War sovereign Soaring The Heavens 2931-2937
ตอนที่ 2,931 : อุปกรณ์อมตะระดับราชาอีกชิ้น!
การเข้ามาขวางพร้อมกล่าววาจาดุร้ายของชายหนุ่มชุดหรูหน้าอัปลักษณ์ ไม่ต้องกล่าวถึงต้วนหลิงเทียนที่ตกเป็นเป้าวาจาด้วยซ้ำ กระทั่งหลิวก่วงหลินยังอึ้งไปทันที
“ข้าเคยไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจมาก่อนรึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามชายหนุ่มชุดหรูหน้าอัปลักษณ์ด้วยความงุนงง
“เจ้าไม่เคยมีเรื่องอะไรกับข้าทั้งนั้น…หากจะโทษ ก็โทษที่เจ้ามีใบหน้าหล่อเหลาดั่งที่อิสตรีชมชอบเถอะ!”
ใบหน้าชายหนุ่มชุดหรูเริ่มบิดเบี้ยว กล่าวออกเสียงเย็น “เช่นนั้นข้าจึงมีสองทางให้เจ้าเลือก…หนึ่งทำลายรูปโฉมนั่นของเจ้าด้วยตัวเอง หรือตาย!”
“รูปร่างหน้าตาคนเรา เป็นพ่อแม่ให้มาแต่กำเนิด…คนหน้าตาอัปลักษณ์นั้นไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือคนที่มีจิตใจอัปลักษณ์”
พอต้วนหลิงเทียนพอได้รับทราบเหตุผลที่ไฉนชายหนุ่มชุดหรูผู้นี้เพ่งเล็งเขานั้น ก็ตะลึงไปไม่น้อย เพราะสาเหตุที่อีกฝ่ายแลดูเกลียดชังทั้งคิดจะเล่นงานเขานั้น…ก็แค่เพราะใบหน้าเขาหล่อเหลาเท่านั้น!
จังหวะนี้เขาไร้คำจะพูดจริงๆ!
ในขณะที่รู้สึกหมดคำจะพูด เขาก็ตระหนักได้ว่าชายหนุ่มชุดหรูหราผู้นี้ ไม่เพียงแต่จะมีใบหน้าอัปลักษณ์เท่านั้น แต่จิตใจยังบิดเบี้ยวไปแล้วอีกด้วย ไม่งั้นคงไม่คิดเล่นงานเขาด้วยเหตุผลเหลวไหลดังกล่าวแน่นอน
“เรื่องของข้า ยังไม่ถึงคราวให้ไอ้หนุ่มหน้าขาวเจ้าสอดปาก!”
สีหน้าชายหนุ่มชุดหรูที่แต่เดิมก็อัปลักษณ์อยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งดูไม่ได้ไปกันใหญ่
และพอกล่าวจบคำ ชายหนุ่มชุดหรูหน้าอัปลักษณ์ ก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเยียบเย็น กล่าวออกด้วยน้ำเสียงอำมหิตว่า “ดูเหมือนเจ้าจะเลือกแล้ว…ประเสริฐ ประเสริฐนัก!”
“อาวุโสเก้า! ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดนั่น ข้าจะปล่อยให้ท่านจัดการ…ส่วนไอ้หน้าหล่อนี่ข้าจะฆ่ามันเอง!”
ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้พูดจาอะไร ทั่วร่างชายหนุ่มชุดหรูก็ปะทุพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาปานเพลิงไฟ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสกลิ่นอายพลังของมันได้ชัดเจน
“อายุไม่ถึงร้อยปี…”
“ยอดเซียนอมตะขั้นเหลือง?”
สีหน้าต้วนหลิงเทียนแลดูประหลาดใจไม่น้อย เพราะไม่คิดไม่ฝันมาก่อนจริงๆ ว่าชายหนุ่มชุดหรูหน้าอัปลักษณ์ผู้นี้ จะเป็นยอดเซียนอมตะขั้นเหลืองที่มีอายุไม่ถึงร้อยปีไปได้!
ต้องทราบด้วยว่าตอนอยู่ในพื้นที่ชายแดน เขาไม่เคยพบเจอใครที่บรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะก่อนอายุร้อยปีเหมือนเขากับฮ่วนเอ๋อเลยสักคน!
‘ไม่อาจตัดสินหนังสือจากปกฉันท์ใด ก็ไม่อาจตัดสินคนจากภายนอกได้ฉันท์นั้น…น่าเสียดาย’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนในใจ ชายหนุ่มชุดหรูที่ปะทุพลังออกมาอย่างเกรี้ยกราด ก็โจนทะยานเข้ามาปานสัตว์ร้ายกระหายเลือด หมายตะครุบใส่ต้วนหลิงเทียน!
ขณะที่มันโจนทะยานเข้ามา มันก็พบจากสำนึกเทวะเช่นกันว่าต้วนหลิงเทียนยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีเหมือนมัน
เผชิญหน้ากับคนที่มีอายุไม่ถึงร้อยปีเหมือนกัน มันย่อมคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเป็นคู่มือมันได้แน่นอน เพราะมันทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นเหลืองเรียบร้อยแล้ว!
อายุไม่ถึงร้อยปี หากแต่ทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะได้ ในประเทศฝูชิวมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น และมันเองก็รู้จักอัจฉริยะที่เหมือนมันเหล่านั้นทุกคน และไม่มีใครมีลักษณะเดียวกันกับชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าเลย
ในขณะที่ชายหนุ่มชุดหรูโจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน แววตาของมันก็ฉายชัดถึงความอำมหิต ราวกับได้เห็นฉากที่มันเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนได้แล้ว
ส่วนอีกด้านนั้น หลิวก่วงหลินไม่ได้กังวลเรื่องที่ชายหนุ่มชุดหรูลงมือกับต้วนหลิงเทียนเลย มันโคจรเร่งเร้าพลังออกมาพร้อมรับมือชายชราที่ติดตามข้างกายชายหนุ่มชุดหรูเบื้องหน้าอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
เพราะดูจากความเร็วก่อนหน้าของชายชรา มันก็รู้ได้ทันทีว่าพลังฝีมือของชายชราอยู่เหนือมัน…ซ้ำยังเหนือกว่ามันมาก!
บรึมม!!
ทันใดนั้นความว่างเปล่ารอบกายชายชราคล้ายระเบิดออก ร่างชราก็พุ่งทะยานเข่นฆ่าสังหารมาทางหลิวก่วงหลินปานกระสุน!
“ก่วงหลิน เจ้าพยายามดึงดูดความสนใจมันเอาไว้…ข้าจะหาโอกาสลงมือฆ่ามันในกระบวนเดียว!”
ในขณะที่ชายชราโจนทะยานเข่นฆ่าสังหารเข้ามา เสียงผ่านพลังหนึ่งพลันดังขึ้นในหูหลิวก่วงหลิน เป็นเสียงของต้วนหลิงเทียนเอง
ทันใดนั้นหลิวก่วงหลินก็ตั้งใจลงมือต้านรับเต็มที่
พริบตาต่อมาพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันก็หลั่งไหลลงสู่สนับมือที่ไม่ทราบเรียกออกมาสวมใส่ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ทันใดนั้นสนับมือดังกล่าวก็แผ่กลิ่นอายพลังลี้ลับออกมา บ่งบอกว่ามันเป็นอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางชิ้นหนึ่ง
จากนั้นร่างกายของหลิวก่วงหลินก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อทั่วร่างยังปูดโปนใหญ่โตขึ้นมาด้วยความเร็วอันน่ากลัว พริบตาชุดคลุมของมันก็เริ่มฉีกขาด เผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อได้ชัดถนัดตา!
เพียงเวลาชั่วพริบตา ไม่เพียงแต่ร่างหลิวก่วงหลินขยายใหญ่จนมีความสูง 3 หมี่ หากแต่กล้ามเนื้อทั่วร่างยังคล้ายเปี่ยมล้นไปด้วยพลังดิบเถื่อนอันน่ากลัว!
นอกจากนั้นพลังวิญญาณกับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดยังผสานหลอมรวมกลับกลายเป็นพลังเวทย์ลี้ลับหนึ่ง อันก่อเกิดเงาร่างพยัคฆ์สีเลือดตัวเขื่องขึ้นกลางหาว จากนั้นเงาร่าพยัคฆ์สีเลือดดังกล่าวก็ประทับลงมาครอบคลุมไว้ทั่วเรือนกาย!
เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงแต่หลิวก่วงหลินจะใช้ออกด้วยวรยุทธ์อมตะที่ฝึกปรือ หากแต่ยังใช้ออกด้วยเวทย์พลังที่มีอีกด้วย
“ผู้เฒ่า รับหมัดข้าดู!!”
หลิวก่วงหลินคำรามเสียงดังลั่น จากนั้นร่างก็โจนทะยานสวนเข้าหาชายชรา พร้อมง้างหมัดชกออกไปอย่างเกรี้ยวกราด! หมัดพลังพุ่งแหวกฟ้าผ่าอากาศออกไปอย่างดุร้าย!!
หลิวก่วงหลินที่บัดนี้สูงถึง 3 หมี่ประหนึ่งยักษ์น้อยๆ ยามปะทุพลังชกออก อานุภาพหมัดพลังของมันยังร้ายกาจไม่ต่างอะไรจากค้อนดาวตกที่ฟาดทุบไปยังร่างชรา!
เงาร่างพยัคฆ์สีเลือดเองก็ไม่น้อยหน้าผู้เป็นนาย ปากกระหายเลือดอ้าออกกกว้าง พุ่งขย้ำเข่นฆ่าเข้าใส่ชายชราอย่างดุดันอีกทาง!
“ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเช่นนั้นหรือ…ต่อให้เราผู้เฒ่ามิใช้อุปกรณ์อมตะอันใด คิดฆ่าเจ้ายังกระทำได้ใน 3 กระบวนท่า!”
เผชิญหน้ากับการโจนทะยานสวนลงมือเข้ามาของหลิวก่วงหลิน ชายชราเพียงแสยะยิ้มดูแคลน กล่าวเย้ยกลับไปด้วยน้ำเสียค่อนแคะ บ่งบอกชัดเจนว่ามันไม่ได้เห็นหลิวก่วงหลินอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
และครู่ต่อมา ร่างชราที่โจนทะยานเข่นฆ่าสังหารเข้ามาแต่แรก ก็เริ่มปะทุพลังดุร้ายขึ้นไปอีกครั้ง พลังสภาวะของมันเห็นชัดว่าสะกดข่มพลังสภาวะของหลิวก่วงหลินได้ชะงัด บ่งบอกให้รู้ว่ามันมีพลังมากพอทำตามคำพูดจริงๆ!
“คิดเข่นฆ่าคนของข้า ได้ถามข้ารึยังว่ายอมหรือไม่!”
ในขณะที่ชายชราเร่งเร้าพลังลงมือหักโหมจนพลังสภาวะอีกฝ่ายเริ่มครอบงำหลิวก่วงหลินที่ใช้อุปกรณ์อมตะ พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นเข้าหูมันจากด้านหลัง
และพร้อมกันนั้นมันยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังน่าเกรงขามขุมหนึ่งจี้เข้ามาใกล้มันมากขึ้นทุกขณะ!
“ขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์!”
ในฐานะที่เป็นขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ ชายชราย่อมคุ้นเคยกับกลิ่นอายพลังดังกล่าวดีจนไม่รู้จะดีไปกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว เพราะนั่นคือกลิ่นอายพลังระดับเดียวกับมัน!
ทันใดนั้นสีหน้าชายชราก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง!
ครู่ต่อมามันก็รีบเร่งเร้าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดสุดชีวิต ก่อเกิดเป็นม่านพลังคลุมกายแน่นหนา! หมายป้องกันการลอบจู่โจมของต้วนหลิงเทียน!!
ขณะเดียวกันมันก็เร่งรุดหันหลังกลับมาโดยไม่แยแสหลิวก่วงหลินแม้แต่น้อย ในมือยังคว้ากระบี่ที่ผุดโผล่จากความว่าง มากระชับแน่นทั้งถ่ายทอดพลังลงไปฉับไว และจากกลิ่นอายลี้ลับที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวกระบี่ ไม่พ้นต้องเป็นอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางแน่แท้!
ตูมมม!!
ซู่มมม!!
…
และทันทีที่หันกลับมา ชายชราก็เห็นว่าชายหนุ่มชุดม่วงอายุไม่ถึงร้อย บัดนี้โจนทะยานเข้ามาพลางควงพลองปานจักรผัน เร่งเร้าสภาะพลองฟาดทุบเข้ามาอย่างดุดัน! ที่น่ากลัวก็คือตัวพลองดังกล่าวนั้นเปล่งแสงสว่างลี้ลับเหลือเกิน!!
ตัวพลองที่ส่องแสงพลังเจิดจ้านั่น ยังปรากฏกลวดลายอักขระโบราณ อันแผ่ซ่านกลิ่นอายพลังไม่ใช่ชั่ว พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ถ่ายทอดลงสู่พลองยังไหลแล่นไปตามลวดลายดังกล่าว ก่อเกิดเป็นอานุภาพเพิ่มพูนพลังอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม!
สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังยิ่งใหญ่น่าเกรงขามดังกล่าว สีหน้าชายชราก็แปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“อะ…อุปกรณ์อมตะระดับราชา!!”
ในขณะที่อุทานอย่างแตกตื่น ชายชราก็ไม่เลินเล่อถึงขั้นเสียสมาธิ กระบี่ในมือรีบตวัดฟันซัดรังสีกระบี่เกรี้ยวกราดขุมหนึ่ง หมายลดทอนสภาวะพลังดุร้ายของพลองที่ฟาดทุบลงมาปานสยยฟ้าฟาด!
ปงงง!!
เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นลั่นฟ้า! เป็นรังสีกระบี่ของชายชราที่ตวัดซัดไปฉับไว เมื่อปะทะเข้ากับพลองที่ในมือต้วนหลิงเทียนที่ฟาดทุบลงมาอย่างเกรี้ยวกราด ก็ถูกปัดทำลายอย่างสิ้นท่า ไม่อาจต้านทานลดทอนพลังสภาวะพลองของต้วนหลิงเทียนได้เลย!
เปรี๊ยงงง!!
พริบตาดั่งประกายอัสนีฟาดผ่า พลองของต้วนหลิงเทียนอันฟาดลงมาตรงๆด้วยสภาวะพลังถล่มขุนเขา ก็ฟาดเข้าใส่กระบี่ที่ชายชรายกขึ้นมาบังขวางไว้เหนือกระหม่อมอย่างรุนแรง! สองพลังหักหาญอย่างหักโหม อุบัติเป็นคลื่นกระแทกซัดกำจายออกไปเป็นวงกว้าง!!
ปงงง!!
ทว่าทันใดนั้นเอง ชายชราที่เร่งเร้าพลังชั่วชีวิตถ่ายทอดลงสู่ตัวกระบี่และยกขวางพลองไว้เหนือศีรษะนั้น พลันสัมผัสได้ว่ามีพลังขุมหนึ่งอัดกระแทกเข้ากลางหลังอย่างจัง ทำให้พลังที่ถ่ายทดลงสู่กระบี่ขาดห้วง จึงถูกพลองฟาดทุบลงมากลางกระหม่อมอย่างจัง!!
ร่างชราปลิดปลิวร่วงฟ้าไปอย่างไม่อาจควบคุม! เมื่อตั้งหลักได้มันก็มองจ้องไปยังชายหนุ่มชุดม่วงที่ถือพลองไม่วางตา แลดูระมัดระวังถึงขีดสุด ไม่ได้แยแสหลิวก่วงหลินที่ฉวยโอกาสชกมันแม้แต่น้อย!
“เจ้า…เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่!”
เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะพลังทั้งหมดในกระบี่ลดทอนพลังทำลายของพลองไปได้ส่วนใหญ่ น่ากลัวศีรษะของมันคงถูกฟาดจนแหลกไปแล้ว! ชายชราที่แตกดตื่นเสียขวัญทั้งสมองอื้ออึง ก็พยายามรวบรวมสติกล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงหวั่นกลัว!!
เพราะอีกฝ่ายไม่เพียงเป็นขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ดุจเดียวกับมัน แต่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี
นอกจากนั้นในมือยังถือไว้ด้วยอุปกรณ์อมตะระดับราชา!!
มันมั่นใจอย่างถึงที่สุด ว่าในประเทศฝูชิวไม่มีตัวตนผิดประหลาดเช่นนี้แน่นอน!!
ด้วยเหตุนั้น จึงมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นนี้ สมควรเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ ไม่ก็ศิษย์อัจฉริยะใดในพื้นที่ส่วนกลางที่ออกมาหาประสบการณ์ หาไม่แล้วคงไม่น่ากลัวถึงขนาดนี้!
“คิดจะหนีงั้นรึ!?”
ต้วนหลิงเทียนที่ฟาดพลองทุบชายชราจนบาดเจ็บ ไม่ได้สนใจจะตอบคำชายชรา เพียงหันไปมองทิศทางหนึ่งพลางตะคอกคำออกมาอย่างกะทันหัน
หลังได้ยินคำถามชายชรา เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดจะตอบคำ แต่คล้ายจะสังเกตเห็นอะไรเสียก่อน มือข้างที่ไม่ได้ถือพลองพลันสะบัดออกไปฉับไวปานสายฟ้า จากนั้นท่ามกลางอากาศว่างเปล่าพลันปรากฏพลังสีม่วงขุมหนึ่งควบแน่นกลับกลายเป็นกระบี่พลัง พุ่งวาบตัดฟ้าไปดั่งประกายแสง หั่นแขนชายหนุ่มชุดหรูหน้าอัปลักษณ์ข้างที่กำลังถือยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่าทิ้ง!!
ยันต์เงาว่างเปล่านั้น เป็นยันต์อมตะหลบหนีที่ต้วนหลิงเทียนเองก็เคยใช้มาก่อน มันสามารถทำให้ผู้ใช้สามารถหลบหนีออกไปด้วยความเร็วของตัวตนขอบเขตราชาอมตะ!
“โอ๊ยยย!!”
ชายยหนุ่มชุดหรูหน้าอัปลักษณ์กรีดร้องออกมาเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด สองตาจับจ้อมองไปยังแขนข้างถนัดตัวเองที่ถือยันต์เงาว่างเปล่าเอาไว้แทบถลน หากแต่มันก็ไม่กล้าใช้พลังเก็บแขนกลับมาแต่อย่างใด
เพราะมันสัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะอันทรงพลังหนึ่งเพ่งเล็งมาที่ร่างมันเขม็ง!
