War sovereign Soaring The Heavens 2242-2248

 ตอนที่ 2,242 : สหายเพียงคนเดียว


 


 


กระบวนการวาดอาคม โลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพ นั้นไม่ได้ใช้เวลานานนัก ยังผ่านไปเพียงแค่ 2-3 ลมหายใจเท่านั้น


 


อยางไรก็ตามในช่วงเวลา 2-3 ลมหายใจนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวตู้กูเองหรือตัวต้วนหรูเฟิง ก็รู้สึกเสมือนมันผ่านพ้นไปนานแสนนาน


 


ต้วนหรูเฟิงรู้สึกว่ามันยาวนาน เพราะเห็นตู้กูต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัสเพื่อมัน


 


ด้านตู้กูที่รู้สึกเสมือนยาวนานก็เพราะ ในกระบวนการมันต้องพบพานกับความเจ็บปวดจากการถูกกลืนกินวิญญาณ! ความเจ็บปวดเสมือนมดนับหมื่นพันกัดกินวิญญาณไปทีละนิดนั่น ทำให้กำลังใจของมันแทบล่มสลายครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็เพราะจิตอันแน่วแน่จึงทำให้มันฝืนทนมาได้


 


ในกระบวนการที่เจ็บปวดจนรู้สึกอยู่ไม่สู้ตายนั้น แค่พริบตาเดียวก็เสมือนผันผ่านไปเป็นปี!


 


หลังผ่านพ้นกระบวนการที่ทำให้ทุกข์ทรมานถึงขั้นอยู่ไม่สู้ตาย ตู้กูที่ตอนนี้กลิ่นอายพลังชีวิตริบหรี่เต็มที ในที่สุดก็วาดอาคมโลหิตกลืนวิญญาณถสายชีพได้สำเร็จ!


 


“เปิด!”


 


หลังตะโกนออกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง วงอาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพสีแดงฉาน ที่ตู้กูทุกข์ทรมาณวาดขึ้นมา ก็เริ่มบังเกิดความเปลี่ยนแปลง แสงสีเลือดเริ่มส่องสว่างออกมาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ


 


ทันใดนั้นเหนือขึ้นไปจากวงอาคม ท่ามกลางแสงสีโลหิต ปรากฏบางสิ่งคล้าย ‘ประตู’ ที่มีสีแดงฉานปานจะก่อสร้างขึ้นมาจากเลือดผุดขึ้นในอากาศว่างเปล่า จากนั้นมันก็ค่อยๆเปิดอ้าออก


 


ด้านหลังประตูเป็นความมืดมิด ไม่อาจแลเห็นได้ว่ามันจะนำไปสู่ที่ใด


 


“ต้วนหรูเฟิง เจ้าคือสหายเพียงหนึ่งเดียวตลอดชั่วชีวิตข้า!”


 


ตู้กูหันมองไปยังต้วนหรูเฟิงพร้อมกล่าวออก ใบหน้าชราคลี่ยิ้มที่แลดูอัปลักษณ์ปานจะร้องไห้อีกครั้ง


 


ตลอดชั่วชีวิตของมัน แม้จะยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของภูมิภาคเบื้องล่าง แต่มันก็ไม่เคยมีเพื่อนแม้แต่คนเดียว


 


ก่อนที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะบุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่าง มันก็ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าวันหนึ่งจะได้เป็นสหายของศัตรูคู่แข่งที่คอยชิงเหลี่ยมกันมานานปี…


 


แทบจะพร้อมกันกับที่ตู้กูกล่าวจบคำ กลิ่นอายพลังชีวิตทั่วร่างของมันก็เหือดหายไปอย่างสมบูรณ์ ยังอันตรธานหายไปในชั่วพริบตาราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน


 


การใช้อาคม โลหิตกลืนวิญญาณถวววายชีพนั้น ไม่เพียงแต่มันจะผลาญพลังชีวิตทั้งหมดเท่านั้น ยังรวมถึงจิตวิญญาณอีกด้วย!


 


เช่นนั้นหลังใช้อาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพสำเร็จแล้ว ตู้กูก็เสมือนตะเกียงหมดน้ำมัน เพลิงชีวิตของมันดับมอด กระทั่งเรี่ยวแรงจะกล่าววาจาสุดท้ายยังไม่มี คนตกตายไปทั้งอย่างนั้น


 


อย่างไรก็ตามห้วงสุดท้ายก่อนตาย ตู้กูก็ฉีกยิ้มออกมาอีกครั้ง


 


มันตกตายอย่างสงบ ราวกับไม่เหลือสิ่งใดให้เสียใจแล้ว


 


“ตู้กู!”


 


เมื่อเห็นว่าเพื่อสร้างหนทางอยู่รอดให้ตัว ตู้กูถึงกับไม่ลังเลที่จะสละด้วยชีวิต สองตาแดงฉานของต้วนหรูเฟิงก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา สุดท้ายสายธารใสสองสายก็ไหลรินรดหน้า…


 


ลูกผู้ชายใช่ไร้น้ำตา เพียงแค่หากไม่ถึงที่สุดแล้วจริงๆไหนเลยจะร่ำไห้เช่นนี้…


 


ก่อนที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะบุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง ตู้กูไม่เคยคิดจะเป็นสหายกับต้วนหรูเฟิง แล้วไหนเลยต้วนหรูเฟิงจะคิดเป็นสหายกับมันได้?


 


ทว่าตอนนี้สหายผู้นี้…เพื่อปูทางให้มันมีชีวิตรอด กลับไม่ลังเลที่จะผลาญชีวิตทั้งวิญญาณของตัว ยังทานทนรับความเจ็บปวดจากวิญญาณถูกกลืนกินเอาไว้…


 


ความเจ็บปวดนั่น ไม่ใช่อะไรที่คนจะทนได้!


 


อย่างไรก็ตามเพียงเพื่อมันแล้ว ตู้กูยอมทนรับเอาไว้!


 


ซู่มมม!!


 


ได้ยินเสียงแหวกอากาศหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นบางสิ่งกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเจียนจะตามมาทัน!


 


เมื่อเห็นประตูที่เกิดจากวงอาคมโลหิตเริ่มอ่อนจางลงคล้ายกำลังจะหายไปในความว่างเปล่า ต้วนหรูเฟิงก็ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ควบคุมหุ่นเชิดเซียนปีศาจใต้เท้าให้พาร่างทะยานเข้าสู่ประตูดังกล่าวทันที


 


ต้วนหรูเฟิงยังคิดเก็บแหวนพื้นที่ตู้กูกลับมาเพื่อไม่ให้เสียของไปเปล่าๆ อนิจจาเวลาไม่พอให้มันกระทำเช่นนั้น


 


และเมื่อต้วนหรูเฟิงหายลับไปในประตู วงอาคมโลหิตเบื้องล่างก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว


 


ซุ่มมม!!


 


ผู้ที่ไล่ตามมาหรือก็คือจ้าววังวิญญาณอสุรานั้น ทันทีที่มาถึง ประตูมิติที่ถูกเปิดออกด้วยอาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพท่ามกลางความว่างเปล่าก็เลือนหายไปพอดี


 


จ้าววังวิญญาณอสุรา เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่แลดูกำยำแข็งแกร่ง มันมาในชุดคลุมสีทอง ผมยาวรวมมัดไว้อยู่ด้านหลัง ใบหน้าคมเข้ม หว่างคิ้วสง่าผ่าเผยแลดูน่าเกรงขาม มากอำนาจบารมี


 


“อาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพ?”


 


เมื่อจ้าววังวิญญาณอสุรามาถึง ก็ทันได้เห็นประตูมิติสีเลือดกำลังเลือนหายไปในอากาศพอดี


 


รวมถึงเมื่อแลเห็นศพชราร่างกายเหี่ยวแห้งที่กำลังร่วงหล่นจากฟ้าไป ก็ไม่ยากที่มันจะคาดเดาได้ออกว่าคนผู้นี้พึ่งใช้อาคมต้องห้ามของเผ่าพันธุ์ปีศาจ โลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพ เพื่อช่วยเหลือให้อีกคนหลบหนีไปได้…


 


และตอนนี้มันก็ตระหนักได้ว่า อีกคนที่มันใช้สำนึกเทวะเพ่งเล็งเอาไว้ ได้หายไปจากการเพ่งเล็งของสำนึกกเทวะมันเสียแล้ว…


 


ประตูมิติที่สร้างขึ้นด้วยอาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพนั้น ต่างจากการใช้โลหิตหลบหนีเป็นอย่างมาก อย่างหลังนั้นไม่มีทางหลุดรอดสำนึกเทวะไปได้ในทันที หากแต่อย่างแรกนั้นกลับรอดพ้นได้อย่างง่ายดาย


 


มันเองก็รู้ดีแก่ใจว่าเมื่ออีกฝ่ายหลบหนีไปผ่านประตูมิติจากอาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตามอีกฝ่ายได้ต่อ


 


เพราะมันไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายจะถูกเคลื่อนย้ายไปที่ไหน!


 


ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น แม้จะบอกว่ามันไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ก็ไม่อาจใช้คำว่าเล็กมากล่าวถึงได้ หากอีกฝ่ายจงใจซ่อนตัว…ก็ยากจะหาพบ!


 


“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ…เพียงแค่ผู้ฝึกมารมนุษย์คนหนึ่งกลับสามารถวาดอาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพเป็น  กระทั่งทานทนจนจบได้…”


 


จ้าววังวิญญาณอสุราถอนหายใจออกเฮือกหนึ่ง โรยตัวลงมาจากฟ้า มือสะบัดริบแหวนพื้นที่จากนิ้วแห้งเหี่ยวของตู้กู เสร็จ มันที่โรยตัวตีคู่ไปกับซากศพที่ร่วงหล่นของตู้กูก็เพียงมองจ้องศพแห้งเหี่ยวด้วยสายตาลึกซึ้ง ยังแลเห็นเค้าลางความเคารพบางๆ


 


ถึงแม้จะเป็นเผ่าปีศาจดั้งเดิมในแดนเนรเทศ แต่ก็มีน้อยคนนักที่กล้าใช้อาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพออกมาแบบนี้ได้!


 


และมีปีศาจที่น้อยยิ่งกว่าน้อยที่สามารถอดทนจนใช้อาคมได้สำเร็จ


 


วันนี้ในแดนมนุษย์ ไม่เพียงแต่จะได้เห็นมนุษย์คนหนึ่งกล้าใช้อาคมดังกล่าว กระทั่งยังใช้ออกสำเร็จ! ทานทนได้จนจบสิ้นกระบวนการ มันไม่ยอมรับก็ไม่ได้ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะเผยความเคารพ!


 


ถึงแม้มันกับตู้กูจะเป็นศัตรูกัน และต่อให้ตอนนี้ตู้กูจะฟื้นขึ้นมา มันก็ยังจะฆ่าตู้กูให้ตาย


 


ทว่าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับความเลื่อมไสต่อตู้กูในเรื่องนี้…


 


“เจ้านั่นโชคดีนักที่หนีไปได้…”


 


พอนึกถึงผู้หลบหนีที่เล็ดรอดการเพ่งเล็งด้วยสำนึกเทวะของมันไปเพราะอาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพ แววตาของจ้าววังวิญญาณอดไม่ได้ที่จะเผยความอิจฉาออกมาจางๆ


 


ถึงแม้มันจะมีสหายมากมายกระทั่งบ้างยังคบกันมากว่าครึ่งชีวิต


 


ทว่ามันรู้ดีแก่ใจ


 


สหายของมันเหล่านั้น…ไม่มีใครเต็มใจเสียสละตัววาดอาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพเพื่อช่วยมันแน่นอน!


 


ถึงแม้จะรู้ว่าตกตายพร้อมกันแน่ๆก็ตามที!


 


“หยวนเอ๋อ…คราวนี้ต้วนหรูเฟิงมันโชคดีหนีรอดมืออาจารย์ไปได้ อย่างไรก็ตามอาจารย์ขอสัญญากับเจ้า…ว่าอาจารย์จะตามล่าหาตัวมันให้เจอ แล้วฆ่ามันล้างแค้นให้เจ้าให้จงได้!”


 


หลังความอิจฉามลายหายไป แววตาของจ้าววังวิญญาณอสุราก็ฉายชัดถึงประกายแหลมคมอีกครั้ง แหงนมองฟ้าว่างเปล่ากล่าวพึมพำเสียงเบา


 


ฟังจากที่มันพูด ‘หยวนเอ๋อ’ ไม่พ้นเป็นศิษย์ปิดสำนักของมัน ที่ถูกต้วนหรูเฟิงกับตู้กูฆ่าตาย


 


ส่วนอีกด้าน


 


เมื่อผ่านประตูมิติที่ถูกเปิดโดยอาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพมา ต้วนหรูเฟิงก็มาปรากฏตัวในสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่ง


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้มันไม่มีอารมณ์มาสนใจสภาพแวดล้อมรอบข้าง


 


มันยืนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้น


 


หุ่นเชิดเซียนปีศาจก็ไม่ทราบหายไปตั้งแต่เมื่อใด แต่แน่นอนว่าไม่พ้นกลับสู่มิติเก็บหุ่น


 


หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ต้วนหรูเฟิงพลันกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ “ตู้กูขอเจ้าอย่าได้ห่วงไป…ยอดศาสตราเซียนประทับหมื่นขุนเขา ข้าจะหาเจ้านายที่เหมาะสมให้มัน…”


 


“นอกจากนี้วันหนึ่งข้า ต้วนหรูเฟิง จะล้างแค้นให้เจ้าให้จงได้…ข้าจะเอาเลือดหัวจ้าววังวิญญาณอสุรานั่นมาเซ่นวิญญาณของเจ้า!!”


 


ขณะที่ต้วนหรูเฟิงกล่าวพึมพำ สองตาก็เผยประกายคมกล้าหาใดเปรียบ ปานมีดดาบที่สามารถทะลวงได้ทุกสิ่ง


 


ณ ทวีปเมฆาล่อง


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ได้รู้เลยว่าบิดาของตัวเกือบถูกจ้าววังวิญญาณอสุราฆ่าตาย…! หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าครอบครัวคนสนิทของเขาไม่ได้อยู่ในเขตปกครอง 10 ราชวงศ์ ต้วนหลิงเทียนก็เดินทางมาถึงดินแดนรอบนอก


 


ป้อมหมาป่านภายังเป็นจุดแวะพักจุดแรกของเขาหลังมาถึงดินแดนรอบนอก


 


อย่างไรก็ตามป้อมหมาป่านภาในวันนี้ ได้เปลี่ยนผู้นำป้อมไปแล้ว…


 


ผู้นำป้อมปัจจุบันเป็นปีศาจตนหนึ่งที่มีพลังฝีมือร้ายกาจ


 


แน่นอนว่าพลังฝีมือร้ายกาจในที่นี้ หมายถึงในสายตาของผู้คนในป้อมหมาป่านภา


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนที่บรรลุพลังฝึกปรือในปัจจุบัน ปีศาจระดับนี้ช่างแสนจะเปราะบางไม่ต่างใดจากมดปลวก!


 


เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงกวาดล้างเผ่าปีศาจที่มาเหิมเกริมในเขตป้อมหมาป่านภาจนหมดสิ้นในเวลาอันสั้น


 


“น่าเสียดายที่สหายเก่าในป้อมหมาป่านภาไม่เหลือสักคน เลยไม่รู้ว่าพวกมันที่แท้ถูกฆ่าหรือหนีรอดไปได้กันแน่”


 


ตั้งแต่ต้นจนจบต้วนหลิงเทียนไม่เจอใครที่คุ้นหน้าในป้อมหมาป่านภาเลย เรียกว่า ‘สหายเก่า’ ในวันวานไม่เหลืออยู่แล้ว


 


“ไหนๆก็มาแล้วข้าควรตระเวนดูให้ทั่วทวีปเมฆาล่อง! ยังมีโอกาสที่ท่านพ่อท่านแม่เสี่ยวเฟยเอ๋อกับเนี่ยนเอ๋อและคนอื่นๆจะแอบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพราะหากย้อนกลับไปในพื้นที่ 10 ราชวงศ์ก็มีโอกาสสูงที่พวกปีศาจจะตามเจอจากการสืบภูมิหลัง…”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนกระพริบวาบ เมื่อฉุกคิดได้ถึงเรื่องนี้


 


หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รั้งอยู่ในป้อมหมาป่านภาสืบไป เขาอุ้มลูกสาวตัวน้อยทั้งพาเค่อเอ๋อรวมถึงก่านหรูเยี่ยนค้นหาแบบปูพรมไปทั่วทวีปเมฆาล่อง


 


เจอปีศาจที่ไหนฆ่าไม่ละเว้น!


