาทั้งประโยค!


 


อวิ๋นจ้านเองก็คาดเดาการตอบสนองและวาจาที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอาจจะกล่าวไว้มากมาย แต่ไม่คิดเลยว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะยกคำพูดของต้วนหลิงเทียนมาเอ่ยซ้ำ!


 


และเสียงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแม้ไม่ดัง แต่ก็ไม่เบา มากพอให้ทุกคนที่อยู่เหนือหุบเขากาลเวลาได้ยินถนัดหู!


 


เรียกว่าผู้ที่กำลังประมือก็พร้อมใจกกันหยุดมือชั่วคราว ก่อนจะพากันจับจ้องไปยังแท่นศิลาชั้นสองทันที


 


ที่นั่น ปรากฏชายหนุ่มชุดเทานั่งขัดสมาธิอยู่ ข้างกายมีกระบี่ยาววางไว้ไม่ห่าง เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นมือกระบี่ผู้หนึ่ง


 


“หืม? เจ้านั่นมันก็อายุไม่ถึงร้อยปีงั้นเหรอ?”


 


ครู่ต่อมาก็มีคนค้นพบ ว่าชายหนุ่มชุดเทาเป็นเหมือนต้วนหลิงเทียน…อายุไม่ถึงร้อยปี!


 


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่นมันลอกเลียนคำพูดต้วนหลิงเทียนรึ? นี่มันคิดว่าผู้อื่นจะกลัวมันเหมือนต้วนหลิงเทียนหรือไร?”


 


“เหอะๆ…นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าพบเจอคนที่เกียจคร้านกระทั่งนึกคำพูด! มันคิดเองไม่เป็นหรือ? ถึงได้คัดลอกผู้อื่นมาทั้งประโยค?”


 


“เจ้าหนุ่มนั่น มันคิดว่าตัวเองเป็นต้วนหลิงเทียนหรือไร หรือเพ้อไปคิดว่ามีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเช่นต้วนหลิงเทียน?”


 


“นั่นสิ มันคิดว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเป็นหัวกาดหรือไร”


 



 


ผู้คนพากันค่อนแคะเรื่องหลิงเจวี๋นอวิ๋นลอกเลียนคำพูดต้วนหลิงเทียนระงม ขณะเดียวกันก็รอดูว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะรับมือชายชุดแดงอย่างไร


 


“ชายชุดแดงผู้นั้นหากข้าจำไม่ผิดสมควรเป็น อวิ๋นจ้าน ชนชั้นอาวุโสของด่านเชียนชิว ที่เป็นขุมกำลังระดับ 8! ข้าได้ยินมาว่ามันใจระงับด่านพลังฝึกปรือให้รั้งอยู่ในขอบเขตอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด เพื่อจักได้เข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณโดยเฉพาะ! และด้วยความที่มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว พอมารวมกับประสบการณ์การต่อสู้นับพันปี…พลังฝีมือของมันนับว่ามิใช่ชั่วเลย”


 


หลายคนก็จดจำชายวักลางคนในชุดสีแดงได้


 


“แล้วเจ้าหนุ่มชุดเทานั่นเล่า…มันเป็นใครมาจากไหนรึ?”


 


“พวกเจ้ามีใครรู้จักมันหรือไม่?”


 



 


ขณะเดียวกัน หลายคนก็ตระหนักได้ว่าดูเหมือนจะไม่มีใครรู้จักชายหนุ่มชุดเทาเลย กระทั่งไม่เคยได้ยินเรื่องชายหนุ่มชุดเทามาก่อนด้วยซ้ำ


 


“พี่ชายท่านนี้ ข้าสังเกตเห็นว่ายามมาถึงท่านอยู่กลุ่มเดียวกับต้วนหลิงเทียนและชายหนุ่มชุดเทาผู้นั้น…ท่านรู้หรือไม่ว่ามันร้ายกาจเพียงใด? ใช่คู่มือของอวิ๋นจ้านนั่นหรือไม่?”


 


หลายคนเริ่มหันไปถามเชวียจิ่งอวี่


 


“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”


 


ทว่าด้านเชวียจิงอวี่กลับส่ายหัวปฏิเสธ ทำราวกับไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย


 


ถึงแม้มันจะรู้ว่าพลังฝีมือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นอย่างไร กระทั่งได้ยลโฉมพลังอำนาจของอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิรูปแบบผ้าคลุมมาแล้ว ที่สำคัญมันเชื่อว่าต่อให้เป็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่มีทางเอาชนะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้แน่


 


อย่างไรก็ตาม มันไม่คิดจะพูดออกมา


 


เหตุผลก็คือมันรังเกียจอวิ๋นจ้านกับพวกชราหน้าไม่อายเหล่านั้น! คนพวกนี้จงใจระงับด่านพลังฝึกปรือเพื่อมาช่วงชิงกับคนรุ่นหลังในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ! มันจึงหวังให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นฆ่าพวกชราน่ารังเกียจเหล่านี้ให้หมด!!


 


ขณะเดียวกัน หลายคนก็เริ่มหันไปถามคนอื่นๆที่เห็นว่ามาพร้อมกันกับพวกต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนอกเหนือจากเชวียจิงอวี่ แต่ทั้งหมดก็พร้อมใจกันตอบว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทั้งสิ้น


 


“เจ้าหนุ่มชุดเทาอายุไม่ถึงร้อยนี่ ท่าทางจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแค่ประการเดียวกระมัง?”


 


“เป็นไปไม่ได้หรอก…หากมันเข้าใจความลึกซึ้งแค่ประการเดียว มันจะกล้าไปจับจองแท่นศิลาชั้น 2 นั่นรึ? ข้าว่ามันน่าจะเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการแล้วมากกว่า”


 


“อายุมันยังไม่ถึงร้อยปีเจ้าจะให้มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ 2 ประการแล้วรึ? เจ้าคิดว่าคนอย่างต้วนหลิงเทียนพบเจอได้ง่ายเหมือนหัวผักกาดหรือไร?”


 


“หรือบางทีมันคิดอาศัยความโดดเด่นของต้วนหลิงเทียน มาเพาะสร้างสภาวะอัจฉริยะของตัวเอง ทำให้ทุกคนหลงคิดว่ามันร้ายกาจอย่างต้วนหลิงเทียนกัน?”


 


“ก็ไม่แน่!”


 



 


หลายคนเริ่มคุยกันอย่างออกรส และเชื่อว่าแท่นศิลาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นมิแคล้วต้องเปลี่ยนมือแน่แท้


 


เพราะทุกคนเชื่อว่าอวิ๋นจ้านคงไม่เลิกราง่ายๆ แค่เพราะอีกฝ่ายกล่าวคำอหังการคล้ายต้วนหลิงเทียน!


 


อันที่จริง ก็หยิบยืมมาทั้งประโยคเลยนั่นล่ะ!


 


ด้านอวิ๋นจ้านหลังได้ยินคำขู่ของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหน้าร้อนอยู่บ้าง ลูกตามันเบิกกว้าง สีหน้ายังเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ! มันดูเหมือนเด็ก 3 ขวบหลอกง่ายนักรึ!?


 


ทันใดนั้นทั่วร่างของมันก็เริ่มปรากฏพลังงเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานพลังธาตุดิน จนส่องแสงสีกากีเรืองรองออกมา กระทั่งละอองธุลีฝุ่นคลีในอาณาบริเวณโดยรอบนังเริ่มพุ่งมารวมตัวข้างงๆมัน ราวได้รับบัญชา!


 


อวิ๋นจ้านนั้น เลือกที่จะทำความเข้าใจกฏแห่งดินเหมือนต้วนหลิงเทียน แต่ต่างจากต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง เพราะมันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการจนบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้วจริงๆ


 


แต่ต้วนหลิงเทียนนั้น แม้ผู้คนจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ แต่อันที่จริงเขาพึ่งเข้าใจประการเดียวเท่านั้น อีกประการก็แค่หยั่งถึง พอให้ใช้พลังได้บางส่วน!


 


เวิง! เวิง!


 


ครืนน!! ครึก! ครึก!


 



 


ท่ามกลางสายตาคนทุกผู้ พลังสีกากีทั่วกายยอวิ๋นจ้านิ่งมายิ่งเปล่งแสงแรงกล้า ธุลีคลีในอาณาบบริเวณก็เริ่มเกาะกลุ่มกันหนาตา สุดท้ายก็คล้ายมีเกราะปฐพีหนึ่งปกคลุมไปทั่วร่างอวิ๋นจ้าน


 


อีกทั้งธุลีคลีที่ลอยล่องอยู่หนาตารอบกายอวิ๋นจ้าน ยิ่งมาก็ยิ่งสั่นสะเทือนแรงขึ้นทุกขณะ ก่อเกิดเป็นคลื่นกระแทกอันหนักหน่วงกำจายออกไปสะท้านสะเทือนห้วงอากาศ!


