War sovereign Soaring The Heavens 2987-2993
ตอนที่ 2,987 : ไร้รอยขีดข่วน!
ต้วนหลิงเทียนที่ใช้ออกด้วยพลังกฏแห่งดินผสานเข้ากับการโจมตีนั้น ไม่ได้ฟาดพลองปะทะกับดาบของเชวียจิงอวี่แต่อย่างไร แต่เลือกจะฟาดเบี่ยงลงไปยังข่ายอัสนีรอบกายเชวียจิงอวี่แทน
นอกจากนั้นร่มที่อยู่ในมือพุทธองค์ร่างทองตัวเขื่องอันปกคลุมไปด้วยไอพลังสีม่วง ก็ขยับไปต้านทานรับดาบอัสนีสีเทาของเชวียจิงอวี่ฉับไวปานสายฟ้า!
“ธาตุดิน?”
ถึงแม้เชวียจิงอวี่จะตกใจไม่น้อยที่เห็นต้วนหลิงเทียนปะทุพลังแห่งกฏธาตุดินออกมาในวินาทีสุดท้าย แต่อย่างไรเสียมันเองก็เสมือนศรที่ปล่อยออกจากเกาทัณฑ์ไปแล้ว
มันไม่มีเวลามากพอให้เปลี่ยนแปลงกระบวนท่าใดๆ
อีกทั้งหากฝืนเปลี่ยนแปลงกระบวนท่า สภาวะพลังไม่พ้นต้องถดถอยด้อยลงกว่าตอนนี้หลายส่วน
เช่นนั้นมันได้แต่กัดฟันลงมือไปทั้งแบบนี้!
“เจ้าเข้าใจพลังกฏแห่งธาตุดินของเจ้า ข้าก็เข้าใจพลังแห่งกฏแห่งธาตุสายฟ้าของข้า…ทั้งวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังที่ข้าใช้ก็ไม่มีทางด้อยไปกว่าเจ้า!!”
“ให้ข้าดู ว่าเจ้าอาศัยความมั่นใจแต่ที่ใดถึงได้คิดแลกกับข้าตรงๆ!!”
วินาทีนี้ สีหน้าของเชวียจิงอวี่ได้เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา ราวกับว่าหากต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะแลกกับมันแบบนี้ สุดท้ายคนที่เจ็บย่อมเป็นตัวต้วนหลิงเทียนเอง
“ปฐีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน…เจ้าแน่ใจนะว่าสามารถหยุดดาบนั่นของมันได้จริงๆ?”
ในวินาทีสุดท้ายตอนที่พลองต้วนหลิงเทียนใกล้ฟันสวนกับดาบอัสนีของเชวียจิงอวี่เต็มที ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าววถามปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินในใจอีกครั้ง
“เพ่ยๆๆ! เจ้าหนู! นี่เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้แคลงใจในความสามารถของข้ากันหา เจ้าแหกตาชมดูให้ดีๆเถอะ!!”
เสียงเด็กน้อยคล้ายยังไม่หย่านมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินฉายถึงความขุ่นขึ้งหมองเคืองไม่น้อย เห็นได้ชัดว่ามันโกรธจริงๆ ที่จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนยังกล้าสงสัยพลังของมัน!
อย่างไรก็ตามพอได้ยินน้ำเสียงขุ่นขึ้งของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะไว้วางใจอีกฝ่าย และทุ่มพลังเซียนอมตะที่ผสานกับพลังสีกากีจากกฏแห่งดินลงตัวพลองเต็มพิกัด ไม่เว้นทางถอยอันใด!
และนี่นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่เขาได้ปลดปล่อยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขาเต็มพิกัดหลังจากที่ทะลวงมาถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด
นอกจากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขา ยังได้ผสานเข้ากับพลังอำนาจแห่งงกฏธาตุดิน และเขาก็ได้ใช้ออกเต็มกำลังไร้ซึ่งการออมรั้งใดๆ
ครืนนน!!
ซู่มมม!!
……
พลองยาวในมือต้วนหลิงเทียน เปรียบดั่งมังกรพิโรธก็ไม่ปาน และในขณะที่ตัวพลองท่วมท้นไปด้วยพลังเซียนอมตะที่ผสานเข้ากับพลังแห่งกฏธาตุดินแล้ว พลองพลังอันเขื่องในมือพุทธองค์ร่างทองที่ปกคลุมทั่วกายเขา ก็คล้ายระเบิดพลังอานุภาพออกมาอีกขั้น ตัวพลองพลังยังสั่นไหวไประรัว!
ให้ความรู้สึกเสมือนมันอัดแน่นไปด้วยแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว
สุดท้ายพลองยาวในมือต้วนหลิงเทียน ก็ฟาดสวนกับดาบอัสนีสีเทาของเชวียจิงอวี่!
พริบตาต่อมา ในที่สุดพลองยาวของเขาที่ฟาดลงมาอย่างเกรี้ยวกราดปานทัณฑ์สวรรค์ ก็ปะทะเข้ากับข่ายพลังอัสนีที่ปกกคลุมไปทั่วร่างของเชวียจิงอวี่!
“หืม!?”
“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น…มันจงใจเบี่ยงพลองไม่ให้ปะทะกับดาบของเชวียจิงอวี่งั้นรึ!?”
“เพ่ย! อย่าบอกนะว่ามันคิดใช้กระบวนท่าตายตกไปตามกันกับเชวียจิงอวี่?”
“คำว่าตายตกไปตามกันของเจ้าก็ออกจะเกินเลยไปหน่อย…อย่างดีก็คงแค่สาหัสทั้งคู่นั่นล่ะ”
“แต่ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ช่างบ้าดีเดือดแท้!”
“ไม่ทราบว่าเชวียจิงอวี่จะเลือกเห็นดีเห็นงามกับ ‘ท่านฟันเราแผลหนึ่งเราฟันท่านกลับแผลหนึ่ง’ เช่นนี้หรือไม่…แต่หากคิดจะถอยตอนนี้ก็เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว และหากผลออกมาเป็นมันบาดเจ็บหนักกว่าต้วนหลิงเทียน ก็เสมือนมันแพ้!”
…
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนผู้อำมหิตต่อตัว เพราะเขาเลือกจะเบี่ยงพลองไม่ปะทะกับดาบของเชวียจิงอวี่ แตเลือกจะทำร้ายอีกฝ่าย โดยปล่อยให้ดาบอีกฝ่ายทำร้ายตัว!
ฉากบ้าคลั่งดังกล่าวย่อมสร้างความตกใจให้ผู้ที่ชมดูอยู่ไม่น้อย!
“น้องต้วน…”
หวงเจียหลงเองยังอดไม่ได้ที่จะตะลึง
หูหลินอี้ ฮ่องเต้ฝูชิว ไม่เว้นคนอื่นๆโดยรอบก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปตามๆกัน
พวกมันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนที่เห็นนิ่งๆ ที่จริงกลับดุร้ายขนาดนี้!!
จังหวะนี้หลายคนที่กำลังมองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนอยู่ ยังอดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่ ทั่วร่างเสียวซ่านคล้ายมีสายฟ้าแล่นวาบ!
เจ้าหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ มันบ้าไปแล้วหรือ!!
ยังคล้ายคนบ้าที่สิ้นหวัง!!
“คิดจะแลกกันคนละทีงั้นรึ!?”
“มาเถอะ! ข้าจะเล่นกับเจ้าสักครา! แล้วมาดูกันว่าจักเป็นเจ้าที่เจ็บหรือเป็นข้าที่เจ็บมากกว่า!!”
เผชิญหน้ากับการลงมือดั่งคนบ้าสิ้นหวังของต้วนหลิงเทียน เชวียจิงอวี่ตอนแรกก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง หากแต่ต่อมาความกลัวก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ! จนดาบที่ฟันเข้าใส่ตัวต้วนหลิงเทียนคล้ายเพิ่มพูนพลังขึ้นไปอีกสองส่วน!!
เปรี๊ยงงง!!
และท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน ในที่สุดพลองของต้วนหลิงเทียนก็ฟาดทุบเข้าถูกข่ายพลังอัสนีของเชวียจิงอวี่อย่างจัง! เสียงระเบิดดังก้องสะท้านแก้วหูผู้คน ขณะเดียวกันสภาวะพลองก็ถดถอยลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าถูกข่ายพลังอัสนีลดทอนพลังไปอยู่บ้าง!!
เปรี๊ยงงงง!!
ขณะเดียวกันดาบที่ฟันฟาดมาดั่งทัณฑ์สววรรค์ฟาดลงจากฟ้าของเชวียจิงอวี่ ก็ปะทะเข้ากับร่มในมือพุทธองค์ร่างทองตัวเขื่องเช่นกัน อย่างไรก็ตามดาบของมันเพียงทำให้กระแสพลังสีเหลืองแก่ที่ปกคลุมตัวร่มเอาไว้กระเพื่อมไปเบาๆ ดังหนึ่งหินหล่นสระก่อเกิดระลอกน้ำนับพันเท่านั้น
หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วอึดใจ ผู้คนก็ได้แลเห็นว่า…
พลองยาวของต้วนหลิงเทียนนั้น แม้จะโดนข่ายอัสนีของเชวียจิงอวี่ต้านทานจนสูญเสียพลังไปบางส่วน หากแต่สุดท้ายมันก็สามารถทุบข่ายอัสนีกระจ่าย ฝ่าม่านพลังป้องกันดังกล่าวของเชวียจิงอวี่ไปได้ในที่สุด!!
กลับกัน ด้านเชวียจิงอวี่ที่ไม่ว่าจะเร่งเร้าถ่ายทอดพลังลงสู่ดาบสีเทาที่ประทับดาบอัสนีลงไปเท่าไหร่ แต่ร่มอันมีพลังสีเหลืองแก่ปกคลุมในมือพุทธองค์ร่างทองตัวเขื่อง แม้รัศมีพลังสีเหลืองแก่จะสะเทือนไปอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่มีทีท่าจะพ่ายแพ้!
ปงงงง!!
หลังจากที่ฟาดทุบข่ายอัสนีจนแตกกระจายแล้ว พลองของต้วนหลิงเทียนก็ฟาดทุบสืบต่อไปยังร่างเชวียจิงอวี่!
ซู่มมม!
ทันใดนั้นเอง พลันปรากฏแสงพลังสีทองขุมหนึ่งผุดขึ้นความว่างเปล่าคลุมร่างเชวียจิงอวี่เอาไว้ดั่งม่านพลัง อีกทั้งม่านพลังสีทองดังกล่าว ยังแผ่กลิ่นอายหนักแน่นคล้ายไร้สิ่งใดฝ่าทำลายมันได้!
และหากผู้ใดชมมองให้ดี จะพบว่าในม่านพลังสีทองดังกล่าว ยังมีประกายอัสนีสีม่วงแล่นวาบแปลบปลาบผสานอยู่ด้วย! เห็นได้ชัดว่ามันก่อเกิดขึ้นมาจากพลังเซียนอมตะที่ผสานเข้ากับพลังแห่งกสายฟ้าของเชวียจิงอวี่!!
“หืม? นั่นมัน…อุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทป้องกันรึ?”
“จริงสิ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าตระกูลราชวงศ์ประเทศหนันฉี่ได้รับอุปกรณ์อมตะระดับราชาสายป้องกันแท้ที่เรียกว่า ‘อาภรณ์แสงทองอมตะ’ มาครอง แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายฮ่องเต้หนันฉี่กลับเต็มใจมอบมันให้องค์ชายรองไว้ใช้!!”
“องค์ชายรองหนันฉี่ เชวียจิงอวี่ จะอย่างไรก็กำลังจะเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ฮ่องเต้หนันฉี่สุดท้ายก็เป็นพ่อคน จะมอบอุปกรณ์ป้องกันให้ลูกชายมากหน่อยก็ไม่แปลกหรอก!!”
“มิผิด อาภรณ์แสงทองอมตะนี้ พอจ่ายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดลงไป ม่านพลังแสงสีทองที่มันสร้างขึ้นนับว่าทรงพลังเหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาชิ้นที่สองที่ต้วนหลิงเทียนควักออกมาใช้เสียอีก อย่างไรเสียนี่ก็เข้าใจได้ ร่มนั่นของต้วนหลิงเทียนถือว่าเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทอาวุธที่มีพลังป้องกันโดดเด่น แต่อาภรณ์แสงทองอมตะนั่น เป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะ ที่มีไว้ป้องกันถ่ายเดียว!!”
…
ในขณะที่ผู้มุงชมกำลังตกใจกับม่านพลังสีทองที่ปรากฏขึ้นคลุมกายเชวียจิงอวี่ ด้านต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
‘ที่แท้ที่มันกล้าจะแลกกับข้าไม่ใช่เพราะมั่นใจในข่ายอัสนีนั่น…แต่มันกลับมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะเป็นไพ่ใบสุดท้าย’
วินาทีนี้ต้วนหลิงเทียนที่ตระหนักได้ถึงเรื่องราว ก็เลือกที่จะรวมรั้งพลังทั้งหมดถ่ายทอดลงสู่ตัวพลอง และปล่อยให้หน้าที่ป้องกันเป็นของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน หมายทำลายม่านพลังสีทองให้จงได้!
และม่านพลังแสงสีทองดังกล่าว ก็สามารถต้านทานพลองของเขาเอาไว้ได้ถึง 3 ลมหายใจเต็ม!
อย่างไรก็ตามหลังผ่านไป 3 ลมหายใจแล้ว ในที่สุดม่านพลังแสงสีทองดังกล่าวก็จำต้องถูกพลองที่รวมรั้งพลังทั้งหมดของเขาทุบทำลายจนแหลก และเปิดเผยให้เห็นว่าบริเวณลำตัวของเชวียจิงอวี่ ได้ปรากฏชุดเกราะตัวหนึ่งสวมทับ!
ช่างน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย มันเป็นอาภรณ์แสงทองอมตะ ที่ตระกูลราชวงศ์หนันฉี่ได้มาครอบครองไว้จริงๆ
อย่างไรก็ตามพลังส่วนใหญ่ของเชวียจิงอวี่ก็ได้ทุ่มเทลงสู่ตัวดาบเพื่อการโจมตี ทำให้พลังที่มันสามารถจ่ายลงสู่ชุดเกราะอาภรณ์แสงทองนั้นหลงเหลือเพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้น
ทว่าการที่อาศัยพลังไม่กี่ส่วนสามารถต้านทานรับพลองของต้วนหลิงเทียนได้ถึง 3 ลมหายใจเต็มก็นับว่าพลังของมันน่าทึ่งมากแล้ว!
และถึงแม้พลังของพลองต้วนหลิงเทียน จะถูกลดทอนลงไปบางส่วนยามบุกฝ่าข่ายอัสนี แต่ก็ยังคงเหลือมากพอให้ทุบทำลายม่านพลังสีทองดังกล่าว
อีกทั้งม่านพลังสีทองดังกล่าว ยังสามารถลดทอนพลังในพลองของต้วนหลิงเทียนไปได้อีกเกือบ 9 ส่วน ทำให้พลังอานุภาพที่หลงเหลืออยู่ในพลองของต้วนหลิงเทียน จึงทำร้ายเชวียจิงอวี่ให้บาดเจ็บได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น
ปงงงงง!!
หลังจากที่ผู้คนเห็นร่างเชวียจิงอวี่ปลิดปลิวกระเด็นออกมาปานลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร เสียงระเบิดของพลังก็พึ่งจะดังมาเข้าหูพวกมัน
“อั๊ค–!”
เชวียจิงอวี่ตอนนี้สภาพแลดูไม่ได้อยู่บ้าง สีหน้ายังซีดลงอย่างเห็นได้ชัด โลหิตกระอักออกปากคำหนึ่ง กลับกลายเป็นบุปผาสีแดงฉานเบ่งบานกลางหาว ต้องสะทอนแสงอัสดงเป็นประกายระยิบระยับ…
อย่างไรก็ตาม ความสนใจของทุกผู้คนเพียงหยุดอยู่กับเชวียจิงอวี่ที่ถูกซัดจนปลิวแค่ครู่เดียว จากนั้นก็รีบหันกลับไปชมดูทางด้านต้วนหลิงเทียนทันที
จึงพบว่าต้วนหลิงเทียนยังคงลอยร่างค้างกลางหาวอย่างเงียบงัน มือซ้ายถือร่มคันหนึ่ง ส่วนมือขวาถือพลอง สีหน้าท่าทียังแลดูสงบเหมือนตอนแรก ไร้ซึ่ความเปลี่ยนแปลงใดๆ
ที่สำคัญเลยก็คือ…เขาไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!
“บ้าน่า…เรื่องงพรรค์นี้มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“มัน…มันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลยรึ!?”
“พลังป้องกันของมันไฉนร้ายกาจถึงขนาดนั้นได้กัน…เป็นไปได้หรือไม่ที่มันจะเข้าใจความลึกซึ้งอื่นๆของกฏแห่งดิน ที่เน้นไปในด้านป้องกันโดยเฉพาะ!?”
“เป็นไปไม่ได้! หากมันใช้พลังความลึกซึ้งอื่นๆของกฏแห่งดิน ไหนเลยราชาอมตะมากมายที่ชมดูอยู่จะไม่สังเกตเห็น?”
…
เมื่อเห็นเชวียจิงอวี่ถูกซัดจนปลิวแลดูบาดเจ็บ ทว่าทางด้านต้วนหลิงเทียนกลับไม่เป็นอะไรเลย ผู้ชมก็ตกใจไม่น้อย พากันมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาตกตะลึงพรึงเพริด!
จังหวะนี้กระทั่งฮ่องเต้ฝูชิวเองยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสองตาเบิกโพลงราวตัวโง่งม
อันที่จริงมันไม่ได้มั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนมากสักเท่าไหร่
มันเพียงเตรียมใจไว้แค่ต้วนหลิงเทีนอาจจะเสมอ หรือไม่ก็อาจจะแพ้พ่าย…
แต่มันคิดไม่ถึงจริงๆ…
ต้วนหลิงเทียยนไม่เพียงแต่จะเอาชนะองค์ชายรองของประเทศหนันฉี่ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถซัดคู่ต่อสู้จนเจ็บได้โดยที่ตัวเองไม่เป็นอะไรเลย!
กล่าวได้ว่าต้วนหลิงเทียนเอาชนะองค์ชายรองหนันฉี่ได้อย่างราบคาบ!
