War sovereign Soaring The Heavens 2290-2296

 ตอนที่ 2,290 : ภัยคุกคามจากครึ่งก้าวเซียนอมตะ!


 


“ท่านพ่อ!!”


 


พึ่งลืมตาขึ้นและยังไม่มีเวลาแม้แต่จะทันได้สัมผัสถึงความก้าวหน้าของพลังในร่าง รวมถึงขีดจำกัดของพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิด ที่ไร้ความช่วยเหลือของปฐมเวทย์กลืนกิน ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นยินดีที่คุ้นเคยหนึ่งเสียก่อน


 


“ซือหลิง!”


 


ต้วนหลิงเทียนเร่งหันมองไปทางต้นเสียงทันควัน


 


ต้นเสียงเป็นร่างเด็กผู้หญิงอายุราวๆ 12-13 ปียืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางตื่นเต้น


 


“ซือหลิง ลูกโตขึ้นมาก….”


 


เมื่อเห็นร่างเด็กผู้หญิงที่กำลังส่งยิ้มมาด้วยความสดใสร่าเริง ในใจต้วนหลิงเทียนพลันอ่อนยวบลงดั่งน้ำเหลว ยังอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสะทกสะท้อนหนึ่ง “ตอนนี้ข้าปิดด่านไป…คงเป็นเวลาราววๆ 3 ปีได้สินะ”


 


ก่อนที่จะปิดด่านบ่มเพาะ ต้วนหลิงเทียนได้กะเวลาเอาไว้แล้วคร่าวๆ…


 


ว่าระยะเวลา 3 ปี สมควรมากพอให้เขาทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


และตอนนี้เมื่อพลังฝึกปรือของเขาบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้สำเร็จ นั่นหมายความว่ากาลเวลาก็สมควรล่วงเลยไปแล้วถึง 3 ปี…


 


พอได้เห็นลูกสาวตัวน้อยได้เติบโตเป็นดรุณีน้อยร่างสูงเพรียว เขาก็ยืนยันได้ทันทีว่าสมควรปิดด่านมานานดังคาด…


 


และตอนนี้ทำให้ในใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความรู้สึกผิดเอ่อล้นขึ้นมาประการหนึ่ง


 


ในช่วงเวลาที่เขาปิดด่าน ลูกสาวที่น่ารักของเขากลับเติบโตจากเด็กหญิงตัวน้อย กลายเป็นดรุณนีร่างบาง! บิดาเช่นเขากลับพลาดช่วงเวลาเติบโตของลูกสาวไป…พาลให้ในใจบังเกิดรสชาติขมปร่าประการหนึ่ง!


 


“ท่านพ่อ! ในที่สุดท่านก็ออกจากการปิดด่านแล้ว!!”


 


ถึงแม้จะเติบโตเป็นดรุณีน้อยนางหนึ่งแล้ว หากแต่นิสัยของต้วนซือหลิงก็ยังคงร่าเริงเหมือนเดิม พอเห็นต้วนหลิงเทียนที่ออกจากการปิดด่าน ร่างบางก็เหินทะยานขึ้นไปอย่างไม่รอช้า โผเข้าสู่อ้อมกอดของต้วนหลิงเทียนทันที


 


ต้วนหลิงเทียนมองสบตาลูกสาวตัวน้อยด้วยความยินดี คลี่ยิ้มอบอุ่นพลางกล่าว “พริบตาเดียวซือหลิงตัวน้อยของพ่อกลับเติบโตขึ้นมาขนาดนี้แล้ว…พ่อแทบจำเจ้าไม่ได้เลย…”


 


“ฮึ ก็ท่านพ่อปิดด่านบ่มเพาะไปเกือบ 3 ปีนี่นา…”


 


ต้วนซือหลิงทำหน้ามุ่ย กล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางน้อยใจ


 


“อา เป็นพ่อผิดเอง…พ่อไม่น่าปิดด่านบ่มเพาะนานขนาดนี้เลย…”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นใจ น้ำเสียงช่างอ่อนโยนนัก


 


“ท่านพ่อ ท่านแม่เองก็คิดถึงท่านมากๆเลย”


 


ตอนนี้ต้วนซือหลิงก็ได้เติบโตเป็นดรุณีแรกรุ่นแล้ว ถึงแม้นิสัยนางจะยังคงสดใสร่าเริงไม่ต่างจากเด็กหญิงตัวน้อยในวันวานต่อหน้าต้วนหลิงเทียน หากแต่นางก็เติบโตขึ้นมาจนรู้ความว่าอะไรเป็นอะไร


 


ดังนั้นหลังจากอยู่ในอ้อมกอดบิดาอย่างอบอุ่นครู่หนึ่ง นางก็ผละออก ก่อนจะจูงมือต้วนหลิงเทียนพาไปหาเค่อเอ๋อ


 


ต่อมานางก็ปล่อยมือต้วนหลิงเทียนและไปยืนข้างก่านหรูเยี่ยนอย่างรู้ความ


 


“เค่อเอ๋อ…”


 


ยามมองไปยังเค่อเอ๋อ สายตาของต้วนหลิงเทียนก็อ่อนโยนลงอย่างถึงที่สุด


 


“พี่เทียน…”


 


มองไปยังบุรุษที่ทำให้นางฝันถึงทุกคืนวัน เค่อเอ๋อ ได้แต่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน ครู่ต่อมาร่างบางก็โผเข้าสู่อ้อมอกต้วนหลิงเทียน สองแขนกอดร่างแกร่งเบื้องหน้าแนบแน่น ราวกับจะไม่ปล่อยมือให้อีกฝ่ายแยกจากไปไหนอีก


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็กระชับร่างบางมากอดไว้อย่างแนบแน่น ในใจอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา


 


ตอนนี้วาจาใดคล้ายไร้สำคัญ เพียงความเงียบงันก็บ่งบอกทุกกสิ่ง


 


ใจทั้งคู่คล้ายเชื่อมโยงถึงกัน สื่อประสานร่วมเคียงยากจะแยกจากได้อีกต่อไป


 


“นายท่าน…”


 


ห่างออกไปไม่ไกลนัก เผิงไหล ที่ได้เห็นต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่านแล้ว แววตาก็อดฉายถึงความซับซ้อนออกมาไม่ได้


 


เป็นนายท่านผู้นี้ ที่ช่วยยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของมันให้บรรลุถึงรากวิญญาณสีคราม…


 


กระทั่งยังเป็นรากวิญญาณสีครามเข้ม!


 


ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พลังฝึกปรือของมันก็สามารถทะลววงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนได้ในที่สุด กลายเป็น 1 ในอาวุโสระดับแนวหน้าไม่กี่คนของวังเซียนสัญจรที่มีพลังฝึกกปรือบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน


 


หากเป็นในสถานการณ์ปกติ มันย่อมบังเกิดความยินดีถึงขีดสุดที่สามารถทะลวงผ่านด่านพลังจนนบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนได้…


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้มันกลับไร้ซึ่งความสุขใดๆเพียงเสี้ยว


 


เพราะมันรู้ดีว่าต่อให้พลังฝึกปรือจะบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนแล้ว แต่อย่าได้กล่าวถึงเรื่องที่มันจะได้เลื่อนขั้นเป็นชนชั้นรองจ้าววังอันใด บัดนี้มันไม่อาจถูกนับให้เป็นคนของวังเซียนสัญจรได้อีกแล้วด้วยซ้ำ กระทั่งชีวิตของมันยังไม่แน่วว่าจะรอดพ้นความตายไปได้!


 


หากไม่มีคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า มันคงยังเหลือหนทางให้เลือกเดิน


 


หากทว่าบัดนี้มันไร้ซึ่งหนทางอื่นใด มีแต่ต้องร่วมหัวจมท้ายเดินไปกับนายท่านผู้นี้จนสุดทาง ต่อให้ปลายทางเบื้องหน้าจะมืดมิดไร้แสงใดๆก็ตามที…


 


‘ข้าหวังเพียงให้นายท่านที่ปิดด่านมา 3 ปีบังเกิดความสำเร็จเลิศล้ำ จนสามารถสร้าง ‘ปาฏิหาริย์’ได้…แบบนั้นข้าจึงจักมีหนทางรอด’


 


ความตายนั้น ไม่ว่าใครก็หวาดกลัว


 


กระทั่งเผิงไหลก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


หากมันสามารถรอดชีวิตไปได้ ต่อให้มันจะต้องออกจากวังเซียนสัญจร และถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศต่อเผ่าปีศาจ ได้แต่ระหกระเหินท่องโลกไปพร้อมนายท่านที่เป็นมนุษย์เบื้องหน้ามันก็เต็มใจ!


 


ยิ่งไปกว่านั้นมันบังเกิดสังหรณ์อันแรงกล้าประการหนึ่ง…


 


หากนายท่านของมันผู้นี้สามารถรอดพ้นวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้ มันที่ติดตามนายท่านผู้นี้ไป…ความสำเร็จในภายภาคหน้าย่อมสูงล้ำยิ่งกว่าจมปลักอยู่ในวังเซียนสัญจรหลายขุม!


 


‘กลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจากร่างมัน…ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเมื่อ 3 ปีก่อนมาก’


 


ก่านหรูเยี่ยนที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนนั้น ตอนแรกสาตาของนางก็ฉายถึงความซับซ้อนนัก แต่ครู่ต่อมานางก็เริ่มหันความสนใจไปยังกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนอย่างเป็นธรรมชาติ


 


‘เมื่อ 3 ปีที่แล้วพลังฝึกปรือของมันมีเพียงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเท่านั้น…’


 


เผิงไหลนั้นไม่ได้รู้เลยว่าพลังฝึกปรือก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนอยู่ในขอบเขตขีดขั้นอะไร หากทว่าก่านหรูเยี่ยนในฐานะพี่สาววฝาแฝดของเค่อเอ๋อย่อมล่วงรู้กระจ่างชัด!


 


ถึงแม้ว่าพลังฝีมือก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนนั้น จะแข็งแกร่งทัดเทียมกับตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยน


 


ทว่าก่านหรูเยี่ยนรู้ดีแก่ใจ…


 


ว่าตอนนั้นพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียน ยังพึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเท่านั้น!


 


‘ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณสูงสุดอย่างรากวิญญาณสีดำ…ผ่านไปถึง 3 ปีแบบนี้ อย่างน้อยๆพลังฝึกปรือของมันสมควรทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนใช่หรือไม่?’


 


จะอย่างไรก่านหรูเยี่ยนก็ไม่ทราบถึงความเลิศล้ำของพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำที่แท้จริง ทำให้นางได้แต่คาดเดาไปทำนองนี้


 


‘งั้นหมายความว่าตอนนี้พลังฝีมือของมันสมควรสูงพอจะทัดเทียมกับจ้าววังเซียนสัญจรแล้วสิ?’


 


ก่านหรูเยี่ยนได้แต่ลอบตั้งคำถามในใจ


 


“ลุงเผิงไหล เมฆสีดำนั่นมันอะไรเหรอ ไฉนคล้ายมันเคลื่อนที่ไปรวมกันตรงนั้นล่ะ? เอ๊ะ เหมือนด้านหลังเมฆสีดำนั่นจะมีประกายแสงวูบวาบหลายสีด้วย สวยจังเลย…”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร หากทว่าตอนนี้ต้วนซือหลิงพลันสังเกตเห็นเมฆดำทะมึนที่กำลังเคลื่อนไปบรรจบเหนือฟ้าทิศทางหนึ่ง จึงกล่าวถามเผิงไหลออกมาทันที


 


ได้ยินคำของต้วนซือหลิง เผิงไหลก็แหงนขึ้นไปมองเมฆดำที่กำลังเคลื่อนตัวด้วยความเร็วผิดปกติบนฟ้า และดูเหมือนเมฆจากทุกสารทิศจะเคลื่อนตัวไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกัน


 


ไปบรรจบเหนือฟ้า ณ จุดนั้น จุดที่มีแพเมฆทะมึนอันหนาแน่น!


 


นอกจากนี้เบื้องหลังแพเมฆดำนั่นกลับมีประกายแสงหลากสีสันสาดดส่องลอดความมืดมิดออกมาให้เห็นเป็นครั้งคราว


 


“นี่มัน…”


 


ทันใดนั้นลูกตาเผิงไหลก็หดหยีลงทันที สีหน้ายังเปลี่ยนไปอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะโพล่งอุทานออกมาด้วยความตกใจ “มะ…เมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ของครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!”


 


ทว่าอย่างไรก็ตามเผิงไหลคล้ายตระหนักได้ว่าไม่ควรรบกวนนายท่านของมันกับนายหญิง เสียงโพล่งอุทานจึงถูกมันลดความดังลงไปหลายส่วน ทำให้ไม่รบกวนเค่อเอ๋อกับต้วนหลิงเทียนที่กำลังกอดกันอย่างหวานชื่นแต่อย่างใด…


 


อย่างไรก็ตามก่านหรูเยี่ยนที่อยู่ใกล้กับมัน ย่อมได้ยินเสียงอุทานของมันชัดถนัดหู


 


“เมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ของครึ่งก้าวเซียนอมตะหรือ?”


 


ทันใดนั้นสายตาของก่านหรูเยี่ยนก็หันไปมองตามทิศทางสายตาของเผิงไหลทันที


 


พอได้เห็นว่าเมฆดำทะมึนกำลังแห่แหนกันมาจากทุกทั่วสารทิศและไปบรรจบกัน ณ จุดๆหนึ่ง สีหน้านางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก “เป็นเมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ของครึ่งก้าวเซียนอมตะจริงๆ!”


 


ในฐานะอดีตศิษย์ที่แท้จริงคนหนึ่งของลัทธิบูชาไฟ ก่านหรูเยี่ยนย่อมเคยได้ยินเรื่องราวของเมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ของครึ่งก้าวเซียนอมตะดี ยังรับรู้ถึงลักษณะของมันชัดเจน


 


ดังนั้นทันทีที่นางได้เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเหนือฟ้าทางฟากนั้น นางจึงยืนยันได้ทันที


 


ว่าเมฆดำทะมึนที่กำลังเคลื่อนที่มาบรรจบกัน ณ จุดนั้นจากทั่วสารทิศ…เป็นเมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ของครึ่งก้าวเซียนอมตะ…หายนะสู่สวรรค์!


 


“เมฆหายนะสู่สวรรค์พวกนี้มันไปบรรจบกันตรงนั้น แล้วตรงนั้นเป็นที่ใด?”


 


ถึงแม้ในใจจะสั่นสะท้านเพราะคาดเดาได้ถึงบางสิ่งรางๆ หากแต่ก่านหรูเยี่ยนก็เลือกจะถามเผิงไหลเพื่อยืนยันความคิด


 


“ทิศทางนั้น…เป็นทิศทางที่ตั้งของคฤหาสน์ท่านจ้าววัง อวี่เหวินฮ่าวเฉิน!”


 


เผิงไหลเผยยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ข้าเองก็สงสัยแต่แรกแล้ว ว่าด้วยความแค้นที่ ฉีหนานฟง จ้าววังวิญญาณอสุราผู้นั้นมีต่อตำหนักเมฆาคราม มันสมควรฉวยโอกาสลงมือกับนายท่านอย่างไร้เหตุผลแต่แรก เมื่อได้รู้ว่าท่านจ้าววังกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่แบบนี้…”


 


“แต่ทว่ามันกลับเลือกที่จะรอคอยอยู่อย่างสงบเสงี่ยม…”


 


“ก่อนหน้าเป็นข้าสงสัยและไม่เข้าใจในเรื่องนี้มาโดยตลอด…”


 


“ทว่ามาตอนนี้ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว…ที่แท้ท่านจ้าววังกำลังพยายามคว้าโอกาสทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะในการปิดด่านบ่มเพาะครั้งนี้นี่เอง!”


 


“พอได้รับทราบว่าท่านจ้าววังกำลังจะกลายเป็นตัวตนขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะ…ฉีหนานฟง ผู้นั้นแน่นอนว่าย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่าม ไร้ความกล้าจะก้าวก่ายหน้าที่ของจ้าววังเซียนสัญจร!”


 


จังหวะนี้เผิงไหลเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้กระจ่าง


 


อย่างไรก็ตาม ในขณะมันที่เข้าใจเรื่องราวได้กระจ่าง ใจของมันก็ยิ่งสะท้านสั่นไหวมากขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มบนหน้ายิ่งมายิ่งขื่นขมปานจะร่ำไห้!


 


“เป็นที่อยู่ของจ้าววังเซียนสัญจรจริงๆ…!”


 


ถึงแม้จะเตรียมใจไว้แล้วแต่แรก แต่พอได้ยินคำยืนยันของเผิงไหล ใจของก่านหรูเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ!


 


“กล่าวได้ว่า…จ้าววังเซียนสัญจรนั่น ในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้หากมันเอาชนะหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ มันก็จะกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้วสิ?!”


 


คิดถึงจุดนี้ ความหวังที่พึ่งก่อเกิดได้ไม่นานในใจของก่านหรูเยี่ยน ก็ถูกความจริงบดขยี้ให้พังทลายลงอย่างไร้ปราณี!


 


ก่อนหน้านี้นางคาดว่าพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนสมควรทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยนแล้ว


 


ต้วนหลิงเทียนตอนมีพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 7เปลี่ยนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าววังเซียนสัญจร


 


ทว่าแล้วต้วนหลิงเทียนในขอบเขตเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยนเล่า?


 


เนื่องจากก่านหรูเยี่ยนนั้นไม่รู้ว่าพลังเซียนต้นกำเนิดนั้นมีขีดจำกัด ทำให้นางไม่ได้รู้เลยว่าแม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว ไม่ใช่เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอย่างที่นางคิด หากแต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าววังเซียนสัญจรในตอนนั้นอยู่ดี!


