War sovereign Soaring The Heavens 2228-2234

 ตอนที่ 2,228 : ด่านสุดท้าย


 


แทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนตะโกนสั่งจบคำ


 


วู้มม!!


 


เงาร่างเต่าทมิฬตัวเขื่องพลันปรากฏครอบคลุมทั่วร่างของเขาเอาไว้ด้านใน!


 


เป็นเวทย์พลังป้องกันอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟ ปราการเต่าทมิฬ!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 


……


 


หลังจากเงาร่างเต่าทมิฬปรากฏคลุมร่างต้วนหลงเทียนไม่นาน พลันแว่วเสียงกระบี่พลังควบแน่นกลางอากาศจำนวนมาก ก่อนที่กระบี่พลังทั้งมวลจะมาเกาะกลุ่มห้อมล้อมร่างหวงเหวินจิ้งเอาไว้!


 


เป็นเวทย์พลังป้องกันของหวงเหวินจิ้ง หมื่นกระบี่พิทักษ์!


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนและหวงเหวินจิ้งใช้เวทย์พลังป้องกันได้ไม่ทันไร…


 


เปรี๊ยง! ตูม! ตูม! ตูม!


 


……


 


มวลพลังอันมหาศาลที่โถมมาดั่งคลื่นมรสุมในที่สุด ก็ซัดทำลายเข้ามาใส่พวกเขาทั้งคู่ไม่หยุด!


 


กล่าวให้ชัด พวกมันซัดเข้าทำลายเวทย์พลังป้องกันของทั้งคู่ไหยุด!


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


เสียงระเบิดยิ่งมายิ่งดังสนั่นนัก ม่านพลังของทั้งคู่เริ่มโย้ไปเย้มา ยังกระเพื่อมสั่นไหวอย่างแรง ราวกับพร้อมจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ


 


“พลังทำลายร้ายกาจจริงๆ!”


 


เพียงแค่คลื่นพลังจากการจู่โจมของข่ายอาคมสังหารชุดแรก ก็ทำให้ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งเปลี่ยนสีแล้ว แววตาเผยความจริงจังระวัง!


 


เปรี๊ยงงง!


 


เสียงระเบิดหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง เป็นคลื่นพลังอาคมมหาศาลที่ปะทุออกมาซัดปะทะเข้ากับม่านพลังของทั้งคู่


 


และครั้งนี้ก็นับว่ามันรุนแรงกว่าครั้งแรกมาก แทบทำให้ม่านพลังคลุมกายของทั้งคู่พังทลาย!


 


หากมีพลังมหาศาลแบบนี้ซัดเข้ามาซ้ำไม่หยุดหย่อนล่ะก็…พังแน่!


 


“ข้าจัดการด้านขวา!”


 


ทันใดนั้นเสียงเยียบเย็นหนึ่งของหวงเหวินจิ้งพลันดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน


 


“อืม”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ตอบรับ ก่อนที่จะหันไปจับจ้องทางด้านซ้าย เมื่อเห็นมวลพลังมหาศาลเริ่มโถมถันเข้ามาอีกรอบ ต้วนหลิงเทียนพลันยกฝ่ามือทั้ง 2 ขึ้นมาม้วนวนราวกับจะสร้างวงกลมกลางอก!บังเกิดเป็นมวลพลังเซียนสุริยันก้อนใหญ่ลูกหนึ่ง!!


 


เปรี๊ยงงงง!


 


ทันทีที่สองฝ่ามือกระแทกออกมา พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดที่ผนึกควบรวมขุมใหญ่ ก็ระเบิดปะทุกวาดออกไปอย่างเกรี้ยวกราด สภาวะปานคลื่นสมุทรคลุ่มคลั่งหมายกลืนสรรพสิ่ง!


 


ซู่มมม!! ครืนนน!!


 


มวลพลังเซียนสุริยันขุมใหญ่ที่ต้วนหลิงเทียนกระแทกซัดออกมา พริบตาก็เริ่มควบแน่นก่อลักษณ์กลางหาว กลับกลายทรงพลังกล้าแข็งยิ่งขึ้นกว่าเดิม!


 


และลักษณ์พลังที่ว่า ก็แลคล้ายมังกรเทพยาดาตัวหนึ่ง ที่พุ่งทะยานฝ่าคลื่นไปอย่างอหังการ!


 


ในเวลาเดียวกัน


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 


……


 


เสียงแหลมเสียดหูดังขึ้นถี่ยิบ เป็นหวงเหวินจิ้งใช้ออกด้วยกระบวนท่าไม้ตายก้นหีบ!


 


ห่าพลังกระบี่ที่มีจำนวนมหาศาลปานเม็ดฝน พุ่งฟันทำลายไปยังทิศทางเดียวกัน! พวกมันคล้ายตั๊กแตนห่าใหญ่หมายกัดกินทำลาย คลื่นพลังอาคมดั่งคลื่นมรสุมที่โถมซัดเข้ามา!!


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 


……


 


พลังของต้ววนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งที่ปะทุปลดปล่อยออกมา เผชิญหน้ากับคลื่นพลังที่ข่ายอาคมปะทุออกอย่างหักหาญ!


 


ทันทีที่ปะทะเสียงระเบิดดังสนั่นปานฟ้าถล่มก็อุบัติขึ้น ช่องทางยังสั่นสะเทือนปานแผ่นดินไหว เศษดินหินร่วงฟุ้งไม่หยุด!


 


ราวกับพร้อมถล่มลงมาได้ทุกเวลา!


 


หลังจากนั้นไม่นานเสียงระเบิดสนั่นทั้งความวุ่นวายก็ค่อยๆซาลง ผลลัพธ์จากการลงมือก็ปรากฏออกมาให้เห็น


 


ต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งสามารถทะลายคลื่นพลังสังหารชุดแรกของข่ายอาคมที่ติดตั้งอยู่ในด่านสุดท้ายได้สำเร็จ!


 


ถึงแม้ว่าข่ายอาคมในอุโมงค์ที่เขาพบเจอมา ล้วนเป็นข่ายอาคมจดจำอัตลักษณ์ที่จะเปิดการทำงานแค่ครั้งเดียว ทว่าการจู่โจมสังหารของข่ายอาคมทั้งหลาย ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใดล้วนแล้วแต่แบ่งได้เป็น 3 ระลอกทั้งสิ้น


 


กล่าวได้ว่า


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้ง พึ่งจะผ่านพ้นการโจมตีระลอกแรก!


 


หลังจากนี้อีกไม่นาน การโจมตีระลอกที่ 2 ก็จะปรากฏขึ้น!


 


ดังนั้นไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือหวงเหวินจิ้งก็ไม่ได้เผยทีท่ายินดีอะไรมากมาย หลังเอาชนะคลื่นพลังสังหารจากข่ายอาคมที่โถมถันเข้ามาดั่งคลื่นสมุทรไปได้แบบนี้…


 


และการจู่โจมระลอกที่ 2 ก็ปรากฏขึ้นอย่างที่ไม่ต้องให้ทั้งคู่เฝ้ารอนาน


 


การจู่โจมของระลอกที่ 2 นับว่าแตกต่างจากระลอกแรกนัก! เพราะครานี้หาใช่เพียงคลื่นพลังทำลายที่โถมถันเข้ามาดั่งคลื่นสมุทรอีกต่อไป! แต่เป็นเข็มพลังมีสภาพจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งทะลวงแทงเข้ามาอย่างน่าหวาดกลัว! หากโดนห่าเข็มพลังมีสภาพเหล่านี้ซัดเข้าล่ะก็…ร่างคงได้ปุพรุนเป็นรังแตนแน่!!


 


เช่นนั้นเมื่อเผชิญกับการจู่โจมระลอกนี้ ทั้งต้วนหลิงเทียนทั้งหวงเหวินจิ้งจึงชักสีหน้าเคร่งเครียดไม่น้อย


 


ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก!


 


……


 


เข็มพลังถล่มมาปานห่าฝน พวกมันนับว่าทรงพลังร้ายกาจจริงๆ ม่านพลังกระบี่ของหวงเหวินจิ้งแทบไม่อาจทนได้ถึง 2 ลมหายใจ กระทั่งปราการเต่าทมิฬของต้วนหลิงเทียนก็ต้านทานได้ไม่นาน สุดท้ายก็ถูกห่าเข็มพลังทะลวงเข้ามาจนได้!!


 


เรียกว่าเมื่อม่านพลังสลาย ทั้ง 2 ก็รู้สึกมือไม้ปั่นป่วนอยู่บ้าง!


 


อันที่จริงแล้วหากจะเทียบกันในแง่ของพลัง การโจมตีระลอกที่ 2 ก็ไม่ได้มีพลังมากกว่าระลอกแรกมากมายอะไร


 


เพียงแต่การโจมตีระลอกที่ 2 นี้ มันไม่ใช่คลื่นพลังที่โถมมาเป็นมวลใหญ่


 


มวลพลังมหาศาลนั่น กลับควบผนึกเป็นเข็มพลังเล่มเล็กๆมากมาย นับว่าเพิ่มพูนอำนาจทะลุทะลวงขึ้นไม่รู้ตั้งกี่เท่าต่อกี่เท่า!!


 


แม้จะรู้สึกมือไม้ปั่นป่วนอยู่บ้าง แต่สุดท้ายต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งก็ยังพอต้านทานรับมือได้


 


‘โชคดีที่ข้าเลือกร่วมมือกับนาง…ไม่อย่างงั้นแค่การจู่โจมระลอกที่ 2 นี่ข้าก็รับไว้ไม่อยู่แน่’


 


หลังต้านรับการโจมตีระลอกที่ 2 ได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


ในการโจมตีระลอกแรกนั้น ต่อให้ไม่มีหงเหวินจิ้งช่วยเหลือ เขาก็สามารถต้านทานคลื่นพลังอาคมที่โถมถันมาดั่งคลื่นสมุทรนั่นได้ด้วยตัวคนเดียว


 


ทว่วาสำหรับการโจมตีระลอกที่ 2 คลื่นพลังมหาศาลที่รวมศูนย์ควบผนึกเป็นเข็มพลังแบบนี้ เขาลองถามตัวเองดูแล้ว…


 


เกรงว่าต่อให้ลงมือสุดกำลัง ก็ไม่น่าจะรับมือไหว!


 


ในขณะที่ต้ววนหลิงเทียนบังเกิดความโล่งใจ ด้านหวงเหวินจิ้งยิ่งโล่งใจกว่าต้วนหลิงเทียนมาก


 


และตอนนี้สายตาที่นางใช้มองต้วนหลิงเทียนก็ต่างออกไปจากเดิมแล้ว


 


หากก่อนหน้าจะบอกว่านางไม่ค่อยพอใจต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่ เพราะคิดว่าต้วนหลิงเทียนโชคดีมีชัย เพราะบังเอิญพบช่องโหว่ในกระบวนท่าของนางล่ะก็…มาตอนนี้นางรู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้โชคดีแน่นอน…


 


เพราะเมื่อเห็นกลวิธีการรับมือการโจมตีระลอกที่ 2หลังม่านพลังจากเวทย์พลังป้องกันถูกทำลาย หวงเหวินจิ้งก็ตระหนักได้ถึงช่องว่างระหว่างนางกับต้วนหลิงเทียน!


 


ต้วนหลิงเทียนร้ายกาจกว่านางมาก!


 


“เตรียมตัวให้พร้อม…การโจมตีระลอกสุดท้ายกำลังจะมาแล้ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นการมองเหม่อมาที่เขาของหวงเหวินจิ้งเป็นธรรมดา จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวเตือนเสียงดุ


 


เรียกว่าเสียงเขาคราวนี้เต็มไปด้วยความตำหนิ!


 


มัวมาเหม่อในเวลาแบบนี้ ใช่เรื่องที่ไหน!


 


ได้ยินคำเตือนเสียงดุของต้วนหลิงเทียน หวงเหวินจิ้งก็หน้าม้านไปไม่น้อย หากแต่นางก็เร่งรวบรวมสมาธิจดจ่อกับการรับมือการจู่โจมระลอกที่ 3 ทันที


 


การจู่โจมระลอกที่ 3 ก็คือการโจมตีระลอกสุดท้ายของข่ายอาคมชุดนี้แล้ว


 


ตราบใดที่สามารถต้านทานการจู่โจมระลอกสุดท้ายนี้ได้ ก็หมายความว่าสามารถฝ่าด่านทดสอบนี้ได้สำเร็จ และปลายทางที่รออยู่สมควรเป็นมรดกใดมรดกหนึ่งของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์แน่นอน!


 


‘บางที…ปลายทางอุโมงค์หลังด่านทดสอบสุดท้ายนี่ อาจเป็นพื้นที่บ่มเพาะ ที่มีอัตรากาลไหลของห้วงเวลาเชื่องช้าเหมือนกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็เป็นได้’


 


ขณะที่เฝ้ารอกการโจมตีระลอกที่ 3 ของด่านทดสอบสุดท้าย ใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความคึกคักไม่น้อย


 


สำหรับหวงเหวินจิ้งแม้นางจะไม่รู้เรื่องกลิ่นอายพลังลี้ลับที่เกี่ยวข้องกับอัตรากาลไหลของเวลาที่แตกต่างอะไรเหมือนต้วนหลิงเทียน แต่ในใจนางก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ต่างกัน นั่นเพราะด่านทดสอบทั้งหลายในช่องทางช่างยากเย็นนัก!มรดกหรือสมบัติที่ปรมาจารย์จารึกเซียนเหลือทิ้งไว้ในช่องทางนี้สมควรล้ำค่ามากแน่นอน!!


 


“โฮ่วววววส์!!!!”


 


ทันใดนั้นบังเกิดเสียงสนั่นลั่นก้องมาจากทุกทิศทาง ฟังแล้วยังคล้ายเสียงคำรามของสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ ไม่เพียงสะท้านสะเทือนแก้ววหูผู้ฟัง หากแต่ยังมีพลังไร้สภาพกดดันขุมหนึ่งกำจายออกมา!


 


จังหวะนี้สีหน้าของต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งพลันเปลี่ยนไปทันที


 


ตึง! ตึง!!


 


ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นสองครั้ง ฟังไปคล้ายกลองศึกดังขึ้นจากไกลห่าง ทำให้ต้วนหลิงเทียนและหวงเหวินจิ้งที่จดจ่อกับการรับมือตกใจไม่น้อยสีหน้ายิ่งมายิ่งจริงจังขรึมเคร่ง!


 


ตึง! ตึงงงง!!


 


เสียงสนั่นดังกลองศึกดังขึ้นอีก 2 ครั้ง เขย่าขวัญต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งอีกรอบ


 


อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งคู่ได้เตรียมตัวววเตรียมใจรับมือไว้แล้ว จึงไม่ได้ตกใจเหมือนอย่างตอนแรก


 


ตึง! ตึง! ตึง! ตึงง!!


 


……


 


ทันใดนั้นเสียงสนั่นปานกลองศึกก็ดังขึ้นไม่หยุด ภายใต้สายตาของต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้ง เริ่มสังเกตเห็นบางสิ่ง! ท่ามกลางความว่างเปล่าไกลตาเริ่มปรากฏจุดสีดำหนึ่ง!!


 


ยิ่งเสียงลั่นดังเท่าไหร่ จุดสีดำไกลตานั่นก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นบางสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามาทุกกขณะ!!


 


สุดท้ายเมื่อเข้าใกล้มากพอ ต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งก็ได้รับทราบว่วาที่แท้จุดดำเล็กๆก่อนหน้าคืออะไร…มันกลับเป็นฝูงอสูรกายสีดำมะเมื่อมตัวเขื่องที่มีรูปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวนัก! ทั่วร่างยังเต็มไปด้วยไอมารน่าสะพรึงกลัว!!


 


แม้ไอมารจะไม่ได้บริสุทธิ์เหมือนไอมารของปีศาจจากแดนเนรเทศ ทว่าความหนาแน่นนั่นก็ไม่อาจปกปิดพลังอันน่าหวั่นหวาดของมันได้เลย!


 


“โฮ่ววววส์!!”


 


“โฮ่ววววววววววส์!!”


 


……


 


ยิ่งฝูงอสูรกายน่ากลัวตัวเขื่องใกล้เข้ามาทั้งสองมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งกู่ก้องร้องคำรามออกมาอย่างดุร้ายเสียงคำรามขู่ข่มของสัตว์ร้ายเป็นฝูงนับว่ามีอานุภาพขาขวัญผู้คนแทบตาย ยังทำให้แก้วหูทั้งคู่สะเทือนแทบปริฉีก!


 


“ฆ่า!!”


