War sovereign Soaring The Heavens 2903-2909

 ตอนที่ 2,903 : ราชาอมตะออกโรง!


 


ในขณะที่หันไปมองสีหน้าแววตาของต้วนหลิงเทียน จี้ฟ่านก็พยายามสำรวจท่าทีของต้วนหลิงเทียนเต็มที่ ว่าต้วนหลิงเทียนจะเป็นอย่างไร หลังได้ยินเรื่องที่หลี่ผิงทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะแล้ว!


 


ตอนนี้มันกังวลเหลือเกิน…


 


ถ้าหากต้วนหลิงเทียนเผยสีหน้าหวั่นเกรง ส่งสัญญาณว่าอาจสู้หลี่ผิงที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะไม่ได้ขึ้นมา คราวนี้ต่อให้มันไม่ตาย…ก็ไม่พ้นต้องโดนถลกหนัง!!


 


ยิ่งไปกว่านั้น มันยังทำลายอนาคตตัวเองในนิกายอมตะสราญรมย์ไปเรียบร้อย อย่าว่าแต่ตถาคต กระทั่งสถานะศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ก็ไม่มีแล้ว!


 


“ราชาอมตะ?”


 


ได้ยินคำเตือนของจี้ฟ่าน สีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนยังไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใดๆ เพียงจับจ้องมองไปยังส่วนลึกของถิ่นที่อยู่นิกายยอมตะสราญรมย์ด้านล่าง ทิศทางที่เสียงของหลี่ผิงดังขึ้นอย่างสงบ มุมปากยกยิ้มขึ้นมาอย่างยากจะมองเห็น


 


พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงสงบอยู่ได้แม้จะในเวลาแบบนี้ เป็นการบ่งชี้ว่ายังคงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม จี้ฟ่านก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


เพราะตัดสินจากท่าทีดังกล่าว…


 


ปรมาจารย์โอสถต้วนผู้นี้ ดูเหมือนจะไม่หวั่นเกรงอะไรหลี่ผิงที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะเลย!


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


 


“ไฉนมีผู้คนตกตายมากขนาดนี้?”


 


ตอนนี้เองเสียงชราพลันดังขึ้นอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเจ้าของเสียงได้พบศพเหล่าศิษย์นิกายอมตะที่ถูกต้วนหลิงเทียนสังหารด้วยเคลื่อนเสียงแล้ว


 


“โผล่หัวมาได้ซะที…”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงเล็กน้อย


 


ในสายตาที่จับจ้องมองไปไกลๆ พบเห็นเป็นร่างชราหนึ่งกำลังเหินทะยานเข้ามาด้วยความเร็วสูง มันเป็นความเร็วที่หลิวเสวียนคงประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ทาบไม่ติดแม้แต่น้อย!


 


‘บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์หลี่ผิงคนนี้…เดิมทีเป็นแค่ขุนนางอมตะ 10 ทิศเท่านั้น แต่ตอนนี้มันกลายเป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดไปแล้ว…’


 


เห็นชายชราเหาะด้วยความเร็วดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเขารู้แล้วว่าชายชราดังกล่าวเป็นบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่ผิง


 


 


หลี่ผิงนั้น ยังเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของนิกายอมตะสราญรมย์…


 


เป็นธรรมดาว่าในอดีตนั้น หลี่ผิงสามารถอ้างตัวว่าเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของนิกายอมตะสราญรมย์ได้แต่ในนามเท่านั้น เพราะไม่มีใครกล้าพูด ว่านิกายอมตะสราญรมย์จะไร้ยอดฝีมือขอบเขตกึ่งราชาอมตะเร้นกายลอบให้ความคุ้มครองอย่างลับๆ


 


แต่วันนี้ ตั้งแต่วินาทีที่หลี่ผิงทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้สำเร็จ มันก็สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันคือยอดฝีมืออันดับ 1 ของนิกายอมตะสราญรมย์อย่างแท้จริง!


 


เพราะถึงแม้นิกายอมตะสราญรมย์จะมียอดฝีมือขอบเขตกึ่งราชาอมตะเร้นกายอยู่ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้จริง แต่พลังฝีมือของพวกมันก็ไม่อาจเทียบกับหลี่ผิงในตอนนี้ได้เลย


 


บางทีในอดีตพวกมันก็อาจจะเคยเป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด แต่ในเมื่อพวกมันรั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนนานเกินไป ด้วยพลังอาคมจากค่ายกลกั้นพรมแดน ด่านพลังของพวกมันก็จำต้องถดถอยกลับไปอยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ


 


ถึงแม้พลังฝีมือของพวกมันจะยังเหนือกว่าขุนนางอมตะ 10 ทิศทั่วไป แต่ก็ไม่อาจเทียบกับราชาอมตะที่แท้จริงได้


 


ดังนั้นกล่าวได้ว่า บัดนี้พลังของหลี่ผิง ได้เหนือกว่ากึ่งราชาอมตะของนิกายอมตะสราญรมย์ที่อาจเร้นกายอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว…


 


ฟุ่บ!


 


หลังจากนั้นไม่ทันที่ใครนอกจากต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกตัว ร่างชราหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลิวเสวียนคงประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ปานภูตผี!


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยอาจารย์ลุง ท่านสามารถทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะได้แล้ว!”


 


พอเห็นร่างชราที่อยู่ๆก็วูบมาปรากฏเบื้องหน้า หลิวเสวียนคงก็ผงะไปเล็กน้อย และพอเห็นชัดว่าเป็นใครมันก็เร่งประสานมือกล่าวคำแสดงความยินดีออกมาด้วยรอยยิ้มสดใสทันที


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยท่านบรรพบุรุษ!”


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยท่านบรรพบุรุษ!”


 



 


และพอเสียงแสดงความยินดีของหลิวเสวียนคงดังจบคำ เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตสราญรมย์ก็พากันฟื้นคืนสติ เร่งประสานมือกล่าวคำแสดงความยินดีกับหลี่ผิง ที่คล้ายอยู่ๆก็ผุดโผล่ขึ้นมาจากอากาศธาตุออกไปตามๆกัน


 


อย่างไรก็ตาม หลี่ผิงไม่ได้สนใจคำแสดงความยินดีของหลิวเสวียนคงและคนอื่นๆเลย


 


มันก้มลงมองซากศพนับร้อยพันที่เลอะเลือนเกลื่อนพื้น พลางขมวดคิ้วหน้านิ่ว “ศพพวกนี้…ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายอมตะสราญรมย์เรามิใช่หรือ?”


 


“อีกทั้ง…พวกมันยังถูกคลื่นเสียงสังหาร!”


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่บัดนี้หลี่ผิงเป็นราชาอมตะไปแล้วเลย ต่อให้เป็นก่อนหน้า แค่อาศัยสำนึกเทวะไปตรวจสอบซากร่างของศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ที่ตกตาย มันก็ระบุสาเหตุการตายได้ไม่ยาก


 


“ผู้ใดบอกข้าได้บ้าง นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


 


จากนั้นเสียงของหลี่ผิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง และเสียงถามไถ่ที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันดังกล่าว ยังทำให้ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์หน้าเสียไปตามๆกัน


 


และหลังกล่าวถามจบคำ หลี่ผิงก็หันไปมองจี้ฟ่าน รวมทั้งสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างอยู่เบื้องหน้าจี้ฟ่านด้วย


 


ในขณะที่หลี่ผิงคิดจะถามอะไรจี้ฟ่านนั้นเอง


 


“ท่านบรรพบุรุษ…”


 


เป็นผู้อาวุโสระดับสูงที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังหลิวเสวียนคง กล่าวทักออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก จากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางจี้ฟ่าน กล่าวฟ้องออกมาด้วยน้ำเสียงมากโทสะ “เป็นตัวบัดซบจี้ฟ่านนั่น มันพาคนนอกเข้ามาในนิกายเรา! แถมยังประกาศถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์เรา!!”


 


“และศิษย์ทั้งหมดที่ตายตก ก็ถูกคนเบื้องหน้าจี้ฟ่านใช้คลื่นเสียงเข่นฆ่า!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค สายตาทั้งนิ้วของอาวุโสคนดังกล่าวก็เบนไปตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียนเบื้องหน้าจี้ฟ่าน


 


“อะไร?!”


 


ได้ยินคำของอาวุโสคนดังกล่าว สีหน้าหลี่ผิงก็แปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง ทั่วร่างยังเริ่มแผ่กลิ่นอายพลังอันน่ากลัวออกมา


 


ยังเป็นกลิ่นอายพลังขอบเขตราชาอมตะที่ยังไม่ค่อยเสถียรดีเท่าไหร่ หากแต่พลังอานุภาพกก็ทรงพลังเข้มแข็งนัก ทำให้ระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์ไม่เว้นหลิวเสวียนอดใจสั่นไปไม่ได้


 


“นี่น่ะหรือพลังของราชาอมตะ!”


 


“พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของราชาอมตะ…ช่างทรงพลังเหลือเกิน!!”


 



 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันร้ายกาจสุดต้านทาน ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็หันมามองหน้ากันเอง ต่างเห็นความหวาดกลัวในสายตาของอีกฝ่าย


 


ถึงแม้ว่าพวกมันที่อยู่ ณ ที่นี้ ล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางอมตะทั้งสิ้น หากทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังผันผวนดังกล่าว พวกมันก็รู้สึกเสมือนชีวิตของพวกมันไม่ได้อยู่ในกำมือของตัวเองอีกต่อไป!


 


ผิดกับเหล่าระดับสูงของนิกายยอมตะสราญรมย์ที่หวั่นหวาดเสมือนความเป็นตายอยู่ในกำมือผู้อื่น จี้ฟ่านที่อยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย


 


อย่างไรก็ตามพอถูกหลี่ผิงมองจ้องมาด้วยสายตาเย็นชา สีหน้าจี้ฟ่านก็ซีดลงเล็กน้อย ค่อยมาดีขึ้นหลังจากที่หลี่ผิงละสายตาออกจากมันไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนแทน


 


ตอนนี้เองสำนึกเทวะของขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างหลี่ผิง ปกคลุมไปทั่วเรือนกายต้วนหลิงเทียน


 


“หืม? อายุไม่ถึงร้อยปีงั้นรึ?”


 


ทันใดนั้นมันก็ค้นพบได้ทันที ว่ากลิ่นอายเลือดเนื้อของต้วนหลิงเทียนเป็นกลิ่นอายเลือดเนื้อของคนที่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี!


 


ครู่ต่อมามันก็คิดจะตรวจสอบพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนดู หากแต่มันกลับไม่อาจตรวจสอบได้เลย


 


“เจ้าบอกว่า…มันเป็นคนใช้คลื่นเสียงฆ่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ของพวกเรางั้นรึ?”


 


ครู่ต่อมา หลี่ผิงก็ละสายตาออกจากต้วนหลิงเทียน แล้วหันหน้าไปมองถามอาวุโสที่อยู่หลังหลิวเสวียนคงที่พูดฟ้องขึ้นมาก่อนหน้าเสียงเข้ม “คนอายุไม่ถึงร้อยปี…ใช้คลื่นเสียงเข่นฆ่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์เราต่อหน้าเจ้า?”


 


“แล้วพวกเจ้ามัวยืนโง่งมอันใดกันอยู่ ไฉนไม่ลงมือทำอะไร?”


 


ยิ่งมาเสียงกล่าวของหลี่ผิงยิ่งเย็นชาลง โดยเฉพาะผู้อาวุโสที่ถูกหลี่ผิงมองถาม ตอนนี้เหงื่อเม็ดเขื่องผุดซึมออกมาท่วมเหม่ง หน้ายังเสียไปไม่น้อย มุมปากกระตุกเบาๆ


 


อนิจจาเพราะความหวาดกลัว มันก็เลยพูดไม่ออก…


 


“อาจารย์ลุง”


 


ตอนนี้เองเป็นประมุขนิกายอมตะหลิวเสวียนคงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ท่านอย่ามองว่ามันอายุไม่ถึงร้อยปี…พลังฝีมือของมันยังสูงกว่าข้าเสียอีก”


 


“อย่างน้อยๆมันก็สมควรเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศ…แม้กระทั่งกึ่งราชาอมตะ!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค หลิวเสวียนคงก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวั่นหวาด


 


“ขุนนางอมตะ 10 ทิศ? กึ่งราชาอมตะ?”


 


ได้ยินสิ่งที่หลิวเสวียนคงพูด หลี่ผิงก็อึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน ในแววตามากล้นไปด้วยความสงสัยทั้งไม่เชื่อ “อาศัยมัน?”


 


“หึ! กับอีแค่เด็กน้อยขนอุยอายุไม่ถึงร้อยปีผู้นี้ ข้าหลี่ผิงคิดฆ่ามัน ก็ลำบากเพียงหนึ่งฝ่ามือ!!”


 


หลี่ผิงแสยะยิ้มดูแคลนแค่นคำออกมาเสียงเย็น จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างก็เริ่มสั่นไหว ค่อยปะทุขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด รวมรั้งไปยังฝ่ามือขวาเร็วไว!


 


ปงงง!!


 


พริบตาต่อมาฝ่ามือขวาที่รวมรั้งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันทรงพลังเอาไว้ ก็สะบัดตบไปทางต้วนหลิงเทียนส่งๆ ปรากฏเป็นมวลพลังลักษณ์ฝ่ามือมหึมาประหนึ่งเนินเขาย่อมๆ แหวกฟ้าผ่าอากาศจี้เข้าหาต้วนหลิงเทียนเร็วรี่!


 


ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!


 



 


แม้เป็นการลงมือส่งๆ แต่ในเมื่อเป็นการลงมือของตัวตนขอบเขตราชาอมตะ พลังอานุภาพย่อมไม่ใช่ชั่ว! ฝ่ามือพลังอันเขื่องผ่านพ้นไปที่ใด มวลอากาศล้วนแตกระเบิดส่งเสียงดัง สภาวะพลังดุดันน่าเกรงขามประหนึ่งทัพม้านับหมื่นพันยาตรา!!


 


ในขณะที่มวลพลังลักษณ์ฝ่ามือขวาของหลี่ผิงแหวกฟ้าผ่าอากาศ มาเจียนบรรลุถึงร่างต้วนหลิงเทียนนั้นเอง


 


พริบตาดุจฟ้าแล่บ


 


ทันใดนั้น


 


“ราชันไม่เคลื่อนไหว”


 


ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนพลันบังเกิดแสงพลังสีทองเรืองรองส่องสาดออกมาเจิดจ้า! แสงพลังดังกล่าวยังก่อลักษณ์เป็นพุทธองค์ร่างเขื่องห่อหุ้มคลุมคนไว้มิดชิด!!


 


พริบตาต่อมา


 


เปรี๊ยงงงงง!!


 


เวิง เวิง…


 



 


เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวปานฟ้าถล่มอุบัติขึ้น มวลพังลักษณ์ฝ่ามือของหลี่ผิงซัดปะทะเข้ากับเงาร่างพุทธิองค์สีทองร่างเขื่องที่ปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้อย่างจัง พลังอันน่าพรั่นพรึงพยายามทะลายฝ่าร่างพุทธองค์ร่างทองอย่างหักโหม!


 


อย่างไรก็ตาม มวลพลังลักษณ์ฝ่ามืออันเกรี้ยวกราด หักโหมสิ้นเปลืองพลังอานุภาพไปจนหมดสิ้น ก็ยังไม่อาจทะลวงฝ่าร่างพุทธองค์สีทองที่ห่อหุ้มคลุมกายได้เลย ร่างทองตระหง่านคล้ายเทพผู้พิทักษ์ไร้พ่าย ปกปักษ์ต้วนหลิงเทียนเอาไว้อย่างมั่นคง!


 


“ราชันไม่เคลื่อนไหว!?”


 


“เจ้า…เจ้าเป็นผู้ใด ไฉนมียอดวรยุทธ์อมตะประจำนิกายอมตะสราญรมย์ของพวกเราได้!?”


 


ถึงแม้จะเป็นเพียงการลงมือส่งๆ แต่หลี่ผิงก็ยังตกใจไม่น้อยเมื่อพบว่าชายหนุ่มชุดม่วงอายุไม่ถึงร้อยขวบปี กลับสามารถต้านทานการโจมตีของมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย!!


 


หากแต่มันไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เพราะสิ่งที่มันสนใจยิ่งกว่าก็คือ…


 


วรยุทธ์อมตะที่ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าใช้ออก กลับเป็นราชันไม่เคลื่อนไหว วรยุทธ์อมตะที่เป็นดั่งสัญลักษณ์บอกยี่ห้อนิกายอมตะสราญรมย์มัน!


 


ยิ่งไปกว่านั้น มองจากรูปลักษณ์พุทธองค์ร่างทองที่แจ่มชัดเสมือนมีชีวิตนั่น มันก็บอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายบรรลุวรยุทธ์อมตะประจำนิกายมันเรียบร้อยแล้ว! แตกฉานถึงขั้นไร้ตำหนิ!!


