War sovereign Soaring The Heavens 2284-2289
ตอนที่ 2,284 : ซับซ้อน สับสน
“ระ…รองจ้าววัง…เป็น…เป็นผู้น้อยเอง”
เจอคำจี้ถามของรองจ้าววังอันดับ 1 อวิ๋นฟู่เหย่ แห่งวังเซียนสัญจร พร้อมสายตาที่มองมาดั่งมีดดาบ ศิษย์ลาดตระเวน หวงเจิ้ง ได้แต่ก้มศีรษะที่สั่นเทาลงกล่าวออกด้วยความตื่นกลัว ทั่วร่างยังเริ่มชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
มาตอนนี้มันพึ่งจะนึกขึ้นได้ว่า
จ้าววังเซียนสัญจรที่มันคิดเข้าพบ กำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่
ทว่ามันกลับกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า จนสวรรค์ตอบรับด้วยเสียงอัสนีฟาดผ่าดังลั่นสะท้านปฐพี ย่อมเป็นไปได้สูงที่จะสร้างความรบกวน และอาจทำให้จ้าววังเสียสมาธิได้
ตอนนี้เองสายตาอวิ๋นฟู่เหย่กก็หันมาจับจ้องมองหวงเจิ้ง
ต่อมา
ขวับ!
อวิ๋นฟู่เหย่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาพลันยกมือหนึ่งขึ้นมา พริบตาก็ก่อเกิดกระบี่พลังผนึกควบรวมขึ้นต่อหน้าโหวเฟิงและเหล่าศิษย์ลาดตระเวนทั้งหลาย ทำให้ลูกตาโหวเฟิงอดที่จะหดเล็กลงไม่ได้
และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่ลูกตาโหวเฟิงหดเล็กลง
ฉัวะ!
กระบี่พลังดังกล่าวพุ่งไปฉับไวปานสายฟ้าสะบั้นศีรษะของ หวงเจิ้ง ให้ปลิดปลงลงมาอย่างง่ายดาย!
และไม่ทันที่หยาดโลหิตจะได้พุ่งทะลักอะไรออกมา ตัวกระบี่ก็เปล่งพลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึงปานจะทำลายได้ทุกสรรพสิ่งออกมาระลอกหนึ่ง!
ปงง!!
เสียงระเบิดอันน่าสยดสยองดังขึ้น หัวตัวของหวงเจิ้งที่แยกจากถูกพลังดังกล่าวกลืนกินทำลายจนไม่เหลือแม้แต่ซาก! ความร้อนจะแรงระเบิดยังระเหยโลหิตจนเหือดหาด!!
คงเหลือก็แต่เพียงแหวนพื้นที่วงหนึ่งที่ร่วงตกลงจากความว่างเปล่า
“อะ..”
โหวเฟิงเป็นคนแรกที่ดึงสติกลับมาอยู่กับตัว มันอดสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้ มองไปยังอวิ๋นฟู่เหย่อีกครั้ง แววตาฉายชัดถึงความหวาดกลัวอันท่วมท้น!
เหล่าศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 ก็ดึงสติกลับมาได้แล้วเช่นกัน หน้าของพวกมันยังเปลี่ยนสีไปอย่างแรง!
ถึงแม้ว่าสำหรับพวกมันแล้วจะเพียงได้ยินเสียงกระบี่ฟันวูบหนึ่งทั้งเสียงระเบิดดังขึ้นสั้นๆอีกวูบหนึ่ง แต่พวกกมันมอาจแลเห็นได้เลยว่าอวิ๋นฟู่เหย่ลงมืออย่างไร…
หากทว่าคนทั้งคนอย่างหวงเจิ้งก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว…!
และด้วยแหววนพื้นที่วงหนึ่งที่กำลังร่วงตกลงไปด้านล่าง ก็บอกให้พวกมันรู้ว่าหวงเจิ้งสมควรถูกฆ่าตายไปเป็นที่เรียบร้อย!
เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องราวดังกล่าว ศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 ก็เร่งก้มหน้าลงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ร่างยังสั่นระริกไปราวลูกนกตกน้ำ ด้วยกลัวว่าอวิ๋นฟู่เหย่จะลงมือเข่นฆ่าพวกมันเหมือนหวงเจิ้ง
หลังฆ่าหวงเจิ้งทิ้ง อวิ๋นฟู่เหย่ก็ไม่ได้เผยทีท่าอะไร สีหน้าแววตายังคงสงบราวกับพึ่งทำเรื่องราวอันเล็กน้อยไร้สำคัญ
และอันที่จริงสำหรับมันแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยไร้สำคัญจริงๆ
“ไฉนมันถึงมากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าที่นี่?”
สองตาอวิ๋นฟู่เหย่หันไปมองจ้องตาโหวเฟิง พร้อมถามออกอีกครั้ง
เพราะอย่างไรก็ต้องมีเหตุผลแน่นอน ไม่งั้นศิษย์ลาดตระเวนคนหนึ่งคงไม่มากล่าวคำสาบานอะไรตรงนี้
“เรียนท่านรองจ้าววัง เรื่องมันเป็นเช่นนี้ขอรับ…”
ได้ยินคำถามของอวิ๋นฟู่เหย่ ด้านโหวเฟิงไหนเลยจะกล้ารอช้า เร่งอธิบายเรื่องราวทั้งหมดออกมา รวมถึงสาเหตุการกล่าวคำสาบานของหวงเจิ้ง ทั้งหมดทำไปเพื่อพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกเรื่องรองจ้าววังคนใหม่ที่มีหน้าตาเหมือนนายน้อยตำหนักเมฆาคราม
“อะไร? รองจ้าววังคนใหม่กับนายน้อยตำหนักเมฆาครามไม่เพียงชื่อแซว่แต่ยังมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน?”
อวิ๋นฟู่เหย่ขยวดคิ้วย่นเป็นปม
หลังได้ยินเรื่องราวจากปากโหวเฟิง มันเองก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องราวทันที!
รองจ้าววังคนใหม่ของพวกมัน มิคาดกลับมีใบหน้าเหมือนกันกับนายน้อยตำหนักเมฆาคราม…
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ล้วนมีชื่อแซ่เดียวกันว่า ต้วนหลิงเทียน!?
ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้ด้วย?
“พวกเจ้ามีรูปเหมือน ต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่นงั้นหรือ?”
สายตาอวิ๋นฟู่เหย่ละจากโหวเฟิง ไปหันมองถามศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 ทันที
“ท่านรองจ้าววัง นี่เป็นภาพเหมือนนายน้อยตำหนักเมฆาครามขอรับ”
ศิษย์ลาดตระเวนหนึ่งในนั้นไม่กล้ารอช้า เร่งหยิบม้วนภาพออกมาถือไว้ด้วยท่าทางราวกับจะประเคนถวายทันที ด้วยกลัวว่าหากชักช้าจะถูกฆ่าเหมือนหวงเจิ้ง
วูบ!
ไร้การลงมือใดๆ หากแต่มีพลังไร้สภาพขุมหนึ่งดึงรั้งม้วนภาพนั่นให้ลอยมาหาอวิ๋นฟู่เหย่
อวิ๋นฟู่เหย่เองก็รับม้วนภาพมาคลี่กางดูทันที ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมากล่าวถามอีกครั้ง “เจ้าแน่ใจงั้นหรือ…ว่านี่คือรูปของนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน?”
“ถูกแล้วขอรับ ภาพนี้ข้าได้มาจากในเมือง…”
ศิษย์ลาดตระเวนเร่งตอบ ทีท่าอาการแลดูประหม่าไม่น้อย
“เรียนท่านรองจ้าววัง เป็นเรื่องจริงขอรับ ยามนี้ในเมืองมีคนที่มีภาพนี้ไม่น้อย…ยิ่งไปกว่านั้นปีศาจมากมายจากเผ่าปีศาจมนุษย์เราก็ได้ใช้วิชาควาญวิญญาณสอบถามจากผู้ฝึกตนมนุษย์ที่มีภาพนี้มาด้วยตัวเอง จึงยืนยันได้ว่าคนในภาพเหมือนนั่น เป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามมิผิดแน่”
โหวเฟิงเองก็กล่าวยืนยันออกมา
ได้ยินดังนั้น สองตาอวิ๋นฟู่เหย่ก็หดหยีลง มันพยักหน้าแผ่วเบาคราหนึ่ง ก่อนที่ร่างจะอันตรธานหายไปปานสายลม ไม่ทักทายร่ำลาผู้ใด
หลังอวิ๋นฟู่เหย่หายตัวไปแล้ว โหวเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ถึงแม้มันจะเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนคนหนึ่ง แต่ยังรู้สึกกดดันไม่น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอย่างอวิ๋นฟู่เหย่
สำหรับศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 พวกมันยิ่งโล่งอกกว่าใคร! ทั่วร่างพวกมันตอนนี้ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น หวาดกลัวจนแทบจะทรุดลงไปกกกองแต่แรก!!
“ข่าววันนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด…หาไม่แล้วพวกเจ้าทั้ง 3 ตาย!”
ในขณะที่พวกโหวเฟิงทั้ง 3 กำลังระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เสียงอวิ๋นฟู่เหย่ก็ดังขึ้นในอากาศปานฟ้าร้อง สร้างความตกใจให้พวกมันจนหัวใจแทบหยุดเต้น
พวกมันทั้ง 3 ย่อมเชื่อฟังคำของอวิ๋นฟู่เหย่อย่างจริงจัง
หลังคล้ายกลับกลายเป็นสายลมกรรโชกพัดหายไปจากสายตาพวกโหวเฟิงแล้ว อวิ๋นฟู่เหย่ก็ย้อนกลับมาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่อันเป็นที่พักของอาจารย์มัน ซึ่งเป็นจ้าววังเซียนสัญจรแห่งนี้
‘จะว่าไปศิษย์น้องเล็กสมควรเคยเห็นรองจ้าววังคนใหม่นามว่าต้วนหลิงเทียนนั่น ตอนที่ไปพบมันพร้อมท่านอาจารย์เพื่อแต่งตั้ง เช่นนั้นก็ไม่จำต้องรีบเข้าไปรบกวนท่านอาจารย์ในช่วงสำคัญ…’
ทันใดนั้นอวิ๋นฟู่เหย่คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ร่างมันหยุดลงทันที
อวิ๋นฟู่เหย่นั้นเป็นศิษย์เอกของอวี่เหวินฮ่าวเฉิน
และศิษย์น้องเล็กในความคิดของมันก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นศิษย์ปิดสำนักของอวี่เหวินฮ่าวเฉิน หวงเหวินจิ้ง!
“ไปยืนยันกับศิษย์น้องเล็กก่อน! หากยืนยันได้แล้ววว่ารองจ้าววังคนใหม่นั่นเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน จริง…เรื่องนี้ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงจำต้องเรียกประชุมรองจ้าววังทั้งหมดโดยด่วนเพื่อเร่งหาทางแก้ไข”
หลังกระซิบพึมพำกับตัว สองตาอวิ๋นฟู่เหย่ก็ทอประกายเยียบเย็นออกมาอย่างดุร้ายปานจะกลืนกินผู้คน
จากนั้นร่างอวิ๋นฟู่เหย่ก็อันตรธานหายไปอีกครั้ง
เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกที ก็บรรลุถึงอีกด้านของคฤหาสน์ ส่วนนี้ก็มีเรือนหลังใหญ่ปลูกสร้างเอาไว้ มีสวนสงบส่วนตัว และนี่ก็คือสถานที่บ่มเพาะของหวงเหวินจิ้ง
“พี่ใหญ่…”
ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา หวงเหวินจิ้งที่ขัดสมาธิบ่มเพาะพลังก็ลืมตาขึ้น วูบร่างออกไปด้านนอก กล่าวทักผู้มาเยือนทันที
“น้องเล็ก…เจ้าชมดูรูปนี้ทีว่าเจ้ารู้จักคนในรูปหรือไม่?”
อวิ๋นฟู่เหย่ไม่กล่าวใดมาก พอเห็นหวงเหวินจิ้งมันก็ใช้พลังหอบหิ้วม้วนภาพส่งไปคลี่กางเบื้องหน้าหวงเหวินจิ้งทันที
รูปเหมือนหนึ่งพลันปรากฏสู่สายตาหวงเหวินจิ้งทันที
“อะ…”
ทันทีที่เห็นภาพดังกล่าวร่างหวงเหวินจิ้งก็สะท้านไปเบาๆ ประกายซับซ้อนเริ่มฉายชัดขึ้นมาในแววตา
ตั้งแต่ที่ได้ล่วงรู้ว่าบุรุษผู้นี้มีภรรยากับลูกแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน นางก็พยายามบังคับใจตัวเองให้ลืมอีกฝ่ายไป
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านนางพยายามบ่มเพาะฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อให้ตัวเองไม่มีเวลาฟุ้งซ่านและนึกถึงชายผู้นี้
อย่างไรก็ตามหวงเหวินจิ้งไม่คิดฝันเลย
หลังผ่านไป 2 ปีแล้วแท้ๆ แต่พอได้เห็นภาพชายคนนั้นอีกครั้ง ใจที่พยายามสงบมาตลอดเวลา ยังอดไม่ได้ที่จะเต้นไปไม่เป็นจังหวะเหมือนกาลก่อน
“พี่ใหญ่ ท่านคิดทำอันใด…ไฉนถึงเอารูปรองจ้าววังต้วนมาให้ข้าดู?”
หวงเหวินจิ้งเร่งสูดลมหายใจเข้าลึกคราหนึ่งเพื่อสงบท่าทีด้วยเกรงว่าจะเผยสิ่งใดให้อวิ๋นฟู่เหย่เห็น ใบหน้างามหวนกลับมาเย็นชา มองถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยสายตาสงสัย
“รองจ้าววังต้วน?”
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่หวงเหวินจิ้งกล่าวคำนี้ออกมา ลูกตาอวิ๋นฟู่เหย่ก็หดเล็กลงกล่าวออกเสียงหนัก “ดูเหมือนที่เจ้าพวกนั้นพูดจะเป็นเรื่องจริง…รองจ้าววังต้วนผู้นี้มีปัญหา!”
“หือ?”
ได้ยินคำของอวิ๋นฟู่เหย่ หวงเหวินจิ้งพลันขมวดคิ้วกล่าวถามออกมาทันที “พี่ใหญ่ท่านหมายความว่าอย่างไร? รองจ้าววังต้วนมีปัญหาอันใด?”
“น้องเล็กเรื่องนี้เจ้าคงยังไม่รู้…ภาพที่ข้าเอาให้เจ้าดูนั้นมิใช่ภาพของรองจ้าววังต้วนของพวกเราที่พึ่งวาดขึ้น หากแต่เป็นภาพเหมือนของนายน้อยตำหนักเมฆาครามขุมพลังของพวกมนุษย์ในดินแดนเซียนแห่งนี้ที่ถูกวาดขึ้นนานมาแล้ว”
อวิ๋นฟู่เหย่ย่อมไม่คิดปกปิดเรื่องนี้กับศิษย์น้องหญิงของมันเป็นธรรมดา
“อะไรนะ!?”