 


“ความลึกซึ้ง สั่นสะเทือน…”


 


ด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพอเห็นอวิ๋นจ้านเริ่มเร่งเร้าพลังคิดลงมือ คิ้วเฉยเมยก็เลิกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นมันก็เริ่มยกมือขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


ในขณะที่ทุกคนคิดว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นสมควรยกมือขึ้นมาเพื่อชักกระบี่ต่อสู้ แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายเพียงยกมือขึ้นไปเหนือศีรษะ และไม่มีทีท่าว่าจะหยิบกระบี่แต่อย่างใด


 


“มันคิดจะทำอะไรของมันกันแน่?”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่นั่งบนแท่นศิลาชั้น 2 ไม่ห่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเท่าไหร่ อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังจะทำอะไรกันแน่


 


และพริบตาต่อมา นางก็เห็นว่าเหนือฝ่ามือที่ยกขึ้นของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น พลันอุบัติวังวนความมืดประหนึ่งหลุมดำขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า! จากนั้นก็ปรากฏปลายกระบี่ค่อยๆโผล่ออกมาจากวังวนความมืดดังกล่าว! ฉากนี้ทำให้หน้านางเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง!!


 


“อะ…อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”


 


ลูกตามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวหดหยีลงแทบปิด ใจยังสะท้านสะเทือนไปอย่างแรง!


 


อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดินั้นไม่เพียงยามเก็บจะผสานรวมเข้ากับร่างกาย ยามเรียกใช้ก็จะผุดโผล่ออกมาจากร่างกายเช่นกัน!


 


และครู่ต่อมา ท่ามกลางสายตาของทุกคน ในมือหิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ถือกระบี่สีคราม 3 ฉื่อเล่มหนึ่ง อีกทั้งตัวกระบี่ยังปรากฏอัสนีสีเทาแล่นวาบแปลบปลาบไม่หยุด แลดูน่ากลัวนัก!


 


“อะ…อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”


 


“อีกชิ้น…เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอีกชิ้นงั้นเหรอ!?”


 


“นะ…นี่มันอะไรกัน!? อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิกลายเป็นของโหลไปตั้งแต่เมื่อไหร่!? ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะนำออกมาใช้ชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับนำออกมาใช้อีกชิ้น!?”


 



 


ทุกคนไม่เว้นเชวียจิงอวี่ พอเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเหมือนจะเรียกกระบี่ออกมาจากร่างกาย ทั้งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงที่กระบี่เล่มนั้นแผ่ออกมา พวกมันก็ตกตะลึงอึ้งไปอย่างสมบูรณ์!


 


เพราะสำหรับพวกมันแล้ว อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดินั้น เป็นดั่งสิ่งของในตำนาน!


 


ทว่าบัดนี้พวกมันกลับได้เห็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิปรากฏขึ้นสองครั้งสองครา ทำให้พวกมันเริ่มบังเกิดความสงสัยในชีวิต ว่าที่แท้อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิใช่หายากจริงๆหรือ?


 


“ข้า…ข้า…ข้ายอมแพ้…ข้ายอมแพ้! ยอมแพ้แล้ว!!”


 


ท่ามกลางความสั่นสะเทือนจากธุลีคลีอันทรงพลัง ปรากฏเสียงสั่นเครือหนึ่งดังขึ้นอย่างร้อนรน!


WSSTH ตอนที่ 3,027 : ความตายของอวิ๋นจ้าน


 


 


อวิ๋นจ้านนั้น ก่อนหน้านี้มันดูดุร้ายน่าเกรงขามไม่ใช่เล่น เปี่ยมล้นไปด้วยความคิดฆ่าฟันหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!


 


อย่างไรก็ตามพอเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเรียกกระบี่สีคราม 3 ฉื่อ ที่ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิออกมา แถมมันยังสูดได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายจากกระบี่สีคราม 3 ฉื่อนั่น ความฮึกเหิมดุร้ายของอวิ๋นจ้านก็สลายไปดั่งหมอกควันเบาบางต้องลม ไม่หลงเหลือจิตต่อสู้อีกเลย


 


“ข้ายอมแพ้! ข้ายอมแพ้แล้ว!!”


 


บัดนี้อวิ๋นจ้านได้ร่ำร้องกล่าวคำยอมแพ้ออกมาไม่หยุด ราวกับมันหวาดกลัวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะใช้กระบี่อันเต็มไปด้วยเส้นสายอัสนีสีเทา และสมควรเรียกออกมาจากร่างกายนั่นเข่นฆ่ามัน!


 


“ยอมแพ้แล้ว?”


 


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่นั่งบนแท่นศิลา เหลือบบมองอวิ๋นจ้านที่ร่างสั่นระริกไม่ไกล พลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ข้ายังไม่ทันทำอะไร…แต่เจ้ายอมแพ้แล้ว ไม่ถอดใจง่ายไปหน่อยหรือ?”


 


และแทบจะทันทีที่หลิงเจวี่ยอวิ๋นกล่าวจบคำ ในสายตาของผู้คน ก็ปรากฏร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกคนพุ่งออกมาจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!


 


อย่างไรก็ตามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่พุ่งพึ่งออกมานั้น มีดวงตาสีแดงฉานปานก้อนโลหิต แถมกลิ่นอายที่แผ่ออกมาทั่วร่างยังลี้ลับสุดหยั่งถึงนัก!


 


“นั่นมัน…ร่างแยกรึ!?”


 


หลายคนเข้าใจว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังใช้วิชาแยกร่างอะไรบางอย่าง


 


“หึ! นั่นคือร่างแฝดแห่งความตาย จากความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าใจต่างหาก…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้นเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการแล้ว นอกจากความหมายแห่งความตาย ก็คือ ร่างแฝดแห่งความตายที่พวกเจ้ากำลังเห็นอยู่นั่นล่ะ…”


 


เชวียจิงอวี่กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ “แต่..ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังจะมีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิอยู่ด้วยแบบนี้”


 


น้ำเสียงของเชวีนจิงอวี่ยามนี้ ฟังดูท้อใจไม่น้อย


 


ลำพังแค่ต้วนหลิงเทียนนำกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิออกมา มันก็รู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนช่างลึกลับยิ่งนัก


 


มาตอนนี้พอเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังมีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิด้วยอีกคน มันก็รู้สึกไม่เข้าใจอะไรอีกต่อไป


 


เรื่องนี้ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะสงสัยจริงๆ ว่าใช่ทั้งคู่ไปพบมรดกสถานใดในแดนสวรรค์ใต้หรือไม่ ถึงได้อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิมาครองแบบนี้?


 


อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ความคิดดังกล่าวผุดขึ้น มันก็ปัดทิ้งไปแทบจะทันที เพราะมันรู้สึกว่าเรื่องแบบนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้เลย


 


“กฏแห่งความตาย? ความลึกซึ้ง ร่างแฝดแห่งความตาย?”


 


“ชายหนุ่มชุดเทาผู้นั้นไม่เพียงแต่จะเข้าถึงกฏแห่งความตาย…แต่ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายแล้ว 2 ประการ?!”


 


“ด้วยพลังอำนาจของกฏแห่งความตายอันเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุด ต่อให้มันจะไม่มีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิเล่มนั้น แต่มันก็ไม่อ่อนด้อยไปกว่าอวิ๋นจ้านแน่!”


 


“ตอนนี้มันใชกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ…เช่นนั้นใครจะตายก็ไม่ต้องสงสัยแล้วล่ะ”


 


“เจ้ายังต้องกล่าวอีกหรือ…อวิ๋นจ้านนั่นมันแทบจะคุกเข่าร้องขอชีวิตหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่รอมร่อแล้ว!”


 


“เหอะๆ อวิ๋นจ้านนั้นคงไม่คิดไม่ฝันเลยสินะ ว่ามันจะเตะโดนตอเหล็กเข้าให้!”


 



 


ได้ยินคำพูดของเชวียจิงอวี่ หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และรู้สึกว่าอวิ๋นจ้านคงลืมพกดวงออกจากบ้านมาเป็นแน่ ถึงได้ไปหาเรื่องปีศาจร้ายเช่นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้


 


ปงงง!


 


ทันใดนั้นเองเสียงแตกระเบิดของอากาศพลันดังขึ้น จากนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันน่าพะรั่นพรึงบีบคั้นกดดันไปในบรรยากาศ พอมองไปจึงพบว่า ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่สองตาแดงฉานนั่น ไม่ทราบถือกระบี่สีคราม 3 ฉื่อไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และกำลังโจนทะยานเข้าหาอวิ๋นจ้านอันปกคลุมไปด้วยธุลีคลีสั่นสะเทือนด้วยความเร็วสูง!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 



 


และทันทีที่ร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นวูบร่างมาห่างอวิ๋นจ้านไม่กี่สิบก้าว กระบี่ในมือก็ถูกตวัดฟันออกไปฉับไว หนึ่งลมหายใจอุบัติรังสีกระบี่หลายร้อยสาย พุ่งเข้าใส่อวิ๋นจ้านจากทุกทั่วสารทิศปานข่ายฟ้าแหสวรรค์ ไร้หนทางให้อวิ๋นจ้านหลีกหนี!


