War sovereign Soaring The Heavens 2896-2902

 ตอนที่ 2,896 : ปีศาจร้าย!


 


หากเป็นในอดีต ต่อให้จี้ฟ่านจะโดนต้วนหลิงเทียนมองมาด้วยสายตาดุร้ายเอาเรื่อง แต่จี้ฟ่านก็คงไม่ได้หวาดกลัวอะไรต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย


 


แต่ตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนมองถามมันมาด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้แลดูจะเอาเรื่องอะไรมัน กลับทำให้จี้ฟ่านหวาดกลัวแทบตาย ทั่วร่างสั่นสะท้านไปราวลูกนกตกน้ำ เส้นประสาทยังตึงเครียดราวกับกำลังนั่งอยู่บนเข็มแหลม…


 


ถึงแม้มันจะไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้เลยว่าอาจารย์ของมันโดนอะไรตายกันแน่ แต่จากสีหน้าท่าทีของคนอื่นรอบๆ ก็ไม่ยากที่มันจะเดาเรื่องราวได้


 


เป็นต้วนหลิงเทียนลงมือทำอะไรบางอย่าง เข่นฆ่าอาจารย์ของมันได้ในพริบตา!


 


“ให้ตายเถอะ! การโจมตีด้วยพลังวิญญาณของปรมาจารย์โอสถต้วนไฉนร้ายกาจนักเล่า…ไม่เพียงแต่จะสลายอำนาจจิตของหลี่อันได้อย่างง่ายดาย ยังเหลือพลังอำนาจมากพอจะทำลายดวงจิตหลี่อันได้ในพริบตา!!”


 


“พลังวิญญาณของหลี่อัน ไม่อาจต้านทานพลังวิญญาณนั่นของปรมาจารย์โอสถต้วนได้เลย…ถูกทำลายลงทันทีราวกับโดนพลังอำนาจที่เหนือกว่าลบทิ้ง!”


 


“ที่แท้ปรมาจารย์โอสถต้วนบรรลุด่านพลังฝึกปรืออันใดกันแน่…ไฉนพลังวิญญาณถึงได้ทรงพลังขนาดนั้นเล่า?”


 


“เป็นปรมาจารย์โอสถต้วนซ่อนตัวได้ลึกยิ่ง…ในอดีตข้ารู้เพียงแค่ทักษะความสามารถในการหลอมโอสถของปรมาจารย์โอสถต้วนสูงล้ำสุดที่จะมีใครใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้เทียบได้…แต่ไม่คิดเลยว่ากระทั่งพลังฝีมือยังยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน!”


 


“ตัดสินจากการลงมือเมื่อครู่ของปรมาจารย์โอสถต้วน…ข้าว่ากระทั่งยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศก็คงไม่นับเป็นตัวอะไรต่อหน้าปรมาจารย์โอสถต้วนใช่ไหม?”


 


“ใช่! ปรมาจารย์โอสถต้วนสมควรเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะไม่ผิดแน่! หาไม่แล้วคงไม่มีพลังร้ายกาจขนาดนี้!!”


 


“พลังมหาศาลถึงขั้นย้อมแผ่นฟ้าให้แปรเปลี่ยนเป็นสีม่วง จากนั้นก็จับตัวหลี่อัน บรรพบุรุษนิกายอมตะสราญรมย์ได้ในพริบตา…ตอนแรกข้าหลงนึกว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เห็น จะเป็นฝีมือของยอดคนที่เร้นกายลอบให้ความคุ้มครองปรมาจารย์โอสถต้วนอย่างลับๆด้วยซ้ำ! ไม่คิดเลยว่าทั้งหมดจะเป็นการลงมือของปรมาจารย์โอสถต้วนเอง!!”


 


“ให้ตายเถอะ! ที่แท้ตระกูลต้วนนภาล่องในภาคกลางที่อยู่เบื้องหลังปรมาจารย์โอสถต้วน เป็นตระกูลที่ทรงพลังถึงขนาดไหนกันแน่!?”


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วนยังงมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่พลังฝึกปรือกลับทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะได้แล้ว…ไม่ต้องกล่าวถึงแดนสวรรค์ใต้ของพวกเรา ให้เป็นทั่วทั้งหลิงหลัวเทียน แต่ตัวตนเช่นนี้หมื่นปีก็คงไม่มีปรากฏใช่ไหม?”


 


“ข้าไม่ทราบ…แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ว่าในหลิงหลัวเทียนของพวกเราจะเคยปรากฏราชาอมตะอายุไม่ถึงร้อยมาก่อน แต่นี่อาจเป็นเพราะข้าเป็นแค่กบในกะลาที่ไม่รู้ว่าฟ้าใหญ่ไพศาลเพียงใด ในหลิงหลัวเทียนเราอาจมีตัวตนราชาอมตะที่อายุไม่ถึงร้อยปีอยู่แต่ข้าไม่รู้ก็เป็นได้!!”


 



 


ในขณะที่สีหน้าจี้ฟ่านกำลังเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ เสียงกระซิบกระซาบมากมายก็เริ่มดังเข้าหูของมัน


 


และเจ้าของเสียงกระซิบเหล่านี้ ก็คือผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะไท่อีทั้งสิ้น


 


เรียกว่าพอได้ยินเสียงกระซิบของผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะไท่อีเหล่านี้ ในใจจี้ฟ่านยิ่งมาก็ยิ่งบังเกิดความหวาดกลัวเสียขวัญ!


 


“ตถาคต…ที่ข้าถามออกไป เป็นเจ้าไม่ได้ยิน หรือทำเป็นไม่สนใจข้ากันแน่ หรือเจ้าไม่คิดจะไว้หน้าข้าเลย?”


 


ในขณะที่สีหน้าจี้ฟ่านเปลี่ยนสีไปด้วยความหวาดกลัวนั้น มันก็ตื่นตระหนกจนไม่มีสติสตังเหลือพอจะตอบคำถามอะไรของต้วนหลิงเทียนเลย ต้วนหลิงเทียนที่เห็นสภาพอีกฝ่ายก็กล่าวถามออกไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็สายตาที่ใช้มองจี้ฟ่านก็เริ่มเย็นชาลง


 


อยู่ๆสายตาต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชาแบบนี้ ย่อมทำให้จี้ฟ่านหน้าเสียทันใด มันยังรู้สึกคล้ายร่วงตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง!


 


“ไม่…ไม่ใช่…”


 


ในขณะที่หน้าเปลี่ยนสี จี้ฟ่านก็ไม่กล้าละเลยคำถามต้วนหลิงเทียน เร่งส่ายหัวไปมาระรัว กล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวว่า “ปรมาจารย์โอสถต้วน ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร…ที่ข้าไม่ทันได้ตอบท่าน ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้าท่าน…”


 


“แต่เป็นข้า…เป็นข้า…จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เผลอเหม่อลอยไป…ตะ…ต้องขออภัยท่านด้วย ข้าขออภัยท่านด้วย!”


 


พอกล่าวจบจี้ฟ่านก็เร่งก้มหัวกล่าวคำขอขมาไม่หยุด ท่าทีของมันแลดูกระวนกระวายใจอย่างหนัก ราวกับกลัวต้วนหลิงเทียนจะเอาเรื่องอะไรมัน…


 


เพราะจี้ฟ่านรู้ดี…ว่าอาศัยพลังที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมา คิดจะฆ่ามันเกรงว่ายังง่ายดายยิ่งกว่าตัดหญ้าฆ่าไก่เสียอีก!


 


“แล้วตอนนี้ เจ้าจะตอบคำถามของข้าได้รึยัง?”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจอะไรจี้ฟ่านนัก เพียงเลิกคิ้วขึ้นกล่าวถามออกมาอีกครั้งว่า “ตกลงเรื่องที่คิดฆ่าข้า มันเป็นอย่างที่หลี่อันพูดมาจริงๆ…หรือที่แท้ไม่ใช่ความคิดของมันคนเดียว แต่เป็นพวกเจ้านิกายอมตะสราญรมย์เห็นชอบเรื่องฆ่าข้า? อ้อ…แล้วข้าหวังว่าตถาคตจะเป็นคนฉลาด ไม่คิดโกหกอะไรข้าเล่า เพราะเรื่องนี้หากข้าคิดจะตรวจสอบจริงๆ ก็ช่างง่ายดายนัก”


 


หลังกล่าวจบคำต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องจี้ฟ่านตาเขม็ง คล้ายจะเตือนให้จี้ฟ่านรู้ผิดชอบชั่วดี และอย่าได้คิดโกหกอะไรให้เสียเวลา


 


“ข้าน้อยไม่กล้า…ต่อให้ข้าน้อยจะมีความก้ามากกว่านี้อีกร้อยเท่า ก็ไม่กล้าโกหกอันใดท่านปรมาจารย์โอสถต้วนแน่นอนขอรับ!!”


 


พอโดนสายตามองเตือนจากต้วนหลิงเทียน จี้ฟ่านก็เริ่งโบกมือทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวนอบน้อม “สำหรับเรื่องสังหารปรมาจารย์โอสถต้วนนั้น เป็นอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์เห็นพ้องต้องกัน หลังจากที่ได้ตรวจสอบความเป็นมาของปรมาจารย์โอสถต้วนดีแล้ว”


 


“ทั้งหมดก็เป็นเหตุผลที่ทำให้อาจารย์ข้ากับข้ามาที่นี่…เรื่องราวหลังจากนั้นปรมาจารย์โอสถต้ววนก็คงทราบแล้ว”


 


จี้ฟ่านกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


หลังจากที่มันพูดจบแล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความกล้ากลัวๆ “ท่านปรมาจารย์โอสถต้วน…คือว่า…เรื่องที่ท่านอยากรู้ ข้าน้อยก็บอกท่านแล้ว…”


 


“เช่นนั้น ข้าน้อยไปได้แล้วหรือยังขอรับ…”


 


ตอนนี้จี้ฟ่านไม่อยากอยู่ที่นี่สืบต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่มันก็รู้สึกเสมือนอยู่ใกล้ความตายมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งยิ่งย้อนคิดถึงทีท่าไม่เว้นคำพูดคำจาที่เคยใช้กับต้วนหลิงเทียนมันก็ใจเสียจนแทบจะร่ำไห้ออกมาแล้ว!!


 


“ได้สิ”


 


ได้ยินคำถามดังกล่าวของจี้ฟ่าน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ากล่าวตอบคำเสียงเบา


 


ด้านจี้ฟ่านพอได้ฟัง ก็ถึงกับระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ทว่าในขณะที่มันหันหลังเตรียมเหินร่างจากไปนั้น เสียงของต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง และทำให้ร่างจี้ฟ่านชะงักค้างกลางอากาศ หน้ายังเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวงอีกรอบ


 


“ตถาคต พอดีข้าคิดไปเยี่ยมชมนิกายอมตะสราญรมย์ของเจ้าด้วย…เจ้าคงไม่รังเกียจที่จะนำทางทั้งให้ข้าติดสอยห้อยตามไปด้วยสักคนกระมัง?”


 


นี่คือคำพูดที่ต้วนหลิงเทียนพูดออกมาก่อนหน้า


 


ฟังแล้วผิวเผินก็เหมือนอยากจะติดสอยห้อยตามจี้ฟ่านไปนิกายอมตะสราญรมย์ด้วยเฉยๆ


 


หากทว่าเหตุผลการไปเยือนนิกายอมตะสราญรมย์ของต้วนหลิงเทียนนั้น ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ขอเพียงไม่เคยโดนลาเตะหัวจนสมองกลับ ย่อมเดาได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะไป ‘เยี่ยมชม’ นิกายอมตะสราญรมย์ทำอะไร…


 


“มารดาเราช่วย…ปรมจารย์โอสถต้วนคิดบุกเข่นฆ่าไปถึงนิกายอมตะสราญรมย์เชียวหรือ!?”


 


“เอ่อ…เรื่องแบบนี้มัน…ใช่บ้าคลั่งเกินไปหรือไม่?”


 


“ไม่…ไม่ได้บ้าคลั่งอันใดแม้แต่น้อย…จริงอยู่อาจเป็นเรื่องบ้าคลั่งทั้งโง่เขลาสำหรับคนทั่วไป แต่เท่าที่ข้าเห็น เรื่องนี้สำหรับปรมาจารย์โอสถต้วนแล้ว นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนัก!”


 


“ใช่แล้ว ปรมาจารย์โอสถต้วนเป็นนถึงราชาอมตะอันทรงพลังเชียวนะ!!”


 


….


 


คนของนิกาอมตะไท่อีมหลายต่อหลายคนเริ่มกระซิบคุยกันเสียงดังระงม


 


ตอนนี้กระทั่งศิษย์ของนิกายอมตะไท่อีที่พลังฝีมือยังอ่อนด้อย ก็เริ่มได้รับทราบเรื่องราวจากเหล่าผู้อาวุโส จนได้รู้ว่าที่แท้ปรมาจารย์โอสถต้วนเป็นถึงตัวตนขอบเขตราชาอมตะ ที่ยากจะพบพานได้ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้!


 


สำหรับพวกมันแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเหลือเกิน ด้วยไม่คิดฝันเลยว่าพวกมันจะมีวันได้พบพานตัวตนระดับนี้ตัวเป็นๆ


 


ที่สำคัญราชาอมตะอันทรงพลังที่ได้พบ ยังไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นอาคันตุกะทรงเกียรติของนิกายอมตะไท่อีพวกมัน!


 


“ไฉนทำหน้าเช่นนั้นเล่าตถาคต…หรือเจ้าไม่เต็มใจให้ข้าไปด้วยงั้นเหรอ?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลง ยังเผยประกายเยียบเย็นออกมา น้ำเสียงเองก็เริ่มเย็นชาลงอย่างเห็นได้ชัด


 


“ไม่…ไม่ใช่…ข้าพา..ข้าจะพาท่านไป! ยังนับเป็นเกียรติของข้าจี้ฟ่านอย่างยิ่งที่มีโอกาสนำทางปรมาจารย์โอสถต้วน! ยังเป็นพรของข้าจี้ฟ่านไป 3 ชาติภพที่ได้รับใช้ท่านปรมาจารย์โอสถต้วน!!”


 


พอได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของต้วนหลิงเทียน จี้ฟ่านก็แตกตื่นเสียขวัญครั้งใหญ่ เหงื่อกาฬของมันแตกพลั่กๆ หัวเหม่งที่เคยมันวาวสะท้อนแสงวิบวับ บัดนี้เรียกว่าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นแล้ว


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวกับประมุขนิกายอมตะไท่อี ไป๋ผิง ว่า “ประมุขไป๋ ข้าคิดยืมตัวอาวุโสเถี่ยไปเที่ยวชมนิกายอมตะสราญรมย์กับข้าสักหน่อย…”


 


“ไม่ทราบว่า…ได้หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


และขณะกล่าวถามเรื่อนี้ ต้วนหลิงเทียนยังหันไปมองเถี่ยไท่เหอที่ลอยร่างข้างไป๋ผิงเล็กน้อย


 


“ย่อมได้!”


 


ถึงแม้จะไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนคิดยืมตัวเถี่ยไท่เหอไปนิกายอมตะสราญรมย์ด้วยทำไม แต่ไป๋ผิงก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอของต้วนหลิงเทียนได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผอะไรก็ตาม


 


ยิ่งไปกว่านั้นคำขอนี้ก็ไม่ได้ทำให้มันเสียหายอะไรแม้แต่น้อย


 


“ขอบคุณประมุขไป๋”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับเถี่ยไท่เหอ “อาวุโสเถี่ย…ข้าคงต้องรบกวนท่านให้พาพวกเราไปนิกายอมตะสราญรมย์สักหน่อย…”


 


“เพราะข้าคิดจะใช้เวลาขณะเดินทางตีความวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่ได้มา…”


 


หลังได้รับคำตอบรับของไป๋ผิง ต้วนหลิงเทียนก็หันไปกล่าวกับเถี่ยไท่เหอถึงเหตุผลที่ไฉนเขาถึงคิดขอยืมตัวเถี่ยไท่เหอไปนิกายอมตะสราญรมย์ครั้งนี้


 


เพราะต้วนหลิงเทียนคิดใช้เวลาให้คุ้มค่า จึงต้องลำบากให้ผู้อื่นพาไป ไม่คิดเดินทางด้วยตัวเอง


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วนกล่าวเกินไปแล้ว ยังถือว่ารบกวนอันใด ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เอง”


 


เถี่ยไท่เหอกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มที่แลดูไม่แตกต่างจากครั้งก่อนๆ แต่หากมองสังเกตสายตาของมันให้ดีจะพบว่า…


 


ตอนนี้สายตาที่เถี่ยไท่เหอใช้มองต้วนหลิงเทียนนั้น ได้ทวีความเคารพเลื่อมไสมากขึ้นหลายส่วน!


 


เหตุผลที่ไฉนมันถึงแลดูเคารพนับถือต้วนหลิงเทียนขึ้นมาก ทั้งหมดเป็นเพราะพลังความแข็งแกร่งที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมาเมื่อครู่!


 


ในอดีตนั้น สำหรับเถี่ยไท่เหอแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็คือปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือกว่าปรมาจารยย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนางเสียอีก เช่นนั้นจึงทำให้มันบังเกิดความเคารพนับถือในแง่ความสามารถในการหลอมโอสถ ไม่ได้นับถือในแง่พังฝีมือที่สูงส่งเหนือมัน


 


ทว่าตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนกลับเผยพลังอำนาจของตัวตนขอบเขตราชาอมตะอันทรงพลังออกมา ในโลกที่ผู้เข้มแข็งได้รับความเคารพแล้ว จึงยิ่งทำให้มันเคารพนับถือต้วนหลิงเทียนสุดใจ!


 


“ฮ่วนเอ๋อ”


 


หลังได้ยินคำตอบรับของเถี่ยไท่เหอ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองฮ่วนเอ๋อข้างๆ พลางยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เช่นนั้นเจ้าพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ดีหรือไม่?”


 


“พี่หลิงเทียนไปธุระที่นิกายอมตะสราญรมย์ไม่นาน พอเสร็จเรื่องแล้วพี่หลิงเทียนจะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนนั้นเดิมทีคิดให้ฮ่วนเอ๋อพักรักษาตัวที่นิกายอมตะไท่อี ทว่าเขาไม่ทันได้พูดจบคำ ฮ่วนเอ๋อก็กล่าวขัดออกมาเสียก่อน “พี่หลิงเทียนฮ่วนเอ๋อจะไปกับท่านด้วย…ฮ่วนเอ๋อไม่อยากแยกกับท่าน”


 


“สำหรับเรื่องรักษาตัว…ในเมื่อมีผู้อาวุโสเถี่ยพาพวกเราเดินทาง เช่นนั้นฮ่วนเอ๋อพักรักษาตัวระหว่างทางก็ได้!”


 


ฮ่วนเอ๋อกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดื้อรั้น


 


เห็นฮ่วนเอ๋อยืนกรานมาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ “เอาล่ะๆ…ตามใจฮ่วนเอ๋อก็ได้”


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็หันไปลาไป๋ผิงประมุขนิกายอมตะไท่อี ต่อจากนั้นก็กล่าวบอกให้เถี่ยไท่เหอช่วยหอบหิ้วเขากับฮ่วนเอ๋อเดินทางได้เลย


 


แน่นอนว่าเถี่ยไท่เหอก็ต้องหอบหิ้วจี้ฟ่านไปด้วยอีกคน และยังต้องพึ่งอีกฝ่ายในการบอกทิศทางที่ตั้งของนิกายอมตะสราญรมย์ เพราะมันเองก็ไม่เคยไปนิกายอมตะสราญรมย์มาก่อน


 


 


จนเมื่อพวกต้วนหลิงเทียนเหินร่างลับหายไปจากสายตาแล้ว เหล่าคนของนิกายอมตะไท่อีทั้งหลาย ก็ค่อยๆทยอยกันกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง


 


แน่นอนว่าหลังจากทุกคนรู้สึกตัว น่านฟ้าของนิกายอมตะไท่อีคล้ายมีตลาดสดพึ่งเปิดก็ไม่ปาน…


 


“ได้เรื่องแล้วไง…ข้าว่าปรมาจารย์โอสถต้วนไปนิกายอมตะสราญรมย์ครั้งนี้ พวกมันไม่พ้นต้องร่ำไห้กันแน่!”