 


แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวต้องขึ้นอยู่กับกรณีที่ว่า ตราผนึกมาร ไม่อาจสยบจ้าววังเซียนสัญจรในวันนั้นที่มีพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนชนชั้นยอดฝีมือได้ด้วย


 


มาตอนนี้พอรู้ว่าจ้าววังเซียนสัญจรกำลังจะเผชิญหน้ากับหายนะทัณฑ์สวรรค์ และหากอีกฝ่ายเอาชนะได้ก็จะกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ…


 


ทำให้ความหวังในใจของก่านหรูเยี่ยนได้แตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งๆที่ความหวังดังกล่าวพึ่งจะเริ่มก่อตัวได้ไม่นาน


 


สิ่งนี้ให้ความรู้สึกประหนึ่งคนที่กำลังจะจมน้ำตาย หากทว่าได้พบเจอฟางเส้นสุดท้ายจึงเร่งไขว่คว้าเอาไว้! มิคาดฟางเส้นสุดท้ายที่คิดว่าสามารถช่วยชีวิตได้ กลับขาดผึงลงต่อหน้าต่อตา…!!


 


ความรู้สึกประหนึ่งจะได้ทะยานขึ้นจากขุมนรกสู่สวรรค์ อนิจจากลับต้องร่วงตกลงไปในนรกอีกครั้ง…


 


“ไม่สิ…ไม่แน่ว่ามันจะเอาชนะหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้! มันอาจจะตกตายเพราะก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์ล้มเหลว!!”


 


พอฉุกคิดถึงความเป็นได้ประการหนึ่งขึ้นมา สองตาก่านหรูเยี่ยนหวนกลับมาทอประกายจ้าอีกครั้ง ใบหน้านางยังเริ่มฉายชัดถึงความหวังขึ้นมาอีกครั้ง


 


เพราะเท่าที่นางทราบ


 


ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนนั้น แม้จะสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์มาเพื่อก้าวข้ามได้ก็จริง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะก้าวข้ามหายนะได้สำเร็จ!


 


“ก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์ล้มเหลวหรือ?”


 


ได้ยินคำเปี่ยมความหวังของก่านหรูเยี่ยน เผิงไหลได้แต่ส่ายหัวกล่าวพร้อมรอยยิ้มขื่นขม “เป็นไปมิได้ที่จะล้มเหลว…”


ตอนที่ 2,291 : พลังสุริยันบังเกิดความผิดปกติ!


 


“เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว?”


 


คำพูดของเผิงไหลทำให้หว่างคิ้วก่านหรูเยี่ยนขดย่นเป็นปมอีกครั้ง “เจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่? หรือเจ้ามั่นใจในความสามารถของจ้าววังเซียนสัญจรของเจ้าขนาดนั้นเลย?”


 


“ไม่ใช่ว่าข้ามั่นใจในความสามารถของจ้าววัง”


 


เผิงไหลกล่าวออกด้วยน้ำเสียงขื่นขม “แต่ในประวัติศาสตร์ของวังเซียนสัญจร หามีจ้าววังแม้แต่คนเดียวไม่…ที่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ล้มเหลว! นั่นเพราะบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งวังเซียนสัญจรของพวกเราได้ถ่ายทอด ‘วิธีการ’ ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ประการหนึ่งจากรุ่นสู่รุ่น…”


 


“อะไรนะ!?”


 


คำของเผิงไหล พอดังเข้าหูก่านหรูเยี่ยนก็ทำให้สีหน้าเปลี่ยนไปครั้งใหญ่


 


“งั้นเจ้าจะบอกว่า…จ้าววังเซียนสัญจรนั่นของเจ้า มันสามารถเอาชนะหายนะทัณฑ์สวรรค์และบรรลุถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะได้แน่นอน?”


 


หลังหน้าเปลี่ยนสีไปไม่สู้ดี ก่านหรูเยี่ยนก็กล่าวถามเพื่อยืนยันออกมาอีกครั้ง


 


หลังได้เห็นเผิงไหลพยักหน้าตอบรับ ก่านหรูเยี่ยนรู้สึกเสมือนโลกหล้าพลิกคว่ำ ตะวันจันทราหม่นแสง ไร้ความสว่างอันใด ประหนึ่งจุดจบของโลกกำลังจะมาถึง…


 


อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่ทันไร คล้ายนางจะฉุกคิดได้ถึงบางสิ่ง สองตาที่หม่นหมองพลันส่องสว่างเผยประกายจ้าขึ้นมาอีกครั้ง


 


“หายนะสู่สวรรค์อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาในการข้ามผ่าน 2-3 วัน…กล่าวได้ว่าในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้เป็นไปไม่ได้ที่จ้าววังเซียนสัญจรจะลงมือ!!”


 


เมื่อนึกได้ถึงเรื่องนี้ ก่านหรูเยี่ยนหันไปมองต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อที่กำลังกอดกันทันที และไม่สนเรื่องที่จะรบกวนกการจู๋จี๋หวานชื่นของสามีภรรยา เร่งกล่าวออกมาเสียงหนัก “ต้วนหลิงเทียน! อาศัยจังหวะที่จ้าววังเซียนสัญจรกำลังจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์พาพวกเราหลบหนีไปเร็วเข้า!!”


 


“หากมันข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ พวกเราก็ไม่มีทางหนีไปได้แล้ว!!”


 


เสียงที่ก่านหรูเยี่ยนตะโกนกล่าวนั้นยิ่งมายิ่งเต็มไปด้วยความร้อนรน


 


สำหรับจ้าววังวิญญาณอสุราอย่างฉีหนานฟงนั้น ตอนแรกนางคิดว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะอ่อนด้อยกว่าอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามตอนนี้พอนางได้เห็นว่าต้วนหลิงเทียนสมควรทะลวงด่านพลังได้สำเร็จ จึงคิดว่าต้วนหลิงเทียนสามารถต่อกรกับฉีหนานฟงได้แน่…


 


หากแต่นางไม่ได้ล่วงรู้เลย…


 


ตอนนี้แม้พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนจะทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว หากแต่ความแข็งแกร่งสูงสุดของเขาก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใดเมื่อเทียบกับเมื่อ 3 ปีก่อน!


 


ตอนนี้ให้เขาปะทะกับจ้าววังวิญญาณอสุราอย่างฉีหนานฟง เว้นแต่ยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารจะมีพลังอำนาจมากพอสยบอีกฝ่ายได้ หาไม่แล้วเขาก็ยากจะเป็นคู่มืออีกฝ่าย!!


 


“ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์งั้นเหรอ?”


 


อยู่ๆได้ยินเสียงก่านหรูเยี่ยนดังขึ้นขัดจังหวะ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเล็กน้อย ค่อยนิ่งไปคล้ายกำลังครุ่นคิดใดบางอย่าง


 


กลับกัน ด้านเค่อเอ๋อพอได้ยินเสียงก่านหรูเยี่ยน นางก็ผละออกกจากอ้อมกอดต้วนหลิงเทียน แล้วหันไปมองก่านหรูเยี่ยนทันที “พี่หญิงท่านบอกว่าจ้าววังเซียนสัญจรกำลังจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์หรือ…มันคือหายนะสู่สวรรค์?”


 


เค่อเอ๋อในตอนนี้เองก็รู้เรื่องดังกล่าว


 


ว่าการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ของตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนหมายถึงอะไร นั่นหมายความว่าหากอีกฝ่ายข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ก็จะกลายเป็นตัวตนขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะ!


 


และตัวตนขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะนั้น เพียงรอเวลาอีกไม่นาน ก็จะสามารถหลุดพ้นระนาบโลกียะสามารถขึ้นสู่สวรรค์ หรือระนาบเทวโลกได้!


 


“ใช่!”


 


ก่านหรูเยี่ยนพยักหน้าอย่างตึงเครียด ขณะเดียวกันก็หันไปมองเมฆทะมึนบนฟ้า “เจ้าเห็นเมฆสีดำที่มีอัสนีสีม่วงแลบลั่นตรงนั้นหรือไม่ นั่นคือเมฆหายนะสู่สวรรค์…เป็นบ่อเกิดหายนะทัณฑ์สวรรค์ที่จะทดสอบว่าสามารถเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะได้หรือไม่!!”


 


“และทิศทางที่เมฆดำทั้งหลายกำลังไปบรรจบกัน ก็เป็นทิศทางที่ตั้งของจ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉิน!!”


 


กล่าวจบแล้วสายตาก่านหรูเยี่ยนก็ละจากเค่อเอ๋อไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง


 


“ตอนนี้ถ้าเจ้าคิดพาพวกเราหลบหนี อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง…”


 


ก่านหรูเยี่ยนที่มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนไม่ทันที่จะได้พูดจบคำ


 


นางก็ถูกต้วนหลิงเทียนกล่าวขัดจังหวะขึ้นมา “ฉีหนานฟง? จ้าววังวิญญาณอสุรา?”


 


ต้วนหลิงเทียนยังไม่ทราบถึงเรื่องราวบาดหมางระหว่างวังวิญญาณอสุรา กับตำหนักเมฆาคราม


 


ดังนั้นพอได้ยินว่าจ้าววังวิญญาณอสุราอย่างฉีหนานฟงจะเป็นคนขัดขวางเขา ตัวเขาย่อมอดตะลึงไปไม่ได้


 


เพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงไม่รู้ถึงความบาดหมางระหว่างจ้าววังวิญญาณอสุรากับตำหนักเมฆาครามเท่านั้น เขากระทั่งยังไม่ทันได้รู้เรื่องที่ฐานะนายน้อยตำหนักเมฆาครามของเขาได้ถูกเปิดโปงแล้ว…!


 


ด้วยมีเผิงไหลเร่งกล่าวเล่าเรื่องราว ในที่สุดต้วนหลิงเทียนจึงได้ตระหนัก


 


“ศิษย์ปิดสำนักของจ้าววังวิญญาณอสุรานั่น เป็นหนึ่งในทัพหน้าที่บุกมายึดตำหนักเมฆาครามด้วยเหรอ? แต่ทว่าสุดท้ายกลับถูกพ่อข้ากับยอดฝีมืออีกคนของตำหนักเมฆาครามฆ่าทิ้ง?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจหลังได้รับทราบเรื่องราวดังกล่าว


 


‘ศิษย์ปิดสำนักของจ้าววังววิญญาณอสุรา กล่าวได้ว่าอย่างน้อยๆพลังฝึกปรือของมันก็สมควรบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนไม่ใช่รึไง…แต่ท่านพ่อกับยอดฝีมืออีกคนของตำหนักเมฆาครามกลับฆ่ามันได้งั้นเหรอ? ที่แท้ยอดฝีมืออีกคนเป็นใครกันแน่?!’


 


‘ว่าแต่ท่านพ่อกลับมีความแข็งแกร่งถึงระดับนี้เชียว? เป็นไปได้อย่างไรกัน!?’


 


ในใจต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความตกตะลึงนัก


 


‘นอกจากนั้นตอนนี้ทั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งก็ได้ล่วงรู้กันหมดแล้ว ว่ารองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่อย่างข้า เป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามขุมพลังของมนุษย์ที่แฝงตัวเข้ามา…แถมพวกมันยังบังเอิญได้รูปเหมือนจากข้ามาจากผู้ฝึกตนมนุษย์ในภูมิภาคเบื้องล่าง ที่ถูกทักษะควาญวิญญาณเค้นความ?’


 


ได้รับทราบเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็สำนึกได้ทันทีว่าครั้งนี้เขาประมาทเกินไปจริงๆ!


 


หากเขาฉุกคิดเรื่องนี้แต่แรกเขาคงไม่พลาดอะไรง่ายๆแบบนี้! ทว่าเรื่องมันผ่านไปนานจนทุกอย่างกระจ่างหมดแล้ว เขาจึงไม่คิดว่าในภูมิภาคเบื้องล่างจะยังมีผู้ฝึกตนที่ยังเก็บรูปเหมือนเขาไว้ กระทั่งให้ความสนใจเขากันอยู่อีก!!


 


‘แถมจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง นั่นมันคิดจะฆ่าข้าตั้งแต่เมื่อปีก่อน…แต่ด้วยกลัวอวี่เหวินฮ่าวเฉินที่กำลังจะบรรลุครึ่งก้าวเซียนอมตะหาความ มันเลยไม่กล้าลงมืออะไร…เพียงมาเฝ้ารอข้าด้านนอกคฤหาสน์ ประหนึ่งดักกระต่ายหน้าโพรง?’


 


‘มันคิดให้ข้าหลบหนีออกไปก่อน ถึงจะลงมือฆ่าข้า…ไม่งั้นก็รอให้จ้าววังอวี่เหวินออกจากการปิดด่านมาฆ่าข้า?’


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันใดหลังได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ สองตายังเผยประกายเยียบเย็นเรืองวูบ


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนกลับหรี่ลงอีกครั้ง คล้ายพบอะไรบางอย่าง


 


‘พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างข้าเป็นอะไรไป…ทำไมอยู่ๆมันถึงปั่นป่วนพุ่งพล่านแบบนี้?’


 


ต้วนหลิงเทียนพบว่าอยู่ดีๆพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างของเขาก็พุ่งพล่านปั่นป่วนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ! ลักษณะราวกับพวกมันเป็นเด็กน้อยซุกซนได้พบของเล่นใหม่ คล้ายพยายามจะพุ่งทะยานออกไปจากร่างของเขาให้ได้!!


 


‘นี่มัน…สำนึกรู้ฟ้าดินงั้นเหรอ’


 


ทว่าทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ยังผลให้เขาตื่นตระหนกไม่น้อย!


 


ไม่ทราบเพราะอะไร ทั้งๆที่ยังไม่ได้ตั้งสมาธิ หากแต่ความรู้สึกราวกับจะเชื่อมต่อกับฟ้าดินของเขา ยิ่งมายิ่งกล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเขาได้บังเกิดสำนึกรู้ฟ้าดินไปแล้ว…!!


 


ต้องทราบด้วยว่าปกติแล้วผู้ฝึกตนที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนนั้น ยังไม่มีใครสามารถบังเกิดสำนึกรู้ต่อฟ้าดินได้ จำต้องเข้าฌาณสงบใจ ขยายสำนึกเทวะออกไปพยายามเชื่อมโยงกับฟ้าดินโดยรอบ เพื่อทำความเข้าใจและตระหนึกถึง…


 


หากไม่กระทำเช่นนั้นไปสักระยะ ย่อมไม่อาจบังเกิดสำนึกรู้ต่อฟ้าดินได้!


 


ทว่าตอนนี้…ในขณะที่พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาบังเกิดความพุ่งพล่านปั่นป่วนคล้ายจะรีบพุ่งออกไป เขากลับพบว่า…


 


สำนึกรู้ฟ้าดินของเขาไม่เพียงบังเกิดขึ้นแล้วส่วนหนึ่ง มันกระทั่งยังคงเพิ่มพูนขึ้นตลอดเวลา!


 


กระทั่งตอนนี้เขารู้สึกเสมือนได้ผ่านพ้นขั้นตอนการตีความเบื้องต้น จนบรรลุถึงขั้นตอนพื้นฐานไปแล้ว!!


 


‘ดูเหมือนว่า…เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเมฆหายนะสู่สวรรค์นั่นสินะ…’


 


หลังต้วนหลิงเทียนลองพินิจเรื่องราวดูสักพัก เขาก็ค้นพบร่องรอยบางสิ่ง


 


พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างของเขาคล้ายมีการเชื่อมโยงที่มองไม่เห็นประการหนึ่งกับเมฆหายนะสู่สวรรค์เบื้องบน กระทั่งยังเป็นการเชื่อมโยงที่ละเอียดอ่อนเบาบางถึงขีดสุด…


 


‘หรือว่า…ต้นเหตุจะเกิดจาก ‘พลังสุริยัน’ ที่ได้ผสานเข้ากับพลังเซียนต้นกำเนิดของข้า มีความเชื่อมโยงบางประการกับเมฆหายนะสู่สวรรค์บนฟ้านั่น?’


 


หลังลองตรวจสอบในร่างให้แน่ชัด ต้วนหลิงเทียนก็ค้นพบต้นตอของความผิดปกติดังกล่าว!


 


พลังสุริยันนั้น เดิมทีเป็นผู้เฒ่าหั่วผู้เป็นอีกาทองคำ 3ขาได้ถ่ายทอดให้เขา และเป็นพลังเฉพาะตัวของอีกาทองคำ 3 ขา ที่มีพลานุภาพเหนือพลังใดๆในระนาบโลกียะ เพราะมันคือพลังอำนาจจากระนาบเทวโลก!


 


ดังนั้นกระทั่งตัวต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้มีความแตกฉานในพลังสุริยันสักเท่าไหร่


 


สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือ พลังสุริยัน นี้หาได้ง่ายดายไม่!


 


ก่อนหน้านี้ในยามที่พลังฝึกปรือของเขาอ่อนด้อย ทว่าด้วยพลังอำนาจของพลังสุริยัน ยามผสานเข้ากับพลังในร่างของเขา มันก็หนุนเสริมให้พลังในร่างของเขามีอานุภาพเหนือกว่าพลังของผู้ฝึกตนคนอื่นๆถึงหนึ่งขอบเขต!


 


จนหลังๆมานี้แม้ผลลัพธ์จะน้อยลงเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ทำให้เขายังมีพลังเหนือกว่าผู้ฝึกตนในขอบเขตเดียวกันอยู่ดี จนสุดท้ายพอถึงขีดจำกัดของพลังเซียนต้นกำเนิดเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจริงๆ…มันถึงจะไร้ข้อได้เปรียบใดๆสืบไป


 


และในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนค้นพบว่าพลังสุริยันของเขาได้บังเกิดความเปลี่ยนแปลงผิดแปลกไป และสมควรมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดบางอย่างกับเมฆหายนะสู่สวรรค์นั้นเอง…


 


เหนือขึ้นไปบนฟ้านอกคฤหาสน์


 


“จ้าววังอวี่เหวิน…กำลังจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์แล้วงั้นเหรอ!?”