 


ต้วนหลิงเทียนตอคอกเสียงเย็น ขณะเดียวกันร่างเขาก็โจนทะยานออกไป ในมือไม่ทราบถือไว้ด้วยกระบี่พันอาคมเซียนตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่บัดนี้ตัวกระบี่เปล่งแสงสว่างเรืองรอง กลิ่นอายพลังคมกล้าเปล่งสะท้านออกมาราวกับจะสะบั้นผ่าได้ทุกสิ่ง!


 


ขณะเดียวกันไม้ตายทั้งหมดที่ต้วนหลิงเทียนมี ก็ถูกใช้ออกอย่างไม่มีกักเก็บ!


 


จังหวะนี้หากยังออมรั้งยั้งมืออะไรไว้ น่ากลัวว่าคงเหลือแต่หนทางตกตาย!!


 


ปฐมเวทย์กลืนกิน!


 


ปราการเต่าทมิฬ!


 


ปีกอีกาทองคำ!


 


เซียนอมตะข้ามภพ!!


 


ต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยเวทย์พลังทั้ง 4 ทันที!


 


ในตอนที่เขาใช้ออกด้วยเซียนอมตะข้ามภพ กระบี่แต่ละเล่มยังแฝงเร้นไปด้วยพลังลี้ลับ เต็มไปด้วยสำนึกกระบี่ขอบเขตที่ 3 ของมรรคากระบี่สูงสุด ยอดใจกระบี่!


 


ยิ่งไปกว่านั้น


 


ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ตอนนี้ทั่วร่างของต้วนหลิงเทียนกลับปรากฏเกล็ดมังกรเทพยดามากมายเรียงตัวเป็นแพดั่งปราการเหล็ก…


 


มือเท้าของเขายังกลับกลายเป็นกรงเล็บมังกรไปแล้ว!


 


ที่สำคัญแต่ละข้างยังมีถึง 9 กรงเล็บ บ่งบอกให้รู้ชัดว่าเป็นมังกร 9 กรงเล็บ!!


 


“นักรบมังกร 9 กรงเล็บ!?”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนโนทะยานออกไปอย่างดุร้าย หวงเหวินจิ้งย่อมแลเห็นชัดตาว่าตอนนี้รูปร่างของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นอะไรไปแล้ว ลูกตานางอดไม่ได้ที่จะหดหยีลง ยังเผยความตื่นตระหนกทั้งเหลือเชื่อนัก!


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้…เป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บในตำนานงั้นหรือ!?”


 


หวงเหวินจิ้งในฐานะที่เป็นคนของวังเซียนสัญจร 1ใน 6 ขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเผ่าปีศาจมนุษย์ นางย่อมมีสายเลือดมนุษย์อันบริสุทธิ์ไหลเวียนอยู่ในกาย


 


หากนางมาปรากฏตัวในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ผู้คนคงเห็นว่านางเป็นเพียงผู้ฝึกมารเท่านั้น ไม่ใช่ปีศาจอะไร


 


ด้วยเหตุนี้ตัวนางจึงบังเกิดความสนใจในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าที่บรรพบุรุษเคยจากมาเป็นอย่างมาก จึงพยายามสืบเสาะเรื่องราว ทั้งหาข้อมูลทุกอย่างด้วยการใช้เคล็ดวิชาควาญวิญญาณจากปีศาจอาวุโสที่อ่อนแอกว่านาง


 


แน่นอนว่าเรื่องราวที่นางได้รับทราบมา ก็ทำให้นางพอจะรู้ว่า…มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ และ นักรบมังกร 9 กรงเล็บ มีความสำคัญเพียงไหนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


“ที่แท้…แม้จะเป็นการจู่โจมระลอกที่ 2 เมื่อครู่ มันก็ไม่แม้แต่จะเอาจริง!”


 


นึกถึงเรื่องนี้ หวงเหวินจิ้งอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความขมขื่นในใจ


 


“เจ้ายังมัวเหม่ออะไรอยู่! ยังไม่รีบลงมืออีก!!”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้หันไปมอง แต่คล้ายเขาจะรู้ว่าตอนนี้หวงเหวินจิ้งไม่พ้นกำลังตกใจกับการแปลงร่างของเขา เช่นนั้นหลังโจนทะยานเข้าใส่อสูรกายตัวเขื่องจนฆ่ามันได้แล้วตัวหนึ่ง เขาจึงตะโกนเสียงดุออกมาดังสนั่น! หมายดึงสติหวงเหวินจิ้งทันที!!


 


ทันทีท่ได้ยินเสียงตะโกนแฝงตำหนิ หวงเหวินจิ้งก็ดึงสติกลับมาทันที เร่งปะทุพลังชั่วชีวิตโจนทะยานตามต้วนหลิงเทียนไปติดๆ


 


อย่างไรก็ตาม เนื่องเพราะหวงเหวินจิ้งลงมือเชื่องช้าเกินไป พอเหินทะยานมาถึงครึ่งทาง นางก็ตกอยู่ในวงล้อมของอสูรกายน่ากลัวเสียแล้ว!​


ตอนที่ 2,229 : ถ้ำกาลเวลา


 


“โฮ่วววววส์!!”


 


“ฮู่มมมมม!!”


 


……


 


เหล่าอสูรกายแต่ละตัวนั้นมีพลังอำนาจมิใช่ชั่ว แถมจำนวนพวกมันยังมากมายมหาศาลเกินกว่าจะนับไหว! แต่ละตัวยังลงมือดุร้ายอำมหิต กรูกันเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราดราวกับหากฆ่าหวงเหวินจิ้งไม่ได้พวกมันจะไม่เลิกรา!!


 


ช่วงแรกๆหวงเหวินจิ้งยังพอต้านทานรับมือได้ไหว…


 


ทว่าหลังเข่นฆ่าสังหารอสูรกายร้ายไปเป็นเบือ พวกมันยังคงถาโถมเข้ามาไม่รู้เบื่อไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด นางก็เริ่มรับมือได้ลำบากเต็มที!


 


สุดท้ายพลังสภาวะทั่วร่างก็เริ่มอ่อนโทรมลง


 


ปงงงง!!


 


เสียงหนึ่งลั่นดังสนั่นขึ้น เป็นหวงเหวินจิ้งพลาดท่าถูกอสูรกายตัวเขื่องลอบเข้าด้านหลังอย่างเงียบงันก่อนที่มันจะใช้กรงเล็บแหลมคมตะปบเข้ากลางหลังนางอย่างจัง ซัดนางปลิดปลิวไปกระแทกกำแพงถ้ำอย่างแรง!


 


กำแพงถ้ำสั่นสะเทือน ยังบังเกิดรอยแตกร้าวแผ่ขยายออกไปดั่งใยแมงมุม โลหิตกระอักออกปากหวงเหวินจิ้งคำใหญ่


 


อนิจจาอสูรกายร้ายฝูงใหญ่ไม่คิดปราณีรีรอ พวกมันไหนเลยจะรู้จักคำรักถนอมบุปผา! เมื่อเห็นหวงเหวินจิ้งพลาดท่าถูกซัดจนร่างจมผนัง ต่างก็เร่งโจนทะยานเข้ามาหมายกระชากฉีกร่างในสายตาให้แหลก!


 


ต่อให้หวงเหวินจิ้งไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร หากแต่ในใจยังอดไม่ได้ที่จะกดดันอย่างหนักเมื่อต้องทนรับมืออสูรกายร้ายที่หลั่งไหลมาราวกับไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้!


 


นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่นางได้รับบาดเจ็บ!


 


สุดท้ายหลังจากเร่งแงะร่างตัวออกมาจากผนังถ้ำ และปะทุพลังสังหารอสูรกายตัวเขื่องไปได้อีก 2-3ตัว พลังของนางก็ขาดห้วงลง จึงถูกอสูรกายตัวเขื่องตะปบฟาดจนปลิวอีกรอบ! และสภาพการณ์ของนางดำเนินไปแบบนี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง จนคนแทบไม่เหลือแรงใจสู้ต่อ…


 


“วันนี้ข้า หวงเหวินจิ้ง ต้องมาตายที่นี่หรือ…”


 


มองไปยังอสูรกายเป็นฝูงที่กรูกันเข้ามาหานางอย่างไม่จบไม่สิ้น แม้สีหน้าของหวงเหวินจิ้งจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายอะไร หากแต่ในใจเริ่มบังเกิดความสิ้นหวังขึ้นมาแล้ว…


 


“โฮ่ววววส์!!”


 


ซู่มมมม!!


 


และในขณะที่นางเริ่มถอดใจกลางดงอสูรกายนั้นเอง เสียงคำรามพร้อมสายลมแรงหอบหนึ่งพลันแว่วดังขึ้น หวงเหวินจิ้งก็รู้ได้ทันทีว่าสายลมกรรโชกหอบนี้…มันพัดมาจากด้านหลัง!


 


หากสภาพร่างกายและพลังของนางอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม นางย่อมสามารถหันหลังกลับไปจัดการอสูรกายร้ายที่ลอบจู่โจมจากด้านหลังได้ไม่ยากเย็น…


 


ทว่าตอนนี้พลังของนางอ่อนโทรมถดถอยลงไปมาก…


 


“ไม่คิดเลยว่าสุดท้าย ข้าหวงเหวินจิ้ง กลับต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่…”


 


คราวนี้หวงเหวินจิ้งถอดใจลงอย่างสมบูรณ์ นางไม่คิดว่าจะรอดชีวิตไปได้อีกแล้ว


 


เนื่องเพราะตอนนี้ทั่วกายนางแทบจะชุ่มไปด้วยเลือด อวัยวะภายในยังบาดเจ็บ ไม่เหลือเรี่ยวแรงทั้งพลังในการป้องกันอสูรกายที่อยู่ด้านหลังสืบไป…


 


ในขณะที่หวงเหวินจิ้งรู้สึกว่านางกำลังจะตาย


 


ทันใดนั้นเอง


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 



 


เสียงระเบิดดังสนั่นพลันลั่นดังเข้าหูหวงเหวินจิ้ง และยังระเบิดดังมากเป็นพิเศษจึงดึงสตินางให้ฟื้นกลับมาทันที


 


เมื่อสองตาพร่ามัวมองไปตามเสียง หางตานางก็ปรากฏร่างหนึ่งกำลังพุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็วสูงจนแลเห็นเป็นเงาเลือนคล้ายภูตผี! ทั้งเหล่าอสูรกายร้ายที่ขวางทางล้วนถูกพลังดิบเถื่อนซัดปลิดปลิวกระเด็นไปไม่เป็นท่า!!


 


เมื่อพยายามมองไปให้ชัดก็เห็นเป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรอันมีใบหน้าหล่อเหลาดุดัน ทั่วร่างชุ่มโชกไปด้วยโลหิต ยากจะบอกได้นักว่าที่แท้นั่นเป็นโลหิตของเจ้าตัว หรืออสูรกายร้ายเหล่านั้นที่ตายตกกันแน่


 


“หมอบลง!”


 


ทันใดนั้นนางก็เห็นชายหนุ่มที่โจนทะยานเข้ามาอย่างดุดัน มองมาทางนางทั้งตะโกนสั่งเสียงแข็ง


 


เมื่อแลเห็นแววตาดุดันแข็งกร้าวฉายแววเป็นห่วง นางก็ไม่คิดอะไรทั้งสิ้นเร่งรีบหมอบลงอย่างเก้ๆกังๆตามคำสั่ง ไม่สนภาพลักษณ์ใดๆสืบไป


 


ซู่มมมม!!


 



 


และแทบจะพร้อมกันกับที่หวงเหวินจิ้งก้มลง นางก็สัมผัสได้ถึงสายลมที่ซัดผ่านศีรษะไปด้วยความฉับไว


 


หากนางไม่หมอบลง….


 


นางได้ตายแน่!


 


ฟุ่บบบ!!


 


ในขณะที่หวงเหวินจิ้งกำลังหนาวสะท้านจับใจด้วยรอดพ้นความตายมาหวุดหวิด นางก็พบว่าร่างที่พุ่งมาดั่งเงาเลือนนั่นพุ่งข้ามศีรษะนางไปแล้ว


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น เมื่อนางหันไปมองตามเสียง ก็พบว่าอสูรกายร้ายที่ลอบจู่โจมเข้ามาจากด้านหลังเมื่อครู่ไม่ทันได้ลงมือซ้ำหลังจากพลาด มันก็ถูกพลังมหาศาลขุมหนึ่งจากร่างที่วูบมาดั่งภูตผีซัดจนกระเด็นปลิดปลิว!!


 


ไม่ทราบเพราะอะไร หากแต่มองไปยังร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตที่พึ่งยื่นมือเข้าช่วย ใจของหวงเหวินจิ้งพลันสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ


 


ราวกับปมหนึ่งในใจได้ถูกคลี่คลายออก…


 


เหล่าสตรีทั้งหลาย ยามที่ยังเป็นดรุณีน้อยนั้น พวกนางชมชอบฝันใฝ่ถึงเรื่องราวดั่งเทพนิยาย ว่าสักวันจะมีวีรบุรุษผู้กล้าดั่งเจ้าชายขี่ม้าขาวปรากฏตัวขึ้นมาช่วยเหลือพวกนางยามตกอยู่ในอันตราย…


 


หวงเหวินจิ้งเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


“มาหันหลังชนข้า! แล้วฆ่าตัวที่เหลือ!!”


 


เสียงสั่งการณ์แฝงความเร่งร้อนหนึ่ง ปลุกสติหวงเหวินจิ้งที่เผลอเหม่อไปให้กลับมาทันที พอมองไปต้นเสียงก็พบร่างต้วนหลิงเทียนในรูปร่างนักรบมังกรกำลังควบคุมกระบี่พันอาคมเซียนให้เหินไปทะลวงร่างอสูรกายที่กรูกันเข้ามานับสิบในคราเดียว กระทั่งคนยังบุกตะลุยเข้าไปตามกระบี่เหิน ใช้หมัดเท้าเปล่าเปลือยระเบิดร่างอสูรกายทั้งหลายอย่างดิบเถื่อน!


 


พริบตานี้กระทั่งหวงเหวินจิ้งเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว


 


ใบหน้าเย็นชาของนางที่คล้ายจะมีน้ำแข็งฉาบเคลือบมานานปี น้ำแข็งที่ว่านั่นคล้ายเริ่มละลายลงแล้ว…


 


นอกจากนี้ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะหวงเหวินจิ้งไม่ได้ติดตามมาลงมือพร้อมต้วนหลิงเทียนแต่แรก นางคนเดียวจึงต้านทานรับมือศัตรูที่พลังฝึกปรือไม่ได้ด้อยกว่านางมากไม่ไหว…


 


ตอนนี้เมื่อลุกขึ้นมา และเข้าไปร่วมสู้สนับสนุนต้วนหลิงเทียน ความตึงเครียดรววมถึงแรงกดดันทั้งหลายจึงคลายตัวลงไปไม่น้อย


 


ด้วยสองคนร่วมแรง อสูรกายดุร้ายที่บุกเข้ามาย่อมตกตายดั่งใบไม้ร่วง


 


ก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บ ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่อาการบาดเจ็บของเขายังนับว่าน้อยกว่านางมาก


 


แต่โชคดีที่ถึงแม้ทั้งคู่จะได้รับบาดเจ็บ แต่อาการก็ไม่หนักหนาสาหัสถึงขั้นสู้ไม่ได้ กระทั่งหวงเหวินจิ้งที่พอได้หายใจหายคอบ้าง พลังในร่างก็เริ่มฟื้นฟูทันใช้ ไม่ขาดห้วงเหมือนก่อนหน้าที่เกือบตายอีก…


 


“ตามมา!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่จับสังเกตเรื่องราวตั้งแต่แรก พบว่าข่ายอาคมสังหารรอบนี้ผิดแปลกไม่เหมือนก่อนหน้า ก็เอะใจได้ถึงบางสิ่ง สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะสร้างเส้นทางโลหิตสายหนึ่ง…เข่นฆ่าสังหารไปข้างหน้าอย่างอำมหิต! จนในที่สุดก็เป็นดั่งคาด…ข่ายอาคมนี้ไม่มีอาณาเขตปิดกั้น! สามารถเหินทะยานไปตามทางได้ไม่ต้องรอให้ผ่านบททดสอบเหมือนก่อนหน้า…!!


 


หลังโจนทะยานมาได้ระยะหนึ่ง เบื้องหน้าก็ไม่พบอสูรกายอีกต่อไป…


 


และพอหันหลังกลับไปมองอย่างไม่รู้ตัว ทั้งคู่ก็พบว่าอสูรกายร้ายฝูงใหญ่ที่โถมเข้ามาอย่างไร้สิ้นสุด ก็ได้อันตรธานหายไปดื้อๆ ราวกับทั้งหมดทั้งมวลที่ทั้งคู่เคยพบเจอ เป็นเพียงมายาภาพฉากหนึ่ง…


 


“ยินดีต้อนรับชนรุ่นหลังสู้ถ้ำกาลเวลาของข้า…”


 


ทว่าก่อนที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งจะทันได้พักฟื้นฟูเอาเรี่ยวแรงอะไร เสียงหนึ่งก็ดังเข้าหูทั้งคู่


 


เสียงนี้ฟังแล้วช่างเก่าแก่ ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายคล้ายผ่านการเดินทางใช้ชีวิตมาอย่างยาวนาน…


 


“ถ้ำกาลเวลา…”


 


ถ้ำกาลเวลา?


