War sovereign Soaring The Heavens 2910-2930

 ตอนที่ 2,910 : บุกนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!


 


นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับนั้น เป็นหนึ่งในนิกายอมตะใหญ่ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และยังได้รับการยอมรับให้เป็นนิกายอันดับ 1 ของภาคตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย


 


พื้นเพความเป็นมาของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็ล้ำลึกนัก


 


และที่สำคัญก็คือ บัดนี้ขุมกำลังของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับได้ทรงพลังเหนือกว่านิกายอมตะใหญ่ใดๆใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้อย่างเห็นได้ชัด


 


ในบรรดานิกายอมตะใหญ่ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้นั้น บางนิกายไม่มีแม้กระทั่งขุนนางอมตะ 9 ตำหนักด้วยซ้ำ ยังจะนับประสาอะไรกับขุนนางอมตะ 10 ทิศ!


 


และมีนิกายอมตะใหญ่ชั้นนำไม่น้อย ที่มีแค่ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก แต่ก็ไร้ซึ่งขุนนางอมตะ 10 ทิศดำรงอยู่


 


โดยทั่วไปแล้ว มีแต่นิกายอมตะใหญ่ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเท่านั้น ถึงจะมีตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศดำรงอยู่ นิกายอมตะเหล่านี้ก็ได้แก่ นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ นิกายอมตะสือหัง นิกายยอมตะสราญรมย์  ฯลฯ


 


แต่ในบรรดานิกายอมตะใหญ่ที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ นอกจากนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับแล้ว ก็ล้วนมีตัวตนขุนนางอมตะ 10 ทิศดำรงอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น


 


แต่อย่างไรเสียแม้จะมีแค่คนเดียว แต่พลังอำนาจก็ถือว่าเป็นรองนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับแค่นิกายเดียว


 


ส่วนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับนั้น มีตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน!


 


และเป็นเพราะการดำรงอยู่ของขุนนางอมตะ 10 ทิศทั้ง 3 คนนี้เอง ที่ทำให้ตำแหน่งของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ไม่เว้นพื้นที่ชายแดนทั้งมวลอยู่ ณ จุดสูงสุดไร้ผู้ใดเทียบติด


 


แน่นอนว่าข้างต้นที่กล่าวมา ก็คือพลังความแข็งแกร่งที่เปิดเผยสู่โลกภายนอกของเหล่านิกายอมตะใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงพื้นที่ชายแดนอื่นๆเท่านั้น


 


เพราะไม่มีผู้ใดบอกได้ ว่านิกายอมตะใดที่มีตัวตนขอบเขตพลังกึ่งราชาอมตะเร้นกายอยู่บ้าง เพราะยอดฝีมือเหล่านั้นจะปรากฏตัวขึ้นก็ต่อเมื่อนิกายตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นล่มสลายเท่านั้น


 


ในประวัติศาสตร์ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีกรณีตัวอย่างนิกายอมตะไท่อีให้เห็นกันเป็นอย่างดี…


 


แน่นอนว่าประวัติศาสตร์ในพื้นที่ชายแดนภาคอื่นๆ ก็ไม่ขาดกรณีอย่างนิกายอมตะไท่อีเช่นกัน!


 


ด้วยเหตุนี้ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ จวบจนในพื้นที่ชายแดนทั้งมวล หลังเกิดเหตุการณ์ตัวอย่างที่มียอดฝีมือเร้นกายของนิกายอมตะไท่อี ออกมาทำลายล้างนิกายอมตะอันดับ 1 ให้เห็น ก็ไม่มีนิกายอมตะใหญ่นิกายใดที่คิดจะฮุบกลืนนิกายอมตะใหญ่ที่อ่อนด้อยกว่า กระทั่งไม่มีนิกายใดเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารจนกระทบถึงรากฐานนิกายอีกเลย


 


เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเป็นนิกายอมตะใหญ่นิกายใด แม้ในปัจจุบันจะอ่อนด้อยแค่ไหน แต่ในอดีตก็ล้วนแล้วแต่มีช่วงเวลาที่เคยรุ่งโรจน์ และมีตัวตนที่ทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะด้วยกันทั้งสิ้น…


 


และไม่มีผู้ใดสามารถมั่นใจได้ว่า…เหล่าราชาอมตะที่ออกจากนิกายไป ที่แท้ใช่ไปยังภาคกลางแล้วจริงหรือไม่ หรืออันที่จริงแล้วเลือกที่จะเร้นกายรั้งอยู่เพื่อลอบให้ความคุ้มครองนิกายของตัวเองอย่างลับๆ…


 


เช่นนั้นแล้ว ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยมีอำนาจสะกดของตัวตนขอบเขตกึ่งราชาอมตะที่อาจเร้นกายลอบให้ความคุ้มครองอยู่ แม้จะเป็นนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่ทรงพลัง ก็ไม่กล้าที่จะลงมือฮุบกลืนนิกายอมตะที่อ่อนแอกว่าสักครั้ง


 


อย่างไรก็ตามในที่แจ้ง นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็ยังคงครองความเป็นหนึ่ง มองไปทั่ว 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ก็ไร้ผู้ใดหาญกล้าต่อกรอย่างไม่อาจปฏิเสธได้…


 


ทำให้ไม่ว่าจะเป็นประมุขนิกายอมตะสือหัง หรือประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ไม่เว้นประมุขนิกายอื่นใด ยามพบหน้าประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ก็ยังต้องให้หน้าอีกฝ่าย และลดท่าทีลงสามส่วน


 


ท้ายที่สุดแล้วตราบใดที่นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไม่คิดจะเปิดฉากลงมือทำลายนิกายอมตะใหญ่อื่นๆก่อน แม้นิกายอมตะใหญ่อื่นๆอาจจะล่วงรู้ว่านิกายของตัวเองมียอดฝีมือเร้นกายอยู่ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือทำอะไร เพราะยอดฝีมือเหล่านั้นไม่คิดเคลื่อนไหวลงมือเพราะช่วยพวกมันช่วงชิงอำนาจแน่นอน…


 



 


“นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ด้านหน้าเหรอ?”


 


พอเห็นว่าอยู่ๆเถี่ยไท่เหอก็หยุดร่างลงกลางหาว ต้วนหลิงเทียนก็พอจะคาดเดาได้ว่าสมควรมาถึงนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับแล้ว พอได้ยินคำพูดของเถี่ยไท่เหอเขาก็เลยหันไปมองสำรวจที่ทางเบื้องหน้าทันที


 


พบว่าเบื้องหน้า เป็นป่าทึบเขียวขจีทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา


 


และเหนือขึ้นไปจากพื้นที่ป่าขจีขึ้นไปหลายสิบลี้ ก็เห็นเป็นแพเมฆกว้างใหญ่หนึ่ง และเห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างจากแพเมฆที่เกิดขึ้นธรรมชาติ


 


เป็นธรรมดาว่าหากไร้พลังของอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ต้วนหลิงเทียนก็คงไม่อาจแลเห็นความแตกต่างของแพเมฆบนฟ้าได้เลย ว่ามันต่างจากแพเมฆธรรมดาอย่างไร


 


ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับมองเห็นความต่างได้ในปราดเดียว!


 


“ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับตั้งอยู่บนฟ้าสูงขึ้นไปนับหมื่นหมี่..อีกทั้งในป่าแห่งนี้ แม้จะมีสัตว์อมตะเป็นจำนวนมาก หากแต่พวกมันล้วนเป็นสัตวว์อมตะไร้สติปัญญาที่ไม่อาจเหินบินได้ เช่นนั้นจึงเป็นสถานที่ฝึกฝนขัดเกลาเหล่าศิษย์นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับอย่างดี”


 


เถี่ยไท่เหอเองก็มองไปยังแพเมฆที่ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นความแตกต่างในปราดเดียวเช่นกัน จากนั้นก็กวาดตาลงมามองป่าทึบเบื้องล่างพลางกล่าวเล่าให้ต้วนหลิงเทียนฟัง


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับรู้เบาๆ


 


“ไปกันเถอะ…ข้าอยากจะฟังคำอธิบายของนายน้อยนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับไป๋อวี่ซวนผู้นั้นนัก ว่าอาศัยพลังฝีมือระดับมัน ทำอย่างไรถึงรอดพ้นความตายภายใต้เงื้อมมือของบรรพจารย์ไท่อีมาได้”


 


ต้วนหลิงเอ่ยออกเสียงเรียบ และพอกล่าวจบคำ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันทรงพลังน่าพรั่นพรึงขุมหนึ่งก็แผ่กำจายออกมาปกคลุมเถี่ยไท่เหอและฮ่วนเอ๋อเอาไว้


 


พริบตาต่อมาร่างทั้ง 3 ก็ราวกับจะสาสูญไปในความว่างเปล่า!


 


พอปรากฏตัวอีกครั้ง ทั้งหมดก็บรรลุถึงน่านฟ้าเหนือแผ่นดินนับหมื่นๆหมี่แล้ว ยังเป็นการพุ่งทะลวงแหวกม่านเมฆที่ไม่ใช่แพเมฆธรรมดานั่นขึ้นมาอย่างอุกกอาจ!


 


แพเมฆหนาที่เห็นนั้นล้วนเป็นแพเมฆที่เกิดจากค่ายกลป้องกันของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ และหากไม่ใชคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่มีป้ายผ่านเข้าออกค่ายกลแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดก็ไม่อาจฝ่าเข้ามาได้ง่ายๆ!


 


อย่างไรก็ตาม คราวนี้ต้วนหลิงเทียนอาศัยพลังที่ทัดเทียมได้กับตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 8 ชะตา เช่นนั้นเขาจึงผ่านแพเมฆอันเป็นค่ายกลดังกล่าวได้อย่างงไร้เรื่องราว กระทั่งยังผ่านเข้ามาได้อย่างไร้ร่องรอยโดยไม่มีใครทันรู้ตัว


 


“ว้าว…พี่หลิงเทียน ที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับช่างงดงามยิ่ง มันดูดีกว่าที่อยู่ของนิกายอมตะไท่อีหลายขุมเลย สมแล้วที่แข็งแกร่งกว่านิกายอมตะไท่อีมาก”


 


หลังผ่านแพเมฆอันเกิดจากค่ายกลจนล่วงล้ำเข้ามายังถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงฮ่วนเอ๋อดังเข้าหูก่อนใดอื่น


 


เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ฮ่วนเอ๋อ ก็ได้ตื่นจากภวังค์ตีความเวทย์พลังเรียบร้อย และหลังจากนั้นนางก็ไม่คิดจะฝึกฝนเวทย์พลังหรือวรยุทธ์อมตะอันใดอีก


 


ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารย์พาดพิงถึงนิกายอมตะไท่อีของฮ่วนเอ๋อระยะประชิด เถี่ยไท่เหอที่อยู่ข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มแหยๆออกกมา อย่างไรก็ตามมันเคยชินกับท่านย่าน้อยผู้มีอภิสิทธิ์นางนี้แล้ว


 


“สุดท้ายแล้วมันก็เป็นนิกายอมตะอันดับ 1 ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้นี่นา พวกมันก็ต้องทำให้ยิ่งใหญ่เอาหน้าเป็นธรรมดา…”


 


ต้วนหลิงเทียนเอง ที่เห็นฉากเรื่องราวเบื้องหน้าอันเป็นถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับครั้งแรก ก็อดไม่ได้ที่จะตาลุกวาวขึ้นมาเช่นกัน


 


เพราะถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ แม้จะเป็นรูปแบบเกาะลอยเหมือนนิกายอมะตไท่อี แต่รูปร่างของแต่ละเกาะยังไม่เหมือนกัน เรียกว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะทั้งสิ้น


 


สิ่งเดียวที่เหล่าเกาะลอยเหล่านี้มีเหมือนกันก็คือ ความอลังการงานสร้าง! สิ่งปลูกสร้างทั้งอาคารไม่เว้นตัวเกาะเห็นได้ชัดว่าถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง! กระทั่งพลังที่พยุงแต่ละเกาะยังทอแสงเรืองรอง แลดูนวลตาให้ความรู้สึกโอ่อ่าไม่ใช่เล่น สร้างความประทับใจแรกให้แก่ผู้ที่พบเห็นทันที!!


 


“ผู้อาวุโสเถี่ยในเมื่อพวกเรามาเยือนจากแดนไกล เช่นนั้นพวกเราก็ถือเป็นอาคันตุกะ…และคราวนี้ข้าก็มาในนามหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี”


 


ต้วนหลิงเทียนมองชมถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับอยู่พักหนึ่ง ก็หันไปเอ่ยคำกับเถี่ยไท่เหอด้านข้าง “เช่นนั้นไม่ใช่ว่าท่านสมควรกล่าวทักทายนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับสักหน่อยหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


อย่างไรก็ตามแม้จะกล่าวคำพร้อมแย้มยิ้มอ่อนๆ ทว่าลึกลงไปในแววตาของต้วนหลิงเทียนกลับฉายชัดถึงความเยียบเย็นอำมหิตประการหนึ่ง


 


ตั้งแต่ที่เขารับทราบว่าไป๋อวี่ซวนนายน้อยของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับยังมีชีวิตอยู่ และสมควรเป็นนิกายอมตะสววรรค์ลี้ลับสมรู้ร่วมคิดกันจัดฉากเข่นฆ่าบรรพจารย์ไท่อี ในใจของเขาก็ท่วมท้นไปด้วยโทสะ เพราะเขาเองก็รู้สึกว่าบรรพจารย์ไท่อีตกตายอย่างไร้ความเป็นธรรมสิ้นดี!


 


ถึงแม้ว่าเขากับเหอซานจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมากมาย


 


อย่างไรก็ตามเหอซานก็เป็นบรรพจารย์ของนิกายอมตะไท่อี และไป๋ผิงผู้เป็นประมุขนิกายอมตะไท่อี ก็ดูแลรับรองเขาอย่างดี กระทั่งเอาใจเขาทุกอย่าง ในเมื่อเรื่องนี้อยู่ในขอบเขตที่เขาจัดการได้ เขาย่อมไม่มีวันนิ่งเฉยอยู่ได้!!


 


“ประเสริฐ!”


 


เถี่ยไท่เหอที่กำลังรอคำนี้ของต้วนหลิงเทียนอยู่ เช่นนั้นทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ มันก็ตอบรับทันใด จากนั้นก็อ้าปากกล่าวคำออกมาอีกรอบ และเสียงกล่าววาจาครานี้ยังผสานไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันสุดไพศาล จนดังสะท้านไปทั่วนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!!


 


“เถี่ยไท่เหอ ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะไท่อี พร้อมด้วย ปรมาจารย์โอสถต้วน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี มาเยี่ยมเยียนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!”


 


นี่คือวาจาที่เถี่ยไท่เหอพึ่งกล่าว


 


และอยู่ๆการที่เสียงของเถี่ยไท่เหอดังกึกก้องไปทั่วทั้งนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับแบบนี้ มันก็สร้างความแตกตื่นโกลาหลให้กับคนขอนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับทันที!


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ตราบใดที่เป็นคนที่อยู่ในนิกายอมตะสววรรค์ลี้ลับมาสักพัก ย่อมรู้ได้ทันทีว่าเถี่ยไท่เหอนั้นเป็นอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญ ที่บุกรุกเข้ามาในถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับอย่างอึกอาจโดยไม่ได้รับอนุญาต!


 


เพราะหากเถี่ยไท่เหหอมาเยี่ยมเยียนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับจริง นับประสาอะไรกับมันที่เป็นแค่ขุนนางอมตะ 7 ดารา ต่อให้เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศ แต่เสียงของมันก็ไม่มีวันดังเข้ามาในถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับกระทั่งดังก้องไปทั่วแบบนี้!


 


เนื่องเพราะค่ายกลที่ปกคลุมรอบถิ่นที่อยู่นิกายอมตคะสวรรค์ลี้ลับนั้น มันมีอาคมปิดกั้นเสียงด้วยเช่นกัน และมีแต่ตัวตนขอบเขตราชาอมตะขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะมีพลังสามารถส่งเสียงงให้ดังผ่านเข้ามากึกก้องไปทั่วนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับได้!


 


“เถี่ยไท่เหอ ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะไท่อี มันมิใช่อดีตผู้พิทักษ์เถี่ยของนิกายอมตะไท่อีที่พึ่งทะลวงถึงขุนนางอมตะ 7 ดาราได้ไม่นานคนนั้นหรือไร?”


 


“ฟังที่มันพูดเมื่อครู่…มันบอกว่ามาเยี่ยมเยียนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเรางั้นรึ?”


 


“แต่มันเข้ามาที่นี่โดยไม่มีผู้ใดแจ้งเตือนได้อย่างไร เช่นนั้นหมายความว่ามันเข้ามาโดยมิได้รับเชิญ…นี่มันถึงกับกล้าบุกรุกเข้ามาตามอำเภอใจงั้นรึ?”


 


“เหอะ! ขุนนางอมตะ 7 ดาราที่กล้าหาญนัก!”


 


“ฟังแล้วดูเหมือนมันจะมาพร้อมต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจรย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีผู้นั้น…หรือเป็นเพราะต้วนหลิงเทียน มันถึงได้กล้าหาญชาญชัญขนาดนี้!?”


 


“เฮอะ! แม้แต่ซุนเชาอดีตปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงอันดับหนึ่ง ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ในกาลก่อน ยามมาเยือนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเรา ยังต้องรอให้พวกเราเชิญเข้ามาเสียก่อนถึงจะเข้ามาได้! ถึงแม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนนจะแทนที่ซุนเชาแล้วกลายเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงอันดับหนึ่งคนใหม่ แต่มันก็ไม่มีอภิสิทธิ์อันใด ที่จะบุกรุกเข้ามานิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเราตามอำเภอใจ!!”


 



 


ทันทีที่เสียงของเถี่ยไท่เหอดังไปทั่วนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ นอกจากจะทำให้ศิษย์ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับตกใจแล้ว เหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับยังบังเกิดความไม่พอใจ และคิดว่าต้วนหลิงเทียนกับเถี่ยไท่เหอหยาบคาย ไร้มารยาทสิ้นดี!


 


“เถี่ยไท่เหอ?”


 


“แถมต้วนหลิงเทียนผู้นั้นก็มาด้วย?”


 


“พวกมันมาที่นี่ทำไม?”


 


หลังได้ยินเสียงของเถี่ยไท่เหอ ประมุขนิกายยอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋หวู่จี้ ก็เลิกคิ้วขึ้น แววตาฉายชัดถึงความแปลกใจสงสัย


 


เพราะต้วนหลิงเทียนกับเถี่ยไท่เหอบุกเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงของเถี่ยไท่เหอแล้ว เกรงว่าจะไม่ได้มาในฐานะอาคันตุกะอันใด แต่คล้ายมาหาความอะไรมากกว่า!!


 


อย่างไรก็ตามแม้จะรู้ว่าทั้งสองคนคล้ายมาหาความอันใดบางอย่าง แต่ไป๋หวู่จี้ก็ไม่คิดจะออกไปพบทั้งคู่โดยตรง


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ‘ฐานะ’ ของมันก็ค้ำคออยู่!


 


“ไปกันเถอะ! ไปดูหน้าเถี่ยไท่เหอของนิกายอมตะไท่อีสักครา…ข้าอยากรู้นักว่ามันอาศัยอะไรถึงได้หาญกล้าบุกเข้ามานิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเราโดยมิได้รับเชิญ!”


 


“อาศัยขุนนางอมตะ 7 ดาราคนหนึ่งกลับลำพองตัว…ข้าอยากรู้เหมือนกัน ว่าอีกประเดี๋ยวมันจะหาญกล้ากล่าวเสียงดังเช่นเมื่อครู่ต่อหน้าขุนนางอมตะ 8 ชะตาอย่างข้าไหม!”


 


“มันคิดจริงๆหรือ ว่าอาศัยเด็กน้อยขนอุยที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นปรมจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงอันดับ 1 ของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้คนหนึ่ง จักทำให้มันสามารถบุกรุกนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับได้ตามใจชอบ?”


 


“วันนี้ข้าจักคอยยดู ว่าเถี่ยไท่เหอนั่นจักอธิบายความหาญกล้าบุกรุกของมันว่าอย่างไร”


 



 


ถึงแม้ว่าไป๋หวู่จี้  ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับไม่คิดจะออกไปพบพวกต้วนหลิงเทียนกับเถี่ยไท่เหอด้วยตัวเอง หากแต่ผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่นๆของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไม่จำเป็นต้องรั้งรออะไรเช่นนั้น ต่างพากันเหินร่างออกไปทีละคนๆ มุ่งตรงไปยังต้นเสียงเถี่ยไท่เหอด้วยสีหน้าแววตาดุร้ายเอาเรื่อง!


ตอนที่ 2,911 : คนโกหก


 


ที่อยู่อาศัยของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ เป็นรูปแบบเกาะลอย ทั้งแต่ละเกาะยังวิจิตรงดงามให้บรรยากาศราวกับเกาะศักดิ์สิทธิ์สูงส่งไร้ตัวตน


 


และเหนือขึ้นไปบนฟ้าสูงของที่อยู่อาศัยนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ปรากฏเกาะลอยอิสระ 3 เกาะ แต่ละเกาะนั้นไม่ใหญ่โตอะไรมากมาย มีเพียงบ้านลานหนึ่งหลัง อีกทั้งตัวบ้านยังแลดูเรียบง่ายผิดกับอาคารในเกาะเบื้องล่างลิบลับ หากทว่าบุปผาทั้งพืชพรรณที่ปลูกบนเกาะลอยทั้ง 3 นั้น เพียงแลดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา เพราะไม่เพียงแต่จะงดงงามอย่างหาดูชมได้ยาก พวกมันยังแผ่กลิ่นอายไม่ธรรมดาออกมาอีก


 


“เถี่ยไท่เหอ ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะไท่อี พร้อมด้วย ปรมาจารย์โอสถต้วน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี มาเยี่ยมเยียนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!”


 


และหลังเถี่ยไท่เหอประกาศคำจนเสียงกึกก้องกังวาลไปทั่วนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ร่างคน 3 คนในบ้านลานแต่ละหลังของเกาะลอยทั้ง 3 ที่ได้ยินเสียงเถี่ยไท่เหอ ก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง


 


หนึ่งในนั้นที่กำลังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์บนโต๊ะหินอ่อนในลานด้านหน้า พอได้ฟังมือที่ยกถ้วยชาของมันก็หยุดค้างไปชั่วครู่


 


“เถี่ยไท่เหอ?“


 


“นามนี้ มิใช่ผู้พิทักษ์ของนิกายอมตะไท่อีจากพื้นที่รกร้าง ที่พึ่งทะลวงถึงขุนนางอมตะ 7 ดาราเมื่อไม่กี่ปีก่อนหรือไร?”


 


ผู้ที่นั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์เป็นชายยชราในชุดคลุมขาว รูปร่างผ่ายผอม บรรยากาศทั่วเรือนกายให้ความรู้สึกราวเทพเซียน


 


แม้ชายชราจะกล่าวพึมพำด้วยสงสัย หากแต่สีหน้าแววตากลับสงบเฉยเมย คล้ายไม่ยึดถือเถี่ยไท่เหอเป็นตัวอะไร


 


ในลานของเกาะลอยอีกเกาะหนึ่งที่ลอยอยู่ไม่ห่างนัก ชายวัยกลางคนที่นอนเอนหลังอยู่ในสนามหญ้าหน้าลานคล้ายกำลังพักผ่อนตามอัธยยาศัย ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาหลังได้ยินเสียงเถี่ยไท่เหอ จากนั้นก็ค่อยลุกขึ้นมานั่งพลางกล่าวพึมพำ


 


“เหอะๆ อาศัยขุนนางอมตะ 7 ดาราคนหนึ่แต่เหิมเกริมถึงขั้นกล้าบุกเข้ามาในนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของข้า…ชีวิตของมันน่าเบื่อถึงขั้นรนหาที่ตายเชียวหรือ!?”


 


หลังกล่าวพึมพำจบคำ ลูกตาของชายวัยกลางคนก็ทอประกายเยียบเย็น หากใครมาเห็นแววตานี้ของมันไม่พ้นต้องรู้สึกเสมือนเหมันต์ฤดูมาเยือน ชุดคลุมสีน้ำเงินยังเริ่มโบกสะบัดไปไม่หยุด


 


ราวต้องลมหนาวกรรโชกแรง!


 


ส่วนเกาะลอยเกาะสุดท้าย ชายวัยกลางคนในชุดเขียวแต่เดิมที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ ก็ชะงักไปเล็กน้อยหลังได้ยินเสียงเถี่ยไท่เหอ ก่อนที่จะส่ายบัวรดน้ำในมือเพื่อรดน้ำต้นไม้ต่ออย่างไร้เรื่องราว


 


อีกทั้งสีหน้าของมัน แต่ต้นจนจบก็ไม่แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ประหนึ่งให้ไท่ซานถล่มลงตรงหน้าคนก็ไม่นำพา


 


และหากมีใครมองเค้าโครงใบหน้าและรูปร่างของมันให้ดี ย่อมรู้สึกว่าช่างเหมือนกันกับชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินที่อยู่อีกเกาะลอยข้างๆไม่ผิดเพี้ยน เรียกว่านอกจากบรรยากาศที่แผ่ออกทั่วเรือนกายอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว พวกมันไม่มีสิ่งใดที่ไม่เหมือนกันเลย


 



 


ณ ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับชั้นนอก


 


หลังเถี่ยไท่เหอประกาศเสียงดังออกไปไม่ทันไร บัดนี้มันและต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ถูกเหล่าศิษย์นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนตรวจตราความเรียบร้อยห้อมล้อม ทีท่าแววตาของแต่ละคนแลดูระวังอย่างถึงที่สุด จับจ้องมองไปที่เถี่ยไท่เหอเขม็ง


 


ถึงแม้ว่าพลังฝึกปรือของเถี่ยไท่เหอจะไม่คู่ควรให้กล่าวถึงสำหรับระดับสูงๆของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ


 


แต่อย่างไรเสียมันก็คือขุนนางอมตะ 7 ดาราคนหนึ่ง สำหรับเหล่าศิษย์ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับแล้ว แรงกดดันที่เกิดจากเถี่ยไท่เหอ ย่อมสามารถสะกดข่มพวกมันได้ชะงัก และหากอีกฝ่ายคิดลงมือเข่นฆ่า ก็คงจบชีวิตพวกมันได้ง่ายดาย


 


หากไม่ใช่เพราะที่นี่ยังมีผู้อาวุโสที่เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนคุมเชิงอยู่อีกคน พวกมันย่อมไม่กล้ามาที่นี่ก่อนชนชั้นอาวุโสเด็ดขาด ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมาปิดล้อมเถี่ยไท่เหออยู่แบบนี้


 


เพราะการปิดล้อมเถี่ยไท่เหอย่อมมีอันตรายอย่างสูง! เกิดอีกฝ่ายนึกเฮี้ยนเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารขึ้นมา พวกมันไม่ย่ำแย่แล้วหรือ!!


 


‘เถี่ยไท่เหอ อาวุโสสูงสุดของนิกาอมตะไท่อีจากพื้นที่รกร้างผู้นี้ ฟังจากน้ำเสียงที่มันประกาศเมื่อครู่ เกรงว่าไม่ได้มาดีเป็นแน่…หวังว่ามันจะกริ่งเกรงพลังของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเรา และไม่ลงมือกับพวกเราอย่างผลีผลาม’


 


เหล่าศิษย์นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่มาปิดล้อมเถี่ยไท่เหออยู่ พากันครุ่นคิดในใจไปทำนองเดียวกัน


 


และพอคิดถึงเรื่องดังกล่าวขึ้นมา พวกมันก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น


 


ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!


 



 


ทว่าไม่นานนักในหูพวกมันก็แว่วเสียงแหวกฝ่าสายลมฉับไวดังขึ้นระงม จากนั้นก็ปรากฏเงาร่างมากมายวูบวาบมาถึงจากทุกทั่วสารทิศดั่งประกายแสง พาลให้เหล่าศิษย์และอาวุโสหน่วยลาดตระเวนพากันระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที


 


หากก่อนหน้าพวกมันใช้สายตาท่าทีระวังทั้งกริ่งเกรงมองเถี่ยไท่เหอล่ะก็


 


บัดนี้สายตาท่าทีที่ใช้มองเถี่ยไท่เหอ กลับกลายเป็นมั่นมาดและถือดีทันที


 


“อาวุโสหงมาแล้ว! ท่านเป็นขุนนางอมตะ 8 ชะตา!!”


 


“ผู้อาวุโสฉีก็มาแล้วเช่นกัน! ท่านก็เป็นขุนนางอมตะ 8 ชะตาด้วย!”


 


“นอกจากนั้นทางด้านนั้นยังเป็นอาวุโสหวัง อาวุโสจู และอาวุโสเฉิน…ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางอมตะ 7 ดาราหมดสิ้น!”


 


“เหอะๆ คราวนี้นับว่าเถี่ยไท่เหออาวุโสสูสุดขอนิกายอมตะไท่อีถึงคราวเคราะห์แล้วจริงๆ…หาญกล้าบุกเข้ามานิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเราอย่างโอหัง นับว่าเป็นการลูบคมนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเราโดยแท้”


 



 


เมื่อเห็นเหล่าอาวุโสอันทรงพลังทยอยกันมาถึงมากมาย เหล่าศิษย์นิกายยอมตะสวรรค์ลี้ลับก็คล้ายรับประทานดีหมีหัวใจเสือ ทั้งฉีดเลือดไก่ซ้ำไปอีกขนาน แต่ละคนคึกคักอักโข แลดูทรงพลังขึ้นมาทันตาเห็น


 


ในบรรดาระดับสูงของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับนั้น มีร่างชราหนึ่งกับชายวัยกลางคนอีกหนึ่งที่ลอยร่างอยู่ด้านหนาสุด และเผชิญหน้ากับเถี่ยไท่เหอโดยตรง


 


ชายชรามาในชุดคลุมสีเขียวขี้ม้า ใบหน้าเย็นชาหาอารมณ์ใดๆไม่เจอ มันก็คือ ‘อาวุโสหง’ ที่เหล่าศิษย์ลาดตระเวนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเรียกขานก่อนหน้า


 


ส่วนชายวัยกลางคนนั้นมาในชุดคลุมสีเทาอ่อนใบหน้าเกลี้ยงเกาปานหยกเสลา เมื่อลุมาถึงน่านฟ้าจุดนี้ร่างมันก็หยุดลงด้านข้างอาวุโสหงอย่างพอดิบพอดี มองจ้องไปยังเถี่ยไท่เหอด้วยสายตาเย็นชา


 


และมันก็เป็นขุนนางอมตะ 8 ชะตา ที่เหล่าศิษย์ลาดตระเวนของนิกายอมตะสวรรค์เรียกขานว่า ‘อาวุโสฉี’ เมื่อครู่


 


“เถี่ยไท่เหอ เจ้าในฐานะอาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะไท่อี ไฉนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หาญกล้าบุกเข้ามาในเขตนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเราโดยไม่ได้รับอนุญาต วันนี้เกรงว่าเจ้าต้องหาคำอธิบายดีๆมาช้แจงให้พวกเราฟังหน่อยแล้ว”


 


อาวุโสหงมองเถี่ยไท่เหอด้วยสีหน้าแววตาเยียบเย็น กล่าวคำออกมาเสียงหนัก แลดูเอาเรื่องนัก!


 


“มิผิด”


 


อาวุโสฉีที่อยู่ข้างๆก็กล่าวเสริมออกมาอย่างประจวบเหมาะ สายตาที่มองจองเถี่ยไท่เหอยิ่งมายิ่งเย็นชา เอ่ยปากกล่าวคำออกมาเสียงขรึมว่า “เถี่ยไท่เหอเจ้าเป็นถึงอาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะไท่อี เช่นนั้นเจ้าคงรู้กระมัง…ว่าเจ้าละเมิดกฏของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเรา?”


 


“ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะไท่อีของเจ้าเอง ก็สมควรห้ามมิให้คนนอกล่วงล้ำเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตเหมือนกันกระมัง?”


 


หลังกล่าวจบคำ อาวุโสฉีก็มองจ้องเถี่ยไท่เหอด้วยยสายตาแฝงความนัยประการหนึ่ง


 


“เถี่ยไท่เหอ! หากเจ้ามิอาจหาคำอธิบายดีๆเรื่องเจ้าบุกรุกเข้ามานิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเรา เช่นนั้นวันนี้เจ้ามาได้ แต่อย่าหวังจะได้กลับไป!”


 


“ถูกต้อง! หากเจ้าไม่อาจหาเหตุผลอันสมควรมากล่าวต่อพวกเราได้ล่ะก็ ไม่ต้องถึงมืออาวุโสฉีกับอาวุโสหงแต่อย่างไร…แม้จะเป็นแค่พวกเรา แต่คิดจัดการเจ้ายังเหลือเฟือ!”


 


“เถี่ยไท่เหอ การกระทำอุกอาจของเจ้ามันมีราคาที่ต้องจ่าย…”


 



 


หลังอาวุโสหงกกับอาวุโสฉีที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอาวุโสที่มาถึงตอนนี้กล่าวเปิด เหล่าอาวุโสด้านหลังก็เร่งกล่าวจามออกมาด้วยยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม


 


กระทั่งบางคนไม่เพียงแต่กล่าวออกเสียงเหี้ยมเท่านั้น จิตฆ่าฟันยังเริ่มแผ่ซ่านออกมาอย่างไม่คิดจะปกปิด!


 


เถี่ยไท่เหอที่อยู่ๆก็โดนอาวุโสของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับคาดโทษ มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอื้ออึงอยู่บ้าง


 


ฟังจากคำพูดของคนพวกนี้…หรืออีกฝ่ายคิดว่ามันนำทุกคนบุกเข้ามาถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ?


 


อย่างไรก็ตาม แม้เผชิญหน้ากับวาจาคาดคั้นเสียงเหี้ยมของเหล่าอาวุโสนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ เถี่ยไท่เหอก็ไม่ได้ตอบคำอะไร เพียงวูบร่างฉากหลบไปอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนทันที ทำราวกับทุกสิ่งอย่างวันนี้ ผู้ที่ตัดสินใจล้วนเป็นต้วนหลิงเทียน


 


การเคลื่อนไหวดังกล่าวของเถี่ยไท่เหอ ย่อมทำให้คนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับงุนงงไปพักหนึ่ง


 


และตอนนี้เอง ไม่รอให้อาวุโสทั้งหลายกล่าวคำอะไรสืบต่อ ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวออกมาเบื้องหน้า พลางกล่าวประกาศออกไปด้วยน้ำเสียงเฉยเมยไม่รีบไม่ร้อนว่า “วันนี้ไม่ใช่อาวุโสเถี่ยที่นำคนบุกเข้ามานิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเจ้า แต่เป็นข้าเอง”


 


“ที่ข้ามาวันนี้มีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…ข้าอยากจะได้ยินจากปาก ไป๋อวี่ซวน นายน้อยนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเจ้า ว่าอาศัยมันสามารถรอดพ้นความตายจากน้ำมือของเหอซาน บรรพจารย์ไท่อีของนิกายอมตะไท่อี ที่คิดสังหารมันได้อย่างไร?”


 


พอดีกับที่ต้วนหลิงเทียยนกล่าวจบคำ สองตาเขาก็เผยประกายเยียบเย็นออกมาวาบหนึ่ง


 


และทันทีที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน เหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็ ฉายรอยยิ้มเยาะ กล่าวเย้ยยออกมาเสียงดัง “อาศัยเจ้า? สามารถนำคนบุกเข้ามานิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเราได้? เจ้ามีพลังสามารถถึงขั้นนั้นเชียวรึ?”


 


“นั่นสิ! ต่อให้เจ้าจักเป็นอัจฉริยะในเต๋าโอสถหมื่นปีไม่พบพาน…แต่พลังฝึกปรือเจ้าดูเหมือนจะพึ่งอยู่ในขอบเขตยอดเซียนยอมตะขั้นลี้ลับมิใช่หรือไร อย่างเจ้าน่ะหรือจะมีปัญญาฝ่าค่ายกลของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเรามาได้?”


 


“เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นตัวโง่งมหรือไร?”


 



 


ในขณะที่ระดับสูงของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับกล่าวคำถากถาง แววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็ทำราวกับแววตาที่ใช้มองคนปัญญาอ่อน


 


“เหอะๆ…ไม่ทราบว่าพวกท่านได้ยินเรื่องนี้มาหรือยัง แต่ข้าได้ยินจากคนของนิกายอมตะสราญรมย์มาว่า ภูมิหลังอันใดที่หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีกล่าวอ้างออกมา ล้วนแล้วแต่เป็นมันอุปโลกน์ขึ้นมาเองทั้งสิ้น”


 


“เรื่องนี้เองหรือ ข้าได้ยินมาสักพักแล้วเช่นกัน…เหอะ! คนที่สามารถปั้นแต่งได้กระทั่งภูมิหลังของตัวเองออกมาอย่างหน้าไม่อาย ยังจะหลงเหลือความน่าเชื่อถืออันใด?”


 


“มันอย่างดี ก็เป็นได้แค่คนโกหกเท่านั้น!”


 



 


เมื่อเหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับบางคนเปิดโปงเรื่องที่ภูมิหลังของต้วนหลิงเทียนในภาคกลางล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องปั้นแต่งออกมา ทั้งหมดก็พากันหัวเราะเยาะต้วนหลิงเทียนกันยกใหญ่ สายตาที่ใช้มองยังแฝงความดูถูกเพิ่มขึ้นหลายส่วน


 


“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้า 3 ลมหายใจ…”


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่แยแสสาจาเยาะเย้ยถากถางของเหล่าระดับสูงนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับแต่อย่างไร เขาเพียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย กลบเสียงถากถางของพวกมันว่า “และหากผ่านไปครบ 3 ลมหายใจแล้ว แต่ในบรรดาพวกเจ้ายังไม่มีใครออกไปตามตัวไป๋อวี่ซวนนายน้อยนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเจ้ามาให้ข้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้าคนหนึ่ง…”


 


“และหลังผ่านไปครบ 3 ลมหายใจอีกครั้ง และยังไม่มีใครไปตามตัวไป๋อวี่ซวนมาให้ข้าอีก…ข้าจะฆ่าเพิ่มอีกคน!”


 


“หลังจากนั้น ก็เหมือนกัน…”


 


ในขณะที่กล่าวจาดังกล่าวออกมา สีหน้าทั้งน้ำเสียงต้วนหลิงเทียนแลดูเฉยๆ คล้ายกำลังกล่าวถึงเรื่องไม่สลักสำคัญที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเอง


 


อย่างไรก็ตาม พอวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนดังออกมา คนนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็เงียบไปทันที


 


ครู่ต่อมา พอคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับรู้สึกตัว ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมากันยกใหญ่


 


“ฮ่าๆๆๆ…โอย ข้าพเจ้าขำแทบตายแล้ว! พวกท่านได้ยินคำพูดมันชัดหรือไม่? มันบอกว่าหลังผ่านไป 3 ลมหายใจหากพวกเรายังไม่ไปพานายน้อยไป๋อวี่ซวนมา มันจะฆ่าพวกเราคนหนึ่ง!!”


ตอนที่ 2,912 : ยอดฝีมือที่ซ่อนตัวในเงามืด?


 


“อาศัยยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับคนหนึ่ง ไปเอาความมั่นใจมาแต่ที่ใดถึงได้พูดแบบนี้?”


 


“ข้าคิดว่ามันเสียสติไปแล้ว…อาศัยยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับเช่นมัน กลับกล้าเสแสร้งทำเป็นพูดว่าจะฆ่าพวกเรา หากพวกเราไม่ให้ความร่วมมือกับมันงั้นเหรอ?”


 


“ข้าอยากจะเห็นนักว่าหลังผ่านไปครบ 3 ลมหายใจแล้ว มันจะฆ่าพวกเราคนหนึ่งอย่างไร แล้วผู้ใดจักเป็นคนลงมือฆ่าพวกเราได้!”


 


“ตอนนี้ผ่านไป 1 ลมหายใจแล้ว เหลืออีก 2 ลมหายใจ”


 



 


พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ระดับสูงของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ก็พากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน เพราะพวกมันรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนผู้นี้ช่างเหลวไหลสิ้นดี สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนของพวกมันไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยความดูแคลนรังเกียจ ยังเผยความท้าทายออกมาล้นปรี่


 


ด้านอาวุโสหงกับอาวุโสฉีแม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตาที่พวกมันใช้มองต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน ก็เต็มไปด้วยความเหยียดหยามท้าทายเช่นกัน


 


“ที่แท้มันคือต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ในงานสมัชชาเต๋าโอสถครั้งล่าสุดงั้นหรือ?”


 


“มิผิด เป็นมัน! หลังจบงานสมัชชาเต๋าโอสถครั้งที่ผ่านมา มันยังได้รับการยอมรับจากปรมาจารย์โอสถทั้งหมด ว่ามันคือปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงอันดับ 1 ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่สำคัญมันยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี และด่านพลังบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับอีกด้วย”


 


“ไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆ ว่านับเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่ง ที่มันสามารถบรรลุเต๋าโอสถได้ถึงระดับนี้ภายในเวลาไม่ถึงร้อยปี ที่สำคัญยังไม่อาจปฏิเสธได้เลย…ว่าการที่มันสามารถทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับทั้งที่ยังอายุไม่ถึงร้อย มันช่างมีศักยภาพพรสวรรค์เลิศล้ำนัก! แต่ที่ข้าคิดไม่ออกจริงๆก็คือ อาศัยยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับเช่นมัน ไปเอาความมั่นใจมาแต่ที่ใดถึงกล้าพูดแบบนั้น?”


 


“มันกล้าดีอย่างไรถึงขู่ให้อาวุโสร่วมมือกับมัน…แถมหากผ่านไปครบ 3 ลมหายใจแล้วแต่ผู้อาวุโสไม่ร่วมมือ มันจะฆ่าอาวุโสคนใดคนหนึ่ง? นี่ใช่มันเสียสติไปแล้วหรือไม่?”


 


“ก่อนหน้าหากนิกายอมตะสราญรมย์ไม่ได้ขุดคุ้ยประวัติจนสืบทราบความเป็นมาของมันโดยละเอียด ไม่ว่าใครก็อาจจะกริ่งเกรงตระกูลใหญ่ที่หนุนหลังมัน…แต่ตอนนี้พอสืบประวัติมันจนละเอียดแล้ว แต่ไม่พบว่ามันมีตระกูลอยู่ในภาคกลาง เหล่าผู้อาวุโสไหนเลยจักต้องกริ่งเกรงมัน!”


 


“การกระทำของมันวันนี้ เรียกว่าขุดหลุมฝังศพของตัวเองแท้ๆ!”


 


“เป็นไปได้หรือไม่…ที่มันจะยังไม่รู้ ว่านิกายอมตะสราญรมย์ได้ขุดคุ้ยประวัติมันจนกระจ่างแล้ว?”


 


“ข้าว่ามันต้องยังไม่รู้แน่นอน…หากมันรู้ วันนี้มันจะยังกล้าอวดดีแบบนี้อีกหรือ?”


 



 


ในขณะที่เหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาหลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ทางด้านเหล่าศิษย์และอาวุโสหน่วยลาดตระเวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน จากนั้นก็เริ่มสนทนากันอย่างออกรส


 


หลายคนรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะถึงคราวซวย!


 


“ผ่านไปครบ 3 ลมหายใจแล้ว…”


 


ทันใดนั้นเอง เสียงของต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะไม่ได้ดังมากมายอะไร แต่ก็ดังเข้าหูทุกคนชัดเจนประหนึ่งมีเวทมนตร์


 


“อ้อ ครบ 3 ลมหายใจแล้วรึ…ให้ข้าชมดูหน่อยเถอะว่าเจ้าจะเข่นฆ่าผู้ใดในบรรดาพวกเรา!”


 


ตอนนี้เองอาวุโสคนหนึ่งของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับได้มองจ้องไปที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ค่อยตะโกนกล่าวออกมาอย่างท้าทายว่า “จักว่าไปพลังฝีมือของข้า ก็นับว่าไม่ได้ร้ายกาจอันใดในบรรดาอาวุโสนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่อยู่ที่นี่…เช่นนั้นไยเจ้าไม่ลองฆ่าข้าดูเล่า?”


 


กลาวถึงท้ายประโยค สีหน้าอาวุโสนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับคนดังกล่าวก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน ไม่ขาดการท้าทายแม้แต่น้อย


 


ขณะเดียวกันด้านอาวุโสและเหล่าศิษย์ลาดตระเวนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็พากันมองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตายิ้มเยาะ


 


“ตัวโง่งม!”


 


พอเห็นว่าคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ยังคงไม่นำพากับวาจาของต้วนหลิงเทียน อีกทั้งแต่ละคน คำพูดคำจายังกล้าตั้งคำถามถึงพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน! จังหวะนี้เถี่ยไท่เหออดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมาเบาๆ ยังกวาดตามองพวกมันด้วยสายตาเวทนาสงสาร!!


 


มันรู้สึกเวทนาสงสารเหล่าผู้ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยเหล่านี้อย่างแท้จริง


 


“เดิมทีข้าก็กังวลอยู่บ้างด้วยไม่รู้จะฆ่าใครก่อนดี…ในเมื่อเจ้ารีบร้อนหาที่ตายนัก เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าได้สมหวัง!”


 


แทบจะพร้อมกันกับที่อาวุโสของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่โพล่งคำเย้ยเยาะท้าทายต้วนหลิงเทียนออกมาดังจบคำ สายตาต้วนหลิงเทียนก็เบนไปตกยังร่างของมัน พลางกล่าวออกเสียงเรียบทันที ในแววตายังเริ่มฉายชัดถึงจิตสังหารอำมหิต พาลให้ผู้ที่ชมมองอดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้


 


และพอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ไม่ทันที่กลุ่มคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับจะทันใดตอบสนองใดๆ


 


“อ่อคค..”


 


ไร้ซึ่งการแจ้งเตือนใดๆ กระทั่งไร้ซึ่งร่องรอยใดๆให้สัมผัส ท่ามกลางสายตาของทุกคน อยู่ดีๆอาวุโสของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่ตะโกนท้าทายต้วนหลิงเทียนก่อนหน้า ก็ยกมือขึ้นมากอบกุมลำคำของตัวเอง สีหน้าของมันเริ่มเปลี่ยนไปเป็นแดงฉานปานจะคั้นได้เป็นหยดโลหิต!


 


สีหน้าของมันยังบิดเบี้ยวแลดูอึดอัด คล้ายกำลังพบพานกับความทรมานเหนือคำบรรยาย!


 


“นี่มัน…”


 


“เกิดอะไรขึ้น!?”


 



 


และฉากพิสดารดังกล่าว ก็สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้คนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับถ้วนหน้า แม้กระทั่งเหล่าอาวุโสระดับสูงที่ไม่นำพาจาของต้วนหลิงเทียนในตอนแรก ยังอดไม่ได้ที่จะชักสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง


 


ปงงง!!


 


และในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกกับท่าทางทรมานของอาวุโสนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่หน้าแดงก่ำปานจะคั้นได้เป็นหยดโลหิต อยู่ๆก็บังเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวเสียดสะท้านแก้วหูพวกมัน!


 


ขณะเดียวกัน พวกมันก็เห็นชัดถนัดตา


 


ว่าร่างของผู้อาวุโสนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่ตะโกนท้าต้วนหลิงเทียน อยู่ดีๆก็ระเบิดบึ้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน! คนทั้งคนกลับกลายเป็นหมอกโลหิตไปในบัดดล! หยาดพิรุณโลหิตห่าหนึ่งเริ่มหล่นร่วงตกฟ้า!!


 


ฟุ่บ!


 


จากนั้นแหวนพื้นที่ที่ร่วงตกฟ้าไปพร้อมกับฝนเลือด ก็ถูกพลังไร้สภาพขุมหนึ่งดูดรั้งให้พุ่งบินออกไปทิศทางหนึ่ง


 


ต้วนหลิงเทียนวาดมือเบาๆคว้าแหวนดังกล่าวเอาไว้ ก่อนจะเก็บไปอย่างไร้เรื่องราว


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 



 


เมื่อเห็นฉากอาวุโสของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับถูกเข่นฆ่าอย่างแปลกประหลาด และแหวนพื้นที่ยังถูกต้วนหลิงเทียนเก็บไป เหลาอาวุโสของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็กลับมาครองสติกันทันใด อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างสยิวกาย!


 


ครู่ต่อมา พอพวกมันหันไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาก็ฉายความหวาดกลัวออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


ขุนนางอมตะ 8 ชะตาอย่างอาวุโสหงกับอาวุโสฉี หลังมองต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัวแล้ว พวกมันก็เร่งหันรีหันขวางไปทั่ว คล้ายจะค้นหายอดฝีมือที่ซ่อนอยู่ในเงามืดท่ามกลางอากาศว่างเปล่าโดยรอบ…


 


ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่พึ่งถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าไปจะเป็นแค่ขุนนางอมตะ 6 ผสาน และอาศัยพลังฝีมือของพวกมันทั้งคู่ก็สามารถเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้ง่ายดายเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามหากจะให้พวกมันฆ่าอาวุโสคนดังกล่าวด้วยวิธีการอันพิสดารเช่นนี้ พวกมันรู้ตัวดีว่าไม่มีปัญญากระทำได้!


 


“สามารถใช้วิธีพิสดาร สังหารขุนนางอมตะ 6 ผสานได้อย่างไร้ร่องรอยใดๆให้สืบสาว…ข้าเกรงว่าคงมีแต่ขุนนางอมตะชนชั้นยอดฝีมือเช่นประมุขกระมังที่สามารถทำเช่นนี้ได้?”


 


อาวุโสหงหันมองไปยังอาวุโสฉีพลางส่งเสียงผ่านพลังหารืออย่างหวาดหวั่น สีหน้าแววตายังเผยความหวาดกลัวออกชัด


 


“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า…มีแต่สุดยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักขึ้นไปถึงจะเข่นฆ่าขุนนางอมตะ 6 ผสานคนหนึ่งด้วยกลวิธีพิสดารไร้ร่องรอยเช่นนี้ได้! แถมพวกเราเองก็มิทันได้ตั้งตัว จึงไม่อาจเห็นได้เลยว่ามันลงมืออย่างไรกันแน่!!”


 


อาวุโสฉีตอบกลับผ่านพลังเสียงเครียด


 


ในสายตาของอาวุโสฉีนั้น ด้วยระดับพลังของมันกับอาวุโสหง หากพวกมันระมัดระวังไว้แต่แรก ต่อให้ผู้ลงมือจะเป็นขุนนางอมตะ 9 ตำหนักที่ซ่อนในเงามืด พวกมันก็มั่นใจว่าสามารถพบเบาะแสร่องรอยใดๆแน่นอน เพราะพวกมันทั้งคู่จะอย่างไรก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 8 ชะตา!


 


กลับกัน หากพวกมันไม่ทันได้ระวังตัวไว้แต่แรก พวกมันก็ไม่อาจสังเกตเห็นสิ่งใดได้เลย…


 


ดังนั้นพวกมันก็เลยจัดสินใจกันไปว่า…ผู้ที่ลงมือเมื่อครู่ สมควรเป็นยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก ตัวตนที่มีด่านพลังสูงกว่าพวกมันขั้นหนึ่ง!


 


“เกิดอะไรขึ้น!?”


 


“อะ…อาวุโสเผิง ตะ….ตายแล้ว!”


 


“อาวุโสเผิง…เหมือนจะเป็นขุนนางอมตะ 6 ผสานมิใช่หรือ? ไฉนถึงถูกฆ่าตายในพริบตาได้เล่า!?”


 


“เป็นการลงมือของต้วนหลิงเทียนผู้นั้น!?”


 



 


สีหน้าท่าทีเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสหน่วยลาดตระเวนเองก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง พวกมันแลดูตื่นตระหนกตกใจ พอมองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาก็ไม่หลงเหลือความเยาะเย้ยถากถางใดๆอีกเลย ถูกความผวาพรั่นกลัวเข้ามาแทนที่หมดสิ้น


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อสังเกตท่าทางของเหล่าอาวุโสระดับสูงที่เริ่มหันรีหันขวางไปรอบๆตามอาวุโสหงกับอาวุโสฉี พวกมันก็เริ่มคาดเดาอะไรบางอย่างได้ “ดูเหมือนจะมียอดฝีมือที่เร้นกายในเงามืด!”


 


“แต่ไม่ใช่ว่าภูมิหลังของต้วนหลิงเทียนถูกนิกายอมตะสราญรมย์ขุดคุ้ยหมดสิ้นแล้วหรือไร เรื่องที่มันมีตระกูลใหญ่ในภาคกลางหนุนหลังก็ล้วนเป็นเรื่องปั้นแต่งมิใช่เหรอ?”