แทบจะพร้อมกันกับที่อวิ๋นฟู่เหย่กล่าวจบคำ หน้างามของหวงเหวินจิ้งก็เปลี่ยนสีไปทันที “พี่ใหญ่ท่านหมายความว่าอะไร…หรือรองจ้าววังคนใหม่ของพวกเรา ไม่เพียงแต่จะมีชื่อเหมือนนายน้อยตำหนักเมฆาคราม แต่ยังมีใบหน้าเหมือนกันเช่นนั้นหรือ?”
ตอนนี้หวงเหวินจิ้งเองก็ย่อมตระหนักเรื่องราวได้เช่นกัน
“เหมือนหรือ…พวกมันเป็นคนๆเดียวกันสิไม่ว่า!”
อวิ๋นฟู่เหย่ยิ้มเยาะ
“คนๆเดียวกัน?”
หวงเหวินจิ้งตกใจไม่น้อย ใจยังสั่นสะท้านไปอย่างแรง จากนั้นก็ส่ายหัวออกมา “เรื่องนี้จักเป็นไปได้อย่างไร?”
“นายน้อยตำหนักเมฆาครามต้วนหลิงเทียนผู้นั้น มิใช่ลือกันว่ายามที่มันออกตากภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน พลังฝึกปรือยังมิบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์เลยมิใช่หรือ…แล้วในเวลาไม่ถึง 10 ปี ไฉนมันถึงบรรลุพลังขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้?”
เสียงถามหวงเหวินจิ้งยิ่งมายิ่งแผ่วเบาลง
เพราะตอนนี้นางอดไม่ได้ที่จะนึกกถึงความสามารถในการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่นของต้วนหลิงเทียนขึ้นมา
‘ในเมื่อมันสามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ข้าได้…เช่นนั้นหมายความว่ามันก็สามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ตัวเองได้เช่นกัน…หากมันยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองให้เป็นสีม่วงเข้ม แล้วไปบ่มเพาะในภูมิภาคเบื้องบน…ก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะบรรลุถึงพลังสามารถระดับนี้ได้ในเวลา 10 ปี!’
คิดถึงจุดนี้ หวงเหวินจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกในใจ ยังบังเกิดความรู้สึกซับซ้อนทั้งสับสนนัก
“จริงสิ…ข้ากลับไม่ทันฉุกคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน…”
อวิ๋นฟู่เหย่พอได้ยินคำหวงเหวินจิ้ง หน้ามันก็เผยทีท่าเคร่งขรึม จากนั้นก็กล่าวพึมพำออกมาเบาๆ
“ในเวลาไม่ถึง 10 ปีแม้จะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนที่มีสภาพแวดล้อมและทรัพยากรในการบ่มเพาะอุดมสมบูรณ์…แต่ก็ยากจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจากจุดที่มันยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์…แล้วเจ้านั่นมันทำได้อย่างไรกันแน่…”
ตอนที่ 2,285 : เรื่องราวแพร่งพราย!
“ไม่เพียงแต่ชื่อแซ่ กระทั่งหน้าตายังเหมือนกัน…เรื่องนี้ยังจะกล่าวใดได้อีก”
“หากไม่บังเอิญพบพานวาสนาปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่อันใดในภูมิภาคเบื้องบน ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่พลังฝึมือของมันจะก้าวหน้าถึงขั้นนี้…แต่ก็ยากจะกล่าวว่ามันไม่พบพานอันใด”
ฟังจากวาจาที่อวิ๋นฟู่เหย่กล่าวพึมพำแล้ว
บอกให้รู้ว่าอวิ๋นฟู่เหย่ยังคงเชื่อว่าต้วนหลิงเทียน รองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจร สมควรเป็นคนๆเดียวกันกับต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาคราม!
“หากรองจ้าววังไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนของพวกมนุษย์…จะอธิบายเรื่องที่เผ่าปีศาจมนุษย์เรามีผู้ฝึกมารไร้สังกัดที่พลังฝีมือสูงส่งระดับนี้อีกทั้งยังมีสายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์โดยที่พวกเราไม่รู้ดำรงอยู่ได้อย่างไร แถมเจ้านั่นอยู่ดีๆก็เหมือนจะผุดโผล่ขึ้นมาจากอากาศว่างเปล่า!”
“ใต้หล้าไม่อาจมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่นายน้อยตำหนักเมฆาครามจะมีชื่อแซ่ทั้งหน้าตาเหมือนกับผู้ฝึกมารอิสระของเผ่าปีศาจมนุษย์ได้!”
ยิ่งคิดอวิ๋นฟู่เหย่ก็ยิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ารองจ้าววังเซียนสัญจรของพวกมัน…คือคนๆเดียวกันกับนายน้อยตำหนักเมฆาคราม!
“น้องเล็ก ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
ก่อนที่หวงเหวินจิ้งจะทันได้คืนสติ อวิ๋นฟู่เหย่ก็กล่าวคำลา แววตาของมันทอประกายเย็นชาวูบหนึ่ง ร่างก็คล้ายกลับกลายเป็นสายลมกรรโชกพัดหายไป
และอวิ๋นฟู่เหย่จากไปคราวนี้ เพียงเพราะคิดกระทำเรื่องหนึ่ง
เรียกประชุมชนชั้นรองจ้าววังทั้งหมด เพื่อหารือกันว่าจะจัดการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
เดิมทีเรื่องใหญ่ระดับนี้ สมควรให้จ้าววังเซียนสัญจรอย่างอวี่เหวินฮ่าวเฉินจัดการด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามการปิดด่านบ่มเพาะของอวี่เหวินฮ่าวเฉินคราวนี้มันต่างออกไปจากกาลก่อน
เพราะรอบนี้มันกลับคว้า ‘โอกาส’ อันหาได้ยากยิ่ง บังเกิดความรู้แจ้งจนเจียนจะสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้ปรากฏ และก้าวข้ามไปเพื่อบรรลุถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะ!
ต้องทราบว่า ‘โอกาส’ ที่ว่านั้นเป็นอะไรที่แสวงหามิอาจพานพบ!
และเมื่อคว้าโอกาสนั่นไว้ได้สำเร็จ ย่อมชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้แน่นอน!
หากพลาดไป ไม่ทราบจะได้พบกับโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อไหร่!
เพราะเหตุนี้อวิ๋นฟู่เหย่จึงไม่กล้ารบกวนอาจารย์ของมัน ไม่กล้าปลุกให้มาแก้ไขสถานการณ์อันตรายครั้งนี้
และเป็นเพราะเหตนี้อวิ๋นฟู่เหย่จึงได้มีโมโหหนักนัก ยังลงมือเข่นฆ่าศิษย์ลาดตระเวนที่หาญกล้ากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าทิ้งทันที!
ยังดีที่ช่วงเวลาก่อนที่อัสนีฟ้าจะตอบรับคำสาบาน มันที่สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวผิดปกติ ก็ได้เร่งกางอาคมปิดกั้นเสียงได้ทันเวลา
หาไม่แล้ว 9 ใน 10 ส่วน ไม่พ้นอาจารย์ของมันต้องหลุดออกจากภวังค์เพราะถูกรบกวน สูญเสียโอกาสที่จะกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะอันหาได้ยากยิ่งไป!
อวิ๋นฟู่เหย่นั้นในฐานะรองจ้าววังอันดับ 1 ที่ถึงแม้หากจะกล่าวกันตามจริงเรื่องนี้สมควรเป็นอดีตไปแล้วเพราะมีต้วนหลิงเทียน แต่บารมีของมันก็ไม่ได้ลดลงจากกาลก่อน ย่อมสามารถระดมชนชั้นรองจ้าววังให้มารวมตัวกันได้ในเวลาอันสั้น
และเมื่อทุกคนมารวมกันแล้ว อวิ๋นฟู่เหย่ก็ไม่กล้ารอช้าเร่งอธิบายสถานการณ์เร่งด่วนออกไปทันที
“นี่มัน…”
หลังได้ยินคำอธิบายจากกปากอวิ๋นฟู่เหย่ รองจ้าววังทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ต่างอื้ออึงไปกันพักหนึ่ง
รองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรของพวกมัน เป็นคนของตำหนักเมฆาครามอันเป็นขุมพลังหลักของมนุษย์ในภูมิภาคเบื้องล่าง?
นอกจากนี้อีกฝ่ายยังมีฐานะเป็นถึง นายน้อยตำหนักเมฆาคราม!
ถึงแม้ทั้งหมดจะรู้สึกว่าเรื่องราวมันน่าเหลือเชื่อก็ตามที หากแต่ด้วยหลักฐานที่อวิ๋นฟู่เหย่ยกออกมาก็ชี้ชัดนัก! รองจ้าววังทั้งหลายไม่อาจไม่เชื่อ!
“รองจ้าววังอวิ๋น แล้วท่านจ้าววังรับทราบเรื่องนี้แล้วหรือไม่?”
รองจ้าววังคนหนึ่งกล่าวถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านอาจารย์ยังมิทราบ”
อวิ๋นฟู่เหย่ส่ายหัว “ที่ท่านอาจารย์ปิดด่านบ่มเพาะครานี้ เพราะท่านได้พบกับ ‘โอกาส’ ท่านอาจารย์ยังมั่นใจกว่า 9 ส่วนว่าจะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้…โอกาสที่หาได้ยากยิ่งแบบนี้หากเสียไป ไม่ทราบท่านอาจารย์จะพบเจอโอกาสที่สามารถบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้อีกครั้งเมื่อใด…”
“เช่นนั้นข้าจึงมิกล้ารบกวนท่านอาจารย์ และปล่อยให้ท่านเข้าฌาณต่อไป”
อวิ๋นฟู่เหย่กล่าว
“อะไร!? ท่านจ้าววังพบ ‘โอกาส’ ที่จะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้วงั้นรึ!?”
ได้ยินคำของอวิ๋นฟู่เหย่ รองจ้าววังทั้งหลายกก็เผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีขึ้นมาทันที
เป็นธรรมดาที่พวกมันจะล่วงรู้ว่า ‘โอกาส’ ของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอย่างจ้าววังพวกมันคืออะไร…นั่นคือโอกาสที่จะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ!
และตราบใดที่คว้าโอกาสนั่นไว้ได้ ก็มั่นใจแทบจะเต็ม 10 ส่วนได้เลยว่าจะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้แน่นอน!!
จากประวัติศาสตร์ ตราบใดที่เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนคนอื่นสามารถคว้าโอกาสที่ว่าได้ โดยทั่วไปแล้วยังสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้ถึง 9 ส่วนด้วยซ้ำ!
แล้วจะไม่ให้พวกมันไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรไหว!
เพราะเรื่องนี้หมายความว่า จ้าววังของพวกมัน กำลังจะชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้ปรากฏ และก้าวข้ามไปเพื่อบรรลุถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะได้สำเร็จ!!
สำหรับเรื่องที่ว่าจ้าววังของพวกมันจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ล้มเหลว ไม่เคยอยู่ในหัวพวกมันเลย
นั่นเพราะในประวัติศาสตร์วังเซียนสัญจรของพวกมัน ไม่เคยมีจ้าววังแม้แต่คนเดียวที่ล้มเหลวในการเผชิญหน้ากับหายนะทัณฑ์สวรรค์!
เพราะจ้าววังเซียนสัญจรทุกคน จะได้รับสืบทอดวิธีการพิเศษที่ใช้รับมือกับหายนะทัณฑ์สวรรค์จากจ้าววังเซียนสัญจรรุ่นก่อน!
“ท่านอาจารย์เองยังกล่าวประมาณเวลาปิดด่านครั้งนี้ให้ข้ารับทราบคร่าวๆ…อีกราวๆหนึ่งปี!”
อวิ๋นฟู่เหย่กวาดตามองรองจ้าววังทั้งหมด กล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจังแววตาคมกล้า “หมายความว่าตลอดเวลาหนึ่งปีหลังจากนี้ พวกเราไม่อาจวู่วามจนแหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะพวกเรามิอาจจัดการมันได้! และอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด…อย่างน้อยๆเราก็ต้องถ่วงเวลาเอาไว้จนกว่าท่านอาจารย์จะออกมา!”
หากจ้าววังเซียนสัญจรไม่ออกจากการปิดด่าน ในวังเซียนสัญจรก็ไม่มีผู้ใดสามารถรับมือต้วนหลิงเทียนได้เลย!!
ถึงแม้พวกมันจะสามารถขอความช่วยเหลือจาก 2 วัง 6 ตำหนักที่เหลือของเผ่าปีศาจมนุษย์ได้ และหากได้รับความช่วยเหลือย่อมสามารถจัดการต้วนหลิงเทียนได้แน่นอน
อย่างไรก็ตามพวกมันไม่อาจทนความอัปยศและความเสื่อมเสียเช่นนั้น ให้วังเซียนสัญจรต้องขายขี้หน้าได้!
เพราะสุดท้ายแล้ว นี่ก็คือเรื่องภายในของวังเซียนสัญจร!
“เพื่อความปลอดภัย ข้าจำเป็นต้องขอให้รองจ้าววังทุกท่านกระทำการกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า ว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องราวที่ได้รับทราบในวันนี้ออกไปอย่างเด็ดขาด!”
กล่าวจบคำ อวิ๋นฟู่เหย่ก็หันไปมองรองจ้าววังคนหนึ่ง
และรองจ้าววังคนนี้ก็คือบิดาของหวงฉี่หลิง!
ทันใดนั้นบิดาหวงฉี่หลิงก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม ขณะเดียวกันมันก็ตระหนักได้ว่าอวิ๋นฟู่เหย่ได้ล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับลูกชายของมัน
‘หลิงเอ๋อ…เพื่อนเจ้าช่างประเสริฐนัก!’
บิดาของหวงฉี่หลิงได้แต่ลอบทอดถอนในใจ
หลังอวิ๋นฟู่เหย่จัดตั้งอาคมผนึกเสียงอย่างเรียบง่ายปกคลุมคฤหาสน์จ้าววังอีกรอบ มันก็ให้รองจ้าววังทั้งหลายกระทำการกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องราวในวันนี้ออกไป
แต่ทว่าหลังจากที่เหล่ารองจ้าววังทั้งหลายกล่าวคำสาบานไปได้เพียงเดือนเดียว…
ในวังเซียนสัญจรกลับปรากฏข่าวเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนรองจ้าววังคนใหม่ของพวกมัน ที่แท้ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน คนนั้นแพร่งพรายออกไป และต้นตอข่าวลือดังกล่าวกก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามาจากใคร!