 


นั่นคืออะไร?


 


ในขณะที่ทั้งคู่กำลังตกตะลึง เสียงชราก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


“หลังจากข้าออกจากถ้ำกาลเวลาแห่งนี้…ตัวข้าไม่เพียงเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์ แต่ยังเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะที่เตรียมตัวขึ้นสู่แดนสวรรค์แล้ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับผงะไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้


 


ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์


 


ไม่ใช่ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์หรอกเหรอ?


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหวงเหวินจิ้งด้วยสายตาไถ่ถาม


 


“ก่อนหน้านี้เนื่องจากมีผู้คนมากมายค้นพบศาสตราพันอาคมเซียนมากมายถูกทิ้งไว้ทั่วดั่งสิ่งไร้ค่า ซึ่งตามหลักเหตุผลแล้วสมควรไม่มีปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์คนใด สามารถสร้างศาสตราพันอาคมเซียนได้มากมายถึงขนาดนั้น…จึงทำให้ทุกคนคาดเดากันไปว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะเป็นมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์”


 


หวงเหวินจิ้งคล้ายเห็นความสงสัยของต้วนหลิงเทียน จึงกล่าวตอบออกมาทันที


 


นางเองก็เคยสงสัยเรื่องนี้มาก่อน


 


“ศาสตราพันอาคมเซียนมากมายถูกทิ้งไว้ทั่วดั่งสิ่งไร้ค่า?”


 


ได้ยินคำของหวงเหวินจิ้งมุมปากกต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกระตุก


 


ถึงขั้นสร้างศาสตราพันอาคมเซียนแล้วทิ้งไว้ทั่วดั่งสิ่งไร้ค่า…ฟังแล้วไม่น่าจะใช่อะไรที่ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์จะทำได้จริงๆ!


 


มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที ว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด!


 


สถานที่แห่งนี้หาใช่มรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ไม่ แต่เป็นมรดกสถานที่เหลือทิ้งไว้โดยตัวตนปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์…!


 


เสียงชราแฝงกลิ่นอายโบราณยังคงกล่าวสืบต่อออกมา


 


“ความหลงใหลฝันใฝ่ชั่วชีวิตของตัวข้าก็คือบรรลุถึงขอบเขตปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์…ข้าอยากสร้างศาสตราเซียนที่มีพลังอานุภาพเหนือกว่าศาสตราพันอาคมเซียน…เพราะตัวข้ารู้สึกอยู่เสมอ ว่าเหนือศาสตราพันอาคมเซียน สมควรมีศาสตราเซียนที่ทรงพลังยิ่งกว่า…”


 


“อนิจจาจวบจนพลังฝึกปรือของข้าบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก็แล้ว…กระทั่งข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์จนบรรลุถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะจนเจียนจะได้ขึ้นสู่แดนสวรรค์ก็แล้ว แต่ความปรารถนาชั่วชีวิตของข้าที่จะสร้างศาสตราเซียนที่เหนือกว่าศาสตราพันอาคมเซียนก็ยังไม่สำเร็จ…เฮ่อ…”


 


ได้ยินเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที


 


ว่าผู้ที่ทิ้งมรดกสถานแห่งนี้เอาไว้…ไม่รู้จักศาสตราหมื่นอาคมเซียน! หรือการดำรงอยู่ของยอดศาสตราเซียนทั้ง 10!!


 


เกรงว่าในยุคสมัยของผู้ที่หลงเหลือมรดกสถานแห่งนี้เอาไว้…ยังไม่ปรากฏศาสตราหมื่นอาคมเซียน หรือก็คือยอดศาสตราเซียนขึ้นมาในแดนดิน!


 


‘กล่าวได้ว่า…ในยุคของผู้อาวุโสคนนี้ ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ ยังไม่ทันปรากฏตัว!’


 


จุดนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ไม่ยาก


 


ตัวตนที่ทิ้งมรดกสถานแห่งนี้เอาไว้ สมควรเป็นตัวตนในโบราณกาลที่ดำรงอยู่เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว…


 


“ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จักมิใช่มรดกสถานที่ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์เหลือทิ้งไว้จริงๆ…”


 


หวงเหวินจิ้งกล่าว “ข้าเองก็สงสัยแต่แรกแล้ว…เพราะจากข่าวลือที่ได้ยินมา พลังฝึกฝนของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ในตำนานนั้น ก็ยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนด้วยซ้ำ เช่นนั้นไหนเลยจะมีพลังสามารถพอจะจัดตั้งข่ายอาคมสังหารที่มีพลังอานุภาพสูงล้ำขนาดนี้เอาไว้ได้? มาตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดล้วนกระจ่าง…”


 


ตอนนี้กระทั่งหวงเหวินจิ้งเองก็ไม่ทันได้รู้ตัวเลย…


 


ว่ายามนี้นางกลายเป็นคนช่างเจรจา กล่าวคำเยอะกว่าเมื่อก่อนมากนัก


 


ในขณะเดียวกับที่พูดอธิบาย สองตางามใสของนางก็ทอประกายสว่างจ้าออกมา


 


เมื่อเทียบกับมรดกตกทอดจากปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่านาง นางย่อมสนใจมรดกที่หลงเหลือไว้จากตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะที่กำลังจะเยื้องย่างขึ้นสู่สวรรค์มากกว่า!


 


เพราะสุดท้ายแล้วตัวนางก็ไม่ใช่ปรมาจารย์จารึกเซียน ตัวนางย่อมไม่สนใจมรดกของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์!


 


สิ่งเดียวที่นางสนใจก่อนหน้านี้คือ ยอดศาสตราเซียน!


 


ทว่ามรดกของตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง…


 


กระทั่งตัวนางเองก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวั่นไหว


 


ไม่นานเสียงชราก็ดังขึ้นสืบต่อ


 


“อย่างไรก็ตามแม้ข้าจักล้มเหลวในการก้าวข้ามขอบเขตจากปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์ สู่ระดับสวรรค์ และสร้างศาสตราเซียนที่เหนือกว่าศาสตราพันอาคมเซียนจนถึงเวลาที่ข้าต้องขึ้นสู่สวรรค์…แต่ในระหว่างที่ข้าค้นคว้าหาวิธีสร้างศาสตราเซียนที่เหนือกว่าศาสตราพันอาคมเซียนนั้น ตัวข้าก็ได้พบกับการผสานกันของอาคมเซียนบางประการโดยบังเอิญ…”


 


“การผสานกันของอาคมเซียนโดยบังเอิญนี้ ต้องการสภาพแวดล้อมจำเพาะเจาะจงในการสลักจารึก อีกทั้งยังเป็นอาคมที่สามารถใช้งานได้ครั้งเดียว ทว่าก็มิใช่การใช้งานได้ครั้งเดียวแบบอาคมเซียนใช้แล้วทิ้งทั่วไป…และถ้ำกาลเวลาที่พวกเจ้าอยู่ตอนนี้ ก็คือสถานที่ๆข้าสลักจารึกอาคมเซียนผสานที่ข้าบังเอิญค้นพบเอาไว้…”


 


“ก่อนที่ข้าจักขึ้นสู่สวรรค์ ข้าได้สลักจารึกอาคมเซียนผสม สร้างถ้ำกาลเวลาเช่นนี้เอาไว้ 3 ถ้ำ…ตัวข้าได้ใช้งานเองไป 2 ถ้ำแล้ว ที่เหลืออยู่ก็คือสถานที่ๆเจ้ากำลังยืนอยู่ตอนนี้”


 


“ในถ้ำกาลเวลานั้นอัตราการไหลของห้วงเวลาจะแปรเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าอย่างยิ่ง…ทว่ามันไร้ซึ่งอัตราการไหลจำเพาะเจาะจง บางคราพริบตาหนึ่งอาจผ่านไปหนึ่งปี บางคราชั่วพริบตาก็อาจจะผ่านพ้นไปสิบปี กระทั่งหลายสิบปีก็เป็นไปได้…”


 


“จากถ้ำกาลเวลาทั้ง 3 แห่งที่ข้าสร้าง 2 ถ้ำแรกที่ข้าเข้าใช้นั้น ถ้ำกาลเวลาแห่งที่หนึ่งข้าได้รับเวลามา 9 ปี ส่วนอีกถ้ำนั้นข้าได้เวลามา 13 ปี และนั่นทำให้ข้าสามารถบรรลุถึงเวทย์พลังขั้นสูงทั้ง 2 ชนิดที่มีจนถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ!”


 


“จากตรงหน้าเจ้าไปไม่ไกล เจ้าจะแลเห็นแท่นศิลาหนึ่ง…เมื่อขึ้นไปนั่งบ่นแท่นศิลานั่นแล้ว คิดเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาเมื่อใดก็อาศัยเพียงห้วงคิดเดียวเท่านั้น”


 


“ข้าขอแนะนำว่าก่อนที่จะคิดเปิดใช้ถ้ำกาลเวลา ให้เจ้าตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับเวทย์พลังชนิดหนึ่งที่มีให้มั่นเสียก่อน หาไม่แล้วหากเจ้าเกิดฟุ้งซ่านอันใดหลังเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาไปแล้ว เกรงว่าถ้ำกาลเวลาคงไม่อาจสำแดงประสิทธิผลได้อย่างที่ควรจะเป็น กระทั่งไม่อาจประคองสภาพได้นาน…”


 


“หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นก็นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ มิได้ผลลัพธ์อันใดเลย…”


ตอนที่ 2,230 : ร้อยปีในห้วงคิดเดียว…


 


“ถ้ำกาลเวลายังถือเป็นมรดกที่มีค่าสูงที่สุดที่ตัวข้าเหลือทิ้งไว้ ส่วนมรดกกับสมบัติอย่างอื่นก็มิได้มีอันใดมากมายนัก เพราะข้าใช้ส่วนใหญ่ไปกับการค้นคว้าหมดสิ้นแล้ว ในถ้ำแห่งอื่นที่พอมีค่าก็เหลือเพียงหินเซียนกับศาสตราพันอาคมเซียนเท่านั้น…”


 


เสียงชราให้ความรู้สึกโบราณยังดังออกมาอย่างต่อเนื่อง บอกต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งให้รู้


 


ว่าถ้ำกาลเวลาแห่งนี้เป็นดั่งสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดภายในมรดกสถานแห่งนี้


 


ทันใดนั้นสายตาต้วนหลิงเทียนก็หันไปจับจ้องมองยังที่หนึ่งเบื้องหน้าไม่ไกล


 


ตรงนั้นปรากฏแท่นศิลาดั่งเตียงตั่งขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่


 


รอบแท่นศิลาดังกล่าวปรากฏอักขระโบราณมากมายสลักเอาไว้ ยังมีลวดลายประหลาดๆที่เขาเองก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้วาดโยงไว้ดั่งวงจร เชื่อมต่ออักขระตัวแล้วตัวเล่า กลิ่นอายที่แผ่ออกจากลวดลายอักขระเหล่านี้ช่างโบราณนัก เห็นได้ชัดว่ามันดำรงอยู่ข้ามกาลเวลามาเนิ่นนานมากแล้ว…


 


นั่งลงบนแท่นศิลานั่น อาศัยเพียงห้วงคิดเดียวเปิดใช้งานถ้ำกาลเวลา?


 


ยิ่งไปกว่านั้นจากที่อาวุโสเจ้าของมรดกสถานกล่าว


 


ตราบใดที่ใช้หนึ่งห้วงคิดเปิดใช้งานถ้ำกาลเวลาเพื่อทำความเข้าใจเวทย์พลัง มีโอกาสที่จะแตกฉานบรรลุความเข้าใจถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ…เวลาอาจไหลผ่านไป 10 ปี กระทั่งหลาย 10 ปี!


 


 


‘หากข้าสามารถใช้ถ้ำกาลเวลาบรรลุปฐมเวทย์กลืนกินได้ในห้วงคิดเดียว…เช่นนั้นไม่เพียงแต่พลังฝีมือของข้าจะยกระดับขึ้นก้าวใหญ่ยามเปิดใช้ แต่ข้าสามารถใช้พลังของปฐมเวทย์กลืนกินช่วยเหลือผู้อื่นยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้อีกด้วย!!’


 


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนอดเปลี่ยนเป็นเร่งร้อนขึ้นมาไม่ได้


 


สามารถช่วยเหลือผู้อื่นยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้คืออะไรน่ะเหรอ?


 


นั่นหมายความว่า…


 


เขา ต้วนหลิงเทียน สามารถเพาะสร้างอัจฉริยะไร้ผู้ต้านที่มีรากวิญญาณสีม่วงได้ด้วยสองมือ!


 


คิดถึงจุดนี้แววตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองไปยังแท่นศิลาก็ยิ่งลุกวาวทั้งมากล้นไปด้วยความปรารถนาถึงขีดสุด ราวกับนักล่าที่ไม่ได้พบพานเหยื่อมานาน และในที่สุดก็เห็นเหยื่ออันโอชะนอนทอดกายรอคอยอยู่ตรงหน้า!


 


‘จริงสิ…เกือบลืมไปแล้ว’


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนถูกใครจับโยนลงอ่างน้ำเย็นเจี๊ยบ ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที


 


ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง…


 


นอกจากเขายังมีหวงเหวินจิ้งแห่งวังเซียนสัญจรด้วย!


 


ถึงแม้ว่าเขากับหวงเหวินจิ้งจะตกลงกันแล้วว่าถ้าหากเจออะไรที่อยากได้ เขาจะมีสิทธิ์ได้รับมันก่อน…


 


แต่ทว่าตอนนี้ดูเหมือนปลายทางกลับมีแค่ถ้ำกาลเวลาแห่งนี้อย่างเดียว!


 


แล้วนี่มันจะแบ่งกันยังไง?


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จะจัดการอย่างไร จนหันไปมองทางหวงเหวินจิ้งอย่างไม่รู้ตัวนั้นเอง


 


“เจ้าใช้มันเถอะ”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนหันไปมอง หวงเหวินจิ้งก็กล่าวตอบอกมาอย่างไม่ลังเล “เมื่อครู่หากไม่ได้เจ้าช่วยข้าไว้ ข้ามีหรือจะมายืนอยู่ตรงนี้ทั้งยังมีลมหายใจได้…”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเลย


 


ว่าก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร หวงเหวินจิ้ง ก็เป็นฝ่ายยกถ้ำกาลเวลาให้เขาใช้งานซะก่อน!


 


กระทั่งหวงเหวินจิ้งก็รับทราบถึงผลประโยชน์หลังใช้ถ้ำกาลเวลาแห่งนี้แล้ว แต่นางยังเลือกมอบมันให้เขาอย่างไม่ลังเล!


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดตกใจไม่ได้ กระทั่งยังอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวขึ้นมา


 


“ข้าไม่เพียแต่ช่วยเจ้า ข้ายังทำเพื่อช่วยตัวเอง…หากเจ้าตกตาย ข้าก็ไม่มีคนคอยช่วยระวังหลัง เกรงว่าคงยากจะมาถึงที่นี่ได้เช่นกัน เช่นนั้นที่ข้าช่วยเจ้าก็เหมือนกับช่วยตัวเอง…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับหวงเหวินจิ้ง


 


และไม่รอให้นางพูดอะไร เขาก็กล่าวสืบต่อออกมาว่า


 


“อย่างไรก็ตามถ้ำกาลเวลาแห่งนี้สำคัญกับข้ามาก…เช่นนั้นเมื่อเจ้ายกให้ข้า ข้าย่อมไม่คิดปฏิเสธ”


 


“ทว่าถึงข้าไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ แต่ข้าก็ไม่คิดเอามันไปเปล่าๆ! ข้าจะให้สัญญากับเจ้าเรื่องหนึ่ง…หากข้าสามารถได้รับสิ่งที่ข้าคาดหวังจากถ้ำกาลเวลาแห่งนี้จริงๆ ข้าจะทำอะไรบางอย่างให้เจ้าเพื่อเป็นการตอบแทนแน่นอน”


 


ต้วนหลิงเทียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


เขาคิดไว้แล้ว


 


หากเขาสามารถแตกฉานเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินจนบรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิได้จริงๆล่ะก็ เขาจะใช้มันเพื่อช่วยยกกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของหวงเหวินจิ้งให้บรรลุถึงรากวิญญาณสีม่วง!


