War sovereign Soaring The Heavens 2249-2255

 ตอนที่ 2,249 : ผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์


 


ในขณะที่ผู้นำลัทธิชะตาฟ้าถูกฆ่าตายอย่างทรมานโดยไร้ซึ่งร่องรอยใดๆให้สืบสาว


 


ในหุบเขาเล็กๆที่ตั้งอยู่ห่างจากลัทธิชะตาฟ้านับหมื่นลี้ ปรากฏร่างสตรีบอบบางที่ขยับมือก่อปางพิสดารประการหนึ่ง


 


เป็นสตรีที่มาในชุดขาวราวหิมะ สภาวะร่างยามลอยล่องกลางหาวให้ความรู้สึกเลื่อนลอยไม่อาจจับต้อง แลดูไปประหนึ่งนางฟ้าบนสวรรค์


 


ด้วยลักษณะอันโดดเด่นของนาง พาลให้สรรพสิ่งรอบกายคล้ายจะหม่นหมองลงถนัดตา


 


เส้นผมดำขลับ ทอดยาวลงมาถึงเอว มองไปดั่งม่านน้ำตกสรรค์


 


แม้ว่าใบหน้าของนางจะถูกม่านผ้าขาวปกคลุมไปครึ่งหนึ่ง


 


แต่มองจากรูปโฉมอีกครึ่งที่เผย ก็ให้ความรู้สึกราวกับนางถูกสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ไม่ยากที่จะบอกว่ารูปโฉมใต้ม่านผ้านั้นสมควรเป็นโฉมงามอันไร้คู่เปรียบนางหนึ่ง


 


หลังจากขยับมือเสร็จนางก็ลอยร่างค้างกลาวหาวแน่นิ่งไม่ไหวติง แม้ไม่ทำอะไรหากแต่ทั่วร่างกลับเผยกลิ่นอายเยียบเย็นประการหนึ่งปานธิดาน้ำแข็ง ทำให้รอบกายคล้ายจะบังเกิดหิมะร่วงหล่นลงมาได้ตลอดเวลา


 


“นับว่าพลังสะท้อนหลังฆ่าเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนด้วยเคล็ดสวรรค์สาปไม่เบาเลยจริงๆ…”


 


สีหน้าภายใต้ม่านผ้าขาวเผยความซีดเซียวเล็กน้อย คล้ายได้รับผลสะท้อนจากการลงมือเมื่อครู่


 


แทบจะพร้อมกันกับที่นางกล่าวจบคำ ร่างบางในชุดขาวพิสุทธิ์ก็อันตรธานหายวับไปในอากาศ หุบเขาอันเงียบสงัดไกลห่างหวนคืนสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง


 


ในเวลานี้หากมีคนอยู่ในหุบเขาอีกคน ไม่พ้นคงได้ตกตะลึงยกใหญ่แน่


 


เพราะตอนนี้ ในหุบเขาเล็กๆ โดยมีจุดหนึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง อาณาบริเวณกินรัศมีร้อยหมี่รอบๆจุดดังกล่าว กลับปรากฏฉากพิสดาร ต้นไม้ใบหญ้าที่เคยเขียวขจีกลับแห้งเหี่ยวผุพัง ราวกับพวกมันทั้งหมดสิ้นสูญพลังชีวิต!


 


แต่เดิมพื้นที่กินรัศมีร้อยหมี่นั้นมีสีเขียวดั่งมรกต แต่พริบตาก็กลับกลายเป็นสีเหลืองแก่!


 


ทำให้ยามมองลงมาจากฟ้าสูงบังเกิดภาพประหลาดแปลกตานัก รอบๆก็บริบูรณ์ดี ไฉนกลับมีพื้นที่แห้งเหี่ยวเป็นหย่อมประหลาดแบบนั้นได้?


 


หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม ในที่สุดมหาปุโรหิตโม่เชวียนก็ขยายรัศมีค้นหาจนมาถึงน่านฟ้าเหนือหุบเขา…


 


เมื่อมันเหลือบไปเห็นพื้นที่แห้งเหี่ยวหย่อมหนึ่งท่ามกลางขุนเขาขจี ลูกตามันก็หดหยีลง ร่างดิ่งลงจากฟ้าดั่งอุกกาบาตไปหยุดอยู่เหนือหุบเขาเล็กๆทันที


 


“ข้าจำได้ว่า…พื้นที่แถบนี้เดิมทีก็สมควรเป็นสีมรกตเหมือนโดยรอบมิใช่หรือไร ไฉนตอนนี้ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆกินรัศมีร้อยหมี่กลับแห้งเหี่ยวลงแบบนี้ได้? กระทั่งสำนึกเทวะยังจับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่เริ่มจางหายไป…”


 


ตระหนักถึงจุดนี้สีหน้าโม่เชวียนก็มืดลงทันใด “นั่นหมายความว่าเดิมทีสถานที่แห่งนี้ยังสมบูรณ์ดีอยู่ แต่มันพึ่งเหี่ยวเฉาลงได้ไม่นาน…”


 


ตอนนี้เองในหัวโม่เชวียนบังเกิดประกายความคิดหนึ่งแล่นผ่าน


 


ในตอนที่ผู้สืบทอด ความลับสวรรค์ประกาศ ร่างผู้นำลัทธิชะตาฟ้าก็เริ่มทุกทข์ทรมาน สุดท้ายก็ตกตายโลหิตไหลออกจากทวารทั้ง 7…


 


“ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์…”


 


ประโยคนี้ยังเตือนมัน


 


ว่าผู้ที่ลงมือสมควรเป็นผู้สืบทอดของผู้เฒ่าพยากรณ์!


 


นอกจากนั้นนางยังเป็นศิษย์สตรีอีกคนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้!


 


“7 ทวาราเที่ยงแท้…ความลับสวรรค์…ความลับสวรรค์”


 


ใบหน้าโม่เชวียนเริ่มมืดลงทุกขณะ ในใจย้อนนึกถึงข้อมูล 7 ทวาราเที่ยงแท้ที่มีบันทึกไว้


 


จะอย่างไรมันก็คือมหาปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้า หลังใช้ชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน บันทึกเก่าแก่โบราณของลัทธิชะตาฟ้าย่อมผ่านตามันมาหมดสิ้น


 


ในบรรดาบันทึกเหล่านั้น ย่อมมีเรื่องราวของ 7 ทวาราเที่ยงแท้อยู่ด้วย


 


“ในยุคที่อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ อย่างเซียนกระบี่ฟงชิงหยางอยู่ อีก 6 ลำดับของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ล้วนน่าทึ่งทั้งสิ้น…แต่ละคนยังมีความสามารถโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์นัก”


 


“ในบรรดาทั้ง 6 เป็นผู้สืบทอดความลับสววรรค์ทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 2 ที่พลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุด…หากแต่แม้พลังฝึกปรือจะอ่อนด้อย มันกลับมีเวทย์คำสาปคร่าชีวิต…ยังได้รับขนานนามว่าเป็นผู้ฝึกเต๋าอันดับ 1 ในแดนดิน”


 


“อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผู้สืบทอดความลับสวรรค์คนนั้นจะตกตาย มันที่มีพลังฝีมือเพียงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนกลับสามารถใช้คำสาปคร่าชีวิตยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้! ตัวข้าเองยังไม่มีปัญญากระทำเช่นนั้น!!”


 


คิดถึงจุดนี้สีหน้าโม่เชวียน มหาปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้าก็น่าซีดลง ยังเผยความหวาดกลัวสยดสยอง


 


“บัดซบ นางเป็นผู้ฝึกเต๋า! แถมไม่เพียงแต่สืบจะทอดเต๋าท้าทายสวรรค์รวมถึงเวทย์คำสาปสังหารของทายาทความลับสวรรค์ในตอนนั้นมา…แต่พลังฝึกปรือของนางสมควรไม่ต่ำต้อย!!”


 


“หาไม่แล้วนางไม่มีทางใช้คำสาปฆ่าผู้นำลัทธิได้!”


 


ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่สีหน้ามหาปุโรหิตอย่างโม่เชวียนก็ยิ่งมืดดำลงปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก!


 


“ทันทีที่ร่ายคำสาปสังหาร…ในรัศมีจะไร้สิ่งใดมีชีวิต!”


 


หลังนึกไม่นาน โม่เชวียนก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงยืนยันได้ทันที ว่าผู้สืบทอดความลับสวรรค์คนนี้ไม่เพียงแต่จะบ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์ นางยังฝึกเวทย์คำสาปสังหารอันน่าพรั่นพรึงสำเร็จ!


 


“เต๋าท้าทายสวรรค์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง…ยิ่งไปกว่านั้นพลังฝึกปรือของนางสมควรเหนือกว่าผู้สืบทอดความลับสวรรค์ในยุคนั้น อย่างน้อยๆก็สมควรบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!”


 


กล่าวพึมพำถึงจุดนี้ลูกตาโม่เชวียนก็หดหยีลงเผยความหวั่นหวาด


 


ผู้ฝึกเต๋าท้าทายสวรรค์นั้น เป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด ในอดีตแม้ผู้ฝึกเต๋าท้าทายสวรรค์จะมีพลังฝึกปรือแค่เซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน แต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้ผู้ฝึกตนทั้งแดนดิน


 


นั่นเพราะมันสามารถฆ่าผู้คนที่อยู่ห่างไกลไปนับพันลี้อย่างไร้ร่องรอยด้วยเวทย์คำสาปสังหาร!


 


สิ่งนี้ยังน่ากลัวกว่าการลงมือของ ทายาทเงาทมิฬเสียอีก!


 


อย่างหลังจะอย่างไรก็ต้องลงมือด้วยตัวเอง


 


ทว่าอย่างแรกนั้นฆ่าคนไม่เห็นหน้า พิฆาตจากไกลห่างไม่อาจสืบหา!!


 


“ในยุคนั้นผู้สืบทอดความลับสวรรค์น่ากลัวนัก…ขอเพียงเป็นผู้ฝึกตนใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนไม่มีใครไม่กลัวมัน…เพราะสุดท้ายทุกคนก็กลัวว่าจะถูกฆ่าโดยไม่ทันรู้ตัว กระทั่งจนตายยังไม่เห็นหน้าผู้ลงมือ…”


 


“แต่จะอย่างไรพลังฝีมือของมันก็มีแค่เซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนเท่านั้น ยังติดค้างในด่านพลังนี้ไม่อาจก้าวหน้า ทำให้หลายคนโล่งใจกันไม่น้อย…”


 


“เพราะสุดท้ายหากมันไม่อาจบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้มันก็มีอายุขัยจำกัด ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมีวันตาย…และตราบใดที่มันตาย เต๋าท้าทายสวรรค์ก็จะหายไปพร้อมกับมัน…”


 


คิดถึงจุดนี้โม่เชวียนไม่เพียงไม่โล่งอก แต่สีหน้ายังเปลี่ยนเป็นเครียดขึ้นอย่างหนัก “แต่วันนี้ ผู้สืบทอดความลับสวรรค์ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ ไม่เพียงแต่จะเป็นผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์ แต่นางยังมีพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรืออาจจะเหนือกว่านั้น!”


 


“เช่นนั้นหมายความว่านางมีอายุขัยไร้จำกัด…ตราบใดที่ไม่เกิดอุบัติเหตุอันใด ขอเพียงมีเวลาไม่ช้าก็เร็วนางต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้แน่!”


 


คิดถึงจุดนี้ ใจของโม่เชวียนก็สั่นไหวเต้นไปไม่เป็นจังหวะ


 


ผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์ บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เรื่องนี้หมายความว่าอะไร?


 


หมายความว่าตราบใดที่นางต้องการ เพียงแค่ห้วงคิดร่ายออกด้วยเวทย์คำสาปสังหาร ยังจะมีใครใต้ขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะรอดพ้นความตายไปได้?


 


“แม้เป็นที่แน่นอนว่าเวทย์คำสาปสังหารของเต๋าท้าทายสวรรค์ต้องมีข้อจำกัดในการใช้ไม่น้อย…แต่ก่อนที่จะรู้ข้อจำกัดนั่น ตัวนางย่อมไม่ต่างใดจากมัจจุราช!”


 


เรื่องนี้กระทั่งตัวโม่เชวียนมหาปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้าที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอันน่าเกรงขามก็จำต้องหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ


 


“หลังผ่านไปนานปี 7 ทวาราเที่ยงแท้ไม่เพียงแต่ไม่ล่มสลายไปตามกาลเวลา แต่กลับปรากฏตัวผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์อันร้ายกาจเช่นนี้ขึ้นมาได้…หรือ 3 ลัทธิจะถูกลิขิตให้ต้องตกเป็นเบี้ยล่าง 7 ทวาราเที่ยงแท้อีกครั้ง ไม่มีวันโงหัวขึ้นได้จริงๆ…”


 


“แถมกระทั่งผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 2 ความลับสวรรค์ยังร้ายกาจขนาดนี้…แล้วผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 อย่างหมอกพิรุณเล่า หากมันปรากฏตัวขึ้นมาจะเป็นอย่างไร?”


 


คิดถึงจุดนี้โม่เชวียนก็บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา


 


ขณะเดียวกันมันก็ตระหนักได้ว่า


 


การกลับมาของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ สมควรเตรียมการมานานแล้ว!


 


……


 


ผู้นำลัทธิชะตาฟ้า ถูกสังหารอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตามหาปุโรหิตอย่างโม่เชวียนผู้เป็นอันดับ 3 ในรายนามยอดเซียน และปุโรหิตอีกมากมายในวิหารหลักของลัทธิชะตาฟ้า


 


ข่าวนี้พอแพร่ออกมาจากลัทธิชะตาฟ้า ก็ทำให้ทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย


 


“7 ทวาราเที่ยงแท้…ความลับสวรรค์ หรือจะเป็นศิษย์ปิดสำนึกของท่านผู้เฒ่าพยากรณ์?”


 


หลังได้รับทราบตัวตนของผู้ที่ทิ้งนามไว้ ผู้คนก็ตระหนักได้ถึงเรื่องราวดังกล่าว


 


“ข้าได้ยินมาว่าคนที่สังหารผู้นำลัทธิชะตาฟ้า ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์คนนั้น ก็เป็นสตรีอีกเช่นกัน…เพราะเสียงที่ดังไปทั่วลัทธิชะตาฟ้านั้นเป็นเสียงของสตรี!”


 


“สวรรค์! 7 ทวาราเที่ยงแท้เป็นขุมพลังรวมยอดฝีมือสตรีหรือไร ห่านเฉวี่ย ไน่กับเฟิ่งเทียนหวู่ก็ทีนึงแล้ว นี่ยังมีผู้สืบทอดความลับสวรรค์ที่น่าจะเป็นศิษย์ของท่านผู้เฒ่าพยากรณ์อีก!”


 


“เรื่องนั้นมิใช่ประเด็น…ที่สำคัญคือตอนผู้นำลัทธิชะตาฟ้าถูกฆ่า กระทั่งโม่เชวียนก็อยู่ด้วย! แถมไม่มีผู้ใดทราบเลยว่านางลงมืออย่างไร…เจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องราวใดๆจนตายด้วยซ้ำ นี่เป็นจุดที่น่ากลัวที่สุด!”