“กล่าวไป ต้องบอกว่านี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ข้าเจอคนแปลกหน้าคิดฆ่าข้าเพียงเพราะข้าหล่อ…”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองชายหนุ่มุดหรูด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน
“เจ้า…เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่!?”
บัดนี้สายตาที่ชายหนุ่มชุดหรูใช้มองต้วนหลิงเทียน หาได้หลงเหลือความอิจฉาทั้งชิงชังแต่อย่างไร จะมีก็แต่ความหวาดกลัวแตกตื่นเท่านั้น
ถึงแม้เรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่มันจะแลเห็นไม่ค่อยชัด กระทั่งไม่ทราบว่าไฉนชายหนุ่มที่มันโจนทะยานเข้าใส่อยู่ๆกลับหายตัวไป…
แต่จุดจบของเรื่องราวเป็นอย่างไร มันเห็นชัดเจนดี!
ขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ที่ติดตามดูแลมัน แม้จะนำกระบี่ระดับขุนนางออกมาแล้ว แต่ยังถูกชายหนุ่มชุดม่วงนั่นซัดทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ
นอกจากนั้นชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ…เจ้ารู้ว่าวันนี้เป็นเจ้าหาที่ตายเองก็พอ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเบา
และพอกล่าวจบคำต้วนหลิงเทียนก็ระเบิดพลังสังหารลงมือฉับไวปานฟ้าผ่า แต่ทว่าไม่ได้เข่นฆ่าไปทางชายหนุ่มชุดหรู แต่พุ่งไปทางชายชราที่บาดเจ็บแทน!!
ด้านชายชราที่กำลังตกใจเพราะคำพูดเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียนก็ลนลานใจด้วยคิดว่าอีกฝ่ายจะสังหารชายหนุ่มชุดหรู แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าที่แท้เป้าสังหารจะเป็นตัวมันเอง! จึงทำให้มันลงมือช้าไปครึ่งจังหวะ!!
โผละ!! ปงงง!!
เช่นนั้นพลองที่ทอแสงพลังสีม่วงเจิดจ้าเปี่ยมล้นไปด้วยพลังเซียนอมตะขอบเขตขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ ก็ฟาดทุบลงบนศีรษะร่างชราที่ไม่ทันตั้งตัวซ้ำรอยเดิมได้ง่ายดาย!
ครานี้ศีรษะชราได้แตกระเบิดออกประหนึ่งลูกแตงโมถูกทุบ! จากนั้นร่างของมันยังถูกพลังอัดกระแทกจนแหลกเป็นชิ้น ก่อเกิดเป็นพิรุณโลหิตชิ้นเนื้อพร่างพรมลงสู่ผืนดิน…
หลังเข่นฆ่าสังหารชายชราแล้ว สายตาต้วนหลิงเทียนก็ย้อนกลับไปมองจ้องร่างชายหนุ่มชุดหรูเขม็ง
“ไม่…เจ้าไม่อาจฆ่าข้า! ท่านป้าของข้าคือนางสนมขององค์ฮ่องเต้! หากเจ้าฆ่าข้าก็ไม่ต่างอะไรจากล่วงเกินพระสนมของฮ่องเต้ฝูชิว! ล่วงเกินองค์เหนือหัวของประเทศฝูชิว!!”
เผชิญหน้ากับสายตาเย็นชาคมกล้าของต้วนหลิงเทียน ชายหนุ่มในชุดหรูหราเร่งนำป้าของมันที่เป็นนางสนมคนโปรดของฮ่องเต้ฝูชิวออกมายกอ้างต่อหน้าต้วนหลิงเทียนทันที หมายหลบหนีภัยพิบัติครั้งนี้ไปให้ได้…
WSSTH ตอนที่ 2,932 : แดนสวรรค์ใต้โบราณ
ปงงงง!!
อย่างไรก็ตามคำตอบของคำถามชายหนุ่มชุดหรูนั้น ต้วนหลิงเทียนเลือกจะใช้การกระทำแทนวาจา!
หนึ่งพลองตวัดซัดคลื่นพลังสีม่วงสายหนึ่งลัดฟ้าไปฉับไว ป่นทำลายร่างชายหนุ่มชุดหรูหน้าอัปลักษณ์ให้เดินตามรอยชายชรา กลับกลายเป็นหมอกเลือดร่วงฟ้าไปห่าหนึ่ง…
“ถึงก่อนที่ข้าจะตีเจ้าตายเจ้าจะสามารถส่งยันต์อมตะสื่อสารออกไปได้…แต่ใครมันจะรู้ว่าข้าเป็นคนฆ่าเจ้า”
หลังฟาดพลองซัดพลังป่นร่างชายหนุ่มชุดหรูจนกลายเป็นละอองเลือดหล่นฟ้าไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พึมพำออกมาเสียงเบา
เมื่อครู่วินาทีสุดท้ายก่อนที่ชายหนุ่มชุดหรูจะตายตก เขาเห็นว่าอีกฝ่ายได้หยิบยันต์อมตะสื่อสารออกมา
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นยันต์อมตะสื่อสารที่นำส่งข้อมูลได้รวดเร็วดุจการเหินบินของราชาอมตะ จนเขาไม่อาจหยุดเอาไว้ได้ทัน…
‘น่าเสียดาย…ถึงจะใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาแล้วแท้ๆ แต่ยังเสียพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดไปมาก ตอนนี้ระดับพลังของข้าตกลงไปจนทัดเทียมได้กับขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น’
ถึงแม้ว่าการสังหารชายหนุ่มชุดหรูเมื่อครู่ จะแทบไม่ได้สิ้นเปลืองพลังอะไร แต่ที่ทำให้เขาต้องสิ้นเปลืองพลังจริงๆ คือการเข่นฆ่าชายชราต่างหาก!
แม้เขาจะใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาแล้ว แต่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ต้องจ่ายออกไปก็ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว! จนตอนนี้พลังในร่างของเขาที่เหลือ มันเทียบได้กับขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น
ระดับพลังวิญญาณในร่างเองก็ลดทอนลงมาตามระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด
เป็นธรรมดาว่าถึงต้วนหลิงเทียนจะใช้การโจมตีด้วยพลังวิญญาณ แต่เมื่อระดับพลังวิญญาณลดลง พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดก็จะลดลงตามเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้จะใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดลงมือก็ดี พลังวิญญาณลงมือก็ดี ล้วนมีค่าเท่ากัน!
ยิ่งไปกว่านั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้พลังวิญญาณแต่อย่างไร เช่นนั้นหากคิดเข่นฆ่าผู้อื่นด้วยการใช้พลังวิญญาณจริงๆ ก็มีแต่จะทำให้สิ้นเปลืองพลังมากขึ้นเท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะละทิ้งการลงมือด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ถนัด ไปใช้พลังวิญญาณที่ไม่คุ้นชิน…
“ก่วงหลิน เราไปกันเถอะ”
หลังใช้พลังเก็บแหวนพื้นที่ของชายชรากับชายหนุ่มุชดหรูมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองหลิวก่วงหลินพลางเอ่ยชวนเสียงเบา
“ทราบแล้วนายท่าน!”
หลิวก่วงหลินก็เร่งตอบรับฉับไว จากนั้นก็ใช้พลังหอบหิ้วต้วนหลิงเทียน พุ่งทะยานข้ามฟ้ามุ่งตรงไปยังเมืองหลวงของประเทศฝูชิวเร็วไว
และในขณะเหินร่างเดินทาง หลิวก่วงหลินก็เร่งหยิบชุดใหม่ออกมาสวม และการแต่งกายของมันยังแตกต่างจากรูปแบบเดิมที่เรียบง่ายธรรมดาไปผิดหูผิดตา
“นี่เจ้าระแวงมากเกินไปรึเปล่า…”
พอเห็นหลิวก่วงหลินถึงกับเปลี่ยนรูปแบบการแต่งกายต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม “อาศัยด่านพลังฝึกปรือของมัน ในห้วงเวลาสั้นๆเมื่อครู่ ถึงมันจะหยิบยันต์อมตะสื่อสารออกมาใช้ได้ทันก่อนตาย…”
“แต่มันที่กำลังตื่นตระหนกและกลัวตายแบบนั้น ไม่มีทางบอกลักษณะรูปร่างพวกเราได้ละเอียดแน่นอน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
เมื่อครู่ตอนที่ชายหนุ่มชุดหรูหยิบยันต์อมตะสื่อสารออกมา ต้วนหลิงเทียนก็เห็นชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้นพอหยิบออกมาแล้วชายหนุ่มก็รีบร้อนส่งมันออกไปทันที
ในช่วงเวลาสั้นๆเพียงเท่านั้น เต็มที่อีกฝ่ายก็แค่บอกว่ากำลังโดนโจมตี และโดนโจมตีที่ไหนเท่านั้น มันแค่หวังให้มีคนเร่งรุดมาช่วยตัวเองให้เร็วที่สุด
“ข้าน้อยว่าระวังไว้ก่อนก็ดีนะนายท่าน…”
หลิวก่วงหลินกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
“ก็จริง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าและไม่คิดจะแย้งอะไร แต่นับว่าค่อนข้างพอใจกับความระวังของหลิวก่วงหลินไม่น้อย
“ด้านหน้านี่น่ะหรือ…เมืองหลวงของประเทศฝูชิว?”
พอหลิวก่วงหลินหอบหิ้วผ่านแนวเขามา ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นเมืองหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนที่ราบอันกว้างใหญ่
เมืองนี้มีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าเมืองใดที่ต้วนหลิงเทียนเคยพบเห็นมาก่อน มองไปให้ความรู้สึกประหนึ่งสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ตัวเขื่องกำลังหมอบร่างพักผ่อนก็ไม่ปาน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ระยะทางกว่าจะถึงเมืองยังอีกไกล ต้วนหลิงเทียนจึงรู้แค่ว่าเมืองนี้กว้างใหญ่มากเท่านั้น แต่ยังไม่อาจแลเห็นรายละเอียดใดๆทั้งสิ้น
“นายท่าน…เมื่อครู่ตอนท่านเข่นฆ่าชายชราขอบเขตขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ผู้นั้น ท่านใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชางั้นหรือ?”
เมื่อเดินทางใกล้ถึงเมืองหลวงของประเทศฝูชิว หลิวก่วงหลินที่สงสัยมานาน ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
ถึงแม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอได้ยินคำยืนยันของต้วนหลิงเทียนเข้าจริงๆ ลูกตาหลิวก่วงหลินยังอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง สีหน้าฉายชัดถึงความตื่นตระหนกตกใจ
อายุไม่ถึงร้อยปี บรรลุด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นปฐพี แถมยังมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาอีก!
จังหวะนี้หลิวก่วงหลินบังเกิดความอยากรู้ขึ้นมาจับใจ ว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนเป็นใครมาจากไหนกันแน่ และมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด!
ตอนนี้หากมีใครมาบอกว่า นายท่านที่มันเลือกจะติดตามรับใช้ผู้นี้ไร้ภูมิหลังอันใด ให้เชือดคอมันจนตายมันก็ไม่เชื่อ
“ว่าแต่เจ้าถนัดสู้ระยะประชิดด้วยวิชาหมัดมวยงั้นรึ? พอดีข้ามีอุปกรณ์อมตะระดับราชาชิ้นหนึ่งที่น่าจะเหมาะกับเจ้า…”
ในขณะที่หลิวก่วงหลินกำลังคิดไปด้วยใจหวั่นเกรง เสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้นในหูอย่างประจวบเหมาะ ขณะเดียวกันมันก็สัมผัสได้ถึงสายลมหอบหนึ่งที่ตีปะทะเข้าหน้า ราวกับมีบางสิ่งกำลังพุ่งเข้ามา
มันจึงเอื้อมมือขึ้นมาคว้ารับบางสิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็พบว่าวัตถุที่มันคว้าเอาไว้ ที่แท้เป็นสนับมือรูปแบบแหวนแฝด ที่สมควรสวมใส่ได้แค่นิ้วชี้กับนิ้วกลางเท่านั้น
ที่สำคัญสนับมือแหวนแฝดดังกล่าวยังแผ่กลิ่นอายพลังลี้ลับออกมา เห็นชัดว่าเป็นกลิ่นอายที่แตกต่างจากอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางอย่างสิ้นเชิง!
“นิ…นี่มัน…”
หลิวก่วงหลินไม่อาจสงบใจลงได้ เมื่อเห็นสนับมือแหวนแฝดในมือ กระทั่งใจยังเต้นระรัวขึ้นมาราวกลองศึก!
“นั่นก็เป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาเช่นกัน…แต่อาศัยระดับพลังฝึกปรือของเจ้า อย่าได้ใช้มันให้ใครเห็นง่ายๆจะดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะชักนำเภทภัยมาสู่ตัวเปล่าๆ”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเบา
จากวาจาไม่อีนังขังขอบนี้ ทำราวกับอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่พึ่งโยนให้ไป ไม่มีราคาค่างวดอันใด
อุปกรณ์อมตะระดับราชา!!
ร่างหลิวก่วงหลินสะท้านสั่นไปทันที จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสองตาแดงฉาน เร่งกล่าวผ่านพลังออกมาทันที “นายท่าน…สิ่งนี้มีราคามากเกินไป ข้าน้อยไม่กล้ารับ!”
หลังกล่าวจบหลิวก่วงหลินก็ส่งแหวนแฝดดังกล่าวคืนให้ต้วนหลิงเทียน
“รีบเก็บไปเสีย…กลัวคนอื่นไม่รู้ว่าเจ้ามีอุปกรณ์อมตะระดับราชารึไงหา? แล้วจดจำไว้ให้ดี ข้าต้วนหลิงเทียนไม่คิดรับของที่ข้าเคยมอบให้ใครคืน!”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเรียบ
พอได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หลิวก่วงหลินก็เร่งเก็บสนับมือแหวนแฝดทั้งหันมองไปรอบๆทันที สายตายังฉายแววแหลมคมแฝงความระแวดระวังถึงขีดสุด พอพบว่ารอบๆไม่มีผู้ใดสังเกตมาทางนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก…
“นายท่าน!”
หลิวก่วงหลินมองจ้องต้วนหลิงเทียนไม่วางตา ลูกตามันก็ยังแดงรื่นอยู่นานไม่ยอมหาย “จากนี้ไปชีวิตข้าเป็นของท่าน…”
“ข้าหวังแค่เจ้าจะเก็บชีวิตน้อยๆนั่นของเจ้าไว้รับใช้ข้าให้ดีก็พอ…”
ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
ทว่าเสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนยังไม่ทันดังจบคำดี
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
พลันปรากฏเสียงแหวกฝ่าสายลมฉับไว 3 เสียงดังขึ้นจากทิศทางที่ตั้งเมืองหลวงประเทศฝูชิว! และความเร็วของแหล่งกำเนิดเสียงแหวกสายลมนั่นยังสูถึงขั้นต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินไม่อาจมองเห็นได้ชัดว่าเป็นใคร!!
อย่างไรก็ตามทั้งคู่พอจะสัมผัสได้ว่าสมควรเป็นคน 3 คนที่พลังฝึกปรือเหนือกว่ามาก!
ยิ่งไปกว่านั้นทิศทางที่ทั้ง 3 ร่างมุ่งหน้าไปยังงเป็บริเวณแนวเทือกเขา ที่ต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าชายหนุ่มชุดหรูหน้าอัปลักษณ์!
“เร็วจริงๆ…”
ต้วนหลิงเทียนหยีตา
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้กลัวว่าทั้ง 3 จะค้นพบเขากับหลิวก่วงหลินแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้เมื่อเหินร่างมาถึงพื้นที่ใกล้เมืองหลวงของประเทศฝูชิว ที่ลอยร่างสัญจรไปมาบนฟ้าก็ไม่ได้มีแค่พวกเขาเท่านั้น ยังมีหลายคนที่กำลังจะเข้าเมืองหลวงเช่นกัน!
ถึงแม้ว่าผู้คนจะไม่ได้เยอะแยะมากมายอะไร แต่อย่างน้อยๆก็ต้องมี 2-3 ร้อยคน และยังมีคนที่เดินทางมาด้วยกัน 2 คนเหมือนพวกเขาอีกเป็นร้อยคู่
“รวดเร็วยิ่ง!”
“3 คนนั่น…อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นขุนนางอมตะ 4 รูป!”
“แต่ละคนเร่งรุดเดินทางเช่นนี้ ท่าทางจะมีเรื่องด่วนไม่น้อย”
…
หลังเสียงแหวสายลมของทั้ง 3 ร่างเงียบดับไปแล้ว เสียงสนทนาจากโดยรอบก็เริ่มดังระงมเข้าหู แม้จะแผ่วเบา แต่ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินชัดเจน
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินกำลังจะเข้าสู่เมืองหลวงของประเทศฝูชิวนั้น
เหนือเทือกเขาที่ชายหนุ่มชุดหรูหน้าอัปลักษณ์กับชายชราตายตก ก็รากฏร่าง 3 ร่างเหินลอยอยู่กลางฟ้า
“พวกเรามาสายเกินไป…”
เมื่อทั้ง 3 มองเห็นคราบเลือดชุ่มแฉะเบื้องล่าง ทั้งเศษเนื้อเลอะเลือน พวกมันก็รู้ดีว่ามาถึงที่นี้ช้าไป
“ในช่วงเวลาสั้นๆกลับสามารถเข่นฆ่าขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ได้…พลังฝีมือสมควรอยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ 4 รูปขึ้นไป!”
1 ใน 3 กล่าวคาดเดาออกมา
“ระหว่างเดินทางมา นอกจากชายหนุ่มชุดม่วงผู้หนึ่งที่ข้าไม่อาจตรวจสอบระดับพลังฝึกปรือได้แล้ว ไม่มีผู้ใดมีด่านพลังเหนือกว่าขอบเขตขุนนางอมตะ 4 รูปสักคน!”
“อืม กระทั่งขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียว”
อีกคนกล่าวเสริม
“อาจเป็นฝีมือของชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นหรือไม่?”
“ไม่มีทางเป็นไปได้”
“ทำไมเล่า?”
“เจ้าคิดว่าคนอายุไม่ถึงร้อยปี จะมีพลังเหนือกว่าขุนนางอมตะ 4 รูปได้หรือไม่เล่า?”