 


“อาจารย์ลุง…”


 


ตอนนี้เองหลิวเสวียนคง ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์พลันกล่าวออกมาอย่างประจวบเหมาะ “มันก็คือคนที่เอาชนะพวกเราในงานสมัชชาเต๋าโอสถที่ผ่านมา จนได้รับวรยุทธ์อมตะราชันไม่เคลื่อนไหวของพวกเราไป…”


 


“มันคือหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ต้วนหลิงเทียน!”


 


“นอกจากนั้นข้ายังสงสัยว่า…ท่านอาจารย์…สิบในสิบไม่พ้นตกตายด้วยฝีมือมัน!”


 


ขณะกล่าวท้ายประโยค น้ำเสียงหลิวเสวียนคงยิ่งมายิ่งจริงจัง!


 


“อันใด!?”


 


“มัน…มันน่ะเหรอ หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีอายุไม่ถึงร้อย คนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงอันดับ 1 ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้คนนั้น!?”


 


“ก่อนหน้าเจ้ามิได้บอกข้าว่า…ด่านพลังมันอยู่แค่ยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับหรือไร?”


 


ถึงแม้ว่าหลี่ผิงจะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานสมัชชาเต๋าโอสถที่ผ่านมา แต่หลังจากที่หลี่อันตายตก มันก็ได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในงานสมัชชาเต๋าโอสถ


 


ในบรรดาเรื่องราวเหล่านั้น ก็มีเรื่องราวของหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีรวมอยู่ด้วย!


 


มันจึงรู้ว่าหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีคนนั้น มีนามว่า ‘ต้วนหลิงเทียน’ นอกจากนั้นยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี และไม่เพียงแต่เป็นปรมจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงเท่านั้น ยังสามารถหลอมโอสถหลัวเทียนได้อีกด้วย!!


ตอนที่ 2,904 : ไม่รังเกี่ยจที่จะฆ่าเพิ่มอีกคน


 


เมื่อเผชิญหน้ากับวาจาถามไถ่มาเป็นชุดของหลี่ผิง ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์หลิวเสวียนคง ไม่เว้นเหล่าอาวุโสระดับสูงด้านหลังก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ มากล้นไปด้วยความขมขื่นใจ…


 


ท่านถามข้า?


 


แล้วจะให้ข้าไปถามผู้ใด?


 


นั่นคือสิ่งแรกที่หลิวเสวียนคงและระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์นึกในใจ


 


แต่เป็นธรรมดาว่าพวกมันก็ได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกมา


 


“อาจารย์ลุง…”


 


หลิวเสวียนคงได้แต่ยิ้มแหยๆ เอ่ยออกมาว่า “งานสมัชชาเต๋าโอสถที่พึ่งผ่านมา ข้าเองก็ไม่ได้เข้าร่วม…เรื่องที่หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีเป็นเพียงยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับ ล้วนเป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์บอกกล่าวมาทั้งสิ้น…”


 


“ใช่แล้วท่านบรรพบุรุษ!”


 


เมื่อมีหลิวเสวียนคงเป็นผู้กล้ากล่าวเปิด ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็กล่าวตามทันที!


 


“เรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานสมัชชาเต๋าโอสถ พวกเราล้วนรับทราบมาจากบรรพบุรุษหลี่อันทั้งสิ้น”


 


“ใช่แล้ว ท่านบรรพบุรุษ! พวกเรามิเคยพบเจอต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีผู้นี้มาก่อนเลยสักครั้ง! ย่อมไม่อาจระบุได้ว่าด่านพลังฝึกปรือของมันรั้งอยู่ขั้นใด…”


 


“ท่านบรรพบุรุษ..”


 



 


ได้ยินคำตอบจากเหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์มากเท่าไหร่ สีหน้าของหลี่ผิงก็ยิ่งมืดลงเท่านั้น สุดท้ายก็ทนไม่ไหว โพล่งคำตะคอกออกมาเสียงดัง “หึ! ฟังที่พวกเจ้าว่ามา…หมายความว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของน้องอันข้าที่ตกตายไปแล้ว?”


 


“พวกเจ้า…ถึงกับกล้ายกคนตายมาอ้างงั้นหรือ!?”


 


หลังตะคอกคำด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด น้ำเสียงของหลี่ผิงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาถึงขีดสุด ทำให้หลิวเสวียนคงและระดับสูงทั้งหลายถึงกับสะดุ้ง ไม่กล้าพูดอะไรออกมาต่อแม้ครึ่งคำ


 


เมื่อเห็นว่าหลิวเสวียนคงกับระดับสูงพากันเงียบปากไร้คำจะพูด หลี่ผิงก็หันกลับไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งด้วยใบหน้าเย็นชา กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “หากไม่ใช่เพราะข้าได้เห็นกับตาตัวเอง ให้คนอื่นมาพูดให้ตาย ว่าคนที่อายุไม่ถึงร้อยปีคนหนึ่ง สามารถรับการลงมือของข้าที่พึ่งทะลวงผ่านมาถึงขอบเขตราชาอมตะแล้วได้อย่างง่ายดาย…ข้าจักไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด!”


 


“ในเมื่อเจ้าสามารถรับฝ่ามือเมื่อครู่ของข้าได้อย่างไร้เรื่องราว…เช่นนั้นด่านพลังของเจ้าอย่างน้อยๆก็สมควรบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศ หรือไม่แน่เจ้าก็เป็นถึงยอดฝีมือกึ่งราชาอมตะแล้วกระมัง?”


 


วาจาท้ายประโยคของหลี่ผิง คล้ายจะกล่าวถามหยั่งเชิงต้วนหลิงเทียน


 


“ยอดฝีมือกึ่งราชาอมตะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นมุมปากก็เริ่มคลี่ยิ้มบางๆ


 


อาการสบายๆไม่แยแสนี้ของต้วนหลิงเทียน พอตกอยู่ในสายตาหลี่ผิง ก็ทำให้หลี่ผิงอดไม่ได้ที่จะใจสั่น ยังเริ่มบังเกิดอาการหวั่นๆขึ้นมา ‘ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ แม้จะเห็นว่าข้าเป็นราชาอมตะ แต่มันยังแลดูมั่นใจได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?’


 


ในนิกายอตะสราญรมย์ หลี่ผิง นับว่ามีอายุมากที่สุด


 


ด้วยความที่อยู่มานาน ได้เห็นอะไรมามาก มันก็ย่อมคิดมากตามไปด้วย


 


และในความคิดของมัน


 


กระทั่งในเวลาแบบนี้แต่ชายหนุ่มชุดม่วงยังมั่นหน้าอยู่ได้ ก็บ่งชี้ให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ 2 ประการ…


 


ประการแรกคืออีกฝ่ายเสแสร้งแสดงวางมาดยอดฝีมือ หมายอาศัยนิ่งสงบสยบเคลื่อนไหว ชักนำให้ใจมันบังเกิดความหวั่นเกรง สุดท้ายก็เกิดเป็นความระแวงจนไม่กล้าลงมือเล่นงานอีกฝ่ายอย่างวู่วาม


 


ประการที่ 2 ก็คือ อีกฝ่ายสมควรมีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ และทรงพลังถึงที่สุด! ถึงขั้นไม่แยแสนิกายอมตะสราญรมย์ของมันเลย!!


 


อย่างแรกไม่เป็นไร…


 


แต่หากเป็นอย่างหลังขึ้นมา ถึงวันนี้มันจะสามารถเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้ แต่นิกายอมตะสราญรมย์ไม่พ้นถึงกาลอวสานเป็นแน่!


 


“ต้วนหลิงเทียน…”


 


หลังครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง หลี่ผิงก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองจ้องต้วนหลิงเทียนตาเขม็งพลางถามออกไปว่า “น้องอัน…เป็นเจ้าฆ่าหรือ?”


 


“น้องอัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับผงะเมื่อได้ยินคำถามของหลี่ผิง


 


“เป็นหลี่อัน…ลูกพี่ลูกน้องของข้า!”


 


หลี่ผิงกล่าวเตือนเสียงขรึม


 


“หลี่อัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง กล่าวออกเสียงเบา “หากเจ้าหมายถึงมัน…ก็ใช่ ในเมื่อมันคิดฆ่าข้า เช่นนั้นข้าจึงฆ่ามัน”


 


“อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนคนที่คิดจะฆ่าข้าไม่ได้มีแค่มันคนเดียวเท่านั้น…แต่ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ด้านหลังเจ้าก็อยากจะฆ่าข้าเหมือนกัน”


 


ขณะกล่าวประโยคท้าย สายตาต้วนหลิงเทียนก็มองกวาดไปยังระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์หลังงหลี่ผิงทั่วๆ กระทั่งไปหยุดมองที่หลิวเสวียนคง พลางแสยะยิ้มกล่าวว่า “ที่ข้ามานิกายอมตะสราญรมย์วันนี้ ก็เป็นเพราะเรื่องนี้ล่ะ”


 


“พอดี..ข้ามีนิสัยเสียประการหนึ่ง”


 


“ใครที่มันอยากให้ข้าตาย…ข้าก็ไม่คิดปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่!”


 


ขณะกล่าววาจาสุดท้าย เสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนที่เดิมเรียบเบา ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชายะเยือก สองตาที่เคยสงบก็ปะทุจิตสังหารอันเยียบเย็นออกมา!


 


สิ้นคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน สีหน้าท่าทีหลี่ผิงก็เปลี่ยนไปทันใด!


 


กระทั่งสีหน้าของระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์ไม่เว้นหลิวเสวียนคงก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ด้วยรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนกำลังพูดถึงพวกมัน!


 


เป็นพวกมันเห็นดีเห็นงามด้วย เรื่องที่หลี่อันกับจี้ฟ่านไปยังนิกายอมตะไท่อีในพื้นที่รกร้างเพื่อจัดการต้วนหลิงเทียน กระทั่งก่อนที่หลี่อันจะเดินทางไปฆ่าคน ก็เป็นพวกมันที่หารือกันจนเห็นพ้องต้องกันแล้ว…ว่าจะกำจัดต้วนหลิงเทียน!


 


วันนั้นไฉนที่พวกมันตัดสินใจเห็นชอบเรื่องกำจัดต้วนหลิงเทียน…ก็เพราะสืบพบแล้วว่าต้วนหลิงเทียนไร้ภูมิหลังอันใด


 


แต่พอมาดูตอนนี้ ต่อให้อีกฝ่ายจะไร้ภูมิหลัง ทว่าการหารือลงมติดังกล่าวก่อนหน้า ก็เหมือนจะเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์!


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ลูกแกะที่พวกมันคิดเชือดนิ่ม ที่แท้กลับเป็นพยัคฆ์ร้ายขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ หรือแม้กระทั่งยอดฝีมือกึ่งราชาอมตะ!


 


ตัวตนอันทรงพลังเช่นนี้ไม่ใช่อะไรที่นิกายอมตะสราญรมย์ของพวกมันจะกล้าล่วงเกินได้ง่ายๆหายล่วงรู้แต่แรก!


 


‘โชคดี…โชคดียิ่งนักที่ท่านบรรพบบุรุษหลี่ผิงสามารถทะลวงด่านพลังได้สำเร็จจนกลายเป็นราชาอมตะ หาไม่แล้วนิกายอมตะสราญรมย์เราคงไร้ผู้ใดต่อกรกับต้วนหลิงเทียนผู้นี้แล้วจริงๆ!’


 


‘นับว่าฟ้ายังมีตาช่วยเหลือนิกายอมตะสราญรมย์เรา…หากบรรพบุรุษหลี่ผิงมิได้ทะลวงด่านพลังสำเร็จ หรือกระทั่งทะลวงด่านพลังช้าไปอีกไม่กี่วัน น่ากลัวนิกายอมตะสราญรมย์เราวันนี้คงต้องถึงกาลอวสานแน่แล้ว! กระทั่งยอดฝีมือกึ่งราชาอมตะของพวกเราที่เร้นกายใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้จะมาล้างแค้นให้ภายหลัง แต่กว่าจะถึงตอนนั้นพวกเราก็กลายเป็นผีไปหมดสิ้น…’


 


‘อาศัยพลังฝีมือของท่านบรรพบุรุษหลี่ผิงยามนี้ คิดฆ่ามันคงมิใช่เรื่องยากเย็นอันใด!’


 



 


ระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์ อดไม่ได้ที่จะกล่าวในใจด้วยความโล่งอก พวกมันรู้สึกโชคดีนักที่หลี่ผิงทะลวงด่านพลังได้สำเร็จ กระทั่งทะลวงด่านพลังได้ในเวลาที่เหมาะเจาะเป็นที่สุด!


 


ตอนนี้พวกมันหวังว่าหลี่ผิงจะรีบๆเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายๆไปเสีย!


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หลี่ผิงยังไม่คิดจะลงมือเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนแต่อย่างใด


 


กล่าวอีกอย่างได้ว่า มันยังคงระวังตัวอยู่


 


“ต้วนหลิงเทียน”


 


หลี่ผิงมองจ้องต้วนหลิงเทียนย พลางเอ่ยออกเสียงหนัก “ในเมื่อเจ้าก็ฆ่าน้องอันไปแล้ว…เช่นนั้นให้เรื่องมันจบลงแต่เพียงเท่านี้เป็นไร? ข้าเองก็ไม่ได้อยากลงมือกับเจ้านัก”


 


ถึงแม้ใจหนึ่งมันจะคิดว่าต้วนหลิงเทียนอาจเสแสร้งแสดงวางมาดยอดฝีมือ แต่หลี่ผิงก็ไม่กล้าเสี่ยง


 


เพราะหากเสี่ยงพลาดขึ้นมา ไม่เพียงแต่มันจะเผชิญหน้ากับหายนะ กระทั่งนิกายอมตะสราญรมย์ก็อาจถึงกาลล่มสลาย!


 


“ให้เรื่องมันจบลงแค่นี้?”


 


ได้ยินคำพูดของหลี่ผิง ต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “โทษที แต่พอดีข้าไม่คิดจะปล่อยให้มันจบลงง่ายๆ…”


 


“อย่างไรก็ตามข้าได้ยินจากจี้ฟ่านมาว่า เจ้าหลี่ผิงไม่ได้เข้าร่วมออกเสียงอะไรตอนที่พวกมันเห็นชอบเรื่องข้าฆ่า”


 


“ดังนั้นวันนี้ข้าก็ไม่คิดจะเอาชีวิตของหลี่ผิงเจ้า…แต่คนอื่นอย่าหวังจะได้เห็นวันพรุ่ง!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค สายตาต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองกวาดไปทางหลิวเสวียนคงและอาวุโสระดับสูงด้านหลัง เพราะจี้ฟ่านก็ได้ลอบส่งเสียงผ่านพลังบอกเขาแล้ว ว่าพวกมันล้วนเห็นชอบเรื่องฆ่าเขาทั้งสิ้น!


 


“ต้วนหลิงเทียน ท่านบรรพบุรุษของพวกเราทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะแล้ว…นับเป็นความเมตตาอันใหญ่หลวงที่ท่านบรรพบุรุษมิคิดฆ่าเจ้า! หากเจ้ายังกล้าพล่ามไร้สาระอันใดอีก ระวังท่านบรรพบุรุษเราจะจบชีวิตของเจ้า!!”


 


อาวุโสคนหนึ่งของนิกายอมตะสราญรมย์ มองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวตะโกนออกมาเสียงเย็น


 


“ใช่! คิดฆ่าพวกเรา…เจ้าถามความเห็นท่านบรรพบุรุษแล้วหรือยัง?”


 


อาวุโสของนิกายอมตะสราญรมย์อีกคนกล่าวเสริม


 


ส่วนเหล่าอาวุโสที่มีระดับสูงกว่านี้รวมถึงหลิวเสวียนคงผู้เป็นประมุข แม้จะยังไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่สายตาที่ใช้มองหลี่ผิงก็เสมือนกำลังมองฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายอยู่


 


ยิ่งไปกว่านั้นท่าทีของพวกมันยังแลดูเชื่อมั่นถึงที่สุด ว่าหลี่ผิงสามารถคุ้มครองพวกมันให้ปลอดภัยไร้เรื่องราวได้แน่นอน!


 


“โฮ่? ดูเหมือนว่า…พวกเจ้าจะคิดว่าหลี่ผิงเป็นยันต์กันตายของพวกเจ้าสินะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มออกมา ยังเป็นรอยยิ้มที่แลดูสดใสนัก!


