War sovereign Soaring The Heavens 2951-2960

 ตอนที่ 2,951 : ข่าวของไส้เดือนฝอยทอง


 


 


และในความเป็นจริง เรื่องมันก็เป็นดั่งที่หวงเจียหลงกล่าวไว้ไม่มีผิด


 


เพราะราวๆ 10 วันต่อมา ฮ่องเต้ฝูชิวก็ได้ส่งคนมาพบต้วนหลิงเทียน “คุณชายต้วน ทางเราได้เบาะแสของไส้เดือนฝอยทองแล้วขอรับ”


 


“อ้อ”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนฉาแสงจ้าออกมาวาบหนึ่ง จากนั้นก็มองถามคนที่มารายงานเร็วไว “แล้วไส้เดือนฝอยทองอยู่ที่ไหนรึ?”


 


“อยู่ในเมืองหลวงของประเทศตันจี้ ที่เป็นประเทศข้างเคียงกับประเทศฝูชิวเรานี่เอง…และยังอยู่ในมือของคนตระกูลราชวงศ์ประเทศตันจี้”


 


ได้ยินคำถามไถ่ของต้วนหลิงเทียน คนที่มารายงานก็ไม่กล้ารอช้า เร่งกล่าวรายงานเรื่องราวออกไปตรงๆ “และในมือตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้ยังมีไส้เดือนฝอยทองอยู่ด้วยกันถึง 2 ตัว…หลังจากที่ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ พระองค์ก็เร่งติดต่อไปด้วยตัวเองเป็นการด่วน และยื่นข้อเสนอเพื่อซื้อมันทันไม่ว่าทางประเทศตันจี้จะคิดเท่าไหร่ก็ตาม…”


 


“อนิจจาฝ่าบาทที่ใช้ยันต์อมตะสื่อสารติดต่อกับฮ่องเต้ตันจี้โดยตรง…มิคาดกลับถูกปฏิเสธ”


 


กล่าวจบผู้ที่มารายงานก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ด้วยไม่คิดเลยว่าเบาะแสแรกของไส้เดือนฝอยทอง ที่พึ่งได้มา ไม่ทันได้ทำอะไรก็มาถึงทางตันแบบนี้ ทำให้เขาผิดหวังไปอยู่บ้าง


 


ทว่าวาจาต่อมาของผู้ที่มารายงานเรื่องงราว กลับทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยไม่คิดว่าเรื่องราวจะผลิกโผเอาตอนจบ


 


“อย่างไรก็ตาม ที่ทางฮ่องเต้ตันจี้ปฏิเสธฝ่าบาทก็มิใช่ว่าไม่มีเหตุผล นั่นเพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนยังมีฮ่องเต้ของอีก 2 ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงได้ใช้ยันต์อมตะสื่อสารติดต่อฮ่องเต้ตันจี้โดยตรงเช่นกัน…และฮ่องเต้อีก 2 ประเทศก็ล้วนต้องการไส้เดือนฝอยทองเหมือนทางเรา”


 


“ตอนนั้นฮ่องเต้ตันจี้ก็ตัดสินใจแก้ปัญหาโดยจะขายไส้เดือนฝอยทองให้ฮ่องเต้ทั้ง 2 ประเทศคนละตัว ทว่าทั้งคู่ล้วนปฏิเสธและต้องการไส้เดือนฝอยทองทั้งสองตัว”


 


“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฮ่องเต้ตันจี้ย่อมไม่อาจเลือกได้ว่าจะทำอย่างไร เพราะหากเลือกใครก็ต้องมีคนผิดใจกับตน สุดท้ายจึงตัดสินใจที่จะจัดงานประมูลประจำตระกูลราชวงศ์อีก 2 เดือนให้หลัง และในงานก็จะนำไส้เดือนฝอยทองลงประมูลด้วย”


 


“และทางเราได้ข่าวมาว่า ฮ่องเต้ของอีก 2 ประเทศก็เตรียมส่งคนไปเข้าร่วมการประมูลของตระกูลราชวงศ์ตันจี้กันแล้ว…”


 


พอผู้ที่มารายง่านเรื่องราวกล่าวถึงจขุดนี้ ก็หยุดลงเล็กน้อยค่อยพูดต่อว่า “ดังนั้นฝ่าบาทจึงตัดสินใจส่งเจ้าเมืองหวงแห่งเมืองตู้อวิ๋นให้ไปเมืองหลวงของประเทศตันจี้ เพื่อเข้าร่วมงานประมูลที่จะจัดขึ้นในอีก 2 เดือนหลังจากนี้ และประมูลไส้เดือนฝอยทองมาให้จงได้”


 


“ดังนั้นฝ่าบาทจึงให้ข้ามารายงานคุณชายต้วนว่า…จำต้องรอการประมูลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีก 2 เดือนก่อน ทางประเทศฝูชิวเราถึงจะมีโอกาสนำไส้เดือนฝอยทองมาให้ท่านได้”


 


ผู้มารายงานกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“งานประมูลของตระกูลราชวงศ์ตันจี้รึ?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองวาบ กล่าวพึมพำเบาๆ “ฮ่องเต้อีก 2 ประเทศเองก็ต้องการไส้เดือนฝอยทองด้วยงั้นเหรอ…หรือว่าพวกมันตั้งใจจะหลอมโอสถเฉียนจินเหมือนกัน?”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะจงใจกล่าวเสียงเบาแล้ว หากแต่ผู้รายงานก็ยังคงได้ยินอยู่ดี “คุณชายต้วน ฮ่องเต้ของอีก 2 ประเทศต้องการมันเพื่อไปหลอมโอสถเฉียนจินจริงๆ”


 


“ว่ากันว่าองค์ชาย 7 ที่เป็นโอรสที่ฮ่องเต้โม่หลุนรักมากที่สุด ได้ฝึกฝนวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังระดับขุนนางจนแตกฉานทุกชนิดแล้วหากทว่าด่านพลังยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์เท่านั้น แต่ด้วยโอสถเฉียนจิน องค์ชาย 7 โม่หลุนย่อมเฉิดฉายในการเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้ได้แน่นอน และสมควรได้รับการตอบรับจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลอย่างสูง”


 


“ทางด้านฮ่องเต้ของประเทศตงหมิง ก็ปรากฏผู้ฝึกตนอัจฉริยะไน้สังกัดอันร้ายกาจผู้หนึ่ง…และอัจฉริยะผู้นั้นแม้จะเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ หากแต่เพราะมันได้เข้าใจพลังแห่งกฏแล้ว ทำให้พลังฝีมือของมันถึงขั้นสยบปราบยอดเซียนอมตะชนชั้นสุดยอดฝีมือทั้งหมดในประเทศตงหมิงได้อย่างราบคาบ!”


 


“ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ฮ่องเต้ตงหมิงเองก็อยากได้โอสถเฉียนจินถึงขีดสุด เพื่อมอบให้อัจฉริยะที่เป็นผู้ฝึกตนพเนจรผู้นั้น…ถึงแม้หลังได้รับโอสถเฉียนจินไปแล้ว สุดท้ายอัจฉริยะผู้นั้นก็ต้องจากไปเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูล และไม่มีความผูกพันอันใดกับประเทศตงหมิง แต่ฮ่องเต้ตงหมิงก็เชื่อว่าด้วยศักยภาพและความสามารถของมัน หลังออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ต้องถูกประเมินให้เป็นอัจฉริยะระดับสูงสุดแน่นอน”


 


“อัจฉริยะเช่นนี้หลังจากเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลแล้ว ขุมกำลังได้ที่ได้รับตัวมันไป ย่อมไม่ตระหนี่รางวัลต่อประเทศต้นสังกัด ที่สามารถเฟ้นหาอัจฉริยะเช่นนี้มาให้เป็นแน่”


 


กล่าวถึงจุดนี้ ผู้ที่มารายงานก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง “สถานการณ์ของอัจฉริยะไร้สังกัดผู้นั้นในประเทศตงหมิง กล่าวไปก็เหมือนคุณชายต้วนไม่มีผิด”


 


“คุณชายต้วนตัวท่านเองก็อาศัยด่านพลังขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ สยบยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของประเทศฝูชิวเราในการประลองสวรรค์ใต้ได้อย่างราบคาบ!”


 


“กล่าวได้ว่า ถ้าคุณชายต้วนที่เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ เป็นอันดับ 1 ในขอบเขตยอดเซียนอมตะของประเทศฝูชิวเรา…เช่นนั้นผู้ฝึกตนไร้สังกัดอัจฉริยะผู้นั้น ก็เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ ที่มีพลังฝีมือเป็นอันดับ 1 ในขอบเขตยอดเซียนอมตะของประเทศตงหมิง!”


 


ผู้ที่มารายง่านกล่าวสืบต่อ


 


“ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ เข้าใจพลังของกฏแล้ว?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันทีเมื่อได้ยินคำรายงานดังกล่าว


 


เขารู้ดีว่าเรื่องนี้หมายความว่าอะไร


 


นั่นหมายความว่ายอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ผู้นั้น มีวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชา ที่มีพลังอำนาจแห่งกฏแฝงเร้นไว้ให้มันฝึกปรือ! และมันก็ฝึกฝนวรยุทธ์กับเวทย์พลังระดับราชาดังกล่าวจนเข้าถึงพลังแห่งกฏได้แล้ว!


 


ด้วยเหตุนี้อัจฉริยะไร้สังกัดผู้นั้น จึงสามารถใช้ด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ สยบปราบตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหมดในประเทศตงหมิงลงได้อย่างราบคาบ!!


 


ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินได้หันมามองหน้าสบตากัน และต่างเห็นถึงความตกใจในแววตาของอีกฝ่าย


 


เหตุผลที่ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้เอาชนะหวงเจียหลงได้อย่างง่ายดายนั้น เป็นเพราะพึ่งพาพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่เหลืออยู่จากการใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองได้อย่างแยบคาย…


 


หลังพลังที่ได้รับมาหมดลง ให้เขาลองถามตัวเองดูว่าตอนนี้ถ้าต้องไปต่อยตีกับหวงเจียหลงอีกครั้งผลจะเป็นอย่างไร เขาก็ตอบได้ไม่อายปากทันทีว่า…ต่อให้ใช้ออกด้วยทุกสิ่งที่มีก็ไม่อาจเอาชนะหวงเจียหลงได้!


 


เพราะถึงแม้เขากับหวงเจียหลงจะมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาเหมือนกัน และวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนางที่ฝึกปรือก็แตกฉานพอๆกัน ทว่าด่านพลังของหวงเจียหลงกลับอยู่สูงกว่าเขาขั้นหนึ่งเต็มๆ และนั่นคือช่องว่างที่ยากจะข้ามผ่าน


 


“ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ฝึกตนอัจฉริยะที่ไร้สังกัดผู้นั้น ก็ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน!”


 


และสิ่งที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินต้องตกใจอีกรอบก็คือ ประโยคที่พึ่งล่วงล้ำออกมาจากลำคอของผู้มารายงาน!


 


อายุไม่ถึงร้อยปี…บรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนยอมตะขั้นสวรรค์ และเข้าถึงพลังแห่งกฏ…


 


นี่มันปีศาจร้ายอันใดกัน!?


 


“ในประเทศตงหมิงยามนี้ยังมีข่าวลือกันหนาหูอีกว่า…ผู้ฝึกตนอัจฉริยะไร้สังกัดผู้นั้น คือผู้ที่กลับชาติมาเกิดใหม่ และชาติที่แล้วสมควรเป็นตัวตนอันทรงพลังอย่างยิ่งยวด อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงเรื่องนี้ยังมิมีผู้ใดยืนยันได้ ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานลอยๆของผู้คนเท่านั้น”


 


หลังคนที่ฮ่องเต้ฝูชิวส่งมากล่าวรายงานเรื่องทั้งหมดจบ มันก็ขอตัวลาจากไป ทว่าพอเดินไปถึงประตูมันก็คล้ายฉุกคิดอะไรได้จึงหันหน้ากลับมาอีกครั้ง


 


“คุณชายต้วน ฝ่าบาทยังตรัสอีกว่า หากท่านสนใจจะเข้าร่วมการประมูลที่เมืองหลวงของประเทศตันจี้ในอีก 2 เดือนหลังจากนี้ ท่านสามารถไปกับเจ้าเมืองหวงได้”


 


“เรื่องนี้ท่านไปติดต่อเจ้าเมืองน้อยไว้ก่อนเลยก็ได้”


 


หลังผู้มารายงานเอ่ยจบคำ มันก็วูบร่างจากไปทันที คงเหลือแต่ภาพติดตาที่ค่อยๆพร่าเลือนหายไปในสายตาของต้วนหลิงเทียน


 


อย่างไรก็ตามแม้ต้วนหลิงเทียนจะเหม่อมองร่างที่กำลังเลือนหาย แต่ใจเขานั้นยังคงติดอยู่กับอัจฉริยะไร้สังกัดผู้นั้น


 


ในฐานะที่เป็นคนอายุไม่ถึงร้อยปีเหมือนกัน เขาจึงเข้าใจได้ทันที ว่าหากคนผู้นั้นไม่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ น่ากลัวว่าคงต้องพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่มาแน่!


 


มิฉะนั้นไม่มีทางประสบความสำเร็จเลิศล้ำถึงขนาดนี้ได้ทั้งที่อายุยังน้อยเด็ดขาด


 


“ก่วงหลิน เรื่องผู้ฝึกตนอัจฉริยะไร้สังกัดของประเทศตงหมิง…เจ้ามีความเห็นว่ายังไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามหลิวก่วงหลิน


 


“นายท่าน…”


 


หลิวก่งหลินกล่าวออกเสียงขรึม “ผู้ฝึกตนอัจฉริยะไร้สังกัดของประเทศตงหมิงผู้นั้น การที่มันสามารถเข้าถึงพลังแห่งกฏได้ตั้งแต่อายุไม่ถึงร้อยปี หากมิใช่เป็นอัจฉริยะที่มีศักยภาพท้าทายสวรรค์ ก็สมควรเป็นผู้ยิ่งใหญ่กลับชาติมาเกิดจริงๆ”


 


“เพราะผู้ที่กลับชาติมาเกิดนั้น ถึงแม้จะต้องเริ่มบ่มเพาะฝึกปรือใหม่แต่ต้น ทว่าด้วยความทรงจำและองค์ความรู้จากอดีตชาติ ย่อมไม่ขาดเคล็ดอมตะวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังที่เคยฝึกปรือ แม้กระทั่งกฏที่ตัวมันเคยเข้าใจในชาติที่แล้ว…”


 


หลิวก่วงหลินกล่าว


 


“อย่างไรก็ตาม ในระนาบเทวโลกนั้นถึงแม้เรื่องผู้ที่กลับชาติมาเกิดจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร และมีให้เห็นอยู่ไม่ขาด แต่ตัวตนเช่นนี้ ก็มีปรากฏขึ้นมาน้อยนัก…ประการแรกเลยน้อยคนที่จะยินดีสละทุกสิ่งอย่างที่เพียรสร้างมาเพื่อเริ่มต้นใหม่ ประการที่ 2 คิดกลับชาติมาเกิดใหม่มิใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น กล่าวไปยังต้องแบกรับความเสี่ยง 9 ตาย 1 รอดอีกด้วย…”


 


หลิวก่วงหลินกล่าวความคิดเห็นออกมา ก่อนที่จะสรุปในมุมมองของมันว่า “ดังนั้นข้าน้อยคิดว่า มันสมควรเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์เป็นทุน และยังพบพานโชควาสนาสุดที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ออก ถึงสามารถมีวันนี้ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


อันที่จริงเขาเองก็คิดว่าสมควรเป็นแบบนี้เหมือนกัน


 


‘ไม่รู้…ว่าหากข้าได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชามาบ้าง ข้าจะเข้าถึงพลังแห่งกฏได้ก่อนอายุร้อยปีหรือไม่…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


“ตราบใดที่เจ้าได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาที่มีกฏแห่งไฟมาตอนนี้ อาศัยความช่วยเหลือจากเพลิงเทพโกลาหล เรื่องจะเข้าถึงกฏแห่งไฟนับว่าเป็นเรื่องราวอันง่ายเสียยิ่งกว่าง่ายสำหรับเจ้า”


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่นั้น เสียงคุ้นเคยหนึ่งพลันดังขึ้นในหัว และยังดังขึ้นมาจากบริเวณใกล้ๆดวงจิตของเขา


 


“ทองเทพสุดลี้ลับ!?”


 


ในขณะที่ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอประกายจ้า เสียงดังกล่าวก็เริ่มดังขึ้นสืบต่อ น้ำเสียงยังแลดูร้อนใจไม่น้อย


 


“เจ้าหนู! เพลิงเทพโกลาหลทิ้งข้อความไว้ให้ข้าว่า…เจ้าได้รับทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 มางั้นรึ?!”


 


“เร็วเข้า! รีบนำออกมาให้ข้า!!”


 


เจ้าของเสียงที่ดังขึ้นในหัวเขาตอนนี้ ก็คือทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ที่คอยแผ่พลังปกป้องคุ้มครองดวงจิตเขามาโดยตลอด


 


และฟังจากคำพูดของทองเทพสุดลี้ลับแล้ว เห็นได้ชัดว่าก่อนที่เพลิงเทพโกลาหลจะเข้าสู่นิทราอีกครั้ง ได้มีฝากข้อความอะไรไว้ให้ทองเทพสุดลี้ลับ บอกเรื่องที่เขาได้รับทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรกมา


 


ได้ยินน้ำเสียงรีบร้อนของทองเทพสุดลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือเรียกหินก้อนนั้นอันเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ออกมาจากแหวนพื้นที่ทันที


 


และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่หินก้อนนั้นผุดจากความว่างเปล่าตกลงมาเข้ามือเขา เขาก็สัมผัสได้ชัดเจนว่ามีพลังลี้ลับขุมหนึ่งพุ่งออกมาจากบริเวณใกล้เคียงดวงจิตเขา และไปปกคลุมที่มือเขาทันที


 


กล่าวให้ชัดคือมันแผ่พุ่งไปปกคลุมสิ่งที่อยู่ในมือเขา


 


ทันใดนั้นหินก้อนดังกล่าวก็เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมา!


 


“หึ! ไอ้หนูเอย…เจ้ากระทั่งสำนึกสติยังไม่ก่อเกิดแท้ๆ แต่ยังริอาจแข็งข้อต่อต้านข้ารึ? มาเป็นส่วนหนึ่งของข้าเสียแต่โดยดีเถอะ ไอ้หนู!!”


 


พอเสียงของทองเทพสุดลี้ลับดังขึ้นอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นได้ชัดเจนว่าหินในมือเขาบัดนี้ได้ถูกพลังสีทองหลอมจนละลายลงด้วยความเร็ว พริบตาจากวัตถุมีสภาพก็สลายกลับกลายเป็นกระแสพลังขุมหนึ่ง รวมผสานไปกับพลังสีทองอย่างแยกไม่ออก


 


หลังจากนั้นพลังสีทองที่ส่องแสงจ้าเหนือฝ่ามือเขา ก็หดหายกลับไปเข้าไปในฝ่ามือเขาด้วยความเร็ว ยังรวดเร็วยิ่งกว่าตอนที่พวยพุ่งออกมาเสียอีก…


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมรับทราบได้ดีว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร เป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ได้ถูกทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 หลอมกลืนไปเรียบร้อยแล้ว…


 


“นายท่าน…นะ…นั่นมันอะไรกัน?”


 


หลิวก่วงหลินที่ยืนอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนย่อมเห็นเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นชัดถนัดตา มันถึงกับตกตะลึงอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าตกใจทั้งไม่อยากจะเชื่อ ในแววตาฉายชัดถึงความสับสนและไม่เข้าใจ ว่ามันเกิดเรื่องผีสางอะไรขึ้นกันแน่…


ตอนที่ 2,952 : เตรียมตัวออกเดินทาง


 


 


 


“นายท่าน…นะ…นั่นมันอะไรกัน?”


 


ในสายตาของหลิวก่วงหลินนั้น อยู่ๆก็ปรากกฏพลังสีทองขุมหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างนายท่าน หลังจากนั้นพลังสีทองดังกล่าวก็พุ่งไปปกคลุมฝ่ามือนายท่านเอาไว้…


 


และพริบตาต่อมา หินประหลาดก้อนนั้นที่นายท่านเรียกออกมา ก็ถูกพลังสีทองดังกล่าวหลอมจนสลายตัวเป็นกระแสพลังในพริบตา จากนั้นก็กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังสีทอง!


 


หลังกลืนกินหินประหลาดนั่นไปแล้ว กลิ่นอายของพลังสีทองนั่น ยังทวีความเข้มแข็งขึ้นมาในฉับพลัน! จากนั้นก็หดหายเข้าร่างกายนายท่านของมันไป!!


 


มันไม่อาจทราบได้จริงๆ ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่!


 


ตั้งแต่มันเกิดมา พึ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก


 


อย่างไรก็ตามแม้มันจะพึ่งพานพบเรื่องประหลาดเช่นนี้เป็นครั้งแรก และมิอาจบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาและความลับอันยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้


 


“ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่…ไว้มีโอกาสข้าจะบอกเจ้าทีหลัง”


 


ต้วนหลิงเทียนบอกปัดหลิวก่วงหลิน จากนั้นก็หันกลับบมาสนใจทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ภายในร่าง ยังเริ่มส่องภายในร่างกายตัวเองทันที


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่าในทะเลวิญญาณของเขา ทองเทพสุดลี้ลับที่เดิมทีเป็นเศษโลหะแตกหักนั้น บัดนี้ได้ทอแสงสว่างสีทองงออกมาเรืองรอง และส่วนที่แตกก็ค่อยๆงอกเงยออกมาคล้ายจะฟื้นสภาพเดิมก่อนจะแตกหัก!


 


อย่างไรก็ตามส่วนที่แตกหักบิ่นแหว่ง ก็ยังคงเหลืออยู่อีกไม่น้อย


 


กล่าวได้ว่ามันยังคงเป็นเศษโลหะแตกหัก หากแต่ไม่ได้อาการหนักเหมือนตอนแรกแล้ว!


 


ได้ยินคำพูดบอกปัดของต้วนหลิงเทียน หลิวก่วงหลินก็ไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด เพราะในสายตามัน การที่นายท่านตอบกลับมาแบบนี้ ก็เพราะต้องมีเหตุผลบางประการแน่นอน


 


และพอเห็นว่าอยู่ดีๆต้วนหลิงเทียนก็นิ่งไป คล้ายจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้หลิวก่วงหลินจะไม่เข้าใจว่านายท่านของมันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ แต่มันก็เลือกที่จะแผ่สำนึกเทวะปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ เฝ้าระวังเหตุเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ประมาท


 


“เจ้าหนู นับว่าเจ้าทำได้ดีมาก…ตราบใดที่เจ้าพบทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 อีกสักชิ้น ตัวข้าย่อมพัฒนาไปเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 3 ได้อย่างราบรื่น!”


 


เสียงของทองเทพสุดลี้ลับดังขึ้นจากเศษโลหะแตกหักข้างดวงจิตของต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง และในน้ำเสียงก็ไม่ขาดการชมเชยต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย!


 


“และตราบใดที่ข้าพัฒนาไปเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 3 ได้สำเร็จ วันหน้าหากเจ้าพบเจอวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับราชาขึ้นไปที่มีกฏแห่งทองล่ะก็ ข้าสามารถช่วยให้เจ้าเข้าใจถึงกฏแห่งทองได้ในเวลาอันสั้น”


 


“นอกจากนั้นเมื่อข้าพัฒนาไปถึงขั้นที่ 3 ได้สำเร็จ นอกเหนือจากความสามารถในการคุ้มครองดวงจิตของเจ้าแล้ว ข้ายังผสานหลอมรวมเข้ากับอุปกรณ์อมตะในมือของเจ้าได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง และสามารถเพิ่มพูนพลังอำนาจของอุปกรณ์อมตะที่เจ้าใช้ได้!”


 


“ข้ากล่าวมากเกินพอแล้ว ข้าจักเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง…พยายามต่อไปเจ้าหนู ช่วยข้าให้พัฒนาสู่ขั้นที่ 3 ให้เร็วที่สุด ถึงตอนนั้นข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าแน่!”


 


เสียงงของทองเทพสุดลี้ลับดังระรัวมาเป็นชุดก่อนจะหยุดลงหน้าตาเฉย…ไม่เปิดช่องให้ต้วนหลิงเทียนถามไถ่สนทนาอันใด


 


‘ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 3…’


 


อย่างไรก็ตามฟังจากคำพูดของทองเทพสุดลี้ลับ หากอีกฝ่ายพัฒนาถึงขั้นที่ 3 ได้สำเร็จ ดูเหมือนจะสามารถผสานเข้ากับอุปกรณ์อมตะในมือและเพิ่มพูนพลังอำนาจได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง?


 


‘ทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล…ที่แท้พวกมันคืออะไรกันแน่?’


 


‘เท่าที่รู้ตอนนี้ พวกมันคือ 2 ในเทพแห่งธาตุทั้ง 5…อีกทั้งยังมีแบ่งเป็นระดับขั้นต่างๆ’


 


‘อย่างเช่นเพลิงเทพโกลาหล ในขั้นที่ 1 นั้น พลังอำนาจของมันสมควรเทียบได้กับเพลิงงอมตะระดับต่ำ ทว่าสมควรมีพลังเหนือกว่าเพลิงอมตะระดับต่ำทั่วไป’


 


‘พอพัฒนาไปเป็นขั้นที่ 2 พลังอำนาจของมันก็เทียบได้กับเพลิงอมตะระดับกลาง หากทว่าพลังอำนาจกลับอยู่เหนือเพลิงอมตะระดับกลางทั่วไปมากมาย’


 


‘สำหรับขั้นที่ 3 หรือก็คือระดับขั้นในปัจจุบันของเพลิงเทพโกลาหล มันมีพลังอำนาจทัดเทียมเพลิงอมตะระดับสูง หากแต่พลังอำนาจของมันกลับอยู่เหนือเพลิงอมตะระดับสูงงทั้งหลายไปไกลโข’


 


‘นอกจากนี้เพลิงเทพโกลาหลยังแตกต่างจากเพลิงอมตะที่พบเห็นได้ทั่วไปเป็นอย่างมาก ข้าสามารถแปลงคุณลักษณะพลังของมันให้อ่อนโยนหรือแข็งกร้าวได้ตามใจ เหมาะที่จะใช้ทั้งในการหลอมโอสถอมตะและอุปกรณ์อมตะ’


 


‘อีกทั้งมันยังช่วยยกระดับความรู้ความเข้าใจในเต๋าแห่งการหลอมโอสถอมตะให้ข้าได้อีก…’


 



 


‘และเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 3 กับทองเทพสุดลี้ลับยังกล่าวเหมือนกันอีกว่า…สามารถช่วยเหลือข้าให้เข้าใจพลังแห่งกฏได้อย่างรวดเร็ว หากข้าได้วรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาที่มีกฏแห่งไฟหรือทอง?’


