War sovereign Soaring The Heavens 2261-2265

 ตอนที่ 2,261 : มันเป็นมนุษย์!!


 


ปีศาจจากแดนเนรเทศนั้น เมื่อรุกรานเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว ทัพหน้าของพวกมันแต่ละเผ่าก็จะหาสถานที่เพื่อลงหลักปักฐาน ยึดเป็นฐานที่มั่น


 


และในพื้นที่ๆพวกมันยึดครอง ก็จะมีแต่เผ่าของพวกมันมารวมตัวอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่


 


เช่นเดียวกันกับเมืองเหรินโม่เชิ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์ กว่าครึ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์ได้ลงหลักปักฐานอยู่ในเมือง รวมถึงขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง 3 วัง 6 ตำหนักก็ได้ตั้งรกรากขึ้นที่นี้


 


เช่นเดียวกันกับเผ่าปีศาจสุกร


 


สถานที่ๆเผ่าปีศาจสุกรเลือกจะลงหลักปักฐานก็เป็นหุบเขาอันกว้างใหญ่ไพศาล มีแนวเทือกเขาทอดยาวเป็นอาณาเขตกั้นแบ่ง และเผ่าย่อยของปีศาจสุกรที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ตั้งฐานที่มั่นอยู่ในหุบเขานี้เช่นกัน


 


และเผ่าปีศาจสุกร 3 เผ่าย่อยที่แข็งแกร่งที่สุดก็ได้แก่ เผ่าปีศาจสุกรทมิฬ เผ่าปีศาจสุกรสายฟ้า และเผ่าปีศาจสุกรสีชาด


 


เผ่าปีศาจสุกรทมิฬนั้นมีความสามารถโดดเด่นในเรื่องต่อสู้ระยะประชิด รูปร่างของพวกมันจึงบึกบึนแลดูแข็งแกร่ง น้อยนักที่จะอ้วนพุงโลตามธรรมชาติของหมู


 


ส่วนปีศาจสุกรสายฟ้า แม้ไม่ใช่ผู้ฝึกเต๋าหากแต่ด้วยพรสวรรค์แต่กำเนิดอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้พวกมันมีความสามารถในการชักนำสายฟ้าลงมาเพื่อช่วยเหลือยามต่อสู้


 


ส่วนเผ่าปีศาจสุกรสีชาดนั้น กลับมีกลวิธีปลดปล่อยพลังคลั่ง! ยามเมื่อใช้ความสามารถคุ้มคลั่ง ทั่วร่างของมันจะขยายใหญ่ เนื้อตัวจะกลายเป็นสีแดงฉาน พลังอำนาจดุร้ายเกรี้ยวกราดเป็นที่สุด!


 


และวันนี้ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 เผ่า ยังเป็นหัวหน้าของเผ่าสุกรย่อยทั้ง 3 ก็ได้มารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


เสียงแหวกฝ่าสายลมอัรุนแรงดังขึ้น ทำลายความสงบของเผ่าปีศาจสุกร


 


จาก 3 ทิศทาง ปรากฏร่างปีศาจสุกรแลดูแตกต่างกัน 3 ตนพุ่งลัดฟ้ามาฉับไว แต่ละตนเหินมาด้วยความเร็วสูงล้ำ จนร่างของพวกมันแลดูพร่าเลือนเสมือนภูตผี


 


เมื่อพวกมันเหินข้ามฟ้ามา จุดหมายของพวกมันก็คือจัตุรัสกลาง อันเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองเผ่าปีศาจสุกร!


 


บริเวณจัตุรัสกลางมีพื้นที่ยกสูงแลคล้ายแท่นบูชาตั้งอยู่


 


ในบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหลาย แต่ละเผ่าล้วนมีความเชื่อและความศรัทธาแตกต่างกันออกไปยกเว้นก็แต่เผ่าปีศาจมนุษย์


 


ความเชื่อและความศรัทธาของมันปกติแล้วจะเป็นตัวบรรพบุรุษของพวกมันเอง


 


ทำให้เผ่าปีศาจที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าพวกมันจะย้ายรกรากไปตั้งถิ่นฐานที่ใด พวกมันก็จะจัดสร้างแท่นบูชา รวมถึงสร้างรูปปั้นบรรพชนของพวกมันเอาไว้


 


แท่นบูชาของเผ่าปีศาจสุกรก็มีขนาดใหญ่โตนัก ตรงกลางยังปรากฏรูปปั้นมหึมาตั้งตระหง่านอยู่


 


รูปปั้นมหึมาที่ตั้งตระหง่านนั้นลักษณะแลคล้ายมนุษย์ มือข้างหนึ่งของมันคอนตรีศูลเฉียงลงข้างตัวไว้อย่างองอาจ อีกมือนั้นใช้ 2 นิ้วชี้กลางจี้ขึ้นฟ้า ราวกับจะประกาศศักดิ์ดาว่าจะใช้ตรีศูลในมือสยบโลกหล้า!


 


มองไปยังศีรษะของรูปปั้นอันเขื่อง ปรากฏเป็นหัวสุกร เป็นได้ชัดว่ามันคือปีศาจสุกร!


 


และมันยังเป็นบรรพบุรุษของเผ่าปีศาจสุกร! จุดศูนย์รวมความศรัทธาของเผ่าปีศาจสุกลทั้งหลาย!!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


เสียงแหวกอากาศแว่วมาจากไกลๆ 3 สำเนียง พริบตาก็ปรากฏร่าง 3 ร่างเหินลอยอยู่เหนือแท่นบูชา


 


ร่างหนึ่งค่อนข้างท้วมหากแต่สูงใหญ่ เพียงมันลอยร่างอยู่เฉยๆก็ให้ความรู้สึกประหนึ่งหอคอยเหล็ก แลดูน่าเกรงขามมากบารมี ทำให้ผู้ที่แลมองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนถูกสะกดข่ม


 


และมันก็คือปีศาจสุกรทมิฬ ยังเป็นผู้นำของเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ!


 


แน่นอนว่าในฐานะผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ ร่างท้วมสูงใหญ่ของมันนั้นมองไปที่ใดก็เห็นแต่มัดกล้ามปูดโปนแทบปริ! ราวกับมันสามารถระเบิดพลังอำนาจมหาศาลออกได้ในพริบตา!!


 


ส่วนอีกร่างนั้น ก็มีหัวเป็นสุกรเช่นกัน ขนาดร่างกายแลดูปานกลาง หากทว่ากลับมีผิวค่อนข้างขาว


 


หากมองให้ดีจะพบว่า


 


มีปานสายฟ้าสีม่วงปรากฏอยู่บริเวณหว่างคิ้ว


 


และหากจับจ้องมองไปยังปานสายฟ้าดังกล่าว


 


จะพบว่าบริเวณปานสายฟ้านั้น กลับมีประกายแสงสีม่วงเรืองสว่างขึ้นมาเป็นระยะๆ!


 


ราวกับมีเส้นสายอัสนีแลบลั่นอยู่ตลอดเวลา


 


และปีศาจตัวเป็นคนหัวเป็นสุกรผู้มีปานสายฟ้าที่หว่างคิ้วตนนี้ก็คือ 1 ใน 3 ผู้นำเผ่าปีศาจสุกร ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้า!!


 


จุดสังเกตอีกอย่างของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรก็คือ ในมือมันถือไว้ด้วยไม้เท้าหนึ่ง ไม่ทราบทำมาจากวัสดุอะไรแต่ตัวไม้เท้ากลับโปร่งใสคล้ายแก้วผลึก


 


ร่างสุดท้ายที่มาถึงมันช่างอ้วนท้วมนัก ใบหูยังใหญ่โตราวใบบัว หากแต่สองตากลับเล็กหยี!


 


ลักษณะของมันหากเทียบกับ 2 ผู้นำก่อนหน้าจัดว่าค่อนข้างปกติ แลเหมือนปีศาจสุกรทั่วๆไป


 


หากแต่มันก็คือผู้นำคนสุดท้าย ในบรรดา 3 ผู้นำของเผ่าปีศาจสุกร ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด!


 


โดยปกติแล้วผู้นำเปีศาจสุกรทั้ง 3 จะอาศัยอยู่ในเขตของตัวเอง ไม่ก้าวก่ายกันและกัน


 


ทว่าตอนนี้พวกมันกลับมารวมตัวกันอย่างหาดูได้ยาก!


 


ยิ่งไปกว่านั้น สีหน้าของพวกมันแต่ละตนยามนี้ ช่างอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!


 


ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้พวกมันเป็นแบบนี้ได้?


 


“เจ้าเองก็ทราบแล้วหรือ?”


 


เมื่อ 3 ผู้นำปีศาจสุกรมารวมตัวกัน ก็เป็นผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกกล่าวขึ้นตนแรก เสียงมันยังดังปานระฆังฟ้าร้อง


 


“ข้าเองก็มีไข่มุกวิญญาณพวกมันเก็บไว้เช่นกัน หากมีอันใดเกิดขึ้นกับพวกมันขอเพียงข้ามิได้ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ย่อมรับทราบได้ทันที…ข้าเองก็อยากมาสอบถามเจ้าเรื่องนี้”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสายฟ้ากล่าว ยังยกมือขึ้นมาหักนิ้วดังกร๊อบแกร๊บ ปานสายฟ้าที่หว่างคิ้วยิ่งมายิ่งส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ


 


แลดูคล้ายมันเดือดดาลไม่น้อย!


 


“บัดซบสิ้นดี! ท่านผู้เฒ่าอาวุโสอุตส่าววางใจมอบพวกมันทั้ง 3 ไว้ให้พวกเราดูแล ถึงแม้ท่านผู้เฒ่าจะไม่ให้พวกเราไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับพวกมันด้วยไม่อยากให้ขัดขวางการเติบโต แต่ก็ยังฝากฝังให้พวกเราคอยดูแลความปลอดภัยของพวกมัน…แต่มิคิดเลยพวกมันที่ปลอดภัยราบรื่นมาตลอดในดินแดนเนรเทศกลับมาเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ได้!”


 


ผู้นำปีศาจสุกรสีชาดกล่าวถึงจุดนี้น้ำเสียงก็กลายเป็นเยียบเย็น “ข้าล่ะอยากรู้นักว่าเป็นตัวบัดซบจากที่ใดถึงได้หาญกล้าบุกมาฆ่าหลานทั้ง 3 ของท่านผู้เฒ่าอาวุโส!”


 


กล่าวจบคำผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดก็เริ่มเคลื่อนไหว


 


มันยกมือขวาขึ้น ความว่างเปล่าก็สั่นสะเทือน ปรากฏพลังไร้สภาพขุมหนึ่งกำจายออกมา


 


พร้อมกับที่พลังไร้สภาพเอ่อล้นออกมาบิดเบือนในบรรยากาศ ในมือของมันยังปรากฏเศษซากวัตถุแตกอยู่


 


มองดูให้ดีไม่ใช่นั่นเป็นเศษไข่มุกวิญญาณหรือไร?


 


ยิ่งไปกว่านั้นหากดูจากจำนวนเศษซากแล้ว สมควรเป็นไข่มุกวิญญาณมากกกว่า 1 ลูก!


 


“ข้าจัดการเอง”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสายฟ้ากล่าว ก่อนจะยกไม้เท้าผลึกแก้วขึ้นมาโบก


 


ทันใดนั้นปรากฏอัสนีสีม่วงสายหนึ่งพุ่งวาบออกจากหัวไม้เท้า ยิงจี้ไปยังรูปปั้นบรรพบุรุษเบื้องล่าง


 


ทันใดนั้นรูปปั้นใหญ่โตก็เริ่มเรืองแสงสีม่วงขึ้นมา ไม่นานแสงสีม่วงจากทั้งร่างก็คล้ายจะไปบรรจบที่ดวงตา ก่อนที่สองตาของรูปปั้นจะยิงลำแสงสีม่วงเข้มสายหนึ่งขึ้นมาฉับไว!