 


ทวีปมนุษย์นั้น มีมนุษย์ธรรมดากับผู้ฝึกตนที่อ่อนแออาศัยอยู่เท่านั้น สภาพแวดล้อมย่ำแย่เกินทน ปีศาจที่เต็มใจอยู่ที่นี่ก็มีแต่พวกปลายแถว


 


ด้วยความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ กล่าวว่าบดขยี้จนแหลกก็ไม่เกินเลย!


 


ในระหว่างกวาดล้าง พรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงปกติของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอัตราเร็วดังกล่าวไม่นานมันต้องกลายเป็นสีม่วงเข้มได้แน่!


 


‘ด้วยอัตราเร็วนี่…อีกไม่นานรากวิญญาณข้าต้องกลายเป็นสีม่วงเข้มได้อย่างราบรื่นแน่…!’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความคึกคักขึ้นมา


 


‘หลังจากรากวิญญาณข้าเป็นสีม่วงเข้มแล้ว ข้าจะพยายามยกระดับรากวิญญาณของข้ากับเค่อเอ๋อต่อ…ถึงตอนนั้นอยากรู้นักว่าความเร็วในการบ่มเพาะของรากวิญญาณที่เหนือกว่ารากวิญญาณสีม่วงเข้มจะเลิศล้ำขนาดไหน’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความมุ่งมั่นขึ้นมาอีกครั้ง


 


ในขณะที่มุ่งมั่นยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณ เขาก็อุ้มลูกรวมทั้ง 2 สาวตระเวนไล่ฆ่าปีศาจไม่หยุดยั้ง!


 


เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


หลังผ่านพ้นไปอีก 1 เดือน ภายใต้การเข่นฆ่าสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจไปมากมายนับไม่ถ้วน ในที่สุดพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนก็ก้าวมาถึงจุดหมายปลายทางแรก กลายเป็นรากวิญญาณสีม่วงเข้มได้ดั่งที่หวังเอาไว้!


 


“เร็วจริง!”


 


หลังทดลองบ่มเพาะพลังดู ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินตอนนี้ ช่างต่างจากก่อนหน้านัก!


ตอนที่ 2,243 : ขีดจำกัด! รากวิญญาณสีดำ!


 


 


 


ความปรารถนาของมนุษย์นั้น…ไร้ที่สิ้นสุด!


 


อมตะวาจาดังกล่าวช่างจริงแท้ยิ่งกว่าแช่แป้ง!


 


เช่นเดียวกับขอทานคนหนึ่ง เดิมทีตอนชีวิตลำบาก มันขอเพียงมีข้าวให้รับประทานอิ่มท้องไปวันๆไม่ต้องโหยหิวก็พอ


 


อย่างไรก็ตามเมื่อมันมีข้าววให้รับประทานอิ่มท้องไม่ต้องโหยหิวในแต่ละวันแล้ว มันก็ยังอยากจะได้ชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม…


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็เป็นเช่นนั้นไม่ต่าง


 


ในอดีตเป้าหมายของเขาก็มีแค่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองให้กลายเป็นสีม่วงเท่านั้น…


 


อย่างไรก็ตาม พอรากวิญญาณของเขากลายเป็นสีม่วง เขาก็กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสีม่วงเข้ม ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของพรสวรรค์รากวิญญาณ!


 


ทว่าเดิมทีเขาคิดว่านั่นคือขีดจำกัดที่พรสวรรค์รากวิญญาณจะบรรลุถึงได้!


 


มาตอนนี้…หลังได้ทดลองดูเขาจึงพบว่า…


 


กระทั่งพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงเข้ม ก็ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของพรสวรรค์รากวิญญาณ! หลังจากรากวิญญาณสีม่วงเข้มแล้ว 9 ใน 10 ยังมีพรสวรรค์รากวิญญาณที่เหนือกว่า!


 


นั่นเพราะเขาค้นพบว่าหลังยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้เป็นสีม่วงเข้มแล้ว เขายังสามารถใช้ปฐมเวทย์กลืนกินยกระดับมันได้ต่อ!


 


ถึงแม้การปรับปรุงจะเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้เขาเห็นความเป็นไปได้!


 


‘ข้าอยากรู้นัก…ว่าหลังพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงแล้ว มันจะเป็นพรสวรรค์รากวิญญาณสีอะไร!’


 


ด้วยมีความอยากรู้อยากเห็นดังกล่าวเป็นแรงขับเคลื่อน ต้วนหลิงเทียนจึงพาลูกน้อยภรรยาและพี่ภรรยาตระเวนไปทั่วทวีปเมฆาล่อง


 


หลังผ่านไประยะหนึ่ง เรียกว่าต้วนหลิงเทียนแทบจะขุดพื้นทวีปเมฆาล่องลึกไป 3 ฉื่อก็ว่าได้ ไม่มีปีศาจตนใดหลงเหลืออยู่ในสายตาเขาอีกเลย!


 


ระหว่างกวาดล้างอำมหิต พรสวรรค์รากวิญญาณก็มีความคืบหน้าให้เห็น


 


อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนช่องว่างระหว่างรากวิญญาณสีม่วงเข้มกับรากวิญญาณระดับถัดไปมันช่างกว้างใหญ่ไพศาลซะเหลือเกิน ยังเป็นช่องว่างที่มากมายอย่างเหลือเชื่อ!


 


เรียกว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะเข่นฆ่าปีศาจทั่วทั้งทวีปเมฆาล่อง กลืนกินพรสวรรค์เหล่าปีศาจมาไม่รู้กี่ร้อยพัน แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับการยกระดับอีกครั้งเลย


 


‘หากจะมองภาพใหญ่อย่างภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว ทวีปเมฆาล่องก็เล็กกระจ้อยเกินไป…นอกจากนี้ปีศาจที่อยู่ที่นี่ก็แค่พวกปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น ถึงแม้จะมีจำนวนมากมาย แต่พรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันแต่ละตัวก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเกินไป…’


 


แน่นอนว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงช่องว่างที่เขาต้องก้าวข้ามได้ชัดเจน ว่ามันมหาศาลเพียงไหน


 


ห่างกันราวฟ้ากับดิน!


 


“ดูเหมือนพวกท่านพ่อกับท่านแม่และเสี่ยวเฟยเอ่อจะไม่ได้ย้อนกลับมาทวีปเมฆาล่องจริงๆ…”


 


ในขณะกวาดล้างปีศาจไปทั่วทวีปเมฆาล่อง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมมองหาครอบครัวคนสนิท อนิจจาแต่เขาไม่พบร่องรอยใดๆ หรือเบาะแสอะไรให้เห็นเลย


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ทำได้แค่ยอมรับความจริงว่า พวกบิดาของเขาไม่ได้กลับมาที่นี่


 


ขณะเดียวกันใบหน้าเขาก็เริ่มตึงเครียด ฉายความกังวลออกมาให้เห็น


 


ทุกคนจะไปที่ไหนได้อีก หากไม่ย้อนกลับมาทวีปเมฆาล่อง?


 


นอกจากนี้ทำไมทุกคนถึงไม่กลับมาที่ทวีปเมฆาล่อง?


 


ใช่เพราะมีเหตุผลบางประการ หรือประสบอุบัติเหตุใดๆหรือไม่?


 


‘หากรู้ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ข้าให้ทุกคนทำไข่มุกวิญญาณให้ข้าเก็บไว้ก่อนก็ดี…แบบนั้นจะได้รู้ว่าตอนนี้ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่…’


 


คิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจขึ้นมา ที่ไม่ได้ให้ทุกคนทำไข่มุกวิญญาณเตรียมไว้แต่แรก…


 


หาไม่แล้วไฉนเขาต้องไม่รู้ว่าทุกคนเป็นตายร้ายดีแบบนี้…


 


“พี่เทียน ท่านอย่ากังวลมากนักเลย…”


 


หลังเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นกังวลคิ้วย่นหน้าเสียอยู่นาน เค่อเอ๋อก็เร่งกล่าวปลอบออกมาทันที “ในเมื่อท่านลุงเฟิงกับป้าหลัวสามารถหลบหนีกองทัพของเผ่าปีศาจมาได้โดยไร้ความสูญเสียกระทั่งยังจัดกการทัพหน้าไปกว่าครึ่ง เรื่องนี้ก็บอกให้รู้ชัด…ว่าพวกท่านมีพลังสามารถในการปกป้องตัวเอง ในเมื่อทุกคนไม่ได้กลับมาที่ทวีปเมฆาล่อง เชนนั้นก็ต้องไปซ่อนตัวอยู่ที่อื่นเป็นแน่!”


 


“และหากทุกคนมิได้ซ่อนตัวอยู่ในทวีปดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็อาจจะเป็นทวีปมนุษย์อีก 2 ทวีป…เพราะบางทีที่ทุกคนไม่กลับมาที่ทวีปเมฆาล่อง เพราะกลัวว่าจะชักนำเภทภัยมาให้ตระกูลเก่าและคนรู้จักในทวีปเมฆาล่องก็เป็นได้”


 


“อย่างไรเสียพวกลุงเฟิงก็ฆ่าล้างทัพหน้าเผ่าพันธุ์ปีศาจไปครึ่งหนึ่ง พวกมันไม่พ้นตองโกรธแค้นแน่! ย่อมพยายามขุดคุ้ยภูมิหลังความเป็นมาของลุงเฟิงจนกระจ่าง ไม่แน่ลุงเฟิงอาจจะคิดถึงจุดนี้ไว้แต่แรก และกลัวพวกปีศาจมาตามหาที่ทวีปเมฆาล่องจึงเลือกหลบหนีไปที่อื่น เนื่องเพราะในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าความเป็นมาของลุงเฟิงก็มิใช่ความลับอันใด”


 


เค่อเอ๋อกล่าว


 


ต้องบอกเลยว่าวาจาเค่อเอ๋อก็มีเหตุผลไม่น้อย ต้วนหลิงเทียนเองพอได้ฟังก็เข้าใจได้ไม่ยาก สีหน้าท่าทีจึงผ่อนคลายลงมาก


 


“เค่อเอ๋อขอบคุณเจ้า”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองเค่อเอ๋อด้วยสีหน้าอ่อนโยนกล่าวออกเสียงอ่อน


 


ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก


 


เกิดมาทั้งทีได้มีภรรยาประเสริฐแสนดีแบบนี้ ยังต้องการอะไรอีก?


 


“พี่เทียนระหว่างข้ากับท่าน…เรายังต้องกล่าวขอบคุณกันอีกหรือ?”


 


เค่อเอ๋อมองต้วนหลิงเทียนดวงตาดั่งสารฤดูมากอ่อนโยน ยังทำราวกับในโลกนี้หลงเหลือเพียงต้วนหลิงเทียนแค่คนเดียวในสายตาของนาง


 


ก่านหรูเยี่ยนที่อยู่ด้านข้าง มองเรื่องราวด้วยสายตาซับซ้อน


 


สำหรับต้วนซือหลิงนั้น ไม่ทราบฟุบหลับลงไปในอ้อมแขนต้วนหลิงเทียนตั้งแต่เมื่อไหร่


 


“ลองไปดูทวีปมนุษย์อีก 2 ทวีปที่เหลือกันก่อน”


 


หลังกล่าวบอกเค่อเอ๋อกับก่านหรุเยี่ยนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อุ้มลูกน้อยทั้งใช้พลังหอบหิ้วสองสาวพุ่งร่างข้ามฟ้าออกจากทวีปเมฆาล่องด้วยความเร็วสูง


 


มีทวีปมนุษย์ทั้งสิ้น 3 ทวีป ในภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า รวมถึงทวีปเมฆาล่อง


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็บรรลุถึงหนึ่งในทวีปมนุษย์ทั้งสอง


 


หลังมาถึงทวีปมนุษย์แห่งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มทำการบินปูพรมค้นหาครอบครัว รวมถึงกวาดล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจที่พบเจอระหว่างทางทั้งหมด


 


ในกระบวนการกวาดล้างค้นหา พรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงเข้มของเขาก็ยังคงพพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


พริบตาวันเวลาก็ล่วงเลยไปอีก 2 เดือน


 


ขณะเดียวกันเผ่าพันธุ์ปีศาจในทวีปมนุษย์แห่งนี้ก็ถูกเขากำจัดจนแทบหมดสิ้น


 


‘นี่…มันเป็นหลุมไร้ก้นรึไง…’


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้พบว่า


 


พรสวรรค์รากวิญญาณของเขายังคงเป็นสีม่วงเข้มดังเดิม แม้สีของมันจะเข้มขึ้นกว่าตอนแรก แต่ก็ไม่ได้แตะขอบเขตที่จะยกระดับพัฒนาเลย…


 


‘หากข้าไม่ได้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของปีศาจในทวีปมนุษย์แห่งนี้แล้วเอาไปเพิ่มให้คนอื่น ไม่ว่าจะเป็นซือหลิงหรือก่านหรูเยี่ยนคงมีรากวิญญาณสีม่วงเข้มไปแล้ว…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


‘พอไปถึงทวีปมนุษย์อีกแห่ง ข้ากลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันมาเพิ่มให้ซือหลิงกับก่านหรูเยี่ยนก่อนดีกว่า…’


 


ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ว่าถึงแม้จะกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของปีศาจปลายแถวพวกนี้ ก็ไม่มีวันสร้างความพัฒนาอะไรให้พรสวรรค์รากวิญญาณเขาได้แน่


 


เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงล้มเลิกความคิดกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของปีศาจในทวีปมนุษย์สุดท้ายเพื่อตัวเอง


 


เขาคิดยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ลูกสาวของเขาอย่างต้วนซือหลิง กับก่านหรูเยี่ยนก่อน!


 


‘น่าเสียดายที่ท่านพ่อท่านแม่แล้วก็เสี่ยวเฟยเอ๋อไม่ได้อยู่ที่นี่…’


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมผิดหวังเป็นธรรมดา เมื่อหาครอบครัวไม่พบในทวีปมนุษย์แห่งนี้…


 


โชคดีที่ต้วนหลิงเทียนเองก็เตรียมใจไว้แล้วส่วนหนึ่ง เช่นนั้นถึงแม้จะผิดหวัง แต่ก็ยังสามารถนยอมรับความจริงได้ไม่ยาก


 


ฟุ่บบบ!


 


เท่าทันความคิด ร่างต้วนหลิงเทียนหอบหิ้วทุกคนพุ่งข้ามฟ้าข้ามทะเลไปยังทวีปมนุษย์แห่งสุดท้ายทันที


 


เมื่อมาถึงทวีปมนุษย์แห่งสุดท้าย ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มต้นค้นหาครอบครัวทั้งไล่ฆ่าปีศาจตามทางสืบต่อ


 


“นี่มัน…”


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนติดจะช่วยยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ต้วนซือหลิงนั้นเอง…


 


เขาก็พบว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของลูกสาวเขา กลับไม่ได้มีเฉดสีเป็นสีรุ้งใดๆเลย!


 


พรสวรรค์รากวิญญาณของลูกสาวเขา…กลับเป็นรากวิญญาณสีดำ!


 


“ไม่อยากจะเชื่อเลย…มันไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรแม้แต่น้อย…”


 


นอกจากนี้เมื่อต้วนหลิงเทียนลองกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเผ่าปีศาจมาเพิ่มพูนให้ต้วนซือหลิงอยู่พักใหญ่ เขาก็พบว่ามันไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใดๆอย่างสิ้นเชิง!