 


‘ถ้างั้นหากเพลิงเทพโกลาหล กับทองเทพสุดลี้ลับมันพัฒนาไปยังขั้นที่สูงกว่านี้เล่า ใช่จะมีประโยชน์มากกว่านี้หรือไม่?’


 


พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือ อยากเห็นพลังอำนาจของพวกมันหลังพัฒนาได้แล้วจริงๆ


 


แต่เป็นธรรมดาว่าเขาเองก็รู้ดี ว่าหากคิดจะทำให้พวกมันยกระดับพัฒนา ก็มีแต่ต้องหาเพลิงเทพโกลาหล หรือทองเทพสุดลี้ลับอื่นๆให้พวกมันดูดกลืน


 


“หลังจากนี้อีก 2 เดือนตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้จะจัดงานประมูลขึ้นที่เมืองหลวงของประเทศตันจี้…ถ้างั้นพวกเราไปเยือนที่พักของหวงเจียหลง เพื่อหารือกับเจ้าเมืองตู้อวิ๋นบิดาของหวงเจียหลงเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า”


 


หลังงฟื้นสติแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปกล่าวกับหลิววก่วงหลิน จากนั้นก็เดินนำออกจากบ้านลานที่พักในเขตตำหนักจวี้หยวน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่พักที่ของเจ้าเมืองตู้อวิ๋นในเมืองหลวงทันที


 


ประเทศฝูชิวก็เป็นประเทศๆหนึ่ง และนอกจากเมืองตู้อวิ๋นแล้ว ยังมีเมืองใต้อาณัติอื่นๆรวมทั้งสิ้น 36 เมือง


 


เจ้าเมืองทั้ง 36 เมืองนั้น ก็เป็นขุนนางที่มีฐานะทัดเทียมกับเหล่าองค์ชายของประเทศฝูชิวเลยทีเดียว


 


แน่นอนว่า 36 เมืองที่ว่า ก็ย่อมมีความเข้มแข็งและพลังอำนาจแตกต่างกันอยู่บ้าง


 


ยกตัวอย่างก็เช่นเมืองตู้อวิ๋น ที่เป็น 1ในบรรดา 36 เมืองของประเทศฝูชิว ไม่ว่าจะทรัพยากรหรือจำนวนประชากรภายในเมือง ก็มากมายติด 1 ใน 3 อันดับแรกของประเทศฝูชิว!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเฟยเหยี่ยน เป็นถึงยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตราชาอมตะของประเทศฝูชิว และเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ฝูชิวจนทุกคนรู้กันว่าเป็นดั่งมือขวาของฮ่องเต้ฝูชิวเลยด้วยซ้ำ ในฐานะที่เมืองตู้อวิ๋นสามารถพัฒนามาเป็นเมืองใหญ่ติด 1 ใน 3 อันดับแรกได้ ก็บ่งบอกถึงความปรีชาสามารถของเจ้าเมืองผู้นี้ได้เป็นอย่างดี!


 


และภายในเมืองหลวงของประเทศฝูชิว ก็มีจวนที่พักของเจ้าเมืองทั้ง 36 คนปลูกสร้างเอาไว้


 


ตั้งงแต่ที่การประลองสวรรค์ใต้สิ้นสุดลง เนื่องจากบุตรชายทั้ง 2 ของเจ้าเมืองตู้อวิ๋นได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทั้งคู่ เช่นนั้นหากด้านเมืองตู้อวิ๋นไม่เกิดปัญหาร้ายแรงถึงขั้นต้องให้หวงเฟยเหยี่ยนลงมือเอง หวงฟวยเหยี่ยนก็ย่อมเลือกที่จะพักอาศัยในจวนของเมืองหลวงต่อไปอีกสักพัก


 


ผู้เป็นบิดาเช่นมัน ไหนเลยจะไม่อยากเห็นลูกชายทั้ง 2 ประสบความสำเร็จ สามารถรอดชีวิตกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้และเข้าร่วม 3 นิกาย 2 ตระกูลกับตา?


 


และช่วงที่มันพักอยู่ในจวนที่เมืองหลวง ก็ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับการฝึกฝนลูกชายทั้ง 2


 


ถึงแม้จวนที่พักของมันจะมีความหรูหราและความโอ่อ่าด้อยกว่าจวนและตำหนักในพระราชวังหลวงอยู่บ้าง แต่อย่างไรเสียพื้นที่ก็กว้างขวางใหญ่โตไม่ใช่น้อย และอาคารปลูกสร้างก็งดงามวิจิตรเหนือกว่าสิ่งปลูกสร้างของประชาชนทั่วไปในเมืองหลวงมากโข


 


“คุณชายต้วน เจ้าเมืองน้อยกำชับพวกเราไว้แล้วขอรับ ว่าหากคุณชายต้วนมา ก็มิต้องให้ท่านรอพวกเราเข้าไปแจ้งแต่อย่างใด พวกเราสามารถพาท่านเข้าไปหาเจ้าเมืองน้อยได้เลย…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่นำหลิวก่วงหลินมาถึงประตูหน้าจวนที่พักของเจ้าเมืองตู้อวิ๋น เพียงกล่าวบอกตัวตนและจุดประสงค์การมาให้แก่ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู อีกฝ่ายก็ผ่ายมือเชื้อเชิญเขาด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อมทันที


 


หลังจากนั้นพอต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินเดินเข้าประตูมา ทหารเฝ้าประตูก็รีบก้าวอาดๆขึ้นมาจากด้านหลัง ไปคอยนำทางให้ต้วนหลิงเทียน


 


หลังเดินผ่านประตูหน้าจวนมาได้สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็หันรีหันขวางชมสภาพภายในจวน และพบว่าแม้จวนหลังนี้จะแลดูด้อยกว่าพระราชวังหลวงอยู่บ้าง ทว่าในพระราชวังหลวงตกแต่งอย่างไร ที่นี่ก็มีคล้ายๆกัน


 


ดั่งนกกระจอกที่แม้จะตัวเล็ก แต่ก็มีอวัยวะครบถ้วน


 


นี่เป็นความประทับใจแรกสำหรับต้วนหลิงเทียนที่ได้ชมที่ทางภายในจวน


 


และหลังเดินผ่านมาถึงสวนหย่อมกลางจวนที่แลดูสะอาดสะอ้านคล้ายพึ่งจะทำการปรับปรุงมาหยกๆ กอปรกับกลิ่นหอมจากบุปผานานาพรรณที่ตลบอลอวลไปทั่ว ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสดชื่นเจริญตาไม่น้อย


 


นอกจากนั้นยังมีเสียงน้ำไหลแว่วดังมาไกลๆ พาลให้ใจรู้สึกสงบผ่อนคลาย บังเกิดอาการอยากทิ้งตัวลงนอนอยู่บ้าง


 


“อั้ย! น้องต้วน…ข้าคิดจะไปหาท่านอยู่พอดี ไม่นึกเลยว่าท่านจะเป็นฝ่ายมาหาข้าก่อน!”


 


หลังจากทหารเฝ้าประตูพาต้วนหลิงเทียนมาถึงประตูหน้าเรือนใหญ่หลังหนึ่ง และประกาศการมาถึงของต้วนหลิงเทียนออกไปได้ไม่ทันไร หวงเจียหลงก็เปิดประตูก้าวอาดๆมาต้อนรับต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเอง จากนั้นก็เชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนกับหลิ่วกวงหลินเข้าเรือนอย่างมากอัธยาศัย


 


“พี่เจียหลงคิดจะไปหาข้าเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เดินตามเข้ามาสักพัก ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย


 


“ให้ข้าเดานะ น้องต้วนไม่พ้นมาเพราะเรื่องการประมูลไส้เดือนฝอยทองใช่ไหม?”


 


หลังจากที่หวงเจียหลงผายมือเชิญให้ต้วนหลิงเทียนนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนแถวนั้น มันก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มร่าทันที


 


“ท่านรู้แล้ว?”


 


ต้วนหลิงเทียนยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก็ยิ้มกล่าวต่อว่า “คงเป็นเจ้าเมืองหวงบอกท่านสินะ?”


 


“ใช่”


 


หวงเจียหลงพยักหน้า “ท่านพ่อบอกว่า ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านพ่อไปเข้าร่วมงานประมูลของตระกูลราชวงศ์ตันจี้ที่จะจัดขึ้นในอีก 2 เดือนหลังจากนี้ และพยายามประมูลไส้เดือนฝอยทองทั้ง 2 ที่ราชวงศ์ตันจี้นำมาลงประมูลให้จงได้”


 


“หลังจากที่ท่านพ่อบอกข้าเรื่องนี้แล้ว…ก็ใช้ให้ข้าไปถามน้องต้วนดู ว่าน้องต้วนคิดจะไปเข้าร่วมงานประมูลที่เมืองหลวงของประเทศตันจี้ด้วยรึเปล่า?”


 


“ว่าแต่น้องต้วนว่าอย่างไรเล่า? ท่านอยากไปด้วยหรือไม่…หากท่านไปข้าจะได้ไปด้วย!”


 


กล่าวถามจบคำ ก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนทันได้ตอบอะไร หวงเจียหลงก็กล่าวเสริมออกมาก่อนว่า “แน่นอนว่าหากน้องต้วนไม่ไป ข้าเองก็คร้านจะไปเช่นกัน”


 


“ข้าว่าจะไปด้วย”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบ


 


เขาแน่นอนว่าต้องไปด้วย!


 


2 เดือนหลังจากนี้ ถึงแม้ว่าหวงเฟยเหยี่ยนจะประมูลไส้เดือนฝอยทองที่ตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้นำมาลงประมูลได้จริง แต่การนำของกลับมาก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย…


 


ทว่าหากเขาไปด้วย ทันทีที่ได้รับไส้เดือนฝอยทองมา เขาก็สามารถหลอมโอสถเฉียนจินได้ทันที จากนั้นก็ใช้มันเพื่อทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้เลย!


 


“ถ้างั้นข้าก็ไปด้วย!”


 


หลังได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน หวงเจียหลงก็แลดูกระตือรือร้นไม่น้อย


 


“พี่เจียหลง”


 


ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็มองงถามหวงเจียหลงว่า “แล้วตอนนี้เจ้าเมืองหวงอยู่ในจวนรึเปล่า?”


 


เนื่องจากเขามาที่จวนแห่งนี้ในฐานะแขก เช่นนั้นตามมารยาทแล้วก็ต้องแวะไปทักทายเจ้าบ้านเสียก่อน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวงเจียหลง หรือเรื่องสถานะของหวงเฟยเหยี่ยนเลย


 


“น่าเสียดาย น้องต้วนท่านมาถึงช้าไป…เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนท่านพ่อที่เห็นว่ายังพอมีเวลาเหลืออีกเดือนกว่าจะถึงเวลาเดินทางไปงานประมูล ท่านก็เลยคิดไปสะสางเรื่องราวที่เมืองตูอวิ๋นก่อน ตอนนี้ก็คงเดินทางออกจากเมืองหลวงไปไกลแล้วล่ะ…”


 


หวงเจียหลงส่ายหน้าไปมาพลางกล่าว “กว่าที่ท่านพ่อจะกลับมา ก็คงเป็นช่วงที่พวกเรากำลังจะออกเดินทางพอดี”


 


“ถ้างั้นไว้พบเจ้าเมืองหวง ตอนที่จะเดินทางไปเมืองหลวงของประเทศตันจี้ทีเดียวเลยแล้วกัน”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


หลังคุยเล่นกับหวงเจียหลงอีกสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็ร่ำลาอีกฝ่ายแล้วย้อนกลับตำหนักจวี้หยวนในเขตพระราชวังหลวงทันที โยไม่คิดจะแวะไปที่ไหน


 


หลังจากนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่คิดบ่มเพาะพลังแต่อย่างใด เขามุ่งเน้นไปกับการหลอมโอสถอมตะ เพื่อให้คุ้นมือและขัดเกลายกระดับความสามารถในการหลอมโอสถอมตะให้สูงขึ้น


 


เพราะตอนนี้ต่อให้เขาบ่มเพาะพลังไป แม้ระดับพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง ทว่าเมื่อรับประทานโอสถเฉียนจินและทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้แล้ว รากฐานพลังในร่างเขาก็จะตกอยู่ในสถานะไม่เสถียรทันที


 


และตอนนี้ต่อให้เขาไม่บ่มเพาะพลังอะไร หลังจากกินโอสถเฉียนจินแล้วทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด สถานการณ์ด่านพลังในร่างเขาก็ยังต้องตกอยู่ในสถานะเดียวกัน


 


เช่นนั้นเขาจะเสียเวลาบ่มเพาะไปทำอะไร


 


ถ้าจะบ่มเพาะพลัง ก็ยังต้องรอให้บรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเสียก่อน


 


หลังผ่านไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง…


 


เมือเดินออกจากประตูเมืองทิศเหนือของเมืองหลวงประเทศฝูชิวมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างนำหลิวก่วงหลินขึ้นไปบนฟ้า มุ่งหน้าเข้าหาคนกลุ่มหนึ่งที่เหินร่างรอคอยอยู่ก่อนไกลตา


 


“น้องต้วน!”


 


และพอเหินเข้าไปหาคนกลุ่มนั้นได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงคุ้นเคยหนึ่งดังทักมาแต่ไกล เป็นหวงเจียหลงนั่นเอง


WSSTH ตอนที่ 2,953 : พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกต


 


 


ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ หวงเจียหลงได้มาหาต้วนหลิงเทียนถึงที่พัก และกล่าวบอกกำหนดการณ์แก่ต้วนหลิงเทียน ว่าจะออกเดินทางกันตอนไหน


 


เชาวันนี้ต้วนหลิงเทียนก็เลยมายังประตูเมืองทิศเหนือของเมืองหลวงฝูชิวตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้


 


“น้องต้วน ข้าจะพาท่านไปเจอท่านพ่อ”


 


หลังหวงเจียหลงเหินร่างเข้ามาหาต้วนหลิงเทียนได้ไม่ทันไร มันก็หันหลังกลับ แล้วเหินนำต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินไปสมทบกับอีก 3 คนที่เหินร่างรอคอยกลางหาวอย่างไม่รอช้า


 


1 ใน 3 คนที่เหินรออยู่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับต้วนหลิงเทียน เป็นเจ้าเมืองตู้อวิ๋นหวงเหยี่ยนเฟยนั่นเอง


 


ส่วนอีก 2 คนที่เหลือ ต้วนหลิงเทียนก็พึ่งจะเคยเจออีกฝ่ายเป็นครั้งแรกวันนี้…


 


หนึ่งในนั้นมีรูปลักษณ์เป็นชายชรามาในชุดสีดำสนิท เส้นผมขนคิ้วล้วนขาวโพลน แก้มตอบ และดูซูบผอมคล้ายคนขาดอาหาร


 


ชายชราร่างผอมบางลอยร่างอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกเย็นชาไม่แสสิ่งใด


 


ส่วนอีกคนที่เหลือเป็นชายวัยกลางคนมาในชุดคลุมสีขาว ใบหน้ารูปเหลี่ยมแลดูบึกบึนล่ำสัน หว่างคิ้วองอาจผ่าเผย แววตาคมกล้าปานพยัคฆ์!


 


ชายวัยกลางคนผู้นี้เพียงยืนอยู่เฉยๆ ก็ให้ความรู้สึกดั่งหอคอแกร่งตั้งตระหง่านไม่หวั่นลมฝน ให้ความรู้สึกดุร้ายทรงพลังอยู่บ้าง


 


หากเทียบกับชายชราที่แลดูเย็นชาแล้ว ชายวัยกลางคนผู้นี้ให้ความรู้สึกตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง


 


“ท่านพ่อนี่คือน้องต้วน ท่านเองก็เคยเห็นแล้ว”


 


เมื่อหวงเจียหลงเหินร่างมาถึง มันก็แนะนำต้วนหลิงเทียนให้หวงเฟยเหยี่ยนรู้จักก่อน


 


หวงเฟยเหยี่ยนเองก็มองต้วนหลิงเทียนตั้งแต่แรก พอเห็นต้วนหลิงเทียนเข้ามาและได้ยินคำแนะนำจากลูกชาย มันก็รีบกล่าวคำทักทายด้วยรอยยิ้มทันที


 


“สหายน้อยต้วนพวกเราพบกันอีกแล้ว”


 


รอยยิ้มกับคำทักทายของหวยเฟยเหยี่ยนนั้น แลดูสบายๆเป็นกันเอง ไม่ได้วางตัวในฐานะเจ้าเมืองหรือผู้อาวุโสอะไรแม้แต่น้อย


 


ท่าทางเสมือนพบปะกับคนในระดับที่เท่าเทียมกัน


 


และเรื่องนี้ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก


 


“เจ้าเมืองหวง ข้ากับพี่เจียหลงเป็นสหายกัน เช่นนั้นท่านเรียกข้าว่าหลิงเทียนเฉยๆก็ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนแย้มยิ้มกล่าวตอบ


 


“ฮ่าๆๆ…ได้! แต่ให้ข้าเรียกว่าหลิงเทียนก็ฟังดูแปลกพิกล เช่นนั้นให้ข้าเรียกเจ้าเสี่ยวเทียนเถอะ อย่างไรเสียด้วยอายุของเจ้า การที่ข้าเรียกหาเจ้าเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าเอาเปรียบเจ้าแต่อย่างใด”


 


หวงเฟยเหยี่ยนหัวเราะกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย และวาจาเพียงไม่กี่คำของมันก็สามารถลดระห่างได้มาก


 


“เสี่ยวเทียนนี่คือผู้เฒ่าโม่ เป็นดั่งบิดาบุญธรรมของข้า และยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับท่านพ่อของข้าอีกด้วย ส่วนนี่ไป๋กัง สหายที่ข้าเห็นไม่ต่างอะไรจากน้องชายแท้ๆ เจ้าเรียกว่าอาไป๋ก็ได้”


 


หลังหัวเราะกล่าวอย่างผ่อนคลายแล้ว หวงเหยี่ยนเฟยก็ผายมือไปทางชายชราชุดดำกับชายวัยกลางคนชุดขาว พลางงกล่าวแนะนำให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงแนะนำของหวงเหยี่ยนเฟยดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปยังชายชรากับชายวัยกลางคนทันที ซึ่งอีกฝ่ายก็หันมามองสบตากับเขาเช่นกัน


 


ทันใดนั้น ต้วนหลิงเทียนยก็รู้สึกเสมือนถูกอีกฝ่ายมองจนทะลุปรุโปร่ง ราวกับต่อหน้าทั้งคู่เขาไม่อาจปิดซ่อนอะไรได้


 


‘หืม?’


 


ขณเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกไปรางๆ ว่าทั้งคู่คล้ายมีอะไรบางอย่างผิดแปลกบางงประการ แต่เขาก็ไม่อาจระบุชี้ชัดได้ว่าทั้งคู่แปลกตรงไหน


 


“ผู้เฒ่าโม่ อาไป๋”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดอากาศเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยทักทายทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่เลว ไม่เลวเลยจริงๆ…มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนเจ้าหนูเจียหลงถึงได้ยอมรับนับถือเจ้านัก…สามารถบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ได้ตั้งแต่อายุไม่ถึงร้อยปี ทั้งพลังฝีมือยังสูงกว่าเจ้าหนูเจียหลงหลายขุม ไม่ธรรมดา!”


 


ไป๋กังกล่าวทักต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม เห็นชัดว่ามันเป็นคนอัธยาศัยดีไม่น้อย


 


สำหรับชายชราในชุดดำนั้น เพียงพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนเบาๆ ก่อนจะถอนสายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนกลับคืน


 


แต่ต้นจนจบแววตาอีกฝ่ายสงบนัก ราวกับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย


 


“เหอะๆ…เจ้าหนูหลิงเทียน ผู้เฒ่าโม่ผู้นี้เป็นดั่งน้ำแข็งก้อนหนึ่ง เจ้าอย่าได้ไปสนใจเลย”


 


เมื่อเห็นว่าชายชราไม่ได้ยินดียินร้ายหรือกระตือรือร้นจะทักทายอะไรต้วนหลิงเทียน ไป๋กังก็เร่งกล่าวแก้สถานการณ์ออกมาทันที


 


“ผู้เฒ่าโม่ ในเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว พวกเราก็ไปกันเลยเถอะ”


 


ตอนนี้เอง หวงเฟยเหยี่ยนก็หันไปกล่าวกับชายชราชุดดำอย่างสุภาพ


 


“เอาล่ะ”


 


ชายชราชุดดำพยักหน้ารับคำ และในวินาทีเดียวกันกับที่มันพยักหน้ารับคำ ร่างชราก็พุ่งวาบออกไปปานอัสนีสีดำสายหนึ่ง


 


มวลอากาศแตกระเบิดส่งเสียงดังสนั่นปานฟ้าคำรน!


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ถูกร่างชราที่อยู่ๆก็พุ่งลิ่วออกไปไกลตาดึงดูดความสนใจทันที


 


จากนั้นเขาก็ได้เห็นว่าชายชราที่พุ่งวาบออกไปปานอัสนีฟาดนั้น บัดนี้ชุดคลุมเริ่มสั่นไหว จากนั้นก็ปรากฏแสงสีดำเรืองรองออกมาทั่วร่าง คล้ายหมึกที่แผ่ขยายไปบนกระดาษ พร้อมด้วยกลิ่นอายพลังอันสุดไพศาลขุมหนึ่ง


 


ครืนน!!


 


พริบตาต่อมา เมื่อแสงสีดำสาดส่องย้อมฟ้าให้มืดดำราวสาดน้ำหมึก จากนั้นกลางอากาศ ณ จุดที่ชายชราลอยไปถึงก่อนหน้า ก็ปรากฏบางสิ่งที่มีขนาดมหึมาให้เห็น


 


เป็นนกตัวเขื่องที่มีสีดำปานน้ำหมึก ลอยค้างกลางหาวอย่างเงียบงันปานเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่ง ขนนกสีดำทั่วร่างมืดสนิทไม่สะท้อนแสง ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งปานดาบเหล็กดำ


 


มองไกลๆแล้ว นกตัวเขื่องนี้ไม่ต่างอะไรจากเนินเขาย่อมๆเลย และรูปลักษณ์ก็ไม่ต่างอะไรจากพญาอินทรีย์แม้แต่น้อย


 


หากจะถามว่าต่างจากพญาอินทรีย์ตรงที่ใด ก็คงเป็นขนาดตัวที่ใหญ่โตมหึมานั่น อีกทั้งกรงเล็บที่ฉายแววให้ความรู้สึกแหลมคมอันตราย ราวกับมีอานุภาพไม่ด้อยกว่าศาสตราอมตะนั่น!


 


‘สัตว์อมตะ? ผู้เฒ่าโม่คนนี้…ที่แท้ไม่ใช่ผู้คน แต่เป็นสัตว์อมตะจำแลงกายมา?’


 


ต้วนหลิงเทียนพอรู้สึกตัว ก็เข้าใจที่มาของความรู้สึกผิดปกติตอนแรกพบผู้เฒ่าโม่ทันที


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็เผลอหันไปมองไป๋กังโดยไม่รู้ตัว เพราะไป๋กังเองก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆกับผู้เฒ่าโม่


 


“สัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำ พญาอินทร์ทมิฬเนตรมรกต!”


 


จังหวะนี้หลิวก่วงหลินอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อได้เห็นผู้เฒ่าโม่กลายร่างไปเป็นวิหกตัวเขื่อง


 


พอได้ยินนคำอุทานดังกล่าวของหลิวก่วงหลิน ผู้เฒ่าโม่ในร่างพญาอินทรีย์ตัวเขื่องก็หันกลับมาเล็กน้อย ลูกตาสีมรกตของมันมองจ้องไปที่หลิวก่วงหลินด้วยความสนใจ


 


“เจ้าจดจำร่างที่แท้จริงของข้าได้รึ…นับว่ามีความรู้ไม่น้อย”


 


ผู้เฒ่าโม่นั่นเห็นก็รู้ว่าเป็นคนไม่ค่อยพูด กระทั่งตอนต้วนหลิงเทียนทักทายไปอีกฝ่ายยังไม่เอ่ยตอบแม้ครึ่งคำ


 


“สัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำ?”


 


ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินเรื่อง ‘พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกต’ เป็นครั้งแรก หากแต่เรื่องสัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำนั้น เขาเคยได้ข้อมูลจากยันต์อมตะเก็บความทรงจำมาแล้ว


 


สัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำที่ว่า หลังจากเติบโตเต็มวัยแล้ว อย่างน้อยๆด่านพลังก็จะบรรลุถึงราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด หากพรสวรรค์ไม่เลว ก็อาจเป็นราชาอมตะ 2 ยศ หรือราชาอมตะ 3 ศักดิ์ได้


 


แม้กระทั่งหากบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะแล้ว และพบพานโชควาสนายิ่งใหญ่บางประการ ความแข็งแกร่งก็อาจเพิ่มสูงได้มากไปกว่านี้


 


แต่หากไร้โชควาสนายิ่งใหญ่ใดๆ ความสำเร็จในชีวิตก็จะถูกจำกัดไว้ที่ขอบเขตราชาอมตะ 3 ศักดิ์เท่านั้น


 


‘ด่านพลังของผู้เฒ่าโม่ผู้นี้…เหมือนจะอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด’


 


หลังได้ใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองจนได้รับพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดมาครองชั่วระยะเวลาหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนจึงคุ้นเคยกับกลิ่นอายพลังในขอบเขตราชาอมตะอยู่บ้าง


 


‘คิดไม่ถึงเลยว่าในเมืองตู้อวิ๋นที่แข็งแกร่งที่สุดจะไม่ใช่เจ้าเมืองหวง…แต่กลับมีราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดเช่นนี้อยู่อีกคน!’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบเดาะลิ้นในใจ


 


“เสี่ยวเทียน พวกเราขึ้นไปอยู่บนหลังผู้เฒ่าโม่กันเถอะ…การเดินทางไปยังเมืองหลวงของประเทศตันจี้ครานี้ เป็นผู้เฒ่าโม่ที่พาพวกเราไป”


 


ตอนนี้เองหวงเฟยเหยี่ยนก็เหินร่างออกไปก่อนใคร พอไปหยุดยืนบนแผ่นหลังกว้างใหญ่ของพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตแล้ว ก็หันมาชักชวนต้วนหลิงเทียนทันที


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนเริ่มเหินร่างติดตามไป หวงเจียหลงก็เหาะตามมาดั่งเงา จากากนั้นก็เอ่ยขึ้นเบาๆว่า “น้องต้วน ด้วยความเร็วของผู้เฒ่าโม่ สิบวันพวกเราก็เดินทางไปถึงเมืองหลวงของประเทศตันจี้แล้ว”


 


“สิบวันเลยหรือ? ดูเหมือนว่าประเทศฝูชิวกับประเทศตันจี้ก็ห่างกันพอสมควร…”


 


ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเบาๆ


 


ถึงแม้เวลา 10 วันจะไม่ได้เนิ่นนานอะไร


 


ทว่าผู้ที่พาทุกคนเดินทางคราวนี้เป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำ และยังเป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด


 


จุดเด่นของสัตว์อมตะประเภทวิหกก็คือความเร็วในการเหินบิน!