“อ่าว อายุไม่ถึงร้อยปีหรอกหรือ…เช่นนั้นไม่ใช่มันแน่นอน”
…
ทั้งสามคนเริ่มหารือกันยกใหญ่ แม้จะมีเอ่ยถึงต้วนหลิงเทียนบ้าง แต่ทั้ง 3 ก็ตัดต้วนหลิงเทียนออกไปจากผู้ต้องสงสัยทันที เพราะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะมีความสามารถฆ่าขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ได้
“ถึงแม้จะหาตัวผู้ลงมือไม่เจอ…แต่พวกเราก็ลองตระเวนหาพื้นที่แถบนี้สักรอบเถอะ เผื่อเจอผู้ต้องสงสัยหรือคนมีพิรุธอันใด”
“มิผิด ถึงแม้เราจะหาตัวผู้ที่ลงมือสังหารนายน้อยสกุลฮั่วไม่พบ แต่อย่างไรเสียพวกเราก็ต้องมีคำชี้แจงให้พระสนมหลัน…ไปลองหากันดูก่อนเถอะ”
…
จากนั้นทั้ง 3 ก็แยกย้ายกันออกไปหาเบาะแสคนละทิศละทาง
อย่างไรก็ตามการออกค้นหาที่กระทำไปพอเป็นพิธีของพวกมัน ผลลัพธ์ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องไม่ได้อะไรกลับมา
นั่นเพราะฆาตกรที่พวกมันกำลังมองหา ได้เข้าสู่เมืองหลวงของประเทศฝูชิวเป็นที่เรียบร้อย
“เมืองหลวงของประเทศฝูชิวนี่นับว่ากว้างใหญ่ไม่ใช่เล่นๆเลย”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น ขณะเดินสัญจรไปบนถนนอันกว้างใหญ่ภายในเมืองหลวงของประเทศฝูชิว
“กว้างใหญ่จริงๆนายท่าน ใหญ่โตกว่าเมืองใดที่ข้าน้อยเคยไปมาทั้งชีวิตอีก”
หลิวก่วงหลินที่เดินติดตามต้วนหลิงเทียนอยู่ด้านหลังราวกับข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ก็พยักหน้าเห็นด้วย
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็พาหลิวก่วงหลินไปนั่งในเหลาอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อพักผ่อนหาอะไรกิน ทั้งยังคอยเงี่ยหูฟังเรื่องราวไปเรื่อย ยังคิดจะเรียกเสี่ยวเอ้อมาสอบถามเรื่องราวเพื่อรับทราบสถานการณ์ทั่วไปในเมือง
“อีกหนึ่งเดือนก็จะถึงวันที่ฮ่องเต้ฝูชิวจัดงานประลองสวรรค์ใต้ที่วังหลวงแล้วหรือ…ข้าไม่รู้จริงๆว่าครานี้ใครจะเป็นผู้โชคดี 9 คนที่จะได้เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณ…”
หลังจากนั่งฟังเรื่องราวไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเรื่องราวน่าสนใจบางอย่าง
“งานประลองสวรรค์ใต้”
“แดนสวรรค์ใต้โบราณ?”
คิ้วต้วนหลิงเทียนเลิกขึ้น จากานั้นก็พยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาสืบต่อ
จากนั้นไม่นาน เขาก็รู้ว่างานประลองสวรรค์ใต้ และแดนสวรรค์ใต้โบราณคืออะไร…
แดนสวรรค์ใต้โบราณนั้น เป็นโลกใบเล็กที่อดีตจ้าวผู้ปกครองแดนสวรรค์ใต้เหลือทิ้งเอาไว้ และโลกใบเล็กดังกล่าวได้ถูกสร้างทิ้งไว้หลายชั่วอายุคนแล้ว และยังแตกต่างจากโลกใบเล็กที่ราชาอมตะเหลือทิ้งไว้ไม่น้อย
เพราะโลกใบเล็กดังกล่าวไม่ได้เหลือทิ้งโดยราชาอมตะและใครก็สามารถเข้าไปได้ ทว่าอยู่ในการควบคุมของผู้ที่ดำรงตำแหน่งจ้าวปกครองแดนสวรรค์ใต้ทุกรุ่น เวลาที่เปิดให้เข้าก็มีกำหนดชัดเจน
จ้าวผู้ปกครองสวรรค์แดนใต้ในอดีต ที่สร้างโลกใบเล็กทิ้งไว้ ก็คือ จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ นั่นเอง
และเพราะโลกใบเล็กดังกล่าวถูกสร้างทิ้งไว้โดยจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ในอดีต จึงเรียกโลกใบเล็กแห่งนั้นว่า แดนสวรรค์ใต้โบราณ!
WSSTH ตอนที่ 2,933 : เร่งรุด ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์!
แดนสวรรค์ใต้โบราณนั้น ตกทอดมาช้านาน ด้านในมีมรดกมากมายของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่เคยโด่งดังในอดีต
นอกจากนั้นแดนลับสวรรค์ใต้โบราณ ยังถูกแบ่งย่อยออกเป็น 3 ระดับชั้น อันได้แก่ แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง และแดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง
ระดับสูงนั้น มีไว้สำหรับตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะแล้ว
ระดับกลางง มีไว้สำหรับตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ
สำหรับระดับต่ำนั้น เป็นเวทีสำหรับตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะ!
‘คราวนี้ฮ่องเต้ฝูชิวคิดจัดงานประลองสวรรค์ใต้ ก็เพราะคิดจะเฟ้นหายอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะที่แข็งแกร่งที่สุด 9 คนทั่วทั้งประเทศฝูชิว’
‘และยอดเซียนอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศทั้ง 9 ก็จะถูกส่งเข้าไปแสวงหาโชควาสนาและโอกาสในแดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ’
‘แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ถึงแม้จะกล่าวว่าเป็นระดับต่ำ แต่จะอย่างไรเสียก็มีมรดกและโอกาสมากมายที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ในอดีตตั้งใจสร้างไว้ให้ชนรุ่นหลัง…ไม่เพียงแต่โอสถล้ำค่า สมุนไพรอมตะหายาก ยังมีสมบัติเยอะแยะมากมาย ไม่เว้นกระทั่งเคล็ดอมตะ วรยุทธ์อมตะและเวทย์พลัง…’
‘นอกจากนั้นยังมีมรดกที่อาจเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลับกลายเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ได้ในคราเดียวดั่งหนึ่งก้าวถึงฟ้า…’
ต้วนหลิงเทียนที่เงี่ยหูฟังเรื่องราวในโถงรวมของเหลาอาหารก็ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับงานประลองสวรรค์ใต้ และแดนสวรรค์ใต้โบราณมากมาย
‘อย่างไรก็ตามถึงแม้จะเป็นแดนลับระดับต่ำของแดนสวรรค์ใต้โบราณ แต่ประเทศฝูชิวก็ไม่อาจส่งคนเข้าไปได้ตามใจชอบ’
‘ที่ฮ่องเต้ฝูชิวต้องจัดงานประลองสรรค์ใต้ขึ้น เพื่อเฟ้นหายยอดเซียนอมตะที่ร้ายกาจที่สุด 9 คนของประเทศฝูชิว ก็บ่งชี้ให้เห็นชัดเจนว่าฮ่องเต้ฝูชิวนั้นมีสิทธิ์ส่งคนเข้าร่วมจำกัด ไม่อาจส่งยอดฝีมือไปเข้าร่วมได้ตามอำเภอใจ’
‘แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่พ้นระดับสูงๆกว่าต้องสั่งการฮ่องเต้ฝูชิวลงมาอีกที และท่าทางมันก็เป็นเหมือนนายหน้าเฟ้นหาอัจฉริยะคนหนึ่งเท่านั้น ไม่งั้นคงไม่กระตือรือร้นจะจัดงานประลองสวรรค์ใต้เพื่อเฟ้นหาอัจฉริยะจริงๆแบบนี้’
และเป็นดั่งที่ต้วนหลิงเทียนนคิดไม่มีผิด หากอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะของประเทศฝูชิวสามารถรอดกลับมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้ ฮ่องเต้ฝูชิวจะได้รับรางวัลมากมาย
และตระกูลหรือขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังอัจฉริยะผู้นั้น ก็จะได้รับรางวัลจากฮ่องเต้ฝูชิวอย่างงามอีกทอด
‘ที่แท้พื้นที่ๆประเทศฝูชิวนี้ตั้งอยู่ ก็อยู่ในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว…คฤหาสน์เฉวียนโยวนั้นก็เป็นขุมกำลังที่สนิทสนมกับ 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่ของภาคกลางที่มีหน้าที่ดูแลเขตพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนของภาคกลางโดยเฉพาะ’
‘ส่วนขุมกำลังที่มีพลังอำนาจรองลงมาจากคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็คือ 3 นิกาย กับ 2 ตระกูลที่มีพลังอำนาจพอตัว…และยังเป็น 3 นิกาย 2 ตระกูลนี้ที่ทำหน้าที่เฝ้าทางเข้าแดนลับระดับต่ำของแดนสวรรค์ใต้โบราณ’
‘และเหตุผลที่ไฉน 3 นิกาย 2 ตระกูลถึงมาทำหน้าที่เฝ้าทางเข้าแดนลับระดับต่ำของแดนสวรรค์ใต้โบราณ ก็ล้วนเป็นคฤหาสน์เฉวียนโยวที่มอบหมายให้พวกมันกระทำ’
‘กล่าวได้ว่าในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว ถึงแม้ 3 นิกายกับ 2 ตระกูลนั่นจะไม่ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องลึกซึ้งอะไร แต่ในระดับหนึ่งก็เกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก’
…
หลังได้ฟังเรื่องราวอยู่พักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็มีเรื่องให้ครุ่นคิดไม่น้อย
‘ประเทศที่อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของคฤหาสน์เฉวียนโยว ไม่เว้นประเทศฝูชิวแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่จัดงานประลองทำนองงานประลองสวรรค์ใต้ของประเทศฝูโยว เพื่อเฟ้นหาอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนยอมตะเหมือนกันทั้งสิ้น สำหรับประเทศฝูชิวก็ได้สิทธิ์มา 9 ที่ ส่วนแดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั่น จะเปิดให้เข้าหลังจากนี้ 1 ปี’
‘และพอถึงตอนนั้นใครก็ตามที่สามารถรอดชีวิตกลับมาจากแดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้ ก็จะสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าร่วมกับกองกำลังใด ในบรรดา 3 นิกาย 2 ตระกูลที่มีพลังอำนาจเป็นรองก็แต่คฤหาสน์เฉวียนโยว’
‘สำหรับฮ่องเต้ของประเทศตามแนวตะเข็บชายแดนนั้น หากอัจฉริยะในสังกัดประเทศตัวเองสามารถรอดออกมาจากแดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ แล้วสามารถเข้าร่วมกับขุมกำลังใดในบรรดา 5 ขุมกำลังนั่นได้ ขุมกำลังนั้นๆก็จะตอบแทนให้อย่างงาม’
‘เพราะเหตุนี้ ฮ่องเต้ของแต่ละประเทศตามแนวตะเข็บชายแดน จึงกระตือรือร้นเรื่องการจัดงานประลองสววรรค์ใต้กันใหญ่’
…
หลังได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด ในใจต้วนหลิงเทียนก็วาดแผนขึ้น
‘นับว่าข้ามาถึงที่นี่ได้จังหวะเหมาะจริงๆ อาศัยโอกาสนี้เข้าร่วมการประลอง ชิงสิทธิ์เข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั่นมา จากนั้นก็เลือกเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลอะไรนั่น เพื่อทรัพยากรของพวกมัน’
ก่อนหน้านี้เหตุผลเดียวที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนเลือกเดินทางออกจากชายแดนมายังพื้นที่ภาคกลาง ก็เพื่อแสวงหาความก้าวหน้า!
มีเพียงแต่ขึ้นสู่เวทีใหญ่เท่านั้น ถึงจะทำให้เขาก้าวหน้ามากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากเงี่ยหูฟังพลางรับประทานอาหารดื่มสุราไปเพลินๆ ยามเย็นก็มาเยือนโดยที่ต้วนหลิงเทียนไม่ทันรู้ตัว
เมื่อเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว ผู้คนก็เริ่มแยกย้ายออกจากเหลา ต้วนหลิงเทียนก็ชำระเงิน จากนั้นก็พาหลิวก่วงหลินไปหาโรงเตี๊ยมที่พัก
“ก่วงหลิน ข้าคิดจะเข้าร่ววมงานประลองสวรรค์ใต้ที่จะจัดขึ้นหลังจากนี้อีก 1 เดือน เพื่อชิงสิทธิ์เข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ”
เมื่อมาถึงที่พักแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เรียกหลิวก่วงหลิงมากล่าวบอกแผนการว่าจะเอาอย่างไรต่อไป
หลิวก่วงหลินก็ไม่ได้แปลกใจกับแผนนี้ของต้วนหลิงเทียนแต่อย่างใด
เพราะตั้งแต่ตอนที่อยู่ในเหลาอาหาร มันก็สังเกตเห็นแล้วว่านายท่านผู้นี้แลดูจะสนอกสนใจเรื่องแดนลับบสวรรค์ใต้โบราณมาก
“น่าเสียดายที่ข้าน้อยทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะเสียแล้ว ไม่งั้นคงสามารถเข้าร่วมงานประลองสวรรค์ใต้พร้อมกับนายท่านได้”
พอกล่าวจบ ก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบอะไร หลิวก่วงหลินก็เอ่ยเสริมขึ้นมาด้วยสงสัยว่า “ว่าแต่นายท่าน…พลังของอุปกรณ์อมตะสิ้นเปลืองที่เหลืออยู่ในร่างท่าน มันมากพอจะให้ท่านชิงสิทธิ์เข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำหรือไม่?”
“ไม่น่าจะมีปัญหา”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบ สองตายังทอประกายสว่างวาบขึ้นมา
เป็นธรรมดาว่าถึงต้วนหลิงเทียนจะพูดไปแบบนั้น แต่เขาก็ไม่มั่นใจอะไรขนาดนั้น
เพราะสุดท้ายแล้ว ตอนนี้ต่อให้เขาจะใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ได้รับมาทั้งหมด แต่พลังของมันเต็มที่ก็เทียบได้กับขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น
และหนึ่งเดือนหลังจากนี้ งานประลองสวรรค์ใต้ที่วังหลวง เขาเชื่อว่าต้องมีผู้คนมาเข้าร่วมประลองมากมาย และคงยากที่เขาจะหลีกเลี่ยงการประมือกับคนอื่นๆ
ถึงตอนนั้นเกรงว่าคู่ต่อสู้ของเขาคงไม่ขาดตัวตนยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแน่นอน และหากต้องรับมือตัวตนระดับนั้น แค่ 2 คนก็มากพอจะผลาญพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ได้รับมาหมดสิ้นแล้ว
‘อย่างไรเสียก็ยังพอมีเวลาเหลืออีกเดือน…ลองพยายามอย่างหนักดู ว่าข้าจะทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์หรือไม่’
‘หากทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ได้จริง อาศัยวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนางที่มี ก็น่าจะพอชิงตำแหน่ง 1 ใน 9 มาได้’
‘แต่หากไม่อาจทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ได้…คิดจะได้รับตำแหน่ง 1 ใน 9 ยอดเซียนอมตะที่ร้ายกาจที่สุดของประเทศฝูชิว ท่าทางจะยากหน่อยแล้ว’
เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ให้หลิวก่วงหลินกลับไปพัก เพื่อเตรียมปิดด่านบ่มเพาะพลังทันที
“จริงสิอีก 20 วันหลังจากนี้หากถึงเวลาลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมงานประลองสวรรค์ใต้…ตอนนั้นเจ้าช่วยไปสมัครให้ข้าที”
ก่อนที่หลิวก่วงหลินจะเดินออกจากห้องไป ต้วนหลิงเทียนที่ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ ก็เอ่ยกำชับหลิวก่วงหลินเรื่องหนึ่ง
เขาได้ยินเรื่องนี้มาจากเหลาอาการเช่นกัน ว่าใครที่คิดจะเข้าร่วมงานประลองสวรรค์ใต้ที่วังหลววงคราวนี้ ต้องไปสมัครเข้าร่วมประลองเสียก่อน และจะเปิดให้ลงสมัครหลังจากนี้อีก 20 วัน
แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องไปสมัครด้วยตัวเอง ให้ผู้อื่นไปแทนก็ได้
“อ่อแล้วหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ก่อนที่งานประลองสวรรค์ใต้จะเริ่มขึ้น เจ้าช่วยมาปลุกข้าด้วย”
หลังกำชับเรื่องแรกจบ ต้วนหลิงเทียนก็กำชับเรื่องที่สองกับหลิวก่วงหลิน
จากนั้นเมื่อหลิวก่วงหลินออกจากห้องไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มจัดตั้งค่ายกลปิดกั้นง่ายๆที่เคยศึกษามาจากยันต์อมตะเก็บความทรงจำไว้ทั่วห้องทันที
ทันใดนั้นภายในห้องไม่เพียงแต่จะไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดเข้าออกได้ กระทั่งกลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินหรือความเคลื่นไหวใดๆในห้อง ก็จะถูกปิดกั้นโดยสมบูรณ์
“ฮ่วนเอ๋อ…”
เนื่องจากต้วนหลิงเทียนเร่งรุดจะทะลวงให้ถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ให้ได้ภายในเวลาแค่เดือนเดียว เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนก็จำเป็นต้องใช้ผลึกเทพ และเป็นธรรมดาว่าพอหยิบผลึกเทพออกมา ใจเขาก็อดไม่ด้ที่จะคิดถึงฮ่วนเอ๋อที่หายตัวไป…
หลัจากนั้นไม่นานเขาก็สบสติอารมณ์ลงได้ และเริ่มต้นบ่มเพาะพลังทันที
เมื่อกลืนโอสถหลัวเทียนลงท้องไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อาศัยการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเข้มข้นรวมถึงพลังจากโอสถหลัวเทียน บ่มเพาะสั่งสมพลังอย่างขมักเขม้น มวลพลังหลั่งไหลผ่านชีพจรเซียน 99 สาย โคจรไปตามแนวทางเคล็ดอมตะ ไท่อี้สุดลี้ลับ รอบแล้วรอบเล่า เพาะสร้างเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด สั่งสมเพิ่มพูนขึ้นในร่างทุกขณะ ความเร็วในการเพิ่มพูนของพลังในร่างต้วนหลิงเทียน ยังเป็นอะไรที่น่ากลัวนัก!
เรียกว่าแต่ละวันที่ผันผ่าน ระดับพลังฝึกปรือในร่างของเขามีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังเป็นความเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นได้ชัดเจน!
…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังในที่พัก บรรยากาศภายในเมืองหลวงประเทศฝูชิวตอนนี้ เรียกว่าคึกคักมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นเพราะการประลองสวรรค์ใต้ครั้งนี้ ทางประเทศฝูชิวได้ทำการประชาสัมพันธ์ไว้มาก ตราบใดที่ยังเป็นตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ได้รับทราบเรื่องราว ล้วนเร่งรุดเดินทางมายังเมืองหลวงประเทศฝูชิวทั้งสิ้น
นอกจากนั้นยังมีตระกูลที่มีอำนาจมากมายในประเทศฝูชิว ที่เริ่มนำพายอดฝีมือขอบเขตพลังยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดมาเข้าร่วม กระทั่งหากด่านพลังฝึกปรือไม่ถึงแต่ถ้ามั่นใจในพลังฝีมือตัวเองก็สามารถเข้าร่วมได้!