“การโจมตีของเชวียจิงอวี่เมื่อครู่…ต่อให้จะเป็นแค่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดธรรมดา ไร้พลังอำนาจแห่งกฏสายฟ้าผสานรวมอันใด แต่ก็มิใช่อะไรที่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอัจฉริยะทั้งหลายจะป้องกันได้ง่ายดายมิใช่หรือ?”
พอหูหลินอี้ได้สติกลับมา สองตาที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนอยู่ ก็ทอประกายขึ้นมาเจิดจ้า
“บางที…ผลงานของต้วนหลิงเทียนในแดนสวรรค์ใต้โบราณ…อาจจะติดอยู่ใน 10 อันดับแรก!”
เดิมทีหูหลินอี้ประเมินเชวียจิงอวี่เอาไว้ว่า ไม่พ้นผลงานของอีกฝ่ายในแดนสวรรค์ใต้โบราณต้องติดอยู่ใน 100 อันดับแรกแน่นอน
แต่ตอนนี้พอเห็นชัยชนะอันราบคาบของต้วนหลิงเทียน จึงทำให้มันบังเกิดความมั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนมากขึ้นจมหู และเชื่อว่าเผลอๆต้วนหลิงเทียนอาจจะรั้งอยู่ใน 10 อันดับแรกได้สำเร็จ!
สำหรับ 3 อันดับแรก หรืออันดับที่ 1 นั้น ตัวมันยังไม่กล้าคิดฝัน
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ดินแดนพันประเทศนั้นกว้างใหญ่ไพศาลอาจปรากฏยอดฝีมือเร้นลับ เหล่ายอดเซียนอมตะที่มารวมตัวกันคราวนี้ นอกจากคนของดินแดนพันประเทศแล้ว ยังมียอดฝีมือจากขุมกำลังระดับ 8 อีกมากมาย
ที่สำคัญก็คือเหล่าขุมกำลังระดับ 7 ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวอย่าง 3 นิกาย 2 ตระกูลก็ส่งมือดีมาเข้าร่วมด้วย และพวกมันก็คือยอดฝีมือในบรรดายอดฝีมืออีกที!
หากคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลคิดแสวงหาความก้าวหน้าและเข้าร่วมกับคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น ก็มีแต่ต้องแสดงพลังฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์จนเข้าตาแมวมองของคฤหาสน์เฉวียนโยว นอกจากนั้นการที่จะมีโอกาสได้แสดงพลัง อย่างน้อยๆก็ต้องโดดเด่นเหนือกว่าคนใน 3 นิกาย 2 ตระกูลให้ได้เสียก่อน
จึงกล่าวได้ว่า ทุกครั้งที่แดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออก อัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะของ 3 นิกาย 2 ตระกูล ล้วนคิดใช้โอกาสนี้แสดงผลงานด้วยกันทั้งสิ้น…
ในบรรดาอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะเหล่านั้น มีแม้กระทั่งผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งอย่างที่สองแล้ว
“ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะแข็งแกร่งมิใช่ชั่ว…แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินอย่างที่สอง”
“กล่าวได้ว่าต่อหน้าสุดยอดอัจฉริยะของ 3 นิกาย 2 ตระกูล ต้วนหลิงเทียนยังขาดอยู่บ้าง…ไม่พอจะโดดเด่นเหนือพวกมัน!”
หูหลินอี้ลอบพึมพำกับตัวเบาๆ
ตอนที่ 2,988 : อุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะอีกชิ้น!
“น้องต้วน…”
หวงเจียหลงถึงกับต้องมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ แววตายังทำคล้ายพึ่งเคยเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นครั้งแรก!
เดิมทีมันคิดว่ารู้จักน้องต้วนผู้นี้มากพอแล้ว
ทว่าดูเหมือนสิ่งที่มันรู้นั้น ไม่ต่างอะไรจากปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งเลย!
‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนน้องต้วนถึงเอาชนะข้าได้ในกระบวนท่าเดียว ทั้งๆที่มีด่านพลังขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์และไม่ได้ใช้พลังอำนาจแห่งกฏ…กระทั่งเชวียนจิงอวี่ผู้นั้น ยังไม่อาจทำอะไรน้องต้วนได้ด้วยซ้ำ!’
หวงเจียหลงได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอนไม่หยุด มันรู้สึกว่าตัวเองช่างห่างไกลจากยอดฝีมืออย่างต้วนหลิงเทียนเหลือเกิน
สำหรับคนอื่นๆของประเทศฝูชิวเอง ก็เริ่มทยอยฟื้นสติกลับมากันแล้ว พอแต่ละคนมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ลูกตายังไม่ขาดความเหลือเชื่อ
“ปะ..เป็นไปได้อย่างไร?”
“หรือต้วนหลิงเทียน…จะเข้าใจความลึกซึ้งชนิดที่สองของกฏแห่งดิน?”
“ข้าก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น…หาไม่แล้วไฉนมันถึงเอาชนะองค์ชายรองผู้นั้นได้โดยไร้รอยขีดข่วนเล่า?”
…
หลังได้สติกลับมา คนของประเทศหนันฉี่เอง ก็มองต้วนหลิงเทียนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ด้านฮ่องเต้หนันฉี่นั้น เมื่อตรวจสอบแล้วพบ่าลูกชายคนรองของมันไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมาย แววตาที่มันใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ผลลัพธ์ดังกล่าว มันไม่เคยคิดฝันมาก่อนจริงๆ
หากมันรู้แต่แรกว่าเรื่องงราวจะจบลงแบบนี้ มันคงไม่คิดท้าผู้อื่นเขาเดิมพันเด็ดขาด เพราะหลังจบเรื่องราวแล้ว เสมือนเป็นมันที่ทุ่มหินทับเท้าตัวเองโดยแท้…
มันอยากให้ฮ่องเต้ฝูชิวต้องอับอาย แต่สุดท้ายคนที่ต้องอับอายกลับเป็นตัวมันเอง…
เสียอุปกรณ์อมตะระดับราชาไปสักชิ้นนั้น ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่…
สำหรับมัน เสียหน้านี่…สาหัสกว่ากันหลายขุม!
“ฮ่าๆๆๆ…ฮ่องเต้เชวีย เจ้ายอมแพ้หรือยัง?”
หูหลินอี้ถอนสายตาออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียน ก่อนจะหันไปมองถามฮ่องเต้หนันฉี่ด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน ยังระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกอกถูกใจ
ตอนนี้มันรู้สึกได้หน้าเหลือเกิน ยังสะใจเป็นที่สุด!
“ฮ่องเต้หู ข้ายอมรับว่าโชควาสนาของเจ้านั้นดีจริงๆ กระทั่งอยู่ดีๆ ก็มีสุดยอดอัจฉริยะเช่นนี้ปรากฏตัวมาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณในนามประเทศฝูชิว…”
เชวียหมิงไฉ ที่โดนหูหลินอี้หัวเราะเยยาะใส่ ยังคงความสงบเอาไว้ได้อยู่ ไม่ได้แลดูหัวร้อนแม้แต่น้อย
“จะอะไรก็แล้วแต่…สุดท้ายก็คือเจ้าแพ้ ประเทศหนันฉี่ของเจ้าก็แพ้!”
ได้ยินคำพูดของเชวียหมิงไฉ ไหนเลยหูหลินอี้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามกล่าวอ้างว่าประเทศฝูชิวของมันแค่โชคดี
“ข้าแพ้เดิมพันครั้งนี้แล้วจะอย่างไร…แต่สุดท้ายเจ้าเองก็คงเห็นกับตาแล้วกระมัง ว่าลูกชายของข้าคนนี้เหนือกว่าลูกชายของเจ้าฮ่องเต้หูมากมายเพียงใด?”
เชวียหมิงไฉ กล่าวพลางหัวเราะ
“เหอะ! เจ้าอย่าได้คิดกล่าวเปลี่ยนเรื่องเสียให้ยาก”
เมื่อโดนเชวียหมิงไฉกล่าวจี้ใจดำ หน้าหูหลินอี้ก็จมลงทันที “ในเมื่อเจ้าแพ้ก็คือแพ้ แล้วไหนเล่าของเดิมพัน?”
“ก็แค่อุปกรณ์อมตะระดับราชาชิ้นหนึ่ง อยากได้ก็เอาไปสิ”
เชวียหมิงไฉยังคงตอบด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่อีนังขังขอบ โบกมือเบาๆ ก็ปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งผุดจากความว่างโยนส่งไปให้หูหลินอี้ราวขยะชิ้นหนึ่ง
อย่างไรก็ตามกระบี่เล่มดังกล่าว ยังเป็นกระบี่อมตะระดับราชา!
“ต้วนหลิงเทียน”
หลังโยนกระบี่อมตะระดับราชาไปให้หูหลินอี้แล้ว เชวียหมิงไฉก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส “หากท่านสนใจคิดจะเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณในนามของประเทศหนันฉี่เรา…ข้าจักมอบอาภรณ์แสงทองอมตะให้ท่าน”
ทันทีที่วาจาดังกล่าวดังออกมาจากปากเชวียหมิงไฉ ผู้คนก็ตกอยู่ในความแตกตื่นทันที
“เชวียหมิงไฉ ช่างมือเติบอะไรจะขนาดนี้!”
“ให้ตายเถอะอาภรณ์แสงทองอมตะนั่น นับเป็นอุปกรณ์อมตะประเภทชุดเกราะชิ้นเดียวที่ตระกูลราชวงศ์ประเทศหนันฉี่ครอบครองอยู่ด้วยซ้ำ…อีกทั้งราคาอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะแบบนี้ อย่างต่ำๆก็ต้องมีล้านผลึกอมตะระดับสูง นับว่าแพงกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วๆไปนับสิบเท่า!”
“ดูเหมือนเชวียหมิงไฉจะประเมินต้วนหลิงเทียนไว้สูงลิบทีเดียว”
“ทำอย่างไรได้เล่า ด้วยพลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งเผยออกมา เรื่องจะรอดกลับมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณนับว่าง่ายดายอย่างยิ่ง…อีกทั้งหากทำผลงานได้ดีจนติดอยู่ใน 30 อันดับแรกล่ะก็ ผลประโยชน์ที่ฮ่องเต้เชวียจะได้รับนั้น น่ากลัวจะไม่ได้ด้อยไปกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะเลย…”
“ในสายตาข้า มองจากความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ เรื่องจะติดอยู่ใน 10 อันดับแรก ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ใช่ หากต้วนหลิงเทียนสามารถติดอยู่ใน 10 อันดับแรกได้จริง ผลประโยชน์ที่ฮ่องเต้เชวียจะได้รับ เกรงว่าคงมหาศาลกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะนั่นหลายเท่า!”
…
เมื่อเห็นว่าเชวียหมิงไฉคิดขุดกำแพงประเทศฝูชิว และใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะอย่าง อาภรณ์แสงทองอมตะ ดั่งยื่นกิ่งมะกอกให้ต้วนหลิงเทียน ผู้ที่มุงชมโดยรอบก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน
จังหวะนี้กระทั่งเชวียจิงอวี่ที่กลับมายืนข้างเชวียหมิงไฉ ผู้ถือครองอาภรณ์แสงทองอมตะในปัจจุบัน ก็ไม่ได้เผยท่าทีไม่พอใจอะไรออกมาทั้งสิ้น
และราวกับจะสนับสนุนคำพูดของเชวียหมิงไฉ เชวียจิงอวี่ถึงกับถอดอาภรณ์แสงทองอมตะออกมาจากร่างกายทันที
“เจ้า…”
ใบหน้าหูหลินอี้เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก
มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าเชวียหมิงไฉจะหน้าด้านทั้งไร้ยางอายขนาดนี้ อีกฝ่ายถึงกับกล้าขุดกำแพงประเทศฝูชิวต่อหน้าต่อตามันและผู้คนมากมายจริงๆ!
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง หูหลินอี้ ก็ส่งกระบี่อมตะระดับราชาในมือของตัวเองให้ต้วนหลิงเทียน ขณะเดียวกันก็สะบัดมือส่งยันต์อมตะที่มีแสงพลังสีฟ้าเรืองรองออกมาแผ่นหนึ่งไปให้ต้วนหลิงเทียน
“นั่นคือยันต์อมตะสถิตย์วายุ ที่สร้างขึ้นโดยฝีมือของราชาอมตะ 7 ดารา สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว หากแต่หลังเจ้าบดขยี้ใช้มันแล้ว ตัวเจ้าจะได้รับความเร็วที่ทัดเทียมกับตัวตนขอบเขตราชาอมตะเป็นเวลา 1 เค่อ…”
กล่าวถึงท้ายประโยค หูหลินอี้หยุดลงเล็กน้อย ค่อยกล่าวเสริมออกไปว่า “ความเร็วที่ว่า ยังรวดเร็วเหนือราชาอมตะทั่วๆไปส่วนใหญ่อีกด้วย…”
เห็นได้ชัดว่ายันต์อมตะ ‘สถิตย์วายุ’ นั้น เป็นรางวัลพิเศษที่หูหลินอี้ให้ต้วนหลิงเทียนหลังจากเอานะเชวียจิงอวี่ได้
“เร็วกว่าราชาอมตะทั่วไปส่วนใหญ่รึ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันที มือคว้ารับยันต์อมตะดังกล่าวเร็วไว พลางถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “แล้วเร็วกว่าฝ่าบาทรึเปล่า?”
“เหอะๆ ความเร็วสูงสุดของข้า…ยังรวดเร็วไม่เท่าครึ่งหนึ่งของความเร็วที่ได้จากยันต์แผ่นนี้ด้วยซ้ำ…”
หูหลินอี้ตอบด้วยรอยยิ้มขื่นขม
ยันต์สถิตย์วายุที่มันมอบให้ต้วนหลิงเทียนนั้น กล่าวไปในระดับหนึ่งแล้ว…ก็เป็นดั่งเครื่องรางช่วยชีวิตสำหรับมัน!
ด้านต้วนหลิงเทียนพอได้ยินคำตอบของหูหลินอี้ สองตาเขาก็ยิ่งสว่างจ้าขึ้นมาทันที
สำหรับเขาแล้ว ยันต์อมตะที่มีพลังดังกล่าว ถึงแม้จะใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมยังมีระยะเวลาแสดงผลไม่นาน แต่มูลค่าของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไปเลย!
“เฮอะ!”
ตอนนี้เองฮ่องเต้หนันฉี่พลันพ่นลมสบถออกมา พลางกล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “หูหลินอี้ เจ้าช่างตระหนี่ยิ่งนัก…”
หลังงกล่าวเยาะเย้ยหูหลินอี้แล้ว เชวียหมิงไฉ ก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงยังเป็นกันเองกว่าเดิมหลายส่วน “สหายน้อยหลิงเทียน ตราบใดที่ท่านเต็มใจเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณในนามประเทศหนันฉี่ของเรา ข้าไม่เพียงแต่จะมอบอาภรณ์แสงทองอมตะให้ท่านเท่านั้น แต่ข้ายังจะมอบยันต์อมตะระดับราชาให้ท่านอีก 2 แผ่น…”
“หนึ่งในนั้นก็คือยันต์สถิตย์วายุเหมือนกับที่หูหลินอี้มอบให้ท่าน…ส่วนอีกแผ่นนั้น เป็นยันต์อมตะระดับราชาที่มีพลังอำนาจสังหารทัดเทียมกับการลงมือเต็มกำลังของราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด…หากท่านสบโอกาสเหมาะๆ ต่อให้เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศ ท่านก็อาจสังหารมันได้…”
เชวียหมิงไฉกล่าวถึงจุดนี้ ก็หันไปเหลือบมองหูหลินอี้ด้วยสีหน้าดูแคลน กล่าวเกทับออกมาว่า “แถมยันต์อมตะสายโจมตีที่ว่า นับว่ามีค่ามากกว่ายันต์สถิตย์วายุที่หูหลินอี้มอบให้ท่านถึง 3 เท่าเสียอีก…”
ในระนาบเทวโลกนั้น ยันต์อมตะประเภทจู่โจมที่ทรงพลังค่อนข้างมีค่าเป็นอย่างมาก
ดังนั้นแล้ว ในแง่ของมูลค่านั้น ยันต์อมตะประเภทจู่โจมที่มีพลังทัดเทียมกับการลงมือของราชาอมตะ ย่อมมีค่ามากกว่ายันต์ประเภทสนับสนุนที่จะมอบความเร็วทัดเทียมขอบเขตราชาอมตะหลายเท่า
ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!
…
ได้ยินข้อเสนอของเชวียหมิงไฉ หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ!
เพราะจากข้อเสนอทั้งหมดที่เชวียหมิงไฉกล่าวมา หากต้วนหลิงเทียนทำได้แค่รั้งอยู่ใน 30 อันดับแรก…ของรางวัลจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลที่เชวียหมิงไฉจะได้รับ น่ากลัวจะยังไม่เท่าค่าตัวต้วนหลิงเทียนที่จ่ายออกไปด้วยซ้ำ!
“เจ้า…”
หูหลินอี้โมโหเชวียหมิงไฉจนพูดอะไรไม่ออก!
เพราะข้อเสนอที่เชวียหมิงไฉยื่นออกมาให้ต้วนหลิงเทียนนั้น ในแง่ของมูลค่าแล้วต่อให้ต้วนหลิงเทียนกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณโดยติด 30 อันดับแรก ยังมากกว่ารางวัลที่เชวียหมิงไฉจะได้รับจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลเสียอีก!
ต้วนหลิงเทียนมีแต่ต้องรั้งอยู่ใน 10 อันดับแรกเท่านั้น เชวียหมิงไฉถึงจะได้กำไร
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ต้วนหลิงเทียนจะสร้างผลงานได้ไม่ดีพอ แต่เรื่องที่ติดอยู่ใน 30 อันดับแรกก็คงง่ายไม่ต่างอะไรกับกินข้าวดื่มน้ำ
กล่าวได้ว่าเชวียหมิงไฉได้ดีดลูกคิดรางแก้วมาดีจริงๆ หากมันได้ต้วนหลิงเทียนไปอย่างมากก็แค่ขาดทุนเล็กน้อย กลับกันหากได้กำไรขึ้นมา ย่อมได้กำไรมหาศาล! และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ประเทศฝูชิวจะต้องพบกับความเสียหายครั้งใหญ่ และมันในฐานะฮ่องเต้ก็เสมือนล้มเหลวที่ไม่อาจรักษาคนของตัวเองไว้ได้!!