 


“จะอย่างไรก็เป็นการเดินทางข้ามประเทศ จะมีระยะทางมากหน่อยก็ไม่แปลก”


 


หวงเจียหลงยิ้ม


 


ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียน หวงเจียหลงและหลิวก่วงหลินก็มาหยุดยืนกันบนหลังผู้เฒ่าโม่ตามหวงเฟยเหยี่ยนและไป๋กัง


 


เมื่อมาหยุดยืนบนหลังผู้เฒ่าโม่ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนยืนอยู่บนพื้นดินไม่มีผิด ไร้ซึ่งการสั่นสะเทือนหรือความรู้สึกโคลงเคลงอันใด


 


ฟุ่บ!


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่พวกต้วนหลิงเทียนมายืนกันบนหลังผู้เฒ่าโม่หมดแล้ว  ก็ปรากฏแสงสีดำเรืองๆแผ่พุ่งออกมาจากแผ่นหลังผู้เฒ่าโม่ จากนั้นก็ปกคลุมทุกคนบนแผ่นหลังเอาไว้ปานโดมครอบ


 


และโดมพลังโปร่งแสงดังกล่าวนี้ ก็เป็นผู้เฒ่าโม่ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นสายลมที่จะตีปะทะยามเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงนั่นเอง!


 


“เร็วจริง!”


 


จากนั้นพอหันมองไปรอบๆ ต้วนหลิงเทียนก็เห็นว่าทัศนียภาพใดๆ บัดนี้ได้กลับกลายเป็นเส้นแสงวิ่งผ่านไปด้วยความเร็วสูง อาศัยระดับพลังฝึกปรือของเขา สายตาไม่อาจจับภาพอะไรได้เลย


 


ครู่ต่อมาเขาก็ได้แต่ถอนสายตากลับมาเท่านั้น


 


“พี่เจียหลง…อาไป๋เองก็เป็นสัตว์อมตะด้วยเหรอ?”


 


พอฉุกคิดถึงความรู้สึกผิดแปลกยามแรกพบผู้เฒ่าโม่กับไป๋กัง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา


 


“หือ? น้องต้วนทราบได้อย่างไร?”


 


ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน เห็นได้ชัดว่าหวงเจียหลงตกใจไม่น้อย ยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าแววตาไม่อยากจะเชื่อ


 


เพราะฟังจากสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม คล้ายต้วนหลิงเทียนสามารถมองออกว่าไป๋กังเป็นสัตว์อมตะอย่างไรอย่างนั้น!


 


ถึงแม้นี่จะเป็นการคาดเดาส่งเดชของต้วนหลิงเทียน แต่หวงเจียหลงก็ยังตกใจอยู่ดี!


 


“จริงงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มสงสัย ว่าไฉนตัวเองถึงได้มีความสามารถแบบนี้ขึ้นมา เพราะเขากลับสัมผัสได้ทันทีว่าร่างมนุษย์ของอีกฝ่ายเป็นการจำแลงกายมา


 


ในระนาบเทวโลกนั้น หากพลังฝึกปรือสูงกว่าสัตว์อมตะที่จำแลงกายมา ก็สามารถมองออกได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นสัตว์อมตะ


 


อย่างไรก็ตามหากพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าสัตว์อมตะที่จำแลงกายมาเป็นมนุษย์ ก็ยากจะแยกแยะได้ว่ามนุษย์เบื้องหน้าที่แท้เป็นมนุษย์จริงๆ หรือสัตว์อมตะจำแลงกายมา


 


“มิผิด”


 


หวงเจียหลงเอ่ยตอบ ค่อยยถามเพิ่มด้วยความสงสัย “ว่าแต่น้องต้วน…ท่านสามารถมองออกได้อย่างไร?”


 


“คงเป็นเพราะ…”


 


ในขณะที่หวงเจียหลงกำลังรอฟังคำตอบของต้วนหลิงเทียนอย่างใจจดใจจ่อ วาจาถัดมาขอต้วนหลิงเทียนก็ทำให้มันถึงกับพูดอะไรไม่ออก


 


“สัญชาตญาณล่ะมั้ง…”


 


และนี่ก็ถือวาจาถัดมาที่ว่า


 


สัญชาตญาณ!


 


เพราะในสายตาต้วนหลิงเทียนเอง ความรู้สึกก่อนหน้าก็ไม่ต่างอะไรจากสัญชาตญาณแม้แต่น้อย


 


“หึ!”


 


ทว่าหลังจากต้วนหลิงเทียนตอบไปว่าสัญชาตญญาณได้ไม่ทันไร ในใจเขาพลันได้ยินเสียงพ่นลมสบถคราหนึ่ง เป็นเสียงของทองเทพสุดลี้ลับ!


 


“เจ้าหนูเอย นั่นไม่ใช่สัญชาตญาณของเจ้าหรอก…แต่เป็นเพราะพลังของข้านั้น ไม่เพียงแต่จะปกป้องดวงจิตของเจ้าเอาไว้เฉยๆ แต่ยังมีพลังทำให้วิญญาณของเจ้าไวต่อสัมผัสอีกด้วย”


 


ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวตอบ


 


“ท่าน…ไม่ใช่ว่าท่านพึ่งหลับไปหรอกรึ ไฉนตื่นขึ้นมาได้?”


 


ต้วนหลิงเทียนงง


 


“ยังไม่ใช่เพราะข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของพญาอินทรีย์ทมิฬน้อยนี่อีกรึไง? ข้ายังนึกว่าเจ้ากำลังจะถูกมันจับกินเสียอีก…แต่ตอนนี้ดูเหมือนที่แท้มันจะเป็นมิตรและไม่ใช่ศัตรูอันใด เป็นข้ากังวลไปเปล่าๆปลี้ๆแท้ๆ”


 


ทองเทพสุดลี้ลับตอบ


WSSTH ตอนที่ 2,954 : เผ่าพยัคฆ์เหิน


 


 


“พญาอินทรีย์ทมิฬน้อย?”


 


มุมปากต้วนหลิงเทียนถึกับกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวของงทองเทพสุดลี้ลับในใจ


 


พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกต สัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำตัวหนึ่ง  แต่ในสายตาของทองเทพสุดลี้ลับกลับเป็นได้แค่พญาอินทรีย์ทมิฬน้อย?


 


“ผู้อาวุโสท่านไฉนต้องกังวลด้วยเล่า…หากอีกฝ่ายคิดกินข้าขึ้นมาจริงๆ สำหรับท่านก็ไม่ใช่เหมือนกับเปลี่ยนร่างต้นรึไง ข้าคิดว่าอีกฝ่าต้องยินดีต้อนรับท่านแน่…”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยในใจสื่อสารกับทองเทพสุดลี้ลับ


 


และในความคิดของเขาถึงแม้เขาจะถูกพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตกินเข้าไปจนตาย แต่ทองเทพสุดลี้ลับก็แค่เปลี่ยนไปอาศัยในร่างของอีกฝ่าย ให้อีกฝ่ายกลายเป็นร่างต้นคนใหม่ก็เท่านั้น


 


“ยิ่งไปกว่านั้นระดับพลังของผู้อื่นก็นับว่าสูงกว่าข้าในตอนนี้มาก”


 


ต้วนหลิงเทียนพูดต่อ


 


“หึ! เจ้าหนูเอย…เจ้ายังพูดอยู่เองว่าด่านพลังของนกดำน้อยนี่สูงกว่าเจ้าใน ‘ตอนนี้’ มาก…หากข้าดูไม่ผิดล่ะก็ชั่วชีวิตของเจ้านกดำน้อยนี่ ก็ไม่พ้นต้องติดอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด เพราะสายเลือดในร่างของมันนับว่าต่ำชั้นนัก”


 


ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวออกเสียงเย็น


 


“แน่นอนว่าหากให้ข้าชี้แนะมัน ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไร้โอกาสก้าวหน้าได้มากกว่านี้…ทว่าด้วยยขีดจำกัดสายเลือดชั้นต่ำของมัน นับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างมาก”


 


“เรียกว่าหากคิดให้มันบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ ก็ยากไม่ต่างอะไรจากชาวบ้านไร้พลังคิดปีนป่ายขึ้นสวรรค์!”


 


“ส่วนเรื่องจะให้มันบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ…เว้นเสียแต่เจ้าจะสยบสวรรค์ให้ราบได้เสียก่อน เช่นนั้นก็เลิกหวังไปเถอะ”


 


ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวต่อ


 


“ทว่าตัวเจ้านั้นแตกต่าง…พรสวรรค์และศักยภาพของเจ้านับว่าหาได้ยากในหมู่มนุษย์ หากเจ้ายังพบพานโชควาสนาอันใดระหว่างทาง ย่อมไม่ต่างจากหนึ่งก้าวถึงฟ้า! ในแง่ศักยภาพแล้ว ให้นำนกดำน้อยนี่มาเทียบกับเจ้าก็เหมือนดั่งความต่างระหว่างฟ้าดิน”


 


“ถึงแม้ว่ามันจะฆ่าเจ้าตาย แต่อย่างดีข้าก็แค่อยู่กับมันเป็นการชั่วคราว เพียงรอเวลาให้มันไปเจอร่างต้นที่เหมาะสมเท่านั้น…ส่วนเรื่องจะให้มันเป็นร่างต้นที่ข้ายอมรับ นั่นไม่มีวัน!”


 


 


ฟังจากคำพูดของทองเทพสุดลี้ลับแล้ว คล้ายดูหมิ่นเรื่องที่จะให้พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตเป็นร่างต้นอย่างมาก และไม่ได้สนใจอะไรในตัวอีกฝ่ายเลย


 


ได้ยินคำปรามาสดังกล่าว มุมปากต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมาตงิดๆอีกรอบ


 


พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตนี่จะอย่างไรก็เป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำไม่ใช่รึไง ไฉนสิ่งที่พ่นออกมาจากปากของทองเทพสุดลี้ลับทำ ให้มันเสมือนเป็นแค่นกร้ายๆตัวหนึ่ง?


 


“ต่างจากนกดำน้อยนี่ เจ้าเสือน้อยตัวนั้นแม้สายเลือดของมันตอนนี้จะธรรมดา…ทว่าในสายเลือดของมันก็ยังมีสายเลือดของพยัคฆ์ขาวไหลเวียนอยู่อย่างเจือจาง เรื่องที่มันจะแข็งแกร่งเหนือกว่านกดำน้อยนี่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น คิดจะทะลวงถึงราชาอมตะ 2 ยศ หรือราชาอมตะ 3 ศักดิ์ไม่นับว่ามีปัญหาอันใด”


 


“แต่หากมันคิดจะก้าวหน้าให้มากไปกว่านั้น…ก็ต้องดูว่าโชควาสนาของมันดีหรือไม่ หาไม่แล้วชั่วชีวิตมันก็คงต้องหยุดอยู่ที่ด่านพลังราชาอมตะ 3 ยศเท่านั้น”


 


ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวสืบต่อ


 


“เสือน้อย?”


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับผงะเมื่อได้ยินวาจาดังกล่าวของทองเทพสุดลี้ลับ จากนั้นเขาก็รู้ได้โดยไม่ต้องให้ใครมาบอก ว่า ‘เสือน้อย’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงนั้น…สมควรเป็น ไป๋กัง ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวไม่ผิดแน่


 


“น้องต้วน ข้ายอมเจ้าเลย…ไม่เพียงแต่พลังฝีมือเจ้าจะร้ายกาจปานปีศาจ กระทั่งสัญชาตญาณของเจ้ายังแม่นได้อีก!”


 


ตอนนี้เองเสียงผ่านพลังของหวงเจียหลงก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน “เจ้าพูดถูก อาไป๋เองก็เป็นสัตว์อมตะเหมือนกัน และเป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำ ทว่าพรสวรรค์ของอาปไป๋นับว่าเหนือกว่าผู้เฒ่าโม่…และผู้เฒ่าโม่ยังกล่าวเอาไว้เอง ว่าวันหน้าอาไป๋สามารถบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 3 ศักดิ์ได้…”


 


เสียงผ่านพลังที่ดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะของหวงเจียหลง นับว่าสอดคล้องกับสิ่งที่ทองเทพสุดลี้ลับพึ่งบอกเขาไม่มีผิด ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงความเจ๋งของทองเทพสุดลี้ลับทันที!


 


“ผู้อาวุโส…ท่านกับเพลิงเทพโกลาหลนั้นเป็น 2 ในเทพแห่งธาตุทั้ง 5 …แล้วอีก 3 คืออะไรบ้าง?”


 


ทว่าพอต้วนหลิงเทียนฉุกคิดถึงเรื่องนี้ ว่าไหนๆทองเทพสุดลี้ลับก็ตื่นแล้วจึงถามออกมา อนิจจาเขากลับไม่ได้รับคำตอบใดๆ


 


และถึงเขาจะเรียกอยู่หลายรอบ ก็ยังคงไร้วี่แววใดๆทั้งสิ้น


 


‘หลับไปอีกแล้วหรือ?’


 


มุมปากต้วนหลิงเทียนกระตุกไปอีกรอบ ‘จะให้ว่ายังไงดีล่ะ…ทองเทพสุดลี้ลับับเพลิงเทพโกลาหลนี่ ไฉนไม่คล้ายธาตุเทพอะไร แต่เหมือนหมูขี้เกียจมากกว่า นอนเก่งกันจริงๆ!’


 


“สัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำรึ…พี่เจียหลง แล้วอาไป๋เป็นสัตว์อมตะเผ่าพันธุ์อะไรหรือ?”


 


หลังกลับมารู้สึกตัว ต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงผ่านพลังหวงเจียหลงด้วยความสงสัย


 


“อาไป๋เป็นพยัคฆ์เหินลายทองแดงน่ะ”


 


หวงเจียหลงกล่าวตอบ “และฟังจากเรื่องที่อาไป๋เคยบอก สายพันธุ์พยัคฆ์เหินลายทองแดงของอาไป๋นั้น ถือได้ว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีระดับต่ำที่สุดในเผ่าพยัคฆ์เหินแล้ว”


 


“เหนือจากพยัคฆ์เหินลายทองแดง ก็จะเป็นพยัคฆ์เหินลายเงิน ซึ่งเป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นกลาง! หากไม่ตกตายเสียก่อนเมื่อเติบโตเต็มวัย ต่อให้ไร้โอกาสและวาสนาอันใด แต่อย่างน้อยๆก็จะเป็นได้ถึงราชาอมตะ 6 ผสาน”


 


“และที่เหนือกวว่าพยัคฆ์เหินลายเงิน ก็คือ พยัคฆ์เหินลายทอง…นั่นคือสัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูง! หากทว่าในสายพันธุ์พยัคฆ์เหินลายทองเองก็มีแบ่งแยกสูงต่ำตามความเข้มข้นของสายเลือด หากสายเลือดไม่เข้มข้นมากพอ ชั่วชีวิตก็คงหยุดอยู่ที่ขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักเท่านั้น เรื่องจะบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันคงไม่มีหวัง กระทั่งเอาแค่ราชาอสมตะ 10 ทิศยังยาก…”


 


“ในเผ่าพยัคฆ์นั้น มีแค่พยัคฆ์เหินลายทองเข้มที่มีสายเลือดเข้มข้นเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะได้แม้จะไร้โชควาสนาอันใดก็ตาม แต่อย่างไรก็จะเป็นได้แค่จอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น”


 


หวงเจียหลงกล่าวผ่านพลังตอบมาเป็นชุด


 


“พยัคฆ์เหินลายทองเข้ม?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย


 


“มิผิด เป็นพยัคฆ์เหินลายทองเข้ม!”


 


หวงเจียหลงพยักหน้า “ข้าเคยได้ยินอาไป๋เล่าให้ฟังว่าในเผ่าพยัคฆ์เหินนั้น พยัคฆ์เหินลายทองเข้มถือว่าเป็นสายเลือดสูงส่งดั่งสายเลือดขัตติยะของมนุษย์…เพราะพยัคฆ์เหินลายทองเข้ม ต่อให้ไร้วาสนาอันใด แต่ขอแค่มีเวลามากพอสุดท้ายด่านพลังก็จะบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้ในสักวัน”


 


“แน่นอนว่าจะหยุดอยู่แค่จอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด…หากคิดบรรลุขั้นพลังในขอบเขตจอมราชันอมตะที่สูงกว่าหรือคิดเป็นจอมราชันอมตะสมญานาม พยัคฆ์เหินลายทองเข้มตนนั้นก็จำต้องพบพานวาสนาปาฏิหาริย์ถ่ายเดียว!”


 


หวงเจียหลงกล่าวผ่านพลังสืบต่อ


 


“ฟังจากที่พี่เจียหลงเล่ามา…พยัคฆ์เหินลายทองเข้มที่ว่าก็สมควรจัดอยู่ว่าเป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูงสุดที่ค่อนข้างพิเศษสินะ เพราะที่ข้าเคยได้ยินมาเหมือนสัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูงสุด ด่านพลังจะหยุดอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศเท่านั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยคาด


 


“ไม่ผิด”


 


หวงเจียหลงพยักหน้าเบาๆ


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็มีเหลือบมองไปยังศีรษะอันเขื่องของพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกต สลับกับไป๋กังที่ยืนข้างๆหวงเฟยเหยี่ยนเจ้าเมือตู้อวิ๋น


 


ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าไป๋กังเป็นพยัคฆ์เหินลายทองแดง


 


“พี่เจียหลง…”


 


ครู่ต่อมาคล้ายนึกอะไรได้ออก ต้วนหลิงเทียนจึงหันไปมองหวงเจียหลงพร้อมส่งเสียงผ่านพลังไปถามอีกรอบ “หากข้าเดาไม่ผิด…ในแดนสวรรค์ใต้นี่ สมควรมีเผ่าพยัคฆ์เหินอยู่ใช่ไหม? ผู้เฒ่าโม่เองก็เช่นกัน ถึงจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันแต่ก็คงมีภาคีหรือกลุ่มชาติพันธ์อะไรพวกนี้สินะ?”


 


เท่าที่ต้วนหลิงเทียนเคยศึกษาข้อมูลมา สัตวว์อมตะที่มีสติปัญญาในระนาบเทวโลก มักจะอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ และระนาบเทวโลกบางระนาบก็มีสัตว์อมตะมากกว่าผู้คนได้แก่ ว่านโช่วเทียน เฟิ่งชีเทียน ผานหลงเทียน ไป๋หู่เทียน


 


ในระนาบเทวโลกดังกล่าวนั้น ประชากรกว่า 8 ส่วนล้วนเป็นสัตว์อมตะ อีก 2 ส่วนที่เหลือถึงจะเป็นผู้คน


 


และมีเพียง ว่านโช่วเทียน เพียงแห่งเดียวใน 81 ระนาบเทวโลก ที่มีสัตว์อมตะอยู่มากกว่า 99 ในร้อยส่วนเสียอีก! เรียกว่าไปที่ใดก็พบเจอแต่สัตว์อมตะ!!


(ว่านโช่วเทียน = สวรรค์หมื่นอสูร)


 


เนื่องเพราะใน ว่านโช่วเทียน นั้น หากมีสิ่งมีชีวิตใดที่ไม่ใช่สัตว์อมตะล่วงล้ำเข้ามาจนถูกพบเจอ ก็จะถูกสัตว์อมตะทั้งมวลกลุ้มรุมเข่นฆ่าสังหารทันที


 


หากไม่ใช่สัตว์อมตะแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอาศัยอยู่ในว่านโช่วเทียน เว้นเสียแต่จะมีพลังฝีมือแกร่งกล้ามากพอสยบมวลหมู่สัตว์อมตะทั้งว่านโช่วเทียนได้


 


สำหรับในระนาบเทวโลกอื่นๆที่มีสัตว์อมตะอยู่กว่า 8 ส่วนนั้น สถานการณ์ของมนุษย์ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น ยังเห็นว่ามีผู้คนกับสัตว์อมตะอาศัยอยู่ร่วมกันอยู่บ่อยๆ


 


แต่แน่นอนว่าในระนาบเทวโลกเช่นนั้น เหล่าสัตว์อมตะก็ล้วนผนึกกำลังเป็นปึกแผ่นยามมีภัย! ถ้ามนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดคิดล่าสัตว์อมตะ หากถูกตรวจพบก็จะพบเจอกับกลุ้มรุมสังหารเช่นกัน!!


 


สัตว์อมตะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์อมตะที่ทรงพลังนั้น มีมูลค่ามากมาย ร่างกายทั้งร่างเรียกว่าจับต้องที่ใดก็เป็นดั่งสมบัติทั้งสิ้น บางชิ้นส่วนก็มีไว้หลอมโอสถอมตะ บ้างก็ใช้ทำอุปกรณ์อมตะ ยังมีสารเหลวที่ใช้ในการสลักอาคมจัดตั้งค่ายกลอะไรโดยเฉพาะ


 


เรียกว่าหากสัตว์อมตะใดไร้พลังปกป้องตัวเองแล้วล่ะก็ ไม่ต่างอะไรกับปลาบนเขียงที่รอให้ผู้อื่นมาแล่สับได้ตามใจเลย


 


ตัวอย่างเช่นพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตที่ต้วนหลิงเทียนขี่หลังอยู่นั้น ไม่ต้องกล่าวใดให้มาก เอาแค่ขนที่ปกคลุมไปทั่วร่างอย่างที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเหยียบอยู่ แต่ละชิ้นก็นำไปเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับหลอมอุปกรณ์อมะระดับขุนนางได้แล้ว


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนบริเวณส่วนปีกที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุด หากมีมากพอและนำไปหลอมด้วยเพลิงอมตะที่เหมาะสมโดยเหล่าปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะมีฝีมือ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสร้างอุปกรณ์อมตะระดับราชาขึ้นมาได้!


 


และกล่าวไปขนก็นับเป็นสิ่งที่มีค่าน้อยที่สุดในร่างพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตแล้ว


 


อวัยวะส่วนอื่นๆของพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตนั้น มีค่ามากกว่าเส้นขนเยอะนัก ถึงขั้นที่ราชาอมตะมากมายยังต้องการ กล่าวได้ว่าหากไม่มีกำลังปกป้องตัวเอง ป่านนี้ผู้เฒ่าโม่คงถูกจับไปชำแหละชั่งกิโลขายเนิ่นนานแล้ว…


 


ทว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าโม่หรือไป๋กัง ก็สามารถปรากฏตัวในประเทศฝูชิวได้อย่างสง่าผ่าเผย ไม่ได้แลดูหวั่นเกรงอะไรเลย และเท่าที่ฟังจากหวงเจียหลงมา ทั้งคู่ก็เหมือนจะอยู่ที่เมืองตู้อวิ๋นมาหลายพันปีแล้ว จนผู้คนรู้จักกันไปทั่ว


 


ต้วนหลิงเทียนจึงเชื่อมั่นว่า หากทั้งคู่ไร้สิ่งใดให้พึ่งพิง คงไม่มีทางมาปรากฏตัวให้ผู้คนเห็นอย่างโจ๋งครึ่มแบบนี้แน่นอน


 


ต้วนหลิงเทียนก็เลยถามหวงเจียหลงออกไปในทำนองคาดเดาว่า…ทั้งคู่สมควรมีเผ่าหรือกลุ่มชาติพันธุ์อะไรตั้งถิ่นฐานอยู่ในแดนสวรรค์ใต้ใช่ไหม


 


และสัตว์อมตะหรือใครก็ตามที่คุมเผ่ากับกลุ่มชาติพันธุ์ที่ว่าอยู่ ต้องทรงพลังมากพอจะสะกดทุกผู้คนในสวรรค์แดนใต้ให้ไม่กล้าบังเกิดจิตคิดละโมบ!


 


“ย่อมมีเป็นธรรมชาติ”


 


คราวนี้หงเจียหลงไม่ได้แปลกใจอะไรกับการคาดเดาของต้วนหลิงเทียน


 


เพราะในความคิดมัน สิ่งนี้แทบจะเป็นสามัญสำนึกของผู้คนในระนาบเทวโลก สัตว์อมตะหาญกล้าปรากฏตัวโดยไม่กลัวผู้คนไล่ล่า…ไหนเลยจะไม่มีขาใหญ่คอยให้ความคุ้มครองอยู่เบื้องหลังได้?


 


“ในสวรรค์แดนใต้ของพวกเรา เผ่าพยัคฆ์เหินถือเป็นเผ่าใหญ่ในบรรดาเผ่าสัตว์อมตะทั้งหมดก็ว่าได้…ข้าเคยได้ยินอาไป๋เล่ามา ว่าในเผ่านั้นมีพยัคฆ์เหินลายทองไม่น้อยกว่า 10 ตัว…”


 


“และเผ่าพยัคฆ์เหินนั้น ก็มีตั้งฐานที่มันสาขาย่อยยมากมาย กระจายไปทั่วทุกที่…อาไป๋เองก็มาจากเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาประจำคฤหาสน์เฉวียนโยวเรานี่ล่ะ”


 


“เผ่าสาขาที่อาไป๋อยู่ ถึงแม้จะไม่มีพยัคฆ์เหินลายทองเข้ม หากทว่าพยัคฆ์เหินลายทองก็มีไม่น้อยกว่า 5 ตัว 3 ตัวยังบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศแล้วด้วย”


 


“ด้วยมีเผ่าพยัคฆ์เหินหนุนหลังอยู่ อาไป๋จึงกล้าเผยตัวสู่สาธารณชน และไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ”


 


“เนื่องเพราะสัตว์อมตะระดับราชาทั้งหลาย ล้วนมีความสามารถในการทิ้งร่องรอยวิญญาณไว้กับฆาตกรที่เข่นฆ่าสังหารตัวเอง…และร่องรอยวิญญาณนั่น เรียกว่าเป็นดั่งตราประทับยากจะลบกลายๆ เพราะต่อให้เป็นจอมราชันอมตะก็ไม่อาจจะลบมันออกได้ในช่วงเวลาสั้นๆ สุดท้ายก็ไม่พ้นถูกทางเผ่าส่งคนออกมากลุ้มรุมสังหารเสียก่อน…”


 


“อย่างอาไป๋ หากถูกผู้อื่นเข่นฆ่าขึ้นมา แต่สามารถทิ้งร่องรอยวิญญาณไว้ที่ฆาตกรได้…ยอดฝีมือในเผ่าที่อยู่เบื้องหลังอาไป๋ ก็จะตามร่องรอยวิญญาณของอาไป๋ไป เพื่อไล่ล่าฆาตกรนั่นทันที”


 


“ระนาบเทวโลกที่มีผู้คนกับสัตว์อมตะอยู่ร่วมกันนั้น ปกติแล้วสัตว์อมตะทั้งหลายก็จะรวมกลุ่มกันจัดตั้งพันธุมิตร ภาคีก็ว่า เพื่อให้มีพลังกล้าแข็งมากพอจะต่อกรกับผู้คิดร้ายในใต้หล้า…”


 


วาจาที่หวงเจียหลงเอ่ยออกมายืดยาว นับว่ายืนยันข้อสันนิษฐานของต้วนหลิงเทียนได้ชัดเจน…


ตอนที่ 2,955 : สัตว์ขี่ของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้


 


“สำหรับเผ่าที่ผู้เฒ่าโม่จากมาก็นับว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน…และเผ่าที่อยู่เบื้องหลังผู้เฒ่าโม่ก็เรียกว่า เผ่าพญาอินทรีย์ขนดำ!”


