War sovereign Soaring The Heavens 3016-3029
WSSTH ตอนที่ 3,016 : โคตรตัวประหลาดทั้ง 2!
“นั่นเป็นร่างที่แท้จริงของมัน!”
หลังเห็นฉากประหลาดอย่างมีหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกคนปรากฏตัวออกมาจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ตาแดงฉานปานก้อนโลหิตเข่นฆ่าชายชรา ชายวัยกลางคนที่ลอยร่างไม่ไกลเชวียจิงอวี่ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“ร่างที่มีดวงตาสีเลือดเป็นแค่ร่างแยกของมันเท่านั้น…กล่าวให้ถูกคือร่างแฝดจากพลังแห่งกฏ!”
ชายวัยกลางคนเอ่ยออกเสียงเข้ม
“ดูจากลักษณะร่างกายทั้งการลงมือของมัน…น่ากลัวว่ามันจะเข้าใจ กฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุด!”
ลูกตาของชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ไม่ไกลก็หดหยีลง เอ่ยออกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เท่าที่ข้ารู้มาในบรรดาความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย มีความลึกซึ้งที่เรียกว่า ‘ร่างแฝดแห่งความตาย’ อยู่”
“ร่างแฝดแห่งความตายนั้น สามารถสร้างร่างแฝดที่เหมือนกันกับตัวผู้เข้าใจความลึกซึ้งประการนี้ได้จนแทบแยกไม่ออก อีกทั้งพลังต่อสู้ไม่เว้นการป้องกันก็ไม่ต่างอะไรจากร่างจริง…”
“ที่สำคัญ ร่างแฝดแห่งความตายนั่น ยังสามารถใช้อุปกรณ์อมตะหรือสิ่งของใดๆที่ร่างต้นมีได้ กระทั่งยังใช้ความลึกซึ้งประการอื่นๆที่ร่างจริงเข้าใจได้อีกด้วย!”
“ร่างหลักนั้นสามารถเลือกที่จะต่อสู้เคียงข้างร่างแฝด หรืออาจจะซ่อนตัวในร่างแฝดแห่งความตาย และเฝ้ารอโอกาสออกกระบวนท่าสังหารในห้วงเวลาชี้ขาด!”
ชายหนุ่มกล่าวถึงจุดนี้ สายตาที่ใช้มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ลอยร่างกลางหาวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ซูว!
พร้อมกันนั้นเองร่างแฝดแห่งความตายที่สองตาแดงฉาน ก็หายเข้าไปในร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นราวกับไม่เคยปรากฏออกมาก่อน
พร้อมกันนั้นพลังเซียนอมตะทั่วร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ได้ถูกรั้งกลับเข้าร่างโดยสมบูรณ์ คนลอยร่างค้างกลางหาวด้วยสภาวะปานเมฆคล้อยลอยเอื่อย แลดูสบายๆไม่คล้าเหนื่อยแรงอะไร
“กฎแห่งความตาย?”
“กฏที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเลือกเข้าถึง…กลับเป็นกฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุดเช่นนั้นหรือ? โอจ้าวสวรรค์ช่วย! กฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุดนั่นมิใช่อะไรที่จะเข้าใจได้โดยฝึกปรือวรุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาอันใด จำต้องพึ่งพาโชควาสนา ความบังเอิญในการผจญภัย ทั้งมรดก!”
“ท่ามกลางสวรรค์และโลก พลังแห่งกฏที่เข้าถึงได้ยากที่สุดกก็คือพลังแห่งกฏสูงสุดทั้ง 4…แต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ ทั้งที่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่กลับเข้าใจกฏแห่งความตายแล้ว อีกทั้งยังเข้าใจความลึกซึ้ง 2 ประการอย่าง ‘ความหมายแห่งความตาย’ กับ ‘ร่างแฝดแห่งความตาย’ ได้ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!!”
“นรก! พรสวรรค์มันนับว่าสูงล้ำกว่าต้วนหลิงเทียนหลายขุม! เพราะสุดท้ายกฏที่มันเข้าถึงก็คือกฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุด! ตัวประหลาดเอ๊ย…สองโคตรตัวประหลาด!!”
…
เชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆ บัดนี้ก็กลับมารู้สึกตัวกันหมดแล้ว และพวกมันมต่างตื่นตระหนกกับความแข็งแกร่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเผยออกมาให้เห็นนัก!
ไม่มีใครคิดเลยว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะแข็งแกร่งจนน่ากลัวขนาดนี้ ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าต้วนหลิงเทียนเสียอีก
จากนั้นทั้งหลายก็เริ่มหันมามองหน้าสบตากัน ก่อนที่จะเห็นแววตาระทมทั้งรอยยิ้มขื่นขมของกันและกัน
ในอดีตพวกมันรู้สึกว่าตัวเองก็คืออัจฉริยะยากพบพานอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น พวกมันไม่กล้าเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะอีกต่อไป กระทั่งความมั่นใจยังถูกทำร้ายอย่างแรง!
ต้วนหลิงเทียนอายุไม่ถึงร้อย เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ…
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่อายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน ก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการ…
ขวับ!
หลังฆ่าชายชราไปแล้ว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็คว้าเกราะอมตะระดับราชามาเก็บไว้ และเชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆอีก 5 คนก็ไม่มีใครกล้าที่จะขัดขวางแม้แต่น้อย
พวกมันรู้ดีแก่ใจ ว่าตอนนี้หากทะลึ่งลงมือขัดขวางอะไร ก็คงต้องตายอนาถเยี่ยงชายชราแน่แท้!
“ว่าแต่ผ้าคลุมที่มันใช้ก่อนหน้า…ดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันที่เด่นเรื่องป้องกันมิใช่หรือไร? ด้วยมีพลังของผ้าคลุมนั่นแล้ว ไฉนมันยังต้องการเกราะอมตะระดับราชานั่นอีกเล่า?”
เชวียจิงอวี่อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา
“เหอะๆ”
แทบจะทันทีที่เชวียจิงอวี่บ่นจบคำ ชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลก็หัวเราะเยาะออกมา “ให้ขาถามเจ้าสักคำ หากเจ้ามีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน เจ้ากล้าควักมันออกมาใช้ง่ายๆหรือไม่?”
“มิผิด เนื่องเพราะที่นี่คือวังจอมราชันอมตะ หากพวกเรารอดกลับออกไปย่อมไม่อาจจดจำเรื่องราวใดๆได้ ดังนั้นมันจึงกล้านำอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันออกมาใช้ เพราะมันรู้ดีว่าไม่มีผู้ใดสามารถเปิดโปงเรื่องนี้ได้ เรื่องที่มันครอบครองอุปกรณ์อมตะจอมราชันในที่สุดก็ต้องเลือนหายไป”
“จะว่าไปยังดีที่สถานที่แห่งนี้คือวังจอมราชันอมตะ หาไม่แล้วหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่พ้นต้องฆ่าปิดปากพวกเราหมดสิ้น”
“มันคงไม่กล้าฆ่าคนมั่วซั่วกระมัง…เกิดพวกเราตกตายกันหมด ไม่ใช่จะเร่งให้แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้เปิดออกอีกครั้งรึไร สุดท้ายที่นี่ก็จะเปิดให้กลับออกไปหลังมีคนตายถึงกำหนดนี่นา?”
“จริง! หากคนตายครบกำหนดแล้ว ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าคนที่อยู่ในวังจอมราชันอมตะก็ต้องรีบกลับออกไป ไม่งั้นไม่ใช่จะถูกขังอยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำไปอีกนานหรือไร?”
…
เห็นได้ชัดว่าทุกคนเดาได้ว่าไฉนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นถึงกล้าใช้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันที่นี่ ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าหลิงเจวี๋อวิ๋นคงไม่คิดฆ่าคนไม่เลือกหน้าแน่นอน
“ตอนนี้ของรางวัลจากการผ่านบททดสอบแรกก็ถูก 2 คนนั่นเอาไปหมดแล้ว…พวกเราเล่า ต้องทำอย่างไรกันต่อไป?”
เชวียจิงอวี่หันไปมองรอบๆก็พบว่านอกเหนือจากห้องโถงทั้ง 10 แล้ว มองไปไกลๆก็แลเห็นแต่ความมืดมิดอันไร้สิ้นสุด
คนอื่นๆก็เริ่มค้นหาไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบเช่นกัน หากแต่ไม่มีใครพบเบาะแสหรือวิธีออกไปจากที่นี่เลย
“รอก่อนเถอะ…ข้าว่าคงใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงใด…”
สุดท้ายทั้งหมดก็เห็นพ้องต้องกัน
ขณะเดียวกันเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆก็พบอีกว่า หลังจากที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอาเกราะอมตะระดับราชาตัวสุดท้ายไปแล้ว อีกฝ่ายก็เหินร่างกลับไปยืนบนพื้นข้างๆต้วนหลิงเทียน
“แปลกยิ่ง ไฉนพวกมันถึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขเล่า…หรือตอนที่พวกมันเข้าไปคุยอะไรกันในห้องโถง พวกมันจะทำข้อตกลงอะไรกันไว้แล้ว?”
“อาจเป็นได้…”
“ให้ข้าเดา เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนเลือกจะเหลือเกราะอมตะระดับราชาไว้ตัวหนึ่ง สิบในสิบไม่พ้นจงใจเหลือไว้ให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นแน่นอน!”
“พอพวกเจ้าพูดขึ้นมา ข้าว่ามันก็เข้าเค้าจริงๆ หาไม่แล้วด้วยพลังของต้วนหลิงเทียน ไฉนยังจะเหลือเกราะอมตะทิ้งไว้ตัวหนึ่งโดยไม่เอาไปทั้งหมด!”
“ข้ายังหวังว่าให้ทั้งคู่ต่อสู้ช่วงชิงกันเองอยู่เลย แต่ดูท่าในช่วงสั้นๆคงยากจะมีการปะทะกันแน่”
…
เชวียจิงอวี่และคนอื่นๆได้แต่จับจ้องมองไปยยังต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ยืนไม่ห่างกันอย่างสงบสุข ด้วยความรู้สึกยากบรรยาย
เรียกว่าทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงนั้น เสมือนเมฆดำสองก้อนที่ปกคลุมใจพวกมันเอาไว้ ทำให้พวกมันรู้สึกหดหู่ไม่น้อย
“หลังจากนี้หากเป็นไปได้จำต้องแยกจากพวกมันให้เร็วที่สุด…หาไม่แล้วด้วยมีพวกมัน ยังจะเหลืออะไรตกถึงมือพวกเรา”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
“ข้าเองก็หวังว่าจะมีโอกาสแยกตัวออกห่างพวกมัน…มิฉะนั้น ถึงจะรอดกลับออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทั้งยังมีชีวิตได้จริง แต่คงไม่ได้รับอันใดในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้เลย”
…
ตอนนี้เชวียจิงอวี่และคนอื่นๆวาดหวังว่าจะมีโอกาสแยกทางจากพวกต้วนหลิงเทียนโดยเร็ว เพราะตราบใดที่มีพวกต้วนหลิงเทียนอยู่ เกิดมีสิ่งของดีๆที่พวกมันอยากได้ ก็ไม่พ้นต้องถูกทั้งคู่เอาไปหมดไม่มีเหลือ
หลังผ่านไปสักพักเมื่อทุกคนพบว่าไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็เริ่มหาเรื่องคุยกันฆ่าเวลา
“จะว่าไปแล้ว เท่าที่ข้ารู้มา ยอดเซียนอมตะที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครานี้ ยังมีอีก 7 คนที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการแล้ว”
ชายวัยกลางคนเปิดประเด็นขึ้นมา
“7 รึ? มากขนาดนั้นเชียว? เท่าที่ข้ารู้มีแค่ 5 คนเท่านั้นเอง!”
ชายหนุ่มอีกคนโพล่งออกมาด้วยความตกใจ
…
ด้วยมีเรื่องให้พูดคุยกัน ทุกคนจึงรู้สึกเสมือนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ยังมีสุมาฉุนของตระกูลสุมานั่น มันสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 2 ประการแล้ว พลังฝีมือของมันนับว่าไม่ใช่ธรรมดา…ที่สำคัญว่ากันว่านอกจากความหมายแห่งลมแล้ว ความลึกซึ้งอีกประการที่มันเข้าใจก็คือ ‘ลมกรด’!”
“ลมกรด!? ความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่ขึ้นชื่อเรื่องโดดเด่นในด้านความเร็วน่ะรึ?! เห็นว่าไม่เพียงแต่จะเพิ่มพูนความเร็วในการโจมตีให้ผู้ใช้ ยังสามารถเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ให้ผู้ใช้ได้จมหู!”
“เดิมทีพวกที่เลือกจะตีความกฏแห่งลมก็มีวรยุทธ์หลักสายความเร็วอยู่แล้ว…สุมาฉุนนั่นเห็นว่าเชี่ยวชาญเรื่องกระบี่ไว กอปรกับท่าร่างพิสดารเป็นที่สุด ลองมันมีพลังของลมกรด เกรงว่าคงยากที่จะหาคนต่อกรกับมันได้ หากไม่ใช่คนที่เข้าใจความลึกซึ้ง 3 ประการ เรื่องจะฆ่ามันเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย!”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว! สุมาฉุนนั่นด้วยมีความลึกซึ้งอย่างลมกรดของกฏแห่งลมหนุนเสริม ความเร็วของมันนับว่าไม่เป็นสองรองใครในบรรดายอดเซียนอมตะที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้เลย…และต่อให้มันเจอคนที่มันเอาชนะไม่ได้ มันก็เลือกที่จะหนีได้สบายๆ!”
“วรยุทธ์ใดในใต้หล้า ความเร็วนับเป็นที่สุด! ขอแค่มันเร็วเหนือการลงมือผู้อื่น มันก็เสมือนอยู่ในตำแหน่งคงกระพันแล้ว!”
…
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็ฟังคนพวกนั้นสนทนากันอ่างออกรสด้วยสีหน้าสนใจ แต่พอพวกมันทุกคนเอ่ยถึงสุมาฉุนขึ้นมา สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกไปเล็กน้อย
สุมาฉุน ด้วยความเร็วที่มี มันคงกระพันไร้พ่าย?
“ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้นล่ะ หรือจะรู้จักสุมาฉุนอะไรที่พวกมันพูดถึงด้วย?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นมักจะลอบมองต้วนหลิงเทียนอยู่บ่อยๆ พอเห็นสีหน้าต้วนหลิงเทียนแปลกไป มันก็ส่งเสียงผ่านพลังไปถามด้วยความอยากรู้ทันที
“ก็ไม่ใช่คนรู้จักอะไรหรอก แค่ก่อนจะเข้ามาในวัจอมราชันอมตะ ข้าบังเอิญเจอกับมันเข้า..”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบ
“ได้ตีกันรึเปล่า?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามต่อ
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับ
“มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 2 ประการ ทั้งความลึกซึ้งอีกประการนอกจากความหมายแห่งลมยังเป็นลมกรด…หากเป็นข้าที่ต้องปะทะกับมัน ไม่ใช่อุปกรณ์อมตะจักรพรรดิหรืออุปกรณ์เทพ ปกติแล้วคงฆ่ามันไม่ได้แน่”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูดถึงจุดนี้ ก็หยีตามองต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย “หากเจ้าประมือกับมัน ด้วยความเร็วที่มันมีเว้นเสียแต่เจ้าจะใช้กระบี่เทพในร่าง…คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะฆ่ามัน”
“มัน..ตายแล้วสินะ?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามอีกรอบ
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับอีกครั้ง
“ใช้กระบี่เทพรึ?”
คำถามดังกล่าวของหลิงเจวี่ยอวิ๋น ถูกต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา
ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นย่นคิ้วด้วยความสงสัย ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะกล่าวออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ถาม “ถึงข้าไม่ได้ใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน แต่ข้าก็ใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันน่ะ”
“ก็ใช่หากเจ้าใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันเจ้าอาจมีพลังฆ่ามันได้…แต่ด้วยความเร็วระดับมัน คงยากที่เจ้าจะฆ่ามันได้ เพราะทันทีที่เห็นเจ้าใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชัน มันคงรีบล่าถอยออกไปให้พ้นจากระจู่โจมของเจ้ากระมัง? สุดท้ายแล้วตัดสินจากความลึกซึ้งของกฏแห่งดินที่เจ้าเข้าใจ ความเร็วก็นับเป็นจุดอ่อนของเจ้า”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยสายตามองขาด
“เจ้ายังมองได้ขาดจริงๆ…แต่พอดีข้ายังพอมีฝีมือย่อยอยู่บ้าง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ นับว่าอ่านสถานการณ์ตอนเขาเจอกับสุมาฉุนได้ขาดจริงๆ
ตอนนั้นแม้เขาจะนำอุปกรณ์อมตะจอมราชันออกมาใช้จริง แต่หากไม่ได้พื้นที่แรงงโน้มถ่วงที่เขาพอจะเข้าใจอยู่บ้างช่วยถ่วงรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ เกรงว่าเขาคงไม่อาจฆ่าสุมาฉุนได้จริงๆ
ถึงแม้ว่าพื้นที่โน้มถ่วงของเขาจะยังห่างจากขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นอยู่บ้าง แต่ว่าพลังของมันก็สามารถนำมาใช้งานจริงได้แล้ว และมีส่งผลกระทบต่อผู้อื่นมากพอสมควร ในห้วงเวลาสำคัญสามารถใช้มันเป็นจุดเปลี่ยนได้
ตอนที่เขาประมือกับสุมาฉุนวันนั้น ก็ด้วยพื้นที่โน้มถ่วงที่ดูดรั้งสุมาฉุนเอาไว้ทำให้ความเร็วของมันตกลง ก็เลยทำให้เขาฆ่ามันได้ในที่สุด
หากไม่มีพื้นที่โน้มถ่วง สุมาฉุนย่อมสามารถหลบหนีไปได้แน่ๆ
“ฝีมือย่อยหรือ ฝีมือย่อยอันใด?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามด้วยความสนใจ
แต่ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตอบคำอะไรหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เขาพลันพบว่าทั่วร่างรู้สึกหวิวๆ และความรู้สึกเสมือนร่วงตกจากที่สูงก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นสายตาเขาก็เหมือนจะมืดดับไปวูบหนึ่ง ก่อนที่จะปรากฏแสงจ้าแยงตา พอรู้ตัวเขาก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไป แต่มาปรากฏตัวในสถานที่แห่งใหม่แล้ว
WSSTH ตอนที่ 3,017 : น้ำพิฆาตวิญญาณ!
หลังผ่านพ้นประสบการณ์ร่างหวิวราวกับตกจากที่สูงและสายตามืดบอด ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนที่กลับมามองเห็นเรื่องราวอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนแท่นศิลาขนาดใหญ่แท่นหนึ่ง ส่วนเบื้องหน้าก็เป็นดั่งหุบเหวลึกไร้สิ้นสุดปานจะดิ่งลงไปถึงก้นบึ้งของนรก
“ที่นี่ที่ไหน?”
“พวกเราออกจากพื้นที่บททดสอบแรกแล้วรึ?”
“ที่นี่จะใช่สถานที่รับบททดสอบที่ 2 ของวังจอมราชันอมตะหรือไม่?”
…
เสียงซุบซิบถามไถ่เริ่มดังระงมเข้าหูต้วนหลิงเทียน พอเขาหันรีหันขวางไปรอบๆ ก็พบว่านอกจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับคนที่เจอก่อนหน้าแล้ว ยังมีคนอื่นๆที่เขาไม่รู้จักเพิ่มมาอีก 8 คน
ทันใดนั้นสายตาของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่เว้นพวกเชวียจิงอวี่ที่เหลือก็หันไปจับจ้องมองสำรวจ 8 คนที่ไม่คุ้นหน้าทันที
ในบรรดา 8 คนที่ไม่คุ้นหน้านั้น มีชายวัยกลางคน ชายหนุ่ม และก็สตรีนางหนึ่งที่มีรูปโฉมงดงาม ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นงดงามเกินห้ามใจ ยากหาสตรีใดเสมอเหมือน แต่ก็นับว่ามีเสน่ห์ไม่ใช่เล่น
“นั่นมัน…ตงฟางจิ่นหลุน!”
เชวียจิงอวี่ที่สายตาไปหยุดลงยังร่างชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์เรียบง่ายคนหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าของมันยังเริ่มเต็มไปด้วยความหวาดกลัวหลายส่วน
“ตงฟางจิ่นหลุน!?”
ทันใดนั้นหลายๆคนที่อยู่ไม่ห่างเชวียจิงอวี่เท่าไหร่ ก็เริ่มหันไปมองตามสายตามันทันที จากนั้นจึงแลเห็นชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์ที่ว่า
“เป็นตงฟางจิ่นหลุนผู้นั้นจริงๆ!!”
“ตงฟางจิ่นหลุนผู้นี้ นับเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในรอบหมื่นปีของตระกูลตงฟาง อายุของมันพึ่งจะ 200 ปีเศษๆเท่านั้น แต่กลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งสายฟ้าได้ 2 ประการแล้ว!”
…
เห็นได้ชัดว่าในกลุ่มของต้วนหลิงเทียนยังมีคนรู้จักอีกฝ่ายไม่น้อย
“ตงฟางจิ่นหลุนรึ?”
ต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปตามสายตาของพวกเชวียจิงอวี่ ในที่สุดก็เห็นชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์คนหนึ่ง
ชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์ที่ว่า มีรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้ารูปเหลี่ยม คิ้วหนาตาโตริมฝีปากหนาให้ความรู้สึกดุดัน
มันยืนอยู่ตรงนั้นดั่งหอคอยเหล็ก นิ่งสงบไม่ไหวติงดั่งภูผา แม้จะได้ยินเสียงอุทานทักของพวกเชวียจิงอวี่ คนก็ยังคงเฉยเมยไร้แสสิ่งใด
“ตงฟางจิ่นหลุน เป็นทายาทสายตรงของสกุลตงฟางอันเป็นตระกูลระดับ 7 อายุได้ 200 ปีเศษ แต่เข้าใจความลึกซึ้งอย่าง ‘ความหมายแห่งสายฟ้า’ และ ‘อัสนีฟาด’ ของกฏแห่งสายฟ้าแล้ว”
ก่อนหน้าที่พวกเชวียจิงอวี่สนทนาฆ่าเวลากันเรื่องยอดฝีมือระดับแนวหน้าที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ก็มีเอ่ยถึงตงฟางจิ่นหลุนผู้นี้เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงพอจะรับทราบความเป็นมาของอีกฝ่ายคร่าวๆ รู้ว่าอีกฝ่ายนับเป็นยอดเซียนอมตะที่โดดเด่นคนหนึ่ง ในแง่ของความเร็วยังไม่ได้ด้อยไปกว่าสุมาฉุนที่เขาฆ่าทิ้งไปด้วยซ้ำ
ความลึกซึ้งของกฏสายฟ้าอย่าง ‘อัสนีฟาด’ นั้น กล่าวไปในแง่ของการเพิ่มพูนความเร็วแล้วก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า ลมกรด อันเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งลมเท่าไหร่ ขณะเดียวกันยังนับเป็นความลึกซึ้งที่ค่อนข้างทรงพลังไม่น้อยของกฏแห่งสายฟ้า
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
เชวียจิ่งอวี่และคนอื่นๆ เร่งรุดเหินร่างมาหยุดยืนด้านหลังต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที เห็นได้ชัดว่าพวกมันคิดใช้ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นเกราะกำบัง
เพราะสำหรับพวกมัน ให้เทียบกับต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว อีก 8 คนนั่นอันตรายกว่า!
“สตรีนางนั้น…ไฉนข้ารู้สึกว่าหน้านางคุ้นๆนักนะ?”
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆเชวียจิงอวี่ หลังสังเกตเห็นสตรีที่ยืนอยู่เพียงลำพังในบรรดาคนทั้ง 8 ไกลๆ ก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา
“นางก็คือ โอวหยา จากด่านน้ำแข็งยะเยือก”
เชวียจิงอวี่เอ่ยออกเสียงหนัก
ในฐานะองค์ชายรองที่โดดเด่นที่สุดในบรรดายอดเซียนอมตะของประเทศหนันฉี่แห่งดินแดนพันประเทศในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว มันมักติดตามฮ่องเต้หนันฉี่ไปเยี่ยมขุมกำลังหลักต่างๆเพื่อสานไมตรี จึงมีโอกาสได้พบอัจฉริยะในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวหลายคน
ไม่ว่าจะเป็นตงฟางจิ่นหลุนของตระกูลระดับ 7 อย่างตระกูลตงฟาง หรือโอวหยาแห่งด่านน้ำแข็งยะเยือกอันเป็นขุมกำลังระดับ 8 มันก็เคยพบปะสนทนากันมาแล้ว
แต่เป็นธรรมดาว่ามันจดจำผู้อื่นได้ แต่ผู้อื่นไม่แน่ว่าจะจดจำมันได้
“ด่านน้ำแข็งยะเยือก โอวหยา?”
“ข้าเคยได้ยินชื่อเสีงเรียงนามของโอวหยาแห่งด่านน้ำแข็งยะเยือกมาบ้าง เห็นว่านางยังเป็นอัจฉริยะหญิงที่พลังฝีมือร้ายกาจอย่างยากจะพบพานในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว…อายุไม่ถึง 200 ปี แต่กลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏน้ำแข็งได้ 2 ประการแล้ว!”
“วัดกันในแง่พลังฝีมือ โอวหยาแห่งด่านน้ำแข็งยะเยือกผู้นี้ ยังร้ายกาจยิ่งกว่าตงฟางจิ่นหลุนเสียอีก…แต่กระนั้นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็สมควรสยบนางได้อย่างไร้ปัญหา”
…
คนที่มาหลบด้านหลังต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น หลังเหลือบมองสตรีหนึ่งเดียวในอีก 8 คนที่ไม่คุ้นหน้าสักพัก ก็วกกลับมามองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
“โอวหยา?”
ต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองโอวหยาที่ยืนอยู่ไกลตาเช่นกัน เขาเองก็เคยได้ยินพวกเชวียจิงอวี่เอ่ยถึงความเป็นมาของนางมาก่อน จึงรู้ว่านางมาจากขุมกำลังระดับ 8 ด่านน้ำแข็งยะเยือก และเป็นอัจฉริยะหญิงที่โดดเด่นของที่นั่น
ถึงแม้ด่านน้ำแข็งยะเยือกจะจัดเป็นขุมกำลังระดับ 8 ก็จริง แต่พลังรบโดยรวมของพวกมันนับว่าเหนือกว่าขุมกำลังระดับ 8 ทั่วไปมาก
อย่างน้อยๆก็ไม่มีประเทศระดับ 8 ใดในดินแดนพันประเทศ สามารถเทียบกับด่านน้ำแข็งยะเยือกได้
และวรยุทธ์อมตะประจำด่านน้ำแข็งยะเยือก ก็เป็นวรยุทธ์อมตะระดับราชาที่มีกฏน้ำแข็งแฝงเร้นเอาไว้ ทำให้ผู้ฝึกสามารถเข้าใจความหมายแห่งน้ำแข็ง และความลึกซึ้งอีกประการอย่าง เยือกแข็ง ของกฏน้ำแข็งได้
‘ความลึกซึ้ง เยือกแข็ง ของกฏน้ำแข็ง…แค่ฟังชื่อความลึกซึ้งนี่ ก็บอกได้ว่าสมควรเป็นความลึกซึ้งที่มีพลังอำนาจแช่แข็งคู่ต่อสู้…’
ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดาในใจ
ส่า!
ส่า!
…
ไม่นานหลังจากที่คน 2 กลุ่มปรากฏตัว ก็บังเกิดเสียงดังขึ้นมาจากเบื้องหน้า ฟังแล้วคล้ายเสียงน้ำที่กำลังจะเอ่อล้นท่วมตลิ่งอยู่บ้าง
“นี่มัน…”
พอต้วนหลิงเทียนกลับมารู้สึกตัว มองไปเบื้องหน้าเขาก็พบว่าอดีตหุบเหวที่ลึกจนไม่เห็นก้นนั่น บัดนี้ได้ปรากฏมววลน้ำหนึ่งกำลังเพิ่มระดับขึ้นมาด้วยความเร็วสูง
และต้วนหลิงเทียนยังตระหนักได้ว่าจุดที่พวกเขายืนอยู่นั้น เสมือนเป็นตลิ่งข้างแม่น้ำ
มวลน้ำเบื้องหน้ายังแลดูคุ้มคลั่งเกรี้ยวกราด คลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดสาดไปมาดั่งมังกรเกรี้ยวกราด แลดูอันตรายไม่ใช่เล่น
ยิ่งไปกว่านั้นคลื่นน้ำที่สาดซัดไปมาเหล่านี้ สำนึกเทววะที่ต้วนหลิงเทียนแผ่ไปตรวจสอบก็บอกได้ทันทีว่ามันไม่ใช่น้ำธรรมดาๆ!
คลื่นน้ำที่สาดไปมาราวทะเลคลั่งเบื้องหน้า เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายน่ากลัวประการหนึ่ง และกลิ่นอายน่ากลัวที่ว่าก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างยิ่งยวด
กระทั่งวิญญาณของเขายังรู้สึกเสมือนสะท้านไปทันทีที่พบเจอมัน
“ที่เจ้าเห็นอยู่คือ น้ำพิฆาตวิญญาณ”
ทันใดนั้นเสียงหวงเอ้อพลันดังขึ้นในใจต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ “น้ำพิฆาตวิญญาณที่ว่า เมื่อกระทบถูกร่างผู้คน มันก็สามารถเปล่งพลังเข้าไปทำลายดวงจิตของผู้คนได้”
“ไม่ว่าผู้ใดหากยังอยู่ใต้ขอบเขตขุนนางอมตะ หรือไร้อุปกรณ์อมตะป้องกันวิญญาณระดับสูง หากสัมผัสกับน้ำพิฆาตวิญญาณย่อมต้องตกตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
หวงเอ้อกล่าว
“น้ำพิฆาตวิญญาณ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีเล็กลง ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มเหินร่างลอยขึ้น ด้วยตระหนักว่าอีกไม่นานน้ำพิฆาตวิญญาณที่ว่าต้องเอ่อล้นมาท่วมตลิ่งที่เขายืนอยู่แน่
“แต่เป็นธรรมดาว่าน้ำพิฆาตวิญญาณนี่ไม่อาจทำอะไรเจ้าได้เลย…เพราะด้านนอกดวงจิตของเจ้ามีพลังของทองเทพสุดลี้ลับคุ้มกันอยู่ อาศัยพลังของน้ำพิฆาตวิญญาณย่อมไม่อาจนับเป็นอะไรได้”
วาจาต่อมาของหวงเอ้อ ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักว่าเขากังวลมากเกินไป ที่แท้เขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไรน้ำพิฆาตวิญญาณนี่เลย
“ชิบหาย มารดามัน! นิ…นี่คือน้ำพิฆาตวิญญาณ!!”
“น้ำพิฆาตวิญญาณ!? น้ำที่หากด่านพลังอ่อนด้อยกว่าขุนนางอมตะ เมื่อถูกมันสาดกระทบก็จำต้องตกตายคาที่นั่นนน่ะรึ!?”
“ให้ตายเถอะ นี่คือบททดสอบที่ 2 ของวังจอมราชันอมตะรึ?!”
…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเริ่มลอยร่างขึ้นไปบนอากาศ บางคนก็เริ่มทำตาม และมีบางคนที่จดจำน้ำพิฆาตวิญญาณได้ ก็โพล่งออกมาอย่างตื่นกลัว ทำให้คนที่เหลือพอได้ฟังก็เร่งรุดเหินขึ้นไปบนฟ้าตามๆกัน
และเมื่อระดับน้ำของน้ำพิฆาตวิญญาณเพิ่มสูงขึ้น จนปรากฏคลื่นน้ำซัดสาดไปยังแท่นหินที่เป็นดั่งริมตลิ่งที่พวกมันยืนอยู่เมื่อครู่ หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ!
“พวกเจ้าดูนั่นเร็ว…กล่อง! มีกล่องลอยอยู่บนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณด้วย!!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน ทำให้เขาก้มลงไปมองน้ำพิฆาตวิญญาณเบื้องล่างทันที
มองไปปราดเดียว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเหนือผิวน้ำพิฆาตวิญญาณเบื้องล่าง มีกล่องหลายใบลอยล่องอยยู่ หากแต่ด้วยพลังบางประการที่ปกคลุมทั่วกล่อง จึงทำให้สำนึกเทวะของเขาไม่อาจชำแรกเข้าไปตรวจสอบสิ่งของด้านในได้
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ได้ทันทีว่าเมื่อเขาไม่อาจตรวจสอบสิ่งของภายในกล่องได้ คนอื่นก็ไม่อาจตรวจสอบได้เช่นกัน
เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนในที่นี้ก็เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเหมือนเขา ระดับพลังวิญญาณย่อมทัดเทียมกัน
“ในกล่องพวกนี้…สิบในสิบข้าเชื่อว่าต้องมีสมบัติที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทิ้งไว้!”
ในบรรดา 8 คนที่ลอยร่างอยู่ไม่ไกลมากนัก ปรากฏชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวออกด้วยรอยยิ้มร่า ดิ่งร่างนำลงไปเป็นคนแรก มุ่งหน้าไปยังกล่องใบหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด!
กล่องที่ว่านั้นกว้างยาวสูงด้านละ 5 ฉื่อ เรียกว่าสามารถเก็บอุปกรณ์อมตะไว้ได้เกือบทุกชนิด!
แน่นอนว่าเมื่อดิ่งร่างลงไปจนเข้าใกล้กล่องแล้ว ชายวัยกลางคนก็ไม่กล้าผลีผลามวู่วาม ความเร็วของมันเริ่มชะลอตัว
นอกจากนั้นทั่วร่างของมันยังปรากฏเงาร่างเกราะสีน้ำเงินให้เห็น บ่งบอกว่ามันได้เตรียมพร้อมเป็นอย่างดี
ต่อหน้าน้ำพิฆาตวิญญาณ ไหนเลยมันจะกล้าประมาท!
“กล่องใบนี้เป็นของข้า!!”
ครู่ต่อมาร่างชายวัยกลางคนก็มาหยุดอยู่เหนือกล่องที่ลอยตุ๊บป่องบนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณ มันยังพุ่งมือลงไปหมายคว้าจับกล่องดังกล่าวทันที
หมับ!
ชายวัยกลางคนที่พุ่งมือไปฉับไวปานสายฟ้า พอคว้าจับกล่องได้แล้ว มันก็พยายามยกขึ้นรวดเดียว!