 


“นั่นก็ใช่…แต่เรื่องเมื่อครู่เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไรเล่า?”


 



 


และตอนนี้ก็ไม่ใช่แค่เหล่าศิษย์และอาวุโสหน่วยลาดตระเวนเท่านั้นที่กำลังงุนงง กระทั่งระดับสูงของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเองก็งุนงงทั้งไม่เข้าใจ


 


“เอาล่ะ อีก 3 ลมหายใจผ่านไปครบแล้ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็คิดไม่ถึง ว่าทั้งๆที่เขาฆ่าคนไปแล้วคนหนึ่ง แต่ในบรรดาคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับจะยังไม่มีใครหน้าไหนไปเรียกไป๋อวี่ซวนให้เขาเลย ลูกตาจึงหดเล็กลงอย่างช่วยไม่ได้


 


หากกล่าวว่าคำขู่ก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่มีคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับสักคนที่ให้ความสนใจ


 


มาตอนนี้พอเห็นผู้อาวุโสขอบเขตขุนนางอมตะ 6 ผสานคนหนึ่งถูกฆ่าตายอย่างลึกลับหลังผ่านไปครบ 3 ลมหายใจจริงๆ พวกมันก็ตกตะลึงนัก! ทั้งไม่อาจไม่สนใจคำขู่ของต้วนหลิงเทียนได้อีกต่อไป ยังยึดถือคำขู่ของต้วนหลิงเทียนเป็นจริงจัง!!


 


และไฉนที่ผ่านไป 3 ลมหายใจอีกครั้งแต่ยังไม่มีใครทำอะไรนั้น ไม่ใช่เพราะไม่กลัวตาย แต่เพราะพวกมันยังตกตะลึงไม่หาย!


 


เช่นนั้นพอพวกมันได้ยินเสียงประกาศผ่านไปครบ 3 ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สีหน้าของพวกมันจึงเปลี่ยนไปใหญญ่หลวง!


 


และพอเสียงกล่าวคำของต้วนหลิงเทียนรอบนี้ดังเข้าหูพวกมัน ก็ทำให้พวกมันรู้สึกเสมือนเป็นสุรเสียงของเทพแห่งความตาย พาลให้ร่างบังเกิดอาการสะท้านไปด้วยความหนาวเหน็บทันที!


 


“หึ!”


 


แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะให้โอกาสอะไรพวกมัน หลังแค่นคำสบถเสียงเย็นคราหนึ่ง ร่างคนก็อันตรธานหายไปปานภูตผี พริบตาก็ไปปรากฏตัวเบื้องหน้าชายชราที่เหินร่างนำเหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่ถูกหน่วยลาดตระเวนเรียกขานว่าผู้อาวุโสหงอย่างอัศจรรย์!


 


อาการของคนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ก็ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนจะมองไม่ออก


 


ไม่พ้นพวกมันล้วนคิดว่าการตายของอาวุโสขอบเขตขุนนางอมตะ 6 ผสานเมื่อครู่ เป็นยอดฝีมือที่เร้นกายในเงามือลอบจู่โจมสังหาร…


 


ครั้งนี้เขาก็เลยตั้งใจลงมือให้พวกมันเห็นกันชัดถนัดตา จะได้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของเขา!


 


“ขุนนางอมตะ 8 ชะตางั้นรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ราวกับจะผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่าเบื้องหน้าอาวุโสหง พอเอ่ยคำที่คล้ายจะเป็นคำถามออกมาเสียงเบา ก็ทำให้อาวุโสหงที่พุ่งตระหนักถึงเรื่องราวหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ลูกตาหดเล็กลงแทบปิด ใบหน้าฉายชัดถึงความสยดสยองหวาดกลัว


 


“เร็วยิ่ง!”


 


อาวุโสฉีที่อยู่ข้างๆอาวุโสหงก็พลันรู้สึกตัวเช่นกัน ยังมองต้วนหลิงเทียนที่อยู่เบื้องหน้าอาวุโสหงด้วยสายตาหวาดผวา ทำราวกับพบพานภูตผีกลางวันแสกๆ!


ตอนที่ 2,913 : บรรพบุรุษทั้งสามของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!


 


“ขุนนางอมตะ 8 ชะตางั้นรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่วูบไหวไปผุดโผล่เบื้องหน้าอาวุโสหง ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 8 ชะตาของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับปานภูตผี กล่าวถามออกมาเสียงเรียบ สีหน้าท่าทีช่างเฉยเมยไร้แยแสนัก


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนวูบมาปรากฏตัวเบื้องหน้าอาวุโสหงอย่างไร้ร่องรอย อาวุโสฉีที่อยู่ด้านข้างก็ตื่นตระหนกเสียขวัญไม่น้อย!


 


ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!


 



 


ทันใดนั้น ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ แสงสีม่วงพลันส่องสาดออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียน และในชั่วพริบตามวลแสงก็ก่อตัวเกิดเป็นแถบริ้วพลังสีม่วง พุ่งไปรัดพันทั่วร่างอาวุโสหงฉับไว สุดที่มันจะทันได้ตั้งตัว!


 


จนเมื่ออาวุโสหงถูกแถบริ้วพลังสีม่วงต้วนหลิงเทียนพันธนาการร่างเอาไว้แล้ว เหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับค่อยได้สติกลับคืน!


 


และพอพวกมันดึงสติให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้แล้ว พบว่าบัดนี้ต้วนหลิงเทียนได้พันธนาร่างอาวุโสหงเอาไว้ได้ชะงัด ถึงขั้นที่ไม่ว่าอาวุโสหงจะพยายามดิ้นรนขัดขืนอย่างไร ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการของแถบริ้วพลังสีม่วงได้เลย…


 


ลูกตาพวกมันก็หดหยีลงแทบปิด!


 


“นี่…จะเป็นไปได้อย่างไร!?”


 


“จ้าวสวรรค์ช่วย! ข้าฝันไปหรือไม่!? นี่ข้ากำลังเห็นต้วนหลิงเทียนที่อายุไม่ถึงร้อยปี หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีจากพื้นที่รกร้างผู้นั้น…กำลังจับตัวอาวุโสหงเอาไว้งั้นหรือ!? อีกทั้งเท่าที่ดู ท่าทางอาวุโสหงจักมิอาจดิ้นรนหลุดพ้นพันธนาการของมันได้!!”


 


“ไม่ใช่ว่ามันเป็นยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับหรือไร? ยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับทรงพลังถึงขั้นนีตั้งแต่เมื่อไหร่!? ล้อเล่นหน่า!!”


 


“นะ…นี่มัน…จะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!!”


 



 


เมื่อเหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมะตสวรรค์ลี้ลับได้สติกันแล้ว เหล่าศิษย์และอาวุโสลาดตระเวนเองก็พึ่งจะรู้สึกตัว ตอนนี้พวกมันแต่ละคนอื้ออึงจนไม่รู้เหนือใต้!


 


ฉากเบื้องหน้านำความตกตะลึงพรึงเพริดมาสู่พวกมันแล้วจริงๆ!


 


“จะ…เจ้า ที่แท้เป็นเจ้าลงมือ!?”


 


มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง อาวุโสฉีที่ยืนอยู่ข้างๆอาวุโสหงที่โดนพันธนาการ บังเกิดความหวาดกลัวจนตัวสั่น เรียกว่าลูกตามันไม่เหลือความรู้สึกใดอื่นนอกจากความกลัว!


 


มาตอนนี้มันย่อมตระหนักได้แล้ว ว่าคนที่ลงมือเข่นฆ่าสังหารอาวุโสขอบเขตขุนนางอมตะ 6 ผสานไปก่อนหน้า หาใช่ยอดฝีมือเร้นกายในเงามืดอันใดไม่! ที่แท้เป็นชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมจารย์โอสถของนากยอมตะไท่อี!!


 


นอกจากนั้นมันยังตระหนักได้อีกเรื่อง ยังเป็นเรื่องที่ทำให้มันผวาจับใจ…อีกฝ่ายหาได้ง่ายดายเช่นขุนนางอมตะ 9 ตำหนักไม่!


 


เพราะให้ขุนนางอมตะ 9 ตำหนักคนไหน ทรงพลังมากเพียงใด ก็ไม่มีปัญญาจัดการอาวุโสหงให้อยู่หมัดได้อย่างง่ายดายแบบนี้!!


 


ผู้ที่สามารถจัดการอาวุโสหงได้อยู่หมัดด้วยอริยาบถผ่อนคลาย กวาดตามองไปทั่ว 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ น่ากลัวจะมีแค่ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเท่านั้น!


 


มันก็เลยสรุปได้ในพริบตา…


 


ต้วนหลิงเทียนเบื้องหน้า ไหนเลยเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับได้? ที่แท้อีกฝ่ายเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศอันทรงพลัง!!


 


เป็นธรรมดาว่ามันกล้าคาดเดาด่านพลังต้วนหลิงเทียนว่าเป็นแค่ขุนนางอมตะ 10 ทิศเท่านั้น กับด่านพลังราชาอมตะมันยังไม่กล้าคาดเดา!


 


เพราะลำพังคนที่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีบรรลุขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้ ก็ถล่มสามัญสำนึกของมันจนพังยับเยินแล้ว!


 


อายุไม่ถึงร้อยปี บรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะหรือ?


 


ให้หลับมันยังไม่กล้าฝันถึงด้วยซ้ำ!


 


“เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”


 


ได้ยินคำถามด้วยน้ำเสียงแตกตื่นของอาวุโสฉี ต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบไปมองมันผ่านๆ พลางย้อนถามด้วยน้ำเสียงเฉยเมย


 


และในขณะที่หันไปเหลือบมองย้อนถามอาวุโสฉีนั้น มือขวาต้วนหลิงเทียนก็ยกขึ้นโบกสะบัดไปทางอาวุโสหงส่งๆ คล้ายโบกปัดแมลงวัน…


 


ทีท่าแม้ไร้เรื่องราว หากแต่กลับทำให้สองตาอาวุโสหงถลึงมองแทบปริแตก!


 


“ไม่มมม—!!”


 


เสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวชของอาวุโสหง คล้ายมีพลังเวทมนตร์หนุนเสริมก็ไม่ปาน มันถึงกับดังสนั่นลั่นก้องไปทั่วนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!


 


และในเวลาเดียวกันกับที่อาวุโสหงร้องโหยหวนออกมา ทุกคนในที่นี้ต่างล้วนเห็นกันชัดถนัดตา!


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนโบกมือขวาส่งๆปานปัดแมลงวันนั้น พลังสีม่วงขุมหนึ่งพลันผุดโผล่จากคววามว่างเปล่า โถมถันไปปานเพลิงโหม พริบตาก็กลืนร่างอาวุโสหง ก่อนจะป่นทำรายคนๆหนึ่งให้อันตรธานหายไปในความว่างเปล่า ไร้แม้กระทั่งละอองโลหิต!


 


เมื่อพลังสีม่วงที่โถมออกไปปานเพลิงโหมอันตรธานหายไป ณ จุดที่เคยมีอาวุโสหงถูกพันธนาการร่างอยู่ ก็หลงเหลือเพียงแหวนพื้นที่วงหนึ่งที่กำลังร่วงตกฟ้าไปอย่างเงียบงัน แต่สุดท้ายมันก็ถูกพลังดูดรั้งขุมหนึ่งฉุดดึงมาเข้ามือต้วนหลิงเทียน


 


หลังเก็บแหวนพื้นที่ของอาวุโสหงไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ปรายตาเหลือบมองอาวุโสฉีที่ยืนตัวแข็งอีกครั้ง และพอถูกต้วนหลิงเทียนเหลือบมองมา ร่างที่แข็งค้างของอาวุโสฉีก็เริ่มสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว ในแววตาหลงเหลือแต่ความหวาดผวา ไร้ซึ่งความกล้าแม้แต่จะมองหน้าต้วนหลิงเทียนสืบไป


 


“หลังผ่านไปอีก 3 ลมหายใจ หากยังไม่มีใครไปตามไป๋อวี่ซวนนายน้อยนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับให้ข้า…ข้าจะฆ่าอีกคน”


 


เมื่อวาจาประโยคดังกล่าวล่วงล้ำผ่านลำคอต้วนหลิงเทียนออกมา คนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่ตกตะลึงสองตาเลื่อนลอยกับเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้น ก็เสมือนต้องถูกอัสนียามแล้งที่ฟาดผ่าลงมาโดยไร้ซึ่งการตั้งเค้าใดๆ ร่างกายขอพวกมันถึงกับสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัวจับใจ!


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน”


 


ตอนนี้เองอาวุโสฉีที่สูดอากาศเข้าลึกๆสะกดความหวาดกลัว ก็ได้รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน ด้วยสีหน้าน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “นะ…นายน้อยไป๋อวี่ซวน ตอนนี้ได้ไปสำนึกผิดอยู่ที่ผาสำนึกตนของนิกายอมตะลี้ลับเรา และเป็นท่านประมุขสั่งการลงมาโดยตรง ว่าหากยังไม่ครบ 10 ปี คนมิอาจก้าวออกมาจากผาสำนึกตนได้แม้แต่ก้าวเดียว…นี่คือบทลงโทษสำหรับการตายของ เหอซาน บรรพจารย์ของนิกายอมตะไท่อีท่าน”


 


“ไปสำนึกผิดที่ผาสำนึกตน 10 ปี?”


 


ได้ยินคำของอาวุโสฉี ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ค่อยยิ้มกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ไป๋หวู่จี้ ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเจ้าช่างประเสริญแท้…สำนึกผิดที่ผาสำนึกตน 10 ปี นี่ยังเรียกว่าลงโทษได้?”


 


“อ่อ…แล้วก็ตอนนี้ได้ผ่านไปครบ 3 ลมหายใจอีกครั้งแล้ว”


 


พอต้วนหลิงเทียนกล่าวประโยคนี้จบคำ สายตาที่มองไปยังอาวุโสฉีก็ฉายจิตฆ่าฟันออกมา พาลให้หน้าอาวุโสฉีเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง


 


แต่ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะลงมือเข่นฆ่าอาวุโสฉีนั้นเอง


 


“หยุดมือ!”


 


“หยุดมือ!”


 



 


สุรเสียงอันเปี่ยมล้นไปด้วยโทสะ พลันดึงก้องมาจากฟากฟ้าไกลตา


 


หลังจากนั้นพลันปรากฏเงาร่าง 3 ร่างพุ่งแหวกฟ้าลงมาฉับไวปานอัสนีฟาดผ่า พริบตาก็ลุมาถึงจุดที่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆลอยร่าอยู่ ยังไปปรากฏตัวบังขวางอาวุโสฉีที่ต้วนหลิงเทียนคิดเข่นฆ่าสังหารเอาไว้เบื้องหน้า


 


“คารวะท่านบรรพบุรุษทั้ง 3!”


 


เมื่อเห็นร่างทั้ง 3 ปรากฏตัวขวางไว้เบื้องหน้า อาวุโสฉีที่หวาดกลัวต้วนหลิงเทียนจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่างก็ดึงสติกลับมา เร่รุดประสานมือโค้งคารวะออกไปโดยพลัน!


 


ร่างทั้ง 3 ผู้มาใหม่นั้น เป็นชายชรา 1 ชายวัยกลางคน 2


 


ชายชรามาในชุดคลุมสีขาว รูปร่างผ่ายผอม บรรยากาศทั่วร่างให้ความรู้สึกประหนึ่งเทพเซียน


 


ส่วนชายวัยกลางคนอีก 2 คนนั้น คนหนึ่มาในชุดคลุมสีน้ำเงิน ส่วนนอีกคนมาในชุดคลุมสีเขียวขี้ม้า ที่สำคัญจะรูปร่างหน้าตาของทั้งคู่ ก็ล้วนเหมือนกันราวกับแกะ เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน!


 


“คารวะท่านบรรพบุรุษทั้ง 3!”


 


“คารวะท่านบรรพบุรุษทั้ง 3!”


 



 


หลังอาวุโสฉีกล่าววคำคารวะร่างทั้ง 3 ออกไป ก็ประหนึ่งเสียงระฆังดึงสติเหล่าอาวุโสระดับสูงและเหล่าศิษย์ลาดตระเวนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ทั้งหมดกลับมาสู่ความรู้สึกและเร่งรุดประสานมือโค้คารวะทักทายทั้ง 3 ออกไปด้วยน้ำเสียงท่าทีเคารพ!


 


ฟังจากวาจคารวะของพวกมัน ฐานะของทั้ง 3 ก็ถูกเปิดเผยทันที


 


เป็นบรรพบุรุษทั้ง 3 คนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!


 


และบรรพบุรุษทั้ง 3 ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ก็คือยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศอันลือชื่อของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ! และด้วยการดำรงอยู่ของพวกมัน จึงหนุนส่งให้นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับสามารถครองบัลลังก์นิกายอมตะใหญ่อันดับ 1 ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างไร้ผู้ใดกังขา กระทั่งยังโด่งดังไปทั่วพื้นที่ชายแดนทั้งมวล!


 


ฟุ่บบ!!


 


และในขณะที่บรรพบุรุษทั้ง 3 ของนิกายอมตะสราญรมย์ปรากฏกาย พลันบังเกิดเสียงแหวกผ่าอากาศฉับไวดังมาแต่ไกล


 


หลังจากนั้นไม่ทันไร ร่างที่ต้วนหลิงเทียนยคุ้นเคยก็ปรากฏตัวขึ้น


 


“ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋หวู่จี้”


 


ก่อนที่ไป๋หวู่จี้จะเหินร่างมาถึง ต้วนหลิงเทียนที่มองเห็นความเคลื่อนไหวของมันแต่แรกก็จดจำมันได้ทันที ลุกตายังอดไม่ได้ที่จะฉายแววเยียบเย็นออกมา


 


วันนั้น เป็นไป๋หวู่จี้ผู้นี้ที่ลงมือสังหารบรรพจารย์ไท่อี!


 


“อาจารย์ปู่ อาจารย์อาทั้ง 2”


 


หลังไป๋หวู่จี้ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังบรรพบุรุษทั้ง 3 ได้ไม่ทันไร มันก็เร่งทักทายทั้ง 3 ออกไปด้วยน้ำเสียงเคารพก่อนใดอื่น


 


อาจารย์ปู่ที่มันเรียกหา ก็คือชายชราในชุดคลุมขาว ส่วนอาจารย์อาทั้งสองที่มันกล่าวถึง ก็คือชายวัยกลางคนที่เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน


 


“คารวะท่านประมุข!”


 


ขณะเดียวกันทางด้านอาวุโสฉี และอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ก็เร่งประสานมือคารวะทักทายไป๋หวู่จี้ออกมาด้วยน้ำเสียงเคารพ


 


ไม่ว่าจะเป็นประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋หวู่จี้ หรือบรรพบุรุษทั้ง 3 ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ทั้งหมดล้วนถูกเสียงร้องโหยหวนของอาวุโสหงดึงดูดให้มาปรากฏตัวที่นี่ทั้งสิ้น


 


หลังจากที่พวกมันมาถึงแล้ว จึงได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากของ ‘อาวุโสฉี’ อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสววรรค์ลี้ลับ


 


ทันใดนั้นไม่ว่าจะไป๋หวู่จี้ หรือบรรพบุรุษทั้ง 3 ก็ดี สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็จำต้องแปรเปลี่ยนไปอย่าสิ้นเชิง!


 


เพราะฟังจากที่อาวุโสฉีกล่าว…


 


พลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมานั้น อย่างน้อยๆก็ต้องบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศ!


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน”


 


ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋หวู่จี้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง จากนั้นก็ลอยร่างออกมาเบื้องหน้า มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงท่าทีเคร่งขรึม “ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่ฆ่าเหอซานบรรพจารย์ไท่อีไป…แต่วันนั้นเป็นเพราะข้าบันดาลโทสะหลังรับทราบเรื่องไป๋อวี่ซวนถูกเหอซานฆ่าตาย”


 


“ต่อมาข้าจึงได้ทราบในภายหลัง ว่าไปอวี่ซวนยังไม่ถูกเหอซานบรรพจารย์ไท่อีฆ่าตาย…ตัวข้าก็รู้สึกผิดนัก จึงส่งคนไปนิกายอมตะไท่อีเพื่อจ่ายค่าชดเชย…แต่ทว่าเป็นประมุขนิกายอมตะไท่อีกล่าวปฏิเสธไม่รับ”


 


“แต่ข้าเองก็รู้ดีว่าครั้งนี้นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับนับว่าติดค้างนิกายอมตะไท่อีเรื่องหนึ่ง…หากประมุขนิกายอมตะไท่อี หรือท่านมีข้อเรียกร้องอันใด และอยู่ในวิสัยที่นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเราจักกระทำได้ เพียงกล่าวออกมาเถอะ”


 


ฟังจากคำพูดคำจาของไป๋หวู่จี้แล้ว เห็นชัดว่ามันเองก็คิดประนีประนอม


 


ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนจะแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น


 


อย่างไรก็ตามพลังฝีมืออันแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนนั้น คนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของมันที่อยู่ที่นี่แต่แรกล้วนประจักษ์กันดี เช่นนั้นแม้ใจมันจะไม่เชื่อมากเพียงใด มันก็จำต้องเชื่อ


 


‘ขุนนางอมตะ 10 ทิศ…มันเป็นถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศจริงๆหรือ!?’


 


ขณะที่มองต้วนหลิงเทียน ในใจไป๋หวู่จี้ก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ


 


“ข้อเรียกร้อง?”


 


ได้ยินคำพูดของไป๋หวู่จี้ ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มบางๆ “นับว่าประมุขไป๋ตรงไปตรงมาดี…เช่นนั้นเจ้าตัดสินใจจบเรื่องในลักษณะนี้สินะ?”


 


“ก็ได้ ถ้างั้นข้าเองก็มีข้อเรียกร้องประการหนึ่ง…ยิ่งไปกว่านั้นข้อเรียกร้องของข้าก็นับเป็นข้อเรียกร้องเล็กๆน้อยๆสำหรับประมุขไป๋และนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ขอปรมาจารย์โอสถต้วนโปรดกล่าว”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะพูดออกมาราวกับเรื่องไม่สลักสำคัญและเป็นเรื่องอันง่ายดายไม่มีอะไร แต่เพราะแบบนี้ ทำให้ในใจของไป๋หวู่จี้บังเกิดสังหรณ์อัปมงคลหนึ่ง


 


“ข้อเรียกร้องของข้าก็ง่ายๆ…เพียงส่งตัวนายน้อยนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋อวี่ซวน ออกมาเสีย! หากข้าจำไม่ผิด ไป๋อวี่ซวนก็เป็นลูกชายประมุขไป๋ไม่ใช่รึไง เช่นนั้นเจ้าคิดจะส่งตัวมันออกมาก็ลำบากเพียงแค่เอ่ยยคำไม่ใช่รึ?”


 


กล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องไป๋หวู่จี้ด้วยสายตาลึกล้ำ


 


วูบ!


 


ได้ยินข้อเรียกร้องดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หน้าไป๋หวู่จี้ก็เปลี่ยนสีไปทันที ในแววตาเริ่มฉายชัดถึงความลังเลยากตัดสินใจ


 


“หึ!”


 


ทว่าทันใดนั้นเอง 1 ใน 3 บรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ อันเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียวขี้ม้า อยู่ๆก็พ่นลมสบถออกมาด้วยน้ำเสียงค่อนแคะ กระทั่งสายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเย็นลงทันที!


ตอนที่ 2,914 : ฆ่า ขุนนางอมตะ 10 ทิศ!


 


พอรับทราบว่าต้วนหลิงเทียนก็เป็นถึงตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศอันทรงพลัง ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋หวู่จี้ ก็ตระหนักได้ทันทีว่า วันนี้คงยากจะจัดการต้วนหลิงเทียนผู้นี้ได้แล้ว เพราะถึงแม้บรรพบุรุษทั้ง 3 จะเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศเช่นกัน ก็ไม่แน่ว่าจะล้อมฆ่าอีกฝ่ายได้สำเร็จ


 


นอกจากนั้น ขุนนางอมตะ 10 ทิศที่ยังอายุไม่ถึงร้อยปี จะไร้พื้นเพความเป็นมาจริงๆน่ะเหรอ?


 


ตัวตนที่อยู่เหนือสามัญสำนึกเช่นนี้ จะเป็นผู้ฝึกตนไร้สังกัดได้?


 


เรื่องนี้ทำให้ไป๋หวู่จี้บังเกิดความวิตกอย่างหนัก


 


เพราะเหตุนี้เอง มันจึงรู้ดีแก่ใจว่านิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับไม่อาจจัดการต้วนหลิงเทียนได้ ต่อให้พวกมันจะมีพลังสามารถจัดการต้วนหลิงเทียนได้จริง แต่นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็ไม่อาจไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาหลังจากนั้น


 


ด้วยเหตุนี้มันก็เลยคิดหาทางสมานฉันท์กับต้วนหลิงเทียน หมายจบเรื่องราวอย่างละมุนละม่อม…


 


มันก็เลยเสนอให้ต้วนหลิงเทียนเอ่ยความต้องการออกมา


 


แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนจะขอให้มันมอบ ไป๋อวี่ซวน บุตรชายคนเดียวของมันออกไป! ซึ่งทำให้มันบังเกิดอาการลังเล ยากจะตัดสินใจได้!!


 


ด้านหนึ่งก็คือไป๋อวี่ซวน ลูกชายเพียงคนเดียวของมัน กระทั่งพยัคฆ์ร้ายยังไม่กินลูกตัวเอง นับประสาอะไรกับที่อีกฝ่ายเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของมัน ไหนเลยจะทำใจส่งอีกฝ่ายออกไปตายอย่างไม่รู้สึกรู้สา!


 


กลับกัน ตัวมันก็รู้ดีแก่ใจ ว่าถ้าหากมันไม่ยอมรับข้อเรียกร้องดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน น่ากลัววันนี้เรื่องราวคงจะไม่ได้จบลงด้วยดี!


 


เช่นนั้นมันจึงลังเลทั้งยังลำบากใจเป็นที่สุด ไม่อาจตัดสินใจได้จริงๆ!


 


“หึ!”


 


ในขณะที่ประมุขนิกายอมตะสววรรค์ลี้ลับไป๋หวู่จี้กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความกังวล ด้วยจนใจจะตัดสินใจเลือกทางใด ก็เป็น 1 ใน 3 บรรพบุรุษของนิกายอมตะสววรรค์ลี้ลับ ชายวัยกลางคนในชุดเขียวขี้ม้าหนึ่งในคู่แฝดก็พ่นล่มสบถออกมาเสียงเย็น


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน ประมุขให้เจ้าเสนอข้อเรียกร้องออกมาก็นับว่าไว้หน้าเจ้ามากแล้ว…เจ้าก็อย่าให้มันมากเกินไปนัก!”


 


หลังสบถคำเสียงเย็น ชายวัยกลางคนชุดเขียวขี้ม้าก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วสายตาเย็นชา กล่าวออกเสียงแข็ง!


 


มันย่อมรู้ดี ว่าไป๋หวู่จี้กำลังตกที่นั่งลำบาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก!


 


“มากเกินไป? ฮ่าๆๆๆ!!”


 


ดิ้นคำพูดดุดันของชายวัยกลางคนชุดเขียวขี้ม้า ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า


 


“เจ้าหัวเราะอันใด!?”


 


พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนถึงกับกล้าหัวเราะออกมาจริงๆ สีหน้าชายวัยกลางคนก็แปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันที อีกทั้งใบหน้าอัปลักษณ์ดูไม่ได้ของมัน ยังคล้ายจะฉาบเคลือบไว้ด้วยม่านน้ำแข็ง!


 


“ข้าหัวเราะอะไร…จำเป็นต้องรายงานเจ้าด้วย?”


 


ได้ยินคำถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องของชายวัยกลางคน ต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองไปที่มันผ่านๆ จากนั้นก็กล่าวถามออกมาอย่างแดกดัน


 


ได้ยินวาจาแดกดันของต้วนหลิงเทียน ชายวัยกลางคนก็ฉุนขาด! โทสะในลูกตาของมันลุกโชนขึ้นมาปานเพลิงไฟ ร้อนแรงปานจะผลาญเผาได้ทุกสิ่ง!!


 


ตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมา จวบจนกลับกลายเป็นบรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ มันเคยมีโทสะถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


 


“เจ้า…นับเป็นตัวอะไร?”


 


ต้วนหลิงเทียนยังคงถามสืบต่อ


 


และเป็นวาจาประโยคนี้เอง ที่ทำให้ฟางอารมณ์เส้นสุดท้ายของชายวัยกลางคนชุดเขียวขี้ม้าขาดผึง! โทสะเข้าครอบงำจิตใจมันหมดสิ้น คนคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าโจวหมิงอยากเห็นนัก ว่าอาศัยสารเลวน้อยขนอุยที่อายุไม่ถึงร้อยปีเช่นเจ้า อาศัยความกล้าแต่ที่ใดถึงกล้ามาพูดจาสามหาวกับข้าเช่นนี้!!”


 


แผดเสียงคำรามกราดเกรี้ยวจบคำ ทั่วร่างชายวัยกลางคนชุดเขียวขี้ม้าก็ปะทุไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันเกรี้ยวกราด! มองไปคนยังคล้ายตกอยู่ในบอลไฟลูกเขื่อง! จากนั้นเพลิงพลังของมันก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วง เห็นชัดว่ามันใช้ออกด้วยเวทย์พลังก้นหีบของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ…ปราณม่วงบูรพา! และเป็นเวทย์พลังที่ต้วนหลิงเทียนชนะเดิมพันได้มาจากนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!!


 


“สารเลวน้อย รับดาบข้า!!”


 


ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนพลันคำรามออกมาดังลั่นอีกครา พร้อมกันนั้นคนก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า มวลพลังสีม่วงที่ลุกโชนปานเพลิงไฟ ก็เริ่มพวยพุ่งหลั่งไหลออกไปควบรวมก่อเกิดดาบพลังเล่มมหึมาเหนือร่าง!!


 


ขณะที่เสียงคำรามของมันยังดังไม่ทันจบคำดี ชายวัยกลางคนก็จี้ 2 นิ้วมายังต้วนหลิงเทียน! ทันใดนั้นทุกผู้คนพลันได้ยินเสียงอากาศแตกระเบิดดัง ปง ชัดถนัดหู! จากนั้นดาบพลังเล่มเขื่องก็พุ่งแหวกฟ้าลงมาฉับไว้ จี้แทงไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยสภาวะพลังเกรี้ยวกราด ทิ้งเงาดาบพร่ามัวตามรายทาง สร้างความตกตะลึงให้กับผู้ที่ดูชมนัก!


 


วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!


 



 


หลังจากดาบพลังเล่มเขื่องพุ่งมาฉับไว้ จนทิ้งเงาดาบเลือนรางไว้ในความว่างเปล่า ตัวดาบอยู่ๆก็ปะทุพลังเกรี้ยวกราดออกมากลางหาว! และทันใดนั้นเองดาบพลังเล่มเขื่อง อยู่ๆก็แตกตัวเป็นดาบพลังขนาดเล็กนับหมื่นพัน พร่างพราวไปทั่วฟ้าดั่งหาพิรุณ!


 


อย่างไรก็ตาม ห่าพิรุณดาบพุ่งลงมาต่อได้ไม่ทันไร ก่อนที่จะถึงตัวต้วนหลิงเทียน ดาบพลังนับหมื่นพันดังกล่าวก็ได้พุ่งวูบเป็นเงาเลือ มาหลอมรวมผสานกลับกลายเป็นดาบพลังหนึ่งเล่ม!


 


ทว่าดาบพลังหนึ่งเล่มนี้ กลับมิได้ใหญ่โตเหมือนกับดาบพลังที่ปรากฏออกมาตอนแรกสุดแต่อย่างไร กระทั่งขนาดของมันยังเทียบไม่ได้แม้แต่ 1 ใน 1,000 ของดาบพลังเล่มแรกที่ปรากฏออกมาด้วยซ้ำ! แถมสีสันของดาบพลังในปัจจุบันหาได้เป็นสีม่วงอีกต่อไป แต่มันกลับเป็นสีม่วงเข้มจนแทบกลายเป็นสีดำ เปล่งแสงทะมึนออกมาเรืองสลัวๆ แลดูทรงพลังน่ากลัวนัก!!


 


ฟั่ฟฟฟฟ!!


 


และดาบพลังที่เกิดจากการควบรวมผสานนั้น ความเร็วในการพุ่งทะยานสังหารของมันก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างอัศจรรย์ เรียกว่าเหนือล้ำกว่าความเร็วในการโจมตีของตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศทั่วไปมากโข! สภาวะพลังทวีความดุร้ายเกรี้ยวกราดขึ้นในบัดดล เข่นฆ่าสังหารจี้ไปทางต้วนหลิงเทียนอย่างอำมหิต!!


 


บัดนี้มีเพียงบรรพบุรุษที่เหลืออีก 2 คนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเท่านั้น ที่สามารถมองเห็นการลงมือของชายวัยกลางคนชุดเขียวขี้ม้าได้ชัดเจน!


 


ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋หวู่จี้ ในฐานะตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก กลับทำได้แค่มองเห็นประกายแสงสีม่วงเข้มลากตัดฟ้าไปฉับไวเท่านั้น!


 


สำหรับผู้อาวุโสฉีตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 8 ชะตา ทำได้แค่เห็นประกายแสงสีม่วงเข้มวาบฟ้าผ่านตาไปวูบหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่มันจะอันตรธานหายไปในพริบตา


 


“ดี ดี…ดีมาก!!”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดมาก่อนว่า โจวหมิง 1 ใน 3 บรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับจะเป็นฝ่ายเป็นฉากสังหารเข้ามาก่อน สองตาเขาทอประกายเยียบเย็นวาบหนึ่ง จากนั้นมุมปากก็เริ่มแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม เห็นชัดว่าไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้ว!


 


“สวรรค์มีทางไม่ยอมเดิน นรกไร้ประตูเจ้าดันทุรังมุดมา ข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าเอง!”


 


เผชิญหน้ากับดาบพลังทะลวงฟ้ามาน่ากลัวของโจวหมิง ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนพลันปะทุมวลพลังสีม่วงออกมาอย่างเกรี้ยวกราดปานเพลิงไฟ เผยกลิ่นอายพลังอันน่าสยดสยองกดดันบีบคั้นไปในบรรยากาศ!


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนที่ถูกเพลิงพลังสีม่วงลุกโชนท่วมร่าง ก็เริ่มเคลื่อนไหวลงมือ!


 


ร่างคนอันตรธานสาบสูญไปจากสายตาทุกคนทันที!


 


กระทั่งบรรพบุรุษทั้ง 3 ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ รวมถึงไป๋หวู่จี้ ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ก็ไม่อาจมองเห็นได้แม้แต่เงาร่างของต้วนหลิงเทียน! ประหนึ่งต้วนหลิงเทียนหายสาบสูญไปในความว่างเปล่าโดยสมบูรณ์!!


 


“นี่…!”


 


“ได้…ได้อย่างไร!?”


 


“ต้วนหลิงเทียนมันมีทักษะหายตัวหรือ?!”


 



 


และในขณะที่อยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานสาบสูญไปจากสายตาของทุกคน จนบรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็ไม่ทันได้ตอบสนองสิ่งใด ฉากเรื่องราวในสายตาของพวกมันก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เป็นดาบพลังสีม่วงเข้มที่พุ่งทะยานเข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียนนั้น ประหนึ่งถูกมือมหึมาที่มองไม่เห็นกอบกุมเอาไว้ มันหยุดชะงักค้างในความว่างเปล่าอย่างน่าฉงน!


 


ทันใดนั้นความว่างเปล่า ณ จุดที่ดาบพลังสีม่วงเข้มหยุดอยู่ ก็อุบัติระลอกพลังดั่งวงคลื่นกำจายออกมาในฉับพลัน กลิ่นอายพลังน่าพรั่นพรึงสะท้านแทรกซึมไปในบรรยากาศ!


 


จากนั้นพวกมันก็เห็นอีกว่า…


 


ดาบพลังสีม่วงเข้มที่เต็มไปด้วยรัศมีพลังสลัวสีม่วงคล้ำนั้น หยุดลงเพียงเสี้ยวพริบตาก่อนจะเปลี่ยนทิศทางไปอย่างแปลกประหลาด ตัวดาบชี้เฉียงขึ้นไปบนฟ้าพิกล!


 


“เป็นต้วนหลิงเทียน!”


 


“ไฉนมันรวดเร็วถึงเพียงนี้!?”


 


“มันถึงกับจับดาบพลังของน้องหมิงด้วยมือเปล่า?!”


 



 


เมื่อเห็นว่าอยู่ดีๆดาบพลังสีม่วงเข้มก็เปลี่ยนทิศทางไปอย่างกะทันหัน เหล่าบรรพบุรุษอีก 2 คนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ รวมถึงประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับไป๋หวู่จี้ ก็ประหลาดใจครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อพบว่าข้างๆดาบพลังได้ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นมาปานภูตผี!


 


เป็นต้วนหลิงเทียนที่อันตรธานร่างหายไปก่อนหน้า!


 


พอต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวอีกครั้ง คนก็ไปจับดาบพลังสีม่วงเข้มไว้ด้วยมือเปล่าเสียแล้ว! และไม่ว่าดาบสีม่วงจะเรืองสว่างเปล่งอานุภาพพลังรุนแรงแค่ไหน ก็ไม่อาจหลุดพ้นออกไปจากฝ่ามือเขาได้เลย!


 


ดาบพลังสีม่วงเข้ม บัดนี้คล้ายมังกรร้ายติดบ่วง ดิ้นรนพยศเท่าไหรก็ยากจะหลุดพ้นไปได้!


 


ฟุ่บบ!!


 


ต้วนหลิงเทียนที่มือกอบกุมดาบพลังสีม่วงเข้มเอาไว้ ได้วูบร่างเคลื่อนไหวอีกครั้ง คนพุ่งตรงไปยังโจวหมิง!


 


ต้วนหลิงเทียนในตอนนี้แม้ระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างจะอ่อนลงกว่าตอนที่อยู่ในนิกายอมตะสราญรมย์ แต่อย่างไรก็ยังเทียบได้กับราชาอมตะ 8 ชะตา! คิดสะกดพลังของบรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่เป็นแค่ขุนนางอมตะ 10 ทิศที่ไม่ได้ใช้อุปกรณ์อมตะใดๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องราวอันง่ายดายอย่างถึงที่สุด


 


ไม่เพียงแต่สามารถสะกดพลังอีกฝ่ายได้ เขายังผนึกพลังของโจวหมิงเอาไว้ ไม่ให้อีกฝ่ายสลายกระทั่งถอนรั้งพลังคืนกลับได้อีกด้วย!


 


‘พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตราชาอมตะ มันช่างทรงพลังสุดที่พลังของขุนนางอมตะจะเทียบได้จริงๆ…ยิ่งไปกว่านั้นระดับพลังของข้าตอนนี้ก็ยังอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 8 ชะตา แล้วอาศัยพลังขุนนางอมตะ 10 ทิศอย่างโจวหมิงมันจะต่อต้านอะไรได้?’


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ชัดเจน


 


การดิ้นรนต่อต้านของดาบพลังโจวหมิงตอนนี้ สำหรับเขาก็แค่ทำให้รู้สึกเสมือนมียุงบินมาเกาะที่มือเท่านั้น ไม่อาจสั่นคลอนใดๆเขาได้เลย


 


พลังอำนาจของราชาอมตะ 8 ชะตา มากเกินพอจะบดขยี้พลังของขุนนางอมตะ 10 ทิศได้อย่างง่ายดายทุกทาง!


 


“ขุนนางอมตะ 10 ทิศของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับหรือ มันก็เท่านั้น…”


 


ทันใดนั้นร่างต้วนหลิงเทียนที่วูบมาปรากฏเบื้องหน้าโจวหมิงปานภูตผี ก็เอ่ยคำทิ้งท้ายเสียงเย็นไว้ประโยคหนึ่ง


 


และพอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำเขาก็ยกมือขวาที่ยังคงกอบกุมดาบพลังสีม่วงเข้มของโจวหมิงเอาไว้ขึ้นมาง้างอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นเพียงฝ่ามือออกแรงบีบกำเบาๆ ดาบพลังสีม่วงเข้มในมือก็พลันแตกสลายกลับกลายเป็นละอองแสงหายไป! ถูกพลังที่เหนือชั้นกว่าบดขยี้ทำลายลงในพริบตา!!


 


ครู่ต่อมา


 


มือขวาต้วนหลิงเทียนนที่ยกขึ้นมาง้างแล้วกำมือหลวมๆ ก็ชกออกไปทางโจวหมิงอย่างไร้เรื่องราว


 


ทว่าในขณะที่หมัดชกออกไปส่งๆนั้นเอง นอกจากแสงพลังสีม่วงแล้ว ยังปรากฏเงาพลังสีทองหนึ่ง ควบรวมก่อเกิดเป็นหมัดพลังสีทองห่อหุ้มหมัดต้วนหลิงเทียนเอาไว้ในพริบตา!


 


และหากสังเกตให้ดีจะพบว่า…


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนตอนนี้ได้ปรากฏเงาร่างสีทองหนึ่งห่อหุ้มคลุมกายเอาไว้หมดแล้ว หาใช่แค่หมัดขวาข้างเดียวไม่!


 


‘วรยุทธ์อมตะระดับขุนนางของนิกายอมตะสราญรมย์ ราชันไม่เคลื่อนไหว!’


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนวูบร่างมาถึงเบื้องหน้าโจวหมิง และง้างหมัดชกออกไปส่งๆ บรรพบุรุษอีก 2 คนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ก็บังเกิดความคิดดังกล่าวแลบลั่นขึ้นในใจปานสายฟ้าฟาด!


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน โปรดเมตตาด้วย!!”


 


1 ใน 2 บรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ อันเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงิน เร่งตะโกนร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าแววตาฉายชัดไปถึงความวิตกกังวลล้นปรี่!


 


อนิจจายังคงสายเกินไป


 


เปรี๊ยงงง!!


 


หนึ่งหมัดที่ชกออกไปตามอำเภอใจ หากแต่เปี่ยมล้นไปด้วยอานุภาพพลังสะท้านฟ้าพุ่งทะลวงความว่างเปล่า จี้ตรงเข้าหา โจวหมิง บรรพบุรุษนิกายอมะตสวรรค์ลี้ลับอย่างเกรี้ยวกราด มันที่ยังไม่ทันตั้งตัวและตกตะลึงกับการปรากฏตัวปานภูตผีของต้วนหลิงเทียนไม่หาย จึงไม่ทันได้ใช้ทักษะป้องกันอันใดทั้งสิ้น ถูกหมัดพลังเข่นฆ่าสังหารเข้ามาป่นร่าง กลับกลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งฟุ้งขจายไปทั่วฟ้า…


 


หลังโจวหมิงร่างระเบิดเป็นหมอกเลือด ก็คงเหลือแต่เพียงแหวนพื้นที่วงหนึ่ง ที่ถูกพลังดูดรั้งไปเข้ามือต้วนหลิงเทียนอย่างไร้เรื่องราว…


 


“ขุนนางอมตะ 10 ทิศของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ มันก็เท่านั้น…”


 


ขณะเดียวกันคนอื่นๆที่พึ่งได้ยินเสียงของต้วนหลิงเทียน ก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง


 


หลังจากฟื้นสติแล้วพวกมันก็มองไปยังฉากเรื่องราวเบื้องหน้าทันที แม้แต่ต้นจนจบต้วนหลิงเทียนจะลงมือฉับไวสุดที่สายตาพวกมันจะมองตามเรื่อราวใดได้ กระทั่งไม่อาจเห็นได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกมันก็ไม่ใช่จะเดาไม่ออกว่าบัดนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น…


 


“บะ…บ้าน่า…ท่านบรรพบุรุษโจวหมิง ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายไปแล้วหรือ!?”


 


“ไม่…ไม่จริงน่า!?”


 



 


เหล่าศิษย์และอาวุโสหน่วยลาดตระเวนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ บัดนี้ได้ถูกความหวาดกลัวเขาครอบงำจิตใจโดยสมบูรณ์


 


“น้องหมิง!!”


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง 1 ใน 2 บรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงิน ก็กรีดร้องโหยหวนออกมาด้วยความเศร้าโศกปานใจจะขาด ให้ทุกคนที่กำลังตกตะลึงได้ยินอย่างประจวบเหมาะ…


ตอนที่ 2,915 : ไป๋หวู่จี้ ฆ่าตัวตาย!


 


หลังร่ำร้องด้วยความเศร้าโศกเสียใจแล้ว ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงิน ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนเขม็ง ในแววตาฉายชัดถึงความเคียดแค้นชิงชัง ราวกับทนรอสับร่างต้วนหลิงเทียนให้แหลกเป็นหมื่นชิ้นแล้วเผาให้เป็นเถ้าถ่านเพื่อล้างแค้นให้น้องชายฝาแฝดไม่ไหวแล้ว


 


อย่างไรก็ตามประกายเยียบเย็นอำมหิตดังกล่าวในแววตามัน เพียงเรืองขึ้นวาบหนึ่งก็ถูกระงับเอาไว้ทันที จากนั้นมันก็ไม่กล้ามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเช่นนั้นอีก


 


อย่างไรก็ตามพอหันไปเห็นหมอกโลหิตที่ขจายไปทั่วฟ้าอีกครั้ง สองตาของมันก็ปรากฏโลหิตสองสายหลั่งไหลออกมา มันร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือด!


 


ตลอดชีวิตของมันล้วนอยู่มาด้วยกันกับโจวหมิงน้องชายฝาแฝด กล่าวได้ว่าคนที่มันสนิทสนมด้วยที่สุดในชีวิตนี้คือโจวหมิง


 


แต่ตอนนี้โจวหมิงตายแล้ว!


 


ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตามัน!


 


มันเคียดแค้นทั้งชิงชังนัก!


 


ยังอยากจะสับร่างคนที่ฆ่าน้องชายฝาแฝดของมันให้แหลกเป็นหมื่นๆชิ้นเหลือเกิน!


 


อย่างไรก็ตามพอนึกถึงพลังอันแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ที่ร้ายกาจถึงชั้นทำให้จิตใจถูกความหวาดกลัวครอบงำจนตัวสั่น มันก็ทำได้แค่ปัดเป่าความเคียดแค้นชิงชังในใจให้สลายไปเท่านั้น


 


“โจวหมิง!”


 


บรรพบุรุษอีกคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ชายชราชุดคลุมขาวที่แลคล้ายเทพเซียน พอเห็นโจวหมิงตายตกลง หน้ามันก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง


 


จากนั้นพอมองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ลูกตาของมันก็ฉายแววสยดสยองขลาดกลัว!


 


พริบตาเดียว กลับเข่นฆ่าขุนนางอมตะ 10 ที่ไม่อ่อนด้อยไปกว่ามัน!


 


แถมขุนนางอมตะ 10 ทิศที่พลังฝีมือทัดเทียมกับมันนั้น…จวบจนตายยังไม่มีแม้แต่โอกาสจะต้านทาน!


 


ตัวตนเช่นนี้หากคิดลงมือกับมัน น่ากลัวว่ามันก็คงทำได้แค่ตายอย่างไร้ซึ่งหนทางตอบโต้!


 


“อะ…อาจารย์อาหมิง”


 


เมื่อบรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับทั้ง 2 ฟื้นสติ ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋หวู่จี้ก็หายจากอาการตกใจแล้วเช่นกัน หลังร่ำร้องด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกครั้งหนึ่ง มันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัวเสียขวัญ!


 


ทำราวกับสิ่งที่มันมองอยู่ไม่ใช่ผู้คน แต่เป็นยมทูตที่พร้อมจะเก็บเกี่ยววิญญาณคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกมันได้ทุกเมื่อ!


 


และในสายตาของมัน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต่างอะไรจากยมทูตจริงๆ!


 


ต้องทราบด้วยว่าอาจารย์อาของมันคือขุนนางอมตะ 10 ทิศ แต่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียน ทำได้แค่ตกตายโดยไร้ซึ่งหนทางตอบโต้!


 


ต้วนหลิงเทียนร้ายกาจขนาดไหนมันย่อมจินตนาการออกได้ทันที!


 


‘แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตกึ่งราชาอมตะ ยังไม่อาจฆ่าอาจารย์อาหมิงได้ง่ายดายมิใช่หรือไร…หรือว่า…ต้วนหลิงเทียนมัน เป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะอันทรงพลัง!?’


 


คิดถึงจุดนี้ลูกตาไป๋หวู่จี้ก็หดลงแทบปิด ความหวาดกลัวที่ฉายบนใบหน้ายิ่งมายิ่งทวีความรุนแรงหนักข้อ


 


“ตายแล้ว?”


 


“ท่านบรรพบุรุษโจวหมิง…ถูกฆ่าตายแล้วจริงๆหรือ?”


 


“ต้วนหลิงเทียนนั่น มันมีพลังถึงขั้นฆ่าบรรพบุรุษโจวหมิงเชียวหรือ!?”


 


“บรรพบุรุษโจวหมิงจะอย่างไรก็เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศ…แต่มันกลับเข่นฆ่าท่านบรรพบุรุษโจวหมิงได้ในพริบตา ต่อให้เป็นยอดฝีมือกึ่งราชาอมตะ ก็ไม่มีทางทำอะไรแบบนี้ได้มิใช่หรือ…”


 


“ระ…หรือว่า…มันจะเป็นราชาอมตะอันทรงพลัง!?”


 



 


ถึงแม้ระดับสูงของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับรวมถึงเหล่าศิษย์และอาวุโสหน่วยลาดตระเวน จะไม่อาจมองเห็นเรื่องราวใดๆได้เลย แต่จากบรรยากาศอึมครึมรอบกายของชนชั้นบรรพบุรุษและประมุข พวกมันก็ตระหนักได้ทันทีว่าบรรพบุรุษโจวหมิง ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายไปในชั่วพริบตาจริงๆ


 


ด้วยเหตุนี้พวกมันก็เลยแตกตื่นตกใจกันใหญ่!


 


เรื่องนี้ยังเหลือชื่อสุดที่พวกมันจะยอมรับได้!


 


ชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยปีคนหนึ่ง กลับฆ่าบรรพบุรุษ โจวหมิง ยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับพวกมันได้ในชั่วพริบตา!


 


ชายหนุ่มผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่?


 


“ประมุขไป๋…ตอนนี้เจ้าจะไปพาตัวลูกชายเจ้ามาได้รึยัง?”


 


หลังฆ่าโจวหมิงบรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองไปทางไป๋หวู่จี้อีกครั้ง ก่อนจะกล่าวถามออกมาเสียงเบาอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


ได้ยินวาจาถามไถ่ดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน สีหน้าไป๋หวู่จี้ก็เปลี่ยนเป็นมืดดำถึงขีดสุด จากนั้นมันก็ยกมือขึ้นมาป้องประสานกล่าวตอบต้วนหลิงเทียนอย่างมากคารวะ “ปรมาจารย์โอสถต้วน ข้าจะไปพาลูกอกตัญญูของข้ามาที่นี่เพื่อให้ท่านจัดการ”


 


กล่าวจบ ไป๋หวู่จี้ก็เหินร่างจากไปทันที มุ่งตรงไปยังมุมหนึ่งของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ…สถานที่ตั้งผาสำนึกตน!


 


ตอนนี้ลูกชายคนเดียวของมันไป๋อวี่ซวน ถูกมันสั่งให้ไปสำนึกผิดอยู่ที่ผาสำนึกตน


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วนข้าจะตามประมุขไปพาไป๋อวี่ซวนมาที่นี่!”


 


หลังจากไป๋หวู่จี้เหินร่างจากไปได้ไม่ทันไร บรรพบุรุษชราของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ก็กล่าวบอกต้วนหลิงเทียนคำหนึ่ง จากนั้นก็เร่งเหินร่างตามไป๋หวู่จี้ไปทันที


 


ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ห้ามอะไร


 


เพราะเขารู้ดีว่าบรรพบุรุษชราของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับผู้นี้ ไปเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุผิดพลาดใดๆขึ้น เพราะใครจะไปรู้ว่าไป๋หวู่จี้จะบังเกิดความคิดเห็นแก่ตัว เลือกจะพาลูกชายหนีไปหรือไม่…


 


หากเกิดเรื่องราวทำนองนั้นขึ้น อีกฝ่ายย่อมกลัวเขาจะเอาโทสะมาลงกับนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับแทน!


 


ฟุ่บ!