 


“เผ่าพญาอินทรีย์ขนดำ ก็เหมือนกับเผ่าพยัคฆ์เหิน ภายในเผ่าได้จำแนกสายพันธุ์ต่างๆเอาไว้ และระดับพลังความเข้มแข็งก็เกี่ยวพันกับสายพันธุ์อย่างแยกไม่ออก”


 


“ผู้เฒ่าโม่นั้นเป็นอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกต หนึ่งในสายพันธุ์ของเผ่าพญาอินทรีย์ขนดำเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีสายพันธุ์ที่ต่ำกว่าอย่างพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรสีชาด พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรส้ม พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรเหลือง ซึ่งเป็นสัตว์อมตะระดับขุนนางขั้นกลาง ขั้นสูง แล้วก็ขั้นสูงสุดตามลำดับ”


 


“ส่วนสายพันธุ์ที่เหนือกว่าผู้เฒ่าโม่ก็จะเป็น พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรฟ้า พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรคราม และพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วง ซึ่งเป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นกลาง ขั้นสูง และก็ขั้นสูงสุดตามลำดับ”


 


“และสถานะของพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงในเผ่าพญาอินทรีย์ขนดำ ก็เทียบได้กับพยัคฆ์เหินลายทองเข้มของเผ่าพยัคฆ์เหิน นับว่าเป็นจ้าวของเผ่าพญาอินทรีย์ขนดำก็ว่าได้…”


 


“อย่างไรก็ตามเนื่องจากพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงนั้น จัดเป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูงสุดทั่วไป แต่พยัคฆ์เหินลายทองเข้มเป็นถึงสัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูงสุดที่ค่อนข้างพิเศษ ทำให้ศักยภาพของพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงด้อยกว่าพยัคฆ์เหินลายทองเข้มอยู่บ้าง…ในเผ่าพันธุ์พญาอินทรีย์ขนดำ จึงไม่ค่อยมีตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะปรากฏตัวขึ้นให้เห็นมากนัก”


 


“หรืออย่างน้อยๆเท่าที่รู้…ตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในเผ่าพญาอินทรีย์ขนดำของแดนสวรรค์ใต้ตอนนี้ ก็เป็นพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงตนหนึ่งที่มีระดับพลังราชาอมตะ 10 ทิศเท่านั้น และยังเป็นผู้นำเผ่าในปัจจุบันอีกด้วย”


 


“สำหรับสัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูงสุดที่ไม่มีอะไรพิเศษแล้ว คิดจะทะลวงให้ถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด นับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง และเท่าที่ข้าทราบมาทั่วทั้งแดนสวรรค์ใต้เราในปัจจุบัน ก็มีพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด! ทว่าพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงตนนั้นไม่ได้อยู่ในเผ่า!!”


 


“แต่ก็เป็นธรรมดาว่าถึงพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงตนนั้นจะไม่ได้อยู่ในเผ่าพญาอินทรีย์ขนดำ…ทว่าก็สามารถลบคำปรามาสที่ผู้คนมักกล่าวว่าเผ่าพญาอินทรีย์ทมิฬขนดำไร้จอมราชันอมตะได้มากพอสมควร…และยังมีส่วนช่วยทำให้เผ่าพญาอินทรีย์ขนดำเจริญรุ่งเรืองขึ้นไม่น้อย เพราะการดำรงอยู่ของมันทำให้ไม่มีใครกล้าแตะต้องเผ่าพญาอินทรีย์ขนดำอีกเลย”


 


กล่าวถึงจุดนี้หงเจียหลงก็หยุดลงครู่หนึ่ง


 


‘หืม มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ไม่ได้เป็นสมาชิกเผ่า แต่กลับมีระดับพลังฝึกปรือเหนือกว่าผู้นำเผ่าที่สมควรมีทรัพยากรมากที่สุด แถมสะกดให้คนทั้งแดนสวรรค์ใต้ไม่กล้าแตะต้องเผ่าพญาอินทรีย์ขนดำได้อีก?’


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเหลือเชื่อ ในสายตาเขาเรื่องนี้มันค่อนข้างเกินจริงอยู่บ้าง


 


ในแดนสวรรค์ใต้กลับมีพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงตนหนึ่งที่บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะได้ แต่ทว่าพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงตนนั้นกลับไม่ได้อยู่ในเผ่า?


 


แล้วทำอย่างไรถึงได้มีพลังอำนาจพอจะยืนหยัดได้ในสวรรค์แดนใต้จนไม่มีใครกล้าแตะต้อง?


 


“หรือพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงตนนั้น จะไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อะไรทำนองนั้น จนมีพลังเข้มแข็งถึงขั้นเหนือกว่าจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดทั้งมวล?”


 


ต้วนหลิงเทียนฉุกคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา จึงเอ่ยถามออกไป


 


“ไม่!”


 


ทว่าหวงเจียหลงกลับปฏิเสธข้อสันนิษฐานนี้ของต้วนหลิงเทียนทันที “พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงตนนั้น อย่างไรก็เป็นแค่จอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด อาศัยพลังฝีมือของมัน ไม่เพียงพอจะปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือได้หรอก…”


 


“แล้วเพราะอะไรหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าเรื่องนี้มันต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่นอน


 


“เป็นเพราะว่า…พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงตนนั้นมีฐานะที่ไร้ผู้ใดสั่นคลอนได้ในแดนสวรรค์ใต้! มันเป็นสัตว์ขี่ของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้!!”


 


ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หวงเจียหลงก็ค่อยๆกล่าวตอบออกไปชัดถ้อยชัดคำ!


 


และวาจาดังกล่าวของมัน หลังส่งตรงเข้าไปถึงหูต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต่างอะไรจากระเบิดลง ทำให้ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปพักหนึ่งกว่าจะหาย


 


พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรม่วงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดตนนั้น…เป็นสัตว์พาหนะของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้?


 


จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้คือผู้ใดน่ะหรือ?


 


นั่นคือจ้าวผู้ปกครองแดนสวรรค์ใต้!!


 


ในแดนสวรรค์ใต้นั้น มีจอมราชันอมตะสมญานามอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น…นั่นก็คือจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้!


 


จึงกล่าวได้ว่าภายในแดนสวรรค์ใต้แห่งนี้ จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้เพียงโบกมือก็เรียกลมฝนได้ตามใจ หนึ่งคำสั่งก็บันดาลให้เลือดเจิ่งนองเป็นสายธาร ล้านศพทับถมเป็นภูเขา…


 


แม้จะมียอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะคนอื่นดำรงอยู่ แต่ก็ยากที่จะขัดบัญชาของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ได้!


 


“มิน่าล่ะ…แบบนี้นี่เอง”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าที่แท้มันเป็นเรื่องราวอันใด “ในเมื่อเป็นถึงสัตว์พาหนะของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดของแดนสวรรค์ใต้ ไหนเลยยังจะมีใครกล้าแตะต้องเผ่าพญาอินทรีย์ขนดำ…”


 


“กระทั่งกล้าล่วงเกินเผ่าพยัคฆ์เหิน แต่ไม่กล้าล่วงเกินเผ่าพญาอินทรีย์ขนดำ! เพราะถ้าเป็นข้าก็คงไม่กล้าไปแตะต้องคนของเผ่าพญาอินทรีย์ขนดำสุ่มสี่สุ่มห้า…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำ


 


“ใช่”


 


หวงเจียหลงพยักหน้า


 


ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็รับทราบ ว่าไม่ว่าจะเป็นอาไป๋หรือผู้เฒ่าโม่ ล้วนแล้วแต่มีขุมกำลังอันยิ่งใหญ่และทรงอำนาจไม่ใช่ชั่วอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น


 


เป็นเพราะสาเหตุนี้ ทำให้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่คิดจะแตะต้องคนของทั้ง 2 เผ่า จำต้องคิดให้มากเข้าไว้ คิดจะมีเรื่องมีราวอะไรกัน ก็ยังต้องไตร่ตรองทบทวนซ้ำสองรอบ!


 


หลังจากคุยถามเรื่องราวสัพเพเหระกับหวงเจียหลงต่ออีกสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็แยกตัวไปนั่งขัดสมาธิสงบจิตใจอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มหยิบเตาหลอมโอสถอมตะระดับสูงออกมา เพื่อฝึกซ้อมทักษะหลอมโอสถอมตะต่อ


 


“นะ…น้องต้วน…นี่เจ้ายังมีความสามารถในการหลอมโอสถอมตะด้วยหรือ!?”


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียนที่นั่งเงียบไปพักหนึ่งอยู่ๆก็หยิบควักเตาหลอมโอสถอมตะออกมา สีหน้าหวงเจียหลงก็เต็มไปด้วยความงุนงงสงสัยทันที


 


“หืม?”


 


ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังดึงดูดความสนใจจากหวงเหยี่ยนเฟยและไป๋กังเช่นกัน


 


หลิวก่วงหลินนั้น ล่วงรู้แต่แรกแล้วว่าต้วนหลิงเทียนเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงก็เลยไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร แต่ตัวมันก็เข้าใจดีว่าไฉนพวกหวงเจียหลงและคนอื่นๆถึงได้แลดูตกอกตกใจนัก


 


ต้องทราบด้วยว่าตัวมันเองก็พึ่งได้ทราบว่านายท่านผู้นี้เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงไม่นาน อีกทั้งยามหลอมโอสถหลัวเทียนที่ได้ชื่อว่าเป็นโอสถอมตะระดับสูงที่หลอมยากหลอมเย็น อีกฝ่ายก็สามารถหลอมปรุงออกมาได้เป็นจำนวนมากในหนึ่งเตา ทีท่ายังแลดูสบายๆเหมือนกินข้าวดื่มน้ำ เรียกว่าตอนเห็นต้วนหลิงเทียยนหลอมโอสถหลัวเทียนเตาแรก มันยังหน้าเหวอไปปากอ้าค้างอยู่หลายสิบลมหายใจ!


 


ท่ามกลางสายตาชมมองมาด้วยความตกตะลึงทั้งไม่อยากจะเชื่อของหวงเจียหลง หวงเฟยเหยี่ยนและไป๋กัง ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหยิบโอสถสมุนไพรออกมา และเริ่มต้นหลอมยาทันที


 


และหลังผ่านไปได้แค่ 2 เค่อ ต้วนหลิงเทียนก็จบสิ้นขั้นตอนอุ่นเตา จากนั้นผ่านไปไม่นานนักก็สามารถหลอมโอสถเสร็จแล้ว


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!ฟุ่บ!


 



 


เมื่อเห็นโอสถสิบกว่าเม็ดพุ่งออกจากเตาหลอมโอสถมาลอยล่องอยยู่เหนือฝ่ามือต้วนหลิงเทียน หวงเฟยเหยี่ยน ไป๋กัง ทั้งหวงเจียหลงก็หยีตามองจ้องเรื่องราวอน่างแตกตื่น เรียกว่ากลางหน้าผากคล้ายมีคำตกตะลึงเขียนแปะเอาไว้…


 


“โอสถหลัวเทียน!”


 


กระทั่งผู้เฒ่าโม่ที่เหินร่างพาทุกคนเดินทาง ยังอดไม่ได้ที่จะหันมามองกล่าวอุทานด้วยความตกใจ เนตรสีมรกตกลมใหญ่ ฉายถึงความเหลือเชื่อให้เห็นชัด!


 


เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกที่มันเห็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงคนหนึ่งสามารถหลอมโอสถหลัวเทียนได้มากมายขนาดนี้ในหนึ่งเตา กระทั่งเวลาที่ใช้หลอมยังเร็วกว่าที่มันรู้มามากโข!


 


กระทั่งปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนางที่มันรู้จักมักคุ้น ยังห่างไกลจากการทำเวลาและมีอัตราความสำเร็จในการหลอมสูงถึงขนาดนี้!


 


“ให้ตายเถอะ โอสถหลัวเทียนเตานึง…หลอมได้เยอะขนาดนี้เลยหรือ?”


 


“เจ้าหนูผู้นี้…จะน่าทึ่งเกินไปแล้ว!!”


 


หวงเหยี่ยนเฟยกับไป๋กังถึงกับต้องหันหน้ามามองสบตากันอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่จะเห็นถึงความเหลือเชื่อในสายตากันและกัน


 


“น้องต้วน…ท่าน…นี่ท่าน…คงไม่ได้คิดจะหลอมโอสถเฉียนจินด้วยตัวเองหรอกนะ?”


 


หวงเจียหลงที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนถึงกับต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ค่อยเอ่ยถามออกมาเสียงสั่น


 


ในความคิดของมัน ด้วยความสามารถในการหลอมโอสถหลัวเทียนที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งแสดงให้เห็น น่ากลัวว่าต่อให้เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนางก็ต้องมีหน้าม้านกันไปบ้าง…!


 


เกรงว่าคงมีแต่ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับราชาขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะสามารถหลอมโอสถหลัวเทียนได้รวดเร็วเท่าต้วนหลิงเทียน และมีอัตราความสำเร็จได้ถึงระดับนี้!


 


“ใช่ ข้าจะหลอมเอง”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


แม้ก่อนจะถามออกไปหวงเจียหลงก็พอจะเดาได้รางๆ ว่าไม่แน่ต้วนหลิงเทียยนอาจจะหลอมโอสถเฉียนจินด้วยตัวเอง แต่พอได้ยินคำยืนยันจากปากต้วนหลิงเทียน ใจของมันก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหวเต้นไปไม่เป็นจังหวะ!


 


ด้านหวงเหยี่ยนเฟยตอนนี้ ลูกตาก็หดเล็กลงแทบปิดอยู่รอมร่อ!


 


ก่อนหน้านี้ตอนฮ่องเต้ฝูชิวบอกว่าต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ต้องการให้ช่วยเรื่องติดต่อกับปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะที่หลอมโอสถเฉียนจินได้ มันก็คิดไม่ต่างจากฮ่องเต้ฝูชิวว่าต้วนหลิงเทียนอาจมีคนรู้จัก และได้ติดต่อเอาไว้แล้ว


 


ทว่ามาตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนกลับพูดออกมากับปาก ว่าจะหลอมโอสถเฉียนจินด้วยตัวเอง!


 


ต้องทราบด้วยว่าโอสถเฉียนจิน ไม่ใช่อะไรที่หลอมกันได้ง่ายๆเลย!


 


ในบรรดาปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงนับหมื่นคน อาจไม่มีแม้แต่คนเดียวด้วยซ้ำที่หลอมออกมาได้! และต่อให้เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนาง ในร้อยคนก็ไม่แน่ว่าจะมีใครหลอมได้สักคนเช่นกัน!!


 


จะมีก็แต่ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับราชาขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะรับประกันความสำเร็จในการหลอมโอสถเฉียนจินได้!


 


“เจ้าหนู…นี่เจ้าคิดจะหลอมโอสถเฉียนจินด้วยตัวเองจริงๆหรือ? เรื่องนี้เจ้ามิอาจล้อเล่นได้นา…”


 


ไป๋กังมองจ้องต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเสียงทุ้ม “เจ้าสมควรรู้ดีว่าการไปประมูลไส้เดือนฝอยทองที่เมืองหลวงประเทศตันจี้ครานี้ ไม่พ้นต้องใช้ผลึกอมตะจำนวนมหาศาล…หากเจ้าเกิดล้มเหลวขึ้นมาผลึกอมตะที่ใช้ประมูลไส้เดือนฝอยทองไม่หายไปกับสายลมแล้วหรือ…”


 


“ข้ารู้…”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าอีกรอบ


 


“เจ้า…”


 


ในขณะที่ไป๋กังคล้ายจะพูดอะไรอีกรอบ กลับเป็นหวงเหยี่ยนเฟยที่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลุกวาวเอ่ยถามออกมาเสียก่อน “เสี่ยวเทียน…เรื่องหลอมโอสถเฉียนจินเจ้ามีความมั่นใจเท่าใดว่าจักทำได้สำเร็จ?”


 


“มากกว่า 9 ส่วน…”


 


ขณะต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบ ดวงตาเขาก็ฉายแววมั่นมาดเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจออกมา!


 


“มากกว่า 9 ส่วน!!”


 


ไป๋กังกับหวงเฟยเหยี่ยนตกใจกับคำตอบของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย โดยเฉพาะไป๋กังถึงกับขมวดคิ้วเอ่ยถามต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงเข้มอีกรอบ “เจ้าหนู! เรื่องนี้เจ้ามิอาจล้อเล่นได้นา เจ้าอย่าทะลึ่งกล่าวคุยโวอันใดเชียว…หากเจ้าคิดล้อข้าเล่น ก็สารภาพมาเถอะข้าไม่โกรธเจ้าหรอก”


 


“อาไป๋ ข้าไม่มีวันพูดอะไรที่ข้าไม่มั่นใจออกมาหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนก็มองสบตาไป๋กังอย่างไม่นอบน้อมไม่ถือดี พลางกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด


 


“ดี ดีมาก! เช่นนั้นข้าจะรอดู!!”


 


เจอกับสายตามากล้นไปด้วยความมั่นใจของต้วนหลิงเทียน แม้แต่ไป๋กังก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก นอกจากนี้โอสถเฉียนจินนั่น…กล่าวไปผู้ที่ต้องการรับประทานมันที่สุดก็คือตัวต้วนหลิงเทียนเอง หากพลาดก็เป็นตัวต้วนหลิงเทียนที่ต้องเสียดายกว่าใครเขา…


 


“เสี่ยวเทียน หากเจ้ามั่นใจว่าจะหลอมโอสถเฉียนจินได้สำเร็จถึงขนาดนี้…หลังเจ้าได้ไส้เดือนฝอยทอง 2 ตัวนั่นมา  เช่นนั้นนอกจากเจ้าจะหลอมโอสถเฉียนจินกินเองเม็ดนึงแล้ว เจ้ายังสามารถหลอมโอสถเฉียนจินออกมาอีกเม็ด! เพื่อให้ประเทศโม่หลุนกับประเทศตงหมิงประมูลแข่งกัน…ใครให้ราคามากกว่าก็ขายให้ผู้นั้น!!”


 


หวงเฟยเหยี่ยนยิ้มกล่าว


 


ความมั่นใจในตัวเองของต้วนหลิงเทียน พลอยทำให้มันติดเชื้อไปด้วยอีกคน ยังทำราวกับมันได้เห็นฉากต้วนหลิงเทียนหลอมโอสถเฉียนจินได้สำเร็จแล้วอย่างไรอย่างนั้น…


 


โอสถเฉียนจินนั้นเป็นโอสถอมตะระดับสูงที่ค่อนข้างพิเศษกว่าโอสถอมตะระดับสูงใดๆ ต่อให้หลอมได้สำเร็จ หากแต่หนึ่งเตาก็ได้เพียงหนึ่งเม็ดยาเท่านั้น


 


และต่อให้เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับจักรพรรดิมาเอง โอสถเฉียนจินเตาหนึ่งก็หลอมออกมาได้แค่หนึ่งเม็ดยาเช่นกัน


 


“เจ้าเมืองหวง…”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนคิดจะถามอะไรบางอย่างกับหวงเหยี่ยนเฟย แต่พอเห็นสีหน้าแววตาไม่พอใจของหวงเหยี่ยนเฟยเขาก็ตระหนักอะไรได้ จึงเปลี่ยนคำเรียกหาทันที “ลุงหวง”


 


“ถึงแม้ไส้เดือนฝอยทอง 2 ตัวอาจจะทำให้ข้าหลอมโอสถเฉียนจินได้ 2 เม็ด…แต่ข้ามีบุปผาวิญญาณลี้ลับแค่ดอกเดียวเท่านั้น เป็นดอกเที่ฝ่าบาทให้ข้ามานั่นล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มขื่นขม “ต่อให้ท่านจะประมูลไส้เดือนฝอยทอง 2 ตัวนั่นมาได้…ข้าก็ต้องมีบุปผาวิญญาณลี้ลับอีกดอกเสียก่อนถึงจะหลอมกลั่นโอสถเฉียนจินได้อีกเม็ด”


 


การหลอมกลั่นโอสถเฉียนจินออกมา วัตถุดิบสมุนไพรที่หายากที่สุดก็คือไส้เดือนฝอยทองกับบุปผาวิญญาณลี้ลับเท่านั้น ส่วนวัตถุดิบสมุนไพรที่เหลือสามารถหาซื้อได้ตามร้านโอสถใหญ่ๆ ราคาก็ไม่ได้สูงอะไรมากมาย


 


“ฮ่าๆๆ…ข้าย่อมคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว!”


 


หวงเหยี่ยนเฟยหัวเราะออกมาด้ววยท่าทางถูกใจ จากนั้นก็สะบัดมือเบาๆคราหนึ่ง ก่อนจะปรากฏบางสิ่งผุดจากความว่างเปล่ามาลอยล่องเหนือฝ่ามือ “พอดีว่าข้าเองก็มีบุปผาวิญญาณลี้ลับอยู่ดอกนึง!”


ตอนที่ 2,956 : พนันหิน?


 


10 วันต่อมา


 


เมืองขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองหลวงของประเทศฝูชิว ก็ค่อยๆปรากฏให้ต้วนหลิงเทียนเห็นเบื้องหน้า


 


ผู้เฒ่าโม่ย่อมลดความเร็วลงแล้วเป็นธรรมดา


 


หาไม่แล้วด้วยระดับสายตาของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน หากผู้เฒ่าโม่ไม่เริ่มชะลอความเร็วคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแลเห็นทัศนียภาพโดยรอบได้ชัดถนัดตา


 


“เบื้องหน้าพวกเราก็คือเมืองหลวงของประเทศตันจี้…งานประมูลของตระกูลราชวงศ์จะมีขึ้นในอีก 5 วันหลังจากนี้ และราชวงศ์ตันจี้ก็เลือกจะจัดการประมูลขึ้นในพระราชวังหลวง”


 


เมื่อเห็นเมืองใหญ่เบื้องหน้ากำลังใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ หวงเหยี่ยนเฟยก็กล่าวออกมาอย่างประจวบเหมาะ


 


ครู่ต่อมา ทุกคนก็เริ่มหันไปมองเมืองใหญ่เบื้องหน้า เมืองหลวงของประเทศตันจี้!


 


เมืองหลวงของประเทศตันจี้มีลักษณะผังเมืองคล้ายคลึงกับเมืองหลวงของประเทศฝูชิวอยู่บ้าง สภาพที่ทางภายในเมืองตามถนนสายหลักล้วนเนืองแน่นไปด้วยผู้คน มองไปทางใดก็เห็นหัวหงอกหัวดำสัญจรไปมาราวธารน้ำไหล


 


ก่อนที่จะเข้าเมือง ผู้เฒ่าโม่ก็หยุดลง จากนั้นก็เริ่มจำแลงกายเป็นมนุษย์ ร่างชายชราผ่ายผอมแก้มตอบในชุดดำสนิทจึงปรากฏให้เห็นอีกครั้ง


 


ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ นำโดยหวงเหยี่ยนเฟยก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้อย่างราบรื่นไร้ปัญหา จากนั้นมันก็พาทุกคนมุ่งหน้าไปยังพระราชวังหลวงของประเทศตันจี้ก่อนใดอื่น


 


“ข้าคือ ‘หวงเหยี่ยนเฟย’ เจ้าเมืองตู้อวิ๋นแห่งประเทศฝูชิว มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประมูลที่ทางราชวงศ์ของประเทศตันจี้จะจัดขึ้นในอีก 5 วันหลังจากนี้”


 


เมื่อมาถึงประตูหน้าพระราชวัง หวงเหยี่ยนเฟยก็ประกาศตัวตนและจุดประสงค์การมาเสร็จสรรพ ทหารเฝ้าประตูหน้าวังพอได้ยินก็เร่งรุดเข้าไปรายงงานโดยไม่กล้ารอช้า จากนั้นไม่นานก็มีคนเร่งก้าวอาดๆเดินเข้ามาทักทายต้วนหลิงเทียนกับพวก


 


“ฮ่าๆๆๆ…เจ้าเมืองหวง ที่แท้เป็นท่านจริงๆ ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เจอท่านมันเมื่อใดกันนะ 10 ปีได้แล้วใช่หรือไม่?”


 


คนที่ก้าวอาดๆออกมาจากด้านในแล้วมาทักทายต้วนหลิงเทียนกับพวก เป็นชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีเงินรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่แลดูบึกบึนไม่ต่างอะไรกับไป๋กังเลย


 


“ผู้ตรวจการเหอ นี่ท่านถึงกับออกมาต้อนรับด้วยตัววเองเชียวหรือ ข้าผู้แซ่หวงช่างได้รับเกียรติยิ่งนัก!”


 


หวงเหยี่ยนเฟยก็กล่าวทักทายพลางยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย


 


“ผู้เฒ่าโม่ก็มาด้วยกันหรือ!?”


 


ในขณะที่หวงเหยี่ยนเฟยทักตอบด้วยรอยยิ้ม ผู้การเหอที่ว่าก็เหลือบไปเห็นคนที่มาพร้อมหวงเหยี่ยนเฟย และยังสะดุดตาไปที่ชายชราร่างผอมแก้มตอบในชุดดำเป็นพิเศษ


 


เพราะมันรู้ดีว่าชายชราผู้นี้ไม่เพียงมีภูมิหลังความเป็นมายิ่งใหญ่ แต่อีกฝ่ายยังเป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดอีกด้วย!


 


“เฮ่ๆ เหอเฟิง เมื่อ 10 ปีก่อนพวกเรายังไม่รู้แพ้รู้ชนะ…คราวนี้พวกเรามาต่อยตีกันให้สาสมใจเลยดีไหม?”