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เป็นอวิ๋นจ้านที่กล่าวคำยอมแพ้ปะทุพลังชั่วชีวิตซัดพลังเข้าใส่ข่ายรังสีกระบี่ หมายบุกทะลวงฝ่าออกไป!


 


อย่างไรก็ตามข่ายรังสีกระบี่เพียงชะงักลงไปไม่กี่จังหวะ หากแต่ไร้วี่แววจะพังทลาย พาลให้ใบหน้าอวิ๋นจ้านกลับกลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันที!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


เสีงระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้นประหนึ่งเสียยงรัวกลองศึก


 


เป็นอวิ๋นจ้านที่พบว่าพลังขุมแรกไม่อาจฝ่าข่ายรังงสีกระบี่ได้ เร่งชักอุปกรณ์อมตะระดับราชาคู่กายออกมา ทุ่มพลังชั่วชีวิตหมายทะลวงฝ่าข่ายรังสีกระบี่อีกครั้ง ก่อนที่ร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะคอนกระบี่มาถึง


 


อย่างไรก็ตามไม่ว่ามันจะทุ่มเทพลังจู่โจมเบิกทางมากเท่าไหร่ แต่ข่ายรังสีก็แค่สั่นสะเทือนไปเท่านั้น ไม่ถูกทำลายลงแต่อย่างไร ทำให้ความสิ้นหวังเริ่มฉายชัดบนใบหน้าทันที!


 


“คุณชาย! ข้ายอมแพ้แล้ว! ได้โปรดเมตตาละเว้นข้าด้วย!!”


 


“ขอเพียงท่านเมตตาละเว้นข้า ทุกสิ่งที่ข้ามีข้ายินดีมอบมันให้ท่าน!!”


 


“ยั้งมือด้วย!!”


 


เมื่อเห็นว่ารังสีกระบี่ที่ร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋อวิ๋นนั้นทรงพลังสุดที่มันจะทำลายได้ และพุ่งเริ่มฝ่าละอองธุลีคลีหนาเตอะดั่งปราการแกร่งของมันเข้ามาได้ง่ายดายปานหั่นเต้าหู้ อวิ๋นจ้านก็เร่งร่ำร้องออกมาด้วยความสิ้นหวังไม่หยุดปาก


 


และวินาทีนี้ทุกคนที่อยู่เหนือหุบเขากาลเวลา ล้วนได้ยินถึงความสิ้นหวังในน้ำเสียงของอวิ๋นจ้านชัดเจน และพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความเวทนาสงสารขึ้นมาประการหนึ่ง


 


เพราะหากพวกมันตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับอวิ๋นจ้าน ไม่พ้นก็คงทำได้แค่ร้องขอความเมตตาแบบนี้


 


“ไม่—-!!”


 


จากนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นอีกครั้ง และยังเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่หุบเขากาลเวลาจะหวนกลับสู่ความสงบ บ่งบอกว่าเรื่องราวเล็กๆฉากหนึ่งได้จบลงแล้ว…


 


ผ่านไปเนิ่นนาน ก็ไม่มีใครกล่าวคำใดออกมาแม้ครึ่งคำ ทุกคนเอาแต่มองจ้องไปยังหลิงเจวี๋ยอวิ๋น และสายตาที่พวกมันใช้มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอนนี้ ก็ต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


 


เพราะสำหรับพวกมันแล้ว บัดนี้พลังอำนาจสะกดข่มของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้ด้อยไปกว่าต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย กระทั่งพวกมันยังหวาดกลัวหลิงเจวี่ยอวิ๋นมากกว่าด้วยซ้ำ! เพราะหลิงเจวี๋อวิ๋นนั้นเข้าใจกฏแห่งความตาย ส่วนต้วนหลิงเทียนเข้าใจกฏแห่งดิน!!


 


“ด้วยพลังฝีมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพร้อมด้วยกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิเล่มนั้น เรียกว่าทรงพลังมากพอให้ประมือกับต้วนหลิงเทียนได้สบาย…แต่มันกลับเลือกขึ้นไปนั่งบนแท่นศิลาชั้นสองก่อน ไม่คิดจะช่วงชิงอะไรกับต้วนหลิงเทียนแต่แรก นี่เป็นเพราะอันใดกัน?”


 


ไม่นานก็เริ่มมีคนสงสัย


 


“ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ?”


 


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวตอบ “หรือเจ้ามิเห็นว่าหลิงเจวี่อวิ๋นนั่นปรากฏตัวขึ้นกลุ่มเดียวกับต้วนหลิงเทียน? ทั้งคู่สมควรรู้จักกันมาก่อนแน่! ผู้ใดจะไปรู้ที่แท้อาจจะเป็นสหายสนิทกันก็เป็นได้!!”


 


“มิผิด ทั้งคู่ล้วนเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอายุไม่ถึงร้อยปี แถมยังมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเหมือนกันอีก…ข้าเกรงว่าทั้งคู่อาจจะมาจากที่เดียวกัน”


 


“เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่กลับมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิในครอบครอง…ทั้งคู่มาจากที่ไหนกันแน่ และในเมื่อที่แห่งนั้นมั่งคั่งถึงขนาดนี้ ไฉนถึงส่งรุ่นเยาว์เข้ามาช่วงชิงในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำกัน? อย่างทั้งคู่กระทั่งแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงน่ากลัวยังไม่มีสมบัติอะไรที่มีค่าพอด้วยซ้ำ…”


 


“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้หรอก…แต่ข้ารู้สึกว่า การที่อัจฉริยะน่ากลัวเช่นทั้งคู่มาปรากฏตัวในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้ ไม่น่าจักเป็นเรื่องบังเอิญ…”


 



 


พอทุกคนเริ่มพูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมา กระทั่งเชวียจิงอวี่ที่พบเจอต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตั้งแต่สถานที่ทดสอบแรกของวังจอมราชันอมตะ ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย


 


หรือที่แท้ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะรู้จักกันมาก่อนจริงๆ?


 


“แต่ไม่ใช่ว่า…ในสถานที่ทดสอบแห่งแรก หลิงเจวี๋ยอวิ๋นชวนต้วนหลิงเทียนไปคุยในห้องโถงเป็นการส่วนตัวหรือไร…”


 


พอคิดถึงจุดนี้เชวียจิงอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว


 


เพราะเมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ถ้าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นรู้จักกันมาก่อนจริง ไฉนต้องหลบไปคุยกันเป็นการส่วนตัวด้วย?


 


อาศัยแค่การส่งเสียงผ่านพลังยังไม่พอหรือ?


 


หลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ไปสักพักแต่เชวียจิงอวี่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ สุดท้ายมันจึงไม่คิดให้เปลืองสมองอีกต่อไป “ช่างเถอะ สุดท้ายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า…ตอนนี้ข้าสนใจแค่กฏแห่งเวลาจะดีที่สุด!”


 


จากนั้นเชวียจิงอวี่ก็เลิกสนใจเรื่องชาวบ้าน และเริ่มสงบจิตสงบใจ หลับตาลงเพื่อสัมผัสพลังอำนาจของกฏแห่งเววลา


 


“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ย่อมสามารถชิงแท่นศิลาของต้วนหลิงเทียนได้ไม่ยาก ไฉนเจ้าไม่ลงมือเล่า?”


 


มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในแท่นศิลาชั้นสองดุจเดียวกับนางพักหนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวถามออกไป


 


ถึงแม้ก่อนที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะลงมือ นางจะได้ฟังจากโอวหยามาแล้วว่าอีกฝ่ายหาได้ธรรมดาไม่ และคิดว่าด้วยมีชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิคงยากที่ใครจะฝ่าการป้องกันเข้าไปได้ง่ายๆ


 


แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่เพียงจะมีการป้องกันอันน่ากลัว แต่ยังมีการโจมตีอันน่ากลัวเพราะกระบี่เล่มนั้นอีกด้วย!


 


และเผลอๆการโจมตีของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะน่ากลัวกว่าการป้องกันด้วยซ้ำ!


 


เพราะสุดท้ายแล้วเท่าที่นางฟังมาต้วนหลิงเทียนก็มีแค่กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ แต่ไม่มีเกราะ! หากคิดสู้ก็ย่อมมีเปรียบต้วนหลิงเทียนอยู่หลายส่วน!!


 


“แล้วมันเป็นธุระกงการอะไรของเจ้า?”