 


หลังจากจัดการโจวหมิงและเก็บแหวนพื้นที่มันมาแล้ว ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบมาหยุดลงข้างๆฮ่วนเอ๋อที่จุดเดิมก่อนหน้า และฮ่วนเอ๋อก็พุ่งมือมากุมมือต้วนหลิงเทียนกระทั่งยังเอนร่างพิงต้วนหลิงเทียนเอาไว้อย่างเนียนๆ ไม่ได้แลดูสนใจอะไรกับสถานการณ์รอบกายแม้แต่น้อย


 


กระทั่งเถี่ยไท่เหอเองก็มองชมเรื่อราวที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าแววตาสงบ


 


เพราะสุดท้ายมันก็เคยเห็นฉากที่หลี่อันถูกต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าด้วยพลังอันเหนือชั้นมาแล้ว


 


นอกจากนี้มันยังได้ไปนิกายอมตะสราญรมย์กับต้วนหลิงเทียน และได้รับทราบว่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ถูกฆ่าตายหมดสิ้น! ที่สำคัญในบรรดาผู้ที่ตายตก ยังเป็นตัวตนที่พึ่งงทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดอีกด้วย!


 


มันก็เลยไม่แปลกใจอะไรเลย ที่เห็นต้วนหลิงเทียนฆ่า โจวหมิง ขุนนางอมตะ 10 ทิศของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับได้ในชั่วพริบตา


 


ในเมื่อตัวตนขอบเขตราชาอมตะยังตกตายด้วยน้ำมือต้วนหลิงเทียนหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีมันคนนี้…


 


แล้วจะนับประสาอะไรกับขุนนางอมตะ 10 ทิศ?


 


พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ลอยร่างกลางหาวรอคอยอย่างสงบ เหล่าอาวุโสระดับสูงรวมถึงศิษย์อาวุโสหน่วยลาดตระเวนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับต่างพากันมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวาดผวา ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจแรง ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะพุ่งเป้ามาที่พวกมัน!


 


เรียกว่าในสายตาของคนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ต่างอะไรจากยมทูตตัวเป็นๆ!


 


อีกทั้งในระหว่างรอให้ไป๋หวู่จี้กลับมา เวลาแต่ละวินาทีช่างยาวนานเหมือนพันปีก็ไม่ปาน คนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับกลัวใจเหลือเกิน ว่าต้วนหลิงเทียนจะรำคาญที่ต้องรอแล้วเข่นฆ่าพวกมันระบายอารมณ์!


 


จนเมื่อเสียงของไป๋หวู่จี้ดังมาแต่ไกล พวกมันก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน ข้าพาไป๋อวี่ซวนมาแล้ว”


 


พอมองไปตามเสียงไป๋หวู่จี้ที่ดังมาแต่ไกล ทุกคนก็เห็นว่าไป๋หวู่จี้กับบรรพบุรุษชราที่เหินร่างจากไปก่อนหน้าได้กลับมากันแล้ว อีกทั้งข้างๆยังมีร่างชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกพลังไร้สภาพหอบหิ้วกลับมาด้วย


 


ชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือนายน้อยนิกายยอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋อวี่ซวน!


 


จากนั้นไม่นาน ไป๋หวู่จี้ ก็หอบหิ้วไป๋อวี่ซวนมาหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


ขณะเดียวกันด้านไป๋อวี่ซวนที่เห็นต้วนหลิงเทียน มันก็อดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่บ้าง


 


เพราะอยู่ๆมันก็ถูกบิดาจับตัวมาอย่างกะทันหัน ระหว่างเดินทางก็ไม่ได้บอกอะไรให้มันรู้เลยสักคำ


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียน มันก็เลยอดสับสนไปไม่ได้


 


อีกทั้งมันยังได้ยินวาจาที่บิดาพึ่งกล่าวออกเมื่อครู่


 


ทว่ามันไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าปรมจารย์โอสถต้วนที่บิดาเอ่ยถึง จะเป็นต้วนหลิงเทียนคนนี้ไปได้!


 


“นายน้อยไป๋ พวกเราเจอกันอีกแล้ว”


 


พอไป๋หวู่จี้คลายพลังที่หอบหิ้วร่าไป๋อวี่ซวนเอาไว้ให้มันลอยร่างค้างกลางหาวเอง สายตาต้วนหลิงเทียนก็เบนไปตกลงบนร่างไป๋อวี่ซวนพลางถามออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


“เจ้า…เจ้ามาที่นี่ทำไม?”


 


ต่อให้ไป๋อวี่ซวนจะโง่งมแค่ไหน แต่จากบรรยากาศอึมครึมโดยรอบ มันก็ตระหนักได้ทันทีว่าเรื่องราวมีอะไรผิดท่า!


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน! เรื่องทั้งหมดมันเป็นเช่นนี้…”


 


ทว่าไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้ตอบคำไป๋อวี่ซวน ไป๋หวู่จี้ก็กล่าวเล่าต้นสายปลายเหตุที่เหอซานบรรพจารย์ไท่อีต้องมาตายตก และอธิบายว่าทั้งหมดเป็นแผนของไป๋อวี่ซวนคนเดียว โดยที่มันเองก็ไม่รู้เห็นอะไรแม้แต่น้อย


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ทราบเรื่องนี้แต่แรก แต่ข้าก็ยังมีความผิดฐานปกป้องมันในภายหลัง…”


 


หลังเล่าเรื่องราวออกมาแล้ว ไป๋หวู่จี้ก็มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง “เช่นนั้นหากปรมาจารย์โอสถต้วนยังรู้สึกไม่พอใจหลังฆ่ามันล้างแค้นแล้ว ท่านก็ฆ่าข้าอีกคนเถอะ…แต่ข้าหวังเพียงว่าหลังปรมาจารย์โอสถต้วนฆ่าข้ากับลูกชายแล้ว ท่านจะเมตตาละเว้นผู้บริสุทธิ์ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับไป กระทั่งเมตตานิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของเรา!”


 


ขณะกล่าวสีหน้าน้ำเสียงของไป๋หวู่จี้เรียกว่าจริงจังจริงใจถึงขีดสุด


 


“ท่านประมุข!”


 


และพอได้ยยินวาจาดังกล่าวของไป๋หวู่จี้ ระดับสูงของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้ง ขณะเดียวกันก็ยิ่งโทษไป๋อวี่ซวนมากขึ้น “เรื่องนี้ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของไป๋อวี่ซวนคนเดียว หาใช่ความผิดของท่านไม่! สุดท้ายแล้วท่านก็มิเคยล่วงรู้แผนการของมัน!!”


 


“ใช่แล้วท่านประมุข…ไป๋อวี่ซวนชดใช้ด้วยชีวิตคนเดียวก็พอ ท่านไม่จำเป็นต้องแบกรับความผิดร่วมกับมัน!”


 


“ท่านประมุข…”


 



 


ไป๋หววู่จี้ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมเมื่อได้ยินวาจาของเหล่าระดับสูงนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ “ข้าเคยได้ยินคำหนึ่งกล่าวไว้ บุตรไม่รักดี เป็นความผิดของบิดา…ในเมื่อลูกชายข้ากระทำความผิดใหญ่หลวง ข้าที่เป็นบิดาของมันก็ไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบได้”


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน…ข้าหวังว่าท่านจะเห็นแก่ความจริงใจของข้า อย่าได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของข้าเลย!”


 


หลังไป๋หวู่จี้กล่าวจบคำ ทั่วร่างมันก็ปะทุกลิ่นอายพลังรุนแรงขุมหนึ่ง


 


ต่อจากนั้น


 


ฟุ่บ!


 


ร่างไป๋หวู่จี้พุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปฉับไวปานเส้นแสงโดยไม่ให้ใครทันได้ตั้งตัว


 


ต่อมา


 


ตูม!!


 


เสียงระเบิดสนั่นดังลงมาจากฟ้าสูง พร้อมกันนั้นยังมีละอองโลหิตและซากเนื้อเลอะเลือนหล่นร่วงลงมาอย่างน่าสยดสยอง ยังมีแหวนพื้นที่วงหนึ่งที่เพียงมองก็จดจำได้ทันทีว่าเป็นแหวนพื้นที่ๆสวมไว้บนนิ้วโป้งของไป๋หวู่จี้…


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน”


 


ตอนนี้เองร่างหนึ่งพลันเหินมาจากด้านหลัง ไม่นานก็มาถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประมุขกล่าวล้วนเป็นความสัตย์จริง…ข้าสามารถเป็นพยานให้ประมุขได้ การตายของอาวุโสเหอซาน…ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดของไป๋อวี่ซวนเพียงผู้เดียว!”


 


คนที่เหินร่างมาหยุดกล่าวคำเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขาแต่อย่างไร อีกฝ่ายก็คือปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนางหนึ่งเดียวของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ เหอเผยหยวน!


 


ในงานสมัชชาเต๋าโอสถครั้งที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนที่แข่งขันกับอีกฝ่ายก็พบว่าเหอเผยหยวนนับว่าเป็นคนตรงๆคนหนึ่ง


 


ดังนั้นพอมีเหอเผยหยวนกล่าวรับรอง เขาก็ย่อมเชื่อคำพูดของไป๋หวู่จี้


 


“อาจารย์ปู่ ช่วยข้าด้วย!”


 


ถึงแม้จะไม่ทราบว่าไฉนอยู่ๆบิดาของตัวเองถึงฆ่าตัวตายไปแบบนั้น แต่ไป๋อวี่ซวนก็ตระหนักได้ทันทีถึงความน่ากลัวของต้วนหลิงเทียน หน้ามันเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง เร่งหันไปร้องขอความช่วยเหลือจากชายวัยกลางคนชุดคลุมสีน้ำเงินที่ลอยร่างอยู่ไม่ไกลทันที


 


ชายวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินที่ว่า ก็คือพี่ชายฝาแฝดของโจวหมิง บรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าทิ้งไปก่อนหน้า…


 


โจวเหวิน!


ตอนที่ 2,916 : ไป๋อวี่ซวนชะตาขาด!


 


“ช่วยเจ้า?”


 


เดิมทีชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินหรือก็คือโจวเหวิน บรรพบุรุษนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ พี่ชายฝาแฝดของโจวหมิงที่พึ่งถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าไป ก็ลอยร่างเงียบงันเหม่อมองฟ้าด้วยสายตาเลื่อนลอย เพราะยังไม่อาจทำใจกับความตายของน้องชายฝาแฝดได้ พอมาได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือจากไป๋อวี่ซวน สองตาแดงฉานก็คลายจากอาการเลื่อนลอยหันไปจับจ้องมองงไป๋อวี่ซวนเขม็งอย่างเย็นชา


 


“เดียรัจฉานน้อย ข้าไถ่ถามตัวเองดูก็พบว่าในอดีตมิเคยทำอันใดเลวร้ายกับเจ้า…แต่มิคิดเลยว่าวันหนึ่งเจ้ากลับชักนำหายนะเช่นนี้มาสู่นิกาย!”


 


“ตอนนี้เจ้าไม่เพียงแต่ทำให้อาจารย์อาโจวหมิงของเจ้าต้องตาย กระทั่งบิดาของเจ้ายังต้องมาตกตายเพราะการกระทำชั่วชาติของเจ้า แล้วนี่เจ้ายังจะมีหน้ามาร้องขอความช่วยเหลือจากข้าอีกหรือ!?”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค สายตาที่โจวเหวินใช้มองไป๋อวี่ซวนก็ท่วมท้นไปด้วยเพลิงโทสะที่ลุกโชนปานจะท่วมแผ่นฟ้า!


 


เกรงว่าหากโทสะอารมณ์สามารถฆ่าคนได้ ไม่ทราบไป๋อวี่ซวนจะตกตายไปแล้วกี่รอบ


 


“หากข้าล่วงรู้แต่แรกว่าวันหนึ่งเดียรัจฉานน้อยเจ้าจักชักนำภัยพิบัติเช่นนี้มาสู่นิกาย ข้าจักเอาขี้เถ้ายัดปากเจ้าให้ตายเสียตั้งแต่ยังแบเบาะ!”


 


โจวเหวินกล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงอำมหิตเย็นชา หลังกล่าวจบก็หยุดลงครู่หนึ่งค่อยหันไปมองฟ้าด้วยสายตาเลื่อนลอยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อนสุดสะเทือนอารมณ์ “สงสารก็แต่น้องหมิงของข้า กลับต้องมาถูกเจ้าลากให้ตกตายไปด้วย!”


 


ได้ยินวาจาอำมหิตเย็นชาของโจวเหวินถล่มมาเป็นชุด ไป๋อวี่ซวนก็ถึงกับหน้าชา


 


“อะไร!?”


 


“อะ…อาจารย์อาหมิง…ตายแล้วหรือ!?”


 


เรียกว่าไป๋อวี่ซวนตกตะลึงจนไม่รู้เหนือรู้ใต้แล้วจริงๆ


 


“หึ!”


 


ตอนนี้เองบรรพบุรุษชราที่ติดตามไป๋หวู่จี้ไปพาตัวไป๋อวี่ซวนมาก่อนหน้าก็พ่นลมสบถเสียงเย็น มองกล่าวกับไป๋อวี่ซวนด้วยน้ำเสียงชิงชัง “ไม่ใช่ทั้งหมดล้วนตกตายเพราะเดียรัจฉานเจ้าหรือ? หากมิใช่เพราะเจ้าสรรหาแผนอุบาทว์ยืมมีดฆ่าคนจนเหอซานบรรพจารย์ไท่อีตายตก ปรมาจารย์โอสถต้วนจักมาที่นี่ทำอะไร?”


 


“หากปรมาจารย์โอสถต้วนไม่มา โจวหมิงกับบิดาเจ้ายังต้องตายหรือไม่?”


 


“สำหรับข้า…ที่สมควรตายที่สุดคือตัวอุบาทว์เจ้า!”


 


กล่าวถึงภายหลัง ชายชรา บรรพบุรุษนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ที่ปกติมาดแลดูเทพเซียนสูงส่งไม่นำพาโลกหล้า เวลานี้กลับแลดูเกรี้ยวกราดปานยักษ์มารพิโรธ!


 


“ปะ…ปรมาจารย์โอสถต้วน?”


 


ได้ยินคำพูดของบรรพบุรุษนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับทั้งสอง ไป๋อวี่ซวนจึงรับทราบว่าที่แท้มันเกิดเรื่องราวอันใดขึ้น มันถึงกับต้องหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยความเหลือเชื่อ ในลูกตานอกจากความหวาดกลัวแล้ว ยังเต็มไปด้วยความสับสน  “มัน…มัน…มันมีความสามารถถึงขั้นนั้นได้อย่างไร?”


 


“มิใช่พวกนิกายอมตะสราญญรมย์ขุดประวัติมันออกมาหมดสิ้นแล้วหรือไร?”


 


“มันมิใช่คนจากระนาบโลกียะแสนต้อยต่ำที่พึ่งขึ้นมาหลิงหลัวเทียนได้ไม่กี่ปีหรอกหรือ?”


 


ได้ยินโจวเหวินกับชายชรากล่าวด้วยเสียงชิงชัง ไป๋อวี่ซวน เรียกว่าสับสนงุนงงนัก


 


ถึงแม้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นบิดาถูกบีบคั้นจนต้องฆ่าตัวตาย มันก็ตระหนักได้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนไม่ธรรมดา และหาใช่คนที่จะล่วงเกินได้ง่ายดายไม่!


 


อย่างไรก็ตาม มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่ากระทั่งโจวหมิง 1 ใน 3 บรรพบบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ซึ่งเป็นถึงตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ ยังตายเพราะต้วนหลิงเทียนอีกคน!


 


ยิ่งไปกว่านั้นหลังมันมองประเมินท่าทีบรรพบุรุษทั้ง 2 รวมถึงบรรยากาศโดยยรอบที่แลดูอึมครึมจากการตายของโจวหมิงและบิดามันแต่กลับไม่มีใครกล้าพูดสักคำ ก็เผยให้รู้ว่านิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับไม่อาจทำอะไรได้เลย กระทั่งไม่มีความกล้าจะทำอะไรทั้งสิ้น!


 


มาตอนนี้พอได้ฟังเรื่องราวจากบรรพบุรุษ มันก็ทราบได้ทันทีว่าบัดนี้ทุกคนกลัวต้วนหลิงเทียนกันหมด!


 


อย่างไรก็ตามแม้มันจะรู้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนคือบ่อเกิดแห่งความกลัวของทุกคน แต่มันเข้าใจไปว่าที่ทุกคนหวาดกลัวก็คือภูมิหลังของต้วนหลิงเทียน และข้างกายต้วนหลิงเทียนสมควรมียอดฝีมือที่ทรงพลังอำนาจถึงขั้นบรรพบุรุษนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของมันไม่อาจต่อกรด้วยได้!


 


มันไม่เคยคิดไปทำนองว่าบรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับจะสู้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะเรื่องนั้นต่อให้หลับมันก็ไม่เคยฝันถึง


 


ท้ายที่สุดแล้วมันก็รู้เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเป็นปรมาจารยย์โอสถฝีมือฉกาจดี แถมอีกฝ่ายยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ!


 


ลำพังปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงอายุไม่ถึงร้อยปี ก็ยากจะพบพานเป็นอย่างยิ่ง! ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงคนนี้ มีความสามารถเหนือกว่าปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนางในบางแง่มุมด้วยซ้ำ!!


 


ดังนั้นไป๋อวี่ซวนจึงไม่เคยคิดแม้แต่ครั้งเดียว ว่าตัวตนเช่นนี้…จะเป็นตัวตนที่ทำให้บรรพบุรุษทั้ง 3 ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่เป็นถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศหวั่นกลัวไปได้!


 


‘ยอดฝีมือที่ติดตามข้างกายมันอยู่ที่ใด?’


 


‘ถึงขั้นเข่นฆ่าอาจารย์อาหมิง กระทั่งสะกดให้บรรพบุรุษทั้ง 2 ไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกตัวได้ น่ากลัวว่าคงมิใช่ง่ายดายเช่นยอดฝีมือกึ่งราชาอมตะ…อย่างน้อยๆยอดฝีมือที่ติดตามข้างกายต้วนหลิงเทียนต้องเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะ!!’


 


ในขณะที่ไป๋อวี่ซวนคิดไปในใจอย่างหวั่นหวาด มันก็เริ่มหันรีหันขวางหมายมองหายอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่สมควรเร้นกายติดตามต้วนหลิงเทียนมาไม่หยุด


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะมองไปทางไหนก็ไม่อาจหาผู้ใดพบเจอ


 


ในที่สุดสายตามันก็เบนไปตกยังเถี่ยไท่เหอที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ และคิดไปว่าเถี่ยไท่เหอคนนี้อาจจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่ติดตามต้วนหลิงเทียนมา


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ทันไรมันก็รู้สึกคุ้นๆหน้าเถี่ยไท่เหออย่างประหลาด


 


‘ข้าจำได้แล้ว…’


 


‘เจ้านั่นคือเถี่ยไท่เหอ ผู้พิทักษ์ซ้ายของนิกายอมตะไท่อีที่ข้าเคยเจอในอดีต’


 


‘เช่นนั้นมันย่อมไม่ใช่ยอดฝีมือราชาอมตะที่ติดตามต้วนหลิงเทียนมาด้วยแน่…ยอดฝีมือราชาอมตะผู้นั้นสมควรยังเร้นกายอยู่ในความมืดไม่เผยตัว!’


 


พอคิดถึงงจุดนี้ ไป๋อวี่ซวนก็อดไม่ได้ที่จะหันมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวงอีกครั้ง ใบหน้ายังเริ่มฉายชัดถึงความไม่ยินยอมพร้อมใจขึ้นมา มันไม่พอใจเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีภูมิหลังอันแข็งแกร่งถึงขั้นมียอดฝีมืออันทรงพลังติดตามคุ้มครอง!


 


“หึ! อย่าได้มองหาให้เสียเวลา!!”


 


จากนั้นโจวเหวินที่ไม่ทราบหายจากอาการเหม่อเมื่อไหร่ ก็มองกล่าวกับไป๋อวี่ซวนด้วยน้ำเสียงเย็นชาค่อนแคะ “ปรมาจารย์โอสถต้วนหาได้มียอดฝีมือติดตามอยู่ข้างกายไม่…อาจารย์อาของเจ้า เป็นปรมาจารย์โอสถต้วนลงมือสังหารด้วยตัวเอง!”


 


“อีกทั้งบิดาของเจ้า…ด้วยเพราะกริ่งเกรงพลังฝีมืออันน่าสะพรึงกลัวของปรมาจารย์โอสถต้วน และกังวลว่าปรมาจารย์โอสถต้วนจะเอาโทสะเรื่องที่เจ้าคิดแผนอุบาทว์หลอกมันไปเข่นฆ่าเหอซาน มาลงกับนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเรา สุดท้ายก็ทำลายล้างนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเราจนพินาศสิ้น! จึงตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเช่นนั้น!!”


 


เห็นได้ชัดว่าพอเห็นไป๋อวี่ซวนหันรีหันขวางคล้ายกำลังงมองหาอะไรอยู่ โจวเหวินก็ล่วงรู้ความคิดในหัวของมันทันที


 


“อะไร!?”


 


และทันทีที่เสียงกล่าวของโจวเหวินดังจบคำ ไป๋อวี่ซวนก็เริ่มบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สีหน้าแววตาของมันก็ทำราวกับพบพานภูตผีกลางวันแสกๆ ปากอ้าพะงาบๆกล่าวคำออกมาอย่างยากลำบาก “มัน…มันน่ะหรือ จะมีพลังสามารถฆ่าอาจารย์อาได้!?”


 


“ยิ่งไปกว่านั้น…เป็นเพราะกังวลว่ามันจะทำลายนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ท่านพ่อถึงกับเลือกฆ่าตัวตาย?”


 


“เรื่องพรรค์นี้…มันจะเป็นไปได้อย่างไร!?”


 


“มันไหนเลยจะมีพลังสูงส่งจนน่ากลัวถึงขั้นนั้นได้ทั้งที่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี?!”


 


ไป๋อวี่ซวนไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ อีกทั้งมันไม่อาจทำใจเชื่อได้ลงคอจริงๆ!


 


“หากชาติหน้ามีจริง เจ้าก็จำเอาไว้ให้ดี…”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนที่มองไป๋อวี่ซวนเงียบๆมาตลอด สองตาพลันทอประกายเยียบเย็น กล่าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคนเสมอ…บางครั้งความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำลายทั้งชีวิตเจ้าได้!”


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ เขาก็โบกมือออกมาอย่างขอไปที


 


ทว่าทันใดนั้นเอง มวลอากาศเบื้องหน้าพลันอุบัติเป็นฝ่ามือพลังสีม่วงมหึมาประหนึ่งเนินเขาย่อมๆ พุ่งทะยานตัดฟ้าไปฉับไวซัดเข้าร่างไป๋อวี่ซวนอย่างอำมหิต!


 


ปงงงง!!


 


ในสายตาของทุกคนในที่นี้ ทั้งหมดเพียงเห็นต้วนหลิงเทียนโบกมือส่งๆและไม่อาจแลเห็นได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นเสียงระเบิดหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน พอรู้ตัวอีกที ณ จุดที่ไป๋อวี่ซวนลอยร่างอยู่เมื่อครู่ ก็คงเหลือแต่เพียงความว่างเปล่าที่กำลังสั่นไหวสะเทือน กับหมอกโลหิตและแหวนพื้นที่วงหนึ่งเท่านั้น…


 


แหวนพื้นที่ของไป๋อวี่ซวนก็เริ่มร่วงตกฟ้าลงมาพร้อมละอองเลือด…


 


“เรื่องในวันนี้ทั้งหมดเกิดจากไป๋อวี่ซวนนายน้อยนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเป็นต้นเหตุ ข้าได้จัดการสะสางงเรื่องราวของข้แล้ว หลังจากนี้ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าคิดจะนำความแค้นความสูญเสีญที่เกิดขึ้นวันนี้ไปลงกับนิกายอมตะไท่อีหรือไม่ ทั้งยังไม่สนอีกด้วยว่าพวกเจ้าคิดจะลงมือกับนิกายอมตะไท่อีอย่างไร…”


 


หลังเข่นฆ่าไป๋อวี่ซวนไปในฉับพลันจนสร้างความตกตะลึงให้ผู้คนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มกวาดตามองไปยังคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับทั่วๆ พลางกล่าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อนด้วยน้ำเสียงเฉยเมยไร้แยแส


 


“แต่ข้าต้วนหลิงเทียนก็ไม่รังเกียจที่จะมาเยือนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับอีกครา ทั้งไม่รังเกียจที่จะทำลายนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเจ้าให้สิ้นซาก หากข้ารู้ว่ามีคนของนิกายอมตะไท่อีเป็นอะไรไปเพราะพวกเจ้าแม้จะแค่คนเดียวก็ตาม!”


 


วาจาของต้วนหลิงเทียนแม้จะค่อยๆกล่าวออกมาเสียงเนิบแลดูไม่อีนังขังขอบ แต่พอมันดังเข้าหูคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ก็พาลให้ใจพวกมันสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว


 


“เรื่องนี้ขอปรมาจารย์โอสถต้วนอย่าได้กังวล!”


 


ตอนนี้เองก็เป็นบรรพบุรุษชราของนิกายอมะตสวรรค์ลี้ลับที่แลคล้ายเทพเซียนหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนพูดจบ ยังรับปากกับต้วนหลิงเทียนอีกว่า “ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่ปล่อยให้คนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับแตะต้องนิกายอมตะไท่อีเด็ดขาด!”


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน ข้าโจวเหวินก็รับปากท่านเรื่องนี้อีกคน”


 


โจวเหวินที่เป็นบรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับอีกคน ก็กล่าวรับปากต้วนหลิงเทียนเป็นมั่นเหมาะ


 


ถึงแม้ในใจของมันจะแทบทนรอฆ่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า เพื่อล้างแค้นให้น้องชายฝาแฝดไม่ไหวแล้ว…


 


อย่างไรก็ตามมันสำเหนียกตัวเองดี ว่าอาศัยพลังฝีมือที่ชายหนุ่มชุดม่วงเปิดเผยออกมาให้เห็น เกรงว่าชั่วชีวิตนี้มันคงไม่มีโอกาสจะล้างแค้นอันใด


 


เช่นนั้นมันก็ทำได้แค่กลบฝังความแค้นทั้งหมดเอาไว้ให้ลึกสุดใจเท่านั้น เว้นเสียแต่มันจะมั่นใจแล้วจริงๆว่ามีพลังสามารถหรือมีวิธีฆ่าต้วนหลิงเทียนได้แน่นอน หาไม่แล้วมันไม่คิดจะขุดความแค้นดังกล่าว และรื้อฟื้นเรื่องราวความแค้นขึ้นมาอีกตลอดชั่วชีวิต!


 


“ไม่ใช่แค่พวกเจ้า…แม้แต่ชนรุ่นหลังของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ หากมีใครกล้าเล่นตุกติกหรือเล่นแง่อะไร จนก่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนิกายอมตะไท่อี ข้าไม่มีวันละเว้นนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับอีกแน่”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสริมมาอีกประโยคหนึ่ง และประโยคนี้ก็ทำให้คนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับทั้งหลายหวาดกลัวจนตัวสั่นอีกรอบ!


 


ฟุ่บ!


 


หลังจากกล่าวเสริมจบคำ ร่างต้วนหลิงเทียนกับพวกก็อันตรธานหายไปต่อหน้าคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับทุกคนอย่างไร้ร่องรอย…


 


แม้จะเป็นบรรพบุรุษทั้ง 2 ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ ก็ยังไม่อาจมองเห็นร่องรอยใดๆของต้วนหลิงเทียนได้แม้แต่นิดเดียว พวกมันไม่อาจทราบได้จริงๆ ว่าคนอันตรธานหายไปหมดสิ้นได้อย่างไร แล้วหายไปทางไหน…


 


จังหวะนี้ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะหันหน้ามามองสบตากัน ก่อนที่จะแลเห็นซึ้งถึงความหวาดกลัวในสายตากันและกัน


 


“อาวุโสฉี ตั้งแต่วันนี้ไปท่านก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของนิกายไปก่อนเถอะ…หลังจากนี้สักพัก ไว้รอให้ข้ากับโจวเหวินหารือกันแล้ว ค่อยตัดสินใจเลือกประมุขนิกายคนใหม่”


 


บรรพบุรุษชราของนิกายอมะตสวรรค์ลี้ลับที่แลคล้ายเทพเซียน หันไปมองกล่าวกับอาวุโสฉีที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังเสียงเรียบ


 


“ช่วงนี้ข้าหวังว่าสถานการณ์ภายในนิกายจะสงบมั่นคงไร้เรื่องราวอันใด…เจ้าสมควรเข้าใจที่ข้าจะสื่อหรือไม่?”


 


“หากเจ้าจัดการเรื่องได้ดี…ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับคนใหม่ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเจ้า”


 


กล่าวถึงประโยคท้าย บรรพบุรุษชราของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็มองจ้องอาวุโสฉีด้วยสายตาลึกล้ำ


 


“ทราบแล้ว ท่านบรรพบุรุษ!”


 


และอาวุโสฉีผู้นี้ก็เป็น 1 ใน 2 ผู้อาวุโสระดับสูงขอบเขตขุนนางอมตะ 8 ชะตา ที่เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนก่อนที่บรรพบุรุษทั้ง 3 และไป๋หวู่จี้จะมาถึง…


 


ส่วนอีกคนที่เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนพร้อมมัน ได้ตกตายไปแล้ว…


 


ตั้งแต่ที่มันโชคดีรอดชีวิตมาได้เพราะบรรพบุรุษทั้ง 3 มาได้ทันเวลา มันก็รู้สึกขอบคุณฟ้าอย่างถึงที่สุด ที่ชีวิตน้อยๆของมันสามารถเก็บกู้เอาไว้ได้…


 


และตอนนี้พอมันได้ยินวาจาของ 1 ใน 2 บรรพบุรุษที่เหลืออยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ในใจก็บังเกิดความยินดีขึ้นมาปานลิงโลด!


 


ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!?


 


นี่ตัวมัน…มีโอกาสจะได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับงั้นหรือ!?


ตอนที่ 2,917 : ข่าวอันน่าตกใจ!


 


ผู้อาวุโสฉีกับไป๋หวู่จี้ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่พึ่งตกตายไปนั้น กล่าวไปแล้วทั้งคู่ก็อยู่ในรุ่นเดียวกัน ในอดีตทั้งคู่ก็เคยแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งประมุขมาก่อน


 


อย่างไรก็ตามเนื่องจากมันด้อยกว่าไป๋หวู่จี้ทุกด้าน สุดท้ายก็ไร้วาสนากับตำแหน่งประมุข…


 


และนั่นยังเป็นความใฝ่ฝันของมันมากว่าครึ่งชีวิต


 


แต่มันไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าวันหนึ่งอยู่ๆโอกาสขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับจะตกมาถึงมือมัน…


 


จังหวะนี้มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณต้วนหลิงเทียนหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีคนนั้นอยู่บ้าง ที่บุกมาก่อเรื่องอุกอาจที่นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ…


 


ถึงแม้นี่จะเป็นผลพลอยได้จากการลงมือโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็เป็นการมอบโอกาสครั้งใหญ่ให้กับมันจริงๆ


 


เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้เลย


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว การมาเยือนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของเขา ก็เพื่อหาความเป็นธรรมให้กับเหอซาน บรรพจารย์ไท่อีเท่านั้น


 


ตอนนี้เมื่อไป๋หวู่จี้ผู้ลงมือสังหาร กับไป๋อวี่ซวนต้นเหตุการตายได้ตกตายไปแล้วหมดสิ้น เหอซานที่อยู่ในปรโลกหากรับรู้ได้ก็คาดว่าจะนอนตายตาหลับเสียที…


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน ข้าขอขอบคุณท่านในนามนิกายอมะตไท่อีทั้งหมด ที่ล้างแค้นให้กับการตายของท่านบรรพจารย์!”


 


หลังงจากต้วนหลิงเทียนใช้พลังหอบหิ้วทุกคนวูบร่างออกมาจากนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ทั้งเหินร่างห่างออกมาได้พักหนึ่งเขาก็หยุดร่างลง หมายให้เถี่ยไท่เหอหอบหิ้วเดินทางต่อเพื่อเป็นการประหยัดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่าง แต่ไม่ทันได้กล่าวอะไร เถี่ยไท่เหอประสานมือโค้งคารวะกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียนออกมาจากใจเสียก่อน


 


ถึงแม้กล่าวไปในระดับหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็ถือว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของนิกายอมตะไท่อี แต่อีกฝ่ายก็อยู่ในฐานะอาคันตุกะทรงเกียรติเท่านั้น


 


สำหรับอาคันตุกะทรงเกียรติแล้ว ไม่ใช่ธุระหรือหน้าที่อะไรที่จะต้องมาล้างแค้นให้เหอซานบรรพจารย์ของนิกายอมตะไท่อีเลย


 


เช่นนั้นเถี่ยไท่เหอจึงรู้สึกขอบคุณต้วนหลิงเทียนอย่างถึงที่สุด


 


“อาวุโสเถี่ยท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าอย่างไรก็เป็นอาคันตุกะทรงเกียรติของนิกายอมตะไท่อี เรื่องของบรรพจารย์ไท่อี ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ท่านไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนตลี่ยยิ้มบางๆค่อยกล่าวสืบต่อ “นอกจากนั้นเรื่องของบรรพจารย์ไท่อี ครั้งนี้เป็นนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับทำเกินไป ถึงขั้นข้าทนดูไม่ได้จริงๆ”


 


พอกล่าวจบคำ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง ค่อยพูดต่อออกมาว่า “อาวุโสเถี่ย ต่อไปรบกวนท่านพาข้ากับฮ่วนเอ๋อไปนิกายอมตะสือหังที่พื้นที่สามัญหน่อย”


 


การมาเยือนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับนั้น สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากแวะข้างทางสักนิด


 


และหลังจากไปจัดการเรื่องราวที่นิกายอมตะสือหังเสร็จแล้ว เขาก็ตั้งใจจะออกจาก 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และมุ่งหน้าไปยังภาคกลางทันที


 


ที่นั่นเป็นเวทีใหม่ของเขา!


 


“ไม่มีปัญหา ปรมาจารย์โอสถต้วน!”


 


ได้ยินคำขอของต้วนหลิงเทียน เถี่ยไท่เหอก็ตอบรับเร็วไว ท่าทียังแลดูนอบน้อมเชื่อฟังยิ่งกว่าตอนอยู่ต่อหน้าประมุขนิกายอมตะไท่อีเสียอีก…


 


หลังได้เห็นพลังของต้วนหลิงเทียน ในใจเถี่ยไท่เหอก็บังเกิดความเคารพต้วนหลิงเทียนมากแล้ว


 


ตอนนี้พอต้วนหลิงเทียนล้างแค้นให้เหอซาน บรรพจารย์ไท่อี ความเคารพในใจของเถี่ยไท่เหอก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด


 


จากนั้นเถี่ยไท่เหอก็หอบหิ้วต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินทางสืบต่อ


 


เป็นธรรมดาว่าเถี่ยไท่เหอไม่ได้รู้เลย ว่าที่ต้วนหลิงเทียนให้มันพาหอบหิ้วเดินทางนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะไม่อยากสิ้นเปลืองพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่าง


 


เพราะสุดท้ายแล้ว พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ก็เป็นแค่พลังที่ได้รับมาจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ไม่ได้เป็นของเขาจริงๆ ทำให้ไม่อาจใช้สุ่มสี่สุ่มห้าได้


 


หากไม่จำเป็นต้องลงมือ เขาก็ไม่คิดจะสิ้นเปลืองพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขุมนี้


 


ในปัจจุบันเถี่ยไท่เหอก็คิดแค่ว่าต้วนหลิงเทียนแค่ต้องการเวลาทำความเข้าใจวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังเท่านั้น ถึงได้ขอให้มันเป็นคนหอบหิ้วเดินทาง


 


‘ตอนนี้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของข้าถูกใช้ไปไม่น้อย…หากบอกว่าก่อนหน้าจะไปนิกายยอมตะสวรรค์ลี้ลับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของข้าอยู่ในขอบเขตขราชาอมตะ 8 ชะตา…’


 


‘ถ้างั้นตอนนี้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่เหลือในร่างข้าก็เป็นแค่ราชาอมตะ 6 ผสานเท่านั้น’


 


‘คราวนี้ตอนไปจัดการธุระที่นิกายอมตะสือหัง ก็ต้องพยายามประหยัดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดให้มากหน่อย…หรืออย่างน้อยๆก่อนที่จะเดินทางไปถึงภาคกลาง พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของข้าต้องไม่ถูกใช้ไปจนหมดจนหวนกลับสู่สภาพเดิม’


 


ในขณะที่เถี่ยไท่เหอหอบหิ้วต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินทางออกจากพื้นที่ก้าวข้ามมุ่งหน้าไปยังพื้นที่สามัญ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะวางแผนในใจ


 


ท้ายที่สุดแล้ว เถี่ยไท่เหอก็เป็นแค่ขุนนางอมตะ 7 ดาราเท่านั้น การหอบหิ้วต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินทางออกจากพื้นที่ก้าวข้ามไปยังพื้นที่สามัญ ก็จำต้องใช้เวลาสักพัก


 


ดังนั้นระหว่างเดินทาง ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะบ่มเพาะพลังไปพลางๆ บ้างก็คุยกับฮ่วนเอ๋อ


 


แน่นอนว่าการบ่มเพาะพลังของเขา ไม่อาจเพาะสร้างพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ได้รับมาหรือฟื้นฟูส่วนที่เสียไปแต่อย่างใดเพราะเป็นพลังคนละขุมอย่างสิ้นเชิง ทำได้แค่สั่งสมพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในส่วนที่เป็นของเขาจริงๆเท่านั้น


 


และในระหว่างที่เถี่ยไท่เหอหอบหิ้วต้วนหลิงเทียนเดินทางออกจากพื้นที่ก้าวข้ามไปยังพื้นที่สามัญนั้น…


 


ด้านนิกายอมตะสราญรมย์บัดนี้ก็ปั่นป่วนจนหาความสงบสุขไม่เจอ


 


เหล่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์แต่เดิมที่ได้ยินคำประกาศของจี้ฟ่าน และไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สุดท้ายก็ได้รับทราบต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว


 


“ต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีคนนั้น มาหาความนิกายอมตะสราญรมย์ของพวกเรา แถมยังฆ่าบรรพบุรุษหลี่ผิงไปแล้ว?”


 


“บรรพบุรุษหลี่ผิง…มิใช่ว่าพึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะหรือไร…เรื่องนี้มันไม่เหลวไหลเกินไปหน่อยหรือ!?”


 


“บรรพบุรุษหลี่ผิงทะลวงถึงราชาอมตะแล้วก็จริง…ทว่าต้วนหลิงเทียนหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีผู้นั้น กลับเป็นราชาอมตะที่ทรงพลังเหนือกว่าบรรพบุรุษหลี่ผิงเสียอีก ยังฆ่าบรรพบุรุษหลี่ผิงได้อย่างง่ายดาย!”


 


“ให้ตายเถอะ! เรื่องราวมันน่าเหลือเชื่อจนข้าทำใจเชื่อไม่ลงจริงๆ ต้วนหลิงเทียนนั่นไม่ใช่ว่ายังมีอายุไม่ถึงร้อยปีรึไง!?”


 


“นั่นคือส่วนที่น่ากลัวที่สุดของต้วนหลิงเทียนผู้นั้นเลยล่ะ!”


 


“แล้วพวกเราจะเอาอย่างไรกันต่อดี ตอนนี้ผู้อาวุโสระดับสูของนิกายอมตะสราญรมย์เราล้วนถูกฆ่าตายหมดสิ้น ลำพังอาวุโสที่เหลืออยู่ย่อมไม่อาจประคับประคองนิกายยอมตะสราญรมย์ตอนนี้ได้เลย…หลังผ่านการฆ่าลางครั้งนี้ ข้าเกรงว่านิกายอมตะสราญรมย์ของพวกเราคงไม่อาจเป็นนิกายอมตะใหญ่ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ได้แล้ว เผลอๆอาจจะล่มสลายลงด้วยซ้ำ!!”


 


“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอาวุโสที่รอดมาได้ไม่อาจประคับประคองนิกายอมตะสราญรมย์ได้หรอก…ต่อให้เหล่ายอดฝีมือขอบเขตกึ่งราชาอมตะที่เร้นกายของนิกายอมตะสราญรมย์เราจะปรากฏตัวออกมา ก็ไม่อาจประคับประคองนิกายไม่ให้ล่มสลายได้ด้วยซ้ำ หรือพวกเจ้าคิดว่ายอดฝีมือเหล่านั้นจะกล้าเผยตัวออกมา?”


 


“ใช่…เรื่องที่เกิดขึ้นกับนิกายอมตะสราญรมย์เราคราวนี้ แตกต่างจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับนิกายอมตะไท่อีในอดีต ตอนนั้นถึงนิกายอมตะไท่อีแทบจะล่มสลาย แต่ยอดฝีมือที่เร้นกายของนิกายอมตะไท่อี ยังมีพลังมากพอจะฆ่าล้างแค้นนิกายอมตะอันดับ 1 ที่ลงมือกับนิกายอมตะไท่อีในตอนนั้น กระทั่งทำลายล้างนิกายอมตะอันดับ 1 ในตอนนั้นและกอบกู้นิกายอมตะไท่อีได้…ทว่าตอนนี้กระทั่งบรรพบุรุษหลี่ผิงที่ทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะยังถูกฆ่าตาย พวกเจ้าว่ายอดฝีมือเร้นกายกึ่งราชาอมตะที่รั้งอยู่ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของนิกายเรา จะกล้าปรากฏตัวออกมากอบกู้นิกายหรือไม่เล่า?”


 


“เหอะๆ…ไม่กล้าโผล่มาแน่นอน!”


 


“โผล่มาก็ย่ำแย่แล้ว! หากกระทั่งบรรพบุรุษผลี่ผิงที่ทะลวงถึงราชาอมตะยังถูกฆ่า อาศัยตัวตนกึ่งราชาอมตะจะออกมาหาที่ตายทำอะไร? เกิดต้วนหลิงเทียนรู้ว่าพวกมันปรากฏตัวแล้วย้อนกลับมาฆ่าคนอีกรอบก็จบกัน ข้าเชื่อว่าไม่มีใครกล้ามาหรอก…”


 


“คราวนี้นิกายอมตะสราญรมย์ของพวกเราคงต้องจบสิ้นแล้วล่ะ…พวกเจ้าคิดจะทำอะไรต่อไปเล่า?”


 


“ข้าคิดจะออกจากนิกายอมตะสราญรมย์พรุ่งนี้เลย จากนั้นก็เก็บตัวสักพัก…รอให้ผมข้างอกเมื่อไหร่ข้าค่อยไปหานิกายอมตะใหญ่อื่นเข้าร่วม ด้วยความสามารถของข้าคิดจะเข้าร่วมนิกายอมตะใหญ่ดีๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาหรอก”


 


“แล้วไฉนเจ้าต้องรอให้ผมงอกด้วยเล่า? ไปปลูกผมเอาก็สิ้นเรื่อง!!”


 


“นั่นสิ หากเจ้ามัวแต่รอให้ผมงอก แล้วค่อยไปขอเข้าร่วมนิกายอมตะใหญ่อื่น พวกมันก็รู้หมดพอดีว่าเจ้าเป็นคนของนิกายอมตะสราญรมย์ หลังจากนี้ไม่พ้นเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนทำลายนิกายเราต้องแพร่ไปทั่วแน่ ถึงตอนนั้นใครจะกล้ารับเผือกร้อนอย่างพวกเราเล่า เผลอๆยังจะรีบแห่กันมาปล้นของนิกายอมตะสราญรมย์เราด้วยซ้ำ”


 


“ก็เข้าทีดีเหมือนกัน…ข้าไปปลูกผมวันนี้เลยดีกว่า”


 



 


เรียกว่าตอนนี้นิกายอมตะสราญรมย์ประหนึ่งเม็ดทรายกระจัดกระจาย เหล่าศิษย์คิดแต่เรื่องจะแยกย้าย หาทางหนีทีไล่กันหมดสิ้น


 


เหนือขึ้นไปบตำหนักโอ่อ่าของนิกายอมะตสราญรมย์ จี้ฟ่าน อดีตตถาคตที่พึ่งไปยกเค้าคลังสมบัติลับของนิกายอมตะสราญรมย์มา ก็ลอยร่างยืนมองศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ที่ค่อยๆแยกย้ายจากไปอย่างสงบ


 


“งานส่วนหนึ่งที่ปรมาจารย์โอสถต้วนสั่งไว้ลุล่วงไปได้ด้วยดี…และจากวันนี้คงไม่มีนิกายอมตะสราญรมย์เหลืออยู่อีกต่อไป”


 


“จากนั้น…ก็เหลือแต่นำเรื่องราวการลงมือในนิกายอมตะสราญรมย์ของปรมาจารย์โอสถต้วนที่บันทึกไว้ในลูกแก้วเงาลอยออกไปเผยแพร่…”


 


ขณะพึมพำกล่าวถึงจุดนี้ร่างจี้ฟ่านก็วูบหายไปทันที


 


เหล่าศิษย์คนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยกันเดินทางออกจากนิกายอมตะสราญญรมย์


 


ไม่ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนจะเดินทางออกจากเขตของพื้นที่ก้าวข้ามด้วยซ้ำ วีรกรรมที่เขาก่อไว้ในนิกายอมตะสราญรมย์ก็เริ่มแพร่ออกมายังพื้นที่ใกล้เคียงของนิกายอมตะสราญรมย์แล้ว


 


เรียกว่าพื้นที่ละแวกนั้นถึงกับตกตะลึงกันยกใหญ่


 


ในอาณาบริเวณกว้างขวางที่ปกติเป็นนิกายอมตะสราญรมย์ครอบครองอยู่นั้น นิกายอมตะสราญรมย์ไม่ได้แตกต่างอะไรจากเทพเจ้าสำหรับคนในพื้นที่เลย…


 


แต่ตอนนี้คนในพื้นที่กลับได้รับข่าวว่า…


 


นิกายอมตะสราญรมย์ที่เป็นดั่งเทพเจ้านั่น…ได้ถูกกทำลายลงแล้ว?


 


“นิกายอมตะสราญรมย์…ถูกทำลาย…นี่…ล้อกันเล่นรึเปล่า?”


 


“ให้ตายเถอะ…เป็นเรื่องจริงหรือ นิกายอมตะสราญรมย์เนี่ยนะถูกทำลาย? นิกายอมตะใหญ่ที่เป็นรองก็แค่นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้!?”


 


“เหอะๆ เรื่องที่น่าตกใจที่สุดก็คือ…ข่าวจากสายข่าวที่แฝงตัวอยู่ในนิกายอมตะสราญรมย์รายงานมาว่า นิกายอมตะสราญรมย์ถูกคนๆเดียวทำลาย และคนๆนั้นก็คือต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี!”


 


“ช้าก่อน! ต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ที่โด่งดังขึ้นในงานสมัชชาเต๋าโอสถครั้งนี้และได้รับการยอมรับว่าเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงอันดับ 1 คนใหม่แทนซุนเชานั่นน่ะนะ?!”


 


“มิผิด เป็นมัน!”


 


“เดี๋ยวนะสหาย…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? มิใช่ว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้นอายุไม่ถึงร้อยปีหรอกหรือ? แล้วคนอายุไม่ถึงร้อยปีไปทำลายนิกายอมตะใหญ่อย่างนิกายอมตะสราญรมย์ได้อย่างไร?!”


 


“ก็นั่นล่ะที่ทำให้ข้าตกใจแทบตายตอนได้รับรายงาน…ที่สำคัญสายข่าวยังบอกมาด้วยว่า บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์หลี่ผิง ได้ทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะแล้วด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายกลับโดนต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าเยี่ยงสุนัขตัวหนึ่ง!”


 


“มารดามันเถอะ! คนอายุไม่ถึงร้อยปีฆ่าราชาอมตะเนี่ยนะ!?”


 



 


เมื่อข่าวเรื่องนี้แพร่ออกมา เหล่าขุมกำลังน้อยใหญ่ไม่เว้นผู้ฝึกตนพเนจรที่อยู่ในพื้นที่ปกครองของนิกายอมตะสราญรมย์สิ่งแรกที่คิดหลังได้ยินข่าวก็คือ ไม่เชื่อ! จากนั้นเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงของเรื่องราวแต่ละขุมกำลังก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ที่นิกายอมตะสราญรมย์ทันที


 


สุดท้ายภายใต้การนำโดยกลุ่มผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดชนชั้นยอดฝีมือกลุ่มหนึ่ง พอบุกไปถึงนิกายอมตะสราญรมย์ก็พบว่า…ในนิกายยอมตะสราญรมย์บัดนี้ไม่มีใครเหลืออยู่เลย


 


และสิ่งที่สำคัญญที่สุดก็คือ


 


ไม่ว่าคลังสมบัติ แปลงสมุนไพร ทั้งชีพจรผลึกอมตะระดับต่ำของนิกายอมตะสราญรมย์ สภาพของพวกมันให้พูดว่าโดน ‘แร้งลง’ หรือ ‘มหกรรมปล้นครั้งยิ่งใหญ่’ ก็ไม่เกินเลย เพราะตอนนี้สภาพที่ทางได้ยับเยินเละเทะไปหมด…


 


จังหวะนี้ทุกคนจึงเชื่อได้สนิทใจ


 


นิกายอมตะสราญรมย์จบสิ้นแล้วจริงๆ!!


ตอนที่ 2,918 : มาถึงนิกายอมตะสือหัง!


 


กว่าที่ความจริงเรื่องนิกายอมตะสราญรมย์ล่มสลายไปแล้ว จะถูกผู้คนจำนวนมากยืนยันข้อเท็จจริงได้ ด้านต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็ถูกเถี่ยไท่เหอหอบหิ้วเดินทางมาถึงพื้นที่สามัญเป็นที่เรียบร้อย


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน ตอนนี้พวกเราเข้าเขตของพื้นที่สามัญแล้ว แต่พอดีข้าไม่เคยไปนิกายอมตะสือหังมาก่อนเลย ข้าก็เลยไม่รู้เส้นทาง…”


 


หลังมาถึงพื้นที่สามัญ เถี่ยไท่เหอก็หยุดร่างลงเล็กน้อย หันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “เช่นนั้นข้าก็เลยคิดจะไปหาเมืองใหญ่ๆ หรือขุมกำลังอันใดระหว่างทางเพื่อสอบถามดู…หากได้ตำแหน่งที่ตั้งที่แน่ชัดของนิกายอมตะสือหังแล้วพวกเราค่อยเดินทางกันต่อ”


 


“อาวุโสเถี่ย ท่านจัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับฟัง สีหน้าไม่ยินดียินร้ายใดๆ


 


อย่างไรก็ตามตั้งแต่ที่เข้าเขตพื้นที่สามัญ ในใจต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหาความสงบไม่เจอ ‘ไม่รู้ว่าไปนิกายอมตะสือหังครั้งนี้จะได้เจอนางรึเปล่า…’


 


การไปเยือนนิกายอมตะสือหังครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดจะพบมู่หรงปิงแต่อย่างไร เว้นเสียแต่มู่หรงปิงจะออกมาพบเขาด้วยตัวเอง หาไม่แล้วเขาก็ไม่อยากฝืนใจนาง


 


เพราะสุดท้ายแล้วการไปนิกายอมตะสือหังคราวนี้ เขาไม่ได้ไปเพื่อพานางร่วมทางไปกับเขา แต่เป็นการจัดการฝากฝังให้นางสามารถอยู่ในนิกายอมตะสือหังได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว


 


“พี่หลิงเทียน…”


 


ถึงแม้ว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนจะไม่เผยความรู้สึกใดๆออกมา แต่ฮ่วนเอ๋อที่อยู่กับต้วนหลิงเทียนมาพักใหญ่ ย่อมคุ้นเคยกับสีหน้าท่าทีของต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างดี


 


และครั้งนี้นางก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าพี่หลิงเทียนของนางไม่ได้สงบอย่างที่เห็นแค่ผิวเผิน อารมณ์ยังไม่มั่นคงถึงขั้นทำให้กลิ่นอายพลังเริ่มแผ่ออกมาทั่วร่าง


 


จากนั้นนางก็เร่งกุมมือต้วนหลิงเทียนทั้งออกแรงบีบมือต้วนหลิงเทียนเบาๆ ราวกับอยากให้ต้วนหลิงเทียนสงบอารมณ์ลง


 


“ฮ่วนเอ๋อ ข้าไม่เป็นไร”


 


ต้วนหลิงเทียนที่สัมผัสได้ก็เอื้อมมืออีกข้างไปตบหลังมือฮ่วนเอ๋อเบาๆ ยิ้มกล่าวออกมาด้วยสีหน้าแววตาอ่อนโยน


 


ในขณะที่พวกต้วนหลิงเทียนเริ่มเดินทางเข้าไปยังพื้นที่สามัญได้สักพัก พื้นที่ก้าวข้ามกว่าครึ่งบัดนี้ก็ได้รับทราบเรื่องราววีรกรรมที่ต้วนหลิงเทียนทำลายนิกายอมตะสราญรมย์กันหมดแล้ว อีกทั้งเรื่องราวยังเริ่มแพร่กระจายออกไปด้วยความเร็วอันน่ากลัว คงอีกไม่นานก็รู้กันหมด


 


ณ ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ


 


นับตั้งแต่วันที่ต้วนหลิงเทียนมาเยือนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับแล้วเข่นฆ่าโจวหมิง 1 ใน 3 บรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับไป และทำให้ไป๋หวู่จี้ต้องจบชีวิตตัวเอง บรรยากาศทั่วทั้งนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็อึมครึมประหนึ่งมีเมฆหมอกทะมึนมืดปกคลุมไปทั่ว


 


นอกจากอาวุโสฉีที่คึกคักอักโข มักยิ้มหน้าระรื่นไปด้วยความยินดีตอนไม่มีใครอยู่ด้วยแล้ว เรียกว่าไม่มีเสียงหัวเราะดังขึ้นในนิกายเลย


 


เพราะสุดท้ายแล้วการตกตายของโจวหมิง 1 ใน 3 บรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ กับประมุขนิกายอย่างไป๋หวู่จี้  สำหรับนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็ไม่ต่างอะไรจากถูกระเบิดลูกใหญ่ถล่มลงจากฟ้า!