 


“แต่หากปรมาจารย์โอสถต้วนแผลงฤทธิ์จนสั่นคลอนถึงรากฐานนิกายอมตะสราญญรมย์ พวกแพะชราขอบเขตกึ่งราชาอมตะของนิกายอมตะสราญรมย์ที่รั้งอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ จะไม่ออกมาสู้รบกับปรมาจารย์โอสถต้วนหรือไร? ข้าคิดว่าพวกมันคงไม่นิ่งดูดายมองปรมาจารย์โอสถต้วนทำลายนิกายอมตะสราญรมย์กระมัง?”


 


“เหอะๆ แพะชราเหล่านั้นมันก็แค่กึ่งราชาอมตะ แล้วเจ้าว่าพวกมันจะใช่คู่มือปรมาจารย์โอสถต้วนหรือ?”


 


“ใช่! ด้วยความแข็งแกร่งที่ปรมาจารย์โอสถต้วนเผยออกมาก่อนหน้า ข้าว่าต่อให้เป็นราชาอมตะทั่วไป ก็เกรงว่าจะสู้ปรมาจารย์โอสถต้วนไม่ได้ด้วยซ้ำ!”


 


“พวกแพะชรากึ่งราชาอมตะของนิกายอมตะสราญรมย์นั่นไม่ออกมาก็แล้วไป…หากพวกมันออกมา ไม่พ้นปรมาจารย์โอสถต้วนได้ทุบตีพวกมันจนตายไม่เหลือซากแน่!!”


 


“อั๊ย! ข้ายิ่งมายิ่งอยากรู้แทบตายแล้ว! ว่าที่แท้เป็นตระกูลอันใดที่อยู่เบื้องหลังปรมาจารย์โอสถต้วนกันแน่…แล้วตระกูลนั้นต้องทรงพลังถึงเพียงใด พึงได้เพาะสร้างปีศาจร้ายเช่นปรมาจารย์โอสถต้วนออกมาได้!”


 


….


 


เหล่าคนของนิกายอมตะไท่อีพากันจ้อถึงเรื่องราวทำนองนี้ไม่หยุด แต่ละคนมองว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่แค่อัจฉริยะธรรมดา แต่เป็นดั่งอัจฉริยะปีศาจที่ร้ายกาจผิดมนุษย์มนา! ร้ายกาจจนทำให้ผู้คนตกใจแทบตายแล้ว!!


 


เพราะสุดท้ายทุกคนก็รู้ดี ว่าต้วนหลิงเทียนยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ


 


ที่สำคัญเลยก็คือ ไม่มีวิธีไหนจะโกงอายุ ให้ดูเหมือนคนที่อายุไม่ถึงร้อยปีได้เลย!!


 


ตอนที่ 2,897 : ไม่เชื่อ


 


คนที่มีอายุไม่ถึงร้อยปีนั้น สามารถปกปิดกลิ่นอายเลือดเนื้อตัวเองได้โดยอาศัยวิชาลับหรือของบางอย่าง เพื่อไม่ให้ผู้อื่นสามารถล่วงรู้ได้ว่าที่แท้ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี…


 


อย่างไรก็ตาม หากเป็นผู้ที่มีอายุเกินร้อยปีไปแล้ว คิดจะเสแสร้งทำตัวว่ายังเป็นผู้ที่ยังอายุไม่ถึงร้อยปีนั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!


 


หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นไปไม่ได้ในหลิงหลัวเทียนรวมถึงในระนาบเทวโลกอื่นๆ


 


ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคิดไปแม้แต่คนเดียว ว่าต้วนหลิงเทียนจะปลอมตัวมา และที่แท้อายุเกินร้อยปีไปแล้ว


 


“ข้าเชื่อว่าหากเรื่องราวในวันนี้แพ่รออกไป ไม่เพียงแค่จะทำให้ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ต้องตกใจ กระทั่งพื้นที่ชายแดนทุกภาคไม่พ้นต้องพากันแตกตื่นครั้งใหญ่!”


 


“จริง…โดยเฉพาะคนที่เคยพบเจอกับปรมาจารย์โอสถต้วนมาก่อน ข้าเกรงว่าคงไม่มีใครคิดใครฝันแน่ๆว่าที่แท้ปรมาจารย์โอสถต้วนจะซุกซ่อนความแข็งแกร่งอันน่ากลัวขนาดนี้เอาไว้!”


 


“น่าเสียดายยิ่งที่ปรมาจารย์โอสถต้วนเป็นคนของตระกูลใหญ่ในภาคกลาง จะช้าก็เร็วจึงต้องจากไปในสักวัน…หาไม่แล้วด้วยมีปรมาจารย์โอสถต้วน นิกายอมตะไท่อีของพวกเราคงต้องกลายเป็นนิกายอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้แน่ กระทั่งเผลอๆจะมีอำนาจเหนือและปกครองทั้งภาคตะวันออกเฉียงใต้เลยก็เป็นได้!”


 


“อย่าพึ่งคิดไปไกลขนาดนั้น…อย่าได้ลืมไปเสียเล่า ว่าในพื้นที่ชายแดนได้รับผลกระทบจากค่ายกลจำกัดด่านพลังเอาไว้ ตัวตนขอบเขตราชาอมตะจึงมิอาจรั้งอยู่ได้นาน หากข้าเข้าใจไม่ผิด…ปรมาจารย์โอสถต้วนคงต้องออกจากพื้นที่ชายแดนไปเร็วๆนี้แล้วล่ะ”


 



 


พอได้เห็นพลังของต้วนหลิงเทียนแล้ว เหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะไท่อีทั้งหลายก็ตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ทันที และรู้ว่าอีกไม่นานต้วนหลิงเทียนก็คงต้องอำลานิกายอมตะไท่อีไปแล้ว


 


“เหตุผลที่ปรมาจารย์โอสถต้วนยังรั้งอยู่ในนิกายอมตะไท่อีเรา ส่วนใหญ่เป็นเพราะคิดฝึกฝนวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนาง 3 สายที่ได้มาอย่าง ‘ราชันไม่เคลื่อนไหว’ และ ‘ปราณม่วงบูรพา’ ให้แตกฉาน เพื่อที่จะได้บันทึกไว้ในยันต์อมตะเก็บความทรงจำให้นิกายอมตะไท่อีเรา…”


 


ตอนนี้เองไป๋ผิงประมุขนิกายอมตะไท่อี ที่นิ่งเงียบฟังบทสนทนาอยู่นาน ก็เอ่ยออกมาอย่างทอดถอนใจ “และตัดสินจาก ราชันไม่เคลื่อนไหวกับปราณม่วงบูรพาที่ปรมจารย์โอสถต้วนพึ่งใช้ออกมาให้พวกเราเห็น…ข้าเกรงว่าคงอีกไม่นานก็คงแตกฉานแล้วล่ะ เวลาที่ต้องจากกันคงอีกไม่นานแล้ว”


 


“และเท่าที่ข้าสังเกตเห็น น่ากลัวว่าปราณม่วงบูรพาของปรมจารย์โอสถต้วน สมควรฝึกสำเร็จไม่ก็เจียนจะสำเร็จเต็มที…ส่วนราชันไม่เคลื่อนไหว จากลักษณะพุทธองค์ร่างทองที่ใกล้ชัดเจน ก็คงใช้เวลาอีกไม่นานที่จะบรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ…”


 


พอนึกถึงฉากเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ไป๋ผิงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ เพราะเรื่องนี้หมายความว่านิกายอมตะไท่อีของพวกมัน กำลังจะสูญเสียปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงไป…


 


ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่ปรมาจารย์โอสถธรรมดาๆ แต่เป็นปรมจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่มีทักษะความสามารถไม่ได้ด้อยไปกว่าปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนางด้วยซ้ำ หากโอสถที่หลอมเป็นโอสถอมตะระดับสูง!


 


หลังงานสมัชชาเต๋าโอสถจบลง ทุกคนไม่ว่าใครก็ให้การยอมรับว่าปรมาจารย์โอสถต้วนคือปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่มีทักษะความสามารถในเต๋าโอสถสูงที่สุด…


 


กระทั่งในพื้นที่ชายแดนนั้น เกรงว่าคงไม่อาจหาปรมาจารย์โอสถคนไหน ที่มีทักษะความสามารถเหนือกว่าหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีคนนี้ได้อีกแล้ว


 


ด้วยเหตุนี้หลายต่อหลายคนจึงกล่าวว่า ปรมาจารย์โอสถต้วน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี คือปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่มีทักษะความสามารถสูงสุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่ชายแดน!!


 


อนิจจาปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่โดดเด่นจนไม่อาจหาผู้ใดเทียบเทียมได้คนนั้น กำลังจะออกจากนิกายอมตะไท่อีในไม่ช้า…


 


เพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ไป๋ผิง ก็รู้สึกหดหู่ใจแล้ว


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน…ไม่คิดเลย…ข้าไม่คิดเลยจริงๆ…”


 


ซือถูหมิง ปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ที่ลอยร่างกลางหาวนั้น ยังคงเหม่อลอยไม่หาย ในใจยังคงปรากฏฉากการลงมืออันทรงพลังของต้วนหลิงเทียนก่อนหน้าฉายซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด สุดท้ายมันก็ได้แต่ถอนหายใจออกมารอบแล้วรอบเล่า


 


ซือถูหมิงถึงขั้นไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าตอนนี้ปรมาจารย์โอสถอีก 2 คนที่สนิทกันอย่าง หยางชง กับอวี๋จ้งจิ่งได้เหินร่างมาหามันแล้ว


 


“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าปรมาจารย์โอสถต้วน ที่แท้เป็นตัวตนทรงพลังขอบเขตราชาอมตะ!!”


 


หยางชงที่พึ่งมาหลังได้ฟังเรื่องราว ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


“สัตว์ประหลาด!”


 


อวี๋จ้งจิ่งกล่าวคำสั้นๆออกมาไม่กี่พยางค์ แต่คำนี้ของมันนับว่าให้นิยามต้วนหลิงเทียน และบ่งบอกถึงความตกใจของมันหลังได้รับทราบเรื่องราวออกมาหมดสิ้น


 


หลังจากสนทนากันด้วยความตื่นเต้นกันอีกสักพัก เหล่าคนของนิกายอมตะไท่อีก็เริ่มแยกย้ายกันไปทีละคน


 


ขณะเดียวกัน คนของนิกายอมตะไท่อี ที่มีธุระต้องออกไปกระทำนอกนิกายอมตะไท่อี ก็นำเรื่องราวที่ประสบพบเจอออกไปเล่าให้สหายด้านนอกฟังกันอ่างออกรส


 


ทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่เพียงแต่จะแพร่ไปทั่วนิกายอมตะไท่อี กระทั่งเมืองไท่อีเองก็เริ่มคุยกันถึงเรื่องนี้ยกใหญ่ สุดท้ายเล่ากันไปปากต่อปาก ก็ไม่วายแพร่ไปถึงเมืองของนิกายอมตะเชียนจี และเมืองของนิกายอมตะหลงหวู่!


 


เรียกว่าเมืองใหญ่ทั้ง 3 เสมือนเดือดพล่านขึ้นมาทันตาเห็น แต่ละคนที่ได้รับทราบข่าวไม่มีใครไม่ตกตะลึง!


 


แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดผู้ที่สงสัยคลางแคลง!


 


เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องราวที่เกิดครั้งนี้ มันฟังดูเหลือเชื่อทั้งเกินจริงมากเกินไป!


 


ขณะเดียวกัน ทางด้านนิกายอมตะเชียนจี และนิกายอมตะหลงหวู่ก็เริ่มได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน


 


“ต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีผู้นั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นปรมจารย์โอสถฝีมือเลิศล้ำ แต่ยังเป็นตัวตนอันทรงพลังขอบเขตราชาอมตะอีกหรือ?”


 


“เป็นไปได้ยังไง!?”


 


“หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีผู้นั้น ข้าเคยพบเจอมากับตัว และยืนยันได้แน่ชัดว่าอีกฝ่ายอายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ…ผู้ที่ประสบความสำเร็จในเต๋าโอสถสูงเทียมฟ้าเช่นนั้น ไหนเลยจะกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะไปได้?”


 


“ข่าวปลอม! เรื่องนี้สมควรเป็นข่าวปลอมที่นิกายอมตะไท่อีจงใจแพร่ออกมาสร้างความสับสนให้ผู้คนแน่!!”


 


….


 


ไม่ว่าจะเป็นนิกายอมตะเชียนจี หรือนิกายอมตะหลงหวู่ พอได้ยินเรื่องราวที่ร่ำรือกันหนาหูจากภายนอกช่วงนี้ ทั้งหมดล้วนปักใจเชื่อว่าไม่พ้นเป็นข่าวปลอมแน่แท้! เพราะเรื่องแบบนี้มันสุดที่ใครจะเชื่อได้ลงคอจริงๆ!!


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น หยอกล้อกับบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ จากนั้นก็ใช้พลังวิญญาณทำลายอำนาจจิตของหลี่อัน สุดท้ายก็ทำลายดวงจิตเข่นฆ่าหลี่อันได้ในพริบตางั้นหรือ?”


 


“หึ! หากต้วนหลิงเทียนผู้นั้นแข็งแกร่งถึงขั้นนั้นจริงๆ…ไฉนตอนเกิดเรื่องขึ้นกับบรรพจารย์ไท่อีในจัตุรัสเต๋าโอสถ มันถึงนิ่งดูดายปล่อยให้บรรพจารย์ไท่อีโดนไป๋หวู่จี้เข่นฆ่าไปเช่นนั้นเล่า? ในเมื่อหากมีพลังมากพอจะช่วยเหลือ ไยจึงไม่ช่วยคนแต่แรก?”


 


“ใช่! ตอนนั้นยามที่ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋หวู่จี้ ลงมือกับบรรพจารย์ไท่อี ไฉนมันนิ่งเฉยไม่ลงมืออะไร ทั้งๆที่หากมีพลังระดับนั้นจริง มันอาศัยแค่หนึ่งฝ่ามือก็สมควรยุติเรื่องราวได้แล้ว?”


 


“มิผิด วันนั้นใครๆก็เห็น ว่าสุดท้ายมันก็นิ่งเฉยไม่ทำอะไร จวบจนเหอซานถูกไป๋หวู่จี้ฆ่าตาย!”


 


“อีกทั้งในงานสมัชชาเต๋าโอสถ ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนนั่นก็เปิดเผยระดับพลังฝึกปรือออกมาแล้วหรือไร ว่ายังเป็นเพียงยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับเท่านั้น?”


 



 


นิกายอมตะเชียนจีกับนิกายอมตะหลงหวู่ ก็ไปเข้าร่วมงานสมัชชาเต๋าโอสถเช่นกัน แถมพวกมันยังได้เห็นเรื่องราวการตายของบรรพจารย์ไท่อีมากับตา เช่นนั้นพวกมันจึงปักใจเชื่อกันว่าข่าวที่แพร่ออกมาจากนิกายอมตะไท่อีนั้น ล้วนแล้วแต่ไร้แก่นสารข้อเท็จจริง เป็นข่าวปลอมเห็นๆ!!


 


เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็มีจุดที่น่าสงสัยมากเกินไป!


 


“มัน…เป็นราชาอมตะ?”


 


ในนิกายอมตะเชียนจี โจวฉู่ชิงที่ได้ยินข่าวจากภายนอกแล้วเช่นกัน ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาทันที เพราะนางเองก็รู้สึกว่าข่าวดังกล่าวช่างไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย


 


สุดท้ายก็จบลงเช่นนี้


 


ถึงแม้ว่าข่าวการสังหารบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่อัน จะแพร่ออกมาจากนิกายอมตะไท่อี จนแพร่ไปทั่วเมืองใหญ่ในพื้นที่รกร้าง แต่นอกจากคนของนิกายอมตะไท่อีแล้ว ก็ไม่มีคนของนิกายอมตะใหญ่ที่เหลืออีก 2 นิกายเชื่อถือสักคน


 


และทั้งหมดเป็นเพราะว่า ในบรรดาระดับสูงของนิกายอมตะเชียนจีและนิกายอมตะหลงหวู่ที่ไปร่วมงานสมัชชาเต๋าโอสถและเห็นบรรพจารย์ไท่อีตายตกกับตา ไม่มีใครเชื่อว่าข่าวเรื่องนี้เป็นจริงแม้แต่คนเดียว


 


เมื่อมีผู้ที่เห็นเรื่องราวมากับตาและเป็นพยานว่าวันนั้นต้วนหลิงเทียนนิ่งดูดายเหอซานตายตกอย่างไรออกมาพูด ก็ทำให้คนของนิกายอมตะเชียนจีและนิกายอมตะหลงหวู่อื่นๆ เชื่อถือคำพูดของคนในมากกว่า ไม่มีใครคิดเชื่อคำคนนอกอย่างนิกายอมตะไท่อีแม้แต่คนเดียว


 


“พวกมัน…ไม่มีผู้ใดเชื่อกันเลยหรือ?”


 


“หึ! พลังฝีมือของปรมาจารย์โอสถต้วน เป็นข้าเห็นมากับตา! ท่านเป็นราชาอมตะไม่ผิดแน่นอน! พวกนิกายอมตะเชียนจีกับนิกายอมตะหลงหวู่นั่น คิดว่าข้ากล่าวเหลวไหลเช่นนั้นรึ?”


 


“พวกมันไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ! หรือข้าไปบังคับให้พวกมันเชื่อ!?”


 


….


 


หลังได้รับทราบว่าคนนอกไม่มีใครเชื่อเรื่องราวที่เล่าออกไป คนของนิกายอมตะไท่อีย่อมไม่สบอารมณ์เป็นธรรมดา


 


“แต่นี่ก็ช่วยไม่ได้ พวกนิกายอมตะเชียนจีกับนิกายอมตะหลงหวู่จะไม่เชื่อก็ไม่แปลกหรอก เพราะสุดท้ายพวกมันก็ไม่ได้มาเห็นเรื่อราวกับตาอย่างที่พวกเราเห็น…ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใดจะไปทราบว่า อยู่ๆปรมาจารย์โอสถต้วนจะเข่นฆ่าสังหารหลี่อันได้ง่ายดายขนาดนั้น ยังจะไปทันคิดเรื่องนำลูกแก้วเงาลอยมาบันทึกเรื่องราวได้ทันอย่างไร?”


 


“ที่สำคัญ ลูกแก้วเงาลอยธรรมดาก็คงไม่อาจบันทึกภาพเรื่องราวอะไรได้ทัน…เว้นเสียแต่จะเป็นลูกแก้วเงาลอยระดับราชาอมตะ ถึงจะสามารถจับภาพความเคลื่อนไหวของปรมาจารย์โอสถต้วนได้ทัน กล่าวได้ว่าคงยากที่พวกเราจะหาหลักฐานอะไรมายืนยันได้…”


 


“ใช่…เพราะต่อให้เป็นลูกแก้วเงาลอยระดับขุนนาง ก็ไม่อาจบันทึกการเคลื่อนไหวของราชาอมตะได้ มีแต่ลูกแก้วเงาลอยระดับราชาอมตะเท่านั้น ถึงจะสามารถบันทึกความเคลื่อนไหวของตัวตนขอบเขตราชาอมตะได้”


 



 


คนของนิกายอมตะไท่อีหลายคนสนทนาถึงเรื่องนี้กันด้วยความเสียดาย ว่าไฉนพวกมันถึงไม่มีลูกแก้วเงาลอยระดับราชาพกติดตัวกันไว้


 


ซ้ำร้ายคนที่มีลูกแก้วเงาลอยระดับราชาวันนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เพราะพวกมันหลายคน ถึงแม้จะมีลูกแก้วเงาลอยระดับราชาพกติดตัว แต่เรื่องราวก็เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ใครจะไปทันคิดถึงเรื่องนำออกมาบันทึกได้ทัน…


 


ทำให้เหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะไท่อีที่มีลูกแก้วเงาลอยระดับราชาไว้ในครอบครอง พากันโอดครวญกันยกใหญ่ แต่ละคนเรียกว่าเสียใจกันสุดซึ้ง…


 


ว่าไฉนตอนนั้นพวกมันถึงไม่มือไวนำลูกแก้วเงาลอยระดับราชาออกมาบันทึกฉากเรื่องราวเอาไว้กันหนอ?!