 


“ผู้สืบทอดความลับสวรรค์เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะหรือไร ถึงฆ่าคนโดยที่มหาปุโรหิตอย่างโม่เชวียนไม่รู้เรื่องได้ หรือมันไม่อาจจับร่องรอยการลงมือของนางได้เลย?”


 


“เป็นไปไม่ได้! หากผู้สืบทอดความลับสวรรค์เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะจริง ป่านนี้ลัทธิชะตาฟ้าสมควรถูกนางล้างบางไปแล้ว อย่างไรความแค้นระหว่าง 7 ทวาราเที่ยงแท้กับ 3 ลัทธิก็ไม่ใช่น้อย…ไหนเลยนางจะฆ่าแค่ผู้นำคนเดียว?”


 


“นั่นก็จริง…แล้วที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เล่า?”


 


……


 


ผู้สืบทอดความลับสวรรค์ ฆ่าผู้นำลัทธิชะตาฟ้าคาวิหารหลักได้อย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตาโม่เชวียน เรื่องนี้ใครได้ยินย่อมอดสะท้านไปไม่ได้…


 


“หรือว่าทายาทความลับสวรรค์…จะเป็นผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์เหมือนในอดีตเช่นกัน!?”


 


ตอนนี้เองเฒ่าชราที่แลดูมีประสบการณ์ไม่น้อยในเหลาอาหารแห่งหนึ่ง พลันทุบโต๊ะดังปั้ง! คนลุกขึ้นยืนพร้อมโพล่งออกมาด้วยความตกใจ!!


ตอนที่ 2,250 : ความแค้นในช่วงพันปี!


 


“ผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์?”


 


“นั่นคืออะไรกัน ผู้บ่มเพาะเต๋าข้ารู้จัก…แต่ผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์นี่คืออันใด?”


 


“ใช่ นี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้ยินเรื่องผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์”


 


……


 


ในขณะที่มีบางคนตระหนักได้ว่าผู้สืบทอดความลับสววรรค์คือผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์ หลายคนที่ไม่รู้ก็ได้แต่งุนงงกันใหญ่


 


เต๋าท้าทายสวรรค์มันคืออะไร?


 


ในขณะที่หลายคนกำลังคาดเดากันไปต่างๆนาด้วยความสงสัย เหล่าผู้รู้ก็เริ่มอธิบายเรื่องราวออกมา จนในที่สุดผู้ที่ไม่รู้ทั้งหลายก็ได้รับทราบความเป็นมา


 


“มิคิดเลยว่านางจะเป็นผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์!”


 


“ในประวัติศาสตร์ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เคยปรากฏผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์แค่คนเดียวเท่านั้น…และนั่นก็คือผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ในยุคใต้เท้าเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!”


 


“ว่ากันว่าผู้สืบทอดความลับสวรรค์ยามนั้น ใช้เวทย์คำสาปสังหาร ฆ่าคนไร้ร่องรอยพันลี้! ที่สำคัญที่สุดก็คือแม้พลังฝึกปรือมันจะมีเพียงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน แต่สามารถใช้เวทย์คำสาปสังหารนั่นฆ่าคนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้!”


 


“ในยุคนั้นผู้ฝึกตนที่พลังฝึกปรือมิถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนล้วนหวาดกลัวมันนัก…เพราะหากผู้สืบทอดความลับสวรรค์ยุคนั้นคิดฆ่าคนขึ้นมา พวกมันก็จนปัญญาต่อต้าน!”


 


“ยังดีที่ผู้สืบทอดความลับสวรรค์รุ่นนั้นมิอาจทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนได้ชั่วชีวิต…หาไม่แล้วหากมันทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนขึ้นมา เกรงว่าคงมีอายุขัยไร้จำกัด หากไม่ตกตายไปเสียก่อนพลังฝึกปรือวันหนึ่งย่อมทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน  9 เปลี่ยน กระทั่งครึ่งก้าวเซียนอมตะ! ถึงตอนนั้นทั้งแดนดินยังจะมีผู้ใดจะรับมือมันได้!!”


 


……


 


หลังได้รับทราบถึงความหมายของผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์ คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบนก็ตกใจอย่างหนัก


 


ที่แท้ในแดนดินเคยปรากฏผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์มาแล้ว!


 


พิฆาตจากไกลห่างนับพันลี้ ไม่มีผู้ใดแลเห็น!


 


นี่มันพลังสังหารอันใด?


 


“ไม่คิดเลยว่าหลังจากวันเวลาผ่านพ้นไปนานปี จะปรากฏผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์ขึ้นอีกครั้งในแดนดิน…และมองจากการที่นางสังหารผู้นำลัทธิชะตาฟ้าที่มีพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนจากระยะไกลได้ เผยให้รู้ว่าตอนนี้พลังฝึกปรือของนางสมควรบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้วเป็นอย่างน้อย!”


 


“แม่นางที่บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์ผู้นี้ ช่างน่ากลัวกว่าผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์ในกาลก่อนนัก…”


 


“นั่นสิ ต้องทราบด้วยว่าผู้นำลัทธิชะตาฟ้ามิใช่ชนชั้นเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนธรรมดา แต่พลังฝีมือของมันยังรั้งอยู่ในอันดับที่ 10 ของรายนามยอดเซียน…ผู้สืบทอดความลับสวรรค์คนนี้ฆ่ามันได้ เช่นนั้นก็รับอันดับในรายนามยอดเซียนของมันไปแล้ว!”


 


“ไฉนสตรีของ 7 ทวาราเที่ยงแท้แต่ละคนถึงได้น่ากลัวกันขนาดนี้เล่า?”


 


“นั่นสิ 2 คนแรกว่าน่ากลัวแล้ว แม่นางผู้สืบทอดนามความลับสวรรค์คนนี้กลับน่ากลัวยิ่งกว่า! ด้วยพลังฝึกปรือของนางที่คาดว่าสมควรอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเป็นอย่างต่ำ ขอเพียงมีเวลาไม่ช้าก็เร็วนางย่อมสามารถทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน 9 เปลี่ยน กระทั่งครึ่งก้าวเซียนอมตะได้แน่!”


 


“ใช่ กล่าวได้ว่าทายาทของ 7 ทวาราเที่ยงแท้รุ่นนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ…ถึงตอนนั้นนางอยากให้ผู้ใดตกตาย คนผู้นั้นก็ไม่อาจไม่ตกตาย!”


 


“บ้าไปแล้ว! โลกนี้ไฉนมีพลังสังหารน่ากลัวขนาดนี้ได้? คำสาบสังหาร…ช่างเป็นเวทย์ท้าทายสวรรค์นัก!”


 


……


 


ทั่วภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ล้วนกระหึ่มไปด้วยบทสนทนาถึงผู้สืบทอดความลับสวรรค์ลำดับ 2 ที่คาดกันว่าน่าจะเป็นผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์! คราวนี้นับว่านางขู่ขวัญคนทั้งดินแดนแล้วจริงๆ…


 


ซ้ำร้ายผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์คนนี้ยังมีชีวิตไร้สิ้นสุด


 


แค่ได้ยินก็ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว!


 


“พวกเราไม่ต้องกลัวหรอก พวกเราเคยไปรุกราน 7 ทวาราเที่ยงแท้ที่ไหนกัน! ที่ต้องนอนไม่หลับสมควรเป็นพวก 3 ลัทธิมากกว่า…”


 


พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไร้ความบาดหมางกกับ 7 ทวาราเที่ยงแท้ คนที่หวาดกลัวว่าตัวเองจะตายไม่รู้ตัวก็พอได้โล่งใจขึ้นมาบ้าง


 


ในขณะที่พวกมันบังเกิดความโล่งใจ แววตาก็ยังเผยอาลัยให้คนของ 3 ลัทธิ…


 


สุดท้ายแล้ว 7 ทวาราเที่ยงแท้กับ 3 ลัทธิก็มีความแค้นกันมานานปี คงยากจะสิ้นสุดลงง่ายๆ


 


“การลงมือของผู้สืบทอดความลับสวรรค์ครั้งนี้…เกรงว่าผู้นำลัทธิชะตาฟ้าคงเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น…”


 


“ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน วิธีการลงมือของนางตอนนี้อาจไม่สามารถคุกคามเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของ 3 ลัทธิได้…แต่พวกตัวตนต่ำกว่าเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนคงมีหนาวๆร้อนๆกันบ้าง เพราะนางอาศัยห้วงคิดเดียวในการฆ่าคน!”


 


“ช่างน่ากลัวนัก…คิดไปแล้วข้าสยองไม่หายจริงๆ”


 


……


 


คนส่วนใหญ่ในภูมิภาคเบื้องบนรู้สึกกันไปว่า…


 


หลังผู้สืบทอดความลับสวรรค์ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้รุ่นนี้ลงมือสังหารผู้นำลัทธิชะตาฟ้าแล้ว ต่อไปไม่พ้นกำหนดเป้าหมายเป็นตัวตนระดับสูงของ 3 ลัทธิต่อทีละคน


 


ทว่าไม่นานก็มีเสียงเห็นต่างออกมา


 


“7 ทวาราเที่ยงแท้ปรากฏตัวออกมาในเวลานี้ ทั้งยังสังหารยอดฝีมือของลัทธิชะตาฟ้ากับลัทธิอารามทมิฬ…หรือพวกมันไม่คิดถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์เราเลย! ปีศาจรุกรานมาถึงภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว พวกมันยังอาจจะขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนตอนไหนก็ได้!!”


 


วาจาดังกล่าว เริ่มดังไปทุกที่


 


แน่นอนว่ายังมีหลายคนไม่เห็นด้วย


 


“เท่าที่ข้ารู้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่ทราบคน 3 ลัทธิเข่นฆ่าคนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ไปแล้วเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่…ตอนนี้พอคน 7 ทวาราเที่ยงแท้มีกำลังกล้าแข็งปรากฏตัวออกมา หรือจะไม่ให้ฆ่าคนล้างแค้น?”


 


“มิผิด! กรรมใดใครก่อกรรมนั้นคืนสนอง! หนี้เลือดทั้งความแค้นฆ่าล้างระหว่าง 3 ลัทธิกับ 7 ทวาราเที่ยงแท้นับว่าไร้สิ้นสุดแล้วจริงๆ…ลองมีความแค้นกันมานานปีแบบนี้ คำมนุษย์ธรรมหรือเห็นแก่ส่วนรวมใดๆล้วนไม่มีความหมายหรอก”


 


……


 


แม้จะมีเสียงเห็นต่างไม่น้อย แต่ก็ถูกความเห็นของคนหมู่มากปิดกลบ


 


หลายคนนั้นเข้าข้าง 7 ทวาราเที่ยงแท้ บ้างก็ต่อต้านไม่เห็นด้วย


 


“คนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้อาฆาตเกินไป…ในช่วงเวลาที่เผ่าปีศาจอาจบุกขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ยังจะมาฆ่ากันเองอยู่อีก!”


 


“ตอนนี้ผู้คนทั้งแดนดินล้วนตกอยู่ในความเสี่ยงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นความแค้นยิ่งใหญ่อันใด ก็สมควรละวางไปก่อน เพียงให้เรื่องรับมือเผ่าปีศาจลุล่วงไปได้ด้วยดี…หลังจากนั้นจะฆ่าเท่าไหร่ก็ฆ่าไปเถอะ”


 


“ตอนแรกข้าก็เห็นใจทั้งเข้าใจ 7 ทวาราเที่ยงแท้นะ…แต่ฟังไปฟังมาแล้วข้ากลัวว่านี่จะเป็นการบ่อนทำลายมนุษย์ชาติเราจริงๆ…”


 


……


 


แต่ด้วยเพราะฉุกคิดได้ว่าตัวเองอาจตกตายเพราะปีศาจ หลายคนจึงเริ่มหันไปต่อต้านการกระทำของ 7 ทวาราเที่ยงแท้! ไม่นานก็บังเกิดอุปทานหมู่ พาลให้คนทั้งแดนดินคิดว่า 7 ทวาราเที่ยงแท้ทำเกินไป!!


 


แต่ความเห็นของพวกมันจะสำคัญหรือแล้วใช่เป็นอย่างที่พวกมันคิดจริงๆหรือไม่?


 


ณ ภาคเหนือ แนวเทือกเขาอันมีหิมะตกตลอดทั้งปี…


 


บนยอดเขาลูกหนึ่งปรากฏร่างชรา คุกเข่าลงหน้าหลุมฝังศพที่บริเวณป้ายหลุมศพไร้นามหลุมหนึ่ง…


 


“ท่านพี่…ผ่านไปกว่า 300 ปี ในที่สุดผู้นำลัทธิชะตาฟ้านั่นก็ตกตายแล้ว! ข้ามันไม่เอาไหนไม่อาจล้างแค้นให้ท่านได้ด้วยตัวเอง…อย่างไรก็ตามคนที่ล้างแค้นให้ท่านก็คือศิษย์ปิดสำนักของข้า ยังเป็นผู้สืบทอดความลับสวรรค์ของพวกเรา!!”


 


“จากนี้ไปขอให้ท่านพักผ่อนอย่างสงบเถอะ…”


 


ชายชราที่คุกเข่าหน้าหลุมศพ กล่าวพึมพำเบาๆสักพักก็โขกศีรษะคารวะหลุมศพ


 


ชายชราคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น มันคือผู้เฒ่าพยากรณ์ ผู้สืบทอดความลับสวรรค์รุ่นก่อน


 


300 ปีที่แล้ว 7 ทวาราเที่ยงแท้มีผู้สืบทอดความลับสวรรค์ 2 คน


 


นอกจากตัวผู้เฒ่าพยากรณ์แล้ว ยังมีพี่ชายของผู้เฒ่าพยากรณ์อีกคน


 


ตอนนั้นศิษย์ของลัทธิชะตาฟ้าบังเอิญได้เบาะแสของพวกมันพี่น้อง ก่อนจะนำกำลังคนมาไล่ล่าสังหารทั้งคู่ด้วยตัวเอง


 


ภายใต้การปกป้องจากพี่ชาย ทำให้ผู้เฒ่าพยากรณ์สามารถรอดพ้นมาได้


 


ส่วนพี่ชายของผู้เฒ่าพยากรณ์นั้น ถูกศิษย์ลัทธิชะตาฟ้าคนนั้นจับตัวกลับไปทรมานกลางเมืองอยู่ 10 วัน 10 คืนก่อนที่จะตกตาย


 


และเหตุผลที่ศิษย์ลัทธิชะตาฟ้ากระทำเช่นนั้นก็เพราะคิดบีบคั้นให้ผู้เฒ่าพยากรณ์ปรากฏตัว


 


ฉากเรื่องราวในวันนั้นผู้เฒ่าพยากรณ์ยังจดจำได้ชัดเจนในใจ ยังราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน!


 


ตอนที่เห็นพี่ชายถูกทรมาน มันรู้สึกเสมือนอยู่ไม่สู้ตาย!


