War sovereign Soaring The Heavens 2994-3015

 ตอนที่ 2,994 : ฝูงอีกาดำเขาทอง


คนของฝูชิวเองตอนนี้ก็ยืนอยู่ในแถวตอนแถวหนึ่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และผู้ที่ยืนนำหน้าแถวก็คือองค์ชาย 4 แห่งประเทศฝูชิว หูจี้หย่ง


“เช่นนั้นข้าขอล่วงหน้าไปก่อน…พวกเจ้าเองก็ระวังตัวให้มาก”


หลังจากที่หูจี้หย่งหลั่งโลหิตใส่ป้ายย่อยที่คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลตระเตรียมไว้ให้แล้ว มันก็หันไปพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก่อนที่จะเหินร่างเข้าสู่วังวนแห่งความมืดอันเป็นประตูสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทันที


เดิมทีหูจี้หย่งก็คิดให้ต้วนหลิงเทียนเป็นผู้นำและเข้าไปคนแรกของประเทศฝูชิว อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจเรื่องลำดับอะไรพวกนี้ ยังเลือกยืนด้านหลังหวงเจียหลงอย่างไม่ได้สนใจอะไร


ผู้ที่ถูกจัดให้เข้าไปเป็นคนที่ 2 ของประเทศฝูชิวก็คือ หวงเจียเชา น้องชายของหวงเจียหลง


“น้องห้าเจ้าระวังตัวให้มาก อยู่ข้างในอย่าได้ผลีผลามบุ่มบ่ามเชียว”


ถึงแม้ว่าหวงเจียหลงจะมีพี่น้องหลายคน แต่คนที่มันสนิทสนมด้วยมากที่สุดก็คือน้องชายคนที่ 5 ที่มีอายุใกล้เคียงกัน ดังนั้นเมื่อเห็นว่าถึงคราที่น้อง 5 ของมันต้องเข้าไปแล้ว สีหน้าของมันก็อดไม่ได้ที่จะขมึงตึงเครียด


“ขอพี่สี่อย่าได้ห่วงข้าเลย รับรองว่าข้าต้องรอดกลับออกมาได้แน่!”


หวงเจียเชาคลี่ยิ้มสดใส


จากนั้นมันก็หันไปพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนเบาๆครั้งหนึ่ง ค่อยเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณพร้อมกับคนอื่นๆอีก 49 คน


หลังหวงเจียหลงเข้าไปแล้ว กลุ่มต่อไปก็มีหวงเจียเชารวมอยู่ด้วย


“น้องต้วนข้าขอล่วงหน้าไปก่อน…แม้พลังฝีมือท่านจักแข็งแกร่งไม่ธรรมดา แต่เขตคฤหาสน์เฉวียนโยวกว้างใหญ่ไพศาล ยังมียอดเซียนอมตะที่มีพลังฝีมือระดับท่านอยู่ไม่น้อย ขอท่านอย่าได้ประมาทพวกมันเชียว”


ก่อนที่จะเข้าไป หวงเจียหลงก็ไม่วายหันมากล่าวเตือนต้วนหลิงเทียน ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนที่มีพลังฝีมือสูงจะเกิดการดูเบาผู้อื่น ประเมินยอดเซียนอมตะที่จะเข้าร่วมครั้งนี้ต่ำเกินไป


“พี่เจียหลง เรื่องนี้ท่านไม่ต้องห่วง”


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ พลางมองส่งหวงเจียหลงเข้าไปในห้วงมืด


คำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคนนั้น เขาย่อมรู้ดีเป็นธรรมชาติ…


ยิ่งไปกว่านั้นโลกทัศน์ของเขา กล่าวไปก็กว้างไกลยิ่งกว่าหวงเจียหลงมาก ถึงแม้หวงเจียหลงจะเป็นชนพื้นเมืองของระนาบเทวโลก ส่วนเขาเป็นแค่ผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาก็ตามที…


นั่นเพราะแม้เขาจะเป็นแค่คนที่พึ่งขึ้นสวรรค์มา อย่างไรก็ตามเขาได้ประสบพบเจอกับตัวตนที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าขอบเขตจักรพรรดิอมตะ หรือตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์มาด้วยตัวเอง!


ดังนั้นวิสัยทัศน์ของเขา จึงสูงล้ำอย่างสุดที่หวงเจียหลงจะจินตนาการได้ออก!!


หลังจากหวงเจียหลงเข้าไปแล้ว คนต่อไปก็คือต้วนหลิงเทียนที่ร่นขึ้นมาเป็นหัวแถว ที่จะเข้าไปพร้อมๆกับหัวแถวคนอื่นๆอีก 49 คน ที่ยืนเรียงเป็นแถวตอนเบื้องหน้าคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลทั้ง 50 คน


จากนั้นคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลที่ยืนอู่ด้านหน้า ก็ยื่นป้ายหยกแผ่นหนึ่งมาให้ต้วนหลิงเทียน


ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าป้ายหยกดังกล่าวสมควรเป็นป้ายหยกย่อย ซึ่งพอหยดเลือดผูกพันธะแล้ว มันก็จะเชื่อมโยงกับป้ายหยกสะสมคะแนนของเขา และคอยสะท้อนความเป็นไปของป้ายหยกสะสมคะแนนของเขาตลอดเวลา


“หลังจากเจ้าหยดเลือดลงงบนป้ายหยกย่อยแล้ว เจ้าลองแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบมันดู เจ้าก็จะพบว่ามันมีความเชื่อมโยงกับป้ายหยกสะสมคะแนนในมือเจ้า อีกทั้งยังมีคะแนนสะสมอยู่ 1 แต้มดุจเดียวกัน”


คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลที่คอยจัดแถวและจัดการเรื่องราวให้ต้วนหลิงเทียน เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งจากนิกายอมตะอวิ๋นไถ ซึ่งสวมใส่ชุดคลุมนักพรตเต๋า สีหน้าท่าทีของมันแลดูเฉยเมยไร้แส เสียงกล่าววาจายังแผ่วเบา


ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็ลองแผ่สำนึกเทววะเข้าไปตรวจสอบป้ายหยกย่อยดูทันที จึงพบว่ามันมีความเชื่อมโยงกับป้ายหยกสะสมคะแนนที่เขาหยดเลือดผูกพันธะไว้แต่แรก และมีคะแนนสะสมอยู่ 1 แต้มเช่นเดียวกัน


“หากไม่มีอะไรผิดพลาด เจ้าก็เข้าไปเถอะ”


ศิษย์นิกายอมตะอวิ๋นไถกล่าว


“อ่า”


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าก่อนจะเหินร่างมุ่งหน้าไปยังห้วงแห่งความมืดกลางประตูบานเขื่องอย่างไม่รีบไม่ร้อน


เมื่อต้วนหลิงเทียนแตะสัมผัสถูกความมืดดังกล่าว เขาก็พบว่ามีพลังดูดรั้งมหาศาลขุมหนึ่งแผ่มากระทำต่อร่างกายเขา หมายฉุดดึงเขาเข้าไปด้านใน


ในกระบวนการนี้ถึงแม้ว่าเขาจะเลือกแข็งขืน แต่ก็คงไร้ความหมาย


หลังจากร่างถูกดูดเข้าไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ารอบกายเขามีแต่ความมืดมิดจนไม่อาจแลเห็นแม้แต่นิ้วมือทั้ง 5 จากนั้นในใจเขาก็บังเกิดความรู้สึกเสมือนโลกมันหมุนติ้วชวนให้ผู้คนวิงเวียนไม่น้อย


ความรู้สึกดังกล่าวยังกินเวลานานกว่าสิบลมหายใจถึงจะหยุดลง


หลังความรู้สึกหมุนติ้วหยุดลงแล้ว สองตาต้วนหลิงเทียนก็หวนกลับมาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง และด้วยความที่เห็นแสงสว่างอีกครั้งหลังอยู่ในความมืดมานานนับสิบลมหายใจ เขาจึงหยีตาลงเพื่อหลบแสงโดยไม่รู้ตัว


“ที่นี่….”


หลังหยีตาหันรีหันขวางพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในป่าทึบแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็พบเห็นแต่ต้นไม้ที่เขาไม่รู้จัก


นอกจากนั้นผืนดินที่เขายืนอยู่ ยังเต็มไปด้วยใบไม้บ้างสดใหม่บ้างก็เริ่มย่อยสลาย นับเป็นผืนดินที่อ่อนนุ่มและอุดมสมบูรณ์มาก


“หืม?”


ทันใดนั้นเอง คล้ายต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง สายตาจึงหันขวับไปมองทางพุ่มไม้ไม่ไกลแห่งหนึ่งเขม็ง


พุ่มไม้ดังกล่าวแม้ไม่ทราบว่าเป็นพันธุ์ไม้อะไร หากแต่มีใบสีเหลืองแก่ และค่อนข้างเติบโตได้อย่างดีจึงแลดูหนาแน่นทั้งมั่นคงราวกับจะยึดติดรวมผสานไปกับผืนดิน


“ฮูววว…”


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองสังเกตพุ่มไม้ดังกล่าวโดยละเอียด เขาก็พบเห็นดวงแสงสีเขียวจางๆ 2 ดวงส่องสว่างลอดแนวพุ่มไม้ออกมา


และในวินาทีเดียวกันกับที่เขามองสบเข้ากับดวงแสงสีเขียวจางๆที่ว่า ร่างสีเหลืองเข้มหนึ่งที่แลดูผสมกลมกลืนไปกับสีสันของพุ่มไม้ ก็กระโจนออกมาว่องไว มันโจนทะยานเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน!


“นี่มัน…สัตว์อมตะรึ?”


มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเห็นว่าที่แอบซ่อนซุ่มมองเขาอยู่นั้น ดูเหมือนจะเป็นสัตว์อมตะที่มีรูปร่างละม้ายคล้ายหมาป่าอยู่ 6-7 ส่วน อีกทั้งเพียงมองไปปราดเดียวเขาก็สามารถระบุได้ทันทีว่ามันเป็นเดียรัจฉานที่ไร้สติปัญญา


“ด่านพลังของมันกลับบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับ…อีกทั้งการกระโจนเข้ามาโดยรวมรั้งพลังสร้างวังวนคมมีดพลังรอบอุ้งเท้านั่น พลังอานุภาพยังไม่ด้อยไปกว่าวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังสายจู่โจมเลย..”


ขณะที่ชมมองร่างเหลืองเข้มโจนทะยานเข่นฆ่าเข้ามาอย่างดุร้าย สำนึกเทวะที่แผ่ออกไปตรวจสอบอีกฝ่าย ก็ล่วงรู้ตื้นลึกหนาบางของเดียรัจฉานไร้สติปัญาตัวนี้ชัดเจน


ขวับ!


เมื่อสัตว์อมตะโจนทะยานมาเจียนบรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียน มือขวาของเขาก็พุ่งออกไปราวสายฟ้าฟาด จากนั้นแสงสีกากีเข้มหนึ่งก็เรืองสว่างขึ้นมาในฝ่ามือ แผ่กลิ่นอายพลังหนักแน่นอันน่ากลัวออกมา


เรียกว่าในขณะที่พุ่งฝ่ามือขวาออกไป ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงโคจรใช้ออกด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดถ่ายเดียว หากแต่ยังรวมผสานพลังจากกฏแห่งดินเข้าไปอย่างน่าดูชม!


“อ๋าวววฮู้ววว”


พริบตาต่อมา เสียงร้องหนึ่งพลันดังขึ้น


พบบว่าบัดนี้ต้วนหลิงเทียน ได้คว้าจับลำคอของเดียรัจฉานไร้สติปัญญาตัวนี้เอาไว้อยู่หมัด! แน่นอนว่าที่คว้าจับลำคอของมันเอาไว้เป็นฝ่ามือพลังมีสภาพอันเขื่องที่ต้วนหลิงเทียนควบรวมสร้างขึ้น!!


ด้วยเพราะเดียรัจฉานตัวนี้วัดจากความสูงยามยืนสี่เท้าบนพื้น ก็คงสูงราวๆ 1 หมี่ 5 ลำคอของมันจึงค่อนข้างใหญ่ทีเดียว อาศัยมือเปล่าของเขาคงจับลำบาก…


(1 หมี่ 5 = 1.5 เมตร )


และเป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดเข่นฆ่าเดียรัจฉานหน้าขนตัวนี้แต่อย่างไร หาไม่แล้วด้วยความสามารถในการจับมันได้อย่างง่ายดายราวอินทรีย์จัลูกเจี๊ยบแบบนี้ คิดจะฆ่ามันก็คงอาศัยแค่พลิกฝ่ามือ


“หืม? นี่มันเป็นสัตว์อมตะจริงๆงั้นเหรอ…ไม่ใช่ร่างควบรวมพลังจากค่ายกลอะไร ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ กลับมีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ด้วย?”


ด้วยสำนึกเทวะที่แผ่ออกไปตรวจสอบ ต้วนหลิงเทียนจึงตระหนักได้ว่าเบื้องหน้าคือสัตว์อมตะที่มีชีวิตจริงๆ ไม่ใช่ร่างมายาหรือร่างควบแน่นพลังก่อลักษณ์อะไรทั้งสิ้น


“นี่น่ะเหรอ…โลกใบเล็กของตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะ?”


“โลกใบเล็กของจอมราชันอมตะ…ถึงกับสามารถปล่อยให้สิ่งมีชีวิตเข้ามาอยู่ดำรงอาศัยอยู่ได้เป็นเวลานาน?”


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเคยครอบครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ หากแต่เรื่องโลกใบเล็กอะไรนี่ เขาไม่รู้เลย


อย่างไรก็ตามหากเป็นโลกใบเล็กของขุนนางอมตะ กับราชาอมตะนั้นเขาพอรู้อยู่บ้าง


และต่อให้เป็นโลกใบเล็กของราชาอมตะชนชั้นยอดฝีมือ อย่างไรก็ตามเมื่อมันเปิดออก ผู้ที่เข้าไปก็ไม่อาจรั้งอยู่ภายในได้นาน สุดท้ายก็ต้องถูกส่งออกไปอยู่ดี


“ไม่สิ…!”


พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวไปมา “บางทีสัตว์อมตะพวกนี้…อาจจะพึ่งถูกจับมาปล่อยไว้ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำรึเปล่า?”


เมื่อมองสำรวจสัตว์อมตะเบื้องหน้าอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าแม้เบื้องหน้าจะเป็นสัตว์อมตะที่ไร้สติปัญญา แต่หลังจากที่มันถูกเขาจับเอาไว้โดยที่ไม่


อาจดิ้นรนขัดขืนอะไรได้เลยสักพัก สองตากลมเขียวของมันก็เริ่มฉายชัดถึงความหวาดกลัว แลดูสลดหดหู่ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด


“จะปล่อยแกไปสักครั้งแล้วกัน…ทีหลังอย่าห้าวโผล่มากัดผู้อื่นมั่วๆอีกล่ะ”


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเบา


และพอกล่าวจบคำ เขาก็สลายฝ่ามือพลังอันเขื่องที่กอบกุมลำคอสัตวว์อมตะดังกล่าว คืนอิสรภาพให้มันอีกครั้ง


สัตว์อมตะที่ถูกปลอยตัว หลังร่วงตุ๊บลงไปบนพื้น มันก็เงยหน้าขึ้นมามองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง ราวกับจะจดจำเขาให้ชัดๆ จากนั้นก็รีบหันหลังกลับ แล้วแจ้นหายไปโดยไม่หันกลับมามองต้วนหลิงเทียนอีกเลย


“โอย…นี่มันบ้าอะไรกัน?”


ด้านต้วนหลิงเทียนหลังปล่อยสัตว์อมตะไปแล้ว เขาก็เหินร่างขึ้นไปในอากาศ ทว่าอยู่ๆพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างเขากลับถูกพลังบางอย่างสลาย ทำให้ร่างเขารวงตุ๊บลงมา ใบไม้ปลิดปลิวฟุ้งไปทั่ว…


“ให้ตายเถอะ…บนฟ้ามีค่ายกลจำกัดเพดานบินด้วยงั้นเหรอ?”


เมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนยังพอตระหนักได้ว่าเขาพึ่งจะเหินร่างลอยขึ้นไปบนฟ้าได้ราวๆ 100 หมี่เท่านั้น จากนั้นก็ถูกพลังสายหนึ่งแผ่พุ่งเข้ามาสลายพลังในร่าง และไม่ว่าจะพยายามโคจรเร่งเร้าพลังออกมาเท่าไหร่ ไม่เว้นจะใช้พลังกฏแห่งดินก็ไม่อาจกระทำได้เลย…


ดูเหมือนเหนือขึ้นไปบนฟ้า ที่ระดับความสูงเกินกว่า 100 หมี่ จะมีพลังไร้สภาพบางอย่างจากค่ายกล ที่ปิดกั้นเอาไว้ไม่ให้เขาเหินร่างขึ้นไปสูงกว่านั้น


“ให้ตายเถอะ…บินขึ้นมาสูงได้แค่นี้ มันแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย”


ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างขึ้นมากลางหาวอีกครั้ง ได้หยุดอยู่ปริ่มๆระดับความสูงร้อยหมี่ แม้สายตาของเขาจะแลเห็นทัศนียภาพได้กว้างไกลกว่าเดิม แต่ในสายตาจะเห็นก็แต่ป่าขจีอันกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุดเท่านั้น


พั่บ!


พั่บ!



ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งแววดังมาแต่ไกล เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากมาย แต่ทว่ายิ่งย่งมา เสียงแผ่วเบาดังกล่าวก็ยิ่งดังกระหึ่มปานน้ำป่าไหลหลากที่สามารถทลายทำนบกัดเซาะตลิ่งได้ในชั่วพริบตา!


“นั่นมัน…”


พอต้วนหลิงเทียนหันไปมองยังแหล่งกำเนิดเสียงกระหึ่มดังกล่าว เขาก็พบจุดสีดำทะมึนจำนวนมหาศาลที่รวมตัวเป็นแพหนาปานเมฆดำ กำลังเคลื่อนที่เข้ามาทางเขาด้วยความเร็วสูง


ครู่ต่อมาจุดดำเล็กๆที่ว่าก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น จนในที่สุดก็มองเห็นว่ามันมีลักษณะคล้ายอีกาดำ ที่มีขนาดตัวใหญ่โตเท่าเหยี่ยวภูเขา


ทั้งบนหัวของอีกาดำเหล่านี้ยังมีเขาสีทองแหลมยาว ตัวเขายังทอแสงเรืองๆเปล่งไอพลังบางประการออกมาเสียงดังฮึงๆ


“พวกนี้…หรือจะเป็นอีกาดำเขาทอง!?”


หน้าต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีไปทันใด เมื่อเห็นฝูงอีกาดำเขาทองนับพันกำลังบินมาทางเขา!


อีกาดำเขาทองแม้จะเป็นสัตว์อมตะไร้สติปัญญา แต่พรสวรรค์ของพวกมันนับว่าสูงมาก ถึงแม้จะไม่ได้พานวาสนาอันใด แต่พวกมันเมื่อโตเต็มที่ก็สามารถทะลวงถึงยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดได้อย่างไร้ปัญหา


“ให้ตายเถอะ…อีกาดำเขาทองฝูงนี้ เหมือนด่านพลังจะบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทุกตัว!”


หลังเห็นถึงความเร็วในการเหินบินของฝูงอีกาดำเขาทองนับพัน ก็ไม่ยากอะไรที่ต้วนหลิงเทียนจะมองถึงด่านพลังฝึกปรือพวกมันได้ออก หนังศีรษะจึงรู้สึกด้านชาขึ้นมาโดยพลัน!


หากเป็นอีกาดำเขาทองไม่กี่สิบตัวคงไม่อาจทำให้เขากังวลอะไร


อย่างไรก็ตาม อีกาดำเขาทองนับร้อย ก็มากพอจะเป็นภัยคุกคามต่อเขา!


และถึงเขาจะสามารถเข่นฆ่าอีกาดำเขาทองนับร้อยได้จริง แต่นั่นก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ด้วยระดับพลังในตอนนี้ สิ่งที่รอคอยเขาอยู่หลังจากนั้น…ก็คือความตายแน่แท้!


เพราะจุดที่น่ากลัวที่สุดของอีกาดำเขาทองไม่ใช่พรสวรรค์ในเรื่องการบ่มเพาะพลังของพวกมัน แต่เป็นความสามารถแต่กำเนิดที่จะสร้างค่ายกลร่วมกับสหายร่วมเผ่าพันธุ์ได้ต่างหาก!


อีกาดำเขาทองไม่กี่สิบตัวหรือไม่กี่ร้อยตัวยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้านับพันนับหมื่นร่วมกันสร้างค่ายกลล่ะก็ นั่นคืออะไรที่น่าขนลุกเป็นอย่างมาก!


ว่ากันว่าแค่ฝูงอีกาดำเขาทองไม่กี่พัน หากพวกมันร่วมกันก่อสร้างค่ายกลเสร็จสิ้นล่ะก็ ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ พวกมันก็เข่นฆ่าได้ไม่ยาก!


“ไม่ได้การแล้ว! อีกาดำเขาทองฝูงนี้…ดูเหมือนพวกมันจะคอยลาดตระเวนบนฟ้าเพื่อมองหาเหยื่อ!”


เมื่อเห็นว่าฝูงอีกาดำเขาทองเริ่มเข้ามาใกล้ ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ถึงจุดนี้ทันที


จากนั้นร่างต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยแสงพลังสีกากี พริบตาคนก็พร่ามัวไปดั่งเงาเลือน พุ่งวูบดิ่งลงจากฟ้าเข้าไปในป่าปานลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร!


จังหวะนี้เขามีแต่ต้องกลับลงมาในป่าเท่านั้น


เพราะเมื่อเข้ามาในป่าทึบอันมีต้นไม้สูงใหญ่ ต่อให้ฝูงอีกาดำเขาทองนับพันจะไล่ตามลงมา แต่พวกมันก็คงยากจะรักษาขบวนค่ายกลของพวกมันเอาไว้ได้


ถึงตอนนั้นเขาก็พอมีหนทางรับมือมันได้อยู่!


“ให้ตายเถอะ ทำไมข้าถึงซวยนักเล่า…พึ่งเข้ามาไม่ทันไรก็เจอฝูงอีกาดำเขาทองชวนสยองเข้าให้!”


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาด้วยความวิตกกังวลทั้งหวาดเสียวจนหนังศีรษะด้านชา เขาก็รู้สึกว่าดวงเขาช่างซวยแท้ๆ!


ตอนที่ 2,995 : อันดับเริ่มปรากฏ


ฝูงอีกาดำเขาทองนับพันนี่ พอเข้ามาในป่าแล้ว ไม่พ้นพวกมันก็ไม่อาจรักษาขบวนค่ายกลได้อีกสืบไป ต้วนหลิงเทียนก็สามารถใช้โอกาสดังกล่าวเพื่อหลบหนีไปได้ไม่ยากเย็น


เนื่อเพราะหากไร้ขบวนค่ายกล ความเร็วของพวกมันก็ไม่อาจเทียบต้วนหลิงเทียนได้


แต่ถ้าพวกมันรักษาขบวนค่ายกลเอาไว้ได้ล่ะก็ ความเร็วของอีกาดำเขาทองนับพันฝูงนี้ ก็จะเทียบได้กับยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ คิดจะไล่ล่าต้วนหลิงเทียนย่อมเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย


และหากอีกาดำเขาทองคิดไล่ล่าติดตามต้วนหลิงเทียนเข้ามาในป่าจริงๆ ถึงแม้แรกเข้ามาในป่าขบวนค่ายกลของพวกมันอาจะพังทลาย แต่ขอเพียงพวกมันปลดปล่อยพลังล้างผลาญทำลายป่า จนมีพื้นที่โล่งมากพอพวกมันก็สามารถตั้งขบวนค่ายกลใหม่ได้ ถึงตอนนั้นพวกมันก็จะตามไล่ล่าสังหารต้วนหลิงเทียนต่อได้ไม่ยากเย็น!


‘ก่อนหน้านี้ตอนพวกมันบินลาดตระเวนความเร็วยังไม่ได้มากมายอะไร กลับกันพอเห็นข้าความเร็วของพวกมันก็เพิ่มสูงขึ้นในฉับพลัน…เห็นได้ชัดว่าพวกมันได้จัดตั้งค่ายเสร็จตั้งแต่ก่อนเจอข้าแล้ว…’


หลังกลับลงมาในป่า ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ลุกโชนไปด้วยไอพลังสีกากี จากนั้นก็เริ่มปรากฏพุทธองค์ร่างทองตัวเขื่องอันมีไอพลังสีม่วงม้วนพันปกคลุมไปทั่วร่างเขา


จากนั้นรอบกายเขายังปรากฏวังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่งสูบกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบมาหนุนเสริมยกระดับพลังของเขาในชั่วพริบตา


เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนได้ใช้ออกทุกสิ่งเท่าที่มีเพื่อเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง!


ปฐมเวทย์กลืนกิน!


ปราณม่วงบูรพา!


ราชันไม่เคลื่อนไหว!


นอกจากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของเขายังโคจรแล่นพล่านผ่านไปทั่วชีพจรสวรรค์ 99 สายเพื่อเตรียมปะทุระเบิดพลังออกมาในชั่วพริบตา!


ฟุ่บบบ!!


และสิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนกระทำหลังเร่งเร้าพลังงเต็มพิกัดก็คือ…วิ่งหนี! คนคล้ายอัสนีสีกากีอมทองเจือม่วง พุ่งวาบตัดป่าไปด้วยความเร็วสูงล้ำ!


อย่างไรก็ตามหลังต้วนหลิงเทียนวิ่งหนีมาด้วยความเร็วสูงสุดอยู่พักหนึ่ง เขาพบว่าด้านหลังกลับไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ จึงอดไม่ได้ที่จะชะงักร่างหยุดลงเพื่อประเมินสถานการณ์ใหม่อีกรอบ ‘นี่มันยังไงกันแน่…พวกมันไม่ได้ตามมางั้นรึ?’


ต้วนหลิงเทียนที่พบว่าเบื้องหลังยังเงียบเชียบไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ก็เริ่มย้อนกลับไปอย่างกล้าหาญ แต่แน่นอนว่าพลังทั่วร่างยังคงถูกเร่งเร้าใช้ออกเต็มพิกัดพร้อมรับทุกสถานการณ์ อย่างไรก็ตามเมื่อย้อนกลับมาได้พักใหญ่กระทั่งมาถึงจุดเดิม เขากลับไม่เห็นนแม้แต่เงาของอีกาดำเขาทองสักตัว


จะว่าไปพอย้อนนึกดู จากสัมผัสของสำนึกเทวะในขณะที่เขาพุ่งร่างดิ่งลงเข้าป่ามา เหมือนว่าจะยังไม่มีอีกาดำเขาทองตัวไหนตามลงมาเช่นกัน


“ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”


ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต้วนหลิงเทียนจึงเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง และพอขึ้นมาลอยร่างเหนือน่านฟ้า เขาก็เริ่มแผ่สำนึกเทวะหนึ่งออกไปตรวจสอบรอบๆอย่างเต็มกำลัง จึงพบว่าเหนือผืนป่า ที่แท้กลับมีบรรยากาศผิดแปลกอันหนาแน่นหนึ่งแผ่ปกคลุมอยู่ทั่ว


‘หรือว่า…เพราะบรรยากาศแปลกประหลาดนี่ ทำให้อีกาดำเขาทองไม่อาจบุกลงมาในป่าได้?’


ต้วนหลิงเทียนลดระดับเพดานบินลงมาให้อยู่ภายใต้ชั้นบรรยากาศแปลกประหลาดที่ปกคลุมเหนือผืนป่า จากนั้นก็เริ่มเหินร่างไปหาฝูงอีกาดำเขาทอง สุดท้ายเขาก็พบว่าฝูงอีกาดำเขาทองนับพันแม้จะสังเกตเห็นเขาแล้ว แต่พวกมันก็เอาแต่จับจ้องมาที่เขาเขม็ง ไม่ได้พุ่งเข้ามาหาเขาแต่อย่างไร


ที่สำคัญคือฝูงอีกาดำเขาทองพวกนี้ ได้อยู่ในสภาวะก่อขบวนค่ายกลตลอดเวลา!


“ไม่ลองก็ไม่รู้…”


ต้วนหลิงเทียนสูดอากาศเข้าลึกๆ เขาคิดยืนยันข้อสันนิษฐานในใจ จากนั้นร่างคนก็พุ่งเหินขึ้นไปเหนือบรรยากาศประหลาดที่ปกคลุมผืนป่าทันที!


แต่แน่นอนว่าเขาโผล่พ้นออกมาไม่ไกล พร้อมจะกลับลงไปทุกเมื่อ!


และในวินาทีที่ร่างเขาโผล่พ้นออกมาจากบรรยากาศประหลาดที่ปกคลุมผืนป่านั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงเล็กแหลมหนึ่งเสียดแทงแก้วหูจนแทบจะปริแตกอยู่รอมร่อ!


พอต้วนหลิงเทียนมองไปยังต้นเสียง เขาก็พบว่าฝูงอีกดำเขาทองนับพันที่แต่เดิมเอาแต่มอจ้องเขาเขม็งไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ เขาสีทองกลางหัวพวกมันได้เรืองสว่างจ้า ยังพุ่งดิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วสูงล้ำ!


ซู่ม!


ซู่ม!



เมื่อเผชิญหน้ากับการพุ่งโฉบเข้ามาของฝูงอีกาดำเขาทองนับพัน กอปรทั้งกลิ่นอายพลังของพวกมันที่กล้าแข็งถึงขีดสุด หนังศีรษะต้วนหลิงเทียนถึงกับชาด้านไปอีกครา คนเร่งดิ่งร่างกลับเข้ามาในบรรยากาศที่ปกคลุมผืนป่าเร็วไว


พอร่างต้วนหลิงเทียนเข้ามาในบรรยากาศที่ปกคลุมผืนป่าแล้ว ฝูงอีกาดำเขาทองนับพันก็พร้อมใจกันหยุดลงอย่างกะทันหัน จากนั้นก็เหินบินขึ้นไปยังน่านฟ้าเพดานบินเดิม และเอาแต่จ้องมองมาที่ต้วนหลิงเทียนเขม็ง


“ใช่จริงๆ…”


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมสามารถยืนยันข้อสันนิษฐานของเขาได้สำเร็จ


ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ฝูงอีกาดำเขาทองเหล่านี้ ไม่อาจล่วงล้ำเขามาในป่าได้!


อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องนี้เขาไมได้แปลกใจอะไรเท่าไหร่


‘หากไม่มีข้อจำกัดดังกล่าวสำหรับฝูงอีกาดำเขาทองนับพันนี่ และปล่อยให้พวกมันบินว่อนไปทั่วแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ เกรงว่าคงไร้ยอดเซียนอมตะคนไหนจะรอดพ้นเงื้อมมือพวกมันได้…’


และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไร


‘อย่างไรก็ตามด้วยการคงอยู่ของอีกาดำเขาทองฝูงนี้ อย่างน้อยๆก็ป้องกันไม่ให้ยอดเซียนอมตะทั้งหลายที่อยู่ในป่ารวมถึงข้า สามารถเหินบินเหนือผืนป่าได้สูงมากนัก…’


‘หากเหินบินพ้นบรรยากาศที่ปกคลุมเหนือผืนป่า ก็ไม่พ้นต้องเจอกับอีกาดำเขาทองทั้งฝูง…กล่าวได้ว่ามีเพียงแค่อยู่ในป่าเท่านั้นถึงจะปลอดภัยจากพวกมัน’


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจเรื่องราวได้ไม่ยาก ว่าต้องเป็นแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้ตั้งเงื่อนไขดังกล่าวขึ้นมา เพื่อกันไม่ให้ผู้คนในป่าเหินบินขึ้นไปบนฟ้า


กล่าวได้ว่าหากไม่อาจเหินบินขึ้นไปเหนือป่าได้สูง ก็ยากที่จะมองประเมินสถานการณ์ในป่า และยากจะป้องกันคนที่ซุ่มโจมตีจากด้านล่าง เช่นนั้นก็มีแต่ต้องเคลื่อนไหวในป่าอย่างระมัดระวังเท่านั้น


‘ก็นะ…แบบนี้ได้แต่เลือกจะมุ่งหน้าไปสักทางอย่างระวังเท่านั้น’


พอคิดได้ดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งตามสัญชาตญาณทันที


ระหว่างทาง ด้วยความเร็วในการเคลื่อนที่ของต้วนหลิงเทียนนั้นสูงมาก แม้เขาจะกระตุ้นสัตว์อมตะในป่าไม่น้อย แต่พวกมันก็มีอันต้องตกใจกับความเร็วของเขา และตัวใดที่คิดจะแหยมกับเขาก็ไม่แม้จะตามเขาได้ทัน…


‘ความเร็วของข้าตอนนี้มันเทียบได้กับขุนนางอมตะระดับต่ำ…ส่วนสัตว์อมตะในป่าเต็มที่ก็แค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น ที่รวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ส่วนมากก็จะเป็นขั้นสวรรค์…’


‘อาศัยสัตว์อมตะขอบเขตยอดเซียนอมตะเหล่านี้ แม้อาจจะเป็นภัยต่อยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั่วไป แต่พวกมันไม่ใช่ภัยคุกคามอะไรสำหรับข้าเลย’


หากยังเป็นต้วนหลิงเทียนตอนที่ยังไม่เข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งดิน และเข้าไม่ถึงพลังกฏแห่งดิน การเดินทางของเขาคงไม่อาจราบรื่นได้เหมือนที่เห็น


เพียงเพราะเขาเข้าถึงพลังของกฏแห่งดินแล้ว ทำให้เขาสามารถท่องไปทั่วป่าได้ตามอำเภอใจ ราวกับเป็นแดนร้างที่ไร้ผู้ใดอาศัยอยู่


วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


ไม่ทันไร ห้วงเวลาสิบวันก็ผ่านพ้นไปดุจชั่วพริบตา


บริเวณน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบบอวิ๋นเยียน


ประตูเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น ตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนกับเหล่ายอดเซียนอมตะทั้ง 12,000 คนเข้าไปแล้ว มันก็ได้ปิดตัวลงอีกครั้ง


และหลังจากที่ประตูดังกล่าวปิดตัวลง ก็ปรากฏม่านแสงหนึ่งอุบัติขึ้นกลางความว่างเปล่า ม่านแสงที่ว่ายังปรากฏขึ้นเบื้องหน้าประตูที่พึ่งปิดตัวลงไป


ม่านแสงที่ว่านั้นมองไปคล้ายกระดานมหึมาแผ่นหนึ่ง ยังเข้มเสียจนเสมือนเป็นกระดาษสีขาวไร้สิ่งใดขีดเขียน ห้อยแขวนไว้กลางอากาศ


เดิมทีทุกคนก็ให้ความสนใจกับม่านแสงที่มองไปไม่ต่างอะไรกับกระดาษขาวว่างเปล่านี้อยู่บ้าง


อย่างไรก็ตามพอวันเวลาผ่านพ้นไปสิบวัน แต่ม่านแสงดั่งกระดาษขาวว่างเปล่ากลับไร้สิ่งใดเปลี่ยนแปลง ในที่สุดคนก็หมดความสนใจในตัวมัน


จนเมื่อ…


“พวกเจ้าดูเร็ว มีชื่อใครบางคนปรากฏขึ้นแล้ว!!”


ไม่ทราบว่าเป็นเสียงของผู้ใดที่ดังขึ้น อย่างไรก็ตามมันทำให้คนที่หมดความสนใจในม่านแสง จำต้องหันกลับไปมองม่านแสงใหม่อีกครั้ง


จึงพบว่าบริเวณส่วนบนสุดของม่านแสงที่ดั่งกระดาษขาวห้อยแขวนเอาไว้นั้น เริ่มมีรายชื่อหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้น!


อู๋เสียวอวี่!


2 แต้ม!


“อู๋เสียวอวี่รึ?”


“อู๋เสียวอวี่เป็นใครกัน?”


“สามารถติดอันดับเป็นคนแรกในบรรดาคนที่เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณครานี้…หมายความว่ามันเป็นคนแรกที่ได้เข่นฆ่าคนที่เข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้อีกด้วย!”


“มิผิด ไม่รู้ก็แต่ว่าคนที่มันฆ่าตายไปเป็นผู้ใดกันแน่!”


“ตราบใดคนที่นำพามันมามีลูกแก้ววิญญาณของมันพกติดตัวเอาไว้ เมื่อลูกแก้ววิญญาณแตก ก็ย่อมทราบได้ทันทีว่าอู๋เสียวอวี่ฆ่าใครไปไม่ใช่รึ?”


“สหายท่านนั้น ท่านเข้าใจผิดแล้ว…ว่ากันว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณนั้น ผู้ที่สร้างมันขึ้นมาในอดีตได้คำนึงถึงจุดนี้เอาไว้แต่แรก อีกทั้งผู้สร้างที่ว่าท่านยังเป็น


จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่เข้าใจกฏแห่งเวลา ทำให้ยามที่ท่านได้สร้างแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางและระดับต่ำนั้น ท่านได้จัดตั้งค่ายกลที่ผสานพลังงของงกฏแห่งเวลาเอาไว้เช่นกัน…”


“ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ตกตายอยู่ด้านใน แต่ด้วยพลังของกฏแห่งเวลาที่แฝงไว้อยยู่ในค่ายกล จะทำให้เวลาที่แตกออกของลูกแก้ววิญญาณนั้นล่าช้าออกไป จะล่าช้าไปเท่าใดก็ไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว”


“หากตอนนี้มีคนที่ 2 ที่ถูกฆ่าตายไป…ต่อให้ภายนอกมีลูกแก้ววิญญาณแตกสลายลงพร้อมกัน ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้ที่เข่นฆ่าคนที่ตาย ก็คือผู้ที่พึ่งได้คะแนนเพิ่มขึ้นอีก 1 แต้ม”


“กล่าวได้ว่าต่อให้เป็นยอดเซียนอมตะที่มีภูมิหลังความเป็นมายิ่งใหญ่เพียงใด กระทั่งให้มาจากขุมกำลังระดับ 7 แต่ถ้าตกตายไปภายในนั้น ก็ยากที่ขุมกำลังระดับ 7 นั่นจะตามล้างแค้นให้มันได้น่ะสิ?”


“มิผิด เนื่องเพราะท่านจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ผู้นั้นคำนึงถึงจุดนี้ไว้แต่แรก ท่านจึงได้จัดตั้งค่ายกลที่แฝงไว้ด้วยพลังของกฏแห่งเวลาเอาไว้อย่างงไรเล่า…”



บริเวณน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน เมื่อม่านแสงต่างกระดานนั้นปรากฏรายชื่อผู้ที่มีคะแนนสะสม 2 แต้มออกมาเป็นคนแรก บรรยากาศแต่เดิมที่เคยเงียบสงบก็กลับกลายเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที


“ฮ่าๆๆๆ…เสียวอวี่น้อย เจ้าทำได้ดีมาก!!”


ชาชราคนหนึ่งหลังได้เห็นรายชื่อดังกล่าวปรากฏบนม่านแสง มันก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความถูกใจ


“อั้ยหยา ขอแสดงความยินดีด้วยพี่อู๋ หลานเสียวอวี่ของท่านร้ายกาจจริงๆ!”


ข้างๆชายชราที่หัวเราะร่า ชายวัยกลางคนกับชายชราอีกคน ได้หันมากล่าวแสดงความยินดีด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม อย่างไรก็ตามลึกลงไปในแววตาของพวกมันกลับฉายชัดถึงความอิจฉาให้เห็น


ชายชราข้างๆก็เป็นเหมือนพวกมัน ล้วนมาจากขุมกำลังระดับ 8


ตอนนี้รายชื่อที่ปรากฏบนม่านแสงต่างตารางจัดอันดับ ก็คือหลานชายของอีกฝ่าย!


ส่วนทั้ง 2 คนที่แสดงความยินดีกับชายชรานั้นก็เป็นตระกูลระดับ 8 ที่นำพายอดเซียนยอมตะในตระกูลของตัวเองมาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเช่นกัน


“มิได้ มิได้…อาจเป็นแค่ผู้ที่บังเอิญมีชื่อเหมือนหลานชายข้าก็เป็นได้!”


ชายชรากล่าวออกอย่างถ่อมตัว แต่สีหน้าแววตามันนั้นไม่คล้ายคิดอย่างนั้น เพราะสุดท้ายแล้วแม้ครั้งนี้จะมีผู้เข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเกินหมื่นคน…


แต่ชื่อของหลานชายมันนั้น ไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่


“อีกชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นแล้ว!!”


หลังจากผ่านไปราวๆ 1 ชั่วยามที่ชื่อแรกปรากฏขึ้น อีกชื่อหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนม่านแสงต่างตารางจัดอันดับ


หลิงเจวี๋ยอวิ๋น


2 แต้ม!


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นรึ? ใช่อัจฉริยะปีศาจของประเทศตงหมิงที่กำลังเป็นที่ฮือฮาหรือไม่?”


หลังเห็นว่ารายชื่อที่สองที่ปรากฏขึ้นเป็นใคร หูหลินอี้ ฮ่องเต้ของประเทศฝูชิวที่ลอยร่างอยู่ท่ามกลางฝูงชน ก็หยีตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มกวาดตามองไปทั่วๆ จากนั้นสายตาก็ไปหยุดลงที่ร่างชายวัยกลางคนรูปร่างปานกลางผู้หนึ่ง


ชายวางกลางคนรูปร่างแลดูสมส่วนคนนี้ ลักษณะท่าทางภูมิฐาน ทั่วร่างได้เปล่งกลิ่นอายน่าเกรงขามไร้สภาพออกมาประการหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นผู้ที่ดำรงอู่ในฐานะสูงส่งมาเนิ่นนาน


และหูหลินอี้ยังสังเกตเห็นได้ชัดถนัดตา ว่าทันทีที่ชื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ปรากฏขึ้นบนตารางจัดอันดับ รอยยิ้มสดใสก็เริ่มคลี่กางขึ้นบนใบหน้าชายผู้นั้น


“ดูเหมือนจะเป็นมันจริงๆ…”


คนที่หูหลินอี้มองดูอยู่ ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือฮ่องเต้ของประเทศตงหมิง และมันยังเป็นผู้ที่นำพาคนของประเทศตงหมิงมาด้วยตัวเอง


ยามที่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออก ผู้คนของขุมกำลังระดับ 8 ที่จะนำพาคนของตัวเองมาเข้าร่วม ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นตัวตนที่มีฐานะสูงสุดของขุมกำลัง!


และผู้ที่มาจากขุมกำลังประเภทประเทศอมตะระดับ 8 ล้วนแล้วแต่เป็นฮ่องเต้ประเทศนั้นๆ


“เพ่ย! เจ้านั่นมันได้คะแนนเพิ่มอีกแต้มแล้ว!!”


หูหลินอี้ยังไม่ทันฟื้นสติดี เสียงอุทานหนึ่งพลันแว่วดังเข้าหูมันอีกครั้ง ขณะเดียวกันมันก็เผลอมองไปยังตารางจัดอันดับโดยไม่รู้ตัว จึงพบว่าหลิงเจวี๋นอวิ๋นที่เดิมอยู่ในอันดับ 2 บัดนี้ได้แซงหน้าขึ้นไปอยู่ในอันดับ 1 แล้ว!


ด้านหลังชื่อของมัน ยังปรากฏตัวเลขบอกคะแนนสะสม 3 แต้มเด่นหรา


“ในช่วงเวลาสั้นๆ…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้นถึงกับเข่นฆ่าไป 2 คนติดๆเลยหรือ?”


หูหลินอี้ย่อมคาดเดาเรื่องนี้ออกได้ไม่ยาก


ตอนที่ 2,996 : บางคนสุข บางคนทุกข์


ในช่วงเวลาแค่สั้นๆ กลับได้รับมา 2 คะแนนติดๆกัน


ย่อมมีความเป็นไปได้เพียงประการเดียว


นั่นคือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้เข่นฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด 2 คนในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน จึงได้รับคะแนนของแต่ละคนมาครอง!


“สังหารยอดฝีมือ 2 คนติดๆ…พลังฝีมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ไม่ใช่ชั่วเลยจริงๆ”


“มิผิด จะอย่างไรเสียยอดเซียนอมตะที่เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครานี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดฝีมือของในแต่ละขุมกำลัง…การที่มันสามารถเข่นฆ่ายอดฝีมือดังกล่าวได้ถึง 2 คนในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ว่าจะด้วยพลังฝีมือก็ดีหรือโชคก็ดี ล้วนบ่งบอกว่ามันไม่ธรรมดาจริงๆ”


“ข้าไม่ทราบว่าขุมกำลังต้นสังกัดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้เป็นขุมกำลังใด”


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคนนี้ข้าเคยได้ยินข่าวลือเรื่องมันมาอยู่บ้าง เห็นว่ามันเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นในการประลองสวรรค์ใต้ของประเทศตงหมิง อีกทั้งพลังฝีมือของมันนั้น…แม้ด่านพลังจะรั้งอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ แต่กระทั่งให้ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอีก 8 คนที่เหลือของประเทศตงหมิงผนึกกำลังกัน ยังมิอาจสู้มันได้!”


“มันกลับร้ายกากจถึงเพียงนั้นทั้งๆที่มันยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสรรค์งั้นเหรอ? หรือที่แท้มันจะเข้าใจพลังแห่งกฏแล้ว?!”


“มิผิด…ที่สำคัญกฏที่มันเข้าใจยังมิใช่กฏทั่วๆไป แต่เป็นถึง 1 ใน 4 กฏสูงสุด…กฏแห่งความตาย!!”


“อะไร!? กฏแห่งความตายงั้นเรอะ?!”



หลังจากที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นแซงขึ้นไปเป็นอันดับ 1 ในเวลาอันสั้น ทำให้หลายๆคนเริ่มกล่าวขานถึงทันที ไม่นานเหล่าผู้ที่ล่วงรู้ก็เริ่มเล่าสิ่งที่มันรู้ออกมาให้ทุกคนรับฟัง


หลังจากที่ความเป็นมาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นปรากฏ ทั้งเรื่องกฏที่อีกฝ่ายเข้าใจได้กลับเป็นถึง กฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุด ก็ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นมาท่ามกลางฝูงชนทันที!


และเป็นธรรมดาว่า มีหลายคนที่เร่งรุดเข้าไปแสดงความยินดีกับฮ่องเต้ประเทศตงหมิงเร็วไว


“ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง สามารถสยบปราบยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของประเทศระดับ 8 ที่ร่วมมือกันได้แม้จะรั้งอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์?”


“กฏแห่งความตาย?”


5 ผู้นำของ 3 นิกาย 2 ตระกูล อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสนใจในตัวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นขึ้นมา เมื่อพวกมันได้ยินเรื่องราวความเป็นมาและความสำเร็จของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


“ไม่คิดเลยว่าคนที่สองที่ปรากฏตัวในตารางจัดอันดับ ที่แท้จะเป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นถึงเพียงนี้…”


จ่างซุนฉงฉี อาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลจ่างซุนที่นำพาคนของตระกูลจ่างซุนมาในครั้งนี้ อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาพลางทอดถอนใจ


หากทว่ามันพึ่งจะถอนหายใจไปได้ไม่ทัน อีกเสียงหนึ่งพลันแว่วดังเข้าหูมันว่า “ว่ากันว่าหลิงเจวี๋ยยอวิ๋นผู้นั้น ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ!”


“อะไรนะ!? มันยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นนั้นรึ?!”


พอได้ยินวาจาดังกล่าว กระทั่งปี้ไห่หมิงเฟิง ประมุขลำดับที่ 3 ของนิกายอมตะเหอฮวน ยังอดไม่ได้ที่จะถูกกระตุ้นความสนใจ “แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครานี้…กลับมีอัจฉริยะเช่นนั้นปรากฏตัวขึ้นจริงๆ?”


เข้าใจกฏแห่งความตาย!


อาศัยด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ แต่กลับสยบปราบยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้ง 8 ของประเทศตงหมิงได้…


แม้ว่าความสำเร็จดังกล่าวจะถือว่าไม่ธรรมดาอยู่บ้าง แต่ในบรรดาเหล่าอัจฉริยะของคฤหาสน์เฉวียนโยวหลายต่อหลายคนก็ล้วนกระทำเช่นนี้ได้ไม่ยากเย็น


อย่างไรก็ตามหากมีอีกถ้อยคำแปะตามหลังผู้ที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้อย่างคำว่า ‘อายุไม่ถึงร้อยปี’ เรื่องราวก็แปรเปลี่ยนกลับกลายครั้งยิ่งใหญ่แล้ว!


“ข้าต้องการชายหนุ่มผู้นี้ ส่วนคนอื่นๆข้าไม่คิดจะแข่งกับพวกท่าน”


ปี้ไห่หมิงเฟิงถึงกับกวาดตามองไปยังจ่างซุนฉงฉีและคนอื่นๆอีก 3 คนพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง


อย่างไรก็ตาม ได้ยินวาจาดังกล่าวของปี้ไห่หมิงเฟิง ทั้ง 4 พลันส่ายหัวไปมาทันทีโดยที่ไม่เสียเวลาคิดแม้แต่นิดเดียว


“ขอท่านประมุขปี้ไห่โปรดอภัยให้ข้าด้วยที่ข้าไม่อาจตกลงกับท่านเรื่องนี้ได้…ไม่ต้องกล่าวถึงว่าข้าตกลงกับท่านในเรื่องนี้แล้วคงยากที่ข้าจะไปอธิบายให้ท่านประมุขเข้าใจได้ แต่ดูเหมือนกฏที่คฤหาสน์เฉวียนโยวกำหนดไว้ เรื่องตกลงกกันไว้ก่อนเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้รับอนุญาตไม่ใช่หรือ?”


ชายชราในชุดนักพรตผู้ที่นำกลุ่มคนของนิกายอมตะเป้าผู่ ‘จางกวงเจิ้ง’ กล่าวบอกปัดอย่างตรงไปตรงมา พลางชี้แจงเหตุผลออกมาเป็นคนแรก


“ท่านประมุขปี้ไห่ ขออภัยด้วยแต่อาตมาเองก็ไม่อาจเห็นด้วยกับท่านในเรื่องนี้…”


หลวงจีนชราในชุดจีวรสีทองของนิกายอมตะอวิ๋นไถ ‘เหิงฉาน’ เอง ก็กล่าวปฏิเสธออกมาตามติด


นิกายอมตะอวิ๋นไถนั้น ผู้ที่ดำรงตำแหน่งประมุขก็คือผู้ที่มีฐานะสูงส่งที่สุด


รองจากประมุขแล้ว นอกจากผู้พิทักษ์ 2 คน ตัวตนที่มีสถานะสูงสุดก็คือ ผู้นำโถงอรหันต์ของนิกายอมตะอวิ๋นไถ


ผู้นำโถงอรหันต์ของนิกายอมตะอวิ๋นไถ ยังเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจาก 3 คนที่ว่า…


เช่นนั้นจึงกล่าวได้ว่าในนิกายอมตะอวิ๋นไถแล้ว นอกจากประมุขกับผู้พิทักษ์อีก 2 คน ‘เหิงฉาน’ ผู้นี้ก็มีพลังฝีมือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใดเลย


“ประมุขปี้ไห่ ขอท่านอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจในเรื่องนี้เลย…”


ผู้เฒ่ากงหยางอวี่ของตระกูลกงหยาง กล่าวด้วยรอยยิ้มเหยเก เทียบกับเหิงฉางและจางกวงเจิ้งแล้ว มันแลดูลำบากใจไม่น้อย คล้ายกับขาดความมั่นใจในตัวเอง


“ประมุขปี้ไห่ ข้าว่ารอให้เจ้าหนูนั่นมันรอดกลับออกมาก่อน แล้วให้มันเลือกตามใจของมันเถิด…”


จ่างซุนฉงฉี อาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลจ่างซุนกล่าวปิดท้าย แม้น้ำเสียงจะฟังดูสงบราบเรียบ แต่ถ้อยคำที่ใช้กลับแฝงความนัยเป็นการปฏิเสธปี้ไห่หมิงเฟิงโดยอ้อมอย่างรักษาน้ำใจ


ได้ยินคำตอบของทั้ง 4 ลูกตาของปี้ไห่หมิงเฟิงหยีลงเล็กน้อย ยังฉายแววแหลมคมออกมาวาบหนึ่ง หากแต่มันก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมาสืบต่อ


อาศัยพลังฝีมือของมันตอนนี้ ต่อให้ทั้ง 4 คนเบื้องหน้าจะผนึกกำลังร่วมมือกัน มันก็สามารถเข่นฆ่าได้ไม่ยากเย็น


แต่ปัญหาก็คือเบื้องหลังของทั้ง 4 ยังมีขุมกำลังระดับ 7 ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านิกายอมตะเหอฮวนของมันหนุนหลังอยู่ แน่นอนว่าทั้งหมดล้วนมีความเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์เฉวียนโยวด้วยกันทั้งสิ้น!


เป็นเรื่องง่ายหากคิดเข่นฆ่าทั้ง 4 แต่ปัญหาก็คือ ไม่ง่ายเลยที่มันมจะจัดการเรื่องราวหลังจากนั้น


ขุมกำลังของทั้ง 4 อย่างไรก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรง ต่อให้มันจะดำรงตำแหน่ง 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว แต่ผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ไม่มีทางปล่อยให้มันตั้งตัวเป็นศัตรูกับขุมกำลังทั้ง 4 แน่นอน…


“มีปรากฏขึ้นอีกชื่อแล้ว!”


“ชื่อที่ 4 ก็มา!”


“นั่น ไม่ทันไรชื่อที่ 5 ก็มาเช่นกัน!!”


……


หลังจากที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ 2 คะแนนติดๆ และแซงขึ้นไปรั้งอันดับ 1 ได้ไม่นาน ก็เริ่มมีรายชื่อทยอยกันปรากฏขึ้นบนม่านแสงที่เป็นดั่งตารางจัดอันดับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


อย่างไรก็ตามมองจากรายชื่อผู้ที่ติดอันดับ และรับทราบตัวคนของพวกมันแล้ว คนเหล่านี้อย่างดีก็เป็นยอดฝีมือในบรรดาตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะทั่วๆไป


พลังฝีมือของพวกมัน ยังนับว่าห่างไกลเกินกว่าจะเทียบกับหลิงเจวี๋ยอิ๋นได้


และแค่พริบตาเดียว วันเวลาก็ได้ล่วงเลยไปอีก 10 วัน


และบัดนี้ในตารางจัดอันดับก็มีรายชื่อเรียงกันนับพันกว่าชื่อ ที่สำคัญอันดับที่ 1 ก็ไม่ได้เป็นของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกต่อไป เพราะหลิงเจวี่ยอวิ๋นถูกบีบให้ตกไปอยู่ในอันดับที่ 2 แทน


ส่วนผู้ที่รั้งอันดับ 1 คนปัจจุบันของอันดับรายชื่อเรียกว่า ‘เหยาเวย’ และมันก็เป็นคนของขุมกำลังระดับ 7 คนหนึ่ง วัตถุประสงค์ในการเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำของมันหาใช่เพื่อเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ขุมกำลังไม่ แต่หมายใช้ 3 นิกาย 2 ตระกูลเป็นดั่งแท่นกระโดดเพื่อเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยว!


“เหยาเวยผู้นี้ถึงกับมี 8 แต้มแล้ว…มันเป็นผู้ใดกันแน่ ยังร้ายกาจกว่าปีศาจเยี่ยงหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้นอีกรึ?”


“สหายนี่ท่านไม่รู้จักเหยาเวยหรอกรึ? เหยาเวยผู้นี้มาจากตระกูลที่เป็นขุมกำลังระดับ 7 ตระกูลหนึ่งเรียกว่าตระกูล เหยา ยังลือกันหนาหูว่ามันคืออัจฉริยะในรอบหมื่นปีของตระกูลเหยา…อายุไม่ถึง 200 มันก็บรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแล้ว แถมยังเข้าถึงพลังแห่งกฏโดยการเข้าใจความหมายเบื้องต้นของกฏแล้วด้วย!”


“ฟังจากที่สหายท่านนี้กล่าวมา…หมายความว่าพลังฝีมือของเหยาเวยผู้นี้ ก็มินับว่ายิ่งหย่อนไปกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้นน่ะสิ?”


“ไม่! ข้าเชื่อว่าหากต้องประมือกันจริงๆ หลิงเจวี๋ยอวิ่นผู้นั้นสมควรมีภาษีดีกว่า…ท่านอย่าได้ลืมไปว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้นได้เข้าใจกฏแห่งความตายอันเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดแห่งสรรค์และโลก ส่วนเหยาเวยผู้นั้นเห็นว่ากฏที่มันเข้าใจเป็นเพียงกฏแห่งน้ำเท่านั้น ”


“แทบทุกครั้งที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออก มีขุมกำลังระดับ 7 ไม่น้อยที่มาเข้าร่วมสนุก…พวกมันคิดจะสร้างชื่อเสียงเพื่อเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวโดยคิดใช้ 3 นิกาย 2 ตระกูลต่างหินรองเท้า แต่จะมีสักกี่คนเชียวที่ประสบความสำเร็จ?”