 


แน่นอนว่าเขาไม่กล้าให้สัญญากับนางตอนนี้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะสามารถตีความเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินให้บรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิจากการเข้าใช้ถ้ำกาลเวลาแห่งนี้รึเปล่า…


 


“ไม่จำเป็น”


 


หวงเหวินจิ้งที่ไม่รู้ว่าคำสัญญาที่ต้วนหลิงเทียนรับปากจะตอบแทนคืออะไร นางจึงเลือกที่จะส่ายหัวตอบปฏิเสธออกมา


 


หากนางรู้นางคงไม่มีวันปฏิเสธแน่!


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนทำคล้ายกับไม่ได้ยินคำปฏิเสธนี้ของนาง เพียงก้าวอาดๆไปยังแท่นศิลาตรงหน้า


 


ทันใดนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นเงียบลง


 


“เชิญเจ้า…ข้าจะคอยเฝ้าระวังให้เจ้าเอง”


 


หวงเหวินจิ้งกล่าวหลังเห็นต้วนหลิงเทียนเดินไปถึงเบื้องหน้าแท่นศิลา


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยิน ก็หันไปมองหวงเหวินจิ้ง ด้วยสีหน้าจริงจังกล่าวออกเสียงหนักว่า


 


“ข้าต้วนหลิงเทียนพูดแล้วไม่คืนคำ ที่ข้าสัญญากับเจ้าสักวันข้าต้องทำตามคำพูดแน่!”


 


กล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอคำฟังคำตอบของหวงเหวินจิ้ง เพียงขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนแท่นศิลา


 


เมื่อนั่งขัดสมาธิแล้วต้วนหลิงเทียนก็หลับตาลงครุ่นคิดไป


 


‘ไม่รู้ว่าหลังเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาแล้วข้าจะได้รับเวลาเท่าไหร่กันแน่…หากได้รับสัก 10 ปี ข้าอาจตีความเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินได้ไม่น้อย!’


 


‘แต่หวังว่าข้าจะได้รับเวลามากพอตีความเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินให้บรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิได้…ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งข้าจะยกระดับ ยังสามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ท่านพ่อกับท่านแม่ รวมถึงเสี่ยวเฟยเอ๋อได้ด้วย!’


 


แม้ว่าการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณ ต้วนหลิงเทียนจำต้องกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณจากคนอื่นก็ตามที…


 


ทว่าเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนไม่รู้สึกกดดันอะไรเลย


 


เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็ถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจยึดครอง!หากเขาต้องการกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณ ก็มีพวกปีศาจให้เขาจัดการเยอะแยะ!!


 


การฆ่าปีศาจชั่วร้ายแบบนี้ ในใจเขาไม่รู้สึกผิดอะไรทั้งสิ้น!


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนขึ้นไปนั่งบ่นแท่นศิลาแล้ว หวงเหวินจิ้งก็ยืนนิ่งรอคอยอย่างเงียบงัน หากแต่นางได้แผ่สำนึกเทวะออกไปตามทางที่มาสุดกำลัง เพื่อตรวจจับความเคลื่อนไหว ราวกับจะไม่ปล่อยให้อะไรคลาดสายตานางไปเด็ดขาด!


 


ขณะเดียวกัน ทางต้วนหลิงเทียนก็เริ่มแผ่สำนึกเทวะออกไปโดยรอบเพื่อดูว่าจะเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาต้องทำอย่างไรกันแน่


 


และหลังต้วนหลิงเทียนแผ่สำนึกเทวะออกไปไม่ทันไรเขาก็เข้าใจได้ทันที


 


ตอนนี้เขาไม่ใช่แค่ขึ้นมานั่งในแท่นศิลาเฉยๆเท่านั้น


 


รอบๆแท่นบูชายังมีอาคมมากมายจารึกสลักเอาไว้


 


อาคมเหล่านี้ตอนแรกก็ไม่คล้ายเริ่มต้นทำงานแต่อย่างไร


 


แต่หากสังเกตใหดีจะพบว่า


 


ลวดลายทั้งอักขระเหล่านี้ มันถูกสลักจารึกด้วยกลวิธีทับซ้อนกัน จึงยากจะแลเห็นได้ชัดเจน และส่วนที่ยากมองเห็นนั้นก็เริ่มสำแดงพลังตั้งแต่เขานั่งลงแล้ว


 


‘เพียงห้วงคิดก็สามารถเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาได้…’


 


เมื่อนึกถึงเรื่องที่ชายชรากล่าวบอกก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ลองจับสัมผัสด้วยสำนึกเทวะว่ากลไกการทำงานของมันที่แท้เป็นอย่างไร และในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังแปลกๆประการหนึ่ง


 


เมื่อจับสัมผัสกลิ่นอายพลังแปลกๆนั่นไปสักพัก เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังลี้ลับอีกประการหนึ่ง


 


กลิ่นอายพลังดังกล่าวช่างให้ความรู้สึกลี้ลับแก่ผู้คนนัก ยากที่จะหยั่งถึงว่ามันมีพลังอำนาจอันใดกันแน่


 


‘ขอเพียงผสานสำนึกเทวะเข้ากับพลังนั่น เพียงคิดก็สมควรเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาได้ทันทีสินะ…’


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพอจะคาดเดาได้


 


‘ลองดูแล้วกัน’


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มแผ่สำนึกเทวะไปผสานเข้ากับพลังลึกลับดังกล่าว ก่อนที่เขาจะทุ่มสมาธิจดจ่อไปยังการตีความเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินทันที ไม่นานก็เริ่มจมจ่อมอยู่ในภวังค์ทำความเข้าใจ


 


ด้วยสมาธิอันแน่วแน่ ต้วนหลิงเทียนก็ดำดิ่งลงสู่ภัวงค์อย่างรวดเร็ว


 


เขารู้สึกเพียงว่าเขากำลังทำความเข้าใจปฐมเวทย์กลืนกินเท่านั้น


 


ช่วงแรกการตีความก็ราบรื่นดี


 


หากแต่ต่อมาก็เริ่มซับซ้อนยากเข้าใจอยู่บ้าง


 


ไม่นานก็ถึงจุดรอคอย ด้วยขบคิดเท่าไหร่ก็ยากจะเข้าใจ


 


หากแต่เขาก็ไม่สนจุดรอคอย เพียงแค่ทบทวนและตีความเรื่องเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนก็เรียกว่าอยู่ในภาวะลืมตัวตน ดำดิ่งสู่ภวังค์ฌาณ ตีความปฐมเวทย์กลืนกินอย่างใจจดจ่อ ไม่ทราบว่าสิ่งใดคือขีดจำกัดอีกต่อไป…


 


ยังถึงกับลืมเลือนเวลาไปแล้ว


 


รูปรสกลิ่นเสียงใดๆคล้ายไม่มีอยู่จริง คงเหลือเพียงการตีความปฐมเวทย์กลืนกินถ่ายเดียว


 


นอกจากนั้นในหัวก็ว่างเปล่าไร้สิ่งใด


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนนั่งลงบนแท่นศิลาเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาเพื่อตีความปฐมเวทย์กลืนกินอย่างไม่รู้เวลานั้นเอง


 


ด้านนอกเหล่าปีศาจที่เตรียมตัวเข้าสู่มรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรค์ที่พวกมันรู้มา ก็เริ่มฟื้นคืนสติพวกมันกล่าวสนทนากันเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆทยอยกันเข้าสู่ป่าศิลาอย่างระวัง


 


จากเรื่องนี้สามารถบอกได้อย่างหนึ่ง…


 


เวลาที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งใช่ฝ่าบททดสอบจนมาถึงถ้ำกาลเวลา แม้จะเหมือนยาวนาน แต่ที่จริงแล้วแสนสั้นนัก!


 


“ไม่คิดเลยว่าในเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์จะมีรุ่นเยาว์ที่ทรงพลังอย่างร้ายกาจถึงขนาดนี้อยู่อีก เจ้านั่นมันร้ายถึงขั้นหวงเหวินจิ้งอัจฉริยะอันดับ 1 ของเผ่าปีศาจมนุษย์ยังสู้ไม่ได้!”


 


“รุ่นเยาว์อันใดกันเล่า เผลอๆมันอาจเป็นตัวประหลาดเฒ่าในคราบชายหนุ่มหน้าใสก็เป็นได้!”


 


อาจเป็นได้…”


 


……


 


ในขณะที่พวกกมันกำลังกล่าวถึงต้วนหลิงเทียนอยู่นั้น พวกมันก็ไม่ได้รู้เลย


 


ว่าสิ่งที่พวกมันคิดกันว่าเป็นมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์นั้น ที่แท้เป็นมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์!


 


และปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์ที่ว่า…ก็ยังเป็นถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ!


 


ในขณะที่เหล่าปีศาจค่อยๆพากันทยอยมาถึงป่าศิลา และเริ่มเข้าสู่มรดกสถานนั้นที่เหลือไว้โดยปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์ผู้เป็นถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ…


 


บริเวณทิศเหนือของเมืองเหรินโม่เชิ่ง ปรากฏร่าง 3ร่างเหินตัดฟ้าข้ามเมือง มุ่งหน้าลงใต้มาด้วยความเร็วสูง!


 


สามร่างที่ว่าเป็นชายวัยกลางคน ชายชรา แล้วก็หญิงชรา


 


ในขณะเหินร่างลงใต้ แววตาของแต่ละคนเต็มไปด้วยความอาฆาต ยังฉายชัดถึงความเคียดแค้นถึงขีดสุด!


 


เป็นสายตาอาฆาตแค้นอันรุนแรงนัก! ประหนึ่งพวกมันถูกคนเข่นฆ่าบิดาถล่มมารดาลักพาตัวน้องสาวไปขายหอนางโลม!!


 


ภายในมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์


 


ณ สถานที่ตั้งถ้ำกาลเวลา


 


สำหรับหวงเหวินจิ้งแล้ว ต้วนหลิงเทียนเพียงลงไปนั่งบนแท่นศิลาได้ไม่ทันไร ทั้งคนทั้งแท่นศิลาก็ถูกแสงสีเทาปกคลุม และแสงเทานั่นก็กลืนทุกสิ่งจนหายไปจากสายตานาง!


 


แต่ทว่าเพียงครู่ต่อมาแสงสีเทาดังกล่าวก็สลายหายไป


 


ภาพต้วนหลิงเทียนนั่งบนแท่นศิลาปรากฏสู่สายตาของนางอีกครั้ง


 


สำหรับหวงเหวินจิ้งแล้วร่างต้วนหลิงเทียนเสมือนคลาดสายตาไปเพียงแวบเดียวเท่านั้น


 


“ฮ่าๆๆๆ…!!”


 


และพอต้วนหลิงเทียนปรากฏสู่สายตาหวงเหวินจิ้งอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง


 


สาเหตุที่ไฉนต้วนหลิงเทียนระเบิดเสียงหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังแบบนั้น ไม่ใช่เพราะเสียสติอะไรไปจริงๆ แต่เป็นเพราะปฐมเวทย์กลืนกินของเขานั้น…มันถูกตีความจนบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิแล้ว!!


 


ภายใต้พลังของถ้ำกาลเวลา หนึ่งห้วงคิดของต้วนหลิงเทียนกลับผ่านพ้นไป 100 ปี!


ตอนที่ 2,231 : ผลิตอัจฉริยะไร้ผู้ต้านได้ตามใจ


 


ร้อยปีในหนึ่งห้วงคิด!


 


แนวคิดนั้นคืออะไร?


 


นั่นหมายความว่าในห้วงเวลาชั่วพริบตาสำหรับผู้อื่น ต้วนหลิงเทียนได้ตีความเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินไปแล้วถึง 100 ปี!


 


เรียกว่าครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนใช้ถ้ำกาลเวลาสร้างกำไรครั้งมโหฬารจริงๆ!


 


กระทั่งยอดคนที่สร้างถ้ำกาลเวลาขึ้นมา หากได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนสามารถบรรลุร้อยปีในหนึ่งห้วงคิด เกรงว่าคงตกใจแทบตายและหาคำอธิบายไม่ได้แน่นอน!


 


แน่นอนว่าต่อให้ตกใจและพูดไม่ออก แต่มันต้องยินดีอย่างยิ่งแน่ๆ!


 


เพราะถ้ำกาลเวลาที่มันทิ้งไว้ไม่สูญเปล่า!


 


ถ้ำกาลเวลาของมัน หากให้คนอื่นหรือกระทั่งตัวมันเองใช้ เวลาที่จะได้รับในห้วงคิดเต็มที่ก็ไม่กี่สิบปีเท่านั้น


 


แต่ทว่าพอผู้ใช้คือต้วนหลิงเทียนกลับทำได้ถึง 100 ปี!


 


เรื่องนี้เป็นอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายของผู้สร้างไปแล้ว


 


เพราะดูจากข้อความที่เหลือทิ้งไว้ คำว่า ‘อาจ’ มีคนได้รับเวลาหลายสิบปี…ย่อมบ่งบอกว่ามันเองก็ไม่บรรลุถึงจุดนั้น!


 


‘ไม่รู้เมื่อครู่หลังถ้ำกาลเวลาแสดงผลข้าใช้เวลาไปนานเท่าไหร่กันแน่’


 


ถึงแม้ว่าหลังใช้ถ้ำกาลเวลาแล้วต้วนหลิงเทียนจะผ่านร้อยปีในห้วงคิดเดียว…


 


อย่างไรก็ตามเขาที่ดำดิ่งสู่ภวังค์ฌาณเพื่อตีความปฐมเวทย์กลืนกินอย่างใจจดจ่อ ได้หลงลืมเวลาไปอย่างสิ้นเชิง


 


กระทั่งถึงจุดที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้ตีความปฐมเวทย์กลืนกินซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่เหลืออะไรให้เขาเข้าใจอีกอยู่พักหนึ่ง จึงค่อยตระหนักว่าตัวเองแตกฉานเรียบร้อยแล้วค่อยหยุดลง


 


และทันทีที่เขาถอนสมาธิออกจากการตีความเวทย์พลัง เขาก็หลุดออกจากผลของถ้ำกาลเวลาทันที


 


ด้านพลังลี้ลับในถ้ำกาลเวลานั้น มันก็อันตรธานหายไปทันทีราวกับไม่เคยมีมาก่อน


 


สำหรับหวงเหวินจิ้งที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้ว ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนผ่านเวลาร้อยปีในหนึ่งห้วงคิดนั้น…เป็นอะไรแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น


 


ดังนั้นนางจึงไม่อาจรู้เลยว่าต้วนหลิงเทียนได้รับเวลาจากถ้ำกาลเวลาไปเท่าไหร่


 


และแน่นอน


 


ว่าเหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนถึงได้รับร้อยปีในห้วงคิดเดียวจากถ้ำกาลเวลา ทั้งหมดเป็นเพราะปฐมเวทย์กลืนกินมันไม่ใช่เวทย์พลังธรรมดา!


 


หากเขาใช้มันเพื่อตีความเวทย์พลังอื่นๆ เกรงว่าคงไม่มีทางที่จะประวิงเวลาได้เป็นร้อยปีแบบนี้


 


ปฐมเวทย์กลืนกินนั้นต่อให้มันไปปรากฏในระนาบเทวโลก ก็ยังเป็นเวทย์พลังระดับต้นๆ! ไม่ใช่อะไรที่จะนำเวทย์พลังของระนาบโลกียะไปเทียบได้เลย ยังแข็งแกร่งกว่าเซียนอมตะข้ามภพที่ต้วนหลิงเทียนมีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่!!


 


ขนาดต้วนหลิงเทียนที่มีความสามารถในการแตกฉานเรื่องราวต่างๆจากผลของยอดใจกระบี่แล้ว ยังต้องใช้เวลาถึง 100 ปีจากจุดเดิมถึงจะบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิ…


 


จากจุดนี้ก็บ่งบอกให้รู้ชัด


 


ว่าเป็นเรื่องยากเย็นขนาดไหนที่จะตีความมันให้แตกฉานถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ!


 


‘ด้วยมีปฐมเวทย์กลืนกินที่บรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิแบบนี้…ไม่รู้ว่าถ้าลองกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินเต็มขีดจำกัดมันจะยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกกำเนิดให้ข้าได้เท่าไหร่…’


 


พอคิดถึงจุดนี้สองตาต้วนหลิงเทียนพลันเผยประกายระยิบระยับปานดวงดารากลางฟ้ามืด


 


ด่านพลังบ่มเพาะของเขาตอนนี้อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน


 


ก่อนที่เขาจะเข้าใช้ถ้ำกาลเวลา …หากไม่ใช้เวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกิน อาศัยพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างของเขาอย่างเดียว ก็ทำให้เขามีพลังอำนาจเหนือกว่าตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน…


 


แต่แม้จะเหนือกว่าสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน ทว่าพอยกไปเทียบกับขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้ว ยังนับว่าด้อยกว่าเล็กน้อย


 


อาศัยเรื่องนี้เป็นพื้นฐาน ตอนเขาใช้ปฐมเวทย์กลืนกินพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างจะถูกยกระดับให้สูงขึ้นไปทักเทียมกับเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!


