War sovereign Soaring The Heavens 2961-2972
ตอนที่ 2,961 : องค์ชาย 9 แห่งประเทศตันจี้
‘หืม? นี่พวกมันรู้จักกันงั้นรึ?’
พอเห็นชายหนุ่มชุดม่วงยื่นส่งกระบี่อมตะจอมราชันให้ชายวัยกลางคนชุดขาวหน้าตาเฉย ลูกตาของชายชราเคราขาวก็อดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง สีหน้ายังกลับกลายเป็นปั้นยากขึ้นมาทันใด
‘พลังฝีมือของเจ้านั่น…อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นขุนนางอมตะ 6 ผสาน’
ชายชราเคราขาวนั้น ด่านพลังฝึกปรือรั้งอยู่ในขอยเขตขุนนางอมตะ 4 รูป เช่นนั้นหลังได้เห็นวิธีการลงมือของชายวัยกลางคนชุดขาว ก็ทำให้มันประเมินระดับพลังฝีมือของอีกฝ่ายได้ทันที ว่าสมควรเหนือกว่ามัน 2 ขั้นขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ
เพราะหากด่านพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายเหนือกว่ามันแค่ขั้นเดียว คงเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะไม่เห็นการลงมือของอีกฝ่ายแบบนี้
‘ดูเหมือนความเป็นมาเจ้าหนุ่มทั้ง 2 กับเจ้านั่นจะไม่ต่ำทรามเสียแล้ว…’
ชายชราเคราขาวลอบกล่าวในใจ
อย่างไรก็ตามแม้มันจะคิดแบบนั้น แต่ก็หาได้แยแสไม่!
นั่นเพราะในสายตาของมัน ต่อให้คนพวกนี้มีฐานะความเป็นมาไม่ใช่ชั่วแล้วจะอย่างไร หรือจะเทียบได้กับองค์ชาย 9 ที่หนุนหลังมัน?
ที่สำคัญที่นี่ก็คือประเทศตันจี้ และองค์ชาย 9 ที่ว่าก็คือองค์ชาย 9 ของประเทศตันจี้แห่งนี้!
“มันเป็นกระบี่อมตะจอมราชันจริงๆ…”
หลังมองสำรวจกระบี่ในมือพักหนึ่ง ไป๋กังก็พยักหน้า จากนั้นค่อยหันไปเอ่ยคำกับหวงเจียหลงด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจียหลง กระบี่นี่มิใช่อันใดที่พวกเราจะรักษาได้…เจ้าเองก็สมควรเข้าใจเรื่องนี้ดีใช่หรือไม่?”
“ข้าเข้าใจดีอาไป๋”
หวงเจียหลงพยักหน้า
ทันทีที่หวงเจียหลงทราบว่ากระบี่เล่มนี้ก็คือกระบี่อมตะจอมราชัน มันก็รู้ดีว่านี่คือเนื้อเหนียวที่ไม่ใช่อะไรที่มันจะเคี้ยวได้ กระทั่งจวนเจ้าเมืองตู้อวิ๋นที่อยู่เบื้องหลังมันก็ไม่อาจรับประทานได้
กล่าวให้ชัดกระทั่งประเทศฝูชิวก็ยังไม่มีความสามารถที่จะรักษามันไว้
เพราะหากประเทศฝูชิวยืนกรานจักเก็บกระบี่เล่มนี้ไว้ใช้ หวงเจียหลงเชื่อว่าต่อให้ตระกูลราชวงศ์ประเทศฝูชิวจะไม่ถึงขั้นถูกฆ่าล้าง แต่ก็ไม่มีทางรักษากระบี่เล่มนี้ได้ไปตลอดรอดฝั่งแน่นอน
นั่นเพราะอาศัยพลังของประเทศฝูชิว ยังอยู่ห่างไกลเกินกว่าจะรักษาอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน!
อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงขุมกำลังระดับ 8 อย่างประเทศฝูชิวเลย ต่อให้เป็นขุมกำลังระดับ 7 อย่าง 3 นิกาย 2 ตระกูล ก็ไม่มีความสามารถจะกลืนเนื้อชิ้นนี้ได้ลงคอ
หากคิดจะกลืนเนื้อเลิศรสชิ้นนี้ลงคอให้ได้ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นขุมกำลังระดับ 6 อย่างคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้น
เพราะขุมกำลังระดับ 6 อย่างน้อยๆก็มีตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศคอยค้ำจุนอยู่
ตัวอย่างเช่นผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็คือตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ!
“จะอย่างไรก็แล้วแต่ อาไป๋…”
ทันใดนั้นคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้ หวงเจียหลงก็หันไปมองกล่าวกับไป๋กังออกมาตามตรง “กระบี่อมตะจอมราชันเล่มนี้ กล่าวไปแล้ว นับว่าเป็นผลงานของน้องต้วนเสียส่วนใหญ่…”
“หากไม่ใช่เพราะได้คำชี้แนะของน้องต้วน ข้าคงไม่มีทางซื้อหินดิบรูปทรงกระบี่ที่เหลือเหล่านั้นมาแน่ และไม่มีทางได้รับกระบี่อมตะจอมราชันมาแบบนี้ได้เลย”
“เช่นนั้นนข้าหวังว่าอาไป๋จะตระหนักได้ถึงจุดนี้ และกล่าวรายงานเรื่องราวออกไปตามความเป็นจริง”
กล่าวถึงท้ายประโยคสีหน้าหวงเจียหลงก็แลดูจริงจังนัก
“พี่เจียหลง ท่านไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก…”
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆทั้งคู่ หลังได้ฟังบทสนทนาเขาก็รู้ดีว่าทั้งคู่กำลังคิดจะทำอะไรกันอยู่
อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดเลยว่าหวงเจียหลงเลือกจะส่งความดีความชอบเรื่องกระบี่อมตะจอมราชันเล่มนี้มาให้เขา
สิ่งนี้หมายความว่าอะไรเขารู้ดี
นั่นหมายความว่าไม่พ้นหวงเจียหลงต้องคิดแบ่งรางวัลครึ่งหนึ่งที่สมควรจะได้รับจากตระกูลพยัคฆ์เหินให้เขา!
เมื่อต้วนหลิงเทียนตระหนักเรื่องราวเหลานี้ได้ เขาก็เร่งกล่าวบอกปัดความหวังดีนี้ของหวงเจียหลงทันที “พี่เจียหลง ผลึกอมตะที่ใช้ซื้อมันมาล้วนเป็นของท่าน เช่นนั้นกระบี่อมตะจอมราชันเล่มนี้ ท่านก็คือเจ้าของที่แท้จริง”
“น้องต้วนท่านอย่าได้กล่าวอีกเลย ข้าตัดสินใจแล้ว”
นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่หวงเจียหลงยืนกรานปฏิเสธต้วนหลิงเทียนออกมาแบบนี้ เรียกว่าไม่เหลือพื้นที่ให้ต้วนหลิงเทียนต่อรองอะไร ทำให้ต้วนหลิงเทียนได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยรอยิ้มแหยๆอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขารู้สึกว่าหวงเจียหลงไม่จำเป็นต้องทำอะไรพวกนี้เลย
ถึงแม้ว่าของรางวัลจากเผ่าพยัคฆ์เหินที่เขาอาจจะได้รับ คงมีค่าไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรางวัลเหล่านั้น
ถึงแม้จริงอยู่ที่เขาจะมีความดีความชอบเรื่องชี้นำให้หงเจียหลงซื้อหินดิบเหล่านั้นมา แต่ก็ไม่ได้มีค่าอะไรหากหวงเจียหลงไม่ตัดสินใจซื้อมาจริงๆ
“เสี่ยวเทียน เรื่องนี้เจ้าก็เอาตามที่เจียหลงว่าเถอะ…เจ้าหนูเจียหลงนี่ หากตัดสินใจไปแล้วอย่าว่าแต่ข้ากับบิดามันเลย ให้วัว 10 ลากฉุด ก็รั้งไว้ไม่อยู่หรอก”
พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะปฏิเสธความดีความชอบ ไป๋กังก็กล่าวแทรกขึ้นมา
“เรื่องนี้ข้าเองก็รายงานท่านพี่เจ้าเมืองไปแล้ว…ตอนนี้พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
ไป๋กังเอ่ยออกอีกครั้ง
ในขณะที่ไป๋กังกำลังจะเก็บกระบี่อมตะจอมราชัน และเตรียมจะพาพวกต้วนหลิงเทียนไปจากที่นี่ ก็ปรากฏร่าง 3 ร่างก้าวเข้ามาในร้าน และการปรากฏจัวของพวกมัน ยังสร้างความฮือฮาให้ผู้คนในร้านไม่น้อย
“องค์ชาย 9!”
“องค์ชาย 9!”
…
ชายชราเคราขาวผู้ดูแลร้าน กับพนักงานในร้านทั้งหมดก็เร่งโค้งคารวะทักทายผู้ที่พึ่งเข้ามาในร้านด้วยความเคารพทันที
ในบรรดา 3 ร่างที่ก้าวเข้ามาในร้านนั้น ผู้ที่นำหน้าสุดก็คือชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมเขียวดิ้นทอง ด้านหลังงเป็นชายชรา 2 คนที่ติดตามมั่งเงา ลักษณะแลดูไม่ธรรมดา
และทันทีที่พวกมันทั้ง 3 ก้าวเข้ามา ก็เอาแต่จับจ้องไปยังกระบี่อมตะจอมราชันที่ไป๋กังกำลังจะเก็บทันที
ด้วยสำนึกเทวะของพวกมัน ย่อมค้นพบได้ถึงความไม่ธรรมดาของกระบี่ดังกล่าวชัดเจน
“สหายทั้ง 3 ข้าคือองค์ชาย 9 แห่งประเทศตันจี้…ข้าเกรงว่ากระบี่เล่มนี้ต่อให้สหายทั้ง 3 จะนำออกไป แต่ก็คงมิอาจรักษาไว้ได้นานเป็นแน่ เช่นนั้นมิสู้ขายมันให้ข้าเสียประเสริฐกวาเล่า อย่างน้อยๆพวกท่านก็ไม่ต้องตายอย่างโง่งม แถมยังจะได้รับผลึกอมตะระดับสูงไปใช้มากมาย…”
ชายหนุ่มในชุดคลุมเขียวดิ้นทองที่เดินนำมานั้น มันก็คือองค์ชาย 9 แห่งประเทศตันจี้ และวาจาประโยคแรกที่เอ่ยออกมา ก็คิดบีบให้พวกต้วนหลิงเทียนต้องขายกระบี่อมตะจอมราชันออกไปแล้ว
“อันใด? หรือองค์ชาย 9 เองก็คิดใช้ผลึกอมตะระดับสูง 10,000,000 ชิ้นซื้อหากระบี่อมตะจอมราชันเล่มนี้เช่นเดียวกับตาแก่นั่นงั้นหรือ?”
หวงเจียยหลงมององค์ชาย 9 ด้วยสายตารังเกียจ มุมปากยกยิ้มแสยะ กล่าวประชดออกไปด้วยน้ำเสียงขบขัน
อย่าได้กล่าวถึงเรื่องที่อีกฝ่ายก็เป็นแค่องค์ชาย 9 ของประเทศตันจี้เลย ต่อให้เป็นองค์ชายของประเทศฝูชิวมาเอง หากกล้าหาเรื่องมัน ก็ต้องโดนดีกันบ้าง!
ตัวมันมีความมั่นใจในเรื่องนี้พอสมควร!
และต้นตอความมั่นใจของมันก็ไม่ได้มาจากบิดา แต่มาจากอาไป๋และผู้เฒ่าโม่!
และหากจะกล่าวว่าอาไป๋กับผู้เฒ่าโม่คือบ่อเกิดความมั่นใจของมันแล้วล่ะก็…
เช่นนั้นเผ่าพยัคฆ์เหิน กับเผ่าพญาอินทรีย์ขนดำ ก็คือบ่อเกิดความมั่นใจของอาไป๋และผู้เฒ่าโม่!
“ข้าได้ยินผู้เฒ่าในร้านของข้ากล่าวว่า…สหายทั้ง 3 คิดจะมอบกระบี่อมตะจอมราชันเล่มนี้ให้ขุมกำลังบางแห่งเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์งั้นหรือ?”
องค์ชาย 9 นั้นย่อมได้ฟังรายงานเรื่อราวที่เกิดขึ้นจากชายยชราเคราขาวมาแล้ว จงล่วงรู้ว่าทั้ง 3 คุยอะไรกันบ้าง จึงหยีตาเอ่ยถามชิมลางออกไป “ข้าสนใจยิ่ง…ไม่ทราบว่าสหายทั้ง 3 คิดส่งมอบกระบี่อมตะจอมราชันไปให้ขุมกำลังใด?”
และแทบจะทันทีที่องค์ชาย 9 กล่าวจบคำ ชายชราที่อยู่ด้านหลังของมันทั้ง 2 ก็มองจ้องไปยยังไป๋กังตาเขม็ง
“อันใด หรือคิดอาศัยขุนนางอมตะ 9 ตำหนักสองคนนี่…ลงมือบีบคั้นข้าไป๋กังคนนี้?”
ไป๋กังเหลือบมองชายชราทั้ง 2 อย่างไร้ซึ่งความหวั่นเกรงใดๆ มุมปากยังยกยิ้มแสยะเย้ยหยันออกมา
“ไป๋กัง?”
ได้ยินชื่อของไป๋กัง ชายชราทั้งสองอดขมวดคิ้วไม่ได้ พวกมันรู้สึกว่านามนี้ช่างคุ้นหูพวกมันนัก แต่ไม่ทราบว่าเคยไปได้ยินมาจากที่ไหน
“หึ! นี่น่ะหรือการต้อนรับอาคันตุกะของตระกูลราชวงศ์ประเทศตันจี้? ดูเหมือนว่าหลังกลับไปที่วัง ข้าต้องไปคุยกับฮ่องเต้ตันจี้หน่อยแล้วกระมัง?”
หวงเจียหลงกล่าวออกเสียงเย็น
กลับวัง?
ทันทีที่หวงเจียหลงเอ่ยวาจาประโยคนี้ออกมา ก็สร้างความตกใจให้ผู้คนในร้านนัก
เพราะฟังจากคำพูดของชายหนุ่ม ยังไม่ใช่อีกฝ่ายพักอาศัยอยู่ในวังหรอกหรือ?
“อาศัยอยู่ในวัง? อาคันตุกะ?”
“ไป๋กัง?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวงเจียหลง และพอย้อนนึกถึงชื่อไป๋กังขึ้นมาอีกครั้ง องค์ชาย 9 ของประเทศตันจี้ก็คล้ายจะฉุกคิดอะไรได้ออก หน้ายังเปลี่ยยนสีไปใหญ่หลวง
“ท่าน…ท่านคือใต้เท้าไป๋กังจากจวนเจ้าเมืองตู้อวิ๋น แห่งประเทศฝูชิวหรือ?”
องค์ชาย 9 มองไปยังไป๋กังอีกครั้งพลางกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ
“โฮ่ ดูเหมือนที่แท้ข้าก็มีชื่อเสียงโด่งดังไม่ใช่เล่น กระทั่งองค์ชายคนหนึ่งของประเทศตันจี้ยังรู้จักข้าด้วย…”
ไป๋กังเอ่ยออกเสียงเบา
และวาจาดังกล่าวของไป๋กัง ก็เป็นดั่งคำยืนยันข้อสงสัยให้องค์ชาย 9 อย่างไม่ต้องสงสัยเลย…
ไป๋กัง ผู้บัญชาการกองกำลังจวนเจ้าเมืองตู้อวิ๋น แห่งประเทศฝูชิว!
เมื่อฐานะของไป๋กังเปิดเผยออกมา สีหน้าชายชราทั้ง 2 ที่อยู่ด้านหลังองค์ชาย 9 ก็เปลี่ยนสีไปอย่างหนัก ขณะเดียวกันพวกมันก็ไม่หลงเหลือความกล้าจ้องหน้าไป๋กังสืบไป เร่งก้มหัวหลบตาลงงุดๆราวเด็กน้อยกลัวความผิด
ไป๋กัง แห่งจวนเจ้าเมืองตู้อวิ๋นจากประเทศฝูชิว เป็นคนของเผ่าพยัคฆ์เหิน เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับสำหรับประเทศเพื่อนบ้านของประเทศฝูชิวแม้แต่น้อย
และการคงอยู่ของเผ่าพยัคฆ์เหินต้นสังกัดไป๋กังในแดนสวรรค์ใต้นั้น ก็ไม่ใช่อะไรที่ฮ่องเต้ฝูชิวหรือฮ่องเต้ตันจี้จะล่วงเกินได้ง่ายๆ
ไม่ต้องกล่าวถึงมันที่เป็นแค่องค์ชายคนหนึ่งของประเทศตันจี้เลย
วูบ! วูบ! วูบ!
…
ชายชราเคราขาววผู้ดูแลร้าน รวมถึงพนักงานร้านคนอื่นๆที่ออกหน้าหาเรื่องไป๋กังทั้งหมด บัดนี้หน้าเบี้ยวไปจนดูแทบไม่เป็นคน!
ล้อกันเล่นหรือไร!?
ไป๋กังผู้นี้ไม่ใช่แค่ยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเท่านั้น แต่ยังเป็นพยัคฆ์เหินลายทองแดงแห่งเผ่าพยัคฆ์เหินอีกด้วย!
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ครั้งนี้อีกฝ่ายมีสิทธิ์ลงมืออย่างชอบธรรม ต่อให้อีกฝ่ายจะมีโมโหจนเข่นฆ่าองค์ชาย 9 เพราะไม่พอใจ แต่ฮ๋องเต้ตันจี้ก็คงไม่ติดใจเอาความแม้แต่น้อย
“ที่แท้…เป็นใต้เท้าไป๋กังนี่เอง! ใต้เท้าไป๋กัง คนงานในร้านข้านับว่าเสียมารยาทต่อท่านแล้ว แตข้าเชื่อว่าท่านที่เป็นผู้ใหญ่ใจกว้างคนหนึ่ง คงไม่ถือสาหาความพวกมัน…”
องค์ชาย 9 รีบกล่าวแก้ไขสถานการณ์เร็ไวและหาทางประณีประนอมโดยเร็ว จากนั้นก็เร่งกล่าวถามเปลี่ยนเรือง “ใต้เท้าไป๋กัง เช่นนั้นกระบี่อมตะจอมราชันนี่ ท่านคิดจะมอบให้ทางเผ่าพยัคฆ์เหินของท่านหรือ?”
อย่างไรก็ตาม แม้องค์ชาย 9 จะถามไถ่พูดจาประจบอะไร ไป๋กังก็ไม่เหลือบแลมันแม้แต่น้อย หลังจากกล่าวชวนต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงด้วยรอยยิ้มแล้ว มันก็เดินออกจากร้านไปทันที
ด้านองค์ชาย 9 กับคนอื่นๆก็ได้แต่เฝ้ามองไป๋กังและคนอื่นๆจากไปเงียบๆ
หลังจากพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 จากไปแล้ว สีหน้าองค์ชาย 9 ก็เริ่มถมึงทึงมืดดำ หันไปตะคอกเสียใส่ชายชราคราขาวด้วยน้ำโห “ขยะ! พวกสัดใส่ข้าวใช้การมิได้!!”
“พวกเจ้าไม่ใช่ไม่รู้ แต่ไฉนจึงไม่เก็บหินดิบรูปทรงกระบี่เอาไว้ให้ข้าเปิดเล่น? เอาออกมาขายหาสวรรค์วิมานอันใด หน้าข้าเหมือนคนร้อนเงินมากหรือ!?”
เหตุผลที่องค์ชาย 9 มีกิจการร้านพนันหินมากมายในย่านซีฟางนั้น ก็เพราะมันเป็นชมชอบเล่นพนัน มันมักจะปิดประตูร้านของมันเป็นครั้งคราว เพื่อเล่นพนันหินด้วยการเปิดหินดิบที่มันได้มาอย่างสนุกสนาน
กล่าวถึงเรื่องร้านพวกนี้แล้ว มันสร้างไว้เพื่อความสนุกส่วนตัวเท่านั้น ไม่ได้วางแผนจะทำกำไรอะไรแม้แต่น้อย แต่กระนั้นมันก็ยังได้กำไรมหาศาลอยู่ดี…
ได้ยินคำตะคอกตำหนิด้วยน้ำโหขององค์ชาย 9 ชายชราเคราขาวก็ได้แต่ก้มหน้าลงไปด้วยความสลด แต่ไม่พูดไม่จาอะไร…
เพราะมันรู้ดีว่าจังหวะนี้เงียบไว้ประเสริฐกว่า ไม่งั้นก็รังแต่จะกระตุ้นโทสะองค์ชาย 9 แสนเกรี้ยวกราดให้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ส่วนอีกด้าน
“เจ้าหนูทั้ง 2 คนนี้ให้ตายเถอะ นี่พวกเจ้าจะโชคดีเกินไปหน่อยไหม! ถึงกับหยิบบกระบี่อมตะจอมราชันออกมาจากหินดิบได้จริงๆ…หากกระบี่อมตะจอมราชันเล่มนี้ส่งถึงมือท่านผู้นำเผ่าพยัคฆ์เหินข้าเมื่อใด ด้วยนิสัยของท่านผู้นำ รับรองพวกเจ้าไม่เสียเปรียบแน่!!”
ระหวว่างเดินทางกลับไป๋กังก็ยยิ้มร่าก่าวออกมาอย่างร่าเริงตลอดทาง
“เหอะๆ อาไป๋ท่านอย่าได้กล่าวถึงของรางวัลพวกเราเลย ตัวท่านต่างหาก…อย่างไรเสียท่านก็เป็นคนของเผ่าพยัคฆ์เหิน ความดีความชอบที่ท่านสร้างครั้งนี้ ท่านผู้นำเผ่าท่านต้องไม่ให้ท่านเสียเปรียบมากกว่าพวกเราอีกกระมัง?”
หวงเจียหลงหัวเราะพลางกล่าวหยอกล้อ
ตอนที่ 2,962 : ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน
ได้ยินคำหยอกล้อของหวงเจียหลง ไป๋กังก็คลี่ยิ้มหน้าระรื่นออกมาทันที
เพราะเป็นอย่างที่หวงเจียหงกล่าวไว้ไม่มีผิด การที่มันค้นพบกระบี่อมตะจอมราชันแล้วส่งมอบให้เผ่าแบบนี้ นับเป็นความดีความชอบอันใหญ่หลวง! เผ่าพยัคฆ์เหินย่อมไม่มีทางเอาเปรียบมันแน่นอน!!
ต้องทราบด้วยว่าเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวที่มันจากมานั้น ก็มีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันในความครอบครองแค่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น!
จากเรื่องนี้ก็บอกให้รู้ได้ชัดเจน ว่าอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันมีความหมายกับเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวมากแค่ไหน
ไม่ต้องกล่าวถึงกระบี่อมตะจอมราชัน!
ในแดนสวรรค์ใต้นั้นไม่มีปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันดำรงอยู่แม้แต่คนเดียว ทำให้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันไม่มีทางถูกสร้างขึ้นในแดนสวรรค์ใต้อย่างแน่นอน หากจะมีก็มีแต่นำเข้ามาจากที่อื่น หรือบังเอิญมีปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันผ่านมา
หาไม่แล้วก็คงหาได้จากหินดิบ ผ่านการเล่นพนันหินเท่านั้น
จึงกล่าวได้ว่าในแดนสวรรค์ใต้ ปกติแล้วหากผู้ใดได้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันมา ก็ไม่มีใครคิดจะขายกันเด็ดขาด ถึงแม้จะมีราคามหาศาลมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครคิดสิ้นคิดขายให้ขุมกำลังอื่น
กล่าวได้ว่าภายในแดนสวรรค์ใต้แห่งนี้ อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันนั้น มีแต่อุปสงค์แต่ไร้อุปทาน
“เจ้าหนู!”
ในขณะที่กำลังเดินฟังทั้งสองหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ต้วนหลิงเทียนที่เดินอยู่ข้างๆพลันได้ยินเสียงชราหนึ่งโพล่งดังขึ้นในหัว ทำให้เขาสะดุ้งตกใจไม่น้อย “อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล?”
เขาย่อมจดจำได้ทันทีว่านี่คือเสียงของเพลิงเทพโกลาหล
“ผู้อาวุโสมีเรื่องอะไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเองก็ตระหนักได้ว่าสมควรมีเรื่องเร่งด่วนอะไรแน่ เพราะทุกครั้งที่เพลิงเทพโกลาหลหรือทองเทพสุดลั้บเป็นฝ่ายติดต่อมาหาเขานั้น ล้วนแล้วแต่ต้องมีเรื่องไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
หากไม่ติดต่อเขา ก็ยังถือว่าไร้เรื่องราวใดๆ
เขาเองก็พอตระหนักได้ว่าทั้งคู่ไม่อาจสื่อสารกับเขาได้นาน เพราะเหมือนจะต้องใช้พลังบางอย่างเพื่อสื่อสารกับเขา พอใช้พลังไปแล้วก็จำต้องเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อพักฟื้น
“ข้าสัมผัสได้อย่างเลือนราง…กลิ่นอายของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้ มิหนำซ้ำมันยังตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง”
“และเท่าที่สัมผัสได้ มันสมควรเป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 1”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าว
“เมื่อครู่ข้าเองก็รู้สึกเหมือนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังคุ้นเคยบางประการ แต่ไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นอะไร…ที่แท้ก็เป้นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินนั่นเอง”
ทันทีที่เพลิงเทพโกลาหลกล่าวจบ เสียงของทองเพสุดลี้ลับก็ดังขึ้นสืบต่อ ยังกำชับอีกด้วยว่า “เจ้าหนู เจ้าต้องขยันให้มาก พยายามหาทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรกมาให้ข้าให้จงได้…ถึงตอนนั้นข้าจะพัฒนากลายเป็นทองเทพสุดลั้บขั้นที่ 3 ได้อย่างราบรื่น”
“ถึงตอนนั้นความสามารถในการรับรู้ของข้าก็จะได้เทียบเท่ากัเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 3…”
กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของทองเทพสุดลี้ลับฟังดูไม่มีความสุขอยู่บ้าง คล้ายไม่พอใจที่เพลิงเทพโกลาหลกลายเป็นขั้น 3 ได้สักพักแล้ว แต่มันยังคงรั้งอยู่ในขั้นที่ 2 ไม่ก้าวหน้า…จึงอดบังเกิดความรู้สึกด้อยกว่าไม่ได้!
อย่างเช่นตอนนี้
เพลิงเทพโกลาหลกลับสัมผัสได้ทันทีว่าเป็นกลิ่นอายของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ทว่ามันกลับทำได้แค่รู้สึกว่ากลิ่นอายช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยเท่านั้น แต่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นอะไร
“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน!?”
ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย “นั่นคืออะไรหรือ?”
“มันก็คือ 1 ในเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เหมือนพวกเรา”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าวสืบต่อ “ตัวข้าเพลิงเทพโกลาหล ทองเทพสุดลี้ลับ ปฐพีแรกกำเนิดฟ้าดิน พฤกษาเทพครองสวรรค์ วารีเทพชำระโลกา…หรือก็คือ ไฟ ทอง ดิน ไม้ น้ำ รวมทั้งสิ้น 5 ธาตุ!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดจะถามเรื่องราวเพิ่มเติม เพลิงเทพโกลาหลที่คล้ายรู้ว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะถามอะไร ก็เป็นฝ่ายกล่าวออกมาเสียก่อน “ข้ารู้ว่าตัวเจ้ามีข้อสงสัยและใคร่รู้เกี่ยวกับ 5 เทพธาตุอย่างยิ่ง หากทว่าตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นรู้เรื่องราวอะไรให้มากนัก”
“เพราะตอนนี้ต่อให้เจ้าจะรู้มากเกินไป มันก็มิมีอะไรดีกับเจ้าเลย…เจ้าเพียงแค่รู้ไว้ว่า ตราบใดที่พวกเรายังสามารถยกระดับพัฒนาต่อไปได้ สำหรับเจ้าแล้วล้วนแต่เป็นเรื่องดีไม่มีผลเสียอันใด”
“กระทั่งหากวันหนึ่งเจ้าสามารถช่วยยกระดับพัฒนาพวกเราไปให้ถึงขั้นสมบูรณ์ได้ล่ะก็…ถึงตอนนั้นให้เจ้ากวาดตามองไปทั่วมหาสหัสโลกธาตุ ทว่าตัวตนที่จะเทียบเทียมเจ้าได้นั้น…ล้วนเป็นไปไม่ได้ที่จักดำรงอยู่!”
กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของเพลิงเทพโกลาหลก็เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจถึงขีดสุด!
“ขั้นสมบูรณ์…ร่างสุดท้ายงั้นหรือ อาวุโสเพลิงเทพโกลาหลท่านก็คิดไปได้…แต่หากพวกเรามีวันนั้นจริง ในมหาสหัสโลกธาตุแห่งนี้ เกรง่วาคงไม่มีใครสามารถต่อกรรับมือเจ้าหนูผู้นี้ได้อีกต่อไป”
แม้ช่วงแรกๆเสียงของทองเทพสุดลี้ลับจะอ่อนจางคล้ายไม่ได้หวังอะไรมากมาย แต่ช่วงท้ายกลับเผยให้เห็นความหวังอันแรงกล้าประการหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่ากระทั่งตัวมันเองก็อยากยกระดับพัฒนาไปสู่ขั้นสมบูรณ์ กลายเป็นร่างสุดท้ายที่ว่า…
แต่เป็นธรรมดาว่ามันรู้ดี…สิ่งนี้ช่างยากเย็นเหลือเกิน
“มองไปทั่วมหาสหัสโลกธาตุ ไร้ผู้ใดต่อกรกับข้าได้?”
ร่างต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะท้านไปทันใด เมื่อได้ยินวาจาประโยคนี้ของเพลิงเทพโกลาหลและทองเทพสุดลี้ลับ
เขาย่อมรู้เป็นธรรมดา ว่ามหาสหัสโลกธาตุที่ทองเทพสุดลี้ลับกับเพลิงเทพโกลาหลพูดถึงหมายความว่าอะไร มันไม่ใช่แค่นับรวมระนาบโลกียับระนาบเทวโลกทั้งมวล แต่ยังรวมถึงระนาบลี้ลับที่แยกตัวออกไปเป็นอิสระจากระนาบเทวโลก…ดินแดนแห่งทวยเทพทั้งหลาย!
“ท่านผู้อาวุโส แล้วปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินอยู่ที่ไหนหรือ?”
พอฉุกคิดถึง ‘’ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน’ ที่เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยขึ้นก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนก็รีบถามออกไปด้วยความสนใจ เพราะอยากรู้ว่าเขาจะสามารถรับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินนั่นมาด้วยได้อีกไหม
ตอนนี้ในร่างเขามีเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับอยู่ในร่างแล้ว และทั้งคู่ก็มีส่วนช่วยเหลือเขาอย่างมาก หากเขาได้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินมาด้วย แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่รู้ว่ามันช่วยอะไรเขาได้ แต่ต้องให้ผลเลิศล้ำบางอย่างแก่เขาแน่นอน
“เจ้าย้อนกลับไปยังที่ๆเจ้าพึ่งจากมาก่อนเถอะ”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าว
“ย้อนกลับไป…ในย่านซีฟางงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่บ้าง จากนั้นก็หยุดร่างลงอย่างกะทันหัน
“น้องต้วน?”
“เสี่ยวเทียน”
ขณะเดียวกันพอพบว่าอยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็หยุดลงกลางถนน หวงเจียหลงกับไป๋กังก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย ต่างพากันหยุดเท้าลง ค่อยหันไปมองทักต้วนหลิงเทียนความงุนงง
“พี่เจียหลง..อาไป๋ ข้าอยากกลับไปเดินเล่นในย่านซีฟางอีกสักพัก”
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังหวงเจียหลงกับไป๋กังด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวอ้างอย่างขอไปที
“ย้อนกลับไปเดินเล่นที่ย่านซีฟาง?”
