War sovereign Soaring The Heavens 2235-2241
ตอนที่ 2,235 : วังวิญญาณอสุรา! ตำหนักขจีจรัส!
สิบย่างก้าวคร่าชีวัน พันลี้ไร้ต้านทาน
สรรพสิ่งผันผ่าน คงเหลือไว้ไร้ยศนาม…
นี่เป็นหนึ่งในบทกลอนของกวีชื่อดัง ‘หลี่ไป๋’ ในบ้านเกิดที่โลกเดิมของต้วนหลิงเทียน
หลี่ไป๋ผู้นี้ไม่เพียงได้ชื่อว่าเทพกวี ยังเป็นมือกระบี่อันร้ายกาจผู้หนึ่ง หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ท่องเที่ยวเพนจรทั่วใต้หล้า ร่ำสุราเมามายใต้แสงจันทร์ ทิ้งบทกวีลือลั่นไว้ทั่วแดนดิน…
เรียกว่าหากมาปรับใช้ก็เข้ากับสถานการณ์ที่ต้วนหลิงเทียนช่วยหวงฉี่หลิงไม่น้อย
ตอนนี้เพียงหนึ่งห้วงคิดต้วนหลิงเทียนก็สามารถเข่นฆ่าสังหารผู้คนได้ง่ายดาย
สรรพสิ่งผันผ่าน คงเหลือไว้ไร้ยศนาม ไม่เผยตัวไม่อวดอ้างเพียงจากไปอย่างเงียนงัน
หลังออกจากช่องทางที่มีหวงฉี่หลิงอยู่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างเข้าไปยังอุโมงค์ช่องทางอื่นๆที่ยังไม่ได้เข้าไป
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เริ่มมีเผ่าปีศาจมนุษย์รวมถึงปีศาจเผ่าอื่นๆในละแวกใกล้เคียงเข้ามาชุดใหม่
ทำให้หลังต้วนหลิงเทียนกวาดล้างปีศาจครบทุกช่องทางแล้ว ก็เริ่มเข้าช่องทางอื่นๆซ้ำ
แน่นอนว่าการกวาดล้างรอบที่สอง ก็ไม่ได้นานอะไรมากมาย
‘พอเท่านี้ก่อนแล้วกัน’
หลังจากที่พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนจากสีม่วงอ่อน กลายเป็นสีม่วงปกติเขาก็เลือกที่จะจากไป
เพราะเขาเองก็รู้ดีถึงเรื่องหนึ่ง
เหล่าปีศาจเผ่าปีศาจมนุษย์ที่เขาพึ่งกวาดล้างไปมากมาย สมควรเป็นอัจฉริยะจากขุมกำลังใหญ่โตของเผ่าปีศาจมนุษย์ที่มาผจญภัยแสวงโชค!
เพราะเขาได้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินไปไม่น้อย กระทั่งบางคนยังเป็นสีคราม และเหล่าผู้ที่ครอบครองรากวิญญาณสีน้ำเงินถึงสีครามได้ สมควรเป็นชนชั้นอัจฉริยะของเผ่าปีศาจมนุษย์!
หากเขายังรั้งอยู่ที่นี่นานเข้า เกรงว่าคิดจากไปก็คงไม่ได้ไป!
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะมั่นใจว่าพลังฝีมือสมควรมีพอตัว แต่ก็ไม่ได้มั่นใจว่ามากพอจะรับมือการกลุ้มรุมของยอดฝีมือเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้งหมดได้
ถึงตอนนี้เรื่องราวจะยังสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ต้วนหลิงเทียนรู้ดี…
ว่านี่เป็นความสงบก่อนพายุจะเข้า!
อีกไม่นานเหล่าต้นสังกัดทั้งขุมพลังทั้งหลายของเผ่าปีศาจคงรับทราบการตายของพวกมัน!
‘หืม? ไม่มีใครงั้นเหรอ?’
เมื่อมาปรากฏตัวที่ป่าศิลาอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนที่หันรีหันขวางไปรอบๆก็ไม่พบว่าจะมีใครเพ่งเล็งมาที่เขาเลย
ตอนแรกเขาคิดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังนายน้อยสวะทั้ง 3 ที่เขาฆ่าไป สมควรได้รับทราบข่าวและเร่งรุดมาดักรอเขาที่นี่แล้วเสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าพอออกมาจะไม่พบใครที่ดักรอเขาอยู่เลย
เรื่องนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะโค้งคิ้วขึ้นด้วยสงสัย
เขาลองคิดในมุมมองของพวกมันดู ถ้าเขาเป็นผู้อาวุโสของวังเซียนสัญจร เขาต้องเร่งรุดมาที่นี่แน่นอน
‘คงไม่ใช่ว่า…หวงเหวินจิ้งสอดมือเข้ามาหรอกนะ?’
ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนโง่งม เรื่องนี้เขาย่อมเดาออกได้ง่ายดาย และยิ่งเดาเท่าไหร่ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวพลางฉีกยิ้มเจื่อนๆ
เขายังคิดไปอยู่เลยว่าถ้าหากอาวุโสอะไรนั่นมาดักรอเขาอยู่ที่นี่จริง เขาจะได้ลองของเสียหน่อย! ด้วยตอนนี้เขาอยากรู้นักว่าพลังอำนาจของปฐมเวทย์กลืนกินเมื่อใช้ออกจนเต็มอานุภาพมันจะให้ผลลัพธ์เลิศล้ำเพียงใด!!
อนิจจาไม่คิดเลยว่าจะถูกหวงเหวินจิ้งขัดคอไปเสียก่อน
“ช่างเถอะ ถึงตอนนี้ด้วยพลังที่ข้ามีจะไมได้กลัวอะไรพวกมัน…แต่ความหวังดีนี้ของเจ้าข้ารับไว้ด้วยใจ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำเบาๆ
สิ่งที่เขาพูดนั้น แน่นอนว่าสำหรับหวงเหวินจิ้ง
“หืม?”
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนคล้ายสังเกตเห็นบางสิ่ง จึงหันหน้าไปมองสุดขอบฟ้าทางทิศเหนือทันที
ยังเป็นที่ตั้งของเมืองโม่เหรินเชิ่ง!
“ในที่สุดก็มีคนมา…”
ขณะกล่าวพึมพำเบาๆอีกครั้ง ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบหายไปในอากาศ
หลังจากที่ร่างต้วนหลิงเทียนวูบหายไปไม่นาน
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
……
เสียงอากาศแตกระเบิดดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ปรากฏร่างกลุ่มคนมากมายพากันเหินมาจากทิศทางที่ตั้งเมืองเหรินโม่เชิ่ง และเพียงพริบตาร่างทั้งหลายก็มาหยุดลงเหนือน่านฟ้าป่าศิลา
คนเหล่านี้ที่ทยอยกันมาถึงแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกนั้นนำมาโดยชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ด้านหลังมีไม่กี่คนที่ติดตามมา ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายตัวใหญ่หนาบึกทั้งสิ้น แต่ละคนเรียกว่าแลดูเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันเข้มแข็งเหี้ยมหาญ เพียงมองก็ให้ความรู้สึกกดดันขู่ขวัญประการหนึ่ง!
ชายหนุ่มที่นำมานั้นสวมใส่ด้วยชุดสีน้ำเงิน แม้ชุดคลุมตัวนี้ปกติแล้วจะถือว่ามีขนาดใหญ่โต ทว่าพอมาอยู่บนร่างชายหนุ่มผู้นำกลับแลดูคับติ้วพิกล เผยให้เห็นรอยมัดกล้ามเด่นชัด
ตอนนี้ใบหน้าที่ดุดันให้ความแข็งแกร่งดั่งเหล็ก ช่างมืดมนปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึกนัก!
ส่วนอีกกลุ่มนั้น นำมาโดยชายชราที่มีรูปร่างผ่ายผอมหนังติดกระดูก
ด้านหลังมันมีชายวัยกลางคน 3 คน ชายหนุ่ม และหญิงสาวอีกคน ที่ประกบติดอยู่ด้านหลังชายชราร่างผอม
ตอนนี้สีหน้าแต่ละคนกก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์เหลือจะกล่าว
หากมองให้ดีจะพบว่า…
ลูกตาของชายชราร่างผอมที่ลอยนำหน้านั้น แทบจะพ่นไฟออกมาได้อยู่รอมร่อ!
คน 2 กลุ่มลอยร่างเหนือป่าศิลาอย่างเงียบงัน ไม่มีใครพูดจาออกมาสักคำ พาลให้บรรยากาศตึงเครียดนัก
หลังจากนิ่งเงียบอึมครึมอยู่ราวๆ 10 ลมหายใจ สตรีงามที่ลอยอยู่ด้านหลังชายชราร่างผอม พลันมองไปยังกลุ่มชายร่างหนาสูงใหญ่ไม่นาน ก็สบตากับหนึ่งในนั้น
ชายคนนี้นางรู้จักอีกฝ่ายดี
“เจียงเจิ้น…เจ้ามาด้วยหรือ…”
ด้วยเพราะบรรยากาศเหนือฟ้าช่างอึมครึมทั้งตึงเครียด สตรีงามจึงไม่กล้ากล่าวออกมาตรงๆ เพียงอาศัยการส่งเสียงผ่านพลังไปทักชายร่างสูงใหญ่บึกบึนที่นางรู้จัก
และชายร่างใหญ่บึกที่นางรู้จักอันเป็นหนึ่งในผู้ติดตามชายในชุดน้ำเงินผู้นำนี้ ก็มีชื่อว่า เจียงเจิ้น
“วังวิญญาณอสุราของเจ้า…ใช่มาเพราะมีใครตายหรือไม่?”
และไม่รอคำทักกลับของชายร่างใหญ่ สตรีงามก็กล่าวถามออกมาต่อทันที
เพราะนางย่อมจดจำชายในชุดน้ำเงินร่างสูงใหญ่แลดูร้ายกาจที่คล้ายหอคอยเหล็กได้ดี ว่าอีกฝ่ายก็คือเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนชนชั้นสุดยอดฝีมือ! ผู้เป็นรองก็แค่จ้าววัง วิญญาณอสุรา 1 ใน 3 วังของเผ่าปีศาจมนุษย์!!
ชิงหยวนป้า!
อีกทั้งมันยังได้รับการยอมรับว่าเป็น ยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ของเผ่าปีศาจมนุษย์อีกด้วย!
“อืม มิผิด”
เจียงเจิ้นเองก็สนิทสนมกับสตรีงามที่ส่งเสียงกล่าวถามนางนี้ดี มันจึงเร่งส่งเสียงตอบคำกลับอย่างที่ไม่ต้องให้นางรอนาน
“ใต้เท้าชิงหยวนป้าถึงกับมาด้วยตัวเองเช่นนี้…ที่แท้เป็นผู้ใดตกตายกันแน่?”
หลังได้รับคำยืนยันแล้วสตรีงามก็อดไม่ได้ที่จะลอบสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ใจนางเต็มไปด้วยความอยากรู้ไม่น้อยอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้
“เป็นลูกชายคนเดียวของใต้เท้าหยวนป้า…”
เจียงเจิ้นกล่าวตอบด้วยรอยฝิ้มเฝื่อนๆ
ได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ลูกตาของสตรีงามถึงกับหดเล็กลง
ลูกชายคนเดียวของชิงหยวนป้าตกตาย?
นางย่อมรู้จักลูกชายของ ชิงหยวนป้าผู้ที่มีพลังฝีมือเป็นดันดับ 2 ของวังวิญญาณอสุราดี!
ถึงแม้มันจะไม่ได้มีพลังฝึกปรือร้ายกาจที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ของวังวิญญาณอสุรา หากแต่ศักยภาพพรสวรรค์ก็ไม่เลว ยังได้รับการยอมรับจากจ้าววังวิญญาณอสุราให้เป็นศิษย์ส่วนตัว!
แน่นอนว่าไฉนลูกชายคนเดียวของชิงหยวนป้าถึงถูกจ้าววังรับเป็นศิษย์ส่วนตัวนั้น ทั้งหมดก็เพราะจ้าววังเห็นแก่หน้าชิงหยวนป้าทั้งสิ้น!
หากไม่ใช่มันมีบิดาอย่างชิงหยวนป้าแล้ว จ้าววังย่อมไม่คิดรับลูกชายคนเดียวของชิงหยวนป้าเป็นศิษย์
เรื่องราวนี้ไม่ใช่ความลับอะไรในเผ่าปีศาจมนุษย์!
“มิน่าแปลกใจเลยที่ไฉนใต้เท้าชิงหยวนป้าถึงขั้นละเลยไม่ทักรองจ้าวตำหนักกงซุนจนถึงตอนนี้…ที่แท้เป็นลูกชายคนเดียวของใต้เท้าตกตาย…”
สตรีงามลอบกล่าวในใจ
“เหลยลั่ว…”
เจียงเจิ้นเหลือบมองไปยังร่างที่ลอยอยู่ด้านหน้าสตรีงามปราดหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงกล่าวถามนางว่า “ตำหนักขจีจรัสของเจ้า…คงไม่ใช่เกิดเรื่องขึ้นเหมือนกันหรอกนะ?”
ฟังจากคำถามของเจียนเจิ้นที่มีต่อสตรีงามแล้ว ก็เผยให้รู้ว่าที่แท้นางเรียกว่าเหลยลั่ว
นอกจากนั้นจากคำถามของเจียงเจิ้นก็ยังบอกได้อีกว่า…ต้นสังกัดของนางก็คือตำหนักขจีจรัส
ตำหนักขจีจรัสนั้นเป็น 1 ใน 6 ตำหนัก อันเป็นขุมพลังชั้นสูงของเผ่าปีศาจมนุษย์เช่นกัน
ขุมพลังระดับสูงของเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้ง 9 ขุมที่แบ่งออกเป็น 3 วัง 6 ตำหนักนั้น…ได้แก่ วังเซียนสัญจร วังวิญญาณอสุรา วังอีคคีสีชาด ส่วน 6 ตำหนักนั้นก็คือขุมพลังอีก 6 ขุมของเผ่าปีศาจมนุษย์ ซึ่งตำหนักขจีจรัสก็เป็นหนึ่งในนั้น
“อื้อ”
ได้ยินคำถามของเจียงเจิ้น เหลยลั่วก็พยักหน้ารับคำ
“เป็นผู้ใดถูกฆ่าตายหรือ?”
สีหน้าของเจียนเจิ้นเปลี่ยนเป็นขรึมเคร่งทันทีที่เห็นเหลยลั่วพยักหน้า
“เป็นศิษย์ส่วนตัวของรองจ้าวตำหนักกงซุน รวมถึงศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสอีกหลายท่านของตำหนักขจีจรัสที่มาด้วยนี่ล่ะ…พวกที่ตกตายล้วนมายังมรดกสถานที่คาดว่าน่าจะเป็นของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ทั้งสิ้น”
เหลยลั่วกล่าวต่อเสียงเครียด “พวกเราเร่งรุดมาที่นี่ทันทีเมื่อพบว่าไข่มุกวิญญาณของพวกมันแตกลงในเวลาไล่เลี่ยกัน…”
รองจ้าวตำหนักกงซุนที่เหลยลั่วกล่าวถึง ก็คือชายชราร่างผอมที่นำหน้ากลุ่มของเหลยลั่ว
ชายชราผู้นี้มีนามว่า กงซุนจิน มันเป็น 1 ใน 3 รองจ้าวตำหนักขจีขจรัส ด้วยความที่พลังฝีมือของมันกล้าแข็งที่สุด จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นรองจ้าวตำหนักอันดับ 1 ของตำหนักขจีจรัส
เรียกว่าในตำหนักขจีจรัส นอกจากตัวจ้าวตำหนักแล้ว มันคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!