 


อย่างไรก็ตามรอยยิ้มสดใสดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน พอตกอยู่ในสายตาของหลี่ผิง ก็ทำให้หลี่ผิงยิ่งรู้สึกหวั่นเกรงต้วนหลิงเทียนมากขึ้น


 


“ต้วนหลิงเทียน ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเสาหลักของนิกายอมตะสราญรมย์ หากเจ้าฆ่าพวกมัน ก็มิต่างอันใดจากคิดทำลายนิกายอมตะสราญรมย์ของพวกเรา…”


 


หลี่ผิงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจัง เสียงเข้ม “แต่ก็จริงที่เรื่องราวครั้งนี้ทางนิกายอมตะสราญรมย์ของพวกเราเป็นฝ่ายผิดต่อเจ้าก่อน…เช่นนั้นขอเพียงเจ้ามิคิดฆ่าพวกมัน พวกเรายินดีชดใช้ให้เจ้าจนพอใจ”


 


“ไม่ว่าเจ้าต้องการอันใดก็ตาม ขอเพียงยังอยู่ในวิสัยที่นิกายอมตะสราญรมย์ของพวกเราจะจัดการได้ พวกเราสามารถชดใช้ให้เจ้าได้ทั้งสิ้น”


 


วาจาดังกล่าวของหลี่ผิงง เห็นชัดว่ามันเลือกหนทางประนีประนอม


 


แต่แน่นอนว่าจะประนีประนอมกันได้ ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานหนึ่งเสียก่อน…


 


นั่นคือต้วนหลิงเทียนไม่คิดเข่นฆ่าคนของนิกายอมตะสราญรมย์อีกต่อไป…


 


อันที่จริงตั้งแต่วินาทีแรกที่ทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะได้นั้น หลี่ผิงก็คิดจะเดินทางออกจาก 6 พื้นที่ภาคตะวันออก ไปจากพื้นที่ชายแดน มุ่งหน้าเข้าสู่ภาคกลาง


 


กระทั่งก่อนที่จะทะลวงด่านมันยังวางแผนเรื่องนี้ไว้แล้ว


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้ตัวดีว่ามันไม่อาจรั้งอยู่นิกายอมตะสราญรมย์ได้นาน กระทั่งไม่คิดจะรั้งอยู่…เพราะหากยังเสียเวลาเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ ไม่เพียงแต่ด่านพลังของมันจะถดถอยจากราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดไปยังกึ่งราชาอมตะเท่านั้น


 


กระทั่งในภายภาคหน้าถึงมันจะออกเดินทางไปยังภาคกลางแล้ว แต่ด่านพลังที่ถดถอยไป ก็ยากจะทะลวงฝ่าขึ้นมายังขอบเขตราชาอมตะอีกครั้ง!


 


และวันนี้หากต้วนหลิงเทียนฆ่าหลิวเสวียนคงกับระดับสูงทั้งหมด ก็ไม่ต่างอะไรจากการทำลายนิกายอมตะสราญรมย์!


 


นี่เป็นเรื่องที่มันไม่อยากจะเห็น กระทั่งไม่อนุญาตให้เกิดขึ้น!


 


“ท่านบรรพบุรุษ!”


 


“ท่านบรรพบุรุษ!”


 



 


พอหลี่ผิงกล่าววาจาประนีประนอมดังกล่าวจบคำ นอกจากหลิวเสวียนคงที่พอจะตระหนักได้ถึงเรื่องที่หลี่ผิงกำลังเป็นกังวลอยู่ ด้านระดับสูงคนอื่นๆของนิกายอมตะสราญรมย์นั้น อดไม่ได้ที่จะสับสนงุนงงไปเป็นแถบ


 


เพราะพวกมันทั้งหมดหวาดกลัวความตายจนสิ้นสูญความเยือกเย็นไปจนหมด ในใจจึงคิดแต่อยากจะให้หลี่ผิงฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายๆไปเสีย ตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต!


 


“พวกเจ้า! นี่พวกเจ้าไม่ทันฉุกคิดถึงเรื่องนี้บ้างเลยหรือไร? ต้วนหลิงเทียนนั่นมันหาญกล้าเผชิญหน้ากับอาจารย์ลุงที่ทะลวงถึงราชาอมตะแล้วอย่างไร้ความหวั่นหวาด! ไม่เห็นหรือไร ว่าสีหน้ามันเฉยเมยไม่คล้ายกริ่งเกรงอันใดแม้แต่น้อย…เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่ามันไร้พื้นเพความเป็นมาอันใดจริงๆหรือ?”


 


“มันที่ยังอายุไม่ถึงร้อยปี ไม่เพียงแต่สมควรบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว เผลอๆมันอาจบรรลุถึงกึ่งราชาอมตะด้วยซ้ำ…พวกเจ้าว่ามันจะไร้ภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ได้เหรอ?”


 


“ตอนนี้อาจารย์ลุงกำลังประนีประนอมกับมันอยู่…พวกเจ้าไม่เข้าใจหรือไรว่าอาจารย์ลุงล้วนกำลังกังวลอยู่ ว่าหากลงมือเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนไป ขุมกำลังเบื้องหลังมันอาจบันดาลโทสะฆ่าล้างนิกายอมตะสราญรมย์ของพวกเรา!”


 


เมื่อเห็นเหล่าอาวุโสยังหาญกล้ากล่าววาจายุยงให้ฆ่าคนอย่างไม่รู้สถานการณ์ หลิวเสียนคงก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวเตือนพวกมันอย่างเคร่งเครียด! พาลให้พวกมันพร้อมใจกันปิดปากเงียบกริบทันที!!


 


และพอพวกมันลองคิดตาม ก็ดูเหมือนว่ามีโอกาสสูงจริงๆ ที่จะเป็นแบบนั้น!


 


เช่นนั้นการฆ่าต้วนหลิงเทียน นับว่าเสี่ยงเกินไป!


 


“ขอโทษที…”


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะเผชิญหน้ากับการประนีประนอมยอมลงของหลี่ผิง แต่ต้วนหลิงเทียนเพียงหยีตาลง จากนั้นลูกตาที่หดเล็กก็ฉายแววเยียบเย็นเรืองขึ้น “ที่ข้ามาวันนี้มีจุดประสงค์เดียวเท่านั้น และนั่นคือฆ่าพวกมัน! กล่าวได้ว่านอกจากชีวิตของพวกมันแล้ว ข้าไม่ต้องการการอะไรในนิกายอมตะสราญรมย์ทั้งสิ้น!”


 


“เจ้าหลี่ผิง เพียงยืนชมดูเรื่องราวเงียบๆเถอะ…”


 


“หากเจ้าสอดมือเข้ามายุ่ง ข้าต้วนหลิงเทียนก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าเพิ่มอีกคน!”


WSSTH ตอนที่ 2,905 : หลี่ผิงลงมือ!


 


 


“เจ้าหลี่ผิง เพียงยืนชมดูเรื่องราวเงียบๆเถอะ…”


 


“หากเจ้าสอดมือเข้ามายุ่ง ข้าต้วนหลิงเทียนก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าเพิ่มอีกคน!”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวประโยคนี้จบ ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ที่ได้ยินชัดถนัดหู พลันรู้สึกเสมือนมีลมหนาวโชยลิ้วไปทั่วกาย


 


เรียกว่าพวกมันบังเกิดความตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัวไม่น้อย!


 


เพราะในสถานการณ์แบบนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนยังกล้าพูดออกมาแบบนั้น เผยให้รู้ว่าอีกฝ่ายมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม!


 


ถึงแม้ว่าอาจเป็นได้ที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเสแสร้งแสดงอยู่ แต่ถ้าพวกมันไม่อาจยืนยันได้ชัดเต็มสิบส่วนว่าต้วนหลิงเทียนกำลังเสแสร้งจริงๆ ใจพวกมันก็ยากจะสงบลงได้!


 


“เจ้า…ต้วนหลิงเทียนไม่รังเกียจจะฆ่าเพิ่มอีกคน?”


 


ได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หลี่ผิงก็ฉีกยิ้มเย็นชา “ต้วนหลิงเทียน เหตุผลเดียวที่ข้าอุตส่าห์ยอมลงให้เจ้าหลายครั้งหลายครา นั่นเพราะข้ากริ่งเกรงขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังเจ้า…หากแต่อาศัยเจ้า ข้าหลี่ผิงไม่เคยกลัว!”


 


ประโยคท้าย น้ำเสียงหลี่ผิงไม่ขาดความดูแคลนรังเกียจแม้แต่น้อย


 


“งั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปที่หลี่ผิงด้วยสายตาเย็นชา


 


“อย่างไรข้าก็มิอาจทนดูเจ้าฆ่าพวกมันต่อหน้าต่อตาได้…หากเจ้าคิดฆ่าพวกมันจริง เช่นนั้นก็ผ่านข้าไปก่อนเถอะ!”


 


หลี่ผิงเอ่ยออกเสียงหนัก


 


และพอกล่าวจบคำ ทั่วร่างหลี่ผิงก็ปรากฏรัศมีพลังสุดไพศาลแผ่ซ่านออกมาอย่างน่าเกรงขาม และเมื่อระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังดังกล่าว พวกมันก็ตกใจกลัวไม่น้อย!


 


เพียงเพราะกลิ่นอายพลังดังกล่าว ได้กดดันจนพวกมันรู้สึกเสมือนความตายจดจ่ออยู่ที่คอหอย!


 


ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์อย่างหลิวเสวียนคงนั้น สภาพยังดีกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง หากแต่สีหน้าก็เคร่งขรึมจริงจัง ทำราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ!


 


ครืน! ครืน! ครืน! ครืน! ครืน!


 



 


เมื่อหลี่ผิงปลดปล่อยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดออกมาอย่างไม่คิดระงับกลิ่นอายพลังอันน่าสะพรึงกลัวไม่เพียงทำให้ระดับสูงที่ลอยร่างไม่ห่างหวาดผวา กระทั่งคนของนิกายอมตะสราญรมย์ที่อยู่เบื้องล่างก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่นไป เพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังน่ากลัวดังกล่าวเช่นกัน


 


“นี่มันแรงกดดันพลังอันใด ช่างทรงพลังน่ากลัวนัก!”


 


“กลิ่นอายพลังนี่มัน…หรือจะมาจากบรรพบุรุษหลี่ผิง?!”


 


“นี่น่ะเหรอ…กลิ่นอายพลังของตัวตนขอบเขตราชาอมตะ?”


 



 


วาจาทำนองดังกล่าวดังขึ้นทุกแห่งหนในนิกายอมตะสราญรมย์ เหล่าศิษย์มากมายที่ไม่รับทราบเรื่องราวก่อนหน้าก็เริ่มพากันเหินร่างออกมาชมดูเรื่องราว


 


แต่แน่นอน พวกมันรู้ดีว่าพลังฝึกปรือของตัวเองอ่อนด้อย พวกมันจึงไม่กล้าเข้ามาใกล้นัก เพียงชมดูเรื่องราวอยู่ห่างๆเท่านั้น


 


“นี่มัน…”


 


“เกิดอะไรขึ้น ไฉนคนตายเกลื่อนเลยเล่า!?”


 


“ช้าก่อน ร่างบนหลังคานั่นมัน…มิใช่ศิษย์พี่หวงถังที่พึ่งทะลววงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสุดยอดหรือไร! ไฉนตกตายอยู่ตรงนั้นได้เล่า!?”


 



 


เมื่อเหล่าศิษย์ของนิกายอมตะสราญรมย์ออกมาชมดูเรื่องราว พวกมันก็เริ่มพบศพที่ตายกันเกลื่อนเรียกว่ามองไปทางไหนก็เจอ และทั้งหมดเป็นศิษย์นิกายยอมตะสราญรมย์ ที่เหินขึ้นมาชมดูเรื่องราวก่อนหน้าพวกมันทั้งสิ้น…


 


“นี่มันอะไรกัน…หากไม่นับบาดแผลตกจากที่สูงแล้ว ทุกคนไร้บาดแผลอื่นใด! แต่ทว่าหากสังเกตให้ดี…ทุกคนล้วนแล้วแต่มีเลือดออกจากทวารทั้ง 7 เหมือนกันหมด!!”


 


“ไร้บาดแผลภายนอกอื่นใด ยังมีเลือดไหลออกจากทวารทั้ง 7…นี่มิคล้ายการโจมตีด้วยพลังวิญญาณ แต่สมควรเป็นการโจมตีด้วยคลื่นเสียง!”


 


“จ้าวสวรรค์ช่วย! คลื่นเสียงอันใดกันถึงได้คร่าชีวิตศิษย์พี่เหล่านี้ได้…แล้วผู้ลงมือที่แท้เป็นตัวตนขอบเขตใดกัน!?”


 


“ข้าก็ไม่รู้…แต่ที่รู้คือสมควรไม่อ่อนด้อยไปกว่าท่านประมุขแน่!”


 



 


เหล่าศิษย์ที่พึ่งเหินร่างออกมาจากที่พัก ก็อดไม่ได้ที่จะสนทนากันอย่างแตกตื่นหลังพบศพนอนตายเกลื่อนกลาด


 


อย่าไรก็ตาม พวกมันสนใจศพอยู่พักหนึ่ง ก็เริ่มละสายตาไปชมดูกลุ่มคนบนฟ้าสูง


 


“เป็นท่านประมุข!”


 


“เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงก็อยู่ด้วย!”


 


“แล้วนั่น…ท่านบรรพบุรุษหลี่ผิงหรือ!?”


 


“น่าจะใช่…แต่ไฉนท่าทีของท่านบรรพบุรุษหลี่ผิงแลดูตึงเครียดนักเล่า คล้ายจะกริ่งเกรงเจ้าหนุ่มชุดม่วงที่เผชิญหน้ากันอยู่ไม่น้อย”


 


“ช้าก่อน…คนที่อยู่ข้างๆชายหนุ่มชุดม่วงนั่น ไม่ใช่ตถาคตหรือ?”


 


“หากข้าได้ยินไม่ผิด รู้สึกก่อนหน้านี้ตถาคตได้ประกาศถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์เราใช่หรือไม่? หรือที่ประกาศถอนตัวอะไรแบบนั้นออกมา จะเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มชุดม่วงนั่น!?”


 


“ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่น้อย ที่จะทำให้ท่านบรรพบุรุษที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะบังเกิดความหวั่นเกรง…ท่าทางชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้จะไม่ธรรมดาสามัญแล้ว!”


 


“ข้าว่าสิบในสิบเหล่าศิษย์พี่ไม่พ้นถูกมันใช้คลื่นเสียงสังหาร!”


 



 


เหล่าศิษย์ที่สังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในใจยังแตกตื่นเสียขวัญนัก!


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกศพที่ตกตายอนาถ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์พี่ที่ทรงพลังเหนือกว่าพวกมันทั้งสิ้น!


 


แต่ตอนนี้ทุกคนตกตายหมดไม่มีเหลือ!


 


จังหวะนี้ศิษย์นิกายอมตะสราญรมญ์หลายคนเลือกจะเหินร่างถอยลงมาโดยไม่รู้ตัว ด้วยกลัวว่าชายหนุ่มชุดม่วงนั่นจะใช้การโจมตีด้วยคลื่นเสียงอีกรอบ แล้วจะกลายเป็นปลาในบ่อที่พลอยซวยไปด้วย


(ปลาในบ่อ มาจาก ไฟไหม้ประตูเมือง เดือดร้อนถึงปลาในบ่อน้ำ…)


 


“ท่านประมุขดูเหมือนจะมาถึงก่อนท่านบรรพบุรุษมิใช่หรือไร…แต่ไฉนยังปล่อยให้พวกศิษย์พี่ตายตกเล่า?”


 


“ข้าดูทรงแล้วท่านประมุขไม่น่าจะนิ่งดูดายปล่อยให้ศิษย์พี่ตายตกหรอก…แต่สมควรเป็นเพราะพลังฝีมือของชายหนุ่มชุดม่วงนั่นกล้าแข็งเกินไป จนท่านประมุขมิอาจลงมือทำอะไรได้ง่ายๆ!”


 


“ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นเป็นใครกันแน่ หรือมันจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ?”


 


“ไม่น่าใช่ ข้าได้อ่านบันทึกทั้งติดตามข่าวสารใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้เราตลอด ไม่มีขุนนางอมตะ 10 ทิศลักษณะนี้ดำรงอยู่แน่…อย่างน้อยๆ ก็ไม่มีรุ่นเยาว์ที่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้!”


 


“มันจะเป็นใครมาจากไหนข้าไม่ทราบ…แต่ลองท่านบรรพบุรุษลงมือ ต่อให้มันไม่ตายก็ต้องมีหนังลอกกันบ้าง!”


 


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว…เพราะตอนนี้ท่านบรรพบุรุษหาได้เป็นเช่นเดิมไม่! แต่ท่านเป็นถึงตัวตนขอบเขตราชาอมตะอันทรงพลัง!”


 



 


ฟังจากเสียงกระซิบกระซาบ เหล่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ล้วนตระหนักได้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงนั้นไม่ธรรมดา หาไม่แล้ว อีกฝ่ายคงไม่อาจฆ่าศิษย์จำนวนมากได้แบบนี้!