 


ได้ยินคำถามของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หันไปเหลือบมองนางด้วยสายตาเฉยเมย เอ่ยออกด้วยน้ำเสียงรำคาญ จากนั้นก็หลับตาลง และตั้งใจสัมผัสถึงอำนาจของกฏแห่งเวลา


 


คำถามของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนับว่าจี้ใจดำมันอยู่บ้าง


 


ก็ใช่ มันไม่กลัวต้วนหลิงเทียนเลย…


 


อย่างไรก็ตามบัดนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังจะกลายเป็นเจ้านายของ ‘หวงเอ้อ’ คนที่มันเห็นไม่ต่างอะไรจากพี่สาวแท้ๆแล้ว และต่อไปความเป็นความตายของนางก็ขึ้นอยู่กับหนึ่งความคิดของต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ต้วนหลิงเทียนไม่พอใจหรือคิดเอาโทสะไปลงกับหวงเอ้อภายหลัง มันจึงเลือกยอมลงให้ต้วนหลิงเทียน อะไรทนได้ก็ทน ไม่คิดขัดใจอีกฝ่าย


 


“เจ้า…”


 


เมื่อเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเองก็ไม่ต่างอะไรจากต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย ทำราวกับนางเป็นเห็บหมาน่ารำคาญ ไม่มีความสุภาพไว้หน้านางแม้แต่น้อย ต่างจากเหล่าบุรุษมากมายที่เคยรุมล้อมนางดั่งแมลงวันตอมบุปผา ทำให้สีหน้ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมืดลงไม่น้อย


 


และตอนนี้นางอยากหยิบกระจกมาชมดูนัก ว่าใช่ความงามกับเสน่ห์ของนางลดลงหรือไม่


 


อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้รู้เลยว่าชาติกำเนิดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเคยเห็นคนที่งดงามกว่านางมาก่อน ที่สำคัญอาศัยแค่หวงเอ้อที่ตอนนี้ย้ายไปอยู่กับต้วนหลิงเทียนแล้ว ก็เหนือกว่านางหลายขุมไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือความสง่างาม


 


ฟืด! ฟาด! ฟืด! ฟาด!


 



 


หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆและผ่อนออกยาวๆหลายรอบ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ระงับอารมณ์เหวี่ยงวีนในใจได้สำเร็จ จากนั้นก็ไม่คิดสืบสาวหาความอะไรต่อ หันมาทุ่มเทความสนใจให้กับการสัมผัสพลังอำนาจของกฏแห่งเวลาแทน


 


ขณะเดียวกัน คนอื่นๆเองก็เริ่มฟื้นคืนสติจากอาการตกตะลึงที่เห็นการลงมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นและกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิที่อีกฝ่ายควักออกมา และเริ่มสนใจกับเรื่องของตัวเองต่อ คนที่ยังไม่มีแท่นศิลาก็ไปท้าชิง คนที่มีแล้วก็เริ่มเข้าสู่ภวังค์


 


หลังจากผ่านไป 1 วัน 1 คืน ในที่สุดสถานการณ์เหนือหุบเขากาลเวลา ก็ตกอยู่ในความสงบ


 


ทุกคนล้วนมีแท่นศิลาเป็นของตัวเอง


 


และแท่นศิลาด้านบนสุดเหนือหุบเขากาลเวลานั้น ต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่แม้ผิวเผินจะเห็นว่ากำลังทำความเข้าใจกฏแห่งเวลาอย่างสงบ แต่ที่จริงในใจนั้นปั่นป่วนไม่น้อย


 


‘กฏแห่งเวลาช่างลี้ลับและยากหยั่งถึงจริงๆ…บ้างเร็ว บ้างช้า บ้างหยุดนิ่ง…อีกทั้งพลังอำนาจที่แฝงเร้นอยู่ในค่ายกลก็สมควรเป็นพลังจากความลึกซึ้งอย่างคววามหมายแห่งเวลาเท่านั้น…’


 


ต้วนหลิงเทียนที่ครองแท่นศิลาบนสุดและเข้าสู่ภวังค์ก่อนใคร เป็นธรรมดาว่าย่อมสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลา ก่อนใคร


 


แน่นอนว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลา แล้ว ก็บ่งบอกว่ามีโอกาสที่เขาจะเข้าใจความหมายแห่งเวลา


 


‘เวลา…ไหลไปทุกขณะ’


 


‘ปกติไร้ผู้ใดสามารถหลีกหนีอำนาจแห่งเวลา เว้นเสียแต่จะมีอุปกรณ์อมตะรดับจักรพรรดิอย่างเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ที่ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงพลังอำนาจแห่งเวลาได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่ถึงขั้นที่สามารถหยุดเวลาหรือย้อนเวลาได้’


 


‘เวลา หนึ่งห้วงคิดอาจพ้นผ่านไปร้อยปี กระทั่งพันปีในห้วงคิด…กระทั่งหนึ่งห้วงคิด ก็อาจผ่านพ้นหลายวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด…’


 



 


จิตใจต้วนหลิงเทียนจมจ่อมอยู่กับพลังอำนาจที่แผ่ซ่านลงมาจากพลังของค่ายกลเหนือฟ้า มุ่งเน้นสัมผัสและทำความเข้าใจความหมายแห่งเวลาที่เอ่อล้นไปทั่วอณูอากาศ ตัดขาดจากสรรพสิ่งอื่นใดอย่างสมบูรณ์


WSSTH ตอนที่ 3,028 : ออกมากันแล้ว!


 


 


 


ถึงแม้การลงมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก่อนหน้าจะก่อให้เกิดเสียงรบกวนมากแค่ไหน แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย


 


กล่าวอีกอย่าง ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ


 


ตอนนี้นอกเหนือจากสำนึกเทวะส่วนหนึ่งที่แผ่ออกไประวังภัยให้สามารถตื่นขึ้นยามมีจิตมุ่งร้ายแล้ว เขาได้ปิดโสตสัมผัสลงอย่างสมบูรณ์ เรียกว่าทุ่มความสนใจไปกับการสัมผัสพลังอำนาจของความลึกซึ้ง ‘ความหมายแห่งเวลา’ อย่างเดียว


 


ตอนนี้หากนับรวมต้วนหลิงเทียนแล้ว ผู้คนที่กำลังจมสู่ภวังค์สัมผัสความหมายแห่งเวลาบนแท่นศิลาที่ลอยล่องเหนือหุบเขากาลเวลา ก็มีอยู่ 40 กว่าคน เรียกว่าทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งระดับแนวหน้าในบรรดาผู้ที่เข้ามาแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ


 


สำหรับคนอื่นๆนั้น ยังคงต่อสู้ช่วงชิงอยู่ด้านนอกวังจอมราชันอมตะ เพื่อรอเวลาที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำจะเปิดออกอีกครั้ง จะได้กลับออกไปจากสถานที่ฆ่าฟันแห่งนี้เสียที


 


และในระหว่างรอคอยเวลา ก็ไม่มีใครผ่อนคลายความระวัง เพราะรู้ตัวดีว่าอาจถูกผู้อื่นเข่นฆ่าเอาได้ทุกเมื่อ ถึงตอนนั้นหนึ่งชีวิตและคะแนนสะสมที่เหน็ดเหนื่อยได้มา ก็กลายเป็นความสำเร็จของผู้อื่นแล้ว


 


“เฮ่อ…ไม่รู้ว่าน้องต้วนกับน้องเล็กเป็นอย่างไรกันบ้าง”


 


ณ เชิงภูเขาไฟที่ระอุแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างที่กำลังเหินข้ามธารลาวาเดือดพล่านพึมพำกับตัวเองเบาๆ


 


เป็นชายหนุ่มรูปงาม ถือหอกยาว 7 ฉื่อในมือ ดูจากสภาพมอมแมมทั้งอิดโรยของมันแล้ว บ่งบอกให้รู้ว่ามันเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียไม่น้อย


 


หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ ก็สมควรจำคนผู้นี้ได้ทันที เพราะมันไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นหวงเจียหลงนั่นเอง!


 


อีกฝ่ายยังกล่าวได้ว่าเป็นสหายคนแรกของต้วนหลิงเทียน หลังจากที่เขาเดินทางออกจากพื้นที่ชายแดนมายังภาคกลาง


 


และมองจากชุดคลุมที่ขาดแหว่งทั้งมีรอยเลือดสดๆ ก็บ่งบอกให้รู้ว่ามันสมควรพึ่งผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมาเป็นแน่ อย่างไรก็ตามมองจากคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ก็บอกให้รู้ว่ามันเป็นฝ่ายได้ชัย!


 


“ในที่สุดก็เกินสิบแต้มซะที…”


 


หวงเจียหลงที่หยิบป้ายหยกสะสมคะแนนขึ้นมาตรวจสอบ พอพบว่าในป้ายมีคะแนนสะสมถึง 11 แต้มแล้ว ใบหน้ามอมแมมของมันก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มสดใสออกมา


 


อย่างไรก็ตามถึงแม้หวงเจียหลงจะสะสมคะแนนได้เกิน 10 แต้มแล้ว กลับไม่ถูกเรียกหาโดยยวังจอมราชันอมตะ


 


จากจุดนี้จึงเห็นได้ชัดว่า ความเร็วในการสะสมแต้มของหวงเจียหลง มันช้ากว่าที่วังจอมราชันอมตะกำหนดไว้


 


และในปัจจุบันนอกจากหวงเจียหลง ก็มีคนอีกไม่น้อยที่มีคะแนนเกิน 10 แต้ม แต่ไม่ได้ไปวังจอมราชันอมตะ


 


เป็นธรรมดาว่าผู้คนที่ไม่ได้ไปวังจอมราชันอมตะ ก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไร และยังคงเข่นฆ่าผู้อื่นไม่หยุดยั้งปานเพลิงโหมกระหน่ำ


 


พวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้ มีสิ่งที่เรียกว่าวังจอมราชันอมตะดำรงอยู่ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือสถานที่แห่งโอกาสที่มีค่าที่สุด


 


โอกาสที่ดีที่สุดในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้ ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากโอกาสในการทำความเข้าใจความหมายแห่งเวลา ความลึกซึ้งของกฏแห่งเวลาอันเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ยากจะพานพบ ซึ่งจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ตั้งใจทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลัง!