อาจกล่าวได้ว่าผู้ที่นำคนของตำหนักขจีจรัสมาวันนี้ และผู้ที่นำวังวิญญาณอสุรา ล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับ 2 ของแต่ละขุมพลังก็ว่าได้!
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
……
ไม่นานนัก สุดขอบฟ้าก็ปรากฏเสียงแหวกสายลมรุนแรงดังขึ้น ดึงความสนใจของคนวังวิญญาณอสุราและตำหนักขจีจรัสไปทันที
พร้อมๆกันกับที่เสียงระเบิดของอากาศดังขึ้นแต่ไกล ก็ปรากฏร่างกลุ่มคนเหินมาจากทิศทางที่ตั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งเช่นกัน
คนกลุ่มนี้มาในชุดสีแดงเพลิงทั้งหมด ทำให้ยามชุดเสื้อผ้าของพวกมันสะบัดโบกตามแรงลม มองไกลๆช่างละม้ายคล้ายเปลวเพลิงกำลังลุกโหมกระพือไม่น้อย…
“พวกนี้น่าจะมาจากวังอัคคีสีชาด”
ไม่นานเสียงสนทนาที่ส่งไปให้เจียงเจิ้นจากเหลยลั่ว ก็เฉลยความเป็นมาของพวกมัน
วังอัคคีสีชาด ก็เป็น 1 ใน ขุมพลัง 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจมนุษย์
วังอัคคีสีชาดนำมาโดยชายวัยกลางคนในชุดแดงเพลิง
ชายวัยกลางคนในชุดแดงเพลิงคนนี้ก็มีรูปร่างสูงใหญ่เช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตบึกบึนเท่าคนของวังวิญญาณอสุรา แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่น้อย
และตอนนี้สีหน้าท่าทีของชายวัยกลางคนที่นำมาก็ไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม พอมันได้เห็นว่ามีคนของวังวิญญาณอสุราและตำหนักขจีจรัสลอยร่างรออยู่ก่อน สีหน้ามันก็ผ่อนลงเล็กน้อย เป็นฝ่ายริเริ่มกล่าวคำทักผู้นำของทั้ง 2 กลุ่มออกมา “รองจ้าววังชิง รองจ้าวตำหนักกงซุน”
“รองจ้าววังหวู่”
เมื่อชายวัยกลางคนเป็นฝ่ายเอ่ยทักออกมาก่อนแบบนี้ รองจ้าววังวิญญาณอสุรา ชิงหยวนป้า กับรองจ้าวตำหนักขจีจรัส กงซุนจิน ก็ผ่อนสีหน้าตึงเครียดลง และหันไปทักทายอีกฝ่ายกลับทันที
ชายวัยกลางคนที่นำกลุ่มคนวังอัคคีสีชาดมาคนนี้ ก็คือ 1 ใน 4 รองจ้าววังอัคคีสีชาด หวู่เทียนจิน
“พวกท่านทั้ง 2 สีหน้ามิค่อยสู้ดีเช่นนี้…หรือมีคนใกล้ชิดตกตายที่นี่เช่นกัน?”
หลังได้เห็นใบหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากของชิงหยวนป้ากับกงซุนจิน หวู่เทียนจินอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ตอนที่ 2,236 : สีม่วงเข้ม เป็นขีดจำกัดจริงๆหรือ?
แทบะจะทันทีที่เสียงของรองจ้าววังอัคคีสีชาดหวู่เทียนจินดังจบคำ…
ไม่ว่าจะเป็นรองวังวิญญาณอสุรา ชิงหยวนป้า หรือรองจ้าวตำหนักขจีจรัสกงซุนจิน แววตาของพวกมันพลันทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง!
“รองจ้าววังหวู่ ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่า…วังอัคคีสีชาดของท่านก็มีคนตายเช่นกันงั้นหรือ?”
กงซุนจินถามออกเสียงเข้ม
แม้ชิงหยวนป้าจะไม่พูดอะไร หากแต่สายตามันก็มองจ้องหวู่เทียนจินเขม็ง ใบหน้าที่แน่วแน่ขรึมเข้มดั่งเหล็กเผยความสงสัยยากแลเห็นออก
เห็นได้ชัดว่ามันเองก็อยากถามหวู่เทียนจินเรื่องนี้ด้วย
“ใช่”
ได้ยินคำถามของกงซุนจิน หวู่เทียนจินก็พยักหน้าตอบคำทันที สองตายังทอประกายเย็นนชา “ลูกบุตรธรรมของข้า รวมถึงศิษย์หลักของอาวุโสหลายคนในวังอัคคีสีชาด…ไข่มุกวิญญาณของพวกมันล้วนแตกลงในเวลาไล่เลี่ยกัน! และเท่าที่รู้พวกมันทั้งหมดสมควรมุ่งหน้ามาที่นี่”
หวู่เทียนจินกล่าวไม่ทันจบคำดีสีหน้าชิงหยวนป้ากับกุงซุนจินก็ฉายชัดถึงความหม่นหมอง
กงซุนจินกล่าวออกเสียงหนักต่อว่า “ศิษย์ส่วนตัวของข้าสองคน รวมถึงศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสในตำหนักขจีจรัสหลายคนก็มาที่นี่เพราะมีสหายชักชวน สุดท้ายพวกมันก็ตกตายด้วยกันทั้งหมด…ตอนนี้ดูเหมือนไม่ใช่แค่รุ่นเยาว์ของตำหนักขจีจรัสข้าจะประสบเหตุอยู่ผู้เดียวแล้ว…”
“ลูกชายของข้าก็ตายแล้วเช่นกัน…”
เสียงของชิงหยวนป้าพลันดังขึ้นปิดท้าย พาลให้บรรยากาศเริ่มอึมครึมลงอีกครั้ง
“สถานที่แห่งนี้ถูกทิ้งไว้โดยผู้ที่คาดว่าน่าจะเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ของพวกมนุษย์ ถึงแม้จะมีค่ายกลอันตรายไม่น้อย แต่ก็ไม่ควรเข่นฆ่าผู้คนได้มากมายขนาดนี้…จะอย่างไรในบรรดาคนที่เข้ามาก็มีเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน กระทั่งเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนก็ยังมี!”
มองไปยังปากอุโมงค์ที่ตั้งอยู่ในปาหิน ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นทางเข้ามรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ หวู่เทียนจินอดกล่าวออกด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ไม่ได้
“ข้าได้ยินมาว่าในแดนเซียนของมนุษย์ ก็มีปรมาจารย์จารึกเซียนระดับบสวรรค์อยู่แค่คนเดียว…และด่านพลังฝึกปรือของมันก็แค่เซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนเท่านั้น ไม่อาจทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7เปลี่ยนได้! ตามหลักเหตุผลแล้วค่ายกลที่มันเหลือทิ้งไว้สมควรไม่มีอันตรายมากนัก…”
กงซุนจินกล่าวเสริม
พวกมันย่อมได้ยินเรื่องราวของมรดกสถานแห่งนี้มาแล้ว แต่พวกมันไม่ได้มาด้วยตัวเอง
สาเหตุที่พวกมันไม่ได้มาด้วยตัวเองนั้น
หนึ่งเลยเพราะพวกมันไม่คิดว่าปรมาจารย์จารึกเซียนผู้นี้จะเหลือศาสตราหมื่นอาคมเซียนหรือยอดศาสตราเซียนเล่มใดไว้อีก
สองเป็นเพราะในขุมพลังของมันก็มีรุ่นเยาว์อัจฉริยะมากฝีมือไม่น้อย ในสายตาของมันเท่านี้ก็มากพอจะจัดการกับมรดกสถานแห่งนี้แล้ว
ประการที่ 3 ล้วนเป็นเพราะพวกมันไม่คิดว่าจะมีอะไรที่นี่ที่เข้าตาพวกมัน เช่นนั้นแต่ละคนจึงไม่มีใครสนใจจะมา
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
ไม่นานก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง
คนที่เหินนำมาคราวนี้เป็นเหล่าชายฉกรรจ์ไม่กี่คน แต่ละคนแลดูประหนึ่งหอคอยเหล็กก็ไม่ปาน เรียกว่าประชันกับพวกชิงหยวนป้าที่มาก่อนได้เลย
“ใต้เท้าหยวนป้า”
“ใต้เท้ารองจ้าววัง”
…
ชายวัยกลางคนกลุ่มนี้ เมื่อเหินมาถึงน่านฟ้าเหนือป่าศิลา แต่ละคนก็หยุดร่างป้องมือประสานคารวะทักทายชิงหยวนป้าด้วยความเคารพทันที
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
ชิงหยวนป้ากล่าวถาม
ชายฉกรรจ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นอาวุโสของวังวิญญาณอสุราของมันทั้งสิ้น พอเห็นทุกคนชักสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี ในใจของมันก็บังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาทันที
“ใต้เท้า…ลูกชายของท่านจ้าววังตายแล้ว! ตอนที่ไข่มุกวิญญาณของนายน้อยตาย นายน้อยสมควรอยู่ในมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกระดับเซียน”
ชายวัยกลางคน 1 ในผู้มาใหม่พยายามระงับสติ เร่งกล่าวรายงานชิงหยวนป้าเป็นคนแรก
“เรียนใต้เท้าลูกศิษย์ของข้าก็ตายแล้วเช่นกัน”
“หลานชายของข้าก็ด้วย”
…
ชายวัยกลางคนแต่ละคนเร่งกล่าวตอบคำชิงหยวนป้าทีละคนๆ ใบหน้าของพวกมันล้วนบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก
ในขณะที่สีหน้าของชิงหยวนป้ามืดลงถึงขีดสุดหลังได้ยินคำของอาวุโสที่พึ่งมาถึงไม่กี่คนนั้น
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
……
เสียงอากาศถูกแหวกฝ่าด้วยความเร็วสูงพลันดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้ที่ลอยร่างอยู่เหนือป่าหินไปทันที
หลังจากนั้นเรื่องราวทำนองนี้ก็เกิดขึ้นไม่หยุด คนจากวัง และตำหนักต่างๆ พากันทยอยมาถึง…
และทันทีที่มาถึงผู้นำแต่ละกลุ่มก็กล่าวบอกให้ทุกคนได้รู้
ว่าคนของพวกมันไม่ว่าจะเป็นรุ่นเยาว์หรือผู้ติดตามนายน้อยทั้งหลาย ล้วนต้องสงสัยว่าตกตายในมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนแห่งนี้ทั้งสิ้น ทำให้พวกมันเร่งรุดมาตรวจสอบ!
ยังมีอีกหลายกลุ่มที่ทยอยกันมาถึง
คนเหล่านี้แม้ไม่ได้เป็นคนของขุมพลังชั้นสูงของเผ่าปีศาจมนุษย์ แต่ก็เป็นขุมพลังของเผ่าปีศาจมนุษย์เช่นกันแค่มีระดับอ่อนด้อยลงมา ทำให้พวกมันไม่ได้เป็นที่รู้จักของ 3 วัง 6 ตำหนักสักเท่าไหร่
“ที่นี่เป็นมรดกกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์เหลือทิ้งไว้แน่หรือ…ไฉนข้าถึงไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยเล่า มรดกสถานกล่าวไปแล้วสมควรไม่มีอันตรายถึงขนาดนี้นี่นา…”
สตรีงามนามเหลยลั่ว คนของตำหนักขจีจรัสกล่าวพลางขมวดคิ้ว
“ข้าก็ไม่คิดว่าจะมีอันตรายได้ถึงขนาดนี้! หากที่นี่เป็นมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์จริง…เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น…มียอดฝีมือไล่เข่นฆ่าสังหารรุ่นเยาว์ของพวกเรา!”
เจียงเจิ้น อาวุโสของวังวิญญาณอสุรากล่าวเสริม
ทันใดนั้นปีศาจทุกตนก็เผยประกายเยียบเย็นออกมาทันที
หากมียอดฝีมือเข่นฆ่าสังหารรุ่นเยาว์อัจฉริยะของพวกมันจริงๆ ขุมพลังของพวกมันจะตามล่าสุดฟ้าเขียวไม่ตายไม่เลิกรา!
“หืม ที่นี่มีคนของ 2 วัง 6 ตำหนักครบแล้ว…แต่ไฉนไม่มีคนของวังเซียนสัญจรเลยเล่า? หรือคนของพวกมันไม่มีใครตายเลย?”
ไม่ทราบเป็นใครที่กล่าวพึมพำออกมาด้วยความสงสัย
หากแต่วาจาประโยคนี้ก็ดึงสติทุกคนกลับมา ก่อนที่ต่างจะเริ่มมองสำรวจรอบๆทันที
ใช่!
ไฉนถึงไม่มีคนของวังเซียนสัญจรมาเลย?
ในบรรดา 3 วัง 6 ตำหนักล้วนมากันเกือบครบ เว้นเสียก็แต่คนของวังเซียนสัญจรเท่านั้น!
และในขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงสงสัยกับเรื่องนี้
วูบ!
ณ ปากทางเข้ามรดกสถานที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ พลันปรากฏร่างหนึ่งพุ่งเหินขึ้นฟ้ามา
ทันใดนั้นทุกสายตาพลันหันไปจับจ้องผู้ที่พึ่งออกมาทันที
ที่เหินร่างขึ้นฟ้ามา เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
ทันทีที่ชายหนุ่มผู้นี้เหินร่างขึ้นมา แล้วแลเห็นว่ามีผู้คนมากมายลอยร่างกันแน่นขนัด แถมแต่ละคนยังมองจ้องมาที่มันเขม็งร่างมันถึงกับอดสะดุ้งไปไม่ได้!
ยังไม่ได้ตกใจได้หรือ!
“ผู้น้อยคารวะรองจ้าววังชิงหยวนป้า รองจ้าววังหวู่เทียนจิน รองจ้าวตำหนักขจีขรัส อาวุโสตำหนัก…ฯลฯ”
เรียกว่าแต่ละคนที่ลอยร่างเหนือฟ้ายามนี้ มีอานุภาพขู่ขวัญมันแทบตายแล้ว!
สวรรค์!
ตัวตนเหล่านี้ไฉนมากันพร้อมหน้าพร้อมตาได้!?
“หวงฉี่หลิง! มันคือหวงฉี่หลิงของวังเซียนสัญจร!!”
ไม่นานในบรรดากลุ่มคนที่ลอยร่างเหนือฟ้าก็มีผู้หนึ่งกล่าวออกเสียงดัง ด้วยจดจำ อัตลักษณ์ชายหนุ่มที่พึ่งออกมาได้
“หวงฉี่หลิง ลูกชายของหนึ่งในรองจ้าววังเซียนสัญจร อดีตอัจฉริยะของวังเซียนสัญจรที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนพลังฝึกปรือหยุดชะงักคนนั้นน่ะเหรอ?”
“เป็นมัน!”
“ไม่ใช่พลังฝึกปรือของมันค้างเติ่งอยู่ที่เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนหรือไร แล้วไฉนมันรอดออกมาได้? ยังแลมิได้บาดเจ็บอะไรเท่าไหร่ด้วยซ้ำ!”