 


หลังจากที่เกิดเรื่องวันนั้น ก็เลยไม่มีใครนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับสามารถหัวเราะออกมาได้


 


แต่วันนี้พอมีข่าวด่วนจากภายนอกรายงานมาถึง นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่ประหนึ่งบ่อน้ำโบราณที่เงียบสงบก็เดือดพล่านไปดั่งธารลาวา!


 


“ต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ได้สังหาร หลี่ผิง ที่พึ่งบรรลุถึงราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด กระทั่งฆ่าล้างบางระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์จนนิกายอมตะสราญรมย์ล่มสลายไปแล้ว!?”


 


“นิ…นี่เป็นความจริงหรือ!? หลี่ผิงที่ทะลวงถึงงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด…ยังตกตายภายใต้เงื้อมมือต้วนหลิงเทียนผู้นั้น!?”


 


“ข่าวนี้มีหลายคนรับรองมาว่าเป็นความจริง…และจนถึงวันนี้ยังไม่มีใครที่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นข่าวเท็จ”


 


“จ้าวสวรรค์ช่วย! หากเรื่องนี้เป็นความจริง ไม่ได้หมายความว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมีพลังสามารถมากพอจะฆ่าตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดหรือไร!?”


 



 


พอนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับได้รับรายงานเรื่องที่นิกายอมตะสราญรมย์ได้ล่มสลายลงไปแล้ว ระดับสูงทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกกันยกใหญ่


 


“เช่นนั้นกล่าวได้ว่า…วันนั้นเป็นต้วนหลิงเทียนเมตตานิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเราแล้วงั้นสิ ที่มันไม่ลงมือฆ่าล้างพวกเราหมดสิ้น?”


 


“ดูเหมือนจักเป็นเช่นนั้น”


 


“ด้วยพลังความแข็งแกร่งที่ร้ายกาจถึงขั้นฆ่าราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้ คิดจะทำลายนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเราก็มิใช่เรื่องยากเย็น…ยังดีที่มันไม่คับแค้นจากการกระทำของไป๋อวี่ซวนบัดซบนั่น จนเอาโทสะมาลงกับพวกเรา!”


 



 


หลังจากได้รับรู้เรื่องที่นิกายอมตะสราญรมย์ล่มสลายไปแล้ว พอนึกถึงการลงมือของต้วนหลิงเทียนวันก่อน ระดับสูงและเหล่าศิษย์ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่อยู่ในเหตุการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


“หลี่ผิงนั่น มันสามารถทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะได้แล้ว? แต่กระนั้นยังถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตาย?”


 


“ต้วนหลิงเทียน…ไม่ใช่แค่ราชาอมตะธรรมดาๆเป็นแน่!”


 


บรรพบุรุษของนิกายอมตะสวรรค์ล้ลับที่เหลือกันอยู่ 2 คน พอได้ยินข่าวเรื่องราวจากโลกภายนอก ก็ถึงกับสะท้านใจไปครั้งใหญ่


 


อันที่จริงตั้งแต่ตอนที่ต้วนหลิงเทียนลงมือเข่นฆ่าโจวหมิงได้อย่างง่ายดาย พวกมันก็มีคาดเดากันไว้แล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่แค่ราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดเป็นแน่!


 


เพราะหากเป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดจริง ต่อให้ใช้ความเร็วสูงสุด ด้วยระดับพลังของพวกมัน ก็สมควรจับเงาร่างความเคลื่อนไหวอันใดได้บ้าง


 


ทว่ายามต้วนหลิงเทียนเคลื่อนไหวลงมือ พวกมันไม่อาจจับร่องรอยอะไรของต้วนหลิงเทียนได้เลย!


 


สิ่งนี้แสดงให้เห็นอะไร?


 


ย่อมแสดงให้เห็นว่าพลังของต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่แค่ขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดแน่นอน!


 


มาตอนนี้พอได้รับทราบข่าวที่เกิดขึ้นในนิกายอมตะสราญรมย์ พวกมันก็เสมือนได้ยืนยันการคาดเดาก่อนหน้า และยังรู้สึกดีใจนักที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ติดใจเอาความเรื่องนี้มากมาย ถึงขั้นคิดลงมือทำลายล้างนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกมัน


 


ต้องทราบด้วยว่า กระทั่งราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดยังถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตาย เช่นนั้นหากต้วนหลิงเทียนคิดจะทำลายนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกมันขึ้นมาจริงๆ ก็ย่อมกระทำได้ง่ายดายนัก!


 


จังหวะนี้บรรพบุรุษทั้ง 2 ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ถึงกับเหงื่อแตกพลั่กไปด้วยความหวาดเสียว แต่ละคนยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่สามารถรอดพ้นความตายมาได้!


 


“ถ่ายทอดคำสั่งของข้าลงไป…นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเรา ไม่อาจล่วงเกินคนของนิกายอมตะไท่อีได้โดยเด็ดขาด! หากพบเจอคนของนิกายอมตะไท่อีก็ต้องให้ความเกรงใจไว้หน้าพวกมันด้วย มิว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม!!”


 


จากนั้นไม่นาน บรรพบุรุษทั้ง 2 ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็เร่งถ่ายทอดคำสั่งลงมาเป็นการด่วน กระทั่งยังให้ยึดถือว่านี่เป็นดั่งประกาศิตฟ้าไม่อาจฝ่าฝืน ทั้งหมดเพราะพวกมันบังเกิดความหวาดกลัวต้วนหลิงเทียนจับใจแล้วจริงๆ!


 


และเมื่อได้รับทราบคำสั่งดังกล่าว คนของนิกายยอมตะสวรรค์ลี้ลับก็ไม่มีใครไม่เห็นด้วยสักคน ล้วนยินดีกระทำอย่างไม่ขัดข้องแม้แต่น้อย!


 


เนื่องจากพลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน ได้ทำให้พวกมันแตกตื่นครั้งใหญ่แล้วจริงๆ!


 


ต่อให้บรรพบุรุษทั้ง 2 ไม่ออกคำสั่งดังกล่าว พวกมันก็ตั้งใจไว้แต่แรกแล้ว ว่าวันหน้าจะไม่มีวันไปล่วงเกินคนของนิกายอมตะไท่อีเด็ดขาด!


 


ด้านต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เรื่องราวใดๆเหล่านี้เลย


 


สิ่งเดียวที่ต้วนหลิงเทียนรู้ ก็คืออีกไม่นานทั่ววทั้งพื้นที่ก้าวข้ามต้องรับทราบเรื่องราวการลงมือทำลายนิกายอมตะสราญรมย์ของเขาเป็นแน่


 


‘ป่านนี้ในพื้นที่ก้าวข้ามคงมีน้อยคนที่ยังไม่รู้เรื่องราวการลงมือของข้าที่นิกายอมตะสราญรมย์กระมัง?’


 


‘หมายความว่าหากนิกายยอมตะสราญรมย์ยังมียอดฝีมือขอบเขตกึ่งราชาอมตะเร้นกายอยู่ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้จริง พวกมันก็สมควรรับทราบเรื่องราวที่ข้าทำลายนิกายพวกมันแล้วสิ?’


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อถูกเถี่ยไท่เหอหอบหิ้วเดินทางมาถึงพื้นีท่ด้านนอกนิกายอมตะสือหัง ใจเขาก็ฉุกคิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา


 


และความจริงก็เป็นดั่งที่ต้วนหลิงเทียนคิด


 


ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน เรื่องราวที่เขาทำลายนิกายอมตะสราญรมย์ก็ได้ล่วงรู้ไปทั่วพื้นที่ก้าวข้าม กระทั่งล่วงรู้ไปถึงหูยอดฝีมือขอบเขตกึ่งราชาอมตะทั้ง 3 ของนิกายอมตะสราญรมย์ที่เร้นกายอยู่!


 


“เจ้าหนูหลี่ผิงนั่น…แม้จะทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะแล้ว แต่ก็ยังถูกฆ่าตายงั้นหรือ?”


 


“เช่นนั้นหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีต้วนหลิงเทียนผู้นั้น…ที่แท้พลังฝีมือของมันสูงส่งถึงระดับไหน!?”


 


“มันเป็นผู้ใดกันแน่? ไฉนถึงมีพลังอันน่ากลัวได้ด้วยวัยเพียงเท่านี้?”


 



 


ยอดฝีมือกึ่งราชาอมตะทั้ง 3 ของนิกายอมตะสราญรมย์ พอได้รับทราบเรื่องราวที่นิกายอมตะสราญรมย์ถูกทำลาย พวกมันก็พากันโกรธเกรี้ยวเดือดดาลเป็นการใหญ่ หมายปรากฏตัวออกมาตามล่าทั้งเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียน ล้างแค้นให้ลูกหลานของพวกมันที่ตายตกไป…


 


อย่างไรก็ตามพอพวกมันได้รับทราบว่า หลี่ผิง ที่บรรลุถึงขอบเขตพลังราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้ว ยังถูกต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าตายคามือ พวกมันก็ขจัดความคิดฆ่าต้วนหลิงเทียนล้างแค้นออกไปจากหัวหมดสิ้น!


 


ถึงขั้นที่พวกมันไม่กล้าปรากฏตัวออกไปกอบกู้ฟื้นฟูนิกายอมตะสราญรมย์ด้วยซ้ำ!


 


เพราะพวกมันกังวลว่า หากทะลึ่งฟื้นฟูกอบกู้นิกายอมตะสราญรมย์ในสถานการณ์เช่นนี้ สิบในสิบไม่พ้นถูกต้วนหลิงเทียนย้อนกลับมาราวีอีกเป็นแน่!


 


ต้วนหลิงเทียนที่กระทั่งราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดยังฆ่ามาแล้ว คิดจะเข่นฆ่ากึ่งราชาอมตะเช่นพวกมัน ย่อมง่ายดายเหมือนตัดหญ้าฆ่าไก่!


 


พวกมันทั้ง 3 ที่เคยทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด ย่อมล่วงรู้ดี ว่าพลังของขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดมันเหนือกว่าพลังของพววกมันในปัจุบันขนาดไหน


 


และต่อให้พวกมันทั้ง 3 ผนึกกำลังร่วมมือกัน แต่เกรงว่าอาศัยราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่อ่อนด้อยที่สุด พวกมันก็รับมือได้ไม่ถึงร้อยกระบวนท่า!


 


“อาจารย์ลุง หรือพวกเราจะปล่อยไปเช่นนี้? พวกเราเพราะพรสวรรค์มีจำกัด จึงเต็มใจรั้งอยู่พื้นที่ชายแดนเพื่อปกป้องนิกาย แต่สุดท้ายพวกเรากลับทำได้แค่เฝ้าดูนิกายถูกทำลายโดยที่ไม่อาจทำอะไรได้เลยหรือ? ข้าไม่เต็มใจ..ข้าไม่เต็มใจปล่อยไปเช่นนี้!!”


 


1 ในตัวตนกึ่งราชาอมตะของนิกายอมตะสราญรมย์อันมีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคน หันไปกล่าวคำกับกึ่งราชาอมตะรูปลักษณ์ชายชราด้านข้าง


 


“เจ้าไม่เต็มใจ แล้วเจ้าคิดว่าข้าเต็มใจปล่อยเรื่องราวให้มันจบลงอีหร็อบนี้หรือ? ข้ารู้ว่าหลี่ผิงเป็นศิษย์ที่เจ้าภาคภูมิใจมากที่สุด และเจ้าอยากแก้แค้นให้มัน…แต่กระทั่งหลี่ผิงที่ทะลวงถึงราชาอมตะแล้วยังถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือต้วนหลิงเทียนผู้นั้น เจ้าคิดว่าอาศัยเจ้าหรือกระทั่งพวกเราจะเป็นคู่มือมันงั้นหรือ?”


 


ชายชราได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มขื่นขม


 


“บางที…คงถึงเวลาแล้วที่พวกเราจักออกเดินทางไปจากพื้นที่ชายแดนเสียที เหตุผลเดียวที่พวกเราไม่ออกจากพื้นที่ชายแดนแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ภาคกลาง ก็เพราะพรสวรรค์ของพวกเรามีจำกัด และเป็นห่วงนิกาย…”


 


ชายชราคนสุดท้ายที่นิ่งฟังอยู่นาน ในที่สุดก็กล่าวออกมาพลางทอดถอนใจ “ด้วยเหตุนี้ สุดท้ายระดับพลังของพวกเราจากราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด จึงถดถอยกลับมายังขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ…”


 


“ในชีวิตนี้เว้นเสียแต่พวกเราจะพบพานสมุนไพรอมตะหายากหรือโอสถอมตะเลิศล้ำ เพื่อขจัดผลข้างเคียงจากการถดถอยของด่านพลัง หาไม่แล้วด่านพลังของพวกเราคงมิอาจก้าวหน้าได้อีกชั่วชีวิต…”


 


“ตอนนี้ในเมื่อนิกายก็ล่มสลายไปแล้ว ถึงพวกเราจะรั้งอยู่พื้นที่ชายแดนสืบต่อก็ไร้ความหมายอันใด…มิสู้พวกเราดั้นด้นไปยังภาคกลางเถอะ บางทีพวกเราอาจพบเจอสมุนไพรหายากหรือโอสถล้ำค่าอันใด ที่สามารถขจัดผลข้างเคียงจากการถดถอยของด่านพลังได้ ทำให้ด่านพลังของพวกเราสามารถก้าวหน้าได้อีกครั้ง”


 


เห็นได้ชัดว่ากึ่งราชาอมตะของนิกายอมตะสราญรมย์ชราคนสุดท้าย คิดหาทางหนีทีไล่ไว้แต่แรก


 


สุดท้ายทั้งสามก็บรรลุฉันทามติ จากนั้นก็พากันเดินทางออกจากพื้นที่ก้าวข้าม รวมทั้งออกจาก 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และมุ่งหน้าเข้าสู่ภาคกลาง


 


และในใจของพวกมันตอนนี้ ล้วนบังเกิดความเสียใจนักที่ในปีนั้นตัดสินใจดับอนาคตของตัวเองและรั้งอยู่ที่นี่ สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ได้ทำให้ความทุ่มเทของพวกมัน กลับกลายเป็นสิ่งไร้ความหมายไปเสียฉิบ…


 


พวกมันจึงเกลียดชังต้วนหลิงเทียนสุดใจ!


 


อย่างไรก็ตาพอได้รับทราบถึงความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนแล้ว พวกมันก็รู้ดีว่าไม่อาจทำอะไรได้เลย กระทั่งชั่วชีวิตนี้คงไม่มีปัญญาจะแก้แค้นแล้วด้วยซ้ำ!


 


ด้านต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย


 


ว่ายอดฝีมือกึ่งราชาอมตะทั้ง 3 ของนิกายอมตะสราญรมย์ ได้เดินทางออกจากพื้นที่ชายแดนเพราะหวาดกลัวเขา


 


และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยิ่งคิดไม่ถึงว่า…


 


วันหนึ่งเขาจะได้พบกับกึ่งราชาอมตะทั้ง 3 ของนิกายอมตะสราญรมย์…


 



 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน เบื้องหน้าก็เป็นนิกายอมตะสือหังแล้ว”


 


ด้านนอกถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสือหัง เถี่ยไท่เหอได้หยุดร่างลงกลางหาว มองไปยังม่านเมฆหมอกที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นก็หันไปมองกล่าววแจ้งเรื่องราวกับต้วนหลิงเทียน ยังถามออกไปด้วยความระวังว่า


 


“พวกเรา…ควรทักทายก่อน หรือท่านจะบุกเข้าไปเลย?”


ตอนที่ 2,919 : สถานการณ์ของมู่หรงปิง


 


ถึงแม้เถี่ยไท่เหอจะพอรู้มาบ้างว่าต้วนหลิงเทียนเคยมีเรื่องราวกับนิกายอมตะสือหัง แต่มันก็ไม่ทราบว่าที่แท้เป็นเรื่องราวอันใดกันแน่ แล้วหมางใจกันมากหรือไม่


 


ก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้มันถามออกไปแบบนั้น


 


นอกจากนี้ถึงแม้ว่าเถี่ยไท่เหอจะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานสมัชชาเต๋าโอสถครั้งล่าสุดกับพวกต้วนหลิงเทียน แต่มันก็ยังได้รับทราบจากปรมาจารย์โอสถทั้ง 3 ว่าประมุขนิกายอมตะสือหังเคยส่งคนไปตามฆ่าต้วนหลิงเทียนมาก่อน


 


ทว่าฟังจากที่ซือถูหมิงเล่ามา ดูเหมือนปรมาจารย์โอสถต้วนจะไม่ได้ติดใจเอาความเรื่องนั้น


 


มันก็เลยไม่ทราบว่าการมาเยือนนิกายยอมตะสือหังครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน ที่แท้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่


 


“บุกเข้าไปเลย”


 


ได้ยินคำถามของเถี่ยไท่เหอ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดสุดไพศาลขุมหนึ่งก็แผ่มาปกคลุมฮ่วนเอ๋อกับเถี่ยไท่เหอไว้ในฉับพลัน


 


จากนั้นร่างของทั้ง 3 ก็อันตรธานหายไปทันที!


 


พอปรากฏตัวอีกครั้ง ก็อยู่ในพื้นที่กว้างใหญ่ รอบๆเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ แว่วเสียงสกุณาเจื้อยแจ้วขับขานทั่วสารทิศ ให้บรรยากาศสงบรื่นรมย์สมกับเป็นแดนเซียนโดยแท้


 


และภายในอาณาบริเวณสงบแห่งนี้ มองไปเบื้องหน้าก็พบเห็นขุนเขาสูงใหญ่อยู่ไม่ไกล มันตั้งตระหง่านราวยักษ์ปักหลั่น ให้ความรู้สึกโออ่าน่าเกรงขามอยู่บ้าง


 


“ข้าต้วนหลิงเทียน บุรุษของมู่หรงปิง…มาเยือนนิกายอมตะสือหังวันนี้ เพื่อท้าประลองขุนนางอมตะ 10 ทิศของนิกายอมตะสือหัง!”


 


และในขณะที่เถี่ยไท่เหอกำลังจะเอ่ยทักคนของนิกายอมตะสือหังตามธรรมเนียม เสียงของต้วนหลิงเทียนพลันดังก้องเข้าหูของมันเสียก่อน


 


และเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน เถี่ยไท่เหอก็ตกตะลึงอึ้งไปครู่หนึ่ง!


 


ถึงแม้มันจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ว่าปรมจารย์โอสถต้วนของนิกายอมตะไท่อีมัน…มีสัมพันธ์สนิทสนมกับมู่หรงปิง ศิษย์อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของนิกายอมตะสือหัง


 


ทว่ามันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ


 


ว่าที่ต้วนหลิงเทียนมานิกายอมตะสือหังวันนี้ เพื่อท้าทายขุนนางอมตะ 10 ทิศของนิกายอมตะสือหังในฐานะบุรุษของมู่หรงปิง!


 


และไฉนต้วนหลิงเทียนทำอะไรแบบนี้ ก็ไม่ยากที่มันจะคาดเดาได้ออก


 


อาจารย์ของมู่หรงปิง ผู้พิทักษ์ลำดับสองของนิกายอมตะสือหัง ‘หวางตันเฟิ่ง’ มีชื่อเสียงขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมอำมหิต!


 


และเหตุผที่ไฉนหวางตันเฟิ่งขึ้นชื่อเรื่องความอำมหิตโหดเหี้ยมนั้น ไม่เพียงแต่การลงมืออย่างเหี้ยมโหดต่อศัตรูในโลกภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะหวางตันเฟิ่งได้ประหารชีวิตลูกศิษย์ของตัวเองจนตายคามือ!


 


สาเหตุที่นางฆ่าศิษย์อย่างอำมหิต เพียงเพราะศิษย์นางไปรักกับบุรุษด้านนอกเท่านั้น…


 


ทั้งหมดเพราะนางมุ่งหวังให้ศิษย์ของตัวเองขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขนิกายอมตะสือหังรุ่นต่อไป อนิจจาศิษยสายตรงของนางคนนั้นกลับไปมีสัมพันนธ์กับบุรุษที่ด้านนอก ทำให้สิ้นคุณสมบัติจะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุข


 


‘ดูเหมือนว่าปรมาจารย์โอสถต้วนกับแม่นางมู่หรงปิงคงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้ว…ทำให้แม่นางมู่หรงปิงหมดโอกาสจะขึ้นดำรตำแหน่งประมุขสืบไป’


 


‘และไม่พ้นปรมาจารย์โอสถต้วนกลัวว่าแม่นางมู่หรงปิงจะประสบชะตากรรมเดียวกันกับศิษย์พี่ของนางในอดีต ถูกอาจารย์เข่นฆ่าซ้ำรอย เช่นนั้นจึงเดินทางมานิกายอมตะสือหังเพื่อคิดขัดขวางหวางตันเฟิ่ง!’


 


‘อีกทั้งการที่ปรมาจารย์โอสถต้วนเลือกจะท้าทายบิดาของหวางตันเฟิ่งตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเพียงหนึ่งเดียวของนิกายอมตะสือหังเช่นนี้ ย่อมทำให้หวางตันเฟิ่งและนิกายอมตะสือหังแตกตื่นกันยกใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย’


 


ในห้วงเวลาดุจฟ้าแล่บ เถี่ยไท่เหอคาดเดาเรื่องราวได้มากมาย


 


“พี่หลิงเทียน…”


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนประกาศตัวออกมาว่าเป็นบุรุษของมู่หรงปิงนั้น ฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างๆก็เผยความอิจฉาออกมาทันที


 


และเป้าหมายความอิจฉาของนางก็คือมู่หรงปิงเป็นธรรมดา!


 


ตอนนี้แม้ฮ่วนเอ๋อจะใกล้ชิดสนิทสนมกับต้วนหลิงเทียน แต่เนื่องจากต้วนหลิงเทียนจงใจเว้นระยะห่างเรื่องความสัมพันธ์เอาไว้ นางจึงเสมือนตบมือข้างเดียวเท่านั้น


 


เรื่องนี้นางเองก็ผิดหวังมาก


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียนยอมรับมู่หรงปิงออกมาแบบนี้ ในใจนางยิ่งทววีความผิดหวังมากขึ้น และยังอิจฉามู่หรงปิงมากยิ่งขึ้น


 


‘คงเป็นเรื่องดียิ่ง หากตำแหน่งข้าในใจของพี่หลิงเทียนจะเท่าเทียมกับพี่สาวมู่หรงปิง’


 


ฮ่วนเอ๋อลอบทอดถอนอยู่ในใจ สองตากระจ่างใสบัดนี้ฉายแววสลดหดหู่ออกมาอย่างน่าเวทนา


 


ขณะเดียวกัน เสียงต้วนหลิงเทียนนั้น ด้วยแฝงเร้นไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันลึกล้ำ มันย่อมแพร่กระจายออกไปฉับไว พริบตาก็ได้ยินกันทั่วนิกายอมตะสือหัง


 


“ข้าต้วนหลิงเทียน บุรุษของมู่หรงปิง…มาเยือนนิกายอมตะสือหังวันนี้ เพื่อท้าประลองขุนนางอมตะ 10 ทิศของนิกายอมตะสือหัง!”


 


และเมื่อทุกคนตระหนักได้ถึงความในวาจาของต้วนหลิงเทียน จะระดับสูงหรือต่ำของนิกายอมตะสือหังก็ผงะไปตามๆกัน


 


เรียกว่าจะเป็นอาวุโสระดับสูงหรือแม้แต่ศิษย์ระดับต่ำที่สุด ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจจนชักสีหน้าเหรอหรา


 


หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง ทั้งหมดจึงค่อยดึงสติกลับมาได้


 


“นี่ๆ พวกเจ้าได้ยินเสียงนั่นกันไหม…ข้ามิได้กำลังฝันอยู่หรอกนะ?”


 


“เจ้ามิได้ฝันไปหรอก ข้าเองก็ได้ยินเหมือนกัน…เป็นเสียงบุรุษผู้หนึ่งประกาศอ้างตัวเป็นบุรุษของศิษย์พี่หญิงมู่หรงปิง ที่สำคัญยังกล่าวว่าจะท้าทายผู้พิทักษ์สูงสุดของพวกเราด้วย”


 


“ผู้พิทักษ์สูงสุดเป็นบิดาของผู้พิทักษ์ลำดับสอง อีกทั้งยังเป็นบุรุษเพียงผู้เดียวในนิกายอมตะสือหังเรา…ด่านพลังยังบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว เจ้านั่นมันมาท้าผู้พิทักษ์สูงสุดเช่นนี้ จะไม่รนหาที่ตายไปหน่อยหรือ?”


 


“ข้าอยากรู้ยิ่ง…ว่าศิษย์พี่หญิงมู่หรงปิงไปมีบุรุษอยู่ด้านนอกตั้งแต่เมื่อใด อีกทั้งมิใช่ศิษย์พี่กำลังจะสืบทอดตำแหน่งประมุขหรือ นางมีความรักได้เหรอ?”


 


“ข้าก็ไม่รู้อ่า…พวกเรารีบไปชมดูกันเร็ว”


 


“แล้วบุรุษผู้นั้นเป็นใครกันนะ คงไม่ใช่คนเสียสติกระมัง?”


 


“แต่ข้าว่าไม่แน่อาจเป็นคนเสียสติจริงๆก็ได้นะ…ใครให้ศิษย์พี่หญิงมู่หรงปิงงดงามถึงขนาดนั้นเล่า บุรุษจะหลงหัวปักหัวปำก็ไม่แปลกหรอก”


 



 


ไม่นานเสียงที่ดังระงมไปทั่วนิกายอมตะสือหังก็เริ่มไปในทิศทางเดียวกัน สตรีน้อยใหญ่ทั้งหลายล้วนคิดว่าที่ต้วนหลิงเทียนประกาศออกมาแบบนั้น ไม่พ้นต้วนหลิงเทียนต้องหลงใหลในรูปโฉมของมู่หรงปิงจนสติเลอะเลือนไปแล้วแน่แท้


 


อีกทั้งบุรุษผู้นั้นอาจมีพลังฝีมือแค่พอตัว ทว่าคิดแสดงความเก่งกาจและความจริงใจให้ศิษย์พี่หญิงมู่หรงปิงของพวกนางรับทราบ ถึงได้เลอะเลือนทำเรื่องเกินตัว ไปท้าขุนนางอมตะ 10 ทิศแบบนี้…


 


ทว่าพวกนางกลับลืมนึกถึงเรื่องหนึ่งไปอย่างสิ้นเชิง


 


หากบุรุษผุ้นั้นมีพลังฝีมือแค่พอตัว ไหนเลยจะบุกเข้ามาในนิกายอมตะสือหังของพวกนางได้?


 


แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร ที่อีกฝ่ายจะมีโอกาสประกาศวาจาเหลวไหลเช่นนี้ ต่อหน้าเหล่าศิษย์และอาวุโสหน่วยสาดตระเวนของนิกายยอมตะสือหัง?


 


อย่างไรก็ตาม เหล่าศิษย์สตรีของนิกายอมะตสือหังมากมาย ก็พากันเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า มุ่งหน้าตรงไปยัทิศทางต้นเสียงเร็วไว


 


และในขณะที่พวกนางแต่ละคนพากันเหินบินไปเร็วไว มองจากสายตาอยากรู้อยากเห็นของพวกนางแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคิดไปชมดูบุรุษที่หาญกล้าผู้นั้น


 


กระทั่งในแววตาของบางคนยังฉายแววดูแคลน คล้ายเห็นภาพบุรุษผู้นั้นตกตายภายใต้น้ำมือของผู้อาวุโสนิกายอมตะสือหังแล้วก็ไม่ปาน


 


“ช้าก่อน…พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ที่เมื่อครู่บุรุษผู้นั้นบอกว่ามันชื่อต้วนหลิงเทียน? ไฉนข้ารู้สึกว่าชื่อต้วนหลิงเทียน…มันคุ้นหูนักเล่า?”


 


“เดี๋ยวนะ…ต้วนหลิงเทียนเหรอ? นั่นมิใช่ชื่อปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงคนใหม่ที่ได้รับอันดับ 1 ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้เราในงานสมัชชาเต๋าโอสถที่พึ่งผ่านมาหรือไร?”


 


“ฮ้า พอเจ้าพูดขึ้นมาข้าก็นึกได้เหมือนกัน ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น เป็นหัวหน้าปรมจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีจากพื้นที่รกร้าง อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงทั้งๆที่ยังอายุไม่ถึง 100 ปีอีกด้วย”


 


“แถมลือกันว่า แม้จะเป็นแค่ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูง แต่ในแง่ความสามารถของการหลอมโอสถแล้ว กระทั่งปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนางของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับยังสู้ไมได้เลย”


 


“ฮั้ย ดูเหมือนบุรุษผู้นี้จะเสียสติไปแล้วจริงๆ ไม่เพียงเพ้อไปว่าศิษย์พี่หญิงมู่หรงปิงเป็นสตรีของตัว ยังเพ้อว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์โอสถอัจฉริยะของนิกายอมตะไท่อีอีก!”


 


“ฮึ! การกระทำของมันครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะดูหมิ่นศิษย์พี่หญิงมู่หรงปิง แต่ยังดูหมิ่นผู้พิทักษ์สูงสุดอีกด้วย…วันนี้มันได้ตายแน่!!”


 



 


ยิ่งมาเหล่าศิษย์ของนิกายยอมตะสือหังยิ่งคิดว่าผู้ที่มาประกาศเหิมเกริมนั้นเป็นคนเสียสติ อย่างไรก็ตามพวกนางยังคงเร่งรุดเหินร่างไปชมดูเรื่องราวอย่างไม่รอช้า


 


เป็นธรรมชาติของผู้คนที่ชมชอบเรื่องราวบันเทิง


 


เหล่าศิษย์สตรีของนิกายอมตะสือหังก็ไม่เว้น


 


อีกทั้งด้วยความที่พวกนางเป็นอิสตรี ความสนใจในเรื่องทำนองชู้สาวนับว่ามีมากกว่าบบุรุษเสียอีก แค่ประเด็นนี้ก็ทำให้พวกนางคุยกันน้ำไหลไฟดับได้หลายวันแล้ว


 


“คนบ้าจากที่ใดหาญกล้าดูหมิ่นผู้พิทักษ์สูงสุด?”


 


“มันยังบ้าถึงขั้นละเมอคิดไปว่า มู่หรงปิง ศิษย์ของผู้พิทักษ์ลำดับสองเป็นสตรีของมันเชียวหรือ เหลวไหลใหญ่แล้ว!”


 


“ที่สำคัญมันบ้าถึงขั้นคิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนากยอมตะไท่อีจากแดนร้างที่พึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นมาใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้เรา!”


 


“ข้าคิดว่ามันเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้ว!”


 



 


ที่พักของชนชั้นอาวุโสทุกแห่งของนิกายอมตะสือหัง ก็ปรากฏร่างสตรีเหินทะยานขึ้นฟ้ามามากมาย ต่างพากันมุ่งหน้าไปยังทิศทางต้นเสียงของต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าขุ่นเคือง


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


“นี่มัน…ดูเหมือนจะเป็นเสียงของหัวหน้าปรมจารยย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีผู้นั้นจริงๆนี่?”


 


เหล่าคนของนิกายอมตะสือหังที่ติดตามประมุขนิกายไปร่วมงานสมัชชาเต๋าโอสถครั้งที่ผ่านมา มีหลายคนที่ได้พบเจอกับต้วนหลิงเทียนและได้ยินเสียงของต้วนหลิงเทียนมาแล้ว พอได้ยินเสียงคุ้นๆหู ก็จดจำได้ว่านี่เป็นเสียงของต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีจริงๆ!


 


นอกจากนั้นในงานสมัชชาเต๋าโอสถ คนเหล่านี้ยังเห็นท่าทีของต้วนหลิงเทียนที่มีต่อมู่หรงปิงแล้วเช่นกัน ทำให้พวกนางตระหนักได้ความสัมพันธ์ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับมู่หรงปิงนั้นไม่ธรรมดา!


 


“แต่ปรมาจารย์โอสถต้วนผู้นั้นหาญกล้าท้าทายผู้พิทักษ์สูงสุดเชียวหรือ? มัน…มันบ้าไปแล้วหรือไร!?”


 


“ไม่รู้สิ…พวกเราก็รีบไปดูเถอะ”


 



 


เหล่าปรมจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงของนิกายอมตะสือหังที่ได้ยินเสียงของต้วนหลิงเทียน ก็เร่งออกจากที่พักและมุ่งหน้าไปยังต้นเสียงทันที


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


“มันมาที่นี่ทำอะไร หรือมันอยากตาย?”


 


หลินหรู ผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของนิกายอมตะสือหังเองก็ได้ติดตามหนานกงซิ่วไปงานสมัชชาเต๋าโอสถครั้งที่ผ่านมาเช่นกัน พอได้ยินเสียงต้วนหลิงเทียนก็จดจำได้ทันที


 


อีกทั้งหลังงานสมัชชาเต๋าโอสถจบลง นางเองก็ได้รับทราบเรื่องราวระหว่างต้วนหลิงเทียนกับมู่หรงปิงจากปากของหนานกงซิ่วแล้วด้วย


 


ในเวลานั้นนางเองก็เหมือนกันกับหนานกงซิ่ว พอได้ยินเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนอาจเป็นลูกหลานจากตระกูลใหญ่ในภาคกลางอย่าง ตระกูลต้วนนภาล่อง นางก็รู้สึกว่าบางทีนิกายอมตะสือหังอาจมีไม้ใหญ่ให้พึ่งพิง และอาจถีบตัวยกระดับฐานะขึ้นไปได้ครั้งใหญ่…


 


ที่สำคัญงานวิวาห์ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับมู่หรงปิง ไม่พ้นต้องเป็นงานมหามงคลที่จะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของนิกายอมตะสือหังแน่นอน


 


กระทั่งหลังจากจบงานสมัชชาเต๋าโอสถแล้ว พอกลับมาถึงนิกายอมตะสือหัง นางกับหนานกงซิ่วก็พากันไปโน้มน้าวหวางตันเฟิ่งผู้พิทักษ์ลำดับ 2 ของนิกายอมตะสือหังทันที


 


เป็นธรรมดาว่าทันทีที่ได้รู้เรื่องนี้ หนานกงซิ่ว ย่อมมีโมโหเป็นอย่างมาก และคิดจะลงมือสำเร็จโทษมู่หรงปิงให้ตกตายในบัดดล


 


อย่างไรก็ตามพอนางล่วงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนอาจเป็นตัวตนที่มาจากตระกูลใหญ่ในภาคกลาง นางก็บังเกิดความหวั่นเกรงและไม่กล้าลงมือทำอะไรทั้งสิ้น


 


ทว่าเมื่อไม่นานมานี้นางกลับได้ข่าวจากสายที่อยู่ในพื้นที่ก้าวข้าม ว่านิกายอมตะสราญรมย์ได้สืบพบความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนเรียบร้อยแล้ว


 


ต้วนหลิงเทียนนั้น ที่แท้มิใช่ลูกหลานของตระกูลใหญ่ในภาคกลางแต่อย่างไร ทว่าเป็นแค่ผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนเท่านั้น


 


พอได้ยินข่าวดังกล่าว หวานตันเฟิ่งจึงบังเกิดจิตคิดสังหารมู่หรงปิงขึ้นมาอีกรอบ


 


ทว่านางกลับถูกหนานกงซิ่วประมุขนิกายอมตะสือหังหยุดไว้


 


กระทั่งหนานกงซิ่วยังกล่าวออกมาอีกว่า


 


อาจเป็นได้ไม่ใช่หรือ ที่นิกายอมตะสราญรมย์ผิดพลาด?


 


จากนั้นหวางตันเฟิ่งก็เลยกักบริเวณมู่หรงปิงเอาไว้ ขณะเดียวกันก็สั่งให้หน่วยข่าวกรองของนิกายอมตะสือหังเร่งขุดคุ้ยความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนทันที


 


และทันทีที่นางพบว่าต้วนหลิงเทียนนั้นไร้ความเป็นมายิ่งใหญ่จริงๆ นางจะฆ่ามู่หรงปิงให้ตาย!


ตอนที่ 2,920 : หวางตันเฟิ่ง


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


เมื่อเสียงต้วนหลิงเทียนดังก้องไปทั่วนิกายอมตะสือหัง หนานกงซิ่ว ผู้เป็นประมุขนิกายอมตะสือหังก็ย่อมได้ยินด้วยเป็นธรรมชาติ


 


ครู่ต่อมาลูกตานางก็หดหยีเล็กลง สีหน้ายังเริ่มมืดคล้ำดำลง!


 


ถึงแม้นางจะเป็นคนกล่าวบอกศิษย์น้องอย่างหวางตันเฟิ่งด้วยตัวเอง ว่าข่าวจากนิกายอมตะสราญรมย์ของพื้นที่ก้าวข้ามนั้น มันไร้ความน่าเชื่อถือ


 


อย่างไรก็ตามในใจของนางเอง กลับเชื่อข่าวดังกล่าว


 


สุดท้ายแล้วคงไม่มีคลื่นหากไร้ลม


 


ด้วยเหตุนี้นางจึงเกลียดต้วนหลิงเทียนนัก!


 


เกลียดต้วนหลิงเทียนที่มาหลอกนางจนเชื่อ! สุดท้ายหลังกลับมานิกายอมตะสราญรมย์ นางก็ได้นำเรื่องนี้ไปพูดกับหวางตันเฟิ่งเรียบร้อย ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างมู่หรงปิงกับต้วนหลิงเทียน!!


 


กลับกลายเป็นภัยซ่อนเร้นไปเสียฉิบ!


 


ถึงต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้หลอกนาง และไม่ช้าก็เร็วหวางตันเฟิ่งก็ต้องค้นพบเรื่องนี้อยู่ดี แต่นั่นหมายความว่านางยังพอมีเวลาคิดหาวิธีแก้ไข


 


ทว่าตอนนี้หลานสาวของนางถูกหวางตันเฟิ่งกักบริเวณไปแล้ว หวางตันเฟิ่งเองก็ได้ส่งคนไปสืบหาความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนเรียบร้อย และถ้าเกิดพบว่าอีกฝ่ายไร้ภูมิหลังจริงๆ หลานสาวของนางไม่ถึงคราวเคราะห์แล้วหรือไร!?


 


‘มัน…มันถึงขั้นท้าผู้พิทักษ์สูงสุดของนิกายอมตะสือหังข้าเชียวหรือ?’


 


หนานกงซิ่วที่ได้ยินก็บอกได้ทันทีว่าเสียงประกาศเมื่อครู่ คือเสียงของต้วนหลิงเทียนที่นางพบเจอในงานสมัชชาเต๋าโอสถไม่ผิดแน่!


 


อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะมาท้าผู้พิทักษ์สูงสุดทำไม


 


ผู้พิทักษ์สูงสุดของนิกายอมตะสือหัง เป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ พลังฝีมือกล้าแข็งมาก ให้มองไปทั่ว 6 พื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงใต้ หรือแม้กระทั่งพื้นที่ชายแดนทั้งหมด ก็คือตัวตนที่อยู่ในระดับต้นๆ


 


ทว่าตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนที่มีอายุไม่ถึงร้อยปี แม้จะมีพรสวรรค์ในเต๋าโอสถสูงส่ง แต่จะอย่างไรก็แค่เด็กน้อยขนอุยขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับคนหนึ่ง กลับหาญกล้าท้าทายผู้พิทักษ์สูงสุดของนิกายอมตะสือหัง?


 


“มันเสียสติไปแล้วหรือไร!?”


 


ตอนนี้กระทั่งหนานกงซิ่วเอง ยังคิดว่าต้วนหลิงเทียนเสียสติไปแล้ว ไม่งั้นคงไม่ประกาศอะไรบ้าคลั่งแบบนั้นออกมาแน่นอน!


 


ฟุ่บบ!


 


ทันใดนันชุดเสื้อของหนานกงซิ่วก็เริ่มโบกสะบัดแม้ไร้ลม จากนั้นร่างนางก็วูบหายไปจากสถานที่บ่มเพาะ บึ่งตรงไปหาต้วนหลิงเทียนทันที


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


ภายในลานบ้านติดผาบนยอดเขาสูงชันหลังหนึ่ง ร่างหญิงงามแต่เดิมที่ยืนอยู่ใกล้ๆหน้าผาคอยชี้แนะดรุณีน้อยฝึกกระบี่ อยู่ๆก็ชะงักค้างไป หลังได้ยินเสียงประกาศที่ดังมาแต่ไกล


 


ใบหน้าของนางแต่เดิมที่เย็นชาไร้อารมณ์อยู่แล้ว บัดนี้คล้ายจะมีม่านน้ำแข็งฉาบทับไปอีกชั้น


 


‘ต้วนหลิงเทียนหรือ…มัน…มาทำทำบ้าอะไรที่นี่แถมยังไปท้าทายผู้พิทักษ์สูงสุดแบบนั้นอีก’


 


ด้านดรุณีน้อยชุดเขียวที่ฝึกกระบี่ตามคำชี้แนะอยู่ พอได้ยินเสียงดังกล่าวลูกตานางก็หดหยี สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


 


“ลุ่ยหลัว นั่นใช่เสียงของหัวหน้าปรมาจารย์โอสถขอนิกายอมตะไท่อี ต้วนหลิงเทียน ผู้นั้นหรือไม่?”


 


หญิงงามอันมีใบบหน้าเย็นชาถึงที่สุด หันกลับมาจับจ้องมองถามดรุณีน้อยชุดเขียวด้วยสายตาที่ทำราวกับมีอัสนีวาบลั่นเสียงเย็น


 


โดนถามไถ่ด้วยสายตาดุดันเช่นนี้ ร่างดรุณีน้อยชุดเขียวก็สะท้านไปทันใด จากนั้นนางก็ค่อยๆกล่าวตอบออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ “ท่านอาจารย์…เป็นเสียงของมัน”


 


ดรุณีน้อยชุดเขียวนางนี้ก็คือลุ่ยหลัวศิษย์นิกายอมตะสือหังที่เคยเจอกับต้วนหลิงเทียนที่เมืองเต๋าโอสถของพื้นที่แห้งแล้งนั่นเอง


 


และเมื่อลุ่ยหลัวเรียกขานหญิงงามหน้าเย็นออกมาว่าอาจารย์ เช่นนั้นตัวตนของนางก็เปิดเผยให้ได้รู้…


 


ผู้พิทักษ์ลำดับ 2 ของนิกายอมตะสือหัง หวางตันเฟิ่ง!


 


ยังเป็นอาจารย์ของลุ่ยหลัวและมู่หรงปิง!


 


ขณะเดียวกัน หวางตันเฟิ่งผู้นี้ยังเป็นลูกสาวแท้ๆของผู้พิทักษ์สูงสุดแห่งนิกายอมตะสือหัง ยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเพียงหนึ่งเดียวของนิกายอมตะสือหัง หวางชิวขวง!


 


“ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐนัก! คิดไม่ถึงจริงๆว่ามันจะพาตัวเองมาส่งถึงหน้าประตู!!”


 


หลังได้รับคำยืนยันจากลุ่ยหลัว สองตาหวางตันเฟิ่งก็ทอประกายเยียบเย็นอำมหิต จากนั้นร่างนางก็พร่ามั่วไปดั่งเงาเลือน ก่อนจะอันตรธานหายไปจากสายตาล่ยหลัวทันที


 


“ท่านอาจารย์รอข้าด้วย!”


 


ถึงแม้ลุ่ยหลัวจะมองไม่เห็นร่องรอยของสตรีงาม แต่นางย่อมเดาได้ไม่ยากว่าไม่พ้นอาจารย์ต้องไปยังจุดที่เสียงต้วนหลิงเทียนดังออกมาเมื่อครู่แน่!


 


ครู่ต่อมาร่างบางก็เหินทะยานขึ้นฟ้า แล้วมุ่งตรงไปยังทิศทางต้นเสียงของต้วนหลิงเทียนทันที


 


‘ตอนนี้ศิษย์พี่หญิงสาม ก็สมควรได้ยินเสียงของมันแล้วใช่ไหม…แต่น่าเสียดาย ต่อให้ศิษย์พี่หญิงสามจะได้ยินเสียงมัน แต่ก็ไม่อาจออกมาจากที่นั่นได้’


 


ในขณะที่ลุ่ยหลัวเหินร่างไปตามเสียงของต้วนหลิงเทียน ในใจนางก็ปรากฏร่างบางในชุดม่วงหนึ่งขึ้นมา อดทอดถอนใจไม่ได้


 


“เขา…เขามาทำอะไรที่นี่…ทั้งยังไปท้าผู้พิทักษ์สูงสุดอีก?”


 


ที่เชิงเขาอีกลูกของนิกายอมตะสือหัง มีลานเล็กๆแลดูทรุดโทรมแห่งหนึ่ง  ร่างสตรีที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะไม้เก่าๆจะพังแหล่มิพังแหล่ในลานนั้น พอได้ยินเสียงที่ดังมาแต่ไกล คนก็ผุดลุกขึ้นมายืนพรวด สองตาที่ฉายแววตื่นเต้นได้วาบหนึ่งก็เริ่มถูกความกังวลเข้ามาแทนที่


 


สตรีดังกล่าวมาในชุดกระโปรงแลดูธรรมดาสีม่วงอ่อน หว่างคิ้วโค้งดั่งขนนก ผิวกายขาวกระจ่างปานหิมะแรกฤดูหนาว เอวคอดกิ่วแลดูอรชรอ้อนแอ้นนัก


 


แม้นจะมีผ้าโปร่งแสงบดบังใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้ หากแต่แค่เพียงดวงตาดั่งสารทฤดูแสนเย็นชา พร้อมด้วยความรู้สึกเลือนลางไม่อาจจับต้องราวหมอกควันที่ปกคลุมทั่วกายนั่น ก็ทำให้สีสันรอบกายของนางคล้ายซีดจางลงไปถนัดตา


 


นอกจากนั้นแม้ครึ่งใบหน้านางจะถูกบดบังไว้ด้วยม่านผ้า


 


แต่ด้วยม่านผ้าปิดหน้าผืนน้อยของนางนั้นโปร่งแสงทั้งเบาบาง จึงทำให้เห็นเรียวคางทั้งความโค้งมนของพวงพักตร์ได้ชัดเจน


 


เรียกว่ามองชมแล้ว ช่างพาลให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกอย่างพุ่งไปเลิกผ้าผืนบางนี่ออกเสียให้ได้…


 


กระทั่งมีม่านผ้าบดบังยังชวนให้ฝันละเมอเพ้อพกถึงเพียงนี้…


 


แล้วหากเลิกผ้านั่นออกเสียเล่า จะทำให้ล่องลอยไปถึงสวรรค์ชั้นใด?


 


สตรีนางนี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นศิษย์นิกายอมตะสือหัง มู่หรงปิง!


 


และบ้านลานทรุดโทรมหลังนี้ ก็คือสถานที่ๆหวางตันเฟิ่งอาจารย์ของนาง กักขังนางเอาไว้ โดยรอบเต็มไปด้วยค่ายยกลปิดกั้นมากมาย ยากที่มู่หรงปิงจะฝ่าออกไปได้


 


“หรือเขามีภูมิหลังในกาคกลางจริงๆ แต่ด้านนิกายอมตะสราญรมย์ไม่อาจตรวจสอบได้?”


 


“แต่หากพาคนมาช่วย…ไฉนถึงประกาศว่าจะท้าทายผู้พิทักษ์สูงสุดออกมาด้วยตัวเองแบบนั้น”


 


ตอนนี้ในใจของมู่หรงปิงเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งไม่เข้าใจ


 


นางมั่นใจว่าเมื่อครู่เป็นเสียงของบุรุษผู้นั้นไม่ผิดแน่


 


นางก็เลยไม่เข้าใจว่าไฉนอีกฝ่ายถึงประกาศออกมาแบบนั้น


 


เท่าที่นางทราบ


 


ชายคนนั้นแม้พรสวรรค์ในเต๋าอมตะจะไม่ใช่ชั่วเช่นกัน แต่ตอนนี้อีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับไม่ใช่หรือไร? ต่อหน้าขุนนางอมตะ 10 ทิศ ยังต่างอะไรจากมดตัวกระจ้อยแสนเปราะบาง?


 


ลึกเข้าไปในถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสือหัง บนยอดเขาสูงชันตระหง่านดั้นเมฆ


 


และขุนเขาลูกนี้ยังเป็นขุนเขาที่สูงที่สุดของถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสือหังอีกด้วย


 


อีกทั้งบนยอดเขาแห่งนี้ยังเป็นสถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดขอนิกายอมตะสือหัง มันตั้งอยู่ ณ ใจกลางสายแร่ผลึกอมตะระดับต่ำที่นิกายอมตะสือหังครอบครองอยู่


 


ยังเป็นสถานที่บ่มเพะพลังของขุนนางอมตะ 10 ทิศแห่งนิกายอมตะสือหัง ผู้พิทักษ์สูงสุด…หวางชิวขวง!


 


เดิมทีหวางชิวขวงก็นั่งขัดสมาธิบ่มเพาะพลังดั่งภิกษุชราเข้าฌานสมาธิ พอได้ยินเสียงที่ดังก้องไปทั่วนิกายอมตะสือหัง สองตาที่ปิดอยู่ก็ลืมตื่นขึ้นมาทันที


 


แววตายังฉายประกายเยียบเย็นเหลือเกิน แลดูดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน


 


“ท้าข้ารึ?”


 


หวางชิวขวงนั้นมีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคน รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดา หลังจากที่ได้ยินเสียงประกาศท้าทายของต้วนหลิงเทียน มันก็พึมพำเบาๆกับตัว มุมปากยังยกยิ้มแสยะเผยให้เห็นความดูแคลนหยันหยาม


 


มันหวางชิวขวงหาใช่แมวสุนัขไม่ อีกฝ่ายอาศัยคุณสมบัติอะไรมาท้าทายมัน?


 


ต้วนหลิงเทียน?


 


มันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน


 


ดังนั้นมันจึงมั่นใจมาก ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ขุนนางอมตะ 10 ทิศใน 6 พื้นภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่มันรู้จักแน่นอน กระทั่งให้เป็นทั้งพื้นที่ชายแดนทั้งหมดก็ตามที


 


ครู่ต่อมาหวางชิวขวงก็หลับตาลงอีกครั้ง เริ่มบ่มเพาะสั่งสมพลังสืบต่อ ทำราวกับเสียงประกาศท้าทายของต้วนหลิงเทียนเป็นแค่เรื่องตลกที่ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง


 


ส่วนอีกด้าน


 


หลังจากที่เสียงต้วนหลิงเทียนดังก้องไปทั่วทั้งนิกายอมตะสือหัง ไม่นานนักต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 3 ก็ถูกกลุ่มสตรีมากมายของนิกายอมตะสือหังปิดล้อม


 


กลุ่มคนที่มาปิดล้อมพวกต้วนหลิงเทียนแรกสุดก็คือหน่วยลาดตระเวนของนิกายอมตะสือหัง


 


หลังจากนั้นไม่นานชนชั้นอาวุโสของนิกายอมตะสือหังก็เริ่มทยอยกันมาถึง พวกนางยังหอบหิ้วศิษย์ส่วนตัวรวมถึงศิษย์ในนิกายที่สนิทสนมกันมาด้วย


 


หลังเวลาผ่านไปนานเข้า เหล่าศิษย์ทั่วไปในนิกายก็เริ่มทยอยกันมาชมดูเรื่องราวสนุกสนานมากึ้นทุกขณะ


 


“นั่นน่ะหรือ บุรุษเสียสติที่ประกาศถ้อยคำโอหังเมื่อครู่? น่าเสียดายหน้าต่อหล่อเหลาเช่นนี้มิน่าสติไม่ดีเลย…”


 


หลังทยอยกันมาถึง แต่ละคนก็พากันจับจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียนทันที


 


“อ๊ะ…มันคงไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีจากพื้นที่รกกร้างตัวจริงหรอกนะ?”