“จริง…มีขุมกำลังระดับ 7 กี่ขุมกำลังแล้วที่หวังให้ลูกหลานทั้งทายาทอันใดสร้างผลงานเลิศล้ำในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำให้เป็นที่ประจักษ์ แต่สุดท้ายพวกมันก็เป็นอันต้องผิดหวัง ไม่เพียงยอดฝีมือในขุมกำลังจะล้มเหลวใน


บททดสอบผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว แต่อัจฉริยะในตระกูลก็ล้มเหลวในการเข้าร่วมกับคฤหาสนน์เฉวียนโยว”


“เฮ่อ ข้าล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าไฉน 3 นิกาย 2 ตระกูลต้องยอมรับคนพวกนี้เข้าร่วมด้วยทั้งๆที่รู้ว่าพวกมันล้วนแล้วแต่คิดจับหมาป่ามือเปล่า หมายใช้ขุมกำลังตัวเองต่างหินรองเท้าทั้งสิ้น…”


“เหอะๆ…พี่ชายท่านนั้น ไหนเลย 3 นิกาย 2 ตระกูลจะเต็มใจยอมรับพวกมันเล่า? หากแต่นี่เป็นคำสั่งของคฤหาสน์เฉวียนโยวต่างหาก พวกมันก็ได้แต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด!”



หลังวันเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปแล้ว 20 กว่าวัน ในตารางจัดอันดับก็มีรายชื่อผู้คนนับพันๆติดโผอยู่ อันดับที่ 1 นั้นมีคะแนนสะสมอยู่ 8 แต้ม ส่วนใหญ่ในพันรายชื่อที่เหลือ ล้วนแล้วแต่มีคะแนนสะสมแค่ 2 แต้มเท่านั้น


สำหรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็ยังคงรั้งอยู่ในอันดับ 2 ด้วยคะแนนสะสม 7 แต้ม


“ฉีเอ๋อ!!”


ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงโศกเศร้าปานใจจะขาดรอนๆหนึ่งพลันดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้หันไปชมมองต้นเสียงทันที


จากนั้นทุกคนจึงพบว่าเป็นชายชราผู้หนึ่ง ในมือที่สั่นเทาถือไว้ด้วยกองเศษซากลูกแก้ววิญญาณกองหนึ่ง ร่างชรายังงสั่นระริก สองตาเริ่มแดงรื้นไปด้วยน้ำตา…


“นั่นมัน…ฮ่องเต้ของประเทศอวิ๋นเซียน ราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด หยางจี้ มิใช่หรือ…ดูจากสภาพมันตอนนี้ หรือหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของมันที่เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ด้วยจะตกตายไปแล้ว?”


“สมควรเป็นเช่นนั้น…เพราะเมื่อครู่มันร่ำร้องเรียกหาออกมาว่า ‘ฉีเอ๋อ’ และถ้าข้าจำไม่ผิดหลานหัวแก้วหัวแหวนของมันก็เรียกว่า หยางฉี”


“หยางฉีผู้นั้น มองไปในบรรดายอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดก็นับว่าไม่ใช่ชนชั้นต่ำทรามอันใด ในเมื่อมันด่วนตายตกไปรวดเร็วเพียงนี้ น่ากลัวจะไปปะทะเข้ากับตัวที่ทรงพลังกว่ามันเข้าให้…”


“และตัวตนที่ทรงพลังกว่ามันผู้นั้น ยังร้ายกาจถึงขั้นทำให้มันไม่อาจหลีกหนีได้พ้น…เพราะถ้าพลังฝีมือพอๆกัน อย่างน้อยๆ มันก็ยังสามารถจะหลบหนีได้ กระทั่งหากอีกฝ่ายด้อยกว่าในเรื่องความเร็วสักเล็กน้อย มันก็สมควรหนีพ้น”


“ในที่สุดก็ปรากฏคนตายคนแรกให้เห็นแล้ว…ไม่ทราบอีกนานหรือไม่กว่าผู้ที่ตกตายคนอื่นๆจะเริ่มปรากฏให้พวกเราล่วงรู้?”



ในขณะที่ทุกคนกำลังมองจ้องไปยังชายชราที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ หลาคนก็เริ่มสนทนากันด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล ด้านชายชราหลังจากสะอื้นไห้อยู่พักหนึ่ง มันก็เริ่มมองจ้องไปยังตารางจัดอันดับเขม็ง คล้ายพยายามมองหาฆาตกรฆ่าหลานชายของมันให้จงได้!


อย่างไรก็ตาม ต่อให้ยอดฝีมือที่จะเข่นฆ่าหลานชายของมันจะมีแค่ 1 ใน 10 ก็ตามที แต่นั่นหมายความว่าคนที่มีโอกาสฆ่าหลานชายของมันได้นั้น กลับมีอยู่ถึงร้อยกว่าคน…


เว้นเสียแต่ผู้ที่ลงมือเข่นฆ่าหลานชายมันจะรอดกลับออกมา และกล่าวคำสารภาพออกมาจากปากด้วยตัวเอง หรือมีพยานที่เห็นเหตุการณ์และบังเอิญรู้จักหลานชายมันรอดกลับมาชี้ตัวฆาตกรให้มันรู้…


หาไม่แล้วมันจะหาตัวฆาตกรฆ่าหลานชายของมันเจอได้อย่างไร?


“หยวนเอ๋อ!”


“เซียวไค่!!”


“โม่จู๋!!”



หลังจากที่มีลูกแก้ววิญญาณลูกแรกแตกออก ดั่งชนวนความตายถูกจุดก็ไม่ปาน ลูกแก้ววิญญาณในมือของใครหลายๆคนก็เริ่มแตกตัวกันระนาว สีหน้าของผู้ที่ถือเศษซากลูกแก้ววิญญาณเอาไว้ ก็อัปลักษณ์เกินดูชม


การที่มันจะมีลูกแก้ววิญญาณของผู้ที่เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณเก็บไว้ได้ หมายความว่ามันย่อมมีความสัมพันธ์ต่อกันในระดับหนึ่ง


บ้างก็เป็นญาติสนิท…


บ้างวิตกกังวล บ้างมีความสุข…


หลายคนที่ลูกแก้ววิญญาณของคนสนิทยังไม่แตกออก ก็เอาแต่มองจ้องตารางจัดอันดับด้วยสายตาคาดหวัง หมายอยากเห็นรายชื่อบางรายชื่อปรากฏขึ้นมา


“ตอนนี้เจียหลงก็มีรายชื่อติดอยู่ในตารางจัดอันดับแล้ว กระทั่งจี้หย่งเองก็ติดอันดับแล้วเช่นกัน…แล้วต้วนหลิงเทียนไปอยู่ที่ไหนกันเล่า ป่านนี้ไฉนยังไม่ติดอันดับอันใดอีก เรื่องราวมันไม่สมควรเป็นเช่นนี้นี่นา…”


หูหลินอี้กวาดตามองราชื่อแรกจรดรายชื่อสุดท้ายที่มีนับพันๆรายชื่อบนตารางจัดอันดับอย่างคาดหวังอีกรอบ แต่มันกลับหาชื่อต้วนหลิงเทียนไม่พบเลย…


“เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียง 2 ประการเท่านั้น…หนึ่งคือต้วนหลิงเทียนยังไม่ได้ลงงมือเคลื่อนไหว อีกประการที่เป็นไปได้ก็คือ…ต้วนหลิงเทียนถูกผู้ใดฆ่าตายไปแล้ว!”


พอคิดถึงจุดนี้ สำนึกเทวของหูหลินอี้ก็แผ่เข้าไปส่องภายในแหวนพื้นที่ทันที


จากนั้นจึงพบว่าลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียน ยังคงตั้งอยู่ในแหวนอย่างเงียบงันด้วยสภาพสมบูรณ์เหมือนเดิม


มันจึงพอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที


อย่างไรก็ตาม พอมันเหลือบไปกองลูกแก้ววิญญาณที่อยู่ไม่ห่างมากนัก สีหน้ามันก็เปลี่ยนไปทันใด เพราะมันพบว่ามีลูกแก้ววิญญาณลูกหนึ่งแตกสลายลงเสียแล้ว


อีกทั้งเจ้าของลูกแก้ววิญญาณลูกนี้ ยังเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่พลังฝีมือจัดว่าค่อนข้างดีในบรรดายอดเซียนอมตะทั้ง 9 ที่มันพามาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณรอบนี้


แน่นอนว่าต่อให้พลังฝีมือค่อนข้างดีในบรรดาคนทั้ง 9 ของประเทศฝูชิวมัน แต่ให้เทียบกับยอดเซียนอมตะทั้งหมดที่มาเข้าร่วม ก็ยังจัดอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ…


แต่ถึงกระนั้น หูหลินอี้ก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยจะสู้ดีขึ้นมา…


ตอนที่ 2,997 : ต้วนหลิงเทียนปรากฏขึ้นในตารางจัดอันดับ!


ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังใดก็ตามที่นำยอดเซียนอมตะมาเข้าร่วมในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ หากคนที่พวกมันพามาตายตกลง ย่อมบ่งบอกว่ายอดเซียนอมตะคนที่ตาย ไม่อาจสร้างผลประโยชน์ใดๆให้แก่ตนได้สืบไป…


ดังนั้นสำหรับฮ่องเต้ฝูชิวแล้ว ความตายของยอดเซียนอมตะของมันคนหนึ่ง หมายความว่าโอกาสที่มันจะได้รับรางวัลย่อมลดลงส่วนหนึ่ง ถึงมันจะไม่ได้ตั้งความหวังไว้กับคนที่พึ่งตายสูงมากนัก แต่มันก็ยังรู้สึกใจคอไม่ค่อยจะสู้ดีเป็นธรรมดา


“ฝ่าบาท เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”


เห็นว่าท่าทีของหูหลินอี้อยู่ดีๆก็เปลี่ยนเป็นอึมครึม ชายชราที่ติดตามไม่ห่างก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวถามออกมา


“ตันเฉิงตายแล้ว…”


หูหลินอี้กล่าว


ตันเฉิงเป็นนามของเจ้าของลูกแก้ววิญญาณที่พึ่งแตกไป


“แค่มันคนเดียวหรือ?”


ชายชราเอ่ยถาม


“ใช่”


หูหลินอี้พยักหน้ากล่าวตอบ


“ฝ่าบาท ผลลัพธ์เช่นนี้กล่าวไปยังไม่นับว่าเลวร้ายอันใด ฝ่าบาทลองชมดูจำนวนผู้ที่ติดอันดับก่อนเถิด ในเมื่อมีพันกว่าคน ย่อมหมายความว่าอย่างน้อยๆก็มีคนตกตายไปแล้วพันกว่าคน”


“อีกทั้งเมื่อพวกเราลองนับรวมคะแนนของผู้ที่ติดอันดับต้นๆ ที่แต่ละคนมีคะแนนติดตัว 3-4 แต้มดู…เห็นได้ชัดว่าบัดนี้ด้านในมีผู้ที่ตกตายไปแล้วมิต่ำกว่า 2,000 คน”


ผู้ที่เข้าไปทั้งสิ้น 12,000 กว่าคน มีผู้ที่ตายตกไปแล้ว 2,000 คน แต่ทว่าคนของประเทศฝูชิวเรายังพึ่งตกตายไปแค่คนเดียวเท่านั้น…นับว่าสถานการณ์ของพวกเรายังค่อนข้างดีทีเดียว!”


ชายชราหันไปมองม่านแสงที่กางขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า พลางหันไปกล่าวกับหูหลินอี้ด้วยรอยยิ้ม


“เจ้ามิอาจคำนวณเช่นนี้ได้…”


อย่างไรก็ตามพอได้ยินเสียงของชายชรา หูหลินอี้กลับส่ายหัวไปมา และเริ่มให้เหตุผล “ถึงแม้ว่าด้านในจักมีผู้คนตกตายไปแล้วราวๆ 2,000 คน…แต่เจ้าชมดูเถอะ ผู้ที่พบว่าลูกแก้ววิญญาณคนของตัวเองแตกลงยังไม่ถึง 2,000 คน กระทั่งพันนึงก็มิถึงด้วยซ้ำ…”


“เช่นนั้นยังจะมีผู้ใดสามารถบอกได้…ว่าคนของประเทศฝูชิวเรานั้นพึ่งจะตกตายไปแค่คนเดียวจริงๆ?”


กล่าวถึงประโยคท้าย ถ้อยคำของหูหลินอี้ก็เป็นเชิงถามให้คิด


ชายชราได้ฟังก็เงียบไปทันที


ผู้ที่ตกตายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น ด้วยค่ายกลที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้จัดตั้งไว้ มันแฝงเร้นไปด้วยพลังอำนาจของกฏแห่งเวลา ทำให้แม้คนจะตายตกลงไป แต่ลูกแก้ววิญญาณที่อยู่ด้านนอกอาจจะยังไม่ตอบสนองทันที กล่าวได้ว่าลูกแก้ววิญญาณบัดนี้ จนกว่าจะถึงจุดสิ้นสุด มันได้สูญเสียความสามารถบอกว่าเจ้าของได้อยู่หรือตายไปแล้ว…


เพราะถึงแม้ลูกแก้ววิญญาณในมือมันจะพึ่งแตกไปแค่ลูกเดียว แต่ยังจะมีใครสามารถบอกมันให้แน่ชัดได้บ้าง ว่าผู้คนของประเทศฝูชิวที่อยู่ด้านใน ยังไม่ตายตกไปหมดสิ้น!


ชายชราที่เงียบไปก็หันไปชมมองตารางจัดอันดับอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นจังหวะที่ตารางจัดอันดับมีความเปลี่ยนแปลงพอดี


สำหรับบผู้ที่มีคะแนนทัดเทียมกัน หากท่านได้คะแนนมาทีหลัง ก็จะถูกจัดอันดับให้ต่ำกว่าผู้ที่ได้อยู่ก่อน


“หวงเจียเชา!”


ชายชราพึมพำออกมาเสียงแผ่วเมื่อเห็นว่ารายชื่อหนึ่งได้เลื่อนอันดับขึ้นมา และนั่นก็คือหวงเจียเชา บุตรชายคนที่ 5 ของหวงเจียหลง


“เจียเชาก็ติดอันดับแล้วรึ?”


ได้ยินเสียงพึมพำแผ่วเบาของชายชรา หูหลินอี้ก็หันไปชมดูตารางจัดอันดับทันที จึงได้เห็นว่าท้ายตารางปรากฏชื่อของหวงเจียเชาขึ้นมา


หลังจากนั้นก็มีอีกชื่อที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น


“เมิ่งชิวอวี่?”


หูหลินอี้ที่เห็นชื่อที่คุ้นเคยดังกล่าว ก็เผลอหันไปมองสตรีชราที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังมันไม่ไกลโดยไม่รู้ตัว


เมิ่งชิวอวี่นั้นเป็นหลานสาวของสตรีชรานางนี้


และสตรีชรานางนี้ก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่บรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด


เดิมทีเมิ่งชิวอวี่ก็ปรากฏตัวขึ้นในการประลองสวรรค์ใต้และแสดงผลงานไม่ใช่ชั่ว สุดท้ายจึงสามารถติดอยู่ใน 9 รายชื่อของคนีท่มีสิทธิ์เข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้


และหญิงชราดังกล่าวก็ติดสอยห้อยตามมาด้วย


ตอนนั้นมันยยังไปเยือนสตรีชรานางนี้ด้วยตัวเอง และกล่าวเชิญชวนให้อีกฝ่ายมาเข้าร่วมกับตระกูลราชวงศ์ประเทศฝูชิวของมัน หากแต่สตรีชราดังกล่าวเลือกที่จะปฏิเสธ


ถึงแม้ตัวมันจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดรบเร้าฝืนใจผู้อื่น


เพราะอีกฝ่ายจะอย่างไรก็เป็นตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด โดยปกติแล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมายินยอมอยู่ใต้อาณัติใครในประเทศระดับ 8


สำหรับชายชราที่ติดตามอยู่ด้านหลังมันนั้น ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดเช่นกัน แต่ทว่าอีกฝ่ายติดตามมันมาหลายปีดีดักแล้ว กระทั่งอีกฝ่ายติดตามมัน ตั้งแต่ที่ตัวมันยังไม่บรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะด้วยซ้ำ


‘หืม? นางช่างแลดูไร้อารมณ์ดีแท้…นี่นางไม่ยินดีที่เมิ่งชิวอวี่หลานนางติดอันดับเลย หรือที่แท้แกล้งทำเป็นนิ่งแต่ที่จริงลอบลิงโลด?’


หูหลินอี้พบว่าหลังได้ยินสิ่งที่มันพูด หญิงชราก็หันไปมองสำรวจตารางจัดอันดับทันที สุดท้ายแม้จะเห็นว่าเมิ่งชิวอวี่ปรากฏขึ้นในตาราง ทว่าท่าทีของนางก็ยังคงสงบเหมือนเคย แววตาเองก็เฉยเมยไม่แปรเปลี่ยน


แต่หูหลินอี้เชื่อว่าหญิงชรานางนี้ก็แสร้งทำเป็นสงบไปอย่างนั้นล่ะ!


วันเวลายังผันผ่านไปไม่หยุดยั้งดั่งสายน้ำไหล…


ในตารางจัดอันดับก็ปรากฏรายชื่อใหม่ๆทยอยกันผุดขึ้นมามากมาย


เรียกว่าหลังผ่านไปอีก 10 วัน บนตารางจัดอันดับก็เนืองแน่นไปด้วยชื่อของผู้คนกว่า 2,000 รายชื่อแล้ว


ในระหว่างนี้ยังปรากฏให้เห็นว่ามีรายชื่อมากมายอยู่ดีๆก็หายสาบสูญไปจากตารางจัดอันดับ และหลังจากนั้นไม่นานผู้ที่ติดอันดับรายชื่อหลายคนก็เริ่มทยอยกันได้รับคะแนนมากขึ้นในเวลาอันสั้น


กล่าวได้ว่าไม่พ้นผู้ที่อยู่ในหัวตารางได้พบเจอผู้ที่อยู่กลางและท้าตาราง ไม่ก็หัวตารางด้วยกัน และเข่นฆ่าอีกฝ่ายช่วงชิงคะแนนมา…


แต่แน่นอนว่าการหายตัวไปกับการเพิ่มขึ้นของคะแนนไม่ได้สัมพันธ์กันแม้แต่น้อย คงยากจะระบุได้ว่าใครเป็นคนฆ่าใครกันแน่


“นี่มันก็ผ่านไปร่วมเดือนแล้ว…ไฉนชื่อต้วนหลิงเทียนถึงยังไม่ปรากฏขึ้นมาสักทีเล่า?”


หูหลินอี้ลอบมองลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนในแหวนพื้นที่อีกครั้งหนึ่ง พอพบว่ายังอยู่ดีก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำออกมา


เนื่องจากเมื่อมีรายชื่ออยู่บนตารางจัดอันดับบถึง 2,000 รายชื่อแล้ว จำนวนชื่อใหม่ๆที่เพิ่มขึ้นมาก็ไม่ได้มากมายอะไร กระทั่งรายชื่อในตารางยังมีแน้วโน้มว่าจะลดลงมากกว่าเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ!


นี่เป็นเพราะจะอย่างไรผู้ที่เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำคราวนี้ก็มีแค่ 12,000 กว่าคน มีคนนับพันๆได้ตกตายไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็กล่าวได้ว่าเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ


“ชื่อของเจ้าหนุ่มนั่นได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว”


ในขณะที่เสียงบ่นของหูหลินอี้พึ่งจะดังจบคำ เสียงชราหนึ่งพลันดังขึ้นเข้าหูมัน


พอหันไปมองดูต้นเสียง จึงพบว่าผู้ที่กล่าวคำกับมันก็คือหญิงชราที่เป็นยายของเมิ่งชิวอวี่ 1 ใน 9 ยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะของฝูชิวที่เดินทางมาด้วยครั้งนี้


หญิงชรากล่าวบอกมันไว้แล้วว่านางชื่อ เมิ่งผอ


“ชื่อของต้วนหลิงเทียนปรากฏขึ้นแล้วหรือ!?”


หูหลินอี้อดขมวดคิ้วไม่ได้ ก่อนที่จะบ่นมันก็พึ่งมองดูช่วงท้ายตารางเสร็จเมื่อครู่นี่เอง แต่กลับไม่พบว่าจะมีชื่อต้วนหลิงเทียนปรากฏออกมาแม้แต่น้อย


“ฝ่าบาท ชื่อต้วนหลิงเทียนปรากฏขึ้นแล้วจริงๆ…หากแต่มันมิได้อยู่ท้ายตาราง กลับไปปรากฏอยู่บริเวณกลางตารางเลยฝ่าบาท”


ในขณะที่หูหลินอี้กำลังนึกสงสัยในใจ ก็พอดีกับที่เสียงของชายชราผู้ติดตามข้างกายดังขึ้นแถลงไขเสียก่อน


เรียกว่าหลังจากได้ยินคำของหญิงชรา ชายชราก็เร่งกวาดตามองรายชื่อตั้งแต่หัวตารางไล่ลงมาเรื่อยๆ สดท้ายจึงไปพบเจอนามต้วนหลิงเทียนที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาในอันดับที่ 930 เข้า!


ต้วนหลิงเทียน


3 แต้ม…


“3 แต้มรึ? หรือว่า…คนที่ต้วนหลิงเทียนประเดิมฆ่าไปคนแรกจักมี 2 แต้ม?”


หูหลินอี้ที่มองตามสายตาของชายชราข้างกายไป ในที่สุดก็ได้เห็นชื่อต้วนหลิงเทียนที่มันรอคอยมานานเสียที!


ตอนนี้แม้ทีท่ามันจะดูลังเลทั้งกังวลกับการติดโผรายชื่อไม่น้อย แต่ใจจริงของมันแล้วให้ความสำคัญกับจุดจบของเรื่องราวมากกว่า และมันเชื่อว่าจะช้าจะเร็วชื่อของต้วนหลิงเทียนก็ต้องปรากฏให้เห็นในที่สุด!


เพราะอย่างไรเสียตอนนี้ก็ชื่อคนของประเทศฝูชิวมันติดอันดับถึง 4 คนแล้ว!


“ข้าไม่คิดเลยว่าทันทีที่ชื่อของต้วนหลิงเทียนปรากฏ จะเป็นการพุ่งเข้าไปอยู่ใน 1,000 อันดับแรกโดยตรง…ตอนนี้กลายเป็นว่าเจียเฉาตกไปอยู่ในอันดับต่ำสุดแล้ว…”


หูหลินอี้ไล่มองตารางจัดอันดับอีกครั้ง และตั้งใจดูรายชื่อคนของประเทศฝูชิวเป็นพิเศษ เรียกว่าในบบรรดา 5 คนของประเทศฝูชิวมันที่ติดอันดับนั้น…4 คนล้วนมี 3 คะแนน ส่วนหวงเจียเชายังคงมีแค่ 2 คะแนนเท่านั้น


ส่วน 4 คนที่มี 3 คะแนนนั้นหวงเจียหลงอยู่ในอันดับที่ 322 หูจี้หย่งอยู่ในอันดับที่ 353 เมิ่งชิวอวี่อยู่ในอันดับที่ 398 ส่วนต้วนหลิงเทียนก็อยู่ที่อันดับ 930…


อีกทั้งอันดับ 930 ของต้วนหลิงเทียน ยังเป็นอันดับของคนที่มี 3 คะแนนเป็นคนสุดท้าย


เพราะในปัจจุบันเขาก็คือผู้ที่พึ่งได้คะแนนสะสม 3 แต้มเป็นคนสุดท้าย!



ภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ


ในมุมหนึ่งของป่าทึบ ปรากฏร่างคน 2 คนกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ และบรรยากาศระหว่างทั้งคู่ ก็สูดได้กลิ่นดินปืนคละคลุ้ง เรียกว่าทำให้อาณาบริเวณตกอยู่ในความตึงเครียดไม่น้อย


ร่างทั้ง 2 ที่กำลังเผชิญหน้ากันที่ว่า เป็นชายหนุ่มทั้งคู่ หนึ่งมาในชุดสีม่วง ส่วนอีกหนึ่งมาในชุดสีเขียว


นอกจากนี้ไม่ว่าใครล้วนแล้วต่อหล่อเหลาและมีเสน่ห์ทั้งสิ้น แต่หากมองสังเกตให้ดีๆจะพบว่าชายหนุ่มชุดม่วงนั้น เมื่อเทียบกับชายหนุ่มชุดเขียวแล้ว ค่อนข้างให้ความรู้สึกน่าดูทั้งเป็นมิตรมากกว่าชายหนุ่มชุดเขียวจมหู


ชายหนุ่มชุดเขียวนั่น ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา พาลให้ผู้คนรู้สึกเสมือนถูกผลักไสให้ไกลห่างออกไปนับพันลี้


และไม่ไกลจากจุดที่ชายหนุ่มชุดม่วงยืนอยู่ บนพื้นกลับปรากฏซากศพไร้วิญญาณร่างหนึ่ง…


ศพนี้ไร้ซึ่งบาดแผลฉกรรจ์ทั้งไร้โลหิตเจิ่งนองอันใด แต่หากใครสายตาแหลมคมเข้าหน่อย ย่อมบอกได้ทันทีว่าทรวงอกของมันนั้นยุบลงไปเล็กน้อย


‘เจ้านี่มันมี 2 แต้มเลยงั้นเหรอ…’


หลังจากที่แผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบป้ายหยกสะสมคะแนนที่ห้อยแขวนบริเวณเอว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง หลังพบว่าในป้ายเขากลับมีคะแนนสะสมอยู่ถึง 3 แต้ม!


หลังแปลกใจแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจอยู่บ้าง


‘กระทั่งเจ้านี่ยังมี 2 แต้ม แล้วเจ้านั่นล่ะ…เกรงว่าคงมีมากกว่ากระมัง?’


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบกล่าวในใจขณะหันไปมองจ้องชายหนุ่มชุดเขียว


ชายหนุ่มชุดเขียว กับชายหนุ่มชุดฟ้าที่นอนเป็นศพแทบเท้าเขานั้น เรียกว่าเป็นคนกลุ่มแรกที่เขาได้พบเจอหลังวิ่งไปเรื่อยอยู่หนึ่งเดือนเลยก็ว่าได้…


ยิ่งไปกว่านั้นมองจากการที่ทั้งคู่เดินทางด้วยกัน จึงเห็นได้ชัดว่าสมควรมาจากขุมกำลังเดียวกัน และมีความสัมพันธ์สนิทสนมกันไม่น้อย


“พี่สาม ข้าจะจับไอ้หนูนี่ แล้วส่งไปให้ท่านฆ่ามันเอง!”


นี่คือวาจาประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มชุดฟ้าพูดก่อนจะตายตก เพราะมันพูดประโยคนี้จบก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรสืบต่อ พวกปราดร่างพุ่งมาใส่เขาด้วยจิตอำมหิตทันที!


อนิจจาพลังฝีมือของชายหนุ่มชุดฟ้าผู้นี้ อย่างดีก็แค่พอๆกับหวงเจียหลงในการประลองสวรรค์ใต้เท่านั้น


เหตุผลที่ไฉนเขากล่าวว่าเป็นหวงเจียหลงในการประลองสวรรค์ใต้ ก็มีเหตุผล


เพราะหวงเจียหลงได้รับเวทย์พลังระดับราชาที่แฝงกฏแห่งลมไว้มาฝึกปรือ ทำให้พลังฝีมือของหวงเจียหลงก้าวหน้าขึ้นไม่ใช่เล่นๆ


เรียกว่าหวงเจียหลงในวันนี้ไม่ใช่อะไรที่หวงเจียหลงในวันวานจะเทียบได้อีกต่อไป…ถึงแม้ว่าจะยังไม่อาจเข้าใจความหมายยเบื้องต้นแห่งลม แต่อย่างน้อยๆก็มีความเข้าใจเวทย์พลังที่ชักนำสายลมมาเพิ่มพูนพลังแล้วไม่น้อย ซึ่งนั่นทำให้ความแข็งแกร่งของหวงเจียหลงเพิ่มขึ้นอย่างมาก


นอกจากนี้ฟังจากคำพูดของชายหนุ่มชุดฟ้า เขายังได้รับทราบอีกเรื่องหนึ่ง…


ชายหนุ่มชุดเขียว สมควรอยู่เหนือชายหนุ่มชุดฟ้าทั้งในแง่ของฐานะและพลังฝีมือ!


หากทั้งสองสถานะนี้ไปอยู่ในโลกภายนอกยังไม่อาจทำให้ผู้คนและดูเคารพยำเกรงได้ถึงขนาดนี้ แต่พอดีว่าที่นี่คือแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ สถานที่ๆผู้เข้มแข็งอยู่ อ่อนแอตกตาย หากชายหนุ่มชุดฟ้าที่อ่อนด้อยกว่าชายหนุ่มชุดเขียวไม่เร่งเอาอกเอาใจอีกฝ่ายให้มากเข้า ใครจะไปรู้ว่าชายหนุ่มชุดเขียวจะใจเหี้ยมเห็นแก่แต้มไม่กี่แต้มในป้ายหยกสะสมคะแนนของมันหรือไม่?!


เช่นนั้นจึงบังเกิดเป็นฉากที่ชายหนุ่มชุดฟ้าแลดูเคารพยกย่องชายยหนุ่มชุดเขียวอย่างสูง เมื่อเจอศัตรูก็ยังคิดจะลงมือจัดการสยบศัตรู เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชายหนุ่มชุดเขียวได้รับแต้มง่ายๆ


และก่อนที่จะพบเจอกับต้วนหลิงเทียน ชายหนุ่มชุดฟ้าก็ได้จัดการกำราบศัตรูและเหลือลมหายใจสุดท้ายให้ชายหนุ่มชุดเขียวเก็บงานมานักต่อนักแล้ว เรื่องราวทั้งหมดล้วนดำเนินไปอย่างราบรื่น


อย่างไรก็ตามต่อให้มันหลับก็ไม่อาจฝันถึง


ว่าคราวนี้มันจะเตะโดนตอเหล็กเข้าให้!


ชายหนุ่มที่อายุไม่ถึงร้อยปีผู้นี้…กลับอาศัยแค่หนึ่งหมัดที่ซัดออกตามอำเภอใจ จบชีวิตของมันลงได้อย่างง่ายดาย!


ศพชายหนุ่มชุดฟ้าที่นองนิ่งอยู่ตรงนั้น สองตาของมันเบิกโพลงตกตายตาไม่หลับ ลูกตาของมันยังคงเบิกโพลงมองจ้องมาที่เขาเขม็ง!


“ธาตุดินงั้นรึ…น่าสนใจดีนี่”


หลังสบตากับต้ววนหลิงเทียนอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มชุดเขียวก็เป็นฝ่ายปริปากกล่าวคำออกมาก่อน


ตอนที่ 2,998 : ความหมายลึกซึ้ง ลมกรด!


แต่ต้นจนจบ ชายหนุ่มชุดเขียวจับจ้องมองการตายของชาหนุ่มชุดฟ้าอย่างสงบ


แม้กระทั่งในวินาทีที่ชาหนุ่มชุดฟ้าล้มลงสิ้นใจ สีหน้าของมันก็ไม่แม้แต่จะเปลี่ยนไปสักนิด ราวกับคนที่ตกตายลงไปต่อหน้าต่อตาหาใช่เพื่อนหรือคนรู้จัก แต่ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้


“ธาตุดินงั้นรึ…น่าสนใจดีนี่”


นอกจากนั้นเพียงฟังจากหนึ่งวาจาที่ชายหนุ่มชุดเอ่ยออก ก็บอกให้รู้ว่ามันมองออกว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนใช้เมื่อครู่เป็นพลังจากการเข้าใจความหมายแห่งดิน อันเป็นความลึ้กซึ้งของกฏแห่งดิน


แต่กระนั้น แม้มันจะล่วงรู้ว่าต้วนหลิงเทียน เข้าถึงพลังกฏแห่งดิน แต่มันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะตื่นตระหนกตกใจอะไร ราวกับมันยังเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจว่าเอาอยู่


เห็นกริยาดังกล่าวของอีกฝ่าย สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง


ชายหนุ่มเบื้องหน้าเขาตอนนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถคงความสงบอยู่ได้ ก็ด้วยมีเหตุผลเพียงสองประการเท่านั้น หนึ่งอีกฝ่ายเสแสร้งทำเป็นนิ่ง ส่วนประการที่สองคืออีกฝ่ายได้เข้าใจกฏบางอย่างเช่นกัน


และต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าประการที่สองนั้นมีความเป็นไปได้สูงกว่า


ทันใดนั้นเอง


อยู่ๆชายหนุ่มชุดเขียวที่ม้องจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างสงบ ทั่วร่างของมันก็ปะทุพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาอย่างดุร้าย!


และทันทีที่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันปะทุลุกโชนขึ้นมาปานเพลิงไฟ ก็กลับกลายเป็นสายลมสีเขียวครามที่ม้วนพัดเวียนวนห้อมล้อมไปทั่วร่างของมัน!


เวลานี้ ร่างของชายหนุ่มชุดเขียวยังค่อยๆลอยล่องขึ้นจากพื้น หากแต่มันไม่ได้ใช้พลังเหินบิน แต่เป็นพลังอำนาจของสายลมสีเขียวครามที่พยุงร่างมันขึ้นมา!


“ธาตุลม!”


เมื่อเห็นสายลมสีเขียวครามที่ม้วนวนไปทั่ววร่างงของชายหนุ่มชุดเขียว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าที่แท้อีกฝ่ายก็เข้าใจความหมายลึกซึ้งของกฏเช่นกัน!


นอกจากนั้นยังเป็นความหมายลึกซึ้งของกฏแห่งลม!!


ซ้ำร้ายความเข้าใจในความหมายแห่งลมของชายหนุ่มชุดเขียวนั้น…แตกต่างจากความเข้าใจความหมายแห่งลมของหวงเจียหลงคนละโลก!


หวงเจียหลงนั้นยังพึ่งเข้าใจแค่บางส่วนของความหมายแห่งลมเท่านั้น


ทว่าชายหนุ่มชุดเขียวเบื้องหน้า สมควรเข้าใจความหมายยแห่งลมจนปรุโปร่งแล้ว มองจากความเร็วที่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของอีกฝ่ายผสานเข้ากับพลังธาตุลม เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้แตกฉานความหมายแห่งลมในวันสองวันเป็นแน่!


“ตระกูลสุมา สุมาฉุน!”


ชายหนุ่มชุดเขียวที่ถูกสายลมเขียวครามโอบอุ้มพยุงร่าง มองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวออกมาเสียงเบา


“ตระกูลสุมา? ตระกูลสุมาที่เป็นขุมกำลังระดับ 7 ที่ร่ำลือกันว่าแข็งแกร่งที่สุดในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวรองจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลน่ะรึ?”


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งอยู่ในใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินชายหนุ่มในชุดเขียวครามกล่าวเผยพื้นเพความเป็นมา


เรื่องราวของตระกูลสุมานั้น เขาได้ยินมาจากฮ่องเต้ฝูชิว หูหลินอี้ ในขณะเดินทางมายังทะเลสาบอวิ๋นเยียน ดังนั้นเขาจึงพอรับทราบคร่าวๆว่าตระกูลสุมาเป็นเช่นไร


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ก็คือชายหนุ่มชุดเขียวเบื้องหน้ากลับเป็นคนของตระกูลสุมาที่ว่า!


เขาเองก็ยังจดจำคำพูดของหวงเจียหลงได้ดี “น้องต้วนแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออกครานี้ ไม่ได้มีแต่คนของดินแดนพันประเทศที่เป็นขุมกำลังระดับ 8 และขุมกำลังระดับ 8 อื่นๆเข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังมีขุมกำลังระดับ 7 บางส่วนส่งคนมาด้วย”


“ในบรรดาขุมกำลังระดับ 7 เหล่านั้น ยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะของพวกมัน บางคนก็ได้ฝึกปรือวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชามานาน ย่อมไม่ขาดผู้ที่เข้าใจความหมายลึกซึ้งของกฏต่างๆ กระทั่งอัจฉริยะบางคน อาจจะเข้าใจความหมายลึกซึ้งถึง 2 ประการแล้ว”


นั่นคือสิ่งที่หวงเจียหลงกล่าวบอกกับเขา


“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่ไฉนเจ้าถึงแลดูมั่นใจนัก…ที่แท้เจ้าก็เป็นคนของขุมกำลังระดับ 7 นี่เอง”


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงเล็กน้อย ค่อยกล่าวแนะนำตัวเองตามมารยาท “ประเทศฝูชิว ต้วนหลิงเทียน”


“อายุไม่ถึงร้อยปี บรรลุขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แถมยังเข้าใจความหมายลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งดินจนแตกฉาน…พรสวรรค์ทั้งไหวพริบปฏิภาณเจ้า กล่าวได้ว่าท้าทายสวรรค์แล้วจริงๆ”


สุมาฉุนมองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวออกด้วยวาจาไม่ขาดคำชมเชย “นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าเลย ที่ได้พบเจอผู้ที่มีพรสวรรค์ทั้งไหวพริบปฎิภาณสูงล้ำเท่าเจ้า!”


“เจ้าเองก็ไม่เลว”


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


“แต่ถึงอย่างนั้น…วันนี้เจ้าก็ถูกลิขิตให้ต้องตายตกลงที่นี่! การที่ข้า สุมาฉุน ได้เข่นฆ่าอัจฉริยะมากพรสวรรค์เช่นเจ้าได้ นับว่ามากพอให้ข้าอวดโอ่ได้ชั่วชีวิต!”


พอสุมาฉุนเอ่ยคำออกมาอีกครั้ง สองตามันก็ฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟันอันน่ากลัว เห็นได้ชัดว่ามันคิดฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย!


ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ เพื่อสะสมแต้มแล้ว ปกติก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไว้ชีวิตคนที่พบเจอ เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะเป็นคนรู้จักมักคุ้น


จะอย่างไรก็ตามแต่ สุมาฉุนผู้นี้ทั้งๆที่ได้เห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียนไปแล้ว แต่ยังประกาศออกมาชัดเจนว่าจะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย ก็เผยให้รู้ว่าตัวมันนั้นมีความมั่นใจอันสูงส่ง!


‘ให้ตายเถอะ ดูเหมือนเจ้าสุมาฉุนผู้นี้สมควรเข้าใจความหมายลึกซึ้ง 2 ประการแล้วไม่ผิดแน่…นี่ดวงของข้ามันดีขนาดนี้จริงๆ?’


เผชิญหน้ากับความมั่นใจของสุมาฉุน ต้วนหลิงเทียนได้แต่คิดในใจอย่างประชด เขาวิ่งโร่อยู่เป็นเดือนไม่เจอใคร พอมาเจอเข้าจริงๆกลับเจอตัวเป้งเข้าให้!


ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่สามารถเข้าใจความหมายลึกซึ้ง 2 ประการนั้น นับว่าเป็นตัวตนระดับแนวหน้าของผู้ที่เข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้เลยก็ว่าได้!


เรียกว่าตัวตนเช่นมัน สามารถเดินทอดน่องไปทั่วแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้อย่างสบายใจดั่งเดินชมสวนหลังบ้าน!


เพราะในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น ไม่ว่าจะเป็นยันต์เต๋าอมตะอันใดที่มีพลังอานุภาพเหนือกว่าขอบเขตยอดเซียนอมตะ ก็จะไม่อาจสามารถใช้งานได้เลย เพราะมันจะถูกพลังของค่ายกลที่ปกคลุมไปทั่วแดนทำลายลงในพริบตา!


ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ท่านพกยันต์เต๋าอมตะล้ำเลิศมามากเพียงไหน ก็กลับกลายเป็นแค่ของไร้ประโยชน์!


และยันต์เต๋าอมตะที่เป็นประเภทจู่โจมหรือสนับสนุนที่ยอดเซียนอมตะมักพกไว้ ก็สมควรเป็นยันต์เต๋าอมตะที่มีพลังอำนาจของขุนนางอมตะ เรียกว่ายามเปิดใช้ ไอพลังที่เริ่มก่อตัวอย่างไรก็เหนือกว่าพลังของยอดเซียนอมตะ


เมื่อแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำสัมผัสได้ถึงไอพลังที่เหนือกว่ายอดเซียนอมตะ มันก็จะทำการขจัดทิ้งทันที ทำให้ยันต์เต๋าอมตะใดๆที่มีพลังเหนือกว่าขอบเขตยอดเซียนอมตะกลับกลายเป็นแผ่นหยกโง่ๆแผ่นหนึ่ง!


ในที่นี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพลังฝีมือส่วนตัวเท่านั้น!


“ก็มีคนเคยพูดกับข้าแบบนี้หลายคนแล้วเหมือนกัน…แต่ตอนนี้หญ้าที่หลุมศพพวกมันคงสูงสามฉื่อแล้ว”


เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนฆ่าฟันอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างชายหนุ่มชุดเขียว ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยคำตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเฉยเมย


“นั่นมันพวกสวะ…ไม่อาจนับรวมข้า!”


ก่อนที่สุมาฉุนจะกล่าวคำเสียงเย็น มือมันก็สะบัดเบาๆปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งที่แลดูไม่ธรรมดาผุดจากความว่างเปล่าเข้ามือ ตัวกระบี่ที่ว่ายังเปล่งแสงพลังลี้ลับจางๆ เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นกระบี่อมตะระดับราชา!


“ก็เข้ามาลองดู!”


ในมือต้วนหลิงเทียนเอง ก็ปรากฏพลองอมตะระดับราชาที่ผุดโผล่จากความว่างมากระชับถือไว้เช่นกัน ตัวเขานั้นในโลกเก่านอกจัดเป็นผู้เชี่ยวชาญสรรพวุธอย่างหาตัวจับได้ยาก! เรียกว่าอาวุธใดๆก็ตามนอกจากปืนแล้ว เขาล้วนใช้ได้คล่องไม่ต่างมือเท้า ทำให้วันนี้ไม่ว่าจะหยิบจับอาวุธอะไร เขาก็นำมาประยุกต์ใช้กับวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังที่มีได้อย่างง่ายดาย


และในบรรดาอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่เขาครอบครองอยู่ พลองอมตะระดับราชาเล่มนี้นับเป็นศาสตราที่มีอานุภาพสูงสุด เช่นนั้นเขาจึงมักจะใช้มันต่อกรกับศัตรู


“หึ!”


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยำเกรงอะไรมันเลย สีหน้าสุมาฉุนก็คล้ายฉาบไว้ด้วยชั้นน้ำแข็ง หลังแค่นคำสบถขัดใจคราหนึ่ง สายลมเขียวคราวที่ห้อมล้อมพยุงกายเพียงสั่นไหวเบาบาง จากนั้นคนก็คล้ายกลับกลายเป็นลมพายุหอบหนึ่ง กรรโชกกวาดไปทางต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด!


ในระหว่างที่ร่างมันกรรโชกมาเร็วไว ยังปรากฏเงาร่างรางเลือนสีน้ำเงินอ่อนปกคลุมฝ่าเท้า ทำให้ความเร็วในการโจนทะยานของมันบรรลุสู่อีกขั้น!


บัดนีสุมาฉุน ไม่คล้ายผู้คนแต่เป็นเสือชีตาร์ปราดเปรียว ที่กระโจนเข้ามาด้วยความเร็วอัศจรรย์!


เพียงความเร็วที่มันโจนทะยานร่างเปิดฉากเข่นฆ่าเข้ามา ก็แทบจะทัดเทียมกับความเร็วสูงสุดของต้วนหลิงเทียนแล้ว!


“หืม?”


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดว่านี่สมควรเป็นความเร็วสูงสุดของสุมาฉุนนั้นเอง อยู่ๆร่างฉับไวของสุมาฉุนเบื้องหน้าก็เริ่มพร่ามัวไปดั่งเงาเลือน ในสายตาเขาคงเหลือแต่ภาพติดตาที่กำลังจางหายเท่านั้น!


จังหวะนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่อาจมองท่าร่างของสุมาฉุนได้ชัดเจนอีกต่อไป


‘นี่มัน…ความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งลมที่มันเข้าใจงั้นรึ?’


ในห้วงเวลาพริบตาดุจฟ้าแลบ หน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนสีไปไม่น้อย!


เพราะนอกจากกความเป็นไปได้ข้อนี้ เขาไม่อาจหาคำใดอื่นมาอธิบายได้อีก ว่าสุมาฉุนอาศัยอะไรถึงสามารถยกระดับความเร็วได้น่ากลัวขึ้นถึงขนาดนี้ ‘อยู่ๆความเร็วของมันก็ปะทุสูงขึ้นในชั่วพริบตา…ความหมายลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งลมที่มันเข้าใจ สมควรจะเป็นความลึกซึ้งที่เน้นสนับสนุนในแง่ของความเร็วเป็นหลักสินะ!’


ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดาในใจ


“ไอ้หนู หากเจ้าไม่อยากตายรีบเร่งเร้าพลังเซียนยอมตะผสานธาตุดินแล้วถ่ายทอดมันลงเกราะอ่อนที่เจ้าสวมอยู่เสีย! เร็วเข้า!!”


ในขณะที่ต้วนหลิงเทีนกำลังคาดเดาเรื่องราวในใจ เสียงแฝงความกังวลเล็กน้อยของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพลันโพล่งดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ!


ได้ยินคำของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า เร่งระดมพลังเซียนยอมตะต้นกำเนิดที่ผสานไว้ด้วยพลังแห่งธาตุดิน พลางถ่ายทอดลงสู่เกราะอ่อนอมตะระดับราชาที่เขาสวมไว้ เพื่อเปิดใช้พลังอำนาจของมันทันที


ทันใดนั้นเมื่อเกราะอ่อนสำแดงพลังอานุภาพ ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏเงาร่างเกราอ่อนเกล็ดแดงหนึ่งขึ้นมาห่อหุ้มปกคลุมเอาไว้


และในขณะที่เงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงปรากฏขึ้นคลุมกายต้วนหลิงเทียน พลังลี้ลับสีเหลืองแก่ขุมหนึ่งก็หลั่งไหลไปผสานรวมเข้ากับเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงที่ว่าอย่างฉับไว!


ทันใดนั้นเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงก็คล้ายจะทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นหลายส่วน!


เห็นฉากดังกล่าว ต้วนหลิงเทียน่อมทราบได้ทันทีว่าเป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินได้ใชความสามารถของเพื่อเพิ่มพูนพลังอำนาจในการป่องกันของเกราะอ่อนเกล็ดแดง ซึ่งเป็นชุดเกราะอมตะระดับราชาให้สูงขึ้น!


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเสริมพลังให้กับเกราะอ่อนเกล็ดแดงแล้วเสร็จ


ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!



เสียงกระบี่กรีดฟ้าแว่วดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนระงม!


ในขณะเดียวกัน ด้านต้วนหลิงเทียนก็ไม่ทันมีเวลาได้ตอบสนองสิ่งใด บรรยากาศรอบกลายก็เต็มไปด้วยพลังกระบี่คมกริบเขียวคราม สาดโถมเข้ามาทั่วร่างเขาปานห่าพิรุณกระหน่ำ ซัดสะบั้นฟันเข้าใส่เงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงของเขาอย่างเกรี้ยวกราด!


ทันใดนั้นเงาร่างเกราะออนเกล็ดแดงของเขาก็สะเทือนสะท้าน คล้ายจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ หากแต่ยังแข็งขืนต้านทานเอาไว้ได้!


‘ความเร็วบัดซบอะไร…ไฉนพลังกระบี่ของมันถึงได้ไวขนาดนี้!’


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ หากไม่ใช่เพราะปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินจ่ายพลังไปหนุนเสริมพลังป้องกันของเกราะอ่อนอมตะระดับราชาแล้วล่ะก็ อาศัยพลังป้องกันดั้งเดิมของมันคงยากจะหยุดยั้งห่าคมกระบี่สะบั้นของสุมาฉุนได้!


“นี่มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยรึไง…ความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งลมที่สุมาฉุนเข้าใจมันคืออะไรกันแน่?!”


ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันก็เร่งกล่าวถามปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเสียงเครียดทันที


“ความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งลมที่เจ้าหนูนี่มันเข้าใจคือ ‘ลมกรด’ เป็นความลึกซึ้งที่เน้นเสริมความเร็วเป็นหลักของกฏแห่งลม…อีกทั้งความลึกซึ้งประการนี้ของกฏแห่งลม ยังเป็นความลึกซึ้งที่ถือว่าร้ายกาจอย่างน่ากลัว เพราะมันสามารถเพิ่มพูนทั้งความเร็วให้กับผู้ใช้ทุกด้าน ไม่เว้นความเร็วในการจู่โจม…”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว “เจ้าหนู หากไม่ใช่เพราะข้า…ตอนนี้เจ้าคงตายเป็นผีใต้คมกระบี่เมื่อครู่ของมันแล้ว!”


“พลังฝีมือของเจ้าหนูนั่น ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้ น่ากลัวว่ามันจะไม่เป็นสองรองใคร!”


กล่าวถึงจุดนี้น้ำเสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็จริงจังไม่น้อย


“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ด้วยเจ้ามีข้าหนุนเสริม…ต่อให้มันจะเร็วบัดซบกว่านี้ก็ช่างหัวมันปะไร วันนี้ให้มันตีเจ้าทั้งวันมันก็ไม่มีทางฝ่าการป้องกันของเจ้าได้แน่นนอน!!”


กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็คล้ายจะฉายชัดถึงความภาคภูมิใจออกมา “เดี๋ยวมันโจมตีเจ้าจนหมดแรงเมื่อไหร่ มันก็ล้มเลิกไปเอง…”


และราวกับจะตอกย้ำคำพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน


หลังห่าคมกระบี่กระหน่ำฟันเข้ามารอบกายต้วนหลิงเทียนต่ออีกสักพัก ในที่สุดสุมาฉุนก็หยุดจู่โจม จากนั้นร่างที่กลับกลายเป็นดั่งเงาเลือนวูบไปวูบมาของมัน ก็เริ่มปรากฏตัวให้เห็นชัดอีกครั้ง


“ข้าล่ะแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองจริงๆ ที่แท้เจ้ากลับเข้าใจความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งดินเช่นกัน…แถมความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งดินที่เจ้าเข้าใจ ดันเอกอุเรื่องป้องกันสินะ? หาไม่แล้วเจ้าคงมิอาจต้านทานรับกระบี่ของข้าได้ง่ายดายเช่นนี้!”


สุมาฉุนมองจ้องต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง กล่าววออกเสียงหนัก “เป็นข้าดูเบาเจ้าไป!”


ตอนที่ 2,999 : พลังอำนาจของอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน!


หลังจากที่สุมาฉุนหยุดมือลง มันก็ไม่มีความคิดจะลงมือหลงเหลือสืบไป


นั่นเพราะเมื่อครู่ มันได้พยายามจู่โจมเข่นฆ่าผู้อื่นสุดกำลังที่มีแล้ว อนิจจายังไม่อาจบุกฝ่าปราการป้องกันของผู้อื่นเขาได้เลย…


ในเมื่อรั้นจะลงมือจู่โจมสืบต่อ ผลลัพธ์ก็คงเดิม มิสู้หยุดมือไว้เพื่อประหยัดเรี่ยวแรงยังประเสริฐกว่า


“เป็นข้าดูเบาเจ้าไป!”


หลังจากมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงเข้มจบคำ สุมาฉุนก็หันหลังเตรียมจะจากไป


“ข้าให้เจ้าไปได้แล้วหรือ?”


ต้วนหลิงเทียนหยีตาลงเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มแสยะเยียบเย็น ทันใดนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างของเขาก็ปะทุลุกโชนขึ้นมา แผ่กลิ่นอายพลังกล้าแข็งสะท้านไปในบรรยากาศ


ได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ร่างสุมาฉุนที่คิดจากไปก็ชะงักหยุดลง จากนั้นมันก็หันมาเหลือบมองต้วนหลิงเทียน กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ข้ายอมรับว่าพลังป้องกันของเจ้าสูงส่งสุดที่ข้าจะบุกฝ่าเข้าไปได้…”


“อย่างไรเสียความเร็วของเจ้านับเป็นอะไรในสายตาข้า? แม้ข้าจะไม่ลงมือตอบโต้อะไร อาศัยเคลื่อนร่างหลบเจ้าถ่ายเดียว นั่นก็มากพอให้เจ้าหมดหนทางแตะได้แม้แต่ชายเสื้อของข้า”


สุมาฉุนกล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงของมันก็กลายเป็นหยิ่งผยองอีกครั้ง “ข้ามิอาจทำลายการป้องกันเจ้าได้ก็จริง แต่เจ้าก็ไม่มีวันตามความเร็วของข้าได้ทัน!”


“แม้ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้…แต่เจ้าก็ไม่มีหนทางฆ่าข้าเช่นกัน!”


ในเรื่องของความเร็วแล้ว สุมาฉุนดูจะมั่นใจถึงขีดสุด


ต้องทราบด้วยว่ากฏที่มันเลือกทำความเข้าใจก็คือกฏแห่งลมที่โดดเด่นในเรื่องของความเร็วเป็นทุน อีกทั้งในบรรดาความลึกซึ้งที่มันเข้าใจทั้งสองประการ นอกจากความหมายแห่งลมแล้ว ความลึกซึ้งอีกประการก็คือ ‘ลมกรด’ ที่โดดเด่นในเรื่องความเร็วเป็นที่สุดของกฏแห่งลม!


กล่าวจบคำสุมาฉุนก็คร้านจะสนใจต้วนหลิงเทียนสืบไป หันหลังกลับและจากไปทันที


ในขณะที่สุมาฉุนหันหลังจากไป เสียงเยียบเย็นต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้นไล่หลัง “แล้วหากข้าใช้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันเล่า?”


คำพูดนี้ของต้วนหลิงเทียน เสมือนแหลนพุ่งตรงทะลวงกลางหูของสุมาฉุนก็ไม่ปาน ทำให้ร่างสุมาฉุนถึงกับชะงักลงโดยพลัน


ครู่ต่อมา มันที่เร่งรีบหันหน้ากลับมาดูชม ก็พบว่าพลองยาวในมือต้วนหลิงเทียนอันเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชานั้นไม่อยู่แล้ว แต่ในมือต้วนหลิงเทียนกลับถือไว้ด้วยแหวนวงหนึ่ง


แหวนวงนี้แลดูแตกต่างจากแหวนทั่วไปเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นตัวแหวนยังประดับไปด้วมณี 9 เม็ด ซึ่งแต่ละเม็ดก็มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป


นอกจากนั้นทั่วทั้งตัวแหวนกลับเป็นสีแดงเพลิง และท่าทางจะไม่ใช่สีที่ชุบย้อมภายหลัง แต่เป็นสีสันของวัตถุดิบที่ใช้หลอมแหวนวงนี้ขึ้นมา


รัศมีพลังลี้ลับที่แผ่กำจายออกมาเรื่อๆรอบตัวแหวนนั้น เดิมทีไม่ได้ส่องสว่างเท่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามทันทีที่ต้วนหลิงเทียนถ่ายทอดพลังลงไป ตัวแหวนก็เริ่มแผ่ซ่านกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงออกมา


ยิ่งไปกว่านั้นทันทีที่กลิ่นอายยพลังน่าพรั่นพรึงดังกล่าวเริ่มแผ่ซ่านออกมา สุมาฉุนที่สัมผัสได้ถึง ก็รู้สึกเสมือนตัวเองสูดได้กลิ่นแห่งความตายประการหนึ่ง…


“อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน!!”


หากตอนแรกบอกว่า การที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถึงอุปกรณ์อมตะจอมราชันขึ้นมา มันคิดว่าต้วนหลิงเทียนกำลังเสแสร้งล่ะก็


มาตอนนี้พอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงที่ตัวแหวนแผ่ซ่านออกมากดดันในบรรยากาศ สุมาฉุนก็มั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าแหวนในมือต้วนหลิงเทียนวงนี้เป็นนอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันแน่นอน!!


‘เป็นไปได้อย่างไรกัน?!’


‘อาศัยยอดเซียนอมตะเช่นมัน ไฉนมีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันไว้ในครอบครองได้!?’


ตอนนี้ใจของสุมาฉุนว้าวุ่นนัก มันไม่อาจทำใจเชื่อได้ลงคอจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนจะมีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันในมือ!


ต้องทราบด้วยว่า กระทั่งตระกูลสุมาของมัน ที่เป็นขุมกำลังระดับ 7 อันน่าเกรงขาม ยังไม่มีแม้แต่อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันสักชิ้น!


ทั้งต่อให้ตระกูลสุมาของมันจะมีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันจริง แต่พวกมันก็คงไม่กล้าเปิดเผยออกมาโดยง่าย เพราะหากเรื่องแพร่งพรายออกมา น่ากลัวว่าตระกูลสุมาของมันก็คงไม่มีปัญญารักษาอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันเอาไว้ได้เลย


ภายในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว หากจะถามว่าขุมกำลังระดับ 7 ที่พอจะมีความสามารถรักษาอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันเอาไว้ได้ล่ะก็ คงมีแต่ 3 นิกาย 2 ตระกูลเท่านั้น


แต่เป็นธรรมดาว่าหาก 3 นิกาย 2 ตระกูลคิดจะเก็บอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันเอาไว้ใช้จริงๆ เรื่องนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากคฤหาสน์เฉวียนโยวก่อน!


เรื่องนี้บอกให้รู้ว่าอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันมีคุณค่าถึงเพียงใด!


ทว่าตอนนี้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันที่ว่า กลับมาปรากฏอยู่ในมือของยอดเซียนอมตะผู้หนึ่ง จึงทำให้สุมาฉุนรู้สึกยากที่จะเชื่อได้ลงคอ กระทั่งเห็นเองกับตามันยังไม่อยากจะเชื่อ!!


‘หนี!!’


ชั่วพริบตาต่อมาสุมาฉุนก็ดึงสติกลับคืนได้ฉับไว และในหัวมันก็หลงเหลือเพียงหนึ่งความคิดเท่านั้น


หนี!!


ความเร็วของอีกฝ่าย ไม่อาจเทียบชั้นกับมันได้ก็จริง…


ทว่าหากเป็นอีกฝ่ายที่อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันไว้ในมือเล่า? เรื่องราวมันจะแปรเปลี่ยนกลับกลายไปดั่งหนังคนละม้วน…เพราะอย่างน้อยๆความเร็วในการโจมตีของอีกฝ่ายก็สามารถไล่ทันความเร็วของมันได้แน่นอน!!