…
ไม่นานก็เริ่มมีคนจดจำอัตลักษณ์ของชายหนุ่มได้เพิ่ม
ชายหนุ่มที่พึ่งออกมานี้ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ หวงฉี่หลิง แห่งวังเซียนสัญจรนั่นเอง
ก่อนหน้านี้หลังได้รับการช่วยเหลือจากผู้ที่คาดว่าน่าจะเป็นต้วนหลิงเทียน แต่เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนไม่เผยตัวอยู่นาน มันก็เข้าใจได้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดปรากฏตัว
เช่นนั้นหลังเก็บเกี่ยวสมบัติที่ต้วนหลิงเทียนเหลือไว้ให้แล้ว มันก็เร่งรุดกลับออกมาโถงใหญ่ทันที
และคราวนี้เพราะได้ต้วนหลิงเทียนช่วยเหลือเอาไว้ ทำให้มันได้กำไรมากมายนัก
ต่อมาหลังจากที่ลองเข้าช่องทางอื่นๆไปดูไม่กี่ช่องทาง แต่ก็ไม่พบอะไรอีกเลย
ทำให้มันตัดสินใจกลับออกมาทันที
อย่างไรก็ตามมันไม่คิดเลยว่าหลังมันกลับออกมา จะเจอตัวตนระดับสูงมากมายรอคอยอยู่แบบนี้
เรียกว่าระดับสูงของ 3 วัง 6 ตำหนัก ยกเว้นวังเซียนสัญจรของมัน ล้วนมากันพร้อมหน้าพร้อมตา! อีกทั้งแต่ละคนยังฐานะไม่ใช่ชั่ว ต่างเป็นชนชั้นรองผู้นำ ไม่ก็อาวุโสระดับสูงๆทั้งสิ้น!!
‘นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?’
หวงฉี่หลิงรู้สึกสับสนไม่น้อย
อย่างไรก็ตามหวงฉี่หลิงไม่อาจคิดคาดได้จริงๆ
ว่าสาเหตุที่ระดับสูงของทั้ง 2 วัง 6 ตำหนักมารวมตัวกันแบบนี้ ล้วนเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนที่มันเคยเข้าไปทำความรู้จัก!
อีกทั้งไม่ได้รู้เลย ว่าทุกชีวิตที่เขาไปในมรดกสถานแห่งนี้ นอกจากมันกับคนวังเซียนสัญจรแล้ว ทั้งหมดถูกฆ่าตายหมดไม่มีเหลือ ยังถูกปล้นพรสวรรค์รากวิญญาณไปไม่มีข้อยกเว้น!
เรียกว่าการลงมือครานี้ของต้วนหลิงเทียน ไม่เพียงช่วยโฉมงามอันดับ 1 ของเผ่าปีศาจมนุษย์ อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ของวังเซียนสัญจรอย่างหวงเหวินจิ้งยกระดับรากวิญญาณให้กลายเป็นรากสีม่วงแล้ว…
เขายังยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองให้กลายเป็นรากวิญญาณสีม่วงปกติอีกด้วย
…
‘ตอนนี้ขอเพียงกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณอีกไม่มาก รากวิญญาณของข้าก็จะเปลี่ยนไปเป็นสีม่วงเข้มเหมือนเค่อเอ๋อแล้ว!’
ในระหว่างเหินร่างย้อนกลับไปยังเมืองเหรินโม่เชิ่ง ต้วนหลิงเทียนที่นึกถึงระดับรากวิญญาณของตัวเองในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความคึกคักในใจอยู่บ้าง
หลังผ่านไปสักพัก พอสงบสติอารมณ์ลงได้บ้างแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดต่อไปว่า ‘ว่าแต่…ไม่รู้พรสวรรค์รากวิญญาณ สีม่วงเข้ม จะใช่ขีดจำกัดของพรสวรรค์รากวิญญาณรึยัง’
‘ถ้าไม่ใช่…แล้วยังมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีอื่นอีกรึเปล่า?’
คิดถึงจุดนี้ ลมหายใจต้วนหลิงเทียนอดเปลี่ยนเป็นเร่งร้อนไม่ได้
เมื่อรากวิญญาณของเขากลายเป็นสีม่วงเข้ม แม้เขาจะบ่มเพาะฝึกฝนในสภาพแวดล้อมของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า หากแต่ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาก็จะทัดเทียมกับตอนที่เขามีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!
เรียกว่าหากรากวิญญาณของเขายังพัฒนาไปเหนือกว่าสีม่วงเข้มได้ เช่นนั้นความเร็วในการบ่มเพาะสมควรเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล!
ยังควรเหนือกว่าความเร็วในตอนที่เขาบ่มเพาะฝึกฝนในชั้น 4 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติตอนอยู่ภูมิภาคเบื้องบนด้วยซ้ำ!
พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จะไม่ให้ต้วนหลิงเทียนไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรไหว!
‘บางที…หลังกลับไปแล้วข้าต้องหาโอกาสลองดูสักหน่อย’
ต้วนหลิงเทียนเริ่มคิดหาวิธีตรวจสอบ ว่าระดับพรสวรรค์รากยังยกระดับเพิ่มไปได้อีกหรือไม่ หลังจากมันกลายเป็นสีม่วงเข้ม…
ตอนที่ 2,237 : กลับเมืองเหรินโม่เชิ่ง!
วิธีการที่ต้วนหลิงเทียนคิดใช้เพื่อตรวจสอบก็ง่ายดายนัก
หลังจากกลับไปแล้ว เขาจะลองพาเค่อเอ๋อไปช่วยยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณดู!
เพราะตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อได้เป็นสีม่วงเข้มแล้ว สำหรับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันคือพรสวรรค์รากวิญญาณสูงสุด!
หากเขาพบว่าในกระบวนการเพิ่มพูนพลังของพรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อ ยังมีช่องว่างให้ยกระดับพัฒนาได้อีกล่ะก็…
เช่นนั้นหมายความว่า…
พรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงเข้ม ยังไม่ใช่พรสวรรค์รากวิญญาณสูงสุด!
มันสามารถพัฒนาได้อีก!
‘รีบกลับไปหาเค่อเอ๋อก่อนดีกว่า…ดูว่ารากวิญญาณสีม่วงเข้มใช่ถึงขีดจำกัดแล้วหรือไม่!’
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอยากกลับให้ถึงที่พักเร็วๆนัก
อย่างไรก็ตามแม้ในใจแทบจะกลายเป็นดอกศรพุ่งไปให้ถึงเร็วไว แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้กลับเมืองเหรินโม่เชิ่งทันที
ในขณะที่เขาเดินทางใกล้ถึงเมืองเหรินโม่งเชิ่ง เขาก็เลี้ยวออกไปทางอื่น
‘ไปหาที่ลองใช้ปฐมเวทย์กลืนกินดูก่อน…ดูว่าหากใช้เต็มประสิทธิภาพมันจะเพิ่มพูนพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของข้าได้ถึงขนาดไหน’
ต้วนหลิงเทียนพกพาใจที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เร่งรุดมาถึงสถานที่เปลี่ยวร้างทางตะวันออกของเมือง
หลังลอยร่างเหนือฟ้าในสถานที่เปลี่ยวร้างแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่มองสอดส่องทั้งแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบรอบๆ จนยืนยันได้ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ในรัศมีตรวจจับก็หยุดร่างลง
‘เอาตรงนี้ล่ะ’
คิดจบต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสำแดงเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินออกมาทันที! ยังเป็นปฐมเวทย์กลืนกินที่เขาบรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิเรียบร้อยแล้ว!
ทันใดนั้นวังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่งก็อุบัติขึ้นจากความว่างรอบกาย
ขณะเดียวกันวังวนดังกล่าวก็เริ่มหมุนวนเร็วรี่ พลังดูดรั้งอันน่าสะพรึงกลัวขุมหนึ่งกำจายออกไปสะท้านในบรรยากาศ!
พลังวิญญาณฟ้าดินจำนวนมหาศาลเริ่มถูกต้วนหลิงเทียนสูบกลืนเข้าร่างด้วยความเร็วน่าพรั่นพรึง พวกมันยังเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดเร็วรี่! พลังในร่างของเขาเพิ่มพูนขึ้นยกระดับสู่ขอบเขตใหม่!
“ยังได้อีก!”
ในขณะที่วังวนพลังดูดรั้งหมุนคว้างดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินรอบกายเข้ามาด้วยความเร็วสูง จนพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างต้วนหลิงเทียนเลยขีดจำกัดในกาลก่อนมามากแล้ว เขาก็พบว่ายังเหลือช่องว่างให้เพิ่มพูนอีกมากมายนัก!
ตอนนี้เรียกว่าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างเขา มันเทียบได้กับสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยนเรียบร้อย!
กระบวนการกลืนกินพลังยังดำเนินต่อไปไม่หยุด!
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินที่อยู่ห่างจากตัวออกไป จนในที่สุดมันก็ส่งเสริมระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างของเขาให้เจียนบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนเต็มที!
“ให้ตายเถอะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดให้เพิ่มไปถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน…”
หลังผ่านไปหลายลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าแม้พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขายังคงเพิ่มพูนขึ้นอยู่เรื่อยๆ หากแต่พลังวิญญาณฟ้าดินในรัศมีปฐมเวทย์กลืนกินได้หายไปแทบหมดสิ้น…!
แม้พลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศห่างออกไปกำลังหลั่งไหลมาเพื่อเติมเต็มส่วนที่พร่องหาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรวดเร็วอะไรนัก พวกมันค่อยๆโชยเอื่อยมาราวเมฆเคลื่อน…
“ไม่รอก็ได้ ข้าไปหาดูดซับเอาเอง!”
หลังสบถออกมาด้วยความขัดใจ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเคลื่อนที่ไปยังจุดที่รัศมีดูดรั้งไปไม่ถึงในตอนแรก หมายกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินจุดใหม่
ปฐมเวทย์กลืนกิน!
ต้วนหลิงเทียนเรียกใช้ปฐมเวทย์กลืนกินอีกรอบ และพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างก็ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็วอีกครั้ง
ตอนแรกก็ยังดีๆอยู่
ต่อมาหลังผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา “โอย ทำไมมันช้านักเล่า…บ่อไร้ก้นรึไง!”
ถึงแม้ว่าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนจะยังเพิ่มพูนขึ้นไม่หยุดยั้ง
หากแต่ตอนนี้เขารู้สึกเสมือนมันเพิ่มพูนช้ามาก ไม่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเสียที
อย่างไรก็ตามแม้จะขัดใจแต่เขาก็ทำได้แค่อดทน!
และจังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที ว่าความต่างระหว่างพลังเซียนต้นกำเนิดของเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนกับพลังเซียนต้นกำเนิดของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนมันมากมายมหาศาลถึงเพียงไหน ยังราวกับช่องว่างที่ไม่อาจก้าวข้ามได้ด้วยซ้ำ!
ผ่านไปแค่สิบกว่าลมหายใจ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ต้องเปลี่ยนที่ไปหลายรอบ!
“ในที่สุดก็ทะลวง!”
และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ว่า
พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างของเขาตอนนี้ได้ยกระดับขึ้นมาถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว! ปฐมเวทย์กลืนกินสามารถยกระดับพลังของเขาให้ถึงขีดสุดได้จริงๆ!
ตอนนี้พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างของเขาก็เต็มขีดจำกัด ไม่อาจเพิ่มพูนไปได้มากกว่านี้แล้ว!
เขาพลันตระหนักได้ถึงพลังอำนาจของปฐมเวทย์กลืนกินขั้นตอนไร้ตำหนิทันที…
“สามารถยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของข้าได้ถึง 3 ขอบเขต…นี่น่ะเหรอปฐมเวทย์กลืนกินขั้นตอนไร้ตำหนิ…”
จังหวะนี้อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนแปรเปลี่ยนไปดั่งธารเชี่ยว ยากสงบลงได้อยู่นาน
กระทั่งหน้าอกยังยุบๆพองๆเห็นชัดว่ากำลังสูดหายใจเข้าหนักหน่วงแค่ไหน นับว่าเขาตื่นเต้นครั้งใหญ่แล้วจริงๆ!
แม้ต้วนหลิงเทียนจะมั่นใจว่าพลังอำนาจของปฐมเวทย์กลืนกินขั้นตอนไร้ตำหนิมันต้องร้ายกาจมาก กระทั่งสามารถยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาให้ถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้แน่…
แต่พอได้พบเจอความจริงกับตัว เขาก็อดตื่นเต้นไปไม่ได้
“แต่ตอนนี้ถึงข้าจะใช้ปฐมเวทย์กลืนกินยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดให้บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนได้ก็จริง…”
“ทว่าด้วยสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลนพลังวิญญาณฟ้าดินของภูมิภาคเบื้องล่าง ยังต้องใช้เวลาไล่ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินไม่น้อย…”
นึกถึงเรื่องนี้ความตื่นเต้นของต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆลดทอนลง
“ช่างเถอะ ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้…สภาพแวดล้อมมันเป็นของมันแบบนี้ ถ้าดีเทียบได้กับภูมิภาคเบื้องบนก็ว่าไปอย่าง…”
“หากข้าไปใช้ปฐมเวทย์กลืนกินในภูมิภาคเบื้องบน เต็มที่ก็ไม่กี่ลมหายใจ พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของข้าต้องบรรลุถึงจุดสูงสุดแน่…เซียนสวรรค์ 9เปลี่ยน!”
ต้วนหลิงเทียนเข้าใจเรื่องราวกระจ่าง
แม้ปฐมเวทย์กลืนกินจะบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิและสามารถกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินจนยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดให้เขาจนบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้ก็จริง…
ทว่าด้วยข้อจำกัดของสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้กระบวนการของมันยืดเยื้อไปไม่น้อย!
“แต่ก็แน่ว่าถ้าเปลี่ยนที่…เรื่องก็เปลี่ยนไป ลองข้าไปใช้ในเมืองเหรินโม่เชิ่ง เวลาที่ใช้ยกระดับพลังเซียนสุริยันให้บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนสมควรสั้นลงกว่านี้มาก”
ในเมืองเหรินโม่เชิ่งนั้นด้วยความที่มันตั้งอยู่บนชีพจรเซียนทั้งใกล้กับเหมืองหินเซียน ทำให้พลังวิญญาณฟ้าดินบริบูรณ์พร้อมพรั่งกว่าพื้นที่เปลี่ยวร้างแถวนี้มาก เรียกว่าบริเวณนั้นพลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาลไม่เป็นสองรองใครในภูมิภาคเบื้องล่าง!!
หากต้วนหลิงเทียนไปใช้ปฐมเวทย์กลืนกินที่นั่น เขาเชื่อว่าสามารถยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดให้ถึงขีดสุดได้ในเวลาอันสั้น!
“ถ้าไปใช้ปฐมเวทย์กลืนกินในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟล่ะก็…เวลาที่ใช้คงแค่พริบตาเดียว ห่างกับในภูมิภาคเบื้องล่างแบบนี้คนละโลก…”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงสภาพแวดล้อมอันพร้อมพรั่งไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินของลัทธิบูชาไฟขึ้นมา
“จะอย่างไรก็แล้วแต่นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีถึงที่สุดที่ปฐมเวทย์กลืนกินสามารถบรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิได้…ถึงแม้จะเป็นสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลนอย่างในภูมิภาคเบื้องล่าง แต่มันก็ยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดข้าให้ถึระดับเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยนได้ในพริบตา!”
“และหากมีเวลาอีก 20 ลมหายใจ ข้าก็สามารถเพิ่มพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดได้ถึงขีดสุด”
ด้วยมีปฐมเวทย์กลืนกิน พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียน สามารถบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนได้!