 


ความรู้สึกเสมือนหนึ่งหยดน้ำร่วงลงสู่มหาสมุทร ไม่อาจก่อให้เกิดการกระเพื่อมใดๆแม้เพียงเศษเสี้ยว!


 


ต้องทราบด้วยว่าทั้งๆที่เขามีพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงเข้ม แม้พรสวรรค์รากวิญญาณของปีศาจจะอ่อนด้อย แต่เมื่อดูดซับมากเข้า เขาก็ยังสามารถแลเห็นความเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าถึงแม้มันจะน้อยนิดเต็มที นับว่ามีแรงกระเพื่อมให้เห็น!!


 


‘เป็นไปได้รึเปล่า…พรสวรรค์รากวิญญาณของซือหลิง คือขีดจำกัดที่พรสวรรค์รากวิญญาณจะบรรลุถึงได้!?’


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดบังเกิดความคิดดังกล่าวขึ้นมาในใจไม่ได้


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้เขาก็ยากจะระงับความคิดดังกล่าวสืบไป


 


รากวิญญาณสีดำ!


 


ปรากฏว่า ขีดจำกัดของพรสวรรค์รากวิญญาณ ก็คือรากวิญญาณสีดำ!


 


‘จริงด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ก็อธิบายได้ไม่ยาก…ตอนนี้รากวิญญาณของข้ามันเป็นสีม่วงเข้มแล้ว ถ้ามันพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ สีมันก็จะยิ่งเข้มขึ้น และสีที่เข้มที่สุดก็สมควรเป็นสีดำ!’


 


ต้องกล่าวเลยว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนซือหลิงที่เป็นรากวิญญาณสีดำนั้น เสมือนเปิดประตูสู่โลกใหม่สำหรับต้วนหลิงเทียนผู้เป็นบิดาแล้วจริงๆ!


 


ที่แท้ขีดจำกัดของพรสวรรค์รากวิญญาณกลับไม่ใช่สีม่วง!


 


แต่ขีดจำกัดของพรสวรรค์รากวิญญาณก็คือ รากวิญญาณสีดำ!!


 


“เค่อเอ๋อ…”


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงผ่านพลังไปหารือกับเค่อเอ๋อ “ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของซือหลิง ใช่รวดเร็วมากหรือไม่ ยังรวดเร็วจนเหลือเชื่อ?”


 


“ใช่แล้วพี่เทียน”


 


แม้ไม่ทราบว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงถามเรื่องนี้ แต่เค่อเอ๋อก็พยักหน้าแล้วกล่าวตอบกลับไปทันที “ซือหลิงเผยพรสวรรค์ในด้านบ่มเพาะตั้งแต่นางยังเล็ก…แต่ข้าไม่อยากให้นางต้องใช้ชีวิตอย่างอึดอัด เช่นนั้นข้าเลยไม่อยากให้นางบ่มเพาะพลังตั้งแต่ยังเล็ก ข้าอยากให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ได้ละเล่นอย่างสนุกสนานเหมือนเด็กน้อยธรรมดา…”


 


“ข้าเองก็ไม่ได้บอกเรื่องพรสวรรค์ของซือหลิงให้พี่หญิง…ข้ากลัวว่าถ้าพี่หญิงรู้ พี่หญิงจะเคี่ยวเข็ญให้ซือหลิงตั้งใจบ่มเพาะแต่เด็กเพื่อไม่ให้พรสวรรค์เสียเปล่า…”


 


ความคิดของเค่อเอ๋อง่ายดายนัก


 


นางเพียงอยากให้ลูกกสาวได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวัน ได้ผ่านวัยเด็กไปอย่างมีค่ามีความทรงจำดีๆ ได้เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานไม่ต้องกังวลใจ…


 


สำหรับพรสวรรค์ทั้งศักยภาพใดๆของลูกสาว ตอนนี้นางไม่สนใจและไม่อยากจะสนใจอะไรทั้งนั้น


ตอนที่ 2,244 : กบก้นบ่อ


 


“เจ้าทำแบบนี้ดีแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนเห็นด้วยกับความคิดของเค่อเอ๋อ


 


ถึงแม้ศักยภาพพรสวรรค์ของลูกสาวเขาจะสูงเทียมฟ้า แต่เขาก็ไม่อยากให้นางเร่งรีบฝึกฝนก่อนเวลาอันควรจนสูญเสียความสุขวัยเด็ก


 


ชีวิตคนเรามีวัยเด็กเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากพลาดไปแล้วก็ไร้โอกาสหวนย้อนกลับมาอีก


 


อย่างไรก็ตามแต่ ต้วนหลิงเทียนยังไม่วายตื่นตระหนกตกใจกับศักภาพพรสวรรค์ของลูกสาวตัวเอง ในใจเรียกว่าเสมือนมีมรสุมก่อเกิด


 


‘ไม่คิดเลยจริงๆ…ว่าสิ่งที่ข้าอยากรู้มาโดยตลอดอย่างขั้นต่อไปของพรสวรรค์รากวิญญาณคืออะไร…ที่แท้คำตอบหลังรากวิญญาณสีม่วงคืออะไรกลับอยู่ในตัวลูกสาวตัวน้อยของข้า!’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดถอนหายใจอีกครั้งไม่ได้


 


ก่อนหน้านี้พอรากวิญญาณของเขากลายเป็นสีม่วงเข้ม เขาก็อยากให้มันยกระดับพัฒนาไปสู่รากวิญญาณขั้นต่อไป


 


ในระหว่างดำเนินการเขาก็เฝ้าสงสัยมาโดยตลอดว่ามันจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร


 


ตอนนี้เขาได้รู้แล้ว


 


หลังพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงเข้ม ก็คือพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำ! ที่สำคัญมันยังเป็นขีดจำกัดของพรสวรรค์รากวิญญาณ!!


 


ก่อนวันนี้อย่าว่าแต่คิด กระทั่งหลับต้วนหลิงเทียนยังไม่เคยฝัน


 


ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณที่เขาใฝ่ฝันมาโดยตลอดมันจะอยู่ในตัวลูกสาวเขานี่เอง!


 


เรียกว่าหลังพบว่าในตัวลูกสาวมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำ ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนได้เห็นประตูสู่โลกใหม่เปิดอ้าออก ทำให้เขารู้แล้วว่าขีดจำกัดของพรสวรรค์รากวิญญาณคืออะไร!


 


‘รากวิญญาณสีดำ…รากวิญญาณสีดำ คราวนี้ข้าก็มีเป้าหมายชัดเจนแล้ว!’


 


เมื่อได้ทราบว่าขีดจำกัดพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำ ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนได้เป้าหมายที่ชัดเจน อย่างน้อยๆก็ไม่ต้องเคว้งคว้างได้แต่คิดคาดไปต่างๆนาๆเหมือนแต่ก่อน


 


‘แต่ถึงจะรู้ว่าขีดจำกัดพรสวรรค์รากวิญญาณคือรากวิญญาณสีดำ กว่าจะเพิ่มพูนได้ถึงขั้นนั้นไม่รู้ต้องกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณมากเท่าไหร่ พวกอ่อนด้อยเหล่านี้ถึงกลืนกินต่อก็แทบไร้ความหมาย…เช่นนั้นยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของก่านหรูเยี่ยนให้เป็นสีม่วงเข้มก่อนแล้วกัน’


 


เมื่อคิดได้ดังนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ก่านหรูเยี่ยนก่อน


 


แน่นอนว่าก่อนลงมือเขาต้องถามความเห็นก่านหรูเยี่ยนเสียก่อน


 


เพราะก่านหรูเยี่ยนไม่เหมือนซือหลิงลูกสาวเขา เพราะลูกสาวเขายังไม่บ่มเพาะพลังใดๆ สำนึกเทวะยังไม่ก่อเกิด แม้เขาจะยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้นางแต่ระหว่างกระทำนางก็ไม่รู้สึกอะไรเลย


 


ทว่าก่านหรูเยี่ยนนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


พลังฝึกปรือของนางก็ทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ไปแล้ว หากอยู่ๆเขาแผ่สำนึกเทวะไปแทรกเข้าร่างนาง นางย่อมรู้ตัวและต่อต้านตามสัญชาตญาณ


 


“ข้าตั้งใจจะยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้เจ้า”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าววบอกก่านหรูเยี่ยนห้วนๆ อย่างไม่ปิดบัง


 


“ยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณ?”


 


ก่านหรูเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะสะดุงเมื่ออยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็หันมาบอกนางเรื่องนี้ กระทั่งยังอึ้งไปพักหนึ่งค่อยตอบสนอง “เจ้าหมายความว่าอะไรเรื่องยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของข้า?”


 


“ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้ามีสีคราม..ข้ามั่นใจว่าสามารถยกระดับพรสววรรค์รากวิญญาณของเจ้าให้กลายเป็นสีม่วงได้ภายใน 1 เดือน….”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรกับความสงสัยของก่านหรูเยี่ยน


 


เพราะหากเป็นคนปกติ พอได้รับทราบเรื่องนี้ก็ไม่พ้นต้องสงสัยประหลาดใจกันทุกคน


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ก่านหรูเยี่ยนก็ตกใจอีกรอบ


 


ภายในเดือนเดียว…ยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของนางจากสีครามให้เป็นสีม่วง?


 


คำพูดต้วนหลิงเทียนดังก้องในหัวก่านหรูเยี่ยนซ้ำไปซ้ำมา นางย่อมยากจะเชื่อเรื่องราวพิสดารแบบนี้ได้ จึงกล่าวถามออกมาด้วยความแคลงใจ


 


“ที่เจ้าพูด…จริงหรือ? เจ้านี่นะ…สามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าให้เป็นสีม่วงได้?”


 


ครู่ต่อมาก่านหรูเยี่ยนก็พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับสติ ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย


 


สำหรับนางแล้ว เรื่องยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณเป็นเรื่องที่เหลวไหลเพ้อฝันนัก!


 


แต่พอเห็นต้วนหลิงเทียนพูดด้วยท่าทีจริงจัง นางก็บังเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมา ได้แต่ตั้งคำถามออกมาแบบนั้น


 


“หึ! หากเจ้าไม่สนใจก็ลืมมันไปเถอะ”


 


ถูกก่านหรูเยี่ยนจี้ถามด้วยความแคลงใจ ต้วนหลิงเทียนย่อมรำคาญเป็นธรรมดา จึงแค่นคำตอบกลับไปเสียงเย็น


 


หากไม่ใช่เพราะก่านหรูเยี่ยนดูแลเค่อเอ๋อกับลูกสาวเขาอย่างดี ไม่มีทางที่เขาคิดจะยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้นางหรอก!


 


มาตอนนี้พอเห็นก่านหรูเยี่ยนไม่เชื่อ ทั้งยังจี้ถามซักไซร้ราวคิดจับผิด เขาก็คร้านจะสนใจช่วยนางสืบต่อ


 


“เจ้า…”


 


เมื่อเห็นทีท่าของต้วนหลิงเทียนที่มีต่อนาง ก่านหรูเยี่ยนย่อมรู้สึกหน้าม้านไปไม่น้อย เพราะทีท่าอีกฝ่ายช่างต่างจากที่มีต่อเค่อเอ๋ออย่างสิ้นเชิง!


 


“พี่หญิง พี่เทียนย่อมไม่โกหกท่าน”


 


เค่อเอ๋อก็เร่งกล่าวปรามนางออกมาทันท่วงที


 


ก่านหรูเยี่ยนแน่นอนว่าย่อมเชื่อคำพูดของนางสาวตัวเอง


 


นอกจากนี้นางยังเชื่อด้วยว่าท่าทางต้วนหลิงเทียนจะมีความสามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้นางจริงๆ ทำให้ในใจนางบังเกิดความปั่นป่วนไม่น้อย


 


‘มัน…มันสามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ผู้อื่นได้จริงๆหรือ นี่มันยังเป็นผู้คนอยู่หรือไม่?’


 


พอมรสุมเริ่มก่อเกิดขึ้นในใจก่านหรูเยี่ยน ยิ่งมานางก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อหากแต่นางก็จำต้องเชื่อเพราะน้องสาวกล่าวยืนยัน


 


“ฮึ ผู้ใดบอกว่าข้าไม่สนใจเล่า!!”


 


หลังฟื้นสติ ก่านหรูเยี่ยนก็มองจ้องต้วนหลิงเทียน เอ่ยคำด้วยความกังวล “ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำไม่ใช่รึไร! เจ้าบอกว่าจะยกระดับพรสวรรค์ให้ข้าแล้วนะ เค่อเอ๋อเองก็เป็นพยานด้วย…เจ้าไม่อาจเปลี่ยนใจ!”


 


จังหวะนี้ก่านหรูเยี่ยนย่อมกลัวต้วนหลิงเทียนจะเปลี่ยนใจจริงๆ


 


เพราะสุดท้ายหากต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนใจ ไม่ใช่ว่านางจะสูญเสียโอกาสยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณรึไง!


 


รากวิญญาณสีม่วง ยังมีใครไม่ต้องการ?


 


“พี่เทียน ท่านช่วยพี่หญิงข้ายกระดับพรสวรรค์ให้นางด้วยเถอะ…นะพี่เทียน”


 


เค่อเอ๋อเองก็เกลี้ยกล่อมต้วนหลิงเทียนอีกทาง


 


เมื่อเค่อเอ๋อออกปากมาเสียงอ้อนแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะขัดใจนางได้ เขาย่อมไม่คิดใจร้ายกับก่านหรูเยี่ยนสืบไป หันไปมองกล่าวกับนางเสียงเรียบ “ในเมื่อเค่อเอ๋อขอมาแบบนี้ทั้งที ข้าไม่สนเจ้าคงไม่ได้…”


 


“ขอบคุณพี่เทียนยิ่ง”


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนเค่อเอ๋อก็ฉีกยิ้มสดใสออกมาทันที


 


เห็นฉากเรื่องราวตรงหน้า ก่านหรูเยี่ยนได้แต่มองจ้องเค่อเอ๋อเนิ่นนาน ลึกลงไปในแววตายังเผยให้เห็นความอิจฉาทั้งความน้อยใจอยู่บ้าง


 


น้องสาวฝาแฝดของนางกับนางก็รูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกประการ


 


แต่บุรุษน่าตายผู้นี้ไฉนปฏิบัติกับนางต่างจากน้องสาวนักเล่า?


 


ในเรื่องนี้ถึงแม้นางจะไม่ได้ติดใจเอาความ หากแต่ก็อดน้อยใจทั้งอิจฉาไม่ได้อยู่บ้าง


 


หลังจากนั้นไม่กี่วันต่อมา ก่านหรูเยี่ยนก็ได้แต่เบิกตากลมโตเท่าไข่ห่าน หลังต้วนหลิงเทียนเริ่มต้นลงมือช่วยนางยกระดับพรสวรรค์ให้นางได้จริงๆ นางก็พูดไม่ออก!


 


สวรรค์! โลกนี้กลับมีผู้คนยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ผู้อื่นได้จริงๆ!!


 


ถึงแม้ว่าน้องสาวของนางจะกล่าวบอกไว้แล้ว และนางเองก็เชื่อ แต่พอมาเจอกับตัวมันคนละเรื่องกับที่ได้ยินจริงๆ! ยังตกใจกับความสามารถของต้วนหลิงเทียนอย่างถึงที่สุด!!


 


“สวรรค์…โลกหล้ากลับมีวิธีน่ากลัวเช่นนี้อยู่จริงๆ….”