อย่างไรก็ตามวินาทีที่มือของชายวัยกลางคนแตะถูกกล่องนั้น บริเวณผิวกล่องก็เริ่มปรากฏพลังลี้ลับออกมาทันใด
จากนั้นพลังลี้ลับดังกล่าวก็แผ่กำจายออกไปดั่งวงคลื่นน้ำ
ซัว!
ซัว!
…
เมื่อคลื่นพลังลี้ลับกำจายออกไปได้ไม่ทันไร น้ำพิฆาตวิญญาณโดยรอบก็คล้ายมีชีวิตขึ้นมา พวกมันปะทุลุกฮือขึ้นมาปานมังกรพิโรธทะยานออกจากลำน้ำ!
“หนักไม่ใช่เล่นเลย”
ขณะที่ยกกล่องขึ้นมา ชายวัยกลางคนก็พบว่าตัวกล่องมีน้ำหนักไม่ใช่เล่นๆ แม้มันจะพยายามใช้พลังทั้งหมดแล้ว แต่ก็ทำได้แค่หอบหิ้วกล่องขึ้นมาด้วยความเร็วปานหอยทากตะกาย…
และตอนนี้เองมันที่ไม่ทันระวัง น้ำพิฆาตวิญญาณโดยรอบที่อยู่ๆก็ปะทุขึ้น ก็ตลบม้วนสาดเข้ามาทางมันปานข่ายฟ้าแหสวรรค์ ไร้ซึ่งหนทางหลบหนีใดๆ ทำให้สีหน้าชายวัยกลางคนที่พึ่งพบความเคลื่อนไหวรอบตัวดังกล่าวเปลี่ยนไปใหญ่หลวง!
“ไม่–!!”
ชายวัยกลางคนทำได้แค่กรีดร้องออกมาเสียงหลงอย่างลนลาน จากนั้นมันก็ถูกคลื่นน้ำพิฆาตวิญาณที่สาดเข้ามาจากทุกทิศทางม้วนกลืนร่างไปในพริบตา เสียงมันยังดับวูบลงทันใด
และเมื่อน้ำพิฆาตวิญญาณที่ปั่นป่วนม้วนกลืนร่างมันไปค่อยๆสงบลง ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็แลเห็นร่างชายวัยกลางคนนอนฟุบอยู่บนกล่องที่มันคิดจะหยิบยกเมื่อครู่ สองตายังเบิกโพลงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เห็นชัดว่ามันไม่อยากตาย
อย่างไรก็ตามพลังในร่างของมันค่อยๆสิ้นสลายไปอย่างรวดเร็ว เนื่องเพราะดวงจิตของมันได้ถูกน้ำพิฆาตวิญญาณทำลายสิ้น วิญญาณของมันด้านในก็ดับสูญไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…
“น่ากลัวนัก!”
“ให้ตายเถอะ…แค่พริบตาเดียว น้ำพิฆาตวิญญาณนั่นก็ทำลายวิญญาณของเจ้านั่นจนสลายไปแล้ว!”
“อันตราย! ช่างอันตรายยิ่งนัก!!”
“เดิมทีข้าก็คิดจะลงไปเก็บกล่องนั่นขึ้นมาดูว่าด้านในมีสมบัติอันใด…โชคดีที่เจ้านั่นมันลงมือก่อนข้า ไม่งั้นคนที่ตายคากล่องนั่นอาจเป็นข้า!!”
…
พอเห็นชายวัยกลางคนวิญญาณสลายตกตายไปในชั่วพริบตาเดียว หลายคนที่ลอยร่างชมดูเรื่องราวอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดเสียว และรู้สึกโชคดีนักที่พวกมันไม่ได้เป็นคนลงมือคนแรก!
“หึ! ไม่เจียมตัว!”
เสียงสบถเยียบเย็นมากล้นไปด้วยความดูแคลนหนึ่งดังขึ้น และเจ้าของเสียงสบถดังกล่าวก็คือ ตงฟางจิ่นหลุน อัจฉริยะจากตระกูลตงฟาง…ตระกูลระดับ 7!
WSSTH ตอนที่ 3,018 : ต้วนหลิงเทียนผู้ร้ายกาจ!
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงตงฟางจิ่นหลุนดังจบคำ ห้วงอากาศรอบตัวมันก็คล้ายสั่นสะเทือนเลือนลั่น จากนั้นร่างคนทั้งคนก็อันตรธานหายไปทันที!
ทั้งหมดที่ทุกคนเห็นก็คือประกายอัสนีสายหนึ่ง ที่ฟาดผ่าลงไปยังเบื้องล่าง เป็นร่างตงฟางจิ่นหลุนที่เปี่ยมไปด้วยพลังสายฟ้ากำลังดิ่งลงไปฉับไวดั่งอัสนีฟาด!
ความลึกซึ้ง ‘อัสนีฟาด’ ของกฏสาฟ้า!
หากคิดจะใช้พลังความลึกซึ้งอย่างอัสนีฟาด แน่นอนว่าจำต้องเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งสายฟ้าให้ได้เสียก่อน เช่นนั้นก่อนที่ดิ่งร่างไปเป็นประกายอัสนี พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของตงฟางจิ่นหลุนจึงผสานไปด้วยพลังสายฟ้า
เป็นธรรมดาว่าอาจมีวิธีอื่น
เปรี๊ยะ!!
ซัวว!!
…
กล่องเป้าหมายของตงฟางจิ่นหลุน ก็เป็นกล่องใบเดียวกันกับที่ชายวัยกลางคนอันตกตายด้วยน้ำพิฆาตวิญญาณก่อนหน้าคว้าหยิบ และทันทีที่ร่างดั่งประกายอัสนีของตงฟางจิ่นหลุนลุมาถึงและคว้าจับกล่องเอาไว้ พลังลี้ลับที่ผิวกล่องก็เริ่มกำจายออกไปโดยยรอบอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่น้ำพิฆาตวิญญาณจะม้วนตลบกลืนร่างตงฟางจิ่นหลุน คนก็หอบหิ้วกล่องรวมทั้งศพของชายวัยกลางคนเหินทะยานโผล่พ้นวงล้อมของคลื่นน้ำพิฆาตวิญญาณไปแล้ว!
เช่นนั้นน้ำพิฆาตวิญญาณจึงได้แต่ม้วนกลืนอากาศธาตุเข้าไปคำหนึ่ง…
เปรี๊ยง!!
ตงฟางจิ่นหลุนดิ่งลงไปปานอัสนีฟาด ขากลับก็พุ่งทะยานขึ้นมาฉับไวปานอัสนีฟาด! มันคว้ากล่องทั้งหอบหิ้วขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เมื่อขึ้นมาลอยยังจุดปลอดภัยแล้ว มันค่อยพลิกกล่องปล่อยให้ศพชายวัยกลางคนที่นอนฟุบอยู่ร่วงตกลงไปในน้ำพิฆาตวิญญาณ ก่อนที่จะจมหายไปในไม่กี่ลมหายใจ…
‘เร็วจริงๆ…’
‘ความเร็วที่ระเบิดออกมาในชั่วพริบตาของมัน…เทียบกับสุมาฉุนแล้วเหมือนจะรวดเร็วกว่าด้วยซ้ำ’
มองตงฟางจิ่นหลุนอีกครั้ง แววตาต้วนหลิงเทียนฉายให้เห็นถึงความประหลาดใจอยู่บ้าง
นั่นเพราะเมื่อครู่ ความเร็วในการเคลื่อนไหวของตงฟางจิ่นหลุน มันรวดเร็วสุดที่น้ำพิฆาตวิญญาณจะตามได้ทัน เช่นนั้นจึงไม่อาจกระทบถูกเปล่งพลังทำลายวิญญาณอะไรได้
แกร่ก!
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ตงฟางจิ่นหลุนที่พลิกกล่องไปมา ก็คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง พอมันตบลงไปมุมหนึ่งของกล่องเบาๆ ตัวกล่องก็เริ่มเปิดออกทันที เปิดเผยทุกสิ่งที่อยู่ด้านในท่ามกลางสายตาสนใจของทุกผู้คน…
“เอ่อ…”
ทว่าเมื่อกล่องถูกเปิดออกมา ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง กระทั่งตัวตงฟางจิ่นหลุนเองยังต้องขมวดคิ้วยู่ย่นเป็นปม
นั่นเพราะหลังกล่องเปิดออกมา…ด้านในกลับว่างเปล่า ไม่มีอะไรเก็บเอาไว้เลย!
เห็นฉากดังกล่าว ทุกคนพลันตระหนักได้ทันที
“ดูเหมือนว่าไม่ใช่ทุกกล่องที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำพิฆาตวิญญาณจะมีสมบัติเก็บไว้…”
อย่างไรก็ตามแม้จะรู้เรื่องนี้แล้ว แต่สายตาทุกคนยังกวาดมองไปยังกล่องทั้งหลายที่ลอยล่องเหนือผิวน้ำพิฆาตวิญญาณตาเป็นมัน…
บางกล่องอาจว่างเปล่าบ๋อแบ๋จริง แต่ต้องมีบางกล่องที่กักเก็บสมบัติเลิศล้ำเอาไว้!
ฟุ่บบ!!
ทันใดนั้นบังเกิดเสียงแหวกฝ่าสาลมหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่คลื่นลมแรงอันหอบกลิ่นอายความหมายแห่งน้ำแข็งอันเยียบเย็นจะแผ่มากระทบถูกร่างผู้คน พาลให้ทั้งหมดรู้สึกเสมือนฤดูหนาวมาเยือนในฉับพลัน
“แม่นางโอวหยาลงมือแล้ว!”
เป็นโอวหยา ศิษย์อัจฉริยะของด่านน้ำแข็งยะเยือก ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดสตรีเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้เคลื่อนไหวลงมือ!
ทั้งหมดเห็นร่างโอวหยาโรยตัวลงไปปานเทพธิดาน้ำแข็ง พริบตาก็เจียนบรรลุถึงกล่องหนึ่งที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำพิฆาตวิญญาณ
ซัวว!
ครืนนน!!
…
เมื่อโอวหยาบรรลุถึงกล่องใบหนึ่ง และสัมผัสมัน ปรากฏการณ์เดิมก็อุบัติขึ้น น้ำพิฆาตวิญญาณโถมมาดั่งคลื่นสมุทรคุ้มคลั่งคิดม้วนกลืนร่างบางในหนึ่งคำ!
เมื่อเห็นว่าร่างบางของโอวหยา เจียนจะโดนคลื่นน้ำพิฆาตวิญญาณม้วนกลืนร่างเต็มที หลายคนที่จับจ้องชมดูเรื่องราวอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดหายใจลงด้วยความลุ้นระทึก!
อย่างไรก็ตาม ในห้วงพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ
เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!
…
เสียงหนึ่งพลันดังระงมขึ้นระรัว และท่ามกลางทุกสายตาของผู้คน ห้วงอากาศรอบตัวโอวหยา เสมือนจับตัวเป็นม่านน้ำแข็งทรงกลมดังดวงแก้วน้ำแข็ง! ปิดกั้นทั้งแช่น้ำพิฆาตวิญญาณโดยรอบให้จับตัวเป็นน้ำแข็งในฉับพลัน!!
เพล๊ง!!
โอวหยาที่หอบหิ้วกล่องใบหนึ่ง พุ่งทะยานขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อดวงแก้วน้ำแข็งที่ปกคลุมรอบกายกระทบถูกคลื่นน้ำพิฆาตวิญญาณที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง พวกมันก็แตกสลายเป็นละอองระยับ ร่วงตกไปกองบนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณน้ำแข็งเบื้องล่างที่เป็นดั่งลานน้ำแข็งหย่อมหนึ่งดังกราว
จนเมื่อโอวหยาเหินร่างขึ้นมาถึงตำแหน่งที่นางลอยอยู่ก่อนหน้า ดวงแก้วน้ำแข็งรอบกายจึงค่อนสลายตัวลง น้ำพิฆาตวิญญาณที่จับตัวแข็งอันติดมากับดวงแก้วก็เริ่มร่วงตกลงไปเช่นกัน ก่อนที่จะถึงเบื้องล่างมันก็เริ่มละลายกลายเป็นน้ำอีกครั้ง
และผิวน้ำพิฆาตวิญญาณรอบๆกล่องที่จับตัวเป็นลานน้ำแข็งเมื่อครู่ ก็ค่อยๆละลายหวนคืนกลับสู่สภาพเดิม…
“เจ๋งโคตร!”
“พลังแช่แข็งอันร้ายกาจ! สมแล้วที่เป็นความลึกซึ้ง เยือกแข็ง ของกฏน้ำแข็ง!”
“ให้ตายเถอะ! กระทั่งน้ำพิฆาตวิญญาณยังถูกนางแช่แข็งได้ ความลึกซึ้งเยือกแข็งช่างทรงพลังอะไรจะขนาดนี้! น่ากลัวยิ่งนัก!!”
…
เมื่อเห็นว่าโอวหยาได้รับกล่องมาอย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ
พวกมันหลายคนนั้น แม้จะเข้าถึงพลังแห่งกฏแล้วก็จริง แต่ความลึกซึ้งที่เข้าใจ ก็มีแค่ความหมายแห่งกฏเท่านั้น ไม่อาจสำแดงความสามารถอันยอดเยี่ยมร้ายกาจของกฏได้เช่นนี้เลย
เมื่อเทียบกับคนที่เข้าใจความลึกซึ้งที่สองของกฏแล้ว พวกมันนับว่าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
แม้ความหมายแห่งกฏ จะเป็นความลึกซึ้งของกฏเช่นกัน แต่พลังที่มอบให้ก็อ่อนด้อยกว่าความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏมากนัก ทำได้แค่เสริมพลังทุกด้านประมาณหนึ่ง ไม่มีความสามารถโดดเด่นเฉพาะทางเช่นนี้
“เอ่อ..กล่องเปล่าอีกแล้ว?”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ในที่สุดกล่องในมือโอวหยาก็ถูกเปิดออกมา พบว่าด้านในมันโล่งโจ้งไม่มีสิ่งใดนอกจากอากาศธาตุ
จังหวะนี้หน้างามของโอวหยาอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มแห้งๆออกมาอย่างขื่นขม เสียงใสดังขึ้นเบาๆ “โชคร้ายยิ่ง…”
“นั่นมัน…ร่างแยกรึ!?”
ทว่าทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งโพล่งดังขึ้นจากกลุ่มคนที่ลอยร่างอยู่ทางฝั่งตงฟางจิ่นหลุนและโอวหยา
และแต่เดิมฝั่งของตงฟางจิ่นหลุนและโอวหยาที่มี 8 คนนั้น ก็คงเหลือแค่ 7 คน เพราะชายวัยกลางคนผู้หนึ่งได้ตกตายไปแล้ว
ได้ยินเสียงอุทานดังกล่าว พอตงฟางจินหลุนกับโอวหยาหันไปชมดูเรื่องราว ทั้งคูก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
ฟุ่บ!
เพราะในเวลาชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็เห็นร่างชายหนุ่มชุดเทาอันมีสองตาแดงฉานปานก้อนหิตคนหนึ่งดิ่งร่วงลงจากฟ้า บรรลุถึงกล่องใบหนึ่งบนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณ และกำลังคว้าจับกล่องอยู่
ซัว!
ครืนนน!!
…
น้ำพิฆาตวิญญาณปะทุมาดั่งคลื่นสมุทรคุ้มคลั่ง ม้วนกลืนร่างชายหนุ่มสองตาแดงฉานปานก้อนเลือด หากทว่ากลับไม่อาจส่งผลกระทบใดๆต่อร่างดังกล่าวได้เลย
จากนั้นทั้งหมดก็เห็นชายหนุ่มสองตาแดงงฉานปานก้อนเลือดใช้พลังขับน้ำวิญญาณที่เปียกชุ่มไปทั่วร่างออกอย่างรังเกียจ และเหินร่างขึ้นมาพร้อมหอบหิ้วกล่องมาด้วยอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ชายหนุ่มสองตาแดงเลือดที่ว่า ก็คือร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่นเอง มันไม่มีวิญญาณอะไร จะมีก็แต่ร่างกายเท่านั้น
ในเมื่อไร้ซึ่งวิญญาณ น้ำพิฆาตวิญญาณก็ไม่ต่างอะไรจากน้ำเปล่า ไร้ซึ่งผลกระทบใดๆต่อร่างแฝดแห่งความตายทั้งสิ้น
และท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน ร่างแฝดแห่งความตายก็เหินลอยมาถึงหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก่อนที่จะซ้อนทับเข้ากับร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น รวมผสานเป็นหนึ่งเดียว กล่องที่ถือขึ้นมาก็ไปอยู่ในมือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแทน
แกร่ก!
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไม่รอช้าเปิดกล่องในมือออกทันที จนพบว่าด้านในมีดาบยาว 4 ฉื่อเล่มหนึ่งอยู่ภายใน และจากกลิ่นอายคมกล้าดุร้ายเหนือดาบอมตะระดับราชาทั่วไปที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวดาบ ก็บอกได้ทันทีว่ามันคือดาบอมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลหล่อเลี้ยงด้วยพลังของจอมราชันอมตะมาพักหนึ่ง!
“เฮ่ ดูเหมือนข้าจะยังพอมีโชคไม่เลวทีเดียว”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน ด้วยน้ำเสียงท้าทาย “ยังไงเล่า เจ้าจะลองดูบ้างรึเปล่า?”
เผชิญกับสีหน้าท้าทายราวกับจะท้าแข่งว่าใครจะได้ของดีกว่ากันของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆโรยตัวลงปังกล่องใบหนึ่งบนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณอย่างไม่รีบไม่ร้อน
และกล่องที่ว่ายังเป็นกล่องที่มีขนาดเล็กที่สุด ในบรรดากล่องทั้งหมดที่ลอยอยู่บนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณอีกด้วย!
แน่นอนว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนมาหยุดลอยใกล้ๆกับกล่องและเอื้อมมือออกมาคว้าจับกล่องใบนั้น มวลน้ำพิฆาตวิญญาณโดยรอบก็เริ่มกลับกลายเป็นคุ้มคลั่ง คลื่นยักษ์ดั่งปากกระหายเลือดของอสูรสมุทรสาดโถมเข้ามาจากทุกทิศทาง!
หากแต่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้มีทีท่าว่าจะหลบหลีก หรือป้องกันคลื่นน้ำพิฆาตวิญญาณอันคุ้มคลั่งจากทั่วสารทิศแต่อย่างใด! คนเพียงยืนนิ่งอยู่เฉยๆคล้ายอยากรับทราบถึงพลังอำนาจทำลายวิญญาณของน้ำพิฆาตวิญญาณ!!
“หืม?!”
เห็นฉากดังกล่าว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะย่นคิ้ว เนื่องเพราะกระทั่งมันเองหากไม่ใช้ร่างแฝดแห่งความตาย ก็ไม่กล้าทานรับน้ำพิฆาตวิญญาณด้วยร่างเนื้อตรงๆ
ดังนั้นพอเห็นต้วนหลิงเทียนกระทำแบบนี้ มันจึงอดไม่ได้ที่จะงุนงงสงสัย
เป็นธรรมดาว่ามันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะโง่งมถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย เพราะมันรู้ดีว่าคนอย่างต้วนหลิงเทียนไม่มีวันทำอะไรโง่เขลาอย่างหาเรื่องตายแน่นอน
“มันเสียสติไปแล้วหรือไร!?”
“มันคิดว่าตัวเองเป็นร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ่นรึไร ถึงได้หาญกล้าใช้ร่างเนื้อทานรับพลังของน้ำพิฆาตวิญญาณเช่นนั้น! นี่ไยมิใช่รนหาที่ตายอีกเล่า!?”
“ต้วนหลิงเทียนนั่นมันเสียสติไปแล้ว! เลอะเลือนแล้ว!!”
…
เชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆตกใจกับการกระทำของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย และไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้ทำอะไรสิ้นคิดเช่นนี้ ร่างเลือดเนื้อของผู้คนยังจะไปเทียบกับร่างแฝดแห่งความตายได้หรือ?
หากจังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนใช้ทักษะป้องกันตัวอะไรบ้าง พวกมันจะไม่แปลกใจเลย
แต่ปัญหาก็คือ ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับลอยตัวรออยู่เฉยๆ ไม่ลงมือใช้พลังใดๆทั้งสิ้น!
เห็นได้ชัดว่าคนคิดใช้ร่างเลือดเนื้อทานรับน้ำพิฆาตวิญญาณแล้วจริงๆ!
“หาที่ตาย!”
ตงฟางจิ้นหลุนมองต้วนหลิงเทียน พลางยกยิ้มแสะด้วยความดูแคลน
โอวหยาเองก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนไม่วางตา อย่างไรก็ตามในแววตาของนางกลับฉายชัดถึงความสงสัยไม่น้อย
ปกติแล้วสัมผัสที่ 6 ของสตรีค่อนข้างมีความแม่นยำทีเดียว
ถึงแม้นางจะแลเห็นว่าชายหนุ่มชุดม่วงคนนั้นคล้ายคนกำลังรอรับความตาย แต่สัญชาตญาณของนางกลับบอกว่าเรื่องราวหาได้ง่ายดายดั่งที่ตาเห็นไม่!
คนที่สามารถเข้ามาในวังจอมราชันอมตะได้ ไหนเลยจะธรรมดาสามัญ ย่อมไม่มีใครรนหาที่ตายอย่างโง่เขลาเช่นนี้
‘แบบนี้นี่เอง…’
หลังต้วนหลิงเทียนยกกล่องได้ไม่ทันไร เขาก็สัมผัสได้ว่าที่แท้ตัวกล่องได้แผ่พลังลี้ลับขุมหนึ่งไปกระตุ้นให้น้ำพิฆาตวิญญาณโดยรอบเคลื่อนไหว จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความเยียบเย็นของน้ำพิฆาตวิญญาณที่สาดโถมเข้ามาทั่วร่างชัดเจน ยังรู้สึกเย็นพอๆกับเอาถังน้ำแข็งมาราดรดลงหัวกลางหน้าหนาว…
‘นี่น่ะเหรอพลังของมัน…’
ขณะเดียวกันกับที่น้ำเย็นสาดโถมเข้าใส่ร่าง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณล้างผลาญหลายขุมที่โถมถันเข้ามาจากทุกส่วนของร่างกาย และต่างพากันบึ่งตรงไปทางดวงจิตของเขา!
อย่างไรก็ตามเพียงแค่มันเข้าใกล้ดวงจิต พลังล้างผลาญทั้งหลายก็ถูกพลังลี้ลับของทองเทพสุดลี้ลับสลายทำลายไปหมดสิ้นในชั่วพริบตา!
เรียกม่านพลังสีทองสลัวๆอันลี้ลับของทองเทพสุดลี้ลับ ได้ปิดกั้นพลังล้างผลาญของน้ำพิฆาตวิญญาณได้หมดจด! มันไม่อาจบุกเข้าสู่ดวงจิตไปสำแดงพลังอำนาจล้างผลาญวิญญาณในทะเลวิญญาณของต้วนหลิงเทียนได้อย่างสิ้นเชิง!!
ในเมื่อไม่อาจเข้าสู่ดวงจิตไปสำแดงพลังล้างผลาญในทะเลวิญญาณ ก็ไม่อาจทำอะไรวิญญาณต้วนหลิงเทียนได้…
ท่ามกลางสายตาหวาดกลัวของทุกคน ร่างต้วนหลิงเทียนที่เปียกมะล่อกมะแล่กไปด้วยน้ำพิฆาตวิญญาณ ก็ค่อยๆเหินกลับขึ้นมากลางอากาศอย่างไม่รีบไม่ร้อน ระหว่างนั้นคนก็เปล่งพลังระเหยน้ำที่เปียกทั่วกาย สุดท้ายก็เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
“จ้าวสวรรค์ช่วย! นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…มันทำได้อย่างไร? ไฉนมัน…ถึงไม่ตายเล่า!?”
หลายคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความแตกตื่น
“ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้น ข้าเชื่อว่ามันสมควรมีอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางขึ้นไปพกติดตัวเป็นแน่! เพราะตราบใดที่เป็นอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางขึ้นไป ย่อมสามารถปิดกั้นพลังอำนาจของน้ำพิฆาตวิญญาณได้ชะงัด!”
อย่างไรก็ตามในบรรดาผู้คนที่กำลังตกตะลึง ก็มีบางคนที่คาดเดาอะไรบางอย่างได้
“อุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางขึ้นไป? บ้าไปแล้ว เจ้าไม่รู้หรือว่าในบรรดาอุปกรณ์อมตะทั้งหมด อุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณนั้นหาได้ยากที่สุด…กระทังในแง่มูลค่าแล้ว เครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนาง ยังสูงกว่าเกราะอมตะระดับราชาเสียอีก!”
“หากมันมีอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางพกติดตัวจริง เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่มันจะหาญกล้าใช้ร่างเลือดเนื้อต้านทานน้ำพิฆาตวิญญาณ!”
“เหอะๆ มันมีเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางแบบนี้…เหมือนการทดสอบรอบที่สองของวังจอมราชันอมตะ เอาของขวัญมาให้มันเปล่าๆ!!”
…
ทุกคนที่กำลังพูดถึงเรื่องนี้ นอกจากพวกเชวียจิงอวี่ที่รับทราบพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน และไร้ความกล้าคิดช่วงชิงอะไร ด้านผู้คนอีกฝั่งไม่เว้นตงฟางจิ่นหลุน ล้วนมองมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอิจฉาริษยา ราวกับทนรอพุ่งมาช่วงชิงอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณไปจากต้วนหลิงเทียนไม่ไหวแล้ว!
“เจ้าหนู เจ้ามีอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางพกติดตัวมาด้วยงั้นรึ?”
และเป็นตงฟางจิ่นหลุนที่ไม่อาจทนอำนาจยั่วยวนได้ไหว ออกตัวเป็นคนแรก มันมองจ้องมาทางต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเฉยชา พลางถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น!
อย่างไรก็ตามแม้สายตาของมันจะเย็นชาไร้แยแสแลดูเฉยเมย หากแต่ถ้ามองสำรวจให้ดี จะพบว่ามีประกายแห่งความโลภหนึ่งฉายให้เห็นรางๆ!
WSSTH ตอนที่ 3,019 : อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ
อย่างไรก็ตามแม้มูลค่าของอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณจะทัดเทียมกับเกราะอมตะระดับราชา หากทว่าผู้ที่มีเกราะอมตะราชา จะไปหาแลกเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางนั้น คงเป็นไปไม่ได้
เพราะต่อให้เป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงโดยจอมราชันอมตะ ก็ยังไม่อาจหาแลกเครื่องรางคุ้มกันระดับขุนนางได้ด้วยซ้ำ!
นั่นเพราะเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางหายากเกินไป แถมไม่เพียงยากที่จะหลอมสร้างขึ้นมาได้ แต่วัตถุดิบเฉพาะที่ต้องใช้หลอมมันนั้น เรียกว่าหาได้ยากเย็นอย่างยิ่ง!
สำหรับพลังอำนาจของเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณ ก็สามารถต้านทานการโจมตีทางวิญญาณใดๆที่มีระดับต่ำกว่าขุนนางอมตะได้อย่างสมบูรณ์!
เรียกว่าหากเป็นการโจมตีทางวิญญาณต่ำกว่าขอบเขตขุนนางอมตะ ต่อให้จะเป็นการโจมตีทางวิญญาณที่แฝงไปด้วยพลังจากความลึกซึ้งความหมายแห่งกฏ ยังสามารถป้องกันได้อยู่
แต่หากผู้ที่โจมตีแตกฉานความลึกซึ้งของกฏบางประการถึงขั้นตอนเบื้องต้นแล้ว ก็คงยากที่จะป้องกันเอาไว้ได้
ส่วนพลังของน้ำพิฆาตวิญญาณนั้น มันก็แค่เทียบได้กับการโจมตีทางวิญญาณของขุนนางอมตะที่ไม่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏเท่านั้น ทำให้แค่เครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางก็สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย กระนั้นนั่นก็ไม่ใช่อะไรที่เกราะอมตะระดับราชาจะต้านทานได้เลย!
ด้วยเหตุนี้ มูลค่าของเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนาง จึงค่อนข้างสูงกว่าเกราะอมตะระดับราชามาก แม้จะเป็นเกราะอมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะใช้พลังหล่อเลี้ยงขัดเกลามาแล้วก็ตาม!
“เจ้าหนู เจ้ามีอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางพกติดตัวมาด้วยงั้นรึ?”
เมื่อตงฟางจิ่นหลุนมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาละโมบ ทุกผู้คนก็ตระหนักได้ทันทีว่าตงฟางจิ่นหลุนบังเกิดความสนใจในเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณของต้วนหลิงเทียนขึ้นมาแล้ว
“ทำไม? เจ้าอยากได้รึ?”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องตงฟางจิ่นหลุนเขม็ง พลางเอ่ยถามเสียงเบา
“ส่งเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางนั่นมาให้ข้าเสีย จากนั้นข้าไม่เพียงแต่จะไว้ชีวิตเจ้า แต่ข้ายังจะคุ้มครองเจ้าให้รอดกลับออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย”
ตงฟางจิ่นหลุนกล่าว
ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้านั้นยังมีอายุไม่ถึง 100 ปีด้วยซ้ำ สำหรับมันอีกฝ่ายไม่ใช่ภัยคุกคามอะไรเลย
ให้ถอยไปหมื่นก้าว ต่อให้อีกฝ่ายจะเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการ มันก็ไม่จำเป็นต้องกลัว!
“เครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางแม้จะมีมูลค่า แต่มันก็คงไม่มีค่าเท่าหนึ่งชีวิตของเจ้ากระมัง”
ตงฟางจิ่นหลุนเอ่ยออกมาอีกครั้ง สองตายังฉายแววแหลมคม เผยเจตนาฆ่าฟันออกมาชัดเจน
“ไม่ผิด”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวอย่างเห็นด้วย “อย่าว่าแต่เครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับขุนนางเลย ต่อให้เป็นของที่มีค่ามากกว่านี้ ก็ยังไม่มีค่าอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าหนึ่งชีวิต…เพราะสุดท้ายมันก็แค่ของนอกกายชิ้นหนึ่ง”
“โฮ่? ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้ดีแล้วเช่นนั้นก็ประเสริฐ! รีบมอบเครื่องรางงนั่นมาให้ข้าเสีย! หากชักช้าจนข้าลงมือ ถึงตอนนั้นเจ้าคิดจะเสียใจก็คงไม่ทัน!!”
ตงฟางจิ่นหลุนเย้ยเยาะ
ถึงแม้ในสายตาของตงฟางจิ่นหลุน มันจะสามารถฆ่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าได้อย่างง่ายดาย และสามารถชิงสิ่งของใดๆในตัวอีกฝ่ายมาได้ไม่ยาก
แต่หากมันเลือกได้ มันก็ไม่คิดจะเข่นฆ่าใครในวังจอมราชันอมตะมั่วซั่ว
ใครจะไปรู้ล่ะ เกิดมันฆ่าชายหนุ่มชุดม่วงแล้วพอดีมีคนตายครบกำหนด จนแดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกอีกครั้งให้คนรีบกลับ มันจะทำอย่างไรล่ะ?
เพราะสุดท้ายแล้วเงื่อนไขในการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำก็ชัดเจนนัก นั่นก็คือมีคนตายครบ 7 ส่วนของผู้ที่เข้ามา!
ดังนั้นหากเลือกจะไม่ฆ่าได้ มันก็ไม่คิดฆ่าคน เพราะมันไม่อยากด่วนออกจากวังจอมราชันอมตะเร็วนัก ยังอยากไปแสวงหาโชคและโอกาสทั้งหลายที่รอคอยมันอยู่ในวังจอมราชันอมตะ
ในสายตาของตงฟางจิ่นหลุนแล้ว แม่ในร่างของชายหนุ่มชุดม่วงอาจจะมีของดีอย่างอื่นอีก แต่มันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เพราะมันคงไม่ขาดของเหล่านั้น ที่มันสนใจก็มีแต่เครื่องรางคุ้มกันวิญญาณของอีกฝ่ายเท่านั้น
“งั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลงพลางเอ่ยออกด้วยรอยยิ้มบางๆ “ถ้างั้นให้ข้าดูหน่อย ว่าเจ้าจะทำอย่างไรถึงทำให้ข้าคิดเสียใจก็สายเกิน”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ พลังในร่างต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเคลื่อนไหวตามห้วงคิด จิตสังหารที่คล้ายหลับใหลไปเนิ่นนานก็เสมือนได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ในเมื่อเจ้าเบื่อชีวิตคิดอยากตายนัก ข้าจักสงเคราะห์ให้!”
ตงฟางจิ่นหลุนไม่คิดเลยจริงๆว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าจะเพิกเฉยคำขู่ของมัน! หน้ามันจมลงโดยพลัน จากนั้นพลังเซียนอมตะที่ผสานไปด้วยสายฟ้าสีม่วงก็เริ่มลุกโชนขึ้น!!
ซู่มม!!
วินาทีต่อมา ดาบเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือตงฟางจิ่นหลุน จากนั้นคนก็คล้ายกลับกลายเป็นสายฟ้าเส้นใหญ่ ฟาดผ่าไปทางต้วนหลิงเทียน!
ตงฟางจิ่นหลุนที่ชักดาบเข่นฆ่าเข้ามา คนดาบให้สภาวะดุร้ายน่าเกรงขามนัก! เห็นชัดว่ามันไม่ได้ลงมืออย่างขอไปที!!
ถึงแม้มันจะไม่คิดว่าชายหนุ่มชุดม่วงจะสร้างปัญหาอะไรให้มันได้ แต่ยามลงมือมันกลับใช้ออกด้วพลังทั้งหมด ไม่มีคำว่าประมาทแม้แต่น้อย!
พอทุกคนเห็นตงฟางจิ่นหลุนมีเรื่องกับต้วนหลิงเทียน กระทั่งเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ พวกมันก็ชมดูเรื่องราวด้วยความลุ้นระทึกทันที!
ทว่าฉากเรื่องราวในสายตาของพวกมัน อยู่ดีๆก็อุบัติเรื่องประหลาดขึ้น ร่างต้วนหลิงเทียนที่ลอยล่องอยู่นั้น อยู่ๆก็ปรากฏรังสีกระบี่พวยพุ่งออกมาเปล่งประกายหลากสีสัน มีทั้งม่วงครามน้ำเงินเขียวเหลืองแสดแดง พวกมันเริ่มควบรวมก่อเกิดเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง อันฉาบคลุมไปด้วยพลังสีกากี สีทอง ทั้งไอพลังสีม่วงอีกชั้น!
ฟั่ฟฟฟ!!
