War sovereign Soaring The Heavens 2938-2950

 WSSTH ตอนที่ 2,938 : เพิ่มกฏ!


 


 


 


การที่มีคนพุ่งไปยืนหยัดบนสังเวียน 7 คนก่อนใครเช่นนี้ ก็เสมือนมีจ้าวสังเวียนให้ผู้อื่นท้าชิง 7 คน แต่ละคนยังยืนรอด้วยท่าทางมั่นใจ ร่างกายพร้อมปะทะ!


 


‘หากเป็นแบบที่ว่า คนที่ลงมือก่อนก็ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะอาศัยกลยุทธ์ตัดกำลังด้วยจำนวน…’


 


ได้ยินคำของชายวัยกลางคนด้านหลังหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนก็ลอบกล่าวในใจอย่างเงียบงัน


 


ยิ่งไปกว่านั้น หากคนที่ขึ้นไปก่อนคิดขัดเกลาตัวเองดั่งที่ชายวัยกลางคนว่า ก็คงมีไม่น้อยที่สามารถยกระดับพลังฝีมือของตัวเองได้ เพราะการบ่มเพาะพลังในห้องหับอย่างเดียว โดยไม่ได้สูดกลิ่นคาวเลือดและอันตราย ก็คงยากจะก้าวหน้าอันใดได้มาก


 


เช่นนั้นการประลองสวรรค์ใต้ครานี้ จะขึ้นสังเวียนไปก่อนและระวังตัวมากพอไม่ประเมินตัวเองสูงเกินไป ก็มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษอะไร


 


แต่ถึงกระนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะขึ้นไปก่อนอยู่ดี ยังตั้งใจแน่วแน่แล้วอีกด้วย…ว่าพี่จะขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย!


 



 


เพราะมีแต่ทำแบบนี้ถึงจะมีความปลอดภัยที่สุด!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังครุ่นคิดเรื่องราวไปเรื่อย ก็ปรากฏเสียงแหวกฝ่าสายลมดังขึ้นอีก 3 เสียง เป็นร่างคนที่พุ่งขึ้นไปยืนบนสังเวียนทั้ง 3 ที่ยังว่างอยู่นั่นเอง


 


เรียกว่าบัดนี้ ทั้ง 9 สังเวียน ก็มีเจ้าสังเวียนประจำเรียบร้อยแล้ว


 


“ตอนนี้ทั้ง 9 สังเวียนล้วนมีเจ้าสังเวียนแล้ว…ตราบใดที่คิดว่าตัวเองพลังฝีมือแน่พอ และคิดประสบความสำเร็จในการประลองสวรรค์ใต้ครั้งนี้ ก็เชิญขึ้นมาท้าทายเจ้าสังเวียนทั้ง 9 ได้เลย!”


 


“และสำหรับเจ้าสังเวียนแต่ละคนนั้น หากพ่ายแพ้ไปแล้ว นอกจากจะท้าทายผู้ที่เอาชนะตัวเองได้ ก็ยังเหลือสิทธิ์ให้ท้าทายผู้อื่นได้อีก 9 ครั้ง จะกลับมาเป็นเจ้าสังเวียนได้อีกหรือไม่ ก็พึ่งพลังฝีมือตัวเองเถอะ!”


 


เสียงประกาศของฮ่องเต้ฝูชิวดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ “เช่นนั้นข้าขอประกาศ เริ่มต้นการประลองสวรรค์ใต้ ณ บัดนี้!”


 


การประลองสวรรค์ใต้ ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ


 


และเมื่อเสียงประกาศของฮ่องเต้ฝูชิวดังจบคำ ร่างทั้ง 9 บนสังเวียนแสง ก็แลดูพร้อมรบเต็มเปี่ยม สภาวะพลังทั่วร่างกลายเป็นองอาจเหี้ยมหาญ!


 


“นั่นบุตรชายของเจ้าเมืองหนานหมิน หงซี ใช่หรือไม่? เห็นว่าถึงแม้ระดับพลังฝึกปรือของมันจะบรรลุถึงแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์เท่านั้น แต่ความเชี่ยวชาญในด้านวรยุทธ์กับเวทย์พลังของมันนั้นร้ายกาจไม่ใช่ชั่วจริงๆ”


 


“พวกเจ้าดูนู่นเร็ว นั่นคือบุตรีของของประมุขตระกูลเหอแห่งเมืองเป่ยหยวน เหอเชี่ยน! แม้นางจะเป็นสตรีนางหนึ่ง แต่ยามอายุได้ 300 ปีเศษ พลังฝึกปรือก็ทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแล้ว! แถมวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่นางฝึกปรือก็ล้วนแตกฉานหมดสิ้น! นับเป็นสุดยอดอัจฉริยะในรอบพันปีของตระกูลเหอก็ว่าได้!!”


 


“คนผู้นั้น หรือว่า…!”


 



 


ต้วนหลิงเทียนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นระงม แต่ละคนพากันชี้มือชี้ไม้ไปยังร่างต่างๆบนสังเวียน กล่าววาจาอย่างออกรสเปิดเผยความเป็นมาของเจ้าสังเวียนทั้ง 9 ชุดแรกหมดสิ้น


 


และแน่นอนว่าผู้ที่ขึ้นไปก่อน ก็ล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงจากตระกูลหรือขุมพลังในประเทศฝูชิวทั้งสิ้น


 


จากนั้น ก็เริ่มมีคนขึ้นไปท้าทายเจ้าสังเวียนทั้ง 9 การต่อสู้ก็เริ่มอุบัติขึ้นอย่างดุเดือด


 


ตูม! ตูม! ตูม! ปง! ครืนน!!


 



 


ตูม! ปง! ครืนน! ตูม! ตูม!!


 


……


 


กลางหาวในรัศมีแสงของทั้ง 9 สังเวียนยามนี้ แต่ละคนล้วนหยิบควักอุปกรณ์อมตะคู่กายออกมาสับประยุทธ์โรมรันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ตัวศาสตราอมตะก็เปล่งแสงพลังเปล่งอานุภาพออกมาประชันกันอย่างไม่ยอมสยบ


 


ขณะเดียวกันแต่ละคนมีพลังฝีมืออันใด ก็ใช้ออกมาไม่ขาดสาย หมายสยบคู่ต่อสู้ให้ได้เร็วไว!


 


‘ในบรรดาทั้ง 18 คนที่สู้กันอยู่ ผู้ที่พลังฝีมือร้ายกาจที่สุดดูเหมือนจะเป็น เหอเชี่ยน สตรีจากตระกูลเหอของเมืองเป่ยหยวนคนนั้น!’


 


หลังผ่านไปราวๆ 10 ลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนที่มองประเมินการปะทะกันบนสังเวียนทั้ง 9 คู่ ก็พอจะสรุปพลังฝีมือสูงต่ำได้ไม่ยาก และสายตาเขาก็จับจ้องไปยัง สตรีเพียงคนเดียวในบรรดาผู้ลงประลองทั้ง 18 คน


 


สตรีที่ว่าก็คือ เหอเชี่ยน ลูกสาวของประมุขตระกูลเหอแห่งเมืองเป่ยหยวนที่มีคนกล่าวถึงก่อนหน้านี้


 


“บุตรีสกุลเหอผู้นี้ นับเป็นสตรีไม่เขียนคิ้วจริงๆ…”


 


“มิผิด…อาศัยอิสตรีนางหนึ่ง กลับรรลุถึงจุดนี้ได้ในเวลาแค่ 300 ปีเศษ…นางนับว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง!”


 


“ทั้ง 18 คนที่ประลองกันอยู่ ข้าดูแล้วผู้ที่ร้ายกาจที่สุดก็เห็นจะเป็นแม่นางเหอผู้นี้ล่ะ!”


 


……


 


เหอเชี่ยนนั้น เป็นสตรีที่มีหน้าตาสะสวยพอสมควร นางมาในชุดกระโปรงสีเขียวรูปร่างยังอวบอิ่ม ยามลงมือ หนั่นเนื้อทรวงอกทั้งสะโพกยักย้ายส่ายไปมา ย่อมให้รสชาติน่ามองแก่ผู้คนไม่เบา


 


เป็นธรรมดาว่านี่คือการประเมินเหอเชี่ยนจากสายตาของต้วนหลิงเทียน


 


ในสายตาคนอื่นนั้น เหอเชี่ยนนับว่าเป็นสตรีงามอย่างหาตัวจับยากแล้ว!


 


เพียงแค่ต้วนหลิงเทียนได้พบเจอหญิงงามมามากเกินไป ยังไม่ต้องกล่าวถึงที่ตัวติดกับฮ่วนเอ๋อมานาน ย่อมมีภูมิต้านทานสาวงามมากกว่าใครเขา เรียกว่าสายตามองชมความงามของเขา มีมาตรฐานสูงลิบ!


 


เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!


 


……


 


อุปกรณ์อมตะประเภทศาสตราของเหอเชี่ยน ก็เป็นแส้ยาวเส้นหนึ่ง ยามนางถ่ายทอดพลังเซียนอมตะลงไป ตัวแส้ก็กลับกลายคล้ายอสรพิษเปรียว ลงแส้คราใด เสียงอากาศแตกระเบิดดังเสียดหูอย่างหวาดเสียว ทั้งยังพลิกแพลงเลี้ยวลดยากคาดเดา ว่องไวประหนึ่งเงาก็ว่า


 


ในเวลาไม่ถึง 20 ลมหายใจ คู่ประลองของเหอเชี่ยนที่ด่านพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตยอดเซียนนอมตะขั้นสวรรค์ ก็มือไม้พันกันด้วยไม่อาจรับมือแส้ที่ตวัดฟาดมาประหนึ่งอสรพิษเปรียวได้ไหว ถูกปลายแส้ฟาดเข้าชายโครงอย่างจัง คนปลิวละลิ่วไปดั่งลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร พริบตาก็หลุดออกนอกรัศมีแสงเสียแล้ว…


 


เหอเชี่ยนชนะ!


 


“แม่นางเหอเชี่ยนผู้นี้ แต่ต้นจนจบลมหายใจยังคงที่ไม่แปรเปลี่ยน เห็นชัดว่านางมิได้ใช้ฝีมืออันใดมากมาย…หากนางลงมือจริงจัง เกรงว่าเจ้านั่นคงรับมือได้ไม่ถึง 5 ลมหายใจ”


 


ตอนนี้เองในหูต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงของหลิวก่วงหลินดังขึ้น


 


และเสียงของหลิวก่วงหลินก็กระตุ้นความสนใจของผู้คนที่นั่งใกล้ๆไม่น้อย “พี่ชายท่านนี้…ท่านว่าเมื่อครู่แม่นางเหอเชี่ยนยังมิได้ลงมือเต็มกำลังอีกหรือ?”


 


“หากยังไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง…ไฉนการรลงมือยังดุร้ายเกรี้ยวกราดเช่นนั้นได้เล่า แต่จะว่าไปนางก็แลดูสบายๆไม่น้อย ท่าทางที่พี่ชายท่านนี้กล่าวจะไม่แปลกปลอม”


 


“พวกเจ้าดูสิ นางไม่เห็นนำโอสถฟื้นพลังอันใดมารับประทาน ท่าทางจะใช้พลังไปแค่เล็กน้อยจริงๆ”


 



 


“นายท่าน…ท่านเป็นอันใดไปหรือขอรับ?”


 


ทว่าทันใดนั้นเอง หลิวก่วงหลินพลันเห็นว่าสีหน้าแววตาต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็เปลี่ยนไปเป็นสลด บรรยากาศรอบกายยังคล้ายหดหู่ลงไม่น้อย มันจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวถามออกไป ด้วยรู้สึกว่าอาการนายท่านของมันคล้ายไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหม่อมองการประลองเบื้องหน้าด้วยสายตาหดหู่ ก็มาฟื้นสติเอาตอนได้ยินคำถามของหลิวก่วงหลิน จึงกล่าวตอบออกไปเสียงอ่อน “อาวุธที่ฮ่วนเอ๋อถนัด ก็เป็นแส้เหมือนกัน…”


 


ถึงงแม้แส้ยาวในมือเหอเชี่ยนจะเป็นแค่อุปกรณ์อมตะระดับขุนนาง และแส้ยาวของฮ่วนเอ๋อจะเป็นถึงอุปกรณ์อมตะระดับราชา


 


อย่างไรก็ตามล้วนเป็นแส้ยาวเหมือนกัน ทำให้ยามต้วนหลิงเทียนเห็นแส้ตวัดเป็นเงาวูบวาบไปมา ก็อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนถึงฉากเรื่องราวตอนฮ่วนเอ๋อใช้แส้ลงมือ


 


และพอนึกถึงฉากการลงมือของฮ่วนเอ๋อ ใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของฮ่วนเอ๋อ ด้วยไม่อาจทราบได้เลย ว่าตอนนี้ที่แท้นางเป็นตายร้ายดีอย่างไร ใช่กินอิ่มนอนหลับหรือไม่…


 


“นายท่าน แม่นางฮ่วนเอ๋อเองก็เป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน นางย่อมไม่เป็นอันใดแน่ขอรับ ป่านนี้ไม่แน่ว่านางอาจพบพานวาสนาอันใดจนพลังฝีมือก้าวหน้าสุดที่ท่านจะจินตนาการไปแล้วก็เป็นได้…”


 


หลิวก่วงหลินจึงได้รับทราบ ว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนเหม่อไปและแลดูสลดหดหู่ขึ้นมา ที่แท้ก็เป็นเพราะเห็นเหอเชี่ยนใช้อุปกรณ์อมตะประเภทแส้เหมือนกันกับฮ่วนเอ๋อนั่นเอง…


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ จากนั้นเขาก็พยายามมองโลกในแง่ดี เพราะอย่างไรพลังฝึกปรือของฮ่วนเอ๋อตอนนี้ก็สูงกว่าเขาด้วยซ้ำ จากนั้นก็พยายามให้ความสนใจกับการประลองเบื้องหน้า จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่านอะไร


 


หลังจากที่เหอเชี่ยนสามารถเอาชนะได้เป็นคนแรกในบรรดาเจ้าสังเวียนทั้ง 9 อีก 8 สังเวียนที่เหลือก็ทยอยกันปรากฏตัวผู้แพ้ผู้ชนะตามมา และรอบนี้เจ้าสังเวียนทั้ง 9 ก็สามารถได้รับชัยชนะกันถ้วนหน้า


 


หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาพักฟื้นไปแล้ว ก็มีผู้ขึ้นมาท้าชิงอีกรอบ ทว่ามีเพียงสังเวียนของเหอเชี่ยนสังเวียนเดียว ที่ไม่มีใครขึ้นมา และเรื่องราวก็ดำเนินไปในรูปแบบนี้จนสังเวียนอื่นผ่านการประลองไปแล้วถึง 3 รอบ


 


สำหรับเรื่องนี้เหอเชี่ยนไม่ได้แลดูแปลกใจอะไร นางจึงเลือกจะนั่งหลับตาลงกลางหาว พักผ่อนมันเสียกลางสังเวียน


 


“เหอะๆ ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีผู้ใดคิดขึ้นไปท้าทายแม่นางเหอเลย…แต่นี่ก็ช่วยมิได้ จากพลังฝีมือของนาง ไม่พ้นต้องสามารถยึด 1 สิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ได้แน่”


 


หลายคนคิดไปในแนวทางดังกล่าว


 


“อั๊ย! ผู้นำเหอบุตรีของท่านคนนี้นับว่าร้ายกาจยิ่งนัก! นางลงมือแค่คราเดียวก็มีอานุภาพขู่ขวัญแกร่งกล้า จนไม่มีผู้ใดหาญกล้าต่อกรแล้ว นับถือ นับถือ”


 


มุมหนึ่งของอัฒจันทร์ ปรากฏชายชราชุดคลุมสีขาวผู้หนึ่ง หันไปกล่าวคำกับชายวัยกลางคนในชุดนักบู๊เรียบง่ายอย่างทอดถอนใจ


 


ขณะเดียวกันสายตาที่ใช้มองชายวัยกลางคนในชุดนักบู๊ของมัน ก็ฉายชัดถึงความอิจฉาริษยานัก


 


เพราะถึงแม้มันจะมีหลานชายประเสริฐคนหนึ่ง แต่อนิจจาพลังฝีมือกับสู้ลูกสาวผู้อื่นไม่ได้


 


“ผู้นำเฉินท่านก็กล่าวชมข้าเกินไปแล้ว…หลานชายท่านเองก็ธรรมดาที่ไหนเล่า เอาชนะคู่ต่อสู้ได้สองครั้งติดแล้ว วันนี้ท่าทางตำแหน่งเจ้าสังเวียนคงไม่ไปไหนไกล”


 


ชายวัยกลางคนในชุดนักบู๊กล่าวพลางหัวเราะเบาๆ สายตายังมองไปยังสังเวียนหนึ่งที่มีชายหนุ่มที่พึ่งเอาชนะศัตรูมาได้ กล่าวออกด้วยวาจาถ่อมตัวเล็กน้อย “ยิ่งไปกว่านั้นหลานชายของท่านยังอายุน้อยกว่ายัยหนูบ้านข้าเสียอีก…ความสำเร็จในภายภาคหน้าของมันไหนเลยจะด้อยกว่ายัยหนูบ้านข้าเล่า…”


 


“ฮาย ประมุขเหอท่านก็ถ่อมตัวเกินไป…อาศัยหลานชายไม่เอาไหนของข้า ไหนเลยจะเทียบแม่นางเหอได้”


 



 


เมื่อลูกหลาน หรือทายาทของตระกูลและขุมกำลังมีชื่อได้ชัย สหายที่อยู่ข้างๆทั้งผู้ปกครองหรือผู้ติดตามก็กล่าววาจาชมเชยออกมาไม่ขาดปาก เรียกว่าเสียงยกย่องเยินยอบัดนี้ได้ระงมไปทั่วอัฒจันทร์ซ้ายขวา จนน่ารำคาญอยู่บ้าง…


 


เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


ไม่นานแสงครึ้มยามตะวันรอนก็เริ่มสาดส่องย้อมโลกให้หม่นหมอง ความมืดใกล้มาเยือนเต็มที


 


การประลองสวรรค์ใต้ดำเนินมาถึงตอนนี้ ก็มียอดเซียนอมตะที่ลงทะเบียนมากมายขึ้นไปต่อสู้แล้วพบพานกับความผิดหวัง กระทั่งบางคนก็ใช้สิทธิ์ท้าทายไปหลายครั้ง แต่ยังไม่ประสบผลเลิศ้ำอันใด


 


“เฮ่อ…พลังฝีมือของข้าที่แท้ยังอ่อนด้อยถึงเพียงนี้ ข้านึกว่าตัวข้าก็ไม่ใช่เล่นๆแล้วนา แต่ที่ไหนได้ถูกผู้อื่นอัดซะเดี้ยง หลังจากนี้หลายๆวันข้าไม่ไปสู้แล้ว ขอฝึกเพิ่มก่อนสักพักจะดีกว่า”


 


“ข้าก็ว่างั้นล่ะสหาย ข้าเองตั้งแต่โดนเจ้าหมอนั่นเตะหลุดสังเวียนมาก็รู้สึกอึดอัดใจนัก แต่ยังดีที่ตอนโดนเตะข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรแว่บขึ้นในหัว วรยุทธ์อมตะท่าร่างข้าที่ติดขัดไม่อาจก้าวหน้าได้มานาน คล้ายเริ่มเห็นทางขึ้นมาแล้ว รอให้ข้าสำเร็จวรยุทธ์อมตะนั่นก่อนเถอะ! เดี๋ยวรู้เลย!!”


 



 


หลายคนที่แพ้พ่ายมาก็เริ่มสนทนนากับสหายในกลุ่มที่ประสบชะตาถูกต่อยตีจนแพ้มาอย่างอ่อนใจ หลายคนยังมุ่งมั่นจะฝึกปรือให้พบพานความก้าวหน้าอีกครั้ง เพื่อจะได้หวังผลเลิศล้ำในการท้าชิงเจ้าสังเวียนภายหลัง


 


และในการประลองสวรรค์ใต้วันแรก ตั้งแต่ที่เหอเชี่ยนได้ชัยเหนือศัตรูในการประลองเปิดสังเวียน ก็ไม่มีใครขึ้นไปท้าทายนางอีกเลย…


 


สถานการณ์ดังกล่าวยังทำให้หลายๆคนรู้สึกไร้คำจะพูดอยู่บ้าง…


 


กระทั่งฮ่องเต้ฝูชิวเองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่มันพบเจอสถานการณ์แบบนี้


 


“ปกติไม่ว่าเจ้าสังเวียนจะร้ายกาจแค่ไหน แต่ก็ยังมีหลายคนที่คิดขึ้นไปประมือหาประสบการณ์ กว่าจะตัดสินตำแหน่งเจ้าสังเวียนได้ก็ล่วงเลยมาถึงช่วงท้ายทั้งสิ้น…แต่คราวนี้หลังแม่นางเหอเชี่ยนเอาชนะศัตรูได้ในรอบแรก กลับมิมีผู้ใดขึ้นไปท้านางเลย…”


 


ตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินวาจาทำนองเดียวกันดังขึ้นจากรอบๆ


 


“เหอะๆ หากพรุ่งนี้มียอดฝีมือที่โดดเด่นอย่างแม่นางเหอเชี่ยนปรากฏตัวในสังเวียนอีกสักคน ข้าเกรงว่าเรื่องราวคงดำเนินไปอีหร็อบนี้…แบบนี้มิใช่การประลองสวรรค์ใต้ครานี้จะยิ่งยืดเยื้อออกไปหรือ?”


 


“จริง ข้าว่าบางทีการประลองสวรรค์ใต้ ก็จำต้องปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มกฏอะไรบางอย่างได้เสียที”


 


อีกคนกล่าวเสริม


 


และวาจาของคนผู้นี้ ประหนึ่งคำทำนายของเทพพยากรณ์ก็ไม่ปาน


 


เพราะเมื่อย่ำค่ำ ฮ่องเต้ฝูชิวก็เหินร่างออกมากลางหาว และประกาศออกมาเสียงดังว่า…


 


“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป การประลองสวรรค์ใต้จักเพิ่มกฏเข้าไปอีกข้อ นั่นก็คือ หากเจ้าสังเวียนคนใดไร้ผู้ท้าทายเป็นเวลาครึ่งชั่วยามหลังพักฟื้น…จักได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณทันที!”


 


ด้วยคำประกาศนี้ของฮ่องเต้ฝูชิว วันต่อมาก็มีผู้ที่ขึ้นมาท้าประลองเหอเชี่ยนทันที


 


อย่างไรก็ตามผู้ที่ขึ้นมาท้าทายนาง สุดท้ายก็พบพานแต่ความพ่ายแพ้ และหลังจากนางชนะได้อย่างต่อเนื่องในช่วงเช้า พอเข้าสู่ช่วงบ่าย สถานการณ์ก็ซ้ำรอยเดิม…


 


กล่าวได้ว่าหลังเข้าสู่ช่วงบ่ายได้เกือบครึ่งชั่วยามแล้ว ก็ไร้เงาผู้ใดก้าวขึ้นสังเวียนเพื่อท้าทายเหอเชี่ยนแม้แต่คนเดียว!


 


สุดท้ายเวลาครึ่งชั่วยามก็ผ่านไปเจียนครบ


 


“หลังจากผ่านไปอีก 10 ลมหายใจก็จักครบกำหนดครึ่งชั่วยาม…หากยังไม่มีผู้ใดขึ้นไปท้าทายแม่นางเหอเชี่ยนอีก นางก็จักได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทันที”


 


“แต่ด้วยพลังฝีมือของแม่นางเหอเชี่ยน ถึงจะไร้กฏดังกล่าว แต่เรื่องที่นางจะได้รับ 1 ใน 9 สิทธิ์ก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว…ดูท่าว่านางจะได้รับสิทธิ์ก่อนใครเพื่อนจริงๆ”


 



 


ก่อนที่จะครบกำหนดครึ่งชั่วยาม เสียงซุบซิบก็ดังขึ้นระงมอีกครั้ง หากแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครขึ้นไปท้าทายเหอเชี่ยนสักคน


 


ทันใดนั้นฮ่องเต้ฝูชิวก็เหินร่างออกจากที่นั่งของตัวเองอีกครั้ง และกล่าวประกาศออกมาเสียงดังว่า “การประลองสวรรค์ใต้ครั้งนี้…ในที่สุดแม่นางเหอเชี่ยนก็ไร้ผู้ใดท้าทายครบกำหนดเวลาครึ่งชั่วยาม จึงได้รับ 1 ใน 9 สิทธิ์เข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำไปครอง”


 


“บัดนี้ แม่นางเหอเชี่ยนสามารถออกจากสังเวียนประลองได้ และสังเวียนดังกล่าวจักไร้เจ้าสังเวียนอันใดสืบต่อ หากผู้ใดคิดเป็นเจ้าสังเวียน จำต้องเลือกท้าประลองสังเวียนอื่นแทน”


 


“และในเวลานี้ เหลือสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำอีกแค่ 8 สิทธิ์เท่านั้น!”


WSSTH ตอนที่ 2,939 : ต้วนหลิงเทียนขึ้นสังเวียน


 


 


“ขอแสดงความยินดีด้วย ผู้นำเหอ!”


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยผู้นำเหอ บุตรสาวของท่านนั้นประหนึ่งนกหงส์ในร่างผู้คนโดยแท้ หลังจากนางเข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแล้วกลับออกมา ตัวนางย่อมสามารถเข้าสู่ 3 ขุมกำลัง 2 ตระกูลใหญ่ได้อย่างราบรื่น และมีโอกาสได้เข้าร่วมกับคฤหาสน์เฉวียนโยว ทีนี้อนาคตย่ยอมสดใสไร้จำกัดแล้ว!!”


 


“มิผิด…ทั้ง 3 ขุมกำลัง 2 ตระกูลใหญ่ ล้วนเป็นขุมกำลังและตระกูลระดับ 7 คฤหาสน์เฉวียนโยวเองก็เป็นถึงขุมกำลังอมตะอันดับ 6 มิกี่แห่งในสวรรค์แดนใต้ของพวกเรา ทรัพยากรนั้นเลิศล้ำสุดที่พวกเราจักจินตนาการได้ออก หากแม่นางเหอเชี่ยนก้าวหน้าจนสามารถเข้าร่วมได้ คนก็เหมือนหนึ่งก้าวทะยานฟ้า กลับกลายเป็นหงส์ไปแล้วจริงๆ!”


 



 


ผู้นำสกุลเหอในชุดนักบู๊ตัวเดิม เมื่อฮ่องเต้ฝูชิวประกาศว่าบุตรีของตัวได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆ ก็เริ่มหันมาประสานมือกล่าวคำแสดงความยินดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


 


และตั้งแต่ที่ลูกสาวตัวเองได้รับสิทธิ์เป็นที่แน่นอนแล้ว ผู้นำสกุลเหอก็ยิ้มจนแก้มแทบปริ เรียกว่ายามนี้เสมือนกรามค้างยากจะหุบลงได้จริงๆ


 


ถึงแม้ว่าการเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้นจักมีภยันตรายไม่น้อย กระทั่งผู้ที่เข้าไปยังตายมากกว่าที่รอดกลับออกมา…


 


อย่างไรก็ตามมั่นเชื่อมั่นในตัวบุตรีผู้นี้เป็นที่สุด และรู้สึกเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าลูกสาวตัวเองต้องพบพานโชคชะตาเลิศล้ำ และโอกาสอันยิ่งใหญ่ภายในสถานที่แห่งนั้น ต้องสามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย!


 


ในขณะที่เห็นเหอเชี่ยนได้รับสิทธิ์ไปเป็นคนแรก เหล่ายอดฝีมือที่มั่นใจในตัวเองก็รู้สึกเลือดร้อนขึ้นมา ยากจะนั่งเฉยรอเวลาได้สืบไป


 


เรียกว่าหลังจากฮ่องเต้ฝูชิวประกาศให้เหอเชี่ยนได้รับสิทธิ์ไปได้ไม่ทันไร การประลองหลังจากนั้นก็ปรากฏยอดฝีมือขึ้นประลองกันยกใหญ่


 


พริบตาการประลองที่ให้ความรู้สึกเนือยๆเหมือนคนไม่ได้รับประทานข้าว ก็กล้ายเป็นร้อนระอุดุเดือดขึ้นมาทันตาเห็น!


 


ฟุ่บบบ!!


 


เสียงแหวกสายลมฉับไวดังขึ้น และคราวนี้ผู้ที่เคลื่อนไหวลงมือ ก็คือคนจากอัฒจันทร์ฝั่งซ้ายอันเป็นอาคันตุกะของตระกูลราชวงศ์!


 


จังหวะนี้ทุกสายตาก็พากันจับจ้องมองไปยังร่างที่พึ่งเหินทะยานออกมา ด้วยสงสัยว่าเป็นใครกันหนอ


 


“เป็นบุตรชายคนที่ 4 ของเจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเจียหลง!!”


 


“หวงเจียหลงผู้นี้เป็น 1 ใน 2 บุตรชายประเสริฐที่พลังฝีมือโดดเด่นที่สุดของเจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเหยี่ยนเฟย…แต่ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่ามันจะลงมือเร็วถึงเพียงนี้!”


 


“มิพ้นเห็นแม่นางเหอเชี่ยนลอยลำไปแล้ว จึงรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาเป็นแน่…”


 


“มันพอลงสังเวียนมา เรื่องจะคว้าสิทธิ์ก็คงมิใช่เรื่องยากกระมัง…”


 


“เหอะๆ นั่นมันแน่อยู่แล้ว…พลังฝีมือของมันให้เทียบกับแม่นางเหอเชี่ยนก็มิใช่ว่าจะด้อยกว่า ที่สำคัญมันยังมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาในมือ!”


 


“อันใด!? อุปกรณ์อมตะระดับราชาเชียวรึ?”


 


“เหอะๆ พวกเจ้าจะแปลกใจทำเพื่อ? เจ้าเมืองตู้อวิ๋นไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่าครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับราชาอยู่ 5 หรือ 6 ชิ้น หากเจ้าเมืองตู้อวิ๋นมิให้บุตรชายนำติดไม้ติดมือมาใช้ประลองสักชิ้นพวกเจ้าว่าเป็นไปได้เหรอ? หรือการประลองสวรรค์ใต้ที่ช่วงชิงสิทธิ์เข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ยังสำคัญไม่พอ?”


 


“มิผิด สหายท่านนี้กล่าวถูกแล้ว!”


 



 


ผู้ที่พึ่งโจนทะยานขึ้นไปท้าทายเจ้าสังเวียนคนหนึ่ง ก็คือ หวงเจียหลง บุตรชายคนที่ 4 ของยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตราชาอมตะ เจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเหยี่ยนเฟย!


 


เนื่องจากอัตลักษณ์อันโดดเด่นและความสามารถที่ทำให้ผู้คนกล่าวขานถึงกันหนาหู ทำให้ยามเมื่อหวงเจียหลงปรากฏกายลงสู่สังเวียน ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหมดไปทันที


 


และเจ้าสังเวียนที่หวงเจียหลงขึ้นไปท้าชิง ก็มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนร่างผอม ด่านพลังบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ความสำเร็จในวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังทั้งหมดก็บรรลุถึงจุดสูงสุดแล้วเช่นกัน


 


อนิจจาแม้สรรพวิชามันจะแตกฉานถึงขีดสุด ทว่าทั้งหมดมีระดับขุนนางแค่ไม่กี่วิชา ส่วนที่เหลือกว่าครึ่งล้วนแล้วแต่เป็นระดับสวรรค์เท่านั้น!


 


เช่นนั้นแม้ด่านพลังฝึกปรือจะทัดเทียมกับหวงเจียหลง หากแต่พลังความแข็งแกร่งกลับมิอาจเทียบกับหวงเจียหลงได้เลย ทันทีที่เห็นหวงเจียหลงปราดร่างมาท้าชิงตัวเอง มุมปากจึงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มขื่นขมออกมา


 


อีกทั้งศาสตราคู่กายของมันก็เป็นแค่อุปกรณ์อมตะระดับขุนนางเท่านั้น ไหนเลยจะเทียบรัศมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่หวงเจียหลงสมควรมีไว้ในครอบครองได้ติด…


 


“ข้ายอมแพ้!”