 


เรียกว่าก่านหรูเยี่ยนถึงกับสติหลุดลอยไปอยู่นาน


 


สุดท้ายหลังกลับมารู้สึกตัว นางก็อดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลุกวาวถามออกด้วยสงสัย “นี่…แบบนี้เจ้าก็ยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองได้ด้วยสิ”


 


“อืม…”


 


ได้ยินคำถามของก่านหรูเยี่ยน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าตอบคำสั้นๆอย่างเฉยเมย คล้ายไม่ค่อยอยากคุย


 


เห็นฉากนี้ ก่านหรูเยี่ยนก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ในใจบังเกิดความรู้สึกขื่นขม เลิกคิดจะถามเซ้าซี้อะไรสืบต่อ


 


เนื่องจากเดิมทีพรสวรรค์รากวิญญาณของก่านหรูเยี่ยนก็เป็นสีครามอยู่แล้ว จึงไม่ได้ยากเท่าไหร่ที่จะยกระดับมันให้กลายเป็นสีม่วง


 


ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ต้วนหลิงเทียนก็ทำได้สำเร็จตามเป้า…


 


ช่วยก่านหรูเยี่ยนยกระดับพรสววรรค์รากวิญญาณให้กลายเป็นสีม่วงใน 1 เดือน!


 


“เร็วยิ่ง!”


 


ขณะเดียวกัน พอรากวิญญาณเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว ก่านหรูเยี่ยนก็ทดลองบ่มเพาะพลังทันที และพอเริ่มต้นนางก็พบว่า…


 


ไม่ว่าจะเป็นความไวต่อสัมผัสพลังวิญญาณฟ้าดิน หรือความสามารถในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน มันก็เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม! แถมยังแตกต่างจากก่อนหน้ามากนัก!!


 


เพิ่มขึ้นหลายขั้นเลยทีเดียว!!


 


‘หากข้ายังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ…ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณแบบนี้ พลังฝึกปรือข้าต้องก้าวหน้าเกินหน้าเกินตาผู้คนแน่…’


 


ก่านหรูเยี่ยนลอบกล่าวในใจ


 


“เอ๋ เจ้ายังยกระดับมันได้อีกหรือ? ไม่ใช่ว่าสีม่วงคือสูงสุดแล้วรึไง?!”


 


หลังจากที่ก่านหรูเยี่ยนพบว่ารากวิญญาณของตัวเองเป็นสีม่วงแล้ว นางก็พบว่าหลังเดินทางต่อได้ไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณปีศาจที่ตายมาเพิ่มพูนให้นางต่อ ทำให้นางตกตะลึงไม่น้อย


 


รากวิญญาณสีม่วงยังไม่ใช่จุดสูงสุดอีกหรือ?!


 


“หึ! พรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงยังแยกย่อยได้อีก…รากวิญญาณสีม่วงของเจ้า ตอนนี้มันก็เป็นแค่สีม่วงอ่อนเท่านั้น ยังนับว่าเป็นรากวิญญาณสีม่วงที่อ่อนด้อยที่สุดอีกด้วย”


 


ต้วนหลิงเทียนพ่นลมเบาๆ กล่าวตอบเสียงเฉย


 


หลังจากนั้นเมื่อผ่านไปอีกราวๆเดือนหนึ่ง ก่านหรูเยี่ยนก็รู้สึกเสมือนตัวเองในกาลก่อนช่างไม่ต่างอะไรจากกบน้อยก้นบ่อน้ำนัก!


 


และเมื่อพรสวรรค์รากวิญญาณของนางกลายเป็นสีม่วงเข้มนางก็ตระหนักได้ว่า…


 


ความเร็วในการบ่มเพาะของนางตอนนี้ หากจะเทียบกับตอนที่รากวิญญาณของนางกลายเป็นสีม่วงใหม่ๆ มันมากกว่ากันถึง 10 เท่า!!


 


เรื่องนี้จะให้พูดอย่างไร?


 


‘ไม่แปลก…ไม่น่าแปลกใจเลย! ว่าไฉนความเร็วในการก้าวหน้าของมันถึงได้ท้าทายสวรรค์ซะขนาดนั้น!!’


 


จังหวะนี้ก่านหรูเยี่ยนพลันตระหนักได้แล้วว่าไฉนความเร็วในการบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนถึงได้น่ากลัวนัก!


 


มีวิธีการอันน่าพรั่นพรึงอย่างยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้สูงล้ำแบบนี้ ความเร็วในการบ่มเพาะยังจะช้าได้อีกเหรอ?!


 


อย่างไรก็ตามก่านหรูเยี่ยนในตอนนี้ก็ไม่ได้รู้เลย…


 


ตอนที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ในภูมิภาคเบื้องบนและมีความเร็วในการบ่มเพาะสูงล้ำนั้น ไม่ใช่เพราะพรสวรรค์รากวิญญาณระดับสูงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


หากในตอนนั้นพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นสีม่วงเข้มเหมือนอย่างตอนนี้ แล้วยังมีความช่วยเหลือจากสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะรวมถึงอัตราการไหลของเวลาที่เชื่องช้าในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติล่ะก็…


 


ด่านพลังฝึกปรือของเขาในตอนนี้ ต่อให้ยังไม่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนไปนานแล้ว!


 


“หากข้ายังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ…ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณระดับสูงสุดแบบนี้ นอกจากเจ้ากับเค่อเอ๋อใครมันจะเทียบข้าได้อีก?”


 


ก่านหรูเยี่ยนกล่าวพลางถอนหายใจ


 


“พรสวรรค์รากวิญญาณระดับสูงสุด?”


 


ต้วนหลิงเทียนได้แต่ส่ายหัวไปมาเบาๆ หลังได้ยินคำพูดของก่านหรูเยี่ยน แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม


 


“เจ้าส่ายหัวแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือพรสวรรค์รากวิญญาณที่ข้ามีตอนนี้ยังไม่ใช่ระดับสูงสุดอีกเหรอ?”


 


ก่านหรูเยี่ยนขมวดคิ้วกล่าวถามออกไปทันที


ตอนที่ 2,245 : ถึงหน้าประตู!


 


“ย่อมไม่ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนขี้เกียจอธิบายอะไรให้นางมาก จึงหันไปเหลือบมองก่านหรูเยี่ยนผ่านๆกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย


 


“ไม่?”


 


คิ้วก่านหรูเยี่ยนขดย่นเป็นปม “หากรากวิญญาณสีม่วงยังไม่ใช่พรสววรรค์รากวิญญาณสูงสุด…แล้วพรสวรรค์รากวิญญาณสูงสุดมันสีอะไรกัน?”


 


“รากวิญญาณสีดำ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบห้วนๆ


 


“รากวิญญาณสีดำ?”


 


ก่านหรูเยี่ยนหยีตามองต้วนหลิงเทียน กล่าวถามเสียงหนัก “หรือพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้ากลายเป็นสีดำแล้ว?”


 


เหตุผลที่นางกล่าวถามต้วนหลิงเทียนว่าใช่มีรากวิญญาณสีดำแล้วหรือยัง นั่นเพราะนางคาดไปว่า 9 ใน 10 ต้วนหลิงเทียนไม่พ้นมีรากวิญญาณสีดำแล้วแน่นอน ถึงได้รู้เรื่องนี้!


 


บางทีอีกฝ่ายกระทั่งยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองให้เป็นสีดำได้แต่แรก!


 


“ยังไม่”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหน้าไปมา


 


“เช่นนั้นเจ้า…”


 


ก่านหรูเยี่ยนคิดจะยิงคำถามซักไซร้สืบต่อ ทว่าถูกต้วนหลิงเทียนกล่าวตัดคำเสียงห้วน “ข้าขี้เกียจอธิบายให้เจ้าฟัง จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า!”


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็เริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว


 


ก่านหรูเยี่ยนจี้ถามไม่เลิกเช่นนี้ เห็นชัดว่าไม่เชื่อคำของเขา


 


เช่นนั้นเขาก็รำคาญที่จะมานั่งเสียเวลาอธิบายให้นาง


 


“เจ้า! ดูเจ้าทำเข้า!!”


 


เห็นต้วนหลิงเทียนเป็นแบบนี้ก่านหรูเยี่ยนก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่น้อย!


 


บุรุษผู้นี้ไฉนถึงได้แลดูรำคาญนางนัก ทีกับน้องสาวนางไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลย นางก็แค่ถามด้วยความอยากรู้เฉยๆ ไฉนต้องมีโมโหทำท่ารำคาญขนาดนั้นด้วย?


 


จังหวะนี้ก่านหรูเยี่ยนก็คล้ายจะลืมไปแล้ว


 


น้องสาวของนางเป็นภรรยาของต้วนหลิงเทียน!


 


“พี่หญิงพรสวรรค์รากวิญญาณของซือหลิงเป็นสีดำ และไม่เหลือพื้นที่ให้ยกระดับพัฒนาอีกแล้ว…ด้วยเหตุนี้พี่เทียนจึงกล่าวบอกท่านว่า จุดสูงุสดของพรสวรรค์รากวิญญาณคือรากวิญญาณสีดำ…”


 


เมื่อเห็นพี่สาวของนางแลดูน้อยเนื้อต่ำใจ เค่อเอ๋อก็เร่งอธิบายออกมาทันที


 


“อะไรนะ!? พรสวรรค์รากวิญญาณของซือหลิงเป็นรากวิญญาณสีดำงั้นเหรอ?!”


 


ได้ยินคำของเค่อเอ๋อ ก่านหรูเยี่ยนก็แผ่สำนึกเทวะออกมาอย่างไม่รู้ตัว หมายสำรวจพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนซือหลิงที่อยู่ลึกลงไปในดวงจิต…


 


ตอนนี้ต้วนซือหลิงก็นอนหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมแขนของต้วนหลิงเทียน


 


เช่นนั้นพอสัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะของก่านหรูเยี่ยนที่แผ่ออกมา ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่านางคิดทำอะไร


 


เดิมทีเขาก็คิดจะหยุดยั้ง แต่พอนึกได้ว่าก่านหรูเยี่ยนคงไม่คิดร้ายกับลูกสาวของเขา เขาก็ไม่หยุดนาง


 


“เป็นรากวิญญาณสีดำจริงๆด้วย…!”


 


หลังได้ตรวจสอบแล้ว ก่านหรูเยี่ยนก็ยืนยันได้ทันทีว่ารากวิญญาณของซือหลิงเป็นสีดำ


 


“ก็สมควรเป็นเช่นนี้จริงๆ…หากรากวิญญาณสีม่วงเข้มมันมีสีเข้มมากกว่านี้ย่อมกลายเป็นคล้ำลง สุดท้ายที่คล้ำที่สุดก็มีแต่สีดำเท่านั้น…”


 


ก่านหรูเยี่ยนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


“ว่าแต่…”


 


หลังถอนหายใจแล้ว ก่านหรูเยี่ยนก็หันไปมองเค่อเอ๋อสลับกับต้วนหลิงเทียนไปมา คิ้วนางตอนนี้เริ่มขดย่นเป็นปม กล่าวออกกับต้วนหลิงเทียนเสียงหนัก “เรื่องเค่อเอ๋อมีรากวิญญาณสีม่วงนั้นข้ารู้มานานแล้ว…แต่พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้า ก่อนที่มันจะเป็นสีม่วงเข้ม…สมควรมีสีอื่นใช่หรือไม่?”


 


“เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?”


 


ต้วนหลิงเทียนย่นคิ้ว เขาย่อมฟังออกว่าในคำพูดของก่านหรูเยี่ยนมีบางอย่างแฝงอยู่


 


“ข้ากำลังสงสัยอยู่ว่า…หากพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้ามันไม่ใช่สีม่วงตั้งแต่ตอนแรก เจ้ากับเค่อเอ๋อที่มีลูกด้วยกันในตอนนั้น ไฉนลูกของพวกเจ้าถึงได้มีรากวิญญาณสีดำได้เล่า?”


 


“เพราะสุดท้ายแล้วอย่างไรเสีย รากวิญญาณของเค่อเอ๋อเดิมก็มีแค่สีม่วงเท่านั้น”


 


ก่านหรูเยี่ยนกล่าว


 


พอได้ยินวาจาของก่านหรูเยี่ยน ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วเป็นปมทันที


 


หากก่านหรูเยี่ยนไม่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาเองก็ไม่ทันได้คิด


 


ใช่!


 


อย่างที่ก่านหรูเยี่ยนบอก หากคนสองคนที่มีรากวิญญาณสีม่วงมีลูกด้วยกัน ต่อให้ลูกจะเกิดมามากพรสวรรค์อย่างไร ก็ไม่น่าจะมีทางมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำไปได้!


 


เพราะสุดท้ายแล้ว พรสวรรค์รากวิญญาณ สมควรเป็นอะไรที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุด อย่างน้อยๆในบันทึกประวัติศาสตร์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็ไม่เคยมีบันทึกปรากฏว่ามีใครที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำมาก่อนเลย!!


 


“แต่พรสวรรค์รากวิญญาณของซือหลิงกลับมีสีดำ…เช่นนั้นก็หลงเหลือความเป็นไปได้แค่ 2 ทางเท่านั้น!”


 


ก่านหรูเยี่ยนกล่าวสืบต่อ “ประการแรกคือตอนที่พวกเจ้ามีลูกด้วยกันเป็นเพราะปาฏิหาริย์อะไรบางอย่าง ถึงทำให้ซือหลิงเกิดมามีพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำที่เป็นพรสวรรค์รากวิญญาณระดับสูงสุดได้”


 


“ประการที่สองเพราะ เค่อเอ๋อ เป็นเทพธิดากลับชาติมาเกิดอย่างที่ร่ำลือจริงๆ จึงทำให้ลูกของนางมีโอกาสมีพรสวรรค์รากวิญญาณแบบนี้ได้ ถ้าหากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงก็ไม่น่าแปลกอะไร”


 


วาจาประโยคท้ายของก่านหรูเยี่ยน ยกเรื่องเค่อเอ๋อเป็นเทพธิดากลับชาติมาเกิดขึ้นมาอ้างอิง


 


“เทพธิดากลับชาติมาเกิด? เหลวไหล ไร้สาระ!”


 


หลังก่านหรูเยี่ยนกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเรื่องราวออกมาทันที


 


ตอนที่เขาอยู่ในลัทธิบูชาไฟ เขายังได้รับข้อมูลมาจากผู้พิทักษ์คนอื่นๆมาเช่นกัน


 


ว่าเรื่องที่ธิดาเทพหรือเค่อเอ๋อเป็น เทพธิดากลับชาติมาเกิด นั้น…เป็นตัวจ้าวลัทธิบูชาไฟทึกทักไปเองคนเดียว!


 


คนอื่นๆไม่ว่าจะผู้พิทักษ์หรืออาวุโสระดับสูง ล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า…


 


เรื่องที่ธิดาเทพ เป็นเทพธิดากกลับชาติมาเกิดนั้น แค่เรื่องเหลวไหลสร้างภาพ!


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงกล่าวปฏิเสธก่านหรูเยี่ยนออกมา


 


“ข้าไม่คิดแบบนั้นนะ…”


 


ก่านหรูเยี่ยนส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวสืบต่อ “หากเจ้าจะบอกว่า…อวี่…เค่อเอ๋อ ไม่ใช่เทพธิดากลับชาติมาเกิดจริงๆ แล้วไฉนพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกเราฝาแฝดถึงได้ต่างกันนักเล่า? รากวิญญาณของนางไม่เพียงแต่เป็นสีม่วงยังเป็นสีม่วงเข้ม แต่ข้ากลับมีแค่รากวิญญาณสีครามเท่านั้น…”


 


“เจ้าคิดว่า…ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่เค่อเอ๋อเป็นเทพธิดากลับชาติมาเกิดเป็นความจริง ทุกอย่างจะสมเหตุสมผลหรอกหรือ?”


 


ก่านหรูเยี่ยนมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยทีท่าจริงจัง


 


และตอนนี้ก่านหรูเยี่ยนก็เริ่มจะเรียกเค่อเอ๋อ ว่าเค่อเอ๋อแล้ว ไม่เรียกชื่อเก่า


 


เพราะนางรู้ว่าน้องสาวนางชอบชื่อนี้มากกว่า


 


ได้ยินคำของก่านหรูเยี่ยน ต้วนหลิงเทียนก็พูดไม่ออกอีกรอบ


 


ใช่


 


หากไม่ใช่เพราะเรื่องเทพธิดากลับชาติมาเกิดเป็นความจริง ไฉนพี่น้องฝาแฝดกัน ถึงได้มีพรสวรรค์รากวิญญาณแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวแบบนี้?


