War sovereign Soaring The Heavens 2278-2283

 ตอนที่ 2,278 : อารมณ์ปั่นป่วน!


 


หลังได้ยินคำประกาศแต่งตั้งต้วนหลิงเทียนให้เป็นรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ ทั้งวังเซียนสัญจรก็เดือดพล่านนัก แต่ละคนคึกคักปานถูกฉีดเลือดไก่!


 


ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวโดยตรงอย่างต้วนหลิงเทียนที่ยืนถือป้ายตำแหน่งอยู่ในเขตคฤหาสน์ของ หลู่เวย อาวุโสวังเซียนวังเซียนสัญจรที่ถูกเขาฆ่าตายไปนั้น ก็ได้แต่หันมองไปยังอวี่เหวินฮ่าวเฉินที่อยู่ไม่ไกล ด้วยสายตาหลากอารมณ์


 


อวี่เหวินฮ่าวเฉินคนนี้ เมื่อครู่ยังคล้ายคิดจะลงมือสังหารเขาอยู่เลย


 


แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเปลี่ยนไปราวคนละคน ไม่เพียงแต่จะมอบป้ายประจำตัวบอกฐานะรองจ้าววังให้เขา แต่ยังประกาศแต่งตั้งเขาให้เป็นรองจ้าววังเซียนสัญจร จนดังก้องไปทั้งวังเซียนสัญจร


 


การเปลี่ยนแปลงของเรื่องราวก่อนหน้ากับภายหลัง มันช่างแตกต่างกันราวคนละโลก ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่หายอยู่นานสองนาน


 


จากนั้นอวี่เหวินฮ่าวเฉินก็หันมองมาที่ต้วนหลิงเทียน พร้อมกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “รองจ้าววังต้วน ตอนนี้เจ้าถือว่าเป็นคนของวังเซียนสัญจรเราแล้ว…ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถปฏิบัติตามกฏระเบียบของวังเซียนสัญจรอย่างเคร่งครัด อย่าได้ทำตามอำเภอใจให้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อผู้อื่นอีก…”


 


วาจาท้ายประโยคของอวี่เหวินฮ่าวเฉินนั้นแฝงความนัยไว้ประการหนึ่ง


 


ตราบใดที่ยังเป็นคนที่มีความคิดอยู่บ้าง ย่อมเข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายจะสื่อได้เป็นอย่างดี


 


เจ้า ต้วนหลิงเทียน ตอนนี้เป็นถึงรองจ้าววังเซียนสัญจรแล้ว และยังเป็นคนที่มีฐานะเป็นที่นับหน้าถือตา หวังว่าต่อไปเจ้าที่อยู่ในวังเซียนสัญจร จะไม่บุกไปเข่นฆ่าผู้อื่นเขาแบบนี้อย่างอุกอาจอีกให้เป็นเยี่ยงอย่าง!


 


“เรื่องนี้ขอจ้าววังอย่าได้กังวล…”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจความนัยของอีกฝ่ายดี แต่เขาไม่ได้ติดใจและยึดถือเป็นจริงจังสักเท่าไหร่ นั่นเพราะเขาได้กำจัดศัตรูที่จะเป็นภัยต่อเขาในวังเซียนสัญจรไปหมดแล้ว


 


ต่อไปในภายภาคหน้ายังจะนับประสาอะไรกับคนในวังที่ไม่น่าจะกล้ามาหาเรื่องเขาก่อน


 


ต่อให้มีคนหาญกล้าคิดทำอะไรเขาจริง ต่อให้เขาจะลงมือฆ่ามันทิ้งก็ไม่ถือว่าผิดกฏของวังเซียนสัญจร!


 


ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน อวี่เหวินฮ่าวเฉินก็พยักหน้ารับ


 


หลังจากนั้นอวี่เหวินฮ่าวเฉินก็หันมองไปยังหวงเหวินจิ้งที่ยังอยู่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนไม่ไกล “เหวินจิ้งอาจารย์มีเรื่องสำคัญที่ต้องไปจัดการ…เจ้าเป็นธุระแทนอาจารย์ ช่วยต้อนรับรองจ้าววังต้วนกับภรรยาและลูกสาวให้ดี”


 


กล่าวจบคำ อวี่เหวินฮ่าวเฉิน ก็จากไปดั่งสายลมหอบหนึ่ง


 


‘เวรแล้วไง!’


 


สีหน้าหวงฉี่หลิงเปลี่ยนไปทันทีหลังได้ยินคำทิ้งท้ายของจ้าววังเซียนสัญจร


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่หวงฉี่หลิงหน้าเปลี่ยนสี ใบหน้าเย็นชาของหวงเหวินจิ้งเองก็แปรเปลี่ยนไปมหันต์


 


ภรรยาและลูกสาว?


 


มัน…มันมีภรรยากับลูกสาวแล้ว?


 


ถึงแม้หวงเหวินจิ้งจะเร่งตามอาจารย์ของนางมาที่นี่ แต่นางไม่รู้มาก่อนว่าต้ววนหลิงเทียนจะอยู่ที่นี่ด้วย นับประสาอะไรกับเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีภรรยาและลูกสาวแล้ว


 


“เจ้า…”


 


หวงเหวินจิ้งค่อยๆหันกลับมา ร่างบางของนางสะท้านไปอย่างเห็นได้ชัด สองตาคู่งามมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความไม่เชื่อ “เจ้ามี…ภรรยากับลูกสาวแล้ว…จริงๆหรือ?”


 


ตอนนี้เสียงของหวงเหวินจิ้งไม่เพียงไม่ปะติดปะต่อ ความเย็นชาแต่เดิมบนใบหน้าของนางกลับถูกความวิตกกังวลอย่างหนักเข้ามาแทนที่


 


หวงเหวินจิ้งยามนี้เทียบกับลักษณะเย็นชาไม่แยแสแต่เดิมแล้ว ตอนนี้คล้ายกำลังสตรีที่กำลังจะสิ้นหวังนางหนึ่ง


 


“เป็นเรื่องจริง”


 


เมื่อเผชิญกับคำถามไถ่ของหวงเหวินจิ้ง ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าอย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ยังกล่าวคำราวกับราดรดน้ำมันลงกองเพลิง “ข้ามีภรรยา 2 คน มีลูกชายหนึ่งคนกับลูกสาวหนึ่งคน…ลูกสาวของข้ากับภรรยาคนหนึ่งก็ติดตามข้ามาอยู่ที่วังเซียนสัญจรด้วย..”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนที่ไม่ประสีประสาและไม่รู้ความ ย่อมไม่คิดดึงดันหน่วงรั้งเรื่องราวให้ยืดเยื้อ เขาไหนเลยจะดูไม่ออกว่าหวงเหวินจิ้งมีใจให้เขา เช่นนั้นจึงเลือกจะเด็ดขาดเพื่อให้นางตัดใจได้ตั้งแต่เนิ่นๆ!


 


ถึงแม้เขาจะได้ใช้เวลาร่วมกับหวงเหวินจิ้งแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาย่อมรู้ดีว่านางเป็นสตรีที่หยิ่งทะนงนางหนึ่ง


 


โดยปกติแล้วสตรีในลักษณะนี้ย่อมไม่คิดแบ่งปันบุรุษกับสตรีอื่นแน่นอน!


 


หลังได้ยินคำยืนยันของต้วนหลิงเทียน ใจของหวงเหวินจิ้งก็สะท้านไปอย่างแรง ใบหน้างดงามแสนเย็นชาของนางไม่ทราบกลับกลายเป็นซีดเซียวทดท้อตั้งแต่เมื่อใด


 


“เจ้า…เจ้าไฉนไม่กล่าวเรื่องนี้แต่แรก!”


 


ครู่ต่อมา หวงเหวินจิ้งก็เงยหน้าขึ้นมามองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าท่าทีราวกับจะเค้นถามคาดโทษ


 


ได้ยินน้ำเสียงที่แทบจะเป็นคำสั่งให้ตอบของหวงเหวินจิ้ง ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถือสาอะไรนาง “ปีก่อนเจ้าไม่เคยถามข้าถึงเรื่องนี้ แล้วอยู่ดีๆข้าจะไปบอกเรื่องนี้กับเจ้าทำไม…”


 


ต้วนหลิงเทียนนั้นแม้จะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้วก่อนพูดไป แต่พอเห็นหวงเหวินจิ้งเผยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา


 


ตอนนี้ต่อให้เขาโง่งมแค่ไหน เขาก็รู้ได้ชัดเจนว่าได้เผลอทำร้ายสตรีนางนี้ไปอย่างไม่รู้ตัว…


 


“นั่นสินะ…เป็นข้าไม่เคยถามเจ้าเอง ไหนเลยเจ้าต้องบอกเรื่องนี้กับข้า…”


 


วาจาของต้วนหลิงเทียนเสมือนดาบแหลมคมเล่มหนึ่ง มันเจาะทะลวงเข้ากลางใจหวงเหวินจิ้งอย่างแรง พาลให้ร่างบางสะท้านไปอีกครั้ง ความเศร้าเริ่มปรากฏให้เห็นบนหน้างาม


 


จากนั้นร่างหวงเหวินจิ้งก็ไหววูบก่อนจะเหินร่างขึ้นฟ้าทิ้งต้วนหลิงเทียนเอาไว้เบื้องล่าง


 


“หวงฉี่หลิงเรื่อง ข้าฝากเรื่องมันให้เจ้าจัดการ”


 


ก่อนที่หวงเหวินจิ้งจะจากไป นางก็ส่งเสียงผ่านพลังไปสั่งหวงฉี่หลิง น้ำเสียงของนางหวนกลับมาเย็นชาอีกครั้ง


 


ได้ยินคำสั่งดังกล่าว หวงฉี่หลิงอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มแห้งๆออกมา


 


ด้านหวงเหวินจิ้งหลังเหินร่างไปไกลจนลับตาต้วนหลิงเทียนกับหวงฉี่หลิงแล้ว หยาดน้ำตาสองสายก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งรินลงมารดแก้มงามเป็นทาง…


 


ปีที่แล้ว นางได้ถูกบุรุษผู้นั้นฉกชิงหัวใจไป…


 


ตลอดปีที่ผ่านนอกจากจดจ่ออยู่กับการบ่มเพาะพลังแล้ว ในใจของนางก็ปรากฏร่างชายหนุ่มชุดม่วงขึ้นมาปั่นป่วนใจให้วุ่นวายอยู่ร่ำไป อีกฝ่ายประหนึ่งฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนให้นางอับจน


 


บางครั้งเรื่องเล็กๆน้อยๆระหว่างหญิงชายก็กกลายเป็นภาพฝันแสนวิเศษนัก…


 


ตลอดทั้งปีหวงเหวินจิ้งที่ปักใจในต้วนหลิงเทียน อีกฝ่ายได้หยั่งรากลึกในใจของนางอย่างยากจะถอน อนิจจาพอได้รับทราบว่าอีกฝ่ายกลับมีภรรยาและลูกสาวอยู่แล้ว วิมานฝันที่วาดหวังเอาไว้ก็ได้พังทลายลง ใบหน้ายังไม่อาจคงไว้ซึ่งความเย็นชาได้อีกต่อไป


 


ตอนนี้หวงเหวินจิ้งดั่งสตรีที่ใจสลายคนหนึ่ง แผ่นฟ้าโลกหล้ากลับอ้างว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมา


 


ภาพฝันสวยหรูที่นางเคยวาดเอาไว้…


 


ความสุขความยินดีตอนที่ได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนมาถึงวังเซียนสัญจรแล้วก่อนหน้า…


 


ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนเรื่องตลกชวนหัวที่สุดในโลกหล้า!


 


หวงเหวินจิ้งเหินร่างจากไปโดยไม่มีแม้แต่คำลา ย่อมทำให้สีหน้าต้วนหลิงเทียนเหยเกอยู่บ้าง


 


“น้องหลิงเทียน น้องเหวินจิ้งฝากฝังเจ้าไว้กับข้าก่อนที่นางจะจากไป…เดี๋ยวข้าจะเป็นธุระจัดการเรื่องหยุมหยิมทั้งหลายให้เจ้าเอง”


 


ไม่นานหวงฉี่หลิงก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนพลางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


“รบกวนท่านแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “เช่นนั้นตอนนี้พวกเรากลับไปรับคนก่อนเถอะ…”


 


ในขณะที่เดินทางกลับ หวงฉี่หลิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “น้องหลิงเทียน เจ้าก็อย่าได้ถือสาทีท่าของน้องเหวินจิ้งเลย…นางเป็นดั่งเจ้าหญิงของวังเซียนสัญจรของพวกเราก็ว่าได้ แต่เล็กจนโตนางมีอำนาจเหนือผู้อื่นมาตลอด จึงทำให้นางอดหยิ่งยะโสถือดีไม่ได้”


 


“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตัวนางมีแต่บุรุษที่คอยมาเฝ้าล้อมเวียนวนพยายามเอาอกเอาใจนางไม่ว่างเว้น หากแต่นางก็ไม่เคยเห็นบุรุษใดอยู่ในสายตา…จนกระทั่งนางได้พบกับเจ้า…”


 


“อย่างไรก็ตามแม้ข้าจะคิดไว้แต่แรกแล้วว่านางสมควรมีใจให้เจ้า…แต่ไม่คิดเลยว่านางจะหลงรักปักใจเจ้าถึงขั้นนี้ เป็นรักลึกล้ำแต่วาสนากลับเจือจางโดยแท้…”


 


กล่าวจบหวงฉี่หลิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกเฮือก…


 


จากทีท่าของหวงเหวินจิ้ง หวงฉี่หลิงที่เห็นนางมาแต่เด็กไหนเลยจะมองไม่เห็นรักลึกซึ้งของนาง


 


ไม่นานหวงฉี่หลิงก็พาต้วนหลิงเทียนกับพวกไปเข้าที่พักประจำตำแหน่ง และจัดการเรื่องราวต่างๆให้อย่างเรียบร้อย


 


และเรื่องที่อยู่ๆก็อุบัติขึ้นในวังเซียนสัญจรวันนี้ ไม่เพียงแพร่กระจายไปทั่ววังเซียนสัญจรดั่งมหาพายุ ยังแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งดั่งมรสุมในเวลาอันสั้น


 


วังเซียนสัญจรนั้น เป็น 1 ใน 3 วัง 6 ตำหนัก อันเป็นขุมพลังระดับแนวหน้าของเผ่าปีศาจมนุษย์ แน่นอนว่าเรื่องราวใดๆย่อมเป็นที่สนใจของสมาชิกเผ่าปีศาจมนุษย์นัก


 


ด้วยวันนี้ในวังเซียนสัญจรกลับเกิดเรื่องราวขึ้นมามากมายทั้งใหญ่โตเพียงนี้ ย่อมทำให้คนเผ่าปีศาจมนุษย์ส่วนใหญ่ตื่นตกใจกันไม่น้อย


 


ณ วังอัคคีสีชาด


 


“พวกเจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือยัง…วันนี้มียอดฝีมือคนหนึ่งบุกไปฆ่าผู้อาวุโสของวังเซียนสัญจรอย่างอุกอาจถึง 2 คน…ที่สำคัญหนึ่งในผู้อาวุโสที่ตกตายของวังเซียนสัญจรก็คือ หลินหย่วน!”