ไป๋กังอึ้ง หวงเจียหลงก็ตกใจอยู่บ้าง ทว่าจากนั้นมันก็เริ่มคลี่ยิ้มสนุกสนานเอ่ยยถามว่า “ฮั่นแน่! น้องต้วน…เจ้ากำลังคิดจะกลับไปลองเสี่ยงโชคอีกใช่หรือไม่!?”
“ก็ทำนองนั้นล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เสี่ยวเทียน พวกเรากลับไปก่อนค่อยกลับมาเที่ยวเล่นวันอื่นไม่ดีกว่าหรือ?”
ถึงแม้จะมีเผ่าพยัคฆ์เหินอยู่เบื้องหลัง แต่ด้วยความที่ในมือยังถือเผือกร้อนอย่างกระบี่อมตะจอมราชันเอาไว้ ไป๋กังก็ไม่อาจสบายใจอยู่ได้ มันคิดนำกระบี่อมตะจอมราชันไปซ่อนไว้ยังที่ปลอดภัย และรอคอยให้คนของเผ่าพยัคฆ์เหินมาถึงก่อนค่อยว่ากัน
มีแต่มันนำกระบี่อมตะจอมราชันไปซ่อนแล้วเท่านั้น ถึงจะมั่นใจได้ว่าชีวิตมันมีหลักประกัน เพราะคงไม่มีใครสิ้นหวังถึงขั้นเข่นฆ่ามันที่เป็นคนของเผ่าพยัคฆ์เหิน เพียงเพื่อเสียงจะคุ้ยศพมันที่อาจไม่มีกระบี่อมตะจอมราชันแน่นอน…
แต่หากกระบี่อมตะจอมราชันยังอยู่ในมือมันแบบนี้ ไม่ว่าผู้ใดเข่นฆ่ามันทิ้งไป ก็ย่อมได้รับกระบี่อมตะจอมราชันไปครองทั้งสิ้น! และย่อมไม่ขาดยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่คิดจะเสี่ยงดูสักคราเป็นแน่!!
เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่ก็คืออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน!
ในฐาะนะที่มันเป็นพยัคฆ์เหินลายทองแดง ซึ่งเป็นคนของเผ่าพยัคฆ์เหิน หากไม่ใช่เรื่องสำคัญ…คงไม่มีใครเสี่ยงจะลงมือกับมันให้เป็นการล่วงเกินเผ่าพยัคฆ์เหินอย่างไร้จำเป็น
ทว่าหากกระทำเพื่ออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันแล้ว ชีวิตของพยัคฆ์เหินลายทองแดงเช่นมันยังจะสลักสำคัญอะไร? เหล่ายอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะย่อมมีเหตุผลมากพอให้ลองเสี่ยงดูสักครา!!
“อาไป๋ หรือไม่ท่านกับพี่เจียหลงกลับไปก่อนก็ได้…เดี๋ยวข้าค่อยตามกลับไปทีหลัง และพวกท่านก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยอะไรข้าหรอก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว “และถึงจะมีเรื่องอะไรจริงๆ ข้าก็สามารถส่งข้อความให้พี่เจียหลงได้ทุกเมื่อ”
“นี่…”
ในขณะที่ไป๋กังยังคงลังเลด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็คล้ายมีสายยมหอบหนึ่งกรรโชกผ่านไปเบื้องหน้าพวกมันทั้ง 3 พอรู้ตัวอีกทีเบื้องหน้าก็มีร่างชายชราในชุดดำสนิทปรากฏขึ้นแล้ว
“ผู้เฒ่าโม่!”
เห็นผู้ที่พึ่งลุมาถึง ลูกตาหวงเจียหลงก็ส่องแสงสว่าจ้าทันที
เพราะคนที่พึ่งมาถึงก็คือผู้เฒ่าโม่นั่นเอง!
“ผู้เฒ่าโม่ท่านมาได้จังหวะเหมาะยิ่งนัก…เจ้าหนูทั้ง 2 ข้าต้องฝากท่านดูแลแล้ว”
เมื่อเห็นผู้เฒ่าโม่มาถึง ไป๋กังก็เร่งฝากฝังเรื่องราวกับผู้เฒ่าโม่ แล้วเร่งรุดกลับไปยังพระราชวังหลวงทันที หมายนำกระบี่อมตะจอมราชันไปซ่อนก่อนที่องค์ชาย 9 แห่งประเทศตันจี้จะแพร่กระจายเรื่องราวออกไป
ถึงแม้ตอนนี้ไป๋กังจะเชื่อว่าฮ่องเต้ตันจี้สมควรได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากองค์ชาย 9 แล้ว แต่มันก็ยังเชื่ออีกว่าอาศัยแค่ฮ่องเต้ตันจี้ คงไม่กล้าผลีผลามลงมือทำอะไรเป็นแน่
ฮ่องเต้ตันจี้นั้น…พลังฝีมือก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากฮ่องเต้ฝูชิวมากนัก และที่รั้งอยู่เป็นเจ้าแผ่นดินก็เพราะยากจะก้าวหน้าอันใดได้อีก
ตัวตนเช่นนี้ถึงจะได้รับกระบี่อมตะจอมราชันไปครอง แต่พลังฝีมือก็ใช่จะเพิ่มพูนก้าวกระโดดอะไรมากมาย สุดท้ายย่อมไม่มีกำลังมากพอจะรักษากระบี่อมตะจอมราชันเอาไว้กับตัวได้นาน
นอกจากนี้หากอีกฝ่ายคุ้มคลั่งคิดเสี่ยงปล้นชิง ก็เสมือนละทิ้งประเทศตันจี้อย่างสิ้นเชิง
เพราะสุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระ
จากที่กล่าวมาทั้งหมด นับว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ฮ่องเต้ตันจี้จะคิดสั้น ถึงขั้นมาปล้นชิงกระบี่อมตะจอมราชันไปจากมือไป๋กัง
อย่างไรก็ตามฮ่องเต้ตันจี้ไม่กล้าลงมือเพื่อแบกรับความเสี่ยงใหญ่หลวง แต่ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตราชาอมตะของประเทศตันจี้จะไม่กล้าเสี่ยง!
ผู้ฝึกตนอิสระเหล่านี้มีหลายคนที่ตัวคนเดียว ไร้ชนักปักหลังหรือสิ่งใดให้กังวล
ถึงแม้พวกมันบางคนอาจจะมีห่วงเรื่องศิษย์หรือมิตรสหายอยู่บ้าง แต่อย่างดีก็แค่พาทุกคนอพยพหลบหนีออกจากประเทศตันจี้ ไปจากเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว หรือแม้แต่ไปให้พ้นจากแดนสวรรค์ใต้!
ดังนั้นไป๋กังจึงรู้ดีแก่ใจ ว่าตอนนี้มีเพียงแต่มันต้องนำกระบี่อมตะจอมราชันไปซ่อนไว้ในที่ๆไม่มีใครหาได้พบเท่านั้น ถึงจะสะกดความมุ่งร้ายและจิตละโมบของทุกคนลงได้
ไป๋กังฝากฝังเรื่องราวจบก็เร่งรุดจากไปอย่างไม่รอช้า ทำให้ผู้เฒ่าโม่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็คลายออก
“ผู้เฒ่าโม่”
ต้วนหลิงเทียนเองก็ประสานมือทักทายผู้เฒ่าโม่เช่นกัน
“ผู้เฒ่าโม่ ท่านไฉนมาได้จังหวะนักเล่า?”
หวงเจียหลงเอ่ยถาม
“พ่อเจ้ากังวลว่าไป๋กังกับพวกเจ้าจะเจอมือดีดักปล้นระหว่างทาง จึงคิดให้ข้ามาช่วยเหลือพวกกเจ้าอีกแรง…แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นพ่อเจ้าคิดมากเกินไป”
ผู้เฒ่าโม่กล่าว “อย่างไรเสียเรื่องราวก็พึ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่ทันไร แม้จะเริ่มแพร่กระจายออกไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รู้กันในวงกว้างแน่นอน ตอนนี้สมควรมีคนแค่หยิบมือที่รู้ว่าไป๋กังมีกระบี่อมตะจอมราชันไว้ในครอบครอง”
เมื่อผู้เฒ่าโม่มาถึง มันก็ติดตามต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงย้อนกลับไปยังย่านซีฟาง
และต้วนหลิงเทียนก็เดินไปตามทิศทางที่เพลิงเทพโกลาหลกล่าวบอก จากนั้นไม่นานก็เดินมาถึงร้านค้าหินดิบเล็กๆแห่งหนึ่งในย่านซีฟาง กล่าวไปก็ไม่ได้อยู่ห่างจากร้านค้าหินดิบขององค์ชาย 9 มากมายอะไร
“ยินดีต้อนรับท่านลูกค้า ร้านหินดิบเราแม้จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ผู้ที่ได้รับโชคกลับไปนับว่าไม่ใช่น้อยๆ พวกท่านลองชมดูก่อนเถิดขอรับ ถูกใจหินดิบก้อนใดเพียงบอกข้าน้อยมา…หากท่านซื้อจำนวนมาก ข้าน้อยยังสามารถลดราคาให้ได้บางส่วนขอรับ”
ในร้านค้าหินดิบเล็กๆแบบนี้ ย่อมไม่มีพนักงานที่คอยออกมาดูแลแนะนำ มีก็แต่เจ้าของร้านที่เร่งก้าวอาดๆมาต้อนรับทั้ง 3 ด้วยใบหน้าแย้มยิ้มเท่านั้น
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ค่อยสันทัดเรื่องราคามากมายอะไร แต่เมื่อมีหงเจียหลงอยู่เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเจ้าของร้านเล็กๆแห่งนี้โก่งราคา
‘หรือว่าปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน จะอยู่ในหินดิบ?’
ขณะที่ต้วนหลิงเทียนนึกคิดไปในใจ เขาก็เดินตามคำชี้นำของเพลิงเทพโกลาหล จนในที่สุดก็พบหินดิบก้อนหนึ่งที่สมควรห่อหุ้มปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเอาไว้
‘นั่นไง อยู่ในหินดิบจริงๆด้วย’
หินดิบที่ห่อหุ้มปกคลุมปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเอาไว้ ก็มีรูปลักษณ์คล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ไม่ค่อยจะสมมาตรและใหญ่โตสักเท่าไหร่…
“ข้าเอาหินดิบก้อนนี้”
ต้วนหลิงเทียนหยิบหินดิบก้อนดังกล่าวขึ้นมาทันที และเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย เขาก็สุ่มเลือกหินดิบที่มีขนาดใหญ่กกว่าก้อนที่เขาต้องการเล็กน้อยอีก 2-3 ก้อน “แล้วก็ก้อนนี้ ก้อนนั้น นู่นด้วย…”
“หินดิบเหล่านี้ไม่ได้มีรูปทรงเป็นอาวุธอมตะใดๆ ถึงแม้ด้านในอาจจะมีวัตถุดิบหรืออุปกรณ์อมตะ แต่ก็สมควรเป็นอุปกรณ์อมตะขนาดเล็ก…ยิ่งไปกว่านั้นระดับก็อาจจะไม่ได้สูงมากมาย ราคาจึงค่อนข้างต่ำกว่าหินดิบรูปทรงอาวุธอยู่มาก”
หลังจากต้วนหลิงเทียนเลือกหินดิบที่ต้องการกับสุ่มเลือกมามั่วๆอีก 2-3 ชิ้น หวงเจียหลงก็กล่าวออกมาราวกับจะอธิบายเกล็ดความรู้ให้ต้วนหลิงเทียนฟัง
“สำหรับเรื่องราคา หินดิบเหล่านี้ปกติแล้วก็มีราคาอยู่ที่ราวๆ 300 ผลึกหินอมตะระดับสูงต่อชิ้น”
หวงเจียหลงกล่าวสืบต่อ
ตอนที่ 2,963 : ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3 !?
ได้ยินคำพูดของหวงเจียหลง เจ้าของร้านหินดิบเล็กๆแห่งนี้ก็อดชักสีหน้าสลดออกมาไม่ได้ เพราะรู้ดีว่ายามนี้มันอดรับประทานหมูแล้ว…
อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ได้กำไรมากมายดั่งคาด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีกำไร ธุรกิจก็เป็นแบบนี้…
หลังจับจ่ายผลึกอมตะระดับสูงไปกว่าพันชิ้น ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับหินดิบที่ต้องการมาครอบครอง แต่เขาไม่คิดจะเปิดมันตรงนี้ เลือกที่จะเก็บเอาไว้ในแหวนพื้นที่ทันที
“อั้ยน้องต้วน ไฉนไม่เปิดมันตรงนี้เลยล่า?”
หวงเจียหลงกล่าวถามด้ววยรอยยิ้ม
“กลับไปค่อยเปิดดีกว่า…เกิดได้อุปกรณ์อมตะจอมราชันมาอีกชิ้นจะให้ทำอย่างไร หรือท่านกลัวคนทั้งย่านจะไม่รู้?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้ม
“เหอะๆ น้องต้วน…นี่ท่านเห็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันเป็นหัวผักกาดรึไง?”
หวงเจียหลงหน้าเหวอไปเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนจะกังวลด้วยสาเหตุนี้ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกล่าวสืบต่อว่า “น้องต้วน ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง กระบี่อมตะจอมราชันที่เจ้าพึ่งเปิดได้มานั่นน่ะ นับเป็นอุปกรณ์อมตะจอมราชันชิ้นแรกที่ได้จากหินดิบในรอบหลายหมื่นปีของประเทศตันจี้!”
“อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน?”
เมื่อเจ้าของร้านค้าหินดิบเล็กๆได้ยินบทสนทนาของต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลง ลูกตามันก็หดเล็กลงทันใด
มันเองก็พึ่งได้ยินมาว่าร้านใหญ่ไม่ไกลจากตรงนี้ มีคนเปิดหินดิบได้กระบี่อมตะจอมราชันไปครอง และเจ้าของยังมีความเกี่ยวพันกับเผ่าพยัคฆ์เหิน
และหินดิบที่มีกระบี่อมตะจอมราชันนั่น ก็อยู่ในร้านหินดิบร้านหนึ่งขององค์ชาย 9 แห่งประเทศตันจี้นี่เอง
“กระบี่อมตะจอมราชัน…เป็นเจ้าหนุ่มทั้ง 2 นั่นพบเจอหรือ…”
จนเมื่อพวกต้วนหลิงเทียนเดินออกจากร้านไปได้สักพัก เจ้าของร้านค้าหินดิบเล็กๆค่อยได้สติ อดกล่าวพึมพำออกมาเบาๆด้วยความอิจฉาไม่ได้
“น้องต้วน ไหนๆก็มาแล้ว เข้าไปเดินเล่นด้านในกันต่อเถอะ”
หลังออกจากร้านหินดิบเล็กๆมาแล้ว หวงเจียยหลงที่หันรีหันขวางพักหนึ่ง ก็เอ่ยชวนต้วนหลิงเทียนไปเดินเล่นในย่านซีฟางต่อ
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนคิดจะกลับไปจัดการเปิดหินดิบรับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินตอนนี้เลย แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ดังนั้นจึงไปเดินเล่นในย่านซีฟางกับหวงเจียหลงต่อสักพัก จนเมื่อกองผลึกอมตะในแหวนพื้นที่ของหวงเจียหลงเริ่มหดหายสู่ความเวิงว้างอันไกลโพ้น ทั้งคู่ก็พากันกลับ
หลังจากกลับมาถึงพระราชวังหลวง และลุถึงบ้านลานในวังที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็รีบกลับเข้าห้องหับ เปิดใช้ค่ายกลปิดกั้นในห้อง และนำหินดิบที่สมควรมีปฐพีแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นแรกที่เพลิงเทพโกลาหลกล่าวบอกออกมาทันที
‘ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นแรกงั้นหรือ? ไม่รู้…ว่าหน้าตามันจะเป็นอย่างไร’
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มป่นทำลายหินดิบทันที จากนั้นก็ใช้พลังหอบหิ้วซากธุลีที่ร่วงกราว และดูชมสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในด้วยความสนใจ
และในระหว่างนั้นสำนึกเทวะของเขาก็แผ่ออกไปเช่นกัน
ครู่ต่อมาทั้งสายตาและสำนึกเทวะเขา ก็พบเห็นเป็นกระดองเต๋าอันจิ๋วอันหนึ่ง และยังพบอีกด้วยว่าบนกระดองเต่าเล็กๆดังกล่าว ยังมีลวดลายยิบย่อยแลดูสลับซับซ้อนมากมาย และกระดองเต่าอันจิ๋วที่ว่ายังเยียบเย็นเป็นอย่างมาก
“หืม?”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนตรวจสอบกระดองเต่าชิ้นจิ๋วไปได้สักพัก เขาก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง
นั่นเพราะเขาพบว่ากระดองเต่าดังกล่าวอยู่ๆก็เปล่งแสงรัศมีสีเหลืองออกมา จากนั้นก็ปรากฏแสงสีทองสลัวๆหนึ่งไปปกคลุม หากทว่ากลับถูกแสงสีเหลืองทำลายลงในชั่วพริบตา!
“เพลิงเทพดูท่าสายตาท่านจะฝ้าฟางแล้ว…นี่มันปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 1 กับผีอันใด! มันเป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3 ต่างหาก!!”
เสียงทองเทพสุดลี้ลับโพล่งดังขึ้นในใจต้วนหลิงเทียนอย่างแตกตื่น และแม้จะเป็นการกล่าวคำกับเพลิงเทพโกลาหล แต่ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะใจสะท้าน!
ปะ…ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3!?
เทพแห่งธาตุทั้ง 5 นั้น หากคิดจะยกระดับพัฒนาขึ้นไปสักขั้น ต้องผ่านกระบวนการมากมาย อีกทั้งยังยากเย็นไม่ใช่น้อยหากจะบรรลุถึงขั้นที่ 3 เรื่องนี้ดูจากการพัฒนาของเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 3 ก็เห็นได้ชัดเจน
กระทั่งทองเทพสุดลี้ลับที่เขาได้มาก่อน จนป่านนี้ยังอยู่แค่ขั้นที่ 2 เท่านั้น!
ทว่ากระดองเต๋าอันจิ๋วในมือของเขา กลับเป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3?
“เหอะๆ ข้าเองก็คิดไม่ถึงจริงๆว่าที่แท้มันจะเป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3…แต่ในเมื่อมันก็บรรลุถึงขั้นที่ 3 แล้วไฉนกลิ่นอายพลังของมันถึงได้อ่อนจางบางเบาลงถึงขั้นนี้ได้เล่า?”
เสียงเพลิงเทพโกลาหลดังขึ้นอีกครั้ง ยังฟังดูคล้ายทอดถอนใจไม่น้อย
“เจ้าหนู รีบหยดเลือดลงไปที่มันเร็ว พวกเราจะช่วยหลอมรวมมันเข้ากับเลือดเนื้อเจ้าเอง…ด้วยมีพวกเราช่วยเหลือเจ้าไม่ต้องกลัวว่ามันจะสามารถปฏิเสธเจ้าได้”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าวออกมาอีกครั้ง และยังเป็นการคุยกับต้วนหลิงเทียน
เมื่อเสียงของเพลิงเทพโกลาหลดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ใช้เล็กจิกปลายนิ้วของเขาเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มหยดเลือดลงบนกระดองเต๋าอันจิ๋วที่ว่า
เมื่อหยดเลือดของเขาร่วงตกกระทบกลายเป็นบุปผาโลหิตเล็กๆบนกระดองเต่าได้ไม่ทันไร หยดเลือดของเขาก็คล้ายจะแตกตัววิ่งพล่านไปตามเส้นสายลวดลายยิบย่อยบนกระดองเต่าดังกล่าว
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีพลัง 2 ขุมพวยพุ่งออกจากร่างของเขา แผ่ปกคลุมไปยังกระดองเต่าอันจิ๋วทันที
ครู่ต่อมาก็ปรากฏแสงสีเหลืองเรืองสว่างขึ้นมาคล้ายต่อต้านแสงสีเทากับแสงสีทองอย่างไม่ยินยอม
หากท่าเรื่องราวดำเนินไปได้ไม่ทันไร แสงสีเหลืองก็คล้ายอ่อนระโหยโรยแรง ถูกแสงพลังสีทองกับเทาหลอมกลืนให้ผสานกลับกลายเป็นแสง 3 สีสัน จากนั้นก็เริ่มหวนกลับเข้าสู่ร่างกายเขาอย่างพร้อมเพรียง
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับฉากเรื่องราเบื้องหน้า เพราะกระดองเต่าอันจิ๋วดังกล่าว คล้ายกำลังละลายเป็นของเหลว สุดท้ายก็ซึมหายไปในฝ่ามือของเขา!
ราวกับมันไม่เคยปรากฏมาก่อน!
“มันเข้าไปในร่างข้าแล้ว?”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ใช้สำนึกเทวะส่องภายในร่างเขาทันที สุดท้ายจึงพบว่ากระดองเต๋าอันจิ๋วได้ไปฝังตัวอยู่ที่ต้นแขนขวาเขา
กระดองเต่าที่ฝังตัวในต้นแขนเขา ยังเกาะติดกับกระดูกแนบแน่น หากกสังเกตให้ดีจะพบว่ามันเหมือนจะกลายเป็นเนื้อเดียวกับกระดูกต้นแขนเขาไปแล้ว
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนยังพบอีกว่า ชีพจรสวรรค์ 99 สายในร่างของเขาตอนนี้ กำลังถ่ายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเข้าสู่กระดองเต่าอันจิ๋วที่ว่าอย่างไม่หยุดยั้ง
หากกล่าวให้ถูกต้อง สมควรเป็นกระดองเต่าอันจิ๋วนี่กำลังสูบกลืนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขาอย่างตะกละตะกราม!!
ในกระบวนการดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนยังตระหนักได้ชัดเจนว่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของเขากำลังลดลงอย่างฮวบฮาบ!
หลังเรื่องราวดำเนินไปราวๆ 1 เค่อ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างเขาก้พร่องไปเกือบสองในสิบส่วนแล้ว
“มัน…กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้าง เพราะหากมันยังดูดกลืนพังของเขาด้วยอัตราเร็วขนาดนี้ไม่หยุด คงไม่ถึงวันมีหวังพลังในร่างเขาได้ถูกกระดองเต๋าเล็กจิ๋วนั่นสูบจนแห้งเหือดแน่!
“เจ้าหนูไม่ต้องตกใจไป เจ้านี่มันไร้ร่างต้นมาเป็นระยะเวลานานจึงค่อนข้างหิวโหยอดอยากอยู่บ้าง…มันคงดูดกลืนพลังเจ้าไปไม่กี่วันเดี๋ยวมันก็หยุดไปเอง”
เสียงของเพลิงเทพโกลาหลดังไขข้อสงสัยให้ต้วนหลิงเทียนพอดี “ไม่กี่วันหลังจากนี้เจ้าก็ให้ความร่วมมือกับมันหน่อย ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินและขัดเกลาเปลี่ยนเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดป้อนให้มันกินเสีย…มีเจ้าช่วยมันอีกแรง ไม่นานเดี๋ยวมันก็ตื่นเอง”
“ตื่น?”
พอได้ยินคำอธิบายของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นสองตาเขาก็ลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที
อีกแค่ไม่กี่วัน ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3 ก็จะตื่นแล้วงั้นเหรอ?
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิดฟุ้งซ่านใดๆสืบต่อ เร่งโคจรดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะพลังทันที หากแต่คราวนี้เขาไม่ได้ใช้ผลึกเทพแต่อย่างใด
อาศัยการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะในเวลาไม่กี่วัน เขาไม่จำเป็นต้องใช้ผลึกเทพแต่อย่างใด เพราะเขาไม่ได้บ่มเพาะสั่งสมพลังให้ตัวเอง แต่เสมือนทำอาหารให้กระดองเต่าอันจิ๋วนี่รับประทาน…
และจากความหนาแน่นของพลังวิญญาณฟ้าดินในห้องหับ เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ผลึกเทพเลย แค่เท่านี้ก็สามารถเพาะสร้างพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดให้กระดองเต่าอันจิ๋วนี่รับประทานได้มากเกินพอ
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลัง เพื่อป้อนให้กระดองเต่าดูดซับอย่างตั้งใจในห้องหับ ไม่สนใจเรื่องราวใดๆภายนอกแม้แต่น้อย
ส่วนด้านนอกนั้น ไม่ทันถึงวันเมื่อข่าวเรื่องกระบี่อมตะจอมราชันแพร่กระจายออกไป ก็สร้างความแตกตื่นฮือฮาครั้งใหญ่ในเมืองหลวงประเทศตันจี้
ตราบใดที่ยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตราชาอมตะที่อยู่ในเมืองหลวงของประเทศตันจี้หรือกระทั่งในพื้นที่ใกล้เคียง ไม่มีใครสามารถนั่งเฉยอยู่ได้ ต่างเร่งรุดมารวมตัวกันที่บริเวณใกล้ๆพระราชวังหลวงกันยกใหญ่ จับตาดูวังที่พวกไป๋กังพักอาศัยไม่วางตา
อย่างไรก็ตามแม้จะรับทราบว่ากำลังถูกยนยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะมากมายจับตา แต่ไป๋กังก็แลดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ กระทั่งเห็นว่าทุกคนสมควรมากันมากพอสมควรแล้ว ยังออกมากล่าวประกาศให้เหล่ายอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่มาซุ่มจับตาดูอยู่ได้ยินกันถ้วนหน้า
“สหายทั้งหลาย ข้ารู้ดีว่าพวกท่านมาด้วยสาเหตุอันใด แต่กระบี่อมตะจอมราชันนั่น ข้าได้นำไปซุกซ่อนไว้อย่างดีเรียบร้อยแล้ว…บางทีหนึ่งในพวกท่านอาจหามันพบ แต่ผู้ที่จะพบมันก็ไม่แน่ว่าจะเป็นผู้ที่ฆ่าข้า…”
“ข้าคิดว่าคงไม่มีพวกท่านคนใดอยากฆ่าข้าโดยไม่ได้รับกระบี่อมตะจอมราชัน แถมยังต้องถูกเผ่าพยัคฆ์เหินตามล่ากระมัง?”
วาจาปลอดโปร่งงเสียงดังฟังชัดที่ไป๋กังประกาศออกมา ทำให้เหล่ายอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่มาซุ่มจับตาดูอยู่เต็มพระราชวังหลวงหน้าเหวอไปตามๆกัน หลายคนยังรู้สึกไปไม่เป็นอยู่บ้าง…
“เจ้าไป๋กังนั่นมันเอากระบี่อมตะจอมราชันไปซ่อนไว้แล้วจริงๆหรือ…ใช่มันกำลังหลอกพวกเราอยู่หรือไม่ ที่แท้อาจเป็นมันที่เก็บไว้กับตัว?”
“กระต่ายยังมี 3 โพรง เจ้าคิดว่าหากเจ้าตกอยู่ในสภานการณ์เดียวกันกับมัน เจ้ายังจะกล้าพกกระบี่อมตะจอมราชันไว้กับตัวไม่คิดหาทางหนีทีไล่อันใดไหม? หรือเจ้าเบื่อชีวิตแล้ว?”
“แม้จริงเท็จยากล่วงรู้ แต่ที่รู้คือยามนี้ความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นเป็นทบเท่าทวี…แล้วยังจะมีผู้ใดคิดแบกรับความเสี่ยง? สุดท้ายแล้วการเข่นฆ่ามันตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการท้าทายอำนาจของเผ่าพยัคฆ์เหินแม้แต่น้อย…”
“มิผิด ยิ่งสถานการณ์มาลงเอยอีหร็อบนี้ ยิ่งไม่มีผู้ใดอยากเป็นนกตัวแรก…น่าเสียดายที่ข้ารู้ข่าวนี้ช้าเกินไป ไม่ทันได้ลงมือก่อนที่เจ้าไป๋กังนั่นมันจะเอากระบี่อมตะจอมราชันไปซ่อน”
…
ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตราชาอมตะมากมายยินดีที่จะเสี่ยง แต่ตอนนี้พวกมันก็ไม่อาจแบกรับความเสี่ยงอย่างไร้จำเป็นเพื่อกระบี่อมตะจอมราชันที่ไม่รู้อยู่ที่ไหนได้…แต่พวกมันก็ไม่คิดจะถอนตัวกลับไปโดยง่าย!
ดังนั้นแม้จะผ่านไปอีกเป็นวันหลังไป๋กังประกาศเรื่องราว แต่ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะทั้งหลายก็ยังไม่แยกย้ายจากไปไหน เพียงซุ่มจับตามองความเคลื่อนไหวของไป๋กังอย่างไม่คลาดสายตา หมายฉกฉวยโอกาสใดๆที่อาจจะปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา
3 วันต่อมา…
วันนี้ยังเป็นวันใกล้วันงานประมูลของตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้มากที่สุด
นั่นเพราะพรุ่งนี้ทางตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้ ก็จะจัดการประมูลแล้ว
“ในที่สุดมันก็หยุดเสียที…”
ภายในห้องหับแห่งหนึ่ง หลังสัมผัสได้ว่ากระดองเต่าอันจิ๋วที่หลอมรวมเข้ากับกระดูกต้นแขน บัดนี้ได้เลิกดูดซับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะเดียวกันเขาก็เลิกบ่มเพาะพลังแล้วลืมตาขึ้นมา
“อ๋า…ทองเทพสุดลี้ลับ? ยังมีเพลิงเทพโกลาหลด้วย…หว๋า เพลิงเทพโกลาหลอยู่ในขั้นที่ 3 แล้วด้วย!!”
ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะลืมตามาได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงเล็กแหลมปานเสียงของเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งดังขึ้นเบาๆในร่างของเขา
เป็นเสียงของเด็กน้อย ที่ราวกับพึ่งจะหัดพูดได้คล่องปาก!
“อู้ว ชีพจรสวรรค์ 99 สายด้วยล่ะ! ร่างต้นยอดไปเลย ร่างต้นยอดที่สุด! เฮ่ พวกเจ้าทั้ง 2 รีบออกไปจากร่างต้นเร็วๆ ข้าอยากได้ร่างต้นผู้นี้!!”
เสียงของเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมดังขึ้นอีกครั้ง และเท่าที่ฟังดูแล้ว คล้ายมันจะพึงพอใจร่างกายต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันยังกล่าวทำนองคิดขับไล่เพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับออกไป เพื่อจะได้อยู่ในร่างเขาแค่คนเดียว
“โฮ่…เจ้าหนูนี่นับว่าห้าวหาญไม่เบา! ถึงกับกล้าหาเรื่องกับพวกเราทั้งคู่พร้อมกัน…ทารกน้อยเอย หากข้าไม่ทำให้เจ้าทรมานสักหน่อย เจ้าคงไม่รู้กระมังว่าเจ้ากำลังหาเรื่องกับผู้ใดอยู่…”
เสียงของเพลิงเทพโกลาหลดังขึ้น ฟังแล้วยังดูคล้ายสนุกสนานไม่น้อย “ทองเทพสุดลี้ลับ ดูเหมือนเราท่านจำต้องผนึกกำลังกันอีกครา…”
“ข้าก็ว่างั้น”
สิ้นเสียงชราที่แลคล้ายสนุกสนาน เสียงขรึมของทองเทพสุดลี้ลับก็ดังขึ้น
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนที่ส่องภายในชมดูเรื่องราวภายในร่าง ก็พบว่าปรากฏพลังสีเทาพวยพุ่งออกมาจากเพลิงเทพโกลาหล พร้อมพลังสีทองที่แผ่ซ่านออกมาจากทองเทพสุดลี้ลับ กำลังม้วนผสานดั่งมังกรคู่ผกผันพุ่งไปยังกระดูกต้นแขนด้านขวาของเขา
กล่าวให้ชัดพวกมันพุ่งไปยังกระดองเต๋าเล็กจิ๋วที่ผสานหลอมรวมกับกระดูกต้นแขนขวาของเขา
และเมื่อพลังที่รวมผสานพัวพันไปดั่งมังกรคู่ผกผันกำลังจะพุ่งเข้าสู่กระดองเต่าเล็กจิ๋วนั่น เขาก็เห็นว่ากระดองเต่าเล็กจิ๋วได้เปล่งพลังสีเหลืองออกมาปกคลุมไว้ทั่วตัวกระดอง ลวดลายบนกระดองยังเรืองสว่าขึ้นมาเจิดจ้า
จากนั้นมวลพลังแสงมหาศาลขุมหนึ่งก็เริ่มหลั่งไหลทะลักออกจากกระดองจิ๋ว พุ่งไปต้านทานรับมือพลังแสงสีเทากับทองของเพลิงเทพโกลาหลแทองเทพสุดลี้ลับบอย่างห้าวหาญ!