 


มันกระทั่งคิดปรากฏตัวออกไปให้คนลัทธิชะตาฟ้าจบความทรมานนั้นเสีย เพื่อที่จะให้พี่ชายของมันได้พ้นผ่านความทรมาน


 


แต่สุดท้ายมันก็ระงับตัวเองเอาไว้


 


เพราะมันมีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแบกนามผู้สืบทอดความลับสวรรค์ไว้บนบ่า ยังมีมรดกอื่นๆของ 7 ทวาราเที่ยงแท้


 


ตอนนั้นหากมันปรากฏตัวออกไป ก็ล้วนมีแต่ต้องตกตายกันทั้งคู่ มรดกใดๆของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ก็คงต้องถูกกลบฝังไปพร้อมกับพวกมันด้วย


 


เพราะตอนนั้นทั้งคู่ยังไม่ได้เฟ้นหาผู้สืบทอด หรือสร้างมรดกสถานอะไรเอาไว้


 


“ฮ่าๆๆๆๆ…!!!”


 


ทันใดนั้นผู้เฒ่าพยากรณ์พลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เสียงหัวเราะนี้ช่างปลอดโปร่งนัก ราวกับได้ปลดเปลื้องความคับข้องใจทั้งมวล


 


ศิษย์ลัทธิชะตาฟ้าที่ทรมานพี่ชายมันอยู่ 10 วัน 10 คืนอย่างไร้มนุษย์ธรรมในวันนั้น ก็คือผู้นำลัทธิชะตาฟ้าในวันนี้! และมันก็ได้พบพานความเจ็บปวดแสนสาหัสก่อนจะตกตายไปเพราะเวทย์คำสาบสังหาร ของผู้สืบทอดนามความลับสวรรค์คนปัจจุบัน…


 


ในอดีตนั้น พอได้เห็นว่าศัตรูก้าวหน้าจนมีฐานะยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ได้เป็นถึงผู้นำลัทธิชะตาฟ้า ผู้เฒ่าพยากรณ์ก็เริ่มท้อใจ ความหวังในการล้างแค้นให้พี่น้องเริ่มจางลงเรื่อยๆ


 


ไม่ทราบมีกี่คืนที่ผู้เฒ่าพยากรณ์ต้องสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้ายจากความสิ้นหวัง


 


ทว่าตอนนี้ศิษย์ปิดสำนักของมัน ผู้สืบทอดความลับสวรรค์ต่อจากมันและพี่ชาย ได้ลงมือฆ่าผู้นำลัทธิชะตาฟ้าล้างแค้นให้พี่ชายสำเร็จแล้ว!


 


จะให้มันไม่ตื่นเต้นยินดีได้อย่างไรไหว!!


 


ไม่เห็นแก่ส่วนรวม?


 


“หึ! พวกโง่งมนั่นกล้าพูดกันได้ว่าพวกเราไม่เห็นแก่ส่วนรวม…!!”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ปรากฏเงาร่างบางหนึ่งวูบลงจากฟ้ามาหยุดหลังผู้เฒ่าพยากรณ์ไม่ไกล


 


เป็นสตรีงดงามนางหนึ่ง


 


ยังเป็นผู้สืบทอด ทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 7 ธุลีแดงรุ่นก่อน อาจารย์ของหานเฉวี่ยไน่!


 


“หากไม่ใช่เพราะเผ่าปีศาจอาจจะบุกขึ้นมาได้ทุกเวลา ป่านนี้ไอพวก 3 ลัทธิได้ถูกพวกเด็กๆละเลงเลือดไปแล้ว! พวกมันก็ช่างโง่เขลากันนักที่ไม่รู้ว่ายามนี้ที่คนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้เราเข่นฆ่าไป ก็มีแต่พวกที่มีความแค้นในช่วงพันปีก่อนหน้านี้เท่านั้น!”


 


ความแค้นในช่วงพันปีก่อนหน้า หมายถึงผู้ที่เข่นฆ่าสังหารคนของทวาราเที่ยงแท้ในช่วงเวลา 1,000 ก่อนหน้านี้!


 


กล่าวได้ว่าคนของ 3 ลัทธิที่ถูกเหล่าผู้สืบทอดของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ฆ่าในช่วงนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เคยเข่นฆ่าคนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ในช่วงเวลา 1,000 ปีที่ผ่านมา!


ตอนที่ 2,251 : เมฆลมในภูมิภาคเบื้องบน


 


300 ปีที่แล้ว ผู้นำลัทธิชะตาฟ้าคนนี้ได้ทรมานพี่ชายของผู้เฒาพยากรณ์จนตาย!


 


ทว่า 300 ปีต่อมามันก็ถูกผู้สืบทอดความลับสวรรค์อันเป็นศิษย์ปิดสำนักของผู้เฒ่าพยากรณ์ฆ่า!


 


200 ปีก่อนอาวุโสของลัทธิอารามทมิฬกับศิษย์ของลัทธิอารามทมิฬได้ร่วมมือกันสังหาร ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 7 ธุลีแดง ซึ่งเป็นอาจารย์ของอาจารย์หานเฉวี่ยไน่…


 


และผู้อาวุโสของลัทธิอารามทมิฬในวันนั้นก็คือ จ้าวลัทธิอารามทมิฬในวันนี้


 


ส่วนศิษย์ลัทธิอารามทมิฬในวันนั้น ก็คือจ้าวพยัคฆ์ขาว!


 


เรียกว่าการลงมือสังหารจ้าวลัทธิอารามทมิฬของหานเฉวี่ยไน่ กับการลงมือสังหารจ้าวพยัคฆ์ขาวของเฟิ่งเทียนหวู่ เป็นการล้างหนี้เลือดที่พวกมันเข่นฆ่าผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 7 ในกาลก่อน!


 


500 ปีที่แล้ว อาวุโสของลัทธิชะตาฟ้าได้ฆ่า ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 4 เงาทมิฬ


 


ตอนนี้อาวุโสของลัทธิชะตาฟ้าคนนั้นก็ได้กลายเป็น 1 ในปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้า


 


500 ปีต่อมาปุโลหิตคนนั้นก็ถูกเยว่อู๋หยิ่ง ผู้สืบทอดนามเงาทมิฬ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 4 ปลิดชีพ!


 


กรรมตามสนอง!


 


มาช้าไม่ใช่ว่าจะไม่มา!


 


มองจากทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว 7 ทวาราเที่ยงแท้แค่สะสางหนี้เลือดในช่วงเวลาพันปีที่ผ่านมาเท่านั้น!


 


และตลอดระยะเวลา 1,000 ปีที่ผ่าน ไม่มีใครในลัทธิบูชาไฟเข่นฆ่าคนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้เลย ดังนั้นคราวนี้คนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้จึงไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ลัทธิบูชาไฟ


 


“หากกระทั่งความแค้นพันปีหลังมานี้พวกเรายังมิอาจสะสาง ไหนเลยจะไปสู้หน้าบรรพชนได้!”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่บัดนี้ผู้เฒ่าพยากรณ์ได้ลุกขึ้นมายืนหลังตรง ตาสีโคลนของมันส่องสว่างไปด้วยประกายจ้า


 


“การรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจใกล้เข้ามาแล้ว เพื่อผลประโยชน์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์…หลังความแค้นพันปีของพวกเรา 7 ทวาราเที่ยงแท้ได้รับการสะสาง พวกเรา 7 ทวาราเที่ยงแท้ยินดีละวางความแค้นส่วนตัวไว้ชั่วคราว หลังจากนั้นค่อยกลับไปคิดบัญชีกับ 3 ลัทธิ!!”


 


สิ่งที่ผู้เฒ่าพยากรณ์กำลังกล่าวออกก็คือ ‘หลักการ’ ที่ 7 ทวาราเที่ยงแท้ในยุคสมัยนี้จะยึดถือปฏิบัติ


 


7 ทวาราเที่ยงแท้ลงมืออย่างมีหลักการ!


 


แค้นพันปีจำต้องสะสาง!!


 


ส่วนความแค้นที่เหลือสามารถละวางไว้ก่อนได้ เมื่อจัดการเรื่องราวเผ่าพันธุ์ปีศาจเสร็จสิ้น ค่อยมาแยกคิดบัญชีพวกมันภายหลัง!


 


นี่เป็นการเห็นแก่ส่วนรวมของ 7 ทวาราเที่ยงแท้!


 


หาก 7 ทวาราเที่ยงแท้ลงมืออย่างไร้หลักการจริงๆ กู่ลี่และคู่แฝดหนานกง จะเพียงลงมือกับคนแค่ไม่กี่คนเพื่อเชื่อเสียงหรือ?


 


อาศัยความแข็งแกร่งของทั้งคู่ สามารถเข่นฆ่าคนในขุมพลังพวกนั้นได้ง่ายดาย


 


อย่างไรก็ตามทั้งคู่ไม่ได้ทำเช่นนั้น


 


“อย่างไรเสียเจ้ามิอาจปล่อยให้เด็กน้อยพวกนั้นถูกปรักปรำได้…เจ้าใช้เครือข่ายของเจ้าเผยแพร่เรื่องราวออกไปเถอะ พวกมันจะได้รู้ว่าครานี้พวกเรามิได้ลงมือโดยไม่เห็นแก่ส่วนรวม”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์หันไปมองกล่าวกับสตรีงาม


 


“อันที่จริง…ที่ข้ามาวันนี้เพราะคิดหารือกับท่านเรื่องนี้พอดี”


 


สตรีงามกล่าวจบ ก็เร่งรุดจากไป


 


ใช้เวลาไม่นานเรื่องราวการสะสางความแค้นในช่วงพันปีของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ก็แพร่ออกมาทั่วภูมิภาคเบื้องบน


 


ทันใดนั้นเสียงประณาม 7 ทวาราเที่ยงแท้ก็เงียบหายไประนาว


 


“ที่แท้เป็นเพราะสาเหตุดังกล่าวนั่นเอง…หาก 7 ทวาราเที่ยงแท้เพียงสะสางความแค้นพันปีจริงๆ ก็นับว่ากระทำได้เหมาะสมและเห็นแก่ภาพรวมแล้ว”


 


“ข้าล่ะกำลังสงสัยอยู่เชียว…ว่าขุมพลังเก่าแก่นี้มิเห็นแก่ส่วนรวมจริงๆหรือ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก…”


 


“ถูกแล้ว หากกระทั่งความแค้นพันปีหลังยังไม่อาจสะสาง ไหนเลยพวกมันจะสู้หน้าบรรพชนหลายรุ่นก่อนหน้าที่ตกตายไปได้…การลงมือของ 7 ทวาราเที่ยงแท้คราวนี้นับเป็นเรื่องเข้าใจได้”


 



 


ด้วยมีข่าวสะสางความแค้นพันปีของ 7 ทวาราเที่ยงแท้แพร่ออกมา เสียงข้างมากในภูมิภาคเบื้องบนก็ดั่งกระแสลมเปลี่ยนทิศ


 


ผู้ที่ประณามหลายต่อหลายคนก็รีบกลับลำยกใหญ่


 


ต่างหันมาเข้าใจการกระทำของ 7 ทวาราเที่ยงแท้แทน


 


แน่นอนว่ายังมีผู้ที่ยังประณามการกระทำครั้งนี้ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้อยู่บ้าง ยกอ้างว่าต่อให้เป็นความแค้นพันปีจริง แต่ก็สมควรเห็นแก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อน ไม่น่าลงมือในช่วงเวลาล่อแหลม


 


อย่างไรก็ตามเหล่านี้เป็นเสียงข้างน้อย ไม่นานก็ถูกกลบหายไปอย่างไร้แรงทัดทานใดๆ


 


“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนคนของทวาราเที่ยงแท้ไม่ลงมือกับลัทธิบูชาไฟเรา…ที่แท้พวกมันแค่สะสางความแค้นในรอบสหัสวรรษ! คนในลัทธิบูชาไฟเราไม่ได้ฆ่าคนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ในรอบพันปีหลังจริงๆ…”


 


จังหวะนี้หลายคนในลัทธิบูชาไฟอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณอยู่บ้าง…


 


ด้วยการเปิดตัวของ 7 ทวาราเที่ยงแท้…


 


เรียกว่านอกจากตัวถังซวน จ้าวลัทธิบูชาไฟแล้ว ตั้งแต่ชนชั้นอาวุโสเพลิงทองไปจนถึงผู้พิทักษ์ต่างตึงเครียดกันไม่น้อย


 


เพราะสุดท้ายแล้วใน 7 ทวาราเที่ยงแท้ก็มีผู้ที่สามารถฆ่าได้กระทั่งเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!


 


“7 ทวาราเที่ยงแท้หายไปจากประวัติศาสอย่างยาวนาน ไม่คิดว่าปรากฏตัวอีกครั้งจะสะท้านแดนดินได้จริงๆ”


 


“มิผิด 7 ทวาราเที่ยงแท้ปรากฏตัวออกมา อาศัยเพียงศิษย์ไม่กี่คนก็สร้างเรื่องราวอกสั่นขวัญแขวนใหญ่โต…โดยเฉพาะสตรีทั้ง 3 นั่น แรกปรากฏก็ล้วนติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของรายนามยอดเซียนกันหมด”


 


“กล่าวถึงเหล่า 3 สาวของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ ข้าว่าที่น่ากลัวที่สุดก็คือผู้สืบทอดความลับสวรรค์นั่น!”


 


“มิผิด ผู้สืบทอดความลับสวรรค์ช่างมีความเป็นมาลึกลับนัก ผู้สืบทอด 7 ทวาราเที่ยงแท้คนอื่นๆล้วนประกาศนามหมดสิ้น เหลือก็แต่นางที่บอกเพียงว่าเป็นศิษย์ปิดสำนักของผู้เฒ่าพยากรณ์”


 


“ยังมีเรื่องเต๋าท้าทายสวรรค์นั่นอีก…ผู้สืบทอดความลับสวรรค์นางนี้ยากตอแยด้วยจริงๆ!”


 



 


วาจาทำนองดังกล่าวยังดังขึ้นทั่วภูมิภาคเบื้องบน


 


ฟังแล้วทั้งหมดหวั่นหวาดกับผู้สืบทอดของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ไม่น้อย โดยเฉพาะผู้สืบทอดความลับสวรรค์


 


แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพราะผู้สืบทอดความลับสวรรค์ได้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสวรรค์ แถมพลังฝึกปรือของนางยังคาดว่าน่าจะบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเป็นอย่างน้อย


 


“ตอแยมัจจุราชได้ แต่อย่าไปกวนใจผู้สืบทอดความลับสวรรค์!”


 


ใครบางคนถึงกับกล่าววาจานี้ออกมา


 


และวาจาดังกล่าว ไม่ทราบเพราะอะไร แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในภูมิภาคเบื้องบนล้วนเห็นด้วยอย่างมาก


 


ผู้สืบทอดความลับสวรรค์รุ่นนี้ น่ากลัวเกิน!


 


ในขณะเดียวกัน 3 ลัทธิ ยกเว้นลัทธิบูชาไฟ ไม่ว่าจะเป็นลัทธิอารามทมิฬหรือลัทธิชะตาฟ้า ก็ต่างทุ่มกำลังสืบหาที่อยู่ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้กันยกใหญ่


 


แน่นอนว่าพวกมันไม่คิดจะตามหาที่อยู่ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้เพื่อเชิญไปนั่งจิบชาสนทนายามบ่ายแต่อย่างใด


 


แต่จะล่าตัวมาฆ่าให้ตาย!