 


อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะคิดว่าพลังฝีมือชายหนุ่มชุดม่วงไม่ใช่ชั่ว กระทั่งอาจจะสูงกว่าหลิวเสวียนคงผู้เป็นประมุข แต่พวกมันยังคงเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวบรรพบุรุษอย่างหลี่ผิงนัก


 


เพราะตอนนี้บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่ผิง หาได้เป็นอย่างที่เคยป็นไม่ แต่กลับกลายเป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดไปแล้ว!


 


ภายใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงพื้นที่ชายแดนทั้งมวล ราชาอมตะ ก็คือคำนิยามของตัวตนคงกระพันไร้พ่าย!


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าหลี่ผิง สุดท้ายก็ยังคิดจะขวางทางข้าสินะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่มองหลี่ผิงปะทุพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จนคนคล้ายกลับกลายเป็นเทพสงครามไปในบัดดล ก็ไม่ได้เผยท่าทีหวั่นเกรงอะไรแม้แต่น้อย กระทั่งแววตายังเผยประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นวาบหนึ่ง!


 


เห็นประกายตาเย็นชาที่กระพริบวาบนั่นของต้วนหลิงเทียน หลี่ผิงก็รู้สึกใจคอไม่ดีทันที


 


‘มัน…หรือมันจะไม่ใช่แค่ขุนนางอมตะ 10 ทิศหรือกึ่งราชาอมตะ?’


 


ในขณะที่รู้สึกใจคอไม่ดี ความคิดดังกล่าวก็ผุดขึ้นมาในใจของหลี่ผิงโดยไม่รู้ตัว


 


และพอคิดไปทำนองนั้นแล้ว ก็ไม่อาจลบเลือนไปจากหัวได้เลย


 


“ในเมื่อเจ้าเลือกจะขวางข้า เช่นนั้นเจ้าก็ไปพร้อมพวกมันเลยเถอะ!”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาประโยคนี้จบคำ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันน่าพรั่นพรึงก็เริ่มแผ่ซ่านออกมาทั่วร่างเขา จากนั้นกลิ่นอายพลังอันสยดสยองงก็เริ่มกำจายไปในบรรยากาศ พาลให้หลี่ผิงหน้าเปลี่ยนสีไปทันที!


 


กระทั่งระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ไม่เว้นหลิวเสวียนคงผู้เป็นประมุข สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นดูไม่ได้ ลูกตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียน ฉายชัดถึงความหวาดผวาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังดังกล่าว!


 


กระทั่งลึกลงไปในแววตา นอกจากความหวาดผวาแล้ว ยังเริ่มฉายให้เห็นถึงความสิ้นหวังประการหนึ่ง


 


เพราะบัดนี้ พวกมันสัมผัสได้ชัดเจน ถึงความแตกต่างกลิ่นอายพลังของต้วนหลิงเทียนกับหลี่ผิง กระทั่งความต่างที่ว่ายังไม่ใช่แค่เล็กน้อย…


 


เป็นความแตกต่างประหนึ่งเมฆกับโคลน!


 


ซัวว!!


 


เวิง เวิง!


 



 


และไม่ทันที่คนของนิกายอมตะสราญรมย์จะได้ตอบสนองสิ่งใด กระแสพลังสีม่วงก็เริ่มกำจายอกมาจากต้วนหลิงเทียนฉับไว พริบตาก็แผ่ซ่านปกคลุมไปถึงหลี่ผิง!


 


ซู่มมม!!


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนลงมือเคลื่อนไหว หลี่ผิงก็ไม่กล้ารอช้า เร่งปะทุพลังชั่วชีวิตใช้ออกด้วยทักษะที่ตัวเองมีสุดกำลัง พริบตาคลื่นพลังที่ระเบิดออกจากร่างก็ฉายแสงสีทองสว่างจ้า ก่อลักษณ์เป็นพุทธองค์ทองร่างเขื่อง!


 


นอกจากพุทธองค์ร่างทองขนาดมหึมาแล้วหากมองให้ดีจะพบว่าภายในเงาร่างสีทองตระหง่าน ยังปรากฏระฆังโปร่งแสงครอบคลุมร่างมันไว้ก่อน!


 


“ราชันไม่เคลื่อนไหว!”


 


“ระฆังพิทักษ์ลี้ลับ!”


 


แทบจะพร้อมกันกับที่หลี่ผิงลงมือ ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็บอกได้ทันทีจากลักษณ์พลังทั้ง 2 ที่คุมกายหลี่ผิงอยู่ ว่าหลี่ผิงใช้ทักษะวิชาอันใด


 


ตอนนี้สิ่งที่หลี่ผิงกำลังใช้ออก หนึ่งเลยก็คือวรยุทธ์อมตะประจำนิกายอมตะสราญรมย์ ราชันไม่เคลื่อนไหว ที่พร้อมพรั่งไปทั้งรุกรับและท่าร่าง ส่วนอีกอย่างนั้นคือเวทย์พลังที่ผสานไว้ด้วยการป้องกันและหนุนเสริมท่าร่างของนิกายอมตะสราญรมย์ ระฆังพิทักษ์ลี้ลับ!


 


และไม่ว่าจะเป็นราชันไม่เคลื่อนไหวหรือระฆังพิทักษ์ลี้ลับ ส่วนที่เด่นที่สุดของทั้งคู่ก็คือการป้องกัน! เรียกว่ามันมีพลังป้องกันยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับขุนนาง!


 


ตอนนี้พอเห็นหลี่ผิงใช้ออกด้วย ราชันไม่เคลื่อนไหว พร้อมกับ ระฆังพิทักษ์ลี้ลับ เหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็เลยเชื่อไปตามจิตใต้สำนึก ว่าหลี่ผิงต้องป้องกันการลงมือของต้วนหลิงเทียนได้แน่นอน!


 


จังหวะนี้เรียกว่าเหมือนพวกมันจะหลงลืมความแตกต่างของพลังระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหลี่ผิงงไปชั่วขณะ!


 


‘ระ…เร็วเกินไป!’


 


‘ไม่อาจบันทึกภาพความเคลื่อนไหวของปรมาจารย์โอสถต้วนได้เลย!!’


 


ตั้งแต่วินาทีที่ทั่วร่างหลี่ผิงปะทุพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมา จี้ฟ่าน ที่ได้รับมอบหมายจากต้วนหลิงเทียนให้ทำหน้าที่บันทึกภาพเรื่องราวก่อนหน้า มันก็เร่งหยิบลูกแก้วเงาอยระดับราชาอมตะออกมาบันทึกเรื่องราวไว้แต่แรก แต่วินาทีนี้มันกลับพบว่า…ลูกแก้วเงาลอยระดับราชา ยังไม่อาจบันทึกภาพการลงมือต้วนหลิงเทียนได้ทัน!!


 


‘อย่างไรก็ตามโชคดีนักที่หลี่ผิงไม่คิดหลบหนีไปที่ใด…ด้วยวิธีนี้อย่างน้อยๆ ข้าก็ยังพอจะบันทึกฉากมันต้านทานการลงมือของปรมจารย์โอสถต้วนได้!’


 


‘ไม่ทราบ…การลงมือของปรมาจารย์โอสถต้วนจะทำลายการป้องกันของหลี่ผิงได้หรือไม่ ด้ววพลังป้องกันของหลี่ผิงในตอนนี้ ต่อให้เป็นราชาอมตะ 2 ยศ หากไร้วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังสายโจมตีดีๆ ก็คงยากจะฝ่าการป้องกันของมันได้’


 


ในเมื่อเป็นคนใช้ลูกแก้วเงาลอยบันทึกเรื่องราวเบื้องหน้า จี้ฟ่านไม่เพียงแต่จะประหม่า แต่ยังเต็มไปด้วยความคาดหวังไม่น้อย!


 


เนื่องจากจี้ฟ่านอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน รวมทั้งต้วนหลิงเทียนแผ่พลังปกป้องมันไว้แต่แรก มันจึงไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของหลี่ผิง ก็เลยไม่ทราบถึงความแตกต่างระหว่างพลังของต้วนหลิงเทียนกับหลี่ผิง…


ตอนที่ 2,906 : วาระสุดท้ายของหลี่ผิง


 


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่จี้ฟ่านครุ่นคิดเรื่องดังกล่าว


 


ปงงงง!!


 


ซัววว!!


 



 


พลังสีม่วงที่ก่อเกิดจากพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียน ได้โถมถันมาประหนึ่งน้ำหลาก เข้าปะทะหักหาญกับร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่อง เสียงพลังกระทบฟังแล้วประหนึ่งห่าพิรุณตกกระทบกันสาดอยู่บ้าง


 


ครู่ต่อมา


 


ตูมมม!!


 


ในขณะที่เสียงระเบิดดังขึ้นเสียดแก้วหู เหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็แลเห็นว่า…


 


เงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องที่ห่อหุ้มคลุมร่างหลี่ผิงเอาไว้เป็นปราการชั้นนอกสุดนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโถมถันทำลายเข้ามาของมวลพลังสีม่วง อย่าว่าแต่ต้านทานอันใด กระทั่งจะชะลอสภาวะรุกคืบสักส่วนยังไม่อาจกระทำ! ดั่งฟองอากาศเบาบางคิดเผยอต้านรับลูกกระสุน แตกสลายลงในบัดดล!!


 


“ไม่—!!”


 


เมื่อเห็นว่าเงาร่างพุทธองค์สีทองจากวรยุทธ์อมตะราชันไม่เคลื่อนไหว ถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย หลี่ผิงคำรามออกมาอย่างตื่นตระหนกเสียขวัญ และทันใดนั้น มือมันเร่งสะบัดฉับไว คว้าระฆังใบเล็กแลดูวิจิตรงดงามที่ผุดโผล่จากความว่าง ก่อนจะเร่งร้อนจ่ายพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ลงสู่ตัวระฆังดังกล่าว!


 


วินาทีต่อมาต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นชัดถนัดตา


 


ระฆังใบเล็กที่ไม่ต่างอะไรจากกระดิ่งประดับ หลังจากได้รับถ่ายทอดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของหลี่ผิงแล้ว ตัวระฆังก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ปรากฏอักขระโบราณมากมายพวยพุ่งออกมาเร็วรี่ จากนั้นอักขระโบราณที่ปรากฏออกมานับหมื่นพัน ก็เริ่มประทับลงบนลักษณ์พลังรูประฆังที่หลี่ผิงใช้ออกก่อนหน้า!


 


เรียกว่าบัดนี้ ม่านพลังลักษณ์ระฆังอันเกิดจากเวทย์พลังระฆังพิทักษ์ลี้ลับของหลี่ผิง ได้ถูกอักขระโบราณแต่งแต้มไปทั่ว! มองแสงพลังจากอักขระที่ผสานกับสีสันของระฆังพลังก่อนหน้าแล้ว ช่างแลดูสวยงามตระการตาอยู่บ้าง!!


 


อักขระที่พวยพุ่งออกมาจากระฆังใบเล็ก เรียกว่าหนุนเสริมพลังป้องกันของม่านพลังลักษณ์ระฆังที่ปกป้องหลี่ผิงให้ทรงงพลังอานุภาพขึ้นไม่น้อย!


 


“หือ? อุปกรณ์อมตะระดับราชารึ?”


 


มองปราดเดียว ต้วนหลิงเทียนที่รับรู้ได้ทันที ว่าระฆังใบเล็กแลดูวิจิตรงดงามในมือหลี่ผิง สมควรเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาไม่ผิดแน่!


 


‘ได้ยินมาว่านิกายอมตะสราญรมย์มีอุปกรณ์อมตะระดับราชาทั้งสิ้น 2 ชิ้น อยู่ในมือประมุขนิกายชิ้นหนึ่ง ส่วนอีกชิ้นก็อยู่ในมือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของนิกายที่เป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ…’


 


ต้วนหลิงเทียนยังคงจำเรื่องราวที่บรรพจารย์ไท่อีเคยเล่าให้เขาฟัง ขณะเดินทางออกจากนิกายอมตะไท่อีไปยังเมืองเต๋าโอสถของพื้นที่แห้งแล้งได้เป็นอย่างดี


 


และเพราะสาเหตุนี้เอง หลี่อัน บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์อีกคนจึงไร้อุปกรณ์อมตะระดับราชาไว้ในครอบครอง ทำให้หลังต้วนหลิงเทียนฆ่ามันไปแล้ว เขาก็ไม่ได้รับอุปกรณ์อมตะระดับราชาแต่อย่างใด


 


ปงงงง!!


 


ซัววว!!


 



 


อักขระโบราณพวยพุ่งไปประดับประดาบนม่านพลังลักษณ์ระฆังจนก่อเกิดเป็นภาพอันสวยงามตระการตาได้ไม่ทันไร มวลพลังสีม่วงจากเวทย์พลัง ปราณม่วงบูรพา ของต้วนหลิงเทียนที่ฝ่าเงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องมาได้โดยสภาวะไม่ถดถอย ก็ได้ตกกระทบเงาระฆังใบเขื่องอย่างจัง!


 


ทันใดนั้น!


 


ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!


 


ครืนนน! เวิงงง!!!


 



 


เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวยิ่งกว่าก่อนหน้าอุบัติขึ้นมากังวาลก่องฟ้า เงาระฆังอันมีอักขระแต่งแต้มบัดนี้เริ่มสั่นไหวไปอย่างรุนแรง อีกทั้งอักขระโบราณที่แต่งแต้มทั้งหลาย ก็เริ่มหม่นแสงลงด้วยความเร็วจนเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า!


 


จากนั้นอักขระก็เริ่มสลายหายไปเรื่อยๆ!


 


‘ไม่คิดเลยจริงๆว่าหลังใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชานั่นช่วย เวทย์พลังของมันจะมีพลังป้องกันเพิ่มพูนขึ้นถึงขนาดนี้…’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง ที่ปราการป้องกันของหลี่ผิงสามารถต้านทานคลื่นพลังที่มีพลังจากปราณม่วงบูรพาหนุนเสริมได้แบบนี้ ต้องเข้าใจด้วยว่าเมื่อครู่นั้น ราชันไม่เคลื่อนไหว ของอีกฝ่ายยังถึงกับพังทลายลงไปในพริบตา


 


ถึงแม้การลงมือของเขา จะไม่ได้ใช้พลังมากมายอะไร


 


อย่างไรก็ตามหลังจากที่มันตีโต้ปะทะเข้ากับม่านพลังลักษณ์ระฆังอันมีอักขระที่เกิดจากระฆังใบเล็กหนุนเสริมนั่น พลังทำลายของมันก็จำต้องพร่องไปอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะพร่องไปไม่เยอะก็ตามที


 


หากเมื่อครู่บอกว่า ม่านพลังลักษณ์พุทธองค์สีทองตัวเขื่องจากราชันไม่เคลื่อนไหวของหลี่ผิงสามารถต้านทานพลังเขาได้เสี้ยวอึดใจล่ะก็…


 


นับว่าตอนนี้ระฆังพลังอันมีอักขระโบราณแต่งแต้ม สามารถต้านทานรับพลังของเขาได้ถึง 2 เสี้ยวอึดใจ!


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนรู้ดี ว่ารอให้อักขระที่ประทับผิวนอกของม่านพลังลักษณ์ระฆังนั่นหายไปหมดเมื่อไหร่ หลี่ผิงก็ถึงคราวตายเมื่อนั้น…แน่นอนว่าไม่ต้องรออะไรนานนัก!


 


“ต้วนหลิงเทียน! ข้ายอมแล้ว! ข้ายอมแพ้แล้ว!!”


 


“ต้วนหลิงเทียน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้ามิใช่บรรพบุรุษขอนิกายอมตะสราญรมย์อีก! ยังไม่ใช่แม้แต่คนขอนิกายอมตะสราญรมย์ แต่นี้ต่อไปเรื่องราวอันใดของนิกายอมตะสราญรมย์ไม่เกี่ยวกับข้า!!”


 


“ไว้ชีวิตข้าเถอะ ไว้ชีวิตข้าด้วย! ได้โปรด!!”


 


ในห้วงเวลาดุจละอองไฟวาบดับ หลี่ผิงที่รู้ตัวดีว่าพลังกระบวนท่านี้ของต้วนหลิงเทียน มันรับไว้ไม่ได้! มันก็รีบร่ำร้องออกมาเร็วไว เต็มใจสละทุกสิ่งเพื่อความปลอดภัยในชีวิตอันเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของมัน!!