ตอนนี้สิ่งเดียวที่มันต้องกระทำก็คือเร่งรุดหลบหนีออกไปให้พ้นระยะจู่โจมของอีกฝ่าย เพราะตราบใดที่อีกฝ่ายไม่อาจเพ่งเล็งมาที่มันได้ ตัวมันก็สามารถหลบหนีจากไปได้อย่างปลอดภัย!!


แต่สิ่งที่มันกำลังคิดมีหรือที่ต้วนหลิงเทียนจะคิดไม่ได้?


หากไม่มั่นใจ มีหรือต้วนหลิงเทียนจะจงใจกล่าวเตือนอีกฝ่ายแต่แรกว่าเขามีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน?


“คิดหนีงั้นหรือ…แต่เจ้าจะหนีได้พ้น?”


เมื่อเห็นว่าร่างสุมาฉุนได้ลุกโหมไปด้วยสายลมเขียวครามดั่งพายุ และร่างของอีกฝ่ายก็พุ่งวาบไปด้วยความเร็วอันน่ากลัวปานสายลมกรรโชกหอบหนึ่ง มุมปากต้วนหลิงเทียนก็ยกแสะเผยยิ้มเย้ยหยันออกมา!


“ความหมายลึกซึ้ง พื้นที่โน้มถ่วง!”


แทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ห้วงอากาศรอบกายของสุมาฉุนก็ปรากฏสนามพลังโน้มถ่วงอันน่าพรั่นพรึงขุมหนึ่งสะกดกักเอาไว้ ก่อนที่มันจะทันได้พุ่งร่างหนีไปไหนได้ไกล!!


และทิศทางของสนามพลังโน้มถ่วงนั้น ต้วนหลิงเทียนยังควบคุมให้มันสวนทางกับการเคลื่อนที่ของสุมาฉุนอย่างแยบคาย แม้จะไม่อาจหยุดร่างสุมาฉุนได้ชะงัด แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายช้าลงจมหู!


วู้มมมม!!


และในขณะที่ร่างสุมาฉุนชะงักทั้งความเร็วตกลงฮวบฮาบ เสี้ยวพริบตานั้นเอง แหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับที่ต้วนหลิงเทียนถ่ายทอดพลังลงไปขุมใหญ่ ก็ได้ปลดปล่อยพลังอันน่ากลัวออกมาขุมหนึ่ง!


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!



ตัวแหวนทอประกายสว่างจ้าปานมีเปลวเพลิงลุกโชน ทันใดนั้นมณีทั้ง 9 บนตัวแหวนก็แผ่พุ่งพลังออกมาก่อเกิดเป็นกระบี่พลังมีสภาพ 9 เล่ม แต่ละเล่มยังเปล่งกลิ่นอายพลังคมกล้าปานจะสับสะบั้นได้ทุกสิ่ง!


แหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับในมือของต้วนหลิงเทียนนั้นก็เป็นเขาได้มาจากพี่ใหญ่เผย โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้มันตามหาแหวน 9 วิญญาณหยินลี้ลับตามคำขอของอีกฝ่าย ทว่าคนที่ฝากฝังเรื่องนี้ให้เขาอย่างพี่ใหญ่เผยผู้ลึกลับ กลับหายตัวไปไหนก็ไม่ทราบ


ปกติแล้วเขาก็ไม่กล้าจะนำแหวนวงนี้ออกมาใช้งานให้ผู้ใดเห็นง่ายๆ เพราะนั่นจะกลายเป็นการชักนำเภทภัยมาสู่ตัว


แต่วันนี้ที่ไฉนเขาถึงนำมันออกมานั้น เพราะเขามั่นใจว่าคนตายไม่อาจพูดได้ อย่างดีอีกฝ่ายก็ได้แต่นำเรื่องนี้ไปเล่าในเมืองผีเท่านั้น!


นอกจากนั้นที่สำคัญที่สุดก็คือเขาตระหนักได้แต่แรก ว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้ ไม่อาจใช้ยันต์อมตะสื่อสารใดๆได้เลย ต่อให้เป็นยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณก็ตามที


เรียกว่าค่ายกลที่ปกกคลุมไปทั่วแดน ได้ปิดกั้นพลังอาคมสื่อสารทั้งหมดเอาไว้


สิ่งนี้ไม่ใช่แค่กันไม่ให้มีการติดต่อกับโลกภายนอกเท่านั้น แต่ยังกันท่าไม่ให้เหล่าคนจากขุมกำลังเดียวกันติดต่อเพื่อมารวมกลุ่ม และออกล่าเข่นฆ่าสังหารผู้อื่นด้วยอาศัยกำลังคนเข้าว่า


ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!



ถึงแม้จะพยายามหลบหนีเต็มกำลังสามารถที่มี แต่สุดท้ายสุมาฉุนที่ความเร็วตกลงก็ยังได้ยินเสียงหนึ่งแว่วดังเข้าหูชัดเจน


และเสียงดังกล่าวพอดังเข้าหูของมัน ก็เสมือนเสียงเพรียกแห่งความตายก็ไม่ปาน ใจมันร้อนรนกังวลแทบปริแตก!


‘มัน…มันกลับเข้าใจความลึกซึ้ง พื้นที่โน้มถ่วง ถึงขั้นนี้แล้ว?!’


ด้วยสัมผัสได้ถึงสนามพลังแรงโน้มถ่วงที่ดูดรั้งฉุดร่างเอาไว้ สุมาฉุนก็ตระหนักได้ทันทีว่าความเข้าใจในความหมายลึกซึ้ง พื้นที่โน้มถ่วง ของต้วนหลิงเทียนนั้น บรรลุถึงขั้นใช้ออกได้ดั่งใจแล้ว!


และในสายตาของมัน นี่ก็เสมือนความลึกซึ้งประการที่ 3 ที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใจ!!


อายุไม่ถึงร้อยปี กลับเข้าใจความหมายแห่งดิน เข้าใจความลึกซึ้งที่โดดเด่นด้านการป้องกัน แถมยังเข้าใจความลึกซึ้ง พื้นที่โน้มถ่วง…ทั้งหมดเป็นการเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินถึง 3 ประการ ความสามารถระดับนี้…


ที่แท้มันกำลังเจอกับ ‘สัตว์ประหลาด’ จากนรกขุมใดกันแน่?


หากมันไม่ได้มาพบเจอกับตา ให้คนอื่นมาพูดให้ตายมันก็ไม่มีวันเชื่อ เพราะมันสุดที่จะจินตนาการได้ออกจริงๆ ว่าสัตว์ประหลาดเช่นนี้มาปรากฏตัวในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวได้อย่างไร!


หากไร้แรงดึงดูดอันน่ากลัวฉุดรั้งร่างกายเอาไว้ สุมาฉุนมั่นใจว่าตัวเองต้องรอดพ้นพลังอำนาจสังหารจากอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันของอีกฝ่ายได้แน่นอน


อย่างไรก็ตามสนามพลังโน้มถ่วงของอีกฝ่ายนั้น ทรงอานุภาพเกินไป ความเร็วของมันถึงกับตกลงฮวบฮาบ ตอนนี้มันไม่มีหนทางหลีกหนีพลังสังหารจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันของอีกฝ่ายได้เลย!!


“ไม่!!”


เมื่อกระบี่พลังทั้ง 9 ที่ก่อเกิดจากพลังอำนาจของแหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับเจียนบรรลุถึงตัวสุมาฉุน มันก็ร่ำร้องออกมาเสียงหลง จากนั้นก็ตัดสินใจหยุดร่างลงกลางหาว!


พริบตาต่อมาสายลมเขียวครามรอบกายของมันก็คล้ายจะลุกโหมขึ้นมาดั่งมหาพายยุม้วนวนรอบร่าง!


ทันใดนั้นสายลมดั่งมหาพายุก็เริ่มควบแน่นก่อตัวก่อเกิดเป็นม่านพลังวายุเขียวครามห่อหุ้มคลุมร่างมันเอาไว้ ดุจมีอำนาจแห่งเทพสายลมปกปักษ์ร่างกาย!


นอกจากนั้นสุมาฉุนก็เร่งเร้าโคจรพลังจนเกินขีดจำกัดจนมุมปากปรากฏโลหิตไหลซิบ จ่ายพลังใช้ออกด้วยทุกสรรพวิชาที่มันมีหมายเพิ่มพูนพลังอำนาจในการปกป้องตัวเอง!


อย่างไรก็ตามสีหน้าของสุมาฉุนยยังคงซีดลงปานกระดาษ เพราะมันไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อยว่าจะป้องกันพลังสังหารจากกระบี่พลังทั้ง 9 ที่ทรงอานุภาพน่าพรั่นพรึงจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันได้เลย!


“หากเจ้ากล้าฆ่าข้า…ตระกูลสุมาของข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!!”


ในห้ววงเวลาแห่งความเป็นตาย สุมาฉุนได้หันกลับมามองผ่านระยะไกลห่างสบตากับต้วนหลิงเทียนนเขม็ง กัดฟันข่มขู่ออกมาโดยยกอ้างตระกูลสุมาที่อยู่เบื้องหลัง หมายให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความกริ่งเกรงจนสภาวะพลังลดลงเล็กน้อยก็ยังดี!


“อ้อ นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าตระกูลสุมาจะรู้รึเปล่าว่าข้าเป็นคนฆ่าเจ้า…”


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่เพียงไม่กริ่งเกรง กลับกลันยังกล่าวเย้ยออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!



ขณะเดียวกันนั้นเอง กระบี่พลังทั้ง 9 ที่ก่อเกิดจากอานุภาพของแหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับก็บรรลุถึงม่านพลังพิทักษ์ร่างสุมาฉุนในที่สุด!


กระบี่พลังคมกล้าหาใดเปรียบนั้น แม้เล่มแรกจะถูกม่านพลังของสุมาฉุนหยุดเอาไว้ได้ แต่เล่มที่ 2 พอบรรลุถึงตามติดไม่พ้นก็คงต้านทานได้ไม่ทันไร เกิดกระบี่พลังเล่มที่ 3 ติดตามมาถึง ก็สมควรฉีกกระชากม่านพลังของมันให้เปิดออกง่ายดาย!


“สารเลวชาติชั่ว! อุปกรณ์อมตะจอมราชันมันทรงพลังถึงขั้นนี้เชียว!!”


จังหวะนี้สุมาฉุนสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันน่ากลัวของอุปกรณ์อมตะจอมราชันซึ้งถึงทรวง ขณะเดียวกันมันก็ไม่หลงเหลือความคิดจะต้านทานรับสืบต่อ เร่งรีดเค้นพลังชั่วชีวิตที่หลงเหลือหมายหลบหนีทันที!


อนิจจาด้วยสนามพลังโน้มถ่วงที่เคี่ยวกรำมันอย่างหนักหนาสาหัส ความเร็วของมันก็ต่างจากจุดสูงสุดลิบลับ!


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


เนื่องจากมันหันไปเร่งเร้าพลังเพื่อหลบหนี พลังที่มันจ่ายเพื่อรักษาม่านพลังเอาไว้ก็ต้องอ่อนโทรมลงอย่างช่วยไม่ได้ เดิมที่สมควรต้านทานกระบี่ที่ 2 เอาไว้ได้สักพัก ก็ไม่อาจต้านทานอันใดได้ ถูกทะลวงเจาะฝ่าเข้ามาในบัดดล!


“ไม่!!”


เมื่อม่านพลังอันเป็นปราการปกปักษ์สุดท้ายถูกทะลวงเจาะ ในห้วงเวลาแห่งความเป็นตายสุมาฉุนก็ได้แต่ร่ำร้องออกมาด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจลั่นดังก้องฟ้า น้ำเสียงช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความไม่ยินยอมถึงขีดสุด!


เพียงเพราะความแตกต่างของอุปกรณ์อมตะที่ถือครองอย่างอุปกรณ์อมตะจอมราชัน ตัวมันกลับต้องมาแพ้พ่ายตายตกต่อศัตรูที่อย่างดีก็แค่ทัดเทียมกับมัน โดยที่มันไม่อาจทำอะไรได้เลย…


จะให้มันเต็มใจยอมรับเรื่องราวเช่นนี้ได้อย่างไร?


ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!


อย่างไรก็ตามให้สุมาฉุนไม่ยินยอมพร้อมใจเพียงใด แต่สุดท้ายมันก็จำต้องตกตายภายใต้อำนาจกระบี่พลังของแหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับในมือต้วนหลิงเทียน


ร่างของสุมาฉุนนั้น ถูกกระบี่พลังพุ่งตัดหั่นราวเนื้อสับ หว่างคิ้วยังถูกเจาะทะลวง จนคนตกตายจนไม่รู้จะตกตายไปมากกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว ศีรษะที่เป็นรูโหว่และปลิดปลิวไปคนละทางกับตัว สองตายังคงเบิกโพลงมองจ้องมาเขม็ง เห็นได้ชัดว่ามันไม่เต็มใจตกตายถึงเพียงใด…


เปรียะ!


หลังสุมาฉุนตกตาย ป้ายหยกสะสมคะแนนที่อยู่กับส่วนลำตัวที่กระเด็นปลิดปลิว ก็เริ่มแตกตัวเป็นผงกลางอากาศ ก่อนจะมีแสงหนึ่งพุ่งเข้ามายังป้ายหยกสะสมคะแนนของต้วนหลิงเทียน คะแนนทั้งหมดของมันถูกเพิ่มเข้าไปในป้ายหยกสะสมคะแนนของต้วนหลิงเทียนเป็นที่เรียบร้อย


ในเวลาเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองมือข้างที่สวมแหวนซึ่งกระเด็นไปอีกทาง ก่อนจะใช้พลังทำลายแขนทิ้งและดูดแหวนพื้นที่ของมันกลับมา


สุมาฉุน อัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 7 ที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังฝีมือและฐานะจนได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลสุมา กลับต้องมาตกตายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำภายใต้เงื้อมมือของต้วนหลิงเทียน


และทั้งหมด เพียงเพราะต้วนหลิงเทียนมีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันไว้ในครอบครอง!!


ตอนที่ 3,000 : สิบแต้ม วังจอมราชันอมตะ…


ในระนาบเทวโลกนั้น อุปกรณ์อมตะได้แบ่งออกเป็นสามหกเก้า หรือก็คือมีระดับชั้นที่แตกต่างกัน และแม้จะเป็นความต่างแค่ระดับเดียว แต่พลังอานุภาพก็แตกต่างกันราวคนละโลก


ดุจเดียวกับพลังของอุปกรณ์อมตะระดับราชา มันด้อยอานุภาพกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันมาก


ช่องว่างความต่างระหว่างทั้งสอง ยังมากกว่าความแตกต่างระหว่างอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางกับอุปกรณ์อมตะระดับบราชาเสียอีก!


“จะยังไงก็แล้วแต่ เจ้าสุมาฉุนผู้นี้ช่างไวเป็นกรดจริงๆ…หากไม่เพราะข้าเข้าใจความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงถึงระดับหนึ่งและได้รับความช่วยเหลือจากท่านแล้วล่ะก็ น่ากลัวว่าต่อให้ใช้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันก็คงยากจะฆ่ามันได้”


ต้วนหลิงเทียนพูดกัปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินในร่าง


ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขานำอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันอมตะออกมาใช้ สุมาฉุนก็เสมือนถูกกำหนดให้ต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย! เพราะถ้าหากเขาปล่อยให้มันรอดชีวิตไปโพทนาเรื่องที่เขามีอุปกรณ์อมตะจอมราชันในมือได้ เขาก็ถึงคราวฉิบหายแน่แท้!!


ถึงตอนนั้นเว้นเสียแต่เขาจะยอมส่งมอบอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันออกไปโดยดี เกรงว่าคงอยู่ยากแล้ว!


แต่เป็นธรรมดาว่าก่อนที่เขาจะควักอุปกรณ์อมตะจอมราชันออกมาใช้ เป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินได้ดีดลูกคิดรางแก้วมาดีแล้ว และมั่นใจว่ามันจะช่วยให้เขาฆ่าสุมาฉุนได้แน่ๆ


“หึ!”


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินทำเสียงคล้ายพ่นลมออกจมูก ค่อยยกล่าวออกเสียงเย็น “เจ้าหนูเอย หากเจ้าสามารถเข้า


ใจความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงได้หมดจด วันนี้ต่อให้เจ้าไม่ใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันนั่น เจ้าก็มีพลังมากพอจะฆ่ามันได้ถมเถ!”


“ข้าขอบอกเจ้าไว้เลย พื้นที่โน้มถ่วงของกฏแห่งดินนั้น เสมือนตัวซวยของพวกสายความเร็วโดยแท้ เรียกว่าเป็นโคตรดาวข่มของพวกมันเลยก็ว่าได้! หากเจ้าแตกฉานอย่างที่เจ้านั่นมันหลงเข้าใจไปจริงๆ เจ้าย่อมใช้คุกศิลาทมิฬขังเจ้าสุมาฉุนนั่นได้ง่ายๆ”


“ฟางเส้นสุดท้ายที่คอยช่วยชีวิตสุมาฉุนก็คือความเร็ว แต่พอมันถูกขังในคุกศิลาทมิฬยังจะต่างอะไรจากตะพาบในไห?”


“ถึงตอนนั้นเจ้าไม่ต้องใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันอะไรให้วุ่นวาย จะบีบมันก็ตายจะคลายมันก็รอด ดั่งลูกไก่ในกำมือ!”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวค่อนแคะ


“ก็ใช่…”


ได้ยินคำพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน สองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายแสงจ้า มากล้นไปด้วยความปรารถนาประการหนึ่ง


วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินอยย่าง คุกศิลาทมิฬ นั้นประกอบไปด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ หนึ่งคือความหมายแห่งดินที่เขาเข้าใจแล้ว ส่วนอีกหนึ่งก็คือความลึกซึ้งของพื้นที่โน้มถ่วง ที่แม้เขาจะพอเข้าใจบ้างแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นแตกฉาน


แน่นอนว่าการเข้าใจจนแตกฉานที่ว่า หมายถึงเขาเข้าใจความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!


เพราะวรยุทธ์อมตะระดับราชา มันทำให้เขามีขีดจำกัดเพียงเท่านี้


แต่ถึงจะทำได้แค่นั้น ขอเพียงความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงเขาบรรลุความสำเร็จขั้นตอนเบื้องต้น เขาก็จะใช้คุกศิลาทมิฬได้เต็มประสิทธิภาพ สามารถกักขังสุมาฉุนไว้ได้ง่ายดาย เสมือนเชิญท่านลงโอ่ง…


เมื่อสุมาฉุนกลายเป็นตะพาบในไหไปแล้ว อีกฝ่ายก็ได้แต่รอให้เขาเข่นฆ่าตามใจชอบเท่านั้น


เพราะท้ายที่สุดแล้วภายในคุกศิลาทมิฬ มันไม่อาจหนีไปไหนได้ แถมความเร็วที่เป็นจุดเด่นสูงสุดก็ไม่อาจใช้ออก


“นี่เจ้าหนู ว่าแต่เจ้าหนูดวงกุดนั่นมันมีคะแนนให้เจ้ากี่แต้มกันล่ะ?”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “เจ้าหนูดวงกุดนั่นมันร้ายกาจไม่ใช่ย่อยเลย ท่าทางจะมีคะแนนไม่น้อยทีเดียว”


พอได้ยินคำถามของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็แผ่สำนึกเทวะลงไปยังป้ายหยกสะสมคะแนนของเขาทันที และในไม่ช้าเขาก็ได้รับทราบคะแนนที่เขามี


“11 แต้ม…หมายความว่าคะแนนในป้ายหยกสะสมคะแนนของเจ้านั่นกลับมีถึง 8 แต้ม!”


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน


“8 แต้มเหรอ…”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวทวนคำเบาๆ จากนั้นก็นิ่งไปคล้านึกอะไรอยู่ “งานเข้าเจ้าแล้วไง พอเจ้าหนูดวงกุดนั่นตายไม่ใช่ว่าชื่อของมันในตารางจัดอันดับอะไรด้านนอกนั่นจะถูกลบหายไปรึไง…แล้วเกิดมีคนเห็นว่าอยู่ๆคะแนนเจ้าก็พุ่งพรวดเดียว พริบตาก็โดดขึ้นไปอยู่อันดับสูงๆ คนด้านนอกไม่รู้กันหมดเหรอว่าเจ้าเป็นคนฆ่ามัน?”


“ถึงคราวนี้หลังเจ้ารอดกลับออกไปได้เจ้าจะเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลอะไรนั่น และได้รับความคุ้มครองในระดับหนึ่ง…แต่ความคุ้มครองที่ว่าก็ไม่อาจปกป้องดูแลเจ้าได้ตลอดเวลา ตระกูลสุมาอะไรที่ว่าต้องหาโอกาสล้างแค้นเจ้าจนได้ในสักวัน…”


“ดังนั้นเกิดคนของตระกูลสุมารู้ว่าเจ้าเป็นคนฆ่ามัน…เจ้าต้องกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกมันแน่!”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวออกมาด้วยความกังวล


“ท่านปฐพีเทพเรื่องนี้ขอท่านอย่าได้ห่วงเลย”


หลังได้ยินความวิตกกังวลของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แลดูเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไร เพียงกล่าวอธิบายออกไปอย่างใจเย็น “ก่อนหน้าที่ท่านยังไม่ตื่น ด้านนอกมีบอกเอาไว้แล้วว่าภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น มีค่ายกลของจอมราชันสวรรค์ใต้ที่แฝงเร้นไปด้วยกฏของเวลาจัดตั้งเอาไว้…”


“และเท่าที่ข้าได้ฟังมา ค่ายกลที่แฝงเร้นไปด้วยกฏแห่งเวลาที่ว่า ทำให้เหล่าผู้ที่ตกตายในนี้ ไม่อาจกระตุ้นเตือนคนภายนอกได้ทันที เพราะกว่าลูกแก้ววิญญาณของพวกมันที่อยู่ด้านนอกจะแตกออก ก็มีทิ้งช่วงเวลาไปสักพักใหญ่ๆ”


“นี่เป็นมาตรการป้องกันไม่ให้คนภายนอกมองออกว่าใครลงมือฆ่าใครในนี้”


“จากจุดนี้บอกให้พวกเรารู้ว่าจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่จัดตั้งค่ายกลดังกล่าวขึ้น ได้คำนึงถึงเรื่องการล้างแค้นอะไรเทือกนี้เอาไว้แต่แรก…ดังนั้นเรื่องที่ท่านกังวลย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน”


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


แต่เป็นธรรมดาว่าทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาไปจากข้อมูลที่ได้ฟังมาเท่านั้น


อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นการคาดเดา แต่ต้วนหลิงเทียนที่อิงตามข้อมูลทั้งหมด เชื่อมั่นว่าเขาต้องเดาได้ถูกแน่นอน


“หือ?”


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะถอนรั้งสำนึกเทวะกลับออกมาจากป้ายหยกสะสมคะแนน เขาพลันสัมผัสได้ว่าอยู่ๆกลับปรากฏกลิ่นอายพลังลี้ลับขุมหนึ่งเริ่มแผ่ออกมาจากป้ายหยกสะสมคะแนนในมือเขา


และทันทีที่กลิ่นอายพลังลี้ลับดังกล่าวแผ่ออกมา มันก็ผสานเข้ากับสำนึกเทวะของเขาบางส่วน และเหมือนจะชี้นำสำนึกเทวะของเขาให้มุ่งหน้าไปทิศทางหนึ่ง


‘กลิ่นอายพลังประหลาดนี่มันอะไรกันนะ…เหมือนจะชักนำให้ข้าไปทางนั้น…’


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจด้วยความสงสัย


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดไปด้วยความสงสัยนั้นเอง ป้ายหยกสะสมคะแนนในมือเขาก็เริ่มทอแสงสว่างจ้าออกมา


ขณะเดียวกันกับที่มีกลิ่นอายพลังลี้ลับเริ่มเอ่อล้นออกมาอีกรอบ ในหูต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นพอดิบพอดี


“ภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ หากเจ้าได้รับคะแนนสะสมถึง 10 แต้มแล้ว…เจ้าจักถูกนำไปยัง ‘วังจอมราชันอมตะ’ ที่ตัวข้าสร้างทิ้งไว้ภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้ทันที…”


หลังเสียงดังกล่าวพูดจบคำ มันก็เงียบหายไปโดยสมบูรณ์ราวกับไม่เคยดังขึ้นมาก่อน


“เสียงนี่มัน…หรือจะเป็นเสียงของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ ที่สร้างแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทิ้งไว้?”


ต้วนหลิงเทียนคาดเดา


“วังจอมราชันอมตะ…หลังจากได้ครบ 10 แต้ม ถึงจะถูกนำไปงั้นเหรอ? เรื่องนี้ไม่เห็นมีใครเคยกล่าวเตือนไว้ก่อนเลยนี่นา?”


ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้สึกงุนงงสงสัยเรื่องนี้อยู่บ้าง หรือนี่จะเป็นกฏอะไรบางอย่างของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ?


แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่


แต่ถ้ามันไม่ใช่กฏของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ แล้วทำไมก่อนที่เขาจะเข้ามา เขาไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องวังจอมราชันอมตะอะไรนี่มาก่อนเลย อีกทั้งไม่เห็นรู้ว่าหลังได้คะแนนสะสมครบ 10 แต้มเขาจะถูกนำไปยังวังจอมราชันอมตะที่ว่า


หลังจากครุ่นคิดไปสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็ยังคิดไม่ออก สุดท้ายก็เลยลองถามปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดู


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็แค่ถามไปส่งๆ ไม่ได้คาดหวังอะไร


ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจก็คือ เหมือนปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินจะล่วงรู้เสียอย่างนั้น แถมแลดูไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้เลย “บางทีจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่ว่า ได้แฝงค่ายกลไว้อีกชุดที่จะมีอำนาจลบความทรงจำของผู้ที่เข้าไปในวังจอมราชันอมตะอะไรนั่น…ทำให้แม้จะมีคนเคยเข้าไปในวังจอมราชันอมตะที่ว่า แต่พอกลับออกไปก็จะจดจำเรื่องราวในวังจอมราชันอมตะไม่ได้”


“จอมราชันอมตะที่ทรงพลังบางคน จะจัดตั้งค่ายกลจำพวกนี้ได้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร…แน่นอนว่าทุกคนก็แค่ลืมประสบการณ์เฉพาะจุดเท่านั้น ส่วนอะไรก็ตามที่เจ้าได้รับมาจากการเข้าไปภายในวังจอมราชันอมตะ ถึงเจ้าจะลืมไปแล้วว่าได้มายังไง แต่มันก็ยังเป็นของเจ้าอยู่ดี”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว


“หลังจากที่ข้าออกไป ข้าจะลืมว่าเคยได้อะไรในวังจอมราชันอมตะมางั้นเหรอ?”


ได้ยินคำพูดดังกล่าวของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน ยังสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บเฮือกหนึ่ง


เนื่องเพราะเขาฉุกคิดขึ้นได้ ว่าหวงเจียหลงได้เคยกล่าวอะไรทำนองนี้ไว้แล้ว


ในอดีตตอนที่แดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออก เหล่ายอดเซียนอมตะที่รอดกลับออกมา เหมือนจะสูญเสียความทรงจำไปบางส่วน และพบว่าอยู่ๆตัวเองก็ได้ครอบครองสิ่งของบางอย่างที่ไม่รู้ความเป็นมา


ราวกับสิ่งของเหล่านั้นอยู่ๆก็ผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า


กระทั่งบางคน หลังกลับออกมาก็พบว่าคะแนนสะสมขตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างประหลาด โดยที่ไม่ทราบเลยว่าตัวเองได้คะแนนเหล่านั้นมาอย่างไร


“ดูเหมือนวังจอมราชันอมตะที่ว่า จะเกี่ยวข้องกับการสะสมแต้มให้ครบจริงๆ…ให้ตายเถอะ ถึงแม้ข้าจะรู้เรื่องนี้ก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่มีวิธีป้องกันเรื่องนี้เลย ข้าไม่ชอบเลยหากตัวเองทำอะไรไปบ้างแต่ดันลืมมันทั้งหมด…”


ต้วนหลิงเทียนบ่น


“เจ้าอาจจะจำไม่ได้ก็จริง…แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะจำไม่ได้เหมือนเจ้าสักหน่อ ไม่ต้องห่วงหรอก…หลังเจ้าลืมเรื่องราวไปแล้ว พอออกไปแล้วข้าจะเล่าทั้งหมดให้เจ้าฟังอย่างละเอียดเอง”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว


“เอาแบบนั้นก็ได้”


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นเขาก็เริ่มหันมองไปทางขวา


นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายพลังประหลาดที่มารวมผสานเข้ากับส่วนหนึ่งของสำนึกเทวะเขา มันกำลังชักนำให้เขาไปยังทิศทางดังกล่าว


“สมควรเป็นที่ตั้งวังจอมราชันอมตะ…มีแต่ต้องเก็บคะแนนสะสมให้ครบ 10 แต้มก่อนถึงจะล่วงรู้ทิศทางที่ตั้งมันงั้นเหรอ…”


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำเบาๆ “ไม่รู้ป่านนี้จะมีคนไปถึงวังจอมราชันอมตะอะไรที่ว่าแล้วกี่คน…คนอื่นๆคงไม่เคว้งเหมือนข้าหรอกมั้งที่เดินไปทางไหนก็ไม่เจอใครตลอดเดือน? และหากเดาไม่ผิดที่นั่นสมคววรมีแต่ยอดฝีมือสินะ?”


หลังได้พบเจอกับสุมาฉุนและตระหนักได้ถึงพลังฝีมืออันร้ายกาจของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าดูเบายอดเซียนอมตะที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้แห่งนี้แม้แต่น้อย


สุมาฉุนจะอย่างไรก็แค่คนของขุมกำลังระดับ 7 ขุมหนึ่งเท่านั้น


นอกจากมันแล้ว สมควรมีอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 7 อีกไม่น้อย


และอัจฉริยะที่ขุมกำลังระดับ 7 คัดเลือกมาแล้ว ไหนเลยจะเป็นชนชั้นต่ำทรามได้ แต่ละคนต้องมีพลังฝีมือกล้าแข็งเป็นธรรมดา


ในบรรดาอัจฉริยะพวกนั้น น่าจะมีพวกที่พลังฝีมือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสุมาฉุนแน่นอน กระทั่งอาจจะมีคนที่เหนือกว่าสุมาฉุนอยู่ด้วยซ้ำ


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เริ่มออกเดินทาง มุ่งหน้าไปตามการชี้นำ อันสมควรเป็นทิศทางที่ตั้งวังจอมราชันอมตะทันที


วังจอมราชันอมตะ เนื่องจากเป็นสถานที่ๆจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ตั้งใจทิ้งไว้ ต้องสมควรเป็นสถานที่ๆประเสริฐไม่น้อย


นอกจากนั้นมองจากเงื่อนไขที่จอมราชันอมตะสววรรค์ใต้กำหนดไว้ เขาก็รู้ได้เป็นธรรมดาว่าไม่ใช่ทุกคนจะได้ไปยังวังจอมราชันอมตะ! เพราะอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นคนที่มีพลังฝีมือพอตัว สามารถเก็บสะสมคะแนนได้ครบ 10 แต้มเสียก่อน ถึงจะล่วงรู้ทิศทางงไปยังวังจอมราชันอมตะดังกล่าว!!


ดังนั้นในระหว่างงเร่งรุดเดินทาง ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความคาดหวังกับวังจอมราชันอมตะไม่น้อย


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเดินทางตามการชี้นำของพลังลี้ลับจากป้ายหกสะสมคะแนนนั้นเอง…


บริเวณน่านฟ้าเหนือพื้นที่ใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน รายชื่อหนึ่งที่แต่เดิมรั้งอยู่ในอันดับที่ ‘6’ ก็หายไปจากตารางจัดอันดับอย่างกะทันหัน


และเมื่อชื่อดังกล่าวหายไป รายชื่อที่อยู่ในอันดับหลังจากนั้น ก็กระเถิบเลื่อนขึ้นไปอยย่างพร้อมเพรียง


สิ่งนี้ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที!


“ชื่อที่หายไป…ดูเหมือนจะเป็นสุมาฉุนใช่ไหม?”


“มิผิด! เดิมทีสุมาฉุนนั้นมีคะแนนสะสม 8 แต้มและรั้งอยู่ในอันดับที่ 6…แต่ตอนนี้ชื่อของมันหายไปแล้ว!!”


“อะไร!? สุมาฉุนตกตายไปแล้วงั้นเรอะ!?”


“สุมาฉุนผู้นั้นสามารถเก็บคะแนนได้ 8 แต้ม ก็มากพอจะบอกให้รู้ว่ามันมิใช่คนธรรมดา…แต่ตอนนี้กลับตายตกไปแล้วหรือ?”


“มิใช่คนธรรมดา? สหายท่านไม่รู้จักสุมาฉุนหรือ เจ้านั่นมันห่างไกลจากคำว่าคนธรรมดาหลายขุมเลยล่ะ! มันเป็นอัจฉริยะทีมีพรสวรรค์มากที่สุดในประวัติศาสตร์นับพันๆปีของตระกูลสุมา ที่เป็นขุมกำลังประเภทตระกูลระดับ 7!!”


“ช้าก่อน! สุมาฉุน…มิใช่ว่ามันเข้าใจความลึกซึ้ง ‘ลมกรด’ ของกฏแห่งสายลมด้วยรึไร? แต่คนเช่นมันกลับถูกผู้อื่นฆ่าตายไปเนี่ยนะ!?”


WSSTH ตอนที่ 3,001 : สุมาผิงตง


“ฉะ…ไฉนเป็นเช่นนี้ได้!?”


สูงขึ้นไปเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่เหินร่างลอยกันอยู่นั้น ชายชราในชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่ง เมื่ออยู่ๆก็เห็นว่าชื่อของสุมาฉุนได้อันตรธานหายไปจากตารางจัดอันดับ สีหน้ามันก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง


พร้อมกันนั้นแรงกดดันพลังอันน่ากลัวขุมหนึ่งก็เริ่มกวาดสะท้านไปในบรรยากาศ เป็นพลังทั่วร่างชราที่พุ่งพล่านขึ้นมาโดยที่มันเองก็ไม่ทันรู้สึกตัว พาลให้ผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยโดยรอบใจสั่นกันไปเป็นแถบ!


“ระ…ร้ายกาจยิ่ง!”


“ผู้เฒ่าคนนั้นเป็นผู้ใดกัน? กลิ่นอายพลังกล้าแข็งเหลือเกิน!”


“สหายท่านนี้ไม่รู้จักมันงั้นหรือ…มันคืออาวุโสสูงคนหนึ่งของตระกูลสุมา ตระกูลระดับ 7 ที่โด่งดังนั่นอย่างไรเล่า!”


“อะไร!? อาวุโสสูงของตระกูลสุมารึ? มันไฉนถึงมาด้วยตัวเองได้ ด้วยระดับของมัน กับอีแค่เรื่องพาคนมาเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณ…คงไม่จำเป็นต้องถ่อมาเองกระมัง?”


“ดูเหมือนเรื่องที่สุมาฉุนถูกฆ่าตายไปแบบนี้ อาวุโสสูงคงไม่อาจทำใจยอมรับได้โดยง่าย…”


“นั่นก็ธรรมดา…ด้วยพรสวรรค์ทั้งความสามารถในการตีความของสุมาฉุน นับได้ว่ามันเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันหมื่นปีของตระกูลสุมา และตระกูลก็ทุ่มเททรัพยากรเพาะสร้างมันมาเต็มที่ คงเป็นเรื่องยากไม่ใช่น้อยที่อาวุโสสูงจะทำใจรับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้ได้!”



ถึงแม้จะมีหลาคนจดจำได้ว่าชายชราคลุมเทาผู้นั้นก็คืออาวุโสสูงของตระกูลสุมา แต่น้อยคนนักที่จะล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างมันกับ สุมาฉุน!


ชายชราในชุดคลุมเทาที่เป็นผู้นำคนของตระกูลสุมาครั้งนี้ ก็คือ ‘สุมาผิงตง’ และมันไม่เพียงแต่จะเป็นผู้อาวุโสสูงของตระกูลสุมาเท่านั้น พลังฝีมือของมันนั้นยังเหนือกว่าเหล่าผู้ที่นำพาคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลมาด้วยซ้ำ เรียกว่าหากไม่ใช่ปี้ไห่หมิงเฟิงกับผู้นำขุมกำลัง 3 นิกาย 2 ตระกูลมาเองแล้ว มันไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา


อีกทั้งมันไม่เพียงนำพาคนของตระกูลสุมาเพราะคิดร่วมสนุกเฉยๆ


ทว่าไฉนมันถึงเป็นผู้นำคนของตระกูลสุมาที่นี่นั้น เพราะมันคิดมาเฝ้ามองและให้กำลังใจหลานชายคนโปรดของมันอย่าง สุมาฉุน ที่นับว่าเป็นยอดเซียนอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลสุมาโดยเฉพาะ!


สุมาฉุน เป็นหลานชายแท้ๆของมัน


“ฉุนเอ้อ…ฉุนเอ้อตายตกแล้ว!?”


สีหน้าสุมาผิงตงยิ่งมายิ่งเปลี่ยนไปเป็นดูไม่ได้ และในขณะที่มันเพ้อพร่ำออกมา อาการของมันก็แลดูเลื่อนลอยคล้ายไม่อาจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้


“ท่านผู้อาวุโสสูง โปรดระงับความโศกเศร้าด้วย…”


ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังสุมาผิงตง ได้แต่ประสานมือกล่าวคำออกมาเสียงอ่อน มันเองก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลสุมาเช่นกัน หากแต่ฐานะในตระกูลถือว่าอ่อนด้อยกว่าสุมาผิงตงมาก เป็นแค่อาวุโสทั่วๆไปเท่านั้น


‘มิคิดเลยว่าสุมาฉุนหลานรักของท่านผู้อาวุโสสูงจะมีอันเป็นไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครานี้ได้…ตอนนี้ท่านผู้อาวุโสคงบังเกิดความเสียใจอย่างสุดแสน ที่ปล่อยให้สุมาฉุนเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณอยู่กระมัง’


ผู้อาวุโสตระกูลสุมาคนดังกล่าวได้แต่ลอบกล่าวในใจอย่างทอดถอน มันรู้ดีว่าตำแหน่งของสุมาฉุนในใจผู้อาวุโสสูงนั้น ไม่ใช่อะไรที่ใครในตระกูลสุมาจะเทียบได้


และตอนนี้สุมาฉุนกลับต้องตกตายก่อนวัยอันควรชวนใจหาย ไม่ว่าใครในตระกูลสุมาก็สามารถเข้าใจหัวอกของอาวุโสสูงดี


กระทั่งในใจของมันเองยังเต็มไปด้วยความแตกตื่นอันยากระงับ


สุมาฉุนกลับพลาดท่าตายตกด้านในแดนสวรรค์ใต้โบราณจริงๆ?


ต้องทราบด้วยวว่าสุมาฉุนคือยอดเซียนอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์นับหมื่นพันปีของตระกูลสุมา อายุเพียงแค่สองร้อยปีเศษ ไม่เพียงแต่จะบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมได้แล้วถึง 2 ประการ


ตัวตนระดับนี้ ให้กวาดตามองไปทั่วยอดเซียนอมตะทั้งหมดที่เข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณ แต่เกรงว่าพลังฝีมือย่อมติดอยู่ใน 10 อันดับแรก!


ทว่าตอนนี้ คนกลับตายตกเสียแล้ว! มันในฐานะอาวุโสคนหนึ่งของตระกูลสุมาเองก็เสียใจไม่น้อยที่ตระกูลต้องมาสูญเสียอัจฉริยะเช่นนี้ไป!!


ปงงง!!


เท้าของสุมาผิงตงพลันย่ำลงอากาศอย่างแรง จนมวลอากาศใต้ฝ่าเท้าแตกระเบิดออกก่อเกิดระลอกคลื่นนกระแทกกำจายออกไปเป็นวง ส่งร่างชราของมันให้พุ่งทานไปยังน่านฟ้าบริเวณที่คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลลอยร่างกันอยู่


พริบตาร่างชราก็ลุถึงเบื้องหน้าปี้ไห่หมิงเฟิง ผู้ชราป้องมือประสานกล่าวคำทักทาย พลางก้มหัวเป็นการคารวะ “ท่านประมุขปี้ไห่”


“อาวุโสผิงตง”


ตระกูลสุมาอย่างไรก็เป็นขุมกำลังระดับ 7 ที่เป็นรองก็แต่ 3 นิกาย 2 ตระกูล ปี้ไห่หมิงเฟิงในฐานะประมุขของนิกายอมตะเหอฮวนคนหนึ่ง ย่อมรู้จักมักคุ้นอีกฝ่ายดี “ข้าขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียหลานชายของท่านด้วย…”


“และข้าเองก็พอเดาได้ว่าไฉนอยยู่ท่านจึงมาหาข้าแบบนี้…อย่างไรก็ตามสถานการณ์ภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณนั้น สุดที่ข้าจะล่วงรู้ได้จริงๆ กระทั่งในบรรดาพวกเราก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้แม้แต่น้อย”


“ดังนั้นต่อให้พวกเราอยากจะบอกท่าน ว่าเป็นผู้ใดเข่นฆ่าหลานชาของท่าน แต่พวกเราก็มิอาจทำอะไรได้จริงๆ”


ปี้ไห่หมิงเฟิงชิงกล่าวออกมา ราวกับอ่านใจชายชราได้ออกว่าอีกฝ่ายมาหามันทำอะไร


“ท่านประมุขปี้ไห่ เรื่องนี้ข้าเข้าใจ”


สุมาผิงตงพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะเอ่ยออกเสียงหนัก “ที่ข้ามาหาท่านเพราะคิดร้องขอเรื่องหนึ่งจากท่าน ประมุขปี้ไห่…หากถึงเวลาที่ผู้คนกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณแล้ว ตัวข้าสามารถยืนยันได้ว่าเป็นผู้ใดเข่นฆ่าหลานชายของข้า…ข้าขอให้ประมุขปี้ไห่อย่าได้ช่วยมัน ยามข้าลงมือล้างแค้นให้หลานชายได้หรือไม่?”


แต่ต้นจนจบสุมาผิงตงไม่แม้แต่จะเหลือบแลไปยังเหล่าผู้นำของ 3 นิกาย 2 ตระกูลทั้ง 4 ที่เหลือแม้แต่น้อย เพราะมันรู้ดีว่าหากมันคิดจะฆ่าคน อาศัยพลังฝีมือของทั้ง 4 ก็ไม่มีปัญญาหยุดมันเอาไว้ได้


มีเพียงปี้ไห่หมิงเฟิงเพียงคนเดียว ที่สามารถหยุดมันได้!


“อาวุโสผิงตง เรื่องนี้เห็นทีข้าคงไม่อาจรับปากท่านได้”


ปี้ไห่หมิงเฟิงส่ายหน้าไปมา “นี่มิใช่ข้าไม่ไว้หน้าท่านแต่อย่างใดอาวุโสผิงตง หากแต่เรื่องราวของผู้ที่รอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณนั้น พวกเรา 3 นิกาย 2 ตระกูลไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอันใดทั้งสิ้น…เพราะสุดท้ายแล้วอำนาจสิทธิ์ขาดเรื่องเปิดแดนสวรรค์ใต้โบราณ ก็เป็นของคฤหาสน์เฉวียนโยว พวกเรา 3 นิกาย 2 ตระกูลก็แค่ได้รับมอบหมายยมาให้ดูแลจัดการเรื่องยิบย่อยเท่านั้น”


“ประมุขปี้ไห่ ท่านในฐานะ 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว ขอเพียงท่านเต็มใจช่วยเหลือข้าสักครั้ง…ข้าเชื่อว่าหลังเกิดเรื่องราวครั้งนี้ ด้วยความที่คฤหาสน์เฉวียนโยวเห็นแก่ท่าน ย่อมไม่คิดตำหนิท่านเพียงเพื่อยอดเซียนอมตะไม่กี่คนเป็นแน่…”


สุมาผิงตงยังคงดื้อรั้น


อย่างไรก็ตามปี้ไห่หมิงเฟิงก็ได้แต่ส่ายหัวเป็นการยืนกรานว่าไม่อาจเห็นด้วย


แต่ต้นจนจบผู้คนก็สังเกตเห็นการพบปะระหว่างสุมาผิงตงกับปี้ไห่หมิงเฟิงเช่นกัน และหลายคนก็พอจะคาดเดาได้ว่าสุมาผิงตงต้องการอะไรจากปี้ไห่หมิงเฟิง


“สุมาผิงตงนั้น เห็นว่าเป็นปู่แท้ๆของสุมาฉุน ทั้งยังรักและเอ็นดูสุมาฉุนยิ่งนัก…ในเมื่อหลานชายคนโปรดของมันตกตาย มันย่อมไม่พ้นคิดอยากสับร่างฆาตกรฆ่าหลานชายมันให้แหลกเป็นหมื่นๆชิ้น!”


“มันไปพบกับประมุขปี้ไห่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหมายวิงวอนให้ประมุขปี้ไห่อย่าได้สอดมือตอนมันคิดก่อการเป็นแน่”


“แต่ว่ามันจะทราบได้หรือ ว่าเป็นผู้ใดที่ฆ่าหลานชายคนดีของมัน?”


“เหอะๆ เรื่องนี้ข้าเกรงวว่ามันคงไม่อาจยืนยันได้เต็มสิบส่วนหรอก…อย่างไรก็ตามหนทางหมื่นลี้เริ่มจากก้าวแรก มันไม่พ้นคิดเตรียมการไว้ก่อน เพราะหลังจากนี้เกิดมันหาวิธีระบุตัวฆาตกรได้จริงๆ แต่ยามลงมือดันถูกประมุขปี้ไห่หยุดไว้ มิให้มันลงมือฆ่าคนล้างแค้นให้หลานชาย มันไหนเลยจะล้างแค้นได้สำเร็จเล่า…”


“เช่นนั้นมันจึงบากหน้าไปขอความร่วมมือจากประมุขปี้ไห่ไว้ก่อน หมายให้ประมุขปี้ไห่รับปากว่ายามมันลงมือจะไม่สอดมือเข้ามายุ่ง…อนิจจาดูจากสีหน้าบิดเบี้ยวชมดูแทบไม่ได้นั่นของมัน ไม่พ้นพึ่งถูกประมุขปี้ไห่ปฏิเสธมาเป็นแน่”


“เรื่องมันต้องเป็นนี้อยู่แล้ว หากประมุขปี้ไห่ไม่ปฏิเสธมัน นี่จะไม่กลายเป็นกรณีตัวอย่างให้คนเอาเยี่ยงรึ? ต่อไปยังจะมีใครกล้าเข่นฆ่าผู้คนมั่วซั่วในแดนสวรรค์ใต้โบราณเล่า?”



เห็นได้ชัดว่าในบรรดาผู้ที่ชมดูเรื่องราวอยู่ ก็คาดเดาวัตถุประสงค์ของสุมาผิงตงได้ออก


“แต่หลังจากสุมาฉุนตายตกไป เหมือนจักไม่มีผู้ใดได้คะแนนเพิ่มขึ้น 8 แต้มรวดเดียวเลย”


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง หันไปมองตารางจัดอันดับพลางกล่าวออกมา


“เหลวไหล! เรื่องพรรค์นั้นไหนเลยจะเป็นไปได้!”


และชายชราคนหนึ่งที่ลอยร่างไม่ไกลจากมัน พอได้ยินก็โพล่งคำออกมาราวกูรูทันที “หากอยู่ๆมีผู้ใดได้คะแนนเพิ่มขึ้นมา 8 แต้ม มิใช่บ่งบอกโดยอ้อมให้ผู้คนล่วงรู้กันหมดรึไรว่ามันเป็นคนฆ่าสุมาฉุน?”


“ด้วยพลังของค่ายกลที่ท่านจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ในอดีตจัดตั้งไว้ ย่อมมีการคำนึงถึงจุดนี้อยู่แล้ว และ 8 แต้มที่คนฆ่าสุมาฉุนจักได้รับนั้น มันจะทยอยเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ นี่เป็นกลวิธีป้องกันมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าใครได้สังหารผู้ใดด้านใน”


ชายชรากล่าวเสริม


“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…ข้าก็นึกว่าแค่ประวิงเวลาได้คะแนนอย่างเดียวเสียอีก ที่แท้กลับมีการค่อยๆทยอยเพิ่มคะแนนนให้ผู้คนแบบนี้ด้วย เช่นนั้นหมายความว่าคงไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยน่ะสิ ว่าใครเป็นคนฆ่าสุมาฉุน หากไร้บุคคลที่ 3 ที่อยู่ในเหตุการณ์รอดกลับมาบอก หรือเจ้าตัวสารภาพออกมาเอง?”


“มิผิด!”


“กล่าวไปหากมิมีการเตรียมการรองรับในเรื่องนี้เอาไว้ ใครยังจะกล้าเข่นฆ่าผู้คนในนั้นมั่วซั่วเล่า ต่อให้อีกฝ่ายอ่อนด้อยแต่ดันเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ ยังไม่เกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภายชนะเสียหายได้หรือ แดนสวรรค์ใต้โบราณยังจะเหลือคุณค่าอันใด?”



หลายคนที่เดิมไม่รู้ว่ามีเรื่องราวแบบนี้ด้วย พอมีผู้รู้กล่าวบอกจึงได้รับทราบกันถ้วนหน้า


“หือ!? คะแนนของต้วนหลิงเทียนเพิ่มขึ้นอีก 2 แต้มแล้ว!”


ด้านหูหลินอี้เอง ที่เอาแต่มองจ้องอันดับคนของประเทศฝูชิว ก็เบิกตากว้างทั้งฉายแววสดใสจ้า เมื่อเห็นว่าคะแนนของต้วนหลิงเทียนกระเตื้องขึ้น


สำหรับคนอื่นๆนั้น แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นคะแนนเดียวและไม่ได้อยู่ในอันดับสลักสำคัญอะไร มันก็สังเกตเห็นเช่นกัน


เพราะสุดท้ายแล้ว นั่นก็คือเหล่าผู้ที่จะนำผลประโยชน์มาให้มัน มันย่อมให้ความใส่ใจทุกรายละเอียด


“5 แต้ม…ต้วนหลิงเทียนนับว่าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!”


อย่างไรก็ตามรอยยิ้มสดใสพึ่งจะคลี่กางบนใบหน้าหูหลินอี้ได้ไม่นาน พอมันเห็นคะแนนของผู้ที่อยู่ในอันดับหนึ่ง คิ้วมันก็เริ่มขดย่นเป็นปม “อันดับ 1 มีถึง 11 แต้มเชียวหรือ…”


“กระทั่งอันดับที่ 10 ก็ยังมี 7 แต้ม…”


“ข้าหวังว่าต้วนหลิงเทียนจักติด 10 อันดับแรกเร็วๆ…”


ในสายตาของหูหลินอี้ฉายถึงความคาดหวังไม่น้อย


ถึงแม้ว่ามันจะให้ความสนใจกับการตาของสุมาฉุนแห่งตระกูลสุมาเช่นกัน แต่มันไม่ได้เชื่อมโยงการตายของอีกฝ่ายเข้ากับต้วนหลิงเทียนเลย


เพราะในความคิดของมัน สุมาฉุนก็คือยยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมได้แล้วถึง 2 ประการ พลังฝีมือนับว่าสูงส่งสุดที่ต้วนหลิงเทียนจะทาบติด อีกทั้งยังร่ำลือกันหนาหูว่าความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งลมที่สุมาฉุนเข้าใจยังคือ ‘ลมกรด’ อีกด้วย


จากสิ่งนี้ทำให้มันเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีทางเข่นฆ่าสุมาฉุนได้แน่นอน!


กล่าวได้ว่าจิตใต้สำนึกของมันได้กำหนดไว้แต่แรกโดยไม่รู้ตัว


ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คู่มือของสุมาฉุน!


“ท่านผู้อาวุโส…ต่อให้ประมุขปี้ไห่จะเห็นด้วยกับท่าน แต่เกรงว่าพวกเราเองก็ไร้หนทางจับมือใครดมได้ เพราะมิใช่เรื่องง่ายเลยที่ท่านจะหาตัววฆาตกรฆ่าหลานท่านได้เจอ”


อาวุโสของตระกูลสุมาอีกคนพอเห็นอาวุโสสูงกลับมาพร้อมใบหน้าอัปลักษณ์ มันก็ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมกล่าวออก


“ผู้ใดมีความเป็นไปได้ที่จักสามารถฆ่าหลานชายข้าได้ ข้าจักฆ่ามันให้สิ้น!”


สุมาผิงตงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น สองตายังเผยความคุ้มคลั่งประการหนึ่ง


ถึงแม้มันจะมีลูกชายและหลานชายอีกหลายคน อย่างไรก็ตามมันให้ความสำคัญกับสุมาฉุนมากกว่าใคร


การตายของสุมาฉุนทำให้มันมีโทษะสาหัสแล้วจริงๆ ยังแทบทนรอบุกเข้าไปล่าตัวฆาตกรฆ่าหลานชายมันในแดนสวรรค์ใต้ และฆ่าคนล้างแค้นไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ!


ได้ยินคำของสุมาผิงตง อาวุโสของตระกูลสุมาก็ได้แต่คลี่ยิ้มเจื่อนๆ


เพราะอย่างไรก็ตามเรื่องจะหาตัวฆาตกรและล้างแค้นให้สุมาฉุนก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว เพราะมันก็รู้ระดับพลังฝีมือของสุมาฉุนดี ในแดนสววรรค์ใต้ครานี้เกรงว่ามีน้อยคนนักที่เทียบได้ ที่เหนือกว่าย่อมมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย


อีกทั้งในบรรดาผู้คนที่มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยยที่สมควรมีพลังฝีมือเหนือกว่าสุมาฉุนนั้น ก็อาจจะสู้ชนะสุมาฉุนได้จริง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะฆ่าสุมาฉุนได้ เช่นนั้นขอเพียงมีใครที่มีพลังฝีมือโดดเด่นเหนือใครปรากฏตัวขึ้น นั่นก็คือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง!!


เป็นธรรมดาว่ายังมีอีกสถานการณ์หนึ่ง


สุมาฉุนบังเอิญถูกกลุ้มรุมสังหาร!


และหากเป็นเช่นนั้นจริง น่ากลัวว่าเรื่องคิดตามหาตัวฆาตกร คงยากเย็นยิ่งกว่างมเข็มในกองฟางแล้ว!


ด้านต้วนหลิงเทียน ย่อมไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง


ถึงแม้ว่าคะแนนของเขาจะทยอยเพิ่มขึ้นทีละแต้มสองแต้มอย่างเชื่องช้า แต่สุดท้ายก็เพิ่มขึ้นถึง 8 แต้มในเวลาไม่นานเกินรอ


อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสงสัยเลยสักคน ว่าเขาเป็นผู้ที่ฆ่าสุมาฉุน


เพราะเหนือใดอื่น ในเวลานี้ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้น ที่มีคะแนนเพิ่มขึ้นถึง 8 แต้ม!


นอกจากนี้เรื่องพลังฝีมือของเขาเองก็ถูกหลายคนเอาไปเล่าจากสิ่งที่เห็น ทำให้ไม่มีใครคิดว่าเขาจะสามารถฆ่าสุมาฉุนได้เลย ถูกตัดออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัยไปแทบจะทันที


และตั้งแต่ที่สุมาฉุนตกตายลงไป สุมาผิงตงก็เอาแต่จ้องตารางจัดอันดับไม่วางตา มันจดจำทุกรายชื่อที่มีคะแนนเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็ว ยังถึงกับจดไว้ในบัญชีผู้ต้องสงสัยที่อาจฆ่าหลานชายมัน!


ภายใน แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ


“ในที่สุด ก็ออกมาพ้นเขตป่าได้ซะที…”


พริบตาเดียววันเวลาก็ได้ล่วงเลยไปอีก 1 เดือน ต้วนหลิงเทียนที่ได้มุ่งหน้าไปตามการชี้นำ ในที่สุดก็หลุดออกมาจากป่าที่กว้างใหญ่ปานจะไร้สิ้นสุดนั่นเสียที


ต้องทราบด้วยว่าในขณะที่เดินทาง เขาได้ใช้ความเร็วสูงสุดแล้ว!


ด้วยเหตุนี้จึงทราบได้ไม่ยาก ว่าป่าทึบแห่งนี้มันกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด


WSSTH ตอนที่ 3,002 : ร่วมทาง


ในระหว่างเดินทาง ต้วนหลิงเทียนได้พบเจอผู้คนทั้งสิ้น 3 คน


หนึ่งในนั้นทันทีที่รับทราบว่าเขาอายุไม่ถึงร้อยปี มันก็เปิดฉากเข่นฆ่าใส่เขาทันที สุดท้ายจึงต้องสังเวยชีวิตคามือเขาแทน


ส่วนอีก 2 คนนั้น บังเอิญเห็นฉากตอนที่ต้วนหลิงเทียนประลองกับ เชวียจิงอวี่ องค์ชายรองของประเทศหนันฉี่ ทำให้พวกมันรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนดี


พวกมันก็เลยไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะต่อสู้ขัดขืนต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ ทำได้แต่ยอมรับชะตากรรมว่าต้องถูกฆ่าแน่แท้


อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกมันไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มคิดเข่นฆ่าสังหารเข้ามาก่อน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีพวกมันเช่นกัน


เพราะสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว ตอนนี้การไปให้ถึงวังจอมราชันอมตะเป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุด เพราะวังจอมราชันอมตะที่สมควรเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้สร้างทิ้งไว้นั้น มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีโอกาสดีๆรอเขาอยู่


หลังเร่งรุดเดินทางกว่าหนึ่งเดือน ต้วนหลิงเทียนที่โผล่พ้นเขตป่าทึบมาได้ ก็เผชิญหน้าเข้ากับที่ราบลุ่มทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ปานไร้ขอบเขต


กวาดตามองไปยังที่ทางเบื้องหน้านั้น นับว่ามันเป็นที่ราบทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่านัก จะเห็นก็แต่ภูเขาที่อยู่ไกลลิบๆ อีกทั้งไม่ใช่แนวเทือกเขาอะไร เป็นภูเขาที่ขึ้นอยู่โดดๆ ไม่ได้เรียงตัวติดกัน


“หืม?”