หูหลินอี้จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกใหญ่ จากนั้นก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายยตาจริงจัง พลางสะบัดมือเรียกบางสิ่งออกมาจากความว่างเปล่า
และท่ามกลางสาตาของทุกคน เหนือฝ่ามือของหูหลินอี้ ก็ปรากฏเกราะอ่อนสีแดงตัวหนึ่งลอยล่องอยู่
เกราะอ่อนสีแดงที่ว่า คล้ายถักทอมาจากเกล็ดเล็กๆสีแดงมากมาย อีกทั้งยังแต่ละเกล็ดยังเย็บประสานได้อย่างละเอียดประณีต ไม่เห็นรอยต่อแม้แต่น้อย อีกทั้งตัวตัวเกราะอ่อนสีแดงที่ว่า ยังเปล่งแสงสีแดงเรืองรองออกมาตลอดเวลา เพียงดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาสามัญ!
นอกจากนั้นเหนือฝ่ามือของหูหลินอี้ ยังปรากฏวัตถุประหลาดทรงกลมปานลูกปัดเหล็กที่มีรอยตะปุ่มตะป่ำเป็นหลุมเป็นบ่อสีดำสนิทไม่สะท้อนแสง แลดูธรรมดาไร้ใดโดดเด่นอีกชิ้น
“นั่นมัน…เกราะอ่อนระดับราชางั้นรึ!?”
“ให้ตายเถอะ ที่แท้ฮ่องเต้ฝูชิวกลับมีชุดเกราะอมตะระดับราชาอยู่ด้วย? มันช่างเก็บซ่อนได้ลึกยิ่ง…เพราะก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยได้ยินข่าวใดๆ เรื่องที่ฮ่องเต้ฝูชิวได้เกราะอมตะระดับราชามาครองแบบนี้เลย!”
“อย่าบอกนะ…ว่ามันคิดจะมอบเกราะอ่อนนั่นให้ต้วนหลิงเทียน?”
“เหอะๆ ดูเหมือนว่าข้อเสนอของเชวียหมิงไฉจะทำให้หูหลินอี้ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้จริงๆ…คราวนี้ข้าว่าต้องมีลอบกระอักเลือดกันบ้าง!”
……
หลายคนที่เห็นเกราะอ่อนเกล็ดแดงดังกล่าว สามารถบอกได้ทันทีว่านี่คืออุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะ!
“เสด็จพ่อ…กลับมีเกราะอมตะระดับราชาด้วย?”
กระทั่งหูจี้หย่ง องค์ชาย 4 แห่งประเทศฝูชิว ยามนี้ก็ได้แต่มองเกราะอ่อนสีแดงเหนือฝ่ามือของหูหลินอี้ด้วยสายตาอื้ออึง มันรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสองตาตัวเองจริงๆ!
เห็นได้ชัดว่ากระทั่งมันองค์ชาย 4 แห่งประเทศฝูชิว ลูกชายที่โดดเด่นที่สุดของฮ่องเต้ฝูชิว ยังไม่รู้เรื่องที่บิดาตัวเองครอบครองเกราะอมตะระดับราชาด้วยซ้ำ!
“อุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะ!?”
ต้วนหลิงเทียนที่เห็นเกราะอ่อนสีแดงที่ลอยเหนือฝ่ามือหูหลินอี้ ก็ทำตาลุกวาวขึ้นมาทันที
เขาเองก็รู้ดีแก่ใจ ว่าพลังป้องกันของอุปกรณ์อมตะระดับราชาสายป้องกันที่เขามีนั้น ในแง่ของพลังป้องกันแล้ว มันไม่อาจเทียบอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะได้เลย…
เพราะร่มในมือเขาแม้จะเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่มีความสามารถโดดเด่นในแง่ป้องกัน แต่ต้องทราบว่าพื้นเพเดิมมันเป็นอาวุธ…ย่อมสู้ชุดเกราะที่สร้างมาเพื่อปกป้องผู้ใช้โดยเฉพาะไม่ได้อยู่แล้ว!
‘หากข้าได้เกราะอมตะระดับราชานั่นมา…ความแข็งแกร่งของข้าจะก้าวหน้าขึ้นไปอยู่ในอีกระดับเลยทีเดียว!’
ด้วยความที่รู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ ต้วนหลิงเทียนจึงอดไมได้ที่จะชมมองเกราะอ่อนสีแดงเหนือฝ่ามือหูหลินอี้ตาเป็นมัน เพลิงแห่งความปรารถนายังลุกโชนขึ้นมาในดวงตาอย่างยากจะปกปิด
“ต้วนหลิงเทียน ของ 2 อย่างนี้ท่านเลือกไปสักชิ้นเถอะ…แม้หินประหลาดก้อนนี้จะแลดูธรรมดา แต่นับว่ามันมิใช่ของธรรมดาแน่นอน เพราะต่อให้ข้าลงมือสุดกำลัง ก็ยังไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วนใดๆ ความสามารถในการป้องกันของมัน นับว่าเหนือกว่าชุดเกราะอมตะระดับราชาเสียอีก”
หูหลินอี้กล่าว ให้ต้วนหลิงเทียนเลือกของเหนือฝ่ามือมันไปอย่างหนึ่ง
“ทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรก!!”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเลือกเกราะอ่อนสีแดงโดยที่ไม่ทันได้เหลือบมองของอีกอย่าง เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน พลันโพล่งดังขึ้นในหัวเขา
ตอนที่ 2,989 : การเก็บเกี่ยวครั้งยิ่งใหญ่!
“ทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรก!?”
ทันทีที่เสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินโพล่งดังขึ้นในหัว ต้วนหลิงเทียนที่กำลังจะเลือกเกราะอ่อนอย่างไม่ลังเลก็ต้องชะงักไปทันที ยังเม้มปากตัวเองแน่นสนิท
“นั่นคือ…ทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรกจริงๆหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังลูกปัดโลหะที่แลดูตะปุ่มตะป่ำเป็นหลุมเป็นบ่อเหนือฝ่ามือหูหลินอี้ด้วยความสนใจ ยังเร่งถามปฐพีเทพแรกกำเนิดออกไปเพื่อยืนยันทันที
“ไม่ผิดแน่”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวตอบเร็วไว “ข้าจะอย่างไรก็คือเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ที่บรรลุถึงขั้นที่ 3 แล้ว…เรื่องที่จะมองเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ขั้นแรกธาตุอื่นๆผิดไปไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด! เจ้าไม่ต้องสงสัยเลยนั่นคือทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรกไม่ผิดแน่!!”
“นี่เจ้าหนู…หากเจ้าได้ทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรกนั่นมา รอให้ทองเทพสุดลี้ลับในร่างเจ้าตื่นขึ้นเมื่อใด พอได้ดูดกลืนมันไป ทองเทพสุดลี้ลับในร่างเจ้า ก็จะยกระดับพัฒนาไปเป็นขั้นที่ 3 ได้อย่างราบรื่น! ซึ่งพอถึงตอนนั้นมันจะช่วยเหลือเจ้าได้เป็นอย่างมาก!!”
วาจาประโยคสุดท้ายของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน คล้ายจงใจกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนออกมาโดยเฉพาะ เพราะมันเองก็สัมผัสได้ถึงความปรารถนาอยากครอบครองเกราะอมตะระดับราชานั่นของต้วนหลิงเทียน
“สำหรับเกราะอมตะระดับราชา รอให้เจ้าเข้าสู่ 3 นิกาย 2 ตระกูลอะไรที่ว่า ข้าเชื่อว่าด้วยผลงานของเจ้า พวกมันคงมีให้เจ้าเลือกจนตาลายแน่นอน คิดจะได้มาสักตัวสองตัวยังจะไปยากเย็นอะไร”
พอได้ยินอีกประโยคที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว เห็นได้ชัดว่ามันยังคงกลัวต้วนหลิงเทียนจะเลือกเกราะอมตะระดับราชา แทนทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรกไม่หาย
อันที่จริงตั้งแต่ที่ได้ยินปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินบอกว่า ลูกปัดโลหะเหนือฝ่ามือหูหลินอี้คือทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรก ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจเลือกมันแต่แรก!
ถึงแม้เกราะอมตะระดับราชาจะดี แค่ในสายตาเขาคุณค่าของมันยังน้อยกว่าทองเทพสุดลั้บขั้นแรกมาก!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนหันไปเหลือบมองเกราะอ่อนสีแดงข้างๆด้วยความเสียดายเล็กน้อย และกำลังจะพูดออกมาว่าต้องการเลือกทองเทพสุดลี้ลับนั้นเอง…
“ฮ่าๆๆๆ…!!”
พลันมีเสียงหัวเราะหนึ่งระเบิดดังขึ้นมาลั่นก้อง ทำให้เขาถึงกับชะงัก จำต้องหันไปมองผู้ที่ระเบิดเสียงหัวเราะดังกล่าวออกมาก่อนใดอื่น
และคนที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน…เป็นฮ่องเต้ประเทศหนันฉี่ เชวียหมิงไฉ นั่นเอง!
“เจ้าหัวเราะอะไร?!”
หน้าหูหลินอี้จมลงโดยพลัน ในใจยังบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลหนึ่งผุดขึ้น…
จากนั้นสักพักเชวียหมิงไฉก็หยุดหัวเราะ ค่อยหันไปมองจ้องหูหลินอี้ด้วยสายตาแหลมคม มุมปากยยกยิ้มแสยะ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสนุกสนานว่า…
“ฮ่องเต้หู…หากข้าจำไม่ผิดลูกปัดโลหะในมือเจ้าชิ้นนั้น สมควรเป็นเจ้าได้มาเมื่อ 200 ปีก่อนจากงานประมูลของตระกูลราชวงศ์ประเทศเฮยฉีมิใช่รึ?”
“และถ้าข้าจดจำไม่ผิด…ไม่ใช่ว่าเจ้าก็ประมูลลูกปัดโกโรโกโสนั่นมาในราคาแค่ 20,000 ผลึกอมตะสูงมิใช่หรือ?”
กล่าวถึงท้ายประโยค เชวียหมิงไฉยังไม่ลืมหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าแววตาเห็นใจ กล่าวใส่ไฟไปอีกประโยค “สหายน้อยหลิงเทียน ดูเหมือนฮ่องเต้ฝูชิวจะสองจิตสองใจเรื่องจะมอบเกราะอมตะระดับราชานั่นให้ท่านไม่น้อย…หาไม่แล้วมันคงไม่ควักลูกปัดโกโรโกโสนั่นมาให้ท่านเลือกด้วยแน่นอน”
“ดูเหมือนทั้งหมดที่มันคิดจะทำ ก็แค่จะลองเดิมพันดู ว่าสุดท้ายแล้วท่านจะพลาดไปเลือกลูกปัดนั่นแทนชุดเกราะหรือไม่…กระทั่งยังจงใจกล่าวอวดอ้างสรรพคุณลูกปัดที่ไม่อาจเอาไปใช้การอันใดนั่นได้ให้ท่านฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ…”
“มิสู้…ท่านมาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้ในนามประเทศหนันฉี่ข้ามิดีกว่าเหรอ? อย่างน้อยๆ ข้าก็มิใช่คนตระหนี่ถี่เหนียวเยี่ยงฮ่องเต้หูผู้นั้น…”
เชวียหมิงไฉกล่าวถึงท้ายยประโยคก็หันไปชักหน้าดูแคลนหูหลินอี้อย่างออกหน้าออกตา
และสีหน้าของหูหลินอี้ก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง เมื่อโดนเชวียหมิงไฉขุดเรื่องงานประมูล 200 ปีก่อนออกมาแฉ!
มันยังไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าเชวียหมิงไฉจะล่วงรู้เรื่องการประมูลเมื่อ 200 ปีก่อนด้วย!!
ยิ่งไปกว่านั้น เชวียหมิงไฉยังเปิดโปงแผนในใจของมันออกมาต่อหน้าประชาชีหมดสิ้น…
ที่มันจงใจหยิบลูกปัดชิ้นนี้ออกมา และจงใจอวดโอ่สรรพคุณว่าพลังป้องกันเหนือกว่าเกราะอมตะระดับราชานั้น เป็นเพราะมันต้องการหลอกลวงต้วนหลิงเทียนให้บังเกิดความสนใจ และคิดเลือกไปจริงๆ!
ดังที่เชวียหมิงไฉกล่าว มันไม่เต็มใจส่งมอบเกราะอมตะระดับราชาชิ้นนี้ออกไป!
“เพ่ย…พวกท่านดูเถอะ ฮ่องเต้ฝูชิวหน้าบูดเป็นตูดหมึกแล้วนั่น! ดูท่าที่ฮ่องเต้หนันฉี่กล่าวล้วนเป็นความจริงทั้งหมด! ฮ่องเต้ฝูชิวคิดหลอกใหต้วนหลิงเทียนไขว้เขวจริงๆ!”
“ฮ่องเต้หูผู้นี้หน้าซื่อใจคดยิ่ง…กระทั่งเกราะอมตะระดับราชาชิ้นหนึ่ง ก็เพียงกล่าวเอาหน้าอย่างขอไปที ไม่ได้คิดมอบให้ผู้อื่นด้วยความเต็มใจจริงๆ”
“เหอๆ ข้าสิเหมือนตัวโง่งมไม่มีผิด เพราะตอนฟังฮ่องเค้ฝูชิวบรรยายสรรพคุณลูกปัดประหลาดนั่น ข้ากลับบังเกิดความสนใจมันขึ้นมาจริงๆ…แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายตระกูลราชวงศ์ประเทศเฮยฉีจะนำออกมาประมูล ทั้งปิดประมูลไปในราคาแค่ 20,000 ผลึกอมตะระดับสูงเท่านั้น”
“เหอะๆ…20,000 ผลึกอมตะระดับสูงหรือ ยังงกได้อีก!”
“นั่นสิ เพราะมิว่าจักเป็นนอุปกรณ์อมตะราชาสภาพเลวร้ายเพียงใด แต่อย่างน้อยๆขอเพียงไม่ถึงขั้นชำรุดเสียหาย ก็ยังต้องมีราคา 100,000 ผลึกอมตะระดับสูง! แต่ฮ่องเต้ฝูชิวนั่น…กลับคิดใช้ของราคา 20,000 ผลึกอมตะระดับสูงมาล่อลวงผู้อื่น…จึกๆๆ”
…
หลังได้ยินวาจากล่าวแฉของเชวียหมิงไฉ และเห็นสีหน้าหูหลินอี้ที่เปลี่ยนไป ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเหล่าผู้ที่มามุงชมดูเรื่องราวสนุกสนานจะยืนยันได้ ว่าสิ่งที่เชวียหมิงไฉกล่าวออกเป็นความจริง!
“เชวียหมิงไฉ เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายปรักปรำผู้อื่นให้มากนัก!”
หูหลินอี้ถึงกับเรียกชื่อ เชวียหมิงไฉ ออกมาตรงๆไม่เรียกฮ่องเต้เชวียอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่ามันโมโหหนักแล้วจริงๆ
“ใส่ร้ายปรักปรำ?”
เชวียหมิงไฉระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าๆ ค่อยกล่าวต่อว่า “เช่นนั้นรอให้ฮ่องเต้เฮยฉีมาถึง พวกเราลองไปไถ่ถามเรื่องราวดูเป็นอย่างไร ให้ผู้อื่นเป็นพยานดีหรือไม่?”
แน่นอนล่ะว่าเป็นไปไม่ได้ที่หูหลินอี้จะบ้าจี้ไปให้ฮ่องเต้เฮยฉีเป็นพยานปากเอกจริงๆ เพราะถึงตอนนั้นไม่วายเรื่องที่มันประมูลลูกปัดโลหะนี้มาด้วยราคา 20,000 ผลึกอมตะระดับสูงคงได้กลายเป็นโซ่รัดตัวมันแน่!
นอกจากนั้นตอนมันประมูลของชิ้นนี้มา ฮ่องเต้ประเทศเฮยฉีก็อยู่ด้วย
“เชวียหมิงไฉ…ที่เจ้าพล่ามมาทั้งหมด หรือเจ้าจะบอกว่าของสิ่งนี้ไม่มีค่า?”
หูหลินอี้มองจ้องเชวียหมิงไฉเขม็ง พลางกล่าวเสียงขรึม “เช่นนั้นเจ้าลองทำลายมันดู…ไม่สิขอแค่สร้างรอยขีดข่วนบนมันสักรอยให้ข้าชมดูเป็นขวัญตาจะได้หรือไม่?”
ขณะกล่าวหูหลินอี้ก็ใช้พลังหอบหิ้วลูกปัดประหลาดส่งไปทางเชวียหมิงไฉ ราวกับจะยั่วยุท้าทายให้เชวียหมิงไฉลงมือ
“ฮ่องเต้หู ข้าไปกล่าวว่าข้าสามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้ตั้งแต่เมื่อใด? เจ้ากับข้าฝีมือเราก็พอๆกัน ในเมื่อเจ้าสร้างรอยขีดข่วนให้มันไม่ได้ ข้าเองก็ย่อมทำไม่ได้เป็นธรรมดา…”
เชวียหมิงไฉกล่าวเสียงเรียบ
“แล้วไฉนเจ้าพูดราวกับมันไร้ค่า?”
หูหลินอี้เอ่ยถามเสียงเข้ม
“แล้วที่ข้าพูดไปมีอันใดผิดหรือไม่?”
เชวียหมิงไฉหัวเราะ “มิใช่ว่าเจ้าประมูลมันมาในราคา 20,000 ผลึกอมตะระดับสูงจริงหรือไร? และหลังจากที่เจ้าพยายามศึกษาค้นคว้าอยู่นานเจ้าก็ยังไม่พบว่ามันคืออะไร…หรือไม่ใช่?”
“หาไม่แล้วไฉนเจ้าไม่ลองเอ่ยคุณประโยชน์ของมันออกมาให้ข้ฟังสักข้อเล่า ว่ามันทำอะไรได้บ้าง แล้วจะนำไปใช้อย่างไร?”