 


“อะไรนะ? หลินหย่วน? นั่นไม่ใช่อาวุโสของวังเซียนสัญจรที่ระดับพลังบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนหรือไร ยอดฝีมืออะไรนั่นฆ่ามันได้ด้วย…เจ้ายอดฝีมือนั่นเป็นใครกัน?”


 


“เป็นยอดฝีมือหนุ่มคนหนึ่ง…เห็นว่าเมื่อปีที่แล้ว ก็เป็นเจ้านี่ที่ฆ่าหลานของหลินหย่วน หลินฉีกัง หน้ามรดกสถาน”


 


“ว่าอะไร? เจ้าบอกว่าคนที่ฆ่าหลินฉีกังนั่นมีพลังฝีมือสูงถึงขั้นฆ่าหลินหย่วนได้งั้นเหรอ?”


 


“ไม่ใช่มีพลังสูงถึงขั้นฆ่าหลินหย่วนได้เท่านั้น…เจ้านั่นมันกระทั่งอาศัยเพียง 2 กระบวนท่าฆ่าหลินหย่วน!”


 


“2 กระบวนท่า? เจ้าล้อข้าเล่นเหรอ?”


 



 


ข่าวดังกล่าวย่อมแพร่มาถึงวังวิญญาณอสุราด้วยเช่นกัน และสร้างความแตกตื่นให้พวกมันไม่น้อย


 


ณ โถงหลักของวังวิญญาณอสุรา


 


“แล้วยอดฝีมือหนุ่มนั่นเป็นอย่างไรต่อ ใช่จ้าววังเซียนสัญจรออกโรงฆ่ามันทิ้งด้วยตัวเองหรือไม่?”


 


“นั่นสิ มันสมควรตายไปแล้วใช่หรือไม่…ในเมื่อมันกล้าก่อเรื่องอุกอาจถึงหน้าวังเซียนสัญจรเช่นนี้ จ้างวังอวี่เหวินไหนเลยจะทนให้มันหยามหน้าได้”


 


“จ้าววังอวี่เหวินนั่น สำนึกรู้ฟ้าดินของมันสูงล้ำยิ่ง เจียนชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมาเต็มที ในเผ่าปีศาจมนุษย์เราคนที่รับมือมันได้นอกจากปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะก็มีแค่ไม่กี่ตนเท่านั้น…หากมันลงมือ ไอ้หนุ่มนั่นตายแน่!”


 


“ฮ่าๆๆ…ข้าเกรงว่าพวกเจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว เจ้าหนุ่มนั่นยังไม่ตาย”


 


“อะไร?”


 



 


1 ใน 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจมนุษย์อย่างตำหนักขจีจรัสเองก็ตื่นตระหนกกันยกใหญ่


 


ในพื้นที่แห่งหนึ่งของตำหนักขจีจรัส


 


“เจ้าหนุ่มนั่นกลับไม่ตายหรือ ได้อย่างไร? หรือมันหนีไปก่อนที่จ้าววังอวี่เหวินจะลงมือ?”


 


“ไม่ใช่อย่างนั้น…เหตุผลที่มันไม่ตายเห็นว่ากันว่า เพราะมันคิดเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจรแต่แรก ไม่ได้คิดบุกไปฆ่าคนอย่างอุกอาจอะไรทั้งสิ้น! อีกทั้งมันยังเป็นผู้ฝึกมารไร้สังกัดของเผ่าปีศาจมนุษย์ที่มีสายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์!!”


 


“อันใด!? มัน…มันเป็นผู้ฝึกมารไร้สังกัดของเผ่าปีศาจมนุษย์เรา?”


 


“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…ที่เผ่าปีศาจมนุษย์เรากลับมีผู้ฝึกมารไร้สังกัดที่มีพลังฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้! อาศัย 2 กระบวนท่าฆ่าอาวุโสวังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอย่างหลินหย่วนหรือ…เช่นนั้นมันสมควรเป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!!”


 


“หมายความว่า…ตอนนี้มันได้เข้าร่วมกับวังเซียนสัญจรแล้วใช่หรือไม่?”


 



 


นอกจากวังอัคคีสีชาด วังวิญญาณอสุรา และตำหนักขจีจรัส 1 ใน 6 ตำหนักแล้ว อีก 5 ตำหนักที่เหลือของเผ่าปีศาจมนุษย์ก็ทยอยกันได้รับทราบข่าวอันน่าตื่นตระหนกนี้กันหมด


 


“ชายหนุ่มผู้นั้นเรียกว่าต้วนหลิงเทียน และตอนนี้มันได้รับการประกาศแต่งตั้งจากจ้าววังเซียนสัญจรให้เป็นรองจ้าววังของวังเซียนสัญจรด้วยตัวเอง”


 


“หมายความว่า…นับตั้งแต่วันนี้ วังเซียนสัญจรมีเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเพิ่มขึ้นอีกคนแล้วสิ…”


 



 


บรรดาผู้ที่ดีใจหลังได้ยินเรื่องที่หลินหย่วนอาวุโสเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนของวังเซียนสัญจรถูกฆ่า ถึงกับหน้าม้านไปทันใด


 


เพราะเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่า…


 


ความแข็งแกร่งของวังเซียนสัญจรกลับเพิ่มขึ้นไม่ใช่ลดลงหรือไร?


ตอนที่ 2,279 : ความมุ่งมั่นของต้วนหลิงเทียน


 


ยอดฝีมือหนุ่มคนหนึ่งมาเยือนวังเซียนสัญจร แม้จะเกิดเรื่องมากมายแต่สุดท้ายกลับได้เป็นรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่! ที่สำคัญยอดฝีมอผู้นั้นเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!!


 


ในเวลาอันสั้นข่าวดังกล่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองเหรินโม่เชิ่ง


 


หลังจากข่าวแพร่ไปทั่วเมืองเหรินโม่เชิ่งแล้ว มันก็หาได้หยุดลงที่เมืองนี้แต่อย่างใด ยังคงแพร่ออกไปทุกสารทิศไม่หยุดหย่อน จนในที่สุดเหล่าปีศาจที่บุกขึ้นมาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างส่วนใหญ่ก็ได้ยินข่าวเรื่องราวครั้งนี้


 


“โชคของวังเซียนสัญจรไฉนถึงได้ดีนัก? กลับมีรองจ้าววังของเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจริงๆ?”


 


“ไม่ผิด ว่ากันว่ารองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่นี้เดิมทีเป็นผู้ฝึกมารมนุษย์ที่ไร้สังกัด…แต่ในที่สุดมันก็เลือกจะเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจร!”


 


“แถมข้าได้ยินมาว่ารองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่หาได้ง่ายดายนัก แรกมาถึงวังเซียนสัญจรมันก็เข่นฆ่าอาวุโสขอบเขตของวังเซียนสัญจรทิ้งไป2 คน…แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นอาวุโสขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอีก!”


 


“เจ้านั่นมันไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยหรือ?”


 



หลังจากนั้นไม่นาน บอกได้ว่าไม่เพียงแต่เมืองเหรินโม่เชิ่งเท่านั้นที่คุยกันถึงเรื่องนี้ เมืองของเผ่าปีศาจเผ่าอื่นๆก็คุยกันถึงเรื่องราวดังกล่าวกันหนาหู


 


ทุกคนพากันรับทราบ ว่าวังเซียนสัญจร 1 ใน 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจมนุษย์ ได้มีรองจ้าววังขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนปรากฏตัวขึ้น!


 


ข่าวเรื่องนี้สำหรับบเผ่าปีศาจเผ่าอื่นย่อมไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับเผ่าปีศาจมนุษย์นับเป็นเรื่องใหญ่มาก!


 


นอกจากนี้คนของเผ่าปีศาจมนุษย์ยังได้รู้อีกด้วยว่า…


 


รองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจร เรียกว่าต้วนหลิงเทียน!


 


“รองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรเรียกว่าต้วนหลิงเทียนงั้นเหรอ? เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเรื่องนี้ได้ยินมาไม่ผิด”


 


ภายในเหลาอาหารแห่งหนึ่งของเมืองเหรินโม่เชิ่ง ปีศาจตนหนึ่งหันไปมองถามสหายปีศาจที่นั่งร่วมโต้ะด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดใจ ราวกับพึ่งได้ยินเรื่องราวอันน่าทึ่ง


 


“มิผิดหรอก เรียกว่าต้วนหลิงเทียนจริงๆ…อะไร เจ้ารู้จักมันหรือ?”


 


ฝ่ายหลังกล่าวถามออกมาด้วยสงสัย


 


“ไม่ๆ…ข้ามิได้รู้จักมัน เพียงแต่ข้าเพียงนึกถึงคนที่ชื่อ ต้วนหลิงเทียน ขึ้นมา แต่ทว่าคนๆนั้นเป็นมนุษย์ของแดนเซียนแห่งนี้มิใช่คนของเผ่าปีศาจมนุษย์”


 


ปีศาจตนแรกกล่าวพลางส่ายหัวไปมา


 


“โอ๊ะ จะว่าไปพอเจ้าพูดออกมาแบบนี้ข้ากกลับจดจำได้เรื่องหนึ่ง…ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าไฉนยามได้ยินนามต้วนหลิงเทียนครั้งแรกข้ารู้สึกคุ้นๆ ว่าแต่ต้วนหลิงเทียนที่เจ้าว่าเป็นผู้ใดหรือ?”


 


ปีศาจตนหลังกล่าวถามออก


 


ถึงแม้บทสนทนาของพวกกมันสองตนจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ผู้คนที่นั่งโต๊ะรอบๆพวกมันย่อมได้ยินบทสนทนาของพวกมันชัดถนัดหู


 


“จะว่าไปข้าก็รู้สึกแบบนั้นนะ…”


 


“นั่นสิข้าเองก็คล้ายว่าจะเคยได้ยินชื่อต้วนหลิงเทียนมาก่อน มันคุ้นๆหูพิกล แต่ข้าจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาจากไหน”


 



 


ในเหลาอาหารเริ่มมีปีศาจเข้าร่วมบทสนทนาดังกล่าว


 


พวกมันเองก็รู้สึกว่าชื่อของรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่นี้คุ้นๆหูพิกล แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน


 


“อะไรกัน นี่พวกเจ้าจะขี้ลืมกันเกินไปหน่อยแล้วมั้ง?”


 


ทว่าตอนนี้เองพลันมีปีศาจมนุษย์ตนหนึ่งที่นั่งอยู่ในมุมสุดด้านหนึ่งของเหลา กล่าวออกเสียงดัง


 


ความดังของเสียงมันเรียกว่ากลบเสียงสนทนาเซ็งแซ่ของเหลาส่วนนั้นไปหมด “นี่พวกเจ้าลืมเลือนกันไปแล้วหรือยัง ว่าสถานที่ตั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งของพวกเรา แต่เดิมมันเคยเป็นดินแดนของผู้ใดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า?”


 


“เพ่ย! เรื่องเท่านี้ไหนเลยพวกเราจะลืมกันได้ง่ายๆ ที่นี่เป็นสถานที่ตั้งของตำหนักเมฆาคราม ขุมพลังของพวกมนุษย์มัน!”


 


“ใช่แล้ว ก่อนที่เผ่าปีศาจมนุษย์ของพวกเราจะมายึดครองพื้นที่แถบนี้ เห็นว่ามันเป็นอาณาเขตของตำหนักเมฆาคราม แถมตำหนักเมฆาครามที่ว่าก็เป็นถึง 1 ใน 2 ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง”


 



 


เหล่าปีศาจมนุษย์ในเหล่าขานตอบกันอย่างคึกคัก


 


“ฮ้า! มารดามันเถอะ ข้าจำได้แล้ว!!”


 


ทันใดนั้นเองปรากฏเสียงอุทานหนึ่งดังขึ้น


 


เป็นปีศาจมนุษย์คนหนึ่งที่ถึงกับลุกขึ้นยืน มันโพล่งกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ไม่ใช่ลูกชายคนเดียวของจ้าวตำหนักเมฆาครามที่ลือกันว่าเคยมีตราผนึกมารอยู่ในครอบครอง…เรียกว่าต้วนหลิงเทียนหรือไร?!”


 


“เพ่ย! ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าไฉนชื่อนี้มันถึงได้คุ้นหูนัก ไม่น่าแปลกใจเลยที่แท้เป็นชื่อของนายน้อยตำหนักเมฆาครามนี่เอง!!”


 


“อัยยะ โลกนี้พิศวงยิ่ง! ไม่คิดเลยว่ารองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ กลับมีชื่อเหมือนกับนายน้อยตำหนักเมฆาครามที่เคยตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ซะได้!!”


 


“ว่ากันว่านายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นี้หลังถูกชิงตราผนึกมารไป ไม่นานมันก็ขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบน…แต่ตอนนี้ด้วยความที่มหาค่ายกลข้ามแดนเชื่อมภูมิภาคเบื้องบนกับเบื้องล่างถูกทำลาย ข้าเกรงว่าป่านนี้มันยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าบ้านมันบึ้มแล้ว ตำหนักเมฆาครามอันใดไม่มีเหลือให้มันกลับมาอีกต่อไป…”


 


“ถึงแม้จะมีนามเหมือนกัน แต่ชีวิตนายน้อยนั่นมันช่างน่าอนาถยิ่ง แต่โลกเราก็เป็นเช่นนี้…”


 



 


พอตระหนักได้ว่ารองจ้าววังเซียสัญจรคนใหม่ กลับมีนามเหมือนกันกับนายน้อยตำหนักเมฆาคราม เหล่าปีศาจมนุษย์ในเหลาก็เริ่มสนทนากันถึงเรื่องนี้อย่างสนุกสนาน


 


นอกจากนั้นยังมีเผ่าปีศาจมนุษย์บางตนที่เคยใช้ทักษะควาญวิญญาณกับมนุษย์ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างที่อาศัยอยู่แถบนี้ จึงได้เคยเห็นรูปเหมือนของนาน้อยตำหนักเมฆาครามนาม ต้วนหลิงเทียน มาก่อน แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ในสายตาของพวกกมันก็แค่เรื่องบังเอิญ แค่ชื่อรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ดันไปเหมือนนายน้อยตำหนักเมฆาครามเท่านั้น


 


และต้องนับว่ายังโชคดีนัก ว่ามีปีศาจในเผ่าปีศาจมนุษย์แค่น้อยคนนักที่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนมาก่อน ที่สำคัญเลยก็คือพวกกมันยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตารองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่!