 


ความสนใจของจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง ก็หันไปจดจ่ออยู่กับบเมฆหายนะสู่สวรรค์ ที่กำลังเคลื่อนมาจากทั่วสารทิศและไปบรรจบกันเหนือคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจร!


 


ทำให้จ้าววังวิญญาณอสุราอย่างฉีหนานฟง ตระหนักได้ทันที ว่าผู้ที่ก่อให้เกิดปรากฏกการณ์นี้ก็คืออวี่เหวินฮ่าวเฉิน จ้าววังเซียนสัญจรแน่นอน!


 


“จากนี้ไป ในเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ จักมียอดฝีมือขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง….”


 


คิดถึงจุดนี้แววตาจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง ก็ฉายให้เห็นถึงความซับซ้อนประการหนึ่ง


 


ในอดีตแม้อวี่เหวินฮ่าวเฉินจะมีพลังฝีมือเหนือกว่ามัน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เก่งกล้าสามารถเหนือมันมากนัก ไม่ใช่ว่าจะเอาชนะมันได้ง่ายๆ! นอกจากนั้นด้วยความที่แต่ละคนล้วนมีฐานะเป็นชนชั้นผู้นำของ 3 วัง 6 ตำหนักเหมือนกัน สถานะในเผ่าปีศาจมนุษย์จึงเรียกว่าอยู่ในระดับเดียวกัน


 


ทว่าตอนนี้อวี่เหวินฮ่าวเฉินกำลังจะกลายเป็นตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้ว นั่นหมายความว่า…ไม่เพียงแต่พลังฝีมือของอีกฝ่ายจะทิ้งห่างมันไปไกล! กระทั่งสถานะของมันในเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ก็กลายเนไม่อาจเทียบชั้นกับอีกฝ่ายได้อีกต่อไป!!


 


ยามเมื่อครึ่งก้าวเซียนอมตะปรากฏตัวขึ้นในเผ่าปีศาจมนุษย์นั้น…สถานะจะกลายเป็นเทียบได้กับประมุขเผ่าพันธุ์ทันที!!


 


“จ้าววังอวี่เหวินกำลังจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์แล้วหรือ?!”


 


“บ้าน่า! เรื่องนี้ใช่มีอะไรผิดพลาดหรือไม่? ไฉนรวดเร็วเพียงนี้!?”


 


“สวรรค์! นี่เรื่องใหญ่แล้ว! ข้าต้องเร่งกลับไปแจ้งท่านจ้าววัง!!”


 


“ข้าเองก็ต้องเร่งกลับไปแจ้งท่านจ้าวตำหนักของข้าด้วย!”


 



 


คนของวังและตำหนักอื่นๆที่ตระหนักถึงปรากฏการณ์บนฟ้า ก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้จ้าววังเซียนสัญจรกำลังจะชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมา เพื่อข้ามผ่านและบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!


 


หลังจากสนทนากันด้วยความแตกตื่นอยู่พักหนึ่ง ร่าง 7 ร่างที่มาเฝ้าจับตาดูเรื่องราวบนฟ้าเหนือคฤหาสน์ต้วนหลิงเทียน ก็เร่งรุดไปแจ้งผู้นำของพวกมันทันที


 


ร่างทั้ง 7 นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนของ 1 วัง 6ตำหนัก นอกเหนือจากวังเซียนสัญจรกับวังวิญญาณอสุรา และทั้งหมดก็กำลังเร่งรุดไปยังขุมพลังของตัวเพื่อแจ้งเรื่องราวการชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ของจ้าววังเซียนสัญจร!


 


เพราะหายนะทัณฑ์สวรรค์ที่ถูกชักนำมาครานี้ ผู้ที่ชักนำมันมาก็คือจ้าววังเซียนสัญจร! และทั้งหมดในเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ย่อมรู้กันดี ว่าแทบไม่มีความเป็นไปได้เลยที่ชนชั้นจ้าววังเซียนสัญจรจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ล้มเหลว!!


 


กล่าวได้ว่าอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ ในวังเซียนสัญจรจะอุบัติตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!


 


เหตุการณ์ดังกล่าวย่อมเป็นเหตุการณ์อันน่าตื่นตระหนกของทั้งเผ่าปีศาจมนุษย์!


 


เช่นนั้นพวกมันจึงคิดเร่งรุดกลับไปขุมพลังของตัวเองให้เร็วที่สุด ต้องแจ้งข่าวใหญ่นี้ให้ผู้นำของพวกมันรับทราบ!


 


“หืม?!”


 


ไม่นานหลังจากที่คนของ 1 วัง 6 ตำหนักที่มาจับตาดูเรื่องราวได้เหินร่างจากไป จ้าววังวิญญาณอสุราฉีหนานฟงคล้ายสังเกตเห็นบางสิ่ง ลูกตาของมันหดหยีลง เร่งก้มลงไปมองที่คฤหาสน์เบื้องล่างทันที


 


ในสายตา ปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงหอบหิ้วสตรี 3 คนเหินลอยขึ้นมาบนฟ้า


 


นอกจากนี้ยังมีอีกร่างเหินตามติดมาอยู่ด้านหลัง


 


“นายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน!!”


 


สายตาของฉีหนานฟงจ้าววังวิญญาณอสุรา จับจ้องมองเขม็งไปยังร่างในชุดสีม่วงก่อนใคร! แววตายังเริ่มฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟัน!!


ตอนที่ 2,292 : ณ จุดที่เมฆหายนะบรรจบ!


 


“จ้าววังวิญญาณอสุรางั้นเหรอ?”


 


แทบจะพร้อมกันกับที่จ้าวววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง หันมาจับจ้อง ต้วนหลิงเทียนก็เห็นได้ชัดเจนถึงเจตนาฆ่าฟันที่ฉายชัดในแววตา แถมรังสีสังหารนั่นราวกับจะพุ่งยิงออกมาจากลูกตาก็ไม่ปาน!


 


“คิดหนีงั้นเหรอ!?”


 


เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียน มุมปากฉีหนานฟงยกแสยะกล่าวค่อนแคะออกมา ด้วยคิดว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะหนี


 


เหตุผลที่มันคิดแบบนี้ย่อมเป็นธรรมดา เพราะมันลองคาดคิดจากมุมมองของต้วนหลิงเทียน


 


ในสายตามัน


 


ต้วนหลิงเทียนสมควรรู้สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างดี


 


ภายในวังเซียนสัญจร ก็ถูกจ้าววังอย่างอววี่เหวินฮ่าวเฉินเพ่งเล็ง หากออกนอกวังเซียนสัญจร ก็เป็นมันจ้าววังวิญญาณอสุราผู้นี้ที่คอยท่า!


 


ตอนนี้ด้านอวี่เหวินฮ่าวเฉินกลับชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมา และอีกไม่นานก็จะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ!


 


ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามของผู้ที่กำลังจะกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ มันไม่เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนยังจะหาญกล้าอยู่ในวังเซียนสัญจรสืบไป!


 


เช่นนั้นมันจึงคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่พ้นต้องกำลังคิดจะหลบหนีออกไปจากวังเซียนสัญจรแน่นอน!


 


“ไปกันเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนละสายตาจากร่างฉีหนานฟงจ้าววังวิญญาณอสุรา ก่อนที่จะกล่าวบอกทุกคน ทั้งหอบหิ้วร่างสตรีทั้ง 3 เหินออกไป


 


เผิงไหลที่ได้ยินคำต้วนหลิงเทียน ก็เร่งรุดตามติดมาไม่ห่าง


 


“หืม…ทิศทางนี่มัน มิใช่ทิศทางที่ตั้งคฤหาสน์ท่านจ้าววังหรือไร!?”


 


ทว่าหลังเหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนไปพักหนึ่ง เผิงไหล ที่มองไปเบื้องหน้า สูงขึ้นไปบนฟ้าก็เห็นแพเมฆหายนะสู่สวรรค์!


 


สถานที่พวกมันกำลังจะไป มิคาดกลับเป็นที่ตั้งคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจร!!


 


แต่เดิมเผิงไหลคิดว่านายท่านของมันจะตีฝ่าวงล้อมหลบหนีออกจากวังเซียนสัญจร แต่มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่านายท่านของมันผู้นี้กลับกำลังมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจร!!


 


จังหวะนี้มันอดไม่ได้ที่จะสับสนขึ้นมา


 


อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่มันคนเดียวที่ไม่เข้าใจ


 


“สารเลวน้อยนั่นมันคิดทำอะไรอีก! คิดจะไปรอรับความตายรึไง?!”


 


จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง ที่คิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องหลบหนีออกจากวังเซียนสัญจรแน่ แต่มันกลับพบว่าต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่ไม่คิดจะหนีออกนอกวัง แต่กลับยังมุ่งไปยังจุดศูนย์กลางของวังเซียนสัญจร!


 


แถมที่นั่นยังเป็นที่ตั้งคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจร!


 


“หืม? คนผู้นั้น…ต้วนหลิงเทียน รองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรมิใช่รึ?”


 


ขณะเดียวกัน คนของ 1 วัง 6 ตำหนักที่รั้งอยู่ ก็พบเห็นต้วนหลิงเทียนกับกลุ่ม


 


“รองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรอันใด! เจ้านั่นมันคือนายน้อยตำหนักเมฆาครามขุมพลังของพวกมนุษย์สวะ!!”


 


“อะไรกัน!? นั่นมันคิดจะไปที่ใด…ทิศทางที่มันกำลังมุ่งหน้าไป มิใช่ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของวังเซียนสัญจรรึไร? ไยมันไม่รีบหนีแต่กลับเลือกไปที่นั่น?”


 


“หรือว่า…มันจะไม่รู้ทาง?”


 


“เหลวไหล! เรื่องพรรค์นั้นไหนเลยจะเป็นไปได้? มันอยู่ในวังเซียนสัญจรมา 3 ปี แม้เวลาส่วนใหญ่จะปิดด่านบ่มเพาะ แต่กับอีแค่ทิศทางออกกจากวังเซียนสัญจรอยู่ทางใด ไหนเลยมันจะยังไม่รู้ได้!”


 


“ข้าก็ว่างั้น”


 



 


ความเคลื่อนไหวนี้ของต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่ทำให้เผิงไหลกับฉีหนานฟงอึ้ง กระทั่งคนของ 1 วัง 6ตำหนักที่เหลือยังตะลึงงง!


 


ด้วยไม่ทราบจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะทำอะไรกันแน่!


 


ในบรรดาผู้ที่ลอยล่องบนฟ้าดูเรื่องราวยังมีอาวุโสของวังเซียนสัญจรอยู่ด้วยไม่กี่คน ตอนนี้พอเห็นต้วนหลิงเทียนกำลังมุ่งหน้ายังเคหะสถานของจ้าววัง พวกมันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะทำอะไร


 


“ทางที่มันกำลังเหินมุ่งไป…ไม่ใช่ที่ตั้งของคฤหาสน์ท่านจ้าววังหรือไร?”


 


“หรือมันคิดจะไปสวามิภักดิ์กับท่านจ้าววัง และหวังให้ท่านจ้าววังของพวกเราละเว้นชีวิตมัน?”


 



 


ถึงแม้พวกมันจะบังเกิดความคิดที่ว่าขึ้นมา แต่พวกมันก็ยากจะเชื่อได้ลงคอว่าต้วนหลิงเทียนคิดกระทำเช่นนั้นจริงๆ


 


แล้วไฉนต้วนหลิงเทียนถึงทำแบบนี้?


 


อีกฝ่ายคิดไปที่นั่นทำอะไร?


 


แล้วคิดจะทำอะไรกันแน่?


 


‘รู้สึกว่า…ยิ่งเข้าใกล้สถานที่ๆเมฆหายนะกำลังมาบรรจบกันมากเท่าไหร่ พลังสุริยันที่ผสานกับพลังเซียนต้นกำเนิดของข้าก็ยิ่งพุ่งพล่านปั่นป่วนมากขึ้น ราวกับใจกลางที่เมฆหายนะสู่สวรรค์มาบรรจบกันนั่น มีบางสิ่งกำลังเรียกหามันอยู่? แต่ไม่ว่าจะคืออะไรคำตอบทั้งหมดต้องอยู่ใจกลางนั่น!’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างลับๆ ขณะเหินร่างพร้อมพาเค่อเอ๋อกับลูกสาวรวมถึงก่านหรูเยี่ยนมุ่งหน้าไปยังใจกลางวังเซียนสัญจร


 


‘แถมในระหว่างที่เข้าใกล้มัน…สำนึกรู้ฟ้าดินกลับค่อยๆลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด!’


 


‘ถึงแม้ความเร็วในการเข้าใจจะไม่ได้รวดเร็วมากนัก แต่ทั้งหมดเป็นเพราะข้าพึ่งทะลวงผ่าน…กระนั้นสำนึกรู้ฟ้าดินของข้าตอนนี้ ก็เหนือกว่าผู้ที่พึ่งทะลวงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนไปไม่กี่ปีแล้ว…’


 


‘ที่สำคัญ…ยิ่งเข้าไปใกล้ใจกลางนั่นเท่าไหร่ สำนึกรู้ต่อฟ้าดินของข้าก็ยิ่งยกระดับความเร็วในการเข้าใจ ถึงแม้จะแค่เล็กน้อย แต่มันก็ยังเพิ่มพูนขึ้นตลอดเวลา’


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกที่จะพาทั้ง 3 รวมถึงเผิงไหล ไปยังใจกลางที่มฆหายนะสู่สวรรค์นั่นมาบรรจบ!


 


เขาสังหรณ์ใจอย่างประหลาด ว่าสถานที่แห่งนั้นจะมอบผลเลิศล้ำให้เขา


 


กระทั่งผลลัพธ์ยังไม่ใช่เล็กน้อย


 


มองจากความเร็วในการสำนึกกรู้ฟ้าดินแล้ว ก็พิสูจน์เรื่องนี้ได้ชัดเจน


 


‘ด้วยสำนึกรู้ฟ้าดินของข้าตอนนี้…หากใช้พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดล่ะก็…’


 


พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้นมา ก่อนที่มวลพลังสุดไพศาลขุมหนึ่งจะปะทุออกจากฝ่ามือ ทันใดนั้นความว่างเปล่าโดยรอบก็ถึงกับสะท้านสะเทือนขึ้นมาทันใด


 


‘ไม่ผิดจริงๆ! มันทรงพลังขึ้นอย่างมาก!!’


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ชัดเจน


 


พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดที่เขาเร่งเร้าออกมา คล้ายมีสายใยที่มองไม่เห็นประการหนึ่งเชื่อมโยงกับฟ้าดินอย่างลึกซึ้ง!


 


การเชื่อมต่อตอนนี้แม้จะยังอ่อนแอ แต่ก็มีอยู่จริง!


 


‘เหตุผลที่ข้ารู้สึกว่าความเชื่องโยงนี่ยังอ่อนแอ เป็นเพราะสำนึกรู้ฟ้าดินของข้ายังไม่ถ่องแท้พอ…อย่างตอนจ้าววังเซียนสัญจรนั่นขณะมันลงมือต่อสู้ พลังเซียนต้นกำเนิดของมันกลับสั่นพ้องกับพลังฟ้าดินอย่างมาก ทำให้อานุภาพพลังเซียนต้นกำเนิดของมันทวีความร้ายกาจมากขึ้นถึงขนาดนั้น’


 


ต้วนหลิงเทียนยังจดจำฉากเรื่องราวเมื่อ 3 ปีก่อนได้อย่างชัดเจน


 


กระบี่ที่เขาใช้ออกด้วยพลังทั้งหมด กลับถูกอวี่เหวินฮ่าวเฉินใช้ฝ่ามือพลังหยุดเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ราวกับของเด็กเล่น!


 


จากนั้นอวี่เหวินฮ่าวเฉินเพียงใช้นิ้วดีดกระบี่เขากลับมาอย่างไร้เรื่องราว หากแต่พลังอำนาจที่แฝงอยู่ในกระบี่กลับไม่ใช่ชั่ว สร้างความตกตะลึงให้เขานัก!


 


วินาทีนั้นเขาสัมผัสได้ชัดเจนดี ถึงความน่าสะพรึงกลัวของเซียนสววรรค์ 9 เปลี่ยน ที่มีสำนึกรู้ฟ้าดินในระดับหนึ่ง!


 


และเป็นที่แน่นอนแล้วว่าสำนึกรู้ฟ้าดินของอวี่เหวินฮ่าวเฉินในตอนนั้น เจียนถึงขีดจำกัดเต็มที!


 


หาไม่แล้วมันคงไม่สามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้ปรากฏกได้ในเวลาแค่ 3 ปี!


 


ถึงแม้ว่าจะต้องการ ‘โอกาส’ ที่เหมาะสมในการชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์


 


หากแต่โอกาสที่ว่า หากมิใช่ผู้ที่มีสำนึกรู้ฟ้าดินถึงในระดับหนึ่ง ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะพบพานโอกาสดังกล่าว!


 


‘จากคฤหาสน์ที่ข้าเคยอยู่ ระยะทางก็ไม่ได้ไกลอะไร…แต่สำนึกรู้ฟ้าดินของข้ากลับรรลุถึระดับนี้แล้ว’


 


ในระหว่างที่หงายมือเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดออกมา ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจของมันที่เพิ่มพูนขึ้นตามระดับสำนึกรู้ฟ้าดินของเขา


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจดจ่ออยู่กับการเชื่อมโยงอันลึกซึ้งบางประการจากพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดกับฟ้าดิน จนไม่ได้แยแสจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง ที่เหินร่างติดตามมาแม้แต่น้อย


 


เพราะเขารู้ดีว่าตราบใดที่เขายังอยู่ในเขตวังเซียนสัญจร ให้ฉีหนานฟงมีความกล้ามากกว่านี้อีก 10เท่ามันก็ไม่กล้าลงมือ!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อวี่เหวินฮ่าวเฉิน จ้าววังเซียนสัญจร กำลังจะทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะในอีกไม่กี่วัน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉีหนานฟงยังจะกล้าลงมือใดๆ!