ยิ่งมารอยยิ้มของเชวียหมิงไฉก็ยิ่งสดใสร่าเริงมากขึ้น คล้ายมันกำลังมองหูหลินอี้ไม่ต่างอะไรจากตัวโง่งมที่ขุดหลุมฝังศพตัวเองแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นสีหน้าหูหลินอี้ก็เปลี่ยนเป็นปั้นยากทันที
“ฮ่องเต้หู…หากข้าเป็นเจ้า อย่างน้อยๆข้าคงเลือกจะมอบสิ่งของทั้ง 2 สิ่งนั่นให้ต้วนหลิงเทียนเพื่อแสดงความจริงใจเสีย มิใช่ปากพูดอย่างแต่ใจคิดอีกอย่าง พิสูจน์ให้รู้กันไปว่าเกราะอมตะระดับราชาสำหรับข้าก็ยังไม่สำคัญเท่าผู้คน…”
เชวียหมิงไฉยังคงกล่าวสืบต่อ และวาจาของมันคล้ายยังกลัวโลกวุ่นวายไม่พอ!
และคำพูดของมันก็นับว่ายิ่งทำให้หูหลินอี้มีโมโหหนักข้อ และสุดท้ายเพื่อรักษาหน้า ไม่ให้ผู้อื่นต้องดูแคลนหยันหยามเอาได้ มันก็มีแต่ต้องมอบของทั้ง 2 อย่างให้ต้วนหลิงเทียนแล้วจริงๆ!
“เฮอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำมาเป็นสั่งสอนข้าหรอก ข้าเองก็คิดจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว!”
ขณะกล่าวใส่เชวียหมิงไฉเสียงเย็น หูหลินอี้ก็ใช้หลังหอบหิ้วของทั้งสองชิ้นส่งไปให้ต้วนหลิงเทียน
“ขอบคุณฝ่าบาท”
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะปฏิเสธหรือเกรงใจใดๆทั้งสิ้น คว้ารับของทั้ง 2 อย่างมาเก็บไว้ฉับไว
เขาไม่คิดเลยว่าการที่ฮ่องเต้หนันฉี่สร้างปัญหาให้ฮ่องเต้ฝูชิว จะทำให้เขากลายเป็นดั่งชาวประมงได้กำไร สุดท้ายไม่เพียงแต่เขาจะได้รับทองเทพสุดลี้ลับมาครอง กระทั่งเกราะอ่อนอันเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาก็ตกเป็นของเขาในลักษณะนี้!
“อั้ย! เจ้าหนู ครั้งนี้เจ้าต้องยกความดีคววามชอบให้ฮ่องเต้หนันฉี่ผู้นั้นจริงๆ…”
เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นอย่างร่าเริง เห็นได้ชัดว่ามันเองก็คิดไม่ถึงจริงๆว่าอยู่ๆต้วนหลิงเทียนจะได้ลาภลอยยดั่งขนมเปี๊ยะร่วงตกจากฟ้าแบบนี้ “ด้วยเกราะอมตะระดับราชานี่ ขอเพียงข้าผสานพลังกับมัน การป้องกันของเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่หลายขุม!”
ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนใช้อุปกรณ์อมตะประเภทศาสตราสายป้องกันผสานกับพลังของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็สามารถหยุดการลงมือเต็มกำลังของเชวียจิงอวี่ได้อย่างง่ายดาย เรียกว่าการจู่โจมของอีกฝ่ายไม่อาจคุกคามอะไรเขาได้เลย!
และหากไม่ใช่เพราะปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินสามารถป้องกันกระบวนท่าของเชวียจิงอวี่ได้ชะงัด เขาไม่พ้นต้องได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แม้จะไม่หนักเท่าเชวียจิงอวี่ก็ตามที
“ฮ่าๆๆ…ฮ่องเต้หูช่างใจกว้างดั่งมหาสมุทรนัก!”
เมื่อเห็นว่าสุดท้ายหูหลินอี้ก็ได้แต่ต้องมอบของทั้ง 2 อย่างให้ต้วนหลิงเทียน เชวียหมิงไฉก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน จากนั้นมันก็พาคนของประเทศหนันฉี่เหินจากไปทันที
ถึงแม้ว่าการเดิมพันระหว่างมันกับหูหลินอี้ จะเป็นมันที่แพ้พ่าย
แต่ยามนี้มันกลับจากไปอย่างผู้ชนะ!
กระทั่งเหล่าผู้ที่มามุงชมเรื่องราว ยังรู้สึกว่าการปะทะกันระหว่างฮ่องเต้ฝูชิวกับฮ่องเต้หนันฉี่คราวนี้ เป็นฮ่องเต้หนันฉี่ที่แลดูจะเป็นผู้ชนะตัวจริงมากกว่า!
เมื่อเห็นเชวียหมิงไฉพาคนของประเทศหนันฉี่จากไป หูหลินอี้ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนทันที
และการมองมาครั้งนี้ของมัน กลับทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกใจคอไม่ดีเลย ไม่เพียงแต่เขาจะผงะไปวูบหนึ่ง ในใจยังอดคิดไปไม่ได้ว่า ‘ฮ่องเต้ฝูชิวคนนี้…คงไม่หน้าด้านให้ข้าคืนของที่มันมอบให้แล้วหรอกนะ?’
ตอนนี้หากหูหลินอี้หน้าด้านขอคืนขึ้นมาจริงๆ ต้วนหลิงเทียนก็ทำได้แค่ส่งมอบของให้มันกลับไปเท่านั้น
‘หากมันให้ข้าคืนของจริง ถ้าเป็นเกราะอมตะระดับราชาก็แล้วไป…แต่ถ้ามันให้ขาคืนทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรก หลังข้าคืนให้มันแล้ว ข้าจะไปเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณในฐานะคนของประเทศหนันฉี่เสีย!’
ระหว่างที่รอว่าหูหลินอี้จะพูดอะไร ในใจต้วนหลิงเทียนก็ได้ตัดสินไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขาคิดมากเกินไป
หูหลินอี้นั้น ในฐานะที่เป็นถึงฮ่องเต้ฝูชิว ต่อให้ไร้ผู้คนมากมายมุงชมอยู่โดยรอบ แต่อยู่ต่อหน้าคนของประเทศฝูชิวแบบนี้ ไหนเลยมันยังจะกล้าขอให้ต้วนหลิงเทียนคืนของ?
เพราะหากมันทำแบบนั้นจริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากมันเป็นคนจิตใจคับแคบ และอาจสร้างความไม่พอใจให้ต้วนหลิงเทียน และสุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรจากมันผลักไสต้วนหลิงเทียนให้ไปอยู่ในอ้อมอกของประเทศหนันฉี่ด้วยตัวเอง!
“10 อันดับแรก เจ้ามั่นใจหรือไม่?”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังกังวล หูหลินอี้ก็กล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของหูหลินอี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าหูหลินอี้ไม่คิดจะขอของทั้ง 2 ชิ้นคืนไป
จากนั้นหูหลินอี้ก็เลิกให้ความสนใจต้วนหลิงเทียน และหันไปนำพาคนขอประเทศฝูชิวเหาะไปยังน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียนสืบต่อ
“น้องต้วน…ยินดีกับท่านด้วย ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าการสร้างปัญหาของฮ่องเต้หนันฉี่นั่น จะกลายเป็นการช่วยเหลือท่านทางอ้อมแบบนี้”
หวงเจียหลงเลือกจะส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวแสดงความยินดีกับต้วนหลิงเทียน และยังเป็นการยินดีกับต้วนหลิงเทียนจากใจจริง
แต่สำหรับคนนอื่นๆที่เหลือนั้น ยามมองไปยังต้วนหลิงเทียน สายตาของพวกมันก็ฉายแววอิจฉาริษยาออกมาอย่างยากจะปกปิด โดยเฉพาะหูจี้หย่ง องค์ชาย 4 แห่งประเทศฝูชิว ลูกตามันแทบจะลุกโชนไปด้วยเพลิงแห่งความอิจฉาอยู่รอมร่อ!
ก่อนหน้านี้มันไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยยด้วยซ้ำ ว่าบิดาของมันจะมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะไว้ในครอบครอง!
วันนี้พอมันได้รู้ความจริงดังกล่าว บิดาของมันก็ส่งมอบไปให้ผู้อื่นเสียแล้ว…
หลังต้วนหลิงเทียนกับพวกเหาะมาถึงน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน ต้วนหลิงเทียนที่กวาดตามองไปรอบๆก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่บ้าง เพราะเขาแค่มองผ่านๆ ก็บอกได้ทันทีว่าผู้คนที่พากันเหินร่างรอคอยเวลาตอนนี้ มีเกินกว่าหนึ่งหมื่นคนเสียอีก!
ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนผู้คนที่ทยอยมาถึง ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ!
WSSTH ตอนที่ 2,990 : 3 นิกาย 2 ตระกูลมาถึง
สองวันต่อมา
“นอกจากพวก 3 นิกาย 2 ตระกูลแล้ว…ดูเหมือนคนอื่นๆที่ตั้งใจจะเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ จะมากันครบแล้วสินะ?”
ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างกลางน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียนกับคนของประเทศฝูชิว กล่าวออกมาขณะกวาดตามองดูผู้คนจากทั่วทุกสารทิศที่นำพาเหล่ายอดฝีมือขอบเขตยยอดเซียนอมตะของสังกัดตนมาช่วงชิงโอกาส
และเป็นดั่งที่หวงเจียหลงเคยกล่าวไว้ก่อนหน้าไม่มีผิด นอกเหนือจากยอดเซียนอมตะจากแดนพันประเทศแล้ว ยังมียอดฝีมือจากขุมกำลังต่างๆ รวมถึงเหล่าผู้ที่ไร้ชื่อเสียงแห่แหนกันมาจากทั่วทุกสารทิศ
“3 นิกาย 2 ตระกูลมากันแล้ว!”
ทันใดนั้นเอง ฟากหนึ่งของขอบฟ้าพลันปรากฏเสียงอุทานดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของต้วนหลิงเทียนกับคนของประเทศฝูชิวให้หันไปดูชมตามต้นเสียงทันที
“3 นิกาย 2 ตระกูลมาแล้ว?”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนรวมถึงคนอื่นๆ พอมองไปตามต้นเสียง ก็เห็นว่า
ปรากฏร่างคนหลายกลุ่มกำลังเหินลัดฟ้ามาแต่ไกล
ยังเห็นว่าเหล่าผู้ที่มามีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 5 กลุ่ม
สมาชิกแต่ละกลุ่มนั้นมีราวๆ 10-12 คน และมีร่างที่แลดูโดดเด่นเหินนำหน้ามา
คนกลุ่มหนึ่งมาในชุดสบายๆไร้รูปแบบอันใด และผู้ที่เหินนำมาก็เป็นชายวัยกลางคนที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อ ยามมันเหินข้ามฟ้า พุงของมันยังกระเพื่อมไม่หยุด แลดูชวนให้ผู้คนขบขันไม่น้อย
ที่สำคัญลูกตาของมันนั้นคล้ายคนกำลังจะหลับตาอยู่รอมร่อ แก้มที่อุดมไปด้วยไขมันเหมือนจะเบียดลูกตาจนหมด
ส่วนกลุ่มที่อยู่ข้างๆนั้น มีเครื่องแต่งกายในรูปแบบเฉพาะ แลดูไม่ต่างอะไรจากนักพรตเต๋าที่โลกเก่าของต้วนหลิงเทียน ทว่าแม้ชุดคลุมนักพรตเต๋าของพวกมันจะมีรูปแบบเหมือนๆกัน หากแต่ยังมีรายละเอียดบางส่วนที่แตกต่างกันพอให้สังเกตเห็นได้ไม่ยาก
ตัวอย่างเช่นชุดคลุมนักพรตเต๋าของร่างที่เหินนำมาหน้าสุดนั้น บริเวณชายขอบของเสื้อคลุมไม่เว้นบริเวณชายแขนเสื้อนั้นจะขลิบด้วยด้ายสีทอง
ส่วนชุดคลุมของร่างที่เหินถัดจากมัน จะขลิบเงิน
สำหรับบอีก 10 คนที่เหลือนั้นจะเป็นสีทองแดง
เห็นได้ชัดว่า สีทองแดง สีเงิน และสีทองนี้ สมควรบ่งบอกถึงฐานะสูงต่ำไม่ผิดแน่
“กลุ่มนี้…เป็นคนของนิกายอมตะเป้าผู่รึ?”
เห็นชุดคลุมนักพรตเต๋าที่เป็นเอกลักษณ์ ต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และคาดเดาได้ว่านักพรตเต๋ากลุ่มนี้ สมควรเป็น 1 ใน 3 นิกาย 2 ตระกูลอย่าง นิกายอมตะเป้าผู่ที่เคยได้รับฟังข้อมูลมาไม่ผิดแน่
นิกายอมตะเป้าผู่ ก็คือ 1 ใน 3 นิกายอมตะที่เป็นขุมกำลังระดับ 7 ที่เป็นรองก็แต่คฤหาสน์เฉวียนโยว
เรียกว่าในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น มีเพียง 2 นิกายอมตะที่เหลือเท่านั้น ที่พอจะมีขุมกำลังทัดเทียมกับพวกมัน
“ส่วนทางด้านนั้น…นิกายอวิ๋นไถ?”
ไมนานสายตาต้วนหลิงเทียนก็ถูกคนกลุ่มที่ 3 ดึงดูดความสนใจไป
นั่นเพราะคนกลุ่มนี้…ดูอย่างไรก็เป็นหลวงจีนไม่มีผิดเพี้ยน! แต่ละคนสวมใส่จีวรสีสันต่างๆ มีทั้ง ทอง เงิน และสีแดง
ผู้ที่สวมจีวรสีทองนั้นมีเพียงคนเดียวเท่านั้น และก็คือหลวงจีนชราหน้าตาดูใจดีมีเมตตาที่เหินร่างนำมาหน้าสุด อย่างไรก็ตามแม้หน้าตามันจะแลดูใจดีมีเมตตา แต่ทั่วร่างกลับแผ่พุ่งความชั่วร้ายออกมาอย่างบอกไม่ถูก ชวนให้ผู้คนรู้สึกย้อนแย้งเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงงเทียนก็ได้ยินหวงเจียหลงเล่าให้ฟังว่า นิกายอวิ๋นไถนี้ เป็นนิกายที่เต็มไปด้วยเหล่าหลวงจีนหัวโล้นเหมือนๆกับนิกายอมตะสราญรมย์ในพื้นที่ชายแดนที่เขาเคยพบเจอมาก่อน
หากท่านไม่ได้เป็นหลวงจีน แต่คิดจะเข้าร่ววมนิกายนี้ ก็จำต้องออกบวชเป็นหลวงจีนเสียก่อน
“ส่วนนั่น…สมควรเป็นคนของนิกายอมตะเหอฮวนสินะ”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหันไปมองสำรวจกลุ่มคนกลุ่มที่ 4 และเรียกว่าในบรรดาคนทั้ง 5 กลุ่มที่พึ่งมาถึง คนกลุ่มนี้นับว่าสะดุดตาผู้คนเป็นที่สุด
เพราะที่นำมาก็คือเกี้ยวไร้หลังคา อันมีคน 8 คนแบกหาม และผู้ที่นั่งอยู่บนเกี้ยวที่ว่า ก็เป็นชายหนุ่มแลดูหล่อเหลาจนใช้คำว่าเทพบุตรหน้าหยกคงไม่เกินเลย เกี้ยวของมันแบ่งคนแบกหามออกเป็นหน้า 4 หลัง 4
ส่วนด้านหลังเกี้ยวของมันนั้น ปรากฏร่างคน 10 คนเหินตามมาไม่ห่าง เป็นสตรี 5 คนและบุรุษ 5 คน ที่สำคัญคือแต่ละคนหน้าตาดีทั้งสิ้น ราวกับพวกมันจงใจคัดแต่คนหน้าตาดีมาก็ไม่ปาน
และคนกลุ่มนี้ นอกจากผู้ที่แบกหามเกี้ยวทั้ง 8 คนที่ใส่ชุดกุลีสีเทาแลดูเรียบง่ายแล้ว ที่เหลือล้วนแต่งงองค์ทรงเครื่องมาจัดเต็ม แลดูหล่อเหลาทั้งงดงามมีระดับไม่น้อย
“นิกายอมตะเหอฮวนมากันแล้วรึ!!”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังมองดูชมคนกลุ่มดังงกล่าวด้วยความสนใจ เสียงตื่นเต้นยินดีหนึ่งพลันดังขึ้นข้างๆเขา
เสียดังกล่าวยังคุ้นหูเขาเหลือเกิน เรียกว่าเพียงได้ฟังเขาก็บอกได้ทันทีโดยไม่ต้องหันไปดู ว่าเป็นเสียงของหวงเจียหลง
“เอ่อ พี่เจียหลง ไฉนท่านแลดูตื่นเต้นนักเล่า?”
ต้วนหลิงเทียน อดไม่ได้ที่จะกล่าววถามหวงเจียหลงด้วยสีหน้างุนงง ด้วยไม่ทราบว่าไฉนอีกฝ่ายถึงได้แลดูตื่นเต้นจนออกนอกหน้านอกตาแบบนี้
“อั้ยน้องต้วน ก็ข้าตื่นเต้นจริงๆนี่นา”
เห็นต้วนหลิงเทียนหันมามองถามด้วยยสาตาสงสงสัย หวงเจียหลงก็คลี่ยิ้มราวตัวโง่งม ก่อนที่จะหันกลับไปมองกลุ่มคนของนิกายอมตะเหอฮวนด้วยสายตาชื่นชม
“เหตุไฉนที่ข้าตื่นเต้นขนาดนี้ ก็เพราะนิกายอมตะเหอฮวน เป็นนิกายอมตะที่ข้าอยากเข้าร่วมมากที่สุดในบรรดานิกายอมตะทั้ง 3…”
หวงเจียหลงกล่าวออกมาอย่างคึกคัก “และคนที่นำพากลุ่มคนของนิกาอมตะเหอฮวนเดินทางมาครั้งนี้ หากข้าจำไม่ผิดสมควรเป็น 1 ใน 3 ประมุขนิกายอมตะเหอฮวน ปี้ไห่หมิงเฟิง!”
“นิกายอมตะเหอฮวนค่อนข้างแหวกแนวอยู่บ้าง เพราะมีประมุขนิกายถึง 3 คน…และประมุขปี้ไห่หมิงเฟิงผู้นี้ถึงแม้จะไม่ได้มีพลังฝีมือสูงส่งที่สุดในบรรดา ประมุขทั้ง 3 แต่เรื่องที่มีความสามารถเด่นล้ำที่สุดนั้นไม่ผิดแน่!”