 


หาไม่แล้วพวกมันคงได้ค้นพบว่า…


 


รองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ที่มีนามว่าต้วนหลิงเทียนนั้น กลับมีหน้าตาเหมือนกันกับต้วนหลิงเทียนผู้เป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามราวกับแกะ!!


 


และนี่เป็นเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทันนึกถึง


 


ไม่อย่างนั้นถึงไม่เปลี่ยนชื่อ แต่เขาก็ต้องปลอมแปลงรูปโฉมเพื่อปลอมตัวแน่นอน


 


ส่วนตอนนี้ด้านต้วนหลิงเทียนนั้น หลังได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากจ้าววังเซียนสัญจรแล้ว เขาก็พาครอบครัวย้ายจากคฤหาสน์สำหรับรับรองแขกไปเข้าอยู่คฤหาสน์ส่วนตัวประจำตำแหน่งรองจ้าววังทันที


 


ที่ตั้งของคฤหาสน์ส่วนตัวนี้นับว่ากว้างขวางและไม่แออัด ในละแวกใกล้เคียงมีคฤหาสน์ตั้งอยู่เพียงไม่กี่หลังเท่านั้น


 


ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ บริเวณพื้นที่แถบนี้มีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นกว่าจุดอื่นในวังเซียนสัญจรมาก


“ข้าว่าจะปิดด่านบ่มเพาะสักระยะ หากมีเรื่องด่วนใดๆเจ้าสามารถมาเรียกข้าได้…แต่ถ้าไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรไม่จำเป็นต้องมาเรียกหาข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนมองชายวัยกลางคนเบื้องหน้า ทั้งกล่าวกำชับเสียงหนัก


 


ฟังแล้วก็บอกได้ทันที…ว่านี่คือคำสั่ง!


 


“ขอรับนายน้อย”


 


ชายวัยกลางคนดังกล่าวก็รับคำด้วยท่าทีสุภาพ ทำราวกับมันเป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง


 


ยังดีที่บริเวณนี้ไม่มีใครอื่นผ่านมาแลเห็น หาไม่แล้วหากได้เห็นฉากดังกล่าวคงได้ตกใจกันไม่น้อยแน่!


 


นั่นเพราะชายวัยกลางคนที่ทำตัวราวกับข้ารับใช้นั้น…มิใช่ชนชั้นไก่กา! หากแต่มันเป็นถึงอาววุโสคนหนึ่งของวังเซียนสัญจร!!


 


สำหรับวังเซียนสัญจรแล้ว ชนชั้นอาวุโสนับว่ามีตำแหน่งฐานะไม่ต่ำทราม กระทั่งกล่าวได้ว่ายังมีอำนาจไม่น้อย ถึงแม้เป็นธรรมดาที่ต้องให้ความเคารพรองจ้าววัง แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องทำตัวต่ำต้อยประหนึ่งข้ารับใช้แบบนี้!


 


ทว่าตอนนี้ชนชั้นอาวุโสคนหนึ่งของวังเซียนสัญจร ไม่เพียงแต่จะก้มหัวมากคารวะต่อชนชั้นรองจ้าววังอย่างนอบน้อมผิดปกติ แต่ยังใช้คำเรียกหาว่า ‘นายน้อย’ ไม่ใช่รองจ้าววังอย่างที่ควรจะเป็น!


 


“ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเบา พร้อมโบกมือส่งๆ ชายวัยกลางคนที่เป็นชนชั้นอาวุโสดังกล่าวก็ประสานมือโค้งหัว ก่อนที่จะจากไป


 


ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอาวุโสคนหนึ่งที่ต้วนหลิงเทียนกับพวกพบเจอตั้งแต่วันแรกที่มาถึงวังเซียนสัญจร อีกฝ่ายก็คืออาวุโสขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนที่มาถึงไล่เลี่ยกับหลินหย่วน นามว่า เผิงไหล!


 


ต้วนหลิงเทียนคิดจะดึงตัวเผิงไหลมาอยู่ข้างตัวเองแต่แรก ดังนั้นเขาจึงจงใจสั่งคนรับใช้ในคฤหาสน์ไปตามตัวเผิงไหลมาเข้าพบ หลังจากนั้นเขาก็ชวนให้เผิงไหลออกจากวังเซียนสัญจรไปทำธุระในเมืองเหรินโม่เชิ่งกับเขา


 


ทว่าหลังออกจากวังเซียนสัญจรแล้วต้วนหลิงเทียนไม่เพียงพาอีกฝ่ายออกจากเมืองเหรินโม่เชิ่ง ยังพาอีกฝ่ายออกไปไกลห่างจากเมืองเหรินโม่เชิ่ง


 


และที่ต้วนหลิงเทียนพามันออกไปไกลนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หากแต่พามันไปไล่ตระเวนเข่นฆ่าปีศาจเผ่าอื่นที่พบเจอราวผักปลา ยังฆ่าล้างสังหารปีศาจไปนับไม่ถ้วน เพื่อยกระดับพรสววรรค์รากวิญญาณของมันให้กลายเป็นสีครามเข้ม!


 


“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้ามี 2 ทางให้เลือกเดิน…หนึ่งคือกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าจะจงรักภักดีกับข้า และหากเจ้าประพฤติตัวดีๆ วันหน้าข้าจะยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าให้กลายเป็นสีม่วง…ส่วนทางเลือกที่ 2 คือ ตาย!”


 


ในขณะที่เผิงไหลกำลังตื่นตระหนกตกใจไปด้วยความยินดีอย่างหาที่สุดไม่ได้ เพราะรากวิญญาณของมันกลับยกระดับขึ้นมาจนกกลายเป็นรากวิญญาณสีครามเข้ม ต้วนหลิงเทียนก็หยุดลงทั้งกล่าวบอกทางเลือกให้มัน เลือก!


 


แม้จะกะทันหันจนสร้างความแปลกใจอยู่บ้าง แต่เผิงไหลก็เลือกหนทางแรกอย่างไม่เสียเวลาคิด กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้ายอมรับต้วนหลิงเทียนเป็นเจ้านายและจะจงรักภัคดีกับต้วนหลิงเทียนทันที


 


“รากวิญญาณสีม่วง…”


 


เผิงไหลอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นสุดขีดเมื่อได้รับทราบว่า ตัวมันผู้นี้วันหน้ากลับมีโอกาสที่จะได้มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงในตำนาน!


 


‘นายน้อยของข้าผู้นี้ที่แท้เป็นยอดคนมาจากที่ใดกันแน่ ไฉนถึงได้มีพลังอันน่ากลัวถึงขั้นสามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณแต่กำเนิดให้ผู้คนได้! พลังอำนาจถึงขั้นฝืนลิขิตสววรรค์เช่นนี้หากข้าไม่มาเจอกับตัวให้ตายข้าก็ไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง!!’


 


ขณะเดียวกันในใจของเผิงไหลก็บังเกิดความหวาดกลัวต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างมาก


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ต้วนหลิงเทียนคนนี้กลับมีพลังอำนาจที่จะยกระดับพรสสรรค์รากวิญญาณให้ผู้อื่นได้!


 


ต้องทราบด้วยว่าเรื่องราวดุจดั่งนิทานอภินิหารเช่นนี้ ต่อให้เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะก็ทำไม่ได้!


 


ด้วยวิธีนี้ต้วนหลิงเทียนจึงได้เผิงไหลมาติดตามข้างกาย ถึงแม้ผิวเผินเผิงไหลจะยังคงดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสของวังเซียนสัญจรเหมือนเดิม หากแต่มันก็ยึดถือต้วนหลิงเทียนเป็นนายน้อย


 


‘ตอนนี้ซือหลิงก็ติดใจการปิดด่านบ่มเพาะซะแล้ว เค่อเอ๋อเองก็ปิดด่านบ่มเพาะเหมือนกัน…ถ้างั้นข้าก็เร่งยกระดับพลังดีกว่า’


 


หลังเผิงไหลจากไป ต้วนหลิงเทียนก็กลับไปปิดด่านบ่มเพาะพลังทันที


 


ก่อนหน้าเมื่อได้ปะทะกับอวี่เหวินฮ่าวเฉินจ้าววังเซียนสัญจร นับว่าเป็นแรงกระตุ้นครั้งใหญ่สำหรับต้วนหลิงเทียนก็ว่าได้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


 


วันนั้นโชคดีที่อวี่เหวินฮ่าวเฉินไม่คิดฆ่าเขา


 


หาไม่แล้วเขาได้ตายแน่!


 


แน่นอนว่านั่นต้องหมายความว่าตราผนึกมารไม่อาจฆ่าอวี่เหวินฮ่าวเฉินได้ก่อน


 


‘เปลี่ยนที่ 9 ของขอบเขตเซียนสวรรค์ จะทำให้ผู้ฝึกตนสามารถรับรู้ถึงฟ้าดิน เมื่อบังเกิดสำนึกรู้ต่อฟ้าดินได้ในระดับหนึ่ง ก็จะสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้ปรากฏ…และในขั้นตอนรับรู้ฟ้าดินนี้ มันจะส่งผลต่อพลังเซียนต้นกำเนิดของผู้ฝึกตนโดยตรง!’


 


ได้เห็นการลงมืออันทรงพลังที่ประหนึ่งมีฟ้าดินหนุนเสริมนั่นของอวี่เหวินฮ่าวเฉิน ทำให้ต้วนหลิงเทียนปรารถนาจะทะลวงด่านพลังให้ถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนโดยเร็วที่สุด!


 


เพราะตราบใดที่เขาทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เขาก็สามารถหยั่งถึงฟ้าดิน ทำความเข้าใจมัน เมื่อสำนึกรู้ฟ้าดินของเขามากถึงระดับหนึ่ง มันจะส่งเสริมพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาให้กลายเป็นร้ายกาจมากยิ่งขึ้น!


 


หาไม่แล้วพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาก็จะถูกจำกัดให้ทัดเทียมกับพลังเซียนต้นกำเนิดของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่พึ่งทะลวงด่านพลังอยู่ร่ำไป!


 


และด้วยความที่พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาตอนนี้กล่าวได้ว่าสามารถเร่งเร้าให้ถึงขีดสุดเท่าที่พลังเซียนต้นกำเนิดขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจะบรรลุถึงได้แล้ว ทำให้ต่อให้เขาจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนสรรค์ 8 เปลี่ยน พลังรบสูงสุดของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง!


 


ข้อดีเพียงอย่างเดียวหากบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนก็คือ เขาสามารถเข้าใจวิธีการถอดจิตลี้ร่าง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนได้ และสามารถถอดวิญญาณเพื่อหลบหนีอันตรายถึงตายได้อย่างไม่ต้องกังวล เพราะยามนั้นวิญญาณของเขาสามารถท่องไปใต้สวรรค์และโลกอย่างไร้ข้อจำกัด


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงต้องการที่จะเพิ่มพูนพลังฝีมืออย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นทะลวงให้ถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเพื่อจะได้หยั่งถึงฟ้าดิน หรือตีความขอบเขตที่ 4 ของยอดใจกระบี่เพื่อให้บรรลุถึงขอบเขตที่ 4 ให้จงได้


 


แต่สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็เลือกอย่างแรก


 


‘เผ่าพันธุ์ปีศาจสมควรตั้งรกรากที่ภูมิภาคเบื้องล่างได้อย่างมั่นคงแล้ว…อีกไม่นานพวกมันต้องดำเนินการตามแผนขั้นต่อไป และจัดตั้งมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อบุกไปยังภูมิภาคเบื้องบนแน่!’


 


‘ก่อนที่จะถึงวันนั้น ข้าต้องทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนให้จงได้!’


 


ปิดด่านครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นนัก!


ตอนที่ 2,280 : ตัวตนถูกเปิดเผย!


 


การปิดด่านบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนนั้น ได้ทำให้ใครหลายๆคนในวังเซียนสัญจรจำต้องผิดหวัง


 


บรรดาผู้ที่ผิดหวังเหล่านี้ นอกจากชนชั้นอาวุโสของวังเซียนสัญจรแล้ว ยังมีชนชั้นรองเจ้าวังเซียนสัญจรอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นก็รวมถึงบิดาของหวงฉี่หลิงด้วย!


 


บิดาของหวงฉี่หลิงคนนี้ แม้จะเป็นชนชั้นรองจ้าววังเซียนสัญจรก็จริง หากแต่พลังฝีมือเพียงเหนือกว่าชนชั้นผู้อาวุโสเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น และท่ามกลางรองจ้าววังทั้งหลาย มันก็คือผู้ที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุด


 


หาไม่แล้วนายน้อยสวะที่เป็นลูกหลานของเหล่าอาวุโสวังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนทั้ง 3 คงไม่กล้าใช้ท่าทีแบบนั้นต่อหวงฉี่หลิง


 


“น้องหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะงั้นเหรอ?”


 


หวงฉี่หลิงก็พึ่งได้รับทราบถึงการปิดด่านของต้วนหลิงเทียน


 


ด้วยเหตุนี้ ต้วนหลิงเทียน รองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ของวังเซียนสัญจร ก็ได้ปิดประตูไม่รับแขก ไร้ผู้ใดสามารถเข้าพบได้อีกเลย


 


เมื่อวันเวลาผ่านไป ภายในเมืองเหรินโม่เชิ่ง กระทั่งในเผ่าปีศาจทั้งหลายก็ค่อยๆกล่าวถึงเขาน้อยลง


 


เวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง


 


นี่เป็นอมตะววาจาโดยแท้


 


เพียงแค่พริบตา กาลเวลาก็ได้ล่วงเลยไปอีก 1 ปี


 


และตอนนี้บทสนทนาในเมืองเหรินโม่เชิ่ง ไม่เว้นแม้แต่ทั่วทุกเมืองของเผ่าปีศาจ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องของต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป


 


สิ่งที่พวกมันกำลังให้ความสนใจกันตอนนี้ก็คือ การจัดตั้ง ‘มหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค’ โดยเหล่าปรมาจารย์จารึกเซียนของเผ่าปีศาจ


 


“สหาย เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้หรือยัง มหาค่ายกลใกล้ถูกจัดตั้งถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว…จากนี้อาจใช้เวลาแค่เพียง 1-2 ปี หรือกระทั่งอย่างช้าก็ 2-3 ปี พวกเราก็จะสามารถบุกขึ้นไปเข่นฆ่าไอ้พวกมนุษย์ในภูมิภาคเบื้องบนได้เสียที!”