ทันใดนั้นเอง เสียงหอนกระบี่หนึ่งก็ดังขึ้นกรีดหู! อีกเสียงดังกล่าวยังชวนให้ผู้คนใจสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ แม้ลำแสงกระบี่หลากสีสันดังกล่าวจะไม่ได้เพ่งเล็งมาที่พวกมันก็ตาม!
“นี่มัน…”
สองตาทุกคนไม่อาจไม่เบิกโพลง ยังท่วมท้นไปด้วยความสยดสยอง! เนื่องเพราะตงฟางจิ่วหลุนที่เดิมพุ่งเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนฉับไวปานเส้นสายอัสนีนั้น พอพุ่งมาถึงกลางทางร่างมันก็ชะงักกลางหาวเล็กน้อย! เป็นหว่างคิ้วของมันถูกกระบี่หลากสีที่พุ่งไปปานลำแสงเจาะทะลวงผ่านไปในพริบตา!!
อีกทั้งกระบี่หลากสีดังกล่าวไม่ว่าพุ่งผ่านไปที่ใด ความว่างเปล่าก็ยังคงสงบไร้ระลอกประหนึ่งย่ำหิมะไร้รอยเท้า! ยามปะทะกับม่านพลังดาบที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังสายฟ้าอันฉาบคลุมกายของตงฟางจิ่นหลุนเมื่อครู่ มันก็ทะลวงผ่านไปได้อย่างง่ายดาย คล้ายไม่ได้เจออุปสรรคขวางกั้นใดๆ!
พรูด!
หลังกระบี่หลากสีสันที่พุ่งไปดั่งลำแสงนั่น ทะลวงเจาะหว่างคิ้วตงฟางจิ่นหลุนแล้ว โลหิตก็พุ่งทะลักออกมาเป็นเส้นสาย กลิ่นอายพลัง ทั้งเส้นสายอัสนีใดๆที่แล่นวาบแปลบปลาบอยู่รอบตัวตงฟางจิ่นหลุนก็เริ่มดับหายไปจนหมด
สองตาของตงฟางจิ่นหลุนอันเต็มไปด้วยคววามดุร้ายก่อนหน้า บัดนี้กลับกลายเป็นไร้ประกายดั่งปลาตาย หากแต่ร่างคนยังเหินทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนตามแรงเฉื่อย…
ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นมาสะบัดเบาๆดั่งปัดแมลงวัน ซัดพลังฝ่ามือขุมหนึ่งออกไปหยุดร่างตงฟางจิ่นหลุนไม่ให้เข้าใกล้ปนรังเกียจ จากนั้นก็แผ่พุ่งพลังไร้สภาพไปดูดรั้งดาบอมตะพร้อมแหวนพื้นที่ในมืออีกฝ่าย ไม่เว้นเกราะอมตะที่ตงฟางจิ่นหลุนสวมใส่ มาเก็บไว้เป็นของตัวเอง
ตูมมม! ซ่า!!
จนเมื่อร่างตงฟางจิ่นหลุนร่วงตกลงน้ำพิฆาตวิญญาณเบื้องล่างทั้งจมหายไปแล้ว ผู้คนถึงค่อยทยอยกันได้สติกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
ตอนนี้นอกจากสีหน้าของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ยังคงสงบแล้ว คนอื่นๆไม่เว้นอัจฉริยะของด่านน้ำแข็งยะเยือกอย่างโอวหยา ก็พากันมองต้วนหลิงเทียนด้วยความตื่นตระหนก!
“กระบี่เล่มนั้นมัน…”
โอวหยามองจ้องกระบี่หลากสีสันที่เหินย้อนกลับมาอยู่ในมือต้วนหลิงเทียนไม่วางตา ในแววตายังฉายชัดถึงความไม่อยากจะเชื่อ “การลงมือของมันเมื่อครู่ ไม่ว่าจะกลิ่นอายพลังจากวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังอย่างดีก็แค่ระดับราชา นอกจากนั้นพลังแห่งกฏที่มันใช้ หากข้าสัมผัสไม่ผิดก็มีแต่พลังจากความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งดิน…”
“ที่มันสามารถสังหารตงฟางจิ่นหลุนได้อย่างง่ายดาย…ล้วนอาศัยพลังอานุภาพของกระบี่ประหลาดเล่มนั้น!”
“กระบี่เล่มนั้น…ใช่อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันหรือไม่?”
“ไม่! ต่อให้เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน อาศัยปฏิกิริยาตอบสนองและพลังฝีมือของตงฟางจิ่นหลุน เมื่อครู่มันย่อมสามารถหลบหลีกได้ทัน อย่างน้อยๆก็ต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองอันใด มิใช่ตกตายไปอย่างไม่รู้ตัว…”
“มันเป็น…จักรพรรดิ…กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ!?”
จากนั้นเมื่อพบว่ากระบี่หลากสีสันในมือต้วนหลิงเทียนค่อยๆกลับกลายเป็นลำแสงหลากสี จากนั้นก็วูบหายเข้าไปในร่างต้วนหลิงเทียน ลูกตาโอวหยาก็หดหยีลงแทบปิด สีหน้าแววตาฉายชัดถึงความตกใจเหลือเชื่ออันยากอธิบาย!
เพราะเท่าที่นางรู้ ต่อให้เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน ก็ไม่อาจหลอมรวมผสานเข้าร่างผู้คนได้แบบนั้น
มีแต่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอย่างเดียว ที่ทำอะไรแบบนั้นได้!
“นี่มัน…”
“นั่น…คือ”
…
ในขณะที่โอวหยาแลเห็นกระบี่หลากสีสันในมือต้วนหลิงเทียน กลับกลายเป็นรังสีแสงก่อนจะวูบหายเข้าร่างต้วนหลิงเทียนไป หลายคนที่ตระหนักได้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรก็เบิกตากว้างปากอ้าค้าง หนังศีรษะกลับกลายเป็นชาด้าน!
โอสวรรค์!
พวกมันเห็นอะไรอยู่กัน!?
กระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนใช้สังหารตงฟางจิ่นหลุนเมื่อครู่ สามารถหลอมรวมเข้าร่างผู้คนได้ ราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย!
“เกิดอะไรขึ้น? กระบี่นั่นไฉนอยู่ๆก็หลอมรวมเข้าไปในร่างต้วนหลิงเทียนได้เล่า?”
“นั่นมันอาวุธอมตะระดับใดกัน!? เป็นอาวุธอมตะระดับจอมราชันรึ?!”
“ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดหลอมรวมอาวุธเข้าร่างตัวเองแบบนี้มาก่อนเลย…แล้วอาวุธนั่นมันหลอมรวมเข้าร่างผู้คนได้อย่างไร หรือต้วนหลิงเทียนคนนั้นได้เปิดโลกใบเล็กภายในกายแล้ว?”
“เหลวไหล! ต้วนหลิงเทียนยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น มันที่ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะไฉนจะสามารถเปิดโลกใบเล็กภายในกายได้? ”
“แล้วตกลงมันยังไงกันแน่เล่า?”
…
หลายคนพากันตกใจยกใหญ่ เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนที่ยังเป็นยอดเซียนอมตะคนหนึ่ง กลับทำให้กระบี่หลากสีนั่นผสานเข้าร่างตัวเองได้! พวกมันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่าปรากฏการณ์นี้คืออะไร!!
“ถึงแม้ขุนนางอมตะจะสามารถเปิดโลกใบเล็กภายในกายได้ แต่ก็ไม่มีใครคิดเก็บอาวุธคู่กายไว้ในนั้นหรอก…เพราะคิดจะเรียกอาวุธตัวเองออกมาจากโลกใบเล็กภายในกาย มันค่อนข้างยุ่งยากวุ่นวายกว่าเก็บไว้ในแหวนพื้นที่มาก”
ชายยวัยกลางคนมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาตื่นตระหนก หว่างคิ้วขดย่นเป็นปม เอ่ยออกมาเสียงหนัก “ที่สำคัญด่านพลังต้วนหลิงเทียนก็ยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปิดโลกใบเล็ก เพื่อซ่อนอาวุธแบบนั้นได้”
“อย่างไรก็ตามเท่าที่ข้ารู้มา ยังมีอาวุธอมตะประเภทหนึ่งที่สามารถผสานหลอมรวมเข้ากับร่างกายผู้ใช้ได้แบบนี้…และนั่นคืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!!”
กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของชายวัยกลางคนไม่เพียงแต่จะดังขึ้นผิดปกติ ยังสั่นเครือไปชัดเจน!
อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!
และวาจาดังกล่าวของชายวัยกลางคน พอดังเข้าหูเชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักลักษณะพิเศษของอาวุธอมตะระดับจักรพรรดิ ก็ทำให้พวกมันตกตะลึงอึ้งไปอยู่นาน ขณะเดียวกันร่างของพวกมันก็เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?
สำหรับพวกมันแล้ว อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเป็นอะไรที่อยู่ห่างไกลแสนไกล กระทั่งในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำที่พวกมันเข้ามาครั้งนี้ 3 นิกาย 2 ตระกูลก็ไม่มีปัญญาหาอุปกรณ์อมตะจอมราชันมาใส่ไว้ให้พวกมันช่วงชิงด้วยซ้ำ
อุปกรณ์อมตะรดับจักรพรรดินั่น ยังเป็นอะไรที่อยู่เหนืออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันไปอีก กวาดตามองไปทั่วแดนสวรรค์ใต้ทั้งหมด น่ากลัวว่าอาจจะมีเพียงแค่ไม่กี่ชิ้น
แต่ตอนนี้ กลับมีชิ้นหนึ่งมาปรากฏอยู่ในมือต้วนหลิงเทียน!
“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น…มันเป็นผู้ใดในโลกกันแน่!?”
ในฐานะคนที่เคยประมือกับต้วนหลิงเทียนมาก่อน เชวียจิงอวี่ย่อมดึงสติกลับมาได้ก่อนใคร พอมองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ใจมันก็สะท้านไปอย่างแรง
เป็นยอดเซียนอมตะผู้หนึ่ง แต่กลับถือครองอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!
ก่อนที่จะมาเห็นฉากเรื่องราวก่อนหน้ากับตา ให้คนมาพูดเรื่องนี้จนปากฉีก หรือตีมันให้ตาย…มันก็ไม่มีวันเชื่อ!
เพราะแม้แต่ทายาทสายเลือดหลักของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ จ้าวผู้ปกครองแดนสวรรค์ใต้แห่งนี้ น่ากลัวจะยังไม่มีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิไว้ใช้ด้วยซ้ำ!
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ที่แท้เป็นใครมาจากไหนกันแน่…ไฉนมันถึงมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิได้!?”
“ให้ตายเถอะ…ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม!?”
“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ…ข้าไม่คิดเลยว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะมีโอกาสได้เห็นมันกับตา!”
…
จากนั้นหลายๆคนก็ทยอยกันคืนสติ
“อุปกรณ์อมตะรดับจักรพรรดินั่นของมัน…คงมิได้มาจากวาสนาสถานภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้หรอกนะ?”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งคาดเดา
และข้อสันนิษฐานของมันก็ถูกคนอื่นคัดค้านอย่างแรงทันที!
“เจ้าฝันไปหรือ! อย่าพูดถึงแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้เลย ให้เป็นระดับกลางหรือระดับสูง ก็ไม่มีทางมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิให้ผู้คนพบเจอได้!”
“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดินั่น กระทั่งจอมราชันอมตะสมญญานามอย่างจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ของพวกเรา จะมีใช้หรือไม่ก็ไม่รู้ มันเป็นดั่งสมบัติที่พบพานด้วยโชควาสนา แสวงหามิอาจพานพบ!!”
WSSTH ตอนที่ 3,020 : โค้งสุดท้าย
“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ?”
ได้ยินวาจาคาดเดาด้วยความแตกตื่นระคนประหลาดใจของทุกคน ใบหน้าเย็นชาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เผยความรังเกียจเหยียดหยามออกมาทันที
เพราะตอนนี้สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งนำออกมาใช้ให้เห็น หาใช่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิไม่ แต่เป็นอุปกรณ์เทพที่อยู่เหนืออุปกรณ์เทพทั้งมวล
อุปกรณ์เทพระดับสูง!
“น่าเสียดายที่ความทรงจำภายในวังจอมราชันอมตะของพวกเราจักต้องถูกลบหายไป…เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิไว้ในครอบครอง พวกเราก็ถูกกำหนดให้ไม่อาจนำออกไปแพร่งพรายได้”
“ใช่ หากเรื่องที่มันครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิแพร่งพรายออกไป คงสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวเป็นแน่ เผลอๆจะวุ่นวายกันทั้งทั่วแดนสวรรค์ใต้ด้วยซ้ำ!”
“เหอะๆ พวกเจ้าไม่คิดบ้างเหรอ…ว่าหากหลังออกไปพวกเรายังจดจำเรื่องราวในวังจอมราชันอมตะได้ ต้วนหลิงเทียนยังจะเอากระบี่จักรพรรดินั่นออกมาใช้? แม้ไม่รู้ว่ามันมีความเป็นมาอย่างไร แต่ถ้าเรื่องที่มันครอบครองกระบี่จักรพรรดิแพร่งพรายออกไป มันต้องกลายเป็นเป้าหมายร่วมของยอดฝีมือทั้งแดนสวรรค์ใต้! เสี่ยงถูกฆ่าปล้นกระบี่นั่นตลอดเวลา!!”
“ข้าว่าก็ไม่แน่นักหรอก…เพราะเจอตงฟางจิ่นหลุนเข่นฆ่าเข้าไปแบบนั้น นอกจากใช้กระบี่จักรพรรดิแล้ว มันยังจะมีหนทางอื่นรับมือตงฟางจิ่นหลุนได้หรือ?”
…
เป็นธรรมดาว่าคนที่กล่าวแบบนี้ ย่อมเป็น 1 ใน 6 คนที่เหลือรวมถึงโอวหยา
“เหอะ! ไม่มีหนทางรึ?”
และคำพูดดังกล่าวของมันก็โดนพวกเชวียจิงอวี่ที่ลอยอยู่ด้านต้วนหลิงเทียนแขวะทันที “ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช้กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ แต่มันก็มิกลัวตงฟางจิ่นหลุนนั่นแน่นอน!”
“มิผิด! ต่อให้ตงฟางจิ่นหลุนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งอัสนี 2 ประการแล้วอย่างไร ให้มันทรงพลังร้ายกาจมากแล้วอย่างไร…แต่วันนี้ให้ตายมันก็ไม่มีทางทำร้ายต้วนหลิงเทียนได้หรอก!!”
“เฮอะ พวกโง่เขลา ต้วนหลิงเทียนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว แถมหนึ่งในนั้นยังเอกอุเรื่องป้องกันด้วยซ้ำ!!”
“มิผิด เมื่อครู่ต่อให้การลงมือของตงฟางจิ่นหลุนจะทรงพลังเพียงใด แต่จากการประเมินของข้า น่ากลัวว่าคงมิอาจฝ่าปราการป้องกันต้วนหลิงเทียนได้ด้วยซ้ำ! จริงอยู่ว่าต้วนหลิงเทียนคงมิอาจไล่ตามความเร็วของตงฟางจิ่นหลุนได้ทัน อย่างไรเสียประเด็นมันอยู่ที่ เมื่อครู่ถึงต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช่กระบี่จักรพรรดิ แต่คิดรับมือตงฟางจิ่นหลุนก็ง่ายดายนัก!!”
“ในความเห็นของข้า ที่ต้วนหลิงเทียนนำกระบี่อมตะจักรพรรดิออกมา ก็เพื่อเข่นฆ่าตงฟางจิ่นหลุนโดยเฉพาะ…หากไม่ใช่เพราะต้องการฆ่ามันให้ตาย ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่จักรพรรดิอันใดก็สามารถรับมือตงฟางจิ่นหลุนได้ง่ายๆแล้ว!”
…
ไม่มีใครรู้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนดีไปกว่าพวกเชวียจิงอวี่แล้ว
และทางด้านโอวหยากับคนอื่นๆ พอได้ยินวาจาเย้ยเยาะของพวกเชวียจิงอวี่ ก็พากันแตกตื่นเป็นการใหญ่
“ต้วนหลิงเทียน…เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้วหรือ!?”
“ตอนนี้ พวกมันหลอกเราไปก็มิได้อะไร สมควรเป็นความจริง!”
“ใช่ ดูจากท่าทีของพวกมันแล้วมิคล้ายกล่าวไปเรื่อย…แต่ต้วนหลิงเทียนนั่น มิใช่ว่ายังอายุไม่ถึงร้อยปีหรือไร?”
“อายุไม่ถึงร้อยปี แต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการได้แล้ว? ความสามารถในการตีความของมันช่างร้ายกาจยิ่งนัก!!”
“ให้ตายเถอะ! มันเป็นตัวประหลาดจากนรกขุมใดกัน!?”
…
ด้าน 6 คนทางฝั่งโอวหยาตื่นตกใจกันไม่น้อย แต่ละคนอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ กระทั่งโอวหยาเอง ตอนนี้แววตาที่นางใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“อายุไม่ถึงร้อยปี?”
เชวียจิงอวี่เห็นอาการผวาทั้ง 6 ก็แลดูสนุกสนานไม่น้อย มันจึงแสยะยิ้มกล่าวออกมาอีกรอบ “เมื่อครู่พวกเจ้าคงเห็นแล้วสินะ ว่าทางฝั่งพวกเรามีคนผู้หนึ่งใช้ ร่างแฝดแห่งความตาย ซึ่งเป็นความลึกซึ้งของ 1 ใน 4 กฏสูงสุด กฏแห่งความตาย”
“แต่ไม่ทราบพวกเจ้าทันได้สังเกตกันหรือไม่…ว่ามันก็อายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน!”
วาจาของเชวียจิงอวี่ ทำให้โอวหยาและคนอื่นๆ หันไปให้ความสนใจหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที
“ร่างแฝดแห่งความตาย!?”
ทันใดนั้นพวกมันก็โพล่งออกมาด้วยความตกใจทันที เพราะมาตอนนี้พวกมันก็นึกขึ้นได้ ว่าก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะลงมือ ชายคนนั้นก็เป็นคนที่พึ่งลงไปเก็บกล่องมาแล้วเปิดได้ดาบอมตะระดับราชา!
เพราะต้วนหลิงเทียนลงมือต่อทันที และด้วยวิธีการน่าเหลือเชื่อ จึงทำให้พวกมันลืมชายคนนั้นไปเสียสนิท!
พอนึกดูอีกที…สิ่งที่อีกฝ่ายใช้ มิใช่ร่างแฝดแห่งความตายหรอกหรือไร!?
“ที่แท้ร่างแยกที่เจ้านั่นใช้ เป็นร่างแฝดแห่งความตาย! ให้ตายเถอะ…มันถึงกับเข้าใจกฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุดงั้นเหรอ!?”
“กฏแห่งความตาย ในฐานะ 1 ใน 4 สูงสุด ย่อมมิอาจเข้าใจผ่านวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังใดๆ มีเพียงต้องพบเจอโชควาสนาหรือสืบทอดมรดกจากยอดคน!”
“สวรรค์! มันอายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!!”
“หากคิดจะเข้าใจความลึกซึ้งร่างแฝดแห่งความตาย อย่างน้อยๆก็ต้องเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งความตายเสียก่อน…กล่าวได้ว่าตอนนนี้มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายไปแล้ว 2 ประการ!!”
“ไฉนสัตว์ประหลาดเช่นพวกมัน 2 คนถึงได้ปรากฏตัวในเขตคฤหาสน์เฉวีนโยวของพวกเราพร้อมกันได้เล่า!?”
…
หลังโอวหยาและคนอื่นๆย้อนนึกถึงเรื่องราวการลงมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก่อนหน้า ทั้งหมดก็หันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นใหม่อีกรอบ ตอนนี้ในแววตาของทั้ง 6 ฉายถึงความหวาดกลัวให้เห็นชัดเจน
“กล่องเปล่างั้นหรือ…”
และในขณะที่ทุกคนหันไปสนใจหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็กลับมาสนใจกล่องที่เขาพึ่งลงไปเก็บมา พอเปิดออกดูก็พบว่าด้านในว่างเปล่าไร้สิ่งใด…
“หึหึ ดูเหมือนว่าโชคเจ้าจะสู้ข้าไม่ได้นะ…”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคลี่ยิ้มออกมาอย่างถือดี
ต้วนหลิงเทียนเพิกเฉยรอยยิ้มย่ามใจของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก่อนที่จะพุ่งร่างลงไปยังเวิ้งน้ำพิฆาตวิญญาณเบื้องล่างอีกครั้ง จากนั้นก็พุ่งไปหากล่องใกล้ๆและเปิดมันออกมาตรงนั้นเลย…และในขณะที่เขาไล่เปิดกล่อง ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วงชิงอะไร
กระทั่งโอวหยาเองก็ไม่กล้าลงไปช่วงชิงกล่องกับต้วนหลิงเทียน
เพราะเกิดต้วนหลิงเทียนไม่สบอารมณ์ที่นางลงไปแย่งกล่องขึ้นมา แล้วชักกระบี่เข่นฆ่าเข้าใส่ นางไม่พ้นต้องลงเอยเหมือนตฟางจิ่นหลุนแน่…จบเห่!
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนไม่กลัวต้วนหลิงเทียนอยู่
นั่นก็คือหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนลงไปไล่เปิดกล่องหาสมบัติ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ส่งร่างแฝดแห่งความตายออกไปแย่งกล่องกับต้วนหลิงเทียนอย่างสนุกสนาน
ฉากดังกล่าวนับว่าทำให้ผู้อื่นอิจฉาแทบตาย แต่ทั้งหมดก็ได้แค่อิจฉาไม่กล้าสอดมือทำอะไรทั้งสิ้น
เพราะในที่นี้นอกจากโอวหยาที่พอจะมีความสามารถลงไปช่วงชิงกล่องแล้ว คนอื่นนั้นท่าทางจะลงไปคว้ากล่องมาเปิดได้ยาก
อย่างไรก็ตามถึงแม้โอวหยาจะมีความสามารถลงไปคว้ากล่องมาเปิด แต่นางก็ไม่กล้าลงไปแย่งอะไรกับพวกต้วนหลิงเทียน ด้วยยังหวาดกลัววฉากกระบี่ที่พุ่งไปดั่งประกายแสงนั่นไม่หาย กระบี่อมตะจักรพรรดิที่สามารถรวมเข้าไปในร่างผู้ใช้ได้เล่มนั้น!
ราวๆ 1 เค่อต่อมา ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ไล่เปิดกล่องไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เปิดกล่องครบทุกใบ เรียกว่าแบ่งของกันแค่สองคนผู้อื่นไม่เกี่ยว
เป็นธรรมดาว่ากล่องส่วนใหญ่นั้นด้านในจะว่างเปล่า
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนได้มาก็มีอุปกรณ์อมตะระดับราชา 5 ชิ้น ขวดบรรจุโอสถอมตะ 3 ขวด และยันต์อมตะ 6 แผ่น
ด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้อุปกรณ์อมตะระดับราชา 6 ชิ้น ขวดโอสถอมตะ 2 ขวด แล้วก็ยันต์อมตะ 3 แผ่น
ครืนนน!!
ส่า!!
…
เมื่อต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเปิดกล่องจนหมดแล้ว น้ำพิฆาตวิญญาณก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกกครั้ง พวกมันเริ่มลดระดับลงด้วยความเร็วสูง มาทางไหนกลับไปทางนั้น
ครู่ต่อมาน้ำพิฆาตวิญญาณก็หายไปจากสายตาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง ราวกับพวกมันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
หากไม่ใช่เพราะว่าบริเวณแท่นศิลาที่ทุกคนยืนอยู่ตอนแรก ปรากกฏศพนอนตายอยู่ 2 ศพ ทุกคนอาจคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นมายาฝันตื่นหนึ่ง
“หืม?”
หลังจากที่น้ำพิฆาตวิญญาณหายไปหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังลี้ลับขุมหนึ่งที่เริ่มผุดขึ้นในความว่างเปล่าโดยรอบ
และครู่ต่อมาพลังลี้ลับที่ผุดขึ้นจากความว่างเปล่าโดยรอบก็แผ่มาปกคลุมเขากับคนอื่นๆ ในขณะเดียวกันเขายังสัมผัสได้อีกว่า พลังลี้ลับดังกล่าวเป็นพลังอันอ่อนโยน ไม่ได้มุ่งร้ายอะไร
“นี่มัน…”
“จะเคลื่อนย้ายไปที่อื่นอีกแล้วรึ”
แม้อยู่ๆก็ปรากกฏพลังลี้ลับขึ้นมาปกคลุมทุกคนอย่างกะทันหัน แต่ทุกคนก็ไม่มีใครแตกตื่นตกใจ เพราะสัมผัสได้ว่ามันเป็นพลังอ่อนโยน และคล้ายกับพลังลี้ลับก่อนหน้าที่จะปรากฏขึ้นตอนพาพวกมันเปลี่ยนสถานที่
อันที่จริงมันก็เหมือนกันทุกประการเลย
เมื่อพลังลี้ลับแผ่ออกไปปกคลุมพวกต้วนหลิงเทียนทั่วๆแล้ว มันก็ทำหน้าที่คล้ายเรือขนส่ง หอบหิ้วทุกคนหายวูบเข้าห้วงมิติ เบื้องหน้าทุกคนกลับกลายเป็นความมืดมิดอีกครั้ง
“ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าด้วยที่ผ่านบททดสอบที่ 2 ของวังจอมราชันอมตะ…สถานที่ต่อไป จะเป็นสถานที่สุดท้ายสำหรับพวกเจ้าในวังจอมราชันอมตะแล้ว”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆถูกพลังลี้ลับเคลื่อนย้าย จนแลเห็นเพียงความมืดมิด เสียงที่สงสัยว่าจะเหลือทิ้งไว้โดยจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ ก็ดังก้องขึ้นมาในหูทุกคนอีกครั้ง
“สถานที่สุดท้าย?”
“จบเร็วยิ่ง?”
“แล้วสถานที่สุดท้ายจักมีอันใดกันนะ?”
“จักมีอันใดก็ช่าง แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว…พวกเราคงไม่ได้อะไรหรอก”
“ทำอย่างไรได้เล่า ภายใต้จมูกต้วนหลิงเทียนกับหลิวเจวี๋ยอวิ๋น ยังจักเหลืออันใดตกถึงมือพวกเราได้อีก…เจ้าพวกนั้นได้กินเนื้อแล้วแท้ๆแต่ยังไม่ปันน้ำแกงสักถ้วยให้พวกเราดื่ม!”
…
ถึงแม้จะรู้ว่ากำลังถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่สุดท้ายในวังจอมราชันอมตะ แต่โอวหยาและคนอื่นๆก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไร กลับกันยังได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมออกมา
ด้านนอกทางเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ น่านฟ้าเหนือบริเวณใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน
“จิ่นหลุน!!”
เสียงร่ำร้องด้วยความโศกเศร้าหนึ่งดังออกมาอย่างโหยหวน เป็นชายวัยกลางคนในชุดเขียวผู้หนึ่งที่บัดนี้หน้าตาแลดูอัปลักษณ์ปั้นยากถึงขีดสุด เปี่ยมล้นไปด้วยความเจ็บปวดทั้งความเหลือเชื่อ
เพราะตอนนี้ อยู่ดีๆรายชื่อที่เคยได้อันดับ 1 ในตารางจัดอันดับก็ได้หายวับไป!
“เป็นนายท่านลำดับ 2 ของตระกูลตงฟาง!”
“พวกเจ้าดูตารางเร็ว ชื่อตงฟางจิ่นหลุนหายไปแล้ว!”
“ตงฟางจิ่นหลุน เป็นบุตรชายที่โดดเด่นที่สุดของนายท่านลำดับ 2 ของตระกูลตงฟาง…กระทั่งยังเป็นอัจฉริยะในรอบหมื่นปีของตระกูลตงฟาง แต่มันกลับตกตายด้านในจริงๆ?”
“ว่ากันว่าตงฟางจิ่นหลุนผู้นั้นเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งสายฟ้า 2 ประการ นอกเหนือจากความหมายแห่งสายฟ้าแล้ว ความลึกซึ้งอีกประการที่มันเข้าใจก็คือ ‘อัสนีฟาด’ ใช่ไหม?”
“ความลึกซึ้ง อัสนีฟาด ของกฏแห่งสายฟ้า…นั่นเป็น 1 ในความลึกซึ้งที่เอาเรื่องในกฏสายฟ้ามิใช่รึ? จะใช้เสริมการโจมตีหรือเคลื่อนไหว ก็นับว่าไม่ใช่เล่นๆเลยนี่นา?”
“ให้ตายเถอะ พลังฝีมือระดับตงฟางจิ่นหลุนยังตกตายอีกหรือ…แล้วผู้ที่ลงมือสังหารมันได้จะร้ายกาจถึงขนาดไหนกัน?”
…
หลังได้รับทราบว่าตงฟางจิ่นหลุนถูกฆ่าตายไปแล้ว ผู้คนที่รวมตัวกันเหนือทะเลสาบอวิ๋นเยียนก็บังเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาทันที!
“มันเป็นคนที่ 2 แล้วที่ตกตายทั้งๆที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏสองประการ…คนแรกก็คือสุมาฉุนแห่งตระกูลสุมา ตอนนี้ก็มามีตงฟางจิ่นหลุนของตระกูลตงฟางอีก”
“ให้ตายเถอะ หรือยอดเซียนอมตะที่เข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ ยังมีคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการด้วย?”
“อาจเป็นได้! หาไม่แล้วตงฟางจิ่นหลุนกับสุมาฉุนคนนั้นจะตกตายได้อย่างไร”
…
ด้วยความตายของสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุน ทำให้บรรยากาศเหนือทะเลสาบอวิ๋นเยียนกลายเป็นตึงเครียดไม่น้อย
สายตาผู้คนจำนวนมากจับจ้องมองไปยังตารางจัดอันดับอย่างไม่วางตา
ตอนนี้แต้มคะแนนสะสมของผู้ที่อยู่หัวตารางนั้น ไม่ได้แตกต่างกันมากมายอะไร
อันดับ 1 คือ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว
อันดับที 2 คือ ต้วนหลิงเทียน
อันดับที่ 3 คือหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
…
“แม้คะแนนต้วนหลิงเทียนจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่ยังคงรั้งอยู่ในอันดับที่ 2…ส่วนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอันดับ 1 นั่น ดูเหมือนจะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในรอบหมื่นปีของตระกูลมู่หรง ตระกุลระดับ 7…ที่สำคัญนางยังเป็นสตรี!”
หูหลินอี้ ฮ่องเต้ฝูชิวจับจ้องไปยังรายชื่ออันดับ 2 ในตารางจัดอันดับไม่วางตา ลูกตาของมันตอนนี้ฉายแววสว่างจ้ามากล้นไปด้วยความตื่นเต้น
เพราะตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนสามารถรักษาอันดับนี้เอาไว้ได้จนถึงเวลาที่ทุกคนกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ มันจะได้รับรางวัวลมหาศาลจาก 3 นิกาย 2 ตระกูล!
“อย่างไรก็ตามคะแนนของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้นก็จี้ต้วนหลิงเทียนมาติดๆแล้ว…”
สองมือหูหลินอี้เริ่มกำหมัดแน่น ยังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ด้วยกังวลว่าโค้งสุดท้ายอาจบังเกิดความเปลี่ยนแปลง และมีอันทำให้อันดับต้วนหลิงเทียนลดลง!
WSSTH ตอนที่ 3,021 : มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว
ตอนนี้หูหลินอี้ก็ไม่ได้รู้เลย
ว่าไฉนที่คะแนนต้วนหลิงเทียนยังรั้งอยู่ในอันดับที่ 2 นั้น เพราะอำนาจของกฏแห่งเวลาในแดนสวรรค์ใต้โบราณกำลังช่วยเหลือเขาอยู่ ด้วยการทยอยเพิ่มคะแนนให้เขาอย่างช้าๆต่างหาก!
กล่าวได้ว่าคะแนนที่เขาได้รับตงฟางจิ่นหลุน ยังไม่ถูกเพิ่มเข้าไปทั้งหมด
หากมันถูกเพิ่มทั้งหมดแล้ว เขาย่อมพุ่งขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ทันที!
“โชคของประเทศฝูชิวกับประเทศตงหมิงไฉนยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้นะ อยู่ดีๆกลับมีผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นอัจฉริยะมาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณในนามของประเทศพวกมัน…”
น่านฟ้าด้านหนึ่ง เหล่าฮ่องเต้ของประเทศระดับ 8 ของดินแดนพันประเทศ ตอนนี้ก็ได้รับทราบกันถ้วนหน้าแล้ว ว่าอันดับที่ 2 กับอันดับที่ 3 นั้นเป็นใครมาจากไหน ยังอดไม่ได้ที่จะอิจฉาริษยาประเทศฝูชิวกับประเทศตงหมิงจับใจ พากันมองจ้องฮ่องเต้ฝูชิวกับฮ่องเต้ตงหมิงด้วยสายตาเกลียดชัง
น่านฟ้าบริเวณที่เหล่าคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลลอยร่างอยู่
“อันดับที่ 2 ต้วนหลิงเทียน กับอันดับที่ 3 หลิเจวี๋ยอวิ๋นนั่น ดูเหมือนจะมีอายุไม่ถึงร้อยปี…”
จ่างซุนฉงฉี ผู้ที่นำพาคนของตระกูลจ่างซุนมองไปยังหัวตารางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “นอกจากนั้น ยังได้ยินคนของดินแดนพันประเทศกล่าวกันหนาหูว่าทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่พึ่งจะปรากฏตัว…”
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่น ถึงแม้มันจะเลือกตีความกฏแห่งความตาย…แต่ในเมื่อมันมาถึงจุดนี้ได้ ไม่พ้นต้องเข้าใจความลึกซึ้งอีกประการของกฏแห่งความตายแล้วแน่นอน”
กงหยางอวี่ผู้นำคนของตระกูลกงหยางกล่าวคาดเดา
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เหมือนต้วนหลิงเทียนที่อยยู่อันดับ 2 มันเองก็ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน…แต่ข้าเชื่อว่ามันสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการดั่งท่านว่าจริงๆ”
เหิงฉาน ผู้นำโถงอรหันต์ของนิกายอมตะอวิ๋นไถกล่าว
“ทั้ง 2 ล้วนเป็นอัจฉริยะปีศาจ…กระทั่งยังนับว่าโดดเด่ดเหนือมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอัจฉริยะหญิงในรอบหมื่นปีของตระกูลมู่หรงที่รั้งอู่ในอันดับ 1 ตอนนี้เสียอีก ล้วนแล้วแต่น่าสนใจและน่าดึงตัวมาเข้าร่วมทั้งสิ้น”
ผู้นำนิกาอมตะเป้าผู้ จางกวงเจิ้งเอ่ยออก จากนั้นก็หันไปมองเหิงฉาน ผู้นำโถงอรหันต์ของนิกาอมตะอวิ๋นไถพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตาม อันดับ 1 อย่างมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว…ดูเหมือนจะถูกกำหนดให้ไร้วาสนากับนิกายอมตะอวิ๋นไถท่านแล้วล่ะ…”
“หึ!”