“เพราะลือกันว่านอกจากจะเป็น 1 ใน 3 ประมุขนิกายอมตะเหอฮวนแล้ว ประมุขปี้ไห่หมิงเฟิงยังมีฐานะไม่ใช่ชั่วในคฤหาสน์เฉวียนโยว และมักจะย้อนกลับไปติดต่อธุระที่คฤหาสน์เฉวียนโยวหลายครั้ง”
ขณะที่หวงเจียหลงกล่าวถึงจุดนี้ สายตาที่ใช้มองปี้ไห่หมิงเฟิง เทพบุตรหน้าหยกที่นั่งๆนอนๆบนเกี้ยวอย่างสบายอารมณ์ด้วยสายตาเทิดทูน
“พี่เจียหลง…ข้าว่าที่ท่านอยากเข้าร่วมนิกาอมตะฮวนเหอ เพราะสนใจเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่ของนิกายอมตะฮวนเหอมากกว่ากระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนเหลืบอมองหวงเจียหลงด้วยสาตาแปลกๆ พลางกล่าว “เพราะเท่าที่ข้าได้ยินมา…เคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่เป็นเคล็ดอมตะที่ใช้สั่งสมพลังอันยอดเยี่ยมใช้หยินเสริมหยาง ใช้หยางเติมเต็มหยิน ซึ่งจะให้ผลลัพธ์แก่คู่ชายหญิงที่ฝึกปรือร่วมกันอย่างมาก…”
“หากท่านเข้าร่วมนิกายอมตะฮวนเหอได้ ต่อไปไม่รู้จะมีสาวน้อยกี่คนต่อกี่คนที่ต้องถูกท่านรังแก…เพราะข้าได้ยินมาว่าพลังอำนาจของเคล็ดบำเพ็ญคู่นั้น สตรีธรรมดาทั่วไปนั้นแทบไม่อาจต้านทานความล่อลวงของมันได้เลย”
หลังกล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“อั้ยน้องต้วน รังกงรังแกอันใดท่านก็พูดเกินไป นี่ท่านเห็นข้าเป็นคนอย่างไร? ข้าหวงเจียหลงนั้นเรียกว่าเกิดมาเพื่อเป็นองครักษ์พิทักษ์สตรี ที่ข้าคิดใช้เคล็ดบำเพ็ญคู่กับน้องๆทั้งหลายในใต้หล้านั้น…ทั้งหมดก็เพื่อเห็นแก่ดรุณีน้อยไร้เดียงสาทั้งหลายที่ไม่รู้จักพวกหมาป่าใจร้ายต่างหาก! ข้าจึงคิดอุทิศตัวเอง และรับพวกนางมาดูแลอย่างดี ไหนเลยจะเป็นบุรุษไม่รับผิดชอบได้!”
หวงเจียหลงกล่าวออกมาพลางขมวดคิ้ว ปณิธานของมันออกจะยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ ไฉนผู้อื่นมองมันว่าคิดแต่จะตกหญิงกันเล่า?
“เอาล่ะๆ พี่เจียหลงเป็นบุรุษอันมากล้นไปด้วยความรับผิดชอบ”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา พลางมองฮวงเจียหลงที่หันกลับไปมองกลุ่มคนของนิกายอมตะฮวนเหอด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้มอย่างระอา และเขาไม่คิจะยกเรื่องนี้มาพูดอีกต่อไป จากนั้นก็เริ่มหันไปจับจ้องมองคนนกลุ่มที่ 5
อย่างไรก็ตาม แม้หวงเจียหลงจะประกาศปณิธานอันยิ่งใหญ่ออกมา แต่ธาตุแท้ก็ไม่ใช่คนเลวใดๆ อีกฝ่ายไม่เคยใช้พลังฝึกปรือของตัวเองรังแกสาวน้อยที่ไหนเลย เรียกว่าไม่บีบคั้น ทั้งหมดล้วนต้องยินยอมพร้อมใจไปกับมัน…
อย่างน้อยๆจุดนี้ของหวงเจียหลงก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกนับถืออยู่บ้าง แม้อีกฝ่ายจะแลดูเป็นนายน้อยเจ้าสำราญอยู่บ้าง
ด้านคนนกลุ่มที่ 5 นั้น แต่ละคนแต่งกายไม่เหมือนกันดั่งกลุ่มแรกที่ต้วนหลิงเทียนให้ความสนใจ เห็นชัดว่าสมควรเป็นคนจากตระกูลไม่ผิดแน่
“คนของตระกูลกงหยางก็มากันแล้ว”
เสียงใครบางคนแว่วดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน และพอเขาหันไปก็พบว่าคนๆนั้นกำลังมองไปยังคนกลุ่มที่ 5 เช่นกัน ต้วนหลิงเทียนจึงยืนยันได้ว่า คนกลุ่มที่ 5 นั้น ก็คือ ตระกูลกงหยาง 1 ใน 2 ตระกูล
“ถ้างั้นหมายความว่า คนกลุ่มแรกที่ข้าเห็น ก็เป็นคนของตระกูลจ่างซุนสินะ?”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันกลับไปมองกลุ่มคนที่นำโดยชายวัยกลางคนร่างจ้ำม่ำอีกรอบ
คนกลุ่มนี้ ก็สมควรเป็นคนของตระกูลจ่างซุน อีกตระกูลที่เหลือของ 2 ตระกูลนอกจากตระกูลกงหยาง
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
หลังจากนั้นไม่นานนักก ร่างกลุ่มคนทั้ง 5 กลุ่มที่เหินลัดฟ้ามาแต่ไกล ในที่สุดก็บรรลุมาถึงน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน และกวาดตามองผู้คนโดยรอบที่มารอคอยแต่แรกด้วยสายตาเฉยเมย
หลายคนที่อยู่ใกล้กับจุดที่คนทั้ง 5 กลุม่ลอยร่างกันอยู่ ก็เริ่มๆเหินถอยออกไปเว้นระยะห่างให้ทั้ง 3 นิกาย 2 ตระกูลมีพื้นที่ ต้วนหลิงเทียนกับคนของประเทศฝูชิวเอง ก็เริ่มล่าถอยออกไปเล็กน้อยเช่นกัน
“ท่านประมุขปี้ไห่ รองประมุขเหิง รองประมุขจาง ผู้เฒ่ากงหยางอวี่…ในบรรดาพวกเราทั้ง 5 คน ก็สมควรมีตัวแทนที่รับผิดชอบเรื่องเปิดแดนสวรรค์ใต้โบราณมิใช่หรือ?”
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนที่เหินร่างนำกลุ่มคนของตระกุลจ่างซุน เหลือบมองผู้ที่นำพาคนของ 3 นิกายและอีกตระกูลมาทั่วๆ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
และในตอนนี้ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือใคร หากไม่ใช่สายตาฝ้าฟางไปแล้ว ย่อมมองออกได้ทันทีว่าชายวัยกลางคนร่างอ้วนยามทักทายผู้นำของอีก 4 ขุมกำลังงที่เหลือนั้น ท่าทีปฏิบัติของมันกลับไม่เหมือนกัน
เรียกว่าในบรรดาผู้นำคนของ 3 นิกายและอีกตระกูลที่เหลือ กับคนอื่นๆมันนั้นยังกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ท่าทีเหมือนคนเท่าเทียม หากแต่ยามกล่าวทักปี้ไห่หมิงเฟิงคนแรกนั้น มันกลับใช้เสียงสุภาพ เรียกหาผู้อื่นอย่างให้เกียรติ ท่าทียังแลดูนอบน้อมกว่าคนอื่นหลายส่วน
กล่าวได้ว่า มันแสดงความเคารพก็แต่ปี้ไห่หมิงเฟิงเท่านั้น!
ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาผู้นำทั้ง 4 กลุ่ม มันยังเลือกจะทักปี้ไห่หมิงเฟิงเป็นคนแรก
“ไฉนผู้นำกลุ่มคนของตระกูลจ่างซุน คล้ายจะแลดูมากเคารพกับผู้นำกลุ่มคนของนิกายอมตะเหอฮวนนักเล่า…เท่าที่ข้ารู้มาถึงตระกูลจ่านซุนจะทรงพลังไม่เท่านิกายอมตะเหอฮวน แต่ก็ด้อยกว่ากันไม่มากมิใช่หรือไร?”
ไม่ไกลจากต้วนหลิงเทียนเท่าไหร่ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหันไปกระซิบกล่าวถามสหายข้างๆ “อีกทั้งทุกคนก็มาที่นี่ในฐานะตัวแทนของขุมกำลังตัวเอง ฐานะและศักดิ์ศรีล้วนพอๆกัน มันก็มิจำเป็นต้องแลดูยกย่องผู้นำกลุ่มคนของนิกายอมตะเหอฮวนเลยมิใช่หรือไร?”
“เอ่อ…สหาย นี่เจ้าไม่รู้ใช่ไหม ว่าผู้ที่นำกลุ่มคนนิกายอมตะเหอฮวนมาครั้งนี้เป็นใคร?”
ได้ยินคำถามของชายวัยกลางคน สหายที่ถูกถามก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเพื่อนตัวเองด้วยสีหน้าแววตาแปลกๆ ราวกับประหลาดใจไม่น้อยที่เพื่อนตัวดันถามคำถามอะไรพรรค์นี้ออกมา
“แล้วเป็นใครเล่า?”
ชายวัยกลางคนที่ถูกสหายย้อนถาม ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะมันไม่รู้จริงๆว่าผู้นำกลุ่มคนของนิกายอมตะเหอฮวนเป็นใคร
“นั่นน่ะ คือ1 ใน 3 ประมุขนิกายอมตะเหอฮวน ปี้ไห่หมิงเฟิง ผู้นั้น…”
สหายของชายวัยกลางคนไม่รอช้า พลางกล่าวบอกตัวตนผู้นำกลุ่มคนของนิกาอมตะเหอฮวนออกไปทันที
“อะไร!?”
และพอได้ยินคำตอบของสหาย ชายวัยกลางคนก็เร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “มัน…มันคือปี้ไห่หมิงเฟิง 1 ใน 3 ประมุขนิกายอมตะเหอฮวนผู้นั้น และยังมีอีกฐานะก็คือ 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว?”
“ไม่ผิด เป็นมันเอง!”
สหายชายวัยกลางคนพยักหน้ารับคำ “ตอนนี้เจ้าคงไม่แปลกใจแล้วกระมัง?”
“พับผ่าเถอะ…มันถึงกับมาด้วยตัวเองจริงๆ?”
ชายวัยกลางคนคลี่ยิ้มแหยๆ “คนผู้นี้น่ากลัวยยิ่งกว่าประมุขอีก 2 คนของนิกายอมตะเหอฮวนเสียอีก…ว่ากันว่าพลังฝีมือของมัน อาจจะก้าวข้ามกว่าประมุขนิกายอมตะเหอฮวนทั้งสองไปแล้ว”
“ไม่ใช่อาจจะ แต่ก้าวข้ามทั้งไปแล้วคู่แน่นอน…หาไม่แล้วเจ้าคิดว่าไฉนมันถึงได้เป็นผู้ตรวจการ แต่ประมุขอีก 2 คนนั่นไม่ได้เป็นเล่า? ต้องทราบด้วยว่าในคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็มีผู้ตรวจการอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 10 คนเท่านั้น”
สหายของชายวัยกลางคนกล่าวออกมาอีกครั้ง
“พี่ชายทั้ง 2 ท่านนี้…ขออภัยด้วย แต่พอดีข้าได้ยินบทสนทนาของพวกท่านเมื่อครู่…ท่านประมุขปี้ไห่หมิงเฟิง ที่แท้มีพลังฝีมือเหนือกว่าประมุขนิกายอมตะเหอฮวนอีก 2 คนงั้นหรือ?”
หวงเจียหลงที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างชายวัยยกลางคนกับสหาย ก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามทั้งคู่ด้วยความสงสัย “ไม่ใช่ว่าประมุขปี้ไห่แม้มีพรสวรรค์สูงล้ำ หากแต่ด้วยความที่อายุยังน้อยกว่าประมุขอีก 2 คนมาก พลังฝีมือก็เลยยังขาดอยู่บ้างหากจะเทียบกับประมุขอีก 2 คนมิใช่หรือ?”
“น้องชาย เรื่องที่เจ้าพูดน่ะ มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว…”
สหายชายวัยกลางคนพูกต่อว่า “เรื่องนี้เจ้าคงยังไม่ทราบ…แต่ประมุขทั้ง 2 ของนิกายอมตะเหอฮวนนั้น เคยไปเข้าร่วมบททดสอบเป็นผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวเช่นกัน หากทว่าทั้งคู่ล้วนล้มเหลว…”
WSSTH ตอนที่ 2,991 : แจกจ่ายป้ายหยกสะสมคะแนน
“ตั้งแต่ที่ประมุขนิกายคนที่ 3 ของนิกายอมตะเหอฮวนอย่างปี้ไห่หมิงเฟิงสามารถผ่านบททดสอบและกลายเป็นผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวได้ นั่นหมายความว่าพลังฝีมือของมันได้เหนือกว่าประมุขทั้ง 2 ไปแล้ว”
“อย่างน้อยๆ คนส่วนใหญ่ในคฤหาสน์เฉวียนโยวก็คิดเช่นนั้น”
สหายของชายวัยกลางคนกล่าว
“ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว? ประมุขอีก 2 คนของนิกายอมตะเหอฮวนไปทดสอบแล้วเช่นกัน แต่ไม่ผ่าน?”
หวงเจียหงดูงุนงงกับข้อมูลที่ได้รับทราบอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองตู้อวิ๋น จึงมักจะล่วงรู้เรื่องราวสำคัญที่คนส่วนใหญ่ของประเทศฝูชิวไม่รู้ กระทั่งล่วงรู้เรื่องราวบางประการของ 3 นิกาย 2 ตระกูลอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม เรื่องผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่ว่า มันพึ่งได้ยินวันนี้เป็นครั้งแรก!
“พี่ชายท่านนี้…ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวมันคืออะไรหรือ และเมื่อครู่ข้ายังได้ยินท่านกล่าวว่าผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 10 คน?”
หวงเจียหลงมองไปยังสหายของชายวัยกลางคน พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่มีฐานะไม่ใช่ชั่วในคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ว่าได้ ในแง่ของอำนาจแล้ว จะเป็นรองก็แต่ชนชั้นรองผู้นำคฤหาสน์เท่านั้น”
สหายของชายวัยกลางคนกล่าวออกมาด้วยสายตาเร่าร้อนปานมีเปลวเพลิงลุกโชน “และในคฤหาสน์เฉวียนโยวจะมีผู้ตรวจการอยู่ด้วกันทั้งสิ้น 10 คน…ผู้ตรวจการทั้ง 10 คนที่ว่า เหล่ายอดฝีมือสามารถเข้าร่วมการทดสอบของคฤหาสน์เฉวียนโวได้ตามใจ ไม่ใช่แค่คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลเท่านั้น แม้แต่คนทั่วไปที่มั่นใจในตัวเองก็สามารถเข้าร่วมการทดสอบได้เช่นกัน! ”
“และผู้ตรวจการของคฤหาสนน์เฉวียนโยวในปัจจุบันทั้ง 10 คนนั้น มาจากนิกายอมตะเหอฮวน 2 คน และจากนิกายอมตะอวิ๋นไถและเป้าผู่อีกอย่างละคน สำหรับตระกูลจ่างซุนกับตระกูลกงหยาง…ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบเป็นผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวได้เลย”
“แน่นอนว่าผู้ตรวจการของนิกายอมตะเหอฮวนคนหนึ่ง และของนิกายอมตะอวิ๋นไถเป้าผู่อีกอย่างละคน ล้วนเป็นชนรุ่นก่อนอันทรงพลัง ที่ได้ออกจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลไปเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวเต็มตัวแล้ว และมักจะอยู่ในคฤหาสน์เฉวียนโยว ไม่คิดข้องเกี่ยวกับนิกายต้นสังกัดของตัวในอดีตสักเท่าไหร่…”
“แต่เป็นธรรมดาว่าหากทั้ง 3 นิกายอมตะใหญ่พบเจอกับภยันตรายที่ไม่อาจแก้ไขได้ ทั้ง 3 ย่อมปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือแน่นอน…อย่างไรก็ตาม คฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น จะไม่ยืนหยัดเพื่อพวกมัน”
…
สหายของชายวัยกลางคนได้กล่าวเล่าเรื่องราวออกมาราวกับมหาปราชญ์ คล้ายมันรู้จักคฤหาสน์เฉวียนโยวเป็นอย่างดี
“อั้ยพี่ชายท่านนี้…ไฉนท่านถึงรู้เรื่องของคฤหาสน์เฉวียนโยวมากขนาดนี้เล่า?”
หลังได้ฟังเรื่องราวของสหายชายวัยกลางคนแล้ว หวงเจียหลงก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับความรู้มากของอีกฝ่าย
“เจ้านี่ยามว่างมันชอบไถ่ถามเรื่องราวจากผู้อื่นไปทั่วน่ะ…เช่นนั้นพอนานเข้า มันก็เลยรู้เรื่องอะไรหลายๆอย่างที่พวกเราไม่รู้เป็นธรรมดา”
ชายวัยกลางคนตอบแทน
หวงเจียหลงก็พอเข้าใจได้ ที่แท้พี่ชายท่านนี้ก็สายคุยเหมือนกัน
ส่วนอีกด้านนั้น
เมื่อชายวัยกลางคนร่างอ้วน ผู้นำคนของตระกูลจ่างซุนเอ่ยถามออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้นำกลุ่มคนของนิกายอมตะอวิ๋นไถ เป้าผู่ หรือแม้แต่ ผู้นำของตระกูลกงหยาง ก็หันไปมองปี้ไห่หมิงเฟิงเป็นสายตาเดียวกัน
“ประมุขปี้ไห่ เรื่องนี้ข้าสุดแล้วแต่ท่าน”
“ใช่แล้ว ขอประมุขปี้ไห่ตัดสินใจเรื่องนี้เถอะ”
“นิกายอมตะเป้าผู่ของพวกเรา ล้วนว่าตามท่านประมุขปี้ไห่”
ทั้ง 3 คนกล่าวตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง และทั้งหมดเห็นชัดว่ายกให้ปี้ไห่หมิงเฟิงเป็นผู้จัดการเรื่องราวทั้งหมด
กระทั่งพวกมันเอง ก็ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าผู้นำกลุ่มคนของนิกายอมตะเหอฮวนมาเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณรอบนี้ จะเป็นปี้ไห่หมิงเฟิง!