 


นี่ก็เป็นธรรมชาติของผู้คน…


 


บางทีในอดีตหลี่ผิงอาจแลดูเต็มใจอุทิศตัวเพื่อนิกายอมตะสราญรมย์


 


อย่างไรก็ตามหากชีวิตของมันตกอยู่ในอันตรายถึงตายจริงๆ ใจก็ต้องแปรเปลี่ยนไปแล้ว


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลี่ผิง พึ่งจะทะลวงมาถึงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้หมาดๆ หลังฝึกปรือมาชั่วชีวิต ในที่สุดมันก็จะได้ออกจากพื้นที่ชายแดนเข้าสู่ภาคกลาง แสวงหาความเป็นไปได้และอนาคตอันไร้จำกัด ไล่ตามความฝันครั้งยังเยาว์…


 


หากทว่ามันต้องมาตายที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกียรติยศชื่อเสียงก็ดี ความฝันอันใดก็ดี ล้วนไม่มีเหลืออีกต่อไป…


 


นอกจากนั้นหากมันตกตายไปสักคน ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็ไม่พ้นต้องตาย กระทั่งนิกายอมตะสราญรมย์คงต้องถูกทำลายพินาศสิ้น…


 


ถึงตอนนั้น ยังจะเหลือใครมาเล่าขานวีรกรรมของมัน ที่อุทิศได้กระทั่งชีวิตเพื่อนิกาย?


 


หลังจากฉุกคิดเรื่องราวทั้งหมดได้ หลี่ผิง ก็ตระหนักได้ว่า ที่แท้แล้วในโลก มีแต่ชีวิตเราเท่านั้นจึงมีค่าที่สุด…


 


“สายไปแล้ว…”


 


ได้ยินวาจาร้อนรนมากล้นไปด้วยความหวาดกลัวของหลี่ผิง สีหน้าแววตาต้วนหลิงเทียนก็ยังคงสงบไม่แยแสอันใด กล่าวตอบกลับไปสั้นๆด้วยน้ำเสียงเฉยเมย


 


ปงงง!!


 


ทันใดนั้น อักขระที่ประทับลงบนม่านพลังลักษณ์ระฆังของหลี่ผิง ก็อันตรธานหายไปหมดสิ้น และเงาร่างระฆังใบเขื่อง ก็ไม่อาจคงสภาพอยู่ได้แม้ครึ่งลมหายใจ ถูกพลังสีม่วงของต้วนหลิงเทียนฝ่าทะลวงไปในบัดดล…


 


ครู่ต่อมา!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


เมื่อปราการป้องกันทั้ง 2 ชั้นของหลี่ผิงพังทลาย พลังของต้วนหลิงเทียนก็ประหนึ่งสัตว์ร้ายกระหายเลือด กลืนกินร่างหลี่ผิงในหนึ่งคำ!


 


หลี่ผิง บรรพบุรุษนิกายอมตะสราญรมย์ ราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด…


 


ตกตายโดยไร้ซึ่งซากศพให้กลบฝัง!!


 


กระทั่งการโจมตีของต้วนหลิงเทียนหลังกลืนร่างหลี่ผิงจนหายไปไม่เหลือซากแล้ว ก็ไม่ได้สิ้นสภาวะแต่อย่างใด ยังคงพุ่งทำลายสะท้านสะเทือนความว่างเปล่าไปอย่างน่ากลัว!


 


ซู่มม! ครืน! ครืน! ครืน!!


 



 


ด้วยอานุภาพพลังร้ายกาจ มวลอากาศเหนือฟ้าแตกระเบิดอย่างแรง ก่อเกิดเป็นคลื่นลมวิปริตหอบหิ้วคลื่นกระแทกมหาประลัยหนึ่ง กวาดทำลายไปทั่วสารทิศอย่างเกรี้ยวกราด


 


เหล่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์แม้จะนกรู้ ชิงถอยห่างออกมาแต่แรก แต่ก็ไม่วายถูกสายลมวอปริตอันหอบหิ้วพลังรุนแรง พัดปลิดปลิวละลิ่วร่วงฟ้าไปปานดาวตกบาดเจ็บสาหัสกันเป็นแถบ แต่ลคนหน้าซีดไปไร้สีเลือด ที่โชคร้ายหนีไปไม่ห่างมากพอ ก็ถูกคลื่นพลังดังกล่าวกระแทกทำลายร่างจนแหลกเหลว…


 


ผู้ที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติมาได้ ตอนนี้พวกมันพากันตื่นตระหนกทั้งเสียขวัญนัก! ยังได้รับบทเรียนที่จะจดจำไว้ไปจนวันตายว่า…


 


การปะทะกันของยอดฝีมือด่านพลังสูงๆนั้น แม้จะเป็นผู้มุงชมอยู่ห่างๆก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยไร้เรื่องราว ราคาของความสนุกสนาน บางครั้งก็ต้องจ่ายออกด้วยหนึ่งชีวิตอันสำคัญของพวกมัน!


 


‘สลาย’


 


จนเมื่อต้วนหลิงเทียนใช้หนึ่งห้วงคิดถอนรั้งพลังคืนกลับ มวลพลังสีม่วงที่ถล่มทำลายฟ้าไปอย่างอุกอาจ ค่อยสลายหายไปจากฟ้าอย่างไร้ร่องรอย ทำราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน


 


จากนั้นสายลมวิปริตอันหอบหิ้วคลื่นกระแทกมหาประลัยก็ค่อยๆซาลง…


 


“มา!”


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า สะบัดมือเบาๆคราหนึ่ง แหวนพื้นที่กับระฆังใบเล็กที่ปลิดปลิวกระเด็นไป ก็ถูกพลังไร้สภาพหอบหิ้วมาเข้ามือ


 


“เป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาจริงๆ!”


 


รับระฆังมาตรวจสอบได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็ยืนยันได้ทันทีว่ามันเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาจริงๆ  “แถมพลังยังไม่เลวเลย…เมื่อครู่มันสามารถเพิ่มพูนพลังป้องกันให้กับเวทย์พลังป้องกันของหลี่ผิงได้ไม่น้อย!”


 


“จากลักษณะพลังของมัน น่าจะใช้งานร่วมกับเวทย์พลังอื่นๆได้ด้วย…ไม่ทราบมันจะผสานเข้ากับเวทญ์พลังปราณม่วงบูรพาบทป้องกันของข้าได้รึเปล่า…”


 


พึมพำถึงจุดนี้ เพียงใจคิดจิตสั่ง ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏมวลพลังสีม่วงขึ้นมาอีกครา และในพริบตามวลพลังสีม่วงดังกล่าวก็พุ่งมาก่อลักษณ์เป็นม่านพลังทรงกลมปกคลุมร่างกายของเขา


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ลองใช้ระฆังใบเล็กในมือดู จากนั้นก็เห็นว่าอักขระโบราณได้พวยพุ่งออกมาจากตัวระฆัง เริ่มพุ่งไปผสานกับม่านพลังทรงกลมของเขา ทำให้ม่านพลังทรงกลมประดับประดาไปด้วยอักขระโบราณมากมาย!


 


“ได้จริงด้วยๆ…ว่าแต่ มันจะใช้กับวรยุทธ์อมตะได้รึเปล่า?”


 


พอฉุกคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ใช้ ราชันไม่เคลื่อนไหว วรยุทธ์อมตะที่ชนะเดิมพันได้มาจากนิกายอมตะสราญรมย์ทันที เงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ในบัดดล


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ลองคิดสั่งการมันดู อักขระโบราณที่แต่งแต้มม่านพลังทรงกลมสีม่วงของเขาอยู่ ก็เริ่มโบนบินออกจากม่านพลังทรงกลมไปผสานเข้ากับเงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องทันที


 


“ทำได้ด้วย!”


 


พริบตาเงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องที่ปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนอยยู่ ก็ปรากฏอักขระแต้มไปทั่วกาย ให้ความรู้สึกขลังขึ้นหลายส่วน อีกทั้งต้วนหลิงเทียนยังสัมผัสได้ชัดเจนว่าพลังป้องกันของพุทธองค์สีทองตัวเขื่องบัดนี้ ได้ทวีความแข็งแกร่งขึ้นผิดหูผิดตา


 


“ดูเหมือนว่า…มันจะเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทสนับสนุนการป้องกัน!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำออกมาขณะมองจ้องระฆังใบเล็กในมือไม่วางตา


 


ตั้แต่ที่มาถึงแดนสวรรค์หลิงหลัวเทียนแห่งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้ว่าในระนาบเทวโลกมีอุปกรณ์อมตะหลากหลายประเภท และหนึ่งในประเภทของอุปกรณ์อมตะเหล่านั้น แน่นอนว่ามีไว้สำหรับหนุนเสริมพลังป้องกันโดยเฉพาะ


 


ดุจเดียวกับระฆังใบเล็กแสนวิจิตรงดงามในมือเขาตอนนี้


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนทดสอบระฆังใบเล็กปานเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่ ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ไม่เว้นตัวประมุขอย่างหลิวเสวียนคงนั้น ได้แต่นิ่งเงียบไม่ไหวติง ยังไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง สองตามองต้วนหลิงเทียนด้วยความวิตกกังวลระคนหวาดกลัว


 


และตอนนี้สิ่งที่มันกลัวที่สุดก็คือ ทำอะไรจนเป็นการกระตุ้นความสนใจของต้วนหลิงเทียน จนชักนำหายนะสังหารมาสู่ตัว!


 


ต้องทราบด้วยว่า กระทั่งบรรพบุรุษหลี่ผิง ตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในนิกายอมตะสราญรมย์ ยังตกตายคามือต้วนหลิงเทียนโดยไม่อาจตอบโต้!


 


หากเป็นก่อนหน้านี้ ตอนที่หลี่ผิงยังไม่ทะลวงด่านพลังบรรลุถึงราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเข่นฆ่าหลี่ผิงไป พวกมันก็คงไม่กังวลเรื่องต้วนหลิงเทียนจะทำลายนิกายอมตะสราญรมย์ เพราะสุดท้ายแล้ว อีกฝ่ายก็ต้องพะวงเรื่องที่นิกายอมตะสราญรมย์ของพวกมัน อาจจะมียอดฝีมือกึ่งราชาอมตะที่เร้นกายใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้อยู่…


 


ทว่าตอนนี้กระทั่งหลี่ผิงที่บรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะยังถูกฆ่าตายตก พวกมันก็รู้ดีว่าชายหนุ่มเบื้องหน้านั้น หาได้หวั่นเกรงยอดฝีมือกึ่งราชาอมตะของนิกายอมตะสราญรมย์ที่อาจเร้นกายอยู่ใน 6 พื้นที่ภาคตะววันออกเฉียงใตอีกต่อไป


 


เพราะพลังฝีมือของยอดฝีมือเร้นกายกึ่งราชาอมตะ ยังอ่อนด้อยกว่าหลี่ผิงที่ตกตายไปเมื่อครู่เสียอีก!


 


ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าคนนี้ ในเมื่อสามารเข่นฆ่าหลี่ผิงได้ง่ายดาย เช่นนั้นคิดเข่นฆ่ายอดฝีมือกึ่งราชาอมตะของนิกายอมตะสราญรมย์ที่เร้นกายอยู่ ยังนับเป็นเรื่องราวอันใดได้…


ตอนที่ 2,907 : ปัดความรับผิดชอบ


 


 


“มัน…มันเป็นผู้ใดกันแน่!?”


 


“เมื่อครู่…ดูเหมือนท่านบรรพบุรุษจะเรียกมันว่าต้วนหลิงเทียน?”


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


“ต้วนหลิงเทียน…ชื่อนี้ไฉนคุ้นหูข้านักนะ?”


 


“ช้าก่อน! ต้วนหลิงเทียนนั่น…มิใช่นามของหัวหน้าปรมาจารย์โอสถนิกายอมตะไท่อี ที่โด่งดังไปทั่วภาคตะวันออกเฉียงใต้ หลังจบงานสมัชชาเต๋าโอสถครั้งล่าสุดรึไง?”


 


“ใช่! เป็นมัน! ข้าจำได้…ว่าหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของงนิกายอมตะไท่อีเรียกว่าต้วนหลิงเทียน ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าไฉนชื่อมันถึงได้คุ้นหูข้านัก!”


 


“แต่ต้วนหลิงเทียนคนนี้ จะใช่คนๆเดียวกับต้วนหลิงเทียนผู้นั้นเหรอ?”


 


“นั่นสิ พวกเจ้าเพ้อไปแล้วรึไร! ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายยอมตะไท่อียังมีอายุไม่ถึงร้อยปีคนนั้น เป็นถึงปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่ได้รับการยอมรับว่ายอดเยี่ยมที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงใต้เลย…ต่อให้จะไม่ได้ให้ไม่ได้มุ่งมั่นในหนทางโอสถ แต่เลือกจะทุ่มเทให้กับการฝึกตน ก็ไม่มีทางมีพลังระดับนี้ได้ทั้งที่ยังอายุไม่ถึงร้อยปี!!”


 


“ข้าเห็นด้วย…พลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนคนนี้ อย่างน้อยๆก็ต้องบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ อีกทั้งท่าจะไม่ใช่แค่ราชาอมตะธรรมดาๆอีกด้วย ไม่งั้นคงไม่อาจฆ่าบรรพบุรุษหลี่ผิงได้อย่างง่ายดายหรอก!”


 


“เมื่อครู่ดูเหมือนท่านบรรพบุรุษจะใช้ ระฆังหมื่นอักขระ อันเป็น 1 ใน 2 อุปกรณ์อมตะระดับราชาของนิกายอมตะสราญรมย์พวกเราออกมาแล้วด้วยซ้ำ แต่กลับไม่อาจต้านทานการลงมือของต้วนหลิงเทียนผู้นี้ได้…ข้าเชื่อว่าอย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนผู้นี้ก็ต้องเป็นถึงราชาอมตะ 3 ศักดิ์!”


 


“ข้าก็คิดเหมือนกัน เพราะเมื่อครู่ตอนต้วนหลิงเทียนผู้นี้ลงมือ ยังไม่ได้ใช้อาวุธอมตะอะไรด้วยซ้ำ!”


 



 


เหล่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ที่ถอยห่างมากพอและรอดชีวิตมาได้ มองจ้องต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างเหนือฟ้าด้วยความหวาดกลัว สนทนากันอย่างแตกตื่น


 


“ยอดฝีมือราชาอมตะอันทรงพลังเช่นมันมาทำอะไรที่นิกายเรากันแน่!?”


 


“มัน…มันคงไม่ได้มาเพื่อฆ่าล้างนิกายเราหรอกนะ ไม่งั้นพวกเราได้ตายตกกันหมดแน่!”


 


“ตัวตนเช่นมัน คงไม่คิดจะลดตัวลงมาเข่นฆ่าพวกเราใช่ไหม?”


 



 


เนื่องจากศิษย์เหล่านี้ยังไม่ล่วงรู้ถึงจุดประสงค์การมาของต้วนหลิงเทียน ทำให้พวกมันกลัวต้วนหลิงเทียนจะฆ่าพวกมันจับใจ


 


หลังได้เห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ พวกมันก็รู้ดีถึงเรื่องหนึ่ง


 


หากต้วนหลิงเทียนคิดฆ่าล้างนิกายอมตะสราญรมย์จริงๆ ต่อให้ประมุขกับระดับสูงของนิกายจะผนึกกำลังต้านทาน  แต่เกรงว่าคงไม่อาจปกป้องคุ้มภัยให้พวกมันได้


 


กระทั่งบรรพบุรุษหลี่ผิง ที่พึ่งทะลวงถึงราชาอมตะยังตายคามือต้วนหลิงเทียนอย่างไร้หนทางตอบโต้ไม่ใช่หรือไร?


 


เช่นนั้นพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนร้ายกาจถึงขนาดไหน พวกมันย่อมจินตนาการออกได้ไม่ยาก!


 


ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันรู้สึกว่า หากต้วนหลิงเทียนต้องการ ก็คงสามารถทำลายล้างนิกายอมตะสราญรมย์ได้ง่ายดาย!