 


ไป๋กังที่อยู่ข้างๆผู้เฒ่าโม่ ก็เห็นได้ชัดว่ารู้จักผู้ตรวจการหวงคนนี้เช่นกัน จึงทักทายออกไปด้วยรอยยิ้ม


 


และฟังจากคำทักของไป๋กัง ที่แท้ผู้ตรวจการเหอผู้นี้ ก็ชื่อแซ่เต็มๆว่าเหอเฟิงนั่นเอง


 


“ไป๋กัง แม้ตอนนั้นพวกเราจะเสมอกัน แต่เพราะมันเป็นแค่ประลองวัดฝีมือ หาได้เข่นฆ่ากันให้ตายไปข้าง…หากพวกเราคิดสู้กันให้ตายไปข้าง ผู้ชนะย่อมเป็นเจ้าแน่ ข้ายอมรับว่าสู้เจ้าไม่ได้”


 


เหอเฟิงหลังได้ยินคำพูดของไป๋กัง มันก็หันไปมองกล่าวกับไป๋กังด้วยรอยยิ้มแหยๆ


 


“อั้ย! ที่เจ้าพูดมาข้าก็รู้…แต่นี่มันผ่านไป 10 ปีแล้วไง เจ้าสมควรก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย พวกเราก็ไปต่อยตีกันสักยกเถอะ ข้าเดินทางมาตั้งไกลเชียวนา!”


 


ไป๋กังมองกล่าวกับเหอเฟิงอย่างคึกคัก ในลูกตายังฉายถึงจิตต่อสู้อันกระเหี้ยนกระหือรือออกมา


 


“ได้! ในเมื่อเจ้าอยากสู้จริงๆ ไว้จบงานประมูลของตระกูลราชวงศ์ก่อนพวกเราค่อยไปตีกันนอกเมือง…คราวนี้เจ้าก็ไม่ต้องออมมือให้ข้าแล้ว เจ้าคืนร่างจริงมาฉะกับข้าให้สมใจสักคราเถอะ”


 


หลังได้ยินคำพูดรบเร้าของไป๋กัง ครู่ต่อมาลูกตาของเหอเฟิงก็ลุกวาวขึ้นมาด้วยจิตต่อสู้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามันบ้าจี้ไปกับไป๋กังจนคึกอยากจะสู้ขึ้นมาบ้างแล้ว


 


“ฮ่าๆๆ…ประเสริฐ! ดูเหมือน10 ปีที่ผ่านผู้แซ่เหอเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย! เพราะหากเป็นเมื่อ 10 ปีก่อนเจ้าไม่กล้าพูดแน่ว่าจะให้ข้าคืนร่างจริงมาสู้!”


 


ไป๋กังหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง มันไม่ได้มีความหวั่นกลัวใดๆทั้งสิ้นกับท่าทางคึกคักของเหอเฟิง จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ยิ่งมายิ่งลุกโชนปานเพลิงไฟ


 


“เอาล่ะๆ พวกท่านทั้ง 2 คิดจะต่อยตีฟาดปากกันก็เอาไว้หลังจากนี้เถอะ…ท่านผู้ตรวจการเหอนี่คือลูกชายคนนที่ 4 ของข้า หวงเจียหลง ที่ท่านเคยเห็นครั้งก่อน”


 


เมื่อเห็นว่าไป๋กังและเฟิงคุยกันไปคุยกันมาก็ยิ่งคึก คล้ายร่างกายอยากปะทะเต็มที หวงเฟยเหยี่ยนก็รีบกล่าวเปลี่ยนเรื่องเร็วไว โดยผายมือไปทางหวงเจียหลงก่อน จากนั้นค่อยผายมือไปทางต้วนหลิงเทียน


 


“ส่วนทางด้านนี้เป็นสหายของลูกชายข้า ต้วนหลิงเทียน คราวนี้ที่ฝ่าบาทให้ข้ามาประมูลไส้เดือนฝอยทอง ก็เพื่อช่วยให้เขาทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด”


 


หวงเหยี่ยนเฟยกล่าว


 


เหอเฟิงเองก็มองไปทางหวงเจียหลง และในขณะที่มันกำลังจะทักกทายหวงเจียหลง ก็พอดีกับที่หวงเหยี่ยนเฟยผายมือไปทางต้วนหลิงเทียนและกล่าวแนะนำออกมาเสียก่อน มันจึงหันขวับไปทางต้วนหลิงเทียนฉับไวปานสายฟ้า


 


“เจ้า…เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรือ!?”


 


ขณะที่เหอเฟิงมองต้วนหลิงเทียนน ลูกตามันยังหรี่ลงเล็กน้อย จากกนั้นก็มองขึ้นๆลงๆสำรวจต้วนหลิงเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับจะมองว่าต้วนหลิงเทียนที่แท้ไม่ธรรมดาอย่างไร


 


เนื่องจากประเทศตันจี้ก็เป็นประเทศเพื่อนบ้านของประเทศฝูชิว เช่นนั้นเมื่อภายในประเทศฝูชิวปรากฏอัจฉริยะที่เป็นที่กล่าวขานถึงไปทั้งเมืองหลวง ประเทศตันจี้เองก็พลอยโดนหางมรสุมไปด้วยเช่นกัน


 


อายุไม่ถึงร้อยปี กลับเอาชนะหวงเจียหลง เจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองตู้อวิ๋นได้ง่ายดาย!


 


คนอื่นนั้นอาจไม่ล่วงรู้ว่าหวงเจียหลงมากพรสวรรค์เพียงใด แต่มันนั้นรู้ดี ด้วยเหตุนี้จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจกับพลังฝีมือของผู้ที่เอาชนะหวงเจียหลงมาได้!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รู้ว่าคนที่เอาชนะหวงเจียหลงได้นั้น ที่แท้ยังมีอายุไม่ถึงร้อย มันก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก!


 


“ช้าก่อน…”


 


ทว่าก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตอบคำเหอเฟิง สีหน้าเหอเฟิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เร่งหันไปมองถามหวงเฟยเหยี่ยนด้วยความตกใจว่า “เจ้าเมืองหวงท่าน…ท่านพึ่งบอกว่าจะมาประมูลไส้เดือนฝอยทอง เพื่อช่วยให้สหายน้อยผู้นี้ทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดหรือ?”


 


“ท่าน…ท่านหมายความว่าตอนนี้สหายน้อยผู้นี้ยังเป็นเพียงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์งั้นรึ?”


 


เหอเฟิงหันถึงกับต้องหันมามองต้วนหลิงเทียนใหม่ สายตาของมันยังทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ


 


หรือนี่จะเป็นอัจฉริยะปีศาจอีกคน ที่เหมือนกับอัจฉริยะปีศาจจากประเทศตงหมิงผู้นั้นที่เข้าถึงพลังอำนาจแห่งกฏแล้ว?


 


อายุไม่ถึงร้อยปี อาศัยด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ กลับเอาชนะหวงเจียหลงที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้ในกระบวนท่าเดียว…


 


ในสายตาของมัน หากยังไม่เข้าถึงพลังแห่งกฏ ย่อมไม่มีทางกระทำเรื่องพรรค์นี้ได้เลย!


 


“ฮ่าๆๆๆ…อะไรๆๆ เหอเฟิงเจ้ากลัวแล้วหรือ!?”


 


เมื่อเห็นสีหน้าหวั่นหาดของเหอเฟิง ไป๋กังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความสนุกสนาน “ไดข่าวว่าในบรรดาอัจฉริยะทั้ง 9 ของประเทศตันจี้เจ้าก็มีปีศาจน้อยอยู่คนหนึ่งมิใช่หรือไร?”


 


“ฮึ่ม!”


 


เหอเฟิงเหลือบมองไป๋กังด้วยสายตาระอา แค่นคำสบถเสียงเย็นกล่าวค่อนแคะออกมาว่า “ไป๋กัง ข้ากริ่งเกรงสหายน้อยผู้นี้ไม่ใช่เจ้า…เจ้าจะมาผยองทำซากอันใด?”


 


พอกล่าวกับไป๋กังจบ เหอเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหันมองมาทางหวงเฟยเหยี่ยนกล่าวออกเสียงอ่อนว่า “ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าไฉนงานประมูลครานี้ทางฝูชิวถึงส่งเจ้าเมืองหวงมาด้วยตัวเอง…ที่แท้ประเทศฝูชิว กลับพบเจอคนที่ไม่ด้อยไปกว่าปีศาจร้ายของตงหมิงผู้นั้น…”


 


กล่าวจบเหอเฟิงก็พึ่งตระหนักได้วว่ามายืนคุยกับพวกหวงเหยี่ยนเฟยหน้าประตูวังพระราชวังหลวงแบบนี้คงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ จึงรีบผายมือกล่าวเชิญทั้งหมดให้เข้ามาก่อน


 


“เจ้าเมืองหวงผู้เฒ่าโม่คุณชายต้วนแล้วก็หลานเจียหลงเชิญเข้ามาด้านในก่อน…”


 


เหอเฟิงนั้นกล่าวเชิญพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 อย่างมีมารยาทแต่ไม่ได้สนใจอะไรไป๋กัง ด้านไป๋กังก็ไม่ได้สนใจอะไรเช่นกันเพียงก้าวอาดๆตามทุกคนไปด้วยสีหน้าลำพอง ระหว่างทางยังหันไปยักคิ้วใส่เหอเฟิงอย่างท้าทาย


 


พระราชวังหลวงของประเทศตันจี้นั้น นอกจากอาณาบริเวณกว้างใหญ่เหมือนพระราชวังหลวงของประเทศฝูชิวแล้ว อาคารที่ทางล้วนเป็นสถาปัตยกรรมวิจิตรงดงาม ลักษณะแตกต่างไปจากของประเทศฝูชิวอยู่บ้าง


 


ฮ่องเต้ฝูชิวนั้นชมชอบนิยามของเขาว่าเรียบง่ายแต่หรูหรา ธรรมดาแต่สง่างามโอ่อ่า…หากทว่าด้านประเทศตันจี้นั้นที่ทางล้วนประดับประดาไปด้วยมุกมณีล้ำค่า สมบัติหายากใดๆล้วนตั้งประดับอวดความสวยงามจนแลดูละลานตาอยู่บ้าง


 


“น้องต้วน ท่านนี้คือผู้ตรวจการเหอ เรียกว่าเหอเฟิง นอกจากเป็นผู้ตรวจการณ์แล้วยังพ่วงสถานะผู้นำหน่วยราชองครักษ์ของฮ่องเต้ตันจี้อีกด้วย แถมยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศที่พลังฝีมือร้ายกาจ…”


 


“เมื่อ 10 ปีก่อนผู้ตรวจการเหอได้รับคำสั่งฮ๋องเต้ตันจี้ให้เดินทางไปยังประเทศฝูชิวของพวกเราเพื่อติดต่อการค้า…ผู้ตรวจการเหอก็ได้แวะไปยังเมืองตู้อวิ๋นของพวกเราเช่นกัน จึงได้รู้จักท่านพ่อ และพวกอาไป๋”


 


“ท่านอย่าได้เห็นว่าผู้ตรวจการเหอคล้ายทะเลาะกับอาไป๋ อันที่จริงเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น…กล่าวไปมิตรภาพระหว่างผู้ตรวจการเหอกับอาไป๋ยังแน่นแฟ้นกว่าท่านพ่อเสียอีก”


 


หลังเดินเข้ามาในพระราชวังหลวงของประเทศตันจี้ได้สักพัก หวงเจียหลงก็ส่งเสียงผ่านพลังมาถึงหูต้วนหลิงเทียนเพื่อแนะนำเหอเฟิงโดยละเอียด


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะได้ยินวาจาท้ากันไปมาระหว่างไป๋กังและเหอเฟิง จนทราบว่าพลังฝีมือของเหอเฟิงผู้นี้ไม่น่าจะอ่อนด้อย และสิบในสิบก็สมควรเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศ


 


อย่างไรก็ตามเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าเหอเฟิงผู้นี้จะมีตำแหน่งใหญ่โตไม่น้อย เป็นถึงผู้นำหน่วยราชอค์รักษ์แห่งพระราชววังหลวง!


 


ในประเทศฝูชิวนั้น มีอยู่สองคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมือซ้ายกับมือขวาของฮ่องเต้ฝูชิว


 


หนึ่งในนั้นก็คือหวงเฟยเหยี่ยนเจ้าเมืองตู้อวิ๋น ส่วนอีกคนก็เป็นผู้นำหน่วยราชองค์รักษ์ของพระราชวังหลวง


 


ในเมื่อเหอเฟิงผู้นี้ไม่เพียงมีตำแหน่งผู้ตรวจการณ์แต่ยังควบตำแหน่งหัวหน้าหน่วยราชองค์รักษ์ของพระราชวังหลวงประเทศตันจี้ได้ ไม่พ้นต้องเป็นคนสนิทและคนที่ฮ่องเต้ตันจี้ไว้ใจเช่นกัน


 


ก่อนจะเดินทางไปถึงสถานที่พักภายในพระราชวังหลวงของประเทศตันจี้ ที่ได้ถูกตระเตรียไมว้ให้อย่างดี เหอเฟิงก็มีลอบมองมาทาต้วนหลิงเทียนเป็นระยะๆ ในแววตายังทอประกายวับวาวประหลาด ไม่ทราบว่าที่แท้กำลังคิดสิ่งใดอยู่


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะสัมผัสได้ถึงสายตาดังกล่าว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร


 


ไม่นานก็มาถึงที่พักที่ทางตระกูลราชงศ์ตันจี้จัดไว้ให้ มันเป็นวังใหญ่หลังหนึ่ง และนอกจากตัวโถงวังหลักแล้วยังมีบ้านลาน 6 หลังที่หันหน้าเข้าหากัน ฟากหนึ่งมี 3 อีกฟากก็มี 3 กั้นขวางไว้ด้วยถนนทางเดินรอบโถงวังหลัก


 


“เจ้าเมืองหวง ท่านเดินทางมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เช่นนั้นท่านก็พักผ่อนก่อนเถอะ…หลังจากนี้อีก 5 วันข้าจะมารับพวกท่านไปเข้าร่วมการประมูลด้วยตัวเอง”


 


หลังจัดการพาต้วนหลิงเทียนกับพวกเข้าที่พักแล้ว เหอเฟิงก็กล่าวนัดแนะกับหวงเหยี่ยนเฟย ก่อนที่จะลาจากไป


 


“ท่านพ่อ!”


 


อย่างไรก็ตามหวงเจียหลงไม่คิดจะพักผ่อนอะไร หันไปมองกล่าววับหวงเหยี่ยนเฟยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าคิดไปเดินเล่นที่ย่านซีฟางกับน้องต้วน…ท่านให้ผู้เฒ่าโม่หรืออาไป๋ไปกับพวกเราได้ไหม?”


 


หวงเจียหลงไม่ใช่คนโง่งม ที่นี่ไม่ใช่ประเทศฝูชิวถิ่นมัน หากไปเดินเที่ยวเล่นโดยไร้ยอดฝีมือคุ้มกัน ไม่แน่ว่าอาจโดนดีได้


 


“ย่านซีฟาง?”


 


หวงเหยี่ยนเฟยได้ยยินคำขอลูกชาย ก็มองจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง “เท่าที่ข้ารู้มาดูเหมือนย่านซีฟางของเมืองหลวงตันจี้ที่ว่า จะมีชื่อเสียงเรื่องพนันหินไม่น้อย…นี่เจ้าคิดพาเสี่ยวเทียนไปเล่นพนันหินงั้นรึ?”


 


“แหะๆ…”


 


หวงเจียหลงคลี่ยิ้มแต่ไม่ได้ปฏิเสธอะไรออกมา เพราะมันรู้ดีว่าถึงจะปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะบิดามันมิใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน


 


“พนันหิน?”


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งไปอยู่บ้าง ในระนาบเทวโลกมีพนันหินด้วยเหรอ?


 


ในชาติที่แล้วตอนยังอยู่ที่โลกมนุษย์ เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องราวการพนันหินมาบ้าง ก็คือการซื้อหินที่แลดูว่าน่าจะมีหยกอยู่ภายในนั้น แล้วถ้าหากนำไปตัดออกมาแล้วเจอหยกล้ำค่าอะไรเข้าก็ชีวิตเปลี่ยน


 


ถ้าตัดไม่เจออะไร ก็เสียเงินเปล่า


 


‘การพนันหินบนระนาบเทวโลก ไม่รู้จะแตกต่างจากที่โลกยังไง…’


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“เหยี่ยนเฟย ข้าจะไปเอง”


 


ไป๋กังเสนอตัวทันที


ตอนที่ 2,957 : หินดิบ


 


ย่านซีฟางของเมืองหลวงประเทศตันจี้นั้น มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องกิจการ ‘พนันหิน’ จนประเทศข้างเคียงรู้จักกันดี แม้แต่ประเทศฝูชิวเองก็ได้ความคิดทำการค้าดังกล่าวมาจากย่านซีฟานของเมืองหลวงประเทศตันจี้ แต่เป็นธรรมดาว่ามันเป็นกิจการเล็กๆไม่ได้ใหญ่โต และไม่น่าสนใจเท่าต้นตำหรับอย่างย่านซีฟาง


 


“น้องต้วน ‘หินดิบ’ ที่ในประเทศฝูชิวเราใช้เล่นพนันหิน ก็เป็นการรับซื้อต่อมาจากย่านซีฟานอีกที…และย่านซีฟานของเมืองหลวงประเทศตันจี้ ยังเป็นแหล่งพนันหินที่ใหญ่โตที่สุดในดินแดนพันประเทศของแดนสวรรค์ใต้…”


 


หลังออกจากพระราชวังและมุ่งหน้าไปยังย่านซีฟาง หวงเจียหลงก็เริ่มเกริ่นรายละเอียดออกมาให้ต้วนหลิงเทียนฟังขณะเดินอยู่บนถนน


 


“หินดิบ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงสีหน้ายังฉายถึงความสงสัยอยู่บ้าง


 


เท่าที่เขารู้ในโลกเก่าของเขาก็มีสิ่งที่เรียกว่าหินดิบหรือแร่ดิบอะไรพวกนี้เหมือนกัน โดยปกติแล้วหากมีคำว่าดิบต่อท้ายก็หมายถึง วัตถุดิบที่ยังไม่ผ่านกรรมวิธีขึ้นรูป เจียระไนหรือแกะสลักอะไรทำนองนั้น และคงจะแตกต่างจากหินดิบที่ใช้พนันหินในระนาบเทวโลก


 


“ใช่”


 


หวงเจียหลงพยักหน้าค่อยกล่าวอธิบายสืบต่อ “สิ่งที่เรียกว่าหินดิบนั้น เกิดจากการจับตัวของฝุ่นดินหินผ่านกาลเวลามายาวนานจนกลับกลายเป็นก้อนแข็ง และด้วยปฏิกิริยาบางอย่างจากพลังวิญญาณฟ้าดินตามธรรมชาติ ทำให้มันเกิดคุณลักษณะพิเศษประการหนึ่ง…”


 


“หินดิบนั้น สามารถปิดกั้นสำนึกเทวะได้ทั้งหมด…ว่ากันว่าแม้แต่สำนึกเทวะของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศที่นับเป็นตัวตนที่บรรลุด่านพลังสูงสุดของระนาบเทวโลก ยังไม่อาจใช้สำนึกเทววะตรวจสอบภายในหินดิบได้ และแม้แต่วิหารในตำนานอย่างวิหารเฟิงฮ่าวที่ลึกลับยากหยั่งถึง ที่ลือกันว่ามีตัวตนเหนือกว่าขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศดำรงอยู่ ทว่าสำนึกเทวะของยอดฝีมือระดับนั้น ก็ยังไม่อาจมองผ่านหินนดิบที่เกิดขึ้นจากพลังอำนาจของธรรมชาติได้…”


 


“แต่เป็นธรรมดาว่าหินดิบมีพลังเพียงแค่ปิดกั้นสำนึกเทวะเท่านั้น ส่วนความแข็งแกร่งของตัวมันเองนั้นนับว่าไม่เท่าไหร่…อาศัยต้าหลัวจินเซียนที่อ่อนด้อยที่สุดยังบดขยี้มันให้เป็นผงได้ง่ายดาย สามารถนำสิ่งของที่อาจซุกซ่อนอยู่ภายในออกมาได้อย่างไร้ปัญหา…”


 


“และด้วยความที่สำนึกเทววะไม่อาจส่องผ่านเข้าไปได้ จึงทำให้ไร้ผู้ใดล่วงรู้ว่าภายในหินดิบนั้น ที่แท้มีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่บ้าง…ด้วยคุณลักษณะพิเศษของหินดิบนี้เอง จึงเกิดการพนันหินขึ้นในระนาบเทวโลก และยังเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ไม่น้อย”


 


หวงเจียหลงค่อยๆกล่าวเล่าเรื่องราวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


ได้ยินเรื่องราวดังกล่าวต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะลอบพยักหน้าเห็นด้วย


 


นับว่าหินดิบบนระนาบเทวโลกนั้น แตกต่างจากหินดิบในโลกมนุษย์ที่เขาเคยอยู่ในชาติก่อนอย่างสิ้นเชิง


 


หินดิบ หรืออะไรที่มีคำว่าดิบต่อท้ายในโลกเก่าเขา หมายถึงสิ่งของที่ยังไม่ได้ผ่านกรรมวิธีต่างๆ หากเป็นพวกหยกก็คือยังไม่ได้แกะสลักขัดเกลา ถ้าเป็นเพชรก็คือเพชรที่ยังไม่ตัดและเจียระไน


 


อย่างไรก็ตามหินดิบในระนาบเทวโลกนั้นมีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการนำมาพนันหิน จนไม่ได้ต่างอะไรกับการพนันหินบนโลกเลย


 


การพนันหินบนโลกมนุษย์นั้น หินพนันจะมีรูปร่างแตกต่างกันไป เล็กบ้างใหญ่บ้าง ผิวสัมผัสขรุขระบ้างราบเรียบบ้าง หนักเบาไม่เท่ากัน ท่าบางทีหินที่แลดูไม่โดดเด่นอะไรอาจมีหยกล้ำค่าซุกซ่อนอู่


 


แน่นอนว่ายังงมีหินพนันบางชนิดที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างจงใจที่เรียกว่า ‘ห่มหนังแกะ’ อันทำให้ผู้เชี่ยวชาญต้องน้ำตาตกมามากมายด้วยลักษณะเหมือนจะมีหยกล้ำค่าซุกซ่อนอยู่ โดยอาศัยใช้เศษหรือผงหยกมากมายมาฉาบทาแล้วหุ้มผิวหน้าหินไว้หยาบๆอีกที พอให้ผู้ที่มีสายตาแหลมคมพอจะแลเห็นเงาหยกที่เล็ดลอดออกมา


 


เมื่อเห็นร่องรอยดังกล่าว ก็ย่อมหลงคิดไปว่าภายในซุกซ่อนหยกล้ำค่าเอาไว้…


 


“หินดิบที่ว่ายังมีมากมายหลายขนาด…และหินดิบบางส่วนที่ผ่านวันเวลามานานบ้างครั้งก็เกิดการกระแทกจนผิวแตกร่อนจึงเผยให้เห็นถึงบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านใน โดยปกติแล้วหินดิบที่แตกบิ่นจนเห็นว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่ ก็ไม่มีใครคิดนำออกมาพนันเป็นธรรมดา…”


 


“เพราะการพนันหิน แก่นแท้ก็อยู่ที่ค่าพนัน…หากล่วงรู้สิ่งของด้านในหินดิบแต่แรก เช่นนั้นก็ไม่เรียกว่าการพนันแล้ว”


 


วาจาต่อมาของหวงเจียหลงทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักว่าการพนันหินในระนาบเทวโลกยังมีความต่างจากการพนันหินบนโลกมนุษย์อยู่บ้าง


 


ก็อย่างเช่นที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ บางทีอาจมีหินพนัน ‘ห่มหนังแกะ’ ที่ถูกจงใจสร้างขึ้นมาหลอก โดยใช้เศษหยกหรือแร่ล้ำค่ามาฉาบทาไว้อย่างแนบเนียนเป็นธรรมชาติเพื่อล่อลวง


 


เนื่องเพราะหากผู้ที่สังเกตเห็นจะเดาได้ว่ามันมีหยกล้ำค่าอยู่ เช่นนั้นเมื่อซื้อมาตัดเปิดก็จะทำเงินได้


 


แน่นอนว่าหลังตัดเปิดออกมาแล้ว หินพนันห่มหนังแกะเหล่านี้ ก็ย่อมมีเพียงชั้นเศษหยกที่เบาบางยิ่งกว่ากระดาษไร้ซึ่งราคาค่างวดอันใด ผู้ที่จ่ายราคามหาศาลซื้อมาก็จำต้องกระอักเลือดเพราะความเจ็บใจ


 


และสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะโลกที่เขาเคยอาศัยอยู่ในชาติก่อน ผู้คนที่พนันหินไร้ซึ่งสำนึกเทวะ ย่อมไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่าสิ่งที่โผล่มาวับแวมๆนั่นเป็นก้อนหยกจริงหรือไม่ ยิ่งไม่มีทางล่วงรู้ภายในอะไรได้แม้แต่น้อย


 


ส่วนในระนาบเทวโลก แม้การพนันหินจะมีลักษณะทำนองเดียวกัน หากแต่หินดิบที่นำมาใช้พนันหินนั้น จำต้องถูกห่อหุ้มมิดชิดและไม่อาจตรวจสอบใดๆได้เลย หาไม่แล้วหากมีรอยบิ่นหรืออะไรแม้แต่เล็กน้อย สำนึกเทวะก็ย่อมชำแรกแทรกผ่านไปตรวจสอบภายในได้ทันที


 


“เจียหลง แล้วปกติภายในหินดิบนี่มันมีอะไรอยู่งั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


ถึงแม้จากรายละเอียดที่หวงเจียหลงกล่าวไว้ก่อนหน้าจะทำให้เขารับทราบถึงคุณลักษณะพิเศษของหินดิบแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่าภายในหินดิบนั้นจะมีสิ่งของล้ำค่าอันใดอยู่


 


อย่างไรก็ตาม ตัดสินจากความสนใจของหวงเจียหลงที่มีต่อการพนันหิน ก็บอกให้เขารู้ประการหนึ่ง


 


ภายในหินดิบที่ว่า ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้หวงเจียหลงบังเกิดความสนใจ


 


“น้องต้วน ท่านทราบหรือไม่ว่าหินดิบพวกนั้นมีต้นกำเนิดและความเป็นมาอย่างไร?”