 


วู้ม! วู้ม!


 


เมื่อลำแสงสีม่ววงสองสายจากดวงตาของรูปปั้นสาดมาถูกเศษไข่มุกวิญญาณ เศษไข่มุกทั้งหลายก็เรืองแสงสว่างวาบ


 


ต่อมาปรากฏม่านพลังคล้ายกระจกขึ้นกลางหาวเบื้องหน้าสายตาของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3! และฉากเรื่องราวในนั้นทำให้แววตาของพวกมันแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ!!


 


ฉากที่ว่าก็คือภาพเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับ 3 นับรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกร!


 


วิธีการดังกล่าวมองไปยังคล้ายรูปแบบการทำงานของยันต์กระจกเงาสะท้อนลักษณ์ของมนุษย์อยู่บ้าง หากแต่ที่ปีศาจสุกรสามารถกระทำเช่นนี้ได้ เนื่องเพราะอาศัยอาคมโบราณหนึ่ง


 


และอาคมโบราณที่ว่าก็ถูกสลักจารึกเอาไว้ในรูปปั้นของบรรพบุรุษ!


 


“สารเลวนี่เป็นเผ่าปีศาจมนุษย์!”


 


หลังได้เห็นว่าร่างผู้ที่ต่อสู้กับ 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรเป็นใคร บรรดาผู้นำเผ่าปีศาจสุกรก็เดือดดาลนัก ลูกตาของพวกมันทั้ง 3 แทบจะพ่นลำแสงความร้อนออกมาได้!


 


“สารเลว! ไอ้พวกเผ่าปีศาจมนุษย์นอกคอกมันกล้าบุกรุกเข้ามาถิ่นพวกเรารึ!?”


 


“เรื่องนี้พวกเราต้องไปขอคำอธิบายจากพวกมัน!!”


 



 


เรียกว่าหลังได้เห็นร่างต้วนหลิงเทียน 3 ผู้นำก็มีโมโหนัก ด้วยรู้สึกเสมือนถูกหยามหมิ่นลูบคม!ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เผ่าปีศาจสุกรของพวกมันมีใครหาญกล้าบุกมาก่อเรื่องแบบนี้?


 


“ไม่สิ! จากพลังของมันมิน่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเด็กน้อยทั้ง 3 นั่นได้…หรือเป็นมันล่อหลานแฝดของท่านผู้เฒ่าอาวุโสออกไป ก่อนที่พวกมันจะถูกพวกเผ่าปีศาจมนุษย์ที่ดักซุ่มอยู่ฆ่ากัน?”


 


ฉากเรื่องราวในม่านแสงกลางหาวเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนนี้ทั้งหมดก็ได้เห็นฉากที่ต้วนหลิงเทียนกำลังหลบหนี 3 ปีศาจสุกรไม่หยุด พาลให้ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬขมวดคิ้วกล่าวออกด้วยความสงสัย


 


และในขณะที่อีก 2 ผู้นำก็กำลังสงสัยในเรื่องราวดังกล่าวเหมือนกันนั้นเอง


 


ฉากเรื่องราวในม่านแสงก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตามหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างให้ทัดเทียมกับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว ก็ไม่อาจฝ่าม่านพลังป้องกันของ 3 แฝดได้


 


“นี่มันอะไรกัน…หรือตอนแรกเป็นมันปกปิดพลังเอาไว้?”


 


เรื่องที่เกิดขึ้นย่อมทำให้ 3 ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรไม่เข้าใจจริงๆ


 


“ไม่! มันมิได้ปกปิดพลังเอาไว้! แต่สมควรเป็นมันถ่วงเวลาเพื่อใช้เวทย์พลังสนับสนุนยกระดับพลังเซียนต้นกำเนิดในร่าง! เจ้าเห็นหรือไม่ตั้งแต่แรกมันไม่ได้คิดปะทะแตกหักอันใดเพียงบินหนีไปหนีมา!”


 


“มันสมควรใช้เวทย์พลังสนับสนุนจริงๆ หากแต่เวทย์พลังของมันจำต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะเร่งเร้าพลังได้ถึงขีดสุด…จากความเร็วก่อนที่มันจะหยุดร่าง…พลังเซียนต้นกำเนิดในร่างของมันตอนนี้สมควรไม่ด้อยไปกกว่าพลังเซียนต้นกำเนิดของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!!”


 


ไม่นานผู้ปีศาจสุกรทั้งก็หารือกัน ด้วยเพราะตระหนักได้ถึงเรื่องนี้


 


หลังจากพบเรื่องนี้พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะผงะพูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง “ในโลกกลับมีเวทย์พลังสนับสนุนยอดเยี่ยมเช่นนี้ด้วยหรือ?”


 


“เรื่องเวทย์พลังนั่นยังมิใช่ประเด็น…ประเด็นคือในเผ่าปีศาจมนุษย์ปรากฏตัวตนเช่นตัวบัดซบนี่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด!”


 


“แม้มันจะใช้เวทย์พลังสนับสนุน แต่พลังที่มันเผยออกยามนี้ก็ไม่ได้ต่างใดไปจากเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนทั่วๆไป!”


 


“แต่ก็เท่านั้น…อาศัยเพียงระดับพลังเท่านี้ไม่ควรฆ่าหลานท่านผู้เฒ่าอาวุโสทั้ง 3 ได้! พวกเจ้าต้องทราบด้วยว่าม่านพลังป้องกัน 3 ประสานของพวกเด็กน้อยนี่ กระทั่งพวกเราเองก็มิอาจทำลายได้ในเวลาอันสั้น”


 


“มิผิด…เด็กน้อยทั้ง 3 สมควรนั่นสมควรปลอดภัยใต้ม่านพลังนั่น จนกระทั่งผลของเวทย์พลังสนับสนุนตัวบัดซบนั่นหมดเวลา”


 



 


ในขณะที่ผู้นำเผ่าปีศาจทั้ง 3 กำลังสงสัย ฉากเรื่องราวก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง


 


สุดท้ายพวกมันก็ได้รู้…


 


ได้รู้ว่าไฉนหลานแฝด 3 ของผู้เฒ่าอาวุโสของพวกมันถึงได้ตายตก!


 


“ตะ…ตราผนึกมาร!? นั่นมันยอดศาสตราเซียน ‘ตราผนึกมาร’ งั้นเหรอ?!”


 


“บ้าน่า! ตราผนึกมารไปอยู่ในมือเผ่าปีศาจมนุษย์ได้อย่างไรแล้วไฉนมันถึงใช้ได้เล่า? ต่อให้มันมิได้มีสายเลือดปีศาจ แต่ก็มิใช่มันบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชามารหรือไร…พลังในร่างผู้ฝึกมารก็ไม่ต่างใดจากปีศาจอย่างพวกเรา แล้วไฉนมันใช้ตราผนึกมารได้เล่า!?”


 


“ข้าว่าพวกเราผิดกันตั้งแต่แรก…เจ้านั่นมันมิใช่คนของเผ่าปีศาจมนุษย์…แต่มันเป็นมนุษย์! ยังสมควรเป็นยอดฝีมือของดินแดนเซียนแห่งนี้!!”


 


“มนุษย์? ใช่แล้ว! มันต้องเป็นมนุษย์! มันต้องเป็นมนุษย์!!”


 



 


เมื่อเห็นปีศาจสุกรแฝด 3 เผชิญหน้ากับตราผนึกมาร จนสุดท้ายได้เห็นฉากตราผนึกมารสังหารทั้ง 3 ในชั่วพริบตา ลูกตาของผู้นำเผ่าปีศาจทั้ง 3 ก็หดเล็กลง…


ตอนที่ 2,262 : ความลับของตราผนึกมาร!


 


ตัวตนระดับผู้นำของเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 ย่อมรู้จักยอดศาสตราเซียนดาวข่มเผ่าปีศาจอย่างตราผนึกมารเป็นอย่างดี


 


บางทีตอนนี้กว่า 9 ส่วนของเผ่าปีศาจยังเชื่อว่า…


 


ตราผนึกมารนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ของมนุษย์เมื่อหมื่นปีก่อน…


 


แต่พวกมันนั้นรู้เรื่องราวทั้งหมดดี! กระทั่งยังมั่นใจได้เต็มสิบส่วน!!


 


ว่าตราผนึกมารนั้น หาได้เป็นยอดศาสตราเซียนที่ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ของมนุษย์ไม่!!


 


สาเหตุเป็นเพราะในช่วงปลายยุคมนุษย์ปีศาจ ตราผนึกมาร ก็ได้ปรากฏขึ้นพร้อมพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ มันได้เข่นฆ่าสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจไปเป็นจำนวนมาก ที่ตายยังเป็นเหล่ายอดฝีมือของเผ่าปีศาจอีกด้วย!!


 


เหล่าปีศาจที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าหรือทัดเทียมกับผู้ใช้ตราผนึกมารนั้น เรียกว่าถูกฆ่าตายแทบจะในทันที ส่วนผู้ที่มีพลังฝึกปรือกล้าแข็งกว่า ก็ถูกสะกดพลังไว้หลายส่วน!


 


เรื่องนี้กระทั่งในหมู่ปีศาจเองก็มีน้อยตนนักที่จะล่วงรู้ เพราะเรื่องราวมันล่วงเลยไปนับแสนปีแล้ว ผู้รู้ส่วนใหญ่ก็เป็นชนชั้นยอดฝีมือที่ตกตายไปด้วยพลังของตราผนึกมารทั้งสิ้น…


 


อย่างไรก็ตามเผ่าปีศาจสุกรของพวกมัน ได้รับทราบเรื่องราวดังกล่าวสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นบรรพชนของพวกมันที่ได้เห็นตราผนึกมารในสมัยนั้นกับตา!!


 


“ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ของพวกมนุษย์ก็แค่ผู้ที่มิอาจบรรลุได้ถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน! อาศัยมันยังจะมีปัญญาสร้างตราผนึกมารที่มีพลังอำนาจมหาศาล ถึงขั้นสะกดสังหารได้กระทั่งปีศาจขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะได้อย่างไร?”


 


“ทุกคราที่ได้ยินผู้คนกล่าวว่าตราผนึกมารคือยอดศาสตราเซียนที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ของพวกมนุษย์ ข้าล่ะอยากจะหัวร่อให้ฟันหลุดนัก!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 กล่าวค่อนแคะ ในวาจายังไม่ขาดการดูแคลน


 


อย่างไรก็ตามเรื่องราวนี้เกี่ยวพันถึงความลับที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของเผ่าปีศาจสุกร พวกมันย่อมไม่กล้าเผยแพร่ออกไปโดยง่าย


 


ถึงแม้ว่าความลับนี้เผยแพร่ออกไปก็ไม่มีผลกระทบอะไรต่อเผ่าพันธุ์ปีศาจสุกร แต่ความลับย่อมเป็นความลับ เรื่องที่บรรพบุรุษฝากฝังไว้ ไหนเลยพวกมันจะนำไปเผยแพร่ง่ายๆได้?


 


“ในแง่หนึ่ง ตราผนึกมาร ยังถือว่ายังมีพลังอำนาจเหนือกว่ายอดศาสตราเซียนอันดับ 1 ของแดนเซียนแห่งนี้เสียอีก… หรือที่เรียกว่ายอดศาตราเซียนที่สมควรเป็นฝีมือของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ของเจ้าพวกมนุษย์นั่น”


 


นี่คือการคาดเดาของ 3 ผู้นำเผ่าปีศาจสุกร


 


อย่างไรก็ตาม พวกมันก็ไม่ได้รู้เลย


 


แม้จะเป็นยอดศาสตราเซียนที่เหลือทั้ง 9 ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์คนนั้นทั้งหมด!


 


ยอดศาสตราเซียนอย่างกระบี่ 9 สวรรค์นั้น กลับเป็นผลงานของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!!