 


“ตอนนี้ก็ถึงเวลาคิดบัญชีระหว่างเราแล้ว…”


 


ในขณะที่เหล่าศิษย์มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยความวิตกกังวลนั้น ต้วนหลิงเทียนที่ไม่ได้สนใจอะไรพวกมันแม้แต่น้อย ก็มองผ่านอากาศไปจดจ้องยังกลุ่มระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ อันมีหลิวเสวียนคงผู้เป็นประมุขเหินร่างนำหน้า


 


พอถูกต้วนหลิงเทียนหันมามอง ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็รู้สึกเสมือนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที หน้าเปลี่ยนสีไปดูไม่ได้


 


“ต้วน…ปรมาจารย์โอสถต้วน…เหตุผลที่บรรพบุรุษหลี่อันของนิกายอมตะสราญรมย์เดินทางไปนิกายอมตะไท่อีของพื้นที่รกร้าง เพราะคิดฆ่าท่านล้างแค้นส่วนตัว หาได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราไม่ อีกทั้งนี่ยังไม่ใช่การตัดสินใจของนิกายอมตะสราญรมย์เรา ขอท่านอย่าได้เข้าใจผิด…”


 


อาวุโสจีวรเงินด้านหลังหลิวเสวียนคงก้าวออกมากล่าวคำกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าวิตกกังวล


 


และทันทีที่มันเอ่ยยวาจานี้ออกมา หลิวเสวียนคงกับระดับสูงคนอื่นๆก็ตาลุกวาวจ้า เร่งเผยท่าทีเห็นด้วยกับวาจาดังกล่าวเร็วไว


 


ถึงแม้พวกมันจะเห็นพ้องต้องกันในการประชุม เรื่องกำจัดต้วนหลิงเทียน


 


แต่ตอนนี้ไหนเลยพวกมันจะยอมรับเรื่องนั้นออกมา


 


เพราะหากพวกมันยอมรับ พวกมันก็ไม่พ้นต้องตามหลี่ผิงไปเมืองผีโดยไม่ต้องสงสัยเลย


 


และกระทั่งหลี่ผิงบรรพบุรุษของพวกมันที่ทะลวงถึงราชาอมตะแล้วยังถูกฆ่าตายง่ายๆ เช่นนั้นหากต้วนหลิงเทียนคิดเข่นฆ่าพวกมันขึ้มาจริงๆ ย่อมง่ายดายไม่ต่างอะไรจากตัดหญ้าฆ่าไก่ ไม่เห็นทางรอดแม้แต่สายเดียว…


 


ด้วยพลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน ย่อมฆ่าพวกมันให้ตกตายหมดสิ้น ก่อนที่พวกมันจะทันได้หนีไปไหนไกลด้วยซ้ำ


 


“ใช่แล้ว!”


 


ครู่ต่อมาอาววุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์อีกคนก็กล่าวเสริม “ปรมาจารย์โอสถต้วน ที่หลี่อันไปนิกายอมตะไท่อีเพื่อฆ่าท่าน หาได้มีใดเกี่ยวข้องกับพวกเราไม่…มันคิดว่าท่านหยิ่งผยองเกินไปในงานสมัชชาเต๋าโอสถครั้งที่ผ่านมา และท่านยังข่มขู่มันจนมันไม่ทำอะไรไม่ได้ จึงเกิดเป็นความแค้นต่อท่าน…”


 


“ก่อนหน้านี้เป็นมันยังกริ่งภูมิหลังของท่านที่ภาคกลางจึงมิลงมือทำอะไร พอกลับมาจากงานสมัชชาเต๋าโอสถ หลี่อันก็ได้ใช้หน่วยข่าวกรองสืบหาภูมิหลังของท่าน จนในที่สุดมันก็ยืนยันได้ว่าปรมาจารย์โอสถต้วนไร้ภูมิหลังอันใด ก็เลยเดินทางไปนิกายอมตะไท่อีพร้อมจี้ฟ่านเพื่อเข่นฆ่าท่านล้างแค้น”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค อาวุโสคนดังกล่าวก็เหลือบไปมองจี้ฟ่านที่อยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นชา “ที่สำคัญ จี้ฟ่านผู้นั้นยังเป็นตัวตั้งตัวตีที่คอยยุยงส่งเสริมหลี่อันให้ฆ่าท่าน…ที่มันกล่าวอ้างต่อท่านว่าพวกเราหารือกันและตกลงว่าจะฆ่าท่านนั้น มันก็แค่คิดจะปัดสวะให้พ้นตัว หมายเอาตัวรอดเท่านั้น!!”


 


กล่าวถึงค่อนประโยค อาวุโสคนดังกล่าวก็หันมามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสีหน้าจริงจัง คล้ายพยายามให้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงความจริงใจ


 


“ผายลมสุนัขมารดาเจ้า!!”


 


ทว่าแทบจะพร้อมกันกับที่อาวุโสคนดังกล่าวพูดจบคำ จี้ฟ่านที่พึ่งเก็บลูกแก้วเงาลอยเสร็จ ก็สะดุ้งโหยงโพล่งคำผรุสวาทออกมาปานกระต่ายถูกเหยียบหาง หันไปถลึงตามองจ้องอาวุโสที่พูดด้วยสายตาดุร้ายปานยักษ์มาร


 


“อาวุโสหยวน เจ้ามีปากก็พล่ามไปเรื่อย!”


 


“ข้ายอมรับว่าข้าได้เห็นชอบเรื่องฆ่าปรมาจารย์โอสถต้วนจริง…แต่กระนั้นไม่ใช่คนเดียวที่เห็นดีเห็นงามเรื่องฆ่าท่านปรมาจารย์โอสถต้วน หากเจ้าคิดจะโบ้ยให้ข้าเป็นผู้ร้ายแค่คนเดียว ข้าไม่มีวันยอมรับ!”


 


“หม้อก้นดำนี้อย่าหวังว่าจะโยนมาให้ข้าแบกมันแต่เพียงผู้เดียว!”


 


กล่าวถึงจุดนี้สีหน้าของจี้ฟ่านก็เย็นชาปานมีชั้นน้ำแข็งเคลือบทับ


 


“จี้ฟ่าน! เห็นชัดว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเจ้า กระนั้นเจ้ายังคิดจะลากพวกเราลงน้ำ…พวกเราลองไถ่ถามตัวเองดู ก็พบว่ามิเคยทำอันใดให้เข้าขุ่นเคืองสักครั้ง หรือไม่ใช่?”


 


“จี้ฟ่านเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้าอย่าได้ปัดความรับผิดชอบอีกเลย เห็นชัดว่าคนที่ยืนกรานจะเข่นฆ่าปรมาจารย์โอสถต้วนให้จงได้ก็มีแค่เจ้ากับหลี่อันสองคนเท่านั้น ไฉนมาเกี่ยวข้องกับพวกเราได้?”


 


“จี้ฟ่าน เจ้าอย่าได้คิดว่าจะหลอกท่านปรมาจารย์โอสถต้วนได้ง่ายๆ…ด้วยความฉลาดเฉลียวของท่านปรมาจารย์โอสถต้วน มีหรือจะมองไม่ออกว่าเรื่องทั้งหมดล้วนมีแค่เจ้ากับหลี่อันเป็นต้นเหตุ?”


 



 


เมื่อถึงช่วงเวลาที่ความตายกร้ำกรายเข้ามาใกล้แค่ปลายจมูก นอกจากประมุขนิกายอมตะสราญรมย์หลิวเสวียนคงที่ยังไม่พูดอะไรสักคำแล้ว ระดับสูงที่เหลือพากันชี้นิ้วกล่าวโทษจี้ฟ่านหมดสิ้น


 


ในวาจานั้น เห็นได้ชัดว่าคิดชักนำเภทภัยจากบูรพาไปประจิม หมายโบ้ยให้จี้ฟ่านรับเคราะห์แต่เพียงผู้เดียว!


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน?”


 


“เหล่าผู้อาวุโส…เรียกชายที่มีนามว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้ว่าปรมาจารย์โอสถต้วนเช่นนั้นหรือ?!”


 


“ยิ่งไปกว่านั้น…ผู้อาวุโสยังกล่าวทำนองว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็คือปรมาจารย์โอสถต้วนของนิกายอมตะไท่อี!”


 


“นี่…มัน..คงมิใช่จะเป็นหัวหน้าปรมจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีของพื้นที่รกร้างจริงๆหรอกนะ?”


 


“เป็นไปไม่ได้! ปรมาจารย์โอสถต้วนนั่นอายุไม่ถึงร้อยปี ลำพังแค่บรรลุถึงปรมจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงก็ยากเย็นแล้ว…ยังจะให้พลังฝึกปรือบรรลุราชาอมตะอีกหรือ เจ้าล้อข้าเล่นรึไร?”


 



 


เหล่าศิษย์ของนิกายอมตะสราญรมย์ที่ยังรอดชีวิตลอยร่างอยู่เบื้องล่างไกลห่าง หลังได้ยินเสียงอาวุโสด้านบนดังลงมา และพบว่าต่างเรียกหาชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นว่าปรมาจารย์โอสถต้วน พวกมันก็ตกตะลึงกันถ้วนหน้า


 


เท่าที่พวกมันทราบบ


 


ปรมาจารย์โอสถต้วนของนิกายอมตะไท่อีจากพื้นที่รกร้าง มีชื่อแซ่เต็มๆว่าต้วนหลิงเทียน และถึงแม้ว่าจะอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ก็เป็นถึงปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงแล้ว อีกทั้งในงานสมัชชาเต๋าโอสถที่พึ่งผ่านมา ยังได้รับการยอมรับจากทุกคนว่าเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่โดดเด่นที่สุดใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้


 


นอกจากเรื่องเหล่านี้ พวกมันก็ไม่ได้ล่วงรู้อะไรเกี่ยวกับปรมาจารย์โอสถต้วนของนิกายอมตะไท่อีอีกเลย


 


“ไม่น่าจะเป็นไปได้…หากมันเป็นปรมจารย์โอสถต้วนผู้นั้นจริง จะไม่เหลือเชื่อไปหน่อยหรือ?”


 


“นั่นสิ! อายุไม่ถึงร้อยแค่เป็นปรมจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงก็ยากแล้ว แต่ยังจะให้เป็นราชาอมตะอีกเหรอ ใต้หล้ามีสัตว์ประหลาดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


 


“ข้าเองก็คิดว่า เรื่องพรรค์นั้นมันเป็นไปไม่ได้เช่นกัน!”


 


“แล้วพวกเจ้าว่าในโลกมีเรื่องบังเอิญถึงขนาดนี้อยู่ด้วยรึไง ไม่ได้ยินรึว่าเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงก็บอกแล้ว ว่าปรมาจารย์โอสถต้วนผู้นี้มีเรื่องบาดหมางกับหลี่อันและจี้ฟ่านในงานสมัชชาเต๋าโอสถ…เท่าที่ข้ารู้ ในงานสมัชชาเต๋าโอสถมีปรมาจารย์โอสถต้วนแค่คนเดียว และมีชื่อแซ่เต็มๆว่า ต้วนหลิงเทียน มิใช่หรือไร”


 


“หรือว่า… มันคือต้วนหลิงเทียนคนนั้นจริงๆ?”


 


“นี่…เรื่องแบบนี้…มันจะไม่เหลือเชื่อเกินไปหน่อยรึไร?”


 



หลังเหล่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์กระซิบคุยกันต่อไปได้สักพัก พวกมันก็เริ่มตระหนักได้ว่า…


 


ชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่อย่างน้อยๆก็สมควรเป็นราชาอมตะ 3 ยศ ที่แท้เป็นคนๆเดียวกันกับต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี!


 


“หึ!”


 


เห็นว่าเหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์กำลังสาดโคลนใส่จี้ฟ่าน ต้วนหลิงเทียนที่เบื่อจะฟัง อยู่ๆก็สบถคำเสียงเย็นออกมา พาลให้ระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์พร้อมใจกันปิดปากเงียบลงทันที


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน”


 


ตอนนี้เองจี้ฟ่านก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าหนักอึ้ง “วันนี้ต่อให้ท่านปรมาจารย์โอสถต้วนคิดฆ่าข้าจี้ฟ่าน แต่ข้าก็ยังจะขอยืนยันกับท่านเรื่องหนึ่ง…ผู้ที่ตกลงเห็นชอบเรื่องฆ่าท่าน นอกจากข้าแล้วยังมีพวกมันด้วย!”


 


ขณะกล่าวถึงท้ายยประโยค จี้ฟ่านก็หันไปมองระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


“จี้ฟ่าน! เจ้ารนหาที่ตายเองแท้ๆ แต่ยังคิดจะดึงพวกเราไปเกี่ยวอีกหรือ?”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของจี้ฟ่าน ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ที่พึ่งเงียบไปก็โพล่งขึ้นมาอีกครั้ง แลดูมีโมโหนัก


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน ขอท่านอย่าได้หลงเชื่อวาจาเหลวไหลของจี้ฟ่าน…ตอนนี้มันมิต่างอันใดกับไหที่ตกแตกแล้ว แต่ยังอยากได้เบาะรองอีกสองสามชั้น!”


(เสียหายไปแล้ว แต่ยังอยากจะสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น)


 


“ใช่แล้วปรมาจารย์โอสถต้วน…วาจาเหลวไหลไร้แก่นสารของมัน ขอท่านอย่าได้หลงเชื่อ”


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน…”


 



 


ตอนนี้เหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์พยายามโน้มน้าวต้วนหลิงเทียนให้เชื่อสุดชีวิต หน้าผากของพวกมันปรากฏเหงื่อเย็นผุดซึมเป็นสาย


 


“ประมุขหลิว…เจ้ามีอะไรจะพูดไหม?”


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจอะไรเหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์แม้แต่น้อย เพียงหันไปมองถามหลิวเสวียนคง ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ที่เงียบมาจนถึงบัดนี้


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน ทุกอย่างเป็นดั่งที่ผู้อาวุโสระดับสูงกล่าว…เรื่องทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของศิษย์อกตัญญูจี้ฟ่านกับหลี่อันอาจารย์ของข้า 2 คน…”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน หลิวเสวียนคงที่เงียบมาตลอดก็จำต้องปริปากกล่าวคำออกมาเสียงหนัก


 


“แน่นอนว่าหากปรมาจารย์โอสถต้วนคิดว่า การฆ่าอาจารย์ข้าหลี่อันกับคนทรยยศอย่างจี้ฟ่านแล้ว ท่านยังไม่สาแก่ใจและหายแค้น…เช่นนั้นท่านก็ฆ่าข้าอีกคนหลังสำเร็จโทษจี้ฟ่านเถอะ!”


WSSTH ตอนที่ 2,908 : จุดจบ


 


 


“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจฆ่าปรมาจารย์โอสถต้วนท่าน…อย่างไรก็ตามจี้ฟ่านก็เป็นศิษย์น้องเล็กของข้า อีกทั้งหลี่อันก็เป็นอาจารย์ของข้า เช่นนั้นข้าเองก็มีส่วนรับผิดชอบเช่นกัน”


 


หลิวเสวียนคงมองต้วนหลิงเทียน เอ่ยออกเสียงขรึม “แตข้าหวังว่าปรมจารย์โอสถต้วน จะปล่อยอาวุโสของนิกายอมตะสราญรมย์ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ไป…”


 


“ฮ่าๆๆๆ…!!”


 


แทบจะทันทีที่หลิวเสวียนคงกล่าวจบคำ จี้ฟ่านที่อยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า “หลิวเสวียนคง แม้ข้าจะเป็นศิษย์น้องเล็กเจ้ามาหลายปี แต่ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าที่แท้เจ้าเองก็มีฝีมือย่อยด้านการเสแสร้งเช่นนี้”


 


“เรื่องสังหารปรมาจารย์โอสถต้วน เห็นชัดว่าไม่เพียงข้ากับหลี่อันตัดสินใจ แต่ยังมีเจ้ากับระดับสูงของนิกายอมตสราญรมย์ทั้งหมด! วันนั้นไม่ใช่พวกเจ้าก็เห็นดีเห็นงามไม่คิดคัดค้านอันใดหรือไง? แต่พอมาวันนี้ ไฉนเจ้าคิดจะโยนความผิดทั้งหมดให้ข้ากับหลี่อันซะเล่า?”


 


“ยิ่งไปกว่านั้น ไฉนเจ้าไม่เริ่มกล่าวเรื่องไม่ได้เห็นชอบฆ่าปรมาจารย์โอสถต้วนแต่แรกเล่า? มาพล่ามอันใดหลังปรมาจารย์โอสถต้วนเข่นฆ่าหลี่ผิงไปแล้ว?”


 


กล่าวจบคำ จี้ฟ่านก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน ขอท่านอย่าได้ฟังวาจาเหลวไหลของมัน!”


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน จี้ฟ่านมันโกหกท่าน!”


 



 


เมื่อได้ยินจี้ฟ่านกล่าวแฉว่าพวกมันไม่เคยคัดค้านเรื่องฆ่าต้วนหลิงเทียน เหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็เริ่มร้อนใจ เร่งกล่าวแก้ต่างหมายเอาตัวรอด


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเบื่อจะฟังพวกมันแถเอาตัวรอดแล้ว


 


และต่อให้ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์เหล่านี้จะแถมากแค่ไหน ให้พยายามโทษจี้ฟ่านกับเรื่องทั้งหมดอย่างไร แต่เขารู้ดีว่าจี้ฟ่านไม่จำเป็นต้องโกหกเขา กระทั่งอย่างจี้ฟ่านก็ไม่มีความสามารถพอจะโกหกเขาได้


 


เพราะเขาได้จี้ถามเรื่องทั้งหมดจากจี้ฟ่านหลังจากที่เขาฆ่าหลี่อันต่อหน้าต่อตามัน


 


วินาทีนั้นเป็นช่วงเวลาที่จี้ฟ่านหวาดกลัวถึงที่สุด แล้วคนที่คิดอะไรในใจก็โพล่งออกมาหมดเช่นมัน ย่อมไม่มีวันปกปิดเรื่องอะไรจากเขาได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มันไร้ความกล้าจะโกหกเขาด้วยซ้ำ!