 


ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้หวงเจียหลงกล่าววาจาท้าทายอย่างเป็นทางการ ชายวัยกลางคนดังกล่าวก็ชิงประกาศคำยอมแพ้ออกมาก่อน เลือกจะเหินร่างออกจากสังเวียนอย่างไม่รอช้า จากนั้นก็สอดส่องมองไปยัง 7 สังเวียนที่เหลือว่าจะขึ้นไปท้าทายผู้ใดดี…


 


เนื่องจากมันเลือกที่จะยอมแพ้ไปเอง เช่นนั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถท้าทายผู้อื่นได้ทันที


 


และการที่มันประกาศยอมแพ้หวงเจียหลงนั้น ก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ไตร่ตรองมาดีแล้ว ในเมื่อรู้ว่าตัวเองอ่อนด้อยกว่าผู้อื่นแทบทุกทาง ใยต้องไปหาเรื่องเจ็บตัวสิ้นสูญเรี่ยวแรง? มิสู้เก็บแรงไว้ท้าทายต่อยตีผู้อื่นในสภาพสมบูรณ์พร้อมจะประเสริฐกว่าหรือ?


 


หวงเจียหลงก็ไม่ได้แปลกใจอะไรที่เห็นอีกฝ่ายชิงกล่าวยอมแพ้ออกมาเสียก่อน มันก็ขึ้นไปลอยร่างกลางสังเวียนอย่างมั่นมาด


 


หลังจากนั้นเมื่อกวาดตามองไปทั่วๆคราหนึ่ง แล้วพบว่าไร้วี่แววผู้ใดจะขึ้นมาท้าทายวัดพลัง มันก็เริ่มหลับตาลงเพื่อพักผ่อน


 


คล้ายทั้งหมด…มันขึ้นมาเพื่อเฝ้ารอให้เวลาผ่านพ้นไปครบครึ่งชั่วยามก็เท่านั้น!


 


“สมแล้วที่เป็นบุตรชายคนที่ 4 ของเจ้าเมืองหวง…เพียงลงสนามก็ชนะโดยมิต้องสู้รบ…ข้าเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดขวัญกล้าขึ้นไปท้าชิงมันแน่นอน”


 


“เหอะๆ ยังจะมีใครแส่หาความอัปยศกันเล่า เกรงว่าในประเทศฝูชิวเรายามนี้ ผู้ที่จะต่อกรรับมือหวงเจียหลงได้ เห็นทีจะมีก็แต่องค์ชาย 4 เพียงผู้เดียว!”


 


“มิผิด องค์ชาย 4 ไม่มา ยังจะมีผู้ใดหาญกล้าขึ้นไปลุย!”


 


.. .


 


ท่ามกลางสายตาของผู้คน หวงเจียหลง ที่ขึ้นสังเวียนไป ก็ขัดสมาธิหลับตากลางหาวอย่างสงบ จนเวลาค่อยๆไหลผ่านไปเรื่อยๆ ไม่ทันไรก็ใกล้ครบครึ่งชั่วยามแล้ว


 


ขณะเดียวกันผู้คนที่นั่งใกล้ๆกับเจ้าเมืองหวง ก็เริ่มกล่าวคำแสดงความยินดีล่วงหน้า ยกย่องหวงเจียหลงกันไม่ขาดปาก พลังฝีมือเลิศล้ำจนสะกดผู้คนได้ชะงัดบ้าง ร้ายกาจถึงขั้นได้ชัยโดยไม่ต้องสู้บ้าง…


 


ในเรื่องนี้หวงเหยี่ยนเฟยเพียงพยักหน้ารับทราบอย่างไม่ยินดียินร้ายใดๆ แลดูไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนหากแต่ก็ไม่ได้ถือดีจนเกินงาม ตรงกันข้ามกับผู้นำสกุลเหอโดยสิ้นเชิง


 


“ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดท้าทายบุตรชายเจ้าเมืองหวงแล้วจริงๆ…”


 


“อีกมินานสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำก็จะหดหายไปอีกสิทธิ์แล้วสินะ…”


 



 


เมื่อเห็นว่าเวลาใกล้จะล่วงเลยไปครบครึ่งชั่วยามเต็มที แต่ก็ไร้แม้แต่เงาผู้ใดเฉียดเข้าไปใกล้สังเวียนของหวงเจียหลง ผู้คนก็รู้สึกว่าสิทธิ์ที่ 2 ได้ถูกกำหนดให้เป็นของหวงเจียหลงแน่แล้ว


 


ทว่าทันใดนั้นเอง


 


ฟุ่บบ!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์พลันไหววูบ คนเหินทะยานเข้าสู่สังเวียนที่หวงเจียหลงนั่งหลับตาขัดสมาธิไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก่อนจะไปหยุดลอยเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย


 


และเมื่อร่างต้วนหลิงเทียนเหินลุมาถึง หวงเจียหลงที่แต่เดิมนั่งหลับตาขัดสมาธิรอคอยเวลา ก็พลันลืมตาขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็ชักสายตาประหลาดใจมองจ้องต้วนหลิงเทียนเบื้องหน้า


 


หากว่าผู้ที่ขึ้นมาท้าทายเป็นองค์ชาย 4 ของประเทศฝูชิว มันจะไม่แปลกใจอะไรสักนิด


 


ทว่าบัดนี้ ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาท้าทายมัน กลับเป็นชายหนุ่มที่มันไม่เคยพบเห็นมาก่อน และพอสำนึกเทวะแผ่ออกไปสำรวจตรวจสอบโดยไม่รู้ตัว มันก็พบได้ทันทีว่าอีกฝ่ายยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี!


 


“เจ้า…คิดท้าทายข้าหรือ?”


 


จังหวะนี้หวงเจียหลงอดไม่ได้ที่จะมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงสายตาประหลาดใจ “เจ้าคิดว่า…เจ้าที่อายุไม่ถึงร้อยปี จะสู้ข้าได้จริงๆ?”


 


ลูกตาหวงเจียหลงหยีลงเผยประกายคมกล้า จี้ถามต้วนหลิงเทียน


 


ด้านผู้ชมในอัฒจันทร์ที่นั่งต่างๆ พอได้ยินวาจาไถ่ถามต้วนหลิงเทียนของหวงเจียหลง ก็หดหยีหรี่ตาลงทันใด จากนั้นสำนึกเทวะมากมายหลายสายก็แผ่พุ่งมาจากทุกทั่วสารทิศ จนต้วนหลิงเทียนเสมือนปลาน้อยกลางแหนับหมื่นพัน…


 


“ให้ตายเถอะ เจ้าหนุ่มนั่นอายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!”


 


“ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกัน? อายุไม่ถึงร้อยปีแต่กลับกล้าขึ้นไปท้าทายหวงเจียหลงเนี่ยนะ!?”


 


“มันอายุไม่ถึงร้อย แล้วนี่บรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะแล้วหรือยัง?”


 


“ถึงแม้ว่ายามสมัครเพียงกล่าวคำด้วยวาจาหรือฝากผู้อื่นมาสมัคร จึงไม่ได้มีการตรวจสอบพลังฝึกปรืออันใด แต่เมื่อลงประลองแล้ว หากพบว่าด่านพลังไม่ถึงยอดเซียนอมตะหรือเกินกว่านั้น ก็ไม่ต่างอะไรจากคิดหลอกลวงฮ่องเต้ฝูชิว!”


 


“เหอะๆ หลอกลวงเบื้องสูง โทษทัณฑ์มิใช่เบาๆ!”


 



 


เมื่อผู้คนพบว่ากลิ่นอายเลือดเนื้อที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนตามธรรมชาตินั้น บ่งบอกว่าอายุอานามคนไม่ถึงร้อยปี เสียงกล่าวด้วยความแปลกใจทั้งสงสัยก็ดังขึ้นระงมปานตลาดสด หลายคนยังตั้งคำถามยกใหญ่ว่าใช่ต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงยอดเซียนอมตะแล้วจริงหรือไม่?


 


เนื่องจากต้วนหลิงเทียนมีทองเทพสุดลี้ลับอยู่ในร่าง เช่นนั้นทุกคนจึงไม่สามารถหยั่งถึงพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนได้เลย


 


อย่างไรก็ตามระนาบเทวโลกกว้างใหญ่สุดไพศาล พิสดารมากมี เคล็ดอมตะที่มีความสามารถลี้ลับจนปกปิดพลังฝึกปรือผู้คนได้ก็มีให้เห็นไม่น้อย ดังนั้นผู้คนจึงไม่ได้แปลกใจเรื่องที่ไม่อาจตรวจสอบพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนได้สักเท่าไหร่


 


“หากเจ้ามีอุปกรณ์อมตะระดับราชา ก็รีบนำออกมาใช้เสีย…จากนั้นก็ป้อนกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดของเจ้าใส่ข้ามา…”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ตบคำถาม เพียงมองหวงเจียหลงด้วยสีหน้าแววตาสงบ เอ่ยคำเสียงเบา “ข้าจะต่อให้เจ้าลงมือก่อน 2 กระบวนท่า…ไม่งั้นข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสลงมือ”


 


เมื่อวาจาดังกล่าวล่วงล้ำออกมาจากลำคอของต้วนหลิงเทียน ไม่เพียงแต่หวงเจียหลงเท่านั้นที่อึ้ง กระทั่งผู้คนที่อยู่ในสถานที่จัดงานประลองสวรรค์ใต้ทั้งหมดยกเว้นหลิวก่วงหลิง ก็อึ้งไปตาปริบๆ


 


อุปกรณ์อมตะระดับราชา?


 


ชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยปีผู้นี้ ไม่เพียงหาญกล้าท้าทายหวงเจียหลง แต่ยังกล่าวบอกให้หวงเจียหลงหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาใช้ กระทั่งยังจะต่อให้หวงเจียหลงลงมือป้อนออกมา 2 กระบวนท่าก่อน ด้วยเกรงว่าหากไม่ต่อให้ หวงเจียหลงจะไม่มีโอกาสลงมือ?


 


“ฮ่าๆๆๆๆ!!”


 


หลังจากนั้นไม่ทันไร ในที่สุดก็มีคนที่อดรนทนไม่ไหว ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า มองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้งแววตาสีหน้าของมันก็มากล้นไปด้วยความทับถมรังเกียจ “ไอ้หนูขนอุยนี่ที่ แท้มันหยิ่งหรือมีปัญหากับสมองกันแน่?”


 


“หยิ่งผยองสิ้นดี! หาที่ตายโดยแท้!!”


 


“นี่ใช่ที่เขาเรียกกันว่าลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือใช่หรือไม่? มารดามันเถอะไอ้หนูนี่มันห้าวแท้ มันกล้าพูดออกมาได้อย่างไร!?”


 


“เหอะๆ เหลวไหล! เลอะเทอะยิ่ง!!”


 


……


 


วาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนทำให้ผู้คนมากมายอดไม่ไหวที่จะหัวเราะเยาะออกมา ยังกล่าวค่อนแคะกันไปสนุกปาก สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนบัดนี้ทำราวกับมองตัวโง่งม


 


อย่างไรก็ตาม หวงเจียหลง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ไม่อาจหัวเราะอะไรออกมาได้เต็มปาก


 


เพราะยามมันมองพินิจร่างชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า มันเห็นก็แต่ความสงบเฉยเมยในแววตาของอีกฝ่าย ราวกับอีกฝ่ายไม่ได้ยึดถือมันเป็นจริงจังอันใด


 


โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่สามารถกระทำแบบนี้ได้ หากไม่หยิ่งผยองลำพองจนเกินตัว ก็เป็นผู้ที่มีปัญหากับสมอง แต่ทว่ายังมีอีกกรณีหนึ่ง…นั่นคืออีกฝ่ายพลังฝีมือกล้าแข็งจริงๆ!


 


และไม่ว่ามันจะมองพินิจชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ามุมใดหรือท่าไหน มันก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่คล้ายคนหยิ่งผยองลำพองตัวหรือมีปัญหากับสมองใดๆ…


 


ขวับ!


 


และในขณะที่หลายๆคนกำลังหัวเราะเยาะต้วนหลิงเทียนอยู่นั้น ก็ปรากฏร่มคันหนึ่งถือไว้ในมือต้วนหลิงเทียน


 


และร่มที่ดูเหมือนจะผุดโผล่ออกมาจากอากาศธาตุคันนี้ ก็คือหนึ่งในอุปกรณ์อมตะระดับราชา ที่เขาได้มาจากโลกใบเล็กของ ตู้เฟย กูป๋อฮ่วนเอ๋อที่เป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะเหลือทิ้งไว้


 


ร่มดังกล่าวปรากฏเข้ามือต้วนหลิงเทียนไม่ทันไร พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขุมหนึ่งก็ถ่ายทอดหลั่งไหลเข้าสู่ตัวร่ม จากนั้นตัวร่มก็เริ่มเปล่งแสงสว่างลี้ลับเรืองรองขึ้นมา กลิ่นอายพลังที่กำจายซาบซ่านไปในบรรยากาศ ยังน่ากลัวไม่ใช่ชั่ว


 


“อะ…อุปกรณ์อมตะระดับราชา!?”


 


“ร่มนั่น…เป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชา!?”


 



 


เรียกว่าพอร่มที่ต้วนหลิงเทียนหยิบออกมาถือไว้สำแดงพลังเล็กน้อย ผู้ที่กำลังหัวเราะเยาะต้วนหลิงเทียนอยู่ก็หุบปากลงแทบไม่ทัน!


 


ยังมีหลายคนที่ตระหนักได้ว่าร่มในมือของต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นนอุปกรณ์อมตะระดับราชา และคนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นผู้ที่มีหน้ามีตาในสังคมทั้งสิ้น


 


ผู้ที่ไม่อาจแยกแยะกลิ่นอายของอุปกรณ์อมตะระดับราชาได้ด้วยความสามารถตัวเอง พอได้ยินเสียงอุทานของตัวตนที่มีชื่อเสียงทั้งเห็นสีหน้าจริงจังไม่คล้ายล้อเล่น พวกมันก็ตระหนักได้ทันที…ว่าที่แท้ร่มในมือต้วนหลิงเทียนเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชา!


 


จังหวะนี้ผู้ชมทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะตกใจ!


 


และผู้ที่เคยหัวเราะเยาะต้วนหลิงเทียนก่อนหน้า พวกมันจำต้องมองต้วนหลิงเทียนใหม่อีกรอบ สายตาฉายชัดถึงความตกใจระคนเหลือเชื่อ


 


ชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยปี ที่กล่าววาจาโอหังลำพองปานพล่ามเหลวไหล กลับมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาจริงๆ?


 


“ว่าแล้วเชียว…”


 


พอต้วนหลิงเทียนหยิบอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมา หวงเจียหลงก็สามารถยืนยันได้เต็มสิบส่วน วาชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าหาใช่คนที่หยิ่งผยองลำพองหรือมีปัญหากับสมองอันใดไม่!


 


อีกฝ่ายสมควรมีพลังฝีมือมากพอจะต่อกรกับมันได้จริงๆ!


 


ทั้งหมดก็เท่านี้!


 


แต่หวงเจียหลงยังไม่เชื่อว่าที่อีกฝ่ายกล้าต่อให้มันลงมือก่อน 2 กระบวนท่า เป็นเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่ามันจริงๆ


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะล่วงรู้พลังฝีมือที่แท้จริงของมันได้!


 


“ข้าเข้าใจแล้ว…”


 


หวงเจียหลงมองสบตาต้วนหลิงเทียนเขม็ง จากนั้นก็เอ่ยตอบรับคำพูดก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียน ขณะเดียวกันหอกยาว 7 ฉื่ออันแผ่กลิ่นอายลี้ลับหนึ่ง ก็ผุดจากความว่างเปล่ามากระชับถือไว้ในมือ!


WSSTH ตอนที่ 2,940 : คนฆ่าฮ่าวเอ๋อ เป็นมัน?


 


 


“พวกตัวโง่งมทั้งหลาย…”


 


ได้ยินวาจาล้อเลียนต้วนหลิงเทียนจากลุ่มคนในอัฒจันทร์ หลิวก่วงหลินอดไม่ได้ที่จะก่นด่าออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะมันรู้สึกว่าคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นตัวโง่งมดั่งกบน้อยก้นบ่อทั้งสิ้น!


 


ผู้ใดบอกว่าอายุไม่ถึงร้อยปีแล้วจะเหนือกว่า หวงเจียหลง ลูกชายคนที่ 4 ของเจ้าเมืองหวงไม่ได้?


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเองหลิวก่วงหลินสัมผัสได้ว่ามีสำนึกเทวะขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดขุมหนึ่งกำลังชำแรกเข้าร่างมันมาอย่างอุกอาจ! พาลให้สีหน้ามืดดำลงทันใด ยังหันกลับไปมองคนที่ตรวจสอบมันอย่างไร้มารยาททันที!!


 


และผู้ที่ตรวจสอบมัน ก็คือชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง และเคยให้ข้อมูลบางเรื่องเมื่อวันก่อน


 


“ขออภัยด้วยพี่ชาย ข้าเพียงแค่อยากรับทราบถึงพลังฝึกปรือท่านก็เท่านั้น…แต่ข้ามิคิดเลยว่าข้าท่าน พวกเราล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเหมือนกัน แหะๆ…”


 


ชายวัยกลางคนที่เห็นหลิวก่วงหลินหันมามองด้วยใบหน้าถมึงทึง ก็เร่งกล่าวขอขมาออกไปด้วยรอยยิ้มแหยๆทันที


 


เดิมทีมันคิดว่าด่านพลังฝึกปรือของหลิวก่วงหลินสมควรอ่อนด้อยกว่ามัน และไม่มีทางตรวจพบสำนึกเทวะของมันได้แน่นอน แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเหมือนกัน!


 


“อยากรู้พลังฝึกปรือข้า?”


 


หลิวก่วงหลินขมวดคิ้ว


 


“พี่ชายท่านนี้ ท่านมิใช่เรียกหาชายหนุ่มผู้นั้นว่า ‘นายท่าน’ มาก่อนหรือไร? ข้าก็เลยคิดว่าพลังฝึกปรือของท่านไม่ได้สูงเท่าชายหนุ่มผู้นั้น หาไม่แล้วไฉนท่านจึงเรียกชายหนุ่มผู้นั้นว่านายท่านเล่า?”


 


ชายวัยกลางคนเปิดประตูเห็นภูผากล่าวตอบออกไปตรงๆ “ข้าก็เลยอยากรู้ว่าพลังฝึกปรือของท่านอยู่ด่านใด”


 


“แต่ข้ามิคิดเลย…ว่าที่แท้ท่านก็เป็นขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเหมือนกัน”


 


กล่าวจบแล้ว สีหน้าชายวัยกลางคนดังกล่าวยังเผยความสงสัยไม่หาย


 


เป็นธรรมดาว่ามันไม่มีทางคิดไปทำนองที่ชายหนุ่มชุดม่วงที่หลิวก่วงหลินเรียกหา จะมีพลังฝึกปรือเหนือกว่าขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด


 


ก่อนอื่นเลย ชายหนุ่มชุดม่วงนั้นยังมีอายุไม่ถึง 100 ปี!


 


ประการที่สองหากชายหนุ่มชุดม่วงนั่นมีระดับพลังอยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะจริง ก็ถือว่าละเมิดกฏเกณฑ์เข้าร่วมการประลองสวรรค์ใต้ หากลงมือจนพลังฝึกปรือเปิดเผยออกมา ก็ไม่พ้นต้องถูกฮ่องเต้ฝูชิวลงโทษสถานหนัก แล้วใครมันจะบ้าหาเรื่องตาย?


 


“แล้วผู้ใดบอกว่านายท่านของข้าจำเป็นต้องมีพลังฝึกปรือสูงกว่าข้าเล่า…”


 


หลิวก่วงหลินมองตอบชายวัยกลางคนอย่างไม่แยแส จากนั้นก็เลิกสนใจอะไรอีกฝ่ายแล้วหันกลับมาชมดูเรื่องราวในสังเวียนประลองต่อ


 


เหนือขึ้นไปกลางหาว


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียนนำอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมา หวงเจียหลงก็นำอุปกรณ์อมตะระดับราชาของตัวเอง ที่เป็นหอกยาว 7 ฉื่อออกมาเช่นกัน


 


หอกยาวนี้ตัวหอกมีสีแดงเข้มปานโลหิต ยังเรืองรองไปด้วยแสงพลังลี้ลับสีแดงเพลิง มองมาแต่ไกลยังคล้ายตัวหอกลุกท่วมไปด้วยเพลิงไฟ!


 


“นั่นมันอุปกรณ์อมตะระดับราชา ‘หอกเมฆาอัคคี’ อาวุธคู่กายของเจ้าเมืองตู้อวิ๋นมิใช่หรือ?!”


 


“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าเมืองตู้อวิ๋นจะมอบอุปกรณ์อมตะระดับราชาคู่กายให้ลูกชายคนที่ 4 ใช้จริงๆ ดูเหมือนว่าจะรักลูกชายผู้นี้มาก”


 


“ใช่…หอกเมทฆาอัคคีเล่มนั้น กล่าวไปเป็นอุปกรณ์อมตะรดับราชาที่ทรงพลังติด 3 อันดับแรกที่เจ้าเมืองตู้อวิ๋นมีไว้ในครอบครอง!”


 


“เรื่องที่ลูกชายของเจ้าเมืองตู้อวิ๋นจะมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาก็ไม่นับว่าแปลกอันใดหรอก…ที่ข้าสงสัยคือชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นที่แท้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ไฉนถึงหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาใช้ได้หน้าตาเฉย?”


 


“ข้าไม่เคยเห็นชายหนุ่มผู้นี้มาก่อนเลย…ใช่ทายาทของยอดฝีมือที่เร้นกายคนใดหรือไม่?”


 



 


พอเห็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่หวงเจียหลงหยิบออกมา ผู้คนก็เริ่มกล่าวซุบซิบคุยกันอีกครั้ง กระทั่งในอีก 7 สังเวียนประลองที่เหลือ ก็พร้อมใจกันหยุดมือลงอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย เห็นชัดว่าตั้งใจจะดูชมการประลองบนสังเวียนของต้วนหลิงเทียนให้จบก่อนค่อยลุยกันต่อ!


 


เสียงคาดเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียน เริ่มดังระงมปานมีทัพม้าป่าห้อผ่าน


 


และตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนควักอุปกรณ์อมตะระดับราชออกมาถือไว้เด่นหรา ก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้ามองว่าต้วนหลิงเทียนหยิ่งผยองลำพองตน หรือมีปัญหากับสมองอีกเลย!


 


แต่เจ้ามีอุปกรณ์อมตะระดับราชาแล้วอย่างไร หรือบุตรชายเจ้าเมืองตู้อวิ๋นไม่มี?


 


นอกจากนั้นบุตรชายเจ้าเมืองตู้อวิ๋นด่านพลังยังบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด วรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังอันใดก็ประสบความสำเร็จไม่ใช่ชั่ว


 


ต้องทราบด้วยว่า หวงเจียหลงนั้น วรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับขุนนางสายจู่โจม ป้องกัน และท่าร่าง ล้วนแตกฉานหมดสิ้น!


 


อีกทั้งลือกันว่ากระทั่งเวทย์พลังสนับสนุนระดับขุนนางที่ยากตีความเป็นที่สุด ก็บรรลุความสำเร็จไม่ใช่ชั่วแล้ว!


 


และในขณะที่หวงเจียหลงหยิบหอกเมฆาอัคคีออกมาเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน จนบรรยากาศระหว่างทั้งคู่เริ่มคลุ้งกลิ่นดินปืน ปานการต่อสู้พร้อมระเบิดปะทุได้ทุกเมื่อนั้นเอง


 


ปรากฏร่างบางแลดูสง่างามหนึ่ก้าวอาดๆขึ้นมาบนอัฒจันทร์ส่วนราชวงศ์


 


“สนมรักของข้า ไฉนเจ้ามาได้เล่า?”


 


ฮ่องเต้ฝูชิวคลี่ยิ้มสดใสออกมาทันที เมื่อเห็นร่างบางแสนงามมากสง่าก้าวอาดๆเข้ามานั่งยังที่นั่งข้างๆที่เว้นว่างเอาไว้


 


และที่ว่างข้างกายของมันก็เว้นว่างมาตั้งแต่แรก ที่แท้จับจองไว้ให้สนมรักนางนี้นี่เอง


 


“คารวะพระสนมหลัน!”


 


“คารวะพระสนมหลัน!”


 



 


เมื่อสตรีงดงามหมดจดท่วงท่าส่างามปานนนางพญาก้าวอาดๆมาถึง ข้าราชบริพานทั้งทหารองครักษ์ที่คุ้มกันโดยรอบ ก็ประสานมือโค้งคารวะทำความเคารพออกมาอย่างนอบน้อมพร้อมเพรียง


 


และเมื่อคารวะคนเสร็จที่มีหน้าที่เฝ้าระวังก็ทำต่อ ที่ไม่มีหน้าที่ก็หันกลับไปจับจ้องยังสังเวียนที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงเผชิญหน้ากันอยู่


 


“ขออภัยด้วยเพคะเสด็จพี่ที่น้องมาสาย พอดีเมื่อเช้าพี่ใหญ่ของน้องมาเข้าพบ…”


 


สตรีงดงามมาดสง่าปานนางพญาผู้นี้ ก็คือสนมเอกแห่งประเทศฝูชิว เป็นนางสนมที่ฮ่องเต้ฝูชิวโปรดปรานเป็นที่สุด โปรดปรานถึงขั้นลืมเลือนชายาเอกชายารองอันใดไปหมดสิ้น และสนมหลันนางนี้ ด้วยความที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ฝูชิว นางก็เริ่มเพาะสร้างขุมกำลังส่วนตัว จนกลายเป็นตัวตนที่มีอำนาจบารมีไม่ใช่ชั่วในประเทศฝูชิว


 


“พี่ใหญ่ของน้องมาหาอีกแล้วหรือ…ใช่ยังเป็นเรื่องของฮ่าวเอ๋ออยู่หรือไม่?”


 


ฮ่องเต้ฝูชิวถาม


 


“เพคะ”


 


สตรีงามมาดนางพญาพยักหน้ารับ และคล้ายจะฉุกคิดอะไรได้ออก ดวงตาคู่งามปานแก้วมณีก็เริ่มปรากฏหยาดน้ำใสสองสายไหลรินรดแก้มกระจ่าง “เช้าวันนี้พี่ใหญ่ที่มาหาข้า หลังจากพบว่าทางข้าสืบมิได้เรื่องราวอันใด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจำต้องใช้วิชาต้องห้ามประจำตระกูล ‘ย้อนรอยโลหิต’ เพื่อมองฉากสุดท้ายของสายโลหิตที่ตายตก หมายดูโฉมหน้าฆาตกรที่เข่นฆ่าฮ่าวเอ๋อ!”


 


“แม้จักเห็นแล้วว่าฆาตกรเป็นผู้ใด…หากแต่พี่ใหญ่…พี่ใหญ่ของน้อง ต่อจากนี้มิอาจพบพานความก้าวหน้าอันใดอีกแล้ว ฮือ…”


 


วาจาเสียงสะอื้น พร้อมด้วยใบหน้างามที่เต็มไปด้วยความสลดพร้อมหยาดใสสองสายนั่น ช่างมีอานุภาพสะกดใจให้ผู้ที่พบเห็นบังเกิดความเวทนาสงสารจับจิตเหลือเกิน ฮ่องเต้ฝูชิวเดิมทีก็หลงรักนางเป็นทุน พอเห็นนางในดวงใจโศกเศร้า ร่ำไห้น้ำตาเป็นสาย ก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาในใจ พลอยมีอารมณ์หดหู่โศกศัลย์ไปด้วย


 


“เป็นพี่ใช้การไม่ได้เอง ที่มิอาจช่วยน้องหาตัวฆาตกรได้ ยามนี้เมื่อรู้รูปโฉมของมันแล้ว ตราบใดที่มันยังไม่ออกจากเขตประเทศฝูเชิวของพี่ ชั่วชีวิตมันก็อย่าหวังจักไปที่ใดได้อีก!!”


 


ฮ่องเต้ฝูชิวกล่าวปลอบพลางกอบกุมมือสนมรักไว้แนบแน่น จากนั้นก็หันไปชมดูการเผชิญหน้าระหว่างคนสองคนที่บัดนี้การต่อสู้เจียนปะทุเต็มที “รอให้งานประลองสวรรค์ใต้วันนี้สิ้นสุดลงก่อน น้องก็ให้พี่ใหญ่วาดรูปเหมือนฆาตกรออกมาเถอะ พี่จักให้คนคัดลอกไว้สักหลายๆชุดเพื่อนำไปติดประกาศหาตัวคนร้ายให้ทั่ว!”


 


“อย่างไรเสียฮ่าวเอ๋อก็เหมือนหลานคนหนึ่งของพี่…พี่ไหนเลยจะไม่ล้างแค้นให้ผู้หลานได้?”


 


ฮ่องเต้ฝูชิวกล่าวปลอบถึงจุดนี้ เสียงสะอื้นไห้ของสนมหลันก็ทุเลาลง


 


“ขอบพระทัยเพคะเสด็จพี่…”


 


สตรีงามมาดนางพญากล่าวคำขอบคุณออกมาเสียงหวาน นางค่อยๆยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาอย่างแช่มช้อย จากนั้นก็เริ่มหันไปชมมองตามสายตาฮ่องงเต้ฝูชิว ร่วมดูการประลอง


 


“เอ๊ะ? นั่นมิใช่บุตรชายคนที่ 4 ของเจ้าเมืองตู้อวิ๋นหรอกหรือ?”


 


พอได้เห็นว่าผู้ที่กำลังจะต่อสู้กัน หนึ่งในนั้นคือคนที่นางเองก็คุ้นหน้า สตรีงามก็อดประหลาดใจไม่ได้ “มันออกโรงเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”


 


“ไม่เพียงแต่มันจะลงมือเร็วกว่าที่คาด…ยามนี้ยังได้พานพบคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจอีกด้วย คู่ต่อสู้ของมันเป็นแค่ชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยปีเท่านั้น แถมยังมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาอีกด้วย ข้ามิทราบจริงๆว่าที่แท้เป็นทายาทหรือลูกศิษย์ของประหลาดเฒ่าคนใดกันแน่…”


 


ฮ่องเต้ฝูชิวมองไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ พลางกล่าวออกมาด้วยความสงสัย


 


หากมีใครมาบอกว่า ชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยปีที่บรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะแล้ว แถมยังมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาในครอบครองไร้ภูมิหลังความเป็นมาอันใด ให้ตีมันจนตัวแตกตายมันก็ไม่เชื่อ!


 


“อายุไม่ถึงร้อยปี แถมยังครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับราชา?”


 


ได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ฝูชิว หญิงงามสะโอดสะองค์ หรือสนมหลันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความประหลาดใจ ขณะเดียวกันนางก็ละสายตาออกจากร่างหวงเจียหลง และมองไปยังคู่ต่อสู้ของหวงเจียหลงโดยไม่รู้ตัว


 


“นี่…”


 


ทว่ามองไปปราดเดียว ลูกตาของสนมหลันก็หดเล็กลงทันใด!


 


นั่นเพราะนางจดจำใบหน้านั่นได้!


 


หากจะว่าไปแล้ว นางก็พึ่งเห็นใบหน้านี้มาหยกๆเมื่อเช้า!!


 


และยังได้เห็นใบหน้านี้ เพราะพี่ชายคนโตของนางได้ใช้วิชาต้องห้ามของตระกูล…


 


แม้ตระกูลของนางจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่อันใดในประเทศฝูชิว หากแต่ในตระกูลก็มีวิชาต้องห้ามหนึ่งที่สืบทอดต่อกันมาเรียกว่า ย้อนรอยโลหิต ซึ่งในยามปกติแล้วแทบจะไม่มีใครใช้วิชาต้องห้ามดังกล่าวเลย…


 


เพราะวิชาต้องห้ามย้อนรอยโลหิตนั้น ถึงจะสามารถย้อนไปดูร่องรอยลมหายใจสุดท้ายของสายเลือดที่ใกล้ชิดกับตัวได้…


 


สายเลือดที่ใกล้ชิดที่ว่า ก็คือบิดามารดาและลูกของตัวเอง!


 


และหากสายเลือดที่ใกล้ชิดนั้นบังเอิญตกตายในเวลาไล่เลี่ยกัน วาระสุดท้ายที่จะเห็นจากวิชาลับต้องห้ามย้อนรอยโลหิต ก็จะเป็นของคนที่สิ้นลมหายใจเป็นคนสุดท้าย…


 


แต่ราคาที่ต้องจ่ายหลังใช้วิชาลับต้องห้ามย้อนรอยโลหิต ก็คือด่านพลังฝึกปรือของผู้ใช้! ตลอดชั่วชีวิตจะไร้วันก้าวหน้าได้อีก กล่าวได้ว่าราคาที่ต้องจ่ายออกไปก็คืออนาคตของตน!!


 


ในความทรงจำของสนมหลัน วิชาลับต้องห้ามย้อนรอยโลหิตนี้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ของตระกูล พี่ใหญ่ของนางก็เป็นคนที่ 3 ที่ใช้มัน!