 


สำหรับ 2 ลัทธิแล้ว การลงมือของ 7 ทวาราเที่ยงแท้เสมือนตบหน้าพวกมันอย่างแรก! พาลให้พวกมันไม่ทราบจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วจริงๆ!!


 


ตอนนี้มีเพียงลากตัวคนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ออกมาฆ่าให้ตาย ถึงจะล้างความอัปยศอดสูที่พวกมันได้รับ!


 


ตอนแรกทั้ง 2 ลัทธิก็ส่งคนมาขอความร่วมมือจากลัทธิบูชาไฟ หมายให้ลัทธิบูชาไฟช่วยตามหาคนอีกแรง จะได้กวาดล้าง 7 ทวาราเที่ยงแท้ไปในคราวเดียว


 


ทว่าจ้าวลัทธิบูชาไฟอย่างถังซวนไหนเลยจะเป็นตัวโง่งม


 


ล้อกันเล่นหรือไร?!


 


ตอนนี้ 7 ทวาราเที่ยงแท้ไม่มาตอแยลัทธิบูชาไฟ แล้วไหนเลยลัทธิบูชาไฟจะ ‘จุดธูป’ เชิญมา!


 


เพราะสุดท้ายแล้ว 7 ทวาราเที่ยงแท้ในวันนี้ ก็หาได้เหมือนดั่ง 7 ทวาราเที่ยงแท้ในอดีตไม่ หากไม่แน่ใจว่าสามารถตัดรากถอนโคนได้ในคราเดียว อย่าไปยั่วยุอีกฝ่ายจะดีกว่า!


 


“ตอนนี้ 6 ใน 7 ทวาราเที่ยงแท้ได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว…เหลือก็แต่เพียงผู้สืบทอด หมอกพิรุณ คนเดียว!”


 


ไม่นานหลายๆคนก็เริ่มตระหนักได้


 


“ว่ากันว่าตลอดประวัติศาสตร์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเรา…ทายาทหมอกพิรุณของ 7 ทวาราเที่ยงแท้นั้นยากจะปรากฏตัวออกมา ครั้งล่าสุดที่ปรากฏตัวก็คือใต้เท้าเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!”


 


“ใช่ ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องนั้นมาเหมือนกัน”


 


“ข้ายังเคยอ่านพบในบันทึกโบราณครั้งหนึ่ง…7 ทวาราเที่ยงแท้มีกฏอยู่ว่า มีเพียงทายาทหมอกพิรุณปรากฏตัวขึ้นมาเท่านั้น 7 ทวาราจึงจะออกมาโลดแล่นในใต้หล้าได้! หากข้อความในบันทึกที่ข้าเคยอ่านเจอเป็นความจริง นั่นหมายความว่าตอนนี้ทายาทหมอกพิรุณได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว!!”


 


“ลำพังแค่ทายาทความลับสวรรค์ก็น่ากลัวมากแล้ว…หากผู้สืบทอดหมอกพิรุณปรากฏตัวออกมา นั่นจะไม่ทลายฟ้าเลยหรือไร เพราะสุดท้ายแล้วในบรรดา 7 ทวาราเที่ยงแท้ ทายาทหมอกพิรุณก็คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!”


 


“ผู้สืบทอดหมอกพิรุณ…ช่างทำให้ผู้คนตั้งตารอคอยจริงๆ!”



 


วาจาดังกล่าววเริ่มดังไปทั่วภูมิภาคเบื้องบน และทั้งหมดอยากรู้นักว่าที่แท้ผู้สืบทอดหมอกพิรุณเป็นใครกันแน่


 


แน่นอนว่าคำพูดพวกนี้ก็ย่อมดังไปถึงลัทิบูชาไฟเป็นธรรมดา


 


“การจะกลับมาของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ ต้องมีผู้สืบทอดหมอกพิรุณปรากฏ…ยิ่งไปกว่านั้นผู้สืบทอดหมอกพิรุณมีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้สืบทอดของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!”


 


เรื่องผู้สืบทอดหมอกพิรุณ ทายาทฟงชิงหยางนั้น ไม่มีใครรู้ดีไปกว่า 3 ลัทธิอีกแล้ว


 


เพราะฉะนั้นพวกมันจึงมั่นใจกว่าใคร


 


7 ใน 10 ไม่พ้นทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วจริงๆ


 


ไม่งั้นพวก 7 ทวาราเที่ยงแท้คงไม่กล้าหวนคืนสู่ใต้หล้าด้วยการลงมือเอิกเกริกแบบนี้!


 


“7 ทวาราเที่ยงแท้รุ่นปัจจุบัน หากมองจากความแข็งแกร่งที่เผยออกมา…ที่ร้ายกาจที่สุดสมควรเป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 2 ความลับสวรรค์! แต่ต้องทราบด้วยว่าครั้งอดีตผู้บ่มเพาะเต๋าท้าทายสววรรค์นั่นยังถือว่าเป็นผู้ที่อ่อนด้อยที่สุดใน 7 ทวาราเที่ยงแท้ด้วยซ้ำ!”


 


“มิผิด ในยุคนั้นผู้สืบทอดหมอกพิรุณร้ายกาจที่สุด และผู้ที่ทรงพลังรองจากฟงชิงหยาง ก็เป็นผู้สืบทอดทวราเที่ยงแท้ลำดับที่ 3 จอมเผด็จการ…ทว่าในรุ่นปัจจุบันกลับผิดแปลกไปหมด พลังฝีมือที่เผยให้เห็นกลับมิได้เป็นไปดั่งในอดีต”


 


“นั่นสิ เผลอๆผู้สืบทอดหมอกพิรุณในยุคนี้ อาจจะเทียบผู้สืบทอดความลับสวรรค์ไม่ได้!”


 


“ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ”


 



 


วาจาทำนองเดียวกันเริ่มแพร่กระจายไปในหมู่อาวุโสของ 3 ลัทธิ


 


อนิจจาพวกมันมมีใครรู้เลย กระทั่งไม่คิดไม่ฝันด้วยซ้ำ


 


จริงๆแล้วผู้สืบทอดทววาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณนั้น พวกมันรู้จักกันดี! ต่อให้ไม่รู้จักคนก็ต้องเคยได้ยินนาม เพราะชื่อเสียงของหมอกพิรุณรุ่นนี้ดังสนั่นยิ่งกว่าฟ้าร้องเสียอีก!!


 


และเรื่องราวทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 1 ปี ที่ต้วนหลิงเทียนหายตัวไปจากภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


ตอนที่ 2,252 : ก้าวหน้า! เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!


 


ต้นหลิงเทียนที่อยู่ในภูมิภาคเบื้องล่าง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจล่วงรู้ความเป็นไปใดๆในภูมิภาคเบื้องบนได้เลย


 


หาไม่แล้วเขาต้องรู้ได้ทันที


 


ว่านาม หมอกพิรุณ ที่เขาได้รับสืบทอดมาจากฟงชิงหยางที่แท้มันคืออะไร!


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ปิดด่านบ่มเพาะพลังอยู่ในโรงเตี๊ยมที่พักแห่งหนึ่งของเมืองเหรินโม่เชิ่ง


 


ด้วยความที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นกิจการของ ‘วังอัคคีสีชาด’ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 วัง 6 ตำหนัก ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจมนุษย์…


 


เช่นนั้นแล้วการปิดด่านบ่มเพาะพลังที่นี่ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่จำเป็นต้องห่วงความปลอดภัยแม้แต่น้อย!


 


มองไปทั่วทั้งเผ่าปีศาจมนุษย์ เกรงว่าคงมีปีศาจน้อยตัวนักที่กล้าบุกมาหาเรื่องผู้อื่นถึงโรงเตี๊ยมที่อยู่ภายใต้การดูแลของวังอัคคีสีชาด!


 


แน่นอนว่าคนของวังอัคคีสีชาดก็ไม่ได้รู้เลย


 


ว่า ฆาตกร ฆ่าลูกชายของรองจ้าววังอัคคีสีชาด หวู่เทียนจิน และศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสมากมายในวังอัคคีสีชาด จะมาซ่อนตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมที่เป็นกิจการของพวกมันเอง!


 


หาไม่แล้วต้วนหลิงเทียนคงไม่ได้นั่งบ่มเพาะสบายใจเฉิบแบบนี้!


 


‘ก่อนหน้านี้พรสวรรค์รากวิญญาณข้าถูกผนึก…แต่ตอนนี้ข้ามีรากวิญญาณสีม่วงแล้ว ข้ามิอาจถ่วงแข้งถ่วงขาพี่เทียนได้อีกต่อไป’


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะ เค่อเอ๋อก็ไม่ได้อยู่ว่าง นางเลือกจะบ่มเพาะพลังเช่นกัน


 


ทว่าต่อให้นางอยากปิดด่านบ่มเพาะเพียงใดก็ไม่สามารถทำได้ อย่างดีก็ทำได้แค่หาโอกาสบ่มเพาะพลังเป็นช่วงๆ


 


นั่นเพราะนางไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ยังมีลูกสาวที่ต้องเลี้ยงดู


 


สำหรับก่านหรูเยี่ยนนั้น ตั้งแต่กลับมาถึงที่พักได้ไม่ทันไร นางก็ไปปิดด่านบ่มเพาะพลังทันที!


 


ด้วยความที่พรสวรรค์รากวิญญาณของก่านหรูเยี่ยนเปลี่ยนจากสีครามเป็นสีม่วง กระทั่งยังเป็นรากวิญญาณสีม่วงเข้ม…


 


สำหรับนางแล้ว เรื่องราวทั้งหมดประหนึ่งฝันไป!


 


ดังนั้นทันทีที่กลับมาถึงที่พัก นางก็อดใจรอไม่ไหว เร่งกลับไปปิดด่านบ่มเพาะพลัง เพลิดเพลินกับความยอดเยี่ยมของรากวิญญาณสีม่วงทันที


 


“ท่านแม่…แล้วท่านพ่อล่ะ? ท่านพ่อไปที่ใดแล้ว?”


 


ต้วนซือหลิงพอตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ทำก็คือก็ถามหาต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่น ราวกับคิดไปหาบิดา


 


“ซือหลิงเด็กดี ท่านพ่อปิดด่านบ่มเพาะพลังอยู่…แต่อีกไม่กี่วันท่านพ่อก็ออกมาแล้ว ถึงตอนนั้นซือหลิงค่อยไปเล่นกับท่านพ่อดีหรือไม่?”


 


เค่อเอ๋อลูบหัวซือหลิงกล่าวออกเสียงอ่อน


 


“อื้อ ซือหลิงจะรอท่านพ่อ! ท่านแม่…คือว่า…ซือหลิงอยากบ่มเพาะพลังบ้าง ซือหลิงจะได้เก่งๆ แล้วช่วยท่านพ่อสู้กับคนชั่ว!”


 


ขณะกล่าววาจานี้ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลาก็ขึ้นสีแดงด้วยความฮึกเหิม หมัดน้อยๆชูขึ้นอย่างแข็งขัน


 


ทำราวกับเด็กน้อยอยากเป็นผู้ใหญ่


 


“ซือหลิงของแม่เก่งมาก…แต่ถ้าคิดบ่มเพาะพลัง ต้องรอให้ท่านพ่อออกจากการปิดด่านก่อน ถึงตอนนั้นค่อยให้ท่านพ่อสอนดีหรือไม่?”


 


เมื่อเห็นลูกสาว่าง่ายเค่อเอ๋อก็โล่งใจ กล่าวออกด้วยรอยยิ้ม


 


“ได้ๆๆ…ถ้าท่านพ่อออกจากการปิดด่านแล้ว ท่านแม่ต้องให้ท่านพ่อสอนซือหลิงด้วย”


 


ได้ยินคำบอกปัดกลายๆของเค่อเอ๋อ ซือหลิงไม่เพียงไม่เสียใจ ยังแลดูตื่นเต้นยินดีมไม่น้อย!


 


เพราะในสายตาของซือหลิง


 


ท่านพ่อของนางร้ายกาจกว่าท่านแม่กับท่านป้านัก


 


หากให้ท่านพ่อเป็นคนสอน นางต้องเก่งขึ้นมากแน่ๆ!


 


วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


พริบตาก็ผ่านพ้นไปแล้ว 20 วัน


 


ฟิ้วว! ฟู้วว! ฟู้วว!


 



 


ในห้องปิดสนิทของต้วนหลิงเทียน อยู่ๆก็ปรากฏสายลมแรงพัดกระหน่ำ


 


สายลมแรงดังกล่าวนั้นพัดกรรโชกออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงปานมังกรพิโรธ มันกวาดออกไปทั่วราวกับจะทำลายทุกสิ่งโดยรอบ


 


อย่างไรก็ตามยามเมื่อสายลมที่รุนแรงดั่งมังกรพิโรธพัดอย่างเกรี้ยวกราดไปปะทะกับผนังนั้น พวกมันก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยคล้ายถูกบางสิ่งจัดการ


 


ขณะเดียวกัน ร่างต้วนหลิงเทียนที่นั่งหลับตาขัดสมาธิบนเตียงก็ลืมตาขึ้น


 


สองตาเผยประกายจ้าดั่งตะวัน แลดูส่องสว่างปานจะขับไล่ความมืดมิดทั้งมวล!


 


ตอนนี้กลิ่นอายพลังที่มองไม่เห็นอันแผ่ออกจากร่างต้วนหลิงเทียนอย่างเป็นธรรมชาตินั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือหากจะเทียบกับก่อนหน้านี้!


 


คนให้ความรู้สึกคล้ายหมอกควันยากจับต้อง


 


“นี่น่ะเหรอ เปลี่ยนที่ 7 ของขอบเขตเซียนสวรรค์ เปลี่ยนท้าทายสวรรค์?”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็ปริปากพึมพำออกมาเบาๆ


 


ฟังจากวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวรำพันแล้ว


 


ด่านพลังฝึกปรือของเขาตอนนี้ ได้บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเป็นที่เรียบร้อย!


 


เปลี่ยนที่ 7 ของขอบเขตเซียนสวรรค์นั้นเรียกว่าเปลี่ยนท้าทายสวรรค์ เมื่อบรรลุถึงขอบเขตนี้ยังหมายความว่าสามารถมีอายุขัยไร้สิ้นสุดตราบชั่วฟ้าดินสลาย


 


“ที่แท้เหตุผลที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนทำให้คนเป็นอมตะได้ ก็เพราะแบบนี้นี่เอง…”


 


แต่ก่อนนั้นต้วนหลิงเทียนเพียงรู้ว่าเซียนสวรรค์ 7เปลี่ยนจะมีชีวิตนิรันดร์ หากแต่เขาไม่รู้ว่าที่แท้เป็นเพราะอะไร


 


มาตอนนี้หลังจากที่เขาบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอันเรียกว่าเปลี่ยนท้าทายสวรรค์ เขาจึงได้รู้ว่าไฉนผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตนี้จะมีอายุขัยไร้สิ้นสุดตราบชั่วฟ้าดินสลาย!