 


“หึ!”


 


และเมื่อเหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ เริ่มที่จะกล่าวผลักความรับผิดชอบไปยังจี้ฟ่านอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็พ่นลมเสียงเย็นออกมาอีกรอบ และครานี้น้ำเสียงยังเย็นยะเยือกกว่าครั้งก่อนหน้านัก! พาลให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกเสมือนตกอยู่ในหล่มน้ำแข็ง!!


 


ครู่ต่อมา


 


ไม่ทันที่ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ ไม่เว้นหลิวเสวียนคงประมุขนิกายอมตะสราญรมย์จะมีเวลาตอบสนอง ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็กลับกลายเป็นเยียบเย็นอำมหิต มวลพลังสีม่วงปะทุออกมาท่วมร่าง  พร้อมๆกันกับเงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่อง!


 


ซัว! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!


 



 


ทันใดนั้นพุทธองค์สีทองก็ผสานหลอมรวมเข้ากับมวลพลังสีม่วงอย่างไร้แบ่งแยก พาลให้พุทธองค์สีทองร่างเขื่องคล้ายมีชีวิตขึ้นมาทันใด จากนั้นฝ่ามือมหึมาของมันก็ยกขึ้นก่อนจะฟาดตบจากบนลงร่างอย่างเรียบง่าย! หากทว่ามวลพลังที่แผ่พุ่งออกมาจากฝ่ามือมหึมานั้น ให้สภาวะยิ่งใหญ่ประหนึ่งขุนเขาสูงถล่ม!!


 


“ไม่–!!”


 


เมื่อหลิวเสวียนคงประมุขนิกายอมตะสราญญรมย์รู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็หลงเหลือเวลาเพียงแค่ร่ำร้องออกมาด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจเท่านั้น ก่อนที่คนทั้งคนนจะถูกฝ่ามือมหึมาฟาดตบเข้าอย่างจัง จนตัวแตกระเบิด กลับกลายเป็นหมอกโลหิตเกลื่อนฟ้า!


 


ทางด้านระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ เนื่องจากพลังฝีมือพวกมันยังไม่สู้หลิวเสวียนคงด้วยซ้ำ พวกมันจึงไม่มีแม้แต่เวลาจะร่ำร้อง กระทั่งยังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น คนก็พร้อมใจกันตกตายภายใต้ฝ่ามือมหาประลัยหมดสิ้น!


 


ดั่งพิรุณโลหิตพร่ำพรม หยาดโลหิตมากมายร่วงตกฟ้ารดร่างเหล่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ ยังย้อมชโลมแผ่นดินเบื้องล่างให้กลับกลายเป็นสีแดงฉาน


 


จังหวะนี้บรรยากาศคล้ายถูกผนึกแข็ง


 


จนเมื่อพิรุณโลหิตพร่างพรมหล่นฟ้าลงมาหมดสิ้น บรรยากาศที่ปกคลุมนิกายอมตะสราญรมย์ก็เริ่มคลายจากการผนึกแข็ง กลิ่นโลหิตคาวคลุ้งก็เริ่มตลบอบอวลไปทั่ว พาลให้ผู้คนที่สูดกลิ่นเข้าไปบังเกิดอาการพะอืดพะอมนัก!


 


เหล่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ที่อยู่เบื้องล่างก็เช่นกัน…


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 



 


เหล่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ที่ร่างชุ่มไปด้วยโลหิต พร้อมใจกันสูดหายใจเข้าลึกๆอย่างเสียขวัญ ด้วยกลิ่นคาวเตะจมูก ทั้งร่างระดับสูงที่ลอยล่องเหนือฟ้าอันตรธานหายไปจนหมด กอปรกับเห็นต้วนหลิงเทียนโบกมืออย่างไร้เรื่องราวรวบรวมแหวนพื้นที่จำนวนมาก พวกมันก็ตระหนักได้ทันทีว่าทุกคนสมควรถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายหมดแล้ว


 


หยาดโลหิตที่หล่นฟ้ามาฉาบย้อมร่างพวกมันกับผืนดิน ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด


 


จังหวะนี้พวกมันที่หวาดกลัวทั้งเสียขวัญ กระทั่งยังรู้สึกอยากคายของเก่า แต่ทั้งหมดก็เร่งยกมือปิดปากเอาไว้ ด้วยกลัวว่าหากเกิดอาเจียนออกมาตอนนี้ อาจทำให้ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องบนขุ่นเคืองใจ สุดท้ายก็บขยี้พวกมันดังบี้มดตัวหนึ่งเพราะความรำคาญ…


 


‘หากมีพลังระดับนี้ได้ตลอดเวลา ก็คงดี…’


 


ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งลงมือเข่นฆ่าผู้คนทั้งรบรวมแหวนพื้นที่เสร็จ อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าหลงใหลขึ้นมา…


 


ถึงแม้ว่าพลังที่เขาพึ่งใช้ออกเมื่อครู่ จะอ่อนด้อยกว่าพลังที่เขาใช้จัดการหลี่อันที่นิกายอมตะไท่อีของพื้นที่รกร้างมาก


 


อย่างไรก็ตามพลังที่เขาได้มาจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ก็ช่างทรงพลังจริงๆ


 


อีกทั้งแม้จะอ่อนด้อยกว่าครั้งก่อน แต่พลังที่เขาพึ่งใช้ออกเมื่อครู่ ก็ยังเทียบได้กับการลงมือของตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ!


 


เรียกว่าเพียงส่วนหนึ่งของพลังขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ ก็จบชีวิตหลี่ผิงบรรพบุรุษของนิกายยอมตะสราญรมย์ที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้ง่ายดาย กระทั่งยังเข่นฆ่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์จนหมดประหนึ่งเหยียบย่ำมดฝูงหนึ่ง…


 


เรียกว่าความรู้สึกขณะลงมือเมื่อครู่ ได้มอมเมาต้วนหลิงเทียนให้รู้สึกเสมือนสามารถใช้หนึ่งมือบังฟ้า! และความรู้สึกของการที่สามารถควบคุมทุกสิ่งใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ไว้ในกำมือแบบนี้ ย่อมน่าอภิรมย์ไม่น้อย


 


เขาหลงใหลและพึงพอใจในความรู้สึกดังกล่าวนัก!


 


‘น่าเสียดาย…พลังนี้มันไม่ใช่พลังของข้าจริงๆ ใช้ไปส่วนหนึ่งก็หมดไปส่วนหนึ่ง…แถมตอนนี้อัตราการสูญเสียพลังงานก็มากกว่าที่คิด หากข้าลงมือแบบเมื่อครู่อีกสักครั้ง น่ากลัวระดับพลังอาจจะตกลงไปอยู่แค่ขอบเขตราชาอมตะ 8 ชะตาเท่านั้น’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนในใจอย่างลับๆ


 


การฆ่าหลี่ผิงบรรพบุรุษนิกายอมตะสราญรมย์ แม้จะใช้พลังไปส่วนหนึ่ง แต่ก็ถือว่าสิ้นเปลืองพลังไม่น้อย


 


แต่นี่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะหลี่ผิงยามใช้ทุกสิ่งก็ถือว่ามีพลังป้องกันไม่เลวเลยทีเดียว หากไม่ใช้พลังระดับนั้น เกรงว่าอาจจะต้องลงมือซ้ำ ยิ่งกลายเป็นสิ้นเปลืองมากกว่าเดิม


 


ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างอยู่แม้จะลอบทอดถอนในใจ แต่ภายนอกยังคงแลดูสงบเฉยเมย


 


สำหรับจี้ฟ่านที่อยู่ด้านหลัง ก็รู้สึกหนาวสะท้านหัวใจ เริ่มวิตกกังวลไปอย่างหนัก


 


เพราะมันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าหลังเข่นฆ่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนใช่คิดจะเปลี่ยนใจ แล้วฆ่ามันทิ้งอีกคนด้วยหรือไม่…


 


มันก็เลยกังวลใจอย่างหนัก


 


‘ข้าก็โลภมากไปได้…แค่ได้รับอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองที่ใช้ได้ถึง 3 ครั้ง และสามารถครอบครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว คนธรรมดาทั่วไป ชั่วชีวิตเผลอๆจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสสิ่งนี้ด้วยซ้ำ’


 


พอนึกถึงภายหลัง ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวไปมาเบาๆ ด้วยรู้สึกว่าตัวเองชักจะโลภเกินไปแล้ว


 


อย่างไรก็ตามแม้จะบังเกิดความโลภ แต่ไม่ว่าใครหน้าไหนลองมาเป็นต้วนหลิงเทียนก็ไม่พ้นต้องบังเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกันทั้งสิ้น


 


เรื่องบางอย่างหากยังไม่ได้ประสบกับตัวก็ไม่เป็นไร


 


แต่พอได้ประสบเข้ากับตัว และสัมผัสได้ถึงความหอมหวานของมันแล้ว ก็ยากที่จะเสียมันไป และยากที่จะไม่อยากสัมผัสถึงมันอีก…


 


ต้วนหลิงเทียนก็เป็นเช่นนั้น


 


“พวกที่เห็นพ้องต้องกันเรื่องฆ่าข้า…ยังมีใครเป็นปลาที่เล็ดลอดร่างแหหรือไม่?”


 


หลัจากนั้นไม่นานนัก ต้วนหลิงเทียนก็กลับมาสติแจ่มใสอีกครั้ง หันไปมองถามจี้ฟ่านเสียงเบา


 


“ไม่! ไม่มีแล้ว!!”


 


ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน จี้ฟ่าน ผงะไปวูบหนึ่งจากนั้นก็เร่งสายหัวไปมาเป็นพัลวัน “ยกเว้นอาวุโสบางคนที่ไม่ได้อยู่ในนิกายอมตะสราญรมย์ตอนนั้น เหล่าระดับสูงที่ร่วมหารือเรื่องฆ่าท่านทั้งหมดอยู่ที่นี่หมดแล้ว”


 


กล่าวถึงจุดนี้ จี้ฟ่านคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้ มันจึงกล่าวเสริมออกมาด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ “แต่หากท่านจะถามถึงปลาที่เล็ดลอดร่างแหจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี…”


 


“ยังมีปลาตัวไหนเล็ดลอดร่างแหไป?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น


 


“ก็…ข้าเอง”


 


จี้ฟ่านมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวั่นเกรง จากนั้นก็ยิ้มแหยๆพลางชี้มาที่ตัวเอง


 


“เจ้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองจี้ฟ่านด้วยสายตาระอา จากนั้นก็คร้านจะสนใจเรื่องนี้สืบต่อ เอ่ยถามออกไปห้วนๆว่า “แล้วที่ข้าให้เจ้าใช้ลูกแก้วเงาลอยบันทึกเรื่องราวตอนฆ่าหลี่ผิงล่ะ ตกลงเจ้าได้บันทึกไว้รึยัง?”


 


“ถึงแม้จะเกิดเรื่องผิดคาดที่หลี่ผิงบรรลุถึงราชาอมตะได้…แต่ตอนที่ข้าฆ่ามันตัวมันก็ยืนนิ่งไม่ได้เคลื่อนไหว เช่นนั้นถึงเป็นลูกแก้วเงาลอยระดับขุนนางก็สมควรบันทึกฉากตอนมันตายตกได้อยู่…”


 


“แล้วเจ้าอย่าได้บอกเชียวว่าลืม…หากเจ้าลืมขึ้นมาจริงๆก็อย่าได้โทษข้าที่จะผิดสัญญา แล้วฆ่าเจ้าทิ้ง!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค ลูกตาต้วนหลิงเทียนก๋เผยประกายเยียบเยยย็นอำมหิตออกมา


 


“บันทึก! บันทึกไว้แล้ว…ท่านปรมจารย์โอสถต้วนข้าบันทึกไวทั้งหมด!!”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน จี้ฟ่านก็เร่งกล่าวตอบออกไปอย่างรีบร้อน ขณะเดียวกันในใจก็บังเกิดความรู้สึกโล่งอกขึ้นมา


 


“ต่อไป ข้ามีเรื่องหนึ่งให้เจ้าคิดไปกระทำ…”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยบอกเรื่องราวที่คิดจะให้จี้ฟ่านไปกระทำ “…หากครั้งนี้เจ้าทำได้ดี ข้าก็ไม่คิดติดใจเอาความเรื่องราวบาดหมางระหว่างข้ากับเจ้าอีก”


 


“แต่หากเจ้าทำไม่ได้…เจ้าสมควรรู้ดีว่าผลเป็นยังไง”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค ประกายเยียบเย็นก็ฉายวาบขึ้นในดวงตาต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง


 


“ขอปรมาจารย์โอสถต้วนอย่าได้กังวล ข้าจี้ฟ่านจะกระทำทุกสิ่งที่ท่านสั่งอย่างดีที่สุด! ข้าไม่มีทางทำให้ปรมาจารจย์โอสถต้วนต้องผิดหวังเป็นแน่!!”


 


เผชิญกับวาจาและสายตาขู่ข่มของต้วนหลิงเทียน จี้ฟ่านก็เร่งรับปากระรัว


 


“ก็ดี”


 


หลังตอบคำสั้นๆ ต้วนหลิงเทียนก็หันหลังแล้วเหินร่างจากไป โดยไม่คิดจะสนใจอะไรจี้ฟ่านอีก


 


เมื่อเห็นแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนหายลับไปในม่านหมอกอันเกิดจากค่ายกลของนิกายยอมตะสราญรมย์แล้ว จี้ฟ่านก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะเดียวกันก็เริ่มเหินร่างลงไปหาศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ที่ตัวเปื้อนไปด้วยเลือดของเหล่าอาวุโสระดับสูงด้านล่าง…


 


ด้านเหล่าศิษย์ของนิกายอมตะสราญรมย์ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนจากไปแล้ว…


 


หลังจากเห็นต้วนหลิงเทียนจากไป แต่พบว่าจี้ฟ่านกลับเหินลงมาหา สีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนไปอีกรอบ


 


“ตถาคต!”


 


“ตถาคต!”


 



 


แม้สีหน้าท่าทีพวกมันจะเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายก็เลือกจะคารวะทักทายจี้ฟ่านด้วยท่าทีเคารพ คล้ายไม่ได้ยินเรื่องที่จี้ฟ่านประกาศถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์ก่อนหน้า


ตอนที่ 2,909 : จุดหมายต่อไป นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน”


 


เถี่ยไท่เหอ ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะไท่อี ที่รออยู่หน้าทางเข้านิกายอมตะสราญรมย์ ด้วยค่ายกลที่ก่อให้เกิดม่านเมฆหมอกบดบัง มันจึงไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิกายอมตะสือหังด้านใน


 


จนเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเหินร่างออกมจากม่านหมอกมาปรากฏตัวให้เห็น สายตาที่เฉยเมยไร้คลื่น ก็เริ่มฉายอารมณ์ความรู้สึกอีกครั้ง


 


“อาวุโสเถี่ย”


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างมาหยุดข้างเถี่ยไท่เหอ จากนั้นก็เอ่ยทักคำหนึ่ง ค่อยหันไปมองฮ่วนเอ๋อที่ยังคงไม่ตื่นจากภวังค์การตีความเวทย์พลัง


 


สุดท้ายก็หันกลับมามองเถี่ยไท่เหออีกครั้ง พลางกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเถี่ย ต่อไป…รบกวนท่านพาข้าไปยังพื้นที่สามัญที”


 


กล่าวจบคำสองตาต้วนหลิงเทียนก็เปล่งประกายขึ้นมาสว่างไสว


 


“พื้นที่สามัญรึ?”


 


ได้ยินคำขอดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน เถี่ยไท่เหอก็อึ้งไปครู่หนึ่ง “ปรมาจารย์โอสถต้วน ถึงพื้นที่สามัญจะติดกับพื้นที่ก้าวข้าม แต่ก็อยู่อีกฟากเลย…ท่านคิดไปที่นั่นทำอะไรหรือ?”