 


ทันใดนั้นศิษย์นิกายอมตะสือหังนางหนึ่งก็อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เพราะตอนนี้สายตาของนางได้เหลือบไปเห็นฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนเข้า จึงอดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนใหม่อีกรอบ


 


“เอ๊ะ?”


 


เช่นเดียวกันกับศิษย์นิกายอมตะสือหังอีกหลายคน เมื่อเห็นฮ่วนเอ๋อข้างๆต้วนหลิงเทียนแล้ว ทั้งหมดก็พากันขมวดคิ้วมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัยทันที


 


“ข้าได้ยินมานานแล้ว ว่าข้างกาย ต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีมีสตรีที่งดงามถึงขั้นใต้หล้าไร้เทียมทานอยู่นางหนึ่ง…นับว่าเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ข้าเห็นใครมีรูปโฉมงดงามสมบูรณ์แบบขนาดนี้ กระทั่งศิษย์พี่มู่หรงปิง โฉมงามอันดับ 1 ของนิกายยอมตะสือหังเรา เมื่อเทียบกับนางแล้วยังด้อยกว่าถนัดตา…”


 


ศิษย์นิกายอมตะสือหังหลายคนที่สังเกตเห็นฮ่วนเอ๋ออดไม่ได้ที่จะยกมือป้องปากอุทานออกมาตาโต “มีนางอยู่ด้วยแบบนี้ ย่อมบ่งชี้ว่าชายผู้นั้นสมควรเป็นต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีตัวจริง!”


 


“สวรรค์…นางช่างงดงามยิ่ง…โอย ข้าไม่เหลือความมั่นใจอันใดเลยต่อหน้านาง…”


 


“พระช่วย! น้องสาวผู้นั้น…หากนางบอกว่าตัวเองงดงามเป็นอันดับ 2 ข้าเกรงว่าใต้หล้าคงไม่มีผู้ใดกล้าอ้างตัวเป็นอันดับ 1 กระมัง?”


 


“ชายหนุ่มหล่อเหลาชุดม่วงผู้นั้น สิบในสิบไม่พ้นเป็นต้วนหลิงเทียนจากกนิกายอมตะไท่อีของพื้นที่รกร้างตัวจริง!”


 



 


เดิมทีเหล่าศิษย์นิกายอมตะสือหังหลายคนคิดว่า ผู้มาคงเป็นคนบ้าที่เสแสร้งเป็นต้วนหลิงเทียน ทว่าพอมาเห็นฮ่วนเอ๋อที่อยู่เคียงข้างต้วนหลิงเทียน พวกนางก็เริ่มเชื่อไปโดยไม่ทันรู้ตัวว่าอีกฝ่ายคือต้วนหลิงเทียน


 


“มันคือหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น?”


 


“เป็นมันจริงๆหรือ?”


 



 


เมื่อเหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสือหังที่มาถึงแล้วสังเกตเห็นฮ่วนเอ๋อ พวกนางก็อดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนใหม่อีกครั้ง ในแววตายังเผยความประหลาดใจออกมาให้เห็น


 


“เจ้าคือต้วนหลิงเทียน?!”


 


ในขณะที่ศิษย์และอาวุโศของนิกายอมตะสือหังเริ่มยืนยันตัวตนต้วนหลิงเทียนได้ พลันปรากฏเสียงตะโกนเยียบเย็นอันท่วมท้นไปด้วยโทสะเกรี้ยวกราดหนึ่งดังมาแต่ไกล


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ทุกคนได้ยินเสียงตะโกนดังกล่าว ร่างสตรีงดงามหมดจดนางหนึ่งพลันผุดโผล่ขึ้นมาเบื้องหน้ากลุ่มคนของนิกายอมตะสือหังปานภูตผี!


 


“ผู้พิทักษ์หวางตันเฟิ่ง!”


 


สตรีงามหมดจดดังกล่าวปรากฏตัวขึ้นได้ไม่ทันไร คนของนิกายอมตะสือหังก็จดจำนางได้ทันที!


ตอนที่ 2,921 : ขุนนางอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 3 ของนิกายอมตะสือหัง


 


 


ในนิกายอมตะสือหังนั้น มีตัวตนขอบเขตพลังขุนนางอมตะ 9 ตำหนักอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน


 


ประมุขนิกายอมตะสือหัง หนานกงซิ่ว ผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของนิกายอมตะสือหัง หลินหรู และผู้พิทักษ์ลำดับที่ 2 ของนิกายอมตะสือหัง หวางตันเฟิ่ง!


 


และบัดนี้ ตัวตนขอบเขตพลังขุนนางอมตะ 9 ตำหนักของนิกายอมตะสือหังก็ได้มารวมตัวกันพร้อมหน้าโดยมิได้นัดหมายเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน และคนที่พุ่งมาหยุดร่างเบื้องหน้าและถามออกมาเมื่อครู่ก็คือ หวางตันเฟิ่ง!


 


การมาถึงของหวางตันเฟิ่ง ได้ดึงดูดสายตาของคนนิกายอมตะสือหังให้ไปรวมอยู่ที่นางทันที


 


เหล่าศิษย์ที่พอได้สติกันแล้ว ต่างก็เร่งประสานมือโค้งคารวะกล่าวทักทายทำความเคารพอย่างไม่รอช้า


 


“ศิษย์ขอคารวะผู้พิทักษ์หวัง!”


 


“ศิษย์ขอคารวะผู้พิทักษ์หวัง!”


 



 


ถึงแม้หวางตันเฟิ่งจะเป็นเพียงผู้พิทักษ์ลำดับที่ 2  และพลังฝีมือไม่อาจสู้หลินหรูผู้พิทักษ์ลำดับที่ 1 ได้


 


อย่างไรก็ตามหากให้เทียบกับหลินหรูแล้ว เหล่าศิษย์นิกายอมตะสือหังทั้งหลายจะกริ่งเกรงหวางตันเฟิ่งมากกว่า…


 


เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากมาย หนึ่งเลยก็คือนิสัยส่วนตัวของหวางตันเฟิ่งนั้นค่อนข้างเอาแต่ใจทั้งโหดเหี้ยมอำมหิต ผิดกับหลินหรูที่แม้จะพูดน้อยหน้าดุแต่นิสัยใจคอที่แท้จริงกลับอ่อนโยนใจดี ส่วนอีกประการก็คือบิดาของหวางตันเฟิ่งเป็นถึงผู้พิทักษ์สูงสุดนิกายอมตะสือหัง!


 


และผู้พิทักษ์สูงสุดของนิกายสือหัง ก็คือตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเพียงหนึ่งเดียวในนิกายอมตะสือหัง เป็นดั่งเสาหลักที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้


 


แม้แต่ประมุขของนิกายอมตะสือหังเอง ยามพบเจอผู้พิทักษ์สูงสุดก็ต้องทำตัวเคารพแลดูเรียบๆร้อยๆไม่กล้าไม่เกรงใจ


 


“ผู้พิทักษ์หวางตันเฟิ่ง?”


 


พอหญิงงามไม่คุ้นหน้าปรากฏกายขึ้นมามองจ้องถามเขาอย่างเอาเรื่อง ต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และพอได้ยินคำทักทายนางจากเหล่าศิษย์โดยรอบ เขาก็คาดเดาตัววตนของสตรีที่หน้าตางดงามหมดจดผู้นี้ได้ทันที


 


ผู้พิทักษ์ลำดับที่ 2 ของนิกายอมตะสือหัง หวางตันเฟิ่ง!


 


ขณะเดียวกันนางยังเป็นอาจารย์ของมู่หรงปิงอีกด้วย!


 


และเหตุผลหลักที่ทำให้เขาต้องมานิกายอมตะสือหังครั้งนี้ ก็คือการสะกดนางไว้นั่นเอง! หมายให้นางบังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย ไม่กล้าไปลงมือลงไม้กับมู่หรงปิงอย่างวู่วาม!


 


หวางตันเฟิ่งนั้น ไม่เพียงแต่จะมีรูปร่างหน้าตางดงาม การแต่งกายของนางยังเรียกว่าเครื่องประดับจัดเต็ม แลดูหรูหราทั้งมีระดับไม่เบา เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนชมชอบแต่งตัวคนหนึ่ง


 


นอกจากนี้มองจากรูปลักษณ์ของนางแล้ว นายังดูไม่ต่างอะไรจากสตรีวัยสามสิบต้นๆ แม้จะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าดรุณีน้อยแรกรุ่นจนขาดความสดใส หากแต่ก็มีเสน่ห์ไม่ใช่น้อย


 


อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงบัดนี้ หวางตันเฟิ่งก็เอาแต่มองจ้องเขาด้วยสายตาเยียบเย็น กระทั่งในแววตายังฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟันอย่างไม่คิดระงับ


 


‘ดูท่านางจะรู้หมดแล้วสินะ ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างข้ากับมู่หรงปิง’


 


เมื่อเห็นสายตาเย็นชาแฝงจิตฆ่าฟันที่อีกฝ่ายมองมา ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาเรื่องราวได้อย่าง่ายดาย


 


‘ในเมื่อนางรู้เรื่องระหว่างข้ากับมู่หรงปิงแล้ว คงเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะปราณีมู่หรงปิง…บางทีนางอาจบังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหายอยู่บ้าง เพราะมีเรื่องตระกูลใหญ่ในภาคกลางหนุนหลังข้าอยู่ แต่ในเมื่อนิกายอมตะสราญรมย์มันขุดประวัติความเป็นมาข้าออกมาได้ ทั้งยังป่าวประกาศไปทั่ว แถมนิกายอมตะสือหังก็อยู่ใกล้นิกายอมตะสราญรมย์มากกว่านิกายอมตะไท่อี…’


 


‘เช่นนั้นสิบในสิบนิกายอมตะสือหัง…สมควรได้รับข่าวเรื่องประวัติความเป็นมาของข้าแล้ว’


 


‘ในสถานการณ์แบบนี้…มู่หรงปิง…นาง’


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าคิดอีกต่อไป ขณะเดียวกันสำนึกเทวะอันทรงพลังของเขาก็กำจายออกมาจากร่างเร็วไว


 


สำนึกเทวะของเขาสัมผัสได้ถึงหวางตันเฟิ่งที่อยู่เบื้องหน้าชัดเจนกว่าใคร เพราะพลังฝึกปรือของหวางตันเฟิ่งนั้นไม่ใช่ชั่วเลย


 


เรียกว่าในบรรดาฝูงชนของนิกกายอมตะสือหังที่มารวมตัวกัน นางเด่นไม่น้อยอีกทั้งยังเป็นคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุด


 


จากนั้นสำนึกเทวะของเขาที่แผ่ขยายออกไป ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงตัวตนขอบเขตพลังขุนนางอมตะ 9 ตำหนักอีกสองคน


 


และสองคนนนี้หาใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขาไม่ เพราะพวกนางก็เคยพบเจอกับเขาตอนที่อยู่เมืองเต๋าโอสถพื้นที่แห้งแล้งมาก่อนแล้ว


 


ประมุขนิกายอมตะสือหัง หนานกงซิ่ว!


 


ผู้พิทักษ์ลำดับที่ 1 ของนิกายอมตะสือหัง หลินหรู!


 


อย่างไรก็ตามด้วยความที่สำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนนั้นอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสาน เช่นนั้นไม่ว่าจะหวางตันเฟิ่ง หนานกงซิ่ว หรือหลินหรู ก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะของเขาได้เลย เนื่องจากระดับพลังมันแตกต่างกันเกินไป


 


จากนั้นสำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนก็แผ่ขยายออกไปอีก


 


ชั่วพริบตาถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสือหัง ก็ถูกสำนึกเทวะของเขาครอบคลุมจนทั่ว


 


‘ขุนนางอมตะ 10 ทิศ?’


 


‘ดูเหมือน…มันจะเป็นผู้พิทักษ์สูงสุดของนิกายอมตะสือหัง บิดาหวางตันเฟิ่ง หวางชิวขวง’


 


ต้วนหลิงเทียนที่แผ่สำนึกเทวะครอบคลุมไปทั่วทั้งนิกายอมตะสือหัง ไม่ทันไรก็จับสัมผัสถึงหวางชิวขวงได้ และเป็นธรรมดาว่าหวางชิวขวงเองก็ไม่อาจสัมผัสถึงสำนึกเทวะเขาได้เช่นกัน


 


“ฮู่ว~~”


 


จากนั้นไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงมู่หรงปิง และยืนยันได้ว่ามู่หรงปิงยังปลอดภัยไร้เรื่องราว ต้วนหลิงเทียนก็ถอนสำนึกเทวะกลับทันที อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่สีหน้ายังเผยให้เห็นถึงความหวาดเสียวไม่หาย


 


“ตกลงเจ้าคือต้วนหลิงเทียนใช่หรือไม่?”


 


หวางตันเฟิ่งที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง พอเห็นว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนฉายให้เห็นความหวาดกลัว ก็จี้ถามออกไปเสียงแข็งอีกรอบ


 


“ข้า ต้วนหลิงเทียน ยินดีที่ได้พบผู้พิทักษ์หวางตันเฟิ่ง”


 


ถึงแม้จุดประสงค์การมาวันนี้ของเขาคือจะขู่ให้หวางตันเฟิ่งหวาดกลัวจนไม่กล้าแตะต้องมู่หรงปิง แต่อย่างไรเสียหวางตันเฟิ่งก็เป็นอาจารย์ที่ชุบเลี้ยงมู่หรงปิมาแต่เล็กแต่น้อย ไม่ว่านางจะร้ายเพียงใด แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังทักทายนางออกไปด้วยท่าทีสุภาพให้เกียรติ


 


เผชิญหน้ากับการประสานมือคารวะอย่างแสดงความเคารพของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของหวางตันเฟิ่งยังคงความเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน อย่างไรก็ตามแววตาอำมหิตเยียบเย็นของนางก็ค่อยๆลดท่าทีลง


 


หากบอกว่าตอนแรกที่รับทราบการมาของต้วนหลิงเทียนนั้น นางมีโมโหนัก


 


บัดนี้พอได้เห็นต้วนหลิงเทียนทั้งท่าทีอีกฝ่าย นางจึงพอได้สงบอารมณ์ลงบ้าง


 


ขณะเดียวกัน แววตานางก็อดไม่ได้ที่จะเรืองขึ้นอีกวาบ และกลอกตามองไปยังความว่างเปล่าทั่วๆ หมายสำรวจดูว่าใช่มียอดฝีมือเร้นกายลอบให้ความคุ้มครองต้วนหลิงเทียนอยู่หรือไม่


 


“เถี่ยไท่เหอ จากนิกายอมตะไท่อี ยินดีที่ได้พบผู้พิทักษ์หวางตันเฟิ่ง”


 


ตอนนี้เองเถี่ยไท่เหอที่อยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน ก็ป้องมือประสานคารวะทักทายหวางตันเฟิ่งออกไป


 


“ผู้พิทักษ์หวางไม่จำเป็นต้องตรวจสอบให้เสียเวลา…ครานี้ที่มาเยือนนิกายอมตะสือหัง มีแต่พวกเราสามคน ไม่มีบุคคลที่ 4 แต่อย่างไร”


 


ต้วนหลิงเทียนมองหวางตันเฟิ่งที่กลอกตาไปมา พลางกล่าวออกเสียงเบา


 


“นอกจากนั้น…ก็เป็นอย่างที่นิกายอมตะสราญรมย์ป่าวประกาศออกมา ข้าเป็นแค่ผู้ที่พึ่งขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนได้แค่ไม่กี่ปี ไร้ซึ่งภูมิหลังอย่างตระกูลใหญ่อันใดทั้งสิ้น”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องหวางตันเฟิ่งด้วยสายตาลึกซึ้ง เอ่ยถามออกไปต่อว่า “ท่านไม่พ้นคงได้ยินข่าวจากนิกายอมตะสราญรมย์มาแล้วกระมัง?”


 


ได้ยินคำสารภาพของต้วนหลิงเทียน สีหน้าแววตาหวางตันเฟิ่งก็เปลี่ยนไปทันใด สายตาที่ใช้มองจ้องต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเผยให้เห็นความประหลาดใจขึ้น


 


“ต้วนหลิงเทียนเจ้า…กล้าดีอย่างไรถึงมาหลอกข้าได้หา!?”


 


ทันใดนั้นเองนำเสียขุ่นขึ้งหนึ่งพลันดังขึ้น เสียงนี้ยังคุ้นหูต้วนหลิงเทียนไม่น้อย พอมองไปก็พบบว่าเป็นประมุขนิกายอมตะสือหัง หนานกงซิ่ว ที่กำลังชักสีหน้าถมึงทึงมองจ้องมาที่เขาด้วยสายตาดุร้าย ทีท่าปานพร้อมจะกัดผู้คนได้ทุกเวลา…


 


ข้างๆหนานกงซิ่วก็ยังมีหลินหรู ผู้พิทักษ์ลำดับที่ 1 ติดตามอยู่ดั่งเงา และนางเองก็มองมาที่เขาด้วยสายตาไม่พอใจเช่นกัน


 


“ประมุขหนาน ผู้พิทักษ์หลิน…พวกเราพบกันอีกแล้ว”


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่นำพาสายตาดุร้ายของหนานกงซิ่วกับหลินหรู เพียงโค้งคิ้วขึ้นกล่าวทักทายออกไปด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


หลินหรูนั้นเขาไม่ได้สนิทสนมอะไรมากนัก แต่นางก็ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับเขา และไม่เคยมีเรื่องราวบาดหมางกันมาก่อน กระทั่งวันนี้ในแววตาของนางแม้จะดุร้ายเอาเรื่อง แต่ก็ยังไม่เผยจิตสังหารออกมาเลย ทั้งๆที่รู้แล้วว่าเขาโกหกหลอกลวงก็ตาม…


 


ส่วนหนานกงซิ่วนั้น แม้จะเคยส่งคนไปฆ่าเขา แต่เขาก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ กล่าวไปเพราะการกระทำนี้ยังทำให้เขารู้สึกชอบพอหนานกงซิ่วผู้นี้ไม่น้อย เพราะนางเป็นห่วงและดีกับมู่หรงปิงอย่างมาก


 


“ประมุขหนาน ข้าต้องขออภัยต่อท่านด้วย วันนั้นที่ข้าอุปโลกน์เรื่องตระกูลใหญ่ออกมาเพราะข้ามีความจำเป็นจริงๆ…”


 


เช่นนั้นเขาจึงเลือกมองหนานกงซิ่วด้วยท่าทีรู้ผิด พลางกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจว่า “เช่นนั้นข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจ…”


 


“เจ้านี่มัน! มาหลอกข้าแล้วแท้ๆ แต่ยังจะมีหน้าขอให้ข้าเข้าใจอีกรึ!?”


 


โทสะในแววตาหนานกงซิ่วลุกโหมขึ้นมาปานเพลิงไฟได้น้ำมันทันใด เสียงของนางยังเย็นชามากขึ้นทุกขณะ


 


“เอ่อ ประมุขหนานเรื่องนี้ไว้เดี๋ยวพวกเราค่อยไปสะสางกันภายหลังเถอะ…”


 


โดนหนานกงซิ่วมองจ้องมาด้วยสายตาดุร้ายเอาเรื่องแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง สุดท้ายก็ตัดสินใจยิ้มกล่าวเปลี่ยนเรื่องออกไปหน้าตาเฉย “จุดประสงค์การมาของข้าวันนี้ ก็คือการท้าทายผู้พิทักษ์สูงุสด หวางชิวขวง ของนิกายอมตะสือหัง…”


 


“ส่วนเรื่องระหว่างเรา ค่อยว่ากันภายหลังก็ยังไม่สาย…ท่านรอให้ข้าเสร็จเรื่องกับหวางชิวขวงก่อนเถอะ”


 


พอกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมามองจ้องหวางตันเฟิ่งโดยไม่รู้ตัว เพราะอย่างไรเสียหวางชิวขวงที่เขาคิดมาทุบตีสั่งสอนให้รู้เรื่องวันนี้ อย่างไรก็เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของนาง


 


“อาศัยเจ้า คิดท้าทายท่านพ่อข้ารึ!?”


 


หวางตันเฟิ่งแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสีหน้าไม่ขาดหยันหยามดูถูก “หากเจ้าไร้ภูมิหลังอย่างตระกูลใหญ่อันใดในภาคกลาง วันนี้เจ้าก็อย่าหวังว่าจะรอดกลับออกไปจากนิกายอมตะสือหังเราทั้งยังมีชีวิต!!”


 


พอกล่าววาจาอำมหิตจบคำ จิตสังหารพร้อมกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงก็เริ่มแผ่ซ่านออกมาจากร่างบาง พาลให้เหล่าศิษย์นิกายอมตะสือหังที่อยู่ไม่ไกล อดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสี เพราะแรงกดดันพลังระดับนี้ สุดที่พวกนางจะต้านทานรับไหวจริงๆ! เร่งพากันเหินร่างถอยห่างออกจากหวางตันเฟิ่งจ้าละหวั่นดั่งผึ้งแตกรังทันที!!


 


“ดูเหมือนผู้พิทักษ์หวางจะไม่เชื่อว่าข้ามีพลังสามารถพอจะท้าทาบิดาท่านได้สินะ…”


 


เผชิญกับการดูถูกดูแคลนของหวางตันเฟิ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพียงกล่าวออกไปเบาๆอีกรอบ หากแต่น้ำเสียงที่เคยสุภาพกลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน


 


“เช่นนั้นข้าจะให้ผู้พิทักษ์หวางรับทราบ…ว่าข้ามีพลังฝีมือมากพอจะท้าทายบิดาท่านหรือไม่!”


 


และพอกล่าวจบคำ ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงโดยพลัน


 


พริบตาต่อมา


 


ซู่มมม!!


 


ครืนนน!!


 



 


มวลพลังเกี้ยวกราดสุดไพศาลขุมหนึ่งปะทุระเบิดออกมาในฉับพลัน ความว่างเปล่ารอบกายต้วนหลิงเทียนเริ่มสะท้านสะเทือน จากนั้นแสงพลังสีม่วงพลันสาดส่องออกมาทั่วร่างปานห่าพิรุณกระหน่ำ!


 


และเสี้ยวพริบตาต่อมา ฉับไวสุดที่ใครจะทันได้ตั้งตัว มวลพลังสีม่วงที่พวยพุ่งออกมาถมความว่างรอบกายปานห่าพิรุณกระหน่ำ ก็เริ่มควบแน่นก่อเกิดเป็นแถบริ้วพลังหลายร้อยสาย!


 


ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว!



 


ไม่ทันที่ขุนนางอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 3 ของนิกายอมตะสือหังจะทันได้ตอบสนองสิ่งใด มวลพลังสีม่วงของต้วนหลิงเทียนที่ก่อตัวเป็นแถบริ้วพลังนับร้อย ก็พุ่งทะยานตัดฟ้าไปถักทอร้อยเรียงปานข่ายฟ้าแหสวรรค์ทรงกลม มองไปละม้ายคล้ายลูกบอลถัก ปกคลุมรอบๆร่างหวางตันเฟิ่งเสียแล้ว!


 


พอหวางตันเฟิ่งรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น หน้าของนางก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวงด้วยความหวาดกลัว แต่ครู่ต่อมานางก็ตระหนักได้ว่าแถบริ้วพลังที่อยู่ๆก็มาถักทอรอบกายนางเอาไว้ของต้วนหลิงเทียน ไม่ได้ทำร้ายอะไรนาง


 


เพียงแค่มันเริ่มถักสานจนคล้ายเป็นตะกร้อลูกเขื่องที่ห่อหุ้มนางเอาไว้อย่างมิดชิด ขังร่างนางเอาไว้ตรงกลาง!


 


วูบ!


 


ถึงแม้การลงมือของต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ทำร้ายอะไรนาง หากแต่การที่อีกฝ่ายสามารถลงมือก่อการได้ฉับไวสุดที่นางจะทันได้รู้สึกตัวแบบนี้ สีหน้าของนางก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปใหญ่หลวง


 


วูบ! วูบ!


 


สีหน้าของหนานกงซิ่วกัหลินหรูเองก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวงไม่ต่างอะไรจากหวางตันเฟิ่ง เมื่อพบว่าบัดนี้หวางตันเฟิ่งได้ถูกแถบริ้วพลังของต้วนหลิงเทียนสานถักกักร่างเอาไว้เสียแล้ว


 


“มันสามารถลงมือต่อหน้าต่อตาพวกเรา โดยที่พวกเราไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้เลยเช่นนี้…ข้าเกรงว่าคงมีแต่ขุนนางอมตะ 10 ทิศขึ้นไปกระมังที่สามารถกระทำได้?”


 


หนานกงซิ่วกับหลินหรูอดไม่ได้ที่จะหันหน้ามามองสบตากันด้วยความเคร่งเครียด เสียงผ่านพลังถามไถ่ของหลินหรูยังสั่นเครือไปอย่างเห็นได้ชัด!


 


เรื่องนี้หนานกงซิ่วเองก็รู้ดีแก่ใจ จึงทำให้ใจนางอดไม่ได้ที่จะเต้นไประรัวด้วยความหวั่นหวาด


 


ด้านผู้อาวุโสของนิกายอมตะสือหังในที่เกิดเหตุทั้งหมด พอพบว่าอยู่ดีๆ ผู้พิทักษ์ลำดับที่ 2 ของพวกมันอย่างหวางตันเฟิ่งก็ถูกผู้อื่นจับขังอยู่ในกรงสีม่วงประหลาดไปเสียแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงไม่เข้าใจเรื่องราว


 


“มา!”


 


และท่ามกลางใบหน้าอื้ออึงสายตาตกตะลึงของคนนิกายอมตะสือหัง ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆยกมือขวาขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นฝ่ามือก็เริ่มหุบเป็นกำปั้น!


 


ครู่ต่อมากรงสีม่วงที่ล้อมกักร่างหวางตันเฟิ่งเอาไว้ ก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าออกมา!


WSSTH ตอนที่ 2,922 : นวโอรสบงกชบัลลังก์ ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกา


 


 


เมื่อกรงสีม่วงเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าออกมา ขนาดของมันก็ค่อยๆหดเล็กลงทันที สุดท้ายรูปลักษณ์ที่คล้ายตระกร้อสานถึกกักล้อมร่างหวางตันเฟิ่งไว้ ก็แปรเปลี่ยนกลับกลายไปเป็นม่านพลังอ่อนหยุ่นมองไปคล้ายปุยเมฆบางๆสีม่วง!


 


อย่างไรก็ตามแม้ม่านพลังเบาบางคล้ายปัยเมฆนี้จะดูอ่อนแอบอบบาง ทว่าฤทธิ์เดชของมันนั้นร้ายกาจแค่ไหนหวางตันเฟิ่งได้กระจ่างชัดถึงทรวง! เพราะบัดนี้ไม่ว่านางจะต่อต้านแข็งขืนเพียงใด ก็ไม่อาจกระทำได้เลย!!


 


ม่านพลังดั่งปุยเมฆทรงกลมสีม่วงนี้ แผ่พุ่งพลังสะกดสาดโถมเขามาที่ร่างของนางปานน้ำหลาก ทุกครั้งที่หวางตันเฟิ่งพยายามโคจรเร่งเร้าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขึ้นมาหมายแข็งขืนทำลาย ก็ไม่วายโดนพลังดังกล่าวสลายพลังในร่างให้เหือดหายไปหมดสิ้น!!


 


วินาทีนี้หวางตันเฟิ่งรู้สึกเสมือนตัวเองกับกลายเป็น ปลาบนเขียงที่รอให้ผู้อื่นแล่สับได้ตามใจ! ทำให้ในใจบังเกิดความทดท้อทั้งหวาดกลัวถึงขีดสุด!!


 


“ปราณม่วงบูรพา!”


 


พอเห็นหวางตันเฟิ่งถูกผนึกเอาไว้ในม่านพลังทรงกลมสีม่วงดังกล่าว สีหน้าหนานกงซิ่วกับหลินหรูอดไม่ได้ที่จะแปรเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม ขณะเดียวกันพวกนางก็จดจำได้ ว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนใช้คืออะไร เป็นเวทย์พลังระดับขุนนางของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ปราณม่วงบูรพา!


 


ยิ่งไปกว่านั้น มองจากการควบคุมและลักษณะพลังที่เลือนรางไม่อาจจับต้องของต้วนหลิงเทียน พวกนางก็ตระหนักได้ทันทีว่านั่นคือจขุดสูงสุดของปราณม่วงบูรพา หาไม่แล้วไม่มีทางที่พลังจะแปรเปลี่ยนได้ดั่งใจนึกถึงขนาดนี้!


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้ารีบปล่อยศิษย์น้องของข้าเดี๋ยวนี้!!”


 


ถึงแม้จะตกตะลึงกับพลังอันเข้มแข็งและวิธีการลงมืออันฉับไวน่ากลัวของต้วนหลิงเทียน แต่เมื่อเห็นหวางตันเฟิ่งถูกต้วนหลิงเทียนจับขังไว้แบบนั้น หนานกงซิ่วก็ไม่อาจไม่ลงมือ


 


ร่างบางคล้ายกลับกลายเป็นสายลมกรรโชกหอบหนึ่ง พัดจี้เข้าใส่ต้วนหลิงเทียน!


 


แม้หลินหรูจะไม่เอื้อนเอ่ยคำใด แต่คนก็พุ่งร่างติดตามหนานกงซิ่วไปดั่งเงาตามตัว พร้อมร่วมมือผนึกกำลังสยบปราบต้วนหลิงเทียน!


 


หากเป็นก่อนหน้านี้ ถ้าไม่คำนึงถึงความสามารถในเต๋าโอสถของต้วนหลิงเทียน พวกนางก็ไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย


 


ทว่าไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าวันหนึ่งพวกนางกลับต้องมาผนึกกำลังกันสยบปราบต้วนหลิงเทียน!


 


ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางยังไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย ว่าหากร่วมมือกันแล้วจะจัดการต้วนหลิงเทียนได้!!


 


นั่นเพราะการลงมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมามันทรงพลังเกินไป อย่างน้อยๆก็ต้องอยู่ในขอบเขตพลังขุนนางอมตะ 10 ทิศ ซ้ำร้ายยังอาจจะเหนือกว่านั้นอีก!


 


ต้วนหลิงเทียนที่ตระหนักได้แต่แรกว่าหนานกงซิ่วกับหลินหรูลงมือจู่โจมเข้ามา หากแต่เขาก็ไม่ได้สนใจทั้งคู่แต่อย่างใด ยังคงเหม่อมองหวางตันเฟิ่งที่กำลังดิ้นรนอยู่ในม่านพลังดั่งปุยเมฆสีม่วงของเขาด้วยสายตาซับซ้อน


 


หากสตรีนางนี้ไม่ได้เป็นอาจารย์ของมู่หรงปิง และมู่หรงปิงก็ให้ความรักและความเคารพนางสุดใจ ป่านนี้เขาคงฆ่านางให้ตายไปแล้ว เพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


 


ถึงแม้เบื้องหลังของนางจะมีตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศอยู่…


 


แต่ในเวลานี้เขาฆ่าได้กระทั่งราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด แล้วจะยังต้องกลัวขุนนางอมตะ 10 ทิศทำอะไร?


 


“ราชันไม่เคลื่อนไหว”


 


สัมผัสได้ว่าหนานกงซิ่วกับหลินหรูจู่โจมเข้ามาใกล้บรรลุถึงร่างแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่ได้ละสายตาออกจากร่างหวางตันเฟิ่งแต่อย่างไร เพียงโคจรใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาขุมหนึ่ง


 


จากนั้นไม่ทันไร พุทธองค์ร่างทองตัวเขื่องก็เริ่มปรากฏห้อมล้อมคลุมกายร่างต้วนหลิงเทียนที่มีไอพลังสีม่วงปกคลุมก่อนหน้า ดั่งปราการแกร่ง!


 


ปงงงง!!


 


ตูมมม!!


 



 


ไม่ว่าหนานกงซิ่วกับหลินหรูจะดำเนินการอย่างไร จู่โจมออกไปด้วยกระบวนท่ารุนแรงแค่ไหน หากแต่พุทธองค์ร่างทองที่อยู่ๆก็อุบัติขึ้นมาปกคลุมทั่วร่างต้วนหลิงเทียน ก็ไม่ส่อแววจะพังทลายลงเลย!


 


เรียกว่าการโจมตีของสตรีทั้งสอง ยามตกกระทบพุทธองค์ร่างทองตัวเขื่อง เสมือนหนึ่งหมัดชกเข้ากำแพงเหล็ก ไร้ซึ่งภัยคุกคามใดๆต่อร่างด้านในทั้งสิ้น!


 


“นวโอรสบงกชบัลลังก์!”


 


“ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกา!”


 


เมื่อได้รับทราบถึงความน่ากลัวจากการป้องกันอันแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน ในที่สุดหนานกงซิ่วกับหลินหรู ก็นำอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาใช้ทันที!


 


สิ่งที่ปรากฏอยู่ในมือของหนานกงซิ่วก็คือดอกบัวอันมีร่างเด็กชายตัวเล็ก 9 คนยืนเรียงตัวกันสามแถว


 


ชั้นนอกสุดมีเด็กชายยืนอยู่บนกลีบดอกบัวที่เบ่งบานด้วยกันทั้งสิ้น 5 คน ส่วนชั้นถัดมามี 3 และชั้นในสุดใจกลางดอกบัวก็มีเด็กชายยืนอยู่เพียงลำพัง!


 


นี่คือ นวโอรสบงกชบัลลังก์  1 ใน 3 อุปกรณ์อมตะระดับราชาของนิกายอมตะสือหัง และยังเป็นอุปกรณ์อมตะที่เพรียบพร้อมในด้านป้องกันและจู่โจม!


 


นอกจากนั้นยังเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ดีที่สุดในบรรดาอุปกรณ์อมตะระดับราชาทั้ง 3 ชิ้นอีกด้วย!


 


วู้มมม!!


 


หนานกงซิ่วที่ชักสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังถ่ายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดลงศาสตราในมือเร็วไว ทันใดนั้นตัวนวโอรสบงกชบัลลังก์ก็เริ่มเปล่งแสงลี้ลับเรืองรองออกมาเจิดจ้า จากนั้นปรากฏเงาร่างเด็กน้อย 2 คนพวยพุ่งขึ้นมาจากบงกชลอยล่องอยู่เบื้องหน้าหนานกงซิ่ว!


 


จากนั้นนวโอรสบงกชบัลลังก์ในมือของหนานกงซิ่ว ก็เริ่มสาดแสงออกมาเจิดจ้าอีกครั้ง ทันใดนั้นเงาร่างเด็กน้อยหนึ่งคนก็พุ่งไปอยู่ใต้เท้าของหนานกงซิ่ว ยังขยายขนาดขึ้นจนใหญ่โตมากพอให้หนานกงซิ่วยืนได้อย่างไม่ลำบาก


 


ส่วนเงาร่างอีกตัวที่ลอยล่องอยู่เบื้องหน้า ก็เริ่มแผ่ขยายใหญ่ขึ้น จากนั้นก็ซ้อนคลุมร่างหนานกงซิ่วเอาไว้ ดั่งอาภรณ์โปร่งแสง!


 


ส่วนอีกด้านนัก ไม้ปัดฝุ่นในมือหลินหรู หาได้เป็นสิ่งของที่ไม่คุ้นตาต้วนหลิงเทียนแต่อย่างไร


 


มันเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชา ที่เขากับมู่หรงปิงพบเจอในโลกใบเล็กที่เหลือไว้โดยราชาอมตะของนิกายอมตะสราญรมย์…ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกา 1 ใน 3 อุปกรณ์อมตะระดับราชาประจำนิกายอมตะสือหัง!


 


ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกานั้นได้หายสาบสูญไปจากนิกายอมตะสือหังนานปี จนสุดท้ายก็เป็นมู่หรงปิงไปพบเจอแล้วนำกลับมาเมื่อไม่กี่ปีก่อน


 


นอกจากนั้นนิกายอมตะสือหังยังคงมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาอีกชิ้น ทว่ามันอยู่ในมือของขุนนางอมตะ 10 ทิศหนึ่งเดียวของนิกายอมตะสือหัง บิดาของหวางตันเฟิ่ง หวางชิวขวง


 


“ท่านประมุขถึงกับต้องนำนวโอรสบงกชบัลลังก์ออกมาใช้เชียวหรือ? นี่การป้องกันของต้วนหลิงเทียนมันทรงพลังเข้มแข็งขนาดไหนกัน?”


 


“ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ก่อนที่จะนำอุปกรณ์อมตะระดับราชาประจำนิกายออกมา กระทั่งท่านประมุขกับท่านผู้พิทักษ์หลินร่วมมือกันยังมิอาจฝ่าการป้องงกันของต้วนหลิงเทียนเข้าไปได้เลย การป้องกันมันยังจะไม่น่ากลัวได้รึ?”


 


“ตอนนี้กระทั่งผู้พิทักษ์หลินก็ถึงกับนำไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกาออกมาใช้…ขุนนางอมตะ 9 ตำหนักสองคนผนึกกำลังลงมือโดยใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาถึง 2 ชิ้น สมควรฝ่าการป้องกันของต้วนหลิงเทียนเข้าไปได้แล้วกระมัง?”


 


“จังหวะนี้ต่อให้การป้องกันของต้วนหลิงเทียนจะถูกทะลวงฝ่า แต่พลังฝีมือของมันก็ไร้กังขาอีกต่อไป…อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ!!”


 



 


เหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสราญรมย์ในที่เกิดเหตุ พึ่งจะสามารถดึงสติกลับมาจากอาการตกตะลึงได้ แต่นี่ก็ช่วยไม่ได้เพราะต้วนหลิงเทียนนั้นสร้างความตกให้ให้พวกนางครั้งใหญ่จริงๆ!


 


หวางตันเฟิ่ง ผู้พิทักษ์ลำดับ 2 ของนิกายอมตะสือหัง ขุนนางอมตะ 9 ตำหนักอันแข็งแกร่ง ทว่าต่อหน้าต้วนหลิงเทียนกลับไม่มีแม้แต่โอกาสจะตอบโต้ พริบตาก็ถูกต้วนหลิงเทียนกักขังเอาไว้เสียแล้ว!


 


ถึงแม้ครั้งนี้อาจเป็นเพราะหวางตันเฟิ่งประมาทผู้อื่นเขาก่อน แต่อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนก็ต้องมีพลังสามารถสูงถึงขั้น จึงจะลงมือทำอะไรเช่นนี้ได้!


 


มาตอนนี้พอได้เห็นว่ายอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักที่เหลืออยู่สองคนของนิกายได้ผนึกกำลังร่วมมือกันลงมือต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ จนต้องหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาทั้ง 2 ชิ้นออกมาใช้ ก็ทำให้พวกนางตั้งใจดูชมเรื่องราวกันตาไม่กระพริบ!


 


และตอนนี้พวกนางส่วนใหญ่ก็เชื่อมั่นกันว่า ในเมื่อยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักทั้งสองของนิกายที่ผนึกกำลังร่วมมือใช้ออกด้วยอุปกรณ์อมตะระดับราชาพร้อมกัน ต้องสามารถฝ่าปราการป้องกันของต้วนหลิงเทียนได้แน่!


 


ทว่าไม่ทันไร ความเชื่อมั่นของพวกนางจำต้องสั่นคลอนอีกครั้ง


 


“นั่นมัน…”


 


“หรือว่าจะเป็นนอุปกรณ์อมตะระดับราชาด้วย?!”


 


“ไม่ผิดแน่ อาศัยอุปกรณ์อมตะรดับขุนนาง ไม่อาจแผ่กลิ่นอายพลังลี้ลับเช่นนี้ออกมาได้!”


 



 


คนของนิกายอมตะสือหังที่ชมดูเรื่องราวกันอยู่ เห็นกันชัดถนัดตา ว่าในขณะที่หนานกงซิ่วกับหลินหรูหยิบอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาใช้ ในมือของชายหนุ่มชุดม่วงก็ปรากฏอุปกรณ์อมตะขึ้นมาถือไว้ชิ้นหนึ่ง


 


อุปกรณ์อมตะที่ว่าเป็นร่มคันหนึ่ง อันมีลวดลายแปลกๆวาดเขียนเอาไว้ และบริเวณด้ามจับยังมีอักขระโบราณสลักเขียนเอาไว้ด้วย


 


และทันทีที่ร่มประหลาดในมือของชายหนุ่มชุดม่วงคลี่กางออก ไม่ทราบอีกฝ่ายใช้พลังโยกย้ายตั้งแต่ตอนไหน หากแต่ร่มประหลาดดังกล่าวกลับไปผุดโผล่อยู่ในฝ่ามือของพุทธองค์สีทองตัวเขื่อนอย่างน่าฉงน!


 


และทันทีที่ร่มประหลาดดังกล่าวไปผุดโผล่ในมือของพุทธองค์ร่างทองตัวเขื่อง ตัวร่มก็ถูกปกคลุมไปด้วยม่านแสงสีทอง นอกจากนั้นยังมีไอพลังสีม่วงอาบไล้ชโลมไปทั่วๆ!


 


วู้มมม!!


 


ทันใดนั้นเองแสงลีลับที่เรืองสว่างออกมาทั่วตัวร่มเอง ก็เริ่มสาดส่องออกมารวมผสานเข้ากับแสงพลังสีทองทั้งไอพลังสีม่วงที่ปกคลุมอยู่รอบพุทธองค์สีทองตัวเขื่องในฉับพลัน แสงพลังทั้ง 3 ยังคล้ายจะหลอมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัวไร้แบ่งแยก!!


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง การโจมตีของหนานกงซิ่วและหลินหรูก็บรรลุมาถึงแล้วเช่นกัน


 


หนานกงซิ่วที่ในมือถือไว้ด้วยนวโอรสบงกชบัลลังก์ และบัดนี้ตัวนวโอรสบงกชบัลลังก์ก็เริ่มสั่นไหวสะท้าน ร่างเด็กน้อยทั้ง 9 บนดอกบัว ก็พร้อมใจกันลืมตาขึ้นมาราวกับมีชีวิต!


 


ครู่ต่อมา!


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


เสียงสายลมกรรโชกพัดแรงลั่นก้องสะท้านหูอย่างเกรี้ยวกราด เป็นเด็กชายทั้ง 9 ที่เสมือนมีชีวิต บัดนี้ได้เหินทะยานร่างออกจากบงกชบัลลังก์ พุ่งจี้เข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วฉับไวประหนึ่งอัสนีฟาดผ่า!


 


อีกทั้งร่างเด็กน้อยทั้ง 9 ราวกลืนกินวายุต่างอาหาร ร่างของพวกมันยิ่งมายิ่งขยายเติบโตมากขึ้นทุกขณะ!


 


จากนั้นร่างทั้ง 9 ที่พุ่งมาถึงม่านพลังลักษณ์พุทธองค์ตัวเขื่องสีทอง คล้ายดั่งเกิดมาเพื่อตาย พวกมันพร้อมใจกันเปล่งแสงพลังสว่างไสวเจิดจ้า ก่อนจะระเบิดตัวเองอย่างพร้อมเพรียง!!


 


เปรี๊ยงงงงงง!!


 


ครืนนน! ซู่มม!!!


 



 


ร่างโอรสทั้ง 9 ยามระเบิดพลัง อานุภาพทำลายล้างช่างสะท้านสะเทือนขวัญผู้คนนัก พื้นที่แถบนี้ของนิกายอมตะสือหังประหนึ่งก่อเกิดมหาภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ ความว่างเปล่าสะท้านสะเทือน อับุติสายลมเกรี้ยวกราดหอบคลื่นพลังกระแทกกวาดสะท้านออกไปทั่วสารทิศ!!


 


อีกทั้งลักษณ์พลังพุทธอค์ตัวเขื่องสีทองถือร่ม ก็เริ่มสั่นไหวปานจะพังทลายลง หลังถูกแรงระเบิดมหาวิปโยคเคี่ยวกรำ บิดเบี้ยวยุบยวบชวนสยอง!


 


ฟู่ม!!


 


ปงงงง!!


 



 


ในขณะที่เงาร่างพุทธองค์สีทองถือร่มกำลังสะท้านสะเทือนราวกับเจียนทลายลงเต็มแก่ เสียงแหวกสายลมฉับไวพลันแว่วดังขึ้นสนั่น บังเกิดร่างดั่งลมกรรโชกโถมถันเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด!


 


เป็นหลินหรูที่ที่โจนทะยานเข้ามาหมายลงมือซ้ำตามหลังหนานกงซิ่วอย่างประจวบเหมาะราวนัดกันไว้ ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกาในมือนางบัดนี้คล้ายมีชีวิต ตัวพู่ลุกโชนขึ้นมาเต้นเร่าๆปานเพลิงไฟ ตวัดฟาดทุบไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยสภาวะพลังเหี้ยมหาญ มวลอากาศตามรายทางถูกแหวกเปิดอย่างไม่ยินยอม บังเกิดเป็นแรงระเบิดกำจายออกไปถล่มทลายบรรยากาศ!


 


ทั้งมวลพลังที่ก่อเกิดจากการฟาดไม้ปัดฝุ่นเข้ามา ยังอุบัติเป็นใต้ฝุ่นพลังดั่งอสูรสายลมจากโบราณกาลฟื้นคืนชีวิต! อ้าปากกระหายเลือดหมายขย้ำกลืนร่างต้วนหลิงเทียนในหนึ่งคำ!!


 


พุทธองค์ร่างทองถือร่มตัวเขื่องเดิมทีหลังถูกนวโอรสพุ่งเข้ามาระเบิดพลีชีพ ก็สะเทือนยุบยวบไปคล้ายจะแตกสลายลงอยู่รอมร่อ บัดนี้เมื่อถูกคลื่นพลังดั่งมหาพายุโถมถล่มเข้าไปอีกรอบ มันก็บิดเบี้ยวจนแทบไม่เป็นทรง กระเพื่อมไหวไปอย่างรุนแรง!!


 


“การป้องกันของต้วนหลิงเทียนกำลังจะพังทลายลงแล้ว!!”


 


เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายอมตะสือหังจับจ้องมองชมเรื่องราวเบื้องหน้าตาไม่กระพริบ แต่ละคนลุ้นระทึกหนักหนาเมื่อเห็นพุทธองค์ร่างทองถือร่มตัวเขื่องของต้วนหลิงเทียน เริ่มบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ แววตายังเริ่มฉายถึงความยินดีออกมา ราวได้เห็นฉากร่างพลังสีทองตัวเขื่องแตกสลาย!


 


อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อมา กลับทำให้พวกนางจำต้องผิดหวัง


 


เพียงเห็นว่าพุทธองค์ร่างทองถือร่มตัวเขื่องที่บิดเบี้ยวสั่นไหวเจียนพังทลายลงไปก่อนหน้า หลังจากยุบยวบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็หวนคืนสู่สภาพปกติ ร่างทองหวนกลับมายืนตระหง่านตัวตรงดั่งขุนเขาไร้ทลาย ไม่หวั่นมวลพลังที่โถมกระหน่ำเข้ามาประหนึ่งพายุลมฝนอันใด!!


 


ยังดีที่ตั้งแต่ระเบิดพลังจู่โจมครั้งแรก เป็นหนานกงซิ่วประมุขนิกายอมตะสือหังได้กางกั้นม่านพลังกำบังเอาไว้แล้ว เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายอมตะสือหังทั้งหลายจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับการปะทะหนักหน่วงแม้แต่น้อย


 


“อะ…อะไรกัน! ขนาดนี้แล้ว…แต่ยังมิอาจทลายฝ่าการป้องกันของมันได้อีกหรือ!?”


 


“อุปกรณ์อมตะระดับราชาในมือมันหาได้ง่ายดายไม่! ข้าเกรงว่าคงเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทป้องกันเต็มตัว!”


 


“แต่ตอนนี้พวกเราสามารถยืนยันเรื่องหนึ่งได้แน่ชัด…ด่านพลังฝึกปรือของมันสมควรบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้วจริงๆ!!”


 



 


เหล่าศิษย์และชนชั้นอาวุโสของนิกายอมตะสือหังตกตะลึงพรึงเพริดกันไม่น้อย เมื่อเห็นว่าร่างในชุดสีม่วงยังคงลอยตระหง่านนิ่งไม่ไหวติง สามารถต้านทานการผนึกกำลังลงมือของหนานกงซิ่วและหลินหรูได้อย่างมั่นคง และตอนนี้สายตาของทุกคนก็จับจ้องมองไปยังร่มคันนั้นเป็นพิเศษ


 


ร่มคันดังกล่าวตอนนี้ก็อยู่ในมือของเงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่อง ยังเปล่งแสงพลัง 3 สีที่ม้วนพันกันออกมาเช่นเคย สภาวะของมันคล้ายจะบดบังลมฝนใดๆในโลกได้อย่างไร้ครั่นคร้าม!


 


“หวางชิวขวง?”


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังพากันตื่นตระหนกตกตะลึงกับพลังป้องกันอันน่าสะพรึงกลัวของต้วนหลิงเทียนอยู่นั้น ด้านต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆหันหน้าไปแหงนมองยอดเขาสูงไกลตา


 


เห็นเป็นเงาร่างหนึ่ง!


ตอนที่ 2,923 : คนที่เจ้าไม่อาจล่วงเกิน


 


ความเร็วของผู้มาใหม่นั้น เรียกว่าไม่ใช่ชั่วเลยทีเดียว อย่างน้อยๆก็มีแค่ต้วนหลิงเทียนคนเดียวเท่านั้นที่สังเกตเห็น ส่วนคนของนิกายอมตะสือหังไม่มีใครพบแม้แต่คนเดียว แม้จะเป็นขุนนางอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 3 ก็ตามที


 


แต่ถึงแม้ความเร็วของมันจะไม่ใช่ชั่ว ทว่าก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของต้วนหลิงเทียนได้เลย


 


ฟุ่บบ!!


 


ดั่งสายลมพัดกรรโชก ในสายตาของทุกคนนอกจากต้วนหลิงเทียน อยู่ๆก็ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นข้างๆหวางตันเฟิ่งปานภูตผี


 


มันเป็นชายวัยกลางคน


 


“ผู้พิทักษ์สูงสุด!”


 


“ผู้พิทักษ์สูงสุด!”


 


หนานกงซิ่วประมุขนิกายอมตะสือหัง กับหลินหรูผู้พิทักษ์ลำดับ 1 สามารถดึงสติกลับมาได้ก่อนใครทั้งคู่ที่จดจำชายวัยกลางคนผู้มาใหม่ได้ ก็เร่งประสานมือกล่าววทักทายออกไปทันที


 


ทั้งคู่ไม่ได้แปลกใจอะไรที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้น


 


เพราะสุดท้ายแล้วพวกนางก็พึ่งใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาลงมือกับต้วนหลิงเทียนเต็มกำลัง และการปะทะเมื่อครู่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก คงยากที่อีกฝ่ายจะไม่รู้ตัว


 


“ผู้พิทักษ์สูงสุด?”


 


“นั่น…นั่นคือท่านผู้พิทักษ์สูงสุดหรือ?”


 



 


เหล่าศิษย์ของนิกายอมตะสือหังที่มารวมตัวกันตอนนี้ แม้พวกนางจะเคยได้ยินมานานแล้ว ว่านิกายอมตะสือหังของพวกนางมีผู้พิทักษ์สูงสุดที่เป็นบุรุษเพียงคนเดียวในนิกายคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามผู้พิทักษ์สูงสุดคนนี้เป็นดั่งมังกรเทพยดาเห็นหัวไม่เห็นหาง พวกนางจึงไม่เคยได้พบเจอเลยสักครั้ง…


 


ในขณะที่ทุกสายตาของเหล่าศิษย์นิกายอมตะสือหังกำลังจับจ้องไปยังผู้พิทักษ์สูงสุดด้วยความสนใจใคร่รู้


 


“คารวะผู้พิทักษ์สูงสุด!”


 


“คารวะผู้พิทักษ์สูงสุด!”