 


ทั้งหมดเป็นเพราะว่า…


 


หลังจากด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7เปลี่ยนแล้วชีพจรเซียนจะเริ่มผสานเชื่อมต่อเข้ากับเส้นเลือดฝอย รวมถึงเส้นพลังยิบย่อยขนาดเล็กทั้งหมดในร่างกายที่ไม่อาจสัมผัสได้ถึงมาก่อน


 


คราวนี้เมื่อยามพลังเซียนต้นกำเนิดโคจรในเส้นชีพจรเซียน เส้นเลือดรวมถึงเส้นพลังยิบย่อยเหล่านี้ไม่เว้นอวัยวะต่างๆจะพลอยถูกพลังเซียนต้นกำเนิดเหล่านั้น ขัดเกลาทั้งหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลาไปด้วย!ทำให้พวกมันสามารถคงสภาพเดิมพลังชีวิตไม่สูญหาย! และเมื่อทุกอวัยวะในร่างไม่สูญเสียพลังชีวิตไป…เช่นนั้นย่อมได้มาซึ่งความเป็นอมตะ!!


 


ในอดีตเปลี่ยนที่ 7 ของขอบเขตเซียนสวรรค์นั้น เป็นดั่งเรื่องลึกลับสำหรับต้วนหลิงเทียนมาโดยตลอด


 


พอเขาได้บรรลุถึงด้วยตัวเอง จึงได้กระจ่างแจ้งทุกสิ่งอย่าง


 


‘ไฉนหลังบรรลุถึงขอบเขตนี้ทำให้เป็นอมตะได้ เพราะเซลล์ทุกเซลล์ได้รับพลังหล่อเลี้ยงจนไม่เสื่อมสภาพนี่เอง…สมแล้วที่เปลี่ยนที่ 7 มันเรียกว่าเปลี่ยนท้าทายสวรรค์’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


ผู้ฝึกตนนั้นยิ่งบ่มเพาะพลังก็ยิ่งมีอายุขัยยืนยาวมากขึ้นเรื่อยๆ


 


ถึงจุดๆหนึ่งก็สามารถมีชีวิตอยู่เคียงคู่ฟ้าดิน


 


‘แม้จะอยู่ในเมืองเหรินโม่เชิ่ง ถึงจะมีรากวิญญาณสีม่วงเข้ม แต่ความเร็วในการบ่มเพาะของข้าก็ยังไม่เร็วเท่าตอนอยู่ในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ’


 


‘แต่ที่เทียบไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ พลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่มันเบาบางเกินไป ต่อให้จะจับสัมผัสทั้งดูดซับได้ไวแค่ไหนแต่ไม่มีให้ดูดซับมันก็ไร้ประโยชน์…’


 


อันที่จริงแล้ว หากอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน เมื่อพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม ความเร็วในการบ่มเพาะหากเทียบกับเมื่อก่อนตอนมีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็พอๆกันเลย!


 


ตอนนั้นแม้รากวิญญาณของเขาจะไม่ดีเท่าตอนนี้ แต่ความช่วยเหลือจากเจดีย์ก็ลบความต่างดังกล่าวลงได้


 


หากจะเทียบกันจริงๆความเร็วในการบ่มเพาะของเขาตอนนี้แม้จะมีความต่างกับในกาลก่อนอยู่บ้าง ทว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากขนาดนั้น


 


อนิจจาด้วยความที่ภูมิภาคเบื้องล่างมันมีพลังวิญญาณฟ้าดินเบาบางเหลือเกิน จึงยากที่จะนำไปเทียบกับเมื่อก่อนตอนอยู่ภูมิภาคเบื้องบนได้


 


เช่นนั้นความเร็วในการบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียน จึงยังน้อยกว่าตอนเขาอยู่ในภูมิภาคเบื้องบน


 


ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาพล้อม…เมื่อสภาพแวดล้อมต่างกัน ผลลัพธ์ในการบ่มเพาะพลังก็ย่อมต่างกัน


 


และด้วยความที่สภาพแวดล้อมในภูมิภาคเบื้องบนกับเบื้องล่างมันต่างกันมากเกินไป ผลถึงได้ออกมาแบบนี้


 


‘อย่างไรก็ตามถึงจะช้ากว่าตอนอยู่ภูมิภาคเบื้องบนและมีเจดีย์อยู่บ้าง…แต่สุดท้ายข้าก็ทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้สำเร็จ!’


 


คิดถึงจุดนี้สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอแสงสว่างจ้าออกมาอีกรอบ


 


หลังทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนไม่เพียงแต่เขาจะได้รับชีวิตอมตะเท่านั้น แต่พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาก็ยกระดับพัฒนาขึ้นมาด้วยเช่นกัน


 


ถึงแว่าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างเขาตอนนี้ จะสู้พลังเซียนต้นกำเนิดของผู้ฝึกกตนทั่วไปในอีกขอบเขตไม่ได้แล้ว


 


ทว่ามันเป็นอะไรที่แข็งแกร่งเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนอื่นๆในขอบเขตพลังเดียวกันมากมายนัก


 


‘ด่านพลังข้าทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแบบนี้ ไม่ใช่แค่อายุทั้งระดับพลังที่เพิ่มขึ้นมาธรรมดาเท่านั้น ทว่าพลังรบโดยรวมได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตใหม่อย่างสิ้นเชิง!’


 


คิดถึงจุดนี้ อารมณ์ต้วนหลิงเทียนย่อมบังเกิดความฮึกเหิมไม่น้อย


 


ด้วยพลังความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มสูงขึ้น ย่อมหมายความว่าเขามีความสามารถในการปกป้องตัวเองและครอบครัวคนสนิทได้ดีขึ้น คุ้มกันให้ทุกคนปลอดภัย รอดพ้นเงื้อมมือของปีศาจในภูมิภาคเบื้องล่าง…


 


พอคิดถึงเรื่องนี้จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไรไหว


 


‘น่าเสียดายทื่ท่านผู้เฒ่าหั่วไม่อยู่แล้ว…’


 


พอนึกถึงจิตวิญญาณประจำเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างผู้เฒ่าหั่วขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ อารมณ์กลายเป็นอ่อนไหวไม่น้อย


 


และที่ไฉนอยู่ๆต้วนหลิงเทียนถึงได้นึกถึงผู้เฒ่าหั่วขึ้นมา ก็มีเหตุผลเช่นกัน…


 


เพราะในตอนที่ผู้เฒ่าหั่วยังอยู่ ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกเขาไว้ว่า…


 


หากพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเมื่อไหร่ ผู้เฒ่าหั่วจะช่วยยกระดับปีกอีกาทองคำให้บรรลุถึงรูปแบบที่ 3!


 


ถึงตอนนั้นความเร็วหลังใช้ปีกอีกาทองคำ ก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล!


 


เพราะยามนั้นปีกอีกาทองคำจะถือได้ว่าเป็นเวทย์พลังอันยอดเยี่ยมของระนาบเทวโลกอย่างแท้จริง


 


‘ไม่มีผู้เฒ่าหั่ว ปีกอีกาทองคำของข้าก็ไม่อาจบรรลุถึงขั้นที่ 3 ได้…ถึงแม้ขั้นที่ 2 จะเร็วไม่น้อย และเหนือกว่าเวทย์พลังระดับสูงในระนาบโลกียะทั้งหมด แต่ก็ถือว่าเป็นแค่เวทย์พลังเสริมเคลื่อนไหวทั่วๆไปในระนาบเทวโลกเท่านั้น’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกรอบ


 


ผู้เฒ่าหั่วจากไปแล้วแบบนี้ หมายความว่าเวทย์พลังปีกอีกกาทองคำของเขาจะย่ำอยู่กับที่ไม่มีความก้าวหน้าอีกต่อไป


 


เวทย์พลังอื่นๆนั้นเขาอาศัยความเข้าใจด้วยตัวเองยกระดับมันได้…


 


หากแต่ปีกอีกาทองคำนั้นไม่อาจ!


 


เพราะเดิมทีเวทย์พลังปีกอีกาทองคำ มันก็เป็นเวทย์พลังของเผ่าอีกาทองคำ 3 ขา ที่เขาใช้ได้นั้นเป็นเพราะผู้เฒ่าหั่วเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังไว้ที่แผ่นหลังของเขา!


 


หาไม่แล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเชี่ยวชาญเวทย์พลังนี้ได้


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ฟื้นตัว ศีรษะส่ายไปมาเบาๆ


 


‘แล้วกันไปเถอะ…ต้วนหลิงเทียน เจ้าต้องเชื่อว่าหากผู้เฒ่าหั่วเห็นเจ้าบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้ในเวลาอันสั้นแบบนี้ ท่านต้องยินดีกับเจ้าแน่…


 


ต้วนหลิงเทียนกลาวพึมพำเบาๆในใจ ไม่นานความขุ่นมัวดั่งหมอกควันในใจก็สลายหายไปสิ้น แววตากระจ่างท่าทีแลดูสดชื่น…


 


ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนใหม่!


 


‘หากข้ารู้สึกไม่ผิดการปิดด่านครั้งนี้สมควรใช้เวลาไม่ถึงเดือน…’


ตอนที่ 2,253 : ผิดหวัง


 


ต้วนหลิงเทียนลุกออกจากเตียง ก่อนที่จะเปิดประตูห้องหับออกไปด้านนอก


 


“ท่านพ่อ! ท่านพ่อออกมาแล้ว!!”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเปิดประตูออกมา สิ่งแรกที่ได้ยินก็คือเสียงเจื้อยแจ้วที่กำลังเรียกหาเขาอย่างดีใจ มากล้นไปด้วยความคิดถึง


 


มองไปก็แลเห็นต้วนซือหลิง ลูกสาวของเขาที่กำลังเล่นซนอยู่ในลานว่าง รีบเร่งวิ่งหลุนๆเข้ามาหาเขาทันทีเมื่อพบว่าเขาเปิดประตูออกมา


 


ใบหน้าน้อยๆอันเกลี้ยงเกลาดั่งหยกเสลาฉาบไว้ด้วยความตื่นเต้นยินดี


 


“ซือหลิง”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มอ่อนโยนก่อนทีจะก้มลงนั่งยองๆ รับร่างเด็กหญิงตัวน้อยที่กระโดดเข้าสู่อ้อมอก ค่อยอุ้มนางขึ้นมาอย่างอ่อนโยนทะนุถนอม


 


กล่าวไปต้วนซือหลิงก็ยังพึ่งอายุได้ 10 ขวบปีเท่านั้น


 


แต่ด้วยความที่นางไม่ค่อยได้พบเจอผู้ใด และไม่มีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกัน ทำให้นางยังไร้เดียงสานัก


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว นางไม่ต่างอะไรจากเจ้าหญิงตัวน้อย


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่เพียงเห็นนางเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยที่พิเศษและไม่มีใครเสมอเหมือน!


 


“ท่านพ่อ…ทำไมข้ารู้สึกว่า…ท่านเหมือนจะต่างออกไปจากเดิมล่ะ?”


 


ต้วนซือหลิงกระพริบสองตากลมใสมองต้วนหลิงเทียนขึ้นๆลง นางสัมผัสได้ว่าบรรยากาศทั้งกลิ่นอายรอบตัวต้วนหลิงเทียนคล้ายจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม


 


ก่อนปิดด่านบ่มเพาะ ต้วนหลิงเทียนเป็นเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน


 


ทว่าหลังออกจากการปิดด่าน ต้วนหลิงเทียนก็ได้ทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้ว บรรยากาศทั้งความรู้สึกที่แผ่ออกมารอบกายอย่างไม่รู้ตัว ย่อมแตกต่างออกไปจากเดิม


 


ถึงแม้ต้วนซือหลิงจะยังไม่ได้เริ่มต้นบ่มเพาะพลังอย่างเป็นทางการ


 


หากแต่ในฐานะผู้ถือครองพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำ นางย่อมมีความไวต่อสัมผัสเหนือผู้คนธรรมดา จึงค้นพบความเปลี่ยนแปลงของต้วนหลิงเทียนได้ทันที


 


แน่นอนว่านางไม่อาจบอกได้ว่ากลิ่นอายพลังของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง นางรู้สึกเพียงว่าบิดาคล้ายต่างออกจากเดิมและไม่เหมือนนาง


 


“พ่อทะลวงด่านพลังแล้วน่ะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนลูบหัวน้อยๆของนางอย่างเอ็นดู กล่าวออกด้วยรอยยิ้ม


 


“ว้าว! ท่านพ่อยอดเยี่ยมมาก!!”


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สองตาต้วนซือหลิงพลันทอประกายสว่างจ้า “ท่านพ่อ…งั้นหมายความว่าตอนนี้ท่านพ่อเป็นเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้วเหรอ…ท่านสามารถอยู่ได้ตลอดไปแล้วสิ?”


 


แต่ก่อนต้วนหลิงเทียนเคยบอกเรื่องพลังฝึกปรือของเขากับนางไว้แล้วว่าเขาเป็นเพียงเซียนสวรรค์ 6เปลี่ยนเท่านั้น และเมื่อทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7เปลี่ยนเมื่อไหร่ไม่เพียงแต่จะร้ายกาจขึ้น แต่จะมีอายุขัยไร้จำกัด


 


ดังนั้นพอได้ยินต้วนซือหลิงถามแบบนี้ เขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ใบหน้าน้อยๆของต้วนซือหลิงก็เปลี่ยนเป็นขึงขังจริงจังขึ้นมา แลดูเหมือนเด็กน้อยกำลังวางมาดเป็นผู้ใหญ่


 


“ซือหลิง…ลูกมีอะไรหรือ?”


 


เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ต้วนหลิงเทียนแลเห็นลูกสาวตัวน้อยทำหน้าขึงขังจริงจังแบบนี้ เขาอดตกใจไปไม่ได้


 


ไม่รู้ว่าไฉนลูกสาวตัวน้อยถึงทำท่าแบบนี้


 


“ท่านพ่อ…ซือหลิงก็อยากบ่มเพาะพลังด้วย”


 


ต้วนซือหลิงเปิดปากจิ้มลิ้มกล่าวออก “ซือหลิงก็อยากมีชีวิตอมตะเหมือนกันจะได้อยู่ไปนานๆ ซือหลิงจะได้ไม่แก่แล้วตายก่อน ไม่งั้นท่านพ่อต้องเสียใจและเหงาแน่…ซือหลิงอยากอยู่กับท่านพ่อตลอดไป…”


 


ได้ยินคำของลูกน้อย ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันที


 


ในขณะที่ในใจบังเกิดความอบอุ่น ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มพลางพูดออกกมาว่า “ซือหลิงอยากบ่มเพาะพลัง พ่อไม่คัดค้าน…แต่เรื่องนี้พ่อต้องถามแม่ของลูกก่อน ว่าแม่ของลูกคัดค้านหรือไม่…ถ้าแม่ไม่ว่าอะไรพ่อจะสอนวิธีบ่มเพาะให้ดีหรือไม่?”


 


“ฮิๆท่านพ่อไม่รู้อะไรซะแล้ว! ท่านแม่ไม่ขัดข้องหรอก ซือหลิงไปขอท่านแม่มาแล้ว…ท่านแม่บอกว่ารอให้ท่านพ่อออกจากการปิดด่านก่อน แล้วจะให้ท่านพ่อเป็นคนสอนซือหลิง!”


 


ต้วนซือหลิงหัวเราะเสียงใส


 


“อ่าวเหรอ ถ้างั้นพวกเราไปหาแม่กัน”


 


ต้วนหลิงเทียนลูบหัวต้วนซือหลิงเบาๆ กล่าวออกด้วยทีท่าเอ็นดู


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ


 


“พี่เทียนท่านออกจากการปิดด่านแล้วหรือ?”