 


เป็นธรรมดาว่าผู้ที่มีโอกาส ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งเวลาได้เสมอไป เรียกว่าแค่มีโอกาสเท่านั้น


 


นอกจากนั้นก็ยังมีคนบางส่วนที่ยังนั่งบ่มเพาะพลังอย่างสงบในห้องหับเล็กๆของวังจอมราชันอมตะไม่กล้าออกไปไหน  หลีกหนีไฟสงครามและการเข่นฆ่าได้อย่างสมบูรณ์


 


ในบรรดากลุ่มคนดังกล่าว 1 ในนั้นก็คือหวงเจียเชา!


 


เหตุไฉนที่คนเหล่านี้ไม่กล้าออกจากห้องหับเล็กๆ ก็ด้วยสำเหนียกถึงพลังฝีมือของตัวเองดี และที่พวกมันมาถึงที่นี่ได้ ก็ด้วยมีคนให้ความช่วยเหลือในการเก็บคะแนนเสียเป็นส่วนใหญ่


 


ดุจเดียวกับหวงเจียเชา


 


เหตุไฉนที่ในป้ายหยกสะสมคะแนนของมันถึงมีคะแนนสะสมเกิน 10 แต้มได้ ล้วนเป็นเพราะความช่วยเหลือจากต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น ไม่ใช่ได้มาด้วยพลังฝีมือของตัวเอง


 


และภายในวังจอมราชันอมตะ สิ่งนี้ถือว่าเป็นการ โกง!


 


‘ไม่รู้ว่าตอนนี้น้องต้วนเป็นอย่างไรแล้ว…สมควรออกจากห้องหับเล็กๆนี่ไปแสวงหาโอกาสในวังจอมราชันอมตะแล้วกระมัง…’


 


หวงเจียเชาลอบกล่าวในใจ ‘อย่างไรเสียด้วยพลังฝีมือของน้องต้วน เรื่องเอาตัวรอดคงไม่ยากเย็นอะไร’


 


คิดถึงจุดนี้ หวงเจียเชาก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


ตอนนี้หวงเจียเชาก็ไม่ได้รู้เลย


 


ว่าต้วนหลิงเทียนที่เข้าไปช่วงชิงโอกาสในวังงจอมราชันอมตะนั้น กล่าวไปยังได้สิ่งดีๆไปมากกว่าใคร…


 



 


ณ น่านฟ้าเหนือบริเวณใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน ใกล้ๆกับบริเวณที่ปรากฏประตูทางเข้าออกกแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ


 


“หย่งเอ๋อ!!”


 


เสียงร้องโหยหวนหนึ่งดังขึ้น ดึงดูดความสนใจคนบางส่วนเล็กน้อย เพราะหลายๆคนเริ่มชินชากับเสียงร้องโหยหวนด้วยความโศกเศร้าแล้ว


 


เพราะคนที่เข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น เรียกว่าทยอยกันตายตกเรื่อยๆ ผู้ที่เผชิญกับบความสูญเสียยังมีมากกว่าครึ่งเสียอีก


 


ที่สำคัญผู้ที่ตายตกไป ก็ล้วนมีฐานะความเป็นมาไม่เลวทั้งสิ้น


 


หูหลินอี้ ฮ่องเต้ฝูชิวพยามกวาดตามองรายชื่อในตารางจัดอันดับ ตั้งแต่รายชื่อแรกจนถึงรายชื่อสุดท้ายอีกครั้ง ราวกับเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะเห็นชื่อลูกชายของมันบนนั้น


 


อย่างไรก็ตามมันที่ไล่ดูชื่อจนจบอีกรอบ ก็ไม่พบว่าจะมีชื่อหูจี้หย่งอยู่ที่ใดเลย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายได้ตายตกไปในแดนสววรค์ใต้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


จะอย่างไรหูจี้หย่งก็คือบุตรชายที่โดดเด่นที่สุดของมัน การตายของอีกฝ่ายย่อมทำให้มันเศร้าโศกเสียใจไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตามพอได้ยินเสียงอุทานหนึ่ง มันก็ดึงสติกลับมาจากความเศร้าทันที


 


“อันดับแรก เปลี่ยนคนแล้ว!!”


 


และทันทีที่เสียงอุทานดังกล่าวดังขึ้น ทุกคนก็หันขวับไปจับจ้องรายชื่อบนสุดของตารางจัดอันดับอย่างพร้อมเพรียง


 


กระทั่งหูหลินอี้ที่เศร้าโศกกับการตายของบุตรชายอยู่ ก็ยังเผลอหันไปมองโดยไม่รู้ตัว


 


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!?”


 


หลังจากที่เห็นว่าอันดับ 1 อย่างมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวถูกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแทนที่ ร่างหูหลินอี้ก็สะท้านไปเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มกวาดตามองอันดับถัดมาทันที


 


อันดับที่ 2 นั้นแต่เดิมเป็นของต้วนหลิงเทียน


 


ทว่าตอนนี้อยู่ดีๆหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่รั้งอยู่ในอันดับ 3 มานานกลับกลายไปเป็นที่ 1 ซึ่งแซงอีก 2 คนไปในคราวเดียว ทำให้ต้วนหลิงเทียนแต่เดิมอยู่ในอันดับ 2 ก็ตกไปอยู่อันดับที่ 3 ทันที!


 


เห็นความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สีหน้าหูหลินอี้ยิ่งกลายเป็นอัปลักษณ์ดูไม่ได้!


 


ลูกชายประเสริฐของมันพึ่งตกตายไปได้ไม่ทันไร…


 


มาตอนนี้อันดับของตัวความหวังอย่างต้วนหลิงเทียน ยังตกจากที่ 2 ไปอยู่ที่ 3 อีก! เรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมันโดยแท้!!


 


“หือ?”


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่ใจหูหลินอี้ดิ่งลง และกำลังจะสายตาออกจากตารางจัดอันดับโดยไม่รู้ตัว มันก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ารายชื่ออันดับที่ 2 กับ 3 บังเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง


 


ต้วนหลิงเทียนนั้น ไต่กลับมาอยู่ในอันดับที่ 2 อีกรอบ! ส่วนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ร่วงตกจากที่ 2 มาเป็นที่ 3 แทน!!


 


“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”


 


นอกจากยอดเซียนอมตะอย่างมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่เข้าสู่แดนนสวรรค์ใต้โบราณ คนของตระกูลมู่หรงที่มาก็มีผู้อาวุโสอีก 2 คน พอพวกมันเห็นว่าอันดับของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวตกจากที่ 1 ไปอยู่ที่ 3 ในพริบตาเดียว สีหน้าก็บิดเบี้ยวไปทันที คล้ายไม่อยากจะยอมรับผลลัพธ์ดังกล่าว


 


“3 อันดับแรกไร้ความเปลี่ยนแปลงมานาน…ไม่คิดเลยว่าพอบังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมา จะพลิกผันกลับกลายครั้งใหญ่ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคนนั้นร่วงจากอันดับที่ 1 ไปยังอันดับที่ 3 เฉยเลย!”


 


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับต้วนหลิงเทียนนั่นมิใช่ผู้ฝึกตนอิสระจากดินแดนพันประเทศหรือไร…ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผู้ฝึกตนอิสระจากดินแดนพันประเทศร้ายกาจขนาดนี้?”


 


“นั่นสิ ผู้ฝึกตนอิสระสองคนนี้นับว่าผิดปกติยิ่ง…ในอดีตไม่ว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ไม่เคยมีผู้ฝึกตนอิสระทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเท่าพวกมันมาก่อน”


 


“มิผิด ไม่เคยมีผู้ฝึกตนอิสระคนใดทำผลงานได้ดีขนาดนี้มาก่อนเลย แต่คราวนี้นับว่าผู้ฝึกตนอิสระได้สร้างผลงานที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ขึ้นมาแล้ว!”


 


……


 


เนื่องเพราะอยู่ๆมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ร่วงจากอันดับ 1 มาอยู่ที่ 3 ผู้คนที่ลอยเหนือทะเลสาบอวิ๋นเยียนก็เริ่มฮือฮาขึ้นมาไม่น้อย


 


ราวๆครึ่งเดือนต่อมา


 


ความว่างเปล่าเหนือบริเวณใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน อยู่ๆก็เริ่มบังเกิดการสั่นสะเทือน จากนั้นก็เริ่มปรากฏประตูบานหนึ่งผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าอย่างอัศจรรย์ เป็นประตูบานเดียวกันกับที่เปิดออกให้ผู้คนเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ!


 


“ทุกคนกำลังจะกลับออกมาแล้ว!”