 


‘คนฆ่าฮ่าวเอ๋อ…เป็นมัน!?’


 


ใจสนมหลันสั่นสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันนางก็รีบสะบัดมือเรียกยันต์อมตะสื่อสารออกมาใช้งาน จนตัวยันต์อมตะสื่อสารกลับกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งวาบตัดฟ้าหายลับ บึ่งตรงไปหาพี่ใหญ่ของนางเร็วรี่!


 


นางต้องการให้พี่ใหญ่ของนางมายืนยันด้วยตัวเอง!


 


เพราะในใจนางบังเกิดคำถามขึ้นมาข้อหนึ่ง…


 


ในเมื่อชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้สามารถเข้าร่วมการประลองสวรรค์ใต้ได้ หมายความว่าคนย่อมมีด่านพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะแน่นอน เช่นนั้นถึงจะเข่นฆ่าหลานชายนางได้ แต่อีกฝ่ายจะมีพลังสามารถมากพอเข่นฆ่าผู้ติดตามหลานชายนางที่เป็นขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ได้ในเวลาอันสั้นได้อย่างไร?


 


‘ผู้ติดตามฮ่าวเอ๋อ อาจโดนคนที่ติดตามมันมาฆ่าทิ้ง…’


 


พอฉุกคิดถึงจุดนี้ ความสงสัยในใจของสนมหลันก็หายไป


 


เนื่องจากฮ่องเต้ฝูชิวเองก็ทุ่มความสนใจให้กับฉากการประลองที่กำลังจะอุบัติขึ้นได้ทุกเมื่อเบื้องหน้า จึงไม่ทันพบเห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสนมหลัน


 


และสนมหลันก็ไม่ได้เผยอาการผิดแปลกอะไรมากมาย เพียงระงับโทสะในใจเอาไว้ เฝ้ารอให้พี่ใหญ่ของนางมายืนยันให้แน่ชัดเสียก่อน


 


“ข้าอยากชมดูพลังฝีมือเจ้านัก ว่าเจ้าอาศัยอันใดถึงได้กล้ากล่าววาจาคำโตเช่นนั้น!”


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง กลางอากาศ ณ สังเวียนที่หวงเจียหลงเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนอยู่ หวงเจียหลงก็มองจ้องไปที่ต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นคนก็แปรเปลี่ยนไปคล้ายอัสนีสายหนึ่ง ฟาดผ่าไปทางต้วนหลิงเทียน!


 


วู้ม! วู้ม! วู้ม!!


 



 


ร่างหวงเจียหลงที่พุ่งไปปานอัสนีฟาด พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างที่ปะทุออกมาปานเพลิงไฟ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นมวลแสงสีทอง มองไปคล้ายมังกรทองตัวเขื่องเลื้อยลดขนดรอบกาย พุ่งทะยานติดตามไปอย่างเกรี้ยวกราด!


 


ขณะเดียวกันหอกเมฆาอัคคี 7 ฉื่อในมือ ก็เสือกแทงทะลวงออกไปตรงๆด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด เล็งจี้ไปยังกลางอกของต้วนหลิงเทียน!


 


รอบหอกยาว 7 ฉื่อของมันก็ปรากฏมวลพลังดั่งมังกรทองม้วนพันไปทั่วตัวหอกเช่นกัน!


 


นอกจากนั้นบริเวณปลายหอก ยังปรากฏเกลียวอัสนีสีแดงแล่นวาบแปลบปลาบแลดูน่ากลัวเหลือเกิน!


 


เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่สามารถหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาได้ หวงเจียหลงก็ไม่คิดออมรั้งยั้งมืออันใด กระบวนท่าแรกที่จู่โจมออก ยังใช้ออกด้วยพลังสุดตัว!


 


ดั่งคำกล่าว สิงโตจับกระต่ายยังทุ่มกำลังทั้งหมด! มันไหนเลยจะหาญกล้าประมาทอีกฝ่ายเพียงเพราะอีกฝ่ายมีอายุแค่ร้อยปี? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาได้แบบนี้!


 


ที่สำคัญฟังจากวาจาอหังการของอีกฝ่ายก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่าผู้อื่นนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจในตัวเองถึงขีดสุด!


 


“ข้าบอกว่าจะต่อให้เจ้า 2 กระบวนท่า ก็คือข้าจะปล่อยให้เจ้าป้อนกระบวนท่ามา 2 กระบวน…”


 


“หาก 2 กระบวนท่าของเจ้าไม่อาจทำลายการป้องกันของข้าได้ ข้าจึงจะลงมือ…และหากว่าหนึ่งกระบวนท่าของข้า ไม่อาจเอาชนะเจ้าได้ ข้าจะเป็นฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ทันที”


 


เผชิญหน้ากับการโจนทะยานเสือกหอกทะลวงแทงเข้ามาด้วยสภาวะพลังเหี้ยมหาญดุดันของหวงเจียหลง ต้วนหลิงเทียนยังแลดูไม่นำพาอะไร มือสะบัดเบาๆ กางร่มในมือ พลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย


 


สิ้นคำกล่าว ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดปะทุระเบิดออกมาปานเพลิงไฟ จากนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นเงาร่างพุทธอค์สีทองตัวเขื่อง!


 


พร้อมกันกับที่เงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องก่อเกิด ยังคล้ายมีมวลพลังสีม่วงขุมหนึ่งแผ่กำจายปกคลุมไปทั่วเรือนกาย!


 


แสงพลังสีทองพร้อมด้วยแสงพลังสีม่วงที่สาดส่องออกมา แลดูผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว ก่อเกิดเป็นแสงพลังที่งดงามตระการตา น่าดูพิกล!


WSSTH ตอนที่ 2,941 : อุปกรณ์อมตะระดับราชาอีกชิ้น!


 


 


“หยิ่งนัก!”


 


“เหอะๆ ฟังจากคำพูดมัน หรือจะบอกว่าสามารถเอาชนะนายน้อยเมืองตู้อวิ๋นได้ในกระบวนท่าเดียว?”


 


“เพ้อฝัน!”


 



 


ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนถือดีเกินไป หวงเจียหลงนั้นแข็งแกร่งจนเรียกว่าแทบไม่เป็นสองรองใครในขอบเขตยอดเซียนอมตะของประเทศฝูชิวด้วยซ้ำ เรียกว่าวัดกันจริงๆก็ถือว่ามีพลังฝีมือติด 3 อันดับแรก!!


 


ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มชุดม่วงอายุไม่ถึงร้อยปี กลับกล้าพูดออกมาไม่อายปากว่าอาศัยเพียงหนึ่งกระบวนท่าก็สยบหวงเจียหลงได้!


 


หากนี่ยังไม่หยิ่งผยอง อันใดจึงเรียกหยิ่งผยอง!?


 


ตอนนี้กระทั่งเจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเหยี่ยนเฟย ที่สีหน้าไม่ยินดียินร้ายมาตลอด ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเชิดๆ มุมปากยังยกยิ้มแสยะรังเกียจ


 


พลังฝีมือของลูกชายมันนั้น ตัวมันไม่อาจรู้ดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว


 


ต่อให้เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่พลังฝีมือสูงส่งที่สุดในประเทศฝูชิวเวลานี้ที่มันรู้อย่างองค์ชาย 4 ต่อให้ลงมือเต็มที่ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะลูกชายมันได้ภายในสิบกระบวนท่า!


 


“จึกๆ สหายผู้นั้นช่างหยิ่งแท้ ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ…”


 


ลูกชายคนเล็กของหวงเหยี่ยนเฟยเองก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้น กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มพลางส่ายหัว มันไม่เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนจะร้ายกาจถึงขั้นเอาชัยพี่ชายมันได้ในท่าเดียว


 


เหนือขึ้นไปกลางหาวของสังเวียน


 


“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”


 


ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว!


 



 


ต้วนหลิงเทียนพลันใช้ออกด้วยเวทย์พลังสนับสนุนอย่างปฐมเวทย์กลืนกิน ทันใดนั้นแสงพลังสีม่วงกับสีทองที่สาดส่องรอบกายต้วนหลิงเทียนก็คล้ายจะทวีความเข้มแข็งขึ้นไปอีกระดับ


 


ถึงแม้วว่าพลังอำนาจของปฐมเวทย์กลืนกินจะน่ากลัวยามอยู่ในระนาบโลกียะ ใช้คราหนึ่งก็ทำให้พลังวิญญาณฟ้าดินในอาณาบริเวณโดยรอบมีอันต้องสาบสูญไปในฉับพลัน!


 


อย่างไรก็ตามพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศของระนาบเทวโลกนั้น มหาศาลสุดที่ในระนาบโลกียะจะเปรียบปราน แม้ต้วนหลิงเทียนจะใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกิน แต่ก็ไม่ได้บังเกิดปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่อะไรนัก


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาใช้ในลานหน้าพระราชวังหลวงของประเทศฝูชิว ที่มีพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศหนาแน่นไม่ใช่ชั่ว แม้ต้วนหลิงเทียนจะใช้ปฐมเวทย์กลืนกินออกเต็มกำลัง ก็ไม่ได้บังเกิดความเคลื่อนไหวที่เห็นได้ชัดแต่อย่างไร


 


เพราะสุดท้ายแล้วในระนาบเทวโลกนั้น ปฐมเวทย์กลืนกินก็เป็นเพียงเวทย์พลังระดับสวรรค์เท่านั้น แม้ต้วนหลิงเทียนจะบรรลุมันถึงขั้นไร้ตำหนิแล้ว แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับพลังอำนาจของเวทย์พลังสนับสนุนที่มีระดับสูงกว่านี้


 


ทันใดนั้นเองเมื่อแสงพลังทวีความแกร่งกล้าขึ้น ร่มที่พึ่งคลี่กางในมือต้วนหลิงเทียน ไม่ทราบว่าไปอยู่ในมือเงาร่างพุทธองค์สีทองร่างเขื่องตั้งแต่เมื่อไหร่ หากทว่าตอนนี้มันได้เปล่งแสงพลังลี้ลับออกมากางกั้นเป็นมางพลังอีกชั้น แสงพลัง 3 สีสอดประสานกันได้อย่างลงตัว!


 


และบัดนี้หอกที่เสือกทะลวงจ้วงมาของหวงเจียหลง ก็บรรลุถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนเรียบร้อยแล้ว!


 


ปงงงง!!


 


หวงเจียหลงที่โถมทะลวงหอกเข้ามา บัดนี้สภาวะพลังได้ถูกเร่งเร้าถึงขีดสุด! คนหอกคล้ายอุกกาบาต พุ่งทะลวงแหวกฟ้าฉับไวจนก่อเกิดเป็นอุโมงค์อากาศสายหนึ่ง มวลอากาศที่ถูกแหวกทะลวงยังแตกระเบิดกำจายออกไปเป็นวงอย่างเห็นได้ชัด!!


 


เมื่อหอกบรรลุถึงม่านพลัง 3 สีสัน เกลียวอัสนีสีแดงฉานที่ม้วนพันปลายหอกก็เริ่มม้วนวนเร็วรี่ปานปานหัวส่วาน!


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง มวลพลังดั่งมังกรทองที่ม้วนขนดพันรอบตัวหอกเองก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า!


 


จากนั้นมันก็พุ่งไปหลอมผสานเข้ากับเกลียวพลังอัสนีสีแดงแปลบปลาบ ก่อเกิดเป็นสว่านพลังอัสนีสีแดงทอง สภาวะพลังปานจะเจาะทะลวงได้ทุกสรรพสิ่ง!


 


ปงงงง!!


 


เมื่อเกลียวพลังอัสนีสีแดงแปลบปลาบหลอมผสานกับพลังสีทองได้ไม่ทันไร มันก็พุ่งออกมาปานจุดระเบิด! กลับกลายเป็นลำแสงเกลียวพลังสังหารรวมศูนย์สายหนึ่ง พุ่งออกไปอย่างน่ากลัว!


 


ทันใดนั้นลำแสงพลังหอกอันน่าพรั่นพรึงก็ปะทะเข้ากับม่านพลัง 3 สีสันอันฉาบคลุมพุทธองค์ร่างทองตัวเขื่อง ก่อเกิดเป็นฉากพลังปะทะตีโต้อย่างไม่มีใครยอมใคร ส่งเสียงระเบิดดังสนั่นลั่นสังเวียน!


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


ครืนนน!!


 



 


ภายใต้อานุภาพพลังเจาะทะลวงอันสยดสยอง เงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องของต้วนหลิงเทียนพลันสั่นไหวสะท้านไปปานเปลวไฟต้องลม ไอพลังสีม่วงและแสงพลังลี้ลับที่ฉาบผิวร่างเขื่องไว้ ยังเริ่มสลายตัวลงทุกขณะ พาลให้ผู้คนรู้สึกว่ามันสามารถอันตรธานหายไปได้ทุกเมื่อ!


 


‘อาศัยแค่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด นับว่ายากจะป้องกันการโจมตีรวมศูนย์ระดับนี้ได้ไหว…พลังกระบวนท่าของหวงเจียหลง นับว่าทรงพลังอย่างพบพานได้ยากในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจริงๆ’


 


‘กระทั่งใช้วรยุทธ์อมตะอย่างราชันไม่เคลื่อนไหว ผสานด้วยเวทย์พลังปราณม่วงบูรพาและอุปกรณ์อมตะระดับราชาแล้ว ยังเอาไม่อยู่…ดูท่าข้าทำได้แค่เร่งเร้าพลังให้เพิ่มพูนขึ้นอย่างแยบคาย จนใกล้เคียงกับขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดมากที่สุดเพื่อหยุดมัน!’


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจกระบวนท่าเจาะทะลวงของหวงเจียหลง สีหน้าต้วนหลิงเทียนแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังอยู่บ้าง ขณะเดียวกันก็เริ่มควบคุมพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างอย่างแยบคาย


 


พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่เหลืออยู่ในร่างของเขาตอนนี้ มันเหลือแค่ระดับขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น เขาจำเป็นต้องใช้การควบคุมอันละเอียดอ่อนและแม่นยำถึงขีดสุด เพื่อควบคุมให้มันใกล้เคียงกับขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดให้ได้มากที่สุด! ซึ่งนับว่าไม่ใชเรื่องที่จะกระทำได้ง่ายๆ!!


 


อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์ตอนนี้เขามีก็แต่ต้องเสี่ยงลงมือเท่านั้น และถ้าการควบคุมพลังของเขาพลาดไปแค่นิดเดียว จนระดับพลังที่ใช้ออกแตะขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดขึ้นมา ไม่พ้นระดับพลังของเขาก็ต้องถูกเปิดโปง! หลังจากนั้นไม่เพียงแต่จะถูกตัดสิทธิ์ในการประลอง ฮ่องเต้ฝูชิวอาจพิโรธขึ้นมาด้วยซ้ำ


 


เจ้าชีวิตพิโรธ เลือดนองนับพันลี้!


 


ถึงแม้ว่าหากเขาใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอีกสักครั้ง ก็มีพลังมากพอตบฮ่องเต้ฝูชิ้วให้แหลกเป็นหมอกเลือดอย่างง่ายดาย แต่หากไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากใช้มันในลักษณะนี้


 


เพราะสุดท้ายแล้วในปัจจุบันเขาก็เหลือโอกาสใช้มันอีกแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ใช้หนึ่งครั้งก็ลดลงไปอีกหนึ่งครั้ง!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


ภายใต้สายตาจับจ้องมองมาอย่างไม่วางตาของทุกคน พลังกระบวนท่าของหวงเจียหลงตอนนี้ก็กำลังสำแดงพลังอานุภาพบั่นทอนพลังป้องกันของต้วนหลิงเทียนไม่หยุด! คล้ายใกล้เจาะทะลวงม่านพลังป้องกันของต้วนหลิงเทียนได้เต็มที!!


 


จังหวะนี้ผู้คนส่วนใหญ่ถึงกับกลั้นหายใจ!


 


“ช่างเป็นการป้องกันที่ทรงพลังอะไรเช่นนี้!”


 


ถึงแม้ว่าเงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องของต้วนหลิงเทียนจะเริ่มสั่นไหว คล้ายใกล้แตกสลายลงได้ทุกเมื่อ แต่การที่สามารถต้านทานรับพลังกระบวนท่าอันร้ายกาจของหวงเจียหลงได้นานสองนาน ก็ทำให้ทุกคนตกใจกันยกใหญ่!


 


และหลังจากต่อต้านแข็งขืนกันไปอีกหลายลมหายใจ ในที่สุดฝ่ายที่สิ้นสูญพลังก่อน กลับเป็นลำแสงทะลวงจากหอกของหวงเจียหลง!!


 


“บะ…บ้าน่า! เป็นไปได้ยังไง!?”


 


เมื่อเห็นว่ากระบวนท่าที่มันทุ่มเทใช้ออกด้วยพลังทั้งหมด สุดท้ายกลับไม่อาจฝ่าปราการป้องกันของคู่ต่อสู้ได้ สีหน้าหวงเจียหลงก็ฉายชัดถึงความตกตะลึงพรึงเพริดโดยไม่รู้ตัว!


 


แม้แต่ ‘หูจี้หย่ง’ องค์ชาย 4 ที่นั่งอยู่ข้างๆฮ่องเต้ฝูชิว ลูกตายังอดหดเล็กลงไม่ได้


 


เพราะต่อให้เป็นมัน ถึงแม้มันมั่นใจว่าจะเอาชนะหววงเจียหลงได้แน่


 


อย่างไรก็ตามมันไม่อาจป้องกันการลงมือเต็มกำลังของหวงเจียหลงได้แบบนั้น!


 


“อีก 1 กระบวนท่า…”


 


ทันใดนั้น เสียงไม่แยแสของต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้นทำลายบรรยากาศอันเงียบสงัด ดึงสติทุกคนให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยทันที


 


“สัตว์ประหลาด!”


 


“ปีศาจ!!”


 


“ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้เป็นใครกันแน่ ไฉนการป้องกันของมันถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้!?”


 



 


ตอนนี้ไร้ผู้ใดกล้าตั้งคำถามเกี่ยวกับพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนสืบไป และยังรู้สึกกันว่าคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับต้วนหลิงเทียนที่จะเอาชนะหวงเจียหลง…


 


แต่แน่นอนว่าถ้ามาบอกว่าต้วนหลิงเทียนอาศัยเพียงหนึ่งกระบวนท่าก็เอาชนะหวงเจียหลงได้ พวกมันยังไม่เชื่อ!


 


พลังป้องกันร้ายกาจเหนือสามัญสำนึก การโจมตีก็ไม่ใช่ว่าจะดุร้ายเหนือสามัญสำนึกเช่นกัน!


 


“น้องชาย มิทราบน้องชายเรียกว่าอะไรหรือ?”


 


หวงเจียหลงสูดอากาศเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งสีหน้าท่าทีมันก็เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง กระทั่งลึกลงไปในแววตายังฉายให้เห็นความหวาดกลัวอยู่บ้าง


 


ยอดฝีมือที่ยังอายุเยาว์เช่นนี้ นับว่าชั่วชีวิตมันไม่เคยพบพานมาก่อนเลย


 


อายุไม่ถึงร้อยปี…แต่กลับทรงพลังเหนือมัน!


 


ยิ่งไปกว่านั้นนอกเหนือจากเวทย์พลังสนับสนุนแล้ว ไม่ว่าจะวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังอื่นใดที่ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ใช้ออกมา ก็ล้วนแต่เป็นระดับขุนนางทั้งสิ้น ที่สำคัญยังแตกฉานถึงขั้นตอนไร้ตำหนิทั้งหมด!


 


“ต้วนหลิงเทียน”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบเสียงเบา


 


“น้องต้วนไม่ต้องกล่าวใดอื่น อาศัยแค่การป้องกันอันน่ากลัวของเจ้า ก็บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าเจ้าแข็งแกร่งเหนือข้า…สำหรับกระบวนท่าที่เหลือข้าคงไม่จำเป็นต้องลงมืออีก เพราะข้าไม่มีความมั่นใจจะฝ่าการป้องกันนั่นของเจ้าได้แม้แต่นิดเดียว”


 


หวงเจียหลงกล่าวออกมาตามตรง “เช่นนั้น…ตอนนี้ให้เจ้าเป็นฝ่ายโจมตีแล้วข้ารับดูบ้างเป็นไร?”


 


ถึงแม้เมื่อครู่หวงเจียหลงจะลงมือสุดกำลัง แต่มันเชื่อว่าหากรีดเค้นพลังอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆมันอาจเพิ่มพูนพลังได้อีก 1 ส่วน แต่ลำพังพลังที่เพิ่มมาแค่ 1 ส่วน มันก็รู้สึกว่าคงไม่อาจทลายฝ่าการป้องกันต้วนหลิงเทียนได้อยู่ดี!


 


ดังนั้นล้มเลิกไปเสียแต่เนิ่นๆย่อมดีกว่า


 


“เอางั้นก็ได้ และถ้าท่านสามารถป้องกันการโจมตีของข้าได้ล่ะก็…ข้ายังขอยืนยันคำพูดเดิม ว่าหากข้าเอาชนะท่านไม่ได้ใน 1 กระบวนท่าให้ถือว่าข้าแพ้”


 


ต้วนหลิงเทียนยังคงมองกล่าวหวงเจียหลงอย่างสงบ จากนั้นเขาก็รับร่มที่ลอยกลับมาเข้ามือก่อนจะหุบร่มดั่งกล่าวลงแล้วสะบัดมือส่งมันหายสาบสูญไปในความว่างเปล่า เก็บกลับเข้าแหวนไปนั่นเอง


 


และฉากนี้ยังทำให้ผู้คนทั้งหมดอดงุนงงสับสนไปไม่ได้


 


“เอ๊า…มัน…มันไฉนเก็บอุปกรณ์อมตะระดับราชานั่นไปซะเล่า?”


 


“ล้อเล่นน่า! อย่าบอกนะว่ามันคิดจะลงมือด้วยมือเปล่าโดยไม่อาศัยอุปกรณ์อมตะระดับราชา!?”


 


“ไม่หรอก! อุปกรณ์อมตะระดับราชาชิ้นนั้นของมัน ข้าว่าสมควรเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาสายป้องกันเต็มตัว…อุปกรณ์อมตะระดับราชาเช่นนี้ ในแง่การเสริมพลังจู่โจมไม่แน่ว่าจะแข็งแกร่งกว่าอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางประเภทศาสตราด้วยซ้ำ”


 


“มิผิด…ข้าว่าเหตุผลหลักที่ทำให้มันหยุดกระบวนท่าของหวงเจียหลงได้ ไม่พ้นต้องยกความดีความชอบให้อุปกรณ์อมตะระดับราชาสายป้องกันนั่น!”


 



 


ตอนนี้หลายคนรู้สึกว่า ต้วนหลิงเทียนคิดจะเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์อมตะระดับขุนนางประเภทศาสตราที่เน้นการจู่โจมโดยเฉพาะ


 


แต่อย่างไรก็ตาม พอทั้งหมดเห็นไม้พลองเล่มหนึ่งที่ผุดโผล่จากความว่างเปล่ามากระชับถือไว้ในมือของต้วนหลิงเทียนเท่านั้นแหล่ะ…


 


“มะ…มารดามันเถอะ! พวกควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาอีกชิ้นแล้ว!!”


 


“เหอะๆ ชายหนุ่มนามต้วนหลิงเทียนผู้นี้ที่แท้เป็นเทพยดาองค์ใดกันแน่? ไม่เพียงพลังฝีมือจะร้ายกาจ แต่มันถึงกับหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาใช้หน้าตาเฉยได้ 2 ชิ้นจริงๆ!?”


 


“น่ากลัวความเป็นมาของมันจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว!”


 



 


เรียกว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนถ่ายทอดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดลงสู่ตัวพลอง จนตัวพลองเปล่งแสงพลังเรืองรองปลดปล่อยกลิ่นอายพลังลี้ลับออกมา ใจของหลายๆคนก็อดสะท้านไปไม่ได้


 


“อุปกรณ์อมตะระดับราชา?”


 


“มันยังมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาอีกชิ้นงั้นหรือ!?”


 



 


เพราะพววกมันตระหนักได้ทันทีจากกลิ่นอายพลังลี้ลับที่แผ่ออกมาทั่วตัวพลองนั่น…ว่าเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาไม่ผิดแน่!


 


ถึงแม้พวกมันจะพอมองออกแต่แรกว่าต้วนหลิงเทียนดูเหมือนจะเปลี่ยนอุปกรณ์อมตะ แต่พวกมันคิดว่าน่าจะเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์อมตะระดับขุนนางประเภทศาสตราที่เน้นการโจมตีเต็มตัว


 


แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนกลับหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาอีกชิ้นหน้าตาเฉย!


 


“ชายหนุ่มผู้นี้…มิใช่ผู้ฝึกตนพเนจรธรรมดาสามัญแน่!”


 


ฮ่องเต้ฝูชิวมองจ้องไปยังชายหนุ่มชุดม่วงกลางอากาศในรัศมีแสงสังเวียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ


 


‘อุปกรณ์อมตะระดับราชา 2 ชิ้น?’


 


และสนมหลันที่นั่งข้างๆฮ่องเต้ฝูชิว ยามนี้ก็ชักสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากนัก ‘เดียรัจฉานน้อยนี่…มันถึงกับมีอุปกรณ์อมตะระดับราชา 2 ชิ้นเชียวหรือ?’


 


หลังได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนเป็นผู้ลงมือเข่นฆ่าหลานชายของนาง นางก็คิดจะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายเพื่อเป็นการล้างแค้นให้หลานชาย


 


ทว่าพอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนหยิบร่มออกมาคันหนึ่ง และเป็นถึงอุปกรณ์อมตะระดับราชา นางก็ตระหนักได้ทันทีว่าแค้นนี้คงยากจะชำระแล้ว


 


คนที่มีอุปกรณ์อมตะระดับราชาพกติดตัว ยังเป็นคนธรรมดาสามัญได้หรือ?


 


มาตอนนี้พอเห็นต้วนหลิงเทียนหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาอีกชิ้น นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ ทั้งสิ้นหวัง


 


‘หากข้าคิดช่วยพี่ใหญ่ลงมือแก้แค้นมัน…ถึงจะฆ่ามันได้ แต่คนที่อยู่เบื้องหลังมันจะปล่อยให้ข้ามีลมหายใจอยู่ต่อรึไง?’


 


‘นอกจากนั้น อัจฉริยะเช่นมัน ไหนเลยจะไม่มียอดฝีมือติดตามคุ้มครอง?’


 


พอฉุกคิดได้ถึงจุดนี้ สนมหลันก็เร่งใช้ยันต์อมตะสื่อสารเพื่อส่งข่าวไปถึงพี่ชายนางอีกครั้ง


 


“น้องต้วน ข้ายอมใจเจ้าแล้วจริงๆ…เจ้าถึงกับพกอุปกรณ์อมตะระดับราชาติดตัวมา 2 ชิ้น นี่เจ้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่เนี่ย?”


 


พอหวงเจียหลงเห็นต้วนหลิงเทียนนำอุปกรณ์อมตะระดับราชาชิ้นที่สองออกมาหน้าตาเฉย มันก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขื่นขมทันที เพราะมันเริ่มตระหนักได้ว่า…


 


ท่าทางเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนประกาศว่าจะเอาชนะมันได้ในกระบวนท่าเดียว อีกฝ่ายหาได้กล่าวออกมาด้วยความหยิ่งผยองลำพองอันใดไม่! แต่เป็นเพราะเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจจริงๆ!!


WSSTH ตอนที่ 2,492 : ได้รับสิทธิ์!


 


 


“ข้าจะให้เวลาท่านเตรียมตัว 3 ลมหายใจ…”


 


ได้ฟังคำตอบของหวงเจียหลง ต้วนหลิงเทียนเลือกจะไม่ตอบคำถาม เพียงกล่าวเตือนให้อีกฝ่ายเตรียมตัวแทน


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่เขากล่าวจบคำ เงาร่างพุทธองค์ร่างทองตัวเขื่องที่เริ่มอ่อนจางลงก่อนหน้า ก็หวนคืนสู่รูปลักษณ์อันเข้มแข็งแจ่มชัด แสงพลังส่องสาดเจิดจ้า เป็นเขาจ่ายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกไปอีกรอบ!


 


‘หลังระเบิดพลังกระบวนท่าครานี้ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองก็คงแทบไม่เหลือ…’


 


‘อย่างไรก็ตามการประมือระหว่างข้ากับหวงเจียหลง คงสะกดยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลายให้ยำเกรงได้แล้ว คงไม่มีใครกล้าขึ้นมาท้าประลองข้าอีก’


 


เหตุผลที่ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงกล่าววาจาราวกับหยิ่งผยองออกไป ว่าจะต่อให้หวงเจียหลง 2 กระบวนท่า และจะลงมือเอาชัยหวงเจียหลงในท่าเดียวนั้น เป็นเขาคิดเพาะสร้างสภาะแกร่งกร้าวขู่ข่มยอดเซียนอมตะในการประลองทุกคน ให้ไม่กล้าลงมือสู้กับเขาอีก โดยใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ได้รับมาจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองเฮือกสุดท้าย!!


 


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะสิ้นสูญพลังความเข้มแข็งที่ได้รับมา และไม่เหลือพลังมากพอจะต่อกรกับยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่โดดเด่นคนไหนอีก แต่เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณ


 


ได้ยินคำเตือนของต้วนหลิงเทียน สีหน้าหวงเจียหลงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังถึงขีดสุด ขณะเดียวกันหอกเมฆาอัคคีในมือก็เริ่มปรากฏมวลพลังดั่งมังกรทองม้วนพันรอบตัวหอกเอาไว้อีกรอบ บนร่างเขาเองก็ปรากฏมวลพลังมหาศาลม้วนพันไว้เช่นกัน!


 


ครู่ต่อมาหวงเจียหลงก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยมังกรพลังสีทอง เรียกว่าคนคล้ายกลับกลายเป็นไข่สีทองใบหนึ่ง!


 


จากนั้นไข่สีทองดังกล่าว ก็เริ่มปรากฏเส้นสายอัสนีสีแดงแลบล่นแปลบปลาบไปทั่วผิวสีทอง แลดูทรงพลังเข้มแข็งขึ้นอีกหลายส่วน!


 


เรียกว่าจังหวะนี้หววงเจียหลงได้เร่งเร้าพลังทั้งหมดเตรียมพร้อมรับกระบวนท่าจู่โจมของต้วนหลิงเทียนอย่างจริงจัง หมายเอาชนะการจู่โจมของต้ววนหลิงเทียนให้จงได้!


 


และบัดนี้ เวลา 3 ลมหายใจก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว


 


ปงงง!!


 


เสียงระเบิดสนั่นลั่นดังขึ้น! เป็นต้วนหลิงเทียนถีบเท้าย่ำอากาศรุนแรง ด้วยอานุภาพพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผนึกควบรวมไปที่เท้า คนประหนึ่งย่ำเหยียบพื้นแข็ง มวลอากาศใต้ฝ่าเท้ายังแตกระเบิดออกเป็นวง!!


 


ในเวลาเดียวกัน ร่างต้วนหลิงเทียนก็พุ่งทะยานออกไปปานกระสุน!


 


แสงพลังสีทองลักษณ์พุทธองค์ตัวเขื่องก็พุ่งตามติดมาดั่งเงา ไอพลังสีม่วงเองก็เช่นกัน!


 


นอกจากนี้รอบกายต้วนหลิงเทียนยังปรากฏวังวนพลังงดูดรั้งขุมหนึ่ง กลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบมาหนุนเสริมพลังอานุภาพ! แสงทองม่วงรอบกายยิ่งมายิ่งส่องสว่างเจิดจ้า!


 


วู้ม!


 


วู้มม!!


 



 


พลองยาวในมือต้วนหลิงเทียนสั่นไหว จากนั้นแสงพลังสีม่วงทองก็ฉายเคลือบไปทั่วตัวพลอง พร้อมกันกับที่แสงพลังลี้ลับจากตัวพลองก็เปล่งแสงสว่างจ้าหมายประชันขันแข่ง!


 


ขณะเดียวกันเงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่อง ก็ปรากฏมวลพลัง 3 สีขึ้นรูปก่อเกิดเป็นพลองยาวมาถือไว้ด้วยท่วงท่าเดียวกัน แสงพลังจากตัวพลองส่องสว่างพร่างพราวยิ่งนัก!


 


พริบตาต่อมา ต้วนหลิงเทียนที่เร่งเร้าพลังสภาววะถึงขีดสุด ก็ง้างพลองขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนจะฟาดทุบจากบนลงล่างอย่างเรียบง่าย!


 


เปรี๊ยงงง!!