 


อย่างไรก็ตามหลังได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน หวงเจียหลงไม่ได้ตอบกลับทันที หากแต่ย้อนถามกลับมาเรื่องหนึ่ง


 


“ก็ฟังจากสิ่งที่ท่านเกริ่นมาก่อนหน้า ไม่ใช่ว่ามันเกิดจากการจับตัวของฝุ่นละอองก้อนดินหินตามธรรมชาติผ่านวันเวลาอันยาวนานจนกลายเป็นหินดิบหรือไร?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบตามความเข้าใจ


 


“ใช่แล้วมันเกิดขึ้นจากสาเหตุนั้น แต่น้องต้วนท่านทราบหรือไม่ว่าในระนาบเทวโลกนั้นยังมีโลกใบเล็กของราชาอมตะ จอมราชันอมตะแม้กระทั่งจักรพรรดิอมตะมากมายที่เหลือทิ้งไว้หลังตายตก และเจ้าว่าภายในโลกใบเล็กเหล่านั้นมันมีสมบัติมากมายหรือไม่เล่า?”


 


หวงเจียหลงงเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“และอย่างที่ทุกคนรับทราบ ยิ่งผู้สร้างโลกใบเล็กมีด่านพลังฝึกปรือสูงส่งเท่าใด โลกใบเล็กที่เหลือทิ้งไว้ก็จะมีเสถียรภาพมากขึ้นเท่านั้น…และเป็นธรรมดว่าโลกใบเล็กของราชาอมตะ ก็ย่อมมีความมั่นคงและเสถียรภาพด้อยกว่าโลกใบเล็กของจอมราชันอมตะ และโลกใบเล็กของจอมราชันอมตะก็ด้อยกว่าโลกใบเล็กของจักรพรรดิอมตะ”


 


หวงเจียหลงกล่าวสืบต่อ


 


“และโลกใบเล็กนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ใดสร้างขึ้น หากผู้สร้างตกตายไปแล้ว ก็มิอาจคงอยู่ได้ตลอดกาล…เช่นเดียวกับโลกใบเล็กของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้รุ่นแรก หรือแดนสวรรค์ใต้โบราณที่พวกเรากำลังจะเข้าไปแสวงโชคนั้น มันก็คือโลกใบเล็กของตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะ และยังเป็นจอมราชันอมตะสมญานามที่ร้ายกาจเหนือธรรมดา”


 


“อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแดนสวรรค์ใต้โบราณ ทว่าก็ยังต้องอาศัยพลังภายนอกหล่อเลี้ยงเพื่อรักษาเสถียรภาพ และยังต้องลงทุนลงแรงไม่น้อย…เป็นธรรมดาว่าด้วยความพิเศษของแดนสวรรค์ใต้โบราณ นอกจากทรัพยากรที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้รุ่นหลังจะใช้เพื่อประคองรักษาเสถียรภาพให้มันดำรงคงอยู่ได้แล้ว…แต่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้รุ่นหลังก็ได้ทำการเติมสมบัติเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณอีกด้วย จะโอสถอมตะหรืออุปกรณ์อมตะก็ดี มีแม้แต่คัมภีร์วรยุทธ์อมตะ มรดกสืบทอด ฯลฯ…”


 


“เอาเป็นว่ามีสิ่งของล้ำค่ามากมายที่ถูกใส่เพิ่มเข้าไป”


 


“นอกจากนั้นในขณะที่ใส่สมบัติเพิ่มเข้าไป ก็มีการเพิ่มบททดสอบ หรือด่านวัดคุณสมบัติอะไรขึ้นมาเช่นกัน…”


 


“แน่นอนว่าสมบัติและด่านทดสอบที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้รุ่นหลังๆจะเพิ่มเติมเข้าไป ก็จะไปปรากฏในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงเท่านั้น สำหรับแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ปกติแล้วจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้จะสังการให้ตัวตนขอบเขตราชาอมตะทำการเติมสมบัติและจัดสร้างด่านทดสอบอะไรแทน ซึ่งราชาอมตะที่ได้รับมอบหมายก็สามารถดำเนินการได้ตามเห็นสมควร”


 


“สำหรับดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น จะถูกมอบหมายให้ขุมกำลังระดับ 6 ของแดนสวรรค์ใต้จัดการสร้างบททดสอบและจัดหาของรางวัล…อย่างเช่นแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำที่พวกเรากำลังจะเข้าไปในอีก 4 เดือนหลังจากนี้ สมบัติใดๆในนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นคฤหาสน์เฉวียนโยวจัดหามาทั้งสิ้น”


 


“แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น ยังถูกแบ่งออกเป็น 108 ส่วน แต่ละส่วนจะถูกควบคุมโดยขุมกำลังระดับ 6 ในแดนสวรรค์ใต้อย่างคฤหาสน์เฉวียนโยว…กล่าวได้ว่าคฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกเรา ก็เป็นแค่ 1 ใน 108 ขุมกำลังระดับ 6 ของแดนสวรรค์ใต้เท่านั้น”


 


พอกล่าวถึงจุดนี้หวงเจียหลงก็คล้ายจะฉุกคิดอะไรได้ จึงหยุดลง จากนั้นก็ยิ้มแหยๆกล่าวออกมาว่า “โทษทีน้องต้วน ข้าเล่าเพลินไปหน่อย แป๊บเดียวออกทะเลไปไกลเสียแล้ว…”


 


“ไม่เป็นไรหรอกพี่เจียหลง…พอดีข้าเองก็ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย พึ่งจะมารู้เอาตอนที่ท่านพูดนั่นล่ะ ว่าในแดนสวรรค์ใต้แห่งนี้ยังมีขุมกำลังระดับ 6 อย่างคฤหาสน์เฉวียนโยวอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 108 ขุมกำลัง”


 


แม้ผิวเผินต้วนหลิงเทียนจะกล่าวออกมาอย่างไม่ได้คิดอะไรมากมาย หากแต่ในใจนั้นกลับปั่นป่วนไม่น้อย


 


ที่เขารู้ตอนนี้ ก็คือประเทศฝูชิวกับประเทศตั้นจี้ก็เป็นแค่ 2 ประเทศในดินแดนพันประเทศที่อยู่ภายใต้อำนาจของคฤหาสน์เฉวียนโยว…


 


ในเขตอำนาจของคฤหาสน์เฉวียนโยว มีประเทศอย่างประเทศฝูชิวและประเทศตันจี้อีกนับพันๆ…


 


‘ในเขตอำนาจของคฤหาสน์เฉวียนโยวก็มีประเทศอย่างประเทศฝูชิวและตันจี้อยู่นับพันๆแล้ว…ถ้างั้นหากนับรวมขุมกำลังระดับ 6 ทั้ง 108 ขุมกำลังในแดนสวรรค์ใต้ ไม่ใช่ว่าจะมีประเทศเช่นนี้อยู่นับแสนๆประเทศเลยหรือไร?’


 


พอคิดถึงจุดนี้ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหดเล็กลงโดยไม่รู้ตัว


 


ในเวลาเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความกระจ้อยร่อยของตัวเอง


 


‘มีประเทศอย่างประเทศฝูชิวและประเทศตันจี้อีกนับแสนๆประเทศภายในแดนสวรรค์ใต้…และในหลิงหลัวเทียนไม่พ้นต้องมีดินแดนอื่นที่เหมือนกับแดนสวรรค์ใต้อยู่อีก…’


 


‘เหนือจอมราชันอมตะยังมีจักรพรรดิอมตะ…และเหนือกว่าจักรพรรดิอมตะก็คือจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ทรงพลังกล้าแข็งยิ่งกว่า!’


 


‘และผู้ที่อยู่เหนือจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลาย ก็คือจักรพรรดิสวรรค์ ผู้ที่ครอบครองระนาบเทวโลกทั้งระนาบ!’


 


‘ระนาบเทวโลก ยังมีอยู่ด้วยกันเก้าเก้า 81 ระนาบ!’


 


จังหวะนี้ในใจต้วนหลิงเทียนเริ่มมากล้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย มันปั่นป่วนสับสนรวนเรไปหมด ยากจะสงบลงได้อยู่นาน…


 


ขณะเดียวกันด้านหวงเจียหลงก็เริ่มกล่าวเล่าเรื่องราวต่อออกมา “ก่อนหน้านี้ข้ากล่าวถึงเรื่องที่แดนสวรรค์ใต้โบราณก็จำต้องทำนุบำรุงและคอยส่งพลังหล่อเลี้ยงใช่หรือไม่…จุดนี้ข้าจะสื่อว่าต่อให้เป็นโลกใบเล็กของจอมราชันอมตะ ก็ยังมีวันต้องพังทลายลง แต่ท่านว่าจะมีจอมราชันอมตะสักกี่คนที่มีผู้สืบทอดและคอยช่วยประคองรักษาเสถียรภาพไม่ให้โลกใบเล็กต้องพังทลายลงเหมือนจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้?”


 


“นอกจากนั้นผู้ใดจะล่วงรู้ว่านอกจากโลกใบเล็กที่ผู้คนรู้จักกันดีแล้ว ยังมีโลกใบเล็กที่ถูกเหลือทิ้งโดยไม่มีผู้คนค้นพบมากมายเท่าใด แล้วล่มสลายไปเงียบๆโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้มากมายแค่ไหน…”


 


“และทุกโลกใบเล็กที่สร้างขึ้นในระนาบเทวโลกนั้น ยามเมื่อถึงกาลล่มสลายลง พวกมันก็จะเข้าสู่พื้นที่มิติผันผวน จากนั้นหากไม่สาบสูญไปในห้วงมิติก็อาจจะกระจัดกระจายไปอยู่ทั่วระนาบเทวโลก…”


 


“มีสิ่งของล้ำค่ามากมายที่หลุดออกมาจากโลกใบเล็กที่พังทลาย ผู้ที่มีโชควาสนาบางคนก็ไปค้นพบหลังจากพวกมันถูกส่งผ่านห้วงมิติผันผวนมาได้ไม่นาน ส่วนสมบัติบางชิ้นก็ไร้ผู้ใดพบเจอ สุดท้ายก็เริ่มถูกฝุ่นดินจับตัวกลับกลายเป็นหินดิบขึ้นมา…”


 


กล่าวถึงจุดนี้หวงเจียหลงก็หยุดลง ก่อนที่จะกล่าวสืบต่อว่า


 


“ดังนั้นสิ่งที่อยู่ภายในหินดิบ ก็อาจเป็นสมบัติที่กระจัดกระจายออกมาหลังโลกใบเล็กที่ยอดคนเคยยสร้างเอาไว้ล่มสลายลง…”


 


“แน่นอนว่าหินดิบที่มีสมบัติล่ำค่าเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่ใช่ว่าจะมีมากมาย ที่มีมากกว่าก็คือหินดิบจากฝุ่นดินทั่วไป ที่ไร้สมบัติใดๆ อันจับตัวก่อเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หลังผ่านสายธารแห่งกาลเวลามาอย่างยาวนาน…”


 


….


ตอนที่ 2,958 : เจ้าเมืองน้อย เมืองฟู่เจี้ยน


 


หลังได้ฟังเรื่องราวจากหวงเจียหลง ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจการเล่น ‘พนันหิน ‘ในระนาบเทวโลกมากขึ้น


 


การเล่นพนันหินของระนาบเทวโลกนั้น ไม่ได้แตกต่างอะไรจากการเล่นพนันหินในโลกเก่าที่เขาเคยอยู่เมื่อชาติที่แล้วแม้แต่น้อย และเป็นธรรมดาว่าการพนันในรูปแบบนี้ เล่น 10 ครั้งนั้นย่อมเสียไปถึง 9 ครั้ง…แน่นอนว่าการเล่น 10 เสีย 9 ยังมีความหมายในตัวชัดเจนว่า เสียมากกว่าได้!


 


“หินดิบที่นำมาพนันหินส่วนใหญ่แล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นหินดิบไร้ค่า…ยากนักที่จะพบพานหินดิบที่มีสมบัติเลิศล้ำซุกซ่อนอยู่ด้านใน”


 


“ดังนั้นถึงแม้กล่าวไปผู้ที่มาเล่นพนันหินในระนาบเทวโลกแม้จะไม่น้อย แต่ก็มีคนเพียงหยิบมือที่กลับกลายเป็นเศรษฐีผู้ร่ำรวยในเวลาชั่วข้ามคืน…แน่นอนว่ายังมีบางคนที่นิยมซื้อหินดิบกลับไปเปิดในที่ลับตาไม่ให้ใครรู้”


 


“เพราะสุดท้ายแล้ว ‘คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก’ ก็เป็นอมตะวาจาไม่เสื่อมคลาย…”


 


หลังจากเดินกล่าวสนทนากับต้วนหลิงเทียนไปอีกสักพัก หวงเจียหลงก็พาต้วนหลิงเทียนเดินมาถึงย่านซีฟางเรียบร้อย และย่านซีฟางของเมืองหลวงประเทศตันจี้นี้ ต้องบอกเลยว่าแค่ทางเข้าย่านก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้คนไม่ธรรมดา


 


ขณะเดียวกันสายตาต้วนหลิงเทียนก็ล้วนถูกอาคารเคหะสถานและร้านรวงในย่านซีฟานของเมืองหลวงตันจี้ดึงดูดให้ดูชมจนละลานตาอยู่บ้าง


 


มองไปทางใดก็เห็นแต่ความคึกคักเปี่ยมชีวิตชีวา ร้านรวงมากมาย ก็เต็มไปด้วยเหล่าเซียนอมตะในเมืองหลวงออกมาเดินจับจ่ายใช้สอยกันอย่างสนุก มีเด็กน้อยที่ด่านพลังยังอ่อนด้อยมากมายให้เห็น และร้านที่เห็นมากที่สุดก็คือร้านที่ขายหินรูปร่างประหลาดแลดูแปลกตา ซึ่งหลังจากเขามองผ่านๆก็ไม่เห็นว่ามันจะมีความพิเศษอะไร


 


“ที่ร้านพวกนั้นขายอยู่…ใช่หินดิบที่ว่าหรือไม่?”


 


หลังต้วนหลิงเทียนมองไปรอบๆสักพัก เขาก็พบว่ามีร้านมากมายขายหินประหลาดหน้าตาแปลกๆเหล่านี้ บางชิ้นกลมปุ๊กดั่งลูกบอล บ้างก็เป็นรูปปั้นใหญ่โตเท่าตัวคน บ้างก็มีขนาดเหมือนโอ่งไห ที่มีรูปร่างเหมือนหินธรรมดาขนาดต่างๆก็มีไม่น้อย


 


“ไม่ผิด ที่น้องต้วนเห็นวางขายกันเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นหินดิบทั้งสิ้น”


 


หวงเจียหลงพยักหน้าตอบคำต้วนหลิงเทียน หลังจากนั้นก็เลือกพาต้วนหลิงเทียนเดินเข้าไปยังอาคารหลังใหญ่ที่สุดเท่าที่ผ่านตามา และจำนวนหินดิบในร้านนี้ก็มีมากมายสุดท้ายร้านรวงเล็กๆที่เดินผ่านมาจะเทียบได้


 


ถึงแม้ว่าไป๋กังจะติดตามพวกต้วนหลิงเทียนกับหงเจียหลงมาด้วย แต่มันรู้ดีว่าผู้หลานคนนี้ไม่ชอบให้มีผู้อาวุโสอะไรคอยติดตามข้างกาย ไป๋กังจึงเลือกที่จะซ่อนตัวในความมืด อย่างไรก็ตามความสนใจของมันเพ่งเล็งไปที่พวกต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงตลอดเวลา


 


ตราบใดที่บังเกิดเรื่องผิดแปลกแม้แต่นิดเดียว มันจะปรากฏตัวออกไปเพื่อรักษาความปลอดภัยต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงทันที!


 


แน่นอนว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหวงเจียหลงและต้วนหลิงเทียน จนมีเหตุการณ์จำต้องเลือก 1 สละ 1 มันก็จะเลือกละทิ้งต้วนหลิงเทียน แล้วช่วยชีวิตหวงเจียหลงโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ไม่สนว่าฮ่องเต้ฝูชิวจะให้ค่าต้วนหลิงเทียนมากแค่ไหน


 


เพราะมันรู้แค่ว่า หวงเจียหลง คือลูกชายของผู้ที่มันเห็นไม่ต่างอะไรจากพี่ชายแท้ๆ


 


และพี่ชายผู้นี้ ในอดีตก็ได้ช่วยชีวิตมันมานับครั้งไม่ถ้วน


 


เพื่อลูกชายของพี่ชายประเสริฐเช่นนี้ ต่อให้มันต้องสละด้วยชีวิต มันก็ไม่แม้แต่จะกระพริบตา!


 


“ท่านลูกค้าทั้งสอง ใช่สนใจซื้อหาหินดิบหรือไม่ขอรับ?”


 


ทันทีที่หวงเจียหลงกับต้วนหลิงเทียนก้าวเท้าเข้าร้านมา ชายวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานแลดูเรียบร้อยหนึ่งก็ก้าวเข้ามาต้อนรับทักทายด้วยความสุภาพ รอยยิ้มของมันยังสดใสบาดตาผู้คนเหลือเกิน


 


“ร้านของท่านนับว่ามีหินดิบมากมายทีเดียว แถมดูเหมือนจะมีการจัดแบ่งหมวดหมู่ไว้เป็นพิเศษ ช่วยแนะนำให้พวกเรารับทราบคร่าวๆได้หรือไม่?”


 


หวงเจียหลงหันไปมองชายวัยกลางคนผ่านๆพลางเอ่ยถามเสียงเบา


 


“ย่อมได้ท่านลูกข้า”


 


ชายวัยกลางคนขานรับด้วยท่าทีสุภาพ จากนั้นก็พาต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงเดินไปยังแผงขายหินดิบที่ตั้งอยู่ใกล้กับหน้าร้านที่สุดก่อน ด้านต้วนหลิงเทียนระหว่างเดินตามไปก็หันมองชมไปรอบๆและพบว่ามีผู้คนมาจับจ่ายซื้อหินดิบในร้านแห่งนี้หนาตาทีเดียว


 


และใกล้ๆกับกลุ่มคนที่กำลังเลือกหาหินดิบทั้งหลาย ก็พบว่ามีคนในชุดสุภาพรูปแบบเดียวกับชายวัยกลางคนผู้นี้ติดตามอยู่ต้อยๆ


 


เห็นได้ชัดว่าคนที่สวมใส่ชุดสุภาพมีรูปแบบเฉพาะนี้ ล้วนเป็นพนักงานในร้านค้าหินดิบที่มีหน้าที่คอยแนะนำและอำนวยความสะดวกให้แขก


 


“ท่านลูกค้าทั้งสอง นี่คือแผงที่ 36 ของทางร้านเรา…และแผงนี้ยังวางจำหน่ายหินดิบที่มีราคาถูกที่สุดในร้าน ส่วนเหตุผลที่ไฉนมันมีราคาถูกนั้น ก็เพราะขนาดของหินดิบค่อนข้างเล็ก และคงมิอาจมีสมบัติเลิศล้ำอันใดเก็บไว้”


 


ชายวัยกลางคนที่เดินนำต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงมายังแผงหินดิบใกล้ๆประตูทางออก ก็ผายมือไปยังหินดิบมากมายที่วางกองเรียงรายกันเบื้องหน้า พลางกล่าวแนะนำออกมา


 


ต้วนหลิงเทียนมองไปก็พบว่าหินดิบที่ตั้งขายในแผงนี้ ที่ใหญ่ที่สุดก็มีขนาดเท่ากำปั้นของเด็กทารกเท่านั้น ที่เล็กที่สุดก็ใหญ่กว่าแหวนพื้นที่กระจึ๋งหนึ่ง…


 


“แน่นอนว่าถึงมันจักราคาถูกและไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไร…ทว่าในบรรดาหินดิบเหล่านี้ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีสมบัติชิ้นเล็กๆซุกซ่อนอยู่”


 


ชายวัยกลางคนเริ่มกล่าวอธิบายสืบต่อ น้ำเสียงยังแฝงความโน้มน้าวล่อลวงไม่น้อย “หากท่านหยิบซื้อหินดิบพวกนี้ไปแล้วพบว่าด้านในกลับมีแหวนพื้นที่ซุกซ่อนอยู่ ไม่แน่ท่านก็อาจจะทำกำไรได้มหาศาล เพราะผู้ใดจะไปล่วงรู้ว่าแหวนพื้นที่วงนั้นอาจเป็นของจอมราชันอมตะ หรือแม้กระทั่งอาจเป็นแหวนพื้นที่ของจักรพรรดิอมตะก็เป็นได้!”


 


“เหอะๆ ไฉนเจ้าไม่บอกด้วยเล่า ว่าด้านในอาจเป็นแหวนพื้นที่ระดับต่ำ หรืออาจเป็นแหวนพื้นที่ร้ายๆ ที่ถูกคนโยนทิ้งเพราะสภาพไม่ดี…แหวนพื้นที่เหล่านี้ต่อให้พบเจอก็ไร้ราคาค่างวดอันใด และโดยมากด้านในก็ว่างเปล่าไร้สมบัติ…”


 


หวงเจียหลงเหลือบมองชายวัยกลางคน ด้วยสายตาแหลมคมกล่าวออกเสียงเบา “ยิ่งไปกว่านั้นแหวนที่พบเจอในหินดิบร้อยวง ก็ไม่แน่ว่าจะมีแหวนที่เก็บสิ่งของล้ำค่าเอาไว้…”


 


“อั้ย ที่แท้ท่านลูกค้ารู้จักหินดิบจำพวกนี้ดีอยู่แล้ว…เป็นข้าน้อยคิดสอนหนังสือมหาปราชญ์โดยแท้”


 


ได้ยินคำพูดดักทางของหวงเจียหลงเอาไว้ ชายวัยกลางคนก็หน้าม้านไปเล็กน้อย หากแต่ไม่ทันไรความละอายใจดังกล่าวก็มลายหายไปสิ้น ยังคล้ายมันไม่รู้สึกผิดอะไรแม้แต่น้อย


 


เพราะทุกครั้งที่มันต้องต้อนรับลูกค้า มันก็มักปฏิบัติต่อผู้อื่นราวกับคนไม่รู้ความไว้ก่อน หากอีกฝ่ายไม่ค่อยรู้เรื่องราวมาก ก็ไม่พ้นต้องหยิบควักเงินมากมายมาซื้อหินดิบด้อยค่าเหล่านี้กลับไป ตัวมันเองก็จะได้รับค่านายหน้าจากการขายมากหน่อย!


 


หากพบเจอกับผู้ที่ช่ำชองหนทางสายนี้และรู้เรื่องราวดี ก็คิดเสียว่าโชคร้ายยากจะหลอกกินเงินได้ง่ายๆ


 


“น้องต้วน ท่านสนใจซื้อหินดิบแผงนี้ติดไม้ติดมือสักหน่อยไหม?”


 


หวงเจียหลังหันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม


 


“ขอดูก่อนแล้วกัน…”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา เขาเองก็พึ่งนับเสร็จว่ามีแผงขายหินดิบในร้านนี้ทั้งสิ้น 36 แผง และแผงที่พวกเขากำลังชมดูอยู่ตอนนี้ก็เป็นแผงที่ตั้งติดหน้าร้านมากที่สุด แถมหินดิบที่วางขายก็มีขนาดเล็กสุดเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นหินดิบที่ห่วยสุดในร้าน


 


‘วิเศษจริงๆ…พลังของหินดิบพวกนี้กลับสามารถปิดกั้นสำนึกเทวะได้ชะงัด!’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


ถึงแม้จะได้รับทราบมาแล้วว่าหินดิบมีพลังอำนาจในการปิดกั้นสำนึกเทวะโดยสมบูรณ์ แต่เขาก็ยังรู้สึกทึ่งอยู่ดีเมื่อได้มาลองเองกับตัว


 


ท้ายที่สุดแล้วหินดิบเหล่านี้ก็เกิดจากการจับตัวของฝุ่นดินหินทรายหลังผ่านสายธารแห่งกาลเวลามาเนิ่นนานเท่านั้น…


 


‘ในระนาบเทวโลกไม่มีอะไรธรรมดาจริงๆ กระทั่งฝุ่นดินทั่วไปพอผ่านวันเวลามากมายหน่อย ก็กลับกลายเป็นอะไรที่มีพลังอำนาจน่าทึ่งขนาดนี้ได้…’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอย จากนั้นก็หันไปส่ายหน้าให้หวงเจียหลงพลางกล่าว “หินดิบแผงนี้ไม่มีชิ้นไหนถูกใจข้าเลย…พวกเราไปดูหินดิบแผงอื่นกันก่อนเถอะ”


 


“ได้”


 


หวงเจียหลงพยักหน้า จกานั้นก็หันไปกล่าวกับชายวัยกลางคนเสียงเรียบ “แนะนำแผงอื่นให้พวกเราต่อเถอะ”


 


หลังจากนั้นหลังชายวัยกลางคนเริ่มแนะนำแผงขายหินดิบแต่ละแผง ต้วนหลิงเทียนก็พอจะเข้าใจว่าไฉนร้านค้าหินดิบแห่งนี้ถึงได้มีการจัดแบ่งแผงต่างๆเอาไว้


 


สำหรับหินดิบที่แลดูน่าจะมีของมีค่ามากเท่าไหร่ ราคาก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น


 


หินดิบบางก้อนนั้นมองไปก็เห็นว่ามีลักษณะเป็นอาวุธชัดๆ แต่ยากที่ผู้คนจะระบุได้ว่าอาวุธที่ซุกซ่อนอยู่ภายในนั้นมีระดับใด เพราะด้วยถูกหินดิบปกคลุมเอาไว้จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่สำนึกเทวะจะชำแรกไปตรวจสอบระดับของมันได้


 


และหินดิบที่มีรูปร่างลักษณะเป็นอาวุธทั้งหลาย ก็มีราคาสูงมากกว่าหินดิบชนิดอื่นๆ


 


“นู่นๆๆ นี่ๆๆแล้วก็นั่น…หินดิบรูปกระบี่พวกนี้ข้าเหมาหมด!”


 


ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหนึ่งแว่วดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน มองไปไม่ไกลก็พบเจ้าของเสียงดังกล่าว


 


เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดคลุมสีเขียวแลดูหรูหราอู้ฟู่ ลักษณะท่าทางแลดูเย่อหยิ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตา กำลังสะบัดมือเรียกผลึกอมตะระดับสูงออกมามากมาย และกว้านซื้อหินดิบรูปทรงกระบี่กว่า 30 ชิ้น จนหินดิบรูปทรงกระบี่แทบเกลี้ยงร้าน!