หากทว่าผ่านไปสักพัก…
“โอ๊ย! โอ๊ย! หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้! พวกเจ้ามันจะไร้ขีดจำกัดล่างเกินไปแล้ว! ถึงพวกเจ้าจคิดจะสู้กับข้าเพื่อร่างต้น แต่ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าต้องเข้ามาทีละคนหรือไง? ทำไมมารุมรังแกข้าคนเดียวล่ะ! เจ้าพวกหน้าไม่อาย! อ๊าว พอได้แล้ว!!”
แม้จะไม่รู้ว่าการรบเร้าของพลังสามสายเป็นอย่างไร แต่เห็นได้ชัดว่าปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกำลังเจ็บปวดทรมานไม่น้อย เสียเล็กแหลมร่ำร้องเจื้อยแจ้วออกมาบอกให้หยุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยังไม่ลืมก่นด่าเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับไม่ขาดปาก…
ตอนที่ 2,964 : ไป๋เจิ้นเยว่! รองหัวหน้าเผ่าพยัคฆ์เหิน?
อย่างไรก็ตามแม้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินจะร่ำร้องเสียงหลง ขอให้เพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับหยุดเพียงใด ทว่าทั้งคู่ก็ไม่คิดหยุดมือเพราะคำวิงวอนของมันเลย
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินนั้น มันก็คือ 1 ในเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เช่นกัน ย่อมมีความถือดีและความภาคภูมิใจในตัวเองสูงลิบ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่รวมกับเทพแห่งธาตุอื่นๆในร่างต้นเดียวกัน
ดุจเดียวกับสถานการณ์ของเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับในตอนแรก ตอนที่เพลิงเทพโกลาหลยังอยู่ในขั้นที่ 2 ก็ได้พิจารณาข้อเสนอของทองเทพสุดลี้ลับอยู่นาน กว่าจะเห็นชอบเรื่องอยู่อาศัยในร่างต้นเดียวกัน
และในตอนนั้นทองเทพสุดลี้ลับก็ได้ยื่นข้อเสนอว่าจะให้ความร่วมมือกับเพลิงเทพโกลาหล โดยการช่วยเหลือเพลิงเทพโกลาหลเรื่องกลืนกินเพลิงเทพโกลาหลอื่นๆในภายภาคหน้า
ต่อมาทองเทพสุดลี้ลับก็ได้กระทำตามคำพูด และช่วยให้เพลิงเทพโกลาหลได้กลืนกินเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 2 ที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าได้สำเร็จ จนในที่สุดก็สามารถบรรลุถึงขั้นที่ 3 ได้อย่างราบรื่น
‘ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินนี้ ฟังจากเสียงแล้วเสมือนเด็กน้อยที่พึ่งหัดพูดได้คล่องปาก…แต่จากน้ำเสียงแน่วแน่ของมัน เห็นได้ชัดว่าไม่อยากอยู่ในร่างข้าร่วมกับเพลิงเทพโกลาหลและทองเทพสุดลี้ลับ…’
หลังได้ยินคำพูดของปฐพีแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักถึงจุดนี้ได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลย
เพราะเขาเชื่อว่าในเมื่อเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับเลือกจะหลอมรวมอีกฝ่ายเข้าร่าง ทั้งคู่สมควรเตรียมการรับมือมาเป็นมั่นเหมาะแล้ว
หาไม่แล้วคงเป็นไปไม่ได้เลยที่เพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับจะเสี่ยงทำเรื่องนี้ จนอาจเป็นเหตุให้ตัวเองต้องสูญเสียร่างต้นไป
“หึหึ…”
ได้ยินเสียงร่ำร้องโอดครวญทั้งก่นด่าของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ทองเทพสุดลี้ลับหัวเราะออกมาเบาๆ ค่อยกล่าวออกเสียงขรึมว่า “สหายตัวน้อย…ดูเหมือนเจ้าจักยังไม่เข้าใจสถานการณ์เอาเสียเลย…”
“เพลิงเทพโกลาหลกับข้า พวกเราได้บรรลุข้อตกลงเรื่องอยู่อาศัยในร่างต้นเดียวกันแล้ว…พวกเราที่อาศัยอยู่ในร่างต้นเดียวกัน จักร่วมมือและต่อสู้ช่วงชิงกับเทพแห่งธาตุตนอื่นๆในใต้หล้า!”
“ตอนนี้ต่อให้เจ้าคิดขับไล่พวกเราคนใดคนหนึ่งออกไป อีกคนย่อมไม่มีวันยอมแน่นอน และอย่าหวังว่าในบรรดาพวกเราจะมีใครจะเข้าข้างเจ้า…”
“เช่นนั้น…สหายตัวน้อยเจ้า เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้แล้วหรือยัง?”
เสียงกล่าวท้ายประโยคของทองเทพสุดลี้ลับ พาลให้คิดว่าหากมันมีใบหน้าไม่พ้นต้องกำลังแสยะยิ้มด้วยความสาสมใจอยู่เป็นแน่!
เพราะในฐานะที่มันเป็นแค่ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 แล้ว การได้รังแกเอาชนะปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3 ได้ ทำให้มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก บังเกิดความฮึกเหิมลำพองอยู่บ้าง!
“ผู้ใดเป็นสหายตัวน้อยของเจ้า! เจ้ามันก็แค่ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 เท่านั้น! ส่วนนายท่านปฐพีเทพผู้นี้อยู่ในขั้นที่ 3 แล้วนะ! หากเจ้าเรียกข้าว่าสหายตัวน้อย ข้าก็จะเรียกเจ้าว่าสหายตัวน้อยกว่า!!”
เสียงเจื้อยแจ้วของปฐพีแรกกำเนิดฟ้าดิน เปี่ยมล้นไปด้วยความไม่พอใจถึงขีดสุด อย่างไรก็ตามฟังแล้วไม่ได้มีพลังอำนาจขู่ขวัญผู้คนแม้แต่น้อย เพียงสร้างได้ก็แต่ความระคายแก้วหูเท่านั้น
“เหอะๆ ข้าฟังจากน้ำเสียงของเจ้าแล้ว มิใช่เจ้ามันก็แค่เด็กน้อยยังไม่โตหรือไร ข้าเรียกเจ้าว่าสหายตัวน้อยข้าผิดอันใด?”
ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวออกเสียงขรึมทำนองหยอกล้อ ยังเอ่ยยถามต่อว่า “หรือ…สหายตัวน้อยเจ้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้…เช่นนั้นพวกเรามาเล่นกันอีกสักคราเถอะ!’
“หน้าด้าน! ขี้โกง! ไร้ยางอายที่สุด! หากเจ้าแน่จริงก็มาสู้กับข้าตัวๆซี่!!”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นขึ้ง
“สู้กับเจ้าตัวๆ? แม้พวกเราล้วนเป็นหนึ่งในเทพแห่งงธาตุทั้ง 5 แต่ข้ายังรั้งอยู่ในขั้นที่ 2 เท่านั้น ทว่าเจ้าอยู่ในขั้นที่ 3 แล้ว…ให้ข้าสู้กับเจ้าตัวๆ ไม่ใช่ว่าข้าเป็นตัวโง่งมแล้วหรือ?”
ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวปฏิเสธอย่างไม่ไยดี “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรามาสนทนาภาษาธุรกิจกันเถอะ…ตกลงเจ้าจะอยู่ร่วมกับพวกเราในร่างต้นเดียวกัน หรือเจ้าจะออกไปหาร่างต้นคนใหม่?”
“หากข้าเดาไม่ผิด…สาเหตุที่ไฉนกลิ่นอายพลังของเจ้าถึงได้เบาบบางจนแทบเหือดหายไปอยู่รอมร่อ ไม่พ้นร่างต้นคนก่อนหน้าของเจ้าถูกเข่นฆ่าสังหารใช่หรือไม่ อีกทั้งในยามที่ร่างต้นเจ้าตกตายร่างต้นของอีกฝ่ายก็คงตายตกไปพร้อมกัน ตัวเจ้าจึงไร้ที่ไป สุดท้ายก็สิ้นสูญพลังจนเกือบหมด?”
ทองเทพสุดลี้ลับเอ่ยคาดเดา
ได้ยินคำพูดขอทองเทพสุดลี้ลับปบพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวตอบ แต่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงทะนงตัว “ในฐานะที่พวกเราเป็นเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เหมือนกัน ไยเจ้าถึงไม่มีศักดิ์ศรีเลยเล่า? เจ้าไม่คิดหรือว่าการอาศัยอยู่ในร่างต้นเดียวกันมันไร้ศักดิ์ศรี?”
“ศักดิ์ศรี?”
ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวด้วยน้ำเสียงขบขัน
“สหายตัวน้อย ข้าขอบอกต่อเจ้าตามตรง ข้าเองก็เคยคิดเช่นเดียวกับเจ้า…”
ตอนนี้เองเสียยงชราของเพลิงเทพโกลาหลพลันดังขึ้นอย่างละมุนหู “ตอนแรกที่ทองเทพสุดลี้ลับพาร่างต้นมาพบเจอกับข้า มันก็เสนอให้ข้าอาศัยอยู่ในร่างต้นร่วมกันเช่นนี้ หากทว่าด้วยอัตตาของเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ทั้งศักดิ์ศรีที่เจ้ากล่าวถึง ข้าจึงไม่คิดใช้ร่างต้นร่วมกับผู้ใดเหมือนเจ้า…”
“หากแต่สิ่งที่ทองเทพสุดลี้ลับเสนอให้ข้าในวันนั้น กลับทำให้ความเชื่อมั่นของข้ามีอันต้องสั่นคลอน”
“ต่อมาปรากฏว่า หนทางที่ข้าเลือกนั้น นับว่าถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง…เพียงละทิ้งอัตตาและศักดิ์ศรีอันใดของเทพแห่งธาตุทั้ง 5 อันไร้สาระนั่นไปเสีย แล้วเลือกหนทางที่ทำให้ได้รับประโยชน์โดยที่ไม่มีผลเสียอันใด นับเป็นเรื่องประเสริฐที่สุด!”
คำพูดของเพลิงเทพโกลาหลนั้น ชวนให้ผู้ฟังคล้อยตามไม่น้อย
“มันเสนออะไรให้เจ้า?”
เสียงเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมดังขึ้นอีกครั้ง และยังแฝงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นชัดเจน
“ตอนนั้นตัวข้ายังเป็นเพียงเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 2…และทองเทพสุดลี้ลับที่เป็นขั้นที่ 2 เช่นกันก็ได้ยื่นข้อเสนอให้ข้า ว่าหากวันใดที่ข้าเจอเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 2 เหมือนกัน มันจะช่วยข้าต่อกรรับมือศัตรูและช่วยให้ข้าดูดซับกลืนกินศัตรู!”
“สหายตัวน้อยเจ้าเชื่อหรือไม่…หลังจากนั้นข้ากลับพบเจอเข้ากับเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 2 เข้าจริงๆ อีกทั้งอีกฝ่ายยังบรรลุถึงขั้นที่ 2 มานานกว่าข้า ตบะพลังแก่กล้ากว่าข้ายิ่งนัก หากต้องสู้กับมันผู้ที่จักต้องสลายหายกลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้อื่นไม่พ้นเป็นข้าแน่แท้…แต่ด้วยมีทองเทพสุดลี้ลับช่วยเหลือ ข้าจึงได้ชัย! กลืนกินเจ้านั่นลงได้สำเร็จ โดยที่ข้ายังเป็นตัวข้า สำนึกสติยังคงเป็นของข้า ไม่ใช่หินรองเท้าให้ผู้อื่น!!”
เพลิงเทพโกลาหลยังคงกล่าวออกมา ด้วยน้ำเสียงชวนระทึก
จังหวะนี้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินถึงกับนิ่งฟังเรื่องราวโดยไม่ส่งเสียงใดๆ
“สหายตัวน้อย ตราบใดที่เจ้าอาศัยอยู่ในร่างต้นร่างนี้กับพวกเรา…วันหน้าจริงอยู่หากเจ้าพบเจอปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินที่อ่อนด้อยกว่าขั้นที่ 3 เจ้าคงสามารถเอาชนะและกลืนกินมันได้ไม่ยาก แต่ถ้าเจ้าเจอขั้นที่ 3 ที่บรรลุก่อนเจ้าเล่า? หรือแม้กระทั่งขั้นที่ 4 เจ้าจักทำอย่างไร? ทว่าหากเจ้ามีพวกเราช่วยเหลืออย่าว่าแต่ขั้นที่ 3 ที่ทรงพลังเหนือเจ้าเล็กน้อย ให้เป็นขั้นที่ 4 ที่ไม่แกร่งกล้ามากนัก พวกเราก็ช่วยให้เจ้าเป็นฝ่ายกลืนกินมันได้!!”
ทองเทพสุดลี้ลับยังกล่าวเสริมออกมา
“เจ้าพูดมันก็ง่ายนี่นา…ถ้าข้าเจอปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 4 ที่แข็งแกร่งมากๆล่ะ…ถึงตอนนั้นจะมีพวกเจ้าช่วยก็จริงแต่สุดท้ายไม่พ้นก็ต้องแพ้พ่ายและข้าต้องถูกกินอยู่ดีนี่นา และพอมันกลืนกินข้าได้ร่างต้นนี้ก็จักตกเป็นของมัน พวกเจ้าเองก็สู้มันไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องถูกขับไล่ไปอยู่ดี จากนั้นไม่ใช่ว่าพวกเจ้าที่ไร้ร่างต้นทั้งยังบาดเจ็บเพราะถูกขับไล่ ก็ต้องมีอันต้องถูกทองเทพสุดลี้ลับตนอื่นหรือเพลิงเทพโกลาหลตนอื่นกลืนกินอยู่ดีหรือไร?”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเผยความกังวลออกมา
“ทุกเรื่องราวในใต้หล้ามีทั้งกำไรและขาดทุน…เจ้าไม่อาจมองแต่ข้อเสีย ไยไม่เปิดใจมองชมข้อดี? เพียงแค่ละทิ้งอัตตาความภาคภูมิใจอันใด อนาคตอันสดใสก็รอเจ้าอยู่! จักไปเลือกหนทางอันมืดมิดอย่างที่เคยเป็นมาทำอะไร…มองย้อนกลับไปตอนนั้น เจ้าใช่เห็นอนาคตอันใดหรือไม่?”
กล่าวถึงจุดนี้เพลิงเทพโกลาหลก็หยุดลงอย่างเหมาะสม
“ละทิ้งอัตตา อนาคตสดใสรออยู่…ละทิ้งอัตตา อนาคตสดใสรออยู่…จักไปเลือกหนทางอันมืดมิดอย่างที่เคยเป็นมาทำอะไร…หากเกิดเรื่องนั้นขึ้นซ้ำร้อยเดิม ข้ายังจะเห็นอนาคตอีกไหม…”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวพึมพำทวนซ้ำคำพูดของเพลิงเทพโกลาหล และลองมองยย้อนกลับไปในอดีตทั้งคิดไตร่ตรองอยู่ราวๆหนึ่งก้านธูป จากนั้นมันก็ตัดสินใจเลือกที่จะเชื่อฟังทั้งคู่ ยินดีอยู่อาศัยในร่างต้วนหลิงเทียนกับเพลิงเทพโกลาหลและทองเทพสุดลี้ลับ
เห็นสถานการณ์เป็นไปได้ด้วยดี ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ถึงแม้ว่าตัวเขาจะเป็น ‘ร่างต้น’ แต่ก็ไม่อาจเข้าไปแทรกแซงสอดปากระหว่างที่ทั้ง 3 กำลังสนทนากันได้เลย เรียกว่าทำได้แค่นั่งฟังเพลิงเทพโกลาหล ทองเทพสุดลี้ลับ และปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินอยู่วงนอก
แต่ช่วยไม่ได้ เพราะเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เลย
โชคดีที่ผลลัพธ์ทำให้เขาพอใจ
‘เพลิงเทพโกลาหลสามารถใช้ต่างเพลิงอมตะได้…ส่วนทองเทพสุดลี้ลับก็สมารถใช้ต่างอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณได้…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ ‘ไม่รู้ว่าปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ที่เป็นหนึ่งในเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เหมือนกับเพลิงเทพโกลาหลและทองเทพสุดลี้ลับจะช่วยอะไรข้าได้บ้าง…’
ในขณะที่เพลิงเทพโกลาหล ทองเทพสุดลี้ลับบและปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกำลังสนทนากันไปอย่างออกรส..
“ว่าแต่ ไฉนเจ้าถึงไปอยู่ในหินดิบได้?”
อยู่ๆเพลิงเทพโกลาหลก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“เมื่อหลายปีก่อนตอนที่ข้ายังอยู่ในขั้นที่ 2 ข้าได้พบเจอเข้ากับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 2 เหมือนกัน…ในการปะทะกันระหว่างข้ากับมันนับว่าไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ และร่างต้นของข้ากับมันก็กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายก็ดันตายตกไปด้วยกันทั้งคู่…”
“จากนั้นการต่อสู้ระหว่างข้ากับปฐพีเทพอีกตน ในที่สุดก็เป็นข้าที่โชคดีเอาชนะมันและเป็นฝ่ายที่กลืนกินมันได้สำเร็จ จนพัฒนาขึ้นสู่ขั้นที่ 3 ได้อย่างราบรื่น…ทว่าพลังที่ข้ามีตอนนั้น ก็เหลือไม่พอที่จะออกไปตามหาร่างต้นคนอื่น”
“ดังนั้นข้าที่ไร้หนทางเลือกอื่นใด เพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง ข้าก็เลยอาศัยหินดิบปกคลุมร่าง เพื่อลดการสูญเสียพลังประคองสภาพ…”
“หลังจากอยู่ในหินดิบแล้วข้าก็ผล็อยหลับไป…ส่วนหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นพวกเจ้าก็รู้แล้ว ร่างต้นได้มาพบข้าเพราะการแนะนำของพวกเจ้า”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว
ถึงแม้ว่าเทพแห่งธาตุทั้ง 5 จะสามารถผละออกจากร่างต้นได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่หากไร้ร่างต้นให้อยู่อาศัยเป็นเวลานานล่ะก็ แม้จะไม่ถึงขั้นดับสูญไป แต่พลังในร่างกายก็สูญเสียไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ต้องเข้าสู่สภาวะหลับไหลเป็นเวลานาน…
และหากมีเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ตนอื่นมาพบเจอในขณะที่กำลังหลับไหลล่ะก็ แม้จะมีขั้นที่สูงกว่า แค่ก็ไม่พ้นถูกอีกฝ่ายกลืนกินเอาได้ง่ายๆ
ดังนั้นเทพแห่งธาตุที่สามารถพัฒนามาสู่ขั้นที่ 2 ได้แล้ว มักจะแสวงหาร่างต้นที่เหมาะสม เพื่อลดโอกาสที่จะถูกผู้อื่นกลืนกิน…
ยิ่งไปกว่านั้นหากได้ร่างต้นที่เก่งกาจ ก็ยังมีโอกาสได้กลืนกินเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ประเภทเดียวกัน และสามารถบรรลุความก้าวหน้า พัฒนาร่างไปสู่ขั้นที่สูงกว่ามากขึ้น…
“อย่างที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด…”
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวคาดเดาก่อนหน้านั้น ถูกเผง!
“ฮ่าๆๆๆ!!”
ทันใดนั้นเอง อยู่ดีก็มีเสียงหัวเราะดังสนั่นปานฟ้าคำรน กึกก้องออกมาจากด้านนอก
“ในที่สุด ข้า ไป๋เจิ้นเยว่ ก็ได้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันมาครอง!”
หลังเสียงหัวเราะหยุดลง เสียงชราหนึ่งก็ดังขึ้นตามหลัง ยังดังประหนึ่งฟ้าร้องเหมือนเคย สนั่นกึกก้องไปทั่วพระราชวังหลวงของประเทศตั้นจี้!
“ไป๋เจิ้นเยว่?”
ต้วนหลิงเทียนชะงักไปเล็กน้อย “คนผู้นี้ หรือจะเป็น 1 ใน 2 รองหัวหน้าเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว?”
พอได้ยินอีกฝ่ายกล่าวถึงเรื่องได้ครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน ทั้งได้ยินว่าอีกฝ่ายมีแซ่ไป๋ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นคนจากเผ่าพยัคฆ์เหิน
นอกจากนี้ยังเป็นคนของเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว ที่เร่งรุดเดินทางมาด้วยความเร็วสูงสุด หลังได้รับแจ้งเรื่องราวของกระบี่อมตะจอมราชันจากไป๋กัง
และฟังจาคำพูดที่ว่าตัวมันเองก็คือเจ้าของอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน เห็นได้ชัดว่าฐานะในเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวของอีกฝ่ายคงสูงส่งไม่น้อย
‘ในเวลาแค่ไม่กี่วันกลับเดินทางจากเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวมาถึงเมืองหลวงของประเทศตันจี้ได้…สิบในสิบคนผู้นี้สมควรเป็น 1 ใน 2 รองหัวหน้าเผ่าพยัคฆ์เหิน ยิ่งไปกว่านั้นสมควรเป็น 1 ใน 3 ราชาอมตะ 10 ทิศของเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว’
ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนก็มีได้ฟังเรื่องราวจากหวงเจียหลงมาบ้าง
ว่าภายในเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น มีพยัคฆ์เหินลายทองทั้งสิ้น 5 คน และ 3 ใน 5 ก็ล้วนบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ และทั้ง 3 ที่ว่า ก็ล้วนเคยพบพานโชควาสนาครั้งใหญ่มาทั้งสิ้น
เพราะโดยทั่วไปแล้ว พยัคฆ์เหินลายทองที่เป็นเพียงสัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูง ตราบใดที่ไม่ตกตายไปเสียก่อน เรื่องจะบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นว่าจะช้าหรือเร็ว…
หากทว่าคิดจะก้าวหน้าและทะลวงด่านพลังไปอีกขึ้นจนบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศได้นั้น จำต้องพบพานโชควาสนาไม่น้อย!
กล่าวได้ว่าพยัคฆ์เหินลายทอง 3 ใน 5 ของคฤหาสน์เฉวียนโยว ล้วนเคยพบพานโชควาสนาครั้งใหญ่มาแล้ว จึงสามารถบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศได้อย่างทุกวันนี้!
‘อาไป๋เคยเล่าให้ฟังว่า…ในเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น มีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันอยู่แค่ชิ้นเดียวเท่านั้น และยังอยู่ในมือของหัวหน้าเผ่า’
‘ส่วนรองหัวหน้าเผ่าทั้งสองก็เป็นราชาอมตะ 10 ทิศดุจเดียวกัน และทั้ง 3 ก็คือราชาอมตะ 10 ทิศของเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว’
ด้วยรู้เรื่องดังกล่าวมาก่อนต้วนหลิงเทียนจึงเดาได้ไม่ยากว่า ไป๋เจิ้นเยว่ ที่เดินทางมาถึงพระราชวังหลวงของประเทศตันจี้ผู้นี้ สมควรเป็น 1 ใน 2 รองหัวหน้าเผ่าของเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว!
ตอนที่ 2,965 : วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดิน เวทย์พลังระดับราชาธาตุลม
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังคาดเดาได้อีกด้วยว่า…
ยอดฝีมือนาม ไป๋เจิ้นเยว่ ผู้นี้ สมควรมีพลังฝีมือเหนือกว่ารองหัวหน้าเผ่าอีกคนของเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวเสียอีก! ถึงเป็นผู้ที่ได้รับเลือกจากเผ่าให้ครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันก่อน!!
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคาดเดาเรื่องราวในใจ สถานการณ์ด้านนอกตอนนี้ เหล่าคนที่มารวมตัวกันในพระราชวังหลวงของประเทศตันจี้ ก็ล้วนบังเกิดความระส่ำระสายอย่างยากจะสงบลงได้!
“ไป๋เจิ้นเยว่? มัน…มันถึงกับมาที่นี่ด้วยตัวเองเชียวหรือ!?”
“จ้าวสวรรค์ช่วย! ไป๋เจิ้นเยว่ผู้นี้มิใช่ยอดฝีมืออันดับ 2 ของเผ่าพยัคฆ์เหินสขาคฤหาสน์เฉวียนโยวเราหรือไร? พลังฝีมือของมันนับว่าเป็นรองก็แต่หัวหน้าเผ่าพยัคฆ์เหินเพียงผู้เดียวเท่านั้น!!”
“เผ่าพยัคฆ์เหินมีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันชิ้นหนึ่งและอยู่ในมือหัวหน้าเผ่า…ตอนนี้ดูเหมือนอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันชิ้นที่ 2 ของเผ่าจะเป็นของมัน!”
“ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่ามันจะมาด้วยตัวเอง…เช่นนั้นพวกเราก็เสมือนถูกลิขิตให้ไร้วาสนากับกระบี่อมตะจอมราชันนั่นแล้วล่ะ!”
…
แม้ไม่กี่วันก่อนจะมีราชาอมตะมากมายที่มารวมตัวกันในพระราชวังหลวงเลือกที่จะถอนตัวจากไป แต่หลังจากนั้นก็มียอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะของ 3 นิกาย 2 ตระกูลมาสมทบเพิ่ม
นี่ก็ช่วยไม่ได้ กระบี่อมตะจอมราชันมันน่าลุ่มหลงเกินไป!
ถึงแม้ว่าต่อให้เป็น 3 นิกาย 2 ตระกูลอันเป็นขุมกำลังระดับ 7 ก็จะไม่มีพลังอำนาจพอจะรักษากระบี่อมตะจอมราชันเอาไว้ได้…
อย่างไรก็ตามในฐานะที่เป็นขุมกำลังใต้สังกัดคฤหาสน์เฉวียนโยว หากพวกมันสามารถแย่งชิงกระบี่อมตะจอมราชันมาได้จริงๆ ต่อให้พวกมันไม่อาจเก็บไว้ใช้ได้เอง ก็ยังสามารถมอบให้คฤหาสน์เฉวียนโยวเพื่อรับของรางวัลได้อยู่…
ด้วยเหตุนี้ 3 นิกาย 2 ตระกูลก็ได้ลอบส่งมือดีมาที่พระราชวังหลวงของประเทศตันจี้แห่งนี้ หมายฉกฉวยสถานการณ์เช่นกัน!
แน่นอนว่านอกจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลแล้ว ยังมีคนของขุมกำลังต่างๆอีกมากมาย ไม่เว้นยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะของกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระ
ตัวตนระดับสูงของขุมกำลังระดับ 8 ที่ทราบข่าว ก็มารวมตัวอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ทว่าพวกมันมาเพื่อชมดูความบันเทิงมากกว่า ไม่ได้คิดกวนน้ำจับปลาอันใด!
(กวนน้ำจับปลา = พอกวนน้ำตะกอนอะไรก็จะฟุ้งทำให้น้ำขุ่น ถึงตอนนั้นก็เหมือนกับ ‘จับปลาน้ำขุ่น’ ยากจะบอกได้ว่าสุดท้ายใครจะได้ปลา)
พวกมันนั้นเดิมทีก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าประเทศตันจี้ที่เป็นขุมกำลังประเภทประเทศอมตะระดับ 8 อยู่แล้ว เช่นนั้นจึงสำเหนียกตัวเองดี ว่าเนื้อชิ้นนี้มันใหญ่เกินกว่าจะกลืนลงคอ
ฟั่ฟฟฟ!!
และวันนี้ยังเป็นวันที่ผู้คนทั้งพระราชวังหลวงถูกลิขิตให้จดจำไว้ไม่มีวันลืม! เพราะไม่ว่าใครในเมืองหลวงก็ล้วนได้ยินเสียงกระบี่หอนกรีดอากาศ ที่ดังสนั่นขึ้นมาจากน่านฟ้าพระราชวังหลวง!!
จากนั้นผู้ที่มีสายตาแหลมคมหน่อย ก็แลเห็นได้ทันที ว่าหลังสิ้นเสียงตวัดกระบี่ฉับไว ก็ปรากฏคลื่นพลังสะบั้นสายหนึ่งพุ่งวาบตัดฟ้าไปด้วยความเร็วดุจประกายแสง! รู้ตัวอีกทีเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปหลายสิบลี้ ก็ถูกหั่นผ่าแบ่งเป็น 2 ซีกเสียแล้ว!!
หากผู้ใดเข้าไปชมดูใกล้ๆเขาลูกนั้น จะพบว่าไม่ใช่แค่ตัวขุนเขาเท่านั้นที่ถูกหั่นผ่า กระทั่งผืนดินด้านหลังยังปรากฏรอยแยกลึกไม่เห็นก้นอันน่ากลัว ลากยาวไปอีกหลายลี้!
พลังอานุภาพของหนึ่งกระบี่ที่ตวัดออกครานี้ ช่างสะท้านสะเทือนขวัญผู้คนยิ่งนัก!
“นี่คือพลังของราชาอมตะ 10 ทิศที่ถือครองกระบี่อมตะจอมราชันในมืองั้นหรือ…”
“มันไหนเลยเป็นราชาอมตะ 10 ทิศเฉยๆ…อย่าได้ลืมเสียเล่า ไป๋เจิ้นเยว่ผู้นั้นก็คือพยัคฆ์เหินลายทอง สัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูง! พลังของมันกล้าแข็งเหนือกว่าราชาอมตะ 10 ทิศทั่วไปมากโข!”
“มิผิด…พยัคฆ์เหินลายทองที่บรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศได้ ยามมันถือกระบี่อมตะจอมราชันในมือแบบนี้ ข้าเกรงว่าในหมู่ผู้ฝึกตนขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศมนุษย์ คงมีน้อยคนนักที่รับมือมันได้!”
“พลังของมันร้ายกาจเกินไป…ให้มองทั้งคฤหาสน์เฉวียนโยว แต่ผู้ที่มีพลังมากพอจะช่วงชิงกระบี่อมตะจอมราชันไปจากมือมันได้ เกรงว่าคงมีเพียงหยิบมือเดียว”
“ยังน้อยถึงขั้นนับได้ด้วยมือข้างเดียวด้วยซ้ำ…และยังต้องเป็นผู้ที่ถือครองอุปกรณ์อมตะจอมราชันเช่นกัน! ทว่าตัวตนเช่นนั้นก็คงไม่มีทางลงมือเด็ดขาด!!”
“มิผิด และต่อให้ตัวตนเหล่านั้นคิดช่วงชิงจริงๆ ทว่าผู้คนในขุมกำลังเดียวกันไม่พ้นต้องยืนกรานคัดค้านแน่นอน เพราะพวกมันจะน้อยจะมากก็ต้องคำนึงถึงเผ่าพยัคฆ์เหินทั้งเผ่าเบื้องหลังไป๋เจิ้นเยว่อีกด้วย”
“และเรื่องของเรื่องก็คือ…กระบี่อมตะจอมราชันเล่มนี้ เป็นคนของเผ่าพยัคฆ์เหินได้มาจากการเล่นพนันหินอย่างชอบธรรม หากจะช่วงชิงก็คงต้องเตรียมคำอธิบายดีๆให้เผ่าพยัคฆ์เหินกันหน่อยแล้ว!”