 


แน่นอนว่ายังมีหลายคนที่ถึงไม่มีลูกแก้วเงาลอยระดับราชา ก็พากันโอดครวญด้วยความเสียดายเช่นกัน เพราะต่อให้จะเป็นลูกแก้วเงาลอยระดับขุนนาง แม้จะไม่อาจบันทึกฉากการลงมือของต้วนหลิงเทียนเอาไว้ได้ แต่หากบันทึกฉากตอนหลี่อันตกตายก็ไม่นับว่ามีปัญหาอะไร


 


เพราะหลังจากที่หลี่อันถูกจับ จวบจนใช้อำนาจจิตกระทั่งถูกพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนสวนมาฆ่าตาย คนก็อยู่นิ่งๆกลางฟ้า อย่างน้อยๆ ก็สามารถบันทึกฉากสุดท้ายก่อนมันตกตาย ไม่เว้นฉากที่มันร่วงตกฟ้าไปจนร่างแหลกเหลว นอนตายเยี่ยงสุนัขตัวหนึ่งได้ไม่ยาก…


 


แน่นอนว่าหลังหลี่อันร่างแหลกเหลวไปแล้ว คราวนี้ต่อให้พวกมันจะบันทึกแล้วเอามาให้ผู้คนดู ผู้คนก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่านั่นคือหลี่อันบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์…ไม่พ้นต้องคิดว่านิกายอมตะไท่อีจัดฉากอะไรกันแน่! เพราะนิกายอมตะไท่อีไหนเลยจะมีปัญญาฆ่าหลี่อันได้!!


 


“พวกเจ้าได้ยินเรื่องที่พึ่งร่ำลือกันช่วงนี้หรือไม่…ตอนนี้คนของนิกายอมตะเชียนจีและนิกายอมตะหลงหวู่ได้ออกมายืนยันว่าเป็นข่าวปลอมพร้อมให้เหตุผลที่น่าเชื่อถือแล้วด้วย…กระทั่งหลังข้าได้ฟังยังรู้สึกว่าสมเหตุสมผลยิ่ง”


 


“เหตุผลอะไรหรือ?”


 


“พวกมันกล่าวว่า หากปรมาจารย์โอสถต้วนเป็นราชาอมตะจริง…ในงานสมัชชาเต๋าโอสถ ไฉนถึงนิ่งดูดายปล่อยให้ไป๋หวู่จี้ฆ่าผู้อาวุโสเหอซาน? มิใช่หากฆ่าได้กระทั่งหลี่อัน เช่นนั้นคิดจะหยุดไป๋หวู่จี้เอาไว้ ก็นับเป็นเรื่องราวอันง่ายดายหรือไร?”


 


“เอ่อ…เรื่องนี้มันก็จริง ไฉนข้าไม่ทันนึกถึงมาก่อนนะ…”


 


“หรือว่า…บางทีในงานสมัชชาเต๋าโอสถตอนนั้น เป็นปรมาจารย์โอสถต้วนคิดว่าท่านบรรพจารย์ได้เข่นฆ่าไป๋อวี่ซวนไปจริงๆ? ในเมื่อบิดาอย่างไป๋หวู่จี้คิดล้างแค้น ก็เป็นเรื่องชอบด้วยเหตุผล จึงไม่ได้ลงมือเข้าขัดขวางเรื่องราวความแค้นของผู้อื่น?”


 


“ที่เจ้าว่ามาก็อาจเป็นได้…เพราะสุดท้ายแล้วปรมาจารย์โอสถต้วนก็ต้องจากนิกายอมตะไท่อีไปในสักวัน ถึงตอนนั้นจะหยุดไป๋หวู่จี้ไม่ให้ฆ่าท่านบรรพจารย์ได้ แล้วหลังจากปรมาจารย์โอสถต้วนจากไปแล้วเล่า? ถึงตอนนั้นไป๋หวู่จี้ที่โดนขัดขวางไว้ ไม่ใช่ว่าจะมีโทสะและบุกมาเข่นฆ่าคนถึงนิกากยอมตะไท่อีหรือไร เผลอๆอาจไม่ได้มีแค่ท่านบรรพจารย์คนเดียวที่ตาย แต่อาจมีคนอื่นตายเพราะถูกมันระบายอารมณ์คับแค้น! กล่าวได้ว่าถึงปรมาจารย์โอสถต้วนจะสอดมือยับยั้งเรื่องราวได้ ก็รังแต่จะทำให้ไป๋หวู่จี้เพาะสร้างความแค้นที่มีต่อนิกายอมตะไท่อีเรามากขึ้นเท่านั้น”


 


“เช่นนั้นพวกเราอาจกล่าวได้ว่า…ไม่ใช่ปรมาจารย์โอสถต้วนไม่เคลื่อนไหว แต่ไม่อาจเคลื่อนไหว!”


 


….


 


เมื่อวาจาทำนองดังกล่าวดังขึ้นไปทั่วทุกแห่งหน ภายในเขตที่พักของประมุขนิกายอมตะไท่อี ไป๋ผิงประมุขนิกายอมตะไท่อีก็ได้แต่ขมวดคิ้วย่นเป็นปม สีหน้าของมันฉายชัดถึงความสับสนไม่เข้าใจออกมา


 


“จากที่ปรมาจารย์โอสถต้วนกล่าวไว้ก่อนหน้านี้…ตอนที่ท่านบรรพจารย์เผชิญหน้ากับการเข่นฆ่าของไป๋หวู่จี้ เป็นปรมาจารย์โอสถต้วนไม่อาจช่วยได้ทัน…กล่าวได้ว่าวันนั้นปรมาจารย์โอสถต้วนไม่อาจยับยั้งไป๋หวู่จี้ไม่ให้สังหารท่านบรรพจารย์ได้จริงๆ…”


 


“แต่หากเป็นเช่นนั้น…ไฉนวันนี้ปรมาจารย์โอสถต้วนถึงสำแดงพลังกล้าแข็งถึงขั้นบดขยี้หลี่อันออกมาได้ง่ายดายเล่า? แถมพลังที่เผยออก ยังนับว่าเหนือกว่าราชาอมตะทั่วไปด้วยซ้ำ?”


 


ในหัวไป๋ผิงตอนนี้ เรื่องราวที่ดูย้อนแย้งได้ตีกันในหัวอย่างมะรุมมะตุ้ม จนมันสับสนไปหมด


 


“ช่างมันเถอะ ข้าจะคิดมากไปทำอะไร…เพียงรอปรมาจารย์โอสถต้วนกลับมา ค่อยถามตรงๆเสียก็จบ”


 


พอคิดหาเหตุผลอยู่นานแต่ไม่อาจหาเหตุผลมารองรับได้ สุดท้ายไป๋ผิงก็เลิกคิดอะไรให้มาก เพียงตัดสินใจว่ารอให้ต้วนหลิงเทียนกลับมาก่อน ค่อยถามเจ้าตัวเอาก็รู้เอง…


ตอนที่ 2,898 : บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่ผิง


 


เป็นธรรมดาว่าด้านต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ว่าหลังจากเขาเดินทางออกมาจากนิกายอมตะไท่อีแล้ว ในพื้นที่รกร้างจะถกเถียงเรื่องเขากันยกใหญ่


 


ตอนนี้เขาอยู่ในระหว่างการเดินทางไปยังนิกายอมตะสราญรมย์ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เหินบินไปเอง แต่เป็นเถี่ยไท่เหอที่ใช้พลังไร้สภาพหอบหิ้วเขาเดินทาง


 


ทำให้ตลอดการเดินทาง เขาสามารถทุ่มสมาธิตีความวรยุทธ์อมตะระดับขุนนางอย่าง ราชันไม่เคลื่อนไหว ที่เขาได้รับมาจากนิกายอมตะสราญรมย์ได้เต็มที่


 


หากเขาแตกฉานวรยุทธ์อมตะ ราชันไม่เคลื่อนไหว ถึงขั้นตอนไร้ตำหนิเมื่อไหร่ เขาก็ตั้งใจจะออกเดินทางจากพื้นที่ชายแดนเพื่อไปยังภาคกลางทันที


 


และเป็นธรรมดาว่าที่เขาขอยืมตัวเถี่ยไท่เหอให้มาหอบหิ้วเขาเดินทางไปนิกายอมตะสราญรมย์นั้น ไม่ใช่เพราะคิดจะใช้เวลาเดินทางตีความวรยุทธ์อมตะเพียงอย่างเดียว แต่เขายังทำไปเพื่อประหยัดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของเขาอีกด้วย


 


หลังจากใช้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลืองแล้ว แม้มันจะมอบความแข็งแกร่งขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดให้เขา แต่พลังที่ได้มานั้นไม่ใช่ว่าจะคงอยู่ถาวร


 


ทุกครั้งที่เขาลงมือใช้พลังๆที่อยู่ในร่างเขาก็จะลดลงเรื่อยๆ! หากใช้พลังที่ได้มาหมดแล้ว ระดับพลังของเขาก็จะหวนคืนสู่สภาพดั้งเดิม!!


 


‘ก่อนหน้านี้ข้าลงมือแค่ไม่กี่ครั้ง กับใช้พลังวิญญาณฆ่าหลี่อันนั่นไป…ระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของข้ารวมถึงพลังวิญญาณก็ลดลงไปส่วนหนึ่ง ทำให้ความแข็งแกร่งของข้าลดลงไปทันที’


 


‘ก่อนหน้าพลังของข้ายังอยู่ในขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด หากทว่าตอนนี้เมื่อพลังพร่องไปส่วนหนึ่ง แม้จะถือว่าไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็ทำให้ระดับพลังของข้าตกไปอยู่ที่ขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศแล้ว…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนอยู่ในใจ


 


อย่างไรก็ตามราชาอมตะ 10 ทิศ ก็ยังถือว่าเป็นตัวตนที่มีระดับพลังสูงที่สุดในขอบเขตราชาอมตะ ถึงพูดไปจะห่างจากจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดเพียงขั้นเดียว แต่หากมองจากระดับพลังในร่างของเขาแล้ว ขั้นเดียวที่ว่าช่างแตกต่างกันอย่างมหาศาลนัก!


 


‘อย่างไรก็ตามอาศัยความแข็งแกร่งในตอนนี้ ก็มากเกินพอที่ข้าจะเดินท่องไปทั่วพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนทั้งสิ้น’


 


พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็โล่งใจไปหลายส่วน


 


ดังนั้นการเดินทางหลังจากนั้น เขาจึงทุ่มเทจิตสมาธิตีความและฝึกฝนวรยุทธ์อมตะระดับขุนนาง 3 สาย ราชันไม่เคลื่อนไหว อย่างตั้งอกตั้งใจหมายแตกฉานมันให้เร็วที่สุด


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนตั้งใจตีความฝึกปรือวรยุทธ์อมตะ ฮ่วนเอ๋อเองก็เดินพลังรักษาอาการบาดเจ็บ จนอาการดีขึ้นทุกขณะ


 


สำหรับตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์ จี้ฟ่าน นั้น ตอนนี้เรียกว่าหายซ่าไปเรียบร้อย มันไม่คิดจะทำอะไรเป็นการแข็งข้อต่อต้านทั้งสิ้น เรียกว่าคล้ายยอมรับชะตากรรมของตัวเองได้แล้ว อาการยังแลคล้ายศพเดินได้ตนหนึ่ง วาจาที่เอ่ยออกนานๆครั้ง ก็คือการบอกทิศทางเถี่ยไท่เหอเท่านั้น


 


‘ตอนนี้ทางนิกายคงรู้แล้วกระมัง…ว่าอาจารย์ของข้าถูกฆ่าตายไปแล้ว’


 


สำหรับการตายของหลี่อันบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ จี้ฟ่านไม่ได้รู้สึกเศร้าใจสักเท่าไหร่ กระทั่งยังลอบตัดพ้อต่อโชคชะตาของตัวเอง ว่ามันไฉนต้องหาเรื่องติดตามหลี่อันมาที่นี่ด้วย…


 


ต้องทราบด้วยว่าครั้งนี้มันไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ แต่มันดันทะลึ่งอยากมาของมันเอง…


 


สำหรับหลี่อันนั้น เดิมทีในใจมันก็มีความกตัญญูรู้คุณอยู่บ้าง หากทว่าหลังจากที่เห็นหลี่อันคิดหนีโดยทิ้งมันเอาไว้อย่างไม่ใยดี ความกตัญญูที่มีต่อหลี่อันก็เสมือนได้ตายไปจากใจของมันทันที


 


ถึงมันจะเข้าใจการกระทำของหลี่อัน และรู้ดีว่าต่อให้เป็นตัวมันเองก็ไม่พ้นต้องกระทำดุจเดียวกันกับหลี่อัน


 


แต่มันก็ไม่อาจทำใจยอมรับความจริงที่หลี่อันทอดทิ้งมันให้เผชิญกับชะตากรรมเพียงลำพังได้…


 



 


ณ พื้นที่ก้าวข้าม นิกายอมตะสราญรมย์


 


ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสราญรมย์นั้น ตั้งอยู่บนขุนเขาสูงตระหง่าน ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกตลอดทั้งปี อีกทั้งในเมฆหมอกยังแฝงเร้นไปด้วยพลังของค่ายกลหลอนประสาท หากผู้ใดหลงเข้ามาไม่พ้นต้องตกอยู่ในภาพหลอนจากจิตใต้สำนึกของตัวเอง อาจถึงขั้นตกอยู่ในอาคมไปชั่วชีวิตหากไร้พลังฝ่าค่ายกล


 


และวันนี้ นิกายอมตะสราญรมย์ก็ถูกกำหนดให้หาความสงบสุขไม่เจอ


 


ครืนนนน!!


 


ตูมมม!!


 


…..


 


ไร้ซึ่งสัญญาณใดๆบอกเหตุ อยู่ดีๆ ณ พื้นที่อันเป็นเขตที่พักของตัวตนระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็บังเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง จนโครงสร้างอาคารหลายจุดไม่อาจรับไหว ถึงกับพังทลายลงมา!


 


“เกิดอะไรขึ้นกัน!?”


 


“นี่มัน…แผ่นดินไหวงั้นรึ?!”


 


“แผ่นดินไหวกับผีน่ะสิ! นิกายอมตะสราญรมย์เราเต็มไปด้วยค่ายกลมากมายจัดตั้งไว้ ยังมีค่ายกลเสริมแกร่งอีกไมรู้เท่าไหร่ ต่อให้ภูเขาถล่มอาคารของพวกเราก็ไม่อาจพังลงง่ายๆ…เรียกว่าหากเป็นแค่แผ่นดินไหวจริง ไม่มีทางเกิดผลกระทบถึงระดับนี้ได้!”


 


“หากไม่ใช่แผ่นดินไหว แล้ววนี่มันเกิดอะไรขึ้นเล่า!?”


 


“ข้าก็อยู่กับเจ้า แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”


 



 


ทุกคนที่อาศัยอยู่ในพื้นีท่แถบนี้เร่งรุดเหินร่างออกจากเคหะสถานด้วยความแตกตื่น มองไปไกลๆ คล้ายฝูงนกแตกรังที่เหินบินกันจ้าละหวั่น แต่ละคนแลดูหน้าตางุนงงสับสนด้วยไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆมันเกิดอะไรขึ้น


 


“น้องอัน!!”


 


และไม่ให้ทุกคนสับสนงุนงงอยู่นาน เสียงดังสนั่นแฝงเร้นไปด้วยคลื่นพลังรุนแรง ที่สมควรเป็นต้นตอก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนปานแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ก็ดังมาถึงหูพวกมัน และพาลให้แก้วหูของเหล่าคนนิกายอมตะสราญรมย์ในพื้นที่จำต้องสะท้านไปแทบปริฉีก! อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ทำให้พวกมันตระหนักได้ทันทีว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น!!


 


“นี่มัน…ดูเหมือนจะเป็นเสียงของท่านบรรพบุรุษหลี่ผิงมิใช่หรือ?”


 


“ให้ตายเถอะ ฟังจากเสียงโศกเศร้านั่นแล้ว…หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับบรรพบุรุษหลี่อัน?”


 


“บรรพบุรุษหลี่อันเกิดเรื่อง!? เป็นไปไม่ได้!”


 


“นั่นสิ มิใช่บรรพบุรุษหลี่อันพึ่งออกเดินทางไปพื้นที่รกร้าง เพื่อไปจัดการต้วนหลิงเทียนที่นิกายอมตะไท่อี ข้อหาที่มันกล้าปั้นแต่งเรื่องราวมาขู่ให้บรรพบุรุษหลี่อันหวาดกลัวมิใช่หรือไร…ในพื้นที่รกร้าง ยังมีผู้ใดที่มีความสามารถต้านทานบรรพบุรุษหลี่อันได้อีก?”


 


“ใช่! เว้นเสียแต่ ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นจะมีพื้นเพความเป็นมาไม่ธรรมดาอย่างตระกูลใหญ่ในภาคกลางจริงๆ และมียอดฝีมือที่ทรงพลังเหนือขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักลอบให้ความคุ้มครองอยู่ หาไม่แล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะทำอะไรบรรพบุรุษหลี่อันได้!”


 



 


หลังได้ยินเสียคำรามด้วยความเศร้าโศกทั้งคับแค้นของหลี่ผิง เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็หน้าเสียไปทันที เพราะพวกมันสังหรณ์ว่าบรรพบุรุษหลี่อันของพวกมันสมควรเกิดเรื่องแล้ว!


 


มิฉะนั้น ไฉนบรรพบุรุษหลี่ผิงของพวกมันถึงได้ตะโกนเสียงดังจนคล้ายสัตว์ป่าคำรามด้วยความเศร้าโศกและคับแค้นถึงขนาดนั้นออกมา!?


 


“ไป! ไปชมดูให้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!!”


 


“ไปกันเถอะ!”


 


ทันใดนั้นเหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ ก็มุ่งหน้าตรงยังแหล่งกำเนิดเสียง อันเป็นเขตที่พักของบรรพบุรุษหลี่ผิงทันที


 


ถึงแม้พวกมันจะยังไม่ทราบว่า ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่


 


อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ยากที่พวกมันจะคาดเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้…


 


“บรรพบุรุษหลี่อันเดินทางไปจัดการเรื่องราวที่นิกายอมตะไท่อี มาตอนนี้บรรพบุรุษหลี่ผิงกับร่ำร้องออกมาเช่นนั้น ข้าเกรงว่าบรรพบุรุษหลี่อันสมควรเกิดเรื่องแล้วเป็นแน่…ยิ่งไปกว่านั้นบรรพบุรุษหลี่ผิงเองก็สมควรมีลูกแก้ววิญญาณของบรรพบุรุษหลี่อันเก็บไว้!”


 


“บรรพบุรุษหลี่อันตายตกแล้วงั้นหรือ…เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร!?”


 


“ถึงข้าเองก็คิดว่าเรื่องแบบนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้…แต่อย่างไรเสียก็สมควรเป็นความจริง พอพวกเราไปพบบรรพบุรุษหลี่ผิง ก็คงสามารถยืนยันเรื่องราวที่แน่ชัดได้…”


 



 


ในระหว่างเหินร่างมุ่งหน้าไปยังเขตที่พักของบรรพบุรุษนิกายอมตะสราญรมย์หลี่ผิง พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะสนทนนากันอย่างเคร่งขรึม


 


สีหน้าของพวกมันยังอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!