 



 


เหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสือหังที่ฟื้นสติกันแล้วพอได้เห็น หวางชิวขวง ผู้พิทักษ์สูงสุดมาถึง ก็เร่งประสานมือโค้งคารวะกันเร็วไว ดวงตาที่คล้ายมีม่านหมอกปกคลุมก่อนหน้า หวนกลับมาเผยประกายสดใสอีกครั้ง!


 


ต้องทราบด้วยว่าเมื่อครู่ประมุขหนานกับผู้พิทักษ์หลินแม้จะร่วมมือกันโดยใช้อุปกรณ์อมตะราชา แต่ยังไม่อาจฝ่าการป้องกันของต้วนหลิงเทียนได้ ทำให้ใจพวกนางเสมือนร่วงตกหุบเหวทมิฬมืด!


 


ตอนนี้พอหวางชิวชวงปรากฏกาย พวกนางจึงบังเกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้ง


 


“ท่านพ่อ!”


 


หวางตันเฟิ่งที่ถูกต้วนหลิงเทียนกักขังเอาไว้ พอเห็นบิดามาถึง สองตาดุร้ายเอาแต่ใจและไม่เคยยอมใครของนาง ก็ปรากฏหยาดน้ำใสหลั่งริน!


 


ถึงแม้ตอนนี้นางจะเป็นขุนนางอมตะ 9 ตำหนักคนหนึ่ง และเป็นถึงผู้พิทักษ์ลำดับ 2 ของนิกายอมตะสือหัง แต่ต่อหน้าหวางชิวขวงแล้ว นางก็เป็นเพียงลูกสาวตัวน้อยเท่านั้น


 


ลูกสาวพ่ายแพ้ หากบิดาไม่อยู่ นางก็จำต้องเข้มแข็งฝืนทนให้ดูเหมือนไม่เป็นไร


 


แต่พอเห็นบิดามาถึง ความคับข้องในใจก็อดไม่ได้ที่จะปะทุระบายออกมา


 


“เฟิ่งเอ๋อ!”


 


พอเห็นหวางตันเฟิ่งร่ำไห้ออกมา สีหน้าหวางชิวขวงก็เปลี่ยนเป็นอัปลัษณ์ปั้นยากนัก จากนั้นมันยกมือขึ้นโบกสะบัดคราหนึ่ง พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันทรงพลัง แผ่พุ่งออกไปหุ้มม่านพลังที่กักร่างหวางตันเฟิ่งทันที


 


และเมื่อพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันสำแดงเดช ม่านพลังสีม่วงอันเบาบางคล้ายปุยเมฆของต้วนหลิงเทียนก็สลายหายไปทันใด ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!


 


ในที่สุดหวางตันเฟิ่งก็ได้รับอิสรภาพกลับคืน!


 


พอเห็นว่าหวางตันเฟิ่งที่ถูกกักขัง ถูกหวางชิวขวงปลดปล่อยได้อย่างง่ายดาย สองตาคนนิกายอมตะสือหังก็ลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที!


 


เพราะสุดท้ายแล้วนั่นคือพลังที่หวางตันเฟิ่งขุนนางอมตะ 9 ตำหนักไร้หนทางแข็งขืน ทว่าหวางชิวขวงกลับคลี่คลายสลายได้ง่ายๆ จึงเผยให้รู้ว่าพลังของหวางชิวขวงนั้น สูงส่งสุดที่ขุนนางอมตะ 9ตำหนักจะเทียบได้!


 


กระทั่งการที่หวางชิวขวงทำลายพันธนาการของต้วนหลิงเทียนได้ง่ายดาย ยังทำให้หลายๆคนเผลอรู้สึกไปว่า…หวางชิวขวงแข็งแกร่งกว่าต้วนหลิงเทียนโดยไม่ทันรู้ตัว!


 


อย่างไรก็ตามพวกนางไม่มีใครล่วงรู้กันเลยสักคน ว่าตั้งแต่ที่หวางชิวขวงปรากฏตัวออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ได้ถอนรั้งพลังที่กักร่างหวางตันเฟิ่งกลับมาหมดแล้ว


 


มิฉะนั้นต่อให้หวางชิวขวงดิ้นรนทุ่มพลังชั่วชีวิต ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสลายพันธนาการให้หวางตันเฟิ่งได้


 


“เจ้าเป็นผู้ใด?”


 


หวางชิวขวงมองถามชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าด้วยสองตาทอประกายวาบจ้าเสียงเย็น อีกทั้งท่าทียังทำราวกับผู้บังคับบัญชาไต่ตั้งคำถามลูกน้อง


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะประกาศฐานะของงตัวเองแล้วก่อนหน้า แต่เมื่อหวางชิวขวงไม่เคยเจอกับต้วนหลิงเทียนมาก่อน เช่นนั้นมันจึงไม่ทันเชื่อมโยงชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า เข้ากับหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี


 


เพราะในหัวมันนั้น หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ไม่มีทางมีพลังสามารถถึงระดับนี้ได้เลย


 


ก่อนที่มันจะมาถึงที่นี่ สำนึกเทวะที่แผ่ออกมาของมันก็ตรวจพบได้แต่แรก ว่าหนานกงซิ่วกับหลินหรูได้ผนึกกำลังกันลงมือโดยใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชา แต่กลับไม่อาจทลายฝ่าปราการป้องกันของอีกฝ่ายได้


 


ทว่ามันยังพบอีกด้วย ว่าต้วนหลิงเทียนนำอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทป้องกันออกมาใช้


 


หาไม่แล้วตอนนี้มันคงไม่มีความกล้ากล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกไปด้วยท่าทีเหนือกว่า!


 


เพราะสุดท้าย ถ้าหากต้วนหลิงเทียนใช้มือเปล่าป้องกันการกลุ้มรุมของหนานกงซิ่วกับหลินหรูที่ใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาได้ล่ะก็…


 


มันย่อมบอกได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะ กระทั่งไม่ใช่ราชาอมตะธรรมดาๆ


 


ต่อหน้าตัวตนขอบเขตราชาอมตะ กระทั่งกึ่งราชาอมตะยังไม่กล้าแม้แต่จะผายลม แล้วอาศัยอะไรกับขุนนางอมตะ 10 ทิศเช่นมัน!


 


ทว่าที่จริงแล้ว…เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนนำอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาใช้นั้น เขาแค่ต้องการประหยัดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเท่านั้น ไม่อยากใช้พลังอย่างสูญเปล่า


 


สำหรับร่มที่เขาหยิบออกมาเมื่อครู่ มันก็คืออุปกรณ์อมตะที่เขาได้จากโลกใบเล็กตอนไปตามหาแหวน 9วิญญาณหยินลี้ลับ และยังเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชา


 


ตอนที่เขาไปตามหาแหวน 9 วิญญาณหยินในโลกใบเล็กให้เผยหยวนจี้นั้น เขายังได้รับอุปกรณ์อมตะระดับราชาติดไม้ติดมือมาอีกสองสามชิ้น


 


หนึ่งในนั้นก็คือร่มที่เขาพึ่งหยิบมาใช้เมื่อครู่


 


ร่มดังกล่าวยังเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาสายป้องกัน


 


“เจ้ากำลังตั้งคำถามข้างั้นเหรอ?”


 


ได้ยินคำถามของหวางชิวขวง สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็จมลง จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันทรงพลังก็เริ่มแผ่ซ่านออกไปจากร่างเขาฉับไว ยังเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเต็มพลังอย่างที่ไม่คิดจะออมรั้ง!


 


ขณะเดียวกันสำนึกเทวะของเขาก็ยังแผ่พุ่งไปปกคลุมร่างหวางชิวขวงอีกด้วย!


 


เมื่อพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดรวมถึงพลังวิญญาณขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานแผ่พุ่งออกมา ความว่างเปล่าก็เริ่มสะท้านสะเทือน มวลอากาศเริ่มแตกระเบิดออกเป็นวง!


 


วูบ!


 


เมื่อสำนึกเทวะพร้อมด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนโถมถันไปยังร่างหวางชิวขวง สีหน้าของมันก็แปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง!


 


และด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันทรงพลังของต้วนหลิงเทียน พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างหวางชิวขวงก็ถูกถล่มทลายจนหายสาบสูญไปจากร่างของมันทันที!


 


ปงงง!!


 


เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้น ร่างหวางชิวขวงถูกซัดจนปลิดปลิว! คนกระเด็นไปไม่เป็นท่า โลหิตยังพุ่งทะลักออกปากเป็นสายราวเบื่อจะอยู่ในร่างเต็มทน!!


 


ร่างหวางชิวขวงยังปลิดปลิวละลิ่วไปนับร้อยๆหมี่กว่าจะขืนร่างหยุดลงได้ สภาพแลดูทุลักทุเลนัก!


 


“กระทั่งราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด หลี่ผิง ของนิกายอมตะสราญรมย์ยังตายคามือข้า…อาศัยขุนนางอมตะ 10 ทิศเช่นเจ้า ถึงกับหาญกล้าตั้งคำถามข้าด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น?”


 


หลังจากใช้พลังซัดร่างหวางชิวขวงจนปลิดปลิว สำนึกเทวะทั้งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ต้วนหลิงเทียนแผ่พุ่งออกไปก็ถูกรั้งกลับฉับไว หวนคืนสู่ร่างเขาในเสี้ยวพริบตา รวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะทันได้รู้ตัว


 


เมื่อรั้งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดและสำนึกเทวะกลับมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มองถามหวางชิวขวงที่สภาพราวขอทานเจียนตายด้วยสีหน้าดูแคลนหยันหยาม  มุมปากยังยกยิ้มแสยะขึ้นมาอย่างรังเกียจ


 


พอต้วนหลิงเทียนกลาวจบคำ บรรยากาศโดยรอบก็เงียบไปปานคนตาย!


 


หวางตันเฟิ่งที่ลอยร่างข้างๆหวางชิวขวงเมื่อครู่ แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้แผ่พลังซัดนาง แต่ด้วยความที่นางอยู่ใกล้กับหวางชิวขวง นางจึงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงที่แผ่ออกมาจากสำนึกเทวะและพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนได้ชัดเจน!


 


กลิ่นอายพลังนั่น แม้ไม่ได้มุ่งเป้ามาที่นาง แต่ก็สะกดพลังทั่วร่างของนางได้อยู่หมัด!


 


ทั้งนั่นยังเป็นกลิ่นอายพลังที่อยู่เหนือขอบเขตขุนนางอมตะไปแล้ว!


 


และต่อให้เป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด แต่ก็ไม่มีทางมีกลิ่นอายพลังทั้งสำนึกเทวะทรงพลังถึงขนาดนั้นได้!


 


‘มัน…ก่อนหน้านี้ มันออมมือเอาไว้มาโดยตลอด!?’


 


ในใจหวางตันเฟิ่งบังเกิดความคิดดังกล่าวผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


 


และพอคิดถึงเรื่องนี้ ความหวาดกลัวก็เริ่มแผ่ซ่านปกคลุมครอบงำไปทั่วใจ พาลให้นางบังเกิดอาการแตกตื่นยากที่จะสงบลงได้อยู่นาน


 


“หลี่ผิงทะลวงไปถึงขอบเขตราชาอมตะแล้วงั้นหรือ…แต่กระนั้นยังถูกท่านฆ่าตาย?”


 


ห่างออกไปไกลๆ หวางชิวขวงที่สภาพยักแย่ยักยัน หลังถูกต้วนหลิงเทียนแผ่พลังซัด ไม่ทันได้หวนนึกถึงกลิ่นอายอันน่ากลัวจากสำนึกเทวะและพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันทรงพลังเมื่อครู่ด้วยซ้ำ มันติดใจกับคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน จนสีหน้าอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง วาจายังกลับกลายเป็นสุภาพเรียยบๆร้อยๆลงทันตาเห็น!


 


“ข้า ต้วนหลิงเทียน ไม่จำเป็นต้องโกหกเจ้า…อีกไม่นานพวกเจ้าคงได้ยินเรื่องราวที่แพร่ออกมาจากพื้นที่ก้าวข้าม”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเรียบ


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยคำนี้ออกมา ก็พอดีกับที่หวางชิวขวงตระหนักได้ถึงกลิ่นอายพลังก่อนหน้า มันจึงเชื่อวาจาของต้วนหลิงเทียนทันที


 


เพราะสุดท้ายแล้วพลังที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งเผยออก ก็เหนือชั้นกว่าราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดมาก!


 


และต่อให้เป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่ร้ายกาจแค่ไหน ก็ไม่มีทางอาศัยการแผ่พลังกับสำนึกเทวะสดๆเช่นนี้มาซัดมันจนอาการสาหัสได้!


 


“ช้าก่อน…เมื่อครู่…”


 


ทันใดนั้นเอง หวางชิวขวงคล้ายจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา ลูกตามันหดเล็กลง มองถามต้วนหลิงเทียนออกไปด้วยความตกใจทั้งไม่อยากจะเชื่อ


 


“ท่าน…ท่านพึ่งบอกว่า…ท่านชื่อต้วนหลิงเทียนหรือ!?”


 


จังหวะนี้สายตาที่หวางชิวขวงใช้มองต้วนหลิงเทียน ทำราวกับมันเห็นผีกลางวันแสกๆอย่างไรอย่างนั้น!


 


ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนคือหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีในพื้นที่รกร้างหรือไร?


 


“ข้าต้วนหลิงเทียน บุรุษของมู่หรงปิง…มาเยือนนิกายอมตะสือหังวันนี้ เพื่อท้าประลองขุนนางอมตะ 10 ทิศของนิกายอมตะสือหัง!”


 


ได้ยินคำถามของหวางชิวขวง ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยประโยคที่เขาพูดขึ้นมาตอนที่บุกเข้ามาถึงนิกายอมตะสือหังซ้ำ


 


เสียงเหมือน…ถ้อยคำก็เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน!


 


พริบตานี้หวางชิวขวงย่อมตระหนักได้ทันที ว่าชายหนุ่มชุดม่วงอันร้ายกาจทรงพลังเบื้องหน้า ที่แท้ก็คือ ต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีจากพื้นที่รกร้างที่มันไม่เคยพบเจอมาก่อน!


 


“ปะ…ปรมาจารย์โอสถต้วน!”


 


ถึงจะตกใจที่ต้วนหลิงเทียนมีพลังฝีมือระดับนี้ได้ด้วยวัยไม่ถึงร้อยปี แต่ก็ไม่เท่าความตกใจจากความในวาจาที่ต้วนหลิงเทียนพูดมาเมื่อครู่


 


เพราะฟังจากคำพูดของต้วนหลิงเทียน เห็นชัดว่าเจาะจงมาท้าทายมันโดยเฉพาะ!!


 


หากก่อนหน้านี้ มันคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่คู่ควรจะต่อสู้กับมัน ทั้งยังไม่เห็นต้วนหลิงเทียนอยู่ในสายตาล่ะก็…


 


มาตอนนี้มันกลับเป็นฝ่ายที่ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมต่อหน้าต้วนหลิงเทียน!


 


ล้อกันเล่นหรือไร!


 


คนที่ทำให้มันสภาพร่อแร่สิ้นพลังได้โดยใช้แค่การแผ่พุ่งพลังออกมาส่งๆ มันจะมีปัญญาต่อกรรับมือได้เหรอ!?


 


“ปะ…ปรมาจารย์โอสถต้วน ท่านกับข้า พวกเรามีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันหรือไม่?”


 


หวางชิวขวงมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มขื่นขม


 


เหตุผลที่ไฉนมันถามออกไปแบบนั้น เพราะต้วนหลิงเทียนเจาะจงท้าทายมัน ไม่พูดถึงคนอื่นเลย!


 


“ระหว่างเจ้ากับข้าไม่มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรทั้งนั้น…ที่ข้ามาท้าเจ้า เพราะแค่อยากให้ลูกสาวเจ้ารู้เอาไว้ ว่าเบื้องหลังศิษย์ของนาง มู่หรงปิง มีคนหนุนหลังอยู่…และไม่ใช่คนที่นางหรือนิกายอมตะสือหังจะล่วงเกินได้!”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมคาดเดาความคิดในหัวหวางชิวขวงออกได้เป็นธรรมดา จึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย และพอกล่าวถึงท้ายประโยคยังหันไปเหลือบมองหวางตันเฟิ่งด้วยสายตาไม่แยแส


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหลือบมองหวางตันเฟิงอย่างไม่แยแส ยังเอ่ยออกมาอีกครั้งว่า “วันนี้ข้ามาเพื่อให้เจ้าจำใส่หัวเอาไว้…หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับมู่หรงปิง ข้าไม่เพียงแต่จะฆ่าเจ้าเท่านั้น ข้ายังจะทำลายนิกายอมตะสือหังให้สิ้นซาก!”


ตอนที่ 2,924 : ต้วนหลิงเทียนกลับชาติมาเกิด!?


 


“ระหว่างเจ้ากับข้าไม่มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรทั้งนั้น…ที่ข้ามาท้าเจ้า เพราะแค่อยากให้ลูกสาวเจ้ารู้เอาไว้ ว่าศิษย์ของนาง มู่หรงปิง มีคนหนุนหลังอยู่…และคนผู้นั้นก็ไม่ใช่คนที่นางหรือนิกายอมตะสือหังจะล่วงเกินได้!”


 


“วันนี้ข้ามาเพื่อให้เจ้าจำใส่หัวเอาไว้…หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับมู่หรงปิง ข้าไม่เพียงแต่จะฆ่าเจ้าเท่านั้น ข้ายังจะทำลายนิกายอมตะสือหังให้สิ้นซาก!”


 


เสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนนั้น แม้ฟังดูสงบราบเรียบ หากแต่พอดังออกมาก็ทำให้คนของนิกายอมตะสือหังทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะขนลุกเกรียวเสียวสันหลัง ยังบังเกิดความเคร่งเครียดถึงขีดสุด!


 


ขณะเดียวกันทุกคนยังรู้สึกต้วนหลิงเทียนผู้นี้ช่างมีอำนาจครอบงำนัก!


 


หากต้วนหลิงเทียนเอ่ยเรื่อราวทำนองนี้ออกมาก่อนหน้า ทุกคนไม่พ้นหัวเราะเยาะด้วยความขบขัน ทั้งยังจะเย้ยหยันดูแคลนเขา…


 


แต่ตอนนี้พอได้เห็นพลังอำนาจอันเหนือชั้นของต้วนหลิงเทียน พอมาได้ยินคำขู่ดังกล่าว ทุกคนย่อมรู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายมีพลังอำนาจมากพอจะข่มขู และทำได้ดั่งพูด!


 


และเมื่อเสียงต้วนหลิงเทียนดังจบคำ ทุกสายตาของคนนิกายอมตะสือหัง ก็เบนไปตกยังร่างหวางตันเฟิ่ง ผู้พิทักษ์ลำดับสองของนิกายอมตะสือหังทันที


 


กระทั่งหวางชิวขวงเองยังหันไปมองจ้องลูกสาวของตัวด้วยสายตาซับซ้อน


 


“ลูกเฟิ่ง…”


 


ถึงแม้ว่าอาวุโสและเหล่าศิษย์ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงหันไปกล่าวคำกับหวางตันเฟิ่งแบบนี้ ทำคล้ายหวางตันเฟิ่งจะคิดร้ายอะไรกับมู่หรงปิงอย่างไรอย่างนั้น…


 


ทว่าในฐานะบิดาบังเกิดเกล้าของหวางตันเฟิ่ง หวางชิวขวงย่อมรู้เรื่องราวระหว่างต้วนหลิงเทียนกับมู่หรงปิงเรียบร้อยแล้ว


 


ดังนั้นมันจึงกล่าวส่งเสียงผ่านพลังไปถึงหวางตันเฟิ่งอย่างร้อนใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจจะปล่อยปิงเอ๋อให้กับบุรุษผู้นี้ ทั้งเกลียดปิงเอ๋อที่ทำให้ความฝันของเจ้าพังทลาย…”


 


“แต่เจ้าเองคงเห็นกับตาแล้วใช่หรือไม่ ว่าบุรุษของปิงเอ๋อผู้นี้เป็นอย่างไร? พลังฝีมือของมันอย่างน้อยๆก็ต้องอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ ทั้งยังไม่น่าจะใช่ราชาอมตะทั่วไปแน่!”


 


“หากมันคิดฆ่าเจ้าหรือทำลายนิกายอมตะสือหัง เกรงว่าคงกระทำได้ง่ายดาย!”


 


เสียงผ่านพลังประโยคท้าย น้ำเสียงของหวางชิวขวงยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


 


“ท่านพ่อ ข้ารู้…”


 


สีหน้าหวางตันเฟิ่งยามนี้บิดเบี้ยวอัปลักษณ์ถึงขีดสุด นางไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าบุรุษตัวดีที่ทำให้ศิษย์ของนางต้องแปดเปื้อนมีมลทิน จะกลายเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะอันทรงพลังไปได้!


 


และนางก็รู้ตัวดี ว่าตั้งแต่วันนี้ไปนางไม่อาจแตะต้องศิษย์ของตัวเองได้อีกแล้ว


 


หากนางยังคิดจะสำเร็จโทษศิษย์ของนาง ไม่เพียงแต่คนทั้งนิกายอมตะสือหังจะหยุดนาง กระทั่งบินาของนางก็ต้องคิดขัดขวางแน่นอน!


 


“ปิงเอ๋อ…เจ้า…พบบุรุษที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”


 


หวางตันเฟิ่งกล่าวพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงเล็ดลอดไรฟัน ความรู้สึกสิ้นท่าทำอะไรไม่ได้ ทำให้นางอึดอัดใจแทบเป็นบ้า!


 


“หลังจากผ่านไปพันปี ข้าจะมารับเจ้า”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังทิศทางที่มู่หรงปิงอาศัยอยู่อย่างเงียบงัน จากนั้นก็เสียงเขาก็ควบรวมคล้ายกระแสพลังหนึ่ง พุ่งตัดฟ้าไปส่งตรงถึงหูมู่หรงปิงชัดถ้อยชัดคำ


 


ในขณะที่มู่หรงปิงได้ยินเสียงดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ร่างต้วนหลิงเทียนก็เริ่มพร่าเลือน ยังพาฮ่วนเอ๋อและเถี่ยไท่เหอหายตัวไปจากนิกายอมตะสือหังทันที


 


กระทั่งในสายตาของหวางชิวขวงขุนนางอมตะ 10ทิศ ต้วนหลิงเทียนกับพวกก็คล้ายจะอันตรธานหายไปในอากาศว่างเปล่า!


 


นับประสาอะไรกับคนอื่น!


 


“รวดเร็วอะไรเช่นนี้!”


 


“ต่อให้เป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด ก็ยังห่างชั้นกับความเร็วนี่!”


 


หวางชิวขวงที่เห็นความเร็วของต้วนหลิงเทียน ใจก็สะท้านสะเทือนไปอีกรอบ ขณะเดียวกันก็บังเกิดความตั้งใจอันแน่แน่ ว่าจะจับตาดูลูกสาวตัวเองอย่างไม่ให้คลาดสายตา ไม่ให้นางมีโอกาสทำร้ายมู่หรงปิงอีกเด็ดขาด!


 


“มัน…มันถึงกับร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ!?”


 


“ศิษย์พี่หญิงสาม…ดูเหมือนจะได้พบพานบุรุษอันยอดเยี่ยมแล้วจริงๆ!”


 


“แต่…ไฉนมันไม่พาศิษย์พี่หญิงสามไปด้วยเลยเล่า?”


 


ในบรรดาศิษย์สาวกของนิกายอมตะสือหัง ก็มีลุ่ยหลัวที่เหินร่างปะปนอยู่ด้วย หลังจากพวกต้วนหลิงเทียนร่างจากไปสักพัก นางที่ตกตะลึงอึ้งไปอยู่นาน พอกลับมารู้สึกตัวก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาด้วยความไม่เข้าใจ


 


“หลังจากผ่านไปพันปี?”


 


“หลังจากผ่านไปพันปีแล้วข้าจะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ…”


 


ด้านมู่หรงปิงที่ได้ยินเสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียน นางก็เข้าใจว่าเป็นต้วนหลิงเทียนถูกบีบให้ต้องล่าถอยออกจากนิกายอมตะสือหังแน่แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มขื่นขมออกมา


 


ส่วนเรื่องที่ทำไมต้วนหลิงเทียนถึงส่งเสียงมาถึงที่อยู่นางได้ นางเข้าใจว่าต้องมีคนลอบบอกต้วนหลิงเทียนแน่ ว่านางอาศัยอยู่แถวไหน เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงได้แต่ส่งเสียงครอบคลุมมาถึงอาณาบริเวณส่วนนี้


 


ตอนนี้ถึงนางคิดจะส่งเสียงย้อนกลับไปยังแหล่งกำเนิดเสียงของต้วนหลิงเทียน แต่นางก็ไม่อาจทำให้ต้วนหลิงเทียนได้ยินเพียงคนเดียว ทุกคนไม่พ้นต้องได้ยินกันหมด


 


นางก็เลยไม่คิดส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับต้วนหลิงเทียนแต่อย่างไร


 


และตอนนี้มู่หรงปิงก็แทบจะยืนยันได้แล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนไร้ภูมิหลังอย่างตระกูลใหญ่ในภาคกลางจริงๆ


 


หาไม่แล้วไฉนคนถึงถูกบีบให้ต้องล่าถอยกลับไปได้ง่ายๆ?


 


นางยังรู้สึกอีกว่า หลังต้วนหลิงเทียนจากไป อาจารย์ของนางที่ไม่เหลืออาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหายอีกต่อไป ไม่พ้นต้องรุดเร่งมาฆ่านางให้ตายทันทีแน่นอน


 


ส่วนอีกด้าน


 


“ศิษย์น้อง เจ้าจะไปปล่อยปิงเอ๋อเอง หรือให้ข้าจัดการแทนเจ้า”


 


แม้หนานกงซิ่วอยากเร่งรุดไปปล่อยมู่หรงปิงในบัดดล แต่นางก็ยังคงไว้หน้าศิษย์น้องตัวเอง และกล่าวถามไปตามมารยาทก่อน


 


เพราะสุดท้ายแล้วหวางตันเฟิ่งก็ยังเป็นอาจารย์ของมู่หรงปิง ทั้งยังเป็นผู้พิทักษ์ลำดับ 2 ที่มีบิดาเป็นผู้พิทักษ์สูงสุดของนิกายอมตะสือหังอย่างหวางชิวขวงไหนเลยจะกระทำใดข้ามหน้าข้ามตาอีกฝ่ายได้


 


“ประมุข ท่านจัดการตามเห็นสมควรเถอะ…”


 


เมื่อหวางตันเฟิ่งยืนนิ่งอยู่นานไม่ยอมตอบคำหนานกงซิ่ว สุดท้ายก็เป็นบิดาของนางอย่างหวางชิวขวงตัดสินใจพูดตอบออกมาแทน จากนั้นยังยกมือขึ้นเปล่งพลังไร้สภาพขุมหนึ่งหอบหิ้วร่างหวางตันเฟิ่งจากไปทันที


 


“ขอบคุณผู้พิทักษ์สูงสุด”


 


เมื่อได้รับคำตอบจากหวาชิวขวง ลูกตาของหนานกงซิ่วก็เปล่งแสงสว่างจ้า จากนั้นก็เร่งรุดไปยังสถานที่ๆหวางตันเฟิ่งใช้กักบริเวณมู่หรงปิงทันที


 


“อาจารย์ป้ารอข้าด้วย! พาข้าไปรับศิษย์พี่หญิงสามด้วยคน!!”


 


เสียงของลุ่ยหลัวดังขึ้นทันเวลา


 


จากนั้นหนานกงซิ่วจึงชะงักร่างกลางหาว ค่อยหันไปใช้พลังไร้สภาพอ่อนโยนหอบหิ้วลุ่ยหลัวไปให้กับนางด้วย


 


หลังหนานกงซิ่วเหินร่างจากไป หลินหรู ผู้พิทักษ์ลำดับ 1 ก็จากไปเช่นกัน


 


ครู่ต่อมา ก็คงเหลือแต่ชนชั้นอาวุโสและเหล่าศิษย์ของนิกายอมตะสือหังเท่านั้น


 


“นี่ๆมีผู้ใดบอกข้าได้บ้างอ่า ว่านี่มันเรื่องอันใดกันแน่!?”


 


“นั่นสิ ฟังที่ท่านประมุขพูด…ไฉนเหมือนผู้พิทักษ์หวังกักขังศิษย์พี่มู่หรงปิงเอาไว้เลยเล่า?”


 


“อั้ย! ที่แท้เรื่องราวมันเป็นมายังไงกันแน่นะ…แถมต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ ดูเหมือนจะเป็นบุรุษของศิษย์พี่มู่หรงปิงอีก?”


 


“ศิษย์พี่มู่หรงปิงไม่ใช่ว่าตั้งใจจะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขคนต่อไปหรือ…ไปรักชอบกับบุรุษแบบนี้ แล้วจะขึ้นดำรงตำแหน่งยังไงอ่า?”


 


“ศิษย์พี่เหมือนจะถูกผู้พิทักษ์หวางกักตัวไว้…แถมเมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนยังกล่าวข่มขู่ไว้ด้วยว่าหากศิษย์พี่มู่หรงปิงเป็นอะไรไป จะมาฆ่าคนแถมทำลายนิกายเราอีก…ทำราวกับกลัวผู้พิทักษ์หวางจะทำร้ายศิษย์พี่มู่หรงปิงอย่างไรอย่างนั้น”


 


“เอ๊ะ! หรือว่า…”


 



 


แม้อาวุโสหลายคนในที่นี้จะรู้ตื้นลึกหนาบางดี แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาส่งเดช


 


อย่างไรก็ตาม ต่อให้ไม่พูดอะไร แต่สุดท้ายความคิดบรรเจิดของเหล่าศิษย์สตรีนิกายอมตะสือหังก็สามารถคาดเดาความเป็นจริงได้ทั้งหมด


 


“ข้าจดจำได้ว่าผู้พิทักษ์หวางเคยสังหารศิษย์คนหนึ่งที่ไปรักชอบกับบุรุษด้านนอก…ทั้งหมดเพราะผู้พิทักษ์หวางตั้งความหวังไว้กับศิษย์คนนั้น หมายให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขนิกายอมตะสือหังของพวกเรา!”


 


“ใช่ เรื่องนี้ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน…เฮ่อ ศิษย์พี่ผู้นั้นช่างอาภัพแท้! น่ากลัวว่าศิษย์พี่มู่หรงปิงก็จะเกิดเรื่องทำนองเดียวกันกับนางไม่ผิดแน่!”


 


“อื้อ! ข้าว่าไม่พ้นต้องเกิดเรื่องเหมือนกันแน่ๆ…แต่บุรุษของศิษย์พี่ที่ตายไปในอดีต มิอาจเทียบบุรุษของศิษย์พี่มู่หรงปิง ที่แข็งแกร่งมากพอจะปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ ถึงขั้นทำให้ผู้พิทักษ์หวางไร้หนทางทำอะไรได้เช่นนี้”


 


“โอย ข้าอิจฉาศิษย์พี่มู่หรงปิงแทบตายแล้ว…ชาตินี้ข้าจักเจอบุรุษหล่อเหลามากความสามารถเช่นนี้บ้างไหมนะ? บุรุษของศิษย์พี่มู่หรงปิงทั้งๆที่ยังอายุไม่ถึงร้อยปีแท้ๆแต่กลับเป็นราชาอมตะอันทรงพลังไปแล้ว เช่นนั้นในอนาคตจะประสบความสำเร็จถึงขนาดไหนกัน?”


 


“ราชาอมตะอายุไม่ถึงร้อยปี! หากข้าไม่ได้มาเห็นกับตาจ้างให้ข้าก็ไม่มีทางเชื่อแน่นอน ว่าตัวตนเช่นนี้จะมีอยู่จริง!”


 



 


เหล่าศิษย์นิกายอมตะสือหังจ้อกันไม่หยุด หลายคนก็ตกใจไม่น้อย บ้างก็อิจฉาจนเม้มปากที่มู่หรงปิงพบพานบุรุษอันร้ายกาจถึงขนาดนี้ได้ ยังตกใจกันยกใหญ่ที่ได้เห็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะอายุไม่ถึงร้อยปี


 


“อายุไม่ถึงร้อยปีบรรลุขอบเขตราชาอมตะ…ในสวรรค์แดนใต้ นอกจากปรมาจารย์โอสถต้วนแล้ว เกรงว่าคงไม่มีอีกเป็นคนที่สองกระมัง?”


 


“ไม่ควรมี”


 


“ข้าว่าไม่น่าจะมีเลยแหละ”


 


“ปรมาจารยย์โอสถต้วนอายุไม่ถึงร้อยแต่กลับบรรลุขอบเขตราชาอมตะได้…ตอนนี้ให้ใครมาพูดให้ตายว่าเขาไร้พื้นเพยิ่งใหญ่อันใดในภาคกลาง ข้าก็ไม่มีวันเชื่อ!”


 


“เรื่องไม่มีภูมิหลังในภาคกลางอาจเป็นความจริงก็ได้นะ…แต่อาจเป็นได้ว่าพื้นเพของปรมาจารย์โอสถต้วนไม่ได้อยู่ในสวรรค์แดนใต้รึเปล่า? เพราะปรมาจารย์โอสถต้วนตอนกล่าวสารภาพกับประมุข ก็บอกแค่ว่าไม่มีภูมิหลังในภาคกลาง แต่มิได้บอกว่าไม่มีภูมิหลังอันใดที่อื่นนี่นา?”


 


……


 


เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายอมตะสือหังที่สนทนากันอยู่ ก็เริ่มได้ข้อสรุปประการหนึ่ง ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังอย่างมาก และยังอาจจะเหนือกว่าขุมพลังใดๆในสวรรค์แดนใต้ด้วยซ้ำ


 


“ยังมีอีกเรื่อง…ปรมาจารย์โอสถต้วน เหมือนจะเป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาใช่ไหม?”


 


“จริงด้วย! พอมีเรื่องนี้มาเกี่ยว…ข้าว่า 9 ใน 10 ปรมาจารย์โอสถต้วนต้องเป็นตัวตนอันทรงพลังที่กลับชาติมาเกิดเป็นแน่! เพราะด้วยมีความทรงจำในอดีต เรื่องที่จะเติบโตได้ถึงขนาดนี้ในเวลาแค่ 100 ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!!”


 


“ข้าได้ยินมาว่า ยิ่งทรงพลังมากเท่าไหร่ การกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ยิ่งยากกระทำไม่ใช่หรือ…คนในระนาบโลกียะหากคิดกลับชาติมาเกิดใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากขึ้นสวรรค์มาจนกลายเป็นเซียนอมตะไปแล้ว คิดจะกลับชาติไปเกิดใหม่จำต้องแบกรับความเสี่ยงใหญ่หลวง โอกาสสำเร็จแทบไม่มี เรียกว่า 9 ตาย 1 รอดก็ไม่เกินเลย”


 


“หากปรมาจารย์โอสถต้วนเป็นผู้ที่กลับชาติมาเกิดใหม่จริงๆ…ต่อให้ชาติก่อนจะไร้ภูมิหลัง แต่ก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่ทรงพลังอย่างยิ่ง!”


 



 


ด้วยความสำเร็จอันเกินจริงของต้วนหลิงเทียนกับข้อมูลสำคัญที่นึกขึ้นได้ เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายอมตะสือหังเหล่านี้ก็เริ่มคาดเดาไปในแนวทางอภินิหารแนวทางหนึ่ง…


 


ต้วนหลิงเทียนอาจเป็นตัวตนที่กลับชาติมาเกิดใหม่!


 


หาไม่แล้ว เป็นไปได้เหรอที่อายุไม่ถึงร้อยปีแล้วจะบรรลุความสำเร็จระดับนี้?


 


ในขณะที่เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายอมตะสือหังพากันสนทนากันอย่างออกรส จนไม่ต่างอะไรจากตลาดสดยามเช้า หนานกงซิ่ว ประมุขนิกายอมตะสือหัง ก็พาลุ่ยหลัวมาถึงสถานที่กักขังมู่หรงปิงในที่สุด


 


ซัววว!!


 


วู้มมม!


 



 


ด้วยการลงมือของหนานกงซิ่ว ค่ายกลที่ปิดกั้นรอบบ้านลานทรุดโทรมที่มู่หรปิงอาศัยอยู่ ก็ถูกนางคลายออกได้ไม่ยาก


 


“ศิษย์พี่หญิงสาม!”


 


ทันทีที่ค่ายกลปิดกั้นสลายตัว ลุ่ยหลัวก็วิ่งเข้าไปในบ้าน ก่อนจะโดดกอดมู่หรงปิงราวลูกหมี


 


“ลุ่ยหลัว…อาจารย์ป้าประมุข?”


 


มองไปยังดรุณีน้อยชุดเขียวที่กอดนางราวลูกหมี กับหนานกงซิ่วที่ค่อยๆเดินเข้ามา แวตาของมู่หรงปิงก็ฉายให้เห็นความสับสนไม่น้อย


 


เรียกว่ามู่หรงปิงงุนงงทั้งไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เลย


 


เดิมทีนางคิดว่าหลังจากต้วนหลิงเทียนล่าถอยกลับไป 9 ใน 10 ไม่พ้นอาจารย์ของนางต้องเร่งรุดมาสำเร็จโทษนางแน่


 


แต่ไม่คิดเลยว่านางที่รอรับการตัดสินชะตาจากอาจารย์ คนแรกที่พบเจอจะเป็นลุ่ยหลัว กับอาจารย์ป้าประมุขที่ไม่ต่างอะไรกับมารดาแทๆของนางอีกคน!


ตอนที่ 2,925 : ออกจากพื้นที่ชายแดน


 


“ปิงเอ๋อ เจ้าออกจากที่นี่ได้แล้ว…”


 


เมื่อเห็นสีหน้าแววตาสับสนงุนงงของมู่หรงปิง หนานกงซิ่วก็คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวเรื่องน่ายินดีออกมาด้วยความพึงพอใจ


 


ขณะเดียวกันในใจก็ลอบทอดถอนอย่างโล่งอก


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะโกหกนางในงานสมัชชาเต๋าโอสถวันนั้น แต่การมาถึงของต้วนหลิงเทียนในวันนี้ กอปรกับพลังฝีมือที่เผยออกให้เห็น ก็สร้างความพึงพอใจให้นางอย่างถึงที่สุด!


 


อย่างน้อยๆตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางก็ไม่ต้องกลัวศิษย์น้องจะลงมือทำอะไรหลานสาวแท้ๆของนางแล้ว


 


แถมหลานสาวของนางยังได้พบพานบุรุษอันประเสริฐอีก!


 


“ออกจากที่นี่หรือ?”


 


มู่หรงปิงพอได้ฟัง ก็คลี่ยิ้มขมขื่นใจ “เป็นท่านอาจารย์คิดจัดการข้าแล้วหรือ ท่านอาจารย์ป้ากับลุ่ยหลัวที่มารับข้าไปเช่นนี้ ใช่คิดพบหน้าข้าเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่?”


 


ถึงแม้มู่หรงปิงตะคาดไว้แต่แรก ว่าต้องลงเอยแบบนี้ แต่พอเวลามาถึงเข้าจริงๆ นางก็ยากจะสงบสติได้เหมือนเคย


 


“เด็กโง่ เจ้าคิดเหลวไหลอันใดอยู่ เจ้าวางใจได้เลยนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อาจารย์เจ้าไม่มีทางลงโทษเจ้าอีกแน่!”


 


หนานกงซิ่วส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ศิษย์พี่หญิงสาม บุรุษที่ท่านพบเจอร้ายกาจเกินไป…กระทั่งผู้พิทักษ์สูงสุดยังไม่กล้าแม้แต่จะผายลมด้วยซ้ำยามอยู่ต่อหน้ามัน!”


 


ตอนนี้เองลุ่ยหลัวก็ปลอยมือที่กอดมู่หรงปิงเอาไว้ ค่อยมาหยุดยืนที่พื้นพลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ใบหน้าสาวน้อยยังไม่โตฉายชัดถึงความตื่นเต้นล้นปรี่


 


ขณะกล่าวยังทำท่าฮึกเหิมคึกคักออกกมา คล้ายที่ลงมือสยบหวางชิวขวงไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน แต่เป็นตัวนางเอง!


 


“เอ่อ?”


 


สีหน้าแววตามู่หรงปิงกลายเป็นเหรอหราว่างเปล่า ไม่เข้าใจเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้น


 


นางไม่รู้ว่าที่แท้บุรุษผู้นั้นทำอะไรไปบ้าง จนเมื่อลุ่ยหลัวเริ่มเล่าเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นวันนี้ให้นางฟังทั้งหมด


 


สองมือเล็กๆของนางกำหมัดชูขึ้นขณะเล่าว่าหวางตันเฟิ่งผู้เป็นอาจารย์ถูกต้วนหลิงเทียนจัดการอย่างไร


 


เล่าตอนที่หนานกงซิ่วกับผู้พิทักษ์หลินหรูแม้จะลงมือพร้อมกัน แต่ยังไม่อาจฝ่าปราการป้องกันต้วนหลิงเทียนได้อย่างไร สุดท้ายยังถึงกับต้องหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาใช้


 


และที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้หนานกงซิ่วกับหลินหรูจะใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาแล้ว แต่ก็ไม่อาจฝ่าปราการป้องกันอันน่ากลัวของต้วนหลิงเทียนได้เลย


 


สุดท้ายหลังจากที่ทั้งสองทำอะไรไม่ได้ หวางชิวขวงผู้พิทักษ์สูงสุดที่มาถึงทีหลัง ไม่ทันได้ลงมือลงไม้ทำอะไร แค่กล่าววาจาไม่เข้าหูต้วนหลิงเทียนก็ถูกซัดจนเปลี้ยเสียแล้ว


 


“เขา…ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ!?”


 


เมื่อมู่หรงปิงได้รับทราบว่า แม้แต่บิดาของอาจารย์นาง ผู้พิทักษ์สูงสุดหวางชิวขวง ยัถูกบุรุษผู้นั้นซัดจนสิ้นท่า และไม่กล้าตอบโต้อะไรอีก ก็บังเกิดความตื่นตระหนกตกใจครั้งใหญ่แล้วจริงๆ


 


ถึงแม้ตอนที่บุรุษผู้นั้นมาท้าทายบิดาของอาจารย์นาง ตัวนางจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดลงมือด้วยตัวเองจริงๆ


 


แต่นางก็ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะสามารถเอาชนะได้!


 


เพราะท้ายที่สุดแล้วบิดาของอาจารย์นาง ก็คือผู้พิทักษ์สูงสุดที่ทรงพลังที่สุดของนิกายอมตะสือหัง ยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ!


 


กระทั่งตอนที่บุรุษผู้นั้นส่งเสียงมาบอกนางว่า จะมารับนางหลังจากนี้อีกพันปี นางยังคิดไปอยู่เลยว่าอีกฝ่ายถูกบีบให้ล่าถอยกลับไป


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ


 


ว่าบุรุษผู้นั้นไม่เพียงแค่พลิกฝ่ามือก็สะกดกักอาจารย์ของนางได้ ยังสามารถต้านทานการผนึกกำลังของประมุขกับผู้พิทักษ์หลินหรูได้ง่ายดาย


 


สุดท้ายกระทั่งผู้พิทักษ์สูงสุดมาถึง ยังลงมือคราเดียวก็ขู่ขวัญจนผู้พิทักษ์สูงสุดไม่กล้าสู้!


 


ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ที่นางเคารพสุดท้ายก็ถูกบีบจนไม่อาจแตะต้องนางได้อีกต่อไป


 


“นี่…นี่…”


 


มู่หรงปิงรู้สึกตกตะลึงทั้งหวาดกลัว ถึงขั้นอึ้งไปอยู่นานกว่าจะหาย


 


“ศิษย์พี่หญิงสาม แต่แปลกยิ่ง…มันมาที่นี่เพื่อท่านแท้ๆ แต่ไฉนไม่เพียงไม่พาท่านไปด้วย ยังจากไปโดยไม่แม้แต่จะมาพบท่านเลยเล่า…”


 


ลุ่ยหลัวอดไม่ได้ที่จะสงสัยในเรื่องนี้


 


“ปิงเอ๋อ ก่อนที่มันจะจากไป มันได้พูดอะไรกับเจ้าใช่หรือไม่?”


 


ในฐานะประมุขของนิกายอมตะสือหังที่เป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก หนานกงซิ่วย่ยอมรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนทรงพลังมากพอจะล่วงรู้ถึงตำแหน่งงมู่หรงปิง และสามารถส่งเสียงผ่านพลังพูดคุยมาได้ไม่ยาก


 


“ใช่”


 


มู่หรงปิงพยักหน้า จากนั้นก็เผลอหันไปมองทิศทางที่เสียงต้วนหลิงเทียนดังมาโดยไม่รู้ตัว กล่าวพึมพำออกมาด้วยความสับสน “เขาบอกว่า…หลังจากนี้อีกพันปีจะมารับข้า”


 


“หา! หลังจากนี้พันปีเลยหรือ?”


 


ลุ่ยหลัวอดไม่ได้ที่จะตกใจ “ไฉนเนิ่นนานถึงขนาดนั้นเล่า!?”


 


เวลาพันปีสำหรับลุ่ยหลัวที่ยังเป็นเด็กสาวตัวน้อยเกิดมาไม่ถึงร้อยปี ย่อมเป็นอะไรที่ยาวนานสุดที่นางจะจินตนาการได้ออก


 


“พันปีหรือ…ดูเหมือนมันจะมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปกระทำ และไม่สะดวกที่จะพาเจ้าไปด้วย”


 


หนานกงซิ่วคาดเดา


 


“ใช่”


 


มู่หรงปิงพยักหน้า


 


“ไม่สะดวกพาศิษย์พี่หญิงสามไปด้วย…แล้วไฉนสะดวกพาสตรีคนนั้นไปด้วยล่ะ?”


 


ลุ่ยหลัวที่รู้สึกไม่เข้าใจ อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาอย่างขุ่นเคือง


 


มู่หรงปิงก็ได้แต่เงียบ


 


“ปิงเอ๋อ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าสตรีชุดขาวข้างกายเกี่ยวข้องอันใดกับปรมาจารย์โอสถต้วน…แต่ตอนที่ข้าเห็นปรมาจารย์โอสถต้วนมองนาง แววตาไม่ต่างอันใดจากพี่ชายมองน้องสาวแม้แต่น้อย ปรมาจารย์โอสถต้วนสมควรเห็นนางเป็นดั่งน้องสาวคนหนึ่ง มิได้มีความชอบพอระหว่างชายหญิงเป็นแน่”


 


หนานกงซิ่วกล่าว


 


ถึงแม้นางเองก็ไม่รู้จักความรักระหว่างชายหญิงเพราะโสดมาทั้งชีวิต แต่ไม่เคยกินหมู ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นหมูวิ่ง ดังนั้นนางจึงเห็นได้ไม่ยากว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดอะไรกับสตรีชุดขาวข้างกาย


 


ได้ยินคำของหนานกงซิ่ว ลึกลงไปในแววตามู่หรงปิงก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง


 


และเมื่อเห็นประกายที่ลุกวาบจ้าขึ้นมาในส่วนลึกแววตามู่หรงปิง หนานกงซิ่วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก


 


เพราะมีอีกคำที่นางยังไม่ได้กล่าวออกมา


 


นั่นก็คือ


 


แม้ต้วนหลิงเทียนทำเหมือนจะเห็นสตรีชุดขาวไม่ต่างอะไรจากน้องสาว ไร้ความคิดชู้สาวใดๆ แต่สายตาที่สตรีชุขาวใช้มองต้วนหลิงเทียนนั้น…เป็นสายตาที่สาวน้อยนางหนึ่งใช้มองชายคนรักแน่นอน!


 


“ในเมื่อปรมาจารย์โอสถต้วนบอกว่าจะมารับเจ้าหลังผ่านไปพันปี เขายอมมีเหตุผลสำคัญบางประการ…กล่าวไปเวลาพันปีสำหรับพวกเราที่เป็นอมตะแล้ว ก็ไม่ได้ยาวนานอันใด”


 


หนานกงซิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวสืบต่อ  “เช่นนั้นหลังจากนี้ ปิงเอ๋อเจ้าก็อยู่รอปรมาจารย์โอสถต้วนมารับที่นิกายเถอะ”


 


หลังกล่าวจบแล้วว หนานกงซิ่วก็คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ออก จึงกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงสีหน้าจริงจัง “จริงสิปิงเอ๋อ ช่วงนี้เจ้าอย่าพึ่งไปพบอาจารย์ของเจ้าดีกว่า…ข้ากลัวว่าให้นางเห็นเจ้าตอนนี้ คงไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่”


 


“รอให้ผ่านไปหลายๆวันแล้ว เจ้าค่อยไปพบนางเถอะ”


 


หนานกงซิ่วกล่าวจบก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


“ขอบคุณอาจารย์ป้าประมุข”


 


มู่หรงปิงเองก็รู้ดีแก่ใจ ว่าอย่างอาจารย์นางที่มีนิสัยเจ้าอารมณ์เป็นที่สุด ลองโดนผู้อื่นบีบบังคับมาแบบนี้ ไม่พ้นต้องอารมณ์เสียขั้นสุด


 


หากนางไปพบหน้าอีกฝ่ายตอนนี้ ถึงอีกฝ่ายจะไม่กล้าลงมือทำอะไรกับนางเพราะบุรุษผู้นั้นกล่าวข่มขู่เอาไว้ แต่ก็ไม่พ้นต้องกล่าววาจาบั่นทอนจิตใจ และโทษนางทั้งหมดแน่


 



 


“พี่หลิงเทียน ไฉนท่านไม่พาพี่สาวมู่หรงปิงไปกับท่านด้วยกันเลยเล่า?”


 


หลังต้วนหลิงเทียนพาทุกคนออกมาจากกนิกายอมตะสือหังแล้ว ฮ่วนเอ๋อที่เงียบมาตลอดตอนที่อยู่ในนิกายอมตะสือหัง ก็อดถามเรื่องนี้กับต้วนหลิงเทียนไม่ได้


 


“พานางออกจากนิกายอมตะสือหังไม่ใช่เรื่องยาก…แต่หากนางเดินทางไปกับข้า ก็คงยากที่ข้าจะรับประกันความปลอดภัยให้นางได้”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมาตามตรง “ดังนั้นข้าคิดว่าให้นางอยู่ที่นิกายอมตะสือหังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด…เมื่อถึงเวลาที่ข้ามีพลังมากพอเมื่อไหร่ ข้าค่อยกลับมารับนาง”


 


พอกล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับไปมองทิศทางที่ตั้งนิกายอมตะสือหังอย่างเหม่อลอย พลางกล่าวพึมพำในใจ ‘พันปีหลังจากนี้ หากข้ารอดชีวิตกลับมาจากดินแดนแห่งทวยเทพได้…ข้าจะมารับเจ้า’


 


ต้วนหลิงเทียนเชื่อว่าหลังจากนี้อีกพันปี หากเขารอดชีวิตกลับมาจากดินแดนแห่งทวยเทพได้ ในระนาบเทวโลกทั้งมวลก็คงไม่มีใครทำอันตรายให้เขาได้อีกต่อไป


 


“ผู้พิทักษ์เถี่ย”


 


จากนั้นไม่นานต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวกับเถี่ยไท่เหอ สองตายังฉายแววจริงจังไม่น้อย “ตอนนี้ข้าเสร็จธุระที่นิกายอมตะสือหังแล้ว…ข้าคงไม่ได้กลับไปนิกายอมตะไท่อีกับท่านแล้ว”


 


“ข้าคิดจะเดินทางออกจากพื้นที่ชายแดนไปยังภาคกลางตอนนี้เลย”


 


พอกล่าวจบคำ ไม่ทันที่เถี่ยไท่เหอจะได้พูดอะไร ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือคราหนึ่ง ปรากฏยันต์อมตะเก็บความทรงจำผุดออกมาจากความว่างเปล่า 2 ชิ้น


 


“ยันต์อมตะเก็บความทรงจำทั้ง 2 ข้าได้บันทึกวรยุทธ์อมตะ ราชันไม่เคลื่อนไหว ของนิกายอมตะสราญรมย์ กับเวทย์พลัง ปราณม่วงบูรพา ของนิกายยอมตะสวรรค์ลี้ลับเอาไว้ ท่านโปรดนำมันกลับไปมอบให้ประมุขไป๋ด้วย”


 


ครู่ต่อมายันต์อมตะเก็บความทรงจำทั้งสอง ก็ถูกต้วนหลิงเทียนใช้พลังไร้สภาพหอบหิ้วส่งไปถึงงเบื้องหน้าเถี่ยไท่เหอ


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน”


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน เถี่ยไท่เหอก็รับยันต์อมตะมาถือไว้ด้วยสายตาซับซ้อน อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ท่านนำยันต์อมตะเก็บความทรงจำทั้งสองไปมอบให้ท่านประมุขด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรือ…นอกจากนั้นมิใช่ท่านบอกว่ายังติดค้าประมุขเจี่ยนของนิกายอมตะเชียนจีอยู่เรื่องหนึ่งมิใช่หรือไร และท่านยังคิดใช้หนี้บุญคุณให้นางก่อนจากไปนี่นา?”