 


“แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้ที่พรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อจะประสบกับการกลายพันธุ์อะไรบางอย่าง…เพราะแม้แต่บิดากับมารดาของพวกเรา คนหนึ่งก็มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีคราม อีกคนก็มีแค่รากวิญญาณสีน้ำเงินเท่านั้น…”


 


ก่านหรูเยี่ยนกล่าวสืบต่อ


 


“ตอนนี้กกล่าวไปสถานการณ์ของซือหลิงก็ละม้ายคล้ายคลึงกับเค่อเอ๋อนัก…พรสวรรค์รากวิญญาณของทั้งคู่ อาจบังเอิญเกิดการกลายพันธุ์อันใดเหมือนกัน….หรือไม่ก็ทั้งหมดเป็นเพราะเค่อเอ๋อคือเทพธิดากลับชาติมาเกิดจริงๆ!”


 


หลังก่านหรูเยี่ยนแจกแจงเรื่องราว นางก็ยกอ้างความเป็นไปได้ว่าต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อ อาจก่อให้เกิดลูกที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณกลายพันธุ์อย่างซือหลิง เหมือนกับกรณีของเค่อเอ๋อที่รากวิญญาณผิดเพี้ยนจากบิดามารดาไปมาก


 


หากแต่แม่กับลูกสาว…จะบังเอิญพบพานเรื่องประหลาดเช่นนี้พร้อมกันแน่หรือ?


 


ก่านหรูเยี่ยนพูดเรื่องนี้ออกมา ต้วนหลิงเทียนย่อมใจสั่นไปไม่น้อย


 


หากให้กล่าวตามความสัตย์จริง


 


เรื่องกลับชาติมาเกิดนั้น…เขาเชื่อว่ามันมีอยู่จริงแน่นอน!


 


เพราะในระดับหนึ่ง เขาก็เสมือนกลับชาติมาเกิด!


 


ในชาติที่แล้วเขาเป็นราชันทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ต่อมาเพราะถูก ‘ขาย’ จึงพบพานกับกับดักจนตาย ทว่าวิญญาณของเขากลับข้ามมายังโลกใบนี้อย่างไม่รู้สาเหตุ จนได้เข้าร่างต้วนหลิงเทียน เสมือนได้เกิดใหม่…


 


อย่างไรก็ตามเรื่องราวเทพธิดากลับชาติมาเกิดของเค่อเอ๋อ เขาได้ยินมาว่าเป็นถังซวนทึกทักไปเองคนเดียว แต่คนอื่นๆในลัทธิบูชาไฟไม่มีใครเห็นด้วยสักคน


 


กล่าวได้ว่า เรื่องนี้ส่งผลต่อการตัดสินใจของต้วนหลิงเทียนในระดับหนึ่ง


 


ทว่าพอมาฟังวาจาดังกล่าวของก่านหรูเยี่ยน ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสับสน เพราะไม่รู้ว่าจะเชื่ออย่างไหนดีกันแน่


 


ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งปวดหัว


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะคิดมันให้มากความ


 


‘ไม่ว่าเค่อเอ๋อจะเป็นเทพธิดากลับชาติมาเกิดอะไรหรือไม่ แต่นางก็เป็นภรรยาของข้าต้วนหลิงเทียน…นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้!’


 


‘เช่นเดียวกับซือหลิง ต่อให้นางจะมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำอันเป็นรากวิญญาณสูงสุดหรืออะไรก็ช่าง แต่นางก็คือลูกสาวของข้าต้วนหลิงเทียน!!’


 


ขณะพึมพำในใจ สองตาต้วนหลิงเทียนก็เผยประกายสว่างวาบ


 


หลังยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของก่านหรูเยี่ยนให้เป็นสีม่วงเข้มเสร็จแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงตระเวนหาครอบครัวไปทั่วทวีปมนุษย์ทวีปสุดท้าย เพราะเขายังไปไม่ทั่วและที่สำคัญยังเหลือปีศาจให้ฆ่าอีกมาก!


 


‘กวาดล้างพวกปีศาจต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะสำรวจทั่วทั้งทวีป…ยังต้องตรวจสอบให้ดีว่าตอนนี้พวกท่านพ่อท่านแม่กับเสี่ยวเฟยเอ๋ออยู่ในทวีปมนุษย์แห่งนี้หรือไม่!’


 


คิดได้ดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็หอบหิ้วภรรยา ลูกสาวรวมถึงก่านหรูเยี่ยนเหินสำรวจไปทั่วทุกที่ๆยังไม่ได้ไปในทวีปมนุษย์


 


ปีศาจที่พบเจอตามรายทางต้วนหลิงเทียนก็ฆ่าไม่ละเว้น ดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันมายกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงเข้มของเขา


 


น่าเสียดาย ที่ช่องว่างระหว่างรากวิญญาณสีม่วงเข้มกับสีดำมันมหาศาลเกินไป


 


ถึงแม้ตอนนี้รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนจะเป็นสีม่วงเข้ม ที่เข้มมากๆแล้ว แต่ก็ยังเหลือหนทางอีกยาวไกลกว่ามันจะกลับกลายเป็นรากวิญญาณสีดำ


 


จุดนี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ชัดใจ หลังจากไปทั่วทุกซอกทุกมุมของทวีปมนุษย์แห่งนี้


 


นั่นเพราะเขายังไม่ได้เข้าใกล้ขีดจำกัดอย่างพรสววรรค์รากวิญญาณสีดำเลย!


 


“ตอนนี้พวกเราตระเวนหาไปทั่ว 3 ทวีปมนุษย์แล้ว แต่ยังไม่มีเบาะแสหรือร่องรอยพวกท่านพ่อท่านแม่กับเสี่ยวเฟยเอ๋อเลย…เช่นนั้นต่อไปพวกเราจะเริ่มตระเวนหาในทะเล เพราะทุกคนอาจซ่อนตัวอยู่ในเกาะใดเกาะหนึ่งบนทะเลก็เป็นได้!”


 


คิดได้ดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็นำพาทั้ง 3 เหินออกจากทวีปมนุษย์ และท่องไปทั่วทะเลที่คั่นระหว่างทวีปมนุษย์ทั้ง 3 กับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


มหาสมุทรนั้นช่างกว้างใหญ่สุดไพศาลนัก แม้จะเทียบไม่ได้กับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทั้งหมด หากแต่พื้นที่มหาสมุทรก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพื้นที่ของทวีปมนุษย์ทั้ง 3 ทวีปรวมกันเลย


 


ผ่านพ้นไปครึ่งปี ต้วนหลิงเทียนก็พาทุกคนตระเวนไปตามพื้นที่ทะเลต่างๆอย่างไม่รู้เหนื่อย


 


ในระหว่างทางยังพบเกาะที่มีปีศาจอาศัยอยู่มากมาย


 


ปีศาจเหล่านี้ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าปีศาจที่เขาพบเจอในทวีปมนุษย์ทั้ง 3 ไม่น้อย!


 


กลับกันพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันก็มีระดับสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด


 


ดังนั้นหลังจากผ่านไปอีกครึ่งปี ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะเข้าใกล้ขีดจำกัดพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำ


 


ระยะทางที่ห่างจากพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำ ยังห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว!


 


‘อีกแค่ไม่กี่ก้าวข้าก็จะเห็นประตูนำไปสู่รากวิญญาณสีดำแล้ว…เมื่อบรรลุได้ รากวิญญาณของข้าก็จะพัฒนาเป็นสีดำได้อย่างราบรื่น…ที่สำคัญดูเหมือนรากวิญญาณสีดำจะไม่มีความแตกต่างอะไร ไม่มีดำเข้มดำอ่อน!’


 


‘ดูจากสีรากวิญญาณของข้าตอนนี้มันก็เริ่มดำลงบ้างแล้ว หากเข้มขึ้นกว่านี้จนไม่เหลือความสว่างอะไร…มันก็จะกลายเป็นดำสนิทเหมือนกันกับรากวิญญาณของซือหลิง!’


 


หลังตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความฮึกเหิมไม่น้อย


ตอนที่ 2,246 : ความทะเยอทะยานของต้วนหลิงเทียน


 


‘อยากรู้นักว่าหากรากวิญญาณของข้ามันกลายเป็นสีดำสนิท แล้วความเร็วในการบ่มเพาะมันจะมหาศาลแค่ไหน! ข้าล่ะอยากเห็นวันนั้นเต็มที!’


 


หลังกล่าวในใจ สองตาต้วนหลิงเทียนก็เผยประกายจ้าราวเพลิงไฟ แลดูเร่าร้อนปานจะผลาญเผาโลกได้ทั้งใบ


 


ถึงแม้ตอนนี้ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาจะสูงกว่าตอนที่รากวิญญาณเป็นสีม่วงเข้มไปแล้ว


 


หากแต่มันยังไม่พัฒนาไปสู่อีกระดับหนึ่งอย่างสมบูรณ์ ความเร็วจึงยังมีจำกัด


 


ตอนนี้ระยะห่างจากการที่รากวิญญาณเขาจะกลายเป็นสีดำ มันก็แค่ก้าวเดียวเท่านั้น…ทว่าหนึ่งก้าวนี้ประหนึ่งหุบเหวกว้างใหญ่ไร้ทางข้าม


 


หากต้วนหลิงเทียนไม่อาจข้ามไปได้ ก็เสมือนรากวิญญาณของเขามีสีม่วงเข้มเท่านั้น


 


แต่หากข้ามไปได้พรสวรรค์รากวิญญาณของเขาก็จะกลายเป็นสีดำอย่างสมบูรณ์ และพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของเขาคงไม่พ้นได้รับความเปลี่ยนแปลงเสมือนไก่บ้านกลับกลายเป็นหงส์ฟ้า! ทะยานสู่สวรรค์!!


 


ส่วนมันจะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นขนาดไหน ต้องบรรลุถึงจึงทราบ!


 


“น่าเสียดาย ที่จนป่านนี้แล้วข้ายังไม่ได้เบาะแสของพวกท่านพ่อกับคนอื่นๆเลย…”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างอับจน หลังละความสนใจจากรากวิญญาณในตัว


 


ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา เขาตระเวนไปทั่วท้องทะเล พบพานเกาะน้อยใหญ่มากมาย เข่นฆ่าปีศาจไปจนไม่อาจนับได้ พยายามมองหาเบาะแสครอบครัวอย่างแข็งขัน


 


อนิจจาผ่านไปครึ่งปีก็แล้ว แต่กลับไร้เบาะแสใดๆ


 


‘ตอนนี้ก็ออกมาจากเมืองเหรินโม่เชิ่งครบปีแล้ว…ไม่รู้สถานการณ์ของภูมิภาคเบื้องล่างมันเป็นยังไงบ้าง?’


 


ไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเมืองเหรินโม่เชิ่งมาหนึ่งปีเต็มๆ


 


ครึ่งหนึ่งนั้นเขาใช้มันในการตระเวนหาไปทั่วทวีปมนุษย์ทั้ง 3


 


ส่วนอีกครึ่งเขาใช้มันไปกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่


 


ตลอดเวลาที่ผ่าน ต้วนหลิงเทียนก็กวาดล้างเผ่าพันุ์ปีศาจทั่วทวีปมนุษย์ทั้ง 3 รวมถึงปีศาจร้ายกาจมากมายที่อาศัยอยู่ตามเกาะน้อยใหญ่ในทะเล เรียกว่าพวกมันตายตกนับไม่ถ้วน!


 


กระทั่งเขาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของพวกมันไปบางเผ่าแล้วด้วยซ้ำ!


 


แต่แน่นอนว่าพวกปีศาจเหล่านี้ ก็เป็นพวกปีศาจชั้นต่ำในแดนเนรเทศ


 


หากจับพวกมันมาเทียบกับเผ่าปีศาจทั้งหมด ก็ต่ำต้อยเสียจนไม่คู่ควรให้กล่าวถึง


 


เช่นนั้นการตายของพวกมันก็ไม่ได้แรงกระเพื่อมใดๆต่อภาพรวมเผ่าปีศาจ


 


“พวกเรากลับไปทวีปดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากันก่อน”


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็พาทุกคนกลับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างทันที “เนื่องจากพวกท่านพ่อท่านแม่กับเสี่ยวเฟยเอ๋อไม่ได้อยู่ในทวีปมนุษย์กับในทะเล…เช่นนั้นมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือทุกคนยังซ่อนตัวอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง”


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงนำทุกคนกลับ


 


และในระหว่างที่ต้วนหลิงเทียนกำลังพาทุกคนเดินทางกลับนั้น


 


ไม่ว่าจะในท้องทะเลหรือทวีปมนุษย์ทั้ง 3 เหล่าปีศาจจำนวนมากที่ไหวตัวทัน หรือบังเอิญรอดพ้นจากการกวาดล้างมาได้อย่างฉิวเฉียด ก็หลบหนีออกมาจากทวีปมนุษย์รวมถึงท้องทะเลกลับมาทวีปหลัก…ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างด้วยความตื่นตระหนก!


 


หลังจากพวกมันกลับมาถึงภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว พวกมันก็เริ่มแพร่ข่าวอันน่าประหลาดใจนี้ออกไปทั่ว “ยอดฝีมือมนุษย์อันร้ายกาจ ได้กวาดล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจทั่วทวีปมนุษย์และทะเล กระทั่งบางเผ่าพันธุ์ยังล่มสลายลงไปแล้ว!”


 


แต่แม้ข่าวนี้จะแพร่ออกมา มันก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมาย


 


ฟังจากคำพูดของปีศาจทรงพลังบางตน


 


“ยอดฝีมือมนุษย์ร้ายกาจอันใด ถึงได้ไปรังแกพวกปีศาจปลายแถวเช่นนั้น? หากแน่จริงก็มาที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้เถอะ!”


 


ยิ่งปีศาจที่แข็งแกร่งกว่านั้นยังเกทับมาว่า


 


“ยอดฝีมือร้ายกาจหรือ? ขอให้เจ้ายอดฝีมือมนุษย์ผู้นั้นไสหัวมาที่นี่เถอะ บิดาจะให้มันมาแล้วไม่ได้กลับ!!”


 


กว่าข้อความเหล่านี้จะมาถึงหูต้วนหลิงเทียน


 


ต้วนหลิงเทียนก็พาทุกคนกลับมาถึงเมืองเหรินโม่เชิ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์เรียบร้อยแล้ว


 


“โฮ่? ตราบใดที่ข้ามาที่นี่แล้วข้าจะไม่ได้กลับงั้นเหรอ?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนส่องสว่างฉายแววเย้ยหยันออกมา


 


ด้วยความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ เกรงว่าเหล่าปีศาจใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน…เขาไม่กลัวหน้าไหนจริงๆ!


 


กระทั่งต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับปีศาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจริงๆ หากรู้ตัวก่อนและมีเวลาให้เขาเตรียมตัวเขาก็ไม่กลัว!


 


ที่สำคัญเขายังมีตราผนึกมาร! ด้วยยอดศาสตราเซียนดาวข่มเผ่าพันธุ์ปีศาจในมือ หากเตรียมตัวพร้อมแต่แรก เขาไม่กลัวปีศาจที่พลังฝึกปรือต่ำกว่าครึ่งก้าวเซียนอมตะแน่นอน!


 


หากไม่มีเวลาให้เขาเตรียมตัว แต่ด้วยมีตราผนึกมาร ถึงแม้เขาจะไม่อาจจัดการกับปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะได้ ทว่าเหล่าปีศาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั่วไปที่ไม่ใช่ชนชั้นยอดฝีมือก็ยากจะรอดพ้นความตาย!