 


“ในที่สุดทางออกแดนสวรรค์ใต้โบราณก็เปิดออกเสียที”


 


“ดูเหมือนว่าในที่สุดจำนวนคนที่เข้าไปด้านในก็เหลือแค่ 3 ส่วน…นับว่าการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณครานี้ มีผู้คนตายตกไปมากกว่าครั้งก่อนจริงๆ”


 



 


เมื่อเห็นประตูที่อยู่ๆก็ผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า เหล่าคนของขุมกำลังต่างๆที่ลอยล่องอยู่บนฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน ก็ตระหนักว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณกำลังจะเปิดออกให้ผู้คนด้านในกลับออกมาแล้ว


 


“แดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกคราวนี้ มิคิดเลยว่าจะมีคนที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการตกตายไปถึง 4 คน…ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เรื่องพรรค์นี้ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ”


 


“นั่นสิ สุมาฉุน ตงฟางจิ่นหลุน หลี่หยวน อวิ๋นจ้าน…ทั้ง 4 ล้วนเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดระดับแนวหน้าในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา แต่ไม่คิดเลยว่าทั้งหมดกลับต้องเอาชีวิตไปทิ้งในแดนสวรรค์ใต้โบราณ…”


 


“ข้าไม่ทราบจริงๆว่าใครเป็นคนสังหารพวกมันกันแน่…หลิงเจวี๋ยอวิ๋น? ต้วนหลิงเทียน? มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว หรือที่แท้มีคนกลุ้มรุมสังหารพวกมัน”


 


“ข้าเองก็เดาไม่ออกจริงๆ…คนที่ได้ 3 อันดับแรกอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียน และมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว นับว่าคะแนนไม่หนีกันเลย ถึงคะแนนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจะน้อยกว่าอันดับที่ 2 อย่างต้วนหลิงเทียน แต่ก็น้อยกว่ากันแค่ 12 แต้มเท่านั้น”


 


“อีกทั้งอันดับที่ 4 ลงไป คะแนนก็แทบจะไล่เลี่ยกันเลย…ยากจะบอกได้จริงๆว่าเป็นผู้ใดเข่นฆ่าสุมาฉุนกับคนอื่นๆกันแน่”


 



 


การเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณรอบนี้ การตายที่ทำให้ผู้คนสนใจมากที่สุดก็คือการตายของคนสี่คน สุมาฉุน ตงฟางจิ่นหลุน หลี่หยวน และอวิ๋นจ้าน


 


ในบรรดา 4 คนที่ว่า


 


สุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนนั้นเป็นอัจฉริยะของตระกูลระดับ 7 อย่างตระกูลสุมาและตระกูลตงฟาง เรียกว่าเป็นอัจฉริยะในรอบหลายพันปีด้วยซ้ำ


 


หลี่หยวนเองก็เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ในรอบหลายพันปีของขุมกำลังระดับ 8


 


สำหรับอวิ๋นจ้านนั้น ค่อนข้างพิเศษหน่อยเพราะมันเป็นถึงผู้อาวุโสคนหนึ่งของขุมกำลังระดับ 8 และที่สำคัญมีอายุเป็นพันปีแล้ว เรียกว่ามันจงใจระงับด่านพลังฝึกปรือเพื่อเข้าไปแสวงหาโอกาสในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำโดยเฉพาะ!


 


ทั้ง 4 คนไม่ว่าใครก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการทั้งสิ้น พลังฝีมือเรียกว่าร้ายกาจอย่างหาตัวจับยากในบรรดาขอบเขตยอดเซียนอมตะ!


 


โดยปกติแล้ว ด้วยพลังฝีมือของทั้ง 4 การเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ก็เสมือนการเข้าไปเดินเล่นชมสวน สมควรไร้อันตรายใดๆทั้งสิ้น และเรื่องจะติดอยู่ใน 10 อันดับแรกก็แทบจะเป็นเรื่องที่นอนมา…


 


ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแต่ทุกคนจะล้มเหลวในการติด 10 อันดับแรก กระทั่งยังเอาชีวิตไปทิ้งในแดนสวรรค์ใต้โบราณอีกด้วย!


 


“อาจมีคนกลุ้มรุมฆ่าพวกมันจริงๆ…หรือไม่แน่ก็อาจมีโชควาสนาอันใดในแดนสวรรค์ใต้ที่มีอันตรายใหญ่หลวง สุดท้ายไม่เพียงจะพลาดสมบัติ แต่ยังถึงขั้นตกตาย”


 


“มิผิด ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ 2 ประการดังกล่าว”


 



 


ในขณะที่ทุกคนกำลังถกกันถึงเรื่องความตายของทั้ง 4 ประตูบานใหญ่ที่ผุดโผล่ออกมาท่ามกลางความว่างเปล่า ก็เริ่มเปิดออก


 


ขณะเดียวกันยอดฝีมือบางคนก็สัมผัสได้ถึงพลังลี้ลับทรงอำนาจหนึ่ง ที่กำลังส่งตัวผู้คนด้านในออกมา


 


“เอ๋? ที่นี่มันที่ไหนกัน?”


 


“ที่นี่มัน…ข้าออกมาแล้วเหรอ มิใช่ว่าเมื่อครู่ข้ายังอยู่ในหุบเขาหิมะรึไง?”


 


“นี่มันอะไรกัน ข้าออกมาแล้ววเหรอ…แต่ไฉนข้ารู้สึกเสมือนมีอะไรบางอย่างขาดหาย…ราวกับข้าหลงลืมอะไรไป”


 


“ข้าออกมาที่นี่ได้ยังไงกัน…เท่าที่ข้าจำได้ ข้าไม่เคยหมดสติอะไรเลยนี่นา?”


 



 


กลุ่มคนที่อยู่ๆก็ถูกส่งตัวออกมา สิ่งแรกที่กระทำคือหันรีหันขวางด้วยสีหน้างุนงง แต่ละคนคล้ายสูญเสียความทรงจำไป และไม่รู้ตัวแม่แต่น้อยว่าไฉนถึงกลับออกมาได้


 


และกลุ่มคนที่ถูกส่งตัวออกมากลุ่มแรกสุดเหล่านี้ ก็คือผู้ที่อยู่ในวังจอมราชันอมตะนั่นเอง


 


“เจียเชา?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่หันรีหันขวางด้วยความงุนงงสงสัย ไม่นานก็พบเห็นหวงเจียเชายืนงงอยู่ท่ามกลางฝูงชนเหมือนกัน


WSSTH ตอนที่ 3,029 : ความทรงจำที่หายไป


 


 


ต้วนหลิงเทียนที่พบว่าอยู่ๆตัวเองก็มาปรากฏบริเวณหน้าประตูทางเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ก็สับสนไม่น้อย


 


ความทรงจำสุดท้ายที่เข้าจำได้ก็คือ…เขาได้พบเจอกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นสุมาฉุน จากตระกูลระดับ 7 อย่างตระกูลสุมา และหลังจากที่สังหารมันได้ เขาก็พบว่าคะแนนสะสมของตัวเองเพิ่มขึ้นเป็น 11 แต้ม


 


และหลังจากนั้น ก็ไม่มีอะไรที่เขาจำได้อีกต่อไป


 


รู้ตัวอีกที เขาก็ถูกส่งออกมาด้านนอกแบบนี้แล้ว


 


‘ข้าจำได้ว่าหลังฆ่าสุมาฉุนไป แต้มในป้ายหยกสะสมคะแนนของข้าก็เพิ่มขึ้นเป็น 11 แต้ม…’


 


ต้วนหลิงเทียนเริ่มตรวจสอบคะแนนสะสมในปายหยกเขาทันที


 


และการตรวจสอบครั้งนี้ ก็ทำให้เขาอึ้งไปพักหนึ่ง ‘คะแนนพวกนี้…มันมาได้ยังไงกัน!?’


 


ไม่อึ้งก็คงไม่ได้ เพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพบว่าในป้ายหยกสะสมคะแนนของเขา กลับมีคะแนนสะสมอยู่ถึง 286 แต้ม!


 


286 แต้ม สิ่งนี้หมายความว่าอะไร?


 


นี่เผยให้เห็นว่าตัวเขาได้ฆ่าคนจนได้รับคะแนนสะสมมาถึง 285 แต้ม! เพราะตอนเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณ เขาก็มีคะแนนสะสมแค่ 1 แต้มเท่านั้น!!


 


‘ในคะแนนสะสม 285 แต้มที่ข้าได้มา…ส่วนที่ข้าจำที่มาของมันได้ก็มีแค่ 10 แต้มเท่านั้น…แล้วอีก 275 แต้มมันมาจากไหนกัน?’


