War sovereign Soaring The Heavens 2207-2227

 ตอนที่ 2,207 : ปลายเกาทัณฑ์


 


 


 


 


‘น่าเสียดายที่พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของข้าแทบเหือดแห้งหมดตัว ไม่มีทางไล่ตามวิญญาณของเกาฉ่วงได้แต่แรก…นอกจากกนี้ด้วยความที่พลังวิญญาณข้าก็แค่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน ไม่อาจใช้อำนาจจิตเล่นงานมันได้…’


 


เห็นวิญญาณของเหาฉ่ววงหลบหนีไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนในใจ


 


ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากฆ่าเหาฉ่วง แต่เขาไม่มีพลังจะฆ่ามัน!


 


ทันทีที่เหาฉ่วงใช้วิธีถอดจิตลี้ร่างอันเป็นความสามารถเฉพาะของเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน แม้ความเร็วของวิญญาณจะไม่เท่าร่างต้น แต่ก็เทียบได้กับความเร็วของเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนทั่วๆไป


 


‘แต่ฟังจากวาจาทิ้งท้ายของเจ้าเหาฉ่วงนั่น…ดูเหมือนว่ามันเองจะแค้นลัทธารามทมิฬเหมือนกัน’


 


นึกถึงวาจากล่าวอาฆาคแค้นของเหาฉ่วงก่อนที่จะหลบหนีไป ลูกตาต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะทอประกายเรืองวูบขึ้นมา ‘แถมฟังๆไปแล้วมันน่าจะแค้นลัทธิอารามทมิฬมากกว่าลัทธิบูชาไฟ้วยซ้ำ’


 


พอนึกดูต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ เพราะที่เหาฉ่วงมาที่นี่วันนี้เป็นเพราะมันยอมรับคำเชิญของลัทธิอารามทมิฬ


 


อย่างไรก็ตามเป็นเพราะคำเชิญนี้ของลัทธิอารามทมิฬทำให้มันต้องกลายเป็นดวงวิญญาณเร่ร่อน ละทิ้งร่างกายหนีตายไปแบบนั้น…


 


ตอนนี้เมื่อร่างกายของมันถูกฆ่าไปแล้วแบบนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่วิญญาณของมันจะหวนกลับมาอาศัยอยู่ในร่างเดิมได้อีก มันทำได้แค่ปล้นร่างกายของผู้อื่น หรือไม่ก็สร้างร่างกายตัวเองขึ้นมาใหม่เท่านั้น


 


และแทนที่จะไปปล้นร่างกายของผู้อื่น เป็นการดีเสียกว่าที่จะสร้างร่างกายของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพราะเป็นไปได้ที่มันจหวนกลับมามีพลังฝึกปรือดังเดิม!


 


แน่นอนว่าเพียงพูดอาจจะง่าย แต่คิดกระทำจริงต้องใช้เวลานานนัก!


 


กล่าวสรุปได้ว่า การตอบรับคำเชิญให้มาช่วยเหลือของลัทธิอารามทมิฬครั้งนี้ เหาฉ่วง เสมือนขโมยไก่ไม่สำเร็จ ยังต้องเสียข้าวสารไปอีกกำมือ!


 


เรื่องนี้คงเป็นอะไรที่มันเองก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อน


 


‘ตอนนี้ไม่พ้นเหาฉ่วงนั่นต้องแค้นลัทธิอารามทมิฬมากแน่ ที่มาจ้างวานให้มันลงมือแบบนี้…หากมันไม่มา มันคงไม่ต้องลงเอยอนาถแบบนั้น!’


 


ต้วนหลิงเทียนพอจะเข้าใจความรู้สึกเมื่อครู่ของเหาฉ่วง


 


หากเหาฉ่วงรู้แต่แรกว่าเขามีพลังระดับนี้ ให้ลัทธิอารามทมิฬมอบผลตอบแทนมากกว่านี้อีก 10 เท่ามันก็คงไม่เอาแน่นอน


 


‘แต่จะว่าไปก็ไม่คิดเลย…ว่าการใช้กระบี่เซียนสวรรค์ด้วยการจ่ายพลังเซียนสุริยันทั้งหมดหลังยกระดับด้วยปฐมเวทย์กลืนกินแล้ว ตัวกระบี่จะมีพลังทำลายขนาดนี้…’


 


นึกถึงฉากที่กระบี่นิลสวรรค์ทำลายพลังสภาวะของพลองธัมมะที่อัดแน่นไปด้วยพลังชั่วชีวิตของเหาฉ่วงได้ราบคาบ ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


ต้องทราบด้วยว่าก่อนลงมือ กระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง


 


เพราะสุดท้ายแล้วเหาฉ่วงก็เป็นอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน อาวุธในมือก็เป็นถึงยอดศาสตราเซียนอย่างพลองธัมมะ…การโจมตีเมื่อครู่ของมันเกรงว่าสามารถทุบตีผู้คนใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั้งแดนดินให้เป็นเศษเนื้อได้ง่ายๆ


 


ดังนั้นเขาถึงกับไม่ลังเลที่จะเปิดเผยกระบี่นิลสวรรค์ต่อหน้าผู้คน กระทั่งยังใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดเพื่อปล่อยการจู่โจมที่รุนแรงที่สุด หมายเอาชนะเหาฉ่วงให้ได้ในหนึ่งกระบวนท่า…


 


ตอนแรกเขาก็กังวลไม่น้อย


 


จนเมื่อผลการปะทะออกมา เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาคิดถูกแล้ว…


 


หากไม่มีเขาสักคน พลังทำลายของเหาฉ่วงที่ระเบิดออกมาก่อนหน้า สมควรถือว่าเป็นพลังทำลายสูงสุดใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วจริงๆ


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับการระเบิดพลังทั้งหมดของเขา กระบวนท่าของเหาฉ่วงก็จำต้องถูกบดขยี้


 


‘แต่จะว่าไปพลังทำลายของพลองธัมมะนั่น กล่าวกันตรงๆก็ไม่ได้ด้อยกว่ากระบี่นิลสวรรค์ของข้ามากมายอะไร…ทว่าเพียงความแตกต่างเล็กน้อย พอมาตกอยู่ในวินาทีเป็นตายก็เสมือนห่างกันพันลี้’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณสวรรค์อยู่บ้าง


 


‘หากเมื่อครู่ข้าไม่จ่ายพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดทั้งหมดลงกระบี่นิลสววรรค์ แต่เอาไปใช้พลังพิเศษเคลื่อนย้ายจักรวาลของบรรทัดจักรวาลหรือไม่ก็แบ่งไปควบรวมสร้างเขตแดนหมื่นกระบี่ ด้วยคิดปกปิดกระบี่นิลสวรรค์ล่ะก็…’


 


‘พลังของกระบี่นิลสวรรค์คงสู้พลังในพลองธัมมะเหาฉ่วงไม่ได้แน่…ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ใช่ข้าที่เอาชนะและรอดอยู่แบบนี้ แต่ไม่เพียงจะแพ้พ่าย กระทั่งชีวิตยังไม่อยู่ในกำมือของตัวเองอีก’


 


คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนอดหลั่งเหงื่อเย็นออกมาเสียไม่ได้


 


ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่า…ความคิดเสี่ยงเปิดเผยกระบี่นิลสวรรค์เพื่อทุ่มพลังสู้กับเหาฉ่วงเมื่อครู่ มันเป็นความคิดที่ฉลาดขนาดไหน…


 


ต่อให้กระบี่นิลสวรรค์จะถูกเปิดเผยออกไป ก็คุ้มค่าแล้ว


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้!


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวที่บังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปในแค่ไม่กี่ลมหายใจนั้น


 


ในที่สุดผู้คนทั้งหมดก็ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้สำเร็จ


 


ฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้า นับว่าสร้างความตกใจให้กับผู้คนครั้งใหญ่แล้วจริงๆ


 


หลายคนยังรู้สึกว่าเรื่องราวเหมือนฝันไป อดลดมือลงไปหยิกเนื้อต้นขาตัวเองสักกทีไม่ได้ บ้างยังลองตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อยืนยันว่าใช่กำลังฝันอยู่จริงๆหรือไม่…


 


ตัดสินในกระบวนท่าเดียว!


 


นี่คือคำท้าทายที่ ต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ กล่าวท้า เหาฉ่วง อันดับ 5 ในรายนามยอดเซียน!


 


ต้องทราบด้วยว่าตอนนี้เหาฉ่วงยังได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน แถมยังมีพลองธัมมะอยู่ในมือ!


 


การโจมตีของเหาฉ่วงเมื่อครู่ เรียกว่าพลังที่ปะทุระเบิดออกมา นับเป็นพลังอำนาจที่รุนแรงที่สุดใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก็ว่าได้…


 


ตอนแรกผู้คนก็พากันคิดไป…


 


ว่าเหาฉ่วงระเบิดพลังฟาดพลองไปอย่างดุร้ายปานนั้น น่ากลัวว่าถ้าต้วนหลิงเทียนไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแน่แล้ว…


 


อนิจจาบทสรุปกลับทำให้พวกมันเสมือนเป็นตัวตลก!


 


ในห้วงเวลาเป็นตาย


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบใช้วิชากระบี่ผีสางอันใด แต่กระบี่นั่นกลับฉับไวทั้งเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจราวจะสยบได้ทั้งโลกหล้า! ไม่เพียงทำลายสภาววะพลังของพลองธัมมะในมือเหาฉ่วงจนย่อยยับ ยังฆ่าร่างกายของเหาฉ่วงได้ทันที!!


 


สุดท้ายเหาฉ่วงก็ถูกบีบคั้นให้ถอดวิญญาณหลบหนี อันเป็นกลพลังเฉพาะเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน ถอดวิญญาณลี้ร่าง…


 


จังหวะนั้นทั้งหมดถึงกับตกตะลึงกับพลังของต้วนหลิงเทียนอย่างถึงที่สุด…


 


กระทั่งวาจาทิ้งท้ายด้วยความอาฆาตก่อนที่เหาฉ่วงจะหนีหายไป ก็ไม่อาจดึงสติที่กำลังเหม่อลอยเพราะความตกใจของพวกกมันได้


 


เพราะนั่นเป็นฉากเรื่องราวที่ชั่วชีวิตของพวกมันไม่เคยพบเคยเจอที่ใดมาก่อน!


 


พอทุกคนดึงสติกลับมาแล้ว ยามมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียน ต่างก็เผยความตื่นตระหนกตกใจออกชัดทางสีหน้าและแววตา


 


และทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวทำลายความเงียบออกมา


 


“ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าลัทธิอารามทมิฬเองก็รู้ดี…”


 


เป็นเขามองไปยังกลุ่มคนของลัทธิอารามทมิฬ และค่อยๆกล่าวออกมาเสียงเรียบว่า “ว่าตอนนี้เผ่าพันธุ์ปีศาจจะบุกรุกขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนตอนไหนก็ไม่มีใครบอกได้! ข้าเองก็ไม่ได้อยากเป็นคนบาปของมนุษย์อะไร จึงไม่คิดฆ่ายอดฝีมือมนุษย์ด้วยกัน…เช่นนั้นข้าจึงแค่ฆ่าร่างเนื้อของเหาฉ่วงทิ้งไปเสียเป็นการสั่งสอนบทเรียนให้มันหลาบจำเท่านั้น ไม่ได้ทำลายวิญญาณของมันทิ้ง…”


 


“เรื่องนี้พวกเจ้าคงเห็นกับตา และคงไม่โทษว่าข้าเป็นคนบาปอะไรในภายหลัง…”


 


“อ่อจริงสิ…จะว่าไปเมื่อครู่ไม่ทราบพวกเจ้าได้ยินวาจาทิ้งท้ายก่อนที่มันจะหนีไปหรือไม่? ข้าฟังๆแล้วดูเหมือนมันจะเคียดแค้นลัทธิอารามทมิฬของพวกเจ้าไม่น้อยเลยทีเดียว! ไม่รู้ว่าวันหน้าหลังมันฟื้นฟูกลับมาจะไปหาความอะไรจากพวกเจ้ารึเปล่า…”


 


กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็กวาดตามองคนของลัทธิอารามทมิฬทุกคนด้วยสายตาขบขัน มุมปากยังยกยิ้มแสยะ


 


และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววจบ สีหน้าท่าทีของคนลัทธิอารามทมิฬก็เปลี่ยนไปทันที


 


ตอนแรกคนของลัทธิอารามทมิฬยังสงสัยและไม่เข้าใจอยู่บ้าง


 


ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงไม่ใช้โอกาสหลังจากกที่เอาชนะเหาฉ่วงได้แล้ว ทำลายวิญญาณเหาฉ่วงทิ้งเสีย


 


เพราะสุดท้ายแล้วคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับต้วนหลิงเทียนที่สำแดงพลังทำลายระดับนั้นออกมาได้ จะลงมือส่งๆอีกสักครั้งเพื่อทำลายวิญญาณของเหาฉ่วงทิ้ง…


 


ตอนนี้พอมาได้ยินคำกล่าวเสียดสีของต้วนหลิงเทียน


 


พวกมันก็ตระหนักได้ทันทีว่า…


 


ต้วนหลิงเทียนจงใจทำแบบนี้!


 


ต้วนหลิงเทียนจงใจไม่ทำลายวิญญาณเหาฉ่วง และคิดให้เหาฉ่วงย้อนกลับมาแว้งกัดลัทธารามทมิฬภายหลังเมื่อฟื้นฟูตัวเองได้แล้ว!


 


ยืมมีดฆ่าคน!


 


สำหรับเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวอ้างว่าไม่อยากฆ่าเพราะเสียดายยอดฝีมือมนุษย์นั้น ให้ตายพวกมันก็ไม่เชื่อ…


 


หากคิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่แข็งแกร่งกำลังจะบุกขึ้นมาจริง ไฉนไม่ปล่อยคนไปดีๆ ไปฆ่าร่างผู้อื่นทำอะไร? แล้วไฉนต้องฆ่าเซี่ยคังฉวินล้างแค้นส่วนตัวแต่แรกด้วย?


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน…”


 


ได้ยินคำที่ต้วนหลิงเทียนหันไปพูดกับคนของลัทธิอารามทมิฬ เหล่าคนของลัทธิบูชาไฟหลายคนอดไม่ได้ที่จะยิ้มร่าขึ้นมา


 


พวกมันก็เข้าใจเหมือนๆกันกับคนลัทธิอารามทมิฬ


 


พวกมันรู้สึกว่าที่ต้วนหลิงเทียนจงใจไม่ฆ่าเหาฉ่วง เพื่อให้เหาฉ่วงหาโอกาสล้างแค้นลัทธิอารามทมิฬในวันหน้า!


 


“อย่างไรเสียวาจาที่มันทิ้งท้ายก่อนหนี…ฟังแล้วไม่เพียงอาฆาตลัทธิอารามทมิฬ แต่ยังอาฆาตแค้นลัทธิบูชาไฟของพวกเราด้วย…”


 


ทว่ารองจ้าวลัทธิบูชาไฟทั้ง 2 รู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา ได้แต่ส่งเสียงผ่านพลังหารือกันเอง “ผู้พิทักษ์หลิงเทียนทำเช่นนี้ออกจะประมาทไปอยู่บ้าง…ต่อไปวันหน้ายามเมื่อเหาฉ่วงหวนกลับมาล้างแค้น ไม่เพียงแต่มันจะลงมือกับลัทธิอารามทมิฬ ยังจะลามมาลงมือกับลัทธิบูชาไฟพวกกเราด้วย…”


 


ถึงแม้พวกมันทั้งคู่จะไม่ได้เห็นดีด้วยกับการตัดสินใจทำแบบนี้ของต้วนหลิงเทียน แต่พวกมันก็ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ


 


เพราะพวกมันรู้ดีแก่ใจ


 


หลังจากนี้ไม่นาน การต่อสู้ในวันนี้ของผู้พิทักษ์หลิงเทียนของพวกมัน คงทำให้ทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแตกตื่นอีกครั้ง และชื่อเสียงคงได้เพิ่มสูงขึ้นไปอีกขั้น!


 


เพราะผู้พิทักษ์หลิงเทียนของพวกมันกำลังจะเข้ามาแทนที่อันดับที่ 5 ในรายนามยอดเซียน และรับนามสมญานาม อันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของแดนดิน!


 


ตัวตนเช่นนี้ใช่คนที่พวกมันจะตั้งคำถามได้หรือ?


 


จากวันนี้ไปกระทั่งจ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกมันยังจะต้องมองต้วนหลิงเทียนใหม่ด้วยซ้ำ!


 


ไม่ต้องพูดถึงพวกมันเลย!


 


อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นคนของลัทธิอารามทมิฬหรือลัทธิบูชาไฟเอง ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวมานั้นไม่จริงเลยสักคำ…


 


เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนไม่ไล่ตามวิญญาณเหาฉ่วงไป เพื่อฆ่าเหาฉ่วงให้ตายคาที่เป็นการกำจัดมันให้สิ้นซากนั้น…


 


ไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องปีศาจที่จะบุกขึ้นมา จนเป็นการลดทอนยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ลงอะไร


 


ยังไม่ใช่ไว้ชีวิตเหาฉ่วงไว้เพื่อให้ย้อนกลับมาแว้งกัดลัทธิอารามทมิฬอะไรทำนองนั้น…


 


ทั้งหมดเป็นเพราะ


 


ตอนนี้เขาเสมือนศรที่ยิงมาสุดปลายเกาทัณฑ์! ไม่อาจไล่ตามวิญญาณของเหาฉ่วงเพื่อฆ่ามันให้ตาย!!


 


แต่เนื่องเพราะสีหน้าที่ซีดเซียวของต้วนหลิงเทียนฟื้นฟูกลับมาแล้วว อีกทั้งร่างเขาก็ไม่ได้โซเซอะไรอีกต่อไป จึงไม่มีใครพบว่าตอนนี้เขาแทบไม่เหลือพลังอยู่เลย!


ตอนที่ 2,208 :  คำชี้แนะของผู้เฒ่าหั่ว!


 


 


 


เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะคาดเดาได้ ว่าตอนนี้คนทั้งหมดกำลังคิดอะไรอยู่


 


และนั่นก็เป็นเป้าหมายของเขา


 


เขาต้องการให้คนของลัทธิอารามทมิฬรวมถึงลัทธิบูชาไฟเชื่อว่าที่เขาไม่ฆ่าเหาฉ่วงเป็นการจงใจ ยังเปิดโอกาสให้วิญญาณของเหาฉ่วงหนีไปต่อหน้าต่อตา


 


เพราะเขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าตอนนี้เขาเสมือนศรปลายเกาทัณฑ์ ที่สิ้นแรงส่งใกล้หล่นร่วงเต็มที…!


 


ถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกมา คนลัทธิอารามทมิฬไม่พ้นลงมือทันทีแน่! และด้วยพลังของมหาธรรมราชาทั้ง 2 ไม่พ้นพวกมันต้องเป็นฝ่ายได้ชัย! สุดท้ายเขาก็ไม่วายตกอยู่ในกำมือของพวกมัน!!


 


นั่นไม่ใช่อะไรที่เขาอยากจะเห็น!


 


วูบ!


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด แต่กระบี่นิลสวรรค์ได้ย้อนกลับมาสู่มือต้วนหลิงเทียนเรียบร้อย


 


กระบี่นิลสวรรค์ได้ผลาญพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดเขาไป 9 ใน 10 ส่วน ทำให้เขาไม่เหลือพลังจะไล่ตามวิญญาณเหาฉ่วง เปิดโอกาสให้มันหนีไปได้แบบนั้น


 


เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!


 



 


อย่างไรก็ตามแม้พลังในกระบี่จะอ่อนโทรมลงแทบไม่เหลือ ทว่าเมื่อต้วนหลิงเทียนยังประคองรั้งเอาไว้ กลิ่นอายพลังก็ยังคงเปล่งออกมาเหมือนตอนแรก จนเมื่อพลังในกระบี่หมดลงกลิ่นอายพลังจึงจะดับไป…


 


เมื่อเห็นว่ากระบี่หวนกลับเข้าสู่มือต้วนหลิงเทียนแล้ว อีกทั้งตัวกระบี่ยังเปล่งกลิ่นอายพลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึง กอปรกับเห็นแวววตาเยียบเย็นไม่แยแสที่ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองมา คนของลัทธิอารามทมิฬก็ใจสั่นไปทันที


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าอย่าได้รังแกกันเกินไป!”


 


จ้าวลัทธิอารามทมิฬที่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างร้ายแรง เร่งตะโกนกล่าวออกมาด้วยน่ำเสียงหวั่นๆ


 


“หากเจ้าคิดทำร้ายพวกเราล่ะก็ วันหน้าท่านอาวุโสสูงสุดจะตามไปทวงแค้นเจ้าถึงลัทธิบูชาไฟแน่นอน…เรื่องนี้เจ้าต้องคิดให้ดี!”


 


ครู่ต่อมาจ้าวลัทธิอารามทมิฬก็เร่งยกอ้างอาวุโสสูงสุดอย่างหล่างจินเชียนขึ้นมาขู่ต้วนหลิงเทียน


 


เพื่อให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความรู้สึก ‘คิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย’


(คิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย = เกิดความละล้าละลังไม่กล้าลงมือ ด้วยได้ไม่คุ้มเสีย)


 


ถึงแม้ว่าพญามังกรเสื้อม่วงกับจ้าวพยัคฆ์ขาวของลัทธิอารามทมิฬจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของพวกมันก็มองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนไม่วางตา ยามลดลงไปมองกระบี่ที่เปล่งกลิ่นอายพลังทำลายล้างในมือ ความหวาดกลัวยังฉายชัดยากปกปิด


 


พวกมันก็เห็นได้ชัดเจน


 


เหตุผลที่การจู่โจมของต้วนหลิงเทียนทรงพลังเหนือกว่าเหาฉ่วง สมควรขึ้นอยู่กับกระบี่เล่มนี้!


 


ความรู้สึกที่กระบี่เล่มนี้แผ่ออกมา น่ากลัวว่าจะเหนือกว่ายอดศาสตราเซียนด้วยซ้ำ!


 


พวกมันสรุปได้ทันที


 


ว่านี่คือยอดศาสตราที่อยู่เหนือกว่ายอดศาสตราเซียนใดๆในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


แน่นอนว่านี่อาจไม่ใช่ยอดศาสตราเซียน


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้สามารถรอดชีวิตอยู่ในระนาบเทียมของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะได้ แถมพลังฝึกปรือยังก้าวหน้าขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ…เช่นนั้นกระบี่เล่มนี้สมควรได้มาจากในนั้นด้วย…”


 


“ไม่ว่านั่นจะเป็นกระบี่ผีสางอันใดก็ตาม แต่น่ากลัวว่ายังมีพลังเหนือกว่ายอดศาสตราเซียนของพวกเรา เผลอๆจะเป็นกระบี่จากดินแดนเนรเทศ! เป็นมรดกจากยอดฝีมือเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ต้วนหลิงเทียนโชคดีได้มาแน่!!”


 


ความคิดทำนองดังกล่าวไม่เพียงเกิดขึ้นกับคนของลัทธิอารามทมิฬเท่านั้น


 


กระทั่งคนของลัทธิบูชาไฟบางส่วนก็คิดแบบนี้เหมือนกัน


 


ความรู้สึกที่แผ่ออกมาจากกระบี่ในมือของผู้พิทักษ์หลิงเทียนพวกมัน เป็นอะไรที่ทรงพลังเหนือล้ำยิ่งกว่ายอดศาสตราเซียนที่พวกมันเข้าใจอย่างสมบูรณ์


 


กระทั่งให้เป็นกระบี่ 9 สวรรค์ กับ กระบี่ไร้ลักษณ์ อันเป็นยอดศาสตราเซียนประเภทกระบี่นั่น ก็เกรงว่าจะมีพลังน้อยกว่านี้


 


“อ้อ…แล้วหากข้าขี้เกียจคิดอะไรให้มากเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตาลงเมื่อได้ยินคำขู่ของจ้าวลัทธิอารามทมิฬ นอกจากแววตาจะเริ่มเย็นลงแล้ว ยังปรากฏจิตสังหารเอ่อล้นออกมาทั่วร่าง


 


สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอำมหิต ทั้งกลิ่นอายพลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึงจากกระบี่นิลสวรรค์ คนลัทธิอารามทมิฬถึงกับขวัญหนีดีฝ่อ หน้าซีดลงอย่างหนัก


 


พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟคนนี้จะไร้เหตุผลแบบนี้ แค่ได้ยินวาจาขู่จากจ้าวลัทธิอารามทมิฬเข้าหน่อยก็คิดฆ่าคนระบายโทสะแล้ว!


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน!”


 


รองจ้าวลัทธิบูชาไฟทั้ง 2 เร่งตะโกนออกมาอย่างเสียขวัญ พวกมันร้อนใจทั้งกังวลเหลือเกินว่าต้วนหลิงเทียนจะลงมือฆ่าเหล่าคนของลัทธิอารามทมิฬด้วยโทสะขึ้นมาจริงๆ!!


 


อาศัยความจริงที่ว่าต้วนหลิงเทียนลำบากเพียงใช้ 1 กระบี่ฆ่าเหาฉ่วงได้ง่ายดาย จนเหาฉ่วงต้องเร่งละทิ้งกายเนื้อ ถอดจิตลี้ร่างไปแบบนั้น พวกมันก็เห็นได้ชัดถนัดตาว่า…


 


ผู้พิทักษ์หลิงเทียนคนนี้มีพลังมากพอจะเข่นฆ่าสังหารคนของลัทธิอารามทมิฬทั้งหมดตรงหน้า!


 


กระทั่งผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ของลัทธิบูชาไฟคิดจะห้าม ยังไม่มีปัญญาจะห้ามด้วยซ้ำ!


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียนข้ารู้ดีวว่าตอนนี้ท่านมีโมโหนัก…แต่คนของลัทธิอารามทมิฬเหล่านี้ฆ่าไม่ได้! หากท่านฆ่าพวกมันทิ้งไป นับว่าเพาะสร้างความแค้นกับอาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬถึงขั้นไม่ตายไม่เลิกราแล้ว! ถึงตอนนั้นมันได้บุกมาฆ่าล้างถึงลัทธิบูชาไฟเราอย่างมิมีอะไรจะเสียแน่!!”


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียนอย่างไรหล่างเชียนจินนั่นมันก็เป็นเซียนสววรรค์ 9 เปลี่ยน…หากมันบุกมาลัทธิบูชาไฟของพวกเราจริง แม้ท่านจ้าวลัทธิเราจะร้ายกาจรับมือมันได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปกป้องพวกเราทุกคน”


 


“ใช่แล้วผู้พิทักษ์หลิงเทียน ถึงตอนนั้นจริงกระทั่งตัวท่านยังต้องตกอยู่ในอันตรายด้วย”


 



 


ได้ยินคำกลาวห้ามจาก 4 ผู้พิทักษ์ที่เร่งกันกล่าวออกมาอย่างร้อนใจ ต้วนหลิงเทียนแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว ขณะเดียวกันยังลอบชมเชยการแสดงของตัวเองไม่ได้


 


‘เดี๋ยวนี้ทักษะการแสดงของข้านับว่าไม่เบาแล้วจริงๆ…หากไปอยู่บนโลกเก่าไม่รู้พอมีหวังคว้ารางวัลตุ๊กตาทองคำอะไรนั่นได้รึยัง’


 


หลังลอบคิดอย่างสนุกสนานในใจพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองพวกลัทธิอารามทมิฬด้วยสายตาเยียบเย็น กล่าวออกด้วยน้ำเสียงชวนให้หนาวเหน็บว่า “วันนี้ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าก็ได้…แต่พวกเจ้าต้องชดใช้ในการกระทำครั้งนี้!”


 


“ข้าก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย…ให้จ้าวลัทธิอารามทมิฬทิ้งแขนไว้สักข้างเถอะ! จากนั้นพวกเจ้าจะไปไหนก็ไป!!”


 


เสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งเยียบเย็นนัก ชวนให้ผู้ฟังเสมือนตกอยู่ท่ามกลางฤดูหนาว


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สีหน้าจ้าวลัทธิอารามทมิฬก็เปลี่ยนไปอย่างมาก


 


ฉัวะ!!


 


อย่างไรก็ตามมันคือจ้าวลัทธิอารามทมิฬ เพื่อเห็นแก่ภาพรวมมันไม่ลังเลใดๆ เอื้อมมือขวาไปกระชากแขนซ้ายออก ก่อนจะใช้พลังป่นทำลายแขนซ้ายทิ้ง!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่มีโอกาสต่อแขนซ้ายได้อีกต่อไป!


 


“จ้าวลัทธิ!”


 


พญามังกรเสื้อม่วงกับจ้าวพยัคฆ์ขาวหน้าเปลี่ยนสีไปทันที


 


อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะทั้งมีโมโหทั้งรู้สึกอัปยศนัก แต่พวกมันก็ไร้ซึ่งความกล้าจะหืออืออะไรต่อหน้าต้วนหลิงเทียน


 


ฉากที่ต้วนหลิงเทียนสยบเหาฉ่วงในกระบี่เดียวนั้น ยังตราตรึงอยู่ในใจของพวกมัน


 


ตัวตนที่ทรงพลังระดับนี้ ไม่ใช่อะไรที่พวกมันตอแยด้วยได้


 


“ท่านจ้าวลัทธิ!!”


 


รองจ้าวลัทธิอารามทมิฬทั้ง 2 ร่ำร้องออกมาด้วยน้ำเสียงโศกศัลย์ พวกมันรู้สึกละอายทั้งคับแค้นใจนัก แต่พวกมันก็ไม่กล้าลงมือทำอะไร


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน…ท่านพอใจแล้วหรือไม่?”


 


จ้าวลัทธิอารามทมิฬมองถามต้วนหลิงเทียนเสียงเข้ม ใบหน้าจริงจัง แววตาฉายชัดถึงโทสะยากปกปิด


 


“ไสหัวไป!”


 


“แล้วก็รีบไปให้พ้นหน้าข้า…ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ!”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่จะยกมือขึ้นโบกไล่ส่งๆ


 


ทันใดนั้นเหล่าคนของลัทธิอารามทมิฬก็โล่งอก และรีบเร่งจากไปทันที


 


มหาธรรมราชา จ้าวลัทธิไม่เว้นรองจ้าวลัทธิอารามทมิฬ ทั้งหมดรีบรุดเหินร่างจากไปด้วยความเร็วสุดตัว!


 


พวกมันทั้งหมดกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะเปลี่ยนใจขึ้นมาจริงๆ!


 


เพียงเวลาชั่วพริบตาเหล่าคนของลัทธิอารามทมิฬก็เหินร่างจากไปกันหมด


 


เห็นแบบนี้เหล่าคนของลัทธิบูชาไฟก็เผยสีหน้าโล่งใจออกมา


 


ก่อนหน้านี้พวกมันก็กังวลเหลือเกินว่าผู้พิทักษ์หลิงเทียนของพวกมันจะโมโหร้ายฆ่าคนของลัทธิอารามทมิฬด้วยโทสะ


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าพลังฝีมือของท่านสมควรเหนือกว่าข้าตั้งแต่แรก…แต่ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะเหนือกว่าข้ามากมายขนาดนี้ เจ้าเหาฉ่วงนั่นไม่เพียงเป็นยอดฝีมืออันดับ 5 ในรายนามยอดเซียน แต่ยังได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน…แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะรับไม่ได้แม้แต่กระบี่เดียวของท่าน!”


 


ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนพลางถอนหายใจ


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน…ท่านไม่ซุกซ่อนผู้อื่นไว้มิดชิดเกินไปหน่อยหรือ”


 


ผู้พิทักษ์ชิงหั่วมองกล่าวกกับต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าขมขื่น


 


พอคิดถึงเรื่องที่มันเคยคิดจะรับต้นหลิงเทียนมาก่อน มันรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวจนแทบอยากขุดหลุมหลบให้รู้แล้วรู้รอด


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน แต่ก่อนแม้ท่านจะเหนือกว่าแต่เหลิ่งอิงไม่เคยยอมรับ…วันนี้ข้าไม่อาจไม่ยอมรับท่านแล้ว”


 


ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิงมองกล่าวออกมาด้วยความเคารพเลื่อมไส


 


“พอรายนามยอดเซียนฉบับใหม่ออกมา ทุกคนต้องตกใจแน่เมื่อได้เห็นว่าผู้พิทักษ์หลิงเทียนของเราแทนที่เหาฉ่วง กลายเป็นอันดับ 5 ในรายนามยอดเซียน…เพราะไม่เพียงบอกให้รู้ว่าผู้พิทักษ์หลิงเทียนเราเหนือกว่า แต่ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแทนมัน!”


 


พอหงอวิ๋นกล่าวชื่นชมออกมา  เหล่าอาวุโสทั้งหลายก็มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตายกย่องนับถือ


 


ถึงแม้จะเป็นจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวกับจ้าวแท่นบูชมังกรครามที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับต้วนหลิงเทียนมาก่อน แต่วันนี้ในสายตาของพวกมันก็เต็มไปด้วยความเคารพนับถือจากกใจ


 


อีกทั้งพลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมายังทำให้พวกมันหวาดกลัวจับใจ


 


‘อันดับ 5 ในรายนามยอดเซียน?’


 


‘อันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน’


 


ได้ยินคำของหงอวิ๋น แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่นำพาลาภยศสรรเสริญ แต่ใจที่เคยสงบดั่งน้ำนิ่งก็กลายเป็นหวั่นไหวเล็กน้อย


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียนกระบี่ของท่าน…”


 


ไม่นานสายตาของผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ก็เบนไปตกยังกระบี่นิลสวรรค์ในมือต้วนหลิงเทียน เป็นสื่อเฟิงที่อดถามออกมาไม่ได้


 


ทว่าทันใดนั้นเองไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้ตอบอะไร เสียงหนึ่งพลันดังเข้าหูเขา


 


และเป็นเสียงของผู้เฒ่าหั่ว!


 


“เจ้ารีบไปพาภรรยากับลูกสาวเจ้าหนีก่อนที่จ้าวลัทธิบูชาไฟจะกลับมาเถอะ!”


 


เป็นผู้เฒ่าหั่วกล่าวกระตุ้นเตือนทั้งชี้แนะต้วนหลิงเทียนออกมา!


 


ใช่!


 


ตอนนี้ถังซวนสมควรปะทะติดพันกับหล่างเชียนจินของลัทธิอารามทมิฬ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลับมาในช่วงเวลาสั้นๆ ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่เขาจะช่วยเหลือแม่ลูกเค่อเอ๋อ


 


“ผู้เฒ่าหั่วขอบคุณท่าน!”


 


หลังส่งเสียงผ่านพลังขอบคุณผู้เฒ่าหั่วแล้ว  ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าตอนนี้ทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่กระบี่นิลสวรรค์ของเขา ทันใดนั้นก็มีแรงบันดาลใจหนึ่งสว่างวาบขึ้นมา เขาคิดหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจทุกคนได้แล้ว


 


“ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 รวมถึงรองจ้าวลัทธิแล้วก็อาวุโสเพลิงทองทั้งหลาย…”


 


ต้วนหลิงเทียนหันมองไปยังระดับสูงของลัทธิบูชาไฟ พลางกล่าวออกมาว่า “พวกท่านคงเห็นแล้วว่ายอดศาสตราเซียนอย่างพลองธัมมะของเหาฉ่วงได้ปลิวกระเด็นหลุดมือมันไปก่อนหน้า…แถมทิศทางที่มันถอดวิญญาณหนีไปยังไม่ใช่ทิศทางเดียวกับที่พลองธัมมะกกระเด็นไป…”


 


“กล่าวไปวันนี้ข้าค่อนข้างมีความสุขกับฐานะใหม่ไม่น้อย เช่นนั้นให้ข้าเล่นเกมอะไรสนุกๆกับพวกท่านสักครา…”


 


“ข้าจะให้เวลาพวกท่าน 10 ลมหายใจ เพื่อแข่งกันไปค้นหาพลองธัมมะ…และไม่ว่าผู้ใดพบพลองธัมมะก่อน ข้าจะให้มันเป็นรางวัลแก่ผู้ที่พบเจอเป็นอย่างไร?”


ตอนที่ 2,209 : ร่างในฝัน


 


 


บรรดาระดับสูงของลัทธิบูชาไฟในที่นี้ ต่อให้เป็นแค่อาวุโสเพลิงทอง ก็มากพอจะเป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลววงสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว…


 


เพราะถึงแม้เขาจะลอบกินโอสถเซียนฟื้นพลังเข้าไป แต่ระดับพลังตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ต่างอะไรจากผู้อาวุโสเพลิงทองคนหนึ่ง…


 


เรียกว่าหากคิดช่วยชีวิตเค่อเอ๋อกับลูกสาว อาศัยอาวุโสเพลิงทองแค่คนสองคนก็อาจก่อกวนเขาให้เสียเรื่องได้ไม่ยาก!


 


เช่นนั้นเขาจึงต้องหาวิธีกันท่าอาวุโสเพลิงทองเหล่านี้ออกไปเพื่อไม่ทำให้เขาเสียเรื่อง


 


และตอนนี้วิธีเดียวที่จะกันท่าเหล่าผู้อาวุโสเพลิงทองไม่ให้มาวุ่นวายจนขัดขวางเรื่องดีของเขาได้ก็คือ…


 


ยอดศาสตราเซียน พลองธัมมะ!


 


พลองธัมมะที่ปลิวกระเด็นหลุดมือเหาฉ่วงไปก่อนหน้านี้!


 


ตอนที่เหาฉ่วงถอดจิตลี้ร่างหลบหนี ทุกคนก็เห็นกันชัดว่ามันก็ไม่ได้ไปทางนั้น


 


เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงใช้พลองธัมมะเป็นเหยื่อ ล่อให้คนของลัทธิบูชาไฟหันความสนใจไป!


 


“ใครเป็นคนเจอพลองธัมมะ คนนั้นเป็นเจ้าของ…”


 


ได้ยินวาจาประโยคดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ลมหายใจของอาวุโสระดับสูงของลัทธิบูชาไฟในที่นี้เปลี่ยนเป็นถี่รัวขึ้นมาทันใด กระทั่งชนชั้นรองจ้าลัทธิไม่เว้นแม้แต่ 4 ผู้พิทักษ์ก็เสียอาการไปอยู่บ้าง


 


พลองธัมมะเป็นดั่งสินสงครามของต้วนหลิงเทียน…


 


เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนมีสิทธิ์จัดการกับมัน


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนบอกว่าจะยกมันขึ้นมาเป็นของรางวัล ยังจะไม่ให้อาวุโสระดับสูงของลัทธิบูชาไฟถูกล่อลวงได้อย่างไรไหว?


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน…ท่าน…กล่าวจริงหรือ?”


 


ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสองตาทอประกายจ้าปานดาวบนฟ้ายามค่ำคืน เร่งถามออกมาเสียงเข้ม


 


“จริงสิ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ต่อหน้าคนเยอะแยะแบบนี้ข้าไหนเลยจะล้อเล่นได้?”