 


และเหตุผลเดียวที่ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์คนนั้นสามารถสร้างยอดศาสตราอีก 8 ชิ้นที่เหลือได้ ล้วนเป็นเพราะบังเกิดความรู้แจ้งหลังได้ศึกษากระบี่ 9 สวรรค์!


 


“ตราผนึกมารสามารถช่วยให้มนุษย์ได้รับมรดกที่เหลืออยู่ในนั้นจนกลายเป็นผู้ฝึกมารได้…อย่างไรก็ตามเผ่าปีศาจและผู้ฝึกมารมิอาจใช้มันได้โดยตรง!”


 


เห็นชัดว่าผู้นำของเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 ต่างคุ้นเคยกับตราผนึกมารเป็นอย่างดี


 


ทำให้เป็นธรรมดาที่พวกมันจะรู้ได้ทันทีว่า ชายหนุ่มชุดม่วงที่ปรากฏในม่านแสงเบื้องหน้าไม่มีทางเป็น ผู้ฝึกมาร ของเผ่าปีศาจมนุษย์ที่ได้รับมรดกเคล็ดฝึกมารโบราณในตราผนึกมารนั่น!


 


เพราะมันเป็นไปไม่ได้!


 


อีกทั้งพวกมันยังรู้ดีว่าก่อนที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะออกจากแดนเนรเทศและบุกมายังภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ ตราผนึกมารได้ปรากฏอยู่ที่นี่แต่แรก


 


เช่นนั้นมีประการเดียวที่สามารถเป็นไปได้!


 


ชายหนุ่มชุดม่วงในม่านแสงเบื้องหน้า คือยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์!


 


ฟู่วว!


 


คล้ายมีสายลมแรงหอบหนึ่งพัดกรรโชกผ่านมา ม่านแสงเบื้องหน้าผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 ก็ได้สลายหายไป หลังจากที่ฝาแฝดทั้ง 3 ถูกตราผนึกมารฆ่าตาย…


 


“มิใช่กล่าวกันว่าดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้แบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาค และเหล่าผู้ฝึกตนที่พลังฝึกปรือเหนือกว่าขอบเขตเซียนนภาได้พากันไปอยู่ภูมิภาคเบื้องบนหมดสิ้นแล้ววหรือไร…แล้วไฉนยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ที่ร้ายกาจเช่นนี้ถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ กระทั่งมันยังมีตราผนึกมารไว้ในครอบครองเช่นนี้?”


 


ขณะที่ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกล่าวเรื่องนี้ออกมา สีหน้าของมันก็อัปลักษณ์ปั้นยากนัก


 


“มันมิใช่ยอดฝีมือแค่คนเดียวในภูมิภาคเบื้องล่าง…เห็นว่ายามทัพหน้าของเผ่าปีศาจมนุษย์บุกไปยึดพื้นที่ของ ตำหนักเมฆาคราม ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่าง พวกมันก็บาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่ง! ข้าได้ยินมาว่ายามนั้นพวกมันได้เผชิญหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ของพวกมนุษย์ 2 คน!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากล่าว


 


“นอกเหนือจาก 2 ยอดฝีมือของตำหนักเมฆาครามแล้ว…เมื่อมินานมานี้ยังมีข่าวเรื่อง มารกระบี่คลั่ง ทางตอนเหนือของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกคน…เจ้านั่นมันฆ่าได้กระทั่งยอดฝีมือปีศาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าวเสียงหนัก “อีกทั้งมารกระบี่คลั่งนั่น ว่ากันว่าในมือของมันถือไว้ด้วย 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…กระบี่ไร้ลักษณ์!”


 


“เรื่องมารกระบี่คลั่งที่เจ้าว่าข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน…ว่ากันว่ายามมันมีสติครบถ้วนมันเรียกหาตัวเองว่า ซูหลี่ หากแต่ยามสิ้นสติสัมปชัญญะมันมักเข่นฆ่าทุกสรรพชีวิตที่อยู่ในสายตาโดยมิสนว่าเป็นผู้ใด”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากล่าวเสริม


 


“มารกระบี่คลั่ง ซูหลี่ นั่น พลังฝีมือยังร้ายกาจยิ่งกว่ายอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ทั้ง 2 ของตำหนักเมฆาครามเสียอีก…ข้าเดาว่าพลังฝึกปรือของมารกระบี่คลั่ง ซูหลี่ ผู้นั้น สมควรบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกกรทมิฬกล่าวเสริมพลางพยักหน้าเห็นด้วย


 


หลังผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าได้ยิน ต่างก็พยักหน้ารับเช่นกัน


 


“อย่างไรก็ตามที่น่ากังวลที่สุดยามนี้ ก็คือสารเลวน้อยในชุดสีม่วงที่พวกเราพึ่งเห็นในม่านแสงนั่น…บางทีพลังฝีมือของมันอาจจะไม่ได้เหนือกว่ามารกระบี่คลั่ง ซูหลี่ แต่ทว่าอย่างไรในมือมันก็มีตราผนึกมาร!”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากล่าวออกด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “และตราผนึกมาร พวกเราก็รู้ดีว่ามีพลังอำนาจสะกดปีศาจเพียงใด…อย่าว่าแต่หลานแฝดของท่านผู้เฒ่าอาวุโสทั้ง 3 เลย กระทั่งให้เป็นพวกเราทั้ง 3 ก็ไม่แน่ว่าจะจัดการสารเลวน้อยชุดม่วงนั่นได้!!”


 


“มิผิด…”


 


ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าวพลางทอดถอนใจ “เดิมทีพวกเราสมควรเร่งรุดไปเก็บศพพวกมันแท้ๆ…แต่เนื่องเพราะกลัวเจอเจ้าสารเลวน้อยชุดม่วงนั่น…พวกเราก็ไม่กล้าไป…”


 


ถึงแม้ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่จากสีหน้ามืดมนของมันทั้งแววตาที่สั่นไหว ก็เห็นได้ชัดว่ากลัวชายหนุ่มในชุดม่วงนั่นเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 ผู้นำของเผ่าปีศาจสุกรยังไม่ทราบ…


 


ตราผนึกมารอันยิ่งใหญ่แสนร้ายกาจที่พวกมันกลัว ตอนนี้เป็นเพียงตราผนึกมารที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น!แล้วตราผนึกมารไม่สมประกอบจะมีพลังอำนาจเข่นฆ่าพวกมันได้หรือ?


 


อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะรู้แต่ก็ยังไม่กล้าเสี่ยงอยู่ดี…


 


เพราะสุดท้ายแล้วยามตราผนึกมารสมบูรณ์ในยุคมนุษย์ปีศาจนั้น มันทรงพลังอำนาจถึงขั้นฆ่าปีศาจขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะมาแล้ว!


 


ต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็ไม่ได้รู้เรื่องเลย


 


ว่าตอนนี้ผู้นำทั้ง 3 ของเผ่าปีศาจสุกรได้ยืนยันแน่ชัดแล้วถึงการคงอยู่ของเขา! ทั้งยังรู้อีกด้วยว่าเขาเป็นมนุษย์!!


 


กล่าวไปเขาก็ได้รอดพ้นอันตรายอย่างไม่รู้ตัว


 


เพราะถ้าหาก 3 ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรที่ต่างบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนผนึกกำลังกันขึ้นมา เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อยว่าจะสามารถใช้ตราผนึกมารที่ไม่สมบูรณ์นี่จัดการพวกมันทั้ง 3 ได้!!


 


ก็ดีไปหากเขาสามารถใช้ฆ่าพวกมันได้ หากไม่ได้เขาได้ตายเองแน่!


 


……


 


ในขณะที่ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 ได้ตระหนักถึงการตายของ แฝด 3 ที่ต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าไป และพวกมันมารวมตัวกันที่รูปปั้นบรรพบุรุษเพื่อหมายชมดูว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น…


 


กระทั่งหลังได้เห็นภาพสะท้อนในม่านแสง ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนฆ่ารวมทั้งลงมืออย่างไร จนต่างพากันหวาดกลัวและทอดถอนใจนั้น…


 


ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งต้านทานอัสนีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 4 แล้วเสร็จ!


 


หลังจากอัสนีลงทัณฑ์สายที่ 4 ฟาดผ่าลงมาแล้ว ไม่นานอัสนีลงทัณฑ์สายที่ 5 ก็ตามมา


 


เปรี๊ยงงงงง!!!


 


พร้อมกันกับที่เสียงสนั่นลั่นดังก้องฟ้า อัสนีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 5 ก็ฟาดผ่าลงมาอย่างเกรี้ยวกราด เพ่งเล็งทำลายไปทางต้วนหลิงเทียน หมายฟาดผ่าให้ต้วนหลิงเทียนกลับกลายเป็นซากกระดูกผุๆ!!


 


อัสนีทัณฑ์สายที่ 5 นั้น พลังอำนาจของมัน เรียกว่าทัดเทียมได้กับตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั่วไปลงมือเต็มกำลัง!!


 


ทำให้ แม้แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าประมาท!


 


เขายังระมัดระวังยิ่งกว่าตอนปะทะกับ 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรเสียอีก!!


 


แคว่ก! เปรียะ! เปรียะ!


 


……


 


ทันใดนั้นร่างกายต้วนหลิงเทียนก็ขยายใหญ่ขึ้น เสื้อที่สวมใส่กลับกลายเป็นปริฉีก เผยแผงอกเปลือยเปล่าอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบ ทั้งยังปรากฏเกล็ดแกร่งเรียงรายเป็นทิว รูปลักษณ์กลับกลายเป็นครึ่งคนครึ่งมังกร!


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้แปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9กรงเล็บเรียบร้อย!


 


หลังจากแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บแล้ว ความแข็แกร่งทางกายภาพไม่เว้นพลังป้องกันของต้วนหลิงเทียน ก็ไม่เหมือนก่อนหน้าสืบไป


 


แน่นอนว่าแม้จะไม่เหมือนก่อนหน้า แต่ก็ไม่ได้เพิ่มพูนขึ้นมาจนเหลือเชื่อเกินจริง


 


อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าพูดออกมาได้เต็มปากว่า หากก่อนหน้านี้ยามเผชิญหน้ากับม่านพลังป้องกัน 3 ประสานของปีศาจสุกรแฝด 3 ถ้าอาศัยร่างนักรบมังกร 9 กรงเล็บ เขาจะทำลายม่านพลังของพวกมันได้…


 


และที่ก่อนหน้าไฉนต้วนหลิงเทียนไม่แปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บนั้น เพราะเขาตระหนักได้แต่แรกแล้วว่าต่อให้แปลงกายไปก็มิอาจทำลายม่านพลังป้องกันของพวกมันได้ในเวลาอันสั้นอยู่ดี


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่คิดแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9กรงเล็บ


 


แน่นอนว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวเขามียอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารในครอบครอง!และนั่นเป็นตัวช่วยอันประเสริฐที่สุด!!


 


หากเขาไม่มียอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารให้ใช้ บางทีเขาอาจจะแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9กรงเล็บ เพื่อทำลายม่านพลัง 3 ประสานนั่นไปแล้ว


 


แต่ในเมื่อมียอดศาสตราเซียนที่จัดการเรื่องราวได้เร็วไวอย่างตราผนึกมาร เช่นนั้นเขาก็คร้านจะเสียเวลาและเปลืองแรงฆ่าพวกมัน


 


‘ไม่สำคัญว่าอัสนีทัณฑ์สวรรค์สายถัดไปจะรุนแรงขนาดไหน…ก่อนอื่นเลยข้าต้องทานรับอัสนีลงทัณฑ์สายที่ 5 นี้เอาไว้ให้ได้ก่อน!’


 


หลังจากแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆสลัดความฟุ้งซ่านในใจทิ้ง


 


ทันใดนั้นปีกเพลิงคู่เขื่องกลางหลังก็สะบัดโบกไปด้านหน้า


 


ปง! ปง! ปง! ปง!