 


เพราะหากว่าบรรพบุรุษหลี่อันตกตายไปแล้วจริงๆ นั่นไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนิกายอมตะสราญรมย์ของพวกมันเลย! พวกมันไหนเลยจะอารมณ์ดีอยู่ได้!!


 


สิ่งนี้หมายความว่านิกายอมตะสราญญรมย์ของพวกมันได้สูญเสียตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักไป!


 


ยิ่งไปกว่านั้นขุนนางอมตะ 9 ตำหนักคนนี้ยังไม่ใช่ขุนนางอมตะ 9 ตำหนักธรรมดา แต่เป็นสุดยอดฝีมือที่ไร้ผู้ต้านในด่านพลังเดียวกัน! ยังมีแนวโน้มสูงนักที่จะทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้!!


 


เรียกว่าหากเกิดเรื่องกับบรรพบุรุษหลี่อันถึงขั้นตายตกไปแล้วจริง ก็ไม่ต่างอะไรกับนิกายอมตะสราญรมย์ของพวกมันสูญเสียตัวตนที่จะกลายเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศในอีกไม่นานไป!


 


เรื่องนี้สำหรับนิกายอมตะสราญรมย์แล้ว เสมือนระเบิดห่าใหญ่ถล่มลงจากฟ้าก็ไม่ปาน!


 


ห่างออกไปไกลๆ เมื่อคนของนิกายอมตะสราญรมย์ได้ยินเสียงของหลี่ผิง พวกมันเองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าบรรพบุรุษหลี่อันของพวกมันสมควรเกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นแน่ สีหน้าก็พากันถมึงทึงแทบดูไม่ได้!


 


ไม่นานเหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็พากันเหินร่างมาถึงเคหะสถานของหลี่ผิง บรรพบุรุษอีกคนของนิกายอมตะสราญรมย์


 


ในนิกายอมตะสราญรมย์นั้นมีบรรพบุรุษอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 2 คน ได้แก่ หลี่ผิง กับ หลี่อัน…


 


ถึงแม้ทั้งคู่จะใช้แซ่เดียวกัน จนฟังดูเหมือนเป็นพี่น้อง


 


แต่อันที่จริงแล้วทั้งคู่ไม่ใชพี่น้องแท้ๆ แต่เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกันเท่านั้น..


 


อย่างไรก็ตามหลังจากช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตั้งแต่สมัยยังเยาว์ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็สนิทสนมแน่นแฟ้นไม่ต่างอะไรจากพี่น้องแท้ๆ กระทั่งยังเคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาหลายครั้ง!


 


ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงห่วงใยและผูกพันกันมาก


 


“อาจารย์ลุง…เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?!”


 


ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ ชายวัยกลางคนในชุดหลวงจีนสวมไว้ด้วยจีวรสีน้ำตาลแดงบัดนี้ใบหน้าที่เคยเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา กลับบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก


 


เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงก็มาถึงหลังประมุขผู้นี้ติดๆ


 


“ท่านบรรพบุรุษ!”


 


หลายคนพอมาถึงก็เร่งประสานมือคารวะด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อมทันที


 


และเบื้องหน้าของพวกมัน ก็ปรากฏร่างชายชราร่างผอม ที่บัดนี้จีวรได้กระพือสะบัดไปดั่งเปลวไฟ ทั่วร่างยังปรากฏพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดกำจายออกมาสะท้านสะเทือนไปในบรรยากาศ ร่างลอยอยู่เหนือเศษซากปรักหักพัง ในมือที่สั่นระริกถือไว้ด้วยเศษลูกแก้วแตกๆ สองตาแดงฉานจับจ้องมองเศษลูกแก้วนั้นด้วยความโศกเศร้า


 


และตอนนี้หากไม่ใช่คนที่สัมผัสตายด้านไร้ความรู้สึกมายืนอยู่ใกล้ๆ ย่อมสัมผัสได้ชัดเจนว่านอกจากความโศกเศร้าแล้ว อีกฝ่ายยังเต็มไปด้วยอารมณ์ดุร้ายเกรี้ยวกราดปานภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิดได้ทุกเวลา!


 


เผชิญหน้ากบัการคารวะทักทายยของระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์ ชายชราไม่ได้แยแสอะไร คล้ายหูหนวกไม่ได้ยินเรื่องราว


 


แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก มันก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย สองตาที่แดงฉานเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยน่ากลัว มองไปยังประมุขนิกายอมตะสราญรมย์พลางกล่าวเสียงอาลัย “คงเอ๋อ…อาจารย์ของเจ้าตายแล้ว!”


 


“นี่…เป็นลูกแก้ววิญญาณของอาจารย์เจ้า…”


 


วาจาท้ายประโยคของชายชราผู้เป็นบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่ผิง น้ำเสียงยังสั่นเครือไป และไม่ใช่สั่นเพราะความโศกเศร้าเท่านั้น คล้ายมันเต็มไปด้วยโทสะอันยากระงับ!


 


“ท่านอาจารย์!!”


 


ถึงแม้ว่า หลิวเสวียนคง จะคาดเดาได้แต่แรก แต่พอมาได้ยินคำยืนยันจากปากหลี่ผิงจริงๆ สองตามันก็แดงรื้นขึ้นมาทันที ร่างยังทรุดลงไปคุกเข่าบนพื้น สีหน้าเผยความเศร้าเสียใจหาใดเปรียบ


 


“นี่มัน…อะไรกัน ที่แท้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!?”


 


หลิวเสวียนคง ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ที่ทรุดตัวลงไปคุกเข่าบนพื้น สองหมัดของมันกำแน่นจนข้อขาว ทุบพื้นอย่างเกรี้ยวกราด ใบหน้าปรากฏหยาดน้ำตาสองสายไหลริน


 


“ข้าอยากรู้…ว่าน้องอันของข้าอยู่ที่ใด?”


 


หลิงผิงกวาดตามองไปทางระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ กล่าวถามออกมาเสียงหนัก “ตัดสินจากกลิ่นอายลูกแก้ววิญญาณน้องอันที่ไร้กลิ่นอายใดๆหลงเหลือ…น้องอันของข้าสมควรตกตายไปได้สักพักแล้ว…”


 


“ก่อนที่ข้าจะปิดด่านครั้งนี้ หากข้าจำไม่ผิดมิใช่น้องอันนำคนไปเข้าร่วมงานสมัชชาเต๋าโอสถที่พื้นที่แห้งแล้งหรือไร…แล้วไฉนถึงเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้?”


 


กล่าวถึงประโยคท้ายหลี่ผิงก็ละสายตาจากเหล่าอาวุโสระดับสูง หันมามองจ้องหลิวเสวียนคงด้วยสายตาไถ่ถาม


 


เป็นเพราะหลี่ผิงได้ปิดด่านบ่มเพาะพลังอย่างสันโดษมาสักพักแล้ว มันจึงไม่รู้เลยว่าหลี่อันได้ย้อนกลับมาจากงานสมัชชาเต๋าโอสถนานแล้ว กระทั่งยังรั้งอยู่ในนิกายพักใหญ่กว่าจะออกไปอีกครั้ง…


 


“อาจารย์ลุง”


 


ได้ยินคำถามของหลี่ผิง หลิวเสวียนคงย่อมไม่กล้าละเลย จึงบอกหลี่ผิงออกไปทุกเรื่อง ว่าที่แท้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างในงานสมัชชาเต๋าโอสถ แน่นอนว่ามันไม่ได้ปกปิดเรื่องอะไรเอาไว้ กระทั่งยังไร้ความกล้าจะปิดบัง!


 


“อายุไม่ถึงร้อยปี ไม่เพียงแต่จะเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูง แต่ยังสามารถหลอมโอสถหลัวเทียนได้เตาหนึ่ง 13 เม็ดยา ที่สำคัญภายใต้เงื่อนไขเดียวกันยังใช้เวลาอุ่นเตาน้อยกว่าปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนาง? ได้รับการยอมรับให้เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงอันดับ 1 ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้?”


 


“ที่สำคัญด่านพลังที่เปิดเผยออกมายังบรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับแล้ว?”


 


“ทว่าตัวตนเช่นนี้ กลับเป็นเพียงผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาจากระนาบโลกียะ?”


 


ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากปากหลิวเสวียนคง รวมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานสมัชชาเต๋าโอสถ ไม่เว้นผู้ที่หลี่อันไปมีเรื่องบาดหมางด้วยอย่างปรมาจารย์โอสถอมตะระดับสูงนาม ต้วนหลิงเทียน ก็ทำให้หลี่ผิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปพักหนึ่ง


 


จังหวะนี้มันถึงขั้นลืมเลือนการตายของลูกพี่ลูกน้องไปชั่วคราว


 


และผ่านไปสักพักมันก็กลับมารู้สึกตัว มองจ้องไปยังหลิวเสวียนคเอ่ยถามออกไปเสียงหนัก “น้องอัน ออกเดินทางไปยังนิกายอมตะไท่อีของพื้นที่รกร้าง หลังขุดคุ้ยความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ด้วยคิดจะฆ่ามันงั้นหรือ?”


 


“ใช่ อาจารย์ลุง”


 


หลิวเสวียนคงพยักหน้ารับ


 


“บัดซบ! พวกเจ้าเลอะเลือนกันไปหมดแล้วรึไร!?”


 


พอเห็นหลิวเสวียนคงพยักหน้ารับหน้าตาเฉย หลี่ผิงก็ถลึงตามองจ้องเขม็ง ตะคอกคำสบถด่าออกมาดังลั่น “ต่อให้มันจะเป็นแค่ผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มา แต่พวกเจ้าไม่คิดจะสืบค้นให้ละเอียดกว่านี้หรือไร ว่าที่แท้มันใช่มีภูมิหลังอันใดในหลิงหลัวเทียนหรือไม่?”


 


“ในหลิงหลัวเทียนมิเคยขาดแคลนตัวตนลักษณะนี้ ในระนาบโลกียะยังไม่ทราบมีมรดกสถานของยอดคนในหลิงหลัวเทียนเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ยังมีกระทั่งขุมกำลังที่สืบทอดมรดกดำรงสืบต่อกันมาอย่างช้านานสุดที่พวกเจ้าจะจินตนาการได้!!”


 


เสียงตำหนิของหลี่ผิงยิ่งมายิ่งเยียบเย็น


 


“อาจารย์ลุง…”


 


หลิวเสวียนคงที่โดนตำหนิ คลี่ยิ้มขื่นขมออกมากล่าวออกเสียงอ่อน “หากมันมีภูมิหลังความเป็นมายิ่งใหญ่จริงๆ ไม่ใช่ว่าสมควรมีคนไปรอรับตัวมันตั้งแต่ที่มันขึ้นสวรรค์มาแล้วหรือ…แต่จากสิ่งที่พวกเราสืบได้มา ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นมันดิ้นรนด้วยตัวเองมาโดยตลอด”


ตอนที่ 2,899 : ไม่เกิน 1 เดือน


 


“อาจารย์ลุง หากมันมีภูมิหลังความเป็นมายิ่งใหญ่จนอาจมีคนลอบคุ้มครองจริงๆ ตอนที่อาวุโสของนิกายอมตะสือหังเกือบจะลงมือฆ่ามัน ไฉนมันต้องหนีหัวซุกหัวซุน แล้วอาวุโสของนิกายอมตะสือหังที่ลงมือกับมันผู้นั้น ยังจะยังรอดชีวิตมาได้อีกหรือไฉนไม่โดนยอดฝีมือที่ว่าเข่นฆ่าเล่า?”


 


ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ หลิวเสวียนคง มองไปยังอาจารย์ลุงของมัน หลี่ผิง 1 ใน 2 บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ พลางกล่าวตอบออกไปด้วยรอยยิ้มเหยเก


 


หลังจากนั้นหลิวเสวียนคงยังเริ่มกล่าวถึงเหตุผลที่ทำให้พวกมันตัดสินใจว่าต้วนหลิงเทียนไร้ภูมิหลังใดๆ เท่าที่พวกมันสืบเจอออกมาจนหมด


 


“…”


 


“…จากทุกอย่าง ชี้ให้เห็นชัดว่าต้วนหลิงเทียนนั่นไม่ควรมีภูมิหลังใดๆ ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงเห็นพ้องต้องกันเรื่องกำจัดมันทิ้ง!”


 


“หลังจากที่พวกเราเห็นพ้องต้องกันแล้ว ท่านอาจารย์ก็เอ่ยออกมาว่าท่านจะไปฆ่าต้วนหลิงเทียนด้วยมือตัวเอง จากนั้นก็ออกเดินทางไปนิกายอมตะไท่อีของพื้นที่รกร้างพร้อมจี้ฟ่าน”


 


หลิวเสวียนคงกล่าวออกจนจบ


 


และพอกล่าวประโยคสุดท้ายจบคำ หลิวเสวียนคงคล้ายจำอะไรได้ มันยกมือขึ้นเบาๆคราหนึ่ง ก็ปรากฏลูกแก้ววิญญาณสภาพดีลูกหนึ่งผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า


 


“จี้ฟ่าน…ยังมีชีวิตอยู่!”


 


หลังจากนั้นหลิเสวียนคงก็ทำหน้าตาประหลาดใจราวค้นพบทวีปใหม่ออกมา เมื่อเห็นว่าลูกแก้ววิญญาณของจี้ฟ่านยังคงอยู่ดี ไร้เรื่องราว


 


“นั่นคือ…ลูกแก้ววิญญาณของตถาคตหรือ?”


 


“ลูกแก้ววิญญาณของตถาคตยังอยู่ดี บ่งบอกว่าคนยังมีชีวิตอยู่…ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าบรรพบุรุษหลี่อันตายตกไปแล้ว หากแต่ตถาคตยังปลอดภัยอยู่ได้ มิใช่ว่าทั้งสองคนเดินทางไปนิกายอมตะไท่อีด้วยกันหรือไร? แล้วไฉนตถาคตยังไม่ถูกฆ่าตายเล่า?”


 


“ที่แท้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนบรรพบุรุษหลี่อันที่เข้มแข็งกว่ากลับตาย หากแต่ตถาคตที่อ่อนด้อยกว่ายังมีชีวิตอยู่?”


 



 


หลังได้เห็นว่าลูกแก้ววิญญาณของจี้ฟ่านที่หลิวเสวียนคงนำออกมายังเป็นปกติ เหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสราญรมย์ก็อดไม่ได้ที่จะสับสนงุนงง


 


“ฟ่านเอ๋อยังไม่ตายหรือ?”


 


ด้านหลี่ผิงเองก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยคววามแปลกใจ ลูกตายังหดหยีลงเล็กน้อย หันไปมองถามหลิวเสวียนคงด้วยความแปลกใจว่า “คงเอ๋อ…เจ้าแน่ใจหรือว่าลูกแก้ววิญญาณลูกนี้ เป็นลูกแก้ววิญญาณของฟ่านเอ๋อไม่ผิด?”


 


จี้ฟ่านนั้นเป็นศิษย์คนเล็กของลูกพี่ลูกน้องมัน อีกทั้งยังเป็นศิษย์ที่หลี่อันให้ความสนใจมากที่สุด ดั่งคำกล่าวที่ว่ารักบ้านยังรักไปถึงอีกาที่เกาะหลังคาบ้าน หลี่ผิงเองก็เอ็นดูจี้ฟ่านไม่น้อย


 


อีกทั้งด้วยความที่ศักยภาพพรสวรรค์ไม่ใช่ชั่ว จี้ฟ่านจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นตถาคต และจะเป็นประมุขนิกายอมตะสราญรมย์คนต่อไปในภายภาคหน้า


 


ทว่าตอนนี้พอพบว่าจี้ฟ่านที่เดินทางไปพื้นที่รกร้างพร้อมกันกับหลี่อันยังมีชีวิตอยู่ หลี่ผิงก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสงสัยขึ้นมา


 


เพราะเรื่องนี้กล่าวกันตามหลักแล้ว มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย!


 


“อาจารย์ลุง ฟ่านเอ๋อเป็นศิษย์ปิดสำนักของท่านอาจารย์ และเป็นศิษย์น้องคนเล็กของข้า ไหนเลยข้าจะจดจำลูกแก้ววิญญาณผิดได้…และต่อให้ข้าจะจดจำผิดจริง ทว่าในบรรดาลูกแก้ววิญญาณที่ข้ามีอยู่ยังไม่มีลูกใดแตกลงเลย บ่งบอกว่าจี้ฟ่านยังสมควรมีชีวิตอยู่จริงๆ!”


 


หลิวเสวียนคงกล่าว


 


หลี่ผิงพยักหน้ารับ จากนั้นค่อยพูดออกมาด้วยสงสัยว่า “ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนคนนั้นเป็นแน่…”


 


“ถึงแม้ว่าจากการสืบเสาะของพวกเจ้าก่อนหน้า 9 ใน 10 ส่วนต้วนหลิงเทียนผู้นั้นสมควรเป็นผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาและไร้ภูมิหลังอันใด แต่ก็ไม่อาจปักใจเชื่อเรื่องนี้ได้ทั้งหมด…”


 


หลังเอ่ยจบคำ สีหน้าของหลี่ผิงก็ฉายให้เห็นถึงความวิตกกังวลประการหนึ่ง


 


“ท่านอาจารย์ลุง แล้วตอนนี้พวกเราสมควรทำอย่างไรกันดี ในเมื่อท่านอาจารย์ตกตายอย่างไม่ทราบสาเหตุเช่นนี้…หรือพวกเราจะส่งคนไปสืบหาความจริงที่พื้นรกร้าง?”


 


หลิวเสวียนนคงเอ่ยถามหลี่ผิง


 


“เรื่องนั้นไม่จำเป็น”


 


ได้ยินคำถามดังกล่าวของหลิวเสวียนตง หลี่ผิงส่ายหน้าไปมา สองตายังทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง เอ่ยออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อฟ่านเอ๋อยังไม่ตาย เช่นนั้นอีกไม่นานฟ่านเอ๋อต้องส่งยันต์อมตะสื่อสารแจ้งสาเหตุการตายของน้องอันกลับมาเอง”


 


“ตอนนี้พวกเราก็รอรับยันต์อมตะสื่อสารของมันกันเถอะ!”


 


“หากเป็นดั่งที่ท่านอาจารย์ลุงว่า…ในเมื่อท่านอาจารย์ตายตกไปได้สักพักแล้ว หากฟ่านเอ๋อส่งยันต์อมตะสื่อสารกลับมา มิใช่ว่าป่านนี้ยันต์อมตะสื่อสารต้องกลับมาถึงที่นี่แล้วหรือ?”


 


หลิวเสวียนคงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าสับสนเป็นกังวล “หรือว่า…ฟ่านเอ๋อได้ใช้ยันต์อมตะสื่อสารแล้ว หากแต่กลับถูกใครบางคนสกัดเอาไว้?”


 


“นั่นก็อาจเป็นได้”


 


หลี่ผิงเอ่ยออกเสียงหนัก “อาศัยพลังฝีมือของน้องอัน ให้มองไปทั่ว 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น หากผู้ลงมือมิใช่ตัวตนกึ่งราชาอมตะหรือเป็นราชาอมตะ นับว่ามีผู้คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สามารถเอาชีวิตน้องอันได้”


 


“เช่นนั้นข้าคิดว่าหากจะมีผู้ใดเข่นฆ่าน้องอันได้จริง ก็สมควรเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะ หรือไม่ก็เป็นตัวตนกึ่งราชาอมตะ ที่ลงมือด้วยตัวเอง! หาไม่แล้วน้องอันไม่มีทางพลาดท่าตายตกเป็นแน่!!”


 


หลี่ผิงกล่าว


 


“เป็นไปได้หรือไม่ ที่ท่านอาจารย์เกิดบันดาลโทสะ คิดลงมือทำลายนิกายอมตะไท่อี สุดท้ายจึงไปกระตุ้นให้ยอดฝีมือขอบเขตกึ่งราชาอมตะที่ลอบให้ความคุ้มครองนิกายอมตะไท่อีอยู่ออกหน้าลงมือ?”