…
ด้วยประกาลฉะนี้ กระบี่อมตะจอมราชันที่พึ่งปรากฏขึ้นในเมืองหลวงประเทศตันจี้ได้ไม่กี่วัน ในที่สุดก็มีเจ้าของอย่างเป็นทางการ!
และเนื่องจากพลังฝีมือส่วนตัวรวมถึงอำนาจขุมกำลังเบื้องหลังของผู้ครอบครอง จึงไม่มีใครกล้าพูดเรื่องช่วงชิงกระบี่อมตะจอมราชันอีกต่อไป…
เหล่ายอดฝีมือของขุมกำลังต่างๆที่เร่งรุดเดินทางมาจากแดนไกล ก็มีอันต้องผิดหวัง ได้แต่กลับบ้านมือเปล่า
สำหรับยอดฝีมือของขุมกำลังระดับ 8 ในละแวกใกล้เคียงที่มาชมดูเรื่องราวสนุกสนานโดยเฉพาะ ต่างเลือกที่จะรั้งอยู่ในเมืองหลวงตันจี้ต่ออีกสักพัก
เพราะอย่างไรเสียพรุ่งนี้ทางตระกูลราชวงศ์ประเทศตั้นจี้ก็จะจัดงานประมูลขึ้นมาแล้ว ในเมื่อพวกมันอุตส่าห์เดินทางมา เช่นนั้นก็เข้าร่วมการประมูลมันเสียเลย อย่างน้อยๆการเดินทางมาคราวนี้ก็ไม่ถือว่าเสียเที่ยว
ภายในพระราชวังหลวงของประเทศตันจี้ เขตวังที่พักของประเทศฝูชิวรวมถึงต้วนหลิงเทียน
“น้องต้วน!”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกหาของหวงเจียหลงด้านนอก ต้วนหลิงเทียนก็เปิดประตูแล้วก้าวออกมาจากบ้านลานต้อนรับหวงเจียหลงที่แวะมาหาด้วยสีหน้าสงสัย
“น้องต้วน ตามข้ามาเร็ว…อาไป๋กับคนจากเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวกำลังรอพบพวกเราอยู่!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนก้าวออกมาจากบ้านอย่างไม่รีบไม่ร้อนมองมาด้วยความสงสัย หวงเจียหลงก็ไม่รอช้าเร่งกล่าวชักชวนต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางคึกคัก แลดูกระตือรือร้นกว่าครั้งไหนๆ
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ก็คนจากเผ่าพยัคฆ์เหินคิดตอบแทนพวกเราเรื่องกระบี่อมตะจอมราชันอย่างไรเล่า! เพราะครั้งนี้พวกเราถือว่าสร้างความดีความชอบใหญ่หลวงเลยทีเดียว!!”
หวงเจียหลงกล่าวอย่างคึกคัก “ฟังจากที่อาไป๋บอก คนของเผ่าพยัคฆ์เหินนั้นไม่ชอบติดค้างผู้ใด และหากผู้ใดมีบุญคุณก็จะทดแทนอย่างใหญ่หลวง!”
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักเรื่องราวได้แล้ว ที่แท้เป็นคนของเผ่าพยัคฆ์เหินคิดตบรางวัลให้พวกเขา ตอบแทนเรื่องกระบี่อมตะจอมราชันนั่นเอง
“พี่เจียหลง…เรื่องกระบี่อมตะจอมราชันนั่น ที่จริง….”
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดจะพูดให้ชัด ว่าในเรื่องนี้เขาไม่ได้มีความดีความชอบอะไร หากแต่ไม่ทันได้อธิบายเรื่อราวให้จบ หวงเจียหลงก็ยกมือกล่าวยืนกรานออกมาว่า “น้องต้วนท่านอย่าได้กล่าวเหลวไหลแล้ว…”
“ท่านกับข้ารู้ดีว่ากระบี่อมตะจอมราชันเล่มนั้นได้มาเพราะสาเหตุอันใด…หากไม่ใช่เพราะท่านกล่าวชี้แนะ ไหนเลยข้าจะไปซื้อหินดิบทรงกระบี่เหลือๆนั่นมา”
“และหากข้าไม่ซื้อตามที่ท่านกล่าว ไหนเลยพวกเราจะหยิบกระบี่อมตะจอมราชันนั่นออกมาได้?”
“ดังนั้นให้คิดกันจริงๆจังๆ ผลงานในเรื่องนี้ท่านมีส่วนมากกว่าข้าเสียอีก!”
หวงเจียหลงกล่าว
ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ
เขาก็คิดไม่ถึงจริงๆอาศัยวาจาเหลวไหลที่ล่วงล้ำออกจากลำคอเขาไปด้วยความสนุกสนาน จะทำให้ได้รับกระบี่อมตะจอมราชันมาครองเสียอย่างนั้น ทั้งยังนำผลประโยชน์มาให้เขาอยย่างไม่รู้ตัว
ยอดฝีมือของเผ่าพยัคฆ์เหินถึงกับดินทางมาด้วยตัวเอง อีกฝ่ายย่อมไม่ตระหนี่ของรางวัลตอบแทนเป็นแน่!
เรื่องนี้แทบไม่ต้องสงสัยเลย!
ในเมื่อหวงเจียหลงว่ามาขนาดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความสืบต่อ เพราะเขารู้ดีว่าให้พูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
หลังได้รู้จักกับพวงเจียหลงมาสักพัก เขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายมีนิสัยอย่างไร
มาตอนนี้เขาเองก็มั่นใจได้สิบส่วนเต็ม
หวงเจียหลงนั้นเป็นคนน่าคบหาด้วยจริงๆ
เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่คิดจะแบ่งปันผลประโยชน์เลิศล้ำกับคนอื่น
เรียกว่าหลังเกิดเหตุการณ์กระบี่อมตะจอมราชันขึ้น ตำแหน่งของหวงเจียหลงในใจต้วนหลิงเทียนก็ต่างออกไปจากเดิมมาก อย่างน้อยๆเขาก็เคิดว่าหวงเจียหลงเป็นเพื่อนแท้เขาคนหนึ่ง!
กล่าวอีกอย่างได้ว่า..
เขายอมรับหวงเจียหลงเป็นสหายแล้ว!
ต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่ได้มีสหายมากมายอะไร ตลอดทางที่ผ่านมาถึงแม้จะมีคนเข้ามาบ้าง แต่ทั้งหมดก็แค่เข้ามาในชีวิตเขาแล้วห่างหายกันไป…
…
ไป๋เจิ้นเยว่นั้นแม้รูปลักษณ์จะเป็นชายชรา แต่ร่างของมันกลับไม่ผอมแห้งอะไร ยังแลดูแข็งแกร่งบึกบึนไม่ต่างอะไรจากไป๋กัง ผมเผ้าหนวดเคราสีขาวฟูฟ่องของมัน ทำให้คนแลคล้ายสิงโตขนขาวอยู่บ้าง
มันยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นปานหอคอยเหล็ก มัดกล้ามทั่วร่างคล้ายเปี่ยมล้นไปด้วยพลังดิบเถื่อนพร้อมปะทุ แผ่แรงกดดันไร้สภาพขุมหนึ่งออกมาสะกดข่มผู้คนรอบตัวอย่างเป็นธรรมชาติ
“ท่านรองหัวหน้าเผ่า…กระบี่อมตะจอมราชันเล่มนี้ เป็นชายหนุ่มทั้ง 2 คนได้มาจากการเล่นพนันหินขอรับ!”
ไป๋กังที่ยืนอยยู่ข้างๆไป๋เจิ้นเยว่ พอเห็นต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงเดินเข้ามาในโถงพระราชวัง ก็เร่งกล่าวรายงานเรื่องราวออกไปด้วยความเคารพ
ผู้เฒ่าโม่กับหวงเหยี่ยนเฟยเองก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งหมดนั่งต่ำกว่าไป๋เจิ้นเยว่ขั้นหนึ่ง และต่อหน้ายอดฝีมืออันทรงพลังอย่างไป๋เจิ้นเยว่แล้ว กระทั่งผู้เฒ่าโม่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง!
ตัวมันอย่างไรก็เป็นแค่ราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด!
ทว่าไป๋เจิ้นเยว่เป็นถึงราชาอมตะ 10 ทิศ!
ที่สำคัญเลยก็คือ…
ตัวมันเป็นแค่สัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำ หากทว่าไป๋เจิ้นเยว่คือสัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูง!
ไม่ต้องกล่าวถึงระดับพลังฝีมืออะไร อาศัยแค่สายเลือดที่เหนือชั้นกว่า ก็ทำให้ผู้เฒ่าโม่รู้สึกกดดันจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาแล้ว
“ไม่เลว…”
เสียงรายงานของไป๋กัดังไม่ทันจบคำดี ไป๋เจิ้นเยว่ที่จับจ้องมองไปยังหวงเจียหลงกับต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ากล่าวคำออกมาอย่างพึงพอใจ
“ข้าได้ยินไป๋กังเล่าว่า…ตัวเจ้าแม้จะยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี ทั้งยังเป็นเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ ทว่ากลับได้รับการยอมรับว่าเป็นยอดเซียนอมตะอันดับ 1 ในประเทศฝูชิว…”
ในที่สุดสายตาของไป๋เจิ้นเยว่ก็มาตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียน “น่าเสียดายที่เผ่าพยัคฆ์เหินเรา ถึงแม้จะมีมนุษย์อยู่ด้วยมากมาย หากแต่มนุษย์ถูกลิขิตให้ไม่อาจเข้าถึงศูนยย์กลางอำนาจของเผ่าเรา สามารถเป็นได้แค่สมาชิกฝ่ายนอกของเผ่าพยัคฆ์เหินเราเท่านั้น…”
“ด้วยศักยภาพพรสวรรค์ของเจ้า หากรับเจ้าไปเป็นแค่สมาชิกฝ่ายนอกของเผ่าพยัคฆ์เหินเรา ก็เหมือนทำลายพรสวรรค์ของเจ้าไปเสียเปล่าๆ…”
ไป๋เจิ้นเยว่กล่าว
“ผู้อาวุโสกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบคำอย่างสุภาพ
“เอาล่ะ ข้าไม่อาจรั้งอยู่ที่ประเทศตันจี้ได้นาน…เช่นนั้นข้าจะกล่าวสั้นๆ”
ไป๋เจิ้นเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม เห็นชัดว่ามันอารมณ์ดีไม่น้อย “ข้ามีวรยุทธ์อมตะธาตุดิน กับเวทย์พลังระดับราชาธาตุลมพกติดตัวอยู่…พวกเจ้าทั้งคู่เลือกไปคนละอย่างเถอะ”
“เป็นธรรมดาว่าพวกเจ้าทั้งคู่มิอาจเลือกเหมือนกันได้…เพราะวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่ข้าพูดถึง ในมือข้ามียันต์อมตะเก็บความทรงจำเก็บไว้แค่อย่างละชิ้นเท่านั้น”
“และพวกเจ้าคงรู้แล้ว…ว่ายันต์อมตะเก็บความทรงจำที่ใช้บันทึกวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังที่มีระดับตั้งแต่ราชาขึ้นไปนั้น มันแตกต่างจากยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่ใช้บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับต่ำกว่าอยู่บ้าง”
“อย่างหลังสามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นใช้ได้…ทว่าอย่างแรกนั้นสามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียว! และเมื่อผู้ใช้ๆมันแล้วมันก็จะสลายตัวไปทันที!!”
ไป๋เจิ้นเยว่กล่าว
สิ่งที่ไป๋เจิ้นเยว่พูดมา ต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้ตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ในประเทศฝูชิวแล้ว
ยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่จะใช้บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชานั้น เนื่องจากความเข้าใจในกฏต่างๆมันค่อนข้างซับซ้อนและสร้างภาระให้กับยันต์อมตะเก็บความทรงจำมาก ทำให้ไม่เพียงแต่จะต้องใช้วัตถุดิบพิเศษในการสร้าง ยังสามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น
“วรยุทธ์อมตะธาตุดิน!?”
ใจต้วนหลิงเทียนเต้นรัวขึ้นมาทันใด
และในขณะที่ใจต้วนหลิงเทียนกำลังสั่นไหว เสียงเล็กแหลมของเด็กผู้ชายวัยยราวๆ 3-4 ขวบก็ดังขึ้นในร่าง “เจ้าหนู! รีบเลือกวรยุทธ์อมตะธาตุดินนั่นมาเร็วเข้า!”
“ตราบใดที่เจ้าได้วรยุทธ์อมตะธาตุดินนั่นมานะ ข้าผู้นี้จะช่วยให้เจ้าเข้าใจและควบคุมใช้พลังแห่งกฏของธาตุดินได้ในเวลาอันสั้น! ถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งของเจ้าจะพุ่งปรี๊ดเลยล่ะ!!”
เสียงกล่าวประโยคท้ายของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ยังเผยให้เห็นความเย่อหยิ่งทั้งมั่นใจถึงที่สุด
“วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาหรือ!?”
สิ้นคำกล่าวของไป๋เจิ้นเยว่ ไม่ว่าจะเป็นไป๋กัง ผู้เฒ่าโม่ หรือแม้แต่หวงเฟยเหยี่ยนเองก็พากันตกใจไม่น้อย
พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าไป๋เจิ้นเยว่จะใจกว้างถึงขนาดนี้ กลับส่งมอบวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาออกมาโดยตรง!
พวกมันรู้ดี ว่าวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชามีค่ามากขนาดไหน!
ตอนที่ 2,966 : คุกศิลาทมิฬ
ในระนาบเทวโลกนั้น ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์อมตะก็ดี หรือวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังก็ดี ยิ่งระดับสูงขึ้นความแตกต่างของมันก็จะมหาศาลตามไปด้วย โดยเฉพาะความแตกต่างที่จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงขุนนางและราชา!
วรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตราชานั้น ไม่ว่าจะขั้น เหลือง ลี้ลับ ปฐพี สวรรค์ และขุนนาง ก็ล้วนแบ่งแยกออกได้เป็นหลายประเภท ได้แก่จู่โจม ป้องกัน ท่าร่าง สนับสนุน…หรืออาจจะผสมผสานกัน
อย่างไรก็ตามพอมาถึงวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาแล้ว มันไม่มีการจำแนกสายเช่นนั้นอีกต่อไป ใต้หล้าจึงไม่มีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชา สายจู่โจม สายป้องกัน สายท่าร่าง สายสนับสนุนอะไรให้เห็น
นั่นเพราะวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่มีระดับตั้แต่ราชาขึ้นไปนั้น ล้วนมีจุดหมายคือการเข้าถึงพลังแห่งกฏ และพลังอำนาจแห่งกฏนั้นก็มีสามารถส่งเสริมตัวผู้ใช้ในทุกๆด้าน จะใช้มันเสริมพลังจู่โจม เสริมพลังป้องกัน เสริมการเคลื่อนไหว หรือเพิ่มพูนพลังของตัวเองก็ได้!
ด้วยเหตุนี้เองวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลัระดับราชานั้น จึงเป็นอะไรที่มีค่ามาก ไม่ใช่อะไรที่ระดับขุนนางจะเทียบเทียมได้เลย
ในแง่ของมูลค่าแล้ว วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชามันมีค่าเหนือกว่าระดับขุนนาง ในจำนวนเท่าที่มากกว่าระดับขุนนางเทียบกับระดับเหลืองด้วยซ้ำ!
‘ดูเหมือนการได้รับกระบี่อมตะจอมราชันจะทำให้รองหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่ามีความสุขอย่างมากจริงๆ…กระทั่งวรยุทธ์อมตะกับเวท์พลังระดับราชาที่ท่านเองก็สมควรมีอยู่แค่นั้น กลับหยิบควักออกมามอบให้ผู้อื่น’
ไป๋กังลอบกล่าวในใจ
ยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาเอาไว้นั้น แม้มันจะใช้ครั้งเดียวทิ้ง แต่ยังหายากยิ่งก่ายันต์อมตะเก็บความทรงจำที่ใช้บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่ใช้กันตามปกติเสียอีก
จุดหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ หากคิดจะบันทึกวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาลงยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษนั้น อย่างน้อยๆก็ต้องแตกฉานและเข้าใจถึงกฏที่แฝงมาในวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาในระดับหนึ่งเสียก่อน หาไม่แล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบันทึกมันลงไปได้
และเท่าที่ไป๋กังรู้ ในเผ่าพยัคฆ์เหินนั้น มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงกฏในวรยุทธ์และเวทย์พลังจนสามารถบันทึกส่งต่อให้ผู้อื่นได้ และคนๆนั้นก็คือประมุขของเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวนั่นเอง
อีกทั้งการบันทึกองค์ความรู้ที่เข้าใจลงยันต์อมตะเก็บความทรงจำพิเศษนั้น หาได้ง่ายดายเหมือนการบันทึกความทรงจำลงยันต์อมตะเก้บความทรงจำปกติไม่! ยังต้องใช้พลังและความพยายามไม่น้อยเลยทีเดียว เรียกว่าไม่ต่างอะไรจากถูกสูบกลืนชีวิตไปส่วนหนึ่ง!
ดังนั้นจึงทำให้ยันต์อมตะเก้บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาไว้ มีค่าสูงลิบลิ่ว
“วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดิน…”
พอไป๋เจิ้นเยว่กล่าวบอกว่ามีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาอะไรบ้างออกมา ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งเป้าไปที่วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินทันที เพราะเขาก็จดจำคำที่เพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับเคยบอกเขาไว้ได้เป็นอย่างดี
ทองเทพสุดลี้ลับเคยบอกเขาไว้แล้วว่า…ตราบใดที่เขาช่วยให้มันสามารถยกระดับพัฒนาไปสู่ขั้นที่ 3 ได้ ถึงตอนนั้นหากเขาได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาขึ้นไปที่มีกฏแห่งทองแฝงอยู่ อีกฝ่ายก็ช่วยให้เขาเข้าใจกฏแห่งทองที่แฝงอยู่นั้นในเวลาอันสั้น!
เพลิงเทพโกลาหลเองก็บอกเขาไว้เช่นกัน ว่าตราบใดที่เขาได้รับวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาขึ้นไปที่มีกฏแห่งไฟ อีกฝ่ายก็สามารถทำให้เขาเข้าถึงกฏแห่งไฟได้ในเวลาสั้นๆ
เขาจึงมั่นใจว่า…
หากเขาได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาขึ้นไปที่มีกฏแห่งดิน ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเองก็ต้อมีความสามารถในการช่วยเหลือส่งเสริมเขาให้เข้าถึงกฏแห่งดินในเวลาอันสั้นเช่นกัน!
ด้วยเหตุนี้ทันทีที่ไป๋เจิ้นเยว่พูดถึงวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินออกมา ใจเขาจึงเต้นไปไม่เป็นจังหวะ อารมณ์ภายในยังพุ่งพล่านขึ้นมาอย่างยากจะสงบลงได้ในเวลาอันสั้น
จากนั้นไม่ทันไร เสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ดังขึ้นพอดี ยิ่งเป็นการตอกย้ำความมั่นใจให้เขา!
“วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุลม?”
ความใจกว้างของไป๋เจิ้นเยว่ ยังทำให้หงเจียหลงตกตะลึงไปเช่นกัน และมันก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะดึงสติให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้ และพอมันรู้สึกตัวมันก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนทันที
“น้องต้วน ท่านเลือกก่อนเลย”
หวงเจียหลงกล่าวเสีงดังฟังชัด
แต่เป็นธรรมดาว่าในใจของมันยังมุ่งหวังครอบครองเวทย์พลังระดับราชาธาตุลม…เพราะหากให้เทียบกับวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินแล้ว เวทย์พลังระดับราชาธาตุลมมีแนวโน้มว่าจะมุ่งเน้นไปในแง่ของการจู่โจมและท่าร่างมากกว่า
ส่วนกฏแห่งดินนั้น มันรู้สึกว่าสมควรเน้นหนักไปที่การป้องกันและสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม ในความคิดมัน ในเมื่อตัวมันเองยังอยากได้เวทย์พลังระดับราชาธาตุลม เช่นนั้นน้องต้วนของมันก็ไม่พ้นต้องการเวทย์พลังระดับราชาธาตุลมเช่นกัน
ดังนั้นมันจึงตัดสินใจให้ต้วนหลิงเทียนเลือกก่อน ด้วยคิดเสียสละเวทย์พลังระดับราชาธาตุลมให้ต้วนหลิงเทียน!
“ข้า?”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของหวงเจียหลง ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองอีกฝ่ายด้วยความอึ้งพักหนึ่ง ทว่าไม่ได้กล่าวแย้งอะไร จากนั้นก็ค่อยๆหันไปมองไป๋เจิ้นเยว่
และฉากดังกลาวก็ทำให้หวงเจียหลงลอบทอดถอนในใจเล็กน้อย
ก็แน่อยู่แล้ว
เวทย์พลังระดับราชาธาตุลมย่อมมีความเย้ายวนใจไม่น้อย และความเย้ายวนใจที่ว่าก็มากพอทำให้น้องต้วนของมันยากจะกล่าวปฏิเสธออกมาได้!
ในวินาทีนี้ กระทั่งคนที่เหลือในโถงพระราชวังก็คิดไปทำนองเดียวกัน
อย่างไรก็ตามหลังต้วนหลิงเทียนหันไปมองไป๋เจิ้งเยว่ได้ไม่ทันไร เขาก็กล่าวตอบออกมาชัดถ้อยชัดคำ และวาจาชัดถ้อยชัดคำดังกล่าวก็ทำให้หวงเจียหลงและคนอื่นๆตกใจไม่น้อย
“ผู้อาวุโส ข้าอยากได้วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดิน”
เสียงต้วนหลิงเทียนดังเข้าหูทุกคนชัดเจน
หวงเจียหลงนั้นแลดูจะมีความเกรงใจ แต่เขานั้นหาได้มีความเกรงใจแม้แต่น้อย และสาเหตุที่ทำให้เขาต้องการวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดิน ก็เพราะในร่างเขามีปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ที่สามารถช่วยให้เขาเข้าใจกฏแห่งธาตุดินที่แฝงอยู่ในวรยุทธ์อมตะนี้ได้ในเวลาอันสั้น
“น้องต้วน ท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก…”
หวงเจียหลงคลี่ยิ้มเจื่อนๆออกมา ขณะเดียวกันมันก็ลอบรู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง เพราะเมื่อครู่มันคิดไปว่าน้องต้วนผู้นี้เองก็คงอยากได้เวทย์พลังระดับราชาธาตุลม จนถึงขั้นไม่คิดจะปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงการเลือกก่อน และไม่ยอมแพ้ให้มันในเรื่องนี้…
แต่ตอนนี้ดูเหมือนเหตุผลที่น้องต้วนของมันไม่คิดปฏิเสธหรือยอมแพ้อะไร เป็นเพราะอีกฝ่ายได้ตัดสินใจไว้แต่แรกว่าจะมอบเวทย์พลังระดับราชาธาตุลมให้มัน! ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะละอายใจ เพราะมันเสมือนใช้ความคิดคนถ่อยไปหยั่งวัดวิญญูชน!!
น้องต้วนของมันต่างหาก…ที่ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด! ชิงเลือกวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินออกมาทันที!!
และจังหวะนี้ไม่ว่าใครก็คิดว่าที่ต้วนหลิงเทียนตัดสินใจเลือกไปแบบนั้น เป็นเพราะคิดมอบเวทย์พลังระดับราชาธาตุลมให้หวงเจียหลง!
“เจ้าหนู เจ้าคิดให้ดี…”
ไป๋เจิ้นเยว่มองจ้องต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวเตือนออกมาเสียงขรึม “ถึงแม้ว่าวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดิน ที่เจ้าเคยรู้มานั้นจะมีกฏแห่งธาตุดินที่ส่งเสริมเรื่องการโจมตีกับท่าร่างอยู่บ้าง แต่อย่างไรเสียก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินส่วนใหญ่ ค่อนข้างจะเน้นหนักไปในของการป้องกันและสนับสนุน…”
“และข้าขอกล่าวบอกเจ้าไว้ตรงนี้เลย ว่าวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินที่ข้ามีนั้น มันค่อนข้างเน้นหนักไปในแง่ของการสนับสนุนมากกว่าด้านใด”
ไป่เจิ้นเยว่กล่าว
“ห๊ะ! ไอ้พวกนี้มันมิชอบกฏแห่งดินรึ!? แม้กฏแห่งดินจะมีความลึกซึ้งไม่กี่ข้อที่ส่งเสริมการโจมตี แต่หากไถ่ถามถึงพลังอำนาจของกฏแห่งดินข้อที่ส่งเสริมเรื่องการโจมตีแล้ว ข้าบอกได้เลยว่ามันทรงพลังไม่ใช่ชั่ว ยังสามารถทัดเทียมกับผู้อื่นได้อย่างไม่เสียเปรียบ ยังมีพลังหนักหน่วงเป็นอันดับต้นๆด้วยซ้ำ!!”
เสียงเด็กชายวัยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นในร่างต้วนหลิงเทียนด้วยความขุ่นขึ้ง มันอดไม่ได้ที่จะมีโมโหขึ้นมาที่พบว่าพวกไป๋เจิ้นเยว่และคนอื่นๆดูแคลนกฏแห่งธาตุดิน!
“นอกจากนั้นกฏแห่งธาตุดินกล่าวไปแล้วเสมือนต้นกำเนิดกฏเกณฑ์ของธาตุทั้ง 5 ก็ว่าได้…นอกจากฏพิเศษบางประการอย่าง เวลา มิติ กลืนกิน ทำลายล้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกฏแห่งธาตุลม สายฟ้า น้ำแข็ง ก็มิใช่ล้วนก่อเกิดจากธาตุธรรมชาติทั้ง 5 หรือไร?”
“ในบรรดากฏที่ข้ากล่าวมา ธาตุดินล้วนยืนหนึ่งในเรื่องของการป้องกัน! ให้มีพลังโจมตีดุร้ายรุนแรงมากแค่ไหนแต่ตัวบางเฉียบยังจะมีประโยชน์อันใด?!”
เห็นได้ชัดว่าปฐพีเทพแรกกำเนิดของขึ้นไม่น้อย โพล่งคำโวยวายอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่หยุด…
“ข้าตัดสินใจดีแล้ว ข้าต้องการวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินของท่าน”
ต้วนหลิงเทียนมองสบตาไป๋เจิ้นเยว่พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงท่าทางจริงจัง
ตอนนี้พอได้ฟังคำถามเตือนของไป๋เจิ้นเยว่ กับคำพูดมีโมโหของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ในที่สุดเขาก็รู้…
ว่าไฉนหวงเจียหลงและคนอื่นๆถึงได้แสดงท่าทีแบบนั้นออกมาตอนเขาเลือกวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดิน
ที่แท้ในสายตาของคนส่วนใหญ่ กฏแห่งลม มีแน้วโน้มว่าจะมุ่งเน้นไปในแง่ของการโจมตีมากกว่ากฏแห่งดิน ดังนั้นหากเป็นคนที่ยังไม่เข้าใจกฏอันใด หากเลือกได้ก็มักจะเลือกกฏแห่งลมมากกว่า
หากไม่มีปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินอยู่ในร่าง บางทีต้วนหลิงเทียนก็อาจจะเลือกแบบนั้นเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามตอนนี้ในร่างของเขามีปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดำรงอยู่ หมายความว่าสำหรับตัวเขาในปัจจุบัน วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด!
“น้องต้วน ท่านไม่ต้องเห็นแก่ข้าหรอก…”
หวงเจียหลงคลี่ยิ้มขื่นขมออกมา
“พี่เจียหลง ข้าไม่ได้เห็นแก่ท่านแต่อย่างใด เป็นข้าต้องการวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา เขายังรู้ดีว่าตอนนี้ต่อให้เขาพูดออกไปแค่ไหน แต่หวงเจียหลงก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
เป็นธรรมดาที่เขายังรู้อีกว่า เว้นเสียแต่เขาจะเล่าเรื่องปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินออกไปให้ฟัง ไม่งั้นหวงเจียหลงก็ต้องคิดว่าเขาเกรงใจไม่เลิก
อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดจะกล่าวอธิบายอะไรทั้งนั้น
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็รับยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินมาจากไป๋เจิ้นเยว่ และมันเป็นวรยุทธ์อมตะระดับราชาที่มีชื่อเรียกว่า คุกศิลาทมิฬ!
แคร่ก!
และเมื่อต้วนหลิงเทียนบดขยี้ยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดิน ข้อมูลมหาศาลก็เริ่มหลั่งไหลเจ้าสู่จิตใจของเขา
และข้อมูลดังกล่าวก็คือ ข้อมูลของวรยุทธ์อมตะ คุกศิลาทมิฬ
“วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินคุกศิลาทมิฬนี่ จะช่วยให้เจ้าเข้าใจความลึกซึ้งเบื้องต้นของ ‘ความหมายธาตุดิน’ รวมถึงความลึกซึ้งเบื้องต้นของ พื้นที่แรงโน้มถ่วง ในกฏแห่งธาตุดินได้”
เมื่อข้อมูลอันมหาศาลของคุกศิลาทมิฬหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของต้วนหลิงเทียน เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็ดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
“ในบรรดาพวกมัน ความหมายของธาตุดิน ก็คือความลึกซึ้งของกฏแห่งธาตุดินเบื้องต้น ‘ความหมายพื้นฐาน’ …ส่วนพื้นที่แรงโน้มถ่วงนั่น ก็เป็นความลึกซึ้งเบื้องต้นข้อหนึ่งของกฏแห่งธาตุดินที่เน้นในด้านการสนับสนุน”
กล่าวถึงจุดนี้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็จงใจกล่าวเสริมออกมาต่อว่า “ถึงแม้จะเป็นความลึกซึ้งเบื้องต้นของกฏแห่งธาตุดินที่เน้นในด้านสนับสนุน ทว่าพื้นที่แรงโน้มถ่วงนี้กมีพร้อมทั้งการโจมตีและการป้องกัน!”
คำอธิบายเพิ่มเติมนี่ เห็นได้ชัดว่าปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินจงใจกล่าวเพื่อระบายความไม่พอใจ ที่พวกไป๋เจิ้นเยว่และคนอื่นๆคิดว่ากฏแห่งธาตุดินนั้นอ่อนด้อยในเรื่องของการโจมตีออกมา
“ในเมื่อวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาขึ้นไป ล้วนมุ่งเน้นให้ผู้คนเข้าถึงกฏ…แล้วทำไมยังต้องมาแบ่งแยกออกเป็นวรยุทธ์อมตะ กับเวทย์พลังอีกเล่า? ไม่ใช่ว่าฟังดูแล้วมันก็เหมือนๆกันหรือไร?”
ต้วนหลิงเทียนยกล่าวถาม
“จุดประสงค์หลักของการแบ่งแยกนั้น ก็เพื่อแยกความแตกต่างว่าความลึกซึ้งนั้น มันส่งเสริมอันใดกันแน่ ระหว่างพลังภายในหรือพลังภายนอก! วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาขึ้นไปนั้น โดยปกติแล้วจะมีแต่ความลึกซึ้งที่มุ่งเน้นไปในแง่ของการเสริมพลังบางชนิดอยู่”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว
“ความลึกซึ้งในแง่ของการเสริมพลังภายในหรือภายนอก?”