“แน่นอนว่าถ้าประมือกับพวกเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจริงๆ…เว้นแต่อีกฝ่ายจะให้เวลาข้าดูดกลืนเพิ่มพลังเซียนสุริยันถึงขีดสุด ไม่งั้นก็ยากจะรับมือมันได้…ยังไม่ใช่คู่มือของพวกมัน!”
ต้วนหลิงเทียนรู้ดี
หากตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนคิดจัดการเขาจริงๆ ไหนเลยพวกมันจะใจดีให้เขามีเวลาเพิ่มพลัง?
ไม่ต้องกล่าวถึง 20 ลมหายใจ แค่ 2-3 ลมหายใจยังยาก!
เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนยังรู้ตัวเองดี
ตอนนี้ต่อหน้าเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเขายังต้องเจียมตัวอยู่!
“ได้เวลากลับแล้ว…”
หลังลองใช้ปฐมเวทย์กลืนกินเรียบร้อย ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดรั้งอยู่ที่นี่สืบไป เร่งเหินร่างไปยังเมืองเหรินโม่งเชิ่งทันที
ไม่นานเมืองเหรินโม่เชิ่งก็ปรากฏเป็นจุดดำให้ต้วนหลิงเทียนแลเห็นไกลตา
ในขณะที่ร่างต้วนหลิงเทียนเคลื่อนเข้าใกล้ด้วยความเร็วสูง จุดดำเล็กๆนั่นก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ ในที่สุดก็แปรเปลี่ยนไปมหึมาปานสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ฟุบหมอบ อ้าปากกระหายเลือดออกกว้างสูบกลืนผู้คน…
หลังเข้าเมืองเหรินโม่เชิ่งแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมที่พัก ที่เค่อเอ๋อกับลูกสาวเขารวมถึงก่านหรูเยี่ยนพักอยู่ ระหว่างทางยังแวะซื้อขนมแปลกตาไปฝากต้วนซือหลิงตามสัญญา…
โรงเตี๊ยมที่พักแห่งนี้เป็นกิจการของวังอัคคีสีชาด 1ใน 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจมนุษย์ ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนานัก กระทั่งต้วนหลิงเทียนเอง กว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังส่วนที่พักของเขา ก็ต้องหลังจากที่ทำการยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวดแล้วเท่านั้น
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกลับไปยังที่พัก
ข่าวอันน่าตื่นตระหนักก็พัดผ่านไปทั่วเมืองเหรินโม่เชิ่งดั่งพายุใต้ฝุ่น! พาลให้ผู้อาศัยในเมืองเหรินโม่เชิ่งบังเกิดความตื่นตัวและหวั่นใจอย่างหนัก!!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!? ลูกชายคนเดียวของใต้เท้าชิงหยวนป้าแห่งวังวิญญาณอสุรา ยอดฝีมืออันดับ 1ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนผู้นั้น…ตกตายในมรดกสถานที่คาดว่าน่าจะเป็นของปรมาจารย์จารึกเซวียนระดับสวรรค์?”
“ไม่ใช่แค่ลูกชายของใต้เท้าชิงหยวนป้า…เห็นว่ากระทั่งศิษย์ส่วนตัวทั้ง 2 คนของรองจ้าวตำหนักกงซุนจินก็ตกตายในนั้นด้วย!”
“ส่วนข้าได้ยินมาจากสหายวงในว่า…คนของวังอัคคีสีชาดก็ตกตายไปไม่น้อยเหมือนกัน!”
…
3 วัง 6 ตำหนักนั้นเป็นขุมพลังขั้นสูงของเผ่าปีศาจมนุษย์
ทว่าตอนนี้รุ่นเยาว์อัจฉริยะมากมายของพวกมันกลับตกตายกันเป็นเบือ! ข่าวนี้พอแพร่ออกมา เรียกได้ว่าเขย่าขวัญเหล่าปีศาจทั้งเมือง!
ตอนที่ 2,238 : ย้อนกลับไปทวีปมนุษย์
‘ไม่คิดเลยว่าในมรดกสถานที่เหลือทิ้งไว้โดยปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์นั่น พวกปีศาจที่ถูกข้าฆ่าไปส่วนมากจะมาจากเผ่าปีศาจมนุษย์ แถมยังเป็นชนชั้นอัจฉริยะของพวก 3 วัง 6ตำหนัก…’
หลังจากต้วนหลิงเทียนกลับไปถึงที่พักจนพร้อมหน้าพร้อมตากับเค่อเอ๋อแม่ลูกรวมถึงก่านหรูเยี่ยนแล้ว เขาก็พาทั้งหมดออกจากโรงเตี๊ยมที่พักทันที
ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เขาต้องทำในเมืองเหรินโม่เชิ่งอีกต่อไป
ดังนั้นเขาจึงคิดพาทั้ง 3 ออกไปยังทวีปมนุษย์เพื่อตามหาบิดามารดาลี่เฟยกับลูกชายรวมถึงสหายของเขา
เขาลองคิดในมุมของต้วนหรูเฟิงดู ก็พบว่าหากจะหลบหนีการตามล่าของยอดฝีมือเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็มีแต่ต้องไปซ่อนตัวในทวีปมนุษย์!
ด้วยความที่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของทวีปมนุษย์มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจย่อมดูแคลนและไม่มีใครอยากไปจมปลักอยู่ที่นั่น
ดังนั้นหากกมองไปทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว ทวีปมนุษย์ก็สมควรเป็นสถานที่ๆปลอดภัยที่สุดเช่นกัน ไม่น่าจะมีปีศาจที่แข็งแกร่งใดอาศัยอยู่มากมาย หากจะมีก็คงเป็นพวกลูกกระจ๊อกไร้ขุมกำลังเท่านั้นที่จะไปตั้งตัวเป็นใหญ่ที่นั่น
เป็นธรรมดาว่าพวกปีศาจเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในสายตาต้วนหลิงเทียนเลย
แต่ทว่าสำหรับผู้คนในทวีปมนุษย์แล้ว…ต่อให้เป็นปีศาจที่อ่อนแอที่สุด ก็คือตัวตนอันทรงพลังเทียมฟ้า!
จะอย่างไรเสียในแดนเนรเทศ ปีศาจที่อ่อนแอส่วนใหญ่ ก็ถูกปีศาจตนอื่นเข่นฆ่าเพื่อดูดกลืนบ่มเพาะพลังไปหมดสิ้น! เช่นนั้นปีศาจที่ยังมีชีวิตรอดอยู่มาได้ ล้วนเป็นชนชั้นอำมหิตที่เหยียบย่ำศพปีศาจตนอื่นมาทั้งนั้น!!
ตัวตนแบบนั้น ไม่ใช่อะไรที่ผู้ฝึกตนในทวีปมนุษย์จะมีปัญญาต้านทานรับมืออะไรได้
‘ลูกชายคนเดียวของชิงหยวนป้ายอดฝีมืออันดับ 1ใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของเผ่าปีศาจมนุษย์ถูกฆ่าตายในมรดกสถาน? พลังฝึกปรือขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน?’
หลังออกจากโรงเตี๊ยม ระหว่างทางแน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมได้ยินข่าวทำนองนี้มากมาย
‘มันเป็นหนึ่งในพวกปีศาจที่ข้าฆ่ากลืนพรสรสวรรค์รากวิญญาณในมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนครึ่งก้าวเซียนอมตะสินะ…’
ในนั้นมีปีศาจมากมายเกินจะนับที่ตกตายด้วยน้ำมือของต้วนหลิงเทียน
ในสายตาเขาพวกมันไม่ได้แตกต่างกันเลย จะชนชั้นอัจฉริยะของ 3 วัง 6 ตำหนัก หรือพวกไก่กาอะไรก็แล้วแต่ เขาล้วนฆ่าพวกมันได้ง่ายดายราวตัดหญ้าฆ่าไก่ ดังนั้นแล้วพวกมันจะด่านพลังอะไรก็เท่านั้น ล้วนเปราะบางทั้งสิ้น…
‘ถ้าจำไม่ผิด…ดูเหมือนในบรรดาพวกที่ถูกข้าฆ่าไป จะมีขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนอยู่ 2-3 ตน แม้พลังฝีมือของพวกมันจะไม่ได้ด้อยไปกว่าหวงเหวินจิ้งสักเท่าไหร่ แต่ก็เท่านั้น…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
‘อย่างไรก็ตามชิงหยวนป้าผู้นี้เห็นว่ามันร้ายกาจนัก เป็นรองจ้าววังวิญญาณอสุรา…แถมพลังฝีมือยังร้ายกาจเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของเผ่าปีศาจมนุษย์อีก…’
เรื่องชิงหยวนป้าต้วนหลิงเทียนเองก็ได้ยินมาบ้าง อย่างไรเขาก็ตระเวนหาข่าวในเมืองเหรินโม่เชิ่งอยู่พักหนึ่ง
‘ไม่รู้ว่าชิงหยวนป้าผู้นี้กับเหาฉ่วงในภูมิภาคเบื้องบน ใครมันจะแน่กว่ากัน…’
เหาฉ่วงนั่นคือยอดฝีมือที่ได้รับว่าเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของภูมิภาคเบื้องบน
ครั้งสุดท้ายที่มันปะทะกับต้วนหลิงเทียน ก็ถูกต้วนหลิงเทียนใช้กระบี่นิลสวรรค์ทำลายร่างเนื้อ แต่มันอาศัยการถอดจิตลี้ร่างหลบหนีไป…
‘แต่…ว่ากันว่าในบรรดา 3 วัง 6 ตำหนัก นอกจากชนชั้นจ้าววังทั้ง 3 แล้ว ชนชั้นจ้าวตำหนักทั้ง 6 ล้วนมีพลังฝึกปรือแค่เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนเท่านั้นนี่นา…’
‘ถ้างั้นชิงหยวนป้าที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับ 1ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ก็ถือว่าแข็งแกร่งเหนือจ้าวตำหนักทั้ง 6 งั้นสิ?’
‘ในเมื่อชิงหยวนป้ามันสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง…แล้วไฉนมันต้องไปรับใช้วังวิญญาณอสุราด้วยล่ะ?’
ต้วนหลิงเทียนไม่อาจเข้าใจเรื่องนี้ได้
หลังคิดไปพักหนึ่ง แต่ยังหาคำตอบไม่ได้ ต้วนหลิงเทียนก็คร้านคิดให้เสียเวลาสืบไป
“ท่านพ่อ พวกเรากำลังจะไปหาท่านปู่กับท่านย่ากันหรือ?”
ต้วนซือหลิงที่ถูกต้วนหลิงเทียนอุ้มไว้ในอ้อมอก สองตากลมใสกระพริบปริบๆถามออกเสียงจื้อยแจ้วขณะเดินทาง
“ใช่แล้ว พ่อจะพาซือหลิงคนเก่งของเราไปหาท่านปู่ท่านย่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ากล่าวตอบเสียงอ่อน “แล้ว ซือหลิง อยากเจอท่านปู่กับท่านย่ารึเปล่า?”
“อยากเจอๆ! ซือหลิงอยากเจอ!”
ต้วนซือหลิงพยักศีรษะน้อยๆระรัวปานลูกเจี๊ยบจิกเม็ดข้าว “ท่านแม่บอกว่าถ้าท่านปู่กับท่านย่าเจอซือหลิง ท่านย่าจะทำของกินอร่อยๆให้ซือหลิง”
ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำตอบก็ถึงกับพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปมองเค่อเอ๋อตาปริบๆ
จังหวะนี้เค่อเอ๋ออดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นมา
ก่านหรูเยี่ยนก็มองเรื่องราวอยู่ข้างๆอย่างเงียบงัน
ระหว่างเดินทางออกจากเมืองเหรินโม่เชิ่ง เรียกว่าต้วนหลิงเทียนได้ยินแต่คนพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในมรดกสถานทั้งสิ้น ทำให้เขารู้ตัวทันที ว่าตอนนี้เขาสร้างเรื่องใหญ่หลวงไว้ขนาดไหน ยังแทบเลื่อยเสาพวก 2 วัง 6 ตำหนักแล้ว!
“ศิษย์ส่วนตัว 2 คนของรองจ้าวตำหนักขจีจรัสกงซุนจิงตกตายในมรดกสถาน…”
“ลูกชายบุญธรรมของจ้าววังอัคคีสีชาด กับลูกหลานอาวุโสวังอัคคีสีชาด ชนชั้นอัจฉริยะที่ออกไปแสวงโชค ตกตายอยู่ด้านในไม่เหลือรอดสักคน…”
“แถมในบรรดาคนวังวิญญาณอสุรา ที่ตายยังมีบุตรชายของจ้าววังวิญญาณอสุรารวมอยู่ด้วย…”
…
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะพอเดาได้บ้างตอนดูดซับพรสวรรค์รากวิญญาณ ว่าที่เขาฆ่าไปสมควรเป็นชนชั้นหัวกะทิของเผ่าปีศาจมนุษย์…
อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดเลยว่าจะมากมายเหนือคาดไปแบบนี้
“ยกเว้นนายน้อยสวะทั้ง 3 ของวังเซียนสัญจรที่ตายก่อนที่ข้าจะเข้าไปในมรดกสถานนั่น…คนของวังเซียนสัญจรที่เข้าไปไม่มีใครตายเลย…”
สาเหตุของเรื่องนี้ ก็เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนเมตตาละเว้นพวกมัน
เหตุผลที่เขาเมตตาพวกมัน ไม่ใช่แค่พวกมันเป็นคนวังเซียนสัญจร
แต่ประการแรกเลยพวกมันเป็นมนุษย์เหมือนๆกันกับเขา เลือดในตัวพวกมันล้วนเป็นสายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์
ประการที่ 2 เพราะการวางตัวของวังเซียนสัญจรนับว่าบ่งบอกเจตนาชัดเจน พวกมันเลือกประวิงเวลาในการเข้าสู่ภูมิภาคเบื้องล่าง เพราะไม่อยากฆ่าพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนพวกปีศาจตนอื่นๆ…
ในเมื่อล้วนเกิดมาจากรากเหง้าเผ่าพันธุ์เดียวกัน ไม่คิดเบียดเบียนกัน แล้วไยเขาต้องเข่นฆ่าพวกมันที่เป็นผู้บริสุทธิ์ด้วย
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงไม่ได้ฆ่าคนในวังเซียนสัญจรที่อยู่ในมรดกสถาน
‘ตอนนี้เกรงว่าผู้ที่รู้เรื่องทั้งหมด ว่าพวกอัจฉริยะของขุมพลังทั้ง 5 ตายตกด้วยมือข้า ก็เห็นทีจะมีแต่หวงเหวินจิ้งคนเดียว…เพราะสุดท้ายตอนที่ช่วยนางยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณ นางก็เห็นข้าไล่ฆ่าพวกมันเป็นเบือ’
ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ในใจ
แต่เป็นธรรมดาที่เขาจะเชื่อว่าหวงเหวินจิ้งไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป
ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่กับนางนานสักเท่าไหร่ แต่นิสัยใจคอของนางเขาพอประเมินได้คร่าวๆ ว่านางเป็นคนฉลาด ย่อมไม่ใช่ชนชั้นเบาปัญญาคิดหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวอะไรแบบนั้น
เพราะสุดท้ายแล้วหากนางแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ไม่เพียงแต่เขาจะเดือดร้อนเท่านั้น แต่ตัวนางยังต้องเดือดร้อนหนักไม่แพ้เขาด้วยซ้ำ
‘สำหรับหวงฉี่หลิงคงรู้แค่ว่าข้าฆ่าปีศาจเพื่อช่วยชีวิตมันไม่กี่ตัว…แถมข้าไม่ได้เผยตัวออกไป แถมในบรรดาคนที่ตายก็ไม่มีคนของวังเซียนสัญจรแบบนี้มันย่อมไม่ขายข้าแน่นอน’
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเชื่อว่า ต่อให้ 2 วัง 6ตำหนักจะเดือดดาลเป็นฟืนไฟมากแค่ไหน ก็ไม่มีวันหาตัวเขาเจอ
‘โชคดีนักที่ไม่มีผู้ฝึกเต๋าในเผ่าพันธุ์ปีศาจ…ไม่งั้นข้าได้ถูกเปิดโปงแน่’
ด้วยไม่มีผู้ฝึกเต๋า ทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจไร้สิ่งของอำนวยความสะดวกอย่างยันต์เต๋าไว้ใช้งาน
เมื่อไม่มียันต์เต๋า แน่นอนว่าย่อมไม่มียันต์กระจกเงาสะท้อนลักษณ์ รวมถึงยันต์กระจกเงาแม่ลูก
ไม่งั้นขอแค่ในบรรดาอัจฉริยะปีศาจสักตนที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าตายมียันต์กระจกเงาลูกอยู่ พวกมันคงรู้กันทั่วแล้วว่าเขาคือฆาตกร!