 


“อะไร? หรือพวกท่านไม่มีใครสนใจ เช่นนั้นข้าจะเริ่มนับถอยหลัง 10 ลมหายใจเลยแล้วกัน…หลังผ่านไปครบ 10 ลมหายใจถ้ามีใครเจอพลองธัมมะก่อน ท่านก็อดแล้วนะ…”


 


เมื่อเห็นว่าระดับสูงของลัทธิบูชาไฟพร้อมลงมือเต็มที แต่ยังไม่มีใครลงมือคนแรก ต้วนหลิงเทียนจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขบขันอีกครั้ง


 


และวาจาต้วนหลิงเทียนยังดังไม่ทันจบคำดี..


 


“ไป!!”


 


“พลองธัมมะเป็นของข้า!”


 


“เหอะ! ของข้าเถอะ!!”


 


……


 


ระดับสูงของลัทธิบูชาไฟ แต่ละคนเร่งรุดเหินร่างไปยังทิศทางที่พลองธัมมะปลิวกระเด็นออกไปทันที! แต่ละคนไม่ว่าใครก็อยากชิงพลองธัมมะมาให้ได้ทั้งนั้น!!


 


กระทั่งผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ของลัทธิบูชาไฟก็ไม่เว้น! กล่าวไปพวกมันยังพุ่งเหินออกไปก่อนใคร!!


 


ในบรรดาทั้ง 4 สื่อเฟิงที่พลังฝึกปรือสูงล้ำที่สุดย่อมเหินนำหน้าผู้อื่น


 


ใครเป็นคนเจอพลองธัมมะคนแรกจะได้มันไปครอง…ต้องทราบด้วยว่าพลองธัมมะนั่นคือยอดศาสตราเซียน!


 


ต้องกล่าวเลยว่ารางวัลใหญ่จากต้วนหลิงเทียนรอบนี้ พวกมันไม่มีใครไม่ถูกล่อลวงใจ!


 


“อั๊ค!”


 


หลังระดับสูงของลัทธิบูชาไฟหายไปหมดแล้ว ร่างต้วนหลิงเทียนก็สะท้านไปอย่างแรง สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นซีดขาว สุดท้ายก็กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง


 


อาการบาดเจ็บภายในนี้เป็นเขาได้รับมาตั้งแต่ปะทะกับเหาฉ่วงแล้ว หากแต่เขาฝืนทนเอาไว้


 


ตอนนี้เมื่อไม่มีใครอยู่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องฝืนทนอีกต่อไป


 


‘ตอนที่พวกมันมัวไปหาพลองธัมมะกัน…ข้าจะรีบไปช่วยพวกเค่อเอ๋อแม่ลูกหลบหนีออกจากลัทธิบูชาไฟ!’


 


หลังหยิบโอสถรักษาและโอสถฟื้นพลังออกมากลืนลงคอเพิ่ม ต้วนหลิงเทียนก็เร่งใช้พลังที่เหลือเหินร่างไปยังลัทธิบูชาไฟด้วยความเร็วสูงสุด หมายไปให้ถึงน่านฟ้าเหนือเกาะศักดิ์สิทธิ์โดยเร็วที่สุด!!


 


เพราะเกาะลอยจ้าวลัทธิอยู่ที่นั่น


 


ตอนนี้เค่อเอ๋อแม่ลูกก็สมควรอยู่ที่นั่น!


 


‘แม้ทางที่เหาฉ่วงหนีไปจะไม่ใช่ทางเดียวกันกับที่พลองธัมมะปลิวกระเด็นไป…แต่ด้วยพันธะระหว่างพลองธัมมะกับมัน หากมันคิดจะย้อนกลับมาเก็บพลองธัมมะภายหลังคงไม่ยากเย็นอะไร’


 


ในฐานะเจ้าของยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมาร ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดีว่าหลังที่ผูกพันธะกับยอดศาสตตราเซียนแล้วจะเป็นอย่างไร


 


ตอนนี้ไม่พ้น 9 ใน 10 พลองธัมมะนั่นต้องถูกวิญญาณของเหาฉ่วงลอบย้อนกลับมาเก็บไปแล้วแน่!


 


ต่อให้กลุ่มระดับสูงของลัทธิบูชาไฟจะออกไปตามหาก็ไร้ประโยชน์


 


“อย่างไรก็ตามพลังของเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ สามารถทำให้วิญญาณสามารถออกจากร่างได้ กระทั่งยังละทิ้งร่างออกมาได้โดยไม่สูญสลายไปท่ามกลางสวรรค์และโลก…กล่าวไปก็นับว่าฝืนฟ้าไม่น้อย เพราะนี่เสมือนวิธีเอาชีวิตรอดอีกวิธีหนึ่ง”


 


ในขณะที่ย้อนกลับไปลัทธิบูชาไฟ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหาฉ่วงที่ถอดจิตลี้ร่าง และนี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอะไรแบบนี้กับตาจึงอดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่บ้าง


 


ตอนนั้นเขาได้ทุ่มพลังทั้งหมดไว้ในกระบี่นิลสวรรค์ที่ใช้สังหารร่างของเหาฉ่วงไปแล้ว


 


เช่นนั้นแม้จะฆ่าร่างกายของเหาฉ่วงได้ แต่สำหรับวิญญาณที่ละทิ้งร่างหลบหนีออกมา เขาก็ได้แต่มองดูเท่านั้น ไม่มีพลังเหลือจะไล่ตามได้ทัน


 


หาไม่แล้วเขาก็ไม่คิดปล่อยให้เหาฉ่วงรอดชีวิตไปได้


 


เขารู้ดีว่าการตัดหญ้านั้น…หากไม่ถอนรากถอนโคน เมื่อลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาอีกครั้งมันก็จะงอกเงยขึ้นมาใหม่!


 


ขณะเดินทางกลับลัทธิ พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆฟื้นฟูกลับมาบางส่วน ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็กลับมาถึงน่านฟ้าแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว


 


“เป็นท่านผู้พิทักษ์หลิงเทียน!”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาถึง เขาก็ถูกอาวุโสที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนพบตัวทันที


 


แต่แน่นอนว่าพวกมันไม่มีใครกล้าหยุดต้วนหลิงเทียนเหมือนครั้งล่าสุดที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงลัทธิบูชาไฟอีกแล้ว


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ฐานะต้วนหลิงเทียนในวันนี้ไม่ใช่อะไรที่ในวันวานจะเทียบได้ จนทำให้มีอิสระผ่านเข้าออกแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวรวมถึงแท่นบูชาจตุรลักษณ์ที่เหลือเลย อาศัยแค่พลังฝีมืออันร้ายกาจของต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีใครกล้าตอแยแล้ว


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียนที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงกลับมาแล้วแบบนี้…เช่นนั้นมิได้หมายความว่าอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬรามือแล้วหรือ?”


 


เห็นต้วนหลิงเทียนกลับมา อาวุโสแท่นบูชาพยัคฆ์ขาววก็อดคิดไปทำนองนี้ไม่ได้


 


ไม่ทันไรข่าวลือเรื่องการกลับมาของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มแพร่ไปทั่วแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว ทำให้ทุกคนต่างคาดเดาผลของเรื่องราวกันใหญ่


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียนกลับมาแล้วหรือ?”


 


“เช่นนั้นหมายความว่าต่อให้อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬจะลงมือด้วยตัวเองแต่มันก็ไร้ประโยชน์งั้นสินะ?”


 


“หึ! ตอนนี้ท่านจ้าวลัทธิพวกเราก็บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว ไหนต้องกลัวแพะชรานั่นอีก!!”


 


……


 


วาจาคล้ายกันนี้ดังขึ้นไปทั่วแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว


 


ส่วนต้วนหลิงเทียนที่กลับมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ ก็ไม่รอช้าเร่งเหินร่างขึ้นฟ้าไปทันที ไม่นานก็เหินเลยหมู่เกาะเหนือฟ้าไปชั้นแล้วชั้นเล่า


 


ตอนนี้ภายใต้เกาะลอยที่ลอยเด่นอยู่สูงสุด ก็ไม่ได้มีแค่ 3 เกาะเหมือนครั้งก่อนที่เขามาอีกต่อไป แต่มันมีทั้งสิ้น 5 เกาะ!


 


เกาะลอยสองเกาะที่พึ่งปรากฏ ก็คือเกาะลอยส่วนตัวประจำตำแหน่งผู้พิทักษ์ของเขากับเหลิ่งอิงนั่นเอง


 


อาวุโสเพลิงเงินที่รับหน้าที่ลาดตระเวนย่อมสังเกตเห็นเขาได้ทันทีที่เข้ามาในอาณาเขต


 


อย่างไรก็ตามพอเห็นว่าผู้มาเป็นต้วนหลิงเทียนมันก็เหินร่างจากไปทันที


 


“ที่แท้ผู้พิทักษ์หลิงเทียนกลับมาแล้ว!”


 


พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกลับมาอย่างปลอดภัย อาวุโสเพลิงเงินที่ลาดตระเวนก็ตกใจกันไม่น้อย


 


เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เสียงของอาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬก็พึ่งจะดังขึ้นก้องลัทธิ พวกมันเองไหนเลยยังไม่ได้ยินได้


 


“เค่อเอ๋อ”


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เหินลอยอยู่เหนือเกาะส่วนตัวของถังซวน


 


เกาะลอยเกาะนี้ลอยอยู่โดดเดี่ยวบนฟ้าสูงสุด ไม่มีเกาะใดๆข้างเคียง


 


ดั่งจักรพรรดิที่คอยทอดตามองลงไปยังบริวาร


 


“ค่ายกล?”


 


ขณะที่มองเกาะลอยเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ย่อมสัมผัสได้ถึงม่านพลังจากค่ายกลที่ปกคลุมไปทั้งเกาะ


 


อย่างไรก็ตาม ม่านพลังจากค่ายกลระดับนี้ ต้วนหลิงเทียนที่พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดฟื้นฟูมาบ้างแล้ว สามารถใช้ยอดสมบัติสวรรค์อย่างกระบี่นิลสวรรค์ทำลายมันได้ง่ายๆ


 


วู้มมม!


 


เพียงต้วนหลิงเทียนจ่ายพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดเล็กน้อยลงกระบี่นิลสวรรค์ ตัวกระบี่ก็เผยพลังอานุภาพอีกครั้ง แม้จะไม่รุนแรงเหมือนก่อน แต่อาศัยการตวัดกระบี่ด้วยพลังเท่านี้ออกไปส่งๆ ก็ปรากฏรังสีกระบี่ฟาดทำลายม่านพลังจากค่ายกลให้ย่อยยับได้ง่ายดาย!


 


“เค่อเอ๋อ”


 


ขณะโรยตัวลงมาจากอากาศไปหยุดลอยเหนือคฤหาสน์หลังโตของถังซวน ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น


 


ถึงแม้ว่าเสียงขอเขาจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย หากแต่ก็ผนึกควบไปด้วยพลังเซียนสุริยันทำให้ดังกังวาลไปทั่วพื้นที่คฤหาสน์


 


ในขณะเดียวกัน


 


ที่ลานว่างแห่งหนึ่ง ร่างบางที่กำลังเดินวนไปวนมาด้วยสีหน้ากังวล พอได้ยินเสียงเรียกของต้วนหลิงเทียน ร่างบางดังกล่าวก็สะท้านไปทันที นางยังเงยหน้าขึ้นแหงนไปมองฟ้าก่อนใดอื่น


 


แลเห็นเป็นชายหนุ่มร่างม่วงถือกระบี่อยู่ในมือคนหนึ่ง…


 


หน้าตายังดุจเดียวกับคนที่นางแลเห็นในความฝัน


 


“นายน้อย!”


 


พริบตานั้นสีหน้าของร่างบางก็แดงก่ำขึ้นด้วยความตื่นเต้นราวกับประสบเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่บางประการ


 


เจ้าของร่างบางนี้ย่อมเป็นเค่อเอ๋อนั่นเอง


 


เมื่อได้เห็นว่าบุรุษของนางยังปลอดภัยดีอยู่ ในที่สุดใจที่ขึงตึงไปด้วยความกังวลก็พอได้ผ่อนคลายลง


 


ต้องทราบด้วยว่าพอได้ยินเสียงหล่างเชียนจิน และทราบว่าอีกฝ่ายคืออาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬ เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ยอดฝีมืออันดับ 2 ในรายนามยอดเซียน ใจนางก็ร้อนรนไปด้วยไฟกังวลนัก เพราะเห็นชัดว่าอีกฝ่ายมาด้วยเจตนาร้ายกับบุรุษของนาง…


 


“มันกลับมาได้จริงๆ…คนลัทธิอารามทมิฬไม่ได้สร้างปัญหาให้มันหรือ?”


 


ขณะเดียวกัน ก่านหรูเยี่ยนที่ได้ยินเสียงของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน ก็เดินออกมาจากห้องหับข้างลานว่างทันที พอมองขึ้นมาบนฟ้าเห็นร่างในชุดม่วง สองตากระจ่างยามสารทก็อดไม่ได้ที่จะฉายถึงความประหลาดใจ


 


นางเองก็ได้ยินเสียงหล่างเชียนจิน อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬก่อนหน้าชัดเจน


 


อีกฝ่ายท่าทางจะมาหาต้วนหลิงเทียนด้วยเจตนาร้าย


 


ด้วยเหตุนี้นางจึงอดเป็นกังวลไปไม่ได้ ยิ่งน้องสาวนางยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย


 


“เค่อเอ๋อ!!”


 


แม้เสียงเค่อเอ๋อจะไม่ดัง แต่ต้วนหลิงเทียนที่แผ่สำนึกเทวะออกมาตรวจสอบก็ได้ยินมันชัดเจน


 


ทันนใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองตามต้นเสียงทันที


 


ด้วยม่านตาพิสดาร เขาจึงได้เห็นร่างบางที่มักฝันถึงอยู่เสมอๆชัดถนัดตา


 


“เค่อเอ๋อ!!”


 


ต้วนหลิงเทียนพุ่งร่างจากฟ้า ดิ่งลงไปหาเค่อเอ๋อด้วยความยินดี


 


ระหว่างลงมาเขายังเจอม่านพลังจากค่ายกลป้องกันอีกไม่น้อย ทว่าทั้งหมดก็ถูกกระบี่ในมือทำลายจนสิ้น


 


และในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนทำลายค่ายกลนั้นเอง


 


“ธิดาเทพ!?”


 


จ้าวลัทธิบูชาไฟที่กำลังสู้ติดพันอยู่กับหล่างเชียนจินที่ไหนสักแห่งอันห่างไกลออกมาจากลัทธิบูชาไฟ ย่อมสัมผัสได้ทันทีว่าค่ายกลถูกทำลาย สีหน้าท่าทีของมันเปลี่ยนไปอย่างหนัก!


ตอนที่ 2,210 : เป็นเจ้าจริงๆ!!


 


 


‘ผู้ใดมันบุกไปทำลายค่ายกลที่ป้องกันบ้านลานที่ธิดาเทพอาศัยอยู่กัน!?’


 


หลังหลบการจู่โจมของหล่างเชี่ยนจินได้อย่างง่ายดายแล้ว ถังซวนก็เร่งหันหน้าไปมองฟ้าทิศทางหนึ่งด้วยใบหน้าอัปลักษณ์ปั้นยาก เลิกสนใจหล่างเชียนจินไปอย่างสมบูรณ์


 


วันนี้ก่อนที่จะออกจากลัทธิบูชาไฟ มันได้จัดตั้งค่ายกลง่ายๆป้องกันบ้านลานของธิดาเทพเอาไว้


 


เนื่องจากเป็นค่ายกลที่จัดตั้งขึ้นอย่างลวกๆ จึงไม่ยากที่จะทำลายอะไร เพียงแค่อาวุโสเพลิงทองก็สามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย


 


มันจัดตั้งค่ายกลนี้เอาไว้ก็เพื่อให้ธิดาเทพหลบหนีไปไหนเท่านั้น


 


เพราะแม้แต่ก่านหรูเยี่ยนที่แข็งแกร่งที่สุดข้างกายธิดาเทพ ก็ไม่มีพลังมากพอจะทำลายค่ายกลนั่นได้ มันจึงวางใจไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะวางใจ แต่มันก็ยังคงทิ้งหูตาเอาไว้อย่างไม่ประมาท


 


ขอเพียงค่ายกลถูกทำลายมันจะรู้สึกได้ทันที


 


และตอนนี้มันก็พึ่งสัมผัสได้ว่าค่ายกลที่มันจัดตั้งไว้ถูกทำลาย!


 


กล่าวอีกอย่างได้ว่าพลังฝีมือของผู้ที่ทำลายค่ายกลนั่นของมัน อย่างน้อยๆก็ต้องมีระดับทัดเทียมกับอาวุโสเพลิงทองไม่ก็เหนือกว่านั้น!


 


ปง! ปง! ปง!


 


……


 


ขณะเดียวกัน พลังฝ่ามือของหล่างเชียนจินที่ถูกถังซวนหลบหลีก ก็พุ่งเลยไประเบิดทำลายขุนเขาด้านล่าง!


 


ทันใดนั้นขุนเขาด้านล่างก็ถูกพลังระเบิดทำลาย เสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับบังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่


 


ครู่ต่อมาฝุ่นควันมหาศาลก็ฟุ้งกระจายขึ้นมาบดบังทัศนวิสัย


 


พอฝุ่นควันจางหายขุนเขาก่อนหน้าก็ไม่มีอีกต่อไป คงเหลือแต่หลุมมหึมาลึกไม่เห็นก้น!


 


เพียงมองลงไปในความมืดดำนั่น ก็ทำให้ผู้คนอดขนลุกไม่ได้ ด้วยหวาดกลัวว่าจะมีสัตว์ร้ายน่ากลัวซุกซ่อนอยู่


 


“ถังซวน ขนาดสู้กับข้าเจ้ายังกล้าสนใจอย่างอื่นอีกงั้นเหรอ!?”


 


หลังลงมือจู่โจมถังซวนพลาดเป้าหล่างเชียนจินก็ไม่ได้ลงมือซ้ำ เพียงลอยร่างค้างกลางหาวมองถังซวนด้วยใบหน้าเหยเก


 


มันย่อมเห็นได้ชัดว่าถังซวนอยู่ๆก็หันไปสนใจอย่างอื่น! กระทั่งตอนนี้ยังหันไปมองเหม่ออะไรก็ไม่รู้!!


 


มันรู้สึกเสมือนโดนถังซวนดูถูก การกระทำนี้เหมือนอีกฝ่ายไม่เห็นหัวมันเลย!!


 


“ผู้เฒ่าหล่างวันนี้พอเท่านี้ก่อน…ตอนนี้ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ วันหน้าค่อยมาประมือกันใหม่”


 


ได้ยินคำของหล่างเชียนจิน ถังซวน ก็ฟื้นสติเร่งหันไปกล่าวคำทันที


 


ทว่าตอนนี้แววตาของถังซวนช่างเยีบเย็นนัก กระทั่งเป็นหล่างเชียนจินพอถูกสายตานี้จ้องก็อดไม่ได้ที่จะใจสั่น


 


พอกล่าวจบคำ ก็ไม่รอให้หล่างเชียนจินตอบสนองอะไร ร่างถังซวนปะทุกลิ่นอายพลังลี้ลับหนึ่ง ก่อนที่คนคล้ายกลับกลายเป็นภูตผี อยู่ดีๆก็วูบหายไปไม่ต่างใดจากสายลม ปานจะจมหายไปในความว่างเปล่า…


 


เห็นแบบนี้สีหน้าหล่างเชียนจินยิ่งมาก็ยิ่งอัปลักษณ์นัก หากแต่มันก็ไม่ได้ไล่ตามไปแต่อย่างใด


 


เพราะมันรู้ดีว่าตอนนี้ต่อให้คิดไล่ตามถังซวนไป แต่อาศัยเวทย์พลังเสริมท่าร่างที่ได้รับการยอมรับวว่าเอกอุในแดนดินของถังซวนนั่น ต่อให้มันไล่ให้ตายมันก็ไล่ไม่ทัน!


 


“เวทย์พลังเสริมท่าร่างบัดซบนั่น ถังซวนมันไปเอามาจากที่ใดกัน?”


 


สีหน้าหล่างเชียนจินบิดเบี้ยวนัก แววตายังเต็มไปด้วยความอิจฉา “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าลัทธิบูชาไฟมีเวทย์พลังเสริมท่าร่างร้ายกาจเช่นนี้สืบทอดกันมาด้วย…แล้วมันไปสรรหามาจากกที่ใดกันแน่?”


 


“มันบังเอิญไปพบพานวาสนาอะไรมากัน…”


 


“ก่อนหน้านี้แม้พลังฝึกปรือมันจะยังแค่เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน แต่พอใช้เวทย์พลังนั่นก็สามารถหนีรอดไปง่ายดาย แม้ข้าจะใช้เวทย์พลังเสริมท่าร่างที่ดีที่สุดของลัทธิอารามทมิฬแล้วก็ตาม…”


 


เวทย์พลังเสริมท่าร่างของลัทธิอารามทมิฬ ก็นับเป็นเวทย์พลังระดับสูงที่ยอดเยี่ยมไม่น้อย เรียกว่าเป็นอันดับต้นๆของแดนดินเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตาม แม้หล่างเชียนจินที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วจะใช้พลังทั้งหมดยังไม่อาจไล่ตามถังซวนตอนที่ยังเป็นแค่เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนได้ทัน…


 


เช่นนั้นย่อมเห็นได้ชัดว่า เวทย์พลังเสริมเคลื่อนไหวที่ถังซวนมีมันวิเศษถึงเพียงใด!


 


ตอนถังซวนเป็นเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนมันไล่ไม่ทัน…


 


นับประสาอะไรกับตอนนี้?


 


ดังนั้นพอเห็นถังซวนใช้เวทย์พลังดังกล่าวพุ่งร่างจากไป หล่างเชียนจินก็ไม่คิดไล่ตามสักนิด เพราะรู้ดีว่าตามให้ตายก็ตามไม่ทันจริงๆ


 


เช่นนั้นจะเสียแรงเปล่าทำไม?


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเองคิ้วหล่างเชียนจินพลันโค้งขึ้น ราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง


 


พอมันยกมือขึ้น ก็ปรากฏแสงสีเขียวหนึ่งพุ่งวาบตัดฟ้ามาเข้ามือมันพอดิบพอดี


 


พอลดมือลงมาแบดู ก็พบว่าเป็นป้ายหยกสื่อสารชิ้นหนึ่ง


 


กร๊อบ!


 


หลังบดขยี้ป้ายหยกสื่อสารแล้ว เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นในหูหล่างเชียนจินชัดถ้อยชัดคำ ทำให้สีหน้าของหล่างเชียนจินเปลี่ยนไปทันที “นิ…นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน?”


 


เรียกว่าสีหน้าหล่างเชียนจินเปลี่ยนสีกลับกลายราวกับมันถูกผีหลอกกลางวันแสกๆแล้วจริงๆ


 


เพราะข่าวสารที่มันพึ่งได้รับมานั้น เป็นอะไรที่น่าตกใจนัก


 


ป้ายหยกสื่อสารนี้เป็นจ้าวลัทธิอารามทมิฬส่งมาให้มันเอง ในนั้นได้กล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดหลังมันจากมา


 


“เจ้าหนูโชคดีที่ฆ่าเซวี่ยคังฉวินคนนั้น…เอาชนะเหาฉ่วงได้ในกระบี่เดียวอย่างเหนือคววามคาดหมาย ยังทำให้เหาฉ่วงถึงกับต้องถอดจิตลี้ร่างหนีตายไปหัวซุกหัวซุน?”


 


“หากไม่ใช่เพราะคิดปล่อยให้เหาฉ่วงคิดย้อนกลับมาล้างแค้นลัทธิอารามทมิฬของเรา มันคงไม่เลือกละเว้นวิญญาณเหาฉ่วงและฆ่าทิ้งไปแต่แรก?”


 


“พอถูกมันขู่ สุดท้ายกระทั่งจ้าวลัทธิยังต้องทิ้งแขนไปข้างหนึ่ง…”


 


……


 


เรียกว่าพอได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด หล่างเชียนจินก็อึ้ง! ยังอึ้งกิมกี่ไปแล้วจริงๆ!!


 


มันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลย…


 


ว่าหลังจากที่มันสะกดถังซวน จ้าวลัทธิบูชาไฟเอาไว้แล้ว แต่ผู้ช่วยเหลือของลัทธิอารามทมิฬที่ได้ชื่อว่าอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของแดนดิน เหาฉ่วง จะแพ้พ่ายย่อยยับแบบนี้…


 


“เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันได้รับสืบทอดอันใดจากกในระนาบเทียมของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่นมากันแน่!?”


 


คิดถึงจุดนี้สีหน้าหล่างเชียนจินก็อัปลักษณ์ปั้นยากนัก


 


“ไฉนฟ้าถึงไร้ความเป็นธรรมเพียงนี้! ใยสิ่งดีๆต้องไปตกอยู่กับลัทธิบูชาไฟหมดด้วย?!”


 


ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ สุดท้ายหล่างเชียนจินก็ได้แต่แหงนมองฟ้า ร่ำร้องออกกมาอย่างไม่ยินยอม


 


ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวลัทธิบูชาไฟอย่างถังซวน หรือผู้พิทักษ์อย่างต้วนหลิงเทียน ก็นับว่าต่างได้รับโชควาสนาเลิศล้ำมาทั้งสิ้น ทำให้หล่างเชียนจินอิจฉาแทบตายแล้ว!


 


ถังซวนนั้นมีวาสนาได้พบพานเข้ากับเวทย์พลังอันดับ 1 ของแดนดิน…


 


ต้วนหลิงเทียนนั้นพบวาสนาในคราวเคราะห์ ในเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่ปี ก็กลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน


 


“เรื่องนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้! มันไม่จบเพียงเท่านี้แน่! ลัทธิบูชาไฟต้วนหลิงเทียน แค้นนี้ข้าจักจดจำเอาไว้! ข้าจักจจำเอาไว้ไม่มีวันลืม!!”


 


แม้หล่างเชียนจินจะยากยอมรับแค่ไหน แต่มันก็จำต้องยอมรับ


 


ว่าคราวนี้การต่อสู้ระหว่างลัทธิอารามทมิฬกับลัทธิบูชาไฟ ฝ่ายที่แพ้พ่ายก็คือลัทธิอารามทมิฬของพวกมัน!


 


แน่นอนว่ามันสามารถไปไล่ฆ่าคนของลัทธิบูชาไฟนอกจากถังซวนเพื่อระบายความแค้นนี้ได้


 


แต่ผลที่ตามมาจากการกระทำดังกล่าวก็คือถังซวนจะกระทำกลับบ้าง! ไม่พ้นอีกฝ่ายต้องบุกมาฆ่าล้างบางอาวุโสระดับสูงของลัทิอารามทมิฬของมันไม่เหลือแน่!!


 


พอนึกถึงผลที่จะตามมาแล้ว ไม่ว่ามันจะมีโมโหแค่ไหน มันก็ได้แต่อดทนเอาไว้


 


ต้องมีสักวันที่เป็นของมัน!


 


มันไม่เชื่อว่าจะไม่มีโอกาสให้มันเล่นงานลัทธิบูชาไฟ!!


 


ณ ลัทธิบูชาไฟ เกาะส่วนตัวของถังซวน


 


“เค่อ…เอ๋อ…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองไปยังสตรีที่เขาคำนึงหามานานปีด้วยความรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย


 


ร่างยังอดไม่ได้ที่จะสะท้านไปเบาๆ มือที่สั่นเทาค่อยๆยกขึ้นมาคล้ายจะลูบไล้ใบหน้ากระจ่าง หากแต่ยังหยุดค้างเอาไว้กลางคันด้วยความกลัว…กลัวว่าหากยื่นมือออกไปแล้วร่างเบื้องหน้าจะสลายเป็นหมอกควัน…


 


ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าไม่ทราบปรากฏขึ้นในฝันกี่ครั้งแล้ว พอมาแลเห็นร่างบางที่คิดถึงทุกเมื่อเชื่อวันอยู่ตรงหน้า ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง กลัวว่าสุดท้ายก็เป็นเพียงความฝันอีกตื่นหนึ่ง


 


“นายน้อย!”


 


แก้มกระจ่างของเค่อเอ๋อพลันปรากธารเล็กๆรินไหล ร่างบางเองก็สะท้านไปไม่ต่าง หากแต่นางไม่คิดใดมากความ โผเข้าอ้อมกอดต้วนหลิงเทียนทันที


 


จังหวะนี้จริตอะไรที่สตรีพึงมีทั้งหลาย คล้ายถูกนางลืมเลือนไปหมดสิ้น


 


เวลานี้คล้ายในโลกหล้าจะเหลือเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เป็นบุรุษในฝันเบื้องหน้า


 


จากความอุ่นร้อนในอ้อมแขน ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ว่าทุกเรื่องราวเบื้องหน้าไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง!


 


สตรีที่เขาฝันถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน…ตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนเขาแล้วจริงๆ!


 


“เค่อเอ๋อ”


 


ต้วนหลิงเทียนกอดร่างบางของเค่อเอ๋อไว้แน่น ด้วยกลัวว่านางจะหายไปที่ใดอีก “เป็นข้ามาช้าไป…เป็นข้ามาช้าไป”


 


“ไม่ช้า ไม่ช้า”


 


เค่อเอ๋อที่ฝังหัวไว้บนอกต้วนหลิงเทยน อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมาเบาๆทั้งน้ำตา หากแต่แม้จะร่ำไห้ฟูมฟายทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความยินดีนัก ยังกอดร่างแกร่งเบื้องหน้าเอาไว้แนบแน่น ด้วยกลัวว่าหากปล่อยมือไปชายที่ก่อกวนใจในฝันทุกค่ำคืนจะหายตัวไปอีกครั้ง


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็กอดเค่อเอ๋อไวว้แน่น ในใจรู้สึกสงบลงอย่างประหลาด ประหนึ่งเรือได้พบพานท่าเทียบ


 


นับว่าคำ สตรีเป็นหลุมฝังศพของวีรบุรุษ นั้น…


 


กล่าวไว้ไม่ผิดจริงๆ!


 


ทว่าทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำลายบรรยากาศอันสวยงาม


 


“หากข้าจำมิผิด มิใช่ตอนนี้พวกเราสมควรรีบหนีกันก่อนหรือ หากจ้าวลัทธิบูชาไฟที่กำลังประมือกับหล่างเชียนจินกลับมา ต่อให้พวกเราคิดหนีก็หนีไม่ได้แล้ว…”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ก่านหรูเยี่ยนที่อุ้มเด็กหญิงที่กำลังหลับไหลไว้ในอ้อมแขน ได้มาหยุดยืนอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อแล้ว


 


และวาจาดังกล่าวของก่านหรูเยี่ยนก็เสมือนปลุกต้วนหลิงเทียนให้ตื่นจากฝันทันที


 


“ถูกแล้วเค่อเอ๋อ! พวกเราต้องหนีกันก่อน!!”


 


ต้วนหลิงเทียนฟื้นสติทันที


 


ขณะเดียวกันก็รีบกล่าวกับเค่อเอ๋อเสียงเข้ม


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน! เป็นเจ้าจริงๆ!!”


 


เสียงเข้มต่ำอันแฝงเร้นไปด้วยโทสะอันเกรี้ยวกราด ดังสนั่นปานฟ้าร้องมาแต่ไกล ทำให้สีหน้าพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 เปลี่ยนไปทันที


 


ฟุ่บบ!


 


พริบตาต่อมาเบื้องหน้าพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 พลันปรากฏร่างพร่าเลือนปานภูตผี ยังชัดขึ้นอย่างรวดเร็ว…


ตอนที่ 2,211 : วิธีของผู้เฒ่าหั่ว!


 


 


 


ร่างที่คล้ายจะผุดโผล่จากอากาศธาตุตรงหน้าต้วนหลิงเทียนและคนอื่นปานภูตผี และเผยให้เห็นรูปลักษณ์ในเวลาไม่นานนั้น แท้จริงแล้วก็คือ ถังซวน จ้าวลัทธิบูชาไฟนั่นเอง!


 


“จ้าวลัทธิ!”


 


เห็นถังซวนมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าแบบนี้ ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันใด แววตาฉายชัดถึงความประหลาดใจเหลือเชื่อถึงที่สุด!


 


เป็นไปได้อย่างไรกัน!?


 


ไม่ใช่ว่าจ้าวลัทธิบูชาไฟผู้นี้กำลังสู้ติดพันกับ หล่างเชียนจิน อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬรึไง?


 


ไฉนมันถึงได้ย้อนกลับมาไวนัก?


 


เห็นถังซวนกลับมาแบบนี้ สีหน้าก่านหรูเยี่ยนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน


 


สำหรับเค่อเอ๋อนั้น หน้างามของนางเพียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพียงขยับร่างไปอิงแอบแนบชิดต้วนหลิงเทียนมากว่าเดิม ราวกับว่าขอเพียงมีต้วนหลิงเทียนอยู่ข้างกาย ใดๆล้วนไม่น่ากลัว


 


เด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนก่านหรูเยี่ยน อันเป็นลูกสาวของต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อก็ยังคงหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องราวอะไร


 


สาเหตุที่ว่าไฉนนางถึงได้หลับปุ๋ยขนาดนี้…เป็นเพราะก่านหรูเยี่ยนให้ยาสงบจิตกับนาง! ซึ่งยานี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆเพียงทำให้นางพักผ่อนอย่างเต็มที่ จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องราวใดๆเท่านั้น


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน ข้าไม่คิดเลยว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ!”


 


ถังซวนมองต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าถมึงทึง แววตาเยียบเย็นปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน


 


ก่อนหน้านี้แม้มันจะพบว่าหว่างคิ้วต้วนหลิงเทียนให้ความรู้สึกละม้ายคล้ายลูกสาวธิดาเทพอยู่บ้าง แต่มันก็เพียงสงสัยว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะเป็นบุรุษที่ธิดาเทพพบเจอในภูมิภาคเบื้องล่างเท่านั้น ไม่ได้แน่ใจอะไรแม้แต่น้อย


 


แต่เป็นธรรมดาว่าถึงมันไม่แน่ใจ มันก็ยังคิดหาวิธีทดสอบต้วนหลิงเทียน


 


วิธีทดสอบที่ว่าก็คือเรื่องที่มันประกาศออกไปก่อนหน้า…


 


มันจะประหารลูกสาวธิดาเทพในอีก 3 เดือนหลังจากนี้!


 


ในสายตาของมัน


 


ตราบใดที่ผู้พิทักษ์หลิงเทียนของมันเป็นบุรุษของธิดาเทพจริง อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางนิ่งดูดายทนดูลูกสาวถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตาได้แน่นอน ต้องลงมือเคลื่อนไหวเผยพิรุธอะไรให้จับผิดได้แน่!


 


นั่นคือ โอกาส ที่มันเฝ้ารอ


 


อย่างไรก็ตาม มันไม่คิดเลยจริงๆว่าผู้พิทักษ์หลิงเทียนจะเผยตัวออกมาก่อนเองแบบนี้


 


“เป็นข้าจริงๆ?”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะตกใจกับการปรากฏตัวของถังซวนไม่น้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปหลังได้ยินวาจานี้ของถังซวน คิ้วย่นเป็นปมเผยความสงสัยว่าคำนี้หมายความว่าอะไร


 


“เหอะ!”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัย ถังซวนก็พ่นลมสบถค่อยกล่าวออกเสียงเย็น “ก่อนหน้านี้ข้าพบว่าหว่างคิ้วลูกสาวธิดาเทพให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับเจ้านัก…แถมเจ้ายังมาจากภูมิภาคเบื้องล่างอีกด้วย เช่นนั้นข้าจึงสงสัยว่าเจ้าอาจจะเป็นบุรุษที่ธิดาเทพมีสัมพันธ์ด้วยในภูมิภาคเบื้องล่าง!”


 


ลูกสาว?


 


ได้ยินคำของถังซวน ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหันมองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยในวงแขนก่านหรูเยี่ยนทันที


 


เด็กหญิงตัวน้อยที่หลับปุ๋ยในวงแขนก่านหรูเยี่ยนนั้น แม้จะเผยให้เห็นใบหน้าอันน่ารักจิ้มลิ้มแค่ครึ่งเดียว แต่ก็ยากจะซ่อนความละม้ายคล้ายคลึงกับเขาเอาไว้ได้…


 


“นี่…เป็นลูกสาวของข้ากับเค่อเอ๋อหรือ…”


 


เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อย ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าใจสั่นหวิวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งความรู้สึกแน่นแฟ้นจากสายเลือด ก็ทำให้ใจเขาคล้ายจะอ่อนยวบทรุดลงทันที


 


นี่คือลูกสาวของเขา!


 


ลูกสาวของเขากับเค่อเอ๋อ!


 


“อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ข้าจะยืนยันเรื่องนี้ได้ ข้าก็ยังไม่ปักใจเชื่อ..”


 


ขณะเดียวกันเสียงของถังซวนก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง


 


“ข้ากะว่าเมื่อครบ 3 เดือนแล้ว ข้าจะแสร้งทำเป็นประหารชีวิตบุตรีธิดาเทพต่อหน้าเจ้า เพื่อยืนยันข้อสงสัยของข้า…แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าเลือกที่จะเผยตัวออกมาก่อนแบบนี้!”


 


ท้ายประโยค น้ำเสียงของถังซวนก็เปี่ยมล้นไปด้วยโทสะราวกับทนถึงขีดสุดแล้ว!


 


วูบ วูบ


 


ได้ยินคำของถังซวนไม่ว่าจะก่านหรูเยี่ยนหรือเค่อเอ๋อ สีหน้าพวกนางก็เปลี่ยนไปทันที


 


เพราะก่อนหน้านี้พวกนางไม่รู้เรื่องเลยว่าถังซวนได้ประกาศเรื่องประหารต้วนซือหลิง!


 


“ถ้างั้นเรื่องที่เจ้าประกาศว่าจะประหารลูกสาวข้า…ทั้งหมดก็เป็นแค่เหยื่อล่อข้า?”


 


ได้ยินคำของถังซวนต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจเรื่องราวได้ทันที สีหน้าเขาเริ่มมืดลง


 


“ข้าไม่อาจกล่าวว่าวางเหยื่อล่อเจ้าได้เต็มปาก…”


 


ถังซวนเริ่มกล่าวต่อออกมาเสียงเย็น “เพราะข้าเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเจ้าจะใช่บุรุษที่ธิดาเทพพบเจอในภูมิภาคเบื้องล่างหรือไม่ ข้าเพียงอยากทดสอบเจ้าดูเท่านั้น…หากไม่ใช่เจ้าทุกคนย่อมมีความสุขไม่มีใครต้องตายจริง แต่แน่นอนว่าหากเป็นเจ้าจริงๆ ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้พิทักษ์ลัทธิบูชาไฟ ข้าก็ไม่อาจอภัยให้เจ้าได้!!”


 


เสียงกล่าวของถังซวนนั้น เต็มไปด้วยความดุร้ายยืนกราน ราวกับไม่มีที่ว่างให้เจรจา!