หลังมุ่งหน้าไปตามสัญญาณชี้นำอีก 3 วัน ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้ามาถึงเชิงเขาลูกหนึ่ง อีกทั้งพึ่งมาถึงตีนเขาได้ไม่ทันไร เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากขุนเขาเบื้องหน้า


เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่งแต่อย่างไร


ทว่าพอได้ยินเสียงหยิ่งผยองหนึ่งดังเข้าหู คิ้วต้วนหลิงเทียนก็ขดย่นเป็นปม ร่างที่คิดผ่านเลยไปพลันหยุดชะงัก ทั้งเร่งหันกลับไปมองทิศทางต้นเสียง จากนั้นคนก็วูบไปดั่งภูตพรายหายไปบนเขาทันที


“หวงเจียเชา ตัวกระจอกเช่นเจ้าไหนเลยจะเป็นคู่มือข้าได้ ยังจะดิ้นรนหาสวรรค์วิมานอันใด!? รีบตกตายไปให้พ้นๆหน้าข้าเสีย!!”


เป็นเพราะเสียงวาจาผยองดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนจึงหยุดเดินทางและพุ่งร่างขึ้นเขาไปทันที


และไม่ทันไร เบื้องหน้าก็ปรากฏฉากผู้คน 2 คนที่กำลังไล่ฆ่ากันอยู่


หนึ่งในนั้นเห็นได้ชัดว่าอ่อนด้อยกว่าและทำได้แค่ดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างสิ้นหวัง


ส่วนเจ้าของเสียงหยิ่งผยองก็ดังออกมาจากอีกคน ที่เป็นฝ่ายไลต้อนผู้คนอย่างสนุกสนาน


ผู้ที่ตกเป็นรองและกำลังจะถูกฆ่าตายนั้น หาใช่คนแปลกหน้าสำหรับต้วนหลิงเทียนไม่ แต่มันเป็นน้องชายของหวงเจียหลง หวงเจียเชา บุตรชายคนที่ 5 ของหวงเฟยเหยี่ยนเจ้าเมืองตู้อวิ๋นแห่งประเทศฝูชิว!


หลังวูบร่างมาถึงจุดหนึ่งบนเขา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดปกปิดร่องรอยแม้แต่น้อย กระทั่งยังจงใจแผ่กลิ่นอายยพลังกล้าแข็งนำไปก่อน


และเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันพลังที่อยู่ๆก็แผ่มาปกคลุมในบรรยากาศ ทั้ง 2 คนที่หนึ่งหนีตาย อีกหนึ่งไล่ฆ่าก็พร้อมใจกันหยุดลงทันที


“นะ…น้องต้วน!?”


หวงเจียเชานั้นเดิมทีคิดว่าหนึ่งชีวิตของมันต้องดับลงตรงนี้แน่แท้ แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าในห้วงเวลาคับขันเป็นตาย กลับมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาคลี่คลายวิกฤตหายนะ! แถมร่างดังกล่าวยังเป็นสหายของพี่ชายมันอีกด้วย!!


ทันใดนั้นใบหน้ามืดมิดอันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ก็กลับกลายเป็นสดใสด้วยรอยยิ้มร่า


วูบ!


ส่วนสีหน้าคนที่กำลังไล่ฆ่าหวงเจียเชาอยู่นั้นเปลี่ยนไปใหญ่หลวง เมื่อเห็นว่าหวงเจียเชากลับรู้จักกันกับคนที่พึ่งมาถึง


“น้องต้วน?”


และพอได้ยินคำอุทานทักด้วยยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีของหวงเจียเชา ลูกตาที่จับจองผู้มาใหม่ของมันก็หดเล็กลงทันที “มัน…มันหรือว่าจะเป็นอัจฉริยะฝูชิว…ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น!?”


“จะ…เจ้านั่นที่กระทั่งองค์ชายรองหนันฉี่ เชวียจิงอวี่ยังแพ้พ่ายไปอย่างง่ายดาย?”


พอฉุกคิดถึงจุดนี้ ชายในชุดแพรต่วนที่ไล่ฆ่าหวงเจียเชาอย่างสนุกมือ ก็หน้าซีดลงทันที ร่างยังเริ่มพร่าเลือนไปดังเงา ระเบิดความเร็วสูงสุดหมายหลบหนีไปให้ไกล!


ฟุ่บ!


อย่างไรก็ตามชายหนุ่มชุดแพรต่วนแม้จะใช้ความเร็วชั่วชีวิตพุ่งร่างหนีไปแทบจะทันที แต่มันพึ่งไปได้ไม่ไกล เบื้องหน้าก็ปรากฏร่างหนึ่งผุดขึ้นมาขวางเอาไว้ปานภูตผี!


ร่างที่หยุดขวางมันแน่นอนว่าเป็นต้วนหลิงเทียนเอง


ถึงแม้ชายคนนี้จะไม่ได้หาเรื่องเขาก่อน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนที่คิดเข่นฆ่าน้องชายของหวงเจียหลงเพื่อนเขา เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจปล่อยมันไปได้ง่ายๆ


“ตะ…ต้วนหลิงเทียน ขะ…ข้าท่านพวกเราล้ววนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใดๆต่อกัน เช่นนั้น…”


ชายหนุ่มนุชดแพรต่วนหรูหรามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงสั่นหน้าซีด ลูกตายังฉายแววหวาดผวาสุดใจ สองหมัดกำแน่นจนเล็บจิกเนื้อ กระทั่งยังสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นที่ชุ่มโชกเต็มฝ่ามือ


กระทั่งเชวียจิงอวี่ องค์ชายรองหนันฉี่ ก็ไม่ใช่ตัวตนที่มันจะตอแยด้วยได้แล้ว


ทว่าต้วนหลิงเทียนที่อยู่เบื้องหน้ามันตอนนี้ กระทั่งทุบตีองค์ชายรองหนันฉี่ผู้นั้นให้สิ้นท่าในกระบวนเดียวโดยไร้แม้แต่รอยขีดข่วน อีกทั้งเมื่อพินิจจากความเร็ววที่อีกฝ่ายวูบมาโผล่เบื้องหน้าปานผีสาง มันก็รู้ซึ้งไปถึงทรวงว่าพลังฝีมืออีกฝ่ายกล้าแข็งสุดที่มันจะตอแยด้วยได้ขนาดไหน…


อย่างไรก็ตามในขณะที่ชายหนุ่มในชุดแพรต่วนหรูหราคิดจะเจรจาอะไรกับต้วนหลิงเทียนนั้นเอง มือขวาต้วนหลิงเทียนพลันสะบัดออกไปตามอำเภอใจ หากแต่ฉับไวปานฟ้าผ่า คว้าพลองที่อยู่ๆก็อุบัติขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า ทุบฟาไปยังศีรษะชายหนุ่มในชุดแพรต่วนจนแตกระเบิด ตายตกในบัดดล


เรียกว่าไม่ทันที่ชายหนุ่มชุดแพรต่วนจะทันได้ตอบสนองสิ่งใด ศีรษะมันก็คล้ายแตงโมตกตึก แตกระเบิดคาพลองต้วนหลิงเทียนไปเสียแล้ว


เป็นธรรมดาว่าไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันไม่ทันได้ตอบสนองสิ่งใดด้วยซ้ำ เพราะต่อให้มันมองเห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียนและเตรียมการรับมือเต็มที่ แต่มันก็ไม่มีพลังมากพอจะต้านทานหนึ่งพลองที่ฟาดทุบลงมานี้ของต้วนหลิงเทียนได้เลย


พลองที่ต้วนหลิงเทียนฟาดทุบออกไป แม้แลดูฟาดทุบออกไปส่งๆตามอำเภอใจ แต่ก็อัดแน่นไปด้วยพลังเซียนอมตะที่ผสานเข้ากับพลังแห่งธาตุดิน ไหนจะยังมีวรยุทธ์อมตะราชันไม่เคลื่อนไหวกับปราณม่วงบูรพาอีก การโจมตีดังกล่าวจึงไม่ใช่อะไรที่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั่วไปจะต้านทานรับมือได้เลย…


“ท่านเป็นไรมากหรือไม่?”


หลังจบชีวิตชายหนุ่มในชุดแพรต่วนหรูหราและริบแหวนพื้นที่ของมันมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามหวงเจียเชาด้วยรอยยิ้มบางๆ


“ข้าไม่เป็นไร”


หววงเจียเชากล่าวตอบด้วยยใบหน้าเปื้อนยิ้มโง่งม “แต่เกือบไปแล้วจริงๆ ดีที่น้องต้วนมาได้ทันเวลาและยื่นมือช่วยเหลือข้า…ไม่งั้นข้าได้ตายกลายเป็นผีคามือเซี่ยโหวจีนั่นแน่”


“เซี่ยโหวจี้?”


ต้วนหลิงเทียนแปลกใจอยู่บ้าง “นี่พี่เจียเชารู้จักมันด้วยหรือ?”


มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็พึ่งนึกขึ้นได้ ว่าเป็นเพราะอีกกล่าวเชื่อหวงเจียเชาขึ้นมา เขาถึงได้มาที่นี่ ท่าทางอีกฝ่ายจะรู้จักกับหวงเจียเชามาก่อน


เพราะต่อให้มันไม่รู้จักหวงเจียเชามาก่อน แต่พึ่งจะมารู้จักหวงเจียเชาเอาตอนแนะนำตัวก่อนเข่นฆ่ากัน อีกฝ่ายก็คงไม่แลดูสะใจที่จะได้ฆ่าหวงเจียเชา โดยการกล่าววาจาทับถมซ้ำเติมผู้แพ้แบบนั้น


เพราะสุดท้ายแล้วคงเป็นไปไม่ได้เลย ที่สถานการณ์ของคนสองคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน จะฟังเหมือนสะใจที่ได้ฆ่าผู้อื่นปานมีความเกลียดชังกันแบบนั้น


“ใช่ ข้ากับมันพวกเรารู้จักกัน”


หวงเจียเชาคลิ้มแห้งๆกล่าวเล่าเรื่องราวออกมา “ที่สำคัญพวกเรานับได้ว่ามีเรื่องบาดหมางกัน…แน่นอนว่าคนที่มันเคียดแค้นมากกว่าข้าก็คือท่านพี่ กล่าวไปก็เพราะมันมีเรื่องมีราวกับท่านพี่ ก็เลยพลอยเกลียดข้าไปด้วย…”


“มันมีเรื่องกับพี่เจียหลงรึ?”


คิ้วต้วนหลิงเทียนเลิกขึ้น เขาย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าท่านพี่ที่หวงเจียเชาเอ่ยถึงก็คือหวงเจียหลง


ถึงแม้ว่าหวงเจียเชาจะมีพี่ชายทั้งสิ้น 4 คน แต่นอกจากหวงเจียหลงแล้วคนอื่นๆก็อายุมากกว่าหลายร้อยปี และก็ไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามประสาพี่น้องมากนัก ดังนั่นหวงเจียเชาจึงไม่เรียกอีกฝ่ายว่าท่านพี่อย่างสนิทสนมเช่นนี้แน่


มีแต่หวงเจียหลงเท่านั้น ที่หวงเจียเชาจะเรียกหาว่าท่านพี่ออกมาได้เต็มปาก


ในเมื่อหวงเจียหลงเป็นสหายที่ดีคนหนึ่งของเขา น้องชายสหายอย่างหวงเจียเชาเกิดเรื่อง เขาไหนเลยจะนิ่งดูดายไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้ เมื่อคิดส่งพระถังยังต้องพาไปส่งถึงชมพูทวีป เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงตัดสินใจพาหวงเจียเชาร่วมเดินทางไปด้วยกัน


“วังจอมราชันอมตะหรือ?”


ระหว่างเดินทางหวงเจียเชาก็ตกใจไม่น้อยเมื่อได้รับทราบเรื่องราวการคงอยู่ของวังจอมราชันอมตะจากต้วนหลิงเทียน เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่เคยรู้เรื่องวังจอมราชันอมตะมาก่อนเลย


“หากสะสมคะแนนครบ 10 แต้ม จะได้รับการชี้นำให้ไปยังวังจอมราชันอมตะงั้นเหรอ?”


หวงเจียเชาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดก็นึกเรื่องราวอะไรบางอย่างได้ออก “ข้าจำได้แล้ว…ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนยอดเซียนอมตะบางคนที่กลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำถึงได้ลืมเลือนเรื่องราวบางอย่างไป กระทั่งได้รับของล้ำค่ามา แต่ดันไม่รู้ว่าได้มาจากไหนหรือได้มาอย่างไร”


“และไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนถึงไม่มียอดเซียนอมตะหรือใครล่วงรู้ว่าต้องเก็บคะแนนให้ครบ 10 แต้ม…”


“ดูเหมือนว่าภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณจะมีพลังอำนาจจากค่ายกลบางประการที่สามารถลบความทรงจำของผู้ที่ได้คะแนนตั้งแต่ 10 แต้มขึ้นไป…”


หวงเจียเชากล่าว


“ยิ่งไปกว่านั้นข้าว่าคงไม่แค่ลบความทรงจำของผู้ที่ได้คะแนนตั้งแต่ 10 แต้มขึ้นไปเท่านั้น…แต่ความทรงจำของผู้ที่เคยติดต่อกับคนที่ได้คะแนนตั้งแต่ 10 แต้มขึ้นไปก็สมควรถูกลบออกไปด้วย! อย่างเช่นตัวข้า หากรอดกลับออกไปได้ น่ากลัวว่าความทรงจำเรื่องวังจอมราชันอมตะที่ได้ฟังจากน้องต้วนอาจจะถูกลบหายไป”


หวงเจียเชากล่าวสันนิษฐาน “หาไม่แล้วข้าสามารถนำเรื่องที่ท่านบอกข้าไปบอกเล่าให้ผู้อื่นรับทราบต่อได้…ทว่าตั้งแต่ในอดีตทุกคราที่แดนลับเปิดออก กลับไม่มีใครออกมาเล่าเรื่องนี้เลย ทั้งๆที่เหตุการณ์สมควรดำเนินไปในลักษณะนี้มาตลอด ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้ข้าเดาไม่ผิดแน่!”


“อืม สิบในสิบสมควรเป็นดั่งท่านว่า”


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วย


“พี่เจียเชา ว่าแต่ตอนนี้ท่านมีกี่คะแนนแล้ว?”


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามหวงเจียเชา


“แค่ 3 เอง…แหะๆ”


หวงเจียเชาคลี่ยิ้มออกมาราววตัวโง่งมอีกครั้ง “ข้าโชคดีพบเจอยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่มีพลังฝีมือทั่วๆไป 2 คน…หลังจากฆ่าทั้งคู่แล้ว ข้าก็เลยได้คะแนนสะสมของพวกมันมา 2 แต้ม”


หวงเจียเชากล่าวตอบ จากนั้นก็หันไปถามต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้ “แล้วน้องต้วนเล่า ท่านมีกี่แต้มแล้วหรือ?”


“ข้า? เดิมทีข้ามี 16 แต้มก่อนที่จะฆ่าเจ้านั่น…”


พอได้ยินคำถามของหวเจียเชา ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบพลางแผ่สำนึกเทววะไปตรวจวสอบคะแนนในป้ายหยกสะสมคะแนนีท่เขาห้อยแขวนไวว้บริเวณเอวทันที “ตอนนี้ข้ามี 21 แต้มแล้ว”


“คิดไม่ถึง…ว่าเจ้านั่นจะมีถึง 5 แต้ม”


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


ถึงแม้หวงเจียเชาที่เอ่ยถามออกไปจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว แต่มันก็ยังตกใจกับคะแนนที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งบอกไม่น้อย ด้วยคิดไม่ถึงจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะมีคะแนนสะสมถึง 21 แต้มแล้ว!


“หากเป็นเช่นนั้น เกิดเมื่อครู่เซี่ยโหวจี้ฆ่าข้าได้ มันก็จะมีคะแนนสะสม 8 แต้ม…โชคร้ายที่มันดวงกุดมาเจอกับน้องต้วนเข้า”


กล่าวถึงจุดนี้หวงเจียเชาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นก็มองจ้องไปที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจัง “น้องต้วนข้ารู้ว่าท่านสนิทกับท่านพี่จึงยื่นมือช่วยข้าเพราะเห็นแก่ท่านพี่ และการช่วยเหลือข้าก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้หนักแรงอะไรสำหรับท่าน…”


“อย่างไรก็ตามข้าหวงเจียเชาจะจดจำบุญคุณช่วยชีวิตครั้งนี้ของท่านเอาไว้ไม่มีวันลืม และภายภาคหน้าข้าต้องหาโอกาสตอบแทนท่านให้จงได้!”


หวงเจียเชากล่าวด้วยสายตาแน่วแน่


เมื่อเห็นแววตาแน่วแน่ของหวงเจียเชา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะเกรงใจอะไร เพียงยิ้มให้อีกฝ่ายบางๆ


“จริงสิพี่เจียเชา…ถึงท่านจะไปวังจอมราชันอมตะกับข้าด้วยแบบนี้ แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าคิดจะเข้าไปในวังจอมราชันอมตะจำต้องมีคะแนนสะสมสูงถึงกำหนดรึเปล่า…เอาแบบนี้เถอะ ต่อไปข้าจะฆ่าคนที่พบเจอโดยสังหารมันให้ใกล้ๆท่าน คราวนี้ท่านจะได้มีคะแนนสะสม 10 แต้มขึ้นไป”


หลังจากเดินทางไปต่ออีกสักพัก ต้วนหลิงเทียนที่ฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก็หันไปกล่าวบอกหวงเจียเชา


“เอ่อ…เช่นนี้จะดีหรือ? ข้าจะรับคะแนนของคนที่ท่านฆ่าได้อย่างไร?”


ถึงแม้ใจหวงเจียเชาจะหวั่นไหวไม่น้อย แต่มันก็เลือกจะส่ายหัวปฏิเสธออกมา “น้องต้วน ข้ารู้ว่าท่านคิดช่วยเหลือข้า…แต่ข้ายังหวังให้ท่านได้ ‘อันดับที่ 1’ ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้”


“เอาตามที่ข้าว่านี่ล่ะ”


ต้วนหลิงเทียนกล่าวยืนกรานออกมาอีกคำ ทั้งวาจายังไม่เหลือช่องให้หวงเจียเชาปฏิเสธใดๆ ทำให้หวงเจียเชาได้แต่ยิ้มแหยๆราวตัวโง่งมออกมาอีกรอบ แต่ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งตื้นตันไม่น้อย


การเดินทางหลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไร้ซึ่งความปราณีใดๆ เนื่องจากคิดจะรวบรวมคะแนนสะสมให้หวงเจียเชา


กล่าวได้ว่าแม้จะเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก และอีกฝ่ายไม่ได้เปิดฉากจู่โจมเข้าใส่เขากับหวงเจียเชาก่อน แต่ต้วนหลิงเทียนก็ลงมือสังหารทิ้งทันทีที่เจอ และยังเลือกจะซัดอีกฝ่ายให้ตายตอนอยู่ใกล้หวงเจียเชามากกว่า


หลังจากฆ่าไปแค่ 2 คน คะแนนสะสมของหวงเจียเชาก็มีถึง 10 แต้มในที่สุด


“น้องต้วน ข้าก็ได้รับการชี้นำแล้วเช่นกัน”


หลังได้คะแนนสะสมครบ 10 ก็หันไปบอกต้วนหลิงเทียนทันที


“เอาล่ะ”


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


อย่างไรก็ตามแม้คะแนนของหวงเจียเชาจะได้ครบแล้ว แต่การเดินทางหลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ยังคงไร้ปราณีต่อผู้ใดอยู่ดี พบเจอผู้ใดก็ฆ่าไม่ถามไถ่ จึงได้รับคะแนนสะสมมาเพิ่มบางส่วน


อย่างไรเสียคนที่เลือกจะเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ ก็คือผู้ที่พร้อมจะฆ่าคนและถูกผู้อื่นฆ่ามาเรียบร้อยแล้ว ในใจเขาย่อมไม่มีความรู้สึกผิดอะไรทั้งสิ้น


อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ตกตายด้วยน้ำมือต้วนหลิงเทียนนั้น ในห้วงเวลาสุดท้าก่อนที่สติมันจะดับลงตลอดกาล พวกมันไม่เพียงแต่สิ้นหวังเท่านั้น แต่ยังเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เลือกตัดสินใจเข้ามาที่นี่


เพราะต้วนหลิงเทียนร้ายกาจเกินไป พวกมันแค่เห็นหน้าแต่ยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร ก็ถูกเข่นฆ่าราวผักปลาเสียแล้ว…


WSSTH ตอนที่ 3,003 : วาสนาสถาน!


กล่าวไปแล้ว เหล่ายอดเซียนอมตะที่สามารถรอดชีวิตในแดนสวรรค์ใต้มานานกว่า 2 เดือน ล้วนแล้วแต่เป็นยอดเซียนอมตะที่เหนือกว่ายอดเซียนอมตะทั่วๆไปทั้งสิ้น


ในบรรดายอดเซียนอมตะที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอระหว่างเดินทางนั้น หากไม่ใช่คนที่เข้าใจถึงกฏอันใด แม้จะแตกฉานวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนางทั้งหมดแล้ว แต่พลังฝีมือของพวกมันก็แค่พอๆกันกับหวงเจียหลงบนเวทีประลองสวรรค์ใต้ในวันวาน เรียกว่าเต็มที่ก็แค่สูสีกับองค์ชาย 4 ฝูชิวอย่างหูจี้หย่ง


และคนเหล่านี้ก็นับว่าโชคร้ายเหลือเกินที่ดันมาเจอกับต้วนหลิงเทียนเข้า เพราะพวกมันไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ทำอะไรเลย ก็ถูกต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าตกตายไปแล้ว!


ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของต้วนหลิงเทียน คิดเข่นฆ่ายอดเซียนอมตะที่ยังเข้าไม่ถึงพลังแห่งกฏ นับว่าเป็นเรื่องราวอันง่ายดายไม่ต่างอะไรกับการตัดหญ้าฆ่าไก่!


“น้องต้วน พวกอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ท่านได้จากคนที่ตกตาย หลังท่านออกไปแล้วก็อย่ารีบร้อนเปิดเผยออกไปเล่า…ให้ดีก็รอให้ท่านเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลไปสักระยะแล้ว ค่อยเอาไปปล่อย…”


“แน่นอนว่าหากท่านไม่ขาดแคลนผลึกอมตะไว้ใช้ เช่นนั้นก็เก็บไว้ยาวๆ อย่าได้นำไปปล่อยเลย”


หวงเจียเชากล่าวเตือน


ระหว่างที่เดินทางติดตามต้วนหลิงเทียนมา พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนนับว่าทำให้มันแตกตื่นแทบตายจริงๆ ยิ่งได้เห็นฉากเขาฆ่าคนราวตัดหญ้าฆ่าไก่ หนังศีรษะก็เสมือนชาด้านไปไม่รู้เหนือใต้…


ถึงแม้ก่อนหน้านี้ตัวมันจะได้ยินจากปากพี่ชายอย่างหวงเจียหลงมาแล้ว ว่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนหาได้เป็นอย่างที่เคยเป็นไม่ อย่างไรก็ตามการได้ฟังจากปากคนอื่นกับได้มาเห็นกับตาตัวเอง นับเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!


“ก็นะ ข้าก็ว่างั้นล่ะ”


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


หลังจากเร่งรุดเดินทางต่อไปสักพัก เมื่อเข้าเขตพื้นที่ทะเลทรายอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา หลังวิ่งฝ่าฝุ่นทรายไอแดดจ้าไปสักพัก ลูกตาหวงเจียเชาก็หดเล็กลง “ข้ารู้สึกกว่า กลิ่นอายพลังลี้ลับที่คอยชี้นำมันแปลกไปเล็กน้อย…หรือพวกเราใกล้จะถึงวังจอมราชันอมตะกันแล้ว?”


“ข้าเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”


ได้ยินคำพูดดังกล่าวของหวงเจียเชา ต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิ้วขึ้น หากทว่าทันใดนั้นเองเขาพลันหันขวับไปมองทิศทางหนึ่งอย่างกะทันหัน


กระทั่งใบหูต้วนหลิงเทียนยังกระดิกเบาๆ คล้ายได้สินเสียงแผ่วเบาอะไรบางอย่าง


“น้องต้วน ดูเหมือนทางนั้นจะมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง…”


ตอนนี้เองหวงเจียเชาก็หันมองไปตามสายตาของต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวออกมาด้วยสีหน้างเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่ามันเองก็สัมผัสได้แล้วว่าบริเวณที่ต้วนหลิงเทียนมองไปนั้น มีความเคลื่อนไหวบางอย่าง


ต้วนหลิงเทียนหยีตามองจ้องอยู่พักหนึ่ง ก็เห็นความผิดปกติบางอย่าง เป็นประกายสีฟ้าเรืองๆขึ้นมาห่างจากจุดที่เขาอยู่หลายสิบลี้


อย่างไรก็ตามทิศทางที่เขาพบว่ามีประกายสีฟ้าเรืองออกมานั้น กลับไม่ใช่ทิศทางไปยังวังจอมราชันอมตะจากการชี้นำของพลังลี้ลับ


ทว่าต้วนหลิงเทียนยิ่งมาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวรุนแรงจากจุดนั้น คล้ายมีผู้คนกำลังลงมือกันอย่างเอาเป็นเอาตาย!


ถึงแม้ในแง่พลังฝีมือต้วนหลิงเทียนจะเหนือกว่าหวงเจียเชามาก แต่อย่างไรเสียด่านพลังเขาก็อยู่ในขอบเขตยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดไม่ต่างอะไรจากหวงเจียเชา


ดังนั้นแล้วไม่ว่าอะไรก็ตามที่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ ก็อยู่ในวิสัยที่หวงเจียเชาพอจะสัมผัสได้เช่นกัน แค่สายตากับหูของต้วนหลิงเทียนจะดีกว่า เพราะเขาทะลวงจุดชีพจรได้เยอะกว่าเท่านั้น


“เอาล่ะ พวกเราไปดูทางนั้นกันก่อนเถอะ”


กล่าววไปแล้ว ระยะทางเพียงไม่กี่สิบลี้ก็ไม่ถือว่าห่างไกลอะไรแม้แต่น้อย ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่อาจทนต่อความอยากรู้อยากเห็นในใจได้ไหว จึงเลือกที่จะมุ่งหน้าไปยังจุดที่เขาเห็นประกายสีฟ้าเรืองๆออกมาทันที


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนบึ่งร่างออกไป หวงเจียเชาก็ไม่รอช้าเร่งรุดไล่ตามไปติดๆ เพราะอย่างไรเสียอาศัยพลังฝีมือส่วนตัวของมัน ก็คงเอาตัวรอดในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำตอนนี้ได้ยาก


เพราะหลังจากที่มันได้พบเจอกับต้วนหลิงเทียนและร่วมเดินทางมาด้วยกันนั้น ต่อให้เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่อ่อนแอที่สุดที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าไปง่ายๆ แต่พลังฝีมือของคนผู้นั้นก็พอๆกับมันเลย!


และส่วนที่เหลือก็เหนือกว่ามันอย่างสิ้นเชิง!


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เดินทางมาจนเห็นต้นกำเนิดของประกายสีฟ้าเรืองๆ ที่แท้มันเป็นทะเลสาบแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราบนั่นเอง


อย่างไรก็ตามเพียงมองไปตอนนี้ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ทะเลสาบธรรมดาๆแน่นอน เพราะผิวน้ำไม่เพียงแต่จะไม่สงบ แต่กลับปั่นป่วนดั่งห้วงสมุทรคลั่ง อีกทั้งจากสัมผัสเขายังบอกได้อีกว่าต้นตอความปั่นป่วนมันมาจากลึกลงไปใต้ผิวน้ำ!


“ดูเหมือนจะมีคนสู้กันใต้ทะเลสาบ”


สำนึกเทวะของหวงเจียเชาแผ่ลงไปสำรวจใต้ทะเลสาบไม่ทันไรก็พบความเคลื่อนไหวบางอย่าง ต้นตอของแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้ผิวน้ำคุ้มคลั่งเหมือนจะมาจากที่นั่น


“สู้กัน? ใต้น้ำนี่น่ะรึ?”


สำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนเองก็แผ่ลงไปสำรวจใต้ทะเลสาบเช่นกัน และเมื่อตรวจพบการต่อสู้ สองตาของเขาก็ลุกวาวขึ้นมาทันใด “มัน…จะเป็นไปได้รึเปล่าว่าที่นี่คือ วาสนาสถาน?”


ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น มีโอกาสและวาสนารอคอยให้ผู้ที่มีโชคชะตาต้องกันไปพานพบมากมาย และกระจายตัวอยู่ไปทั่วแดนสวรรค์ใต้โบราณ ผู้คนจึงเรียกจุดที่มีโอกาสวาสนาเช่นนี้ว่า ‘วาสนาสถาน’ เป็นอันบ่งบอกว่าเป็นสถานที่อันมีโอกาสและโชควาสนารอคอยท่านอยู่!


และโอกาสวาสนาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น ก็อาจจะเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชา วรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชา ไม่เว้นเคล็ดอมตะ ยันต์อมตะ โอสถอมตะ กระทั่งยังเป็นสถานที่ๆอาจสามารถเพิ่มพูนพลังฝึกปรือหรือความเข้าใจในกฏ


ทรัพย์สมบัติรวมถึงสิ่งของล้ำค่าอื่นๆก็มีอยู่เช่นกัน


“ไม่มีใครเคยออกมาเล่าเรื่องวังจอมราชันอมตะก็จริง…แต่เรื่องวานาสถานในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้นมีผู้คนกล่าวถึงหนาหูไม่น้อย เพราะมีหลายยคนที่พบพานวาสนาสถานแล้วได้ครอบครองสิ่งล้ำค่ากลับมามากมาย”


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหวงเจียเชาพลางยิ้มกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขม “พี่เจียเชา ต้องบอกเลยยว่าข้ากับท่านดูเหมือนจะดวงไม่ค่อยดีด้วยกันทั้งคู่…มาตอนนี้ก็ผ่านไป 2 เดือนกว่าแล้ว แต่ข้ากับท่านดูเหมือนจะพึ่งเคยพบเจอวาสนาสถานที่ผู้คนมากมายกล่าวถึงกัน”


ในการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณแต่ละรอบ มักมีผู้คนไม่น้อยที่พบเจอวาสนาสถาน ถึงแม้บางแห่งจะไม่ใช่สิ่งที่เลิศล้ำอะไรมากมายก็ตามที


แต่เป็นธรรมดาว่า วาสนาสถานมิใช่สถานที่ๆจะมีแต่สิ่งดีๆ กระทั่งมันอาจเป็นหลุมฝังศพของท่านได้เช่นกัน


คนที่พบเจอวาสนาสถานนั้น แม้จะมีโชคได้พบเจอ แต่กลับโชคร้ายที่ดันพบเจอผู้อื่นที่บังเอิญพบเจอเช่นกัน สุดท้ายก็ไม่วายตกตายภายใตเงื้อมมือของยอดเซียนอมตะที่มีพลังฝีมือสูงกว่า โอกาสวาสนาใดๆก็ล้วนหลุดลอยไปอยู่ในมือผู้อื่น ส่วนตัวเองก็ได้แต่นอนตัวเย็นเป็นซากเน่าไร้คนเหลียวแล…


มีบางคนที่ไร้โอกาสวาสนาอันใด แต่ขอเพียงพลังฝีมือกล้าแข็งสูงพอ เช่นนั้นเพียงช่วงชิงปล้นวาสนาและโอกาสของผู้อื่นเสียก็จบ!


และตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่เคยพบเจอวาสนาสถานอะไรเลย แต่ในบรรดาคนที่เขาฆ่า สมควรเป็นคนที่พบเจอโอกาสวาสนามาไม่ผิดแน่!


เพราะบางคนนั้นถึงกับครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับราชามากกว่า 2 ชิ้น แต่เนื่องจากต้วนหลิงเทียนไม่อาจยืนยันได้ว่ามันเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่อีกฝ่ายพบเจอในแดนสวรรค์ใต้ หรือเป็นของมันเองกันแน่ เขาจึงไม่คิดจะเปิดเผยสิ่งที่ได้มาออกไปง่ายๆหลังรอดกลับออกไป


เนื่องเพราะเหล่าผู้ที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใตโบราณระดับต่ำครั้งนี้ ไม่ขาดตัวตนที่มีพื้นเพความเป็นมายิ่งใหญ่ หากเขาหยิบอุปกรณ์อมตะระดับราชาเหล่านั้นออกมาใช้หรือขายสุ่มสี่สุ่มห้า เกรงว่าอาจจะเป็นเบาะแสให้ผู้อื่นสาวมาถึงตัวเอาได้ง่ายๆ


ถึงตอนนั้นก็รังแต่จะสร้างปัญหาและความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น


“พวกเราจะเข้าไปดูกันไหม?”


หวงเจียเชาหันไปมองถามความเห็นต้วนหลิงเทียน ในแววตาของมันยังฉายแววตื่นเต้นไม่น้อย


หากเป็นตัวมันเองมาพบเจอที่นี่เพียงลำพัง และพบว่าด้านในสมควรมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่ มันคงจะรีบหลบหนีไปให้ไว เพราะมันรู้กำลังของตัวเองดี


เลินเล่อเข้าไปเพราะความโลภ ไม่พ้นได้ตายกลายเป็นผีเฝ้าที่แน่!


“ไปสิ!”


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ เขาเองก็คิดจะเข้าไปอยู่แล้ว เช่นนั้นหลังกล่าวจบคำไม่ทันไร คนก็พุ่งวูบนำเหินเจียเชาลงไปในทะเลสาบทันที


และทั่วร่างของทั้งคู่ก็แผ่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมากางกั้นเป็นม่านพลัง ปิดกั้นมวลน้ำได้ชะงัด ทำให้การเดินทางลงไปใต้ทะเลสบายของทั้งคู่ ง่ายดายไม่ต่างอะไรกับการเดินในสวนหลังบ้าน


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!



ครืน! บรึม! บรึม! บรึม!!



เมื่อล่ววงลึกเข้ามาในทะเลสาบ ยิ่งเข้าใกล้จุดปะทะมากเท่าไหร่ ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาก็ได้ยินเสียงอึกทึกคึกโครมดังขึ้นเท่านั้น


“หืม?”


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาก็จำต้องหยุดร่างลงชั่วคราว เพราะเสียงการปะทะที่ดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ๆก็หยุดลงอย่างกะทันหัน จากนั้นก็เงียบหายไปเลย


ราวกับเสียงดังทั้งหมดที่ได้ยินมาก่อนหน้า ล้วนเป็นมายาหรือไม่พวกเขาก็หูหลอนกันไปเอง


ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาหันมามองหน้าสบตากันทันที


“น้องต้วน ดูท่าพวกมันจะพบพวกเราแล้วสิ?”


หวงเจียเชาถามด้วยการส่งเสียงผ่านพลัง


“คงงั้นล่ะ…หากพวกมันไม่รู้ว่าพวกเรามา มีหรือจะหยุดตีกัน”


ต้วนหลิงเทียนตอบพลางยักไหล่


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาก็มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกใต้ทะเลสาบ พลางแผ่สำนึกเทวะออกกไปตรวจสอบเรื่องราวโดยรอบอย่างระวัง


และไม่นานทั้งคู่ก็ตรวจพบว่าบริเวณผนังผาจุดหนึ่งใต้ทะเลสาบ กลับมีม่านพลังหนึ่งคอยปิดกั้นมวลน้ำเอาไว้ และภายในม่านพลังดังกล่าวก็เป็นประตูที่แลดูเก่าแก่บานหนึ่ง


ข้างๆประตูเก่าแก่บานดังกล่าว ยังมีแท่นศิลารูปทรงกระบี่ตั้งอยู่ และมีอักขระสลักไว้บนใบกระบี่ศิลาดังกล่าวชัดเจน


สุสานกระบี่!


ต้วนหลิงเทียนกับหววงเจียเชาล่วงล้ำเข้าสู่ภายในม่านพลัง ก่อนที่จะไปหยุดยืนหน้าประตูเก่าแก่โบราณบานดังกล่าว และสองตาของทั้งคู่ก็มองจ้องไปยังแท่นศิลาทรงกระบี่ข้างๆอย่างน่าดูชม


“สุสานกระบี่รึ!? เช่นนั้นหมายความว่าที่นี่คือวาสนาสถานที่พวกเรามีโอกาสจะได้รับอุปกรณ์อมตะอันประเสริฐ!”


หวงเจียหลงกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความตื่นเต้น “ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำมีอุปกรณ์อมตะที่เลิศล้ำกว่าอุปกรณ์อมตะทั่วไปดำรงอยู่…และนั่นก็คืออุปกรณ์อมตะประเสริฐที่มักจะอยู่ในวาสนาสถานที่ราชาอมตะตั้งใจสร้างขึ้น เป็นอุปกรณ์อมตะที่ราชาอมตะได้ใช้พลังขัดเกลาหล่อเลี้ยงมาชั่วระยยะเวลาหนึ่ง!!”


“โดยทั่วไปแล้ว อุปกรณ์อมตะระดับราชาธรรมดาๆกับอุปกรณ์อมมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากตัวตนขอบเขตราชาอมตะมาพักหนึ่งนั้น จักมีอานุภาพแตกต่างกันมาก!”


ได้ยินคำอธิบายของหววงเจียเชา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง เพราะเขาเองก็พึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้ ที่แท้ในบรรดาอุปกรณ์อมตะระดับราชาก็มีแบ่งแยกคุณภาพในลัษณะนี้ด้วย


“ในเมื่อวาสนาสถานแห่งนี้ถูกเรียกว่าสุสานกระบี่ เช่นนั้นหมายความว่าด้านในสมควรมีกระบี่อมตะระดับราชาที่ได้รับการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากราชาอมตะที่สร้างวาสนาสถานแห่งนี้ขึ้น!”


หวงเจียเชากล่าวออกมาด้วยความคาดหวัง มันมองโลกในแง่ดีนัก


และพอหวงเจียชมกล่าวจบได้ไม่ทัน ก็มีเสียงดังออกมาจากประตูเก่าแก่โบราณเบื้อหน้าพอดิบพอดี


“สองคนด้านนอกนั่นน่ะ เข้ามาเถอะ”


เห็นได้ชัดว่าผู้ที่อยู่ด้านในไม่คิดที่จะลงมือกับต้วนหลิงเทียนและหวงเจียเชาอย่างวู่วาม


แต่เป็นธรรมดาว่าต่อให้พวกมันคิดซุ่มโจมตีอะไร ด้วยความที่เป็นยอดเซียนอมตะดุจเดียวกัน หากพวกมันไร้อุปกรณ์อมตะหรือยันต์อมตะประเภทปกปิดกลิ่นอาย ก็คงยากที่จะรอดพ้นจากการตรวบจับของสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนได้


ที่สำคัญอุปกรณ์อมตะรวมทั้งยันต์อมตะที่มีพลังสามารถดังว่า ปกติแล้วจะเป็นอุปกรณ์อมตะและยันต์อมตะที่สร้างขึ้นโดยตัวตนที่มีด่านพลังเหนือกว่าขอบเขตยอดเซียนอมตะ ทำให้พลังอำนาจของมันก็อยู่เหนือขอบเขตของยอดเซียนอมตะเป็นธรรมดา จึงยากที่จะใช้งานอะไรได้ภายใต้ข้อกำจัดของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้


เมื่อเปิดประตูดังกล่าวแล้วก้าวเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนแลเห็นก็คือ ทางเดินแคบๆสายหนึ่ง และทางเดินแคบๆที่ว่าก็มีความยาวเพียงไม่กี่สิบหมี่เท่านั้น พอมาถึงปลายทางที่แสงลอดเข้ามา ก็ปรากฏเป็นโถงถ้ำกว่าใหญ่แห่งหนึ่ง


โถงถ้ำแห่งนี้ไม่ทราบมีผู้คนบรรจงสร้างหรือเกิดขึ้นตามธรรมชาติกันแน่ แต่มีลักษณ์คล้ายห้องหับทรงจัตุรัส อีกทั้งมองไปตามผนังโดยรอบ ก็มีรอยกระบี่ฟันไว้นับไม่ถ้วน บางรอยตื้นบางรอยลึก บ่งบอกถึงความหนักเบาของผู้ลงกระบี่ คล้ายว่ามีมือกระบี่คนหนึ่งทำการฝึกปรือวิชาในโถงถ้ำทรงจัตุรัสแห่งนี้


และส่วนลึกสุดของโถงถ้ำก็ปรากฏแท่นศิลาแท่นศิลารูปทรงกระบี่อันเขื่องแท่นหนึ่ง


อีกทั้งบนแท่นศิลาทรงกระบี่ที่ว่ายังมีภาพกระบี่แกะสลักเอาไว้ และกระบี่ที่ถูกแกะสลักเอาไว้บนแท่นศิลาทรงกระบี่ดังกล่าว ไม่มีเล่มใดที่มีรูปแบบเดียวกันเลย แม้จะแลคล้ายกันอยู่บ้างหากแต่ขนาดนั้นแตกต่างกันทั้งหมด


และที่สะดุดตาที่สุดก็คือบนแท่นศิลาทรงกระบี่ดังกล่าว มีกระบี่หนักเล่มเขื่องปักเสียบเอาไว้ กระบี่หนักที่ว่าเพียงดูด้วยตาก็บอกได้ทันทีว่ามันมีความยาวราวๆ 7 ฉื่อ!


อีกทั้งกระบี่หนักดังกล่าวยังไร้คม มองไปคล้ายกระบี่หนักที่สร้างขึ้นจากศิลาเล่มหนึ่ง


อย่างไรก็ตามกระบี่หนักเล่มเขื่องนี้ ไม่ว่าใครดูก็บอกได้ทันทีว่ามันหาได้ธรรมดาอย่างที่ตาเห็นไม่ แม้จะปักเสียบคาแท่นหินเอาไว้ หากแต่ตัวกระบี่ยังเปล่งแสงพลังเรืองรองออกมาไม่หยุด!


แสงพลังเรืองรองดังกล่าว จากสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามันเป็นพลังงานลี้ลับที่แผ่ออกมาจากแท่นศิลาที่ตัวกระบี่หนักเล่มเขื่องนี้ปักอยู่ คอยส่งพลังไปขัดเกลาหล่อเลี้ยงอยู่ไม่ขาด จนทำให้พลังของกระบี่ยิ่งมายิ่งทรงอานุภาพเพิ่มพูน ตัวกระบี่ยังคล้ายมีเจตจำนงกระบี่ของผู้สร้างสถิตย์อยู่!


วู้ม! วู้ม! ฟั่บ! ฟั่บ!



บางคราพลังงานที่หล่อเลี้ยงกระบี่หนักเล่มเขื่องที่ว่า ก็ทำให้ตัวกระบี่หนักเกิดปฏิกริยาบางประการ พลังกระบี่คล้ายเอ่อล้น จนก่อเกิดเป็นรังสีสะบั้นซัดกวาดออกมาจากตัวกระบี่ เชือดเฉือนผนังโดยรอบจนเกิดรอยกระบี่ฟันลึกเป็นทาง


พินิจจากเรื่องราวเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ ที่แท้สุสานกระบี่แห่งนี้หาได้มีมือกระบี่มาฝึกปรือวิชา แต่รอยกระบี่ทั่วทั้งห้อง กลับถูกรังสีสะบั้นที่ซัดออกจากกระบี่หนักเล่มเขื่องนี้ฟันฟาดนั่นเอง!


“หืม?”


หลังต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาเดินผ่านช่องทางออกมาถึงโถงจัตุรัสได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหาร 2 สายที่แผ่ออกมาจากร่างคน 2 คนที่ยืนอยู่กลางโถงจัตุรัส


แน่นอนว่าเป้าจิตสังหารของทั้งคู่ ล้วนเพ่งเล็งมาที่เขากับหวงเจียเชา!!


WSSTH ตอนที่ 3,004 : ลงมือช่วงชิง


2 คนที่มองจ้องมาทางเขากับหวงเจียเชาด้วยจิตสังหารนั้น หนึ่งเป็นชายวัยกลางคน ส่วนอีกหนึ่งเป็นชายหนุ่ม สีหน้าแววตาของพวกมันแลดูดุร้ายเอาเรื่องไม่น้อย


อย่างที่หวงเจียเชากล่าวไว้ ที่แห่งนี้เป็นวาสนาสถานจริงๆ และอุปกรณ์อมตะที่รอผู้เป็นนายก็คือกระบี่หนักเล่มเขื่องนั่น และชายทั้ง 2 คนเบื้องหน้าก็สมควรเป็นคนที่มาพบสถานที่แห่งนี้ก่อนหน้าพวกเขาได้สักพักแล้ว


อย่างไรก็ตามทั้งคู่ไม่มีใครได้ครอบครองสมบัติ แต่กำลังต่อสู้กันเพื่อสิทธิ์ในการถือครอง และท่าทางจะไม่มีใครคิดจะยอมลงให้อีกฝ่ายเป็นแน่!


เพราะนี่ไม่ใช่แค่อุปกรณ์อมตะระดับราชาธรรมดาๆ แต่เป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้ตัวตนขอบเขตราชาอมตะขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังมาแล้ว…


อุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทนี้ พลังอานุภาพของมันเหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไปมาก


และมองจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งคู่ที่มาถึงก่อนไม่พ้นพลังฝีมือต้องทัดเทียมกัน และหากมีใครได้กระบี่อมตะระดับราชานั่นไปครอง สมดุลของพลังต้องมีอันถูกทำลายลงทันใด กระทั่งด้วยพลังของกระบี่อมตะระดับราชานั่น ต้องสามารถเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้ในกระบวนเดียวเป็นแน่


และตอนแรกทั้งคู่ก็จ้องจะฆ่ากันเพื่อชิงกระบี่หนัก


ทว่าพอพวกมันตระหนักว่ามีคนนอกกำลังเข้ามา พวกมันก็หยุดมือลงอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมาก่อน


เนื่องเพราะไม่มีใครอยากเป็นตั๊กแตนกับจั๊กจั่นในคำ ‘ตั๊กแตนจ้องจับจั๊กจั่น ไม่รู้ภัยนกขมิ้นอยู่เบื้องหลัง’


“ในเมื่อเจ้ากับข้าพวกเราค้นพบสถานที่แห่งนี้ก่อนพวกมัน…เช่นนั้นพวกเราร่วมมือกันสังหารผู้อื่นก่อนดีหรือไม่ แล้วค่อยมาตัดสินกันภายหลังว่าผู้ใดจะได้ครองกระบี่?”


“ประเสริฐ!”


ตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาจะยังไม่เปิดประตูเดินเข้ามา หนึ่งหนุ่มหนึ่งวัยกลางคนก็ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย ว่าหลังจากฆ่าพวกต้วนหลิงเทียนทั้งสองแล้ว พวกมันค่อยมาวัดกันภายหลังว่าใครจะได้เป็นผู้ครอบครองกระบี่หนัก


“กระบี่หนักเล่มนั้น…ดูดีทีเดียว”


แม้จะสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันจากทั้ง 2 ที่เพ่งเล็งเข้ามาเขม็ง แต่สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงแลดูสงบไร้เรื่องราว สองตาเอาแต่จับจ้องมองไปยังกระบี่หนักบนแท่นด้วยประกายวับวาว


“เจ้าหนู กระบี่หนักเล่มนี้เหมาะกับเจ้าไม่เบาเลย…”


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองจ้องกระบี่หนักด้วยสองตาลุกวาวนั้นเอง ในใจเขาพลันมีเสียงเด็กน้อยไม่หย่านมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้น


“โดยปกติแล้วผู้ที่เข้าใจกฏแห่งลมมักจะใช้อาวุธเบาและแหลมคม…ทว่าตัวเจ้านั้นได้เข้าใจในกฏแห่งดิน การใช้อาวุธประเภทกระบี่หนักหรือดาบใหญ่ ไม่เว้นพวกขวานกระบองนับว่าเหมาะสมกับเจ้าเป็นที่สุด!”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว


“หืม?”


แทบจะทันทีที่เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังจบคำ สองตาต้วนหลิงเทียนที่แต่เดิมลุกวาว ก็ยิ่งเปล่งแสงจ้าขึ้นมาดั่งดวงดารา


อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่เหมาะสมกับเขางั้นรึ?


นอกจากนั้นยังเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากราชาอมตะมาพักหนึ่ง!


“กระบี่เล่มนี้ ข้าต้องการ!”


ต้วนหลิงเทียนที่มองจ้องกระบี่หนักด้วยประกายตาสดใสกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด และฟังจากคำพูดของเขา คล้ายไม่ได้เห็นหัวชายหนุ่มกับชายวัยกลางคนกลางโถง ที่กำลังมองจ้องมาที่เขากับหวงเจียเชาด้วยสายตาดุร้ายเลย


“หึ! หากเจ้าต้องการกระบี่เล่มนี้ นั่นก็ต้องดูด้วยว่าเจ้ามีพลังสามารถหรือไม่!!”


หลังได้ยินวาจาประกาศเจตนาอย่างอหังการของต้วนหลิงเทียน มุมปากชายวัยกลางคนก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มแสยะ


“อยากเห็นพลังสามารถข้าหรือ?”


เมื่อเสียงเย้ยหยันของชายวัยกลางคนดังจบคำไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามมันทันที รอยยิ้มขี้เล่นยังคลี่กางขึ้นอย่างสนุกสนาน


เพราะก่อนที่เขากับหวงเจียเชาจะเข้ามายังสุสานกระบี่แห่งนี้ ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ได้เตือนเขาแต่แรกว่าทั้ง 2 ที่อยู่ด้านในนั้น ยังไม่เข้าถึงพลังแห่งกฏ!


ยอดเซียนอมตะที่ยังไม่อาจเข้าถึงพลังแห่งกฏ ให้พลังฝีมือร้ายกาจเพยีงใด แต่ก็ยังมีขีดจำกัด


ด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินนำหวงเจียเชาเข้ามาในสุสานกระบี่อย่างสบายๆ คล้ายเดินกลับเข้าบ้านตัวเอง ไม่ได้แลดูมีแรงกดดันใดๆแม้แต่น้อย


“ไม่..”


ในขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังจะเอ่ยคำว่า ‘ไม่ผิด’ ออกมา อนิจจามันพึ่งจะเปิดปากกล่าวคำได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนที่ทั่วร่างปะทุออกมาด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานไว้ด้วยพลังแห่งธาตุดิน ก็วูบร่างมาโผล่เบื้องหน้าของมันปานภูตผี!


ปงงงง!!


หนึ่งตีหนึ่งศพ


เพียงหนึ่งพลองที่ฟาดทุบออกไป ก็ระเบิดศีรษะของชายวัยกลางคนจนเละ ร่างไร้หัวปลิวกระเด็นไปตามแรงเฉื่อย กระตุกเพียงไม่กี่ครั้งก็แน่นิ่งไป…


เรื่องราวดังกล่าวอุบัติขึ้นในห้วงเวลาชั่วพริบตาปานฟ้าแลบ ถึงขั้นที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆชายวัยกลางคนที่หัวระเบิดตายตก ยังไม่ทันได้ตอบสนองสิ่งใดด้วยซ้ำ


และกว่าที่มันจะรู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น ก็พบแต่เพียงร่างไร้ศีรษะของชายวัยกลางคนที่พลังฝีมือทัดเทียมกับมันปลิวไปตายไกลๆ กระทั่งมันสมองอีกฝ่ายยังคล้ายกระเด็นมาเปื้อนหน้ามันด้วยซ้ำ…


“ตะ…ตายแล้ว?!”


สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไปพลิกฟ้าคว่ำดิน ขณะเดียวกันสายตาดุร้ายที่เคยเต็มไปด้วยจิตสังหาร บัดนี้คงเหลือแต่ความหวาดผวาขลาดกลัว มองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างสยดสยอง เร่งกล่าววิงวอนออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตะ..ใต้เท้า กระ…กระบี่นั่นผู้น้อยไม่เอาแล้ว ผะ..ผู้น้อยไม่เอาแล้ว!!”


“ขะ…ขอแค่ใต้เท้าเมตตาผู้น้อยสักครา ให้ผู้น้อยรอดกลับออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณทั้งยังมีลมหายใจด้วยเถอะ!!”


กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของชายหนุ่มก็ฟังดูชวนให้ผู้คนบังเกิดคววามเวทนาจับใจ คล้ายขอทานหิวโหยผู้หนึ่งวิงวอนขอเศษหมั่นโถวประทังชีวิต


อนิจจาคำตอบของการวิงวอนร้องขอมัน ก็คือหนึ่งพลองของต้วนหลิงเทียนที่ฟาดทุบเข้ามาอย่างไร้ปราณี…


ปงงงง!!


ชั่วพริบตา ชายหนุ่มก็ติดตามชายวัยกลางคนไปเมืองผี ป้ายหยกของมันกับชายวัยกลางคนที่ตกตายไปก่อนหน้า ก็มีอันต้องแตกสลายเป็นประกายแสงหนึ่ง พุ่งเข้าสู่ป้ายหยกสะสมคะแนนของต้วนหลิงเทียน ตัวเลขคะแนนสะสมในป้ายเขาจึงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง


ต่างจากชายวัยกลางคนที่ไม่ล่วงรู้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน จึงไม่ทันได้ตั้งตัวอันใด


ชายหนุ่มคนนี้ แม้จะล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งต้วนหลิงเทียนแล้ว แต่พอเห็นชายวัยกลางคนถูกผู้อื่นตีตายในชั่วพริบตา มันย่อมตระหนักได้ถึงความต่างระหว่างมันกับต้วนหลิงเทียนชัดเจน จึงไม่เหลือความคิดต่อสู้แม้แต่น้อย


หากมันยังหลงเหลือความคิดต่อต้าน และพยายามดิ้นรนอย่างสิ้นหวังจนขาดใจ อย่างน้อยๆมันอาจจะรอดชีวิตได้สักท่าสองท่า อนิจจาในเมื่อมันไม่เหลือใจจะสู้ หนึ่งพลองของต้วนหลิงเทียนจึงจบชีวิตมันได้ง่ายดาย


หลังจากฆ่าทั้งสองคนไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินไปยังแท่นหินทรงกระบี่ จากนั้นก็ดึงกระบี่หนักที่ปักอยู่บนแท่นหินออกมาอย่างไม่รอช้า


และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนดึงกระบี่หนักออกมาจากแท่นหินดังกล่าว พลังลี้ลับแต่เดิมที่จ่ายออกมาจากแท่นหินคอยขัดเกลากระบี่หนักในมือ ก็เริ่มพวยพุ่งทะลักออกมาปานขุดเจอน้ำมันดิบ! พลังดังกล่าวยังเริ่มก่อเกิดเป็นรังสีพลังน่าพรั่นพรึงกระจายไปทั่วโถงจัตุรัส!!


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!



รังสีกระบี่ยังคงก่อเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง อีกทั้งยิ่งมากลิ่นอายพลังแหลมคมที่แผ่ออกจากรังสีกระบี่ทั้งหลายก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้น ให้ความรู้สึกคุกคามต่อหวงเจียเชาไม่น้อย มันจำต้องเร่งปะทุพลังชั่วชีวิตสร้างม่านพลังกำบังกันไว้ก่อนทันที


“น้องต้วน! ข้าได้ยินมาว่าหากผู้ใดคิดครอบครองสิ่งที่อยู่ภายในวาสนาสถาน ก็จำต้องผ่านการทดสอบเสียก่อน…จากที่ดูตอนนี้ ข้าว่าทั้ง 2 คนนั่น มันยังไม่ได้ผ่านบททดสอบอันใด พวกมันสมควรเข่นฆ่ากันเพื่อช่วงชิงสิทธิ์เข้ารับการทดสอบเท่านั้น!!”


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรชึ้น เสียงของหวงเจียเชาพลันดังขึ้นเข้าเขาอย่างประจวบเหมาะ “และในประวัติศาสตร์ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ มียอดเซียนอมตะไม่น้อยที่ต้องตกตายไปในการทดสอบของวาสนาสถาน…ทั้งหมดเพราะพวกมันไม่มีพลังมากพอจะครอบครองสมบัติในวาสนาสถาน!!”


“การทดสอบรึ?”


พอดิ้นคำพูดของหวงเจียเชา ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มกวาดตามองไปยังรังสีกระบี่ที่ลอยล่องอยู่รอบกายทันที เรียกว่ารังสีกระบี่ที่ว่ายังมีจำนวนนับหมื่นพันแล้ว!!


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!



หลังจากก่อเกิดรังสีกระบี่ต่ออีกไม่กี่ร้อยครั้ง ในที่สุดแท่นศิลาทรงกระบี่ก็หยุดปลดปล่อยพลังลี้ลับออกมาเสียที และราวกับนัดกันมา รังสีกระบี่นับหมื่นพันที่ก่อตัวลอยล่องอยู่เต็มโถงจัตุรัส ก็พุ่งออกไปปานสายฟ้าฟาด จี้ตรงไปยังทิศทางหนึ่ง!