 


ในเหลาอาหารแห่งหนึ่งของเมืองเหรินโม่เชิ่ง ปีศาจมนุษย์ตนหนึ่งเปิดหัวข้อสนทนากับสหายปีศาจร่วมโต๊ะ


 


“ข่าวใหญ่แบบนี้ไหนเลยข้ายังไม่ได้ยินได้!”


 


ปีศาจมนุษย์อีกตนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าเพื่อการนี้ทาง 3 วัง 6 ตำหนัก ของเผ่าปีศาจมนุษย์ได้ส่งคนออกไปตระเวนหาวัตุดิบทั้งวัสดุมากมายมาได้พักใหญ่แล้ว เพื่อรวบรวมเอาไว้ใช้ในการจัดตั้งมหาค่ายกล”


 


ด้วยมีปีศาจมนุษย์สองตนเปิดประเด็นนี้ ปีศาจตนอื่นๆที่อยู่ตะใกล้เคียงก็เริ่มเข้ามาวงสนทนาด้วยอย่างคึกคัก


 


“ที่จริงไม่ใช่แค่เผ่าปีศาจมนุษย์ของเรานะ เผ่าปีศาจอื่นๆก็ส่งกำลังพลไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้เพื่อรวบรวมสิ่งของ ยิ่งไปกว่านั้นบางเผ่าถึงกับส่งพี่น้องกลับไปรวบรวมวัตถุดิบถึงแดนเนรเทศเชียว”


 


“เรียกว่าเพราะการจัดตั้งมหาค่ายกลคราวนี้ เผ่าปีศาจทั้งหมดของพวกเราได้รวมใจกันดั่งเกลียวเชือก…ข้าล่ะหวังจริงๆว่าหลังจัดตั้งมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค และตอนยกทัพขึ้นไปพวกเราจะยังคงร่วมมือสามัคคีกันเหมือนตอนนี้”


 


“พวกเราต้องสามัคคีกันเป็นธรรมดา! อย่าได้ลืมไปว่าในภูมิภาคเบื้องบนนั้นล้วนแล้วแต่มียอดฝีมือของพวกมนุษย์ หากพวกเราไม่สามัคคีกันไหนเลยจะเข่นฆ่าพวกมันและยึดครองภูมิภาคเบื้องบนได้!”


 


“เห็นว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของภูมิภาคเบื้องบนนั้นดียิ่ง อีกทั้งทรัพยากรที่ใช้ในการบ่มเพาะเองก็อุดมสมบูรณ์นัก”


 


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว! ถ้าไม่เป็นแบบนั้นไหนเลยเหล่ายอดฝีมือของพวกมนุษย์จะไปรวมตัวกันเล่า หากเป็นสถานที่ๆกระทั่งนกยังไม่อยากแวะเวียนไปขับถ่ายมีหรือพวกมันจะยกโขยงกันไปอยู่”


 


“เจ้ายิ่งพูดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ข้าล่ะยิ่งรู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอ…อยากให้มหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคนั่นจัดตั้งเสร็จเร็วๆจริง”


 



 


เหล่าปีศาจมนุษย์ในเหลา เรียกกว่าคุยกันอย่างสนุกสนาน


 


ในวาจาของพวกมันเผยให้เห็นถึงความคาดหวังสำหรับสภาพแวดล้อมอันยอดเยี่ยม รวมถึงทรัพยากรบ่มเพาะอันอุดมสมบูรณ์ของภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ณ อาณาเขตของเผ่าปีศาจสุกร


 


เหล่า 3 ผู้นำของเผ่าปีศาจสุกร อันได้แก่ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ ผู้นำเผ่าปีศาจสุกกรสายฟ้า และผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด ก็มารวมตัวกันอย่างหาดูได้ยากอีกครั้ง


 


“วัตถุดิบทั้งหมดที่เผ่าปีศาจสุกรสีชาดของข้าได้รวบรวมมา ถูกจัดส่งไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน…แล้วทางพวกเจ้าเล่าเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าวพลางมองถามผู้นำอีก 2 เผ่า


 


“พวกข้าก็จัดการเรียบร้อยแล้ว”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าพยักหน้ารับคำ


 


และวัตถุดิบที่พวกกมันกล่าวถึงนั้นก็ไม่ใช่วัตถุดิบใดอื่น หากแต่เป็นวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดตั้งมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค


 


“ด้วยอัตราความคืบหน้าระดับนี้ มหาค่ายกลสมควรถูกจัดตั้งแล้วเสร็จในอีกไม่นาน…ถึงตอนนั้นก็ได้เวลาที่เผ่าปีศาจสุกรของพวกเราจักย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากล่าวออก แวววตายังทอประกายแห่งความหวัง


 


“หึหึ…คราวนี้พวกเราจักได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคเบื้องบนเสียที! ได้ยินว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะรวมถึงทรัพยากรในภูมิภาคเบื้องบนนั้นพร้อมพรั่งบริบูรณ์มานานแล้ว…ช่างน่าตื่นเต้นนัก!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าว


 


“เฮ่อ…น่าเสียดายนักที่เด็กน้อยทั้ง 3 ไม่อาจอยู่จนเห็นฉากที่เผ่าปีศาจสุกรของพวกเราเดินทัพไปยังภูมิภาคเบื้องบนพร้อมกองทัพใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ…ตอนพวกมันยังอยู่ ต่างล้วนคาดหวังว่าจักได้บุกขึ้นไปเข่นฆ่าสังหารยอดฝีมือที่ภูมิภาคเบื้องบนกันมาตลอด…”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกล่าวจบก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


ได้ยินคำกกล่าวของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ ไม่ว่าจะผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด หรือผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าก็เงียบไปไร้คำจะกล่าว


 


และตอนนี้แววตาของพวกมันก็ฉายชัดถึงอารมณ์อันซับซ้อน


 


เด็กน้อยทั้ง 3 ที่ผู้นำเผ่าปีศาจสุกลทมิฬกล่าวถึงก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็น 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรนั่นเอง


 


ถึงแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมากว่า 1 ปีแล้วหลังจากที่พวกมันตกตาย


 


หากแต่ชนชั้นผู้นำของเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 ก็ไม่เคยลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นเลย


 


นั่นเพราะ ฐานะ ของ 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่นั่นมันอ่อนไหวเกินไป…


 


“นี่ก็ผ่านมา 1 ปีแล้ว…หากแต่ท่านผู้เฒ่าอาวุโสยังไร้ความเคลื่อนไหวอันใด ดูเหมือนคงปิดด่านถึงช่วงสำคัญ เตรียมตัวรับหายนะทัณฑ์สวรรค์รอบต่อไป…”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าว


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น”


 


ผู้นำปีศาจสุกรสายฟ้าพยักหน้ารับคำ ค่อยกล่าวเสริมด้วยสีหน้าเคร่ง “ตอนนี้ท่านผู้เฒ่าอาวุโสสมควรยังไม่รู้ว่าไข่มุกวิญญาณของพวกเด็กน้อยทั้ง 3 ล้วนแตกหมดสิ้นแล้ว…มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของท่านผู้เฒ่าอาวุโส เกรงว่าคงรีบเหินบินออกมาจากแดนเนรเทศแต่แรก!”


 


“ก็สมควรอยู่หรอก อย่างไรเด็กน้อยทั้ง 3 นั่นก็เป็นหลานรักของท่านผู้เฒ่าอาวุโส…หากท่านผู้เฒ่าล่วงรู้ว่าพวกมันตกตายไปแล้ว น่ากลัวว่าท่านผู้เฒ่าคงยินดีจ่ายออกด้วยทุกสิ่งเพื่อล้างแค้น ต่อให้หายนะทัณฑ์สวรรค์กำลังใกล้เข้ามาก็ตามที”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกล่าวออกเสียงทุ้ม


 


ทันใดนั้นบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มอึมครึมขึ้นมา


 


และฟังจากคำพูดของ 3 ผุ้นำเผ่าปีศาจสุกรแล้ว ผู้เฒ่าอาวุโสนั่น…


 


สมควรเป็นบรรพชนของเผ่าปีศาจสุกรที่ยังคงมีชีวิตอยู่ และกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ที่แดนเนรเทศของเผ่าปีศาจ! ยิ่งไปกว่านั้นยังเจียนเผชิญหน้ากับหายนะทัณฑ์สวรรค์เต็มที!!


 


“ยังมีอีกเรื่อง”


 


ครู่ต่อมาผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดก็กล่าวออกทำลายความเงียบ ค่อยยกมือขึ้นปรากฏม้วนกระดาษม้วนหนึ่งผุดจากความว่างเปล่าเข้ามือ


 


“หืม!?”


 


“มันคืออะไร?”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากกับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬหันไปมองถามด้วยความสงสัยทันที


 


ต่อมาผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดก็คลี่ม้วนกระดาษดังกล่าวออกมาอย่างไม่ให้ทุกคนรอนาน


 


และเมื่อคลี่ม้วนกระดาษดังกล่าวออก ก็ปรากฏรูปเหมือนของชายคนหนึ่งวาดเอาไว้


 


วูบ! วูบ!


 


ทันใดนั้นเว้นก็แต่ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด ผู้นำอีก 2เผ่าถึงกับชักหน้าเคร่ง ลูกตาหดเล็ก


 


สาเหตุที่ไฉนพวกมันออกอาการจริงจังแบบนี้ไม่ใช่เพราะใดอื่น แต่เพราะพวกมันจดจำคนในรูปวาดได้!


 


“เป็นมัน!”


 


“ภาพนี้เจ้าได้มาจากที่ไหน?”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากับผู้นำเผ่าปีศาจสุกกรทมิฬกล่าววออกแทบจะพร้อมเพรียง หลังหันหน้ามองสบตากันครู่หนึ่ง ต่างมองจ้องผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดไม่วางตา


 


บุคคลในภาพนั้นไม่ใช่ใครอื่น


 


เป็นชายหนุ่มชุดม่วงที่พวกมันเห็นจากม่านแสงสะท้อนลักษณ์ อันเป็นข่ายอาคมที่สลักไว้ในรูปปั้นบรรพชนของพวกมัน ชายหนุ่มชุดม่วงที่ฆ่า 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกร!


 


วันนั้นตั้งแต่ที่พวกมันเห็นชายหนุ่มชุดม่วงใช้ตราผนึกมารสังหาร 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าสุกรไป พวกมันก็มั่นใจได้เต็มสิบส่วนว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นยอดฝีมือของผู้ฝึกตนมนุษย์!


 


ตอนแรกพวกมันทั้ง 3 ก็คิดจะกระจายข่าวเรื่องมียอดฝีมือมนุษย์ผู้ถือครองตราผนึกมารนี้ออกไป


 


อย่างไรก็ตามหลังจากที่พวกมันทั้ง 3 ได้หารือกันดีแล้ว พวกมันก็เห็นพ้องต้องกันที่จะปิดข่าวนี้เอาไว้ก่อนระยะหนึ่ง


 


เหตุผลที่ทำอย่างนั้นก็คือ พวกมันกลัวไปกระตุ้นโทสะของยอดฝีมือมนุษย์ผู้นี้เข้า!


 


เพราะก่อนหน้านี้พวกมันเผ่าปีศาจสุกร กระทั่งเผ่าปีศาจที่บุกมายึดภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้กันเลยว่าในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้มียอดฝีมือมนุษย์ที่ถือครองตราผนึกมารดำรงอยู่!


 


นั่นหมายความว่า…


 


ที่แรกที่ยอดฝีมือมนุษย์ผู้นั้นลงมือ สมควรเป็นเผ่าสุกรของพวกมัน!


 


หากพวกมันเผยแพร่ข่าวใดๆออกไป ยอดฝีมือมนุษย์ผู้นั้นต้องรู้ได้ทันทีแน่ว่าเป็นผลงานของพวกมัน เผ่าปีศาจสุกร!


 


หากยอดฝีมือมนุษย์ผู้นั้นเกิดมีโทสะด้วยเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วหันมาเล่นงานเผ่าปีศาจสุกรของพวกมันล่ะก็อาศัยพวกมันทั้ง 3 ต่อให้ร่วมมือกัน ก็ไม่มั่นใจว่าจะรับมือตราผนึกมารได้!!


 


หลังจากเกิดเรื่องคราวนั้น พอพวกมันไม่ได้ยินว่ายอดฝีมือมนุษย์ผู้นี้ไปลงมือกับเผ่าปีศาจอื่นใด และไม่มาลงมือกับเผ่าปีศาจสุกรของพวกกมันสืบต่อ พวกมันก็โล่งอกนัก และเลือกจะปิดข่าวสืบไป…


 


เป็นการดีเสียกว่าที่จะให้ผู้อื่นเสี่ยงแทน…


 


นี่นับว่าเป็นความคิดที่เห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3


 


ดั่งคำกล่าวที่ว่า


 


คนไม่รักตัวเอง ฟ้าดินประหัตประหาร!


(คนไม่รักตัวเอง ฟ้าดินประหัตประหาร = คนที่ไม่คิดอ่าน กระทำการใดย่อมประสบหายนะ)


 


“ภาพนี้ข้าได้มาจากสมาชิกเผ่าปีศาจสุกรสีชาดตนหนึ่ง…จากที่มันกล่าว ภาพเหมือนนี่ดูเหมือนจะได้มาจากแหวนพื้นที่ของผู้ฝึกตนมนุษย์คนหนึ่งที่มันฆ่า”


 


เมื่อเห็นผู้นำทั้งสองมองจ้องมาด้วยสายตาไถ่ถาม ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าวตอบออกมาทันที


 


“เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่ามันเป็นผู้ใด?”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากล่าวถามเสียงเข้ม


 


แม้ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬจะไม่พูด แต่ก็มองไปยังผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดด้วยความสงสัย


 


ทันทีที่พวกมันเห็นภาพเมือนบุคคลดังกล่าว พวกมันก็บอกได้ชัดถึงเรื่องหนึ่ง


 


ภาพเหมือนที่เห็นตรงหน้า ไม่ได้พึ่งวาดและลงสีเมื่อปีที่แล้วอย่างแน่นอน แต่สมควรวาดขึ้นมานานแล้ว!


 


ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงไม่คิดว่าภาพดังกล่าว ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดจะวาดขึ้นมาเอง


 


“ข้าย่อมรู้”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดพยักหน้ารับ ค่อยชักสีหน้าจริงจังกกล่าวออกเสียงขรึม “มันคือนายน้อยของตำหนักเมฆาคราม ขุมพลังของพวกมนุษย์ ต้วนหลิงเทียน!”


 


“มีข่าวลือว่าตัวมันมีโชคได้รับยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารมาครอบครอง แต่ทว่าสุดท้ายก็มียอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนลงมาช่วงชิงไป!”