เหิงฉานพ่นลมสบถออกมาเมื่อถูกจางกวงเจิ้งกล่าวแซว แต่จะให้ทำอย่างไรได้ นิกายอมตะอวิ๋นไถของมันรับแต่ศิษย์บุรุษ ไม่รับศิษย์สตรี ให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวร้ายกาจให้ตาย มันก็ไม่อาจรับนางได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมันหันไปมองชื่อต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น สองตามันก็ฉายความมุ่งมั่นออกมา
เป้าหมายของมันคือ 2 คนนี้!
ถึงตอนนี้อันดับของทั้งคู่จะสู่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้ กระทั่งพลังฝีมืออาจจะยังอ่อนด้อยกว่านาง แต่อย่างไรก็ตามมันเชื่อว่าทั้ง 2 นั้นมีคุณค่ามหาศาลกว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว
เนื่องจากมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคนนั้น อายุเจียนจะ 200 อยู่แล้ว
แต่ทั้งคู่ยังมีอายุไม่ถึง 100 ปี!
ในบรรดาผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูล มีเพียงปี้ไห่หมิงเฟิงคนเดียวที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
อย่างไรก็ตามแม้มันจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตามันก็จับจ้องไปยัง 3 อันดับแรกในตารางไม่วางตาเช่นกัน
ภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ
ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆนั้น บัดนี้ได้ถูกพลังลี้ลับเคลื่อนย้ายมาถึงสถานที่แห่งใหม่ มองไปแล้วพบว่าเป็นหุบเขาอันมืดมิดแห่งหนึ่ง
และหลังจากที่พลังลี้ลับดังกล่าวเคลื่อนย้ายมาถึงหุบเขาแห่งนี้แล้ว มันก็อันตรธานสาบสูญไปในความว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย
“หุบเขานี่มัน…”
ต้วนหลิงเทียนมองไปรอบๆเขาก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง กล่าวไปยังเสมือนเขาอยู่ใต้หุบเหวอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งก็ว่าได้ เพราะผา 2 ฟากนั้นมันห่างไกลและสูงชันเหลือเกิน มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิด หากแต่สูงขึ้นไปเหนือใจกลางหุบเขา ปรากฏแท่นหินมากมายลอยล่องอยู่กลางหาวอย่างเงียบงัน
แท่นหินที่ว่ายังมีขนาดเล็กนัก มองไปเหมือนเบาะรองนั่งทรงกลม มีที่พอให้ผู้คนนั่งได้แค่คนเดียว ลอยตัวเรียงรายในระดับความสูงแตกต่างกัน และที่ลอยอยู่สูงสุดก็มีแท่นเดียว
ส่วนต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ อยู่ก็ถูกพลังลี้ลับเคลื่อนย้ายมายังก้นหุบเขา จึงไม่ทราบว่าถูกพามาจากทิศทางใดกันแน่
และไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็พบเจอแต่ความมืดอันไร้สิ้นสุด
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังพบว่า นอกจากจุดที่เขากับคนอื่นส่งตัวมา ห่างออกไปไกลๆในความมืด 2 จุดก็เสมือนมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง
“มีคนมา”
“พวกที่มาถึงก่อนเรางั้นหรือ?”
…
เสียงอุทานจากคนในกลุ่มดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน จากนั้นเขาก็พบว่าในความมืดมิดใต้หุบเขาอันไร้แสงสว่างส่องถึงนั้น มีความเคลื่อนไหวบางอย่าง และสมควรเป็นคน 2 กลุ่มที่กำลังพุ่งเข้ามาจากทิศทางที่แตกต่างกัน
สำหรับคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยากว่าสมควรถูกพลังลี้ลับเคลื่อนย้ายมาที่นี่เช่นกัน และถูกส่งตัวมาที่นี่ก่อนพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันก็เป็นคนที่เหลือรอดอยู่ในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้
“น้องหญิงโอวหยา!”
ปรากฏเสียงใสไพเราะหนึ่ง ดังขึ้นจากบรรดากลุ่มคนที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นเงาร่างบางในชุดเขียวอ่อนเหินเข้ามาทางเขา และพริบตาก็ไปหยุดลงเบื้องหน้าโอวหยาที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลสักเท่าไหร่
“พี่หญิงมู่หรง!”
เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร รอยยิ้มสดใสก็คลี่กางขึ้นบนใบหน้าโอวหยาทันที
คนที่พึ่งมาถึงนั้น เป็นอิสตรีที่มีรูปลักษณ์งดงามทั้งแลดูสูงศักดิ์ยิ่งกว่าโอวหยาเสียอีก จากบรรยากาศที่แผ่ออกมารอบกายนางอย่างเป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกว่านางเป็นสตรีที่กล้าได้กล้าเสียนางหนึ่ง
“มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว!”
เชวียจิงอวี่ที่ยืนห่างจากต้วนหลิงเทียนไม่ไกล พอเห็นว่าผู้ที่พึ่งมาถึงเป็นใครก็อุทานออกมาเสียงเข้ม ลูกตายังหดหยีลงแลดูหวั่นเกรงผู้อื่นเขาไม่น้อย
“มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว?”
ได้ยยินคำอุทานของเชวียจิงอวี่ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปสังเกตสตรีผู้มาใหม่ทันที “นางน่ะเหรอ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั้น เขาได้ยินมาว่านางคืออัจฉริยะอันดับ 1 ในรอบหมื่นปีของตระกูลมู่หรงที่เป็นตระกูลระดับ 7 อายุเกือบ 200 ปี หากแต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำ 2 ประการแล้ว
อีกทั้งร่ำลือกันว่านางได้หยั่งถึงความลึกซึ้งประการที่ 3 ของกฏแห่งน้ำ กระทั่งเริ่มใช้พลังของความลึกซึ้งดังกล่าวได้บางส่วน!
เช่นเดียวกับต้วนหลิงเทียนที่เริ่มหยั่งถึงความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วง แม้จะยังไม่บรรลุความสำเร็จขั้นตอนเบื้องต้น แต่เขาก็สามารถใช้พลังอำนาจของมันได้บางส่วน
แม้ปกติหากใช้ออกอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ในห้วงเวลาคับขันมันอาจชี้เป็นชี้ตายสถานการณ์ และเปลี่ยนผลการต่อสู้ได้ทันที
ดุจเดียวกับตอนที่ต้วนหลิงเทียนใช้มันเพื่อฆ่าสุมาฉุนก่อนหน้านี้ ถึงเขาจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชัน แต่ถ้าไม่ได้พื้นที่โน้มถ่วงคอยฉุดรั้งสุมาฉุนเอาไว้ให้ไม่อาจใช้ความเร็วได้เต็มที่ ก็คงยากที่เขาจะฆ่ามันได้
เมื่อเห็นว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเหินร่างเข้ามาทักทายโอวหยา และด้านโอวหยาก็คลี่ยิ้มสดใสตอนรับผู้มา ทุกคนก็บอกได้ไม่ยากว่าทั้ง 2 รู้จักมักคุ้นกัน
และอันที่จริงทั้งคู่ไม่ใช่แค่รู้จักมักคุ้น แต่นับเป็นสหายที่สนิทสนมกันอีกด้วย
สตรีนั้นในเรื่องบ่มเพาะพลังหรือการต่อสู้ ด้วยสรีระตามธรรมชาติไม่เอื้อ ก็ทำให้ยอดฝีมือสตรีมีจำนวนน้อยกว่าบุรุษ ยังผลให้เหล่าสตรีที่โดดเด่นไม่กี่คนในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว เสมือนได้พบคนที่มีหัวอกเดียวกัน และเข้าใจความยากลำบากของกันและกัน
ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด
“น้องหญิงโอวหยา เจ้าสมควรเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยกระมัง?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวยิ้มถาม
อย่างไรก็ตาม ได้ยินคำถามนี้ของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โอวหยาอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาเจื่อนๆ จากนั้นก็หันไปมองทางต้วนหลิงเทียน
หากไม่มีต้วนหลิงเทียน การเก็บเกี่ยวของนางก็คงจะดีอยู่หรอก
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้วนหลิงเทียนใช้กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิเข่นฆ่าตงฟางจิ่นหลุนอย่างอุกอาจในสถานที่ก่อนหน้าของวังจอมราชันอมตะ ก็ทำให้นางบังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย ไม่กล้าช่วงชิงกล่องที่ลอยอยู่บนผิวน้ำพิฆาตวิญญาณกับอีกฝ่าย…
“เอ๊ะ? มีอะไรรึ?”
เมื่อเห็นว่าโอวหยาคลี่ยิ้มขื่นขม พลางหันมองไปยังชายหนุ่มุชดม่วงคนหนึ่ง ก็ทำให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพอจะคาดเดาเรื่องราวอะไรได้บางอย่าง
“มิมีใดพี่หญิง”
โอวหยาส่ายหัวไปมา จากนั้นก็หันกลับมามองถามมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว “แล้วพี่หญิงมูหรงเล่า ท่านสมควรได้ของดีๆมาไม่น้อยเลยสิ?”
“พอได้”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยักหน้ารับเบาๆ อย่างไรก็ตามดูจากรอยยิ้มสดใสของนาง โอวหยาก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่าต้องเก็บเกี่ยวได้ของดีมาไม่น้อย
“น้องหญิงโอวหยา ทางเจ้าคงเกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่ไหม…ที่แท้มีเรื่องอะไรกันแน่? ชายผู้นั้น ใช่มีปัญหาอะไรหรือไม่?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้สนิทสนมกับโอวหยามาแค่วันสองวัน ไหนเลยจะดูไม่ออกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย
ด้วยเจอการจี้ถามของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โอวหยาก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอนคราหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงผ่านพลังเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวฟัง
และหลังจากที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวได้ยินเรื่องราวจากเสียงผ่านพลังของโอวหยา นางก็ตกตะลึงไปพักหนึ่ง สีหน้าแววตายังเริ่มฉายให้เห็นถึงความหวาดกลัว
ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอายุไม่ถึงร้อยปี เข้าใจความลึกซึ้งของงกฏแห่งดิน 2 ประการ…
ความสามารถอันร้ายกาจเช่นนี้ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความละอายและพ่ายแพ้ในใจ
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่เท่าไหร่
แต่อีกฝ่ายกลับมีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิในครอบครอง! ที่สำคัญยังใช้กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิดังกล่าวเข่นฆ่าตงฟางจิ่นหลุนได้ง่ายดาย เยี่ยงตัดหญ้าฆ่าไก่!!
นางย่อมรู้ดีว่าตงฟางจิ่นหลุนเป็นใคร
กระทั่งตงฟางจิ่นหลุนนั้นยังเป็นบุรุษที่ตามจีบนางผู้หนึ่ง จึงทำให้นางเข้าใจความสามารถของตงฟางจิ่นหลุนไม่น้อย
ถึงแม้ว่าหากให้นางประมือกับตงฟางจิ่นหลุน นางเองก็สามารถเอาชนะกระทั่งฆ่าอีกฝ่ายได้ ทว่าอย่างไรก็ต้องประมือกันไปไม่ต่ำกว่าร้อยกระบวนท่า จะให้เข่นฆ่าในกระบวนเดียว นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!
หลังสูดอากาศเข้าด้วยความหนาวเหน็บ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็กลับมาครองสติอีกครั้ง
สำหรับเรื่องที่โอวหยาเล่ามา นางเชื่อโดยที่ไม่คิดสงสัยแม้แต่น้อย
“น้องหญิงโอวหยา เจ้าพาข้าไปแนะนำตัวกับมันหน่อยสิ”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมองกล่าวกับโอวหยา ก่อนจะสลับไปมองต้วนหลิงเทียน ที่อยู่ไม่ห่างจากนางกับโอวหยามากเท่าไหร่
“พี่หญิงมู่หรง ข้าก็ไม่ได้รู้จักอะไรมัน แถมข้ายังไม่เคยพูดกับมันสักคำเลย…”
โอวหยาคลี่ยิ้มขมขื่น
“ฮัยยา สาวน้อยนางนี้ช่างหน้าบางยิ่ง…ฟังจากเรื่องราวและเหตุผลที่มันฆ่าตงฟางจิ่นหลุนแล้ว ทั้งไม่ได้ทำอะไรตอนเจ้าลงไปเอากล่องนั่นเลย ก็บอกให้รู้ว่ามันมิใช่คนจิตใจคับแคบ ข้าว่าต่อให้ตอนนั้นเจ้าลงไปคว้าไว้สักสองสามกล่อง มันก็ไม่รังแกเจ้าหรอก…”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวส่ายหัวไปมาพลางกล่าว
ด้านต้วนหลิงเทียนเดิมทีก็กำลังสังเกตที่ทางโดยรอบ และแหงนมองแท่นหินที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยความสงสัย ว่ามีเอาไว้ทำอะไร แล้วสถานที่สุดท้ายแห่งนี้จะมีบททดสอบอะไรกันแน่
“หืม?”
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงสายตาบางคู่ที่มองจ้องมา จึงหันไปมองตามสายตาดังกล่าวทันที จึงพบว่ามีสตรีสองคนกำลังเดินมาหาเขา
และสตรีทั้ง 2 ที่เดินมาหาต้วนหลิงเทียนก็คือมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวกับโอวหยานั่นเอง
“ยินดีที่ได้พบ ข้าเรียกว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว มาจากตระกูลมู่หรง ตระกูลระดับ 7”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่พาโอวหยาเดินมาหาต้วนหลิงเทียน พอมาถึงก็กล่าวทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มสดใสเป็นกันเอง ราวกับไม่รู้ว่าสตรีควรวางตัวอย่างไร
“อืม”
มีคำกล่าวว่าไม่อาจตบหน้าคนยิ้ม เมื่อมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเดินมาทักเขาด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัย ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับคำทัก หากแต่สีหน้ายังคงสงบและไม่คิดจะกล่าวคำอะไรกับนาง
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว แต่ก็ไม่ยากที่มองออกว่าสตรีนางนี้ไม่ธรรมดา และท่าทางเหมือนกำลังคิดจะตี้ซี้เขา จากรอยยิ้มจอมปลอมกับท่าทางกระตือรือร้นของนาง
“ข้าแนะนำตัวเองแล้ว…ท่านเล่า ไม่คิดแนะนำตัวเองหน่อยหรือ?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเพิกเฉยกับความเฉยเมยของต้วนหลิงเทียน ยังคงคลี่ยิ้มสดใสชวนคุยต่อไป
“ต้วนหลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบเสียงเบา
ในขณะที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยายามสรรหาหัวข้อมาชวนต้วนหลิงเทียนคุยไปเรื่อยเปื่อ และต้วนหลิงเทียนก็พยายามตอบสั้นๆด้วยความรำคาญนั้นเอง…
“ไอ้หน้าขาวนั่นมันเป็นใครกัน!?”
ชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่ง ในกลุ่มคนที่ยืนห่างออกไปจากจุดนี้ พอเห็นฉากดังกล่าว สีหน้าของมันก็เริ่มมืดดำลงทันที
มันไล่ตามมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมานานหลายปีแล้ว แต่กลับไม่มีความคืบหน้าอันใด และนางก็ไม่ได้สนใจอะไรมันเลย กระทั่งยังถูกนางเมินอยู่ร่ำไป…
แต่วันนี้มันกลับพบว่าคนที่พยายามผลักไสมัน กลับพยายามเข้าหาบุรุษผู้หนึ่ง แต่ดูจากสีหน้าท่าทีของชายหนุ่มผู้นั้นแล้ว อีกฝ่ายทำเหมือนนางในดวงใจของมันเป็นแค่เห็บหมาน่ารำคาญก็ไม่ปาน!
สิ่งนี้จะให้มันทนไหวได้อย่างไร!
“ดูเหมือนเจ้านั่นจะมาพร้อมกับแม่นางโอวหยา…หรือมันจะรู้จักกับแม่นางโอวหยา? แม่นางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจึงแลดูสนใจมันออกนอกหน้า?”
ชายหนุ่มชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างๆชายหนุ่มชุดดำกล่าว
WSSTH ตอนที่ 3,022 : กฎแห่งเวลา
“พี่หยวน ไอ้หนูนั่นเหมือนมันจะยังอายุไม่ถึงร้อยปี…”
ชายชุดเขียวแผ่สำนึกเทวะออกกไปได้ไม่ทันไร ก็พบว่าชายหนุ่มชุดม่วงไกลๆนั้น ยังมีอายุน้อยกว่าร้อยปีเสียอีก
และชายหนุ่มชุดม่วงที่ว่า บัดนี้ก็กำลังสนทนากับ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ด้วยท่าทางทำราวกับรำคาญนางเต็มที!
ถึงแม้พวกมันจะรู้ตัวดี ว่ากับมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั้นพวกมันคงไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวนาง แต่เห็นชายหนุ่มชุดม่วงทำกิริยาเช่นนั้นกับนาง พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะโมโห!
“อายุมันไม่ถึงร้อยงั้นเหรอ?”
ได้ยินคำพูดของชาหนุ่มชุดเขียว สำนึกเทวะของชายหนุ่มชุดดำก็เริ่มแผ่ขยายออกไปทันที ครู่ต่อมามันก็ยืนยันได้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงขัดตาผู้นั้น อายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!
ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอายุไม่ถึงร้อย สามารถรอดมาถึงที่นี่ได้…นับว่าอีกฝ่ายมีโชคไม่ใช่น้อย!
มันไม่คิดว่าที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยายามเข้าหาชายหนุ่มชุดม่วงนั่นด้วยท่าทางระริกระรี้ จะเป็นเพราะพลังฝีมือของอีกฝ่ายเลย แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายสมควรรู้จักกันกับโอวหยามากกว่า!
“จะเป็นเพราะมันรู้จักกับโอวหยาหรืออะไรก็ช่าง…แต่ไอ้หนูชุดม่วงนั่นกล้าชักสีหน้าแบบนั้นใส่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวของข้า! อภัยให้มันไม่ได้!!”
ชายหนุ่มชุดดำถลึงตามองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อ ทำราวกับอีกฝ่ายเข่นฆ่าบิดาถล่มมารดาของมันมา!
แน่นอนว่าลึกลงไปในแววตาของมัน ยังฉายถึงความหึงหวงปานเพลิงไฟ!
“หืม?”
แทบจะทันทีที่ทั้ง 2 แผ่สำนึกเทวะมาตรวจสอบ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ทันที จากนั้นเขาก็พบว่ามีชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งกำลังมองจ้องมาทางเขาด้วยสายตาดุร้ายปานยักษ์มาร!
‘ไอ้เจ้านั่น…มันเป็นใครอีกกัน?’
ต้วนหลิงเทียนย่นคิ้วเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลอบมองไปยังมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวหลายครั้ง เขาก็ตระหนักได้ถึงต้นตอของปัญหา ‘ให้มันได้ยังงี้สิ..สตรีนับเป็นบ่อเกิดเภทภัยโดยแท้’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดในใจอย่างเอือมระอา ด้านมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ยังขุดหัวข้อมากมายมาชวนต้วนหลิงเทียนคุยไม่หยุด
วู้มมม!!
ครืนนนน!!
…
ทันใดนั้นเองเสียงสั่นสะเทือนเลือนลั่นหนึ่งพลันดึงขึ้นจากบนฟ้าเหนือหุบเขา ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหมดในหุบเขาไปทันที
ต้วนหลิงเทียนเองก็เงยหน้าขึ้นไปมองชมเรื่องราวเหนือหุบเขาเช่นกัน
เขาจึงพบว่าเดิมฟ้าที่มีสีครามปานฟ้าในวันอากาศแจ่มใส บัดนี้ได้กลับกลายเป็นอึมครึมดั่งพยับหมอก อีกทั้งยังแลเห็นวันพลังลักษณะดั่งวงแหวนสีเทาสองวงซ้อนกัน กำลังหมุนคว้างอย่างแปลกประหลาด
มวลพลังบริเวณวงแหวนรอบนอกนั้นหมุนวนตามเข็มนาฬิกา
หากแต่วงแหวนพลังด้านในกลับหมุนวนทวนเข็มนาฬิกา
และทันใดนั้นเอง เสียงที่ทุกคนสงสัยว่าจะเป็นเสียงของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ณ สถานที่สุดท้ายของวังจอมราชันอมตะแห่งนี้ พววกเจ้าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจลี้ลับแห่งกาลเวลาที่ข้าเหลือทิ้งไว้ในค่ากลได้ ข้าจักเปิดโอกาสให้พวกเจ้าทุกคนได้มีโอกาสสัมผัสถึงกฏแห่งเวลา มีโอกาสเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลา…”
“หุบเขาแห่งนี้ ข้าตั้งชื่อมันว่าหุบเขากาลเวลา…ขอเพียงพวกเจ้าขึ้นไปนั่งบนแท่นศิลาที่ลอยล่องอยู่ ก็จักสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจลี้ลับของกฏแห่งเวลาในนค่ายกลที่ข้าเหลือทิ้งเอาไว้ได้ทันที”
“และยิ่งแท่นหินอยู่สูงเท่าไหร่ ก็จะเชื่อมโยงกับค่ายกลของข้ามากขึ้นเท่านั้น ทำให้มีโอกาสเข้าถึงกฏแห่งเวลามากขึ้นตามไปด้วย…แต่แน่นอนว่าทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเชาว์ปัญญาและความสามารถส่วนตัวของพวกเจ้า”
“หากพวกเจ้ามีความสามารถมากพอ ต่อให้ขึ้นไปนั่งบนแท่นหินที่มิได้สูงอะไร เจ้าก็อาจเข้าถึงกฏแห่งเวลาผ่านค่ายกลที่ข้าเหลือทิ้งไว้ได้…แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า หากเป็นผู้ที่มีความสามารถทัดเทียมกัน ยิ่งอยู่บนแท่นหินที่สูงมากเท่าไหร่ โอกาสที่พวกเจ้าจะเข้าถึงกฏแห่งเวลาได้มันก็จักยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”
“สำหรับเวลาที่พวกเจ้าจักได้อยู่ที่นี่เพื่อพยายามสัมผัสและเข้าถึงพลังของกฏแห่งเวลา…ก็คือเวลาก่อนที่แดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้จะเปิดออกอีกครั้ง”
“เมื่อทางเข้าออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้เปิดออกอีกครั้ง พวกเจ้าจะถูกส่งตัวออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้ทันที”
“และพวกเจ้าที่พยายามจนสามารถมาถึงววังจอมราชันอมตะได้ เป็นธรรมดาว่าไม่ต้องไปตามหาทางออกเหมือนผู้อื่น…”
เสียงดังถึงจุดนี้ก็เงียบหายไป
“กฏแห่งเวลา..เข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลา!?”
“หากพวกเราไปนั่งบนแท่นศิลาที่ลอยล่องอยู่เหล่านั้น…พวกเราจะมีโอกาสเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งเวลาอย่างความหมายแห่งเวลาผ่านค่ายกลที่ท่านจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทิ้งไว้รึ?”
“ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่า หลังจากที่มีคนกลับออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ บางคนอยู่ๆก็เริ่มเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลาบางส่วน แม้จะไม่มีใครเข้าใจจนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนตกตะลึงแล้ว ถึงอย่างไรนั่นก็คือกฏแห่งเวลา 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ขึ้นชื่อว่าลี้ลับและพิสดารเป็นที่สุด!”
“ใช่ ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มา แต่คนเหล่านั้นก็จำไม่ได้เลยว่าได้สัมผัสกับพลังของกฏแห่งเวลาภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณหรือไม่…ดูเหมือนทุกคนจะเคยสัมผัสมาก่อนจริงๆ และได้สัมผัสหลังผ่านบททดสอบของวังจอมราชันอมตะจนมาถึงที่นี่เหมือนพวกเรา! ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงไม่เหลือความทรงจำใดๆเกี่ยวกับวังจอมราชันอมตะเลย!!”
…
ลึกลงไปใต้หุบเขา ตอนนี้มีคนอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 3 กลุ่ม อย่างไรก็ตามหลังได้ยินเสียงที่สงสัยว่าจะเป็นของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทิ้งไว้เมื่อครู่ ไม่มีข้อยยกเว้น ทุกคนล้วนตื่นตะลึงกันหมด!
“กฏแห่งเวลา?”
ลูกตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังลุกวาวขึ้นมาทันใด จากนั้นก็มองไปยังแท่นศิลาที่ลอยเด่นสูงสุด
เรียกว่าแท่นศิลาที่ลอยสูงสุดนั่น เป็นสถานที่ๆดีที่สุดในหุบเขาแห่งนี้
ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองไปยังแท่นศิลาสูงสุดนั่น ก็มีหลายคนที่มองจ้องไปเช่นกัน นอกจากคนที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการที่คิดจะต่อสู้ช่วงชิงแล้ว คนที่เหลือทำได้แค่รอดูท่าที
“กฏแห่งเวลา?”
ตอนนี้เองมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็หยุดการหาเรื่องชวนคุยต้วนหลิงเทียน และเงยหน้าขึ้นไปมองแท่นศิลาที่อยู่สูงสุดด้วยสายตาวาดหวัง!
ทว่าชมดูอยู่ไม่ทันไร ก็คล้ายนางจะนึกอะไรได้ออก จึงก้มลงมามองต้วนหลิงเทียนที่อยู่ใกล้ๆทันที
“มีคำกล่าวว่า สุภาพสตรีก่อน…ต้วนหลิงเทียน ท่านเป็นบุรุษอกสามศอก คงไม่คิดช่วงชิงแท่นศิลาสูงสุดนั้นกับข้าหรอกกระมัง?”
หากที่นี่ไร้ตัวตนอย่างต้วนหลิงเทียนดำรงอยู่สักคน มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคงมุ่งมั่นจะสยบทุกคนและช่วงชิงแท่นศิลาสูงสุดนั่นไปแล้ว
อย่างไรกก็ตาม ด้วยมีต้วนหลิงเทียนอยู่ ทำให้นางบังเกิดแรงกดดันอย่างหนัก!
เพราะนางรู้ดีแก่ใจ ว่าด้วยพลังของต้วนหลิงเทียน หากไม่เป็นฝ่ายเต็มใจสละแท่นศิลาสูงสุดนั่นให้นางด้วยตัวเอง ตัวนางก็ไม่มีวันช่วงชิงกับอีกฝ่ายได้เลย!
ถึงแม้จะรู้ดีว่าโอกาสมีริบหรี่ ทั้งเรื่องที่นางขอยังหน้าด้าน แต่นางก็ยังคงกล่าวออกไป เพื่อโอกาสที่ดีที่สุดในการเข้าถึงกฏแห่งเวลา
“เจ้าแก่แล้ว ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ต้องเสียสละให้เด็กหรอกรึ?”
ได้ยินคำพูดหน้าด้านของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ต้วนหลิงเทียนก็ตอบกลับทันที และคำพูดนี้ยังทำให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวของขึ้นไม่น้อย แก่อะไร ผู้ใหญ่เสียสละให้เด็กอะไร!?
บุรุษผู้นี้กลับกล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมาได้อย่างไร!?
หรือไม่ทราบว่าการล้อเลียนเรื่องอายุของสตรีเป็นข้อห้ามในสามโลก?
“พี่หยวน ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสถานที่สุดท้ายในวังจอมราชันอมตะ จะมีโอกาสให้พวกเราเข้าถึงกฏแห่งเวลา!!”
ชายหนุ่มุชดเขียวที่อยู่ข้างๆชาหนุ่มชุดดำ กล่าวออกมาอย่างทอดถอน
“นั่นสิ ข้าเองก็ไม่คิดไม่ฝันจริงๆ…”
ชาหนุ่มชุดดำก็พยักหน้าเห็นด้วย
ตอนนี้สายตาของมันมก็จับจ้องไปยังแท่นศิลาสูงุสดเหนือหุบเขาไม่วางตาเช่นกัน เพราะนั่นคือสถานที่ๆดีที่สุดสำหรับการสัมผัสถึงพลังของกฏแห่งเวลา
อย่างไรก็ตาม แม้มันจะรู้ตัวดีว่าตนเองพลังฝีมือไม่ใช่ชั่ว และเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการแล้ว…
ทว่าพลังฝีมือของมันนั้น ยังอ่อนด้อยกว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอยู่บ้าง
‘โธ่เว้ย!’
ขณะที่ลอบสบถในใจ สายตาชายชุดดำก็ละออกจากแท่นศิลาสูงสุดที่ลอยเด่นเป็นสง่า และหันไปมองแท่นศิลาอีก 2 แท่นแทน
แท่นศิลาอีก 2 แท่นนั้นลอยอยู่ในเพดานบินเดียวกัน และอยู่ตำกว่าแท่นศิลาที่ลอยสูงสุดราวๆ 100 หมี่
“แท่นศิลาสูงสุดนั่นต้องเป็นของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแน่…ดูเหมือนข้าได้แต่ถอยก้าวหนึ่ง แล้วเลือกแท่นศิลารองลงมาแทน”
“อย่างไรก็ตาม มันมีแค่ 2 แท่นเท่านั้น”
พึมพำถึงจุดนี้ สายตาของชายหนุ่มชุดดำก็หันไปมองชายหนุ่มชุดเขียวข้างๆ พลางกล่าวเสียงเบา “หวังเซียน ไหนๆเจ้าก็อุตส่าห์ได้มาพบข้า เช่นนั้นข้าจะช่วยให้เจ้าได้ 1 ใน 2 แท่นศิลารองลงมานั่นดีหรือไม่?”
ชายหนุ่มชุดเขียวพอได้ฟัง ก็ละสายตาออกมาจากแท่นศิลาที่อยู่สูงสุดทันที แม้ในแววตามันจะฉายถึงความปรารถนาไม่น้อย แต่มันก็รู้ดีว่านั่นไม่ใชอะไรที่มันจะครอบครองได้
จากนั้นมันก็หันไปมองแท่นนศิลา 2 แท่นรองลงมา
กล่าวไปด้วยพลังฝีมือของมัน กระทั่งแท่นศิลาที่รองลงมาทั้ง 2 แท่นนี้ก็ค่อนข้างเกินตัวมันอยู่บ้าง
เพราะสุดท้ายแล้ว แม้มันจะเข้าถึงกฏแห่งลม และเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งลม ทว่าความลึกซึ้งของกฏแห่งลมอีกประการมันยังไม่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น แค่เพียงพอหยั่งถึงและใช้พลังได้บางส่วนเท่านั้น ทำให้ความแข็งแกร่งของมันเพิ่มขึ้นไม่เท่าไหร่…
ตอนนี้พอมันมาได้ยินคำพูดของชายหนุ่มชุดดำ ลมหายใจของมันจึงถี่รัวขึ้นทันที ลูกตายังทอประกายเจิดจ้ามากล้นไปด้วยความยินดี!
“ขอบคุณพี่หยวน! ขอบคุณพี่หยวนมาก!!”
จากนั้นมันก็ป้องมือประสานกล่าวคำขอบคุณชายหนุ่มชุดดำยกใหญ่ ทำราวกับ 1 ใน 2 แท่นศิลารองลงมานั่น เป็นของมันแล้ว
“ต้วนหลิงเทียน…”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยประกาตาลี้ลับ เสียงผ่านพลังที่ส่งไปก็ฟังดูอ่อนลงแปลกๆ
“อะไร อย่าบอกนะว่าเจ้าต้องการแท่นศิลาสูงสุดนั่น…โทษทีแต่ข้าก็ต้องการมันเหมือนกัน”
ไม่ทันที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะได้เอ่ยปากพูดอะไร ต้วนหลิงเทียนก็ชิงพูดออกมาเสียก่อน สองตายังมองจ้องอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน “แต่เป็นธรรมดาว่าหากเจ้าอยากได้มันก็ไม่ใช่ว่าจะไร้หนทาง..แค่เรามาสู้กันสักตั้ง!”
สิ้นคำพูดดักทางของต้วนหลิงเทียน มุมปากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นถึงกับกระตุกไปทันที
ถึงแม้มันจะไม่คิดว่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนจะเหนือกว่ามัน เพราะถึงต้วนหลิงเทียนจะมีอุปกรณ์เทพ หรือมันไม่มี?
และถึงในมือต้วนหลิงเทียนจะเป็นอุปกรณ์เทพระดับสูง ส่วนในตัวมันที่ดีที่สุดก็คืออุปกรณ์เทพระดับกลาง แต่เรื่องต้องประมือกับต้วนหลิงเทียน มันก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย
เพราะสุดท้ายแล้ว ด้วยระดับพลังของพวกมันตอนนี้ ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์เทพระดับสูงหรือระดับกลาง จุดแข็งของพวกมันก็พอๆกัน
ทว่ามันไม่กลัวต้วนหลิงเทียนก็จริง แต่มันไม่อาจไม่คำนึงถึงหวงเอ้อที่กำลังจะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของต้วนหลิงเทียนได้!
หวงเอ้อนั้น เดิมทีเป็นจิตวิญญาณของอุปกรณ์เทพระดับสูงคู่กายพี่สาวแท้ๆของมัน ภายหลังอีกฝ่ายได้หลบหนีออกจากอุปกรณ์เทพระดับสูงชิ้นนั้น ด้วยไม่คิดยอมสยบรับใช้ศัตรูฆ่าพี่สาว เร่งรุดกลับมาแจ้งเหตุร้ายแก่มัน จนทำให้มันรอดพ้นออกจากคราวเคราะห์ที่ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ และยังพามันมาถึงหลิงหลัวเทียนได้สำเร็จ…
กล่าวได้ว่าหากไม่ใช่เพราะหวงเอ้อ ป่านนี้มันคงถูกศัตรูฆ่าตายไปอย่างโง่งม
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หวงเอ้อมีบุญคุณช่วยชีวิตมันด้วยซ้ำ ตัวมันเองก็ให้ความเคารพหวงเอ้ออย่างสูง ตอนเด็กมันยังเห็นหวงเอ้อเป็นดั่งพี่สาวแท้ๆคนหนึ่ง
ตอนนี้พี่สาวหวงเอ้อของมันกำลังจะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของต้วนหลิงเทียนแล้ว กล่าวได้ว่าต่อไปนางจะเป็นจะตายก็ขึ้นอยู่กับ 1 ห้วงคิดของต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นมันจึงไม่กล้าทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่พอใจ
ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่อาจได้ยินความคิดดังกล่าวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ ไม่งั้นเขาคงหมดคำจะพูดกับมันจริงๆ
นี่อีกฝ่ายเห็นเขา ต้วนหลิงเทียน เป็นคนแบบนั้นหรือ?