 


และต้วนหลิงเทียนก็คือ บุรุษ ที่พวกมันตามหาในภูมิภาคเบื้องล่าง! คนบาปที่พรากความบริสุทธิ์ของธิดาเทพ!!


 


“ท่านจ้าวลัทธิ…”


 


ตอนนี้เองก่านหรูเยี่ยนจ้องไปทางถังซวนด้วยสีหน้าจริงจังกล่าวออกเสียงหนักว่า “ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอย่างไรก็เป็นผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟเรา แถมยังกล่าวได้ว่าเป็นสามีของธิดาเทพไปแล้ว…ในเมื่อข้าวสารเป็นข้าวสุกยากแก้ไขอันใด มิใช่ว่าพวกเราสมควรส่งเสริม ทั้งมอบสิทธิพิเศษงดเว้นกฏบางอย่างหรือไร?”


 


“เพราะแต่ก่อนผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟเรา มิใช่ว่าหากทำผิดอะไร พวกเราก็สามารถเพิกเฉยต่อบทลงโทษได้ไม่ใช่หรือ?”


 


“หากท่านเลือกจะกระทำตามกฏลัทธิบูชาไฟแล้วฆ่าคน…ไม่ใช่ว่าการตายของผู้พิทักษ์หลิงเทียนจักเป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวงของลัทธิบูชาไฟเราหรือ? ท่านทำเช่นนั้นก็มีแต่เรื่องร้ายทั้งสิ้นไม่ได้มีประโยชน์อันใด! แล้วท่านจะลงโทษผู้พิทักษ์หลิงเทียนทำอะไร?”


 


ฟังจากคำของก่านหรูเยี่ยนแล้ว เห็นชัดว่าหมายโน้มน้าวให้ถังซวนปล่อยต้วนหลิงเทียนไป


 


นอกจากนี้จะอย่างไรต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อก็เป็นสามีภรรยากันไปแล้ว ไม่ใช่ว่าสมควรส่งเสริมหรือไร? จะทำเรื่องให้มันใหญ่โตไปกว่านี้ทำไม!


 


“นังหนูหรูเยี่ยน เรื่องนี้เจ้าอย่ายุ่งดีกว่า! หาไม่แล้วต่อให้เจ้าจะเป็นศิษย์ของชิงหั่ว ก็อย่าได้โทษว่าข้าใจร้าย!”


 


ได้ยินคำของก่านหรูเยี่ยน หน้าถังซวนมืดลงทันใดหันไปกล่าวกับนางเสียงเย็นค่อยเบือนหน้าไปทางอื่นลอบเผยความอับจนออกมา


 


หากธิดาเทพของลัทธิบูชาไฟเป็นเพียง ‘สัญลักษณ์’ ความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกาลก่อน และเป็นแค่คนธรรมดาจริง เพื่อเห็นแก่ต้วนหลิงเทียน ไหนเลยลัทธิบูชาไฟจะไม่ส่งเสริม?


 


กระทั่งมันยังจะเป็นพ่อสื่อจับทั้งคู่ตบแต่ง ออกหน้าจัดงานให้ใหญ่โตให้มีหน้ามีตาด้วยตัวเองด้วยซ้ำ!


 


อย่างไรก็ตามธิดาเทพคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา!


 


ความเป็นมาของนางพิเศษนัก!


 


ตัวตนของนางเกี่ยวข้องกับผู้ที่เข้มแข็งปาน ‘เทพเจ้า’ อย่างท่านผู้นั้น!


 


เช่นนั้นมันจึงไม่กล้ายุ่ง!


 


ไม่เพียงแต่ไม่กล้ายุ่ง มันยังต้องจับต้วนหลิงเทียนขังเอาไว้! เพื่อรอให้ท่านผู้นั้นหวนกลับมายังโลกใบนี้อีกครั้ง!!


 


คำที่ถังซวนกล่าวกับก่านหรูเยี่ยนนั้น เผยให้เห็นทีท่าทัศนคติอันแข็งกร้าวทั้งแน่วแน่ที่มีต่อเรื่องระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อนัก


 


เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะปล่อยเรื่องต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อไป!


 


ถึงแม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะถือเป็นเสาหลักคนหนึ่งของลัทธิบูชาไฟก็ตามที!


 


ได้รับทราบทีท่าของถังซวนจากคำที่มันกล่าวกับก่านหรูเยี่ยน กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองยังอดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสี!


 


เขายังคิดอยู่เลย…


 


ว่าหากถังซวนรู้เรื่องนี้แล้ว เขาคิดใช้พลังฝีมือของตัวเองในตอนนี้กระตุ้นความคิดถนอมอัจฉริยะ เพื่อให้ถังซวนเก็บเขาไว้เพื่อสร้างประโยชน์ให้ลัทธิบูชาไฟ…


 


แต่ไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าท่าทีของถังซวนจะเด็ดขาดแบบนี้!


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนทราบว่าไร้หนทางประณีประนอม เช่นนั้นเขาก็ไม่คิดจบเรื่องอย่างสันติวิธีอีกต่อไป


 


‘ดูเหมือนว่าก่อนที่ถังซวนจะฆ่าข้า ข้าทำได้แค่พยายามทำให้มันระแคะระคายเรื่องการคงอยู่ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ก่อนที่จะหาทางให้ผู้เฒ่าหั่วช่วยฆ่ามัน…ไม่งั้นข้าได้ตายแน่! แถมหลังข้าตายเค่อเอ๋อกับลูกก็ไม่มีวันได้อยู่ดี!!’


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีหนทางเลือกอื่นอีกต่อไป


 


เหลือแต่หนทางนี้เท่านั้น


 


ไม่งั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะพลิกสถานการณ์ได้อย่างไร


 


“ผู้เฒ่าหั่ว”


 


เมื่อตัดสินใจแล้วต้วนหลิงเทียนก็ติดต่อผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์ทันที…


 


“เรื่องนี้เสี่ยงเกินไป…คนอย่างมันข้าไม่คิดว่าจะถูกหลอกได้ง่ายๆ”


 


และนี่ก็คือคำตอบของผู้เฒ่าหั่ว


 


“ข้าเองก็รู้ว่าเรื่องนี้เสี่ยงนัก และมันก็ไม่แน่ว่าจะถูกหลอก…แต่ผู้เฒ่าหั่วคิดว่าตอนนี้ข้ายังมีหนทางเลือกอื่นอีกหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามผ่านพลังออกมาด้ววยน้ำเสียงขื่นขม


 


“เจ้าเก็บ ‘กระบี่นิลสวรรค์’ กับ ‘บรรทัดจักรวาล’ กลับมาไว้ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก่อน…ข้าจะลองดูว่าสามารถส่งเจ้าไปยังภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้หรือไม่”


 


เสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นอีกครั้ง และเป็นอะไรที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย


 


ฟังจากที่ผู้เฒ่าหัวบอก…


 


ส่งพวกเขากลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋างั้นเหรอ?


 


“ผู้เฒ่าหั่ว ท่าน…”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดถามอะไรบางอย่าง ผู้เฒ่าหั่วพลันกล่าวขัดออกมาเสียงห้วน “เจ้าไม่ต้องถามให้มากแล้ว! ที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือรีบเก็บกระบี่นิลสววรรค์กับบรรทัดจักรวาลกลับมาไว้ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!”


 


“ได้!”


 


ผู้เฒ่าหั่วนั้นไม่เคยหลอกเขามาก่อน อีกทั้งเขาก็เชื่อใจผู้เฒ่าหั่วมากเป็นทุน


 


ในเมื่อผู้เฒ่าหั่วยืนกรานเรื่องนี้ เช่นนั้นเขาก็ไม่กล่าวถามใดให้มากความ เร่งดำเนินการตามนั้นทันที


 


เพียงห้วงคิดเดียว เขาก็โอนย้ายกระบี่นิลสวรรค์กับบรรทัดจักรวาลที่เก็บไว้ในแหวนพื้นที่ ให้กลับไปอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนย้ายกระบี่นิลสวรรค์กับบรรทัดจักรวาลกลับไปยังเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น


 


ต้วนหลิงเทียนพลันพบว่า


 


เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ แต่เดิมที่ย่นย่อขนาดเท่าเม็ดฝุ่นและเก็บเอาไว้ในหูของเขา พลันเหินลอยออกมาด้วยตัวเองราวกับสูญเสียความควบคุม!


 


‘อะไรกัน! ไม่ใช่ผู้เฒ่าหั่วบอกว่าแม้จะเป็นวิญญาณประจำเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างท่าน แต่ก็ไม่อาจควบคุมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้หรือไร?’


 


เห็นฉากนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสับสน


 


ทันใดนั้นเอง


 


“ต้วนหลิงเทียน!”


 


จ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวน พลันตะคอกออกมาเสียงเย็น ร่างมันไหววูบคล้ายคิดลงมือจับกุมตัวต้วนหลิงเทียน!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 



 


ทว่าห้วงเวลาพริบตาดุจฟ้าแลบก่อนที่ถังซวนจะลงมือทำอะไร! พลันปรากฏเสียงกระบี่พลังสีแดงเลือดควบสร้างจากความว่างเปล่าจำนวนมหาศาล!!


 


และครู่ต่อมากระบี่พลังมหาศาลที่ผุดขึ้นจากความว่างนั้น ก็พุ่งไปเกาะกลุ่มร้อยเรียงเป็นม่านพลังหนึ่ง ครอบคลุมร่างต้วนหลิงเทียน เค่อเอ๋อ ก่านหรูเยี่ยนพร้อมเด็กน้อยในอ้อมแขนเอาไว้!


 


นอกจากนั้นเจดีย์หลิงหลง เองก็ยังอยู่ในม่านพลังดังกล่าว


 


“ผู้ใด!?”


 


สีหน้าถังซวนเปลี่ยนไปทันที เมื่อเห็นว่าอยู่ๆก็อุบัติม่านพลังอันเกิดจากกระบี่พลังที่ผุดจากความว่างแบบนั้น! พลังเซียนต้นกำเนิดของมันถูกเร่งเร้าออกมาสุดตัว! เป็นพลังอำนาจสูงสุดเท่าที่ด่านพลังเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของมันจะใช้ออกได้! ฝ่ามือขยับฉับไวปานฟ้าผ่าตบฟาดพลังมหาศาลขุมหนึ่งออกมาทันที!!


 


“นี่มัน…”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ตกตะลึงไม่น้อย เมื่อเห็นม่านพลังกระบี่ที่อุบัติขึ้นมาอย่างกะทันหัน


 


และในฐานะผู้ฝึกกระบี่ เขาย่อมสัมผัสได้ชัดเจนว่ากลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจากกระบี่พลังแต่ละเล่มที่ร้อยเรียงเป็นม่านพลังตอนนี้มันลึกล้ำเพียงใด! เป็นมรรคากระบี่อันสูงล้ำเหนือกว่ามรรคากระบี่ที่เขาเข้าใจนัก “นะ…นี่คือฝีมือผู้เฒ่าหั่วหรือ?”


 


คว่าก!


 


ทันใดนั้นเสียงบางสิ่งฉีกขาดพลันดึงความสนใจต้วนหลิงเทียนไปทันที


 


และครู่ต่อมาต้นหลิงเทียนก็เห็นว่า


 


ความว่างเปล่าใกล้ๆกับจุดที่เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติลอยอยู่นั้น พลันปรากฏรอยแยกหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งมองผ่านรอยแยกไปก็เห็นแต่ความมืดมิด ไม่ทราบว่ามันจะนำไปสู่อะไรกันแน่


 


และต้วนหลิงเทียนไม่มีเวลาทันได้ตอบสนองสิ่งใด เขาก็พบว่ามีพลังมหาศาลขุมหนึ่งพลักเขา เค่อเอ๋อ ก่านหรูเยี่ยน รวมถึงต้วนซือหลิงให้พุ่งเข้าไปในรอยแยกดังกล่าว!!


ตอนที่ 2,212 : ข้อสันนิษฐานของต้วนหลิงเทียน!


 


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นถูกผลักเข้ารอยแยก พลังฝ่ามือมหาประลัยของจ้าวลัทธิบูชาไฟถังซวน ก็พุ่งมาดั่งฟ้าผ่าฟาดทำลายเข้าม่านพลังสีแดงเลือดที่เกิดจากการถัดทอของกระบี่พลังปริศนาอย่างจัง!!


 


เปรี๊ยงงง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นหล้าอุบัติขึ้น ปรากฏแรงระเบิดน่าพรั่นพรึง ดอกเห็ดหนึ่งเบ่งบานขึ้นเบื้องหน้าม่านพลังดังกล่าว! คลื่นพลังทำลายล้างมหาศาลกระจายออกไปทำลายทุกทิศทาง!!


 


พริบตานั้นลานว่างก็ถูกคลื่นพลังทำลายล้างกวาดซัดจนกลายเป็นซากปรักหักพัง!


 


ไม่เพียงเท่านั้นคลื่นกระแทกจากแรงระเบิดดังกล่าว ยังกำจายออกไปทั่วสารทิศ! ป่นปี้ทำลายสรรสิ่งโดยรอบจนราบพนาสูร!!


 


เรียกว่าในเวลาชั่วพริบตา ลานว่างทั้งคฤหาสน์ครึ่งหนึ่งของถังซวนก็กลายเป็นซากปรักหักพังหาชิ้นดีไม่ได้! ฝุ่นคลีคละคลุ้งตลบไปทั่ว ราวกับโลกาวินาศมาเยือน!!


 


หากแต่ถังซวนไม่ได้แยแสอันใด


 


แน่นอนว่าไม่ได้ไม่แยแส เพียงแต่ตอนนี้มันทุ่มความสนใจไปยังสิ่งอื่น…


 


“อะไรกัน…ปะ…เป็นไปได้อย่างไร?!”


 


ถังซวนตื่นตระหนกแทบตายแล้ว!


 


มันผนึกพลังตบฟาดฝ่ามือทำลายล้างออกไป หมายทำลายม่านพลังสีแดงเลือดนั่นเพื่อตับกุมต้วนหลิงเทียน ทว่าที่แหลกลาญก็มีแต่ความว่างเปล่ากับสรรพสิ่งโดยรอบ! ม่านพลังนั่นไม่แม้แต่จะกระเพื่อมสั่นไหว ราวกับไม่ได้รับความเสียหายใดๆเลย!!


 


ถึงแม้ว่าฝ่ามือเมื่อครู่จะไม่ใช่พลังทั้งหมดของมัน แต่ก็มีอย่างต่ำ 7-8 ส่วน!


 


ทว่าพลังกว่า 7-8 ส่วนของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน กลับไม่ระคายผิวม่านพลังสีแดงนั่นเลย!!


 


ม่านพลังสีแดงที่ถักทอร้อยเรียงจากกระบี่พลังสีเลือดนั่นยังอยู่ดี เปล่งแสงเรืองรองกลางหาว!


 


และด้านในม่านพลังสีแดงเลือดนั้น ตอนนี้พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 รวมถึงรอยแยกที่ฉีกเปิดกลางความว่างเปล่า ก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!


 


ถังซวนย่อมเห็นทุกสิ่งชัดถนัดตา


 


“พลังนั่นมัน…เป็นฝีมือผู้ใดกันแน่!?”


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ถังซวนไม่ได้ให้ความสนใจการหายตัวไปของพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 เลย มันได้แต่เหม่อมองม่านพลังสีแดงที่ก่อตัววขึ้นจากกระบี่พลังสีเลือดนับร้อยพันตาลอย ปากพึมพำกล่าวเสียงเครียดอย่างเหลือเชื่อ


 


ม่านพลังที่ปรากฏอยู่ตรงนั้น คล้ายจะแบ่งแยกโลกออกเป็นสองใบ ราวกับไม่มีทางล่วงล้ำเข้าไปได้เลย!


 


และต่อให้ถังซวนไม่อยากรู้สึก มันก็ยังรู้สึก!


 


ม่านพลังสีแดงที่เกิดจากกระบี่พลังสีเลือดนับร้อยพันนั่น มันเปล่งกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงนัก เป็นกลิ่นอายพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นปานมันจะล้างผลาญได้ทุกสรรพสิ่งในโลก!


 


นอกจากนี้หลังจากซัดพลังไปปะทะมาโดยตรง ถังซวน ย่อมตระหนักดีว่าม่านพลังนั่นทั้งทรงพลังทั้งแข็งแกร่งเพียงใด ดั่งจะได้รับทราบถึงความหมายคำ ‘ไร้เทียมทาน’ อย่างแท้จริง!


 


กล่าวได้ว่า ยอดฝีมือที่ลงมือทำเรื่องนี้ น่ากลัวว่าจะเป็นตัวตนอันทรงพลังเหนือพลังอำนาจของโลกใบนี้ไปแล้ว!


 


เรื่องนี้ถังซวนย่อมบอกได้ชัดเจน…


 


เพราะมันเองก็เคยได้สัมผัสกลิ่นอายพลังที่น่ากลัวแบบนี้มาก่อนเมื่อหลายสิบปีก่อน


 


เป็นพลังของท่านผู้นั้นที่ร้ายกาจปานเทพเจ้า!


 


ถังซวนยังจำได้ดีว่าวันนั้นยามท่านผู้นั้นเผยพลังอำนาจออกมา มันหวาดกลัวเพียงใด ร่างของมันสั่นสะท้านเพียงใด และความรู้สึกหนาวจับใจเป็นเช่นไร..


 


ทันใดนั้นเอง แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ถังซวนกล่าวจบคำ


 


ซัว!


 


ม่านพลังทรงกลมที่อุบัติขึ้นจากกระบี่พลังสีเลือดนับร้อยพันนั่น อยู่ๆก็สลายหายไปในความว่างเปล่า สภาพดั่งหมอกควันต้องลม สาบสูญไปต่อหน้าต่อตาถังซวน!


 


ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน


 


ครู่ต่อมา ก็คงเหลือเพียงถังซวนลอยร่างอยู่ท่ามกลางอากาศเพียงผู้เดียว…


 


นอกจากมันแล้ว ใต้ฝ่าเท้ามันก็คงเหลือแต่ซากปรักหักพัง


 


“ฟืดด…”


 


หลังจากนั้นอยู่นาน ในที่สุดถังซวนก็ฟื้นสติ มันอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


 


การที่ม่านพลังสีแดงเลือดนั่นสลายหายไปต่อหน้าต่อตาอย่างไร้ร่องรอยนั่น…


 


มันไม่อาจรู้ดีไปกว่านี้แล้วว่าหมายถึงอะไร…


 


เพราะนี่หมายความว่า


 


ม่านพลังที่ปรากฏขึ้นจากยอดฝีมือลึกลับผู้นี้ สมควรลำบากเพียงกระดิกนิ้วเท่านั้น ถึงได้ก่อสร้างทั้งรั้งกลับได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!!


 


“ลงมือส่งๆง่ายดายปานกระดิกนิ้ว แต่กลับสร้างม่านพลังอันเข้มแข็งได้ถึงระดับนี้…ตัวตนระดับนี้ต่อให้เป็นบนระนาบเทวโลกก็สมควรไม่ใช่ตัวตนธรรมดา!”


 


ทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ลมหายใจของถังซวนก็เปลี่ยนเป็นถี่รัว จากนั้นพักหนึ่งมันก็ค่อยๆกวาดตามองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง


 


อย่างไรก็ตาม มันมองหาเท่าไหร่ ก็ไม่พบเจอสิ่งใด


 


ณ ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ด้านนอกหมู่บ้านร้างแห้งหนึ่ง…


 


คว่าก!


 


พร้อมๆกันกับที่บังเกิดเสียงบางสิ่งฉีกขาด รอยแยกหนึ่งก็อุบัติขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า แถมรอยแยกนี้ยังฉีกขยายกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีความยาวราว 10 หมี่ค่อยหยุดลง!


 


หลังจากที่มันหยุดขยายตัวแล้ว มันก็เริ่มหดลงอย่างรวดเร็ว


 


เรียกว่าดั่งสปริงคืนตัวก็ไม่ปาน หลังจากยืดออกแล้วก็หดตัวคืนกลับเร็วไว!


 


และในระหว่างที่รอยแยกดังกล่าวเริ่มหดตัวรง ก็ปรากฏร่าง 4 ร่างถูกดีดออกมา เป็นชายหนุ่มในชุดสีม่วงกับสตรีที่มีใบหน้าเหมือนกัน 2 คน ทว่าความรู้สึกที่ให้กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


และในอ้อมแขนของสตรีหนึ่งในนั้น ก็ได้อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยเอาไว้อีกคนหนึ่ง


 


“ผู้เฒ่าหั่ว!!”


 


หลังปรากฏตัวออกมาจากรอยแยก ชายหนุ่มในชุดสีม่วงก็หน้าเปลี่ยนสีไปไม่น้อย ยังร่ำร้องออกมาด้วยความเศร้าโศก!


 


อยู่ๆชายหนุ่มก็ร่ำร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกขนาดนี้ ทำให้สตรีทั้ง 2 ประหลาดใจนัก ทั้งคู่หันไปมองชายหนุ่มชุดม่วงทันที


 


“นายน้อยท่านเป็นอะไรไป…”


 


สตรีที่มีลักษณะอ่อนโยนมองชายหนุ่มชุดม่วงด้วยความวิตกกังวล เสียงที่กล่าวถามยังเต็มไปด้วยความเป็นห่วง


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกสตรีกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง หากแต่ชายหนุ่มชุดม่วงยังแน่นิ่งไม่ตอบสนอง คนยืนแน่นิ่งใบหน้าเผยความเศร้าสลด ร่างยังสั่นเทิ้มระริก ราวกับพบพานความเจ็บปวดถึงขีดสุด


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าเป็นอะไรไป”


 


สตรีที่ให้ความรู้สึกเย็นชาผู้ที่อุ้มเด็กหญิงคนหนึ่งเอาไว้ พลันหันมองถามชายหนุ่มชุดม่วงออกมาด้วยความสงสัย คิ้วงามย่นยู่เป็นปม


 


ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ก็คือต้วนหลิงเทียนนั่นเอง


 


เมื่อครู่นี้เขากับสตรีข้างกายทั้ง 2 รวมถึงเด็กหญิงตัวน้อย ยังอยู่ที่ลัทธิบูชาไฟในภาคตะวันตกของภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…


 


ทว่าตอนนี้เพียงชั่วพริบตา ทั้งหมดก็มาปรากฏกายในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว…


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนสามารถตระหนักได้ทันทีขณะที่เคลื่อนย้ายมาถึง..


 


เขาไม่เพียงแต่ขาดการติดต่อกับผู้เฒ่าหั่วเท่านั้น


 


กระทั่งพันธะเชื่อมต่อระหว่างเขากับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ขาดหายไป!


 


เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น ได้ผูกพันธะนายบ่าวกับเขา ตั้งแต่วันแรกที่มันชำระล้างร่างเขา…เรียกว่าพันธะของมันเหนียวแน่นไม่ต่างใดจากพันธะโลหิต ทว่าตอนนี้กลับหายไปแล้ว!


 


ทันทีที่ตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาเรื่องราวได้ทันที


 


สมควรเป็นผู้เฒ่าหั่วใช้ออกด้วยวิชาต้องห้ามอะไรบางอย่าง ทำลายเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เพื่อใช้พลังจากการทำลายตัวของเจดีย์บังคับฉีกเปิดรอยแยกมิติระที่เชื่อมหว่างภูมิภาคเบื้องบนกับภูมิภาคเบื้องล่าง! และไม่เพียงแต่จะปกป้องพวกเขาจากพลังทำลายของถังซวน ยังส่งพวกเขากลับมายังภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้!!


 


หากไม่ใช่การทำลายเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อสร้างพลังบางอย่าง ไหนเลยเขาถึงได้ขาดการติดต่อกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแบบนี้?


 


“หากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติถูกทำลาย…ผู้เฒ่าหั่วไม่รอดแน่…”


 


ตอนนี้ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสะท้านสะเทือนอย่างหนัก


 


ตั้งแต่ที่ได้รับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติและได้รู้จักกันกับผู้เฒ่าหั่ว อีกฝ่ายคอยช่วยเหลือชี้แนะเขามาโดยตลอด


 


ทว่าตอนนี้เพียงเพื่อปกป้องเขา ผู้เฒ่าหั่วถึงกับสละชีวิตตัวเอง!


 


“ผู้เฒ่าหั่ว!!”


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ร่ำร้องออกมาเสียงหลงด้วยความโศกเศร้า ร่างทิ้งตัวทรุดลงคุกเข่า สองตาพร่ามัวมองฟ้าอย่างเลื่อนลอยเพื่อรำลึกทั้งอาลัยวิญญาณผู้เฒ่าหั่ว…ที่สมควรหวนคืนสู่สวรรค์และโลกไปแล้ว…


 


ถึงแม้ว่าเค่อเอ๋อจะไม่ทราบว่าผู้เฒ่าหั่วที่ต้วนหลิงเทียนเรียกหาเป็นผู้ใด…


 


อย่างไรก็ตามนางสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดทุกข์ใจของบุรุษนางได้ชัดเจน ดังนั้นนางจึงไปคุกเข่าเป็นเพื่อนข้างบุรุษนางอย่างเงียบงัน


 


ก่านหรูเยี่ยนได้แต่ยืนงงด้านข้างด้วยใบหน้าว่างเปล่า


 


นางไม่เพียงแต่สับสนว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้คุกเข่าทั้งเศร้าใจเพียงนั้น ยังไม่เข้าใจอีกด้วยว่าไฉนนางถึงได้มาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้


 


“สถานที่แห่งนี้…หรือจะเป็นภูมิภาคเบื้องล่าง?”


 


ด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินในสวรรค์และโลกของงภูมิภาคเบื้องล่างนั่นเบาบางกว่าภูมิภาคเบื้องบนมาก จึงทำให้ก่านหรูเยี่ยนที่เคยอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างระยะหนึ่งจดจำได้ไม่ยาก


 


“เค่อเอ๋อ…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่คุกเข่าด้วยความโศกศัลย์ ในที่สุดก็กล่าวออกมาเสียงแหบพร่า “ตอนนี้พวกเราได้กลับมายังภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว…และเหตุผลที่ทำไมพวกเราถึงกลับมาภูมิภาคเบื้องล่างจากลัทธิบูชาไฟได้ ทั้งหมดเป็นเพราะผู้เฒ่าหั่วเสียสละตัวเอง…”


 


“สมควรเป็นท่านผู้เฒ่าหั่วเสียสละตัวเองทำลายห้วงมิติ…เพื่อส่งพวกเรากลับมายังภูมิภาคเบื้องล่าง ทำให้พวกเรารอดพ้นเงื้อมมือจ้าวลัทธิบูชาไฟ!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยคไม่เพียงแต่จะโศกเศร้า ต้วนหลิงเทียนยังทุกข์ทรมานใจนัก


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน เค่อเอ๋อก็พอเข้าใจเรื่องราวได้


 


เข้าใจว่าไฉนบุรุษของนางถึงได้คุกเข่าด้วยความเศร้าโศก ทั้งแหงนมองฟ้าอย่างระทมเพียงนั้น


 


ที่แท้ทั้งหมดเป็นเพราะคนที่ช่วยส่งพวกนางกลับมายังภูมิภาคเบื้องล่างอย่างปลอดภัยนามว่าผู้เฒ่าหั่วนั้น ได้ทำการเสียสละตัวเองเพื่อใช้กลวิธีบางอย่าง…


 


“ผู้เฒ่าหั่ว เค่อเอ๋อขอบคุณท่านที่ช่วยนายน้อยกับพวกเรา ขอบคุณท่าน!”


 


หลังจากนั้นเค่อเอ๋อก็โขกศีรษะให้กับความว่างเปล่าเบื้องหน้า 3 ครั้ง เป็นการคารวะจากใจ กล่าวคำขอบคุณด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง


 


ถึงแม้เค่อเอ๋อจะไม่เคยพบเจอคนที่เรียกว่าผู้เฒ่าหั่ว กระทั่งไม่รู้ถึงการคงอยู่ของผู้เฒ่าหั่วมาก่อน แต่การกระทำครั้งนี้ของผู้เฒ่าหั่วทำให้นางซาบซึ้งทั้งตื้นตันใจนัก


 


“ผู้เฒ่าหั่ว?”


 


หลังได้รับทราบเรื่องราวจากบทสนทนา ก่านหรูเยี่ยนก็พอเข้าใจเรื่องราวได้ เร่งคุกเข่าลงคารวะความว่าง 3 ครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง


 


มาตอนนี้ความสงสัยในใจของนางก็ได้รับการคลี่คลายแล้ว..


 


และไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คือภูมิภาคเบื้องล่าง เพราะผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้กล่าวบอกเอาไว้แต่แรก ก่อนที่จะทำการเสียสละตัวเองกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เพื่อช่วยทุกคนให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของจ้าวลัทธิบูชาไฟถังซวน โดยการส่งมายังภูมิภาคเบื้องล่าง


 


ด้วยความรู้ความเข้าใจของต้วนหลิงเทียน ทำให้เขาคิดไปได้แค่สาเหตุนี้เท่านั้น


 


นอกเหนือจากนี้แล้ว เขาไม่อาจคิดคาดจินตนาการถึงความเป็นไปได้อื่นใดอีกเลย


 


เพราะสุดท้ายแล้ว เขาก็ขาดการติดต่อกับผู้เฒ่าหั่ว รวมถึงขาดการเชื่อมต่อจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปพร้อมๆกัน…


 


จากความรู้ของเขา เว้นเสียแต่เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติถูกทำลาย หาไม่แล้วพันธะสัญญาระหว่างเขากับเจดีย์ไฉนถึงขาดสะบั้นลงได้?


 


แต่ความจริงเรื่องราวมันจะเป็นอย่างที่เขาคิดแน่หรือ?


 


……


 


ณ ภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ทางตะวันตกไม่ห่างจากเขตลัทธิบูชาไฟ


 


ปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดสีแดงเลือดนกลอยล่องบนฟ้าสูง เหนือฝ่ามือข้างหนึ่งปรากฏเจดีย์ 7 ชั้นขนาดเล็กลอยล่องอยู่อย่างเงียบงัน


 


หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่เขาต้องทราบได้ทันที


 


ว่าเจดีย์ 7 ชั้นที่แลดูงดงามนี้ไม่ใช่ใดอื่น แต่เป็นเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ที่ขาดการเชื่อมต่อกับเขา!


ตอนที่ 2,213 : โชคชะตามักเล่นตลกกับผู้คน


 


 


“ใต้เท้า ท่านมิคิดไปทักทายมันจริงๆหรือ?”


 


ภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ผู้เฒ่าหั่วยิ้มเจื่อนๆขณะส่งเสียงไปกล่าวถามชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนก


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่ต้วนหลิงเทียนเผชิญหน้ากับถังซวนจ้าวลัทธิบูชาไฟ และกำลังตกอยู่ในอันตราย ชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกคนนี้ก็ได้สั่งให้มันหลอกต้วนหลิงเทียนให้นำยอดสมบัติสวรรค์ทั้ง 2 ชิ้นอย่าง กระบี่นิลสวรรค์ และ บรรทัดจักรวาลกลับเข้ามาเก็บไว้ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ…


 


และเรื่องที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวว่าจะส่งต้วนหลิงเทียนไปยังภูมิภาคเบื้องล่าง ก็เป็นการชี้นำจากชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกผู้นี้เหมือนกัน


 


ผู้ที่สร้างม่านพลังกั้นขวางการโจมตีของถังซวน ทั้งเปิดรอยแยกมิติรวมถึงใช้พลังผลักร่างพวกต้วนหลิงเทียนเข้าไปก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกผู้นี้เหมือนเดิม!


 


ที่สำคัญชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกผู้นี้ ก็เป็นคนที่สะบั้นพันธะระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ! ทำให้ต้วนหลิงเทียนสูญเสียการครอบครองเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไป!!


 


ผู้เฒ่าหั่วสามารถจินตนาการได้เลย


 


หากต้วนหลิงเทียนพบว่าพันธะระหว่างตัวเองกับเจดีย์ขาดสะบั้นลงหลังไปถึงภูมิภาคเบื้องล่าง ไม่ทราบว่าจะคิดไปในแง่ร้ายถึงขนาดไหน…


 


นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้มันกล่าวถามชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกออกมา


 


และชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกผู้นี้ก็คือ วิญญาณกระบี่กวงหลิง! จิตวิญญาณสถิตย์กระบี่ผลาญฟ้าอาสัญ!


 


“ข้ามีแผนของข้า…”


 


ได้ยินเสียงผ่านพลังจากผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์ วิญญาณกระบี่กวงหลิง ตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นร่างก็เหินทะยานขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่จะอันตรธานหายไป


 


ไม่ทราบว่าเวลามันผ่านไปนานเพียงใด หรือเหินร่างขึ้นไปสูงเพียงใด


 


แต่ในที่สุดชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกก็หยุดลง


 


ครู่ต่อมา


 


วู้มมม!


 


วิญญาณกระบี่กวงหลิงโบกมือส่งๆตามอำเภอใจคราหนึ่ง ปรากฏเป็นพลังกระบี่สีเลือดพุ่งทะยานออกมาจากปลายนิ้ว ฉีกทะลวงความว่างเปล่าจนบังเกิดเป็นรอยแยกอันน่ากลัว!


 


เป็นรอยแยกที่เปิดกว้างถึง 10 หมี่ ใหญ่โตจนน่ากลัวราวกับปากของอสูรกายตัวเขื่อง+


 


จากนั้นร่างวิญญาณกระบี่กวงหลิง ก็เหินเข้าสู่รอยแยกกนั่นไปพร้อมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


หลังวิญญาณกระบี่กวงหลิงพร้อมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติจมหายเข้าไปในรอยแยกแล้ว รอยแยกดังกล่าวก็เริ่มปิดตัวลง


 


เพียงชั่วพริบตารอยแยกก็ปิดสนิท คล้ายไม่เคยมีมาก่อน


 


บรรยากาศรอบรอยแยกก็หวนคืนสู่ความปกติ


 


นอกเขตลัทธิบูชาไฟ ห่างออกไปทางฝั่งตะวันออก…


 


เหล่าระดับสูงของลัทธิบูชาไฟพากันเหินร่างกลับมาด้วยสีหน้าหม่นหมอง


 


ระดับสูงของลัทธิบูชาไฟเหล่านี้นำมาโดยรองจ้าวลัทธิบูชาไฟ 2 คน ส่วนที่เหลือก็เป็นผู้อาวุโสเพลิงทอง ที่เป็นจ้าวแท่นบูชาต่างๆรวมถึงชนชั้นรองจ้าวหอคุมกฏ


 


“ให้ตายเถอะ…พวกเรางมหากันอยู่นานแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของพลองธัมมะ…สงสัยในบรรดาท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 4 คงมีคนใดที่พบเจอและเก็บมันไปแล้วแน่ๆ”


 


ทันใดนั้นอาวุโสเพลิงทองคนหนึ่งพลันกล่าวคาดเดาออกมา


“อาจเป็นได้…ท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 4 เร็วกว่าพวกเรามาก และพวกเราก็ไม่พบเจอพวกท่านเลยตลอดทาง…9 ใน 10 ไม่พ้นยอดศาสตราเซียนพลองธัมมะคงตกไปอยู่ในมือท่านใดสักท่านแล้วล่ะ”


 


อาวุโสเพลิงทองอีกคนพยักหน้า กล่าววาจาเห็นด้วยกับอาวุโสคนก่อน


 


“โอย ท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ก็จริงๆเลย เจอพลองธัมมะแล้วก็น่าจะบอกพวกเรากันบ้าง…เงียบไปเช่นนี้พวกเราก็หากันไปเถอะ! วิ่งวุ่นหากันราวตัวโง่งมแต่สุดท้ายก็ไม่เจออะไร…”


 


วาจากล่าวบ่นนี้ของมัน ยังนับว่าโดนใจใครหลายคนๆ


 


กระทั่งรองจ้าวลัทธิทั้ง 2 เองก็เห็นด้วย


 


“แต่ไม่รู้ว่าท่านผู้พิทักษ์คนใดจะโชคดีได้รับพลองธัมมะไป…”


 


หลังเหินร่างกันกลับมาถึงเขตแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว อาวุโสเพลิงทองอีกคนก็ถามเปิดประเด็นขึ้นมา


 


ทันใดนั้น อาวุโสทั้งหลายที่เหินมาตามๆกันก็เริ่มทยอยกันออกความเห็น “ข้าว่าไม่พ้นท่านผู้พิทักษ์สื่อเฟิง!”


 


“นั่นสิ ข้าก็คิดว่าสมควรเป็นท่านผู้พิทักษ์สื่อเฟิง! สุดท้ายแล้วหากไม่นับผู้พิทักษ์หลิงเทียน ในบรรดาคนที่เหลือ ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงก็ร้ายกาจที่สุด พลองธัมมะไม่พ้นอยู่ในมือท่านแล้วล่ะ…”


 


“ข้ากลับไม่คิดแบบนั้นนะ…ถึงแม้ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงจะร้ายกาจที่สุด ทำให้มีความเร็วสูงสุดจึงได้เปรียบผู้อื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้โชคดีพบพลองธัมมะ เพราะอย่างไรของแบบนี้ก็อยู่ที่ว่าใครโชคดีกว่ากัน”


 


“จะว่าแบบนั้นมันก็ใช่”


 


……


 


แม้พวกมันจะคาดว่าพลองธัมมะสมควรอยู่ในมือ 1 ใน 4 ผู้พิทักษ์ แต่ความเป็นจริงพลองธัมมะใช่อยู่ในมือของ 4 ผู้พิทักษ์แน่หรือ?


 


คำตอบก็คือ ไม่ เป็นธรรมดา!


 


ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ที่เร่งรุดเหินร่างออกไปตามหาพลองธัมมะที่หลุดมือเหาฉ่วงไปนั้น แม้จะบินว่อนปูพรมค้นหาอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครพบพลองธัมมะสักคน!


 


พวกมันถึงกับสงสัยกันว่าใช่เหาฉ่วงวกกลับมาเก็บพลองธัมมะกลับไปแต่แรกแล้วหรือไม่…เพราะอย่างไรเหาฉ่วงก็ได้เปรียบตรงที่สามารถระบุตำแหน่งพลองธัมมะได้ชัดเจนจากพันธะสัญญา!


 


สุดท้ายพวกมันก็ได้แต่กลับมามือเปล่า


 


หลังจากที่พวกมันกลับมาถึงเขตแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว พวกมันก็ได้ยินเสียงเหล่าศิษย์พูดคุยกันถึงเรื่องที่มีคนสู้กันใหญ่โตที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์


 


“หือ? มีคนสู้กันในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือ?”


 


พอได้ฟังทั้งหมดก็ชักหน้าเครียด พากันคิดไปว่าไม่พ้นถังซวนที่สู้กันจนลุกลามไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์!