ยิ่งไปกว่านั้น พอข่าวดังกล่าวแพร่ออกมา พริบตาก็รู้กันไปทั่วทั้งวังเซียนสัญจร!
กว่าที่รองจ้าววังทั้งหลายไม่เว้นอวิ๋นฟู่เหย่จะทันได้ตอบสนองเรื่องราวใดๆ ข่าวที่อาจจะชักนำเภทภัยมาสู่วังเซียนสัญจรก็แพร่ออกไปทั่วแล้ว กระทั่งยังเริ่มแพร่ออกไปถึงนอกวังแล้วด้วยซ้ำ!!
กระดาษมิอาจห่อไฟได้อีกสืบไป…
“ไอ้พวกสารเลวนั่น!”
รองจ้างวังอย่างอวิ๋นฟู่เหย่พิโรธแล้วจริงๆ และเหยื่อโทสะอารมณ์ของมันครานี้ ไม่พ้นพวกโหวเฟิง และศิษย์ลาดตระเวนอีก 2 คนในวันนั้น! ทั้ง 3 ถูกฆ่าทิ้งทันที ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้กล่าวคำแก้ตัวใดๆ!!
สำหรับรองจ้าววังคนอื่นๆนั้นอวิ๋นฟู่เหย่ไม่คิดว่าจะมีใครเกลือเป็นหนอน เพราะทั้งหมดได้สาบานต่อทัณฑ์สวรรค์หมดสิ้นแล้ว ไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องราวออกไปแน่นอน
‘ข้าหวังว่ามันจักได้ยินข่าวพวกนี้ แล้วรีบหนีออกไปให้ไกลจากวังเซียนสัญจรได้ทันเวลา…’
เหนือน่านฟ้าวังเซียนสัญจร ปรากฏร่างบางอันเย็นชาให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวหนึ่งลอยล่องอยู่กลางหาวเพียงลำพัง สองตาทอดมองไปยังที่อยู่ของต้วนหลิงเทียนไกลตา
อวิ๋นฟู่เหย่ต่อให้หลับก็ไม่อาจฝันถึง…
ว่าไม่ใช่ใครอื่นที่แพร่งพรายเรื่องราวออกไป แต่กลับเป็นศิษย์น้องเล็กของมัน หวงเหวินจิ้ง!
และวัตถุประสงค์ในการกระทำครั้งนี้ของหวงเหวินจิ้งก็มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
ให้ต้วนหลิงเทียนรู้ตัวได้ทันท่วงที สามารถหลบหนีออกจากวังเซียนสัญจร รวมถึงหลบหนีออกไปจากเมืองเหรินโม่เชิ่งแห่งนี้ได้ก่อนเกิดเรื่อง…
เพราะนางรู้ดีแก่ใจว่าหากอาจารย์ของนางออกจากการปิดด่านเมื่อไหร่ ต้วนหลิงเทียนตายแน่!
สุดท้ายนางก็ไม่อาจทนเห็นต้วนหลิงเทียนต้องตายไปต่อหน้าต่อตา
ถึงแม้ตอนนี้นางจะรู้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนเป็น ‘มนุษย์’ ก็ตาม…
‘ที่ข้าทำให้เจ้าได้ก็มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น…ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าแล้ว’
หลังระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน ร่างหวงเหวินจิ้งก็พร่าเลือนไปคล้ายภูตผี ก่อนที่จะอันตรธานหายไปจากอากาศ ราวกับจะหายไปวับไปในความว่างเปล่า…
“น้องหลิงเทียน…เป็นนายน้อยของตำหนักเมฆาครามขุมพลังของพวกมนุษย์งั้นเหรอ…เรื่องนี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน!?”
ในขณะที่ข่าวลือดังกล่าวสร้างความโกลาหลไปทั่ววังเซียนสัญจร หวงฉี่หลิงเองก็ย่อมทราบด้วยเป็นธรรมดา มันยังถึงกับตะลึงไปยกใหญ่!
หลังดึงสติกลับคืน ใบหน้าแววตาก็อดไม่ได้ที่จะฉายชัดถึงความไม่อยากจะเชื่อ
และทันทีที่ข่าวดังกล่าวแพร่ออกมาจากวังเซียนสัญจร จนเริ่มแพร่กระจายไปทั่วเมืองเหรินโม่เชิ่ง ก็ทำให้เผ่าปีศาจมนุษย์ถึงกับแตกตื่นกันยกใหญ่
ในเวลาเดียวกัน
ด้านเขตปกครองของเผ่าปีศาจสุกร ชนชั้นผู้นำทั้ง 3 ก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังได้รับข่าวรายงานสถานการณ์ล่าสุดจากเมืองเหรินโม่เชิ่ง!
“หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ในที่สุด! สารเลวต้วนหลิงเทียนนายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่นก็ถูกเปิดโปงจนได้!”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกกรสีชาดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
“ครานี้ทางเผ่าปีศาจมนุษย์นับว่าปั่นป่วนกันไม่น้อย…อาศัยพลังฝีมือส่วนตัวของต้วนหลิงเทียนพร้อมด้วยตราผนึกมารในมือ มันย่อมจัดการยอดฝีมือของเผ่าปีศาจมนุษย์ได้ทุกตน!”
“ถึงตอนนั้นยังจะนับประสาอะไรกับพวกผู้นำ 3 วัง 6 ตำหนัก ต่อให้ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ที่บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะจะออกโรงด้วยตัวเอง แต่มันก็ยากรอดพ้นชะตาตายตกภายใตเงื้อมมือต้วนหลิงเทียนที่มีตราผนึกมาร!”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกกรสายฟ้าก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกกมาอย่างสนุกสนาน
“หากเผ่าปีศาจมนุษย์เกิดเรื่องนองเลือดขึ้นมา คราวนี้ไอพวกตัวประหลาดเฒ่าของเผ่าปีศาจมนุษย์ก็ต้องมีนั่งไม่ติดกันบ้าง ถึงตอนนั้นต่อให้ต้วนหลิงเทียนนั่นจักมีตราผนึกมารมันก็จำต้องถึงวาระ! มิอาจหลีกหนีความตายได้พ้น!!”
ปีประกายเยียบเย็นเรืองสว่างวาบออกมาจากสองตาผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ มุมปากยังยกยิ้มแสยะเย้ยหยัน
ได้ฟังจากคำของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 เหมือนพวกมันจะคิดกันไปแล้วว่าต่อให้เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะก็ไม่พ้นถูกต้วนหลิงเทียนใช้ตราผนึกมารฆ่าตายได้แน่ๆ…
หากแต่มีเรื่องหนึ่งที่พวกมันยังคิดไม่ถึง
ว่ายอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารในมือต้วนหลิงเทียนนั้น…มันไม่สมบูรณ์!
ตราผนึกมารที่ไม่สมบูรณ์นั่น ไหนเลยจะมีอานุภาพเข่นฆ่าตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะได้!
เอาจริงๆ ด้วยสภาพของตราผนึกมารตอนนี้ อย่าว่าแต่คิดฆ่าครึ่งก้าวเซียนอมตะ! กระทั่งเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนชนชั้นยอดฝีมือมันก็ไม่อาจฆ่าได้!!
ตอนที่ 2,286 : วิหก ผู้พิทักษ์!
ณ เคหะสถานหลังใหญ่ของชนชั้นรองจ้าววังหลังหนึ่ง…
‘นายท่าน…เป็นมนุษย์งั้นหรือ กระทั่งยังเป็นถึงนายน้อยตำหนักเมฆาครามขุมพลังหลักในภูมิภาคเบื้องล่างของพวกมนุษย์อีกด้วย?’
ในคฤหาสน์ส่วนตัวของรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่อย่างต้วนหลิงเทียน หลังเมื่อข่าวเรื่องราวแพร่ออกมาทั่ววังเซียนสัญจร เผิงไหล ที่ได้สาบานตัวจะติดตามต้วนหลิงเทียนก็ตกตะลึงอึ้งค้างไปเป็นธรรมดา!
นั่นเพราะถึงแม้มันจะสาบานว่าจะติดตามรับใช้ต้วนหลิงเทียนไปแล้ว
แต่มันยังไม่ได้รู้เลยว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นับประสาอะไรกับเรื่องที่เป็นถึงนายน้อยของตำหนักเมฆาคราม!
“ไม่คิดเลย…ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ…”
หลังยืนยันเรื่องราวได้แล้ว สีหน้าเผิงไหลก็ได้แต่เผยรอยยิ้มขื่นขม
เป็นธรรมดาว่ามันรู้ตัวดี ว่ามันนั้นไร้ซึ่งหนทางเลือกใดๆ
เพราะตอนนี้มันมีคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเป็นตัวฉุดรั้งดั่งพันธนาการ จึงทำได้แค่ต้องซื่อสัตย์และภักดีกับต้วนหลิงเทียนต่อไป! หาไม่แล้วก็ตาย!!
“นายท่าน!!”
ดังนั้นทันทีที่ข่าวลือเรื่องนี้แพร่ออกมา เผิงไหล ก็เร่งแจ้นไปหาต้วนหลิงเทียนทันที หมายปลุกต้วนหลิงเทียนที่ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ให้รีบหลบหนีไปจากวังเซียนสัญจรแห่งนี้
ถึงแม้พลังฝีมือของนายท่านมันอย่างต้วนหลิงเทียนจะร้ายกาจมาก แต่ก็ไม่ได้เหนือล้ำไปกว่าจ้าววังเซียนสัญจร!
ในความคิดของเผิงไหล…จ้าววังเซียนสัญจรออกจากการปิดด่านเมื่อไหร่ ได้ตกตายกันหมดสิ้นแน่!!
และเพราะอำนาจของคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า ทำให้เผิงไหลจำต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนด้วย
ไม่นานเผิงไหลก็ไปปลุกเค่อเอ๋อกับต้วนซือหลิงสองแม่ลูกให้ตื่นจากการบ่มเพาะทั้งเล่าเรื่องราวให้ฟัง หลังจากกนั้นก็เร่งไปปลุกก่านหรูเยี่ยน…หากแต่มันกลับไม่อาจปลุกต้วนหลิงเทียน นายท่านของมันที่มันอยากปลุกให้ตื่นมากที่สุดตอนนี้ได้!
“เกิดอะไรขึ้น?!”
ก่านหรูเยี่ยนมองเผิงไหลตาดุปานแม่เสือ กล่าวถามออกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
อยู่ดีๆ ถูกผู้คนปลุกจากการบ่มเพาะพลังเช่นนี้ ไหนเลยจะให้นางทำหน้าตาแช่มชื่นยินดีอยู่ได้!
อย่างไรก็ตามหลังได้ยินเผิงไหลเร่งกล่าวอธิบายสถานการณ์ออกมา สีหน้าก่านหรูเยี่ยนก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ว่าฐานะของต้วนหลิงเทียนถูกเปิดโปงแล้ว!
ก่อนหน้านี้ ด่านเค่อเอ๋อหลังจากที่ได้ยินคำเผิงไหล หน้างามหมดจดของนางก็เปลี่ยนสีไปไม่ต่างใดจากก่านหรูเยี่ยน
“ฐานะความเป็นมาของพี่เทียน…ถูกเปิดโปงแล้วหรือ?”
เค่อเอ๋ออดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก
นางรู้ดีว่าหากฐานะสามีของนางถูกเปิดโปงขึ้นมานั่นจะหมายความว่าอย่างไร…นั่นหมายความว่าตอนนี้บุรุษของนางได้กลายเป็นศัตรูของวังเซียนสัญจรไปแล้ว! กระทั่งยังเป็นศัตรูร่วมของเผ่าปีศาจมนุษย์!!
ถึงแม้บุรุษของนางจะไม่ใช่ชนชั้นอ่อนด้อย
หากแต่นางย่อมรู้ดีแก่ใจ
ไม่ต้องกล่าวถึงเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้งหมด เอาแค่จ้าววังเซียนสัญจรคนเดียว บุรุษของนางก็ไม่อาจเอาชนะได้แล้ว!
‘พี่เทียนบอกข้าว่า…หากไม่ใช้ตราผนึกมาร ย่อมไม่มีทางจัดการจ้าววังเซยีนสัญจรได้เลย กระทั่งต่อให้ใช้ตราผนึกมารแล้วก็ไม่แน่ว่าจะจัดการมันได้ด้วยซ้ำ…’
‘เพราะสุดท้ายแล้วตราผนึกมารที่พี่เทียนมีก็ยังอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ ไม่อาจใช้พลังที่แท้จริงของมันได้’
เค่อเอ๋อในฐานะผู้หญิงของต้วนหลิงเทียน ต้วนหลิงเทียนย่อมกล่าวเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้นางรู้
เพราะเหตุนี้ทำให้เค่อเอ๋อเข้าใจสถานการณ์เรื่องราวทุกอย่างกระจ่างดี จึงยังผลให้นางกังวลใจอย่างหนัก
“แล้วคนอื่นเล่า?”
ก่านหรูเยี่ยนมองเผิงไหล เร่งถามออกมาอย่างร้อนใจ
“นายหญิงกับคุณหนูตื่นแล้ว ข้าเองก็ลองไปพยายามปลุกนายท่านเป็นคนแรก…แต่ตอนนี้ดูเหมือนนายท่านจะตกอยู่ในภวังค์บ่มเพาะอย่างสมบูรณ์…ข้ามิอาจปลุกนายท่านได้”
เผิงไหลได้แต่ฝืนยิ้มเบี้ยวๆออกมา
“บ้าจริง! ไม่ว่ามันจะอยู่ในสภาวะใด ต่อให้ทุบตีมันให้หัวแตกก็ต้องปลุกมันขึ้นมาให้จงได้! ตามข้ามา!!”
หลังก่านหรูเยี่ยนตะคอกคำออกมาด้วยความกังวล นางก็เร่งพุ่งไปยังห้องหับอันเป็นสถานที่บ่มเพาะพลังของต้วนหลิงเทียนทันที หมายปลุกต้วนหลิงเทียนให้ตื่นขึ้นมาให้ได้ต่อให้ต้องทุบตีคนก็ตาม!
อย่างไรก็ตามพอนางมาถึงหน้าห้องและลองใช้การเรียก รวมถึงการเคาะประตูดูก่อน ก็ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆจากในห้อง
โครมมม!!
สุดท้ายด้วยความร้อนใจ ก่านหรูเยี่ยนก็คิดทุบตีผู้คนจริงๆ นางถีบยันประตูจนหลุดไปทั้งบาน กระทั่งเค่อเอ๋อที่เร่งตามมายังไม่อาจห้ามไว้ได้ทัน
“เจ้าบ้า! เจ้ายังมัวมานั่งบ่มเพาะอันใดอยู่ ฐานะเจ้าถูกผู้อื่นเปิดโปงหมดสิ้นแล้ว! เจ้าอยากกตายก็ตายไปคนเดียวอย่าได้คิดลากเค่อเอ๋อกับซือหลิงให้ตายตกไปพร้อมกับเจ้าด้วย!!”