 


ด้วยทักษะทั้งหมดที่เขามีรวมถึงเคล็ดกระบี่อยู่ที่ใจอันเป็นขั้นที่ 3 ของยอดใจกระบี่ เรียกว่าแทบจะคงกระพันในขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!


 


เช่นนั้นหลังใช้ถ้ำกาลเวลาเสร็จ ต้วนหลิงเทียนจึงยินดีอย่างมากที่ปฐมเวทย์กลืนกินก้าวหน้าถึงขีดสุด!


 


เพราะนั่นหมายความว่า…


 


หลังจากนี้เมื่อเข้าใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาจะไม่หยุดอยู่ที่เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอีกต่อไป!


 


เผลอๆอาจจะบรรลุถึงสุดปลายเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน หรือกระทั่งทัดเทียมกับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!!


 


ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งตื่นเต้น สองตาเขาทอแสงจ้า เร่งลุกขึ้นจากแท่นศิลาทันที


 


‘ปฐมเวทย์กลืนกิน!’


 


พร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ


 


วังวนพลังดูดรั้งอันน่ากลัวโดยมีร่างต้วนหลิงเทียนเป็นจุดศูนย์กลางพลันอุบัติขึ้น ทำให้พลังววิญญาณฟ้าดินโดยรอบปั่นป่วนทันที!


 


วังวันพลังดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินรอบๆอย่างหิวกระหาย ยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาให้เพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็วสูง!


 


‘พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิด…มากกว่าเดิมแล้ว!’


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบได้ทันที


 


ว่าระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาได้เพิ่มพูนขึ้นมาเหนือกว่าเดิมแล้ว


 


อีกทั้งพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขายังเหลือที่ว่างให้เพิ่มพูนอีกมากมาย!


 


อย่างไรก็ตามด้วยสถานที่ไม่เอื้ออำนวย พลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบได้ถูกต้วนหลิงเทียนกลืนกินจนหมดสิ้น! จึงทำให้พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดเพิ่มพูนขึ้นด้วยอัตราที่เชื้องช้าอย่างยิ่ง เพราะต้องรอให้พลังวิญญาณฟ้าดินจากด้านนอกหลั่งไหลมาเติม…


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็จำต้องล้มเลิกการลองใช้เวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินไปอย่างช่วยไม่ได้


 


‘ที่นี่มันแคบเกินไป พลังวิญญาณฟ้าดินมีจำกัดนัก ออกไปจากนี่แล้วค่อยลองอีกครั้ง…ที่แน่ๆปฐมเวทย์กลืนกินที่สำเร็จขั้นตอนไร้ตำหนิสามารถยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดให้ข้าได้อย่างอื้อซ่ากว่าเดิมแน่!!’


 


คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เผยความตื่นเต้นยินดีอีกครั้ง หากแต่เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอาการ สงบความคึกคักลิงโลดลง


 


‘นอกจากนี้เมื่อข้ารู้แจ้งในปฐมเวทย์กลืนกิน ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะใช้มันเพื่อเพิ่มพรสวรรค์รากวิญญาณให้คนอื่น…กล่าวคือนับจากวันนี้ไปขอแค่มีพรสวรรค์รากวิญญาณให้ข้าดูดกลืนมากพอ ข้าจะผลิตอัจฉริยะไร้ผู้ต้านรากวิญญาณสีม่วงกี่คนก็ทำได้!’


 


ผลิตอัจฉริยะไร้ผู้ต้านที่มีรากวิญญาณสีม่วงเท่าไหร่ก็ได้ เรื่องนี้จะให้กล่าวอย่างไรดี?


 


พอคิดถึงจุดนี้ความตื่นเต้นคึกคักที่สงบลงไปก่อนหน้าก็ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างยากที่จะสงบลงได้ในเวลาอันสั้น


 


หลังจากนั้นพักหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็ดึงสติกลับคืน ค่อยพบว่ามีร่างหนึ่งจ้องเขาไม่วางตา และท่าทางนางน่าจะยืนมองเขาอยู่นานแล้ว


 


“เจ้าอยู่ในถ้ำกาลเวลานานเท่าไหร่หรือ?”


 


ผู้ที่มองเขาแน่นอนว่าคือ โฉมงามอันดับหนึ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์ ยังเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ในบรรดารุ่นเยาว์ของวังเซียนสัญจร หวงเหวินจิ้ง


 


ถึงแม้ในสายตาของนางต้วนหลิงเทียนเสมือนนั่งลงแล้วลุกขึ้นแทบจะทันที…


 


แต่นางรู้ดีว่าพริบตาที่ต้วนหลิงเทียนแวบหายไปเพราะถูกม่านสีเทาบดบัง อาจจะเป็นเวลาหลายปีหรือกระทั่งหลายสิบปี


 


“ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหน…”


 


ต้วนหลิงเทียนได้แต่ส่ายหัวเป็นการตอบหวงเหวินจิ้ง ค่อยพูดต่อว่า “อย่างไรก็ตามเวทย์พลังที่ข้าเลือกทำความเข้าใจ ได้บรรลุถึงจุดสูงสุดแล้ว…”


 


“ตัดสินจากระดับความยากของเวทย์พลังที่ข้าเลือก เกรงว่าคงใช้เวลาไปไม่ต่ำกว่าสิบปี กระทั่งอาจจะหลายสิบปีเพราะอำนาจของถ้ำกาลเวลา”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบอย่างไม่มั่นใจ


 


นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดจากคำพูดของต้วนหลิงเทียน ว่ากระทั่งตัวเขาเองยังประเมินปฐมเวทย์กลืนกินต่ำเกินไป


 


“อาจเป็นหลายสิบปีหรือ…เช่นนั้นเจ้านับว่าใช้ถ้ำกาลเวลานี่ได้คุ้มค่ายิ่ง!”


 


หวงเหวินจิ้งกล่าว ครู่ต่อมาคล้ายนางนึกอะไรได้ออกจึงกล่าวเสริมด้วยสีหน้าจริงจังว่า “มีบางเรื่องที่ข้าไม่สมควรบอกเจ้า…แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าเลยตัดสินใจบอกเจ้า….”


 


“ทั้ง 3 คนที่เจ้าฆ่าไปด้านนอกมรดกสถานแห่งนี้ล้วนมีอาวุโสวังเซียนสัญจรอยู่เบื้องหลัง…และทั้งหมดล้วนเป็นเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!”


 


“ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรมีค่าให้ฉกฉวยอีก…ข้าแนะนำว่าให้เจ้ารีบหนีไปจากกที่นี่เถอะ”


 


ในขณะที่กกล่าวเรื่องนี้ยิ่งมาน้ำเสียงหวงเหวินจิ้งยิ่งมายิ่งเคร่งขรึม


 


“ขอบคุณเจ้า”


 


ได้ยินคำเตือนของหวงเหวินจิ้ง แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่คิดว่าเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนจะเป็นภัยคุกคามอะไร แต่เขาก็รู้สึกขอบใจนางไม่น้อย


 


เพราะสุดท้ายแล้วหวงเหวินจิ้งก็ไม่รู้ ว่าตอนนี้พลังต่อสู้ของเขาก้าวหน้าขึ้นถึงขั้นที่ไม่เห็นเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอยู่ในสายตาอีกต่อไป


 


“แต่…ข้าไม่คิดจะไปจากที่นี่ก่อนจะตอบแทนเจ้า”


 


ในขณะที่หวงเหวินจิ้งคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะฟังคำเตือนและรีบจากไป ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวประโยคนี้ออกมา


 


เขาต้องการตอบแทนบุญคุณของหวงเหวินจิ้ง!


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดีแก่ใจ


 


วันนี้หากไม่มีหวงเหวินจิ้งช่วยเหลืออีกแรง เกรงว่าเขาคงไม่อาจมาถึงที่นี่ได้ด้ววยซ้ำ นับประสาอะไรกับการได้ใช้ถ้ำกาลเวลาจนแตกฉานปฐมเวทย์กลืนกินถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ!


 


เช่นนั้นในใจเขาจึงรู้สึกติดค้างหวงเหวินจิ้ง และต้องการตอบแทนบุญคุณนี้ทันที!


 


“ตอบแทนบุญคุณ?”


 


มาตอนนี้หวงเหวินจิ้งพึ่งนึกถึงคำพูดก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียน ทว่าน่างส่ายหัวไปมาค่อยกล่าวต่อว่า “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าตอบแทนบุญคุณอะไรข้า เจ้ารีบไปให้เร็วที่สุดเถอะ…หากล่าช้าข้าเกรงว่าต่อให้เจ้าคิดไปเจ้าก็ไปไม่ได้”


 


หวงเหวินจิ้งรู้ดีว่าเบื้องหลังนายน้อยสวะทั้ง 3 เป็นใครและพวกมันมีความสำคัญอย่างไรบ้าง! ไม่พ้นเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน ผู้อาวุโสของวังเซียนสัญจรเหล่านั้นต้องเร่งรุดเดินทางมาที่นี่ทันทีหลังพบว่าไข่มุกวิญญาณของพวกมันแตกเป็นแน่!!


 


เช่นนั้นนางจึงรีบบอกให้ต้วนหลิงเทียนหนีไป


 


เหตผลที่นางพยายามให้ต้วนหลิงเทียนหนีไป


 


หนึ่งเลยเป็นเพราะ ต้วนหลิงเทียนช่วยชีวิตนางไว้


 


ส่วนอีกอย่างนางเองก็ไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่นางไม่อยากเห็นชายตรงหน้าที่พึงพบกันวันแรกต้องเกิดเรื่อง


 


นางกระทั่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขณะเกลี้ยกล่อมให้ต้วนหลิงเทียนรีบจากไป น้ำเสียงยังอ่อนลงหลายส่วน!


 


“งั้นถ้าข้าบอกว่า ข้ามีวิธียกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าให้เป็นรากวิญญาณสีม่วงล่ะ…เจ้ายังแน่ใจนะว่าจะไม่รับการตอบแทนบุญคุณของข้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนเมินคำเกลี้ยกล่อมของหวงเหวินจิ้ง ก่อนที่จะมองถามหวงเหวินจิ้งด้วยสายตาขึงขัง


 


รากวิญญาณสีม่วง!?


 


ทันทีที่ประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียนดังเข้าหูหวงเหวินจิ้ง ก็ทำให้นางอื้ออึงไปทันที


 


กระทั่งวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ยังคล้ายจะดังก้องซ้ำไปซ้ำมาในหู!


ตอนที่ 2,232 : ไอ้หนูหน้าขาว!


 


“งั้นถ้าข้าบอกว่า ข้ามีวิธียกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าให้เป็นรากวิญญาณสีม่วงล่ะ…เจ้ายังแน่ใจนะว่าจะไม่รับการตอบแทนบุญคุณของข้า?”


 


คำพูดของต้วนหลิงเทียนดังก้องซ้ำไปซ้ำมาในหูหวงเหวินจิ้ง


 


ทุกครั้งที่มันดังก้อง ใจหวงเหวินจิ้งก็อดหวั่นไหวไปไม่ได้!


 


ยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณนางให้เป็นรากวิญญาณสีม่วง?


 


พรสวรรค์รากวิญญาณ ไม่ใช่ว่าผู้ใดเกิดมาก็มีมันติดตัวไปจนตายและไม่อาจยกระดับได้หรือไร?


 


ไฉนตอนนี้ชายหนุ่มเบื้องหน้ากลับบอกว่าจะช่วยยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของนางให้กกลายเป็นรากวิญญาณสีม่วงเล่า?


 


ต้องทราบด้วยว่ารากวิญญาณสีม่วง สำหรับนางแล้วนั่นคือรากวิญญาณสูงสุด!


 


ถึงแม้ตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของนางจะถือว่าดี แต่มันก็เป็นแค่สีน้ำเงินเท่านั้น เทียบกับรากวิญญาณสีม่วงที่นับเป็นพรสวรรค์รากวิญญาณสูงสุดไม่ได้เลย!


 


“เจ้า…เจ้าสามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้จริงหรือ?!”


 


หวงเหวินจิ้งมองต้วนหลิงเทียนพร้อมถามออกมาอีกครั้ง สายตานางยังจริงจังไม่น้อย เสียงยังสั่นไปเบาๆยากสังเกต


 


หากมีคนอื่นมาบอกว่าสามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้นางได้ แน่นอนว่านางไม่มีทางเชื่อแน่


 


แต่พอเป็นต้วนหลิงเทียนที่บอกนาง แม้ในใจนางจะยังมีความไม่เชื่อ แต่ก็ไม่มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าต้วนหลิงเทียนพูดโกหก


 


ที่สำคัญคือต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องโกหกนาง!


 


“ใช่แล้ว”


 


ได้ยินคำถามของหวงเหวินจิ้งต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบไปทันที ไร้ซึ่งอาการลังเลใดๆ


 


หลังตอบ ต้วนหลิงเทียนก็มองกล่าวกับหวงเหวินจิ้งออกมาว่า “มาเถอะ ไปกับข้า เราจะไปหาเหยื่อเพื่อยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้เจ้ากัน”


 


หาเหยื่อ?


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน หวงเหวินจิ้งอดไม่ได้ที่จะอื้ออึงไปอีกครั้ง


 


ฟังจากที่ต้วนหลิงเทียนกล่าว หมายความว่าหากจะยกระดับพรสวรค์รากวิญญาณให้นาง จำเป็นต้องหาเหยื่อ?


 


ฟุ่บ!


 


เสียงของสายลมหนึ่งพัดผ่านหูนางไปอย่างแผ่วเบา พอหวงเหวินจิ้งคืนสติ ก็พบว่าต้วนหลิงเทียนเหินร่างไปถึงปากทางออกจากถ้ำแห่งนี้แล้ว


 


หวงเหวินจิ้งจึงรีบเหินร่างตามไปทันที


 


ตอนนี้ในใจหวงเหวินจิ้งเต็มไปด้วยความสงสัยนัก ว่าการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้นาง มันไปเกี่ยวข้องอะไรกับการหาเหยื่อ…


 


ที่สำคัญคือ ไอ ‘เหยื่อ’ ที่ว่ามันคืออะไรกันแน่?


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


ดั่งสายลมแรง 2 สายพัดกรรโชก เป็นต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งที่กลับจากถ้ำกาลเวลามาถึงโถงถ้ำกว้างใหญ่ที่มีอุโมงค์ทาง 81 สาย


 


“ไฉนมีอุโมงค์เยอะขนาดนี้เล่า…”


 


“แล้วนี่พวกเราจะไปทางไหนกันดี”


 



 


ทันทีที่ออกมาถึงโถงใหญ่ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนมากกมาย ทั้งเสียงพูดคุยเซ็งแซ่


 


อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่พึ่งเข้ามาถึงจุดนี้ เป็นกลุ่มที่มาถึงที่นี่ทีหลังจึงไม่ทันรู้จักต้วนหลิงเทียน


 


“เฮ่ๆ ดูนั่นช่องบนซ้ายมีคนพึ่งออกมา!”


 


การปรากฏตัวของต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งย่อมเรียกความสนใจกลุ่มคนมากมายทันที


 


ทันใดนั้นสายตาหลายต่อหลายคู่ก็จับจ้องไปยังร่างต้วนหลิงเทียน


 


“เฮ่ย! ไอ้หนู! เจ้าเข้าไปได้อะไรติดมือมาบ้าง เอามาให้พี่ใหญ่ผู้นี้ดูหน่อยเถอะ!!”


 


ชายวัยกลางคนร่างกายกำยำแลดูกักขระหนึ่ง เหินเข้ามาทางต้วนหลิงเทียนพร้อมตะโกนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงดุร้ายดังสนั่นปานฟ้าลั่น


 


ในวาจายังแฝงไปด้วยความคุกคามอยู่บ้าง


 


“ใช่แล้วๆ! ส่งแหวนมาให้พี่ใหญ่เราดู!!”


 


“พี่ใหญ่ของพวกเราใจดีนัก…แต่หากในแหวนเจ้าไม่มีอะไรดีๆ เจ้าก็คงต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต!!”


 


“พี่ใหญ่ท่านนี้กล่าววาจาตรงยิ่ง ผู้น้อยขอคารวะ ฮ่าๆๆๆ!!”