 


ไม่ว่าจะย้อนนึกเท่าไหร่ ต้วนหลิงเทียนก็จดจำไม่ได้เลยว่าแต้มเหล่านี้เขาได้มาอย่างไรกันแน่


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เสียงอุทานหนึ่งก็ดังขึ้นเข้าหูเขาพอดี


 


“ไฉนคะแนนสะสมของข้าถึงได้เพิ่มขึ้นมากนักเล่า…ข้าจำได้ข้ามีแค่ 12 แต้มเท่านั้นนี่นา”


 


“นั่นสิ ข้าเองก็จำได้ว่าข้าเก็บคะแนนสะสมได้ 11 แต้ม แต่ตอนนี้ในป้ายหยกสะสมคะแนนข้ากลับมีคะแนนสะสม 23 แต้ม…”


 


“คะแนนสะสมของข้าเพิ่มขึ้นได้อย่างไรกันแน่นะ…อีกทั้งไฉนข้ารู้สึกเสมือนลืมอะไรบางอย่างไป นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”


 


“ข้าก็เหมือนกัน”


 



 


ผู้คนที่อยู่รอบๆต้วนหลิงเทียนเริ่มกล่าวออกมาด้วยความสงสัย หลายคนยังรู้สึกประหลาดใจกับคะแนนสะสมของตัวเองที่เพิ่มขึ้นมา และงุนงงที่ไม่ทราบว่าตัวเองกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้อย่างไร


 


‘ข้าก็รู้สึกเสมือนความทรงจำของข้าขาดหายไปเช่นกัน…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


ขวับๆ!


 


ตอนนี้เอง ร่างชายหนุ่มในชุดสีเทาคนหนึ่งที่ลอยค้างกลางหาว ได้พยายามหันรีหันขวางยกใหญ่ ยังแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบรอบๆอย่างร้อนใจ สีหน้าของมันเปลี่ยนไปจนดูแทบไม่ได้


 


ชายหนุ่มชุดเทาคนนี้ หากต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นย่อมจดจำอีกฝ่ายได้ทันที


 


เพราะมันไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอัจฉริยะปีศาจจากประเทศตงหมิง ผู้ฝึกตนอิสระ หลิงเจวี๋ยอวิ๋น


 


“ใครกันที่แผ่สำนึกเทวะออกมาอย่างอุกอาจ…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นรึ?”


 


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น…ช้าก่อน ใช้คนเดียวกับที่ได้อันดับ 1 ในตารางจัดอันดับตอนนี้หรือไม่!? ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นผู้ฝึกตนอิสระของดินแดนพันประเทศไม่ใช่หรือไร? โอ สวรรค์อายุมันยังไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!!”


 


“อะไรนะ เจ้านั่นได้อันดับ 1 เรอะ! แถมยังอายุไม่ถึงร้อยปี…หมายความว่าคนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้อายุไม่ถึงร้อยปีงั้นเหรอ!?”


 


“ถึงแม้ข้าไม่รู้ว่ามันทำได้อย่างไร…แต่การเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้ นับว่ามันเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!”


 



 


ผู้ที่กำลังสับสนกับเรื่องราว หลังได้ยินคำอุทานก็หันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ่นทันที ทำให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน


 


อีกทั้งเหล่าผู้ที่ออกมา แม้จะสับสนงุนงง แต่ก็มีไม่น้อยที่เห็นตารางจัดอันดับแล้ว จึงล่วงรู้ว่าผู้ที่ได้อันดับ 1 มีนามว่า หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!


 


อย่างไรก็ตาม ตัวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น ไม่ได้แสสายตาผู้คนมากมายแม้แต่น้อย ยิ่งไม่สนใจคะแนนหรืออันดับอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้มันเหมือนคนหูหนวก ใบหน้ายังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีด กล่าวพึมพำเบาๆกับตัวให้ได้ยินคนเดียว “พี่สาวหงเอ้อไปไหนแล้ว…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”


 


“หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพี่สาวหวงเอ้อในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ?”


 


สีหน้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยิ่งมายิ่งเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก


 


“นอกจากนั้นข้ารู้สึกเสมือนสูญเสียความทรงจำบางส่วนไป…ความทรงจำที่ข้าเสียไปคืออะไรกัน ไฉนข้าถึงนึกไม่ออก!?”


 


หลังจากนั้นหลิงเจวี่ยอวิ๋นที่ตรวจดูคะแนนสะสมในป้ายหยกของตัวเอง พอพบว่ามีคะแนนสะสมอยู่ถึง 298 แต้ม มันก็อึ้งไปคล้ายตัวโง่งมอยู่บ้าง


 


“คะแนนสะสมพววกนี้โผล่มาจากไหนกัน? ข้าจำได้ว่าข้ามี 14 แต้มเท่านั้น…ดูเหมือนความทรงจำของข้าจะเริ่มหายไปหลังจากจุดนี้อีกด้วย!”


 


แววตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยิ่งมายิ่งฉายถึงความร้อนรนเป็นกังวล มันจำไม่ได้จริงๆว่าคะแนนสะสมมาจากไหน และเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่ ที่สำคัญที่สุดก็คือพี่สาวหวงเอ้อของมันหายไปไหนแล้ว!!


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆกำลังแตกตื่น เสียงของผู้อาวุโสตระกูจ่างซุนอยย่าง จ่างซุนฉงฉี พลันดังขึ้น


 


“พววกเจ้าทุกคนอย่าได้แตกตื่น หรือกังวลอันใด”


 


“ในประวัติศาสตร์แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ มีคนที่ถูกส่งกลับออกมาอย่างพวกเจ้าโดยที่สูญเสียความทรงจำไปทุกครั้ง และทุกคนล้วนเสมือนได้เผชิญหน้ากับโชควาสนาบางประการมา…และโชควาสนาที่ว่าก็คือโชควาสนาที่ประเสริฐที่สุดในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ”


 


“และไม่ว่าเป็นผู้ใด ไร้ซึ่งข้อยกเว้น ล้วนมิอาจจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เลย…จะอย่างไรก็ตามทุกคนล้วนมีจุดที่คล้ายกันประการหนึ่ง นั่นก็คือคะแนนสะสมในป้ายหยกของตัวเองเพิ่มขึ้น อีกทั้งในแหวนพื้นที่ยังมีสมบัติมากมายที่มิรู้ว่าได้มากจากไหนเก็บอยู่”


 


“นอกจากนั้นยังมีบางคนที่ตระหนักว่า ตัวเองได้ก้าวถึงหน้าประตูสู่กฏแห่งเวลาแล้ว”


 


ทันทีที่ได้ยินวาจาประโยคสุดท้ายของจ่างซุนฉงฉี ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนที่ถูกส่งออกมาจกแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ สองตาก็ลุกวาวฉายแสงจ้าขึ้นมาทันใด


 


กฎแห่งเวลา?


 


กฏแห่งเวลานั้นเป็นกฏที่พิสดารและยากหยั่งถึงที่สุดใน 4 สูงสุดท่ามกลางสวรรค์และโลก หากเข้าใจกฏแห่งเวลาได้จริง สำหรับุทกคนแล้วนี่ย่อมเป็นเรื่องอันประเสริฐที่สุด!


 


“กฎแห่งเวลา?!”


 


ทันทีที่ได้ยินคำพูดของจ่างซุนฉงฉี ทันใดนั้นอยู่ๆความทรงจำบางส่วนก็ปรากฏขึ้นในหัวต้วนหลิงเทียน


 


และความทรงจำที่ว่า ก็เสมือนการตระหนักถึงอะไรบางอย่างของความหมายแห่งเวลา อันเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งเวลา


 


เวลานั้น บ้างช้า บ้างเร็ว บ้างหยุดนิ่ง…ฯลฯ


 


‘หรือว่า…นี่ก็คือกฏแห่งเวลา?’


 


ใจต้วนหลิงเทียนสะท้านไปทันที


 


และทันใดนั้น เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ดังขึ้นในหัวเขาอย่างประจวบเหมาะ “เจ้าหนู ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ มีค่ายกลสกัดกั้นความทรงจำจัดตั้งเอาไว้ ทำให้ตัวเจ้าสูญเสียความทรงจำไปส่วนหนึ่ง”


 


“ให้มันได้ยังงี้สิ…ข้าต้องเหนื่อยเล่าให้เจ้าฟังจริงๆหรือเนี่ย? เอาล่ะๆ เจ้าตั้งใจฟังให้ดีๆล่ะ ข้าจะเล่าแค่รอบเดียวเท่านั้น”


 


เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินคล้ายรำคาญเล็กน้อยที่ต้องมานั่งเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด


 


“เจ้าฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว รบกวนช่วยบอกเสี่ยวเฟิงให้ข้าที ว่าข้าไม่เป็นอะไร…ความทรงจำของเสี่ยวเฟิงเองก็สมควรหายไป และตอนนี้พอพบว่าวิญญาณของข้ามิได้อยู่ในทะเลวิญญาณ ไม่พ้นต้องร้อนใจแย่แล้ว”


 


ตอนนี้เองเสียงไพเราะทว่าแฝงเร้นไปด้วยความเย็นชาน่าเกรงขามของสตรีนางหนึ่งพลันดังขึ้นในหัวต้วนหลิงเทียน และต้นตอของเสียงสมควรมาจากทะเลวิญญาณภายในดวงจิตของเขา!


 


“เจ้าเป็นใคร?”