“ไงเล่า ลองกันสักตั้งไหม?”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสายตาลุกวาว เขาเองก็อยากลองประมือกับอีกฝ่ายไม่น้อย “จะใช้อุปกรณ์เทพหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้าเลย…ถ้าเจ้าไม่ใช้ข้าก็จะไม่ใช้ และเต็มที่พวกเราจะใช้กันแต่อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้มาเป็นไง?”
“ฮึ่ย!”
อย่างไรก็ตามคำตอบที่ต้วนหลิงเทียนได้รับ ก็คือหนึ่งพ่นลมสบถเสียงเย็นของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
และหลังสบถ ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไหววูบ คนกลับกลายคล้ายสายลมหอบหนึ่ง พัดแหวกอากาศฉับไวไปทางแท่นศิลา 2 แท่นรองลงมา…
WSSTH ตอนที่ 3,023 : ข้าลำบากแค่ 1 ท่าก็ฆ่าพวกมันได้ในพริบตา
“อ่าวเจ้านั่น…ไฉนทำเหมือนจะยอมแพ้ซะเล่า?”
“นี่ไม่เหมือนลักษณะนิสัยมันเลยนี่นา?”
เมื่อเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพ่นลมทิ้งทายคำหนึ่ง ก็เลือกจะเหินไปทางแท่นหินรองลงมาแทน ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำออกมาด้วยความงุนงง
“เสี่ยวเฟิงกลัวว่าเจ้าจะมีโมโหที่พ่ายแพ้ สุดท้ายก็เอาโทสะมาลงกับข้า…”
เสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นจากด้านในทะเลวิญญาณของต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งไปไร้คำจะพูด
“เจ้าบ้านั่น…มันเห็นข้าเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองจ้องแผ่นหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสายตาอึ้งๆ รู้สึกหมดคำจะพูดแล้วจริงๆ
หลังจากที่หวงเอ้อตื่นขึ้นแล้วกล่าวอธิบายให้ฟัง ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจสาเหตุได้ไม่ยากว่าไฉนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นถึงเลือกถอยไปไม่สู้ ที่แท้มันกลัวเขาแพ้ แล้วเอาไปลงกับหวงเอ้อ!
เดิมทีผู้คนในหุบเขาทั้ง 3 ยังคงตะลึงกับโอกาสที่จะสัมผัสถึงกฏแห่งเวลา ตอนนี้พอมาเห็นบางคนนกำลังมุ่งหน้าไปยังแท่นศิลาเหนือหุบเขา ก็พลันได้สติและเริ่มเคลื่อนไหวทันที
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
ไม่เว้นพวกเชวียจิงอวี่ที่อยู่ไม่ห่างต้วนหลิงเทียน ตอนนี้พวกมันก็เริ่มเหินร่างมุ่งหน้าไปยังแท่นศิลาเหนือหุบเขาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามพวกมันรู้ระดับของตัวเองดี จึงไม่มีใครคิดทำอะไรเกินตัวและเลือกแท่นศิลาที่อยู่สูงสุด
กระทั่งแท่นศิลารองลงมา 2 แท่นที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังมุ่งหน้าไป พวกมันก็ไม่คิดจะเลือก
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นได้เลือก 1 ใน 2 แท่นศิลาที่ลอต่ำถัดจากแท่นศิลาสูงสุด และยังเป็นแท่นศิลา 2 แท่นที่ชายหนุ่มชุดดำที่แลดูเกลียดชังต้วนหลิงเทียนหมายตาไว้ตั้งแต่แรก
ตอนนี้คนที่เหินร่างขึ้นไปยังแท่นศิลาเหมือนหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแค่ประการเดียวเท่านั้น
เนื่องจากพวกมันค่อนข้างรู้กำลังของตัวเองดี ว่าอยู่ในระดับบใด จึงไม่คิดที่จะชิงแท่นศิลาที่สูงสุด 6 แท่นแรกให้เสียเวลา…
แท่นศิลาที่ลอยอยู่สูงสุดมี 1 แท่น ต่ำลงมาอีก 100 หมี่ก็มี 2 แท่น จากนั้นต่ำลงมาอีก 100 หมี่ ก็มี 3 แท่น
และตอนนี้การปะทะเพื่อช่วงชิงแท่นศิลาถัดจากทั้ง 6 แท่นด้านบน ก็ชุลมุนทั้งดุเดือดไม่น้อย!
เป็นธรรมดาว่าแม้จะต่อสู้กันชุลมุนและลงมือกันอย่างดุดัน แต่ก็ไม่มีใครคิดลงมือถึงขั้นฆ่าคน ต่างสงวนกำลังไว้ให้พอยั้งมือได้ไม่ลำบาก เพียงแค่ประมือกันให้รู้สูงต่ำแล้วให้ผู้แพ้เลิกราไปเองก็พอ
และทุกคนก็เหมือนจะเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้
ที่ไฉนสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ เพราะไม่ว่าใครก็กลัวจะมีคนตายมากเกินไป ถึงตอนนั้นเกิดครบกำหนด 7 ส่วน ทำให้แดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกอีกครั้ง ไม่ซวยกันถ้วนหน้ารึไง?
เพราะเกิดฆ่าไปสักคน แล้จำนวนคนตายดันครบกำหนดแดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกพอดี โอกาสเข้าใจความหมายแห่งเวลาที่ไม่รู้ชาตินี้จะมีมาอีกไหม ไม่หายวับไปต่อหน้าต่อตาแล้วหรือ…
จากนั้นหลังผ่านไปสักพัก ในที่สุดนอกจาก 6 แท่นสิลาด้านบนแล้ว แท่นศิลาด้านล่างก็มีคนจับจองกันหมด
ในตอนนี้ก็เหลือคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังไม่ลงมือ
ต้วนหลิงเทียน มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โอวหยา
นอกจากนั้นยังมีชายหนุ่มชุดดำชายหนุ่มชุดเขียว จากนั้นก็มีชายชุดวักลางคนชุดสีน้ำเงิน ชายชุดแดง ชายชราในชุดคลุมสีเงิน แล้วก็คนสุดท้ายชายชราในชุดคลุมสีเทา
ในบรรดาคนพวกนี้ ชายหนุ่มชุดเขียวกับชุดดำที่ยืนเคียงข้างกัน 2 คน ส่วนอีก 4 คนรวมกันเป็นกลุ่มคล้ายรู้จักกัน
“ไปกันเถอะ”
หลังจากทราบความสำคัญของสถานที่สุดท้ายวังจอมราชันอมตะแล้ว มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่คิดจะเสียเวลากับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป หลังชวนโอวหยา ทั้งคู่ก็พากันเหินร่างขึ้นไปเหนือหุบเขาทันที
ก่อนที่ความสำคัญของสถานที่สุดท้ายวังจอมราชันอมตะจะเผยออกมา มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็คิดจะสานไมตรีกับต้วนหลิงเทียน เพื่อให้ต้วนหลิงเทียนเห็นแก่หน้านางบ้าง
อย่างน้อยๆหากมีสมบัติอะไร อีกฝ่ายก็จะปล่อยให้ตกมาถึงมือนางบางส่วน
แต่ตอนนี้เมื่อได้รู้แล้วว่าสถานที่สุดท้ายของวังจอมราชันอมตะแห่งนี้คืออะไร และทราบว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดสละแท่นศิลาสูงสุดให้ นางก็ล้มเลิกความคิดตี้ซี้ต้วนหลิงเทียนทันที
“ไอ้หนู ต่อไปก็อยู่ห่างๆมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไว้ให้มาก…หาไม่แล้วเจ้าอาจตายไม่รู้ตัว!”
หลังเห็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวกับโอวหยาเหินร่างขึ้นไปแล้ว ชายหนุ่มชุดดำก็พาชายหนุ่มชุดเขียวมาหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน มันมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสาตาเยียบเย็นเอาเรื่อง ทิ้งคำขู่ไว้คำหนึ่ง ก่อนจะพาชายหนุ่มชุดเขียวเหินร่างขึ้นไปยังแท่นศิลาเหนือหุบเขา
หากไม่ใช่ว่ากลัวฆ่าต้วนหลิงเทียนไปแล้ว อีกฝ่ายอาจเป็นคนสุดท้ายที่ตายครบกำหนดเงื่อนไขการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณล่ะก็ ชายหนุ่มชุดดำคงเลือกลงมือสังหารต้วนหลิงเทียนไปนานแล้ว
เผชิญกับวาจาข่มขู่ของชายหนุ่มชุดดำ ต้วนหลิงเทียนแค่ส่ายหัวไปมาเบาๆ แต่ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา
“ฮ่าๆๆ น้องชายเจ้านับว่าโชคดียิ่งนัก! ปกติหลี่หยวนผู้นั้นนิสัยอำมหิตไม่ไว้หน้าใคร ไม่คิดเลยว่ามันจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ”
หลังชายหนุ่มชุดดำกับบชายหนุ่มชุดเขียวพากันเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า ชายชุดแดง 1 ใน 4 คนที่เหลือก็มองมาทางต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
“ใช่แล้วน้องชาย..ด้วยนิสัยของหลี่หยวน หากไม่ใช่เพราะมันกลัวว่าเกิดฆ่าเจ้าไป แล้วทุกคนอาจจะถูกส่งออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณทันที มันไม่พ้นต้องลงมือจัดการเจ้าแน่ นับว่าเจ้าโชคดีจริงๆ!”
ชายชราในชุดคลุมสีเงินกล่าวเสริม เห็นชัดว่ามันเห็นด้วยกับชายหนุ่มชุดแดง
“ฟังจากที่พวกท่านพูด…หมายความว่าหากมันคิดฆ่าข้า ตัวข้าก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือมันได้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยถาม
ที่แท้ชายหนุ่มชุดดำที่เขม่นเขาเพราะหญิง ก็คือหลี่หยวนนี่เอง
หลี่หยวนเป็นใครนั้น เขาเคยได้ยินเชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆคุยกันตอนรอเวลาก่อนหน้านี้ มันก็คือคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการเช่นกัน และยังเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง!
นอกจากนั้นหลี่หยวนยังเป็นอัจฉริยะของนิกายระดับ 8 กระทั่งเป็นอัจฉริยะในรอบพันปีของนิกายระดับ 8 ที่ว่าอีกด้วย
แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ผู้ที่จะมาถึงวังจอมราชันอมตะและสถานที่สุดท้ายแบบนี้ได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้าของเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวทั้งสิ้น
“น้องชายอย่าพึ่งไม่พอใจพวกเราเลย…ที่พวกเรากล่าวเช่นนี้ ก็เพราะเจ้าหลี่หยวนคนนั้นมันร้ายกาจมิใช่ชั่วจริงๆ…มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง 2 ประการแล้ว!”
ชายชราในชุดคลุมสีเงินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แล้วพลังฝีมือของมันหากให้เทียบกับสุมาฉุนหรือตงฟางจิ่นหลุน นับว่าเป็นยังไง?”
เผชิญหน้ากับรอยิ้มของชายชราชุดคลุมสีเงิน ต้วนหลิงเทียนก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ พลางถามสืบต่อ
และคำถามดังกล่าวของเขา ก็ทำให้ชายชราในชุดคลุมสีเงินกับคนอื่นๆที่กำลังจะเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า พลันชะงักลงทันที จากนั้นทั้ง 4 ก็หันมามองจ้องเขาอย่างพร้อมเพรียง
“สุมาฉุน? ตงฟางจิ่นหลง?”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ชายในชุดแดงอดตกตะลึงไปไม่ได้ จากนั้นมันก็เริ่มหันไปหรี่ตามองสำรวจทุกคนที่อยู่บนฟ้าทันที “จะว่าไปก่อนหน้าข้าก็ไม่ทันได้สังเกต…สุมาฉุนับตงฟางจิ่นหลุนไปไหน? อาศัยพลังฝีมือของพวกมัน คิดจะมาถึงที่นี่คงมิใช่เรื่องยากอันใดนี่นา?”
“ใช่ ในบรรดาคนที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้ พวกมันนับเป็นคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการที่เหลือที่ข้ายังไม่เห็น…”
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินเอ่ยถามออกมาลอยๆเสียงเข้ม “ตามหลักแล้ว ไม่น่าจะเป็นแบบนี้ไปได้…หรือพวกมันทั้งคู่ตกตายไปแล้ว?”
“นั่นสิ หากพวกมันยังไม่ตาย หากเข้ามาในวังจอมราชันอมตะได้ ก็สมควรมาปรากฏตัวที่นี่เช่นกัน…”
ชายชราในชุดคลุมสีเทากล่าวอย่างเห็นด้ววย
จากนั้นชายชราในชุดสีเงินกับอีก 3 คนที่เหลือก็หันมามองหน้าสบตากัน และพอนึกถึงคำถามก่อนหน้าของชายหนุ่มชุดม่วงตรงหน้า ลูกตาของพวกมันก็เริ่มฉายความหวาดกลัวให้เห็น
“น้องชาย…อยู่ดีๆเจ้าก็ถามถึงสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนแบบนี้ หรือน้องชายล่วงรู้ว่าพวกมันอยู่ที่ใด?”
ชายชราในชุดคลุมสีเงินสูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง ค่อยเอ่ยถามออกมา
“อ่อ ข้าย่อมรู้…”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองชายชราชุดคลุมเงิน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกมันสองคนตายแล้ว”
ถึงแม้ทั้ง 4 จะตระหนักได้ว่าผลลัพธ์อาจเป็นแบบนี้ แต่พอได้ฟังคำยืนยันจากปากต้วนหลิงเทียน พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกตกใจ!
สุมาฉุน อัจฉริยะจากตระกูลระดับ 7 อยย่างตระกูลสุมา ผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมอย่างความหมายแห่งลมกับ ลมกรด…
ความแข็งแกร่งของอีกฝ่า หากให้เทียบกับพวกมันแล้ว ก็ไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย
ถึงพวกมันทั้ง 4 จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการ แต่เรื่องที่จะให้ฆ่าสุมาฉุนนั้น พวกมันรู้ตัวว่าทำไม่ได้ เพราะหากสุมาฉุนคิดหนี พวกมันก็จนปัญญาจะเข่นฆ่าจริงๆ
เพราะสุมาฉุนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมอย่าง ลมกรด ไม่ใช่อะไรที่พวกมันจะไล่ตามได้ทัน!
สำหรับตงฟางจิ่นหลุนนั่น…
อีกฝ่ายก็คืออัจฉริยะของตระกูลตงฟางที่เป็นตระกูลระดับ 7 เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งสายฟ้า 2 ประการ นอกจากความหมายแห่งสาฟ้า ความลึกซึ้งอีกประการก็คือ อัสนีฟาด …
กล่าวได้ว่าพลังฝีมือของตงฟางจิ่นหลุนนั้นพอๆกับสุมาฉุนเลย เทียบกับพวกมันแล้วก็มีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่อ่อนด้อยกว่าแน่นอน
ทว่า 2 คนนั้น ตายแล้วจริงๆเหรอ?
“น้องชาย…พวกมัน…พวกมันคงไม่ใช่ว่าถูกเจ้าฆ่าตายไปหรอกนะ?”
ชายวัยยกลางคนในชุดสีน้ำเงิน มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวั่นๆ หลังกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ก็เอ่ยถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อเรื่องราว
ขณะเดียวกัน อีก 3 คนก็หันไปมองรอฟังคำตอบต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
“อ่า”
เผชิญกับสายตาคาดหวังคำตอบของทั้ง 4 ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นก็กระโดดเบาๆส่งร่างให้ลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนคนจะเหินลอยขึ้นไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“พวกมันแต่ละคนล้วนมาหาเรื่องข้า…สุดท้ายอาศัยพลังฝีมืองั้นๆของพวกมัน ข้าลำบากแค่ 1 ท่าก็ฆ่าพวกมันในพริบตา”
พอวาจาต่อมาของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นเข้าหูทั้ง 4 ลูกตาพวกมันก็หดเล็กลงโดยพลัน สีหน้ายังเผยความประหลาดใจทั้งเหลือเชื่อ
กระทั่งจังหวะนี้ทั้ง 4 ยังได้ยินเสียงลมหายใจหอบถี่ของคนข้างๆชัดเจน
เพียงเพราะคำพูดของชายหนุ่มชุดม่วงสะท้านขวัญเกินไป!
หากชายหนุ่มชุดม่วงเพียงยอมรับว่าฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนไปเท่านั้น พวกมันจะไม่แลดูตื่นตระหนกขนาดนี้
แต่ปัญหาก็คือ…
ชายหนุ่มชุดม่วงไม่เพียงยอมรับว่าฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนเท่านั้น แต่ยังกล่าวอีกว่าอาศัย 1 ท่าก็ฆ่าทั้งคู่ได้ในพริบตา!!
“มัน…มันล้อพวกเราเล่นรึเปล่า?”
“เจ้าเห็นท่าทีมัน…เจ้าคิดว่ามันล้อเล่นรึเปล่าเล่า?”
“สุมาฉุนกับตฟางจิ่นหลุน…ต่อให้เจ้าหนุ่มนั่นมันจะเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 3 ก็ไม่ใช่ว่าจะฆ่าทั้งคู่ได้มิใช่หรือไร?”
“กระทั่งให้มันมีอุกรณ์อมตะจอมราชันในมือ แต่ด้วยความเร็วของทั้งคู่มันจะฆ่าคนได้จริงๆ?”
…
ฟังจากวาจากระซิบกระซาบของทั้ง 4 เห็นชัดว่าพวกมันยากจะเชื่อในสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพูดได้ลงคอ และคิดว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะกล่าวเกินจริงไปหน่อย
ขณะเดียวกัน ร่างต้วนหลิงเทียนก็เหินตรงไปยังแท่นศิลาสูงสุด จนเข้าใกล้มันทุกขณะ
“เซี่ยวเซี่ยว…มิใช่เจ้าสมควรไปแท่นหินบนสุดหรือ…ไฉนมาหยุดลงตรงแท่นหินทั้ง 2 นี่เล่า?”
ชายหนุ่มชุดดำ หลี่หยวน และชายหนุ่มชุดเขียว หวังเซี่ยน พอเหินร่างมาถึงแท่นศิลาทั้ง 2 ที่รองลงมาจากแท่นศิลาสูงสุด ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อพบว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวกับโอวหยา ก็มาป้วนเปี้ยนแถวนี้เหมือนกัน
“หรือ…เจ้าคิดจะช่วยแม่นางโอวหยยาให้ได้รับแท่นศิลา 1 ใน 2 แท่นนี้?”
ครู่ต่อมา หลี่หยวนก็ตระหนักได้ถึงเรื่องราวบางประการ หลังเหลือบมองโอวหยาข้างๆมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวปราดหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามออกมา
ขณะเดียวกันสีหน้าของหวังเชี่ยนที่ฟังเรื่องราวอยู่ข้างๆก็เปลี่ยนไปทันที
ลำพัง โอวหยา ย่อมไม่อาจต่อกรกับหลี่หยวนได้ แต่หากมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคิดช่วยเหลือโอวหยาชิงแท่นศิลาจริง หลี่หยวนก็ไม่อาจช่วยอะไรมันได้ หมายความว่ามันเสมือนถูกลิขิตให้พลาดแท่นศิลาทั้ง 2 เบื้องหน้าแล้ว!
WSSTH ตอนที่ 3,024 : ไอ้โง่!
ได้ยินคำถามของหลี่หยวน มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้พูดตอบ หากแต่การกระทำของนางก็เสมือนเป็นการตอบหลี่หยวนกลายๆ
ฟุ่บ!
ร่างบางของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไหววูบคราหนึ่ง คนก็ไปหยุดยืนบน 1 ใน 2 แท่นศิลารองลงมาจากแท่นศิลาสูงสุด และเริ่มนั่งลงขัดสมาธิเงียบๆ
กล่าวได้ว่า 1 ใน 2 แท่นศิลาที่อยู่ในระดับรองลงมาจากแท่นศิลาสูงสุด ก็ตกอยู่ในความครอบครองของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว
ส่วนอีกแท่นที่เหลือนั้นนั้น ได้ถูกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นครองไว้แต่แรก ยังมาถึงก่อนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอีกด้วย
“เอ่อ…”
เห็นการกระทำดังกล่าวของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว หลี่หยวนอดไม่ได้ที่จะงุนงงสงสัย “เซี่ยวเซี่ยวเจ้า…เจ้าไม่คิดจะเอาแท่นหินบนสุดนั่นหรือ?”
พอหลี่หยวนกล่าวจบคำ มันก็เงยหน้าขึ้นไปมองแท่นศิลาสูงสุดโดยไม่รู้ตัว
พบว่าสูงขึ้นไป 100 หมี่ แท่นศิลาที่ลอยอยู่โดดเดี่ยวนั้น ยังไร้ผู้ใดจับจอง
“หืม?”
ทว่าหลี่หยวนเงยหน้าขึ้นไปได้ไม่ทันไร หางตามันก็เห็นร่างหนึ่งเหินผ่านไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน และไม่นานนักอีกฝ่ายก็ขึ้นไปถึงแท่นศิลาสูงสุด กระทั่งเริ่มนั่งขัดสมาธิลงไปหน้าตาเฉย
เมื่อเห็นร่างในชุดสีม่วงปรากฏตัวขึ้นมาครอบครองแท่นศิลาสูงสุดหน้าตาเฉย สีหน้าหลี่หยวนก็เปลี่ยนเป็นถมึงทึงทันใด ลูกตายังฉายแววดุร้ายแหลมคมออกมา “เจ้านั่นอีกแล้ว!”
“ไฉนเป็นมันไปได้! นี่มันกล้าขึ้นไปนั่งตรงนั้นจริงๆ มันไม่ใช่แค่เด็กอายุไม่ถึงร้อยปีหรือไร…แล้วมันอาศัยความกล้าจากที่ใดถึงขึ้นไปยึดแท่นศิลาบนสุดโดยไม่ถามผู้อื่นแบบนี้?”
ด้านหวังเชี่ยนที่อยู่ข้างๆหลี่หยวนเอง ก็สังเกตเห็นชายหนุ่มชุดม่วงขึ้นไปนั่งบนแท่นศิลาบนสุดเช่นกัน และมันก็จดจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่พวกมันพึ่งไปหา และถูกหลี่หยวนกล่าวขู่ เพราะเห็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเข้าหาอีกฝ่าย
“เซี่ยวเซี่ยว…นี่เจ้าตั้งใจมอบแท่นหินบนสุดนั่นให้มันงั้นเหรอ!?”
ครู่ต่อมา หลี่หยวนก็หันกลับมามองถามมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ในความเห็นมัน คนที่คิดจะขึ้นไปนั่งบนนั้นได้ อย่างน้อยๆก็ต้องมีคุณสมบัติที่จะนั่งด้วย! แต่ตอนนี้ใครที่ไหนก็ไม่รู้กลับขึ้นไปนั่งหน้าตาเฉย และพอคิดว่า…อาจเป็นนางในดวงใจของมันอย่างมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมอบให้อีกฝ่าย ก็ทำให้มันมีโมโหนัก! ใบหน้ามันเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดดำ แลดูรับไม่ได้!
อย่างไรก็ตาม แม้จะโดนหลี่หยวนจี้ถาม แต่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่คิดอธิบายใดๆทั้งสิ้น นางเมินอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์เพียงหลับตาลง และเริ่มโคจรพลังจนทั่วร่างปรากฏไอพลังสีฟ้าปกคลุม ประหนึ่งจมจ่อมลงไปในห้วงสมุทรสีฟ้า
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเดิมทีก็มีรูปโฉมงดงามอยู่แล้ว เมื่อมีไอพลังสีฟ้าครอบคลุมยิ่งขับเน้นให้ใบหน้ากระจ่างของนางแลดูลึกล้ำ มากล้นไปด้วยเสน่ห์ชวนมอง
หากเป็นตอนปกติ ลองหลี่หวนได้เห็นฉากนี้ มันคงต้องมองนางอย่างเคลิบเคลิ้มตาลอย คิดเพ้อไปเรื่อย แต่ตอนนี้มันไม่มีอารมณ์และความคิดดังกล่าวแม้แต่น้อย
ยิ่งเห็นว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเมินมันโดยสมบูรณ์ สีหน้าของหลี่หยวนยิ่งมายิ่งมืดดำ แลดูบิดเบี้ยวอัปลักษณ์เป็นที่สุด!
ปงงง!!
หลี่หยวนกระทืบเท้าย่ำอากาศอย่างแรง คนทะยานพุ่งไปดั่งสายฟ้า พริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้าแท่นหินบนสุดที่ต้วนหลิงเทียนนั่งอยู่!
“ดูนั่นเร็ว เหมือนจักมีอะไรดีๆให้ชมดูแล้ว!”
“เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น ก่อนหน้านี้แม่นางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ทำราวกับจะไปตีสนิทมัน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่คนธรรมดาๆเป็นแน่!”
“หรือเจ้านั่นจะร้ายกาจกว่าแม่นางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ทำให้นางถึงกับต้องไปสานไมตรีกับมัน?”
“นั่นก็ไม่แน่นักหรอก…บางทีมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอาจต้องตาพึงใจมันก็เป็นได้ เจ้าลองมองมันให้ดีเถอะ…ไอ้หนุ่มนั่นมันหล่อเหลาเอาเรื่อง! เข้าตำราไอหนุ่มหน้าขาวที่สาวๆชมชอบนัก!!”
“ที่สำคัญก็คือ…ไอ้หนุ่มหน้าหล่อนั่นมันยังอายุไม่ถึงร้อยปีเสียด้วย! หรือที่แท้แม่นางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจะชมชอบรับประทานเด็ก!?”
“หือ? อายุไม่ถึงร้อยปีรึ?”
“ให้ตาย…เรื่องจริงหรือเนี่ย! มันอายุไม่ถึงร้อยปีแล้วไฉนมาโผล่ที่นี่ได้เล่า? หากมันมาด้วยกำลังของตัวเอง พรสวรรค์ของมันจะไม่ทำให้ผู้คนอิจฉาไปหน่อยเหรอ?”
“ใต้หล้าไร้คำว่าเท่าเทียมจริงๆ…ตอนข้าอายุได้ร้อยปี อย่าว่าแต่จะเข้าถึงพลังแห่งกฏเลย ด่านพลังยังไม่บรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ด้วยซ้ำ…เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นเป็นใครมาจากไหนกันแน่ พรสวรรค์ไม่ใช่เล่นๆเลย!”
“ไม่ว่าพรสวรรค์มันจะสูงเพียงใด แต่มันที่อายุไม่ถึงร้อย จะสู้หลี่หยวนได้ยังไง?”
“นั่นก็ไม่แน่นักหรอก…อย่าลืมว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยายามตีสนิทกับมัน แม้ความทรงจำในวังจอมราชันอมตะเมื่อออกไปก็ล้วนลืมหมด แต่มันอาจมีความเป็นมายิ่งใหญ่จริงๆ จนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ต้องดูแลมันให้รอดกลับออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณให้ได้”
“อาจเป็นได้…หรือไม่ก็บางทีเบื้องหลังของมันอาจเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่หรงเฉยๆ เลยทำให้นางคิดจะช่วยเหลือมัน”
…
เมื่อเห็นหลี่หยวนเหินร่างขึ้นไปบนแท่นศิลาบนสุดและเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน สายตาผู้คนมากมายก็เริ่มหันไปให้ความสนใจต้วนหลิงเทียน
“เจ้านั่น มันขึ้นไปนั่งบนแท่นหินบนสุดเลย?”
ขณะเดียวกัน ทั้ง 4 คนที่พึ่งจะหายจากอาการตกตะลึงเพราะคำพูดก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวบนฟ้า
“มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั่นเหมือนจะไม่มีความคิดต่อสู้แย่งชิงอะไรกับมันเลย…นางเลือกจะนั่งบนแท่นศิลารองลงมาก่อนมันขึ้นไปด้วยซ้ำ”
“ตอนนี้ข้าว่าเรื่องที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเข้าหาและทำราวกับจะตีสนิทมัน ข้าว่าอาจเป็นเพราะมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวล่วงรู้ว่ามันร้ายกาจปานใด ทำให้นางพยายามสานไมตรีเพื่อที่มันจะได้ปราณีไว้หน้า!”
“อาจเป็นได้ เพราะอย่างไรเสียโอวหยาก็โผล่มาพร้อมมัน และเรื่องที่โอวหยาสนิทกับมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวใครๆก็รู้ ข้าว่านางต้องบอกมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแล้วเป็นแน่ ว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง!”
“ข้าก็คิดแบบนั้น…เผลอๆโอวหยาอาจเห็นมันฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนกับตา จึงรู้ว่ามันร้ายกาจปานใด!!”
“แต่อย่างไรเสีย เรื่องที่เจ้าหนุ่มนั่นมันบอกว่ามันสามารถฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนได้ในท่าเดียว ข้าไม่อาจทำใจเชื่อได้ลงคอจริงๆ!”
“ตอนนี้เหมือนหลี่หยวนจะไม่พอใจที่มันขึ้นไปครองแท่นศิลาบนสุด และท่าทางคิดจะแย่งมาเอง…เช่นนั้นเรื่องที่มันจะมีพลังมากพอฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนจริงหรือไม่ เดี๋ยวพวกเราได้รู้กัน!”
“ความแข็งแกร่งของหลี่หยวนไม่ได้ด้อยไปกว่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากความหมายแห่งไฟ แล้วมันยังเข้าใจความลึกซึ้ง ปะทุ ของกฏแห่งไฟอีกด้วย!”
(ตอนก่อนบอกทอง มาตอนนี้เป็นไฟ…เอาเป็นว่ามันใช้ไฟนะ)
“ความลึกซึ้ง ‘ปะทุ’ ของมัน นับเป็นความลึกซึ้งที่ทรงพลังเป็นอันดับต้นๆของกฏแห่งไฟ…ด้วยมีความลึกซึ้งปะทุ หลี่หยวนสามารถระเบิดพลังและความเร็วให้ทัดเทียมกับพวกสุมาฉุนและตงฟางจิ่นหลุนได้ในช่วงสั้นๆ อย่างไรก็ตามพลังโจมตีของมันจักรุนแรงกว่า พวกเราเองหากประมาทก็อาจจะเสร็จมันได้ง่ายๆ”
…
ทั้ง 4 เริ่มสนทนากันอย่างออกรส และเห็นได้ชัดว่าพวกมันล่วงรู้ตื้นลึกหนาบางของหลี่หยวนดี!
“กล่าวไปในที่นี้ มีมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะสะกดหลี่หยวนได้…เพราะไม่เพียงกฏที่นางเลือกจะเป็นธาตุน้ำที่สะกดข่มไฟของหลี่หยวน นางยังเริ่มหยั่งถึงความลึกซึ้งประการที่ 3 ของกฏแห่งน้ำแล้ว”
“ข้าล่ะอยากเห็นจริงๆ…ว่าเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นที่บอกว่าอาศัยท่าเดียวฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนได้ในพริบตา ที่แท้มันจะร้ายกาจอย่างที่พูดไว้หรือไม่!”
…
สายตาของคนทั้ง 4 ตอนนี้เรียกว่าทุ่มความสนใจไปกับการเผชิญหน้าระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหลี่หยวนอย่างเดียว ทั้งหมดลอยร่างชมดูเรื่องราวกลางอากาศเหนือหุบเขา ไม่คล้ายคิดไปช่วงชิงแท่นศิลาอันใด
“ไอ้หนู ไสหัวลงไปเสีย!!”
หลี่หยวนที่ลอยร่างกลางอากาศ มองจ้องต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นศิลาตาดุ กล่าวตวาดไล่ออกมาอย่างเกรี้ยวกราด!
ต้วนหลิงเทียนเองก็สัมผัสถึงการมาของหลี่หยวนแต่แรก
ตอนนี้พอโดนอีกฝ่ายตวาดไล่ออกมาด้วยเสียงฟังไม่เข้าหู สีหน้าเขาก็เริ่มมืดลง
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า…รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสีย หาไม่แล้วเจ้าจะได้อยู่ในวังจอมราชันอมตะของแดนสวรรค์ใต้โบราณไปชั่วกาล!”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองหลี่หยวนด้วยสายตาไม่แยแส เสียงกล่าวยังเย็นชาเป็นที่สุด ชวนให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกเสมือนหลุดไปอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ!
โอ!
เสียงต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้เบาเลย เรียกว่าดังเข้าหูทุกผู้คนที่อยู่เหนือหุบเขาอันมืดมิดชัดเจน พาลให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
เป็นธรรมดาว่ายังมีบางคนไม่ได้แปลกใจอะไร
อย่างเช่นพวกเชวียจิงอวี่ โอวหยา และคนอื่นๆที่เคยเห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียน โดยเฉพาะตอนที่ใช้หนึ่งกระบี่ฆ่าตงฟางจิ่นหลุนอย่างง่ายดายปานตัดหญ้าฆ่าไก่! ทั้งหมดจึงรู้ว่าหากต้วนหลิงเทียนคิดจะฆ่าหลี่หยวน ก็ลำบากเพียงยกมือเท่านั้น…!
จริงอยู่ที่ความแข็งแกร่งของหลี่หยวนอาจจะเหนือกว่าตงฟางจิ่นหลุน แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร แม้ในบางแง่มุมอาจจะทรงพลังเหนือตงฟางจิ่นหลุนจริง แต่เรื่องให้ฆ่าตงฟางจิ่นหลุน ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้…
บางครั้งพลังฝีมือที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้ และยามประมือนั้นมีเปรียบอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้เสมอไป
“หืม?”
ด้านหวังเชี่ยนนั้น ตอนแรกที่ได้ยินคำพูดหยิ่งผยองของต้วนหลิงเทียน มันก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนช่างแส่หาที่ตายโดยแท้…!
ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้าท่าทีโอวหยาไม่เว้นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่อยู่ไม่ห่าง มันก็พบว่าจะโอวหยาก็ดีมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ดี ต่างยังมีสีหน้าสงบ ไม่คล้ายแปลกใจอะไรกับวาจาหยิ่งผยองของชายหนุ่มชุดม่วงเลย!
ราวกับมันสมควรเป็นแบบนี้อยู่แล้ว!