 


หินดิบรูปทรงกระบี่ที่เหลืออยู่นั้นก็มีเพียงแค่ 3 ชิ้นเท่านั้น และหากกะประมาณแล้วไม่พ้นด้านในต้องเป็นอาวุธจำพวกกระบี่หนักหรือไม่ก็ดาบใหญ่มากกว่า ท่าทางจะไม่ถูกจริตของมัน


 


“จึกๆๆ…เจ้านั่นถึงกับกว้านซื้อหินดิบรูปทรงกระบี่มากมายขนาดนี้ ราคาคงไม่ใช่น้อยๆเลย เท่าที่เห็นก็ต้องมีต่ำๆ 30,000 ผลึกอมตะชั้นสูงเข้าไปแล้ว ท่าทางเจ้านั่นจะมีความเป็นมาไม่ธรรมดา”


 


หวงเจียหลงเองก็สังเกตเห็นชายหนุ่มในชุดคลุมเขียวแลดูหรูหราเช่นกัน จากนั้นก็เหลือบไปเห็นชายชราท่าทางไม่ธรรมดาที่คอยติดตามอีกฝ่ายดั่งเงาตามตัว


 


“ท่านลูกค้า แขกท่านนั้นเป็นลูกชายคนเดียวของเจ้าเมืองฝูเจี้ยนในประเทศตันจี้ของเรา เจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยน หานอวิ๋นเฮ่อ!”


 


ชายวัยกลางคนที่เป็นพนักงานอำนวยความสะดวกของต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลง กล่าวบอกอัตลักษณ์ความเป็นมาของชายหนุ่มชุดหรูให้ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงฟังเสียงเบา


 


“เจ้าเมืองน้อย เมืองฝูเจี้ยน?”


 


คิ้วหวงเจียหลงเลิกขึ้น กล่าวออกเสียงเบา “เช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนมันถึงกว้านซื้อหินดิบรูปทรงกระบี่ไปทั้งหมด…ที่แท้มันเป็นลูกชายของเจ้าเมืองฝูเจี้ยน และจวนเจ้าเมืองฝูเจี้ยนก็ล้วนมีแต่ผู้ฝึกกระบี่มือดีทั้งนั้น…”


 


แคร่กก!!


 


ในขณะเดียวกับที่หวงเจียหลงกล่าว เจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนก็ใช้พลังป่นหินดิบรูปทรงกระบี่ที่ซื้อมาทิ้งก้อนหนึ่ง หินดิบที่ปกคลุมอยู่ก็เริ่มแตกสลายกลับกลายเป็นฝุ่นดินร่วงพื้น จากนั้นสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือกระบี่สีดำสนิทเล่มหนึ่ง


 


“กระบี่อมตะระดับสูง…ขาดทุนแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนกับพนักงานวัยกลางคนข้างๆหวงเจียหลงกล่าวอย่างทอดถอนใจ


 


“หินดิบรูปทรงกระบี่แค่ชิ้นเดียวก็มีราคานับพันผลึกหินอมตะระดับสูง…ไม่ตองพูดถึงกระบี่อมตะระดับสูงด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นกระบี่อมตะระดับสูงสุดก็ยังขาดทุนครั้งใหญ่! เพราะสุดท้ายแล้วกระบี่อมตะระดับสูงสุดก็มีราคาแค่ 10 ผลึกหินอมตะระดับสูงเท่านั้น และหากเป็นกระบี่อมตะระดับสูงสุดที่หลอมออกมาดีหน่อย จนเกือบทัดเทียมกับกระบี่อมตะรดับขุนนาง ก็มีราคาแค่ราวๆ 20-30 ผลึกอมตะระดับสูงเท่านั้น”


 


หวงเจียหลงกล่าว


 


แคร่ก! แคร่ก! แคร่ก! แคร่ก! แคร่ก!


 



 


ท่ามกลางสายตาของผู้คนในร้านหินดิบ นายน้อยเมืองฝูเจี้ยนก็เลือกจะทำลายหินดิบรูปทรงกระบี่อีก 20 ชิ้นในพริบตาเดียว เปิดเผยกระบี่ที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในออกมาให้เห็นอย่างพร้อมเพรียง


 


ภายในหินดิบรูปทรงกระบี่นั้น กระบี่ที่มีระดับต่ำที่สุดก็คือกระบี่อมตะระดับกลาง ส่วนที่มีจำนวนมากสุดก็เห็นจะเป็นกระบี่อมตะระดับสูง ส่วนกระบี่อมตะระดับสูงสุดนั้นมีให้เห็นแค่สองสามเล่มเท่านั้น


 


“อั้ย ขาดทุนแทบตายแล้ว…”


 


“เหอะๆ พริบตาเดียวผลึกอมตะระดับสูงสองสามหมื่นกลับอันตรธานหายไปกับสายลม…นี่หรือรสชาติชีวิต”


 


“เฮ่อ พนันหินนี่มันช่างชวนให้ใจระทึกยิ่งนัก!”


 


“เหอๆ จับจ่ายคราวเดียวสองสามหมื่นผลึกอมตะระดับสูง…หากไม่ใช่ลูกคนมีอันจะกินไหนเลยจะเล่นใหญ่ได้ขนาดนี้!”


 


“แต่แม้จะเสียผลึกอมตะระดับสูงไปมากขนาดนั้น ทว่าเจ้าเมืองน้อยฝูเจี้ยนผู้นี้ยังไม่แม้แต่จะกระพริบตา จิตใจช่างน่านับถือยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นบุตรชายของเจ้าเมืองฝูเจี้ยน บิดาพยัคฆ์ไม่มีลูกสุนัขจริงๆ!”


 



 


เหล่าผู้มี่ดูชมกาลงมือทำลายหินดิบของเจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ


 


แคร่กก!


 


ครู่ต่อมาเจ้าเมืองน้อยฝูเจี้ยนที่ไม่คล้ายจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการขาดทุน ก็เริ่มป่นหินดิบรูปทรงกระบี่ไม่กี่ชิ้นที่ยังเหลืออยู่ และหลังจากที่ป่นทำลายหินดิบรูปทรงกระบี่ชิ้นหนึ่งแล้วเสร็จ ก็ปรากฏแสงสีเขียวลี้ลับหนึ่งเรืองรองออกมา จนทุกผู้คนในร้านค้าหินดิบแลเห็นกันชัดถนัดตา


 


“กระบี่อมตะระดับราชา!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าออกด้วยความประหลาดใจ ด้วยไม่คิดว่าหานอวิ๋นเฮ่อผู้นี้กลับได้รับกระบี่อมตะระดับราชาจากหินดิบรูปทรงกระบี่จริงๆ!


 


และตราบใดที่มันเป็นกระบี่อมตะระดับราชาที่ไม่มีความเสียหาย ราคาของมันอย่างน้อยๆก็ต้องมี 100,000 ผลึกอมตะระดับสูง!


ตอนที่ 2,959 : ต้วนหลิงเทียนเปิดหินดิบ!


 


อุปกรณ์อมตะนั้น ยิ่งมีระดับสูงมากเท่าไหร่มูลค่าของมันก็จะมหาศาลขึ้นไปดั่งเงาตามตัว


 


นี่คือสามัญสำนึกของทุกผู้คน


 


อย่างไรก็ตามความแตกต่างทางด้านมูลค่าของอุปกรณ์อมตะที่มีระดับต่ำกว่าขั้นราชานั้น โดยปกติแล้วจะไม่ได้แตกต่างกันมากมายอะไร กล่าวได้ว่ายังไม่ถึงขั้นแตกต่างกันเกิน 10,000 เท่า…


 


ก็เหมือนกับอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางทั่วไปที่มีราคา 1,000 ผลึกหินอมตะระดับกลาง หรือเทียบได้กับผลึกอมตะระดับสูง 10 ชิ้น…


 


และอุปกรณ์อมตะระดับสูงสุดทั่วไปนั้น ก็มักมีราคาแค่ 10 ผลึกอมตะระดับกลางเท่านั้น ซึ่งนับว่าแตกต่างจากอุปกรณ์อมตะระดับขุนนาง 100 เท่า!


(แก้ตอนที่แล้วหน่อยครับ ราคาของกระบี่อมตะระดับสูงสุดนั้น แค่ 10 ผลึกอมตะระดับกลาง หรือที่ดีหน่อยก็ 20-30 ผลึกอมตะระดับกลางเท่านั้น ไม่ใช่ระดับสูง)


 


อย่างไรก็ตามมูลค่าของอุปกรณ์อมตะระดับราชานั้น ได้อยู่เหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับขุนนนางมากโข เรียกว่าแตกต่างกันถึง 10,000 เท่า!


 


10,000 เท่า!


 


สิ่งนี้จะให้คิดอย่างไร?


 


กล่าวได้อีกอย่างว่า มูลค่าของอุปกรณ์อมตะระดับราชา 1 ชิ้นนั้น มันเทียบได้กับมูลค่าของอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางถึง 10,000 ชิ้น! และสิ่งนี้ยังวัดกันในแง่มูลค่าราคาผลึกหินอมตะเท่านั้น!!


 


เพราะโดยปกติแล้ว ผู้ที่ครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางอยู่ 10,000 ชิ้น หากอยากจะได้อุปกรณ์อมตะระดับราชามาครองสักชิ้น ให้มันไปขอแลกซื้อกับผู้ใด ก็คงไม่มีใครบ้าแลกกับมัน เว้นเสียแต่จะไปขายอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางที่มีให้กลายเป็นผลึกอมตะระดับสูงเสียก่อน…


 


“กระบี่อมตะระดับราชา!!”


 


“จ้าวสวรรค์ช่วย มันกลับเป็นกระบี่อมตะระดับราชาจริงๆ! ยังจะมีผู้ใดคาดคิดกัน ว่าเจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนจะได้รับกระบี่อมตะระดับบราชาจากหินดิบรูปทรงกระบี่พวกนั้นจริงๆ!!”


 


“กระบี่อมตะระดับราชา…ขอเพียงมีสภาพสมบูรณ์ไม่ชำรุดเสียหายอันใด อย่างน้อยๆก็ต้องมี 100,000 ผลึกอมตะระดับสูง…นับว่าครั้งนี้เจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนทำกำไรได้ครั้งใหญ่!”


 


“เฮ่อ เมื่อครู่พวกเรายังพากันเสียดายแทนอยู่เลย ที่เจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนเอาเงินมาทิ้งเปล่าปลี้ๆหลายหมื่นผลึกอมตะระดับสูง…แต่ไม่ทันไรเจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนกลับเหมือนได้รับผลึกอมตะระดับสูงมาครองต่ำๆ 100,000 ชิ้นแล้ว!”


 



 


การที่หานอวิ๋นเฮ่อได้รับกระบี่อมตะระดับราชาหลังป่นหินดิบนั้น เรียกว่าได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั้งร้านทันที


 


กระทั่งบางคนที่เดินผ่านร้านมา พอได้ยินเสียงอุทานดังระงม ก็ถึงกับต้องหยุดดูชมเรื่องราวด้วยความอยากรู้


 


และเมื่อมีบางคนหยุดดูชมด้านนอกร้าน ผู้ที่สัญจรไปมาก็บังเกิดความสนใจและเริ่มมามุงชมกันด้วย พอได้รับทราบว่าที่แท้ภายในร้านมีคนได้รับกระบี่อมตะระดับราชาจากหินดิบ ก็เริ่มกล่าวด้วยความอิจฉากันยกใหญ่


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยขอรับเจ้าเมืองน้อยหาน วันนี้ท่านมีโชคยิ่ง ได้รับกระบี่อมตะระดับราชาไปครอง!”


 


พนักงานที่คอยดูแลหานอวิ๋นเฮ่อก็เร่งกล่าวคำปแสดงความยินดีกับหานอวิ๋นเฮ่อทันทีหลังฟื้นคืนสติ


 


“เจ้าไม่ต้องมาแสดงความยินดีอะไรกับข้าหรอก…ข้าซื้อหินดิบรูปทรงกระบี่ไปทั้งสิ้น 150,000 ผลึกอมตะระดับสูงแล้ว และตีจากสภาพของกระบี่อมตะระดับราชาเล่มนี้ อย่างดีก็คงขายได้ราว 130,000 – 140,000 ผลึกอมตะรดับสูงเท่านั้น…”


 


“คิดคำนวณดูแล้ว…ข้ายังเหมือนขาดทุนอยู่ราวๆ 1-2 หมื่นผลึกอมตะระดับสูง”


 


เผชิญหน้ากับการแสดงความยินดีของพนักงานในร้าน หานอวิ๋นเฮ่อเพียงกล่าวออกเสียงเบา “ส่วนหินดิบรูปทรงกระบี่ที่เหลือที่ข้ายังไม่ได้เปิด ข้าจะคืนให้เจ้า…เช่นนั้นก็ถือว่าข้าจะไม่ได้ขาดทุนอะไร และเหมือนได้กระบี่เล่มนี้มาในราคาทุน”


 


กล่าวจบคำหานอวิ๋นเฮ่อก็ส่งหินดิบรูปทรงกระบี่ที่เหลือให้ลอยกลับไปตั้งไว้บนแผงตามเดิม…


 


สิ่งนี้ทางร้านก็อนุญาตให้กระทำได้


 


เพราะตราบใดที่หินดิบยังไม่ได้ถูกป่นทำลายเปิดเผยของภายใน ท่านก็สามารถคืนมันได้ทุกเมื่อ แต่มีข้อแม้ว่าต้องคืนก่อนที่จะเดินออกจากร้านเท่านั้น และนี่คือกฏของตลาดพนันหินของย่านซีฟางที่ทุกคนรู้กันดี


 


หลังคืนหินดิบรูปทรงกระบี่ที่ยังไม่ได้เปิดให้ทางร้านแล้ว หานอวิ๋นเฮ่อก็เดินออกจากร้านพร้อมกับชายชราที่ติดตามอยู่ด้านหลัง ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย


 


กลุ่มคนที่มามุงดูอยู่ด้านนอกร้าน ก็เร่งหลีกทางให้อีกฝ่ายเดินสะดวกอย่างรู้งาน


 


หลังจากที่แผ่นหลังของหานอวิ๋นเฮ่อหายลับไปจากสายตาของทุกคนแล้ว ทุกคนก็เริ่มพูดคุยกันอีกครั้งอย่างอดไม่ได้


 


“อั้ย ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าเมืองน้อยของเมืองฝูเจี้ยน หานอวิ๋นเฮ่อ จะได้รับกระบี่อมตะระดับราชาจากร้านนี้!”


 


“คนของจวนเจ้าเมืองฝูเจี้ยนล้วนเป็นเซียนอมตะที่มุ่งเน้นในมรรคากระบี่ทั้งสิ้น…และถึงจวนเจ้าเมืองฝูเจี้ยนจะมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาไม่น้อย แต่อุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทกระบี่ก็มีเพียงแค่ 2 เล่มเท่านั้น หนึ่งอยู่ในมือของตัวเจ้าเมืองฝูเจี้ยนเอง ส่วนอีก 1 ชิ้นก็อยู่ในมือของผู้บัญชาการเมืองฝูเจี้ยน เช่นนั้นเจ้าเมืองน้อยหานจึงไม่เคยได้ครอบครองกระบี่อมตะระดับราชามาก่อน”


 


“แม้กระบี่อมตะระดับราชาจะมีปรากฏขึ้นในตลาดมืดเป็นบางครั้ง…แต่อย่างไรเสียอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทศาสตราที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในระนาบเทวโลกก็คือกระบี่ พอปรากฏว่ามีขายคราใด ก็ถูกผู้คนซื้อไปแทบจะทันที…เช่นนั้นแม้เจ้าเมืองน้อยหานจะมีผลึกอมตะมากพอซื้อหา แต่ก็ยากที่จะหาซื้อกระบี่อมตะระดับราชาได้…”


 


“ใช้ผลึกอมตะระดับสูง 130,000-140,000 ชิ้นเพื่อซื้อหากระบี่อมตะระดับราชาที่มีราคาพอๆกัน แม้ผิวเผินดูเหมือนจะไม่ได้กำไรหรือขาดทุน แต่จริงๆแล้วคราวนี้นับว่าเจ้าเมืองน้อยหานได้กำไรครั้งใหญ่!”


 


“ถึงแม้จักได้กำไร แต่ก็เป็นกำไรที่สมควรได้รับแล้วล่ะ…คนธรรมดาไหนเลยจักมีความกล้าหาญเช่นนี้? เท่าที่ข้ารู้มาเจ้าเมืองฝูเจี้ยนได้มอบผลึกอมตะระดับสูงให้เจ้าเมืองน้อยหาน 200,000 ชิ้น และให้ไปจัดการหาซื้อกระบี่อมตะระดับราชาด้วยตัวเอง…”


 



 


วาจาทำนองเดียวกันเริ่มดังขึ้นทั่วร้านหินดิบรวมถึงพื้นที่หน้าร้านหินดิบ ต้วนหลิงเทียนที่ได้ฟังเรื่องราวก็อดไม่ได้ที่จะนับถือความกล้าได้กล้าเสียของเจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนผู้นี้อยู่บ้าง


 


เพราะสุดท้ายแล้วไม่ใช่ทุกคนที่มีผลึกอมตะระดับสูง 200,000 ชิ้น จะมีความกล้าหากระบี่อมตะระดับราชามาครองด้วยวิธีเล่นพนันหิน!


 


“อาศัยความกล้าหาญนี้ของเจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยน ข้าเกรงาว่าความสำเร็จในภายภาคหน้าย่อมไม่อ่อนด้อยกว่าบิดาแน่…”


 


หวงเจียหลงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


เมืองฝูเจี้ยนนั้นก็เป็น 1 ในเมืองใต้การปกครองของประเทศตันจี้ และยังเป็นหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดเช่นกัน


 


และเจ้าเมืองฝูเจี้ยนนั้น ยังเป็นหนึ่งในยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะที่ร้ายกาจที่สุดของประเทศตันจี้


 


หลังจากที่คนต้นเรื่องอย่างหานอวิ๋นเฮ่อจากไปแล้ว ไม่นานสถานการณ์ภายนอกร้านก็เริ่มกลับสู่ความสงบ ผู้คนก็เริ่มแยกย้ายกันจากไป


 


ขณะเดียวกัน ด้านต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงก็มองชมหินดิบมากมายภายใต้การแนะนำของชายวัยกลางคน


 


และในระหว่างที่รับฟังคำแนะนำ หวงเจียหลงเองก็มีเลือกหินดิบติดไม้ติดมือมาลองดู อนิจจาทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีแต่ผงคลี เสียเงินไปเปล่าๆ…


 


“พี่เจียหลง ท่านเล่นเลือกสะเปะสะปะแบบนี้คงยากจะเจอของดี…ไม่สู้ซื้อเหมือนเจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนจะดีกว่าหรือ อย่างน้อยๆก็อาจจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง อันที่จริงข้าว่าซื้อหินดิบรูปทรงกระบี่ที่เหลือนั่นเลยก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะท่านอาจเก็บตกของดีที่คนไม่มองก็ได้”


 


เมื่อเห็นว่าหินดิบที่หวงเจียหลเลือกซื้อมาป่นเล่นนั้น ล้วนแล้วแต่มีละอองธุลีไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาพลางกล่าวด้วยความขบขัน


 


“และข้าเชื่อว่าหากท่านเก็บตกของดีจากหินดิบรูปทรงกระบี่ที่เหลือจากเจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนได้ล่ะก็ ข้าเชื่อว่าทันทีที่เจ้านั่นรู้ข่าวคงต้องกระอักเลือดด้วยความช้ำใจแน่นอน…”


 


ต้วนหลิงเทียนยังคงกล่าวสืบต่อด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน


 


เป็นธรรมดาว่าที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวแนะนำออกไป ก็แค่กล่าวเล่นไปอย่างนั้น เพราะเห็นว่าหากเป็นจริงก็คงน่าสนุกสนานไม่น้อย ไม่ได้ตั้งใจจะให้หวงเจียหลงทำอย่างที่เขาพูดจริงๆ


 


เพราะสุดท้ายแล้วหากยังไม่หน้ามืดตามัวจริงๆ ก็คงรู้ว่าที่เขาพูดไปนั้น ก็แค่กล่าวเล่นไปเรื่อยหาแก่นสารอะไรไม่ได้


 


อย่างน้อยชายวัยกลางคนที่เป็นผู้คอยดูแลรับรองต้วนหลิงเทียยนยกับหวงเจียหลงในร้านก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้มขบขันหลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน


 


“อั้ย! ที่น้องต้วนกล่าวนับบว่ามีเหตุผลยยิ่ง…จัดไป! เช่นนั้นข้าจะเหมาหินดิบรูปทรงกระบี่ที่เจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนไม่เอาทั้งหมด!!”


 


“หากข้าดูไม่ผิดน่าจะมีเหลือทั้งสิ้น 13 ชิ้นใช่หรือไม่…จัดมา ข้าเหมา!!”


 


ตอนที่เจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนคืนหินดิบรูปทรงกระบี่นั้น หวงเจียหลงก็เห็นเช่นกัน จากนั้นพอหันไปมองนับดูก็พบว่ามี 13 ชิ้น จึงคิดจะเหมาหมดตามคำแนะนำของต้วนหลิงเทียน


 


“พี่เจียหลง…ข้าแค่พูดเล่นไปอย่างนั้น ไฉนท่านถึงกับบ้าจี้ตามข้าได้เล่า!?”


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งไปอยู่บ้าง ด้วยไม่คิดเลยว่าเขาที่พูดเล่นไปขำๆ แต่หวงเจียหลงจะบ้าจี้เอาจริงขึ้นมา!


 


หินดิบรูปทรงกระบี่ที่เหลือ 13 ชิ้นนั้น ตีราคาแล้วก็มากกว่า 13,000 ผลึกอมตะระดับสูงเสียอีก!


 


“อั้ยน้องต้วน ในเมื่อวันนี้ข้ามาพนันหิน ข้าก็คิดไว้แล้วว่าจะเล่นให้มันสนุกสักหน่อย…สำหรับข้าหวงเจียหลงแล้ว อันใดสนุกสนานข้าล้วนกระทำได้หมด ข้าไม่คิดมากหรอกหน่า ขำๆ”


 


หวงเจียหลงคลี่ยิ้มสบายๆ ไม่ได้แลดูจะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจเรื่องเหมาหินดิบรูปทรงกระบี่ที่เหลือ


 


“เอ้านี่ เจ้านับดูว่าครบ 13,000 ผลึกอมตะระดับสูงหรือไม่…หากไม่มีปัญหา ไปจัดหินดิบรูปทรงกระบี่ทั้ง 13 ชิ้นที่เหลือนั่นมาให้ข้า! ให้ไวเลย!!”


 


ขณะกล่าวหวงเจียยหลงก็สะบัดมือส่งแหวนพื้นที่อันมีผลึกอมตะจำนวน 13,000 ใส่ไว้ให้พนักงานชายวัยกลางคน เป็นอันว่าตัดสินใจซื้อหินดิบตามคำแนะนำของต้วนหลิงเทียน


 


“เอ่อ…”


 


พนักงานที่คอยดูแลแนะนำต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงได้แต่รับแหวนพื้นที่มาอย่างงงๆ จากนั้นพอส่องภายในดูก็พบว่าเป็นผลึกอมตะระดับสูงจำนวน 13,000 ชิ้นจริงๆ สีหน้ามันก็ฉายชัดถึงความตื่นเต้นยินดีทันที


 


มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าลูกค้าที่มันออกมาดูแลรับรองทั้ง 2 ที่แท้จะเป็นนายน้อยมือเติบเช่นกัน!


 


อีกฝ่ายกระทั่งจ่ายผลึกอมตะระดับสูงออกมา 13,000 ชิ้นโดยตาไม่กระพริบด้วยซ้ำ!


 


“ได้! ได้เลยขอรับ! ท่านลูกค้ารอสักครู่นะขอรับ! ข้าน้อยจะไปจัดมาให้ท่านบัดเดี๋ยวนี้!!”


 


หลังจากได้รับแหวนมาแล้วนับผลึกอมตะภายในเรียบร้อย พนักงานชายวัยกลางคนก็เร่งใช้พลังไร้สภาพหยิบคว้าหินดิบรูปทรงกระบี่ทั้ง 13 ชิ้นนั่นมาให้หวงเจียหลงเร็วไว ไม่สนว่าพวกมันจะบินข้ามหัวผู้ใดมาบ้าง


 


จังหวะนี้พนักงานต้อนรับคนอื่นๆก็อดไม่ได้ที่จะมองมาด้วยความอิจฉา!


 


ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้ มีแต่พนักงานที่คอยดูแลเจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนเท่านั้นที่จะทำผลงานได้ขนาดนี้!


 


“พี่เจียหลงท่านนี่จริงๆเลย…อย่างน้อยนั่นมันก็ 13,000 ผลึกอมตะระดับสูงนา”


 


เมื่อเห็นว่าหวงเจียหลงถูๆมือ ก่อนที่จะเริ่มป่นทำลายหินดิบบรูปทรงกระบี่ไปเรื่อยๆอย่างเมามัน ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า และรู้สึกว่าครั้งนี้หวงเจียหลงจะเอาแต่ใจเกินไปแล้ว


 


“เอาน่า ในเมื่อพวกเรามาเล่นพนันทั้งทีก็จัดหนักไปเลย…เต็มที่ก็แค่เสียไป 13,000 ผลึกอมตะระดับสูงเท่านั้นล่ะ ข้าไม่คิดมากหรอก อย่างดีก็ติดสินบนอาไป๋อย่าให้ท่านพ่อรู้ก็พอ..”


 


หวงเจียหลงยิ้มตอบอย่างไม่ได้สนใจอะไรมากมาย


 


และตอนนี้หลังจากป่นทำลายหินดิบทรงกระบี่ไปกว่า 5 ชิ้น แต่กระบี่ที่ดีที่สุดที่ได้ก็เป็นแค่กระบี่อมตะระดับขุนนางเท่านั้น


 


“ช่างร่ำรวยและใจถึงโดยแท้…หินดิบรูปทรงกระบี่ปรากฏกระบี่อมตะระดับราชามาสักเล่มก็นับว่าโชคดีอย่างมากแล้ว ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่ผู้อื่นมีโชคไปแล้ว ยังกล้าจะเก็บตกของเหลือมาเช่นนี้ ถึงกับจับจ่ายยออกไป 13,000 ผลึกอมตะระดับสูงตาไม่กระพริบเพื่อละเล่น!”