 


หลังฉุกคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ขึ้นมา สีหน้าหลิวเสวียนคงก็อดเปลี่ยนไปไม่ได้


 


“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้!”


 


หลี่ผิงส่ายหัว มันไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นไปในทิศทางดังกล่าว “น้องอันจะอย่างไรก็เป็นคนรอบคอบยิ่งนัก ไม่มีทางลงมือเกินเลยเป็นแน่…อีกทั้งยังรู้เรื่องที่นิกายอมตะไท่อีสมควรมียอดฝีมือกึ่งราชาอมตะอยู่ดี”


 


“กล่าวได้ว่าเมื่อไปถึงนิกายอมตะไท่อีแล้ว อย่างดีน้องอันก็เพ่งเล็งจัดการแค่ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นคนเดียว คงไม่คิดเข่นฆ่าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอันจะเป็นการกระตุ้นยอดฝีมือเร้นกายแน่นอน ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเพ่งเป้าไปที่การล้างผลาญนิกายอมตะไท่อี”


 


เรื่องหลี่อันเป็นคนเช่นไรในที่นี้ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าหลี่ผิงอีกแล้ว มันจึงเชื่อว่าหลี่อันไม่มีทางลงมือทำอะไรที่ไม่อาจย้อนคืนได้แน่นอน


 


ยิ่งไปกว่านั้นหากจะพูดถึงในเรื่องรอบคอบระแวดระวังแล้ว หลี่อันยังมีเหนือกว่ามันเสียอีก


 


ในเมื่อมันยังรู้เรื่องเหล่านี้ดี และไม่มีทางแตะต้องนิกายอมตะไท่อีเด็ดขาด เช่นนั้นจะนับประสาอะไรกับหลี่อัน


 


ตอนนี้เองสติหลิวเสวียนคงก็กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง วิจารณญาณได้ฟื้นคืนมาทั้งหมด จึงรู้สึกว่า หลี่อัน อาจารย์ของมันไม่มีวันลงมือทำอะไรเกินเลยแน่นอน สาเหตุที่ไฉนมันคิดไปแบบนั้นในตอนแรก เป็นเพราะสติมันไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่


 


“เช่นนั้น ตอนนี้ข้าว่ามีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว…”


 


หลี่ผิงกล่าวคามคาดเดาออกมา “ผู้ที่ลงมือเข่นฆ่าน้องอันสมควรมีพลังฝีมือร้ายกาจนัก ถึงขั้นที่น้องอันไม่อาจต่อกรด้วยได้…ฟ่านเอ๋อที่เห็นดังนั้นจึงรู้สึกว่าเปล่าประโยชน์ที่จะใช้ยันต์อมตะสื่อสาร เพราะไม่พ้นสุดท้ายก็ต้องถูกอีกฝ่ายสกัดได้…”


 


“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฟ่านเอ๋อจะยังไม่ได้ใช้ยันต์อมตะสื่อสารก็ดี หรือใช้แล้วหากแต่ถูกสกัดเอาไว้ก็ดี แต่สุดท้ายคนก็ต้องย้อนกลับมาที่นิกายอมตะสราญรมย์ และแจ้งเรื่องราวการตายของน้องอันด้วยตัวเอง…ตอนนี้พวกเราทำได้แค่รอเท่านั้น!”


 


“หลังจากนี้พวกเราก็ไม่ต้องลงมือทำอะไรให้วุ่นวาย เพราะสุดท้ายหากอีกฝ่ายเป็นตัวตนที่ร้ายกาจถึงขั้นนั้นจริง พวกเราก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี…เช่นนั้นพวกเราก็รอไปเถอะ”


 


“สุดท้ายฟ่านเอ๋อที่รอดชีวิตมาได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ต้องหาทางย้อนกลับมาบอกตื้นลึกหนาบางแก่พวกเราแน่นอน”


 


สุดท้ายแล้วหลี่ผิงก็นับว่ามีอายุไม่น้อย กระทั่งยังมีลำดับอาวุโสมากที่สุดในนิกายอมตะสราญรมย์ แม้มันจะโศกเศร้าทั้งคับแค้นกับการตายของหลี่อันมากแค่ไหน แต่มันก็ยังไม่สูญเสียเหตุผล และยังสามารถมองพินิจเรื่องราวได้อย่างสงบ


 


จากนั้นหลิวเสวียนคงรวมไปถึงผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ที่ฟังอยู่ ก็รู้สึกว่าคำพูดของหลี่ผิงมีเหตุผลไม่น้อย จึงเห็นด้วยกับหลี่ผิง


 


เป็นธรรมดาว่าต่อให้พวกมันจะไม่เห็นด้วยกับหลี่ผิง ก็คงไม่มีใครกล้าโพล่งค้านออกมาตอนนี้แน่นอน หากคิดจะทำอะไรจริงๆ ก็มีแต่ต้องลอบกระทำลับหลังเท่านั้น


 


เพราะสุดท้ายแล้วหลี่ผิงก็ไม่ได้เป็นแค่บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์เท่านั้น แต่ยังเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของนิกายอมตะสราญรมย์ ขุนนางอมตะ 10 ทิศอันทรงพลัง!


 


และนั่นคือทั้งหมด!


 


เช่นนั้นต่อให้คนของนิกายอมตะสราญรมย์จะล่วงรู้กันแล้วว่าหลี่อันได้ตกตายไป แต่ก็ไม่มีใครเคลื่อนไหวทำอะไรทั้งสิ้น


 


ทั้งหมดพากันเฝ้ารอคอยอยู่ในนิกายอมตะสราญรมย์อย่างสงบ เฝ้ารอการกลับมาของจี้ฟ่าน รวมทั้งรอรับยันต์อมตะสื่อสารเท่านั้น


 


เรียกว่าหลังจากนั้น นิกายอมตะสราญรมย์ก็เข้าสู่ความสงบเงียบอีกครา กระทั่งยังสงบเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!


 


อย่างไรก็ตามคนของนิกายอมตะสราญรมย์ทุกคนรู้อยูแก่ใจดี…


 


ว่าความสงบในตอนนี้นั้น มันเป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะเข้า!!


 



 


วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


พริบตาไม่กี่เดือนก็ได้ล่วงเลยผ่านพ้นไป


 


ถึงแม้ว่าสถานที่ตั้งของนิกายอมตะสราญรมย์จะอยู่ห่างไกลจากพื้นที่รกร้างมาก กระทั่งยังมากกว่าระยะทางระหว่างพื้นที่รกร้างกับพื้นที่แห้งแล้งหลายเท่า แต่หลังจากผ่านการเดินทางอันยาวนาน ในที่สุดพวกต้วนหลิงเทียนที่ถูกหอบหิ้วเดินทางโดยเถี่ยไท่เหอ ก็มาถึงพื้นที่ก้าวข้ามเรียบร้อยแล้ว


 


หลังเข้าสู่พื้นที่ก้าวข้ามได้ราวๆหนึ่งเดือน


 


วู้มมม!!


 


เสียงสั่นพ้องของพลังดังกังวาลขึ้น เป็นต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศโดยมีเถี่ยไท่เหอหอบหิ้วเดินทางนั้น อยู่ดีๆทั่วร่างก็ปรากฏแสงสีทองสว่างเรืองรองออกมา!


 


ครู่ต่อมา ในขณะที่เถี่ยไท่เหอกับจี้ฟ่านตระหนักได้ถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จนต้องหันมามอง พวกมันก็พบว่าทั่วร่างต้วนหลิงเทียนปรากฏสนามพลังสีทองหนึ่งห่อหุ้มคลุมกายเอาไว้!


 


อีกทั้งสนามพลังสีทองสว่างไสวดังกล่าว ยังเริ่มก่อตัวเป็นรูปลักษณ์พุทธองค์สีทอง ห่อหุ้มปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้อย่างมิดชิด!!


 


พุทธองค์สีทองดังกล่าว ยังมีขนาดมหึมานัก มองไปประหนึ่งเนินเขาย่อมๆก็ไม่ปาน อีกทั้งแม้จะเป็นร่างโปร่งแสง แต่กลับมีรูปลักษณ์ที่ชัดเจนเหลือเกิน องคาพยพทั้ง 5 เรียกว่ามีรายละเอียดแจ่มชัดดุจมีชีวิตจริงๆ!


 


“นี่มัน…”


 


เห็นฉากดังกล่าวเถี่ยไท่เหอก็ยังดีอยู่ และไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรมากมาย หากทว่าลูกตาของจี้ฟ่านอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลงแทบปิด!


 


“มัน…มันเข้าใจราชันไม่เคลื่อนไหวจนถึงเคล็ดความสุดท้ายแล้วหรือ ในเวลาสั้นๆเช่นนี้เนี่ยนะ!?”


 


ในขณะที่พึมพำออกมา จี้ฟ่านก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ สีหน้าทาทับไปด้วยความประหลาดใจอย่างถึงที่สุด


 


ในฐานะที่ตัวมันเป็นตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์ มันเองก็ฝึกปรือวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังของนิกายอมตะสราญรมย์ระดับสูงๆ กระทั่งยังเริ่มฝึกฝนตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนแตกฉานทุกสรรพวิชาแล้ว


 


เช่นนั้นมันแค่มองปราดเดียว ก็บอกได้ทันทีว่าพุทธองค์ทองคำที่ก่อลักษณ์คลุมกายขอต้วนหลิงเทียนได้อย่างชัดเจนดุจมีชีวิตนั้นนั้น เป็นลักษณะพลังที่จะปรากฏออกมาก็ต่อเมื่อบรรลุววรยุทธ์อมตะ ราชันไม่เคลื่อนไหว จนแตกฉานแล้วเท่านั้น!!


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน…แตกฉานวรยุทธ์อมตะของนิกายอมตะสราญรมย์แล้วหรือ?”


 


ถึงแม้เสียงพึมพำของจี้ฟ่านจะไม่ได้ดังมากมายอะไร แต่ก็ดังเข้าหูเถี่ยไท่เหอให้ได้ยินชัดเจน คิ้วของเถี่ยไท่เหอจึงอดไม่ได้ที่จะเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ


 


แต่ถึงมันจะประหลาดใจ ก็ไม่ถึงขั้นแปลกใจเหมือนจี้ฟ่าน


 


เพราะก่อนหน้านี้หลังได้ฟังคำพูดของไป๋ผิง เถี่ยไท่เหอก็ตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนนั้นหากไม่แตกฉานเวทย์พลังระดับขุนนาง 3 สายของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับอย่าง ปราณม่วงบูรพา ก็คงขาดอีกแค่นิดเดียว…


 


มาตอนนี้พอได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนฝึกฝนวรยุทธ์อมตะ ราชันไม่เคลื่อนไหว ของนิกายอมะตสราญรมย์สำเร็จ แม้จะตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายเท่าตอนได้รับทราบจากไป๋ผิง…ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรบรรลุปราณม่วงบูรพาก่อนหน้านี้…


 


‘ตอนนี้ปรมจารย์โอสถต้วนก็แตกฉานทั้ง ปราณม่วงบูรพา และราชันไม่เคลื่อนไหวเรียบร้อย…ดูเหมือนหลังจากจัดการเรื่องราวที่นิกายอมตะสราญรมย์เสร็จ ก็คงถึงเวลาที่ปรมาจารย์โอสถต้วนต้องจากไป…’


 


พอนึกถึงจุดนี้ มุมปากของเถี่ยไท่เหออดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขื่นขมออกมา


 


ได้เห็นว่าต้วนหลิงเทียนยสามารถฝึกปรือวรยุทธือมตะและเวทย์พลังจนแตกฉานได้ในเวลาสั้นๆ เถี่ยไท่เหอแม้จะรู้สึกยินดีกับอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามส่วนหนึ่งในใจ ก็ไม่ค่อยเต็มใจจะเห็นต้วนหลิงเทียนจากไปเร็วนัก


 


“อาวุโสเถี่ย ตอนนี้พวกเราเดินทางถึงไหนแล้ว?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่นั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่ ในที่สุดก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นก็หันไปถามเถี่ยไท่เหอก่อนใดอื่น


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน พวกเราเข้าสู่พื้นที่ก้าวข้ามได้สักพักแล้ว…และจากที่ตถาคตบอก ด้วยความเร็วของข้า อีกไม่เกิน 1 เดือน พวกเราก็สมควรเดินทางไปถึงนิกายอมตะสราญรมย์”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน เถี่ยไท่เหอก็ตอบกลับไปอย่างไม่รอช้า


 


“ไม่เกิน 1 เดือนงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ค่อยพยักหน้ารับ


ตอนที่ 2,900 : บรรลุถึง นิกายอมตะสราญรมย์!


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยปรมาจารย์โอสถต้วน ท่านสามารถแตกฉานวรยุทธ์อมตะระดับขุนนาง ราชันไม่เคลื่อนไหว ได้แล้ว”


 


เถี่ยไท่เหอมองกล่าวแสดงความยินดีกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม


 


“อาวุโสเถี่ย ท่านมองออกด้วยหรือ?”


 


พอต้วนหลิงเทียนได้ยินคำแสดงความยินดีของเถี่ยไท่เหอ คิ้วเขาก็เลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง


 


“อันที่จริงข้าก็ไม่รู้หรอก…ทว่าจี้ฟ่านสามารถมองออกได้”


 


เถี่ยไท่เหอกล่าว


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันไปเหลือบมองจี้ฟ่านโดยไม่รู้ตัว และวินาทีนี้ด้านจี้ฟ่านก็บังเกิดอาการหวาดผวาไป คล้ายเหยื่อที่ถูกนักล่ามองมา!


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองจี้ฟ่านผ่านๆเท่านั้น ไม่ทันไรก็ละสายตาออกมาจากมัน แล้วหันไปทางฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างๆ


 


ครู่ต่อมาสำนึกเทวะของเขาก็แผ่ออกไปปกคลุมทั่วร่างฮ่วนเอ๋อ


 


ด้วยเป็นสำนึกเทวะที่เกิดจากพลังวิญญาณระดับราชาอมตะ 10 ทิศ เช่นนั้นย่อมสามารถตรวจสอบฮ่วนเอ๋อได้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยที่นางไม่รู้ตัว ยังสามารถยืนยันได้ง่ายดาย ว่าอาการบาดเจ็บก่อนหน้าของฮ่วนเอ๋อได้รับการฟื้นฟูจนหายดีแล้ว


 


และตอนนี้ดูจากการโคจรใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดพร้อมกับพลังวิญญาณ เขาก็รู้ได้ทันทีฮ่วนเอ๋อก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำความเข้าใจเวทย์พลังอยู่


 


เวลาหนึ่งเดือนนั้น กล่าวไปแม้ไม่นานแต่ก็ไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ


 


หากทว่าสำหรับต้วนหลิงเทียนที่จมจ่อมอยู่กับการบ่มเพาะพลังแล้ว เวลาเพียงเท่านี้ ก็เสมือนล่วงเลยผ่านไปในพริบตา


 


“ผู้อาวุโสเถี่ย”


 


ไม่กี่วันก่อนที่จะถึงนิกายอมตะสราญรมย์ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์บ่มเพาะ และหันไปมองกล่าวกับเถี่ยไท่เหอว่า “หลังจากท่านไปส่งพวกเราถึงนิกายอมตะสราญรมย์แล้ว ท่านก็รออยู่ด้านนอกเถอะ”


 


กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็หยุดลงเล็กน้อย ค่อยกล่าวสืบต่อออกมา สองตายังทอประกายเยียบเย็น “เพราะการมาเยือนนิกายอมตะสราญรมย์ครั้งนี้ ข้าไม่อยากให้นิกายอมตะไท่อีมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”


 


“ท่าน…คงเข้าใจกระมังว่าข้าหมายถึงอะไร”


 


หลังกล่าวจบแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มองเถี่ยไท่เหอด้วยสายตาลึกซึ้ง


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน…”


 


เถี่ยไท่เหอที่ได้ฟัง ก็พยักหน้ากล่าวตอบรับออกมาทันที “ข้ารู้ดีว่าที่ท่านกระทำเช่นนี้ เพื่อไม่ให้ผู้คนเข้าใจว่าท่านมาเยือนนิกายอมตะสราญรมย์ในนามของหัวหน้าปรมจารย์โอสถนิกายอมตะไท่อี…”


 


“เป็นท่านไม่อยากชักนำเภทภัยมาสู่นิกายอมตะไท่อี”


 


“แต่ขอปรมาจารย์โอสถต้วนโปรดวางใจ…ถึงท่านจะไปในนามนนิกายอมตะไท่อี แต่คนของนิกายอมตะสราญรมย์ไม่ว่าผู้ใด ก็ไม่กล้าแตะต้องนิกายอมตะไท่อีของพวกเราเด็ดขาด เพราะอย่างไรเสียท่านก็แค่ไปฆ่าคนไม่กี่คน ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบถึงรากฐานพวกมัน เช่นนั้นเหล่ายอดฝีมือที่เร้นกายอยู่ก็ไม่มีทางมาลงมือกับนิกายอมตะไท่อีเราแน่นอน”


 


เถี่ยไท่เหอกล่าวออกมาชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าท่าทีแลดูมั่นใจในเรื่องนี้นัก


 


“ไม่ส่งผลกระทบถึงรากฐาน?”


 


ทว่าพอได้ยินคำพูดดังกล่าวของเถี่ยไท่เหอ ต้วนหลิงเทียนกลับส่ายหัวไปมาเบาๆ จากนั้นสองตาก็ฉายแววเยียบเย็นอำมหิต กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ข้าไปนิกายอมตะสราญรมย์คราวนี้ ไม่ใช่แค่คิดจะฆ่าคนไม่กี่คน…แต่ข้าจะฆ่าระดับสูงที่เป็นเสาหลักของพวกมันให้สิ้น ทำลายรากฐานของพวกมัน!”


 


“เช่นนั้นหลังจากข้าลงมือแล้ว…ข้าเชื่อว่าหลังผ่านไปได้ไม่นาน แต่นี้ต่อไปคงไม่มีนิกายอมตะสราญรมย์หลงเหลืออยู่ใน พื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงใต้อีก…”


 


กล่าววาจาอำมหิตจบคำ มุมปากต้วนหลิงเทียนก็ยกยิ้มแสยะ เผยความเย้ยหยันออกมา


 


“ฟืดด!”


 


และแทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาจบคำ เถี่ยไท่เหออดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนยังเผยความตื่นตระหนกไม่น้อย!


 


เดิมทีมันคิดว่าที่ปรมาจารย์โอสถต้วนให้มันพามานิกายอมตะสราญรมย์ครั้งนี้ คงไม่ได้ลงมือเอิกเกริกอะไรมากมาย


 


อย่างไรก็ตามให้มันหลับก็ยังไม่อาจฝันถึง ว่าต้วนหลิงเทียนมานิกายอมตะสราญรมย์ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่จะมาหาความหรือเข่นฆ่าคนไม่กี่คน แต่กลับคิดจะเข่นฆ่ายอดฝีมืออันเป็นเสาหลักของนิกายอมตะสราญรมย์ให้สิ้นซาก ทำลายรากฐานของนิกายอมตะสราญรมย์โดยสมบูรณ์!!


 


“ฟืดดด!!”


 


อีกด้านหนึ่ง ตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์ จี้ฟ่าน พอได้ยินวาจาอำมหิตของต้วนหลิงเทียน มันก็ถึงกับต้องสูดหายใจเข้าลึกๆด้วยความหวาดผวา ยังรู้สึกเสมือนมีไอเย็นขุมหนึ่งแล่นวาบจากปลายเท้าจรดศีรษะ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!


 


มันก็คิดเหมือนๆกันกับเถี่ยไท่เหอ…


 


ตอนนี้พอมาได้ยินวาจาที่ปั่งคำพิพากษาชะตาของนิกายอมตะสราญรมย์ของต้วนหลิงเทียน มันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวาดกลัวจับใจ!