 


เสียงอ่อนโยนทั้งเต็มไปด้วยความประหลาดใจพลังดังขึ้นไม่ไกล ปรากฏร่างสตรีบางนางหนึ่งเดินออกจากห้องหับที่อยู่ติดกันกับห้องของต้วนหลิงเทียน


 


เป็นเค่อเอ๋อนั่นเอง


 


ตั้งแต่ที่เค่อเอ๋อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงด้านนอก นางก็รีบออกมาทันที


 


“อื้ม”


 


เมื่อเห็นเค่อเอ๋อสายตาต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นอ่อนลงทันที ใจที่เหี้ยมหาญนิ่งสงบยังคล้ายจะละลายเป็นน้ำ


 


“ท่านแม่ ท่านพ่อรับปากซือหลิงแล้วแหล่ะว่าจะสอนซือหลิงบ่มเพาะ!”


 


ต้วนซือหลิงหันไปกล่าวกับมารดา สองมือเล็กๆชูขึ้นด้วยความลิงโลด


 


ก่อนที่เค่อเอ๋อจะทันได้กล่าวอะไร ต้วนหลิงเทียนก็พูดออกมาเสียก่อน “ในเมื่อซือหลิงอายุได้ 10 ขวบแล้ว หากลูกอยากบ่มเพาะพลังก็ไม่เป็นไร…”


 


“อย่างไรก็ตามทั้งหมดขึ้นอยู่กับเจ้า…ถ้าเจ้าเห็นด้วยพี่จะสอนนางบ่มเพาะทันที แต่ถ้าไม่เห็นด้วยพี่ก็จะรออีกสัก 2 ปี…”


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ต้วนซือหลิงอดไม่ได้ที่จะตะลึง เมื่อคืนสติก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน สองตากลมใสยังรื้นขึ้นราวมีม่านหมอกบดบัง “ท่านพ่อ…ไหนเมื่อครู่ท่านพ่อเห็นด้วยกับซือหลิงแล้วนี่นา?”


 


ซือหลิงที่แลดูคล้ายจะร้องไห้ช่างชวนให้ผู้คนเวทนาสงสารนัก


 


“ซือหลิงพ่อสัญญากับลูกแล้วก็จริง แต่นั่นต้องให้แม่เห็นด้วยก่อน…ถ้าแม่ไม่เห็นด้วยพ่อจะกล้าสอนลูกหรือ…”


 


เมื่อเห็นท่าทางของต้วนซือหลิง ใจต้วนหลิงเทียนก็อ่อนยวบลง เร่งกล่าวคำเสียงอ่อน ทั้งลูบหัวปลอบนาง


 


ลูกสาวคนนี้เป็นเค่อเอ๋อเลี้ยงมาแต่เล็กจนโต


 


เรื่องนี้เขารู้สึกผิดต่อเค่อเอ๋อมาโดยตลอด ถึงแม้เขาจะอยากตามใจลูกมากแค่ไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญของนาง เขาจะฟังความเห็นของเค่อเอ๋อก่อน


 


แน่นอนว่าถึงไม่มีเหตุผลดังกล่าว เขาก็ยังต้องถามความเห็นของเค่อเอ๋อก่อนอยู่ดี


 


ท้ายสุดแล้วลูกสาวก็ไม่ได้เป็นของเขาคนเดียว แต่ยังเป็นของเค่อเอ๋อด้วย


 


ในฐานะมารดา เค่อเอ๋อย่อมมีสิทธิ์แสดงความเห็น กระทั่งเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์กีดกันเรื่องนี้


 


“ท่านแม่…ให้ซือหลิงบ่มเพาะเถอะนะ..นะท่านแม่.”


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ต้วนซือหลิงก็รู้ได้ทันทีว่าอำนาจตัดสินใจตอนนี้ขึ้นอยู่กับเค่อเอ๋อ นางจึงได้แต่หันไปมองเค่อเอ๋อด้วยสายตาออดอ้อน กล่าวออกด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “ท่านแม่สัญญากับซือหลิงแล้วนี่นา…ท่านแม่อย่าหลอกซือหลิงนะ”


 


ตอนนี้เค่อเอ๋อก็เดินมาถึงต้วนหลิงเทียนแล้ว


 


“พี่เทียนข้าฟังท่าน”


 


เค่อเอ๋อกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงใส ท่าทางดั่งศรีภรรยาที่เชื่อฟังสามี


 


แค่นางได้ยินต้วนหลิงเทียนถามแบบนี้ นางก็รู้ดีว่านอกจากความรักแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังให้ความเคารพนางด้วย นางย่อมมีแต่ความซาบซึ้งอบอุ่นใจ


 


ด้วยเหตุนี้เรื่องราวจึงได้ข้อยุติ


 


อนุญาตให้ซือหลิงเริ่มบ่มเพาะพลัง


 


“เค่อเอ๋อ ครั้งนี้ข้าปิดด่านบ่มเพาะไปนานแค่ไหนหรือ?”


 


เมื่อนึกถึงเรื่องที่สงสัยก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ถามออกมาทันที


 


“20 วันเองพี่เทียน”


 


เค่อเอ๋อตอบ


 


“แค่ 20 วันงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขากะไว้แล้วว่าไม่น่าจะถึงเดือน แต่อย่างน้อยๆก็สมควรผ่านไปราว 25 วัน…


 


แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะพึ่งผ่านไป 20 วันเท่านั้น!


 


“เค่อเอ๋อเดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอกพักหนึ่ง…ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด อย่างช้าก็ครึ่งชั่วยาม”


 


เมื่อได้รับทราบว่าตัวเองบ่มเพาะพลังไปนานแค่ไหน ต้วนหลิงเทียนก็มองกล่าวกับเค่อเอ๋อออกมา


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เกลี้ยกล่อมให้ลูกสาวตัวน้อยเล่นกับมารดาของนางสักพัก จนในที่สุดก็ตกลงกันได้ หลังส่งนางไปให้เค่อเอ๋อแล้ว เขาก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมที่พักอันเป็นกิจการของวังอีคคีสีชาดทันที


 


การออกมาของต้วนหลิงเทียนรอบนี้ ไม่ใช่เพราะใดอื่น


 


เขาเพียงต้องการทดสอบพลังของตัวเองเท่านั้น ว่าตอนนี้เขาก้าวหน้าไปขนาดไหนแล้ว


 


ถึงแม้พลังฝึกปรือของเขาจะทะลวงผ่านมาถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนๆท้าทายสวรรค์ได้อย่างราบรื่น และรู้ว่าพลังเพิ่มพูนขึ้น แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ขีดจำกัดของเขามีเท่าไหร่


 


ก่อนที่จะทดลองใช้พลังทั้งหมด เขาก็ไม่อาจบอกขีดจำกัดได้อย่างแม่นยำ เพียงแค่รู้คร่าวๆเท่านั้น


 


หลังออกจากโรงเตี๊ยมที่พัก รวมถึงเมืองเหรินโม่เชิ่งแล้ว ราวๆ 1 เค่อต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างมาถึงทะเลทรายรกร้างแห่งหนึ่ง


 


ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างเหนือทะเลทราย ได้แผ่สำนึกเทวะออกกไปตรวจสอบทุกที่ทางอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบสิ่งใด


 


กล่าวได้ว่าตอนนี้ไม่เพียงรอบๆไม่มีผู้คน ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใดแม้แต่ตัวเดียว


 


กระทั่งกลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินแถบนี้ก็ช่างเบาบางนัก


 


“ระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดตอนนี้…”


 


พอคิดถึงจุดนี้ พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างก็แล่นพล่านผ่านชีพจรเซียนทั้ง 99 สายปะทุออกท่วมร่างในฉับพลัน กลิ่นอายพลังอันยิ่งใหญ่สุดไพศาลระเบิดออกมาอย่างน่าเกรงขาม


 


ประหนึ่งสัตว์ร้ายที่หลับไหลในร่างต้วนหลิงเทียนได้ตื่นขึ้น!


 


จำนวนชีพจรเซียนในร่างนั้น ส่งผลต่อความเร็วในการเร่งเร้าทั้งปะทุพลังโดยตรง


 


ยิ่งจำนวนชีพจรเซียนมีมาก ย่อมเร่งเร้าพลังออกได้อย่างรวดเร็ว


 


อีกอย่างก็กลับกัน


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับระนาบเทวโลกแล้ว พลังของผู้คนในระนาบโลกียะยังน้อยนิดและอ่อนแอนัก เช่นนั้นผลจากชีพจรเซียน 99 สายก็ยังไม่อาจแลเห็นได้ชัดเจนสักเท่าไหร่


 


แน่นอนว่าว่าในระนาบเทวโลกไม่ได้เรียกหาว่าชีพจรเซียน


 


แต่เรียกว่าชีพจรสวรรค์!


(81 จุด = ชีพจรดิน 18 จุดหลัง = ชีพจรฟ้า เรียกรวมว่า ชีพจรสวรรรค์)


 


“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”


 


หลังเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดออกมาทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่ใช้งานอะไร เพียงเรียกใช้ปฐมเวทย์กลืนกินออกมาดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบก่อน


 


หลังกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินจุดนี้จนหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ย้ายจุดไปหากลืนกินที่อื่น


 


หากไม่ย้ายตำแหน่งเกรงว่ายากจะถึงขีดจำกัดในเวลาอันสั้น


 


แน่นอนว่าจะเลือกกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินที่จุดเดิมก็ได้ แต่ก็เป็นอะไรที่เชื่องช้านัก เพราะต้องรอให้พลังวิญญาณฟ้าดินจากที่อื่นแพร่เข้ามา


 


การย้ายตำแหน่งด้วยตัวเองไปหาจุดที่ยังมีพลังวิญญาณฟ้าดินสมบูรณ์ ย่อมเป็นอะไรที่รวดเร็วกว่ามาก


 


ย้ายที่!


 


กลืนกินพลัง!


 


ย้ายที่!


 


กลืนกินพลังต่อไป!


 


……


 


หลังเปลี่ยนที่อยู่หลายครั้ง และแต่ละที่ใช้เวลาไม่กี่ลมหายใจ ในที่สุดพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนก็บรรลุถึงขีดจำกัด


 


อย่างไรก็ตามปริมาณพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดที่บรรลุจุดสูงสุด ก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้เขาแต่อย่างไร


 


ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้เขาประหลาดใจ ยังทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง…


 


“ยังคงมีระดับพลังเท่าเดิมจริงๆ…นี่สมควรเป็นจุดรอคอยที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกไว้สินะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนได้แต่พึมพำกับตัวเสียงเบาด้วยความหดหู่


 


ตอนนี้แม้พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดจะถูกเร่งเร้าให้บรรลุถึงจุดสูงสุด หากแต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากการใช้ปฐมเวทย์กลืนกินก่อนหน้านี้ตอนที่เขายังมีพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน เรียกว่าถึงบรรลุเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้วแต่พลังสูงุสดเขาก็เท่าเดิม!


 


ราวกับเผชิญ ‘คอขวด’ ที่ยากจะทะลวงผ่าน


 


‘ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวบอกเอาไว้…เซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนก่อนจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ จะมีจุดรอคอยของพลังเซียนต้นกำเนิดในร่าง…หากจะทะลวงจุดรอคอยนี้ได้ ก็มีแต่ต้องก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์ไปก่อนเท่านั้น’


 


นึกถึงคำที่ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวบอกไว้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มเฝื่อนๆ…


ตอนที่ 2,254 : เผ่าปีศาจหมู!


 


‘ตอนแรกคิดว่าหากใช้ปฐมเวทย์กลืนกินแล้วจะทะลวงผ่านจุดรอคอยของพลังได้เสียอีก…แต่ไม่คิดเลยว่าถึงใช้ปฐมเวทย์กลืนกินแล้วแต่ก็ไม่อาจทะลวงจุดรอคอยของพลังไปได้!’


 


หลังยิ้มออกด้วยความขื่นขม ต้วนหลิงเทียนก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้


 


การมีอยู่ของจุดรอคอย หมายความว่าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาถึงแม้จะใช้ปฐมเวทย์กลืนกินก็ตาม…แต่ยังทำได้เพียงทัดเทียมกับพลังสูงสุดของขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเท่านั้น มันเป็นขีดจำกัดของเขาในตอนนี้!


 


เป็นขีดจำกัดพลังสูงสุดเท่าที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนจะบรรลุถึงได้!


 


หากคิดบรรลุระดับพลังที่เหนือกว่านี้ ก็มีแต่ต้องผ่านพ้นหายนะทัณฑ์สวรรค์ บรรลุถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะให้ได้เสียก่อน ถึงจะทลายจุดรอคอย บรรลุถึงพลังที่เหนือกว่าเดิม!


 


‘จากที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกไว้…เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ไปได้ ไม่เพียงจุดรอคอยของพลังจะคลี่คลาย แต่ในร่างยังจะเริ่มกำเนิด พลังเซียนอมตะ! ถึงตอนนั้นแม้พลังเซียนต้นกำเนิดจะยังคงมีอยู่เท่าเดิม แต่ด้วยการกำเนิดของพลังเซียนอมตะเพิ่มขึ้นมา ก็จะทำให้พลังรบแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าก่อนหน้าอย่างเทียบไม่ติด…’


 


‘ผู้เฒ่าหั่วบอกไว้…การจะกำเนิดพลังเซียนอมตะขึ้นในร่างได้ ก็มีแต่ต้องก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์เสียก่อนเท่านั้น’


 


คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกรอบ ‘ถ้างั้นหมายความว่า ต่อให้ข้าจะบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน กระทั่งเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนก็ตามที แต่ข้าก็ไม่อาจใช้ปฐมเวทย์กลืนกินเพิ่มพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดให้สูงกว่าระดับนี้ได้อีกแล้ว…’


 


‘กระทั่งเมื่อทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน จะใช้หรือไม่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน ก็คงมีผลลัพธ์เท่าๆกัน’


 


‘และถึงจะฝืนใช้ปฐมเวทย์กลืนกินไป ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร…ไม่อาจเพิ่มพลังได้อีก’


 


แน่นอนว่าพลังของปฐมเวทย์กลืนกินนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นไร้ประโยชน์ทันทีหากต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว


 


แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง


 


เพราะสุดทายแล้วปฐมเวทย์กลืนกินไม่ได้มีไว้เพิ่มพลังเซียนต้นกำเนิดในร่างต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ยังมีการใช้งานอื่นๆอีกด้วย


 


อย่างเช่นใช้มันกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณให้ผู้อื่น!


 


‘อย่างไรก็ตามหากข้าทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยน กระทั่งข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์จนกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะได้เมื่อไหร่ เมื่อข้าใช้ปฐมเวทย์กลืนกินตอนนั้นย่อมเห็นผลเลิศล้ำนัก เพราะอย่างไรตอนนั้นก็ไม่ได้มีเพียงพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดอย่างเดียวแต่ยังมีพลังเซียนอมตะ!!’


 


‘พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดอาจบรรลุถึงขีดจำกัดเท่าที่จะมีได้แล้วก็จริง แต่พลังเซียนอมตะนั้นไม่ถูกจำกัดในระนาบโลกียะแห่งนี้ มันยังสามารถเพิ่มพูนได้!’