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงสถานการณ์เรื่องราวอย่างกระจ่าง


 


ตราบใดที่เขาไม่ออกนอกเขตวังเซียนสัญจร ฉีหนานฟงก็ไม่มีวันกล้าทำร้ายเขา


 


สำหรับจ้าววังเซียนสัญจรอย่างอวี่เหวินฮ่าวเฉินนั้น ต้วนหลิงเทียนไม่อาจไม่หวั่นเกรง แต่เขาก็ต้องการทำตามความต้องการของพลังสุริยันที่กำลังพุ่งพล่านในร่าง ราวกับมันถูกบางสิ่งเรียกหา!


 


ดูเหมือนว่า ณ จุดที่เมฆาหายนะสู่สวรรค์มาบรรจบกันนั่น มีอะไรบางอย่างกำลังเพรียกหาพลังสุริยัน!


 


ในใจเขาบังเกิดลางสังหรณ์อันแรงกล้าประการหนึ่ง!


 


เขาไม่อาจพลาดโอกาสนี้ไปได้เด็ดขาด!


 


‘พลังสุริยันนั้นมาจากผู้เฒ่าหั่ว และยังเป็นพลังอำนาจของระนาบเทวโลก เป็นพลังที่เหนือล้ำยิ่งกว่าพลังใดๆในระนาบโลกียะทั้งมวล มีอำนาจหนุนเสริมให้พลังของข้าเหนือล้ำกว่าขอบเขตเดียวกันอย่างทาบไม่ติด…’


 


‘ตอนนี้ ณ ใจกลางที่เมฆาหายนะสู่สวรรค์อันถูกอวี่เหวินฮ่าวเฉินชักนำมาไปบรรจบกัน…กลับมีบางอย่างกำลังเพรียกหาพลังสุริยันอย่างประหลาด…’


 


‘และยิ่งข้าเข้าใกล้จุดที่เมฆหายนะสู่สวรรค์มาบบรรจบกันมากเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่พลังสุริยันในร่างยิ่งปั่นป่วนพุ่งพล่านราวกับกำลังจะเดือด สำนึกรู้ฟ้าดินของข้ายังเพิ่มพูนสูงขึ้นเรื่อยๆ’


 


‘สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะมีแต่ผลดีกับข้า ไม่มีอันตรายใดๆ’


 



 


ในระหว่างเหินร่างไป ต้วนหลิงเทียนก็ได้ชั่งน้ำผลได้ผลเสียในใจ


 


เขาเองก็ได้คิดทบทวนเรื่องจะไปยัง ณ จุดนั้น…


 


กับเรื่องที่จะถอยหนีออกไปจากที่นี่!


 


เขาไม่ใช่ตัวโง่งมที่คิดจะไปรนหาที่ตาย!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ข้างกายยังมีภรรยากับลูกสาวของเขาอยู่ด้วยแบบนี้!!


 


“นี่เจ้าคิดจะทำบ้าอะไรกันแน่…ตอนนี้เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่พาพวกเราหนีออกจากวังเซียนสัญจร แต่เจ้ายังมุ่งหน้าไปทางคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจรนั่นอีก!หากเจ้าอยากตายก็ไปตายคนเดียว อย่าได้ลากซือหลิงกับเค่อเอ๋อให้ตายตกไปกับเจ้า!!”


 


ก่านหรูเยี่ยนที่อดทนมานาน


 


พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจรไม่เลิก นางก็ทนไม่ไหวสืบไป ระเบิดโพล่งออกมาอย่างเกรี้ยวกราด


 


“พี่หญิง ข้าเชื่อว่าที่พี่เทียนกระทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล…ท่านอย่าได้กังวลเลย”


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ก่านหรูเยี่ยนร้อนใจจนทนไม่ไหวระเบิดโพล่งออกมานั้น เค่อเอ๋อก็กล่าวปลอบนางออกมาทันที เห็นได้ชัดว่านางเชื่อใจต้วนหลิงเทียนอย่างไร้เงื่อนไข


 


“ใช่แล้วท่านป้า ท่านพ่อไม่คิดร้ายกับพวกเราหรอก”


 


ต้วนซือหลิงยังหันไปพยักหน้ากล่าวกับก่านหรูเยี่ยน


 


เห็นแบบนี้ก่านหรูเยี่ยนถึงกับอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองก่านหรูเยี่ยนเล็กน้อย แต่ไม่คิดจะตอบอะไรนาง


 


‘ด้วยพลังของข้าตอนนี้หากไม่ใช้ตราผนึกมาร ข้าไม่ใช่คู่มือของจ้าววังวิญญาณอสุราฉีหนานฟงกับจ้าววังเซียนสัญจรอวี่เหวินฮ่าวเฉินแน่นอน! และต่อให้ใช้ตราผนึกมารจริง โอกาสฆ่าพวกมันได้กับฆ่าไม่ได้ก็แทบจะพอๆกัน…’


 


‘เกิดข้าเลือกหนีไปแล้วดันใช้ตราผนึกมารฆ่าฉีหนานฟงไม่ได้ขึ้นมา งั้นจะหนีไปตอนนี้หรือจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่ๆอวี่เหวินฮ่าวเฉินอยู่ ผลลัพธ์มันก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย…’


 


‘แถมตอนนี้จะอย่างไรอวี่เหวินฮ่าวเฉินก็ยังไม่ใช่ครึ่งก้าวเซียนอมตะ ถ้าตราผนึกมารสามารถฆ่าฉีหนานฟงได้ นั่นหมายความว่ามันก็สามารถฆ่าอวี่เหวินฮ่าวเฉินได้เช่นกัน! ในเมื่อจะหนีไปหรือจะเข้าไปยังจุดศูนย์กลาง ก็มีผลลัพธ์ไม่แตกต่างกันแบบนี้…’


 


‘ถ้างั้นทำไมข้าจะไม่ลองทำตามเสียงเรียกหาพลังสุริยัน? มุ่งหน้าไปยังใจกลาง ณ จุดที่เมฆหายนะสู่สวรรค์มาบรรจบกันดูสักครา…’


 


‘บางที…ที่นั่นอาจจะมีวาสนาบางประการรอข้าอยู่ก็เป็นได้?’


ตอนที่ 2,293 :ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์!


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนในตอนนี้…


 


มันไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลยระหว่างจะเลือกหลบหนีออกจากวังเซียนสัญจร หรือจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่ตั้งคฤหาสน์ของอวี่เหวินฮ่าวเฉิน


 


เลือกจะออกจากวังเซียนสัญจร ก็ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอย่างฉีหนานฟง


 


ไปยังคฤหาสน์ ณ ใจกลางนั่น ก็ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอย่างอวี่เหวินฮ่าวเฉิน


 


ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาเลือกหนทางที่จะให้ผลลัพธ์เลิศล้ำที่สุด อย่างเข้าหาบางสิ่งที่กำลังเพรียกหาพลังสุริยันดีกว่า!


 


อย่างน้อยหลังได้เลือกแบบนั้น สำนึกรู้ฟ้าดินของเขาก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!


 


‘เนื่องจากนั่นเป็นเมฆหายนะสู่สวรรค์ที่อวี่เหวินฮ่าวเฉินชักนำมา…เช่นนั้นใจกลางที่เมฆหายนะสู่สวรรค์กำลังไปบรรจบกัน ก็สมควรเป็นสถานที่บ่มเพาะหลักของมัน คฤหาสน์ประจำตำแหน่งจ้าววัง…’


 


‘พูดได้ว่านี่ข้ากำลังมุ่งหน้าไปยังที่พักของมันเลยสินะ…’


 


ในขณะที่เดินทางแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่พูดอะไร แต่ก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่ในใจ


 


‘อวี่เหวินฮ่าวเฉินนั่นถึงแม้ในที่สุดมันจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ แต่อย่างไรก็ต้องใช้เวลาหลายวัน…เพราะสุดท้ายแล้วหายนะทัณฑ์สวรรค์ครานี้มันก็ต่างจากทัณฑ์สวรรค์อื่นใด มันมีอัสนีทัณฑ์สวรรค์เก้าชุดเก้ากระบวนทั้งสิ้น 81 สาย!’


 


‘หากสามารถต้านทานอัสนีทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าเก้า 81 สายได้โดยที่ไม่ตาย ก็ถือได้ว่ารอดพ้นหายนะสู่สวรรค์สำเร็จ!ในร่างจะเริ่มก่อเกิดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด…และนั่นก็ถือได้ว่ามันบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะเรียบร้อย!’


 


‘แต่ก่อนที่มันจะบรรลุถึงขั้นนั้น ตัวมันก็ยังเป็นชนชั้นยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหมือนๆกันกับฉีหนานฟง จ้าววังวิญญาณอสุรา!’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้เด็ดขาด ความเร็วในการเหินบินทั้งหอบหิ้วทั้ง 3 เพิ่มขึ้นทันที


 


เผิงไหลเองก็เหินร่างตามไปติดๆ


 


จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง เองก็ตามมาอยู่ไม่ห่าง


 


ถัดจากจ้าววังวิญญาณอสุราฉีหนานฟงแล้ว ด้านหลังก็เป็นคนของ 1 วัง 6 ตำหนักที่เหลือ ติดตามมาดูเรื่องราวเช่นกัน


 


แน่นอนว่านอกจากนั้นก็ยังมีอาวุโสของวังเซียนสัญจรอีกด้วย!


 


ผู้อาวุโสวังเซียนสัญจรเหล่านี้ ได้รับคำสั่งจากรองจ้าววังอย่างอวิ๋นฟู่เหย่ เพื่อให้มาเฝ้าจับตาดูต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ตอนนี้เมื่อต้วนหลิงเทียนออกจากคฤหาสน์แล้ว พวกมันก็จำต้องติดตามไปเฝ้าดูอย่างไม่ให้คลาดสายตา


 


คนกลุ่มใหญ่ที่นำโดยพวกต้วนหลิงเทียน พากันเหินร่างไปยังคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจร มองไปคล้ายเหล่าแมลงที่คิดไปดมตอมบุปผา!


 


‘สำนึกรู้ฟ้าดินของข้ายิ่งมายิ่งเพิ่มพูนสูงขึ้น…แถมอัตราในการเพิ่มพูนยังมากขึ้นทุกขณะ!’


 


ยิ่งเข้าใกล้คฤหาสน์ของจ้าววังเซียนสัญจรมากเท่าไหร่​ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ชัดเจน


 


‘ช่างน่าสนใจนัก…’


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความคาดหวัง ทั้งยังตั้งหน้าตั้งตารอนักว่า ‘บางสิ่ง’ ที่กำลังเพรียกหาพลังสุริยันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์อะไรกันแน่


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับพวกกำลังมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจร


 


ในเขตที่พักที่มีเหล่าชนชั้นผู้นำของ 1 วัง 6 ตำหนักพักอาศัยอยู่ ทั้งหมดก็ได้รับทราบข่าวเรื่องราวจากคนที่พวกมันส่งไปจับตาดูสถานการณ์เรียบร้อยแล้ว ทำให้พวกมันตื่นตระหนกกับข่าวดังกล่าวนัก! ด้วยไม่คิดเลยว่า…จ้าววังเซียนสัญจรกำลังจะกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!


 


ณ วังอัคคีสีชาด


 


“อะไรนะ? อยู่ๆ อวี่เหวินฮ่าวเฉิน นั่นมันก็ชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้งั้นเหรอ? ให้ตาย…”


 


จ้าววังอัคคีสีชาด หวู่เทียนจิน พอได้รับทราบข่าวสถานการณ์จากอาวุโสที่พึ่งกลับมาจากวังเซียนสัญจร มันก็ถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้ ตกใจใหญ่แล้ว!


 


อวี่เหวินฮ่าวเฉิน จ้าววังเซียนสัญจร เดิมทีก็ได้รับการยอมรับจากเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้งหมด ว่าเป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งประมุขเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์มากที่สุด…


 


มาตอนนี้ อีกฝ่ายกลับชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้แล้วจริงๆ!?


 


“ด้วยมีมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของวังเซียนสัญจร…จ้าววังเซียนสัญจรไม่ว่าจะกี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็ไม่เคยมีใครล้มเหลวในการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์สักคน!”


 


“กล่าวได้ว่าสำหรับอวี่เหวินฮ่าวเฉินแล้ว การข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์เป็นเรื่องที่ต้องเจอพอเป็นพิธีเท่านั้น! อีกไม่กี่วันมันต้องข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้อย่างราบรื่นแน่!”


 


จังหวะนี้หวู่เทียนจินอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ยังเร่งรุดเหินร่างไปยังวังเซียนสัญจรทันที!


 


เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก!


 


ยังถือเป็นเรื่องใหญ่มากพอจะสะท้านไปทั้งวังอัคคีสีชาด ไม่สิ! สะท้านไปทั่วทั้งเผ่าปีศาจมนุษย์!!


 


ณ ตำหนักขจีจรัส


 


“จ้าววังอวี่เหวิน กำลังจักเผชิญหน้ากับหายนะทัณฑ์สวรรค์งั้นเหรอ?”


 


“สวรรค์! เผ่าปีศาจมนุษย์เรากำลังจะอุบัติครึ่งก้าวเซียนอมตะคนที่ 2 งั้นรึ!?”


 


“ว่ากันว่ายามนี้น่านฟ้าเหนือวังเซียนสัญจรนั้นเต็มไปด้วยเมฆหายนะสู่สวรรค์อันน่าเกรงขาม…ข้าต้องไปชมดูเรื่องราวให้เป็นบุญตาเสียหน่อย! แม้จะทำได้แค่ดูจากไกลๆเพราะเข้าไปในวังเซียนสัญจรไม่ได้ก็ตามที!!”


 


“ไปๆ! ข้าไปกับเจ้าด้วย! ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นเมฆหายนะสู่สวรรค์สักครั้ง! นับประสาอะไรกับหายนะทัณฑ์สวรรค์!!”


 



 


ในเขตตำหนักขจีจรัส หลังได้รับทราบข่าวเรื่องจ้าววังงเซียนสัญจรชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ทุกคนก็บังเกิดความพุ่งพล่านคึกคักนัก!


 


กลุ่มคนมากมายเหินร่างขึ้นมาจากตำหนักขจีจรัส พากันเหินร่างไปยังวังเซียนสัญจรราวตั้งแตนฝูงใหญ่!


 


และตอนนี้ไม่ใช่แค่วังอีคคีสีชาดกับตำหนักขจีจรัสเท่านั้น อีก 5 ตำหนักที่เหลือของเผ่าปีศาจมนุษย์พอได้รับทราบข่าวใหญ่โตจากวังเซียนสัญจร ทั้งหมดก็ยกโขยงเหินร่างออกไปดูชมเรื่องราวทันที!


 


การที่ฝูงชนจาก 1 วัง 6 ตำหนักพากันเหินร่างขึ้นมามากมายราววห่าตั๊กแตน และทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน ย่อมสร้างความตื่นตระหนกให้เหล่าปีศาจในเมืองเหรินโม่เชิ่งไม่น้อย


 


และไม่นานข่าวเรื่องที่จ้าววังเซียนสัญจรชักนำเมฆหายนะสู่สวรรค์ให้ปรากฏ ก็เริ่มแพร่ออกไปดังไฟลามทุ่งในเวลาอันสั้น


 


“หมายความว่าในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้…เผ่าปีศาจมนุษย์ของพวกเราจะปรากฏครึ่งก้าวเซียนอมตะคนที่ 2 ยังงั้นเหรอ!?”


 


“เรื่องราวครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องราวอันดีงามอย่างถึงที่สุดของเผ่าปีศาจมนุษย์ของพวกเราจริงๆ!!”


 


“ไหนเลยเพียงดีงาม นี่มันเป็นเรื่องที่มารดามันดีงามครั้งยิ่งใหญ่แล้ว!!”


 


“จ้าววังเซียนสัญจรผู้นั้นกำลังจะกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะงั้นหรือ…นั่นหมายความว่าอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ วังเซียนสัญจรจะเป็นขุมพลังที่ยิ่งใหญ่เหนือใดในบรรดา 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจมนุษย์เรา!!”


 


……


 


ทั่วทั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งเรียกว่าบังเกิดความโกลาหลกันใหญ่ แต่ละคนคึกคักกันปานถูกฉีดเลือดไก่!


 


ยกเว้นคนบางกลุ่มใน 2 วัง 6 ตำหนักแล้ว เรียกว่าทั้งหลายล้วนบังเกิดความตื่นเต้นยินดีนัก ที่เผ่าปีศาจมนุษย์ของมันจะปรากฏครึ่งก้าวเซียนอมตะคนที่ 2 แบบนี้!


 


นั่นเพราะเมื่อเผ่าปีศาจมนุษย์ของพวกมันปรากฏครึ่งก้าวเซียนอมตะคนที่ 2 ขึ้นมา สถานะโดยรวมในเผ่าพันธุ์ปีศาจก็จะยกระดับสูงขึ้น!!


 


ในฐานะสมาชิกของเผ่าปีศาจมนุษย์ จะไม่ให้พวกมันดีใจได้อย่างไรไหว!?


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


ณ มุมหนึ่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเหรินโม่เชิ่ง ภายในคฤหาสน์เรียบง่ายแลดูเก่าแก่ทรุดโทรมหลังหนึ่ง อยู่ดีๆพลันปรากฏสายลมแรงหอบพัด พร้อมกลิ่นอายพลังน่าพรั่นพรึงแผ่มาปกคลุม!