 


“ในเมืองหลวงประเทศตันจี้เรา ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีคุณชายนายน้อยบ้านใดใจถึงขนาดนี้มาก่อนเลย…อย่างไรก็ตามอีกไม่กี่วันงานประมูลของตระกูลราชวงศ์ก็จะเริ่มขึ้น ตอนนี้เมืองหลวงประเทศตันจี้เรามีแขกจากประเทศข้างเคียงมากันหนาตา บางทีชายหนุ่มผู้นี้อาจเป็นคุณชายนายน้อยบ้านใดจากประเทศเพื่อบ้านเราก็เป็นได้”


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น เพราะเท่าที่ข้าทราบมาในเมืองหลวงตันจี้เรา ไม่มีคุณชายนายน้อยบ้านใดใจถึงขนาดนี้อีกแล้ว กระทั่งเจ้าเมือน้อยเมืองฝูเจี้ยนนั่น เจอสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่กล้าเสี่ยงเสียเงินเปล่าหรอก…”


 



 


เมื่อเห็นว่าหวงเจียหลงเริ่มป่นทำลายเปิดหินดิบทรงกระบี่อีก 5 ชิ้น ทุกคนในเหลาก็หันมามองชมหวงเจียหลงด้วยความสนใจอีกครั้ง


 


“อั้ย ดูเหมือนว่าวันนี้ดวงข้าไม่ค่อยจะดีเท่าไร…ตอนนี้เหลือหินดิบอีกแค่ 3 ชิ้นแล้ว น้องต้วนท่านจัดให้ข้าหน่อย”


 


ท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งหมดในร้าน หวงเจียหลงก็สะบัดมือใช้พลังหอบหิ้วหินดิบรูปทรงกระบี่ที่เหลืออีก 3 ชิ้นไปให้ต้วนหลิงเทียนจัดการ


 


เมื่อเห็นหวงเจียหลงมองมาด้วยสายตาคาดหวัง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเกรงใจอะไร รับหินดิบรูทรงกระบี่ทั้ง 3 เตรียมลงมือทันที


 


“พี่เจียหลง คราวนี้หากท่านยังเจ๊งอีกท่านก็โทษข้าไม่ได้นา…เพราะข้าก็ใช่ว่าจะดวงดีกว่าท่าน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวล้อเล่นออกมาด้วยความขบขัน จากนั้นก็เริ่มแผ่พลังครอบคลุมหินดิบรูปทรงกระบี่ทั้ง 3 ชิ้น


 


“ฮ่าๆๆ…น้องต้วน หากท่านเปิดได้กระบี่อมตะระดับต่ำขึ้นมา อย่างน้อยๆหลังจากนี้ข้าก็มีเรื่องล้อท่านเรื่องดวงตกไปอีกนานแล้ว!”


 


หวงเจียหลงเองก็รู้ว่าต้วนหลิงเทียนพูดเล่น จึงกล่าวหยอกกลับด้วยทีท่าขบขัน


 


จนถึงตอนนี้หินดิบรูปทรงกระบี่ที่ถูกเปิดมาทั้งหมดรวมส่วนของเจ้าเมืองน้อยยเมืองฝูเจี้ยนนั้น ระดับที่ต่ำที่สุดก็ยังเป็นกระบี่อมตะระดับกลางเท่านั้น ไม่เคยปรากฏกระบี่อมตะระดับต่ำมาก่อนเลยย


 


“ถึงข้าจะดวงกุดก็คงไม่ดวงกุดขนาดนั้นหรอกมั้ง…เอ่อ… อันนี้ยังได้อยู่ เป็นกระบี่อมตะระดับกลาง…”


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้กล่าวจบคำ เขาก็พบว่าหินดิบรูปทรงกระบี่ที่เขาเริ่มปนทำลายไปชิ้นแรก กลับเป็นแค่กระบี่อมตะระดับกลาง ที่มีระดับต่ำที่สุดเท่าที่เคยเปิดได้วันนี้มาเท่านั้น นี่ทำให้หน้าเขาเสียไปไม่น้อย ด้วยกลัวว่าจะทะลึ่งเปิดได้กระบี่อมตะระดับต่ำออกมาสร้างความหัวเราะให้ผู้คนจริงๆ!


 


แคร่ก!


 


ต้วนหลิงเทียนยังเลือกจะเปิดหินดิบรูปทรงกระบี่ชิ้นที่ 2 ออกมาด้วยความเชื่อว่าดวงเขาคงไม่ซวยขนาดนั้น!


 


วู้มมม!!


 


ทว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเริ่มป่นทำลายหินดิบรูปทรงกระบี่ชิ้นที่สอง เขาก็พบว่าหลังใช้พลังป่นทำลายหินดิบจนสลายตัวเป็นธุลีร่วงหล่นไปบางส่วน กลับปรากฏแสงพลังลี้ลับเรืองสว่างสาดส่องออกมาจากจุดนั้น แสงพลังลี้ลับยังสาดส่องไปทั่วร้าน! จนทั่วทั้งร้านคล้ายจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายแหลมคมอันเยียบเย็นหนึ่ง!!


 


ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้ทั้งร้านตกตะลึงอึ้งไปทันที!


 


“นี่มัน…กระบี่อมตะจอมราชัน!?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน!


ตอนที่ 2,960 : บังคับซื้อขาย?


 


วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!



เพียงเวลาทั่วพริบตา ทั่วทั้งร้านก็ถูกกลิ่นอายแหลมคมอันเยียบเย็นหนึ่งปกคลุมไปทั่ว


 


และต้นตอของกลิ่นอายแหลมคมแสนเยียบเย็นนั่น ก็แผ่กำจายออกมาจากหินดิบทรงกระบี่ที่บัดนี้ส่วนปลายได้ถูกพลังของต้วนหลิงเทียนป่นทำลายไปบางส่วน


 


อย่างไรก็ตามกลิ่นอายคมกล้าแสนยะเยยือกที่แผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วร้าน พริบตาก็เริ่มสลายหายไป ก่อนที่จะอันตรธานสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยในเวลาอันสั้น


 


อย่างไรก็ตามความไม่ธรรมดาของมัน ก็ถูกผู้คนตระหนักถึงเรียบร้อยแล้ว


 


จังหวะนี้แม้แต่ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นตอนเจ้าเมืองน้อยเมืองฝูเจี้ยนเปิดหินดิบได้กระบี่อมตะระดับราชา ยังกลับกลายเป็นความเคลื่อนไหวอันเล็กจ้อยไปทันที เมื่อเทียบกับกลิ่นอายคมกล้าหาใดเปรียบที่ฟุ้งตลบออกมาเมื่อครู่ หลังต้วนหลิงเทียนเริ่มป่นทำลายหินดิบไปบางส่วน


 


และในบรรดาคนที่อยู่ในร้านทั้งหมด ก็เป็นต้วนหลิงเทียนที่ดึงสติกลับมาได้ก่อนใคร ลูกตาหดหยีลงเล็กน้อย เผยให้เห็นความประหลาดใจอยู่บ้าง


 


ส่วนคนที่เหลือนั้นตกตะลึงอึ้งไปอยู่นานกว่าฟื้นคืนสติ


 


สาเหตุที่ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงสามารถฟื้นคืนสติได้ฉับไว คล้ายไม่ได้ตกใจอะไรมากมายนัก เพราะกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาเมื่อครู่ เขาคุ้นเคยกับพวกมันดี…มันเหมือนกับกลิ่นอายของอุปกรณ์อมตะที่เขาครอบครองอยู่ 3 ชิ้น


 


ตอนนี้เขามีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันอยู่ในมือทั้งสิ้น 3 ชิ้น


 


เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลืองชิ้นหนึ่ง และเป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันทั่วไป 2 ชิ้น


 


อย่างไรก็ตามอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันทั่วไปทั้ง 2 ชิ้นที่ว่า มันไม่ใช่ของๆเขา เพียงแต่มันถูกฝากไว้กับเขาเป็นการชั่วคราว ซึ่งก็คือแหวน 9 วิญญาณหยินลี้ลับ และแหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับ ของชายหนุ่มแซ่เผยที่ความเป็นมาลึกลับคนนั้น


 


ส่วนอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลือง ก็เป็นเขาได้มาจากงานสมัชชาเต๋าโอสถของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ในพื้นที่ชายแดน


 


ตอนนี้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลืองที่ว่าก็ได้ถูกเขาใช้งานไปแล้วครั้งหนึ่ง และคงเหลือเพียงโอกาสใช้งานมันอีก 2 ครั้งเท่านั้น


 


และหลังจากผ่านการใช้งานอีก 2 ครั้ง อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองที่ว่าก็จะสูญสิ้นคุณค่าทันที


 


และนั่นก็คือชะตากรรมของอุปกรณ์อมตะประเภทสิ้นเปลืองหลังใช้งานครบกำหนด


 


“ช้าก่อน…นิ…นี่มัน..คงไม่ใช่กระบี่อมตะจอมราชันหรอกนะ!?”


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนฟื้นสติได้พักหนึ่ง หวงเจียหลงก็ดึงสติกลับเข้าตัวได้เช่นกัน จากนั้นมันก็มองจ้องไปยังหินดิบรูปทรงกระบี่ที่บัดนี้ถูกป่นทำลายไปบางส่วนในมือต้วนหลิงเทียน พลางถามอกมาด้วยสีหน้าแววตาตกตะลึงทั้งเหลือเชื่อ


 


และตอนนี้หินดิบรูปทรงกระบี่ในมือต้วนหลิงเทียน ส่วนที่ถูกเขาป่นทำลายไปก็เป็นบริเวณปลายกระบี่กับบริเวณด้ามจับบางส่วน


 


บริเวณปลายกระบี่ที่โผล่ออกมานั้น มีสีเขียวเข้มปานถูกหลอมสร้างขึ้นมาจากหยกจักรพรรดิ และยังมีอักขระโบราณสลักจารึกไว้บริเวณใบกระบี่ให้ความรู้สึกเก่าแก่ ทั้งมีพลังอำนาจครอบงำจิตใจผู้คนอยู่บ้าง


 


นอกจากนั้นบริเวณจุดกึ่งกลางใบกระบี่ ยังมีเส้นสีแดงลากยาว เส้นสีแดงที่ว่ามองไปคล้ายเส้นสายโลหิตก็ไม่ปาน ให้ความรู้สึกเสมือนกำลังมีโลหิตไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา


 


แคร่ก! แคร่ก! แคร่ก!


 



 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ออกแรงเพียงเล็กน้อยบีบทำลายหินดิบบริเวณด้ามจับจนแหลกเป็นผงทั้งหมด ก่อนที่จะเริ่มใช้พลังป่นทำลายหินดิบส่วนที่เหลือโดยไม่สนสายตาคนมอง


 


หลังจากนั้นตัวกระบี่สีเขียวเข้มปานหยกจักรพรรดิก็ปรากฏขึ้นให้ทุกผู้คนชมดูถนัดตา ใบกระบี่ทั้ง 2 ด้านเต็มไปด้วยอักขระและลวดลานโบราณ ใจกลางใบกระบี่ปรากฏเส้นสีแดงยาวปานเส้นเลือดลากจากปลายกรบี่จรดกั่นกระบี่


 


วู้ม! วู้ม!


 


นอกจากนั้นกลิ่นอายพลังแหลมคมเยียบเย็นก็แผ่ซ่านออกมาอย่างหนาแน่น แสงพลังลี้ลับก็เรืองสว่างส่องสาดให้ทุกคนเห็นชัดถนัดตา


 


ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!


 


ต้วนหลิงเทียนลองโคจรพลังถ่ายลงสู่ตัวกระบี่พลางตวัดกระบี่วัดสมดุลทั้งความหนักเบาเล่นดู ก็ปรากฏรังสีกระบี่วูบวาบฟันแหวกอากาศเบื้องหน้าไปให้ความรู้สึกแหลมคมบาดนัยน์ตา และกลิ่นอายพลังลี้ลับที่แผ่ออกมาก็ยิ่งรุนแรง ประหนึ่งจะมีอานุภาพสะกดครอบงำจิตใจผู้ชมมอง


 


นอกจากนั้นทุกผู้คนไม่ว่าใคร ไม่จำเป็นต้องใช้สำนึกเทวะตรวจสอบดูก็คงทราบได้ทันที ว่าพลังอานุภาพของกระบี่เล่มนี้ มันเหนือกว่ากระบี่อมตะระดับราชาไปไกลโข!


 


“กระบี่อมตะจอมราชัน! มารดามันเถอะ…นั่นคือกระบี่อมตะจอมราชัน!!”


 


“จ้าวสวรรค์ช่วย! ข้าไม่นึกไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าชาตินี้ข้าจะมีวันได้ยลโฉมกระบี่อมตะจอมราชันกับตา!!”


 


“ในกระเทศตันจี้ของเรา ดูเหมือนครั้งสุดท้ายที่มีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันปรากฏขึ้น ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 1,300 ปีก่อนใช่หรือไม่?”


 


“กระบี่อมตะจอมราชัน! กระบี่เล่มนั้น…กลับเป็นกระบี่อมตะจอมราชันจริงๆ!!”


 



 


จังหวะนี้เหล่าลูกค้าในร้านไม่เว้นพนักงานทั้งหลายที่ได้สติกลับคืน ก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หากแต่สีหน้าแววตายังฉายชัดถึงความตื่นตระหนกทั้งเหลือเชื่อไม่หาย!


 


ด้านหวงเจียหลงเองก็เริ่มกวาดตามองไปทั่วทั้งร้านด้วยสายตาเปี่ยมจิตฆ่าฟัน


 


ตอนนี้ในใจมันมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น…


 


นั่นคือเข่นฆ่าคนในร้านที่คิดจะออกไปแจ้งข่าวหรือใช้ยันต์อมตะสื่อสารทิ้งเสีย! เพื่อไม่ให้ข่าวเรื่องกระบี่อมตะจอมราชันเล็ดลอดออกไปนอกร้านเด็ดขาด!!


 


อย่างไรก็ตามหวงเจียหลงยังคงลงมือช้าเกินไป


 


นั่นเพราะผู้ดูแลร้านหินดิบแห่งนี้ อันเป็นชายชราที่มีหนวดเคราขาวโพลนได้สะบัดมือเรียกใช้ยันต์อมตะสื่อสารไปเรียบร้อยแล้ว


 


และยันต์อมตะสื่อสารที่มันพึ่งบดขยี้ใช้ไป ก็คือยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณ ซึ่งตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดในนร้าน ก็ได้ส่งไปถึงผู้รับสารเป็นที่เรียบร้อย…


 


“ลูกค้าท่านนี้”


 


ขณะเดียวกันหลังบดขยี้ใช้งานยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณแล้วเสร็จ ชายชราเครายาวขาวปลอด ก็ก้าวอาดๆออกมาจากด้านในสุดของร้าน สายตาจับจ้องมองไปยังหวงเจียหลงเขม็ง


 


เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ล่วงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในร้าน และรู้ว่าเจ้าของที่แท้จริงของกระบี่อมตะจอมราชันก็คือหวงเจียหลง


 


“กระบี่เล่มนี้…ทางร้านของเรายินดีรับซื้อในราคา 10,000,000 ผลึกอมตะระดับสูง!”


 


ชายชราเคราขาวกล่าวออกเสียงดังฟังชัด


 


“ผลึกอมตะระดับสูง 10,000,000 ชิ้น?”


 


ชายชราเคราขาวเสนอราคาซื้อไม่ทันจบคำดี ผู้คนในร้านที่ได้ยินบางส่วนก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความอึ้ง สีหน้าแววตาที่ใช้มองชายชราเคราขาวยังทำราวกับมองตัวโง่งมเหลวไหลตัวหนึ่ง!


 


ล้อกันเล่นหรือไร!?


 


นั่นมันกระบี่อมตะจอมราชันเชียวนะ!!


 


คิดจะซื้อมันในราคา 10,000,000 ผลึกอมตะระดับสูง ท่านกำลังฝันอยู่รึเปล่า?


 


“10,000,000  ผลึกอมตะระดับสูง?”


 


หลังได้ยินคำเสนอราคาของชายชราเคราขาว หวงเจียหลงก็อึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “ตาแก่ นี่เจ้าเห็นข้าเป็นตัวโง่งมหรือไร?”


 


“ไม่ต้องกล่าววถึงเรื่องที่อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทกระบี่ล้ำค่ากว่าศาสตราชนิดอื่นๆ…ต่อให้เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันที่ด้อยคุณภาพที่สุดในคฤหาสน์เฉวียนโยว แต่ถ้าข้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่ามันจะสนนราคาอยู่ที่ 1,000,000,000 ผลึกอมตะระดับสูงไม่ใช่รึ?”


 


กล่าวถึงท้ายประโยคมุมปากหวงเจียหลงก็ยกยิ้มแสยะน่าขัน “แถมนั่นยังเป็นราคาขั้นต่ำ…เพราะไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันไร้ตลาดอันใด ก็คงไม่มีผู้ใดที่ครอบครองมันคิดจะขายออกไปให้โง่!”


 


ภายในแดนสวรรค์ใต้นั้น ไม่เคยปรากฏมาก่อนว่ามีใครสามารถซื้อหาอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันได้ด้วยทรัพย์สิน ถึงแม้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันจะมีราคากลาง แต่ทว่านั่นก็เป็นราคาที่เสนออกมาตามมูลค่าของมันเท่านั้น


 


และราคาของมันยังสูงกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาเป็นหมื่นเท่า!


 


ดุจเดียวกับมูลค่าของอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่สูงกว่าอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางหมื่นเท่า!


 


“มิผิด! ยังจะมีใครโง่งมรับข้อเสนอซื้อที่ต่ำจนน่าสมเพชเช่นนี้ได้ลงคอ! ตาแก่นั่นเห็นชายหนุ่มทั้งคู่เป็นตัวโง่งมจริงๆ?!”


 


“เท่าที่ข้ารู้มาร้านหินดิบร้านนี้เหมือนจะเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ขององค์ชาย 9 ของประเทศตันจี้เรา…และองค์ชาย 9 ผู้นี้ก็นับว่าเป็นผู้ที่มีหัวการค้ามากที่สุด…”


 


“ดูเหมือนว่าชายชราเคราขาวนั่นจักเป็นคนขององค์ชาย 9 และไม่พ้นได้รับคำสั่งจากองค์ชาย 9 ให้กดราคาชายหนุ่มทั้งสองที่เล่นพนันหินดิบนั่นเป็นแน่ หมายทำกำไรให้ได้มากที่สุด!”


 


“เหอะๆ แต่ถ้าหากองค์ชาย 9 คิดยืนกรานจะเอาของให้จงได้ขึ้นมา…ข้าเกรงว่าเจ้าหนู 2 คนนั่นก็คงไม่อาจแข็งข้อต่อต้านได้น่ะสิ เพราะสุดท้ายแล้วเบื้องหลังองค์ชาย 9 ก็คือตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้เรา!!”


 


“เฮ่อ…คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยกโดยแท้”


 



 


ตอนนี้คนภายในร้านพอตระหนักได้ว่าร้านนี้ใครเป็นเจ้าของ ก็พากันมองไปยังต้วนหลิงเทียนและหวงเจียหลงด้วยสายยตาเห็นใจ บ้างก็เวทนาสงสาร


 


และฟังจากบทสนทนาที่พวกมันพูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงนั้น เสมือนลูกแกะน้อยสองตัวที่พลัดหลงเข้ามาในรังหมาป่าอย่างไรอย่างนั้น! ถึงแม้จะได้กระบี่อมตะจอมราชันมาแล้วอย่างไร…สุดท้ายก็ไม่พ้นถูกบังคับให้ขายด้วยราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน…


 


ทว่าทันใดนั้นเอง


 


ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ!


 



 


เสียงฝีเท้ามั่นคงหนักแน่นหนึ่งดังขึ้น ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวค่อยๆเยื้องย่างเข้ามาในร้านอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


“ขออภัยด้วยท่านลูกค้า พอดีวันนี้ทางร้านของเราคิดปิดกิจการเป็นการชั่วคราว…หากท่านลูกค้าคิดเล่นพนันหิน รบกวนท่านลูกค้าไปใช้บริการร้านอื่นก่อนเถอะ ทางเราต้องขอภัยในความไม่สะดวกด้วย…”


 


เมื่อเห็นว่ามีใครบางคนำลังก้าวเข้ามาในร้าน ชายชราเคราขาวก็ขมวดคิ้วกล่าวออกไปอย่างเป็นทางการ หากทว่าแม้ถ้อยคำจะดูสุภาพทว่าน้ำเสียงกลับแข็งห้วนนัก พอกล่าวจบคำ มันก็หันไปมองสั่งพนักงานข้างๆ “พวกเจ้ายังไม่รีบส่งแขกอีก!?”


 


“ท่านลูกค้า วันนี้ร้านเราปิดบริการแล้ว…เชิญท่านกลับไปก่อนเถอะ!”


 


ยิ่งคนรู้เรื่องกระบี่อมตะจอมราชันน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี


 


ตอนนี้มันได้รับคำสั่งโดยตรงจากองค์ชาย 9 ของประเทศตันจี้ ผู้เป็นเจ้าของร้านที่แท้จริงเรียบร้อย!


 


องค์ชาย 9 สั่งให้มันเร่งควบคุมสถานการณ์ภายในร้านให้สงบให้ได้โดยเร็ว และเร่งปิดร้านเสีย เพื่อกันไม่ให้มีคนนอกเข้ามาเพิ่มเติมได้


 


สำหรับคนในร้านก็ห้ามไม่ให้ออกจากร้านไปไหนเด็ดขาด! เพียงรอให้มันมาถึงค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร!!


 


และตอนนี้องค์ชาย 9 แห่งประเทศตันจี้ก็กำลังเร่งุรดเดินทางมาที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุด!


 


ชายชราเคราขาวที่เป็นผู้ดูแลร้านแห่งนี้ แน่นอนว่านอกจากองค์ชาย 9 มาเอง ตัวมันก็คือผู้ที่มีอำนาจสั่งการสูงสุด พนักงานในร้านไหนเลยจะกล้าขัดคำ เร่งก้าวอาดๆไปทางชายวัยกลางคนชุดขาวเพื่อกันท่าอีกฝ่ายไม่ให้เข้าร้านมาจนรู้เรื่องราว หมายขับไล่ให้ออกไปเร็วไว


 


“เหอะ!”


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่พนักงานทั้งหลายจะทันได้เข้าไปใกล้ชายวัยกลางคนในชุดคลุมขาว พวกมันก็ได้ยินเสียงแค่นสบถเย็นชาจากชายวัยกลางคนคลุมขาวดังขึ้นคำหนึ่ง!


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงสบถเยียบเย็นของชายวัยกลางคนในชุดคลุมขาวดังขึ้นเข้าหู พนักงานร้านที่กำลังก้าวอาดๆเข้าไปก็เสมือนชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น ร่างพวกมันที่ก้าวออกได้ครึ่งทาง มีอันต้องชะงักค้างหยุดลง


 


และวินาทีต่อมาร่างของพวกมันก็คล้ายถูกพลังมหาศาลซัดกระแทก! คนล้วนปลิดปลิวกระเด็นย้อนกลับไปปานลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร! โลหิตกระอักออกปากเป็นสาย!!


 


ฟืด~!!


 


เห็นฉากดังกล่าวผู้คนภายในร้านอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ และตระหนักได้ว่าผู้มานั้นหาใช่คนที่ใครจะตอแยด้วยได้!


 


“ท่านลูกค้า มิทราบท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังร้านของพวกเรา”


 


ชายชราเคราขาวหันไปจับจ้องมองกล่าวกับชายวัยกลางคนคลุมขาวเสียงแข็ง สองตามองจ้องเขม็ง ลึกลงไปยังฉายชัดถึงความหวั่นหวาดประการหนึ่ง


 


มันที่เป็นผู้เข้มแข็งที่สุดภายในร้าน แต่กระนั้นกลับมิอาจมองออก…ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ลงมืออย่างไร!


 


ดังนั้นมันจึงไม่กล้าเคลื่อนไว้ลงมืออย่างบุ่มบ่าม เพียงกล่าวคำยกอ้างเบื้องหลังทางร้านออกมา หมายข่มขู่ให้ชายวัยกลางคนบังเกิดความหวั่นเกรง


 


“เสี่ยวเทียน ส่งกระบี่ในมือเจ้ามาให้ข้าชมดูหน่อย…”


 


อย่างไรก็ตามชายวัยกลางคนคลุมขาวนั้น ไม่ได้แยแสหรือสนใจอะไรเฒ่าชราเคราขาวแม้แต่น้อย เพียงก้าวอาดๆไปหาต้วนหลิงเทียนที่กำลังลองกระบี่พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม


 


“อาไป๋”


 


ได้ยินดังนั้นต้วนหลิงเทียนก็โยนกระบี่ในมือเบาๆให้หมุนควงรอบหนึ่ง หลังจากรับกระบี่โดยการจับปลายกระบี่แล้ว ก็ยื่นส่งด้ามกระบี่ไปให้ชายวัยกลางคนชุดคลุมขาวด้วยท่าทางปลอดโปร่ง คล้ายไม่ได้สนใจสถานการณ์ตึงเครียดเรื่องราวรอบกายแม้แต่น้อย


 


เพราะชายวัยกลางคนในชุดคลุมขาวที่ก้าวเข้ามาขอกระบี่ในมือไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นไป๋กังที่ซ่อนตัวในความมืดคอยให้ความคุ้มครองเขากับหวงเจียหลง


 


สำหรับคนทั่วไปแล้ว ถึงแม้กระบี่อมตะจอมราชันในมือจะไม่ใช่ของตัวเอง แต่อย่างน้อยๆก็ต้องบังเกิดความอาลัยอาวรณ์ไม่อยากส่งมอบไปให้ผู้ใดอยู่บ้าง


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีความรู้สึกดังกล่าวแม้แต่น้อย


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตอนนี้ในแหวนพื้นที่ของเขายังมีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันอยู่ถึง 3 ชิ้นเลย กระทั่งตอนที่เขาอยู่ในระนาบโลกียะเขายังเคยใช้กระบี่ที่มีระดับทัดเทียมกับกระบี่อมตะจอมราชันเล่มนี้มาแล้ว


 


และนั่นก็คือ กระบี่นิลสวรรค์ ที่เป็นยอดสมบัติสวรรค์ประจำชั้นที่ 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


หลังจากมาถึงระนาบเทวโลกแล้ว ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะรู้ว่ายอดสมบัติสวรรค์อย่างเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น ที่แท้ก็คืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ เขายังรู้ด้วยว่ากระบี่นิลสวรรค์เองก็คืออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน!


 


‘อย่างไรก็ตามถึงกระบี่เล่มนี้จะเป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันเหมือนกัน…แต่พลังอานุภาพของมันแลดูจะอ่อนด้อยกว่ากระบี่นิลสวรรค์เสียอีก ที่สำคัญยังด้อยกว่าแหวน 9 วิญญาณหยินลี้ลับ กับแหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับด้วยซ้ำ’


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนยื่นส่งกระบี่อมตะจอมราชันไปให้ไป๋กัง เขาก็มองไป๋กังลองกระบี่ไปมาด้วยสายตาเฉยเมย ในใจอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดเปรียบเทียบในใจ


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้รู้เลย


 


ว่ากระบี่อมตะจอมราชันอย่างกระบี่นิลสวรรค์นั้น การที่มันสามารถมาอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่ทรงพลังเหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิทั่วไปได้ ตัวมันย่อมมีพลังอำนาจอยู่ในระดับแนวหน้าของกระบี่อมตะจอมราชันด้วยกันอยู่แล้ว…


 


และสำหรับแหวน 9 วิญญาณหยินลี้ลับ กับแหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับที่เขาครอบครอง ก็ถือว่าเป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันชั้นเลิศเช่นกัน!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)