 


พร้อมเสียงดังสนั่นปานฟ้าลั่น ร่างต้นหลิงเทียนได้วูบถอยออกไปด้วยความเร็วสูง


 


ขณะเดียวกันกระบี่พันอาคมเซียนในมือถูกกระชับแน่น พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดทั่วร่างถูกเร่งเร้า ใช้ออกด้วยเวทย์พลัง เซียนอมตะข้ามภพ ผสานเคล็ดกระบี่อยู่ที่ใจขอบเขตที่ 3 ของยอดใจกระบี่ออกไปเต็มกำลัง!


 


ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!


 


……


 


ปรากฏลำแสงกระบี่เรียงรายออกไปเป็นแถว ยามนี้นอกจากพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดที่โคจรใช้ออกเต็มกำลัง ยังมีพลังดิบเถื่อนจากร่างนักรบมังกร 9กรงเล็บ!!


 


นี่เป็นการลงมือสุดกำลังเท่าที่ต้วนหลิงเทียนจะสามารถใช้ออกได้!!


 


“ทำลาย!!”


 


เมื่อกระบี่จากเวทย์พลังเซียนอมตะข้ามภพถูกทำลายไปเล่มแล้วเล่มเล่า จนในที่สุดก็เหลือเพียงกระบี่พันอาคมเซียนเล่มจริง สองตาต้วนหลิงเทียนก็เผยประกายเยียบเย็น ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นปานระเบิด!


ตอนที่ 2,263 : ความเร็วในการบ่มเพาะอันน่ากลัว


 


“ทำลาย!!”


 


เสียงตะโกนของต้วนหลิงเทียนนั้นเรียกว่าแข่งกันดังกับสายฟ้าฟาดได้เลย!


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงเขาดังจบคำ


 


กระบี่พันอาคมเซียนเล่มจริง ก็แปรเปลี่ยนไปคล้ายเส้นสายอัสนี มันพุ่งทะยานขึ้นฟ้าหมายปะทะกับอัสนีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 5!


 


ก่อนหน้านี้ด้วยกระบี่จากร่างแยกของเซียนอมตะข้ามภพ อัสนีทัณฑ์ฟ้าสายที่ 5 ก็สูญเสียพลังไปไม่น้อย


 


และก่อนที่เมฆหายนะเบื้องบนจะส่งพลังหนุนเสริมมายังอัสนีทัณฑ์สายที่ 5 ต้วนหลิงเทียนก็เร่งใช้กระบี่พันอาคมเซียนเล่มจริง จู่โจมอัสนีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 5 ทันที!


 


พริบตาต่อมา


 


เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!


 



 


เสียงแหลมเสียดหูจากการปะทะกันของพลังดังขึ้น! กระบี่พันอาคมเซียนต้วนหลิงเทียนยันกับอัสณีทัณฑ์สวรรค์อย่างไม่มีถอย!!


 


“ปีกอีกาทองคำ!!”


 


ในระหว่างที่ควบคุมกระบี่ต้านสายฟ้า ต้วนหลิงเทียนก็รีบเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดใช้ออกด้ววยเวทย์พลังเสริมเคลื่อนไหว เหินร่างทะยานขึ้นไปยังฟ้าสูง จี้เข้าหาเมฆทะมึนเบื้องบน


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 


……


 


พลังเซียนสุริยันเร่งเร้าควบผนึกเป็นกระบี่พลังฉับไวเล่มแล้วเล่มเล่า! ทั้งหมดถูกควบคุมออกด้วยเคล็ดกระบี่อยู่ที่ใจ พุ่งยิงขึ้นไปทำลายจุดศูนย์กลางเมฆหายนะ ด้วยไม่ให้มันสามารถควบรวมพลังหนุนเสริมอัสนีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 5 ได้สำเร็จ!!


 


ขณะเดียวกันด้านกระบี่พันอาคมเซียนที่กำลังยันกับอัสนีลงทัณฑ์สายที่ 5 นั้น ก็ได้รับพลังหนุนเสริมจากต้วนหลิงเทียนไม่หยุด บัดนี้เขาใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดอย่างไม่คิดออมรั้ง หมายทำลายอัสนีสายที่ 5 ให้ได้ไวที่สุด!


 


เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! ตูมมม!! ซัววว!!!


 



 


หลังจากปะทะทำลายกันอยู่ไม่นานนัก ในที่สุดกระบี่พันอาคมเซียนที่มีพลังหนุนเนื่องไม่หยุด ก็สามารถทำลายอัสนีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 5 อันขาดพลังหนุนเสริมจากเมฆหายนะได้สำเร็จ! บังเกิดเป็นเสียงสนั่นดังลั่นไปก้องฟ้า!!


 


หลังจากการระเบิด อากาศ ณ จุดปะทะพลันวิปริตแปรปรวน ดั่งมรสุมก่อเกิดก็ไม่ปาน! สายลมอันรุนแรงทั้งคลื่นกระแทกกวาดซัดออกไปทั่วสารทิศ!!


 


อีกทั้งคลื่นกระแทกส่วนหนึ่งยังก่อให้เกิดปรากฏการณ์ดั่งดอกเห็ดเบ่งบาน!


 


ฟู่ววว! ฟู่ววว! ฟู่ววว!


 



 


ความว่างเปล่า ณ จุดระเบิดเริ่มบิดเบือน ต้นไม้ใบหญ้าเบื้องล่างบัดนี้ปลิดปลิวล้มระเนระนาด บ้างก็หลุดไปทั้งรากปลิวหายไปที่ใดไม่ทราบ!


 


เรียกว่าฉากเรื่องราวในหุบเขานั้นยับเยินถึงที่สุด ราวกับพึ่งถูกกองโจรบุกมากวาดล้างทำลาย!


 


“ในที่สุด!”


 


สายลมอันรุนแรงดั่งมหาพายุกวาดซัดออกมา 5-6 ระลอก ก่อนที่ทุกสิ่งจะเริ่มหวนคืนสู่ความปกติ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเฮือกหนึ่ง


 


เขาสามารถต้านทานอัสนีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 5 ได้สำเร็จแล้ว!


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 



 


ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกไปไม่ทันไร เสียงอัสนีเบื้องบนก็เริ่มดังก้องหูเขาอีกครั้ง


 


คล้ายจะย้ำเตือนว่าหายนะทัณฑ์สวรรค์ยังไม่ถึงกาลสิ้นสุด! และอัสนีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 6 กำลังจะผ่าฟาดลง!!


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนที่เหม่อไปเล็กน้อย ก็ดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอยทันที


 


ใบหน้าที่พึ่งผ่อนคลายกลายเป็นตึงเครียดอีกครั้ง!


 


‘ลำพังแค่สายฟ้าที่ 5 ก็น่ากลัวมากแล้ว…สายฟ้าที่ 6 ต้องร้ายกาจกว่านี้แน่! แล้วข้าจะเอาอะไรไปรับมัน!?’


 


ความกังวลสุมเต็มอกต้วนหลิงเทียน สองตาที่แหงนมองฟ้าฉายชัดถึงความวิตกกังวล ยังอดยิ้มขื่นขมออกมาไม่ได้


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังรู้สึกขื่นขมทั้งยังเริ่มบังเกิดความสิ้นหวังนั้นเอง…


 


สองตาที่จับจ้องมองเมฆหายนะเบื้องบนคล้ายพบเห็นบางสิ่ง พาลให้ลูกตาหดเล็กลงทันใด สีหน้าตึงเครียดรวมถึงแววตาท้อแท้มลายหายกลับกลายเป็นความตกใจ!


 


นั่นเพราะในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังรู้สึกอับจนนั้น เมฆหายนะเบื้องบนก็ค่อยๆคลี่คลายสลายตัว!


 


เสียงอัสนีที่ลั่นดังอย่าน่ากลัวก็ค่อยๆซาลงไปทุกขณะ จนในที่สุดก็ดับไปอย่างสมบูรณ์


 


“นี่…มัน…”


 


ฉากเรื่องราวตรงหน้าทำให้ต้วนหลิงเทียนนิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่งกว่าจะคืนสติ นั่นเพราะเรื่องราวมันเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป!


 


หายนะทัณฑ์สวรรค์จบแล้ว? จบลงทั้งแบบนี้?


 


หายนะทัณฑ์สวรรค์วันนี้ กลับมีแค่อัสนีลงทัณฑ์ 5 สาย?


 


หลังผ่านไปราวๆสิบลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆฟื้นตัว


 


พอดึงสติกลับมาได้แล้ว เขาก็อดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้ หากแต่ใบหน้ายังฉายชัดถึงความหวาดกลัว ‘ให้ตายเถอะเกือบตายเพราะความไม่รู้แล้วไง…แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมีทัณฑ์อัสนีแค่ 5 สายเท่านั้น’


 


‘นับว่าโชคดีนักที่มันมีแค่ 5 สาย…ไม่งั้นอย่าว่าแต่สายฟ้าสายอื่นๆหลังจากนั้นเลย เอาแค่สายที่ 6 ก็เกรงว่าจะไม่รอดเอา…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างหวาดเสียว


 


ตอนนี้นอกจากความปิติยินดีในใจแล้วต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกโชคดีนัก


 


ถึงแม้ว่าหายนะทัณฑ์สวรรค์คราวนี้จะมีแค่ 6 อัสนีทัณฑ์ก็ตามที เขาไม่รอดแน่!


 


โชคดีที่หายนะทัณฑ์สวรรค์รอบนี้มันมีแค่ 5 อัสนี ทำให้เขารอดชีวิตมาได้อย่างราบรื่น


 


‘หากหายนะทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้เกิดจากการที่รากวิญญาณของข้าเปลี่ยนเป็นสีดำจริง…นี่มันจะไม่ร้ายแรงไปหน่อยหรือไง แค่รากวิญญาณเปลี่ยนเป็นสีดำกลับต้องเจออันตรายถึงตายขนาดนี้?’


 


ใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความรู้สึกหนักอึ้ง


 


‘หายนะระดับนั้น ถ้าคนที่เจอไม่มีพลังฝึกปรือถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน…ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรอดชีวิตมาได้…’


 


‘ตอนแรกหลังยกระดับรากวิญญาณให้เป็นสีดำได้แล้ว ก็คิดจะช่วยยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อให้เป็นสีดำด้วยเสียหน่อย…แต่ตอนนี้คงไม่อาจรีบร้อนทำแบบนั้นได้’


 


‘ไม่งั้นก็รังแต่จะทำให้เค่อเอ๋อตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น’


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนยังตระหนักได้ว่า


 


ถึงแม้เขาคิดจะช่วยภรรยาเขาอย่างเค่อเอ๋อยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้เป็นสีดำมากแค่ไหน เขาก็ไม่อาจกระทำได้ จำต้องรอให้เค่อเอ๋อมีพลังฝีมือกล้าแข็งพอจะต้านทานหายนะที่เขาพึ่งประสบมาเมื่อครู่ซะก่อน ไม่งั้นก็มีแต่จะทำให้เค่อเอ๋อตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น


 


‘แต่ว่า…พรสวรรค์รากวิญญาณของซือหลิงก็เป็นสีดำนี่ ทว่าตอนนางบ่มเพาะพลังกลับไม่ได้ชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมา…หรือเป็นเพราะนางเกิดมาพร้อมรากวิญญาณสีดำ เลยไม่ได้ชักนำหายนะ?’


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมคาดเดาจุดนี้ได้ไม่ยาก


 


‘ตอนนี้หากข้าลองบ่มเพาะพลังเพื่อดูว่ารากวิญญาณสีดำมันยอดเยี่ยมแค่ไหน คงไม่ชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมาอีกรอบหรอกนะ?’


 


หลังจากส่ายศีรษะไปมาเบาๆด้วยรอยยิ้ม ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มจับสัมผัสพลังวิญญาณฟ้าดินหมายดูดซับมาบ่มเพาะอีกครั้ง


 


ทันใดนั้นพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบก็พากันหลั่งไหลไปห้อมล้อมร่างกายต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูง


 


ไม่นานนักต้วนหลิงเทียนก็เริ่มบ่มเพาะด้วยเคล็ด 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม เคล็ดที่สิบ 9 มังกร! ทำให้พลังวิญญาณฟ้าดินถูกดูดเข้าร่างต้วนหลิงเทียนระลอกแล้วระลอกเล่า!!


 


“เร็วมาก!”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี


 


“ความเร็วในการบ่มเพาะข้าตอนนี้กลับเหนือกว่าเดิมถึง 10 เท่า…แม้ที่นี่จะเป็นภูมิภาคเบื้องล่าง แต่ยังเหนือกว่าชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลงตอนอยู่ภูมิภาคเบื้องบน!”


 


หลังทดสอบจนตระหนักได้ถึงความเร็วในการบ่มเพาะแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดตกใจไม่ได้!


 


หลังหายนะกลับได้พบเรื่องอัศจรรย์ใจขนาดนี้!


 


ตอนนี้ด้วยรากวิญญาณสีดำ กระทั่งเขาลองบ่มเพาะพลังในพื้นที่รกร้างที่พลังวิญญาณฟ้าดินเบาบาง แต่ความเร็วในการบ่มเพาะกลับเหนือกว่าตอนที่เขาใช้เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติบ่มเพาะในลัทธิบูชาไฟเสียอีก!


 


นี่หมายความว่าอะไร?


 


หมายความว่าความเร็วในการบ่มเพาะของเขาตอนนี้ มันอยู่คนละระดับกับกาลก่อนอย่างสิ้นเชิง!


 


‘ในตอนนั้นที่ข้าอยู่ในภูมิภาคเบื้องบนและติดอยู่ในระนาบเทียมของพวกปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3…ข้าใช้เวลาในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปเป็นสิบๆปี แต่พลังฝึกปรือยังเพิ่มขึ้นได้ถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนเท่านั้น’


 


‘หากตอนนั้นข้ามีพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำแบบนี้ กระทั่งต่อให้ไม่มีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติและอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างก็ตามที แต่เกรงว่าคงใช้เวลาแค่ราวๆ 2-3 ปีก็ให้ผลลัพธ์ดุจเดียวกัน!’


 


ต้องทราบด้วยว่าภูมิภาคเบื้องล่างนั้น มีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะด้อยกว่าภูมิภาคเบื้องบนอย่างมาก


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนกลับบอกว่าตอนนี้เขาแค่บ่มเพาะในภูมิภาคเบื้องร่างราวๆ 2-3 ปี ก็สามารถบรรลุผลดุจเดียวกันกับตอนที่บ่มเพาะอยู่ในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเป็นเวลา 30 ปี!


 


กล่าวได้ว่า…


 


ต้วนหลิงเทียนในตอนนี้นั้น แม้จะบ่มเพาะพลังที่ภูมิภาคเบื้องล่าง หากแต่ความเร็วในการบ่มเพาะยังเหนือกว่ามีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติและอยู่ในภูมิภาคเบื้องบน!


 


‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนมันถึงชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมาแบบนี้…รากวิญญาณสีดำนี่มันเป็นอะไรที่ต่อต้านสวรรค์จริงๆ!’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ทีจะสูดอากาศเข้าเฮือกใหญ่


 


‘ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าตอนนี้ หากไปบ่มเพาะพลังในเมืองเหรินโม่เชิ่ง…คิดทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนภายใน 1 ปีก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร กระทั่งหากมีเวลาสัก 3 ปี คิดทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก็ไม่มีปัญหา’


 


ต้วนหลิงเทียนมั่นใจในเรื่องนี้มาก


 


และบ่อเกิดความมั่นใจทั้งหมด ก็มาจากรากวิญญาณสีดำที่เขาครอบครองอยู่!


 


‘และนี่ยังแค่เมืองเหรินโม่เชิ่งในภูมิภาคเบื้องล่างเท่านั้น หากข้าได้กลับไปบ่มเพาะในลัทธิบูชาไฟล่ะก็ คิดทะลวงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนในปีเดียว ยังไม่ใช่ปัญหา!’


 


คิดถึงจุดนี้อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนก็พุ่งพล่านไม่น้อย


 


เขาที่พึ่งจะทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน แต่ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำ กลับสามารถทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้ในปีเดียวถ้าไปบ่มเพาะในภูมิภาคเบื้องบน…


 


เรื่องนี้จะให้คิดอย่างไร?


 


‘พรสวรรค์รากวิญญาณของซือหลิง…ถึงนางจะไม่ได้ใช้พรสวรรค์นั่นแต่แรก แต่ในภายหลังความเร็วในการบ่มเพาะของนางต้องเหนือล้ำกว่าคนอื่นหลายขุม ระดับพลังของนางต้องก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดแน่! แม้ในภายหลังความเร็วในการบ่มเพาะจะเริ่มช้าลงตามระดับพลังแต่ก็ไม่ถือว่าช้าอะไรแน่นอน…’


 


‘กระทั่งต่อให้ระหว่างบ่มเพาะนางจะพบจุดรอคอยอะไรมากมาย…แต่อาศัยปริมาณพลังมหาศาลที่ดูดซับมา จุดรอคอยอันใดก็ยากที่จะขัดขวางนางได้! เวลาที่นางใช้กรุยจุดรอคอยน่ากลัวเมื่อเทียบกับคนธรรมดาก็พูดไม่ออกแล้ว…’


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะวาดหวัง ว่าลูกสาวของเขาจะประสบความก้าวหน้าในการบ่มเพาะอย่างก้าวกระโดด


 


เพราะสุดท้ายแล้วลูกสาวของเขาก็เหนือกว่าอัจฉริยะใดๆในแดนดิน เพราะนางถือครองรากวิญญาณสีดำ!


 


‘นี่ก็ออกมานานแล้ว ข้ากลับก่อนดีกว่า…จากนั้นค่อยไปวังเซียนสัญจร 1 ใน 3 วัง 6 ตำหนักนั่น’


 


หลังจากตัดสินใจได้ ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างออกจากสถานที่บ่มเพาะของ 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรทันที ยังเดินทางอย่างระมัดระวังและไม่คิดจะทิ้งเบาะแสใดๆ


 


แต่เขาไม่ได้รู้ตัวเลย…


 


ว่าตัวตนในฐานะมนุษย์ของเขาได้ถูกเปิดเผยให้ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 ล่วงรู้แล้ว


 


และเกรงว่าจะใช้เวลาแค่ไม่นาน…


 


ทั้งเผ่าปีศาจสุกร ไม่เว้นเผ่าปีศาจทั้งหมดคงได้รับรู้แน่! ว่าในภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ กลับมียอดฝีมือมนุษย์ที่ถือครองตราผนึกมารดำรงอยู่! กระทั่งยังเข่นฆ่า 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรได้อย่างง่ายดายด้วยพลังอันเหนือชั้น!!


ตอนที่ 2,264 : เด็กน้อยทั้ง 3 กับซูหลี่!


 


ในเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนเดินทางออกจากเขตของเผ่าปีศาจสุกร หมายกลับไปยังเมืองเหรินโม่เชิ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์…


 


ปง! ปง! ปง! ปง!!


 



 


ทางตะวันตกเฉียงเหนือของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง ในหุบเขาแห่งหนึ่งปรากฏเสียงระเบิดดังสนั่นสะท้านปฐพี!


 


พร้อมกับเสียงระเบิด ก็ปรากฏคลื่นกระแทกเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันมหาศาลสะท้านจนขุนเขาสะเทือน!


 


ในพื้นที่หุบเขาดังกล่าว บัดนี้ที่พื้นคละคลุ้งไปด้วยละอองธุลี ทัศนวิสัยย่ำแย่นัก


 


แต่หากแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าสูงจะพบว่า…


 


ปรากฏร่าง 4 ร่างกำลังต่อสู้กันอยู่


 


ในบรรดาทั้ง 4 มี 3 ร่างที่แลดูตัวเล็กนัก มองไปคล้ายเด็กน้อยอายุราวๆ 8-9 ขวบ


 


และบรรดาทั้ง 3 นั่นก็มีเด็กหญิงตัวน้อย 2 คน กับเด็กชายตัวน้อยอีก 1 คน


 


เด็กหญิงตัวน้อยทั้ง 2 แลดูน่ารักน่าเอ็นดูนัก 1 ในนั้นมาในชุดสีทองอร่าม ส่วนอีกคนมาในชุดสีขาว ส่วนเด็กชายที่เหลืออีกคนมาในชุดสีดำ ใบหน้าแลดูเย็นชาเข้ากับชุดที่สวมใส่เป็นที่สุด


 


ตอนนี้เด็กน้อยทั้ง 3 กำลังต่อกรกับสัตว์ร้ายมหึมาตัวหนึ่ง


 


สัตว์ร้ายตัวนี้แลดูดุดันร้ายกาจนัก ด้วยขนาดตัวมหึมาของมัน พาลให้เด็กน้อยทั้ง 3 แลดูตัวกระจ้อยดั่งมด!


 


สัตว์ร้ายตัวนี้มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ หากแต่ศีรษะของมันกลับเป็นหัววัวมหึมา เห็นได้ชัดว่าที่แท้มันคือสมาชิกของเผ่าปีศาจวัวจากแดนเนรเทศ!


 


ปีศาจวัวที่แท้จริง!


 


“หากพวกเรามิคืนร่างจริงคงยากจะสู้มันได้!”


 


เด็กหญิงตัวน้อยชุดขาวที่เคลื่อนร่างหลีกหลบวูบไปวูบมาบนฟ้าด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย เร่งส่งเสียงผ่านพลังสื่อสารกับเด็กชายตัวน้อยชุดดำและเด็กหญิงตัวน้อยชุดทอง


 


และฟังจากคำพูดของนางยังบอกได้ว่า…


 


ทั้งนางและเด็กหญิงตัวน้อยในชุดทองและเด็กชายตัวน้อยในชุดดำล้วนไม่ใช่มนุษย์!


 


“ฮึ่ย! พวกเราลองอีกที…ถ้าไม่ไหวจริงๆพวกเราค่อยคืนร่างจริงแล้วฆ่ามัน!!”


 


เด็กหญิงตัวน้อยในชุดสีทองกล่าวออกเสียงดัง


 


ต่างจากเด็กหญิงตัวน้อยในชุดขาวที่แลดูอ่อนโยนและสง่างามปานเทพธิดาน้อย เด็กหญิงในชุสีทองกลับมีนิสัยห้าวหาญดุดัน แลดูก็รู้ว่านิยมใช้กำลังสนทนา


 


สำหรับเด็กชายตัวน้อยชุดดำนั้น มันไม่กล่าวใดแม้ครึ่งคำ หากแต่สายตาที่ใช้มองปีศาจวัว ยิ่งมาก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ


 


“ทารกน้อยเนื้อหอมหวานทั้ง 3 อย่าได้คิดดิ้นรนเสียให้ยาก! ยอมให้ปู่หนิวรับประทานเสียดีๆ!!”


 


ปีศาจวัว ที่เป็นศัตรูของเด็กน้อยทั้ง 3 มองจ้องร่างเล็กเบื้องหน้าด้วยสายตาดุร้าย ปากกล่าวไปน้ำลายไหลไป ราวมันเป็นอินทรีย์ที่ได้แลเห็นลูกเจี๊ยบแสนอร่อย!


 


“เพ่ยๆๆ! อยากรับประทานท่านย่าหรือ? น้ำหน้าหัววัวเน่าเช่นเจ้าคิดว่ามีปัญญารึ!!”