 


หากต้วนหลิงเทียนคิดเข่นฆ่าเสาหลักของนิกายอมตะสราญรมย์เพื่อทำลายรากฐานของนิกายอมตะสราญรมย์จริง เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวมัน ผู้ดำรงตำแหน่ง ตถาคต ของนิกายอมตะสราญรมย์จะรอดพ้นความตาย!


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วนขอรับ…หลังข้าน้อยติดตามท่านไปถึงนิกายอมตะสราญรมย์แล้ว ข้าน้อยจะประกาศตัดสัมพันธ์กับนิกายอมตะสราญรมย์ให้ทุกคนทราบ! ข้าน้อยจะถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์ขอรับ!!”


 


หลังสูดอากาศเข้าลึกๆระงับความหวาดกลัวเสียขวัญ จี้ฟ่านก็รวบรวมความกล้าเฮือกสุดท้าย มองกล่าวบอกจุดยืนกับต้วนหลิงเทียนออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ น้ำเสียงวาจาทั้งท่าทีแลดูไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยกลัวความผิด


 


“โอ้ ตถาคต นับว่าเป็นคนฉลาดจริงๆ…”


 


ต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทีดังกล่าวของจี้ฟ่าน จากนั้นก็หยีตามองจ้องจี้ฟ่านเขม็ง “หากตถาคต ตั้งใจจะกระทำเช่นนั้นจริงๆ เช่นนั้นเรื่องราวบาดหมางระหว่างเราที่แล้วมา ก็ให้มันแล้วกันไปเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่ได้ชอบขี้หน้าจี้ฟ่านมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะอีกฝ่ายไม่ต่างจากคนรวยรุ่นสองที่ชอบวางอำนาจ


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พอเห็นการตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดในทันทีทันใด ก็ทำให้เขามองมันในแง่ดีขึ้นมาบ้าง ว่าอย่างน้อยๆมันก็นับว่ายกได้วางได้


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ใช่ว่าใครที่ดำรงตำแหน่งตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์และมีอำนาจในมือมาชั่วชีวิต จะสามารถละวางทุกสิ่งได้ในชั่วพริบตา


 


และแต่ไหนแต่ไรเขาก็เห็นจี้ฟ่านเป็นดั่งตัวตลกเท่านั้น อีกฝ่ายยามคิดร้ายก็เผยให้เห็นชัด ปากยังกล่าวโพล่งออกมาตรงๆ เรียกว่าไม่ได้น่ากลัวและเป็นพิษเป็นภัยอะไรกับเขาเลย คนพวกนี้เขาไม่เคยกริ่งเกรงแม้แต่น้อย เพราะในสายตาเขา พวกมันก็ไม่ต่างอะไรจากอันธพาลน้อยหัดซ่า ผิดกับพวกที่ซ่อนดาบในรอยยิ้มมากนัก


 


“ขอบคุณขอรับท่านปรมาจารย์โอสถต้วน! ขอบคุณท่านปรมาจารย์โอสถต้วนมากขอรับ!!”


 


จี้ฟ่านที่เสมือนได้ฟังคำอภัยโทษจากต้วนหลิงเทียน มันก็อดไม่ได้ที่จะโล่งอกอย่างถึงที่สุด เร่งกล่าวขอบคุณออกมาด้วยรอยยิ้ม ศีรษะโล้นเลี่ยนวับวาวผงกงกๆปานลูกเจี๊ยบจิกเม็ดข้าว…


 


หลังจากโล่งอกและกล่าววาจาขอบคุณต้วนหลิงเทียนแล้ว จี้ฟ่านก็มองถามต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆต่อว่า “ปรมจารย์โอสถต้วน เช่นนั้นใช่ก่อนหน้า…ท่านคิดไว้ว่าจะฆ่าข้าหลังไปถึงนิกายอมตะสราญรมย์งั้นหรือขอรับ?”


 


“โอ้ เรื่องนี้เจ้าก็รู้รึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ไม่ได้คิดปฏิเสธแม้แต่น้อย


 


จี้ฟ่านพอได้ยิน แผ่นหลังก็ถึงกับชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น เหม่งวับวาวยังปรากฏเหงื่อเม็ดเขื่องผุดซึมไม่หยุด ขณะเดียวกันในใจก็ลอบมุ่งมั่นเรื่องตัดสัมพันธ์กับนิกายอมตะสราญรมย์ เพื่อให้ไม่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันอีกชั่วชีวิต!


 


‘ขอโทษด้วยท่านอาจารย์ อาจารย์ลุง ศิษย์พี่ รวมถึงผู้อาวุโสทั้งหลาย…เพื่อรักษาชีวิตน้อยๆของข้าแล้ว ข้าทำได้แค่ตีจากนิกายอมตะสราญรมย์เท่านั้น วันนี้ปีหน้าข้าจะสวดมนตร์ให้พวกท่านแล้วกัน’


 


จี้ฟ่านหันไปเหม่อมองทิศทางที่ตั้งนิกายอมตะสราญรมย์ พลางลอบกล่าวในใจอย่างเงียบงัน


 


อาจารย์ของจี้ฟ่านก็ไม่ใช่ใครอื่นเป็นหลี่อัน ส่วนศิษย์พี่กับอาจารย์ลุงที่กล่าวถึง ก็คือประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ หลิวเสวียนคง และหลี่ผิง


 


‘ท่านอาจารย์ อาจารย์ลุง แล้วก็ศิษย์พี่…พวกท่านไม่อาจโทษข้าได้นะ หากพวกท่านจะโทษก็ไปโทษพวกหน่วยข่าวกรองบัดซบนั่นเถอะ พวกมันไปสืบนรกอันใดมาของพวกมัน! กลับได้ความว่าต้วนหลิงเทียนผู้นี้เป็นแค่ผู้ที่ขึ้นสวรรค์ไร้ภูมิหลัง ถึงขั้นที่พวกเราจะบดจะบี้จะยีมันให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้…’


 


‘มาตอนนี้ถึงคราวฉิบหายกันหมดแล้วไง หากพวกเราอยู่กันเงียบๆไม่ไปยุ่งกับมันแต่แรกไหนเลยจะถึงคราวเคราะห์กัน  เรื่องราวไหนเลยจะเลยเถิดมาถึงจุดนี้ได้…’


 


เรียกว่าพอมาถึงจุดนี้ สติสตังของจี้ฟ่านก็กลับกลายเป็นแจ่มใส คล้ายบังเกิดอาการรู้แจ้งเห็นจริง จากนั้นมันก็เริ่มคิดถึงเรื่องที่จะเอาอย่างไรดีกับชีวิตหลังจากนี้เตรียมไว้แต่เนิ่นๆ


 


“ตถาคต”


 


จี้ฟ่านที่ครุ่นคิดอยู่ว่าหลังจากนี้ชีวิตมันจะทำอะไรต่อไป แล้วใช่หากไว้ผมแล้วจะหล่อเหลาขึ้นมากไหม ก็จำต้องตื่นจากภวังค์คิดทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียกทักจากต้วนหลิงเทียน


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน ท่านอย่าได้เรียกข้าว่าตถาคตอีกเลย ต่อไปเรียกข้าจี้ฟ่านหรือฟ่านน้อยก็ได้…ข้าตัดสินใจออกจากนิกายอมตะสราญรมย์แล้ว ข้าไม่ได้เป็นตถาคตอะไรอีกต่อไป”


 


พอได้ยินคำเรียกหาของต้วนหลิงเทียน จี้ฟ่านก็รีบกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มเหยเกทันที


 


และหลังจากพูดจบ มันก็เอ่ยถามต้วนหลิงเทียนออกมาอย่างเป็นกังวล “แล้วมิทราบปรมาจารย์โอสถต้วน…เรียกหาข้าทำไมหรือ?”


 


“เจ้าสมควรมีลูกแก้วเงาลอบระดับราชาพกติดตัวอยู่ใช่ไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่มองจี้ฟ่านอยู่ ก็กล่าวถามออกมาตรงๆ


 


“ข้ามี!”


 


จี้ฟ่านพัยกหน้าตอบคำเร็วไว


 


“หลังจากนี้ไม่กี่วันพอพวกเราไปถึงนิกายอมตะสราญรมย์…พอยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศของนิกายอมตะสราญรมย์ปรากฏตัวออกมา เจ้าก็เริ่มใช้ลูกแก้วเงาลอยบันทึกเรื่องราวได้เลย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว “ข้าคิดจะใช้ประโยชน์จากลูกแก้วเงาลอยที่ว่าในภายหลัง เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”


 


“ขอรับ!”


 


จี้ฟ่านรีบขานรับอย่างสุภาพ จากนั้นก็เอ่ยถามต้วนหลิงเทียนออกไปว่า “ยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศของนิกายอมตะสราญรมย์ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับหลี่อัน อดีตอาจารย์ของข้า…”


 


“เช่นนั้นข้าจึงรู้พลังฝีมือทั้งทักษะของมันเป็นอย่างดี…ท่านจะให้ข้าบอกเรื่องพวกนี้หรือไม่?”


 


เรียกว่าวาจาที่เอ่ยถามของจี้ฟ่านนั้น เป็นมันตั้งใจกล่าวถามเชิงชี้นำ!


 


เห็นได้ชัดว่าไม่ทันไร จี้ฟ่าน ก็เริ่มประจบสอพลอต้วนหลิงเทียนแล้ว อนิจจาคราวนี้มันที่คิดตบตูดม้า ดันไปตบเอาขาม้าเข้าให้…


(คิดตบตูดม้า แต่ไปโดนขาม้า = คิดประจบประแจง แต่ไม่เพียงไม่ได้ผล ยังไปทำให้ผู้อื่นมีโมโหอีก)


 


ได้ยินคำถามของจี้ฟ่าน ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะไม่ล่วงรู้เจตนาของอีกฝ่าย จึงส่ายหัวไปมา มุมปากยังยกแสยะยเผยความดูแคลน “ข้าไม่จำเป็นต้องรู้จักอะไรมัน อีกทั้งข้าก็ไม่สนใจจะรู้จักอะไรมันด้วย…”


 


“กับอีแค่ขุนนางอมตะ 10 ทิศ ยังไม่คู่ควรให้ข้าต้องเหลือบแลสนใจ”


 


น้ำเสียงยามเอ่ยวาจาประโยคท้ายของต้วนหลิงเทียน ยังเผยถึงความดูแคลนหยันหยามออกมาอย่างล้นพ้น


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะเผชิญกับวาจาน้ำเสียงดูแคลนอย่างถึงที่สุดของต้วนหลิงเทียน ไม่ว่าจะเป็นจี้ฟ่านหรือเถี่ยไท่เหอ ก็ไม่ได้คิดว่าต้วนหลิงเทียนอวดดีเกินไป ยังยอมรับแต่โดยดี…


 


เห็นได้ชัดว่าการลงมือเข่นฆ่าหลี่อันที่นิกายอมตะไท่อีของต้วนหลิงเทียน ก็ทำให้พวกมันกระจ่างแจ้งว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนร้ายกาจขนาดไหน


 


“เป็นข้าเสนอไม่เข้าเรื่องจริงๆ…อาศัยพลังฝีมืออันเข้มแข็งของปรมาจารย์โอสถต้วน ไหนเลยยังต้องจริงจังกับเรื่องนี้ด้วย”


 


หลังเสียงดูแคลนของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ จี้ฟ่านก็รีบกล่าวทำนองเห็นด้วยทันที ท่าทียังแลดูสุภาพนอบน้อมนัก ศีรษะโล้นเลี่ยนวับวาบก้มต่ำราวข้าทาส


 


ไม่กี่วันต่อมา


 


“ท่านปรมาจารย์โอสถต้วน นิกายอมตะสราญรมย์ตั้งอยู่ด้านหน้าแล้วขอรับ”


 


จี้ฟ่านชี้ไปยังขุนเขาใหญ่ลูกหนึ่ง อันปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก พลางกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน


 


ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับ จากนั้นก็หันไปมองฮ่วนเอ๋อ ที่จนป่านนี้ยังคงจมอยู่ในภวังค์การทำความเข้าใจเวทย์พลังของนางอยู่ และไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาง่ายๆ เขาจึงหันไปกล่าวกับเถี่ยไท่เหอว่า “อาวุโสเถี่ย ท่านเองก็รออยู่ตรงนี้สักครู่เถอะ รบกวนดูแลฮ่วนเอ๋อให้ข้าด้วย”


 


“ข้าจัดการเรื่องราวเสร็จแล้ว จะกลับมาทันที”


 


“และท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีใครเพ่งเล็งมาที่ท่าน…สำนึกเทวะข้าจะแผ่มาปกคลุมจุดนี้ไว้ตลอดเวลา”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ข้าเข้าใจแล้ว ปรมาจารย์โอสถต้วน”


 


ถึงแม้ว่าเถี่ยไท่เหอเองก็อยากไปชมดูให้เห็นกับตา ตอนที่ต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าสังหารเสาหลักของนิกายอมตะสราญรมย์ ทำลายรากฐานของพวกมัน แต่เมื่อต้วนหลิงเทียนเอ่ยปากมาแบบนี้ มันก็ได้แต่ยอมรับโดยสดุดี


 


ในอดีตมันปฏิบัติกับต้วนหลิงเทียนดั่งสหายคนหนึ่ง


 


อย่างไรก็ตามตั้งแต่เห็นต้วนหลิงเทียนเปิดเผยพลังฝีมือขอบเขตราชาอมตะออกมา แม้ผิวเผินท่าทีปฏิบัติที่มันมีต่อต้วนหลิงเทียนจะยังคงเหมือนเดิม หากแต่ในใจก็เริ่มหวาดกลัวต้วนหลิงเทียนไม่น้อย


 


มันยึดถือว่าต้วนหลิงเทียนเป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่ามันมาก


 


“จี้ฟ่าน เจ้านำทางไป”


 


หลังจากกำชับเถี่ยไท่เหอแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองจี้ฟ่านพลางกล่าวสั่ง หลังจากนั้นภายใต้สายตาของเถี่ยไท่เหอ ร่างต้วนหลิงเทียนกับจี้ฟ่านก็เหินทะยานเข้าไปในม่านเมฆหมอก ไม่อาจจับสัมผัสถึงการคงอยู่อะไรได้อีก


 


ถึงแม้ว่ารอบขุนเขาจะมีค่ายกลจัดตั้งไว้มากมาย


 


อย่างไรก็ตามค่ายกลเหล่านี้ไม่อาจทำอะไรจี้ฟ่านที่เป็นถึงตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์ได้เลย การเดินผ่านค่ายกลสำหรับจี้ฟ่าน ไม่ต่างอะไรจากเดินชมสวนหลังบ้าน มันจึงพาต้วนหลิงเทียนผ่านค่ายกลไปได้อย่างไร้เรื่องราว บรรลุถึงถิ่นที่อยู่นิกายอมตะสราญรมย์ในเวลาแค่ไม่กี่ลมหายใจ


 


“ผู้ใด!?”


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกับจี้ฟ่านผ่านม่านเมฆหมอกมาถึงถิ่นที่อยู่นิกายอมตะสราญรมย์ ก็ปรากฏศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์สองสามคนที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนอยู่พบเจอทันที อีกฝ่ายยังพุ่งตัดฟ้าเข้ามาแต่ไกล


 


อย่างไรก็ตามพอพวกมันเห็นคนที่พึ่งเข้ามาชัดถนัดตา พวกมันก็เร่งโค้งคำนับกล่าวทักทายด้วยความเคารพทันที “ผู้น้อยขอคารวะตถาคต!”


 


จี้ฟ่านนั้นจะอย่างไรมันก็ดำรงตำแหน่งตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์ วันหน้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด มันก็คือผู้ที่จะขึ้นเป็นประมุขคนต่อไปของนิกายอมตะสราญรมย์


 


ด้วยเหตุนี้ฐานะของจี้ฟ่านในนิกายอมตะสราญรมย์ ก็ถือเป็นอันดับสองรองจากประมุขนิกาย


 


ปงงง!!


 


อย่างไรก็ตามศิษย์ลาดตระเวนไม่กี่คนที่เร่งเข้ามาทักทายจี้ฟ่านด้วยความเคารพ ไม่ได้คิดได้ฝันเลย ว่าสิ่งที่รอพวกมันอยู่จะไม่ใช่คำทักกลับของจี้ฟ่าน แต่เป็นการลงมือสังหารอันฉับไวปานสายฟ้าของจี้ฟ่าน!!


 


จี้ฟ่านยกมือขึนผนึกควบรวมพลังกล้าแข็งในชั่วพริบตา จากนั้นก็ตบฟาดออกไป ก่อเกิดเป็นมวลพลังโถมถันออกไปดั่งห่าพิรุณกระหน่ำ กลืนร่างศิษย์ลาดตระเวนของนิกายอมตะสราญรมย์ จบชีวิตพวกมันในพริบตา!


 


“นะ…นั่นมัน ตถาคตมิใช่หรือ!?”


 


“ไฉนตถาคตถึงลงมือเข่นฆ่าศิษย์ลาดตระเวนหน่วยนั้นซะเล่า!? พวกมันก็แค่ไปทำความเคารพอย่าสุภาพตามประสา ไม่ได้ไปทำอะไรให้ขุ่นเคืองใจมิใช่หรือ?!”


 



 


ห่างออกไปไกลๆ ยังมีศิษย์ลาดตระเวนบางคนที่พึ่งสังเกตเห็นจี้ฟ่าน และเตรียมจะเข้ามาทำความเคารพ อนิจจาพวกมันที่กำลังจะเหินร่างมานั้น กลับต้องเห็นฉากจี้ฟ่านลงมือสังหารสหายร่วมนิกายอย่างอำมหิตต่อหน้าต่อตา!


 


และฉากเรื่องราวดังกล่าวก็ติดตาพวกมันไปพักหนึ่ง ยังทำให้พวกมันตกตะลึงทั้งหวาดกลัวจับใจ ยากจะดึงสติกลับมาได้ในเวลาอันสั้น


 


ฟุ่บ!!


 


วินาทีต่อมา ภายใต้สายตาตื่นตระหนกตกตะลึงของพวกมัน ร่างจี้ฟ่านก็เหินทะยานออกไปปานลำแสง พุ่งไปหยุดอยู่เหนือฟ้าใจกลางถิ่นที่อยู่นิกายอมตะสราญรมย์!


 


“ข้าจี้ฟ่านขอประกาศไว้ ณ ที่นี้…นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจี้ฟ่าน จักถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์ และไม่เป็นตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์อีกต่อไป รวมทั้งไม่ได้เป็นศิษย์หรือเกี่ยวข้องอันใดกับนิกายอมตะสราญรมย์อีก!!”


 


เสียงของจี้ฟ่านได้ผนึกไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันแข็งแกร่ง ทำให้เสี้ยวพริบตาเสียงมันก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งนิกายอมตะสราญรมย์!


ตอนที่ 2,901 : มันคือต้วนหลิงเทียน!?


 


“ข้าจี้ฟ่านขอประกาศไว้ ณ ที่นี้…นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจี้ฟ่าน จักถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์ และไม่เป็นตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์อีกต่อไป รวมทั้งไม่ได้เป็นศิษย์หรือเกี่ยวข้องอันใดกับนิกายอมตะสราญรมย์อีก!!”


 


ทันทีที่เสียงของจี้ฟ่านดังก้องลงมาจากฟ้า ก็ทำให้ทุกคนในนิกายอมตะสราญรมย์อดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าศิษย์ลาดตระเวนที่เห็นฉากการลงมือสังหารอำมหิตของจี้ฟ่านเมื่อครู่ ก่อนที่จะพุ่งไปกลางฟ้าแล้วประกาศถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์กับตา พวกมันก็ได้แต่หันหน้ามามองสบตาสหายข้างๆกันด้วยสายตาสับสนงงงวย


 


พวกมันไม่เข้าใจจริงๆ ว่านี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


 


อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่เห็นความเคลื่อนไหวอำมหิต เข่นฆ่าศิษย์สาวกร่วมนิกายดังกล่าวของจี้ฟ่าน พวกมันก็ตระหนักได้ทันทีว่าสมควรมีเรื่องราวอะไรผิดท่าเป็นแน่!