 


ทั้งหมดจึงเร่งรุดเดินทางกกลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่กล้ารอช้า


 


ทว่าหลังมาถึงเกาะหลักแล้ว พวกมันก็พบว่าที่แท้ความเคลื่อนไหวใหญ่โตนั้น เป็นการระเบิดที่บังเกิดขึ้นเหนือฟ้าสูงแค้ครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้ทั้งหมดเหินร่างทะยานฝ่าหมู่เมฆจนมาถึงเกาะสูงสุด


 


“นี่มัน…”


 


พอสายตาทั้ง 4 ตกไปยังเกาะสูงสุด พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


เพราะพวกมันได้เห็นชัดถนัดตา


 


ว่าตอนนี้สถานที่บ่มเพาะของถังซวนนั้นยับเยินปานใด คฤหาสน์หลังใหญ่พังทลายไปกว่าครึ่ง สภาพราวกับถูกคลื่นพลังซัดกวาดอย่างแรง!


 


นอกจากนี้ถังซวน จ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกมัน ก็ลอยร่างแน่นิ่งเหนือฟ้าท่ามกลางซากปรักหักพัง ทีท่าขึงขังแววตาจริงจัง ไม่ทราบครุ่นคิดอันใดอยู่


 


“คารวะท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 4”


 


ตอนนี้เองพลันมีร่างหนึ่งเหินทะยานขึ้นมาป้องมือประสานกล่าวคำทักทายต่อผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ที่กำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น


 


ร่างดังกล่าวก็เป็นผู้อาวุโสเพลิงเงินที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนพื้นที่แถบนี้นั่นเอง


 


“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


 


ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิงมองถามอาวุโสเพลิงเงินผู้มาใหม่ทันที


 


ตอนนี้ไม่ว่าจะมันหรือผู้พิทักษ์คนอื่น ก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้คลุมเครือ


 


เหตุผลที่สถานที่บ่มเพาะของถังซวนพักไปครึ่งแถบแบบนี้ ไม่น่าจะใช่อะไรที่เกิดจากการประมือกับหล่างเชียนจินแน่นอน สมควรลงมือกับคนอื่น!


 


เพราะหากจ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกมันอย่างถังซวน ประมือกับหล่างเชียนจินแถวนี้จริง เกรงว่าคงไม่ใช่ครึ่งคฤหาสน์ที่จะพัง!


 


2 ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน หากปะทะกันขึ้นมา คลื่นพลังสะท้อนทั้งคลื่นกระแทกต้องรุนแรงเหนือจินตนาการ เกรงว่าเกาะทั้งเกาะคงหายไปสิ้น! ไม่น่าพังไปแค่ครึ่งเดียวแบบนี้!!


 


“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น…”


 


อาวุโสเพลิงเงินได้แต่กล่าวตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ข้ารู้เพียงว่า…ไม่นานหลังจากที่ท่านผู้พิทักษ์หลิงเทียนกลับมา ก็เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นที่นี่…พอข้ามาถึงทุกอย่างก็อยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว”


 


“แถมใต้เท้าจ้าวลัทธิเองก็ลอยร่างเหม่อเช่นนั้นมาพักใหญ่…”


 


อาวุโสเพลิงเงินมองไปยังร่างที่ลอยล่องอยู่บนฟ้าเหนือซากปรักหักพัง ถังซวน จ้าวลัทธิบูชาไฟ


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน?”


 


ได้ยินคำของอาวุโสเพลิงเงิน ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 อดขมวดคิ้วไม่ได้


 


หลังจากโบกมือให้อาวุโสเพลิงเงินจากไป ทั้ง 4 ก็เหินร่างเข้าไปหาถังซวนพร้อมๆกัน


 


“ท่านจ้าวลัทธิ…ที่แท้เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?”


 


การมาถึงของผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ทำให้ถังซวนที่อยู่ในอาการเหม่อลอยดึงสติกลับมา ก่อนที่สีหน้าตึงเครียดจะค่อยๆผ่อนคลายลง


 


เพราะก่อนหน้านี้ถังซวนตระหนักได้ว่าสมควรมียอดฝีมือที่ทรงพลังเหนือระนาบโลกียะมาช่วยพวกต้วนหลิงเทียนไป และไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะยังซ่อนตัวอยู่ ทำให้มันได้แต่เร่งเร้าสำนึกเทวะระวังตัว ไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า


 


แต่หลังจากมันลอยร่างแน่นิ่งมาพักใหญ่ แต่ยังไร้ความเคลื่อนไหวอะไร


 


กอปรด้วยเห็นว่าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 กลับมาแล้ว มันก็พอได้โล่งใจลง และตระหนักได้ว่า 9 ใน 10 ยอดฝีมือผู้นั้นสมควรจากไปแล้วจริงๆ…


 


“ไม่มีอะไรหรอก…”


 


ถังซวนส่ายหน้าไปมา เมื่อถูกผู้พิทักษ์ทั้ง 4 มองถาม


 


ไม่ใช่ว่ามันคิดจะปกปิด เพียงแต่มันไม่รู้ว่าจะเล่าอย่างไรดี..


 


เพราะสุดท้ายแล้วหากไม่ได้มาเห็นกับตา คงไม่มีใครเชื่อได้ลงคอว่าในระนาบโลกียะแห่งนี้จะมีตัวตนที่ทรงพลังถึงขนาดนั้นดำรงอยู่


 


“ว่าแต่…พวกเจ้าพึ่งกลับมาหรือ?”


 


ครู่ต่อมาถังซวนก็พบว่าสารูปของผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ค่อนข้างอิดโรยอยู่บ้าง ราวกับพึ่งกลับมาจากการเดินทางไกล


 


“ค่ะ ท่านจ้าว”


 


ผู้พิทักษ์หงอวิ๋นกล่าวตอบออกมาก่อนใคร ต่อมาก็เริ่มเล่าเรื่องราวด้วยรอยยิ้มขื่นขม “พวกเรามัวแต่ไปตามหายอดศาสตราเซียนอย่างพลองธัมมะกันอยู่ จึงกลับมาช้า…”


 


“หืม? ยอดศาสตราเซียน พลองธัมมะ รึ?”


 


ลูกตาถังซวนทอประกายจ้าขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินหงอวิ๋นกล่าวถึงพลองธัมมะ “แล้วนี่พวกเจ้าไปได้ข่าวของพลองธัมมะมาจากที่ใด?”


 


“ไม่ใช่ข่าวจากที่ใดหรอกท่านจ้าว…แต่พลองธัมมะนั่นมันอยู่ในมือเหาฉ่วง”


 


หลังจากนั้นเหล่าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ก็เริ่มผลัดกันพูด ค่อยๆเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ถังซวนฟัง


 


ในบรรดาเรื่องเล่านั้นแน่นอนว่าย่อมมีเรื่องเหาฉ่วง ที่ปรากฏตัวในฐานะผู้ช่วยของลัทธิอารามทมิฬ


 


นอกจากนั้นยังรวมไปถึงกระบวนท่าไม้ตายของต้วนหลิงเทียน ที่สามารถสยบเหาฉ่วงได้ในกระบี่เดียว…


 


พวกมันกล่าวเล่าทุกอย่างที่เห็นมาให้ถังซวนฟังอย่างไม่มีตกหล่น


 


พอได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถังซวน ที่อึ้งไปขณะฟังเรื่องราวก็ดึงสติกลับมา พร้อมกล่าวออกด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “เจ้านั่น…ถึงขั้นเอาชนะเหาฉ่วงได้ในกระบวนท่าเดียวเลยหรือ?!”


 


สีหน้าถังซวนยิ่งมายิ่งเผยความซับซ้อน


 


หากไม่มี ‘ภัยคุกคาม’ จากยอดฝีมือที่แข็งแกร่งปานเทพเจ้าอย่าง ‘ท่านผู้นั้น’ ยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอย่างต้วนหลิงเทียน ไม่พ้นเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สำคัญที่สุดของลัทธิบูชาไฟ!


 


กำลังรบโดยรวมของลัทธิบูชาไฟจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล หากในลัทธิบูชาไฟมีผู้พิทักษ์หลิงเทียนอยู่ด้วย!


 


“โชคชะตานับว่าเล่นตลกกับผู้คนนัก…”


 


ถังซวนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงต้วนหลิงเทียน ที่ถูกยอดคนไม่ทราบที่มาช่วยเหลือจนหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย มันทำได้แค่ระบายลมหายใจหนักอึ้งออกมาอย่างทอดถอนเท่านั้น


 


“ท่านจ้าวลัทธิ…”


 


เห็นสีหน้าท่าทีดังกล่าวของถังซวน ทำให้เหล่าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 พากันแปลกใจสงสัย


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน ที่แท้เป็นคนบาปที่ธิดาเทพพบเจอในภูมิภาคเบื้องล่าง…ลูกสาวของธิดาเทพ ก็เป็นลูกสาวของมัน”


 


ถังซวนกล่าวออกเสียงหนัก


 


ได้ยินวาจานี้ของถังซวนเหล่าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ถึงกับตกตะลึงไปทันใด


 


ผู้พิทักษ์หลิงเทียนน่ะหรือ…คนบาปในภูมิภาคเบื้องล่างที่มีสัมพันธ์กับธิดาเทพ?


 


“นี่…เรื่องนี้…”


 


หลังดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว สีหน้าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ก็แลดูเหรอหรานัก


ตอนที่ 2,214 : กลับตำหนักเมฆาคราม!


 


 


 


หลังจากกล่าวถามย้ำอยู่หลายรอบ แม้ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ของลัทธิบูชาไฟไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้แค่ไหน พวกมันก็จำต้องเชื่อเรื่องที่ ถังซวน จ้าวลัทธิบูชาไฟบอก…


 


“ท่านจ้าวลัทธิ…”


 


หลังได้ยืนยันเรื่องราวจากจ้าวลัทธิแล้ว สื่อเฟิง ก็มองกล่าวกับถังซวนทันที น้ำเสียงยังจริงจังไม่น้อย “ถึงแม้การกระทำของผู้พิทักษ์หลิงเทียนจะนับว่าละเมิดกฏของลัทธิบูชาไฟเรา และยากจะอภัยให้ได้…ทว่าสำหรับลัทธิบูชาไฟแล้ว คนอยู่ยังดีกว่าเสียไปอย่างยิ่ง…”


 


“ไม่ต้องกล่าวใดให้มากอาศัยแค่พลังฝีมือของผู้พิทักษ์หลิงเทียนตอนนี้ แม้จะมองไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็นับว่าหาตัวจับได้ยากยิ่ง! หากมีผู้พิทักษ์หลิงเทียนอยู่ ลัทธิบูชาไฟของพวกเราย่อมแข็งแกร่งขึ้นหลายส่วน!”


 


เมื่อผู้พิทักษ์สื่อเฟิงกล่าวจบ ผู้พิทักษ์อีก 3 คนก็เร่งกล่าวเสริมทันที


 


“ถูกแล้วท่านจ้าวลัทธิ ถึงแม้ลัทธิบูชาไฟของพวกเราจะมีกฏสำหรับเรื่องนี้เข้มงวดนัก แต่ในฐานะผู้พิทักษ์ ย่อมมีสิทธิพิเศษในการเพิกเฉยกฏได้…ข้าคิดว่าเรื่องนี้พวกเราไม่จำเป็นต้องลงโทษผู้พิทักษ์หลิงเทียนเพราะล่วงละเมิดธิดาเทพหรอก”


 


“เรื่องสัมพันธ์ของผู้พิทักษ์หลิงเทียนกับธิดาเทพนั้น แม้จะขัดต่อกฏและจารีตของพวกเรา แต่กล่าวไปก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี ไฉนพวกเราไม่เปิดกว้างเล่า? หากพวกเราเปลี่ยนให้มันกลายเป็นเรื่องมงคลแทนเสีย ครั้งนี้เผลอๆลัทธิบูชาไฟเราอาจมีงานมงคลครั้งใหญ่อย่างที่ยากจะพบพานในประวัติศาสตร์! สามารถร่ำลือกันไปอีกยาวนาน!!”


 


“ใช่แล้วท่านจ้าวลัทธิ เรื่องนี้ไม่เพียงทำให้ผู้พิทักษ์หลิงเทียนหยั่งรากลึงลงในลัทธิบูชาไฟเรามากขึ้น พวกเรายังได้ธิดาเทพที่มากพรสวรรค์กลับมาอีกคน…”


 


“ที่สำคัญเลยที่สุดก็คือ ผู้พิทักษ์หลิงเทียนมีตราผนึกมารอยู่ในมือ ยามกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจบุกขึ้นมา พวกเราลัทธิบูชาไฟย่อมสามารถใช้ประโยชน์จากตราผนึกมารสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่ต่อมวลมนุษย์ชาติ!”


 



 


เห็นได้ชัดเจนว่าความเห็นของผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ที่มีต่อเรื่องราวระหว่างต้วนหลิงเทียนกับธิดาเทพนั้นเป็นเอกฉันท์นัก…ไม่ลงโทษ! ยังจะจัดงานแต่งให้ยิ่งใหญ่อีกด้วย!!


 


“ฮึ่ม! ถึงตอนนี้ข้าจะเปลี่ยนใจจัดงานแต่งให้พวกมัน ก็ทำไม่ได้แล้ว!”


 


หลังได้ยินวาจาโน้มน้าวของผู้พิทักษ์ทั้ง 4 จนเคลิ้มไปพักหนึ่ง พอถังซวนตระหนักได้ว่าตอนนี้เรื่องราวเป็นอย่างไร ก็ได้แต่ตะคอกออกมาเสียงเย็น


 


“หือ?!”


 


ได้ยินคำตะคอกด้วยความไม่พอใจของถังซวน ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ก็งุนงงไม่เข้าใจนัก ว่าไฉนถังซวนถึงหัวเสียกล่าวตะคอกออกมาแบบนั้น


 


“หากข้าเดาไม่ผิด…ตอนนี้ผู้พิทักษ์หลิงเทียนกับธิดาเทพ สมควรย้อนกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว”


 


ถังซวนกล่าวต่อออกมาเสียงหนัก


 


และสาเหตุที่มันคิดแบบนี้ เพราะมีความเป็นไปได้แค่ทางเดียวเท่านั้น


 


รอยแยกมิติที่เปิดขึ้นภายในม่านพลังสีแดงเลือดนั่น เห็นได้ชัดว่าถูกกระบี่พลังสีแดงเลือดเล่มหนึ่งฉีกเปิดออก แน่นอนว่าไม่ใช่อะไรที่เหมือนกันกับระนาบเทียมที่เหลือทิ้งไว้ด้วยยอดคนครึ่งก้าวเซียนอมตะ


 


หากเป็นระนาบเทียมที่เหลือไว้ด้วยฝีมือยอดคนครึ่งก้าวเซียนอมตะจริง ไฉนมันจะไม่รู้ว่ามีอยู่?


 


เพราะสุดท้ายแล้วที่นี่ก็คือสถานที่บ่มเพาะของมัน!


 


เช่นนั้นมันจึงคาดเดาไปว่า


 


ต้วนหลิงเทียน ธิดาเทพ ก่านหรูเยี่ยนรวมถึงลูกสาวของต้วนหลิงเทียนกับธิดาเทพ ไม่พ้นต้องข้ามรอยแยกมิตินั่นกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่างแล้วแน่นอน


 


“ภูมิภาคเบื้องล่าง?”


 


ได้ยินคำของถังซวน ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ได้แต่งุนงงสงสัยอีกครั้ง


 


ในเวลาเดียวกันนั้น


 


ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ด้านนอกหมู่บ้านร้าง ต้วนหลิงเทียนที่คุกเข่าอยู่ ในที่สุดก็ลุกขึ้นมา


 


ขณะที่ลุกขึ้น ต้วนหลิงเทียนยังประคองเค่อเอ๋อที่คุกเข่าอยู่ข้างๆให้ลุกขึ้นมาด้วย


 


“ผู้เฒ่าหั่ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่กุมมือเค่อเอ๋อไว้ หันไปมองฟ้าเวิ้งว้าง กล่าวพึมพำเบาๆ “ขอท่านอย่าได้กังวล หนึ่งชีวิตของข้าต้วนหลิงเทียนที่ท่านสละตัวช่วยเหลือมา…ข้าจะทะนุถนอมหวงแหนมันให้มากที่สุด!”


 


กล่าวจบคำต้วนหลิงเทียนก็โค้งคำนับให้ฟ้าว่างอีกครั้ง


 


เค่อเอ๋อเองก็โค้งตาม


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้แต่คิดไปว่าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไม่พ้นถูกทำลายไปแล้ว และผู้เฒ่าหั่วที่อยู่ด้านในก็คงยากจะรอดชีวิตไปได้…


 


แต่เขาไม่อาจคิดฝัน


 


ไม่เพียงแต่ผู้เฒ่าหั่วจะยังไม่ตายเท่านั้น เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติยังอยู่ดี ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน!


 


พันธะระหว่างเขากับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เพียงถูกตัวตนอันทรงพลังจากระนาบเทวโลกผู้หนึ่งตัดสะบั้นไปเท่านั้น!


 


ตัวตนอันทรงพลังที่มีความสามารถท่องทะลวงไปในห้วงมิติผู้นั้น ลำบากเพียงห้วงคิดก็สามารถทำลายพันธะสัญญาระหว่างเขากับเจดีย์ลงได้ง่ายๆ!


 


และตอนนี้เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติรวมถึงผู้เฒ่าหั่ว ก็ถูกตัวตนอันทรงพลังผู้นั้นนำกลับไปยังระนาบเทวโลกเรียบร้อยแล้ว


 


“นี่ พวกเราก็อยู่ที่นี่มาสักพักแล้วนะ…”


 


ตอนนี้เองก่านหรูเยี่ยน ที่ยืนอยู่ไม่ไกลต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าว “ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนกันดี ข้าเกรงว่าสถานการณ์ในภูมิภาคเบื้องล่างก็ไม่น่าจะสงบสักเท่าใด…”


 


นางเองก็ได้ยินข่าวที่ต้วนหลิงเทียนเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชนที่นครแห่งบาปดี จึงรู้ว่าตอนนี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศ ได้ทำลายม่านพลังฉาบกั้นช่องว่างของกำแพงมิติกั้นแดน และบุกรุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้แล้ว


 


“กลับไปตำหนักเมฆาครามกันก่อน”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบออกมาทันทีหลังได้ยินคำถามของก่านหรูเยี่ยน


 


หากจะบอกว่า…ก่อนหน้านี้ก่านหรูเยี่ยนเพียงรู้ว่าตำหนักเมฆาครามเป็นเพียงขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในภูมิภาคเบื้องล่างเท่านั้น ส่วนเค่อเอ๋อก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับตำหนักเมฆาครามเลย…


 


แถมทั้งคู่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้วนหลิงเทียนเป็นนายน้อยของตำหนักเมฆาครามล่ะก็…


 


ต่อมาหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนมีชื่อเสียงเลื่องลือในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เรียกว่าประวัติความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนก็ได้ถูกผู้คนขุดคุ้ยจนละเอียดยิบ!


 


ทำให้ตอนนี้ก่านหรูเยี่ยนกับเค่อเอ๋อได้รับทราบตัวตนและฐานะของต้วนหลิงเทียนในภูมิภาคเบื้องล่างกระจ่างชัด!


 


“นายน้อย…ในเมื่อท่านเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม เช่นนั้นท่านป้าหลัวก็อยู่ที่ตำหนักเมฆาครามด้วยหรือ?”


 


เค่อเอ๋อมองถามต้วนหลิงเทียน


 


ขณะเดียวกันแววตาของนางก็ฉายชัดออกมกาถึงความกังวล


 


ในใจของนางยึดถือป้าหลัวเป็นดั่งมารดาแท้ๆมานานแล้ว


 


“ก่อนหน้านี้ใช่ แต่ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา แววตายังฉายชัดถึงความกังวลอย่างไม่รู้ตัว


 


เพราะสุดท้ายแล้วเขาเองก็พึ่งได้ย้อนกลับมายังภูมิภาคเบื้องล่าง หลังจากได้รับทราบข่าวเรื่องเผ่าพันธุ์ปีศาจบุกเข้ามา…


 


สำหรับสถานการณ์ความเป็นไปของภูมิภาคเบื้องล่างตอนนี้ เขาไม่รู้เลย…


 


อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่เขารู้…


 


ต่อหน้ายอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เกรงว่าคนของภูมิภาคเบื้องล่างไม่มีแม้แต่หนทางจะต่อต้าน!


 


ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ยังอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่าง ก็คือผู้ฝึกตนที่พลังฝึกปรือยังต่ำกว่าขอบเขตเซียนนภาทั้งสิ้น


 


ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งทั้งแดนดิน แทบจะไปกระจุกอยู่ในภูมิภาคเบื้องบนกันหมด!


 


“หมู่บ้านนี้มัน…”


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนลองตรวจสอบหมู่บ้านร้างเบื้องล่างดู เขาก็พบว่าทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยซากศพแห้งกรัง


 


ซากศพเหล่านี้สภาพของมันราวกับถูกดูดกลืนทุกสิ่งจนแห้งเหือด


 


“นี่น่ะเหรอการลงมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศ…”


 


ได้เห็นซากศพที่แห้งกรังเหล่านี้ ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสั่นไหว “ช่างอำมหิตนัก…”


 


ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินกลวิธีการลงมือของเหล่าปีศาจมาบ้างแล้ว..


 


ตอนนี้พึ่งจะมาได้เห็นกับตาตัวเอง


 


วิธีการลงมือของพวกมันแทบจะไม่ต่างใดจากวิธีการลงมือของผู้ฝึกมารชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรมที่เขาเคยได้ยินมาก่อนจะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน


 


พวกมันจะดูดกลืน แก่นแท้ ปราณโลหิต พลังชีวิตทั้งหมดของผู้คนจนแห้งเหือด เพื่อใช้ในการเพิ่มพูนพลังความแข็งแกร่งของตัวเอง


 


ขณะเดียวกันด้านเค่อเอ๋อกับก่านหรูเยี่ยนก็เริ่มสำรวจเรื่องราวโดยรอบเหมือนต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะพบเจอซากศพแห้งเหี่ยวไปทุกทั่วหัวระแหง คนในหมู่บ้านทั้งหมดตกตายในสภาพน่าอนาถดุจเดียวกัน


 


“นายน้อย นี่มัน…”


 


เค่อเอ๋อหลับตาลงเพราะไม่อาจทนมองได้ไหว เสียงกล่าวยังสั่นไปไม่น้อย


 


“ไม่ผิดแน่ คนในหมู่บ้านแห่งนี้สมควรถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศฆ่า…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงหนัก


 


“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้คนกล่าวกันว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจโหดเหี้ยมไร้มนุษย์ธรรม…พอข้ามาได้เห็นวันนี้ นับว่าพวกมันชั่วสมคำร่ำลือจริงๆ…”


 


ใบหน้าก่านหรูเยี่ยนเองก็เหยเกไปไม่น้อย


 


เพราะสุดท้ายแล้วซากศพผู้คนที่นอนตายอยู่เหล่านี้  ก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับนาง


 


“อย่าพึ่งปลุกซือหลิง…พวกเรากลับไปตำหนักเมฆาครามกันก่อน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำก็วูบร่างไปหาก่านหรูเยี่ยน


 


ไม่ทันกล่าวบอกอะไรก่านหรูเยี่ยน เขาก็คว้าตัวต้วนซือหลิงที่ก่านหรูเยี่ยนอุ้มอยู่ เอามาอุ้มไว้ด้วยตัวเอง


 


แต่ต้องกล่าวเลยว่า


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะลงมือฉับไว หากทว่าความเคลื่อนไหวนั้นช่างอ่อนโยนแผ่วเบาดั่งเมฆเคลื่อนน้ำไหล ไม่ได้ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยตื่นขึ้นมาแต่อย่างไร


 


“เจ้า…”


 


เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนได้ชิงหลานสาวออกไปจากอกโดยไม่บอกสักคำ ก่านหรูเยี่ยนย่อมรู้สึกไม่พอใจทั้งมีโมโหเล็กน้อย


 


อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปยังต้วนหลิงเทียน และพบว่าอีกฝ่ายกำลังอุ้มทั้งมองเด็กหญิงด้วยสายตาอ่อนโยน ความไม่พอใจและความโกรธเล็กๆของนางก็หายสาบสูญไปทันที


 


ตอนนี้นางพึ่งนึกได้ว่า


 


ชายผู้นี้ก็คือบิดาของหลานสาวนาง


 


เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วตั้งแต่หลานนางถือกำเนิดออกมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวได้พบกัน


 


พอลองแทนตัวววเองในมุมมองของต้วนหลิงเทียน นางก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรอีกต่อไป


 


“เค่อเอ๋อ…ที่ผ่านมา ลำบากเจ้าแล้ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่อุ้มลุกสาวไว้วงแขนข้างหนึ่ง เดินเข้าไปหาเค่อเอ๋อก่อนที่จะกุมมือนางเอาไว้แน่น กล่าวออกเสียงเบา


 


“ไม่…ไม่ลำบากอันใด…นายน้อย…ข้าไม่ลำบากเลย”


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน เค่อเอ๋ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตันในใจ หยาดน้ำตาเริ่มเอ่อคลอท่วมตากลมที่งามดั่งสารทของนาง


 


“จากนี้ไป…อย่าได้เรียกข้าว่านายน้อยอีกเลย…”


 


ต้วนหลิงเทียนปล่อยมือที่กุมมือเค่อเอ๋อไว้ กก่อนีท่จะรั้งนางเข้ามาในอ้อมอก ค่อยฝังใบหน้าลงเรือนผมของนาง


 


“ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าไม่อยากได้ยินเจ้าเรียกแบบนั้นอีกแล้ว…ข้าหวังว่าจะได้ยินเจ้าเรียกข้าว่านายน้อยแบบเมื่อครู่เป็นครั้งสุดท้าย…”


 


วาจาประโยคท้ายของต้วนหลิงเทียนคราวนี้ เต็มไปด้วยน้ำเสียงดุแกมสั่งมากอำนาจ ไม่เปิดช่องให้โต้แย้งแม้แต่น้อย!


 


ครั้งนี้ไม่ทำเสียงดุบ้างไม่ได้!


 


แต่ก่อนเขาเคยบอกเค่อเอ๋อไปหลายรอบแล้วว่าให้เลิกเรียกเขาว่านายน้อยเสียที แต่นางก็ไม่ชินและเผลอกลับมาเรียกแบบเดิมทุกครั้ง!


 


ก็ใช่ที่ว่ามีเหตุผลที่ทำให้เค่อเอ๋อชินกับการเรียกแบบนั้น


 


อย่างไรก็ตามตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาไม่อยากได้ยินเค่อเอ๋อเรียกเขาแบบนั้นอีกแล้ว


 


เขาไม่ใช่เจ้านาย และนางไม่ใช่ข้ารับใช้!


 


เขาเป็นสามีของนาง!


 


“เจ้าค่ะ…”


 


ได้ยินต้วนหลิงเทียนเรียกนางว่า ภรรยา ร่างบางเค่อเอ๋อสะท้านไปทันที หยาดน้ำตาแห่งความปิติหลั่งรินลงมารดแก้มสองสาย นางพยักหน้ารับอย่างเชื้อฟัง กล่าวตอบเสียงเบาด้วยสองแก้มแดงระเรือ “จากนี้ไป…ข้าจักเรียกท่านว่าพี่เทียน…”


 


“ดี…!”


 


ได้ยินคำของเค่อเอ๋อ รอยยิ้มอบอุ่นพลันคลี่กางบนใบหน้าต้วนหลิงเทียนทันที ขณะเดียวกันเขาก็กระชับวงแขนกอดเค่อเอ๋อให้แนบแน่นมากขึ้น


 


ก่านหรูเยี่ยนที่ยืนอยู่ไม่ไกล เมื่อได้เห็นภาพครอบครัวอบอุ่นกอดกัน 3 คน รอยยิ้มยินดีพลันคลี่กางขึ้นมาบนใบหน้าเย็นชาเช่นกัน


 


นางย่อมมีความสุขกับน้องสาวฝาแฝดของนาง


 ตอนที่ 2,215 : ตำหนักเมฆาครามหายไปแล้ว!


 


 


หลังกอดกับภรรยาอย่างเค่อเอ๋อพร้อมอุ้มลูกน้อยไว้ด้วยความอบอุ่นพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็พาทุกคนรวมถึงก่านหรูเยี่ยนมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งตำหนักเมฆาคราม


 


ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้กลับมายังภูมิภาคเบื้องล่างด้วยมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค แต่ขอเพียงเขายืนยันตำแหน่งของตัวเองได้ เขาย่อมหาทิศทางที่ตั้งตำหนักเมฆาครามได้ไม่ยาก


 


เค่อเอ๋อกับก่านหรูเยี่ยนแน่นอนว่าก็ถูกเขาใช้พลังหอบหิ้วเดินทาง


 


ด้วยด่านพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนของเขา หลังเสริมด้วยปฐมเวทย์กลืนกิน และใช้ออกด้วยเวทย์พลังปีกอีกาทองคำ เกรงว่าคงไม่มีเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนคนไหนเทียบเขาได้ในแง่ของความเร็ว!


 


เรียกว่า…


 


หากจะวัดกันในเรื่องความเร็วแล้ว ตัวตนใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนไม่มีใครไล่ตามเขาได้ทัน!


 


เช่นนั้นใช้เวลาเพียงไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็พาทั้งหมดมาถึงตำแหน่งที่ตั้งตำหนักเมฆาครามในความทรงจำของเขา


 


ในความทรงจำของต้วนหลิงเทียน ตำหนักเมฆาครามนั้นลอยล่องอยู่เหนือฟ้าสูงของกึ่งกลางทะเลสบายสงบหนึ่ง อันเรียกว่าทะเลสาบผานหลง


 


ทว่าตอนนี้…


 


“ทะเลสาบผานหลงมันหายไปไหน…?”


(ผานหลง = มังกรขนด)


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อมองไปยังที่ราบลุ่มอันไร้สิ้นสุดเบื้องหน้า…


 


เขามันใจเป็นอย่างยิ่ง


 


ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ตั้งทะเลสาบผานหลงของตำหนักเมฆาคราม!


 


แต่ตอนนี้ไฉนที่ทางกลับเปลี่ยนไป!?


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


ทันใดนั้น พลัยแว่วเสียงแหวกอากาศดังมาแต่ไกล ดึงความสนใจจากต้วนหลิงเทียนที่กำลังครุ่นคิดไปทันที


 


พอต้วนหลิงเทียนหันไปมองต้นเสียง


 


เขาก็พบร่าง 2 ร่างกำลังเหินมาจากสุดฟ้าไกลตา ประมาณความเร็วจากสายตาแล้ว…อย่างน้อยๆทั้งคู่ก็เป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์!


 


มองปราดเดียวเขาเพียงเห็นว่าผู้ที่มาเป็นชายวัยกลางคนกับชายหนุ่มธรรมดาๆเท่านั้น


 


ทว่าเมื่อสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนแผ่ออกไปตรวจสอบร่างกายของผู้มาอย่างเงียบงันโดยที่อีกฝ่ายไม่อาจรู้ตัว เขาก็พบความผิดปกติทันที!


 


“ทั้งเข้มข้นทั้งบริสุทธิ์นัก! ปราณมารนี่มัน…พวกปีศาจจากแดนเนรเทศไม่ผิดแน่!”


 


เรียกว่าต้วนหลิงเทียนคาดเดาฐานะผู้มาใหม่ได้ทันที


 


อีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์เหมือนเขา! แต่สมควรเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่จำแลงกายเป็นมนุษย์!!


 


“ลองตามพวกมันไปดูก่อนแล้วกัน”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอยากรู้ไม่น้อยว่าไฉนทะเลสาบผานหลงของตำหนักเมฆาครามถึงหายไป แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ เขาที่อุ้มลูกน้อยทั้งใช้พลังหอบหิ้วเค่อเอ๋อกับก่านหรูเยี่ยนอยู่ ก็พาทั้งหมดวูบร่างติดตามคน 2 คนที่กำลังเหินร่างผ่านมาทันที!


 


จะเรียก ‘คน’ ก็ไม่ค่อยถูกนัก เพราะนั่นคือปีศาจที่จำแลงกายเป็นมนุษย์!


 


ที่ไฉนต้วนหลิงเทียนเลือกจะตามพวกมันไปนั้น เหตุเพราะทิศทางที่ทั้งคู่มุ่งหน้าไป ก็เป็นทิศทางที่ตั้งตำหนักเมฆาครามพอดี!


 


“พี่เทียน…มีอันใดหรือ?”


 


ระหว่างเดินทาง เค่อเอ๋อที่สังเกตเห็นความผิดปกติจากน้ำเสียงทั้งทีท่าของต้วนหลิงเทียนก่อนหน้าก็อดถามออกมาไม่ได้


 


“สามีของเจ้ามันคงกำลังสงสัยอยู่น่ะสิ ว่าไฉนทะเลสาบผานหลงของตำหนักเมฆาครามถึงหายไป…”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ทันได้ตอบอะไร ก็เป็นก่านหรูเยี่ยนพูดออกมาก่อน “แต่ก่อนตอนที่ข้าอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่าง ข้าก็เคยผ่านมาแถวๆตำหนักเมฆาคราม 2-3 ครั้ง…เบื้องล่างตำหนักเมฆาครามหรือบริเวณที่พวกเราอยู่ตอนนี้ ปกติแล้วมันสมควรมีทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เรียกว่าทะเลสาบผานหลงอยู่”


 


ขณะพูดคิ้วก่านหรูเยี่ยนก็ขมวดยู่เป็นปม


 


“ตอนนี้กลายเป็นที่ราบลุ่มไปแล้วแบบนี้ ก็คงไม่พ้นถูกพวกปีศาจกลบถมแน่นอน…”


 


ครู่ต่อมาคิ้วที่ย่นยู่ของก่านหรูเยี่ยนก็ค่อยๆคลายตัว นางพอจะเดาสาเหตุได้


 


“ตำหนักเมฆาครามไม่อยู่แล้ว…”


 


หลังเหินร่างตามสองคนมาพักหนึ่ง เขาที่คำนวณระยะคร่าวๆได้ก็ลองแหงนขึ้นไปมองบนฟ้า แต่พบว่าเกาะลอยขนาดใหญ่ ที่สมควรมีตำหนักหลักของตำหนักเมฆาครามตั้งอยู่…กลับไม่อยู่เสียแล้ว! คงเหลือแต่ฟ้าสีครามกับเมฆลอยเอื่อย!!


 


ทันใดนั้นสีหน้าต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งมืดมนลงทันที


 


ตำหนักหลักของตำหนักเมฆาครามไม่ใช่เป็นดั่งจุดศูนย์กลางของตำหนักเมฆาครามเท่านั้น แต่ยังมีครอบครัวทั้งมิตรสหายของเขาอาศัยอยู่อีกด้วย!


 


ทว่ากลับมายังภูมิภาคเบื้องล่างครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทะเลสาบผานหลงจะหายไป กระทั่งเกาะลอยทั้งหมดของตำหนักเมฆาครามยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย…


 


“ท่านพ่อท่านแม่ เสี่ยวเฟย เนี่ยนเอ๋อ…ลุงเฟิ่ง ศิษย์พี่…”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึง บิดามารดา ลี่เฟย ต้วนเนี่ยนเทียน เฟิ่งหวู่เต้า ป๋ายลี่หงรวมถึงคนอื่นๆขึ้นมา


 


ตำหนักเมฆาครามหายไปแบบนี้…แล้วทุกคนเล่า? ใช่ยังปลอดภัยกันอยู่หรือไม่?!


 


นี่คือเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกำลังกังวลอย่างหนัก!


 


“นี่…มีเมืองอยู่ด้านหน้า!”


 


ทันใดนั้นเสียงก่านหรูเยี่ยนพลันดังขึ้น ปลุกต้วนหลิงเทียนที่กำลังเหม่อเพราะความกังวลให้ตื่นขึ้นมาทันที


 


พอรู้สึกตัวต้วนหลิงเทียนก็เร่งหันมองไปเบื้องหน้าตามคำของก่านหรูเยี่ยนอย่างไม่รอช้า


 


เบื้องหน้าไกลตา ปรากฏเป็นเมืองขนาดใหญ่โตกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่สุดไพศาล! สิ่งปลูกสร้างแลดูใหม่เอี่ยมพิกล มองไปคล้ายสัตวว์ร้ายตัวใหญ่ที่กำลังฟุบหมอบในที่ราบลุ่ม แลดูทรงพลังทั้งขู่ขวัญนัก!!


 


“ข้าจำได้ว่า…แต่ก่อนใกล้ๆเขตของตำหนักเมฆาครามไม่เคยมีเมืองตั้งอยู่ใช่หรือไม่?”


 


ก่านหรูเยี่ยนหันไปมองถามต้วนหลิงเทียนอย่างไม่แน่ใจ


 


จากนั้นนางก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบคำอะไร ยังกล่าวสืบต่อออกมาว่า “แถมขนาดของเมืองนั่น หากจะยกไปเทียบกับเมืองเถื่อนในภาคกลางอย่างนครแห่งบาป ก็มีแต่จะใหญ่โตกว่าไม่ได้เล็กกว่าแม้แต่น้อย…หรือนี่จะเป็นเมืองที่พวกปีศาจจากแดนเนรเทศพึ่งจะสร้างขึ้นมา?”


 


“สมควรเป็นแบบนั้น”


 


มองไปยังเมืองใหญ่เบื้องหน้า สาเหตุที่ทะเลสาบผานหลงหายไป ความถึงสาเหตุที่ตำหนักเมฆาครามไม่อยู่คืออะไร เขาพอจะรู้แล้ว! แววตาของเขาพลันทอประกายดุร้าย ยังร้อนแรงปานมีเปลวเพลิงลุกโชน!


 


เป็นเปลวเพลิงแห่งความเกลียดชัง!


 


“สถานที่ตั้งเมืองข้างหน้า…เป็นอดีตพื้นที่ทำเหมืองของตำหนักเมฆาครามข้าไม่ผิดแน่ ดูเหมือนพวกมันจงใจมาตั้งรกรากที่นี่โดยเฉพาะ…”


 


คำพูดรอบนี้แม้จะฟังดูสงบ หากแต่น้ำเสียงที่พูดช่างผิดปกตินัก มันเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างไร้สิ้นสุด


 


ให้ความรู้สึกประหนึ่งหน้าหนาวมาเยือน!


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ติดตามร่างทั้ง 2 มาถึงน่านฟ้าใกล้ๆบริเวณด้านหน้าประตูเมือง


 


และบริเวณนี้ก็ปรากฏร่างผู้คนมากมายทยอยกันมาจากทิศทางอื่นให้ต้วนหลิงเทียนได้เห็น


 


ผู้คนเหล่านี้หากไม่เหินร่างลงไปเพื่อเข้าเมืองด้านหน้า ก็เป็นผู้คนจากในเมืองที่เหินร่างจากไป


 


ประตูเมืองอันใหญ่โตนั่น มองไปคล้ายปากกระหายเลือดของอสูรกายดึกดำบรรพ์ตัวเขื่อง ที่กลืนร่างผู้คนเข้าไปอย่างไม่รู้จักอิ่ม!


 


“คนพวกนี้…ทั้งหมดคือปีศาจที่จำแลงกายเป็นมนุษย์งั้นเหรอ…”


 


เมื่อมาถึงน่านฟ้าใกล้ๆหน้าประตูเมือง ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็ได้เห็นสถานการณ์ชัดถนัดตา แถมต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะแปลกใจด้วยไม่เห็นรูปลักษณ์แปลกประหลาดของปีศาจดั่งในบันทึก! ทว่าทั้งหมดกลับแลคล้ายคนปกติทั้งสิ้น!!