และทิศทางที่พวกมันพุ่งเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ ก็คือจุดที่ต้วนหลิงเทียนยืนอยู่!


ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!



เมื่อรังสีกระบี่นับหมื่นพันที่ก่อตัวเต็มโถงเริ่มพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน หวงเจียเชาที่หวาดกลัวจับใจก็ได้แต่เร่งจ่ายพลังลงสู่ม่านพลังป้องกันสุดตัว แม้รังสีกระบี่เหล่านี้จะไม่ได้เข่นฆ่าเข้าใส่มัน แค่พุ่งผ่านมันไปหาต้วนหลิงเทียนคนเดียว แต่มันก็หวาดเสียวแทบตาย! เพราะใครจะไปรู้ว่ามันจะโดนลูกหลงหรือไม่!!


ส่วนด้านต้วนหลิงเทียนนั้น เมื่อเผชิญกับการกลุ้มรุมสังหารเข้ามาจากทุกทิศทางของรังสีกระบี่นับหมื่นพัน ทั่วร่างของเขาก็เริ่มปรากฏเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงขึ้นมาปกคลุม


เป็นพลังของอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะอันหาได้ยาก!


นอกจากนั้นอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะนี้ ยังเป็นฮ่องเต้ฝูชิวมอบให้เขา!


ทันทีที่เงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงปรากฏขึ้นมา ทั่วร่างต้วนหลิงเทียยยนยยังปรากฏร่างพุทธองค์ตัวเขื่องสีทองอันมีไอพลังสีม่วงม้วนพันทั่วร่างปรากฏตัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน และเงาร่างพุทธองค์ที่ว่าก็ปกคลุมเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงไว้อีกที


นอกจากนั้นภายในเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดง ก็อุบัติวังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่งขึ้น สูบกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบมาเพิ่มพูนพลังอำนาจของทั้งหมดในชั่วพริบตา!


พร้อมกันนั้นยังปรากฏพลังสีกากีฉาบเคลือบไปยังผิวเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงเร็วไว มองไปจึงคล้ายธารลาวาเคลื่อนตัวอยู่บ้าง!!


เรียกว่าต้วนหลิงเทียนได้ใช้การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาทำได้


แต่เป็นธรรมดาว่ามันคือการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของต้วนหลิงเทียน หากไม่พึ่งพลังของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน


ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!



รังสีกระบี่นับหมื่นพันที่กลุ้มรุมสังหารเข้ามาจากทุกทิศทาง ไม่ต่างอะไรจากข่ายฟ้าแหสววรรค์ ปิดช่องทางหลบหนีของต้วนหลิงเทียนไว้หมดสิ้น กลิ่นอายพลังคมกล้าพร้อมเสียงหวนจากการกรีดฝ่าสายลมชวนสยอง กระชั้นเข้ามาใกล้ต้วนหลิงเทียนมากขึ้นทุกขณะ!


พริบตาต่อมา รังสีกระบี่นับหมื่นพันดังกล่าวก็พุ่งกระทบเข้าใส่ปราการป้องกันของต้วนหลิงเทียน ม่านพลังเขายังสั่นกระเพื่อมดั่งผิวน้ำต้องห่าพิรุณ!


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!



เสียงรังสีกระบี่ซัดทำลายปราการพลังดังขึ้นระรัวไม่ต่างห่าฝนกระหน่ำกันสาด อย่างไรก็ตามพวกมันดั่งหยดน้ำน้อยๆร่วงตกลงกระทะทองแดงอันเดือดระอุก็ไม่ปาน ล้วนระเหยหายไปในฉับพลันที่สัมผัส!


สุดท้ายรังสีกระบี่นับหมื่นพันอันดุร้ายน่ากลัว ก็ไม่อาจฝ่าปราการป้องกันของต้วนหลิงเทียนเข้ามาได้เลย


ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ประสบความสำเร็จในการป้องกันรังงสีกระบี่ นับว่าผ่านบดทดสอบและสามารถครอบครองกระบี่หนักไร้คมได้อย่างแท้จริง “หืม…ลวดลายอักขระบนใบกระบี่หายไปแล้ว”


ตอนที่ตรวจสอบกระบี่หนักไร้คมเล่มนี้ก่อนหน้า เขาพบว่าทั่วใบกระบี่ของมันเต็มไปด้วยอักขระและลวดลายอาคมซับซ้อนมากมาย มองไปคล้ายลวดลายของอาคมที่ต้องหยดเลือดลงไปเพื่อผูกพันธะอยู่บ้าง


ในเวลานั้นเขาก็ตระหนักได้ทันที ว่าถึงจะได้กระบี่หนักมาถือไว้ในมือ…แต่เสมือนเขายังไม่ได้ครอบครองมันอย่างแท้จริง!


ตอนนี้พอการทดสอบสิ้นสุดลง ลวดลายและอักขระอาคมซับซ้อนดังกล่าวบนใบกระบี่ก็ค่อยๆเลือนหายไป


“ยินดีด้วยน้องต้วน”


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนสามารถผ่านบดทดสอบได้อย่างง่ายดาย หวงเจียเชาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร แต่ในขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน


วันนี้หากเป็นมันที่บังเอิญมาพบวาสนาสถานแห่งนี้เพียงลำพัง และดึงกระบี่หนักไร้คมเล่มนั้นออกมาล่ะก็ น่ากลัวว่าคงต้องตายหยังเขียด! เพราะมันรู้ตัวดีว่ารังสีกระบี่นับบหมื่นพันอันเป็นนบดทดสอบเมื่อครู่ มันไม่อาจต้านทานรับไว้ได้แน่นอน!!


วู้มมม!!


“พลังนี่มัน…ร้ายกาจมาก!”


หลังครอบครองกระบี่หนักไร้คมได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ต้วนหลิงเทียนที่ลองจ่ายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานพลังกฏแห่งดินลงไปยังตัวกระบี่เพื่อทดสอบพลังอานุภาพของมันดู ก็อดไม่ได้ที่แปลกใจอยู่บ้าง เพราะเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังอำนาจในการเพิ่มพูนพลังของตัวกระบี่!!


เรียกว่าเทียบกับตอนที่เขาจ่ายพลังลงพลองอมตะระดับราชาแล้ว พลังอำนาจที่อัดแน่นอยู่ทั่วตัวกระบี่หนักไร้คมยามนี้ มันทรงพลังกว่ากันมาก!


‘ตอนแรกหลังได้ยินเรื่องที่อุปกรณ์อมตะระดับราชาเมื่อผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังของราชาอมตะมาสักพักแล้ว มันจะทรงพลังกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไป ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่ามันต่างกันแค่ไหน..’


‘มาตอนนี้…’


เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้มาก่อนว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังของราชาอมตะมานั้นมันเป็นอย่างไร แต่พอได้กระบี่หนักไร้คมมาครอง เขาก็รับทราบได้ถึงความต่างที่ว่าทันที


อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากพลังของราชาอมตะมาแล้ว นับว่าทรงพลังสุดที่อุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไปจะเทียบติดจริงๆ!


ยังกล่าวได้เต็มปากว่า


ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง!


แต่เป็นธรรมดาว่าถึงอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังของราชาอมตะ จะแข็งแกร่งว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดเกลาหล่อเลี้ยงมาก แต่ก็ยังคงด้อยกว่าอุปกรณ์อมตะจอมราชันอย่างแหวน 9 วิญญญาณหยิน-หยาง ลี้ลับที่ต้วนหลิงเทียนมีหลายขุม!


สำหรับเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะสุดท้ายแล้วนั่นก็คืออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน! ต่อให้ราชาอมตะจะหล่อเลี้ยงขัดเกลาอุปกรณ์อมตะระดับราชาให้ตาย มันก็ไม่อาจกลบถมช่องว่างโดยกำเนิดนั่นได้!!


WSSTH ตอนที่ 3,005 : ข้าคือ…


“พี่เจียเชา…เป็นไปได้ไหมว่าในบรรดาคนที่ข้าเคยฆ่าพวกมันไปก่อนหน้า อุปกรณ์อมตะระดับราชาของมันจะได้รับการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะมาก่อน?”


(ขอแก้ตอนเก่านะครับ ที่ขัดเกลาหล่อเลี้ยงอุปกรณ์อมตะระดับราชาจะเป็นจอมราชันอมตะ!)


หลังได้เห็นพลังอานุภาพของอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้รับบการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากราชาอมตะ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มนึกถึงสินสงครามที่เขาได้มาหลังเข่นฆ่าผู้คนไปทันที


“ย่อมมีความเป็นไปได้!”


หวงเจียเชาพยักหน้า “การเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำในอดีต ขุมกำลังบางขุมก็ได้มอบอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะ ซึ่งเป็นของรางวัลจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลให้แก่ยอดเซียนอมตะที่โดดเด่นพกติดตัว!”


“และเรื่องนี้สำหรับขุมกำลังทั่วไปทั้งหลายใต้อาณัติคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้จอมราชันอมตะขัดเกลาหล่อเลี้ยงเป็นดั่งของที่ต้องพบพานด้วยโชควาสนา แสวงหามิอาจได้ครอง…จะมีก็แต่ 3 นิกาย 2 ตระกูลที่มีความสัมพันธ์กับคฤหาสน์เฉวียนโยวมากหน่อยเท่านั้น แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกมันก็มีช่องทางหามาได้”


หวงเจียเชากล่าว


“ยอดเซียนอมตะที่เข้ามาร่วมช่วงชิงแสวงโชคในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากขุมกำลังระดับ 8 ใต้อาณัติ 3 นิกาย 2 ตระกูล…แน่นอนว่าถึงแม้อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้จอมราชันอมตะขัดเกลาหล่อเลี้ยงจะมีน้อยคนที่ได้ครอบครอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย ก็แค่ต้องจ่ายราคามากหน่อยเท่านั้น! อย่างประเทศฝูชิวเราเองก็มีอุปกรณ์อมตะระดับราชาเช่นนั้นเหมือนกัน”


เล่าถึงจุดนี้หวงเจียเชาก็หยุดลงเล็กน้อย ค่อยพูดต่อ “เท่าที่ข้ารู้มา องค์ชาย 4 หูจี้หย่งที่เข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำพร้อมพวกเรา ก็ได้รับอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่มีจอมราชันอมตะขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากฝ่าบาทเช่นกัน”


“แบบนี้นี่เอง”


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า และคำพูดของหวงเจียเชาก็ทำให้เขาต้องขจัดความคิดหนึ่งที่พึ่งเกิดขึ้นทันที


เพราะหลังได้เห็นความแตกต่างระหว่างกระบี่หนักไร้คมกับอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่เขาเคยมี เขาจึงอยากตรวจสอบดูว่าในบรรดาอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่เขาได้มาหลังฆ่าคน มันมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะขัดเกลาหล่อเลี้ยงบ้างหรือเปล่า


หากมี และเหล่าคนที่ตายไม่อาจได้มันมาจากขุมกำลังของตัวเอง ก็หมายความว่าสมควรเป็นของที่เจอในวาสนาสถานถ่ายเดียว เขาย่อมสามารถนำออกมาใช้ได้โดยที่ไม่ต้องกลัวใครจดจำได้


ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว หมายความว่าถึงเขาจะใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาเหล่านั้น ขุมกำลังเบื้องหลังคนที่ตายก็ไม่อาจจดจำเขาได้ ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนฆ่าอัจฉริยะของพวกมัน


ก่อนถามหวงเจียเชาเขาตั้งใจไว้แบบนี้


แต่พอถามเรื่องราวจากหวงเจียเชาแล้ว เขาก็รู้ดีว่ามีอันต้องพับเก็บความคิดดังกล่าวไป


‘ดูเหมือนอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้มาจากการฆ่าคนไม่อาจเอาออกมาใช้ได้จริงๆ…เว้นแต่จะยืนยันได้ว่ามันเป็นอุปกรณ์อมตะรดับราชาที่ได้มาจากในแดนสววรรค์ใต้โบราณจริงๆ’


‘แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี…คนตายเป็นผีไปหมดแล้วข้าจะไปถามใครได้ล่ะ’


แม้จะรู้สึกเสีดายอยู่บ้าง แต่ต้วนหลิงเทียนก็สามารถตัดใจได้ทันทีและไม่คิดจะสนใจเรื่องนี้อีกต่อไป และหลังจากที่ได้รับกระบี่หนักไร้คมจากวาสนาสถานที่เรียกว่าสุสานกระบี่แห่งนี้แล้ว เขาก็พาหวงเจียเชาออกจากที่นี่ทันที


หลังจากออกมาจากสุสานกระบี่ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอาคมประการหนึ่ง จากนั้นไม่ทันที่เขากับหวงเจียเชาจะได้ไปไหนไกล ก็พบว่าเบื้องหลังกลับบังเกิดการสั่นไหวบางอย่าง


‘หมดหน้าที่แล้ว…ก็ทำลายตัวเองงั้นเหรอ?’


พอมองย้อนกลับไปต้วนหลิงเทียนก็พบว่าประตูเก่าแก่ทั้งแท่นหินรูปทรงกระบี่ที่สลักคำว่าสุสานกระบี่ได้เริ่มพังทลายลง สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเศษซากปรักหัก!


แน่นอนว่าเมื่อทุกสิ่งพังทลาย ค่ายกลปิดกั้นมวลน้ำก็สลายตัวไปเช่นกัน มวลน้ำมากมายจึงเริ่มแพร่เข้ามาถมเติมด้วยความเร็วสูง ฝังกลบทุกสิ่งเอาไปให้กลายเป็นตะกอนดิน…


“น้องต้วนเรื่องนี้นับเป็นเรื่องปกติ วาสนาสถานใดๆในแดนสวรรค์ใต้โบราณ หากมีผู้ได้รับสมบัติไปครองแล้ว พวกมันก็จะทำลายตัวเองแบบนี้”


หลังเห็นว่าต้วนหลิงเทียนชมดูเรื่องราวด้ววยความสนใจ หวงเจียเชาก็กล่าวอธิบายผ่านพลังให้ฟังทันที


ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่มันได้เข้ามาแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำก็จริงแต่คำว่า ‘ไม่เคยกินหมู ก็ยังเคยเห็นหมูวิ่ง’ ก็เป็นความจริง มันได้ฟังเรื่องราวพวกนี้มาก่อนแล้ว


“อ่อ”


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ จากนั้นเขากับหวงเจียเชาก็พากันเหินร่างขึ้นไปจากใต้ทะเลสาบทันที


หลังออกจากทะเลสาบแล้ว ทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปยังวังจอมราชันอมตะตามที่พลังลี้ลับชี้นำสืบต่อ



7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลกนั้น เป็นสถานที่อันตรายอย่างยิ่งยวด


ยังกล่าวกันหนาหูว่า ต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะชนชั้นยอดฝีมือ หรือแม้กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์แต่หากล่วงล้ำเข้ามาก็ต้องพบเจอกับสถานการณ์ 9 ตาย 1 รอด!


เรียกว่าสถานที่ต้องห้ามทั้ง 7 ของระนาบเทวโลก ไม่ได้น่ากลัวแต่ชื่อเท่านั้น และต่อให้เป็นสถานที่ต้องห้ามที่มีอันตรายน้อยที่สุด ก็ยังสะกดตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะชนชั้นยอดฝีมือมากมายให้ไม่กล้าเข้ามาแสวงโชคอย่างบุ่มบ่าม


กระทั่งต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดใน 81 ระนาบเทวโลก ยังไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่าจะสามารถกลับออกมาจาก 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลกได้อย่างปลอดภัย


และ ‘นรกอสุรา’ นั้น หากวัดกันในบรรดา 7 สถานที่ต้องห้ามแล้ว ความอันตรายของมันก็ติดอยู่ในลำดับที่ 4 ของสถานที่ต้องห้ามทั้งหมด!


ในนรกอสุรานั้นไร้กลางวันกลางคืน


จะมีก็แต่ฟ้าสีเลือดที่ทอแสงแดงฉานอยู่ตลอดเวลา


และนรกอสุราอันเป็น 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้าม กล่าวไปก็เป็นระนาบอิสระระนาบหนึ่ง แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตเท่ากับระนาบเทวโลก แต่ความกว้างใหญ่ของมันก็ทัดเทียมกับระนาบทวยเทพที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเปิดสร้าง


แรกเข้าสู่นรกอสุราสิ่งที่ท่านจะพบเห็นก็คือฟ้าสีแดงเลือด อีกทั้งวิสัยทัศน์โดยรอบมองไปทางใดก็เห็นแต่สีแดงเลือด กระทั่งในบรรยากาศ ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง


ถึงแม้จะไม่ได้ล่วงลึกเข้าไปในนรกอสุรามากมาย แต่ลำพังแค่ปากทางเข้าก็เป็นสีแดงเลือดแล้ว


“ฆ่า!!”


บริเวณที่ห่างออกมาจากทางเข้าออกนรกอสุราประมาณหนึ่ง ปรากฏเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็เห็นชายวัยกลางคนที่ร่างเต็มไปด้วยบาดแผลโชกเลือดพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็วสูง เพื่อปะทะกับงูเหลือมตัวเขื่องที่กำลังดิ่งลงจากฟ้าด้วยสภาวะดุดันปานดาวตก!


งูเหลือมยักษ์ตัวนี้ เนื้อตัวทั้งเกล็ดของมันประหนึ่งจะคั้นได้เป็นหยดโลหิตก็ไม่ปาน มันแดงฉานจนน่ากลัว ลำตัวของมันยังยาวนับร้อยๆหมี่ อีกทั้งทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแผลเหวอหวะชุ่มเลือด ลูกตาของมันเปี่ยมล้นไปด้วยความคุ้มคลั่งอำมหิต เขี้ยวยังเผยประกายเยียบเย็น ปรากฏของเหลวสีดำที่มีไอแห่งความตายอบอวล ชี้ชัดว่าเป็นพิษร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนได้ไม่ยากเย็น


ร่างเขื่องดังกล่าวกำลังพุ่งดิ่งลงมาจากฟ้าด้วยสภาวะปานดาวตก ปากกระหายเลือดอ้าออกกว้าง หมายกลืนกินชายวัยกลางคนที่หาญกล้าต่อกรกับมันลงไปใน 1 คำ


พริบตาหนึ่งคนที่พุ่งเข้าหากันอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว


เมื่อศีรษะมหึมาของงูเหลือมสีเลือดเจียนขยำงับร่างวัยกลางคน ร่างชายวยกลงคนดังกล่าวก็เบี่ยงออกข้างอย่างคล่องแคล่ว หลบหลีกปากกระหายเลือดที่ใหญ่พอจะกลืนร่างมันไปใน 1 คำได้ในระเฉียดฉิว จากนั้นมือที่ถือขวานอันเขื่องก็ง้างสับลงไปยังหลังศีรษะงูเหลือมยักษ์อย่างอำมหิต


เพียงหนึ่งขวานที่ฟาดสับจากบนลงล่างอย่างเรียบง่าย ก็สามารถตัดหัวงูเหลือมยักษ์ลงได้!


เปรี๊ยงงงง!!


หากแต่คนไม่ทันดีใจอะไร ก็พบว่าหางมหึมาปานเสาบ้าน ได้หวดฟากแหวกอากาศเข้ามาฉับไวสุดที่ชาววัยกลางคนจะตั้งตัวได้ทัน ซัดอัดเข้ากลางลำตัวของมันอย่างจัง ส่งให้ร่างวัยกลางคนปลิดปลิวร่วงฟ้าไปปานดาวหาง!


“อั๊ค…เดียรัจฉานบัดซบนี่! ก่อนตายยังไว้ลายฟาดข้าได้อีก!!”


ชายวัยกลางคนที่ถูกซัดจนปลิดปิวพยายามขืนร่างให้หยุดลงกลางหาวก่อนจะร่วงตกพื้น คนกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ ก่อนมุมปากที่ปรากฏคราบโลหิตไหลย้อยจะเริ่มคลี่ยิ้มสะใจ ยังหันไปมองซากร่างที่กำลังร่วงตกจากกลางหาวด้วยความภาคภูมิ!


“แต่ในที่สุด เจ้างูนรกก็ตายได้เสียที!!”


ชายวัยกลางคนค่อยๆโรยตัวลงไปยืนโอนเอนบนพื้นด้วยท่าทางอิดโรย ก่อนจะทอดตามองไปยังซากร่างเขื้องที่ร่วงตกลงมาแน่นิ่งบนพื้นด้วยรอยยิ้ม


ทว่าทันใดนั้นเอง


ซู่มมม!!


กีซซซซ!!



เมื่อได้ยินเสียงบางสิ่งแหวกอากาศเข้ามาด้วยความเร็วอันน่ากลัว ชายวัยกลางคนก็เงยหน้าขึ้นไปมองต้นเสียงโดยไม่ทันรู้ตัว จากนั้นก็เห็นร่างมหึมาหนึ่งกำลังโฉบเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูงล้ำ


“นะ…นั่นมัน หรือจะเป็นอินทรีย์โลหิตยมโลก!?”


ร่างชายวัยกลางคนถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย เมื่อพบว่าร่างมหึมาที่กำลังโฉบลงจากเวหา มองคล้ายอินทรีย์ กรงเล็บเปล่งแสงสีแดงปานโลหิตเรืองๆ ให้ความรู้สึกเสมือนมีดดาบแกร่งกล้าทรงพลัง!


และวินาทีถัดมา มันก็พบว่าจุดหนึ่งของกรงเล็บอินทรีย์โลหิตยมโลก คล้ายมีเกล็ดสีแดงอันคุ้นตาติดอยู่!


“หรือว่า…งูเหลือมบัดซบที่บาดเจ็บมาก่อนแต่แรกที่ข้าพึ่งฆ่าไปนั่น จะเป็นเหยื่อของมัน?”


งูเหลือมบัดซบที่ชายวัยกลางคนเอ่ยถึง ก็คืองูเหลือยักษ์สีแดงฉานที่มันพึ่งตัดหัวไปนั่นเอง


และทั้งหมดเป็นเพราะงูเหลือมยักษ์ที่ว่าบาดเจ็บสาหัสมาก่อนแล้ว ไม่งั้นอาศัยด่านพลังจักรพรรดิอมตะ 7 ดาราของมัน แม้ความเข้าใจในกฏจะไม่ใช่ชั่ว แต่มันก็ไม่อาจสังหารงูเหลือมยักษ์ที่ว่าได้ด้วยพลังฝีมือของตัวเองแน่นอน


งูเหลือมยักษ์สีเลือดนั่น อย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก แถมกฏที่มันเข้าใจตามสัญชาตญาณก็ไม่ใช่ชั่วเลย


“จากความเร็วของอินทรีย์โลหิตยมโลกตัวนี้…สิบในสิบสมควรเป็นจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักเช่นกัน!”


ทันทีที่ชายวัยกลางคนพบว่าร่างที่พุ่งโฉบลงมาของจ้าวเวหาตัวเขื่องนั้น ได้เร่งความเร็วขึ้นในฉับพลันจนมันเห็นเป็นภาพเงาเลือนราง มุมปากของมันก็ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมออกมาทันที


และพริบตาต่อมา เมื่อมันสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายคาวเลือดสาดกระทบใบหน้า ชายวัยกลางคนก็ได้แต่หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง


มันรู้ดีแก่ใจ ว่าไม่ต้องกล่าวถึงมันที่กำลังบาดเจ็บสาหัสด้วยซ้ำ ต่อให้มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม ก็ไม่อาจเป็นคู่มือของอินทรีย์โลหิตยมโลกตัวนี้ได้


หากอินทรีย์โลหิตยมโลกคิดฆ่ามัน เช่นนั้นมันก็หลงเหลือเพียงหนทางเดียวเท่านั้น


รอความตาย!


อย่างไรก็ตาม หลังชายวัยกลางคนหลับตาลงไปได้พักหนึ่ง มันกลับพบว่าความตายที่ควรมาเยือน จนแล้วจนรอดกลับมาไม่ถึงเสียที กระทั่งกลิ่นคาวโลหิตอันกระหายเลือดที่สาดกระทบใบหน้าของมัน ก็หายไปไหนหมดไม่ทราบ


“ด้วยด่านพลังฝึกปรือของเจ้า พยายามอยู่ให้ใกล้ทางออกนรกอสุรามากกว่านี้หน่อยเถอะ…อย่างน้อยเจ้าจักได้ไม่ต้องไร้หนทางเหมือนตอนนี้ และยังพอมีโอกาสถอยหนีกลับไปได้”


เสียงแผ่วเบาหนึ่งดังขึ้น ทำให้ชายวัยกลางคนลืมตาขึ้นโดยไม่รู้ตัว


ตึงงง!!


และทันทีที่มันลืมตาขึ้น ก็เห็นว่าร่างมหึมาของอินทรีย์โลหิตยมโลกที่ก่อนหน้ากำลังจะฆ่ามัน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นซากศพร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า!


และพอสังเกตให้ดี มันก็พบว่าหว่างคิ้วมหึมาของอินทรีย์โลหิตยมโลก กลับบังเกิดหลุมโลหิตหลุมหนึ่ง คล้ายถูกพลังอำนาจบางอย่างทะลวงเจาะเป็นแผลฉกรรจ์!


อีกทั้งเมื่อลองมองสำรวจไปทั่วร่างอินทรีย์โลหิตยมโลกให้ดี มันก็พบว่าทั่วร่างมหึมาเต็มไปด้วยหลุมโลหิตปุพรุนราวรังแตน คล้ายถูกห่าศรนับพันระดมยิง…


อีกทั้งในแต่ละหลุมโลหิตกลับแผ่กลิ่นอายพลังแห่งกฏอันน่าพรั่นพรึงออกมา ทำให้ชายวักลางคนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก


“ก…กฏแห่งการทำลายล้าง!?”


วินาทีต่อมาชายวัยกลางคนที่คล้ายดึงสติให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอย และตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เร่งหันไปมองร่างยอดคนที่ยื่นมือเข้าช่วยที่บัดนี้คนกำลังท่องกระบี่ออกไปด้วยความเร็วสูงเสียแล้ว มันก็เร่งเปล่งพลังชั่วชีวิตผสานเสียงตะโกนออกไปดังลั่น “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่ยื่นมือเข้าช่วย!!”


“มิทราบว่าข้าน้อยขอไถ่ถามนามท่านผู้อาวุโสได้หรือไม่ พระคุณช่วยชีวิตอันใหญ่หลวง ผู้น้อยจักหาทางตอบแทนท่านผู้อาวุโสในสักวัน!!”


ด้วยด่านพลังของชายยวัยกลางคน แม้ตอนนี้มันจะยังบาดเจ็บสาหัสแทบสิ้นแรง แต่สายตาของมันก็ยังไม่ถึงกับใช้การไม่ได้ จึงเห็นว่าจุดดำเล็กๆที่กำลังท่องกระบี่จากไปด้วยความเร็วสูงนั้น ที่แท้เป็นแผ่นหลังของร่างในรูปลักษณ์ชายหนุ่มคนหนึ่ง


อย่างไรก็ตามมันไม่กล้าดูเบาอีกฝ่ายเพียงเพราะรูปลักษณ์อ่อนวัยกว่ามันเด็ดขาด!


ตัวตนที่ฆ่าได้กระทั่งอินทรีย์โลหิตยมโลกที่บรรลุถึงจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักได้ในชั่วพริบตา สิบในสิบไม่พ้นต้องเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศอันทรงพลัง และยังต้องเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจพลังแห่งกฏไม่ใช่ชั่ว


“หากเจ้าคิดตอบแทนข้า ช่วยแวะไปเยือนระนาบโลกียะเล็กๆที่เรียกว่าระนาบเซียน และตามหาหนุ่มน้อยนามต้วนหลิงเทียน…เมื่อพบเจอคนแล้ว ช่วยพาเจ้าหนุ่มนั่นไปยังวังจักรพรรดิจี้เมี่ยเทียนให้ข้า”


ภายใต้สายตาของชายวัยกลางคน ในที่สุดร่างชายหนุ่มที่พุ่งไปด้วยความเร็วสูงจนไม่ต่างอะไรจากจุดดำเล็กๆก็หยุดลง แล้วหันมากล่าวคำ จนเผยให้เห็นใบหน้าหล่อปานหยกเสลา เปี่ยมไปด้วยความสุขุม เคร่งขรึม


“แล้วก็…ข้าเรียกว่าฟงชิงหยาง”


พอเสียงกล่าวนามดังจบคำ ร่างชายหนุ่มหล่อเหลามาดขรึม พร้อมกระบี่อมตะใต้เท้าก็อันตรธานหายไปจากสายตามันทันที


“ฟะ…ฟงชิงหยาง!?”


เมื่อร่างชายหนุ่มท่องกระบี่หายไปจากสายตาแล้ว ลูกตาของชายวัยกลางคนก็หดเล็กลง สีหน้ายังเปลี่ยนไปไม่น้อย “นะ…นั่นมิใช่นามของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนที่ลือกันว่าตกตายไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนหรอกรึ?”


“มิใช่ว่า ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนถูกผู้คนไล่ฆ่าจนต้องหนีเข้าสู่นรกอสุราแห่งนี้ และตกตายไปแล้วหรือไร?”


“ท่าน…ยังไม่ตายหรอกหรือ!?”


ชายวัยกลางคนพึมพำถึงจุดนี้ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


ถึงแม้มันจะไม่ใช่คนของแดนสวรรค์ จี้เมี่ยเทียน แต่มันก็ได้ยินวีรกรรมของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนยมาไม่น้อย จึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่น่ากลัวและมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา


“ฟังจากที่ท่านกล่าว…ดูเหมือนท่านคิดกลับไปยังจี้เมี่ยเทียนและยึดวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนกลับคืน!”


WSSTH ตอนที่ 3,006 : กฏแห่งเวลา


“หืม? การชี้นำหายไปแล้ว?”


ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาที่เดินทางตามคำชี้นำของพลังลี้ลับมาด้วยกัน หลังเหินร่างมาถึงจุดๆหนึ่งตามการชี้นำ ในที่สุดก็จำต้องหยุดลงอย่างกะทันหันกลางหาว


นั่นเพราะเมื่อมาถึงจุดนี้ การชี้นำที่ว่าก็ได้หายไป


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาก็หันหน้ามามองสบตากันทันที ด้วยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


“หืม?”


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาหันมามองหน้ากันนั้น ทั้งคู่ก็พบว่าป้ายหยกสะสมคะแนนที่พกติดตัว อยู่ๆก็เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ


พริบตาต่อมา สุดที่ทั้งคู่จะทันได้ตั้งตัว ก็พบว่ามีพลังมหาศาลขุมหนึ่งได้อุบัติขึ้นจากความว่างเปล่าโดยรอบ!


พลังมหาศาลที่ว่ายังปกคลุมทั่วร่างทั้งคู่เอาไว้ในฉับพลัน จนร่างทั้งคู่ชะงักค้างไม่อาจกระดิกตัวได้เลย


‘พลังที่น่ากลัวอะไรกัน!?’


เมื่อถูกกพลังมหาศาลไม่ทราบที่มาสะกดกักร่างเอาไว้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนสองตามืดบอด ไม่อาจแลเห็นหวงเจียเชาได้อีก นอกจากนั้นเขาไม่อาจแลเห็นได้กระทั่งทะเลทราบกว้างใหญ่ใต้ฝ่าเท้า!


ขณะเดียวกัน เขาก็พยายามเร่งเร้าพลังหมายดิ้นรนขัดขืนพลังประหลาดที่สะกดกักร่างเขาเอาไว้ตามสัญชาตญาณ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะพยายามเร่งเร้าพลังต้านทานเท่าไหร่ แต่พลังที่เขาพยายามแผ่พุ่งไปต่อต้านพลังประหลาดกลับสาบสูญไปไร้ร่องรอยปานหนึ่งหินจมสู่ห้วงสมุทร ไม่อาจก่อเกิดคลื่นลมใดๆ…


“เจ้าไม่ต้องดิ้นรนขัดขืดมันหรอก นี่คือพลังของจอมราชันอมตะ…หากข้าเดาไม่ผิด พลังนี่จะพาเจ้าไปยังสถานที่ๆเจ้าต้องไป”


เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ “อืม…ดูเหมือนจะเป็นพลังอาคมเคลื่อนย้ายบางอย่าง”


“พลังอาคมเคลื่อนย้าย?”


ได้ยินคำพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็เลิกต่อต้านแข็งขืนพลังประหลาดทันที ขณะเดียวกันสองตาก็เริ่มลุกวาวสว่างขึ้น “ดูเหมือนมันจะเคลื่อนย้ายข้าไปวังจอมราชันอมตะอะไรนั่นเป็นแน่!”


ฉุกคิดได้ถึงจุดนี้ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ผ่อนคลายทันที


และหลังผ่านไปราวๆสิบลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนแม้จะไม่อาจเห็นสิ่งใดนอกจากความมืด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าร่างเขาสมควรถูกเคลื่อนย้ายมาแล้ว ความรู้สึกยังเสมือนกำลังตกจากที่สูง!


จากนั้นไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักว่าความมืดเบื้องหน้าได้อันตรธานหายไป สองตากลับมาแลเห็นแสงสว่างอีกครั้ง!


พอมองไปรอบๆ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่า บัดนี้ตัวเองได้มาอยู่ในห้องหับแห่งหนึ่ง และนอกจากเตียงศิลาแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีกเลย


ในห้องหับเล็กๆนี่ยังไม่มีแม้แต่หน้าต่างด้วยซ้ำ จะมีก็แต่ประตูบานหนึ่ง ทว่าประตูบานดังกล่าวมีม่านแสงฉาบคลุมเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นม่านพลังปิดกั้นบางอย่าง


“พี่เจียเชาไปไหนแล้ว!?”


หลัมองสำรวจไปทั่วห้องหับเล็กๆแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่จำได้ว่าเมื่อครู่เขายังอยู่กับหวงเจียเชาแท้ๆ แต่ตอนนี้ในห้องหับเล็กๆนี่กลับไม่มีแม้แต่เงาของหวงเจียเชา!


“หรือ…พี่เจียเชาก็ถูกส่งไปยังห้องหับเล็กๆแบบนี้เหมือนข้า?”


ต้วนหลิงเทียนพึมพำออกมากับตัวเบาๆ


และเป็นดั่งที่ต้วนหลิงเทียนคาดเดาไว้ไม่มีผิด หวงเจียเชาก็พบเจอสถานการณ์แบบเดียวกับเขา ถูกส่งมายังห้องหับเล็กๆห้องหนึ่ง ที่แลดูเหมือนกันกับห้องเขาทุกประการ


และพอหวงเจียเชาพบว่าข้างกายไร้เงาต้วนหลิงเทียน มันก็คิดจะเปิดประตูที่มีอยู่เพียงบานเดียวออกไปตามหาต้วนหลิงเทียน


อย่างไรก็ตามในขณะที่มันกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูนั้นเอง ม่านพลังที่ปิดกั้นประตูก็ทอแสงสว่างเรืองรองขึ้นมา


จากนั้น เสียงเดียวกันกับที่ดังออกมาจากป้ายหยกสะสมคะแนนตอนได้ครบ 10 แต้ม ก็ดังขึ้นมาจากประตูเบื้องหน้า


“ยินดีต้อนรับเข้าสู่วังจอมราชันอมตะแห่งแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ”


“ตอนนี้เจ้าอยู่ในห้องที่ถูกปิดผนึกไว้ห้องหนึ่งของวังจอมราชันอมตะ ต่อให้เป็นราชาอมตะ 10 ทิศก็ไม่อาจบุกรุกเข้ามาในห้องแห่งนี้ได้”


“ตอนนี้ เจ้ามีทางเลือก 2 ประการ”


“ประการแรก เลือกที่จะบ่มเพาะพลังภายในห้องหับแห่งนี้เพื่อรอเวลาที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำจะเปิดออกอีกครั้ง…เห็นแก่ผลงานที่เจ้าสามารถรวบรวมคะแนนสะสมได้ 10 คะแนน เจ้าจะถูกอาคมเคลื่อนย้ายส่งตัวออกไปด้านนอกทางเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทันที ไม่จำเป็นต้องเดินทางตามการชี้นำไปยังประตูทางออก”


“ส่วนทางเลือกประการที่ 2 ก็คือจงผลักเปิดประตูเบื้องหน้า แล้วก้าวออกไปแสวงหาโอกาสวาสนาในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้เสีย…หากแต่เมื่อเจ้าเลือกหนทางดังกล่าว เจ้าต้องเผชิญหน้ากับคนอื่นๆที่คิดแสวงหาโอกาสในวังจอมราชันอมตะเช่นกัน”


“จงคิดทบทวนให้ดี ก่อนที่จักตัดสินใจเลือก”


กล่าวถึงจุดนี้ เสียงดังกล่าวก็เงียบหายไปโดสมบูรณ์


หลังได้ยินคำพูดดังกล่าว หวงเจียเชาก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆออกมา สำหรับมันแล้ว…ยังมีทางเลือกด้วยเหรอ?


อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน อีกฝ่ายย่อมมีพลังพอดูแลความปลอดภัยให้มันได้


อย่างไรก็ตาม ภายในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้ ใครจะบอกมันได้บ้างว่าทันทีที่มันเปิดประตูเดินออกจากห้องไปมันจะไม่พบยอดเซียนอมตะคนอื่น? แล้วใครยังจะรับประกันให้มันได้ ว่ามันจะพบเจอต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะโดนยอดเซียนอมตะคนอื่นฆ่าตาย?


“เหอะๆ…อาศัยพลังฝีมือกิ๊กก๊อกของข้า แค่รอดมาถึงตอนนี้ได้ก็ปาฏิหาริย์ชัดๆ…ไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อช่วงชิงอะไรในวังจอมราชันอมตะกับคนอื่นเขาหรอก”


สุดท้ายหวงเจียเชาก็เลือกที่จะนั่งบ่มเพาะพลังในห้องเล็กๆไม่ไปไหน รอคอยเวลาที่จะถูกส่งตัวออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ


มันรู้ตัวเองดี


ด้วยพลังฝีมือของมัน หากไม่ได้ต้วนหลิงเทียนยื่นมือเจ้าช่วย ต่อให้เดินออกจากห้องหับเล็กๆแห่งนี้ มันก็ไม่มีโอกาสได้รับสิ่งดีๆในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้แน่นอน


และต่อให้มันจะโชคดีได้รับโอกาสและวาสนายิ่งใหญ่มาจริง มันจะเอาปัญญาที่ไหนรักษาไว้ได้จนจบ?


หลังจากตัดสินใจเลือกได้โดยที่แทบจะไม่ต้องคิด หวงเจียเชาก็ไปนั่งบนเตียงศิลา แล้วหลับตาเริ่มต้นบ่มเพาะพลังเพื่อรอเวลาทันที


ในขณะที่หวงเจียเชาตัดสินใจเลือกอยู่ในห้องไม่ไปไหน ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงแจ้งทางเลือกเช่นกัน จึงรู้ว่าห้องหับเล็กๆแห่งนี้ สมควรอยู่ในวังจอมราชันอมตะแล้ว


“พี่เจียเชาเองก็เป็นคนฉลาด คงไม่คิดออกมาเสี่ยงแน่นอน”


พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ขณะเดียวกันเขาก็ยืนมือออกไปผลักเปิดประตูเบื้องหน้า อย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ


และเพียงแค่ประตูเริ่มแง้มเปิดไม่ทันอ้าออกมากมายอะไร สำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนก็แผ่พุ่งชำแรกช่องว่างออกไปตรวจสอบที่ทางหลังประตูและอาณาบริเวณรอบๆหลังประตูอย่าระมัดระวัง เพื่อป้องกันการซุ่มโจมตี


อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสักพักเขาก็พบว่าเป็นตัวเขาคิดมากเกินไป


เมื่อเดินออกมาจากประตู เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงอันกว้างใหญ่ปานไร้ขอบเขต ทั้งยังแลดูวิจิตรงดงามนัก ทว่ากลับไร้ซึ่งสิ่งใดอยู่เลย ชวนให้ผู้คนรู้สึกโหวงเหวงพิกล


“หืม?”


ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง และพอหันกลับมามองด้านหลัง ก็พบว่าประตูสู่ห้องเล็กๆของเขาหายไป จึตระหนักได้ว่าทันทีที่ก้าวเดินออกมาจากห้อง เขาก็คงถูกส่งตัวมาด้วยอาคมเคลื่อนย้ายอย่างไม่รู้ตัว


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!



ทันทีที่กลับมาครองสติ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงสายลมพัดเข้าหู พอหันไปมองตามเรื่องราว ก็พบว่าห้องโถงไพศาลที่เดิมร้างผู้คน บัดนี้ได้ปรากฏเงาร่างคนนับร้อยที่มีทั้งชายหนุ่มหญิงสาว ไม่ว่าจะอ่อนวัยหรือผู้ชราขึ้นมาเบื้องหน้าไม่ไกล แถมแต่ละคนยังแผ่แรงกดดันไม่ธรรมดาออกมา


“เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหมด…”


ต้วนหลิงเทียนที่แผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบ ไม่ทันไรก็พบว่ากลุ่มคนนับร้อยที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาในห้องโถงอันว่างเปล่าแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งสิ้น


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนยังพบอีกด้วยว่า แม้กลุ่มคนนเบื้องหน้าจะแลดูเหมือนผู้คนไม่ผิดเพี้ยน แต่ดวงตาของทุกคนกลับไร้ประกาย ราวทั้งหมดได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว


“พวกมันคือ…ร่างที่ควบแน่นจาก ‘จิตต่อสู้’ งั้นเหรอ?”


ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้ศึกษาค่ายกลต่างๆในระนาบเทวโลกมาไม่น้อย จึงรู้ว่าในระนาบบเทวโลกนั้น มีค่ายกลที่สามารถควบแน่นจิตต่อสู้ให้ก่อเกิดเป็นรูปลักษณ์ขึ้นมาได้


แน่นอนว่าค่ายกลดังกล่าวนั้นไม่เพียงต้องใช้ผลึกอมตะเพื่อเป็นขุมพลังจำนวนมาก ยังต้องเสียผลึกอมตะเพื่อประคองสภาพไม่ใช่น้อย เรียกว่าคิดจะควบแน่นจิตต่อสู้ให้ก่อเกิดเป็นรูปลักษณ์แบบนี้ได้ มันผลาญทรัพย์สิ้นดี


อีกทั้งร่างที่ควบแน่นจากจิตต่อสู้ จะร้ายกาจแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้จัดตั้งค่ายกล


และกลุ่มคนนั้บร้อยที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเผชิญหน้าอยู่ ก็คือจิตต่อสู้ที่ควบแน่นจากค่ายกลไม่ผิดแน่! อีกทั้งแต่ละคนยังเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด!!


‘ร่างจิตต่อสู้ขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด…ถึงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้พลังอำนาจแห่งกฏ รวมถึงไม่อาจใช้เวทย์พลังและวรยุทธ์อมตะใดๆ แต่พวกมันก็สามารถเพิ่มพลังต่อสู้ได้โดยการหลอมรวมร่างจิตต่อสู้เข้าด้วยกัน’


และในขณะที่ข้อมูลเรื่องความสามารถของร่างที่ควบแน่นจากจิตต่อสู้เริ่มผุดขึ้นในหัวต้วนหลิงเทียน เขาก็พบว่าจิตต่อสู้นับร้อยร่างเบื้องหน้า ได้แบ่งกลุ่มและเริ่มรวมตัวกันแล้ว


และเพียงเวลาชั่วพริบตา ร่างจิตต่อสู้ขอบเขตยอดเซียนอมตะนับร้อย ก็ได้รวมร่างกันจนเหลือร่างจิตต่อสู้แค่เพียง 10 ร่างเท่านั้น! เห็นชัดว่าแต่ละร่างเกิดจากการรวมกันของร่างจิตต่อสู้นับสิบ!!


“ร่างรวม 10 จิตต่อสู้…”


ถึงแม้ร่างรวม 10 จิตต่อสู้เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน จะยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะ แต่ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากก่อนหน้าชัดเจน!


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!



และต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีเวลาให้สำรวจร่างจิตต่อสู้ทั้ง 10 อย่างละเอียด ร่างจิตต่อสู้ทั้ง 10 ก็ได้พุ่งเข้ามาเล่นงานเขาเสียแล้ว! แต่ละคนเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารเข้ามาอย่างดุร้าย กระทั่งยังมีการกระจายตัวเพื่อล้อมจู่โจมเข้าใส่เขาจากทุกทิศทางพร้อมกัน!!


‘ความแข็งแกร่งของร่างจิตต่อสู้พวกนี้มัน…’


ทันทีที่เห็นจิตต่อสู้ทั้ง 10 ร่างที่พุ่งจู่โจมเข้ามา วัดจากความเร็วของพวกมัน ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าไม่มีร่างไหนที่อ่อนด้อยกว่าหวงเจียหลงเลย!


‘พวกมันทั้งสิบแข็งแกร่งในระดับเดียวกับยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่แตกฉานวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับขุนนางทุกแขนงจนถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ…หากเป็นยอดเซียนอมตะที่ไม่ได้แตกฉานวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังระดับขุนนางทุกสายจนครบ แค่ร่างจิตต่อสู้ร่างเดียวก็หืดขึ้นคอแล้ว นับประสาอะไรกับมาเป็นสิบ!!’


‘นี่น่ะเหรอการทดสอบแรกของวังจอมราชันอมตะ?’


จังหวะนี้สีหน้าต้วนหลิงเทียนเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา


‘หวังว่าพี่เจียเชาคงไม่ทะลึ่งออกจากห้องมาหรอกนะ…’


ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าหวงเจียเชาไม่น่าจะออกมา แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะห่วงอีกฝ่ายไม่น้อย เพราะเขากลัวว่าหวงเจียเชาอาจคิดว่าจะได้พบกับเขาทันที จึงเลือกออกจากห้องนั่นมา


ด้วยพลังฝีมือของหวงเจียเชา น่ากลัวว่าเมื่อออกจากห้องมาแล้วเจอแบบนี้ มีหวังได้รั้งอยู่ในวังจอมราชันอมตะชั่วกาลแน่!


อาศัยแค่ร่างจิตต่อสู้ร่างใดร่างหนึ่งเบื้องหน้า ก็ฆ่าหวงเจียเชาได้ง่ายดาย!


ขวับ!


เมื่อเผชิญญหน้ากับการกลุ้มรุมจู่โจมเข้ามาทุกทิศทางของร่างจิตต่อสู้ทั้ง 10 ต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้น คว้ากระบี่หนักไร้คมที่ผุดออกมาจากความว่างเปล่ามากระชับถือไว้แน่น


กระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่องในมือ เป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของจอมราชันอมตะมาแล้ว ทำให้มันทรงพลังอานุภาพขึ้นมาก สุดที่อุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไปจะทาบติด


“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”


“ธาตุดิน!”


“ปราณม่วงบูรพา!”


“ราชันไม่เคลื่อนไหว!”


หลังจากกระชับถือกระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่อง ต้วนหลิงเทียนก็ใช้ออกด้วยทุกอย่างที่มีอย่างไร้ซึ่งความลังเล คิดรับมือร่างจิตต่อสู้ทั้ง 10 ด้วยความไม่ประมาท


กระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่องตวัดฟันฟาดออกไป ฉับไวประหนึ่งเหยี่ยวโฉบ ด้วยพลังที่ต้วนหลิงเทียนควบรวมเอาไว้ ไม่ว่ามันจะฟันฟาดผ่านที่ใด ความว่างเปล่ามีอันต้องสะท้านสะเทือน เสียงพลังกระบี่ยังกู่ร้องออกมาฮึงๆตลอดเวลา


ฉัวะ!!


เพียงกระบี่แรกที่กระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่องฟาดออก ร่างจิตต่อสู้ร่างหนึ่งที่อยู่ใกล้ต้วนหลิงเทียนที่สุดก็ถูกผ่ากลางจนขาดสองท่อน จากนั้นร่างดังกล่าวก็เริ่มกลายเป็นเถ้าถ่าน ก่อนจะสลายหายไป


ฉัวะ! ฉัวะ!


เมื่อหนึ่งกระบี่แรกตวัดออกไป ต้วนหลิงเทียนที่เข้าใจแก่นแท้การใช้กระบี่หนัก ก็อาศัยการถ่ายน้ำหนักอย่างแยบคาย พุ่งร่างม้วนตัวฟันร่างจิตต่อสู้อีก 2 ร่างที่โจนทะยานเข้ามาข้างๆตามแนวแรงกระบี่ ก่อนจะตัดหัวพวกมันจนกลายเป็นเถ้าถ่านได้ไม่ยากเย็น จากนั้นก็ย่ำเท้าโดดไปหาร่างจิตต่อสู้ร่างที่ 4 เพื่อเข่นฆ่าสังหารสืบต่อ


ทว่าทันใดนั้นเอง ความว่างเปล่าในโถงใหญ่ก็เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ


และพริบตาต่อมาต้วนหลิงเทียนที่กำลังฟาดกระบี่หนักไร้คมจี้เข้าใส่ร่างจิตต่อสู้ที่ 4 นั้น ก็พบว่ากระบี่ของเขาเสมือนถูกผนึกไว้กลางอากาศว่างเปล่า! คล้ายมีพลังไร้สภาพบางประการหยุดกระบี่เขาเอาไว้!!


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนที่แผ่สำนึกเทวะตรวจสอบเรื่องราวอยู่ตลอด มั่นใจได้ว่าไร้พลังซึ่งพลังใดๆผนึกกระบี่เขาอยู่แน่นอน!


“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


ฉากนี้อดไม่ได้ที่จะทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกขนลุก ด้วยเขาไม่อาจทราบได้จริงๆว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นอยู่กันแน่!


เพราะกระทั่งตอนนี้เขาก็ตระหนักได้ว่ารอบกระบี่หนักไร้คมของเขา มันไร้ซึ่งกลิ่นอายพลังใดๆมากระทำทั้งสิ้น หากแต่กระบี่หนักไร้คมของเขากลับถูกผนึกค้างไว้กลางอากาศ จนเขาไม่อาจขยับมันได้เลย!


“มันคือกฏแห่งเวลา…”


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังตื่นตระหนกกับพลังอำนาจที่เขาหยั่งไม่ถึง เสียงเด็กน้อยไม่หย่านมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพลันดังขึ้นในร่างเขาพอดี


WSSTH ตอนที่ 3,007 : ราคาของการโกง!


“กฎแห่งเวลา?”


ต้วนหลิงเทียนอดตกใจไม่ได้!


“ไม่ผิด…มันเป็นกฎแห่งเวลา!”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินตอบกลับ “หลังจากที่เจ้าฆ่าร่างจิตต่อสู้ร่างที่ 3 ได้ ค่ายกลในโถงแห่งนี้ก็เริ่มแผ่อำนาจของกฏแห่งเวลาออกมาผนึกความว่างเปล่าในจุดที่กระบี่หนักเจ้าฟันอยู่ ทำให้เวลา ณ ห้วงแห่งความว่างเปล่าจุดนั้นหยุดลง…”


“หากข้าเดาไม่ผิด…สาเหตุที่อยู่ๆพลังแห่งกฏเวลาที่แฝงอยู่ในค่ายกลเริ่มทำงาน ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าเข่นฆ่าร่างจิตต่อสู้ทั้ง 7 นั่น ไม่พ้นต้องการให้ร่างจิตต่อสู้ที่เหลือทั้ง 7 รวมตัวกันก่อน”


พอเสียงพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังจบคำ ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าก็เป็นอย่างที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพูดไม่มีผิดเพี้ยน


ซูว! ซูว! ซูว!



ร่างจิตต่อสู้ที่เหลือทั้ง 7 ร่างได้พุ่งเข้ามารวมตัวกันด้วยความเร็วปานสายฟ้า จากนั้นทั้ง 7 ร่างก็กลับกลายเป็น 1 ร่างจิตต่อสู้!


จิตต่อสู้ร่างนี้ มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ราวๆ 2 หมี่ คนประหนึ่งหอคอยเหล็กตั้งตระหง่าน ทั้งยังไม่ได้สวมใส่เสื้อ เผยมัดกล้ามเนื้อปูดโปนเป็นลูกให้เห็นชัดเจน ยังมีเส้นเลือดขอดตามมัดกล้ามที่เต้นตุบๆ ให้ความรู้สึกเสมือนเจียนปริแตก พร้อมระเบิดพลังดิบเถื่อนออกมาได้ทุกเวลา


และครู่ต่อมา ในมือที่ว่างเปล่าของชายวัยกลางคนร่างใหญ่ ก็ปรากฏกระบี่หนักเล่มมหึมาไม่ต่างอะไรจากกระบี่หนักของต้วนหลิงเทียน!


และกระบี่หนักในมือของมัน ไม่ว่าจะกลิ่นอายพลังหรือความรู้สึกก็เหมือนกันกับที่แผ่ออกมาจากกระบี่หนักไร้คมของต้วนหลิงเทียนทุกประการ!


น่าเหลือเชื่อนัก แต่ต้องบอกเลยว่าพลังอานุภาพของมันน่ากลัวจะทัดเทียมกับกระบี่หนักไร้คมของต้วนหลิงเทียน อันเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะไม่ผิดแน่!


“ขยับได้แล้ว!”


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ว่ากระบี่หนักไร้คมของเขาเริ่มเคลื่อนไหวต่อแล้ว แต่ในเมื่อเป้าหมายที่เขาคิดฟันมันไม่อยู่ตรงนั้นอีกต่อไป เขาจึงได้แต่ฟาดหวดอากาศธาตุเท่านั้น!


“เจ้าหนู จิตต่อสู้ร่างนี้ไม่ใช่ธรรมดาๆเลย…ความแข็งแกร่งของมัน ข้าเกรงว่าจะไม่ได้อ่อนด้อยเหมือนยอดเซียนอมตะอันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 1 ประการที่เจ้าเคยเจอมาอีกต่อไป ว่ากันตามตรงมันสมควรแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว “เจ้าลองสู้กับมันดูก่อน อย่างไรเจ้าก็น่าจะสู้กับมันได้อย่างสูสี และหากคับขันอะไรข้าจะจัดการเรื่องป้องกันให้เจ้าเอง…ทว่าข้าก็ทำได้แค่ช่วยเจ้าในด้านการป้องกันเท่านั้น หากเจ้าคิดจะฆ่ามันเจ้าต้องพึ่งกำลังตัวเองแล้วล่ะ”


“กล่าวไปก็น่าเสียดายจริงๆที่ทองเทพสุดลี้ลับยังอยู่ในห้วงนิทรา หากมันตื่นขึ้นมาและดูดกลืนทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรกที่เจ้าได้มาล่ะก็ ย่อมยกระดับพัฒนากลายเป็นทองเทพสุดลั้บขั้นที่ 3 ได้ทันที…ถึงตอนนั้นมันสามารถฉาบเคลือบอาวุธให้เจ้าได้ เพิ่มพลังโจมตีให้เจ้าได้มากโขเชียวล่ะ!”


ฟังจากคำเตือนของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าร่างจิตต่อสู้เบื้องหน้าที่เกิดจากการรวมกันของ 7 จิตต่อสู้เมื่อครู่นั้น ท่าทางจะไม่ใช่เล่นๆซะแล้ว!


“ว่าแต่พลังของกฏแห่งเวลานั่น คงไม่โผล่ออกมาอีกใช่ไหม…หากอยู่ๆมันโผล่มาหยุดข้าเอาไว้ ข้าไม่โดนจิตต่อสู้ฆ่าทันทีรึไง?”


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกังวลที่สุด


เมื่อครู่ พลังของกฏแห่งเวลาได้ปรากฏออกมาหยุดกระบี่เขาเอาไว้ ช่วยให้ร่างจิตต่อสู้ที่เขาคิดทำลาย ไปรวมตัวกับจิตต่อสู้ร่างอื่นๆได้อย่างราบรื่น


ตอนนี้เกิดพลังของกฏแห่งเวลานั่นเลือกที่จะผนึกร่างเขาโดยตรง เขาไม่กลายเป็นปลาบนเขียงให้จิตต่อสู้นี่แล่สับได้ตามใจรึไง?


พอคิดขึ้นมาหนังศีรษะต้วนหลิงเทียนก็ชาด้านไปทันที


พลังของกฏแห่งเวลามันพิสดารเกินไป น่ากลัวเกินไป เขาไม่มีหนทางป้องกันมันได้เลย


“สถานการณ์แบบนั้นไม่เกิดขึ้นหรอก…หากเกิดเรื่องพรรค์นั้นขึ้น แล้วจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้อะไรนั่นมันจะสร้างวังจอมราชันอมตะไปทำเพื่อ? เจ้าคิดว่ามันเหงาจนถึงขั้นคิดฆ่าเด็กน้อยเล่นรึ?”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดพูดออกมาเพื่อคลายกังวลให้ต้วนหลิงเทียน “ที่พลังของกฏแห่เวลาปรากฏขึ้นมาหยุดกระบี่เจ้าไว้ จุดประสงค์ก็คงแค่อยากให้เจ้าสู้กับร่างจิตต่อสู้นี่นั่นล่ะ”


“ในเมื่อตอนนี้ร่างจิตต่อสู้ทั้งหมดก็รวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ก็เหมือนจุดประสงค์ของมันเสร็จสิ้น”


“อีกทั้งหากพลังของกฏแห่งเวลาคิดช่วยให้ร่างจิตต่อสู้นี่ฆ่าเจ้าจริง ไม่สู้ก่อนหน้านี้หยุดร่างเจ้าไปให้ร่างจิตต่อสู้นั่นฆ่าเจ้าให้จบๆไม่ดีกว่าเหรอ?”