 


และมาตอนนี้พอได้ยินเสียงประกาศถอนตัวออกจากนิกายอมะตสราญรมย์ของจี้ฟ่าน พวกมันก็ตกตะลึงอึ้งไปโดยสมบูรณ์


 


ผู้ใดสามารถบอกพวกมันได้บ้าง…


 


ว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?


 


พวกมันไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนอยู่ดีๆ ตถาคตถึงได้ทำอะไรแบบนั้น อีกทั้งไม่ใช่ว่านิกายอมตะสราญรมย์ชุบเลี้ยงตถาคตมาอย่างดีหรือไร ใยคนมาตีจากเสียได้?


 


“แล้วคนผู้นั้น…เป็นใครกัน?”


 


“หากข้ามองไม่ผิดเหมือนมันจะผ่านค่ายกลมาพร้อมกับตถาคต…แต่ข้ามั่นใจว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน เช่นนั้นมันไม่ใช่คนของนิกายอมตะสราญรมย์พวกเราแน่”


 


“เป็นไปได้หรือไม่ ที่อยู่ดีๆตถาคตเข่นฆ่าสหายร่วมนิกายทั้งประกาศถอนตัวออกมา…จะเป็นเพราะมัน?”


 



 


ไม่นานเหล่าศิษย์ลาดตระเวนที่กำลังตกใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็ค้นพบการดำรงอยู่ของต้วนหลิงเทียนไกลตา


 


ต้วนหลิงเทียนลอยร่างอยู่ตรงนั้น ด้วยสีหน้าท่าทีสงบปราศจากความยินดียินร้ายใดๆ


 


ท่าทีดังกล่าว ในสายตาของเหล่าศิษย์ลาดตระเวนนิกายอมตะสราญรมย์แล้ว ทำให้พวกมันรู้สึกว่าอีกฝ่ายยากหยั่งถึงอยู่บ้าง


 


“จี้ฟ่านกลับมาแล้วหรือ?”


 


“แล้วนี่มันเสียสติไปแล้วหรือไร…ไฉนถึงได้พูดเหลวไหลอะไรเช่นนั้น? ถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์งั้นหรือ?”


 


“มันพล่ามเหลวไหลอะไรของมันกัน?”


 


“หากท่านบรรพบุรุษหลี่อันมาได้ยินวาจาดังกล่าวของมัน คงไม่ถึงกับโมโหจนกระอักเลือดหรอกนะ?”


 


“ข้ากลับรู้สึกว่าจี้ฟ่านมันมีอันใดผิดปกติ…หากไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น มันไม่มีทางประกาศตัดสัมพันธ์อะไรแบบนี้ออกมาแน่ ใช่มันถูกผู้อื่นคุกคามข่มขู่อยู่หรือไม่?”


 



 


เหล่าคนของนิกายอมตะสราญรมย์พากันกล่าวถึงเรื่องนี้กันด้วยความไม่เข้าใจ และยังพากันเหินร่างออกจากเคหะสถานขึ้นมาเหนือฟ้าเพื่อออกมาดูให้รู้ว่าที่แท้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่


 


หลังลอยร่างขึ้นมาแล้ว ทั้งหลายก็หันมามองสบตาถามไถ่ออกความเห็นกันใหญ่ แต่สุดท้ายทุกคนก็ชักสีหน้าว่างเปล่า ด้วยไม่มีใครทราบว่านี่มันเรื่องอะไร


 


“เมื่อครู่เป็นเสียงของตถาคตจริงๆหรือ?”


 


“ดูเหมือน…ตถาคตจะกลับมาแล้ว!”


 


“ข้าได้ยินว่าท่านบรรพบุรุษหลี่ผิงกับท่านประมุขรวมถึงเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงกำลังเฝ้ารอการกลับมาของมัน…อย่างไรก็ตามทุกท่านคงไม่คิดไม่ฝันกระมัง ว่าพอกลับมาถึงสิ่งแรกที่ตถาคตกระทำกลับเป็นการประกาศถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์?”


 


“ข้าได้ยินมาว่าตถาคตได้ออกเดินทางไปพร้อมกับบรรพบุรุษหลี่อัน…หากทว่าบรรพบุรุษหลี่อันกลับทิ้งชีวิตไว้ด้านนอก แต่ตถาคตกลับรอดมาได้ ข้าว่าสมควรต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นแน่?”


 


“ไม่ผิด ข้าเองก็สัมผัสได้ว่าท่าทีของตถาคตแปลกไปจากเดิมอย่างมาก…หรือท่าทีที่เปลี่ยนไปครั้งนี้ของมัน จะเกี่ยวพันกับการตายของบรรพบุรุษหลี่อัน?”


 



 


เหล่าคนของนิกายอมตะสราญรมย์ที่ทราบแล้วว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกันระงม ด้วยตระหนักได้ว่าท่าทีของจี้ฟ่านที่นิกายอมตะสราญรมย์ชุบเลี้ยงมาแต่เล็ก วันนี้แลดูผิดแปลกไปไม่น้อย


 


และในขณะที่คนของนิกายอมตะสราญรมย์กำลังตกตะลึงและติดใจเรื่องที่จี้ฟ่านประกาศถอนตัวอยู่นั้นเอง…


 


“จี้ฟ่าน!!”


 


สุรเสียงหนึ่งอันกึกก้องปานพายุฟ้าคะนอง พลันดังขึ้นไปทั่วถิ่นที่อยู่นิกายอมตะสราญรมย์อย่างกะทันหัน ทำให้แก้วหูของผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยสะท้านสะเทือนไปเป็นแถบ!


 


เสียงนี้ไม่เพียงแต่จะดันสนั่นกึกก้องปานฟ้าคำรน แต่ตราบใดที่ยังไม่สติเลอะเลือน ย่อมบอกได้ทันทีว่าในน้ำเสียงมันเต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะอันเกรี้ยวกราด!


 


และเสียงนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ของนิกายอมตะสราญรมย์พอได้ฟังก็บอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของใคร…มันคือเสียงของหลิวเสวียนคง ประมุขนิกายอมตะไท่อี!!


 


“ฟังจากน้ำเสียงแล้ว…ท่านประมุขดูเหมือนจะโกรธมาก!”


 


“จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร ตถาคตเป็นศิษน้องคนเล็กของท่านประมุข ทั้งยังได้รับการดูแลจากบรรพบุรุษหลี่อันอย่างดี ทุกคนช่วยเหลือส่งเสริมมาโดยตลอด แต่อยู่ๆกลับมาประกาศถอนตัวอกจากนิกายอมตะสราญรมย์หน้าตาเฉย…หากข้าเป็นท่านประมุข ไม่ว่าจี้ฟ่านจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม น่ากลัวข้าจะมีโมโหจนคลั่ง!”


 


“จริง ประมุขจะพิโรธหนักมากก็ช่วยไม่ได้”


 



 


สำหรับโทสะอันเกรี้ยวกราดของหลิวเสวียนคงนั้น เห็นได้ชัดว่าผู้คนส่วนใหญ่ในนิกายอมตะสราญรมย์ เข้าใจได้ว่าไฉนมันถึงโกรธ…


 


ปงงงง!!


 


ซู่มมม!!


 



 


และพอสุรเสียงดังสนั่นของหลิวเสวียนคงดังให้ทุกคนในนิกายอมะตสราญรมย์ได้ยินกันทั่วๆ ก็ปรากฏร่างหนึ่งพุ่งทะยานแหวกฟ้าขึ้นไปด้วยความเร็วสูง!


 


ด้วยความเร็วที่สูงล้ำดังกล่าว กระทั่งความว่างเปล่ายังคล้ายสะเทือนสะท้านไป บังเกิดเสียงระเบิดดังประหนึ่งขุนเขาถลมฟ้าทะลาย!


 


‘เจ้านั่นน่ะเหรอ ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ หลิวเสวียนคง?’


 


หากเป็นก่อนหน้านี้ ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะเพ่งสมาธิตั้งหน้าตั้งตาดูแค่ไหน ก็คงไม่อาจแลเห็นความเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงระดับนี้ของหลิวเสวียนคงได้เลย…


 


เพราะสุดท้ายแล้วหลิวเสวียนคง ก็บรรลุด่านพลังฝึกปรือขอบเขตเดียวกับหลี่อัน ขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก!


 


ถึงแม้พลังฝีมือของประมุขนิกายอมตะสราญรมย์อย่างหลิวเสวียนคง จะอ่อนด้อยกว่าหลี่อันมาก แต่อย่างไรเสียมันก็ยังเป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก ไม่ใช่อะไรที่ขุนนางอมตะธรรมดาๆจะเทียบเทียมได้


 


แต่คราวนี้ทันทีที่หลิวเสวียนคงเหินร่างออกมา ต้วนหลิงเทียนสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของมันได้ชัดเจน กระทั่งในมโนสำนึกยังรู้สึกว่าความเคลื่อนไหวของหลิวเสวียนคงช่างเชื่องช้าเหลือเกิน เชื่องช้าประหนึ่งหอยทากป่วยไร้แรงคลานก็ไม่ปาน


 


แน่นอนว่าไม่ใช่ความเร็วของหลิวเสวียนคงมันเชื่องช้าอะไรขนาดนั้น แต่เป็นประสาทสัมผัสและการรับรู้ของต้วนหลิงเทียนมันรวดเร็วเกินไป!


 


เพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ครอบครองพลังอำนาจ มากพอจะทัดเทียมได้กับขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศอยู่!


 


อาศัยแค่ขุนนางอมตะ 9 ตำหนักทั่วไปคนหนึ่ง แม้จะใช้ความเร็วสุดตัว แต่ในสายตาเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรจากหอยทากคืบคลาน…


 


“แห่กันมาแล้ว…”


 


และพอหลิวเสวียนคงประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ปรากฏตัว ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นว่า


 


จากเคหะสถานในถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสราญรมย์ ปรากฏร่างมากมายพากันเหินบินขึ้นมาบนฟ้า และยังมุ่งหน้ามาทางเขาอีกด้วย


 


หลังจากนั้นไม่นาน หลิวเสวียนคง ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ ก็เป็นคนแรกที่เหาะมาถึงเหนือฟ้ากลางหาว ไม่ไกลจากต้วนหลิงเทียนมากนัก


 


“จี้ฟ่าน…เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่?!”


 


หลิวเสียนคงที่พึ่งมาถึง ก็มองไปยังจี้ฟ่านที่เหินลอยไกลๆ กล่าวถามออกมาเสียงหนักด้วยสีหน้าดุร้าย


 


“ศิษย์…”


 


พอเห็นหลิวเสวียนคง จี้ฟ่านก็เผลอเรียกหาอีกฝ่ายออกไปตามจิตใต้สำนึก


 


อย่างไรก็ตามพอมันพึ่งปริปากกล่าวคำ มันก็ฉุกคิดได้ว่ามันพึ่งจะประกาศถอนตัวออกจากนิกายนอมตะสราญรมย์มาหยกๆ


 


และพอตระหนักได้ถึงชะตาที่นิกายอมตะสราญรมย์ไม่อาจหลีกเลี่ยง มันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความขื่นขมในใจ ขณะเดียวกันก็เลือกจะปิดปากแน่นสนิท


 


ทำให้การไถ่ถามของหลิวเสวียนคงเป็นดั่งสายลมพัดผ่าน เพราะจี้ฟ่านแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


จากนั้นดั่งสายลมกรรโชกมาห่าใหญ่ เบื้องหลังหลิวเสวียนคงประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ ก็ปรากฏร่างที่พึ่งเหินลอยมาถึงมากมาย


 


และคนเหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ทั้งสิ้น!


 


“จี้ฟ่าน ท่านประมุขถามเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ยินหรือ?”


 


“จี้ฟ่าน เจ้าออกไปครั้งนี้ ก็ปีกกล้าขาแข็งแล้วรึ? พบหน่าท่านประมุขไม่เพียงแต่จะไม่เคารพ แต่เจ้ายังกล้าเพิกเฉย!”


 


“จี้ฟ่าน เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร ถึงได้ประกาศคำเหลวไหลเรื่องถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์?”


 


“ไม่ว่าเจ้าจะพูดไปด้ววยเหตุผลกลใด…ให้หลังจากนี้เจ้าสำนึกผิดแค่ไหน…ข้าคนหนึ่งที่จักไม่ยอมให้เจ้าดำรงตำแหน่งตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์เราอีกต่อไป!!”


 


“นิกายอมตะสราญรมย์เราชุบเลี้ยงเจ้าดีเพียงใด แต่เจ้ากลับมีใจออกห่าง! ตถาคตของพวกเรา เจ้าไร้คุณสมบัติเป็นอีกต่อไป!!”


 



 


หลังจากที่เหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์มาถึง แต่ละคนก็กล่าววาจาออกมาด้วยโทสะ ทั้งหมดเพ่งเล็งตำหนิจี้ฟ่านกันยกใหญ่


 


ยิ่งไปกว่านั้นสายตาทีแต่ละคนใช้มองจี้ฟ่านยามนี้ ทำราวกับพวกมันอดรนทนไม่ไหว อยากพุ่งเข้าไปฉีกร่างทั้งกลืนกินเลือดเนื้อจี้ฟ่านเต็มแก่!


 


ต้องกล่าวเลยว่าด้วยตกเป็นเป้าตำหนิของอาวุโสระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์มากมายขนาดนี้ในคราวเดียว จี้ฟ่านก็รู้สึกกดดันจนแทบทนไม่ไหว


 


อย่างไรก็ตามพอนึกถึงพลังฝีมืออันน่าสะพรึงกลัวของชายหนุ่มชุดม่วงด้านหลัง ร่างที่หนักอึ้งทั้งใจที่หวั่นหวาดของจี้ฟ่านก็เริ่มสงบลง ยังเกิดเป็นความมั่นใจประการหนึ่ง


 


เพราะให้เทียบกับแรงกดดันที่มันได้รับจากชายหนุ่มชุดม่วงแล้ว อาศัยแรงกดดันจากเหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสราญรมย์เหล่านี้ ก็ไม่ได้คู่ควรให้กล่าวถึงเลย…


 


“ท่านปรมาจารย์โอสถต้วน…คนผู้นั้นคือประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ หลิวเสวียนคงขอรับ”


 


ท่ามกลางแรงกดดันอันดุร้ายของระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์ จี้ฟ่านไม่เพียงไม่ก้มหัว แต่ยังหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอย่างสุภาพ พลางชี้นิ้วไปทางหลิวเสวียนคงที่อยู่ไม่ไกล


 


“ส่วนบรรพบุรุษอีกคนของนิกายอมตะสราญรมย์ นามว่าหลี่ผิง ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ ยังไม่ปรากฏตัวออกมา…”


 


และพอจี้ฟ่านกล่าวจบคำ ไม่ทันให้คนของนิกายอมตะสราญรมย์ตอบสนองอะไร มันก็กล่าวเสริมออกมาอีกประโยค…


 


“จี้ฟ่าน! เจ้าช่างบังอาจนัก!!”


 


และแทบจะทันทีท่จี้ฟ่านกล่าวประโยคหลังจบคำ หลิวเสวียนคงก็คำรามออกมาปานฟ้าลั่น สองตายังงมองจ้องจี้ฟ่านด้วยโทสะ!


 


“จี้ฟ่าน เจ้าไม่เพียงแต่จะเรียกชื่อข้าห้วนๆ แต่ยังกล้าเรียกหาท่านบรรพบุรุษห้วนๆ…เจ้าถึงกับกล้าไม่เคารพท่านบรรพบุรุษงั้นเหรอ!?”


 


“จี้ฟ่าน นี่เจ้าเบื่อชีวิตนักหรือไร!?”


 


“ตามกฏนิกาย ไร้สัมมาคารวะ ไม่เคารพผู้อาวุโส เจ้าต้องถูกลงโทษทางวินัยสถานหนัก!”


 


“ไม่ผิด! จี้ฟ่านเจ้าต้องถูกลงโทษสถานหนัก! และอย่าได้คิดว่าแค่เจ้าพูดเรื่องจะถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์ เจ้าก็จักถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์ได้ตามใจชอบ! เป็นนิกายชุบเลี้ยงบ่มเพาะเจ้ามา หากเจ้าคิดจะไป ก็ต้องถามความเห็นนิกายก่อน ว่ายอมให้เจ้าไปได้หรือไม่!!”


 



 


หลังจากประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ หลิวเสวียนคงระเบิดคำออกมาด้วยโทสะ เหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็กลับมามีสติอีกครั้ง แต่ละคนพากันมองจ้องจี้ฟ่านอย่างเอาเรื่อง เผยโทสะปานยักษ์มารปานจะคุ้มคลั่งเสียสติได้ทุกเมื่อ


 


อย่างไรก็ตามเผชิญกับคำตำหนิของหลิวเสวียนคงรวมถึงระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์อย่างดุร้าย จี้ฟ่าน ประหนึ่งคนหูหนวกไม่ได้ยิน เพียงหันไปมองทางต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทีเคารพ ส่งสายตาทำราวกับจะบอกว่า “เชิญท่าน”


 


และทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆย่ำเท้าเหยียบอากาศก้าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อนผ่านจี้ฟ่านไป สุดท้ายก็ไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าจี้ฟ่าน


 


และตอนนี้เอง สายตาของหลิวเสวียนคงประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ รวมถึงสายตาของเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ ก็ละออกจากร่างจี้ฟ่านมาตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียนทันที


 


จากนั้นสำนึกเทวะของแต่ละคนก็แผ่พุ่งออกมาตรวจสอบต้วนหลิงเทียนกันยกใหญ่ เห็นได้ชัดว่าคิดหยั่งตื้นลึกหนาบางของต้วนหลิงเทียน


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้เลย


 


ถึงแม้เขาจะสามารถปิดกั้นสำนึกเทวะของทุกคนได้ง่ายดายด้วยสำนึกเทวะอันทรงพลังเหนือกว่าของเขา แต่เขาก็ไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้น


 


เขาคร้านจะทำอะไรไร้ประโยชน์เช่นนั้น


 


ดังนั้นแม้คนของนิกายอมตะสราญรมย์จะไม่อาจหยั่งถึงพลังงฝึกปรือเขาได้เพราะทองเทพสุดลี้ลับ แต่พวกมันก็สามารถตรวจพบกลิ่นอายเลือดเนื้อของเขาได้ไม่ยาก


 


“ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้…อายุไม่ถึงร้อยปี!”


 


“ชายหนุ่มชุดม่วงอายุไม่ถึงร้อยปีผู้นี้ เมื่อครู่ดูเหมือนว่าจี้ฟ่านจะเรียกหามันว่า ปรมาจารย์โอสถต้วน หรือว่ามันคือ…”


 


“มันใช่เป็นหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ปรมาจารย์โอสถต้วน คนนั้นหรือไม่!?”


 


“มันคือ ต้วนหลิงเทียน คนนั้นงั้นหรือ?!”


 



 


พอตรวจสอบแล้วพบว่ากลิ่นอายเลือดเนื้อของชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้านั้นยังมีอายุน้อยกว่าร้อยปี เหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนทันที ขณะเดียวกันพวกมันก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าบุคคลเบื้องหน้าเป็นใคร…


 


หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ต้วนหลิงเทียน!


ตอนที่ 2,902 : หลี่ผิง ราชาอมตะ?


 


“ต้วนหลิงเทียน? มันคือต้วนหลิงเทียนงั้นรึ?”


 


“ที่แท้มันก็คือผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มา แม้จะยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ได้รับการยอมรับให้เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงอันดับ 1 ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้?”


 


“แล้วนี่…มันเรื่องอะไรกันแน่? มันมาทำอะไร?”