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อลองแผ่สำนึกเทวะไปชำแรกแทรกร่างเพื่อตรวจสอบผู้คนเบื้องหน้าอย่างละเอียด เขาก็พบว่าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยปราณมารอันเข้มข้นและบริสุทธิ์เหนือล้ำยิ่งกว่าผู้ฝึกมารใดๆที่เขาเคยพบเจอ!!


 


ปราณมารระดับนี้ ไม่ใช่อะไรที่ผู้ฝึกมารจะมีได้ง่ายๆ!


 


เพราะต่อให้ได้รับเคล็ดบ่มเพาะพลังที่สืบทอดจากเผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิม ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้คนจะเพาะสร้างปราณมารที่บริสุทธิ์ทั้งมีความเข้มข้นสูงขนาดนี้ได้ภายในเวลาแค่ไม่กี่สิบปี! นับประสาอะไรกับเวลาแค่ 3 ปีกว่า!!


 


“นิ…นี่…พวกมันที่แท้เป็นคนหรือปีศาจกันแน่? ไฉนแลดูเหมือนมนุษย์อย่างพวกเราเลยเล่า?”


 


กระทั่งก่านหรูเยี่ยนเอง ยังอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ


 


เพราะปีศาจในคราบมนุษย์เบื้องหน้าของนาง ดูอย่างไรก็ไม่ต่างจากผู้คนธรรมดาแม้แต่น้อย! และนางเองก็ไม่กล้าแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบใครส่งเดช เพราะพลังฝึกปรือนางไม่ได้สูงล้ำอะไร หากอีกฝ่ายรู้ตัวก็ย่ำแย่แล้ว!


 


“จากที่ข้าตรวจพบจากสำนึกเทวะ พวกมันทั้งหมดไม่มีทางเป็นมนุษย์ไปได้แน่นอน…เพราะต่อให้เป็นผู้ฝึกมารที่ได้รับเคล็ดบ่มเพาะพลังจากปีศาจดั้งเดิม ก็ไม่มีทางเพาะสร้างปราณมารที่บริสุทธิ์และเข้มข้นถึงขนาดนี้ได้หากไม่พยายามกลั่นพลังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานับสิบๆปี!!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“พวกมันทั้งหมด…นี่เจ้าสามารถสัมผัสถึงพลังมารในร่างพวกมันได้ทุกคนเลยงั้นหรือ?”


 


ก่านหรูเยี่ยนถาม


 


“อืม ทุกคน…”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวเสริมว่า “ทั้งหมดที่เห็นอยู่ข้างหน้าตอนนี้ ไม่ว่าหน้าไหนข้าล้วนสัมผัสได้ถึงปราณมารเข้มข้นบริสุทธิ์ทั้งนั้น…และปราณมารระดับนั้น ไม่ใช่อะไรที่มนุษย์อย่างเราๆจะเพาะสร้างขึ้นมาได้ในเวลาสั้นๆแค่ 3 ปีแน่!”


 


“พี่เทียน…พวกเราไม่มีปราณมารอย่างเช่นพวกมัน…หากพวกเราเข้าเมืองไปแบบนี้พวกมันจะรู้ตัวหรือไม่?”


 


ทันใดนั้นเองเค่อเอ๋อก็กล่าวทักออกมาเสียงหนัก


 


และวาจานี้ก็เป็นการย้ำเตือนต้วนหลิงเทียนอย่างดี “ก็ถ้ามีคนตั้งใจตรวจสอบพวกเราได้จริงๆ ฐานะพวกเราได้ถูกเปิดเผยทันทีแน่…ที่ตอนนี้พวกมันไม่มีใครเอะใจอะไร เพราะที่เหินผ่านไปมาบริเวณหน้าเมืองตรงนี้ อย่างดีก็มีแค่เซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนเท่านั้น พวกมันไม่อาจตรวจสอบพวกเราภายใต้สำนึกเทวะของข้าได้…”


 


“แต่ถ้าพวกเราเข้าไปในเมือง ไม่พ้นต้องเจอปีศาจที่มีระดับพลังฝึกปรือสูงกว่านี้แน่กระทั่งอาจจะสูงกว่าข้า ถึงตอนนั้นสำนึกเทวะของข้าก็คงไม่อาจปิดกั้นพวกมันได้เลย พวกมันย่อมพบตัวตนของพวกเราจากสำนึกเทวะได้ง่ายดาย…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบ


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ก่านหรูเยี่ยนก็ชักหน้าเครียดทันที ใบหน้าแสนงามเต็มไปด้วยความเย็นชา บัดนี้ยังฉายชัดออกมาถึงความวิตกกังวล “ถ้างั้นตอนนี้พวกเราสมควรทำอย่างไรดี หากในเมืองมีปีศาจที่พลังึฝกปรือเหนือกว่าเจ้าจริง พวกเราเดินดุ่มๆเข้าไป ใยยังมิใช่รนหาที่ตาย?”


 


“อ่า…ก็นับว่ามีปัญหาจริงๆนั่นล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนพลันหยุดร่างลงกลางฟ้า แล้วนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง


 


ครู่ต่อมาสองตาพลันทอประกายเรืองวูบ ด้วยมีความคิดหนึ่งแล่นวาบขึ้นในใจ “ข้าพอมีวิธีแล้ว…แต่ต้องทดลองดูก่อนว่ามันจะใช้ได้ผลรึเปล่า”


 


“วิธีการอันใดรึ?”


 


สองตากลมใสของก่านหรูเยี่ยนเบิกกว้างทอประกายวิบวับ เค่อเอ๋อเองก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยความชื่นชม ราวกับเห็นสามีของนางเป็นแบบอย่าง…


 


“เดี๋ยวเจ้าก็รู้…”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตอบออกมาให้ชัดเจน เพียงใช้พลังหอบหิ้วร่างสตรีทั้ง 2 แล้วเหินร่างเบี่ยงไปจากทิศทางประตูเมือง  มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่มีการสัญจรไปมาบางตา…


 


“เอาเจ้านั่นแล้วกัน!”


 


หลังจากพาทั้งหมดมายังพื้นที่ๆค่อนข้างเปลี่ยวจนยากจะแลเห็นใครผ่านไปมา ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาพร้อมตาลุกวาว เมื่อเห็นร่างหนึ่งเหินออกจากเมืองที่พวกปีศาจสร้างขึ้นแล้วผ่านมาทางนี้เพียงลำพัง…


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


เสียงแหวกสายลมผ่าอากาศดังขึ้น 3 เสียง ทำให้ปีศาจในคราบมนุษย์ที่เหินร่างมาเพียงลำพังตระหนักถึงการมาของร่าง 3 ร่างทันที


 


และเมื่อตระหนักได้ถึงความเร็วของ 3 ร่างที่พุ่งเข้ามาหามัน หน้ามันก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง


 


วูบ! วูบ! วูบ!


 


พริบตาเดียวกันกับที่สีหน้าของปีศาจในคราบมนุษย์ผู้นี้เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ร่างพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็หยุดลงตรงเบื้องหน้ามันเสียแล้ว แถมต้วนหลิงเทียนยังมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยตาลุกวาว…


 


“ขะ…ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าทั้ง 3”


 


ต่อหน้าพวกต้วนหลิงเทียน ปีศาจตนนี้ไม่กล้าถือดีอะไร มันเร่งป้องมือประสานทั้งโค้งคารวะอย่างนอบน้อม ทว่าสีหน้าท่าทางยังเผยความกระสับกระส่ายไม่น้อย!


 


นั่นเพราะความเร็วในการเหินร่างของ 3 คนเบื้องหน้า เป็นอะไรที่เหนือล้ำกว่ามันมากเกินไป!


 


พลังบ่มเพาะของมันก็แค่เซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนเท่านั้น…


 


ทว่าจากความเร็วที่ 3 ร่างเบื้องหน้าเผยให้มันเห็นเมื่อครู่ ก็ได้บ่งบอกให้มันรับทราบพลังฝึกปรือของผู้มาคร่าวๆ…


 


อย่างน้อยๆ ก็เหนือกว่าเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน!


ตอนที่ 2,216 : เผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์!


 


 


ปีศาจในรูปลักษณ์ชายหนุ่ม ยังมองออกอีกด้วยว่า…


 


สตรีที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะและสมควรเป็นพี่น้องฝาแฝดกันแน่แท้ ถูกชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่กำลังมองมันด้วยตาลุกวาวหอบหิ้วแบกมา!


 


ขวับ!


 


เมื่อมาถึงเบื้องหน้าปีศาจในร่างมนุษย์ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเสียเวลาอะไรให้มาก หลังมองมันด้วยความสนใจพักหนึ่งก็สะบัดมือเรียกป้ายศิลามุมแหว่งขึ้นมาเพื่อดำเนินการตามแผนทันที!


 


ป้ายศิลามุมแหว่งชิ้นนี้ก็ไม่ใช่ใดอื่น เป็นยอดศาสตราเซียนของเขา ตราผนึกมาร!


 


ตราผนึกมารนั้น เป็นยอดศาสตราเซียนชิ้นหนึ่ง หรือจะเรียกมันว่าศาสตราหมื่นอาคมเซียนก็ได้ แม้ความสามารถในการเพิ่มพูนพลังผู้ใช้ของมันไม่นับว่าดีเด่อะไร…


 


ทว่าความสามารถที่ร้ายกาจที่สุดของมันก็คือ สยบปีศาจปราบมาร!


 


ฮึง! ฮึง! ฮึง! ฮึง! ฮึง!


 


……


 


ทันทีที่ตราผนึกมารปรากฏขึ้นในมือต้วนหลิงเทียน มันก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างแรง!


 


ราวกับนักล่าที่ไม่ได้พบพานเหยื่อมานาน แลเห็นเหยื่ออันโอชะอยู่เบื้องหน้า!


 


ปีศาจในรูปลักษณ์ชายหนุ่ม เมื่อเห็นตราผนึกมารปรากฏออกมา หน้ามันเริ่มซีดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ!


 


ป้ายศิลามุมแหว่งเบื้องหน้า ไม่ทราบเพราะอะไรกลับแผ่กลิ่นอายพลังบางประการที่ทำให้มันหวาดกลัวไปถึงก้นบึ้งของวิญญาณ!


 


“อยู่!”


 


เพียงห้วงคิดเดียว ก่อนที่ปีศาจหนุ่มดวงกุดจะทันได้ทำอะไร ต้วนหลิงเทียนก็ขวางตราผนึกมารใส่มัน!


 


ฆ่ามันอย่างที่ไม่ให้มันตั้งตัว!


 


“พอได้เจอเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศ ตราผนึกมาร ดูเหมือนจะคึกคักผิดปกติแหะ…”


 


ในขณะที่ตราผนึกมารพุ่งไปกลืนกินวิญญาณของปีศาจเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะโค้งคิ้วกล่าวพึมพำออกมาด้วยความสนใจ


 


และตราผนึกมารนั้นไม่ได้ทำลายร่างกายอะไรของมัน เพียงมุ่งเน้นไปที่การสะกดปราบดวงจิต ด้วยความที่ปีศาจตัวนี้มีด่านพลังเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยน ตราผนึกมารจึงใช้เวลาดูดกลืนวิญญาณอยู่บ้าง


 


“หวังว่าวิธีนี้จะได้ผล…”


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ตราผนึกมารดูดกลืนวิญญาณของปีศาจหนุ่มเสร็จสิ้น ร่างต้วนหลิงเทียนพลันวูบไปปรากฏข้างๆร่างปีศาจไร้วิญญาณ


 


เขาปลดแหวนพื้นที่ของมันมาเก็บไว้ ก่อนที่จะหอบหิ้วร่างของมัน พลางมองด้วยสายตาเยียบเย็น


 


ปฐมเวทย์กลืนกิน!


 


ต้วนหลิงเทียนเร่งสำแดงเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินออกมาทันที ดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณอย่างรวดเร็ว “หืม? แค่รากวิญญาณสีเหลืองเองเหรอ…”


 


ในระหว่างดูดกลืน ต้วนหลิงเทียนก็แปลกใจไม่น้อย เพราะเขาสามารถพบได้ทันที…


 


พรสวรรค์รากวิญญาณของปีศาจตนนี้ ก็เป็นแค่รากวิญญาณสีเหลืองเท่านั้น!


 


ต้องทราบด้วยว่าสำหรับผู้ฝึกตนมนุษย์ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเหลือง อย่าว่าแต่ขอบเขตเซียนสวรรค์เลย กระทั่งจะทะลวงผ่านขอบเขตเซียนปฐพีให้บรรลุถึงเซียนนภายังต้องพึ่งพาวาสนาปาฏิหาริย์!


 


แต่ทว่าพลังฝึกปรือของปีศาจเบื้องหน้า จากกลิ่นอายพลังที่เขาสัมผัสได้ แม้ไม่ต้องใช้เนตรเทวะตรวจสอบเขาก็บอกได้ทันทีว่ามันเป็นเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยน!


 


“จริงสิ..เกือบลืมไปว่ามันเป็นปีศาจ พวกมันไม่ได้ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะพลังอย่างเดียว แต่ยังอาศัยการดูดกลืนแก่นแท้ ปราณโลหิตและพลังชีวิตของผู้อื่นเพื่อบ่มเพาะพลังเป็นหลัก หากมีเหยื่อมากพอ…ย่อมสามารถยกระดับพลังได้ในเวลาอันสั้น!”


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็นึกขึ้นได้ และไม่แปลกใจอะไรอีก


 


อย่างไรก็ตามแม้จะเข้าใจ หากแต่แววตาของเขากลับทอประกายเยียบเย็นทั้งแหลมคมนัก ให้ความรู้สึกดั่งมีดดาบคมกล้าก็ไม่ปาน!


 


ปฐมเวทย์กลืนกิน!


 


หลังกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของปีศาจตนนี้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้หยุดมือ เขายังประคองเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินต่อ


 


ทว่าคราวนี้เป็นการลงมือเพื่อกระทำตามสิ่งที่คิดไว้


 


ด้วยความเชี่ยวชาญในการใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน ต้วนหลิงเทียนสามารถระบุสิ่งที่เขาต้องการดูดกลืนได้ง่ายดาย ไม่ยุ่งกับพลังชีวิตที่กำลังสลายหรือแก่นแท้อะไรมัน เพียงมุ่งเน้นไปยังปราณมารที่เริ่มสลายตัวในร่างของมัน!


 


แม้ปราณมารที่เขาต้องการกำลังสลายหายไปอย่างช้าๆเพราะเจ้าตัวตกตาย แต่ก็ยังคงเหลืออยู่อีกมาก


 


เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงต้องใช้เวลาดูดกลืนอยู่พักหนึ่ง


 


อย่างไรก็ตามเวลาพักกหนึ่งที่ว่าก็ไม่ได้เนิ่นนานอะไร พอๆกันกับเวลาที่เขาใช้ในการดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณ!


 


เรียกว่าแม้จะเป็นพักหนึ่งในความคิดต้วนหลิงเทียน แต่สำหรับคนภายนอก ก็ยังพึ่งผ่านไปเพียงลมหายใจเดียวเท่านั้น!


 


“เอาล่ะ…ต่อไปก็เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด…”


 


หลังใช้ปฐฐมเวทย์กลืนกินดูดกลืนปราณมารอย่างเชี่ยวชาญ เรียกว่าต้วนหลิงเทียนสามารถสกัดปราณมารอันบริสุทธิ์ออกมาจากร่างปีศาจก็ว่าได้ และตอนนี้เขาเริ่มโคจรปราณมารบริสุทธิ์ที่สกัดมาให้มันแรพ่กระจายไปทั่วร่างกาย!


 


แน่นอนว่าตอนแรกที่เริ่มแพร่กระจายปราณมารไปทั่วกาย พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดย่อมไม่ย่อมให้พวกมันลุกล้ำพื้นที่! เปล่งพลังอำนาจทำลายล้างบดขยี้ปราณมารดังกล่าวทันที!!


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนทำได้เพียงใช้การควบคุมอย่างแยบคาย เพียงแพร่ปราณมารไปฉาบคลุมผิวหนังเท่านั้น ไม่ให้มันไปข้องแวะเกี่ยวกับช่องทางเดินพลังทั้งชีพจรเซียนทั้งหลาย ไม่งั้นปราณมารที่อุตส่าห์สกัดมาคงถูกทำลายหายเกลี้ยง…


 


‘ได้การล่ะ…ลองทั่วร่างฉาบไว้ด้วยปราณมารแบบนี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือเผ่าพันธุ์ปีศาจที่พลังฝึกปรือสูงส่งแผ่สำนึกเทวะมาตรวจสอบ พวกมันก็คงต้องหลงคิดว่าข้าเป็นปีศาจเหมือนๆกันแน่นอน!’


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างพึงใจ เพราะเขารู้ดีว่าแผนการปลอมตัวเป็นปีศาจได้สำเร็จลุล่วงแล้ว!


 


‘อย่างไรเสียปราณมารนี่แต่เดิมก็ไม่ได้เป็นของข้า แม้จะพยายามรั้งไว้แต่พวกมันก็ยังคงสลายหายไปอยู่ตลอดเวลา…จากปริมาณปราณเท่านี้เกรงว่าไม่เกิน 1 เดือนคงหายไปจนหมด…’


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักเรื่องนี้ได้


 


‘หนึ่งเดือน…มากพอให้ข้าทำความเข้าใจสถานการณ์เรื่องราวในปัจจุบันของภูมิภาคเบื้องล่าง ยังมากพอให้รู้ว่าเมืองนี่มันยังไงกันแน่’


 


คิดถึงจุดนี้สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเรืองวูบ


 


เค่อเอ๋อที่อุ้มซือหลิง กับก่านหรูเยี่ยนพี่สาวฝาแฝดที่ลอยร่างอยู่ไม่ไกล แม้จะเฝ้าดูต้วนหลิงเทียนลงมืออย่างเงียบงันตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าพวกนางไม่อาจทราบได้เลยว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนทำอะไรอยู่กันแน่


 


จนเมื่อต้วนหลิงเทียนพูดอธิบายเรื่องราวให้พวกนางฟัง พวกนางจึงได้เข้าใจทันที


 


“นิ..นี่เจ้าสามารถสกัดปราณมารจากมัน…มาเป็นของตัวเองได้ง่ายๆแบบนี้เลยหรือ?”


 


จังหวะนี้ก่านหรูเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวกับกลวิธีของต้วนหลิงเทียน


 


ถึงแม้ก่อนหน้านี้นางจะกระจ่างแก่ใจแล้ว ว่าบุรุษจากภูมิภาคเบื้องล่างที่เคยไม่นับเป็นตัวอะไรในสายตานาง บัดนี้ได้เหนือกว่านางมาก…


 


แต่นางก็คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะมีกลวิธีอันร้ายกาจขนาดนี้!


 


“ไม่ได้เอาปราณมารของมันมาเป็นของตัวเองจริงๆ…แค่เอามาเก็บไว้ในร่างเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ทั้งหมดเพื่อป้องกันไม่ให้ยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจค้นพบว่าพวกเราเป็น ‘มนุษย์’ ….”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวแก้ความเข้าใจผิดของนาง


 


“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรายังต้องไปซุ่มรอ ‘เหยื่อ’ ตนอื่น…ข้าต้องใช้ปีศาจอีก 3 ตน เพื่อสกัดปราณมารในร่างของพวกมันมา กักเก็บไว้ในร่างพวกเจ้ากับซือหลิง เพื่อปกปิดตัวตนไว้เป็นการชั่วคราว”


 


ต้วนหลิงเทียนยังต้องใช้กลวิธีนี้กับทุกคนที่เหลือ


 


ถึงแม้การกระทำเช่นนี้ ในสายตาของเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้วจะโหดร้ายก็ตาม แต่เพื่อความอยู่รอด เขาก็จำเป็นต้องทำ! ต้วนหลิงเทียนยอมรู้ดี ในสงครามหากเห็นใจผู้อื่นก็ไม่ต่างใดจากทำร้ายตัวเอง!!


 


ถึงแม้พลังฝีมือของเขาตอนนี้จะนับว่าไม่ใช่ชั่ว แต่ในเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวตนอันทรงพลัง!


 


มีเพียงกระทำเช่นนี้เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกคนจะปลอดภัยไร้ปัญหา เขาถึงสามารถเข้าไปหาข่าวในเมืองปีศาจได้อย่างวางใจ…


 


‘ตอนนี้ข้าเสียเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปแล้ว ก็เสมือนพยัคฆ์เสียเขี้ยว…และไม่ว่าจะยอดสมบัติสวรรค์อย่างกระบี่นิลสวรรค์ บรรทัดจักรวาล ก็ล้วนถูกผู้เฒ่าหั่วสั่งให้เก็บกลับเข้ามาในเจดีย์หลิงหลง เพื่อใช้ในการส่งข้ากลับมาภูมิภาคเบื้องล่างหมด’


 


คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนในใจ


 


ตอนนี้เมื่อไร้ยอดสมบัติสวรรค์อย่างกระบี่นิลสวรรค์ กับบรรทัดจักรวาล หากเขาพบเจอยอดฝีมือที่ร้ายกาจทัดเทียมเหาฉ่วงขึ้นมา เขาก็ไม่อาจรับมือได้อีกต่อไป…


 


เหาฉ่วงนั้นแม้จะเป็นเพียงครึ่งก้าวเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน แต่พลังฝีมือของมันก็สูงส่งนัก นับว่าสมญานามอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนไม่ใช่เรื่องล้อเล่นจริงๆ!


 


เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนไม่อาจล่วงรู้ได้เลย


 


ไม่ว่าจะเป็นยอดสมบัติสวรรค์อย่าง บรรทัดจักรวาล หรือ กระบี่นิลสวรรค์ ล้วนเป็นผู้เฒ่าหั่วลวงให้เขาเก็บกลับไปไว้ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติตามคำสั่งของวิญญาณกระบี่กวงหลิงเท่านั้น


 


เขาหลงคิดไปเอง ว่าพวกมันถูกผู้เฒ่าหั่วเรียกคืนกลับมาเพื่อใช้ทำอะไรบางอย่าง ถึงสามารถป้องกันการลงมือของถังซวนจ้าวลัทธิบูชาไฟ รวมถึงใช้ในการฉีกเปิดมิติส่งเขากลับมายังภูมิภาคเบื้องล่างแบบนี้…


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เหม่อคิดอะไรนานนัก


 


เขาเริ่มมองหา ‘เหยื่อ’ คนต่อไปทันที


 


และใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ได้พบเหยื่อที่ต้องการอีก 3 ตน เป็นปีศาจที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 2 ตน กับอีกตนที่มีพลังฝึกปรือเพียงเซียนนภา


 


ปราณมารของปีศาจทั้ง 3 ก็ถูกเขาสกัดออกมาด้วยปฐมเวทย์กลืนกิน ก่อนที่จะนำไปกักเก็บไว้ในร่างเค่อเอ๋อ ก่านหรูเยี่ยนและลูกสาวของเขาอย่างต้วนซือหลิง ด้วยการควบคุมพลังอย่างแยบคาย


 


และในขณะดำเนินการเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียน ยังใช้ทักษะควาญวิญญาณกับปีศาจขอบเขตเซียนนภาเพื่อหาข้อมูลอีกด้วย


 


ทำให้เขาได้รับทราบเรื่องราวจากปีศาจขอบเขตเซียนนภาตนนั้นไม่น้อย


 


“ที่แท้ไม่ใช่ว่าปีศาจทุกตัวจะสามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์…แต่บางตนก็เป็นปีศาจที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์แต่แรก!”


 


“เผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์งั้นเหรอ…ไม่น่าเชื่อเลยว่าที่ดินแดนเนรเทศจะมีอะไรแบบนี้ด้วย!”


 


หลังได้รับทราบเรื่องราว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


สิ่งที่เรียกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์นั้น หมายถึงลูกหลานที่เกิดจาก เผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิมกับผู้ฝึกมารในยุคก่อน ที่ได้แปรพักตร์ไปเข้าพวกกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ…และหลบหนีไปยังแดนเนรเทศก่อนสิ้นสุดยุคมนุษย์ปีศาจ


 


และยุคมนุษย์ปีศาจก็ได้จบลงไปตั้งแต่เมื่อแสนกว่าปีที่แล้ว


 


ตลอดระยะเวลาแสนกว่าปีที่ผ่าน เผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมนุษย์มีความสามารถในการสืบพันธุ์สูงล้ำกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิมสูงมาก


 


และด้วยความที่เผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์เองก็ไม่เป็นที่ยอมรับสักเท่าไหร่ในแดนเนรเทศ ทำให้ทั้งหมดได้แต่เกาะกลุ่มรวมตัวกัน และขยายพันธุ์ในแวดวงศ์กันเอง อาศัยความสามารถในการสืบพันธุ์อันสูงล้ำของมนุษย์ที่ถูกส่งต่อมายังรุ่นหลังแพร่ขยายเผ่าพันธุ์ไปเรื่อยๆ


 


ในที่สุดจำนวนเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ก็มีจำนวนมหาศาล จนกลายเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดขุมหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจ!


 


แน่นอนว่าด้วยสายเลือดผสมของเผ่าพันธุ์นี้ยังคงเป็นอะไรที่เผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิมไม่ยอมรับ ทั้งหมดก็ได้แต่ขยายวงงศ์วานในเผ่าพันธุ์เดียวกันเท่านั้น


 


ด้วยอัตราการเกิดจำนวนมหาศาล รวมถึงภาวะแวดล้อมอันบีบคั้นที่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิมจ้องจะล้างผลาญทำลายอยู่ตลอด จึงทำให้บังเกิดอัจฉริยะขึ้นมามากมาย! สุดท้ายทำให้แม้เผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิมจะไม่ยอมรับพวกสายเลือดผสมมากแค่ไหนก็ตาม แต่พวกมันก็ไม่กล้าก่อสงครามอย่างวู่วาม…


 


“ครั้งนี้ที่พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถบุกมายังภูมิภาคเบื้องล่างได้ ล้วนเป็นเพราะเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวค้นพบช่องโหว่ของม่านพลังที่ฉาบเคลือบกำแพงมิติกั้นแดนงั้นเหรอ…”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้ว่าพวกปีศาจบุกเข้ามาได้อย่างไร


 


ขณะเดียวกันยังได้รับทราบความเป็นมาของเมืองใหญ่เบื้องหน้าอีกด้วย…


 


“ที่แท้เมืองใหญ่นี่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ก่อสร้างขึ้น หลังจากยกทัพขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว…ยังเป็นฐานที่มั่นของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ในภูมิภาคเบื้องล่างอีกด้วย”


 


“และเพราะเป็นฐานที่มั่นของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ เลยไม่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิม ที่มีรูปลักษณ์เหมือนอสูรกายดั่งในบันทึกโบราณให้เห็น…”


 


“เผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ยั้งก่อตั้งขุมพลังคล้ายๆคลึงกับขุมพลังของผู้ฝึกตนมนุษย์ ด้วยความที่ทั้งหมดอยู่ในภาวะแข่งขันเหมือนกันกับขุมพลังในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ทำให้เพาะสร้างยอดฝีมือรุ่นแล้วรุ่นเล่าจนเอาตัวรอดจากการต่อต้านของเผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิมมาได้ถึงวันนี้…ในบรรดาขุมพลังทั้งหลายนั่น ก็มี 3 วังและ 6 ตำหนักที่แข็งแกร่งที่สุด”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนมีความเข้าใจในเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์เพิ่มขึ้นไม่น้อย…


 


“ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าหลังจากสิ้นสุดยุคมนุษย์ปีศาจแล้ว จะอุบัติเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์อะไรแบบนี้ขึ้นมาในแดนเนรเทศได้ กระทั่งกลายเป็นเผ่าพันธุ์อันแข็งแกร่งทัดเทียมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิม…”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ


 


ตอนนี้เค่อเอ๋อกับก่านหรูเยี่ยนเองก็อยู่ในอารมณ์ไม่ต่างกันกับต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่


 


เผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์นั้น หากกล่าวกันตรงๆ ก็เสมือนพวกมันมีความเป็นมนุษย์อยู่ครึ่งหนึ่ง!


ตอนที่ 2,217 : 6 ทวาราเที่ยงแท้หวนคืนสู่ยุทธภพ!


 


 


 


“ไม่คิดเลยว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์จะร้ายกาจขนาดนี้…!”


 


หลังได้รับทราบเรื่องราวจากคนของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์มาพอสมควร ต้วนหลิงเทียนยังคงตัดสินใจเข้าไปในเมืองของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ไม่ได้หวาดกลัวอะไร…


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังได้รับทราบมาแล้วว่า


 


เมืองแห่งนี้มีชื่อว่า เหรินโม่เชิ่ง!


 


“หลังเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ได้บุกเข้ามาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า พื้นที่ตั้งของตำหนักเมฆาครามก็ถูกหนวยสอดแนมของพวกมันพบเจอก่อนปีศาจเผ่าอื่น…พวกมันจึงรีบมาอ้างสิทธิ์ปกครองพื้นที่ทะเลสาบผานหลงและพื้นที่เหมืองของตำหนักเมฆาครามแห่งนี้ทันที…”


 


“ไม่นานเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ก็ชิงสร้างเมือง วางรกรากตั้งฐานที่มั่นก่อนที่ปีศาจเผ่าอื่นจะทันได้ทำอะไร ยังถึงกับเร่งสร้างเมืองเหรินโม่เชิ่งแห่งนี้ขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น…”


 


หลังได้รับทราบเรื่องราว ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะไปสืบหาข่าวคราวของตำหนักเมฆาครามในเมืองเหริ่นโม่เชิ่งทันที


 


หากยังไม่ได้เบาะแสอะไรอีก เขาก็มีแต่ต้องลองย้อนกลับไปดูที่บ้านเกิดของเขาเท่านั้น


 


บ้านเกิดของต้วนหลิงเทียนหลังจากที่มาโลกนี้ ก็คือพื้นที่อันเป็นมุมเล็กๆมุมหนึ่งของโลกใบนี้


 


หากจะกล่าวให้ชัดก็คือ ทวีปมนุษย์ ที่อยู่ทางตอนใต้อันไกลห่างจากทวีปใหญ่อย่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


เมื่อลงใต้ข้ามน้ำข้ามทะเลแสนไกลออกไป…จะพบกับทวีปมนุษย์อย่างทวีปเมฆาคราม! และเมื่อล่วงลุข้ามดินแดนรอบนอกไป ก็จะเจอกับเขตปกครองของราชวงศ์ทั้ง 10 หลังล่วงล้ำข้ามผ่านพื้นที่ปกครองหลักของราชวงศ์ต้าฮั่น ผ่านมาถึงจักรวรรดิศิลาทมิฬ ก็ให้ดิ่งลงใต้ผ่านพ้นอาณาจักรพนาคราม สุดท้ายจึงจะได้พบเจออาณาจักรแสนกระจ้อยร่อยอย่างอาณาจักรนภาล่อง ที่เรียกว่าตั้งอยู่ ณ สุดขอบทวีปเมฆาล่องอันไร้สำคัญ…


 


“พวกเราไปเมืองเหรินโม่เชิ่งกันก่อนเถอะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ไม่ทราบไปรับตัวต้วนซือหลิงกลับมาอุ้มไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กล่าวออกเสียงเรียบ


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


หลังจากนั้นก็เปล่งพลังหอบหิ้วไร้สภาพอันอ่อนโยนขุมหนึ่ง นำพาบุตรสาวพร้อมพี่น้องฝาแฝดทั้งคู่ไปยังประตูเมืองใหญ่เบื้องหน้าด้วยความเร็วสูง


 


เมืองเหรินโม่เชิ่ง!


 


เมืองของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์! ยังเป็นเมืองที่ใหญ่โตกว่านครแห่งบาปของภูมิภาคเบื้องบน!!


 


‘ในเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ก็มีขุมพลังอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว…หากไม่นับยอดฝีมือครึ่งก้าวเซียนอมตะที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปเรียบร้อย และกำลังเตรียมพร้อมขึ้นสู่สวรรค์ที่ร่ำลือนั่น ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ 3 วัง 6 ตำหนัก…’


 


‘ผู้นำของ 3 วัง 6 ตำหนัก นับว่าพลังฝีมือร้ายกาจที่สุดในเผ่า เป็นรองก็แต่ประมุขเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์…ในบรรดาพวกมันจ้าววังทั้ง 3 ล้วนบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ส่วนจ้าวตำหนักทั้ง 6 ล้วนบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนสุดปลายด่านพลังทั้งนั้น!’


 


หนังศีรษะต้วนหลิงเทียนถึงกับชาด้านขึ้นมาทันที เมื่อได้รับทราบเรื่องนี้


 


แม้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์จะเป็นแค่ 1 ในเผ่าพันธุ์ย่อยของเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งมวล…


 


อย่างไรก็ตาม อาศัยแค่ยอดฝีมือระดับแนวหน้าของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์นี้ ก็เทียบได้กับกำลังรบของผู้ฝึกตนในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทั้งมวลแล้ว!


 


‘เท่าที่รู้ในภูมิภาคเบื้องบน ตอนนี้ด้วยความที่ถังซวนจ้าวลัทธิบูชาไฟ ทะลวงไปถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ทำให้ปรากฏยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนให้เห็นแน่ๆทั้งสิ้น 4 คน…’


 


‘ส่วนครึ่งก้าวเซียนอมตะ เกรงว่าถ้าจะมีก็คงมีแค่เนี่ยอู๋เทียน ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอันดับ 1 ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ที่สำคัญก็คือเนี่ยอู๋เทียนผู้นี้ไม่ปรากฏตัวในแดนดินนานแล้ว ไม่ทราบว่าที่แท้มันข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ แล้วขึ้นไปยังระนาบเทวโลกแล้วหรือยัง…’


 


‘หากมันขึ้นสู่แดนสวรรค์ไปแล้ว…เช่นนั้นหมายความว่าในภูมิภาคเบื้องบนก็ไร้ยอดฝีมือขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะอยู่เลย…’


 


‘ถ้าหากไม่มียอดฝีมือเร้นกายขึ้นมาจริงๆ หมายความว่าภูมิภาคเบื้องบนก็ไม่มียอดฝีมือที่ต้านทานรับมือประมุขเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ที่บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้แม้แต่คนเดียว…แถมพวกมันยังมีจ้าววังทั้ง 3 ที่เป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอยู่อีก…’


 



 


เมื่อลองครุ่นคิดถึงกำลังรบดู แผ่นหลังต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น นับว่าลำพังแค่ 1 ในเผ่าพันธุ์ย่อยของพวกปีศาจ ก็มีพลังรบทัดเทียมกับมนุษย์แล้ว! สถานการณ์นี้เรียกว่าสุ่มเสี่ยงไม่น้อย!!


 


ในเผ่าพันธุ์ปีศาจช่างมียอดฝีมือมากมายเหลือเกิน!


 


กลับกันในเผ่าพันธุ์มนุษย์ตอนนี้ เรียกว่าขาดแคลนยอดฝีมือนัก…ขุมพลังทั้ง 2 ชนชาติเรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน!


 


เมื่อเข้ามาใกล้ประตูหน้าเมืองเหรินโม่เชิ่ง ต้วนหลิงเทียนก็สำรวจทุกสิ่งอย่างรอบกายอย่างระมัดระวัง มองสังเกตุไปหมดเพื่อความไม่ประมาท


 


ยังได้เห็นสภาพภายนอกชัดเจนนัก


 


เมืองแห่งนี้จัดตั้งขึ้นมาตามรูปแบบเมืองโบราณ มีสะพานใหญ่ทอดยาวข้ามคูเมืองที่ขุดล้อมรอบ กลิ่นอายพลังอาคมที่สลักไว้แผ่ซ่านออกมาหนาแน่น บอกกล่าวเอาไว้ ว่าคูเมืองแลดูธรรมดาๆหาได้ง่ายดายเหมือนตาเห็นไม่…


 


เมื่อมองไปยังกำแพงเมืองอันสูงใหญ่ ก็พบว่ามีภาพวาดเขียนคล้ายจิตกรรมฝาผนังปรากฏเด่นชัดมากมาย จำแนกจากตาเปล่าได้ว่าเป็นภาพวาดของ 2 เผ่าพันธุ์ที่แบ่งแยกไว้ชัดเจน


 


ด้านหนึ่งเป็นภาพวาดมนุษย์ในอริยิบทต่างๆ คล้ายบอกเล่าเรื่องราว มีทั้งเด็กน้อย ผู้ใหญ่ และผู้ชราทั้งหญิงชาย


 


ส่วนอีกด้านนั้นเป็นภาพปีศาจที่แลคล้ายอสูรกายมากมาย บ้างก็มีหัวเป็นวัว บ้างก็สุกร  บางตัวก็ยิ่งแล้วใหญ่ แทบไม่มีรูปลักษณ์มนุษย์อยู่เลย เป็นตัวประหลาดพิลึกพิลั่น


 


อย่างน้อยๆ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน


 


อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ได้ขู่ขวัญอะไรต้วนหลิงเทียน เขายังพอคาดเดาได้คร่าวๆจากในบันทึกที่เคยอ่านผ่านตา ‘ภาพวาดนั่นไม่เผ่าพันธุ์ปีศาจวัว…ตัวที่หัวเป็นหมูก็คงเป็นปีศาจสุกรแน่แท้…’


 


แน่นอนว่ามีรูปเผ่าพันธุ์ปีศาจแปลกตามากมาย ที่ต้วนหลิงเทียนเองก็ระบุไม่ได้ว่ามันเป็นเผ่าพันธุ์อะไร


 


มีเพียงสิ่งเดียวที่รู้ชัด


 


พวกมันคือเผ่าพันธุ์ปีศาจ ที่เป็นศัตรูของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างเขา!


 


ไม่นานกลุ่มต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างมาหยุดหน้าสะพานข้ามคูเมือง ขณะเดินข้ามสะพานไปยังซุ้มประตูเมืองใหญ่โตเบื้องหน้า กลุ่มของเขาก็ดึงดูดความสนใจจากปีศาจหลายตนที่สัญจรโดยรอบไม่น้อย


 


นั่นเพราะภรรยาทั้งพี่สาวฝาแฝดของภรรยาเขา ช่างงามล้ำจนยากพบพานได้ในแดนดิน!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงรูปโฉมที่งดงามเหนือบรรยาย


 


อาศัยเพียงกลิ่นอายเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนโยนบริสุทธิ์ของเค่อเอ๋อหรือความเย็นชาน่าเกรงขามไม่แยแสใดของก่านหรูเยี่ยน ก็นับว่าเป็นสองสิ่งต่างขั้วชวนให้ผู้คนสนอกสนใจไม่น้อย


 


ปีศาจเพศผู้มากมายที่แลเห็นสตรีทั้งสอง ยังอดไม่ได้ที่จะหอบหายใจฟืดฟาด สองตาเริ่มแดงขึ้นมายามจับจ้องไปยังดรุณีหมดจด 2 นาง


 


ยิ่งไปกวานั้นบางคนก็ถึงกับเนื้อตัวแดงก่ำปานถูกน้ำร้อนลวก จ้องมองจนตาลอยน้ำลายไหลไปแล้วก็มี


 


ถึงแม้ปีศาจมนุษย์เหล่านี้ จะมีรูปลักษณ์ไม่ต่างใดจากกมนุษย์ แต่อย่าได้ลืมว่าในกายของพวกมันก็มีสายเลือดของเผ่าพันธุ์ปีศาจไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่ง ยามบังเกิดอารมณ์ใดๆ ย่อมเผยอาการกริยาออกชัด


 


“เหอะ!”