 


คิดถึงจุดนี้สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายจ้า


 


‘ตอนนี้ข้าต้องรีบทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนให้เร็วที่สุด กระทั่งต้องพยายามบรรลุให้ถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะให้ได้!’


 


‘ทันทีที่ข้าข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์จนบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้ ปฐมเวทย์กลืนกินจะเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะยกระดับพลังเซียนอมตะในร่างข้าให้เหนือล้ำกว่าผู้อื่น!’


 


พอนึกได้แบบนี้ ความผิดหวังก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนก็มลายหายไป


 


ถึงแม้จะยังมีผิดหวังอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องสุดวิสัยที่เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลง


 


‘ที่ข้าทำได้ตอนนี้คือพยายามทำความเข้าใจเวทย์พลังอื่นๆเพื่อยกระดับความแข็งแกร่ง…มีแค่แบบนี้เท่านั้นถึงจะยกระดับความแข็งแกร่งโดยรวมของข้าได้ในตอนนี้’


 


‘จากนั้นก็เร่งบ่มเพาะพลังให้บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนให้เร็วที่สุด ตอนนี้ก่อนข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์…พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของข้าก็จะมีขีดจำกัดเท่านี้’


 


หลังครุ่นคิดในใจจบ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ส่องสว่างเผยประกายแน่วแน่


 


‘ในอดีตข้าอาศัยความช่วยเหลือจากปฐมเวทย์กลืนกินเป็นหลัก…ยังอาศัยมันมากจนไม่มีเวลายกระดับทักษะอื่นๆ’


 


ต้วนหลิงเทียนได้แต่ยิ้มให้ตัวเองอย่างขื่นขม


 


ไม่ว่าจะเวทย์พลังป้องกันปรากการเต่าทมิฬ หรือเวทย์พลังจู่โจมอย่างเซียนอมตะข้ามภพ กระทั่งเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่ ก็ถูกเขาพักไว้ก่อนชั่วคราว


 


จุดนี้ต้วนหลิงเทียนไม่อาจเห็นความสำคัญ จนเมื่อพบว่าความช่วยเหลือจากปฐมเวทย์กลืนกินได้น้อยลงเรื่อยๆ


 


‘แต่ถึงแม้พลังสูงสุดของข้าจะยังไม่เปลี่ยนไปจากขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน แต่ด้วยพลังของข้าตอนนี้คิดไปวังเซียนสัญจร 1 ใน 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจมนุษย์ ก็ยังไม่ต้องกลัวใครนอกจากจ้าววังเซียนสัญจร!’


 


‘บางที…ข้าอาจไปวังเซียนสัญจรเพื่อรับตำแหน่งรองจ้าววังก่อนก็ดี’


 


ต้วนหลิงเทียนยังไม่ลืมแผนก่อนหน้า


 


นึกถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดรั้งอยู่ในทะเลทรายรกร้างสืบไป เร่งเหินร่างกลับเมืองเหรินโม่เชิ่งทันที


 


จากมาไม่ทันถึงครึ่งชั่วยาม ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็กลับมาถึงเมืองเหรินโม่เชิ่ง กระทั่งกลับมาถึงโรงเตี๊ยมที่พักอันเป็นกิจการภายใต้อำนาจวังอัคคีสีชาดเรียบร้อย


 


หลังกลับมาถึงโรงเตี๊ยมที่พักแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็คิดพาเค่อเอ๋อซือหลิงกับก่านหรูเยี่ยนไปยังวังเซียนสัญจร ซึ่งเป็น 1 ใน 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจมนุษย์ทันที


 


“พี่เทียน พี่หญิงยังปิดด่านบ่มเพาะพลังอยู่”


 


แต่พอมาถึงต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบเรื่องราวจากเค่อเอ๋อว่า…


 


ก่านหรูเยี่ยนยังคงปิดด่านบ่มเพาะพลังอยู่ นางยังไม่ออกจากการปิดด่านแต่อย่างใด!


 


“เช่นนั้นก็รอนางก่อน…”


 


ระหว่างรอก่านหรูเยี่ยน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดใช้เวลาอย่างสูญเปล่า เขาเลือกรักษาสัญญากับต้วนซือหลิงก่อน และถ่ายทอดเคล็ดบ่มเพาะพลังทั้งสั่งสอนวรยุทธ์นางด้วยตัวเอง


 


ในระหว่างกระบวนการดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ได้ตระหนักถึงความน่าพรั่นพรึงของพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำ!


 


เมื่อเห็นด่านพลังฝึกปรือของลูกสาวตัวน้อยพุ่งกระฉูดยิ่งกว่าจรวดในโลกเก่า ต้วนหลิงเทียนก็อดลอบตื่นตระหนกในใจไม่ได้ ‘บะ…บ้าไปแล้ว! นี่มันจะไม่เหลือเชื่อไปหน่อยรึไง? ตอนเด็กข้าใช้เวลาไปตั้งกี่ปี แต่นาง…เฮ่อ..’


 


เมื่อต้วนซือหลิงกำลังสนุกสนานทั้งติดใจกับการบ่มเพาะฝึกฝน นางก็ไม่ได้ทำตัวติดกับต้วนหลิงเทียนแจอีกต่อไป ทำให้ต้วนหลิงเทียนมีเวลาอยู่กับเค่อเอ๋อมากขึ้น


 


เช้าวันหนึ่งเขาก็กล่าวกับเค่อเอ๋อที่นอนซบอกว่า “เค่อเอ๋อ ตอนนี้ซือหลิงสามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างไร้ปัญหา…พี่คิดออกไปดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณเพื่อยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้เป็นสีดำเสียหน่อย…”


 


“พี่เทียน ท่านต้องไปนานแค่ไหนหรือ…”


 


เค่อเอ๋อกล่าวออกมาเสียงสั่นทันที ในแววตายังฉายแววสะทกสะท้อน เห็นชัดว่านางไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนจากไปไหน ไม่อยากห่างกายเขาอีกต่อไปแล้ว


 


“ไม่นานหรอกเค่อเอ๋อ…ตอนนี้รากวิญญาณพี่ มันเป็นสีม่วงเข้มเจียนดำเต็มทีแล้ว กล่าวว่าห่างจากการเปลี่ยนเป็นสีดำครึ่งก้าวก็ไม่เกินเลย”


 


ต้วนหลิงเทียนกระชับเค่อเอ๋อเข้ามากกอดไว้แนบแน่น ลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน กล่าวออกเสียงเบา “พี่จะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด…หลังซือหลิงตื่นจากการบ่มเพาะ เจ้าก็บอกลูกด้วย”


 


“อื้อ”


 


เค่อเอ๋อพยักหน้ารับเบาๆ กล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเต็มใจ “พี่เทียนนี่ก็ยังเช้าอยู่…ท่านจะออกไปเลยก็ได้”


 


“ก็ดี”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบรับค่อยหอมหน้าผากนางฟอดหนึ่ง หลังจากนั้นก็ลุกออกจากเตียง เมื่อใส่เสื้อผ้าเสร็จก็เดินออกจากห้องหับ กระทั่งออกกจากโรงเตี๊ยมที่พักและเมืองเหรินโม่เชิ่งอย่างไม่รอช้า


 


เมื่อออกจากเมืองเหรินโม่เชิ่งแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที


 


ออกจากเมืองเหรินโม่เชิ่งคราวนี้ เขาไม่คิดเลือกเผ่าปีศาจมนุษย์เป็นเป้าหมายอีกต่อไป หากแต่เลือกจะจัดการกับเผ่าปีศาจเผ่าอื่น


 


ตอนที่อยู่ในเมืองเหรินโม่เชิ่ง ต้วนหลิงเทียนยังได้ข้อมูลมาว่า…


 


หลายแสนลี้จากเมืองเหรินโม่เชิ่งขึ้นไปทางทิศเหนือ มีพื้นที่ๆถูกเผ่าปีศาจสุกรยึดครองสร้างอาณาเขตเอาไว้ หลังพวกมันอพยพออกกมาจากแดนเนรเทศ


 


สถานที่แห่งนั้น แต่เดิมเคยเป็นของขุมพลังชั้น 4 ขุมหนึ่ง


 


เผ่าปีศาจสุกรนั้น มองไปทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว แม้พวกมันจะไม่ได้แข็งแกร่งทัดเทียมกับเผ่าปีศาจมนุษย์กับเผ่าปีศาจวัว แต่ก็ยังถือว่ามีพลังอำนาจรองลงมาเท่านั้น ยังค่อนข้างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์ปีศาจอื่นๆ


 


‘ก่อนหน้าในเหลาอาหารใหญ่กลางเมืองเหรินโม่เชิ่ง ข้าเคยได้ยินมาว่า เผ่าปีศาจสุกรนั่นมียอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอยู่ 3 ตน’


 


‘เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั้ง 3 ยังมาจาก 3 เผ่าย่อยของเผ่าปีศาจสุกรอันได้แก่ เผ่าปีศาจสุกรทมิฬ เผ่าสุกรสายฟ้า เผ่าสุกรสีชาด อีกทั้งพวกมันทั้ง 3 ยังเป็นผู้นำแต่ละเผ่าย่อยอีกด้วย’


 


ต้วนหลิงเทียนยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับเผ่าปีศาจสุกรไม่น้อย จากการรวบรวมข้อมูลต่างๆในเหลาอาหารของเมืองเหรินโม่เชิ่ง


 


‘เห็นว่า…พวกปีศาจสุกรนี้มีลักษณะไม่ต่างอะไรจาก ตือโป๊ยก่าย ในไซอิ๋วที่ข้าเคยรู้จักในโลกเก่า’


 


ในระหว่างครุ่นคิดเรื่องราวไปเรื่อยเปื่อย ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างข้ามผ่านพื้นที่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ เหินเลยขุนเขาลำน้ำไปมากมาย


 


และในที่สุดก็เข้าสู่เขตพื้นที่ของเผ่าปีศาจสุกกรอย่างไม่ทันรู้ตัว…


 


“เฮ่ย! นั่นใช่ปีศาจมนุษย์ ที่มาจากเผ่าปีศาจมนุษย์หรือไม?”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพบว่าตอนนี้สมควรเหินร่างเข้าเขตของเผ่าปีศาจสุกรแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากไกลๆ ทำให้เขาหันความสนใจไปยังต้นเสียงทันที


 


และขณะที่มองไปยังทิศทางต้นเสียง ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นร่าง 2 ร่างที่กำลังเหินเข้ามาใกล้


 


ทั้ง 2 ร่างนี้มีรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์


 


หากแต่ศีรษะของมันกลับเป็นศีรษะสุกรแลดูใหญ่โต มองไปแทบไม่ต่างจากลักษณะของตือโป๊ยก่ายที่เขาได้รู้จักจากเรื่องราวที่เป็นตำนานอย่างไซอิ๋วจากชาติที่แล้วเลย…


 


หากจะบอกว่าพวกมันต่างกันจากตำนานที่เขาได้รู้มาตรงไหน…ก็บอกได้ว่าพวกมันไม่ได้อ้วนตุ๊ต๊ะ!


 


สองร่างที่ตัวเป็นคนหัวเป็นหมูนั้น หนึ่งแลดูกำยำแข็งแกร่ง ส่วนอีกหนึ่งผ่ายผอม


 


‘นี่น่ะเหรอปีศาจสุกร…ไม่เห็นมันจะอ้วนเป็นหมูเลย…’


 


แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง แต่จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ต้องเดาก็ทราบความเป็นมาของพวกมัน


 


“เฮ่ย! ไอ้หนูเผ่าปีศาจมนุษย์! นี่เจ้าล้วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของเผ่าปีศาจสุกรข้าแล้วยังไม่รู้ตัวหรือไร! สองตาเจ้ามีไว้ประดับรึ!?!”


 


เผ่าปีศาจสุกรร่างผอม เหินร่างตัดฟ้ามาหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะชี้หน้ากล่าวกับต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้ายเอาเรื่อง


 


และทันทีที่มันเปิดปากกล่าวคำ ต้วนหลิงเทียนก็ต้องทำหน้ายี้ทันที เพราะกลิ่นปากของมันช่างร้ายกาจปานหมกศพหมาเน่าไว้หมื่นปี!


 


“ไสหัวไป!”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเย็นลงทันใด ตวาดคำขับไล่ออกมาเสียงแข็ง ทั้งยังโบกมือออกไปส่งๆราวกับจะปัดไล่กลิ่นปากเน่าเหม็นให้พ้นๆ! ปรากฏพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดมหาศาลขุมหนึ่งผนึกควบเป็นมวลพลังไร้สภาพอันเกรี้ยวกราด พุ่งทะยานออกไปฉับไว!!


 


พริบตาปีศาจสุกรที่พุ่งเข้ามาชี้หน้ากล่าวคำ ก็ถูกมวลพลังไร้สภาพดังกล่าวกลืนกิน ป่นร่างของมันแหลกเป็นผุยผง!


 


คงเหลือเพียงแหวนพื้นที่วงหนึ่งลอยล่องอยู่กลางอากาศเท่านั้น…


 


‘ฉิบหายมารดามัน! ไอ้หน้าละอ่อนนี่มันยอดฝีมือเผ่าปีศาจมนุษย์!’


 


สีหน้าปีศาจสุกรที่ร่างกายกำยำแข็งแกร่งกลับกลายเป็นซีดลงปานหมูต้มทันทีเมื่อเห็นฉากเรื่องราวดังกล่าว! สองตาหมูๆของมันยังเบิกโพลงแทบถลน ร่างสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว…!!


ตอนที่ 2,255 : นักรบผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3!


 


“ใต้เท้าเมตตาละเว้นข้าน้อยด้วย! ขอใต้เท้าโปรดเมตตาละเว้นข้าน้อยด้วย…อู๊ด!!”


 


เมื่อเห็นสายตาไม่แยแสของต้วนหลิงเทียนที่เหลือบแลมาหลังเก็บแหวนพื้นที่ของสหาย ความกล้าของปีศาจสุกรร่างกำยำก็ยวบลงปานน้ำเหลว เร่งทิ้งตัวทรุดลงคุกเข่ากลางหาว กล่าวร่ำร้องขอความเมตตาออกมาเสียงผวา หูหมูใบใหญ่ของมันสั่นพั่บๆไปพร้อมๆกับร่างกาย…


 


“เผ่าปีศาจสุกรของพวกเจ้า…นอกจาก 3 ผู้นำแล้วยังมีชนชั้นอัจฉริยะอะไรอยู่อีกไหม แล้วใครที่มันมีพรสวรรค์สูงสุด?”


 


หลังฆ่าปีศาจสุกรปากเหม็นที่สร้างความขยะแขยงทิ้งไปอย่างไม่ไยดีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวเสียงเรียบกับปีศาจสุกรร่างหนาที่เหลือ


 


“อัจฉริยะ…พรสวรรค์สูงสุดหรือ?”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ปีศาจสุกรที่คุกเขาขอความเมตตา ก็เงยหน้าขึ้นมามองถามด้วยอาการสับสน


 


“หืม? เจ้าไม่รู้งั้นเหรอ?”