 


ซู่มมม!!


 



 


เมื่อต้วนหลิงเทียนฟาดทุบพลองในมือ เงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องก็ฟาดทุบพลองพลังสีม่วงทองลี้ลับลงมาพร้อมกัน ความว่างเปล่าเริ่มสะท้านสะเทือน มวลอากาศถูกแหวกผ่าอย่างหักโหม จนผู้คนทั้งหลายชมดูรู้สึกเสมือนมีปรากฏการณ์ทะเลแหวกอุบัติขึ้นกลางฟ้า!!


 


“มาได้ดี!!”


 


ถึงแม้สภาวะรุกโหมของต้วนหลิงเทียนจะทรงพลังดุดันปานไร้ผู้ต้าน หากแต่หวงเจียหลงหาได้หวาดกลัวไม่ มือกระชับหอกเมฆาอัคคีแน่น จากนั้นก็เลือกจะรวมรั้งพลังทั้งหมดจู่โจมสวนขึ้นฟ้าไปอย่างทระนง!


 


ซู่มมม!!


 


ซัว! ซัว! ซัว!


 



 


หอกเมฆาอัคคีในมือสั่นไหวครืนๆ แต่ครานี้หวงเจียหลงจะไม่ได้รวมรั้งพลังเพื่อปะทุระเบิดจู่โจมออกไปเป็นลำแสง หากแต่รวมรั้งพลังจากวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังสายจู่โจมเอาไว้ที่ปลายหอก


 


นอกจากนั้นแล้ว มันยังใช้วรยุทธ์อมตะสายสนับสนุนออกมาอีกอย่าง!


 


วรยุทธ์อมตะสายสนับสนุนที่ว่ายังเป็นระดับขุนนางเช่นกัน แม้จะไม่ได้บรรลุแตกฉาน หากทว่าก็มีพลังหนุนเสริมไม่ใช่ชั่ว


 


แน่นอนว่าพลังหนุนเสริมที่ว่านั้น หาได้ยกระดับพลังของผู้ใช้แต่อย่างใด


 


อย่างที่ทราบกันดีว่าปกติแล้ววรยุทธ์อมตะสายสนับสนุนนั้นไม่ได้เพิ่มพูนพลังให้ผู้ใช้โดยตรง หากแต่เป็นส่วนเสริมของวรยุทธ์อมตะที่ใช้ออกเพื่อให้การโจมตีมีลูกเล่นมากขึ้นเท่านั้น ปกติแล้วก็ไม่ค่อยนิยมใช้กันสักเท่าไหร่


 


และบัดนี้หอกเมฆาอัคคีอันอัดแน่นไปด้วยพลังดุดันที่จ้วงแทงสวนขึ้นฟ้าไป ก็ปรากฏเงาหอกมหาศาลปานห่าพิรุณย้อนฟ้า พุ่งทะลวงทำลายขึ้นไปยังพลองพลังอันเขื่องที่ฟาดทุบลงมาอย่างเหี้ยมหาญ!


 


หอกเมฆาอัคคีที่แท้จริง พร้อมด้วยเงาหอกพลังปานห่าพิรุณย้อนฟ้า ให้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่ผู้รับ แต่คล้ายคิดประชันพลังอำนาจเหี้ยมหาญพร้อมผลาญทำลายต้วนหลิงเทียนไปในคราวเดียว!


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


ครืนนนน!!


 



 


สีหน้าหวงเจียหลงเปลี่ยนเป็นตึงเครียดในฉับพลัน ทว่าท่าทีสีหน้าต้วนหลิงเทียนยังไร้แปรเปลี่ยน พลองยาวยังคงฟาดทุบลงมาอย่างดุดัน!


 


พุทธองค์ร่างทองตัวเขื่องที่ถือไว้ด้วยพลังพลังสีม่วงทองลี้ลับ ก็ลอกเลียนกระบวนท่าต้วนหลิงเทียนมาไม่ผิดเพี้ยน!


 


พลองพลังอันเขื่องฟาดลงมาด้วยสภาวะพลังประหนึ่งถล่มขุนเขาแผดเผาลำน้ำ ราวหนึ่งพลองนี้คิดฟาดให้แดนดินสะท้านน่านฟ้าสะเทือน!


 


แสงพลังม่วงทองทั้งลี้ลับที่ม้วนพันพลองยาวในมือต้วนหลิงเทียน มองไปยังคล้ายมังกรทองกับมังกรม่วงหยอกเย้าละเล่นอยู่บ้าง…


 


‘ตอนนี้ล่ะ!’


 


และพริบตาที่พลองยาวในมือต้วนหลิงเทียนปะทะเข้ากับการรับเชิงรุกของหวงเจียหลง ใจเขาก็เคลื่อนไหว เพียงหนึ่งห้วงคิด พลังอานุภาพของพลองยาวก็ทวีความเกกรี้ยวกราดขึ้นในฉับพลัน!


 


ทันใดนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ถ่ายทอดลงสู่ตัวพลอง ก็ปะทุพวยพุ่งขึ้นไปจนเทียบได้กับขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดในเสี้ยวพริบตา!


 


และการเพิ่มพูนพลังขึ้นในเสี้ยวพริบตานี้ ก็ทำให้พลังอานุภาพกระบวนท่าจู่โจมของต้วนหลิงเทียน ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น!


 


เปรี๊ยงงง!!


 


พลองยาวในมือต้วนหลิงเทียนยามเมื่อปะทะกับการต่อต้านของหวงเจียหลง ประหนึ่งดาวอังคารพุ่งชนโลกก็ว่า ความว่างเปล่า ณ จุดปะทะคล้ายจะแตกออกเป็นเสี่ยง!


 


หลังปะทะหักหาญจนเกิดการระเบิดของพลังครั้งใหญ่ สภาวะพลังของพลองยาวในมือต้วนหลิงเทียนหาได้ลดทอนถดถอยแต่อย่างใด กระทั่งพุทธองค์สีทองร่างเขืองที่ฟาดพลองลงมาดั่งเงาก็คล้ายจะกล้าแกร่งขึ้นทุกขณะ!


 


กลับกันพลังที่อัดแน่นไปทั่วเรือนหอกเมฆาอัคคีของหวงเจียหลง ทั้งห่าพิรุณเงาหอกที่พุ่งย้อนฟ้า ประหนึ่งใบไม้แห้งกรอบถูกย่ำเหยียบ แหลกลงตรงหน้าการรุกโหมของต้วนหลิงเทียนอย่างสิ้นท่า!


 


นอกจากนี้ม่านพลังที่ป้องกันทั่วร่างหวงเจียหลงดั่งไข่สีทองเคลือบไปด้วยอัสนีสีแดงแลบลั่นแปลบปลาบ ก็พังทลายลงคล้ายกระดาษเปื่อยเปียกน้ำคิดต้านรับอุกกาบาต!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


เสียงอากาศแตกระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้นอย่างน่ากลัว คลื่นกระแทกมหาประลัยกำจายออกไปโดยรอบไม่หยุดยั้ง ดั่งคลื่นสมุทรคุ้มคลั่ง!


 


“อั๊ค–!!”


 


ท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกของทุกผู้คน หวงเจียหลงนั้นคล้ายถูกคลื่นพลังทำลายล้างกลืนร่างก็ไม่ปาน จากนั้นก็ปรากฏร่างหนึ่งปลิวกระเด็นออกมาจากจุดปะทะอันเจิดจ้าไปด้วยแสงพลังระเบิด พุ่งออกนอกรัศมีแสงต่างสังเวียนไปปานลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร!


 


ฟุ่บบ!!


 


ทว่าหลังร่างหวงเจียหลงพุ่งพ้นรัศมีแสงที่สาดส่องลงมาจากฟ้าสูงต่างสังเวียน ก็ปรากฏร่างหนึ่งวูบมาดั่งเงาเลือนดักหน้าหวงเจียหลงที่ปลิดปลิวเอาไว้!


 


เป็นบิดาของหวงเจียหลง หวงเหยี่ยนเฟย ที่วูบร่างมาสะบัดมือคราหนึ่งก็สลายแรงปะทะ ก่อนจะคว้ารับหวงเจียหลงเอาไว้อย่างนุ่มนวล


 


หลังพบว่าหวงเจียหลงนั้นถึงกับถูกซัดจนสิ้นสติ หากทว่าอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกลับน้อยนิดนัก เจ้าเมืองตู้อวิ๋นหวงเหยี่ยนเฟยจึงหันไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างกลางหาวในรัศมีแสงต่างเวทีด้วยสายตาลึกซึ้ง “ขอบคุณสหายน้อยต้วนที่เมตตาไว้ไมตรี!”


 


ในฐานะตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศชนชั้นสุดยอดฝีมือ ถึงแม้มันจะไม่อาจสัมผัสได้ถึงการปะทุพลังขึ้นในฉับพลันอย่างแยบคายของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ และไม่อาจล่ววงรู้ได้ว่าอยู่ๆพลังในร่างต้วนหลิงเทียนได้พุ่งขึ้นไปแตะขอบเขตเซียนอมตะต้นกำเนิดเสี้ยวพริบตาหนึ่ง


 


อย่างไรก็ตามมันย่อมทราบดี ว่าพริบตาสุดท้ายยามปะทะ เป็นต้วนหลิงเทียนได้ถอนรั้งพลังคืนกลับไปแทบหมดสิ้น


 


หาไม่แล้วลูกชายของมันคงต้องตายคาที่อย่างแน่นอน แต่นี่กลับแค่บาดเจ็บเล็กน้อย เพียงรับประทานโอสถธรรมดาๆสักเม็ดและเดินพลังสักหน่อยก็กลับมาวิ่งปร๋อได้แล้ว…


 


‘หลงเอ๋ออย่างไรก็เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ร้ายกาจคนหนึ่ง ความเชี่ยวชาญในวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังล้วนไม่ใช่ชั่ว แต่ยังแพ้พ่ายมันอย่างง่ายดาย…ที่แท้มันเป็นผู้ใดกันแน่?’


 


หวงเหยี่ยนเฟยได้แต่มองต้วนหลิงเทียนด้วยความตกใจ ความแตกตื่นในใจยังยากระงับอยู่นาน


 


โอ!


 


ขณะเดียวกันเหล่าผู้ชมทั้งหลายที่ชมดูเรื่องราวการประลองตาไม่กระพริบ ก็ดึงสติกลับเข้าร่าง จากนั้นก็พากันฮือฮายกใหญ่ มีหลายคนที่ตกตะลึงจนหัวใจร่วงตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม!


 


“ให้ตายเถอะ…หวงเจียหลง แพ้พ่ายในกระบวนท่าเดียวจริงๆ!?”


 


“กระบวนท่าจู่โจมของเจ้านั่น ทรงพลังแทบไม่ต่างอะไรกับการลงมือเต็มกำลังของขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่เชี่ยวชาญวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังทุกแขนงเลย!”


 


“มันจะร้ายกาจเกินไปแล้ว! ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าในประเทศฝูชิวเรายังมีปีศาจเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่!”


 


“เหอะๆ ข้าล่ะแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองจริงๆ น่ากลัวว่ากระทั่งองค์ชาย 4 ที่ได้รับการยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุดใต้ขอบเขตขุนนางอมตะของประเทศฝูชิวเรา ยังสู้มันไม่ได้!”


 


“มันมีอายุไม่ถึงร้อยปี ไม่เพียงมีอุปกรณ์อมตะระดับราชา 2 ชิ้น แต่พลังฝีมือยังร้ายกาจถึงเพียงนี้…พื้นเพความเป็นมาของมันย่อมไม่ธรรมดาสามัญแน่! ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนเพนจร แต่ก็ต้องมียอดคนสอนสั่ง!!”


 



 


การที่ต้วนหลิงเทียนเอาชนะหวงเจียหลงได้ในกระบวนท่าเดียว นอกจากหลิวก่วงหลินแล้ว ไม่ว่าใครก็ตกอกตกใจทั้งนั้น กระทั่งขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดหลายคนที่มาชมดูเรื่องราวยังอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวาดกลัว


 


เพราะขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเหล่านี้ บางคนยังไม่แตกฉานวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังครบทุกสายด้วยซ้ำ พอพวกมันลองถามตัวเองดูก็ตอบได้ทันที ว่าให้พวกมันลงมือเต็มที่ แต่พลังกระบวนท่าของพวกมันก็ยังอ่อนด้อยกว่ากระบวนท่าเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียน!


 


“ข้าสู้มันไม่ได้เลย…”


 


องค์ชาย 4 หูจี้หย่ง ข้างๆฮ่องเต้ฝูชิว อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน


 


“สัตว์ประหลาด!”


 


ฮ่องเต้ฝูชิว หูหลินอี้ มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสองตาทอประกายสว่างจ้า “อัจฉริยะอันร้ายกาจเช่นนี้ ต่อให้เป็นแดนสวรรค์ใต้โบราณ ก็ย่อมรอดชีวิตกลับมาได้ไม่ยาก!”


 


“เนื่องจากมันมาเข้าร่วมการประลองสวรรค์ใต้ เห็นชัดว่ามันเองก็น่าจะคิดเข้าร่วมกับสามขุมกำลัง 2 ตระกูลเช่นกัน…มันอาจเป็นศิษย์ของยอดฝีมือเพนจรที่ถูกส่งให้มาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ และคิดเข้าร่วมขุมกำลังเป็นหลักเป็นแหล่งเพื่อความก้าวหน้า!”


 


“อัจฉริยะปีศาจเช่นนี้ในเมื่ออยู่ในนามของประเทศฝูชิวข้า หากมันเข้าร่วม 3 ขุมกำลัง 2 ตระกูลไปจนสร้างความพอใจให้คนใหญ่คนโตแล้วล่ะก็…ข้าต้องได้รับรางวัลอย่างงามแน่!”


 


พอนึกถึงจุดนี้ สายตาที่หูหลินอี้ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็ทำราวกับสายตาที่ใช้มองสมบัติล้ำค่า


 


ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง…


 


“อะไร!?”


 


“กระบวนท่าเดียว…กลับเอาชนะหวงเจียหลง นายน้อยจากเมืองตู้อวิ๋นได้?”


 


“หวงเจียหลงผู้นั้น มิใช่ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากคนทั้งประเทศฝูชิว ว่าเป็นยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะที่เป็นรองก็แต่องค์ชาย 4 หรือไร?”


 


ไม่นานหลังจากที่เข้ามาถึงเขตพระราชวังหลวง ชายวัยกลางคนที่กำลังจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดการประลองสวรรค์ใต้ ก็ถึงกกับชะงักร่างลงเมื่อได้รับยันต์อมตะสื่อสารแผ่นที่ 3 จากสนมหลัน น้องสาวของมัน


 


“ขออภัยด้วยพี่ใหญ่ ความแค้นครั้งนี้ของท่าน สุดที่ข้าจะช่วยเหลือได้จริงๆ…ถึงแม้ข้าจะบอกฝ่าบาทว่าคนที่ฆ่าฮ่าวเอ๋อเป็นมัน แต่เกรงวว่าฝ่าบาทคงไม่มีทางล้างแค้นให้ฮ่าวเอ๋อแน่!”


 


“อีกทั้งภูมิหลังของต้วนหลิงเทียนคนนี้ ต่อให้เป็นท่านข้าก็เกรงว่าจะต่อต้านไม่ไหว…ที่สำคัญตอนนี้ฝ่าบาทเห็นมันเป็นคนสำคัญยิ่ง เพราะหลังมันรอดชีวิตกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ…มันย่อมสามารถนำผลประโยชน์มหาศาลมาสู่พระองค์ได้แน่นอน”


 


“พี่ใหญ่ ท่านยอมแพ้เถอะ”


 


หลังได้ฟังเนื้อหาในยันต์อมตะสื่อสารของสนมหลัน ชายวัยกลางคนที่เป็นบิดาบังเกิดเกล้า ของชายหนุ่มชุดหรูหน้าตาอัปลักษณ์ที่ตายคามือต้วนหลิงเทียนนอกเมืองหลวงประเทศฝูชิว ร่างก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านสั่นไปรุนแรง ลูกตายังจับจ้องถลึงปานจะปริแตก


 


“ไม่! ไม่! ไม่มีทาง!!”


 


“ข้าไม่ยอม! ข้าไม่มีวันยอมแพ้แค่นี้แน่!!”


 


“เพื่อหาตัวฆาตกรฆ่าฮ่าวเอ่อ ข้าสละได้กระทั่งอนาคตในเส้นทางฝึกตน…มันต้องตาย! มันต้องตาย!!”


 


ชายวัยกลางคนพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงดุร้าย ลูกตามันยังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน เพลิงแห่งความแค้นความเกลียดชังลุกโชนขึ้นมาอย่างน่ากลัว!


 


ตัดกลับมาทางด้าน สังเวียนประลองสวรรค์ใต้


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนเอาชนะหวงเจียหลงได้แล้ว เหล่าเจ้าสังเวียนและผู้ท้าชิงในอีก 7 สังเวียนที่เหลือ เมื่อดึงสติกลับมาจากอาการมองเหม่อ พวกมันก็เริ่มประลองของพวกมันกันต่อ


 


ตลอดครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ก็ไม่มีใครคิดท้าทายต้วนหลิงเทียนสักคน


 


เขาจึงประสบความสำเร็จในการได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ


 


“หลังกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ยังมี 3 ขุมกำลัง 2 นิกายให้เลือกเข้าร่วม…น่าสนใจจริงๆ”


 


หลังจากกลับมานั่งงบนอัฒจันทร์ที่นั่งเหมือนเดิมแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็กระซิบกับตัวเบาๆอย่างคาดหวัง ไม่ได้สนใจสายตาผู้คนจากทุกทั่วสารทิศที่จับจ้องมองมาแม้แต่น้อย


ตอนที่ 2,943 : ตำหนักจวี้หยวน


 


เนื่องจากต้วนหลิงเทียนได้คว้าสิทธิ์ที่ 2 ในการเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำมาแล้ว การประลองสวรรค์ใต้หลังจากนั้นก็ทวีความดุเดือดมากยิ่งขึ้น


 


แม้แต่บุตรชายคนที่ 5 ของเจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเจียเชา ก็ขึ้นท้าประลองจนในที่สุดก็ชิงตำแหน่งเจ้าสังเวียนมาได้สำเร็จ


 


ถึงแม้พลังฝีมือของหวงเจียเชาจะไม่แข็งแกร่งเท่าหวงเจียหลง แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดธรรมดาๆจะเทียบได้


 


ที่น่าสนใจก็คือหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาได้รับสิทธิ์แล้ว ภายในวันเดียวกันนั้นก็มีผู้ที่ได้รับสิทธิ์เข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณเพิ่มอีกคน


 


และคนๆนี้ก็เป็นเหมือนต้วนหลิงเทียน คือไม่มีใครรู้จัก


 


ที่สำคัญนางยังเป็นสตรีนางหนึ่งที่มีรูปร่างงหน้าตางดงามปานบุปผา ยังงดงามยิ่งกว่าเหอเชี่ยนลูกสาวของผู้นำตระกูลเหอแห่งเมืองเป่ยหยวนเสียอีก


 


แน่นอนว่าในสายตาต้วนหลิงเทียนแล้ว สตรีนางนี้ก็แค่ดูดีเท่านั้น


 


ไม่ต้องยกไปเปรียบเทียบกับฮ่วนเอ๋อที่งามเกินคำบรรยายด้วยซ้ำ เอาแค่ให้เทียบกับภรรยาทั้งสองอย่าง เค่อเอ๋อ ลี่เฟย หรือสตรีคนรักอย่างเฟิ่งเทียนหวู่ นางก็ยังห่างชั้นอยู่หลายขุม


 


‘ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด มีอุปกรณ์อมตะระดับราชาไว้ในครอบครอง แถมไม่เป็นที่รู้จัก…เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนี้ไม่ได้มีพื้นเพอยู่ในประเทศฝูชิวแน่นอน อาจเป็นแค่ผู้ฝึกตนพเนจรหรือได้อาจารย์ดี…’


 


ต้วนหลิงเทียครุ่นคิดในใจขณะมองสตรีนางนั้น เหินร่างกลับมายังอัฒจันทร์ที่นั่งหลังเดียวกับเขาหลังได้รับชัยชนะอย่างไร้ผู้ใดกังขา จนได้สิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำไปครอง


 


จากนั้นเขาก็พบว่าสตรีดังกล่าวเหินร่างไปนั่งลงข้างๆหญิงชรานางหนึ่ง ทำให้หญิงชรานางนั้นกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนขึ้นมาทันที


 


เดิมทีหญิงชรานางนี้ก็นั่งอยู่เงียบๆโดยไร้ผู้ใดสนใจมาโดยตลอด


 


ทว่าบัดนี้สตรีที่อยู่ข้างกายนางกลับแสดงพลังฝีมืออันโดดเด่น จนกระทั่งได้รับสิทธิ์ 1 ใน 9 ไปครอง ก็ทำให้นางกลับกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนขึ้นมา


 


“ราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด!?”


 


และเมื่อสำนึกเทวะของฮ่องเต้ฝูชิวแผ่ขยายออกไปตรวจสอบหญิงชรา มันก็ค้นพบด่านพลังฝึกกปรือของหญิงชรานางนี้ทันที


 


น่าประหลาดใจไม่น้อย หญิงชราผู้นี้ที่แท้กลับเป็นถึงราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด!


 


ฮ่องเต้ฝูชิวเองก็เป็นเพียงราชาอมตะ 2 ยศเท่านั้น ทำให้หญิงชราสัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะของมันจางๆ อย่างไรก็ตามหญิงชราก็ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเท่านั้น ไม่กล้าลงมือทำอะไร


 


เพราะฮ่องเต้ฝูชิวไม่เพียงแต่จะเป็นราชาอมตะ 2 ยศที่มีด่านพลังฝึกปรือเหนือนางขั้นหนึ่ง หากทว่าฮ่องเต้ฝูชิวคนนี้ ให้เทียบกันในบรรดาราชาอมตะ 2 ยศแล้ว ก็จัดว่าอยู่ในชนชั้นยอดฝีมือคนหนึ่ง!


 


ทุกคนชมการประลองไปเพลินๆ รู้ตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว


 


เช่นนั้นการประลองสวรรค์ใต้ของวันนี้จึงจบลง


 


และวันนี้ก็มีผู้ได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำด้วยกันถึง 3 คน เช่นนั้นหากรวมกับเมื่อวาน ก็เท่ากับว่ามีผู้ได้รับสิทธิ์ไปแล้วทั้งสิ้น 4 คน…


 


สิทธิ์ในการเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำในปัจจุบัน คงเหลืออีกเพียง 5 สิทธิ์เท่านั้น!


 


“คุณชายต้วน ในฐานะผู้ฝึกตนพเนจรที่ได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ท่านสามารถไปพักอาศัยอยู่ในตำหนักจวี้หยวนของพระราชวังฝูชิวเราเพื่อบ่มเพาะฝึกฝน จนกว่าจะถึงวันออกเดินทางไปยังแดนสวรรค์ใต้โบราณ”


 


และทันทีที่การประลองสวรรค์ใต้วันนี้จบลง ขันทีคนหนึ่งก็ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ฝูชิวให้มาตามหาต้วนหลิงเทียน


 


“ตำหนักจวี้หยวนงั้นรึ?”


 


ในช่วงกลางคืนนั้น ต้วนหลิงเทียนก็พักอาศัยอยู่ในพระราชวังหลวงด้วยเช่นกัน หากแต่เป็นที่พักทั่วไปซึ่งทางวังจัดให้พักเป็นการชั่วคราวเท่านั้น


 


พอได้ยินคำพูดของขันทีที่พึ่งมาหา แม้ต้วนหลิงเทียนจะพึ่งเคยได้ยินคำว่าตำหนักจวี้หยวนเป็นครั้งแรก แต่เขาก็เดาได้ไม่ยาก ว่าสมควรเป็นสถานที่อันมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่ดีของวังหลวง


 


“คุณชายต้วน…ท่านมิใช่คนของประเทศฝูชิวเราหรือ?”


 


ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ขันทีก็ตกใจอยู่บ้าง


 


“เจ้าถามทำไม?”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมบังเกิดความสนใจในตำหนักจวี้หยวนที่ว่าขึ้นมาทันที เพราะท่าทางจะเป็นอะไรที่คนในประเทศฝูชิวรู้จักกัน


 


“ตำหนักจวี้หยวนของพระราชวังหลวง ย่อมเป็นสถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดสำหรับคนนอกตระกูลราชวงศ์ในประเทศฝูชิว…ภายในลานแต่ละแห่งในเขตตำหนักนั้น มีค่ายกลที่ชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินจากสายแร่ผลึกอมตะระดับกลางแห่งเดียวของประเทศฝูชิวเราจัดตั้งเอาไว้”


 


ขันทีกล่าว “เช่นนั้นแล้วขอเพียงเป็นคนในประเทศฝูชิวเรา ย่อมไม่มีผู้ใดไม่รู้จักตำหนักจวี้หยวน”


 


“อ้อ แบบนี้นี่เอง”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้ได้ทันทีว่าตัวเองเดาถูก


 


จากนั้นเขากับหลิวก่วงหลิน ก็พอกันเดินตามขันทีคนดังกล่าวไปยังตำหนักจวี้หยวนที่ว่าทันที


 


ตำหนักจวี้หยวนนั้น ก็เป็นตำหนักที่งดงามหลังหนึ่ง แลดูหรูหรากว่าตำหนักหลังอื่นๆในพระราชวังหลวงอยู่บ้าง ภายในตำหนักก็มีพื้นที่ส่วนตัว และมีลานว่างแยกพักให้ไม่แออัด


 


ถึงแม้ว่าที่พักพร้อมลานส่วนตัวจะมีขนาดไม่ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ข้าวของเครื่องใช้สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน นอกจากห้องนอนสองห้องแล้ว ลานเล็กๆที่ว่าก็มีแปลงดอกไม้แล้วสระน้ำขนาดย่อม


 


นอกจากนั้นแต่ละลานที่พักยังมีขันทีและนางกำนัลคอยรับใช้อย่างไม่ขาดตกพกพร่อง


 


“นี่คือที่พักสำหรับคุณชายต้วน”


 


ขันทีที่เดินนำต้วนหลิงเทียนมาถึงตำหนักจวี้หยวน พอเดินมาถึงลานหลังหนึ่ง มันก็ผายมือแนะนำต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็หันไปกำชับนางกำนัลที่รออยู่ด้านข้างให้รับใช้ต้วนหลิงเทียนให้ดี


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เดินตามนางกำนัล ที่รับหน้าที่ดูแลรับใช้เขาเข้าไปในลานที่พัก


 


และหลังสอบถามเรื่องราววจากนางกำนัล ต้วนหลิงเทียนจึงได้รับทราบว่า…


 


นางกำนัลนั้นมีหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้ผู้ที่เข้าพักในลาน ส่วนขันทีนั้นจะคอยเป็นธุระจัดการเรื่องราวภายนอกให้ผู้เข้าพัก


 


หลังจากเข้าที่พักแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปโบกมือให้นางกำนัลออกไปได้ ก่อนจะหันไปกำชับหลิวก่วงหลินว่า “ก่วงหลินข้าจะปิดด่านบ่มเพาะสักพักเพื่อดูว่าจะทะลวงจุดรอคอยได้ไหม…หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไร ช่วงนี้ก็อย่าให้ใครมารบกวนข้า”


 


“ขอรับนายท่าน”


 


ได้ยินคำสั่งของต้วนหลิงเทียน หลิวก่วงหลินก็ขานรับอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเข้าห้องไปแล้ว หลิวก่วงหลินก็ออกไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นหญ้าในลานด้านหน้า แล้วก็หลับตาบ่มเพาะพลังมันตรงนั้น


 


มันไม่ได้ปิดด่านบ่มเพาะแต่อย่างใด เพียงบ่มเพาะพลังพลางเฝ้าอารักขาต้วนหลิงเทียนไม่ให้ใครเข้าไปกวนเท่านั้น


 


แน่นอนว่าถึงจะเป็นในลานด้านหน้า หากแต่พลังวิญญาณฟ้าดินก็ไม่ได้น้อยกว่าในเรือนที่พักมากมายอะไร


 


ด้านต้วนหลิงเทียนหลังเข้าห้องมาแล้ว เขาก็จัดตั้งค่ายกลปิดกั้นไม่กี่ค่าย เพื่อกันไม่ให้พลังวิญญาณฟ้าดินจากภายในห้องเล็ดรอดออกไปด้านนอก จากนั้นก็นำผลึกเทพที่ฮ่วนเอ๋อทิ้งไว้ให้ออกมา


 


ด้วยมีผลึกเทพ ภายในห้องก็อุดมไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินทันที ทำให้ต้วนหลิงเทียงได้รับสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่ดีที่สุด


 


ถึงแม้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของเรือนที่พักในตำหนักจวี้หยวนจะดี แต่ก็ดีไม่เท่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่เกิดจากไอพลังวิญญาณฟ้าดินที่เอ่อล้นออกมาจากผลึกเทพของฮ่วนเอ๋อ


 


และเนื่องจากได้รับสิทธิ์ในการเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะไปชมดูงานประลองสวรรค์ใต้สืบไป


 


ด้านการประลองสวรรค์ใต้ เมื่อดำเนินถึงวันที่ 5 ในที่สุดก็ยุติลง


 


ในวันที่ 3 ของการประลองสรรค์ใต้ องค์ชาย 4 ของประเทศฝูชิวในที่สุดก็ลงมือ และชิงสิทธิ์มาได้อีกสิทธิ์


 


นอกจากนั้นยังมีคนจากนิกายหนึ่งในประเทศฝูชิว ได้รับไปอีกสิทธิ์


 


พอมาถึงการประลองในวันที่ 4 หวงเจียหลงที่หายจากอาการบาดเจ็บหลังถูกต้วนหลิงเทียนซัดโดยสมบูรณ์ ก็ลงประลองและคว้าอีกสิทธิ์มาได้สำเร็จ


 


ในวันที่ 5 อีก 2 สิทธิ์สุดท้ายก็มียอดฝีมือสองคนได้รับไป


 


เช่นนั้นกล่าวได้ว่าการประลองสวรรค์ใต้ ก็ได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ


 


ถึงแม้ว่าการประลองสวรรค์ใต้จะจบลงไปแล้ว แต่ผู้คนในเมืองหลวงของประเทศฝูชิวก็ยังคงพูดจ้อถึงเรื่องราวการประลองในครั้งนี้กันไม่หยุด หัวข้อก็วนเวียนอยู่กับผู้ที่ได้รับสิทธิ์ทั้ง 9


 


ในบรรดาคนที่ถูกพูดถึงนั้น ต้วนหลิงเทียนเรียกว่ามีคนให้ความสนใจมากที่สุด


 


นั่นเพราะต้วนหลิงเทียนทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเกินไป ทำให้ทุกคนตกตะลึงครั้งใหญ่จริงๆ และมีภาษีเหนือกว่าอีก 8 คนที่เหลือมาก


 


กระทั่งการประลองขององค์ชาย 4 แห่งประเทศฝูชิว ยังถูกการประลองของต้วนหลิงเทียนกลบรัศมีเสียมิด!


 


“ให้มองไปทั่วประเทศฝูชิวเรา นายน้อยเมืองตู้อวิ๋น หวงเจียหลง ผู้นั้นกล่าวได้ว่ามีพลังฝีมือติด 3 อันดับแรกของตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะก็ไม่ผิด แต่ไม่คิดเลยว่าพลังฝีมือนั้นยังห่างไกลจากต้วนหลิงเทียนหลายขุม!”


 


“นั่นสิ การลงมือเต็มกำลังของหวงเจียหลง ไม่อาจฝ่าการป้องกันของต้วนหลิงเทียนเข้าไปได้ด้วยซ้ำ แต่พอถึงตาต้วนหลิงเทียนลงมือ เปรี๊ยงเดียวเท่านั้นแหล่ะ รู้เรื่อง! หวงเจียหลงไม่เพียงปลิวละลิ่วไปนู่นยังถึงกับสลบไสลไม่ได้สติ โหดแท้ๆ!”


 


“ใช่ วันนั้นข้าเองก็นั่งดูการประลองอยู่ด้วย การป้องกันของต้วนหลิงเทียนผู้นั้นบอกตรงๆ โคตรน่ากลัวยิ่ง! และมิใช่แค่ป้องกันเก่งอย่างเดียวนะ การโจมตีนี่…บอกตรง ทำเอาข้าพเจ้าถึงกับขนลุกซู่เลยทีเดียว! พี่แกฟาดออกมาพลองเดียวเท่านั้นล่ะ หวงเจียหลงถึงกับจอดไม่ต้องแจว!!”


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นช่างร้ายกาจยิ่งนัก มิทราบมันเป็นใครมาจากไหนกันแน่….”