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นมืดลง เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองจ้องมาโดยรอบของเหล่าปีศาจ เสียงพ่นลมสบถเย็นเยือกพลันดังขึ้นทันที


 


และแทบจะพร้อมๆกันกับเสียงแค่นเยียบเย็นดังขึ้นนั้น


 


ซัววว!!


 


ทัวร่างต้วนหลิงเทียนพลันปรากฏกลิ่นอายพลังเย็นชาขุมหนึ่ง ซัดกวาดออกไปเป็นวงกว้าง กำจายไปครอบคลุมเหล่าปีศาจชายโดยรอบทันที!


 


ทันใดนั้นเหล่าปีศาจชายโดยรอบ ก็รู้สึกเสมือนร่วงตกลงไปอยู่ในหล่มน้ำแข็ง


 


เหตุผลหลักก็คือกลิ่นอายพลังที่ต้วนหลิงเทียนแผ่พุ่งออกมารอบนี้ ช่างรุนแรงทั้งเปี่ยมล้นไปด้วยแรงกดดันไร้สภาพอันน่ากลัวนัก!


 


แรงกดดันจากพลังของตัวตนที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนไม่ใช่เรื่องตลก!


 


เหล่าปีศาจชายมากมายถึงกับหวาดกลัวจนหน้าซีด เร่งละสายตาออกจากโฉมงามยากพบพานทั้ง 2 ทันที บ้างก็รีบกุลีกุจอหันหลังเดินหนี


 


เพราะพริบตานี้พวกมันไม่อาจไม่รู้


 


ว่าโฉมงามพิลาศคู่แฝดนี้ มีบุรุษอันเข้มแข็งทรงพลังเข้มแข็งข้างกาย!


 


“อวี่เยี่ยน…ดูเหมือนชายคนรักเจ้าจะ ‘หึงแรง’ เชียวนะ…”


 


ก่านหรูเยี่ยนหันไปแซวน้องสาวฝาแฝดด้วยน้ำเสียงหยอกล้ออย่างสนุกสนาน หากแต่ฟังให้ดีจะพบว่าในเสียงเจือไว้ด้วยความอิจฉาอยู่บ้าง


 


นางย่อมรู้ชัดดี


 


เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความไม่พอใจ จนเปล่งแรงกดดันพลังสาดออกไปทั่วทิศแบบนี้ เพราะไม่พอใจที่ปีศาจทั้งหลายมองเค่อเอ๋อด้วยสายตาต่ำทราม!


 


ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนางเลย…


 


ได้ยินเสียงหยอกล้อของก่านหรูเยี่ยน เค่อเอ๋ออดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเขินอายจนแก้มแดง มือปาดแขนพี่สาวเบาๆแลดูน่ารักน่าเอ็นดูนัก


 


“หาที่ตาย!”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ่งกลายเป็นมืดลงเมื่อพบว่ายังมีปีศาจชายอีกสองสามตนยังหาญกล้ามองเค่อเอ๋อด้วยสายตาต่ำช้าไม่เลิก


 


ซัวว!!


 


ครู่ต่อมา แม้ไม่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนลงมือใดๆ ทว่าปรากฏรัศมีพลังสีทองขุมหนึ่งผุดจากความว่างขึ้นมาฉาบคลุมไปทั่วกาย!


 


เป็นพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิด!


 


เมื่อพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดปรากฏ พวกมันก็เกาะกลุ่มควบผนึกก่อเกิดเป็นกระบี่พลังสีทองหลายเล่มลอยล่องเวียนวนรอบกาย เปล่งกลิ่นอายคมกล้าเผยสำนึกกระบี่อันน่าพรั่นพรึง


 


ทันใดนั้นเอง


 


ฟั่ฟฟ! ฟั่ฟฟ! ฟั่ฟฟ!


 



 


บังเกิดเสียงหวีดหวิวกรีดอากาศแผ่วเบากังวาน ประกายแสงยะเยือกหนึ่งวาบขึ้นชวนให้ผู้คนขนลุก!


 


“อ๊าค!”


 


“อ๊าค!”


 


……


 


แทบจะพร้อมเพรียงกับเสียงกรีดอากาศดังขึ้น เสียงร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดก็ลั่นสนั่นมาตามติด


 


เพียงห้วงคิดเดียวของต้วนหลิงเทียน เหล่าปีศาจไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำทั้งหลายก็ถูกกระบี่พลังทะลวงนัยน์ตาทั้ง 2 ข้างจนมืดบอด! หยาดโลหิตทะลักพรั่งพรูออกมาน่าใจหาย ย้อมหน้าของพวกมันให้แดงฉานคาวคลุ้ง!!


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 



 


เหล่าปีศาจมนุษย์โดยรอบถึงกับสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บหลังจากรับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างมองไปยังปีศาจโชคร้ายด้วยความตื่นตระหนก!


 


“สารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า!!”


 


หลังถูกต้วนหลิงเทียนทำร้ายจนตาบอด ปีศาจตนหนึ่งก็ไม่อาจระงับโทสะได้ไหว สันดารดิบของปีศาจถูกปลดปล่อย  ร่างมีโมโหปะทุพลังดุร้าย ถับเท้าโจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยจิตอำมหิต!!


 


มันอาศัยสำนึกเทวะเพ่งเล็งต้วนหลิงเทียน ไม่จำเป็นต้องใช้สายตา!


 


“หนวกหู!”


 


เมื่อเห็นปีศาจตนดังกล่าวโจนทะยานเข้ามาอย่างดุร้าย ต้วนหลิงเทียนพลันตะคอกคำด้วยรำคาญ


 


ระหว่างตะคอกคำ มือยังยกขึ้นมาโบกสะบัดออกไปเบาๆ


 


แม้มองไปคล้ายโบกมือตามอำเภอใจใส่ปีศาจตนนั้นส่งๆ หากทว่าชั่วพริบตาดุจละอองไฟวาบ พลันอุบัติพลังไร้สภาพมหาศาลขุมหนึ่งซัดกวาดออกไป!!


 


ต่อหน้าพลังไร้สภาพขุมนี้ ปีศาจที่โจนทะยานเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราดรู้สึกประหนึ่งตัวเองเป็นเรือลำน้อยในมหาสมุทรที่เผชิญหน้ากับคลื่นมรสุมโถมถันเข้ามา!


 


พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดไร้สภาพที่ต้วนหลิงเทียนซัดไป พุ่งตัดระยะไปด้วยเสียงกระหึ่มปานพิรุณกระหน่ำลงขุนเขา! โถมถล่มซัดร่างปีศาจดุร้ายจนตัวแตกแหลกสลายเป็นละอองเลือดในชั่วพริบตา!!


 


ภาพปีศาจตนหนึ่งถูกพลังบดขยี้เป็นละอองเลือดนี้ อานุภาพขู่ขวัญเหล่าปีศาจโดยรอบเพียงใดไม่บอกก็ทราบ!


 


ยิ่งปีศาจชายหลายตัวที่เดิมทีกำลังเดือดดาลด้วยโทส คิดลงมืออย่างเกรี้ยวกราดเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียน พอสำนึกเทวะของพวกมันตระหนักได้ถึงเรื่องราวตรงหน้า พวกมันก็ชะงักร่างสิ้นลายหายซ่าทันใด!


 


อำมหิตนัก!


 


ลงมือได้เอาแต่ใจเหลือเกิน!


 


นี่คือความประทับใจแรกพบที่ต้วนหลิงเทียนทิ้งไว้ให้เหล่าปีศาจบริเวณหน้าประตูเมือง เมื่อเหล่าปีศาจมนุษย์มองไปที่เขาอีกครั้ง สายตาพวกมันพากันเปลี่ยนไปเป็นยำเกรง


 


ต้วนหลิงเทียนที่ไฉนลงมืออย่างอำมหิตไร้ปราณีเช่นนี้…ก็ไม่ได้มีใดมาก เพียงเพราะพวกมันคือปีศาจ!


 


หากพวกมันเป็นมนุษย์เขาคงลงมือสั่งสอนเบาะๆ พอให้พวกมันได้รับบทเรียนและล่าถอยไปอย่างเจียมตัว…


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนที่อุ้มต้วนซือหลิง ก็เดินทางเข้าเมืองเหรินโม่เชิ่งไปพร้อมกันกับเค่อเอ๋อ และก่านหรูเยี่ยนอย่างไม่รีบไม่ร้อน…


 



 


ณ ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ภูมิภาคตอนเหนือ…


 


บนยอดเขาอันพร่างพรมไปด้วยปุยขาวเย็นจากฟ้า ปรากฏร่าง 7 ร่างเหินลอยในอากาศ ในบรรดา 7 ร่างที่ว่าเป็นสตรีไปแล้ว 3 คน…


 


ยามสตรีเลอโฉมทั้ง 3 มายืนเคียงกัน ความงามตามธรรมชาติอย่างขุนเขาหิมะเสมือนหม่นหมองลงถนัดตา


 


“ฮ่าๆๆๆ…ในบรรดาพวกเราทุกคน ข้ากู่ลี่ต้องเป็นคนแรกใน 6 ทวาราเที่ยงแท้แน่ที่สามารถสร้างชื่อให้กระฉ่อนไปทั่วแดนดิน!!”


 


ในบรรดา 4 คนที่เหลือ ปรากฏชายร่างใหญ่แลดูกำยำคนหนึ่ง หัวเราะกล่าวออกมาอย่างเหี้ยมหาญ ก่อนที่จะพุ่งร่างแหวกหิมะหายลับฟ้าไปด้วยความเร็วสูง


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


หลังจากชายที่เรียกตัวว่า กู่ลี่ พุ่งแหวกห่าหิมะลับตาหายไป อีก 4 คนที่ลอยอยู่ก็เริ่งเหินร่างตามติด ทั้งหมดพุ่งหายลับขอบฟ้าทิศใต้ไปด้วยความเร็วสูง


 


“ข้าไม่รู้จริงๆว่าท่านผู้เฒ่าพยากรณ์คิดอ่านอะไรอยู่กันแน่…ไฉนครึ่งปีที่แล้วถึงได้กำชับนักหนาว่าห้ามมิให้ออกไปที่ใด แต่มาวันนี้แทบจะผลักไล่ไสส่งพวกเราด้วยซ้ำ…”


 


หนึ่งในฝาแฝดกล่าวออกมาด้วยความฉงนใจ ก่อนที่คู่พี่น้องฝาแฝดที่รั้งท้าย จะพากันเหินร่างมุ่งลงใต้ตามคนก่อนหน้าไปอย่างไม่รอช้า…


 


วันนี้ 6 ทายาทของ 7 ทวาราเที่ยงแท้…ได้หวนคืนสู่โลกหล้าอีกครั้ง!


ตอนที่ 2,218 : ยอดฝีมือที่เร้นกายจากโลกหล้า!


 


 


ช่วงเวลาเดียวกันกับที่ทายาทของ 6 ทวาราเที่ยงแท้เริ่มหวนคืนสู่โลกหล้า ทางภูมิภาคตะวันตกของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็บังเกิดความอลหม่านขึ้นอีกครั้ง


 


นั่นเพราะเรื่องราวที่ อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬยกพลไปลัทธิบูชาไฟ หมายให้ลัทธิบูชาไฟส่งมอบตัวผู้พิทักษ์หลิงเทียนออกมาให้พวกมันชำระความแค้น ได้แพร่กระจายออกมาแล้ว!


 


“นี่ๆ พวกเจ้าได้ยินข่าวเรื่องนี้กันแล้วหรือไม่ เห็นว่าคนของลัทธิอารามทมิฬบุกไปหาความผู้พิทักษ์หลิงเทียนถึงลัทธิบูชาไฟทันทีหลังพบว่าผู้พิทักษ์หลิงเทียนกลับมาแล้ว!!”


 


“เรื่องนี้ข้าก็พึ่งได้ยินมาเมื่อเช้าหยกๆ เห็นว่าอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬผู้นั้น ถึงกับนำกำลังคนมาด้วยตัวเอง…ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายอดฝีมืออันดับ 2 ในรายนามยอดเซียนเช่นมันจะเคลื่อนไหวใหญ่โตแบบนี้ได้!”


 


“ยังไม่เคลื่อนไหวได้หรือ…หากมันไม่มาสักคนแล้วยังจะมีใครในลัทธิอารามทมิฬเสียงหนักพอจะกล่าวกับลัทธิบูชาไฟได้เล่า?”


 


“จริง พอท่านจ้าวลัทธิบูชาไฟเราทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนสักคน หากอาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬไม่มา ที่เหลือก็อย่าได้คิดมาหาความอันใดเลย…”


 


“ลองหล่างเชียนจินผู้นั้นถึงกับออกโรงเองแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าหากมันไม่ได้ตัวผู้พิทักษ์หลิงเทียน พวกมันคงไม่ล่าถอยกลับไปง่ายๆ…”


 



 


เรียกว่าตอนแรกภาคตะวันตกล้วนแตกตื่นกับข่าวนี้ไม่น้อย


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความกังวลต่อผู้พิทักษ์หลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟ!


 


เพราะสุดท้ายแล้วคราวนี้ลัทธิอารามทมิฬก็ไม่ได้มาเล่นๆ หล่างเชียนจิน อันดับ 2 ในรายนามยอดเซียนนั่นถึงกับมาด้วยตัวเอง! ต้องทราบด้วยว่ามันคือยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดรองจากเนี่ยอู๋เทียน ผู้เป็นอันดับ 1 ในแดนดิน!!


 


แต่ในขณะที่ทั้งภาคตะวันตกกำลังอกสั่นขวัญแขวนเพราะกังวลเรื่องผู้พิทักษ์หลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟนั้นเอง…


 


ข่าวหนึ่งก็เริ่มแพร่ออกมาจากลัทธิบูชาไฟ!


 


หลังคนของลัทธิอารามทมิฬบุกมาถึงลัทธิบูชาไฟ หล่างเชียนจินได้ประกาศออกเสียงดังไปทั้งลัทธิบูชาไฟอย่างไม่กริ่งเกรงว่า…ให้ส่งมอบตัวผู้พิทักษ์หลิงเทียนออกมา! และด้านลัทธิบูชาไฟ ถังซวน จ้าวลัทธิก็ถึงกับระดมกำลังผู้พิทักษ์ทั้ง 5 รวมถึงต้วนหลิงเทียน ออกไปรับมือ!!


 


หลังมีปากเสียงกันสักพัก แม้หล่างเชียนจินจะเรียกร้องให้ส่งตัวผู้พิทักษ์หลิงเทียนเพียงใด ทีท่าของถังซวนก็แข็งกร้าวแน่วแน่ ไม่คิดปล่อยตัวคน!


 


เมื่อเจรจาไม่ประสบผล หล่างเชียนจินกับถังซวน ยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของทั้ง 2 ขุมพลัง ก็ได้ลงมือปะทะกันใหญ่โต! เพียงแรกปะทะยังส่งผลให้ศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวตายไปกว่าครึ่ง! ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มย้ายจุดไปรบกันไกลห่างลัทธิบูชาไฟ!!


 


ต่อมาผู้พิทักษ์หลิงเทียนรวมถึงผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟทั้ง 5 คน ก็ได้เผชิญหน้ากับจ้าวลัทธิอารามทมิฬพร้อมด้วยมหาธรรมราชาทั้ง 2!


 


ทว่าในขณะที่กล่าวแย้งกันไปมานั้นเอง…ผู้ช่วยเหลือของลัทธิอารามทมิฬก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเหนือความคาดหมาย!


 


ที่สำคัญผู้ช่วยเหลือคนนั้นก็คือเหาฉ่วง อันดับ 5 ในรายนามยอดเซียน ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่า ยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนคนนั้น!!


 


ซ้ำร้ายในขณะที่มีปากเสียงกับผู้พิทักษ์หลิงเทียนจนทั้งคู่คิดประลองตัดสินกัน เหาฉ่วงผู้นี้กลับหยิบควักพลองธัมมะอันเป็นยอดศาสตราเซียนออกมา สร้างความตกตะลึงให้ฝั่งลัทธิบุชาไฟอย่างหนัก!


 


เรียกว่าชัยชนะได้โอนเอียงไปทางลัทธิอารามทมิฬอย่างเห็นได้ชัด…


 


แต่ทว่าหลังจากทั้ง 2 ปะทะหาผู้ชนะกัน ต้วนหลิงเทียนกลับเป็นฝ่ายสยบเหาฉ่วงที่แม้จะใช้พลองธัมมะได้ในกระบวนท่าเดียว!


 


เรียกว่าทันทีที่เหตุการณ์นี้แพร่กระจายออกมา การที่ภูมิภาคตะวันตกจะฮือฮาขึ้นมาปานแผ่นดินไหวก็ไม่น่าแปลกใจเลย!


 


“สวรรค์ช่วย! ผู้พิทักษ์หลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟเราจะไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยหรือ! นั่นมันเหาฉ่วงเชียวนะ! ที่สำคัญกระทั่งเหาฉ่วงใช้พลองธัมมะแล้วยังแพ้พ่ายคามือผู้พิทักษ์หลิงเทียนในกระบวนท่าเดียว! เช่นนั้นมิใช่อันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก็ได้เปลี่ยนมือแล้วหรือไร?”


 


“ยังน้อยไปสิ…ว่ากันว่าหากไม่ใช่เพราะผู้พิทักษ์หลิงเทียนออมมือไว้…เหาฉ่วงนั่นเผลอๆจะได้กลายเป็นผีไปแล้วด้วยซ้ำ!”


 


“อืม เรื่องนี้เห็นว่า…เพราะผู้พิทักษ์หลิงเทียนเห็นแก่ภาพรวมของมนุษย์เรา เผ่าพันธุ์ปีศาจใกล้บุกขึ้นมาเต็มที จึงได้ไว้ชีวิตยอดฝีมืออย่างเหาฉ่วงไว้…ช่างมากคุณธรรมนัก! สามารถละเว้นความแค้นส่วนตัวเพื่อเห็นแก่ส่วนรวม!!”


 


“มารดามันเถอะ! ข้าขอลั่นวาจาไว้ตรงนี้เลย ว่าตลอดชีวิตหลังจากนี้ข้าจะยึดถือท่านผู้พิทักษ์หลิงเทียนเป็นแบบอย่างไปจนตาย!!”


 


“เหอะๆ รายนามยอดเซียนฉบับล่าสุดออกมาไม่ทันไร ฉบับหน้าก็ต้องแก้ไขกันใหญ่โตแล้ว ผู้พิทักษ์หลิงเทียนของเราถึงกับเลื่อนขึ้นมาสิบกว่าอันดับในรอบเดียว ครองอันดับที่ 5 ไปหน้าตาเฉย!!”


 


……


 


หากกล่าวกันว่าก่อนหน้านี้เรื่องต้วนหลิงเทียนก็โด่งดังสร้างความตกใจให้ผู้คนทั่วภูมิภาคตะวันตกไปทีนึงแล้ว


 


คราวนี้นับว่าผู้พิทักษ์หลิงเทียนได้สะท้านสะเทือนขวัญผู้คนทั่วภูมิภาคตะวันตกครั้งใหญ่!!


 


และเป็นไปได้สูง


 


ว่าทันทีที่ข่าวใหญ่โตในภูมิภาคตะวันตกดังกล่าวเริ่มแพร่ออกไปเมื่อไหร่ ผู้พิทักษ์หลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟน่ากลัวว่าจะได้รับการยอมรับให้กลายเป็นสุดยอดฝีมืออันดับต้นๆของแดนดินทันที!


 


อันที่จริงถึงแม้จะยังไม่มีข่าวเรื่องนี้แพร่ออกมา นามต้วนหลิงเทียนก็สะท้านสะเทือนทั้งแดนดินไม่น้อยอยู่แล้ว ทุกเรื่องราวและวีรกรรมทั้งหลาย ล้วนเป็นอะไรที่ทำให้ทั้งแดนดินตะลึงทั้งนั้น


 


เรียกว่าเป็นสัตว์ประหลาดนักเขย่าโลกก็ไม่ปาน!


 


พูดได้เลย ว่าพอเรื่องราวหลังต้วนหลิงเทียนกลับไปลัทธิบูชาไฟจนเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แพร่ออกมา โลกผู้ฝึกตนอิสระเห็นทีจะไม่ยอมรับก็คงไม่ได้ ว่าใครกันแน่ที่เป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของดินแดน!


 


เพราะครั้งนี้ ตำนานสะท้านขวัญของผู้ฝึกตนอิสระอย่างเผยซื่อไห่ ได้ถูกตำนานบทใหม่ของต้วนหลิงเทียนกลบทับ! นามอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของมันถือไว้ไม่ได้แล้วจริงๆ!!


 


เพราะดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าตอนนี้ ได้อุบัติอัจฉริยะอันดับ 1 อย่างเป็นทางการ! ไร้ซึ่งผู้ใดสามารถคัดค้านแคลงใจได้อีกต่อไป!!


 


และผู้ครองนามอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของแดนดินอย่างไร้ข้อกังขาผู้นั้น ก็คือผู้พิทักษ์หลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟ!!


 


เดิมทีนาม ต้วนหลิงเทียน ก็ไม่ใช่อะไรที่แปลกหูสำหรับผู้ฝึกตนอิสระแต่แรก


 


ตั้งแต่ที่เรื่องราวตราผนึกมารในภูมิภาคเบื้องล่างแพร่กระจายออกมา ก็ทำให้ทั้งภูมิภาคเบื้องบนคุ้นหูกันแล้ว ผู้ฝึกตนอิสระส่วนใหญ่ก็ได้ทราบเรื่องนี้กันทั้งนั้น


 


ด้วยเหตุนี้ภายหลังเมื่อเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนแพร่ออกมา เหล่าผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายจึงได้รู้ ว่ายอดฝีมือผู้นี้ยังมีอายุไม่ถึง 50 ปีจริงๆ!


 


ทว่าอายุไม่ถึง 50 ปีกลับได้เป็นผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ!


 


ยังมีใครไม่รู้บ้าง ว่าหากคิดเป็นผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ พลังฝีมือต้องเทียบได้กับเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!


 


“ว่ากันว่าต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟคนใหม่ พลังฝีมือยังไม่ใช่แค่เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนธรรมดาๆ…กระทั่งสื่อเฟิง อดีตยอดฝีมืออันดับ 1 ในบรรดา 3 ผู้พิทักษ์ยังยอมรับว่าพลังฝีมือด้อยกว่าผู้พิทักษ์หลิงเทียน!”


 


“นั่นสิ ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงของลัทธิบูชาไฟนั่นอย่างไรก็บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน แม้จะไม่ร้ายกาจเท่าใต้เท้าเผยซื่อไห่ แต่อย่างไรก็ต้องแข็งแกร่งกว่าเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนทั้งแดนดิน!”


 


“จากจุดนี้เห็นได้ชัดว่าแม้พลังฝีมือของผู้พิทักษ์หลิงเทียนอาจจะยังไม่เท่าใต้เท้าเผยซื่อไห่ แต่ก็ห่างกันไม่ไกล ที่สำคัญฝ่ายนั้นยังอายุไม่ถึง 50 ปีด้วยซ้ำ…”


 


นี่เป็นความรู้ความเข้าใจของเหล่าผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลาย ก่อนเรื่องราวล่าสุดของต้วนหลิงเทียนตะแพร่ออกมา…


 


……


 


กล่าวได้ว่าแม้จะเป็นผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลาย ก็ไม่อาจตั้งคำถามถึงความสามารถของต้วนหลิงเทียนได้อีก แค่เพียงตัดสินจากเรื่องราวทั้งหมดก่อนเรื่องล่าสุด ต้วนหลิงเทียนก็คู่ควรกับนามอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของแดนดินแล้วจริงๆ!


 


ถึงแม้จะกล่าวอ้างทำนองว่า…กว่าจะมีวันนี้ได้ไม่ทราบต้วนหลิงเทียนพบพานวาสนาโดยบังเอิญมามากเพียงใด! ก็ไร้ประโยชน์!!


 


เพราะถ้ามองกันอีกมุม


 


หรือที่เผยซื่อไห่มีวันนี้ได้ จะไม่เคยพบพานวาสนาโดยบังเอิญเลย?


 


ยังดีที่สำหรับผู้ฝึกตนอิสระแล้ว ข่าวล่าสุดยังมาไม่ถึงหูพวกมัน หากพวกมันรู้กันไม่ทราบจะตกใจกันมากขนาดไหน


 


ถึงตอนนั้นพวกมันคงได้กระจ่างแจ้ง


 


กระทั่งในแง่พลังฝีมือส่วนตัวอย่างเดียว…ไม่ต้องเอ่ยถึงความเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อะไร ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงเหนือกว่าเผยซื่อไห่อยู่ดี!


 


ณ ที่ไหนสักแห่งของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทางตอนเหนือ


 


ทางตอนเหนือของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้นมีหิมะตกตลอดทั้งปี บรรยากกาศจึงหนาวเหน็บเยียบเย็น กระทั่งทะเลสาบลำห้วยอันใดล้วนจับตัวเป็นน้ำแข็งทั้งสิ้น หนาพอให้ผู้คนเดินย่ำได้สบายไม่ต้องกลัวแตกถล่ม


 


เหนือทะเลสาบอันกว้างใหญ่ไพศาลที่จับตัวเป็นน้ำแข็งแห่งหนึ่ง ปรากฏบ้านไม้หลังเล็กๆปลูกสร้างเอาไว้อย่างสันโดษ


 


หน้าบ้านไม้หลังเล็ก ปรากฏร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิลอยล่องอยู่กลางอากาศ ไม่สะทกสะท้านต่อลมหนาวที่แผ้วพานเสียดกาย…


 


เป็นชายวัยกลางคนมาในชุดผ้าธรรมดาไร้ราคา ยังแลดูเก่าเก็บไม่น้อยเพราะเต็มไปด้วยรอยขาดปรุ เส้นผมของมันถูกปล่อยสยายปรกบ่าไม่เป็นทรง แม้จะแลดูมอซอแต่ก็บอกให้รู้ว่ามันเป็นคนไม่แยแสภาพลักษณ์


 


ชายวัยกกลางคนผู้นี้เดิมทีก็หลับตาเข้าฌาณอยู่เงียบๆ


 


หากทว่าอยู่ๆสองตามันก็เปิดกว้างขึ้นมา ยังกลอกไปจับจ้องสุดฟ้าห่างไกลทิศทางหนึ่ง


 


มองข้ามธารน้ำแข็งไป จะพบว่าจุดที่มันจับจ้องนั้น ที่แท้เป็นร่างของผู้คน! ผู้คนที่ว่ายังเป็นชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์เรียบง่ายหน้าตาหล่อเหลา คนลอยค้างกลางหาวอย่างเงียบงัน กลิ่นอายที่แผ่ออกทั่วร่างเสียดคมไม่คล้ายกลิ่นอายของผู้คน ราวกับเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง


 


เส้นผมของชายหนุ่มผู้นี้ถูกกรวบมัดไว้ด้วยเชือกผ้าธรรมดา หางม้าทอดยาวลงมากลางหลังพาดทับกระบี่พร้อมฝักที่แลดูธรรมดาๆเล่มหนึ่ง


 


กระบี่แม้จะแลดูธรรมดา แต่จากลวดลายเก่าแก่บนตัวฝัก ทั้งกลิ่นอายโบราณที่เสมือนทำให้บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นสีหม่นนั่น ราวกับจะประกาศให้ผู้คนรับทราบว่า…


 


มันดำรงอยู่ข้ามกาลเวลามาอย่างยาวนาน!


 


“เผยซื่อไห่”


 


เมื่อเห็นร่างชายหนุ่มสะพายกกระบี่ ชายวัยกลางคนที่ขัดสมาธิกลางหาว ก็ลุกขึ้นยืน เท้าเพียงย่ำไปในอากาศก้าวหนึ่ง ร่างมันก็พุ่งวาบไปหยุดอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มสะพายกระบี่อย่างอัศจรรย์!


 


ฟังจากที่ชายวัยกลางคนเรียกหาออกมาเมื่อครู่ ตัวตนของชายหนุ่มสะพายกระบี่ผู้นี้ย่อมเผยให้รู้ชัด


 


มันคือเผยซื่อไห่ อันดับ 7 ในรายนามยอดเซียน!


 


“เวิงเจิ้ง…”


 


เผยซื่อไห่มองไปยังชายวัยกลางคนที่วูบร่างมาด้วยสายตาจริงจัง กล่าวออกเสียงเข้ม “ข้ามาคราวนี้ เพื่อดูว่าสามารถรับมือเจ้าได้ถึง 10 กระบวนท่าแล้วหรือไม่!”


 


ฟังจากที่เผยซื่อไห่กล่าวออก…


 


มันกับชายวัยกลางคนผู้นี้สมควรเคยประมือกันมาก่อน…ทว่าเผยซื่อไห่กลับแพ้พ่ายใน 10 กระบวนท่า!


 


หากข่าวเรื่องราวนี้แพร่กระจายออกไป ไม่แคล้วต้องกลายเป็นเรื่องแตกตื่นแน่นอน!


 


เพราะแม้แต่ เหาฉ่วง ผู้ที่เคยถือครองอันดับ 5 ในรายนามยอดเซียนและได้ชื่อว่าอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ก็ยังไม่กล้าพูดว่าจะเอาชนะเผยซื่อไห่ได้ใน 10 กระบวนท่า!


 


ทว่าชายวัยกลางคนแลดูมอซอผู้นี้ที่สามารถเอาชนะเผยซื่อไห่ได้ใน 10 กระบวนท่า! กลับไร้ชื่อเสียงในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!!


 


อย่าว่าแต่ 10 อันดับแรกในรายยอดเซียนด้วยซ้ำ กระทั่ง 1,000 อันดับของรายนามยอดเซียนยังไม่มีชื่อมัน!


 


นี่ก็มากพอแล้วที่จะอธิบายเรื่องหนึ่ง…


 


มันคือยอดฝีมืออิสระที่เร้นกายจากโลกหล้า…และไม่เคยเผยพลังฝีมือต่อที่สาธารณะ!


 


ในฐานะยอดฝีมือที่เร้นกาย ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่ไม่เปิดเผยพลังฝีมือต่อสาธารณชน ก็ไม่มีทางที่มันจะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้เลย เช่นนั้นใครจะไปรู้จักมัน…


 


เรื่องนี้ก็เหมือนกันกับเผยซื่อไห่ ที่พึ่งจะมามีชื่อเสียง ก็หลังจากที่ปรากฏตัวออกมาชิงอันดับ 7 ในรายนามยอดเซียนเมื่อไม่กี่ปีก่อน!


 


ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีใครรู้จักเผยซื่อไห่เช่นกัน ชื่อมันก็ไม่เคยปรากฏใน 1,000 อันดับของรายนามยอดเซียน


 


“เผยซื่อไห่ข้าได้ยินมาว่าที่ลัทธิบูชาไฟ ปรากฏอัจฉริยะขึ้นมาคนหนึ่ง แถมพลังฝีมือไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน ที่สำคัญยังอายุน้อยกว่า 50 ปี…เห็นทีนามอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของเจ้า คงถึงคราวเปลี่ยนมือแล้ว…”


 


ชายวัยกลางคนนาม เวิงเจิ้ง ไม่รีบร้อนตอบคำเผยซื่อไห่ เพียงกล่าวหยอกล้อออกมาด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน


 


“หึ!”


 


ได้ยินดังนั้น เผยซื่อไห่เพียงพ่นลมสบถออกมาเสียงเย็น “ภูผาสูงยังมีที่สูงกว่า…ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของแดนดินอันใดนั่นเลยสักครั้ง!”


 


“ฮายๆ เจ้าก็อย่าได้ถ่อมตัวไป…ก่อนที่เจ้าหนูของลัทธิบูชาไฟผู้นี้จะปรากฏตัว เจ้าก็คู่ควรกับนามอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั่นจริงๆ!”


 


เวิงเจิ้งกล่าวพลางส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม


 


เช้ง!


 


เสียงโลหะครูดหนึ่งดังขึ้น เป็นเผยซื่อไห่ชักกระบี่ที่กลางหลังออกจากฝักมาคอนถือไว้ ปลายกระบี่ยังจี้ชี้ไปยังเวิงเจิ้ง กล่าวออกเสียงขรึมว่า “ลงมือกันเถอะ!”


ตอนที่ 2,219 : พรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อ!


 


“เข้ามา!”


 


คล้ายรู้ว่าเผยซื่อไห่กระเหี้ยนกระหือรือขนาดไหน เวิงเจิ้งได้แต่ส่ายหัวมาเบาๆ ค่อยกล่าวตอบรับคำอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


 


ชิ้ง!


 


ทันใดนั้นเสียงกระบี่ตวัดพลันดังขึ้นในอากาศ ร่างเผยซื่อไห่โจนทะยานออกมาพร้อมกระบี่เร็วไวปานภูตผี


 


ด้านเวิงเจิ้งก็ลงมือเช่นกัน หากแต่มันไม่ได้ใช้อาวุธใดๆ คล้ายคิดรับกระบวนท่าเผยซื่อไห่ด้วยมือเปล่า!


 


ปง! ปง!


 


ยามสองหมัดของเวิงเจิ้งที่ให้ความรู้สึกดั่งหมัดเหล็กไร้เทียมทานชกออก เสมือนกระสุนปืนใหญ่ยิงถล่มออกไปก็ไม่ปาน! พวกมันทั้งรวดเร็วทั้งทรงพลัง คลื่นกระแทกจากหมัดเผยพลังอันดุดันเข้มแข็ง อานุภาพพลังสะท้านสะเทือนไปในบรรยากาศ!!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 



 


เผยซื่อไห่พยายามปรับกระบวนท่ากระบี่ ตวัดฟันจ้วงแทงฟาดเฉือนฉับไว อาศัยเรียบง่ายแต่ร้ายกาจเข้าสู้ แต่ละกระบี่ที่ใช้ออกแฝงเร้นไปด้วยสำนึกกระบี่ไม่ใช่ชั่ว!


 


สำนึกกระบี่ที่เผยออก ปานจะฟันฟาดทำลายได้ทุกสิ่ง!


 


ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


กระบี่เผยซื่อไห่ว่าเรียบง่ายแต่ร้ายกาจแล้ว หากแต่หมัดคู่ของเวิงเจิ้งกลับแลดูไร้เรื่องราว บรรลุถึงคววามเรียบง่ายแต่ร้ายกาจยิ่งกว่ากระบี่ของเผยซื่อไห่เสียอีก!


 


หากผู้ที่มาเห็นสายตาไม่แหลมคมพอ คงคิดว่ามันเป็นนักเลงข้างถนนคนหนึ่งที่ออกหมัดตามอำเภอใจด้วยซ้ำไป!


 


หนึ่งกระบวน


 


สองกระบวน


 


สามกระบวน


 


……


 


พอถึงกระบวนท่าที่ 9 กระบี่ที่ตวัดฟันมาอย่างแยบคายของเผยซื่อไห่ กลับเสมือนถูกแม่เหล็กพิสดารดึงดูด ราวกับใบกระบี่มันพุ่งเข้าหาหมัดของเวิงเจิ้งด้วยตัวมันเอง! นำด้านที่อ่อนแอปะทะเข้ากับด้านอันเข้มแข็งของหมัด พาลให้ถูกหมัดกระแทกซัดจนง่ามมือฉีกขาด กระบี่ยังแทบปลิวกระเด็นหลุดมือ!


 


หลังถูกหมัดกระแทกเข้าจุดตายกระบวนท่า เผยซื่อไห่ก็ได้แต่ล่าถอยออกไป มือคอนกระบี่ชี้ลง ปรากฏโลหิตไหลออกจากง่ามมือชโลมกระบี่เป็นสาย หากแต่ไม่นานก็ปรากฏแสงพลังขุมหนึ่งเรืองวาบขึ้นบริเวณปากแผล หยุดสายธารสีแดงเอาไว้ไม่ให้สิ้นเปลือง…


 


“9 กระบวนท่าหรือ…”


 


เมื่อหยุดโลหิตบริเวณง่ามมือที่ฉีกได้แล้ว เผยซื่อไห่ก็ไม่ได้ไยดีอาการบาดเจ็บสักเท่าไหร่ คนลอยล่องค้างกลางหาว ปากกล่าวพึมพำอย่างเลื่อนลอย


 


ตอนนี้มองไปแม้คล้ายเผยซื่อไห่กำลังบ่นพึมพำจมกับความพ่ายแพ้ แต่อันที่จริงมันกำลังครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา คล้ายกลับจะหาเส้นสนกลในระหว่างการปะทะกับเวิงเจิ้งให้พบ พยายามสัมผัสให้ได้ถึงอะไรบางอย่าง


 


ด้านเวิงเจิ้งหลังกระแทกกระบี่จนง่ามมือเผยซื่อไห่ฉีกแล้ว มันก็หยุดมือทันที


 


พอเห็นว่าเผยซื่อไห่เหม่อคิดไปแล้วมันก็ไม่ได้อยู่รบกวนอีกฝ่าย ร่างวัยกลางคนวูบเลือนหายไปอย่างเงียบงัน พริบตาก็กลับไปลอยล่องอยู่ข้างบ้านไม้ คนค่อยๆนั่งลงขัดสมาธิลงกลางหาวอีกครั้ง เสมือนที่นี่ไม่มีเผยซื่อไห่


 


ราวครึ่งชั่วยามต่อมา ท่ามกลางหิมะที่ยังร่วงหล่นจากฟ้าไม่หยุด ในที่สุดเผยซื่อไห่ก็หลุดจากภวังค์


 


ขณะที่มันเก็บกระบี่เข้าฝักกลางหลัง มันก็มองไปยังเวิงเจิ้งที่กำลังนั่งขัดสมาธิกลางอากาศหน้าบ้านไม้บนธารนำแข็งไกลตา กล่าวออกเสียงทุ้มว่า “อีกกครึ่งเดือน ข้าจะรับมือท่านให้ได้ 10 กระบวนท่า”


 


“ข้าจะรอดู…”


 


เวิงเจิ้งไม่ได้ลืมตา เพียงกล่าวตอบอย่างเกียจคร้าน


 


จนเมื่อเผยซื่อไห่วูบร่างจากไปลับตาแล้ว มันจึงค่อยๆลืมตากล่าวออกพร้อมรอยยิ้มขื่นขมเบาๆ “เจ้าหนูนี่นับวันยิ่งก้าวหน้า…ต่อไปคิดสยบมันใน 10 กระบวนท่า คงทำไม่ได้แล้ว…”


 


หิมะในแดนเหนือก็ยังไร้ปราณีต่อสรรพชีวิตเช่นเคย ร่วงโปรยลงมาพรมรดตัวชายวัยกลางคนในชุดผ้าธรรมดาแสนบางที่เต็มไปด้วยรอยปรุอย่างไม่ไยดี


 


ไม่นานเวิงเจิ้งก็หลับตาลงอีกครั้ง คนหลับตานั่งขัดสมาธิกลางอากาศแน่นิ่งไปดั่งรูปปั้น


 


ณ เมืองเหรินโม่เชิ่ง ภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ถึงแม้การลงมือของต้วนหลิงเทียนที่หน้าประตูเมืองจะเอิกเกริกไม่น้อย หากทว่าเหตุการฆ่ากันตายแบบนี้ในสายตาเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์แล้ว ช่างธรรมดาอย่างถึงที่สุด ไม่นับว่าเป็นเรื่องราวสำคัญอะไรเลย…


 


ต้วนหลิงเทียนหลังได้เข้าเมืองเหรินโม่เชิ่งมาแล้ว ก็ตกใจกับเรื่องราวทั้งที่ทางโดยรอบอยู่บ้าง


 


‘สมแล้ว ที่เป็นเมืองที่ใหญ่กว่านครแห่งบาปในภูมิภาคเบื้องบน…กล่าวไปการวางผังเมืองรวมถึงความเจริญรุ่งเรืองยังเหนือกว่านครแห่งบาปอยู่หลายส่วน!’