หลังยันประตูพัง ก่านหรูเยี่ยนก็พุ่งเข้าไปในห้องของต้วนหลิงเทียนทันทีปานฟ้าผ่า ยังตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดุร้าย ทีท่าคล้ายจะพุ่งไปทุบต้วนหลิงเทียนให้ตื่นขึ้นมาให้ได้!
อย่างไรก็ตามก่านหรูเยี่ยนพึ่งพุ่งเข้าไปพร้อมตะโกนได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏเสียงระเบิดดังขึ้นจากในห้อง
ปงงง!!
สิ้นเสียงดังสนั่นสะท้านปฐพี ก็ปรากฏร่างก่านหรูเยี่ยนปลิดปลิวละลิ่วออกมาปานว่าวสายป่านขาด กระเด็นกระแทกผนังด้านหลังดังโครม! ปากกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่!!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
……
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ก่านหรูเยี่ยนปลิวกระเด็นออกมา ในห้องต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุด ห้องหับที่ต้วนหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะอยู่ถึงกับพังทลายลง!!
ครู่ต่อมาธุลีคลีก็ฟุ้งว่อนคละคลุ้งบังทุกสิ่งในห้องจนหมด
“อั๊ค!”
ก่านหรูเยี่ยนกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง สีหน้าของนางซีดเซียวนัก สภาพร่างแลดูบาดเจ็บไม่น้อย
“ท่านป้า!”
ใบหน้าดังหยกเสลาของต้วนซือหลิงเคร่งขึ้นทันทีเมื่อเห็นสภาพก่านหรูเยี่ยน ด้วยความวิตกกังวลจึงอดไม่ได้ที่จะร่ำร้องเรียกหาออกมา
ในสายตาของต้วนซือหลิง ก่านหรูเยี่ยนนั้น มีความสำคัญต่อนางรองจ้าวบิดามารดา
พอเห็นก่านหรูเยี่ยนบาดเจ็บนางย่อมเป็นห่วงเป็นธรรมดา
“พี่หญิงท่านเป็นอะไรมากหรือไม่?”
ขณะเดียวกันเค่อเอ๋อก็เร่งเข้ามาประคองถามก่านหรูเยี่ยนด้วยความเป็นห่วง
ก่อนที่ก่านหรูเยี่ยนจะทันได้ตอบคำ นางก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเข้าไปภายในห้องหับของต้วนหลิงเทียนที่พังทลายลงมา ใบหน้างามของนางยังเผยความกังวลใจอย่างถึงที่สุด
บุรุษของนางยังอยู่ด้านใน!
“ข้าไม่เป็นอะไรมาก”
ก่านหรูเยี่ยนส่ายหัวไปมาค่อยมองเข้าไปในห้องของต้วนหลิงเทียนที่เต็มไปด้วยฝุ่นทั้งซากปรักหักพังด้วยโทสะ เพราะนางคิดว่าเมื่อครู่ไม่พ้นเป็นต้วนหลิงเทียนที่ซัดนางออกมา
“ท่านแม่ ท่านพ่อยังอยู่ข้างใน”
ต้วนซือหลิงที่ตามเค่อเอ๋อมาก็ฟื้นสติทันท่วงที กล่าวออกมาด้วยความกกังวล นิ้วเล็กชี้ไปทางห้องหับของบิดา
“แม่รู้”
เค่อเอ๋อพยักหน้า ยังฉายชัดความกังวลออกมาอย่างปิดไม่มิด
“นี่มันอะไรกัน…”
และในตอนนี้เผิงไหลที่ตามมาถึง หลังมองเข้าไปในห้องไปพักหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
ในคำอุทานยังเต็มไปด้วยความตกใจ
และแทบจะทันทีที่เผิงไหลกล่าวจบคำ ห้องหับที่เป็นซากปรักหักพังเบื้องหน้า ก็ปรากฏพลังขุมหนึ่งซัดกวาดออกมา จนซากทั้งหลายกระเด็นออกไป เผยให้เป็นบางสิ่งในห้อง…เป็นร่างมหึมาประหนึ่งเนินเขาย่อมๆ!
และร่างมหึมาประหนึ่งเนินเขาย่อมๆนี้ คล้ายมันก่อตัวขึ้นมาจากเปลวเพลิงสีทอง! มันยืนตระหง่านท่ามกลางซากปรักหักพังคล้ายจะปกป้องบางสิ่ง!!
และด้วยร่างมหึมาของมันที่แลคล้ายกำลังปกป้องบางสิ่งนี้ จึงยากที่จะทำให้แลเห็นสถานการณ์เบื้องหลังร่างมหึมาของมันได้
“นี่มันเป็นนกอะไรกันแน่…”
เผิงไหลอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก แม้มันจะเห็นได้ไม่ยากกว่าวิหกเบื้องหน้าก่อร่างขึ้นมาจากเปลวเพลิงสีทอง หากแต่มันก็ไม่ทราบว่านี่เป็นวิหกชนิดใดกันแน่!
ไม่ใช่แค่มันเท่านั้นที่ไม่รู้
กระทั่งก่านหรูเยี่ยนกับเค่อเอ๋อก็ไม่รู้จัก
“ท่านแม่นี่เป็นนกอะไรหรือ?”
สายตาของต้วนซือหลิงยังถูกวิหกไฟตัวเขื่องดึงดูดไว้ให้มองไปอย่างไม่วางตา อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามเค่อเอ๋อออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แม่ก็มิรู้เหมือนกัน…”
เค่อเอ๋อส่ายหัววไปมา นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่นางได้เห็นวิหกเพลิงประหลาดเบื้องหน้า
“ท่านป้า…แล้วท่านรู้จักหรือไม่?”
ต้วนซือหลิงหันไปมองถามก่านหรูเยี่ยนอีกคน หากแต่ก่านหรูเยี่ยนก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาเพราะไม่รู้
“คงดียิ่งหากท่านพ่ออยู่ที่นี่…ท่านพ่อต้องรู้แน่ๆว่านี่เป็นนกอะไร…”
ต้วนซือหลิงกล่าวพึมพำด้วยน้ำเสียงชื่นชม ราวกับว่าหากบิดาของนางต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ ต้องบอกนางได้แน่ เพราะในสายตานางบิดาที่ร้ายกาจที่สุดย่อมรู้ทุกสิ่ง
“อ๊ะจริงสิ! ท่านพ่อยังอยู่ด้านในนี่นา!!”
พอนึกถึงเรื่องนี้ต้วนซือหลิงก็เผยความกังวลออกมาอีกครั้ง นางเหินร่างออกไปอย่างร้อนใจ มุ่งเข้าหาวิหกเพลิงสีทองเบื้องหน้า หมายเข้าไปหาบิดาที่อยู่ในห้อง
“ระวัง!!”
เห็นฉากดังกล่าวก่านหรูเยี่ยนถึงกับเร่งตะโกนออกมาหน้าเสีย!
เพราะตอนนี้ก่านหรูเยี่ยนตระหนักได้แล้วว่าที่ลงมือซัดนางหาใช่ต้วนหลิงเทียนไม่ แต่สมควรเป็นวิหกเพลิงที่ควบแน่นจากเพลิงสีทองเบื้องหน้า!!
พอเห็นหลานสาวของนางพุ่งเข้าไปหาแบบนั้น จะไม่ให้นางร้อนใจได้อย่างไรไหว! ร่างกายนางก็บาดเจ็บไม่น้อย ไม่อาจขยับทำสิ่งใดได้ทัน!!
“คุณหนูระวัง!!”
และในขณะที่ก่านหรูเยี่ยนกำลังหน้าเสีย ทั้งเค่อเอ๋อเองก็ไม่ทันตอบสนองเรื่องราว เป็นเผิงไหลที่พุ่งร่างออกไปด้วยความเร็วสูงล้ำหมายหยุดร่างต้วนซือหลิงไม่ให้เข้าใกล้วิหกเพลิงประหลาด!
ทำให้ร่างเผิงไหลเองที่พุ่งไปขวางต้วนซือหลิงก็อยู่ห่างจากวิหกเพลิงแค่ไม่กี่ก้าว
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เผิงไหลหยุดร่างต้วนซือหลิงเอาไว้
ปงงง!!
วิหกเพลิงคล้ายรู้ว่ามีบางสิ่งกำลังเข้าใกล้ มันพลันเปล่งพลังอำนาจขุมหนึ่งออกมาก่อเกิดเป็นคลื่นพลังอัดกระแทก! ซัดเข้าแผ่นหลังเผิงไหลอย่างแรง ทำให้เผิงไหลปลิวกระเด็นออกไป!!
ขณะที่ถูกพลังอำนาจซัดกระแทกเข้าหลังจนปลิดปลิว เผิงไหลก็ไม่ลืมเร่งเร้าพลังป้องกันร่างต้วนซือหลิงเอาไว้ หอบหิ้วนางออกไปให้ห่างโดยเร็วที่สุด!
หลังหอบหิ้วต้วนซือหลิงออกกมาห่างจากวิหกกเพลิงแล้ว เผิงไหลก็กระอักโลหิตออกมาคำใหญ่!
พอหันไปมองวิหกเพลิงเบื้องหลัง นอกจากสายตาหวาดกลัวแล้ว ยังตื่นตระหนกเสียขวัญไม่น้อย “นี่มันอันใดกันแน่ นายท่านบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชาอันใดกัน ไฉนจึงสร้างผู้พิทักษ์ประหลาดเช่นนี้ขึ้นมาได้?”
ตอนนี้เผิงไหลย่อมตระหนักเรื่องราวได้กระจ่าง
วิหกเพลิงที่ควบแน่นก่อร่างจากเปลวเพลิงสีทองเบื้องหน้า มันกำลังปกป้องคุ้มครองต้วนหลิงเทียนผู้เป็นเจ้านายของมันอยู่ไม่ผิดแน่!
และไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม หากเข้าไปใกล้ต้องถูกมันจู่โจมทันที
“อย่างไรก็ตามวิหกเพลิงตัวนี้ดูเหมือนว่ามันจักมิมีชีวิต…และในร่างของมันคล้ายมีกลิ่นอายพลังของนายท่านผสานอยู่! ยังเป็นกลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งนัก!!”
ในฐานะที่เป็นเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน สัมผัสพลังของเผิงไหลย่อมไม่ใช่ชั่ว มันย่อมสามารถสัมผัสได้ถึงหลายสิ่งอย่างที่ก่านหรูเยี่ยนไม่อาจทำได้
และขนาดก่านหรูเยี่ยนยังไม่อาจล่วงรู้ สองแม่ลูกอย่างเค่อเอ๋อและต้วนซือหลิงที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่านางก็ย่อมไม่อาจรู้ได้
“นายหญิงขอท่านอย่าได้ห่วงไป วิหกเพลิงตัวนั้นสมควรเกิดจากพลังของนายท่าน อีกทั้งพลังในร่างนายท่านเองก็ยังคงมั่นคงมีเสถียรภาพมิได้มีอันตรายใดๆ…วิหกเพลิงสีทองตัวนี้สมควรเป็นความสามารถบางประการของนายท่านไม่ผิดแน่! มันเพียงแค่ปกป้องนายท่านเอาไว้ ตราบใดที่ท่านไม่เข้าไปใกล้มันก็จักไม่โดนมันทำร้าย…”
เมื่อเห็นความกังวลของทุกคน เผิงไหลเร่งกล่าวออกมาทันทีเพื่อคลายความกังวล
“ต้วนหลิงเทียน!!”
ตอนนี้เองก่านหรูเยี่ยนพยายามส่งเสียงผ่านพลังผ่านร่างวิหกเพลิงเข้าไปหาต้วนหลิงเทียนที่ยังคงปิดด่านบ่มเพาะอยู่
อย่างไรก็ตามเมื่อพลังของนางเข้าใกล้ร่างวิหกเพลิง พลังที่ควบผนึกส่งเสียงก็ถูกพลังอำนาจขุมหนึ่งปิดกั้นเอาไว้! ไม่อาจส่งเสียงไปถึงต้วนหลิงเทียนได้เลย!!
“เปล่าประโยชน์แม่นาง…ข้าเองก็ลองผนึกพลังส่งเสียงไปหานายท่านแล้ว”
เผิงไหลกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเหยเก
“เจ้าเอาชนะเจ้านกบ้านี่ไม่ได้รึไง?”
ก่านหรูเยี่ยนกล่าวถามออกมาด้วยความกังวล เพราะอย่างไรตอนนี้เวลาก็ไม่คอยท่า
“ไม่มีทางเลยแม่นาง…พลังของเจ้าวิหกเพลิงตัวนี้มิได้อ่อนแอไปกว่ายอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนแม้แต่น้อย”
เผิงไหลส่ายหัวไปมา
จากพลังของวิหกเพลิงที่พึ่งสำแดงออกมาเมื่อครู่ มันย่อมตระหนักได้ชัดเจน
พลังของวิหกเพลิงตัวนี้ เกินมือของมัน!
“เจ้าบ้านี่มันบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชาผีสางอะไรของมันกัน!”
ตอนนี้ก่านหรูเยี่ยนกังวลใจอย่างหนัก สีหน้านางเองก็อัปลักษณ์ปั้นยากนัก
อย่างไรก็ตามก่านหรูเยี่ยนไม่ได้รู้เลย..
แม้แต่ตัวต้วนหลิงเทียนเอง ก็ไม่ได้ล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของวิหกเพลิงสีทองตัวนี้ด้วยซ้ำ!
ตอนที่ 2,287 : จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง!
นกตัวมหึมาประหนึ่งเนินเขาย่อมๆ ยืนตระหง่านแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่กลางห้องหับที่กลับกลายเป็นซากปรักหักพังดั่งขุนเขา หากแต่เปลวเพลิงสีทองทั่วร่างนั้น…คล้ายยังลุกโชนแผดเผาอยู่ตลอดเวลา!
มันยืนตระหง่านดั่งปราการไร้ทลาย คอยปกปักษ์พิทักษ์ต้วนหลิงเทียนที่กำลังปิดด่านบ่มเพาะเอาไว้ ไม่ให้สิ่งใดจากโลกภายนอกเข้าไปรบกวน
หากตอนนี้ต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่านมาเห็น เขาย่อมรู้ได้ทันที
ว่าวิหกเพลิงตัวนี้ที่ก่อร่างขึ้นมาจากเปลวเพลิงสีทองและกำลังปกป้องเข้าในขณะที่ปิดด่านบ่มเพาะอยู่นั้น มันคือนกอะไร! มันคือ อีกาทองคำ 3 ขา!!