ต้วนหลิงเทียนงุนงง
“ก็ยกตัวอย่างเช่นวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังที่มีระดับต่ำกว่าราชาที่เจ้าเคยฝึกปรือมา บางอย่างก็แค่หนุนเสริมพลังกระบวนท่าของเจ้าให้เพิ่มพูนใช่ไหม? มิได้เพิ่มพูนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเจ้าโดยตรง…สิ่งนี้จึงเรียกว่าการเสริมพลังภายนอก”
“คุกศิลาทมิฬ ที่เจ้าได้มาก็เหมือนกัน มันเป็นประเภทของการเสริมพลังภายนอก หากเจ้าบรรลุถึงมันยามแตกฉาน เจ้าก็จะสามารถสร้างพื้นที่กักกันอันมีแรงโน้มถ่วงมหาศาลเพื่อหยุดยั้งศัตรู และพลังของมันจะขึ้นอยู่กับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเจ้า”
“ส่วนเวทย์พลังระดับต่ำกว่าราชาลงมา ที่เห็นชัดที่สุดก็คือเวทย์พลังสนับสนุนที่เจ้าใช้ มันสามารถยกระดับพลังเซียนยอมตะต้นกำเนิดให้เจ้าโดยตรงเลยมิใช่หรือ? สิ่งนี้จึงเรียกว่าการส่งเสริมพลังภายใน…”
“ในเมื่อตาแก่นั่นนำเวทย์พลังระดับราชาธาตุลมออกมาให้เจ้าเลือก นั่นหมายความว่าความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่แฝงอยู่ในเวทย์พลังระดับราชานี้ เป็นความลึกซึ้งที่ส่งเสริมพลังภายใน!”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวออกมารวดเดียวจบ
“และโดยส่วนใหญ่แล้วเวทย์พลังระดับราชาขึ้นไป ล้วนมีความลึกซึ้งประเภทส่งเสริมพลังภายในทั้งสิ้น กลับกันวรยุทธ์อมตะระดับราชาขึ้นไปนั้น ก็มุ่งเน้นไปที่ความลึกซึ้งของการส่งเสริมพลังภายนอก จะโจมตี ป้องกัน ท่าร่าง หรือสนับสนุนก็แล้วแต่…”
เสียงของเพลิงเทพโกลาหลพลันดังขึ้นสืบต่อ ช่วยให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น
ตอนที่ 2,967 : ประทับวายุเมฆา
หลังได้ยินคำพูดของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาขึ้นไปนั้น จะแตกต่างกันตรงจุดไหน
ปรากฏว่าเวทย์พลังระดับราชาขึ้นไป ล้วนแล้วแต่จะเป็นเวทย์พลังที่มีความลึกซึ้งของกฏที่มุ่งเน้นในเรื่องเสริมพลังภายในทั้งสิ้น
ปฐมเวทย์กลืนกินที่เขาเชี่ยวชาญอยู่ กล่าวไปก็คือการเสริมพลังภายในเช่นกัน!
‘ในอดีตผู้เฒ่าหั่วจิตวิญญาณประจำเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเคยบอกไว้แล้ว…ว่าปฐมเวทย์กลืนกินนั้น สมควรมีต้นกำเนิดมาจากเวทย์พลังอันร้ายกาจหนึ่งของระนาบเทวโลกที่เรียกว่า มหาเวทย์กลืนกิน กล่าวได้ว่าปฐมเวทย์กลืนกินเสมือนมหาเวทย์กลืนกินที่ลดทอนอานุภาพลงมา…’
‘และมหาเวทย์กลืนกินนั่น ก็คือเวทย์พลังของจักรพรรดิสวรรค์ที่ร้ายกาจผู้หนึ่ง…และเวทย์พลังของตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์ต้องไม่ใช่ชั่วแน่!’
ต้วนหลิงเทียนยจดจำได้ว่า ตอนที่เขาอยู่ในระนาบโลกียะนั้น พอเขาใช้ปฐมเวทย์กลืนกินให้ผู้เฒ่าหั่ว อีกฝ่ายก็ตกใจไม่น้อย อีกฝ่ายยังกล่าวโยงไปถึงมหาเวทย์กลืนกินที่มีพลังอานุภาพโด่งดังในระนาบเทวโลก
‘กล่าวได้ว่ามหาเวทย์กลืนกินสมควรเป็นเวทย์พลังที่มีระดับเหนือกว่าระดับราชาแน่นอน…ไม่แน่อาจจะเป็นเวทย์พลังระดับจอมราชันหรือไม่ก็อาจเป็นระดับจักรพรรดิ!’
ขณะคิดถึงจุดนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวขึ้นมา
หลังจากผ่านไปหลายปี ต้วนหลิงเทียนเองก็คิดถึงผู้เฒ่าหั่วไม่น้อย จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวในใจอย่างทอดถอน ‘ไม่รู้ตอนนี้ผู้เฒ่าหั่วไปอยู่ที่ไหนกันแน่…’
ในอดีตตอนที่เห็นผู้เฒ่าหั่วพร้อมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติคล้ายจะสาบสูญไปในความว่างเปล่าขณะโดนจ้าวลัทธิบูชาไฟลงมือ เขาก็หลงคิดว่าเป็นผู้เฒ่าหั่วเลือกสละชีวิตช่วยเขาโดยใช้วิธีการบางอย่างระเบิดเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติรวมถึงยอดสมบัติสวรรค์ประจำเจดีย์ทั้งหมด เพื่อให้มีพลังมากพอฉีกเปิดห้วงมิติส่งเขาหลบหนีไป…
ต่อมาก็มีสหายที่เคยร่วมทางในระยะเวลาสั้นๆผู้หนึ่งกล่าวยืนยันว่า เรื่องราวไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่นอน จนตัวเขาก็เกิดความไขว้เขวอยู่บ้าง
จนพอมาถึงระนาบเทวโลก ต้วนหลิงเทียนจึงยืนยันได้สมบูรณ์
ถึงแม้จิตวิญญาณของอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิจะระเบิดตัวเอง แต่ก็ไม่มีพลังอานุภาพมากพอทำลายอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิได้เลย…
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงตระหนักได้ทันทีว่าผู้เฒ่าหั่วยังคงมีชีวิตอยู่! สำหรับการหายตัวไปของผู้เฒ่าหั่ว และเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เขาเชื่อว่าต้องเป็นเพราะมีมือที่มองไม่เห็นอันทรงพลังอำนาจหนึ่ง ที่คอยควบคุมจัดการเรื่องนี้อยู่เบื้องหลังเป็นแน่!!
‘เวทย์พลังที่ขึ้นชื่อที่สุดของจักรพรรดิสวรรค์ผู้นั้นอย่างมหาเวทย์กลืนกิน…ไม่ทราบว่ามันเป็นกฏอะไร และมีความลึกซึ้งอันใดอยู่ในนั้นบ้าง…หรือจะเป็นกฏแห่งการกลืนกิน ที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวถึงเมื่อครู่กันนะ?’
ต้วนหลิงเทียนลอบนึกย้อนเรื่องราวในใจ
“นอกจากนั้นกฏแห่งธาตุดินกล่าวไปแล้วเสมือนต้นกำเนิดกฏเกณฑ์ของธาตุทั้ง 5 ก็ว่าได้…นอกจากฏพิเศษบางประการอย่าง เวลา มิติ กลืนกิน ทำลายล้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกฏแห่งธาตุลม สายฟ้า น้ำแข็ง ก็มิใช่ล้วนก่อเกิดจากธาตุธรรมชาติทั้ง 5 หรือไร?”
และนี่ก็คือสิ่งที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพึ่งกล่าวออกไปก่อนหน้า
ในบรรดากฏพิเศษที่อีกฝ่ายกล่าวถึง ในนั้นมีกฏแห่งการกลืนกินรวมอยู่ด้วย
“ไป๋กัง เจ้าจักติดตามข้าไปรับรางวัลของเจ้าที่เผ่าพยัคฆ์เหินเราตอนนี้เลย…หรือเจ้าจะเอาไว้ก่อนแล้วค่อยไปเผ่าพยัคฆ์เหินด้วยตัวเองภายหลัง?”
หลังมอบยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับราชาให้ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงแล้ว ไป๋เจิ้นเยว่ก็หันไปมองถามไป๋กังทันที
“ท่านรองหัวหน้าเผ่า ข้าน้อยจะกลับไปพร้อมกับท่านเลยขอรับ?”
ไป๋กังก็กล่าววตอบออกมาทันทีอย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ น้ำเสียงยังฟังดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าท่าทางของรางวัลที่มันจะได้รับนั้น จะมีค่ามากกว่าต้วนหลิงเทียนและหวงเจียหลงไม่ใช่เล่นๆ
“เช่นนั้นก็ดี”
ไป๋เจิ้นเยว่พยักหน้า
ไป๋กังติดติดตามไป๋เจิ้นเยว่จากไปทันที โดยไม่คิดจะร่ำลาหวงเจียหลงและต้วนหลิงเทียนแต่อย่างไร เพราะมันเห็นได้ชัดว่าทั้งคู่กำลังจมจ่อมอยู่กับวรยุทธ์อมตะและเวทญ์พลังระดับราชาที่พึ่งได้รับมา
มันยังไม่ได้ร่ำลาผู้เฒ่าโม่และหวงเหยี่ยนเฟยเช่นกัน
แต่ดูจากท่าทีของหวงเหยี่ยนเฟยและผู้เฒ่าโม่แล้ว ทั้งคู่สมควรรู้เรื่องนี้กันแต่แรก
“ท่านพ่อ อาไป๋ไปไหนแล้วล่ะ?”
หลังจากนั้นสักพักหวงเจียหลงก็คืนสติ พอหันไปดูรอบๆไม่เจออาไป๋ก็เริ่มถามหาทันที
ไป๋เจิ้นเยว่นั้นมันเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะหลังจากได้กระบี่และมอบของรางวัลให้มันกับน้องต้วนแล้ว อีกฝ่ายก็หมดความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ในประเทศตันจี้สืบต่อ จะจากไปทันทีก็ไม่แปลก
แต่อาไป๋ของมันไฉนหายไปด้วยเล่า?
“อาไป๋ของเจ้ากลับไปเผ่าพยัคฆ์เหินแล้ว”
หวงเหยี่ยนเฟยคลี่ยิ้มพลางกล่าว “เจ้าเด็กนี่นับว่าเจ้าโชคดียิ่ง ถึงกับมีเวทย์พลังระดับราชาแล้ว…เจ้ารู้หรือไม่กระทั่งบิดาชราของเจ้าคนนี้ยังไม่เคยได้วรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาอันใด…”
หวงเหยี่ยนเฟยย่อมบังเกิดความสุขความยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อเห็นบุตรชายได้รับเวทย์พลังระดับราชา
กล่าวไปในระดับหนึ่ง มันมีความสุขความยินดีมากกว่าตัวมันเองได้รับเวทย์พลังระดับราชาเสียอีก
“อาไป๋กลับไปเผ่าพยัคฆ์เหินแล้ว?”
หวงเจียหลงขมวดคิ้วหน้านิ่วกล่าวออกด้วยน้ำเสียงตกใจแฝงความสลด “แล้วอาไป๋กลับไปคราวนี้…จะกลับมาอีกหรือไม่ท่านพ่อ?”
ขณะกล่าวถามถึงท้ายประโยค หวงเจียหลงก็รู้สึกใจหายไม่น้อย
ก็เหมือนกับที่หวงเหยี่ยนเฟยเติบโตมาโดยมีผู้เฒ่าโม่คอยยดูแลมาตลอด มันเองก็เติบโตมาโดยมีอาไป๋คอยดูแลแต่เล็กแต่น้อย มันจึงสนิทสนมและผูกพันกับอาไป๋มาก
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนเองก็ฟื้นสติแล้วเช่นกัน และพอเห็นว่าไป๋กังไม่อยู่แล้ว และสัมผัสได้ถึงความหดหู่ซึมเซาของหวงเจียหลง เขาก็พอจะคาดเดาอะไรได้บางอย่าง
“เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอก พออาไป๋ของเจ้าวิวัฒนาการเสร็จแล้ว เดี๋ยวก็กลับมาเป็นธรรมดา”
หวงเหยี่ยนเฟยยิ้มกล่าวสืบต่อ “การกลับไปยังเผ่าพยัคฆ์เหินคราวนี้ของอาไป๋เจ้า นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีกับอาไป๋เจ้าจริงๆ…กล่าวไปผลประโยชน์ที่พวกเจ้าได้รับจากกระบี่อมตะจอมราชันครั้งนี้ ยังสู้ผลประโยชน์ที่อาไป๋เจ้าได้รับไม่ได้เลย!”
“หือ?”
ได้ยินคำพูดบิดา หวงเจียหลงก็รีบถามออกด้วยความสงสัยทันที “ท่านพ่อ อาไป๋ได้รับรางวัลอะไรหรือ…แถมยังเป็นรางวัลที่ต้องกลับไปรับถึงเผ่าพยัคฆ์เหินแบบนี้ด้วย?”
“อาไป๋ของเจ้า ได้รับโอกาสในการเข้าสู่สระวิวัฒนาการของเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว ที่จะเปิดออกเพียงครั้งในรอบหมื่นปี!”
กล่าวถึงจุดนี้รอยยิ้มของหวงเฟยเหยี่ยนก็ยิ่งสดใสเจิดจ้าขึ้นมาทันที
ไป๋กังเป็นดั่งน้องชายแท้ๆของมัน ยิ่งอีกฝ่ายได้รับผลประโยชน์มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรู้สึกยินดีและมีความสุขกับไป๋กังมากเท่านั้น
“สระวิวัฒนาการ!?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัยว่าสระวิวัฒนาการของเผ่าพยัคฆ์เหินคืออะไร สีหน้าแววตาของหวงเจียหลงก็ฉายความยินดีออกมาชัดเจน สองตายังทอแสงจ้าเป็นประกายวับวาว
“ท่านพ่อ…นี่…เรื่องจริงหรือ!?”
หววงเจียหลงถึงกับแสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างออกนอกหน้านอกตา “อาไป๋…ได้รับโอกาสเข้าสู่สระวิวัฒนาการจริงๆหรือ!?”
“ใช่”
หวงเฟยเหยี่ยนพยักหน้า
“ดี…ดี! ดียิ่ง!! ตั้งแต่ข้ายังเด็กก็มักจะได้ยินอาไป๋พูดถึงเสมอๆ ว่าความฝันสูงสุดในชีวิตนี้ของอาไป๋ ก็คือการได้เข้าไปในสระวิวัฒนาการสักครั้ง”
หวงเจียหลงกล่าวต่อด้วน้ำเสียงเปี่ยมสุข “ไม่คิดเลย ว่าวันนี้ความฝันของอาไป๋จะเป็นจริงแล้ว!”
“ลุงหวง พี่เจียหลง…สระวิวัฒนาการที่พวกท่านพูดถึงมันคืออะไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหวงเหยี่ยนเฟยกับหวงเจียหลงพลางถามด้วยความสงสัย เพราะพ่อลูกคู่นี้แลดูดีใจจนออกหน้าออกตาถึงขนาดนี้ เขาก็เลยอยากรู้ว่าสระวิวัฒนาการที่ว่า ที่แท้มันมีดีอะไรกันแน่
“น้องต้วน สระวิวัฒนาการที่ว่านั้น เป็นสระชำระวิญญาณและเลือดเนื้อที่เผ่าพยัคฆ์เหินจะเปิดทุกๆรอบหมื่นปี และมีพยัคฆ์ลายทองแดงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปใช้ได้”
ได้ยินต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย หวงเจียหลงก็เริ่มกล่าวอธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟัง
“พยัคฆ์เหินลายทองแดง ขอเพียงเข้าสู่สระวิวัฒนาการ และใช้เวลาดูดซับพลังวิญญาณรับการชำระขัดเกลาเลือดเนื้อวิญญาณในสระแค่เพียง 10 ปี…หลังจากออกจากสระวิวัฒนาการแล้ว ก็จะสามารถยกกระดับกลายเป็นพยัคฆ์เหินลายเงิน ที่เป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นกลางได้แน่นอน!”
“เป็นธรรมดาว่าสระวิวัฒนาการที่ข้ากล่าวถึงนั้น มีเพียงแค่พยัคฆ์เหินลายทองแดงเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ หากพยัคฆ์เหินลายเงิน หรือลายทองและทองเข้มเข้าไป มันจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น…”
“อย่างไรก็ตามข้าได้ยินข่าวลือมาอีกว่า นอกจากสระวิวัฒนนาการที่ว่าแล้ว เผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวยังมีสระวิวัฒนาการอีกสระที่จะเปิดออกทุกๆรอบ 30,000 มี และจะช่วยส่งเสริมให้พยัคฆ์เหินลายเงินวัฒนาการกลายเป็นพยัคฆ์เหินลายทอง สัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูงได้!”
กล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงของหวงเจียหลงก็ฉายชัดถึงความตื่นเต้นออกมาอีกครั้ง “กล่าวได้ว่าอีก 10 ปีหลังจากนี้ ตอนที่อาไป๋กลับมา…อาไป๋จะไม่ใช่สัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำอีกต่อไป แต่จะเป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นกลาง พยัคฆ์เหินลายเงิน!!”
ต้วนหลิงเทียนได้ฟัง ก็ตกใจอยู่บ้าง
และมาตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าไฉนหวงเจียหลงกับหวงเฟยเหยี่ยนถึงได้แลดูตื่นเต้นยินดีกันออกหน้าออกตานัก
ที่แท้สระวิวัฒนาการของเผ่าพยัคฆ์เหินกลับยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้!
‘พยัคฆ์เหินลายทองแดงหากไม่พบพานโชควาสนาครั้งยิ่งใหญ่ สุดท้ายชั่วชีวิตก็ทำได้แค่รั้งอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 3 ศักดิ์…แต่หากสามารถวัฒนาการเป็นพยัคฆ์เหินลายเงินได้สำเร็จ ต่อให้ไร้โชควาสนาอะไรก็สามารถบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานได้ในสักวัน!’
ราชาอมตะ 3 ศักดิ์กับ ราชาอมตะ 6 ผสานนั้น ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย!
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้เรื่องนี้ดี
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนยังรู้อีกว่า การเข้าสระวิวัฒนาการของไป๋กัง เสมือนได้รับโอกาสให้เกิดใหม่ก็ว่าได้!
“เสี่ยวเทียน พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่ตระกูลราชวงศ์ประเทศตันจี้จัดงานประมูลแล้ว…หากไร้ข้อผิดพลาดใดๆ การประมูลสมควรเริ่มต้นขึ้นตอนหัวค่ำ”
หวงเหยี่ยนเฟยหันไปกล่าวนัดหมายเวลากับต้วนหลิงเทียน
“เข้าใจแล้วลุงหวง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้หวงเฟยเหยี่ยนเป็นอันรับทราบ จากนั้นก็ลาหวงเฟยเหยี่ยนกับผู้เฒ่าโม่แล้วเดินออกจากโถงราชวังเพื่อกลับที่พัก
หวงเจียหลงก็เดินตามออกมาติดๆ
“น้องต้วน วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินที่เจ้าได้มาเรียกว่าอะไรหรือ?”
หลังเดินออกมาจากโถงได้สักพัก หวงเจียหลงก็หันไปถามต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย
“คุกศิลาทมิฬน่ะ”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่งขณะตอบ
“คุกศิลาทมิฬหรือ? ฟังจากชื่อของวรยุทธ์อมตะนี้…มันสมควรเป็นวรยุทธ์อมตะประเภทสนับสนุนใช่หรือไม่ หากข้าจำไม่ผิดเหมือนมันจะเป็นวิชาที่เอาไว้กักขังผู้คนในสนามพลังโน้มถ่วง…”
หวงเจียหลงเอ่ยถาม
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ
ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่อาจเข้าถึงกฏแห่งดินและแตกฉานวรยุทธ์อมตะที่พึ่งได้มา แต่ตัววรยุทธ์อมตะสามารถทำอะไรได้บ้างเขาย่อมรู้
เมื่อใช้ออกด้วยคุกศิลาทมิฬ แรงดึงดูดภายในพื้นที่กักกันสามารถสลับสับเปลี่ยนเพิ่มลดได้ตามแต่ใจเขาต้องการ เพียงแค่พลิกฝ่ามือ ก็สามารถละเล่นกับผู้ที่ถูกคุมขังได้ไม่ต่างแมวหยอกหนู
นอกจากนี้แรงโน้มถ่วงที่ว่า ยังรุนแรงถึงขั้นทำร้ายผู้คนให้ตายตกได้!
อีกทั้งคุกศิลาทมิฬ ยังสร้างขึ้นเพื่อใช้แทนป้อมปราการที่ป้องกันตัวเองได้รอบทิศทางเช่นกัน
“แล้วเวทย์พลังระดับราชาธาตุลมที่ท่านได้มาเล่า เรียกว่าอะไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเป็นเอ่ยถามกลับไปบ้าง
เขาเองก็สงสัยอู่บ้างว่าเวทย์พลังระดับราชาธาตุลมที่หวงเจียหลงได้มาเป็นอย่างไร
และจากสิ่งที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน กับเพลิงเทพโกลาหลกล่าววอธิบายให้เขา ในเมื่อมันเป็นเวทย์พลัง เขาจึงคิดว่าความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่แฝงอยู่ในเวทย์พลังที่หวงงเจียหลงได้ไป สมควรออกแนวส่งเสริมพลังภายใน
ยังทำให้เขาเข้าใจอีกด้วย ว่าความลึกซึ้งที่แฝงในเวทย์พลังระดับราชาธาตุลมของหวงเจียหลง ไม่น่าจะมีความลึกซึ้งเรื่องการโจมตีและความเร็ว…
สมควรเป็นความลึกซึ้งเบื้องต้นของกฏแห่งลม ที่เน้นในแง่ของการสนับสนุนพลังภายในของหวงเจียหลงเท่านั้น
“เวทย์พลังระดับราชาธาตุลมที่ข้าได้มาเรียกว่า ประทับวายุเมฆา มันสามารถควบรวมธาตุลมเข้ามาหนุนเสริมพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างข้า ให้ทรงพลังมากขึ้น…”
“และนอกจากความลึกซึ้งเบื้องต้นอย่าง ‘ความหมายพื้นฐาน’ ของกฏแห่งลมแล้ว ยังมีความลึกซึ้งเบื้องต้น ‘รวมสายลม’ ของกฏแห่งลมอีกด้วย”
“และความลึกซึ้งเบื้องต้น ‘รวมสายลม’ ก็ยังเป็นวิธีการควบแน่นธาตุลม เพื่อนำมาผสานเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทำให้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของข้าแข็งแกร่งมากขึ้น เป็นหัวใจหลักของเวทย์พลัง”
หวงเจียหลงกล่าว
และคำตอบของหวงเจียหลง ก็ได้ยืนยันข้อเท็จจริงในวาจาของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกับเพลิงเทพโกลาหลให้ต้วนหลิงเทียนโดยไม่ต้องสงสัยเลย
เวทย์พลังสนับสนุนระดับราชาขึ้นไป ความลึกซึ้งของกฏที่แฝงอยู่ ล้วนเป็นการเสริมพลังภายในทั้งสิ้น!
และความลึกซึ้งเบื้องต้น ‘รวมสายลม’ ของกฏแห่งลมที่แฝงเร้นมาในเวทย์พลังประทับเมฆาวายุ ก็เป็นความลึกซึ้งเบื้องต้นที่มุ่งเน้นไปในด้านหนุนเสริมพลังภายในอย่างเห็นได้ชัด!
ตอนที่ 2,968 : สายตาคับแคบเกินไป
หลังสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับหวงเจียหลงได้สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจหมดจด ว่าเวทย์พลังระดับราชาธาตุลมอย่างประทับเมฆาวายุของหวงเจียหลงนั้นทำอะไรได้บ้าง
“น้องต้วน…หรือพวกเราพยายามหาหนทางแลกเปลี่ยนวรยุทธ์อมตะของท่านกับเวทย์พลังของข้าดี? ท่านส่งวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินนั่นมา แล้วข้าจะมอบเวทย์พลังระดับราชาธาตุลมให้ท่าน?”
จนถึงตอนนี้หวงเจียหลงยังเข้าใจไปว่าต้วนหลิงเทียนจงใจมอบเวทย์พลังระดับราชาธาตุลมให้มัน ก็เลยหันไปเลือกวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินแบบนั้น
“ไม่ต้องหรอก…อีกอย่างถึงจะแลกตอนนี้ก็ทำไม่ได้แล้วล่ะพี่เจียหลง ข้าท่านล้วนใช้ยันต์อมตะเก็บความทรงจำไปแล้วนี่นา จะบากหน้าไปขอถึงเผ่าพยัคฆ์เหินอีกชุดก็ไม่เข้าท่ากระมัง”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มเจื่อนๆ พลางส่ายหัวไปมา “พี่เจียหลง วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินนี้…เป็นข้าอยากได้มันจริงๆไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่านเลย”
“น้องต้วนถึงข้าจะไม่เคยมีวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังงระดับราชาไว้ฝึกปรือ แต่มีคำหนึ่งกล่าวไว้ ไม่เคยกินหมูก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นหมูวิ่ง…”
หวงเจียหลงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสีหน้าจริงจัง “ถึงแม้ว่าเวทย์พลังระดับราชธาตุลมที่ข้าได้มา ความลึกซึ้งอย่าง ‘รวมสายลม’ ที่แฝงมาจะไม่ได้มุ่งเน้นในการโจมตีหรือเพิ่มความว่องไว…แต่ความลึกซึ้งในกฏแห่งลมอื่นๆนั้น มันมุ่งเน้นไปในเรื่องของการโจมตีกับเพิ่มความว่องไวหลายข้อทีเดียว”
“เวทย์พลังระดับราชาธาตุลมที่ข้าได้มา ถึงตอนนี้จะช่วยให้ข้าเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งลม กับรวมสายลมแค่ 2 ข้อเท่านั้น แต่ทว่าความลึกซึ้ง 2 ข้อนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือ ความหมายแห่งลม”
“ความหมายแห่งลม เป็นความลึกซึ้งที่เป็นดั่งรากฐานของกฏแห่งลม ไม่ว่าจะเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งลมข้อใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยรากฐานนี้ทั้งนั้น”
“หากท่านปูรากฐานนี้ไว้ วันหน้าเมื่อท่านคิดจะเข้าใจความลึกซึ้งอื่นๆของกฏแห่งลม ก็นับว่ามันมีส่วนช่วยท่านได้มากทีเดียว…”
กล่าวถึงจุดนี้หวงเจียหลงก็หยุดลงครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวสืบต่อออกมาเสียงขรึม
“คนเรามีสติปัญญาและกำลังจำกัด หากท่านคิดจะก้าวล่วงลึกเข้าไปในเส้นทางแห่งกฏ ดีที่สุดคือเลือกทุ่มเทให้กับกฏๆเดียว…หากตอนนี้ท่านทุ่มเทสติปัญญาทำความเข้าใจกฏแห่งดิน ซึ่งแน่นอนว่าท่านต้องใช้ความพยายามและใช้เวลาไม่น้อย และกว่าท่านจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินที่มุ่งเน้นในด้านโจมตี มันก็ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ มิสู้เปลี่ยนไปเลือกฏแห่งลมแต่เนิ่นๆ ที่มีความลึกซึ้งในด้านการโจมตีที่มากกว่าจะดีกว่าหรือ?”
ฟังจากวาจาของหวงเจียหลงแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันพยายามจะโน้มน้าวให้ต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนใจ และหาหนทางแลกเปลี่ยนวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินกับเวทย์พลังระดับราชาะตุลมของมันให้จงได้ ถึงแม้การคิดจะทำแบบนี้ก็คือการบากหน้าไปขอถึงเผ่าพยัคฆ์เหินก็ตามที…
“พี่เจียหลง”
ได้ยินวาจาโน้มน้าวของหวงเจียหลง ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มบางๆพลางกล่าวว่า “ข้าตั้งใจจะเอาดีในกฏแห่งดินจริงๆ ต่อให้วันหน้าข้ามีโอกาสเปลี่ยนไปศึกษากฏแห่งลม แต่ข้าก็ไม่คิดจะละทิ้งกฏแห่งดินไปเลือกกฏแห่งลมหรอก”
“นอกจากนี้ไม่มีใครสามารถพูดได้ว่ากฏแห่งดินนั้นต้องอ่อนด้อยกว่ากฏแห่งลมเสมอไป…หรือท่านจะบอกข้าว่า หากคนสองคนที่มีด่านพลังฝึกปรือเท่ากัน แต่ผู้แตกฉานความลึกซึ้งทั้งหมดในกฏแห่งดิน จะต้องอ่อนด้อยกว่าผู้ที่แตกฉานในความลึกซึงทั้งหมดของกฏแห่งลมเสมอไป?”
“อันที่จริงแล้วกฏไม่สำคัญ…สำคัญที่คนใช้กฏ!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
และประโยคสุดท้ายนั้น เป็นเขาได้ยินปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินที่กำลังบ่นหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปเมื่อครู่หยกๆ และเขาเห็นว่ามันฟังแล้วเข้าทีดี จึงหยิบยืมมากล่าวให้หวงเจียหลงฟัง
เป็นธรรมดาว่าเขาเห็นด้วยกับวาจาประโยคดังกล่าวของปฐพีเทพแรกกำเนิด!
นอกจากนั้นเขายังรู้ดีว่าไฉนหวงเจียหลงถึงมีความคิดแบบนี้ ทั้งหมดเพราะหวงเจียหลงถูกปลูกฝังมาผิดๆ ทำให้เชื่อและฝังหัวมานานแล้วว่ากฏแห่งดินอ่อนด้อยกว่ากฏแห่งลม…
และหวงเจียหลง หวงเฟยเหยี่ยนรวมถึงคนอื่นๆนั้น ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็บอกได้ทันทีว่าไฉนพวกมันถึงคิดไปเช่นนั้น…
ทั้งหมดเพราะพวกมันรู้จักความลึกซึ้งของกฏแห่งดินน้อยเกินไป!
“ความลึกซึ้งของกฏแห่งลมนั้น มากกว่า 8 ส่วนล้วนมุ่งเน้นไปที่การโจมตีและความเร็ว…หากแต่ความลึกซึ้งของกฏแห่งดินนั้น กลับมีเพียงความลึกซึ้งที่เน้นจู่โจมเป็นหลักเพียงหนึ่งข้อ กระทั่งเน้นคววามเร็วเป็นหลักก็มีแค่หนึ่งข้อ ทว่าเพียงควมลึกซึ้งหนึ่งข้อของแต่ละอย่าง กลับไม่ได้ด้อยกว่าความลึกซึ้งทั้ง 8 ส่วนของกฏแห่งลมเลย!”
เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเริ่มดังขึ้นในหัวต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
“ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า และมีความช่วยเหลือของข้า การที่เจ้าจะเข้าใจความลึกซึ้งทั้งหมดของกฏแห่งดินนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใด…หากแต่คนส่วนใหญ่ในพื้นที่แถบนี้ เรื่องพรรค์นั้นเป็นอะไรที่ไกลตัวพวกมันเกินไป กล่าวได้ว่าพวกมันนั้นตื้นเขิน สายตาคับแคบ ทัศนต่ำตม! และพวกมันนั้นทั้งชีวิตอย่างดีก็คงเข้าใจความลึกซึ้งไม่เกิน 3 ข้อ กล่าวไป 3 ข้อข้าว่ายังหรูไปสำหรับพวกมันด้วยซ้ำ!!”
“และในเมื่อพวกมันมิเคยได้สัมผัสกับความลึกซึ้งทั้งหมดของกฏชนิดต่างๆ พวกมันก็เลยชมชอบกฏแห่งลมมากกว่า เพราะอย่างไรเสียความลึกซึ้งกว่า 8 ส่วนของกฏแห่งลม ก็มุ่งเน้นไปที่การจู่โจมและความเร็ว!”
และวาจาประโยคถัดมาของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ว่า…
เหตุผลที่หวงเจียหลง หวงเหยี่ยนเฟยและคนอื่นๆเข้าใจไปว่ากฏแห่งลมนั้นทรงพลังกว่ากฏแห่งดิน ทั้งหมดเพราะสายตาของพวกมันคับแคบเกินไป ทัศนวิสัยตื้นเขินเกินไป และต้นทุนของพวกมันต่ำต้อยเกินไป!