‘หรือว่า…’
พอหวังเชี่ยนเริ่มนึกย้อนถึงฉากเรื่องราวก่อนหน้า ที่เห็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเป็นฝ่ายเข้าหาต้วนหลิงเทียน และทำท่าราวกับจะพยายามตีสนิท ก็ทำให้ขมับของมันเริ่มปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึมทันที…
‘เป็นไปได้ไหม…ที่เจ้าหนุ่มชุดม่วงนี่มันจะร้ายกาจกว่าโอวหยา กระทั่งเหนือกว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว?’
‘ที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยายามเข้าหาราวกับจะตีสนิทมัน หรือเพราะต้องการให้มันไว้ไมตรียามพบเจอสมบัติอันใด อย่างน้อยๆหากมันได้กินเนื้อก็เหลือน้ำแกงไว้ให้นางดื่ม?’
‘และหากจำไม่ผิด…ดูเหมือนหลังจากเสียงของคนที่อาจจะเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ดังขึ้น บอกว่าสถานที่แห่งนี้คือหุบเขากาลเวลาทั้งมีไว้ทำอะไร มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็เหมือนจะเลิกให้ความสนใจมัน ไม่กระทำตัวเป็นเห็บหมาให้มันรำคาญอีก…’
‘หรือเหตุผลที่นางเปลี่ยนท่าทีไปกะทันหัน เป็นเพราะล่วงรู้ว่าสถานที่แห่งสุดท้ายของวังจอมราชันอมตะอย่างหุบเขากาลเวลานี่ มีผลประโยชน์ชัดเจนแล้ว นางจึงไม่คิดจะตีซี้ต้วนหลิงเทียนอีก เพราะมันไม่มีประโยชน์อันใด?!’
ยิ่งคิดเรื่องนี้มาเท่าไหร่ หวังเชี่ยนก็รู้สึกว่าเรื่องราวยิ่งเข้าเค้า และมันเดาไม่ผิดแน่ ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ร่างยังสะท้านไปทันใด
และหลังจากสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บแล้ว หวังเชี่ยนก็ดึงสติกลับมาได้ และคิดจะส่งเสียงผ่านพลังไปแจ้งเรื่องราวให้หลี่หยวนรับทราบทันที!
อย่างไรก็ตาม พอมันเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้งและคิดจะส่งเสียงผ่านพลังเตือนหลี่หยวน มันก็พบว่าหลี่หยวนนั้นได้ปะทุพลังเกรี้ยวกราดจนคนคล้ายมีไฟลุกท่วม! พุ่งทะยานเข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้ายเสียแล้ว!!
ซู่มม!!
ฟู่วว!!
…
หลี่หยวนอันมีเปลวไฟลุกโชนท่วมร่าง คนพุ่งทะยานออกไปฉับไวปานอุกกาบาตเพลิงลัดฟ้า ห้วงอากาศโดยรอบประหนึ่งถูกไฟร้อนแผดเผาจนเกรียม จนสูดได้กลิ่นไหม้ในบรรยากาศจางๆ!
“ไอ้โง่!”
เสียงปรามาสหนึ่งพลันดังขึ้นจาก 1 ใน 2 แท่นศิลาชั้นรอง และเป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ไม่ทราบเงยหน้าขึ้นไปชมดูเรื่องราวด้านบนตั้งแต่เมื่อไหร่ กล่าวคำผรุสวาทออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เป็นธรรมดาว่าคนที่มันด่าว่า ‘ไอ้โง่’ ก็คือหลี่หยวน!
ในสายตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ทุกคนในที่แห่งนี้ นอกจากตัวมันเพียงคนเดียวแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่แส่หาเรื่องคิดลงมือกับต้วนหลิงเทียน ล้วนแล้วแต่เป็นตัวโง่งมเบื่อชีวิตคิดหาที่ตายทั้งสิ้น!
ต้วนหลิงเทียนที่มีอุปกรณ์เทพระดับสูงในครอบครอง ประหนึ่งเทพสังหารที่ครองอำนาจเหนือผู้ใดในวังจอมราชันอมตะ! คิดจะให้ใครตาย คนนั้นก็ไม่อาจไม่ตาย!!
‘เอ๊ะ?’
วาจาก่นด่าของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดึงดูดความสนใจมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไม่น้อย ทำให้นางหันมาให้ความสนใจหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที
‘มันก็อายุไม่ถึงร้อยปีงั้นเหรอ?’
ขณะเดียวกันนางก็พบว่าชายหนุ่มชุดเทาผู้นี้เหมือนกับต้วนหลิงเทียน…อายุไม่ถึงร้อยปี!
‘ดูเหมือนมันจะมาปรากฏตัวในหุบเขาแห่งนี้พร้อมกับต้วนหลิงเทียนและน้องหญิงโอวหยา’
ความทรงจำของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวยังดีอยู่
และในขณะที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคิดถึงจุดนี้
ฟั่ฟฟฟฟ!!
เสียงหอนกระบี่หนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา เข้าหูผู้คนทั่วหุบเขากาลเวลา ให้คววามรู้สึกประหนึ่งเสียงเพรียกแห่งความตาย!
WSSTH ตอนที่ 3,025 : ความกลัวของโอวหยา
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ร่างหลี่หยวนที่บังเกิดไฟลุกท่วมอันโจนทะยานเข้าใส่ชายหนุ่มชุดม่วงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นศิลาบนสุดนั้น อยู่ดีๆคนก็แบ่งออกเป็นสองเสี่ยง! ประหนึ่งมีบางสิ่งผ่ากลางร่างมันจากบนลงล่าง!!
ฟั่ฟฟฟฟ!
และในกระบวนการที่ร่างมันแบ่งออกเป็น 2 เสี่ยง นอกจากเสียงหอนกระบี่ดังขึ้นสั้นๆแล้ว ทุกคนก็แลเห็นประกายแสงหลากสีปานสารุ้งสว่างวาบขึ้นในตาวูบหนึ่ง!
ส่วนด้านหลี่หยวนนั้น หลังจากที่ร่างมันถูกแบ่งผ่าเป็น 2 เสี่ยง เปลวเพลิงที่ลุกโชนทั่วร่างมันก็ยังคงลุกโชนอยู่ สุดท้ายร่างมันก็ถูกเพลิงดังกล่าวย้อนกลับมาทำลาย แผดเผาจนกลับกลายเป็นเถ้าธุลี สลายหายไปกลางหาว
คงเหลือเพียงแหวน หอก เกราะสีทองเข้ม กับป้ายหยกสะสมคะแนนเท่านั้นที่กำลังร่วงตกลงจากกลางอากาศ
“คะแนนสะสมของมัน ข้าให้เจ้าแล้วกัน!”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น พร้อมกันนั้นก็สะบัดมือปลดปล่อยพลังไร้สภาพออกไปขุมหนึ่ง ซัดป้ายหยกสะสมคะแนนของหลี่หยวนที่กำลังจะแตกสลายไปทางหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
ป้ายหยกสะสมคะแนนของหลี่หยวนพริบตาก็พุ่งลงไปด้านล่างเกือบ 100 หมี่ ทำให้ระห่างระหว่างป้ายหยกดังกล่าวกับเขานั้น มากกว่าระห่างระหว่างมันกับแท่นศิลาทั้ง 2 เบื้องล่าง!
ถึงแท่นศิลาที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั่งอยู่ จะอยู่ในระดับเพดานบินเดียวกันกับแท่นศิลาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น หากทว่าต้วนหลิงเทียนจงใจซัดมันเยื้องไปทางที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่มากกว่า!
เปรี๊ยะ!
หลังจากป้ายหยกของหลี่หยวนแตกสลาย และปรากฏมวลแสงพุ่งไปหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ลองแผ่สำนึกเทวะลงป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเองดูเพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด และเมื่อเห็นว่าคะแนนสะสมของเขาไม่เพิ่มขึ้น ก็พอได้คลี่ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
ก่อนหน้านี้เขาได้ฆ่าคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการอย่างตงฟางจิ่นหลุนไปอีกคน ทำให้คะแนนสะสมในป้ายหยกของเขาพุ่งสูงขึ้นไปไม่น้อย และจากที่ลอบฟังคะแนนของคนอื่นๆมา เขาก็รู้ว่าเขามีมากกว่าพวกมันเป็นร้อยๆ
หากตอนนี้เขาเลือกที่จะรับคะแนนสะสมของหลี่หยวนมาอีก น่ากลัวว่าแต้มคะแนนสะสมของเขาจะสูงจนผิดหูผิดตา! และไม่พ้นต้องมีคนเริ่มเชื่อมโยงการตายของหลี่หยวนมาที่เขาแน่!!
นอกจากนั้นไม่ว่าจะสุมาฉุนหรือกระทั่งตงฟางจิ่นหลุน คนก็จะมุ่งเป้ามาที่เขาเป็นอันดับหนึ่ง!
ถึงแม้หลังจากออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณคราวนี้ไป เขาจะอยู่ภายใต้ความสนใจของ 3 นิกาย 2 ตระกูล และคงไม่มีใครกล้าลงมือต่อเขาส่งเดช…
ทว่าหลังจากที่เขาเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลไปได้สักพักแล้วเล่า?
พวกมันจะส่งยอดฝีมือมาคุ้มครองเขาตลอดเวลารึเปล่า?
ต่อให้เขายังมีอุปกกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองที่ใช้ได้อีก 2 ครั้ง แต่เขาก็ไม่อยากใช้มันถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะส่งคะแนนไปให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น เพื่อให้คะแนนของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นเพิ่มขึ้นมาไล่เลี่ยกับเขา กระทั่งมากกว่าเขาไปเลยก็ยิ่งดี!
“เจ้าบ้าเอ๊ย เจ้าคิดผลักข้าลงกองไฟรึไง!?”
หลังพบว่าป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเองอยู่ดีๆ ก็มีแต้มพุ่งปรี๊ด หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หันไปกัดฟันกล่าวกับต้วนหลิงเทียนตาขวาง ท่าทางจะเคืองไม่น้อย!
“เอาหน่า เจ้าอย่ากังวลไปเลย…พวกมันไม่สงสัยเจ้าหรอก หากคะแนนพวกเราเท่าๆกันและไม่ทิ้งคนอื่นมาก คนอื่นก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยเช่นกัน เขาเรียกกระจายความเสี่ยง…”
ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวปลอบหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
ขวับ!
ต้วนหลิงเทียนสะบัดมืออีกครั้ง ก็ปรากฏพลังไร้สภาพหอบหิ้ว แหวนพื้นที่ หอก แล้วก็เกราะสีทองตัวหนึ่งที่กำลังร่วงตกลงจากกลางหาวให้เหินย้อนกลับมาเข้ามือเขา จากนั้นก็เก็บมันไปอย่างไร้เรื่องราว โดยที่ไม่แม้แต่จะตรวจสอบอะไร
“ข้าคิดว่าในหุบเขากาลเวลาแห่งนี้ ข้าแค่จะได้รับโอกาสในการเข้าใจความหมายแห่งเวลาเสียอีก…ไม่คิดเลยว่าจะมีคนนำอุปกรณ์อมตะระดับราชารวมถึงแหวนพื้นที่อันบรรจุทรัพย์สมบัติชั่วชีวิตมาให้ข้าแบบนี้…”
หลังต้วนหลิงเทียนเก็บสินสงครามของหลี่หยวนไปแล้ว เขาก็ส่ายหัวไปมาเบาๆพลางเอ่ยออกอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ถึงข้าจะไม่ได้ขาดแคลนอุปกรณ์อมตะระดับราชา แต่ในเมื่อมีคนเอามามอบให้ข้าถึงที่ ข้าก็ไม่ขัดข้องที่จะรับมันมาเก็บไว้เพิ่ม…”
เนื่องจากบัดนี้หุบเขากาลเวลามันตกอยู่ในความเงียบสงัดไร้สำเนียงใด เสียงกล่าวคำราวกับบ่นไปคนเดียวของต้วนหลิงเทียน จึงดังมากพอให้ทุกคนได้ยินชัดถนัดหู
ทุกคนที่กำลังตกอยู่ในอาการตกตะลึงพรึงเพริด พอได้ยินคำพูดสบายๆดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ก็หวนกลับมาครองสติอีกครั้ง และทุกคนก็รู้สึกเสมือนสิ้นไรถ้อยวาจา หมดคำจะพูด…
ท่านไม่ขาดอุปกรณ์อมตะระดับราชาหรือ?
หากท่านเหลือมาก เช่นนั้นแบ่งให้ข้าพเจ้าสักชิ้นเถอะ!
เป็นธรรมดาว่าถ้อยคำดังกล่าวพวกมันก็ทำได้แค่พูดในใจ ไม่กล้าแม้แต่จะพ่นออกมาแม้ครึ่งคำ ด้วยกลัวจะไปยั่วยุดาวมฤตยูชุดม่วงนั่น!
“แต่ข้าต้องขออภัยทุกคนด้วย…ในเมื่อข้าฆ่าคนเพิ่มไปอีกคน ก็หมายความว่าเวลาที่พวกเราจะได้อยู่ที่นี่ ก็เหมือนสั้นลงอีกส่วน…”
ต้วนหลิงเทียนก้มลงไปกวาดตามองผู้คนด้านล่าง ที่บ้างก็นั่งบนแท่นศิลา บ้างก็ลอยล่องกลางหาว พลางกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด “ต่อไปข้าหวังว่าทุกคนจะพยายามทุ่มความสนใจไปกับการสัมผัสพลังของกฏแห่งเวลาที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้อุตส่าห์สร้างค่ายกลเอาไว้ให้”
“เอาล่ะ ข้ารบกวนเวลาของทุกคนเพียงเท่านี้…หากไม่มีเรื่องสำคัญอย่าได้ปลุกข้า หากข้าตื่นขึ้นมา จะให้เข้าสู่ภวังค์อีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวต่ออย่างไม่รีบไม่ร้อนจนจบ แม้ในถ้อยคำวาจาที่กล่าวออกจะไม่มีการข่มขูอะไร แถมเสียงที่กล่าวยังฟังดูสบาๆปานพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ก็ทำให้ทุกคนที่ได้ฟังอดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้านอยู่ในใจ
พวกมันไม่มีใครสงสัยเลย…
หากใครกล้ายั่วยุดาวมฤตูผู้นี้อีก ไม่พ้นได้ไปเมืองผีตามหลี่หยวนเป็นแน่!
‘หวังว่าจะไม่มีใครมากวนใจข้าอีก…อย่างไรเสียคิดจะสัมผัสถึงพลังของกฏแห่งงเวลา และเข้าใจความหมายแห่งเวลาที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทิ้งไว้ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย’
ต้วนหลิงเทียนบ่นในใจ จากนั้นก็ค่อยๆหลับตาลง นอกจากเหลือสำนึกเทวะส่วนหนึ่งที่แผ่ไว้เพื่อระวังภัยแล้ว ที่เหลือก็ถูกกระจายออกไปรอบๆตัวเพื่อสัมผัสถึงพลังลี้ลับบางอย่างจากค่ายกล
‘นี่คือ…กฏแห่งเวลางั้นหรือ?’
หลังตั้งสมาธิรับสัมผัสสรรพสิ่งรอบกาย ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่ามีพลังลี้ลับบางประการไหลเวียนอยู่ทั่วๆร่างกายของเขา
อย่างเช่นความว่างเปล่าด้านขวามือของเขา กระแสอากาศที่ไหลเวียนไม่สม่ำเสมอบ้างหนักบ้างเบานั้น อยู่ๆก็หยุดลงในชั่วพริบตา ราวกับห้วงเวลา ณ จุดนั้นมันหยุดเดินไป!
กฏแห่งเวลา ขึ้นชื่อว่าเป็นกฏที่ลี้ลับและพิสดารที่สุดในบรรดากฏสูงสุดทั้ง 4 และมันยังเป็นกฏที่ลี้ลับที่สุดในสวรรค์และโลกอีกด้วย
กฏประเภทนี้ไม่อาจทำความเข้าใจผ่านวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังใดๆ ต้องใช้โชควาสนาและการพานโดยบังเอิญขณะผจญภัย ไม่ก็รับมรดกสืบทอด
‘อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอย่างเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่ข้าเคยยมี ก็น่าจะมีกฏแห่งเวลาแฝงอยู่…ทำให้เวลาที่ไหลในเจดีย์นั้นแตกต่างจากโลกภายนอกมากมาย’
หลังผ่านไปสักพักต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่เขาเคยมี กระทั่งยังคิดถึงผู้เฒ่าหั่วที่เป็นวิญญาณประจำชั้น 1 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติขึ้นมา
ไม่ทราบว่าตอนนี้ผู้เฒ่าหั่วไปอยู่ที่ใดแล้ว อีกทั้งเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติถูกใครเอาไปกันแน่
ณ แท่นศิลาบนสุด ต้วนหลิงเทียนก็จมจ่อมอยู่ในภวังค์รับรู้ สัมผัสถึงพลังลี้ลับอันแฝงไว้ด้วยกฏแห่งเวลาโดยรอบและพินิจมันอย่างตั้งใจ
ส่วนเบื้องล่างแท่นศิลาที่เขาอยู่นั้น สถานการณ์ยังคงยากที่จะหาความสงบได้เจอ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้คนจะประมือกันก็ดี หรือทำอะไรก็ดี ไม่มีใครกล้าปล่อยให้การกกระทำใดๆส่งผลกระทบมาถึงเขา และไม่มีใครคิดจะขึ้นมายุ่งวุ่นวายอะไรกับเขาเลย
“การโจมตีนั่นจะทรงพลังเกินไปแล้ว…แสงกระบี่หลากสีนั้นเกิดจากอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มันครอบครองอยู่หรือ?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่เห็นต้วนหลิงเทียนจบชีวิตหลี่หยวนได้ง่ายดายในกระบี่เดียว อดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่ ในใจบังเกิดความหวาดกลัวถึงขีดสุด
ก่อนหน้านี้ถึงแม้หลังได้ฟังเรื่องราวจากโอวหยา นางจะไม่ได้คลางแคงสงสัยในข้อเท็จจริง แต่การฟังเรื่องราวจากปากคนอื่น กับการได้มาเห็นกับตาตัวเองนั้น นับเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!
“หากข้าต้องเจอกับกระบี่นั่น…จุดจบของข้าคงไม่ดีไปกว่าหลี่หยวนแน่!”
พอคิดถึงจุดนี้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็น
“มัน…มันฆ่าหลี่หยวนได้ในชั่วพริบตา…ทั้งยัง…ยังอาศัยแค่ 1 กระบี่!?”
ทั้ง 4 คนที่ลอยร่างอยู่เหนือหุบเขาและยังไม่ได้ไปช่วงชิงแท่นศิลากับใคร ตอนนี้แต่ละคนก็ปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผาก ถึงแม้พวกมันจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการแล้ว แต่มันก็มองการลงมือขอต้วนหลิงเทียนยามสังหารหลี่หยวนไม่ทัน ได้ยินก็แต่เสียงหอนของกระบี่กรีดฟ้า กับความรู้สึกแหลมคมที่เสียดแทงจิตวิญญาณ
บัดนี้พวกมันตระหนักได้โดยที่ไม่เหลือคววามแคลงใจใดๆ ทั้งหมดที่ต้วนหลิงเทียนพูดมาก่อนหน้า หาได้มีคำโป้ปดแม้แต่คำเดียวจริงๆ!
“…สุดท้ายอาศัยพลังฝีมืองั้นๆของพวกมัน ข้าลำบากแค่ 1 ท่าก็ฆ่าพวกมันในพริบตา”
วาจาประโยคนั้นของต้วนหลิงเทียน พลันดักก้องขึ้นมาในหูพวกมันอีกรอบ
“มันจะร้ายกาจเกินไปแล้ว…ไฉนมันถึงได้มีพลังร้ายกาจขนาดนั้นได้กัน!?”
“หนึ่งกระบี่เมื่อครู่ แม้ข้ามองไม่ทันว่ามันลงมืออย่างไร แต่จากกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมา ข้าสัมผัสได้ว่ามีพลังจากความหมายแห่งดิน…แต่ข้าว่าพลังอันร้ายกาจจริงๆ สมควรเกิดจากกระบี่ที่มันใช้มากกว่า!”
“ข้าก็คิดแบบนั้น แม้จะมองกระบี่มันไม่ชัด แต่ข้าเห็นว่ากระบี่มันส่องสว่างปานสีรุ้ง…อีกทั้งไม่รู้พวกเจ้าทันสังเกตเห็นกันหรือไม่ ว่าหลังมีประกายแสงผ่าร่างหลี่หยวนไปแล้ว ประกายแสงที่ว่าพอย้อนกลับมาถึงมือมัน ก็เหมือนจะรวมเข้าไปในร่างกายของมัน ไม่ใช่หายไปเหมือนเก็บของลงอุปกรณ์พื้นที่”
“รวมเข้าไปในร่างของมันเหรอ? ช้าก่อน…เรื่องแบบนี้ข้าเคยได้ยินมา นั่นไม่ใช่ลักษณะของอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีในบันทึกหรือไร!?”
“อันใด? นี่เจ้าจะบอกข้าว่า…เมื่อครู่สิ่งที่มันใช้คืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิงั้นเหรอ!?”
…
ทั้ง 4 คนพากันสนทนานถามไถ่กันไม่หยุด และในบรรดาพวกมัน 4 คนก็มีคนสังเกตเห็นแสงรุ้งที่สมควรเป็นกระบี่นั้น หลังจากที่เข่นฆ่าหลี่หยวนแล้ว พอวกกลับมาถึงมือต้วนหลิงเทียน ก็กลายเป็นละอองแสงรวมหายเข้าไปในร่างของต้ วนหลิงเทียน ทำให้บางคนฉุกคิดถึงเรื่องราว ‘อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ’ ที่มันเคยอ่านเจอในบันทึกขึ้นมาทันที
“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”
“เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น มันมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”
…
และไม่นานเรื่องราวดังกล่าวก็เริ่มแพร่กระจายลุกลามไปทั่ว ทำให้ทุกคนเริ่มตระหนักว่าต้วนหลิงเทียนนั้นมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิไว้ในครอบครอง แถมยังเป็นกระบี่อีกด้วย!
สำหรับคนที่ถูกส่งตัวมากลุ่มเดียวกับต้วนหลิงเทียนอย่างพวกโอวหยา และพวกเชวียจิงอวี่นั้น ไม่มีใครสงสัยหรือแปลกใจอะไรเลย เพราะทุกคนเห็นฉากเขาสังหารตงฟางจิ่นหลุนในกระบี่เดียวมากับตา
“เหอะๆ หลี่หยวนนั่นมันกล้าหาเรื่องต้วนหลิงเทียน นับว่าสวรรค์มีทางไม่ยอมเดิน นรกไร้ประตูดันทุรังมุดมาแท้ๆ!”
“เอาตรงๆ เมื่อครู่ ข้าคิดจะเตือนมันเหมือนกัน…แต่พอนึกถึงวีรกรรมของมันที่ข้าเคยได้ยินมา ข้าพลันรู้ไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ ก็เลยล้มเลิกความคิดเตือนมันไป”
“ข้าด้วย! ทั้งชีวิตดีแต่รังแกผู้อื่นเช่นมัน นับว่าสมควรตายแล้วล่ะ!!”
…
เหล่าผู้ที่กำลังสนทนากันก็เป็นคนที่ถูกส่งมาพร้อมต้วนหลิงเทียน พลังฝีมือของพวกมันค่อนข้างธรรมดา และแท่นศิลาที่เลือกก็คือชั้นล่างสุด จึงไม่มีใครคิดจะมาท้าทายแย่งชิง พวกมันจึงนั่งคุยกันอย่างสบายใจ
“น้องหญิงโอวหยา..ชายหนุ่มชุดเทาผู้นั้น ดูเหมือนมันจะอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่นั่งอยู่บน 1 ใน 2 แท่นศิลาชั้นรอง หลังจากสำรวจหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว นางก็หันไปส่งเสียงผ่านพลังคุยกับโอวหยาทันที “เจ้าไม่คิดท้าชิงแท่นศิลาของมันหรือ?”
“ด้วยพลังฝีมือของเจ้า คิดจะชิงแท่นศิลาของมันก็มิน่าจะยากเย็นอันใดนี่นา…หรือหากเจ้าไม่มั่นใจให้ข้าช่วยก็ได้นะ”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเสนอตัวด้วยความหวังดี
อยย่างไรก็ตาม พอได้ยินเสียงผ่านพลังถามไถ่ทั้งเสนอความช่วยเหลือดังกล่าววของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โอวหยาก็คลี่ยิ้มขื่นขมก่อน จากนั้นค่อยส่งเสียงผ่านพลังไปหามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว “พี่หญิงมู่หรง…น้ำใจของท่านข้าคงทำได้แค่รับมันไว้ด้วยใจแล้วล่ะ…”
“ทว่ากับบุรุษผู้นั้น ข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของมันจริงๆ…อีกทั้งต่อให้ท่านกับข้าร่วมมือกัน ก็คงไม่มีทางเอาชนะมันได้เลย”
“แทนที่จะรบกวนเวลาสัมผัสพลังของกฏแห่งเวลาอันมีค่าของท่าน ไม่สู้ข้าไปหาแท่นศิลาที่เหมาะสมกับพลังของข้า เพื่อสัมผัสถึงพลังงของกฏแห่งเวลาที่ท่านจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้สร้างทิ้งไว้ให้ดีกว่า”
ขณะกล่าวถึงประโยคท้าย น้ำเสียงของโอวหยาก็แฝงไว้ด้วยความขื่นขมจนปัญญาชัดเจน
และพอได้ยินเสียงสลดของโอวหยา มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็คล้ายจะตระหนักอะไรได้บางอย่าง “มัน…มันคงมิได้ครอบครองกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิเหมือนต้วนหลิงเทียนหรอกนะ!?”
คำถามดังกล่าวเป็นมู่หรงเซี่ยวเซวี่ยวกล่าวถามไปส่งๆเท่านั้น เพราะนางเองก็ไม่คิดว่าจะมีคนครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอีกเป็นคนที่สอง!
นั่นคืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ ไม่ใช่กะหล่ำปลีที่เห็นเต็มตลาด!
“มันไม่มีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ์…”
โอวหยากล่าว
“เช่นนั้นเจ้ากลัวมันทำไมเล่า?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเอ่ยถาม
“มันไม่มีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิก็จริง…แต่ก่อนจะถูกส่งตัวมาที่นี่ ข้าได้ยินบางคนในกลุ่มมันคุยกัน ว่ามันครอบครองเกราะอมตะระดับจักรพรรดิ…นอกจากนั้นมันยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการแล้ว”
โอวหยากล่าวออกมารวดเดียวจบคำ น้ำเสียงของนางยังฟังดูอ่อนแอคล้ายคนไร้เรี่ยวแรง
ต้วนหลิงเทียน อายุไม่ถึงร้อยปีเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินสองประการ อีกทั้งยังมีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิสีรุ้งในครอบครอง…
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน ไม่เพียงเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการ แต่ยังครอบครองเกราะอมตะระดับจักรพรรดิที่มีลักษณะเป็นผ้าคลุม!
ทั้งสองคนทำให้นางหวาดกลัวจับใจ จนไม่เหลือแม้แต่ความกล้าจะคิดตอแย!
WSSTH ตอนที่ 3,026 : อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอีกชิ้น!
“อะไร?!”
คำพูดของโอวหยา นับว่าสร้างความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแล้วจริงๆ “เกราะ…เกราะอมตะระดับจักรพรรดิหรือ!?”
ดุจเดียวกับชุดเกราะอมตะระดับราชาที่หายากกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทต่างๆ เกราะอมตะระดับจักรพรรดิเองก็นับว่าหายากกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิประเภทอื่นๆไม่น้อย จะเป็นรองก็แค่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณเท่านั้น!
อันที่จริงแค่มูลค่าของชุดเกราะอมตะระดับจอมราชัน ก็เทียบได้กับอาวุธอมตะระดับจักรพรรดิทั่วไปแล้ว!
“มิผิด”
โอวหยาพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มเหินร่างลงไปยังแท่นศิลาชั้น 3 เพื่อหาคนท้าทาย
ด้วยพลังฝีมือของนางย่อมไม่ยากที่จะท้าชิงแท่นศิลาชั้น 3
อย่างไรก็ตาม โอวหยายอมแพ้เรื่องแท่นศิลาชั้น 2 แต่ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะล้มเลิกเหมือนนาง
ครู่ต่อมา ชายชุดแดงในบรรดากลุ่มชาย 4 คน ที่พึ่งหาจากอาการหวาดกลัวต้วนหลิงเทียน ก็ได้เหินร่างขึ้นมาหยุดลงในเพดานบินเดียวกับแท่นศิลาชั้น 2!
มันเองก็ยังมีความมั่นใจในตัวเองอยู่บ้างเพราะอย่างไรก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการแล้ว!!
แน่นอนว่ามันไม่กล้าท้าทายมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว เพื่อชิงแท่นศิลาของนาง
แต่มันตั้งใจจะชิงแท่นศิลาที่มีชายหนุ่มชุดเทานั่งอยู่ ด้วยเพราะมันไม่รู้จักอีกฝ่ายมากกก่อน
ด้วยความที่ก่อนหน้านี้ ตอนต้วนหลิงเทียนส่งคะแนนให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ทั้งคู่ก็อาศัยการสนทนาผ่านพลัง ทำให้มันไม่รู้ว่าทั้ง 2 คนรู้จักกัน
หาไม่แล้วด้วยความกลัวที่มีต่อต้วนหลิงเทียน มันย่อมไม่กล้ามาตอแยท้าชิงแท่นศิลาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแน่นอน
ถึงแม้เมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนมีโอกาสจะได้รับคะแนนสะสมเพิ่ม แต่ทุกคนรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนไม่อยากเป็น ‘ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น’ เท่านั้น จึงต้องป้องกันตัวเอง!
ต้วนหลิงเทียนไม่อยากมีคะแนนมากเกินไป จนเป็นจุดสนใจของผู้คนหลังกลับออกไป!
และคนทั้งหมดก็ไม่ได้แปลกใจอะไรกับการกระทำของต้วนหลิงเทียน เพราะสาเหตุที่ต้วนหลิงเทียนทำแบบนั้น ไม่พ้นต้องกลัวคนที่อยู่เบื้องหลัง ตงฟางจิ่นหลุน สุมาฉุน แล้วก็หลี่หยวนที่พึ่งตกตายเพ่งเล็ง!
หลี่หยวนนั้น ถึงจะมาจากนิกายระดับ 8 แต่ก็เป็นอัจฉริยะในรอบพันปี เรียกว่านิกายได้ตั้งความหวังกับมันไว้มาก ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเพาะสร้างสนับสนุนหลี่หยวน!
หากล่วงรู้ว่าใครฆ่าหลี่หยวน หรือแค่บังเกิดความสงสัยในตัวผู้ใด นิกายดังกล่าวไม่พ้นต้องลอบลงมือล้างแค้นเป็นการลับแน่นอน
ยิ่งความเป็นมาของสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งคู่ล้วนมาจากตระกูลระดับ 7 ยังมีอำนาจมากกว่านิกายระดับ 8 ไม่รู้เท่าไหร่!
หากทั้ง 2 ตระกูลเพ่งเล็งมุ่งเป้าไปที่คนๆเดียวกัน ต่อให้คนๆนั้นจะเป็นอัจฉริยะของ 3 นิกาย 2 ตระกูล แต่ชีวิตก็ยังคงตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี
ทำให้การกระทำกก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียน ทุกคนล้วนเข้าใจเหตุผลได้ไม่ยาก
สำหรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เป็นผู้ได้รับคะแนนนั้น ทั้งหมดคิดแค่ว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้รับคะแนนกินเปล่าไปเท่านั้น
ต่างจากพวกโอวหยาและเชวียจิงอวี่ ที่ล่วงรู้แต่แรกว่าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแลดูจะสนิทกันอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกมันต่างง่วนอยู่กับการช่วงชิงแท่นศิลาของตัวเอง ไม่ก็ทุ่มความสนใจไปกับการสัมผัสกฏแห่งเวลาจากค่ายกลเหนือหุบเขากกาลเวลา ไหนเลยจะมีเววลามากล่าวเตือนคนที่พวกมันไม่รู้จัก
“อวิ๋นจ้าน?”
เพียงเหลือบมองไปปราดเดียว มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็จดจำชายชุดแดงที่คิดท้าทายหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ทันที อีกฝ่ายเป็นคนของขุมกำลังระดับ 8 แต่อายุค่อนข้างมากแล้ว ที่สำคัญยังจงใจระงับด่านพลังบ่มเพาะอีกด้วย
อวิ๋นจ้านที่ยังแลดูเป็นชายวัยกลางคนนั้น อันที่จริงมีอายุมากกว่าพันปีแล้ว…
คนเช่นมันเรียกว่าตั้งเป้าจะเข้ามาช่ววงชิงสมบัติในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำโดยเฉพาะ จึงระงับด่านพลังให้หุดอยู่ที่ขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ไม่รีบทะลวงผ่าน
อีกทั้งอวิ๋นจ้านได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ กอปรกับมีชีวิตอยู่มานับพันปี ประสบการณ์การต่อสู้ของมันจึงไม่อาจดูแคลนได้ นับว่ามีพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วเลยทีเดียว
อย่างน้อยๆในตอนที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำแค่ 2 ประการไม่ทันหยั่งถึงความลึกซึ้งประการที่ 3 หากนางต้องประมือกับอวิ๋นจ้าน ก็คงเป็นนางที่แพ้พ่าย
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า…รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสีย หาไม่แล้วเจ้าจะได้อยู่ในวังจอมราชันอมตะของแดนสวรรค์ใต้โบราณไปชั่วกาล!”
เมื่อเห็นอวิ๋นจ้านมาหยุดลงเบื้องหน้าไม่ไกล และแววตาที่จ้องมองมาของอีกฝ่ายแม้จะแลดูสงบ หากแต่แฝงไปด้วยจิตต่อสู้อันน่าเกรงขาม หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เหลือบมองมันด้วยสายตาไม่แยแส เอ่ยเตือนแกมขู่ออกไปเสียงเรียบ
หลังพูดจบ มันก็อดไม่ได้ที่จะลอบกล่าวในใจ ‘ได้พูดแบบนี้แล้วรู้สึกสะใจไม่เบา…’
ถ้อยคำที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึ่งพูดออกไป แน่นอนว่าลอกต้วนหลิงเทียนมาทั้งประโยค!
อวิ๋นจ้านเองก็คาดเดาการตอบสนองและวาจาที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอาจจะกล่าวไว้มากมาย แต่ไม่คิดเลยว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะยกคำพูดของต้วนหลิงเทียนมาเอ่ยซ้ำ!
และเสียงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแม้ไม่ดัง แต่ก็ไม่เบา มากพอให้ทุกคนที่อยู่เหนือหุบเขากาลเวลาได้ยินถนัดหู!
เรียกว่าผู้ที่กำลังประมือก็พร้อมใจกกันหยุดมือชั่วคราว ก่อนจะพากันจับจ้องไปยังแท่นศิลาชั้นสองทันที
ที่นั่น ปรากฏชายหนุ่มชุดเทานั่งขัดสมาธิอยู่ ข้างกายมีกระบี่ยาววางไว้ไม่ห่าง เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นมือกระบี่ผู้หนึ่ง
“หืม? เจ้านั่นมันก็อายุไม่ถึงร้อยปีงั้นเหรอ?”
ครู่ต่อมาก็มีคนค้นพบ ว่าชายหนุ่มชุดเทาเป็นเหมือนต้วนหลิงเทียน…อายุไม่ถึงร้อยปี!
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่นมันลอกเลียนคำพูดต้วนหลิงเทียนรึ? นี่มันคิดว่าผู้อื่นจะกลัวมันเหมือนต้วนหลิงเทียนหรือไร?”
“เหอะๆ…นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าพบเจอคนที่เกียจคร้านกระทั่งนึกคำพูด! มันคิดเองไม่เป็นหรือ? ถึงได้คัดลอกผู้อื่นมาทั้งประโยค?”
“เจ้าหนุ่มนั่น มันคิดว่าตัวเองเป็นต้วนหลิงเทียนหรือไร หรือเพ้อไปคิดว่ามีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเช่นต้วนหลิงเทียน?”
“นั่นสิ มันคิดว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเป็นหัวกาดหรือไร”
…
ผู้คนพากันค่อนแคะเรื่องหลิงเจวี๋นอวิ๋นลอกเลียนคำพูดต้วนหลิงเทียนระงม ขณะเดียวกันก็รอดูว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะรับมือชายชุดแดงอย่างไร
“ชายชุดแดงผู้นั้นหากข้าจำไม่ผิดสมควรเป็น อวิ๋นจ้าน ชนชั้นอาวุโสของด่านเชียนชิว ที่เป็นขุมกำลังระดับ 8! ข้าได้ยินมาว่ามันใจระงับด่านพลังฝึกปรือให้รั้งอยู่ในขอบเขตอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด เพื่อจักได้เข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณโดยเฉพาะ! และด้วยความที่มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว พอมารวมกับประสบการณ์การต่อสู้นับพันปี…พลังฝีมือของมันนับว่ามิใช่ชั่วเลย”
หลายคนก็จดจำชายวักลางคนในชุดสีแดงได้
“แล้วเจ้าหนุ่มชุดเทานั่นเล่า…มันเป็นใครมาจากไหนรึ?”
“พวกเจ้ามีใครรู้จักมันหรือไม่?”
…
ขณะเดียวกัน หลายคนก็ตระหนักได้ว่าดูเหมือนจะไม่มีใครรู้จักชายหนุ่มชุดเทาเลย กระทั่งไม่เคยได้ยินเรื่องชายหนุ่มชุดเทามาก่อนด้วยซ้ำ
“พี่ชายท่านนี้ ข้าสังเกตเห็นว่ายามมาถึงท่านอยู่กลุ่มเดียวกับต้วนหลิงเทียนและชายหนุ่มชุดเทาผู้นั้น…ท่านรู้หรือไม่ว่ามันร้ายกาจเพียงใด? ใช่คู่มือของอวิ๋นจ้านนั่นหรือไม่?”
หลายคนเริ่มหันไปถามเชวียจิ่งอวี่
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ทว่าด้านเชวียจิงอวี่กลับส่ายหัวปฏิเสธ ทำราวกับไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย
ถึงแม้มันจะรู้ว่าพลังฝีมือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นอย่างไร กระทั่งได้ยลโฉมพลังอำนาจของอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิรูปแบบผ้าคลุมมาแล้ว ที่สำคัญมันเชื่อว่าต่อให้เป็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่มีทางเอาชนะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้แน่
อย่างไรก็ตาม มันไม่คิดจะพูดออกมา
เหตุผลก็คือมันรังเกียจอวิ๋นจ้านกับพวกชราหน้าไม่อายเหล่านั้น! คนพวกนี้จงใจระงับด่านพลังฝึกปรือเพื่อมาช่วงชิงกับคนรุ่นหลังในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ! มันจึงหวังให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นฆ่าพวกชราน่ารังเกียจเหล่านี้ให้หมด!!
ขณะเดียวกัน หลายคนก็เริ่มหันไปถามคนอื่นๆที่เห็นว่ามาพร้อมกันกับพวกต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนอกเหนือจากเชวียจิงอวี่ แต่ทั้งหมดก็พร้อมใจกันตอบว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทั้งสิ้น
“เจ้าหนุ่มชุดเทาอายุไม่ถึงร้อยนี่ ท่าทางจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแค่ประการเดียวกระมัง?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก…หากมันเข้าใจความลึกซึ้งแค่ประการเดียว มันจะกล้าไปจับจองแท่นศิลาชั้น 2 นั่นรึ? ข้าว่ามันน่าจะเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการแล้วมากกว่า”
“อายุมันยังไม่ถึงร้อยปีเจ้าจะให้มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ 2 ประการแล้วรึ? เจ้าคิดว่าคนอย่างต้วนหลิงเทียนพบเจอได้ง่ายเหมือนหัวผักกาดหรือไร?”
“หรือบางทีมันคิดอาศัยความโดดเด่นของต้วนหลิงเทียน มาเพาะสร้างสภาวะอัจฉริยะของตัวเอง ทำให้ทุกคนหลงคิดว่ามันร้ายกาจอย่างต้วนหลิงเทียนกัน?”
“ก็ไม่แน่!”
…
หลายคนเริ่มคุยกันอย่างออกรส และเชื่อว่าแท่นศิลาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นมิแคล้วต้องเปลี่ยนมือแน่แท้
เพราะทุกคนเชื่อว่าอวิ๋นจ้านคงไม่เลิกราง่ายๆ แค่เพราะอีกฝ่ายกล่าวคำอหังการคล้ายต้วนหลิงเทียน!
อันที่จริง ก็หยิบยืมมาทั้งประโยคเลยนั่นล่ะ!
ด้านอวิ๋นจ้านหลังได้ยินคำขู่ของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหน้าร้อนอยู่บ้าง ลูกตามันเบิกกว้าง สีหน้ายังเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ! มันดูเหมือนเด็ก 3 ขวบหลอกง่ายนักรึ!?
ทันใดนั้นทั่วร่างของมันก็เริ่มปรากฏพลังงเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานพลังธาตุดิน จนส่องแสงสีกากีเรืองรองออกมา กระทั่งละอองธุลีฝุ่นคลีในอาณาบริเวณโดยรอบนังเริ่มพุ่งมารวมตัวข้างงๆมัน ราวได้รับบัญชา!
อวิ๋นจ้านนั้น เลือกที่จะทำความเข้าใจกฏแห่งดินเหมือนต้วนหลิงเทียน แต่ต่างจากต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง เพราะมันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการจนบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้วจริงๆ
แต่ต้วนหลิงเทียนนั้น แม้ผู้คนจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ แต่อันที่จริงเขาพึ่งเข้าใจประการเดียวเท่านั้น อีกประการก็แค่หยั่งถึง พอให้ใช้พลังได้บางส่วน!
เวิง! เวิง!
ครืนน!! ครึก! ครึก!
…
ท่ามกลางสายตาคนทุกผู้ พลังสีกากีทั่วกายยอวิ๋นจ้านิ่งมายิ่งเปล่งแสงแรงกล้า ธุลีคลีในอาณาบบริเวณก็เริ่มเกาะกลุ่มกันหนาตา สุดท้ายก็คล้ายมีเกราะปฐพีหนึ่งปกคลุมไปทั่วร่างอวิ๋นจ้าน
อีกทั้งธุลีคลีที่ลอยล่องอยู่หนาตารอบกายอวิ๋นจ้าน ยิ่งมาก็ยิ่งสั่นสะเทือนแรงขึ้นทุกขณะ ก่อเกิดเป็นคลื่นกระแทกอันหนักหน่วงกำจายออกไปสะท้านสะเทือนห้วงอากาศ!
“ความลึกซึ้ง สั่นสะเทือน…”
ด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพอเห็นอวิ๋นจ้านเริ่มเร่งเร้าพลังคิดลงมือ คิ้วเฉยเมยก็เลิกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นมันก็เริ่มยกมือขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นสมควรยกมือขึ้นมาเพื่อชักกระบี่ต่อสู้ แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายเพียงยกมือขึ้นไปเหนือศีรษะ และไม่มีทีท่าว่าจะหยิบกระบี่แต่อย่างใด
“มันคิดจะทำอะไรของมันกันแน่?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่นั่งบนแท่นศิลาชั้น 2 ไม่ห่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเท่าไหร่ อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังจะทำอะไรกันแน่
และพริบตาต่อมา นางก็เห็นว่าเหนือฝ่ามือที่ยกขึ้นของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น พลันอุบัติวังวนความมืดประหนึ่งหลุมดำขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า! จากนั้นก็ปรากฏปลายกระบี่ค่อยๆโผล่ออกมาจากวังวนความมืดดังกล่าว! ฉากนี้ทำให้หน้านางเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง!!
“อะ…อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”
ลูกตามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวหดหยีลงแทบปิด ใจยังสะท้านสะเทือนไปอย่างแรง!
อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดินั้นไม่เพียงยามเก็บจะผสานรวมเข้ากับร่างกาย ยามเรียกใช้ก็จะผุดโผล่ออกมาจากร่างกายเช่นกัน!
และครู่ต่อมา ท่ามกลางสายตาของทุกคน ในมือหิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ถือกระบี่สีคราม 3 ฉื่อเล่มหนึ่ง อีกทั้งตัวกระบี่ยังปรากฏอัสนีสีเทาแล่นวาบแปลบปลาบไม่หยุด แลดูน่ากลัวนัก!
“อะ…อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”
“อีกชิ้น…เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอีกชิ้นงั้นเหรอ!?”
“นะ…นี่มันอะไรกัน!? อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิกลายเป็นของโหลไปตั้งแต่เมื่อไหร่!? ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะนำออกมาใช้ชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับนำออกมาใช้อีกชิ้น!?”
…
ทุกคนไม่เว้นเชวียจิงอวี่ พอเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเหมือนจะเรียกกระบี่ออกมาจากร่างกาย ทั้งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงที่กระบี่เล่มนั้นแผ่ออกมา พวกมันก็ตกตะลึงอึ้งไปอย่างสมบูรณ์!
เพราะสำหรับพวกมันแล้ว อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดินั้น เป็นดั่งสิ่งของในตำนาน!
ทว่าบัดนี้พวกมันกลับได้เห็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิปรากฏขึ้นสองครั้งสองครา ทำให้พวกมันเริ่มบังเกิดความสงสัยในชีวิต ว่าที่แท้อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิใช่หายากจริงๆหรือ?
“ข้า…ข้า…ข้ายอมแพ้…ข้ายอมแพ้! ยอมแพ้แล้ว!!”
ท่ามกลางความสั่นสะเทือนจากธุลีคลีอันทรงพลัง ปรากฏเสียงสั่นเครือหนึ่งดังขึ้นอย่างร้อนรน!
WSSTH ตอนที่ 3,027 : ความตายของอวิ๋นจ้าน
อวิ๋นจ้านนั้น ก่อนหน้านี้มันดูดุร้ายน่าเกรงขามไม่ใช่เล่น เปี่ยมล้นไปด้วยความคิดฆ่าฟันหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
อย่างไรก็ตามพอเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเรียกกระบี่สีคราม 3 ฉื่อ ที่ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิออกมา แถมมันยังสูดได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายจากกระบี่สีคราม 3 ฉื่อนั่น ความฮึกเหิมดุร้ายของอวิ๋นจ้านก็สลายไปดั่งหมอกควันเบาบางต้องลม ไม่หลงเหลือจิตต่อสู้อีกเลย
“ข้ายอมแพ้! ข้ายอมแพ้แล้ว!!”
บัดนี้อวิ๋นจ้านได้ร่ำร้องกล่าวคำยอมแพ้ออกมาไม่หยุด ราวกับมันหวาดกลัวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะใช้กระบี่อันเต็มไปด้วยเส้นสายอัสนีสีเทา และสมควรเรียกออกมาจากร่างกายนั่นเข่นฆ่ามัน!
“ยอมแพ้แล้ว?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่นั่งบนแท่นศิลา เหลือบบมองอวิ๋นจ้านที่ร่างสั่นระริกไม่ไกล พลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ข้ายังไม่ทันทำอะไร…แต่เจ้ายอมแพ้แล้ว ไม่ถอดใจง่ายไปหน่อยหรือ?”
และแทบจะทันทีที่หลิงเจวี่ยอวิ๋นกล่าวจบคำ ในสายตาของผู้คน ก็ปรากฏร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกคนพุ่งออกมาจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
อย่างไรก็ตามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่พุ่งพึ่งออกมานั้น มีดวงตาสีแดงฉานปานก้อนโลหิต แถมกลิ่นอายที่แผ่ออกมาทั่วร่างยังลี้ลับสุดหยั่งถึงนัก!
“นั่นมัน…ร่างแยกรึ!?”
หลายคนเข้าใจว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังใช้วิชาแยกร่างอะไรบางอย่าง
“หึ! นั่นคือร่างแฝดแห่งความตาย จากความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าใจต่างหาก…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้นเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการแล้ว นอกจากความหมายแห่งความตาย ก็คือ ร่างแฝดแห่งความตายที่พวกเจ้ากำลังเห็นอยู่นั่นล่ะ…”
เชวียจิงอวี่กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ “แต่..ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังจะมีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิอยู่ด้วยแบบนี้”
น้ำเสียงของเชวีนจิงอวี่ยามนี้ ฟังดูท้อใจไม่น้อย
ลำพังแค่ต้วนหลิงเทียนนำกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิออกมา มันก็รู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนช่างลึกลับยิ่งนัก
มาตอนนี้พอเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังมีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิด้วยอีกคน มันก็รู้สึกไม่เข้าใจอะไรอีกต่อไป
เรื่องนี้ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะสงสัยจริงๆ ว่าใช่ทั้งคู่ไปพบมรดกสถานใดในแดนสวรรค์ใต้หรือไม่ ถึงได้อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิมาครองแบบนี้?
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ความคิดดังกล่าวผุดขึ้น มันก็ปัดทิ้งไปแทบจะทันที เพราะมันรู้สึกว่าเรื่องแบบนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
“กฏแห่งความตาย? ความลึกซึ้ง ร่างแฝดแห่งความตาย?”
“ชายหนุ่มชุดเทาผู้นั้นไม่เพียงแต่จะเข้าถึงกฏแห่งความตาย…แต่ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายแล้ว 2 ประการ?!”
“ด้วยพลังอำนาจของกฏแห่งความตายอันเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุด ต่อให้มันจะไม่มีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิเล่มนั้น แต่มันก็ไม่อ่อนด้อยไปกว่าอวิ๋นจ้านแน่!”
“ตอนนี้มันใชกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ…เช่นนั้นใครจะตายก็ไม่ต้องสงสัยแล้วล่ะ”
“เจ้ายังต้องกล่าวอีกหรือ…อวิ๋นจ้านนั่นมันแทบจะคุกเข่าร้องขอชีวิตหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่รอมร่อแล้ว!”
“เหอะๆ อวิ๋นจ้านนั้นคงไม่คิดไม่ฝันเลยสินะ ว่ามันจะเตะโดนตอเหล็กเข้าให้!”
…
ได้ยินคำพูดของเชวียจิงอวี่ หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และรู้สึกว่าอวิ๋นจ้านคงลืมพกดวงออกจากบ้านมาเป็นแน่ ถึงได้ไปหาเรื่องปีศาจร้ายเช่นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้
ปงงง!
ทันใดนั้นเองเสียงแตกระเบิดของอากาศพลันดังขึ้น จากนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันน่าพะรั่นพรึงบีบคั้นกดดันไปในบรรยากาศ พอมองไปจึงพบว่า ร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่สองตาแดงฉานนั่น ไม่ทราบถือกระบี่สีคราม 3 ฉื่อไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และกำลังโจนทะยานเข้าหาอวิ๋นจ้านอันปกคลุมไปด้วยธุลีคลีสั่นสะเทือนด้วยความเร็วสูง!
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
…
และทันทีที่ร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นวูบร่างมาห่างอวิ๋นจ้านไม่กี่สิบก้าว กระบี่ในมือก็ถูกตวัดฟันออกไปฉับไว หนึ่งลมหายใจอุบัติรังสีกระบี่หลายร้อยสาย พุ่งเข้าใส่อวิ๋นจ้านจากทุกทั่วสารทิศปานข่ายฟ้าแหสวรรค์ ไร้หนทางให้อวิ๋นจ้านหลีกหนี!
เปรี๊ยงงงง!!
เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เป็นอวิ๋นจ้านที่กล่าวคำยอมแพ้ปะทุพลังชั่วชีวิตซัดพลังเข้าใส่ข่ายรังสีกระบี่ หมายบุกทะลวงฝ่าออกไป!
อย่างไรก็ตามข่ายรังสีกระบี่เพียงชะงักลงไปไม่กี่จังหวะ หากแต่ไร้วี่แววจะพังทลาย พาลให้ใบหน้าอวิ๋นจ้านกลับกลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันที!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
เสีงระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้นประหนึ่งเสียยงรัวกลองศึก
เป็นอวิ๋นจ้านที่พบว่าพลังขุมแรกไม่อาจฝ่าข่ายรังงสีกระบี่ได้ เร่งชักอุปกรณ์อมตะระดับราชาคู่กายออกมา ทุ่มพลังชั่วชีวิตหมายทะลวงฝ่าข่ายรังสีกระบี่อีกครั้ง ก่อนที่ร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะคอนกระบี่มาถึง
อย่างไรก็ตามไม่ว่ามันจะทุ่มเทพลังจู่โจมเบิกทางมากเท่าไหร่ แต่ข่ายรังสีก็แค่สั่นสะเทือนไปเท่านั้น ไม่ถูกทำลายลงแต่อย่างไร ทำให้ความสิ้นหวังเริ่มฉายชัดบนใบหน้าทันที!
“คุณชาย! ข้ายอมแพ้แล้ว! ได้โปรดเมตตาละเว้นข้าด้วย!!”
“ขอเพียงท่านเมตตาละเว้นข้า ทุกสิ่งที่ข้ามีข้ายินดีมอบมันให้ท่าน!!”
“ยั้งมือด้วย!!”
เมื่อเห็นว่ารังสีกระบี่ที่ร่างแฝดแห่งความตายของหลิงเจวี๋อวิ๋นนั้นทรงพลังสุดที่มันจะทำลายได้ และพุ่งเริ่มฝ่าละอองธุลีคลีหนาเตอะดั่งปราการแกร่งของมันเข้ามาได้ง่ายดายปานหั่นเต้าหู้ อวิ๋นจ้านก็เร่งร่ำร้องออกมาด้วยความสิ้นหวังไม่หยุดปาก
และวินาทีนี้ทุกคนที่อยู่เหนือหุบเขากาลเวลา ล้วนได้ยินถึงความสิ้นหวังในน้ำเสียงของอวิ๋นจ้านชัดเจน และพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความเวทนาสงสารขึ้นมาประการหนึ่ง
เพราะหากพวกมันตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับอวิ๋นจ้าน ไม่พ้นก็คงทำได้แค่ร้องขอความเมตตาแบบนี้
“ไม่—-!!”
จากนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นอีกครั้ง และยังเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่หุบเขากาลเวลาจะหวนกลับสู่ความสงบ บ่งบอกว่าเรื่องราวเล็กๆฉากหนึ่งได้จบลงแล้ว…
ผ่านไปเนิ่นนาน ก็ไม่มีใครกล่าวคำใดออกมาแม้ครึ่งคำ ทุกคนเอาแต่มองจ้องไปยังหลิงเจวี๋ยอวิ๋น และสายตาที่พวกมันใช้มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอนนี้ ก็ต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เพราะสำหรับพวกมันแล้ว บัดนี้พลังอำนาจสะกดข่มของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้ด้อยไปกว่าต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย กระทั่งพวกมันยังหวาดกลัวหลิงเจวี่ยอวิ๋นมากกว่าด้วยซ้ำ! เพราะหลิงเจวี๋อวิ๋นนั้นเข้าใจกฏแห่งความตาย ส่วนต้วนหลิงเทียนเข้าใจกฏแห่งดิน!!
“ด้วยพลังฝีมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพร้อมด้วยกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิเล่มนั้น เรียกว่าทรงพลังมากพอให้ประมือกับต้วนหลิงเทียนได้สบาย…แต่มันกลับเลือกขึ้นไปนั่งบนแท่นศิลาชั้นสองก่อน ไม่คิดจะช่วงชิงอะไรกับต้วนหลิงเทียนแต่แรก นี่เป็นเพราะอันใดกัน?”
ไม่นานก็เริ่มมีคนสงสัย
“ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ?”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวตอบ “หรือเจ้ามิเห็นว่าหลิงเจวี่อวิ๋นนั่นปรากฏตัวขึ้นกลุ่มเดียวกับต้วนหลิงเทียน? ทั้งคู่สมควรรู้จักกันมาก่อนแน่! ผู้ใดจะไปรู้ที่แท้อาจจะเป็นสหายสนิทกันก็เป็นได้!!”
“มิผิด ทั้งคู่ล้วนเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอายุไม่ถึงร้อยปี แถมยังมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเหมือนกันอีก…ข้าเกรงว่าทั้งคู่อาจจะมาจากที่เดียวกัน”
“เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่กลับมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิในครอบครอง…ทั้งคู่มาจากที่ไหนกันแน่ และในเมื่อที่แห่งนั้นมั่งคั่งถึงขนาดนี้ ไฉนถึงส่งรุ่นเยาว์เข้ามาช่วงชิงในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำกัน? อย่างทั้งคู่กระทั่งแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงน่ากลัวยังไม่มีสมบัติอะไรที่มีค่าพอด้วยซ้ำ…”
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้หรอก…แต่ข้ารู้สึกว่า การที่อัจฉริยะน่ากลัวเช่นทั้งคู่มาปรากฏตัวในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้ ไม่น่าจักเป็นเรื่องบังเอิญ…”
…
พอทุกคนเริ่มพูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมา กระทั่งเชวียจิงอวี่ที่พบเจอต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตั้งแต่สถานที่ทดสอบแรกของวังจอมราชันอมตะ ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
หรือที่แท้ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะรู้จักกันมาก่อนจริงๆ?
“แต่ไม่ใช่ว่า…ในสถานที่ทดสอบแห่งแรก หลิงเจวี๋ยอวิ๋นชวนต้วนหลิงเทียนไปคุยในห้องโถงเป็นการส่วนตัวหรือไร…”
พอคิดถึงจุดนี้เชวียจิงอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เพราะเมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ถ้าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นรู้จักกันมาก่อนจริง ไฉนต้องหลบไปคุยกันเป็นการส่วนตัวด้วย?
อาศัยแค่การส่งเสียงผ่านพลังยังไม่พอหรือ?
หลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ไปสักพักแต่เชวียจิงอวี่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ สุดท้ายมันจึงไม่คิดให้เปลืองสมองอีกต่อไป “ช่างเถอะ สุดท้ายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า…ตอนนี้ข้าสนใจแค่กฏแห่งเวลาจะดีที่สุด!”
จากนั้นเชวียจิงอวี่ก็เลิกสนใจเรื่องชาวบ้าน และเริ่มสงบจิตสงบใจ หลับตาลงเพื่อสัมผัสพลังอำนาจของกฏแห่งเววลา
“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ย่อมสามารถชิงแท่นศิลาของต้วนหลิงเทียนได้ไม่ยาก ไฉนเจ้าไม่ลงมือเล่า?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในแท่นศิลาชั้นสองดุจเดียวกับนางพักหนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวถามออกไป
ถึงแม้ก่อนที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะลงมือ นางจะได้ฟังจากโอวหยามาแล้วว่าอีกฝ่ายหาได้ธรรมดาไม่ และคิดว่าด้วยมีชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิคงยากที่ใครจะฝ่าการป้องกันเข้าไปได้ง่ายๆ
แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่เพียงจะมีการป้องกันอันน่ากลัว แต่ยังมีการโจมตีอันน่ากลัวเพราะกระบี่เล่มนั้นอีกด้วย!
และเผลอๆการโจมตีของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะน่ากลัวกว่าการป้องกันด้วยซ้ำ!
เพราะสุดท้ายแล้วเท่าที่นางฟังมาต้วนหลิงเทียนก็มีแค่กระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ แต่ไม่มีเกราะ! หากคิดสู้ก็ย่อมมีเปรียบต้วนหลิงเทียนอยู่หลายส่วน!!
“แล้วมันเป็นธุระกงการอะไรของเจ้า?”
ได้ยินคำถามของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หันไปเหลือบมองนางด้วยสายตาเฉยเมย เอ่ยออกด้วยน้ำเสียงรำคาญ จากนั้นก็หลับตาลง และตั้งใจสัมผัสถึงอำนาจของกฏแห่งเวลา
คำถามของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนับว่าจี้ใจดำมันอยู่บ้าง
ก็ใช่ มันไม่กลัวต้วนหลิงเทียนเลย…
อย่างไรก็ตามบัดนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังจะกลายเป็นเจ้านายของ ‘หวงเอ้อ’ คนที่มันเห็นไม่ต่างอะไรจากพี่สาวแท้ๆแล้ว และต่อไปความเป็นความตายของนางก็ขึ้นอยู่กับหนึ่งความคิดของต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ต้วนหลิงเทียนไม่พอใจหรือคิดเอาโทสะไปลงกับหวงเอ้อภายหลัง มันจึงเลือกยอมลงให้ต้วนหลิงเทียน อะไรทนได้ก็ทน ไม่คิดขัดใจอีกฝ่าย
“เจ้า…”
เมื่อเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเองก็ไม่ต่างอะไรจากต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย ทำราวกับนางเป็นเห็บหมาน่ารำคาญ ไม่มีความสุภาพไว้หน้านางแม้แต่น้อย ต่างจากเหล่าบุรุษมากมายที่เคยรุมล้อมนางดั่งแมลงวันตอมบุปผา ทำให้สีหน้ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมืดลงไม่น้อย
และตอนนี้นางอยากหยิบกระจกมาชมดูนัก ว่าใช่ความงามกับเสน่ห์ของนางลดลงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้รู้เลยว่าชาติกำเนิดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเคยเห็นคนที่งดงามกว่านางมาก่อน ที่สำคัญอาศัยแค่หวงเอ้อที่ตอนนี้ย้ายไปอยู่กับต้วนหลิงเทียนแล้ว ก็เหนือกว่านางหลายขุมไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือความสง่างาม
ฟืด! ฟาด! ฟืด! ฟาด!
…
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆและผ่อนออกยาวๆหลายรอบ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ระงับอารมณ์เหวี่ยงวีนในใจได้สำเร็จ จากนั้นก็ไม่คิดสืบสาวหาความอะไรต่อ หันมาทุ่มเทความสนใจให้กับการสัมผัสพลังอำนาจของกฏแห่งเวลาแทน
ขณะเดียวกัน คนอื่นๆเองก็เริ่มฟื้นคืนสติจากอาการตกตะลึงที่เห็นการลงมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นและกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิที่อีกฝ่ายควักออกมา และเริ่มสนใจกับเรื่องของตัวเองต่อ คนที่ยังไม่มีแท่นศิลาก็ไปท้าชิง คนที่มีแล้วก็เริ่มเข้าสู่ภวังค์
หลังจากผ่านไป 1 วัน 1 คืน ในที่สุดสถานการณ์เหนือหุบเขากาลเวลา ก็ตกอยู่ในความสงบ
ทุกคนล้วนมีแท่นศิลาเป็นของตัวเอง
และแท่นศิลาด้านบนสุดเหนือหุบเขากาลเวลานั้น ต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่แม้ผิวเผินจะเห็นว่ากำลังทำความเข้าใจกฏแห่งเวลาอย่างสงบ แต่ที่จริงในใจนั้นปั่นป่วนไม่น้อย
‘กฏแห่งเวลาช่างลี้ลับและยากหยั่งถึงจริงๆ…บ้างเร็ว บ้างช้า บ้างหยุดนิ่ง…อีกทั้งพลังอำนาจที่แฝงเร้นอยู่ในค่ายกลก็สมควรเป็นพลังจากความลึกซึ้งอย่างคววามหมายแห่งเวลาเท่านั้น…’
ต้วนหลิงเทียนที่ครองแท่นศิลาบนสุดและเข้าสู่ภวังค์ก่อนใคร เป็นธรรมดาว่าย่อมสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลา ก่อนใคร
แน่นอนว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้ง ความหมายแห่งเวลา แล้ว ก็บ่งบอกว่ามีโอกาสที่เขาจะเข้าใจความหมายแห่งเวลา
‘เวลา…ไหลไปทุกขณะ’
‘ปกติไร้ผู้ใดสามารถหลีกหนีอำนาจแห่งเวลา เว้นเสียแต่จะมีอุปกรณ์อมตะรดับจักรพรรดิอย่างเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ที่ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงพลังอำนาจแห่งเวลาได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่ถึงขั้นที่สามารถหยุดเวลาหรือย้อนเวลาได้’
‘เวลา หนึ่งห้วงคิดอาจพ้นผ่านไปร้อยปี กระทั่งพันปีในห้วงคิด…กระทั่งหนึ่งห้วงคิด ก็อาจผ่านพ้นหลายวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด…’
…
จิตใจต้วนหลิงเทียนจมจ่อมอยู่กับพลังอำนาจที่แผ่ซ่านลงมาจากพลังของค่ายกลเหนือฟ้า มุ่งเน้นสัมผัสและทำความเข้าใจความหมายแห่งเวลาที่เอ่อล้นไปทั่วอณูอากาศ ตัดขาดจากสรรพสิ่งอื่นใดอย่างสมบูรณ์
WSSTH ตอนที่ 3,028 : ออกมากันแล้ว!
ถึงแม้การลงมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก่อนหน้าจะก่อให้เกิดเสียงรบกวนมากแค่ไหน แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย
กล่าวอีกอย่าง ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้นอกเหนือจากสำนึกเทวะส่วนหนึ่งที่แผ่ออกไประวังภัยให้สามารถตื่นขึ้นยามมีจิตมุ่งร้ายแล้ว เขาได้ปิดโสตสัมผัสลงอย่างสมบูรณ์ เรียกว่าทุ่มความสนใจไปกับการสัมผัสพลังอำนาจของความลึกซึ้ง ‘ความหมายแห่งเวลา’ อย่างเดียว
ตอนนี้หากนับรวมต้วนหลิงเทียนแล้ว ผู้คนที่กำลังจมสู่ภวังค์สัมผัสความหมายแห่งเวลาบนแท่นศิลาที่ลอยล่องเหนือหุบเขากาลเวลา ก็มีอยู่ 40 กว่าคน เรียกว่าทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งระดับแนวหน้าในบรรดาผู้ที่เข้ามาแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ
สำหรับคนอื่นๆนั้น ยังคงต่อสู้ช่วงชิงอยู่ด้านนอกวังจอมราชันอมตะ เพื่อรอเวลาที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำจะเปิดออกอีกครั้ง จะได้กลับออกไปจากสถานที่ฆ่าฟันแห่งนี้เสียที
และในระหว่างรอคอยเวลา ก็ไม่มีใครผ่อนคลายความระวัง เพราะรู้ตัวดีว่าอาจถูกผู้อื่นเข่นฆ่าเอาได้ทุกเมื่อ ถึงตอนนั้นหนึ่งชีวิตและคะแนนสะสมที่เหน็ดเหนื่อยได้มา ก็กลายเป็นความสำเร็จของผู้อื่นแล้ว
“เฮ่อ…ไม่รู้ว่าน้องต้วนกับน้องเล็กเป็นอย่างไรกันบ้าง”
ณ เชิงภูเขาไฟที่ระอุแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างที่กำลังเหินข้ามธารลาวาเดือดพล่านพึมพำกับตัวเองเบาๆ
เป็นชายหนุ่มรูปงาม ถือหอกยาว 7 ฉื่อในมือ ดูจากสภาพมอมแมมทั้งอิดโรยของมันแล้ว บ่งบอกให้รู้ว่ามันเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียไม่น้อย
หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ ก็สมควรจำคนผู้นี้ได้ทันที เพราะมันไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นหวงเจียหลงนั่นเอง!
อีกฝ่ายยังกล่าวได้ว่าเป็นสหายคนแรกของต้วนหลิงเทียน หลังจากที่เขาเดินทางออกจากพื้นที่ชายแดนมายังภาคกลาง
และมองจากชุดคลุมที่ขาดแหว่งทั้งมีรอยเลือดสดๆ ก็บ่งบอกให้รู้ว่ามันสมควรพึ่งผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมาเป็นแน่ อย่างไรก็ตามมองจากคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ก็บอกให้รู้ว่ามันเป็นฝ่ายได้ชัย!
“ในที่สุดก็เกินสิบแต้มซะที…”
หวงเจียหลงที่หยิบป้ายหยกสะสมคะแนนขึ้นมาตรวจสอบ พอพบว่าในป้ายมีคะแนนสะสมถึง 11 แต้มแล้ว ใบหน้ามอมแมมของมันก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มสดใสออกมา
อย่างไรก็ตามถึงแม้หวงเจียหลงจะสะสมคะแนนได้เกิน 10 แต้มแล้ว กลับไม่ถูกเรียกหาโดยยวังจอมราชันอมตะ
จากจุดนี้จึงเห็นได้ชัดว่า ความเร็วในการสะสมแต้มของหวงเจียหลง มันช้ากว่าที่วังจอมราชันอมตะกำหนดไว้
และในปัจจุบันนอกจากหวงเจียหลง ก็มีคนอีกไม่น้อยที่มีคะแนนเกิน 10 แต้ม แต่ไม่ได้ไปวังจอมราชันอมตะ
เป็นธรรมดาว่าผู้คนที่ไม่ได้ไปวังจอมราชันอมตะ ก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไร และยังคงเข่นฆ่าผู้อื่นไม่หยุดยั้งปานเพลิงโหมกระหน่ำ
พวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้ มีสิ่งที่เรียกว่าวังจอมราชันอมตะดำรงอยู่ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือสถานที่แห่งโอกาสที่มีค่าที่สุด
โอกาสที่ดีที่สุดในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้ ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากโอกาสในการทำความเข้าใจความหมายแห่งเวลา ความลึกซึ้งของกฏแห่งเวลาอันเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ยากจะพานพบ ซึ่งจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ตั้งใจทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลัง!