อีกาทองคำ 3 ขา ก็คือวิหกเทพสุริยัน ที่มีอยู่แต่ในตำนานของโลกเก่าที่ต้วนหลิงเทียนเคยอยู่
และผู้เฒ่าหั่ว วิญญาณประจำเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่อาศัยอยู่ในชั้นแรกนั้น ก็คืออีกาทองคำ 3 ขาที่แท้จริง!
อีกทั้งยังเป็นอีกาทองคำ 3 ขา ตัวสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ของ อวี้หวงเทียน ระนาบสวรรค์แห่งหนึ่ง!
เช่นนั้นอีกาทองคำ 3 ขานี้ เค่อเอ๋อ ก่านหรูเยี่ยน รวมถึงเผิงไหล ย่อมไม่รู้จักเป็นธรรมดา!
และในเมื่อผู้ใหญ่ทั้ง 3 ยังไม่รู้จัก ไหนเลยเด็กหญิงอย่างต้วนซือหลิงจะรู้จักได้
“นายหญิง พวกเราสมควรทำอย่างไรกันดี…”
เผิงไหลมองไปยังเค่อเอ๋อพร้อมกล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้มขื่นขม “พวกเรามิอาจล่าช้าได้…ท่านจ้าววังสมควรมาถึงในอีกไม่นาน! หากท่านจ้าววังมาถึง พวกเราคงไม่มีโอกาสหลบหนีได้อีก!”
“เจ้าพาพวกนางสองคนไปก่อน…ข้าจะพยายามปลุกมันอีกครั้ง!”
แทบจะทันทีที่เสียงถามไถ่ของเผิงไหลดังจบคำ เค่อเอ๋อไม่ทันได้ตอบอะไรก็เป็นก่านหรูเยี่ยนที่กล่าวขึ้นมาก่อน
ฟังจากวาจาของนาง เห็นชัดว่าคิดให้เผิงไหลพาเค่อเอ๋อกับต้วนซือหลิงหนีไปก่อน แล้วปล่อยให้นางอยู่ที่นี่เพื่อปลุกต้วนหลิงเทียนคนเดียว!
ในสายตาของนาง ชีวิตน้องสาวฝาแฝดก็สำคัญกว่าตัวนางเช่นกัน!
“พี่หญิงข้าจักมิไปไหนจนกว่าพี่เทียนจะตื่นจากการบ่มเพาะ”
เค่อเอ๋อกล่าวคำขาดออกมา
การพลัดพรากจากกันในอดีต ทำให้นางหวงแหนทุกสิ่งตรงหน้าเป็นอย่างมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะยอมแยกจากบุรุษของนางอีกครั้ง
“อาวุโสเผิงไหลท่านช่วยพาพี่สาวข้ากับลูกสาวข้าหนีไปก่อนเถอะ…ข้าจะรั้งอยู่ที่นี่เพื่อปลุกพี่เทียนเอง”
กล่าวยื่นคำขาดกับก่านหรูเยี่ยนจบ เค่อเอ๋อ ก็หันไปมองเผิงไหล ค่อยพูดออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
นางอยากอยู่กับบุรุษของนาง
แม้นางรู้ดีว่าสุดท้ายอาจต้องตาย แต่นางก็ไม่เสียใจ!
สำหรับนางแล้ว กการได้ตายตกพร้อมบุรุษอันเป็นที่รักย่อมเป็นความสุขที่สุดในโลก!
สำหรับพี่สาวกับลูกสาวนั้น นางย่อมอยากให้ทุกคนสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป
“ท่านแม่! ข้าไม่ไปไหนนะ! ข้าจะอยู่ที่นี่กับท่านพ่อ!!”
ตอนนี้ต้วนซือหลิงเองก็ไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยไม่รู้ความอีกต่อไป นางอายุได้ 12 ขวบปีแล้ว เป็นเด็กสาวนางหนึ่งที่มีหัวคิด ทั้งมีความดื้อรั้นตามประสา
“ซือหลิงเด็กดี ลูกหนีไปกับท่านป้าก่อนเถอะ พอพ่อเขาตื่นเมื่อใดจะได้พาแม่ไปหาพวกเจ้าทีหลัง…”
เค่อเอ๋อมองกล่าวกับต้วนซือหลิง ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มบางๆออกมาอย่างอ่อนโยน
หากแต่ลึกลงไปในแววตายังเผยความไม่ยินยอมพร้อมใจประการหนึ่ง เพราะนางรู้ดีว่าหากรั้งอยู่นั้นสมควร 9 ตาย 1 รอด
พอคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าบุตรสาวอีก กระทั่งไม่ได้อยู่เห็นบุตรสาวเติบใต ในใจย่อมบังเกิดความอาลัยอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าไม่ไป! หากท่านพ่อท่านแม่ไม่ไปด้วยกัน ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
ต้วนซือหลิงคล้ายตระหนักได้ถึงเรื่องราวบางอย่าง นางจึงดื้อรั้น ยืนกรานไม่ยินยอมไปถ่ายเดียว
ในขณะที่เค่อเอ๋อคิดจะกล่าวเกลี้ยกล่อมต้วนซือหลิงนั้นเอง เป็นก่านหรูเยี่ยนที่พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ถ้างั้นพวกเรามาหาวิธีปลุกมันเถอะ!”
คำนี้ของก่านหรูเยี่ยนเห็นได้ชัดว่าปฏิเสธคำที่เค่อเอ๋อพูดกับเผิงไหลก่อนหน้าชัดเจน!
เพราะนั่นหมายความว่าก่านหรูเยี่ยนเองก็ไม่คิดไปไหนเหมือนเค่อเอ๋อ!
พอเห็นแบบนี้เค่อเอ๋อก็ได้แต่เผยยิ้มขื่นขมออกมา เพราะนิสัยของพี่สาวฝาแฝดนางดื้อรั้นเพียงใด ตัวนางเองก็ย่อมรู้ดี
หลังจากนั้น ทั้ง 4 คน ไม่ว่าจะแม่ลูก ก่านหรูเยี่ยน และเผิงไหล ก็ได้พยายามร่วมมือกันทำทุกทางเพื่อปลุกต้วนหลิงเทียนให้ตื่นจากการบ่มเพาะให้จงได้
พยายามลองควบแน่นพลังมหาศาลส่งเสียงก็แล้ว กระทั่งตะโกนมันตรงๆก็แล้ว กระทั่งลองใช้พลังทำเสียงดังๆก็แล้ว…
อนิจจาไม่อาจปลุกต้วนหลิงเทียนให้ตื่นขึ้นมาได้เลย
นั่นเพราะไม่ว่าจะเป็นเสียงในรูปแบบไหน ก็ไม่อาจผ่านพ้นวิหกผู้พิทักษ์ของต้วนหลิงเทียน ‘อีกาทองคำ 3 ขา’ เข้าไปถึงหูต้วนหลิงเทียนได้
ในช่วงเวลาสุ่มเสี่ยงแบบนี้ ยิ่งล่าช้าก็ยิ่งมากอันตราย
ห่างออกไปไกลจากทั้ง 4 ร่าง อีกาทองคำ 3 ขา ที่ก่อขึ้นมาจากเปลวเพลิงสีทองยังคงยืนตระหง่านดั่งปราการคงกระพันไร้วันทลาย ปกปักษ์ต้วนหลิงเทียนให้บ่มเพาะพลังไปโดยไร้สิ่งใดรบกวนให้วอกแวก
อีกาทองคำ 3 ขานี้ ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนเอง
พลังเซียนต้นกำเนิดในร่างของต้วนหลิงเทียนนั้น แตกต่างจากทุกคนในระนาบโลกียะแห่งนี้
เพราะพลังเซียนต้นกำเนิดของเขา ได้ผสานไว้ด้วยพลังสุริยันของอีกาทองคำ 3 ขาอย่างผู้เฒ่าหั่ว
ถึงแม้ว่าพลังอำนาจของพลังสุริยันที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พลังต้นกำเนิดจะเหมือนด้อยประสิทธิภาพลงเรื่อยๆ แต่อย่างไรมันก็คือพลังอำนาจเฉพาะของอีกาทองคำ 3 ขา!
ยามเมื่อต้วนหลิงเทียนทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน และสามารถใช้ความสามารถถอดวิญญาณออกจากร่างได้นั้น
เขาที่จมจ่อมอยู่กับการบ่มเพาะพลังนั้นก็ไม่ได้รู้เลย
ว่าในขณะที่เขาบ่มเพาะพลังอยู่ พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาอยู่ๆก็ได้แยกตัวออกมาส่วนหนึ่งโดยที่เขาไม่รู้ตัว และสุดท้ายก็ก่อร่างเป็นอีกาทองคำ 3 ขา ที่เสมือนมีชีวิตคอยปกป้องเขาเอาไว้!
และความแข็งแกร่งของอีกาทองคำ 3 ขาที่เกิดจากพลังเซียนสิรุยันต้นกำเนิดของเขาควบรวมสร้างขึ้น ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!
ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก
ตอนนี้เขากำลังตั้งมั่นอยู่กับการสั่งสมพลังหมายทะลวงให้ถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนให้จงได้!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
……
ทันใดนั้นเองปรากฏเสียงของสายลมพัดกรรโชกมาหลายสำเนียง ราวกับมีบางสิ่งมาถึงคฤหาสน์ของต้วนหลิงเทียนเรียบร้อยแล้ว สร้างความตื่นตระหนกให้กับเผิงไหลครั้งใหญ่!
“ข้าเกรงว่ายามนี้ต่อให้พวกเราคิดไป ก็มิอาจไปไหนได้แล้ว…”
เผิงไหลเผยยิ้มขื่นขมออกมา
เพราะในขณะที่ได้ยินเสียงของสายลมที่พัดมาถึงหลายสายนั้น เผิงไหลก็จับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่คุ้นเคย…
และกลิ่นอายพลังนั่นยังขู่ขวัญมันนัก! เพราะเจ้าของกลิ่นอายพลังที่สัมผัสได้…ล้วนแล้วแต่เป็นเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนทั้งสิ้น!!
กล่าวอีกอย่างได้ว่า ผู้ที่มาถึงคฤหาสน์ของต้วนหลิงเทียนนั้น สมควรเป็นชนชั้นรองจ้าววังเซียนสัญจร!
ด้านนอกคฤหาสน์ สูงขึ้นไปบนอากาศ
ชนชั้นรองจ้าววังเซียนสัญจรทุกคน นำโดย อวิ๋นฟู่เหย่ ได้มาถึงแล้ว!
“มันยังมิได้หนีไป!”
ถึงแม้สำนึกเทวะของอวิ๋นฟู่เหย่จะไม่อาจตรวจพบตัวตนของต้วนหลิงเทียนได้เลย หากแต่มันย่อมตรวจพบอีกาทองคำ 3 ขาที่ควบแน่นจากพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดนั่น!
และนอกจากวิหกไฟแล้ว มันยังตรวจพบเค่อเอ๋อกับลูกสาวรวมถึงก่านหรูเยี่ยนที่เป็นคนรอบกายต้วนหลิงเทียนอีกด้วย ทั้งหมดยังอยู่ครบ!
ดังนั้นมันจึงมั่นใจว่าต้วนหลิงเทียนเองก็สมควรยังไม่จากไปไหน
“นั่นมันเผิงไหลมิใช่หรือไร…ตอนนี้มันเองก็สมควรได้รับทราบข่าวลือแล้วเช่นกันว่าต้วนหลิงเทียนเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ขุมพลังของพวกมนุษย์ที่เคยยึดครองพื้นที่แถบนี้ แต่มันกลับไม่ไปไหนยังง่วนอยู่กับพวกนั้น…บอกให้รู้ชัดว่ามันเลือกจะทรยศวังเซียนสัญจรของพวกเรา!”
รองจ้าววังเซียนสัญจรคนหนึ่งกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“เรื่องนี้นับว่าเล็กน้อยไร้สำคัญ…ขอเพียงเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันยังไม่ไปไหนก็พอ!”
อวิ๋นฟู่เหย่ส่ายหัวไปมา “มองจากสถานการณ์ตอนนี้…เจ้าพวกนั้นสมควรพยายามปลุกต้วนหลิงเทียนที่กำลังปิดด่านบ่มเพาะกันอยู่ แต่เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นดูเหมือนจะถูกนกไฟประหลาดนั่นปกป้องเอาไว้ ไม่ให้สิ่งเร้าจากภายนอกรบกวนมัน…”
ในฐานะศิษย์เอกของจ้าววังเซียนสัญจร รวมไปถึงอดีตรองจ้าววังอันดับ 1 อวิ๋นฟู่เหย่ย่อมไม่ใช่ชนชั้นธรรมดา!
เป็นเรื่องง่ายดายที่มันจะมองสถานการณ์ด้านล่างได้ทะลุปรุโปร่ง
“เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา…เพราะหากเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันคิดหลบหนีไปจริง ข้าเกรงว่าพวกเราคงไม่อาจหยุดมันเอาไว้ได้!”
อวิ๋นฟู่เหย่กล่าวสืบต่อเสียงเข้ม ลึกลงไปในแววตายังเผยความหวาดกลัวให้เห็น
ถึงแม้มันจะไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนมาก่อน และเพียงเคยได้ยินเรื่องต้วนหลิงเทียนมาจากอาจารย์เท่านั้น แต่มันก็รู้ดีว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนนั้นอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจริงๆ!
ถึงมันจะได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับ 1 ใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของวังเซียนสัญจร แต่มันก็ยังไม่หยิ่งผยองลำพองถึงขั้นคิดว่าตัวเองจะต่อกรกับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้…
และวาจาดังกล่าวของอวิ๋นฟู่เหย่ ก็ได้รับการเห็นด้วยจากรองจ้าววังทั้งหมด
แต่ในขณะที่รองจ้าววังทั้งหลายกกำลังจะขานรับคำของอวิ๋นฟู่เหย่เพราะเห็นด้วย…
ทันใดนั้นเอง
ปรากฏเสียงดังสนั่นลั่นฟ้ามาจากด้านนอกไกลๆ ยังไม่ต่างใดจากฟ้าลั่นสักเพียงนิด!
“จ้าววังอวี่เหวิน! ข้าฉีหนานฟงมารบกวนเจ้าแล้ว!”
เสียงดังกล่าวนั้นไม่เพียงดังก้องไปทั่วคฤหาสน์ของต้วนหลิงเทียนเท่านั้น แต่ยังดังกึกก้องไปทั่วทั้งอาณาเขตของวังเซียนสัญจร!
“บัดซบ! เป็นฉีหนานฟง จ้าววังวิญญาณอสุรา!!”
สีหน้าอวิ๋นฟู่เหย่กลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันที
สีหน้าของรองจ้าววังคนอื่นๆเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ามันสักเท่าไหร่
เพราะตอนนี้พวกมันตระหนักได้ว่า…
เรื่องที่พวกมันกังวลมากที่สุด ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ!