หากเป็นประมุขคนอื่นๆของนิกายอมตะเหอฮวน พวกมันไม่มีทางไว้หน้าทั้งให้เกียรติอีกฝ่ายด้วยท่าทีนอบน้อมขนาดนี้แน่!
หากทว่ากับชายหนุ่มเบื้องหน้าของพวกมันนั้น อีกฝ่ายไม่เพียงแต่สมควรมีพลังฝีมือเหนือกว่าพวกมันไปแล้วเท่านั้น แต่ยังมีฐานะเป็นถึง 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว!
ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น หากออกมาจัดการธุระปะปังนอกคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็สามารถเป็นตัวแทนของผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวได้!
และคฤหาสน์เฉวียนโยวยังมีกฏสำคัญอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือผู้ตรวจการจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลคนใดที่มีอายุมากกว่า 3,000 ปีแล้ว จะไม่อาจย้อนกลับไปยังนิกายหรือตระกูลต้นสังกัดของตัวเองได้อีก เรียกว่าไม่อาจสอดมือไปแทรกแซงเรื่องราวใดๆได้
หากทว่ากับประมุขนิกาอมตะเหอฮวนคนนี้ นับประสาอะไรกับ 3,000 ปี อีกฝ่ายยังมีอายุไม่ถึง 1,000 ปีด้วยซ้ำ!
ด้วยความที่มันยังมีอายุไม่ถึง 1,000 ปีนี้เอง แต่กลับมีพลังฝีมือถึงระดับนี้แล้ว ทำให้แม้จะมองไปทั่วคฤหาสน์เฉวียนโยวทั้งหมด แต่ปี้ไห่หมิงเฟิงก็จัดอยู่ในเหล่าอัจฉริยะที่อยู่เหนืออัจฉริะ!
ด้านผู้คนมากมายกว่า 20,000 คนที่ลอยร่างรออยู่ แม้พวกมันจะไม่อาจเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่พอได้เห็นทีท่าของเหล่าผู้นำกลุ่มคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูล พวกมันก็ตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของผู้นำนิกายอมตะเหอฮวนทันที
ไม่ต้องกล่าวใดให้มาก เอาแค่ท่าทีปฏิบัติของผู้นนำกลุ่มคนอีก 5 ขุมกำลังที่เหลือ พวกมันก็บอกได้ทันที ว่าผู้นำคนของนิกายอมตะเหอฮวนมาคราวนี้…ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ!
“คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่?”
“ในนิกายอมตะเหอฮวน มีตัวตนเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าต่อให้ประมุขนิกายอมตะเหอฮวนมาเอง แต่ก็ยากจะได้รับการปฏิบัติจากผู้อื่นแบบนี้มิใช่หรือไร?”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
…
ในปัจจันมีหลายคนที่ไม่รู้ว่า ปี้ไห่หมิงเฟิง เป็นใครและมีฐานะอะไร และถึงจะเริ่มมีเสียงฮือฮากันว่าปี้ไห่หมิงเฟิงนั้นเป็นผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวดังขึ้นมาระงมแล้ว แต่หลายๆคนก็ไม่ทราบว่านั่นคือตำแหน่งฐานะอันใด
“ในเมื่อทุกคนให้ข้าเป็นคนตัดสินใจเรื่องราว…เช่นนั้นข้ามอบหน้าที่การจัดการเรื่องราวการเปิดแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้ให้ผู้อาวุโสจ่างซุนฉงฉีดูแลแล้วกัน”
ปี้ไห่หมิงเฟิงที่นั่งๆนอนๆบนเกี้ยวอย่างสบายอารมณ์ เหลือบมองไปยังชายวัยกลางคนร่างอ้วนผู้นำตระกูลจ่างซุนพลางกล่าว
“จ่างซุนฉงฉี?”
ได้ยินชื่อดังกล่าวจากปากปี้ไห่หมิงเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิ้วขึ้นทันที “คิดไม่ถึงจริงๆ ที่แท้ชายวัยกลางคนอ้วนตุ้บผู้นั้นจะเป็นอาวุโสลำดับ 2 ของตระกูลจ่างซุน”
ถึงแม้ในตระกูลจ่างซุนจะมีชนชั้นผู้อาวุโสไม่น้อย อย่างไรก็ตามอาวุโสที่มีชื่อเสียงโด่งดังและผู้คนรู้จักกันดีของตระกูลจ่างซุนนั้นมีอยู่ด้วยกันสองคน ก็คืออาวุโสลำดับที่ 1 และอาวุโสลำดับที่ 2
และอาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลจ่างซุนก็มีนามว่า จ่างซุนฉงฉี หรือก็คือชายอ้วนผู้นี้นี่เอง เห็นมันอ้วนตุ้บแลดูอุ้อ้ายแบบนี้ แต่พลังฝีมือของมันนับว่าไม่ใช่ชั่วเลยจริงๆ เป็นรองก็แต่ประมุขตระกูลและผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้น!
“เอาล่ะ ต่อไปพวกเจ้าก็เชื่อฟังคำสั่งอาวุโสจ่างซุนให้ดี”
หลังกล่าวตัดสินจบ ปี้ไห่หมิงเฟิงก็เอ่ยออกมาเสียงเบาอีกครั้ง เห็นชัดว่าเป็นการกล่าวกับ 10 คนที่อยู่ด้านหลังมัน
“ทราบแล้วท่านประมุขสาม!”
หลังได้ยินคำของปี้ไห่หมิงเฟิง ทั้ง 10 คนที่อยู่ด้านหลังงเกี้ยวก็ขานรับอย่างพร้อมเพรียง น้ำเสียงยังเปี่ยมล้นไปด้วยความเคารพอย่างหาที่สุดไม่ได้!
อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงของพวกมันแล้ว ยังเห็นชัดว่านี่คือความเคารพนับถือจากก้นบึ้งของใจ!
หากสังเกตให้ดี จะพบว่าแววตาที่พวกมันทั้ง 10 ใช้มองแผ่นหลังของปี้ไห่หมิงเฟิงนั้น เต็มไปด้วยความคลั่งไคล้อันเร่าร้อน! ประหนึ่งเบื้องหน้าไม่ใช่ผู้คนแต่เป็นทวยเทพที่พวกมันบูชา!!
เนื่องเพราะปี้ไห่หมิงเฟิงนั้น ไม่ได้เป็นแค่ประมุขคนที่ 3 ของนิกายอมตะเหอฮวนเท่านั้น แต่อีกฝ่ายยังนับเป็นศิษย์อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของนิกายอมตะเหอฮวนในรอบหลายแสนปี!
ผู้คนส่วนใหญ่ในนิกายอมตะเหอฮวน ล้วนเชื่อกันว่าด้วยมีปี้ไห่หมิงเฟิงนำพา นิกายอมตะเหอฮวนของพวกมันต้องก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น และอาจกลายเป็นนิกายอมตะระดับ 6 ก็เป็นได้!
“ย่อมได้”
ได้ยินคำตัดสินของงปี้ไห่หมิงเฟิง ชายวัยกลางคนร่างอ้วนนามจ่างซุนฉงฉีก็ขานรับฉับไว จากนั้นมันก็หันกับมามองไปยังเหล่าผู้คนที่เหินร่างกลางฟ้าโดยรอบ พลางเอ่ยออกเสียงเฉย “ตอนนี้ขอให้เหล่าผู้ที่นำยอดเซียนอมตะทั้งหลายมาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณครานี้ก้าวออกมา”
เสียงของจ่างซุนฉงฉีแม้จะฟังดูเฉยเมยไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ก็ผสานไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันเข้มแข็ง จึงดังเข้าหูผู้คน 20,000 กว่าคนอย่างทั่วถึง ต้วนหลิงเทียนเองก็เช่นกัน
และทันทีที่เสียงกล่าวของจ่างซุนฉงฉีดังจบคำได้ไม่ถึงครึ่งลมหายใจ
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ปรากฏร่างผู้คนนับพันๆรีบผละออกจากคนของตัวเอง ไปหยุดลอยรอคำสั่งเบื้องหน้าจ่างซุนฉงฉีด้วยท่าทียำเกรง
คนเหล่านั้น รวมไปถึงหูหลินอี้ ฮ่องเต้ฝูชิวเช่นกัน
นอกจากนั้นฮ่องเต้ประเทศหนันฉี่อย่างเชวียหมิงไฉก็ออกไปลอยร่างรอคอยคำสั่งอยู่ด้วย
“ผู้ใดเป็นฮ่องเต้ของดินแดนพันประเทศ ให้ก้าวออกมาข้างหน้า”
หลังจากที่มีคนหลายพันมารวมตัวกันเบื้องหน้าแล้ว จ่างซุนฉงฉีก็เริ่มกล่าวออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็มีผู้คนพันคน ก้าวออกมาจากกลุ่มคนหลายพัน
หูหลินอี้กับเชวียหมิงไฉก็รวมอยู่ในนั้น
“สำหรับดินแดนพันประเทศ แต่ละประเทศจะได้รับสิทธิ์ในการเข้ารวมแดนสวรรค์ใต้โบราณ 9 สิทธิ์…ตอนนี้พวกเรา 3 นิกาย 2 ตระกูล จะทำการมอบป้ายหยกสะสมคะแนนให้พวกเจ้า”
จ่างซุนฉงฉีกวาดตามองฮ่องเต้ทั้งพันคนของดินแดนพันประเทศพลางงเอ่ยออกเสียงเรียบ “สำหรับป้ายหยกสะสมคะแนนมีไว้ทำอะไร รวมถึงกฏของแดนสวรรค์ใต้โบราณมีอะไรบ้าง พวกเจ้าจงไปบอกคนของพวกเจ้าเสียด้วยตัวเอง”
“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ”
พอเสียงกล่าวของจ่างซุนฉงฉีดังจบคำ มันก็หันหลังไปเหลือบมองคนที่มันพามาด้วยทั้ง 10 คน และแต่ละคนก็เริ่มแยกย้ายไปหาฮ่องเต้ทั้งพันคนของดินแดนพันประเทศ และพวกมันทั้ง 10 ก็รับผิดชอบไปหาฮ่องเต้ 200 คนเพื่อแจกจ่ายป้ายหยกสะสมคะแนน
ขณะเดียวกันนิกายยอมตะเป้าผู้ อวิ๋นไถ เหอฮวน และตระกูลกงหยาง ก็ปรากฏคน 10 คนเหินร่างออกมาเช่นกัน
กล่าวได้ว่าทุกๆ 10 คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลจะแบ่งกันไปหาฮ่องเต้ 200 คนเพื่อแจกป้ายหยกสะสมคะแนน
จากนั้นไม่นานฮ่องเต้ทั้งพันคนก็ได้รับแจกป้ายหยกสะสมคะแนนจากทั้ง 50 คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลครบถ้วน
“พวกเจ้าได้ป้ายหยกสะสมคะแนนในส่วนของพวกเจ้าแล้ว ก็ให้นำมันไปมอบให้กับคนของพวกเจ้าเสีย…ขณะเดียวกันก็อย่าได้ลืมอธิบายหน้าที่ของป้ายหยก และกฏเกณฑ์ต่างๆให้ดี”
หลังคนทั้ง 50 ของ 3 นิกาย 2 ตระกูลกลับมา จ่างซุฉงฉี ก็หวาดตามองฮ่องเต้ทั้ง 1,000 คนของดินแดนพันประเทศอีกครั้ง แล้วเอ่ยเตือนเสียงเบา
“ทราบแล้วอาวุโสจ่างซุน”
ฮ่องเต้ของดินแดนพันประเทศขานรับอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็รีบแยกย้ายกลับไปหาคนของพวกมันอย่างเชื่อฟัง
ฮ่องเต้ทั้ง 1,000 คนจากดินแดนพันประเทศ อย่างไรก็คือผู้นำขุมกำลังระดับ 8 คนหนึ่ง มีผู้ใต้บังคับบัญชามากมาย และมักจะเป็นตัวตนที่มีฐานะสูงงสุดในประเทศของตัวเอง ไร้ผู้ใดมีอำนาจเหนือกว่าพวกมัน
ทว่าตอนนี้ ต่อหน้าจ่างซุนจงฉี อาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลๆหนึ่งใน 3 นิกาย 2 ตระกูล พวกมันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ
หลังฮ่องเต้ทั้งพันคนกลับไปแจกจ่ายป้ายให้คนของตัว จ่างซุนฉงฉีก็เริ่มเรียกขานคนอื่นๆออกมารับแจกป้ายต่อ ขณะเดียวกันก็หันไปพยักหน้าให้คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูล ทยอยกันออกมาแจกป้ายหยกสะสมคะแนนอีกครั้ง
ป้ายหยกสะสมคะแนนที่ได้รับแจกจากคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูล ก็มีความแตกต่างอยู่บ้าง เพราะสีไม่เหมือนกัน
แต่เป็นธรรมดาว่าต่อให้ท่านรับป้ายหยกสะสมคะแนนจากขุมกำลังใดมา ยามรอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกับขุมกำลังนั้นๆ
สาเหตุที่ไฉนป้ายหยกสะสมคะแนนถึงมีสีสันต่างๆนั้น เป็นดั่งประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณของ 3 นิกาย 2 ขุมกำลังมากกว่า
ยามแดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออก ทั้ง 3 นิกาย 2 ตระกูล จะเล่นพนันกันอย่างหนึ่ง…
และหัวข้อพนันก็ไม่มีอะไรมากมาย แค่ดูว่าหลังกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบรษรระดับต่ำแล้ว ผู้ที่ถือครองป้ายหยกสะสมคะแนนของขุมกำลังใดมีมากกว่า ขุมกำลังนั้นๆก็จะเป็นฝ่ายชนะพนัน
ขุมกำลังทั้ง 4 ที่เป็นฝ่ายแพ้ ก็จะต้องจ่ายของเดิมพันให้กับผู้ชนะ
แน่นอนว่าสิ่งของที่จะนำมาลงเดิมพันนั้น ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ตายตัว แต่หากท่านนำของเดิมพันที่ด้อยค่ากว่าขุมกำลังอื่นๆมาลงเดิมพัน ก็เสมือนทำให้ตัวเองขายหน้าและกลายเป็นที่น่าหัวร่อของผู้อื่นเขาแล้ว…
ดังนั้นของที่ 5 ขุมกำลังนำมาลงเดิมพันก็ไม่ใช่ชั่วเลย และพวกมันก็ลุ้นให้ผู้ที่รอดกลับออกมา มีผู้ที่ถือป้ายหยกสะสมคะแนนของพวกมันมากที่สุด
“ยังงมีอีกเรื่องหนึ่ง…”
เมื่อผู้นำแต่ละขุมกำลังที่พาคนมาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณได้รับแจกป้ายหยกสะสมคะแนนกันครบแล้ว จ่างซุนฉงฉีก็เริ่มกล่าววออกมาอีกครั้ง
“คราวนี้หลังจากที่แดนสวรรค์ใต้โบรษณระดับต่ำเปิดให้เข้าไปแล้ว…มันจะถูกเปิดให้ผู้คนด้านในออกมาอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อผู้ที่เข้าไปได้ตกตายถึง 7 ส่วนแล้วเท่านั้น…”
ทันทีที่วาจานี้ดังออกมาจากปากจ่างซุนฉงฉี ผู้คนนับหมื่นๆก็พร้อมใจกันเงียบกริบ!
WSSTH ตอนที่ 2,992 : กำลังจะเปิด
“7 ส่วน!”
“เหล่าผู้ที่เข้าไปในแดนสววรรค์ใต้โบราณระดับต่ำคราวนี้…จะออกมาได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่เข้าไปตกตาย 7 ส่วนงั้นหรือ!? นี่มัน…”
“กล่าวได้ว่าในบรรดาผู้ที่เข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำรอบนี้ 10 คน จักมีผู้ที่รอดกลับออกมาได้แค่ 3 คน?”
“ไม่ใช่ว่าปกติแล้วแดนสวรรค์ใต้โบราณจะเปิดให้ผูคนกลับออกมาเมื่อมีคนตายแค่ 6 ส่วนหรือไร!?”
“ผู้อาวุโสสองของตระกูลจ่างซุนใช่กล่าวอันใดผิดไปหรือไม่?”