พอได้ยินคำพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มวางใจ เพราะมีเหตุผลรองรับชัดเจน


“แต่อย่างไรเสียร่างจิตต่อสู้นี่ ก็น่าจะเป็นบททดสอบแรกของวังจอมราชันอมตะเท่านั้น…พอคิดว่ากระทั่งบททดสอบแรกยังยากขนาดนี้ ข้าว่าบททดสอบหลังๆคงรากเลือดแล้วล่ะ…”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินยังคงกล่าวออกมาสืบต่อ


“ข้ารู้…”


ต้วนหลิงเทียนขานรับ จากนั้นก็จ้องไปยังร่างจิตต่อสู้เบื้องหน้าอันก่อตัวจากร่างจิตต่อสู้ทั้ง 7 เขม็ง “ขอแค่พลังของกฏแห่งเวลาอะไรนั่นไม่โผล่ขึ้นมาอีกครั้งก็พอ…”


ขวับ!!


และพอต้วนหลิงเทียนกล่าวในใจจบคำ ด้านจิตต่อสู้ร่างเขื่องก็พุ่งโถมเข้ามาฟาดกระบี่หนักเล่มเขื่องใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยสภาวะดุดัน! และไม่ต้องสงสัยเลยว่ากระบวนท่าฟันฟาดของมัน เหมือนกับการจู่โจมก่อนหน้าของต้วนหลิงไม่ผิดเพี้ยน! ราวกับมันคิดจะหั่นร่างต้วนหลิงเทียนให้ขาดเป็นสองท่อนบ้าง!!


“หึ!”


เผชิญกับร่างจิตต่อสู้ที่ฟันกระบี่หนักเข้ามาอย่างดุดัน ต้วนหลิงเทียนพ่นลมสบถคำหนึ่ง จากนั้นก็กระชับกระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่องแน่น ค่อยฟันสวนออกไปอย่างดุดันไม่แพ้กัน กระบี่หนักผ่าอากาศออกไปด้วยพลังสภาวะน่ากลัว ห้วงอากาศสะเทือนสะท้าน!


เคล้งงงง!!


ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะวัดพลังกับร่างจิตต่อสู้ตรงๆ กระบี่หนัก 2 เล่มฟันปะทะกันดังสนั่น!!


ทันใดนั้นเอง


วูฟฟ!!


เปรี๊ยงงงง!!



ผลกระทบหลังกระบี่เล่มเขื่อง 2 เล่มฟันปะทะนั้นน่ากลัวไม่ใช่เล่นๆ ไม่เพียงแต่เสียงโลหะกระทบกันจะดังสนั่นสะท้านแก้วหูปานฟ้าระเบิด คลื่นพลังสะท้อนที่ระเบิดออกมายังก่อให้เกิดสายลมวิปรตกวาดพัดไปดั่งมหาพายุ ความว่างเปล่า ณ จุดปะทะยังสะเทือน!!


พริบตาต่อมาทั่วโถงก็สั่นสะเทือนไปด้วยคลื่นลมวิปริต ระดับการสั่นไหวยังเสมือนบังเกิดแผ่นดินไหวก็ไม่ปาน!


‘หนักหน่วงจริง…ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย!’


จากแรงสั่นสะเทือนที่แล่นวาบมาจากมือที่กอบกุมกระบี่หนัก ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของร่างจิตต่อสู้เบื้องหน้าชัดเจน กระบี่ของมันเรียกว่าทรงพลังทัดเทียมกับกระบี่เขาที่ฟันออกไปเต็มแรงเลย!


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ชัดเจน ว่าหากฟันฟาดปะทะกันตรงๆ คงยากจะหาตัวผู้แพ้ผู้ชนะได้แน่ ต้องอาศัยไหวพริบเข้าว่า พยายามฉกฉวยโอกาสเล่นงานช่องโหว่ของมันให้ได้!


นอกจากนั้นเขายังมีไพ่ลับอย่างปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน!


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับร่างจิตต่อสู้เริ่มปะทะกันนั้น ในอีกห้องโถงหนึ่ง ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มชุดสีเทาที่พึ่งจะผ่านการทดสอบก้าวออกมาจากห้องโถงดังกล่าว


และหลังก้าวออกมาจากห้องโถงแล้ว ชายหนุ่มก็หันกลับมาดูชม จึงพบว่าห้องโถงที่มันพึ่งก้าวออกมานั้น เป็นอะไรที่มันสามารถมองผ่านเข้าไปเห็นเรื่องราวได้ชัดเจน


จากจุดนี้กำแพงห้องโถงเมื่อครู่ เสมือนกระจกแก้วโปร่งใส มองทะลุไปได้คล้ายไม่มีอะไรขวางกั้นอยู่เลย!


“นี่มัน…”


ครู่ต่อมาชายหนุ่มชุดเทาก็พว่ามีผู้คนกลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวกันอยู่ไม่ไกล และยืนอยู่ริมขอบผนังห้องโถงโปร่งใสแห่งหนึ่ง ท่าทางกำลังเฝ้าดูการต่อสู้ภายในอยู่


“เจ้าหนุ่มชุดม่วงนี่สมควรพาใครเข้ามาด้วยไม่ผิดแน่…ไม่งั้นมันคงไม่ต้องเจอกับร่างจิตต่อสู้ที่ร้ายกาจขนาดนี้หรอก!”


“ก่อนหน้านี้อัจฉริยะของนิกายสืออวิ๋น หงเทา ก็ตกตายคามือร่างจิตต่อสู้นั่นไปแล้ว…หงเทาผู้นั้นแม้จะเข้าใจความหมายแห่งไม้ ซึ่งเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้แล้วแท้ๆ แต่ยังรับมือร่างจิตต่อสู้นั่นได้แค่ร้อยกระบวนท่า สุดท้ายก็ต้องถูกฆ่าไปในที่สุด…”


“หงเทานั่น…9 ใน 10 ไม่พ้นมันได้เจอน้องชายของมัน จากนั้นก็ช่วยน้องชายเก็บแต้มแล้วพามาจนถึงที่นี่?”


“คงเป็นเช่นนั้นล่ะ ถึงตอนนี้ท่าทางน้องชายมันจะไม่กล้าออกจากห้องเล็กๆนั่น…กระนั้นหงเทาก็ยังต้องจ่ายราคาที่มันโกงเพื่อช่วยน้องชายมันอยู่ดี ข้าว่าวังจอมราชันอมตะจอมราชัน ตั้งใจเพิ่มความยากให้กับผู้ทดสอบที่ช่วยเหลือและพาคนอื่นมาที่นี่โดยเฉพาะ”


“ข้าก็ว่างั้น…การทดสอบแรก พวกเราแค่เจอกับยอดเซียนอมตะ 10 คน และพลังฝีมือก็เทียบได้กับยอดเซียนอมตะทั่วๆไปเท่านั้น ! แต่หงเทากับเจ้าหนุ่มนี่ที่สมควรโกงมา จำต้องเจอกับบร่างจิตต่อสู้ชวนสยองนั่น!”


“ข้าที่ออกมาก่อน ก็ได้เห็นหงเทาประมือกับร่างจิตต่อสู้นี่แต่แรก เดิมทีก็สูสีกันอยู่หรอก แต่พอผ่านไปร้อยกระบวนท่า อยู่ๆพลังของร่างจิตต่อสู้ก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างกะทันหัน ถึงขั้นเทียบได้กับยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการจนแตกฉาน!”


“ถึงตอนนี้พวกเราจะเห็นว่าเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นมันยังสูสีกับร่างจิตต่อสู้อยู่…แต่รอให้ผ่านไปครบ 100 กระบวนท่าก่อนเถอะ พอพลังของร่างจิตต่อสู้เพิ่มพูนขึ้นมา เจ้าหนุ่มชุดม่วงนี่ได้ตายคาที่แน่!!”



บริเวณข้างกำแพงห้องโถงจุดนั้น มีคนยืนอยู่ 5-6 คน นอกจากนั้นยังมีห้องโถงอื่นๆอีกหลายห้อง และด้านในก็มีคนกำลังสู้กับร่างจิตต่อสู้เช่นกัน


“ตรงนั้นมันมุงดูอะไรอยู่กันแน่?”


ชายหนุ่มชุดเทาที่พึ่งออกมาจากห้องโถงของตัวเอง พอหันไปมองรอบๆมันก็พบว่านอกจากผนังห้องโถงของตัวเองจะกลายเป็นโปร่งใสจนเห็นได้ชัดแล้ว ยังปรากฏห้องโถงเรียงรายกันมากมายราวห้องแถว และหากไปยืนอยู่ที่ผนัง ก็จะสามารถมองเห็นเรื่องราวในห้องโถงได้ชัดเจน


นอกจากนั้นนอกจากเห็นคน 5-6 คนกำลังมุงดูเรื่องราวในห้องโถงห้องหนึ่งแล้ว ห้องโถงอื่นๆก็มีคนกำลังต่อสู้ไม่น้อย


สำหรับในห้องโถงที่ไม่มีใครไปมุงดู คนในห้องก็กำลังเผชิญกับศัตรูเหมือนกับที่มันพึ่งเอาชนะมาได้ ร่างจิตต่อสู้ 10 ร่าง ที่แต่ละร่างเทียบได้กับยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ที่เชี่ยวชาญวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับขุนนางครบทุกสาย


ชายหนุ่มเหลือบมองไปยังห้องโถงที่มีผู้คนกำลังสู้อยู่รอบๆ ก็พบว่าผู้ที่กำลังประมือกับร่างจิตต่อสู้ทั้ง 10 อย่างไม่ลำบาก บ้างก็บดขยี้ได้อย่างราบคาบ เรียกว่าไม่มีใครที่พลังฝีมืออ่อนด้อย กระทั่งล้วนเข้าใจความหมายแห่งกฏแล้วหมดสิ้น


“ห้องโถงห้องนั้นมีอะไรกันแน่นะ…”


ชายหนุ่มละสายตาจากห้องโถงรอบๆกลับมา ก่อนจะหันไปมองห้องโถงที่มีคนออมุงอยู่ 5-6 คนอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็เดินเข้าไปหยุดมองเรื่องราวเหมือนคนอื่น


“เป็นเจ้านั่น!”


หลังเหลือบมองไปปราดเดียว ชายหนุ่มคนดังกล่าวก็สังเกตเห็นร่างชายหนุ่มชุดม่วงกำลังประมือกับร่างจิตต่อสู้ร่างหนึ่ง ขณะเดียวกันมันก็จดจำอีกฝ่ายได้ทันที


ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะแห่งประเทศฝูชิว!


“คู่ต่อสู้ของมัน…”


ครู่ต่อมาความสนใจของชายหนุ่มก็ผละออกจากร่างต้วนหลิงเทียนไปยังร่างจิตต่อสู้ที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสู้ด้วย จึงตระหนักได้ว่า แม้จะเป็นร่างจิตต่อสู้แค่ร่างเดียว แต่กลับร้ายกาจกว่าจิตต่อสู้ทั้ง 10 ที่มันเจอมามาก


“ร่างจิตต่อสู้ร่างนี้…ต่อให้จะเป็นข้าในตอนนี้ แม้จะใช้ออกด้วยทั้งหมดที่มี…แต่เกรงว่าต้องใช้ราวๆ 30 กระบวนท่าถึงจะฆ่ามันได้”


“แถมฟังจากที่พวกนั้นคุยกัน…ร่างจิตต่อสู้นี่หลังผ่านไปร้อยกระบวนท่าแล้ว มันจะยกระดับพลังขึ้นไปอีกขั้น!”


สีหน้าของชายหนุ่มเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังไม่น้อย


“เหลืออีก 22 กระบวนท่า…ถึงพลังฝีมือเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นจะไม่ใช่เล่นๆเลย แต่ถ้ามันฆ่าร่างจิตต่อสู้นี่ไม่ได้ในร้อยกระบวนท่า มันต้องตายแน่นอน!”


“ต่อให้เป็นข้าเจอแบบนั้น ข้าก็มีแต่ต้องรอความตายถ่ายเดียว…พลังฝีมือของร่างจิตต่อสู้ร่งนี้มันร้ายกาจเกินไป ที่สำคัญในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ พวกเรายังไม่อาจพึ่งพลังภายนอกใดๆได้เลย ไม่ว่าจะเป็นยันต์อมตะหรือโอสถเพิ่มพลังใดๆก็ตาม”


“ใช่ ไม่ว่าอะไรจะยันต์อมตะหรือโอสถ ขอเพียงพลังเกินขอบเขตยอดเซียนอมตะล้วนใช้ไม่ได้ทั้งสิ้น…แถมโอสถบางชนิดยิ่งแล้วใหญ่ เกินเอามาใช้แล้วระดับพลังในร่างเกินขอบเขตยอดเซียนอมตะขึ้นมา เห็นว่าจะถูกพลังของแดนสวรรค์ใต้โบราณฆ่าทิ้งทันที!!”


“หากคิดจะเอาชนะร่างจิตต่อสู้นั่น เว้นแต่จะเข้าใจความลึกซึ้ง 2 ประการ…ไม่งั้นคงยากจะจัดการมันได้ ท้ายยยที่สุดแวอาวุธที่ร่างจิตต่อสู้ใช้อยู่ เห็นชัดว่ามีพลังทัดเทียมกับอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะใช้พลังขัดเกลาหล่อเลี้ยงเช่นกัน!”



ชายหนุ่มชุดเทาที่มายืนดูต้วนหลิงเทียนในห้องโถงเหมือนคนอื่นๆ หลังได้ฟังบทสนทนา มันก็ทราบว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันไปแล้ว…ต้วนหลิงเทียนเสมือนนักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิต!


WSSTH ตอนที่ 3,008 : อุปกรณ์เทพระดับสูงสุด!


‘จะเป็นเช่นนั้นแน่หรือ?’


อย่างไรก็ตามชายหนุ่มชุดเทาที่ได้ยินคำตัดสินของคนอื่นๆ มันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ‘ต้วนหลิงเทียนคนนั้น ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญเป็นแน่’


ตัวมันนั้นมีความเป็นมาไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้มันที่ลองถามตัวเองดู ก็ตอบได้ทันทีว่าสายตามองคนของมันนั้นเหนือล้ำกว่าคนทั่วไปมาก


ตั้งแต่วันที่มันได้เจอต้วนหลิงเทียนครั้งแรก มันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยบางอย่างจากร่างต้วนหลิงเทียน ถึงแม้มันจะยังไม่แน่ใจว่าเป็นกลิ่นอายของอะไรกันแน่ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นกลิ่นอายที่มันเคยสัมผัสได้จากตอนที่มันยังอยู่ในตระกูลที่ระราบแห่งนั้น..


“กลิ่นอายที่ว่าเหมือนอุปกรณ์เทพ…แต่มีอะไรแปลกๆ…คล้ายมีอะไรบางอย่างขาดหายไป”


ชายหนุ่มชุดเทาบ่นพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีแต่มันคนเดียวที่ได้ยิน


“มันไร้จิตวิญญาณแห่งศาสตรา”


ในขณะที่เสียงของชายหนุ่มชุดเทาดังจบคำ ก็มีเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้นในหัว และยังเป็นเสียงของสตรีนางหนึ่ง


เสียงของสตรีนางนี้ฟังดูน่าเกรงขามทั้งเย็นชา พาลให้ผู้คนที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหน็บหนาวอยู่บ้าง


“พี่หวงเอ้อ ท่าน…ตื่นแล้วหรือ!?”


ได้ยินเสียงที่อยู่ๆก็ดังขึ้นในหัว ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มชุดเทาจะไม่แตกตื่นตกใจ กลับกันสองตาของมันเบิกโพลง ใบหน้าฉายชัดถึงความตื่นเต้น ราวกับได้พบเจอกับเรื่องราวอันน่ายินดีและทำให้มันมีความสุขมาก


“อืม”


เสียงอันสง่างามน่าเกรงขามทั้งเยย็นชาของสตรีดังขึ้นอีกครั้ง “ตั้งแต่ที่เจ้าเจอมันครั้งแรก ข้าก็เริ่มได้สติแล้ว…อย่างไรก็ตามตอนนั้นข้ายังไม่อาจสื่อสารกับเจ้าได้”


กล่าวถึงจุดนี้ เสียงของสตรีดังกล่าวก็หยุดลง ก่อนที่นางจะกล่าวต่อออกมาว่า “เสี่ยวเฟิง เจ้าโตขนาดนี้แล้วหรือ…”


พอได้ยินวาจาประโยคนี้ ชายหนุ่มในชุดสีเทาที่มักมีสายตาเฉยเมยไม่แยแสต่อสิ่งใด สองตาของมันแดงรื้นขึ้นมาปานจะร้องไห้เสียอย่างนั้น


และไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ สองมือของมันได้กำหมัดแน่นจนข้อขาว เอ่ยกับสตรีนางนั้นว่า “พี่สาวหวงเอ้อ…สักวันข้าจะล้างแค้นให้ท่าน ยังจะล้างแค้นให้ครอบครัวข้า!!”


“ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้…”


สตรีนางนั้นยังคงกล่าวสืบต่อ “แล้วพี่หวงเอ้อคนนี้ ก็จะคอยช่วยเหลือเจ้าอีกแรง…”


“พี่สาวหวงเอ้อ ท่าน…”


ในขณะที่แววตาของชายหนุ่มชุดเทาหดเล็กลงด้วยความหวั่นใจ และกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา เสียงของสตรีก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน เอ่ยว่า “เสี่ยวเฟิง ข้าคิดจะผสานเข้ากับอุปกรณ์เทพในร่างของต้วนหลิงเทียนคนนั้น และกลายเป็นจิตวิญญาณสถิตย์อุปกรณ์เทพของมัน”


“ท่าน…ท่านจะไปเป็นจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพของมันเหรอ!?”


เมื่อได้ยินคำของสตรี ลูกตาของชายหนุ่มชุดเทาก็หดเล็กลง หน้ายังเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง “พี่สาวหวงเอ้อ…จะอย่างไรท่านก็คือจิตวิญญาณสถิตย์อุปกรณ์เทพระดับสูงสุด…อย่าว่าแต่อุปกรณ์เทพระดับต่ำ ต่อให้เป็นอุปกรณ์เทพระดับกลาง แม้แต่ระดับสูง ท่านก็ไม่เหลือบแล…”


“หรือท่านจะบอกว่า…ต้วนหลิงเทียนคนนั้นมันมีอุปกรณ์เทพระดับสูงสุด!?”


พอชายหนุ่มชุดเทานึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ขึ้นมา สีหน้าแววตามันก็เผยอาการตกใจไม่น้อย เร่งหันไปมองชายหนุ่มชุดม่วงในห้องโถงเบื้องงหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


“เสี่ยวเฟิง…อุปกรณ์เทพที่อยู่ในร่างของมัน เจ้าเองก็รู้จัก…”


เสียงสตรีดังขึ้นอีกครั้ง


“ข้าก็รู้จัก?”


ร่างชายหนุ่มชุดเทาผงะไปทันที จากนั้นสองตามันก็ทอประกายจ้า “พี่สาวหวงเอ้อ…ท่านอย่าได้บอกข้านะ…ว่าอุปกรณ์เทพในร่างต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่แค่อุปกรณ์เทพระดับสูงสุดธรรมดา แต่เป็นอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดอันลือชื่อ และยังเป็นอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดอันลือชื่อจากระนาบทวยเทพของพวกเรา?”


“มิผิด อุปกรณ์เทพระดับสูงสุดในร่างต้วนหลิงเทียนคนนั้น…ก็คือกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน”


เสียงสตรีดังสืบต่อ


“อะไร!?”


“กะ…กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนรึ!?”


ได้ยินคำของสตรี ลูกตาของชายหนุ่มชุดเทาก็หดหยีลงแทบปิด สีหน้าแลดูตกกใจไม่น้อย “กระบี่เล่มนั้น…มิใช่ว่าอยู่ในมือของนายท่าน 3 แห่งตระกูลเซี่ย เซี่ยเจี๋ย ผู้นั้นหรือไร?!”


“แล้วไฉนถึงไปอยู่ในมือของต้วนหลิงเทียนผู้นั้นได้เล่า!?”


ตัวมันย่อมเคยได้ยินคำร่ำลือของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนมาก่อน


กล่าวไป…ขอเป็นเพียงผู้คนในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพของมัน ไม่มีใครไม่รู้จักกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน!


ที่ไฉนกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนถึงมีชื่อเสียงโด่งดังนั้น ไม่ใช่เพราะพลังอานุภาพของตัวกระบี่ หากแต่เจ้าของเดิมของมันนั้นเป็นตัวตนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพต่างหาก!


“เรื่องนี้เจ้าต้องสอบถามมันเอง…แต่ในเมื่อมันสามารถถือครองกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้ จะมากจะน้อยมันย่อมมีความเกี่ยวข้องกับนายท่าน 3 แห่งตระกูลเซี่ย เซี่ยเจี๋ย ผู้นั้น…”


เสียงสตรียังคงกล่าวสืบต่อ “หากเจ้าสามารถสานไมตรีกับเซี่ยเจี๋ยผู้นั้นผ่านมันได้ บางทีวันหน้าเรื่องแก้แค้นของเจ้า อาจมีผู้ช่วยเหลืออันทรงพลังอย่างไม่คาดคิด…เจ้าเองก็สมควรทราบดี ว่าเซี่ยเจี๋ย ของตระกูลเซี่ยผู้นั้น เป็นตัวตนอันน่ากลัวเพียงใด”


“พี่สาวหวงเอ้อ…”


ชายหนุ่มชุดเทาสะเทือนใจไม่น้อย


วิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างของมันตอนนี้ ก็คืออดีตจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพคู่กายของพี่สาวแท้ๆมัน หลังจากที่ร่างกายอันเป็นอุปกรณ์เทพชิ้นนั้นถูกทำลาย วิญญาณศาสตราเช่นนางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็ได้หลบหนีมาอาศัยอยู่ในร่างมัน จากนั้นก็เร่งชี้นำให้มันรีบหลบหนีไปจากตระกูล ก่อนที่หายนะจะมาถึงตัว!


จากนั้นด้วยความช่วยเหลือของนาง มันก็สามารถหลบหนีออกจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพจนมาถึงหลิงหลัวเทียน 1 ใน 81 ระนาบเทวโลกได้สำเร็จ


ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างชายหนุ่มชุดเทากับสตรีดังกล่าว หาไม่แล้วเขาคงแปลกใจครั้งยิ่งใหญ่กับบทสนทนาของชายหนุ่มชุดเทากับสตรีเป็นแน่


นั่นเพราะเขาเองก็รู้จักชายหนุ่มชุดเทาคนนี้ และชื่อที่เขารู้จักกลับไม่มีคำว่า ‘เฟิง’ แม้แต่น้อย


ทว่าสตรีนางนั้นกลับเรียกหาชาหนุ่มชุดเทาว่า ‘เสี่ยวเฟิง’


“ต้วนหลิงเทียน?!”


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ไม่ไกลจากร่างของชายหนุ่มชุดเทา พลันปรากฏร่างชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง


และชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นคนที่พึ่งต่อสู้กับร่างจิตต่อสู้ชนะมาหยกๆ ในห้องโถงห้องอื่น


มันยังจดจำชายหนุ่มชุดม่วง ที่ชายหนุ่มชุดเทาและคนอื่นๆกำลังมองอยู่ได้ทันที


ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน มันก็คือองค์ชายรองของประเทศหนันฉี่ เชวียจิงอวี่ ที่เคยประมือกับต้วนหลิงเทียนจนแพ้พ่าย ก่อนที่จะเข้ามายังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ!


เชวียจิงอวี่นั้นไม่เพียงเป็นองค์ชายรองของประเทษหนันฉี่เท่านั้น แต่มันยังเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งสายฟ้า อย่างความหมายแห่งสายฟ้าจนสำเร็จขั้นตอนเบื้องต้นแล้ว


อาศัยพลังฝีมือของมัน จึงมาถึงที่นี่ได้เช่นกัน


“โกงหรือ?”


เชวียจิงอวี่ถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินผู้คนโดยยรอบสนทนากันว่า ต้วนหลิงเทียนนั้น สมควรโกงโดยการช่วยเหลือใครบางคนเก็บคะแนนสะสมจนครบ 10 แต้มเพื่อให้สามารถมาที่วังจอมราชันอมตะได้ สุดท้ายบททดสอบแรกของต้วนหลิงเทียนจึงถูกวังจอมราชันอมตะเพิ่มความยากกว่าผู้อื่นเขา


ทันทีที่เชวียจิงอวี่รับทราบเรื่องนี้ หน้ามันก็เปลี่ยนสีไปทันที ในใจยังรู้สึกโชคดีไม่น้อย เพราะมันเองก็ช่วยเหลือคนในประเทศเก็บคะแนนสะสมเช่นกัน! แต่ไม่ได้ช่วยอีกฝ่ายจนเก็บสะสมได้ครบ 10 แต้ม!!


“ต้องตายแน่ๆงั้นเรอะ?”


เมื่อได้ยินกลุ่มคนที่กำลังมุงชมอยู่กล่าวกันทำนองว่าต้วนหลิงเทียนต้องตายแน่ๆ เชวียจิงอวี่อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มเย้ยหยันออกมาอย่างประชดประชัน เพราะมันรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน หาได้มีเท่าที่คนพวกนี้กำลังเห็นไม่!


“ถึงแม้ร่างจิตต่อสู้นี้จะทรงพลังไม่เบา และการโจมตีของมันก็รุนแรงกว่าการลงมือที่ข้าใช้กับต้วนหลิงเทียนไม่น้อย…แต่ก็ยังไม่พอฝ่าการป้องกันนรกนั่นของต้วนหลิงเทียนได้หรอก!”


“ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนยังสามารถหยุดกระบวนท่าของข้าได้อย่างง่ายดาย…”


“ซ้ำร้ายตอนนั้นในตัวของต้วนหลิงเทียนยังไม่มีชุดเกราะอมตะระดับราชาด้วยซ้ำ!”


“ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนมีชุดเกราะอมตะระดับราชาที่เน้นการป้องกันเป็นหลักแล้ว การป้องกันของมันไม่ทราบจะน่ากลัวขึ้นไปอีกเท่าไหร่…ร่างจิตต่อสู้นั่นให้ร้ายกาจกว่านี้อีกขั้น ก็ไม่มีวันฝ่าปราการป้องกันนรกนั่นของต้วนหลิงเทียนได้หรอก!”


“ตอนนี้ขอแค่ต้วนหลิงเทียนเลือกจะล้มเลิกการชิงไหวชิงพริบ และหันมาลุยดะแลกตายกับร่างจิตต่อสู้นั่น ก็คงเอาชนะร่างจิตต่อสู้นั่นได้นานแล้ว”


ถึงแม้มันจะแพ้พ่ายต้วนหลิงเทียนมาครั้งหนึ่ง แต่เชวียจิงอวี่ก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรต้วนหลิงเทียน ยังนับถืออยู่หลายส่วน ขณะเดียวกันมันก็เชื่อมั่นเต็มเปี่ยม ว่าขอเพียงต้วนหลิงเทียนต้องการ ย่อมสามารถฆ่าร่างจิตต่อสู้นั้นได้ตลอดเวลา!


“จะอย่างไรก็ตาม…หากเป็นตัวข้า คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของร่างจิตต่อสู้นั่นแน่”


หลังได้เห็นพลังอันแกร่งกร้าวของร่างจิตต่อสู้ที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเผชิญหน้าอยู่ เชวียจิงอวี่ก็สำเหนียกตัวเองดี “แต่กับต้วนหลิงเทียนมันคนละเรื่อง…เจ้านั่นมันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว”


“ทั้งความลึกซึ้งของกฏแห่งดินอีกประการที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใจ ไม่พ้นเป็นความลึกซึ้งที่โดดเด่นเรื่องการส่งเสริมการป้องกันเป็นหลัก!”


ในขณะที่เชวียจิงอวี่กำลังพึมพำกับตัวเบาๆถึงจุดนี้


ภายในห้องโถง เรื่องราวก็เริ่มดำเนินไปตามที่เชวียจิงอวี่กล่าวไว้ไม่มีผิด ต้วนหลิงเทียนที่พยายามอาศัยความสามารถและไหวพริบชิงชัยกับร่างจิตต่อสู้นั้น สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะอีกฝ่ายที่ไร้ช่องโหว่ได้เลย จึงเลือกที่จะไม่ปะทะตามเกมของอีกฝ่าย และเลือกจะใช้วิธี ‘ท่านฟันข้าหนึ่งดาบ ข้าจ้วงท่านหนึ่งมีด’ แทน…


และครู่ต่อมาเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงก็เริ่มปรากฏขึ้นคลุมกายต้วนหลิงเทียนเอาไว้ จากนั้นก็ปรากฏพลังหนุนเสริมสู่เงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงมากมายส่งเสริมพลังอำนาจในการป้องกันของมันให้ยกระดับขึ้นจนน่ากลัว


จากนั้นในขณะที่ต้วนหลิงเทียนปล่อยให้กระบี่หนักของร่างจิตต่อสู้ฟันมาที่เขาโดยไม่ใช้กระบี่เข้ารับ ตัวเขาก็อาศัยจังหวะดังกล่าวรวมรั้งพลังทั้งหมดลงสู่กระบี่หนักไร้คมแล้วฟันสวนออกไปฉับไวปานฟ้าผ่าทันที! สุดที่ร่างจิตต่อสู้จะเปลี่ยนแปลงกระบวนท่าใดๆได้ทันกาล!!


อย่างไรก็ตามร่างจิตต่อสู้ก็ยังคงเลือกที่จะทุ่มพลังไปกับการโจมตีเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามันก็เลือกที่จะแลกกันคนละกระบี่กับต้วนหลิงเทียน!


เพราะจุดประสงค์ของร่างจิตต่อสู้ร่างนี้ ก็คือการฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายให้จงได้ โดยที่มันไม่สนใจว่าหลังจากฆ่าต้ววนหลิงเทียนได้แล้วตัวเองจะต้องตายหรือไม่!


เห็นฉากดังกล่าว เหล่าผู้ที่กำลังมุงชมเรื่องราวอยู่อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ขณะเดียวกันก็คิดกันไปว่า…ชายหนุ่มชุดม่วงนั่นเสียสติไปแล้วหรือไร ถึงได้คิดแลกชีวิตกับร่างจิตต่อสู้แบบนี้?


หรืออีกฝ่ายไม่รู้ ว่าต่อให้ทำเช่นนี้ถึงจะฆ่าร่างจิตต่อสู้ได้ แต่ตัวเองก็ไม่พ้นต้องตกตายไปตามๆกัน?


อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงที่อุบัติขึ้นในฉับพลัน ก็สร้างความตกตะลึงให้พวกมันอีกรอบ


“นั่นปะไร!”


เชวียจิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างขบขัน เห็นได้ชัดว่ามันชอบใจไม่น้อยที่เดาถูก!


“มารดามันเถอะ! นั่นมันพลังป้องนรกอันใดกัน!?”


ตอนนี้เอง กระทั่งชายหนุ่มชุดเทาที่ยังคงสนทนากับสตรีในร่างอยู่ ก็ถูกเสียงอุทานของผู้คนรอบๆปลุกให้กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง


“เจ้านั่นมันอะไรกันแน่ อาศัยแค่ชุดเกราะอมตะระดับราชา กลับป้องกันการโจมตีของร่างจิตต่อสู้นั่นได้งั้นเหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!?”


“ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ชุดเกราะอมตะของมันไม่คล้ายเป็นชุดเกราะอมตะที่ได้รับการหล่อเลี้ยงขัดเกลาด้วยพลังของจอมราชันอมตะมาก่อน…ต่อให้เป็นชุดเกราะอมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะใช้พลังขัดเกลาหล่อเลี้ยงมา ก็ไม่มีวันทรงพลังถึงขั้นป้องกันการโจมตีนั่นของร่างจิตต่อสู้ได้โดยไร้ขีดข่วนแบบนี้!!”


“เจ้านั่น มันต้องเข้าใจความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งดินแล้วเป็นแน่…และความลึกซึ้งที่มันเข้าใจ สมควรเอกอุในเรื่องป้องกัน! หาไม่แล้วพลังป้องกันมันไม่ผิดประหลาดได้ถึงขนาดนั้นหรอก!!”



ในขณะที่ได้ยินเสียงอุทานโพล่ดังขึ้นด้วยความตกใจ ชายหนุ่มชุดเทาก็เห็นว่า


เรื่อราวภายในห้องโถงเบื้องหน้านั้น ร่างจิตต่อสู้ที่ฟันกระบี่หนักลงไปสุดแรงกลับไม่อาจฝ่าม่านพลังลักษณ์เกราะอ่อนเกล็ดแดงไปถึงตัวต้วนหลิงเทียนได้เลย


แต่กระบี่หนักไร้คมที่รวมรั้งพลังทั้งหมดของต้วนหลิงเทียน กลับฟันร่างจิตต่อสู้ขาดสะพายแล่ง เรียกว่าเอาชนะได้อย่างหมดจด!


“เจ้านั่นมันจะถึกเกินไปแล้ว!!”


“มารดามันเถอะ! ภายใต้การป้องกันนรกนั่นของมัน ข้าว่าคงมีไม่กี่คนกระมังที่ทะลวงฝ่าเข้าไปได้?”


“มันเป็นผู้ใดมาจากไหนกันแน่? ไฉนข้ากลับไม่เคยได้ยินเรื่องราวของมันมาก่อน ร้ายกาจเช่นมันสมควรโด่งดังในคฤหาสน์เฉวียนโยวไม่น้อย!”


“เฮ่ ดูเหมือนเจ้าหนุ่มที่พึ่งออกมาจากโถงเมื่อครู่ จะเรียกชื่อเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นอยู่นี่! ลองไปถามมันดูเร็ว!”



หลายคนที่กำลังแตกตื่นกับเรื่องราวในห้องโถงของต้วนหลิงเทียน พอคุยกันไปได้สักพัก ก็มีบางคนที่จำได้ว่า เหมือนก่อนหน้าเชวียจิ่งอวี่จะเรียกชื่อต้วนหลิงเทียนออกมา


“เจ้านั่นเรียกว่าต้วนหลิงเทียน เป็นอัจฉริยะที่ปรากฏตัวขึ้นในดินแดนพันประเทศ ยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดคนหนึ่ง”


เมื่อถูกมองจ้องมาด้วยสายยตาสงสัยของผู้คนโดยรอบ เชวียจิงอวี่กล่าวออกมาทันที


“อัจฉริยะที่ปรากฏตัวขึ้นในดินแดนพันประเทศรึ?”


เดิมทีพวกมันเข้าใจว่าชายหนุ่มชุดม่วงที่ร้ายกาจขนาดนี้ สมควรเป็นไพ่ลับของขุมกำลังระดับ 7 แน่นอน พอมาได้ยินคำของเชวียจิงอวี่ พวกมันจึงตกใจไม่น้อย!


“หืม?”


ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลังจากเขาผ่านการทดสอบและพึ่งจะเดินออกจากห้องโถงมา กลับพบเห็นผู้คนมากมายกำลังมองจ้องมาที่เขา


ที่สำคัญในบรรดากลุ่มคนดังกล่าว ยังมีคนที่เขารู้จักอยู่ 2 คน


เชวียจิงอวี่ องค์ชายรองของประเทศหนันฉี่


หลิงเจวี๋ยอวิ๋น อัจฉริยะที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาของประเทศตงหมิง!


WSSTH ตอนที่ 3,009 : ไปหาที่สนทนาเงียบๆ


‘ดูเหมือนทุกคนก็พึ่งจะผ่านการทดสอบมาสินะ’


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองสำรวจไปทั่วๆ จึงพบว่าไม่เพียงแต่จะสามารถมองเห็นภายในห้องโถงของตัวเองที่พึ่งออกมาได้ แต่ยังเห็นเรื่องราวภายในห้องโถงอื่นๆเช่นกัน


กวาดตามองไปปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีห้องโถงทั้งสิ้น 10 โถง และบัดนี้คงเหลืออีก 3 ห้องโถงเท่านั้นที่มีคนกำลังประมือกับร่างจิตต่อสู้ที่เป็นบททดสอบแรกอยู่


“หืม?”


อย่างไรก็ตามพอเห็นคู่ต่อสู้ในทดสอบของคนอื่น ต้วนหลิงเทียนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้


เขาพบว่าหนึ่งในนั้นกำลังปะทะกับร่างจิตต่อสู้ 7 ร่าง หากแต่ร่างจิตต่อสู้ทั้ง 7 ที่ว่ากลับไร้ซึ่งสัญญาณรวมร่างแต่อย่างไร สุดท้ายก็ถูกไล่ฆ่าทิ้งไปทีละร่างๆ


ส่วนอีก 2 คนนั้น ก็กำลังเผชิญหน้ากับร่างจิตต่อสู้ที่เหลือแค่ 4-5 ร่างเท่านั้น


‘นี่มัน…อะไรกัน?’


‘ไฉนบททดสอบที่ข้าเจอ มันยากกว่าเจ้าพวกนี้นักเล่า?’


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะงุนงงสงสัย หรือวังจอมราชันอมตะมีลำเอียงด้วย?


“ต้วนหลิงเทียน”


ตอนนี้เองเชวียจิงอวี่ที่เห็นต้วนหลิงเทียนยืนนิ่งไปด้วยสายตางุนงง ก็พอจะคาดเดาความคิดของต้วนหลิงเทียนได้ จึงกล่าวทักออกมา “เจ้าได้ช่วยสะสมคะแนนให้ใครบางคนจนครบ 10 แต้มรึเปล่า แถมยังพาคนผู้นั้นมาที่วังจอมราชันอมตะด้วย?”


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองเชวียจิงอวี่ด้วยความสงสัย และไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆอีกฝ่ายก็ถามเรื่องนี้ออกมา


แต่ก็ใช่ เขาช่วยหวงเจียเชาสะสมคะแนน 10 แต้ม


“ก็ใช่”


พอเห็นต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เชวียจิงอวี่ก็เริ่มพูดต่อ “เพราะเจ้าช่วยผู้อื่นโกงคะแนนและพามันมาที่วังจอมราชันอมตะ เช่นนั้นบททดสอบแรกที่เจ้าต้องพบเจอจากวังจอมราชันอมตะจึงยากเป็นพิเศษ”


“ก่อนหน้าเจ้า ก็มีคนที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าข้าเลย ตกตายเพราะเจอการทดสอบระดับเดียวกับเจ้าไปแล้ว…”


เชวียจิงอวี่พูดออกมารวดเดียวจบ


“โกง?”


หว่างคิ้วต้วนหลิงเทียนขดย่นเป็นปม เขาไม่คิดเลยว่าวังจอมราชันอมตะจะมีกฏอะไรแบบนี้อยู่ด้วย และเขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย


อย่างไรก็ตามพอนึกดูอีกรอบก็จำได้ว่า ใครก็ตามที่เข้ามาในแดนสววรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ผู้ที่ได้ 10 คะแนนและรู้เรื่องวังจอมราชันอมตะก็จะสูญเสียความทรงจำที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจนหมด เขาก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างเข้าใจ


เพราะแบบนี้ ถึงแม้จะมีใครบางคนเคยเจอเรื่องแบบเดียวกับเขา ต่อให้รอดกลับออกไปได้ ก็ไม่อาจเหลือความทรงจำไปบอกใครได้อยู่ดี


“ต้วนหลิงเทียน”


ทันใดนั้นเอง เรื่องที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจอยู่บ้างก็เกิดขึ้น อัจฉริยะจากประเทศตงหมิง หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ผู้นั้น กลับเป็นฝ่ายทักเขาก่อน ทั้งยังเดินเข้ามาหาเขา


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น”


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลางพยักหน้าทักตอบ


“ข้าขอคุยอะไรกับเจ้าเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหม?”


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถาม


“หืม? ได้สิ”


ถึงไม่ทราบว่าทำไมอยู่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าหาเขาแบบนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย แล้วเลือกจะพยักหน้าตอบตกลง


“ขอบใจเจ้า”


พอเห็นต้วนหลิงเทียนยอมรับ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เดินนำต้วนหลิงเทียนเข้าไปในห้องโถงที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งเดินออกมาทันที


ต้วนหลิงเทียนก็ตามไปด้วยสงสัย


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นรึ?”


ด้านเชวียจิงอวี่ หลังได้ยินคำทักตอบของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ มันก็รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูพิกล และพอนึกไปนึกมาก็จำได้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็คือนามของอัจฉริยะที่ปรากฏตัวขึ้นในประเทศตงหมิง!


“ผู้ฝึกตนอัจฉริยะที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวในงานประลองสวรรค์ใต้ของตงหมิง…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่อาศัยด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ก็สยบปราบยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้ง 8 ของประเทศตงหมิงได้ผู้นั้น!”


ในขณะที่เชวียจิงอวี่จำหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เดินเข้าไปในห้องโถงแล้ว


เชวียจิงอวี่เห็นก็แต่แผ่นหลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่อาจแลเห็นสีหน้าได้


ส่วนต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น ในสายตาเผยความสงสัยอยู่บ้าง


“เฮ่! สหาย…เมื่อครู่เจ้าบอกว่าชายหนุ่มชุดม่วงนั่นมาจากดินแดนพันประเทศงั้นเรอะ?”


ตอนนี้เองชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในบรรดากลุ่มคน ก็หันมามองถามเชวียจิงอวี่


คนที่เหลือก็มองรอฟังคำตอบเชวียจิงอวี่เช่นกัน


“ใช่”


เชวียจิงอวี่พยักหน้า “ไม่เพียงแต่มันจะเป็นคนจากดินแดนพันประเทศเท่านั้น แต่ข้ายังเป็นคนจากดินแดนพันประเทศด้วย และคนที่พึ่งเดินเข้าไปในห้องโถงกับมันก็เป็นคนของดินแดนพันประเทศเช่นกัน”


“ทว่าต่างจากข้าที่เป็นคนของตระกูลราชวงศ์ประเทศหนันฉี่ ทั้ง 2 ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ทั้งคู่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาและใช้ดินแดนพันประเทศเป็นใบเบิกทางสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้เท่านั้น”


เชวียจิงอวี่กล่าว


“ข้าล่ะคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในวังจอมราชันอมตะ จะมีคนของดินแดนพันประเทศ 3 คนมารวมตัวกัน”


ชายวัยกลางคนระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน


“สหายพอดีเมื่อครู่ข้าเหมือนจะสัมผัสได้…เจ้าหนุ่มชุดม่วงคนนั้นมันอายุน้อยกว่าร้อยปีรึ?”


ตอนนี้เองชายชราคนหนึ่งในกลุ่ม ค่อยๆกล่าวถามออกมาเสียงขรึมด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ


ในระหว่างที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋นอวิ๋นกำลังจะเดินเข้าไปในห้องโถง สำนึกเทวะของมันได้ลองแผ่ออกไปตรวจสอบทั้งคู่คร่าวๆ จึงสัมผัสได้ว่าต้วนหลิงเทียนเหมือนจะมีอายุน้อยกว่าร้อยปี แต่คนดันเข้าโถงไปก่อนมันจึงไม่อาจแน่ใจได้


“อันใด!?”


“อายุไม่ถึงร้อย เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นน่ะนะ? ไม่จริงมั้ง! เป็นไปมิได้!!”


“เหอะๆ หากมันที่ร้ายกาจขนาดนี้ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี…มิใช่หลายปีที่ผ่านของพวกเรา ล้วนใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขแล้วหรือ?”



ได้ยินคำถามของชายชรา หลายคนอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาพลางส่ายหัวระรัว เห็นชัดว่าพวกมันไม่เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นไปได้


“สหายทั้งหลาย พี่ชายท่านนี้พูดถูก…”


เชวียจิงอวี่กล่าวออกเสียงหนัก “และไม่ใช่แค่ชายหนุ่มชุดม่วงเท่านั้น กระทั่งชายหนุ่มชุดเทาคนนั้นก็ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน”


“หากพวกท่านยังไม่เชื่อ…ประเดี๋ยวรอให้ทั้งคู่ออกมาจากโถงก่อน แล้วลองใช้สำนึกเทวะตรวจสอบดูกันเอาเถอะ จากนั้นพวกท่านจะเชื่อเอง ว่าที่ข้ากล่าวไปล้วนเป็นความสัตย์จริง!”


เชวียจิงอวี่ยืนกรานเสียงหนัก


“กระไร?!”


“ทั้งสองคนนั่น…พวกมันอายุไม่ถึงร้อยจริงๆหรือ!?”


“เฮ่ยๆๆ…เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นมันสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการเข้าไปแล้วนา…คนอย่างมันยังจะมีอายุไม่ถึงร้อยปีได้เหรอ สหาย…เจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นแน่หรือ?”



ได้ยินคำพูดของเชวียจิงอวี่หลายคนนั้นไม่อาจปักใจเชื่อได้ทันที แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้โดยสมบูรณ์


เพราะพวกมันรู้สึกว่าเชวียจิงอวี่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาหลอกพวกมัน


และก็เป็นอย่างที่เชวียจิงอวี่กล่าว ขอเพียงรอให้ทั้งสองออกมาแค่ลองตรวจสอบดูเองก็รู้ได้ง่ายๆแล้ว ว่าชายหนุ่มชุดม่วงนั่นที่แท้ยังอายุไม่ถึงร้อยปีจริงหรือไม่จากสำนึกเทวะ


แน่นอนว่าตอนนี้หากเกิดอาการคันในหัวใจยากจะเกาจนทนไม่ไหวแล้ว ขอเพียงก้าวอาดๆเข้าโถงไปตรวจดูก็รู้เรื่องเช่นกัน!


อย่างไรก็ตามพอนึกถึงพลังความแข็งแกร่งชวนสยองของชายหนุ่มชุดม่วง ที่สมควรเข้าใจความลึกซึ้ง 2 ประการนั่นแล้ว พวกมันก็สำเหนียกตัวเองดีว่ายังห่างชั้นเกินกว่าจะไปทาบผู้อื่นเข้าติด


แม้ในบรรดาพวกมันจะไม่มีผู้ใดพลังฝีมือต่ำทราม และต่างเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งกฏได้หมด แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ยังถือว่าด้อยกว่าชาหนุ่มชุดม่วงหลายขุม ถึงขั้นที่ว่าให้พวกมันทั้งหมดกลุ้มรุมโจมตี ก็เกรงว่าจะไม่มีปัญญาฝ่าการป้องกันผู้อื่นเขาได้…


ภายในห้องโถง


“ว่าแต่เจ้าธุระอะไรกับข้างั้นเหรอ?”


ต้วนหลิงเทียนมองถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นออกมาด้วยความสงสัย


เขาไม่รู้จริงๆว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมีเรื่องอะไรกันแน่ ถึงได้พาเขามาคุยกันในโถงจนดูลึกลับและส่วนตัวแบบนี้


“ต้วนหลิงเทียน เจ้ารู้จักเซี่ยเจี๋ยรึเปล่า?”


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองสบตาต้วนหลิงเทียน พลางยิงคำถามแรกออกมาทันที


“เซี่ยเจี๋ย?”


ได้ยินคำถามของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดลงเล็กน้อย หากแต่ในใจนั้นคล้ายมีมรสุมปั่นป่วน!


เซี่ยเจี๋ย


นามนี้มิใช่นามแปลกหูสำหรับเขา


ยังบอกได้ว่าเขาสลักนามนี้ลงในใจไม่รู้ลืม


เพราะเซี่ยเจี๋ยนั้น ก็คือนามของ อาสามเค่อเอ๋อเมื่อชาติที่แล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มาช่วยชีวิตเขาในระนาบโลกียะได้ทันท่วงที กระทั่งยังเป็นผู้ที่มอบทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรก รวมถึงกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้กับเขา


“เซี่ยเจี๋ยไหน เจ้ากำลังถามถึงใครกัน?”


ต้วนหลิงเทียนสูดอากาศเข้าลึกๆ ค่อยย้อนถามกลับไป


วินาทีนี้เขาไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ยอดเซียนอมตะที่เขาบังเอิญมาพบเจอในวังอมตะจอมราชันอย่างไม่คาดคิด ไฉนจะรู้จักตัวตนอย่างเซี่ยเจี๋ยได้


ต้องทราบด้วยว่าเซี่ยเจี๋ยนั้นเป็นตัวตนที่ทรงพลังเหนือกว่าตัวตนใดๆในระนาบเทวโลก เป็นตัวตนขอบเขตเทพเจ้าของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ 1 ใน 18 ระนาบทวยเทพ


“ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ นายท่านลำดับที่ 3 ตระกูลเซี่ย เซี่ยเจี๋ย!”


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นค่อยๆกล่าวตอบออกมาชัดถ้อยชัดคำ


และทันทีที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวคำดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพออกมา ร่างต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านไปทันใด ขณะเดียวกันก็ยืนยันได้ว่าคนที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวถามถึงนั้น เป็นเซี๋ยเจี๋ยที่เขารู้จักจริงๆ


‘หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้…ด่านพลังก็แค่ยอดเซียนอมตะเท่านั้นไฉนถึงไปรู้จักกับเซี่ยเจี๋ยได้? อีกทั้งรู้จักดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพได้อย่างไร?’


ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความสับสน และไม่อาจคิดได้ออกจริงๆว่ายอดเซียนอมตะคนหนึ่งอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไฉนไปล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ กระทั่งรู้จักอาสามของเค่อเอ๋อได้


“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้ารู้จักเซี่ยเจี๋ย”


หลังสูดอากาศเข้าลึกๆ สองตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่มองอีกฝ่าย พลางเอ่ยถามเสียงหนัก


“เพราะอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดในร่างกายของเจ้า ‘กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน’ สมควรอยู่ในมือของเซี่ยเจี๋ย…แต่ในเมื่อมันมาอยู่กับเจ้าแบบนี้ได้ ข้าก็มองเห็นแค่ความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น…เซี่ยเจี๋ยเป็นคนมอบกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้เจ้าด้วยตัวเอง…”


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว


กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน!


เมื่ออีกฝ่ายเปิดเผยการคงอยู่ของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในร่างของเขาออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าไฉนอีกฝ่ายถึงรู้ว่าเขารู้จักเซี่ยเจี๋ย ยังมองถามอีกฝ่ายด้วยความระวัง “นี่เจ้าเป็นใครกันแน่?”


“ข้าเองก็มาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพเช่นกัน”


คล้ายล่วงรู้แต่แรกว่าต้วนหลิงเทียนต้องถามเรื่องนี้ออกมา หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจึงสามารถตอบได้อย่างฉะฉานทันที “บอกเจ้าตามตรง ข้ามาจากตระกูลหลิงของแดนดินการล่มสลายแห่งทวยเทพ และเป็นตระกูลเร้นกายตระกูลหนึ่ง”


ขณะที่กล่าวถึงคำว่า ‘ตระกูลหลิง’ สองหมัดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลันกำแน่น ลูกตายังกลายเป็นสีแดงฉาน ทั่วร่างยังปรากฏเจตนาฆ่าฟันออกมาอย่างยากระงับ


“ตระกูลหลิงของข้าแม้ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเท่าตระกูลเซี่ย อีกทั้งความแข็งแกร่งยังด้อยกว่าตระกูลเซี่ยอยู่บ้าง…หากแต่ในอดีตครั้งสมัยตระกูลหลิงยังรุ่งเรืองนั้น ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเซี่ยเลย”


ขณะที่กล่าวประโยคนี้ น้ำเสียงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ฟังดูเย็นชาเหลือเกิน ปานจะแช่ร่างผู้คนให้เป็นน้ำแข็ง


‘มันเกลียดตระกูลหลิงของมันนักหรือ?’


‘รึบางที…อาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลหลิงของมัน’


ถึงแม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อ แต่ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นชิงชังของอีกฝ่ายชัดเจน จากจิตฆ่าฟันที่เอ่อล้นออกมาทั่วร่างนั่น


เป็นความเคียดแค้นอาฆาตอันสาหัสนัก ไม่ใช่ความแค้นเล็กๆน้อยแน่นอน!


“เจ้าเรียกข้ามา…เพื่อพูดแค่นี้เหรอ?”


ต้วนหลิงเทียนถาม


หลังจากเข้ามาในห้องโถงแล้ว นอกจากประโยคแรกที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยขึ้น จากนั้นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เลือกใช้การส่งเสียงผ่านพลังสื่อสารกัน


“ย่อมไม่”


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่ายหัวไปมาพลางกล่าวสืบต่อ “ที่ข้าเรียกเจ้ามาคุยด้วย…จุดประสงค์คืออยากให้พี่สาวของข้าเป็นวิญญาณกระบี่ของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่อยู่ในร่างเจ้า”


กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน!


วิญญาณกระบี่!?


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันที “เจ้าหมายความว่าอะไร?”


“พี่สาวที่ข้ากำลังพูดถึงนั้น ในอดีตเคยเป็นจิตวิญญาณของอุปกรณ์เทพระดับสูงสุด และอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดที่ว่าก็คืออาวุธคู่กายยของพี่สาวแท้ๆข้า…ต่อมาพี่สาวแท้ๆของข้าตกตาย และอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดชิ้นนั้นก็ถูกศัตรูพรากไป พี่สาวที่เป็นจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดที่ว่า ย่อมไม่คิดยอมรับนายใหม่ ยังคิดมาเตือนเภทภัยต่อข้า จึงละทิ้งอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดนั้นมา ซึ่งการกระทำเช่นนั้นย่อมแลกมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายหลังช่วงข้าหบหนีจึงต้องพักอาศัยในทะเลวิญญาณของข้าเพื่อฟื้นตัว”


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวว่า “หลังจากที่นางกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่ของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนแล้ว ชีวิตของนางจะอยู่ในกำมือเจ้าโดยสมบูรณ์ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่นางจะต่อต้านเจ้าเลย”


“เรียกว่าเจ้าเป็นเจ้านายของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเพิ่ม 1 วัน เจ้าก็คือเจ้านายของนางเพิ่มอีกวัน…และด้วยกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนยังมีเจ้าเป็นเจ้าของ นางก็ไม่อาจละทิ้งกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้”


WSSTH ตอนที่ 3,010 : หวงเอ้อ


วาจาดังกล่าวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เห็นชัดชัดว่าได้ลดความระวังของต้วนหลิงเทียนไปอยู่บ้าง


“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ท่านรู้เรื่องจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพมากแค่ไหน? ทุกอย่างที่มันพูดเป็นความจริงหรือไม่?”


แม้คำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะลดความระวังของต้วนหลิงเทียนลง แต่เขาก็ไม่ใช่ว่าไม่คิดระแวง จึงถามปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก่อนตอบอะไรออกไป


ก่อนหน้านี้เขารู้ก็แต่ว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์เทพจากระนาบทวยเทพ แต่หากไร้ซึ่งจิตวิญญาณกระบี่ พลังของมันจึงเทียบได้กับอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ


“เจ้า…นี่เจ้ามีอุปกรณ์เทพระดับสูงอยู่กับตัวจริงเหรอ?”


ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินย้อนถามออกมาด้วยความประหลาดใจ


“มันสัมผัสได้ แต่ท่านสัมผัสไม่ได้งั้นเหรอ?”


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะงุนงง จากนั้นเพียงห้วงคิด กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่ผสานอยู่ในร่างเขา ก็เริ่มเคลื่อนไหวเข้าไปใกล้ตำแหน่งที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินอยู่


“ให้ตายเถอะ! เป็นอุปกรณ์เทพจริงๆแถมยังเป็นอุปกรณ์เทพระดับสูง!!”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “เจ้าหนู ในเมื่อเจ้ามีของดีๆอย่างอุปกรณ์เทพระดับสูงอยู่กับตัวแบบนี้ ทำไมวันนั้นไม่ใช่มันฆ่าคนที่ชื่อสุมาฉุนอะไรนั่นเล่า?”


“ถึงแม้ว่าตอนนี้อุปกรณ์เทพนี่จะไร้จิตวิญญาณ แต่หากเจ้าใช้มันก็สำแดงพลังอำนาจทัดเทียมกับอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิได้ง่ายๆ!”


“วันนั้นหากเจ้าใช้กระบี่เทพระดับสูงนี่ลงมือ…เจ้าสามารถฆ่าไอ้สุมาฉุนอะไรนั่นก่อนที่มันจะมีโอกาสได้ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ!”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวถึงตอนนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา เสียงเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเผยความระอาอยู่บ้าง “หากเป็นแบบนั้น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเสียพลังไปกับการป้องกันกระบวนท่ามันให้เหนื่อย”


“เทียบได้กับอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ?”


ต้วนหลิงเทียนตกใจ “ถึงกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในร่างข้าจะเป็นอุปกรณ์เทพก็จริง แต่พลังอำนาจของมันข้าเคยลองใช้ดูแล้วก็พอๆกับอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางเท่านั้นนี่นา แล้วมันจะไปเทียบกับอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิได้ยังไง?”


ต้องทราบด้วยว่าต้วนหลิงเทียนเคยใช้กระบบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนมาก่อนมากกว่าหนึ่งครั้ง และจากพลังที่เขาสัมผัสได้ก็มีพลังพอๆกับอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางเท่านั้น


“เหอะๆ เจ้าหนู…ที่เจ้าบอกว่าเคยใช้น่ะ เจ้าใช้มันตอนที่ยังไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้งของกฏล่ะสิ?”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินถาม


“ใช่”


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนขานรับ ก็เสมือนมีประกายแสงหนึ่งวาบขึ้นในใจ “ท่านหมายความว่า…หลังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแล้ว ยามข้าใช้กระบี่นี่มันจะเพิ่มพูนพลังของกฏได้งั้นเหรอ?”