ทันทีที่มีข่าวลือว่ารองจ้าววังคนใหม่ของพวกมัน ต้วนหลิงเทียน ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาครามอดีตขุมพลังของพวกมนุษย์ในดินแดนแห่งนี้แพร่ไปทั่วทั้งวังเซียนสัญจรนั้น พวกมันก็ตระหนักได้ว่ากระดาษย่อมมิอาจห่อไฟได้นาน!
ไม่ช้าก็เร็วเรื่องดังกล่าวต้องแพร่ออกไปนอกวังเซียนสัญจรแน่นอน กระทั่งยังจะแพร่ไปทั่วทั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์!
อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะคิดถึงเรื่องนี้ไว้แต่แรก แต่พวกมันก็ไม่คิดเลยว่าข่าวลือจะแพร่ไปได้ไวถึงขนาดนี้!
นี่ยังพึ่งผ่านไปนานเท่าไหร่กัน?
แต่จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง กลับมาถึงวังเซียนสัญจรของพวกมันแล้ว!
แน่นอนว่าอวิ๋นฟู่เหย่และชนชั้นรองจ้าววังคนอื่นๆ ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรที่ ฉีหนานฟง จ้าววังวิญญาณอสุราจะมาเยือนเป็นคนแรก
เพราะพวกมันรู้ดีว่าในบรรดาเผ่าปีศาจมนุษย์ จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง ผู้นี้ สมควรเคียดแค้นชิงชังตำหนักเมฆาครามยิ่งกว่าปีศาจตนใดในเผ่าปีศาจมนุษย์!
และทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากศิษย์ปิดสำนักที่ฉีหนานฟงรักและเอ็นดูมากที่สุด ได้ถูกจ้าวตำหนักเมฆาครามอย่างต้วนหรูเฟิงกับยอดฝีมืออีกคนของตำหนักเมฆาครามร่วมมือกันฆ่าทิ้ง!
ตอนนี้พออีกฝ่ายได้ยินข่าวเรื่อง นายน้อยของตำหนักเมฆาครามได้แฝงตัวเข้ามาอยู่ในวังเซียนสัญจรของพวกมัน…
จะให้ฉีหนานฟงนั่นนั่งอยู่เฉยๆคอยดูเรื่องราวได้อย่างไร?
“โชคดีนักที่ข้าเลือกจัดตั้งอาคมปิดกั้นเสียงคลุมคฤหาสน์ของท่านอาจารย์ไว้แต่แรก…หาไม่แล้วท่านได้เสียสมาธิตื่นขึ้นเพราะเสียงฉีหนานฟงเมื่อครู่เป็นแน่!”
ตอนนี้สีหน้าอวิ๋นฟู่เหย่บิดเบี้ยวนัก
ฟุ่บ!!
ทันใดนั้นเองสีหน้าที่บิดเบี้ยวขออวิ๋นฟู่เหย่ก็ยิ่งกลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก
“บังอาจ!!”
เพียงเพราะว่า อวิ๋นฟู่เหย่สามารถตระหนักได้ชัดเจน
ว่ามีสำนึกเทวะหนึ่งได้กำจายออกมาปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ ตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างในวังเซียนสัญจรอย่างไม่คิดไว้หน้า ทำราวกับไม่เห็นหัวผู้ใด!
“แย่แล้ว! เป็นจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง!!”
ภายในคฤหาสน์ของต้วนหลิงเทียน เผิงไหล ที่ได้ยินเสียงดังลั่นฟ้าเมื่อครู่หน้าก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง!
มันไม่เพียงได้ยินเสียงของฉีหนานฟงเท่านั้น ยังสัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะที่กวาดออกมาเมื่อครู่ของฉีหนานฟงด้วย!
ตอนที่ 2,288 : สัตว์ติดบ่วง!
“เจ้าวังวิญญาณอสุรา!”
ได้ยินคำอุทานด้วยความตื่นตระหนกของเผิงไหล สีหน้าก่านหรูเยี่ยนเปลี่ยนไปทันที ยังเผยความคาดหวังประการหนึ่ง
เนื่องเพราะนางเองก็รู้จักขุมพลังทั้ง 9 ของเผ่าปีศาจมนุษย์อย่าง 3 วัง 6 ตำหนักเช่นกัน ทำให้นางรับบทราบว่าวังวิญญาณอสุรานั้น มีชื่อเสียงทัดเทียมกับวังเซียนสัญจร และชนชั้นจ้าววังวิญญาณอสุราก็หาได้อ่อนด้อยไปกว่าจ้าววังเซียนสัญจรสักเท่าไหร่!
และฟังจากน้ำเสียงของจ้าววังวิญญาณอสุราที่พึ่งมาถึงนั่น นางก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ได้มาด้วยเจตนาดีเป็นแน่!
หากจ้าววังวิญญาณอสุรานั่นคิดมารบกับจ้าววังเซียนสัญจรก็ดีไป เพราะพวกนางจะได้มีเวลาหาทางปลุกต้วนหลิงเทียนให้ตื่นเพิ่มขึ้น!
อนิจจาภาพฝันสวยหรู แต่พอดูความเป็นจริงช่างโหดร้ายนัก!
“แม่นาง…ดูเหมือนว่าจ้าววังวิญญาณอสุราผู้นี้ เจาะจงมาหานายท่านโดยเฉพาะ…”
เผิงไหลส่ายหัวไปมา
หลังได้รับทราบถึงความแค้นระหว่างฉีหนานฟงกับตำหนักเมฆาครามจากเผิงไหล ใบหน้าก่านหรูเยี่ยนก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที
ลำพังจ้าววังเซียนสัญจรก็ทำให้พวกนางสิ้นหนทางแล้ว!
ตอนนี้ยังจะมามีจ้าววังวิญญาณอสุราเพิ่มอีกเหรอ!?
กลางอากาศด้านนอกคฤหาสน์
ฟู่บ!
ดั่งสายลมกรรโชกหอบหนึ่งซัดกวาดปะทะเข้าร่างอวิ๋นฟู่เหย่และรองจ้าววังทั้งหลายของเซียนสัญจร ไม่นานก็ปรากฏร่างชายคนหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ราว 2 หมี่ เนื้อตัวกำยำล่ำสัน มันมาในชุดคลุมสีทอง ผมยาวถูกปล่อยให้ทอดยาวลงมาอย่างไร้การจัดทรง ใบหน้าเผยความเหี้ยมหาญไม่ขาดโทสะทั้งความถือดี
“นายน้อยตำหนักเมฆาครามอยู่ในจวนหลังนั้นรึ?”
หลังชายวัยกลางคนร่างใหญ่ในชุดคลุมทองปรากฏตัวขึ้น มันก็ไม่แม้แต่จะชายตาแลมองอวิ๋นฟู่เหย่ สายตามันเพียงจดจ้องไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่เบื้องล่างก่อนใดอื่น
ลึกลงไปในแวววตายังฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟัน!
“จ้าววังฉี!”
อวิ๋นฟู่เหย่มองไปยังชายวัยกลางคนด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว กล่าวออกเสียงแข็ง “ท่านมาเยือนมิว่าแต่กลับบุกเข้ามาโดยมิได้รับเชิญ…ทำเช่นนี้มิใช่ไม่ถูกต้องหรือไร!?”
“จักถูกต้องหรือไม่ ก็มีเพียงอาจารย์เจ้าเท่านั้นที่ตัดสินได้ ยังมิใช่ธุระกงการของเด็กน้อยเจ้า…”
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมทองผู้เป็นจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง เหลือบมองอวิ๋นฟู่เหย่ด้วยสายตาไม่แยแส พลางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงไม่ไว้หน้า!
“จ้าววังฉี อย่าได้กล่าวบอกข้าเชียว…ว่าท่านมิทราบว่าท่านอาจารย์ของข้ากำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่?”
ใบหน้าอวิ๋นฟู่เหย่ยิ่งมายิ่งไม่น่าดู
มันย่อมรู้ดีแก่ใจ
ที่ฉีหนานฟงหาญกล้าบุกเข้ามาอย่างหน้าไม่อายแบบนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะอีกฝ่ายรู้ดีว่าอาจารย์ของมันปิดด่านบ่มเพาะอยู่!
“ข้ารู้ว่าท่านชิงชังทั้งเคียดแค้นตำหนักเมฆาครามนัก…แต่อย่าได้หลงลืมไปว่าที่นี่คือวังเซียนสัญจร!หาใช่วังวิญญาณอสุราของท่านไม่!!”
“และถึงตอนนี้ฐานะนายน้อยตำหนักเมฆาครามของรองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรเราจะถูกเปิดโปงออกมาแล้ว แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่วังเซียนสัญจรของพวกเราจะจัดการเก็บกกวาดมันเอง ยังไม่ถึงตาให้จ้าววังฉีสอดมือหรอก!”
อวิ๋นฟู่เหย่ยิ่งกล่าวน้ำเสียงก็ยิ่งดุร้าย
ล้อกันเล่นหรือไร!
ถึงแม้มันจะอยากให้นายน้อยตำหนักเมฆาครามตายตกให้ได้เร็วไวแค่ไหน
อย่างไรก็ตามหากวันนี้เป็นฉีหนานฟงที่สังหารนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ไม่ใช่คนอื่นๆจะมองว่าวังเซียนสัญจรไร้ความสามารถแล้วหรือไร! กระทั่งสายลับที่แฝงตัวเข้ามายังไม่มีปัญญาจัดการด้วยตัวเอง?!
นี่เป็นเรื่องของ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ความน่าเชื่อถือ’ ของวังเซียนสัญจร! แน่นอนว่าแม้มันอยากให้นายน้อยตำหนักเมฆาครามอย่างต้วนหลิงเทียนตกตายมากเพียงไหน มันก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องตกตายด้วยน้ำมือจ้าววังวิญญาณอสุรา!!
“ในเมื่อจ้าววังอวี่เหวินกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ เช่นนั้นข้าย่อมมิคิดไปรบกวน…วันหน้ายามเมื่อจ้าววังอวี่เหวินออกจากการปิดด่าน ตัวข้าผู้นี้จะไปขอขมาด้วยตัวเอง!”
ฉีหนานฟงกล่าวออกเสียงค่อย
สิ้นเสียงแผ่วเบา ทั่วร่างของฉีหนานฟงกก็เริ่มปรากฏรัศมีพลังร้ายกาจขุมหนึ่งปะทุออก
ขณะเดียวกันแววตามันก็เยียบเย็นนลงถึงขีดสุด มองจ้องไปยังคฤหาสน์เบื้องล่างเขม็ง ราวกับจะปะทุพลังฆ่าคน!!
“สารเลวต้วนหรูฟง วันนั้นเจ้าเล็ดลอดเงื้อมมือข้าไปได้…แต่วันนี้ข้าจะเอาเลือดหัวลูกชายคนเดียวของเจ้าเซ่นสรวงวิญญาณศิษย์ข้า”
ฉีหนานฟงพร้อมลงมือฆ่าคนแล้วจริงๆ!!
“จ้าววังฉีการปิดด่านบ่มเพาะของท่านอาจารย์ครั้งนี้ ไม่พ้นต้องสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมาได้ หมายความว่าอีกราวๆ 1 ปีไม่พ้นท่านอาจารย์ของข้าย่อมสามารถทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้เป็นแน่…เช่นนั้นข้าขอบังอาจกล่าวแนะนำท่านสักคำก่อนลงมือ…ว่าอย่าดีกว่า! แต่ท่านก็คิดเอาเองเถอะ!!”
ในขณะที่ฉีหนานฟงเตรียมพุ่งร่างบุกไปฆ่าต้วนหลิงเทียนในคฤหาสน์หลังเขื่องเบื้องล่าง เสียงของอวิ๋นนฟู่เหย่พลันดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
และแทบจะทันทีที่เสียงกล่าวของอวิ๋นฟู่เหย่ดังจบคำ
กึก!
สีหน้าฉีหนานฟงเปลี่ยนไปมหันต์ รัศมีพลังทั้งกลิ่นอายฆ่าฟันของมันพลันถดถอยลงอย่างไว!
“จ้าววังอวี่เหวิน…พบ ‘โอกาส’ แล้วงั้นหรือ?”
ฉีหนานฟงมองจ้องไปยังอวิ๋นฟู่เหย่ด้วยสายตาที่ราวกับมีสายฟ้าแลบลั่น ขณะเอ่ยถามใบหน้ายังฉายถึงความหวาดกลัวให้เห็น
หากยังไม่บรรลุครึ่งก้าวเซียนอมตะ แม้มันจะด้อยกว่าอีกฝ่ายแต่ก็หาได้หวาดกลัวไม่
อย่างไรก็ตามหากเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะจริงๆ มันไม่อาจไม่กลัว!
อย่างแรกนั้นอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่อาจเข่นฆ่ามันได้
ทว่าอย่างหลังนั้น คิดฆ่ามันย่อมไม่ต่างใดจากตัดหญ้าฆ่าไก่!
“หึ!”
เผชิญกับคำถามไถ่นี้ของฉีหนานฟง อวิ๋นฟู่เหย่เพียงแค่นคำพ่นลมเสียงเย็น คร้านจะกล่าวตอบอะไร
จังหวะนี้สีหน้าฉีหนานฟงคล้ายกลับกลายเป็นเขียวสลับขาว หากแต่สุดท้ายมันก็ไม่กล้าบุกลงไปเข่นฆ่าคนในคฤหาสน์เบื้องล่างอีก
“ในเมื่อจ้าววังอวี่เหวินจะออกจากการปิดด่านหลังจากนี้ 1 ปี เช่นนั้นข้าจักเห็นแก่หน้าจ้าววังอวี่เหวิน…หากนายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่นไม่คิดหนีไปที่ใด ข้าก็จักเฝ้ารอจ้าววังอวี่เหวินโดยไม่คิดลงมือฆ่ามัน!”
“หลังจากจ้าววังอวี่เหวินออกจากการปิดด่านแล้ว ข้าจักอยู่เป็นพยานการเก็บกวาดด้วยตาตัว!”
ถึงแม้ว่ามันจะสามารถขัดขวางการปิดด่านของอวี่เหวินฮ่าวเฉินได้ แต่มันไม่กล้าทำแบบนั้น
เพราะต่อให้มันจะขัดขวางอวี่เหวินฮ่าวเฉินได้ในครั้งนี้ แต่สุดท้ายพลังฝีมืออีกฝ่ายก็เหนือล้ำกว่ามันอยู่ดี และที่สำคัญจะอย่างไรอีกฝ่ายก็มีโอกาสทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะก่อนมันอีกครั้งถึง 9ใน 10 ส่วน!
หากมันสิ้นคิดถึงขั้นขัดขวางอวี่เหวินฮ่าวเฉินวันนี้ ย่อมไม่ต่างใดจากเพาะสร้างความแค้นที่ไม่อาจแก้ไขได้ง่ายๆสืบไป…
วันหน้าเมื่อใดที่อวี่เหวินฮ่าวเฉินทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้สำเร็จ อีกฝ่ายต้องมาหาความกับมันแน่!