…
บริเวณน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน หลังจากที่เงียบสงบไปพักหนึ่งจากนั้นเสีงผู้คนก็เริ่มดังระงมขึ้นมาปานตลาดสด ทุกคนแลดูจะตกอกตกใจกับถ้อยคำที่จ่างซุนฉงฉีประกาศไม่น้อย
และประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ ก็อยู่ที่คำว่า 7 ส่วนนั่นเอง
“7 ส่วนงั้นเหรอ…ดูเหมือนคราวนี้ 3 นิกาย 2 ตระกูลคิดเปลี่ยนแปลงกฏสินะ”
ถึงแม้ว่ามีหลายคนที่คิด่าจ่างซุนฉงฉีใช่เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ แต่ต้วนหลิงเทียนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล่าวผิดอะไร
เพราะอย่างน้อยๆในขณะที่ทุกคนพากันฮือฮา ด้านจ่างซุนฉงฉีก็ยังคงนิ่งสงบไม่คล้ายจะเปลี่ยนแปลงถ้อยคำแม้แต่น้อย
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดอยู่ จ่างซุนฉงฉีก็กล่าวออกมาอีกครั้ง “7 ส่วนนั้น…พวกเจ้าได้ยินไม่ผิด และข้าก็ไม่ได้พูดไปเพราะความเข้าใจผิดอันใด”
“จริงอยู่ที่ในกาลก่อน หลังมีผู้คนที่เข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณตกตายถึง 6 ส่วนแล้ว พวกเราจะเปิดให้ผู้ที่ยังรอดชีวิตอยู่กลับออกมา…”
“ทว่าครั้งนี้พวกเราคิดเพิ่มความยากขึ้นอีกเล็กน้อย…เมื่อผู้ที่เข้าไปตกตายถึง 7 ส่วนแล้วเท่านั้น พวกเราถึงจะทำการเปิดแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำให้ทุกคนกลับออกมา”
กล่าวถึงประโยคท้าย จ่างซุนฉงฉีก็คลี่ยิ้มออกมาบางๆ สองตาของมันหยีลงแทบปิด
เรียกว่าหลังได้ยินคำยืนันเรื่องราวจากจ่างซุนฉงฉีแล้ว หลายคนก็หน้าเปลี่ยนสีไปไม่นน้อย เพราะตระหนักได้ว่าคราวนี้ท่าทางจะมีอันตรายมากกว่าเดิม
“แน่นอนว่ายังมีเวลามากพอให้คนที่สำนึกเสียใจ เปลี่ยนใจไม่เข้าร่วม…และผู้ใดที่คิดถอนตัวพวกเจ้าก็แค่นำป้ายหยกสะสมคะแนนคืนให้กับผู้นำของพวกเจ้าเสีย”
จ่างซุนฉงฉีกล่าวสืบต่อ
และทันทีที่จ่างซุนฉงฉีเอ่ยถ้อยคำดังกล่าวออกมา เหล่ายอดเซียนอมตะหลายคนก็บังเกิดอาการลังเล บ้างก็ตัดสินใจถอย ไม่คิดจะเข้าร่วมไปแสวงหาโอกาสอะไรอีก
อย่างไรก็ตาม ด้านคนของประเทศฝูชิวที่ลอยร่างไม่ห่างต้วนหลิงเทียนนั้น แม้หลายคนจะเริ่มชักสีหน้าเคร่งเครียด แต่ก็ไม่มีใครเลือกที่จะถอนตัวสักคน
“ตกตาย 7 ส่วน…กล่าวได้ว่าเหลือแค่ 3 ส่วนเท่านั้นที่จะรอดกลับออกมาทั้งยังมีชีวิต…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำกับตัวเองเบาๆ
คราวนี้ยอดเซียนอมตะของประเทศฝูชิว นับรวมเขาแล้วก็มีมาด้วยกันทั้งสิ้น 9 คน
กล่าวอีกอ่างได้ว่า ด้วยอัตราส่วนดังกล่าว ในบรรดา 9 คนที่เข้าไปแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ อาจจะเหลือเพียง 3 คนเท่านั้นที่รอดชีวิตกลับออกมา
“เฮ่อ ข้าไม่คิดเลยว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้จะทวีความรุนแรงมากกว่าครั้งก่อนๆ…มีเพียงแค่ 3 ส่วนเท่านั้นที่จะรอดกลับออกมาได้งั้นหรือ…”
หวงเจียหลงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
อย่างไรก็ตามแม้มันจะกล่าวพลางทอดถอนใจ หากแต่สองตาของมันยังคงใสกระจ่าง ไม่ได้ฉายแววหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
“ไม่มีผู้ใดคิดถอนตัวหรือ?”
หูหลินอี้เองก็ไม่คิดเลว่าการเดินทางมาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้ จะมีอันตรายมากขึ้น ทำให้ถึงจะมีใครถอนตัวออกไป มันก็ยังพอจะเข้าใจได้อยู่
ทว่ามันต้องประหลาดใจแล้วจริงๆ
คนของประเทศฝูชิวมัน กลับไม่มีใครคิดถอนตัวเลยสักคน!
“โชคลาภความมั่งมีมาพร้อมความเสี่ยง…ตั้งแต่ตอนที่ข้าเข้าร่วมการประลองสวรรค์ใต้ที่ประเทศฝูชิว ข้าก็ตัดสินใจไปแล้วว่าจะเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเพื่อแสวงหาโอกาสและความก้าวหน้า! หากข้าเลือกที่จะถอยหนีไปตอนนี้ เกรงว่าต้องกลายเป็นปมในใจข้าไปชั่วชีวิต หนทางแห่งเต๋าอมตะของข้าก็คงสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้!!”
ตอนนี้เองพลันมียอดเซียนอมตะชายวัยกลางคนผู้หนึ่งของประเทศฝูชิวกล่าวออกมา “ยิ่งไปกว่านั้น ก็มิใช่ว่าอัตราการตายมันเพิ่มขึ้นแค่ส่วนเดียวหรือไร…แล้วผู้ใดจะบอกได้ว่าข้าจะไม่ใช่คนที่สามารถรอดอยู่ได้จนจบ?”
“ไม่ผิด ในเมื่อข้ามาด้วยใจตั้งมั่นแต่แรก ไหนเลยจะถอดใจหนีไปตอนนี้ได้! ชีวิตคนเราโอกาสเช่นนี้จะมีมาสักกี่ครั้งกันเชียว? หากล้มเลิกไม่ฉกฉวย ต่อไปไม่ทราบจะมีโอกาสให้ฉกฉวยอีกหรือไม่!!”
“เฮอะ! พูดให้ฟังง่ายก็ไม่ใช่แค่ต้องฆ่าเพิ่มอีกสักคนหรือไร ข้าจะรอดกลับออกมาให้จงได้!”
“แค่รอดออกมา ก็ได้โอกาสเข้าร่วม 3 นิกาย 2 ตระกูลแล้ว ถึงตอนนั้นเรียกว่าอนาคตของพวกเราจักสดใส!”
…
เหล่ายอดเซียนอมตะของประเทศฝูชิวกล่าวปลุกใจกันยกใหญ่ แต่ละคนแลดูฮึกเหิมขึ้นไม่น้อย
สิ่งนี้ย่อมทำให้หูหลินอี้พึงพอใจอย่างมาก เพราะสุดท้ายแล้วมีคนเข้าไปเพิ่มคนหนึ่ง ก็เสมือนมีโอกาสให้คนรอดกลับมาอีกคนหนึ่ง!
เรื่องนี้ กับมันแล้วมีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย!
“ฝ่าบาท…ทำไมป้ายหยกสะสมคะแนนของประเทศข้างๆนั่น ถึงแตกต่างจากของพวกเราล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนที่หันมองไปยังรอบๆเพื่อสังเกตเรื่องราว พอเห็นว่าคนของประเทศหนันฉี่ถือป้ายหยกที่ต่างจากของเขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา
ป้ายหยกสะสมคะแนนที่เขาพึ่งได้รับมา นั้นมีสีเขียวคล้ายเต็มไปด้วยพลัง
ทว่าป้ายหยกสะสมคะแนนในมือของคนประเทศหนันฉี่ กลับมีสีครามปานน้ำทะเล
กล่าวจบยอดเซียนอมตะของประเทศฝูชิวก็เริ่มหันรีหันขวางไปมองป้ายหยกสะสมคะแนนในมือผู้อื่นเช่นกัน
“จริงด้วย! ไฉนป้ายหยกของพวกหนันฉี่สีคราม แต่ของพวกเราสีเขียวล่ะ?”
“ไฉนถึงได้แตกต่างกันนะ?”
“หรือสีสันที่แตกต่างกันของป้ายหยกสะสมคะแนน อาจมีความสามารถบางอย่างแตกต่างกัน?”
…
หลังกล่าวออกมาด้วยความสงสัยสักพัก เหล่ายอดเซียนอมตะของประเทศฝูชิวก็หันไปมองจ้องหูหลินอี้ ด้วยอยากทราบว่าที่แท้มันอย่างไรกันแน่
หูหลินอี้เห็นดังนั้นก็เริ่มกล่าวอธิบายออกมา “ทุกคราที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออก ป้ายหยกสะสมคะแนนในมือพวกเจ้าจะถูกแบ่งออกเป็น 5 สีสันตามขุมกำลังทั้ง 5 พวกมันทำจาก หยกทอก หยกไม้ หยกน้ำ หยกไฟ และหยกดิน…”
“และหยกทั้ง 5 ชนิดก็เป็นดั่งตัวแทนของ 3 นิกาย 2 ตระกูล”
“ตัวอย่างเช่นป้ายหยกสะสมคะแนนในมือของพวกเจ้า ล้วนทำมาจากหยกไม้ และผู้ที่สร้างขึ้นก็เป็นนิกายอมตะเป้าผู่..กล่าวได้ว่าเป็นหยกที่นิกายเป้าผู่ออกแบบมา”
“หยกทองนั้นมาจากนิกายอมตะอวิ๋นไถ”
“หยกน้ำเป็นของนิกายอมตะเหอฮวน”
“หยกไฟนั้นมาจากตระกูล กงหยาง”
“และสุดท้ายหยกดิน ผู้สร้างก็คือตระกูลจ่างซุน”
กล่าวถึงจุดนี้หูหลินอี้ก็หยุดลงเล็กน้อยค่อยกล่าวสืบต่อ “ว่ากันว่าทุกคราที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออก 3 นิกาย 2 ตระกูลจะมีการลงเดิมพันกัน…”
“หัวข้อเดิมพันก็คือ จำนวนผู้ที่รอดชีวิตกลับออกมาได้นั้นมีผู้ถือป้ายของขุมกำลังงใดมากที่สุด! และหากผู้ที่รอดกลับมา ถือป้ายของขุมกำลังใดมากที่สุด ขุมกำลังนั้นๆก็จักเป็นฝ่ายชนะการเดิมพัน…”
“และขุมกำลังที่ชนะก็จะได้รับของเดิมพันอีก 4 ขุมกำลังที่เหลือแต่ผู้เดียว”
หูหลินอี้กล่าว
“แน่นอนว่าต่อให้เจ้าถือป้ายหยกของขุมกำลังใดอยู่ แต่ตอนเจ้ารอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้ เจ้าก็มีสิทธิ์เลือกจะเข้าร่วมกับขุมกำลังได้ตามใจ”
“และพอถึงตอนนั้น ผู้ที่สามารถทำคะแนนได้เป็นอันดับต้นๆ ก็จักได้รับการเชิญชวนจาก 3 นิกาย 2 ตระกูล โดยพวกมันจะแข่งกันยื่นข้อเสนอดีๆให้พวกเจ้า…”
หูหลินอี้กล่าวสืบต่อจนจบ
“พนัน?”
ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆก็เข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่หูหลินอี้กล่าวหมายความว่าอะไร
“เหอะๆ 3 นิกาย 2 ตระกูล กระทั่งสิ่งนี้พวกมันยังเอามาเล่นพนันกันได้ นับว่าไม่เห็นชีวิตผู้คนอยู่ในสายตา…อย่างน้อยๆก่อนที่แดนสวรรค์ใต้โบราณจะเปิดให้ผู้ที่รอดกลับออกมา มันก็ไม่เห็นหัวผู้ใด กระทั่งยังเอาชีวิตผู้อื่นมาสร้างเป็นเกมพนันเล่นกันแบบนี้…”
ต้วนหลิงเทียนหันไปเหลือบมองกลุ่มคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลด้วยสายตาเฉยเมย หากแต่ในใจตระหนักได้ถึงความโหดร้ายของธรรมชาติระนาบเทวโลกขึ้นมาจับใจ
หมัดใครใหญ่กว่าเป็นจ้าว!
มีเพียงผู้เข้มแข็งเท่านั้น ที่สามารถละเล่นกับชีวิตผู้ที่อ่อนด้อยกว่าได้
“ฝ่าบาท ตอนนี้ป้ายหยกสะสมคะแนนของพวกเราทำมาจากหยกไม้…ถ้าข้าฆ่าคนที่ถือป้ายหยกชนิดอื่นๆ มันก็แค่ดูดซับคะแนนในป้ายหยกผู้อื่นมา แต่ไม่ได้เปลี่ยนสีป้ายหยกของพวกเราใช่ไหม?”
ยอดเซียนอมตะคนหนึ่งของประเทศฝูชิวเอ่ยถามหูหลินอี้
“ย่อมไม่เปลี่ยนสี”
หูหลินอี้กล่าว “เรื่องนี้คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลคำนึงถึงแต่แรกพวกเจ้าไม่ต้องห่วง เอาล่ะ…ป้ายหยกสะสมคะแนนที่พวกเจ้าได้รับไป ก่อนอื่นให้ทำการหยดเลือดใส่มันเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเสีย และสิ่งนี้ต้องทำก่อนเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ”
“และทันทีที่เจ้าของป้ายหยกตกตาย ป้ายหยกที่ไร้เจ้าของก็จะแตกสลายลง จากนั้นแต้มที่สะสมอยู่ในป้ายหยกดังกล่าว ก็จะเข้าไปเพิ่มให้กับป้ายหยกที่ยังมีเจ้าของและอยู่ใกล้มันที่สุด”
“ดังนั้นพวกเจ้าเองก็ต้องระวังจุดนี้ให้ดี ต้องให้แน่ใจเสียก่อนว่าผู้ที่พวกเจ้าจะลงมือสังหารนั้น ไร้ผู้ใดซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ…หาไม่แล้วต่อให้พวกเจ้าฆ่ามันไป คะแนนก็จะไหลเข้าป้ายผู้ที่อยู่ใกล้มันมากกว่าเจ้า”
ขณะกล่าวถึงจุดนี้ หูหลินอี้ก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆเพื่อเตือนเป็นพิเศษ
เพราะเรื่องพวกนี้หากมันไม่อธิบายออกมา บางทีต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆอาจจะไม่รู้
“นอกจากนั้น ต่อให้ยามเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำพวกเจ้าจะเข้าไปพร้อมๆกัน แต่เมื่อไปถึงข้างในพวกเจ้าจะถูกสุ่มตัวกันไปที่ใดที่หนึ่งในนั้น ทั้งหมดล้วนมีอันต้องกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง”
“ด้านในนั้นหากทำได้จงพึ่งพาตัวเองให้มากเข้าไว้…แต่ถ้าพวกเจ้าเจอผู้ใดที่คิดว่าเชื่อใจได้ จะร่วมมือกับมันก็ไม่เสียหาย”
“แต่เป็นธรรมดาว่าหากอีกฝ่ายเชื่อใจไม่ได้ ก็อย่าได้ไปร่วมมือกับมันเด็ดขาด…เพราะต่อให้พวกเจ้าจะฆ่าใครด้านใน หากไร้บุคคลที่ 3 อยู่ในจุดเกิดเหตุกลับมาเปิดเผย ก็คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้”
กล่าวถึงจุดนี้หูหลินอี้ก็มองจ้องพวกต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง
ทันใดนั้นยอดเซียนอมตะหลายคนก็เริ่มหันไปมองคนข้างๆด้วยความระแวง บางคนก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ร่วมมือกับผู้อื่นเด็ดขาด
หากพบพานสหายที่สามารถเชื่อใจกันได้ก็แล้วไป แต่เกิดอีกฝ่ายคิดไม่ซื่ออะไรขึ้นมา ทุกสิ่งที่เพียรสร้างมาชั่วชีวิตก็ไม่พ้นต้องตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่าย ตกตายไปอย่างโง่งม…
ราวๆ 2 เค่อต่อมา
“ได้เวลาแล้ว…”
เสียงของจ่างซุนฉงฉี ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลจ่างซุนดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้เสียงพูดคุยที่ดังระงมปานตลาดสดยามเช้าเงียบหายไปทันใด กระทั่งหากมีเข็มร่วงตกพื้นสักเล่มคงได้ยิน…
“ตอนนี้พวกเรา 3 นิกาย 2 ตระกูล จะร่วมมือกันเพื่อเปิดแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ… ยอดเซียนอมตะที่ตัดสินใจเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ อย่าได้ลืมเรื่องจะผูกพันธะครอบครองป้ายหยกสะสมในมือคะแนนของพวกเจ้า”
จ่างซุนฉงฉีกล่าว
พอมันกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนไม่เว้นผู้คนกว่า 20,000 ก็หันไปจับจ้องมองคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลด้วยความสนใจ
จากนั้นจึงเห็นจ่างซุนฉงฉีพยยักหน้าคราหนึ่ง ผู้นำอีก 4 คนทีเหลือก็พยักหน้าลงพร้อมเพรียง
ครู่ต่อมาในมือของจ่างซุนฉงฉีและทั้ง 4 ก็ปรากฏวัตถุประหลาดหนึ่งแลคล้ายกล่องอะไรบางอย่างถือไว้ วัตถุประหลาดที่ว่ายังมีรูปเหลี่ยม ทั้งมีลวดลายและอักขระมากมายจารึกสลักเต็มไปหมด แลดูซับซ้อนไม่ธรรมดา…
WSSTH ตอนที่ 2,993 : แดนสวรรค์ใต้โบราณ เปิดออก!
‘นั่นมัน…หรือจะเป็นจานค่ายกล?’
เมื่อเห็นผู้นำของ 3 นิกาย 2 ตระกูล หยิบวัตถุรูปเหลี่ยมแบนๆอันมีลวดลายและอักขระซับซ้อนสลักจารึกเอาไว้ ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาว่า…มันน่าจะเป็นจานค่ายกล ที่เป็นดั่งกุญแจเปิดค่ายกลหลักอะไรสักอย่าง!
และข้อเท็จจริงก็พิสูจน์ว่าต้วนหลิงเทียนคิดถูก
สิ่งที่ทั้ง 5 คนรวมถึงจ่านซุนฉงฉีถืออยู่ในมือนั้น ก็เป็นดั่งกุญแจที่จะใช้เปิด ‘แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ’ ที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวได้มอบไว้ให้พวกมันเก็บรักษาเอาไว้
“เริ่มกันเลยเถอะ”
เมื่อปี้ไห่หมิงเฟิงประมุขคนที่ 3 ของนิกายอมตะเหอฮวนกล่าวให้สัญญาณจบ มันก็เป็นคนแรกที่จ่ายพลังลงสู่จานค่ายกล จากนั้นจานค่ายกลดังกล่าวก็เริ่มทอแสงสว่างเรืองรองเปล่งพลังอานุภาพออกมา ยังพุ่งลอยขึ้นไปบนฟ้าทันที
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
หลังปี้ไห่หมิงเฟิงลงมือ ที่เหลือก็ลงมือตาม จานค่ายกลทั้ง 4 ทยอยกันลอยขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะหยุดอยู่ในเพดานบินเดียวกับอันแรก
ครู่ต่อมาท่ามกลางสายตาของผู้คน จานค่ายกลทั้ง 5 ที่ลอยล่องเหนือฟ้าก็เริ่มเรียงตัวเป็นวงกลม จากนั้นแต่ละจานก็คล้ายเปล่งแสงพลังลี้ลับออกมาเชื่อมโยงพวกมันเข้าด้วยกัน
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
กลิ่นอายพลังขุมหนึ่งระเบิดออกมาสะท้านสะเทือนบรรยากาศ จานค่ายกลทั้ง 5 ที่มีพลังลี้ลับเชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกัน เริ่มปรากฏแสงสว่างสีขาวพุ่งยิ่งออกมาดั่งลำแสง!
พวกมันยังยิงลำแสงออกมาอย่างพร้อมเพรียง ลำแสงที่ว่าก็ยิงลงไปยังอากาศเบื้องล่างของเหล่าผู้นำ 5 ขุมกำลัง
วู้มมม!!