 



 


ในขณะที่ชายวัยกลางคนเหินร่างเข้าหาต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้ง กลุ่มคนที่อยู่ในโถงใหญ่ก็เริ่มกล่าวแซวกันออกมาอย่างสนุกสนาน


 


เรียกว่าตอนนี้พวกมันหันมาสนใจต้วนหลิงเทียนที่พุ่งออกมาจากอุโมงค์กันหมด


 


ผู้ที่ออกมาจากก 1 ใน 81 ช่องทางที่พวกมันไม่รู้จะไปทางไหน ใช่ได้อะไรดีๆติดไม้ติดมือมาหรือไม่?


 


พวกมันอยากรู้เรื่องนี้!


 


เมื่อชายวัยกลางคนเหินเข้ามาใกล้ถึงที่ๆต้วนหลิงเทียนอยู่


 


“ไสหัวไป!”


 


หวงเหวินจิ้งที่พึ่งปรากฏตัวตามหลังต้วนหลิงเทียนมาติดๆ พลันกล่าวออกเสียงใส น้ำเสียงยังเยียบเย็นดุร้ายไม่น้อย


 


และตอนนี้หวงเหวินจิ้งก็ได้กลับมาอยู่ในรูปลักษณ์โฉมงามอันดับหนึ่งอีกครั้ง ชุดขาวพิสุทธิ์ตัวใหม่ ใบหน้าทรงผมก็ถูกจัดแจงแต่งแต้มเรียบร้อย ไม่ได้แลดูอนาถเหมือนก่อนหน้าสืบไป


 


และด้วยกลิ่นอายเย็นชาที่แผ่ออกมาจากร่างนาง พาลให้ผู้คนในโถงใหญ่รู้สึกเหน็บหนาวไม่น้อย


 


ชายวัยกลางคนที่โผเข้าหาต้วนหลิงเทียนคนแรกเรียกว่าทานรับไอเย็นจากร่างนางก่อนใคร เรียกว่าถูกกลิ่นอายเยียบเย็นตีเข้าหน้าจังๆ! มันอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย ชะงักร่างหยุดลงทันที ราวกับกลัวว่าหากพุ่งไปสืบต่อ…ไม่พ้นได้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งแน่!!


 


ครู่ต่อมาชายวัยกลางคนก็ค่อยๆมองไปทางหวงเหวินจิ้งด้วยสายตาหวาดกลัว


 


สตรีนางนี้เพียงแค่ตะคอกคำเดียวพร้อมเปล่งกลิ่นอายพลังเยียบเย็น ก็ทำให้มันบังเกิดความกดดันอย่างหนัก!?


 


นางเป็นใครกันแน่!?


 


ขณะเดียวกันสายตาทุกคู่ก็ละออกจากร่างต้วนหลิงเทียนไปหันมองหวงเหวินจิ้งทันที


 


หากจะบอกว่าเมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนเรียกความสนใจเพราะพึ่งกลับออกมาจากช่องทางคนแรกล่ะก็ ตอนนี้ด้วยกลิ่นอายเยียบเย็นของหวงเหวินจิ้ง พวกมันประหนึ่งถูกสะกดให้หันไปมองนางอย่างหวั่นเกรง


 


“นาง…ไฉนแลดูคุ้นตาข้านัก?”


 


“ใช่ ข้าก็คิดว่านางหน้าคุ้นๆ…”


 



 


หลายคนรู้สึกคุ้นหน้าหวงเหวินจิ้ง แต่ยังนึกไม่ออก


 


ตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวถามออกมาว่า


 


“เจ้าพวกนี้…ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากวังเซียนสัญจรของเจ้าสินะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเพียงถามหวงเหวินจิ้งเพื่อยืนยันเท่านั้น…


 


เพราะตอนแรกที่เห็นหน้าพวกมัน สำนึกเทวะของเขาก็แผ่ไปตรวจสอบพวกมันหมดสิ้นแล้ว!


 


กลุ่มคนเบื้องหน้านั้นล้วนแล้วแต่เป็นเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้งสิ้น เลือดที่ไหลเวียนในกายของพวกมันครึ่งหนึ่งเป็นของปีศาจ ส่วนอีกครึ่งเป็นเลือดมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์แท้!


 


“ใช่”


 


แม้ไม่ทราบว่าทำไมต้วนหลิงเทียนถึงถามแบบนี้ แต่หวงเหวินจิ้งก็หันไปตอบคำของเขาทันที กระทั่งใบหน้าที่คล้ายฉาบไว้ด้วยน้ำแข็งยังอ่อนโยนลงปานน้ำแข็งละลาย พาลให้ผู้คนในโถงใหญ่ประหลาดใจไม่น้อย


 


ไอ้หนุ่มชุดม่วงนี่มันเป็นผู้ใดกัน!?


 


ไฉนเทพธิดาน้ำแข็งนางนี้ถึงปฏิบัติกับมันดีนักเล่า!


 


“ฮ้า! บิดาจำได้แล้ว! นางคือหวงเหวินจิ้ง!!”


 


ทันใดนั้นไม่ทราบใครเป็นผู้โพล่งดังออกมา หากแต่ทุกสายตาก็ละออกจากร่างต้วนหลิงเทียนไปมองหวงเหวินจิ้งอีกครั้ง


 


“หวงเหวินจิ้ง? นางคือหวงเหวินจิ้งจริงๆหรือ โฉมงามอันดับ 1 ของเผ่าปีศาจมนุษย์เรา ทั้งยังเป็นรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของวังเซียนสัญจรคนนั้น?”


 


“ไม่ผิด เป็นนางแน่ ข้าจำได้!”


 


“ช้าก่อน มิใช่ว่ากันว่าหวงเหวินจิ้งผู้นี้เย็นชานักหรือไร กระทั่งไม่แยแสผู้ใดด้วยซ้ำ ไฉนถึงทำหน้าหวานกับไอ่หนุ่มชุดม่วงขนาดนั้นเล่า…หรือไอ่หนุ่มชุดม่วงนี่เป็นคนรักที่นางซุกซ่อนไว้?”


 


“อาจเป็นได้!”


 


“มารดามันเถอะ! ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ไอ้หนุ่มชุดม่วงนี่ได้กลายเป็นศัตรูของวีรบุรุษเผ่าปีศาจมนุษย์เราทั้งหมดแน่!”


 



เหล่าปีศาจมนุษย์ที่กล่าวเสียงดังจอแจ โดยเฉพาะเหล่าปีศาจเพศชาย ยามมองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง…ตอนนี้ เรียกว่าในแววตามากล้นไปด้วยความอิจฉาริษยาทั้งสิ้น บ้างยังเผยความเคียดแค้นออกมา!


 


โฉมงามอันดับ 1 ของเผ่าปีศาจมนุษย์!


 


นั่นคือโฉมงามอันดับ 1 ของพวกมันนะ!!


 


จะไม่อิจฉาริษยา หมั่นไส้ ทั้งเคียดแค้น โจร ที่เด็ดบุปผาที่งามที่สุดของพวกมันไปได้อย่างไร!?


 


หากเป็นก่อนหน้านี้ ลองหวงเหวินจิ้งได้ยินพวกกมันพูดแบบนี้นางคงได้มีโมโหไม่น้อยแน่


 


ทว่าวันนี้นางกลับไม่ได้มีโมโหอะไร ยังหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้ารู้สึกผิด


 


ราวกับสิ่งที่นางให้ความสนใจมากที่สุดตอนนี้ ไม่ใช่วาจาเหลวไหลของทั้งหมด แต่เป็นทัศนะของต้วนหลิงเทียน


 


โชคไม่ดีที่นางถูกลิขิตให้ผิดหวัง


 


แม้เผชิญกับวาจาของเหล่าปีศาจ สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงสงบเฉยเมย ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่พวกมันพูด


 


ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่เห็นต้วนหลิงเทียนเฉยแบบนี้ ในใจหวงเหวินจิ้งกลับรู้สึกผิดหวังขึ้นมา


 


“เนื่องจากพวกมันไม่ใช่คนของวังเซียนสัญจร…เช่นหน้าข้าก็ไม่ต้องเห็นแก่หน้าเจ้า!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบหวงเหวินจิ้งเสียงเรียบ และแทบจะพร้อมกันกกับที่เขากล่าวจบคำ ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏวังวนพลังหนึ่งขึ้นมารอบกาย!


 


วังวนดังกล่าวพอปรากฏกก็ทำให้พลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอปั่นป่วนทันนที พวกมันไหลเชี่ยวเข้าสู่ร่างต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูง พริบตาในโถงใหญ่ก็ไม่เหลือพลังวิญญาณฟ้าดินแม้แต่น้อย


 


ปฐมเวทย์กลืนกิน!


 


เป็นต้วนหลิงเทียนใช้เวทย์พลังสนับสนุนดังกล่าว เพื่อเพิ่มพูนพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิด!


 


เทียบกับถ้ำกาลเวลาแคบๆแล้ว ที่นี่กว้างกว่ากันมาก ย่อมมีพลังวิญญาณฟ้าดินมากกว่าเป็นธรรมดา!


 


เมื่อพลังวิญญาณฟ้าดินในถ้ำกว้างถูกต้วนหลิงเทียนสูบกลืนหมดไม่มีเหลือ พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในกายก็เพิ่มพูนยกระดับขึ้นมาอย่างมหาศาล เทียบได้กับพลังเซียนต้นกำเนิดของขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนชนชั้นยอดฝีมือ!


 


อย่างไรก็ตามหลังพลังเพิ่มพูนขึ้นแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พบปัญหาหนึ่ง…


 


กระทั่งเป็นถ้ำที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ แต่ปริมาณพลังวิญญาณฟ้าดินที่มี กลับไม่พอยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาให้เพิ่มพูนขึ้นไปถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


แน่นอนว่ายังมีช่องว่างให้ยกระดับได้อีก…


 


อนิจจากระทั่งในโถงถ้ำกว้างใหญ่แห่งนี้…พลังวิญญาณฟ้าดินก็ยังมีจำกัด!


 


‘พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างของข้า ยังเพิ่มขึ้นไม่ใกล้เคียงกับพลังเซียนต้นกำเนิดของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเลย…แต่พลังวิญญาณฟ้าดินในถ้ำกว่างใหญ่นี่กลับไม่มีเหลือแล้ว…’


 


‘ดูเหมือนหากคิดใช้ปฐมเวทย์กลืนกินให้เต็มประสิทธิภาพ มีแต่ต้องออกไปใช้มันข้างนอกในที่โล่งๆ!’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


ขณะเดียวกันเขาก็หยุดกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบสืบไป


 


เพราะตอนนี้พลังวิญญาณฟ้าดินที่เขาสูบกลืนมาเพิ่ม ก็คือพลังวิญญาณฟ้าดินที่ค่อยๆไหลเข้ามาจากด้านนอก ซึ่งมันก็ค่อนข้างช้าอยู่บ้าง


 


เช่นนั้นหยุดไว้เท่านี้ก็พอ


 


‘ตอนแรกคิดว่าออกมาที่นี่จะได้รู้ถึงขีดจำกัดว่าพลังจะเพิ่มได้เท่าไหร่…แต่ดูเหมือนที่นี่ก็ยังมีพลังวิญญาณฟ้าดินไม่พอ แบบนี้คงได้แต่ออกไปลองข้างนอกเท่านั้น’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนในใจ


 


หากไม่ใช่เพราะคิดทดสอบขีดจำกัดของปฐมเวทย์กลืนกินแต่แรก แม้เขาคิดจะจัดการเผ่าปีศาจทั้งหลายเบื้องหน้า ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้าองใช้ปฐมเวทย์กลืนกินเลย


 


นั่นเพราะเหล่าปีศาจเบื้องหน้าไม่ได้มีพลังสูงพอให้เขาถึงกับต้องใช้ปฐมเวทย์กลืนกินเพื่อจัดการ


 


เหล่าปีศาจมนุษย์เบื้องหน้า ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นเพียงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนเท่านั้น!


 


“ไอ้หนู เจ้าคิดจะทำอะไร?”


 


ได้ยินคำที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับหวงเหวินจิ้ง ปีศาจวัยกลางคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่ไกลต้วนหลิงเทียน พลันถามออกเสียงเย็น สีหน้ายังเริ่มมืดลง


 


มันกลัวหวงเหวินจิ้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกลัวไอ้หนุ่มหน้าขาวผู้นี้ด้วย!


ตอนที่ 2,233 : กลืนกิน! กลืนกิน!


 


“หนวกหู!”


 


แทบจะพร้อมกันกับที่ปีศาจวัยกลางคนกล่าวจบ ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดหยีเผยประกายเย็นชา ตะคอกคำออกมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น


 


กล่าวจบคำ ก็ไม่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนลงมืออย่างไร


 


ครืน! ครืน! ครืน! ครืน!


 


……


 


บังเกิดเสียงอากาศระเบิดดังครืนๆปานฟ้าคำราม เป็นพลังไร้สภาพขุมหนึ่งระเบิดปะทุออกจากร่างต้วนหลิงเทียน โถมถันออกมาอย่างเกรี้ยวกราดปานคลื่นในทะเลคลั่ง มวลพลังคุ้มคลั่งยังให้ความรู้สึกเสมือนขุนเขาถล่ม!


 


และเป้าหมายของขุนเขาถล่มครานี้ ก็คือปีศาจวัยกลางคนเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน!


 


พลังที่มองไม่เห็นขุมนี้ โถมมาว่องไวสุดที่ปีศาจวัยกลางคนจะทันได้ตอบสนองสิ่งใด!


 


กว่าที่มันจะทันได้ตอบสนอง มันก็ถูกมวลพลังมหาศาลที่โถมมาดั่งคลื่นกลืนกิน!


 


วินาทีนี้ปีศาจชายวัยกลางคนประหนึ่งเรือลำน้องลอยคอในสมุทรคลั่งก็ไม่ปาน สุดท้ายก็ถูกคลื่นยักษ์กกลืนหายไปไม่เหลือแม้แต่ซาก…


 


กระบวนการทั้งหมดยังเงียบงันนักไร้เสียงระเบิดใด


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


แทบจะพร้อมกันกับที่ชายวังกลางคนหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน อากาศเบาบางก็แปรเปลี่ยนไปคล้ายมรสุมลมแรง!พัดสาดออกไปให้ชุดเหล่าปีศาจมนุษย์ในถ้ำกระพือสะบัด!


 


บางคนที่ด่านพลังฝึกปรืออ่อนด้อยยังไม่อาจต้านทานแรงลมได้ไหว ถึงกับหงายหลังล้มก้นจ้ำเบ้า


 


สายลมกรรโชกรุนแรงที่พัดกวาดออกมา ย่อมเกิดจากการที่พลังไร้สภาพที่มองไม่เห็นของต้วนหลิงเทียนทำลายร่างปีศาจในรูปลักษณ์ชายวัยกลางคนนั่น!


 


เรียกว่าทันทีที่ถูกพลังไร้สภาพที่ต้วนหลิงเทียนซัดออกมาโถมใส่ ร่างชายวัยกกลางคนก็ถูกบดขยี้เข่นฆ่า ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยใดๆ ราวกับอยู่ๆมันก็อันตรธานหายไปในอากาศว่างเปล่า


 


จากจุดนี้บอกให้รู้ว่าพลังเมื่อครู่มันรุนแรงขนาดไหน!


 


“ผ่อนคลายร่างกายอย่าได้ต่อต้าน…ข้าจะช่วยเจ้ายกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณ”


 


ในขณะที่หวงเหวินจิ้งกำลังตกตะลึงกับการลงมือฆ่าคนในห้วงคิดเดียวของต้วนหลิงเทียน เสียงอีกฝ่ายก็ดังขึ้นเข้าหูนาง


 


ฟังจากที่ต้วนหลิงเทียนบอก ดูเหมือนกำลังจะช่วยยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้นางแล้ว


 


และพริบตาที่ความคิดนี้ผุดขึ้น


 


นางรู้สึกได้ ว่ามีสำนึกเทวะกวาดผ่านร่างของนาง ก่อนที่จะเริ่มชำแรกแทรกเข้าไปในกายนาง ยังมุ่งตรงไปยังดวงจิต


 


เมื่อนึกถึงวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวตือนก่อนหน้า หวงเหวินจิ้งจึงไม่ได้ต่อต้านสำนึกเทวะดังกล่าว


 


เพราะนางตระหนักได้ว่าสำนึกเทวะขุมนี้เป็นของต้วนหลิงเทียน


 


หลังยืนยันตำแหน่งพรสวรรค์รากวิญญาณในดวงจิตหวงเหวินจิ้งได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินดูดซับพรสวรรค์รากวิญญาณของชายวัยกลางคนที่หลงเหลืออยู่ในอากาศและกำลังจะสลายหายหวนคืนสู่สวรรค์และโลก เพื่อไปเพิ่มให้หวงเหวินจิ้งทันที


 


ทันใดนั้นพรสวรรค์รากวิญญาณของหวงเหวินจิ้งก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย สีครามแต่เดิมเริ่มเข้มขึ้น


 


“เสร็จแล้วหรือ?”