 


เมื่อเห็นว่าปีศาจสุกรยังทำหน้ามึนไม่ตอบคำ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายแววอำมหิตขึ้นมาทันที


 


ทันใดนั้นจิตสังงหารพร้อมกลิ่นอายฆ่าฟันอำมหิต ก็ระเบิดออกจากร่างต้วนหลิงเทียน กวาดไปปกคลุมทั่ววร่างปีศาจสุกร!


 


พริบตาที่กลิ่นอายฆ่าฟันอำมหิตปกคลุมไปทั่วร่างปีศาจสุกร ร่างของมันคล้ายถูกไอเย็นเยียบฉาบเคลือบก็ไม่ปาน มันถึงกับตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เร่งกล่าวตอบออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ใต้เท้าข้าน้อยรู้! ข้าน้อยรู้ใต้เท้า!!”


 


“พูด!”


 


ต้วนหลิงเทียนตะคอกคำเสียงเย็น


 


“นอกจากท่านผู้นำทั้ง 3 แล้ว ในเผ่าปีศาจสุกรของเรายังมี ‘3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่’ ดำรงอยู่! ทั้ง 3 คือสุดยอดอัจฉริยะของเผ่าปีศาจสุกรพวกเรา…”


 


คราวนี้ปีศาจสุกรกล่าวออกเสียงดังฟังชัดอย่างไร้ลังเล ราวกับมันกลัวว่าหากชักช้า…ต้วนหลิงเทียนจะจัดการมันทิ้งอย่างไร้ปราณีเหมือนสหายเมื่อครู่!


 


ความแข็งแกร่งของมันก็ไม่ต่างใดจากสหาย!


 


หากแต่ยอดฝีมือเผ่าปีศาจมนุษย์เบื้องหน้าเพียงโบกมือส่งๆ ก็กำจัดสหายมันดั่งเศษขยะ!


 


หากเป็นมันโดนบ้างก็คงไม่รอดแน่แท้!


 


ด้วยเหตุนี้หลังเห็นสหายถูกระเบิดร่างเป็นผงตกตายไปต่อหน้าต่อตา มันก็ไม่หลงเหลือความกล้าแม้แต่จะหลบหนี!


 


มันรู้ดีว่าต่อให้หนี ก็ไม่มีทางหนีพ้น!


 


“หือ? 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่งั้นเหรอ เจ้าพวกนั้นพรสวรรค์ของพวกมันสูงมากรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาขัดคำอีกฝ่าย ก่อนที่จะทันได้พูดจบ


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกันตอนที่เขายังอยู่เมืองเหรินโม่เชิ่ง เห็นว่าเป็นพวกที่มีชื่อเสียงไม่น้อยในเผ่าปีศาจสุกร


 


แต่ละตนนั้นแม้พลังฝึกปรือจะมีแค่เซียนสวรรค์ 8เปลี่ยน กระทั่งยังห่างไกลจากการบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนชนชั้นยอดฝีมือ…


 


ทว่าด้วยความที่ทั้ง 3 เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ทำให้พวกมันมีกระแสจิตพิเศษสื่อถึงกัน ยามผนึกกำลังกันสามารถระเบิดพลังสามารถที่เหนือกว่าขอบเขตพลัง!


 


ที่สำคัญที่สุดคือพวกมันไม่ใช่พี่น้องฝาแฝดธรรมดา


 


พวกมันคือแฝด 3 ที่นับว่าร้ายกาจกว่าพี่น้องฝาแฝดที่มี 2 คนมากนัก!


 


ด้วยบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดเดียวกัน ฝึกฝนทักษะวรยุทธ์เซียนและเวทย์พลังเดียวกัน…รวมถึงพลังฝึกปรือเท่าเทียมกัน


 


ทำให้ยามพวกมันทั้ง 3 ผนึกกำลังร่วมมือกัน ยังร้ายกาจกว่าฝาแฝดที่มี 2 พี่น้องไม่รู้ตั้งเท่าไหร่!


 


หากนักรบผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 นี้ลงมือพร้อมกัน พลังต่อสู้ของพวกมันเรียกว่าเป็นรองก็แค่ผู้นำทั้ง 3 ที่เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละเผ่าย่อยเท่านั้น!!


 


เรียกว่าเป็นที่ทราบกันดีของเผ่าปีศาจสุกร ว่าเมื่อใดที่ทั้ง 3 รวมพลังกัน พวกมันคือตัวตนอันไร้เทียมทานภายใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


กระทั่งรองจ้าววังวิญญาณอสุราอย่างชิงหยวนป้า ที่ได้รับการขนานนามว่าอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนของเผ่าปีศาจมนุษย์ ก็เคยแพ้พ่ายพวกมันทั้ง 3 ที่ผนึกกำลังกันมาแล้ว!!


 


“มิผิดใต้เท้า”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ปีศาจสุกรร่างกำยำไม่กล้าลังเลยึกยัก รีบขานรับตอบคำออกมาเร็วไว “พวกมันทั้ง 3 เป็นตัวตนที่เหนือกว่าอัจฉริยะตนใดในเผ่าปีศาจสุกรของพวกเรา! ยังเป็น 3อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์และศักยภาพสูงที่สุดในบรรดาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของเผ่าปีศาจสุกรเรา!”


 


“หืม ร้ายกาจสุดในบรรดาอัจฉริยะรุ่นเยาว์…3นักรบผู้ยิ่งใหญ่นั่นยังเป็นรุ่นเยาว์รึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


 


ก่อนหน้าเขาเพียงแต่เคยได้ยินมาว่า 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ ของเผ่าปีศาจสุกรร้ายกาจมาก แต่ไม่เคยรู้เลยว่าพวกมันยังเป็นรุ่นเยาว์


 


นับว่าผ่านไปนานพอสมควรแล้วหลังต้วนหลิงเทียนได้กลับมายังภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ เขาจึงได้รับทราบเรื่องราวพื้นฐาน และความหมายของคำว่ารุ่นเยาว์ของพวกปีศาจ


 


โดยทั่วไปแล้ว รุ่นเยาว์สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหลาย ก็คือเหล่าปีศาจที่ยังมีอายุไม่ถึง 100 ปี!


 


“ใช่แล้วใต้เท้า”


 


ได้ยินคำถามด้วยสงสัยของต้วนหลิงเทียน ปีศาจสุกรร่างกำยำเร่งตอบคำทันที “3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรเรายังมีอายุน้อยนัก ทั้ง 3 ยังพึ่งมีอายุได้ 50 ปีเศษเท่านั้น!”


 


พึ่ง 50 ปีเศษ!?


 


“เด็กขนาดนั้นเชียว?”


 


ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจกับคำตอบของปีศาจสุกรไม่น้อย


 


พวกมันเพียงอายุได้ 50 ปีเศษแต่พลังฝึกปรือบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนแล้ว!?


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องขยันบ่มเพาะพลังด้วยตัวเอง ต่อให้จะอาศัยการกลืนกินแก่นแท้ ปราณโลหิต และพลังชีวิตของผู้อื่นเพื่อบ่มเพาะพลัง แต่หากไร้ซึ่งพรสวรรค์แลศักยภาพอันเลิศล้ำก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุถึงความแข็งแกร่งเช่นนี้ในเวลาอันสั้น!


 


‘พรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน…ไม่พ้นต้องเป็นรากวิญญาณสีครามแน่ และไม่น่าจะใช่รากวิญญาณสีครามธรรมดาๆ!’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคาดเดาในใจ ‘แน่นอนว่าอย่างดีก็สมควรเป็นรากวิญญาณสีครามเข้ม…แต่ความเป็นไปได้นี้ก็น้อยนิดนัก…’


 


ตอนอยู่ในเมืองเหรินโม่เชิ่ง ต้วนหลิงเทียนยังได้รับทราบเกี่ยววกับพรสวรรค์รากวิญญาณโดยเฉลี่ยของเผ่าปีศาจมาบ้าง


 


จึงได้รู้ว่าในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้น มีอัจฉริยะน้อยนิดนักที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วง และที่สำคัญเลยก็คือ…ทั้งหมดยังอยู่ในเผ่าปีศาจมนุษย์ และยังเป็นมนุษย์สายเลือดบริสุทธิ์!


 


กล่าวอีกนัยหนึ่ง…


 


ในบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว นอกเหนือจากเผ่าปีศาจมนุษย์ ยังไม่เคยปรากฏอัจฉริยะตนใดของเผ่าพันธุ์ปีศาจอื่นๆที่มีรากวิญญาณสีม่วงขึ้นมาในประวัติศาสตร์!


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเข้าใจได้ว่า


 


พรสวรรค์รากวิญญาณสีครามเข้ม สมควรเป็นพรสวรรค์รากวิญญาณสูงสุดของเผ่าปีศาจอื่นๆ!


 


ด้วยเหตุนี้แม้จะยืนยันได้ว่า 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรสมควรมีรากวิญญาณสีคราม แต่เขาก็ไม่คิดว่าพวกมันจะมีรากวิญญาณสีครามเข้ม พวกมันน่าจะมีเพียงพรสวรรค์รากกวิญญาณสีครามธรรมดาๆมากกว่า


 


อย่างไรก็ตาม ถึงกระนั้นต้วนหลิงเทียนก็ประหลาดใจไม่น้อย


 


‘เจ้า 3 นักรบนั่น…ถึงพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันจะเป็นแค่สีครามกระทั่งสีครามอ่อน แต่หลังกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันได้ ข้ามั่นใจเต็มสิบส่วนว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าจะเปลี่ยนเป็นรากวิญญาณสีดำโดยสมบูรณ์!’


 


คิดถึงจุดนี้อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนก็พุ่งพล่านขึ้นมาทันที


 


จังหวะนี้คล้ายเขาได้แลเห็นพรสวรรค์รากวิญญาณของเขากลายเป็นรากวิญญาณสีดำเรียบร้อยแล้ว!


 


‘เอาพวกมันนี่ล่ะ!’


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมตัดสินใจระบุเป้าหมายได้ทันที…3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกร!


 


กล่าวให้ชัด เขาระบุเป้าหมายโดยตัดสินใจจากพรสวรรค์รากวิญญาณของ 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าปีศาจสุกร!


 


“แล้ว 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่นั่นมาจากเผ่าไหน เผ่าสุกรทมิฬ เผ่าสุกรสายฟ้า หรือเผ่าสุกรสีชาด?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองไปยังปีศาจสุกรร่างกำยำที่คุกเข่าอยู่ ค่อยยิงคำถามออกมาอีกครั้ง


 


3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่นั่น แม้ต้วนหลิงเทียนคิดลงมือจัดการพวกมัน แต่เขาก็คิดว่าคงยากไม่น้อย


 


นั่นเพราะแต่ละเผ่าย่อยทั้ง 3 ล้วนมีตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนพิทักษ์อยู่!


 


ถึงแม้ด้วยพลังความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนมั่นใจว่าหากใช้ออกด้วยตราผนึกมาร ก็น่าจะสามารถจัดการปีศาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนได้…


 


ทว่าทั้งหมดก็เป็นแค่เขาอนุมานไปเอง ไม่ได้มั่นใจว่าจะกระทำได้เต็มสิบส่วน!


 


เว้นเสียแต่เขาจะสามารถใช้ปฐมเวทย์กลืนกินเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันให้บรรลุถึงขีดจำกัดขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนไว้ก่อนค่อยใช้ตราผนึกมาร!


 


หาไม่แล้วเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถจัดการปีศาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้!


 


จนถึงตอนนี้ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่เขาเคยเจอ ก็มีแค่ถังซวนจ้าวลัทธิบูชาไฟ กับหล่างเชียนจินอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬเท่านั้น


 


วันนั้นทั้งคู่ก็ระเบิดพลังขอบเขตเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนปะทะกัน จึงเผยความน่ากลัวของขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนให้เขาเห็นชัดถนัดตา!


 


กระทั่งตอนนี้พอนึกย้อนไปเขายังอดตัวสั่นไม่หาย


 


เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเป็นตัวตนที่ทรงพลังเข้มแข็งอย่างแท้จริง!


 


ยิ่งไปกว่านั้นต้วนหลิงเทียนยังรู้อีกด้วยว่า…


 


ไม่ว่าจะเป็นถังซวนหรือหล่างเชียนจิน ทั้งคู่ไม่น่าจะเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดใต้ขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะ!


 


ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เขาจะครอบครองตราผนึกมาร อันเป็นยอดศาสตราเซียนดาวข่มหมู่มารปีศาจไว้ในมือเขาก็ยังต้องหวั่นเกรงยอดฝีมือปีศาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


‘ถึงแม้ตอนนี้ข้าสามารถใช้ปฐมเวทย์กลืนกินจนยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างให้บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนได้ทันที…’


 


‘ทว่าต่อให้พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของข้าบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนแล้ว แต่ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะใช้ตราผนึกมารจัดการพวกปีศาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั่วๆไปได้’


 


‘กระทั่ง…ต่อให้ยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดด้วยปฐมเวทย์กลืนกินจนบรรลุถึงจุดสูงสุดขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ข้าอาจจัดการพวกปีศาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั่วไปได้ก็จริง แต่สำหรับชนชั้นสุดยอดฝีมือนั่นก็ไม่แน่นัก’


 


‘เพราะอย่างไรเสียตราผนึกมารตอนนี้ยังอยู่ในสภาพเสียหาย ไม่ใช่ตราผนึกมารที่มีพลังอำนาจสมบูรณ์…’


 


‘หากตราผนึกมารอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ข้าเชื่อว่าสามารถจัดการยอดฝีมือปีศาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้แน่…แต่เพราะมันไม่สมบูรณ์ ก็ยากจะมั่นใจเต็ม 10 ส่วนว่ามันจะจัดการปีศาจระดับนั้นได้…’


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงหวั่นเกรงที่จะปะทะกับปีศาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


หาไม่แล้วเขาคงเลือกจะยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดให้บรรลุถึงขีดสุดเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเสียก่อน แล้วค่อยไปไล่ฆ่าผู้นำของเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3เผาย่อยโดยใช้ตราผนึกมารเรียงตัว…


 


ถึงตอนนั้นต่อให้ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรย่อยเผ่าอื่นคิดจะมาช่วยเหลือ แต่ก็คงมาไม่ทันเววลา…


 


นอกจากนั้นต่อให้พวกมันมา เขาที่ประคองระดับพลังเอาไว้ที่ขีดสุดเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก็สมควรใช้ตราผนึกมารฆ่าพวกมันได้ไม่ยาก..


 


“เรียนใต้เท้า…3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกร มิได้อยู่ในเผ่าย่อยที่ท่านกล่าว…”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจมอยู่กับความคิดตึงเครียดในหัว ปีศาจสุกรร่างกำยำ ก็กล่าวออกมาอีกครั้ง “3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้ฝึกตนอิสระของเผ่าปีศาจสุกร ที่มิได้ขึ้นอยู่กับเผ่าใดเป็นพิเศษ…”


 


“หืม? ผู้ฝึกตนอิสระงั้นเหรอ!?”


 


สองตาของต้วนหลิงเทียนถึงกกับฉายแสงสว่างวาบขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำนี้ของปีศาจสุกรร่างกำยำ!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)