 


หลังเดินสำรวจเมืองเหรินโม่เชิ่งไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนที่พบโรงเตี๊ยมใหญ่แลดูน่าเชื่อถือ ก็พาเค่อเอ๋อ ก่านหรูเยี่ยนและบุตรสาวในอ้อมอกเข้าไปจับจองที่พักทันที


 


เรียกว่าเมืองเหรินโม่เชิ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์นั้น แทบไม่ต่างอะไรกับเมืองใหญ่ที่เจริญแล้วของมนุษย์เลย มีเหลาอาหาร มีบ่อนพนัน กระทั่งหอนางโลมก็ยังมี พาลให้มนุษย์เช่นเขาที่มาพบเจอนับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ


 


ที่พักในโรงเตี๊ยมที่ต้วนหลิงเทียนจับจองนั้น เป็นเรือนที่มีลานว่าง 2 เรือนติดกัน


 


ลานแห่งหนึ่งแน่นอนว่าสำหรับให้ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา


 


ส่วนอีกลานนั้นแน่นอนว่าสำหรับก่านหรูเยี่ยน พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อ


 


หลังเข้าที่พักดีแล้วต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆปลุกซือหลิงให้ตื่นขึ้นมา


 


นับจากเวลาแล้วตอนนี้ซือหลิงกก็อายุได้ 9 ขวบปี ถึงแม้ว่าอายุนางยังน้อยนิดทว่าเค้าโครงความงามก็เริ่มเผยให้เห็น


 


คาดได้ว่าหากเด็กหญิงนางนี้เติบโตขึ้นมาต้องกลายเป็นโฉมงามล่มเมืองอีกหนึ่งที่ไม่ด้อยไปกว่ามารดาแน่นอน


 


“อือ…”


 


เด็กสาวตัวน้อยที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างสลึมสลือ สิ่งแรกที่เห็นย่อมเป็นใบหน้าต้วนหลิงเทียน


 


สำหรับนางแล้ว ต้วนหลิงเทียน สมควรเป็นคนแปลกหน้าที่พึ่งได้พบกันครั้งแรก ทว่าหลังได้เห็นหน้าตาของต้วนหลิงเทียนเป็นครั้งแรกแล้ว สองตาน้อยๆของนางก็เบิกกว้างกลมโตเผยประกายสดใส กล่าวกับต้วนหลิงเทียนอย่างคุ้นเคยไม่คล้ายคนแปลกหน้า “ท่านพ่อ งานท่านลุล่วงแล้วหรือ ท่านแม่คิดถึงท่านพ่อมาก…ซือหลิงก็คิดถึงท่านพ่อมาก คิดถึงท่านพ่อมากๆเลย”


 


แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้า ทว่าเลือดนั้นย่อมข้นกว่าน้ำ นางไม่รู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย กลับกันยังรู้สึกคุ้นเคยนัก


 


ต้วนหลิงเทียนเองตอนแรกก็เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจถูกลูกสาวผลักไสออกมาด้วยความตกใจ


 


เพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็คือการพบหน้ากันครั้งแรกของนาง


 


ทว่าเป็นอะไรที่เหนือคาดคิดนัก ลูกสาวตัวน้อยในวงแขนเขาไม่เพียงไม่ผลักไส กลับสามารถจดจำเขาได้ในพริบตา ยังกล่าวบอกว่าทั้งนางและมารดาคิดถึงเขามาก สองแขนน้อยๆพยายามกางออกกว้างๆเท่าที่จะทำได้ บอกให้รู้ว่าคิดถึงมากเพียงใด!


 


พริบตานี้ต้วนหลิงเทียนได้แต่รู้สึกสั่นไหวในใจ สองตายังรื้นขึ้นมาเล็กน้อย


 


“ซือหลิง ลูกจำพ่อได้อย่างไร…”


 


หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มถามซือหลิงออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ความตื่นเต้นในใจถูกกดระงับเอาไว้ มือค่อยๆเอื้อมไปลูบหัวเด็กน้อยอย่างแผ่วเบา แววตาฉายชัดถึงความอบอุ่นอย่างหาที่สุดไม่ได้


 


“เอ๋า ท่านพ่อไฉนโง่งมนักเล่า…”


 


ต้วนซือหลิงยกมือขึ้นปิดปากที่ทำท่าราวกับกลั้นยิ้มเต็มที่ ก่อนที่จะหันไปรอบๆ พอเห็นเค่อเอ๋อ ก็แย้มยิ้มกล่าวพลางใช้มือน้อยชี้ป้ายไปที่บิดา “ท่านแม่ๆ ท่านพ่อช่างโง่งมยิ่ง! ไม่รู้เลยว่าซือหลิงได้เห็นหน้าท่านพ่อทุกวัน!!”


 


ได้ยินซือหลิงกล่าวออกมาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเค่อเอ๋อด้วยความแปลกใจ


 


ได้เห็นหน้าเขาทุกวัน?


 


นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?


 


ด้านเค่อเอ๋อพอได้ยินคำลูกสาว ทั้งแลเห็นต้วนหลิงเทียนมองมาด้วยความแปลกใจ หน้างามก็อดขึ้นสีแดงเรื่อไม่ได้


 


“ซือหลิงคนเก่งบอกท่านพ่อเร็ว ว่าไฉนลูกได้เห็นหน้าท่านพ่อทุกวัน…”


 


เค่อเอ๋อกล่าวกับต้วนซือหลิงเสียงเบา


 


“ฮิฮิ ซือหลิงบอกก็ได้”


 


ต้วนซือหลิงหันมามองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง พลางกล่าวออกมาหน้ามุ่ย “ฮึ่ย ท่านพ่อไฉนท่านโง่งมนักเล่า ไม่รู้หรือว่าซือหลิงสามารถเห็นรูปเหมือนท่านได้ทุกวัน…อ๊า จริงด้วย! ซือหลิงยังวาดรูปท่านพ่อได้ด้วยนะ ถึงจะไม่สวยเท่าท่านแม่ก็ตาม”


 


ดูภาพเหมือนเขาทุกวัน!


 


ต้วนหลิงเทียนสามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ทันที มองไปยังเค่อเอ๋ออีกครั้งสายตายังเต็มไปด้วยความอ่อนโยนแฝงคำนึงรักใคร่


 


“ถ้างั้น…ตอนนี้ซือหลิงดีใจหรือไม่ที่ได้เจอพ่อแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามซือหลิงด้วยรอยยิ้ม


 


“ดีใจ! ซือหลิงดีใจมากๆ!”


 


เด็กสาวตัวน้อยพยักหน้างึกๆราวลูกเจี๊ยบจิกกข้าวสาร ค่อยตอบกลับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงร่าเริง “เมื่อท่านพ่อกลับมาแล้ว คราวนี้ท่านแม่จะได้มีเพื่อนเล่นเสียที…นอกจากนี้ท่านแม่ยังบอกว่าท่านพ่อเป็นวีรบุรุษที่ร้ายกาจยิ่ง พอท่านพ่อกลับมาก็สามารถปกป้องข้ากับท่านแม่ให้อยู่ดี…”


 


“ด้วยมีท่านพ่อ ต่อไปซือหลิงกับท่านแม่ก็ไม่ต้องอยู่ในบ้านหนาวๆหลังนั้นแล้ว…”


 


ได้ยินคำของลูกสาวในอ้อมอก ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกระชับนางมากอดแน่นขึ้น ร่างยังสะท้านเบาๆ สองตาเผยความอัปยศทั้งรู้สึกผิดให้เห็น


 


เขารู้ดีว่าบ้านหนาวๆที่ลูกสาวกล่าวถึง ไม่พ้นต้องเป็นห้องขังอันเยียบเย็นในหอคุมกฏแน่นอน…


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ลอบปฏิญาณในใจ…


 


หลังจากนี้เขาจะชดใช้ให้เค่อเอ๋อกับลูกสาวให้มากเป็นสองเท่า


 


จากนั้นเด็กสาวตัวน้อยในอ้อมกอดเขาก็เริ่มดิ้นซน หันรีหันขวางอีกครั้ง “ท่านป้าเล่า ท่านป้าอยู่ที่ใดแล้ว?”


 


เห็นได้ชัดว่านางกำลังมองหาก่านหรูเยี่ยน พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อ


 


ต้วนหลิงเทียนเห็นชัดว่าเด็กน้อยอยากไปเล่นกับป้าของนาง ก็อุ้มนางไปส่งให้ก่านหรูเยี่ยน หลังส่งลูกทั้งกำชับบางอย่างกับก่านหรูเยี่ยนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนกลับมาหาเค่อเอ๋อ ปิดประตูห้องหับก่อนจะดึงนางกอดนางไว้แน่นพลางกล่าวความในใจ “เค่อเอ๋อทั้งหมดลำบากเจ้าแล้ว ยังขอบคุณเจ้าที่เลี้ยงลูกสาวเราให้เติบโตมาได้อย่างดี…”


 


“พี่เทียน ท่านกล่าวเองว่านางเป็นลูกสาวเรา ไหนเลยข้าจะไม่เลี้ยงดูนางให้ดีได้…”


 


เค่อเอ๋อที่ปล่อยตัวในอ้อมแขนต้วนหลิงเทียนอย่างอบอุ่น กล่าวออกเสียงเบา


 


ครู่ต่อมาแก้มนางก็ปรากฏสีเลือดฝาด กล่าวคำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้เค่อเอ๋อมีความสุขยิ่ง อยากให้พวกเรามีวันเวลาเช่นนี้ตลอดไป…”


 


“ข้าก็หวังไว้อย่างนั้น…”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ ไม่เพียงแต่เค่อเอ๋อ เขาก็อยากให้เป็นแบบนี้เช่นกัน


 


หลังจากนั้นไม่นาน ร่างบางก็ถูกชายหนุ่มประคองใบหน้าให้ตั้งตรง สองตาสบกันอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะกดทับริมฝีปากหนาลงบนริมฝีปากบางอันอ่อนนุ่ม…ลิ้มรสความหอมหวานที่ห่างหายไปเนิ่นนาน เติมเต็มปรารถนาในใจที่คำนึงถึงทุกคืนวัน พลางช้อนร่างอย่างแผ่วเบา หากทว่าสองเท้ากลับก้าวอาดๆไปอย่างเร่งร้อน เลิกม่านผ้าบางกั้นเตียงแข็งขัน ค่อยวางร่างบางที่เต็มไปด้วยความอายม้วนลงอย่างทะนุถนอม…


 



 


บนตั่งเตียงในห้องน้อยดั่งมรสุมบังเกิดก็ไม่ปาน มองผ่านม้านผ้าไปเห็นเพียงสองเงาร่างทาบทับเลือนราง…สำเนียงครวญแผ่วเบาดังขึ้นเป็นระยะ ทำนองหนั่นเนื้อกระทบดังขึ้นอย่างไพเราะเพราะพริ้ง


 


หลังมรสุมแห่งความอบอุ่นทั้งร้อนแรงผ่านพ้นไประลอกแล้วระลอกเล่า จนทั้งห้องฟุ้งตลบไปด้วยกลิ่นอายรัก ร่างเค่อเอ๋อที่เหนื่อยล้าจากการทานรับทั้งสอดประสานความเข้มแข็งของชายในฝัน ก็ได้หลับไหลฟุบไปด้วยความพึงใจในอ้อมกอดแกร่ง


 


ต้วนหลิงเทียนลูบศีรษะเค่อเอ๋อที่ผมเผ้ากระเซิงเล็กน้อยเบามือ ค่อยๆใช้พลังไร้สภาพดึงผ้าห่มปลายเตียงขึ้นมาปกคลุมไม่ให้ร่างขาวเนียนกระจ่างไร้อาภรณ์ต้องถูกลมเย็น ก่อนจะฉุกคิดได้ถึงบางสิ่ง สำนึกเทวะเริ่มชำแรกเข้าไปในดวงจิตของร่างนุ่มในอ้อมอก


 


เขาอยากรู้ว่า ผนึก ที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกไว้ที่แท้เป็นเช่นไร


 


ผนึกที่ว่า ก็คือ ผนึก ที่สะกดพรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อเอาไว้!


 


เพราะเขาเคยได้ยินมาก่อนว่าเดิมทีพรสวรรค์รากวิญญาณแต่กำเนิดของเค่อเอ๋อนั้นเป็นสีม่วง หากทว่าถูกผนึกบางอย่างสะกดเอาไว้ทำให้ไม่อาจเผยพลังสามารถที่มันมี พลังฝีมือจึงไม่อาจก้าวหน้าฉับไวเหนือผู้คน…


 


“หืม?”


 


ทว่ายามสำนึกเทวะชำแรกลงลึกไปในดวงจิตของเค่อเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนกลับไม่พบพานผนึกอันใดที่ว่าทั้งสิ้น เห็นเพียงพลังอันเข้มแข็งขุมหนึ่ง ที่หยั่งรากลึกปานไม้ใหญ่ในดวงจิต ยังเป็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่สุดประมาณ


 


“เป็นรากวิญญาณสีม่วงจริงๆ…”


 


ถึงแม้จะได้ยินมานานแล้วว่าพรสวรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อเป็นสีม่วง แต่พอได้มาเห็นกับตา ใจต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะเต้นรัวขึ้นมาผิดจังหวะ…


 


“แถม…ยังเป็นรากวิญญาณสีม่วงเข้ม…”


 


นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนยังค้นพบว่า


 


พรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อนั้นยังเป็นสีม่วงเข้มจนคล้ำแทบจะกลายเป็นสีดำอยู่รอมร่อ! เสมือนถึงขีดสุดสักยภาพเท่าที่พรสวรรค์รากวิญญาณจะมีได้!!


 


ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เริ่มตรวจสอบพลังฝึกปรือของเค่อเอ๋ออย่างไม่รู้ตัว


 


และเขาก็ได้พบว่า…


 


ด่านพลังฝึกปรือของเค่อเอ๋อ ไม่ทราบบรรลุถึงเซียนมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงแม้จะยังห่างจากขอบเขตเซียนสวรรค์อยู่หลายขั้น แต่ทว่าหากเทียบกกับระดับพลังฝึกปรือของนางในครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเมื่อไม่กี่ปีก่อน ก็นับว่าเป็นความก้าวหน้าอันน่าเหลือเชื่อนัก…


 


“ผนึกของเค่อเอ๋อคลายลงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…”


 


ต้วนหลิงเทียนงุนงงสับสนนัก


 


หากแต่แม้จะงุนงงทั้งสงสัยมากเพียงใด เขาก็ไม่คิดจะปลุกเค่อเอ๋อที่หลับไปแล้วขึ้นมาเพื่อกล่าวถาม “ไว้เค่อเอ๋อตื่นค่อยลองถามนางเรื่องนี้ดู…”


 


อย่างไรก็แล้วแต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไม่ดี พอได้รับทราบว่าตอนนี้ ผนึก พรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อได้คลี่คลายลงแล้ว เขาก็ยินดีกับนางจากใจ


 


‘ตอนนี้ไม่มีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว ข้าไม่อาจพึ่งอัตราการไหลของเวลาในชั้น 4 ของเจดีย์ได้อีกต่อไป…เช่นนั้นหากเทียบกับในกาลก่อน พลังฝึกปรือของข้าจะก้าวหน้าช้าลงมาก…’


 


ฉุกคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มขื่นขม


 


‘ตอนนี้หากคิดจะเพิ่มพูนความเร็วในการบ่มเพาะ เกรงว่าคงทำได้แค่ยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้สูงขึ้นเท่านั้น…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนในใจ…


ตอนที่ 2,220 : ประโยคหนึ่ง


 


ในอดีต ด้วยมีความช่วยเหลือจากของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ความเร็วในการบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนเมื่อเทียบกับความเร็วในการบ่มเพาะปกติแล้ว นับว่ารวดเร็วกว่ากันถึง 10 เท่า! และทั้งหมดเป็นเพราะความช่วยเหลือของอัตราการไหลของเวลาที่เชื่องช้าบนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทั้งสิ้นทั้งสิ้น!!


 


ทว่าสำหรับต้วนหลิงเทียนตอนนี้


 


เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติสมถูกทำลายไปแล้ว


 


เช่นนั้นเขาจึงไม่อาจพึ่งพาอัตราการไหลของเวลาบนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อบ่มเพาะฝึกฝนได้อีกต่อไป สามารถพึ่งพาศักยภาพและพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองในการบ่มเพาะได้เท่านั้น ไม่อาจ ‘โกง’ ผู้อื่นได้อีกแล้ว…


 


“ท่านผู้เฒ่าหั่ว…”


 


พอนึกถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ต้วนหลิงเทียนก็อดคิดถึงผู้เฒ่าหั่วขึ้นมาไม่ได้ ในใจบังเกิดความรู้สึกปวดปร่า สีหน้ากลับกลายเป็นมืดมน


 


ในความคิดของต้วนหลิงเทียน


 


ผู้เฒ่าหั่วไม่อาจหนีความตายได้พ้นเลยหากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติถูกทำลายไปแล้วแบบนี้


 


หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่ครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็ฟื้นความรู้สึก ความอ่อนแออับจนในแววตาสลายหาย เผยประกายเข้มแข็งแน่วแน่


 


‘ผู้เฒ่าหั่วขอท่านพักผ่อนอย่างสงบ…หนึ่งชีวิตที่ท่านสละตัวช่วยมา ข้าจะรักและถนอมมันให้มากยิ่งขึ้น’


 


‘ถึงจะไม่มีความช่วยเหลือจากห้วงเวลาอันเชื่องช้าจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ข้าจะพยายามบ่มเพาะพลังเพื่อทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนโดยเร็ว เพื่อให้มีพลังสามารถมากพอคุ้มครองตัวเอง รักษาหนึ่งชีวิตที่ท่านแลกมาให้ดีที่สุด!’


 


ยิ่งมาแววตาต้วนหลิงเทียนยิ่งคมกล้าฉายความเด็ดเดี่ยว


 


ไม่มีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้วอย่างไร?


 


หรือเขาจะกลายเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้เชียว?


 


จะอย่างไรตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของเขาก็เป็นสีม่วง! ถึงแม้จะยังเป็นแค่สีม่วงอ่อนก็ตามที!!


 


‘ถึงแม้พรสวรรค์รากวิญญาณของพวกปีศาจอาจจะย่ำแย่…แต่ถึงยุงจะตัวเล็กมันก็ยังมีเนื้อ!’


 


‘ขอเพียงฆ่าพวกมันแล้วดูดกลืนให้มากเข้า ยังต้องกลัวว่าไม่อาจยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้รึไง…’


 


‘หนึ่งไม่ได้ก็ฆ่าสิบ สิบไม่ได้ก็ฆ่าร้อย…หากร้อยไม่พอก็ฆ่าพัน ถ้าพันยังไม่ได้ก็ฆ่าพวกมันนับหมื่น!!’


 


‘ถ้ากระทั่งหมื่นยังไม่พอ เช่นนั้นก็ฆ่าพวกมันสักแสน!!’


 


คิดถึงจุดนี้แววตาต้วนหลิงเทียนก็เยียบเย็นลง เผยความอำมหิตไร้ปราณี


 


เขาอาจรู้สึกลำบากใจ หากต้องฆ่าผู้คนนับแสนไม่เลือกหน้าดั่งทรราชเพื่อยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณ


 


ทว่าหากให้เข่นฆ่าเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขาไม่มีความรู้สึกเห็นใจอะไรอยู่เลย


 


“เค่อเอ๋อ…”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ สายตาต้วนหลิงเทียนพลันตกลงร่างเค่อเอ๋อที่ฟุบหลับในอ้อมอกอีกครั้ง


 


แววตาฉายชัดถึงความตั้งมั่น ‘ข้าสัญญาว่าต่อไปพวกเราจะไม่พรากจากกันอีก…ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าให้ต้องห่างไปไหนอีกแล้ว!’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวคำมั่นในใจ


 


เขาไม่มีวันปล่อยให้เค่อเอ๋อห่างกายไปไหนอีก


 


ก่อนหน้านี้การที่ต้องพรัดพรากจากเค่อเอ๋อมานับสิบปี สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วมันช่างทรมานใจอย่างใหญ่หลวงนัก…


 


เขาทนทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว เขาจะไม่ยอมให้เค่อเอ๋อต้องจากไปไหนอีก


 


ความรู้สึกของการพรัดพรากนั้น ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อยากพบเจออีกแล้ว…


 


สตรีในอ้อมกอดนางนี้คือคนที่เขาอยากปกป้องดูแลไปชั่วชีวิต


 


ครู่ต่อมาใจต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสงบลง มือช้อนร่างเค่อเอ๋อให้นอนลงอย่างสบาย ก่อนที่จะลุกไปนั่งขัดสมาธิล่างเตียง เพื่อบ่มเพาะพลัง


 


เคล็ดที่สิบ 9 มังกร ของเคล็ดวิชาบ่มเพาะ 9 มังกรจักรพรรดิสงครามเริ่มต้นโคจร ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบเพื่อขัดเกลาสั่งสมพลัง…


 


พริบตาก็โคจรพลังครบรอบ


 


“ช้า…ช้าเกินไป!”


 


นี่นับเป็นครั้งแรกของต้วนหลิงเทียนหลังกลับมาถึงภูมิภาคเบื้องล่างแล้วได้ลองบ่มเพาะพลัง และถึงแม้เขาจะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจทนรับมันได้!


 


เขาหยุดบ่มเพาะลงทันที


 


นั่นเพราะความเร็วในการบ่มเพาะของเขามันเชื่องช้าเสมือนเต่าคลาน!


 


ถึงแม้ว่าเมืองโม่เหรินเชิ่งแห่งนี้จะตั้งอยู่ในเขตเหมืองแร่หินเซียนของตำหนักเมฆาครามในกาลก่อน และนับว่าเป็นสถานที่ๆมีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นมากที่สุดของภูมิภาคเบื้องล่าง…


 


อย่างไรก็ตามสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของที่นี่ ไม่อาจเทียบกับสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของภูมิภาคเบื้องบนได้เลย


 


นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนที่คุ้นชินกับกการบ่มเพาะพลังในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว พอนำมาเทียบกัน ความต่างระหว่างทั้ง 2 ก็มากมายมหาศาลถึงขั้นรับไม่ได้!


 


‘ให้ตาย…ดูเหมือนต้องรีบยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้เร็วที่สุด…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวอย่างลับๆ


 


ถึงแม้ตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของเขาจะเป็นสีม่วง ทว่ามันก็เป็นแค่สีม่วงอ่อนเท่านั้น แตกต่างกับรากวิญญาณสีม่วงเข้มของเค่อเอ๋ออย่างมาก!


 


ยิ่งไปกว่านั้นความแตกต่างระหว่างรากวิญญาณสีม่วงอ่อนกับรากวิญญาณสีม่วงเข้ม ยังมากกว่าความแตกต่างระหว่างรากวิญญาณสีน้ำเงินอ่อนกับรากวิญญาณสีครามเข้มเสียอีก!!


 


‘หากรากวิญญาณของข้าเปลี่ยนจากสีม่วงอ่อนกลายเป็นสีม่วงเข้ม ความเร็วในการบ่มเพาะของข้า ถึงแม้จะเทียบกับความเร็วในการบ่มเพาะก่อนหน้าตอนที่มีชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็เกรงว่าจะต่างกันไม่มาก!’


 


นึกถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนพอได้โล่งใจขึ้นมาอยู่บ้าง


 


หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็หลับตาและอดทนบ่มเพาะพลังสืบต่อ


 


ต้วนหลิงเทียนบ่มเพาะพลังไปอย่างลืมเวลา จนกระทั่งเค่อเอ๋อตื่นขึ้นมา


 


“เค่อเอ๋อข้าพบว่า ผนึก ที่สะกดพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าเอาไว้ ได้สลายไปแล้ว…เจ้ารู้ไหมว่ามันถูกคลายไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย


 


“สมควรเป็นตอนที่จ้าวลัทธิบูชาไฟพาข้าออกจากหอคุมกฏ ผนึกที่พี่เทียนว่าสมควรถูกมันคลายให้ตอนนั้นไม่ผิดแน่…เพราะหลังจากที่ข้าลองบ่มเพาะพลังดูก็พบว่ามันรวดเร็วกว่าเดิมมาก”


 


ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนแล้ว เค่อเอ๋อย่อมกลายเป็นเด็กน้อยเชื่อฟัง ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง “ฟังจากที่พี่หญิงเคยบอก พอข้ารู้ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าเป็นสีม่วง ข้าก็ตระหนักได้ทันทีว่ามันมีคุณค่ามากเพียงใด”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค หน้างามของเค่อเอ๋อพลันคลี่ยิ้มสดใสพลางกล่าว “วันหน้าเมื่อพลังฝึกปรือของข้าสูงขึ้น ข้าย่อมสามารถเป็นกำลังคอยช่วยเหลือพี่เทียนได้!”


 


นางต้องการก้าวตามรอยเท้าชายคนรักให้ทันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือและเป็นกำลังให้อีกฝ่าย หมายแบ่งเบาภาระได้บ้าง


 


อนิจจายิ่งมาพลังฝีมือของนางก็ยิ่งถูกชายคนรักทิ้งห่างไปไกล และสุดท้ายก็กลับกลายเป็นห่างไกลเกินเอื้อม!


 


ในเรื่องนี้แม้ผิวเผินนางจะไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น แต่ในใจกลับรู้สึกผิดหวังอย่างมาก


 


ดังนั้นตอนแรกที่ได้รับทราบจากพี่สาวฝาแฝดอย่างก่านหรูเยี่ยน ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของนางคือสีม่วง เค่อเอ๋อจึงรู้สึกตื่นเต้นยินดีมาก


 


แต่ทว่าตื่นเต้นไปได้ไม่ทันไร นางก็จำต้องผิดหวังอีกครั้ง เมื่อพบว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของนางถูกผนึก!


 


ต่อมาภายหลัง พอถูกถังซวนนำตัวไปไว้บนเกาะ นางค่อยตระหนักได้ว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังมันก้าวหน้าขึ้นมหาศาลถึงขั้นมากกว่าเดิมอย่างทาบไม่ติด นางก็ตระหนักได้ว่า ผนึก อะไรที่ว่า…สมควรถูกแก้ไขแล้ว!


 


ตอนนั้นนางถึงกับตื่นเต้นยินดีจนนอนไม่หลับ


 


นางจึงเร่งบ่มเพาะพลังอย่างตั้งใจ และเพียงเวลาอันสั้นนางก็ทะลวงผ่านด่านพลังมาหลายขั้นจนบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ด้วยความเร็วเกินจริง พริบตาก็เจียนทะลวงถึงขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว!


 


ตราบใดที่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนปฐพีได้ นั่นหมายความว่าอีกไม่นานนางก็จะทะลวงถึงขอบเขตเซียนนภา หลังจากนั้นที่รออยู่ก็คือขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว!


 


“มันยิ่งกว่าเป็นกำลังช่วยข้าเสียอีก…เค่อเอ๋อ ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าตอนนี้ หากพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าไม่ยกระดับ อีกไม่เกิน 10 ปีเจ้าก็ก้าวข้ามข้าได้แล้ว!”


 


ต้วนหลิงเทียนดึงร่างบางเค่อเอ๋อมากอด ก่อนที่จะหอมแก้มนางฟอดใหญ่ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มยินดี


 


“พรสวรรค์รากวิญญาณ…ยกระดับ?”


 


ทว่าเค่อเอ๋อที่พวงแก้มแดงก่ำเพราะถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว เพียงเขินอายอยู่ไม่นานก็ต้องเอะใจ พูดถามออกมาด้วยความสงสัย


 


“อื้ม”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบคำ ก่อนที่จะค่อยๆเล่าให้เค่อเอ๋อฟังถึงความสามารถพลิกฟ้าของเวทย์พลัง ปฐมเวทย์กลืนกิน


 


“กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่น มาส่งเสริมพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเอง…ในโลกหล้ากลับมีเวทย์พลังที่ทรงอำนาจถึงขั้นนี้อยู่ด้วยหรือ!?”


 


จังหวะนี้กระทั่งเค่อเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะตกใจยกใหญ่


 


หลังจากที่ตกใจอยู่ได้ไม่ทันไร เค่อเอ๋อก็มองจ้องไปยังชายคนรักที่แย้มยิ้ม สายตาตกใจเริ่มเปลี่ยนเป็นความยกย่องเทิดทูน สุดท้ายก็ถึงขั้นศรัทธา!


 


ด้านต้วนหลิงเทียนก็ยังจ้องมองท่าทางน่ารักของเค่อเอ๋อไม่วางตา สุดท้ายก็หมั่นเขี้ยวจนทนไม่ไหวจำต้องหอมแก้มนางไปอีกฟอด


 


ที่สุดแล้วนี่คือผู้หญิงของเขา!


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชายจะยินดีแค่ไหน เมื่อถูกผู้หญิงของตัวเองศรัทธาและเชื่อมั่น!


 



 


เมืองเหรินโม่เชิ่งนั้นแทบจะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์จากแดนเนรเทศทั้งหมดมารวมตัวกัน ทำให้ในเมืองนั้นเต็มไปด้วยปีศาจในคราบมนุษย์มากมาย คึกคักมีชีวิตชีวาไม่น้อย


 


“ท่านพ่อนี่อันใดหรือ…”


 


“ท่านพ่อ เจ้านี่ดูดีจัง ซือหลิงอยากได้…”


 


“ท่านพ่อซื้อๆๆ อันนี้สวยมากเลย!”


 



 


เสียงเจื้อยแจ้วดั่งระฆังแก้วดังขึ้นไม่หยุดหย่อนขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางถนนหนทางที่เต็มไปด้วยปีศาจมากมาย


 


ผู้ที่สร้างเสียงใสนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นเด็กหญิงตัวน้อยวัยราวๆ 8-9 ขวบปี


 


นางถูกอุ้มอยู่ในวงแขนของชายหนุ่มชุดม่วงคนหนึ่ง มือน้อยๆชี้ไปยังสิ่งของแปลกตาที่ไม่เคยพบเจอไม่หยุดหย่อน


 


เรียกว่าชายหนุ่มพานางเดินผ่านแผงขายของแปลกตาอะไร จำต้องร่ำร้องขอให้ซื้อมาเก็บไว้ เรียกว่าสิ่งของจิปาถะไม่เว้นของเล่นแปลกๆ แทบทั้งหมดล้วนถูกนางชี้ให้ซื้อทั้งสิ้น


 


และเป็นธรรมดาว่าคำขอของเด็กหญิง เมื่อดังเข้าหูชายหนุ่มแล้วก็เป็นดั่งโองการสวรรค์มิอาจขัดขืน ทว่าเขาก็ไม่ได้ไม่ขัดข้องอะไรยังยิ้มร่าอย่างพึงพอใจ ลูบหัวน้อยๆอย่างเบามือก่อนจะจ่ายหินเซียนซื้อสิ่งของมาเก็บไว้ให้เด็กน้อยแต่โดยดี


 


นอกจากชายหนุ่มทุ้มเด็กหญิงแล้ว ข้างกายยังมีสตรีงามเฉิดฉันท์อีก 2 นางที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ


 


รูปโฉมของพวกนางนั้นใช้คำว่างามล่มเมืองยังไม่เกินเลย ลักษณะท่วงท่าไม่เว้นความรู้สึกที่แผ่ออกมานับว่าพิเศษไม่ธรรมดา ปานเทพธิดาลงมาเที่ยวเล่นยังแดนดินก็ว่า


 


เช่นนั้นระหว่างทางจึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่จะมีปีศาจมากมายให้ความสนใจพวกนาง


 


ทั้ง 4 คนที่กำลังเดินท่องไปในถนนอันแออัดมากล้นไปด้วยปีศาจที่กำลังใช้ชีวิตก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นต้วนหลิงเทียน ต้วนซือหลิง เค่อเอ๋อ และก่านหรูเยี่ยนนั่นเอง…


 


หลังพักผ่อนในโรงเตี๊ยมอยู่ไม่กี่วัน ต้วนหลิงเทียนก็พาทั้งหมดออกมาเดินเล่น


 


แน่นอนว่าวัตถุประสงค์หลักของเขาคือการรวบรวมข้อมูลข่าวสาร


 


อย่างไรก็ตามแม้โสตประสาทรับฟังจะพยายามรับข้อมูลจากบทสนทนาโดยรอบอย่างใจจดจ่อ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ให้ความสำคัญกับคำขอเจื้อยแจ้วเหนือสิ่งใด


 


ได้เห็นฉากพ่อลูกเข้ากันได้ดี ยิ้มแย้มสดร่าเริงแบบนี้ รอยยิ้มยินดีอย่างถึงที่สุดก็คลี่กางบนใบหน้างามหมดจดของเค่อเอ๋อ


 


ตอนนี้นางรู้สึกเสมือนตัวเองเป็นสตรีที่โชคดีที่สุดในโลก


 


สำหรับก่านหรูเยี่ยนนั้น สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนยิ่งมาก็ยิ่งฉายความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ


 


ไม่ทราบว่านางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…


 


“ซือหลิง แม่กับป้าของเจ้าคงเหน็ดเหนื่อยกับการเดินซื้อของแล้ว…พวกเราไปพักหาอะไรกินกันก่อนดีหรือไม่?”


 


หลังเดินไปได้สักกพัก เมื่อสังเกตเห็นอาคารปลูกสร้างใหญโตหลังหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ก้มมองเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนพลางถามเชิงชี้นำออกมา


 


“ได้ๆ ซือหลิงก็หิวแล้วเหมือนกันท่านพ่อ”


 


ต้วนซือหลิงพยักหน้าเห็นด้วยเร็วรี่ราวลูกเจี๊ยบตัวน้อยจิกข้าว


 


ต้วนหลิงเทียนจงใจเลือกสถานที่แห่งนี้เพราะหลังจากสังเกตมาสักพัก ก็พบว่าที่นี่เป็นเหลาอาหารที่คึกคักและใหญ่โตที่สุดที่เขาพบเจอ ที่สำคัญเหลาแห่งนี้ยังตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเหรินโม่เชิ่งอีกด้วย เมื่อสอบถามโต๊ะว่างจากบริกรรับรองที่คอยให้บริการหน้าเหลา ต้วนหลิงเทียนก็พาทุกคนเดินขึ้นไปชั้นบนของเหลาอาหารทันที


 


สาเหตุที่เขาพยายามมองหาเหลาอาหารที่ใหญ่โตแบบนี้ เพราะสถานที่แห่งนี้สมควรคึกคักมากผู้คนที่สุด ยามคนเราผ่อนคลายเรื่องราวทั้งหลายก็มักหลุดออกจากปาก แน่นอนว่าปีศาจก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


ไม่นานสำรับอาหารก็ถูกยกมาจัดวาง ซือหลิงก็ลองกินนู่นนี่นั่นอย่างชอบใจ


 


ทว่าด้านต้วนหลิงเทียนนั้น หลังเงี่ยฟังอยู่หนึ่งเค่อ ก็ไม่ได้ข้อมูลสำคัญอะไร


 


ผ่านไป 2 เค่อก็ยังไม่มีเรื่องใดมีประโยชน์


 


กระทั่งผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยามแล้ว ก็ยังมีแต่เรื่องทั่วๆไป


 


“ท่านพ่อ พวกเรากินเสร็จแล้วไฉนไม่กลับกันเล่า ท่านนั่งเหม่อทำอะไรอยู่หรือ?”


 


หลังพ้นมาอีก 2 เค่อ ต้วนซือหลิงที่กินอิ่มแล้ว ก็มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสงสัย


 


และแทบจะพร้อมๆกันกับที่เสียงต้วนซือหลิงดังขึ้น


 


ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินประโยคหนึ่งจากบทสนทนาของปีศาจบางตัว…


 


ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับลุกวาวขึ้นมาทันที


 


เรียกว่าลุกวาวจ้าถึงขั้นแทบจะยิงลำแสงออกมาได้อยู่รอมร่อ!!


ตอนที่ 2,221 : ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์!


 


“พวกเจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือยัง เห็นว่ามรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ของพวกมนุษย์ถูกค้นพบเมื่อไม่กี่วันก่อน”


 


วาจาประโยคนี้ของเผ่าพันธุ์ปีศาจบางตน ทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันที ลมหายใจยังถี่ขึ้นไม่น้อย!


 


ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์!


 


สำหรับเขาประโยคนี้ ไม่ใช่อะไรที่ไม่คุ้นหูเลย!


 


กระทั่งทันทีที่ได้ยินเขายังนึกถึง ยอดศาสตราเซียนที่ติด 10 อันดับแรกในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ทันที!


 


ตอนที่อยู่ในลัทธิบูชาไฟเขาได้รู้มาว่า


 


ยอดศาสตราเซียนที่ติด 10 อันดับแรกในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ หรือที่เรียกกันว่าศาสตราหมื่นอาคมเซียนนั้น มันเป็นผลงานชั่วชีวิตของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์!


 


และปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ผู้นั้น ยังเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนคนเดียวในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ที่ความสามารถในศาสตร์การจารึกอาคมบรรลุถึงขอบเขตสวรรค์!


 


หาไม่แล้วในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคงไม่มียอดศาสตราเซียนอยู่เพียงแค่ 10 ชิ้นจนถึงทุกวันนี้!


 


“ว่าอะไร!?”


 


“ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ของพวกมนุษย์งั้นเหรอ!? ข้าเคยได้ยินมาว่านั่นคือตัวตนที่ปรากฏขึ้นแต่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเท่านั้น!?”


 


“เป็นมันไม่ผิดแน่…”


 


“ว่ากันว่า ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์คนนี้ของพวกมนุษย์ ได้สร้างยอดศาสตราเซียนทิ้งไว้ทั้งสิ้น 10 ชิ้น…หนึ่งในนั้นยังเรียกว่า ตราผนึกมาร ที่มีพลังอำนาจร้ายกาจที่สะกดข่มเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างพวกเราโดยเฉพาะ!”