 


เด็กหญิงตัวน้อยตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม


 


“ดี ดี ดีมาก! ในเมื่อทารกน้อยเจ้าอยากให้ท่านปู่หนิวผู้นี้ลงมือ เช่นนั้นท่านปู่หนิวจักให้พวกเจ้ารู้ฟ้าสูงแผ่นดินหนา!”


 


เผชิญกับการยั่วยุท้าทายของเด็กหญิงตัวน้อย ปีศาจวัวฉุนเฉียวไม่น้อย


 


หลังตะคอกเสียงดัง พลังเซียนต้นกำเนิดทั้งไอมารของมันก็ปะทุออกมาอย่างมหาศาลปานเพลิงไฟ ลุกโชนปานจะแผดเผาท้องฟ้า!


 


เมื่อเห็นว่าปีศาจวัวยามโมโหกลับปลดปล่อยพลังอันน่าพรั่นพรึงออกมาได้ถึงขนาดนี้ สีหน้าเด็กหญิงตัวน้อยในชุดสีทองก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมา


 


เด็กหญิงในชุดขาวเองก็ไม่ต่าง


 


มีเพียงเด็กชายตัวน้อยในชุดสีดำเท่านั้น ที่ไม่คล้ายได้รับผลกระทบอะไรจากการปะทุพลังของปีศาจวัว ใบหน้ายังคงเย็นชาสุขุมเหมือนเดิม


 


ปงงง!!


 


เมื่อร่างใหญ่โตของปีศาจวัวปะทุพลังออกมา ทั้งเริ่มทะยานร่างออกไปจนอากาศแตกระเบิดหมายจัดการเด็กน้อยทั้ง 3 นั้นเอง


 


ซัวว!


 


ดั่งสายลมแรงหอบหนึ่งพัดกรรโชก เป็นกลิ่นอายพลังอันเยียบเย็นน่ากลัวหนึ่งแผ่ซ่านออกมาปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณในฉับพลัน!


 


ไม่เพียงเด็กน้อยทั้ง 3 ที่น่าเปลี่ยนสี กระทั่งปีศาจวัวที่กำลังเดือดดาลก็หน้าเสียไปไม่น้อย!


 


แม้กลิ่นอายยะเยือกนี้หาได้เพ่งเล็งเจาะจงไปที่ใครเป็นพิเศษ แต่ก็ทำให้ทั้งหมดอดขนลุกเกรียวไม่ได้!


 


จังหวะนี้ทั้ง 4 ที่กำลังโรมรันกันพลันหยุดชะงักลงอย่างพร้อมเพรียง ต่างหันไปมองต้นกำเนิดกลิ่นอายเยียบเย็นชวนขนลุกทันที


 


เมื่อทั้งหมดหันมองไป ในสายตาก็ปรากฏร่างชายหนุ่มผู้หนึ่ง ที่ไม่ทราบมาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่


 


ชายหนุ่มผู้นี้มาในชุดคลุมที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด ใบหน้าคมเข้ม ผมยาวปล่อยไว้ไม่รวบทอดยาวปรกบ่าทั้งแผ่นหลัง ยังแลดูกระเซอกระเซิงราวขอทาน ในมือถือไว้ด้วยกระบี่ 3 เล่มหนึ่ง


 


สิ่งที่สะดุดตาผู้มองเลยก็คือดวงตาคู่นั้น มันช่างแดงฉานปานโลหิต ยังทอประกายสีเลือดจางๆชวนให้ผู้คนขนลุกนัก!


 


“ชุดเจ้านั่น…ใช่ถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีแดงหรือไม่…”


 


เด็กหญิงตัวน้อยในชุดทองอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เสียงถามพึมพำเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น


 


“พวกเจ้าว่าไหม?”


 


เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวพึมพำถามจบก็หันไปมองเด็กน้อยอีก 2 คน หากแต่นางก็พบว่าทั้ง 2 ไม่ได้สนใจนางเลย


 


“เสี่ยวไป๋?”


 


หากเด็กชายชุดดำไม่สนใจนางๆก็พอเข้าใจได้


 


ทว่ากระทั่งเด็กหญิงในชุดขาวกลับไม่สนใจนางด้วยอีกคน ทำให้นางอดมองถามอีกฝ่ายด้วยความงุนงงสงสัยไม่ได้


 


และในขณะที่นางมองไปยังเด็กหญิงชุดขาวด้วยสงสัยนั้น นางก็พบว่าเด็กหญิงชุดขาวกำลังเหม่อมองชายหนุ่มที่เสื้อชุ่มโชกไปด้วยเลือดจนแดงฉานด้วยสายตาเลื่อนลอย


 


และพอนางหันไปมองเด็กชายชุดดำ นางก็พบว่าอีกฝ่ายก็กำลังเหม่อมองชายผู้มาใหม่ด้วยสายตาเลื่อนลอยเช่นกัน


 


ยิ่งไปกว่านั้นในแววตาเลื่อนลอยทั้ง 2 ยันเผยให้เห็นความเดียวกัน…


 


ประหลาดใจ ไม่แน่ใจ ทั้งไม่อยากจะเชื่อ


 


“พวกเจ้าเป็นอะไรไป? นี่! พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว?”


 


เห็นฉากดังกล่าวเด็กหญิงตัวน้อยในชุดสีทอง อดไม่ได้ที่จะตะลึง “อย่าบอกนะว่าพวกเจ้ารู้จักคนน่ากลัวนั่นด้วย?”


 


“ซูหลี่!!”


 


แทบจะพร้อมกันกับที่เด็กหญิงในชุดสีทองกล่าวจบ เด็กน้อยอีก 2 คนก็อุทานกล่าวออกมาพร้อมเพรียง


 


ที่น่าประหลาดใจก็คือ จนบัดนี้ เด็กหญิงตัวน้อยในชุดขาวและเด็กน้อยในชุดสีดำ ยังมองชายหนุ่มที่เสื้อชุ่มโชกไปด้วยเลือดอย่างไม่วางตา


 


“ซูหลี่เหรอ? เอ…ชื่อนี้ ข้าเคยได้ยินที่ไหนแล้วนะ?”


 


เด็กหญิงตัวน้อยในชุดสีทองขมวดคิ้วเล็กๆเป็นปม กล่าวพึมพำกับตัวเบาๆด้วยความสงสัย


 


“ซูหลี่…ซูหลี่…”


 


เมื่อมีคนเรียกหาว่าซูหลี่ ชายหนุ่มในชุดโชกเลือด ก็มองไปยังเด็กน้อยชุดขาวกับดำทันที สองตาที่แดงฉานปานก้อนโลหิตค่อยๆอ่อนจางลง


 


“ข้า…ข้าเรียกว่า ซูหลี่ หรือ?”


 


ชายหนุ่มในชุดโชกเลือดถามก่อน ค่อยพึมพำกับตัวเบาๆ “ข้า…เหมือนชื่อข้าจะเรียกว่าซูหลี่!”


 


“เป็นพี่ซูหลี่ สหายของพี่ใหญ่หลิงเทียนที่พวกเราเจอที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลของอาณาจักรนภาล่องไม่ผิดมิผิดแน่! แต่ว่า…ไฉน…พี่ซูหลี่กลับเป็นเช่นนี้ไปได้ล่ะ?”


 


เด็กหญิงในชุดสีขาวมองไปยังชายหนุ่มในชุดโชกเลือดด้วยสายตาสงสัยทั้งไม่เข้าใจ


 


ถึงแม้ว่าชายหนุ่มในชุดโชกเลือดเบื้องหน้าจะแลดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าในอดีต ความเยาว์วัยหายไปหลายส่วน หากแต่รูปร่างหน้าตาโดยรวมก็ไม่นับว่าเปลี่ยนไปมากมายอะไร ทำให้นางจดจำอีกฝ่ายได้ทันที


 


“เหมือนสติพี่ซูหลี่…จะเลื่อนลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว…”


 


เด็กชายตัวเล็กในชุดสีดำกล่าวออกเสียงขรึม


 


เด็กหญิงตัวน้อยในชุดขาว กับเด็กชายตัวน้อยในชุดดำนั้น ก็คืออสรพิษน้อยทั้ง 2 ที่ติดตามต้วนหลิงเทียนมาตั้งแต่สมัยก่อน เป็นเสี่ยวไป๋กับเสี่ยวเฮยนั่นเอง


 


ในตอนที่ต้วนหลิงเทียนไปเข้าเรียนที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลของอาณาจักรนภาล่อง ทั้งคู่ก็ไม่ชอบอยู่บ้านเฉยๆ ชมชอบเลื้อยพันไว้ที่แขนต้วนหลิงเทียน ซ่อนตัวอยู่ในแขนเสื้อคอยตามต้วนหลิงเทียนไปเที่ยวเล่นด้วย พวกมันจึงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนพบเจอกับผู้ใดบ้าง


 


ซูหลี่นั้นเป็นสหายของต้วนหลิงเทียนตั้งแต่สมัยยังเยาว์


 


และไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวเฮยหรือเสี่ยวไป๋ก็ประทับใจในตัวซูหลี่ตั้งแต่แรกพบ ยังรู้จักอีกฝ่ายดีว่าเป็นอย่างไร


 


“พี่ซูหลี่? สหายพี่ใหญ่หลิงเทียนหรือ?”


 


ตอนนี้พอได้ยินคำของเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ เด็กหญิงตัวน้อยในชุดสีทองก็พอเข้าใจเรื่องราว หันไปมองชายหนุ่มในชุดโชกเลือดไม่ไกล กล่าวพึมพำเบาๆ “ไม่จริงน่า…เป็นสหายของพี่ใหญ่หลิงเทียน พี่ซูหลี่ผู้นั้นหรือ?”


 


“แล้วไฉนพี่ซูหลี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า…ยิ่งไปกว่านั้นพลังของพี่ซูหลี่เหมือนจะร้ายกาจกว่าพวกเราอีก!”


 


ขณะกล่าวพึมพำ เด็กหญิงตัวน้อยในชุดสีทองก็แปลกใจไม่น้อย ใบหน้ายังฉายชัดถึงความประหลาดใจ


 


เด็กหญิงตัวน้อยในชุดสีทองนี้ก็คือเสี่ยวจิน หนูสวรรค์นัยน์ตาหยก ที่อยู่กับต้วนหลิงเทียนมานาน


 


อนิจจาวันหนึ่งนางกับเสี่ยวเฮยและเสี่ยวไป๋ก็ถูกหานเฉวี่ยไน่พาไปยังภูมิภาคเบื้องบน พร้อมกับคนอื่นๆของ 7 ทวาราเที่ยงแท้


 


อย่างไรก็ตามเป็นผู้สืบทอดเงาทมิฬ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 4 ได้จับตัวพวกนางภายใต้คำสั่งของผู้เฒ่าพยากรณ์มาปล่อยทิ้งไว้ในภูมิภาคเบื้องล่างโดยไม่ทราบสาเหตุ


 


“ซู…ซูหลี่?”


 


ขณะเดียวกันนั้น ปีศาจวัวที่อยู่ไม่ไกล พอได้ยินวาจาของเด็กน้อยทั้ง 3 ลูกตัวของมันก็เบิกโพลงแทบถลนออกเบ้า สีหน้ายังซีดลง มองจ้องซูหลี่ด้วยความหวาดกลัว “จะ…จะ…เจ้าคือมารกระบี่คลั่ง ซูหลี่!?”


 


ความหวาดกลัวอย่างยากอธิบายเริ่มกัดกินในใจปีศาจวัว ตั้งแต่ได้รับทราบอัตลักษณ์ของซูหลี่ที่เนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเลือด…สีหน้าของมันตอนนี้ก็เปลี่ยนไปมากมายนัก!


 


ในขณะที่เสี่ยวจิน เสี่ยวเฮยและเสี่ยวไป๋กำลังสงสัยว่าไฉนยามเห็นซูหลี่ ปีศาจวัวถึงได้แลดูหวาดกลัวราวกับหนูเห็นแมวแบบนั้น…


 


ปงงงง!!