“แต่ถ้าหากนายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่นมันเลือกที่จะหลบหนี และพวกเจ้ามิมีปัญญาขัดขวางมัน ยามนั้นหากข้าลงมือฆ่ามันทิ้ง พวกเจ้าก็มิอาจโทษข้าได้!”
ต่อมาฉีหนานฟก็กล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนหลบหนีออกจากเขตวังเซียนสัญจร จ้าววังฉีย่อมสามารถฆ่ามันได้ตามที่ท่านต้องการ!”
อวิ๋นฟู่เหย่กล่าว
ใจจริงแล้วไฉนมันยังไม่กลัวต้วนหลิงเทียนหลบหนีไปก่อนที่อาจารย์ของมันจะออกจากการปิดด่าน?
หากเกิดเรื่องแบบนั้นจริงแล้วอาจารย์มันยังไม่ออกจากการปิดด่าน ยังจะมีใครในพวกมันสามารถหยุดต้วนหลิงเทียนไม่ให้ไปได้?
“เจ้าจำคำพูดตัวเองไว้ให้ดี”
ฉีหนานฟงกล่าววตอบเสียงค่อย จากนั้นมันก็นั่งขัดสมาธิกลางหาวหลับตาสงบจิตใจ เฝ้ารอคนที่มันอยากฆ่าอีกสักปีอยู่ตรงนี้!
เรื่องนี้อวิ๋นฟู่เหย่ก็ไม่แปลกใจอะไร
เพราะหากมันเป็นฉีหนานฟงมันก็จะกระทำแบบนี้เหมือนกัน…หากไม่ได้เห็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามตายกับตาตัว ไหนเลยจะยอมเลิกรา!
หลังจากที่ฉีหนานฟงจ้าววังวิญญาณอสุรา 1 ใน 3วัง 6 ตำหนักมาถึง ไม่นานก็มีผู้คนทยอยมาเยือนวังเซียนสัญจรกันมากมายไม่ว่าจะเป็นจ้าววังอัคคีสีชาดหรือชนชั้นสูงของขุมพลังอื่นๆ
เป้าหมายของพวกมันนั้นล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น นายน้อยตำหนักเมฆาครามที่กำลังมีชื่อลือกันไปทั่วเมืองเหรินโม่เชิ่ง!
“ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่ารองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจร จะเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่างของเจ้าพวกมนุษย์ไปได้!”
“แต่ไม่ว่ามันคิดวางแผนอันใด คราวนี้มันได้ตายแน่!”
“เห็นว่าข่าวเรื่องนี้ก็แพร่ไปทั่ววังเซียนสัญจรตั้งนานแล้ว…ข้าไม่เข้าใจจริงๆไฉนมันยังไม่รีบหนีไปแต่แรก หรือมันคิดอยู่รอความตายกัน?”
“นั่นสิ หากมันคิดหนีออกจากวังเซียนสัญจรแต่แรกไหนเลยยังทำไม่ได้ ลองจ้าววังอวี่เหวินปิดด่านบ่มเพาะไปสักคน ในวังเซียนสัญจรยังจะมีใครสามารถขัดขวางมันได้อีก? อนิจจาตอนนี้จ้าววังวิญญาณอสุราได้มาถึง ทั้งเฝ้ารออยู่ด้านนอกคฤหาสน์มันเรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่มันกล้าหนีออกจากวังเซียนสัญจร มันได้ตายตกทันทีแน่!”
“หนีออกจากวังเซียนสัญจรก็ตาย…อยู่รอให้จ้าววังอวี่เหวินออกจากการปิดด่านก็ตาย! เรียกว่า 4 ทิศ 8 ล้วนไร้หนทางให้มันไป!!”
……
ในบรรดาคนของ 2 วัง 6 ตำหนักยกเว้นก็แต่คนวังเวียนสัญจร ล้วนกล่าววาจาทำนองนี้
แน่นอนว่าในวังเซียนสัญจรเองก็คึกคักกันไม่น้อย
“ให้ตายเถอะ ข้าหลงคิดว่าวังเซียนสัญจรของพวกเราจะได้ยอดฝีมือระดับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเพิ่มมาอีกคน…แต่ไม่คิดเลยว่านั่นจักเป็นมนุษย์! กระทั่งยังเป็นถึงนายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่นเสียได้!!”
“มนุษย์ ไม่เพียงแต่จะฆ่าอาวุโสของวังเซียนสัญจรเรา…แต่ยังสามารถแฝงตัวเข้ามาอยู่ในวังเซียนสัญจรเราในฐานะสายลับ ให้ตายเถอะ!”
“อย่าได้ร้อนใจกันไป…รอให้ท่านจ้าววังออกกจากการปิดด่านบ่มเพาะก่อนเถอะ มันไม่พ้นต้องตายแน่!”
“ตอนนี้กล่าววได้เลยว่า…ต่อให้มันคิดหลบหนีก่อนที่ท่านจ้าววังจะออกจากการปิดด่าน มันก็ไม่พ้นความตาย! จ้าววังวิญญาณอสุราเฝ้ารอมันอยู่นอกคฤหาสน์ ตราบใดที่มันกล้าออกนอกเขตวังเซียนสัญจรมันได้ตายแน่!!”
……
อย่างไรก็ตามในบรรดาคนส่วนใหญ่ที่มาเยือนวังเซียนสัญจร แม้พวกมันจะรู้ว่าจ้าววังเซียนสัญจรกำลังอยู่ในช่วงปิดด่านบ่มเพาะ แต่พวกมันก็ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าในการปิดด่านครั้งนี้ จ้าววังเซียนสัญจรมีโอกาสสูงนักที่จะทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ!
หาไม่แล้วทั่วทั้งวังเซียนสัญจรคงได้คึกคักกันยิ่งกว่านี้แน่
นอกจากฉีหนานฟงที่เฝ้ารอต้วนหลิงเทียนอยู่ด้านนอกคฤหาสน์อยู่ก่อนใคร ตอนนี้ด้านนอกคฤหาสน์ของต้วนหลิงเทียนบนฟ้าก็มีผู้คนมาลอยร่างกลางหาวเฝ้ารอกันเป็นจำนวนมาก
เพราะหลังจากจ้าววังวิญญาณอสุรามาเยือนได้ไม่นาน คนของขุมพลังอื่นก็แห่กันมาอุ่นหนาฝาคั่ง
และไม่ว่าจะวังอัคคีสีชาดหรือจ้าวตำหนักทั้ง 6 ก็ส่งคนไปเฝ้ารอดูสถานการณ์ทั้งสิ้น
แน่นอนว่าคนของ 6 ตำหนักนั้นเพียงมาเพื่อรับชมความสนุกสนานให้บันเทิงใจเท่านั้น
เพราะพวกมันรู้ตัวดีว่าพวกมันไม่มีแม้แต่โอกาสจะลงมือ!
ในวังเซียนสัญจรมีจ้าววังอย่างอวี่เหวินฮ่าวเฉินที่กำลังจะออกจากการปิดด่าน
หากพ้นเขตวังเซียนสัญจรก็มีฉีหนานฟง จ้าววังวิญญาณอสุราเฝ้ารอโอกาสลงมือ!
ตอนนี้ทุกคนเชื่อกันหมดใจ
ว่านายน้อยตำหนักเมฆาครามนั้น ไม่ว่าจะเหินฟ้าหรือมุดดินหนี ก็ไม่อาจรอดพ้นชะตาตายตก!
“จบแล้ว…จบสิ้นกันแล้ว!”
ภายในคฤหาสน์หลังเขื้องของต้วนหลิงเทียน เผิงไหล ที่ตระหนักถึงสถานการณ์ภายนอกดี มันรู้สึกเสมือนโลกหล้ากลับกลายเป็นมืดมิดไร้หนทางไป สิ้นหวังราวกับวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง
ตอนนี้คฤหาสน์ที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ เสมือนถูกโดดเดี่ยว
คนในไม่ออก
คนนอกก็ไม่เข้า!
“มันยังไม่ได้หนีไปอีกหรือ?”
หลังหวงเหวินจิ้งศิษย์ปิดสำนักของจ้าววังเซียนสัญจรได้รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หน้างามมากไปด้วยความเย็นชาของนางก็เปลี่ยนสีไปทันที ยังฉายชัดถึงความยากทานทนปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
อนิจจานางรู้ดีว่าเรื่องนี้อับจนหนทางแล้ว ต่อให้นางคิดช่วยบุรุษผู้นั้นเพียงใด ก็มืดแปดด้าน
นางได้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ไปแล้ว…
“ต่อให้หลังจากนี้อีกหนึ่งปี ข้าจะร้องขอชีวิตมันกับท่านอาจารย์ที่พึ่งออกจากการปิดด่านได้สำเร็จ…แต่มันก็ไม่มีทางรอดพ้นเงื้อมมือของ ฉีหนานฟง จ้าววังวิญญาณอสุราไปได้”
หวงเหวินจิ้งระบายลมหายใจออกมาอย่างอับจน กล่าวพึมพำเบาๆ
ด้านต้วนหลิงเทียน ตอนนี้ก็ยังคงจมจ่อมอยู่กับภวังค์บ่มเพาะที่คล้ายจะไร้สิ้นสุด ไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้เขาเสมือนสัตว์ร้ายติดบ่วงเสียแล้ว!
ตอนที่ 2,289 : ต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่าน!
วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน เดือนแล้วเดือนเล่าได้ล่วงเลยผ่านไปราวกับสายน้ำ..
คลื่นลมภายในวังเซียนสัญจรนั้นยังคงสงบนัก
อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่นำโดย จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง ที่มาลอยร่างเฝ้ารอเหนือน่านฟ้านอกคฤหาสน์ของรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่อย่างต้วนหลิงเทียนนั้น รู้ดีแก่ใจ
ว่าความสงบเบื้องหน้านั้น ไม่ต่างใดจากความสงบก่อนพายุจะเข้า!
ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ต้วนหลิงเทียนอาศัยอยู่ ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่กลายเป็นสัตว์ติดบ่วง กระทั่งเค่อเอ๋อกับลูกสาว ก่านหรูเยี่ยน และเผิงไหล ก็เสมือนสัตว์ติดบ่วงเช่นกัน!
ตอนนี้ทุกคนรับรู้ชะตากรรมของตัวเองดีจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอก ว่าพวกมันไม่พ้นต้องพบชะตาตายตก!
ในตอนแรกทั้งหลายก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวลนัก…
หากแต่เมื่อเวลาผันผ่านไป ทุกคนก็ตระหนักได้ชัดเจนว่า 4 ทิศ 8 ทางล้วนมืดบอดไร้หนทาง จึงได้แต่ทำใจยอมรับชะตากรรม…
“รอให้จ้าววังอวี่เหวินนั่นออกจากการปิดด่านเมื่อใด…เรื่องบัดซบนี่ก็จักจบๆกันไปเสียที”
ก่านหรูเยี่ยนกล่าวสบถพลางระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองถามเค่อเอ๋อ “เค่อเอ๋อ เจ้านึกเสียใจบ้างหรือไม่?”
“เสียใจ? ท่านหมายถึงอะไรหรือพี่หญิง?”
เค่อเอ๋อย้อนถามด้วยสงสัย
“ข้าจะถามเจ้าว่า เจ้าเสียใจหรือไม่ที่รู้จักมัน เพราะหากเจ้าไม่รู้จักมันแต่แรก ชีวิตของเจ้าก็คงไม่ต้องเผชิญเรื่องราวทุกข์ยากจนต้องตกระกำลำบากอะไรมากมาย สุดท้ายก็ไม่ต้องมานั่งรอวันตายแบบนี้”
ก่านหรูเยี่ยนกล่าวเสริม
“ไม่”
แทบจะทันทีที่เสียงถามไถ่ของก่านหรูเยี่ยนจบลง เค่อเอ๋อก็ส่ายหัวกล่าวปฏิเสธออกมาอย่างแน่วแน่ รอยยิ้มยังคลี่กางบนใบหน้างามหมดจดของนางอย่างสดใสแช่มชื่น “การได้รู้จักพี่เทียนคือเรื่องที่ดีและมีความสุขที่สุดในชีวิตของข้า…”
“สำหรับข้าแล้ว การได้พบกับพีเทียนเป็นดั่งของขวัญที่สวรรค์ประทานให้!”
“ใจข้าเป็นสุขทั้งยินดีนักที่ได้รู้จักกับพี่เทียน กระทั่งได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันกับพี่เทียนหลายปี…ตอนนี้ต่อให้ข้าต้องตายตกลง ข้าก็ไม่มีอันใดให้เสียใจแล้ว”
เค่อเอ๋อกล่าววาจาออกมาเผยความในใจ และเมื่อฟังจากน้ำเสียงทีท่ายิ้มแย้มแจ่มใสยามกล่าวคำของนาง ก็เผยให้เห็นชัดถึงเรื่องราวประการหนึ่ง
นางกล่าวออกมาจากใจจริง!
ถึงแม้จะมีเดาไว้แล้วว่าไม่พ้นเค่อเอ๋อต้องกล่าวออกมาทำนองนี้ แต่ก่านหรูเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านในใจเมื่อได้ยินวาจาจากใจจริงของเค่อเอ๋อ
บุรุษน่าตายนั่นมันดีขนาดนี้เลยเหรอ?
ต่อมาแววตาของก่านหรูเยี่ยนก็กลายเป็นซับซ้อนคล้ายมีเมฆหมอกบดบัง ไม่ทราบว่านางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…
“ท่านแม่ ท่านป้า! นกไฟนั่นขยับ มันขยับแล้ว!!”
ทันใดนั้นเสียงเจื้อยแจ้วหนึ่งพลันดังขึ้น เป็นต้วนซือหลิงที่ชีมือชี้ไม้ไปยัง ‘อีกาทองคำ 3 ขา’ ด้วยท่าทางตื่นเต้นประหลาดใจ
“นี่มัน…”
เผิงไหลที่ไม่ทราบมาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ตอนนี้สายตามันก็มองจ้องไปยังวิหกเพลิงเบื้องหน้าไกลๆด้วยความตื่นตาตื่นใจ ทั้งประหลาดใจไม่น้อย
เค่อเอ๋อกับก่านหรูเยี่ยนก็หันไปมองจ้องยังเรื่องราวทันที
ห่างออกไปไกลๆนั้น เป็นอดีตห้องหับของต้วนหลิงเทียนที่ใช้ปิดด่านบ่มเพาะ หากทว่ามันได้พังทลายลงไปเพราะวิหกเพลิงตัวเขื่องประหนึ่งเนินเขาย่อมๆ และวิหกเพลิงตัวเขื่องนั่นแต่เดิมมันก็เอาแต่ยื่นตระหง่านแน่นิ่งไม่ไหวติงปานรูปปั้น
หากทว่าตอนนี้มันกลับสยายปีกเพลิงออกกว้าง ก่อนที่จะเริ่มกระพือปีก ทั้งยิ่งมายิ่งกระพือปีกถี่รัวขึ้นเรื่อยๆ!