 


ยามเมื่อสายลมแรงพร้อมไอพลังน่าพรั่นพรึงกำจายออกมาสะท้านในบรรยากาศ ก็ปรากฏร่างหนึ่งที่รวดเร็วปานพายุปรากฏตัวขึ้นในลานหน้าเรือนเก่าๆทรุดโทรมหลังหนึ่ง ร่างที่ว่ายังเสมือนผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่า!


 


มันเป็นชายวัยกลางคนท่รูปร่างกำยำล่ำสัน มาในชุดหรูหราตาโตคิ้วหนาเข้ม ใบหน้าช่างเฉยเมยเย็นชา ไม่อาจแลเห็นซึ้งถึงอารมณ์ใดๆบนนั้น


 


แอด! แอด! แอด!


 



 


เพียงไม่กี่ก้าว ร่างชายวัยกลางคนที่ย่ำขึ้นไปบนเรือนทรุดโทรมหลังหนึ่งจนเกิดเสียงไม้ดังออดแอดราวกับจะหักแหล่มิหักแหล่ ก็มาถึงหน้าห้องหับห้องหนึ่ง…


 


ห้องหับนี้ หน้าประตูเก่าๆทรุดโทรมมีรอยแตกทั้งปรากฏใยแมงมุมโยงไว้มากมาย เห็นได้ชัดว่าประตูห้องได้ถูกปิดตาย ไม่มีผู้ใดเปิดมันนานมากแล้ว


 


อย่างไรก็ตามชายวัยกลางคนที่พึ่งลุมาถึง กลับก้มหัวโค้งให้ประตูเก่าโทรมดังกล่าวด้วยความเคารพ ราวกับมีปูชณียบุคคลที่สำคัญกับมันอย่างยิ่งยวดอยู่ด้านหลังประตูที่ราวกับจะปิดตายมานานปีดังกล่าว


 


“ท่านอาจารย์ ตอนนี้จ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉิน ประสบความสำเร็จในการชักนำเมฆหายนะสู่สวรรค์ให้ปรากฏแล้วขอรับ…อีกไม่กี่วันหลังจากนี้มันต้องบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้แน่”


 


ชายวัยกลางคนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงมากเคารพ


 


แต่ต้นจนจบทีท่าของมันแลดูนอบน้อมถ่อมตัวนัก!


 


อีกทั้งพอได้ฟังจากวาจากล่าววคำเมื่อครู่ ก็รู้ได้ทันทีว่าไฉนมันถึงได้แลดูนอบน้อมมากเคารพขนาดนี้ ที่แท้หลังประตูเก่าโทรมคล้ายถูกปิดตายนั่น มีอาจารย์ของมันอาศัยอยู่นั่นเอง!


 


ยังดีที่ชนชั้นผู้นำของ 3 วัง 6 ตำหนักไม่ได้มาอยู่ที่นี่…


 


หากพวกมันมาอยู่ที่นี่และได้เห็นชายวัยกลางคนเผยท่าทีนอบน้อมต้อยต่ำแบบนี้ พวกมันไม่พ้นได้ตกใจกันจนตาย!


 


เพียงเพราะว่า…


 


ชายวัยกลางคนผู้นี้หาใช่ใครอื่นไม่! แต่มันเป็นถึงประมุขเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์คนปัจจุบัน! ตัวตนทรงพลังขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!


 


วูว! วูววว! ฟู่…!!


 



 


แทบจะพร้อมกันกับชายวัยกลางคนผู้เป็นถึงประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์กล่าวจบ บังเกิดเสียงลมแว่วดังขึ้นอย่างแผ่วเบา


 


จากนั้นมองไปตามรอยแตกของประตูโทรมๆเก่าๆเบื้องหน้าที่มีใยแมงมุมโยงอยู่อย่างแน่นหนา ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ ก็ปรากฏหมอกควันสีเทาหนึ่งค่อยๆผุดซึมออกมาจากภายในห้อง!


 


ในกระบวนการดังกล่าวใยแมงมุมทั้งหลายก็ถูกกวาดออกไปจนหมด


 


หลังหมอกควันดังกล่าวพวยพุ่งออกมาจากประตูจนหมด พวกมันก็ลอยล่องอยู่เบื้องหน้าประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ไม่ไกล ก่อนที่จะเริ่มเกาะกลุ่มควบรวมก่อเกิดรูปร่างดั่งองคาพยพผู้คน!


 


ไม่นานนักหมอกสีเทาก็กลับกลายเป็นชายชราในชุดสีเทาคนหนึ่ง!!


 


ชายชราผู้นี้มีเส้นผมขนคิ้วขาวโพลน ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ในมือข้างหนึ่งถือไว้ด้วยไม้เท้าค้ำยันร่างกายโทรมๆ แลดูไม่ต่างอะไรจากชายชราใกล้ลงโลงไร้เรี่ยวแรงจะเดิน…


 


อย่างไรก็ตามมองจากกลวิธีในการปรากฏตัวปานผีสางของมัน ไม่ว่าใครก็บอกได้ทันทีว่ามันหาใช่เฒ่าชราใกล้ลงโลงไร้แรงเดินไม่!


 


สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ กระทั่งประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ยังเรียกหาอีกฝ่ายว่า อาจารย์!


 


ล้อกันเล่นหรือไร!?


 


ผู้ที่ถูกประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์เรียกหาว่าอาจราย์ ไหนเลยจะเป็นชายชราใกล้ลงโลงไร้แรงเดินธรรมดาๆได้?


 


“อวี่เหวินฮ่าวเฉินนั่น…ใช่ลูกหลานของแพะชราน่าตาย ‘อวี่เหวินตงชิง’ ของวังเซียนสัญจรหรือไม่?”


 


ทันใดนั้นดวงตาสีขุ่นของชายชราก็คล้ายทอประกายลี้ลับออกวาบหนึ่ง มองถามชายวัยกลางคนในชุดหรูหราทันที


 


เสียงของชายชรายังแหบแห้งน่ากลัวนัก พาลให้ผู้ที่ได้ฟังอดรู้สึกขนลุกกไม่ได้


 


“ใช่ขอรับ”


 


ได้ยินคำถามของชายชรา ชายวัยกลางคนในชุดหรูหราผู้เป็นประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์พยักหน้าตอบคำอย่างสุภาพ


 


อวี่เหวินตงชิงเป็นใคร มันย่อมรู้ดี


 


นั่นคือนามของผู้อาวุโสวังเซียนสัญจรเมื่อ 5,000 ปีก่อน!


 


5,000 ปีที่แล้ว ในฐานะอาวุโสของวังเซียนสัญจร อวี่เหวินตงชิง เป็นเพียงตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยนคนหนึ่ง ทว่าต่อมามันก็บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน และในที่สุดก็สามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้ปรากฏลงมาได้สำเร็จ!


 


อนิจจาที่อีกฝ่ายเป็นเพียงชนชั้นอาวุโสของวังเซียนสัญจรหาได้เป็นจ้าววังเซียนสัญจรไม่ จึงไม่อาจข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ล้มเหลวในการบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ…


 


และในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ในเผ่าปีศาจมนุษย์


 


เมื่อไม่อาจข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้ ก็ย่อมตกตายไปแล้วเป็นแน่!


 


อย่างไรก็ตามหากคนผู้นั้นตกตายไปแล้วจริง ชายชราแลดูลึกลับยากหยั่งถึงผู้เป็นอาจารย์ของประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์จะเรียกหาอีกฝ่ายว่า ‘แพะชราน่าตาย’ หรือไม่?


 


“ไม่เลว…”


 


ได้ยินคำยืนยันจากประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ ชายชราชุดเทาพลันพยักหน้า “วาสนาของมันยังนับว่าเหนือกว่า แพะชราน่าตายอวี่เหวินตงชิงในปีนั้นนัก…”


 


“ข้าเองก็เฝ้ารอวันนี้มานานแล้ว…ในเมื่อตอนนี้เผ่าปีศาจมนุษย์กำลังจักมีครึ่งก้าวเซียนอมตะคนที่ 2ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ข้าต้องจากไปเสียที…”


 


ชายชราในชุดสีเทายังคงกล่าวสืบต่อ ในวาจาคล้ายมากล้นไปด้วยความปลอดโปร่งราวกับได้ปลดเปลื้องภาระบางสิ่ง


 


“ท่านอาจารย์…ท่านต้องจากไปจริงๆหรือ?”


 


ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์คล้ายล่วงรู้แต่แรกแล้วว่าชายชราต้องกล่าวแบบนี้ แม้จะไม่ได้แปลกใจหากแต่มันก็ไม่ค่อยยินยอมพร้อมใจสักเท่าไหร่…


ตอนที่ 2,294 : ต้วนหลิงเทียน!


 


“พริบตาดุจลัดนิ้วมือ เวลาก็ได้ล่วงเลยไปเกือบครบพันปีแล้ว…หายนะทัณฑ์สวรรค์รอบที่ 4 ของข้ากำลังจักลงมา หากข้ายังรั้งอยู่ที่นี่เกรงว่าข้าคงมิอาจทุ่มความสนใจ ทั้งเตรียมการรับมือหายนะทัณฑ์สวรรค์รอบที่ 4 ได้อย่างเต็มที่”


 


ชายชราที่ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์เรียกหาว่าอาจารย์ได้แต่อธิบายออกมาพลางทอดถอนใจ


 


“คราวนี้เด็กน้อยของวังเซียนสัญจรนั่นมันสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จและกำลังจักกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้ว…นี่นับเป็นวาสนาครั้งใหญ่ของเผ่าปีศาจมนุษย์เรา ด้วยมีมันกับเจ้าคอยปกปักษ์ดูแล ข้าเองก็สามารถจากไปได้อย่างวางใจ…”


 


ชายชราในชุดสีเทาผู้นี้ มิคาดกลับเรียกหาจ้าววังเซียนสัญจรว่า เด็กน้อย!


 


ต้องทราบด้วยว่าจ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉิน ที่ปากมันเรียกหาว่าเด็กน้อยนั่น จะอย่างไรก็คือผู้ที่กำลังจะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนสวรรค์อมตะเชียวนะ!!


 


ยังดีว่าที่นี่ไม่มีใครอื่นอยู่!


 


หาไม่แล้วหากใครมาได้ยินวาจาประโยคนี้ของชายชราชุดเทา คงหวาดกลัวจนหัวใจกระดอนออกปาก!


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะได้ยินว่าอาจารย์ของตัวเรียกหาจ้าววังเซียนสัญจรว่าเด็กน้อย ประมุขเผ่าปีศาจกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรือไม่สมควรอะไร ราวกับว่าเป็นเช่นนี้ก็ถูกต้องเหมาะสมแล้ว


 


“อา เวลามัน…หายนะทัณฑ์สวรรค์ครั้งที่ 4 ของท่านอาจารย์กำลังใกล้เข้ามาแล้วจริงๆ…”


 


ประมุขจเผ่าปีศาจมนุษย์พยักหน้ารับ ยิ่งมาความไม่ยินยอมพร้อมใจบนใบหน้ายิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นไม่นานมันก็เอ่ยถามออกมาว่า “ท่านอาจารย์…แล้วท่านจะจากไปเมื่อไหร่หรือ?”


 


“หลังจากที่เด็กน้อยนั่นข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จและบรรลุถึงครึ่งก้าววเซียนอมตะ…ข้าคิดสนทนากับมันสักพักแล้วค่อยจากไป”


 


ชายชรากล่าว


 


“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ”


 


ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์พยักหน้ารับ “เช่นนั้นหลังจากที่มันข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้เมื่อไหร่ ศิษย์จักไปกับท่านอาจารย์ด้วย”


 


“พวกเราออกไปกันตอนนี้เลยเถอะ…หลังจากนี้อีกมิกี่ชั่วยาม อัสนีทัณฑ์สายแรกสมควรฟาดลงมาแล้ว! กล่าวไปนี่ก็นับว่านานมากแล้วที่ข้ามิได้เห็นวิธีการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ของจ้าววังเซียนสัญจรที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น…”


 


สิ้นคำกล่าวของชายชราร่างคนก็ไหววูบคราหนึ่ง กลับกลายเป็นกลุ่มหมอกควันสีเทา ทั้งยังพวยพุ่งทะยานลัดฟ้าไปด้วยความเร็วอัศจรรย์! ราวเมฆเทาจุดระเบิด!!


 


และทิศทางที่หมอกควันสีเทากำลังพุ่งไปก็คือน่านฟ้าวังเซียนสัญจร!


 


ฟุ่บ!!


 


แทบจะพร้อมกันกับที่รางชายชราชุดเทาสลายร่างกลับกลายเป็นหมอกควันทะยานลัดฟ้าหายไป ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ก็ย่ำเท้าออกอย่างพิสดาร ร่างทะยานเหินติดตามไปด้วยความเร็วสูงสุด ไม่นานก็ติดตามมาทัน


 


“ท่านอาจารย์ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าวังเซียนสัญจรนั้นมีกลวิธีข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น…แต่ทว่ากลวิธีดังกล่าวมีเพียงชนชั้นจ้าววังเซียนสัญจรเท่านั้นที่เข้าถึงได้หรือ?”


 


ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์มองไปมองควันสีเทาเบื้องหน้าด้วยสายคามากเคารพ เอ่ยถามออกมาด้วยความอยากรู้


 


“อืม…เป็นเช่นนั้น”


 


หมอกควันสีเทาที่ไร้รูปร่าง มิคาดกลับสามารถกล่าวตอบประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ได้ แถมเสียงตอบยังเป็นน้ำเสียงแหบแห้งของชายชราในชุดสีเทาก่อนหน้า “หากแต่กลวิธีข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ของจ้าววังเซียนสัญจรนั้น กว่าจะใช้ได้สักครั้งต้องเสียเวลาเตรียมการนานนัก…”


 


“เช่นนั้นโดยปกติแล้ว มีเพียงชนชั้นจ้าววังเซียนสัญจรเท่านั้น ถึงจักมีสิทธิ์เพลิดเพลินไปกับกลวิธีนั่น…”


 


ฟังจากคำของชายชราในชุดเทา คล้ายมันคุ้นชินกับกลวิธีการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ของชนชั้นจ้าววังเซียนสัญจรดี


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…”


 


ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์เองก็พอจะเข้าใจเรื่องราวได้ว่าไฉนวังเซียนสัญจรถึงไม่แจกจ่ายให้คนอื่นในวังจากนั้นมันก็เหินร่างตามหมอกควันสีเทาที่เป็นนอาจารย์ของมันไปยังวังเซียนสัญจรอย่างเงียบงัน


 


ฟุ่บ!


 


ไม่นานหมอกควันสีเทาดังกล่าวก็บรรลุถึงน่านฟ้าเหนือวังเซียนสัญจร!


 


กล่าวให้ชัดเป็นน่านฟ้าเหนือคฤหาสน์ที่พักของจ้าววังเซียนสัญจร


 


และแผ่นฟ้าเบื้องหน้าของมันยามนี้ ปรากฏเป็นเมฆสีดำทะมึนปานแพหนา ทั้งมีเมฆหลากสีก่อตัวอยู่เบื้องบน เปล่งแสงสีงดงามตระการตานัก


 


ภายใต้เมฆหลากสีเหล่านี้ ไม่เพียงมีเมฆดำทะมึนมืดเท่านั้น ยังมากล้นไปด้วยเส้นสายอัสนีจำนวนนับไม่ถ้วน มองไปปานอสรพิษสีม่วงตัวน้อยกำลังเลื้อยลดไปมาดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน


 


เมฆดำทะมึนมืดเหล่านี้ ก็คือกลุ่มเมฆหายนะ!


 


ยังเป็นเมฆหายนะสู่สรรรค์ บททดสอบของผู้ที่คิดจะตัดผ่านสู่ครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!


 


วูววว!


 


ดั่งมีสายลมพัดกรรโชกมาหอบหนึ่ง เป็นหมอกควันสีเทาที่วูบมาหยุดลง และพริบตาหมอกควันสีเทาดังกล่าว ก็รวมตัวก่อเกิดร่างมีสภาพ!


 


ชายชราชุดเทาปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกวันกับที่ร่างชายชราในชุดสีเทาปรากฏตัว ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ที่มาถึงช้ากว่ากันเล็กน้อย ก็หยุดร่างลงข้างๆชายชราในชุดสีเทา เฝ้ามองฉากเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงเบื้องหน้าด้วยกันกับชายชรา


 


ภายใต้เมฆหลากสีสันราวเมฆมงคลนั่น ก็คือแพเมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ที่มากล้นไปด้วยอัสนีสีม่วง!


 


และภายใต้เมฆหายนะมากล้นไปด้วยอัสนีสีม่วงลงไปไกลตาจนเห็นเป็นจุดเล็กๆ ก็เป็นจวนอันใหญ่โตหลังหนึ่ง มันคือเคหะสถานส่วนตัว ทั้งยังเป็นสถานทีบ่มเพาะของจ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉิน!


 


และตอนนี้รอบๆคฤหาสน์ของอวี่เหวินฮ่าวเฉินก็ไม่ได้สงบแต่อย่างใด


 


เมื่อบังเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตที่นี่อันเป็นจุดศูนย์กลางวังเซียนสัญจร เช่นนั้นแล้วเหล่าศิษย์และอาวุโสของวังเซียนสัญจรย่อมได้รับทราบกันหมด ต่างพากันมารวมตัวกันจากทั่วทั้งวัง!


 


พอต่างทยอยกันมาถึง น่านฟ้าแถบนี้ก็เรียกว่าอึกทึกครึกโครมทั้งวุ่นวายไม่น้อย


 


“ยังไม่เริ่มอีกหรือ?”


 


“เมฆหายนะสู่สวรรค์ยังพากันมาเคลื่อนจากทั่วสารทิศอยู่เลย ท่าทางยามเมื่อเมฆหายนะทั้งหมดมาบรรจบกัน หายนะทัณฑ์สวรรค์จึงจะเริ่มต้นขึ้นใช่หรือไม่?”