เป็นธรรมดาว่าผู้ที่มีโอกาส ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งเวลาได้เสมอไป เรียกว่าแค่มีโอกาสเท่านั้น
นอกจากนั้นก็ยังมีคนบางส่วนที่ยังนั่งบ่มเพาะพลังอย่างสงบในห้องหับเล็กๆของวังจอมราชันอมตะไม่กล้าออกไปไหน หลีกหนีไฟสงครามและการเข่นฆ่าได้อย่างสมบูรณ์
ในบรรดากลุ่มคนดังกล่าว 1 ในนั้นก็คือหวงเจียเชา!
เหตุไฉนที่คนเหล่านี้ไม่กล้าออกจากห้องหับเล็กๆ ก็ด้วยสำเหนียกถึงพลังฝีมือของตัวเองดี และที่พวกมันมาถึงที่นี่ได้ ก็ด้วยมีคนให้ความช่วยเหลือในการเก็บคะแนนเสียเป็นส่วนใหญ่
ดุจเดียวกับหวงเจียเชา
เหตุไฉนที่ในป้ายหยกสะสมคะแนนของมันถึงมีคะแนนสะสมเกิน 10 แต้มได้ ล้วนเป็นเพราะความช่วยเหลือจากต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น ไม่ใช่ได้มาด้วยพลังฝีมือของตัวเอง
และภายในวังจอมราชันอมตะ สิ่งนี้ถือว่าเป็นการ โกง!
‘ไม่รู้ว่าตอนนี้น้องต้วนเป็นอย่างไรแล้ว…สมควรออกจากห้องหับเล็กๆนี่ไปแสวงหาโอกาสในวังจอมราชันอมตะแล้วกระมัง…’
หวงเจียเชาลอบกล่าวในใจ ‘อย่างไรเสียด้วยพลังฝีมือของน้องต้วน เรื่องเอาตัวรอดคงไม่ยากเย็นอะไร’
คิดถึงจุดนี้ หวงเจียเชาก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ตอนนี้หวงเจียเชาก็ไม่ได้รู้เลย
ว่าต้วนหลิงเทียนที่เข้าไปช่วงชิงโอกาสในวังงจอมราชันอมตะนั้น กล่าวไปยังได้สิ่งดีๆไปมากกว่าใคร…
…
ณ น่านฟ้าเหนือบริเวณใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน ใกล้ๆกับบริเวณที่ปรากฏประตูทางเข้าออกกแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ
“หย่งเอ๋อ!!”
เสียงร้องโหยหวนหนึ่งดังขึ้น ดึงดูดความสนใจคนบางส่วนเล็กน้อย เพราะหลายๆคนเริ่มชินชากับเสียงร้องโหยหวนด้วยความโศกเศร้าแล้ว
เพราะคนที่เข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น เรียกว่าทยอยกันตายตกเรื่อยๆ ผู้ที่เผชิญกับบความสูญเสียยังมีมากกว่าครึ่งเสียอีก
ที่สำคัญผู้ที่ตายตกไป ก็ล้วนมีฐานะความเป็นมาไม่เลวทั้งสิ้น
หูหลินอี้ ฮ่องเต้ฝูชิวพยามกวาดตามองรายชื่อในตารางจัดอันดับ ตั้งแต่รายชื่อแรกจนถึงรายชื่อสุดท้ายอีกครั้ง ราวกับเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะเห็นชื่อลูกชายของมันบนนั้น
อย่างไรก็ตามมันที่ไล่ดูชื่อจนจบอีกรอบ ก็ไม่พบว่าจะมีชื่อหูจี้หย่งอยู่ที่ใดเลย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายได้ตายตกไปในแดนสววรค์ใต้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จะอย่างไรหูจี้หย่งก็คือบุตรชายที่โดดเด่นที่สุดของมัน การตายของอีกฝ่ายย่อมทำให้มันเศร้าโศกเสียใจไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตามพอได้ยินเสียงอุทานหนึ่ง มันก็ดึงสติกลับมาจากความเศร้าทันที
“อันดับแรก เปลี่ยนคนแล้ว!!”
และทันทีที่เสียงอุทานดังกล่าวดังขึ้น ทุกคนก็หันขวับไปจับจ้องรายชื่อบนสุดของตารางจัดอันดับอย่างพร้อมเพรียง
กระทั่งหูหลินอี้ที่เศร้าโศกกับการตายของบุตรชายอยู่ ก็ยังเผลอหันไปมองโดยไม่รู้ตัว
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!?”
หลังจากที่เห็นว่าอันดับ 1 อย่างมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวถูกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแทนที่ ร่างหูหลินอี้ก็สะท้านไปเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มกวาดตามองอันดับถัดมาทันที
อันดับที่ 2 นั้นแต่เดิมเป็นของต้วนหลิงเทียน
ทว่าตอนนี้อยู่ดีๆหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่รั้งอยู่ในอันดับ 3 มานานกลับกลายไปเป็นที่ 1 ซึ่งแซงอีก 2 คนไปในคราวเดียว ทำให้ต้วนหลิงเทียนแต่เดิมอยู่ในอันดับ 2 ก็ตกไปอยู่อันดับที่ 3 ทันที!
เห็นความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สีหน้าหูหลินอี้ยิ่งกลายเป็นอัปลักษณ์ดูไม่ได้!
ลูกชายประเสริฐของมันพึ่งตกตายไปได้ไม่ทันไร…
มาตอนนี้อันดับของตัวความหวังอย่างต้วนหลิงเทียน ยังตกจากที่ 2 ไปอยู่ที่ 3 อีก! เรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมันโดยแท้!!
“หือ?”
อย่างไรก็ตามในขณะที่ใจหูหลินอี้ดิ่งลง และกำลังจะสายตาออกจากตารางจัดอันดับโดยไม่รู้ตัว มันก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ารายชื่ออันดับที่ 2 กับ 3 บังเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ต้วนหลิงเทียนนั้น ไต่กลับมาอยู่ในอันดับที่ 2 อีกรอบ! ส่วนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ร่วงตกจากที่ 2 มาเป็นที่ 3 แทน!!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
นอกจากยอดเซียนอมตะอย่างมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่เข้าสู่แดนนสวรรค์ใต้โบราณ คนของตระกูลมู่หรงที่มาก็มีผู้อาวุโสอีก 2 คน พอพวกมันเห็นว่าอันดับของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวตกจากที่ 1 ไปอยู่ที่ 3 ในพริบตาเดียว สีหน้าก็บิดเบี้ยวไปทันที คล้ายไม่อยากจะยอมรับผลลัพธ์ดังกล่าว
“3 อันดับแรกไร้ความเปลี่ยนแปลงมานาน…ไม่คิดเลยว่าพอบังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมา จะพลิกผันกลับกลายครั้งใหญ่ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคนนั้นร่วงจากอันดับที่ 1 ไปยังอันดับที่ 3 เฉยเลย!”
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับต้วนหลิงเทียนนั่นมิใช่ผู้ฝึกตนอิสระจากดินแดนพันประเทศหรือไร…ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผู้ฝึกตนอิสระจากดินแดนพันประเทศร้ายกาจขนาดนี้?”
“นั่นสิ ผู้ฝึกตนอิสระสองคนนี้นับว่าผิดปกติยิ่ง…ในอดีตไม่ว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ไม่เคยมีผู้ฝึกตนอิสระทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเท่าพวกมันมาก่อน”
“มิผิด ไม่เคยมีผู้ฝึกตนอิสระคนใดทำผลงานได้ดีขนาดนี้มาก่อนเลย แต่คราวนี้นับว่าผู้ฝึกตนอิสระได้สร้างผลงานที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ขึ้นมาแล้ว!”
……
เนื่องเพราะอยู่ๆมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ร่วงจากอันดับ 1 มาอยู่ที่ 3 ผู้คนที่ลอยเหนือทะเลสาบอวิ๋นเยียนก็เริ่มฮือฮาขึ้นมาไม่น้อย
ราวๆครึ่งเดือนต่อมา
ความว่างเปล่าเหนือบริเวณใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน อยู่ๆก็เริ่มบังเกิดการสั่นสะเทือน จากนั้นก็เริ่มปรากฏประตูบานหนึ่งผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าอย่างอัศจรรย์ เป็นประตูบานเดียวกันกับที่เปิดออกให้ผู้คนเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ!
“ทุกคนกำลังจะกลับออกมาแล้ว!”
“ในที่สุดทางออกแดนสวรรค์ใต้โบราณก็เปิดออกเสียที”
“ดูเหมือนว่าในที่สุดจำนวนคนที่เข้าไปด้านในก็เหลือแค่ 3 ส่วน…นับว่าการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณครานี้ มีผู้คนตายตกไปมากกว่าครั้งก่อนจริงๆ”
…
เมื่อเห็นประตูที่อยู่ๆก็ผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า เหล่าคนของขุมกำลังต่างๆที่ลอยล่องอยู่บนฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน ก็ตระหนักว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณกำลังจะเปิดออกให้ผู้คนด้านในกลับออกมาแล้ว
“แดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกคราวนี้ มิคิดเลยว่าจะมีคนที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการตกตายไปถึง 4 คน…ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เรื่องพรรค์นี้ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ”
“นั่นสิ สุมาฉุน ตงฟางจิ่นหลุน หลี่หยวน อวิ๋นจ้าน…ทั้ง 4 ล้วนเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดระดับแนวหน้าในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา แต่ไม่คิดเลยว่าทั้งหมดกลับต้องเอาชีวิตไปทิ้งในแดนสวรรค์ใต้โบราณ…”
“ข้าไม่ทราบจริงๆว่าใครเป็นคนสังหารพวกมันกันแน่…หลิงเจวี๋ยอวิ๋น? ต้วนหลิงเทียน? มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว หรือที่แท้มีคนกลุ้มรุมสังหารพวกมัน”
“ข้าเองก็เดาไม่ออกจริงๆ…คนที่ได้ 3 อันดับแรกอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียน และมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว นับว่าคะแนนไม่หนีกันเลย ถึงคะแนนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจะน้อยกว่าอันดับที่ 2 อย่างต้วนหลิงเทียน แต่ก็น้อยกว่ากันแค่ 12 แต้มเท่านั้น”
“อีกทั้งอันดับที่ 4 ลงไป คะแนนก็แทบจะไล่เลี่ยกันเลย…ยากจะบอกได้จริงๆว่าเป็นผู้ใดเข่นฆ่าสุมาฉุนกับคนอื่นๆกันแน่”
…
การเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณรอบนี้ การตายที่ทำให้ผู้คนสนใจมากที่สุดก็คือการตายของคนสี่คน สุมาฉุน ตงฟางจิ่นหลุน หลี่หยวน และอวิ๋นจ้าน
ในบรรดา 4 คนที่ว่า
สุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนนั้นเป็นอัจฉริยะของตระกูลระดับ 7 อย่างตระกูลสุมาและตระกูลตงฟาง เรียกว่าเป็นอัจฉริยะในรอบหลายพันปีด้วยซ้ำ
หลี่หยวนเองก็เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ในรอบหลายพันปีของขุมกำลังระดับ 8
สำหรับอวิ๋นจ้านนั้น ค่อนข้างพิเศษหน่อยเพราะมันเป็นถึงผู้อาวุโสคนหนึ่งของขุมกำลังระดับ 8 และที่สำคัญมีอายุเป็นพันปีแล้ว เรียกว่ามันจงใจระงับด่านพลังฝึกปรือเพื่อเข้าไปแสวงหาโอกาสในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำโดยเฉพาะ!
ทั้ง 4 คนไม่ว่าใครก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการทั้งสิ้น พลังฝีมือเรียกว่าร้ายกาจอย่างหาตัวจับยากในบรรดาขอบเขตยอดเซียนอมตะ!
โดยปกติแล้ว ด้วยพลังฝีมือของทั้ง 4 การเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ก็เสมือนการเข้าไปเดินเล่นชมสวน สมควรไร้อันตรายใดๆทั้งสิ้น และเรื่องจะติดอยู่ใน 10 อันดับแรกก็แทบจะเป็นเรื่องที่นอนมา…
ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแต่ทุกคนจะล้มเหลวในการติด 10 อันดับแรก กระทั่งยังเอาชีวิตไปทิ้งในแดนสวรรค์ใต้โบราณอีกด้วย!
“อาจมีคนกลุ้มรุมฆ่าพวกมันจริงๆ…หรือไม่แน่ก็อาจมีโชควาสนาอันใดในแดนสวรรค์ใต้ที่มีอันตรายใหญ่หลวง สุดท้ายไม่เพียงจะพลาดสมบัติ แต่ยังถึงขั้นตกตาย”
“มิผิด ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ 2 ประการดังกล่าว”
…
ในขณะที่ทุกคนกำลังถกกันถึงเรื่องความตายของทั้ง 4 ประตูบานใหญ่ที่ผุดโผล่ออกมาท่ามกลางความว่างเปล่า ก็เริ่มเปิดออก
ขณะเดียวกันยอดฝีมือบางคนก็สัมผัสได้ถึงพลังลี้ลับทรงอำนาจหนึ่ง ที่กำลังส่งตัวผู้คนด้านในออกมา
“เอ๋? ที่นี่มันที่ไหนกัน?”
“ที่นี่มัน…ข้าออกมาแล้วเหรอ มิใช่ว่าเมื่อครู่ข้ายังอยู่ในหุบเขาหิมะรึไง?”
“นี่มันอะไรกัน ข้าออกมาแล้ววเหรอ…แต่ไฉนข้ารู้สึกเสมือนมีอะไรบางอย่างขาดหาย…ราวกับข้าหลงลืมอะไรไป”
“ข้าออกมาที่นี่ได้ยังไงกัน…เท่าที่ข้าจำได้ ข้าไม่เคยหมดสติอะไรเลยนี่นา?”
…
กลุ่มคนที่อยู่ๆก็ถูกส่งตัวออกมา สิ่งแรกที่กระทำคือหันรีหันขวางด้วยสีหน้างุนงง แต่ละคนคล้ายสูญเสียความทรงจำไป และไม่รู้ตัวแม่แต่น้อยว่าไฉนถึงกลับออกมาได้
และกลุ่มคนที่ถูกส่งตัวออกมากลุ่มแรกสุดเหล่านี้ ก็คือผู้ที่อยู่ในวังจอมราชันอมตะนั่นเอง
“เจียเชา?”
ต้วนหลิงเทียนที่หันรีหันขวางด้วยความงุนงงสงสัย ไม่นานก็พบเห็นหวงเจียเชายืนงงอยู่ท่ามกลางฝูงชนเหมือนกัน
WSSTH ตอนที่ 3,029 : ความทรงจำที่หายไป
ต้วนหลิงเทียนที่พบว่าอยู่ๆตัวเองก็มาปรากฏบริเวณหน้าประตูทางเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ก็สับสนไม่น้อย
ความทรงจำสุดท้ายที่เข้าจำได้ก็คือ…เขาได้พบเจอกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นสุมาฉุน จากตระกูลระดับ 7 อย่างตระกูลสุมา และหลังจากที่สังหารมันได้ เขาก็พบว่าคะแนนสะสมของตัวเองเพิ่มขึ้นเป็น 11 แต้ม
และหลังจากนั้น ก็ไม่มีอะไรที่เขาจำได้อีกต่อไป
รู้ตัวอีกที เขาก็ถูกส่งออกมาด้านนอกแบบนี้แล้ว
‘ข้าจำได้ว่าหลังฆ่าสุมาฉุนไป แต้มในป้ายหยกสะสมคะแนนของข้าก็เพิ่มขึ้นเป็น 11 แต้ม…’
ต้วนหลิงเทียนเริ่มตรวจสอบคะแนนสะสมในปายหยกเขาทันที
และการตรวจสอบครั้งนี้ ก็ทำให้เขาอึ้งไปพักหนึ่ง ‘คะแนนพวกนี้…มันมาได้ยังไงกัน!?’
ไม่อึ้งก็คงไม่ได้ เพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพบว่าในป้ายหยกสะสมคะแนนของเขา กลับมีคะแนนสะสมอยู่ถึง 286 แต้ม!
286 แต้ม สิ่งนี้หมายความว่าอะไร?
นี่เผยให้เห็นว่าตัวเขาได้ฆ่าคนจนได้รับคะแนนสะสมมาถึง 285 แต้ม! เพราะตอนเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณ เขาก็มีคะแนนสะสมแค่ 1 แต้มเท่านั้น!!
‘ในคะแนนสะสม 285 แต้มที่ข้าได้มา…ส่วนที่ข้าจำที่มาของมันได้ก็มีแค่ 10 แต้มเท่านั้น…แล้วอีก 275 แต้มมันมาจากไหนกัน?’
ไม่ว่าจะย้อนนึกเท่าไหร่ ต้วนหลิงเทียนก็จดจำไม่ได้เลยว่าแต้มเหล่านี้เขาได้มาอย่างไรกันแน่
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เสียงอุทานหนึ่งก็ดังขึ้นเข้าหูเขาพอดี
“ไฉนคะแนนสะสมของข้าถึงได้เพิ่มขึ้นมากนักเล่า…ข้าจำได้ข้ามีแค่ 12 แต้มเท่านั้นนี่นา”
“นั่นสิ ข้าเองก็จำได้ว่าข้าเก็บคะแนนสะสมได้ 11 แต้ม แต่ตอนนี้ในป้ายหยกสะสมคะแนนข้ากลับมีคะแนนสะสม 23 แต้ม…”
“คะแนนสะสมของข้าเพิ่มขึ้นได้อย่างไรกันแน่นะ…อีกทั้งไฉนข้ารู้สึกเสมือนลืมอะไรบางอย่างไป นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”
“ข้าก็เหมือนกัน”
…
ผู้คนที่อยู่รอบๆต้วนหลิงเทียนเริ่มกล่าวออกมาด้วยความสงสัย หลายคนยังรู้สึกประหลาดใจกับคะแนนสะสมของตัวเองที่เพิ่มขึ้นมา และงุนงงที่ไม่ทราบว่าตัวเองกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้อย่างไร
‘ข้าก็รู้สึกเสมือนความทรงจำของข้าขาดหายไปเช่นกัน…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
ขวับๆ!
ตอนนี้เอง ร่างชายหนุ่มในชุดสีเทาคนหนึ่งที่ลอยค้างกลางหาว ได้พยายามหันรีหันขวางยกใหญ่ ยังแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบรอบๆอย่างร้อนใจ สีหน้าของมันเปลี่ยนไปจนดูแทบไม่ได้
ชายหนุ่มชุดเทาคนนี้ หากต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นย่อมจดจำอีกฝ่ายได้ทันที
เพราะมันไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอัจฉริยะปีศาจจากประเทศตงหมิง ผู้ฝึกตนอิสระ หลิงเจวี๋ยอวิ๋น
“ใครกันที่แผ่สำนึกเทวะออกมาอย่างอุกอาจ…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นรึ?”
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น…ช้าก่อน ใช้คนเดียวกับที่ได้อันดับ 1 ในตารางจัดอันดับตอนนี้หรือไม่!? ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นผู้ฝึกตนอิสระของดินแดนพันประเทศไม่ใช่หรือไร? โอ สวรรค์อายุมันยังไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!!”
“อะไรนะ เจ้านั่นได้อันดับ 1 เรอะ! แถมยังอายุไม่ถึงร้อยปี…หมายความว่าคนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้อายุไม่ถึงร้อยปีงั้นเหรอ!?”
“ถึงแม้ข้าไม่รู้ว่ามันทำได้อย่างไร…แต่การเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้ นับว่ามันเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!”
…
ผู้ที่กำลังสับสนกับเรื่องราว หลังได้ยินคำอุทานก็หันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ่นทันที ทำให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน
อีกทั้งเหล่าผู้ที่ออกมา แม้จะสับสนงุนงง แต่ก็มีไม่น้อยที่เห็นตารางจัดอันดับแล้ว จึงล่วงรู้ว่าผู้ที่ได้อันดับ 1 มีนามว่า หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
อย่างไรก็ตาม ตัวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น ไม่ได้แสสายตาผู้คนมากมายแม้แต่น้อย ยิ่งไม่สนใจคะแนนหรืออันดับอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้มันเหมือนคนหูหนวก ใบหน้ายังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีด กล่าวพึมพำเบาๆกับตัวให้ได้ยินคนเดียว “พี่สาวหงเอ้อไปไหนแล้ว…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”
“หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพี่สาวหวงเอ้อในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ?”
สีหน้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยิ่งมายิ่งเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก
“นอกจากนั้นข้ารู้สึกเสมือนสูญเสียความทรงจำบางส่วนไป…ความทรงจำที่ข้าเสียไปคืออะไรกัน ไฉนข้าถึงนึกไม่ออก!?”
หลังจากนั้นหลิงเจวี่ยอวิ๋นที่ตรวจดูคะแนนสะสมในป้ายหยกของตัวเอง พอพบว่ามีคะแนนสะสมอยู่ถึง 298 แต้ม มันก็อึ้งไปคล้ายตัวโง่งมอยู่บ้าง
“คะแนนสะสมพววกนี้โผล่มาจากไหนกัน? ข้าจำได้ว่าข้ามี 14 แต้มเท่านั้น…ดูเหมือนความทรงจำของข้าจะเริ่มหายไปหลังจากจุดนี้อีกด้วย!”
แววตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยิ่งมายิ่งฉายถึงความร้อนรนเป็นกังวล มันจำไม่ได้จริงๆว่าคะแนนสะสมมาจากไหน และเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่ ที่สำคัญที่สุดก็คือพี่สาวหวงเอ้อของมันหายไปไหนแล้ว!!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆกำลังแตกตื่น เสียงของผู้อาวุโสตระกูจ่างซุนอยย่าง จ่างซุนฉงฉี พลันดังขึ้น
“พววกเจ้าทุกคนอย่าได้แตกตื่น หรือกังวลอันใด”
“ในประวัติศาสตร์แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ มีคนที่ถูกส่งกลับออกมาอย่างพวกเจ้าโดยที่สูญเสียความทรงจำไปทุกครั้ง และทุกคนล้วนเสมือนได้เผชิญหน้ากับโชควาสนาบางประการมา…และโชควาสนาที่ว่าก็คือโชควาสนาที่ประเสริฐที่สุดในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ”
“และไม่ว่าเป็นผู้ใด ไร้ซึ่งข้อยกเว้น ล้วนมิอาจจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เลย…จะอย่างไรก็ตามทุกคนล้วนมีจุดที่คล้ายกันประการหนึ่ง นั่นก็คือคะแนนสะสมในป้ายหยกของตัวเองเพิ่มขึ้น อีกทั้งในแหวนพื้นที่ยังมีสมบัติมากมายที่มิรู้ว่าได้มากจากไหนเก็บอยู่”
“นอกจากนั้นยังมีบางคนที่ตระหนักว่า ตัวเองได้ก้าวถึงหน้าประตูสู่กฏแห่งเวลาแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินวาจาประโยคสุดท้ายของจ่างซุนฉงฉี ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนที่ถูกส่งออกมาจกแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ สองตาก็ลุกวาวฉายแสงจ้าขึ้นมาทันใด
กฎแห่งเวลา?
กฏแห่งเวลานั้นเป็นกฏที่พิสดารและยากหยั่งถึงที่สุดใน 4 สูงสุดท่ามกลางสวรรค์และโลก หากเข้าใจกฏแห่งเวลาได้จริง สำหรับุทกคนแล้วนี่ย่อมเป็นเรื่องอันประเสริฐที่สุด!
“กฎแห่งเวลา?!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของจ่างซุนฉงฉี ทันใดนั้นอยู่ๆความทรงจำบางส่วนก็ปรากฏขึ้นในหัวต้วนหลิงเทียน
และความทรงจำที่ว่า ก็เสมือนการตระหนักถึงอะไรบางอย่างของความหมายแห่งเวลา อันเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งเวลา
เวลานั้น บ้างช้า บ้างเร็ว บ้างหยุดนิ่ง…ฯลฯ
‘หรือว่า…นี่ก็คือกฏแห่งเวลา?’
ใจต้วนหลิงเทียนสะท้านไปทันที
และทันใดนั้น เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ดังขึ้นในหัวเขาอย่างประจวบเหมาะ “เจ้าหนู ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ มีค่ายกลสกัดกั้นความทรงจำจัดตั้งเอาไว้ ทำให้ตัวเจ้าสูญเสียความทรงจำไปส่วนหนึ่ง”
“ให้มันได้ยังงี้สิ…ข้าต้องเหนื่อยเล่าให้เจ้าฟังจริงๆหรือเนี่ย? เอาล่ะๆ เจ้าตั้งใจฟังให้ดีๆล่ะ ข้าจะเล่าแค่รอบเดียวเท่านั้น”
เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินคล้ายรำคาญเล็กน้อยที่ต้องมานั่งเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“เจ้าฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว รบกวนช่วยบอกเสี่ยวเฟิงให้ข้าที ว่าข้าไม่เป็นอะไร…ความทรงจำของเสี่ยวเฟิงเองก็สมควรหายไป และตอนนี้พอพบว่าวิญญาณของข้ามิได้อยู่ในทะเลวิญญาณ ไม่พ้นต้องร้อนใจแย่แล้ว”
ตอนนี้เองเสียงไพเราะทว่าแฝงเร้นไปด้วยความเย็นชาน่าเกรงขามของสตรีนางหนึ่งพลันดังขึ้นในหัวต้วนหลิงเทียน และต้นตอของเสียงสมควรมาจากทะเลวิญญาณภายในดวงจิตของเขา!
“เจ้าเป็นใคร?”
ได้ยินเสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินนั้นไม่เป็นอะไร เพราะเขารู้แต่แรกว่ามีอีกฝ่ายอยู่ในร่าง แต่สำหรับเสียงสตรีที่ไหนก็ไม่รู้อยู่ๆมาดังขึ้นจากด้านในทะเลวิญญาณของเขา ทำให้หน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนสีไปทันที
สตรีนางนี้มาอยู่ในทะเลวิญญาณของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ และทำได้อย่างไร!?
ทะเลวิญญาณนั้นเป็นสถานที่อยู่ของวิญญาณเขา อีกทั้งโดยปกติแล้วทองเทพสุดลี้ลับก็คอยแผ่พลังปกปักษ์ดวงจิตของเขาไม่ใช่หรือไร ไหนเลยจะมีอะไรทะลวงฝ่าเข้าไปถึงทะเลวิญญาณของเขาได้?
ทว่าตอนนี้ อยู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นจากภายในทะเลวิญญาณของเขา สิ่งนี้หมายความว่าชีวิตของเขาตกอยู่ในกำมืออีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะไม่ให้เขาตื่นตระหนกได้อย่างไร?
“เฮ่ๆ เจ้าไม่ต้องชักหน้าเบี้ยวขนาดนั้น เดี๋ยวพอเจ้าฟังข้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดเจ้าก็รู้เองว่านางเป็นใคร…ส่วนเจ้าน้องสาว ไม่ต้องห่วงไป เจ้าหนูนี่หลังได้ยินเรื่องทั้งหมด ต้องช่วยเจ้าเล่ารายละเอียดทั้งหมดกับเจ้าหนูหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแน่นอน”
เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นอีกครั้ง และยังทำให้ต้วนหลิงเทียนคลายกังวลลงได้หลายส่วน
และเสียงสตรีลึกลับที่ดังขึ้นมาจากทะเลวิญญาณของเขาก็เงียบหายไป คล้ายจะเชื่อฟังคำพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินมาก
“เอาล่ะเจ้าหนู ข้าจะเริ่มเล่าตั้งแต่แรกนะ ฟังให้ดีๆล่ะ รอบเดียวไม่มีซ้ำเข้าใจ? ความทรงจำของเจ้าสมควรมีถึงตอนที่ได้พบกับคนที่เรียกว่าสุมาฉุนใช่หรือไม่ และหลังจากเจ้าฆ่ามันตาย เจ้าก็ได้รับแต้มของมันมา จนในป้ายหยกสะสมคะแนนของเจ้ามี 11 แต้ม…”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเริ่มเล่าเรื่องราว “และหากข้าเดาไม่ผิด ความทรงจำของเจ้าสมควรหยุดลงแค่นี้…เพราะว่าหลังจากเจ้าพบว่าตัวเองมีคะแนนสะสม 11 แต้มได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงที่สมควรเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ดังขึ้นจากป้ายหยกสะสมคะแนน หลังจากนั้นก็มีพลังลึกลับหนึ่งผสานเข้ากับสำนึกเทวะเจ้าบางส่วน และชี้นำให้เจ้ามุ่งหน้าไปวังจอมราชันอมตะ…”
“ในระหว่างที่เจ้ากำลังเร่งุรดเดินทางไปวังจอมราชันอมตะ เจ้าก็บังเอิญเจอเจ้าหนูนามว่าหวงเจียเชากลางทาง และมันก็กำลังจะถูกผู้อื่นทุบตีจนตายพอดี เจ้าเลยช่วยมันไว้”
“หลังจากนั้น เจ้าก็กระเตงขวดน้ำมันเช่นมันไปด้วย…”
(ขวดน้ำมัน = ภาระ)
……
หลังจากนิ่งฟังปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเล่าเรื่องราวอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดต้วนหลิเทียนก็รับทราบว่าความทรงจำที่หายไปของเขาคืออะไร ขณะเดียวกันก็รับทราบเหตุผลว่าไฉนเขาถึงได้มีคะแนนสะสมมากมายหลายแต้มนัก
‘ที่แท้หลังจากที่ข้าฆ่าสุมาฉุนไปแล้ว ข้ายังได้ฆ่าตงฟางจิ่นหลุนกับหลี่หยวนอีก…อีกทั้งสองคนหลังนั่นก็เหมือนกับบสุมาฉุน ล้วนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการแล้วทั้งสิ้น’
‘ไม่คิดเลยจริงๆว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ อันเป็นระนาบทวยเทพเดียวกับระนาบทวยเทพบ้านเกิดเค่อเอ๋อในชาติก่อน…แถมหวงเอ้อก็คือจิตวิญญาณกระบี่เทพระดับสูงที่ถือกำเนิดไล่เลี่ยกับจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่สลายไป…สุดท้ายจึงตัดสินใจรับข้าเป็นนายและคิดจะผสานตัวเองเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน กลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่ให้ข้า…’
‘นอกจากนี้ข้ายังได้สัญญากับนาง…ว่าวันหน้าหากข้ามีกำลังมากพอจะช่วยนางฆ่าคนล้างแค้น’
‘และทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่นางคิดให้ข้าฆ่า ต้องเป็นพวกสารเลวสมควรตาย…’
…
หลังได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะได้รับรู้ถึงความทรงจำที่หายไป แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่ามันจะคุ้นเคยแม้แต่น้อย
นั่นเพราะแม้ความทรงจำที่หายไปทั้งหมดจะเป็นเรื่องที่เขาได้ทำไว้ แต่เมื่อมันสูญหายไปโดยสมบูรณ์ ก็เสมือนเขาได้ฟังเรื่องราวของคนอื่นเท่านั้น ทำให้มันรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง ถึงคนอื่นที่ว่าจะเป็นตัวเขาเองก็ตามที
อย่างไรก็ตามถึงเขาจะรู้สึกแปลกๆ และเหมือนฟังวีรกรรมคนอื่น แต่ในเมื่อปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเล่าให้ฟัง เขาจึงไม่คิดสงสัยในข้อเท็จจริงของเรื่องราว และยังพบอีกว่าสมบัติในแหวนพื้นที่ของเขาตอนนี้ มันสอดคล้องกับเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าไว้ไม่ผิดเพี้ยน
ยิ่งไปกว่านั้นหลังได้ฟังเรื่องราวความทรงจำที่หายไปจากปฐพีเทพแรกกำเนิด และลองตรวจสอบสิ่งของในแหวนพื้นที่ดู เขาก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปพักหนึ่ง ด้วยไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าเขาจะเก็บเกี่ยวสมบัติได้มามากมายขนาดนี้ เรียกว่าร่ำรวยไม่รู้เรื่องกันเลยทีเดียว!
‘ที่สำคัญ ข้ายังได้รับตำแหน่งที่ดีที่สุดในการสัมผัสถึงความหมายแห่งเวลา จากค่ายกลที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้เหลือทิ้งไว้เช่นนั้นรึ’
‘เหตุผลที่พี่เจียเชาถูกส่งตัวออกมาด้วย ก็เพราะข้าเป็นคนช่วยเก็บแต้มให้จนได้ไปวังจอมราชันอมตะ…และการกระทำดังกล่าววังจอมราชันอมตะก็ถือว่าเป็นการโกง สุดท้ายบททดสอบแรกที่ข้าเจอก็เลยยากกว่าผู้อื่นเขา’
พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองหวงเจียเชา และพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังเหินร่างเข้ามาหาเขาพอดี
“น้องต้วน ข้าจำได้ว่าท่านเป็นคนช่วยชีวิตข้าเอาไว้…แต่หลังจากที่ท่านช่วยข้าแล้ว ข้ากลับจดจำเรื่องราวหลังจากนั้นไม่ได้เลย ความทรงจำของข้าเหมือนจะหายไปตั้งแต่ที่ท่านเริ่มพูดอะไรบางอย่างกับข้า”
หวงเจียเชาเอ่ยถึงจุดนี้ ก็ถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเหรอหรา “มิทราบว่าน้องต้วนจำได้หรือไม่ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา
ถึงแม้เขาจะรู้แล้วว่าหลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แต่เขาก็ไม่คิดจะบอกหวงเจียเชา
เพราะมีคนรู้เรื่องพวกนี้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น”
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่หน้าเสียจนแทบจะร่ำไห้ไกลๆ อีกฝ่ายดูไม่เหมือนคนที่กำลังมีความสุขเพราะได้อันดับ 1 แม้แต่น้อย ยังเผยความร้อนรนกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด
‘ดูจากสีหน้าปานจะร่ำไห้ของมัน ท่าทางจะพบว่าหวงเอ้อหายไปแล้ว และไม่รู้ว่านางหายไปที่ไหน…แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าเจ้านี่จะเป็นคนของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ แถมยังมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ กระทั่งมีอุปกรณ์เทพติดด้วย’
หลังได้ฟังเรื่องราวที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดเล่า ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบถึงเรื่องราวบบางอย่างของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ทำให้เขาจำต้องมองอีกฝ่ายใหม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น