เพราะตราบใดที่สามารถแสดงฝีมือเลิศล้ำในงานประลองสวรรค์ใต้ จนชนะติดอันดับ 1 ใน 9 ยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะของประเทศฝูชิว ก็จะได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเช่นกัน!
ยิ่งไปกว่านั้นหากประสบความสำเร็ตในแดนลับระดับต่ำ จนสามารถรอดชีวิตออกมาได้ ก็จะมีสิทธิ์เลือกเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลอันทรงพลังในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว!
ถึงตอนนั้นคนๆหนึ่งก็เสมือนหนึ่งก้าวถึงฟ้า กระทั่งไก่สุนัขรอบกายก็จะพลอยได้ขึ้นสวรรค์กันไปด้วย ตระกูลเอย นิกาย หรือพรรคที่เคยสังกัด ก็จะได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อย
ภายในพระราชวัง ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของประเทศฝูชิว
ส่วนหนึ่งขอพระราชวัง ตำหนักอันงดงามแลดูวิจิตรบรรจง ปรากฏร่างสตรีงดงามนั่งบนตั่งโดยมีสตรีรับใช้ 2 คนคอยปรนนิบัติพัดวีอยู่ด้านข้าง เบื้องหน้าปรากฏร่างชายวัยกลางคนในชุดนักบู๊ยืนอยู่
“พี่ใหญ่ โปรดระงับความเสียใจด้วย”
โฉมงามได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน เมื่อเห็นสภาพของชายวัยกลางคนเบื้องหน้า
“น้องหญิงสาม คนของเจ้ามิพบเบาะแสอันใดเลยหรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดนักบู๊เอ่ยถามเสียงสลด สีหน้าแววตาแลดูเศร้าหมองนัก
“ไม่เลย”
สตรีงามบนตั่งส่ายหัวไปมา “หลังจากที่ข้าได้รับยันต์อมตะสื่อสารของ ฮ่าวเอ๋อ ข้าก็เร่งส่งยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 5 องค์ประกอบ 2 คน กับขุนนางอมตะ 6 ผสานอีกคนออกไปทันที แต่หลังจากทั้ง 3 ไปถึงสถานที่เกิดเหตุทั้งหมดก็ไม่มีผู้ใดพบเบาะแสหรือร่องรอยของฆาตกรเลย”
“จากนั้นทั้ง 3 ก็ได้ออกปูพรมค้นหาไปทั่วพื้นที่แถบนั้นอยู่สามวันสามคืน แต่สุดท้ายกลับไม่พบเบาะแสใดๆ”
“ดังนั้นหากไม่มีพยานที่เห็นเหตุการณ์ออกมามอบรูปพรรณสันฐานฆาตกรให้พวกเรา…ข้าเกรงว่าพวกเราคงมิอาจจับมือใครดมได้”
กล่าวจบ สตรีงามก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกเฮือก
“เรื่องนี้หากจะโทษใคร ก็ได้แต่โทษฮ่าวเอ๋อเท่านั้น ที่มิได้บอกรูปลักษณ์อันใดของผู้ลงมือมาในยันต์อมตะสื่อสารเลย หาไม่แล้วพวกเราคงไม่เคว้งคว้างดั่งแมลงวันไร้หัวเช่นนี้…”
สีหน้าชายวัยกลางคนในชุดนักบู๊แลดูหดหู่นัก
“พี่ใหญ่ ท่านก็อย่าได้โทษฮ่าวเอ๋อเลย ถึงอย่างไรฮ่าวเอ๋อก็ตกอยู่ในห้วงเป็นตาย สามารถส่งยันต์อมตะสื่อสารมาถึงข้าว่าเกิดเรื่องที่ไหนได้ทันเวลาต่อหน้ายอดฝีมือที่น่าจะเป็นขุนนางอมตะ 4 รูปขึ้นไปได้ ก็นับว่ามีปฏิกิริยาตอบสนองไม่ธรรมดาแล้ว”
“ในสถานการณ์คับขันเช่นนั้น ต่อให้เป็นข้าหรือท่าน เกรงว่าก็คงไม่ทันคิดเรื่องจะอธิบายรูปร่างลักษณะของผู้ลงมือเช่นกัน”
สตรีงามกล่าวจบก็ถอนหายใจออกมาอีกรอบ
หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่และได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน และเชื่อมโยงกับชายหนุ่มชูดหรูหน้าอัปลักษณ์ที่เขาฆ่าตายไปในแนวเทือกเขานอกเมืองหลวงประเทศฝูชิว ไม่พ้นต้องคาดเดาฐานะของสตรีนางนี้ได้ทันที
หนึ่งในนางสนมคนโปรดของฮ่องเต้ฝูชิว พระสนมหลัน!
สำหรับชายวัยกลางคนในชุดนักบู๊ที่กำลังสนากับสนมหลันตอนนี้ ฟังจากคำพูดของมันแล้วก็เดาได้ไม่ยากว่ามันคือบิดาของชายหนุ่มชุดหรูหน้าตาอัปลักษณ์ที่ต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าไป และเป็นพี่ชายคนโตของพระสนมหลัน!
(*…หมายความว่า 2 ตอนก่อนตอนที่เรียกท่านป้า ต้องแก้เป็นท่านอา)
WSSTH ตอนที่ 2,934 : ระนาบหนามม่วง ลี่เฟย!
มหาสหัสโลกธาตุนั้นกว้างใหญ่ไพศาลสุดที่ผู้ใดจะจินตนาการได้ออก มีระนาบแดนดินดำรงอยู่มากมายนับหมื่นพัน
ภายใต้ระนาบเทวโลกหรือแดนสววรรค์ทั้ง 81 ระนาบ ไม่ทราบมีระนาบโลกียะอยู่เท่าไหร่ แต่ที่รู้ก็แค่มันมีมากมายจนนับไม่ถ้วน! และระนาบโลกียะ ‘หนามม่วง’ ก็เป็นหนึ่งในระนาบโลกียะอันมีนับไม่ถ้วนดังกล่าว…
ระนาบหนามม่วงนั้น เป็นมหาระนาบโลกียะ ที่มีดาวเคราะห์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เรียกว่าเป็นระนาบอันมีท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวไร้สิ้นสุด มีจักรวาลหลายจักรวาลดำรงอยู่
และบัดนี้บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในบรรดาดาราจักรมากมายของระนาบหนามม่วง ก็ปรากฏผู้คนเหินร่างค้างกลางห้วงอวกาศ แต่ละคนจับจ้องมองไปยังดาวดวงหนึ่งไม่วางตา จำนวนผู้คนที่จับจ้องไปยังดาวดวงนั้นยังมากมายสุดที่จะนับได้!
และดวงดาวที่สายตาของพวกมันจับจ้องมองอยู่ ก็คือดาวสีม่วงเข้มดวงหนึ่งท่ามกลางทะเลดวงดาวที่มีดวงดารานับอนันต์
“ดาวเคราะห์ต้นกำเนิดดวงนั้น…ใช้ดาวที่เซียนอมตะหนามม่วงทิ้งมรดกตกทอดไว้หรือไม่?”
“มิผิด ว่ากันว่าอยู่ดีๆดาวเคราะห์ต้นกำเนิดดวงนี้ก็ปรากฏออกมาให้ผู้คนพบเมื่อ 3 ปีก่อน…และมีรัศมีพลังลี้ลับกล้าแข็งขุมหนึ่งที่ปิดกั้นมิให้ผู้ใดเข้าด้านใน! ทว่าลือกันว่าไม่นานมานี้กลับมีคนผู้หนึ่งสามารถเข้าไปในนั้นได้ แถมคนผู้นั้นยังมิใช่เซียนอมตะเสเพลอีกด้วย”
“อันใด? มิใช่เซียนอมตะเสเพลรึ!?”
“มิผิด! ลือกันว่าคนผู้นั้นไม่ใช่แค่มิใช่เซียนอมตะเสเพลเท่านั้น หากแต่พลังฝึกปรือยังห่างอีกไกลกว่าจักเผชิญหน้ากับหายนะสู่สวรรค์เพื่อบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ และรอเวลาขึ้นไปยังระนาบเทวโลก”
“ที่แท้นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?”
“เป็นไปได้หรือไม่…ที่คนผู้นั้นเป็นผู้สืบทอดที่เซียนอมตะหนามม่วงเลือกเฟ้น?”
…
เหล่าเซียนอมตะเสเพล ทั้งตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ไม่เว้นครึ่งก้าวเซียนอมตะ ที่เหินร่างรอบดาวเคราะห์สีม่วงดังกล่าว ได้แต่เอ่ยคาดเดาเรื่องราวกันไปเรื่อย
เซียนอมตะหนามม่วงนั้น เป็นตัวตนในตำนานของระนาบหนามม่วงของพวกมัน
กระทั่งเดิมทีระนาบโลกียะแห่งนี้มิได้ชื่อว่าระนาบหนามม่วงด้วยซ้ำ แต่เพื่อรำลึกถึงเซียนอมตะหนามม่วงแล้ว ทุกคนถึงกับพร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อเรียกระนาบโลกียะแห่งนี้ให้เป็นระนาบหนามม่วง!
ทั้งหมดมิใช่ใดอื่น แต่เซียนอมตะหนามม่วงนั้น ก็คือผู้ที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ กลับกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ จากนั้นก็ขึ้นสู่สวรรค์ไปได้สำเร็จเป็นคนแรกของระนาบโลกียะแห่งนี้! และหลังจากคนขึ้นสวรรค์ไปได้สักพักใหญ่ ก็เริ่มปรากฏมรดกและอุปกรณ์อมตะมากมายขึ้นในระนาบโลกียะแห่งนี้อย่างพิศวง และไม่นานทุกคนก็พบว่า ที่แท้ทั้งหมดล้วนมาจากเซียนอมตะหนามม่วง!!
ด้วยความอนุเคราะห์ที่ส่งมอบสิ่งของเลิศล้ำทั้งมรดกวิชากลับมายังระนาบโลกียะแห่งนี้มากมาย ทำให้ผู้คนในระนาบแห่งนี้สามารถข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ และสามารถขึ้นสู่สวรรค์กลายเป็นเซียนอมตะได้คนแล้วคนเล่า นางจึงถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบคุณูปการอันอันล้นพ้นต่อทุกคนในระนาบแห่งนี้ เรียกว่ามีบุญคุณอันใหญ่หลวงทุกสรรพชีวิต!
อย่างไรก็ตามด้วยความที่กาลเวลามันล่วงเลยผ่านมานานมากแล้ว ตำนานของเซียนอมตะหนามม่วงที่เล่าขานกันมาก็คงเหลือแต่เพียงคุณูปการอันใหญ่หลวงเท่านั้น ส่วนตัวตนที่แท้จริงของเซียนอมตะหนานม่วงเป็นผู้ใด ผู้คนต่างลืมเลือนกันไปหมดสิ้น กระทั่งที่แท้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่ทราบ…
ทุกคนได้รับรู้กันมาจากบรรพชนและคนรุ่นก่อนว่า หลังจากเซียนอมตะหนามม่วงขึ้นสวรรค์ได้สำเร็จ วันหนึ่งเซียนอมตะหนานม่วงก็ได้ย้อนกลับมายังระนาบโลกียะแห่งนี้เพื่อทิ้งมรดกและสมบัติไว้มากมาย
และเซียนอมตะหนานม่วงนั้นยังได้ทิ้งถ้อยคำไว้คำหนึ่ง…
ว่าเมื่อใดที่มรดกที่แท้จริงของนางปรากฏขึ้น หมายความว่าผู้ที่ถูกเลือกที่จะได้รับสืบทอดทุกสิ่งทุกอย่างของนางได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว!
เมื่อถึงเวลานั้น ก็ขอให้ผู้คนในระนาบโลกียะแห่งนี้ มาร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นั้นกันด้วย
“เมื่อ 3 ปีก่อน อยู่ๆดาวเคราะห์ต้นกำเนิดสีม่วงดวงนั้นก็ปรากฏขึ้นมา จากนั้นแสงพลังสีม่วงก็สาดส่องย้อมห้วงอวกาศไปไกลหลายปีแสง…อ้างอิงจากบันทึกโบราณ 9 ใน 10 นี่คือดาวเคราะห์ที่เซียนอมตะหนานม่วงได้ทิ้งมรดกสืบทอดที่แท้จริงเอาไว้ไม่ผิดแน่!!”
“สมควรเป็นเช่นนั้น…ข้าได้ยินมาว่าต่อให้เป็นเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ที่ทรงพลังที่สุด ยังไม่อาจฝ่ารัศมีพลังที่แผ่ซ่านออกมาปกคลุมทั่วดาวได้เลย! เห็นได้ชัดว่านั่นคือพลังอำนาจของเซียนอมตะ และเป็นมรดกตกทอดที่แท้จริงของเซียนอมตะหนานม่วงไม่ผิดแน่!”
“3 ปี…เมื่อ 3 ปีที่แล้ว อยู่ดีๆดาวเคราะห์ต้นกำเนิดสีม่วงดวงนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปได้เลย จนเมื่อราวๆ 3 เดือนก่อนพบว่ามีคนผู้หนึ่งสามารถเข้าไปในดาวนั่นได้ หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดเข้าไปอีก!”
“สหายท่านนั้น! คนที่ท่านพูดถึงเป็นข้าเองล่ะ วันนั้นข้าเห็นสตรีในชุดคลุมสีม่วงคนหนึ่งสามารถพุ่งเข้าไปในดาวเคราะห์ต้นกำเนิดดวงนั้นได้ และแม้จะอยู่ไกลๆ แต่ข้าก็ยังพอเห็นเค้าโครงใบหน้านางได้รางๆ และนางช่างงดงามยิ่งนัก!”
“ข้าเชื่อมั่นว่านางก็คือผู้สืบทอดของเซียนอมตะหนามม่วงไม่ผิดแน่!!”
……
เหล่ายอดฝีมือในระนาบโลกียะหนามม่วง เมื่อถกกันถึงเรื่องนี้ได้สักพัก แต่ละคนก็พากันจับจ้องมองไปยังดาวเคราะห์ต้นกำเนิดสีม่วงเบื้องหน้าไม่วางตา ในแววตายังเผยความอิจฉาไม่น้อยเมื่อได้ยินว่ามีสตรีนางหนึ่งสามารถเข้าไปในดาว และกำลังจะกลายเป็นผู้สืบทอดของเซียนอมตะหนามม่วง
เรียกว่าเหล่าผู้ที่มาเหินลอยในห้วงอวกาศล้อมรอบดาวเคราะห์ต้นกำเนิดสีม่วงดวงนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นยอดฝีมือระดับสูงๆของระนาบหนามม่วงทั้งสิ้น กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็อยู่ที่นี่ด้วย
อย่างไรก็ตามไม่เว้นแม้แต่คนเดียว พวกมันทำได้แค่ดูชมเรื่องราวเท่านั้น ไม่อาจเข้าไปในดาวเคราะห์ต้นกำเนิดสีม่วงเบื้องหน้าได้เลย
และเช่นเดียยวกับข้อความในบันทึกโบราณที่เซียนอมตะหนามม่วงทิ้งไว้ ที่พวกมันมาก็เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์!
ไม่ว่าภายนอกจะคึกคักมีชีวิตชีวาเพียงใด แต่ภายในดาวเคราะห์ต้นกำเนิดที่มีรัศมีพลังสีม่วงปกคลุมเอาไว้ ก็เงียบสงบนัก
หากฝ่ารัศมีพลังสีม่วงที่เป็นดั่งม่านพลังเข้ามาแล้ว ภายในดาวเคราะห์ต้นกำเนิดดวงนี้ ก็ไร้ซึ่งสิ่งใดนอกจากพระราชวังโออ่าหลังหนึ่งเท่านั้น
และตอนนีภายในพระราชวังโออ่าดังกล่าว ก็ปรากฏสตรีนางหนึ่งหลับไหลอยู่บนแท่นศิลากลางโถงพระราชวัง!
ภายในห้องโถงของพระราชวังอันกว้างใหญ่ไพศาล แลไปทางใดก็ช่างวิจิตรงดงามเหลือเกิน ตามผนังเพดานยังปรากฏลวดลายทั้งอักขระโบราณนับไม่ถ้วนสลักไว้
และลวดลายตามผนังเพดานนั้นก็คล้ายจะเชื่อมโยงต่อกัน มองไปแล้วทั้งหมดหมดยังคล้ายเส้นทางสายหนึ่ง ที่กำลังมุ่งหน้าไปบรรจบกันยังแท่นศิลากลางห้องโถง!
แท่นศิลากลางห้องโถงเองก็มีลวดลายอักขระที่ซับซ้อนยิ่งกว่าที่ใดในโถง กระทั่งพวกมันยังเปล่งประกายสีม่วงออกมาเรืองรองไม่หยุด
และร่างที่นอนหลับไหลอยู่บนแท่นศิลากลางโถงนั้น ก็เป็นสตรีในชุดคลุมสีม่วงนางหนึ่ง
นางที่หลับไหอยู่ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าบัดนี้ได้มีพลังบางอย่างที่หลั่งไหลมาจากห้องโถงผ่านแท่นศิลาดังกล่าวแทรกซึมเข้าไปทั่วร่าง จนร่างกายของนางเริ่มเปล่งแสงพลังสีม่วงออกมาเรืองรอง
สตรีที่หลับไหลดังกล่าว เมื่อถูกมวลพลังมหาศาลหลั่งไหลเข้าร่าง ไม่นานก็ได้สติ แพขนตางามงอนสั่นระริกคราหนึ่ง จากนั้นนางก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา สองตากลมใสยังฉายแววกระจ่างปานมณีเลอค่า
“เอ๊ะ?”
และพอสตรีในชุดคลุมสีม่วงลืมตาขึ้นมามองไปยังเรื่องราวรอบๆ สองตาดั่งมณีเลอค่าก็ฉายชัดถึงความสับสนไม่เข้าใจออกมาทันที
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
เมื่อลุกขึ้นมาพบเจอสถานที่แปลกตา หันซ้ายหันขวาไปทางไหนก็ไม่พบเจอผู้ใด เพียงรู้สึกว่าสมควรเป็นห้องโถงอันมีลวดลายอักขระแปลกตาแห่งหนึ่ง สีหน้าของสตรีในชุดคลุมสีม่วงก็อดไม่ได้ที่จะฉายถึงความสับสนไม่เข้าใจ
“ที่นี่ที่ไหนกัน?”