 


ได้ยินเสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินนั้นไม่เป็นอะไร เพราะเขารู้แต่แรกว่ามีอีกฝ่ายอยู่ในร่าง แต่สำหรับเสียงสตรีที่ไหนก็ไม่รู้อยู่ๆมาดังขึ้นจากด้านในทะเลวิญญาณของเขา ทำให้หน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนสีไปทันที


 


สตรีนางนี้มาอยู่ในทะเลวิญญาณของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ และทำได้อย่างไร!?


 


ทะเลวิญญาณนั้นเป็นสถานที่อยู่ของวิญญาณเขา อีกทั้งโดยปกติแล้วทองเทพสุดลี้ลับก็คอยแผ่พลังปกปักษ์ดวงจิตของเขาไม่ใช่หรือไร ไหนเลยจะมีอะไรทะลวงฝ่าเข้าไปถึงทะเลวิญญาณของเขาได้?


 


ทว่าตอนนี้ อยู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นจากภายในทะเลวิญญาณของเขา สิ่งนี้หมายความว่าชีวิตของเขาตกอยู่ในกำมืออีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะไม่ให้เขาตื่นตระหนกได้อย่างไร?


 


“เฮ่ๆ เจ้าไม่ต้องชักหน้าเบี้ยวขนาดนั้น เดี๋ยวพอเจ้าฟังข้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดเจ้าก็รู้เองว่านางเป็นใคร…ส่วนเจ้าน้องสาว ไม่ต้องห่วงไป เจ้าหนูนี่หลังได้ยินเรื่องทั้งหมด ต้องช่วยเจ้าเล่ารายละเอียดทั้งหมดกับเจ้าหนูหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแน่นอน”


 


เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นอีกครั้ง และยังทำให้ต้วนหลิงเทียนคลายกังวลลงได้หลายส่วน


 


และเสียงสตรีลึกลับที่ดังขึ้นมาจากทะเลวิญญาณของเขาก็เงียบหายไป คล้ายจะเชื่อฟังคำพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินมาก


 


“เอาล่ะเจ้าหนู ข้าจะเริ่มเล่าตั้งแต่แรกนะ ฟังให้ดีๆล่ะ รอบเดียวไม่มีซ้ำเข้าใจ? ความทรงจำของเจ้าสมควรมีถึงตอนที่ได้พบกับคนที่เรียกว่าสุมาฉุนใช่หรือไม่ และหลังจากเจ้าฆ่ามันตาย เจ้าก็ได้รับแต้มของมันมา จนในป้ายหยกสะสมคะแนนของเจ้ามี 11 แต้ม…”


 


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเริ่มเล่าเรื่องราว “และหากข้าเดาไม่ผิด ความทรงจำของเจ้าสมควรหยุดลงแค่นี้…เพราะว่าหลังจากเจ้าพบว่าตัวเองมีคะแนนสะสม 11 แต้มได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงที่สมควรเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ดังขึ้นจากป้ายหยกสะสมคะแนน หลังจากนั้นก็มีพลังลึกลับหนึ่งผสานเข้ากับสำนึกเทวะเจ้าบางส่วน และชี้นำให้เจ้ามุ่งหน้าไปวังจอมราชันอมตะ…”


 


“ในระหว่างที่เจ้ากำลังเร่งุรดเดินทางไปวังจอมราชันอมตะ เจ้าก็บังเอิญเจอเจ้าหนูนามว่าหวงเจียเชากลางทาง และมันก็กำลังจะถูกผู้อื่นทุบตีจนตายพอดี เจ้าเลยช่วยมันไว้”


 


“หลังจากนั้น เจ้าก็กระเตงขวดน้ำมันเช่นมันไปด้วย…”


(ขวดน้ำมัน = ภาระ)


 


……


 


หลังจากนิ่งฟังปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเล่าเรื่องราวอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดต้วนหลิเทียนก็รับทราบว่าความทรงจำที่หายไปของเขาคืออะไร ขณะเดียวกันก็รับทราบเหตุผลว่าไฉนเขาถึงได้มีคะแนนสะสมมากมายหลายแต้มนัก


 


‘ที่แท้หลังจากที่ข้าฆ่าสุมาฉุนไปแล้ว ข้ายังได้ฆ่าตงฟางจิ่นหลุนกับหลี่หยวนอีก…อีกทั้งสองคนหลังนั่นก็เหมือนกับบสุมาฉุน ล้วนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการแล้วทั้งสิ้น’


 


‘ไม่คิดเลยจริงๆว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ อันเป็นระนาบทวยเทพเดียวกับระนาบทวยเทพบ้านเกิดเค่อเอ๋อในชาติก่อน…แถมหวงเอ้อก็คือจิตวิญญาณกระบี่เทพระดับสูงที่ถือกำเนิดไล่เลี่ยกับจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่สลายไป…สุดท้ายจึงตัดสินใจรับข้าเป็นนายและคิดจะผสานตัวเองเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน กลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่ให้ข้า…’


 


‘นอกจากนี้ข้ายังได้สัญญากับนาง…ว่าวันหน้าหากข้ามีกำลังมากพอจะช่วยนางฆ่าคนล้างแค้น’


 


‘และทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่นางคิดให้ข้าฆ่า ต้องเป็นพวกสารเลวสมควรตาย…’


 



 


หลังได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะได้รับรู้ถึงความทรงจำที่หายไป แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่ามันจะคุ้นเคยแม้แต่น้อย


 


นั่นเพราะแม้ความทรงจำที่หายไปทั้งหมดจะเป็นเรื่องที่เขาได้ทำไว้ แต่เมื่อมันสูญหายไปโดยสมบูรณ์ ก็เสมือนเขาได้ฟังเรื่องราวของคนอื่นเท่านั้น ทำให้มันรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง ถึงคนอื่นที่ว่าจะเป็นตัวเขาเองก็ตามที


 


อย่างไรก็ตามถึงเขาจะรู้สึกแปลกๆ และเหมือนฟังวีรกรรมคนอื่น แต่ในเมื่อปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเล่าให้ฟัง เขาจึงไม่คิดสงสัยในข้อเท็จจริงของเรื่องราว และยังพบอีกว่าสมบัติในแหวนพื้นที่ของเขาตอนนี้ มันสอดคล้องกับเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าไว้ไม่ผิดเพี้ยน


 


ยิ่งไปกว่านั้นหลังได้ฟังเรื่องราวความทรงจำที่หายไปจากปฐพีเทพแรกกำเนิด และลองตรวจสอบสิ่งของในแหวนพื้นที่ดู เขาก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปพักหนึ่ง ด้วยไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าเขาจะเก็บเกี่ยวสมบัติได้มามากมายขนาดนี้ เรียกว่าร่ำรวยไม่รู้เรื่องกันเลยทีเดียว!


 


‘ที่สำคัญ ข้ายังได้รับตำแหน่งที่ดีที่สุดในการสัมผัสถึงความหมายแห่งเวลา จากค่ายกลที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้เหลือทิ้งไว้เช่นนั้นรึ’


 


‘เหตุผลที่พี่เจียเชาถูกส่งตัวออกมาด้วย ก็เพราะข้าเป็นคนช่วยเก็บแต้มให้จนได้ไปวังจอมราชันอมตะ…และการกระทำดังกล่าววังจอมราชันอมตะก็ถือว่าเป็นการโกง สุดท้ายบททดสอบแรกที่ข้าเจอก็เลยยากกว่าผู้อื่นเขา’


 


พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองหวงเจียเชา และพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังเหินร่างเข้ามาหาเขาพอดี


 


“น้องต้วน ข้าจำได้ว่าท่านเป็นคนช่วยชีวิตข้าเอาไว้…แต่หลังจากที่ท่านช่วยข้าแล้ว ข้ากลับจดจำเรื่องราวหลังจากนั้นไม่ได้เลย ความทรงจำของข้าเหมือนจะหายไปตั้งแต่ที่ท่านเริ่มพูดอะไรบางอย่างกับข้า”


 


หวงเจียเชาเอ่ยถึงจุดนี้ ก็ถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเหรอหรา “มิทราบว่าน้องต้วนจำได้หรือไม่ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา


 


ถึงแม้เขาจะรู้แล้วว่าหลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แต่เขาก็ไม่คิดจะบอกหวงเจียเชา


 


เพราะมีคนรู้เรื่องพวกนี้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี


 


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น”


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่หน้าเสียจนแทบจะร่ำไห้ไกลๆ อีกฝ่ายดูไม่เหมือนคนที่กำลังมีความสุขเพราะได้อันดับ 1 แม้แต่น้อย ยังเผยความร้อนรนกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด


 


‘ดูจากสีหน้าปานจะร่ำไห้ของมัน ท่าทางจะพบว่าหวงเอ้อหายไปแล้ว และไม่รู้ว่านางหายไปที่ไหน…แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าเจ้านี่จะเป็นคนของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ แถมยังมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ กระทั่งมีอุปกรณ์เทพติดด้วย’


 


หลังได้ฟังเรื่องราวที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดเล่า ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบถึงเรื่องราวบบางอย่างของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ทำให้เขาจำต้องมองอีกฝ่ายใหม่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)