 



 


หลังจากล่วงรู้ตัวตนของต้วนหลิงเทียนแล้ว ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็ตกใจกันยกใหญ่


 


ฟังจากบทสนทนาของพวกมัน เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมต้วนหลิงเทียนถึงมาปรากฏตัวที่นิกายอมตะสราญรมข์ของพวกมันได้


 


ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมาด้วยกันกับ จี้ฟ่าน ตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์พวกมันอีก


 


“เจ้าก็คือหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ต้วนหลิงเทียน งั้นรึ?”


 


ตอนนี้เอง ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ หลิวเสวียนคง ได้ระงับไฟโทสะในใจที่มีต่อจี้ฟ่านเอาไว้ชั่วคราว จากนั้นก็หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงหนัก ฟังดูเย็นชาไม่น้อย


 


“ข้าได้ยินมาว่า…พวกเจ้าเป็นตัวตั้งตัวตี และเห็นพ้องต้องกันเรื่องฆ่าข้าใช่ไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ตอบคำถามของหลิวเสวียนคง เพียงกวาดตามองไปยังระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์พลางกล่าวถามอกมาด้วยน้ำเสียงไร้แยแส


 


“เจ้ามาที่นี่ทำอะไร แล้วใช่อาจารย์ของข้าถูกคนของเจ้าฆ่าหรือไม่?”


 


หลิวเสวียนคงที่เห็นทีท่าเฉยเมยไม่แยแสมันของต้วนหลิงเทียน กอปรกับอาการผิดปกติของจี้ฟ่าน ในใจก็บังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาประการหนึ่ง


 


“เปล่า”


 


คราวนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เพิกเฉยหลิวเสวียนคง เขาส่ายหัวไปมาพลางกล่าวปฏิเสธ


 


“เปล่า?”


 


ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน หลิวเสวียนคงก็หยีตามองเพ่งต้วนหลิงเทียนเขม็ง และจากการสังเกตของมันก็พบว่าต้วนหลิงเทียนไม่คล้ายคนโกหก!


 


ครู่ต่อมาใจที่เป็นกังวลของมันก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย


 


“หึ! หลี่อันบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ไม่เจียมตัวเอง กล้าคิดลงมือต่อปรมาจารย์โอสถต้วน…สุดท้ายจึงถูกปรมาจารย์โอสถต้วนฆ่าตายคามือ!”


 


ทันใดนั้นเองจี้ฟ่านที่อยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันอย่างไม่ให้ใครทันได้ตั้งตัว เรียกว่าจังหวะนี้มันได้แสดงจุดยืนให้เห็นชัด ว่าอยู่ข้างต้วนหลิงเทียน!


 


และเมื่อวาจาดังกล่าวของจี้ฟ่านดังล่วงล้ำลำคอออกมา ผู้คนโดยรอบก็เงียบลงทันใด


 


กระทั่งคนของนิกายอมตะสราญรมย์ที่พึ่งเหินร่างขึ้นมาสมทบ เพื่อชมดูเรื่องราวสนุกสนานยังอดไม่ได้ที่จะตะลึง ถึงกับชะงักร่างค้างกลางหาวเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวของจี้ฟ่าน


 


เหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์พอฟื้นสติ ก็เผลอหันหน้ามามองสบตากัน ไร้คำใดจะกล่าว


 


“ฮ่าๆๆๆ!!”


 


สุดท้ายก็เป็นอาวุโสระดับสูง อันมีรูปลักษณ์เป็นหลวงจีนชราในจีวรสีเงินที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังหลิวเสวียนคง ระเบิดเสียงหัวเราะทำลายความเงียบออกมา จากนั้นก็ยกยิ้มแสยะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงชิงชัง “เหอะ! นี่พวกเจ้าเห็นเราเป็นเด็ก 3 ขวบงั้นเหรอ?”


 


“อาศัยเด็กน้อยขนอุยอายุไม่ถึงร้อยปีคนหนึ่ง แต่เจ้ากลับบอกว่ามันเป็นคนฆ่าบรรพบุรุษหลี่อัน? น่าขันสิ้นดี!!”


 


ขณะกล่าวสีหน้าหลวงจีนชราก็เผยให้เห็นถึงความไม่เชื่อแจ่มชัด


 


“เลอะเลือน! จี้ฟ่านผู้นี้สมองเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ!!”


 


“ตอนที่มันประกาศถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์เรา ข้าก็คิดว่ามันใช่เสียสติไปแล้วหรือไม่…มาตอนนี้ดูเหมือนว่าสติมันจะเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ!!”


 


“ข้าไม่ทราบจริงๆ ว่ามันไปโดนผู้อื่นทรมานอันใดมาถึงได้แปรพักตร์ไปเช่นนี้ แต่มันคิดเหรอว่าอาศัยวาจาเหลวไหลไม่กี่คำพวกเราจักเชื่อ? อาศัยไอ้หนูนี่น่ะรึ ฆ่าบรรพบุรุษหลี่อันได้? มีแต่ตัวโง่งมเท่านั้นจึงเชื่อ!!”


 



 


หลังจากนั้นพอเหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์กลับมารู้สึกตัว พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งคำออกมาด้วยน้ำเสียงค่อนแคะ และรู้สึกว่าท่าทางจี้ฟ่านจะเสียสติไปแล้วจริงๆ


 


“ข้า สติเลอะเลือน?”


 


ได้ยินวาจาของอาวุโสระดับสูงทั้งหลาย จี้ฟ่านก็ลอบเย้ยหยันในใจ หากแต่มันไม่คิดจะอธิบายอะไรออกมาแม้ครึ่งคำ


 


เพราะมันเองก็รู้ดี…


 


ว่าต่อให้มันอธิบายจนปากฉีกก็ไร้ประโยชน์! หากปรมาจารย์โอสถต้วนไม่ลงมือให้เห็นกับตา เกรงว่าคงไม่มีใครในโลกจะเชื่อได้ลงคอ ว่าปรมาจารย์โอสถต้วนเป็นผู้ที่ฆ่าหลี่อันตายกับมือจริงๆ!!


 


‘คราวนี้ข้าได้ทรยศนิกายอมตะสราญรมย์ ทั้งร่วมมือกับมันไปแล้วเต็มตัว…หวังว่าหลังจากลงมือทำลายรากฐานนิกายอมตะสราญรมย์เสร็จ มันจะรักษาสัญญาเรื่องไว้ชีวิตข้าจริงๆ’


 


จี้ฟ่านละสายตาจากคนของนิกายอมตะสราญรมย์มาจับจ้องแผ่นหลังของชายยหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า ในใจลอบภาวนาอย่างลับๆ


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า ก็สามารถตัดสินชะตากรรมของมันได้ในหนึ่งห้วงคิด!


 


“หนวกหู!”


 


เมื่อคนของนิกายอมตะสราญรมย์เริ่มกล่าววาจาดูแคลนกันไม่หยุดปาก ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกรำคาญก็สบถคำออกมาเสียงเย็น


 


และเสียงสบถเยียบเย็นนี้ ก็แฝงเร้นไปด้วยพลังอำนาจขุมหนึ่ง ทำให้มันดังสนั่นกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณหลายลี้ ยากที่จะมีใครไม่ได้ยิน!


 


อีกทั้งคราวนี้ต้วนหลิงเทียนยังจงใจแสดงพลังอำนาจออกมา ทำให้คลื่นเสียงแฝงพลังดังกล่าว ประหนึ่งคลื่นสมุทรสุดคุ้มคลั่งกำจายออกไปอย่างเกรี้ยวกราด!!


 


พริบตาต่อมา


 


“อ๊าคค!!”


 


“อั่ก!!”


 


“อ่อค!”


 



 


เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังโหยหวนขึ้น ยังมีเสียงกระอักโลหิตดังขึ้นพร้อมเพรียง เรียกว่าเสียงสบถแฝงพลังครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน ทำร้ายพวกมันหนักหนาแล้ว!


 


และผู้ที่กระอั่กเลือดทั้งกรีดร้อง ล้วนเป็นเหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ทั้งสิ้น


 


สำหรับเหล่าศิษย์ของนิกายอมตะสราญรมย์ หรือตัวตนที่พลังฝึกปรือไม่ถึงขั้นนั้น ไม่มีแม้แต่โอกาสจะส่งเสียงกรีดร้องใดๆ ร่างของพวกมันหล่นร่วงตกฟ้าปานหุ่นกระบอกไร้ด้าย กลับกลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือนเกลื่อนพื้น มองไกลๆยังคล้ายหยาดพิรุณพร่ำพรมอยู่บ้าง เพียงแค่หยาดพิรุณที่พร่ำพรมลงมาคราวนี้เป็นผู้คนก็เท่านั้น!!


 


“พลังอันใดกัน! ศิษย์เราตายแล้ว!?”


 


“บัดซบ! ล้วนตกตายหมดสิ้นแล้ว!!”


 



 


ตอนนี้เองเหล่าอาวุโสระดับสูงที่กระอักเลือดออกมา พอรู้สึกตัวแล้วเห็นฉากเรื่องราวเบื้องหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่นกันยกใหญ่ กระทั่งหลิวเสวียนคงเองยังหน้าเสียไป เมื่อเห็นศิษย์นับร้อยพันตกตายไปในลักษณะนี้!


 


ต้องทราบด้วยว่าศิษย์ที่เหินร่างขึ้นมาคราวนี้ อย่างต่ำล้วนมีด่านพลังขอบเขตยอดเซียนอมตะ! ไม่มีผู้ใดอ่อนด้อยไปกว่ายอดเซียนอมตะแม้แต่คนเดียว!!


 


ตอนนี้ผู้ที่ยังสามารถลอยร่างเหนือน่านฟ้าของนิกายอมตะไท่อีได้ ล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนที่บรรลุด่านพลังเหนือขอบเขตยอดเซียนอมตะทั้งสิ้น!


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ หากแต่ผู้ที่ด่านพลังสูงไม่ถึงขั้น ตอนนี้แก้วหูล้วนแตกทะลุ หยาดโลหิตสีคล้ำไหลย้อยออกมาจากหู ยังมีผู้ที่ปรากฏลโลหิตไหลออกจากทวารทั้ง 7 แลดูน่าสยดสยองนัก!


 


อาศัยหนึ่งคำสบถ ก็ฆ่าคนนิกายอมตะสราญรมย์ที่ด่านพลังยังไม่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ ที่เหินร่างขึ้นมาชมดูเรื่องราวบนฟ้าหมดสิ้น!!


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 



 


จังหวะนี้เหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ที่ยังมีชีวิตรอด  ถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็ด! บริเวณขมับเริ่มปรากฏเหงื่อเม็ดเขื่องผุดซึม!!


 


พอมองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแวววตาก็ฉายชัดถึงความหวาดผวาพรั่นกลัว เจือไว้ด้วยความตื่นตระหนกไม่อยากจะเชื่อ!


 


กระทั่งตัวประมุขนิกายอมตะสราญรมย์อย่างหลิวเสวียนคง ผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักแล้ว ในแววตาก็อดไม่ได้ที่จะเผยความหวั่นหวาดออกมาลึกล้ำ


 


ถึงแม้การลงมือเข่นฆ่าโดยใช้คลื่นเสียงสังหารเช่นนี้ ตัวมันก็สามารถกระทำได้…


 


อย่างไรก็ตามมันลองถามตัวเองดูก็ตอบได้ทันที ว่าถึงจะกระทำได้…แต่ก็ไม่มีทางลงมือด้วยท่าทีปลอดโปร่งไร้เรื่องราวเยี่ยงชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าได้เลย!!


 


‘บัดซบ! ด่านพลังของมัน…อยู่เหนือข้าไม่ผิดแน่!’


 


‘อีกทั้งต่อให้เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศ แต่ก็ไม่มีทางลงมือได้อย่างไร้เรื่องราวเช่นมัน!’


 


‘หรือว่า…ด่านพลังของมันบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะแล้ว?’


 


ในห้วงเวลาดุจฟ้าแลบ ความคิดของหลิวเสวียนคงได้โลดแล่นไปไวจี๋ และในที่สุดมันก็ตัดสินได้ ว่าต้วนหลิงเทียนไม่พ้นต้องเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะแล้วแน่นอน!


 


‘ดูเหมือนว่า…คนที่ลงมือสังหารท่านอาจารย์ จะเป็นมันจริงๆ!’


 


หลังจากตระหนักได้ถึงพลังของต้วนหลิงเทียน แม้แต่ตัวหลิวเสวียนคงก็ไม่อาจไม่สนใจวาจาที่จี้ฟ่านพึ่งกล่าวไปก่อนหน้าได้อีกต่อไป!


 


เรียกว่าตอนนี้จะหลิวเสวียนคงหรืออาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ที่ลอยร่างอยู่บนฟ้า ไม่มีใครไม่หวาดกลัวเสียขวัญ พาลให้บรรยากาศเหนือฟ้ากลายเป็นหดหู่อึมครึมนัก!


 


ตึง! ตูม! โครม!


 


โผละ! แผละ!


 



 


ตอนนี้เองเสียงร่างผู้คนกระแทกพื้นจนกลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือนก็พึ่งจะดังขึ้นมาถึงบนฟ้า ดุจดั่งดุริยางค์นรกที่บรรเลงเข้าหูระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์ได้อย่างประจวบเหมาะ…


 


และปรากฏการณ์ดังกล่าว ยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับเหล่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ที่อยู่ด้านล่าง ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสราญรมย์เริ่มดังระงมไปด้วยเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจเสียขวัญ


 


“นิ…นี่มันอันใดกัน!?”


 


“เกิดอะไรขึ้น!?”


 



 


เหล่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ ที่โชคดีรอดชีวิตเพราะไม่ได้เหินร่างขึ้นมา เมื่อได้เห็นซากศพแหลกเหลวนับร้อยพันที่เกลือนพื้น ทั้งติดค้างอยู่บนหลังคา ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก จมูกสูดได้กลิ่นโลหิตไปทั่ว


 


ตูมมม!!


 


ครืนนน!!


 


….


 


ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางเสียงตื่นตระหนกตกใจ อยู่ๆเสียงระเบิดหนึ่งพร้อมแรงสั่นสะเทือนพลันอุบัติขึ้น! ทว่าคราวนี้แตกต่างจากตอนที่ หลี่ผิง บรรพบุรุษนิกายอมตะสราญรมย์พึ่งรับทราบการตายของหลี่อันอยู่บ้าง เพราะปรากฏการณ์สั่นสะเทือนดังกล่าวดำเนินไปนานกว่า!!


 


และความเคลื่อนไหวดังกล่าว ก็ดึงดูดความสนใจต้วนหลิงเทียนเช่นกัน


 


‘พลังวิญญาณฟ้าดินนี่มัน…’


 


ทันใดนั้นสายตาของต้วนหลิงเทียนก็หันไปจับจ้องมองลึกเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งของนิกายอมตะสราญรมย์ด้านล่าง พริบตาต่อมาสำนึกเทวะยังแผ่ไปปกคลุมอาณาบริเวณดังกล่าวทันที


 


“น่าสนใจดีนี่…”


 


จากนั้น มุมปากต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆคลี่ยิ้มแสยะ แววตายังทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่งคล้ายกำลังพบพานเรื่องราวสนุกสนาน…


 


ครืนนนน!!


 


ตึงงง!!


 



 


ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสราญรมย์แถบนั้น ปรากฏคลื่นสั่นสะเทือนจนทำให้อาคารพังทลาย และเหตุการณ์ดังกล่าวยังดำเนินไปกว่า 1 เค่อ ค่อยหยุดลง…


 


“ฮ่าๆๆๆ…!!”


 


“หึๆ ฮ่าๆๆๆ!!!”


 


และหลังจากปรากฏการณ์สั่นสะเทือนจนอาคารพังพินาศจบสิ้นลง ก็ปรากฏเสียงหัวเราะอันเปี่ยมล้นไปด้วยความพึงพอใจดังกระหึ่มขึ้นมาทั่วนิกายอมตะสราญรมย์ ยังดังมาจากจุดศูนย์กลางแรงสั่นสะเทือนของถิ่นที่อยู่เบื้องล่างนั่น!!


 


“ในที่สุด! ข้าหลี่ผิง ก็ทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะได้เสียที!!”


 


หลังเสียงหัวเราะหยุดลง เสียงชราอันเปี่ยมล้นไปด้วยความปิติยินดีก็กังวาลขึ้นตามติด แน่นอนว่าคนนิกายอมตะสราญรมย์ทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่ ล้วนได้ยินกันชัดถนัดหู!!


 


จังหวะนี้ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสราญรมย์ ก็เงียบสงัดลงอีกครา


 


และหลังความเงียบสงัด ก็ดั่งพายุวาจาอุบัติ หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนกหลังได้เห็นพิรุณเลือดเนื้อแต่อย่างใด แต่เป็นความตกใจระคนยินดี บรรยากาศสยดสยองยังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!


 


“ข้า…ข้าได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่? ท่านบรรพบุรุษหลี่ผิง…ท่าน…ท่านกล่าวว่าทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะแล้วงั้นหรือ!?”


 


“บรรพบุรุษหลี่ผิงของพวกเรา ได้กลายเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะแล้วหรือ!?”


 


“นิกายอมตะสราญรมย์ของพวกเรา ไม่ปรากฏราชาอมตะให้เห็นมาหลายพันปีแล้วใช่ไหม!?”


 



 


นับว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายพันปีเลยทีเดียว ที่นิกายอมตะสราญรมย์อุบัติตัวตนราชาอมตะ!


 


“อาจารย์ลุง…ทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะได้แล้ว!?”


 


จังหวะนี้หลิวเสวียนคงที่เมื่อครู่ตกอยู่ในความหวาดกลัว เพราะคาดเดาว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะ ก็เสมือนได้เห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด ลูกตายังทอประกายจ้าขึ้นมาด้วยความหวังความยินดี!!


 


เมื่อครู่มันยังคิดอยู่เลย…


 


ว่าหากต้วนหลิงเทียนเป็นราชาอมตะขึ้นมาจริงๆ กระทั่งอาจารย์ลุงของมันที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายอมตะสราญรมย์ ณ เวลานี้ น่ากลัวจะไม่อาจเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้…


 


กระทั่งยังอาจจะพ่ายแพ้ตายตก!


 


แต่บัดนี้ อาจารย์ลุงของมันได้ทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตราชาอมตะแล้ว! เรียกว่าหมอกมืดที่เริ่มปกคลุมท่วมใจของมัน ได้ถูกปัดเป่าจนสลายไปทันใด!!


 


“ฟ่านเอ๋อกลับมาแล้วหรือ?”


 


หลังจากนั้นครู่ต่อมา สำนึกเทวะอันทรงพลังขุมหนึ่ง ก็ได้กำจายออกมาปกคลุมไปทั่วถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสราญรมย์ ครอบคลุมมาถึงน่านฟ้าเหนือนิกาย พร้อมกับมีเสียงชราหนึ่งดังขึ้นตามติด


 


เห็นได้ชัดว่าสำนึกเทวะของเจ้าเสียง ได้ค้นพบจี้ฟ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


“ปรมาจารย์โอสถต้วน…เจ้าของเสียงเมื่อครู่ ก็คือบรรพบุรุษอีกคนของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่ผิง”


 


ตอนนี้เองจี้ฟ่านก็หันไปกล่าวบอกต่อต้วนหลิงเทียนทันที


 


และขณะกล่าวประโยคท้าย แววตามันก็เริ่มปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมา “ตอนนี้มัน…ดูเหมือน…จะทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะได้แล้ว!”


 


เมื่อจี้ฟ่านกล่าวจบคำ มันก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง


 


จังหวะนี้มันกลัวที่จะเห็นความหวาดกลัวในสายตาของต้วนหลิงเทียนเหลือเกิน เพราะสิ่งนั้นย่อมบ่งบอกว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่มั่นใจว่าจะจัดการหลี่ผิงที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะได้…


 


มันไม่อยากเห็นอะไรแบบนั้นจริงๆ!!


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)