“ข้า…ไฉนมาอยู่ที่นี่ได้?”
“เอ๊ะ? อันใดกัน…ไม่! ข้ามิอาจอยู่ที่นี่ได้…เทียนเอ๋อไปไหน! เทียนเอ๋อไปที่ใดแล้ว!? ข้าต้องไปตามหาเทียนเอ๋อ! หากหาเทียนเอ๋อไม่เจอ พอตัวเลวร้ายกลับมาข้าจะยังมีหน้าไปพบได้หรือ!!”
สตรีในชุดสีม่วงเมื่อพบว่ารอบกายกลับรึ่งเงาของบุตรชาย ก็เริ่มแตกตื่นทั้งร้อนใจหนักหนา จากนั้นสองตาก็เริ่มเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
นั่นเพราะนางที่คิดจะก้าวเดินออกไปจากแท่นศิลาและห้องโถงประหลาดนี่ กลับพบว่าสองเท้าของนางคล้ายถูกตรึงเอาไว้กับแท่นศิลา หนักอึ้งปานมีตะกั่วลากถ่วงไม่อาจขยับไปไหนได้เลย!
และพอสตินางเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง นางก็เริ่มจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนนางสิ้นสติได้
“จำได้ว่าเหมือนมีเสียงหนึ่งเรียกหาข้าจากที่ไหนสักแห่ง…จากนั้นอยู่ๆข้าก็เดินทางมาถึงดาวสีม่วงดวงหนึ่ง ผู้คนที่อยู่รอบๆดาวสีม่วงอันมีม่านพลังปิดกั้นนั้น คล้ายกล่าวทำนองว่ามันคือมรดกสถานที่เซียนอมตะหนามม่วงเหลือทิ้งไว้”
“นอกจากนั้นหลังจากที่ดาวสีม่วงปรากฏออกมา 3 ปี ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในระนาบหนามม่วง ก็ไม่อาจจะฝ่าม่านพลังรอบดาวเข้าไปได้”
“และหลังจากที่ข้าลองเข้าไปชมดูดาวดวงนั้นใกล้ๆ อยู่ๆสติข้าก็เริ่มพร่าเลือน…และก่อนที่สติข้าจะดับไป ดูเหมือนจะมีพลังไร้สภาพขุมหนึ่งฉุดดึงข้าให้เข้าใกล้ดาวดวงนั้น”
พอนึกถึงจุดนี้ ลูกตาของสตรีชุดคลุมม่วงก็หดเล็กลง “หรือว่า…ตอนนี้ข้าอยู่ในดาวสีม่วงดวงนั้น?!”
“ไม่…ไม่สิ…มีผู้คนตั้งมากมายไม่อาจเข้ามาได้ แล้วไฉนข้าถึงเข้ามาได้เล่า?”
หลังพึมพำคาดเดาไปสักพัก สุดท้ายสตรีชุดม่วงก็ส่ายหัวไปมาเพื่อปฏิเสธข้อสันนิษฐานของตัวเอง
“เพราะ…เจ้าคือผู้ที่ข้าเลือกให้เป็นผู้สืบทอดอย่างไรเล่า”
ทว่าสตรีชุดม่วงกล่าวพึมพำจบไม่ทันไร ก็มีเสียงหนึ่งที่ราวกับจะกึกก้องมาจากทุกทิศทางดังเข้าหูสตรีชุดม่วงพอดี
เสียงที่ว่าฟังแล้วบอกได้เรื่องหนึ่ง ว่าสมควรเป็นเสียงของอิสตรี หากแต่ดังมาจากที่ใดนั้นไม่อาจทราบได้!
“ผู้ใด!?”
เสียงสตรีที่อยู่ก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันย่อมนำพาความตื่นตระหนกมาสู่สตรีชุดม่วงไม่น้อย นางหันรีหันขวางมองรอบๆอย่างตื่นตระหนก หากแต่ก็รวบรวมความกล้ากล่าวถามออกมา!
“ข้าเอง”
ทันใดนั้นเสียงสตรีกังกล่าวก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครู่ต่อมาท่ามกางอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้าสตรีชุดม่วง ก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งค่อยๆปรากฏตัวขึ้นปานภูตผี!
เป็นสตรีทีมีรูปโฉมธรรมดาๆนางหนึ่งทั่วร่างถูกพลังสีม่วงปกคลุมเอาไว้ และเนื่องจากร่างของนางเป็นแค่ภาพเงาสีเทาเท่านั้น จึงไม่อาจบอกได้ว่านางสวมใส่ชุดสีอะไรกันแน่
อย่างไรก็ตามเพียงแค่เงาร่างของนางปรากฏตัวขึ้นเฉยๆ ก็สร้างความหวาดกลัวให้ผู้พบเห็นอย่างบอกไม่ถูก
“ทะ…ท่านเป็นผู้ใดกันแน่ แล้วีท่แท้เป็นผีหรือคน?”
สตรีในชุดคลุมสีม่วงมองถามไปยังเงาร่างสตรีสีเทาอันมีพลังสีม่วงปกคลุม ที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาปานภูตผีด้วยสีหน้าตกใจ!
“ผู้คนในระนาบโลกียะแห่งนี้สมควรเรียกหาข้าว่าเซียนอมตะหนามม่วง…นี่มิใช่ร่างแยกวิญญาณของข้าแต่อย่างไร หากแต่เป็นตัวข้าที่อยู่ในระนาบเทวโลก ได้ส่งร่างกฏของข้ามาที่ระนาบโลกียะแห่งนี้เพื่อสนทนากับเจ้าโดยตรง”
ร่างลึกลับกล่าว
“เซียนอมตะหนามม่วง!?”
“ท่าน…ท่านคือเซียนอมตะหนามม่วงหรือ?”
ได้ยินวาจาของเงาร่างสตรีสีเทาปานภูตผี สตรีในชุดคลุมสีม่วงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ แววตาของนางยังเบิกกว้างราวกับพบพานภูตผีเข้าแล้วจริงๆ ใบหน้ายังเผยความทึ่งไม่น้อย
“ใช่”
เงาร่างลึกลับกล่าววต่อ “ข้ารู้ว่ายามนี้ในใจเจ้ามีคำถามมากมาย แต่ร่างกฏของข้ามิอาจคงสภาพไว้ได้นาน เช่นนั้นข้าจะพยายามกล่าวสั้นๆ”
“เนิ่นนานมาแล้ว…ตัวข้าพบว่าต่อให้บ่มเพาะพลังเท่าใดก็มิอาจประสบความก้าวหน้าได้อีก…และทั้งหมดเป็นเพราะยามที่ตัวข้าอยู่ในระนาบโลกียะนั้น ไม่ได้วางรากฐานให้มั่นคงมากพอ ทำให้ด่านพลังของข้าติดอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ ยากที่จะทะลวงถึงขอบเขตที่สูงกว่านี้ได้อีก”
“เมื่อข้าพบถึงต้นตอปัญหาดังกล่าว ข้าจึงเลือกจะย้อนกลับมายังระนาบหนามม่วง และทิ้งมรดกเอาไว้…กล่าวไปก็ไม่เชิงเป็นมรดกอันใด แต่เป็นช่องทางเชื่อมต่อที่ทำให้ข้าสามารถสนทนากับเจ้าได้มากกว่า เพื่อให้เจ้าสามารถรับมรดกจากตัวข้าได้โดยตรง”
“ดาวเคราะห์ต้นกำเนิดดวงนี้ นอกจากค่ายกลป้องกันแล้ว ข้ายังได้แฝงเร้นอาคมกักเก็บเศษเสี้ยวสำนึกเทวะเอาไว้ด้วยทักษะลับบางประการ…ตราบใดที่เศษเสี้ยวสำนึกเทวะที่ข้าทิ้งไว้ สามารถตรวจพบผู้ใดที่มีรากฐานแน่นหนาเหนือกว่าตัวข้าครั้งยังอยู่ในระนาบโลกียะได้ มันก็จะแจงเตือนตัวข้าให้ข้ารู้ จักได้ติดต่อมาโดยตรงเช่นนี้”
“ตอนนี้เจ้าเองก็คงจะคาดเดาได้แล้ว ว่าสำนึกเทวะที่ข้าเหลือทิ้งไว้…ได้เลือกเจ้า! และเจ้าก็จักเป็นผู้ที่รับสืบทอดมรดกของข้า!!”
“อนาคตของเจ้า ต้องก้าวข้ามข้าไปได้แน่นอน!!”
…
ได้ยินวาจาของเงาร่างสีเทาที่เลือนรางปานภูตผี สีหน้าของสตรีชุดม่วงก็แปรเปลี่ยนไปไม่หยุด จากหวาดกลัวกลับกลายเป็นตกตะลึง สุดท้ายก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เซียนอมตะหนามม่วง ตอนนี้บรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศแล้วหรือ?
แถมตอนนี้อีกฝ่ายยังบอกว่า นางคือผู้ที่ถูกรับเลือกให้รับมรดกของอีกฝ่าย?
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่หยาดน้ำตาสองสายได้เริ่มรินไหลออกจากดวงตาคู่งามดั่งมณีเลอค่าของสตรีชุดคลุมสีม่วงอีกครั้ง
และหากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ คงสามารถจดจำนางได้ทันที
เพราะสตรีในชุดคลุมสีม่วงนางนี้หาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็น 1 ใน 2 ภรรยารักของเขา
ลี่เฟย!
WSSTH ตอนที่ 2,935 : เฟิ่งเทียนหวู่ ต้วนซือหลิง!
ตั้งแต่ที่ถูกเซี่ยเจี๋ยช่วยออกมา และจับพลัดจับผลูมาปรากฏตัวในระนาบหนามม่วงแห่งนี้ ลี่เฟยก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด
ช่วงแรกๆที่นางยังไม่ทันได้ปิดบังรูปโฉม นางก็ดึงดูดบุรุษมากหน้าหลายตาเข้ามาหาปานบุปผาดึงดูดแมลง แต่โชคดีนักที่พลังฝีมือของคนเหล่านั้นสู้นางไม่ได้ นางจึงผ่านพ้นมาได้อย่างไร้เรื่องราว
ต่อมาเพื่อลดปัญหาที่จะเข้ามาเพราะรูปโฉมอย่างไม่จำเป็น กระทั่งอาจจะดึงดูดบุรุษที่พลังฝึกปรือเหนือล้ำกว่านาง ลี่เฟยจึงเริ่มสวมใส่ชุดคลุมสีม่วงปกปิดร่างกายมิดชิด และออกเดินทางท่องไปทั่วในระนาบหนามม่วง
ที่นางเลือกออกเดินทางท่องไปทั่วระนาบหนามม่วงนั้น ก็เพื่อหาลูกชายของนางที่พลัดหลงกันไป
ต้วนเนี่ยนเทียน!
ตอนนั้นหลังจากที่เซี่ยเจี๋ยได้ช่วยให้พวกนางหลบหนีออกจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ อันเป็นดินแดนแห่งทวยเทพที่ตระกูลเซี่ยตั้งอยู่แล้ว ในช่องทางมิติที่เซี่ยเจี๋ยบังคับเปิดออกเพื่อส่งพวกนางมายังระนาบเทวโลกนั้น พวกนางบังเอิญพบพานเข้ากับพายุมิติที่ยากจะพบพานเข้าอย่างจัง! กับคนอื่นนางไม่ทราบ แต่นางมั่นใจว่าต้วนเนี่ยนเทียน บุตรชายของนางได้ถูกส่งมายังระนาบหนามม่วง ระนาบโลกียะแห่งนี้เหมือนนางแน่นอน!!
จนเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ระหว่างที่เดินทางอยู่ ลี่เฟยก็รู้สึกเสมือนมีบางสิ่งกำลังเพรียกหานางจากที่ไหนสักแห่ง
พอนางตามเสียงเพรียกหานั้นมา นางก็มาถึงดาวสีม่วงดวงหนึ่ง และพอได้ยินผู้คนที่มาถึงก่อนกล่าวบอกว่าที่นี่คือดาวที่เซียนอมตะหนามม่วงทิ้งมรดกไว้นางก็แปลกใจอยู่บ้าง แต่นางไม่ได้คิดหวังว่าจะได้รับมรดกอันใด
แต่ตอนนี้พอมาฟังเงาร่างสีเทาที่เลือนรางปานภูตผีเบื้องหน้า เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายได้เลือกนางให้เป็นผู้สืบทอดมรดกแล้ว!
ลี่เฟยถึงกับร่ำไห้ออกมาทันที
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น นางได้แต่เฝ้ามองต้วนหลิงเทียน ชายคนรักของนางที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน จนนางรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน ไม่อาจช่วยเหลืออะไรอีกฝ่ายได้เลย
ต่อมาเรื่องราวการกลับชาติมาเกิดของเค่อเอ๋อก็ได้ถูกเปิดเผย และเค่อเอ๋อก็กลับกลายเป็นตัวตนอันทรงพลังยิ่งใหญ่สุดเปรียบปราน ลี่เฟยจึงบังเกิดความรู้สึกต้อยต่ำไร้ค่าขึ้นมาจับใจ!
แน่นอนว่าความรู้สึกดังกล่าว นางเพียงเก็บไว้กับตัวไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้
ตัวนางนั้นไม่เคยเลยสักครั้งที่อยากจะเป็นสตรีในห้องหับ ดั่งดอกไม้ปักแจกัน นางอยากช่วยเหลืออะไรต้วนหลิงเทียนชายคนรักของนางบ้าง อย่างน้อยๆก็มีประโยชน์และสามารถแบ่งเบาภาระในครอบครัวได้บ้างก็ยังดี
มาตอนนี้พอได้ฟังวาจาของเซียนอมตะหนามม่วง ที่กล่าวบอกว่าจะเลือกนางให้เป็นผู้สืบทอดมรดก ลี่เฟยก็เสมือนได้เห็นแสงแห่งความหวังหนึ่ง ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและอึดอัดแต่ทำอะไรไม่ได้ตลอดหลายปีที่ผ่าน กลับกลายเป็นหยาดน้ำตาที่ไหลพรากออกมาทันที
หลังจากนั้นสักพักหยาดน้ำตาสองสายที่ไหลรินก็ค่อยๆหยุดลง
“ไฉน…เป็นข้าหรือ?”
ลี่เฟยมองถามเงาร่างปานภูตผีเบื้องหน้า
นางลองไถ่ถามตัวเองดูก็พบว่าศักยภาพไหวพริบปฏิภาณอันใด นางก็หาได้เลิศล้ำแต่อย่างไรไม่! แล้วไฉนเซียนอมตะหนามม่วงถึงได้เลือกนางให้เป็นผู้สืบทอดกัน?
อีกทั้งฟังจากวาจาของเซียนอมตะหนานม่วงที่เอ่ยออกมาก่อนหน้า บัดนี้อีกฝ่ายก็เป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศเข้าไปแล้ว!
หากเป็นก่อนจะถูกจับไปกักขังไว้ในตระกูลเซี่ยที่ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ นางคงไม่อาจทราบได้ว่าจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศที่แท้เป็นตัวตนอันใด แต่หลังจากไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ นางก็ย่อมเข้าใจเรื่องราวหลายอย่างของระนาบเทวโลกผ่านข้ารับใช้ของตระกูลเซี่ยในสถานที่กักบริเวณ
ในบรรดาข้ารับใช้ของตระกูลเซี่ยยที่เป็นเทพระดับต่ำนั้น มีคนหนึ่งที่อัธยาศัยดีและเป็นคนของเซี่ยเจี๋ยที่แฝงตัวเข้ามา ก็ได้คอยเล่าถึงเรื่องราวต่างๆในระนาบเทวโลก และยังบอกอีกว่าหากเป็นเทพระดับต่ำเช่นมัน ไม่ว่าใครก็อาศัยหนึ่งฝ่ามือเข่นฆ่าจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้ทั้งสิ้น!
และจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ ก็คือด่านพลังสูงสุดในระนาบเทวโลกแล้ว…
เช่นเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์ทั้ง 81 องค์ของ 81 ระนาบเทวโลก ทั้งหมดไร้ซึ่งข้อยกเว้นอันใด ล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศที่ทรงพลังเหนือกว่าผู้ใดในแดนสวรรค์นั้นๆ
“เนื่องเพราะร่างกายของเจ้า แตกต่างจากผู้ใดในระนาบโลกียะอย่างยิ่ง กระทั่งยังแตกต่างกว่าผู้ใดในระนาบเทวโลกอีกด้วย ข้าสัมผัสได้ถึงความพิเศษและไม่ธรรมดาที่กระทั่งตัวข้าเองก็มิอาจบอกได้ด้วยซ้ำว่าอัศจรรย์แค่ไหน…และที่ข้าสังเกตเห็นความไม่ธรรมดานั้น…”
“เพราะครั้งหนึ่งข้าก็เคยได้รับการขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินที่พิเศษบางอย่าง…และหลังจากข้าได้รับการชำระขัดเกลาจากพลังวิญญาณฟ้าดินนั่นแล้ว ร่างข้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ยามข้าบ่มเพาะพลัง ด่านพลังของข้าก็ก้าวหน้าว่องไวกว่าผู้ใดในระนาบโลกียะ แต่กระนั้นข้าก็มาถึงทางตันที่ขอบเขตจักพรรรดิอมตะ 10 ทิศ”
“เช่นนั้นข้อกำหนดเดียวที่ข้าใช้เฟ้นหาทายาท…ก็คือมีศักยภาพมากพอที่จะก้าวข้ามตัวข้าไปได้!”
“ข้ารู้ตัวเองดี ว่าข้าถูกกำหนดให้หยุดอยู่ที่ขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศไปชั่วชีวิต…แต่ตัวเจ้านั้นต่างออกไป ตราบใดที่เจ้าวางรากฐานให้มั่นคงตั้งแต่อยู่ในระนาบโลกียะ ความสำเร็จในภายภาคหน้าของเจ้า จักมิได้หยุดอยู่ที่ขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศเหมือนข้าเป็นแน่!!”
เงาร่างปานภูตผีของเซียนอมตะหนามม่วงกล่าวออกมายืดยาว ท้ายประโยคยังตั้งความหวังกับอนาคตของลี่เฟยเป็นอย่างมาก!
‘การขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินหรือ?’
‘หรือที่นางกล่าวถึง…จะเป็นกรณีเดียวกันกับการขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ?’
พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของเซียนอมตะหนามม่วง ลี่เฟยก็นึกถึงช่วงแรกๆที่นางถูกจับไปยังดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว และพลังวิญญาณฟ้าดินที่นั่น มันทรงพลังเหนือล้ำยิ่งกว่าระนาบเทวโลกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ กระทั่งให้เซียนอมตะไปพบเจอกะทันหันยังไม่แน่ว่าจะปรับตัวได้ เช่นนั้นจะนับประสาอะไรกับคนที่มาจากระนาบโลกียะเช่นนาง
ทำให้ช่วงแรกๆที่นางไปถึงดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพนั้น นางรู้สึกอัดอัดราวกับบรรยากาศโดยรอบจะบีบคั้นนางให้ตาย อีกทั้งชีพจรพลังในร่างคล้ายอุดตันไม่อาจดูดซับบ่มเพาะพลังอะไรได้เลย
ทว่าหลังจากนั้นไม่นานนางก็เริ่มปรับตัวได้ ขณะเดียวกันเมื่อเริ่มดูดซับพลังบ่มเพาะได้อีกครั้ง ด่านพลังของนางก็ก้าวหน้าว่องไวขึ้นกว่าเดิมมาก
ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่แค่นางคนเดียว แต่ยังเป็นทุกคนที่อยู่รอบกายนางที่ถูกจับมาจากระนาบเซียนและมาใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ทุกคนพบว่าร่างกายตัวเองบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปครั้งยิ่งใหญ่เหมือนกันหมด!
เป็นธรรมดาว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีแต่ประโยชน์ ไร้โทษอันใด
มาตอนนี้ลี่เฟยเองก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
เหตุผลที่ไฉนนางถึงเข้าตาเซียนอมตะหนามม่วง และถูกเลือกให้เป็นผู้สืบทอดแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะนางเคยใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ จนทั่วร่างเสมือนได้รับการขัดเกลาชำระจนแปรเปลี่ยนไปแล้วนั่นเอง!
กล่าวได้ว่า ศักยภาพของนาง ได้เพิ่มพูนขึ้นหลังได้รับการขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินของดินแดนแห่งทวยเทพ เปลี่ยนแปลงไปจากศักยภาพก่อนหน้าของนางลิบลับ!
และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ก็ทำให้เซียนอมตะหนานม่วงบังเกิดความสนใจคิดถ่ายทอดทุกสิ่งอย่างให้นางทันที!
“ต่อไปเจ้าก็เตรียมตัวรับมรดกของข้าเถอะ…หลังจากที่เจ้ารับมรดกของข้าแล้ว เจ้าก็ถือว่าเป็นศิษย์ของข้า ไว้เราค่อยทำพิธีรับศิษย์อาจารย์อันใดอย่างเป็นทางการ หลังพบกันในระนาบเทวโลก”
“และเมื่อเจ้าขึ้นมายังระนาบเทวโลกเมื่อใด ข้าจักไปรับเจ้าเอง สำหรับเรื่องราวภายในระนาบหนามม่วงหลังจากนี้ อาศัยศิษย์รับใช้ทั้ง 4 ที่ข้าส่งไปดูแลเจ้า ย่อมไม่มีผู้ใดในนระนาบหนามม่วงที่จักทำอันตรายเจ้าได้อีก”
เซียนอมตะหนานม่วงกล่าวสืบต่อ
“ช้าก่อน…ท่านผู้อาวุโสท่านช่วยข้าตามหาลูกชายได้หรือไม่!?”
ในขณะที่เงาร่างสีเทาปานภูตผีของเซียนอมตะหนามม่วงเริ่มจางลงคล้ายจะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ ลี่เฟยก็ฉุกคิดได้ถึงลูกชายที่ยังคงหายตัวไปขึ้นมา เร่งกล่าวถามออกไปอย่างร้อนรนทันที
น่าเสียดายกว่าที่ลี่เฟยจะทันได้กล่าวจบคำ ร่างกฏของเซียนอมตะหนามม่วงก็หายไปเสียก่อน
จากนั้นลี่เฟยก็สัมผัสได้ทันที ว่ามีพลังมหาศาลขุมหนึ่งปะทุขึ้นมาทั่วห้องโถง และพลังมหาศาลทั้งหมดนั้นต่างพากันโถมถันเข้ามาหานางปานคลื่นสมุทรสุดคุ้มคลั่ง…
หลังจากนั้นลี่เฟยก็หมดสติไปอีกรอบ เพราะทนผลกระทบจากพลังมหาศาลที่ชำแรกเข้าร่างไม่ไหว…
ส่วนด้านนอกนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า ก็มีผู้คนทยอยกันมาถึงมากขึ้นเรื่อยๆ
และท่ามกลางผู้คนนั้น ก็มีเงาร่างบาง 4 ร่างยืนเรียงกันชมดูเรื่องราวอย่างเงียบงัน สองตาแต่ละคนจับจ้องมองไปยังดาวที่เรืองรองไปด้วยพลังสีม่วงไม่วางตา
“ในที่สุด นายน้อยก็ปรากฏตัว!”
“ที่นายหญิงให้พวกเรา 4 คนรั้งอยู่ในระนาบหนามม่วงแห่งนี้ ทั้งหมดก็เพื่อรอคอยนายน้อย…ตอนนี้เมื่อนายน้อยปรากฏตัวขึ้น หมายความว่าพวกเรากำลังจักได้กลับระนาบเทวโลกแล้ว!”
“จากที่นายหญิงกล่าว…นางจะเลือกเฟ้นเฉพาะผู้ที่มีศักยภาพเหนือล้ำกว่าตัวนายหญิงเท่านั้น กล่าวได้ว่าความสำเร็จในภายภาคหน้าของนายน้อยย่อมไม่อ่อนด้อยกว่านายหญิงเป็นแน่ พวกเจ้าทั้ง 3 อย่าได้เหิมเกริมดูแคลนนายยน้อยเข้าใจหรือไม่ หากพวกเจ้ากลาดูหมิ่นนายน้อยเพียงเพราะยามนี้นายน้อยยัอ่อนแออยู่ ไม่ต้องให้นายหญิงลงโทษพวกเจ้า ข้าก็จักตีพวกเจ้าเอง!”
“พี่หญิงเหมยอ่า…ท่านก็พูดเป็นเล่นไปได้ นายน้อยอย่างไรก็เป็นดั่งทายาทของนายหญิงแล้ว พวกเราไหนเลยจะกล้าดูหมิ่นเล่า”
…
สตรีทั้ง 4 นั้นกล่าวไปแต่ละนางล้วนงามเฉิดฉันท์ทั้งสิ้น และที่สะดุดตาผู้คนที่สุดก็คือรูปร่างหน้าตาของพวกนางนั้นเหมือนกันอย่างยิ่ง!
เรียกว่าหากไม่นับลักษณะนิสัยและท่าทางเฉพาะตัว พวกนางแทบจะเหมือนกันทุกประการ
เสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกนางยังมีสีเดียวกัน ที่แตกต่างกันก็แค่ลายปักเท่านั้น
สตรีที่ยืนอยู่ด้านซ้ายสุด ที่ถูกเรียกว่าพี่หญิงเหมยนั้น มาในชุดสีม่วงปักลายดอกเหมยงดงาม
สตรีที่ถัดมาด้านขวาจากนางคนหนึ่ง แม้ชุดส่วมใส่จจะเป็นสีม่วง หากแต่ลายปักกลับเป็นลายกล้วยไม้เบ่งบาน แลแล้วสดชื่นสบายตานัก
สตรีคนที่สามนั้นก็มาในชดสีม่วงเช่นกันหากแต่ปักลายใบไผ่ให้ความรู้สึกสุขุมสง่า ส่วนสตรีคนที่ 4 มาในชุดสีม่วงรูปแบบดียวกันหากแต่ปักลายดอกเบญจมาศแลดูสดใสร่าเริง
ตอนนี้ทั้ง 4 ร่างจับจ้องมองไปยังดาวเคราะห์ต้นกำเนิดเบื้องหน้าไม่วางตา ราวกับเฝ้ารออะไรบางอย่าง
ในเวลาเดียวกัน
ภายในถ้ำแห่งหนึ่งบนเทือกเขาสูงชัน ของระนาบโลกียะที่เรียกว่า ระนาบรกร้างสุดไพศาล
“น้าหวู่…ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
สตรีในชุดกระโปรงขาวคนหนึ่งมองถามไปยังสตรีในชุดแดงเพลิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิกลางถ้ำด้วยสายตาเป็นกังวล
สตรีในชุดแดงเพลิงยามนี้กำลังโคจรพลังรักษาตัวอยู่ ยามไอพลังของนางลุกโชนขึ้นมาท่วมร่าง มองไปคล้ายเทพธิดาอัคคีก็ไม่ปาน มวลพลังรอบกายยังคล้ายวิหกไฟเหินบินฉวัดเฉวียนเล่นลม
ครู่ต่อมาสตรีชุดแดงเพลิงดังกล่าวก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นปาดเช็ดเลือดที่ไหลซึมออกมาบริเวณมุมปากเบาๆ ค่อยหันไปมองสตรีชุดขาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม กล่าวพลางส่ายหัวไปมาช้าๆ “ซือหลิงไม่ต้องห่วง น้าหวู่ไม่เป็นอะไร”
“ฮึ่ม หากท่านพ่ออยู่ที่นี่ล่ะก็ ซือหลิงจะให้ท่านพ่อตีสารเลวที่กล้าทำร้ายน้าหวู่ผู้นั้นให้ตัวแตกตาย!”
สตรีในชุดขาวกำหมัดเล็กๆของนางแน่น กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
และพอกล่าวจบคำสองตาของนางก็เริ่มแดงรื้นขึ้นมาเล็กน้อย “น้าหวู่…ท่านว่าพวกเราจะได้เจอท่านพ่ออีกไหม”
“ย่อมเจอ!”
สตรีในชุดแดงเพลิงเอื้อมมือไปลูบศีรษะสตรีชุดขาวอย่างแผ่วเบา กล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นสายตานางก็เริ่มพร่ามัวคล้ายมีหมอกสลัวปกคลุม
ในใจยังปรากฏร่างชายหนุ่มชุดสีม่วงอันหล่อเหลา คิ้วคมเข้มปานดาบ สองตากระจ่างใสปานดวงดารา ลักษณะท่วงท่าไม่ธรรมดาเหนือผู้ใด
นั่นเป็นบุรุษที่นางจะรักไปชั่วชีวิต ถึงแม้จะไม่ได้พบเจออีกฝ่ายยมานานหลายปีแล้ว หากแต่รักในใจที่มีให้ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนผัน
‘พี่ใหญ่ต้วน…ซือหลิงลูกสาวของท่านกับพี่หญิงเค่อเอ๋อ ช่างเหมือนท่านกับพี่หญิงเค่อเอ๋อนัก…’
ครู่ต่อมาแววตาที่พร่ามัวคล้ายเหม่อลอยไปของสตรีในชุดแดงก็หวนกลับมากระจ่างใส จับจ้องมองไปยังใบหน้ากระจ่างทั้งงดงามและน่าเอ็นดูของสตรีชุดขาว พลางกล่าวพึมพำในใจ
สตรีในชุดแดงเพลิงผู้นี้ก็คือเฟิ่งเทียนหวู่ ที่เซี่ยเจี๋ยได้ช่วยเหลือออกมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ
ขณะที่เผชิญหน้ากับพายุมิติ และห้วงมิติในช่องทางปั่นป่วนววุ่นวายถึงขีดสุดนั้น เฟิ่งเทียนหวู่ก็ได้เร่งพลังสุดตัวเปลี่ยนทิศทางของตัวเองเข้าไปกอดต้วนซือหลิงลูกสาวของต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อเอาไว้ เพื่อไม่ให้นางพลัดหลงไปในห้วงมิติ สุดท้ายก็เลยมาปรากฏตัที่ระนาบรกร้างสุดไพศาลแห่งนี้ด้วยกัน
ระนาบรกร้างสุดไพศาลแห่งนี้ ก็คล้ายๆกับระนาบเซียนบ้านเกิดของนาง ไม่ใช่มหาระนาบโลกียะอย่างระนาบเหยียนหวงหรือระนาบหนามม่วง
ที่นี่ไร้ดาวเคราะห์ ไร้ดวงดาว ไร้จักรวาลอันใด
แต่เป็นธรรมดาว่าหากแหงนมองขึ้นไปบนฟ้ายังสามารถเห็นดวงดาว มีดวงตะวันให้แสงสว่าง อันเป็นภาพสะท้อนจากมหาระนาบโลกียะที่อยู่ใกล้ๆ
“น้าหวู่…หรือท่านอย่าได้ระงับพลังฝึกปรือของท่านเอาไว้อีกเลย แล้วรีบขึ้นสวรรค์ไปหาท่านพ่อเร็วๆดี?”
ทันใดนั้น ต้วนซือหลิง ลูกสาวของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็เม้มปากกัดฟันกล่าววออกมากับเฟิ่งเทียนหวู่
ตั้งแต่ที่เฟิ่งเทียนหวู่กับต้วนซือหลิงมาปรากฏตัวในระนาบรกร้างสุดไพศาลแห่งนี้ ด้วยอาศัยร่างกายที่ได้รับการขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ เฟิ่งเทียนหวู่ก็พบว่าแม้จะเป็นในระนาบโลกียะที่พลังวิญญาณฟ้าดินเบาบาง แต่ด่านพลังฝึกปรือของนางก็ก้าวหน้ารวดเร็วนัก
เรียกว่าหากนางต้องการ นางยังสามารถเลือกจะทะลวงด่านพลัง และข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ ขึ้นไปยังระนาบเทวโลกได้ตามใจชอบ
ทว่าพอคิดถึงเรื่องที่หลังจากนั้น ต้วนซือหลิงจะต้องอยู่ในระนาบรกร้างสุดไพศาลแห่งนี้ตัวคนเดียว แถมที่นี่ยังเต็มไปด้วยความป่าเถื่อนรุนแรง นางก็กังวลใจอย่างหนักด้วยกลัวว่าซือหลิงที่อยู่คนเดียวจะไม่อาจเอาตัวรอดได้
เช่นนั้นนางจึงจงใจระงับด่านพลังของตัวเองเอาไว้ หมายรอให้ต้วนซือหลิงบ่มเพาะพลังจนสามารถทะยานขึ้นไประนาบเทวโลกพร้อมๆกันกับนาง
และเมื่อไม่นานมานี้นางกับต้วนซือหลิง ก็ไปเจอเซียนอมตะเสเพลมากราคะผู้หนึ่งโดยบังเอิญ นางจึงต่อสู้กับอีกฝ่ายจนได้รับบาดเจ็บ และหลังจากซัดทำร้ายอีกฝ่ายแล้ว นางก็ได้พาต้วนซือหลิงมาหลบซ่อนพักรักษาตัวในถ้ำแห่งนี้
WSSTH ตอนที่ 2,936 : เข้าสู่พระราชวังหลวงประเทศฝูชิว
“ซือหลิง น้าหวู่ไม่มีทางทิ้งเจ้าให้อยู่คนเดียวได้หรอก!”
เฟิ่งเทียนหวูส่ายหัวปฏิเสธออกมาอย่างแข็งขันหลังได้ยินคำเสนอของต้วนซือหลิง น้ำเสียงยังหนักแน่นนัก!
เป็นธรรมดาว่ายังมีอีกประโยคหนึ่งที่เฟิ่งเทียนหวู่ไม่ได้พูดออกไป
นั่นก็คือ…
หากนางทิ้งต้วนซือหลิงให้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง แล้วหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับต้วนซือหลิงขึ้นมา วันหน้านางจะกล้าสู้หน้าพี่ใหญ่ต้วนของนางได้อย่างไร
ดังนั้นเฟิ่งเทียนหวู่ไม่มีวันปล่อยให้ต้วนซือหลิงเกิดเรื่องอะไรขึ้นเด็ดขาด เว้นเสียแต่นางจะตาย!
“ท่านน้าหวู่…”
มองไปยังเฟิ่งเทียนหวู่อีกครั้ง ดวงตาของต้วนซือหลิงก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
นอกเหนือจากลี่เฟยย เฟิ่งเทียนหวู่ และต้วนซือหลิงแล้ว คนอื่นๆที่เซี่ยเจี๋ยช่วยเหลือออกมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ แม้จะเจอพายุมิติจนต้องกระจัดกระจายแยกย้ายไปคนละทิศละทาง แต่ทุกคนก็ไปถึงระนาบโลกียะโดยสวัสดิภาพ
นอกจากนั้นด้วยความที่ร่างกายของแต่ละคน ได้รับการขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินของดินแดนแห่งการล่มสลายของทวยเทพ ศักยภาพของทุกคนจึงบังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
แม้บางคนจะไม่ได้มีรากวิญญาณสีม่วงอย่างคนใกล้ชิดต้วนหลิงเทียน หรือมีสีดำเหมือนต้วนหลิงเทียนกับต้วนซือหลิง ทว่าความเร็วในการบ่มเพาะของทุกคนก็ว่องไวปานจรวด!
กระทั่งบางคนก็ข้ามผ่านหายนะสวรรค์ไปแล้ว กำลังรอจะขึ้นสู่ระนาบเทวโลกด้วยซ้ำ!
เป็นธรรมดาว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้อะไรเลย…
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังคงคิดว่าครอบครัวของเขานั้น ถูกกักขังอยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพ!