“ก็ใช่ไง!”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินตอบ “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อุปกรณ์เทพที่เจ้ามีมันเป็นอุปกรณ์เทพระดับสูงเลย แค่อุปกรณ์เทพระดับต่ำไร้จิตวิญญาณ สำหรับคนที่เข้าใจพลังของกฏแล้ว หากใช้มันก็สามารถสำแดงพลังดั่งใช้อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิได้!”


“เจ้ามีอุปกรณ์เทพระดับสูงนี่อยู่กับตัวแท้ๆ แต่ยังไปใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันนั่น…เหมือนเจ้ามีปืนใหญ่ แต่ดันใช้ปืนแก๊บแท้ๆ”


พอกล่าวถึงจุดนี้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็บ่นงึมงำไม่หยุด ประหนึ่งต้วนหลิงเทียนมีของดีในมือแต่ดันไม่รู้คุณค่า


ต้วนหลิงเทียนได้ฟังคำบ่นของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ


ก็เขาไม่รู้นี่


“ส่วนเรื่องที่เจ้าหนูนั่นพูด ล้วนเป็นความจริงทุกประการ…หากกระบี่เทพระดับสุดที่เจ้ามีได้จิตวิญญาณกระบี่ที่เหมาะสมล่ะก็ ล้วนเป็นเรื่องดีกับเจ้าจริงๆ”


“เพราะนั่นหมายความว่ากระบี่เล่มนี้กำลังจะหวนคืนสู่พลังอันเข้มแข็งครั้งมันรุ่งโรจน์…แน่นอนว่าอาศัยด่านพลังของเจ้าตอนนี้คงไม่อาจใช้พลังอำนาจของมันได้ทั้งหมด เต็มที่ก็ใช้ได้แค่เศษเสี้ยวเท่านั้น”


“แต่ขอให้เป็นแค่เศษเสี้ยวนั่น พลังอานุภาพของมันก็เหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิใดๆในระนาบเทวโลกหลายขุม!”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวชัดถ้อยชัดคำ


“ต้วนหลิงเทียน…”


ขณะเดียวกัน ด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพอเห็นนต้วนหลิงเทียนนิ่งไป คล้ายเหม่อคิดและหน้าเปลี่ยนสีไปมา มันก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปด้วยความหวั่นใจ “เจ้า…ไม่เต็มใจหรือ?”


ถึงแม้มันเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีทางปฏิเสธผลประโยชน์เลิศล้ำขนาดนี้ แต่อาการคล้ายลังเลของต้วนหลิงเทียน ก็อดทำให้มันคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจคิดปฏิเสธออกมาจริงๆ


พอได้ยินถามด้วยความหวั่นใจของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็กลับมารู้สึกตัว และมองสบตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเขม็ง “แน่นอนข้าตกลง…แต่เจ้าใช่มีเงื่อนไขอะไรหรือไม่?”


ด้วยมีผลประโยชน์เลิศล้ำมาส่งถึงหน้าประตูไฉนเขาจะไม่รับมัน?


แต่เป็นธรรมดาว่าเมื่อมีผลประโยชน์สูงขนาดนี้ ก็สมควรมีราคาที่เขาต้องจ่ายเช่นกัน!


“เรื่องนี้ข้าจะให้พี่สาวพูดเอง”


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูดจบคำ เสียงผ่านพลังหนึ่งก็ดังขึ้นในหูเขา แม้เสียงผ่านพลังดังกล่าวจะมาจากร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น แต่ไม่ใช่ของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


“ข้าเป็นจิตวิญญาณกระบี่ให้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในร่างเจ้าได้…ขอแค่เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่งเท่านั้น!”


เป็นเสียงของสตรีนางหนึ่งที่ฟังดูน่าเกรงขามทั้งเย็นชา ยยามส่งผ่านมาถึงหูต้วนหลิงเทียน ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง


“รับปากเรื่องอะไร?”


ต้วนหลิงเทียนถาม


“หลังจากเจ้ามีกำลังมากพอแล้ว ช่วยล้างแค้นให้อดีตเจ้านายของข้า และฆ่าคนที่สังหารนางเสีย!”


เสียงสตรีกล่าว


“ล้างแค้น? ฆ่าคน?”


ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้น พลางกล่าวเสียงเบา “หากคนที่ฆ่าอดีตเจ้านายเจ้าเป็นคนชั่วสมควรตาย ข้าย่อมสามารถช่วยฆ่ามันเพื่อล้างแค้นให้นายเก่าเจ้าได้”


“แต่กลับกัน หากนายเก่าเจ้าที่แท้เป็นคนที่สมควรตาย และอีกฝ่ายมีเหตุผลที่ต้องฆ่านางอย่างชอบธรรมดั่งกำจัดคนชั่วแทนฟ้า เช่นนั้นต้องขออภัยด้วยแต่ข้าคงไม่อาจรับปากเจ้าได้…”


ถึงแม้จิตวิญญาณกระบี่จะล่อลวงต้วนหลิงเทียนไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ใช่คนประเภทเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง


“เจ้านับว่ามีหลักการยิ่ง สมแล้วที่เป็นคนของเซี่ยเจี๋ย”


เสียงสตรีดังขึ้นอีกครั้ง


และฟังจากน้ำเสียงของนางแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่แปลกใจอะไร ทั้งยังมีความมั่นใจอย่างมาก “เรื่องนี้พอถึงตอนนั้น เจ้าสามารถตัดสินใจตามดุลยพินิจของเจ้าได้เลย”


ได้ยินเสียงมั่นใจของสตรีดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าคนที่นางคิดให้เขาฆ่านั้น ท่าทางจะเป็นสารเลวสมควรตายจริงๆ


“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าจะเข้าสู่ทะเลวิญญาณของเจ้า อย่าได้ต่อต้าน…หลังเข้าสู่ทะเลวิญญาณในดวงจิตของเจ้าแล้ว ข้าจะค่อยๆผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน เพื่อกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่ดวงใหม่ของมัน”


ทันทีที่ต้วนหลิงเทีนได้ยินเสียงสตรีดังกล่าว เขาก็สัมผัสได้ว่ามีประกายแสงหนึ่งสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้า จากนั้นก็ปรากฏแสงสีเขียวสลัวๆปานหมอกควันเลือนรางสายหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น หายเข้าไปในร่างเขาฉับไว


“ปฐพีเทพแรกกำเนิด ท่าน…”


เมื่อลำแสงสีเขียวดั่งหมอกควันสลัวพุ่งเข้ามาในร่าง มุ่งหน้าไปยังทะเลวิญญาณในดวงจิตเขา ต้วนหลิงเทียนก็คิดบอกให้ปฐพีเทพแรกกำเนิดช่วยนางฝ่าทะลวงม่านพลังลี้ลับของทองเทพสุดลี้ลับที่ปกคลุมดวงจิตของเขาให้นาง


ถึงแม้ว่าทองเทพสุดลั้บจะเข้าสู่ห้วงนิทราแต่พลังลี้ลับของอีกฝ่ายยก็ยังแผ่ออกมาปกป้องดวงจิตเขาเอาไว้ตลอดเวลา ทำให้ยากที่จะมีพลังวิญญาณขุมใด หรือวิญญาณดวงใดกล้ำกรายเข้าสู่ทะเลวิญญาณในดวงจิตเขาได้


“เจ้าวางใจได้เลย”


อย่างไรก็ตามปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน คล้ายล่วงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนจะพูดอะไรแต่แรก จึงชิงกล่าวออกมาแต่เนิ่นๆ “ด้วยระดับดวงวิญญาณของนาง พลังของทองเทพสุดลี้ลับในตอนนนี้ย่อมไม่อาจต้านทานได้”


“ทองเทพสุดลี้ลับ!?”


“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน!? เพลิงเทพโกลาหล!?”


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนในทะเลวิญญาณของเขา จากนั้นเสียงสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้นจากภายในทะเลวิญญาณของเขา


และเสียงตรีที่แต่เดิมเต็มไปด้วความเย็นชาน่าเกรงขาม ก็แฝงเร้นไปด้วยความตื่นตกใจไม่น้อย


“ยังมีพฤกษาเทพกำเนิดชีพอีกด้วย…นี่เจ้ากลับทำให้มันยอมรับเจ้าเป็นนายได้จริงๆ!?”


ในอดีตตอนที่ต้วนหลิงเทียนประมูลพฤกษาเทพกกำเนิดชีพไปนั้น นางเองก็รับทราบเรื่องราวด้วย แต่นางไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะทำให้พฤกษาเทพกำเนิดชีพยอมรับเป็นนายได้จริงๆ


“ที่แท้เจ้ามีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย…ถึงว่าล่ะไฉนเซี่ยเจี๋ยผู้นั้นถึงได้ต้องตาพึงใจเจ้า”


ในขณะที่เสียยงสตรีดังถึงจุดนี้ น้ำเสียงของนางก็ฟังดูทอดถอนใจไม่น้อย


“คำเซี่ยเจี๋ยต้องตาพึงใจข้า ท่านหมายความว่าอย่างไร?”


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว


“เจ้ามิใช่ผู้สืบทอดหรือศิษย์ปิดสำนักที่เซี่ยเจี๋ยพบเจอระหว่างมาเที่ยวเล่นในระนาบเทวโลกรึ?”


สตรีในดวงจิตอดไม่ได้ที่จะงุนงง


“เปล่า”


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเบา “กับเซี่ยเจี๋ยนั้นอย่างดีข้าก็กล่าวได้ว่าเป็นญาติกัน…เป็นดั่ง อาสาม ของข้า”


“เป็นญาติ? เป็นดั่งอาสามของเจ้า? เจ้า…หรือว่าเจ้าเป็นคนของตระกูลเซี่ย? ไม่สิ เจ้าใช้แซ่ต้วนนี่นา!”


สตรีดังกล่าววถามสืบต่อ “หรือว่า…เจ้า…ที่แท้ก็คือลูกนอกสมรสของประมุขตระกูลเซี่ยงั้นรึ!?”


“ท่านสิเป็นลูกนอกสมรส!”


ต้วนหลิงเทียนยสบถคำออกมาเสียงเย็น


“แล้วไฉนเจ้าถึงเรียกหาเซี่ยเจี๋ยว่าอาสาม?”


สตรีในดวงจติตเอ่ยถามอีกครั้ง


“ภรรยาของข้าเป็นบุตรีของประมุขตระกูลเซี่ย…เซี่ยหนิงเสวี่ย”


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


“อะไร เซี่ยหนิงเสวี่ย!?”


ได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน สตรีในดวงจิตแลดูตกใจยกใหญ่ “นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร! เซี่บหนิงเสวี่ยผู้นั้นมิได้ฆ่าตัวตายเพื่อหลบหนีงานแต่งกับคนตระกูลอวิ๋นไปนานแล้วหรือไร…ไฉนนางถึงได้มีสามี แถมยังเป็นสามีที่อ่อนแอเช่นเจ้า?”


“จะเชื่อไม่เชื่อ ก็สุดแล้วแต่เจ้า!”


พอได้ยินเรื่องราวอาภัพในชาติที่แล้วของเค่อเอ๋ออีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด อารมณ์กลับกลายเป็นขุ่นมัวขึ้นมาทันที


ขณะเดียวกันสตรีดังกล่าวในดวงจิตก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวของต้วนหลิงเทียน นางจึงไม่คิดจะกล่าวใดออกมาอีก และอยู่ในทะเลวิญญาณภายในดวงจิตของต้วนหลิงเทียนเงียบๆ


ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนที่กกลับมารู้สึกตัว ก็อดไม่ได้ที่จะมองถามหลิงเจวี๋ยอววิ๋นด้วยความแปลกใจ “ไม่คิดเลยว่าที่แท้เจ้าจะเป็นคนของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ”


“ต้วนหลิงเทียน!”


ทว่าด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น กลับมองจ้องสบตาต้วนหลิงเทียนเขม็ง แววตาจริงจังถึงที่สุด เอ่ยออกเสียงหนักขรึม “ถึงแม้ว่าพี่สาวหวงเอ้อของข้าจะเลือกเป็นจิตวิญญาณกระบี่ของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเจ้า แต่นางก็เป็นดั่งพี่สาวแท้ๆของข้า…หากข้ารู้ว่าเจ้ารังแกนาง และสั่งให้นางกระทำสิ่งที่นางไม่อยากกระทำล่ะก็…ข้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นต่อให้ต้องแลกชีวิตกับเจ้า ก็จะทวงความยุติธรรมให้นาง!!”


“เจ้าเลิกคิดเรื่องสกปรกได้แล้ว!”


ต้วนหลิงเทียนเหือบมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสายตารังเกียจ จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินออกจากห้องโถงทันที ปล่อยให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยืนในโถงต่อคนเดียว


เขาไหนเลยจะไม่รู้ว่าสิ่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูดหมายความว่าอะไร อีกฝ่ายกริ่งเกรงว่าเขาจะอาศัยอำนาจความเป็นนาย บีบคั้นให้จิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 ในวันหน้าทำเรื่องสัปดน


อย่างเช่นสั่งให้นางคอยรับใช้ทั้งเอาอกเอาใจเขาดั่งนางบำเรอ


แต่เขา ต้วนหลิงเทียน เป็นคนแบบนั้นหรือ?


ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวออกมาเพราะเป็นห่วงจิตวิญญาณกระบี่ ที่เห็นไม่ต่างอะไรจากพี่สาวแท้ๆ แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกรังเกียจอีกฝ่าย ที่บังเกิดความคิดว่าเขาจะเป็นคนสามานย์แบบนั้น


อย่างไรก็ตาม หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่โดนต้วนหลิงเทียนชักแววตารังเกียจใส่ ไม่เพียงไม่พอใจอะไร แต่มันที่เดินตามหลังต้วนหลิงเทียนออกมาจากโถงยังมองจ้องแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตากระจ่าง มุมปากปรากฏรอยยิ้ม


ตอนนี้มันสามารถยืนยันได้เรื่องหนึ่ง


ต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นคนที่คู่ควรกับการไว้วางใจ


“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3 …เพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 3 ยังมีทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2…พวกเจ้าอยู่ร่วมกันได้อย่างไร?”


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเดินออกจากห้องโถง เสียงประหลาดใจของสตรีในทะเลวิญญาณเขาพลันดังขึ้นอีกครั้ง


“ฮี่ๆๆสาวน้อย… เจ้าควรเรียกว่าทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 3 นะ เพราะตราบใดที่ทองเทพสุดลี้ลับตื่น มันก็สามารถดูดกลืนทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ที่เจ้าหนูนี่พึ่งได้มาและยกระดับพัฒนาได้อย่างราบรื่น”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวด้วยน้ำเสียงขบขัน


“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ไฉนเจ้าถึงยอมอยู่ในร่างกายผู้อื่นร่วมกับบทองเทพสุดลี้ลับและเพลิงเทพโกลาหลได้เล่า? มิใช่ว่าพวกจิตวิญาณเทพแห่งธาตุทั้ง 5 อย่างพวกเจ้าล้วนแล้วแต่หยิ่งผยองลำพอง ไม่เต็มใจอยู่ร่วมกับเทพธาตุตนอื่นๆหรอกหรือ?”


สตรีดังกล่าวถามด้วยยความประหลาดใจอีกรอบ


“เฮ่สาวน้อย ก่อนที่จะถามอะไรกับข้าน่ะ…ตามมารยาทไม่ใช่ว่าเจ้าควรแนะนำตัวเองก่อนรึไง?”


ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเอ่ยถาม


“ข้าเรียกว่า หวงเอ้อ เป็นจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพระดับสูง…และหลังจากนี้อีกไม่นาน ข้าก็จะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในร่างชายคนนี้”


เสียงสตรีดังขึ้น


“หวงเอ้อเหรอ…ชื่อเจ้าไม่เลวเลย ฟังรื่นหูดีมาก”


เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินนั้น พยายามจะกล่าวออกมาด้วยลักษณะของผู้อาวุโสเอ่ยคำกับชนรุ่นหลัง อย่างไรก็ตามพอเสียงที่ดังออกมาเป็นเสียงเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ก็ทำให้ไร้ซึ่งความขลังอันใด…


WSSTH ตอนที่ 3,011 : เกราะอมตะระดับราชา ที่ได้รับหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะ 3 ชิ้น


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเดินกลับออกมาจากห้องโถง ก็พอดีกับที่มีคนๆหนึ่งพึ่งผ่านการทดสอบและเดินออกจากห้องโถงมาพอดี


กล่าวได้ว่าตอนนี้หากนับรวมพวกต้วนหลิงเทียนที่พึ่งเดินกลับออกมา ก็มีคนออกจากห้องโถงแล้วทั้งสิ้น 8 คน


“อายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!”


“เพ่ย! ทั้งคู่ล้วนมีอายุไม่ถึงร้อย! จ้าวสวรรค์ช่วย! ที่แท้พวกมันเป็นใครมาจากไหนกันแน่!? อายุเท่านี้ก็ร้ายกาจเยี่ยงปีศาจแล้ว วันหน้าจะร้ายกาจถึงเพียงใดกัน?”


“ต้วนหลิงเทียน กับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นรึ…หากทั้งคู่ไม่ด่วนตายไปซะก่อน วันหน้าตองมีเชื่องเสียงเลื่องระบือไปทั่วเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวแน่นอน”


“เหอะๆ ด้วยพรสวรรค์ของทั้งคู่ เมื่อเติบโตขึ้น เวทีคงไม่จำกัดอยู่แค่เขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวหรอก แต่คงเป็นทั่วทั้งแดนสวรรค์ใต้เลยมากกว่า!”


……


ทันทีที่พวกต้วนหลิงเทียนเดินออกจากห้องโถงมา ทุกคนนอกจากเชวียจิงอวี่ก็เร่งแผ่สำนึกออกไปตรวจสอบกลิ่นอายเลือดเนื้อทั้งคู่กันยกใหญ่


และพอตรวจดู ก็พบว่าทั้งคู่อายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ


“อายุไม่ถึงร้อยปี?”


จากนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งที่พึ่งออกจากโถง ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยความประหลาดใจ ค่อยพบว่าทั้งคู่อายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ


“อายุไม่ถึงร้อยกลับมาถึงที่นี่ได้? แถมยังผ่านบททดสอบยากเย็นนั่น?”


ชายหนุ่มรู้สึกเสมือนโดนเล่นงานครั้งใหญ่


ในอดีตมันคิดว่าตัวเองนับเป็นยอดอัจฉริยะแล้ว แต่ต่อหน้าทั้งสองคนนี่มันไม่อาจนับเป็นอัจฉริยะอันใดได้เลย


ตอนนี้อายุอานามของมันก็ปาเข้าไป 300 ขวบปี ทว่าชายหนุ่มทั้ง 2 เบื้องหน้ากลับอายุไม่ถึงร้อย แต่พลังฝีมือสมควรไม่ต้อยต่ำกว่ามันแล้ว


มันรู้ดีว่าคนที่จะสามารถมายืนอยู่ที่นี่ได้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่พึ่งผ่านการทดสอบเมื่อครู่ อย่างน้อยๆก็ต้องเข้าใจความหมายแห่งกฏ และบรรลุด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด


“แล้วพวกเราต้องทำอย่างไรกันต่อ? รอที่นี่งั้นรึ?”


เชวียจิงอวี่ที่หันไปมองรอบๆ ก็ไม่พบว่าจะมีช่องทางอะไรเลย จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นถามออกมาพลางขมวดคิ้ว


พอได้ยินเสียงบ่นของเชวียจิงอวี่ ทุกคนที่ออกจากโถงมาแล้วก็ละความสนใจออกมาจากพวกต้วนหลิงเทียน และเริ่มหันรีหันขวางมองไปรอบๆทันที


“ข้าว่า…สมควรต้องรวบรวมคนที่ผ่านการทดสอบให้ได้จำนวนหนึ่งก่อนหรือไม่ หนทางไปจากที่นี่จึงจะเปิดออก?”


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยคาดเดาออกมา


“มีเหตุผล”


คำพูดของมันยังได้รับความเห็นชอบจากคนอื่นๆ “ตอนนี้พวกเรามีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 8 คน…ส่วนอีก 2 คนที่สู้อยู่ในโถง อีกไม่นานก็คงออกมากันแล้ว”


“หากไม่นับห้องโถงที่มีคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นทันทีหลังจากที่มีคนตายตกไปตอนทดสอบ…ห้องโถงอื่นๆที่มีคนผ่านการทดสอบแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลย”


“ที่นี่มีทั้งสิ้น 10 โถง…ข้าเดาว่าหลังจากคนออกมาจากโถงครบ 10 แล้ว สมควรมีเหตุเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง เพื่อให้พวกเราไปต่อ”


ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยคิดคาดกันไปในแนวทางเดียวกันนั้น


ทุกคนก็จับจ้องมองไปยังอีก 2 ห้องโถงที่เหลือที่ยังมีคนประมือกับร่างจิตต่อสู้อยู่ และการต่อสู้ในโถงก็เจียนจวนจะถึงจุดยุติเต็มที


“พลังฝีมือพวกมันทั้งคู่จะไม่ใช่ชั่วเลย ดูแล้วสมควรผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น”


“นี่ไม่ใช่เรื่องปกติรึ? ใครที่มีความสามารถสะสมคะแนนได้ครบ 10 แต้มด้วยตัวเอง ไหนเลยจะเอาชนะยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ไร้พลังแห่งกฏไม่ได้?”


“ก็ใช่ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังมีบางคนโชคร้ายอยู่ดี เพราะถึงแม้พลังฝีมือจะไม่ใช่ชั่ว แต่สมควรไปช่วยผู้อื่นโกงคะแนนสะสมแล้วพามาที่นี่ สุดท้ายจึงไม่พ้นต้องตกตายอนาถ”


“เจ้าใช่กำลังพูดถึงหงเทาอัจฉริยะของนิกายสืออวิ๋นคนนั้นหรือไม่? กล่าวไปนับว่ามันซวยจริงๆ อย่างมันสมควรมายืนอยู่ที่นี่พร้อมพวกเราได้ง่ายยๆแท้ๆ แต่ดันไปช่วยผู้อื่นโกงคะแนนมา สุดท้ายจึงต้องตกตายไปอย่างน่าอนาถ”


“มันเองก็คงไม่รู้เรื่องพวกนี้มาก่อนนั่นล่ะ กระทั่งพวกเราก็ยังได้แค่คาดเดากันไปเลยว่าสมควรเป็นเพราะช่วยผู้อื่นโกงคะแนนหรือพามาที่นี่…เช่นนั้นยังจะมีผู้ใดรู้กันเล่าว่าห้ามช่วยโกงคะแนนให้ผู้อื่นหรือพามาวังจอมราชันอมตะ?”


“เหอะ! หากพลังฝีมือมันสูงทัดเทียมต้วนหลิงเทียนผู้นั้น มีหรือมันจะต้องตายอย่างโง่งม!”


……


หลังจากคุยกันไปเรื่อยเปื่อยได้สักพัก ไม่วายสายตาพวกมันก็หันกลับมาตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียนอีกรอบ


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะยืนหลับตาสงบจิตอยู่เงียบๆ


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเองก็ยืนอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ และสายตาที่มันใช้มองต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็เริ่มอ่อนลงหลายส่วน


“สองคนนั่น…”


เชวียจิงอวี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกล พอเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอาแต่มองต้วนหลิงเทียนไม่หยุด ทั้งยังมองด้วยแวววตาแบบนั้นก็แปลกใจไม่น้อย


ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าไปในห้องโถงกันสองคน มันเองก็เห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังคงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นชาไม่แยแส แต่บัดนี้อีกฝ่ายกลับมองต้วนนหลิงเทียนด้วยสายตาทำราวกับมองสหายสนิท


“ที่แท้พวกมันไปคุยเรื่องอะไรกันมา?”


แต่ต้นจนจบเชวียจิงอวี่ก็เห็นแค่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยืนเผชิญหน้ากัน คล้ายสนทนาพาทีผ่านพลัง แต่มันไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าทั้งคู่คุยเรื่องอะไรกัน


กระทั่งก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินออกมา สายตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เย็นชาราวไม่สบอารมณ์หลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยซ้ำ


ทว่าด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เดินตามออกมาภายหลัง กลับเดินยิ้มหน้าระรื่นอย่างผิดวิสัย


ตอนนั้นมันเองก็รู้สึกว่าฉากเรื่องราวแปลกประหลาดพิกล


ตอนนี้พอมาเห็นทัศนคติทีท่าของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่มีต่อต้วนหลิงเทียน มันก็ยิ่งคิดว่าเรื่องราวยิ่งมายิ่งแปลกประหลาดไปกันใหญ่


“เมื่อก่อนเจ้าเป็นจิตวิญญาณของอุปกรณ์เทพแบบไหนหรือ?”


ต้วนหลิงเทียนที่ยืนหลับตาอยู่เงียบๆนั้น ผิวเผินคล้ายคนกำลังพักผ่อน แต่อันที่จริงเขากำลังสนทนากับ หวงเอ้อ จิตวิญญาณกระบี่ที่พึ่งเข้ามาอาศัยในทะเลวิญญาณของเขา


“เป็นกระบี่เทพระดับสูง หงส์สวรรค์สะท้อนลักษณ์”


หวงเอ้อตอบ


“โฮ่? เจ้าเคยเป็นจิตวิญญาณกระบี่มาก่อนรึนี่?”


เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้น ฟังดูประหลาดใจอยู่บ้าง “หากเจ้าเคยเป็นจิตวิญญาณกระบี้เทพระดับสูงมาก่อน ที่จะยอมเป็นจิตวิญญาณให้กระบี่ของเจ้าหนูนี่…นับว่าเป็นเรื่องดียิ่งนัก เพราะเจ้าที่เคยเป็นจิตวิญญาณกระบี่มาก่อนต้องผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของเจ้าหนูได้รวดเร็วกว่าจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพชนิดอื่น!”


“มีอีกเรื่องที่ท่านยังไม่รู้…กระบี่หงส์สวรรค์สะท้อนลักษณ์ กับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในร่างเขา ล้วนถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้แข็งแกร่งที่สุดคนเดียวกัน ทั้งังถูกหลอมสร้างขึ้นมาติดๆกัน เรียกว่ากระบี่ทั้งสองเล่มได้อยู่ด้วยกันมานาน อีกทั้งวิญญาณกระบี่ของกระบี่เทพหลิงหลง 7 เปลี่ยน กับข้าวิญญาณของกระบี่หงส์สวรรค์สะท้อนลักษณ์ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน”


หวงเอ้อกล่าวด้วยน้ำเสียงหวนรำลึก “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเรียกจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนว่าพี่สาว…ครั้งนี้หากมิใช่ว่าในร่างเขาเป็นกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน ให้เป็นกระบี่เทพระดับสูงอื่นใด แม้ข้าอาจจะตัดสินใจเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีทางด่วนตัดสินใจได้ในเวลาอันสั้นแน่นอน…”


วาจาประโยคด้านบนนับว่าหวงเอ้อได้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างตัวนางกับอดีตจิตวิญญาณในกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมา น้ำเสียงยามกล่าวยังฟังดูคิดถึงจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนไม่น้อย


“นี่เจ้ารู้จักจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนด้วยงั้นเหรอ? เช่นนั้น…เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดเคยเป็นเจ้าของๆกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน และมีความเกี่ยวข้องกับอาสามอย่างไร?”


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


“อุปกรณ์เทพระดับสูง ล้วนหาได้ยากยิ่ง ไม่ว่าผู้ใดในดินแดนแห่งทวยเทพก็ปรารถนาอยากครอบครอง…และไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เทพระดับสูงใดๆ ผู้คนก็รู้จักกันดี กระทั่งผู้ถือครองยังเป็นตัวตนอันทรงพลังเช่นกัน”


หวงเอ้อกล่าวต่อ “เจ้าของเดิมของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนนั้น…ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพเกรงว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก”


“ทว่าสำหรับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของเดิมกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนกับเซี่ยเจี๋ย เจ้าคงต้องไปถามเซี่ยเจี๋ยเอาเอง…ข้าบอกไม่ได้ ทั้งไม่ง่ายที่จะบอก”


พอหวงเอ้อกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของนาง ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ว่าท่าทางความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของเดิมของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนกับเซี่ยเจี๋ยจะไม่ธรรมดา


“เจ้าเคยได้ยินเจ้าบอกว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์เทพระดับสูงสุด…นั่นหมายความว่าต่อให้เป็นอุปกรณ์เทพก็ยังแบ่งออกเป็นระดับต่างๆอย่าง ต่ำกลางสูงอะไรงั้นสิ?”


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


ในอดีตเขารู้ก็แต่ว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์เทพ ที่ทรงหลังเหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ และยังมีจิตวิญญาณถือกำเนิดขึ้นมา เรียกว่าเป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิด


เขาเองก็ไม่รู้รายละเอียดว่าอุปกรณ์เทพยังมีระดับต่างๆ


“ใช่”


ห้วงเอ้อกล่าว “อุปกรณ์เทพเองก็แบ่งได้เป็นสามหกเก้า มีอุปกรณ์เทพระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง”


“แล้วเหนืออุปกรณ์เทพระดับสูงล่ะ ยังมีอุปกรณ์เทพระดับอื่นอีกไหม?”


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม เพราะเขาเคยได้ยินนางเรียกกระบี่หลิงหลง 7 ว่าอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดมาก่อน


“ไม่มีแล้ว”


หวงเอ้อกล่าวต่อ “อุปกรณ์เทพระดับสูงก็คืออุปกรณ์เทพระดับสูงสุดเท่าที่จักมีได้ ที่ข้าเคยกล่าวว่าอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดนั้นเพราะมันก็คืออุปกรณ์เทพระดับสูงที่ค่อนข้างล้ำค่าเหนืออุปกรณ์เทพระดับสูงอื่นๆ และยังเป็นอะไรที่มีแต่ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งการหลอมมากเท่านั้นที่จะหลอมสร้างขึ้นมาได้”


“การหลอมอุปกรณ์เทพระดับสูงนั้นไม่เพียงแต่ต้องอาศัยความชำนาญถึงขีดสุดของผู้หลอม วัตถุดิบที่ใช้ยังหาได้ยากเย็นยิ่ง ที่สำคัญสภาพแวดล้อมและเวลาที่จะหลอมสร้างขึ้นมายังต้องจำเพาะเจาะจง…กล่าวได้ว่า จะคน เวลา สถานที่ วัตถุดิบ ล้วนไม่อาจขาดสิ่งใดได้เลย”


……


คำพูดของหวงเอ้อทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจเรื่องอุปกรณ์เทพระดับสูงเพิ่มขึ้น


นอกจากนั้นหวงเอ้อก็อธิบายความแตกต่างระหว่างอุปกรณ์เทพระดับต่ำและระดับกลางเพิ่มเติม ทำให้ต้วนหลิงเทียนพอจะเข้าใจระดับพลังของพวกมัน


‘ที่แท้อุปกรณ์เทพที่เหล่าจักรพรรดิสวรรค์มักครอบครองกัน และสามารถก่อกำเนิดจิตวิญญาณอุปกรณ์ขึ้นมาได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอุปกรณ์เทพระดับต่ำ น้อยคนนักที่จะมีอุปกรณ์เทพระดับกลางเอาไว้ในครอบครอง’


‘อีกทั้งความแตกต่างระหว่างอุปกรณ์เทพยังมีแค่ 3 ระดับอย่างต่ำกลางสูงเท่านั้น ไม่เหมือนกับอุปกรณ์อมตะที่นอกจากต่ำกลางสูงแล้วยังมีขุนนาง ราชา จอมราชัน และจักรพรรดิ…’


‘ที่สำคัญเลยก็คือมีแต่อุปกรณ์เทพขึ้นไปเท่านั้นถึงจะตั้งครรภ์วิญญาณ และอุบัติมีวิญญาณแรกกำเนิดได้…สำหรับอุปกรณ์อมตะนั้น มีแต่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ ที่สามารถบีบคั้นสิ่งมีชีวิตให้เข้าไปสถิตย์ จนกลายเป็นจิตวิญญาณสถิตย์อุปกรณ์’


‘จิตวิญญาณแรกกำเนิด กับจิตวิญญาณสถิตย์อุปกรณ์ ที่แท้กลับมีความแตกต่างกันในเรื่องของการถือกำเนิด…อย่างแรกถือกำเนิดขึ้นมาเอง ส่วนอย่างหลังเป็นการสร้างขึ้นมา’


‘อีกทั้งตัวจิตวิญญาณแรกกำเนิด ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเองของอุปกรณ์เทพ ก็สามารถมอบความช่วยเหลือให้กับผู้ใช้ได้มากกว่าจิตวิญญาณสถิตย์ศาสตราที่ถูกสร้างขึ้นมาของอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิหลายส่วน’


คิดถึงจุดนี้ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดหยีลงเล็กน้อย ในใจยังคิดถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติขึ้นมา


ภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น มีจิตวิญญาณสถิตย์เจดีย์อยู่ และนั่นก็คือผู้เฒ่าหั่ว อีกาทองคำ 3 ขาที่ถูกจับมาขังเอาไว้ในเจดีย์


‘ยิ่งไปกว่านั้น กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่ไร้วิญญาณ แม้พลังอานุภาพจะเทียบได้กับอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ…แต่นั่นยังเป็นแค่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่ไม่มีจิตวิญญาณสถิตย์’


‘อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีจิตวิญญาณสถิตย์ มันทรงพลังเหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่ไม่มีวิญญาณสถิตย์มากมาย’


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักถึงความแตกต่างของระดับอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีกับไม่มีวิญญาณ


อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ หากไร้จิตวิญญาณสถิตย์ล่ะก็ พลังอานุภาพของมันจะด้อยกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีจิตวิญญาณสถิตย์มาก


“ออกมากันแล้ว”


“ในที่สุดพวกมันก็ออกมากันได้เสียที!”


ทันใดนั้นเองก็มีเสียงโพล่งดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน ทำให้เขาลืมตาขึ้นอย่างไม่รู้ตัว


พอมองไปก็เห็นร่าง 2 ที่กำลังก้าวเดินออกมาจากห้องโถง


กล่าวได้ว่า ตอนนี้ในที่สุดก็มีผู้คนมารวมตัวกันครบ 10 คนตามจำนวนห้องโถง


“ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าด้วยที่สามารถผ่านบททดสอบแรกของวังจอมราชันอมตะข้าได้…”


ทันใดนั้นเอง เสียงที่ต้วนหลิงเทียนสงสัยว่าจะเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้พลันดังขึ้นอีกครั้ง “ต่อไปข้าจักมอบเกราะอมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะจำนวน 3 ชิ้นให้เป็นของรางวัล ส่วนเรื่องที่พวกเจ้าจะแบ่งกันอย่างไรนั้น…ย่อมสุดแล้วแต่พวกเจ้า!”WSSTH ตอนที่ 3,012 : โทษที…


เกราะอมตะระดับราชา ที่ได้ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะ 3 ชิ้น!


พอได้ฟังเสียงที่สมควรเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้กล่าวจบ ลูกตาของต้วนหลิงเทียนไม่เว้นคนอื่นๆก็ลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที


และครู่ต่อมา ท่ามกลางสายตาของทุกคน เหนือขึ้นไปด้านบน ก็ปรากฏชุดเกราะสีดำ 3 สนิท 3 ชิ้นผุดโผล่จากความว่างเปล่า มองไปประหนึ่งเป็นชุดเกราะของเทพปีศาจก็ไม่ปาน! นอกจากแสงสีดำที่เปล่งออกมาเรืองๆอย่างน่ากลัวแล้ว ยังมีเส้นสายอัสนีสีม่วงแล่นวาบแปลบปลาบตลอดเวลา!!


และทุกคราที่อัสนีสีม่วงแลบลั่นออกมา ความว่างเปล่าโดยรอบพลันสะท้านสะเทือน จากนั้นกลิ่นอายพลังลี้ลับหนึ่งก็เริ่มแผ่ซ่านปกคลุมไปในบรรยากาศ ให้ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆสัมผัสได้ชัดเจน


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆรู้สึกเสมือนตกลงสู่ก้นบึ้งของหุบเหวอันมืดมิด!


“นี่น่ะเหรอ เกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 ชิ้นที่จอมราชันอมตะใช้พลังห่อเลี้ยงขัดเกลาที่ว่า…”


สีหน้าต้วนหลิงเทียนฉายแววลิงโลดออกมาทันใด ดวงตายังคล้ายมีเปลวเพลิงแห่งความปรารถนาลุกโชน!


เพราะอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้จอมราชันอมตะใช้พลังหล่อเลี้ยงขัดเกลานั้น มันย่อมทรงพลังสุดที่อุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไปจะเทียบเทียมได้ ชุดเกราะก็เช่นกัน แค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาเขาก็สัมผัสได้ทันทีว่าเกราะอ่อนเกล็ดแดงอันเป็นเกราะอมตะระดับราชาของเขานั้น อ่อนดอยกว่าเกราะทั้ง 3 ชิ้นชัดเจน!


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!



ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะคิดเปรียบเทียบพลังอำนาจของพวกมันกับเกราะที่เขามีในใจจบ เขาก็ได้ยินเสียงแหวกฝ่าสายลมฉับไวดังขึ้น 8 สำเนียง พอมองไปก็เห็นว่าคนอื่นๆนอกจากเขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น บัดนี้….แต่ละคนพุ่งวาบไปเป็นเส้นแสง บึ่งตรงไปทางเกราะอมตะระดับราชาอันได้รับการหล่อเลี้ยงขัดเกลาด้วยยพลังจากจอมราชันอมตะทั้ง 3 ชิ้นที่ลอยล่องกลางหาวตาเป็นมัน!


เชวียจิงอวี่ก็เป็น 1 ใน 8 คนที่ว่าเช่นกัน


บางทีมันอาจจะมีเกราะอมตะระดับราชาไว้ในครอบครอง แต่ปกติแล้วเกราะอมตะระดับราชาที่มันมีก็แค่เกราะอมตะระดับราชาทั่วไป ไม่ได้มีจอมราชันอมตะมาใช้พลังขัดเกลาหล่อเลี้ยงอะไรทั้งสิ้น


อุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทศาสตราที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังจากจอมราชันอมตะนั้นว่าล้ำค่าและหายากแล้ว แต่ชุดเกราะกลับหายากยิ่งกว่า กระทั่ง 3 นิกาย 2 ตระกูลยังแทบไม่มี เช่นนั้นจะนับประสาอะไรกับขุมกำลังอื่นๆ…


สำหรับผู้ฝึกตนอิสระแล้ว มีคนจำนวนนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว ที่ล่วงรู้กันว่าถือครองเกราะอมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะ


ด้วยเหตุนี้ มูลค่าของเกราะอมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วพลังของจอมราชันอมตะสูงเพียงใด ก็พอจะทราบได้


ในเมื่อบัดนี้ปรากฏเกราะอมตะระดับราชาที่ว่าตั้งอยู่ 3 ชิ้นเบื้องหน้า ยังจะมีผู้ใดไม่บังเกิดความอยากได้อยากมี?


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!



ทั้ง 8 ร่างที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนอากาศหมายช่วงชิงเกราะอมตะทั้ง 3 แต่ละคนล้วนระเบิดพลังออกมาอย่างดุร้าย ทุกร่างคนรวดเร็วดั่งสายลมกรรโชก กระบวนท่าที่ซัดออกไปหมายช่วงชิงยังฉับไวปานอัสนีฟาดผ่า ท่าทางไม่ว่าใครก็อยากได้เกราะอมตะมาครองก่อนผู้อื่น


มีเพียงต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งแลดูไม่รีบไม่ร้อน


“ข้าอยากได้ตัวนึง…เป็นตัวซ้ายสุดนั่น”


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน


“อย่างเจ้ายังขาดเกราะอมตะระดับราชาไว้ใช้หรือ?”


คิ้วต้วนหลิงเทียนเลิกขึ้น


ในสายตาของเขา หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้มาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ในตัวไม่พ้นต้องมีอุปกรณ์เทพหรืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิในครอบครอง มาตอนนี้พอได้ยินอีกฝ่ายออกปากว่าอยากได้เกราะอมตะระดับราชาตัวหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ระดับราชาแต่เป็นระดับจอมราชันก็ยังทำให้เขาประหลาดใจอยู่ดี


“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ก่าวออกมาเสียงเรียบ “ในตอนที่ข้าหลบหนีออกจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ แม้ข้าจะคว้าอุปกรณ์เทพติดมือมาบ้าง กระทั่งอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิก์มีไม่ขาด ที่สำคัญภายหลังเข้ามาในนี้ ข้าก็ได้รับอุปกรณ์อมตะระดับราชามาครองไม่น้อย…”


“แต่เจ้าคิดว่า…ข้าจะเอาอุปกรณ์เทพ ไม่ก็อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ หรือแม้แต่อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ข้าได้มาจากคนที่ข้าฆ่าออกมาใช้ได้ง่ายๆรึไร?”


กล่าวถึงจุดนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หยีตามองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง “ว่าไปสถานการณ์เจ้ายังจะต่างอะไรกับข้า หรือพอออกไปด้านนอกแล้ว เจ้ากล้าควักกระบี่เทพระดับสูงนั่นออกมาใช้ต่อหน้าผู้อื่นง่ายๆ? เกิด 3 นิกาย 2 ตระกูลรู้ว่าเจ้ามีของดีในมือ ให้เจ้าร้ายกาจและมากพรสวรรค์แค่ไหน หากเจ้าไม่คายของออกไปก็คงอยู่ยาก สุดท้ายไม่พ้นพวกมันได้รวมหัวกันฆ่าเจ้าปล้นของแน่นอน”


“อีกทั้งหลังเข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ แม้ข้าจะเจออุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทศาสตราที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมาแล้ว แต่ข้าไม่เคยได้เกราะเลยสักชิ้น”


หลิงเจวี๋ยอวิ๋น


“ก็นะ…”


หลังได้ฟังสถานการณ์ของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันที


เหตุผลดังกล่าวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น คงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาแล้ว


อย่างตัวเขาเอง หากไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถฆ่าศัตรูได้แน่นอน และไร้มือที่สามลอบจับตาดูอยู่ เขาก็ไม่กล้าควักกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมาฆ่าคนแน่นอน


ยิ่งไปกว่านั้นหากมองตามสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าไม่ตกลงกันก่อน แล้วเกิดต้องประมือกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเพราะเรื่องชิงของกัน เกรงว่าโอกาสชนะของเขาคงน้อยนิดเต็มที เพราะอีกฝ่ายสมควรมีอุปกรณ์เทพ! และสมควรเป็นอุปกรณ์เทพที่มีจิตวิญญาณ!


จริงอยู่ที่เขายังมีโอกาสชนะ แต่ประเด็นคือเขาไม่คิดจะลงมือกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเพราะแย่งชิงของแม้แต่น้อย


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่นใดให้มาก เอาแค่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมอบจิตวิญญาณแรกกำเนิดของอุปกรณ์เทพระดับสูงให้เขาแบบนี้ ก็มากพอให้เขาซาบซึ้งน้ำใจของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว แม้กล่าวไปในระดับหนึ่งจะมีการทำข้อตกลงที่ได้ผลประโยชน์ร่วมกันก็เถอะ


“ถ้างั้นเกราะอมตะนั่นเจ้าก็เอาไปตัวนึง ส่วนอีก 2 ตัวที่เหลือเป็นของข้าแล้วกัน แต่เจ้าไม่คิดเอาเพิ่มแน่รึ?”


หลังพยักหน้ารับทราบ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเสียงเรียบ อย่างไรก็ตามฟังจากคำพูดของเขาได้เปิดเผยเจตนาชัดเจน ว่าเกราะอมตะระดับราชาที่เหลืออีก 2 เขาจะเอาหมด ไม่ได้เห็นหัวอีก 8 คนแม้แต่น้อย


“ไม่ล่ะ ข้าเก็บเอาไว้ใช้เองแค่ตัวเดียวก็พอ”


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยักไหล่พลางเอ่ยออกเสียงเรียบ


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!



ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังคุยกันอย่างไม่รีบไม่ร้อน ด้าน 8 คนที่กระโจนร่างขึ้นไปช่วงชิ่งเกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 บัดนี้ก็ได้ปะทะพัวพันกันอีรุงตุงนัง การต่อสู้ยังแลดูดุเดือดไม่น้อย เรียกว่าแต่ละคนซัดกระบวนท่าออกมาอย่างไม่เกรงใจ ใครจะโดนมันก็ช่างเพราะบัดนี้ทุกคนล้วนเป็นศัตรู!


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนชมมองการปะทะกลางหาวได้สักพัก เขาก็สังเกตเห็นว่า…


ในระหว่างที่ทั้ง 8 กำลังรบติดพันกันนั้น หากใครส่อแววว่าจะฉวยโอกาสคว้าชิ้นปลามันไปก่อน จะกลายเป็นเป้าการโจมตีของคนที่เหลือทันที เพราะดูเหมือนจะไม่มีใครยอมให้ใครได้ครองเกราะอมตะระดับราชานั่นเป็นคนแรก!


ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ทั้ง 8 จึงเอาแต่รบติดพันกันเอง ไม่มีใครกล้าแตะเกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 ชิ้นเลย


และในการรบติดพันของทั้ง 8 ก็ยากจะหาตัวผู้แพ้ผู้ชนะ อีกทั้งต่างคนต่างก็ระวังตัวแจ จึงไม่อาจบอกได้ว่าเรื่องราวจะจบลงเมื่อใด


“หืม? ไฉนพวกเรามีกันแค่ 8 คนเล่า?”


และในบรรดาคนทั้ง 8 ที่ประมือกันกลางหาว ชายคนหนึ่งที่ฉากหลบออกมาเพื่อพักหายใจ ก็พึ่งจะรู้สึกถึงสถานการณ์โดยรอบ ส่วนอีก 7 คนที่เหลือก็ยังคงปะทะติดพันกันอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายไม่ได้รู้เรื่องราวใดๆ


ปงงง!


จากนั้นมันก็เลือกที่จะถีบเท้าย่ำความว่างเปล่าฉากร่างหลบออกมาให้ห่างวงต่อสู้เป็นการชั่วคราว ค่อยก้มลงมามองเบื้องล่าง จึงพบว่ายังมี 2 คนที่ยังยืนอยู่บนพื้นและไม่ได้เคื่อนไหวลงมือใดๆเลยอยู่นาน ปานไม่ได้เห็นเกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 เป็นสำคัญ


“พวกเจ้าทั้งคู่…ไม่สนใจเกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 นั่นรึ?”


ผู้ที่ถอนตัวออกมาจากวงต่อสู้เป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง มันมองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นสักพัก สองตาก็ทอประกายเรืองขึ้นพลางเอ่ยถามออกไปเสียงดัง


เสียงของมันไม่เพียงดัง แต่ยังแฝงพลังบางส่วนเอาไว้ ทำให้ปลุกอีก 7 คนที่เหลือที่กำลังสู้กันให้ได้สติทันที จากนั้นแต่ละคนเพียงมองสบตากันสักพัก ก็พร้อมใจกันหยุดมือ ค่อยผละร่างออกจากกัน แล้วก้มลงไปมองต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


พอเห็นต้วนหลิงเทียน ร่าง 4 ใน 7 คนก็สะท้านไปทันใด


เพราะพวกมันตระหนักได้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ สมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว เรียกว่าพลังฝีมือของอีกฝ่าย สูงกว่าพวกมันทุกคน!


โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังป้องกันของอีกฝ่าย ทำให้พวกมันบังเกิดความสิ้นหวังจับใจแล้วจริงๆ!


พวกมันรู้ดีแก่ใจว่าอาศัยพลังป้องกันนรกนั่นของอีกฝ่าย ต่อให้พวกมันทุ่มเทพลังจู่โจมให้ตายก็ไม่ต่างใดจากเอาไข่ไปกระแทกหิน ไม่อาจทำร้ายได้แม้แต่ปลายผมของชายหนุ่มชุดม่วง เป็นพลังป้องกันที่ร้ายกาจถึงขนาดนั้น! อีกฝ่ายไม่พ้นเข้าใจความลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งดินที่เน้นในแง่ป้องกันเป็นหลักแน่แท้!!


“เอ๋?”


ในขณะที่ทั้ง 4 มองจ้องต้วนหลิงเทียนนั้น ในแววตาทั้งท่าทีก็เผยยความหวั่นหวาดยำเกรงออกมาให้เห็นได้ชัด จนที่เหลืออีก 3 คนสังเกตเห็นได้แทบจะทันที


3 คนนี้ เป็น 3 คนที่ออกมาจากห้องโถงหลังสุด จึงไม่ได้เห็นการปะทะกันระหว่างต้วนหลิงเทียนกับร่างรวมจิตต่อสู้ทั้ง 7 ดังนั้นพวกมันจึงไม่รู้เลยว่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนร้ายกาจขนาดไหน…


“เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นร้ายกาจมากหรือ?”


“เจ้านั่นยังอายุไม่ถึงร้อยปี…จะแข็งแกร่งไปกว่าพวกเราจริงหรือ?”


2 ใน 3 คนเอ่ยถามออกมา พลางกวาดตามองไปยังร่างทั้ง 4 ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ชายวัยกลางคนที่ผละออกจากการต่อสู้ไปคนแรก


“มันแข็งแกร่งหรือไม่ พวกเจ้าก็ไปลองดูได้…”


ชายวัยกลางคนที่ถอนตัวออกมาคนแรกกล่าวตอบ พลางยกยิ้มแสยะที่มุมปาก


3 คนที่พึ่งออกมาจากห้องโถงหลังสุดนั้น พลังฝีมือพอๆกันกับมัน หากคิดจะต่อกรกับต้วนหลิงเทียนยังนับว่ายังห่างไกลนัก!


“ต้วนหลิงเทียน”


สุดท้ายก็เป็นชายชราคนหนึ่งที่ได้เห็นพลังของต้วนหลิงเทียน ออกตัวแทนทุกคน มันมองไปที่ต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวออกมาเสียงดัง “พลังฝีมือของเจ้าพวกเราที่เหลือล้วนรับทราบดีแล้ว…เอาเช่นนี้เป็นไร เกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 ที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะ เจ้าก็เลือกไปก่อนตัวหนึ่งเถอะ ส่วนอีก 2 ตัวที่เหลือให้พวกเรา 8 คนช่วงชิงกันเองดีหรือไม่?”


พอชายชราออกตัวกล่าวออกมาเช่นนี้ เว้นแต่ทั้ง 3 คนที่ไม่รู้ได้แต่ขมวดคิ้วย่นเป็นปม อีก 4 คนที่เหลือไม่เว้นเชวียจิงอวี่ ก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว ต้วนหลิงเทียน เกราะอมตะระดับราชา 3 ตัวนี่ เจ้าเลือกไปก่อนเลย 1 ตัวเถอะ”


“ต้วนหลิงเทียน เชิญเจ้าเลือกก่อนเลย”


“ใช่ๆ อีก 2 ตัวที่เหลือพวกเราค่อยตัดสินกันเอง”



คนที่เหลือทั้ง 4 ไม่เว้นเชวียจิงอวี่เอ่ยออกมาเสียงดังฟังชัด


จังหวะนี้ ทั้ง 3 ที่พึ่งออกจากโถงมาภายหลังก็ตระหนักได้จากท่าทีของเชวียจิงอววี่และอีก 4 คนที่เหลือ ว่าต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ธรรมดา “หรือ…เจ้าหนุ่มชุดม่วงคนนั้น จะเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการแล้ว?”


“อาจเป็นได้…หาไม่แล้วทั้ง 4 คนทีมีพลังทัดเทียมกับพวกเรา ไหนเลยจะยอมสละเกราะอมตะระดับราชาให้มันเลือกไปก่อนตึวนึงง่ายๆ? สุดท้ายนี่ก็เป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะ!”


“คนที่พวกมันหวาดกลัว ข้าเกรงว่าพวกเราเองก็คงไม่ใช่คู่มือ…เช่นนั้นหากมันต้องการสักตัว ก็ให้มันไปก่อนเถอะ”


ไม่นานทั้ง 3 ก็เห็นพ้องต้องกันเหมือนคนอื่นๆ ตัดสินใจให้ต้วนหลิงเทียนเลือกเกราะอมตะไปก่อนตัวหนึ่ง


ครู่ต่อมาสายตาของทั้ง 8 ก็จับจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียนเขม็ง เฝ้ารอคำตอบของต้วนหลิงเทียนอย่างอดทน


ในสายตาของคน 3 คนที่พึ่งออกมาจากโถง ก็เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนน่าจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้


ส่วนอีก 5 คนนั้นกังวลเล็กน้อย ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะกลายเป็นสิงโตปากกว้าง เขมือบกลืนเกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 ในคำเดียว! ถึงตอนนั้นหากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกคน เกรงว่าพวกมันคงไม่อาจเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้แน่!!


แน่นอนว่าต่อให้ทุกคนร่วมมือกัน เต็มที่ก็คงทำได้แค่สู้เสมอกับต้วนหลิงเทียน แต่คิดจะเอาชนะหรือเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายนั้น พวกมันมองไม่เห็นความเป็นไปได้ดังกล่าวเลย


และที่สำคัญเลยก็คือ การร่วมมือที่ว่า…ต้องอยู่บนพื้นฐานที่พวกมันร่วมมือกันได้อย่างสนิทใจ โดยที่ไม่อาจระแวงอีกฝ่ายได้เลย! หาไม่แล้วพวกมันไม่พ้นต้องถูกต้วนหลิงเทียนไล่เก็บทีละคนๆจนตายยกก๊วนแน่!!


ในเมื่อหัวใจสำคัญของการกลุ้มรุมนี้อยู่ที่ความเชื่อใจ แต่ในเมื่อพวกมันไม่ว่าใครก็ล้วนทำเพื่อผลประโยชน์ ไหนเลยจะเชื่อใจและไว้วางใจผู้อื่นได้โดยสมบูรณ์!


หมายความว่าเรื่องให้ร่วมมือกันกำราบต้วนหลิงเทียน ก็ไม่เห็นทางเป็นไปได้เช่นกัน!


“หนึ่งตัวเหรอ?”


ภายใต้สายตาที่มองมาอย่างร้อนแรงของทั้ง 8 คน ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆคลี่ยิ้มเฉยเมยออกมา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบว่า “โทษที แต่เกราะอมตะระดับราชา 3 ตัวนี่…ข้าต้องการ 2!”WSSTH ตอนที่ 3,013 : พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเถอะ


2 ตัว!


พอต้วนหลิงเทียนปริปากออกมา ก็เปิดประตูเห็นภูผาแจ้งไปทันทีว่าเขาต้องการเกราะอมตะระดับราชา 2 ตัว!


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ทั้ง 5 คนไม่เว้นเชวียจิงอวี่ ก็ขมวดคิ้วยู่ย่น ด้วยรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนข่มเหงผู้คนเกินไป!


แต่กระนั้นพวกมันก็ไม่คิดต่อต้านความเอาแต่ใจของต้วนหลิงเทียน ด้วยเพราะในใจของพวกมันยังพอยอมรับการข่มเหงรังแกดังกล่าวได้! อย่างน้อยๆพวกมันก็เตรียมใจรับสถานการณ์เลวร้าวที่สุดไว้แล้ว การที่ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะฮุบเกราะทั้ง 3 ตัวไปหน้าตาเฉย ก็เสมือนให้ทางเดินพวกมันสายหนึ่ง!!


ส่วนทางด้าน 3 คนที่พึ่งออกมาจากห้องโถงในภายหลังนั้น ด้วยไม่เคยเห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียนกับตา พอมาได้ยินวาจาเอาแต่ใจของต้วนหลิงเทียน พวกมันก็ทนไม่ไหวทันที


“เจ้าหนู นี่เจ้าจะไม่โลภมากไปหน่อยหรือ?”


1 ใน 2 คนที่ออกมาหลังสุดมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าอึมครึมกล่าวออกเสียงขรึม


“อะไร? เจ้าไม่พอใจ?”


มันกล่าวจบคำได้ไม่ทันไร ไม่ทันมีเวลาให้อีก 2 คนที่ออกจากโถงภายหลังจะกล่าวเสริม ต้วนหลิงเทียนก็หันขวับไปมองมันปานอัสนี เอ่ยถามออกไปด้วยรอยยิ้มบางๆ


“เจ้าอย่างไรก็นับเป็นเด็กน้อยอายุไม่ถึงร้อย ยังหาญกล้าคิดฮุบกลืนเกราะอมตะระดับราชา 2 ชิ้นในคำเดียว นี่เจ้าคิดว่ามีปัญญากลืนมันลงคอจริงๆ?”


ชายวัยกลางคนที่กล่าววาจาออกมา มองจ้องต้วนหลิงเทียนตาดุ เอ่ยคำอย่างท้าทาย


มันพึ่งจะค้นพบว่าต้วนหลิงเทียนยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี


ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียยนจะร้ายกาจอะไรมากมาย เพราะในประวัติศาสตร์ของเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว อัจฉริยะที่อายุไม่ถึงร้อย ที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานอย่างดีก็มีพลังทัดเทียมกับมันเท่านั้น


“อายุไม่ถึงร้อย?”


ชายหนุ่ม 1 ใน 3 คนที่ออกจากโถงภายหลังได้แผ่สำนึกเทวะออกมาทันที ไม่นานมันก็พบว่าอายุต้วนหลิงเทียนยังไม่ถึงร้อยปีจริงๆ “อายุมันยังไม่ถึงร้อยปีจริงๆ…”


“เฮ่ย นี่พวกเจ้าปอดแหกเกินไปหรือไม่? อาศัยเด็กน้อยอายุไม่ถึงร้อยคนหนึ่งจำต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้?”