 


‘ทั้งหมดเพราะตราผนึกมารมันไม่สมบูรณ์ หากข้าเจอชิ้นส่วนที่แหว่งหายไปล่ะก็…’


 


‘ขอเพียงตราผนึกมารมันกลับมามีสภาพสมบูรณ์ และด่านพลังข้าทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน! ตอนนั้นต่อให้เป็นปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะก็ไม่แน่ว่าจะรอดพ้นเงื้อมมือข้าได้!’


 


คิดถึงจุดนี้สองตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายระยิบระยับปานดวงดาวยามค่ำคืน


 


‘ตลอดปีที่ผ่านมาแม้จะไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลัง แต่ก็ไม่ได้ว่างเว้นการบ่มเพาะ…ตอนนี้พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่าง มันห่างจากขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น’


 


‘ถึงแม้พรสวรรค์รากวิญญาณของข้าจะยังไม่ทันเปลี่ยนเป็นสีดำ…แต่ภายในเวลาหนึ่งเดือน ย่อมสามารถทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้แน่’


 


‘ถึงตอนนั้น…ข้าจะไปเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจร!’


 


ก่อนหน้านี้ในระหว่างที่เดินทางกลับมายังเมืองเหรินโม่เชิ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ได้วางแผนสำหรับก้าวต่อไปเอาไว้แล้ว


 


หลังจากที่พลังฝึกกปรือเขาบรรลุเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน เขาจะเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจร 1 ใน 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจมนุษย์ และเอาตำแหน่งผู้อาวุโสมาครอง ก่อนจะหาทางยึดอำนาจพวกมันทั้งวัง!


 


ต้องกล่าวเลยว่าความทะเยอทะยานของต้วนหลิงเทียนนั้นน่ากลัวมาก


 


เป้าหมายของเขาคือยึดวังเซียนสัญจรเป็นของตัวเอง และทำให้วังเซียนสัญจรเป็นกองกำลังภายใต้การสั่งการณ์ของเขา


 


‘หากข้ายึดอำนาจวังเซียนสัญจรได้แล้ว ไม่เพียงแต่การค้นหาพวกท่านพ่อท่านแม่กับเสี่ยวเฟยเอ๋อจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น…แต่จะยังส่งผลต่อสงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจอีกด้วย ในจังหวะสำคัญถ้านำพาวังเซียนสัญจรให้ก่อกบฏต่อเผ่าปีศาจได้ล่ะก็…อย่างน้อยๆก็ต้องช่วยผู้คนได้มากขึ้น!’


 


นี่คือเป็นความตั้งใจของต้วนหลิงเทียน และเป้าหมายในการยึดครองวังเซียนสัญจร


 


‘จ้าววังนั่นเห็นว่าเป็นยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน แถมยังไม่ใช่ยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนธรรมดาๆ…แต่อย่างไรเสียหลังข้าทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้ว อาศัยตราผนึกมารก็อาจจะฆ่ามันได้…’


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเผยความมั่นใจออกมาให้เห็นเด่นชัด


 


และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็พาสตรีทั้ง 3 มานั่งในเหลาอาหารใหญ่โตแห่งหนึ่ง ยังเลือกใช้ห้องส่วนตัวที่อยู่ใกล้ทางเดินหลัก


 


ด้วยห้องส่วนตัวอยู่ใกล้ทางเดินหลัก และถัดไปเป็นโต๊ะรวม เขาย่อมเงี่ยหูฟังเรื่องราวภายนอกได้ชัดเจน


 


ตอนนี้นอกจากกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในทวีปมนุษย์ทั้ง 3 รวมถึงเกาะแก่งทั้งหลายในทะเลแล้ว เหล่าปีศาจยังพูดคุยถึงเรื่องชนชั้นอัจฉริยะของขุมพลังชั้นสูงที่ตกตายในมรดกสถานที่คาดกันว่าเป็นของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์! พวกมันยังสงสัยกันว่าเป็นฝีมือของวังเซียนสัญจร!!


 


‘คิดไม่ถึงจริงๆว่ากระทั่งผ่านไปหนึ่งปีแล้วเรื่องนี้จะยังไม่เงียบ’


 


ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาเบาๆ สายตาเผยความผิดคาดอยู่บ้าง ‘แต่ก็กะไว้แล้วเชียวว่าพวกมันไม่พ้นต้องสงสัยคนของวังเซียนสัญจรแน่ๆ’


 


สาเหตุที่ทำให้พวกมันทั้งหมดสงสัยแบบนี้ เพราะในบรรดาคนของวังเซียนสัญจร มีแค่นายน้อยสวะ 3 คนที่ตกตายหน้าทางเข้ามรดกสถานเท่านั้น คนอื่นๆกลับรอดตายทั้งหมด…


 


มีเพียงคนของวังสัญจรอย่างเดียวที่เข้าไปในมรดกสถานแล้วกลับออกมาได้ทั้งยังมีชีวิต ทว่าคนอื่นตายตกหมดสิ้น…


 


ขอเพียงเป็นคนปกติไม่ว่าใครก็ต้องสงสัยทั้งนั้น


 


อย่างไรก็ตาม ต่อให้พวกมันสงสัยกันให้ตาย แต่เมื่อไร้ซึ่งหลักฐาน  อีก 2 วังรวมถึง 6 ตำหนักก็ไม่กล้าเปิดฉากโจมตีวังเซียนสัญจร


 


‘ดูเหมือนว่าพวกปีศาจมนุษย์ที่ข้าฆ่าในมรดกสถานจะมีพวกตัวตนสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว…นี่มันก็ปีกว่าแล้วแต่พวก 2 วัง 6 ตำหนักนั่นยังตามสืบเรื่องราวกันไม่เลิก’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กังวลเลยว่าคนของ 2 วัง 6 ตำหนักจะเจอตัวเขา


 


ตราบใดที่ หวงเหวินจิ้ง ของวังเซียนสัญจรไม่พูดอะไร ย่อมไม่มีใครสงสัยเอะใจว่าเป็นเขา!


 


ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้คนของ 2 วัง 6 ตำหนักเจอตัวเขาจริง แต่ขอเพียงเขามีเวลาตั้งตัวแล้วจะยังไง?


 


‘ยังไงก็แล้วแต่ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือต้องทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนก่อน…มีเพียงทะลวงผ่านแล้ว ข้าถึงจะมีพลังมากพอจะเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจรแล้วหาทางยึดอำนาจพวกมันได้’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็กระตือรือร้นอยากกลับไปบ่มเพาะพลังนัก


 


เช่นนั้นหลังจากซือหลิงกินอิ่มแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาทั้งหมดไปหาโรงเตี๊ยมที่พักทันที


 


โรงเตี๊ยมที่พักที่เขาเลือก ก็เป็นที่เดิมอันเป็นกิจการของวังอัคคีสีชาด 1 ใน 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจ นับว่ามีความปลอดภัยสูงมาก


 


แน่นอนว่าก่อนที่จะกลับมายังเมืองเหรินโม่เชิ่ง ต้วนหลิงเทียนก็แวะเข่นฆ่าปีศาจไปมากมายหลายตัว ดูดกลืนปราณมารของพวกมันมาฉาบไว้ใต้ผิวเขากับทุกคนเรียบร้อย ป้องกันไม่ให้ฐานะถูกเปิดเผย


 


หากฐานะถูกเปิดเผยล่ะก็ ไม่พ้นได้เป็นศัตรูร่วมของเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้งหมดแน่!


 


ด้วยความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนคนเดียวในตอนนี้ เขายังไม่อาจรับมือกับเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้งหมดได้!


 


“เค่อเอ๋อ ข้าปิดด่านบ่มเพาะรอบนี้ไม่น่าจะเกินหนึ่งเดือน…ระหว่างนี้พวกเจ้าอย่าได้ออกไปไหนกันเล่า”


 


ก่อนที่จะปิดด่านบ่มเพาะ ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ลืมกำชับพวกเค่อเอ๋อเอาไว้


 


“เข้าใจแล้วพี่เทียน”


 


เค่อเอ๋อย่อมพยักหน้ารับคำอย่างเชื่อฟัง


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่นั้น…


 


ฟู่บ!!


 


ปรากฏร่างหนึ่งพุ่งทะยานออกมาดั่งสายลม ปรากฏตัวขึ้นบริเวณที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามแดนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างในกาลก่อน


 


“ในที่สุดข้าก็กลับมาได้เสียที!”


 


เป็นชายหนุ่มในชุดสีคราม หว่างคิ้วละม้ายคล้ายคลึงกับต้วนหลิงเทียน! และที่แท้มันก็คือต้วนหรูเฟิง ที่เข้าสู่อาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพไปเมื่อปีที่แล้วนั่นเอง!!


 


วันนั้นต้วนหรูเฟิงที่เข้าสู่ประตูมิติของอาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพ ไม่เพียงหนีรอดเงื้อมมือจ้าววังวิญญาณอสุราไปได้ กระทั่งยังทะลุมิติไปโผล่ในดินแดนเนรเทศอีกด้วย!


 


ดินแดนเนรเทศย่อมเป็นสถานที่แปลกใหม่สำหรับต้วนหรูเฟิง ไม่มีความคุ้นเคยโดยสิ้นเชิง!


 


นอกจากนั้นด้วยความที่ปีศาจส่วนใหญ่ก็พากันแห่มายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง ทำให้ที่ทางช่างเปลี่ยวร้าง ไปทางไหนก็แทบไม่เจอปีศาจให้เค้นความ


 


เช่นนั้นต้วนหรูเฟิงจึงต้องลำบากลำบนหาหนทางอยู่ตลอดทั้งปีเต็มๆ กว่าจะหาทางกลับมายังภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้…


ตอนที่ 2,247 : 7 ทวาราเที่ยงแท้ปรากฏ!


 


ปีที่แล้วทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องบน ประหนึ่งจะถูกสั่นคลอนไปทั้งแดนดินด้วยน้ำมือของต้วนหลิงเทียน!


 


ชายหนุ่มผู้ร้ายกาจ ที่อายุยังไม่ทันถึง 50 ปี หากแต่พลังฝีมือกลับกล้าแข็งถึงขั้นได้รับการยอมรับทั่วทั้งแดนดินว่าเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่ผู้คนของภูมิภาคเบื้องบนกำลังเฝ้ารอให้ยอดอัจฉริยะผู้นั้นเฉิดฉายก่อเรื่องราวอีกครั้ง…


 


อยู่ๆคนก็หายไป…


 


บ้างก็ลือกันว่าตอนนี้ยอดฝีมือหนุ่มกำลังปิดด่านเพื่อกำลังทะลวงฝ่าขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


บ้างก็ลือกันว่าอัจฉริยะเช่นนี้สมควรทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนไปแล้ว กระทั่งกำลังเตรียมตัวเฝ้ารอหายนะทัณฑ์สวรรค์ เพื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะ!


 


แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร สุดท้ายตลอดปีที่ผ่านคนก็หายเข้ากลีบเมฆ เงียบเชียบไร้เรื่องราว


 


กาลเวลาหนึ่งปีนั้นไม่ได้นานอะไร แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสั้น


 


ถึงแม้ผู้คนในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเซียนเต๋าจะไม่ถึงขั้นลืมคน แต่บทสนทนาที่กล่าวถึงก็ค่อยๆซาและจางหายไป


 


หากทว่า ปีนี้ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็ไม่ใช่ว่าจะสงบนัก


 


นั่นเพราะมีขุมพลังเก่าแก่หนึ่ง ได้หวนกลับคืนสู่โลกหล้าอีกครั้ง


 


ขุมพลังดังกล่าวเรียกว่า 7 ทวาราเที่ยงแท้! เป็นขุมหลังที่กาลครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!!


 


“ว่ากันว่าในยุคที่ 7 ทวาราเที่ยงแท้รุ่งเรืองที่สุด…กระทั่ง 3 ขุมพลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเราอย่าง 3 ลัทธิ ยังต้องหันมาผนึกกำลังกันเพื่อความอยู่รอด!”


 


สำหรับเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น หลายคนล่วงรู้มาไม่น้อย


 


“อะไรนะ 3 ลัทธิจำต้องผนึกกำลงกันรับมือ 7 ทวาราเที่ยงแท้เลยหรือ…เรื่องนี้จริงหรือหลอก? หากจริงนี่มันจะไม่น่าเหลือเชื่อไปหน่อยหรือไร?”


 


มีมากหน้าหลายตานักที่ตั้งคำถามดังกล่าว


 


เพราะสุดท้ายแล้วในยุคสมัยนี้ ทุกคนรู้กันว่า 3 ลัทธิคือมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ที่ไร้ผู้ใดสั่นคลอนได้


 


เรียกว่าไร้ขุมพลังเดี่ยวใดๆที่สามารถทัดทาน 1 ใน 3 ลัทธิได้เลย กระทั่งต่อให้ผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกันแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ไหว…


 


ทว่าตอนนี้กลับมีคนบอกว่า กาลครั้งหนึ่ง 7 ทวาราเที่ยงแท้ถึงกับมีพลังสามารถทำให้ 3 ลัทธิจำต้องผนึกกำลังกันหนีตาย?


 


พวกมันจะไปเชื่อลงคอได้อย่างไร!?


 


“หลอก? เหลือเชื่อ?”


 


เมื่อเผชิญกับข้อสงสัยและความแคลงใจของคนส่วนใหญ่ ผู้รู้ไม่กี่คนได้แต่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม


 


และในเวลานี้ผู้ที่พอมีความรู้เรื่องราว ก็เผยภูมิประกาศกล่าวออกมาอย่างดุเดือด “พวกเจ้านับว่าแน่จริงๆ ถึงขั้นกล้าตั้งคำถามกับพลังขั้นสูงอย่าง 7 ทวาราเที่ยงแท้! ว่าแต่พวกเจ้าหาญกล้าตั้งคำถามถึงพลังฝีมือสุดหยั่งของใต้เท้าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางหรือไม่เล่า?”


 


เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!


 


พอได้ยินนามนี้ หลายคนในภูมิภาคดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ!


 


กระทั่งคนของ 3 ลัทธิก็ไม่เว้น!


 


หากจะกล่าวว่า…


 


ในประวัติศาสตร์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มีผู้ใดที่สามารถเป็นที่กล่าวขาน ทิ้งนามระบือลือลั่นให้สืบทอดข้ามเวลามาได้ถึง 10,000 ปีบ้างล่ะก็…


 


เกรงว่าทั้งใต้หล้าจะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น…เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!


 


ในตำนานกล่าวไว้ว่า เซียนกระบี่ฟงชิงหยางผู้นี้ 1 คน 1 กระบี่สามารถกวาดสะท้านไปทั่วแดนดินอย่างไร้ผู้ต้าน!


 


และในยุคสมัยนั้นไม่ใช่แค่เพียงมีพลังฝีมือร้ายกาจเท่านั้น แต่ยังร้ายกาจสุดขั้วอีกด้วย!


 


เพราะตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถเข่นฆ่าตัวตนขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะได้ ทั้งๆที่ยังไม่ทันทะลวงถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะ!


 


และบุคคลผู้นั้นก็คือ เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!


 


“ลือกันว่า…ในยุคสมัยนั้น ก่อนที่ใต้เท้าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางจะก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์ทลายฟ้าสู่ระนาบเทวโลก ตัวตนขอบเขตครึ่งก้าวเซียนสวรรค์ที่ตกตายด้วยน้ำมือท่าน แม้จะไม่ถึงสองหลัก…ทว่าแทบทั้งหมดล้วนตกตายในกระบี่เดียว!!”


 


ตำนานของเซียนกระบี่ฟงชิงหยางนั้นเรียกว่าเลื่องลือสืบทอดต่อกันมาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหลายต่อหลายชั่วอายุคน


 


ดังนั้นต่อให้เป็นดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าในยุคสมัยนี้ ก็มีน้อยคนนักที่ไม่รู้จักเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!


 


เพียงเพราะ ‘วีรกรรม’ ที่ก่อไว้ช่างน่าทึ่งอย่างยิ่ง!


 


สถิตินี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถทำลายได้!