 


“อา! ข้าล่ะแทบอดใจรอดูชมไม่ไหวแล้ว! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจักมีโอกาสได้เป็นพยานการถือกำเนิดของครึ่งก้าวเซียนอมตะ! ที่สำคัญครึ่งก้าวเซียนอมตะผู้นี้ยังเป็นท่านจ้าววังเซียนสัญจรของพวกเรา!!”


 


“ข้าก็ตื่นเต้นยิ่ง!”


 


……


 


ตราบใดที่ยังเป็นคนของวังเซียนสัญจร แล้วไม่ได้ปิดด่านบ่มเพาะอย่างสันโดษตัดขาดการติดต่อ ทั้งหมดล้วนมารวมตัวกันเพื่อรอชมวินาทีประวัติศาสตร์ของจ้าววังเซียนสัญจรของพวกมันทั้งสิ้น


 


ต้องทราบด้วยว่าฉากเรื่องราวนี้ หาใช่คิดอยากจะเห็นก็ได้เห็นกันง่ายๆไม่!


 


“หายนะสู่สวรรค์หรือ…ข้าเองก็เคยได้อ่านมาจากในบันทึกโบราณเท่านั้น…ว่ากันว่ากว่าที่หายนะทัณฑ์สวรรค์จะบังเกิด ยังต้องรอให้เมฆหายนะควบรวมก่อเกิดอยู่ราวๆครึ่งชั่วยาม”


 


“ราวๆครึ่งชั่วยาม? เช่นนั้นอีกไม่นานแล้วสิท่านผู้อาวุโส…เพราะนี่มันก็เลย 2 เค่อมาแล้ว!”


 


“ท่านอาวุโสขอรับ เช่นนั้นหมายความว่าอีกเพียง 2เค่อ…เมฆหายนะสู่สวรรค์จักก่อตัวแล้วเสร็จ และหายทัณฑ์สวรรค์ของครึ่งก้าวเซียนอมตะจะเริ่มฟาดผ่าหรือท่าน!?”


 


“มิผิด เป็นเช่นนั้น!”


 



 


ท่ามกลางเหล่าศิษย์อาวุโสของวังเซียนสัญจร อาวุโสบางคนที่ได้ศึกษาเรื่องนี้มา ก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับหายนะทัณฑ์สวรรค์ของครึ่งก้าวเซียนอมตะไม่น้อย


 


หลังได้รับทราบว่าหายนะทัณฑ์สวรรค์กำลังจะเริ่มต้นในเวลาไม่ถึง 2 เค่อ เหล่าศิษย์และอาวุโสที่ไม่รู้เรื่องราวก็ทำตาลุกวาวขึ้นมาทันที ทั้งหมดยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เฝ้ารอเวลาอย่างใจจดจ่อ


 


ภายในลานว่างของคฤหาสน์


 


จ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉิน ยืนนิ่งอยู่กลางลาน สีหน้าเฉยเมยไม่เผยอารมณ์ความรู้สึกว่าทุกข์หรือสุข


 


และห่างออกไปไม่ไกลจากมัน ก็ปรากฏร่างศิษย์เอกทั้งยังควบฐานะรองจ้าววังเซียนสัญจรอันดับ 1 อวิ๋นฟู่เหย่ยืนรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องรองจ้าววังคนใหม่ ต้วนหลิงเทียน ที่ไม่ได้เป็นแม้แต่คนของเผ่าปีศาจมนุษย์!


 


“นายน้อยตำหนักเมฆาคราม?”


 


หลังได้รับทราบอัตลักษณ์ที่แท้จริของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของอวี่เหวินฮ่าวเฉิน จ้าววังเซียนสัญจรก็ไม่อาจคงความสงบเอาไว้ได้สืบไป! คิ้วมันขยดย่นเป็นปมอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกถึงความแปลกใจไม่น้อย!!


 


“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน?”


 


อวี่เหวินฮ่าวเฉินมองจ้องอวิ๋นฟู่เหย่ ถามออกเสียงแข็ง


 


“ตอนนี้มันสมควรยังอยู่ที่คฤหาสน์ส่วนตัวของมัน และน่าจะยังมิได้ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ…แต่ถึงมันจะออกจากการปิดด่านบ่มเพาะแล้ว มันก็ไม่อาจหลบหนีไปที่ใดได้! เพราะยามนี้จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง ก็ได้ถือวิสาสะเข้ามาเฝ้ารอมันถึงในวังเซียนสัญจรของพวกเรา! ทันทีที่เจ้านั่นมันกล้าออกนอกเขตวังเซียนสัญจรของพวกเรา จ้าววังวิญญาณอสุราย่อมลงมือฆ่ามันทันทีแน่!!”


 


อวิ๋นฟู่เหย่กล่าว


 


“ดี!”


 


อวี่เหวินฮ่าวเฉินพยักหน้ารับทราบ “เอาล่ะ เรื่องของมันไว้ข้าข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์เสร็จแล้วข้าจะจัดการเอง…ตอนนี้ข้าต้องไปเตรียมตัวก่อน หลังจากนี้อีกเพียงเค่อเดียว เมฆหายนะสู่สวรรค์สมควรก่อตัวแล้วเสร็จ หายนะทัณฑ์อัสนีสายแรกก็สมควรฟาดลง!”


 


กล่าวจบคำ ก็ไม่รอให้อวิ๋นฟู่เหย่ตอบสนองใดๆ ร่างอวี่เหวินฮ่าวเฉิน พลันก้าวทะยานขึ้นไปในอากาศ พริบตาก็ไปหยุดลอยบนฟ้าเหนือคฤหาสน์


 


เหนรือขึ้นไปจากศีรษะมันด้านบน บัดนี้แผ่นฟ้าที่เคยสว่างไสวกับหมองหม่นไปด้วยเมฆหายนะสู่สวรรค์สีดำทะมึน! ยังเป็นแพเมฆหายนะอันกว้างใหญ่ไพศาลปานจะปิดฟ้าบังตะวัน!!


 


ขณะเดียวกัน นอกจากแพเมฆหายนะหนาแน่นด้านบนแล้ว จากทุกทั่วสารทิศยังปรากฏเมฆหายนะที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาควบรวมไม่หยุดหย่อน


 


อีกไม่นานเหล่าเมฆหายนะทั้งหลายก็จะมาควบรวมบรรจบกับแพเมฆหายนะหนาแน่นเหนือหัวอวี่เหวินฮ่าวเฉิน ทำให้ยิ่งมาแพเมฆก็ยิ่งหนาแน่น กลิ่นอายอันน่าเกรงขามเปล่งออกมากขึ้นทุกขณะเวลา…


 


อัสนีสีม่วงก็ทวีจำนวนฟาดผ่าแลบลั่นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!


 


ต่อมาเหล่าอัสนีสีม่วงเดิมที่เคยมีขนาดเท่าอสรพิษก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 



 


ในระหว่างที่เมฆหายนะเริ่มเคลื่อนตัวมาควบรวม เสียงฟาดผ่าอัสนีก็ดังกังวานลงมาจากฟากฟ้าไม่หยุด ดั่งโลกหล้ากำลังจะถึงกาลวิปโยคเต็มที!


 


“ท่านอาจารย์…กำลังจะเริ่มข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์แล้วหรือ?”


 


ด้วยความเคลื่อนไหวด้านนอกนั้นใหญ่โตเอิกเกริกนัก ทำให้ในที่สุดหวงเหวินจิ้งที่ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ก็ถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ นางออกจากห้องหับมายืนในลาน ทั้งแหงนขึ้นไปมองบนฟากฟ้าก่อนใดอื่น ปากกล่าวพึมพำออกมาด้วยความตะลึง


 


อวิ๋นฟู่เหย่เองก็กำลังมองจ้องขึ้นไปบนฟ้าไม่ต่าง


 


ในสายตาทั้งคู่ ปรากฏ 1 ร่างเหินตระหง่านท่ามกลางฟ้าดิน และแพเมฆหายนะก็คล้ายจะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่หนึ่งร่างนั้น


 


“ศิษย์น้องเล็ก…”


 


ได้ยินเสียงเรียกหาอันคุ้นเคย หวงเหวินจิ้งพลันดึงสติกลับมาจากการเหม่อมอง ค่อยพบอวิ๋นฟู่เหย่ที่ไม่ทราบมาหยุดยืนข้างกายนางเมื่อไหร่กำลังแย้มยิ้มพูดว่า “ไม่ผิด ตอนนี้ท่านอาจารย์สามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จแล้ว”


 


“กล่าวได้ว่าอีกไม่กี่วัน วังเซียนสัญจรของพวกเราก็จะอุบัติตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะ! และยังเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะคนที่ 2 ของเผ่าปีศาจมนุษย์!!”


 


วาจาประโยคท้าย อวิ๋นฟู่เหย่ที่แหงนขึ้นไปมองหมู่เมฆหายนะบนฟ้าอีกครั้งก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างหาที่สุดไม่ได้!


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ครึ่งก้าวเซียนอมตะคนที่ 2 ที่กำลังจะอุบัติขึ้นในเผ่าปีศาจมนุษย์คนนี้ ก็คืออาจารย์ของมัน!!


 


“ท่านอาจารย์…”


 


ได้ยินคำของอวิ๋นฟู่เหย่ หวงเหวินจิ้งก็เงยหน้าขึ้นไปจับจ้องมองหนึ่งร่างกลางหาวที่ราวกับกำลังเย้ยฟ้าท้าเมฆหายนะอย่างอหังการทันที นอกจากความเคารพในแววตาแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยความประหลาดใจประการหนึ่ง


 


อาจารย์ของนางกำลังจะเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้วหรือ!


 


ในฐานะศิษย์ปิดสำนัก หวงเหวินจิ้งย่อมรู้ดี


 


ว่าอาจารย์ของนางเฝ้ารอคอยวันนี้มาเนิ่นนานเท่าไหร่! และในที่สุดการรอคอยอันยาวนานของอาจารย์นางก็กำลังจะจบลง ท่านกำลังจะสมปรารถนาแล้ว!!


 


ในฐานะศิษย์ปิดสำนัก หวงเหวินจิ้ง ย่อมบังเกิดความยินดีกับอาจารย์ถึงที่สุด!


 


“ท่านอาจารย์กำลังจะเผชิญหน้ากับหายนะทัณฑ์สวรรค์…กล่าวได้ว่าอีกไม่กี่วันท่านอาจารย์ก็จักบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ สิ้นสุดการรอคอยอันยาวนานนั่นแล้ว?”


 


ในขณะเดียวกันกับที่หวงเหวินจิ้งบังเกิดความสุขความยินดีกับอาจารย์ของนาง อยู่ๆร่างชายหนุ่มในชุดม่วงก็ปรากฏขึ้นในใจอย่างไม่ทันรู้ตัว


 


และเมื่อร่างนี้ปรากฏขึ้น นางก็รู้สึกว้าวุ่นกระอักกระอ่วนทันที


 


แต่ทันใดนั้นเอง


 


“ต้วนหลิงเทียน!!”


 


หูของหวงเหวินจิ้งพลันได้ยินเสียงอวิ๋นฟู่เหย่อีกครั้ง…


 


หากทว่าคราวนี้น้ำเสียงของอวิ๋นฟู่เหย่กลับเปี่ยมไปด้วยโทสะ ราวกับได้พบพานศัตรูแค้น!


ตอนที่ 2,295 : เผชิญหน้าอวี่เหวินฮ่าวเฉินอีกครั้ง!


 


“ต้วนหลิงเทียน!”


 


ในขณะที่อวิ๋นฟู่เหย่จับจ้องไปยังร่างหนึ่งไกลตาทั้งคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดนั้น หวงเหวินจิ้งก็หันมองตามสายตาไปเช่นกัน


 


ทันใดนั้นร่างในชุดสีม่วงที่ปรากฏขึ้นในใจเมื่อครู่ ก็ซ้อนทับกับร่างที่กำลังมุ่งหน้ามาจากไกลตาอย่างพอดี


 


‘มันยังจะมาที่นี่ทำอะไรอีก!?’


 


พอเห็นร่างดังกล่าวหวงเหวินจิ้งก็ตื่นตระหนกในใจนัก ‘หรือมันไม่รู้ว่ายามนี้ที่นี่มันอันตรายถึงเพียงใด?’


 


หวงเหวินจิ้งไม่อาจนึกออก ว่าไฉนบุรุษผู้นี้ต้องมาที่นี่ด้วย!


 


มันไม่รู้หรือไร ว่าตัวตนของมันถูกเปิดเผยหมดแล้ว?


 


หรือมันไม่รู้ว่าอาจารย์ของนางต้องฆ่ามันแน่?


 


“ต้วนหลิงเทียนรึ?”


 


เสียงคำรามด้วยโทสะของอวิ๋นฟู่เหย่ดังไม่น้อย ทำให้ทุกผู้คนที่มารวมตัวกันบนฟ้ารอบๆคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจรได้ยินกันชัดเจน สายตาทั้งหมดหันไปตกยังร่างคนกลุ่มใหม่ที่พึ่งมาถึงทันที


 


และสุดท้ายทุกสายตาก็จับจ้องไปยังร่างที่เหินนำหน้าสุด ชายหนุ่มในชุดสีม่วง!


 


“คนผู้นี้น่ะหรือ รองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรเรา ต้วนหลิงเทียน ที่พึ่งมาเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจรเราเมื่อ 3 ปีก่อน?”


 


“เป็นมัน! ข้าเคยเห็นภาพเหมือนของมันมาแล้ว เป็นที่แน่นอนแล้วว่ามันไม่ได้คิดมาเป็นรองจ้าววังของพวกเราด้วยใจซื่อสัตย์! เพราะที่แท้ฐานะของมันก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม!!”


 


“มิผิด เจ้าอย่าได้นับมันเป็นรองจ้าววังของพวกเราอีก! มันคือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ขุมพลังอันร้ายกาจของพวกมนุษย์ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้!!”


 


“นายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน…แต่ก่อนข้าเคยได้ยินแต่ชื่อเท่านั้น ไม่คิดเลยจริงๆว่าในระยะเวลาอันสั้นพลังฝึกปรือของมันจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้!”


 


“ใช่แล้ว เห็นว่ามันพึ่งออกจากภูมิภาคเพื่อขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนได้เพียง 10 กว่าปีเท่านั้น และยามนั้นมันกระทั่งยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ด้วยซ้ำ…แต่ไม่คิดเลยว่าในเวลาอันสั้นพลังฝึกปรือของมันกลับก้าวหน้าด้วยความเร็วอัศจรรย์เช่นนี้ได้!!”


 


“ข้ามิรู้จริงๆ ว่ามันบังเอิญไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อันใดในภูมิภาคเบื้องบนมากันแน่…หรือที่แท้สภาพแวดล้อมทั้งทรัพยากรในการบ่มเพาะของภูมิภาคเบื้องบน มันยอดเยี่ยมเลิศล้ำถึงขั้นทำให้ผู้ฝึกตนสามารถบ่มเพาะพลังจนทะลวงด่านได้ว่องไวถึงขั้นฝืนฟ้าได้ขนาดนี้?”


 


“ไม่หรอก! เรื่องแบบนั้นไหนเลยจะเป็นไปได้! ต่อให้สภาพแวดล้อมในภูมิภาคเบื้องบนจะยอดเยี่ยมเลิศล้ำอันใด แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกตนทั่วๆไปจะสามารถยกระดับพลังได้รววดเร็วถึงเพียงนี้! ต้องทราบด้วยว่านี่มันเพียงแค่ 10 ปีเท่านั้น ข้าเชื่อว่ามันต้องไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อันใดมาแน่นอน!!”


 


“ไม่ว่าจะด้วยปาฏิหาริย์อันใด แต่ที่ข้าเชื่อก็คือภูมิภาคเบื้องบนสมควรมีสภาพแวดล้อมทั้งทรัพยากรในการบ่มเพาะที่เลิศล้ำสุดที่พวกเราจะจินตนาการได้แน่นอน! เพราะสุดท้ายแล้วของเหล่านั้นย่อมมีส่วนช่วยให้ นายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นี้ สามารถก้าวหน้าขึ้นอย่างมหาศาลได้ในเวลาแค่ 10 กว่าปี!”


 


“ข้าเห็นด้วย”


 


……


 


ในขณะที่เหล่าศิษย์กับชนชั้นอาวุโสของวังเซียนสัญจรได้เห็นร่างต้วนหลิงเทียนที่ร่ำลือ พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะสนทนนากันเสียงดังระงม


 


วาจาที่พวกมันกล่าวค่อยๆหันเหจากเรื่องพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนที่ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อในเวลาแค่ 10 กว่าปี ไปเป็นถกเถียงกันว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อันใด แล้วที่แท้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของภูมิภาคเบื้องบนยอดเยี่ยมแค่ไหน


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้เหล่าศิษย์และอาวุโสของวังเซียนสัญจรเผยสีหน้าคาดหวัง ทั้งตั้งตารอคอยนัก! รอคอยให้มหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคจัดตั้งแล้วเสร็จ! พวกมันจะได้ขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนเสียที!!


 


“พวกเราเพียงรออีกไม่นาน ก็จะได้รับทราบแล้วว่าที่แท้สภาพแวดล้อมทั้งทรัพยากรในการบ่มเพาะของภูมิภาคเบื้องบนยอดเยี่ยมเพียงใด! จากความคืบหน้าของการจัดตั้งมหาค่ายกลตอนนี้…อีกเพียงมินานเท่านั้น!!”


 


“ใช่! ทันทีที่มหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคถูกจัดตั้งแล้วเสร็จ เผ่าปีศาจมนุษย์ของพวกเราจักได้ยาตราทัพไปพร้อมกับทัพหลักของเผ่าพันธุ์ปีศาจ บุกขึ้นไปช่วงชิงยึดครองความมั่งคั่งในภูมิภาคเบื้องบนของพวกมนุษย์ ให้สาสมใจ!!”