 


เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นฟ้า เป็นปีศาจวัวที่ปะทุพลังเซียนต้นกำเนิดออกมาอีกครั้ง ไอมารยังพวยพุ่งขึ้นสูงไปบนฟ้า ลุกโชนยิ่งกว่าก่อนหน้าเสียอีก!


 


หากแต่ความเคลื่อนไหวต่อมาของมัน กลับทำให้เด็กน้อยทั้ง 3 ตะลึงงัน


 


ซู่มมม!!!


 


เสียงแหวกอากาศฉับไวดังขึ้น ปีศาจวัวที่ปะทุพลังขึ้นมา…ที่แท้มันทำเพื่อหลบหนี! ทีท่ายามหนีไปยังแลดูหวาดกลัวยิ่งหว่าหนูเห็นแมวเสียอีก!!


 


“หืม?”


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ปีศาจวัวปะทุพลังเหินร่างหลบหนี ดวงตาของซูหลี่ในชุดโชกเลือดที่อ่อนจางลงก่อนหน้า ก็กลับกลายเป็นแดงฉานขึ้นมาอีกครั้ง!


 


ฟุ่บบบ!


 


เสียงของสายลมแว่วดังขึ้น ก่อนที่ร่างซูหลี่จะอันตรธานหายไปในความว่างเปล่า


 


วินาทีต่อมาเด็กน้อยทั้ง 3 ก็ได้แลเห็น


 


ซูหลี่ที่หายตัวไปนั้น พริบตากลับไปปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าปีศาจวัวที่กำลังหลบหนีราวกับรู้ทันแต่แรก!


 


“แข็งแกร่งยิ่ง!”


 


แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้ง 3 รู้ดีว่าซูหลี่ไม่ได้หายตัวไปโผล่จริงๆ หากแต่เป็นความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วจนพวกมันมองตามไม่ทัน!


 


เรื่องนี้มากพอจะบอกว่า…


 


ความแข็งแกร่งของซูหลี่นั้นเหนือกว่าพวกมันมาก!


 


“พี่ซูหลี่ไปผจญภัยทั้งผ่านอะไรมากันแน่ ไฉนพลังฝีมือตอนนี้ถึงได้ร้ายกาจนักเล่า…ยังร้ายกาจได้ถึงระดับนี้?!”


 


ฉับบ!!


 


เสียงกระบี่สะบั้นบางสิ่งดังขึ้นแผ่วเบา


 


ภายใต้สายตาของเด็กน้อยทั้ง 3 ร่างปีศาจวัวตัวเขื่อง ก็ถูกกระบี่ซูหลี่ผ่าร่างเป็น 2 ท่อนตั้งแต่บนลงล่าง! ตายตกในชั่วพริบตา!!


 


จังหวะนี้ทั้ง 3 อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ


 


ฟุ่บ! วูบบ!


 


ทันใดนั้นซูหลี่พลันอันตรธานหายไปในอากาศอีกครั้ง ก่อนที่จะมาปรากฏตัวเบื้องหน้าเสี่ยวเฮยเสี่ยวไป๋และก็เสี่ยวจิน สองตายังมองจ้องมายังทั้ง 3 ด้วยความดุร้าย


 


เรียกว่าในดวงตาสีเลือดของซูหลี่ยามนี้ได้เผยเจตนาฆ่าฟันอย่างยากจะปกปิด!


ตอนที่ 2,265 : ซูหลี่ฆ่าตัวตาย!


 


สายตาที่มองจ้องมายังร่างเด็กน้อยทั้ง 3 ของซูหลี่ยามนี้ ช่างเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวนัก!


 


อีกทั้งทั่วร่างยังเริ่มปรากฏพลังเซียนต้นกำเนิดอันสุดไพศาลหนึ่ง ไอมารสีดำก็ลุกโชนขึ้นมาปานจะเผาฟ้า หากแต่มันหาได้คล้ายเพลิงไฟไม่ แต่กลับคล้ายกระบี่มหึมาเล่มหนึ่งที่โอบคลุมไว้ทั่วร่าง เปล่งกลิ่นอายยะเยือกเสียดแทงออกมา


 


ทันใดนั้นพวกเสี่ยวเฮยทั้ง 3 ก็คืนสติ สีหน้าท่าทียังเปลี่ยนไปอย่างมาก


 


ตอนนี้ทั้งหมดล้วนได้ตระหนักถึงคำ ความตายอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ!


 


“ดีพี่ซูหลี่! ท่านเป็นสหายของพี่ใหญ่หลิงเทียนมิใช่หรือ ท่านฆ่าพวกเราไม่ได้นะ!!”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันอันน่าสะพรึงกลัวของซูหลี่ กระทั่งตระหนักได้ว่าซูหลี่อาจลงมือฆ่าพวกนางได้ทุกเวลา เสี่ยวจินก็เร่งกล่าวทักซูหลี่ออกมาเสียงดังอย่างตื่นตระหนก!


 


คล้ายกลัวว่าซูหลี่จะไม่ลวงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางทั้ง 3 กับต้วนหลิงเทียน และฆ่าพวกนางทิ้ง!


 


“พี่ใหญ่หลิงเทียน? หลิงเทียน?”


 


พอได้ยินคำของเสี่ยวจิน สองตาแดงฉานปานก้อนเลือดของซูหลี่ก็สั่นไหว เจตนาฆ่าฟันเริ่มหดหาย


 


ขณะเดียวกันสีเลือดในดวงตาก็เริ่มอ่อนจางลง


 


ราวกับคำ หลิงเทียน มีมนตร์วิเศษ!


 


อย่างไรก็ตามสีเลือดในดวงตาซูหลี่เพียงอ่อนโทรมลงไปครู่หนึ่งเท่านั้น พริบตาก็เข้มขึ้นมาอีกครั้ง!


 


จิตสังหารที่เผยออกไม่เพียงกลับคืนกระทั่งยังมากกว่าเดิม!!


 


“พี่ซูหลี่! พี่ใหญ่หลิงเทียนของพวกเราก็คือ ต้วนหลิงเทียน สหายของท่าน! ท่านลืมพี่ใหญ่หลิงเทียนแล้วหรือ ตอนนั้นท่านกับพี่ใหญ่เป็นสหายอันดีต่อกันในสถาบันบ่มเพาะขุนพลที่อาณาจักรนภาล่อง!!”


 


“ท่านลืมเลือนเรื่องราวเหล่านี้ไปหมดสิ้นแล้วหรือ!?”


 


คล้ายเห็นว่าซูหลี่จะสูญเสียจิตใจไปอีกครั้ง เสี่ยวไป๋ก็เร่งตะโกนกล่าวออกมาอย่างร้อนรน


 


จากสถานการณ์เบื้องหน้าทำให้นางตระหนักได้ว่า…


 


ซูหลี่คนนี้ ยังคงจดจำพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางได้


 


แน่นอนว่าแม้นางจะสังเกตเห็นสิ่งนี้ แต่ก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้


 


กลัวว่าซูหลี่จะลงมือฆ่าพวกนางขึ้นมาจริงๆ!


 


หากซูหลี่คิดฆ่าพวกนางขึ้นมาจริงๆ เมื่ออีกฝ่ายลงมือ เกรงว่าต่อให้พวกนางทั้ง 3 คืนร่างเดิมก็ไม่อาจรอดพ้นความตายไปได้!


 


ตอนนี้นางหวังเพียงให้ซูหลี่สามารถจดจำพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางได้ทันเวลา และเห็นแก่หน้าพี่ใหญ่หลิงเทียนของพวกนาง ไม่ลงมือฆ่าพวกนาง


 


หาไม่แล้ววันนี้พวกนางทั้ง 3 ได้ประสบเคราะห์แน่นอน!


 


และตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเสียวเฮ่ย เสี่ยวไป๋หรือเสี่ยวจินก็พบได้ทันทีว่าซูหลี่มีความผิดปกติบางอย่าง


 


อย่างน้อยๆเมื่อสีเลือดในดวงตาเริ่มแดงฉานขึ้นมา อีกฝ่ายก็คล้ายไร้สติสัมปชัญญะ!


 


อีกทั้งสองตาแดงเลือดของซูหลี่นั่น ให้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่ผู้คน แต่เป็นมารร้าย!


 


ยังเป็นมารร้ายคุ้มคลั่ง ไร้สติ!!


 


ได้ยินคำที่เสี่ยวไป๋กล่าวกับซูหลี่ ไม่ว่าเสี่ยวเฮยหรือเสี่ยวจินก็พากันจับจ้องไปยังซูหลี่ไม่วางตา สีหน้ายังเคร่งเครียดนัก


 


ตอนนี้พวกมันได้แต่ภาวนาในใจ


 


หวังว่าซูหลี่จะจดจำพี่ใหญ่หลิงเทียนของพวกมันได้!


 


หาไม่แล้ววันนี้คงต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่แล้วจริงๆ


 


ตอนนี้ทั้งหมดนึกเสียใจนัก


 


หากรู้ว่าซูหลี่จะมาพร้อมจิตฆ่าฟันไร้สติแบบนี้ พวกมันคงไม่เล่นกับปีศาจวัวหรอก!


 


ถึงแม้พวกมันจะไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่าสามารถฆ่าปีศาจวัวได้เต็มสิบส่วนหลังจากคืนร่างที่แท้จริง แต่ถ้าพวกมันทั้ง 3 คิดหลบหนี ก็ยังสามารถหลบหนีปีศาจวัวได้อย่างง่ายดาย


 


คราวนี้กล่าวได้เลยว่าละเล่นจนเลยเถิดแล้วจริงๆ!


 


หากวันนี้พวกมันทั้งหมดสามารถรอดพ้นความตายไปได้ วันหลังคงไม่กล้าละเล่นอะไรแบบนี้อีก!!


 


“หลิงเทียน…ต้วนหลิงเทียน…ต้วนหลิงเทียน…อาณาจักรนภาล่อง…สถาบันบ่มเพาะขุนพล…”


 


ได้ยินคำของเสี่ยวไป๋สีเลือดที่แดงฉานในแววตาของซูหลี่ก็เริ่มจางลงอีกครั้ง


 


ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการจางลงยังสูงนัก กระทั่งจิตสังหารเองก็เช่นกัน พวกมันสลายหายไปในเวลาอันสั้น พริบตาก็ไม่หลงเหลืออยู่อีก


 


ปรากฏว่าคำพูดของเสี่ยวไป๋ได้ผล!


 


หลังจากสีเลือดในแววตาจางหายไป ซูหลี่ก็ส่ายหัวไปมาเล็กน้อย ค่อยมองไปยังเด็กน้อยทั้ง 3 เบื้องหน้า “เจ้า…พวกเจ้ารู้จักต้วนหลิงเทียนด้วยหรือ…ยังรู้จักสถาบันบ่มเพาะขุนพลที่อาณาจักรนภาล่อง?”


 


ตอนนี้สติของซูหลี่ได้ฟ้นคืนกลับมาแล้ว


 


หากแต่มันยังไม่รู้จักเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ แล้วก็เสี่ยวจิน


 


“ใช่ ต้วนหลิงเทียนเป็นพี่ใหญ่หลิงเทียนของพวกเรา แน่นอนว่าพวกเราย่อมรู้จักดี!”


 


เสี่ยวจินเห็นดังนี้ก็รีบกล่าวออกมาเป็นธรรมดา “ข้าได้ยินพี่ใหญ่หลิงเทียนพูดถึงท่านด้วย…ท่านเองก็อยู่ในอาณาจักรนภาล่อง ที่สำคัญท่านยังเคยไปค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะด้วยใช่หรือไม่?”


 


“ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ…”


 


ได้ยินคำของเสี่ยวจิน ร่างซูหลี่ก็สะท้านไปทันใด ในหัวเริ่มบังเกิดฉากเรื่องราวแล่นพล่าน ความคิดเริ่มหวนย้อนไปในวันวานครั้งยังเยาว์ กระทั่งถึงวันที่ได้พบเจอต้วนหลิงเทียนครั้งแรกที่ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก!