 


“เรื่องราวที่เคยบันทึกไว้…ว่าเป็นอะไรที่ร้ายกาจยากหาใดเสมอเหมือนของใตเท้าเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง เห็นจะเป็นการประมือกับครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้งๆที่พลังฝึกปรือยังไม่บรรลุถึงขั้นนั้น…และผลการประมือก็คือการร่วงหล่นของครึ่งก้าวเซียนอมตะ!”


 


“ข้าเองก็ได้ยินเรื่องราวการต่อสู้นั่นมาเช่นกัน…ว่ากันว่าใต้เท้าเซียนกระบี่อาศัยเพียง 2 กระบี่เท่านั้นก็ดับชีพครึ่งก้าวเซียนอมตะได้แล้ว!”


 


“อาศัยพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนกลับสังหารตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะได้ใน 2 กระบี่…การต่อสู้ครั้งนั้นนับว่าเป็นการต่อสู้ที่อัศจรรย์ที่สุดในแดนดินของพวกเรา กระทั่งยังจะเป็นตำนานเล่าขานต่อไปอีกยาวนาน”


 


“มิผิด แม้วันเวลาจะล่วงเลยมาหมื่นปีแล้ว แต่นามเซียนกระบี่ยังสืบทอดต่อมาให้ชนรุ่นหลังได้รับทราบ ยังดังสนั่นประหนึ่งฟ้าร้องไม่เปลี่ยน!!”


 



 


ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ขอเพียงเป็นชนชั้นอาวุโสที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปี หรือคนของขุมพลังที่มีประวัติยาวนานสักหน่อย ย่อมรู้ซึ้งถึงตำนานของเซียนกระบี่ฟงชิงหยางดี


 


ไม่มีใครไม่รู้ว่าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางในขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน อาศัยการลงมือแค่ 2 กระบี่ สามารถสังหารครึ่งก้าวเซียนอมตะลงได้!


 


เรียกว่าการประลองครานั้น ทั้งคู่ต่างเตรียมตัวพร้อมเต็มที่ ต่างลงมือกันด้วยพลังฝีมือสูงสุด ทว่าผลกกลับออกมาค้านสายตาผู้คน…ไม่มีการประมือข้ามวันข้ามคืน ทุกสิ่งอย่างจบลงในชั่วลมหายใจเดียว!


 


ด้วยเหตุนี้การต่อสู้ดังกล่าวจึงสามารถเป็นตำนานเล่าขานต่อมาได้นับหมื่นปี


 


และเพราะการต่อสู้ครั้งนั้น คนรุ่นหลังจึงได้รู้…


 


ว่ากาลครั้งหนึ่งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเคยปรากฏผู้ฝึกกระบี่ที่เข้มแข็ง ทรงพลังอย่างไร้คู่เปรียบ!


 


“ก่อนที่ใต้เท้าเซียนกระบี่จะขึ้นสวรรค์…ใต้เท้าเซียนกระบี่ก็คือผู้นำของ 7 ทวาราเที่ยงแท้”


 


ทันทีที่ข้อความดังกล่าวแพร่ออกมา ก็สร้างความตื่นตัวให้ทั้งภูมิภาคเบื้องบน!


 


“อันใด!? ใต้เท้าเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง เคยเป็นผู้นำของ 7 ทวาราเที่ยงแท้งั้นเหรอ!?”


 


“นี่…เรื่องนี้ ข้าพเจ้าพึ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก!”


 


“ว่ากันว่าในยุคสมัยนั้น สาเหตุที่ 7 ทวาราเที่ยงแท้สามารถสะกด 3 ลัทธิได้ทุกทาง จนแทบไม่อาจโงหัวขึ้นมาได้…ล้วนเป็นเพราะพลังฝีมือไร้คู่เปรียบของใต้เท้าเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!”


 


“หากใต้เท้าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางเป็นผู้นำของ 7 ทวาราเที่ยงแท้จริงๆ ข้าจึงเชื่อว่า 7 ทวาราเที่ยงแท้สามารถบีบคั้น 3 ลัทธิให้หันมาร่วมมือกันเอาตัวรอด!”


 


“ใช่! หากเป็นเช่นนั้นข้าเองก็เชื่อ”


 


“เหอะๆ อาศัยพลังฝีมือส่วนตัวของใต้เท้าเซียนกระบี่…หากท่านบังเกิดจิตอำมหิตไร้ปราณีขึ้นมา ข้ากลัวว่าทั้ง 3 ลัทธิได้ถูก คนๆเดียวกวาดล้างจนสิ้นซากแน่!!”


 


“นั่นสิ ข้าก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”


 



 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะหายตัวไป ภูมิภาคเบื้องบั่นสะท้านไปเพราะวีรกรรมของเขา


 


ทว่า 1 ปีหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนหายไป ภูมิภาคเบื้องบนพลันสะท้านไปเพราะ 7 ทวาราเที่ยงแท้


 


และเหตุผลที่ภูมิภาคเบื้องบนสะท้านไปเพราะ 7 ทวาราเที่ยงแท้นั้น…


 


เพราะในปีที่ผ่าน ปรากฏยอดฝีมือจาก 7 ทวาราเที่ยงแท้ขึ้นมาในภูมิภาคเบื้องบน แต่ละคนได้ท้าทายชนชั้นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในแดนดิน


 


“ข้า กู่ลี่ ผู้สืบทอด ทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 3 จอมเผด็จการ! ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้!!”


 


ยอดฝีมือรุ่นเยาว์นามกู่ลี่ ได้ปรากฏตัวขึ้นในเขตขุมพลังชั้น 1 ขุมหนึ่ง ก่อนที่จะเอาชนะผู้นำขุมพลังชั้น 1 ดังกล่าว ช่วงชิงอันดับที่ 39 ในรายนามยอดเซียนมาได้อย่างไร้ข้อกังขา


 


หลังจากเอาชนะผู้นำขุมพลังนั้นได้แล้ว คนก็ทิ้งนามเอาไว้แล้วจากไป


 


ตั้งแต่นั้นมาชื่อของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ก็เริ่มแพร่กระจายออกไปทั่ว


 


“เย่วอู๋หยิ่ง ผู้สืบทอด เงาทมิฬ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 4 ของ 7ทวาราเที่ยงแท้…”


 


เหนือน่านฟ้านิกายเทียนหวู่ ปรากฏเสียงเล็กแหลมปานอิสตรีดังขึ้น ตอนแรกคนลัทธิชะตาฟ้าก็ไม่ทราบว่าคืออะไร ไฉนอยู่ๆมีคนมาประกาศนาม…แต่พอสืบไปสืบมาจึงได้รู้ว่า ปุโรหิต ขอบเขตพลังเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน ได้ถูกสังหารคาที่พักโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยสักคน!


 


เรียกว่าพริบตา ทั้งลัทธิชะตาฟ้าก็บังเกิดความโกลาหลยกใหญ่!


 


เร้าใจ!


 


เดือดดาล!


 


อารมร์ของพวกมันนั้นสับสนปนเปนัก แต่เรียกได้ว่าลัทธิชะตาฟ้าได้ถือให้ 7 ทวาราเที่ยงแท้เป็นศัตรูคู่ฟ้าทันที!


 


คนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้นั่น…หาญกล้าเข้ามาลอบสังหารปุโรหิตของพวกมันถึงถิ่น! เรื่องราวเช่นนี้นับว่าฉีกหน้าลูบคมพวกมันอย่างถึงที่สุด!!


 


โม่เชวียน มหาปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้าบังเกิดโทสะถึงขีดสุด มันที่เดือดดาลถึงกับพุ่งร่างทะลุโถงหลัก ออกโรงด้วยตัวเองหมายไล่ล่าเย่วอู่หยิ่ง ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้มาประหารต่อหน้าสาธารณะชนให้จงได้!


 


อย่างไรก็ตามสุดท้ายกลับคว้าน้ำเหลว…


 


เหตุการณ์นี้นับว่าสร้างความอับอายขายขี้หน้าให้ลัทธิชะตาฟ้าถึงขีดสุด!


 


ด้วยเหตุนี้มหาปุโรหิตอย่างโม่เชวียนจึงเร่งสั่งการให้ทุกคนในลัทธิปิดข่าว


 


อนิจจาเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ เพียงสังการให้ทุกคนเงียบบปาก แต่จะปิดบังไว้ได้หรือ?


 


ในไม่ช้าเรื่องนี้ก็แพร่กระจายออกไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน สร้างความตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัวให้ผู้คนทั้งแดนดิน!


 


“คนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ร้ายกาจถึงขนาดนี้เชียวหรือ นั่นมันปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้าเชียวนะ เป็นชนชั้นผู้พิทักษ์ขุมพลังก็ว่าได้…แต่กลับถูกลอบสังหารตายคาที่พักโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัว…นี่มันพลังฝีมืออันใด”


 


“เห็นว่าจากบาดแผล ปุโรหิต ผู้นั้นยังถูกปลิดชีพในมีดเดียว…”


 


“ถึงแม้ความพยายามในการปิดข่าวของลัทธิชะตาฟ้าจะล้มเหลว แต่อย่างน้อยๆก็ปกปิดผู้ตายเอาไว้ได้…ว่าแต่พวกเจ้ารู้กันหรือไม่ ว่าปุโรหิต ที่ตายคนนั้นที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่…?”


 


“นั่นสิเป็นผู้ใดกันนะ แต่อย่างไรเสียเห็นว่าปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้าก็ล้วนบรรลุด่านพลังเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนทั้งสิ้น…”


 


“มิผิด แม้จะเป็นปุโรหิตที่อ่อนแอที่สุดในลัทธิชะตาฟ้า แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม…มิทราบเยว่อู๋หยิ่งที่ประกาศตัวว่าเป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 4 เงาทมิฬผู้นี้ที่แท้พลังฝีมือบรรลุขั้นใด…แต่อย่างน้อยๆข้าเชื่อว่าพลังฝีมือของมันสมควรติดอยู่ใน 30 อันดับแรกของรายนามยอดเซียน”


 


……


 


เรียกว่าในบรรดาทายาทของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ที่พึ่งปรากฏตัวออกมาอย่าง เยว่อู๋หยิ่ง พริบตาก็สะท้านสะเทือนไปทั่วภูมิภาคเบื้องบนแล้วจริงๆ


 


“เจ้ากะเทยน่าตายนั่น…มันช่างลงมือได้เอิกเกริกดีแท้!”


 


ได้ยินเรื่องนี้กู่ลี่อดไม่ได้ที่จะลอบสบถด่าคน สองตาฉายชัดถึงความอิจฉาเล็กน้อย เพราะตอนนี้ชื่อเสียงของเยว่อู๋หยิ่งนับว่าเหนือกว่ามันมาก


 


แน่นอนว่าแม้จะอิจฉา แต่ก็ทำได้แค่อิจฉาเท่านั้น มันรู้ตัวดีว่าพลังฝีมือยังไม่ร้ายกาจเท่าเยว่อู๋หยิ่ง


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ด่านพลังของมันยังด้อยกว่าเยว่อู๋หยิง ทำให้อีกฝ่ายมีพลังฝีมือเหนือกว่ามัน


 


ต่อให้พลังฝีมือของมันจะทัดเทียมกับเยว่อู๋หยิ่ง แต่ก็ไม่อาจก่อการลอบสังหารสะท้านสะเทือนเหมือนเยว่อู๋หยิ่งได้!


 


เพราะสุดท้ายแล้วเยว่อู๋หยิ่งในฐานะผู้สืบทอดเงาทมิฬ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 4 นั้น เชี่ยวชาญด้านลอบสังหารมากที่สุด กระทั่งยังโดดเด่นในเรื่องฆ่าคนโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว!


 


“ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 4 เงาทมิฬ ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้…เช่นนั้นหมายความว่าในทวาราเที่ยงแท้สมควรมี 7 คนใช่หรือไม่?”


 


หลังการลอบสังหารปุโรหิตของเยว่อู๋หยิ่งโด่งดังไปทั่วภูมิภาคเบื้องบน ผู้คนมากมายก็เริ่มตีความจากวาจาที่เยว่อู๋หยิ่งเหลือทิ้งไว้


 


ในวาจากล่าวไว้ว่ามันคือผู้สืบทอด เงาทมิฬ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 4 ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้


 


ผู้คนในใต้หล้าย่อมเข้าใจความนัยเป็นอย่างดี…


 


7 ทวาราเที่ยงแท้นั่น…นอกจากมันแล้วยังมีผู้สืบทอดชนชั้นยอดฝีมือเช่นนี้อยู่อีก…!


ตอนที่ 2,248 : ใครว่าสตรีต้องด้อยกว่าบุรุษ?


 


“7 ทวาราเที่ยงแท้ย่อมมีผู้สืบทอดลำดับอื่นอยู่!”


 


มีหลายคนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบนที่รู้เรื่องราวในอดีต กระทั่งรู้จักข้อมูลคร่าวๆของ 7 ทวาราเที่ยงแท้


 


“7 ทวาราเที่ยงแท้นั้น แบ่งออกเป็น 7 ผู้เที่ยงแท้…อีกทั้งอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับหนึ่งอย่างใต้เท้าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางในยุคสมัยนั้น ทุกคนยังรู้จักอีกนามหนึ่งของท่านดี…หมอกพิรุณ!”


 


“เช่นนั้นก็หมายความว่า…ในอดีต ทราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ ก็คือใต้เท้าเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!”


 


เมื่อข่าวนี้แพร่ออกมาก็ทำให้ผู้คนในภูมิภาคเบื้องบนตื่นตระหนกไม่น้อย


 


ที่แท้ใต้เท้าเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง ก็คือทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ!


 


“นอกจากลำดับแรกแล้วอีก 6 ทวาราเที่ยงแท้ก็ไม่ใช่อ่อนด้อย…ตัวอย่างเช่นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์ ก็คือผู้เฒ่าพยากรณ์ที่ถูก 3 ลัทธิตามล่าตัวมาโดยตลอด…สาเหตุล้วนเพราะท่านผู้เฒ่าเป็น 1 ใน 7 ทวาราเที่ยงแท้เช่นกัน”


 


ยิ่งมีข่าวนี้แพร่ออกมาเสริมก็ทำให้ผู้คนบังเกิดอารมณ์ความรู้สึกหลากหลายนัก


 


หากกล่าวว่า


 


ก่อนหน้านี้พวกมันไม่รู้จัก 7 ทวาราเที่ยงแท้ แต่เคยได้ยินชื่อเซียนกระบี่ฟงชิงหยางล่ะก็


 


เช่นนั้นสำหรับผู้เฒ่าพยากรณ์ พอได้ยินพวกมันก็รู้สึกสะอึก!


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์คนนี้แม้พลังฝีมือจะไม่ได้สูงส่งมากมาย เพียงรั้งอยู่ใน 100 อันดับแรกของรายนามยอดเซียนเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำนายนับว่าบรรลุขอบเขตหยั่งรู้ลิขิตสวรรค์! ในภูมิภาคเบื้องบนยังได้รับการขนานนามจากผู้คนทั้งแดนดินว่า ผู้หยั่งรู้ชะตาฟ้าดิน อีกด้วย!!


 


ไม่ทราบมีกี่คนในภูมิภาคเบื้องบนที่อยากพบเจอผู้เฒ่าพยากรณ์ เพื่อรับฟังคำทำนาย


 


อนิจจามีแค่ไม่กี่คนที่สมปรารถนา


 


ทว่าผู้โชคดีบางคน หลังได้รับคำทำนายและคำชี้แนะของผู้เฒ่าพยากรณ์ ไม่เพียงสามารถหลีกเลี่ยงคราวเคราะห์ได้สำเร็จ ยังถึงกับได้รับวาสนาในคราวเคราะห์ พลิกชะตาได้อย่างฝืนฟ้า!


 


เรียกว่าชีวิตเดิมที่ใกล้ถึงจุดดับ กลับพลิกฟื้นขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่!