‘ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปที่ข้ามาเมืองเหรินโม่เชิ่งจะเป็นยังไง…’
หลังออกมาด้านนอกเมืองเหรินโม่เชิ่ง ต้วนหลิงเทียนก็หันมองย้อนไปครู่หนึ่ง ลูกตาเขาหรี่ลงเผยประกายชืดชา
และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลย
ว่าไม่ไกลจากประตูเมืองทางทิศตะวันออก ปรากฏร่างเผ่าปีศาจมนุษย์ตนหนึ่งลอยล่องอยู่ในอากาศ เป็นชายวัยกลางคนที่ส่ายตาจับจ้องมองสำรวจไปทั่ว
มันสามารถแลเห็นทุกคนที่ผ่านเข้าออกเมืองชัดถนัดตา ยังแลเห็นครอบคลุมทุกประตู!
และในขณะที่มันกวาดตามองไปทั่วๆ สายตาของมันก็ตั้งใจมองสำรวจทั้งรูปร่างหน้าตาของผู้คน คล้ายกำลังมองหาใครบางคน
“ไปกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกกสาวน้อยใหญ่ทั้ง 3 ก่อนที่จะเหินร่างออกจากประตูเมืองทิศใต้ของเมืองเหรินโม่เชิ่ง หมายมุ่งหน้าไปยังทวีปมนุษย์
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพาทั้ง 3 เหาะข้ามฟ้าไปนั้น
“เป็นมัน!”
ชายวัยกลางคนที่ลอยร่างเพ่งมองผู้คนเหนือฟ้าปานรูปปั้น พอสังเกตเห็นร่างต้วนหลิงเทียน สองตามันก็หดหยีลงเผนประกายเรืองวูบ กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน
“โผล่หัวออกมาเสียที…ในที่สุดเจ้าก็โผล่หัวออกมาเสียที!!”
สาเหตุที่มันกล่าวออกเสียงเคียดแค้นถึงขีดสุดนั้น
เพราะชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ สมควรเป็นคนที่มันกำลังเฝ้ารอหาตัวอยู่!
คนที่ฆ่าลูกชายคนเดียวของมัน!!
“หืม?”
เมื่อชายวัยกลางคนเพ่งมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยจิตสังหาร ต้วนหลิงเทียนที่ไวต่อสัมผัสประเภทนี้ก็พบได้ทันทีว่ามีคนกำลังมองมา ยังหันไปเห็นชายวัยกลางคนดังกล่าวที่ลอยอยู่ไกลๆทันที
“หือ?”
เพียงมองปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นคุ้นตาอยู่บ้าง แต่ทว่าเขามั่นใจว่าพึ่งเคยเห็นหน้ามันครั้งแรก
‘ดูเหมือนข้าจะเคยเห็นคนที่หน้าตาคล้ายๆกับมันมาก่อน…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
พอเห็นสายตาที่ชายวัยกลางคนจ้องมองเขาอย่างดุร้ายแฝงจิตสังหารแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายสมควรมีความแค้นกับเขาถึงขั้นจะฆ่ากันให้ตาย
‘สายตาเคียดแค้นนั่น ทำอย่างกับข้าไปฆ่าบิดาถล่มมารดามันมา…’
ทันทีที่คิดถึงจุดนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอแสงวาบหนึ่งขึ้นมาทันที ด้วยเขานึกออกได้แล้วว่าเคยเห็นคนที่หน้าตาคล้ายชายวัยกลางคนผู้นี้ที่ไหน!
‘ก็ว่าอยู่ว่าเคยเห็นคนหน้าตาคล้ายมันที่ไหน…ที่แท้เป็น 1 ใน 3 นายน้อยสวะของวังเซียนสัญจร ที่มีพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนที่ข้าฆ่าไปคนสุดท้ายคนนั้นนี่เอง’
ต้วนหลิงเทียนนึกออกแล้ว
ตอนนั้นก่อนที่เขาจะเข้าไปในมรดกสถานที่ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์ทั้งยังบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะทิ้งไว้นั้น ในบรรดานายน้อยที่เป็นอริของหวงฉี่หลิงและมาหาเรื่องเขา คนที่มีพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนที่ตายคนสุดท้ายหน้าตาของมันแทบจะถอดพิมพ์เดียวกับชายวัยกลางคนผู้นี้มาเลย!
‘ศิษย์วังเซียนสัญจรที่มีพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 5เปลี่ยนคนนั้น ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเรียกว่าเหอเซินเจี๋ยสินะ…เช่นนั้นนี่ก็สมควรเป็นอาวุโสของวังเซียนสัญจรที่หนุนหลังมัน…’
ต้วนหลิงเทียนคาดเดาความเป็นมาอีกฝ่ายได้ทันที
อาวุโสวังเซียนสัญจร
‘เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนงั้นเหรอ…’
สองตาต้วนหลิงเทียนกระพริบวาบหนึ่ง ก่อนที่จะใช้พลังคลุมคนข้างกายทั้ง 3 ค่อยใช้ออกด้วยเวทย์พลังปีกอีกาทองคำ พุ่งร่างไปทางทิศใต้ด้วยความเร็วสูงสุดทันที! ทำราวกับกำลังเร่งรุดหลบหนี!!
แน่นอนว่าความเร็วสูงสุดที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออก ก็คือความเร็วที่เขาบรรลุถึงได้โดยไม่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน!
ตอนที่ 2,239 : ความเร็วขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!
โดยปราศจากผลของปฐมเวทย์กลืนกิน แม้ต้วนหลิงเทียนจะใช้ออกด้วยปีกอีกาทองคำแล้ว แต่ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาก็ทัดเทียมกับสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเท่านั้น!
ความเร็วระดับนี้ย่อมไม่นับเป็นอะไรในสายตาของอาวุโสวังเซียนสัญจรที่พลังฝึกปรือบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!
“สารเลว! กล้าคิดหนีงั้นเหรอ!?”
แทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนหอบร่างทั้ง 3 หลบหนี สองตาชายวัยกลางคนเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น มุมปากแสยะยิ้มดูแคลน เร่งรุดทะยานร่างติดตามต้วนหลิงเทียนไปทันที!
สุดท้ายพลังฝึกปรือของมันก็มีถึงเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยน ความเร็วย่อมเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนไม่น้อย
ทว่ากว่ามันจะทันได้ตอบสนองเรื่องราว และเหาะไล่ตาม…ต้วนหลิงเทียนที่ทะยานออกไปก่อนก็ทิ้งระยะห่างไปหลายลี้
ฟุ่บบบ!!
หลังไล่ล่าไปพักหนึ่ง ไม่นานอาวุโสวังเซียนสัญจรคนนี้ก็ไล่ตามได้ทัน กระทั่งยังพุ่งไปดักขวางเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนไม่ให้ไปต่อ จุดที่หยุดลงก็เป็นน่านฟ้าเหนือป่าไผ่ที่ไร้ผู้ใดสัญจรผ่านไปมา…
ทันทีที่หยุดลงประจัญหน้ากัน บรรยากาศก็เงียบวังเวงพิกล
“ต้วนหลิงเทียน!”
อาวุโสวังเซียสัญจรชักหน้าเย็นชามองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาแดงฉานมากอำมหิต กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายเอาเลือดเจ้าเซ่นส่งวิญญาณลูกข้า!!”
น้ำเสียงยามกล่าวของมัน ช่างเปี่ยมล้นไปด้วยเจตนาฆ่าฟันนัก
หากแต่ต้วนหลิงเทียนที่กำลังเผชิญหน้ากับอาวุโสที่เผยท่าทีดุร้ายเอาเรื่อง กลับไม่ได้แยแสอะไรมันเลยเพียงก้มลงไปกล่าวกับต้วนซือหลิงในอ้อมอกว่า “ซือหลิง ลูกหลับตาฟุบไปก่อนได้รึเปล่า? พ่อจะจัดการอะไรนิดหน่อย”
“ท่านพ่อ ท่านจะฆ่าคนชั่วงั้นเหรอ?”
ต้วนซือหลิงกระพริบตากลมใสปริบๆ สีหน้าเริ่มขึ้นสีชมพูขึ้นมาด้วยความคึกคัก “คนชั่วกล้าคิดทำร้ายท่านพ่อหรือ? ท่านพ่อๆ ให้ซือหลิงดูท่านพ่อทุบตีคนชั่วด้วยคนได้ไหม?”
หลังกล่าวขอจบต้วนซือหลิงก็เม้มปากลงราวร้องขอ ทีท่าน่ารักนี้ทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนปานจะละลายเป็นน้ำ
“งั้นก็ได้…ซือหลิงอยากดูก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามองไม่ชัดอย่าโทษพ่อนะ”
ต้วนหลิงเทียนลูบศีรษะน้อยๆของซือหลิงอย่างเอ็นดูพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เย่!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนตกลงรับคำขอ ใบหน้าต้วนซือหลิงก็แดงก่ำขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น มองไปคล้ายหยกเสลาชวนให้หมั่นเขี้ยวน่าหอมน่าหยิกแก้มนัก
“พี่เทียน…”
ต้วนหลิงเทียนตอบรับคำขอต้วนซือหลิงไปไม่ทันไร เค่อเอ๋อก็เอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสายตาเป็นกังวล ด้วยนางไม่อยากให้บุตรีตัวน้อยเห็นฉากนองเลือดเร็วเกินไป…
สุดท้ายแล้วลูกนางก็ยังเล็กนัก
“ไม่ต้องกังวล ข้ารู้…”
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าเค่อเอ๋อกำลังคิดอะไรอยู่ จึงพยักหน้ากล่าวออกด้วยรอยยิ้มสบายๆ
เค่อเอ๋อย่อมเชื่อใจต้วนหลิงเทียนอย่างไร้เงื่อนไข จึงไม่กล่าวแย้งอะไรอีก
กลับกันด้านก่านหรูเยี่ยนกลับมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาครุ่นคิด
“ต้วนหลิงเทียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร! กล้าดีอย่างไรถึงได้ทำเป็นไม่เห็นหัวข้า!!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเมินไปไม่สนใจมันเลย อาวุโสวังเซียนสัญจรก็หัวร้อนนัก ชุดเสื้อเสมือนโป่งพองลม กลิ่นอายพลังขุมหนึ่งระเบิดออกมาสะท้านสะเทือนมวลอากาศรอบๆดังครืนๆอย่างน่ากลัว!!
“ข้าไม่สนคนกำลังจะตาย…”
ตอนนี้ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็หันมาสนใจอีกฝ่าย ทว่าวาจานี้ของเขาแทบทำให้อีกฝ่ายกระอักเลือด!
ไม่สนคนกำลังจะตาย?
พอได้ยินต้วนหลิงเทียนบอกว่ามันเป็นคนกำลังจะตาย อาวุโสวังเซียนสัญจรก็ไม่อาจทานทนได้ไหวสืบไป
ทันใดนั้นเอง
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
พร้อมกันกับมวลพลังมหาศาลที่ระเบิดออกจากร่างขุมใหญ่ ร่างวัยกลางคนคล้ายกลับกลายเป็นอัสนีสายหนึ่ง พุ่งทะยานเข่นฆ่าเข้ามาทางต้วนหลิงเทียนด้วยอำมหิต!
และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่อาวุโสวังเซียนสัญจรโจนทะยานเข้ามา
ความว่างรอบตัวต้วนหลิงเทียนพลันอุบัติเป็นวังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่ง สูบกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดนรอบอย่างโหยหิว!
เป็นต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกิน!
เพียงชั่วพริบตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกิน พลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาลที่กรูกกันเข้าร่างก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดกล้าแกร่ง พริบตาระดับพลังก็ก้าวไปสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน! ซึ่งเป็นพลังที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังของอาวุโสวังเซียนสัญจรที่กำลังทะยานร่างเข้ามาแม้แต่น้อย!!
“ปีกอีกาทองคำ!”
เผชิญหน้ากับการโถมร่างเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราดของอาวุโสวังเซียนสัญจร ต้วนหลิงเทียนปะทุพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดที่ทัดเทียมกับพลังเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนเร็วรี่ ใช้ออกด้วยปีกอีกาทองคำอีกครั้ง!
ทันใดนั้นแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนปรากฏพลังขุมใหญ่ระเบิดออกมาดั่งเปลวเพลิง พริบตามวลพลังก็ควบรวมก่อเกิดเป็นปีกเพลิงมหึมาสีทองสว่างตาคู่หนึ่ง!
ปีกคู่เขื่องทองสว่างปรากฏไม่ทันไร ก็สะบัดลงฉับไว!
ทันใดนั้นเอง
บรึม! บรึม! บรึม! บรึม!
……
เสียงอากาศแตกระเบิดลั่นดังสนั่นฟ้า! คลื่นกระแทกจากอากาศอันทรงพลังไม่ต่างอาวุโสวังเซียนสัญจร พลันกวาดกำจายออกมาปานลมคลั่ง!!
หลังเวทย์พลังเสริมท่าร่างสำแดงอานุภาพ ต้วนหลิงเทียนที่หอบหิ้วสตรีทั้ง 3 ก็พุ่งทะยานออกไปปานดาวตก!
ความเร็วของเขาตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่ามันแม้แต่น้อย!
ทว่าเขาได้หอบหิ้วผู้คนไว้ถึง 3!
หากไม่มีภรรยากับลูกสาวรวมถึงพี่สาวภรรยา เกรงว่าความเร็วในการเหาะเหินคงเกินอาวุโสวังเซียนสัญจรไปหลายก้าว!
เหตุเพราะเวทย์พลังปีกอีกาทองคำที่ต้วนหลิงเทียนสำแดงออก มันมีระดับเหนือล้ำกว่าเวทย์พลังเสริมท่าร่างที่อาวุโสวังเซียนสัญจรผู้นี้ใช้! ในสภาวะที่ระดับพลังทัดเทียม ความเร็วเขาไม่มีวันด้อยกว่ามัน!!
“เป็นไปได้ยังไง!?”
เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนที่แม้จะหอบหิ้วตัวภาระไว้ถึง 3 แต่กลับทะยานร่างออกไปโดยที่ความเร็วไม่ด้อยไปกว่ามัน ลูกตาอาวุโสวังเซียนสัญจรอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง ใบหน้าฉายออกชัดถึงความตกใจเหลือเชื่อ
ในขณะที่อาวุโสวังเซียนสัญจรชักสีหน้าเหลือเชื่อไม่เข้าใจ ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างฉีกหนีไป ก็เร่งรุดดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินต่อทันที!
ปฐมเวทย์กลืนกิน!
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกินอีกครั้ง พลังวิญญาณฟ้าดินรอบจุดที่เขาอยู่ก็วูบหายไปในชั่วพริบตา!
ไม่ทันไร ดวงไฟสองดวงที่รุกไล่พุ่งข้ามฟ้าก็ไล่ล่ากันไปกว่า 3 ลมหายใจแล้ว!
และอาวุโสวังเซียนสัญจรก็ยังไม่อาจไล่ตามพวกต้วนหลิงเทียนได้ทัน!
ตอนนี้อาวุโสวังเซียนสัญจรยังถึงกับเร่งเร้าพลังสุดตัวจ่ายสู่เวทย์พลังเสริมท่าร่าง!
ทันใดนั้นความเร็วของมันก็เพิ่มพูนขึ้นอีกเล็กน้อย
แต่ในขณะที่ความเร็วของมันกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อยนั้น…
มันก็ต้องตกใจ…เพราะความเร็วของต้วนหลิงเทียนก็เพิ่มขึ้นมาเช่นกัน!
หลังไล่ตามอยู่นานมันก็ไม่อาจติดตามได้ทันเสียที
กล่าวให้ชัดมันไม่แม้แต่จะไล่ตามต้วนหลิงเทียนที่หอบหิ้ว 3 ตัวภาระได้ทัน!
จังหวะนี้ในใจอาวุโสวังเซียนสัญจรอดไม่ได้ที่จะบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่ง ยังเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองในใจ
‘ข้าจะจัดการมันได้แน่หรือ…’
อาวุโสวังเซียนสัญจรอดไม่ได้ที่จะฉุกคิดในใจไปในแง่ลบ
ถึงแม้ว่ามันอยากล้างแค้นให้ลูกชาย
ทว่าเท่าที่ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าสุดท้ายแล้วไม่เพียงแต่มันจะล้างแค้นให้ลูกชายไม่ได้ แต่ตัวมันกลับเป็นฝ่ายตกตายเองหรอกนะ?
‘หนี!’
ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ อาวุโสวังเซียนสัญจรพลันเค้นพลังชั่วชีวิตเหินร่างม้วนกลับ เร่งทะยานพุ่งสวนทางเดิมออกไปด้วยความเร็วสูงสุด หมายกลับไปให้ถึงเมืองเหรินโม่เชิ่งให้เร็วที่สุด! ทำราวกับกลัวต้วนหลิงเทียนจะหันกลับมาไล่ล่ามันแทน!!
มันไม่ใช่ตัวโง่งม!
แม้ต้วนหลิงเทียนจะยังไม่แว้งกลับมาลงมือจู่โจมมัน
อย่างไรก็ตามมันสังเกตเห็นทีท่าลักษณะของต้วนหลิงเทียนได้ชัดตา
ต่อหน้ามัน…ต้วนหลิงเทียนคล้ายไม่มีความกดดันอะไรเลย!
แต่ไฉนต้วนหลิงเทียนไม่ลงมือกับมัน ตอนนี้มันก็ไม่อาจทราบได้
บางทีอาจเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนมีดีแค่ความเร็ว หรือบางทีกำลังสั่งสมพลังหมายปะทุพลังสังหารมันกันแน่…
มันไม่กล้าเสี่ยง!
ไม่เป็นไรหากชนะเดิมพัน แต่ถ้าแพ้พนันมันตาย!
“ในที่สุดก็ทะลวงผ่าน…”
ในขณะที่อาวุโสวังเซียนสัญจรตัดสินใจหลบหนีนั้น ก็พอดีกับที่เวลาได้ผ่านพ้นไป 20 ลมหายใจแล้ว และปฐมเวทย์กลืนกินของต้วนหลิงเทียน หลังใช้ออกเพื่อสูบกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินหลายจุด ในที่สุดก็ยกกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในกายให้มีพลังอานุภาพทัดเทียมกับเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนเสียที!!
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดมหาศาลที่ราวกับกำลังเดือดพล่านในกาย ในใจต้วนหลิงเทียนพลันบังเกิดความรู้สึกเสมือนใต้หล้าอยู่ในกำมือ!
“คิดหนีงั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าอาวุโสวังเซียนสัญจรวกร่างหลบหนีไป จนกลายเป็นจุดดำเล็กๆที่เส้นขอบฟ้า สองตาต้วนหลิงเทียนพลันหรี่ลงเผยประกายเยียบเย็น มุมปากยกยิ้มแสยะออกมาด้ววยความรังเกียจ
ฉากเรื่องราวนี้ช่างคุ้นตานัก…
ก่อนหน้าไม่ใช่ว่าตอนต้วนหลิงเทียนหอบหิ้วลูกสาวกับภรรยาและพี่ภรรยาหลบหนีออกมาจากบริเวณหน้าประตูเมืองเหรินโม่เชิ่ง ไม่ใช่อาวุโสวังเซียนสัญจรนั่นก็ชักสีหน้าท่าทีเช่นนี้หรอกหรือ?
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ยิ้มหยันฉีกแสยะขึ้น
“ปีกอีกาทองคำ!”
เป็นต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยเวทย์พลังเสริมเคลื่อนไหวอีกรอบ หากแต่พลังที่ปะทุออกมากลางหลังครานี้ มหาศาลสุดที่ก่อนหน้าจะทัดทานเทียบได้! ความเร็วย่อมไม่ใช่อะไรที่อยู่ในระดับเดียวกันอีกต่อไป!!
ด้วยชีพจรเซียน 99 สาย ต้วนหลิงเทียนยังเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดได้รวดเร็วเหลือเชื่อ สำแดงเวทย์พลังปีกอีกาทองคำออกได้ในชั่วพริบตา โจนทะยานไล่หลังอาวุโสวังเซียนสัญจรไปด้วยความเร็วที่เหนือชั้นกว่ามันหลายขุม!
“เร็วๆๆ! เร็วยิ่งท่านพ่อ! ท่านพ่อสุดยอด!!”
ต้วนซือหลิงที่แลเห็นภาพรอบกายเป็นเส้นขาวเบลอ ได้แต่ชูกำปั้นเล็กพุ่งไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น ร่ำร้องเสียงใสด้วยความสนุกสนานสมใจไม่หยุด ทำราวกับนางกำลังเหาะเหินอยู่เอง!
‘ความเร็วของมัน…ไฉนมหาศาลถึงเพียงนี้!?’
ก่านหรูเยี่ยนตกตะลึงไปหมด
จังหวะนี้กระทั่งเป็นสายตาของนาง ยังไม่อาจแลเห็นภาพทิวทัศน์รอบกายใดๆได้เลย ทั้งหมดสว่างวาบดั่งเส้นแสง!!
นั่นเพราะต้วนหลิงเทียนกำลังเหินบินด้วยความเร็วอันสูงล้ำ!
รวดเร็ว!
รวดเร็วเกินไป!!
สำหรับเค่อเอ๋อที่เทิดทูนต้วนหลิงเทียนจนกลายเป็นศรัทธาก็ไม่ได้เผยทีท่าประหลาดใจแต่อย่างใด
ด้วยความเร็วที่เหนือชั้นกว่าอาวุโสวังเซียนสัญจรไปหลายขุม เพียงไม่กี่ลมหายใจ ร่างต้วนหลิงเทียนก็พุ่งวาบไปดั่งเส้นแสงไล่หลังมันได้ทัน กระทั่งยังแซงหน้าไปดักขวางทางมันเอาไว้ในชั่วพริบตา!
“นิ…นี่…”
ในสายตาของอาวุโสวังเซียนสัญจร ต้วนหลิงเทียนประหนึ่งจะผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าก็ไม่ปาน พาลให้หน้ามันเปลี่ยนสีกลับกลายใหญ่หลวง แววตาฉายชัดถึงความตื่นตระหนกไม่เชื่อ “จะ…เจ้า ไฉนรวดเร็วถึงเพียงนี้?!”
“จะ…เจ้าปกปิดพลังเอาไว้แต่แรก!?”
ตอนนี้อาวุโสวังเซียนสัญจรแทบจะสติแตกอยู่รอมร่อ
ชายหนุ่มในชุดม่วงที่มีความเร็วล้าหลังมันในตอนแรกหลายขุม จากนั้นไม่นานกลับเผยความเร็วที่สูงขึ้นอย่างน่ากลัวจนทัดเทียมกับมัน!
หลังจากที่ทำให้มันบังเกิดความกลัวจนหลบหนีมาแล้ว อีกฝ่ายกลับปะทุความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิมออกมา!
‘บัดซบ…ไล่ข้ามาทันได้ง่ายดายกระทั่งแซงไปโดยที่ข้าไม่ทันแลเห็นแบบนี้…ไม่ใช่ว่ามีแต่เซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนที่สามารถกระทำได้หรือไร?’
ความคิดหวาดหวั่นหนึ่ง พลันผุดขึ้นจากส่วนลึกในใจของอาวุโสวังเซียนสัญจรอย่างไม่อาจห้าม
ตอนที่ 2,240 : กวาดล้าง!
“เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!!”
ทันทีที่ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นในหัวอาวุโสวังเซียนสัญจร สองตามันก็หดเล็กลงทันใด ทั่วร่างสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว
ชายหนุ่มชุดม่วงนาม ต้วนหลิงเทียน ผู้นี้…เป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจริงๆหรือ!?
คนที่ฆ่าลูกชายมัน ที่แท้เป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!?
หากมันรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแต่แรก…ต่อให้มันขวัญกล้ามากกว่านี้อีกร้อยเท่ากระทั่งหมื่นเท่ามันก็ไม่กล้ามาตอแยอีกฝ่าย!!
น่าขัน!
เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก็คือตัวตนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับจ้าววังเซียนสัญจรของมัน!
ผู้ทรงพลังระดับนี้ แม้ด่านพลังฝึกปรือจะเหนือกว่าแค่หนึ่งขั้น ทว่าหากคิดฆ่ามันสักคนยังง่ายดายยิ่งกว่าตัดหญ้าฆ่าไก่!
“ใต้เท้า…”
มองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สายตาอาวุโสวังเซียนสัญจรเต็มไปด้วยความหวั่นหวาด จนในที่สุดมันรวบรวมความกล้าทั้งหมดหมายพูดอะไรบางอย่าง
ฟั่ฟฟฟ!
ทว่าทันใดนั้นเองปรากฏเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศดังขึ้นแผ่วเบา เป็นต้วนหลิงเทียนสะบัดมือออกไปส่งๆคล้ายปัดแมลงวัน รังสีพลังกระบี่สายหนึ่งก็พุ่งแสกเข้ากลางหว่างคิ้วได้อย่างง่ายดายราวกับกระดูกผุ ก่อนจะจี้ตรงเข้าสู่ดวงจิต
พริบตานี้อาวุโสวังเซียนสัญจรไม่แม้แต่จะใช้ความสามารถถอดจิตลี้ร่างอันเป็นความสามารถเฉพาะของเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอะไรได้ทัน มันก็ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตาย…
ตั้งแต่ต้นจนจบต้วนหลิงเทียนไม่เสียเวลากล่าวอะไรกับมันสักคำ
ปงงง!
แทบจะพร้อมกันกับที่หว่างคิ้วอาวุโสวังเซียนสัญจรถูกเจาะ ต้วนหลิงเทียนยังโบกมือส่งๆอีกครั้ง
ทว่าการโบกมมือส่งๆนี้ กลับก่อให้เกิดเสียงอากาศแตกระเบิดน่ากลัวราวกับมีพลังอำนาจมหาศาลกระแทกทำลายอากาศ!
ทันใดนั้น
ปง! ปง! ปง! ปง!
……
เสียงอากาศแตกระเบิดดังสนั่นขึ้นเป็นชุด ปรากฏมวลพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดขุมใหญ่ปะทุออกมาจากฝ่ามือต้วนหลิงเทียน!!
เมื่อพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดขุมนี้ปะทุออกมา ก็ประหนึ่งคลื่นยักษ์ซัดสาดกลืนร่างไร้วิญญาณอาวุโสวังเซียนสัญจรจนหายลับไปในความว่างเปล่า…
กระบวนการทั้งหมดบังเกิดขึ้นในห้วงเวลาชั่วพริบตาดั่งฟ้าแลบ ทำให้ในที่นี้มีเพียงต้วนหลิงเทียนคนเดียวที่แลเห็น
อย่ากล่าวถึงสายตาเค่อเอ๋อกับต้วนซือหลิงเลย…
กระทั่งก่านหรูเยี่ยนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้วนหลิงเทียนลงมืออย่างไร!
นางได้ยินเพียงเสียงกระบี่หอนสั้นๆเท่านั้น ครู่ต่อมาร่างคนที่คิดฆ่าต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานหายไปในอากาศแล้ว!
คงเหลือเพียงแหวนมิติวงเดียวเท่านั้นที่กำลังร่วงตกลงมา ก่อนถูกต้วนหลิงเทียนใช้พลังเก็บไป
เห็นฉากนี้ ก่านหรูเยี่ยนย่อมไม่คิดว่าชายวัยกลางคนนั่นจะจากไปอย่างไร้เรื่องราว
กระทั่งแหวนพื้นที่ยังหลงเหลือทิ้งไว้แบบนี้…
เป็นไปได้อย่างเดียวเท่านั้น
มันถูกฆ่าตาย!
“ท่านพ่อ…คนชั่วเล่า คนชั่วไปที่ใดแล้ว?”
ต้วนซือหลิงย่อมไม่รู้ว่าการเหลือแต่แหวนพื้นที่แบบนี้หมายถึงอะไร นางที่อยู่ในอ้อมแขนของต้วนหลิงเทียนจึงพยายามหันรีหันขวางยกใหญ่ หมายจะตามหาตัวอาวุโสวังเซียนสัญจร
“ซือหลิง คนชั่วถูกพ่อของเจ้าทุบตีจนรีบวิ่งหนีไปแล้ว…”
ต้วนซือหลิงอาจไม่รู้ว่าความหมายของการหลงเหลือแต่แหวนพื้นที่หมายความว่าอย่างไร แต่เค่อเอ๋อย่อมรู้ดี เช่นนั้นพอได้ยินเสียงถามด้วยความซุกซนของลูกสาวตัวน้อย นางจึงกล่าวตอบออกมาทันที
“เอ๋ มันวิ่งหนีไปแล้วเหรอ?!”
ต้วนซือหลิงผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะคืนสติ มือเล็กชูขึ้นอย่างคึกคัก “ว้าวว! ท่านพ่อร้ายกาจมาก ตีคนชั่วจนหนีไปเลย!!”
“หมั่ว!!”