สองตาของมันยามนี้คล้ายดั่งจะมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาอย่างโชติช่วง เปล่งแสงสีทองส่องสว่างเจิดจ้า แม้ที่นี่หาได้มืดมิดอันใด แต่ลำแสงนั่นก็ช่างสว่างไสวนัก!
พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ!
……
ทันทีที่วิหกเพลิงตัวเขื่องเริ่มกระพือปีก คลื่นลมอันรุนแรงก็ซวัดกวาดออกมาทั่ววสารทิศ ซากปรักหักพังเริ่มปลิวกระเด็นวุ่นวาย ธุลีคลีคละคลุ้งประหนึ่งพายุทะเลทรายบังเกิดก็ไม่ปาน!
“บิน…บินล่ะ! มันบินได้ด้วยท่านแม่!!”
เสียงอุทานใสปานระฆังแก้วของต้วนซือหลิงดังขึ้นอีกครั้ง เป็นอีกาทองคำ 3 ขา ที่แต่เดิมแน่นิ่งปานปูนปั้น บัดนี้กลับเริ่มลอยล่องขึ้นมาจากพื้น เหินบินขึ้นไปบนอากาศ!
ถึงแม้มันจะเหินบินขึ้นไปจากพื้นเพียง 10 หมี่ แต่ก็มากพอจะทำให้ทุกคนในที่นี้อัศจรรย์ใจ!
เพราะสุดท้ายแล้ววิหกเพลิงตัวเขื่องนี่ก็ไม่มีลมหายใจ มันไร้ชีวิต!!
“อ้าว…แล้วท่านพ่อล่ะ? ท่านพ่ออยู่ที่ใดแล้วเล่า!?”
พอเห็นอีกาทองคำ 3 ขาบินขึ้นไป ต้วนซือหลิงเดิมทีคิดว่าจะได้เห็นบิดาที่ถูกนกเพลิงปกป้องเอาไว้ แต่นางกลับพบว่า…
หลังจากที่วิหกเพลิงตัวเขื่องบินขึ้นไปลอยค้างอยู่กลางหาวแล้ว ท่ามกลางซากปรักหักพังของห้องหับกลับไร้เงาบิดาของนาง…
ในซากปรักหักพังของห้องหับนอกจากผนังและกระเบื้องรองพื้นห้องทั้งหลังคาที่พังทลายลงไม่มีชิ้นดี ก็เหลือเพียงเตียงไม้ที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่แต่เดิมต้วนหลิงเทียนเคยนั่งบ่มเพาะอยู่บนนั้น ทว่าบัดนี้กลับไร้เงาร่างชายหนุ่มชุดม่วงที่สมควรนั่งอยู่ให้เห็น…
“นายท่านอยู่ภายในตัวของวิหกเพลิงนั่น!”
ต่างจากต้วนซือหลิง เค่อเอ๋อและก่านหรูเยี่ยน เผิงไหลสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายพลังของต้วนหลิงเทียนได้อย่างชัดเจน
“อีกทั้ง…ยามนี้กลิ่นอายพลังจากร่างของนายท่าน มันกำลังทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ!”
“ความรู้สึกนี่มัน…เสมือนว่านายท่านกำลังจะทะลวงด่านพลัง!”
“แต่มิใช่ว่านายท่าน…เดิมทีก็เป็นเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนอยู่แล้วหรอกหรือ? นี่ก็มิได้ผ่านพ้นหายนะทัณฑ์สวรรค์อันใด แล้วไยพลังฝึกปรือของนายท่านยังสามารถเพิ่มพูนขึ้นมาได้อีกเล่า?”
เผิงไหลได้แต่กล่าวพึมพำออกมาด้วยความสับสน มันไม่อาจเข้าใจเรื่องราวตรงหน้าได้จริงๆ…
ว่าที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เห็นได้ชัดว่าเผิงไหลไม่ได้รู้เลยว่าก่อนหน้า นายท่านของมันอย่างต้วนหลิงเทียนนั้น ยังเป็นเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเท่านั้น! มันคิดว่าต้วนหลิงเทียนเป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแต่แรก!!
เพราะจากพลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกให้มันเห็นก่อนหน้า คือพลังอำนาจของขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนชัดๆ!
ถ้าหากนายท่านผู้นี้ของมันมิใช่เซียนสวรรค์ 9เปลี่ยน ไหนเลยจะสังหารอาวุโสหลินหย่วนที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนได้ง่ายดายใน 2 กระบวนท่าราวกับตัดหญ้าฆ่าไก่?
เมื่ออีกาทองคำ 3 ขาที่ควบแน่นขึ้นมาจากพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนบินขึ้น ต้วนหลิงเทียนที่ถูกมันห่อหุ้มคลุมร่างอยู่ก็เหินลอยตามไปด้วยเช่นกัน
“นั่นมันอะไร!?”
หลายคนที่มาเฝ้ารอด้านนอกคฤหาสน์ของต้วนหลิงเทียนบนฟ้า ก็ย่อมสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าวเช่นกัน
“สิ่งนั้น ที่แท้มันคืออะไรกันแน่!?”
จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง ที่ให้ความสนใจกับจวนของต้วนหลิงเทียนมาตลอดเวลา มันย่อมพบเห็นว่าตอนนี้อีกาทองคำ 3 ขาเริ่มบินขึ้นมาบนอากาศแต่แรก คิ้วมันอดขมวดย่นเป็นปมไม่ได้
เพราะมันไม่ทราบจริงๆว่าสิ่งที่เห็นมันคืออะไรกันแน่!
อย่างไรก็ตามมันสามารถมั่นใจได้ในสิ่งหนึ่ง…
นั่นคือ นายน้อยตำหนักเมฆาคราม ที่มันอยากฆ่าให้ตาย…อยู่ภายในร่างของสิ่งนั้น!
“กลิ่นอายพลังของมัน…เหมือนจะทวีความเข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม! ตอนนี้กลิ่นอายที่มันแผ่ออกมา เทียบได้กับพลังของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!”
พอได้ตระหนักได้ถึงเรื่องดังกล่าวอย่างคลุมเครือ ฉีหนานฟง รู้สึกงุนงงทั้งสับสนไม่น้อย
เท่าที่มันรู้มา ไม่ใช่ว่าพลังฝึกปรือของนายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นี้ ก็บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนมาแต่ไหนแต่ไรหรือไง?
“หรือมันสะกดพลังฝึกปรือของตัวเองเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่บ่มเพาะ?”
ฉีหนานฟงได้แต่ลอบคาดเดาไปทำนองนี้
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
…
ในขณะที่เผิงไหลกำลังตกตะลึง และฉีหนานฟงกำลังลอบเดาเรื่องราวในใจ อีกฟากหนึ่งของวังเซียนสัญจร พลันบังเกิดเสียงอัสนีฟาดผ่าดังลั่นสนั่นก้องจนหูแทบหนวก!
และทันทีที่เสียงอัสนีดังระเบิดลงมาจากฟ้าเบื้องบน ก็ทำให้ทุกผู้คนในวังเซียนสัญจรแตกตื่นกันใหญ่!
“นิ…นี่มัน หายนะทัณฑ์สวรรค์ บททดสอบของครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!”
จากภายในคฤหาสน์ที่จ้าววังเซียนสัญจรอาศัยอยู่ รองจ้าววังอย่างอวิ๋นฟู่เหย่ได้เหินร่างออกมาจากเขตที่พักของตัวเองขึ้นมาบนฟ้า มองจ้องไปยังความเปลี่ยนที่บังเกิดขึ้นบนฟ้าเบื้องบน สองตาของมันก็ลุกวาวฉายแสงจ้าด้วยความปิติยินดี ใบหน้ายังฉายชัดถึงความตื่นเต้น! กระทั่งยังเป็นความตื่นเต้นที่ชำแรกแทรกซึมออกมาจากทุกอณูกาย!!
การถือกำเนิดของเมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ นั่นหมายความว่าห้วงเวลาที่อาจารย์ของมันจะก้าวข้ามหายนะได้มาถึงแล้ว!!
เมื่อก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ อาจารย์ของมันย่อมทะลวงถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะ!กลายเป็นตัวตนขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะที่แท้จริง!!
สำหรับเรื่องที่อาจารย์ของมันจะเอาชนะหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้หรือไม่นั้น มันไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจเลย!
นั่นเพราะตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของจ้าววังเซียนสัญจร ผู้ที่ล้มเหลวในการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์นั้น…หามีไม่!
“ไม่คิดเลยว่าท่านอาจารย์จะสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้ปรากฏล่วงหน้าจากที่คำนวณไว้ถึงหนึ่งเดือน…เช่นนั้นหมายความว่าอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ ท่านอาจารย์ก็จักบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้ว!!”
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่อวิ๋นฟู่เหย่ยิ่งตื่นเต้นยินดี ในใจคึกคักอักโขปานลิงโลดนัก!
เมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ ก็เป็นกลุ่มเมฆที่ละม้ายคล้ายเมฆทะมึน หากแต่เป็นเมฆทะมึนห่าใหญ่ปานจะปิดฟ้า ท่ามกลางเมฆทะมึนสีมืดดั่งอนธการนั่น ปรากฏอัสนีสีม่วงแลบลั่นแปลบปลาบ มองไปประหนึ่งมังกรม่วงเลื้อยลดดำผุดดำว่ายไปทั่วเมฆหายนะ!
สิ่งที่แตกต่างจากเมฆหายนะทั่วไปก็คือหากมองทะลุฝ่าความมืดมิดไป จักพบประกายแสงหลากสีสันซุกซ่อนอยู่!
ราวกับมีเมฆหลากสีได้ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังเมฆหายนะทะมึนมืด!
ยิ่งไปกว่านั้นเมฆหลากสีดังกล่าวยังส่องประกายเจิดจรัส! ให้ความรู้สึกสดใสผ่องอำไพถึงขีดสุด!!
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
…
ช่วงแรกที่เมฆหายนะเริ่มก่อตัว เสียงอัสนีผ่าลั่นฟ้าคำรามยังไม่ค่อยถี่สักเท่าไหร่ แต่ยิ่งนานเข้ายิ่งแลเห็นว่าเมฆดำคล้ายจะแห่แหนกันมาจากทุกทั่วสารทิศ! ยังเลื่อนคล้อยมาด้วยความเร็วผิดธรรมชาติ เตรียมมาบรรจบกันเหนือน่านฟ้าวังเซียนสัญจร!!
“นั่นมัน….ทิศทางที่ตั้งคฤหาสน์ของท่านจ้าววังมิใช่หรือ!?”
ภายในวังเซียนสัญจร ชนชั้นอาวุโสรวมถึงศิษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด บัดนี้ทั้งหมดละวางสิ่งที่กระทำ แห่กันออกมาจากเคหะสถาน แหงนคอมองจ้องไปยังเมฆทะมึนกลางหาวด้วยความแตกตื่น!
พวกมันย่อมสามารถยืนยันได้ ว่าทิศทางที่มวลเมฆกำลังจักไปบรรจบกันนั้น ก็คือที่ตั้งของคฤหาสน์จ้าววังของพวกมัน!!
“เมฆดำเหล่านี้กลับมีอัสนีม่วงแลบลั่นแปลบปลาบ อีกทั้งยามสายฟ้าฟาดผ่าแหวกเมฆดำออกมา เบื้องหลังยังคล้ายมีประกายแสงหลากสีสาดส่อง…นี่มัน มิใช่เมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ของครึ่งก้าวเซียนอมตะหรือไร!?”
เหล่าชนชั้นอาวุโสของวังเซียนสัญจรคล้ายจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ลูกตาของพวกมันหดหยีลงทันใด จากนั้นก็อดส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความแตกตื่นไม่ได้!
“เมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ ของครึ่งก้าวเซียนอมตะ!?”
ทันใดนั้นสายตาของเหล่าอาวุโสและเหล่าศิษย์วังเซียนสัญจรก็ลุกวาวสว่างวาบ!
เมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ทั้งหลายกำลังเคลื่อนมาจากทุกทั่วสารทิศและไปบรรจบเหนือน่านฟ้าคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจรของพวกมัน! เรื่องนี้หมายความว่าอะไรพวกมันทั้งหมดล้วนทราบดีอย่างที่ไม่ต้องคาดเดาให้วุ่นวาย!!
“นิ…นี่…ท่านจ้าววังของพวกเรา กำลังจักกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้วหรือ!?”
“ฮ่าๆๆๆ!! ดูเหมือนว่าวังเซียนสัญจรของพวกเรา กำลังจะอุบัติตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้ว!”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเผ่าปีศาจมนุษย์ของพวกเรา จักมีตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะเป็นคนที่ 2! อีกทั้งตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะคนใหม่ ยังเป็นท่านจ้าววังเซียนสัญจรของพวกเราเอง!!”
…
ทุกทั่วหัวระแหงของวังเซียนสัญจร ไม่ว่าจะระดับสูงหรือระดับต่ำล้วนคึกคักกันปานเลือดเดือดพล่านแต่ละคนแลดูตื่นเต้นยินดีนัก!
ในเวลาเดียวกันทางด้านคฤหาสน์ของต้วนหลิงเทียน จ้าววังวิญญาณอสุรา รวมถึงคนของ 2 วัง 6ตำหนักทั้งหลาย ก็ต่างหันมองไปยังทิศทางที่ตั้งคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจรไม่วางตา
นอกจากนั้นยังเป็นทิศทางที่เมฆหายนะจากทุกสารทิศกำลังเคลื่อนมาบรรจบกัน!
ทำให้พวกมันไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยว่า…
คฤหาสน์เบื้องล่างของพวกมันยามนี้ อีกาทองคำ 3ขา ที่ควบแน่นขึ้นมาจากเปลวเพลิงสีทอง ที่เดิมกำลังลอยล่องอยู่กลางอากาศนั้น ได้หดหายหลอมรวมเข้าสู่ร่างชายหนุ่มชุดม่วงอย่างสมบูรณ์!
ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ ก็คือผู้ที่ถูกวิหกเพลิงหรือ อีกาทองคำ 3 ขาปกคลุมซ่อนร่างเอาไว้ก่อนหน้า…
“ท่านพ่อ!!”
พร้อมกันกับที่เสียงเรียกหาด้วยความตื่นเต้นของต้วนซือหลิงดังขึ้น ร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่นั่งขัดสมาธิกลางหาวก็ลืมตาตื่นขึ้นมา!
ต้วนหลิงเทียนได้ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะอย่างเป็นทางการแล้ว…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น