“แต่เป็นธรรมดาว่าหากเจ้ามิมีข้าช่วยเหลือ บางทีการเลือกฏแห่งลมก่อนอาจจะส่งผลดีกับเจ้ามากกว่ากฏแห่งดิน…เพราะถึงแม้ว่ากฏแห่งดินจะมีความลึกซึ้งที่เน้นการโจมตีเป็นหลักและความลึกซึ้งที่เน้นความเร็วเป็นหลัก แต่กล่าวได้ว่ามันก็มีทั้งสิ้น 2 ความลึกซึ้งเท่านั้น กว่าเจ้าจะเข้าถึงพวกมันได้ ย่อมยากเย็นกว่ากฏแห่งลมที่มีความลึกซึ้งทั้ง 2 ด้านกว่า 8 ส่วนอยู่แล้ว…”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวต่อ “ทว่าตอนนี้ในเมื่อเจ้ามีข้า หากเจ้าคิดจะเข้าใจกฏแห่งดินผ่านเวทย์พลังหรือวรยุทธ์อมตะอันใด ต่อให้ไปวัดกับคนที่มีไหวพริบปฏิภาณทัดเทียมกับเจ้า แต่เจ้าก็ยังเข้าใจได้เร็วกว่ามันถึง 10 เท่า กล่าวได้ว่าเจ้าจะก้าวหน้ารวดเร็วกว่าพวกมัน 10 เท่า…และนี่ยังเป็นเพราะข้ายังอยู่ในขั้นที่ 3 เท่านั้นนะ!!”
“หากข้าพัฒนาไปสู่ขั้นที่ 4 ได้ล่ะก็…ด้วยมีข้าช่วยทั้งคน ความเข้าใจในกฏแห่งดินของเจ้า จะรวดเร็วเหนือกว่าผู้อื่นที่มีไหวพริบปฏิภาณทัดเทียมกับเจ้าถึง 100 เท่า!!”
กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ไม่ขาดการโน้มน้าวเย้ายวนแม้แต่น้อย “เช่นนั้น เจ้าจงทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือข้าให้ยกระดับพัฒนาไปยังขั้นที่ 4 เร็วๆเสีย…ถึงตอนนั้นข้าจะทำประโยชน์ให้เจ้าอย่างมหาศาล!!”
เสียงเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี้ แม้วาจาจะฟังดูจริงจังไม่น้อย แต่พอต้วนหลิงเทียนได้ยินกลับรู้สึกเสมือนคำคุยโม้ของเด็กน้อยที่หาแก่นสารไม่ได้พิกล…
“เจ้าหนู สิ่งที่สหายตัวน้อยกล่าวล้วนเป็นความจริง…ข้ากับเพลิงเทพโกลาหลเองก็สามารถช่วยเจ้าในเรื่องนี้ได้เช่นกัน”
ทองเทพสุดลับที่ไม่ได้พูดมานาน สุดท้ายก็อดไม่ไหวที่จะมาร่วมวงสนทนาด้วยอย่างคึกคัก “แต่เป็นธรรมดาว่าตอนนี้ตัวข้ามิอาจช่วยเหลือให้เจ้าเข้าใจกฏแห่งทองได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้เจ้าจะได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังธาตุทองมาก็ตาม….”
“อย่างไรเสีย หากข้าพัฒนาไปถึงขั้นที่ 3 แล้ว ตัวข้าย่อมช่วยเจ้าได้แน่นอน”
“และตอนนี้ข้าก็ต้องการแค่ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 อีกแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น ข้าก็จะพัฒนาไปเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 3 ได้อย่างราบรื่น!”
วาจาท้ายประโยยคของทองเทพสุดลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนยังสัมผัสได้ถึงความต้องการอันแรงกล้า เห็นชัดว่าอยากได้ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 มากลืนกินอีกสักชิ้นจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
เพราะด้วยรากฐานในปัจจุบันของมัน ขอแค่ได้กลืนกินทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 อีกแค่ชิ้นเดียว ก็มากเกินพอจะช่วยให้มันยกระดับพัฒนาไปสู่ขั้นที่ 3 ได้อย่างไม่ยากเย็น
“เฮ่! เพลิงเทพโกลาหล ข้าคิดว่าในบรรดาพวกเรา 3 คนต้องมีพี่ใหญ่ใช่ไหม? ไหนๆพวกเราก็อยู่ในร่างต้นเดียวกันแล้ว นับว่าพวกเรามีชะตาต้องกันไม่น้อย เช่นนั้นพวกเรามาจัดลำดับอาวุโสให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า…เอาเป็นว่าผู้ใดบรรลุถึงขั้นที่ 3 ได้ก่อนได้เป็นพี่ใหญ่ดีไหม?”
เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นอีกครั้ง ยังฟังดูคึกคักอักโขไม่น้อย “โอ๊ะโอ…พอดีในที่นี้ข้าก็เป็นผู้ที่บรรลุถึงขั้นที่ 3 มานานที่สุดด้วยสิ…ดังนั้นข้าเป็นพี่ใหญ่ก็แล้วกัน! เห็นด้วยไหมน้องรองน้องสาม?”
“อ้อ แน่นอนว่าเพลิงเทพโกลาหลเจ้าก็คือน้องรอง สำหรับน้องสามที่เป็นน้องเล็กสุดก็ต้องเป็นเจ้าแล้วล่ะทองเทพสุดลี้ลับ ก็ช่วยไม่ได้นี่นาเพราะเจ้ายังอยู่ในขั้นที่ 2 เท่านั้น…”
“ยอดเยี่ยม! ข้าว่าเอาตามนี้ล่ะ! ตกลงนะ!!”
“เฮ้ น้องรองน้องเล็กพวกเจ้าได้ยินไหมเนี่ย ไฉนไม่ตอบพี่ใหญ่เล่า…อย่ามาแกล้งตายใส่พี่ใหญ่นะ!”
ตอนนี้ในร่างต้วนหลิงเทียนก็มีแต่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเท่านั้นที่พูดไม่หยุด และไม่ว่ามันจะเรียกหาเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับอย่างไร ก็ไม่มีใครสนใจจะคุยกับมันสักคน…
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็อำลาหวงเจียหลง และย้อนกลับไปยังที่พักของเขา
“นายท่าน”
หลังจากเข้ามาถึงบริเวณหน้าประตูบ้านลานที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็เห็นหลิวก่วงหลิงที่ยืนรออยู่ด้านหน้า และทักทายทำความเคารพเขาด้วยสองตาแจ่มใส
“ดูเหมือนด่านพลังของเจ้าจะควบแน่น และมีเสถียรภาพดีแล้ว…”
เห็นอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มกล่าวออกมาทันที
“ใช่ขอรับ”
หลิวกว่งหลินพยักหน้า ค่อยพูดต่อว่า “นายท่าน ข้าน้อยต้องขออภัยด้วยที่วันก่อนกับวันนี้ไม่ได้ติดตามรับใช้ท่าน ขอนายท่านโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย”
หลายวันก่อนหน้า รวมถึงวันนี้ที่หลิวก่วงหลินไม่ได้ติดตามต้วนหลิงเทียนไปไหนมาไหน เพราะมันมาถึงช่วงสุดท้ายในการควบรวมปรับด่านพลังของตัวเองให้มั่นคงมีเสถียรภาพ
ด้วยเหตุนี้ไม่กี่วันที่ผ่านต้วนหลิงเทียนจึงไปไหนมาไหนตัวคนเดียว
“เอาล่ะ พรุ่งนี้ก็ถึงวันประมูลของตระกูลราชวงศ์ประเทศตันจี้แล้ว คืนนี้เจ้าก็พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ พรุ่งนี้ค่อยตามข้าไปเข้าร่วมงานประมูล”
ต้นหลิงเทียนเอ่ยบอกกำหนดการณ์แก่หลิวก่วงหลินเล็กน้อย ค่อยกลับเข้าห้องหับที่พัก
หลังจากเดินกลับมาถึงในห้องแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่พูดกับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ที่ป่านนี้ยังตะโกนเรียกหาเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับไม่หยุด “เจ้าหยุดโวยวายได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่อยากคุยกับเจ้า…เจ้าไม่ลองฟังเสียงตัวเองดูเล่า มันเหมือนทารกน้อยยังไม่หย่านมไม่มีผิด เจ้าคิดว่าทั้งคู่จะยอมให้เจ้าเป็นพี่ใหญ่ได้หรือ?”
วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนพอกล่าวออกมา ก็ไม่ต่างอะไรจากการ ‘ตอกตะปู’ ปิดฝาโลงโดยแท้ ทำให้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินที่ได้ยิน ถึงกับเงียบไปทันที
“เฮ่อ~”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงถอนหายใจของเด็กน้อยที่ฟังแล้วชวนให้ขบขันก็ดังขึ้น จากนั้นค่อยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นว่า “ทำไงได้ล่ะ เสียงของข้ามันเป็นแบบนี้ของมันเองนี่นา…แต่เอาเถอะ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะให้พวกมันยอมรับนับถือข้าเป็นพี่ใหญ่ด้วยความเต็มใจ!!”
“ช่างมีความทะเยอทะยานจริงๆ!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวชมปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินคำหนึ่ง จากนั้นก็ยิงคำถามออกมาทันที “ว่าแต่ในฐานะที่เจ้าเป็นถึงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน เจ้าเองก็คงมีความสามารถพิเศษอะไรใช่ไหม?”
“ผู้อาวุโสทองเทพสุดลี้ลับ สามารถช่วยปกป้องคุ้มกันดวงจิตข้าได้ ไม่เพียงแต่จะป้องกันการโจมตีทางวิญญาณทั้งมวล ยังสามารถปกปิดพลังฝึกปรือของข้าได้ชะงัด และฟังจากที่อาวุโสทองเทพสุดลี้ลับบอก หากสามารถยกระดับพัฒนาไปยังขั้นที่ 3 ได้ ยังจะมีความสามารถฉาบเคลือบอุปกรณ์อมตะที่ข้าใช้ เพื่อเพิ่มพูนพลังโจมตีได้อย่างน่ากลัวอีกด้วย!”
“สำหรับผู้อาวุโสเพลิงเทพโกลาหลนั้น ไม่เพียงแต่จะมอบเพลิงอมตะที่ช่วยให้ข้าสามารถหลอมโอสถอมตะและอุปกรณ์อมตะได้ยอดเยี่ยมกว่าปรมาจารย์หลอมอมตะระดับเดียวกัน แต่ยังช่วยส่งเสริมทักษะความสามารถในการหลอมโอสถอมตะของข้าได้อีกด้วย แถมหากข้ามีเวลาศึกษาเรื่องหลอมอุปกรณ์อมตะ ผู้อาวุโสก็สามารถช่วยให้ข้ากลายเป็นปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะฝีมือฉกาจได้ในเวลาสั้นๆ”
ต้วนหลิงเทียนที่เริ่มกล่าวออกมานั้น พยายามยกอ้างความสามารถของทองเทพสุดลี้ลับกับเพลิงเทพโกลาหลออกมาให้ฟังดูยิ่งใหญ่เลิศล้ำอย่างจงใจ หมายกระตุ้นอัตตาของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถอันใดที่ช่วยเขาได้บ้าง
“เฮ่! เจ้าจะพูดทำไมเยอะแยะ…ก็แค่อยากรู้ว่าข้าทำอะไรได้บ้างไม่ใช่รึไง? เจ้าคิดว่าข้าบอกเจ้าไม่ได้งั้นรึ?”
อย่างไรก็ตามปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินไม่ได้ลงกล ทั้งยังมองจุดประสงค์ของต้วนหลิงเทียนออกในชั่วพริบตาจึงหัวเราะชั่วร้าย กล่าวออกมาว่า “ฮุฮุฮุ…หากเจ้าอยากรู้ว่าข้าช่วยเหลืออะไรเจ้าได้บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ข้าจะบอกเจ้าหรอก…”
“ก็แค่เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่งเท่านั้น…”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว
“รับปากเรื่องอะไร?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วพลางถามออกไป ตอนนี้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่คิดเลยว่าปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินที่เสียงพูดฟังเหมือนเด็กน้อยยังไม่หย่านมและนิสัยแลดูอย่างไรก็เด็กน้อยชัดๆ กลับมีด้านที่ฉลาดเฉลียวแบบนี้ด้วย
“โน้มน้าวเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับ ให้พวกมันยอมรับข้าเป็นพี่ใหญ่ซะ!!”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว หากมันมีหน้าตาป่านนี้คงกำลังยิ้มกริ่มทำราวผู้ชนะอยู่เป็นแน่
“งั้นเจ้าก็ลืมมันไปเถอะ…ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือเจ้าก็ได้ เพราะสุดท้ายความสามารถของเจ้าสุดท้ายก็คงไม่พ้นยังไม่คู่ควรหิ้วรองเท้าให้อาวุโสเพลิงเทพโกลาหลกับอาวุโสทองเทพสุดลี้ลับอยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าเจ้ายังจะริเป็นพี่ใหญ่ผู้อื่นเขา”
ต้วนหลิงเทียนยักไหล่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“ฮึ่มเจ้าหนู! เจ้าอย่าคิดเล่นลูกไม้ตื้นๆคิดจะยั่วยุข้าแบบนี้หน่อยเลยหน่า…ถึงเสียงข้าจะฟังดูอ่อนกว่าวัยจริง แต่ความคิดข้าหาได้อ่อนกว่าวัยไม่! อย่าได้ริอาจเห็นว่าข้าเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเชียว!!”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวออกด้วยน้ำเสียงขุ่นขึ้ง
“ก็นับว่าไม่ธรรมดาอยู่บ้างจริงๆ เพราะอย่างน้อยๆเจ้าก็ยังพอบอกได้ว่าข้าต้องการอะไร…เอาล่ะ อย่างไรเสียเรื่องที่เจ้ามีความสามารถอะไร ข้าไม่คิดสนใจจะรู้ตอนนี้”
“สำหรับตอนนี้ข้าแค่อยากจะเห็นนัก ว่าเจ้าจะช่วยให้ข้าเข้าใจกฏแห่งดินได้อย่างรวดเร็วยังไง”
ต้วนหลิงเทียนนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง จากนั้นความคิดจิตใจก็เริ่มจดจ่ออยู่กับเคล็ดความวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดิน คุกศิลาทมิฬ!
ตอนที่ 2,969 : ธาตุดิน
คุกศิลาทมิฬ เป็นวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดิน เคล็ดความที่สำคัญและทรงพลังที่สุดของวรยุทธ์นี้ก็คือสนามพลังโน้มถ่วง
ด้วยมีสนามพลังโน้มถ่วงอันรุนแรง กอปรด้วยการปิดกั้นของลูกกรงทมิฬที่เกิดขึ้นจากการควบแน่นขององค์ประกอบธาตุดิน ก็ทำให้มันกลับกลายเป็นคุกแรงดึงดูดอันน่ากลัว!
หากสามารถกักขังศัตรูได้ ไม่เพียงกักกันให้อีกฝ่ายไม่อาจหลบหนีไปไหนได้แล้ว ด้วยความลึกซึ้งพื้นที่แรงโน้มถ่วง ก็จะทำให้ภายในคุกเต็มไปด้วยสนามพลังโน้มถ่วงอันน่าพรั่นพรึง ที่จะคอยเคี่ยวกรำให้ผู้ถูกขังพบเจอกับแรงดึงดูดอันมหาศาลที่บดขยี้ร่างกายจากทุกทิศทาง
หากคิดจะสำเร็จวรยุทธ์คุกศิลาทมิฬนั้น ก่อนอื่นเลยก็จำต้องเข้าใจความลึกซึ้งอย่าง ความหมายพื้นฐานของธาตุดินรวมถึงความลึกซึ้ง พื้นที่แรงโน้มถ่วงเสียก่อน
ในบรรดาความลึกซึ้งทั้ง 2 ของที่แฝงมากับวรยุทธ์อมตะคุกศิลาทมิฬนั้น ความหมายพื้นฐานของธาตุดินเป็นดั่งรากฐาน และไม่ว่าจะวรยุทธ์อมตะระดับราชาหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุใด ก็มักจะแฝงความลึกซึ้งอย่าง ความหมายพื้นฐาน เอาไว้ทั้งสิ้น
เพราะเหตุนี้ผู้คนมากมายจึงพากันเรียกวรยุทธ์อมตะระดับราชาหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุต่างๆ ว่าประตูสู่กฏ!
หากไม่ได้ฝึกปรือวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุต่างๆมาก่อน แล้วคิดจะกระโดดไปฝึกวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับจอมราชันหรือแม้กระทั่งระดับจักรพรรดิธาตุต่างๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนได้สำเร็จ ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าถึงกฏของธาตุนั้นๆ!
เพราะในวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับจอมราชันและจักรพรรดินั้น มันไม่ได้แฝงความลึกซึ้งอย่าง ความหมายพื้นฐานแห่งธาตุเอาไว้อีกแล้ว…
เช่นนั้นเพื่อที่จะเปิดประตูสู่พลังแห่งกฏ จำต้องได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชามาฝึกปรือให้เข้าใจความหมายพื้นฐานของธาตุนั้นๆก่อน…
หาไม่แล้วก็ต้องใช้เวลายาวนานเพื่อสัมผัสถึงการคงอยู่ของกฏ ซึ่งไม่ใช่อะไรที่จะกระทำได้ในเวลาแค่ไม่กี่ร้อยปีแน่นอน! และคงไม่มีใครคิดจะทำแบบนั้น เพราะชนรุ่นก่อนได้ทุ่มเทเวลามากมายเพื่อหาแนวทาง ให้ชนรุ่นหลังสัมผัสถึงประตูได้ง่ายๆแล้ว ใครจะไปบ้านั่งงมโข่งเองตั้งแต่แรก!!
เรื่องนี้เป็นดั่งสามัญสำนึกของระนาบเทวโลก
“เจ้าหนู ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกเจ้าไว้แล้วว่าด้วยมีความช่วยเหลือจากปฐพีเทพแรกกำเนิดขั้นที่ 3 อย่างข้า เจ้าย่อมสามารถเข้าใจความลึกซึ้งต่างๆของกฏแห่งโลกได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆถึง 10 เท่า…อย่างไรก็ตามความลึกซึ้งของกฏแห่งดินที่ข้ากล่าวถึงนั้น ไม่รวมความลึกซึ้งอย่าง ความหมายพื้นฐาน ที่เป็นดั่งประตูสู่ธาตุดิน…”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกำลังเตรียมจะตีความฝึกฝนวรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินอย่างคุกศิลาทมิฬ เพื่อเข้าใจความลึกซึ้งแรกอย่าง ความหมายพื้นฐาน เพื่อเปิดประตูสู่พลังแห่งกฏธาตุดิน ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็กล่าวเกริ่นออกมาเสียกอน
“หืม? ที่เจ้าพูดหมายความว่าอะไร…ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่อาจช่วยให้ข้าเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายพื้นฐานของธาตุดินได้เร็วกว่าคนอื่น 10 เท่าหรอกนะ?”
ต้วนหลิงเทียนที่นั่งหลับตาและทุ่มจิตสมาธิไปกับการตีความคุกศิลาทมิฬ อดขมวดคิ้วไม่ได้
“ไม่ใช่อย่างนั้น…”
เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นอีกครั้ง และยังแฝงความเย่อหยิ่งถือดีถึงขีดสุด “ที่ข้าบอกว่าไม่รวมความหมายพื้นฐานของธาตุดิน เพราะข้าไม่ใช่แค่จะช่วยให้เจ้าเข้าใจมันเร็วกว่าผู้อื่น 10 เท่า แต่ข้าสามารถช่วยให้เจ้าเข้าใจมันได้ในเวลาชั่วข้ามคืน!!”
“เจ้ารู้หรือไม่ ผู้อื่นนั้น ต่อให้มีไหวพริบปฏิภาณเลิศล้ำถึงเพียงใด หากแต่จะเข้าใจความลึกซึ้งแรก อย่างความหมายพื้นฐานแห่งธาตุ ให้ได้ อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลา 3-5 ปี! ส่วนเจ้าพวกที่ไม่ใช่อัจฉริยะดั่งสัตว์ประหลาด ก็ไม่พ้นต้องใช้เวลานับร้อย แม้กระทั่งนับพันๆปี!!”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “และหากใครที่หัวทึบไหวพริบปฏิภาณต่ำตม เผลอๆกระทั่งความลึกซึ้งอย่างความหมายพื้นฐานแห่งธาตุ ชั่วชีวิตพวกมันก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ด้วยซ้ำ…และคนจำพวกนี้ก็เสมือนถูกลิขิตให้ไร้วันเข้าถึงพลังแห่งกฏไปชั่วกาล!!”
“อะไร? ช่วยให้ข้าเข้าใจได้ในเวลาชั่วข้ามคืน!?”
ใจต้วนหลิงเทียนสะท้านไปทันใด
เพราะฟังจากที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว ไม่ได้หมายความว่า…
ก่อนที่การประมูลของราชวงศ์ประเทศตันจี้จะเริ่มขึ้นหัวค่ำพรุ่งนี้ ด้วยมีปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินช่วยเหลือ เขาจะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งแรกอย่าง ‘ความหมายพื้นฐาน’ ของธาตุดินได้แล้วงั้นเหรอ!?
แต่…
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินจะมีความสามารถเลิศล้ำถึงขนาดนั้นจริงๆ?
“เข้าใจความหมายพื้นฐานในเวลาชั่วข้ามคืน…นี่เจ้าคงไม่ได้กำลังล้อข้าเล่นอยู่หรอกนะ?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถามปฐพีเทพแรกกำเนิดด้วยความแคลงใจ
“อุบ๊ะ! เจ้าคิดว่าข้าพูดโอ้อวดรึไงหา…เพ่ย! พรุ่งนี้เดี๋ยวรู้เรื่อง!!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงคลางแคลงสงสัยของต้วนหลิงเทียน ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็รู้สึกขุ่นขึ้งไม่น้อย เพราะอีกฝ่ายทำราวกับมันเป็นเด็กน้อยไร้ความน่าเชื่อถือ “ตอนนี้เจ้าผ่อนคลายร่างกายเสีย อย่าเกร็ง! ทำจิตให้ว่าง แล้วก็ปล่อยสำนึกเทวะให้แผ่ออกมาอย่างอิสระล่องลอยไปไม่ต้องกำหนดเสีย…”
“เดี๋ยวพี่ใหญ่ผู้นี้จะชักนำสำนึกเทวะของเจ้าให้เข้าถึงองค์ประกอบของธาตุดินระหว่างสวรรค์และโลก…และหลังจากนั้นสิ่งที่เจ้าต้องทำก็เพียงจมจ่อมกับความรู้สึก สดับฟังรับรู้องค์ประกอบของธาตุดินทั้งหมดซะ!”
“เมื่อเจ้าคุ้นเคยกับองค์ประกอบของธาตุดินแล้วเข้าถึงมันได้ วันหน้าเมื่อเจ้าโคจรพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเพื่อสู้กับผู้อื่น เจ้าสามารถอาศัยการผสานพลังธาตุดินเข้าไปได้…และลำพังเพียงแค่เจ้าผสานพลังของธาตุดินเข้าไป พลังของเจ้าก็เพิ่มพูนขึ้นมากกว่าเดิมมากมายแล้ว!”
หลังปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ตอบอะไรกลับไปอีก
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้เริ่มทำตามคำแนะนำของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินอย่างเคร่งครัด เริ่มผ่อนคลายร่างกาย ทำจิตให้ว่าง จากนั้นก็ปล่อยให้สำนึกเทวะเป็นอิสระล่องลอยออกมาทั่วร่างกายอย่างไร้จุดหมาย
ตอนแรกหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนทำจิตให้ว่าง และปล่อยสำนึกเทวะให้เป็นอิสระแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไร…
ทว่าหลังจากผ่านไปไม่กี่สิบลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าสำนึกเทวะของเขาได้เริ่มชำแรกลงสู่พื้นดินใต้เท้าอย่างง่ายดาย ยังพุ่งลึกลงไปยังใต้โลก…
กระบวนการทั้งหมดราบรื่นง่ายดาย เสมือนสำนึกเทวะเขาคือสว่านพลังสูง สามารถเจาะทะลวงได้ทุกสรรพสิ่ง
‘นี่คือ…ผลงานของปฐพีเทพแรกกำเนิดงั้นหรือ?’
ในขณะที่ตื่นตระหนกกับเรื่องราวดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ เมื่ออยู่ๆเขาพลันสัมผัสได้ถึงบางอย่าง…
หลังสำนึกเทวะของเขาชำแรกลึกลงไปใต้พิภพแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนมากมาย บ้างรุนแรงบ้างแผ่วเบา คล้ายบังเกิดแผ่นดินไหวไกลๆ ทำให้สำนึกเทวะของเขาพลอยสั่นพ้องตามไปด้วย
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
…
จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนที่เป็นจังหวะจะโคนทำนองเอื่อย ราวกับหัวใจของมนุษย์กำลังเต้นอยู่
ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ!
…
บ้างก็สัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนที่รัว ประหนึ่งทัพม้านับหมื่นยาตรา ให้ความรู้สึกทรงพลังรุนแรงประหนึ่งจะฉีกแยกปฐพีให้เป็นเสี่ยงๆ
จากนั้นการสั่นสะเทือนทั้งหลายก็ประดังเข้ามาให้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสถึง ทำให้รู้สึกยากจะกล่าวราวกับได้ยินเสียงชีพจรของสรรพสิ่งกำลังเต้น
เรียกว่ากระบวนการดังกล่าว ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนว่าสำนึกเทวะของเขาได้ผสานเข้ากับสรรพสิ่ง…สรรพสิ่งที่ผืนแผ่นดินโอบอุ้มเอาไว้
ไม่ว่าจะเป็นอาคารปลูกสร้างที่ตั้งบนพื้นดิน รากไม้ที่หยั่งลึกลงไปในดิน ฝีเท้าผู้คน สัตว์อมตะ สรรพชีวิตทั้งหลาย…
นอกจากนั้นยังตระหนักได้ถึงขุนเขาตระหง่านที่เชื่อมต่อกับพื้นดินอย่างแข็งขัน ราวกับจะเชื่อมผนึกไม่แยกจาก…
…
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทราบว่าเวลามันล่วงเลยผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่แล้ว เขารู้แค่ว่าสำนึกเทวะของเขาเสมือนได้หลอมรวมเข้ากับผืนดิน รับรู้ได้ถึงทุกสิ่งอย่าง
ในระหว่างกระบวนการสดับฟังชีพจรปฐพีและสรรพสิ่งนี้ ต้วนหลิงเทียนยังเข้าใจกระบวนการก่อเกิดของดินอย่างลึกซึ้ง จึงทราบว่าดินนั้นหาได้มีแค่ดินร่วนดินเหนียวดินทรายที่เอาไว้ปลูกพืช ทั้งเป็นรากฐานรองรับสรรพสิ่งแต่อย่างใด
กระทั่งดินที่ควบรวมก่อตัวเป็นภูเขา ดินที่ควบแน่นมานานหลายหมื่นพันปี จนกลับกลายเป็นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ราวกับมันได้รับการขัดเกลาส่งเสริมจากฟ้าดินผ่านวันเวลามาอย่างยาวนาน…
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าบัดนี้สำนึกเทวะของเขาได้หลุดออกมาจากผืนดิน และเริ่มล่องลอยขึ้นไปในอากาศ
เขาพลันพบว่า…
แม้แต่ในอากาศ ก็ยังมีลมหายใจของปฐพี มันเป็นลมหายใจที่ค่อนข้างแผ่วเบา หากแต่หนักแน่นและมั่นคงนัก ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความปลอดภัย
‘นี่คือ…ธาตุดินหรือ?’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
เวลายังคงไหลผ่านไปเรื่อยๆ
จนเมื่อต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้นมา เขาก็พบว่าค่ำคืนได้ล่วงเลยผ่านพ้นไปแล้ว แสงอัสดงยามเช้ากำลังส่องลอดหน้าต่างแทรกผ่านผ้าม่านเข้ามาอาบไล้ผิวกาย ให้ความอบอุ่น…
“ธาตุดิน…”
จากนั้นทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขุมหนึ่งแผ่ซ่านออกมา จากนั้นมันก็เข้าไปจับกับธาตุดินที่สถิตย์อยู่ในอณูอากาศ จากนั้นก็ค่อยๆชักนำเข้ามาหลอมรวมผสาน จนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขาเริ่มทอแสงสีเหลืองออกมาเรืองๆ
และไม่นานหลังจากนั้น พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดสีเหลืองของเขา ก็ค่อยๆกลับกลายเป็นสีกากี จากนั้นก็โคจรม้วนวนไปทั่วร่างกายของเขา ราวอสรพิษตัวเขื่องเลื้อยลดขดพัน
“พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดหลังหลอมรวมกับธาตุดินแล้ว…มันทรงพลังถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่อัดแน่นอยู่ในพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดหลังผสานกับธาตุดิน ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ!
แม้เขาจะพึ่งได้วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินอย่าง คุกศิลาทมิฬ มาเมื่อวาน ทว่าบัดนี้เขาตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างวรยุทธ์อมตะและเวทยย์พลังระดับขุนนางกับราชาชัดเจน!
เพราะเมื่อเข้าใจถึงความลึกซึ้งที่แฝงเร้นอยู่ในวรยยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาแล้ว ยังสามารถใช้พลังดังกล่าวผสานเข้ากับทักษะความสามารถเดิมๆได้…
ก็เหมือนกับสภาพเขาในตอนนี้
พลังแห่งของธาตุดิน ที่เขาใช้อยู่มันก็แค่พลังจากความลึกซึ้งแรกอย่าง ความหมายพื้นฐานของธาตุดินเท่านั้น ไม่ใช่วรยุทธ์หรือวิธีการใดๆ…
กล่าวได้ว่า
หลังจากที่เขาชักนำพลังธาตุดินมาหลอมรวมเข้ากับพลังเซียนยอมตะต้นกำเนิดแล้ว เขาสามารถใช้วรยุทธ์เก่าๆที่เคยใช้มาได้ และมันยังจะทรงพลังอานุภาพขึ้นอีกด้วย!
เพราะพลังธาตุดินที่ผสานเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมันไม่ได้ขัดแย้งกับกับวิธีการเหล่านั้น
‘ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่มีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง แต่ก็มากพอจะเอาชนะพี่เจียหลงในฝ่ามือเดียว!’
ในอดีตถึงแม้ภายนอกจะเห็นว่าเขาสามารถเอาชนะหวงเจียหลงได้ในกระบวนท่าเดียว แต่ทั้งหมดเป็นเพราะเขาพึ่งพาพลังที่เหลืออยู่ของอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองทั้งสิ้น…
หากให้ประมือกับหวงเจียหลงอีกครั้ง เกรงว่านอกจากจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอีกรอบ ไม่งั้นเขาคงไม่มีหนทางเอาชนะหวงเจียหลงได้เลย
ทว่าตอนนี้ การเข้าใจความหมายพื้นฐานแห่งธาตุดิน อันเป็นความลึกซึ้งแรกของกฏแห่งธาตุดินในเวลาชั่วข้ามคืน กลับทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง!
เขาบังเกิดความมั่นใจถึงขีดสุด ว่าตอนนี้ต่อให้ออกไปประมือกับหวงเจียหลงอีกครั้ง เขาอาศัยแค่ 1 ฝ่ามือก็สามารถสยบอีกฝ่ายได้ง่ายดาย!
เรียกว่าในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนได้บังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
‘มิน่าล่ะ อัจฉริยะของประเทศตงหมิงที่ว่า ถึงอาศัยด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ ก็สามารถสยบยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของประเทศตงหมิงได้ง่ายดาย! ดูเหมือนมันจะเข้าใจความหมายพื้นฐาน จนเข้าถึงพลังแห่งกฏแล้ว…’
‘ก่อนหน้านี้ยังสงสัยอยู่บ้าง ว่าพลังของกฏจะส่งเสริมความแข็งแกร่งให้มากน้อยเพียงใด…ตอนนี้ ไม่แปลกใจเลย…’
‘เพราะต่อให้เจ้านั่นจะแค่เข้าใจความลึกซึ้งแรกอย่างความหมายพื้นฐานของธาตุ และทำได้แค่ใช้พลังของกฏอย่างเรียบง่ายโดยการผสานเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างแบบนี้ ขอเพียงมันใช้ออกด้วยวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับขุนนางสักอย่าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสยบยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งประเทศที่ยังไม่เข้าถึงกฏ!’