ขณะที่ตะโกนอย่างคึกคักต้วนซือหลิงก็หอมแก้มต้วนหลิงเทียนฟอดหนึ่ง ท่าทางแลดูตื่นเต้นสนุกสนานนัก
“ไปกันเถอะ…พวกเราเดินทางกันต่อ”
ต้วนหลิงเทียนลูบศีรษะน้อยๆด้วยความเอ็นดู ค่อยหันไปมองกล่าวกับเค่อเอ๋อและก่านหรูเยี่ยน
สิ้นคำ เขาก็ใช้พลังหอบหิ้วทุกคนพุ่งร่างตัดฟ้าไปยังทิศทางบ้านเกิด
บ้านเกิดของเขาก็คือ 1 ใน 3 ทวีปมนุษย์ของถูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เรียกว่าทวีปเมฆาล่อง
ด้วยใช้ประโยขน์จากพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดที่เทียบได้กับพลังเซียนต้นกำเนิดขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ต้วนหลิงเทียนก็นำพาทั้ง 3 พุ่งข้ามฟ้าไปด้วยความเร็วอันน่ากลัว บรรลุถึงน่านน้ำทวีปเมฆาล่องในเวลาแสนสั้น
เทียบกับทวีปดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าที่มีพลังวิญญาณฟ้าดินมากมายแล้ว ทวีปมนุษย์นับว่ามีสภาพแวดล้อมเลวร้ายกว่ากันมาก
ต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อที่เคยอยู่มาย่อมเตรียมใจไว้แต่แรก
หากแต่ก่านหรูเยี่ยนกับต้วนซือหลิงนั้น แทบปรับตัวไม่ได้ นั่นเพราะพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่มันเบาบางจนแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้หากยกไปเทียบกับภูมิภาคเบื้องบน
“ท่านพ่อ ที่นี่ไม่ดีเลย…ซือหลิงไม่ชอบ”
ต้วนซือหลิงทำหน้ามุ่ยกล่าวกับต้วนหลิงเทียน
“ซือหลิงเด็กดี…ไว้พวกเราเจอท่านปู่กับท่านย่าแล้วพวกเราพาทุกคนไปที่อื่นดีหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มถาม
“ดีๆ”
ต้วนซือหลิงพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ครู่ต่อมาก็กล่าวออกเสียงใส “ท่านพ่อเรารีบไปหาท่านปู่ท่านย่ากันเถอะ…ที่นี่ไม่ดีเลย พวกเราค่อยพาท่านปู่กับท่านย่าไปอยู่ที่เดิมที่พวกเราอยู่ ทุกคนต้องมีความสุขแน่ๆถ้าได้อยู่ที่นั่น!”
“ได้ๆๆ…พ่อเชื่อฟังซือหลิงคนเก่ง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารัวๆ
หลังมุ่งหน้าลงใต้ไปต่ออีกไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็พาทุกคนเหินข้ามทวีปเมฆาล่อง มุ่งหน้าไปยังมุมหนึ่งของทวีป
หลังเหินเข้าเขตปกครองของ 10 ราชวงศ์แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาทุกคนบินลงต่ำ
ตลอดทาง พบซากศพแห้งกรังให้เห็นไปทุกที่
เมืองที่เคยเจริญรุ่งเรืองในความทรงจำตอนยังเยาว์ของต้วนหลิงเทียน ตอนนี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง ราวกับพึ่งพบพานหายนะครั้งใหญ่
“ปีศาจ…ไอ้พวกปีศาจ!”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าตอนนี้สองตาต้วนหลิงเทียนกลับแดงฉาน เพลิงแห่งความเคียดแค้นลุกโชนขึ้น ในใจยังท่วมท้นไปด้วยความชิงชัง เส้นผมยังเริ่มปลิวสยายราวกับอสรพิษมีชีวิต
ซู่มม! ซู่มม! ซู่มม! ซู่มม!
……
เมื่อความเคียดแค้นต่อเผ่าพันธุ์ปีศาจในใจต้วนหลิงเทียนพุ่งถึงขีดสุด เขาก็พาลูกสาวพร้อม 2 สาวพุ่งไปทั่วเขต 10 ราชวงศ์ด้วยความเร็วสูง
แน่นอนว่าทุกที่ทางที่เขาเหินผ่าน ปีศาจทุกตัวล้วนตกตายกลายเป็นหมอกเลือด!
ด้วยความเร็วอันมหาศาลของต้วนหลิงเทียน ใช้เวลาเพียง 10 วันเท่านั้น เผ่าปีศาจทั้งหมดที่บุกมายังเขตปกครอง 10 ราชวงศ์ก็ตกตายหมดสิ้น
ในระหว่างกวาดล้างเผ่าปีศาจ ต้วนหลิงเทียนยังดูดซับพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันเพื่อลองเพิ่มพรสวรรค์รากวิญญาณให้เค่อเอ๋อดู
และเขาก็ได้ค้นพบว่า…
พรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วง…ไม่ใช่ขีดจำกัดสูงสุดของพรสวรรค์รากวิญญาณ!
ยังมีพื้นที่ให้พัฒนา!
อย่างไรก็ตามหลังจากลองดำเนินการดู แม้จะกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณมามากมาย ทว่าสีม่วงเข้มเดิมก็เพียงเข้มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ราวกับเป็นหลุมไร้ก้นบึ้ง!
แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพราะ พรสวรรค์ของเหล่าปีศาจที่มาบุกพื้นที่ปกครอง 10 ราชวงศ์พวกนี้มันต่ำต้อยนัก เทียบกับพรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อแล้ว ก็เสมือนพยายามเติมน้ำให้เต็มถังทีละหยด…
ตรงกันข้าม สำหรับพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนนั้น สีม่วงปกติเริ่มเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ห่างจุดที่จะยกระดับเป็น สีม่วงเข้ม อีกไม่นานแล้ว…
‘เว้นเสียก็แต่พวกปีศาจจะซ่อนตัวอยู่ ตอนนี้พวกปีศาจที่มารุกรานพื้นที่ 10 ราชวงศ์…ทั้งหมดสมควรถูกฆ่ากวาดล้างไปหมดแล้ว…’
“ตอนนี้ลองกลับไปหาท่านพ่อท่านแม่กับเสี่ยวเฟยเอ๋อดู ทุกคนน่าจะซ่อนตัวอยู่ในอาณาจักรนภาล่อง..”
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็พาทุกคนมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรนภาล่องทันที
อาณาจักรนภาล่องเป็นหนึ่งในอาณาจักรเล็กๆที่อยู่ใต้ปกครองของอาณาจักรพนาครามอีกที โดยอาณาจักรพนาครามก็เป็นหนึ่งในอาณาจักรใต้อาณัติจักรวรรดิศิลาทมิฬ โดยที่จักรวรรดิศิลาทมิฬก็เป็น 1 ในจักรวรรดิที่อยู่ใต้อำนาชราชอาณาจักรต้าฮั่น…มันเป็นบ้านเกิดของต้วนหลิงเทียน
จากจุดต่ำสุดของแดนดิน ต้วนหลิงเทียนค่อยๆก้าวเดินไปทีละก้าวๆมาจนถึงจุดนี้
ในระหว่างออกไล่ฆ่าเผ่าปีศาจในเขตปกครอง 10 ราชวงศ์ ต้วนหลิงเทียนก็แวะไปอาณาจักรนภาล่องทีนึงแล้ว หากแต่ด้วยความที่คิดอยากกวาดล้างเผ่าปีศาจเขาจึงไม่มีเวลาทำอย่างอื่น
ตอนนี้เมื่อปีศาจในเขคปกครอง 10 ราชวงศ์ถูกกำจัดจนหมดสิ้น ต้วนหลิงเทียนจึงย้อนกลับมายังอาณาจักรนภาล่องอีกครั้ง
ด้วยเพราะอาณาจักรนภาล่องมันเสมือนอยู่ในหลืบของแดนดิน จึงไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากมาย
ปีศาจที่ถ่อมาถึงที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นปีศาจชั้นต่ำ พลังของพวกมันนับว่าอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาปีศาจของแดนเนรเทศ
ที่พวกมันถ่อมาถึงอาณาจักรนภาล่อง ก็เพื่อเติมเต็มความกระหายในใจ ใช้ชีวิตอย่างอู้ฟู่หรูหรา เสวยสุขภายใต้การดูแลรับใช้ของมนุษย์…
เพราะสุดท้ายแล้วตอนที่พวกมันอยู่ในแดนเนรเทศนั้น พวกมันก็ต่ำต้อยยิ่งกว่าทหารเลว เป็นได้แค่ปลาซิวปลาสร้อยรอคอยวันตายเท่านั้น พวกมันแทบไม่นับเป็นตัวอะไรด้วยซ้ำ ไหนเลยจะเคยเสวยสุข…
ในที่สุดพวกมันที่ไม่นับเป็นตัวอะไรและไม่เคยมีค่ามีราคาอะไรในสายตาปีศาจที่แข็งแกร่ง ก็สามารถลิ้มรสความรู้สึกของการเป็นราชาได้เสียที!
และด้วยความที่มนุษย์ในอาณาจักรนภาล่องอ่อนแอเกินไป ถึงมันจะกลืนกินแก่นแท้ พลังชีวิต และปราณโลหิตอะไร พลังบ่มเพาะของมันก็แทบไม่กระเตื้อง พวกมันจึงเลือกไว้ชีวิตและให้คอยรับใช้ดูแลมันแทน
แน่นอนว่าต่อให้พวกปีศาจเหล่านี้วันๆจะได้แต่กินนอน เพลิดเพลินกับความสะดวกสบายไม่ทำอะไร แต่ไม่ว่าจะสูงต่ำตั้งแต่ฮ่องเต้ยันประชาชนก็ไม่มีใครกล้าขัดใจพวกมัน
ไม่เพียงแต่ไม่กล้าขัดใจต่อต้าน ยังต้องพยายามฝืนใจรับใช้ด้วยท่าทีเคารพ
จนกระทั่งต้วนหลิงเทียนเหินมาถึงเมื่อสองวันก่อน ไม่พูดไม่จาก็ล่าล้างสังหารเหล่าปีศาจจนหมด ปลดแอกอาณาจักรนภาล่องให้หวนคืนสู่ความสงบสุขอีกครา…
‘ท่านพ่อท่านแม่กับพวกเสี่ยวเฟยเอ๋อ…ไม่ได้กลับมาที่นี่งั้นเหรอ?’
หลังจากตระเวนสำรวจไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่า
พ่อแม่ทั้งภรรยาอย่างลี่เฟยและลูกชายเขาต้วนเนี่ยนเทียน ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรนภาล่อง
‘แล้วนอกจากที่นี่…ทุกคนจะไปไหนได้อีก?’
ต้วนหลิงเทียนเองก็จนปัญญากับเรื่องนี้เช่นกัน
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็พาทั้ง 3 ออกจากอาณาจักรนภาล่อง เดินทางร่อนเร่ไปทั่วพื้นที่ปกครอง 10 ราชวงศ์อย่างไร้จุดหมาย…
แต่ต้นจนจบต้วนหลิงเทียนไม่ได้เผยตัวออกไปยุ่งวุ่นวายกับการจัดการอำนาจปกครองอะไรของผู้คนเลย
ตอนนี้ในเมื่อปีศาจที่บุกมายึดครองพื้นที่ 10 ราชวงศ์ถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว เขาก็ไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของมนุษย์อีกต่อไป ขณะเดียวกันก็ไม่อยากก้าวก่ายวิถีชีวิตผู้คน…
“ทุกคนไปซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่…”
หลังจากลองปูพรมค้นหาในพื้นที่ปกครอง 10 ราชวงศ์ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่เจอเบาแสะของครอบครัวเลย จังหวะนี้ในใจเขาจึงอดเป็นกังวลไปไม่ได้
เขาคิดไม่ออกจริงๆ
ว่าพวกบิดามารดาเขาหลังหลบหนีออกจากเขตที่ตั้งตำหนักเมฆาครามเดิมแล้วจะไปที่ไหนต่อได้…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเป็นกกังวลเพราะหาบิดามารดาไม่พบนั้น
ณ พื้นที่ตะวันออกของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง
“ต้วนหรูเฟิง เอาประทับหมื่นขุนเขา…หนีไป”
น้ำเสียงยืนกรานแฝงกังวลหนึ่งดังขึ้น “หากเจ้าโชคดีรอดชีวิตไปได้…ช่วยหาเจ้าของที่ดีให้มันด้วย!”
ตอนที่ 2,241 : อาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพ
เหนือภูเขารกร้างปรากฏร่าง 2 ร่างเหินบินตีคู่ไปด้วยกัน
เป็นชายหนุ่ม 2 คน
หนึ่งในนั้นยืนอยู่บนร่างหุ่นเชิดตัวเขื่อง ปล่อยให้หุ่นเชิดตัวเขื่องพาเหินตัดฟ้าไปด้วยความเร็วสูง
คนผู้นี้สวมใส่ชุดคลุมสีคราม เชือกรัดผมไม่ทราบขาดไปตั้งแต่เมื่อใด ปล่อยให้ผมยาวสยายสะบัดไปตามแรงลม
เมื่อมองข้ามเส้นผมสยายปรกหน้าไป จนแลเห็นหน้าตาให้ดี
จะพบว่าหว่างคิ้วนั้นละม้ายคล้ายคลึงกับต้วนหลิงเทียนนัก
หุ่นเชิดตัวเขื่องใต้เท้าเต็มไปด้วยไอมารอันกล้าแกร่ง หากแต่ตอนนี้สภาพขอมันไม่คอยจะสู้ดีนัก รอยแตกร้าวเสียหายเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าได้รับความเสียหายมาไม่น้อย ยังราวกับจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ!
หากมีคนของเผ่าปีศาจจากแดนเนรเทศมาแลเห็น คงบอกได้ทันทีว่ามันคือหุ่นเชิดเซียนปีศาจ!
ส่วนอีกที่เหินร่างเคียงกัน ก็เป็นชายในชุดคลุมลมดำ เส้นผมกระเซอะกระเซิง กลิ่นอายพลังทั่วร่างอ่อนโทรม เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส!
ชายในชุดคลุมลมดำสภาพสาหัสสะบัดมือคราหนึ่ง ก็โยนตราประทับไปให้ชายหนุ่มในชุดสีครามบนร่างหุ่นเชิดตัวเขื่อง
เหนือตราประทับเต็มไปด้วยขุนเขาจำลองขนาดเล็กตั้งตระหง่านมากมาย มองแล้วสมควรมียอดเขานับไม่ถ้วน
หากมีคนที่รู้จักสิ่งของชิ้นนี้มาอยู่ที่นี่คงสามารถบอกได้ทันที
ว่ามันคือ ประทับหมื่นขุนเขา 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ที่ติดสิบอันดับแรกในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
แต่ต้นจนจบทั้ง 2 เหินร่างข้ามฟ้าไปด้วยความเร็วสูงสุด ท่าทางรีบเร่งไม่กล้าชักช้า
“ตู้กู…ตอนนี้ถึงพวกเราอยากหนี แต่เกรงว่าจะหนีไม่พ้นแล้ว…”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม “เจ้านั่นมันเป็นจ้าววังวิญญาณอสุราของเผ่าปีศาจมนุษย์…พลังฝึกปรือบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน…ด้วยพลังของเจ้าตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะรับมือมัน ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีพ้นภายใต้จมูกของมัน!”
“ช่างเถอะ สุดท้ายก็เป็นพวกเราประมาทเอง…พวกเราควรย้ายที่ให้เร็วกว่านี้ ไม่งั้นคงไม่ถูกมันตามมาจนเจอ!”