 


เมื่อสัมผัสได้ว่าสำนึกเทวะถูกถอนออกไปจากร่าง หวงเหวินจิ้งก็ลองดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบดูทันที และพบว่าความเร็วมันสูงขึ้นกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


แม้ว่าจะมีการพัฒนา แต่ก็ไม่ได้มากมายจนเหลือเชื่ออะไร


 


“อ่าว มิใช่เจ้าบอกว่าจะยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าให้เป็นสีม่วงหรือไร?”


 


จังหวะนี้หวงเหวินจิ้งงุนงงเล็กน้อย


 


หรือชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้หลอกนาง?


 


เขาช่วยยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของนางให้กลายเป็นสีม่วงไม่ได้ตามที่บอกหรือ?


 


“เจ้านั่น…ตายแล้ว?”


 


“มันถูกฆ่าตาย…ในพริบตาเดียว?”


 


“ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น…เมื่อครู่ข้ารู้สึกว่ามีกลิ่นอายพลังหาใดเปรียบขุมหนึ่งระเบิดออกจากกร่างเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น…ต่อมาเจ้านั่นก็หายไปดื้อๆ…”


 


“วิธีการลงมือแบบนี้…ต่อให้เป็นหวงเหวินจิ้งก็ทำไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”


 


“หมายความว่า…เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น ยังร้ายกาจกว่านางอีกงั้นเหรอ!?”


 



 


หลังจากที่เหล่าปีศาจมนุษย์คืนสติ พวกมันก็ตกอยู่ในความอลหม่านทันที ต่างมองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว


 


ไม่น่าแปลกใจเลยที่อีกฝ่ายได้รับความโปรดปรานจากหวงเหวินจิ้ง!


 


ที่แท้ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้แข็งแกร่งนัก!


 


“ข้าบอกแล้วว่าจะช่วยยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าให้กลายเป้นสีม่วงข้าย่อมทำได้แน่…แค่อดทนรอหน่อย”


 


ต้วนหลิงเทียนคล้ายจะเห็นความสงสัยงุนงงของหวงเหวินจิ้ง จึงกล่าวบอกนางออกมาในเวลาที่เหมาะสม


 


กล่าวจบคำ ก็ไม่รอให้หวงเหวินจิ้งตอบคำ ต้วนหลิงเทียนเหินร่างออกไปทันที


 


ฟู่ม! ฟู่ม! ฟู่ม! ฟู่ม! ฟู่ม!


 



 


แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนพุ่งร่างออกไป เสียงลมกรรโชกแรงก็ดังขึ้นเข้าหู


 


“นี่ … “


 


หวงเหวินจิ้งที่พึ่งฟื้นสติ พอได้เห็นร่างที่ก่อให้เกิดลมกรรโชกทั้งได้เห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียน ลูกตานางก็อดไม่ได้ที่จะหดหยีลง สีหน้าฉายชัดถึงความตกตะลึง


 


เพราะในสายตาของหวงเหวินจิ้ง


 


ต้วนหลิงเทียนที่พุ่งเข้าใส่เหล่าปีศาจเบื้องล่าง ดั่งสายลมมรณะก็ไม่ปาน ผ่านพ้นไปที่ใดเหล่าปีศาจก็ถูกฆ่าตายอย่างไร้หนทางต่อต้านรับมือ!


 


ฟุ่บ!


 


หลังผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ ร่างดั่งสายลมของต้วนหลิงเทยนก็หยุดลง


 


และตอนนี้เหล่าปีศาจมนุษย์ก็ไม่เหลือรอดแม้แต่ตนเดียว ทั้งหมดถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายหมดสิ้น!


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนที่ลอยอยู่กลางความว่างก็ยังคงเฉยเมยคล้ายไม่มีความรู้สึกใดๆ


 


เผ่าปีศาจมนุษย์นั้น ยกเว้นมนุษย์แท้ของวังเซียนสัญจรแล้ว แต่ละคนล้วนมือเปื้อนเลือดผู้ฝึกตนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทั้งสิ้น


 


การฆ่าพวกมันต้วนหลิงเทียนไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย


 


“อย่าต่อต้าน…”


 


ในขณะที่หวงเหวินจิ้งกับการลงมือสังหารหมู่อย่างไร้ปราณีของต้วนหลิงเทียน เสียงทุ้มพลันดังเข้าหูนางอีกครั้ง


 


หลังจากกนั้นนางก็พบว่าสำนึกเทวะที่คุ้นเคยหนึ่ง เริ่มชำแรกเข้าสู่ร่างกายนางอีกครา ยังดำดิ่งสู่ดวงจิตของนางเหมือนก่อนหน้า


 


สถานการณ์เดิมฉายวนซ้ำ


 



 


“ลองดูใหม่”


 


หลังถอนสำนึกเทวะออกจากร่างหวงเหวินจิ้ง ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาอย่างประจวบเหมาะ


 


คราวนี้เหล่าปีศาจมนุษย์ที่เขาฆ่าไป ปริมาณพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันที่เขาดูดกลืนมาได้นับว่ามีไม่น้อย ยังสามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของหวงเหวินจิ้งให้เปลี่ยนเป็นสีครามเข้มทันที!


 


ความเปลี่ยนแปลงจากรากวิญญาณสีครามไปเป็นรากวิญญาณสีครามเข้มนั้น ไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อยเลย!


 


“นี่มัน…”


 


หลังลองดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะอีกครั้ง ลูกตาของหวงเหวินจิ้งก็หดเล็กลง สีหน้าเผยความตื่นตระหนกทั้งตื่นเต้นยินดีไม่น้อย


 


สาเหตุที่นางเสียอาการขนาดนี้ เพราะนางพบว่าความเร็วในการดูดซับทั้งความไวต่อสัมผัสพลังวิญญาณฟ้าดิน มันมากกว่าก่อนหน้าอย่างเทียบไม่ติด! มากขึ้น 2-3 เลยเท่าก็ว่าได้!!


 


“ตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้ากลายเป็นสีครามเข้มแล้ว…อีกแค่นิดเดียวก็จะกลายเป็นสีม่วง”


 


ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับหวงเหวินจิ้งเสียงเรียบ


 


หลังกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็พุ่งร่างเข้าสู่ 1 ใน 81 ช่องทางด้านหลัง


 


อุโมงค์นี้ไม่ใช่อุโมงค์ที่เขากับนางเคยเข้าไป แต่เป็นอุโมงค์ใหม่


 


“ตามข้ามา”


 


หลังเหินมาถึงปากทาง ต้วนหลิงเทียนก็นึกขึ้นได้ว่าหวงเหวินจิ้งสมควรตกตะลึงอยู่ จึงกล่าวเรียกนางออกมา


 


อย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิด หวงเหวินจิ้งยังอึ้งไม่หาย


 


แค่ไม่ทันไรพรสวรรค์รากวิญญาณของนาง จากสีครามก็กลายเป็นสีครามเข้มแล้ว?


 


จังหวะนี้นางรู้สึกเหมือนฝันไป!


 


‘ก่อนหน้าที่มันฆ่าชายกลางคน รากวิญญาณของข้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย…มาตอนนี้พอฆ่าปีศาจกลุ่มใหญ่ รากวิญญาณของข้ากลับดีขึ้นมาก’


 


หลังจากนั้นไม่นานหวงเหวินจิ้งก็สบสติลงได้ กระทั่งยังตระหนักได้อีกด้วยว่า


 


การยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของนาง เกี่ยวข้องกับการตายของเหล่าปีศาจพวกนั้นอย่างแยกไม่ออก!


 


‘มิน่าแปลกใจเลยที่ไฉนมันถึงเอ่ยคำว่าเหยื่อออกมาในตอนแรก…ที่แท้ปีศาจมนุษย์พวกนั้นก็คือเหยื่อ! และยังต้องใช้เหยื่อเหล่านี้ยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของข้า!!’


 


คำถามมากมายในใจหวงเหวินจิ้งเริ่มคลี่คลาย


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พาหวงเหวินจิ้งตระเวนไปยังช่องทางต่างๆ เพื่อหาเหยื่อกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ แต่ละที่ทางที่ผ่านก็เต็มไปด้วยเลือด…


 


หากกลุ่มปีศาจที่เขาเจอ มีคนของวังเซียนสัญจรต้นสังกัดของหวงเหวินจิ้งอยู่ด้วย เขาก็ไม่ได้ฆ่าพวกปีศาจมนุษย์ตัวอื่นเพื่อกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณมาส่งเสริมพรสวรรค์รากวิญญาณของหวงเหวินจิ้งแต่อย่างไร


 


เหตุผลเพราะเขาไม่อยากเป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมด!


 


เพราะหากเรื่องในวันนี้ถูกเปิดเผยออกมา เขาได้เป็นศัตรูร่วมของทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจแน่!


 


เช่นนั้นตอนนี้เขาก็ได้แต่ลงมืออย่างระวังไม่ให้มันกระโตกกระตาก ไม่ให้บุคคลที่ 3 นอกจากเขากับหวงเหวินจิ้งรู้เกี่ยวกับการฆ่าเผ่าปีศาจมนุษย์อย่างป่าเถื่อน!!


 


“เอาล่ะ…เรียบร้อย”


 


หลังตระเวนผ่านช่องทางต่างๆมากมาย ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ช่วยยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของหวงเหวินจิ้งให้กลายเป็นสีม่วงได้สำเร็จ ทำให้หวงเหวินจิ้งกลายเป็นอัจริยะไร้ผู้ต้านคนหนึ่ง!


 


เรียบร้อย?


 


ได้ยินเสียงต้วนหลิงเทียน หวงเหวินจิ้งก็รู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย เร่งดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อลองบ่มเพาะดูทันที และหลังจากเห็นความเร็วในการบ่มเพาะในปัจจุบันนางก็ตื่นเต้นยินดีทั้งมีความสุขไม่น้อย!


 


“เอาล่ะ ถือว่าข้าตอบแทนบุญคุณของเจ้าแล้ว…หวังว่าเรื่องในวันนี้เจ้าจะเก็บมันเอาไว้เป็นความลับไม่บอกใคร”


 


ต้วนหลิงเทียนมองหวงเหวินจิ้งด้วยสายตาจริงจัง เสียงกล่าวยังหนักขึ้นไม่น้อย


 


ขณะเดียวกันเพื่อให้มั่นใจ วาจาต่อมาของต้วนหลิงเทียนยังแฝงเร้นไปด้วยการคุกคามข่มขู่ “มิฉะนั้น…ข้าที่ช่วยเจ้ายกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้ ก็สามารถทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าทิ้งได้เช่นกัน! หลังจากนั้นเจ้าจะอยู่อย่างไร้พรสวรรค์รากวิญญาณ…”


 


ทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณ! อยู่อย่างไร้พรสวรรค์รากวิญญาณ!!


 


ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หวงเหวินจิ้งลอบสะท้านในใจไม่น้อย


 


หากเป็นก่อนวันนี้ ลองมีคนมาบอกนางว่าสามารถทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณนางได้โดยที่นางไม่ตายล่ะก็ นางไม่มีวันเชื่อแน่


 


ทว่าหลังได้เห็นวิธีการช่วงชิงพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนหลายต่อหลายครั้ง นางเชื่อหมดใจ


 


“เจ้าอย่าได้กังวลเรื่องนี้ ข้าไม่มีวันบอกใครเด็ดขาด!”


 


หวงเหวินจิ้งให้คำมั่นกับต้วนหลิงเทียนอย่างจริงจัง


 


หลังได้ฟังคำสัญญาจากปากหวงเหวินจิ้งต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าลงเบาๆ จากนั้นเขาก็เหินร่างจากหวงเหวินจิ้งไป เพื่อเข้าไปยังช่องทางอื่นที่ยังไม่ได้เข้าไปต่อทันที…ไปเข่นฆ่ากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเหล่าปีศาจที่เข้ามาต่อ!!


 


แน่นอนว่าหลังจากนี้เขาทำเพื่อยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเอง!


 


สำหรับหวงเหวินจิ้งนั้น เขาถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณของนางแล้ว


 


เขาช่วยยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของนางให้กลายเป็นสีม่วง ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงสีม่วงอ่อน แต่มันก็ยังถือว่าเป็นรากวิญญาณสีม่วงอยู่ดี…


 


“ช่างเป็นคนที่ลึกลับนัก…”


 


ต้วนหลิงเทียนจากไปดื้อๆแบบนี้ หวงเหวินจิ้งย่อมอยากติดตามไปอยู่บ้าง แต่สุดท้ายนางก็ไม่ตามไป


 


เมื่อตระหนักได้ว่าในมรดกสถานแห่งนี้คงไม่มีสมบัติอะไรดีๆควรค่าให้นางออกตามหา หวงเหวินจิ้งก็เลือกที่จะกลับไปยังเมืองเหรินโม่เชิ่งทันที…กลับไปบ่มเพาะพลังที่วังเซียนสัญจร!


ตอนที่ 2,234 : ศาสตราพันอาคมเซียนเกลื่อนพื้น!


 


หากเทียบเผ่าปีศาจดั้งเดิมกับเผ่าปีศาจมนุษย์แล้ว ผู้ฝึกมารในวังเซียนสัญจรที่มีสายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์นั้น ไม่ได้อาศัยแค่การกลืนกินแก่นแท้ ปราณโลหิตและพลังชีวิตในการฝึกฝนอย่างเดียว


 


นอกเหนือจากการกลืนกินแก่นแท้ ปราณโลหิตและพลังชีวิตของผู้อื่นเพื่อบ่มเพาะพลังแล้ว พวกมันยังอาศัยการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะเช่นเดียวกับผู้ฝึกตนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกด้วย


 


ตอนนี้ด้วยความที่พรสวรรค์รากวิญญาณของหวงเหวินจิ้งได้เปลี่ยนเป็นสีม่วง เช่นนั้นนางจึงคิดกลับไปยังวังเซียนสัญจร เพื่อเพลิดเพลินกับรากวิญญาณสีม่วงของนาง!


 


“ไม่รู้ข้า…เมื่อไหร่จะได้เจอมันอีกครั้ง…”


 


ขณะที่เหินร่างจากไป หวงเหวินจิ้งอดกล่าวออกมาอย่างทอดถอนไม่ได้


 


ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของนางมีผู้คนมากมายนักที่หมายปองนาง หากทว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาในใจของนางอย่างเงียบงัน


 


หากไม่ใช่เพราะนางพยายามหักห้ามใจเอาไว้ เมื่อครู่เผลอๆนางได้ตามอีกฝ่ายไปแล้ว


 


“มัน…เหมือนจะเรียกว่าต้วนหลิงเทียน…”


 


หววงเหวินจิ้งพึมพำกับตัวเองเบาๆ


 


นางยังจดจำวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวได้ชัดเจน


 


“พวกมันล้วนเป็นข้าต้วนหลิงเทียนลงมือฆ่า เจ้าจะไปหาความกับคนอื่นทำอะไร…”


 


“ถ้ามีปัญญาก็เข้ามาจับข้าไปรับโทษที่วังเซียนสัญจรของเจ้าได้เลย…”


 


ในตอนนั้นวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนทำให้นางมีโมโหไม่น้อย


 


แต่ตอนนี้พอมองย้อนกลับไปสองตาให้ความรู้สึกดั่งสารทฤดูของนางกลับโค้งดั่งเสี้ยวจันทร์ฉายให้เห็นถึงความสุข น้ำแข็งที่ฉาบเคลือบใบหน้าละลายหาย แทนที่ด้วยสีแดงระเรื่อ


 


หากแต่เมื่อนางโผล่พ้นจากอุโมงค์ทางเข้ามรดกสถาน ทีท่าก็กลับมาเย็นชาอีกครั้ง


 


“แม่นางเหวินจิ้ง”


 


และทันทีที่หวงเหวินจิ้งก้าวออกมา เสียงต่างกัน 3 เสียงพลันดังเข้าหูนางแทบจะพร้อมเพรียง


 


ได้ยินเสียงทั้ง 3 หวงเหวินจิ้งไม่ได้เผยความแปลกใจอะไร เพียงเงยหน้าขึ้นไปมองร่างทั้ง 3 เหนือฟ้าด้วยสีหน้าสงบใจเย็น ก่อนที่จะเอ่ยทักทั้ง 3 ออกไปเสียงเรียบ


 


“อาวุโสเหอ อาวุโสหลิน อาวุโสฉิว”


 


ทั้ง 3 ในสายตาของหวงเหวินจิ้งก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังศิษย์วังเซียนสัญจรทั้ง 3 ที่ถูกสังหารด้วยน้ำมือต้วนหลิงเทียน! ทั้งหมดเป็นชนชั้นเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!!