 


“นั่นสิ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ลองหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาใช้ 2 ชิ้นได้หน้าตาเฉย ก็บ่งบอกถึงความไม่ธรรมดาชัดเจน”


 



 


ถึงแม้วันต่อๆมาเรื่องราวที่ต้วนหลิงเทียนเอาชนะหวงเจียหลงได้ในกระบวนเดียวจะค่อยๆซาลง แต่อย่างไรเสีย ก็ยังเป็นหัวข้อสนทนา 6-7 ส่วนของเมืองหลวงอยู่ดี


 


นั่นเพราะผลงานของต้วนหลิงเทียนมันโดดเด่นเกินไป เรียกว่าเจิดจ้าจนตาแทบบอด!


 


เป็นธรรมดาว่าคนอื่นๆก็ถูกกล่าวถึงเช่นกัน


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หูจี้หย่ง องค์ชาย 4 ของประเทศฝูชิว แม้ครั้งนี้จะถูกต้วนหลิงเทียนกลบรัศมีไปเสียมิด แต่พลังฝีมือที่เผยออก ก็นับว่ากล้าแข็งสุดที่ผู้ใดนอกจากต้วนหลิงเทียนจะเทียบได้จริงๆ กระทั่งหวงเจียหลงยังแลดูอ่อนด้อยกว่าถนัดตา


 


และหวงเจียหลงก็เป็นประเด็นสนทนาของผู้คนไม่น้อย ถึงจะแพ้พ่ายต้วนหลิงเทียน แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพลังฝีมือของมันอ่อนด้อยแม้แต่คนเดียว ทั้งหมดคิดว่าเป็นต้วนหลิงเทียนร้ายกาจเกินไปเสียมากกว่า


 


นอกจากนี้หวงเจียเชา น้องชายของหวงเจียหลงเองก็มีคนพูดถึงไม่ขาดปาก เพราะจากฝีไม้ลายมือที่ขึ้นไปวาดลวดลายบนเวทีประลอง หากไม่นับต้วนหลิงเทียน หวงเจียหลง กับหูจี้หย่งแล้ว ก็มีอีกแค่ 2 คนเท่านั้นที่แลดูจะมีพลังฝีมือสูงกว่ามัน


 


1 ใน 2 คนที่ว่าก็มีเหอเชี่ยน บุตรีของผู้นำตระกูลเหอ ส่วนอีกคนก็เป็นสตรีผู้มีความเป็นมาลึกลับอีกคน ที่ได้รับสิทธิ์เข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณไปในวันเดียวกับต้วนหลิงเทียนและหวงเจียเชา


 


สตรีนางนั้นมีนามว่า หูเฟยเยี่ยน!


 


“จริงสิ แม่นางหูเฟยเยี่ยนผู้นั้นก็ร้ายกาจไม่ธรรมดาเหมือนกัน แถมนางไม่เพียงแต่หน้าตาจะสวดสดงดงามกว่าเหอเชี่ยน บุตรีเจ้าเมืองเหอ…กระทั่งฝีมือของนางยังแลดูจะเหนือกว่าแม่นางเหอเสียอีก!”


 


“หูเฟยเยี่ยนผู้นี้ อยู่ๆก็โผล่มาเหมือนต้วนหลิงเทียน…ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนางมาก่อนเลย”


 


“แถมข้ายังได้ยินมาว่า หญิงชราที่มากับนาง…ยังเป็นถึงราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดอีกด้วย!”


 



 


ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งออกจากการปิดด่านบ่มเพาะวันนี้ ก็ได้พาหลิวก่วงหลินมานั่งในมุมหนึ่งของโถงรวมเหลาอาหาร จึงได้ยินเรื่องราวทำนองดังกล่าวเช่นกัน


 


“ราชาอมตะงั้นรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาเองก็จดจำหญิงชราที่ว่านั่นได้ เพราะยามมองไปนางก็ให้ความรู้สึกไม่ธรรมดาแก่เขา


 


แต่ไม่คิดเลยว่าที่แท้นางจะเป็นราชาอมตะคนหนึ่ง


 


ถึงแม้ว่าเรื่องนี้อาจไม่เป็นความจริง


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนรู้สึกไปตามสัญชาตญาณ ว่าไม่ใช่ข่าวโคมลอยแน่นอน


 


ในโถงรวมของเหลาอาหารนั้นแม้จะมีคนพูดถึงต้วนหลิงเทียนไม่น้อย แต่ก็มีน้อยคนนักที่เข้าไปร่วมชมการประลองในวันนั้น คนส่วนใหญ่ในเหลาจึงไม่รู้จักหน้าค่าตาของต้วนหลิงเทียน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่พวกมันกำลังพูดถึง ที่แท้ก็นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของเหลานี่เอง


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเองอยู่ๆคนในโถงรวมของเหลาอาหาร ก็เหมือนจะพร้อมใจกันเงียบเสียง


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความสงสัย พอมองไปก็พบว่าบัดนี้ทุกคนกำลังหันมองไปทางประตูหน้าเหลา จากนั้นก็มีเสียงกล่าวต้อนรับด้วยความสุภาพหนึ่งดังขึ้น


 


“นายน้อยเจ้าเมือง เชิญด้านนี้ขอรับ”


 


พอต้วนหลิงเทียนหันไปมองตามสายตาคนในเหลา ก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาในชุดผ้าแพรสวมชุดคลุมหรูคลุมทับ ก้าวอาดๆเข้ามาในเหลาด้วยท่าทางองอาจปานพยัคฆ์


ตอนที่ 2,944 : หาที่ตาย? ข้าว่าเป็นเจ้า!


 


นอกจากชายหนุ่มหล่อเหลามาดองอาจปานพยัคฆ์แล้ว ยังมีสตรีนางหนึ่งมาในชุดที่แลดูวาบหวิวชวนสยิวเหลือเกิน…กระโปรงนางช่างสั้นนัก ยังดีทีชายเสื้อนางยาวลงมาปิดบังขาอ่อนเอาไว้ แต่ยามเดินก็เผยออกมาวับๆแวมๆ ส่วนชุดเสื้อคลุมที่สวมก็เผยให้เหินเนินอก ยามก้าวเดินแขนเสื้อยาวๆ ยังแผ่วพริ้วไปมาปานปีกผีเสื้อ


 


ถึงแม้ว่าสตรีนางนี้หน้าตากล่าวไปจะไม่งดงามเท่าหูเฟยเยี่ยน แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเหอเชี่ยนแม้แต่น้อย ทั้งนางยังแต่งหน้าทาปากมาได้อย่างเหมาะสม จึงแลดูงดงามกว่าเหอเชี่ยนที่ไม่แต่งหน้าหลายส่วน


 


“เป็นเจ้านั่นเองเหรอ…”


 


ต้วนหลิงเทียนจดจำได้ทันที ว่าชายหนุ่มที่ก้าวอาดๆเข้ามาเป็นใคร มันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่ถูกเขาฟาดไปพลองเดียวก็ปลิวสลบกลางหาว หวงเจียหลง บุตรชายคนที่ 4 ของเหอเฟยเหยี่ยน เจ้าเมืองตู้อวิ๋น!


 


“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่วันนี้ได้ยินคนพูดถึงกันหนาหู…ว่าหวงเจียหลงผู้นี้ที่แท้เป็นบุรุษเจ้าสำราญมากรักผู้หนึ่ง ที่แท้เป็นความจริง…สตรีข้างกายนางนั้นเห็นได้ชัดว่าควงอย่างขอไปทีไม่ได้จริงจังอะไรแม้แต่น้อย”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังสตรีในชุดวาบหวิวปราดหนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาออกมา


 


ด้านหวงเจียหลง หลังจากก้าวอาดๆเข้ามาในเหลาพร้อมสตรีนางนั้นแล้ว มันก็สัมผัสได้ถึงสายตาของต้วนหลิงเทียนที่มองมาเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามมันเข้าใจว่าเป็นสายตาของผู้ที่มาดื่มกินในเหลาทั่วไป


 


จนเมื่อมันพบว่า ในขณะที่ทุกสายตายังจับจ้องงมาที่มันไม่วาง แต่มีสายตาหนึ่งถอนกลับไป มันก็เลยหันไปมองทางนั้นโดยไม่รู้ตัว


 


และพอสายตาที่มันเหลือบมองไปผ่านๆสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนเท่านั้นล่ะ


 


ลูกตาของหวงเจียหลงพลันสว่างจ้าขึ้นมาปานดารากลางฟ้ายามรัตติกาลทันที!


 


“ยาหยีพอดีข้าเจอคนรู้จักน่ะ เจ้ากลับไปก่อนนะ”


 


ลูกตาหวงเจียหลงทอประกายจ้าได้พักหนึ่ง ก็หันหน้าไปกล่าวกับสตรีในชุดวาบหวิวข้างกายเล็กน้อย พอกล่าวจบมันก็ผละออกจากร่างสตรีในชุดวาบหวิวแล้วก้าวอาดๆไปหาต้วนหลิงเทียนโดยไม่รอฟังคำตอบจากนางสักคำ


 


สตรีในชุดวาบหวิวแลดูมากเสน่ห์ พอเห็นหวงเจียหลงหาข้ออ้างผละไปดื้อๆแบบนี้ นางก็คิดว่าไม่พ้นอีกฝ่ายพบเจอสตรีที่น่าสนใจกว่านางเข้าแล้ว นางก็เลยได้แต่บังเกิดความรู้สึกช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตามพอเห็นว่าหวงเจียหลงที่ก้าวอาดๆออกไปนั้น กำลังมุ่งหน้าไปหาชายหนุ่มที่หล่อเหลายิ่งกว่าผู้หนึ่ง ร่างบางก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านไปทันใด


 


‘หรือรสนิยมเจ้าเมืองน้อยผู้นี้…จะเปลี่ยนไปแล้ว?’


 


“นายท่าน มีคนมาหาท่านขอรับ”


 


หลิวก่วงหลินที่เห็นหวงเจียหลงก้าวอาดๆเข้ามา ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่พ้นต้องมาหาต้วนหลิงเทียนแน่ จึงหันไปกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนทันที ด้านต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับเบาๆ เพราะเขาเองก็เห็นแล้ว


 


“น้องต้วน”


 


ต้วนหลิงเทียนเดิมทีคิดว่าหวงเจียหลงคงเข้ามาทักทายเขาเฉยๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายพอมาถึงก็ยกมือทักทายอย่างเป็นกันเอง จากนั้นก็เลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง ยังหันไปโบกไม้โบกมือ บอกให้เสี่ยวเอ้อนำสุรากับอาหารขึ้นชื่อของเหลามาเพิ่ม จากนั้นก็แกะตะเกียบแล้วคีบอาหารที่ต้วนหลิงเทียนสั่งมาแต่แรกเข้าปากเคี้ยวหงับๆหน้าตาเฉย…


 


คล้ายมันเป็นสหายที่รู้จักกันกับต้วนหลิงเทียนมานานปี จึงไม่จำเป็นต้องมีความเกรงใจใดๆทั้งสิ้น


 


ขณะเดียวกันเหล่าผู้ที่มาดื่มกินในเหลาที่ให้ความสนใจหวงเจียหลงแต่แรก พอได้ยินคำทักว่า ‘น้องต้วน’ ของหวงเจียหลง พวกมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน และเริ่มคาดเดาตัวตนต้วนหลิงเทียนขึ้นมากันทันควัน


 


“น้องต้วนหรือ? แลดูเจ้าเมืองน้อยของเมืองตู้อวิ๋นจะไว้หน้าอีกฝ่ายไม่น้อยถึงเป็นฝ่ายไปทักผู้อื่นก่อนแบบนั้น…ว่าแต่ในประเทศฝูชิวเรามียอดฝีมือแซ่ต้วนด้วยรึ?”


 


“แซ่ต้วน ใส่ชุดสีม่วง หน้าตาหล่อเหลา…พรูด! เฮ้! อย่าบอกนะว่าเจ้าหนุ่มนั่นคือต้วนหลิงเทียนคนนั้นน่ะ!?”


 


“ต้วนหลิงเทียน? คนที่เอาชนะเจ้าเมืองน้อยของเมืองตู้อวิ๋นในกระบวนท่าเดียวตอนงานประลองสวรรค์ใต้วันที่สองผู้นั้นน่ะนะ!?”


 


“ให้ตายเถอะ นั่นน่ะเหรอยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะที่มีความเป็นมาลึกลับ ไม่เพียงแต่จะมีอุปกรณ์อมตะระดับราชา 2 ชิ้น แต่พลังฝีมือยังเหนือกว่าขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่อ่อนด้อยบางคน?”


 



 


หลายคนเริ่มคาดเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียนได้ออก ทำให้ต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่ในหลืบมุมของโถงรวมเหลาอาหารกลับกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาทันที


 


“น้องต้วน ข้าขอบอกต่อท่านตามตรง ตั้งแต่ที่ข้าหวงเจียหลงคนนี้เกิดมา ข้าไม่เคยนับถือใครมาก่อนเลยสักคน…จะเป็นท่านพ่อก็ดีหรือฮ่องเต้ฝูชิวก็ดี ข้าเชื่อมั่นว่าหากมีเวลา วันหน้าข้าต้องก้าวข้ามได้แน่…”


 


หลังจากนั่งลงแล้วคีบเนื้อชิ้นหนึ่งมากินเสร็จ หวงเจียหลงก็เงยหน้าขึ้นมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางเลื่อมไส “แต่หลังจากข้าเจอท่าน ข้าจึงได้รู้ว่าที่แท้การยอมรับนับถือใครสักคนนั้นเป็นอย่างไร”


 


“เจ้าเมืองน้อย ท่านก็กล่าวชมข้าเกินไป…ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกัน ว่าความสามารถของเจ้าเมืองน้อยยอดเยี่ยมไม่ธรรมดา เป็นอัจฉริยะที่ยากพานพบในประเทศฝูชิวคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะมัวแต่คอย ‘ดูแล’ สตรีน้อยใหญ่ เกรงว่าป่านนี้คงเหนือกว่าองค์ชาย 4 ฝูชิวไปแล้วกระมัง”


 


ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับหวงเจียหลงอย่างถ่อมตัว ขณะยกย่องอีกฝ่ายส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็กล่าวแซวอีกฝ่ายออกมาด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน


 


“อะแฮ่ม เดี๋ยวก่อนนะน้องต้วน…เรื่องนี้ท่านก็รู้ด้วยเหรอ?”


 


หวงเจียหลงสะดุ้งหน้าม้านไปเล็กน้อย มือยกขึ้นมาบีบจมูกแก้เขิน ด้วยไม่คิดเลยว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มันบังเกิดความยอมรับนับถือจะรู้เรื่องงานอดิเรกของมันด้วย


 


“ทำให้น้องต้วนต้องขบขันแล้วจริงๆ…แต่ข้าหวงเจียหลงคนนี้ ชั่วชีวิตนอกจากเรื่องบ่มเพาะฝึกฝนแล้ว ข้ายังชมชอบรักถนอมบุปผาเป็นที่สุด!”


 


หวงเจียหลงคลี่ยิ้มโง่งม จากนั้นก็กล่าวเสริมออกมาเป็นมั่นเหมาะ “แต่แม้ข้าหวงเจียหลงจะเป็นบุรุษมากรัก แต่ข้าก็ไม่ใช่คนถ่อยไร้ยางอายนา…เพราะตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าไม่เคยฝืนใจสตรีคนไหนแม้แต่คนเดียว ข้าควงก็แต่คนที่เต็มใจเท่านั้นแหล่ะ”


 


สิ่งที่หวงเจียหลงกล่าวออกมา ต้วนหลิงเทียนย่อมเชื่อเป็นธรรมดา แม้เขาจะไม่เก่งกาจถึงขั้นอ่านใจผู้คนได้ แต่หลังใช้ชีวิตมาสองชาติภพ เขาเองก็พอมีความสามารถในการมองคนอยู่บ้าง


 


เมื่อพิจารณาจากหว่างคิ้วองอาจสง่าผ่าเผยของหวงเจียหลงกับแววตาใสกระจ่างยามกล่าวคำของอีกฝ่ายแล้ว  เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนชั่วร้ายอันใด


 


“หากเจ้าเมืองน้อยเป็นคนแบบนั้น ท่านคิดว่าข้าจะยอมให้ท่านนั่งสนทนากับข้าแบบนี้หรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม


 


หากหวงเจียหลงเป็นคนถ่อยนิยมเด็ดบุปผาอย่างใจเหี้ยมจริงๆ อย่าว่าแต่มานั่งคุยหัวร่อกับเขาแบบนี้ บางทีเขาอาจจะบังเกิดจิตคิดผดุงคุณธรรมแทนฟ้าพิพากษาคนชั่วก็เป็นได้


 


ต้องกล่าว่าหวงเจียหลงนั้นช่างเจรจาไม่ใช่น้อย และสรรหาเรื่องขบขันมาคุยกับเขาได้เรื่อยๆ


 


และเรื่องที่พูดถึงก็เป็นแค่เรื่องทั่วๆไปเท่านั้น


 


แต่ต้นจนจบอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเลียบๆเคียงๆถึงเรื่องความเป็นมาอะไรเขาเลย ทำราวกับอีกฝ่ายเป็นเพื่อนเขามาหลายปี และไม่ได้เจอกันนานเท่านั้น


 


ต้องกล่าวว่าหวงเจียหลงผู้นี้เข้าหาคนเก่งจริงๆ ไม่เพียงช่างจ้อไปเรื่อยเท่านั้น แต่ยังรู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด สุดท้ายก็นั่งคุยเล่นกับเขาจนถึงเย็น


 


และในระหว่างที่คุยเล่นไปเรื่อยเปื่อย ต้วนหลิงเทียนก็ยังได้รับทราบเรื่องราวที่ไม่เคยรู้มากมายจากปากของหวงเจียหลง


 


‘ที่แท้ในแดนสวรรค์ใต้ หรือที่ใดในระนาบเทวโลก ก็มีการจัดระดับขุมกำลังทั้งหลายโดยละเอียดเช่นกัน…’


 


‘อย่างเช่นนิกายอมตะใหญ่ในเขตพื้นที่ชายแดนของแดนสวรรค์ใต้นั้น ล้วนแล้วถูกจัดให้เป็นขุมกำลังประเภทนิกายระดับ 9…’


 


‘ส่วนประเทศที่ตั้งอยู่ในตะเข็บชายแดนของภาคกลางอย่างประเทศฝูชิวนั้น ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นขุมกำลังประเภท ประเทศอมตะระดับ 8’


 


‘ในประเทศฝูชิวเอง ก็ยังมีนิกายและตระกูลที่ถูกจัดให้เป็นขุมกำลังระดับ 9 มากมาย…อย่างตระกูลเหออะไรของเหอเชี่ยนนั่นก็เป็นตระกูลระดับ 9 เช่นเดียวกันกับตระกูลหวงของหวงเจียหลงที่เป็นเจ้าเมือง ก็ถือเป็นตระกูลระดับ 9 เช่นกัน’


 


‘หากเดินทางเข้าสู่ภาคกลางไปมากกว่านี้ พอพ้นจากพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนเมื่อไหร่ ก็จะเข้าเขตของพวกขุมกำลังระดับเดียวกันกับ 3 ขุมกำลังและ 2 ตระกูล ที่จะมาชักชวนคนที่รอดออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำคราวนี้ พวกมันก็คือนิกายระดับ 7 และตระกูลระดับ 7’


 


‘นิกายระดับ 7 กับตระกูลระดับ 7 ล้วนแล้วแต่เป็นขุมกำลังที่มีสายแร่ผลึกอมตะระดับสูงไว้ในครอบครอง และสายแร่ผลึกอมตะระดับสูงของพวกมัน ยังสามารถให้ผลผลิตออกมาเป็นผลึกอมตะระดับสูงสุดได้บางส่วน’


 


‘นอกจากนี้ 3 นิกายกับ 2 ตระกูลที่ว่า ยังมีความสัมพันธ์กับคฤหาสน์เฉวียนโยวไม่น้อย…กล่าวได้ว่าเป็นดั่งผู้ที่อยู่ใต้อาณัติกลายๆ’


 


‘และตอนนี้สถานที่ๆข้าอยู่ ก็คือเขตพื้นที่ๆอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของคฤหาสน์เฉวียนโยว และเป็นแค่พื้นที่ส่วนหนึ่งในแดนสวรรค์ใต้เท่านั้น’


 


‘คฤหาสน์เฉวียโยวยังเกี่ยวพันกับ 10 ตระกูลใหญ่ของแดนสวรรค์ใต้…ในขณะเดียวกันคฤหาสน์เฉวียนโยวก็จัดเป็น คฤหาสน์อมตะระดับ 6 เท่านั้น’


 



 


หลังได้สนทนากับหวงเจียหลงมาตลอดทั้งบ่าย ต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้เรื่องราวพื้นฐานมากมาย ขณะเดียวกันเขาก็ได้รับทราบเวลาเปิดของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำที่แน่นอนมาจากหวงเจียหลง ว่าเป็นอีกครึ่งปีหลังจากนี้


 


“เดิมทีข้าก็ใกล้จะทะลวงผ่านไปถึงขุนนางอมตะอยู่แล้ว…แต่เพื่อเข้าไปแสวงหาโชควาสนาและโอกาสต่างๆในแดนสวรรค์ใต้โบราณ ข้าก็เลยระงับด่านพลังเอาไว้ไม่คิดรีบร้อนทะลวงผ่าน หันไปตีความเวทย์พลังที่ยังไม่แตกฉานแทน”


 


เวทย์พลังระดับขุนนางที่หวงเจียหลงยังไม่บรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนินั้น ก็คือเวทย์พลังประเภทสนับสนุน กล่าวได้ว่าก่อนจะถึงวันที่ต้องเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ มันยังมีพื้นที่ให้ก้าวหน้าอยู่อีก


 


และด่านพลังสูงสุดที่สามารถเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ก็ถูกจำกัดไว้ที่ขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น!


 


หากเป็นตัวตนที่อยู่เหนือขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเข้าไป ก็จะถูกพลังอำนาจของค่ายกลปฏิเสธ ไม่อาจเข้าไปได้


 


“น้องต้วน นี่มันก็เริ่มมืดแล้ว ข้าว่าข้าเดินไปส่งพวกเจ้ากลับก่อนดีกว่า…ไว้พรุ่งนี้ค่อยมานั่งหาอะไรกินแล้วคุยกันใหม่”


 


หลังเห็นว่าฟ้าด้านนอกมืดแล้ว หวงเจียหลงก็หยุดปากที่พ่นวาจาไม่หยุดมาตั้งแต่บ่ายลงทันที…


 


“ไม่รบกวนท่านดีกว่า เดี๋ยวพวกเรากลับเองก็ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนคิดปฏิเสธน้ำใจของหวงเจียหลง หากแต่ก็ไม่อาจทนลูกตื๊อของอีกฝ่ายได้ไหว สุดท้ายก็ได้แต่ให้หวงเจียหลงเดินกลับพระราชวังหลวงกับเขาและหลิวก่วงหลิน


 


ในขณะที่เดินผ่านตรอกหนึ่งที่ค่อนข้างเปลี่ยว หากแต่เป็นทางที่ใกล้ที่สุดที่จะไปพระราชวังหลวงนั้นเอง…


 


ฟุ่บ! ฟิ่ว!


 


พลันแว่วสำเนียงเสียงแหวกสายลมฉับไวดังขึ้น 2 สาย จากนั้นก็ปรากฏร่าง 2 ร่างที่พุ่งออกมาปานพยัคฆ์โจนทะยานลงภูปิดทางพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 เอาไว้


 


“หืม?”


 


หลังต้วนหลิงเทียนชะงักร่างหยุดลง ก็มองไปยังสองร่างที่ปิดทางเอาไว้ คิ้วยังเริ่มขมวดขึ้นเป็นปม


 


นั่นเพราะชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มาขวางทางเขานั้น กำลังจับจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาอาฆาตแค้น คล้ายมีความเกลียดชังอันล้ำลึกต่อเขา!


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าฆ่าลูกชายคนเดียวของข้า…วันนี้ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต!”


 


ชายวัยกลางคนที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอาฆาต กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นพาลให้ผู้ฟังรู้สึกเสมือนตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง


 


“ข้าน่ะเหรอ ฆ่าลูกชายเจ้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ


 


“11 วันที่แล้วนอกเมืองหลวง”


 


ชายวัยกลางคนกล่าวพลางยิ้มเยาะ


 


ได้ยินคำของชายวัยกลางคน ต้วนหลิงเทียนก็นึกออกทันที “ที่แท้เจ้าก็เป็นพ่อของตัวอัปลักษณ์จิตใจวิปริตบิดเบี้ยวคนนั้นนั่นเอง…”


 


“ดูเหมือนว่ายันต์อมตะสื่อสารที่มันส่งไปก่อนตาย จะทิ้งเบาะแสอะไรไว้สินะ…ไม่งั้นเจ้าคงไม่มีทางตามสืบจนหาข้าเจอได้”


 


ต้วนหลิงเทียนมองจ้องชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าแววตาสงบพลางกล่าวออกเฉย หากแต่ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ในฝ่ามือเขากลับกำไว้ด้วยปิ่นปักผมเล่มหนึ่ง


 


ตัวปิ่นปักผมเล็กนี้ยังทอแสงลี้ลับเรืองออกมาสลัวๆ และบริเวณด้ามปิ่นยังปรากฏบุปผาสีเลือด 2 ดอกที่แดงฉานปานจะคั้นได้เป็นหยดโลหิต


 


อย่างไรก็ตามด้วยความที่เขากอบกุมปิ่นปักผมดังกล่าวเอาไว้ จึงไม่มีใครสามารถพบเห็นความไม่ธรรมดาของมันได้


 


และปิ่นปักผมดังกล่าว ก็คืออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลือง ที่ต้วนหลิงเทียนได้มาจากพื้นที่ชายแดนนั่นเอง


 


หลังจากใช้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ปิ่นนี้ยังสามารถใช้งานได้อีก 2 ครั้ง


 


ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ระดับพลังฝึกปรือที่แน่ชัดของชายวัยกลางคนที่มองเขามาด้วยสายตาอาฆาตแค้น กับชายอีกคนที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งจากความรู้สึกแล้วเขาก็บอกได้ว่าพลังฝีมือสมควรไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าชายวัยกลางคนผู้นี้แม้แต่น้อย และเรื่องหนึ่งที่เขามั่นใจเป็นอย่างมากก็คือ…พลังฝีมือของทั้งคู่นั้นเหนือกว่าหลิวก่วงหลินที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขา 3 คนแน่นอน!


 


หลิวก่วงหลินเป็นแค่ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น ความเร็วย่อมอ่อนด้อยกว่าทั้ง 2 ที่มาขวางทางมาก เช่นนั้นก็เลิกคิดเรื่องให้อีกฝ่ายพาหนีไปได้เลย


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงเรียกปิ่นมากอบกุมเอาไว้ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม


 


“หาที่ตาย!!”


 


เมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนที่เป็นฆาตกรสังหารบุตรชายคนเดียว เรียกหาบุตรชายตัวเองว่าตัวอัปลักษณ์จิตใจวิปริตบิดเบี้ยว ชายวัยกลางคนจึงอดไม่ได้ที่จะมีน้ำโห หลังตะคอกคำดุร้ายปานคำราม พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดก็พวยพุ่งขึ้นมาลุกโชนท่วมร่างปานเพลิงไฟ!


 


และในขณะที่เสียงคำรามของชายวัยกลางคนดังจบคำ และคนกำลังจะเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารเข้ามา ต้วนหลิงเทียนก็พร้อมจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองทันที


 


หากทว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเดินพลังเปิดใช้งานปิ่นในกำมือนั้นเอง เสียงไม่แยแสหนึ่งพลันดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ!


 


“หาที่ตาย ข้าว่าเป็นเจ้า!”


ตอนที่ 2,945 : พลังอำนาจแห่งกฏ!


พอเห็นว่าชายวัยกลางคนที่ปราดร่างมาขวางทางพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 เอาไว้เตรียมจะเปิดฉากสังหาร หวงเจียหลงที่เดิมแลดูอัธยาศัยดีต่อหน้าต้วนหลิงเทียน ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย ตะคอกคำใส่ชายวัยกลางคนเสียงเย็น


 


“หาที่ตาย ข้าว่าเป็นเจ้า!”


 


และนั่นคือวาจาตะคอกเสียงเย็นของหวงเจียหลง


 


“หืม!?”


 


เสียงตะคอกเยียบเย็นของหวงเจียหลง ก็ทำให้ชายวัยกลางคนที่คิดลงมือตกใจอยู่บ้าง ขณะเดียวกันมันก็เผลอหันไปมองหวงเจียหลงโดยไม่รู้ตัว


 


จากนั้นชายวัยกลางคนก็รู้สึกว่าหน้าตาของหวงเจียหลงแลดูคุ้นๆอยู่บ้าง ราวกับเคยพบเจออีกฝ่ายที่ไหนมาก่อน หากแต่มันยังไม่อาจนึกออกว่าเคยเห็นหวงเจียหลงที่ไหน


 


“ผู้เฒ่าเฟิง”


 


ขณะเดียวกันหวงเจียหลงก็เอ่ยออกมาเสียงเรียบคล้ายกล่าวลอยๆ


 


“เจ้าเมืองน้อย”


 


ทว่าแทบจะทันทีที่เสียงของหวงเจียหลงดังจบคำ เสียงชราฟังดูน่ากลัวหนึ่งก็คล้ายจะดังก้องมาจากทุกทิศทาง และทันใดนั้น ด้านหลังหวงเจียหลงก็ปรากฏชายชราผู้หนึ่งที่ทำราวกับจะผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่า!


 


เป็นชายชรารูปร่างผ่ายผอมแลดูบอบบางเกินต้านลม มาในชุดคลุมสีดำ


 


ใบหน้าชายชราด้วยความผอมนั้นทำให้แก้มซูบตอบ เห็นเค้าโรงกระดูกชัดเจน ภายใต้แสงจันทร์สลัวกอปรกับชุดสีดำสนิท พาลให้คนแลดูเหมือนภูตผีอยู่บ้าง


 


วูบ วูบ


 


เห็นชายชราที่ความเร็วสูงจนเหมือนจะผุดโผล่ขึ้นมาจากอากาศธาตุ ไม่เพียงแต่สีหน้าชายวัยกลางคนที่ปิดขวางเส้นทางด้านหน้าจะแปรเปลี่ยนไป แต่สีหน้าชายหนุ่มอีกคนที่เลือกจะมาปิดทางไว้ด้านหลังพวกต้วนหลิงเทียนเองก็เปลี่ยนไปทันที


 


“ท่าน…ท่าน…ท่านคือผู้เฒ่าซูเฟิงงั้นหรือ!?”


 


ทันใดนั้นชายหนุ่มที่มาพร้อมชายวัยกลางคน และเลือกจะมาดักหลัง ปิดทางถอยพวกต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ก็กล่าวถามออกมาเสียงสั่น ลูกตามันตอนนี้ยังหดหยีแทบปิด


 


“เจ้ารู้จักข้า?”


 


ได้ยินเสียงของชายหนุ่มดังกล่าว ชายชราก็หันไปมองถามมันทันที


 


“ผู้เฒ่าซูเฟิง ท่านอาจารย์ของข้าคือ ตงอวี่ ขอรับ”


 


ชายหนุ่มกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มขื่นขม มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมาเจอชายชราในลักษณะนี้ได้


 


ชายชราคนนี้ก็เคยเป็นผู้ฝึกตนพเนจรเหมือนมัน


 


ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่มีชื่อเสียงในประเทศฝูชิวนัก เป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักชนชั้นยอดฝีมือผู้หนึ่ง ทว่านั่นก็เป็นอดีตเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้ไม่แน่อาจทะลวงถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้วก็เป็นได้


 


ตอนที่มันยังเล็กเป็นเด็กน้อยมันเคยเจอชายชราผู้นี้ครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายเป็นสหายของอาจารย์มัน!


 


“ตงอวี่?”


 


ได้ยินคำของชายหนุ่ม คิ้วชายชราขดย่นเป็นปม จากนั้นก็เริ่มคลายตัว “เจ้า…หรือจะเป็นเด็กน้อยที่วิ่งเปลือยตูดเล่นซนไปทั่วเขาผู้นั้น?”


 


“เหมือนเจ้าจะเรียกว่า…หูเลี่ย?”