 


ทันทีที่ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าวประโยคนี้ อีก 2ผู้นำก็หันมามองสบตากันทันที


 


“ที่แท้เป็นมัน!”


 


ทั้งสองอุทานออกอย่างพร้อมเพรียง สีหน้าแววตายังฉายชัดถึงความประหลาดใจเหลือเชื่อ


 


ต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามเคยถือครองตราผนึกมาร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกหูสำหรับพวกมันแม้แต่น้อย


 


อย่างไรก็ตามพวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่า…


 


ปีที่แล้ว ยอดฝีมือมนุษย์ที่ถือครองตราผนึกมารและได้ใช้ยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารนั่นสังหาร 3 แฝดอัจฉริยะของเผ่าปีศาจสุกรพวกมัน ที่แท้จะเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน!


ตอนที่ 2,281 : เล่ห์ร้าย


 


“นายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน…มันมิใช่เป็นแค่เด็กน้อยพลังฝึกปรืออ่อนด้อยคนหนึ่งหรือไร ไฉนอยู่ๆถึงได้กลายเป็นร้ายกาจขึ้นมาขนาดนี้ได้?”


 


“นั่นสิ มิใช่ว่าตราผนึกมารของมันถูกยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนบุกลงมาช่วงชิงไปถึงถิ่นหรอกรึ แล้วไฉนกลับมาอยู่ในมือของมันแบบนี้ได้เล่า?”


 


“มันออกจากภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนได้กี่ปีกัน อีกทั้งตอนนั้นด่านพลังของมันยังไม่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนด้วยซ้ำ…ไฉนตอนนี้กลับมีพลังทัดเทียมกับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้เล่า?”


 



 


หลังได้ฟังคำยืนยันว่าภาพมนุษย์ที่เห็น และเป็นคนเดียวกันกับยอดฝีมือที่สังหาร 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรจากปากผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬรวมถึงผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าถึงกับอื้ออึงยากจะดึงสติกลับคืนได้อยู่นาน


 


ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะพวกมันอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่าง ไหนเลยจะล่วงรู้ความเป็นไปของภูมิภาคเบื้องบน…


 


หาไม่แล้วพวกมันคงไม่สงสัยและครุ่นคิดกันจนหัวหมุนแบบนี้


 


ต้องทราบด้วยว่าในภูมิภาคเบื้องบนนั้น ข่าวลือเรื่องต้วนหลิงเทียนอดีตผู้ถือครองตราผนึกมารคนก่อนได้ฆ่าเซี่ยจงอาวุโสลัทธิอารามทมิฬที่เคยบุกไปชิงตราผนึกมาร จนในที่สุดก็ยึดตราผนึกมารกลับไปครอง ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอีกต่อไป


 


“ที่พวกเจ้าสงสัย ข้าเองก็เคยไตร่ตรองมาก่อน”


 


ขณะเดียวกันด้านผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด หลังได้ฟังคำถามด้วยสงสัย มันก็กล่าวออกมาด้วยคิ้วที่ยู่ย่นเป็นปม “และในที่สุดข้าก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้…”


 


“เจ้าคาดเดาว่าอย่างไรรึ?”


 


ได้ยินคำของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด ผู้นำอีก 2 คนหันมาให้ความสนใจมัน และเป็นผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าที่เร่งถามออกไปด้วยความสงัสย


 


“ข้าเดาว่า…ความจริงเรื่องที่ยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารนั้นถูกยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนบุกลงมาช่วงชิงไปจากมือต้วนหลิงเทียนถึงตำหนักเมฆาคราม ล้วนมิใช่อะไรมากไปกว่าเรื่องลวง! เป็นตำหนักเมฆาครามที่จงใจเผยแพร่ข่าวลวงออกมาไม่ผิดแน่! ทั้งหมดเพื่อทำให้ยอดฝีมือในภูมิภาคทั้งหลายตัดใจ! ชักนำให้ทุกคนละความสนใจไปจากต้วนหลิงเทียน!!”


 


“เพราะหากตราผนึกมารอยู่กับต้วนหลิงเทียนหนึ่งวัน ต้วนหลิงเทียนก็ถูกยอดฝีมือมากมายจับตาดูเพิ่มอีกวัน…หากลำพังมีแค่ยอดฝีมือของภูมิภาคเบื้องล่าง ตำหนักเมฆาครามคงไม่กลัวอะไร แต่จากข่าวที่ได้ยินมา….ในปีนั้นกระทั่งยอดฝีมือจากขุมพลังต่างๆของภูมิภาคเบื้องบน ก็ส่งคนลงมาจับตาดูเพื่อเฝ้ารอโอกาสอีกด้วย…”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าวบอกเรื่องที่มันคาดคิดออกมา


 


และการคาดเดาของมัน ก็นับว่ามีเหตุผลรองรับไม่น้อย ทำให้อีก 2 ผู้นำเริ่มเชื่อว่าที่แท้เรื่องราวอาจเป็นแบบนี้จริงๆ


 


“เรื่องนี้เป็นไปได้สูงยิ่ง”


 


“สมควรเป็นเช่นเจ้าว่าจริงๆ”


 


ทั้งสองจึงพยักหน้ากล่าวรับคำด้วยเห็นชอบ


 


“ไม่สิ!”


 


ทว่าทันใดนั้นเองผู้นำเผ่าปีศาจสายฟ้าพลันอุทานออกมา สีหน้าของมันคล้ายฉุกคิดได้ถึงอะไรบางอย่าง คิ้วมันเริ่มขมวดย่นเป็นปมอีกรอบ “หากนับเวลาจากกที่ตำหนักเมฆาครามประกาศเรื่องตราผนึกมารถูกยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนช่วชิงไป เรื่องราวยังผ่านไปไม่ถึง 10 ปีหรอกหรือไร?”


 


“แล้วไฉนในเวลาแค่ไม่ถึง 10 ปี ต้วนหลิงเทียนนั่นจะมีพลังฝีมือเพิ่มพูนสูงขึ้นอย่างผิดปกติเช่นนี้ได้?”


 


“หรือมัน…ซุกซ่อนพลังฝีมือเอาไว้แต่แรก?”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสายฟ้าได้กล่าวคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบออกมา พาลให้อีก 2 ผู้นำหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที


 


“เรื่องนี้…ข้าเองก็ไม่รู้”


 


“ข้าเองก็คิดไม่ออกจริงๆ…”


 


สุดท้ายทั้ง 2 ก็ได้แต่ยอมรับว่าคิดไม่ออก


 


“ขุมพลังอย่างตำหนักเมฆาครามของเจ้าพวกมนุษย์นี่…มันช่างลึกลับเสียจริง…”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากล่าว “เท่าที่ข้ารู้มา ยามเมื่อทัพหน้าของกองทัพเผ่าปีศาจมนุษย์บุกไปหมายยึดครองพื้นที่แถบนั้น…ก็ได้ถูกเข่นฆ่าจนล้มตายไปกว่าครึ่ง แถมคนของตำหนักเมฆาครามก็ค่อยอพยพไปหลังรู้ว่าทัพหน้าของพวกปีศาจมนุษย์มีทัพมาเสริมด้วยซ้ำ หากไร้กำลังเสริมข้าว่าคงตายตกกันหมดทัพ!”


 


“เรื่องนี้ข้าเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน…ว่ากันว่าตอนนั้นจ้าวตำหนักเมฆาคราม กับยอดฝีมืออีกคนของตำหนักเมฆาคราม พอลงมือเคลื่อนไหวก็กวาดล้างทัพหน้าของเผ่าปีศาจมนุษญ์ไปกว่าครึ่งได้ในเวลาอันสั้น ถึงแม้ทัพหน้านั่นส่วนใหญ่จะเป็นเพียงศิษย์ของพวก 3 วัง 6 ตำหนักก็ตาม แต่อย่างไรพลังฝีมือก็มิใช่ชนชั้นต่ำทราม…”


 


“กระทั่งศิษย์ปิดสำนักของจ้าววังวิญญาณอสุราเอง ก็ตกตายด้วยน้ำมือยอดฝีมือของตำหนักเมฆาครามทั้ง 2!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดพยักหน้ารับคำ


 


“ข้าหลงคิดว่าในภูมิภาคเบื้องล่างจักไร้ซึ่งยอดฝีมือระดับนี้อยู่เสียอีก…แต่ตอนนี้ดูเหมือนตำหนักเมฆาครามนั่นจะมียอดฝีมือซุ่มซ่อนอยู่ไม่น้อย! เดิมทีหากมิใช่เผ่าปีศาจมนุษย์พบเจอสถานที่แห่งนั้นก่อนเผ่าปีศาจสุกรเราก้าวหนึ่ง ก็คงเป็นเผ่าปีศาจสุกรเราที่ต้องส่งคนไปตาย!!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกล่าวออกเสียงหนัก


 


“มาตอนนี้ด้วยมีต้วนหลิงเทียนนั่นอยู่อีกคน…เว้นเสียแต่ท่านผู้เฒ่าอาวุโสจะออกโรงด้วยตัวเอง เกรงว่าคงเป็นการยากที่เผ่าปีศาจสุกรของพวกเราจะต่อกรตำหนักเมฆาครามได้!”


 


วาจาดังกล่าวของผู้นำเผ่าปีศาจสุกกรทมิฬ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าหรือผู้นำเผ่าปีศาจสุกกรสีชาดล้วนเห็นด้วยอย่างยิ่ง


 


เพียงแต่พวกมันทั้ง 3 ไม่ได้ล่วงรู้เลย


 


กระทั่งตัวต้วนหลิงเทียนเอง ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้เลยด้วยซ้ำว่าคนของตำหนักเมฆาครามได้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ถึงแม้เขาจะอยากกลับไปตำหนักเมฆาครามเพื่อผนึกกำลัง เขาก็ทำไม่ได้!


 


“เอาล่ะ ช่างเรื่องพวกกนั้นเถอะ…ว่าแต่ตอนนี้พวกเราจะเอาอย่างไร ในเมื่อยืนยันได้แล้วว่ายอดฝีมือมนุษย์นามต้วนหลิงเทียนนั่น ที่แท้เป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามทั้งยังถือครองตราผนึกมารอยู่ พวกเราจะปล่อยข่าววเรื่องนี้ออกไปดีหรือไม่?”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด มองไปยังผู้นำอีก 2 คนพร้อมถามออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


2 ผู้นำพอถูกถามก็ได้แต่หันหน้ามองสบตากันพักหนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายหัวไปมา “เรื่องนี้มิอาจรีบร้อน…ต้วนหลิงเทียนนั่นตั้งแต่บุกมาฆ่าเด็กน้อยทั้ง 3 ไป มันก็คล้ายจะเงียบหายเข้ากลีบเมฆไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย”


 


“บางทีตอนนี้มันยังไม่ได้ลงมือกับปีศาจเผ่าอื่น…หากพวกเราวู่วามปล่อยข่าวของมันออกไป เกรงว่าจะเป็นการยั่วโทสะของมัน ไม่แน่มันอาจจะเอาโทสะมาลงกับเผ่าปีศาจสุกรของพวกเรา”


 


วาจาของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าเผยให้เห็นความหวั่นกลัวไม่น้อย “และเรื่องนั้นมิใช่เรื่องดีสำหรับเผ่าปีศาจสุกรของพวกเราแน่…”


 


“เฮ่อ…สุดท้ายพวกเราก็วกกลับมาจุดเริ่มต้น…”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม


 


ปีที่แล้วแม้พวกมันยังไม่รู้ว่ายอดฝีมือลึกลับหนุ่มนั่นคือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน แต่พวกมันก็หวาดกลัวจนไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่าม


 


มาตอนนี้ถึงแม้พวกมันจะรู้แล้วว่ายอดฝีมือลึกลับหนุ่มนั่น ที่แท้คือต้วนหลิงเทียนนายนอยตำหนักเมฆาคราม แต่พวกมันก็ไม่กล้าลงมือเคลื่อนไหวอะไรอยู่ดี


 


เพราะสุดท้ายแล้วนั่นก็ไม่ใช่ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนธรรมดาๆ แต่เป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่มีตราผนึกมารอยู่ในมือ!


 


และตราผนึกมารนั่น ก็เป็นดาวข่มปีศาจอย่างพวกมัน!


 


“จริงสิ เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้ยินข่าวว่าวังเซียนสัญจร ได้แต่งตั้งรองจ้าววังคนใหม่ที่พลังฝีมือสูงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน…”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬพูดเปลี่ยนเรื่อง “อีกทั้งรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ผู้นั้น…ยังมีนามว่าต้วนหลิงเทียนเช่นกัน!”


 


ถึงแม้ว่าอาณาเจตของเผ่าปีศาจสุกรจะอยู่ไม่ไกลจากเผ่าปีศาจมนุษย์มากนัก แต่ด้วยเพราะเป็นปีศาจต่างเผ่า จึงไม่ค่อยข้องแวะสุงสิงกันเท่าไหร่


 


หากไม่ใช่เพราะคนของเผ่าปีศาจสุกรที่ออกไปตามหาวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดตั้งมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค ได้พบกับคนของเผ่าปีศาจมนุษย์ที่บังเอิญมาหาวัตถุดิบในพื้นที่เดียวกัน เกรงว่าคงไม่อาจล่วงรู้ถึงเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงของวังเซียนสัญจร


 


“วังเซียนสัญจรกลับแต่งตั้งรองจ้าววังคนใหม่ที่มีพลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนงั้นเหรอ…แถมยังมีชื่อว่าต้วนหลิงเทียนอีก เรื่องนี้ไฉนบังเอิญได้ถึงเพียงนั้น”


 


ได้ยินคำของผู้นำเผาปีศาจสุกรทมิฬ ผู้นำเผ่าสุกรสีชาดอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ


 


“ข้าเกรงก็แต่นี่จะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”


 


หลังจากกนั้นผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าที่อายุมากที่สุด ก็ฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง พลันกล่าวออกเสียงหนัก


 


มันยังหันมองไปยังผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬทันที เอ่ยถามออกมาว่า “เจ้ารู้ความเป็นมาของรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ของวังเซียนสัญจรหรือไม่? ว่าที่แท้เดิมมันเป็นอาวุโสของวังเซียนสัญจรมาก่อนแล้วได้เลื่อนตำแหน่ง หรือเป็นผู้ที่พึ่งเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจร?”


 


“เรื่องนี้ข้าได้ยินมาว่า รองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ เป็นผู้ฝึกมารไร้สังกัดที่พึ่งเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจรเมื่อปีก่อน…”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกล่าว


 


“หืม? พึ่งเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจรเมื่อปี่ก่อน แถมยังเป็นผู้ฝึกมารอิสระงั้นเหรอ?”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าคล้ายตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ทันใดนั้นลูกตามันก็หดหยีลงทันใด สีหน้ายังแปรเปลี่ยนไปมหันต์ “ผู้ที่จะเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจรได้ ล้วนมีแต่มนุษย์ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น…หากผู้ที่คิดเข้าร่วมไม่มีสายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์ ต่อให้เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ วังเซียนสัญจรก็ไม่ต้อนรับ!”