เขาก็เลยกระตือรือร้นบ่มเพาะพลัง หมายยกระดับพลังให้สูงขึ้นในเวลาอันสั้น เพื่อให้ในอีกพันปีหลังจากนี้ เขาจะมีทุนรอนมากพอให้บุกไปช่วยเหลือทุกคนในดินแดนแห่งทวยเทพ
ณ แดนสวรรค์ใต้ ของหลิงหลัวเทียน
ประเทศฝูชิว เขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว
“นายท่าน…ใกล้จะถึงเวลาแล้วขอรับ”
ด้านนอกห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ปรากฏชายวัยกลางคนกำลังควบแน่นเสียงเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด เพื่อส่งผ่านประตูเข้าไปในห้องหับเบื้องหน้า
เมื่อถูกเสียงแฝงพลังบุกฝ่า ม่านพลังจากค่ายกลหน้าประตูเริ่มสั่นไหวกระเพื่อมไปทันใด
หลังจากนั้นไม่นานม่านพลังที่กระเพิ่มดังกล่าวก็เริ่มสลายตัว ก่อนที่ผ่านไปสักพักเสียงเปิดประตูจะดังขึ้นเบาๆ เผยให้เห็นร่างหนึ่งค่อยก้าวเดินออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เป็นร่างชายยหนุ่มในชุดสีม่วง อันมีลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา เรียกว่าให้ไปยืนท่ามกลางฝูงชนก็โดดเด่นและเป็นจุดสนใจไม่น้อย
“ไปกันเถอะ”
ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ก็คือต้วนหลิงเทียน ที่ได้ปิดด่านบ่มเพาะมาตลอดทั้งเดือน หลังจากก้าวออกมาจากห้องหับแล้ว ก็หันไปมองทักชายวัยกลางคนหน้าประตูเล็กน้อย ค่อยพากันเดินออกไปจากโรงแรม
ชายวัยกลางคนที่ติดตามต้วนหลิงเทียนมาอย่างใกล้ชิด ก็คือหลิวก่วงหลินนั่นเอง และมันก็ได้กระทำตามคำกำชับของต้วนหลิงเทียนก่อนหน้าได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“คนเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”
พระราชวังหลวงของประเทศฝูชิวนั้น ตั้งอยู่ส่วนตะวันออกของเมืองหลวง ซึ่งกินอาณาบริเวณส่วนตะวันออกไปหมดสิ้น พอต้วนหลิงเทียนเดินมาถึงพื้นที่ใกล้เคียง มองไปก็เห็นฝูงชนอันเนืองแน่น ที่มาออกันหน้าประตูทางเข้าพระราชวัง
“ถึงแม้จักมีผู้คนมากันหนาตา แต่ผู้ที่จักเข้าไปในพระราชวังหลวงวันนี้ได้…นอกจากตัวผู้ที่ลงทะเบียนประลองแล้ว ก็มีแต่ผู้ติดตามของผู้ที่ลงทะเบียนเท่านั้น…”
หลิวก่วงหลินกล่าว “และผู้ที่ลงทะเบียนประลอง ก็สามารถนำผู้ติดตามเข้าไปได้คนเดียวขอรับ”
ต้วนหลิงเทียนได้ฟังรายละเอียดปลีกย่อยจากหลิวก่วงหลินก็พยักหน้ารับทราบเบาๆ จากนั้นก็เดินนำหลิวก่วงหลินไปยังประตูหน้าประราชวัง สุดท้ายจึงพบว่าคนที่เดินไปยังด่านตรวจหน้าทางเข้าจริงๆ ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
“นายท่าน นี่คือป้ายของท่าน”
ขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนเดินมาเข้าแถวรอตรวจเข้าววังนั้นเอง หลิวก่วงหลินก็หยิบยื่นป้ายหนึ่งให้ต้วนหลิงเทียน เป็นมันได้มาหลังลงทะเบียนเข้าร่วมการประลองให้ต้วนหลิงเทียน
จากนั่นแถวก็ร่นมาถึงต้วนหลิงเทียนในเวลาอันสั้น เพียงเขายื่นป้ายให้องครักษ์ที่ตรวจตราชมดูปราดหนึ่ง ก็สามารถพาหลิวก่วงหลินเข้าสู่พระราชวังหลววงได้อย่างไร้ปัญหา
เมื่อเข้ามาในพระราชวังแล้ว ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินก็ไม่ต้องกลัวจะหลงทางแต่อย่างไร เพราะมีผู้คนที่ทำหน้าที่บอกทาง ยืนประจำตามจุด คอยบอกทางเป็นระยะๆ
“ในเมื่อแค่ลงทะเบียนประลองก็เข้ามาได้แล้ว…งั้นไม่ใช่ว่าแค่ลงทะเบียนอย่างขอไปทีก็เข้ามาดูได้แล้วไม่ใช่รึไง?”
ต้วนหลิงเทียนที่ฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็หันไปเอ่ยถามหลิวก่วงหลินที่มาลงทะเบียนประลองแทนเขา
“มิผิดนายท่าน หากแต่อย่างน้อยๆผู้ที่จะลงทะเบียนประลองจำต้องอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะเท่านั้น…หากไม่ได้อยู่ในด่านพลังยอดเซียนอมตะแต่คิดจะเข้าร่วมชมดูการประลอง ก็มีแต่ต้องไปหายอดเซียนอมตะมาอ้างชื่อลงประลองสักคน ถึงจะเข้ามาได้”
หลิวก่วงหลินกล่าวถึงจุดนี้ ก็หยุดลงเล็กน้อย ค่อยขมวดคิ้วกล่าวสืบต่อว่า “ทว่าผู้ที่ลงทะเบียนประลองนั้น จำต้องขึ้นประลองทุกคน นอกจากนั้นแม้ในการประลองสวรรค์ใต้จะมีกฏว่าห้ามสังหารผู้อื่นด้วยเจตนา…แต่หมัดเท้าดาบกระบี่ล้วนไร้นัยน์ตา ยามลงมือจริงจังก็มิใช่ว่าจะหยุดยั้งกันได้ง่ายๆ บางทีอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่คิดฝัน สุดท้ายก็อาจกลายเป็นอาการเรื้อรังส่งผลกระทบต่ออนาคต…”
“เช่นนั้นแล้ว เว้นเสียแต่จะเป็นยอดเซียนอมตะที่มีพลังฝีมือพอตัว ย่อมไม่มีผู้ใดหาญกล้าลงทะเบียนประลองเด็ดขาด เพราะเมื่อขึ้นสังเวียนประลองสววรรค์ใต้ไปแล้ว มีระบุไว้ตอนลงทะเบียนว่า จำต้องประมือกับอีกฝ่ายให้รู้สูงต่ำจริงๆ มิอาจกล่าวยอมรับความพ่ายแพ้ได้ในทันที!”
“เว้นเสียแต่คู่ต่อสู้ที่พบเจอนั้นจะเป็นยอดเซียนอมตะที่มีชื่อเสียงและทรงพลังมากจนทุกคนรู้จัก เช่นนั้นถึงจะยอมแพ้ได้โดยไม่ต้องสู้…”
หลิวก่วงหลินกล่าวสืบต่อ
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ไม่นานภายใต้การบอกทางของคนในพระราชวังหลวง ต้วนหลิงเทียนก็พาหลิวก่วงหลินมาถึงสถานที่จัดการประลองสวรรค์ใต้ของพระราชวังหลวง
บริเวณที่จัดงานนั้น ยังอยู่ในส่วนลานด้านหน้าของพระราชวัง พื้นที่ส่วนนี้นับว่ากว้างขวางนัก มองไปก็พบสังเวียนประลองวงกลม 9 สังเวียน ตั้งอยู่ในลานอย่างไม่แออัด
อย่างไรก็ตามสังเวียนประลองวงกลมทั้ง 9 นั้นต่างจากสังเวียนประลองที่ต้วนหลิงเทียนเคยพบเจออยู่บ้าง
เพราะเหนือสังเวียนแต่ละแห่งปรากฏวงเวทย์อาคมหนึ่งสลักค้างไว้กลางหาว พุ่งยิงลำแสงลงมาปานไฟฉายสว่างจ้า เรียกว่าลานประลองทั้ง 9 ก็เกิดจากพื้นที่หน้าตัดของลำแสงที่ตกกระทบพื้นเป็นวงนั่นเอง
แน่นอนว่าพื้นที่หน้าตัดลำแสงแต่ละสายนั้นไม่ใช่เล็กๆเลย เพียงดูก็รู้ว่ามีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 300 หมี่
ลำแสงที่ก่อเกิดสังเวียน 9 สังเวียน ยังมีสีสันต่างกันถึง 9 สี
นอกจากสีรุ้งพื้นฐานทั้ง 7 อันได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดงแล้ว ยังมีสีขาวกับสีเทาอีกด้วย
รวมกันจึงเป็น เวที 9 สีสัน
นอกจากนั้นทั้ง 4 ทิศรอบลานอันมีสังเวียนทั้ง 9 ตั้งอยู่ ก็ปรากฏอัฒจันทร์ใหญ่โต 4 หลังปลูกสร้างเอาไว้
อัฒจันทร์ด้านซ้ายกับขวานั้นแลดูหรูหรามีระดับไม่ธรรมดา ไม่พ้นต้องมีไว้ให้แขกคนสำคัญของประเทศฝูชิวเป็นแน่ ส่วนอัฒจันทร์ที่หรูหราที่สุด ก็คืออัฒจันทร์ฝั่งในของพระราชวัง แลดูก็รู้ว่ามีไว้สำหรับคนในตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูชิวหรืออาคันตุกะทรงเกียรติของตระกูลราชวงศ์โดยเฉพาะ
ส่วนอัฒจันทร์ด้านสุดท้ายแลดูเรียบง่ายและธรรมดาที่สุด ไม่พ้นมีไว้ให้เหล่าผู้ลงทะเบียนประลองกับผู้ติดตามเป็นแน่
ต้วนหลิงเทียนที่สังเกตเห็นหมายเลขระบุไว้แน่ชัดบริเวณที่นั่ง จึงหยิบป้ายที่พึ่งเก็บไปขึ้นมาดู ก็พบว่ามีหมายเลขระบุไว้เรียบร้อย ซึ่งพอมองเทียบกับที่นั่งบนอัฒจันทร์แล้วก็พบว่าเป็นที่นั่งหลังๆ
และในอัฒจันทร์ธรรมดาหลังนี้ พอมองไปก็พบว่ามีผู้คนนั่งอยู่กว่าครึ่ง
“ชิงจื่อ…หลังจากทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้แล้วเจ้ามั่นใจหรือไม่…1 ใน 9 สิทธิ์ครานี้เจ้ามั่นใจกี่ส่วน?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพาหลิวก่วงหลินเดินมาถึงที่นั่งของพวกเขาได้ไม่ทันไร เขาก็ได้ยินเสียงเปี่ยมกังวลหนึ่งแว่วดังมาจากด้านข้าง
พอต้วนหลิงเทียนหันไปมอง ก็พบว่าถัดออกไปจากเขาไม่กี่ที่นั่ง มีชายชราผู้หนึ่งกำลังมองถามชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยสีหน้ากังวล
“ตรงๆเลยก็คือไม่มั่นใจสักส่วน…อย่างไรเสียวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่ข้าฝึกปรือก็เป็นแค่ระดับสวรรค์เท่านั้น”
ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกหาว่าชิงจื่อ ได้แต่ส่ายหน้ากล่าวตอบอย่างทอดถอนใจ “ซ้ำร้ายแม้ข้าจะแตกฉานวรยุทธ์อมตะระดับสวรรค์แล้ว แต่มีเวทย์พลังบางสายที่ข้ายังไม่แตกฉานที ไม่รู้ว่าอาศัยเท่าที่มีจะต่อยตีชนะผู้อื่นเขาหรือไม่”
“เฮ่อ…เช่นนั้นก็คงยากเย็นแล้วจริงๆ”
ชายชราที่เอ่ยถามชายวัยกลางคนนามชิงจื่อส่ายหัวไปมาเบาๆ “ช่างเถอะ ครานี้เจ้าเพียงพยายามให้เต็มที่ก็พอ แพ้ก็แพ้ไปเถอะ ไว้รอบหน้าค่อยเอาใหม่ก็ได้”
“ข้ารู้”
ชิงจื่อพยักหน้ารับ
‘รอบหน้าเอาใหม่?’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะผงะไปวูบหนึ่ง จากนั่นมุมปากก็เริ่มยกยิ้มแหยๆออกมาอย่างอดไม่ไหว
เพราะเท่าที่เขาทราบมา…ไม่ใช่ว่าการประลองสวรรค์ใต้นี่มันจะถูกจัดขึ้นทุกๆ ร้อยปีหรือไร?
ชายชราที่กล่าวบอกชิงจื่อผู้นั้นว่ารอบหน้าค่อยเอาใหม่ ไม่ใช่เป็นการสาปแช่งชิงจื่อผู้นั้นทางอ้อมหรอ ว่าให้ติดแหง็กอยู่ในด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไปอีกร้อยปี?
‘เจ้าชิงจื่อผู้นั้น ทั้งๆที่ผู้อื่นกล่าวเชิงสาปแช่งให้มันติดแหง็กอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเป็นร้อยปี ไฉนยังแลดูเห็นดีเห็นงามได้เล่า นี่มันไปโดนลาเตะหัวมารึยังไง?’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะงุนงงกับเรื่องนี้จริงๆ
“นายท่าน มีเรื่องอันใดหรือ?”
หลิวก่วงหลินที่สังเกตเห็นสีหน้าเหรอหราคล้ายสับสนอะไรบางอย่างของต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงผ่านพลังถามไถ่ออกไป
จนเมื่อต้วนหลิงเทียนเล่าต้นสายปลายเหตุออกมา ว่าเกิดจากบทสนทนาของ 2 คนตรงนู้น หลิวก่วงหลินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแห้งๆด้วยสีหน้าขื่นขม
“นายท่าน…ตัวท่านเป็นดั่งลูกรักสวรรค์ ไหนเลยจะเข้าใจความลำบากปุถุชนคนนธรรมดาเช่นพวกเราเล่า…ท่านที่มีพรสวรรค์อาจเห็นว่าเรื่องนี้มันน่าขบขัน แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวตนเช่นท่านที่อายุไม่ถึงร้อยปีแต่ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้นั้น กระทั่งในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว ข้าว่ายังไม่พ้นเป็นชนชั้นอัจฉริยะระดับแนวหน้า! ตัวข้าเองหากมิได้ท่านช่วยเหลือวันนั้น เกรงว่าหากคิดจะทะลวงไปให้ถึงขอบเขตขุนนางอมตะ อย่างต่ำๆก็ต้องมีหลายร้อยปี!”
“เช่นเดียวกับพี่ใหญ่ของข้าที่ตกตายไปวันนั้น…มันติดอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมาหลายพันปี กว่าจะสามารถทะลวงจากขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้…”
กล่าวจบคำ รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวก่วงหลินก็ฉายชัดถึงความขื่นขมระทมใจหนักข้อ
ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังคำของหลิวก่วงหลินก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่า เขาดันเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานไปเสียได้…
ถึงแม้เขาจะลดมาตรฐานลงแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลดลงไปมากมายอะไร
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินนั่งรอคอยบนอัฒจันทร์ได้พักหนึ่ง ผู้คนก็เริ่มทยอยกันขึ้นมานั่งเต็มอัฒจันทร์ฝั่งเขาเรียบร้อยแล้ว
ส่วนอัฒจันทร์เบื้องหน้าซ้ายขวานั้น ก็เริ่มมีผู้คนทยอยกันมาถึงเรื่อยๆ
“นั่นเจ้าเมืองตู้อวิ๋นนี่!”
ผ่านไปสักพัก ก็ปรากฏร่างกลุ่มคน 5 คนก้าวอาดๆเดินขึ้นไปยังอัฒจันทร์ฝั่งซ้ายมือของอัฒจันทร์ที่ต้วนหลิงเทียนนั่งอยู่
และพอกลุ่มคน 5 คนดังกล่าวนั่งลงได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงอุทานจากอัฒจันทร์ฝั่งเขาดังขึ้น
พอเขาหันไปมองผู้ที่อุทานออกมา ก็พบว่าสายตาของมันจับจ้องไปยังร่างกลุ่มคนทั้ง 5 ที่พึ่งมาถึง
ยังมองจ้องไปยังชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีทองเข้ม ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา หว่างคิ้วให้ความรู้สึกไม่ดุร้ายแต่ก็ไม่อ่อนแอ ยังแผ่พุ่งความน่าเกรงขามออกมาประการหนึ่ง ดูท่าว่าจะไม่ใช่ชนชั้นธรรมดาสามัญ
“เจ้าเมืองตู้อวิ๋น? หวงเหยี่ยนเฟยผู้นั้นน่ะรึ!?”
“มิผิด เป็นมัน! ข้าเคยได้รับเกียรติให้เข้าพบเจ้าเมืองหวงครั้งหนึ่ง!”
“เจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเหยี่ยนเฟย คนดังผู้นั้นน่ะรึ? ยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตราชาอมตะของประเทศฝูชิว ที่กล่าวขานกันว่าพลังฝีมือเป็นรองก็แต่ตัวตนขอบเขตราชาอมตะเท่านั้น ขุนนางอมตะด้วยกันไม่แพ้พ่าย!”
…
เมื่อมีเสียงบทสนทนาดังระงมขึ้นมา ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจว่าไฉนทุกคนแลดูให้ความสนใจอะไรกับเจ้าเมืองตู้อวิ๋นผู้นั้นนัก
ที่แท้เจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเหยี่ยนเฟยที่ว่า ไม่ใช่ยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศธรรมดาๆ แต่ยังเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศที่ได้รับการยอมรับจากทั้งประเทศฝูชิวว่าเป็นอันดับ 1 ใต้ขอบเขตราชาอมตะ!
ขณะเดียวกันสายตาของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มละออกจากร่างเจ้าเมืองตู้อวิ๋นผู้โด่งดังนั่น ไปตกยังร่างอีก 4 คนที่เหลือ จึงเห็นว่าเป็นชายชรา 2 คน กับชายหนุ่ม 2 คน
เค้าโครงใบหน้าของชายหนุ่มทั้ง 2 นั้น ละม้ายคล้ายคลึงหวงเหยี่ยนเฟยอยู่บ้าง คนหนึ่งมีตากับจมูกเหมือนหวงเหยี่ยนเฟยไม่มีผิด ส่วนอีกคนรูปปากกับคางนั้น ถอดพิมพ์เดียวกับหวงเหยี่ยนเฟยมาเลยก็ว่า
“พวกเจ้าเห็นชายหนุ่ม 2 คนนั่นไหม? ทั้งคู่ใช่ลูกชายประเสริฐทั้ง 2 ของเจ้าเมืองหวงที่ร่ำรือว่าเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์หรือไม่?”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเมืองหวงมีบุตรชายทั้งสิ้น 5 คน แต่ 2 คนสุดท้องนั้นมากล้นไปด้วยพรสวรรค์ที่สุด…ทั้งคู่ล้วนอายุแค่ร้อยปีกว่าๆ แต่กลับบรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแล้ว!”
“อีกทั้งร่ำลือกันว่ามีคนหนึ่งแตกฉานวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนางทุกสายแล้วด้วย!”
“มิผิด! ที่แตกฉานทั้งวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนางทุกสายก็คือลูกชายคนที่ 4 ของเจ้าเมืองหวง หวงเจียหลง!”
WSSTH ตอนที่ 2,937 : การประลองสวรรค์ใต้
“นายท่าน ตลอดเดือนที่ท่านปิดด่านบ่มเพาะ ข้าที่ว่างไปหาข่าวในเมือง ก็ได้รู้เรื่องราวในประเทศฝูชิวเพิ่มไม่น้อย รวมถึงเรื่องลูกชายคนเล็กทั้ง 2 ของหวงเหยี่ยนเฟย เจ้าเมืองตู้อวิ๋นด้วย”
ในขณะที่คนในอัฒจันทร์กำลังสนทนากันถึงเรื่องนี้ เสียงผ่านพลังของงหลิวก่วงหลินก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนพอดี
“ลูกชายคนที่ 4 ของหวงเหยี่ยนเฟยเจ้าเมืองตู้อวิ๋นผู้นั้น อายุของมันยังไม่ถึง 200 ปีที…หากแต่ด่านพลังกลับบรรลุถึงขอบเขตอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแล้ว! อีกทั้งยังแตกฉานวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังระดับขุนนางไม่ว่าจะสายโจมตี ป้องัน หรือท่าร่างครบหมดสิ้น!!”