 


พื้นที่สามัญนั้น เรียกว่าอยู่ตรงกันข้ามกับทางกลับพื้นที่รกร้างเลยก็ว่าได้


 


“ข้าจะไปเยือนนิกายอมตะสือหังน่ะ”


 


ได้ยินคำถามของเถี่ยไท่เหอ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบออกไปตามตรง ไม่ได้คิดปิดบังอะไร


 


และในขณะที่กล่าวคำออกมา ประกายตาที่พึ่งหรี่ลงได้ไม่ทันไร ก็ทอประกายสดใสขึ้นมาอีกครั้ง มองไปยังคล้ายดวงดาวกลางฟ้ายามราตรีกาลอยู่บ้าง


 


ก่อนจะมายังนิกายอมตะสราญรมย์ ต้วนหลิงเทียนก็วางแผนไว้แล้ว ว่าจะเลยไปยังนิกายอมตะสือหังด้วย


 


แน่นอนว่าการไปเยือนนิกายอมตะสือหังครั้งนี้ เขาไม่ได้คิดไปพาตัวมู่หรงปิงให้ไปกับเขาแต่อย่างใด


 


เพราะในระหว่างเดินทาง ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดไตร่ตรองเรื่องราวมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว


 


เรื่องที่เขามองมู่หรงปิงเป็นผู้หญิงของเขานั้น ไม่ต้องสงสัยเลย


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากให้มู่หรงปิงมีชีวิตอยู่อย่างดี ปลอดภัยไร้เรื่องราว


 


หากเขาพามู่หรงปิงออกจากา 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ กระทั่งออกจากพื้นที่ชายแดนเข้าสู่ภาคกลางกับเขา เป็นธรรมดาว่าต้องพบพานอันตรายอันยากคาดเดา


 


นอกจากนั้นมู่หรงปิงยังอยู่นิกายยอมตะสือหังมาทั้งชีวิต ผูกพันกับนิกายอมตะสือหังอย่างมาก หากเขาพานางไปด้วย นางย่อมยากจะปรับตัวได้เหมือนเขา


 


พอคิดไปคิดมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงรู้สึกว่า การปล่อยให้นางใช้ชีวิตต่อไปในนิกายอมตะสือหัง สมควรเป็นเรื่องดีสำหรับนางมากกว่า


 


จนเมื่อความสามารถของเขาสูงถึงขั้นช่วยเหลือเค่อเอ๋อภรรยาเขา รวมถึงลี่เฟยและครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหายเขาจากดินแดนแห่งมวยเทพได้แล้ว เขาค่อยย้อนกลับมายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ เพื่อรับตัวมู่หรงปิงไปอยู่กับเขา…


 


‘หลังผ่านไปพันปี ข้าจะกลับมารับตัวนางไปอยู่กับข้า’


 


‘แต่จะเป็นอย่างนั้นได้…ต้องหมายความว่าถึงวันนั้น ข้ายังมีชีวิตอยู่’


 


‘ตอนนี้ที่ข้าทำได้…ก็มีแต่ให้นางได้อยู่ในนิกายอมตะสือหังอย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว และมีชีวิตที่ดี…’


 


ระหว่างที่เถี่ยไท่เหอหอบหิ้วมายังนิกายอมตะสราญรมย์นั้น ต้วนหลิงเทียนได้ตัดสินใจแล้ว และพบว่าไม่ควรกระเตงมู่หรงปิงให้ไปเสี่ยงตายกับเขา


 


เพราะสุดท้ายแล้วหนทางสายนี้ของเขา เบื้องหน้าล้วนมีแต่เมฆหมอดบดบัง จะอยู่หรือตายก็ไม่อาจทราบได้


 


ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะเติบโตก้าวหน้าจนถึงจุดที่สามารถช่วยพวกเค่อเอ๋อลี่เฟยและคนอื่นๆจากดินแดนแห่งทวยเทพได้ในเวลาพันปี…


 


ระหว่างการเดินทางของเขา ไม่พ้นต้องพบพานภยันตรายนานานับประการ และการเข่นฆ่าอันโหดร้ายเพื่อช่วงชิงแน่แท้!


 


เขาไม่อยากให้มู่หรงปิงต้องมาลำบากไปกับเขา!


 


พื้นที่สามัญนั้น เมื่อมันอยู่ติดกับพื้นที่ก้าวข้าม เวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางจึงน้อยกว่าตอนเดินทางมาจากนิกายอมตะไท่อี


 


แต่ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาเดินทางน้อยลงกว่าเดิม อาศัยความเร็วของเถี่ยไท่เหอ ก็ยังต้องใช้เวลาเดินทางนานหลายเดือน


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน…”


 


หลังเหินร่างออกห่างนิกายอมตะสราญรมย์ได้สักพัก สุดท้ายเถี่ยไท่เหอที่บังเกิดอาการคันในหัวใจยากจะเกาแต่แรก ก็อดไม่ได้จำต้องถามต้วนหลิงเทียนออกมาให้รู้เรื่องกันไป “ท่าน…หลังเข้าไปในนิกายอมตะสราญรมย์ก่อนหน้า…ได้เข่นฆ่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์หมดสิ้นแล้วหรือ?”


 


ในสายตาของเถี่ยไท่เหอนั้น จะอย่างไรนิกายอมตะสราญรมย์ ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ก็ถือเป็นขุมกำลังที่เป็นรองก็แค่นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับซึ่งเป็นนิกายอมตะอันดับ 1 เท่านั้น


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ กล่าวออกเสียงเบา “ตราบใดที่เป็นระดับสูงๆอันเป็นเสาหลักของนิกายอมตะสราญรมย์ นอกจากจี้ฟ่านแล้ว…ข้าฆ่าพวกมันหมดสิ้น ไม่เว้นประมุขนิกายอมตะสือหัง หลิวเสวียนคงนั่นด้วย”


 


เสียงกล่าวเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนนั้น กล่าวออกเบาๆอย่างไร้เรื่องราว คล้ายพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ยังทำท่าเหมือนเรื่องนี้ไม่คู่ควรให้พูดถึง


 


“ฟืด~~!”


 


ถึงแม้จะเตรียมใจไว้แต่แรก แต่เถี่ยไท่เหอก็อดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ เมื่อได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน


 


“อ่อ…นอกจากนั้นยังมีบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์อีกคน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ลงความเห็นเรื่องฆ่าข้า แต่ในเมื่อมันขวางข้าไม่ให้ฆ่าพวกหลิวเสวียนคงและคนอื่นๆ มันก็เลยต้องตายไปด้วย”


 


เถี่ยไท่เหอพึ่งสูดอากาศเข้าลึกๆไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมยอีกครั้ง


 


“ขวางไม่ให้ปรมาจารย์โอสถต้วนฆ่าหลิวเสวียนคงกับคนอื่นๆ?”


 


เถี่ยไท่เหออึ้งไปพักหนึ่ง หลังดึงสติกลับมาได้ก็ขมวดคิ้วกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงหนัก ลูกตายังหดเล็กลง “ปรมาจารย์โอสถต้วนท่าน…ท่านหมายถึงบรรพบุรุษอีกคนของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่ผิง งั้นรึ?!”


 


หลังดึงสติกลับมาได้ เถี่ยไท่เหอก็เดาออกได้ไม่ยากว่าบรรพบุรุษอีกคนที่ต้วนหลิงเทียนพูดถึงเป็นใคร


 


ตอนนี้ในเมื่อหลี่อันตายตกไปแล้ว นิกายอมตะสราญรมย์ก็เหลือตัวตนที่มีขอบเขตพลังขุนนางอมตะ 9 ตำหนักขึ้นไปอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น


 


หนึ่งในนั้นก็คือหลิวเสวียนคง ผู้เป็นประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ ระดับพลังของมันทัดเทียมกับหลี่อัน เป็นขุนนางอมตะ 9 ตำหนักเช่นกัน


 


ส่วนอีกคนก็คือบรรพบุรุษอีกคนของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่ผิง ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ! ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของนิกายอมตะสราญรมย์!!


 


“เป็นมันนั่นล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“ฮ่าๆๆ!”


 


หลังได้ยินคำยืนยันจากต้วนหลิงเทียน เถี่ยไท่เหอก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ “อาศัยแค่ขุนนางอมตะ 10 ทิศเช่นมัน กลับหาญกล้าขวางท่านปรมาจารย์โอสถต้วนไม่ให้ฆ่าหลิวเสวียนคงกับคนอื่นๆงั้นเหรอ…รนหาที่ตายโดยแท้!”


 


“ขุนนางอมตะ 10 ทิศ?”


 


ได้ยินคำพูดดังกล่าวของเถี่ยไท่เหอ ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหน้าไปมาเบาๆ “อาวุโสเถี่ย หากท่านพูดถึงหลี่ผิงบรรพบุรุษนิกายอมตะสราญรมย์คนนั้นอยู่…มันไม่ใช่ขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว เพราะวันนี้มันพึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ 1ต้นกำเนิดพอดี หาไม่แล้วมันคงไม่มีความกล้าหยุดข้าจากการเข่นฆ่าหลิวเสวียนคงและคนอื่นๆหรอก”


 


“อะไร?!”


 


เถี่ยไท่เหอพอได้ฟังคำพูดของต้วนหลิงเทียนก็ตกกตะลึงอึ้งไปทันใด สีหน้าแววตายังฉายชัดถึงความตกใจเหลือเชื่อ “ปรมาจารย์โอสถต้วน ที่ท่านกล่าวหมายความว่าอย่างไร…บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่ผิง ผู้นั้น มันพึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะวันนี้หรือ?”


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“กล่าวได้ว่า…ปรมาจารย์โอสถต้วน ท่านสามารถเข่นฆ่าหลี่ผิงที่เป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้หรือ?”


 


เถี่ยไท่เหอมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความตกตะลึง


 


“ก็ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับอีกครั้ง


 


จังหวะนี้เถี่ยไท่เหอถึงกับอ้าปากพะงาบๆคล้ายมีคำใดจะกล่าว หากแต่กลับพูดไม่ออกอยู่นาน…


 


นั่นเพราะต้วนหลิงเทียนทำให้มันตกใจครั้งยิ่งใหญ่แล้วจริงๆ


 


‘ดูเหมือนว่าปรมาจารย์โอสถต้วนจักมิใช่ราชาอมตะธรรมดาๆ…แม้กระทั่งหลี่ผิงที่ทะลวงถึงราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดก็ยังฆ่าได้! ข้าเกรงว่าอย่างน้อยๆปรมาจารย์โอสถต้วนต้องบรรลุถึงราชาอมตะ 2 ยศแล้วเป็นแน่!!’


 


เถี่ยไท่เหอที่หอบหิ้วต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อเดินทาง อดไม่ได้ที่จะคิดไปในใจอย่างทึ่งๆ


 


ขณะเดียวกัน มันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความเวทนาสงสารนิกายอมตะสราญรมย์ขึ้นมา


 


‘หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้นิกายอมตะสราญรมย์คิดจะสืบสานมรดกสืบต่อไป แต่เกรงว่าไม่พ้นต้องถูกลบออกจาก 1 ในนิกายอมตะใหญ่ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้แน่นอนแล้ว กระทั่งอาจถึงขั้นล่มสลายลง…’


 


‘และหากเรื่องราวที่ หลี่ผิง บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้แล้ว แต่ยังโดนปรมาจารย์โอสถต้วนเข่นฆ่าทิ้งแพร่ออกไปสู่โลกภายนอก ต่อให้นิกายอมตะสราญรมย์จะมียอดฝีมือกึ่งราชาอมตะเร้นกายอยู่ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ พวกมันก็ไม่กล้าโผล่หัวออกมากอบกู้นิกายอมตะสราญรมย์แน่นอน…’


 


‘เพราะพวกมันไม่พ้นต้องกังวลว่าปรมาจารย์โอสถต้วนจะย้อนกลับมาทำลายพวกมันรึเปล่า หากพวกมันกล้าช่วยเหลือนิกายอมตะสราญรมย์ที่บาดหมางกับปรมาจารย์โอสถต้วน…ในเมื่อปรมาจารย์โอสถต้วนฆ่าได้กระทั่งราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด แล้วอาศัยกึ่งราชาอมตะเช่นพวกมันปรมาจารย์โอสถต้วนจะฆ่าไม่ได้หรือ?’


 


เถี่ยไท่เหอรู้ดี


 


ว่าคราวนี้นิกายอมตะสราญรมย์ได้จบสิ้นแล้ว!


 


‘สาเหตุที่นิกายอมตะสราญรมย์ถึงกาลอวสาน เพียงเพราะพวกมันไปล่วงเกินคนที่พวกมันไม่อาจล่วงเกินได้โดยแท้…’


 


พอนึกถึงจุดนี้ เถี่ยไท่เหอก็อดมองไปทางต้วนหลิงเทียนไม่ได้ ใจยังสั่นไหวเต้นไปไม่เป็นจังหวะ


 


“จริงสิอาวุโสเถี่ย…”


 


ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปมองถามเถี่ยไท่เหอทันที “หากข้าจำไม่ผิด…ดูเหมือนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็อยู่ในพื้นที่ก้าวข้ามเหมือนกันใช่ไหม?”


 


พอเสียงถามไถ่ต้วนหลิงงเทียนดังจบคำ สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นขรึมเคร่ง สองตายังหดเล็กประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นวูบหนึ่ง


 


ตอนนี้เขาพึ่งนึกขึ้นได้ ว่าบรรพจารย์ไท่อี เหอซาน ที่คอยดูแลเขาระหว่างไปร่วมงานสมัชชาเต๋าโอสถ ได้ตกตายเพราะประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋หวู่จี้!


 


ยามนั้นไป๋หวู่จี้อาศัยเรื่องที่เหอซานเข่นฆ่าบุตรชายตัวเองอย่าง ไป๋อวี่ซวน นายน้อยนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ เป็นข้ออ้าง ก่อนจะเข่นฆ่าสังหารบรรพจารย์ไท่อีอย่างอุกอาจ จนเป็นเหตุทำให้นิกายอมตะไท่อีสูญเสียขุนนางอมตะ 8 ชะตาที่เป็นเสาหลักไป…


 


หากไป๋อวี่ซวนตกตายไปแล้วจริงๆ ก็ไม่นับเป็นอะไร


 


แต่ปัญหาคือไป๋อวี่ซวนยังไม่ตาย!


 


ทั้งหมดบ่งชี้ไปในทิศทางว่า…นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับมีการสมคบคิดบางอย่าง! สุดท้ายพวกมันก็จัดฉากล้อมกรอบบรรพจารย์ไท่อี เข่นฆ่าสังหารบรรพจารย์ไท่อีทิ้งอย่างไร้ความเป็นธรรม!!


 


“ใช่!”


 


อันที่จริงตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้าเขตพื้นที่ก้าวข้าม เถี่ยไท่เหอก็หวังว่าต้วนหลิงเทียนจะใช้โอกาสนี้ล้างแค้นให้ เหอซาน บรรพจารย์ไท่อี ที่ถูกไป๋หวู่จี้ฆ่าทิ้งไปด้วยเลย แต่มันก็ไม่กล้าพูดออกมา


 


เพราะสุดท้ายแล้วต้วนหลิงเทียนก็เป็นแค่อาคันตุกะทรงเกียรติของนิกายอมตะไท่อีเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อนิกายอมตะไท่อี


 


ตอนนี้พอมาได้ยินต้วนหลิงเทียนถามไถ่ถึงนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ เถี่ยไท่เหอจึงตระหนักได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะทำอะไร ในใจย่อมบังเกิดความตื่นเต้นเป็นที่สุด!


 


“ถ้างั้น…พวกเราไปนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก่อนดีกว่า”


 


เมื่อลูกตาที่หดหยีลงของต้วนหลิงเทียนกลับสู่ปกติ สีหน้าที่แลดูแข็งขึ้นเล็กน้อยก็หวนคืนสู่ความสงบอีกครา “พอดีข้าคิดไปไถ่ถามไป๋อวี่ซวนนายน้อยนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับผู้นั้นสักคำ…ว่าที่แท้มันรอดพ้นความตายภายใต้เงื้อมมือบรรพจารย์ไท่อีมาได้อย่างไร…”


 


ขณะกล่าววาจาประโยคนี้ มุมปากต้วนหลิงเทียนยังยกขึ้นเผยรอยยิ้มแสยะเย้ยหยันออกมา


 


“ทราบแล้ว ท่านปรมาจารย์โอสถต้วน!”


 


ถึงแม้ก่อนหน้าเถี่ยไท่เหอจะเดาได้ว่าต้วนหลิงเทียนคิดไปนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเพื่อหาความเป็นธรรมให้บรรพจารย์ไท่อี แต่พอเถี่ยไท่เหอได้ยินคำพูดยืนยันของต้วนหลิงเทียน มันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นยินดีเป็นที่สุด!


 


ขณะเดียวกันมันก็ทุ่มเทใช้พลังออกถึง 12 ส่วน เร่งหอบหิ้วต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินทาง บึ่งตรงไปยังนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับทันที!


 


สถานที่ตั้งนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับอยู่ตรงไหน ในอดีตหลายร้อยปีก่อนมันเคยมาเยือนกับประมุขไป๋ผิงแล้วครั้งหนึ่ง เช่นนั้นจึงรู้ทางดี


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน ด้านหน้าพวกเราคือนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!”


 


หลังผ่านไปราวๆ 3 วัน เถี่ยไท่เหอที่หอบหิ้วต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินทางเต็มกำลัง ก็หยุดร่างลงกลางหาว พลางกล่าวบอกกับต้วนหลิงเทียนออกมาอย่างไม่รอช้า…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)