หลังเข้าใจความลึกซึ้งแรกอย่าง ความหมายพื้นฐานของธาตุดินแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนเปิดประตูสู่พลังแห่งกฏธาตุดินแล้วเดินเข้าไปเรียบร้อย แม้พลังแห่งกฏที่เขาใช้ได้จะยังแค่ก้าวแรกก็ตาม
‘อย่างไรก็ตาม นับว่าพรสวรรค์และไหวพริบปฏิภาณของเจ้านั่นไม่ธรรมดาเลย…สุดท้ายแล้วมันก็ยังอายุไม่ถึงร้อยปีเหมือนกัน แต่สามารถเข้าถึงพลังแห่งกฏจนสยบเหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดในประเทศทั้งหมด นั่นไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะกระทำได้!’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
“ไงล่ะเจ้าหนู! ที่นี้เจ้ายังกล้าสงสัยในตัวข้าอยู่อีกไหม?!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังใจลอยเพราะนึกถึงอัจฉริยะของประเทศตงหมิงอยู่นั้น เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ดังขึ้นมาอีกรอบ ถ้อยคำน้ำเสียงยังแฝงความอวดโอ่ไม่น้อย
“ไม่สงสัย ไม่สงสัย…”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าหากข้าได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมา ผู้อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล ก็สมควรช่วยให้ข้าเข้าถึงกฏแห่งไฟได้ในชั่วข้ามคืนเหมือนกันใช่ไหม?”
“เอ่อ…”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ปฐพีเทพแรกกำเนิดก็ใบ้รับประทานทันที เพราะที่ต้วนหลิงเทียนพูดมันก็จริง หากได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมา เพลิงเทพโกลาหลก็สามารถช่วยให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจความหมายพื้นฐานของธาตุไฟ เข้าถึงพลังแห่งกฏธาตุไฟได้ในเวลาชั่วข้ามคืนเหมือนกัน…
“หากเจ้าได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมา ภายในเวลา 1 ชั่วยามครึ่ง ข้าก็สามารถช่วยให้เจ้าเข้าใจความลึกซึ้งแรกของธาตุไฟอย่าง ความหมายพื้นฐาน และเข้าถึงพลังแห่งกฏธาตุไฟได้เช่นกัน…”
เสียงชราแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจของเพลิงเทพโกลาหลพลันดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ…
ตอนที่ 2,970 : หลิงเจวี๋ยอวิ๋น
“เฮอะ! เพลิงเทพโกลาหลเจ้าก็ช่างพูดได้ไม่อายปากนะ!!”
แทบจะทันทีที่เสียงของเพลิงเทพโกลาหลดังจบคำ ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็โพล่งออกมาด้วยความขุ่นเคือง “หากไม่ใช่เพราะเจ้าหนูนี่อาศัยเจ้าในการหลอมโอสถอมตะจนคุ้นเคยกับเจ้าถึงระดับหนึ่ง ไม่ต่างอะไรจากการวางรากฐาน จนใกล้จะเข้าถึงความหมายพื้นฐานของกฏแห่งไฟอยู่รอมร่อ…”
“แล้วเจ้าจะไปมีปัญญาทำให้มันเข้าใจความหมายพื้นฐานและเข้าถึงกฏแห่งไฟได้ในเวลาแค่ 1 ชั่วยามครึ่งได้อย่างไร?”
คำพูดก่อนหน้าของเพลิงเทพโกลาหลนั้นใครฟังดูก็รู้ว่าจงใจเกทับ และอวดว่าสามารถช่วยให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจความหมายพื้นฐานของไฟได้รวดเร็วกว่ามันที่ต้องใช้เวลาชั่วข้ามคืนเห็นๆ…
ใครจะไปทนรับการเกทับขี้โกงแบบนี้ได้?
อย่างไรก็ตามได้ยินน้ำเสียงขุ่นเคืองของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน เพลิงเทพโกลาหลยังคงนิ่งสงบไม่นำพา เพียงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “กระบวนการไร้สำคัญ ข้าดูก็แต่ผลลัพธ์เท่านั้น”
“หากเจ้าคิดจะเป็นพี่ใหญ่ข้า อย่างน้อยๆเจ้าก็ต้องเหนือกว่าข้าสักด้าน…แต่ดูเจ้าเถอะ กระทั่งเรื่องช่วยให้เจ้าหนูร่างต้นเข้าใจความหมายพื้นฐานยังช้ากว่าข้าหลายเท่า แล้วเจ้าคิดว่าตัวเจ้ามีคุณสมบัติอันใด?”
กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของเพลิงเทพโกลาหลก็ไม่ขาดการดูแคลนหยามหยันแม้แต่น้อย
“เจ้า…เจ้า…”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินโมโหกับคำพูดของเพลิงเทพโกลาหลถึงขั้นเถียงไม่ออก จากนั้นก็เงียบไปไม่กล่าวคำใดอีกเลย
“ฮ่าๆๆ…ผู้เฒ่าเพลิงท่านช่างร้ายกาจนัก ทำให้สหายตัวน้อยถึงกับเถียงไม่ออกจนต้องเข้าสู่ห้วงนิทราไปแบบนี้ได้!”
เสียงที่เงียบหายไปนานของทองเทพสุดลี้ลับดังขึ้นมาทันที ฟังจากน้ำเสียงแล้ว มันแลดูจะมีความสุขกับความทุกข์ของผู้อื่นไม่น้อย
อย่างไรก็ตามตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจวาจาจิกกัดอะไรของเทพธาตุทั้ง 3 ในร่างเลย เพราะเขายังคงจมกับเรื่องที่พึ่งได้รู้เมื่อครู่
สองตายังส่องสว่างขึ้นมาปานดวงดารา ‘ที่แท้การที่ข้าใช้เพลิงเทพโกลาหลหลอมโอสถอมตะ ยังมีส่วนช่วยให้ข้าเข้าใจความหมายพื้นฐานของกฏธาตุไฟได้ด้วยงั้นเหรอ?’
‘ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว ข้าเกือบเข้าใจถึงความหมายพื้นฐานของกฏธาตุไฟโดยไม่รู้ตัว? และหากได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมาสักอย่าง เพลิงเทพโกลาหลก็จะช่วยข้าให้เข้าใจความหมายพื้นฐานของกฎธาตุไฟได้ในเวลาแค่ชั่วยามครึ่ง?’
คิดถึงจุดนี้อารมณ์ต้วนหลิงเทียนก็พุ่งพล่านขึ้นมาไม่น้อย ขณะเดียวกันในใจก็บังเกิดความโหยหาต่อวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟขึ้นมา…
‘งานประมูลของตระกูลราชวงศ์ประเทศตันจี้กว่าจะเริ่มก็ช่วงหัวค่ำ…ถ้างั้นก็เดินเล่นแถวในวังหลวงนี่ล่ะ จริงสิที่นี่ก็สมควรมีหอตำราอยู่ด้วยสินะ…’
พอนึกได้ว่ากว่างานประมูลจะเริ่มก็ช่วงหัวค่ำ และตอนนี้ตะวันก็พึ่งจะขึ้น ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีด้วยซ้ำ ต้วนหลิงเทียนก็เดินออกจากห้องไปเรียกหาหลิวก่วงหลินที่ลานบ้าน คิดชวนอีกฝ่ายออกไปข้างนอกด้วยกัน
‘ตอนนี้พี่เจียหลงคงกำลังง่วนอยู่กับการตีความเวทย์พลังระดับราชาธาตุลม…ไม่ไปกวนดีกว่า’
ขณะที่เดินผ่านบ้านลานที่พักของหวงเจียหลง ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองคิดเล็กน้อย จากนั้นก็พาหลิวก่วงหลินเดินออกจากเขตที่พักที่ทางฮ่องเต้ตันจี้จัดไว้ให้ทันที
หลังจากออกมาจากเขตตำหนักที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็เห็นว่ามีผู้คนที่กำลังเดินออกมาจากตำหนักอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลเช่นกัน
“นายท่าน ตำหนักหลังนั้นเป็นสถานที่พักของคนจากประเทศตงหมิง…พวกมันเองก็มาเพื่อประมูลไส้เดือนฝอยทองคืนนี้เช่นกันขอรับ”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนหันไปมองได้ไม่ทันไร หลิวก่วงหลินก็กล่าวเสริมออกมาพอดี
“ประเทศตงหมิง?”
คิ้วต้วนหลิงเทียนเลิกขึ้นทันที
เหตุผลที่เขาถ่อมาถึงเมืองหลวงประเทศตันจี้ ก็เพื่อประมูลไส้เดือนฝอยทอง 1 ใน 2 วัตถุดิบยาหลักมาหลอมโอสถเฉียนจิน
สำหรับไส้เดือนฝอยทองที่ประเทศตันจี้นำออกมาประมูลนั้น ฮ่องเต้ฝูชิวเองก็ได้ติดต่อขอซื้อกับอีกฝ่ายดูก่อนแล้ว
จึงพบว่าหากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ประเทศโม่หลุน กับฮ่องเต้ประเทศตงหมิงเองก็ต้องการไส้เดือนฝอยทองเช่นกัน ฮ่องเต้ตันจี้คงขายไส้เดือนฝอยทองให้แก่ฮ่องเต้ฝูชิวเพื่อรักษามิตรภาพ สุดท้ายแล้วฝูชิวตันจี้ก็เป็นประเทศเพื่อนบ้านกัน
อย่างไรก็ตามเนื่องจากฮ่องเต้ของประเทศโม่หลุน และฮ่องเต้ประเทศตงหมิงเองก็ต้องการไส้เดือนฝอยทอง แถมยังขอก่อน ฮ่องเต้ตันจี้ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่นำออกประมูลให้ทั้ง 3 ประเทศไปประมูลช่วงชิงกันเอาเอง
ด้วยวิธีนี้ก็สามารถหลีกเลี่ยงการผิดใจกับประเทศใดประเทศหนึ่งได้
เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเลย หากคิดจะเอาใจประเทศหนึ่งโดยไม่สนใจอีก 2 ประเทศที่เหลือ
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินหันไปมองคนของประเทศตงหมิงที่พึ่งเดินออกมา คนของประเทศตงหมิงเองก็สังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินเช่นกัน
“สองคนนั่น…ดูเหมือนจะพึ่งออกมาจากตำหนักที่พักประเทศฝูชิวสินะ?”
“ช้าก่อน! ชายหนุ่มหล่อเหลา ชุดม่วง…เจ้านั่นคงไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน ผู้ฝึกตนไร้สังกัดที่โด่งดังไปทั่วประเทศฝูชิวเมื่อเร็วๆนี้หรอกนะ?”
“สมควรเป็นมันนั่นล่ะ! ข้าได้ยินว่า 5 คนของประเทศฝูชิวที่มาเข้าร่วมการประมูลคราวนี้มีชายหนุ่มมาด้วย 2 คน…หนึ่งในนั้นก็คือหวงเจียหลงเจ้าเมืองน้อยเมืองตู้อวิ๋น ที่สำคัญเจ้าหวงเจียหลงนั่นข้าเคยเจอมันมาก่อนก็เลยจำหน้ามันได้ ข้าจึงบอกได้ทันทีว่าเจ้านี่ไม่ใช่หวงเจียหลง!”
…
กลุ่มคนของประเทศตงหมิงที่สังเกตเห็นพวกต้วนหลิงเทียนก็เริ่มซุบซิบคุยกันทันที และจากนั้นพวกมันก็หันไปมองคนๆหนึ่งในกลุ่ม
เป็นชายหนุ่มในชุดสีเทาสีหน้าแววตาเย็นชา ที่เอวสะพายกระบี่พร้อมฝัก ให้ความรู้สึกเหมือนมือกระบี่ไร้ใจผู้หนึ่ง
“ต้วนหลิงเทียน?”
ได้ยินเสียงซุบซิบของกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง สองตาไร้อารมณ์ของชายหนุ่มชุดเทาก็ทอประกายขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
ครู่ต่อมา
วูบ!
สายตาแหลมคมปานกระบี่ของมันก็หันไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนทันที
สำนึกเทวะเองก็แผ่ออกมาพร้อมๆกัน
และไม่ทันไร สำนึกเทวะของมันก็แผ่มาปกคลุมทั่วร่างต้วนหลิงเทียน จึงพบว่ากลิ่นอายเลือดเนื้อของต้วนหลิงเทียนนั้นยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี จึงเอ่ยพึมพำออกมาเบาๆ ‘เป็นมันจริงๆ!’
หมายความว่าชายหนุ่มชุดม่วงที่พึ่งออกมาจากตำหนักที่พักของประเทศฝูชิว ก็คืออัจฉริยะอันดับ 1 ขอบเขตยอดเซียนอมตะของประเทศฝูชิว ต้วนหลิงเทียน ที่มีอายุไม่ถึงร้อยปีผู้นั้น!
“เป็นมันจริงๆด้วย!!”
และในขณะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มชุดเทาพบว่าต้วนหลิงเทียนมีอายุไม่ถึงร้อยปี ชายหนุ่มอีกคนในชุดสีเงินของประเทศตงหมิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆชายหนุ่มชุดเทา ก็ค้นพบเรื่องนี้เช่นกัน ลูกตายังอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง “ดูเหมือนว่าเจ้านั่นจะเป็นต้วนหลิงเทียนของประเทศฝูชิวที่ร่ำลือ…”
“อายุไม่ถึงร้อยปี แต่กลับเอาชนะหวงเจียหลงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของประเทศฝูชิวได้ในกระบวนท่าเดียว…หวงเจียหลงที่ว่า ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือในบรรดายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของประเทศฝูชิวแล้ว”
“ที่สำคัญมันไม่เพียงแต่จะเอาชนะหวงเจียยหลงได้ในกระบวนท่าเดียว ฟังมาว่ามันยังไม่ได้ใช้พลังแห่งกฏอะไร ที่สำคัญด่านพลังฝึกปรือของมันก็ยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์เท่านั้น!”
พอชายหนุ่มชุดสีเงินกล่าวถึงจุดนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังชายหนุ่มชุดเทาข้างๆ พลางเอ่ยถามว่า “พี่เจวี๋ยอวิ๋น ท่านคิดว่า…เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปได้หรือไม่?”
ขณะที่มองถามชายหนุ่มชุดเทา แววตาของชายหนุ่มในชุดสีเงินก็เผยความยำเกรงอีกฝ่ายไม่น้อย
เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ในการประลองสวรรค์ใต้ของประเทศตงหมิง อดีตผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของประเทศตงหมิงเช่นมัน ก็แพ้พ่ายต่อชายหนุ่มชุดเทาผู้นี้ลงได้อย่างราบคาบ…
และตั้งแต่ต้นจนจบชายหนุ่มชุดเทายังไม่แม้แต่จะชักกระบี่ที่เอวด้วยซ้ำ อีกฝ่ายเพียงควบแน่นกระบี่พลังมีสภาพจากพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานพลังแห่งกฏ แล้วซัดออกมาเท่านั้น!
กระทั่งอีกฝ่ายออมมือไว้ขนาดนี้ แต่วันนั้นมันก็ยังโดยกระบี่พลังซัดจนสิ้นท่า อาการยังสาหัสไม่ใช่เล่น พักฟื้นอยู่สิบวันครึ่งเดือนกว่าจะหายดี…
ที่สำคัญด่านพลังของอีกฝ่ายไม่เพียงยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ อายุก็ยังไม่ถึงร้อยปีอีกด้วย!
ทำให้ชายหนุ่มชุดเทาผู้นี้ได้เข้ามาแทนที่มัน และกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะอันดับ 1 คนใหม่ของประเทศตงหมิง
เรื่องนี้มันยอมรับหมดใจ
“ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล พิสดารมากมี…เรื่องที่ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์คนหนึ่งจะสยบยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดโดยไม่ใช้พลังแห่งกฏ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ชายหนุมชุดเทากล่าวออกเสียงเรียบ แววตาของมันเองก็ดูสงบนัก ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆแฝงอยู่
และชายหนุ่มในชุดสีเทาผู้นี้ ก็คืออัจฉริยะที่ปรากฏตัวออกมาในงานประลองสวรรค์ใต้ของประเทศตงหมิงปานดาวหาง หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
“พี่เจวี๋ยอวิ๋น หากให้ท่านประมือกับมัน…ท่านมั่นใจว่าจะชนะมันหรือไม่?”
ชายหนุ่มชุดเงินเอ่ยถามสืบต่อ
“ข้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของมัน…ย่อมไม่กล้าพูดว่าจะเอาชนะมันได้เต็มปาก”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยตอบเสียงเบา
‘ดูเหมือนชายหนุ่มชุดเทาผู้นั้นจะเป็นอัจฉริยะที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวออกมาในประเทศตงหมิง…แลดูไม่ธรรมดาจริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่อยู่ไกลๆ และลอบคาดเดาเรื่องราวไปในใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายก็มีอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน
ได้ฟังมิสู้พบเจอ นับว่ากล่าวไว้ไม่ผิด…!
‘ไม่รู้…มันจะใช่เซียนอมตะยอดฝีมือกลับชาติมาเกิดจริงอย่างที่ว่ารึเปล่า หากเป็นแบบนั้นจริงๆชาติที่แล้วของมันต้องไม่ธรรมดาแน่ พรสวรรค์มันคงกล่าวได้ว่าท้าทายสวรรค์!’
ต้วนหลิงเทียนลอบคิดในใจ
“ก่วงหลิน เราไปกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนถอนสายตาออกมาจากร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก่อนที่จะหันไปกล่าวทักหลิวก่วงหลิน แล้วเดินทางต่อ
ครั้งนี้ที่เขาออกมา จุดประสงค์ก็คือไปหาความรู้ที่หอตำราของพระราชวังหลวง
หอตำราหลวงที่ว่ายังเปิดให้แขกที่มาเข้าพักในวังเข้าชมได้ตามอัธยาศัย มีหนังสือตำรา ยันต์อมตะเก็บความทรงจำ ไม่เว้นลูกแก้วเงาลอยมากมาย
และลูกแก้วเงาลอยที่มีเก็บไว้ในหอตำรา ก็จะเป็นลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกฉากการประมือของเหล่ายอดฝีมือ และส่วนมากด่านพลังยังต่ำกว่าขอบเขตราชาอมตะ
แม้จะมีลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกการประมือของตัวตนขอบเขตราชาอมตะบ้าง แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นราชาอมตะที่ไม่อาจเข้าถึงพลังแห่งกฏ
แน่นอนว่าลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกการประมือของยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่เข้าถึงพลังแห่งกฏ ประเทศตันจี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี แค่ไม่ได้เก็บไว้ในหอตำราหลวงเท่านั้น
เนื่องจากลูกแก้วเงาลอยพวกนั้นนับว่ามีค่าไม่น้อย ประเทศตันจี้จึงไม่เต็มใจจะเปิดเผยให้คนนอกเห็น
กระทั่งลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกการประมือของตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะที่ใช้พลังแห่งกฏ ตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้เองก็มีเก็บไว้ไม่น้อย ทว่าพวกมันก็ไม่คิดจะนำมาเก็บไว้ในหอตำราหลวงเช่นกัน
“พี่เจวี๋ยอวิ๋น หรือท่านให้ข้าไปยั่วยุท้าทายเจ้านั่นให้มาประลองกับท่านดีไหม…หากมันแพ้ท่าน เช่นนั้นก็ให้ประเทศฝูชิวถอนตัวเรื่องการประมูลไส้เดือนฝอยทองไปเสีย?”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 2 เดินจากไปแล้ว ชายหนุ่มชุดสีเงินก็หยีตาเอ่ยถามความเห็นชายหนุ่มชุดเทาดู
“แล้วหากข้าแพ้มันล่ะ?”
หลิงเจวี๋ยอิ๋นย้อนถาม
“แพ้?”
มุมปากชายยหนุ่มชุดเงินถึงกับกระตุกขึ้นมาตงิดๆ
มันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนจริงๆว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะพูดเรื่องที่ตัวเองอาจจะพ่ายแพ้ออกมา ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ดุจเดียวกัน!
กระทั่งคนของประเทศตงหมิงที่อยู่ด้านหลังยังอดไม่ได้ที่จะอึ้งเมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น มองไปยังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกครั้ง ยังเผยสายตาแปลกๆ ราวกับพึ่งเคยเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นครั้งแรก!
“ข้า หลิงเจวี๋ยอวิ๋น เซียนกระบี่ขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ หากมือผู้ใดสามารถรับหนึ่งกระบี่ของข้าได้ ให้ถือเสียว่าข้าเป็นฝ่ายแพ้!”
ในการประลองสวรรค์ใต้วันนั้น พวกมันล้วนได้ยินวาจาอหังการของอีกฝ่ายดังชัดถนัดหู กล่าวได้ว่าวาจาเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจของชายหนุ่มผู้นี้ ยังทำให้พวกมันบังเกิดความรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างหยิ่งผยองถือดีเป็นที่สุด!
แต่มิคาด วันนี้อีกฝ่ายกลับพูดออกมาได้เต็มปาก ว่าอาจแพ้พ่ายยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งของประเทศฝูชิว!
สิ่งนี้ช่างทำให้พวกมันรู้สึกเหลือเชื่อนัก!
นี่ยังใช่ หลิงเจวี๋ยอวิ๋น เซียนกระบี่ที่หยิ่งผยองจนไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาในงานประลองสวรรค์ใต้ของประเทศตงหมิงคนนั้นแน่หรือ?
ตอนที่ 2,971 : ข้อมูล ความลึกซึ้ง ของกฏต่างๆโดยสังเขป…
ณ หอตำราหลวงของพระราชวัง
หลังจากแสดงตัวตนให้กับผู้ตรวจสอบหน้าหอตำรา ต้วนหลิงเทียนที่เดินนำหลิวก่วงหลินเข้ามาในหอตำราหลวงก็เอ่ยขึ้นว่า “ก่วงหลินที่นี่เจ้าไม่ต้องคอยตามข้าก็ได้ เจ้าไปหาดูข้อมูลที่เจ้าอยากรู้เถอะ”
หลังเดินเข้ามาในหอตำราหลวงไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นว่าหลิวก่วงหลินเองก็แลดูสนใจไม่น้อย สายตาเอาแต่ส่ายมองไปยังชั้นหนังสือ ชั้นวางยันต์อมตะเก็บความทรงจำ และชั้นวางลูกแก้วเงาลอยไม่หยุด เขาก็เลยให้อีกฝ่ายไปหาความรู้ตามใจชอบ ไม่ต้องมาคอยตามเขาให้เสียเวลาเปล่า
“ขอบคุณนายท่าน”
หลิวก่วงหลินเร่งประสานมือกล่าวขอบคุณด้ววยความยินดี จากนั้นก็เริ่มเดินไปหาสิ่งที่สนใจในหอตำราหลวง
ภายในหอตำราหลวงมีม้วนกระดาษที่บันทึกเรื่องราวเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งหนังสือเก่าแก่โบราณไม่น้อย ยันต์อมตะรวมถึงลูกแก้วก็จัดวางไว้เต็มชั้น จัดแบ่งหมวดหมู่ไว้ชัดเจน หากคิดจะชมดูทั้งหมดเกรงว่าให้เวลา 2-3 ปีก็ไม่น่าจะพอ
และต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินก็มีเวลาแค่วันเดียวเท่านั้น กระทั่งยังต้องออกจากหอตำราหลวงก่อนมืดค่ำอีกด้วย
ดังนั้นทั้งคู่จึงได้แต่เลือกดูชมเฉพาะ สิ่งที่สนใจจริงๆเท่านั้น
ร่างต้วนหลิงเทียนก้าวอาดๆพลางมองชมรายชื่อหัวข้อบนชั้นในหอตำราไปเรื่อย
จะตำราเก่าๆ ม้วนคัมภีร์ ยันต์อมตะเก็บความทรงงจำหรือลูกแก้วเงาลอยก็ดี ต้วนหลิงเทียนกวาดตามองผ่านๆโดยไม่ได้เจาะเจาะอะไร และหากอันไหนสะกิดความสนใจเขา ก็ค่อยเลือกดูชมสิ่งนั้น
“ข้อมูลความลึกซึ้งของกฏต่างๆโดยสังเขป?”
หลังจากมองไปสักพัก สายตาต้วนหลิงเทียนก็ไปสะดุดอยู่กับตำราเก่าๆเล่มหนึ่ง สภาพของมันแลแล้วท่าทางจะผ่านวันเวลามาเนิ่นนาน ทว่าหัวข้อที่เขียนบอกไว้ กลับทำให้เขารู้สึกสนใจจนอดเอื้อมมือไปหยิบมาพลิกดูไม่ได้
“หืม?”
หลังจากหยิบตำราดังกล่าวขึ้นมาพลิกดู ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะนอกกจากหน้าปกแล้ว ด้านในแทบไม่มีหน้าไหนมีสภาพสมบูรณ์พร้อม หากไม่ขาดแหว่ง ปลวกแทะ หมึกที่เขียนก็เลือนจนอ่านไม่รู้ความ
กระทั่งที่อนาถาหน่อยหน้ากระดาษบางหน้าก็ขาดแหว่งไปจนเหลือแค่หัวข้อให้ชมดูตาละห้อย
อย่างไรก็ตามแม้ตำราแล่มนี้จะเก่าและทรุดโทรมเต็มที แต่ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆพลิกอ่านด้วยความสนใจ เพราะเขาพบว่าตำราเล่มนี้ได้จดบันทึกความลึกซึ้งของกฏต่างๆเอาไว้
ตัวอย่างเช่นความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน ก็มีบันทึกไว้เช่นกัน
ในกฏแห่งดิน นอกจากความลึกซึ้งอย่าง ความหมายพื้นฐานแล้ว ก็ยังมีบันทึกความลึกซึ้งข้ออื่นๆเอาไว้ด้วยไม่ว่าจะเป็น พื้นที่แรงโน้มถ่วง เคลื่อนปฐพี การสั่นสะเทือน การฟื้นฟู…อย่างไรก็ตามเนื่องจากหน้ากระดาษมันขาดแหว่ง ต้วนหลิงเทียนก็เลยไม่ได้ข้อมูลเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ รู้ก็แต่ชื่อมันแล้วก็พลังอำนาจคร่าวๆเท่านั้น
ในส่วนของกฏแห่งไฟที่เขาบังเกิดความสนใจหลังได้ยินเทพธาตุในร่างคุยกันวันนี้ นอกจากความหมายพื้นฐานแล้ว ยังมีบันทึกความลึกซึ้งหัวข้อ การปะทุ การเผาไหม้ …แต่ก็เป็นเช่นเคยตัวเนื้อหาไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์เท่าไหร่
ยิ่งกฏแห่งทองนี่หนักกว่ากฏแห่งไฟเสียอีก เพราะความลึกซึ้งที่มีข้อมูลอธิบายไว้ก็มีแค่ ความหมายเบื้องต้น กับร่างทอง เท่านั้น
‘หืม? กฏแห่งลมค่อนข้างมีเนื้อหาสมบูรณ์ทีเดียว ยังมีความลึกซึ้งบันทึกไว้ตั้ง 7-8 ข้อ’
…
ต้วนหลิงเทียนพลิกตำราเก่าๆในมือชมดูจนละลานตา ไม่นานก็ได้รับทราบข้อมูลเล็กๆน้อยของธาตุต่างๆ รวมถึงความลึกซึ้งของกฏต่างๆด้วย
กฏไม้ กฏน้ำ กฏความมืด กฏแสง กฏน้ำแข็ง กฏสายฟ้า
เป็นธรรมดาว่าแต่ละกฏที่กล่าวถึงนั้นก็มีบันทึกข้อมูลความลึกซึ้งเอาไว้ไม่ครบสักกฏ และบางกฏก็มีไม่ถึงครึ่ง อย่างไรก็ตามยังดีกว่าไม่ได้รู้อะไรเลย
‘ทุกกฏล้วนมี ความหมายพื้นฐานทั้งนั้น…ส่วนความลึกซึ้งก็จะสอดคล้องกับจุดเด่นของกฏนั้นๆที่ทุกคนพอจะรู้จัก อย่างกฏความมืดก็มีความลึกซึ้งในแง่มุมต่างๆของความมืด แผ่ขยาย ปกคลุม กฏสายฟ้าก็มีความลึกซึ้งของสายฟ้า… แถมเรื่องความลึกซึ้งเองก็ยังมีแบ่งแยกระดับความเข้าใจอีก’
หลังงปิดตำราเก่าๆ ต้วนหลิงเทียนก็หลับตา ค่อยๆแยกย่อยข้อมูลในหัว ขณะเดียวกันเขาก็พอจะเข้าใจเรื่องกฏขึ้นมาบ้าง ว่ามันคืออะไรแล้วมีความสำคัญอย่างไร
สำหรับความลึกซึ้งที่ว่า ก็คือพลังอำนาจอันลี้ลับสุดหยั่งถึงของฟ้าดิน หากสามารถทำความเข้าใจมันได้ ก็จะเข้าถึงพลังของมันและสามารถควบคุมใช้พลังดังกล่าวได้
นอกจากนั้นความลึกซึ้งของแต่ละกฏไม่เพียงจะมีหลายหัวข้อ แต่ยังแบ่งออกเป็นระดับต่างๆอีกด้วย ระดับที่ว่าก็มีเบื้องต้น ความสำเร็จเล็กน้อย ความสำเร็จยิ่งใหญ่
‘ที่แท้วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชา ก็ช่วยทำให้คนเข้าใจความลึกซึ้งเบื้องต้นของแต่ละกฏเท่านั้น…หากคิดจะเข้าถึงความลึกซึ้งระดับความสำเร็จเล็กน้อย ก็มีแต่ต้องไปหาวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับจอมราชันที่มีกฏเดียวกัน ถึงจะมีโอกาสเข้าใจความลึกซึ้งความสำเร็จเล็กน้อยของกฎนั้น’
‘และหากคิดจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งความสำเร็จยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ต้องมีวรยยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชากับจอมราชัน ยังต้องได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับจักรพรรดิที่สอดคล้องกันอีกด้วย!’
‘ความลึกซึ้งระดับเบื้องต้น ความสำเร็จเล็กน้อย และความสำเร็จยิ่งใหญ่ ก็จะมอบพลังอำนาจให้ผู้ใช้แตกต่างกันมหาศาล…นอกจากนั้นหากเข้าใจความลึกซึ้งที่หนุนเสริมกัน ยามใช้ออกผลกระทบที่ได้รับจะไม่ใช่แค่หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองเท่านั้น แต่มันจะทรงพลังขึ้นเป็นทบเท่าทวี…’
…
ข้อมูลที่ต้วนหลิงเทียนได้มาจากตำราเก่าๆ แม้จะไม่มากมายอะไร แต่ก็พอให้เขาได้เรียบเรียงเรื่องราวในหัวสักพัก
และตลอดทั้งงวันหลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนที่ตระเวนดูตำรับตำรา ยันต์อมตะเก็บความทรงจำไม่เว้นลูกแก้วเงาลอย หากจะถามว่าอันไหนให้ประโยชน์เขามากที่สุด ก็คือตำราเก่าๆ ที่มีเนื้อหาขาดๆหายๆนี้นั่นเอง
เพราะอย่างน้อยๆก็ทำให้เขาเข้าใจเรื่องพลังแห่งกฏ ความลึกซึ้งทั้ง 3 ขอบเขต และความลึกซึ้งบางข้อของแต่ละกฏ
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
ต้วนหลิงเทียนที่หาความรู้ไปเพลินๆในหอตำราหลวง รู้ตัวอีกทีตะวันก็กำลังจะตกดินเสียแล้ว
“นายท่าน ถึงเวลาที่พวกเราควรไปกันได้แล้วขอรับ”
ในขณะที่หลิวก่วงหลินเดินมาเรียกต้วนหลิงเทียนนั้น ต้วนหลิงเทียนก็กำลังใช้ลูกแก้วเงาลอยลูกหนึ่งอยู่ เบื้องหน้ากลางอากาศก็มีม่านแสง เผยให้เห็นฉากเรื่องราวหนึ่ง
หลิวก่วงหลินเองก็แลเห็นม่านแสงดังกล่าวเช่นกัน จึงพบว่าเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด 2 คน แต่ทั้งคู่ต่างก็เข้าใจความลึกซึ้งเบื้องต้น อย่าง ความหมายพื้นฐาน ของกฏเรียบร้อยแล้ว
หนึ่งในนั้นเข้าใจความหมายพื้นฐานของกฏแห่งลม
ส่วนอีกคนนั้นเข้าใจความหมายพื้นฐานของกฏแห่งไฟ…
พลังฝีมือย่อยที่ทั้งคู่เผยให้เห็นนับว่าพอๆกัน ไม่ว่าจะเป็นระดับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลัง อย่างไรก็ตามผลสุดท้ายผู้ที่เป็นฝ่ายชนะกลับเป็นผู้ที่เข้าใจความหมายพื้นฐานของกฏแห่งไฟ
และในระหวว่างชมดูการประมือดังกล่าว ก็มีคำหนึ่งผุดขึ้นในหัวต้วนหลิงเทียน
ไฟลุกโหมตามแรงลม!
ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าถึงกฏแห่งไฟนั้น ยามพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานไปด้วยธาตุไฟของมัน ปะทะกับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานกับธาตุลมของอีกฝ่าย พลังของมันก็คล้ายบังเกิดการปะทุลุกโหมขึ้นมาเล็กน้อย แต่ทว่าความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยดังกล่าวกลับทำให้มันเอาชนะอีกฝ่ายได้ในที่สุด
‘ดูเหมือนว่าหากด่านพลังกับทักษะพอๆกัน คนที่เข้าถึงกฏแห่งไฟ ก็ยังเหมือนจะสะกดข่มผู้ที่เข้าถึงกฏแห่งลมอยู่บ้าง…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ถอนพลังออกจากลูกแก้วเงาลอยแล้วเก็บมันเข้าชั้นวาง และพาหลิวก่วงหลินออกจากหอตำราหลวงทันที
เมื่อเดินออกมาจากหอตำราหลวง ก็เห็นอาทิตย์อัสดงเจียนหม่นแสง ชะโลมย้อมแผ่นฟ้าโลกหล้าให้กลับกลายเป็นสีแดงฉาน
และหลังออกจากหอตำราหลวงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาหลิวก่วงหลินย้อนกลับไปยังตำหนักที่พักที่ทางประเทศตันจี้จัดไว้ให้
พอมาถึงก็พบเห็นหวงเจียหลง หวงเฟยเหยี่ยนและผู้เฒ่าโม่ที่ออกมายืนรอพวกเขาด้านหน้าตำหนักเรียบร้อย
“อ้าวน้องต้วน…นี่ท่านออกไปข้างนอกมาหรือ?”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกลับมาจากด้านนอก หวงเจียหลงก้รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “พอดีข้าไปหอตำราหลวงของประเทศตันจี้มาน่ะ”
“อั้ย ข้าคิดว่าน้องต้วนจะเป็นเหมือนข้าซะอีก ที่เก็บตัวตีความวรยุทธ์อมตะเวท์พลังที่พวกเราได้รับมาเพื่อจะได้เข้าถึงกฏ”
หวงเจียหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อย่างไรก็ตาม ถึงข้าจะเคยได้ยินมาก่อนว่า ความหมายพื้นฐานนั้นเป็นความลึกซึ้งของแต่ละกฏที่เข้าใจง่ายที่สุด แต่ข้าพยายามทำความเข้าใจอยู่ทั้งวันทั้งคืน แต่ยังไม่อาจเห็นประตูของมันเลย…”
กล่าวถึงท้ายประโยค หวงเจียหลงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา
“หึ!”
จังหวะนี้หวงเหยี่ยนเฟยที่อยู่ข้างๆอดพ่นลมสบถออกมาเสียงเย็นไม่ได้ “อาศัยแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน แต่เจ้าคิดเห็นประตูความลึกซึ้งเบื้องต้นอย่างความหมายพื้นฐานของกฏแห่งลม? เจ้าฝันละเมออยู่หรือไร?”
“คนที่มีพรสวรรค์และไหวพริบปฏิภาณสูงส่งถึงขนาดนั้น ให้มองไปทั่วเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวก็หามีไม่!!”
หวงเหยี่ยนเฟยกล่าวจบก็ส่ายหน้าไปมาเช่นกัน
หวงเจียหลงได้แต่ยิ้มแหยๆ ด้วยไม่คิดว่าวาจาขำๆของมันกลับทำให้บิดาอารมณ์เสียได้
‘เฮ่อ คงเป็นเพราะตัวเองไม่มีโอกาสเข้าใจกฏอันใดกระมัง พอเห็นลูกชายได้ดีข้ามหน้าข้ามตาหน่อย ก็เลยหงุดหงิดง่าย…’
หวงเจียหลงได้แต่กล่าวปลอบตัวเองในใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกหดหู่อยู่บ้าง
ยังดีที่หวงเหยี่ยนเฟยไม่อาจลวงรู้ได้ว่าหวงเจียหลงคิดอะไรอยู่ หากรู้ไม่พ้นต้องแพ่นกบาลมันจังๆสักที!
มีผู้ใดคิดเล็กคิดน้อยกับบิดาเช่นนี้บ้าง?
“น้องต้วน แล้วเจ้าเล่า…เมื่อคืนได้พยายามทำความเข้าใจความลึกซึ้งเบื้องต้นอย่างความหมายพื้นฐานของธาตุดินหรือไม่?”
หวงเจียหลงที่ไม่ปีกกล้าขาแข็งพอจะเถียงอะไรบิดา ก็เลือกจะหันไปมองถามต้วนหลิงเทียนแทน
“ก็ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เป็นเช่นไรบ้าง?”
หวงเจียหลงถามต่อ
“ก็ราบรื่นดี”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ราบรื่นดีรึ?”
อย่างไรก็ตามวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน พอดังเข้าหูของหวงเจียหลง มันก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนกล่าวล้อเล่น และคิดเกทับมันเท่านั้น
หวงเหยี่ยนเฟยกับผู้เฒ่าโม่เองก็คิดไปทำนองดังกล่าว
“เจ้าเมืองหวง ผู้เฒ่าโม่!”
จากนั้นไม่นานนัก ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล ค่อยปรากฏเงาร่างสูงใหญ่หนึ่งก้าวอาดๆเข้ามา
ผู้มานั้นมาในชุดเกราะหนักสีเงินให้ความรู้สึกดุดันเหี้ยมหาญ กอปรทั้งรูปร่างของมันที่บึกบึนล่ำสันเป็นทุน ก็มีอานุภาพขู่ขวัญผู้คนให้หวั่นเกรงไม่น้อย
คนผู้นี้ก็คือผู้ตรวจการพ่วงด้วยตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยองค์รักษ์ประจำวังหลวงที่ไปต้อนรับทุกคนเข้าที่พักเมื่อไม่กี่วันก่อน เหอเฟิง!
“ผู้ตรวจการเหอ”
หวงเหยี่ยนเฟยก็พยักหน้าทักทายเหอเฟิงด้วยรอยยิ้ม ด้านผู้เฒ่าโม่เพียงพยักหน้าให้เหอเฟิงเบาๆ แลดูไม่ได้สนใจอะไร
“ไป๋กังเล่า?”
หลังเหอเฟิงหันไปพยักหน้ารับการทักทายจากต้วนหลิงเทียนและหวงเจียหลง มันก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆเล็กน้อย พอพบว่าคนของประเทศฝูชิวคล้ายจะหายไปหนึ่ง และยังเป็นคนที่มันรู้จัก ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปด้วยความสงสัย
“น้องไป๋ติดตามผู้อาวุโสไป๋เจิ้นเยว่กลับเผ่าพยัคฆ์เหินไปแล้ว…”
หวงเหยี่ยนเฟยตอบ
“หือ? ติดตามผู้อาวุโศไป๋เจิ้นเยว่กลับเผ่าหรือ…ที่แท้ผู้อาวุโสไป๋เจิ้นเยว่คิดมอบรางวัลอันใดให้ไป๋กังกันแน่?”
ลูกตาเหอเฟิงหดเล็กลงโดยพลัน
มันรู้ดีแก่ใจ ว่าหากไป๋กังติดตามไป๋เจิ้นเยว่กลับเผ่าพยัคฆ์เหินไปแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องกลับไปรับรางวัลเรื่องที่ส่งมอบกระบี่อมตะจอมราชันให้เผ่าแน่นอน!
เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงไปเล่นพนันหินจนเปิดกระบี่จอมราชันออกมาจากหินดิบได้อย่างเหลือเชื่อ ฮ่องเต้ตันจี้ก็ได้กล่าวบอกเรื่องนี้แก่มัน หลังจากที่ได้รับรายงานมาจากองค์ชาย 9 ทันที
และพอมันได้ยินว่าไป๋กังคิดจะมอบกระบี่อมตะจอมราชันให้เผ่าพยัคฆ์เหิน มันก็รู้ได้ทันทีว่าสหายผู้นี้กำลังจะได้รับโชคครั้งใหญ่แล้ว!
“ผู้อาวุโสไป๋เจิ้นเยว่ รับปากน้องไป๋ว่า…จะให้น้องไป๋เข้าใช้ ‘สระวิวัฒนาการ’ ของเผ่าพยัคฆ์เหินน่ะ”
หวงเฟยเหยี่ยนนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มสดใส
ไป๋กังเป็นดั่งน้องชายแท้ๆของมัน มันย่อมบังเกิดความยินดีและมีความสุขถึงที่สุดที่ไป๋กังได้รับโอกาสครั้งยิ่งใหญ่!
“อะไร!?”
สีหน้าเหอเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นมันก็สูดอากาศเข้าลึกๆ “สระ…สระวิวัฒนาการ? ข้าได้ยินมาว่าสระวิวัฒนาการของเผ่าพยัคฆ์เหินที่จะเปิดทุกรอบหมื่นปีนั่น หากพยัคฆ์ลายทองแดงเข้าไปใช้มันล่ะก็…หลังจากผ่านไป 10 ปีก็จักกลายเป็นพยัคฆ์ลายเงินใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว!”
หวงเหยี่ยนเฟยพยักหน้า
“เจ้าบ้านั่น…เจอกันครั้งหน้ามันต้องอวดข้าไม่เลิกแน่!”
เหอเฟิงคลี่ยิ้มแหยๆออกมา อย่างไรก็ตามสองตามันก็ทอประกายสดใสไม่น้อย เห็นได้ชัดว่ายินดีที่ไป๋กังได้รับโอกาสประเสริฐเช่นกัน
ครู่ต่อมาเหอเฟิงก็ค่อยๆสงบอารมณ์ลง จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทีนกับคนอื่นๆพลางกล่าว “เจ้าเมืองหวง ผู้เฒ่าโม่ สหายน้อยต้วนแล้วก็หลานเจียหลง…พวกเราไปสถานที่จัดงานประมูลกันเลยเถอะ อีกครึ่งชั่วยามการประมูลก็จะเริ่มขึ้นแล้ว”
WSSTH ตอนที่ 2,972 : ยันต์อมตะแห่งกฏ
ถึงแม้งานประมูลที่ตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้จัดขึ้นจะเรียกว่า ‘งานประมูลของราชวงศ์’ แต่มันก็ไม่ได้จัดขึ้นในพระราชวังหลวงแต่อย่างไร
ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไร นั่นเพราะผู้ที่จะมาเข้าร่วมงานประมูลก็มีร้อยพ่อพันแม่ แถมเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยย ที่ตระกูลราชวงศ์จะปล่อยให้คนเหล่านั้นมีโอกาสเข้ามาในเขตพระราชวังงหลวง
และสถานที่จัดงานประมูลของตระกูลราชวศ์ตันจี้นั้น ก็ห่างออกไปจากเขตพระราชวังหลวงราวๆ 20 ลี้ อีกทั้งสถานที่ตระกูลราชวงศ์ตันจี้ใช้จัดประมูลนั้น ปกติแล้วก็มักเปิดให้ขุมกำลังต่างๆเช่าเพื่อจัดประมูล
ในประเทศตันจี้ ตระกูลราชวงศ์มักจะจัดงานประมูลขึ้นตามเลาที่กำหนดเอาไว้ และนั่นก็เกือบจะเป็นประเพณีของประเทศตันจี้ไปแล้ว
อีกทั้งเกณฑ์การเข้าร่วมงานประมูลที่ทางตระกูลราชวงศ์ตั้งไว้ก็สูงไม่ใช่น้อย หากเป็นผู้ที่ไม่อาจพิสูจน์ตัวตนหรือเป็นคนธรรมดาไร้ชื่อเสียง ก็จำต้องจ่ายผลึกอมตะจำนวนไม่น้อยเป็นค่าเข้าร่วม
สำหรับต้วนหลิงเทียนกับพวกที่มาในฐานะตัวแทนฮ่องเต้ฝูชิวเพื่อเข้าร่วมการประมูลของประเทศตันจี้ ย่อมนับเป็นอาคันตุกะทรงเกียรติของประเทศตันจี้ ยังถูกจัดให้เข้าสู่ห้องประมูลที่ดีที่สุดห้องหนึ่งของโรงประมูล
กระทั่งด้านนอกห้องประมูลห้องนี้ บริเวณเหนือหน้าต่างที่หันหน้าเข้าสู่เวทีประมูล ยังมีธงที่เขียนอักษร 3 ตัวอ่านว่า ‘ประเทศ ประเทศตั้นจี้’ อย่างสง่างามปานมังกรนกหงส์ ปักเอาไว้
เห็นได้ชัดว่าจงใจเปิดเผยฐานะและตัวตนของผู้ที่ใช้ห้องประมูลห้องนี้ ต่อผู้ที่เข้าร่วมงานประมูลอย่างชัดเจน
“ธงนั่นมัน…ห้องส่วนตัวของคนประเทศตงหมิง กับประเทศโม่หลุนงั้นเหรอ…”
ต้วนหลิงเทียนพอมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นหน้าต่างอีก 2 บานที่หันเข้าหาเวทีประมูลและอยู่ถัดไปจากเขาไม่ไกล มีธงที่เขียนอักษรปักไว้เหนือขอบหน้าต่างเด่นหรา
แต่ละธงมีอักขระ 3 ตัว ธงแรกอ่านได้ว่า ประเทศตงหมิง อีกธงอ่านได้ว่า ประเทศโม่หลุน
ขณะเดียวกันสำหรับผู้ที่เข้าร่วมประมูลคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นหน้าต่างงห้อง 3 ตัวระดับสูงสุดมีธงปักบอกฐานะแขกที่เข้าใช้เอาไว้ชัดเจน
“ประเทศ ฝูชิว ตงหมิง โม่หลุน ก็มาด้วยหรือ…”
“ทั้งยังปักธงเด่นหราขนาดนั้น…ทั้ง 3 ไม่พ้นต้องตั้งใจมางานประมูลครั้งนี้โดยเฉพาะ!”
“ไอ้หยา ดูท่าครานี้งานประมูลของประเทศตันจี้สมควรมีสิ่งที่ทั้ง 3 ต้องการช่วงชิงแล้ว!”
“โชคดีที่ข้ายังไม่รีบกลับ…เดิมที่ก็แค่อยากมาร่วมชมดูสิ่งของในประมูลเพลินๆ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาได้ถูกที่ถูกเวลา มีโอกาสได้เห็นทั้ง 3 ประเทศแข่งประมูล!”
“สิ่งงของอันใดกก็ตามที่ทำให้ทั้ง 3 ประเทศมาถึงที่นี่ได้ ต้องมีค่าไม่ใช่ชั่วแน่!”
…
วาจาทำนองดังกล่าวเริ่มหลั่งไหลออกมาจากคนของขุมกำลังงระดับ 9 และระดับ 8 ที่มารวมตัวกันในเมืองหลวงของประเทศตันนจี้ เพื่อรอโอกาสฉกฉวยสถานการณ์หลังพบว่ามีกระบี่อมตะจอมราชันปรากฏขึ้นในเมืองหลวงของประเทศตันจี้
เหตุผลที่ไฉนคนเหล่านี้ยังรั้งอยู่ไม่กลับเหมือนราชาอมตะบางคน ก็เพราะคิดจะเข้าร่วมงานประมูลเพื่อชมดูความบันเทิง เพราะไหนๆก็ถ่อมาถึงที่นี่แล้วจะได้มาไม่เสียเที่ยว
เดิมทีพวกมันก็แค่เข้าร่วมเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
แต่ไม่คาดคิดเลย ว่างานประมูลที่ตระกูลราชวงศ์ตันจี้จัดขึ้นครั้งนี้ ดูเหมือนจะมีสมบัติบางอย่างนำเข้าประมูล และสมบัติที่ว่ายังทำให้ทั้ง 3 ประเทศเพื่อนบ้านเรือนเคียงอย่างประเทศฝูชิว โม่หลุน และตงหมิงถึงกับถูกดึงดูด!
นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาจากธงที่ปักไว้เหนือหน้าต่างห้องประมูลแต่ละหลัง เห็นได้ชัดว่าผู้มาล้วนเป็นตัวแทนฮ่องเต้ของแต่ละประเทศ!
กล่าวอีกอย่างได้ว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ประเทศตันจี้นำเข้าประมูลคราวนี้ มันได้ดึงดูดความสนใจฮ่องเต้ของทั้ง 3ประเทศ!
เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องราวนี้ คนของขุมกำลังงระดับ 9 และระดับ 8 ที่มาเข้าร่วมเพราะความสนุกๆก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเข้าเสียงดัง
โดยเฉพาะคนจากขุมกำลังระดับ 8 ที่เตรียมพร้อมมาในระดับหนึ่ง ก็ตั้งใจว่าหากสิ่งของนั้นล้ำค่าจริง พวกมันจะเข้าร่วมประมูลแข่งขันเพื่อช่วงชิงสักครา!
สำหรับคนจากขุมกำลังระดับ 9 แม้พวกมันจะสำเหนียกถึงพลังอำนาจและความมั่งคั่งของตัวเองดีและคงรู้ว่ายากจะประมูลแข่งขันด้วยได้ แต่อย่างไรเสียพวกมันก็ตั้งหน้าตั้งตารอดูชมเรื่องราวนัก
“นี่พวกท่านไม่รู้หรือ ว่าที่ทั้ง 3 ประเทศมาเข้าร่วมประมูลด้วย มิได้มาชิงสิ่งของล้ำค่าอันใดอย่างที่พวกท่านคิด ก็แค่ทั้งหมดมาเพื่อ ‘ไส้เดือนฝอยทอง’ ที่เป็นวัตถุดิบยาหลักในการหลอมโอสถเฉียนจินเท่านั้น?”
และในขณะที่คนของขุมกำลังระดับ 8 และระดับ 9 กำลังคุยกันเรื่องนี้ด้วยความคาดหวัง บางคนที่เป็นคนของประเทศตันจี้ที่รู้เรื่องนี้ดี ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนออกมา
“หืม ไส้เดือนฝอยทองวัตถุดิบยาหลักสำหรับหลอมโอสถเฉียนจินรึ?”
และพอได้ยินคำเตือนจากคนพื้นที่ เหล่าคนของขุมกำลังงระดับ 8 ระดับ 9 ที่กำลังคึกคัก ก็ชักสีหน้าผิดหวังออกมาทันที
ถึงแม้ไส้เดือนฝอยทองจะถือว่าเป็นของหายาก แต่มันก็ไม่ได้ล้ำค่ามากมายอะไร
อีกทั้งต่อให้พวกมันได้ไส้เดือนฝอยทองไปจริง แต่ถ้าไร้ปรมาจารย์หอมโอสถฝีมือฉมัง ก็เกรงว่าคงยากจะหลอมโอสถเฉียนจินออกมาได้
เว้นเสียแต่ ท่านจะรู้จักมักคุ้นกับปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับราชา และจ้างวานให้อีกฝ่ายช่วยหลอมให้!
ทว่าตัวตนระดับปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับราชานั้น กระทั่งในขุมกำลังระดับ 7 ก็ใช่ว่าจะมีอยู่ แล้วคนธรรมดาจะมีปัญญาไปรู้จักได้อย่างไร?
และหากให้ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนางงหลอมโอสถเฉียนจิน กล่าวไปอัตราความสำเร็จของมันก็น้อยกว่า 1 ใน 100 ส่วนเสียอีก! เพราะโอสถอมตะระดับสูงพิเศษอย่างโอสถเฉียนจินนั้น มีการกล่าวขานถึงกันอย่างหนาหู ว่าในบรรดาปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนาง 100 คน อาจไม่มีแม้แต่คนเดียวที่หลอมมันขึ้นมาได้!!
ยิ่งปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงยิ่งแล้วใหญ่ ในหมื่นคนอาจไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถหลอมมันออกมาได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นสำหรับใครหลายๆคน ก็คิดว่าถึงจะได้ไส้เดือนฝอยทองมา แต่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
“เสี่ยวเทียนเจ้ามั่นใจแน่นะว่าหากได้รับไส้เดือนฝอยทองทั้ง 2 มา เจ้าจักสามารถหลอมโอสถเฉียนจินได้สำเร็จ?”
ภายในห้องส่วนตัว หวงเหยี่ยนเฟยอดไม่ได้ที่จะหันไปมองถามต้วนหลิงเทียนเพื่อยืนยันความมั่นใจอีกครั้ง
“ลุงหวง ข้าไม่เคยพูดโอ้อวด”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบสั้นๆ
และคำตอบของเขา ก็เห็นได้ชัดว่ายืนยันความมั่นใจให้หวงเหยี่ยนเฟย…ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้เลย!
“เอาล่ะ! ลุงหวงจะเชื่อเจ้า!!”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับฟัง
หลังผ่านไปอีกสักพัก โถงประมูลก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คน มองจากาหน้าต่างออกไปก็เห็นหัวหงอกหัวดำนั่งเรียงกันสลอน
จากนั้นไม่นาน ในที่สุดงานประมูลของตระกูลราชวงศ์ตันจี้ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ยินดีต้อนรับท่านทั้งหลายเข้าสู่งานประมูลของตระกูลราชวงศ์ตันจี้!”
ชายชรารูปร่างผ่ายผอมในชุดสีเทาผู้หนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลังเวทีประมูลออกมายืนกลางเวที สองตาของมันกวาดมองไปทั่วๆโถงประมูลพลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
‘ตาเฒ่านั่นไม่ธรรมดาจริงๆ’
ทันทีที่ชายชราก้าวออกมาปรากฏตัววกลางเวทีประมูล ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสไดว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา ‘มัน…สมควรเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ’
“ท่านพ่อ ผู้เฒ่าคนนี้ท่าทางไม่ธรรมดายิ่ง”
จังหวะนี้กระทั่งหวงเจียหลงยังสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของอีกฝ่าย เพรราะชายชราผู้นี้ไม่ได้แลดูคึกคักและกระตือรือร้นเหมือนผู้ดำเนินการจัดงานประมูลทั่วๆไป
อีกฝ่ายยืนอยู่กลางเวทีด้วยสีหน้าสงบเฉยเมย ราวกับจะบอกว่า ‘ไม่อยากซื้อก็ไม่ต้องซื้อ’
“ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว…นั่นคือตัวตนที่เป็นรองจากฮ่องเต้ตั้นจี้แค่คนเดียว ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด!”
หวงเหยี่ยนเฟยกล่าวตอบ
ในฐานะฮ่องเต้ตันจี้แล้ว เป็นธรรมดาว่ารอบกายย่อมไม่ขาดตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดไว้ใช้งาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีมากมายอะไร เพราะไม่ใช่ราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดทุกคนจะยินดีตกเป็นเบี้ยล่างและขายชีวิตให้กับฮ่องเต้ของประเทศระดับ 8…
“ราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด?”
หวงเจียหลงสูดลมหายใจเข้าฟอดหนึ่ง
ส่วนต้วนหลิงเทียนนั้น สีหน้ายังคงแลดูสงบเฉยๆ เพราะเขาเองก็พอจะสัมผัสได้แต่แรก
เพราะสุดท้ายแล้วเขาเองก็เคยครอบครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด จวบจนพลังถดถอยลดหลั่นลงมาจนกลับเป็นปกติ กลิ่นอายเฉพาะของด่านพลังต่างๆเขาย่อมประสบพบเจอมากับตัว ย่อมไวต่อสัมผัสพลังพวกนี้
“การประมูลวันนี้ ข้าหวังว่าทุกท่านจะได้รับในสิ่งที่พวกท่านต้องการ”
ชายชราชุดเทาที่ยืนอยู่กลางเวที ยังคงกล่าวออกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ตอนนี้ เชิญทุกท่านพบกับสิ้นค้าชิ้นแรกที่จะนำขึ้นประมูลในงานประมูลของตระกูลราชวงศ์ประเทศตันจี้เราเลยเถอะ”
พอกล่าวจบคำ ชาชราชุดเทาก็โบกมือเบาๆในอากาศ จากนั้นก็ปรากฏยันต์อมตะสีม่วงแผ่นหนึ่งลอยล่องอยู่เบื้องหน้า
“นี่คือยันต์อมตะที่ราชาอมตะชนชั้นยอดฝีมือผู้หนึ่งที่เข้าถึงกฏแห่งสายฟ้า เข้าใจความลึกซึ้งเบื้องต้นอย่าง ‘ระเบิดอัสนี’ ได้จารึกสลักพลังแห่งกฏลงไปในยันต์อมตะแผ่นนี้ จนเรียกว่า ยันต์ศรอัสนีปะทุ…เมื่อบดขยี้ใช้งานยันต์ศรอัสนีปะทุ ก็จะปรากฏศรอัสนีนับพันกระหน่ำโจมตีไปยังจุดที่เพ่งเล็ง และภายในรัศมีการทำลายล้าง 10 หมี่จากจุดที่ท่านเพ่งเล็ง หากด่านพลังต่ำกว่าขุนนางอมตะล้วนต้องตาย!”
ชายชราใช้พลังไร้สภาพแกว่งยันต์อมตะไปมาให้ทุกคนได้เห็นกันทั่วๆ “และในรัศมีทำลาย 100 หมี่ เว้นเสียแต่จะเป็นยอดเซียนอมตะมือดีที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ปกติแล้วหากเป็นยอดเซียนอมตะทั่วๆไป ก็ล้วนไร้ทางรอด…”
“อีกทั้งต่อให้เป็นขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดหรือขุนนางอมตะ 2 ยศ หากถูกยันต์ศรอัสนีปะทุเข้าจังๆ ก็อาจบาดเจ็บได้”
กล่าวถึงจุดนี้ ชายชราชุดเทาก็ว่ายตามองผ่านไปทั่วโถงประมูลอีกครั้ง “ยันต์อมตะศรอัสนีปะทุ มีราคาเริ่มต้นที่ 3,000 ผลึกอมตะระดับสูง…”
หากเป็นผู้ดำเนินการจัดการประมูลทั่วไปแล้ว ไม่พ้นต้องกล่าวอวดอ้างสรรพคุณจนน้ำไหลไฟดับ กล่าววาจาปลุกเร้าอารมณ์ เพื่อโน้มน้าวให้ทุกคนซื้อ…
แต่ทว่าหลังชายชรากล่าวเรื่องที่จำเป็นต้องกล่าวจบแล้ว มันก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
“3,000 ผลึกอมตะระดับสูง!”
ทันทีที่ชายชราชุดเทากล่าวจบคำ ก็มีเสียงเสนอราคาดังขึ้น เป็นชายชราในชุดผ้าฝ้ายธรรมดาคนหนึ่งในโถงประมูล หลังกล่าวเปิดราคาแล้ว มันยังพึมพำกับตัวเบาๆอีกว่า “ยันต์ศรอัสนีปะทุนี่ไม่เลวเลย ให้เจ้าหลานจอมซนนั่นพกติดตัวไว้ก็คงคลายกังวลได้หลายส่วน…”
เห็นได้ชัดว่ากับตัววตนใต้ขอบเขตขุนนางอมตะแล้ว ยันต์อมตะศรอัสนีปะทุ นับว่าเป็นเครื่องรางคุ้มกันตัวชั้นเยี่ยม!
“มียันต์อมตะอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนที่นั่งชมดูเรื่องราวในห้องส่ววนตัวแลดูประหลาดใจอยู่บ้าง “หากเข้าถึงพลังแห่งกฏแล้ว…ยังสามารถสลักจารึกพลังแห่งกฏลงยันต์อมตะแบบนี้ได้ด้วย?”
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนจะรู้มาบ้างแล้ว ว่ามียันต์อมตะประเภทจู่โจมที่ใช้เข่นฆ่าผู้อื่นอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตามันต์อมตะพวกนั้นที่เขารู้ ต่อหน้ากับยันต์อมตะศรอัสนีปะทุแล้ว พวกมันไม่ต่างอะไรจากซี่โครงไก่แม้แต่น้อย ด้อยกว่ายันต์อมตะศรอัสนีปะทุมาก!
(ซี่โครงไก่นี่…อารมณ์ประมาณว่าจะทิ้งก็เสียดาย แต่เก็บไว้ก็ไม่มีคนกิน )
เพราะหากบดขยี้ใช้งานยันต์อัสนีปะทุขึ้นมา ในรัศมีทำลาย 10 หมี่จากจุดที่เพ่งเล็ง ตัวตนที่อยู่ใต้ขอบเขตขุนนางอมตะล้วนต้องตาย!
นี่มันพลังทำลายน่ากลัวอันใด?
“ยันต์ศรอัสนีปะทุนี่ ถือได้ว่าเป็นยันต์อมตะแห่งกฏที่ค่อนข้างมีพลังอานุภาพต่ำในบรรดายันต์อมตะแห่งกฏทั่วไป…”
เสียงหวงเหยี่ยนเฟยดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
“ยันต์อมตะแห่งกฏ?”
หลังได้รับทราบจากหวงเหยี่ยนเฟยว่ายยันต์อมตะศรอัสนีปะทุนี้ ถูกเรียกว่ายันต์อมตะแห่งกฏ ต้วนหลิงเทียนก็ตกใจอยู่บ้าง “เช่นนั้นยันต์อมตะแห่งกฏ…มียันต์ที่ฆ่าขุนนางอมตะหรือกระทั่งขอบเขตราชาได้หรือไม่?”
“มี!”
หวงเหยี่ยนเฟยพยักหน้า “ถึงแม้ว่ายันต์อมตะแห่งกฏที่สามารถฆ่าได้กระทั่งขอบเขตขุนนางอมตะจะมีค่าไม่น้อย แต่ก็ไม่นับว่าหายากสักเท่าไหร่…สำหรับยันต์อมตะแห่งกฏที่ฆ่าได้กระทั่งตัวตนระดับราชา ไม่ใช่อะไรที่เจ้าอยากได้ก็จะได้มาครองง่ายๆ”
“เพราะต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตพลังจักรพรรดิอมตะ แต่ก็ต้องใช้เวลาและสิ้นเปลืองพลังไม่น้อยถึงจะจารึกสร้างยยันต์อมตะแห่งกฏที่สามารถฆ่าตัวตนขอบเขตราชาอมตะทั่วๆไปออกมาได้”
“สำหรับตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะนั้น โดยทั่วไปแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจารึกสร้างยันต์แห่งกฏที่มีพลังอานุภาพมากพอจะสังหารตัวตนระดับนี้ได้…เพราะต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิอมตะที่แข็งแกร่งที่สุด หากแต่พลังแห่งกฏที่สามารถสลักลงบนยันต์ใด้ ก็ยังถือว่ามีขีดจำกัดอยู่…”
หลังได้ยินคำพูดของหวงเหยี่ยนเฟย ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงพลังของยันต์อมตะแห่งกฏ
“ยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิอมตะ…สามารถสร้างยันต์อมตะแห่งกฏที่มีพลังเข่นฆ่าตัวตนขอบเขตราชาอมตะได้งั้นหรือ…”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ทั่วร่างเสมือนมีไอเย็นขุมหนึ่งแล่นวาบจากปลายเท้าจรดศีรษะ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น