 


ชายชราที่นึกอะไรขึ้นได้ ก็กล่าวถามออกไป


 


“แหะๆ ไม่คิดเลยว่าผู้เฒ่าซูเฟิงจะยังจดจำข้าน้อยได้ ข้าหูเลี่ยเองขอรับ”


 


ในขณะที่ชายหนุ่มนามหูเลี่ยระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็เหลือบไปมองชายหนุ่มปราดหนึ่ง ค่อยหันไปมองถามชายชราอย่างกล้าๆกลัวๆ “ผู้เฒ่าซูเฟิงข้าได้ยินมานานแล้วว่าท่านเลือกจะเข้าร่วมกับจวนเจ้าเมืองตู้อวิ๋น…”


 


“เช่นนั้น คุณชายผู้นี้ก็คือ…?”


 


จังหวะนี้ชายหนุ่มเริ่มคาดเดาตัวตนของชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าชายชราได้แล้ว


 


“เจ้าเมืองน้อย ของเมืองตู้อวิ๋น”


 


ซูเฟิงกล่าว


 


หากเป็นชาวบ้านมาพูดคำว่าเจ้าเมืองน้อยของเมืองตู้อวิ๋น มันอาจสับสนเพราะหวงเฟยเหยี่ยนมีลูกชายหลายคน ทว่าสำหรับซูเฟิงแล้ว มีเจ้าเมืองน้อยแค่คนเดียวเท่านั้น และนั่นคือคนที่มีแนวโน้มว่าจะได้เป็นเจ้าเมืองตู้อวิ๋นคนต่อไปมากที่สุด!


 


และคนผู้นั้นก็คือ บุตรชายคนที่ 4 ของหวงเฟยเหยี่ยน หวงเจียหลง!


 


“ซูเฟิง?”


 


ขณะเดียวกันชายวัยกลางคนที่หยุดขวางทางด้านหน้าพวกต้วนหลิงเทียน ก็เริ่มตอบสนองเรื่องราว มองไปยังหวงเจียหลงอีกครั้งหน้ามันก็เปลี่ยนสีไปอย่างมาก “เจ้า…เจ้าคือลูกชายคนที่ 4 ของเจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเจียหลง?”


 


“หากข้าเดาไม่ผิด…เจ้าก็คือพี่ชายคนโตของพระสนมหลันสินะ?”


 


หวงเจียหลงเหลือบมองชายวัยกลางคนปราดหนึ่ง “ข้าได้ยินมาว่าลูกชายของเจ้าถูกฆ่าตายนอกเมือง แต่เจ้าหาตัวฆาตกรไม่พบ…”


 


“ดูเหมือนตอนนี้ไม่เพียงเจ้าจะระบุตัวฆาตกรได้แล้ว แต่ยังเป็นน้องต้วนที่มากับข้าสินะ?”


 


กล่าวถึงจุดนี้หวงเจียหลงก็มองจ้องชายวัยกลางคนเขม็ง


 


“เจ้าเมืองน้อย ในเมื่อท่านรู้ดีว่าน้องสาวข้าเป็นผู้ใด…เช่นนั้นขอให้ท่านเห็นแก่หน้าน้องสาวข้าสักครา อย่าได้ยุ่งเรื่องราวความแค้นระหว่างข้ากับชายหนุ่มผู้นี้เลยเถอะ!”


 


ชายวัยกลางคนกล่าวถึงจุดนี้ก็เหลือบไปมองชายชรานามซูเฟิงด้านหลังหวงเจียหลงอย่างหวั่นใจ เพราะมันรู้ดีว่าหากชายชราคิดสอดมือ มันก็คงไม่มีปัญญาแตะแม้แต่ผมสักเส้นของต้วนหลิงเทียนแน่นอน


 


“ฮ่าๆๆๆ…!!”


 


ได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคน หวงเจียหลงพลันระเบิดเสียงหัวร่อออกมาด้วยความขบขัน “หลี่เวย…ข้าเกรงว่ากระทั่งน้องสาวเจ้าเอง ตอนนี้ก็คงไม่คิดจะล้างแค้นให้ลูกชายของเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”


 


“กระทั่งหากฝ่าบาทล่วงรู้ว่าเจ้าคิดฆ่าน้องต้วน ก็คงไม่คิดปล่อยให้เจ้าลงมือสำเร็จกระมัง?”


 


หลังหัวเราะจบ หวงเจียหลงก็กล่าวเสียดสีออกมาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน


 


และที่ไฉนหวงเจียหลงถึงรู้เรื่องพวกนี้ เป็นเพระชายชราที่อยู่เบื้องหลังได้กล่าวส่งเสียงผ่านพลังบอกตัวตนของหูเลี่ยให้มันรู้


 


หูเลี่ยเป็นผู้ฝึกตนพเนจร!


 


นอกจากนี้ชายชรายังกล่าวอีกว่า หูเลี่ยมาที่นี่เพราะได้รับการจ้างวานจากหลี่เวยเท่านั้น เรียกว่าเป็นผู้ช่วยที่หลี่เวยใช้เงินจ้างมาช่วยเหลือ


 


มีน้องสาวเป็นถึงนางสนมเอก แต่กลับต้องไปจ้างคนนอกให้มาช่วยเหลือ…


 


เห็นได้ชัดว่ากระทั่งสนมเอกก็ไม่คิดจะร่วมหัวจมท้ายไปกับหลี่เวย ไม่คิดโดดลงโคลนปลักนี้!


 


“เจ้าเมืองน้อย ขอเพียงท่านปล่อยให้ข้าฆ่าเจ้าหนุ่มนั่นล้างแค้นให้ลูกข้า ตัวข้าหลี่เวยยินดีถวายตัวรับใช้จวนเจ้าเมืองตู้อวิ๋น ให้ท่านใช้งานดั่งม้าลา…”


 


หลี่เวยสูดอากาศเข้าลึกๆ มองกล่าววกับหวงเจียหลงด้วยน้ำเสียงสีหน้าจริงจัง หากทว่ามันยังพูดไม่ทันจบคำ ไร้ซึ่งการแจ้งเตือนใดๆ…


 


ฟุ่บ!


 


เป็นหลี่เวยเลือกจะปะทุพลังชั่วชีวิต พุ่งร่างออกไปปานจุดระเบิด จี้ตรงเข้าหาต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูงสุด!


 


หากทว่าทันทีที่หลี่เวยเคลื่อนไหว ชายชราที่อยู่ด้านหลังหวงเจียหลงก็ลงมือตอบสนองในฉับพลัน อาศัยแค่พลิกฝ่ามือเบาๆคราหนึ่ง ก็ปรากฏพลังไร้สภาพร้ายกาจสะกดร่างหลี่เวยเอาไว้ไม่ให้กระดิกกระเดี้ยวไปไหนได้


 


ทั้ง 2 ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย!


 


ชายชรานั้น เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว


 


หากทว่าหลี่เวยก็แค่ขุนนางอมตะ 6 ผสานเท่านั้น!


 


“หาที่ตาย!!”


 


หลังเห็นชายชราใช้พลังหยุดร่างหลี่เวยเอาไว้ หวงเจียหลงก็พึ่งตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงเหี้ยม “ผู้เฒ่าเฟิง ฆ่ามันเสีย!”


 


“ทราบแล้วเจ้าเมืองน้อย!”


 


สิ้นคำกล่าวของหวงเจียหลง ชายชราก็ลงมืออีกครั้ง สีหน้าหลี่เวยก็เริ่มเปลี่ยนไป หากแต่สีหน้ามันยังไม่ทันได้เปลี่ยนไปดีด้วยซ้ำ ก็ปรากฏพลังสุดไพศาลขุมหนึ่งบีบรัดร่างมันจากทุกทิศทาง สุดท้ายคนก็ถูกบดบี้กลับกลายเป็นก้อนเนื้อโลหิตเลอะเลือนก้อนหนึ่ง…


 


เมื่อหลี่เวยตายตก สีหน้าหูเลี่ยก็เปลี่ยนเป็นปั้นยากทันที และพอเห็นหวงเจียหลงหันกลับมามองที่มัน ใจมันก็เต้นตุ้มๆต่อมๆไปไม่เป็นจังหวะ จนเมื่อได้ยินคำพูดของหวงเจียหลงมันก็พอหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้ง


 


“ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของสหายผู้เฒ่าเฟิง เช่นนั้นข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครา”


 


นั่นคือวาจาของงหวงเจียหลง


 


“ทว่า…”


 


หวงเจียหลงมองหูเลี่ยด้วยสายตาลึกล้ำ เอ่ยออกเสียงเรียบต่อว่า “แต่เจ้าก็ถือว่าได้สร้างความไม่พอใจให้กับน้องชายข้าในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้ว แม้โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นไม่อาจหลีกเลี่ยง…เจ้าก็สมควรจ่าค่าทำขวัญอันใดให้น้องต้วนใช่หรือไม่?”


 


ได้ยินวาจาดังกล่าว สีหน้าหูเลี่ยก็เปลี่ยนเป็นเขียวปั๊ดทันที สุดท้ายมันก็ได้แต่สะบัดมือเรียกวัตถุคล้ายเพชรสีดำเม็ดหนึ่งออกมา เพชรสีดำเม็ดนี้ยังแลดูเก่าเก็บนัก


 


จากนั้นมันก็ส่งเพชรสีดำเม็ดดังกล่าวไปให้ต้วนหลิงเทียน “คุณชายต้วน…ข้ามันแค่คนจรหาเช้ากินค่ำ ไร้สมบัติล้ำค่าใดๆติดตัว…มีก็แต่ศิลาประหลาดก้อนนี้เท่านั้น ที่ข้าได้มาโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน และต่อให้เป็นยยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศก็มิอาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วน”


 


“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้เหมือนกันว่าศิลาก้อนนี้เป็นวัตถุเลิศล้ำอันใด แต่ข้าเชื่อว่าหากกระทั่งยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศยังไม่อาจสร้างแม้แต่รอยขีดข่วนให้มันได้ เช่นนั้นมันก็สมควรมีค่าไม่น้อย”


 


“ข้าจึงได้แต่มอบมันให้คุณชายต้วนแล้ว…หวังว่าคุณชายต้วนจะเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ไม่ติดใจเอาความผู้น้อยอีก”


 


ได้ยินวาจาดังกลาวของหูเลี่ย เห็นได้ชัดว่าคิดใช้สมบัติประหลาดหลีกเลี่ยงเภทภัย


 


“หืม?”


 


พอเห็นหูเลี่ยหยิบก้อนศิลาสีดำออกมา ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าวัตถุชิ้นนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง


 


แต่เขาไม่ทันได้นึกจริงจังว่ามันคืออะไร ก็มีเสียงชราหนึ่งดังขึ้นในร่างเขาเสียก่อน


 


“หืม!? นี่มัน…ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 นี่นา!?”


 


เสียงชราดังกล่าวก็คือเสียงของเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 3 ในร่างต้วนหลิงเทียน “ไอ้หนู นี่เจ้าไปได้ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 มาแต่ที่ใดกัน?”


 


ฟังจากคำพูดของเพลิงเทพโกลาหลแล้ว เห็นชัดว่าเพราะอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงศิลาสีดำรูปร่างเหมือนเพชรในมือต้วนหลิงเทียน จึงตื่นจากห้วงนิทรา


 


“นี่คือ…ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 รึ?”


 


พอได้ยินเสียงของเพลิงเทพโกลาหล ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้แล้ว ว่าไฉนเขาถึงได้รู้สึกคุ้นๆก้อนศิลาสีดำประหลาดนี้อยู่บ้าง


 


เพราะตอนที่เขาได้ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ทั้ง 2 ชิ้นมาครอง มันก็ให้ความรู้สึกเดียวกันนี้นี่เอง


 


ในบรรดาทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ทั้ง 2 ชิ้นที่เขาได้มานั้น ชิ้นหนึ่งเป็นเซี่ยเจี๋ย อา 3 ของเค่อเอ๋อจากดินแดนแห่งทวยเทพมอบให้มา ส่วนอีก 1 ชิ้นนั้นเป็นเขาไปพบเจอมันที่ระนาบโลกียะอย่างระนาบเซียนที่เป็นบ้านเกิดของเขาในชีวิตนี้


 


ต่อมาทั้งคู่ก็ได้หลอมรวมผสานกัน กลับกลายเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ในร่างเขา


 


“เจ้าหนู หากทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ในร่างเจ้าตื่นขึ้นเมื่อใด พอมันดูดกลืนทองเทพสุดลี้ลับขั้น 1 ชิ้นนี้ไป วันหน้าเจ้าก็แค่ต้องหาทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 เช่นนี้ให้พบอีกสักชิ้น ถึงตอนนั้นมันจะพัฒนากลับกลายเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 3 ได้!”


 


เสียงของเพลิงเทพโกลาหลยังคงดังในใจเขาสืบต่อ “น่าเสียดายที่เจ้ามิมีวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาที่มีคุณสมบัติของไฟและทองอยู่ในมือ…หาไม่แล้วด้วยข้าหรือทองเทพสุดลี้ลับที่พัฒนาเป็นขั้นที่ 3 ได้ ก็จักช่วยให้เจ้าเข้าถึงกฏแห่งไฟและทอง ผ่านวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชานั่นได้ในเวลาอันสั้น”


 


“กฏแห่งไฟ? กฏแห่งทอง?”


 


ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็ตกใจ เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยว่า “นั่นมันคืออะไรหรือ?”


 


“หึ! ในระนาบเทวโลกนั้น มีเพียงแต่ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมแห่งกฏเกณฑ์แล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถเรียกตัวเองว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงได้…อย่างไรเสียในระนาบเทวโลกนั้น คิดจะหยั่งรู้ถึงสัจธรรมแห่งกฏเกณฑ์ฟ้าดินให้ได้เร็วไว ก็มีแต่ต้องอาศัยวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชขึ้นไปเป็นใบเบิกทาง หาไม่แล้วอาศัยความเข้าใจของตัวเอง คงยากนักที่จะเข้าถึงกฏได้ในเวลาอันสั้น…”


 


“ทั้งหมดนี้เนื่องเพราะวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชา ที่มิใช่วรยุทธ์กับเวทญ์พลังสั่วๆ ยอมแฝงเร้นไปด้วยกฏเกณฑ์…และหากเจ้าสามารถแตกฉานวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาที่มีกฏเกณฑ์แฝงเร้นเอาไว้ ย่อมแตกต่างจากแตกฉานวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับขุนนางที่ไร้กฏเกณฑ์แฝงเร้นอย่างสิ้นเชิง…เพราะอย่างแรกนั้นเจ้าจักเข้าใจถึงสัจธรรมแห่งกฏ ส่วนอย่างหลังนั้น ก็แค่ถือว่ามีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังใช้เพิ่มพลังต่อสู้เล็กๆน้อยๆเท่านั้น…”


 


วาจาของเพลิงเทพโกลาหลครานี้ เสมือนได้เปิดประตูสู่โลกใหม่ให้ต้วนหลิงเทียนอย่างแท้จริง


 


“สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ยามใดที่เข้าถึงกฏ ไม่ว่าจะกฏอันใด และแม้จะเป็นเพียงแค่กฏขั้นเบื้องต้นและความหมายเดียว หากแต่เมื่อนำไปใช้ประยุกต์ร่วมกับการต่อสู้แล้วล่ะก็ ก็มากพอจะสยบผู้ฝึกตนในขอบเขตเดียวกันที่ไม่เข้าใจกฏ หรือกระทั่งผู้ฝึกตนที่เหนือกว่าไม่กี่ขั้นแต่ไม่เข้าใจกฏได้อย่างง่ายดาย…”


 


“เช่นนั้นพลังฝีมือที่แท้จริงของผู้ฝึกตนในระนาบเทวโลกนั้น ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในกฏเป็นหลัก ระดับบ่มเพาะอันใดนั้น ขอเพียงมีเวลากับทรัพยากรล้นเหลือ ต่อให้เป็นหมูก็บรรลุจักรพรรดิอมตะได้! และวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาอันมีกฏแฝงเร้นที่ข้าเอ่ยถึงก่อนหน้า ก็เสมือนประตูสู่พลังความเข้มแข็งที่แท้จริง!!”


ตอนที่ 2,946 : ไม่คู่ควรให้กล่าวถึง


 


“พลังอำนาจแห่งงกฏ…”


 


ต้องกล่าวเลยว่าคำพูดของเพลิงเทพโกลาหลคราวนี้ ได้กระตุ้นความสนใจต้วนหลิงเทียนขึ้นมา และยังทำให้เขารู้สึกมุ่งหวังจะครอบครองพลังอำนาจแห่งกฏที่ว่าขึ้นมาแล้ว…


 


ในอดีตถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะสามารถเข้าใจวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังที่พบเจอในระนาบเทวโลกได้ง่ายดาย แต่สิ่งที่เขาได้รับมานั้น มันก็แค่วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังปลายแถวเท่านั้น


 


เขาไม่เคยรับรู้เรื่องวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชา และพลังอานุภาพของกฏแม้แต่น้อย!


 


เช่นนั้นวาจาของเพลิงเทพโกลาหลครั้งนี้ ก็เสมือนได้เปิดประตูสู่โลกใหม่ให้เขาอย่างแท้จริง


 


“เจ้าหนู ว่าแต่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย…ว่าที่แท้เจ้าไปพบเจอทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 นี่มาแต่ที่ใดกันแน่ แล้วสถานที่ๆเจ้าพบเป็นเช่นไร?”


 


เสียงเพลิงเทพโกลาหลยังคงดังขึ้นในหัวต้วนหลิงเทียนสืบต่อ


 


“เอ่อ ข้าไม่ได้ไปพบที่ไหนหรอก…เป็นคนตรงหน้ามอบมาให้ข้าเป็นค่าทำขวัญน่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ดังสติกลับมาหลังได้ยินคำถามซ้ำของเพลิงเทพโกลาหล ก็หันมองไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้า แล้วคิดในใจกล่าวกับเพลิงเทพโกลาหล


 


“อันใด!?”


 


เพลิงเทพโกลาหลอุทานออกมาปานคนสำลักน้ำลาย


 


“ไอ้เจ้านี่มันสมองหมูหรืออย่างไร ถึงกับกล้ายกทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ให้เจ้าจริงๆ? ถึงแม้ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 กล่าวไปจักไร้ประโยชน์อันใด แต่หากบังเอิญพบเจอทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 อีกสักชิ้น และหากสามารถส่งเสริมมันให้บังเกิดการพัฒนาได้ ก็ย่อมเปลี่ยนเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ได้สำเร็จ”


 


“ถึงตอนนั้นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ก็ให้ผลเลิศล้ำยิ่งกว่าอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณใดๆหลายขุม!”


 


เพลิงเทพโกลาหลกล่าวถึงจุดนี้ ก็คล้ายจะอิจฉาทองเทพสุดลี้ลับอยู่บ้าง “ไอ่เจ้านี่มันสมองหมูทั้งโดนลาเตะหัวซ้ำมาแท้ๆ ถึงหยิบยื่นสมบัติล้ำค่าอย่างทองเทพสุดลี้ลับออกมาให้เจ้าได้!”


 


“เอ่อ…ถึงทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 มันจะเป็นสมบัติล้ำค่าจริง แต่คนที่มีมันในครอบครองก็ต้องรู้ค่าของมันด้วย…หาไม่แล้วก็เหมือนไข่มุกคลุกฝุ่น”


 


ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ เพื่อกล่าวคำกับเพลิงเทพโกลาหล “และชายตรงหน้า ก็รู้แค่ว่าทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 นั้นไม่ธรรมดาเพราะขุนนางอมตะ 10 ทิศยังไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วน แต่หาได้รู้คุณค่าที่แท้จริงของมันไม่”


 


“ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้หนูเจ้าโชคดีนั่นล่ะ…”


 


หลังเพลิงเทพโกลาหลกล่าวอย่างทอดถอนใจทิ้งท้ายอีกคำ เสียงชราก็เงียบไปราวไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน


 


“คุณชายต้วน…”


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียนที่รับหินประหลาดไปก็เอาแต่ยืนนิ่งแล้วมองจ้องมาที่มันโดยไม่พูดไม่จา หูเลี่ยก็รู้สึกใจคอไม่ดีเลย


 


เพราะตัดสินจากทีท่าของหวงเจียหลงแล้ว เกิดอีกฝ่ายตัดสินให้มันตาย น่ากลัวว่าผู้เฒ่าซูเฟิงก็คงต้องฆ่ามันทิ้งโดยไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์สหายกับอาจารย์ของมันแน่!


 


“เอาล่ะ ข้ายอมรับของสิ่งนี้ก็ได้ เช่นนั้นระหว่างเจ้ากับข้า พวกเราไม่มีอะไรติดใจกันอีก”


 


ต้วนหลิงเทียนเลือกจะเก็บทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ไปส่งๆ ทำราวกับมันไร้ความสำคัญ จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับหูเลี่ยเสียงเรียบ


 


“ขอบพระคุณท่าน คุณชายต้วน! ขอบคุณท่านมากคุณชายต้วน!!”


 


วาจาเสียงเฉยของต้วนหลิงเทียน หากแต่ยามดังในหูของหูเลี่ย ก็เสมือนคำอภัยโทษจากเจ้าชีวิต มันอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เร่งกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียนซ้ำๆ จากนั้นก็หันไปลาหวงเจียหลงกับซูเฟิง แล้วรีบแจ้นหายไปทันที


 


แวววตามันที่เร่งรุดจากไปนั้นยังฉายชัดถึงความเสียใจสุดแสน ที่ดันไปเห็นดีเห็นงามกับหลี่เวยเรื่องมาดักฆ่าคนอย่างต้วนหลิงเทียน


 


‘ถึงแม้ข้าจักไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นคืออันใดกันแน่ หากแต่กระทั่งขุนนางอมตะ 10 ทิศที่ใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาลงมือเต็มกำลัง ยังไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้ เห็นชัดว่ามันไม่ใช่หินธรรมดาๆเป็นแน่’


 


หลังจากหนีมาสักพัก ใจหูเลี่ยก็อดไม่ได้ที่จะปววดแปลบ ขณะเดียวกันก็ลอบภาวนาในใจ ว่าขอให้ที่แท้หินก้อนนั้นเป็นแค่ของไร้ประโยชน์ด้วยเถอะ


 


“เรื่องครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านมาก เจ้าเมืองน้อย…”


 


หลังงหูเลี่ยจากไป ต้วนหลิงเทียนเหลือบไปมองซากเนื้อเลอะเลือนของหลี่เวยเล็กน้อย จากนั้นค่อยหันไปมองหวงเจียหลงพลางกล่าวขอบคุณออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง


 


หากไม่ใช่เพราะหวงเจียหลงขอให้ชายชราข้างกายลงมือ ไม่พ้นเขาต้องใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอีกครั้ง


 


อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองนั้นใช้ได้ทั้งหมดแค่ 3 ครั้งเท่านั้น และเขาก็ได้ใช้มันไปแล้วครั้งหนึ่ง หากใช้อีกครั้งก็คงเหลือแค่ครั้งเดียวแล้ว


 


เช่นนั้นการที่หวงเจียหลงขอให้ชายชราข้างกายงมือ ก็ไม่ต่างอะไรกกับช่วยเขาประหยัดการใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองไปครั้งหนึ่ง จึงทำให้เขารู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายมาก


 


“น้องต้วนอย่าได้ล้อข้าเล่นเลย…ข้ายังเห็นอยู่กับตา ว่าตอนที่หลี่เวยจะลงมือกับท่าน ท่านยังแลดูสงบ คล้ายไม่แยยแสมันเลยด้วยซ้ำ”


 


หวงเจียหลงส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม “หากข้าเดาไม่ผิด สมควรมีบางคนลอบคุ้มครองน้องต้วนอย่างลับๆใช่หรือไม่?”


 


“ข้าขอให้ผู้เฒ่าเฟิงลงมือครั้งนี้ ยังต่างอันใดจากปักลายบุปผาบนผ้าดิ้น ไม่คู่ควรให้กล่าวถึงด้วยซ้ำ…กลับกันข้าคิดว่าอาศัยแค่หลี่เวย คงไม่จำเป็นต้องให้คนของน้องต้วนลงมือ”


(เพิ่มลายดอกไม้บนผ้าดิ้น = พยายามเสริมเติมแต่งในสิ่งที่มันดีอยู่แล้ว)


 


หลังกล่าวถึงจุดนี้หวงเจียหลงก็เหลือบมองไปรอบๆอีกครั้งด้วยสายตาแฝงเคารพ ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย เพราะมันรู้สึกว่าท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล อาจมียอดฝีมืออันร้ายกาจเร้นกายอย่างเงียบงัน


 


หวงเจียหลงเห็นชัดถนัดตา ว่าเมื่อครู่ต้วนหลิงงเทียนแลดูสงบ ไม่คล้ายคนกำลังหวาดกลัวแม้แต่น้อย


 


ด้วยเหตุนี้มันเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนต้องมีความมั่นใจอย่างถึงที่สุดว่าต้องปลอดภัย และต้นตอความมั่นใจของต้วนหลิงเทียน มันก็เดาว่าไม่พ้นต้องมียอดฝีมือที่เร้นกายในความมือลอบคุ้มครองต้วนหลิงเทียนแน่นอน


 


และยอดฝีมือผู้นั้น กระทั่งซูเฟิง ขุนนางอมตะ 10 ทิศข้างกายมันก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงการคงอยู่และร่องรอยใดๆได้เลย เผยให้รู้ว่ายอดฝีมือผู้นั้น ต่ำๆก็ต้องเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด!


 


เพราะตัวซูเฟิงเองก็เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว


 


ทว่าต่อให้หลับหวงเจียหลงก็คงไม่อาจฝันถึง…


 


ว่าต้นตอความมั่นใจและความสงบของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ หาใช่เพราะมียอดคนพลังฝีมือสูงส่งเร้นกายลอบให้คุ้มครองอยู่ไม่ แต่เป็นเพราะเขามีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลือง ที่พอใช้แล้วจะทำให้มีพลังทัดเทียมตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดทันที!


 


“อย่างไรก็แล้วแต่ ครั้งนี้ข้าถือว่าติดค้างเจ้าเมืองน้อยครั้งหนึ่ง…”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ เขาย่อมมองออกเป็นธรรมดาว่าหวงเจียหลงเข้าใจผิดไปนู่น! แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรให้อีกฝ่ายฟัง นั่นเพราะอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองนั้นไม่อาจเปิดเผยให้ใครล่วงรู้ได้


 


และในตอนที่เขานำอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอย่างปิ่นปักผมนั่นออกมา ไม่เพียงแต่เขาจะจงใจกำไว้ในมืออย่างมิดชิด กระทั่งยังชักนำพลังลึกล้ำของทองเทพสุดลี้ลับที่คอยปกป้องดวงจิตของเขา ให้แผ่มาปกคลุมไว้ทั่วตัวปิ่นอีกด้วย เพื่อไม่ให้ผู้ใดสัมผัสถึงการคงอยู่ของมันได้!


 


ด้วยวิธีนี้ต่อให้มียอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืด และแผ่สำนึกเทวะมาสอดแนมเรื่องราวตรงนี้ แต่อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองของเขาก็ไม่มีทางถูกพบเจอ


 


และที่เขากระทำแบบนี้ ก็เพราะระวังตัวตนขอบเขตราชาอมตะของประเทศฝูชิวโดยเฉพาะ!


 


ฮ่องเต้ฝูชิว ในฐานะราชาอมตะ 2 ยศ ตราบใดที่มันต้องการสำนึกเทวะของมันก็สามารถแผ่ออกมาปกคลุมได้ถึงครึ่งเมืองหลวง!


 


และที่นี่ก็ไม่ได้อยู่ห่างจากพระราชวังหลวงมากมายอะไร เรียกว่าอยู่ในข่ายการตรวจจับของสำนึกเทวะฮ่องเต้ฝูชิวแล้ว


 


“น้องต้วน ข้าเกรงว่าพวกเราต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ฝูชิวก่อนแล้วล่ะ…”


 


หวงเจียหลงเหลือบมองซากเนื้อเลอะเลือนของหลี่เวย พลางกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มบางๆ “เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่พ้นต้องถูกฮ่องเต้ฝูชิวล่วงรู้แล้วเป็นแน่”


 


“ถึงแม้อาจมีความเป็นไปได้ที่ฝ่าบาทอาจจะยังไม่ทันตรวจพบ ทว่าเราเป็นฝ่ายไปรายงานเรื่องราวเองย่อมดีกว่า และถึงหลี่เวยผู้นี้จะเป็นพี่ชายของพระสนมหลัน แต่หากจะว่ากันตามเหตุผลแล้ว…ด้วยคุณค่าของน้องต้วนกับข้า ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ฝ่าบาทจะทำให้พวกเราลำบากใจ”


 



 


ณ พระราชวังหลวงของประเทศฝูชิว


 


ภายในห้องบัลลังก์


 


“นี่คือ…”


 


ฮ่องเต้ฝูชิว หูหลินอี้ ที่นั่งบนบัลลังก์มังกรทองกลางโถงพระราชวังหลวง มองศพที่นอนคว่ำบนพื้นพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


“ฝ่าบาท โปรดทอดพระเนตรใบหน้าศพนี้ก่อน”


 


กล่าวจบ หวงงเจียหลงก็พลิกฝ่ามือเบาๆ จากนั้นก็ปรากฏพลังไร้สภาพขุมหนึ่งพลิกศพที่นอนคว่ำ ทั้งลบคราบโลหิตออกไป


 


ทันใดนั้นรูปโฉมของศพที่ร่างงแหลกเหลวก็เผยให้เห็นเต็มสองตาหูหลินอี้


 


“หลี่เวย!?”


 


เมื่อเห็นใบหน้าศพชัดถนัดตา หูหลินอี้ก็หน้าเปลี่ยนสี เพราะนี่ไม่ใช่พี่ชายคนโตของสนมคนโปรดมันหรือไร?


 


“ฝ่าบาท…ฝ่าบาทเพคะ…”


 


ในขณะที่หูหลินอี้พึ่งจะจดจำได้ว่านี่เป็นศพใคร ก็มีเสียงดังออกมาจากด้านนอก จากนั้นก็ปรากฏร่างบางหนึ่งเร่งก้าวอาดๆเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี ด้านหลังยังมีนางกำนัลติดตามมาเป็นแถว


 


“ฝ่าบาทเพคะ ลูกแก้ววิญญาณของพี่ใหญ่หม่อมฉันแตกแล้ว ฝ่าบาทต้องช่วยหม่อมฉันตามหาคนร้ายนะเพคะ…”


 


สตรีงามที่เร่งก้าวอาดๆมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนั้น เมื่อเข้ามาถึงก็เร่งกล่าวกับฮ่องเต้ฝูชิวด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า มือกำไว้ด้วยเศษลูกแก้ววิญญาณที่แตกสลาย หากทว่าพอกล่าวจบคำ สายตานางก็เหลือบไปเห็นซากร่างเลอะเลือนหนึ่งบนพื้น…


 


“พี่ใหญ่!!”


 


หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าสตรีงามก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ร่างบางพุ่งไปกอดศพบนพื้นพลางร่ำไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด


 


และเมื่อเห็นว่าห่างออกไปจากศพพี่ชายตัวเอง ปรากฏชายหนุ่มหล่อเหลาชุดม่วงที่นางจดจำหน้าตาได้เป็นอย่างดี กับชายหนุ่มที่นางรู้จักโดยข้างกายก็มีชายชราคนหนึ่ง สนมหลันก็ทราบได้ทันทีว่าที่แท้พี่ชายคนโตของนางตกตายด้วยสาเหตุอะไร


 


ขณะเดียวกัน นางก็รู้ดีแก่ใจว่าอาศัยกำลังสามารถของนาง คิดจะล้างแค้นให้พี่ใหญ่เกรงว่าคงยากยิ่งกว่าคนธรรมดาปีนป่ายขึ้นสวรรค์!


 


ดังนั้นถึงแม้นางจะเกลียดชังทั้งเคียดแค้นผู้ลงมือมากเพียงไร แต่นางก็รู้ตัวดีว่าความแค้นและความเกลียดชังครั้งนี้ นางได้แต่ต้องกลบฝังเอาไว้ให้ลึกสุดใจ!


 


“เจียหลง ที่แท้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


 


สองตาหูหลินอี้ทอประกายวาบหนึ่ง หันไปมองถามหวงเจียหลงทันที


 


“ทูลฝ่าบาท หลี่เวยผู้นี้…”


 


ได้ยินคำถามของหูหลินอี้ หวงเจียหลงก็ไม่คิดปิดบังอะไร กล่าวถึงเรื่องที่หลี่เวยมาดักฆ่าต้วนหลิงเทียนออกไปอย่างไม่มีอะไรปกปิด


 


แน่นอนยังกล่าวถึงเหตุผลที่ไฉนหลี่เวยต้องมาดักฆ่าต้วนหลิงเทียนอีกด้วย


 


นอกจากนั้นยังบอกอีกว่า ผู้ที่ลงมือฆ่าหลี่เวย ก็คือชายชราที่อยู่ข้างๆมันนี่เอง


 


“ต้วนหลิงเทียน…เจ้าเป็นคนฆ่าหลี่ฮ่าวงั้นเหรอ?”