กล่าวจบต้วนหรูเฟิงก็เผยยิ้มขื่นขมออกมา
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน…ทันทีที่ค้นพบว่ามีปีศาจวัวบุกขึ้นมาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ต้วนหรูเฟิงก็เร่งเตรียมการรับมือไว้แต่แรก
ก่อนที่เผ่าปีศาจบุกขึ้นมาระยะหนึ่ง ต้วนหรูเฟิงก็ไปหาตู้กูก่อนจะตกลงเป็นพันธมิตรกัน
ก่อนถึงวันที่เผ่าปีศาจยกทัพบุกมา ทั้งคู่ก็ได้ผนึกกำลังกันไล่ฆ่าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่บุกขึ้นมาเปิดทาง อาศัยมรดกเคล็ดบ่มเพาะมารจากปีศาจดั้งเดิม ใช้วิธีโหดร้ายอย่างการกลืนกินแก่นแท้ ปราณโลหิตและพลังชีวิตของพวกปีศาจเพื่อบ่มเพาะพลัง…!!
สุดท้ายแล้วห้วงเวลานี้ก็มีเพียงแต่ผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่สามารถเอาชีวิตรอดไปได้ หากไม่ยกระดับพลังให้เร็วที่สุด ไม่เพียงแต่ไม่อาจปกป้องครอบครัวคนรอบข้างเอาไว้ได้ ยังต้องตกตายอย่างโง่งม!
ในระหว่างกระบวนการดังกล่าว ตู้กูได้เลือกยุบองค์กรตลาดมืดหยินชานของมันทิ้ง และพาตัวตนระดับสูงในองค์กรไปยังตำหนักเมฆาครามของต้วนหรูเฟิง
ต่อมาเผ่าปีศาจมนุษย์ ซึ่งเป็น 1 ในเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดของปีศาจจากแดนเนรเทศบุกมา หมายยึดครองตำหนักเมฆาคราม
ตอนแรกด้วยความที่พวกมันเป็นเพียงทัพหน้า พลังฝีมือจึงไม่นับว่ากล้าแกร่งอะไรมาก ตู้กูกับต้วนหรูเฟิงที่พลังบ่มเพาะสูงขึ้นมาในระดับหนึ่ง พอร่วมมือกันก็สามารถเข่นฆ่าสังหารพวกมันได้ไม่ยากเย็น
ทว่าเมื่อสังหารทัพหน้าไปกว่าครึ่ง และเห็นท่าไม่ดีเพราะอีกกฝ่ายมีกำลังเสริมหนุนเนื่องเข้ามาไม่ขาดสาย ต้วนหรูเฟิงจึงตัดสินใจอพยพผู้คนทั้งหมดหลบหนีไปทันที…
“กลับไปทวีปมนุษย์…ทวีปเมฆาล่อง?”
ตอนที่อพยพคนของตำหนักเมฆาครามหนีมา ต้วนหรูเฟิงก็บังเกิดความคิดดังกล่าวขึ้นมาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏ ต้วนหรูเฟิงก็ล้มเลิกไปทันที
ทวีปเมฆาล่อง 1 ใน 3 ทวีปมนุษย์นั้น หากหลบหนีไปแน่นอนย่อมสามารถรับรองความปลอดภัยได้ หากแต่ปีศาจที่จะไปที่นั่นย่อมไม่ใช่ชนชั้นเข้มแข็งอะไร อาศัยการกลืนกินแก่นแท้ ปราณโลหิตและพลังชีวิตของพวกมัน ไหนเลยจะเสริมสร้างพลังฝีมือให้มันกับตู้กูได้?
และตอนนี้ทั้งคู่ต่างต้องการยกระดับพลังฝีมือให้เร็วที่สุด!
ยุคมนุษย์ปีศาจได้เปิดม่านโดยสมบูรณ์แล้ว ทั้งคู่ต้องการพลังอำนาจ ที่จะยืนหยัดในห้วงกลียุคเช่นนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด!
ดังนั้นหลังตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ ต้วนหรูเฟิงจึงพาคนของตำหนักเมฆาครามทั้งระดับสูงของตลาดมืดหยินชานรวมถึงตู้กูไปยังสถานที่ห่างไกลทางตะวันออกของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเพื่อปักหลัก
มันกับตู้กู 2 คน คอยลอบออกจากฐานที่มั่น ไปล่าสังหารปีศาจในละแวกใกล้เคียงเพื่อบ่มเพาะพลังอย่างลับๆ
อนิจจาเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปด้วยดี…ทว่าพริบตาก็เสมือนตกอยู่ในฝันร้าย
ทั้งคู่ถูกเพ่งเล็งจากจ้าววังวิญญาณอสุรา!
หากถามว่าทำไมถึงถูก 1 ใน 3 วังของเผ่าปีศาจมนุษย์อย่างวังวิญญาณอสุราเพ่งเล็งได้ ทั้งหมดต้องย้อนกลับไปตอนตู้กูกับต้วนหรูเฟิงผนึกกำลังกันกวาดล้างทัพหน้าของเผ่าปีศาจมนุษย์ไปกว่าครึ่ง
และเนื่องจากทัพหน้าของเผ่าปีศาจมนุษย์ มีศิษย์ปิดสำนักที่เป็นคนสำคัญของจ้าววังเผ่าปีศาจมนุษย์ รวมถึงชนชั้นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่ยังเติบโตไม่เต็มที่รวมอยู่ด้วย…
ทำให้นับตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งคู่ก็ได้เพาะสร้างความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับจ้าววังของเผ่าปีศาจมนุษย์เอาไว้ อีกฝ่ายได้ตามล่าหาตัวทั้งคู่มาโดยตลอด จนในที่สุดก็ได้เบาะแสหลังอาวุโสตนหนึ่งถูกกลุ้มรุมตกตาย!
“ตอนนี้จะพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์…”
ตู้กูส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวกับต้วนหรูเฟิงเสียงเข้ม “ต้วนหรูเฟิง แม้แต่ก่อนข้ากับเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้กันมาโดยตลอด แต่ข้ารู้สึกเสมือนโชคชะตาได้ผูกโยงพวกเราเอาไว้ตั้งแต่แรก…นอกจากนั้นพวกเรายังได้รับมรดกจากเผ่าปีศาจเหมือนกัน กลายเป็นผู้นำขุมพลังยักษ์ใหญ่ในแดนดินเหมือนกัน ทำให้แม้พวกเราจะสู้กันมาตลอด แต่ข้าก็เข้าใจเจ้าดี…”
“ชั่วชีวิตนี้ข้าได้มีคู่ต่อสู้เช่นเจ้า กระทั่งสุดท้ายได้รู้จักเจ้า จนร่วมมือกับเจ้าเยี่ยงสหาย นับว่าข้าไม่เหลืออะไรติดค้างแล้วเดี๋ยวข้าจะใช้โลหิตหลบหนีให้เจ้า! หลังเจ้าหนีไปได้หวังว่าเจ้าจะช่วยดูแลคนที่เหลือของตลาดมืดหยินชานข้าให้ดี…นอกจากนี้เจ้าต้องล้างแค้นให้ข้า!”
หลังกล่าวจบใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ขอตู้กู ก็เผยรอยยิ้มหายาก ที่แลดูน่าเกลียดราวกับมันกำลังร้องไห้ออกมา
“โลหิตหลบหนี?”
ได้ยินคำของตู้กู ต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน “สำนึกเทวะของจ้าววังวิญญาณอุสรามันเพ่งเล็งมาที่พวกเราได้แล้ว…ด้วยพลังของมันต่อให้พวกเราใช้โลหิตหลบหนี ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีพ้นภายใต้จมูกของมัน!”
“ข้าเกรงว่าวันนี้ข้ากับเจ้าคงได้ตายด้วยกันแล้วล่ะ…”
ต้วนหรูเฟิงระบายลมหายใจออกอย่างสะทกสะท้อน
ในขณะที่ถอนหายใจ ต้วนหรูเฟิงก็นึกถึงภรรยา ลูกชาย รวมถึงหลานชายและหลานสาวที่ไม่เคยพบหน้า…แววตาของมันเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมนัก
มันไม่อยากตาย!
ไม่อยากตายจริงๆ!!
โอกาสรอด?
มันไม่เห็นทางเลย…กระทั่งไม่เห็นแม้แต่เศษเสี้ยวความหวัง!
“ข้าบอกว่าเจ้าต้องรอดไปได้ เจ้าก็ต้องรอด…ข้าตู้กูไม่เคยโกหก!”
ตู้กูกล่าวเสียงหนักพลางส่ายหน้า
“จำคำข้าให้ดี…ล้างแค้นให้ข้า! หาเจ้านายที่ดีให้ประทับหมื่นขุนเขา!!”
กล่าวอีกครั้ง น้ำเสียงตู้กูก็เยียบเย็นนัก พาลให้ผู้คนรู้สึกราวกับฤดูหนาวมาเยือน ยังประหนึ่งตกไปอยู่ในหล่มน้ำแข็ง!
“เจ้า…เจ้าคิดทำอะไร?”
ได้ยินน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของตู้กู ต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“อ๊อค…”
ตู้กูใช้การสำรอกโลหิตออกมาแทนการตอบคำต้วนหรูเฟิง
เมื่อกองโลหิคนี้ปรากฏออกมา พวกมันก็กระจายอยู่ในอากาศ พาลให้ความว่างเปล่าพลันมีสีสันขึ้นมา…
หากแต่กองโลหิตที่ถูกสำรอกออกมานั้น พวกมันกลับไม่กระจายไปไหน ยังเริ่มเกากลุ่มควบรวมกันเป็นก้อนโลหิตโย้เย้
และภายใต้การควบคุมของตู้กู กองเลือดที่บิดๆเบี้ยวๆในอากาศว่างเปล่า ก็เริ่มยืดออกคล้ายมันจะสร้างลวดลายซับซ้อนบางประการ ไม่นานลายเส้นประหลาดเริ่มปรากฏในอากาศเปล่งอำนาจลี้ลับประการหนึ่ง พาลให้ความว่างเปล่าเริ่มสะท้านสะเทือน
ทันใดนั้นปรากฏกสายลมแรงพัดกรรโชกออกมา วงจรโลหิตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตู้กู ก็เสมือนได้รับมอบชีวิต พวกมันเริ่มหมุนวนกลางอากาศปานมีชีวิต!
แต่ต้นจนจบแม้ไม่ทราบว่านี่คืออะไร หากแต่กลิ่นอายพลังผันผวนทั้งโบราณที่แผ่กำจายออกมมาในความว่าง ก็ทำให้ต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะขนลุก
“นี่คือ…”
ในขณะที่ต้วนหรูเฟิงหันไปมองถามตู้กูอย่างไม่รู้ตัว มันก็พบว่า..
ตู้กูที่เคยมีรูปลักษณ์ยังเยาว์ เริ่มแก่ตัวลงในชั่วพริบตา ริ้วรอยแห่งวันเวลาเริ่มผุดขึ้นเส้นแล้วเส้นเล่า
พริบตาตู้กูก็ชราลงปานเท้าข้างหนึ่งก้าวเข้าไปอยู่ในโลงศพ!
ผมสีดำของมันตอนนี้กลายเป็นสีเงิน…
ร่างที่เคยแข็งแกร่งกำยำเริ่มซูบผอม ยังผอมจนมองเห็นเป็นหนังหุ้มกระดูก!
นอกจากนี้ยังพบอีกว่า…
ตู้กูที่กลายเป็นชายชราผ่ายผอมลงไปในชั่วพริบตา ไม่เพียงแต่ร่างกำลังสั่นสะท้าน กลางหน้าผากยังปรากฏเหงื่อเย็นผุดซึม เสียงขบฟันแน่นดังกรอดๆดังขึ้น!!
ไม่นาน ก็ปรากฏโลหิตไหลย้อยลงจากมุมปากไม่หยุด!
กระทั่งเศษฟันยังเริ่มหลุดร่วงออกมา!
รู้ได้เลยว่า…
มันถึงกับขบฟันจนแตกหัก…!
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ตู้กูกำลังพบพานกับความเจ็บปวดทรมานยากทานรับ อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่อะไรที่ผู้คนธรรมดาสมควรทนไหว!
“นี่…นี่คือ…”
มองไปยังโลหิตที่เริ่มไหลเวียนเป็นวงจรกลางอากาศ ทั้งแลเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่บังเกิดขึ้นกับตู้กู กอปรกับกลิ่นอายพลังผันผวนโบราณที่แผ่กำจายออกมาจากกวงจรโลหิตนั่น…
ในที่สุดต้วนหรูเฟิงก็จดจำฉากเรื่องราวที่คล้ายๆกันนี้ได้ออก!
ในมรดกสืบทอดของเผ่าปีศาจดั้งเดิม มันเคยพบบันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้
“อาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพ…”
นึกถึงเรื่องนี้ได้ออก ต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะโพล่งคำออกมาด้วยความสยดสยอง ลูกตายังหดเล็กลงใบหน้าเผยความตื่นตระหนกตกกใจ “ตู้กู…เจ้า…เจ้า”
มันไม่คิดไม่ฝันเลย
ว่าตู้กูจะเข้าใจอาคมต้องห้าม!
อาคมกลืนโลหิตถวายชีพ เป็นอาคมเคลื่อนย้ายที่เก่าแก่โบราณและโหดร้ายมาก
สาเหตุที่กล่าวว่ามันโหดร้าย เพราะการที่จะใช้อาคมนี้ได้ ไม่เพียงแต่ต้องเผาผลาญพลังชีวิตของตัวเองเท่านั้น ยังต้องทนความเจ็บปวดจากการที่วิญญาณถูกกลืนกินด้วย!
เรียกว่ากระบวนการกลืนกินวิญญาณนั้นเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสนัก ประหนึ่งมีมดนับหมื่นพันกัดกินวิญญาณหายไปทีละนิดๆ เรียกว่ากว่าจะจบสิ้นกระบวนการ ก็แทบไม่มีใครทานทนมันได้ไหว!
และหากกระบวนการกลืนวิญญาณดำเนินไปไม่จบ โลหิตย่อมไม่อาจก่อลักษณ์เป็นข่ายอาคมได้สำเร็จ!
ตลอดประวัติศาสตร์ของแดนเนรเทศ มีปีศาจเพียงไม่กี่ตนเท่านั้นที่สามารถใช้ อาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพได้สำเร็จ!
กระทั่งยังมีปีศาจนับได้ด้วยหยิบมือที่กล้าใช้อาคมนี้ออกมาด้วยซ้ำ!
เมื่อเห็นใบหน้าชราที่บิดเบี้ยวทั้งกระตุกอยู่ตลอดเวลา รวมถึงโลหิตที่เริ่มไหลย้อยออกจากมุมปากไม่หยุด ใจต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะสะท้านไปอย่างแรง
อดีตคู่ต่อสู้คนนี้…เพียงเพื่อให้มันสามารถมีชีวิตต่อไปได้…กลับทำทุกวิถีทาง ไม่เว้นอดทนต่อความเจ็บปวดของกระบวนการกลืนกินวิญญาณ ใช้อาคมโลหิตกลืนวิญญาณถวายชีพออกมา!
“ตู้กู…”
จังหวะนี้สองตาต้วนหรูเฟิงกลายเป็นแดงก่ำ หากแต่มันก็ไม่อาจทำอะไรได้ ทำได้ก็เพียงเป็นกังวลเท่านั้น
เพราะตอนนี้ถ้ามันลงมือหยุดยั้งกระบวนการ ตู้กูได้ตกตายทันทีแน่
เพราะเมื่อกระบวนการนี่เริ่มต้นขึ้นแล้ว ไม่มีทางย้อนกลับได้…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น