 


“ไม่แน่นะ บางทีพวกเราอาจได้พบพานวาสนาปาฏิหาริย์อย่างที่ต้วนหลิงเทียนบังเอิญพบเจอมา! ช่างทำให้ข้าผู้นี้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันนั้นเสียจริง!!”


 


……


 


ในขณะที่เหล่าศิษย์และอาวุโสของวังเซียนสัญจรกำลังสนทนากันอย่างออกรส


 


ต้วนหลิงเทียนก็พาต้วนซือหลิง เค่อเอ๋อ และก่านหรูเยี่ยนเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าละแวกใกล้เคียงกับคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจร และหยุดลงกลางหาว


 


ขณะที่ต้วนหลิงเทียนและทุกคนหยุดลง เผิงไหลที่เหินร่างตามมาก็หยุดลงเช่นกัน


 


จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง รวมถึงเหล่าผู้ที่ถูก1 วัง 6 ตำหนักส่งตัวมาเฝ้าดูสถานการณ์ ไม่เว้นอาวุโสของวังเซียนสัญจรที่ตามมาเฝ้าจับตาดูต้วนหลิงเทียนก็หยุดลงตามๆกัน


 


ขณะเดียวกัน สายตาของทั้งหมดก็จับจ้องมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง


 


จนถึงบัดนี้พวกมันยังไม่รู้จริงๆ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้เดินทางมาที่นี่!


 


เพราะที่นี่ก็คือคฤหาสน์ของจ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉิน ผู้ที่กำลังจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ! ใช่ต้วนหลิงเทียนมารนหาที่ตายหรือไม่?


 


ตอนนี้ไม่เพียงแต่เหล่ากลุ่มคนที่ติดตามต้วนหลิงเทียนมาเท่านั้น ที่คิดว่าต้วนหลิงเทียนคล้ายมารนหาที่ตาย!


 


กระทั่งเหล่าศิษย์และอาวุโสของวังเซียนสัญจรที่ลอยร่างอยู่รอบๆ ก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนมารนหาที่ตายเหมือนๆกัน!


 


“บ้าเอ๊ย! น้องหลิงเทียน! เจ้ายังมาที่นี่ทำอะไรอีก!?ที่นี่อันตรายยิ่ง เจ้ารีบหาทางหนีไปเร็วเข้า!!”


 


ทันใดนั้นเองเสียงอันคุ้นหูหนึ่งที่ฟังดูร้อนรนก็ส่งตรงมาถึงหูต้วนหลิงเทียน


 


ต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็บอกได้ทันทีว่านี่เป็นเสียงผ่านพลังของหวงฉี่หลิง!


 


หวงฉี่หลิงเป็นคนของวังเซียนสัญจรคนแรกที่เขารู้จัก และยังเป็นบุตรชายของรองจ้าววังเซียนสัญจรคนหนึ่ง!


 


แน่นอนว่าเรื่องที่หวงฉี่หลิงเป็นถึงลูกชายของชนชั้นรองจ้าววังเซียนสัญจรนั้น เขาก็พึ่งได้ล่วงรู้หลังจากที่ได้มาถึงวังเซียนสัญจรจนได้รับตำแหน่งรองจ้าววังคนใหม่เมื่อ 3 ปีก่อนเท่านั้น!


 


ตอนแรกแม้เขาจะพอคาดเดาได้ว่าฐานะของ หวงฉี่หลิง ไม่น่าจะธรรมดาแน่ เพราะกระทั่งลูกหลานของชนชั้นอาวุโสขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนยังไม่กล้าทำอะไรเกินเลย แต่เขาก็ไม่ได้รู้ชัดว่าที่แท้หวงฉี่หลิงมีฐานะอะไร


 


‘ที่นี่มันอันตรายงั้นเหรอ?’


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาเบาๆหลังได้ยินเสียงเตือนอย่างร้อนใจของหวงฉี่หลิง ค่อยส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับไปว่า “พี่หวงน้ำใจท่านข้าซาบซึ้งดี…แต่ท่านไม่คิดหรือว่าตอนนี้ต่อให้ข้าคิดไปไหนก็ไปไม่ได้? จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟงนั่นมันมารอท่าข้าอยู่ตั้งนานแล้ว ไหนเลยมันจะปล่อยให้ข้าหนีไปได้?”


 


“อีกทั้งตอนนี้จ้าววังเซียนสัญจรของท่านก็เพียงเตรียมข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ ยังไม่ได้บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะอันใด…เช่นนั้นยังต่างอะไรกับข้าหลบหนีไปแล้วเผชิญหน้ากับฉีหนานฟง?”


 


“หากข้าออกไปตอนนี้ก็ต้องโดนฉีหนานฟงดักเล่นงานโดยตรงอยู่ดี…ถ้าข้าไม่ออกไปซะอย่าง ฉีหนานฟง นั่นก็ไม่กล้าลงมือหรอก บางทีข้าอาจจะเจรจาอะไรกับจ้าววังอวี่เหวินได้ หรืออย่างน้อยๆในระหว่างที่รอจ้าววังอวี่เหวินข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ไปอย่างราบรื่น ข้าก็ยังสามารถมีชีวิตได้อีก 2-3 วัน”


 


ได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน หวงฉี่หลิง ถึงกับใบ้กินไร้คำใดจะกล่าว…


 


พอมันคิดให้ดี วาจานี้ก็ไม่แปลกปลอม…ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น!


 


“ไม่มีหนทางอื่นแล้วหรือ…”


 


ใบบหน้าหวงฉี่หลิงมืดลงทันใด ได้แต่กล่าวพึมพำกับตัวเองเบาๆ หว่างคิ้วขมวดย่นเป็นปม


 


“อันที่จริงที่ข้าอยากรู้ก็คือ…ท่านก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามที่เป็นขุมพลังของมนุษย์ เช่นนั้นในฐานะที่ท่านเองก็เป็นถึงลูกชายรองจ้าววังเซียนสัญจรคนหนึ่ง ทำไมถึงยังเป็นห่วงข้าอยู่อีกเล่า?”


 


ในขณะที่หวงฉี่หลิวกำลังขมวดคิ้วพึมพำหน้าเครียด เสียงผ่านพลังถามไถ่ของต้วนหลิงเทียนก็ส่งตรงถึงหู ดึงสติมันให้กลับมารู้สึกตัว


 


และเมื่อได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หวงฉี่หลิงก็กล่าวส่งเสียงตอบกลับไปอย่างไร้ลังเล “น้องหลิงเทียน ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายเพราะเจ้าเป็นเจ้า หาใช่ต้นกำเนิดของเจ้าไม่…”


 


“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ เจ้าก็คือสหายของข้าหวงฉี่หลิง! ยิ่งไปกว่านั้นหากให้เทียบเจ้ากับสหายจอมปลอมเผ่าปีศาจมนุษย์ด้วยกันแล้ว เจ้ายังนับว่าจริงใจกับข้ามากกว่านัก…น่าเสียดายก็แต่ข้าหวงฉี่หลิงไม่เอาไหน ไม่มีปัญญาช่วยเหลืออะไรเจ้าได้เลย…”


 


วาจาท้ายประโยคของหวงฉี่หลิง น้ำเสียงยามกล่าวส่งมายังเต็มไปด้วยความอับจนหนทางไม่น้อย


 


ต้องกล่าวเลยว่าวาจานี้ของหวงฉี่หลิงทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกซาบซึ้งน้ำใจไม่น้อย ทำให้เขารู้สึกได้ในระดับหนึ่งว่า สหายผู้นี้ไม่ได้คบหาอย่างเสียเปล่าแล้ว


 


“เจ้า…เจ้ามาทำบ้าอะไรที่นี่! หรือเจ้าคิดรนหาที่ตายแล้วจริงๆ!?”


 


ทันใดนั้นก็มีอีกเสียงคุ้นหูหนึ่งส่งตรงมาถึงต้วนหลิงเทียน ทำให้เขาปรายตามองลงไปยังคฤหาสน์เบื้องล่างทันที ไม่นานเขาก็แลเห็นร่างคุ้นตาหนึ่งที่กำลังยืนจ้องเขาในลานว่าง


 


‘หวงเหวินจิ้ง!’


 


มองปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็จดจำร่างงามนั่นได้ทันที ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น หวงเหวินจิ้ง รุ่นเยาว์อัจฉริยะอันดับ 1 ของวังเซียนสัญจร ทั้งยังเป็นโฉมงามอันดับ 1 แห่งเผ่าปีศาจมนุษย์!


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ได้ทันที


 


ว่าเสียงผ่านพลังเมื่อครู่มาจากหวงเหวินจิ้ง


 


‘หวงเหวินจิ้งเองก็สมควรล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้าแล้ว…แต่ไฉนน้ำเสียงผ่านพลังของนางเมื่อครู่ กลับเต็มไปด้วยความกังวลแทนที่จะแค้นเคืองดั่งเห็นข้าเป็นศัตรู…’


 


จากวาจาผ่านพลังเมื่อครู่ของหวงเหวินจิ้ ต้วนหลิงเทียนย่อมรับทราบได้ทันทีถึงความห่วงใยจากใจจริงของหวงเหวินจิ้ง


 


‘อา จริงสิ…เฮ่อ’


 


หลังจากที่เดาอะไรได้บางอย่าง ว่าไฉนหวงเหวินจิ้งถึงได้แลดูเป็นห่วงเขา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนในใจอย่างอับจน ก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของนางและไม่หันไปสนใจอะไรนาง


 


‘คนข้างๆนางน่าจะเป็นรองจ้าววัง อวิ๋นฟู่เหย่’


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงทีท่าตั้งแง่มองเป็นศัตรูของชายหนุ่มข้างกายหวงเหวินจิ้ง อีกทั้งกอปรกับได้เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในลานคฤหาสน์ส่วนตัวของ อวี่เหวินฮ่าวเฉิน เหมือนหวงเหวินจิ้งแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนย่อมคาดเดาฐานะอีกฝ่ายได้ไม่ยาก…


 


อวิ๋นฟู่เหย่! ศิษย์เอกของจ้าววังเซียนสัญจร ทั้งยังเป็นรองจ้าววังอันดับ 1 ของวังเซียนสัญจรก่อนที่เขาจะเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจร!


 


‘ตอนนี้พลังสุริยันที่ผสานอยู่ในพลังเซียนต้นกำเนิดของข้ามันกระสับกระส่าย จนข้าแทบจะควบคุมไม่ไหวแล้ว…’


 


หลังจากนั้นไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ละสายตาออกจากร่างอวิ๋นฟู่เหย่ ก่อนที่จะแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าสูง ณ จุดที่เมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์มาบรรจบกันจากทั่วสารทิศ


 


ณ จุดศูนย์กลางที่เมฆหายนะสู่สวรรค์มาบรรจบกันนั่น สมควรมีบางสิ่งที่กำลังเพรียกหาพลังสุริยันของเขาดำรงอยู่!


 


‘ไม่รู้จริงๆ…ว่าใจกลางนั่นที่แท้มีอะไรอยู่กันแน่’


 


ตอนนี้นอกเหนือจากความอยากรู้อยากเห็นแล้ว ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความคาดหวังถึงขั้นตั้งหน้าตั้งตารอคอย


 


‘ใกล้แบบนี้…สำนึกรู้ฟ้าดินของข้ายิ่งมายิ่งเพิ่มพูน กระทั่งยังเพิ่มขึ้นคนละระดับกับก่อนหน้าเลย ความเร็วช่างแตกต่างกันนัก!’


 


หลังตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจมากยิ่งขึ้น


 


ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่ซุกซ่อนอยู่ในใจกลางเมฆหายนะสู่สวรรค์และกำลังเพรียกหาพลังสุริยันของเขานั้น มันหาได้ง่ายดายไม่!


 


“อวี่เหวินฮ่าวเฉิน!”


 


ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนยังได้เห็นร่างจ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉิน อีกครั้ง!


 


ยามต้องเผชิญหน้ากับชายผู้นี้เมื่อ 3 ปีก่อน กระทั่งได้เห็นว่าอีกฝ่ายรับกระบี่เขาได้ง่ายดายเพียงใด ต้วนหลิงเทียนยังหวั่นกลัวไม่หาย!


 


ตอนนี้ อวี่เหวินฮ่าวเฉินกำลังแหงนมองจ้องขึ้นไปบนเมฆหายนะสู่สวรรค์บนฟ้าสูง พลังเซียนต้นกำเนิดของมันแผ่ออกมาทั่วร่าง เปล่งกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงสะท้านออกรอบๆ


 


ทั้งพลังเซียนต้นกำเนิดของอีกฝ่ายยามแผ่ซ่านออกมา คล้ายจะสั่นพ้องไปทั้งโลกหล้า!


 


จากสิ่งนี้เห็นได้ชัดว่า…


 


สำนึกรู้ฟ้าดินของอวี่เหวินฮ่าวเฉินนั้นอยู่ในระดับที่สูงมาก!


 


อย่างไรก็ตามอวี่เหวินฮ่าวเฉินตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่หันมามองถึงขั้นไม่แม้แต่จะชายตาแลมอง กระทั่งสำนึกเทวะยังไม่ได้แผ่มาตรวจสอบเขาด้วยซ้ำ!


 


เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ใจของอวี่เหวินฮ่าวเฉินได้จดจ่อกับเมฆหายนะสู่สวรรค์บนฟ้าสูงขนาดไหน!


 


ราวกับห้วงเวลานี้ ในโลกของอวี่เหวินฮ่าวเฉิน คงเหลือก็แต่เพียงเมฆหายนะเท่านั้น


 


และด้วยการมาถึงของต้วนหลิงเทียน ทำให้บรรยากาศโดยรอบแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันที!


ตอนที่ 2,296 : หายนะสู่สวรรค์ ปรากฏ!


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนมาถึง ความสนใจของทุกคนก็ละออกจากอวี่เหวินฮ่าวเฉิน ก็ไปรวมอยู่ที่เขาทันที


 


ต้วนหลิงเทียน รองจ้าววังเซียนสัญจร


 


หากเขามีเพียงแค่ ฐานะ ดังกล่าว เกรงว่าคงไม่อาจเรียกร้องความสนใจอะไรจากผู้คนโดยรอบได้ถึงขนาดนี้


 


สาเหตุที่เขากลับกลายเป็นจุดสนใจยิ่งไปกว่าใครนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะอีกฐานะหนึ่งของเขา…


 


นายน้อยแห่งตำหนักเมฆาคราม!


 


และตำหนักเมฆาครามที่ว่า ก็คือขุมพลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์!!


 


เป็นธรรมดา…ด้วยฐานะอันละเอียดอ่อนแบบนี้ ไหนเลยจะไม่เป็นจุดสนใจของเหล่าเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้งหลายที่มารวมตัวกันได้!


 


“ข้าจำได้ว่า…เมื่อ 3 ปีก่อนยามต้วนหลิงเทียนมาเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจร มันมิได้มาคนเดียว หากแต่พกพาเด็กหญิงตัวน้อยกับสตรีฝาแฝดมาด้วยกัน”


 


จู่ๆศิษย์วังเซียนสัญจรคนหนึ่งก็กล่าวเรื่องนี้ออกมา


 


“สมควรเป็นดรุณีน้อยนางนั้น กับ…สวรรค์! สตรีที่งดงามปานเทพธิดาทั้ง 2 นั่น… ใต้หล้ากลับมีฝาแฝดงามล่มเมืองแบบนี้อยู่จริงๆหรือ…”


 


“อา…พี่น้องฝาแฝดคู่นี้ล้วนแล้วแต่งามล่มเมืองไม่ต่าง หากแต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันราวคนละขั้ว! ข้าล่ะอิจฉาต้วนหลิงเทียนยิ่ง!!”


 


“พวกเจ้าหลงประเด็นอันใดหรือไม่…ข้ามิได้กล่าวให้ดูชมความงาม! แต่ทั้ง 3 นั่นสมควรเป็นมนุษย์เหมือนต้วนหลิงเทียนด้วย!!”


 


……


 


หลังศิษย์กลุ่มหนึ่งกล่าวถึงพวกเค่อเอ๋อออกมา ก็กระตุ้นความสนใจของผู้คนรอบๆให้หันไปมองเค่อเอ๋อกับก่านหรูเยี่ยนและต้วนซือหลิงเช่นกัน


 


ด้วย 3 ปีที่แล้วต้วนหลิงเทียนพาคนมาด้วยทั้งสิ้น 3คน ทุกคนจึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าสมควรเป็น สตรีทั้ง 3 ที่อยู่ตรงนี้ไม่ผิดแน่…


 


และที่สำคัญ สตรีทั้ง 3 ที่มาพร้อมต้วนหลิงเทียนก็สมควรเป็นมนุษย์!


 


“เผิงไหล เจ้าหน้ามืดตามัวแล้วหรือไร!”


 


เผิงไหลที่ยืนอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็จำต้องสะดุ้ง เพราะมีเสียงหนึ่งส่งตรงถึงหูอย่างเกรี้ยวกราด


 


เสียงนี้หาได้แปลกหูสำหรับเผิงไหลแต่อย่างไร นั่นเพราะอีกฝ่ายเป็นสหายคนหนึ่งของมันในวังเซียนสัญจร และเป็นชนชั้นอาวุโสเหมือนกัน


 


“อย่าได้บอกข้าว่าจนป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนนั่นเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามอยู่อีก! ด้วยฐานะนั่นของมัน ท่านจ้าววังไม่มีวันละเว้นชีวิตมันและปล่อยให้มันก้าวออกนอกวังเซียนสัญจรเป็นแน่!”


 


“หรือกระทั่งเรื่องนี้เจ้ายังไม่รู้? หากรู้แล้วไฉนยังไม่รีบออกมา?”