 


ด้วยเพราะพบพานประสบการณ์พลิกชะตามาด้วยตัวเอง เหล่าผู้ที่เคยได้รับคำทำนายและคำชี้แนะจากผู้เฒ่าพยากรณ์ ล้วนเทิดทูนบูชาผู้เฒ่าพยากรณ์อย่างถึงที่สุด!


 


เรียกว่าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ไม่ว่าจะภูมิภาคเบื้องล่างหรือภูมิภาคเบื้องบน ผู้เฒ่าพยากรณ์ก็สร้างความประทับใจให้ผู้คนอย่างยิ่งยวด


 


“ข้าไม่คิดเลย…ว่าท่านผู้เฒ่าพยากรณ์ก็เป็น 1 ใน 7 ทวาราเที่ยงแท้ด้วย”


 


“ท่านผู้เฒ่าพยากรณ์…ทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 2 ความลับสววรรค์หรือ…คิดไม่ถึงจริงๆ!”


 


“หากไม่รู้เรื่อง 7 ทวาราเที่ยงแท้ ข้าคงไม่มีวันได้รู้ ว่าไฉนก่อนหน้านี้ 3 ลัทธิถึงได้พยายามตามล่าตัวท่านผู้เฒ่าพยากรณ์นัก…ที่แท้เพราะท่านผู้เฒ่าพยากรณ์เป็นดั่งหนามยอกอกของพวกมันนี่เอง แม้พลังฝีมือผู้เฒ่าพยากรณ์จะไม่สูงแต่พวกมันสมควรหวาดกลัวความสามารถของท่าน!!”


 



 


จังหวะนี้ผู้คนของภูมิภาคเบื้องบนหลายต่อหลายคน จึงได้รับทราบเหตุผลเบื้องลึกว่าไฉน ผู้เฒ่าพยากรณ์จึงถูก 3 ลัทธิตามล่าอย่างหนัก!


 


“ 7 ทวาราเที่ยงแท้…หมอกพิรุณ…ความลับสวรรค์…เงาทมิฬ….ไม่ทราบอีก 4 คนจะมีสมญานามว่าอะไร”


 


เมื่อหลายๆคนได้รับรู้ข้อมูลของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ ต่างก็อยากรู้เรื่องราวให้ละเอียดมากขึ้น


 


สุดท้ายแล้วนี่ก็คืออดีตขุมพลังที่ยืนหนึ่ง! กระทั่งเซียนกระบี่ฟงชิงหยางเองก็เป็นคนของขุมพลังดังกล่าว!!


 


“อีก 4 ยอดฝีมือของทวาราเที่ยงแท้ ข้ารู้จักอีก 1 คน…เป็นผู้สืบทอดจอมเผด็จการ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 3 กู่ลี่! มันพึ่งเอาชนะผู้นำขุมพลังชั้น 1 ไปไม่นานนี้เอง! รายนามยอดเซียนฉบับหน้าสมควรปรากฏชื่อมันแล้ว!!”


 


ถึงแม้ว่าผู้นำขุมพลังชั้น 1 ที่กู่ลี่ฆ่าไปจะไม่อ่อนแอ แต่ทุกคนก็มองว่าขุมพลังชั้น 1 ยังด้อยกว่า 3 ลัทธิมาก


 


เช่นนั้นชื่อเสียงของกู่ลี่ ในตอนนี้เทียบกับเยว่อู๋หยิ่งแล้ว ยังห่างชั้นกันนัก


 


และในขณะที่คนของภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า กำลังให้ความสนใจกับการปรากฏของ 7 ทวาราเที่ยงแท้


 


อีกข่าว 1 ที่พึ่งเผยแพร่ออกมา ก็ทำให้ผู้คนสะท้านสะเทือนอีกครั้ง


 


“สตรีที่อ้างตัวว่าเป็นผู้สืบทอดธุลีแดง ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 7 ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้…ได้สังหารจ้าวลัทธิอารามทมิฬโดยใช้ข้อมูลปลอมลวงมันไปฆ่าในที่รกร้างแถบภาคกลาง เห็นว่าสตรีผู้นี้เรียกว่าหานเฉวี่ยไน่!!”


 


เมื่อข่าวนี้แพร่ออกมา ทั้งภูมิภาคเบื้องบนก็เหมือนถูกพายุพัดกกระหน่ำ


 


จ้าวลัทธิอารามทมิฬแม้จะเป็นที่รู้กันดีว่าพลังฝีมือของมันเป็นเพียงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน แต่ทว่ามันก็ติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของรายนามยอดเซียน!


 


ทว่าตอนนี้กลับถูกสตรีนางหนึ่งลวงไปฆ่า!!


 


ที่สำคัญคือ…


 


สตรีนามหานเฉวี่ยไน่นี้ เป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 7 ธุลีแดง!


 


ด้วยการตายของตัวตนระดับสูงอย่างจ้าวลัทธิอารามทมิฬ ทำให้ทั้งภูมิภาคเบื้องบนบังเกิดความตกตะลึงกันยกใหญ่ ลัทธิอารามทมิฬถึงกับเรียกระดมกำลังพลตามล่าหาตัว กระทั่งอาวุโสสูงสุดอย่างหล่างเชียนจินถึงขั้นออกโรงด้วยตัวเอง!!


 


น่าเสียดายที่ไม่ว่าพวกมันจะพยายามสืบเสาะ หาเบาะแสมากมายเพียงไร พวกมันก็พบพานแต่ความว่างเปล่า…


 


“ผู้สืบทอด 7 ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 7…มิใช่ว่าลำดับที่ 7 สมควรอ่อนด้อยที่สุดหรือไร? ”


 


หลังจากได้รับทราบว่าหานเฉวี่ยไน่ เป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 7 ทุกกคนก็อดไม่ได้ที่จะสับสนงุนงง


 


“ใน 7 ทวาราเที่ยงแท้นั้น แต่ละคนสมควรมีความโดดเด่นแตกต่างกัน…หานเฉวี่ยไน่คนนี้แม้นางจะเทียบกับลำดับที่ 4 เงาทมิฬอย่างเยว่อู๋หยิ่งแล้ว ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสักเท่าไหร่”


 


“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ที่สำคัญคือนางเป็นสตรี! สวรรค์ช่วย ในภูมิภาคเบื้องบนของพวกเรา สตรีที่สามารถติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของรายนามยอดเซียนได้มีแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น!!”


 


“สมแล้วที่ 7 ทวาราเที่ยงแท้ คืออดีตขุมพลังอันดับ 1 ในแดนดิน…กระทั่งพลังฝีมือของศิษย์สตรียังร้ายกาจยิ่ง!”


 


……


 


การปรากฏตัวของหานเฉวี่ยไน่นับว่าสะท้านแดนดินไปพักหนึ่ง


 


เพราะสุดท้ายแล้วนางก็คือสตรี


 


ในโลกแห่งการต่อสู้เช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วสตรีมักอ่อนแอกว่าบุรุษ


 


แต่ตอนนี้ใครกล้าพูดว่าสตรีอ่อนแอกว่าบุรุษ?


 


การปรากฏตัวของหานเฉวี่ยไน่ ดั่งจะประกาศบอกบุรุษทุกคนในแดนดินให้รับทราบ


 


อย่าได้ดูแคลนอิสตรี!


 


“ว่ากันว่าใน 7 ทวาราเที่ยงแท้สมควรมีคนอยู่แค่ไม่กี่คน ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้กลับปรากกยอดฝีมือหญิงออกมาได้…ช่างหาได้ยากยิ่งนัก!”


 


“ใช่ ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ”


 



 


ในขณะที่ดินแดนเทพยุทธ์เซวียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบนยังตกตะลึงกับเรื่องราวของหานเฉวี่ยไน่ไม่หาย…


 


ข่าวที่ดั่งระเบิดลูกใหญ่พลันปะทุออกมาโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ภาคกลางเช่นเดียวกัน


 


“เฟิ่งเทียนหวู่ ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 5 หงส์ฟ้าจรัสแสง…”


 


เมื่อเสียงไพเราะของสตรีโฉมงามนางหนึ่ง อยู่ๆก็ดังขึ้นก้องไปทั่วลัทธิอารามทมิฬ…


 


จากนั้นไม่นาน ทุกคนพลันตระหนักได้ว่า จ้าวพยัคฆ์ขาว มหาธรรมราชา 1 ใน 2 คนที่เหลืออยู่ของลัทธิอารามทมิฬได้ตกตายไปแล้ว!!


 


และผู้ที่ลงมือสังหารก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นสตรีนางหนึ่งที่พึ่งประกาศตัวว่าเป็นผู้สืบทอด หงส์ฟ้าจรัสแสง ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 5 เฟิ่งเทียนหวู่!!


 


“ว่ากันว่าหลังเฟิ่งเทียนหวู่สังหารจ้าวพยัคฆ์ขาว อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬหล่างเชียนจิน ที่มาสายเกินการณ์เพราะมัวแต่ไปสืบหาหานเฉวี่ยไน่ถึงกับเดือดดาลอย่างหนัก หน้ามันยังเปลี่ยนเป็นเขียวปั๊ด คนบันดาลโทสะตบฟาดฝ่ามืออย่างเกรี้ยวกราด ระเบิดภูเขาใกล้ๆลัทธิอารามทมิฬจนแหลกเป็นผงจนผู้คนแถวนั้นตกตายไปนับหมื่นพัน….”


 


“เฟิ่งเทียนหวู่…ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 5 คนนี้…กลับเป็นสตรีอีกคน!”


 


“สวรรค์! ยอดยุทธ์หญิงอีกคนรึ!?”


 


“มารดามัน ผู้ใดเคยพูดว่าผู้หญิงอ่อนด้อยกว่าผู้ชาย ไปเลย! เจ้าไปพูดต่อหน้าคน 7 ทวาราเที่ยงแท้เลย! แม่นางเฟิ่งเทียนหวู่ผู้นั้นกระทั่งเยว่อู๋หยิ่งยังคล้ายหมองลงถนัดตา!”


 


“7 ทวาราเที่ยงแท้…ใช่ขุมพลังที่มีผู้หญิงเป็นใหญ่หรือไม่?”


 



 


การลงมือของเฟิ่งเทียนหวู่นับว่าทำให้ผู้คนตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อแล้วจริงๆ และที่น่าตกใจที่สุดก็คือเพศของนาง!


 


7 ทวาราเที่ยงแท้ ที่สมควรมีคนแค่ไม่กี่คน ลำพังปรากฏยอดฝีมือสตรีอย่างหานเฉวี่ยไน่ก็ทำให้ผู้คนนับถือมากแล้ว…


 


มาตอนนี้ยังมีเฟิ่งเทียนหวู่อีก!


 


“ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 5 หงส์ฟ้าจรัสแสงนางนี้ พลังฝีมือร้ายกาจอย่างยิ่ง…มหาธรรมราชาอย่างจ้าวพยัคฆ์ขาวที่นางฆ่าตายไป พลังฝีมือบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนแถมยังรั้งอยู่ในอันดับที่ 11 ของรายนามยอดเซียน มิคาดกลับถูกนางฆ่าเอาได้ง่ายๆ ซ้ำร้ายนางยังหนีหายไปต่อหน้าต่อตา…”


 


“ตอนนี้คงเหลือสตรีเพียงแค่คนเดียวที่มีอันดับในรายนามยอดเซียนเหนือกว่าเฟิ่งเทียนหวู่ใช่หรือไม่? และนางยังเป็นมหาธรรมราชาคนสุดท้ายของลัทธิอารามทมิฬ พญามังกรเสื้อม่วง?”


 


“ไม่ผิด”


 



 


การปรากฏตัวของเฟิ่งเทียนหวู่ไม่เพียงแต่ทำให้ทั้งแดนดินสะเทือน แต่ยังทำให้ทุกคนตระหนักถึงพลังของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ที่เงียบหายไปนานปี


 


7 ทวาราไม่มาก็แล้วไป!


 


ปรากฏออกมาที ขู่ขวัญผู้คนแทบตายแล้ว!


 


“ให้ตาย..พี่ชายดูท่าพวกเราต้องขยันให้มากแล้ว ไม่งั้นคนอื่นๆคงคิดว่าพวกเราเป็นลูกไล่สาวๆจริงๆ!”


 


เมื่อได้รับทราบข่าวเรื่องเฟิ่งเทียนหวู่บุกไปฆ่าจ้าวพยัคฆ์ขาวถึงถิ่น คู่แฝดหนานกงที่เป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 6 คนคู่บังเกิดความรู้สึกกดดันอย่างหนัก…


 


ถึงแม้ว่าพวกมันจะสามารถผนึกกำลังกันสยบ ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนที่มีชื่อเสียงลงได้…


 


แต่อย่างไรคนผู้นั้นก็เป็นแค่ผู้อาวุโสของขุมพลังชั้น 1 เท่านั้น ในแง่ของชื่อเสียงแล้วไม่อาจเทียบชนชั้นอาวุโสระดับสูงของ 3 ลัทธิได้เลย


 


ถึงแม้ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน หากจับไปอยู่ใน 3 ลัทธิก็อาจเป็นถึงรองจ้าวลัทธิก็ตามที


 


“ส่วนแม่นางผู้นั้นยังไม่ลงมือ…ไม่ทราบหลังนางลงมือผู้คนในภูมิภาคเบื้องบนจะตกใจกันแค่ไหน…”


 


หนานกงยี่กล่าวพึมพำเบาๆ


 


ได้ยินคำของหนานกงยี่ หนานกงเฉินพลันพยักหน้ารับจริงจัง มันเองก็เห็นด้วย


 


แม่นางผู้นั้น ในแง่พลังฝีมือแล้วหากปะทะกันตรงๆก็พอๆกันกับเฟิ่งเทียนหวู่เท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามความสามารถที่น่ากลัวที่สุดของนางไม่ใช่การต่อสู้ตรงๆ


 


เพราะนางคือผู้บ่มเพาะเต๋า!


 


ยิ่งไปกว่านั้นเต๋าที่นางเลือกเดิน ยังเป็นเต๋าท้าทายสวรรค์ ที่สามารถลิขิตความเป็นตายของผู้คนที่อยู่ไกลห่างนับพันลี้!


 


“ข้าคือผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์ ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้…”


 


เมื่อเสียงสตรีอันเยียบเย็นหนึ่งดังก้องไปทั่วลัทธิชะตาฟ้า และผู้นำลัทธิชะตาฟ้าของลัทธิชะตาฟ้า ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนที่เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือก็ถูกฆ่าตาย! กระทั่งยังตกตายลงต่อหน้าต่อตามหาปุโรหิตอย่างโม่เชวียน!!


 


และสาเหตุการตายของมันนั้น อยู่ดีๆมันก็เลือดออกจากทวารทั้ง 7 ทนรับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ก่อนดวงจิตจะแหลกสลาย ขาดใจตายไปอย่างโง่งม!


 


ที่สำคัญในขณะที่มันจะตาย มันอยู่ในวิหารหลัก! และในวิหารหลักก็ไม่ได้มีเพียงแต่โม่เชวียนเท่านั้นที่อยู่ด้วย ยังมีชนชั้นปุโรหิตมากมายที่กำลังหารือกันอยู่!


 


เรียกว่าตั้งแต่ต้นจนจบ มหาปุโรหิตอย่างโม่เชวียน สุดยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่รั้งอยู่ในอันดับที่ 3 ของรายนามยอดเซียนไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย กระทั่งสำนึกเทวะที่กำจายออกไปสุดไพศาลก็ไม่พบร่องรอยใดๆทั้งสิ้น!


 


“อ๊าคคคคคคค!!”


 


เมื่อเห็นว่าผู้นำลัทธิชะตาฟ้าตกตายลงต่อหน้าต่อตาอย่างที่มันจนปัญญาจะช่วยชีวิต โม่เชวียนก็บังเกิดความพิโรธหนักนัก หลังคำรามจบมันก็พุ่งร่างทะลุโถงวิหารหลัก ทุ่มพลังสุดตัวตระเวนหาไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบ


 


อย่างไรก็ตามสุดท้ายมันก็ไม่พบเจอสิ่งใด…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)