 


“รองจ้าววังคนใหม่นั่น กลับมีสายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์ อีกทั้งยังมีนามว่าต้วนหลิงเทียนอีก…เรื่องนี้ข้าสงสัยว่า…”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสายฟากล่าวไม่ทันจบคำ ก็ถูกผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดโพล่งขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “เจ้าสงสัยว่ารองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรก็คือยอดฝีมือของพวกมนุษย์ ต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามที่สังหารเด็กน้อยทั้ง 3ของพวกเราเมื่อปีก่อนเช่นนั้นรึ!?”


 


“มิผิด!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าพยักหน้ารับ กล่าวออกเสียงขรึม “ปีที่แล้วมันบุกมาสังหารเด็กน้อยทั้ง 3ของเผ่าปีศาจสุกรเรา…ประจวบเหมาะกับเมื่อ 1 ปีที่แล้ว วังเซียนสัญจรกลับแต่งตั้งรองจ้าววังคนใหม่ แถมยังเป็นผู้ฝึกมารที่เป็นมนุษย์สายเลือดบริสุทธิ์อีก…”


 


“เจ้าคิดว่า…ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้ด้วยหรือ?”


 


“ข้าสงสัยว่า…เมื่อปีที่แล้วนายน้อยตำหนักเมฆาครามต้วนหลิงเทียนนั่น มันคิดแทรกซึมเข้าไปยังวังเซียนสัญจรแต่แรก แต่ทว่า 9 ใน 10 เป็นมันที่บังเอิญผ่านทางมาเขตปีศาจสุกรของพวกเราพอดีจึงลงมือเข่นฆ่าเด็กน้อยทั้ง 3 นั่นของพวกเราทิ้ง!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรกล่าววความคิดของตัวเองออกมา หลังกล่าวจบมันก็ยิ่งเชื่อมั่นในข้อสันนิษฐานนี้มากกขึ้นเรื่อยๆ


 


“นั่นมัน…กล่าวไปก็มีความเป็นไปได้จริงๆ!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกล่าววออกเสียงหนัก


 


“ช้าก่อน…เมื่อปีที่แล้วจากม่านแสงสะท้อนลักษณ์ ยามต้วนหลิงเทียนนั่นลงมือ กลับไร้ซึ่งไอมารใดๆนี่นา มิใช่นั่นหมายความว่ามันไม่ได้เป็นผู้ฝึกมารหรือไร?”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดที่นึกได้ เอ่ยถามออกด้วยสงสัย


 


“แล้วเจ้าคิดว่า…มันเป็นเรื่องยากเย็นนักหรือไร ที่ผู้ฝึกตนมนุษย์ขอบเขตพลังเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจะปลอมตัวเป็นผู้ฝึกมาร?”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสายฟ้ากล่าวถามออกมาอย่างมีวาทศิลป์


 


ได้ยินดังนั้นผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดก็ถึงกับพูดไม่ออก บังเกิดอาการใบ้รับประทานขึ้นมาทันที


 


ในเมื่อตัวมันเองก็เป้นตัววตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนผู้หนึ่ง ไหนเลยยังไม่รู้ว่าขอบเขตความสามารถของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนนั้นทำอะไรได้บ้าง


 


“ข้ามั่นใจกว่า 9 ส่วนว่ารองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรนั่น คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน ไม่ผิดแน่! และคนในวังเซียนสัญจรนั่นจนป่านนี้ก็ยังมิมีใครล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของมัน!!”


 


สองตาผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าทอประกายสว่างวาบ กล่าวออกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ


 


“ว่ากันว่า…รองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจร หลังจากได้รับการแต่งตั้งแล้ว ก็ปิดด่านบ่มเพาะไม่รับแขกมาตลอดระยะเวลา 1 ปี ด้วยเหตุนี้คนวังเซียนสัญจรจะไม่ล่วงรู้ฐานะนายน้อยตำหนักเมฆาครามของมันก็ไม่แปลก”


 


“เพราะคงแทบไม่มีผู้ใดพบเห็นมันเลย!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกล่าว


 


“เช่นนั้นพวกเรา…มาส่งของขวัญให้พวกกวังเซียนสัญจรกันหน่อยเถอะ!”


 


มุมปากผู้นำเผ่าปีศาจสายฟ้ายกแสยะเผยยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “หากคนในวังเซียนสัญจรได้แลเห็นภาพเหมือนของนายน้อยตำหนักเมฆาครามอย่างต้วนหลิงเทียน ว่าเหมือนกันกับใบหน้าของรองจ้าววังพวกมันราวกับแกะ ไม่ทราบพวกมันจะทำหน้ากันอย่างไร….”


 


“ความคิดอันประเสริฐนัก!!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดถึงกับตบมือดังชาด โพล่งคำออกมาอย่างคึกคัก


 


“ล้ำลึก!”


 


ลูกตาของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬเองก็สองตาลุกวาวจ้าขึ้นมาทันใด “ลงมือเลยเถอะ!!”


ตอนที่ 2,282 : ภาพเหมือนเปิดเผย!


 


ตลอดปีที่ผ่านเหล่าผู้นำของเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 ล้วนหวาดกลัวยอดฝีมือมนุษย์ที่ใช้ตราผนึกมารสังหาร 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรเป็นอย่างมาก เช่นนั้นพวกมันจึงไม่กล้าเผยแพร่เรื่องยอดฝีมือมนุษย์คนนั้นออกไป


 


ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เปลือกนอกของพวกมันจะแลดูไม่เป็นอะไร หากแต่ลึกๆกลับเสียใจอยู่ไม่น้อย เสียใจที่ทำอะไรไม่ได้!


 


หนึ่งปีต่อมาหลังได้รับทราบว่ายอดฝีมือมนุษย์นั่นที่แท้กลับเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน! ทว่าพวกมันก็ยังคงหวาดกลัวแล้วไม่กล้าเผยแพร่เรื่องราวออกไปอยู่ดี


 


ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงยิ่งเสียใจหนักนัก!!


 


ทว่าตอนนี้พวกมันกลับมี ‘วิธีการ’ ลงมืออย่างที่ไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป ยังเป็นการ ‘ยืมมีดฆ่าคน’ หมายปล่อยให้วังเซียนสัญจรของเผ่าปีศาจมนุษย์จัดการกับต้วนหลิงเทียนนั่นแทน!


 


สำหรับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 แล้ว เรื่องนี้เสมือนฟางเส้นสุดท้าย!


 


แล้วพวกมันจะปล่อยมือจากฟางเส้นสุดท้ายที่สามารถช่วยเหลือพวกมันไปได้อย่างไร?


 


“เอาล่ะ…เช่นนั้นข้าจะไปเอง ข้าจักเอาภาพเหมือนนั่นไปให้สายของข้าที่ซื้อตัวไว้ในเมืองเหรินโม่เชิ่ง ก่อนที่จะให้มันนำไปเผยแพร่! อยากรู้นักว่าจ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉิน นั่น…จักทำหน้าอย่างไรเมื่อได้รู้ว่ามันเป็นคนชักนำหมาป่าเข้าบ้านด้วยตัวเอง!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกร 1 ใน 3 ผู้นำกล่าวออกพร้อมรอยยิ้มแสยะ


 


“จ้าววังเซียนสัญจรนั่นเจียนทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะเต็มที…ในบรรดา 3 จ้าววังมันนับว่ามีโอกาสชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมาและผ่านพ้นไปได้ก่อนผู้ใด…กล่าวได้ว่า หากพวก ‘ตัวประหลาดเฒ่า’ เหล่านั้นไม่ออกมา ก็นับว่ามันเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสอง รองจากประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์!”


 


“น่าเสียดายนัก นับประสาอะไรกับผู้ที่ใกล้จะบรรลุครึ่งก้าวเซียนอมตะ…ต่อให้เป็นประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์นั่นลงมือเองก็มิแน่ว่าจะจัดการต้วนหลิงเทียนได้!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากล่าวค่อนแคะ


 


“มิผิด”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬพยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น แม้พลังฝึกปรือของมันจะทัดเทียมกับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนธรรมดา หากแต่ในมือมันมีตราผนึกมาร!”


 


“อาศัยพลังของมันยามกกระตุ้นใช้งานตราผนึกมาร…เกรงว่าต่อให้เป็นปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะ ก็ยากจะรอดพ้นความตายไปได้ หากมิอาจหลบหนีได้พ้น!”


 


กล่าวถึงจุดนี้ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬก็เผยสีหน้าแววตาหวาดกลัวออกมา


 


ได้ยินคำของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด ก็เผยสีหน้าแววตาหวาดกลัวออกมาเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าพวกมันเห็นพ้องต้องกันกับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ!


 


“หากเหล่าตัวประหลาดเฒ่าพวกนั้นของเผ่าปีศาจมนุษย์ไม่ออกหน้าล่ะก็…ข้าเกรงว่าในเผ่าปีศาจมนุษย์คงไม่มีผู้ใดสามารถกำราบต้วนหลิงเทียนนั่นได้!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดขมวดคิ้วกล่าว


 


“ฮึ่ม! มิว่าตัวประหลาดเฒ่าของพวกปีศาจมนุษย์จะโผล่หัวมาหรือไม่ก็ช่าง…แต่ขอเพียงต้วนหลิงเทียนนั่นมันกล้าฆ่าคนเผ่าปีศาจมนุษย์ พวกตัวประหลาดเฒ่าเหล่านั้นมิมีวันปล่อยมันไปแน่! ถึงตอนนั้นมันก็มิอาจหลีกหนีความตายได้พ้น!!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าสบถกล่าวค่อนแคะ


 


“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา พวกตัวประหลาดเฒ่าของเผ่าปีศาจมนุษย์ ก็มิได้อ่อนด้อยกว่าท่านผู้เฒ่าอาวุโสของเผ่าปีศาจสุกรเรา ไหนเลยยังต้องกลัวตราผนึกมารนั่น!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรพยักหน้าเห็นด้วย


 


“เอาล่ะ เช่นนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือเร่งนำภาพเหมือนนี่ไปแพร่ในเมืองเหรินโม่เชิ่ง และภาวนาให้ถึงหูตาของพวกวังเซียนสัญจรโดยไว! ตราบใดที่คนของวังเซวียนสัญจรได้เห็นรูปเหมือนต้วนหลิงเทียน พวกมันย่อมจดจำได้ทันทีแน่ว่านี่คือใบหน้าของรองจ้าววังคนใหม่ของพวกมัน!!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากล่าวออกด้วยสายตาทอประกายสดใสเปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวัง “ถึงตอนนั้น…ข้าอยากรู้นักว่าพวกมันจะแตกตื่นหน้าตั้งถึงเพียงใด หากได้รับทราบว่ารองจ้าววังคนใหม่ของพวกมันที่แท้ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน!!”


 


“อา! ช่างน่าตื่นเต้นยิ่ง!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดก็ทำตาลุกวาวขึ้นมาไม่ต่าง


 


เรื่องใดก็ตามที่เกิดขึ้นในเผ่าปีศาจสุกร ต้วนหลิงเทียนที่ปิดด่านอยู่ในวังเซียนสัญจรย่อมไม่ได้รับทราบแม้แต่น้อย


 


ตอนนี้เขากำลังมุ่งมั่นบ่มเพาะพลังอย่างหนัก


 


ตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว ด่านพลังของเขาก็ทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนได้อย่างราบรื่น หากทว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้เลือกที่จะออกจากการปิดด่านแต่อย่างใด เขายังเลือกบ่มเพาะพลังต่อเพื่อทะลวงไปยังด่านพลังต่อไป…


 


เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


นั่นเพราะเขารู้ตัวเองดี ว่าการทะลวงถึงด่านพลังเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนนี้ ไม่ได้เพิ่มพลังฝีมือสูงสุดของเขาแต่อย่างไร มีเพียงทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเท่านั้น เขาถึงจะสามารถยกระดับพลังฝีมือให้สูงขึ้นไปอีกครั้ง หลังบังเกิดสำนึกรู้ต่อฟ้าดิน


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะนั้น ไม่ว่าจะลูกสาวเขาอย่างต้วนซือหลิง เค่อเอ๋อ หรือกระทั่งก่านหรูเยี่ยนเองก็ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังอย่างไม่เกียจคร้านเช่นกัน


 


ยังผลให้บรรยากาศภายในคฤหาสน์หลังใหญ่จมอยู่ในความสงบเงียบ


 


แน่นอนว่ารอบคฤหาสน์หลังใหญ่ยังปรากฏร่างวูบไปวูบมาดั่งภูตผีไม่ขาด เป็นเหล่ายอดฝีมือที่คอยลาดตระเวนและคุ้มกันต้วนหลิงเทียนกับพวกให้ปิดด่านบ่มเพาะได้อย่างราบรื่น ไร้สิ่งใดรบกวน


 


และเหล่าศิษย์ทั้งหลายที่ลาดตระเวนเหล่านี้ก็ถูกอาวุโสของวังเซียนสัญจรอย่าง เผิงไหล จัดมาเป็นพิเศษ


 


กาลเวลาไหลเวียนผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


พริบตาก็ล่วงเลยไปอีกหนึ่งปี


 


วันหนึ่ง ในขณะที่ศิษย์วังเวียนสัญจรหน่วยหนึ่งกำลังลาดตระเวนกันด้านนอกวังเซียนสัญจรตามปกตินั้น


 


อยู่ๆศิษย์ในหน่วยคนหนึ่งพลันหยุดลง


ศิษย์ในหน่วยลาดตระเวนที่หยุดลง ก็มองไปรอยๆคล้ายตรวจสอบความเรียบร้อยตามปกติ ก่อนที่จะหันไปสนทนากับสหายในหน่วยด้านข้างด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ก็สงบเหมือนทุกที…จริงสิ ว่าแต่พวกเจ้าสองคนรู้จักตำหนักเมฆาครามหรือไม่?”


 


“หืม? ย่อมรู้สิ เจ้าถามทำไมรึ?”


 


ศิษย์ในหน่วยลาดตระเวนอีก 2 คนที่อยู่ข้างๆตอบคำมันทันที หนึ่งในนั้นยังกล่าววถามเสริมว่า “ไหนเลยพวกเราจะไม่รู้ได้เล่า? ก็ที่ตั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งของพวกเรา ในอดีตมันก็เคยเป็นพื้นที่ของตำหนักเมฆาครามมาก่อนนี่นา เรียกว่าเผ่าปีศาจมนุษย์เราดั่งนกกางเขนที่มาชิงรังของพวกมัน”


 


“ว่าแต่เจ้านึกอีท่าไหน ไฉนอยู่ๆถึงพูดถึงตำหนักเมฆาครามขึ้นมาได้เล่า?”