หลิวก่วงหลินมองชายหนุ่มร่างสูงแลดูหล่อเหลาไม่ด้อยกว่าต้วนหลิงเทียนมากเท่าไหร่ ถัดจากหวงเหยี่ยนเฟยพลางกล่าวบอกรายละเอียดผ่านพลัง
“พรสวรรค์นี้ของมัน…เกรงว่าในพื้นที่ชายขอบของภาคกลางได้นอกจากนายท่านและแม่นางฮ่วนเอ๋อแล้ว คงไม่มีใครเทียบมันได้! อย่างน้อยๆข้าก็มิเคยได้ยินว่ามีใครมีพรสวรรค์สูงกว่าท่านกับแม่นาฮ่วนเอ๋อ!!”
ถึงแม้ว่าฮ่วนเอ๋อจะมี ‘เร้นกลิ่นอาย’ ที่เหอเผยหยวนมอบให้พกติดตัว จนไม่มีผู้ใดสามารถบ่งบอกอายุที่แท้จริงของนางได้ แต่หลังติดตามรับใช้ต้วนหลิงเทียนและออกตามหาฮ่วนเอ๋อพร้อมต้วนหลิงเทียนอยู่นาน มันก็ได้รับทราบอะไรมาบ้าง
ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้ว่าฮ่วนเอ๋อนั้น ที่แท้ยังมีอายุน้อยกว่าต้วนหลิงเทียนเสียอีก!
“นอกจากนั้นลุกชายคนที่ 5 ของหวงเหยี่ยนเฟยเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน…มันอายุน้อยกว่าหวงเจียหลงสิบปี หากแต่มันก็ทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสุดยอดแล้วเช่นกัน วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนางที่ฝึกปรือ ก็มีความสำเร็จไม่น้อยใกล้แตกฉานครบทุกสาย”
“พลังฝีมือของพวกมันทั้งคู่กล่าวไป รั้งอยู่ 5 อันดับแรกของยอดฝีมือขอบเขตยดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งประเทศฝูชิว…”
หลิวก่วงหลินกล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดเล็กน้อย ค่อยหยีตากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ในเมื่อวันนี้ประเทศฝูชิวจะเฟ้นหายอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะทั้งสิ้น 9 คน เช่นนั้นพวกมันทั้งคู่ก็ต้องเป็น 2 ในนั้น”
“พรสวรรค์ไม่ธรรมดาจริงๆ”
ได้ยินคำพูดของหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองชายหนุ่มทั้ง 2 ไกลตาด้วยความสนใจ
ในพื้นที่ชายแดนนั้น เขาไม่เคยได้ยินว่ามีใครจะมีความสามารถและพรสวรรค์เทียบเท่าลูกชายทั้ง 2 ของเจ้าเมืองหวงผู้นี้เลย
‘อย่างไรก็ตามการประลองสวรรค์ใต้นั้นไม่จำกัดอายุ…ต้องมีผู้ที่ติดค้างอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมานานแล้วเข้าร่วมประลองด้วยแน่’
‘และคนเหลานั้น ย่อมไม่ขาดผู้แตกฉานวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังครบทุกสาย…’
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ
เซียนอมตะนั้น ตราบใดที่ไม่ถูกใครฆ่าตาย ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด
ตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นรุ่นเยาว์ อาจเป็นเฒ่าชราอายุหลายพันหรือกระทั่งหลายหมื่นปีก็เป็นได้ แม้พรสวรรค์ของพวกมันจะไม่ได้ดีอะไร แต่ด้วยอยู่มานานขนาดนี้ พลังฝีมือก็ไม่ต่ำทรามแน่นอน
อย่างน้อยๆหากให้เทียบกันในบรรดายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดด้วยกัน พวกมันก็ไม่ใช่ชั่ว
หลังจากนั้นผู้คนของอัฒจันทร์ซ้ายขวาเบื้องหน้าก็เริ่มทยอยกันมาถึงเรื่อยๆ คนไหนดังหน่อยก็มีผู้คนกล่าวถึงมากหน่อย
อย่าไรก็ตามหากเทียบกับ 3 พ่อลูกจากเมืองตู้อวิ๋นแล้ว คนอื่นดูเหมือนจะไม่โด่งดังและสร้างความฮือฮาได้เท่าพวกมัน
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักว่าเขาเดาถูก
อัฒจันทร์ซ้ายขวานั้น มีไว้ให้แขกบางกลุ่มจริงๆ
คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีหน้ามีตาและมีอำนาจในประเทศฝูชิว นอกจากพวกเจ้าเมืองกับลูกหลานแล้ว ก็มีคนของตระกูลใหญ่และขุมกำลังบางส่วนในประเทศฝูชิว
แน่นอนว่าหากเทียบกับภาคกลางทั้งหมดแล้ว ตระกูลกับขุมกำลังเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นตระกูลและขุมกำลังธรรมดาๆ พลังรบยังอ่อนด้อยกว่าตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูชิวมาก
หลังสนใจพ่อลูกเมืองตู้อวิ๋นอยู่พักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหลับตาสงบจิตใจ ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากการทะลวงด่านพลังเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น หากทว่าก้าวเดียวดังกล่าวก็ไม่อาจข้ามผ่านได้ทันเวลา
‘อีกแค่นิดเดียวก็จะทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์แล้วแท้ๆ…แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าในงานประลองสวรรค์ใต้ ข้าทำได้แค่พึ่งพลังที่เหลืออยู่ของอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองเท่านั้น’
ต้นหลิงเทียนลอบคิดในใจอย่างทอดถอน
หลังจากนั้นไม่นาน
“พวกตระกูลราชวงศ์มากันแล้ว!”
ไม่ทราบว่าเป็นเสียงของผู้ใดที่ดังขึ้น แต่ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนที่หลับตาอยู่ลืมตาขึ้นมาทันที
มองไปปราดหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็เห็นชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมปักลายมังกรสีทอง แลดูสง่างามรายล้อมไปด้วยข้าราชบริพานมากมาย
ครู่อมาคนกลุ่มดังกล่าวก็ไปนั่งบนอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้าม
ถึงแม้ว่าอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามกล่าวไปจะมีขนาดเท่าๆกับอัฒจันทร์อื่น หากแต่ที่นั่งนั้นมีน้อยกว่ากันมาก ไม่ถึง 1 ใน 10 ของจำนวนที่นั่งบนอัฒจันทร์ต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ
“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
…
และเมื่อกลุ่มคนดังกล่าวนั่งลง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีผู้คนในอัฒจันทร์ซ้ายขวาไม่น้อยที่ลุกขึ้นยืนประสานมือกล่าวคำทักทายชายวัยกลางคนในชุดคลุมปักลายมังกรทอง
กลับกันเป็นอัฒจันทร์ของต้วนหลิงเทียนที่ไม่ค่อยมีใครสนใจหรือลุกขึ้นทักทายอะไร
นั่นเพราะผู้คนในอัฒจันทร์ที่นั่งหลังนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนพเนจร ไม่ได้สนใจเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์อะไร
‘นั่นน่ะเหรอ ฮ่องเต้ฝูชิว ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ?’
ต้วนหลิงเทียนมองสังเกตชายวัยกลางคนในชุดคลุมปักลายมังกรทองด้วยความสนใจ จากนั้นก็ค่อยเบนตาไปมองผู้ที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังของมัน
อัฒจันทร์ฝั่งนั้นมีแค่ 2 ชั้นเท่านั้น
อย่าไรก็ตาม กลับมีคนที่ยืนรักษาความปลอดภัยหนาแน่นมาก หลายคนยังเอาแต่แผ่สำนึกเทวะสำรวจรอบข้าง ไม่ได้สนใจเรื่องราวใดอื่น แลดูทุ่มเทให้กับหน้าที่นัก
“ชายหนุ่มชุดเขียวที่อยู่ข้างๆฮ่องเต้ฝูชิวนั่น มันใช่องค์ชายที่ว่ากันว่ามีพรสรรค์สูงกว่าใครเพื่อนหรือไม่?”
“มิผิด มันคือองค์ชาย 4 ฝูชิว หูจี้หย่ง!”
“หูจี้หย่งผู้นี้พรสวรรค์มิอาจดูเบาได้จริงๆ อายุแค่สองร้อยเศษๆก็บรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแล้ว ไม่เพียงแต่จะแตกฉานวรยุทธ์อมตะระดับขุนนางสายโจมตีป้องกันและท่าร่างจนแตกฉาน เห็นว่าเวทย์พลังระดับขุนนางของมัน ก็แตกฉานทั้ง 3 สายจนหมด กระทั่งเวทย์พลังสนับสนุนของมันยังเป็นเวทย์พลังสนับสนุนระดับขุนนางที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย”
“ในแง่พรสวรรค์มันอาจจะเทียบกับบุตรชายทั้ง 2 ของเจ้าเมืองหวงไม่ได้ หากแต่พลังฝีมือของมันท่าทางว่าจะแกร่งกว่าบุตรชายทั้ง 2 ของเจ้าเมืองหวงเสียอีก”
“กล่าวได้ว่างานประลองสวรรค์ใต้ที่เฟ้นหายอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะ 9 คนครานี้ เหมือนองค์ชาย 4 กับลูกชายทั้ง 2 ของเจ้าเมืองหวงคว้าไปแล้ว 3 ตำแหน่ง…”
…
ต้วนหลิงเทียนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่มชุดเขียวที่นั่งถัดจากฮ่องเต้ฝูชิวด้วยความสนใจ
ชายหนุ่มชุดเขียวข้างฮ่องเต้ฝูชิวนั้น เค้าโครงใบหน้าก็ราวกับถอดพิมพ์เดียวมากับฮ่องเต้ฝูชิวก็ว่าได้ หากแต่คนแลดูมีลักษณะนิสัยเย็นชา เพียงนั่งอยู่เงียบๆหลับตาทำสมาธิไม่สุงสิงกับผู้ใด คล้ายใดๆในโลกหล้าล้วนไม่เกี่ยวข้องกับมัน
ทันใดนั้น
“หืม?”
สองตาต้วนหลิงเทียนฉายประกายเรืองวูบ เพราะเขาพบว่าฮ่องเต้ฝูชิวที่เดิมนั่งอยู่ข้างๆองค์ชาย 4 ได้อันตรธานหายไปแล้ว
คนคล้ายกับสาบสูญไปในอากาศธาตุ!
ครู่ต่อมาเขาก็สัมผัสได้ถึงสายลมหอบหนึ่งที่โชยมาปะทะใบหน้า จึงพบว่าบัดนี้ฮ่องเต้ฝูชิวได้วูบร่างมาหยุดอยู่กลางฟ้าเหนือสังเวียนแสงทั้ง 9 เรียบร้อย
“สำหรับการประลองสวรรค์ใต้ ข้าเชื่อว่าทุกท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่ามีจุดประสงค์อันใด ข้าจึงไม่คิดจะอธิบายอะไรอีก”
“ตอนนี้ข้าจักกล่าวถึงกฏการประลองสวรรค์ใต้ให้พวกท่านฟัง”
“สังเวียนประลองสวรรค์ใต้มีทั้งสิ้น 9 สังเวียน…ทุกคนสามารถเลือกขึ้นไปยังสังเวียนใดก็ได้ และทุกคนมีอิสระในการท้าทายผู้ใดในสังเวียนก็ได้ หากเอาชนะผู้ที่ครองสังเวียนอยู่ก่อน ก็สามารถกลายเป็นเจ้าสังเวียนได้แทน”
“ทว่าทุกคนไม่ว่าผู้ใด มีสิทธิ์ท้าประลองได้เพียง 9 ครั้งเท่านั้น…และหากพ่ายแพ้ต่อผู้ใดแล้ว ก็ไม่อาจท้าทายคนผู้นั้นได้อีก”
“และการประลองสวรรค์ใต้ครั้งนี้จะดำเนินไปในลักษณะนี้เรื่อยๆ เมื่อถึงกาลสิ้นสุด ทั้ง 9 ที่เป็นเจ้าสังเวียนก็จักได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ”
“ในสังเวียนประลองนั้น นอกจากห้ามใช้อุปกรณ์อมตะประเภทสนับสนุนและประเภทสิ้นเปลืองแล้ว ยังห้ามมิให้ตั้งใจเข่นฆ่าผู้อื่นหรือทำให้พิการโดยเจตนาเด็ดขาด และหากคู่ประลองกล่าวยอมแพ้หรือหลุดออกจากสังเวียนแล้ว หากยังลงมือไม่เลิกก็มิอาจอ้างว่าติดพันอันใด และจะถูกปรับแพ้ทันที!”
…
ฮ่องเต้ฝูชิวที่วูบร่างมาปรากฏตัวเหนือสังเวียนแสงทั้ง 9 ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง กล่าวประกาศกฏกติกาการประลองครั้งนี้ออกมาทันที
‘สังเวียนแสงนี่ หากออกนอกเขตรัศมีแสงก็ถือว่าออกจากสังเวียนสินะ แล้วถ้าออกนอกเขตรัศมีแสงแล้วก็ถือว่าแพ้พ่ายเลย?’
หลังได้ยินกฏกติกาจากฮ่องเต้ฝูชิว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นคราหนึ่ง
สังเวียนแสงที่ว่านั้น เกิดจากค่ายกลเหนือขึ้นไปบนฟ้าสูงที่ยิงลำแสงลงมาปานไฟฉายสว่างจ้า เส้นผ่านศูนย์กลางก็มีราวๆ 300 หมี่เท่านั้น เรียกว่าคับแคบสำหรับตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดนัก อย่าว่าแต่ 300 หมี่ให้เป็น 30 ลี้ ด้วยความเร็วของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ระยะทางเท่านี้ก็เหมือนไม่มี
‘จะว่าไปกฏนี้ก็เยี่ยมไปเลย…แบบนี้ข้าก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังต่อยตีผู้อื่นให้มาก เพียงเลือกขึ้นไปท้าเจ้าสังเวียนเอาตอนใกล้ๆจบการประลองก็พอแล้ว เท่านี้ก็ได้สิทธิ์เข้าสู่แดนลับระดับต่ำได้ง่ายๆ!’
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกถูกใจกฏกติกาการประลองเป็นที่สุด! เพราะนี่หมายความว่าเขาไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองพลังเซียนอมตะมากเท่าไหร่!!
ก่อนหน้านี้เขายังคิดหนักด้วยกลัวว่าการประลองสวรรค์ใต้จะเป็นรูปแบบการจับฉลากแบ่งสายอะไร และขึ้นไปประลองฝีมือคัดคนไปจนเหลือ 9 คนสุดท้ายอะไรทำนองนั้น
“กฏการประลองเช่นนี้ มิใช่ว่าหากผู้ใดขึ้นไปยืนบนสังเวียนก่อนจะไม่เสียเปรียบผู้อื่นตายหรือ? เพราะมิพ้นต้องโดนท้าจนสิ้นเปลืองพลังทั้งบาดเจ็บสะสมไปเรื่อยๆ”
หลิวก่วงหลินที่นั่งอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวออกด้วยความสงสัย เพราะมันรู้สึกว่ากฏกติกาเช่นนี้ เหมือนจะไม่เป็นธรรมกับผู้ที่ลงมือก่อน
“พี่ชายท่านนี้ ใช่ท่านพึ่งมาเข้าร่วมงานประลองสวรรค์ใต้ครั้งแรกหรือไม่?”
ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนหน้าตายิ้มแย้มผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังหลิวก่วงหลินก็เอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้วสหาย”
หลิวก่วงหลินก็หันกลับไปมองอีกฝ่ายพลางพยักหน้ากล่าวตอบ
“การประลองสวรรค์ใต้ หลังผู้ใดประลองเสร็จแล้ว จักได้รับระเวลาพักฟื้นฟูกำลัง กระทั่งประเทศฝูชิวยังจะมอบโอสถอมตะให้ท่านใช้เพื่อฟื้นฟูพลัง”
“และหากท่านบาดเจ็บ ทางตระกูลราชวงศ์ก็จะมอบโอสถอมตะรักษาให้ท่านตามอาการ หนักหน่อยก็รับประทานโอสถอมตะระดับสูงสุดไป เบาหน่อยก็โอสถอมตะทั่วไป เรียกว่าต่อให้ท่านเจียนตาย ที่นี่ก็มีโอสถอมตะระดับราชาให้ใช้ฟรี!”
ชายวัยกลางคนกล่าวถึงจุดนี้ก็คลี่ยิ้มบางๆ “เรียกว่าหากพี่ชายไม่ถึงขั้นพิกลพิการ ขอเพียงรับประทานโอสถอมตะระดับราชาสักเม็ด รับรองท่านสามารถลุกมาสู้ต่อได้ในเวลาอันสั้น!”
“และถึงอาการบาดเจ็บท่านจะหนักหนาจริง แพ้ครั้งหนึ่งก็มิใช่ว่าจบสิ้นกันแล้ว ท่านก็แค่พักรักษาตัวก่อนค่อยขึ้นไปท้าทายชิงเจ้าสังเวียนภายหลังก็ได้ อย่างไรเสียก็มีโอกาสท้าได้ถึง 9 ครั้ง”
“ดังนั้นในสังเวียนประลองสวรรค์ใต้ ท่านมิต้องกลัวเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบอันใด บางคนยังชมชอบด้วยซ้ำ เพราะโอกาสประมือกับยอดฝีมือก็มิใช่ว่าจะมีมาง่ายๆ ใครจะไปรู้ขณะต่อสู้อาจเกิดแรงบันดาลใจ หรือรู้แจ้งอันใดก็เป็นได้ บางคนก็คิดแสดงฝีมือเพื่อหวังชื่อเสียง จักได้มีโอกาสเข้าร่วมขุมกำลังในประเทศภายหลัง…”
“แถมผู้ที่โดดขึ้นเวทีไปก่อนเพื่อขัดเกลาตัวเอง กล่าวไปยังมีมากกว่าผู้ที่รอประลองช่วงใกล้จบเสียอีก”
ชายวัยกลางคนกล่าวออกมารวดเดียวจบ
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
และแทบจะทันทีที่ชายวัยกลางคนกล่าวจบ ดั่งจะยืนยันคำพูดของมันก็ไม่ปาน เพราะมีร่าง 7 ร่างพุ่งขึ้นสังเวียนไปฉับไวปานฟ้าผ่า!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น