 


เผชิญกับการทักทายอย่างขอไปทีของหวงเหวินจิ้ง อาวุโสทั้ง 3 ไม่กล้าชักทีท่าไม่พอใจแต่อย่างใด


 


ล้อเล่นหรือไร!


 


สตรีที่อยู่เบื้องหน้าพวกมันไม่เพียงแต่เป็นรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในวังเซียนสัญจรเท่านั้น แต่ยังเป็นศิษย์รักของจ้าววังอีกด้วย!


 


และในวังเซียนสัญจรนั้น ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดก็คือจ้าววัง!


 


ศิษย์รักของจ้าววังนั้นยามพบปะพวกมันยังไม่กล้าละเลยท่าทีปฏิบัติด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับแสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง!


 


“อาวุโสทั้ง 3 มาที่นี่ใช่เพราะชายหนุ่มชุดม่วงที่ชื่อ ต้วนหลิงเทียนหรือไม่?”


 


หวงเหวินจิ้งกล่าวถาม


 


“ใช่”


 


ได้ยินคำถามของหวงเหวินจิ้ง อาวุโสทั้ง 3 ของวังเซียนสัญจรพยักหน้าตอบกลับทันที


 


และในขณะที่พวกมันพยักหน้ารับ แววตาของพวกมันยังฉายชัดถึงเพลิงแห่งความเคียดแค้นชิงชังขุมหนึ่ง ยังร้อนแรงปานจะผลาญได้ทุกสิ่ง!


 


“มันจากไปแล้ว”


 


หวงเหวินจิ้งกล่าว


 


“ไปแล้ว?!”


 


ได้ยินคำพูดต่อมาของหวงเหวินจิ้ง อาวุโสทั้ง 3 อดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง


 


ก่อนหน้านี้พวกมันได้เข้าไปในมรดกสถานที่คาดว่าน่าจะถูกทิ้งไว้ด้วยตัวตนอย่างปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ดูแล้ว แต่พอไปถึงห้องโถงใหญ่และพบอุโมงค์ทางแยกมากมายถึง 81 ช่องทางพวกมันจึงไม่คิดเข้าไปไหน แต่เลือกจะกลับออกมาเฝ้ารออยู่ด้านนอก


 


พวกมันกลัวว่าหากเลือกช่องทางใดช่องทางหนึ่งไป แล้วบังเอิญสวนกับต้วนหลิงเทียนขึ้นมา คงได้คลาดกัน จะให้คนอื่นเฝ้าแล้วใครบางคนเข้าไปไล่หาก็ใช่ที่ จึงเลือกออกมารอด้านหน้าแทน


 


ในขณะที่ออกมาเฝ้ารอด้านนอก อาวุโสทั้ง 3 ยังได้รับทราบความเป็นไปของเรื่องราวจากปีศาจหลายๆตนที่อยู่ในเหตุการณ์ฆ่าลูกหลานของพวกมัน


 


พวกมันจึงได้รู้ว่าคนที่ลงมือสังหารลูกหลานของพวกมันนั้น ที่แท้เรียกว่าต้วนหลิงเทียน! และยังได้รับทราบอีกวว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนคนนี้ยังสูงกว่าแม่นางเหวินจิ้งเบื้องหน้าเสียอีก!!


 


“อืม”


 


หวงเหวินจิ้งพยักหน้า “ข้าตามมันเข้าไป…แต่พอมันพบว่าด้านในกลับมีอุโมงค์ทางแยกถึง 81 สาย มันก็ไม่ได้เลือกช่องทางใดแต่กลับออกไปทันที”


 


“ข้าคิดว่า…มันเองก็ไม่พ้นเป็นกังวลว่าอาวุโสทั้ง 3 จะตามมาเอาเรื่องมัน เช่นนั้นจึงรีบหนีไปก่อน”


 


หวงเหวินจิ้งกล่าวออกโดยทีสี่หน้าไม่เปลี่ยนแปลง ยังพูดตาไม่กระพริบ ราวกับว่าเรื่องราวเป็นแบบนั้นจริงๆ


 


สาเหตุที่นางโกหกนั้นแน่นอนว่าเพราะนางไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนปะทะกับผู้อาวุโสของวังเซียนสัญจรทั้ง 3 ตอนกลับออกมา


 


แม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะแข็งแกร่งกว่านาง แต่นางไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะสามารถรับมืออาวุโสทั้ง 3 คนนี้ได้


 


“มันกลับออกมานานแล้วหรือ…”


 


ได้ยินหวงเหวินจิ้งบอกว่าต้วนหลิงเทียนไปแล้ว อาวุโสวังเซียนสัญจรทั้ง 3 ก็ร้อนใจไม่น้อย


 


“แม่นางเหวินจิ้ง ท่านรู้หรือไม่ว่ามันไปทิศทางใด?”


 


ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นบิดาของเหอเซินเจี๋ยที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าเร่งกล่าวถามอย่างร้อนใจทันที


 


นอกจากนี้แม้ชายชรากับหญิงชราจะไม่กล่าวถามอะไรออกมา แต่สีหน้าท่าทีที่มองไปยังหวงเหวินจิ้ง ก็มากพอจะบอกให้รู้ว่าพวกมันอยากรู้ทิศทางของต้วนหลิงเทียนขนาดไหน


 


“มันไปทางใดข้าไหนเลยจะทราบได้ เพราะข้าไม่ได้ติดตามมันออกมา…นอกจากนี้ด้วยความเร็วของมันที่เร่งรุดจากไป แม้จะมีคนเฝ้ารอด้านนอกมากมาย ก็เกรงว่ามีไม่กี่คนเท่านั้นที่จับความเคลื่อนไหวมันได้ทัน”


 


หวงเหวินจิ้งกล่าว


 


ในวาจายังจงใจทิ้งระเบิดลูกหนึ่งไว้ให้อาวุโสวังเซียนสัญจรทั้ง 3!


 


“อาวุโสทั้ง 3 ข้าขอตัวลา…”


 


ป้องมือกล่าวลาอาวุโสวังเซียนสัญจรทั้ง 3 อย่างขอไปทีเสร็จ หวงเหวินจิ้งก็เหินร่างเดินทางไปยังทิศเหนือ อันเป็นที่ตั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งทันที


 


ที่ตั้งของวังเซียนสัญจรในปัจจุบันก็อยู่เมืองเหรินโม่เชิ่งเช่นกัน


 


‘ข้าช่วยเจ้าได้แค่นี้…หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสได้พบเจ้าอีกครั้ง…’


 


ระหว่างเหินร่างกลับ ร่างในชุดสีม่วงพลันปรากฏขึ้นในใจหวงเหวินจิ้ง พาลให้นางอดทอดถอนในใจไม่ได้


 


อาวุโสของวังเซียนสัญจรคงไม่คิด กระทั่งหลับยังไม่อาจฝัน


 


ว่าศิษย์ปิดสำนักของจ้าววังเซียนสัญจร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกต้วนหลิงเทียนซัดทำร้ายจนบาดเจ็บ จะหลอกลวงพวกมันเพื่อปกปิดตำแหน่งให้ต้วนหลิงเทียน…


(ศิษย์ปิดด่าน, ศิษย์ปิดสำนัก,ศิษย์รับบาตร = ศิษย์คนสุดท้าย)


 


ทั้ง 3 ลอยร่างอึนๆกลางฟ้าอยู่พักหนึ่ง


 


เดิมทีพวกมันคิดดักกระต่ายหน้าโพรง แต่ตอนนี้ได้รับคำยืนยันแล้วว่ากระต่ายที่เฝ้ารอดอดหนีไปเสียแล้ว เฝ้ารอต่อไปก็ไม่ได้อะไร


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านนอกเป็นธรรมดา


 


ตอนนี้เขาท่องไปในอุโมงค์ต่างๆที่ยังไม่ได้เข้าไป


 


เมื่อใดก็ตามที่เขาพบเผ่าปีศาจมนุษย์ที่มีเลือดปีศาจไหลเวียนอยู่ในกาย เขาก็เข่นฆ่าพวกมันทุกตน กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเผ่าปีศาจมนุษย์เหล่านั้นเพื่อเพิ่มพูนพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเอง


 


ในระหว่างดำเนินการดังกล่าว พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ


 


พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเดิมทีก็เป็นสีม่วงอ่อนเท่านั้น ทว่าตอนนี้สีของมันก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ


 


เมื่อดูจากลักษณะความเปลี่ยนแปลงแล้ว คงใช้เวลาอีกไม่นานก็จะบังเกิดความก้าวหน้า ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น!


 


และในระหว่างที่สังหารเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้งหลาย ต้วนหลิงเทียนยังได้รับศาสตราพันอาคมเซียนมากมายเป็นสินสงคราม เรียกว่าในแหวนเขาตอนนี้มีศาสตราพันอาคมเซียนเต็มไปหมด!


 


ในอดีตนั้นศาสตราพันอาคมเซียนถือเป็นของหายากอยู่บ้าง แต่ในสถานที่แห่งนี้พวกมันกลับเป็นดั่งขยะเกลื่อนพื้นที่ไม่มีใครต้องการ…


 


‘ศาสตราพันอาคมเซียนเหล่านี้คงมีประโยชน์ไม่น้อยหากข้าได้เจอพวกท่านพ่อท่านแม่แล้วก็เสี่ยวเฟยเอ๋อ…’


 


เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนรววบรวมศาสตราพันอาคมเซียนเหล่านี้ไว้เป็นจำนวนมาก เนื่องเพราะเขาคิดใช้ศาสตราพันอาคมเซียนทั้งหลายในอนาคต! เขาจะมอบมันให้เป็นของขวัญกับครอบครัวญาติสนิทและมิตรสหายของเขา…


 


ศาสตราพันอาคมเซียนเหล่านี้สำหรับเขาแล้ว ไม่ได้มีราคาค่างวดอันใด


 


แต่สำหรับครอบครัวและสหายของเขามันเป็นดั่ง “ตัววิเศษน้อย” ที่หาได้ยากยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!


 


“ลุยต่อ!”


 


หลังจากฆ่าล้างเผ่าปีศาจที่พบเจอในช่องทางปัจจุบันอย่างอำมหิตจนหมด ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนกลับไปโถงใหญ่ ก่อนจะเข้าไปยังช่องทางอื่นๆ


 


“นี่พวกเจ้าจะทำอะไรกัน! ไหนว่าพวกเราจะร่วมมือกันฝ่าข่ายอาคมแล้วแบ่งของกันอย่างเท่าเทียมไงเล่า…แต่ตอนนี้พวกเจ้าคิดข้ามแม่น้ำรื้อสะพานงั้นเหรอ!?”


 


ในขณะที่กำลังจะเหินมาถึงสุดช่องทางในอุโมงค์สายหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงตะคอกด้วยความไม่พอใจดั่งขึ้นจากปลายทางเบื้องหน้า และเสียงนี้ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกคุ้นๆหูนัก


 


“เป็นเจ้านั่น…”


 


ในห้วงคิดคล้ายมีบางสิ่งวาบผ่าน ต้วนหลิงเทียนพลันจำได้แล้วว่าเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหน


 


หวงฉี่หลิง!


 


มันคือศิษย์ของวังเซียนสัญจรที่เขาได้รู้จักก่อนเข้ามาในมรดกสถาน


 


ในตอนนั้นที่เจอกับนายน้อยสวะของวังเซียนสัญจรทั้ง 3 หวงฉี่หลิงได้ออกตัวปกป้องเขาเอาไว้อย่างไม่คิดจะถอย


 


พริบตานั้นเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าหวงฉี่หลิงผู้นี้เป็นคนดีคนหนึ่ง คู่ควรให้คบหาเป็นสหาย


 


ตอนนี้พอได้ยินเสียงหวงฉี่หลิงตะคอกด้วยโทสะ สองตาต้วนหลิงเทียนก็เย็นลงทันที


 


หลังมองไปยังเบื้องหน้าสุดทาง ต้วนหลิงเทียนก็ได้เห็นหวงฉี่หลิงถูกเผ่าปีศาจมนุษย์กลุ่มหนึ่งปิดล้อมเอาไว้ มันกำลังตกอยู่ในอันตราย!


 


“ข้ามแม่น้ำรื้อสะพานหรือพูดได้ดี! แล้วหากพวกเราคิดข้ามแม่น้ำรื้อสะพานจริง…เจ้าหวงฉี่หลิงจักทำไมเล่า?”


 


ปีศาจตนหนึ่งกล่าวออกด้วยรอยยิ้มมีชัย


 


“ถ้าพวกเจ้ากล้าฆ่าข้า วังเซียนสัญจรไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”


 


หวงฉี่หลิงตะโกนเสียงเข้ม


 


“วังเซียนสัญจร? หากกมิใช่เพราะตอนนี้สถานะเจ้าในวังเซียนสัญจรมันตกอับไปแล้วพวกเราคงไม่คิดร่วมมือกันจัดการเจ้าหรอก! หากจะโทษก็โทษที่เจ้ามันกลายเป็นตัวไร้ค่าไปแล้วเถอะ ที่สำคัญวังเซียนสัญจรของพวกเจ้ามันก็แค่พวกกาฝาก! ไร้สายเลือดปีศาจแต่ยังกล้าอ้างตัวว่าเป็นเผ่าปีศาจ เหลวไหลสิ้นดี!!”


 



 


หลังปีศาจตนหนึ่งตะคอกกล่าวเสียงเหี้ยม ไอมารของเหล่าปีศาจที่ปิดล้อมหวงฉี่หลิงอยู่ก็เริ่มลุกโชนขึ้นมาดั่งเพลิงทมิฬ


 


สีหน้าหวงฉี่หลิงเปลี่ยนไปอย่างหนัก หากแต่มันก็ไม่คิดงอมืองอเท้ารอความตาย ปะทุพลังชั่วชีวิตโจนทะยานเปิดฉากสู้ทันที!


 


อนิจจาแม้พลังฝึกปรือของมันจะไม่ใช่ชั่ว แต่ก็ยากจะรับมือเหล่าปีศาจที่กลุ้มรุมเข้ามาทุกทาง สุดท้ายก็ตกเป็นรอง จนในที่สุดก็พลาดท่าเสียที


 


‘บัดซบ! ข้าหวงฉี่หลิงต้องมาจบแค่นี้หรือ!’


 


ในใจหวงฉี่หลิงได้แต่ตะโกนก้องด้วยความไม่ยินยอม


 


ทว่าในขณะที่หวงฉี่หลิงกำลังจะถูกเหล่าปีศาจที่ปิดล้อมปิดฉากออกกระบวนสังหารนั้นเอง…


 


“ฮึ่ม!!”


 


เสียงแค่นสบถด้วยความเย็นชาหนึ่งพลันดังขึ้น พาลให้เหล่าปีศาจทั้งหลายตกใจไม่น้อย


 


ฟั่ฟฟฟ!


 


ในเวลาเดียวกันกับที่หวงฉี่หลิงและเผ่าปีศาจที่ปิดล้อมเตรียมสังหารมันกำลังตกใจอยู่นั้น เสียงกระบี่แหวกอากาศฉับไวพลันแว่วดังขึ้นเข้าหู…


 


วินาทีต่อมาหวงฉี่หลิงก็ได้แต่ชมมองเรื่องราวด้วยความประหลาดใจ


 


นั่นเพราะเผ่าปีศาจทั้งหลายที่โจนเข้ามาด้วยกระบวนสังหารทั้งหลาย แต่ละตนพลันปรากฏหลุมโลหิตที่หว่างคิ้ว! ร่างปลิวมาตามแรงเฉื่อน สิ้นสูญสภาวะสังหาร…!!


 


“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”


 


หลังจากกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเหล่าปีศาจทั้งกลุ่มเสร็จสิ้นในชั่วพริบตา ต้วนหลิงเทียนที่ไม่คิดปรากฏตัวก็วูบหายกลับไปในอุโมงค์ช่องทางที่เขามาทันที


 


สำหรับสิ่งของใดๆที่เผ่าปีศาจกลุ่มนี้เหลือทิ้งไว้ เขาก็ไม่ได้เก็บมาแต่อย่างใด เหลือทั้งหมดไว้ให้หวงฉี่หลิง


 


“น้องหลิงเทียน!?”


 


อย่างไรก็ตามแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่หวงฉี่หลิงก็คาดเดาได้รางๆ ว่าสมควรเป็นฝีมือของต้วนหลิงเทียน เพราะเสียงกระบี่ฉับไวนั่น!


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)