 


“หากเจ้ายังดันทุรังดื้อรั้นติดตามมันต่อไป…ไยไม่ใช่รนหาที่ตายกัน!?”


 


ฟังจากน้ำเสียงที่ส่งมาอันเต็มไปด้วยความร้อนใจและวิตกกังวลก็ทราบได้ ว่าอาวุโสวังเซียนสัญจรผู้นี้สมควรเป็นห่วงเผิงไหลไม่น้อย


 


ได้ยินเสียงมากด้วยความห่วงใยของอาวุโสวังเซียนสัญจรดังกล่าว เผิงไหล ก็รู้สึกซาบซึ้งตื้นตันในน้ำมิตร อนิจจามันไม่อาจทำอะไรได้!


 


ไม่ใช่ว่ามันไม่อยากตีจากต้วนหลิงเทียน แต่มันไม่อาจกระทำเช่นนั้นได้!!


 


ด้วยพันธะจากคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า หากมันตีจากต้วนหลิงเทียนไปตอนนี้ย่อมไม่ต่างใดจากทรยศต้วนหลิงเทียน มันย่อมถูกอัสนีฟ้าพิฆาตตายตกทันทีแน่!


 


ถึงแม้หากติดตามต้วนหลิงเทียนต่อไป จุดหมายปลายทางก็คือความตาย แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีเวลาได้หายใจอีก 2-3 วัน!


 


มันไร้ความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับอัสนีทัณฑ์สวรรค์ ที่จะฟาดร่างมันจนเป็นผุยผง!


 


นอกจากนี้ลึกลงไปในใจมันยังบังเกิดความหวังอันแรงกล้าประการหนึ่ง ถึงแม้กระทั่งตัวมันเองยังรู้สึกว่าความหวังดังกล่าวเสมือนเรื่องเพ้อฝัน แต่มันก็อดไม่ได้…


 


อดไม่ได้ที่จะหวัง! หวังว่านายท่านผู้นี้ของมันจะสร้าง ปาฏิหาริย์ ขึ้นมา!!


 


เพราะสุดท้ายแล้วนายท่านของมันผู้นี้ก็หาใช่คนธรรมดาไม่ แต่เป็นผู้ที่สามารถยกกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ผู้อื่นได้!!


 


ในสายตาของมัน นี่คือพลังอำนาจที่อยู่เหนือครึ่งก้าวเซียนอมตะเสียอีก!!


 


ทันใดนั้นเอง


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


……


 


พร้อมกับเสียงของสายลมที่แว่วดังขึ้น ความว่างเปล่าพลันปรากฏร่างหลายร่างลุมาถึง แต่ละคนเหินมาปรากฏตัวบนน่านฟ้าเหนือคฤหาสน์จ้าวววังเซียนสัญจรกันติดๆ


 


“ท่านจ้าววัง”


 


ร่างสูงใหญ่แลดูแข็งแกร่งกำยำที่มาถึงก่อนผู้ใด วูบร่างมาหยุดใกล้ๆจ้าววังวิญญาณอสุรา ก่อนที่จะป้องมือคารวะฉีหนานฟงด้วยความเคารพ


 


มันเป็นชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงิน แม้ชุดคลุมสีน้ำเงินนี้จะแลดูตัวใหญ่ หากแต่พออยู่บนร่างมันก็แลเป็นเล็กลงถนัดตา กระทั่งมองไปยังคล้ายชุดรัดรูปเสียด้วยซ้ำ เผยให้เห็นมัดกล้ามปูดโปนแน่นเปรี๊ยะ!


 


ร่างสูงใหญ่ปานหอคอยเหล็กของมัน บัดนี้ศีรษะก้มลงเล็กน้อย คาระทักทายฉีหนานฟงด้วยความเคารพจากใจ


 


“หยวนป้า เจ้ามาแล้วหรือ”


 


เห็นชายหนุ่มดังกล่าววมาถึง ฉีหนานฟง ก็หันไปพยักหน้ารับ พลางกล่าวคำทักทายด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายไม่ต่าง


 


“นั่นชิงหยวนป้า! รองจ้าววังวิญญาณอสุรา อันดับ 1ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของเผ่าปีศาจมนุษย์เรา!”


 


ไม่นานกลุ่มศิษย์และผู้อาวุโสของวังเซียนสัญจรก็จดจำร่างชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินนั่นได้ เพราะชายหนุ่มผู้นั้นโด่งดังไม่น้อย ไม่เพียงแต่จะเป็นรองจ้าววังวิญญาณอสุราเท่านั้น มันยังเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของเผ่าปีศาจมนุษย์ ชิงหยวนป้า!!


 


“คนของตำหนักขจีจรัสก็มา”


 


“นั่นมันกงซุนจิน รองจ้าวตำหนักขจีจรัสมิใช่หรือไร?”


 


“คนวังอัคคีสีชาดก็มาแล้ว…นั่นสมควรเป็นรองจ้าววังอัคคีสีชาด หวู่เทียนจิน*”


(*คนนี้ตอนก่อน ผมน่าจะแปลผิดเป็นจ้าววัง ต้องขออภัยด้วย แต่ไม่ต้องสนใจมันมาก…กีกี้ประกอบฉากเฉยๆ 55+)


 



 


เมื่อผู้มาเยือนทยอยกันปรากฏตัวขึ้น คนของวังเซียนสัญจรก็ระบุตัวตนพวกมันได้ และไม่นานทุกคนก็ตระหนักได้ถึงเรื่องราวประการหนึ่ง


 


ในบรรดา 2 วัง 6 ตำหนักที่เหลือนอกจากวังวิญญาณอสุราแล้ว…ทั้งหมดล้วนมากันแต่ชนชั้นรองผู้นำทั้งสิ้น ไม่มีผู้นำโผล่มาให้เห็นสักคน!


 


“จ้าววังอัคคีสีชาด กับจ้าววังอีก 6 ตำหนักไปไหนกันหมด…ไฉนไม่มาด้วยเล่า?”


 


ยังมีศิษย์วังเซียนสัญจรไม่น้อยที่แปลกใจในเรื่องดังกล่าว


 


“พวกมันปิดด่านอยู่รึเปล่า…หรือไม่ก็ติดธุระอันใด”


 


ใครบางคนกล่าวออก


 


“เหอะๆ ต่อให้จะปิดด่านหรือติดธุระอันใด…แต่จะบังเอิญเป็นเช่นนั้นเหมือนกันทั้ง 7 ได้เชียวรึ?”


 


หลายคนตั้งคำถาม


 


“เพ่ย! พวกเจ้าก็อย่าได้หลงลืมไป…สำหรับเผ่าปีศาจมนุษย์แล้ว แม้การปรากฏตัวของครึ่งก้าวเวียนอมตะคนที่ 2 จักเป็นเรื่องดี หากทว่าครึ่งก้าวเซียนอมตะคนที่ 2 กำลังจักคลอดออกมาจากวังเซียนสัญจรของพวกเรา!”


 


อาวุโสชราคนหนึ่งของวังเซียนสัญจรกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแสยะดูแคลน “วังเซียนสัญจรของเราอุบัติครึ่งก้าวเซียนอมตะ ย่อมเป็นเรื่องดี…แต่สำหรับอีก 2 วังกับ 6 ตำหนักที่เหลือนั่น มิใช่ว่าจักเป็นเรื่องดี!”


 


“หากให้ข้าเดาล่ะก็…ไม่พ้นตอนนี้ พวกชนชั้นจ้าววังจ้าวตำหนักของอีก 1 วัง 6 ตำหนักที่เหลือ ต้องไปรวมหัวเพื่อหารืออันใดกันสักที่ หาทางคานอำนาจของท่านจ้าววังเราที่จะกำลังมีอำนาจครอบงำกดหัวพวกมัน!”


 


วาจาของอาวุโสชราคนนี้ นับว่าตรงกับความในใจของอาวุโสวังเซียนสัญจรอีกหลายๆคน


 


พอพวกมันได้คิดทบทวนดูแล้วว ก็เห็นทีจะมีแต่เป็นเพราะสาเหตุนี้เท่านั้น


 


3 วัง 6 ตำหนักนั้น อยู่ในภาวะแข่งขันกันมาโดยตลอด และพยายามรักษาสมดุลของอำนาจเอาไว้


 


ทว่าตอนนี้ในบรรดาขุมพลังทั้งหลายกลับอุบัติครึ่งก้าวเซียนอมตะขึ้นมาในวังเซียนสัญจร! แล้วจะไม่ให้พวกมันร้อนใจจนเสมือนมีไฟลนก้นได้อย่างไรไหว…!!


 


“คงมีแต่ท่านจ้าววังวิญญาณอสุราที่ใจกว้าง ถึงขั้นเร่งรุดมาเยือนด้วยตัวเองเป็นคนแรก”


 


ศิษย์วังเซียนสัญจรที่พึ่งออกจากการปิดด่านมาไม่นานกล่าวออก


 


ทว่าอาวุโสกับเหล่าศิษย์วังเซียนสัญจรที่อยู่มานานแล้ว พอได้ยินคำของมันถึงกับอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น


 


ศิษย์วังเซียนสัญจรคนหนึ่ง เห็นศิษย์ผู้มาใหม่ชักสีหน้าเหรอหราคล้ายตัวโง่งม มันก็เร่งกล่าวออกด้วยรอยยิ้มทันที “เฮ่ ศิษย์น้อง…นี่เจ้าคงมิได้กำลังคิดว่า เป็นเพราะท่านจ้าววังของพวกเรากำลังจะกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ แล้วจ้าววังวิญญาณอสุราจึงเร่งรุดมาอวยพรหรือเร่งรุดมาแสดงความยินดีอะไรทำนองนั้นหรอกนะ?”


 


“อ้าว…แล้วมิใช่เช่นนั้นหรือศิษย์พี่?”


 


“ฮ่าๆๆ! ย่อมไม่ใช่! จ้าววังวิญญาณอสุราผู้นี้ไม่เพียงแต่มาถึงคนแรกเท่านั้น กระทั่งยังมาถึงตั้งแต่เมื่อ 1 ปีก่อนตอนที่ท่านจ้าววังเรายังมิออกจากการปิดด่านกระทั่งชักนำหายนะสู่สวรรค์อันใดด้วยซ้ำ!เพราะมันมิได้มาเพื่อพบท่านจ้าววังของเรา แต่มาเพื่อพบรองจ้าววังคนใหม่ของพวกเรา ต้วนหลิงเทียน!”


 


“นายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นั้นน่ะหรือ!?”


 


“มิผิด! เป็นมันเอง…สำหรับเรื่องที่ตำหนักเมฆาครามกับวังวิญญาณอสุรามีความแค้นกันขนาดไหน ข้าคงไม่จำเป็นต้องเล่าให้เจ้าฟัง เพราะเจ้าสมควรรู้เรื่องนี้ดีแล้วล่ะนะ”


 


“อ่า…ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”


 



 


ขณะเดียวกัน ทางด้านชนชั้นรองผู้นำของ 1 วัง 6ตำหนักที่พึ่งมาถึง สายตาของพวกมันก็ไปหยุดลงบนร่างต้วนหลิงเทียนทันที


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่สายตาของทั้ง 7 หันไปตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียนนั้น


 


เปรี๊ยงง!! ครืนนน!!!


 


เสียงที่ดังสนั่นปานแผ่นดินระเบิด ก็อุบัติขึ้นกึกก้องไปทั่ว


 


ขณะเดียวกันปรากฏกลิ่นอายพลังมหาศาลพร้อมด้วยคลื่นกระแทกกวาดลงมาจากฟ้าเบื้องบน! เป็นกลิ่นอายพลังอันน่ากลัว มากล้นไปด้วยอำนาจสะกดข่ม พาลให้ทุกคนถึงกับต้องใจสะท้านไปทันที!!


 


“หายนะทัณฑ์สวรรค์ ปรากฏแล้ว!!”


 


ทันทีที่ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นในหัวของทุกคน


 


ทันใดนั้นทุกสายตาที่มองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนต่างก็ละออกหันไปจับจ้องเรื่องราวบนฟ้าสูงเหนือศีรษะจ้าววังอวี่เหวินฮ่าวเฉินทันที!


 


ณ ที่แห่งนั้น เมฆหายนะสู่สวรรค์ทั้งหลายได้มาบรรจบกันเป็นที่เรียบร้อย พวกมันไม่เพียงรวมตัวเป็นแพหนาถึงขั้นปิดฟ้าบังตะวัน ยังเริ่มปลดปล่อยพลังอำนาจสะท้านขวัญให้ทุกสรรพชีวิตรับทราบ!


 


เมฆหายนะเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะปกคลุมไปทั่วน่านฟ้าเหนือคฤหาสน์ส่วนตัวของจ้าววังเซียนสัญจรอย่างอวี่เหวินฮ่าวเฉินเท่านั้น มันยังปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบ ทำให้ทุกผู้คนล้วนตกอยู่ในความมืดมัว บังเกิดความรู้สึกเยียบเย็นประการหนึ่ง!


 


แน่นอนว่ายังมีแสงสะท้อนมาจากที่ไกลๆ ทำให้สายตาทุกคนยังสามารถมองเห็นเรื่องราวได้ชัดเจน


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 



 


เสียงฟ้าร้องยังคงก้องกังวานออกมาไม่หยุด และท่ามกลางแพเมฆหายนะทะมึนมืด ทุกผู้คนก็แลเห็นอัสนีสีม่วงที่ประหนึ่งฝูงอสรพิษดำผุดดำว่ายได้ชัดถนัดตา และบางคราก็ปรากฏอสรพิษหลากสีอันงดงามผุดโผล่มาให้เห็นเป็นครั้งคราว


 


แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับอสรพิษสีม่วงแล้ว อสรพิษน้อยหลากสีสันนั่นหาได้มีจำนวนมากมายนัก กระทั่งผู้ที่พลังฝึกปรือไม่สูงถึงระดับหนึ่ง ก็ยากที่จะพบเห็นมันด้วยซ้ำ


 


“ฟ้าร้องคำรามจนแผ่นดินสะเทือนแบบนี้…เป็นเมฆหายนะสู่สวรรค์กำลังประกาศศักดิ์ดาว่า หายนะทัณฑ์สวรรค์กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วงั้นสิ!”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็มีความเข้าใจในเรื่องหายนะสู่สวรรค์ไม่น้อย


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังกล่าวพึมพำกับตัวนั้น อยู่ๆสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปคล้ายตระหนักถึงบางสิ่ง


 


‘แย่แล้ว!’


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพบว่า ‘พลังสุริยัน’ ในร่างของเขานั้น ไม่เพียงแต่กระสับกระส่ายพุ่งพล่านมากยิ่งขึ้น แต่พวกมันยังเกรี้ยวกราดถึงขั้นที่เขารู้สึกว่าไม่อาจจะควบคุมสะกดได้ไหวสืบไป!


 


ตอนนี้เขามีเพียง 2 ทางให้เลือกเท่านั้น พยายามควบคุมสะกดพวกมันให้ถึงที่สุด หรือปล่อยไป…


 


‘เฮ่อ…ช่างเถอะ’


 


‘ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าบางสิ่งที่กำลังเพรียกหาพวกมัน ที่แท้คิดจะทำอะไรกันแน่’


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดฝืนระงับสะกดพลังสุริยันในร่างสืบไป ปลดปล่อยพันธนาการทั้งมวลปล่อยให้พลังเซียนสุริยันเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระตามใจ


 


และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนลดพลังสะกด ละการควบคุมทั้งมวล


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


พลังสุริยันที่เดิมเคยผสานกับพลังเซียนต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนจนก่อให้เกิดเป็นพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดนั้น บัดนี้มันได้แยกตัวออกจากพลังเซียนต้นกำเนิด และกลับกลายเป็นเปลวเพลิงสีทองทะลักออกมาลุกโชนไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียน!


 


เรียกว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนคนที่มีไฟสีทองกำลังลุกไหม้ท่วมร่าง!!


 


แถมเปลวเพลิงสีทองดังกล่าวยังราวกับจะพวยพุ่งออกมาจากทุกรูขุมขนของต้วนหลิงเทียน ทว่าพิกลนัก…เส้นผมขนคิ้วกระทั่งชุดคลุมที่เขาสวมใส่อยู่กลับไม่ได้ถูกเพลิงทองดังกล่าวแผดเผาแต่อย่างไร!


 


“ท่านพ่อ!!”


 


ต้วนซือหลิงพบเห็นความผิดแปลกบนร่างต้วนหลิงเทียนก่อนใคร นางหวาดกลัวอย่างหนักสองมือยกขึ้นปิดปาก ลูกตากลมใสเบิกมองต้วนหลิงเทียนอย่างตื่นตระหนกเสียขวัญ


 


“พี่เทียน?”


 


เค่อเอ๋อเองก็พบเห็นความเปลี่ยนแปลงที่บังเกิดขึ้นเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามแม้ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนจะลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงสีทอง หากแต่นางก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความร้อนลวกใดๆ


 


และในขณะที่ก่านหรูเยี่ยนเองก็กำลังถูกความเปลี่ยนแปลงบนร่างต้วนหลิงเทียนดึงดูดความสนใจนั้น


 


ฟู่มมม!!


 


เปลวเพลิงสีทองที่ลุกโชนท่วมร่างของต้วนหลิงเทียน ก็พุ่งทะยานออกจากร่างต้วนหลิงเทียนไปเป็นมวลเพลิงสีทองก้อนหนึ่ง และพุ่งทะยานขึ้นไปสู่ฟากฟ้า


 


เป้าหมายชี้ตรงไปยังใจกลางสถานที่ที่การปล้นของผู้เป็นอมตะจากน้อยไปมากมาบรรจบกัน!


 


“นั่นมัน!”


 


ในขณะที่มวลเพลิงสีทองพุ่งทะยานขึ้นฟ้ามุ่งหน้าสู่ใจกลางเมฆหายนะ ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)