 


หูหลินอี้มองต้วนหลิงเทียนเขม็ง กล่าวถามเสียงขรึม


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนที่แลดูสงบพยักหน้าตอบรับ ท่าทางไม่นอบน้อมไม่ถือดี


 


“เจ้าฆ่ามันด้วยสาเหตุอันใด?”


 


หูหลินอี้กล่าวถาม


 


“ข้าเองก็ไม่เคยรู้จักกับมันมาก่อน แต่ตอนที่ข้าเจอมันครั้งแรก มันกลับให้ข้าเลือก…ว่าข้าจะทำลายใบหน้าของตัวเอง หรือตาย…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ข้าไม่รู้ว่าหากเป็นฝ่าบาทเจอแบบนี้ จะเลือกยังไง?”


 


“สารเลว!”


 


ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน หูหลินอี้ก็สบถออกมาพลางสะบัดแขนเสื้ออย่างหงุดหงิด…แน่นอนว่าเป้าหมายคำสบถย่อมเป็นหลี่ฮ่าว ไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน


 


“ฝ่าบาท…”


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง หวงเจียหลง ก็มองไปยังหูหลินอี้พลางกล่าวผ่านพลังเสริมว่า “หลี่เวยนั้นพลังฝีมือเหนือกว่าผู้ติดตามขอบเขตพลังแค่ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่คอยติดตามอยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียนมาก..”


 


“หากทว่าก่อนที่ผู้เฒ่าเฟิงจะลงมือ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แลดูเป็นกังวลหรือร้อนรนอันใด เรียกว่าแต่ต้นจนจบ คนสงบไร้หวั่นกลัว เห็นชัดว่าเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ…”


 


กล่าวถึงจุดนี้หวงเจียหลงก็ไม่คิดจะพูดอะไรต่อ


 


เหตุผลที่มันไม่คิดพูดอะไรต่อ เพราะมันรู้ดีว่าถึงไม่พูดออกไป แต่คนอยย่างฮ่องเต้ฝูชิวย่อมตระหนักเรื่องราวได้เป็นอย่างดี ว่ามันคิดจะพูดอะไรสืบต่อ


 


‘ดูเหมือนว่าข้างกายมันจักมียอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่พลังฝีมือสูงส่งติดตามให้ความคุ้มครองอย่างลับๆ…ที่สำคัญลำพังตัวมันเองก็เป็นอัจฉริยะที่น่ากลัวเหลือเกิน อายุไม่ถึงร้อยปีแท้ๆแต่แทบจะคงกระพันใต้ขอบเขตขุนนางอมตะแล้ว!’


 


‘นอกจากนั้นหากมันกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้ ไม่พ้น 3 นิกาย 2 ขุมกำลังต้องถึงขั้นรีบร้อนแย่งตัวมันกันแน่…พอถึงตอนนั้นไม่ว่าสุดท้ายมันจะเลือกเข้าร่วมกับฝ่ายใด แต่ข้าไม่พ้นต้องได้รับรางวัลครั้งใหญ่!’


 


‘ไม่ว่าจะด้วยยอดฝีมือที่เร้นกายลอบติดตามมันก็ดี หรือผลประโยชน์ที่ข้าจะได้จาก 3 นิกาย 2 ตระกูลก็ดี…การตายของหลี่เวยนั้นไม่คู่ควรให้กล่าวถึง’


 


หลังจากครุ่นคิดเรื่องราวปราดหนึ่ง ทีท่าของหูหลินอี้ก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน ไม่ทันไรก็ตัดสินใจได้แล้ว!


WSST ตอนที่ 2,947 : โอสถเฉียนจิน


 


 


“การตายของหลี่เวยล้วนแล้วแต่เป็นผลจากการกระทำของตัวมันทั้งสิ้น…เช่นนั้นเรื่องราวครั้งนี้ก็ให้ถือว่าจบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้เถอะ”


 


หูหลินอี้ประกาศคำตัดสินออกมาเสียงดังฟังชัด เป็นอันว่าเรื่องราวได้ยุติลงแล้ว


 


“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง!”


 


หวงเจียหลงยกมือขึ้นประสานพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม ต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้นมาป้องประสานให้หูหลินอี้คราหนึ่งก่อนจะจากไป


 


หลังจากที่พวกต้วนหลิงเทียนจากไปหมดแล้ว หูหลินอี้ก็หันไปมองสนมหลันที่กำลังร้องห่มร้องไห้ปานใจจะขาดข้างร่างหลี่เวย พลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงทอดถอน “สนมรักของข้า คนตายมิอาจฟื้นคืน…เจ้าระงับความเศร้าโศกเถอะ”


 


ได้ยินวาจาปลอบใจดังกล่าวของหูหลินอี้ สนมหลันก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็ก้มหน้าลง หากทว่าบนใบหน้ากลับปรากฏความเยียบเย็นประหนึ่งมีชั้นน้ำแข็งเคลือบ


 


ถึงแม้นางจะรู้แต่แรกแล้วว่าผลไม่พ้นผลต้องออกมาอีหร็อบนี้ แต่อย่างไรก็ตามพอได้ฟังวาจาตัดสินจากปากของชายที่นางร่วมเตียงด้วยทุกคืน หัวใจของนางยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอกลับบ้านไปไว้ทุกข์สักพักนะเพคะ…หม่อมฉันคิดจัดพิธีศพให้พี่ใหญ่ด้วยตัวเอง…”


 


หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สนมหลันที่ก้มหน้าอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมากล่าวคำกับฮ่องเต้ฝูชิวด้วยใบหน้าชวนให้เวทนาจับใจ ความเย็นชาใดๆสาบสูญไปหมดสิ้น


 


“ตามใจเจ้า”


 


หูหลินอี้พยักหน้าเห็นด้วย


 


อย่างไรก็ตามหลังจากที่สนมหลันนำศพของหลี่เวยจากไปแล้ว ฮ่องเต้ฝูชิวที่นั่งเงียบอยู่บนบัลลังก์มังกรสักพัก อยู่ๆก็เอ่ยคำออกมาเสียงเรียบ


 


“เฮยเฟิง”


 


ขณะเอ่ยคำเสียงเรียบฮ่องเต้ฝูชิวยังมองไปยังโถงพระราชวังด้านล่างที่ว่างเปล่า ทำราวกับตรงนั้นมีใครอยู่


 


“ฝ่าบาท”


 


ท่าแทบจะทันทีที่หูหลินอี้กล่าวจบคำ ร่างๆหนึ่งที่ทำราวกับจะผุดออกมาจากความว่างเปล่า ก็ปรากฏขึ้นในโถง ถวายบังคมหูหลินอี้ด้วยท่าทีเคารพ


 


เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งมาในชุดสีดำสนิท สีหน้าช่างเยียบเย็นแววตาแลดูว่างเปล่าคล้ายคนไร้วิญญาณ


 


“หลังจากสนมหลันฝังศพพี่ใหญ่ของนางแล้ว…เจ้าก็ส่งนางไปตามทางเถอะ”


 


กล่าวจบหูหลินอี้สูดหายใจเข้าลึกๆพลางระบายออกมายืดยาว คล้ายมันพึ่งได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ไป


 


“ฝ่าบาท…พระองค์…”


 


ชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาสายตาว่างเปล่า บัดนี้ในลูกตาว่างเปล่านั่นกลับฉายสีสันขึ้นมาเล็กน้อย


 


“สนมหลันไหนเลยจะเป็นคนที่ยอมให้เรื่องราวมันจบลงง่ายๆเช่นนี้…หากที่ตายเป็นแค่หลานชายนาง ตัวนางย่อมไม่คิดวุ่นวายอันใดอีก ทว่านี่เป็นพี่ใหญ่ที่เลี้ยงดูส่งเสริมนางจนมีวันนี้ได้ เช่นนั้นแม้เมื่อครู่พวกเราอาจเห็นว่าคล้ายนางคิดจะปล่อยให้เรื่องมันจบลงเพียงเท่านี้ แต่เชื่อข้าเถอะ อย่างดีนางก็อาจจะอยู่เงียบๆสักพัก ทว่าหากนางสบโอกาสเหมาะเมื่อไหร่ นางต้องลงมือทันทีแน่…”


 


สองตาหูหลินอี้ฉายประกายเรืองวาบ กล่าวออกเสียงทุ้ม “เพื่อมิให้นางไปล่วงเกินต้วนหลิงเทียนจนเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าทำได้แค่ช่วยให้นางไปพบพี่ใหญ่ของนาง…”


 


“หากให้เทียบกับผลประโยชน์ที่จักได้รับจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลแล้ว…สนมเฟยยังไม่คู่ควรให้กล่าวถึง!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค เสียงของหูหลินอี้ยังเยียบเย็นเหน็บหนาวเสียดกระดูกนัก!


 


“กระหม่อมทราบแล้ว ฝ่าบาท”


 


ชายหนุ่มที่แลดูน่ากลัวถอยไปก้าวหนึ่ง จากนั้นคนก็เลือนหายไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง มาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น…


 


ส่วนอีกด้าน


 


ไม่นานหลังจากพวกต้วนหลิงเทียนกลับออกมาจากโถงพระราชวังหลวง ชายชราที่อยู่ข้างๆหวงเจียหลง ขุนนางอมตะ 10 ทิศ ซูเฟิง ไม่อาจทนได้ไหวสืบไป มันหันมองไปยังต้วนหลิงเทียน พลางเอ่ยถามออกมาเสียงอ่อน “คุณชายต้วน…มิทราบว่าให้เราผู้เฒ่าได้ชมดูหินประหลาดที่หูเลี่ยมอบให้ท่านสักคราได้หรือไม่?”


 


พอกล่าวจบคำ คล้ายซูเฟิงก็ตระหนักได้ว่านี่มันไม่ค่อยเหมาะสมอยู่บ้าง จึงกล่าวเสริมไปทันที “แน่นอนว่าหากคุณชายต้วนมิสะดวกใจ ก็ช่างเถอะ”


 


“ไม่มีอะไรไม่สะดวก”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆราวกับไม่ได้คิดอะไรมากมาย จากนั้นก็เรียกหินที่ได้จากหูเลี่ย ซึ่งที่แท้แล้วเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ออกมายื่นให้ซูเฟิง


 


เป็นธรรมดาว่าเรื่องที่มันเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ก็มีแต่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่รู้


 


ซูเฟิงยื่นมือไปรับหินมาถือไว้ จากนั้นก็ลองเร่งเร้าพลังส่วนหนึ่งหมายบีบทำลายหินดู หากแต่หินในมือกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ


 


สุดท้ายมันก็ค่อยๆเพิ่มแรงและกำลังที่ใช้บีบหินดู ทว่าหลังจากใช้พลังทั้งหมดก็แล้ว แต่หินดังกล่าวก็ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย ไร้ซึ่งร่องรอยบุบสลาย กลับเป็นมือเหี่ยวๆของมันที่เริ่มปวดแปลบขึ้นมา!


 


อีกทั้งหลังพยายามลองแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบดู มันก็ไม่อาจค้นพบความวิเศษใดๆของหินก้อนนี้ได้เลย


 


“ช่างเป็นหินประหลาดโดยแท้”


 


สุดท้ายซูเฟิงก็ส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา ค่อยยื่นส่งหินคืนให้ต้วนหลิงเทียน


 


“ดูเหมือนว่าหูเลี่ยผู้นั้นจะไม่ได้โกหกจริงๆ กระทั่งตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศยังไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วน”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ พลางโยนหินส่งๆเก็บเข้าแหวนพื้นที่ไป


 


แต่ต้นจนจบเขาไม่ได้กลัวซูเฟิงจะล่วงรู้ถึงความสำคัญของหินก้อนนี้เลย


 


ล้อกันเล่นหรือไร


 


เดิมทีทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรกนั้น กระทั่งเซี่ยเจี๋ย จากดินแดนแห่งทวยเทพยังทำราวกับไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร และนั่นก็คือตัวตนที่อยู่เหนือกว่าตัวตนใดๆในระนาบเทวโลกทั้งมวล


 


ซูเฟิงที่เป็นเพียงขุนนางอมตะ 10 ทิศ จะไปรู้จักทองเทพสุดลี้ลับ กระทั่งค้นพบความไม่ธรรมดาของมันได้อย่างไร…


 


นอกจากนี้เขายังมีทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 และเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 3 อยู่กับตัว เขาจึงได้รับรู้ข้อมูลบางอย่างมา


 


มีเพียงเทพทั้ง 5 ธาตุขั้นที่ 2 ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะบังเกิดสำนึกสติ และแจ้งให้เจ้าของทราบถึงการดำรงอยู่ของธาตุเทพทั้ง 5 ขั้น 1


 


กล่าวได้ว่าคนส่วนใหญ่สามารถจำแนกได้ว่าสิ่งนี้คือธาตุเทพขั้นแรกได้ ก็เพราะถือครองธาตุเทพขั้นที่ 2 แล้วเท่านั้น


 


และเป็นธรรมดาว่าสำหรับต้วนหลิงเทียนที่ได้รับทองเทพสุดลั้บมาตั้งแต่เป็นขั้นที่ 1 หากเขาสามารถยยกระดับมันให้พัฒนากลายเป็นขั้นที่ 3 ได้ เขาย่อมคุ้นชินกับกลิ่นอายเฉพาะของมัน ครานี้ต่อให้เขาบังเอิญไปพบเจอทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 4 ต่อให้ไม่มีใครแจ้งเตือน เขาก็น่าจะพอแยกได้ออกแล้ว สำหรับขั้นที่ 1 เองกล่าวไปเขาก็รู้สึกคุ้นๆแล้วเหมือนกัน


 


อย่างไรก็ตาม หากจะยืนยันให้แน่ชัดจริงๆ ก็ต้องอาศัยคำยืนยันจากธาตุเทพขั้นที่ 2 ขึ้นไปอยู่ดี


 


เดินไปเรื่อยเปื่อยไม่ทันไร หวงเจียหลงกับซูเฟิงก็เดินมาส่งต้วนหลิงเทียนถึงตำหนักจวี้หยวนแล้ว และหลิวก่วงหลินที่กลับมาก่อนตอนที่ทั้ง 3 ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ฝูชิว ก็ได้มายืนรอต้วนหลิงเทียนที่หน้าประตูเรียบร้อย


 


“น้องต้วน ผู้ติดตามท่านแลดูภักดีกับท่านจริงๆ”


 


เมื่อเห็นหลิวก่วงหลินมายืนรอคอยอยู่หน้าประตู หวงเจียหลงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น ค่อยหันไปเอ่ยกับต้วนหลิงเทียน


 


ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มรับไม่พูดอะไร


 


หลิวก่วงหลินเป็นคนที่เขาเลือกเอง ย่อมไม่เลวเป็นธรรมดา


 


“เจ้าเมืองน้อย ในเมื่อมาแล้วก็เข้าไปนั่งพักจิบชาสักถ้วยเถอะ”


 


เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู ต้วนหลิงเทียนก็เชิญหวงเจียหลงอย่างมีมารยาท หากแต่หวงเจียหลงก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ “น้องต้วน นี่ก็มืดค่ำแล้ว ข้าไม่รบกวนท่านดีกว่า…ไว้ค่อยพบกันใหม่”


 


พอกล่าวจบคำ หวงเจียหลงก็ประสานมืออำลาเล็กน้อย ก่อนจะพาซูเฟิงเดินจากไป


 


ต้วนหลิงเทียนยังมองส่งจนแผ่นหลังทั้งคู่หายลับไปกับความมืด ค่อยเดินกลับเข้าไปในบ้านลานที่พัก หลิวก่วงหลินเองก็เดินติดตามมาดั่งเงา


 


“ก่วงหลิน…เจ้าคิดว่าหวงเจียหลง เป็นอย่างไร?”


 


หลังเดินเข้ามาในลานแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนในลาน พลางเอ่ยยถามหวงก่วงหลิน


 


“นายท่าน ในสายตาข้าเจ้าเมืองน้อยหวงเจียหลงผู้นี้ ถึงแม้จะเข้าใจผิดคิดว่าท่านมีภูมิหลังความเป็นมายิ่งใหญ่ และได้รับการคุ้มครองจากยอดฝืมือ…ทว่าเท่าที่ข้าเห็นมันมิได้เข้าหานายท่านเพราะมีจุดประสงค์ร้ายอันใด แต่สมควรเป็นเพราะความไม่ธรรมดาของตัวนายท่านเองต่างหากที่ดึงดูดมันให้เข้าหา…”


 


ได้ยินคำถามไถ่ของต้วนหลิงเทียน หลิวก่วงหลินก็เอ่ยความคิดของตัวเองออกมา


 


“ความไม่ธรรมดาของข้าดึงดูดมันเข้ามา?”


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตามองจ้องหลิวก่วงหลินเล็กน้อย ค่อยยิ้มกล่าว “หลิวก่วงหลิน ไม่ยักรู้ว่าเจ้าจะหาโอกาสกล่าวคำเยินยอข้าได้อย่างแนบเนียนขนาดนี้…”


 


“อย่างไรก็ตาม สมควรเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ หวงเจียหลงผู้นี้ที่เข้ามาตีสนิทกับข้า ไม่น่าจะมีจุดประสงค์ร้ายใดๆ แต่สมควรชื่นชมความสามารถของข้ามากกว่า”


 


หลังผ่านมา 2 ชาติภพ ยังมีคนแบบไหนที่ต้วนหลิงเทียนไม่เคยเห็น?


 


ยิ่งในโลกเก่าที่ผู้คนมีชีวิตแสนสั้นและทำทุกทางเพื่อความสำเร็จ เขาย่อมเจอคนชั่วมาแทบทุกประเภท ที่พลาดก็มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ที่สำคัญญหากไม่ใช่เพราะอดีตนายหน้าผู้นั้นเคยช่วยชีวิตเขาและใช้เวลานับสิบปีให้เขาตายใจ ไหนเลยเขาจะพลาดท่าเสียทีอีกฝ่ายได้


 


เช่นนั้นหลังจากที่คลุกคลีกับหวงเจียหลงมาตลอดทั้งวัน เขาจึงมองออกทันทีว่าหวงเจียหลงนับเป็นคนที่เปิดเผยจริงใจผู้หนึ่ง คู่ควรให้ผูกมิตรด้วย


 


เป็นธรรมดาว่าหากจะให้พูดว่าหวงเจียหลงไร้เจตนาใดแอบแฝงเลยก็คงไม่ใช่…


 


เพราะพิจารณาจากการจัดการเรื่องราวของหลี่เวยในวันนี้ ความนิ่งสงบตัดสินเรื่องราวได้เป็นขั้นตอนของหวงเจียหลงก็เผยให้เห็นว่าหวงเจียหลงไม่ใช่คนธรรมดาๆเช่นกัน


 


แต่นี่ก็เป็นธรรมดา


 


เจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเฟยเหยี่ยนในฐานะที่เป็นถึงยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตราชาอมตะของประเทศฝูชิว ไหนเลยลูกชายที่มันภาคภูมิใจที่สุดจะเป็นคนธรรมดาได้


 


อย่างไรก็ตามตอนที่นั่งคุยกัน ต้วนหลิงเทียนก็เห็นความจริงใจของหวงเจียหลงชัดเจน


 


อีกฝ่ายน่าจะคิดเป็นสหายกับเขาจริงๆ


 


‘ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน…หากมันคิดแค่อยากเป็นสหายกับข้าจริงๆ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมีสหายเพิ่มอีกคน แต่หากมันมีจุดประสงค์อะไร ก็อย่าหวังว่าจะสำเร็จได้งง่ายๆ!’


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายแหลมคมวาบหนึ่ง กล่าวในใจอย่างเงียบงัน


 


“ก่วงหลิน…”


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองหลิวก่วงหลินพลางออกปากว่า “หลังจากนี้เจ้าช่วยไปตระเวนตามร้านโอสถเพื่อหาซื้อวัตถุดิบสมุนไพรบางอย่างให้ข้าหน่อย…หากร้านในเมืองหลวงไม่มีขายแล้วจริงๆ ข้าค่อยหาทางอื่น”


 


จากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบสมุนไพรที่เขาต้องการออกมาให้หลิวก่วงหลินฟังทันที


 


ในฐานะที่เป็นขุนนางอมตะแล้ว หลิวก่วงหลินเพียงฟังรอบเดียวก็สามารถจดจำได้ง่ายดายๆ พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบ มันก็ลาจากไปดำเนินการทันที


 


“ตราบใดที่ข้าหลอมโอสถเฉียนจินได้สำเร็จ ข้าก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้ทันที!”


 


“หลังจากนั้นระหว่างรอให้ถึงเวลาเข้าร่วมแดนสรรค์ใต้โบราณ ก็คงสามารถปรับด่านพลังขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดให้มั่นคงได้พอดี”


 


“สุดท้ายแล้วการทะลวงด่านพลังโดยใช้โอสถ ก็ทำให้ด่านพลังไม่เสถียร จำต้องใช้เวลาปรับพลังทั้งควบแน่นพลังอยู่บ้าง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆหลังหลิวก่วงหลินจากไปได้สักพัก


 


โอสถเฉียนจินนั้นเป็นโอสถอมตะระดับสูงที่ค่อนข้างพิเศษ และหลอมได้ยากเย็นกว่าโอสถหลัวเทียนหลายขุม กระทั่งต่อหน้าโอสถเฉียนจินแล้ว โอสถหลัวเทียนก็หลอมง่ายไม่ต่าอะไรจากเม็ดยาทั่วไป…


 


โอสถเฉียนจินนั้นเป็นโอสถอมตะระดับสูงที่เกือบจะอู่ในหมวดหมู่โอสถอมตะระดับสูงสุด มันมีไว้สำหรับตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะโดยเฉพาะ เมื่อตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะรับประทานลงไป ไม่ว่าด่านพลังอยู่ในขั้นใด ก็สามารถยกระดับขึ้นไปอีกขั้นได้โดยตรง


 


แต่แน่นอนว่าจำกัดอยู่แค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น


 


หากเป็นตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดรับประทานโอสถเฉียนจิน จะไม่ได้ผลลัพธ์อันใด


 


ดังนั้นหากเป็นตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะแล้ว เมื่อได้รับโอสถเฉียนจินมา ก็จะนิยมเก็บไว้ใช้หลังบรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์แล้วเท่านั้น เพื่อที่จะทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้ทันที


 


ด้วยวิธีนี้โอสถจึงจะได้แสดงประสิทธิภาพสูงสุด และไม่เสียประโยชน์ไปเปล่าๆ


 


และเป็นเพราะพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของโอสถเฉียนจินนี้เอง ทำให้มันหาได้ยากยิ่ง อย่างน้อยๆตอนที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ในพื้นที่ชายแดน เขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีใครสามารถหลอมปรุงโอสถเฉียนจนินออกมาได้


 


อย่างไรก็ตามตำหรับสูตรหลอมของโอสถเฉียนจินนั้น ไม่ได้เป็นความลับอะไร กระทั่งยังมีขายในราคาที่ไม่ได้แพงแม้แต่น้อย


 


ส่วนเหตุผลที่ไฉนโอสถเฉียนจินถึงได้หายากหาเย็นนัก เป็นเพราะมันเป็นโอสถอมตะที่ต้องใช้ทักษะความสามารถในการหลอมสูงมาก ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่จะหลอมมันได้เรียกว่ามีแค่ 1 ใน 10,000 ก็ไม่เกินเลย


 


กระทั่งในบรรดาปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนาง ในร้อยคนเผลอๆอาจจะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถหลอมโอสถเฉียนจินได้


 


มีเพียงแต่ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะที่อยู่เหนือระดับขุนนางขึ้นไปแล้วเท่านั้น ถึงจะกล้าพูดได้เต็มปากว่าสามารถหลอมโอสถเฉียนจินให้สำเร็จได้เต็มสิบส่วน


 


‘โอสถเฉียนจินนี่…ให้เป็นตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูชิวก็ไม่น่าจะมี…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


WSSTH ตอนที่ 2,949 : ยันต์อมตะสื่อสารราคาสูงลิ่ว!


 


 


หูหลินอี้ฮ่องเต้ประเทศฝูชิวกระทั่งหลับยังไม่เคยฝันถึง ว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้านั้น ที่แท้จะยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์!


 


ที่สำคัญยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ผู้นี้ถึงกับรับการโจมตีเต็มกำลังของหวงเจียหลง บุตรชายของ หวงเฟยเหยี่ยน เจ้าเมืองตู้อวิ๋นได้อย่างง่ายดายในการประลองสวรรค์ใต้ไม่กี่วันก่อน กระทั่งยังเอาชนะหวงเจียหลงได้ในกระบวนท่าเดียว!


 


ต้องทราบด้วยว่า ต่อให้เป็นองค์ชาย 4 หูจี้หย่ง บุตรชายที่มันภาคภูมิใจที่สุด พลังฝีมือยังห่างไกลนักหากคิดจะสยบหวงเจียหลงให้ได้ในกระบวนท่าเดียว!


 


และบุตรชายของมันคนนี้ ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะปรากฏตัวขึ้น ก็ได้ชื่อว่ายอดเซียนอมตะอันดับ 1 ของประเทศฝูชิวแล้ว!


 


แม้ตอนแรกชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้จะปกปิดพลังฝีมือเอาไว้ แต่มันก็เชื่อว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแน่นอน


 


คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าที่แท้ยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์เท่านั้น!


 


เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ?


 


มันหมายความว่าหากด่านพลังฝึกปรือก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น พลังฝีมือก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย!


 


เรียกว่ายอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ผู้นี้ ยังเหลือพื้นที่ให้ยกระดับพลังฝีมืออีกมาก!


 


สิ่งนี้แตกต่างจากลูกชายของมันอย่างสิ้นเชิง เพราะเว้นเสียแต่ลูกชายของมันจะได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชามาฝึกปรือและบรรลุขั้นตอนความสำเร็จสูงถึงระดับหนึ่ง หาไม่แล้วย่อมไม่เหลือพื้นที่ให้ยกระดับพลังฝีมือแต่อย่างใด!


 


‘ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ อาศัยด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ยังร้ายกาจขนาดนี้แล้ว! หากมันทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเล่า…พลังฝีมือมันจะเพิ่มพูนขึ้นถึงขนาดไหนกัน?’


 


หูหลินอี้มองต้วนหลิงเทียนด้วยใจสะท้าน ‘หากมันทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้สำเร็จ…พลังฝีมือของมันต่อให้เทียบกับยอดฝีมือของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็ยังต้องอยู่ระดับแนวหน้าใช่ไหม?’


 


คิดถึงจุดนี้หูหลินอี้ก็ต้องเร่งสูดอากาศเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์ตื่นเต้น จากนั้นสีหน้าของมันก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม


 


“ตะ…ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดจะเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลจริงๆใช่ไหม?”


 


หูหลินอี้เอ่ยถามต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงจริงจังถึงขีดสุด


 


เพราะหูหลินอี้นั้น แม้จะตื่นเต้นดีใจแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสูญเสียความคิด จากความสามารถของต้วนหลิงเทียนนั้น มันเชื่อสุดใจว่าอีกฝ่ายต้องมีความเป็นมาไม่ธรรมดาแน่นอน! จึงบังเกิดความกังวลว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้คิดเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูล!!


 


หากเป็นเช่นนั้น ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะโดดเด่นแค่ไหน แต่ตัวมันก็จะไม่ได้รับรางวัลใดๆจาก 3 นิกาย 2 ตระกูล!


 


“เรื่องนี้ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลแน่นอน”


 


ต้วนหลิงเทียนยอมเดาออกได้ไม่ยากว่าหูหลินอี้กำลังคิดอะไรอยู่ในหัว เช่นนั้นเขาจึงมองสบตาหูหลินอี้ เอ่ยออกไปเสียงดังฟังชัด ไม่มีความรู้สึกผิดทั้งพิรุธอะไรแม้แต่นิดเดียว


 


หูหลินอี้เห็นเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับเป็นมั่นเหมาะ


 


“ไม่ว่าจะเป็นบุปผาวิญญาณลี้ลับหรือไส้เดือนฝอยทอง นับเป็นวัตถุดิบสมุนไพรที่หาได้ยากทั้งสิ้น…บุปผาวิญญาณลี้ลับนั้นไม่เป็นไรเพราะพอดีข้ามีติดตัวอยู่ ทว่าไส้เดือนฝอยทองนั้นข้าไม่มีและในคลังหลวงเองก็ไม่มีเก็บไว้เลย”


 


ขณะพูดหูหลินอี้ก็โบกมือเบาๆ จากนั้นก็ปรากฏบุปผาดอกหนึ่งที่เปล่งแสงสว่างเรืองรองผุดจากอากาศว่างเปล่ามาลอยล่องเหนือฝ่ามือ


 


บุปผาดอกนี้ ตัวดอกกับก้านเปล่งแสงสีหม่นออกมาสลัวๆ กลีบดอกทั้ง 9 เบ่งบานล้อมยอดเกสรที่ตั้งชูชันเอาไว้แลดูสวยงามนัก


 


และถึงแม้ดูแล้วบุปผาดอกนี้สมควรถูกตัดออกมานาน หากแต่มันยังไร้วี่แววว่าจะเหี่ยวแห้ง สีสันยังคงสดใสไม่เฉาลงแม้แต่น้อย


 


“บุปผาวิญญาณลี้ลับดอกนี้เป็นข้าได้มาโดยบังเอิญเมื่อไม่กี่ปีก่อน หากเจ้าต้องการข้าจะมอบให้เจ้า…ว่าแต่เจ้ารู้จักปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะที่สามารถหลอมโอสถเฉียนจินได้หรือไม่?”


 


หูหลินอี้เอ่ยถามต้วนหลิงเทียนด้วยความสงงสัย ขณะยื่นส่งบุปผาวิญญาณลี้ลับไปให้


 


“ขอบคุณฝ่าบาท…น้ำใจนี้ของท่านข้าจดจำไว้แล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบกลับทั้งรับบุปผาวิญญาณลี้ลับมาอย่างไม่เกรงใจ “ส่วนเรื่องปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะที่หลอมโอสถเฉียนจินได้ ข้าไม่รบกวนให้ฝ่าบาทต้องเป็นกังวล”


 


สองตาหูหลินอี้ทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง


 


แม้มันจะเตรียยมใจไวแล้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปอยู่บ้าง


 


ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะที่สามารถหลอมโอสถเฉียนจินได้นั้น แม้มันจะพอรู้จักอยู่บ้าง แต่หากคิดให้อีกฝ่ายหลอมโอสถเฉียนจินให้ มันก็ต้องจ่ายราคาออกไปไม่น้อย


 


“วัตถุดิบยาหลัก 2 ชนิดที่จำเป็นต้องใช้ในการหลอมโอสถเฉียนจินนั้น ไส้เดือนฝอยทองเป็นอะไรที่หายากกว่าบุปผาวิญญาณลี้ลับหลายส่วน…ข้าจะเร่งติดประกาศรับซื้อออกไปทั่วประเทศ”


 


หูหลินอี้มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจังพลางกล่าว “ตราบใดที่มีเบาะแสไส้เดือนฝอยทอง ข้าจะรีบแจ้งเจ้าให้เร็วที่สุด”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนเองก็ส่องแสงจ้าออกมาทันทีเมื่อได้ยินวาจาดังกล่าวของหูหลินอี้ เพราะหากคิดตามหาไส้เดือนฝอยทองนั้น เมื่อได้อีกฝ่ายที่เป็นฮ่องเต้ช่วยเหลือ ก็เหมือนได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าแม้จะลงแรงไปแค่ครึ่งเดียว!


 


“เช่นนั้นข้าคงต้องขอขอบคุณฝ่าบาทเอาไว้ล่วงหน้า”


 


หลังกล่าวขอบคุณฮ่องเต้ฝูชิวอีกครั้ง ต้วนหลิงเทีนนก็ประสานมืออำลาค่อยจากมา


 


เมื่อกลับมาถึงบ้านลานที่พักในเขตตำหนักจวี้หยวนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ได้ใช้ยันต์อมตะสื่อสารชิ้นหนึ่งเพื่อติดต่อไปหา หวงเจียหลง เจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองตู้อวิ๋น


 


และยันต์อมตะสื่อสารที่เขาพึ่งใช้ไป ก็เป็นยันต์อมตะสื่อสารระดับสูงในระนาบเทวโลก มันจำเป็นต้องใช้รอยประทับวิญญาณที่เป้าหมายทิ้งไว้ให้ เพื่อส่งยันต์อมตะสื่อสารไปหาอีกฝ่าย


 


และยันต์อมตะสื่อสารประเภทนี้ หากใช้งานแล้ว ก็ยากจะมีใครหยุดยั้งมันได้ กระทั่งในทางทฤษฎีแล้ว…แม้แต่จักรพรรดิอมตะก็ทำไม่ได้!