 


เพื่อที่จะรั้งต้วนหลิงเทียนให้อยู่นิกายอมตะไท่อีต่ออีกสักพัก อย่างน้อยๆก็จะได้เลี้ยงส่งร่ำลาให้เป็นอย่างดี เถี่ยไท่เหอถึงกับยกอ้างเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนติดค้างเจี่ยนชิวหลัว ประมุขนิกายอมตะเชียนจีออกมา


 


เพราะมันเองก็ได้ทราบมาเช่นกัน ว่าหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาพร้อมกลุ่มคนนิกายอมตะเชียนจีครั้งก่อน ต้วนหลิงเทียนได้รับปากนางไว้ว่าจะตอบแทนบุญคุณของนาง


 


“หนี้น้ำใจที่ข้าติดค้างประมุขเจี่ยนไว้ข้าย่อมยังไม่ลืม”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ “อาวุโสเถี่ย เช่นนั้นหลังจากท่านกับไปถึงนิกายและมอบยันต์อมตะเก็บความทรงจำทั้ง 2 ให้ประมุขไป๋แล้ว…รอให้ประมุขไป๋หรือใครตีความพวกมันจนแตกฉาน ก็ค่อยคัดลอกแบ่งปันให้ประมุขเจี่ยนสักอย่างเถอะ”


 


“แบบนั้นก็ถือว่าข้าได้ตอบแทนเรื่องที่ติดค้างประมุขเจี่ยนไว้”


 


“และข้าเชื่อว่าประมุขเจี่ยนไม่คิดปฏิเสธเรื่องนี้แน่…”


 


“หากนางปฏิเสธขึ้นมาจริงๆ…ก็ถือว่าข้ายังคงติดค้างนางอยู่เถอะ ไว้ในอนาคตหากข้ากลับมา ข้าค่อยไปหาทางชดใช้นางเอง”


 


“นอกจากนั้นข้าขอฝากอาวุโสเถี่ยร่ำลาปรมจารย์โอสถทั้ง 3 กับประมุขไป๋แทนข้าด้วย…บอกทุกคนว่าวันหน้าหากมีโอกาสข้าจะกลับมาเยี่ยมทุกคนเอง”


 


พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ เขาก็ไม่รอให้เถี่ยไท่เหอตอบสนองสิ่งใด เพียงพาฮ่วนเอ๋อวูบร่างหายวับไปต่อหน้าต่อตาเถี่ยไท่เหอ คล้ายสาบสูญไปในความว่างเปล่าก็ไม่ปาน


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่จากไปราวกับอันตรธานหายไปในความว่างเปล่า เถี่ยไท่เหอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแหยๆออกมา


 


“ไฉนปรมาจารย์โอสถต้วน รีบร้อนเดินทางนักเล่า…”


 


เถี่ยยไท่เหอก็รู้มานานแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะเดินทางออกจากพื้นที่ชายแดนไปยังภาคกลาง…


 


แต่ไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะจากไปปุบปับหลังเสร็จธุระที่นิกายอมตะสือหัง โดยที่ยังไม่ได้เลี้ยงส่งอันใดให้เป็นเรื่องเป็นราว


 


ส่วนอีกด้าน ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่อันตรธานหายไปก่อนหน้า ก็มาปรากฏตัวเหนือป่าแห่งหนึ่ง


 


“ฮ่วนเอ๋อ…หลังจากนี้ต้องรบกวนเจ้าพาข้าเดินทางแล้ว…จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างข้าไปอย่างเสียเปล่า”


 


“หากข้าเดินทางไปเอง เกรงว่ากว่าจะไปถึงพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างข้าคงเหลืออยู่แค่ขอบเขตราชาอมตะขั้น 2 หรือ 3 เท่านั้น”


 


ต่อหน้าฮ่วนเอ๋อต้วนหลิงเทียนก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร เพียงกล่าวออกมาตรงๆ


 


ถึงแม้การเดินทางมานิกายอมตะสือหังครั้งนี้เขาจะประหยัดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเอาไว้แล้ว แต่สุดท้ายก้ต้องใชออกไปบางส่วน


 


ตอนนี้ระดับพลังที่หลงเหลืออยู่ในร่างเขา ก็อยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบเท่านั้น


 


“พี่หลิงเทียนไม่ต้องห่วงท่านพักเถอะ…ท่านเก็บพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของท่านไว้ใช้ในยามคับขันย่อมดีกว่า”


 


ฮ่วนเอ๋อก็พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง เพราะนางเองก็รู้คุณค่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างพี่หลิงเทียนของนางดี


ตอนที่ 2,926 : กลุ่มหมาป่าหิวโหย


 


‘ตอนนี้ข้าแตกฉานวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังอย่างราชันไม่เคลื่อนไหวแล้วก็ปราณม่วงบูรพา ที่มีระดับขุนนางและพร้อมไปทั้งรุกรับและท่าร่างเรียบร้อย’


 


‘งั้นก็เหลือเวทย์พลังสนับสนุนอย่างปฐมเวทย์กลืนกินอย่างเดียว ที่ยังคงอยู่ในระดับสวรรค์…’


 


‘ทว่าเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอเอาตัวรอดได้’


 


‘ต่อไปที่ต้องเร่งทำคือหาทางยกระดับพลังฝึกปรือให้ได้โดยเร็ว…ถึงแม้ระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดกับพลังวิญญาณในปัจจุบันจะยังอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ แต่สักวันมันก็ต้องหมดสิ้น…’


 


‘คงดีกว่าที่จะพึ่งพลังที่แท้จริงของตัวเอง และไม่หวังอะไรกับพลังภายนอกเช่นนี้ให้มาก…’


 


……


 


ถึงแม้ว่าพลังที่ได้รับจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง จะยังเหลืออานุภาพขอบเขตราชาอมตะ 5องค์ประกอบอยู่


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้หน้ามืดตามัวจนหลงระเริงไปกับพลังดังกล่าว


 


ถึงแม้ทุกครั้งที่ลงมือใช้ออกด้วยพลังขอบเขตราชาอมตะ จะทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจของตัวตนขอบเขตราชาอมตะ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าพลังที่แท้ของตัวเองยังคงอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะเท่านั้น


 


ตราบใดที่พลังอำนาจจากอุปกรณ์จอมราชันสิ้นเปลืองหมดลง ระดับพลังของเขาก็ต้องหวนกลับไปอยู่ในระดับเดิม


 


นอกจากนั้นอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ตลอดไป มันใช้ได้ทั้งสิ้น 3 ครั้งเท่านั้น


 


ตอนนี้เขาได้ใช้มันไปครั้งหนึ่งแล้ว


 


กล่าวได้ว่าเขาเหลือโอกาสใช้มันได้อีกแค่ 2 ครั้งเท่านั้น


 


‘ทุกคนที่ข้าพบเจอก่อนหน้า ส่วนใหญ่ล้วนมีระดับพลังอ่อนด้อยยิ่งกว่าราชาอมตะมาก ทำให้ยามลงมือไม่จำเป็นต้องใช้พลังอะไรมากมาย’


 


ต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจว่าไฉนที่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างกายของเขายังเหลืออยู่มากพอสมควรนั้น เป็นเพราะเขาไม่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจอะไร


 


หากเขาเจอศัตรูที่อยู่ด้อยกว่าระดับพลังที่มีไม่มากล่ะก็ เกรงวว่าถึงจะเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้ พลังก็ถูกใช้ไปเกือบหมดแน่


 


และหากเป็นศัตรูที่มีระดับพลังใกล้เคียงกับพลังที่เขามีในตอนนี้จริงๆ เกรงว่าปะทะกันไปไม่กี่กระบวน พอระดับพลังเขาถดทอยน้อยลง อีกฝ่ายไม่พ้นต้องพลิกกลับมาเป็นฝ่ายฆ่าเขาได้แทน!


 


เนื่องจากพลังที่ได้รับจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง มันใช้แล้วหมดไป ไม่อาจดำรงอยู่ได้ตลอด…


 


‘พลังจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง เว้นเสียแต่จะเจอศัตรูที่สามารถบดขยี้มันได้ไม่ยาก…ไม่งั้นหากยิ่งฆ่ายากจนเสียเวลาลงมือมากขึ้นเท่าไหร่ พลังก็ยิ่งลดลงมากขึ้นเท่านั้น แถมอัตราที่ลดลงยังน่ากลัวอีกด้วย’


 


‘นอกจากนั้นถึงจะเป็นศัตรูที่สามารถบดขยี้ได้ แต่ถ้าระดับพังมันสูงถึงขั้น พลังที่ต้องจ่ายออกก็ยังไม่ใช่น้อยๆอยู่ดี’


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดีแก่ใจ ว่าที่เขาสามารถประหยัดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างเอาไว้ได้ และเหมือนจะใช้ได้นานแบบนี้ ทั้งหมดเพราะศัตรูมันกระจอกเกินไป


 


ที่ร้ายกาจที่สุดก็แค่คนที่พึ่งทะลวงมาถึงราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น


 


‘หากข้าเจอตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก ถึงข้าจะพึ่งใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองจนมีพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด แต่หลังฆ่ามันได้ ไม่พ้นพลังที่มีก็คงแทบไม่เหลือ…’


 


พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนในใจ ‘พลังภายนอก สุดท้ายก็เป็นแค่พลังภายนอกวันยังค่ำ ไม่อาจพึ่งพามันได้ทุกครั้ง…’


 


สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพลังของตัวเอง


 


เนื่องจากต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เขาจึงทุ่มเทเวลาระหว่างเดินทางไปกับการบ่มเพาะพลังหมดสิ้น


 


และเนื่องจากกูป๋อของฮ่วนเอ๋อ ตู้เฟย ได้ถ่ายทอดเคล็ดอมตะระดับราชา ไท่อี้สุดลี้ลับ ให้เขา บวกกับผลึกเทพของฮ่วนเอ๋อ ความเร็วในการบ่มเพาะของต้ววนหลิงเทียนก็ไม่ได้เชื่องช้าแม้แต่น้อย


 


ติดก็แค่ตอนนี้อยู่ด้านนอก ต้วนหลิงเทียนจึงไม่อาจใช้ผลึกเทพในการบ่มเพาะได้ จำต้องอาศัยผลึกอมตะรำดับต่ำมาถือไว้ในมือเพื่อดูดซับพลังในการบ่มเพาะแทน


 


ถึงแม้ด้วยระดับพลังวิญญาณและพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในปัจจุบันของเขาจะรั้งอยู่ที่ ราชาอมตะ 5องค์ประกอบ และไม่จำเป็นต้องกลัวตัวตนที่อ่อนด้อยกว่านั้น ว่าพวกมันจะสามารถแอบซ่อนหลบเลี่ยงการตรววจวจับจากสำนึกเทวะเขาได้


 


แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าเขาจะพบเจอกับตัวตนเหนือกว่าราชาอมตะ 5 องค์ประกอบตอนไหน?


 


เช่นนั้นเขาจึงไม่อาจนำผลึกเทพของฮ่วนเอ๋อออกมาบ่มเพาะพลังในที่โล่งเช่นนี้ได้


 


ผลึกเทพมีค่าเกินไป


 


ไม่ต้องกล่าวถึงตัวตนขอบเขตราชาอมตะด้วยซ้ำ กระทั่งจอมราชันอมตะหรือแม้กระทั่งจักรพรรดิอมตะที่อ่อนด้อยบางคน ก็ยังถูกมันกระตุ้นความโลภด้วยซ้ำ


 


“หืม?”


 


หลังฮ่วนเอ๋อหอบหิ้วเดินทางได้ราวๆครึ่งเดือน ต้วนหลิงเทียนที่หลับตาจมอยู่ในภวังค์บ่มเพาะ อยู่ๆก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!ฟุ่บ!


 



 


และหลังจากต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้นได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏเสียงแหวกฝ่าสายลมดังขึ้น


 


‘ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดหนึ่งคน กับ 8 ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด!’


 


ด้วยสำนึกเทวะขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ ต้วนหลิงเทียนย่อมค้นพบการมาถึงของกลุ่มคน 9คนได้แต่แรก ยังรับทราบระดับพลังฝึกปรือของพวกมันอีกด้วย


 


“ให้ตายเถอะ! ช่างเป็นสตรีที่งดงามนัก!!”


 


ครู่ต่อมาคนทั้ง 9 ที่ว่าก็มาขวางทางต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเอาไว้


 


และชายวัยกลางคนตัวเตี้ยที่ลอยร่างนำหน้าสุด ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยลมหายใจหอบถี่ สายตาของมันยังมองจ้องฮ่วนเอ๋อเขม็ง


 


หลังมันสูดอากาศระงับสติแล้ว ลูกตาก็ลุกวาวขึ้นมาด้วยประกายแห่งความโลภ มองไปยังคลายหมาป่าหิวโหย ที่ได้พบพานเหยื่ออันโอชะ!


 


“ฮ่าๆๆๆ! พี่ใหญ่ ดูเหมือนวันนี้ไม่เพียงแต่พวกเราจะได้ปล้นทรัพย์ แต่ยังจักได้ปล้นสวาทอีกด้วย!”


 


1 ใน 8 ชายหนุ่มที่ติดตามอยู่เบื้องหลัง ก็โพล่งออกมาขณะมองฮ่วนเอ๋อด้วยความโลภ


 


โฉมงามนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็สนใจ


 


นับประสาอะไรกับฮ่วนเอ๋อ ที่ดงามอย่างยากจะพบพานได้เป็นคนที่สองในโลกหล้า ตราบใดที่ยังเป็นบุรุษที่ใช้การได้ ไม่ว่าใครก็ต้องบังเกิดความปรารถนาอยากครอบครองนางทั้งสิ้น


 


และทั้ง 9 คนเบื้องหน้านั้น ก็เป็นกลุ่มโจรที่ออกหากินในพื้นที่แถบนี้มาหลายปี ประสบการณ์ปล้นชิงย่อมมีไม่น้อย


 


ในเมื่อชายหนุ่ม 2 คนเบื้องหน้านั้น เป็นสตรีชุดขาวที่เหินนำ และด่านพลังก็มีเพียงแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสววรรค์เท่านั้น พวกมันก็ทราบได้ทันทีว่าชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังน่าจะมีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่า


 


และพวกมันทั้ง 9 ลำพังยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดก็มีกันถึง 8 คน! ไม่ต้องพูดถึลูกพี่ที่บรรลุถึงขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้วเลย!!


 


และไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ชายหนุ่มชุดม่วงนั้นมีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าสตรีดังกล่าว ต่อให้พลังฝึกปรือทัดเทียมกับสตรีนางนี้ ก็ไม่ใช่คู่มือของพวกมัน!


 


“ให้ตายเถอะวะ…ตั้งแต่เกิดมาบิดาพึ่งเคยพบเคยเจอสตรีที่งดงามถึงขนาดนี้ครั้งแรกจริงๆ…หากข้าได้ใช้ค่ำคืนวาบหวามกับนางสักคืน ชีวิตนี้ของข้าก็ไม่คิดเสียใจอะไรแล้ว!”


 


“ข้าเหมือนกัน ต่อให้ข้าต้องอดทับสตรีอื่นใดไปพันปีข้าก็ยอม!”


 


“ช่างงดงามเหลือเกิน…ใต้หล้ามีสตรีที่งดงามสมบูรณ์แบบเช่นนี้ดำรงอยู่ด้วยหรือ เกิดมาข้าไม่เคยพบเคยเห็นจริงๆ”


 


“วันนี้ช่างเป็นวันดียิ่ง! ถึงมีโชคพบเจอคนงามในที่เปลี่ยว!!”


 



 


อีก 6 คนก็พากันมองจ้องฮ่วนเอ๋อไม่วางตา สองตาพวกมันยิ่งมายิ่งฉายถึงตัณหาราคะ คำพูดยังไร้ยางอายมากขึ้นทุกขณะ


 


เรียกว่าพวกมันทำราวกับฮ่วนเอ๋อตกอยู่ในกำมือแล้วก็ไม่ปาน และสุดท้ายนางก็ได้แต่ต้องร้องขอความเมตตาจากพวกมัน!


 


“พี่ใหญ่…”


 


ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดผ้าแลดูธรรมดา อันเป็นคนสุดท้ายในบรรดาทั้ง 9 ที่พึ่งเอ่ยคำออกมา ก็มองไปยังขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่เป็นหัวหน้ากลุ่มโจร พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ครั้งนี้…พวกเราล้มเลิก อย่าได้ลงมือเลยเถอะ”


 


ชายวัยกลางคนที่กล่าววออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังนั้น กล่าวจบก็มองจ้องฮ่วนเอ๋อกับต้วนหลิงเทียนที่อยู่ด้านหลังฮ่วนเอ๋อด้วยสีหน้าแววตาเคร่งขรึม


 


ถึงแม้ว่าชายวัวยกลางคนผู้นี้จะไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมาก่อน แต่ความสงบนิ่งของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็ทำให้มันรู้สึกขนลุก ในใจบังเกิดความรู้สึกผิดท่าประการหนึ่ง


 


ถึงแม้ในอดีตมันจะเคยพบเจอคนที่แลดูสงบไม่หวาดกลัวเช่นนี้มาบ้าง แต่ถึงแม้คนเหล่านั้นจะยังนิ่งไม่ออกอาการอะไรอยู่ได้ แต่ก็ไม่เคยให้ความรู้สึกน่าขนลุกเช่นนี้มาก่อน!


 


นอกจากนั้นสตรีเบื้องหน้ายังงดงามเกินไป งดงามอย่างที่มันไม่เคยฝันถึงมาก่อนด้วยซ้ำ


 


สตรีที่งดงามถึงขนาดนี้ เป็นไปได้หรือที่จะเดินทางอย่างปลอดภัยมาถึงที่นี่ทั้งๆที่ไม่ได้ปกปิดรูปโฉม?


 


กล่าวอีกอย่างได้ว่า นางจะใช่คนธรรมดาๆแน่เหรอ?


 


“ล้มเลิก?”


 


ได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคน ชายวัยกลางคนตัวเตี้ยที่อยู่ด้านหน้าก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปครู่หนึ่ง “เจ้าบอกให้ข้าปล่อยโฉมงามยากพบพานที่เป็นดั่งตะพาบในไหไปงั้นหรือ?”


 


“หลังผ่านหมู่บ้านนี้ไป ไม่มีร้านค้าแล้ว…กล่าวได้ว่าหากพลาดครั้งนี้ ชั่วชีวิตเจ้าอาจไม่มีวันได้พบเจอสตรีที่งดงามเช่นนางอีกก็เป็นได้!”


 


ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยกล่าวจบ ก็เริ่มกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “น้องรองหากเจ้ากลัวก็ถอยไปเสีย อย่าได้ทำเหมือนข้าบังคับให้เจ้าต้องกระทำสิ่งใดที่เจ้าไม่เต็มใจ!”


 


“พี่รอง หากท่านใจไม่กล้า ก็อย่าได้ทำลายกิจการดีงามของพี่น้องได้หรือไม่?”


 


“พี่รอง พวกเรารู้ว่าท่านเป็นคนระแวดระวังทั้งคิดมาก…แต่ครั้งนี้พวกเราไม่คิดว่าจะโชคร้ายเตะโดนตอเหล็กอันใดหรอก!”


 


“ถูกแล้วพี่รอง! หากท่านไม่สนใจการค้าประเสริฐก็ถอยไปเสีย ในอดีตท่านก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมองผิดพลาดมิใช่หรือไร?!”


 


“พี่ใหญ่ท่านอย่าได้ไปฟังพี่รองเชียว การค้าดีงามเช่นนี้พวกเราจัดกันเลยเถอะ!”


 



 


อีก 7 คนนั้นไม่สนใจคำคัดค้านของชายวัยกลางคนแม้แต่น้อย แต่ละคนเอาแต่มองจ้องฮ่วนเอ๋อไม่วางตา ยิ่งมายิ่งคล้ายอดรนทนไม่ไหว แลดูกระสันอยากก่อการเต็มทีแล้ว


 


ขณะเดียวกันพวกมันก็ไม่ลืมชักชวนให้พี่ใหญ่ของพวกมันเร่งรุดลงมือ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะบ้าจี้ล้มเลิกตามชายวัยกลางคนที่พวกมันเรียกหาว่า พี่รอง ขึ้นมาจริงๆ


 


“น้องรองเจ้าเห็นหรือไม่…วันนี้ข้าคงไม่อาจเห็นแก่เจ้าแล้วละทิ้งส่วนรวมได้”


 


ได้ยินวาจาโน้มน้าวให้รุดเร่งลงมือของทั้ง 7ชายวัยกลางคนตัวเตี้ยก็ได้แต่มองกล่าวกับ น้องรอง ของมันด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ! อยากไรก็ตามในแววตาของมันไม่ได้บ่งบอกถึงความจนปัญญาอะไรแม้แต่น้อย ล้วนลุกโชนไปด้วยประกายแห่งความโลภประหนึ่งแววตาของหมาป่าหิวโหย!


 


เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนร่างเตี้ย ก็ไม่มีความคิดจะล้มเลิกการค้าไร้ต้นทุนครั้งนี้แม้แต่นิดเดียว!


 


“ช่างเถอะ…อย่างมากข้าก็แค่ตายไปพร้อมกับท่านเท่านั้น”


 


ชายวัยกลางคนรูปร่างปานกลางในชุดผ้าธรรมดาที่สมควรมีอาวุโสเป็นลำดับ 2 ของกลุ่ม ได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา ขณะเดียวกันสีหน้าก็มืดมนคล้ายทำใจรอรับความตายเรียบร้อย


 


“น้องรองเจ้าอย่าได้ทำตัวเช่นนี้! หากเจ้าไม่คิดร่วมธุรกิจกับพวกเราครั้งนี้เจ้าก็ถอยไปเสีย! อย่าได้ทำเหมือนพวกเราจะฉุดลากเจ้าลงน้ำได้หรือไม่?”


 


ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยขมวดคิ้วกล่าวคำ เห็นได้ชัดว่าเริ่มไม่พอใจขึ้นมาแล้ว


 


“นั่นสิพี่รอง หากท่านไม่ต้องการร่วมมือกับพวกเราท่านก็ถอยไปเสีย ดีเสียอีกที่พวกเรา 8 คนจักได้ส่วนแบ่งเพิ่มเติม! แล้วพอจบเรื่องท่านก็อย่าได้มาขอแบ่งอันใดเล่า!!”


 


พอชายวัยกลางคนร่างเตี้ยกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ คนอื่นๆอีก 7 คนที่เหลือเห็นว่าได้ที ก็รีบถล่มกันใหญ่


 


“พอได้แล้ว!”


 


ชายวัยกลางคนที่ถูกทุกคนรุมกล่าวทับถม ตะคอกคำตัดบท “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น…ลงมือก็ลงมือเถอะ และไม่ต้องห่วงให้มาก หากเป็นข้ามองผิดไปเอง ข้าก็ไม่คิดรับส่วนแบ่งอันใดทั้งสิ้น”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของชายวัยกลางคนผู้นี้ก็แลดูมีโมโหอยู่บ้าง


 


“ให้มันได้ยังงี้สิพี่รอง! แต่ท่านพูดแล้วอย่าคืนคำนา ไม่หารก็คือไม่หาร! ชัดเจน!!”


 


“พี่รองท่านช่างสมแล้วที่เป็นพี่รองจริงๆ…น้องชายชมชอบพี่รองที่สุด ครั้งหน้าขอแบบนี้ให้ผู้น้องอีกทีได้หรือไม่?”


 


“ในเมื่อพี่รองก็เอาด้วยแล้ว…เช่นนั้นพวกเราจักรออันใดเล่า! รีบๆลงมือเถอะ ข้าอยากมีค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิกับสาวงามเร็วๆ!!”


 


……


 


สายตาราวกับหมาป่าหิวโหย พากันหันมาจับจ้องฮ่วนเอ๋ออีกครั้ง


ตอนที่ 2,927 : เป็น ‘ตอเหล็ก’ จริงๆ!


 


“เจ้านับว่ามีใจภักดีไม่น้อย”


 


ในขณะที่ฮ่วนเอ๋อเริ่มมีโมโหกับสายตาสามานย์ของชาย 8 ใน 9 คนเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องไปยังชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่า ‘พี่รอง’ ค่อยเอ่ยคำออกมาเสียงเบา


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆยืดขากลับมาอยู่ในท่ายืน จัดชุดคลุมให้เรียบร้อย


 


หลังจากนั้นร่างเขาก็ลอยไปหยุดข้างๆฮ่วนเอ๋อ ค่อยวางมือบนไหล่ฮ่วนเอ๋อเบาๆ


 


“พี่หลิงเทียน…ท่านตื่นแล้วหรือ?”


 


เนื่องจากฮ่วนเอ๋อมัวแต่สนใจคนทั้ง 9 เบื้องหน้า จึงไม่ทันรู้ว่าต้วนหลิงเทียนได้ตื่นขึ้นมาจากการบ่มเพาะแล้ว


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มพลางพยักหน้าให้ฮ่วนเอ๋อ ค่อยกล่าวต่อออกมาว่า “ดูเหมือนต่อไปข้าต้องเป็นฝ่ายพาเจ้าเดินทางแล้วล่ะ…ไม่งั้นไม่พ้นต้องเจอพวกแมลงวันรนหาที่ตายไม่หยุดหย่อน”


 


ต้วนหลิงเทียนมองฮ่วนเอ๋อด้วยสีหน้าอ่อนโยน และแต่ต้นจนจบเพียงสนใจแต่ฮ่วนเอ๋อเท่านั้น ไม่แม้แต่จะเหลือบแลอีก 9 คนที่ขวางทาง


 


“ช่างแลดูใจเย็นนัก…”


 


ขณะเดียวกันชายวัยกลางคนที่รูปร่างปานกลางในชุดผ้าธรรมดา ก็พึ่งจะฟื้นสติหลังจากมองสบตากับต้วนหลิงเทียนตอนแรก


 


มันเคยเห็นสายตาที่ละม้ายคล้ายเช่นนี้มาก่อนในอดีตมากมาย


 


ทว่าสายตาที่สงบไม่ยินดียินร้ายนั่น มันเคยเห็นเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น! และสายตาดังกล่าวล้วนจะปรากฏอยู่ในตาของคนที่สามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างได้อยู่ในกำมือเท่านั้น!!


 


จังหวะนี้ในใจของชายวัยกลางคนจึงอดไม่ได้ที่จะบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาประการหนึ่ง และยังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ


 


‘ดูเหมือน…ครั้งนี้จะเตะเอาตอเหล็กเข้าให้แล้ว…’


 


ชายวัยกลางคนลอบกล่าวในใจอย่างหวาดเสียว และหมายโน้มน้าวทั้ง 8 ให้เลิกยุ่งกับทั้งคู่เสีย แต่ทว่าพอเห็นสายตาหื่นกระหายปานคนเสียสติที่ทั้ง 8 มองจ้องฮ่วนเอ๋อ มันก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดดังกล่าวไปอย่างเหนื่อยหน่ายใจ


 


มันรู้ดี ว่าตอนนี้ให้มันโน้มน้าวทั้ง 8 ให้ตาย ก็ไม่มีทางที่ทุกคนจะเปลี่ยนใจ เรียกว่าพูดให้ตายก็ไร้ประโยชน์


 


‘ช่างเถอะ…สุดท้ายถ้าไม่ได้พี่ใหญ่ข้าก็คงต้องตายไปนานแล้ว เช่นนั้นครั้งนี้ก็ถือว่าตายทดแทนบุญคุณไปพร้อมกันเถอะ’


 


หากจะกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ชายวัยกลางคนผู้นี้ยังหวังว่าตัวเองจะดูผิด และมีโชครอดพ้นหายนะ…


 


แต่เมื่อพบมองสบตากับต้วนหลิงเทียนแล้ว มันก็รู้ดีว่าบัดนี้มันอับโชคแล้ว


 


“แมลงวัน?”


 


“ไอ้หนูนั่น…มันถึงกับกล้าเรียกพวกเราว่าแมลงวันงั้นรึ?”


 


“ไอ้หนูนี่มันอยากตายงั้นหรือ!?”


 



 


เมื่อทั้ง 8 คนได้ยยินคำที่ต้วนหลิงเทียนพูดกับฮ่วนเอ๋อ แต่ละคนก็มีโมโหไม่น้อย! อีกฝ่ายกล้าเรียกพวกมันว่าแมลงวัน?


 


สายตาชายวัยกลางคนร่างเตี้ยที่เหินนำหน้าสุด บัดนี้ฉายชัดถึงความอำมหิตดุร้าย จิตสังหารยังทะลักออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บ!


 


“ไอ้หนู ในเมื่อเจ้ารีบร้อนอยากตายนัก ข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าเอง!”


 


ทันใดนั้นชายวัยกลางคนร่างเตี้ยก็คำรามออกมาอย่างดุร้าย ร่างโจนทะยานข้ามฟ้าจี้เข้าหาต้วนหลิงเทียน!


 


ระหว่างนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างของมันก็ปะทุออกมาประหนึ่งน้ำป่าไหลหลาก หลั่งไหลไปควบรวมไว้ในหมัดขวา ค่อยชกซัดต้วนหลิงเทียนออกไปฉับไวปานฟ้าผ่า!


 


“หึ!”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่แยแสการลงมือของชายวัยกลางคนร่างเตี้ย แต่การโจมตีเข้ามาอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย ก็ทำให้เขาแค่นคำเสียงเย็นออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง


 


หลังสบถคำเสียงเย็นแล้ว เพียงใจคิด ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากกฏแสงพลังสีทางสาดส่องออกมา จากนั้นแสงพลังสีทองดังกล่าวก็เริ่มก่อลักษณ์กลับกลายเป็นพุทธองค์ครอบคลุมเขาเอาไว้


 


“ราชันไม่เคลื่อนไหว!”


 


แทบจะทันทีที่เห็นเงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ท่าทีชายวัยกลางคนร่างเตี้ยรวมถึงอีก 8 คนที่เหลือก็เปลี่ยนไปทันที


 


“ราชันไม่เคลื่อนไหว! นั่นมันวรยุทธ์อมตะระดับขุนนางของนิกายอมตะสราญรมย์! แถมยังเป็นวรยุทธ์ที่ผสานไว้ด้วยการโจมตี ป้องกัน และท่าร่างอีกด้วย!”


 


“ดูจากเงาร่าพุทธองค์สีทองที่เด่นชัดราวมีชีวิตเช่นนี้ ท่าทางไอหนูชุดม่วงนั่นมันจะฝึกวรยุทธ์อมตะนี่จนแตกฉานแล้ว!”


 


“หมายความว่ามันสามารถคัดลอกวรยุทธ์อมตะลงยันต์อมตะเก็บความทรงจำให้ผู้อื่นฝึกปรือได้!”


 



 


ตอนนี้นอกจากชายวัยกลางคนร่างปานกลางในชุดผ้าธรรมดาแล้ว อีก 8 คนไม่เว้นชายวัยกลางคนร่างเตี้ยล้วนเต็มไปด้วยความโลภถึงขีดสุด!


 


โดยเฉพาะชายวัยกลางคนร่างเตี้ยที่ควบรวมพลังลงหมัดชกซัดไปทางต้วนหลิงเทียนนั้น ถึงกับเร่งถอนรั้งพลังส่วนใหญ่ หมายยั้งมือ!


 


“พี่ใหญ่ยั้งมือด้วย!!”


 


“พี่ใหญ่! ไว้ชีวิตมันก็เหมือนพวกเราได้รับวรยุทธ์อมตะระดับขุนนาง 3 สาย!!”


 



 


ในขณะที่ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยเร่งถอนรั้งพลัง เสียงของอีก 7 คนที่เหลือก็ดังขึ้นพอดี


 


เห็นได้ชัดว่าพวกมันกลัวชายวัยกลางคนร่างเตี้ยจะพลั้งมือฆ่าชายหนุ่มเบื้องหน้า!


 


เพราะตอนนี้ในสายตาของพวกมัน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต่างอะไรจากคัมภีร์วรยุทธ์อมตะระดับขุนนาง 3 สายเดินได้!


 


ปง! ปง! ปง!


 



 


แม้ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยจะตั้งใจยั้งมือแล้ว แต่การโจมตีของมันก็ไม่ได้อ่อนด้อยแต่อย่างไร สภาวะพลังหมัดที่ชกออกไป ยังดุร้ายรุนแรงปานอัสนีฟาด!


 


อย่างไรก็ตามหมัดที่ทรงพลังฉับไวปานอัสนีบาตของมัน ยามเมื่อตกกระทบผิวเงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องที่ปกคลุมต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ดั่งยุงบินชนกำแพงก็ไม่ปาน ไม่อาจทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้ได้เลย


 


พุทธองค์ร่างทองตัวเขื่องยังคงแน่นิ่งดั่งขุนเขาไม่ไหวติง สภาวะเข้มแข็งไม่ต่างอะไรจากปราการเหล็กไร้ทลาย พาลให้ผู้คนรู้สึกถึงความน่าเกรงขามประการหนึ่ง!


 


“สมแล้วที่เป็นวรยุทธ์อมตะระดับขุนนางของนิกายอมตะสราญรมย์ ช่างทรงพลังจริงๆ!”


 


ชายวัยกลางคนร่างเตี้ย แม้จะพบว่าการลงมือของตัวเองไม่สร้างผลกระทบเลิศล้ำใดๆ ก็ไม่ได้ตระหนักถึงความน่ากลัวของต้วนหลิงเทียนแม้แต่นิดเดียว เพราะมันคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะพลังของราชันไม่เคลื่อนไหวยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ จึงป้องกันการโจมตีทีออมแรงของมันเอาไว้ได้


 


ทันใดนั้น มันก็เริ่มโจมตีออกไปสืบต่อ


 


ปง! ปง! ปง!


 



 


อย่างไรก็ตาม แม้คราวนี้มันจะเร่งพลังให้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม แต่ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยก็ไม่อาจสั่นคลอนพุทธองค์ร่างทองตัวเขื่องได้เลย


 


เผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว ยิ่งมาชายวัยกลางคนร่างเตี้ยก็ยิ่งไม่พอใจ พยายามเร่งระดับพลังเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ!


 


ตูม! ตูม! ตูม!


 



 


ตูม! ตูม! ตูม!


 



 


อย่างไรก็ตาม แม้ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยจะพยายามเร่งเร้าพลังขึ้นก็แล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่อาจสั่นคลอนพุทธองค์ร่างเขื่องได้อยู่ดี!


 


ในที่สุด ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยก็เริ่มตระหนักได้ว่าเรื่องราวมันผิดท่า!


 


พอมันมองไปยังชายหนุ่มชุดม่วงที่มันไม่แม้แต่จะแยแสก่อนหน้าอีกครั้ง และพบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาที่มันด้วยรอยยิ้มเฉยเมย ปานไม่เห็นมันอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย มันก็หน้าเสียไปทันที!


 


“นี่มันอะไรกัน!?”


 


“กระบวนท่าชุดเมื่อครู่…ไม่ใช่ว่าใกล้เคียงกับการลงมือเต็มพลังของพี่ใหญ่แล้วเหรอ ไฉนยังไม่อาจฝ่าปราการป้องกันของเจ้าหนูนั่นได้ล่ะ?”


 


“จ้าวสวรรค์ช่วย! วรยุทธ์อมตะระดับขุนนางของนิกายอมตะสราญรมย์จะทรงพลังเกินไปหน่อยไหม!?”


 


“วรยุทธ์อมตะระดับขุนนางของนิกายอมตะสราญรมย์มันจะทรงพลังถึงขนาดนี้เชียวหรือ? ข้าไม่คิดว่ามันจะร้ายกาจอะไรถึงขนาดนั้นนะ…ต่อให้เป็นพวกเราคนใดคนหนึ่ง ถึงจะแตกฉานราชันไม่เคลื่อนไหว ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือพี่ใหญ่ที่ลงมือเต็มกำลังไม่ใช่รึไง?”


 



 


ตอนนี้เองในบรรดา 8 คนที่เหลือ นอกจากชายวัยกลางคนชุดผ้าธรรมดา ที่แลดูไม่แปลกใจอะไรกับฉากเรื่องราวเบื้องหน้า อีก 7 คนที่เหลือสีหน้าพวกมันก็เริ่มเปลี่ยนไปไม่หยุด


 


“เจ้าลงมือใส่ข้าหลายรอบแล้ว…เช่นนั้นตอนนี้ไม่ใช่ว่าถึงตาข้าบ้างเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองชายวัยกลางคนร่างเตี้ยด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวออกอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


วูบ!


 


และพอได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หน้าชายวัยกลางคนร่างเตี้ยก็เปลี่ยนสีไปทันที “ข้า…”


 


มันอ้าปากออกมาคล้ายคิดจะพูดอะไรบางอย่าง อนิจจากลับสายเกินไป


 


ฟั่ฟฟ!!


 


พริบตานั้น พลันอุบัติกระบี่พลังสีม่วงพุ่งวาบไปดั่งดาวตก เสือกแทงเข้ากลางหว่างคิ้วของชายวัยกลางคนร่างเตี้ย ก่อนจะเจาะทะลุพ้นหลังศีรษะ และเมื่อเจาะทะลุหลังหัวไปแล้ว กระบี่พลังเล่มดังกล่าวก็ระเบิดทันที!


 


ตูมม!!


 


ซัววว!!


 



 


ร่างชายวัยกลางคนถูกแรงระเบิดดังกล่าวป่นปี้จนร่างแหลกเป็นเศษเนื้อ! หยาดพิรุณเลือดเนื้อ เริ่มหล่นร่วงตกฟ้า ขณะเดียวกันแหวนพื้นที่วงหนึ่ง ก็ลอยฝ่าฝนเลือดเนื้อมาเข้ามือต้วนหลิงเทียนอย่างเงีบยงัน


 


แน่นอนว่าในสายตาของทุกคน  ย่อมไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้เลย เพราะการลงมือของต้วนหลิงเทียนมันรวดเร็วเกินไป


 


เรียกว่าเสียงพูดของต้วนหลิงเทียนยังไม่ทันได้ดังจบคำดีด้วยซ้ำ ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยย พี่ใหญ่ของพวกมันก็กลับกลายเป็นเศษเลือดเนื้อไปแล้ว ตายอย่างที่ไม่อาจตกตายมากไปกว่านี้!


 


“เฮ่อ…”


 


ชายวัยกลางคนรูปร่างปานกลางในชุดผ้าธรรมดา ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน ราวับล่วงรู้แต่แรกว่าผลมันจะลงเอยแบบนี้


 


ส่วนอีก 7 คนนั้น หน้าพวกมันต่างเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง!


 


เพราะชายวัยกลางคนร่างเตี้ย หรือก็คือพี่ใหญ่ของพวกมันนั้น เป็นขุนนางอมตะเพียงคนเดียวในกลุ่มพวกมัน!


 


แต่กระนั้นอีกฝ่ายกับถูกเข่นฆ่าในชั่วพริบตา!


 


ตกตายภายใต้เงื้อมมือของชายหนุ่มชุดม่วงที่แตกฉานราชันไม่เคลื่อนไหว วรยุทธ์อมตะลือชื่อของนิกายอมตะสราญรมย์! อีกทั้งพวกมันยังตระหนักได้ว่า อีกฝ่ายไม่พ้นต้องลงมือเข่นฆ่าพี่ใหญ่ของพวกมันได้ในกระบวนเดียว!!


 


หนึ่งกระบวนท่า ฆ่าขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด?


 


ตัวตนเช่นนี้แม้จะอาศัยวรยุทธ์อมตะระดับขุนนางจริง แต่อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์แน่นอน!


 


“เป็นดั่งที่พี่รองพูดจริงหรือ…พวกเราเตะตอเหล็กเข้าให้แล้ว!”


 


ชายทั้ง 7 ที่หน้าเปลี่ยนเป็นสีซีด พวกมันได้แต่หันหน้ามามองสบตากันด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็ไม่ทันที่พวกมันจะได้คุยอะไรกัน ต้วนหลิงเทียนก็ระเบิดพลังสังหารพวกมันทั้ง 7 ในเสี้ยวพริบตา


 


กระทั่งขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด ต้วนหลิงเทียนอาศัยเพียงลงมือส่งๆกระบวนเดียวยังฆ่าได้


 


ไม่ต้องกล่าวถึงทั้ง ยอดเซียนอมตะอย่างพวกมันทั้ง 7 เลย


 


“เจ้าไปเก็บแหวนพวกมันมา”


 


และในขณะที่ชายวัยกลางคนรูปร่าปานกลางในชุดผ้าธรรมดา กำลังรอรับความตายจากต้วนหลิงเทียนที่เข่นฆ่าคนในกลุ่มของมันจนหมดแล้วอย่างเงียบงัน เสียงต้วนหลิงเทียนพลันดังเข้าหูมัน พาลให้มันผงะไปด้วยความตกใจไม่น้อย


 


“อะไร หรือเจ้าอยากตกตายไปพร้อมกับพวกมันนัก?”


 


เมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนแลดูงุนงงไม่เข้าใจเรื่องราว ต้วนหลิงเทียนก็มองถามมันออกไปด้วยความสนใจ


 


จนเมื่อได้ยินคำถามกระตุ้นเตือนสติของต้วนหลิงเทียน ชายวัยกลางคนก็เริ่มตอบสนองเรื่องราว และพุ่งไปเก็บแหวนพื้นที่ทั้ง 7 ที่แทบร่วงตกพื้นหลังทุกคนตายตกกลับมา


 


“ใต้เท้า…เชิญ…”


 


หลังจากเก็บแหวนทั้ง 7 มายื่นให้ต้วนหลิงเทียนแล้ว ชายวัยกลางคนก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยความวิตกกังวล ว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนคิดจะจัดการกับมันอย่างไรกันแน่


 


อย่างไรก็ตาม ในใจมันอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่บ้าง


 


เพราะพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนชายหนุ่มชุดม่วงจะไม่ได้คิดเข่นฆ่ามัน


 


“เจ้าเก็บไว้เถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองชายวัยกลางคนพลางกล่าวเสียงเรียบ


 


เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะแปลกกใจอยู่บ้าง ทว่าทันใดนั้นมันก็ต้องชะงักไปทันทีเพราะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันพลังอันน่าพรั่นพรึงขุมหนึ่งแผ่ออกมาจากร่างของต้วนหลิงเทียน


 


ซู่มมม!!


 


ครืนนน!!


 



 


แรงกดดันพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เป็นแรงกดดันของพลัง ที่แตกต่างจากการลงมือเข่นฆ่าสังหารคนในกลุ่มมันเมื่อครู่ทั้งหมด! เพราะนี่คือแรงกดดันพลังจากพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ!!


 


ปงงง!!


 


แรงกดดันพลังดังกล่าว แม้จะไม่ได้มุ่งร้ายชายวัยกลางคน แต่ยามเมื่อปกคลุมลงมา กลับทำให้มันรู้สึกเสมือนมีค้อนอันเขื่องฟาดทุบลงกลางอก เลือดลมทั่วร่างของมันกลายเป็นสับสนปั่นป่วน สติยังเริ่มพร่ามัวราวกับจะดับลงได้ทุกขณะ!


 


“โคจรพลังตามเคล็ดบ่มเพาะของเจ้าเสีย ใช้โอกาสนี้ทะลวงจุดตีบตันในคราเดียว…”


 


และในช่วงเวลาที่สติของชายวัยกลางคนเริ่มพร่าเลือน เสียงไม่แยแสของต้วนหลิงเทียนก็ถูกควบแน่นเป็นกระแสพลังสายหนึ่ง พุ่งเข้าหูมันโดยตรง!


ตอนที่ 2,928 : หลิวก่วงหลิน


 


ชายวัยกลางคนผู้นี้ เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันพลังขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบของต้วนหลิงเทียน มันก็ไม่ต่างอะไรจากเรือใบลำน้อยที่ลอยคออยู่ท่ามกลางมรสุมคุ้มคลั่ง สามารถอับปางลงได้ทุกเวลา


 


“โคจรพลังตามเคล็ดบ่มเพาะของเจ้าเสีย ใช้โอกาสนี้ทะลวงจุดตีบตันในคราเดียว…”


 


จนเมื่อเสียงของต้วนหลิงเทียนดังขึ้น สติที่พร่าเลือนของมันก็เริ่มหวนกลับมาแจ่มชัดขึ้น


 


นอกจากนั้นชายวัยกลางคนยังอาศัยแรงใจที่หลงเหลือสูดอากาศเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมกำลัง จากนั้นก็เร่งโคจรพลังตามเคล็ดวิชาบ่มเพาะของมันทันที


 


ทันใดนั้นไอพลังวิญญญาณฟ้าดินโดยรอบก็เริ่มหลั่งไหลเข้าร่างมัน จากนั้นก็ถูกขัดเกลาให้กลายเป็นกระแสพลังสายแล้วสายเล่า จากสายธารเล็กๆก็ค่อยๆไหลไปบรรจบกันเป็นแม่น้ำเชี่ยว


 


หลังผ่านไปหลายสิบลมหายใจ


 


ซู่มม!


 


ประหนึ่งมีสายลมแรงพัดกรรโชก ต้วนหลิงเทียนถอนรั้งพลังคืนกลับ ไม่แผ่แรงกดดันพลังอันใดสืบไป เพียงมองจ้องชายวัยยกลางคนเบื้องหน้าด้วยสายตาเฉยเมย


 


ครืนนน!!


 


และหลังจากนั้นไม่ทันไร ทั่วร่างชายวัยกลางคนก็ปรากฏกลิ่นอายพลังผันผวนปะทุออกมาดั่งพายุ! จากนั้นชายวัยกลางคนดังกล่าว ก็ลืมตาขึ้นมาในฉับพลัน สองตายังทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง!!


 


เพียงเวลาชั่วพริบตา กลิ่นอายพลังทั่วร่างของชายวัยกลางคนก็แตกต่างไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง


 


ตอนนี้แม้มันจะอยู่เฉยๆหากแต่กลิ่นอายพลังทั่วร่างของมัน ก็ไม่ต่างอะไรจากกลิ่นอายพลังของชายวัยกลางคนร่างเตี้ยที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าไปก่อนหน้าเลย


 


และหลังจากที่ลืมตาขึ้นมา สีหน้าของชายวัยกลางคนก็เผยความยินดีออกมาอย่างถึงที่สุด


 


“ยินดีกับเจ้าด้วย”


 


“ดูท่าเจ้าคงรอวันนี้มานานแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนมองชายวัยกลางคนอย่างสงบ  เอ่ยถามเสียงเรียบ


 


“ขอบคุณใต้เท้าที่ส่งเสริม!”


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียนย ชายวัยกลางคนก็เร่งคุกเข่าลงกลางหาว ประสานมือโค้งคารวะให้ต้วนหลิงเทียนอย่างนอบน้อม “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชีวิตข้า หลิวก่วงหลิน เป็นของใต้เท้า!”


 


“ขอเพียงใต้เท้าเมตตาให้ข้าหลิวก่วงหลินติดตามรับใช้ ข้าน้อยยินดีเป็นทาสของใต้เท้า รับใช้ใต้เท้าดั่งม้าลาด้วยใจภักดี ไม่มีวันคิดคดทรยศ!”


 


หลิวก่วงหลินนั้นติดค้างอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมาหลายปีดีดักแล้ว แต่มันกลับไม่อาจทะลวงผ่านด่านพลังได้เสียที


 


ไม่ใช่ว่าศักยภาพและพรสวรรค์ของมันจะย่ำแย่ แต่เพราะมันไม่มีเคล็ดอมตะระดับขุนนางไว้ฝึกปรือ


 


หากพรสวรรค์และศักยภาพไม่สูงมากพอ ย่อมเป็นเรื่องราวอันยากเย็นนัก หากคิดใช้เคล็ดอมตะระดับสวรรค์ บ่มเพาะพลังให้ทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตพลังขุนนางอมตะ


 


เช่นเดียวกับพี่ใหญ่ของมัน ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าทิ้งไป อีกฝ่ายก็คิดอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดนานหลายพันปี ก่อนที่จะสามารถทะลวงผ่านไปได้ในที่สุด


 


ถึงแม้มันจะมีพรสวรรค์ดีกว่าชายวัยกลางคนร่างเตี้ย แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปี ถึงจะสามารถทะลวงด่านพลังได้สำเร็จ


 


แต่มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าหลังจากผ่านไปแค่ไม่กี่สิบปี มันจะมีโชคววาสนาได้รับความช่วยเหลือจากยอดฝีมือ จึงสามารถทะลวงด่านพลังได้ก่อนเวลาที่คำนวณเอาไว้!


 


‘แรงกดดันพลังอันน่าพรั่นพรึงเมื่อครู่…ต่อให้เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศก็มิมีทางรุนแรงได้ถึงขนาดนั้น!’


 


ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือของหลิวก่วงหลินจะไม่ได้สูงส่งอะไร แต่มันก็เคยเดินทางท่องไปทั่วพื้นที่ชายแดน จึงได้พบเห็นอะไรมามาก


 


มันยังจดจำเรื่องราวในงานสมัชชาเต๋าโอสถที่นิกายยอมตะใหญ่ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้จัดขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อนได้เป็นอย่างดี


 


ตอนนั้นมันก็แค่ไปชมดูเรื่องราวสนุกสนานเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามมันบังเอิญเห็นหลี่ผิง บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศลงมือ และกลิ่นอายพลังอันน่ากลัวของอีกฝ่าย ก็ได้กวาดสะท้านไปทั่ว 4 ทิศ 8 ทาง สร้างความหวาดหวั่นให้ผู้คนมากมาย!


 


ทว่ากลิ่นอายพลังของหลี่ผิงในวันนั้น ยังห่างไกลเกินกว่าจะนำมาเทียบกับกลิ่นอายพลังจากชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า!


 


“ไม่คิดคดทรยศงั้นเหรอ?”


 


ได้ยินคำปฏิญาณของหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง กล่าวถามออกไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ว่าตอนนี้เจ้าก็เหมือนคิดคดทรยศต่อสหายทั้ง 8 ที่ตกตายไปแล้วหรือไง?”


 


“ใต้เท้า”


 


หลิวก่วงหลินกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าหลิวก่วงหลินรู้ผิดชอบชั่วดีมาโดยตลอด จริงอยู่ที่ข้าติดหนี้บุญคุณพี่ใหญ่กับสหายกลุ่มเมื่อครู่…”


 


“แต่หากไม่ใช่เพราะข้าเห็นแก่บุญคุณที่พวกพี่ใหญ่เคยช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าคงเลือกที่จะถอนตัวจากไปแต่แรกแล้ว คงไม่อยู่รอรับความตายจากท่านพร้อมทุกคนแต่แรก..และข้าเชื่อว่า ที่ใต้เท้าเมตตาละเว้นข้าไว้ คงไม่คิดเข่นฆ่าข้าเพราะข้ามิได้ตอแยพวกท่าน กระทั่งล่วงเกินแม่นางผู้นั้นด้วยสายตาแทะโลมแต่แรกกระมัง…”


 


พอหลิวก่วงหลินกล่าวถึงท้ายประโยค ก็เงยหน้าขึ้นมามองสบตาต้วนหลิงเทียน ในดวงตามันยังฉายแววฉลาดเฉลียวไม่เบา


 


“แต่สุดท้ายแล้ว ใต้เท้ากับข้าน้อยก็พึ่งพบกันครั้งแรก ข้าน้อยคงไม่มีวิธีพิสูจน์ความภักดีอันใด…เช่นนั้นข้าหลิวก่วงหลิน ไม่ว่าใต้เท้าตัดสินใจอย่างไร ข้าล้วนยอมรับทั้งสิ้น”


 


“อีกทั้งถึงแม้ในระนาบเทวโลกจักไม่มีคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เหมือนในระนาบโลกียยะ แต่ข้าน้อยยินดีสละแขนข้างหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ความจริงใจที่มีต่อใต้เท้า!”


 


ทันทีที่หลิวก่วงหลินกล่าวจบคำ มันก็ยกมือขวาขึ้น จากนั้นก็ผนึกพลังควบแน จนฝ่ามือกลับกลายคล้ายมีดดาบคมกล้า สับฟันลงไปยังไหล่ซ้ายอย่างเด็ดเดี่ยว!