 


ศิษย์ลาดตระเวนคนสุดท้ายกล่าวถามด้วยสงสัย


 


“ฮ่าๆ…ไม่มีใดหรอก ข้าเห็นที่ทางแล้วนึกขึ้นมาน่ะ ที่สำคัญเมื่อไม่นานมานี้ข้าก็พึ่งได้รับภาพเหมือนมาน่ะ เห็นว่าเป็นภาพเหมือนของนายน้อยตำหนักเมฆาคราม”


 


ศิษย์ลาดตระเวนคนแรกที่เกริ่นเรื่องนี้กล่าวออกด้วยรอยยิ้ม


 


“เอ๋ ภาพเหมือนของนายน้อยตำหนักเมฆาครามรึ?”


 


ได้ยินดังนั้นเหล่าศิษย์ลาดตระเวนอีกสองคนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ


 


ต่อมาหนึ่งในนั้นก็กล่าวถามด้วยสงสัยว่า “นายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่น หากข้าจำไม่ผิด…ใช่บังเอิญมีนามเหมือนกับท่านรองจ้าววังคนใหม่ของพวกเราหรือไม่?”


 


“อ่า ใช่เลยเป็นมัน!”


 


ศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นพยักหน้า


 


“จะว่าไปนายน้อยตำหนักเมฆาครามคนนี้ก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ข้าเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน…เห็นว่าแต่ก่อนมันเคยมียอดศาสตราเซียนตราผนึกมารในครอบครอง แต่สุดท้ายก็ถูกยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนบุกลงมาชิงไปถึงถิ่น!”


 


“ใช่ๆ เรื่องนี้กล่าวไปมันก็นับเป็น ผีอาภัพ โดยแท้”


 


ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนกล่าวเสริม


 


“นั่นสินะ เป็นผีอาภัพจริงๆ”


 


ศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะหันไปมองสหายในหน่วยทั้ง 2 ค่อยถามออกด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “แล้ว…พวกเจ้าอยากเห็นหน้าค่าตาผีอาภัพนั่นไหมเล่า?”


 


“เอาสิ! แม้มันจะเป็นผีอาภัพอับโชค…แต่ข้าก็อยากเห็นหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าเคยโชคดีได้ตราผนึกมารมาครองเสียหน่อย ถึงแม้สุดท้ายจะถูกชิงไป แต่มันก็นับว่ามีวาสนาไม่น้อยที่หายอดศาสตราเซียนที่สาบสูญไปนานพบ!”


 


ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนกล่าวออกมาด้วยความสนใจ


 


“เอ๊า! เจ้ามายั่วให้พวกเราอยากเห็นซะขนาดนี้ มีดีก็รีบควักออกมาให้พวกเราชมเสีย!”


 


ศิษย์ลาดตระเวนคนสุดท้ายมองไปยังศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นค่อยกล่าวเร่งสหายในหน่วยออกมา


 


อย่างไรก็ตาม พอมันได้เห็นภาพที่สหายหยิบออกมาอวด มันก็จำต้องตะลึงอึ้งค้างไปทันที


 


นั่นเพราะใบหน้านี้มันจดจำได้เป็นอย่างดี!


 


ขณะเดียวกัน ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนที่เห็นภาพที่สหายที่มายั่วให้อยากดู ก็เพียงทำท่าเฉยๆ กล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้พอเป็นพิธี


 


“เจ้าหน้าละอ่อนนี่น่ะเหรอ นายน้อยตำหนักเมฆาครามที่ว่า”


 


“อ่า มันนี่ล่ะ”


 


“หน้าตามันก็ดีใช้ได้นะ…น่าเสียดายที่โชคมันไม่ได้ดีเหมือนหน้าตา ฮ่าๆๆ”


 


“ฮ่าๆๆ เท่านี้มันก็โชคดีมากแล้วล่ะ…หากเป็นพวกเราอย่าว่าแต่มีวันได้ตราผนึกมารมาครองเลย กระทั่งโอกาสจะได้เห็นตราผนึกมารยังมิมีด้วยซ้ำ!”


 


“นั่นก็จริงอยู่หรอก…”


 



 


ศิษย์ที่เปิดประเด็นกับศิษย์ลาดตระเวนในหน่วยคนหนึ่งก็กล่าวสนทนากันไปเรื่อยเปื่อยตามประสา หากแต่ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนกลับนิ่งไปไม่พูดจา


 


มันที่ลอยร่างกลางอากาศตอนนี้ สีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นซีดเซียวคล้ายมีสีเขียวสลับขาว อาการแลดูไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่!


 


นั่นเพราะตอนนี้มันตกตะลึงแทบตายแล้ว!!


 


“นี่มัน…จะเป็นไปได้ยังไงกัน?”


 


“ไม่นับเป็นอะไรหากกจะมีนามเหมือนกัน…แต่กระทั่งใบหน้ายังเหมือนกันด้วยหรือ…”


 


“เป็นไปไม่ได้…มันเป็นไปไม่ได้…เรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้!”


 


เรียกว่าตอนนี้ศิษย์ลาดตระเวนคนดังกล่าวได้แต่พึมพำไปอย่างเลื่อนลอย อารมณ์ของมันปั่นป่วนทั้งสับสนนัก


 


“เฮ่ย! หวงเจิ้ง เจ้าเป็นอะไรไป?”


 


“เฮ่ๆ ตื่นๆ! นี่เจ้าเหม่ออะไรของเจ้าอยู่กัน? พวกเราต้องไปลาดตระเวนต่อ เดี๋ยวผู้อาวุโสผ่านมาเห็นได้ซวยกันหมดหรอก”


 


ตอนนี้เองศิษย์ในหน่วยลาดตระเวนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้และเอาภาพเหมือนออกมา ก็พยายามเรียกสติทั้งตบบ่าศิษย์ลาดตระเวนนาม หวงเจิ้ง ที่อยู่ดีๆก็เหม่อไป


 


ได้ยินเสียงศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 รวมถึงสัมผัสได้ถึงมือหนึ่งที่ตบบ่า ร่าง หวงเจิ้ง ก็สะดุ้งตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมารู้สึกตัว


 


หลังจากที่มันคืนสติแล้ว มันก็หันไปมองถามสหายที่เปิดประเด็นเรื่องนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าไปได้ภาพนี้มาจากที่ไหน? แล้วทำไมเจ้าถึงได้กล่าวบอกว่านี่คือภาพเหมือนของนายน้อยตำหนักเมฆาคราม?”


 


“หวงเจิ้ง นี่เจ้าเป็นอะไรไปกัน ไฉนอยู่กลับทำหน้าจริงจังนักเล่า?”


 


ศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นเผยทีท่าตกใจ ก่อนที่จะมองถามสหายด้วยสีหน้าประหลาดใจ


 


“เจ้ารีบบอกข้ามาก่อนเร็ว!”


 


อย่างไรก็ตามหวงเจิ้งเพิกเฉยต่อทีท่าสงสัยประหลาดใจของสหายในหน่วย มันเร่งกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน


 


ราวกับ ‘คำตอบ’ ของคำถามนี้ สำคัญกับมันมาก


 


และอันที่จริงก็นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ!


 


“ภาพนี้น่ะเหรอ ข้าได้มาจากข้างนอกน่ะ…ทำไมหรือ จะว่าไปรูปเหมือนนี่สำหรับเผ่าปีศาจอื่นข้าไม่รู้ แต่คนในเมืองเหรินโม่เชิ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์เรา สมควรมีกันเกลื่อนแล้วนะ”


 


ศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นขึ้นมากล่าวออกด้วยสีหน้าสงสัย “ส่วนเรื่องที่ไฉนข้ารู้ว่ามันเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามนั้น ข้าก็ได้ฟังมาจากพวกในเมืองอีกทีน่ะ”


 


“หวงเจิ้ง…นี่เจ้า คงไม่ใช่ว่าเคยเห็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นี้หรอกนะ!?”


 


ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนมองถามหวงเจิ้งด้วยสายตาลุกวาว เร่งถามสหายออกมาด้วยความสนใจ


 


“หือ? หวงเจิ้ง…เจ้าเคยเห็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามคนนี้มาก่อนงั้นรึ?”


 


ศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้กล่าวถามด้วยความสนใจ ยามมองหวงเจิ้งสองตายังลุกวาวขึ้นมา “หากเจ้ารู้ที่อยู่นายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นี้ แล้วนำไปรายงานคนของวังวิญญาณอสุราล่ะก็ เจ้าต้องได้รางวัลใหญ่แน่!”


 


“ใช่ๆ เห็นว่าเพราะศิษย์ปิดสำนักของจ้าววังวิญญาณอสุราตกตายลงด้วยน้ำมือของจ้าวตำหนักเมฆาครามกับยอดฝีมืออีกคนของตำหนักเมฆาคราม ทำให้มันแค้นจ้าวตำหนักเมฆาครามนัก! มันต้องสนใจนายน้อยตำหนักเมฆาครามมากแน่นอน!!”


 


ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนก็กล่าออกกมาด้วยความตื่นเต้น


 


“คนในภาพเหมือนนี้…ข้าเคยเห็นมาก่อนจริงๆ”


 


หวงเจิ้งกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก


 


และคำตอบนี้ของมันก็ทำให้สองตาศิษย์ลาดตระเวนที่รอฟังอยู่ถึงกับลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที มองไปยังประหนึ่งดวงดาวกลางฟ้าในยามค่ำคืน!


ตอนที่ 2,283 : อวิ๋นฟู่เหย่


 


“เฮ่! อย่าบอกนะว่านี่เจ้าเคยเจอนายน้อยตำหนักเมฆาครามจริงๆ!?”


 


“หวงเจิ้ง เจ้าพบมันที่ใด!? ใช่ยังมีเบาะแสที่อยู่ของมันหรือไม่!? หากมีจริงเจ้าสามารถเอามันไปมอบให้จ้าววังวิญญาณอสุรา! ที่นี้จ้าววังวิญญาณอสุราได้ตบรางวัลใหญ่ให้เจ้าแน่!!”


 


ศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 ที่มองหวงเจิ้งด้วยสายตาลุกวาว เร่งกล่าวกันออกมาอย่างตื่นเต้น


 


“ข้าเคยเห็นคนในภาพเหมือนนี่ก็จริง แต่…”


 


หวงเจิ้งกล่าวออกมา ทว่าไม่ทันได้พูดจบคำก็ถูกสหายขัดเสียก่อน


 


“แต่เจ้าไม่รู้ที่อยู่ของมันงั้นเหรอ…กระทั่งเบาะแสว่ามันอยู่ที่ใดก็ไม่มี?”


 


หนึ่งในศิษย์ลาดตระเวนกล่าวออกมาด้วยความเสียดาย สีหน้ายังเผยความผิดหวังไม่น้อย “ถ้างั้นก็น่าเสียดายจริงๆ…หากเจ้ามีเบาะแสก็เป็นการดีที่จะไปแจ้งเรื่องราว แต่ถ้าไร้เบาะแสใดๆมันก็มิมีประโยชน์”


 


“นั่นสิ”


 


ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนพยักหน้าเห็นด้วย


 


“พวกเจ้าว่า…ในโลกใบนี้ใช่มีผู้คน 2 คนที่มีทั้งหน้าตาและชื่อแซ่เหมือนกันดำรงอยู่หรือไม่?”


 


หวงเจิ้งเมินวาจาทีท่าเสียดายของสหายร่วมหน่วยลาดตระเวนทั้งสอง ก่อนที่จะกล่าวคำถามนี้ออกมา


 


“คนที่มีหน้าตาและชื่อแซ่เหมือนกันงั้นเหรอ?”


 


หนึ่งในศิษย์ลาดตระเวนอดไม่ได้ที่จะผงะไป


 


“เหอะๆ…เรื่องแบบนั้นมันจะไปมีได้ยังไงเล่า!”


 


ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนส่ายหัวไปมาทั้งบอกปัด “คนเราอาจมีบ้างที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกัน ส่วนนามนั้นย่อมมีซ้ำกันไม่น้อยเป็นธรรมดา…แต่ถ้าเจ้าจะหาผู้คนที่ชื่อเหมือนกันไม่พอแต่กระทั่งใบหน้ายังเหมือนกันล่ะก็ ถึงจะมีแต่ก็คงหาได้ยากยิ่งนัก”


 


“ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่คนมีหน้าตาเหมือนกันแต่มีชื่อเดียวกันจะมีอยู่จริงหรือไม่ด้วยซ้ำ…”


 


“จริงอยู่ที่ว่าโอกาสเป็นไปได้นั้นก็ยังมี…หากพวกมันเป็นพี่น้องฝาแฝดกันแล้วจงใจใช้นามเหมือนกัน หรือพี่น้องฝาแฝดที่พลัดพรากกันแต่เกิดแล้วบังเอิญมีนามเหมือนกัน…นอกเหนือจากนี้ข้าก็ไม่เห็นความเป็นไปได้อย่างอื่นอีก”


 


ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนกล่าวออก และคำพูดก็มีเหตุผลไม่น้อย


 


“แล้วถ้าหนึ่งในนั้นเป็นมนุษย์…แล้วอีกหนึ่งเป็นเผ่าปีศาจมนุษย์เล่า?”


 


หวงเจิ้งคลี่ยิ้มขื่นขม


 


“มนุษย์? ปีศาจมนุษย์? หวงเจิ้ง นี่เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?”


 


คิ้วศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 ขดย่นเป็นปม


 


และหนึ่งในนั้นคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ลูกตามันหดเล็กลงทันที


 


มันถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆด้วยความหนาวเหน็บ มองถามหววงเจิ้งไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ “หวงเจิ้ง…เจ้าถามเรื่องนี้…คงมิใช่ว่า…นายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่น ไม่เพียงมีชื่อเดียวกันกับท่านรองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรเรา แต่กระทั่งใบหน้ายังเหมือนกันหรอกนะ!?”


 


“ไม่จริงน่า!!”


 


ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนพอได้ฟังก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ


 


“มิผิด!”


 


หวงเจิ้งพยักหน้าลงด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “พวกเจ้าก็น่าจะเคยได้ยินมาแล้ว…ว่าในตอนที่ท่านรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ของพวกเราพึ่งมาถึงวังเซียนสัญจรวันแรกและได้ลงมือฆ่าอาวุโสหลินหย่วนไป ข้าก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย…เช่นนั้นข้าจึงรู้ว่าหน้าตาของท่านรองจ้าววังเป็นเช่นไร…”


 


“และรูปร่างหน้าตาของท่านก็เหมือนกันกับคนในรูปเหมือนที่เจ้าเอาออกมาราวกับแกะ…แต่ทว่าเจ้าบอกว่าในรูปเหมือนของเจ้านั้น ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน!”