ทันทีที่ลำแสง 5 ไปบรรจบกันยังจุดหนึ่ง เสียงพลังหนึ่งพลันดังออกมากึกก้อง จากนั้นความว่างเปล่า ณ จุดนั้นก็เริ่มสั่นไหว!
ครู่ต่อมา
เปรียะ!
กลางอากาศว่างเปล่า บังเกิดเป็นรอยแยกมิติหนึ่งฉีกเปิดขึ้น!
และเมื่อรอยแยกมิติดังกล่าวขยายตัวออกถึงระดับหนึ่ง ประตูอันมหึมาแสนวิจิตรงดงามหนึ่งก็คล้ายจะลอยล่องออกมาจากห้วงมิติ
ประตูดังกล่าวกอปรขึ้นจากเสาทั้ง 2 ข้างอันเป็นเสาขนาดใหญ่ 2 เสา ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณและลวดลายซับซ้อนมากมาย ให้กลิ่นอายราวกับมันผ่านพ้นวันเวลามาแล้วเนิ่นนาน
นอกจากนั้นบนคานเหนือประตู ก็ปรากฏป้ายโลหะแผ่นใหญ่ห้อยแขวนเอาไว้ ตัวป้ายยังสลักอักษร 4 ตัว ที่แลดูทรงพลังประหนึ่งหงส์มังกรมีชีวิต!
แดนสวรรค์ใต้โบราณ
อักษรทั้ง 4 นี้ เหล่ายอดเซียนอมตะส่วนใหญ่เพียงชมมองได้แค่ราวๆ 1-2 ลมหายใจเท่านั้น จากนั้นแต่ละคนก็เร่งละสายตาออกมาทันที
เพียงเพราะว่าในขณะที่มันมองชมคำ ‘แดนสวรรค์ใต้โบราณ’ บนแผ่นโลหะนั้น ได้ปรากฏรัศมีพลังลี้ลับหนึ่งพุ่งยิงเข้าใส่พวกมัน ทำให้พวกมันรู้สึกกดดันอย่างหนักหน่วง
พวกมันไม่อาจต้านทานแรงกดดันดังกล่าวได้ไหว อย่างดีก็ฝืนชมดูได้แค่ 1-2 ลมหายใจเท่านั้น
กระทั่งยอดเซียนอมตะบางคนที่สามารถทนได้นานหน่อย ก็ทนได้นานกว่ายอดเซียนอมตะส่วนใหญ่ไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น
กล่าวได้ว่านอกจากต้วนหลิงเทียนแล้ว ไม่มียอดเซียนอมตะคนใดสามารถมองจ้องอักษรบนป้ายเหล็กดังกล่าวได้นานเกิน 10 ลมหายใจเลย!
และเหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนสามารถมองชมอยู่ได้นานนั้น เพราะทองเทพสุดลี้ลับได้แผ่พลังลี้ลับบางประการคอยปกป้องคุ้มครองดวงจิตของเขาเอาไว้ตลอดเวลา
คำ ‘แดนสวรรค์ใต้โบราณ’ บนป้ายเหล็กที่ว่า รัศมีพลังที่มันยิงพุ่งออกมา จัดเป็นการโจมตีทางวิญญาณในรูปแบบหนึ่ง…ซึ่งก็ถูกพลังของทองเทพสุดลี้ลับทำลายได้อย่างง่ายดาย
“หืม?”
หลังจากชมดูอักษรที่เขีนไว้อ่างงดงามอยู่สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มรู้สึกตัวว่าตอนนี้คนอื่นๆ ได้พากันก้มหน้าและละสายตาออกมาจากอักษรบนป้ายกันหมดแล้ว เข้าจึงตระหนักได้ทันทีว่าอักษรดังกล่าวนั้นมีพลังอำนาจไม่ธรรมดา!
เขาจึงเร่งละสายตากลับมาเหมือนคนอื่นๆอย่างทันท่วงที
อย่างไรก็ตาม การกระทำทั้งหมดของเขานั้น ได้ตกอยู่ในสายตาของผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูลแต่แรก “เจ้าหนูผู้นั้น…ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!”
พวกมันไหนเลยจะไม่รู้ว่าอักษรทั้ง 4 ตัวบนป้ายเหล็กมันสร้างแรงกดดันต่อจิตใจขนาดไหน
ทว่าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้น กลับชมดูอยู่ได้นานสองนานโดยที่ไม่เป็นอะไร ผิดกับยอดเซียนอมตะผู้อื่นลิบลับ เพราะต่อให้เป็นยอดเซียนอมตะคนอื่นที่สามารถทนมองได้นานที่สุด ยังใช้เวลาได้ไม่ถึงครึ่งของต้วนหลิงเทียน! ที่สำคัญท่าทียังทำราวกับเป็นฝ่ายเลิกมองไปเอง ไม่ใช่มองต่อไม่ไหว!!
“น่าสนใจจริงๆ”
บนเกี้ยวที่ใช้ผู้คน 8 คนแบกหาม ปี้ไห่หมิงเฟิงที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนอยู่ มุมปากก็เริ่มยกยิ้มขึ้นมาบางๆ
หลังจากที่เหล่ายอดเซียนอมตะรวมถึงต้วนหลิงเทียนละสายตาออกมาจากป้ายเหล็กบนคานประตูแล้ว ยอดฝีมือที่นำพาเหล่ายอดเซียนอมตะทั้งหลายมา หลังจากชมดูอยู่ได้ต่อราวๆสิบลมหายใจ ก็พากันละสายตากลับมาเช่นกัน
“อักษร 4 ตัวนั่น…คงมิใช่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ของพวกเราเขียนทิ้งไว้หรอกนะ?”
ยอดเซียนอมตะผู้หนึ่งหันไปถามผู้นำของตัวเอง
“เจ้าเดาได้ถูก…อักษรทั้ง 4 นั่นเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ของพวกเราเขียนไว้จริงๆ เพียงแต่ว่าข้าเองก็ไม่อาจบอกเจ้าได้ ว่าเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้รุ่นใดที่เขียนมันทิ้งไว้”
ในบรรดาผู้ที่มาครั้งนี้ มีหลายคนที่ล่วงรู้ว่าอักษรทั้ง 4 เป็นผลงานของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ เพียงแค่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้รุ่นใด
“ให้ตายเถอะ…นั่นเป็นแค่อักษรที่เขียนทิ้งไว้แท้ๆ…หากจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ตัวจริงปรากฏตัว พลังฝีมือที่แท้จะสะท้านขวัญผู้คนขนาดไหนกัน?”
หวงเจียหลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้…”
นับว่าแตกต่างจากหวงเจียยหลงที่แลดูหวั่นหวาดยำเกรงอย่างสิ้นเชิง ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้สึกอะไรกับจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่ว่า ทั้งไม่ได้สนใจอะไรแม้แต่น้อย…
เพราะเขาเคยพบเจอกระทั่งตัวตนที่อยู่เหนือจักรพรรดิสวรรค์มาแล้วด้วยซ้ำ กับอีแค่จอมราชันอมตะคนหนึ่งไหนเลยจะทำให้เขารู้สึกสนใจอะไรได้
สุดท้ายแล้วผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ได้ ไร้ซึ่งข้อยกเว้นใดๆ…อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม!
และจักรพรรดิอมตะกับจอมราชันอมตะ แม้จะแตกต่างกันแค่คำเดียว แต่พลังความแข็งแกร่งของทั้งคู่ ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง!
คนแรกนั้นอาศัยเพียงหนึ่งห้วงคิด ก็จบชีวิตคนหลังได้อย่างง่ายดาย…
นอกจากนั้นเพราะต้วนหลิงเทียนมีทองเทพสุดลั้บคอยแผ่พลังคุ้มครองดวงจิตอยู่ การโจมตีทางวิญญาณใดๆจากป้ายเหล็กบนคานประตูจึงไม่อาจทำอะไรเขาไม่ได้เลย เขาจึงไม่รู้ว่าหวงเจียหลงรวมถึงคนอื่นๆรู้สึกกันอย่างไร…
ครืนนนน!!
เวิง! เวิง! เวิง! เวิง!
…
เมื่อบังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นจากประตู สายตาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆจึงถูกประตูดังกล่าวดึงดูดไปอีกครั้ง อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่มีใครแหงนมองป้ายอักษรบนคานประตูอีกเลย
และเหล่าผู้ที่ยังคิดท้าทายพลังลี้ลับที่กดดันจิตวิญญาณเป็นการเคี่ยวกรำตัวเองนั้น พอได้ยินเสียงดังจากประตู มันก็หันไปให้ความสนใจกับตัวประตูก่อน
ภายใต้ทุกสายตา ในที่สุดประตูดังกล่าวก็ได้เปิดออกแล้ว และการเปิดออกของประตูดังกล่าว ก็คือบริเวณใจกลางของมันได้บังเกิดห้วงแห่งความมืดมิดอันไม่รู้จบ!
ความมืดดังกล่าว เรียกว่ามืดสนิทจนทำให้รู้สึกว่าหากเข้าไปในนั้นคงไม่อาจเห็นแม้แต่นิ้วมือทั้ง 5!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันที่ประตูบานเขื่องท่ามกลางความว่างเปล่าเปิดออก ก็ปรากฏร่างคน 10 คนจากแต่ละขุมกำลังเหินร่างออกไปหยุดเบื้องหน้าประตูดังกล่าว และเริ่มเรียงเป็นแถวเดี่ยวเบื้องหน้าประตู คล้ายกำลังสร้างแนวกั้นขวางเอาไว้
ตั้งแต่ที่เห็นประตูบนนี้ปรากฏขึ้น และเห็นอักษรคำว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณบนป้ายเหล็กที่ห้อยอยู่ที่คานประตู ทุกคนในที่นี้ก็ล่วงรู้ได้ทันที ว่านี่คือประตูทางเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณ
พวกมันก็เลยไม่ได้แปลกใจกับการปกระทำของ 3 นิกาย 2 ตระกูลสักเท่าไหร่
“เอาล่ะ ตอนนี้ผู้ใดที่ไม่คิดจะเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณ ให้ล่าถอยออกไป 2 ลี้!”
เสียงของจ่างซุนฉงฉีดังขึ้นอีกครั้ง
ทันใดนั้นคนของขุมกำลังต่างๆที่นำพาเหล่ายอดเซียนอมตะทั้งหลายมา ไม่เว้นหูหลินอี้ฮ่องเต้ฝูชิว ก็ได้เร่งรุดล่าถอยออกไป 2 ลี้ทันที
ในบรรดาผู้ที่ล่าถอยออกไป ก็ยังมียอดเซียนอมตะที่เปลี่ยนใจไม่คิดเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณรวมอยู่ด้วย
กล่าวได้ว่าเพียพริบตา ก็มีผู้คนล่าถอยออกไปราวๆ 8,000 กว่าคน
คงเหลืออยู่ราวๆ 12,000 คนเท่านั้น
สำหรับทั้ง 9 คนจากประเทศฝูชิวรวมทั้งต้วนหลิงเทียน ก็เป็นผู้ที่ไม่ได้ถอยไปไหน
“ประเสริฐ เหลือคนอีกนับหมื่น!”
เมื่อเห็นว่ายังคงเหลือยอดเซียนอมตะที่ตั้งใจเข้ารสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณอีกราวๆ 12,000 คน จ่างซุนฉงฉีก็แลดูพอใจไม่น้อย “มีราวๆ 12,000 คนงั้นรึ เช่นนั้นในบรรดาพวกเจ้าคงมีผู้ที่รอดกลับออกมาได้ราวๆ 3,600 คน…”
“สำหรับ 3,600 คนที่รอดกลับออกมาได้ สามารถเลือกเข้าร่วมกับขุมกำลังใดก็ได้ในบรรดาพวกเรา 3 นิกาย 2 ตระกูล”
“นอกจากนั้นอันดับของทั้ง 3,600 คนที่รอดกลับออกมาได้ จะถูกตัดสินจากแต้มในป้ายหยกสะสมคะแนนของพวกเจ้า”
“ผู้ที่ติด 100 อันดับแรก จะได้รับรางวัลเพิ่มเติมจาก 3 นิกาย 2 ตระกูล…ยิ่งหากติดอยู่ใน 30 อันดับแรกได้ ของรางวัลก็จะเพิ่มข้นไปอีก”
“สำหรับ 10 อันดับแรก หรือ 3 อันแรก แม้แต่อันดับที่ 1 นั้น…มูลค่าของรางวัลที่จักได้รับ คงไม่ต้องบอกว่ามหาศาลเพียงใด”
จ่างซุนฉงฉีกล่าวต่อว่า “เป็นธรรมดาว่าของรางวัลที่จักได้รับส่วนนี้ ล้วนไม่เกี่ยวของกับผู้ที่พาพวกเจ้ามา…กล่าวได้ว่าของรางวัลจากอันดับที่ข้าพูดถึงจะเป็นของพวกเจ้าเอง และไม่จำเป็นต้องมอบให้กับผู้ที่พาพวกเจ้ามา”
ผู้พามา ที่จ่างซุนฉงฉีกล่าว ก็หมายถึงผู้ที่นำพายอดเซียนอมตะทั้งหลายเดินทางมานั่นเอง
อย่างเช่นสำหรับต้วนหลิงเทียน ผู้ที่พามาก็คือหูหลินอี้ ฮ่องเต้ฝูชิว รางวัลส่วนนี้เขาไม่จำเป็นต้องให้หูหลินอี้แต่อย่างไร
“ต่อไปพวกเจ้าจะถูกคนของพวกเราแบ่งออกเป็น 50 กลุ่ม และจักเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณที่ละกลุ่ม…พวกเจ้าทั้งหมดนอกจากหยดเลือกเพื่อผูกพันธะครองป้ายหยกสะสมคะแนนแล้ว ต่อไปให้พวกเจ้าทำการหยดเลือดบนป้ายย่อยที่คนของพวกเราตระเตรียมไว้ให้ด้วย”
“ป้ายย่อยนั้น พวกเจ้าจำต้องทิ้งไว้ด้านนอก เพื่อให้พวกเรารับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงคะแนนในป้ายหลักพวกเจ้า…และเมื่อเจ้าตกตายภายในนั้น พอป้ายหยกสะสมคะแนนของเจ้าแตกหัก ป้ายย่อยด้านนอกก็จะแตกหักตามไปด้วย”
“นอกจากนี้พวกเราจักสร้างตารางอันดับไว้กลางอากาศ เพื่อให้ทุกคนรับทราบผลงานของพวกเจ้า และยังบ่งบอกได้อีกว่าพวกเจ้าคนใดตายตกไปแล้วด้านในบ้าง…”
“และเป็นธรรมดาว่า ผู้ที่มีคะแนนสะสมเพียงแค่แต้มเดียวนั้น จักไม่ถูกนำมาจัดอันดับ”
จ่างซุนฉงฉีกล่าว
‘ป้ายหยกสะสมคะแนนนี่ยังมีป้ายหลักป้ายย่อยได้อีกงั้นหรือ? ป้ายหลักนั้นข้าพกเข้าไปเพื่อเก็บสะสมคะแนน ส่วนป้ายย่อยทิ้งไว้ด้านนอก คอยบอกคะแนนเพื่อนำไปจัดอันดับ?’
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกาเรืองขึ้นวูบหนึ่ง เรื่องนี้หูหลินอี้ไม่ได้บอกเขา แต่ไม่พ้นอีกฝ่ายคิดว่าสุดท้ายคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลก็จะเอ่ยถึงอยู่ดี ก็เลยไม่ได้บอกเขาไว้แต่แรก
“สำหรับเรื่องยิบย่อยอื่นๆ ผู้ที่พาพวกเจ้ามาคงกล่าวอธิบายให้พวกเจ้าได้ทราบกันแล้ว…เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าเริ่มแบ่งออกเป็น 50 กลุ่ม และทยอยกันเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณตามลำดับเสีย”
“และไม่ว่าของสิ่งใดที่พวกเจ้าได้มาจากภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณ เมื่อนำออกมาแล้วพวกมันก็จะยังคงเป็นของพวกเจ้า”
“อีกทั้ง…ยิ่งพวกเจ้าแสดงผลงานได้ดีเท่าไหร่ พวกเจ้าก็จักได้รับการต้อนรับและการปฏิบัติจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลของพวกเราดีขึ้นเท่านั้น”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ ถูกคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลจัดกลุ่ม เสียงเฉยเมยของจ่างซุนฉงฉีพลันดังขึ้นอีกครั้ง
พอกล่าวเรื่องนี้จบมันก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
จากนั้นไม่ทันไร พวกต้วนหลิงเทียนและเหล่ายอดเซียนอมตะทั้ง 12,000 คน ก็ได้ถูกยอดเซียนยอมตะของ 3 นิกาย 2 ตระกูลแบ่งกลุ่มเสร็จเรียบร้อย
ทั้ง 50 คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูล ก็จะคอยจัดการความเรียบร้อยในกลุ่มที่พวกมันเลือกดูแล เมื่อเสร็จเรื่องทั้งหมดก็จะส่งทุกคนเข้าไปด้านใน ส่วนลำดับอะไรพวกมันก็ได้ตระเตรียมกันมาแต่แรก
จากนั้นเมื่อทุกคนได้ทำการหยดโลหิตเพื่อผูกพันธะครองป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเองแล้ว ก็ต้องไปหยดเลือดของตัวเองลงบนป้ายย่อยที่ทางคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลตระเตรียมไว้ให้เสียก่อน จึงจะสามารถเข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณได้
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
เมื่อทำการหยดโลหิตลงป้ายยย่อยที่คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลตระเตรียมไว้ให้เสร็จแล้ว คนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลก็ส่งมอบป้ายย่อยให้กับผู้นำ จากนั้นก็เริ่มเหินร่างนำคนของกลุ่มตัวเองผ่านประตูเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณทันที
ในขณะที่ร่างคนกลุ่มแรกพุ่งผ่านความมืดมิดของประตูสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณจนลับหายไป ห้วงแห่งความมืดก็ไร้ซึ่งสิ่งใดเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับทุกคนได้ถูกความมืดมิดกลืนหายไปไม่เหลือซาก!
ทีละกลุ่มๆ ทั้งหมดค่อยๆเหินร่างเข้าสู่ห้วงแห่งความมืดตามผู้นำกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ
ไม่นานก็ถึงกลุ่มที่มีคนของประเทศฝูชิวอยู่…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น