 


ในระนาบเทวโลกนั้น การฟื้นฟูงอกเงยอวัยวะที่เสียไป ยังยากเย็นยิ่งกว่าในระนาบโลกียะเสียอีก


 


ในระนาบโลกียะ หากพบเจอสมุนไพรในตำนานอย่าง ‘ใบจิตอมตะ’ หรือโอสถระดับราชวงศ์ก็ยังพอจะงอกเงยอวัยวะที่ขาดด้วน แม้กระทั่งจุดตันเถียนที่ถูกทำลายให้ฟื้นคืนกลับมาได้ เพราะสุดท้ายแล้วผู้คนในระนาบโลกียะแม้จะบรรลุถึงขอบเขตเซียนที่ถือว่าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแล้ว แต่ร่างกายก็ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตมรรตัยเท่านั้น!


 


ทว่าหากขึ้นสวรรค์มายังระนาบเทวโลกใดๆ ร่างกายจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งภายในสระกำเนิดเซียนอมตะ ซึ่งกลับกลายเป็นอมตะชนเต็มตัว ไม่ใช่ร่างมรรตัยอีกต่อไป!


 


และเมื่อร่างกายของเซียนอมตะได้รับความเสียหาย หากคิดจะฟื้นฟูงอกเงย ต่อให้ใช้ใบจิตอมตะหรือโอสถอันใดในระนาบโลกียะก็ไร้ผล


 


มีเพียงสมุนไพรหายากในระนาบเทวโลก หรือโอสถอมตะระดับสูงบางขนานเท่านั้น ที่จะสามารถฟื้นฟูงอกเงยอวัยวะขึ้นมาใหม่ได้


 


ซู่มม!


 


ฝ่ามือมีดเปล่งงแสงสว่างจ้า แผ่กลิ่นอายแหลมคม เจียนสะบั้นไหล่ซ้ายเต็มที!


 


ครืนน! ซัว! ซัว!


 



 


อย่างไรก็ตามเมื่อมือมีดอยู่ห่างไหลซ้ายแค่ไม่กี่ชุ่น ก็ปรากฏสายลมแรงหอบหนึ่งอันแฝงไว้ด้วยคลื่นพลังยิ่งใหญ่สุดไพศาลพัดผ่าน!


 


พริบตานั้นเองมวลพลังที่ผนึกควบจนฝ่ามือคล้ายกลับกลายเป็นใบมีดคมกล้า ก็ถูกสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยผนึกควบขึ้นมาก่อ!


 


“พอแล้ว ข้าเชื่อเจ้า”


 


ผู้ที่ลงมือขัดขวางย่อมเป็นต้วนหลิงเทียนเอง


 


เขาใช้ชีวิตมาเป็นชาติภพที่ 2 แล้ว หากจะถามเรื่องสายตามองคน ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้การไม่ได้ และเขาย่อมมองเห็นได้ชัดเจนว่าหลิวก่วงหลินผู้นี้เป็นคนที่ยึดถือคำพูด ในเมื่อมันลั่นวาจาออกมาแล้วมันไม่คิดผิดคำพูดแน่นอน


 


หลิวก่วงหลินเมื่อครู่นั้น แม้มันเลือกที่จะจากไปได้ แต่สุดท้ายมันกลับเลือกที่จะไม่จากไป ยินยอมรับความตายแต่โดยดี ทั้งหมดเพียงเพราะคิดร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสหายทั้ง 8 ที่ในอดีตเคยมีบุญคุณต่อมันเท่านั้น


 


นอกจากนั้นแต่ต้นจนจบ หลิวก่วงหลินก็ไม่เคยใช้สายตาแทะโลมฮ่วนเอ๋อแม้แต่น้อย ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดเข่นฆ่าอีกฝ่าย


 


กลับกัน หลังสำนึกเทวะเขาแผ่ออกไปแล้วตรวจพบว่า ด่านพลังของหลิวก่วงหลินห่างจากการทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะแค่ก้าวเดียว เขาก็บังเกิดความคิดอยากได้หลิวก่วงหลินมาติดตามรับใช้ขึ้นมา


 


การเดินทางไปยังภาคกลางครั้งนี้ หากให้ฮ่วนเอ๋อหอบหิ้วเดินทาง กว่าจะออกจากพื้นที่ชายแดนเข้าสู่ภาคกลาง ก็ไม่พ้นต้องโดนตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะรังควาญไม่รู้จบ ยังไม่ต้องกล่าวถึงความเร็วในการเดินทางที่จะเชื่องช้าเป็นอย่างมาก


 


แต่ถ้าได้ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะหอบหิ้วเดินทาง แม้หลังเข้าไปในภาคกลางแล้วคงไม่คู่ควรให้พูดถึง แต่หากเป็นการเดินทางในพื้นที่ชายแดน ย่อมช่วยได้มาก


 


“เอาล่ะ จากนี้ไปเจ้าก็ติดตามข้าเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยยออกเสียงใบ “ข้าเรียกว่าต้วนหลิงเทียน ส่วนข้างกายข้า เจ้าสามารถเรียกว่าแม่นางฮ่วนเอ๋อก็ได้…นางเป็นน้องสาวของข้าเอง”


 


“เข้าใจแล้วนายท่าน”


 


หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวจบ หลิวก่วงหลินก็เร่งประสานมือตอบรับ เปลี่ยนคำเรียกหาจากใต้เท้าเป็นนายท่านอย่างนอบน้อม จากนั้นก็หันไปประสานมือโค้งคารวะให้ฮ่วนเอ๋อเช่นกัน “ข้าน้อยหลิวก่วงหลินยินดีที่ได้พบแม่นางฮ่วนเอ๋อ”


 


อย่างไรก็ตาม ฮ่วนเอ๋อนั้นไม่มีเวลามาสนใจการคารวะทักทายของหลิวก่วงหลินแม้แต่น้อย


 


เพราะวาจาที่ต้วนหลิงเทียนพูดประกาศฐานะของนางเมื่อครู่ ยังคงดังก้องในหูของนางซ้ำไปซ้ำมา


 


‘น้องสาว?’


 


‘ที่แท้…พี่หลิงเทียนเห็นข้าเป็นแค่น้องสาวมาโดยตลอด?’


 


ถึงแม้ฮ่วนเอ๋อจะตระหนักได้แต่แรกว่าต้วนหลิงเทียนจงใจเว้นระยะห่างกับนาง และต้วนหลิงเทียนปฏิบัติกับนางเหมือนเห็นเป็นน้องสาวคนหนึ่ง แต่พอมาได้ยินต้วนหลิงเทียนพูดกับปากแบบนี้ ใจนางก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านสะเทือนขึ้นมา


 


“นายท่าน มิทราบท่านกับแม่นางฮ่วนเอ๋อคิดไปที่ใดหรือ?”


 


หลิวก่วงหลินมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงมากเคารพ


 


“พวกเราคิดเดินทางออกจากพื้นที่ชายแดนไปยังภาคกลาง…ในเมื่อเจ้าคิดติดตามข้าแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ทำหน้าที่พาพวกเราเดินทางเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“รับทราบนายท่าน”


 


หลิวก่วงหลินก็ปฏิบัติตามคำสั่งด้วยความเชื่อฟัง ขณะเดียวกันก็คิดไปในใจว่า ต้วนหลิงเทียนแม้จะแข็งแกร่งมาก แต่ท่าทางจะไม่ชอบนำพาผู้คนเดินทางด้วยตัวเอง


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงได้คนร่วมเดินทางด้วยอีกคน


 


“นายท่าน…ท่านสมควรเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะใช่หรือไม่?”


 


หลังจากหอบหิ้วทุกคนเดินทางไปสักพัก พอหลิวก่วงหลินพบว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดจะบ่มเพาะพลังหรือตีความวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังอันใด ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย


 


“ทำนองนั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบคำ


 


“ทำนองนั้น?”


 


หลิวก่วงหลินที่ได้ฟังก็รู้สึกงุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนหมายถึงอะไร


 


“เจ้ารู้จักอุปกรณ์อมตะประเภทสิ้นเปลืองหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


 


“อุปกรณ์อมตะประเภทสิ้นเปลืองหรือ?!”


 


พอได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ใจหลิวก่วงหลินก็สะท้านไปทันที จากนั้นก็เร่งตอบกลับไปเร็วไวว่า “นายท่าน ข้าน้อยเคยได้ยินเรื่องอุปกรณ์อมตะประเภทนี้มาบ้าง…ว่ากันว่ายังหาได้ยากยิ่งกว่าอุปกรณ์อมตะทั่วไปเสียอีก!”


 


“หากได้รับอุปกรณ์อมตะประเภทสิ้นเปลืองมา ยามใช้ก็มิต่างอันใดจากได้รับพลังมหาศาลจากมันมาใช้ได้ตามใจ…ยิ่งไปกว่านั้นพลังที่ได้รับมายังไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อผู้ใช้ในภายภาคหน้าอีกด้วย!”


 


กล่าวถึงจุดนี้ หลิวก่วงหลินที่ไม่ใช่คนโง่งมอะไร ก็ตระหนักเรื่องราวอะไรได้ จึงหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยความเหลือเชื่อ “นายท่าน อยู่ๆท่านกล่าวถามเช่นนี้ออกมา…”


 


“หรือว่า ท่าน…”


 


ลูกตาหลิวก่วงหลินยามนี้เต็มไปด้วยยความตกใจนัก


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ ล้วนได้มาจากพลังของอุปกรณ์อมตะประเภทสิ้นเปลือง…ก่อนที่ข้าจะใช้แรงกดดันพลังช่วยเจ้า ข้าได้ใช้พลังจากอุปกรณ์อมตะสิ้นเปลืองไปไม่น้อยแล้ว ระดับพลังจึงตกไปอยู่ที่ขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ”


 


“อย่างไรก็ตามหลังจากแผ่แรงกดดันพลังออกไปเต็มที่เพื่อช่วยให้เจ้าทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ ระดับพลังในร่างของข้าจึงถดถอยลงมาอยู่ในขอบเขต ราชาอมตะ 4 รูปเท่านั้น”


 


“ส่วนเหตุผลที่ข้าไม่พาฮ่วนเอ๋อเดินทางด้วยตัวเองแต่แรก ทั้งหมดเพราะข้าไม่อยากใช้พลังที่ได้รับจากอุปกรณ์อมตะสิ้นเปลืองให้เสียเปล่า…ตอนนี้ที่ข้าให้เจ้าพาพวกเราหอบหิ้วเดินทางก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน”


 


กล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็หยีตามองจ้องหลิวก่วงหลิน พลางกล่าวเสริมว่า “พลังฝึกปรือที่แท้จริงของข้า ยังนับว่าอ่อนด้อยกว่าฮ่วนเอ๋อไม่น้อย และอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับเท่านั้น ยังห่างจากยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์เช่นนางอีกไกล…และถึงจะใกล้ทะลวงผ่าน แต่อย่างดีข้าก็เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นปฐพีเท่านั้น”


 


ด้วยเป็นเพราะก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนทุ่มเทความคิดจิตใจให้กับการตีความวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลัง ไม่เว้นยกระดับทักษะหลอมโอสถอมตะ ไม่งั้นหากบ่มเพาะพลังอย่างเดียวป่านนี้เขาอาจจะทะลวงถึงยอดเซียนยอมตะขั้นปฐพีไปนานแล้ว


 


“ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง…เจ้าสามารถเลือกที่จะจากไปก็ได้ ข้าจะถือว่าไม่ได้ยินคำมั่นของเจ้าก่อนหน้า”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค ต้วนหลิงเทียนก็มองหลิวก่วงหลินด้วยสายตาสงบ


 


หลิวก่วงหลินสูดอากาศเข้าลึกๆ พอฟื้นจากอาการตกตะลึง มันก็มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจังแฝงความแน่วแน่ออกมาทันที “นายท่าน ข้าน้อยยินดีติดตามรับใช้ท่านดังเดิม ไม่คิดเปลี่ยนใจ!”


ตอนที่ 2,929 : ฮ่วนเอ๋อจากไป ไร้คำร่ำลา…


 


“เอาล่ะ”


 


เมื่อเห็นความแน่วแน่ของหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าขานคำรับสั้นๆ จากนั้นก็เริ่มนั่งขัดสมาธิกลางหาว หลับตาลงเตรียมบ่มเพาะพลังทันที


 


เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนรับหลิวก่วงหลินเป็นผู้ติดตาม ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกว่าหลิวก่วงหลินเป็นคนเชื่อถือได้ แต่เป็นเพราะการตัดสินใจอย่างฉลาดของอีกฝ่ายด้วย


 


เหตุไฉนที่เขาเปิดเผยต้นตอพลังของเขาออกไปให้หลิววก่วงหลินรู้ เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนอยากให้หลิวก่วงหลินติดตามรับใช้เขาด้วยตัวเอง ไม่ใช่พลังความแข็งแกร่งที่เป็นดั่งภาพมายา


 


ระหว่างเดินทางเขาต้องการคนที่น่าเชื่อถือทั้งฉลาดเฉลียว เรียกว่าสามารถใช้การได้จริงๆ


 


หลิววก่วงหลินนั้น หากไม่นับเรื่องด่านพลังฝึกปรือที่อ่อนด้อยไปบ้าง แต่ความน่าเชื่อถือกับความเฉลียวฉลาดของอีกฝ่ายก็เข้าตาต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง


 


ฮ่วนเอ๋อที่พึ่งฟื้นสติก็หันไปรับคำทักหลิวก่วงหลินเล็กน้อย จากนั้นนางก็เริ่มนั่งขัดสมาธิและหลับตาลงกลางหาวเช่นกัน แต่จะบ่มเพาะพลังหรือตีความวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังนั้นไม่อาจทราบได้


 


และนางก็ไม่คิดจะเอ่ยทักอะไรต้ววนหลิงเทียนสักคำ


 


ต้วนหลิงเทียนเองย่อมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของฮ่วนเอ๋อที่ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่ แต่เขาเองก็รู้ดีว่าเพราะอะไรถึงทำให้นางอารมณ์นางไม่คงที่แบบนี้


 


นั่นเพราะเมื่อครู่เขาแนะนำนางให้หลิวก่วงหลินรู้จักในฐานะน้องสาว


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คิดมากอะไรกับเรื่องนี้ และเชื่อว่าอีกไม่นานฮ่วนเอ๋อก็ต้องสงบสติอารมณ์ลงได้เป็นธรรมดา


 


หลังจากนั้นหลิวก่วงหลินที่พึ่งทะลวงถึงขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้เป็นผลสำเร็จ ก็ได้หอบหิ้วต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินทาง ไม่เพียงแต่ความเร็วในการเดินทางจะเพิ่มพูนขึ้นกว่าเดิม แต่ยังไม่มีใครปรากฏตัวออกมาปล้นชิงพวกเขาระหว่างเดินทางออกจากพื้นที่ชายแดนอีกเลย


 


ถึงแม้ว่าในพื้นชายแดนอาจจะยังมีตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะที่ผันตัวเป็นโจรปล้นชิงบ้าง แต่ตัวตนเหล่านี้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย


 


อีกทั้งเส้นทางที่เชื่อมระหว่างพื้นที่ชายแดนกับภาคกลาง มีผู้คนสัญจรไปมาน้อยเหลือเกิน ต่อให้จะมีโจรขอบเขตขุนนางอมตะดำรงอยู่จริงๆ พวกมันก็ไม่คิดจะเลือกมาหากินแถบนี้


 


วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


ไม่กี่เดือนผันผ่านไป ดุจเวลาชั่วลัดนิ้วมือ


 


‘ในที่สุดก็มาถึงก้าวสุดท้าย…ขอเพียงทะลวงจุดรอคอยนี้ได้ ข้าก็จะบรรลุถึงยอดเซียนยอมตะขั้นปฐพีได้สำเร็จราบรื่น!’


 


ต้วนหลิงเทียนที่บ่มเพาะพลังอยู่สูดอากาศเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มโคจรพลังในร่างเร็วรี่ สั่งสมพลังเตรียมทะลวงด่าน!


 


ขณะเดียวกันโอสถหลัวเทียนในร่างต้วนหลิงเทียนก็ถูกดูดซับเร็วไว กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดโคจรไปตามแนวทางเคล็ดอมตะ ไท่อี้สุดลี้ลับ! มวลพลังโคจรหมุนวนรอบแล้รอบเล่า แต่ละรอบพลังยังเพิ่มพูนมากขึ้นทุกขณะ!!


 


ราวๆครึ่งเดือนต่อมา


 


ซู่มมม!!


 


ทันใดนั้นทั่วร่างต้วนหลิงเทียนที่หลับตาขัดสมาธิกลางอากาศ ก็ปะทุกลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามหนึ่งออกมาอย่างเกรี้ยวกราด


 


และกลิ่นอายพลังที่กำจายออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากกลิ่นอายพลังก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด


 


‘ในที่สุด…ก็ทะลวงผ่าน!’


 


“ยอดเซียนอมตะขั้นปฐพี!”


 


หลังจากทะลวงด่านพลังแล้ว ต้วนหลิงเทียนนก็ลืมตาขึ้นมาทันที พอดีกับรอยยิ้มสดใสที่คลี่กางขึ้นบนใบหน้าอย่างแช่มชื่น!


 


“ยินดีด้วยนายท่าน!”


 


ด้านหลิวก่วงหลินเองก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน แม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะถือครองพลังขอบเขตราชาอมตะ 4 รูปอยู่ หากแต่กลิ่นอายพลังที่ปะทุออกมาทั่วร่างตอนนี้กลับเป็นของยอดเซียนอมตะขั้นปฐพีอย่างเห็นได้ชัด


 


หลิวก่วงหลินก็เลยรู้ว่าต้วนหลิงเทียนทะลวงด่านพลังแล้ว


 


ขณะเดียวกันในใจมันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกครั้งใหญ่


 


‘นายท่านผู้นี้…ที่แท้ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีงั้นหรือ!?’


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนทะลวงด่านพลัง หลิวก่วงหลินที่ตกใจกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ก็ได้แผ่สำนึกเทวะออกมาตรวจวสอบเรื่องราวโดยไม่รู้ตัว เช่นนั้นไม่เพียงแต่มันจะรู้ว่าด่านพลังต้วนหลิงเทียนก้าวหน้า มันยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเลือดเนื้อต้วนหลิงเทียนเช่นกัน!


 


ด้วยเหตุนี้ใจมันจึงอดไม่ได้ที่จะสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ!


 


ยอดเซียนอมตะอายุไม่ถึงร้อยปี?


 


ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงยอดเซียนอมตะขั้นปฐพี!?


 


ตัวตนเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่เคยปรากฏตัวในประวัติศาสตร์ของพื้นที่ชายแดนมานานนับหมื่นๆปีแล้วไม่ใช่หรือ?


 


“หืม?”


 


พอได้ยินคำแสดงความยินดีของหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองอีกฝ่ายเป็นธรรมดา และเขาก็ตระหนักถึงความผิดปกติได้ทันที


 


“ฮ่วนเอ๋ออยู่ไหน?”


 


นั่นเพราะเขาพบว่ารอบกายเขาตอนนี้เหลือแต่หลิวก่วงหลินแค่คนเดียวเท่านั้น ไร้ซึ่งร่องรอยฮ่วนเอ๋ออย่างสิ้นเชิง!


 


หลังต้วนหลิงเทียนหันมองไปรอบๆ แล้วไม่พบว่าฮ่วนเอ๋ออยู่ที่ไหนเลย เขาก็ย้อนกลับมามองหลิวก่วงหลินอีกครั้ง สีหน้ายังมืดดำลงปานจะคั้นได้เป็นหยดน้ำหมึก!


 


“นายท่าน…”


 


เผชิญหน้ากับสายตาที่มองจ้องมาอย่างดุร้ายของต้วนหลิงเทียน สีหน้าหลิวก่วงหลินก็เผยความอับจนหนทางออกมา คลี่ยิ้มแหยๆ แลดูขื่นขมกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงจนปัญญาว่า “แม่นางฮ่วนเอ๋อ…นางจากไปแล้ว”


 


“อะไร!? ฮ่วนเอ๋อไปแล้ว!?”


 


ได้ยินคำของหลิวก่วงหลินหน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนสีไปทันที “แล้วนางไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไฉนเจ้าถึงไม่รีบบอกข้า!?”


 


เขาไม่ได้สงสัยในคำพูดของหลิวก่วงหลิน


 


เพราะเว้นเสียแต่ฮ่วนเอ๋อจะเป็นฝ่ายจากไปเองเงียบๆ ไม่งั้นเขาก็ไม่อาจจับความเคลื่อนไหวใดๆได้เลย


 


“นางจากไปตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน…”


 


หลิวก่วงหลินเอ่ยถึงจุดนี้ก็เรียกแหวนพื้นที่วงหนึ่งยื่นส่งให้ต้วนหลิงเทียน “แหวนวงนี้ เป็นแม่นางฮ่วนเอ๋อฝากข้าไว้ ให้มอบให้นายท่าน…”


 


“ตอนที่แม่นางฮ่วนเอ๋อกำลังจะจากไปโดยไม่ร่ำลา นางได้ส่งเสียงผ่านพลังมาข่มขู่ข้า ว่าอย่าได้แจ้งเตือนนายท่านเด็ดขาดแล้วก็อย่าได้ติดตามนางไป…หาไม่แล้วนางจะตายต่อหน้าข้าให้ดู”


 


“ตอนนั้นสีหน้าแววตาของแม่นางฮ่วนเอ๋อแลดูจริงจังทั้งแน่วแน่ยิ่ง ข้าน้อยเชื่อว่านางไม่ได้ล้อเล่นเป็นแน่…ข้าก็เลยไม่กล้าปลุกนายท่าน และไม่กล้าสะกดรอยตามนางไป”


 


หลังกล่าวจบคำนอกจากรอยยิ้มขื่นขมแล้ว บนใบหน้าของหลิวก่วงหลินยังฉายชัดถึงความอับจนหนทาง ด้วยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้เห็น


 


หลังได้ยินคำพูดของหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้ารีบรับแหวนพื้นที่วงดังกล่าวมา จากนั้นก็แผ่สำนึกเทวะลงไปเพื่อส่องดูภายในแหวนทันที


 


ภายในแหวนพื้นที่วงนี้ นอกจากของสองสิ่งที่ตั้งไว้ ด้านในก็ว่างเปล่าไร้สิ่งใดอื่นอีก


 


วูบ


 


เมื่อเห็นสิ่งของ 1 ใน 2 ที่วางไว้ในแหวนพื้นที่ สีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง


 


เพราะนั้นคือจี้ห้อยคอที่ฮ่วนเอ๋อมักสวมใส่ไว้เสมอ และตัวจี้นั่นก็เป็นอะไรที่ต้วนหลิงเทียนจดจำได้ชัดเจนว่ามีความสำคัญอย่างไร


 


ผลึกเทพของฮ่วนเอ๋อ เก็บไว้ในนั้น!


 


อาศัยเพียงหนึ่งห้วงคิด จี้ดังกล่าวก็เปิดออกมาทันที จากนั้นกลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาลก็พวยพุ่งออกมา ฟุ้งตลบไปทั่วพื้นที่แหวนในเวลาชั่วพริบตา


 


“ฮ่วนเอ๋อ…”


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นปั้นยากนัก เพราะเขาไม่คิดเลยว่าฮ่วนเอ๋อไม่เพียงแต่จะจากไปเงียบๆ แต่นางยังทิ้งสิ่งที่มีค่าที่สุดไว้ให้เขาอีกด้วย


 


เพราะสุดท้ายแล้วหากไร้ผลึกเทพ การบ่มเพาะพลังของฮ่วนเอ๋อหลังจากนี้ต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน


 


“ยาโถวโง่งม! ยาโถวที่โง่งมนัก!”


 


หน้าต้วนหลิงเทียนมืดคล้ำดำลงถึงที่สุด หลิวก่วงหลินที่อยู่ด้านข้างก็เงียบไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้ครึ่งคำ


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันไปสนใจของอีกชิ้นที่อยู่ในแหวน ยังนำมันออกมาจากแหวนทันที เพราะมันคือยันต์อมตะบันทึกเสียงที่สามารถกักเก็บถ้อยคำวาจาเอาไว้ได้ เมื่อจ่ายพลังลงไป ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงฮ่วนเอ๋อทันที


 


“พี่หลิงเทียน ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อคงไม่ได้อยู่ข้างท่านแล้ว…ที่จริงฮ่วนเอ๋อไม่อยากไปไหนเลย แต่ฮ่วนเอ๋อคิดว่าหากฮ่วนเอ๋อหายตัวไป บางทีพี่หลิงเทียนอาจจะคิดถึงและเป็นห่วงฮ่วนเอ๋อบ้าง…เป็นห่วงฮ่วนเอ๋อเหมือนที่ห่วงพี่สาวมู่หรงปิง พี่สาเค่อเอ๋อ พี่สาวลี่เฟย และพี่สาวเฟิ่งเทียนหวู่…”


 


“พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อยังรู้ว่าท่านต้องการยกระดับพลังให้เข้มแข็งขึ้นให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ไปช่วยพี่สาวเค่อเอ๋อและคนอื่นๆ…ดังนั้นถึงแม้ว่าฮ่วนเอ๋อจะจากไป แต่ฮ่วนเอ๋อจะมอบจี้ห้อยคอที่ท่านแม่มอบไว้ให้ฮ่วนเอ๋อให้พี่หลิงเทียน หวังว่าพี่หลิงเทียนจะก้าวหน้าขึ้นโดยเร็ว”


 


จากนั้นเสียงของฮ่วนเอ๋อก็เงียบไป


 


“ฮ่วนเอ๋อ…”


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งกลับกลายเป็นอัปลักษณ์ ลึกลงไปในแววตายังสั่นไหวไปด้วยอารมณ์สะทกสะท้อน


 


ไม่คิดเลยว่าฮ่วนเอ๋อจะทิ้งผลึกเทพไว้ให้เขาเพราะสาเหตุนี้!


 


หากไม่มีผลึกเทพ ความเร็วในการบ่มเพาะของนางหลังจากนี้ เป็นธรรมดาว่าต้องช้าลงหลายส่วน!


 


“เด็กโง่! ช่างโง่งมนัก!”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนฉาแวววิตกกังวลออกชัด ขณะเดียวกันก็เร่งหันไปมองถามหลิวก่วงหลินเสียงหนัก “ตอนไป ฮ่วนเอ๋อไปทางไหน!?”


 


“ทางนี้นายท่าน”


 


หลิวก่วงหลินช้มือไปยังทิศทางหนึ่ง


 


และแทบจะทันทีที่หลิวก่วงหลินกล่าวจบคำ ร่างต้วนหลิงเทียนก็สั่นไหว พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตราชาอมตะ 4 รูปปะทุออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นคนก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาหลิวก่วงหลิน ประหนึ่งสาบสูญไปในความว่างเปล่า


 


ด้านหลิวก่วงหลินเองก็เข้าใจเรื่องราว จึงเลือกที่จะลอยร่างค้างไว้กลางหาวตำแหน่งเดิม เพื่อรอต้วนหลิงเทียน


 


มันเองก็รู้ว่านายท่านของมันไม่พ้นต้องไปตามหาแม่นางฮ่วนเอ๋อแน่


 


จริงดังนั้น


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้เหินร่างด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อตามหาฮ่วนเอ๋อ


 


พลังที่ได้รับจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ถูกใช้อย่างไม่เสียดาย สำนึกเทวะยังแผ่พุ่งเหินนำไปยังทิศทางที่ฮ่วนเอ๋อหายไปเต็มกำลัง


 


อย่างไรก็ตาม แม้พลังจะพร่องไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนกลับไม่พบอะไร


 


‘อาศัยความเร็วของฮ่วนเอ๋อ หากนางยังคงมุ่งหน้ามาทางนี้ไม่เปลี่ยน ป่านนี้ข้าสมควรตามนางทันแล้ว…ดังนั้นไม่พ้นระหว่างทางนางต้องเปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปทางอื่นแทน’


 


‘และด้วยนิสัยของฮ่วนเอ๋อ นางย่อมไม่คิดจะรั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่ไร้อะไรให้นางสนใจอีกแน่นอน…เช่นนั้นนางไม่พ้นต้องมุ่งหน้าไปยังภาคกลางแน่ ก็แค่นางจงใจหลอกให้หลิวก่วงหลินสับสน จากนั้นพอเดินทางได้ระยะหนึ่งนางก็เลือกจะเปลี่ยนเส้นทาง เพื่อมุ่งหน้าไปยังภาคกลางตามเดิม’


 


คิดถึงจุดนี้ ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบไหว ย้อนกลับไปยยังจุดที่หลิวก่วงหลินอยู่ด้วยความเร็วสูง จากนั้นสะบัดมือคราหนึ่งเขาก็หอบหิ้วร่างหลิวก่วงหลินออกค้นหาตามเส้นทางระหว่างพื้นที่ชายแดนกับภาคกลางแบบปูพรม


 


แม้จะหอบหิ้วหลิวก่วงหลินไปด้วย แต่ความเร็วของต้วนหลิงเทียนก็ยังสูงล้ำนัก ไม่นานก็มาถึงสุดขอบพื้นที่ชายแดนแล้ว


 


“นายท่าน แนวเทือกเขาเบื้องหน้าก็เป็นดั่งกำแพงกันระหว่างพื้นที่ชายแดนกับพื้นที่ภาคกลาง…ตรงนั้นยังเป็นสถานที่จัดตั้งค่ายกลกั้นแดน เพื่อบีบให้ตัวตนขอบเขตราชาอมตะไม่ให้รั้งอยู่พื้นที่ชายแดนนาน และต้องมุ่งหน้าเข้าสู่ภาคกลาง…แนวเทือกเขาดังกล่าว ยังเป็นดั่งปราการธรรมชาติ ที่แบ่งเขตระหว่างพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ส่วนกลางของแดนสวรรค์ใต้อย่างอัศจรรย์…”


 


ในขณะตระเวนหาฮ่วนเอ๋อแบบปูพรมด้วยความเร็วสูง ระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็ตกลงมาอยู่ที่ขอบเขตราชาอมตะ 3 ศักดิ์ทั่วไปเท่านั้น


 


เช่นนั้นหลิวก่วงหลินที่ถูกหอบหิ้วเดินทางก็ไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้เลยนอกจากแสงสว่างเป็นเส้นๆ เพราะความเร็วในการเดินทางมันเหนือขีดจำกัดสายตาของมัน


 


เหมือนกับตอนที่ต้วนหลิงเทียนอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาไม่มีผิด…


 


ความเร็วของต้วนหลิงเทียนสูงล้ำเกินไป


 


“ไม่ทันไรก็จะเข้าพื้นที่ภาคกลางแล้วงั้นเหรอ? ด้วยความเร็วของฮ่วนเอ๋อเป็นไปไม่ได้ที่นางจะมาถึงที่นี่ก่อนข้า…”


 


“….นางคงไม่ได้เจอโจรขอบเขตขุนนางอมตะเข้าระหว่างทางหรอกนะ คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางใช่ไหม?”


 


“ให้ตายเถอะ หากรู้แต่แรกว่าฮ่วนเอ๋อจะจากไปแบบนี้ อย่างน้อยๆข้าก็น่าจะให้นางทิ้งลูกแก้ววิญญาณเอาไว้”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างลอยค้างกลางหาว มองจ้องไปยังแนวเทือกเขาที่เป็นปราการกั้นแดนระหว่างพื้นที่ชายแดนกับพื้นที่ภาคกลางของแดนสวรรค์ใต้ตาลอย กล่าวพึมพำออกมาด้วยใบหน้ามืดดจนราวกับจะคั้นได้เป็นหยดน้ำหมึก!


 


ในแววตา ยังปรากฏความวิตกกังวลฉายให้เห็นเด่นชัด


ตอนที่ 2,930 : ประเทศฝูชิว


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งฮ่วนเอ๋อจะไปจากเขาในลักษณะนี้ เขาจึงไม่มีลูกแก้ววิญญาณของฮ่วนเอ๋อเก็บไว้เลย


 


“เจ้าพาข้าย้อนกลับไป ปูพรมค้นหาพื้นที่ตะเข็บชายแดนรอยต่อภาคกลางให้ทั่วๆเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวกับหลิวก่วงหลินเสียงหนัก สองตาบัดนี้ยังเริ่มแดงก่ำขึ้นมา


 


“ขอรับนายท่าน!”


 


หลังสบตากับต้วนหลิงเทียนปราดหนึ่ง หลิวก่วงหลินก็เร่งก้มหน้าหลบตา ขานรับคำอย่างอย่างเชื่อฟังและเริ่มออกเดินทางทันที เพราะมันก็สัมผัสได้ถึงความกังวลของต้วนหลิงเทียนชัดเจน


 


และตอนนี้มันยังตระหนักถึงน้ำหนักแม่นางฮ่วนเอ๋อในใจนายท่านของมันชัดเจน


 


“นายท่าน…ข้าต้องขออภัยด้วย”


 


หลังจากพาต้วนหลิงเทียนออกตระเวนหาฮ่วนเอ๋อไปได้สักพัก หลิวก่วงหลินก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวขอขมาออกมาด้วยความรู้สึกผิด


 


“เรื่องมันผ่านไปแล้ว เจ้าจะขอโทษไปให้มันได้อะไรขึ้นมา ที่สำคัญเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้าแต่แรก เพราะเจ้าเองก็ไม่อาจทำอะไรได้ ฮ่วนเอ๋อก็มีนิสัยแน่วแน่เด็ดเดี่ยวนัก เมื่อนางตัดสินใจแล้วนางย่อมทำได้ทุกอย่าง”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะกังวลเรื่องความปลอดภัยของฮ่วนเอ๋อ แต่เขาก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลที่จะไปลงกับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เขาจึงไม่คิดโทษหลิวก่วงหลินแม้แต่น้อย


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หลิวก่วงหลินก็รู้สึกสะท้านในใจ ยิ่งมายิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น


 


จากนั้นมันจึงทุ่มเทเรี่ยวแรงเพื่อพาต้วนหลิงเทียนออกตามหาฮ่วนเอ๋ออย่างหนัก


 


‘ฮ่วนเอ๋อ ขออย่าให้เจ้าเป็นอะไรไปเลย…หากเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าจะมีหน้าไปพบผู้อาวุโสตู้เฟยได้อย่างไร’


 


ต้วนหลิงเทียนยังจดจำกูป๋อของฮ่วนเอ๋อ หรือตู้เฟยที่ทิ้งโลกใบเล็กไว้ได้ชัดเจน นางยังเป็นคนที่มอบเคล็ดอมตะระดับราชา ไท่อี้สุดลี้ลับให้เขาฝึกปรืออีกด้วย


 


และตู้เฟยก็ได้กำชับเขาไว้เป็นมั่นเหมาะว่าอย่าให้ฮ่วนเอ๋อพบเจอคนของเผ่าจิ้งจอกมายาที่ไม่ได้แซ่ตู้เด็ดขาด กระทั่งหากพบคนของเผ่าจิ้งจอกมายาที่ล่วงรู้ตัวตนของฮ่วนเอ๋อ เขายังต้องรีบฆ่ามันทันทีที่ทำได้


 


นอกจากนั้นตู้เฟยยังบอกเขาเอาไว้อีกว่า สาเหตุที่มารดาของฮ่วนเอ๋อทิ้งฮ่วนเอ๋อไป เผ่าจิ้งจอกมายาก็มีส่วนไม่น้อย


 


และด้วยใจที่เป็นกังวลถึงฮ่วนเอ๋อ ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนคิดจะบ่มเพาะพลังต่อ แต่เขาก็ไม่อาจสงบใจเพื่อบ่มเพาะพลังได้เลย ไม่ทันไรก็คิดฟุ้งซ่านเสียสมาธิ


 


วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


ชั่วพริบตาก็ล่วงเลยไปอีก 3 ปี


 


“นายท่าน ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่าน พวกเราได้ตระเวนหาแม่นางฮ่วนเอ๋อไปเป็นล้านล้านลี้สวรรค์ พื้นที่รอยต่อระหว่างภาคกลางกับพื้นที่ชายแดนถูกพวกเราค้นหาไปมากแล้ว แต่กลับมิพบแม่นางฮ่วนเอ๋อเลย…”


 


“ตอนนี้เวลาก็ผ่านไป 3 ปีแล้ว ถึงพวกเราคิดตามหาแม่นางฮ่วนเอ๋อ ก็เกรงว่าคงเป็นเรื่องยาก..”


 


ในระหว่างที่ค้นหาเป็นระยะเวลา 3 ปี หลิวก่วงหลินไม่เคยปริปากบ่นสักคำ แต่เมื่อผ่านไปครบ 3 ปีแล้วแต่ยังไม่เจอฮ่วนเอ๋อ และจากการคำนวณความเร็วในการเคลื่อนไหวของฮ่วนเอ๋อ สุดท้ายหลิวก่วงหลินก็ไม่อาจไม่กล่าวออกมา


 


เพราะมันรู้ดีว่าตอนนี้ถึงจะตามหาต่อไปก็ไม่มีประโยชน์


 


มันก็เลยรวบรวมกล้ากล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนออกมาตรงๆ


 


แน่นอนว่าเป็นเพราะหลังจากที่อยู่กับต้วนหลิงเทียนมา 3 ปี หลิวก่วงหลินจึงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนมีเหตุผล ไม่งั้นต่อให้มันมีความกล้ามากกว่านี้ร้อยเท่า มันก็ไม่กล้ากล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนแน่นอน


 


“ข้ารู้”


 


ได้ยินคำเตือนของหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าขานคำอย่างผิดหวัง แต่เขารู้ดีว่าหลิวก่วงหลินพูดไม่ผิดแม้ครึ่งคำ แต่อย่างไรเสียในใจก็รู้สึกไม่ยอมรับอยู่บ้าง


 


ถึงแม้ว่าพลังฝีมือของฮ่วนเอ๋อจะไม่ใช่ชั่ว และภายใต้ขอบเขตขุนนางอมตะ คงยากที่จะมีใครเป็นภัยคุกคามนางได้


 


ทว่าเมื่อฮ่วนเอ๋อไปถึงภาคกลาง ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ ย่อมมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน


 


เขาจึงไม่อาจไม่ห่วงฮ่วนเอ๋อได้


 


อย่างไรก็ตาม เขาเองก็รู้ดีแก่ใจ ว่าหลังค้นหามาถึง 3 ปีแบบนี้ หากจะพบฮ่วนเอ๋อจริง คงพบนางไปนานแล้ว


 


‘ฮ่วนเอ๋อ ขออย่าให้เจ้าเป็นอะไรไปเลย…ไม่งั้นพี่หลิงเทียนคงไม่อาจอภัยให้ตัวเองได้ชั่วชีวิต’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างเงียบงัน


 


ใน 2 ช่วงชีวิตที่ผ่านมา เขาแทบไม่เคยเสียใจกับเรื่องราวที่เขาได้กระทำลงไปเลย


 


แต่คราวนี้เขาเสียใจนัก


 


เขาไม่น่าแนะนำฮ่วนเอ๋อให้หลิวก่วงหลินรู้จักในฐานะน้องสาวออกไปเลย


 


ใจเขารู้ดีว่าถึงเรื่องนี้จะไม่ใช่ต้นตอการจากไปของฮ่วนเอ๋อทั้งหมด แต่ไม่พ้นต้องเป็นชนวนเหตุให้นางตัดสินใจแน่นอน


 


“ไปหาที่ตั้งหลักกันเถอะ จากนั้นค่อยสืบหาสถานการณ์โดยรอบคร่าวๆ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินก็มาถึงพื้นที่รอยต่อระหว่างชายแดนกับภาคกลางอีกครั้ง และพอเสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ หลิวก่วงหลินก็หอบหิ้วต้วนหลิงเทียนเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ภาคกลางทันที


 


หลังจากเดินทางไปอีกราวๆครึ่งเดือน ก็ยังไม่พบเจอเมืองอะไร แม้แต่ร่องรอยผู้คนหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆก็ไม่มี อย่างไรก็ตามทิวทัศน์ใต้ฝ่าเท้าที่เดิมเป็นทะเลทรายนั้น เริ่มเผยให้เห็นความเขียวขจีแล้ว…เป็นแหล่งน้ำกลางทะเลทราย!


 


‘อีกไม่นานก็คงพบเจอร่องรอยผู้คน’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


และความจริงก็พิสูจน์ว่าต้วนหลิงเทียนคิดถูก


 


หลังจากนั้นไม่กี่วัน ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินก็เห็นร่างไม่กี่ร่างเหินอยู่ไกลๆ หลิวก่วงหลินจึงหอบหิ้วต้วนหลิงเทียนพุ่งไปหาทันที และพอกลุ่มคนดังกล่าวเห็นพวกต้วนหลิงเทียนเข้ามาใกล้ ชายชราที่เหินนำก็ให้สัญญาณเตือน จนคนทั้งกลุ่มบังเกิดความตื่นตัวทันที


 


พวกมันย่อมคิดว่าพวกต้วนหลิงเทียนเป็นโจรขอบเขตขุนนางอมตะที่มาปล้นชิงเป็นธรรมดา! เพราะอยู่ดีๆ จะมีใครเหินโร่เข้าหาผู้อื่นหรือมาขวางทางในพื้นที่แถบนี้?!


 


“สหายทั้งหลายอย่าพึ่งเข้าใจพวกเราผิด…พวกเราแค่อยากถามพวกท่านว่าที่นี่คือที่ใด”


 


หลิวก่วงหลินที่เห็นความกังวลของกลุ่มคนขอบเขตยอดเซียนอมตะเบื้องหน้า ก็เร่งกล่าวออกไปตรงๆทันที


 


พอได้ยินคำพูดของหลิวก่วงหลิน คนกลุ่มดังกล่าวก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจอย่างโล่งอก


 


เพราะสุดท้ายแล้วพวกมันก็ตระหนักได้จากความเร็วของหลิวก่วงหลินว่าเป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะไม่ผิดแน่ และตัวตนเช่นนี้หากคิดเข่นฆ่าพวกมันเพื่อปล้นชิง ก็คงไม่จำเป็นต้องพูดจาให้เสียเวลา


 


“ท่าน…พวกท่านมาจากพื้นที่ชายแดนหรือ?”


 


ชายชราที่เป็นตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่แลดูจะเป็นผู้นำคนกลุ่มนี้ ก้าวออกมาประสานมือเป็นการทักทายพลางกล่าวถาม


 


“มิผิด”


 


หลิวก่วงหลินพยักหน้ารับ สุดท้ายแล้วมันก็พึ่งมาภาคกลาเป็นครั้งแรก จึงไม่รู้ที่ทางอะไรเลย


 


“เนื่องจากพวกท่านมาจากพื้นที่ชายแดน พวกท่านสมควรพบแหล่งน้ำกลางทะเลทรายแห่งนี้เป็นที่แรก…ทันทีที่พวกท่านมาถึงที่นี่ก็ถือว่าพวกท่านเข้าเขตประเทศฝูชิวเราแล้ว”


 


ชายชรากล่าว


 


“ประเทศฝูชิวรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ด้านหลังเลิกคิ้วขึ้น ด้วยไม่คิดว่าในแถบพื้นที่ทะเลทรายอันแห้งแล้งแบบนี้ ยังจะมีประเทศก่อตั้งอยู่ และจากที่เขาคาด ไม่พ้นต้องมีลักษณะการปกครองคล้ายๆในพื้นที่ชายแดนแน่นอน


 


ในพื้นที่ชายแดนนั้นตัวตนที่ปกครองประเทศได้ก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีพลังฝีมือในระดับหนึ่ง อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นยอดเซียนอมตะ


 


อย่างไรก็ตามตัวตนยอดเซียนอมตะในตระกูลราชวงศ์ที่ปกครองประเทศนั้น พลังฝีมือยังอ่อนด้อยกว่าพวกนิกายอมตะใหญ่หลายขุม


 


“ประเทศฝูชิวหรือ?”


 


หลิวก่วงหลินเองก็แปลกใจไม่ต่างอะไรจากต้วนหลิงเทียน จากนั้นหลังจากสอบถามรายละเอียดไปสักพัก พวกต้วนหลิงเทียนจึงได้รู้ความแตกต่างระหว่างประเทศในพื้นที่ชายแดน กับประเทศในพื้นที่ภาคกลาง


 


ในพื้นที่ภาคกลางนั้น ต่อให้เป็นประเทศเล็กๆที่อยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน หากแต่ผู้ที่ปกครองประเทศอย่างน้อยๆก็ต้องมีระดับพลังขอบเขตราชาอมตะ!


 


ผู้ที่ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะนั้น ไม่มีสิทธิ์ตั้งตัวเป็นใหญ่เพื่อสร้างประเทศอะไรขึ้นได้


 


“ราชาอมตะสามารถตั้งตัวเป็นใหญ่ปกครองพื้นที่เพื่อสร้างประเทศของตัวเองได้รึ? เช่นนี้ไม่ใช่ว่าราชาอมตะที่ออกจากพื้นที่ชายแดนมายังภาคกลาง ก็สามารถตั้งตัวเป็นใหญ่สร้างประเทศของตัวเองได้รึไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำ


 


“สหายน้อยท่านนี้ เรื่องที่ท่านกล่าว หากเป็นในทฤษฎีแล้วก็ไม่ผิด”


 


ชายชราหันไปพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนเบาๆ จากนั้นก็อธิบายออกมาต่อว่า “ทว่าคิดจะก่อตั้งประเทศขึ้นมาประเทศหนึ่ง ย่อมมิใช่เรื่องง่ายๆเลย…ไม่เพียงแต่จะต้องใช้กำลังคนและความพยายามไม่น้อยกว่าจะวางระบบการจัดการและสร้างประเทศขึ้นมาได้ ไหนจักเรื่องผังเมืองอาคารบ้านเรือน ทั้งยังประชากรผู้อยู่อาศัยอีก”


 


“เช่นนั้นแล้วผู้คนที่คิดเป็นใหญ่ส่วนมากจักเลือกหนทางที่ง่ายดายกว่า…เรียกว่าดั่งนกกางเขนชิงรัง ในเมื่อมีประเทศอยู่แล้ว ไยไม่เข่นฆ่าสังหารตระกูลราชวงศ์ แล้วปกครองประเทศในฐานะนายเหนือคนใหม่แทนเล่า?”


 


ชายชรากล่าวสืบต่อ


 


“ภายใต้สถานการณ์ต่อสู้ช่วงชิงดังกล่าว เช่นนั้นต่อให้เป็นฮ่องเต้ของประเทศเล็กๆในแถบชายแดนของภาคกลาง ปกติแล้วก็ยังเป็นราชาอมตะชนชั้นยอดฝีมือที่มีพลังฝีมือพอตัว!”


 


“และตัวตนเช่นนี้ เป็นธรรมดาว่ามิใช่ตัวตนที่ราชาอมตะหน้าใหม่ที่พึ่งออกมาจากพื้นที่ชายแดนจะต่อกรได้…และในฐานะที่เป็นราชาอมตะเช่นกัน ไหนเลยจะมีราชาอมตะที่ยอมอยู่ใต้อาณัติราชาอมตะเช่นกัน ทำให้ราชาอมตะจากพื้นที่ชายแดนส่วนมาก เลือกจะเข้าร่วมกับตระกูล พรรค สำนัก หรือนิกายในภาคกลางแทน”


 


“ที่สำคัญมิว่าจะเป็นตระกูล พรรค สำนัก หรือนิกายอันใดในภาคกลาง ก็ล้วนไม่ตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่ชายแดน ฐานที่มั่นของพวกมันล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่ในจุดที่มีชีพจรผลึกอมตะทั้งสิ้น ทรัพยากรอันใด สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะอันใด ล้วนดีกว่าประเทศในแถบชายแดนเช่นนี้มาก”


 


ชายชรากล่าวถึงจุดนี้ ค่อยหยุดลง


 


ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดเรื่องราวตามไปในใจ


 


ประเทศที่มาตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ในแถบพื้นที่ชายแดนนั้น ถือได้ว่าเป็นขุมกำลังที่อ่อนแอที่สุด ไม่อาจช่วงชิงพื้นที่หรือทรัพยากรอะไรในภาคกลางได้


 


อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบนั้น แต่ผู้นำประเทศทั้งหลายก็ล้วนเป็นชนชั้นราชาอมตะทั้งสิ้น แถมไม่ใช่ราชาอมตะธรรมดาๆ


 


หลังได้รับทราบเรื่องราวคร่าวๆของประเทศในพื้นที่ชายแดน กับเมืองต่างๆในภาคกลางจากคนกลุ่มนี้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ให้หลิวก่วงหลินพาเขาเดินทางอีกครั้ง


 


“จุดแวะพักแรกของพวกเรา เอาเป็นเมืองหลวงของประเทศฝูชิวแล้วกัน”


 


หลังจากถามทางชายชรากลุ่มเมื่อครู่แล้ว หลิวก่วงหลินก็ได้รู้เส้นทางไปยังประเทศฝูชิวเรียบร้อย


 


ในระหว่างเดินทาง ไม่เพียงต้วนหลิงเทียนจะครุ่นคิดถึงข้อมูลที่ได้รับจากชายชราเท่านั้น ในใจยังอดไม่ได้ที่จะนึกเป็นห่วงฮ่วนเอ๋อขึ้นมาอีกรอบ


 


“ขอนายท่านอย่าได้กังวล…ฟ้าต้องคุ้มครองแม่นางฮ่วนเอ๋อแน่”


 


หลิวก่วงหลินที่เห็นต้วนหลิงเทียนเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง ก็กล่าวปลอบออกไปทันที


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


3 เดือนหลังจากนั้น


 


“นายท่านจากข้อมูลของชายชราที่พวกเราสอบถามก่อนหน้า…หากผ่านสันเขาด้านหน้าไป ก็สมควรเป็นเมืองหลวงของประเทศฝูชิวแล้ว”


 


เสียงหลิวก่วงหลินดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน


 


ต้วนหลิงเทียนที่เติมเดิมนั่งหลับตาอยู่พอได้ยินเสียงรายงานของหลิวก่วงหลิน ก็ลืมตาขึ้นมาทันที


 


พอมองไปก็เห็นแนวเขาลูกใหญ่กำลังทอดตัวยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา มองไปคล้ายมังกรตัวเขื่องที่หมอบฟุบหลับไหลอยู่


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนที่ถูกหลิวก่วงหลินหอบหิ้วเดินทาง ก็เหินร่างข้ามแนวเขาไปเรื่อยๆ


 


ทว่าทันใดนั้นเอง


 


ฟู่มม!


 


เสียงแหวกสายลมแรงหนึ่งดังออกมาจากแนวเขาด้านล่าง จากนั้นก็ปรากฏร่างชราผู้หนึ่งหอบหิ้วร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งเหินบินขึ้นมาจากเขาด้านล่างเร็วไว!


 


ไม่ทันไรทั้งคู่ก็พุ่งมาหยุดขวางหลิวก่วงหลินกับต้วนหลิงเทียนเอาไว้


 


สีหน้าของหลิวก่วงหลินยังเปลี่ยนไปทันที ร่างยังชะงักหยุดลงกลางหาว ท่าทีเปลี่ยนเป็นจริงจังเคร่งขรึม เพราะพินิจจากความเร็วที่อีกฝ่ายพุ่งมาขวาง น่ากลัวพลังฝีมือของอีกฝ่ายจะสูงส่งกว่ามันมาก!


 


“ขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็มองออกได้ไม่ยากว่าพลังฝึกปรือของชายชราที่เหินร่างนำมานั้น อยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ ซึ่งมีระดับเดียวกับเขาในตอนนี้


 


“หืม?”


 


จากนั้นชายหนุ่มที่ถูกชายชราหอบหิ้วมาขวางทาง ก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนตาขวางทันที


 


ชายหนุ่มดังกล่าวแม้เสื้ออาภรณ์จะแลดูหรูหรา หากแต่ใบหน้ากลับปรากฏปานแดงคล้ำน่ากลัว ซึ่งทำลายรูปโฉมของมันหมดสิ้น แลดูอัปลักษณ์ไม่น่ามองเป็นที่สุด


 


ที่พิกลก็คือชายหนุ่มในชุดหรูหน้าอัปลักษณ์ดังกล่าว ยามมองหลิวก่วงหลิก็ไม่เป็นอะไร แต่พอมันมองมาที่ต้วนหลิงเทียน สีหน้ากลับฉายชัดถึงความอิจฉารุนแรง ในนแววตายังปรากฏจิตสังหารขึ้นมาด้วยซ้ำ


 


“เจ้าจักทำลายใบหน้าของเจ้าด้วยตัวเอง หรือตาย!”


 


ครู่ต่อมา ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพาหลิวก่วงหลินเหินเลี่ยงอีกฝ่าย เพราะคร้านจะสนใจอะไร


 


ชายหนุ่มชุดหรูอัปลักษณ์นั่น ก็พาชายชราหอบหิ้วมาขวางทางต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ยังมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงดุร้าย ทำราวกับต้วนหลิงเทียนเป็นศัตรูฆ่าบิดาแย่งชิงภรรยาของมันมา!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)