 


“หากเพียงแค่รูปลักษณ์เหมือนกันยังพอทำเนา…แต่ปัญหาก็คือท่านรองจ้าววังคนใหม่ของพวกเรา กลับมีนามว่าต้วนหลิงเทียนด้วย!”


 


จากนั้นสีหน้าของหวงเจิ้งก็เผยความเหลือเชื่อออกมา


 


“บ้าน่า…!!”


 


ทันใดนั้นศิษย์ลาดตระเวนอีก 2 คนก็ตกตะลึงไปไม่ต่าง


 


รองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ของพวกมัน ไม่เพียงมีชื่อแซ่เหมือนกันกับนายน้อยตำหนักเมฆาครามคนนั้น แต่กระทั่งหน้าตายังเหมือนกันราวกับแกะ?


 


นี่มัน…


 


จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ด้วยหรือ?


 


“หากนี่มิใช่เรื่องบังเอิญ…เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงประการเดียวเท่านั้น…”


 


สุดท้ายศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา ก็หยิบรูปเหมือนขึ้นมามองอีกครั้ง ค่อยกล่าวออกเสียงขรึม “รองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ของพวกเรา กับนายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นี้…เป็นคนๆเดียวกัน!”


 


“กล่าวได้ว่า…มันคือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม! แล้วที่มันมาเข้าร่วมวังเซียนสัญจรของพวกเรา ก็สมควรมีแผนการบางอย่างแน่!!”


 


วาจาท้ายประโยคของศิษย์ลาดตระเวนคนนี้ เผยความคาดหมายอันน่ากลัวหนึ่ง


 


“หากเป็นเช่นนั้นจริง…มิใช่วังเซียนสัญจรของพวกเรามีสายลับของพวกมนุษย์เข้ามาแฝงตัวอยู่รึไร!?”


 


ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนอดสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้ สีหน้าท่าทางยังเผยความหวาดกลัวออกมา


 


“เป็นไปได้อย่างยิ่ง!”


 


หวงเจิ้งกล่าวออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ลูกตาของมันหดหยีลง คลี่ยิ้มขื่นขมกล่าวว่า “แล้วตอนนี้พวกเราจักทำอย่างไรกันดี ถึงแม้มัน 9 ใน 10 สมควรเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม…หากแต่อย่างไรตอนนี้มันก็มีตำแหน่งถึงรองจ้าววัง อาศัยคนฐานะต่ำต้อยอย่างพวกเราทั้ง 3 ข้าเกรงว่าคงมิมีผู้ใดเชื่อคำของพวกเราหรอก?”


 


“ไม่ได้การแล้ว! นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของวังเซียนสัญจรเราถึงแม้ว่าเสียงของพวกเรา 3 คนจักไร้น้ำหนัก แต่พวกเราก็ต้องเปิดโปงเรื่องนี้ออกไป!!”


 


ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนกล่าวออกเสียงหนัก


 


“ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อย่างไรพวกเราก็ต้องเปิดโปงออกไป! เป็นการดีที่สุดที่พวกเราจะเอาเรื่องนี้ไปแจ้งให้ท่านจ้าววังล่วงรู้…เพราะตอนนี้ในวังเซียนสัญจรของพวกเรา ผู้ที่สามารถรับมือรองจ้าววังจอมปลอมนั่นได้มีเพียงท่านจ้าววังคนเดียวเท่านั้น!!”


 


ศิษย์ลาดตระเวนคนสุดท้ายก็กล่าวออกด้วยน้ำเสียงตึงเครียด


 


หลังจากนั้นศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 3 ที่หารือกันอยู่อีกพักหนึ่ง ก็ตัดสินใจนำความนี้ไปแจ้งจ้างวังเซียนสัญจร


 


นั่นเพราะ 9 ใน 10 รองจ้าววังคนใหม่ของพวกมัน ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน ที่ได้ลอบแฝงตัวเข้ามาด้วยมีแผนการร้ายอะไรบางอย่างกับวังเซียนสัญจรของพวกมัน!


 


เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ทั้ง 3 ก็ไม่กล้ารอช้าอีก ละทิ้งหน้าที่ลาดตระเวนแล้วเร่งเหินร่างไปยังเขตที่พักของจ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉินทันที


 


หากแต่พวกมันก็ทำได้แค่หยุดลงหน้าเขตที่พักไกลๆเท่านั้น


 


นั่นเพราะพวกมันพึ่งเหินร่างมาถึงที่นี่ได้ไม่ทันไร ก็ถูกผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนหยุดขวางเอาไว้


 


“หวงเจิ้งพวกเจ้าทั้ง 3 ไฉนรีบร้อนมาที่นี่?”


 


ในฐานะผู้อาวุโสลาดตระเวนคนหนึ่ง มันย่อมจดจำหวงเจิ้งกับอีก 2 คนได้เป็นธรรมดา


 


“เรียนท่านผู้อาวุโสโหวเฟิง พวกเรามีเรื่องด่วนต้องเข้าพบท่านจ้าววังโดยเร็วที่สุด!”


 


ตอนนี้หวงเจิ้งย่อมตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ดี เช่นนั้นน้ำเสียงของมันจึงเผยความรีบร้อนไม่น้อย


 


“ช่วงนี้ท่านจ้าววังยังอยู่ในการปิดด่าน…”


 


อาวุโสลาดตระเวนชักหน้าเคร่งโบกมือพลางกล่าวเสียงหนัก “มิว่าจักเป็นเรื่องด่วนเพียงใด ก็จำต้องรอให้ท่านจ้าววังออกจากการปิดด่านเสียก่อนค่อยรายงาน!”


 


“ท่านผู้อาวุโสโหวเฟิง! เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของวังเซียนสัญจรของพวกเรา! เพื่อให้วังเซียนสัญจรมิพบหายนะพวกเราจำต้องเข้าพบท่านจ้าววังโดยเร็วที่สุด!!”


 


หวงเจิ้งย่อมเป็นกังวลไม่น้อยเมื่อได้ยินคำปฏิเสธของอาวุโสลาดตระเวน มันเร่งกล่าวออกอย่างตรงไปตรงมาว่าไฉนถึงต้องรีบร้อนเข้าพบจ้าววัง เรื่องความเป็นความตายของวังเซียนสัญจรเช่นนี้มันไม่อาจรอช้าได้!


 


“อันใด? เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของวังเซียนสัญจรเราเลยรึ?”


 


ได้ยินคำพูดของหวงเจิ้งอาวุโสลาดตระเวนก็กล่าวประชด ทั้งรู้สึกอยากจะหัวเราะเราะออกมานัก ทว่าศิษย์ลาดตระเวนอีก 2 คนที่มากับหวงเจิ้งเร่งกล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อน


 


“อาวุโสโหวเฟิง หวงเจิ้งมันมิได้กล่าววเรื่องเหลวไหล! เรื่องที่มันคิดไปรายงานให้ท่านจ้าววังรับรู้ยามนี้ เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของคนในวังเซียนสัญจรเราทุกคน!!”


 


“ใช่แล้วท่านอาวุโสโหวเฟิง เรื่องนี้มิอาจล่าช้าได้ หากเกิดเรื่องขึ้นมา วังเซียนสัญจรของพวกเรามิอาจแบกรับความเสียหายได้แน่!!”


 


ศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 เร่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดทีท่าร้อนรนทั้งเป็นกังวลอย่างหนัก พาลให้อาวุโสลาดตระเวนถึงกับต้องขมวดคิ้ว


 


“ที่แท้มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่!?”


 


ผู้อาวุโสหน่ววยลาดตระเวนกล่าวถามออกเสียงหนัก แววตายังคมกล้าเผยประกายดุร้าย “หากเจ้ามิพูดออกมาให้ชัดเจนว่านี่มันเรื่องอันใดกันแน่ ข้าก็มิอาจไปรบกวนการปิดด่านบ่มเพาะของท่านจ้าววังให้พวกเจ้าได้…เพราะหากท่านจ้าววังคิดคาดโทษขึ้นมา คนที่จะตายย่อมเป็นข้า!!”


 


“ท่านผู้อาวุโสโหวเฟิง เรื่องมันเป็นเช่นนี้…”


 


ตอนนี้หวงเจิ้งย่อมรู้ดี หากไม่อธิบายเรื่องราวให้ละเอียด เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้พบเจอจ้าววังเป็นแน่ เช่นนั้นมันจึงเล่ารายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมดให้โหวเฟิงฟัง


 


ศิษย์หนึ่งในหน่วยลาดตระเวนที่เหลือก็หยิบม้วนภาพขึ้นมาคลี่กาง


 


เป็นภาพเหมือนของต้วนหลิงเทียน!


 


“ข้าเองก็เคยเห็นภาพเหมือนนี้ตอนออกไปนอกวังเมื่อไม่กี่วันก่อน และมันเป็นภาพเหมือนของนายน้อยตำหนักเมฆาคราม…ว่าแต่เจ้ามั่นใจแน่หรือ ว่าท่านรองจ้าววังคนใหม่ของพวกเรามีหน้าตาเหมือนกันกับบุคคลในภาพวาดนี้ราวกับแกะ?”


 


เมื่อได้รับทราบเรื่องราวจากปากของทั้ง 3 แล้ว อาวุโสลาดตระเวนก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์เช่นกัน สีหน้าท่าทีของมันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังทั้งตึงเครียดทันที


 


อย่างไรก็ตามมันจำต้องกล่าวถามยืนยันออกมาอีกครั้ง


 


“เรียนท่านผู้อาวุโสโหวเฟิง ข้าเองก็อยู่ที่นั่นยามรองจ้าววังคนใหม่ของพวกเราลงมือสังหารอาวุโสหลินหย่วนเมื่อสองปีก่อน…รูปร่างหน้าตาของมันตัวข้าย่อมจดจำได้ไม่มีลืมเลือน ยังเหมือนกับคนในภาพวาดนี้ทุกประการ!!”


 


“หากท่านผู้อาวุโสโหวเฟิงมิเชื่อคำของข้าน้อย…ท่านสามารถเรียกศิษย์ลาดตระเวนนาม ติงเจี้ยนหง และคนอื่นๆที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นมาสอบถามหาความก็ได้ขอรับ เพราะพวกมันเองก็ได้เห็นหน้าค่าตาของรองจ้าววังคนใหม่ชัดเหมือนกันกับข้า!”


 


หลังหวงเจิ้งกล่าวประโยคนี้ออกมา มันก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย “แน่นอนว่าหากท่านอาวุโสโหวเฟิงคิดว่ามันยุ่งยากลำบาก…ข้าน้อยยินดีกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเพื่อพิสูจน์ว่าข้ามิได้กล่าวคำเท็จ!”


 


และแทบจะทันทีที่หวงเจิ้งกล่าวจบคำ มันก็กรีดนิ้วหลั่งโลหิตและเอ่ยคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าออกมาทันที


 


“ข้า หวงเจิ้ง วันนี้ขอสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า ว่าหากข้ามิได้เห็นว่ารองจ้าววังคนใหม่ ต้วนหลิงเทียน มีใบหน้าเหมือนกันกับ ต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามในรูปเหมือนนี้จริงๆ ข้ายินดีให้อัสนีสวรรค์พิฆาตร่างตายตก!!”


 


ทันทีที่เสียงกล่าวหวงเจิ้งดังจบคำ


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!…


 



 


ทันใดนั้นเสียงอัสนีฟาดผ่าพลันดังขึ้น 9 คำรบสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งจะกลั่นแกล้งให้โลกหล้าตกใจ


 


และมันคือเสียงฟาดผ่าของอัสนีทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า ที่ขานรับคำสาบานของหวงเจิ้ง!


 


เมื่อตัวหวงเจิ้งยังอยู่ดีมีสุขมิได้ถูกอัสนีฟ้าฟาดผ่าจนตายตก ย่อมหมายความว่าทุกถ้อยคำวาจาที่มันกล่าวสาบานล้วนเป็นความจริง!


 


อย่างน้อยๆตอนนี้โหวเฟิงก็เชื่อคำพูดหวงเจิ้ง!


 


“ผู้ใดหาญกล้าเอ่ยคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้ารบกวนการปิดด่านบ่มเพาะของท่านอาจารย์ข้า?”


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงอัสนีฟ้าลั่นดังจบ 9 คำรบ ก็พลันปรากกฏเสียงเปี่ยมโทสะหนึ่งดังขึ้นจากคฤหาสน์หลังใหญ่เบื้องหน้าไกลตา และเสียงดังกล่าวยังทำให้สีหน้าของโหวเฟิง อาวุโสลาดตระเวนซีดลงด้วยความหวาดกลัว!


 


ฟุ่บ!!


 


และแทบจะพร้อมกันกกับที่เสียงเปี่ยมโทสะดังสิ้นคำ ก็ประหนึ่งมีสายลมแรงพัดกรรโชกตีเข้าใบหน้าทั้ง 4! ปรากฏร่างหนึ่งผุดโผล่ขึ้นเบื้องหน้าหวงเจิ้งและคนทั้งหมด!!


 


เป็นชายหนุ่มที่มาในชุดคลุมสีน้ำเงินแลดูกำยำแข็งแกร่งพร้อมใบหน้าหล่อเหลา เพียงมันปรากฏตัวกลิ่นอายที่แผ่ออกทั่วร่างก็พาลให้หวงเจิ้งและคนอื่นๆรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของใจ


 


“ผู้น้อยคารวะรองจ้าววัง!”


 


“ผู้น้อยคารวะรองจ้าววัง!”


 



 


หลังได้เห็นร่างผู้มาใหม่หวงเจิ้งและคนอื่นๆก็โค้งคารวะอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม น้ำเสียงยังมากล้นไปด้วยความเคารพ


 


“เป็นผู้ใด…ที่มันหาญกล้ากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า!?”


 


สายตาชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินกวาดผ่านร่างโหวเฟิงและพวกหวงเจิ้งทีละคนๆ ด้ววยสายตาที่คมกล้าปานมีดดาบ ทำให้ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวาดกลัวจับใจ


 


พวกมันไม่อาจไม่กลัว!


 


นั่นเพราะชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินเบื้องหน้าผู้นี้ก็คือชนชั้นรองจ้าววังของวังเซียนสัญจรคนหนึ่ง! กระทั่งยังเป็นรองจ้าววังอันดับ 1 ที่สำคัญนอกจากมีมีฐานะเป็นรองจ้าววังแล้ว…มันยังเป็นถึงศิษย์เอกของ อวี่เหวินฮ่าวเฉิน จ้าววังเซียนสัญจร!!


 


อวิ๋นฟู่เหย่!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)