จากนั้นชายหนุ่มคนดังกล่าวก็หันไปกวาดตามองพวกเชวียจิงอวี่ทั้ง 5 พลางค่อนแคะออกมาอย่างดูแคลน


ทว่าเมื่อพวกเชวียจิงอวี่ถูกชายหนุ่มหันมากล่าวด้วยสีหน้าปรามาสดูแคลน ไม่เพียงแต่พวกมันจะไม่มีโมโหอะไร กลับกันยังหันไปมองชายหนุ่มด้วยสายตาทำราวกับมองตัวโง่งมแห่งยุค


พวกมันเองเมื่อครู่ยามประมือก็หยั่งวัดพลังฝีมือที่แท้จริงชายหนุ่มได้แล้ว อย่างดีก็แค่พอๆกับพวกมันเท่านั้น พึ่งจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ประการเดียว


“ตกลง พวกเจ้าข้องใจสินะ?”


สายตาต้วนหลิงเทียนละออกจากร่างชายวัยกลางคนไปมองถามชายหนุ่มที่พึ่งพูด พลางยกยิ้มอย่างมีเลศนัย


“ไอ้หนู อย่าได้มาเสแสร้งวางมาดลึกลับอันใดกับข้าให้เสียเวลา ข้าหาได้หลงกลเจ้าไม่! หากเจ้าคิดจะฮุบเกราะอมตะระดับราชา 2 ตัวจริง เช่นนั้นก็เอาชนะข้าให้ได้เสียก่อน!”


เห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของต้วนหลิงเทียน ชายหนุ่มก็กล่าวเย้ยออกมาอย่างท้าทาย


เห็นได้ชัดว่าจนบัดนี้ มันก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนกำลังวางมาดยอดฝีมืออยู่


“แล้วเจ้าเล่า…มีปัญหาอะไรหรือไม่?”


ต้วนหลิงเทียนเมินชายหนุ่ม ก่อนจะหันไปมองถามชายคนที่พึ่งออกจากห้องโถงมา ในเวลาไล่เลี่ยกับที่เขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นคุยกันจบ


ชายคนนี้ไม่รีบตอบคำ เพียงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจังครู่หนึ่ง จากนั้นก็นึกถึงวาจาพวกเชวียจิงอวี่ทั้ง 5 ตอนที่มันพึ่งออกมาจากโถง


ถ้อยคำของทุกคนยังชัดเจนใจ


“อายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!”


“เพ่ย! ทั้งคู่ล้วนมีอายุไม่ถึงร้อย! จ้าวสวรรค์ช่วย! ที่แท้พวกมันเป็นใครมาจากไหนกันแน่!? อายุเท่านี้ก็ร้ายกาจเยี่ยงปีศาจแล้ว วันหน้าจะร้ายกาจถึงเพียงใดกัน?”


“ต้วนหลิงเทียน กับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นรึ…หากทั้งคู่ไม่ด่วนตายไปซะก่อน วันหน้าต้องมีเชื่องเสียงเลื่องระบือไปทั่วเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวแน่นอน”


“เหอะๆ ด้วยพรสวรรค์ของทั้งคู่ เมื่อเติบโตขึ้น เวทีคงไม่จำกัดอยู่แค่เขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวหรอก แต่คงเป็นทั่วทั้งแดนสวรรค์ใต้เลยมากกว่า!”



เมื่อนึกถึงวาจาดังกล่าว กอปรกับเห็นนสายตาสงบนั่นของต้วนหลิงเทียน มันจึงเลือกที่จะนิ่งๆเอาไว้ก่อน


“ดูเหมือนว่าในบรรดาพวกเจ้า 3 คน จะมีแค่เจ้าที่ไม่ได้ข้องใจอะไร”


ต้วนหลิงเทียนเห็นการตัดสินใจของชายคนนี้ก็หยีตามองมันเล็กน้อย ค่อยหันกลับไปมอง 2 คนที่ไม่พอใจเขา พลางเอ่ยออกเสียงเบาว่า “ในเมื่อพวกเจ้าไม่พอใจข้า…เช่นนั้นก็เข้ามาพร้อมกันเลยเถอะ”


สิ้นคำกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ย่ำพื้นลงคราหนึ่ง แม้แลดูไม่รุนแรงหากแต่ผืนดินคล้ายจะสะเทือนไปราวมีแผ่นดินไหวเบาๆ!


พริบตาต่อมา


ฟุ่บ!


ร่างต้วนหลิงเทียนพร่ามัวไปไม่ทันไร คนก็พุ่งวูบมาหยุดอยู่เบื้องหน้าชายวัยกลางคนกับชายหนุ่มที่ไม่พอใจเขาแล้ว เรียกว่าพร้อมจะเผชิญหน้ากับพวกมันทั้งคู่พร้อมๆกัน!


สองคนนี้พอได้ยินว่าเขาต้องการเกราะอมตะระดับราชา 2 ตัว พวกมันก็เผยความไม่พอใจออกมาทันที อีกทั้งวาจาของพวกมันยังฟังดูมั่นใจในตัวเอง รวมถึงคลางแคลงสงสัยความสามารถของเขาแต่แรก!


“พร้อมกัน?”


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ชายหนุ่มก็หัวเราะเสีงเย็น เอ่ยคำด้วยน้ำเสียงค่อนแคะ “ไอ้หนู อย่าว่าแต่สอง อาศัยข้าคนเดียวก็จัดการเจ้าได้!”


“โฮ่”


ต้วนหลิงเทียนหยีตามองชายหนุ่มเขม็ง มุมปากเริ่มยกยิ้มมีเลศนัยอีกครั้ง “แล้วข้าจะรอดู”


“เฮอะ!”


แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ชายหนุ่มก็พ่นลมสบถเสียงเย็น จากนั้นร่างมันก็ไหววูบคราหนึ่ง คนคล้ายกลับกลายเป็นเส้นสายอัสนีฟาดผ่าไปทางต้วนหลิงเทียน!


ในมือของมันปรากฏดาบสั้นระดับราชา พิจารณาจากกลิ่นอายพลังแหลมคมที่แผ่ซ่านออกมาไม่ใช่ชั่วแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อุปกรณ์อมตะระดับราชาธรรมดาๆ


แต่สมควรเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะ!


นอกจากนั้นเมื่อชายหนุ่มชักดาบสั้นออกมา นอกเหนือจากวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่ฝึกปรือจะโคจรใช้ออกมาพร้อมๆกัน พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันยังเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง หนุนเสริมให้ดาบสั้นทรงพลังขึ้นไปอีกขั้น


“ความลึกซึ้ง ความหมายแห่งทอง ขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น?”


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังแหลมคมทั้งแกร่งกร้าวที่อัดแน่นอยู่ในดาบสั้นของชายหนุ่ม ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายได้เข้าใจความลึ้กซึ้งแรกของกฏแห่งทองอย่างความหมายแห่งทองจนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้ว


กฏของธาตุทองนั้นโดดเด่นเรื่องการโจมตี นอกจากความลึกซึ้งที่มีพลังครอบคลุมไม่กี่ข้อ เรียกว่าความลึกซึ้งส่วนใหญ่ของมันจะเน้นหนักไปในแง่ของการเสริมอำนาจจู่โจม ทั้งทำให้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมีคุณสมบัติแหลมคมแกร่งกร้าวขึ้น


วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!



ดาบสั้นในมือของมันยิ่งมายิ่งแปล่งแสงสีทองสว่างเจิดจ้า จากนั่นเริ่มปรากฏรังสีพลังแหลมคมสีทองก่อรลักษณ์ในความว่างเปล่าขึ้นมาม้วนวนรอบร่างของมัน พาลให้ร่างคนเปล่งแสงเรืองรองออกมาปานดวงตะวัน!


อีกทั้งรังสีพลังแหลมคมสีทองที่ม้วนวนรอบกายมัน เมื่อร่างมันบรรลุถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนแล้วตวัดดาบสั้นปาดไปทางลำคอของต้วนหลิงเทียน รังสีพลังแหลมคมสีทองดังกล่าวก็พุ่งมาประทับยังคมดาบ ยังผลให้ตัวดาบของมันยิ่งมายิ่งสว่างไสวยากชมมองตรงๆ!


วู้มมมม!!


เรียกว่าดาบสั้นของมันบัดนี้ได้ส่องสว่างเจิดจ้าเสียจนขับไล่ความมืดมิดทั้งมวลออกไปจนหมด!


ความสนใจของทุกคนก็ไปหยุดอยู่ที่พลังอานุภาพที่ดาบสั้นสำแดงออกหมดสิ้น!


อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมองเขม็งของทุกคน ร่างต้วนหลิงเทียนที่ยืนนิ่ง ก็ค่อยๆก้าวออกไปหาดาบสั้นที่ฟันฟาดจี้มายังลำคออย่างไม่อีนังขังขอบ!


พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่โคจรแล่นพล่านอยู่ภายในที่พร้อมปะทุแต่แรก บัดนี้กลับกลายเป็นสีกากี ยังโคจรใช้ออกด้วยวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังเร็วไว ถ่ายทอดลงสู่กระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่องที่ไม่ทราบเรียกออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จนตัวดาบเริ่มกู่ร้องออกมาประหนึ่งมีชีวิต!


ทันใดนั้น กระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่อง ก็แผ่ซ่านพลังอันยิ่งใหญ่สุดไพศาลออกมาอย่างน่าเกรงขาม!


“เจ้ากลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแล้วจริงๆ…ทั้งเป็นความหมายแห่งดินที่บรรลุขั้นตอนเบื้องต้นแล้ว?”


ชายหนุ่มที่พุ่งร่างรวมรั้งพลังฟันดาบสั้นปาดมาทางลำคอต้วนหลิงเทียน หยีตาลง สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง


แต่เป็นธรรมดาว่ามันไม่ได้แปลกใจอะไรมากมาย


เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะมายืนอยู่ที่นี่ได้ ก็คือผู้ที่ผ่านการทดสอบแรกมาแล้ว อย่างน้อยๆพลังฝีมือก็ต้องอยู่ในระดับเดียวกับมัน


แต่เรื่องที่จะแข็งแกร่งกว่ามันนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะแน่นัก!


‘ให้มันเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งดินถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้วจะอย่างไร? สุดท้ายมันก็มีอายุไม่ถึงร้อยปี หรือประสบการณ์ในการต่อสู้จะมีเหนือข้าได้…อาศัยเพลงดาบไม้ตายข้าไม่กี่เพลง สุดท้ายมันก็ต้องตกตายภายใต้คมดาบข้า!!’


จังหวะนี้ชายหนุ่มชายหนุ่มเปี่ยมล้นไปดว้ยความมั่นใจ สภาวะดาบสั้นสีทองยิ่งมายิ่งกล้าแข็ง ราวกับมันได้เห็นแสงแห่งชัยชนะเป็นที่เรียบร้อย!


อย่างไรก็ตามเสี้ยวพริบตาต่อมา เมื่อได้เห็นฉากเรื่องราวเบื้องหน้า ลูกตาของมันก็จำต้องหดหยีเล็กลง ใบหน้าเริ่มฉายถึงความตกตะลึง


‘นิ…นี่มันอะไรกัน มันไม่กลัวตายรึไร!?’


ในสายตาของชายหนุ่ม มันคิดว่าชายต้วนหลิงเทียนอย่างไรก็ต้องเร่งขวางกระบี่หนักไร้คมนั่นเพื่อป้องกันไม่ให้ดาบสั้นมันปาดลำคอ ไม่ก็ต้องออกกระบวนท่าฟันกระบี่สกัดกั้นดาบสั้นของมัน


แต่อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะฟันกระบี่หนักใส่มันอย่างดุร้าย!


อีกทั้งแม้ดาบสั้นมันเจียนจะปาดถึงลำคออยู่รอมร่อ แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะแยแสอันใด! คล้ายอีกฝ่ายกำลังจะใช้เนื้อหนังลำคอรับดาบ แล้วอาศัยกระบวนท่ากระบี่พลีชีพตายตกไปพร้อมๆกับมัน!!


ที่สำคัญเมื่อเห็นถึงแววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ไม่ได้มีอาการหวั่นไหวของต้วนหลิงเทียน ชายหนุ่มก็มองออกว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้เล่นเกมวัดใจว่าผู้ใดจะหลบก่อน แต่เห็นชัดว่าคิดฟันหนึ่งกระบี่สังหารมันจริงๆ


“ไอ้บ้าเอ๊ย!”


หลังจากสบถคำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ชายหนุ่มก็เร่งเบี่ยงร่างหมายหลบกระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนฟันผ่ามาเร็วไว


แน่นอนว่าเมื่อมันเลือกที่จะเบี่ยงร่างหลบ พลังสภาวะรุกโหมในดาบสั้นก็ถดถอยลง อย่างไรก็ตามดาบสั้นยังแผ่พุ่งรังสีพลังขุมหนึ่งเข่นฆ่าไปยังลำคอของต้วนหลิงเทียนตามเดิม!


ทว่าเมื่อคลื่นพลังจากดาบสั้นซัดมาเจียนถึงลำคอต้วนหลิงเทียน ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนพลันอุบัติม่านพลังหนึ่งขึ้นมาปิดกั้นหยุดยั้งคลื่นพลังสะบั้นจากดาบสั้นของชายหนุ่มได้อย่างง่ายดาย


ด้วยความที่ชายหนุ่มเร่งรีบฉากร่างหลบกระบี่ต้วนหลิงเทียนอย่างฉุกละหุก พลังของมันย่อมไม่อาจหนุนเนืองต่อเนื่อง ส่วนต้วนหลิงเทียนนั้นแม้จะฟันพลาด แต่พลังสภาวะกระบี่ไม่เพียงไม่เสียเปล่า คนถ่ายน้ำหนักอย่างแยบคาย ฟันกระบี่หนักออกไปอีกกระบวนอย่างดุดัน!


สุดท้ายชายหนุ่มที่เห็นว่าสภาวะกระบี่ขอต้วนหลิงเทียนครานี้ดุร้ายเกินต้านทาน จึงเลือกกระทำเลียนแบบต้วนหลิงเทียน เสือกดาบสั้นทะลวงจี้ไปยังหว่างคิ้วต้วนหลิงเทียนบ้าง หมายให้ต้วนหลิงเทียนเบี่ยงกระบี่ไปขวางกั้น


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะเล่นตามเกมของมัน ท่านแทงดาบก็แทงมา ข้ายังคงจะฟันท่านให้ตาย! กระบี่หนักเล่มเขื่องจี้เข้าชายโครงชายยหนุ่มอย่างดุร้าย หมายฟันคนให้ขาดเป็นสองท่อน!!


ชายหนุ่มเห็นดังนั้นในใจก็บังเกิดความกลัวตาย จึงได้แต่ปะทุพลังชั่วชีวิตเร่งรุดถีบเท้าถอยร่างออกไป กระบวนท่าเสือกแทงดาบสิ้นสูญไปในทันที!!


เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มเลือกจะถอย


เรื่องราวจึงจบลงไม่ต่างอะไรจากกระบวนแรก


ชายหนุ่มที่ถอยไป ตอนนี้ก็เริ่มชักสีหน้าอัปลักษณ์


มันไม่ทราบบังเกิดความอับอายขายหน้าเพราะวัดใจแพ้หรือคุ้มคลั่งขึ้นมาแล้วจริงๆ แต่หลังจากตั้งหลักได้แล้ว มันก็เลือกจะรวมรั้งพลังทั้งหมดสู่ดาบสั้นแล้วโจนทะยานจู่โจมสังหารเข้ามาเป็นกระบวนที่สาม และครานี้ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะคิดใช้กระบวนท่าแลกชีวิต มันก็ตัดสินใจว่าจะไม่ถอยสืบไป!


“ไอ้หนู ให้ข้าชมดูหน่อยเถอะ ว่าที่แท้เจ้าคิดจะตายไปพร้อมกับข้าจริงหรือไม่!!”


เรียกว่ากระบวนท่าที่ 3 นี้ ต่างจู่โจมเข้ามาดั่งกระบววนแรก…หนึ่งคิดปาดลำคอ หนึ่งคิดฟันสะพายแล่ง! ที่ต่างคือคราวนี้มันไม่คิดหลบหนีให้สภาวะรุกคืบสิ้นสูญ แต่เลือกจะแลกกันไปข้าง!!


ปงงงง!!


อย่างไรก็ตามดาบสั้นของมันที่ว่องไวกว่ากระบี่หนักของต้วนหลิงเทียน แม้จะบรรลุถึงลำคอต้วนหลิงเทียนก่อนจริง แต่ไม่อาจหั่นเฉือนเลือดเนื้ออันใด! เพียงถูกต้านทานเอาไว้ด้วยม่านพลังลักษณ์เกราะอ่อนเกล็ดแดง!!


ในเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงยังมีพลังสีเหลืองแก่ขุมหนึ่งฉาบทับเอาไว้บางๆ แต่ให้ความรู้สึกราวกับไร้สิ่งใดทะลวงฝ่าไปได้!


แน่นอนว่านั่นคือพลังของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน!


“เจ้า…เจ้าเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 2 ของกฏแห่งดินแล้ว!?”


สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไปใหญ่หลวง และในที่สุดวินาทีนี้มันก็ตระหนักได้ว่าไฉน 5 คนนั่นถึงได้แลดูหวาดกลัวต้วนหลิงเทียนนัก ทั้งปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนคว้าเกราะอมตะระดับราชานั่นไป 2 ชิ้นโดยไม่ขัดข้อง!


เปรี๊ยงงง!!


และในขณะที่มวลอารมณ์เสียใจของชายหนุ่มเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาท่วมใจ กระบี่หนักไร้คมของต้วนหลิงเทียนก็ฟันมาถึงตัวมันแล้ว อีกทั้งยังผ่าม่านพลังป้องกันของมันเข้ามาได้ในพริบตา!


WSSTH ตอนที่ 3,014 : มันคิดว่าตัวเองเป็นต้วนหลิงเทียนรึไร?


ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน เมื่อกระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่องของต้วนหลิงเทียนฟันผ่าม่านพลังของชายหนุ่มไปได้แล้ว กระบี่หนักดังกล่าวก็หั่นร่างมันออกเป็นสองส่วนได้ง่ายดาย จากนั้นคลื่นพลังกระบี่ก็ปะทุออกมาป่นร่างมันทั้งท่อนบนและล่างจนแหลกเป็นหมอกเลือด…


“ไม่….!!”


ก่อนที่ชายหนุ่มจะตายตก ก็คงเหลือไว้เพียงเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ท่วมท้นไปด้วยความสำนึกเสียใจ…


“ตัวโง่งม!”


“มันคิดว่าพวกเราเป็นมังสวิรัตกันหมดหรือไร? กระทั่งพวกเรา 5 คนยังไม่กล้าหือกับต้วนหลิงเทียน แล้วมันไปเอาความมั่นหน้ามาแต่ที่ใด…”


“นับว่ารนหาที่ตายโดยแท้! มันไม่คิดบ้างหรือไรว่าหากพวกเราไม่ล่วงรู้พลังของชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้แต่แรก มีหรือจะยอมทนรับคำขอเกราะอมตะรดับราชา 2 ตัวของผู้อื่นเขาได้?”


“เหอะๆ…ด้วยพลังฝีมือของเจ้าหนุ่มชุดม่วงแซ่ต้วนนี่ นับประสาอะไรกับ 2 ตัว หากมันอยากได้เกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 ตัวนั่น พวกเราก็ได้แต่นั่งมองตาละห้อยเงียบๆ”



ทั้ง 5 คนไม่เว้นเชวียจิงอวี่ได้แต่หัวเราะออกมาพลางกล่าววาจาดูแคลนผู้ตาอย่างขบขัน ยิ่งนึกถึงทีท่ามั่นหน้าและอาการถือดีของอีกฝ่ายก่อนลงมือ กับเห็นวาระสุดท้ายที่หน้าเสียปานจะร่ำไห้หามารดานั่น พวกมันก็หยุดขำไม่ไหวจริงๆ…


‘โชคดี…โชคดีจริงๆ!’


สำหรับชายหนุ่มอีกคนที่แม้จะไม่เห็นพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนมาก่อน แต่เพราะทบทวนจากวาจาที่มันได้ยินคนอื่นๆพูด ทำให้ตอนต้วนหลิงเทียนถามว่ามันข้องใจอะไรหรือไม่ มันจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบไป


บัดนี้พอมาเห็นพลังของต้วนหลิงเทียนแล้ว มันก็ได้แต่ลอบเหงื่อตก ทั้งยังรู้สึกดีใจนักที่เมื่อครู่มันเลือกจะนิ่งไว้ก่อน!


“ส่วนเจ้านั่น…ท่าทางจะดวงกุดแล้ว”


หลังสูดอากาศเข้าลึกๆด้วยความหนาวเหน็บ ชายหนุ่มที่ตัดสินใจถูกก็เหลือบไปมองชายวัยกลางคนที่พึ่งจะออกจากห้องโถงมาหลังมัน จึงพบว่าบัดนี้อีกฝ่ายหน้าซีดปานกระดาษ ร่างยังสั่นระริกไปราวลูกนกตกน้ำ สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนแลดูหวาดผวาราวเห็นอะไรที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต


เพราะในตอนที่ต้วนหลิงเทียนออกปากว่าต้องการเกราะอมตะระดับราชา 2 ชิ้น ก็เป็นชายวัยกลางคนผู้นี้ที่โพล่งออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เป็นคนแรก อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 2 ที่ไม่เห็นด้วยเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะเอาเกราะอมตะระดับราชา 2 ตัวไปครอง


ส่วนอีกคน ก็คือชายหนุ่มที่พึงตายกลายเป็นผีคากระบี่ต้วนหลิงเทียนไปหยกๆ…


หลังจากเข่นฆ่าชายหนุ่มไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เก็บดาบสั้นระดับราชาอมตะของอีกฝ่าย ทั้งแหวนพื้นที่ร่วงตกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน คะแนนสะสมของอีกฝ่ายก็พุ่งมารวมในป้ายหกสะสมคะแนนของต้วนหลิงเทียนเรียบร้อย


ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆหันไปมองชายวัยกลางคนที่ออกหน้าโวยวายเป็นคนแรก


“ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้ว”


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวกับชายววัยกลางคนด้วยยสีหน้าน้ำเสียงสงบ เกรงว่าหากมีคนที่ไม่รู้เรื่องบังเอิญผ่านมาเห็น คงคิดว่ากำลังสนทนากันภาษาสหาย


“เจ้า…เจ้า…”


พอเห็นต้วนหลิงเทียนหันมา สีหน้าชายวัยกลางคนก็เริ่มซีดลงทันตาเห็น วาจาที่กล่าวยังตะกุกตะกักแลดูร้อนรนจนลนลานไปหมด “เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ หากเจ้าฆ่าข้าตระกูลของข้าไม่มีวันปล่อปละละเว้นเจ้าแน่! ตระกูลของข้าคือ…”


“เจ้าตาย ใครจะรู้ว่าข้าเป็นคนฆ่า…”


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มเย้ยเยาะขัดคำของชายวัยกลางคนออกมาก่อนที่มันจะทันได้พูดจบ กระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่องในมือเริ่มปรากฏรัศมีพลังเรืองรองขึ้นมาอีกครา ตัวกระบี่เริ่มอัดแน่นไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานพลังธาตุดิน!


นอกจากนั้นรอบๆตัวกระบี่ยังปรากกฏแสงพลังสีทองทั้งสีม่วงม้วนพันกันอย่างวิจิตร ให้ความรู้สึกงดงามปานภาพฝัน


“เจ้านั่นมันสติเลอะเลือนไปแล้วหรือไร! จังหวะนี้อย่าว่าแต่พวกเราที่เข้ามาในวังจอมราชันอมตะเลย กระทั่งคนที่ล่วงรู้ถึงการคงอยู่วังจอมราชันอมตะ ไม่พ้นต้องถูกลบความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับวังจอมราชันอมตะทั้งหมดก่อนจะออกไปด้านนอกได้แน่…”


เชวียจิงอวี่กล่าวเย้ยออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน


“มิผิด! ในอดีตสมควรมีผู้คนมากมายที่เข้ามายังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ได้ล่วงรู้ทั้งเข้าสู่วังจอมราชันอมตะ…แต่ทุกคนไม่ว่าผู้ใดที่รอดกลับออกมา ล้วนไม่มีการกล่าวถึงวังจอมราชันอมตะเลย ทั้งหมดเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าความทรงจำช่วงหนึ่งได้หายไป ทั้งบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเข่นฆ่าผู้ใดหรือทำอะไรไปบ้าง ถึงได้คะแนนสะสมทั้งสมบัติมามากมาย”


“ในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้ ไม่ว่าจะฆ่าใครต่อหน้าผู้คนก็ไม่ต้องกังวลใดๆ เพราะสุดท้ายแล้วหลังกลับออกไปอย่าว่าแต่ผู้อื่น คนที่ลงมือยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฆ่าผู้ใดไป…”


“มันจะเลอะเลือนจนหลงลืมก็ไม่แปลกหรอก ไม่เห็นหรือไรว่ามันกลัวตายจนขี้หดตดหายแล้ว…”



คนอื่นๆเริ่มมองชายวัยกลางคนด้วยสายตาเวทนาสงสาร ไม่ทราบอีกฝ่ายไปกินดีหมีหัวใจเสืออันใด หรือใช่ไปโดนฉีดเลือดไก่มากันแน่ ถึงได้หาญกล้าล่วงเกินชายหนุ่มชุดม่วงนั่น! รนหาที่ตายแท้ๆ!!


หลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียนกับพวกเชวียจิงอวี่ ชายวัยกลางคนที่แตกตื่นก็พลันตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หน้ามันเปลี่ยนสีไปอีกรอบ ลูกตายังเริ่มฉายชัดถึงความสิ้นหวัง


“ขอเจ้าเมตตาละเว้นข้าสักครั้งเถอะ และมิว่าจะสมบัติหรือคะแนนอันใดที่ข้ามี ข้าจะมอบมันให้เจ้าทั้งหมด!”


เมื่อเผชิญหน้ากับความตายชายวัยกลางคนก็ถึงกับบคุกเข่าลงกลางหาว โขกศีรษะวิงวอนร้องขอชีวิตต่อต้วนหลิงเทียน


กว่ามันจะมีวันนี้ได้ไม่ง่ายเลย หากตกตายไป ทุกสิ่งที่เพียรสร้างมาก็จบสิ้นกันแล้ว!


จังหวะนี้ศักดิ์ศรีอันใดมันล้วนโยนทิ้งไว้ด้านหลังหมดสิ้น


“ฆ่าเจ้า ของทั้งหมดที่เจ้ามีก็เป็นของข้าอยู่ดี…”


มุมปากต้วนหลิงเทียนยกยิ้มเย้ยหยัน


ได้ยินดังว่า หน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนเป็นซีดลงถนัดตา เร่งกล่าวออกมาอย่างร้อนใจ “หากเจ้าเมตตาละเว้นข้าสักครั้ง รอให้พวกเรากลับออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้ ข้าจะมอบสมับติเพิ่มให้เจ้าอีกเป็นเท่าตัว…”


อย่างไรก็ตามคำตอบของต้วนหลิงเทียน ก็คือการโจนทะยานพร้อมคอนกระบี่หนักไร้คมอันเขื่องเข่นฆ่าสังหารเข้ามา ปานเทพแห่งความตายแกว่งเคียวยมทูตเกี่ยววิญญาณ หมายพรากหนึ่งชีวิตของมันไป!


ได้ยินวาจาต่อรองขอชีวิตประโยคสุดท้ายของชายวัยกลางคน และเห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียน เชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าพลางสบถออกมา “เหอะๆ มารดามันเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ…ถึงยังพล่ามโง่ๆเช่นนั้นออกมาอยู่อีก”


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หลังกลับออกไปจากแดนลับสวรรค์ใต้แห่งนี้จะไม่มีใครหลงเหลือความทรงจำในวังจอมราชันอมตะเลย…


ต่อให้จะจดจำได้ แต่มันคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะหลงเชื่อลมปากของมันงั้นเหรอ?


ทันทีที่รอดกลับออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ชายวัยกลางคนก็เสมือนมีคนให้พึ่งพิงทันที ถึงตอนนั้นให้ต้ววนหลิงเทียนคิดจะรีดประโยชน์อะไรจากชายวัยกลางคน เห็นทีคงเป็นไปไม่ได้!


เว้นเสียแต่จะเลือกฉีกหน้าผู้ที่อยู่เบื้องหลังชายวัยกลางคน


ปง! ปง! ปง! ปง!



ต้วนหลิงเทียนที่คอนกระบี่พุ่งเข่นฆ่าสังหารเข้ามานั้น ความเร็วนับว่าไม่ใช่เล่นๆ มวลอากาศตามรายทางแตกระเบิดออกส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!


แม้หลังได้เห็นต้วนหลิงเทียนลงมือเข่นฆ่าสังหารชายหนุ่มไป จะทำให้ชายวัยกลางคนรู้ดีว่ามันไม่ใช่คู่มือต้วนหลิงเทียน แต่มันก็ไม่คิดจะอยู่เฉยๆยอมรับความตาย จึงเร่งลุกขึ้นมาต่อต้านรับมือเพื่อเอาตัวรอดสุดชีวิต


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะต่อต้านด้วยไม่ยินยอมสยบเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์สุดท้าย มีอันต้องจบชีวิตคามือต้วนหลิงเทียนไปในที่สุด


เปรี๊ยยงงงง!!


เสีงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว กระบี่หนักที่ฟันฟาดออกด้วยพลังสภาวะเกรี้ยวกราด สับศีรษะชายวัยกลางคนจนแหลกทั้งยังผ่าร่างคนเป็นสองเสี่ยง ก่อนคลื่นพลังกระบี่จะป่นทำลายร่างมันจนแหลกเป็นซากเนื้อเลอะเลือนกลางหาว คงเหลือก็แต่เพียงแหวนพื้นที่กับอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่มันใช้สองชิ้นร่วงตกลงมา…


วูบ


หลังเก็บสินสงครามรับแต้มแล้วเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างขึ้นไปยังจุดที่เกราะอมตะระดับราชาอันได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังของจอมราชันอมตะทั้ง 3 ตัวลอยอยู่อย่างไม่รีบไม่ร้อน


เห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน พวกเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆก็รู้งาน เร่งเปิดทางให้ต้วนหลิงเทียนไปเลือกชมสิ่งของสะดวกๆ


“ยินดีด้วยต้วนหลิงเทียน”


ขณะที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างผ่านมาถึงเบื้องหน้า เชวียจิงอวี่ก็เร่งกล่าวคำแสดงความยินดีออกไปทันที อย่างไรก็ตามแม้ปากจะพูดไปแบบนั้น แต่ในแววตาไม่ขาดความอิจฉาริษยาแม้แต่น้อย


“อืม”


ต้วนหลิงเทียนหันมาเหลือบมองพลางพยักหน้าให้เชวียจิงอวี่เบาๆ


“ยินดีด้วย!”


“ยินดีด้วยน้องชาย!”



ด้วยมีเชวียจิงอวี่เป็นผู้นำ ที่เหลืออีก 5 คนก็เร่งกล่าวคำแสดงความยินดีกับต้วนหลิงเทียนตามทันที


พวกมันรู้ดีแก่ใจว่าตอนนี้พวกมันทำได้แค่พยายามทำดีเพื่อสานไมตรีกับอีกฝ่ายเท่านั้น ไม่อาจล่วงเกินผู้อื่นเขาได้เด็ดขาด หาไม่แล้วเกรงว่าหากเกิดเรื่องที่ต้องเข่นฆ่าอะไรกันขึ้นมา คนที่ต้องตายเป็นคนต่อไปก็ต้องเป็นพวกมัน


เชวียจิงอวี่เองก็ไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าการที่มันกล่าวคำแสดงความยินดีกับต้วนหลิงเทียนออกไปจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นได้สานไมตรีกับต้วนหลิงเทียนแบบนี้!


ทว่าเผชิญกับการแสดงความยินดีของคนอื่นๆ ต้วนหลิงเทียนหาได้แยแสกระทั่งไม่แม้แต่จะชายตาแลมอง เพียงมุ่งหน้าตรงไปยังเกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 ที่ลอยค้างกลางหาวเงียบๆ


เกราะสีดำสนิททั้ง 3 ชิ้นนั้นลอยค้างกลางหาวอย่างน่าเกรงขาม ประหนึ่งเกราะของเทพมาร ตัวเกราะแต่ละชิ้นเปล่งรัศมีพลังสีดำออกมาเรืองๆ รอบๆยังปรากฏเส้นสายอัสนีสีม่วงแล่นวาบแปลบปลาบไม่หยุด


และอัสนีสีม่วงที่แปลบปลาบรอบๆเกราะนี้ ทุกคราที่มันลั่นวาบออกมายังทำให้ความว่างเปล่าสะเทือน เกิดเป็นคลื่นพลังน่างเกรงขามกำจายออกไปไม่หยุดหย่อน


เมื่อมาหยุดลงเบื้องหน้าเกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 ชิ้น ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอึมครึมน่าเกรงขามที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเกราะชัดเจน


‘สมแล้วที่เป็นเกราะอมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะใช้พลังหล่อเลี้ยงขัดเกลา ไม่ใช่ชั่วเลยจริงๆ’


สองตาต้วนหลิงเทียนบัดนี้ลุกวาวจ้าไปด้วยความถูกใจ จากนั้นก็เอื้อมมือไปคว้าเกราะอมตะระดับราชาตัวที่อยู่ตรงกลางกับทางขวามาอย่างไม่เกรงใจ


วู้ม! แกร่ก! ครึก! ครึก!


และพอสะบัดมือคราหนึ่ง เกราะอ่อนเกล็ดแดงอันเป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ฮ่องเต้ฝูชิวให้มาก็ถูกถอดออกจากร่างต้วนหลิงเทียน จากนั้นเขาก็สวมเกราะอมตะระดับราชา 1 ใน 2 ตัวที่เลือกแล้วแทนที่ทันที แน่นอนว่าเป็นการสวมไว้ด้านในแล้วสวมชุดคลุมสีม่วงคลุมทับเอาไว้อีกที


‘พลังป้องกันของมัน…สูงกว่าเกราะตัวเก่าไม่ใช่เล่นๆเลย’


เพียงห้วงคิด ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็เริ่มปรากฏร่างมายาของเกราะสีดำสนิทขึ้นมาห่อหุ้มปกคลุม เป็นม่านพลังที่เกิดจากการสำแดงอานุภาพของเกราะอมตะสีดำสนิทที่เขาเลือกสวมไว้นั้นเอง


ดุจเดียวกับอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทศาสตราที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังของจอมราชันอมตะมาระยะเวลาหนึ่ง ที่จะมีพลังอานุภาพเพิ่มพูนขึ้น อุปกรณ์อมตะประเภทชุดเกราะเองก็มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน


หลังจากเก็บเกราะอ่อนเกล็ดแดง และถอนรั้งพลังที่ถ่ายทอดลงเกราะอมตะตัวใหม่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเหินร่างกลับลงพื้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน


ในขั้นตอนการเลือกเฟ้นเกราะอมตะระดับราชา 2 ตัว รวมทั้งทดสอบพลังอานุภาพชุดเกราะของต้วนหลิงเทียน คนอื่นๆก็อยู่ในความสงบ ไม่กล้าเคลื่อนไหวหรือส่งเสียงใดออกมา…


กล่าวให้ชัดคือไม่มีใครกล้าแม้แต่จะผายลม และไม่กล้าขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว


ล้อเล่นหรือไร!


ชายหนุ่มชุดม่วงนั่นจะอย่างไรก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว แถมหนึ่งในนั้นยังสมควรโดดเด่นในแง่การป้องกัน ยิ่งมามีเกราะอมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะใช้พลังขัดเกลาหล่อเลี้ยง อีกฝ่ายก็ยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากขึ้น!


กล้าทำอะไรจนทำให้อีกฝ่ายเกิดสนใจ หรือคิดลงมือกับผู้อื่นตอนนี้ ไยมิใช่เบื่อชีวิตคิดไปติดตามตัวโง่งมทั้งสองนั่นไปนรก?


‘โชคดีที่มันยังไม่กระทำเกินไป อย่างน้อยๆก็เหลือให้พวกเราตัวหนึ่ง…’


จากนั้นสายตาของเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆก็ละความสนใจออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียน และหันไปจับจ้องมองเกราะอมตะระดับราชาตัวสุดท้ายที่ลอยเด่นเป็นสง่ากกลางหาวแทน


จากนั้นบรรยากาศเหนือฟ้าก็เริ่มคลุ้งกลิ่นดินปืนอีกครา แต่ละคนกระชับอาวุธในมือแน่น ก่อนที่จะปะทุพลังลงมืออย่างพร้อมเพรียง! หมายสยบชิงชัยผู้อื่นเพื่อครอบครองชุดเกราะ!!


ในขณะที่พวกเชวียจิงอวี่ปะทุพลังปะทะกันกลางหาว ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งลงมายืนบนพื้นได้ไม่นาน คิ้วเขาก็ขมวดเล็กน้อย เพราะสัมผัสได้ว่ามีสายลมหอบหนึ่งพัดผ่านร่างไป


‘หือ?’


ต่อมาคล้ายนึกอะไรได้ และพอหันไปดูจุดที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเคยยืนอยู่ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเสียแล้ว


“หืม?”


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพบว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหายไป พวกเชวียจิงอวี่ทั้ง 5 ที่กำลังประมือกันอยู่ ก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าของพวกมันเปลี่ยนไปทันที!


ฟุ่บ!


และวินาทีต่อมา พวกมันก็หันขวับไปจับจ้องจุดที่ชุดเกราะอมตะระดับราชาตัวสุดท้ายลอยล่องอยู่ จึงพบว่ามีเงาร่างสีเทาหนึ่งไปปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ!


“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!”


มองไปปราดเดียวเชวียจิงอวี่ก็จดจำได้ทันทีว่าเป็นใคร อย่างไรก็ตามแม้จะจดจำอีกฝ่ายได้แต่ลูกตาของมันก็ฉายแววฆ่าฟันออกมาอย่างไม่คิดระงับ ไร้ซึ่งความหวั่นเกรงใดๆเหมือนตอนอยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียน!


เพราะในสายตาของมัน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่พลังพอๆกับมันเท่านั้น


“เกราะอมตะระดับราชาตัวนี้…ข้าจะเอา”


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่มาหยุดค้างกลางหาวเบื้องหน้าชุดเกราะอมตะระดับราชาตัวสุดท้าย ไม่ได้รีบร้อนคว้ามันมาครองแต่อย่างใด เพียงกวาดตามองกล่าวกับพวกเชวียจิงอวี่ด้วยน้ำเสียงท่าทีไร้แยแส


“ไอ้หนูนี่…มันคิดว่าตัวเองเป็นต้วนหลิงเทียนรึไรกัน?!”


“อวดดีนัก! เกราะอมตะระดับราชาเหลือเพียงตัวเดียว ยังใช่อะไรที่มันบอกจะเอาก็เอาไปได้ง่ายๆรึ!?”


“หึ! หรือมันไม่รู้ราคาความโอหังที่มันต้องจ่าย?!”



ด้วยพลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนทำให้เชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆหมดหนทางจะต่อกร ทุกคนจึงอึดอัดคับข้องใจจะแย่ พอมาเจอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอวดดีแบบนี้ พวกมันก็เสมือนพบพานเป้าให้ระเบิดโทสะ!!


WSSTH ตอนที่ 3,015 : ความหมายลึกซึ้ง ร่างแฝดแห่งความตาย!


การที่ต้วนหลิงเทียนฮุบเกราะอมตะระดับราชาไปทีเดียว 2 ชิ้น ถึงแม้เชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆจะไม่พอใจแค่ไหน แต่พวกมันก็รู้ตัวดีว่าไร้พลังต่อต้านแข็งขืน


ต้วนหลิงเทียนที่เข้าใจความหมายลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว เป็นอะไรที่ห่างไกลเกินกว่าพวกมันจะต่อกรด้วยได้


ทว่าตอนนี้ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับปรากฏตัวออกกมาแล้วทำราวกับตัวมันเป็นต้วนหลิงเทียน เอ่ยปากว่าจะเอาเกราะอมตะระดับราชาตัวสุดท้ายไปหน้าตาเฉย…


เรื่องพรรค์นี้จะให้พวกมันยอมรับได้อย่างไรไหว?


“ไอ้หนู ถึงเจ้ากับต้วนหลิงเทียนล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะอายุไม่ถึงร้อย แต่ต้วนหลิงเทียนนั้นมิใช่ว่าเข้าใจความหมายลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการหรือไร?”


ชายชราคนหนนึ่งก้าวออกมาโพล่งคำอย่างไม่สบอารมณ์ มันทนมองต้วนหลิงเทียนเอาเกราะไป 2 ตัวโดยที่ทำอะไรไม่ได้ก็คับข้องใจจะแย่ เนื่องเพราะมันไม่อาจตอแยล่วงเกินต้วนหลิงเทียนคนนั้นได้


ตอนนี้เมื่ออยู่ๆหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็พาตัวเองมาส่งถึงหน้าประตู จึงเสมือนมันได้พบเจอที่ให้เอาโทสะไปลง!


“อะไร…เจ้าข้องใจ?”


ในขณะที่เชวียจิงอวี่และคนอื่นๆมองจ้องมาที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็มองจ้องไปยังชายชราเขม็งพลางเอ่ยออกเสียงเรียบ


จังหวะนี้ชายชราถึงกับผงะ!


เชวียจิงอวี่และคนอื่นๆก็เหวอ!


หลิงเจวี๋ยอวิ๋นลอยร่างค้างกลางหาวอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าท่าทีสงบบ พาลให้พวกมันรู้สึกเสมือนอีกฝ่ายเป็นดั่งต้วนหลิงเทียนที่ออกมาเอาเกราะอมตะระดับราชาก่อนหน้า


“มัน..คงไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการด้วยกระมัง?”


“เป็นไปไม่ได้! มันอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ จะไปร้ายกาจขนาดนั้นได้อย่างไร?”


“แต่ต้วนหลิงเทียนก็อายุไม่ถึงร้อยปีด้วยไม่ใช่รึไร?”


“ก็ใช่ที่ต้วนหลิงเทียนอายุไม่ถึงร้อยปี แต่พวกเราได้ประจักษ์เรื่องความหมายลึกซึ้ง 2 ประการของมันแล้ว…พวกเจ้าคิดจริงๆหรือว่าในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวของเรา จะปรากฏอสูรกายอายุไม่ถึงร้อยเช่นต้วนหลิงเทียนทีเดียว 2 คน?”


“ข้าเองก็คิดว่าเรื่องพรรค์นั้นคงเป็นไปไม่ได้…ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา มีต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นมา ก็นับว่ายากพบพานในรอบพันหมื่นปีแล้ว ไฉนยังจะมีอสูรกายอย่างต้วนหลิงเทียนเป็นคนที่ 2 ได้…”



เชวียจิงอวี่และคนอื่นๆไม่คิดว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะเป็นอย่างต้วนหลิงเทียนไปได้ ที่อายุไม่ถึงร้อยยแต่เข้าใจความหมายลึกซึ้งของกฏสองประการ!


“เจ้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมันตั้งใจเลียนแบบข้าหรือ…”


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็อดไม่ได้ที่จะมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลางส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้มแหยๆ แต่หากถามว่ายังมีใครในที่นี้ที่คิดว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะคว้าเกราะอมตะระดับราชามาได้ เกรงว่าคงมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น


กระทั่งเกราะอมตะระดับราชาตัวสุดท้ายนั่น ก็เป็นเขาจงใจทิ้งไว้ให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอง


หากไม่ใช่เพราะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยออกมาว่าต้องการเกราะตัวซ้ายสุด เขาคงเลือกจะฮุบเกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 นั่นมาเป็นของตัวเองแล้ว ต่อให้เขาจะใช้ได้แค่ทีละตัว แต่เขาก็สามารถเอาไปให้คนอื่นๆ หรือเอาไปขายได้อยู่ดี


ที่สำคัญเกราะอมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงโดยจอมราชันอมตะนั้น ต่อให้เป็นในคฤหาสน์เฉวียนโยวเอง แต่ก็ถือว่าเป็นของมีค่า


หากไม่ใช่เพราะหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไหนเลยเขาจะเหลือมันไว้อีกตัว?


“ไอ้หนูอย่าได้ทำตัวลึกลับเสียให้ยาก!”


ชายชราพอกลับบมารู้สึกตัว ก็มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “หากเจ้าคิดว่าแน่ เช่นนั้นก็ลองกันสักตั้ง!”


เสียงดังจบคำ ไม่ทันที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะได้ตอบอะไร ทั่วร่างชราก็ปะทุพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันมือทั้ง 2 ข้างก็คว้าจับกระบองคู่เขี้ยวหมาป่าที่ผุดจากความว่างมากระชับถือไว้แนบแน่น


จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ลุกโชนท่วมร่างผู้ชรา ก็เริ่มแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นสีฟ้าในชั่วพริบตา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายได้ผสานใช้พลังแห่งกฏที่ได้จากการเข้าใจความหมายแห่งกฏประการหนึ่ง!!


‘พลังนั่นมัน…ความหมายแห่งน้ำ ความลึกซึ้งเบื้องต้นของกฏแห่งน้ำ?’


เมื่อพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของชายชราเปลี่ยนไปเป็นสีฟ้า ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความเยียบเย็นขุมหนึ่งที่แผ่ซ่านออกมา


และหากสังเกตพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของอีกฝ่ายตอนนี้ให้ดี จะพบว่าทันทีที่มันเปลี่ยนเป็นสีฟ้า ลักษณะพลังก็คล้ายเปลี่ยนเป็นอ่อนหยุ่นในพริบตา


นั่นเป็นคุณลักษณะเด่นของน้ำ!


ครืน! ครืน!


พอเชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆรู้ตัว กระบองคู่ในมือผู้ชราก็ส่งเสียงคำรามออกมาปานอุกกาบาต!


ทั่วตัวกระบองนั้นนอกจากจะม้วนพันไปด้วยพลังสีฟ้าแล้ว ยังปรากฏหมอกโลหิตหนึ่งฟุ้งขึ้นมาปกคลุม ในหมอกโลหิตยังมีเพลิงสีดำหนึ่งลุกโชนแฝงเอาไว้


เห็นได้ชัดว่านอกจากใช้พลังธาตุน้ำแล้ว ชายชรายังใช้ทักษะอย่างอื่นด้วย


“ผู้เฒ่าหลี่ไม่เพียงชิงโจมตีก่อนโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัวเท่านั้น แต่ยังใช้ออกด้วยกระบวนท่ารุนแรงที่สุดทันที…นับว่าลงมือเข่นฆ่าตอนผู้อื่นอ่อนแอโดยแท้!”


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ลอยร่างไม่ห่างเชวียจิงอวี่กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ


“ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ความประมาทย่อมเป็นหนทางสู่คววามตาย…เจ้าเฒ่าหลี่ลงมือเช่นนี้ นับว่าเป็นกลยุทธ์คว้าชัยอันประเสริฐ”


ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยออกมาอย่างเห็นด้วยกับการลงมือของผู้ชรา


ซู่มมม!!


ครืนนนน!!



กระบองคู่ถูกฟาดไปทางหลิงเขวี๋ยอวิ๋นอย่างดุร้ายปานอุกกาบาตร่วงฟ้า สภาวะพลังยิ่งมายิ่งดุดันอำมหิต!


“ฮู่มมม!”


“ฮู่มมม!”


เมื่อกระบองคู่ฟาดฟันออกไป มวลพลังที่ท่วมท้นอยู่ในกระบองทั้งสอง ก็เริ่มก่อเกิดเป็นหมาป่าพลังตัวเขื่องสีฟ้า พุ่งแยกย้ายกันอ้าปากกกระหายเลือดเข้าขย้ำร่างเจวี๋ยอวิ๋นพร้อมกันทั้งซ้ายขวา!


“ไฉนมันไม่ลงมือต่อต้านหรือหลบเล่า?”


“มันไม่ทันตอบโต้รึเปล่า อีกทั้งติดจะหลบเอาตอนนี้ก็หลบไม่ทันแล้ว!”


“ไอ้หนูนั่นตายแน่!”


“เหอะๆ อาศัยพลังฝีมืออ่อนด้อยเช่นนี้ คิดออกมาฮุบเกราะอมตะระดับราชาเป็นของตัวงั้นหรือ?”



ภายใต้สายตาของเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆ หมาป่าพลังสีฟ้าตัวเขื่องที่แยกย้ายกันจู่โจมเข้ามาทั้งซ้ายขวา ในที่สุดก็บรรลุถึงร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ขย้ำเข้าไปยังไหล่ซ้ายและขวาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอย่างพร้อมเพรียง!


ปงงงง!!


เสียงดังสนั่นลั่นขึ้นตามติด เป็นชายชราที่ลุมาถึงร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ถูกหมาป่าพลังสีฟ้าขย้ำไห่ทั้ง 2 จนไม่อาจเคลื่อนไหวไปไหน จากนั้นกระบองคู่เขี้ยวหมาป่าก็ถูกฟาดเข้าใส่ศีรษะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอย่างจัง!


‘นั่นมัน…อะไรกัน!?’


ต่างจากเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆที่คิดว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นต้องตายตกแน่แท้ สองตาต้วนหลิงเทียนยหดหยีลงในฉับพลัน ด้วยสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น


เขารู้สึกว่า หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่รับการโจมตีของชายชราอย่างจังนั่น ไม่ใช่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกต่อไป


“นั่นก็คือความหมายลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย ร่างแฝดแห่งความตาย”


ราวกับได้ยินความสงสัยในใจของต้วนหลิงเทียน เสียงสตรีอันเยียบเย็นหนึ่งพลันดังขึ้น เป็นหวงเอ้อที่อาศัยอยู่ในทะเลวิญญาณของต้วนหลิงเทียนนั่นเอง


“เสี่ยวเฟิงในตอนนี้ ได้เข้าใจความหมายลึกซึ้งประการที่สองของกฏแห่งความตายนอกจากความหมายแห่งความตายได้แล้ว และยังเป็นร่างแฝดแห่งความตายอีกด้วย”


หวงเอ้อกล่าวออกมารวดเดียวจบ


“ร่างแฝดแห่งความตาย?”


วินาทีต่อมา ในขณะที่เชวียจิงอวี่และคนอื่นๆ ตกใจที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ลงมือตอบโต้อะไรและทานรับกระบวนท่าของชาชราเข้าไปอย่างจัง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าสองตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นได้ส่องสว่างออกมาด้วยสีแดงปานโลหิต อีกทั้งทั่วร่างยังบังเกิดไอโลหิตแผ่พุ่งออกมาฉาบคลุมอย่างน่ากลัว และไอโลหิตที่ว่าก็ป้องกันการลงมือของชายชราได้ชะงัด!!


“เจ้ามีแรงแค่นี้หรือ?”


ด้านหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่สองตาแดงฉานเป็นสีเลือด อยู่ๆก็ปรากฏเงาร่างผ้าคลุมหนึ่งโบกสะบัดไปตามคลื่นลม อีกทั้งบนผ้าคลุมยังเต็มไปด้วยลวดลายซับซ้อนและอักขระโบราณ


และทันทีที่เงาร่างผ้าคลุมดังกล่าวปรากฏขึ้น หมาป่าพลังตัวเขื่องสีฟ้าทั้ง 2 ที่ขย้ำไหลของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่ ก็ถูกไอโลหิตที่แผ่ออกมาปกคลุมทั่วร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นซัดทำร้ายจนปลิวกระเด็นออกไป!


และเมื่อหมาป่าทั้ง 2 ถูกซัดจนปลิว ชายชราที่ฟาดพลองเข้าใส่ศีรษะของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ถูกซัดปลิดปลิววออกมาเช่นกัน!


ซัวว!


ไอโลหิตทั่วร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยิ่งมายิ่งพวยพุ่งออกจากร่างปานจะย้อมแผ่นฟ้า และเงาร่างผ้าคลุมที่พึ่งปรากฏออกมาด้านหลัง บัดนี้ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานปานโลหิต เริ่มโบกสะบัดไปแม้ไรลม!


‘ผ้าคลุมนั่น…สมควรเหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาแน่นอน! อุปกรณ์อมตะระดับราชาไม่มีวันทรงพลังถึงขนาดนั้นได้แน่!’


ความสนใจของต้วนหลิงเทียนได้ถูกเงาผ้าคลุมที่ผุดโผล่ขึ้นมาด้านหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดึงดูดไปทันที อีกทั้งยามเมื่อผ้าคลุมสีเลือดโบกสะบัด ลวดลายของมันคล้ายได้สูดเอาไอพลังสีแดงเลือดทั่วร่างของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าไป จนแลดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น ตามลวดลายอักขระต่างๆยังเหมือนมีธารเลือดไหลเวียน


“หวงเอ้อ ผ้าคลุมนั่นของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมันคือ?”


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามหวงเอ้อในทะเลวิญญาณ


“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ”


หวงเอ้อตอบ


“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!”


แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอมาได้ยินจริงๆ ต้วนหลิงเทียนก็อดตกใจไม่ได้


สำหรับเหตุผลที่ไฉนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล้านำอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิออกมาใช้อย่างโจ่งแจ้ง เขาก็เดาได้ไม่ยาก


ไม่มีอะไรมากไปกว่ารู้ดี ว่าหลังจากกลับออกไปจากวังจอมราชันอมตะหรือกลับออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ทุกคนก็ล้วนต้องลืมเรื่องที่เกิดขึ้นหมดสิ้น


ด้วยวิธีนี้ เรื่องที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นถือครองอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิก็ไม่มีวันแพร่งพรายออกไป


“ผ้าคลุ่มนั่น…มันอะไรกันแน่ กลิ่นอายพลังไม่ธรรมดายิ่งนัก!”


ขณะเดียวกัน ด้านเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆก็เริ่มตระหนักได้แล้ว ว่าผ้าคลุมที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นสวมใส่อยู่นั้นไม่ธรรมดา ยังไม่ธรรมดาเหมือนอุปกรณ์อมตะระดับราชา!


“เจ้า…นั่นคืออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน!?”


เมื่อเห็นว่าการโจมตีสุดกำลังของตัวเอง ที่แท้ไม่อาจสร้างความเสียหายใดๆให้แก่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้เลย หน้าชายชราก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง จากนั้นก็จับจ้องไปยังผ้าคลุมที่โบกสะบัดอยู่ด้านหลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยความหวาดกลัว


ผ้าคลุมผืนนี้ ให้ความรู้สึกทรงพลังและน่ากลัวยิ่งกว่าเกราะอมตะระดับราชา ที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะเสียอีก!


“อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน!?”


มุมปากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยกยิ้มแสยะออกมาด้วยความดูแคลนรังเกียจ หากแต่มันก็ไม่คิดอธิบายเพิ่มเติมอะไร จากนั้นไอโลหิตทั่วร่างก็ม้วนวนปานพายุคลั่ง คนวูบร่างจี้เข้าหาชายชราที่ปลิวไปในบัดดล!


เผชิญหน้ากับหลิงเจวี๋อวิ๋นที่สองตาแดงฉานปานก้อนเลือด ชายชราที่ตระหนักว่าไร้หนทางฝ่าการป้องกันของอีกฝ่าย ก็ทำได้แค่กัดฟันเตรียมต้านรับการโจมตีของหลิงเจวี่ยอวิ๋นสุดกำลัง


‘หวังว่ามันจักไม่ลงมือด้วยกระบวนท่าแลกชีวิตเหมือนต้วนหลิงเทียน…หากมันกระทำแบบนั้นจริง ข้าตายแน่!’


ตอนนี้ชายชราหวงเพียยงว่ามันจะสามารถต้านทานกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้ ถึงตอนนั้นจะได้ตกอยู่ในสภาพคงกระพัน


เพราะต่อให้ไม่ชนะ ขอแค่ไม่แพ้ ก็สามารถรอดชีวิตได้


ปงงง!


เปรี๊ยงงง!!



หมัดลุ่นๆของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ชกออกไป ถูกกระบองเขี้ยวหมาป่าทั้งสองของชายชราป้องกันเอาไว้ได้ จากนั้นหมัดกระบองก็ออกกระบวนท่าปะทะกันอย่างดุเดือด!


‘ยังได้อยู่…’


เมื่อเห็นว่าการลงมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังอยู่ในวิสัยที่มันต้านทานรับไหว ชายชราก็ลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก หมายความว่ามันสามารถรบพัวพันกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในลักษณะนี้ได้อยู่


อย่างไรก็ตาม พริบตาต่อมาสีหน้าชายชราพลันเปลี่ยนไปใหญ่หลวง


ฟั่ฟฟฟ!


เพราะบังเกิดเสียงกระบี่หนึ่งฟันแหววกอากาศมาด้วยความเร็วสูงแว่วดังเข้าหู!


และท่ามกลางสายตาของทุกคน ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าเป็นอะไรที่พิสดารยิ่งนัก! ปรากฏร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกคนพุ่งออกมาจากร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่มีสองตาแดงฉานปานก้อนโลหิต! คว้าจับกระบี่โลหิตที่ควบแน่นจากไอพลังสีแดงเลือดที่ปกคลุมโดยรอบ ก่อนจะฟันออกไปฉับไวสุดที่ใครจะทันได้ตั้งตัว ผ่าร่างชายชราให้แยกเป็นสองเสี่ยงจากบนลงล่างอย่างอำมหิต!


“นั่นมันบ้าอะไรกัน!?”


“ไฉนมีหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกคนโผล่ออกมาจากร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้เล่า!?”


“จ้าวสวรรค์ช่วย! นิ…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!?”



ลูกตาเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆหดหยีลงโดยพลัน นั่นเพราะร่างที่อยู่ๆก็พุ่งออกมาจากตัวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น ก็คือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอง!


มีหลิงเจวี๋ยอวิ๋น 2 คน!?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)