 


ถูกแล้ว…มันได้เจอต้วนหลิงเทียนครั้งแรกที่ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก!


 


ตอนนั้นทั้งหมดได้เข้าร่วมการประเมิณคุณสมบัติเพื่อเข้าร่วมค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ


 


ยังจำได้ว่าต้วนหลิงเทียนได้ลงไปวาดฝีไม้ลายมือในการประลองเป็นลำดับท้ายๆ…


 


ร่างชายหนุ่มชุดม่วง ที่เคลื่อนไหวปราดเปรียวดั่งอสรพิษ สุดท้ายก็ใช้กระบวนท่าประหนึ่งอสรพิษสะบัดหาง ซัดคู่ต่อสู้จนกระเด็น ผ่านการทดสอบไปได้อย่างหมดจด…


 


“ซู…”


 


ในขณะที่เสี่ยวไป๋กำลังจะกล่าวอะไรกับซูหลี่อีกครั้ง ทว่ากลับถูกซูหลี่ขัดคำเสียก่อน


 


“ไม่!!”


 


ร่างซูหลี่อยู่ดีๆก็สั่นสะท้านไป สองตาที่หวนกลับมาเป็นปกติแล้ว กลับเริ่มปรากฏสีแดงเลือดขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าซูหลี่ตอนนี้บิดเบี้ยวเหยเก กัดฟันตะโกนออกมาคล้ายเต็มกลืนและพยายามต้านทานบางสิ่ง


 


“แย่แล้ว!”


 


เมื่อเห็นสีเลือดที่เริ่มเข้มขึ้นในดวงตาของซูหลี่ สีหน้าพวกเสี่ยวไป๋ทั้ง 3 ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก


 


“อย่าได้หวัง! ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าได้สมใจอีกแล้ว!!”


 


ทันใดนั้นสีเลือดในแวตาซูหลี่ก็กระพริบวาบก่อนที่จะดับไป เสียงคำรามต่ำดังออกจากลำคอ พลังเซียนต้นกำเนิดยังปะทุขึนมาม้วนวนไปทั่วร่างดั่งมังกรพิโรธ!


 


ไอมารลักษณ์กระบี่เริ่มพุ่งสูงขึ้น!


 


ตอนนี้สภาพซูหลี่ดั่งอสูรร้ายก็ไม่ปาน!


 


วูบ! วูบ! วูบ!


 


ในขณะที่สีหน้าเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋และเสี่ยวจินเปลี่ยนสีไป ซูหลี่พลันยกมือขึ้น


 


กระบี่ไร้ลักษณ์อันเป็นยอดศาสตราเซียนในมือก็เริ่มเปล่งแสงเรืองรองออกมา ทันใดนั้นเริ่มบังเกิดกระบี่พลังก่อตัวขึ้นม้วนวนไปรอบตัวซูหลี่!!


 


“กระบี่มา!!”


 


ซูหลี่พลันตะโกนออกมาดังลั่นอีกครา และทันใดนั้นเองกระบี่พลังที่ม้วนวนอยู่รอบกาย ก็เริ่มแตกตัวออกเป็นกระบี่พลังนับพันๆเล่ม ลอยล่องอยู่รอบกายอย่างผิดท่า!


 


กระบี่พลังแต่ละเล่มช่างเปล่งกลิ่นอายพลังอันน่ากลัวทั้งรุนแรงและเกรี้ยวกราดนัก แต่ละเล่มยังฉษบไว้ด้วยไอมารอันเยียบเย็น!


 


ขณะเดียวกัน สองตาซูหลี่ก็เริ่มแดงฉานขึ้นมาอีกครา


 


“ให้ข้าซูหลี่ตาย ข้าก็ไม่มีวันยอมให้เจ้าทำร้ายสหายของต้วนหลิงเทียน!!”


 


ทันใดนั้นซูหลี่ก็คำรามออกมาเสียงเข้ม มุมปากปรากฏโลหิตไหลย้อยจากการขบฟัน กระบี่พลังนับพันเริ่มหยุดหมุนวนอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่ทั้งหมดจะหันปลายกระบี่จี้เข้าหาตัวซูหลี่!


 


ตอนนี้ในใจซูหลี่หลงเหลือเพียงหนึ่งความคิดเท่านั้น


 


ไม่อาจพลั้งมือฆ่าสหายของต้วนหลิงเทียนได้เด็ดขาด!


 


ในโลกนี้มีไม่กี่คนที่มันใส่ใจ


 


อาจารย์ของมันเป็นหนึ่งในนั้น และต้วนหลิงเทียนก็เป็นหนึ่งในนั้น


 


มันได้พลั้งมือฆ่าอาจารย์ไปอย่างไม่รู้ตัวแล้ว มันไม่มีวันยอมให้มารร้ายเข้าครอบงำจิตใจจนพลั้งมือฆ่าสหายต้วนหลิงเทียนได้!


 


หาไม่แล้วตลอดชั่วชีวิตนี้มันไม่มีวันสู้หน้าต้วนหลิงเทียนได้อีก!


 


คิดให้มันฆ่าสหายของต้วนหลิงเทียนหรือ?


 


มันตายเสียดีกว่า!!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 


……


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ซูหลี่คำรามออกมาอีกครั้ง กระบี่พลังอันเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจน่าพรั่นพรึงนับพัน ก็คล้ายได้รับประกาศิตสังหาร พวกมันพุ่งทะยานจี้เข้าร่างซูหลี่อย่างพร้อมเพรียง!!


 


หลังจากสั่งการกระบี่ให้พุ่งมาทะลวงร่างตัวเองแล้ว สองตาซูหลี่ก็กลายเป็นสีแดงฉานปานก้อนโลหิตทันที!


 


“หึ!”


 


เสียงแค่นสบถเยียบเย็นหนึ่งดังขึ้น ลักษณะท่าทีของซูหลีพลันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ


 


ทันใดนั้นพลังเซียนต้นกำเนิดทั้งไอมารอันชั่วร้ายทั่วร่างก็ปะทุลุกโชน ทั้งหมดเริ่มควบรวมก่อเกิดม่านพลังหนึ่งหมายป้องกันกระบี่พลังนับพันที่กำลังพุ่งเข้ามาที่ร่าง!


 


น่าเสียดายที่มันลงมือช้าไป ทำให้ม่านพลังที่ก่อเกิดยังอ่อนโทรมไม่อาจเปล่งอานุภาพได้เต็มที่


 


ถึงแม้มันจะป้องกันกระบี่พลังได้ส่วนหนึ่ง หากแต่กระบี่พลังบางส่วนก็ยังคงพุ่งทะลวงชำแรกผ่านร่างของมันจนปุพรุน หลุมโลหิตนับสิบปรากฏไปทั่วกาย!


 


ไม่ควรรอดชีวิต!


 


“อ๊า!”


 


ฉากนี้ทำให้สีหน้าเสี่ยวไป๋เปลี่ยนไปมหันต์ อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ


 


ขณะเดียวกันกับที่นางร้องอุทานออกมา สองตายังรื้นขึ้น หยาดน้ำใสๆเอ่อคลออย่างน่าเวทนา


 


เจตนาการลงมือของซูหลี่ นางย่อมเห็นได้เป็นธรรมดา


 


ด้วยเหตุนี้หยาดน้ำใสๆจึงเริ่มไหลรินออกมารดแก้ม


 


“พี่ซูหลี่!!”


 


ด้านเสี่ยวจินกับเสี่ยวเฮยก็ย่อมรับทราบเจตนาการทำแบบนี้ของซูหลี่เช่นกัน พอเห็นร่างซูหลี่ที่ปุพรุนไปด้วยหลุมโลหิตสองตาทั้งคู่กลายเป็นแดงรื้นขึ้นมาทันที


 


ไม่ทราบว่าเพราะความเจ็บปวดหรือไรที่กระตุ้นสติของซูหลี่ให้ฟื้นคืน ทำให้สีเลือดในแวววตาซูหลี่เริ่มอ่อนลงอีกครั้ง


 


และตอนนี้สติของซูหลี่ก็คล้ายจะหวนกลับมา


 


“พวกเจ้ารีบหนีไป!”


 


ซูหลี่ที่ร่างปุพรุนไปด้วยหลุมโลหิต ทั้งหลั่งเลือดออกมาปานเขื่อนแตก มองเด็กน้อยทั้ง 3 ด้วยสีหน้าเจ็บปวด คำรามไล่ออกมาเสียงต่ำอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ราวกับการขับไล่ทั้ง 3 นั้น มันได้รีดเค้นพลังชั่วชีวิตออกมาแล้ว


 


และทันทีที่เสียงขับไล่ดังจบคำ สีเลือดก็เริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาอีกครั้ง


 


ลักษณะท่าทีเปลี่ยนไปอีกครา…


 


ตอนนี้ซูหลี่ที่เสมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน มันไม่ยอมตายง่ายๆรีบเร่งเร้าพลังห้ามเลือด ไม่ให้ไหลออกจากหลุมเลือดที่ปุพรุนไปทั้งร่าง


 


หากแต่บาดแผลฉกรรจ์ที่สมควรไม่มีใครรอดนี้ ไหนเลยจัดการได้ง่ายดาย!


 


นอกจากนี้กลิ่นอายพลังทั่วร่างยังอ่อนโทรมลงถึงขีดสุด ราวกับต่อให้เป็นใครก็สามารถฆ่ามันได้!!


 


ซูหลี่ที่บาดเจ็บสาหัส ได้ใช้ดวงตาสีเลือดกวาดมองไปยังพวกเสี่ยวเฮยทั้ง 3 อีกครา สุดท้ายราวกับตระหนักได้ว่ามันไม่อาจฆ่าทั้ง 3 ได้อีกต่อไป จึงไม่คิดลงมือสืบต่อ เริ่มเหินร่างจากไปทันที


 


ด้วยความที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นหากเป็นผู้อื่นคงตกตายไปนานแล้ว ความเร็วจึงเชื่องช้าลงไปมากนัก


 


“ตอนนี้…ข้าเกรงว่าปีศาจตนใดก็สามารถฆ่าพี่ซูหลี่ได้…”


 


เสี่ยวไป๋กกล่าวกระซิบออกมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง จากนั้นก็หันไปมองสหายทั้ง 2 ข้างกาย แววตาฉายชัดถึงคำถาม


 


ราวกับกำลังจะถามไถ่ความเห็นของทั้งสอง ว่าจะทำอย่างไร


 


“พี่ซูหลี่ถึงขั้นยอมตายแต่ไม่ยอมทำร้ายพวกเรา…เช่นนั้นพวกเราจะปล่อยให้พี่ซูหลี่ถูกปีศาจฆ่าได้อย่างไร! นั่นไม่ใช่นิสัยของข้าเสี่ยวจิน!!”


 


เสี่ยวจินกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


“ไป”


 


สำหรับเสี่ยวเฮยนั้นเพียงลั่นวาจาออกมา 1 คำ ก่อนที่จะเหินร่างตามซูหลี่ไปทันที


 


สภาพของซูหลี่ตอนนี้ไม่ว่าใครก็สามารถลงมือจบชีวิตได้ง่ายดายนัก!


 


3 เด็กน้อยต่างเห็นพ้องต้องกัน


 


ลอบตามซูหลี่และคอยปกป้อง!


 


จนเมื่ออาการบาดเจ็บของซูหลี่ฟื้นฟูจนมีพลังทัดเทียมกับพวกมัน พวกมันทั้ง 3 ก็จะแยกตัวออกจากซูหลี่…


 


เพราะหากตอนนั้นถ้ายังฝืนติดตามซูหลี่ต่อไป ไม่พ้นตกตายด้วยน้ำมือซูหลี่จริงๆแน่!


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)