 


เนื่อจากยันต์อมตะสื่อสารประเภทนี้ จะถ่ายโอนข้อมูลผ่านรอยประทับวิญญาณโดนตรง!


 


ยันต์อมตะสื่อสารประเภทดังกล่าวจึงมีค่ามากกว่ายันต์อมตะสื่อสารทั่วไปมาก กระทั่งให้เป็นยันต์อมตะสื่อสารที่ตัวตนขอบเขตราชาอมตะชนชั้นยอดฝีมือสร้างขึ้น ก็ยังด้อยค่ากว่ายันต์อมตะสื่อสารประเภทดังกล่าวมาก


 


และยันต์อมตะสื่อสารที่ว่า ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับมาจากตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูชิวตั้งแต่วันที่เขาได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณ ขณะเดียวกันตระกูลราชวงศ์ยังมอบลูกแก้ววิญญาณของฮ่องเต้ฝูชิวให้เขาด้วย เพื่อให้เขาสามารถใช้ยันต์อมตะสื่อสารดังกล่าวติดต่อถึงฮ่องเต้ฝูชิวได้โดยตรง


 


แน่นอนว่าไม่ใช่ผู้ที่ได้รับสิทธิ์เข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณทุกคนจะได้รับแจกยันต์อมตะสื่อสารดังกล่าวว


 


เพราะหลังได้ฟังคำแจกแจงจากตระกูลราชวงศ์ที่นำยันต์อมตะสื่อสารที่ว่ามามอบให้เขาแล้ว ก็พบว่านอกจากองค์ชาย 4 ผู้ที่ได้รับแจกยันต์อมตะสื่อสารดังกล่าว ก็มีแค่ตัวเขา หวงเจียหลงและหวงเจียเชาเท่านั้น


 


ส่วนคนอื่นๆ แม้จะเป็นสตรีที่มีอุปกรณ์อมตะระดับราชานางนั้น ก็ไม่ได้รับ


 


แต่เป็นธรรมดาว่าสตรีนางนั้นคงไม่ต้องการ


 


เพราะต้วนหลิงเทียนเองก็ได้ยินจากหวงเจียหลงมาแล้ว ว่าหญิงชราที่อยู่ข้างกายสตรีนางนั้น เป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่ด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ!


 


และสตรีคนดังกล่าวที่ได้รับสิทธิ์ในการประลองสวรรค์ใต้ครั้งนี้ ก็เป็นผู้ฝึกตนพเนจรด้วยเช่นกัน และไม่เพียงแต่นางต้องการเข้าไปแสวงหาโอกาสในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ แต่นางยังตัดสินใจจะเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลอีกด้วย


 


และเรื่องทั้งหมดเป็นหงเจียหลงได้ยินมาจากบิดา ซึ่งบิดาของหวงเจียหลง หวงเฟยเหยี่ยน นั้น ก็ได้ยินมาจากฮ่องเต้ฝูชิวโดยตรง


 


ในประเทศฝูชิวแห่งนี้ ด้วยความที่หวงเฟยเหยี่ยนเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ราชาอมตะ จึงได้รับการยกย่องจากผู้คนทั้งประเทศ ผู้คนยังกล่าวขานถึงไม่น้อยไปกว่าฮ่องเต้ฝูชิวด้วยซ้ำ และให้เรียกว่าเป็นมือขวาของฮ่องเต้ฝูชิวก็ไม่เกินเลย


 


หลังจากใช้ยันต์อมตะสื่อสารดังกล่าวไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็แลดูงุนงงเล็กน้อย “ข้าใช้ผิดวิธีงั้นหรือ…แต่เท่าที่ฟังมาก็สมควรใช้แบบนี้นี่นา”


 


ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะเคยใช้ยันต์อมตะสื่อสารประเภทนี้เป็นครั้งแรก พอเห็นว่าผ่านไปสักพักแล้วแต่หวงเจียหลงยังไม่ติดต่อกลับมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงง


 


“ไหนคนที่เอามาแจกบอกว่ามันส่งข้อมูลได้รวดเร็วมากไง…แต่ไฉนใช้ไปอยู่นานแล้วหวงเจียหลงยังไม่ตอบกลับมาอีกเล่า?”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัยนั้นเอง


 


เขาพลันได้ยินเสียงเรียกหาของหวงเจียหลง จากด้านนอกบ้านลาน “น้องต้วน!”


 


“ทำไมท่านถึงถ่อมาที่นี่ได้เล่า แค่ส่งข้อความมาก็ได้แล้วนี่นา?”


 


หลังเปิดประตูบ้านออกไปต้อนรับหวงเจียหลงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปด้วยความสงสัย


 


ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน มุมปากหวงเจียยหลงก็กระตุกขึ้นมาตงิดๆ “น้องต้วน…หรือท่านไม่ทราบ ว่ายันต์อมตะสื่อสารที่ใช้การถ่ายโอนข้อมูลผ่านรอยประทับวิญญาณมีค่ามากเพียงใด?”


 


“ปกติแล้วท่านพ่อยังให้ข้าพกติดตัวไว้แค่ 3 ชิ้นเท่านั้น…นอกจากข้ากับน้องเล็ก ไม่ว่าจะพี่ใหญ่พี่รองหรือพี่สาม ก็ล้วนมีติดตัวไว้แค่คนละชิ้นเท่านั้น”


 


“ที่ฝ่าบาทให้คนนำยันต์อมตะสื่อสารเหล่านี้มามอบให้ท่าน เป็นฝ่าบาทตั้งใจให้ท่านใช้มันเพื่อติดต่อขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทยามตกอยู่ในอันตราย…”


 


หวงเจียหลงกล่าว


 


“หืม ช่วยข้างั้นเหรอ? หรือยันต์อมตะสื่อสารนี่มันส่งข้อมูลได้รวดเร็วถึงขนาดนั้นเลย?”


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจอยู่บ้าง


 


ถึงแม้ว่าคนของตระกูลราชวงศ์ที่นำยันต์อมตะสื่อสารประเภทนี้มามอบให้เขารวมถึงลูกแก้ววิญญาณของฮ่องเต้ฝูชิววันนั้น จะบอกเขาไว้แล้วว่าให้เขาใช้มันเพื่อขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ฝูชิวยามเกิดเรื่อง…


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนคิดว่ากว่าความช่วยเหลือของฮ่องเต้ฝูชิวจะมาถึง ตัวเขาไม่พ้นคงเริ่มเย็นไปแล้วแน่นอน…


 


ด้วยเหตุนี้วันก่อนถึงแม้เขาจะเจอหลี่เวยที่มาดักฆ่า เขก็เลยไม่ได้ใช้มันแต่อย่างใด เพราะคิดว่ากว่าฮ่องเต้ฝูชิวจะได้รับแจ้งเรื่องราว ไหนยังกว่าจะมาช่วยเขาอีก ตอนนั้นไม่พ้นคงสายเกินการณ์!


 


อีกทั้งเขายังกลัวว่าหากใช้ยันต์อมตะสื่อสารออกมา ยังจะเป็นการกระตุ้นให้หลี่เวยรีบลงมือจนเขาตายเร็วขึ้นด้วยซ้ำ เขาก็เลยไม่ได้คิดจะใช้มันเลย


 


ประการที่สอง หากให้เทียบกับความช่วยเหลือหลังใช้ยันต์อมตะสื่อสารดังกล่าว กับอุปกรณ์อมตะจอมราชั้นสิ้นเปลือง เขาย่อมเชื่อมั่นในอย่างหลังมากกว่า


 


“ย่อมเร็ว!”


 


หวงเจียหลงกล่าวตอบเสียงดังฟังชัด “ยันต์อมตะสื่อสารประเภทนี้ หลังจากที่ท่านบดขยี้ใช้มัน ผู้ที่ท่านติดต่อจะรู้ตัวแทบจะทันที เพราะมันเป็นการส่งข้อความเจ้าผ่านรอยประทับวิญญาณโดยตรง”


 


“ยันต์อมตะสื่อสารนั่น ในตลาดมืดของประเทศฝูชิวเรายังขายกันในราคา 100 ผลึกอมตะระดับสูง ทว่ามักมีแต่คนซื้อไม่มีคนขาย…”


 


หวงเจียหลงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าปวดใจ “น้องต้วนหากวันหลังเจ้ามีเรื่องอะไรคิดติดต่อกับข้า หากเจ้าไม่สะดวกมาหาข้า ก็ให้หลิวก่วงหลินไปตามข้าเถอะ…อย่าได้ใช้ยันต์อมตะสื่อสารนั่นอีกเลย”


 


“อะไร?”


 


“ยันต์อมตะสื่อสารเมื่อครู่…มีราคา 100 ผลึกอมตะระดับสูงงั้นเหรอ?”


 


ได้ยินคำพูดของหวงเจียหลง ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะอึ้ง กระทั่งหลิวก่วงหลินที่อยู่ด้านหลังก็ถึงกับต้องอ้าปากค้าง ด้วยไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่ากับอีแค่ยันต์อมตะสื่อสารจะมีราคาสูงลิ่วขนาดนี้!


 


ผลึกอมตะระดับสูง 100 ชิ้น หากนำไปเปลี่ยนเป็นผลึกอมตะระดับกลาง ก็มีค่าถึง 10,000 ชิ้น


 


และต้องทราบด้วยว่า สายแร่ผลึกอมตะที่ประเทศฝูชิวครอบครองอยู่ ก็เป็นแค่สายแร่ผลึกอมตะระดับกลางเท่านั้น…


 


ปกติแล้วผลผลิตที่ได้ก็เป็นผลึกอมตะระดับกลางเสียเป็นส่วนใหญ่ นานๆทีถึงจะขุดเจอผลึกอมตะระดับสูง เรียกว่าหากเทียบสัดส่วนกันแล้ว ช่างน้อยนิดจนน่าเวทนา


 


“มิใช่ว่า…อุปกรณ์อมตะระดับขุนนาง ยังมีราคาแค่ 1,000 ผลึกอมตะระดับกลางหรือไร…เช่นนั้นหมายความว่ายันต์อมตะสื่อสารที่นายท่านพึ่งใช้เมื่อครู่ มีค่าเท่ากับอุปกรณ์อมตะระดับขุนนาง 10 ชิ้นหรอกหรือ?”


 


หลิวก่วงหลินกล่าวพึมพำด้วยสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ


 


มูลค่าของอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางในประเทศฝูชิวนั้น แทบจะไม่ต่างอะไรจากพื้นที่ชายแดนแม้แต่น้อย หลิวก่วงหลินก็ได้รับทราบเรื่องนี้หลังมาถึงประเทศฝูชิวได้สักพัก


 


“10 อุปกรณ์อมตะระดับขุนนาง?”


 


หวงเจียหลงพอได้ยิน ก็ส่ายหัวไปมาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก่วงหลิน หากท่านไปตลาดมืด แล้วคิดใช้อุปกรณ์อมตะระดับขุนนางเพื่อแลกยันต์อมตะสื่อสารประเภทนี้ล่ะก็ เกรงว่าหากท่านไม่ควักอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางออกมาสัก 15 ชิ้น คงไม่มีใครคิดแลกกับท่านแน่…”


 


“เพราะยันต์อมตะสื่อสารประเภทนี้หายากกว่าอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางมาก…เพราะมันเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ค่ายกลอมตะมากฝีมือสร้างขึ้น ความเร็วในการส่งข้อมูลของมันแทบจะเหมือนกับการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วยซ้ำ…”


 


“และเท่าที่ข้ารู้มา…ปรมาจารย์ค่ายกลอมตะที่จะสร้างยันต์อมตะประเภทนี้ได้ อย่างน้อยๆก็ต้องมีความรู้ความสามารถพอๆกับปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะหรือปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะระดับราชาอีกด้วย…”


 


“เพราะผู้ที่จะเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะหรือปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะระดับราชาได้ อย่างไรก็ต้องเข้าใจถึงเรื่องอาคมและการจัดตั้งค่ายกลเสียก่อน…ไม่ว่าจะโอสถอมตะระดับราชาก็ดี หรืออุปกรณ์อมตะระดับราชาก็ดี ล้วนแล้วแต่มีศาสตร์แห่งค่ายกลชั้นสูงอันลึกล้ำแฝงอยู่ทั้งสิ้น”


ตอนที่ 2,950 : เปิดหูเปิดตา


 


 


“แต่เป็นธรรมดาว่า ไม่ใช่ผู้ที่สามารถสร้างยันต์อมตะสื่อสารผ่านรอยประทับวิญญาณได้จะต้องเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถหรืออุปกรณ์อมตะระดับราชาเสมอไป…เพราะยังมีปรมาจารย์ค่ายกลอมตะ ที่มุ่งเน้นศึกษาแต่วิธีแห่งค่ายกลอย่างเดียวอยู่ด้วย”


 


“แต่ตัวตนเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ธรรมดาเลย…อย่างน้อยๆในประเทศฝูชิวก็ไม่มีแม้แต่คนเดียว กระทั่ง 3 นิกาย 2 ตระกูลที่อยู่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็ไม่ใช่ว่าจะมี”


 


หวงเจียหลงเริ่มจ้อเรื่องราวออกมาไม่หยุด หากทว่าทุกวาจาล้วนมีสาระทั้งสิ้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินได้รับทราบถึงความล้ำค่าของยันต์อมตะสื่อสารผ่านรอยประทับวิญญาณที่พึ่งใช้เล่นไปทันที…


 


“นายท่านขอรับ…ยันต์อมตะสื่อสารนี้เป็นดั่งเครื่องรางช่วยชีวิตในประเทศฝูชิวเลยก็ว่าได้…ข้าน้อยว่านายท่านเก็บไว้ทั้งหมดเลยเถอะ”


 


หลิวก่วงหลินถึงกับมือไม้สั่นไปทันใดเมื่อรับทราบถึงความล้ำค่าของยันต์อมตะสื่อสารประเภทนี้ มันเร่งสะบัดมือเรียกยันต์อมตะสื่อสารดังกล่าวออกมาจากแหวนพื้นที่ 3 ชิ้น ก่อนส่งเสียงผ่านพลังพร้อมยื่นของคืนให้ต้วนหลิงเทียนทันที


 


ตอนแรกนั้นคนของตระกูลราชวงศ์ประเทศฝูชิวก็ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ฝูชิว ให้นำยันต์อมตะสื่อสารดังกล่าวมาให้เขาถึง 10 ชิ้น ต้วนหลิงเทียนที่ไม่รู้จะมีไว้ทำอะไรเยอะแยะ ก็เลยให้หลิวก่วงหลินพกติดตัวไว้ 3 ชิ้น


 


ทั้งหมดเพื่อให้หลิวก่วงหลินสามารถติดต่อเขาง่ายขึ้น หากมีเรื่องเร่งด่วนอะไร


 


แน่นอนว่าตราประทับวิญญาณที่นิยมใช้ร่วมกับยันต์อมตะสื่อสารประเภทนี้มากที่สุดก็คือลูกแก้ววิญญาณนั่นเอง ต้วนหลิงเทียนก็เลยมอบลูกแก้ววิญญาณของตัวเองให้หลิวก่วงหลินไปด้วย ขณะมอบยันต์อมตะสื่อสารดังกล่าวให้


 


ในลูกแก้ววิญญาณนั้น เสี้ยววิญญาณที่ประทับไว้ในลูกแก้วถึงแม้ไม่ได้มากมายอะไร ทว่าการใช้ยันต์อมตะสื่อสารดังกล่าวโดยอาศัยรอยประทับวิญญาณนั้น มันก็กินพลังวิญญาณที่ประทับไว้ในลูกแก้วเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เรียกว่าถึงจะใช้ยันต์คุยเล่นกันไปเป็นปีก็ไม่มีปัญหา…


 


ที่สำคัญหากเสี้ยววิญญาณที่ประทับไว้ในลูกแก้ววิญญาณหมดลง เจ้าของก็แค่เติมมันเท่านั้น ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยด้วยซ้ำ


 


เช่นนั้นวันก่อนตอนฮ่องเต้ฝูชิวให้คนนำยันต์อมตะสื่อสารดังกล่าวมามอบให้เขา ก็เลยมีลูกแก้ววิญญาณของฮ่องเต้ฝูชิวรวมอยู่ด้วย


 


และเป็นธรรมดาว่าลูกแก้ววิญญาณของฮ่องเต้ฝูชิวนั้น ก็ยังมีคุณสมบัติบ่งชี้ได้ว่าฮ่องเต้ฝูชิวยังอยู่หรือตายเช่นกัน อย่างไรก็ตามจุดประสงค์ที่ฮ่องเต้ฝูชิวให้คนนำเอาลูกแก้ววิญญาณขอตัวมาให้ต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่ว่ามันอยากให้ต้วนหลิงเทียนรู้ว่ามันอยู่หรือตาย ก็แค่อยากให้ต้วนหลิงเทียนใช้วิญญาณที่ประทับในลูกแก้ววิญญาณของมันเป็นช่องทางติดต่อเท่านั้น


 


เพราะในสายตาของฮ่องเต้ฝูชิวแล้ว ต้วนหลิงเทียนเป็นคนที่กำลังจะนำผลประโยชน์อันมหาศาลมาให้มัน เช่นนั้นมันจึงเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างมาก


 


หรืออย่างน้อยๆมันก็ต้องปกป้องคุ้มครองต้วนหลิงเทียนให้อยู่รอดปลอดภัย จนกว่าต้วนหลิงเทียนจะทำประโยชน์ให้มันได้


 


วันก่อนต้วนหลิงเทียนได้ส่งยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณให้หลิวก่วงหลิน 3 ชิ้น


 


และตอนนี้หลิวก่วงหลินก็คืนให้ต้วนหลิงเทียนทั้งหมด เพราะวันนั้นมันไม่รู้ค่าก็เลยรับมาอย่างไม่คิดอะไร


 


“เจ้าเก็บไว้เถอะ…ข้ายังมีอีกตั้ง 6 ชิ้น”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รับยันต์อมตะสื่อสารที่หลิวก่วงหลินส่งคืนให้แต่อย่างไร แค่บอกให้อีกฝ่ายเก็บไว้เท่านั้น จากนั้นก็หันไปมองหวงเจียหลง “เจ้าเมืองน้อย…”


 


“น้องต้วน ข้าว่าท่านเลิกเรียกหาข้าว่าเจ้าเมืองน้อยเหมือนคนอื่นเถอะ…เรียกข้าว่าเจียหลงก็ได้”


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนพูดจะเปิดปากพูดได้ไม่ทันไร หวงเจียหลงก็ยกมือขึ้นขัดคำต้วนหลิงเทียนเสียก่อน จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยสายตาเผยประกายมุ่งหวังวาบหนึ่ง “เว้นเสียแต่…น้องต้วนยังไม่เห็นข้าเป็นสหาย”


 


“พี่เจียหลง”


 


เห็นสายตาวับวาวแฝงความมุ่งหวังของหวงเจียหลง ต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนคำเรียกหาอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็กล่าวออกไปตรงๆ “ในเมื่อท่านได้รับยันต์อมตะสื่อสารของข้าแล้ว ท่านคงรู้แล้วว่าตอนนี้ข้าต้องการอะไร…”


 


“เช่นนั้นท่านพอจะมีเบาะแสของไส้เดือนฝอยทองบ้างหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


 


ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณที่เขาพึ่งใช้ติดต่อหวงเจียหลงไปเมื่อครู่ ก็ได้ถามหวงเจียหลงเรื่องไส้เดือนฝอยทองไปแล้ว ว่าอีกฝ่ายมีเก็บไว้ไหม หรือพอจะรู้ไหมว่าใครที่มีมันบ้าง…


 


“อ้อ ไส้เดือนฝอยทองน่ะหรือ…”


 


หวงเจียหลงเลิกคิ้วขึ้น “วัตถุดิบยานี้กล่าวไปก็ไม่ค่อยจะมีประโยชน์อะไรมากมาย…ข้ารู้แค่ว่ามันใช้เป็นวัตถุดิบยาหลักในการหลอมโอสถเฉียนจินเท่านั้น และยังเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้”


 


ถึงงแม้จะรู้เรื่องนี้ แต่หวงเจียหลงก็ไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะตามหาไส้เดือนฝอยทองเพราะโอสถเฉียนจิน เพราะในสายตามัน ต้วนหลิงเทียนเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไปแล้ว โอสถเฉียนจินย่อมไม่มีค่าอะไร


 


โอสถเฉียนจินนั้น สามารถช่วยให้ตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะทะลวงขั้นพลังขึ้นไปอีกขั้นได้โดยตรง อย่างเช่นหากยอดเซียนอมตะขั้นเหลืองใช้ ก็จะทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับได้ และถ้ายอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับใช้มันก็จะทะลวงถึงยยอดเซียนอมตะขั้นปฐพีได้โดยตรง


 


นอกจากนี้ยอดเซียนอมตะขั้นปฐพีก็สามารถใช้เพื่อทะลวงไปถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ และยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ก็สามารถใช้มันเพื่อบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้ในคราเดียว!


 


อย่างไรก็ตาม โอสถเฉียนจินจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสุดยอดเลย…


 


“ข้ากำลังตามหาไส้เดือนฝอยทอง ก็เพราะโอสถเฉียนจินนั่นล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกไปตามตรง


 


ในเมื่อเขาไม่คิดจะปิดบังงเรื่องนี้กับฮ่องเต้ฝูชิว เช่นนั้นต่อหน้าหวงเจียหลงเขาก็ไร้ความจำเป็นใดๆที่จะต้องปิดบังอีกฝ่าย


 


“โอสถเฉียนจิน?”


 


หวงเจียหลง “น้องต้วน ท่านจะเอาโอสถเฉียนจินไปทำอะไรหรือ เพราะไม่ว่าจะเป็นท่านหรือก่วงหลิน โอสถเฉียนจินก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรแล้วนี่นา?”


 


ขณะกล่าวประโยคนี้หวงเจียหลงก็ละสายตาออกจากต้วนหลิงเทียนหันไปมองหลิวก่วงหลินเล็กน้อย ค่อยวกกลับมามองต้วนหลิงเทียนต่อ


 


“ก็ใช่ที่มันไม่มีประโยชน์กับก่วงหลิน แต่มันมีประโยชน์กับข้า”


 


พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ เขาก็เลือกที่จะระงับพลังลึกล้ำของทองเทพสุดลี้ลับ และปล่อยให้กลิ่นอายพลังของเขาแผ่ออกมาจากร่างต่อหน้าต่อตาหวงเจียหลง


 


“เฮ่ย…นี่มัน”


 


พอสัมผัสได้ถึงงกลิ่นอายพลังของต้วนหลิงเทียนที่แผ่ออกมาจากร่างแล้วกำจายไปในบรรยากาศ หวงเจียหลงก็ถึงกับสะดุ้งโหยง โพล่งคำออกมาอย่างตกใจ และยังยืนเหวอตาเบิกกว้างปากอ้าค้างไปอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัว


 


และในขณะที่หวงเจียหลงกำลังตกตะลึงหน้าเหวอ ในใจของมันก็ยังเหมือนมีมรสุมโหมกระหน่ำครั้งใหญ่


 


สวรรค์!


 


น้องต้วนที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามัน ที่แท้ยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์งั้นรึ!?


 


มัน…ที่แท้ถูกยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ทุบตีจนสิ้นท่าในกระบวนท่าเดียวกลางสังเวียนประลองสวรรค์ใต้มาหรือ?!


 


“น้องต้วน…ท่าน…ท่าน”


 


จากนั้นพอหวงเจียหลงดึงสติให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้แล้ว มันก็มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาว่างเปล่า ทำราวกับพึ่งเคยพบเคยเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นครั้งแรก


 


“ตอนนี้พี่เจียหลงคงพอจะรับทราบแล้วใช่ไหม ว่าโอสถเฉียนจินมันมีประโยชน์กับข้ายังไง…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองหวงเจียหลงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน


 


หวงเจียหลงพยักหน้ารับอย่างเหรอหรา จากนั้นมุมปากก็เริ่มคลี่ยิ้มขื่นขม “ข้าไม่คิดเลย…ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าน้องต้วนท่านที่แท้จะยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์เท่านั้น…ให้ตายเถอะขั้นสวรรค์!”


 


“น้องต้วน นี่ถ้าหากท่านทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดล่ะก็…ข้าว่าในบรรดายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดนับหมื่นที่จะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณในอีกครึ่งปีหลังจากนี้ ท่านก็สมควรแข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ…”


 


หลังกล่าวจบคำ หวงเจียหลงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาดังเฮือก


 


“ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดนับหมื่น?”


 


ทว่าด้านต้วนหลิงเทียนนั้น อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับคำพูดดังกล่าวของหวงเจียหลง


 


ถึงแม้เขาจะรู้ว่าหลังจากนี้อีกครึ่งปีจะถึงเวลาที่แดนสวรรค์ใต้โบราณจะเปิดออกโดย 3 นิกาย 2 ตระกูล และถึงแม้ในประเทศฝูชิวก็มียอดเซียนอมตะ 9 คนที่ได้รับเลือก แต่ก็สมควรมีคนจากประเทศและขุมกำลังอื่นๆอีกไม่น้อย…


 


ทว่าเขาไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าจำนวนยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ที่จะเข้าไปต่อสู้ช่วงชิงโอกาสวาสนาภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น…จะมีเรือนหมื่น!


 


ยิ่งไปกว่านั้นตัดสินจากการเฟ้นหา 9 คนของประเทศฝูชิวที่จะได้รับสิทธิ์เข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำในอีกครึ่งปีหลังจากนี้ ก็หมายความว่าในบรรดายอดเซียนอมตะนับหมื่นที่ว่า ก็สมควรเป็นยอดฝีมือที่ถูกคัดสรรมาแล้วเช่นกัน!


 


“มิผิด ยอดเซียนอมตะนับหมื่น…และหากให้ข้ากะประมาณ ก็คงมีราวๆ 15,000 คนได้”


 


หวงเจียหลงกล่าว


 


“น้องต้วน ประเทศฝูชิวเรานั้นเป็นแค่ประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งในเขตปกครองขอคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้น…และในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็มีประเทศเล็กๆเหมือนประเทศฝูชิวเราอีกนับพันประเทศ”


 


“และในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่มีประเทศนับพันตั้งอยู่ ก็ถูกเรียกหาว่าดินแดนพันประเทศ”


 


“กล่าวได้ว่าลำพังแค่ยอดฝีมือที่คัดมาจากประเทศในดินแดนพันประเทศแล้ว ก็มีเหยียบหมื่น”


 


“นอกจากนั้น ทาง 3 นิกาย 2 ตระกูลเองก็มีส่งคนของตัวเองเข้าร่วมด้วยเช่นกัน ไหนจะยังมียอดฝีมือของขุมกำลังระดับ 8 อื่นๆอีก กล่าวได้ว่ายอดเซียนอมตะที่จะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ ก็มีราวๆ 15,000 คนนั่นล่ะ”


 


หลังหวงเจียหลงกล่าวจบ สองตาต้วนหลิงเทียนก็เบิกกว้างขึ้นมาโดยพลัน


 


ที่แท้ขอบเขตอำนาจของคฤหาสน์เฉวียนโยวก็กว้างใหญ่ไม่ใช่เล่น!


 


และประเทศฝูชิวแห่งนี้ ก็เป็นแค่ประเทศหนึ่งในดินแดนพันประเทศที่อยู่ใต้อาณัติคฤหาสน์เฉวียนโยว…


 


“กล่าวได้ว่า ในอีกครึ่งปีหลังจากนี้…ผู้ที่จะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ก็คือยอดเซียนอมตะที่โดดเด่นทั่วทั้งเขตอำนาจคฤหาสน์เฉวียนโยว?”


 


หลิวก่วงหลินที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ด้วยไม่คิดเลยว่าที่แท้จะมียอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนยอมตะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำมหาศาลขนาดนี้!


 


“มิผิด”


 


หวงเจียหลงพยักหน้า “การเปิดแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครานี้ ขอเพียงเป็นชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะ ไม่ว่าใครก็ดิ้นรนหาสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมกันทั้งนั้น”


 


“และต่อให้เป็นยอดฝีมือไร้สังกัด แต่หากสามารถท้าทายเอาชนะยอดเซียนอมตะที่มีสิทธิ์ของดินแดนพันประเทศได้ ก็สามารถยึดสิทธิ์ดังกล่าวได้ทันที”


 


“ก็เหมือนกับการประลองสวรรค์ใต้ที่ผ่านมาของประเทศฝูชิว ต่อให้ไม่ใช่คนในประเทศฝูชิว แต่ขอเพียงพลังฝีมือสูงพอจะช่วงชิงสิทธิ์มาได้ ก็จะได้รับสิทธิ์เข้าเช่นกัน ก็แค่ไปในนามประเทศฝูชิวเท่านั้น”


 


“เหตุผลก็เพราะ ฮ่องเต้ฝูชิวต้องการเฟ้นหายอดเซียนอมตะที่ร้ายกาจจริงๆ 9 คนไปเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณในนามของประเทศฝูชิว!”


 


“เพราะผู้ที่เข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ขอเพียงรอดชีวิตกลับออกมาได้ ก็มีสิทธิ์เลือกที่จะเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลทันที…และ 3 นิกาย 2 ตระกูลก็ยินดีต้อนรับยอดเซียนอมตะที่รอดกลับออกมาได้ทุกคน เพราะผู้ที่รอดออกมาได้ ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะที่อยู่เหนืออัจฉริยะอีกที!”


 


“และยิ่งเป็นอัจฉริยะที่ทำผลงานได้ยอดเยยี่ยมมากเท่าไหร่ ทาง 3 นิกาย 2 ตระกูลก็จะยิ่งให้ความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น ต้นสังกัดของอัจฉริยะเช่นนั้นก็จะพลอยได้อานิสงค์ไปด้วย เพราะ 3 นิกาย 2 ตระกูลจะมอบรางวัลให้อย่างงาม”


 


กล่าวถึงจุดนี้หวงเจียหลงก็หยุดลงชั่วคราว ค่อยกล่าวต่อว่า “และรางวัลที่ 3 ตระกูล 2 นิกายจะมอบให้นั้น เอาแค่อัจฉริยะระดับกลางๆ ก็เป็นอะไรที่ตัวตนขอบเขตราชาอมตะยังต้องฝันถึง!”


 


“แม้จะเป็นอัจฉริยะที่ไม่ได้มีผลงานดีเด่ แต่ขอแค่รอดกลับออกมาได้ ถึงรางวัลจะต่ำ แต่อย่างน้อยๆก็ต้องมีอุปกรณ์อมตะระดับราชา โอสถอมตะระดับราชา รวมถึงวัตถุดิบสมุนไพร และสิ่งของล้ำค่ามากมาย ฯลฯ…”


 


คำพูดประโยคนี้ของหวงเจียหลง ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที ว่าไฉนฮ่องเต้ฝูชิวถึงได้ให้ ‘ความสำคัญ’ กับเขามาก


 


“น้องต้วน แล้วนี่ท่านไปพบฝ่าบาทแล้วรึยัง? หากฝ่าบาทรู้ว่าตอนนี้ท่านยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ล่ะก็ ข้าเชื่อว่าต่อให้ต้องขุดดินทั้งประเทศลึก 3 ฉื่อ ฝ่าบาทก็จะหาทางนำไส้เดือนฝอยทองมาให้ท่านให้จงได้ เพื่อช่วยให้ท่านบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด!”


 


หวงเจียหลงยังคิดเผื่อต้วนหลิงเทียน


 


“ข้าไปพบมาแล้ว…ตอนนี้ก็เลยหมดปัญหาเรื่องบุปผาวิญญาณลี้ลับ จะขาดก็แต่ไส้เดือนฝอยทองเท่านั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“เช่นนั้นท่านก็แค่รอฟังข่าวดีเถอะ…เครือข่ายข่าวกรองของประเทศฝูชิวเรา ให้มองไปทั่วดินแดนพันประเทศยังถือว่ามีความสามารถในระดับแนวหน้า”


 


หวงเจียหลงกล่าวออกด้วยความมั่นใจ “ข้าเชื่อว่าอีกไม่เกินสิบวันครึ่งเดือน น้องต้วนต้องได้รับไส้เดือนฝอยทองหรือไม่ก็เบาะแสของมันแน่นอน”


 


เห็นได้ชัดว่า หวงเจียหลง เชื่อมั่นในประสิทธิภาพหน่วยข่าวกรองของประเทศมาก!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)