 


“ใช่แล้ว ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่อง ตราผนึกมาร นั่นมาเหมือนกัน…เห็นว่ามันเป็นยอดศาสตราเซียนที่น่ากลัวนัก! เป็นดั่งดาวข่มของเผ่าพันธุ์ปีศาจเราก็ไม่ปาน กระทั่งให้ปีศาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนของพวกเรา พบเจอเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนของพวกมนุษย์ที่มีตราผนึกมารในครอบครองก็เหลือแต่หนทางตกตาย!!”


 


“เหอะๆ อย่าได้กล่าวถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนเลย ปีศาจอย่างเราๆต่อให้บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนก็ไม่แน่ว่าจะสู้เซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนของมนุษย์ที่ถือครองตราผนึกมารได้…ยอดศาสตราอุบาทว์พรรค์นี้ ไม่รู้พวกมนุษย์นั่นมันสร้างขึ้นมาได้อย่างไรกัน”


 


“ข้าได้ยินมาว่าเดิมทีตราผนึกมารที่ว่าเป็นของนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้นี่เอง…แต่เห็นว่ามียอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนลงมาช่วงชิงแย่งไป! ยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนคนนั้นน่าตายยิ่ง…หากมันไม่ลงมาช่วงชิงตราผนึกมารไป วันใดที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเราตามหาคนของตำหนักเมฆาครามเจอ คงได้มีโอกาสทำลายตราผนึกมารบัดซบนั่นทิ้งไปให้พ้นๆ…”


 


“กล่าวถึงตำหนักเมฆาครามนั่นแล้ว…สถานที่ๆเมืองพวกเราตั้งอยู่ เห็นว่าก็เคยเป็นที่ตั้งเหมืองแร่หินเซียนของตำหนักเมฆาครามมาก่อน! เรียกว่าพวกเราได้มายึดที่ทางของตำหนักเมฆาครามนั่นก็ว่าได้…”


 



 


เมื่อมีปีศาจตนหนึ่งเริ่มเปิดประเด็นเรื่องปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ขึ้นมา ไม่เพียงสหายปีศาจในโต๊ะ กระทั่งปีศาจโต๊ะข้างๆก็เริ่มผสมโรงด้วยทันที


 


เป็นเวลาสักพักแล้ว ที่เผ่าพันธุ์ปีศาจได้บุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้…


 


ปีศาจหลายตัวก็ใช้ทักษะควาญวิญญาณเป็น พวกมันก็ได้ใช้ทักษะดังกล่าวกับผู้ฝึกตนมนุษย์เพื่อหาข้อมูลมากมายก่อนที่จะฆ่าทิ้ง จึงได้รับทราบเส้นสนกลในของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไม่น้อย


 


ในบรรดาเรื่องราวทั้งหมดที่สืบทราบ พวกมันก็ได้รับรู้เรื่องราวของ 10 ยอดศาสตราเซียนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเช่นกัน


 


หากจะกล่าวถามว่าในบรรดายอดศาสตราเซียนทั้ง 10 ชิ้น เผ่าพันธุ์ปีศาจให้ความสนใจยอดศาสตราชิ้นใดมากที่สุด ก็เห็นทีจะเป็นตราผนึกมารอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!


 


ยอดศาสตราเซียนชิ้นอื่นๆ ต่อให้มีอานุภาพสูงล้ำที่สุด หรือเป็นอันดับ 1 ในบรรดายอดศาสตราเซียนทั้ง 10 พวกมันก็ไม่แยแส ที่พวกมันสนก็มีแค่ตราผนึกมารเท่านั้น!


 


สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะตราผนึกมารนั่นเป็นดั่งของแสลงเผ่าพันธุ์ปีศาจ! เป็นยอดศาสตราที่เกิดมาเพื่อกำราบพลังมารของพวกมันโดยเฉพาะ!!


 


‘ตำหนักเมฆาคราม…’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟังบทสนทนาทันที เมื่อได้ยินปีศาจกล่าวถึง ตำหนักเมฆาคราม ออกมา


 


กระทั่งเค่อเอ๋อและก่านหรูเยี่ยนที่พอได้ยิน ก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตาฟังเช่นกัน


 


ก่านหรูเยี่ยนยกมือนิ้วชี้ขึ้นมาจ่อไว้ที่ปากแล้วทำตาดุใส่ซือหลิงรอบหนึ่ง ซือหลิงก็รู้เรื่องดีว่าตอนนี้ควรทำตัวอย่างไร นางจึงเงียบไปแล้วอยู่นิ่งๆไม่ซุกซน หันไปเขี่ยกระดูกในจานตรงหน้าเล่น…


 


ต้วนหลิงเทียนที่ตั้งใจฟังค่อยๆได้รับทราบเรื่องราวที่มีประโยชน์จากปีศาจกลุ่มนั้นไม่น้อย


 


“ตอนที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเข่นฆ่าบุกมาหมายชิงพื้นที่แถวนี้…คนตำหนักเมฆาครามกลับหนีรอดไปได้โดยไม่มีใครตาย?”


 


หลังได้ทราบข้อมูลสำคัญเรื่องนี้ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือเค่อเอ๋อ ก็อดไม่ได้ที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


ไม่มีคนตำหนักเมฆาครามตาย นั่นหมายความว่าครอบครัวทั้งสหายของเขาทั้งหมดยังมีชีวิตอยู่!


 


ตอนนี้ใจที่ถูกถ่วงรั้งไว้ด้วยความกังวลของต้วนหลิงเทียน ก็คล้ายได้ปลดเปลื้องพันธนาการ กลายเป็นโล่งอกทั้งแช่มชื่นอย่างถึงที่สุด


 


‘หืม? ทัพหน้าของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์…ถึงกับถูกคนตำหนักเมฆาครามฆ่าล้างไปกว่าครึ่ง?’


 


ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ต้วนหลิงเทียน แต่เค่อเอ๋อ กระทั่งก่านหรูเยี่ยนก็ถึงกับหันมามองสบตากันด้วยความตกตะลึง


 


‘ตำหนักเมฆาครามของท่านพ่อ…ถึงกับสังหารทัพหน้าของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ไปกว่าครึ่ง ที่สำคัญหากไม่ใช่เพราะกำลังเสริมของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ยกทัพมาหนุนเสริมได้ทันเวลา เกรงว่าทัพหน้าที่บุกมาอาจจะถูกฆ่าล้างหมดสิ้น?’


 


ต้วนหลิงเทียนสับสนไปหมด


 


ตำหนักเมฆาครามของเขา มีกำลังรบอันเข้มแข็งถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?


 


แนวหน้าของกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์แม้จะไร้ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน แต่ยอดฝีมือด่านพลังสูงๆก็สมควรมีไม่ใช่น้อย!


 


แต่ถึงขนาดนั้นตำหนักเมฆาครามของเขายังรอดพ้นหายนะการทำลายล้าง หลบหนีไปได้อย่างปลอดภัยไร้คนตาย…!


 


เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนตะลึงทั้งสับสนอยู่นานยากจะคืนสติ


 


“พี่เทียน…ตำหนักเมฆาครามของท่าน ทรงพลังถึงขั้นนี้เชียวหรือ?”


 


เค่อเอ๋อยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา


 


เค่อเอ๋อในตอนนี้ไม่ใช่เค่อเอ๋อที่ไม่ประสาในกาลก่อนแล้ว


 


ตั้งแต่ได้ไปอยู่ในภูมิภาคเบื้องบน ขอบเขตความรู้ความเข้าใจของเค่อเอ๋อก็ได้เปิดกว้าง แน่นอนว่านางย่อมรู้ความหมายถึงเรื่องที่ตำหนักเมฆาครามสามารถหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัยดี…กระทั่งยังมีพลังกวาดล้างทัพหน้าของพวกปีศาจไปกว่าครึ่ง!!


 


“เรื่องแบบนี้…เป็นไปได้ยังไงกัน!”


 


ก่านหรูเยี่ยนโพล่งออกมาตรงๆ นางคิดไม่ออกจริงๆว่าไฉนตำหนักเมฆาครามถึงทรงพลังได้ขนาดนั้น


 


“ข้า…ข้าก็ไม่รู้…”


 


ได้ยินคำถามของเค่อเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนพลันดึงสติกลับคืน ส่ายหน้าตอบคำอย่างสับสน


 


เขาเองก็คิดไม่ออก!


 


ว่าตำหนักเมฆาครามของเขาไฉนถึงมีกำลังรบอันร้ายกาจได้ขนาดนั้น?!


 


แม้จะขบคิดต่อไปอยู่พักใหญ่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าเพราะอะไร ‘ช่างเถอะ อย่างไรเรื่องนี้ต้องมีเหตุผลบางอย่าง…ขอเพียงเจอท่านพ่อกับท่านแม่และเสี่ยวเฟยเอ๋อเมื่อไหร่ เรื่องทั้งหมดย่อมกระจ่างเอง’


 


พอนึกได้แบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดมากเรื่องนี้อีก


 


‘อย่างไรก็ตามที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้สามารถยืนยันได้แล้วว่าทั้งหมดปลอดภัยดี…นับว่าจุดประสงค์ในการมาเมืองเหริ่นโม่เชิ่งครั้งนี้ของข้าลุล่วงไปได้ด้วยดี’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


ที่เขาเข้ามาในเมืองเหรินโม่เชิ่งแบบนี้เพียงเพราะอยากสืบข่าวคราวของตำหนักเมฆาคราม ว่าครอบครัวทั้งสหายของเขายังปลอดภัยดีอยู่หรือไม่…


 


ตอนนี้เมื่อได้รับการยืนยันเรื่องราวแล้ว เขาย่อมคลายกังวลตามธรรมชาติ!


 


‘หลังจากที่ท่านพ่อพาคนของตำหนักเมฆาครามหลบหนี หากเดาไม่ผิด…ท่านพ่อสมควรอพยพผู้คนไปทวีปเมฆาล่องแน่…เพราะสภาพแวดล้อมของที่นั่นมันด้อยกว่าในทวีปใหญ่อย่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้อย่างมาก พวกปีศาจที่พลังฝึกปรือสูงๆย่อมดูแคลนทั้งไม่มีใครคิดจะเหลียวแลสถานที่แบบนั้น…’


 


‘สำหรับพวกปีศาจที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อย…ด้วยความแข็งแกร่งของตำหนักเมฆาครามที่ต้านได้กระทั่งทัพหน้า ต่อให้รู้วว่าพวกท่านพ่ออยู่ที่ไหน แต่พวกมันย่อมไม่มีใครคิดจะไปหาที่ตายอย่างโง่งมแน่นอน’


 


จังหวะนี้ในใจต้วนหลิงเทียนรู้สึกโล่งอย่างสมบูรณ์


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบข้อมูลเรื่องมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์เพิ่มขึ้น


 


และบังเอิญนัก


 


มรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ที่ว่า มันตั้งอยู่ทางทิศใต้…!


 


กล่าวอีกอย่างได้ว่า หากเขาคิดย้อนกลับไปทวีปเมฆาล่อง เขาก็ต้องผ่านมันพอดี!


 


‘กลับไปดูที่ทวีปเมฆาล่องก่อนแล้วกัน’


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้ทันที


 


และนี่ยังเป็นจุดประสงค์หลักของเขาตอนนี้…ตามหาครอบครัว!


 


สำหรับมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์นั่น ในเมื่อเป็นทางผ่านเขาก็จะแวะไปดูสถานการณ์สักหน่อย


 


และหากเขาสามารถยืนยันได้ว่ามันคือมรดกสถานที่ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์เหลือทิ้งไว้เพื่อหาผู้สืบทอดจริง เขาก็จะลองเข้าไปแสวงโชคสักครา!!


 


เพราะสุดท้ายแล้วมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ ก็เกี่ยวข้องกับความลับในการก้าวข้ามขีดจำกัด ถึงขั้นสามารถจารึกอาคมเซียนนับหมื่นลงศาสตราได้! ความลับในการสร้างยอดศาสตราเซียน!!


 


หากเขามีโชคได้รับสืบทอดมรดกของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์จริง นั่นหมายความว่าสักวันเขาอาจสร้างยอดศาสตราเซียนขึ้นมาได้! ถึงตอนนั้นเขาย่อมสร้างมันเพื่อยกระดับความเข้มแข็งของครอบครัวได้อีกมาก!!


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะว้าวุ่นขึ้นมา


 


แต่ดูเหมือนเขาจะลืมเลือนไปเสียแล้ว…


 


หากยอดศาสตราเซียน กระทั่งระดับสวรรค์ของปรมาจารย์จารึกเซียนมันบรรลุกันได้ง่ายๆแบบนั้น ไฉนผ่านพ้นมาเป็นหมื่นๆปี แต่ยังไม่มีใครบรรลุถึง?


 


‘อย่างไรก็ตามแม้ไม่แน่ว่าจะได้รับสืบทอดมรดกของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ผู้นั้นหรือไม่ แต่ใครจะไปรู้ว่าในนั้นใช่มียอดศาสตราเซียน หรือศาสตราเซียนดีๆอะไรเก็บไว้อยู่บ้าง หากมีโชคข้าอาจจะได้มันมาติดตัวไว้สักชิ้น!’


 


หลังว้าวุ่นใจไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความฮึกเหิมขึ้นมา


 


เพราะเขาตระหนักได้ว่า


 


ตอนนี้เขาได้สูญเสียยอดสมบัติสวรรค์อันร้ายกาจไปหมดแล้ว ถึงแม้จะมีศาสตราที่เหนือกว่าศาสตราใดๆในแดนดินอย่างเกาทัณฑ์ดับตะวัน ทว่ามันก็ไม่เหมาะสำหรับกับเคล็ดยอดใจกระบี่ของเขาสักเท่าไหร่ อาวุธหลักของเขาตอนนี้คือกระบี่…


 


‘คิดมากไปก็เท่านั้น! แค่ลองไปดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากัน’


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิดอะไรให้มาก เพียงตั้งใจจะไปแสวงโชคเท่าที่ทำได้


 


ตอนแรกเขาคิดจะพาลูกสาวกับทุกคนกลับไปทวีปเมฆาล่องอันเป็นบ้านเกิดเขา แต่ถ้าเขาคิดจะลองไปดูมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์นั่น เขาก็จำต้องหาสถานที่ปลอดภัยให้ทุกคนอาศัยอยู่เสียก่อน


 


หากเขาไม่คิดไปมรดกสถาน เขาก็จะพาทั้งหมดกลับทวีปเมฆาล่องทันที


 


ทว่าตอนนี้เขาคิดจะลองไปดูสถานการณ์ที่นั่น


 


‘ตอนที่ยังอยู่ในภูมิภาคเบื้องบน ข้าได้ยินเรื่องราวมรดกของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ผู้นี้มานานว่ายังไม่มีใครเคยค้นพบ…ไม่รู้ว่าในนั้นจะมีมรดกวิชาตกทอดมาหรือไม่’


 


‘แต่ต่อให้ไม่มีมรดกวิชาก็น่าจะลองไปดูก่อนอยู่ดี เผื่อว่าจะมียอดศาสตราเซียนกระศาสตราเซียนระดับสูงๆเก็บไว้…หากได้ยอดศาสตราเซียนประเภทกกระบี่มาไยไม่ใช่เรื่องดี?’


 


หลังจากตัดสินใจแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อุ้มซือหลิงทั้งพาพวกเค่อเอ๋อไปโรงเตี๊ยมแห่งใหม่ทันที


 


และโรงเตี๊ยมแห่งนี้เขาก็ได้ทราบข้อมูลมาแล้วว่านี่ยังเป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองเหรินโม่เชิ่ง เพราะมันเป็นธุรกิจของ วังจื่อเหยียน ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 วัง 6 ตำหนัก! นับเป็นขุมพลังที่เข้มแข็งระดับแนวหน้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ปีศาจ!!


 


และที่พักที่ดีที่สุดของที่นี่ก็คือคฤหาสน์ที่มีความเป็นส่วนตัวสูงนัก มีค่ายกลปกป้องไว้มากมาย และต่อให้ปราณมารที่เขาฉาบไว้ในร่างของทั้ง 3 จะสลายหายไป ก็ไม่มีทางที่ใครจะพบว่าทั้ง 3 เป็นมนุษย์


 


นอกจากนี้ที่พักของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ยังมียอดฝีมือจากวังจื่อเหยียนมาพิทักษ์ปกปักษ์ไว้ด้วยตัวเอง จึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครกล้าบุกเข้ามาก่อเรื่องอะไร


 


เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงวางใจ ที่จะให้ทั้ง 3 พักอาศัย และบ่มเพาะพลังได้อย่างปลอดภัย รอคอยเขากลับมาจากการทำธุระ


 


“ท่านพ่อ ท่านจะออกไปเที่ยวที่ใดหรือ?”


 


ต้วนซือหลิงกล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นสองตากลมใส เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนกำลังเตรียมตัวจะออกเดินทาง


 


“ซือหลิงคนดี พ่อมีธุระที่ต้องไปจัดการเล็กน้อย ซือหลิงไม่ซนแล้วอยู่เล่นกับแม่ที่นี่สักพักได้หรือไม่? พ่อไปไม่กี่วันเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว อีกอย่างพ่อจะซือของอร่อยๆกลับมาฝากซือหลิงด้วย ดีหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนลูบหัวน้อยๆของต้วนซือหลิงอย่างเอ็นดู ใบหน้าเต็มไปด้วยความรักความอ่อนโยนนัก


 


“ได้เลย ซือหลิงจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซน…แต่ท่านพ่อต้องกลับมาหาซือหลิงเร็วๆนะ”


 


ต้วนซือหลิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง


 


“พี่เทียนข้าจะรอท่านกลับมา…”


 


เค่อเอ๋อมองต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าว


 


“อื้อ เจ้ากับลูกพักรอข้าอยู่ที่นี่”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบกลับ ก่อนที่จะหันหลังแล้วเหินจากไปทันที ยังไม่กล้าแม้แต่จะมองย้อนกลับมาด้วยกลัวว่าจะเปลี่ยนใจไม่ไปไหนแล้ว…


ตอนที่ 2,222 : หวงฉี่หลิง แห่งวังเซียนสัญจร!


 


หลังออกจากเมืองเหรินโม่เชิ่ง ต้วนหลิงเทียนก็จงใจเหินร่างมาหยุดมองหน้าประตูเมืองทิศใต้ ว่ากลุ่มปีศาจกลุ่มไหนที่กำลังมุ่งหน้าลงใต้


 


ตอนนี้เมื่อเหล่าปีศาจได้ทราบข่าวเรื่องที่มรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ถูกค้นพบ พวกมันไม่พ้นต้องแห่กันลงใต้เพื่อไปแสวงโชคกันแน่


 


‘ดีเลย…ข้าจะได้ไม่ต้องลำบากหาทางไปเอง’


 


ต้วนหลิงเทียนคิดขณะเฝ้ามองปีศาจกลุ่มหนึ่งที่กำลังเหินร่างออกจากเมืองเหรินโม่เชิ่งและมุ่งหน้าลงใต้


 


เขาเองก็เหินร่างตามพวกมันไปอยางไม่รีบไม่ร้อน


 


“เฮ่ น้องชายท่านนั้น…ใช่กำลังเดินทางไปมรดกสถานของปรมาจาร์จารึกเซียนระดับสวรรค์ของมนุษย์เหมือนกันหรือไม่?”


 


หลังเหินร่างไปได้พักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงร้องทักจากด้านข้าง


 


ทันใดนั้น ปรากฏกร่างหนึ่งเหินเข้ามาหา ก่อนที่จะบินตีคู่ไปกับต้วนหลิงเทียน


 


“พี่ชาย ท่านเรียกข้าหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปย้อนถามคนที่กำลังมองมาที่เขา


 


ผู้ที่เหินร่างมาบินตีคู่กับต้วนหลิงเทียน เป็นชายหนุ่มแลดูอัธยาศัยดีผู้หนึ่ง อีกทั้งจาดชุดที่สวมใส่กับกลิ่นอายคุณชายจ๋าที่แผ่ออกมา ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ว่าฐานะของมันไม่ธรรมดา


 


แต่ไม่ทราบว่าเพราะอะไร…


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเห็นชายหนุ่มผู้นี้ เขากลับไม่บังเกิดความรู้สึกอคติเหมือนกับที่เห็นปีศาจเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ตนอื่นที่พบเจอมาในเมือง กระทั่งในใจยังรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย


 


ความรู้สึกจากสัญชาตญาณนี้ เสมือนว่าอีกกฝ่ายไม่ใช่ปีศาจ…แต่เป็นมนุษย์เหมือนกันกับเขา!


 


“ใช่แล้วน้องชาย”


 


ชายหนุ่มผู้นี้นับว่าหน้าตาน่าดูไม่น้อย ยังจัดว่าหล่อเหลาไม่เบา ยามมันยิ้มช่างให้ความรู้สึกเสมือนพี่ชายใจดีข้างบ้าน บรรยากาศแตกต่างจากปีศาจที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอมาก่อนหน้าคนละโลก!


 


ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต้วนหลิงเทียนจึงแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบมันทันที


 


เขาพบได้ในเวลาอันสั้น


 


ถึงแม้ชายหนุ่มผู้นี้จะมีปราณมารที่เข้มข้นบริสุทธิ์อยู่ในตัว แต่ทว่าในร่างกลับไม่มีสายเลือดปีศาจที่น่าสะอิดสะเอียนไหลเวียนอยู่เลย!


 


ราวกับมันเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ!!


 


จุดนี้แตกต่างจากปีศาจจากเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ทุกคนที่ต้วนหลิงเทียนเคยเจอในเมืองอย่างมาก!


 


เพราะตอนที่เขาตรวจสอบเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ส่วนใหญ่ที่เจอในเมือง เขาไม่เพียงพบว่าในร่างของพวกมันมีปราณมารอันเข้มข้นบริสุทธิ์ แต่สายเลือดยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของปีศาจเจือผสมอยู่กว่าครึ่ง!


 


ทว่าชายหนุ่มเบื้องหน้า กลับมีสายเลือดบริสุทธิ์ไร้มลทิน ราวกับเป็นมนุษย์เหมือนกันกับเขา


 


เช่นนั้นกล่าวได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ เป็นมนุษย์แท้ๆเหมือนกันกับเขา!!


 


“พี่ท่านมีอะไรหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามชายหนุ่มในชุดหรูหราปานคุณชาย


 


“น้องชาย…ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้มาจากวังเซียนสัญจรใช่หรือไม่?”


 


ชายหนุ่มในชุดหรูกล่าวถามด้วยรอยยิ้มร่า


 


“วังเซียนสัญจร?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยสงสัย ก่อนที่จะกล่าวถามออกไปด้วยทีท่าแปลกใจ “พี่ชาย…ท่านมาจากวังเซียนสัญจรหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนได้ยินชื่อนี้ไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้งหลังเดินเตร็ดเตร่หาข้อมูลในเมืองเหรินโม่เชิ่ง


 


วังเซียนสัญจรเป็น 1 ในขุมพลัง 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ และมีชื่อเสียงทัดเทียมกับวังจื่อเหยียน เจ้าของกิจการโรงเตี๊ยมที่เขาพาทุกคนไปพักอาศัยก่อนที่จะออกมา นับว่าเป็น 1 ในขุมพลังระดับแนวหน้าของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์เช่นกัน


 


ทว่ากระทั่งในบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ด้วยกันเอง วังเซียนสัญจร ยังถือว่าเป็นพวกนอกคอก!!


 


นั่นเพราะในวังเซียนสัญจรนั้น ไม่มีลูกครึ่งปีศาจมนุษย์อาศัยอยู่เลย! มีแต่มนุษย์แท้อันมีสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น!!


 


กล่าวให้ชัดคือมีแต่ ผู้ฝึกมารมนุษย์!!


 


ไม่ว่าจะระดับสูงต่ำอะไร ตั้งแต่จ้าววังยันข้ารับใช้ที่ต้อยต่ำที่สุดภายในวัง…ก็ล้วนเป็นมนุษย์แท้ทั้งสิ้น!


 


และที่มาของวังเซียนสัญจรนี้ ก็เป็นลูกหลานของเหล่าผู้ฝึกมารรุ่นแรกที่ไม่คิดครองคู่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ!


 


ในอดีตตอนที่เหล่าผู้ฝึกมารที่แปรพักตร์จากเผ่าพันธุ์มนุษย์ หลบหนีไปนแดนเนรเทศพร้อมเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้น บางส่วนก็ครองคู่กับปีศาจจนเกิดเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ออกมา แต่บางส่วนก็ยังครองคู่อยู่กับแต่มนุษย์ด้วยกัน ไม่คิดอยู่กินกับพวกปีศาจ!


 


และขุมพลังนี้ก็มีกฏอันเข้มงวดกวดขันนัก


 


ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าร่วมกับวังเซียนสัญจรแล้ว สามารถครองคู่ได้กับแต่มนุษย์ด้วยกันเท่านั้น หากไปลักลอบมีสัมพันธ์กับปีศาจ หรือกระทั่งครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ ก็จะถูกขับออกจากวังเซียนสัญจรทันที!


 


ด้วยเหตุนี้ในขุมพลังอย่างวังเซียนสัญจร จึงมีแต่มนุษย์แท้ที่ฝึกปรือในวิถีมารเท่านั้น!


 


สาเหตุหลักที่ทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิมทั้งมวลไม่ยอมรับ กระทั่งในบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ก็ยังไม่ยอมรับ เพราะพวกมันคงสายเลือดมนุษย์อันบริสุทธิ์เอาไว้!


 


และด้วยความที่มนุษย์แท้นั้นแต่เดิมก็มีพรสวรรค์เหนือกว่าปีศาจ หรือแม้กระทั่งปีศาจมนุษย์ ทำให้ลูกหลานที่เกิดมามีพรสวรรค์เหนือล้ำกว่าเผ่าพันธุ์ใดๆในแดนเนรเทศ! จึงมีกำลังเข้มแข็งมากพอจะปกป้องและดำรงสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน!!


 


จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ได้สืบทอดกันมาอย่างยิ่งใหญ่ จนกลายเป็น 1 ในขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์!


 


ขุมพลังที่ว่าก็คือ วังเซียนสัญจร นั่นเอง!


 


‘วังเซียนสัญจรยังเป็นขุมพลังสุดท้ายที่มาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…กระทั่งพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์แทบทั้งหมดยังรู้แกวดี ว่าไฉนพวกมันจงใจรั้งท้าย…ทั้งหมดเพื่อไม่ให้เกิดความลำบากใจยามต้องเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง’


 


หากจะกล่าวว่าในบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งมวล มีกลุ่มไหนที่ต้วนหลิงเทียนไม่รังเกียจ ก็เห็นทีจะเป็นคนของวังเซียนสัญจรนี้เอง…


 


เพียงเพราะพวกมันไม่มีส่วนร่วมในการฆ่าฟันมนุษย์ด้วยกัน!


 


นอกจากนี้ทุกคนในขุมพลังนี้ล้วนแล้วแต่เป็นมนุษย์สายเลือดบริสุทธิ์ทั้งสิ้น พวกมันไม่มีอะไรแตกต่างจากเขา จะต่างกันก็ตรงที่พวกมันเลือกบ่มเพาะพลังด้วยวิถีมารเท่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในเต๋าแห่งการบ่มเพาะทั้งมวล หากไม่บ่มเพาะด้วยกลวิธีชั่วช้าสามานย์ พวกมันก็ไม่ถือว่ามีความผิดอะไรในสายตาเขา


 


“ถูกแล้วน้องชาย ข้ามาจากวังเซียนสัญจร…ข้าเรียกว่า หวงฉี่หลิง แล้วน้องชายเล่ามีนามสูงส่งว่าอะไรหรือ?”


 


ชายหนุ่มในชุดหรูหราราวคุณชายนายน้อยกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม


 


“ต้วนหลิงเทียน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงห้วน ไม่ได้มีความคิดจะปกปิดชื่อแซ่แต่อย่างไร


 


“ต้วนหลิงเทียนเหรอ…เอ ชื่อน้องชายคุ้นหูข้ายิ่ง…ได้ยินจากที่ไหนแล้วนะ…”


 


หวงฉี่หลิงผงะไปเล็กน้อยหลังได้ยินชื่อต้วนหลิงเทียน


 


หลังจากนั้นมันก็ส่ายหน้า ค่อยหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้เป็นน้องชายหลิงเทียน…น้องหลิงเทียนข้ารู้สึกว่าเจ้าแตกต่างกับปีศาจตนอื่นๆ เหมือนเจ้าจะเป็น ‘มนุษย์’ อย่างพวกเรา…”


 


ด้วยความที่มาจากวังเซียนสัญจร หวงฉี่หลิงไม่ต้องแผ่สำนึกเทวะมาตรวจสอบต้วนหลิงเทียน แต่มันที่ได้คลุกคลีกับมนุษย์แท้มามาก รวมถึงปีศาจมนุษย์มาอย่างยาวนาน เช่นนั้นมันย่อมมีความรู้สึกชัดเจนในเรื่องสายเลือด! จึงบอกได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนนั้นต่างจากปีศาจมนุษย์!


 


กระทั่งมันสามารถมองออกได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนก็เป็นมนุษย์แท้เหมือนๆกันกับมัน! เพราะกลิ่นอายที่แผ่ออกให้ความรู้สึกต่างจากปีศาจมนุษย์ไม่น้อย!!


 


แต่แน่นอนว่ามันย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายปราณมารอันเข้มข้นบริสุทธิ์ที่เผยออกจางๆทั่วร่างต้วนหลิงเทียนได้เช่นกัน


 


ดังนั้นมันเลยมั่นใจ


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ผู้ฝึกมารของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แต่เป็นผู้ฝึกมารที่มาจากแดนเนรเทศเหมือนกันกับมัน


 


ด้วยเหตุนี้ถึงมันจะได้ยินชื่อต้วนหลิงเทียน มันก็ไม่ได้คิดถึงผู้ฝึกตนมนุษย์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเลย แต่เป็นธรรมดาว่ามันไม่อาจมองออกถึงเล่ห์กลที่ต้วนหลิงเทียนทำขึ้นเพื่อปลอมแปลงตัวตน


 


“เท่าที่ข้ารู้มา…ในดินแดนเนรเทศไม่ได้มีแค่วังเซียนสัญจรของท่านที่เดียวที่มีสายเลือดมนุษย์ที่บริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ที่น้องหลิงเทียนกล่าวมาก็ถูก”


 


หวงฉี่หลิงพยักหน้า


 


เพราะถึงแม้วังเซียนสัญจรของมันจะรวบรวมผู้ฝึกมารอันเป็นมนุษย์แท้ไม่มีสายเลือดปีศาจเอาไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสถานที่แห่งเดียวที่มีมนุษย์สายเลือดแท้


 


แม้ในแดนเนรเทศจะรู้กันว่าสถานที่ๆมีมนุษย์สายเลือดแท้มากที่สุดก็คือวังเซียนสัญจร แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกมารที่เป็นมนุษย์สายเลือดแท้ทุกคนจะเข้าร่วมวังเซียนสัญจร!


 


แต่แน่นอนว่าผู้ฝึกมารเช่นนี้มีอยู่น้อยมาก


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงเข้ามาทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยความเห็นใจ เพราะเมื่อมันตระหนักว่าอีกฝ่ายไม่คุ้นหน้า คล้ายไม่น่าจะใช่คนของวังเซียนสัญจรมัน…เช่นนั้นไม่พ้นอีกฝ่ายต้องเป็นผู้ฝึกมารอิสระ ที่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆในแดนเนรเทศเพราะมีสายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์แน่นอน!


 


“น้องหลิงเทียน ข้าเองก็จะไปลองดูมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์เหมือนกัน…หากเจ้าคิดไปที่นั่น เช่นนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเลยเป็นอย่างไร?”


 


หวงฉี่หลิงกล่าวถามต้วนหลิงเทียน


 


หลังจากกล่าวถามจบคำ ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตอบอะไร มันก็เร่งกล่าวสืบต่อออกมาว่า “แต่น้องหลิงเทียนอย่าได้เข้าใจเจตนาข้าผิดไปเล่า…ด้วยความที่ข้าเองก็เป็นผู้ฝึกมารที่มีสายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์ เวลาข้าเจอผู้ฝึกมารที่มีสายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์แต่ไร้สังกัดเช่นเจ้า ข้าก็ชมชอบชักชวนให้มาเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจรของข้าน่ะ…”


 


“ข้าเข้าใจ…หากพี่ท่านไม่รังเกียจข้า เช่นนั้นพวกเราเดินทางไปด้วยกันก็ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้สึกเป็นศัตรูกับหวงฉี่หลิงแต่อย่างไร แถมอีกฝ่ายก็แลดูมากอัธยาศัย ไร้กลิ่นอายชั่วร้ายจากการบ่มเพาะพลังอย่างไร้มนุษย์ธรรมอะไร เขาจึงไม่ได้ขัดข้องข้อเสนออีกฝ่าย


 


ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้หวงฉี่หลิงคิดไม่ซืออะไร เขาก็ไม่ได้กลัวมันสักนิด!


 


นั่นเพราะตอนที่ตรวจสอบสายเลือดอีกฝ่าย เนตรเทวะของเขาก็ตรวจพบได้ไม่ยากว่ามันเป็นแค่เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนเท่านั้น ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรกับเขาแม้แต่น้อย


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงมีผู้ร่วมเดินทางอีก 1 คน


 


ระหว่างทางหวงฉี่หลิงก็พูดจ้อเรื่องราวไม่หยุด เห็นชัดว่ามันเป็นคนประเภทเดียวกันกับหนานกงยี่ ที่ชมชอบพูดน้ำไหลไฟดับไปเรื่อย…


 


และด้วยเรื่องราวที่หวงฉี่หลิงเล่าไปเรื่อยเปื่อย ทั้งพยายามอวดอ้างสรรพคุณข้อดีของการเข้าร่วมวังเซียนสัญจร ต้วนหลิงเทียนจึงได้รู้เรื่องราวของวังเซียนสัญจรต้นสังกัดของหวงฉี่หลิงเพิ่มขึ้นไม่น้อย แน่นอนว่าที่มันพ่นข้อดีออกมามากมายเหตุผลก็เพื่อจะโน้มน้าวเขาให้เข้าร่วม…


 


มันกระทั่งยังถามว่าต้วนหลิงเทียนมาจากไหน แล้วเอาตัวรอดมาได้อย่างไร


 


ต้วนหลิงเทียนก็เพียงบอกไปว่าตนเองเป็นผู้ฝึกมารอิสระ หลังครอบครัวถูกไล่ฆ่าตายหมด ก็ปลีกวิเวกเก็บตัวบ่มเพาะอย่างสันโดษมาโดยตลอด


 


เรื่องนี้พอดีตรงกับการคาดเดาของหวงฉี่หลิงแต่แรก มันจึงไม่สงสัยอะไร


 


“น้องหลิงเทียนท่านมาเข้าร่วมวังเซียนสัญจรของพวกกเราเถอะ…ตราบใดที่มีสายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์แบบเจ้า วังเซียนสัญจรของพวกพวกเรายินดีอ้าแขนต้อนรับทั้งสิ้น สวัสดิการอันใดก็ดี แถมหลังจากนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆด้วยความหวาดกลัวอีกต่อไป…”


 


หวงฉี่หลิงยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “หากถามข้า ข้าบอกเลยว่าเจ้าสมควรเข้าร่วมวังเซียนสัญจรของพวกเราอย่างยิ่ง! เพราะเจ้ามีแต่ได้กับได้ไม่มีเสียอันใด…แต่แน่นอนว่าพวกเราก็ไม่บังคับฝืนใจผู้ใด ทั้งหมดสุดแล้วแต่น้องหลิงเทียนเจ้าจะตัดสินใจ”


 


“อ่า ข้าจะลองเก็บเอาไปคิดดู…”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ค่อยกล่าวเปลี่ยนเรื่องออกมาว่า “ว่าแต่ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่ามรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนตั้งอยู่ที่ไหน พวกเราเร่งเดินทางกันหน่อยดีหรือไม่ จะได้ไม่พลาดโอกาส…”


 


“จริงสิ! ให้ตายเถอะ! นี่ถ้าน้องหลิงเทียนไม่เตือน ข้ากลับเลอะเลือนหลงลืมไปแล้วจริงๆ…ข้ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เช่นนั้นพวกเราเร่งเดินทางกันหน่อยเถอะ!”


 


หวงฉี่หลิงกล่าวจบคำก็เร่งความเร็วขึ้นทันที ตอนแรกมันก็เดินทางด้วยความเร็วสูงกว่านี้ แต่เพราะเห็นต้วนหลิงเทียนเหาะช้าๆตามหลังปีศาจกลุ่มหนึ่งที่พลังฝึกปรือไม่สูง จึงชะลอความเร็วลงเพื่อสนทนา


 


ตอนแรกความเร็วที่มันเร่งขึ้นก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะตามไม่ทัน


 


แต่พอพบว่าต้วนหลิงเทียนสามารถติดตามมันมาได้อย่างง่ายดาย มันก็เพิ่มความเร็วขึ้น


 


แต่ทว่าหลังจากลองเพิ่มระดับความเร็วขึ้นรอบแล้วรอบเล่า ต้วนหลิงเทียนก็ยังติดตามมาได้อย่างง่ายดาย มันก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจขึ้นมา ‘ดูเหมือนน้องหลิงเทียนผู้นี้จะมีพลังฝึกปรือไม่ธรรมดา…เช่นนั้นข้าลองใช้ความเร็วเต็มที่ดูเถอะ หากตามไม่ทันค่อยชะลอลง’


 


หลังครุ่นคิดด้วยความแปลกใจเล็กน้อย หวงฉี่หลิงก็เริ่มใช้ความเร็วสูงสุดในการเดินทาง


 


ยังเป็นความเร็วในการเหาะเหินที่เหนือกว่าก่อนหน้าถึง 2 เท่า


 


หวงฉี่หลิงที่คิดว่าสมควรทิ้งห่างต้วนหลิงเทียนไปไกลแล้ว ก็รู้สึกผิดในใจเล็กน้อยว่าใช่ทำเกินไปหรือไม่…แต่มันก็อดตกตะลึงไปไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงของสายลมที่ดังขึ้นข้างกาย!


 


‘เฮ่ย…’


 


หวงฉี่หลิงพลันตระหนักได้ว่า…


 


ถึงแม้มันจะเร่งความเร็วสูงสุดแล้วแท้ๆ แต่ต้วนหลิงเทียนยังคงเหินไล่ตามมาได้อย่างไม่ลำบากยากเย็น! แถมอริยาบทอีกฝ่ายยังแลดูผ่อนคลายสบายๆไม่คล้ายฝืนตัวอะไรแม้แต่น้อย…!


ตอนที่ 2,223 : แมวสุนัข


 


“เป็นข้าดูเบาเจ้าเกินไปแล้ว…”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเหินร่างตามมาติดๆอย่างไม่ยากเย็น หวงฉี่หลิงได้แต่คลี่ยิ้มเจื่อนๆ พูดกับต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงอ่อน “ตอนนี้เป็นข้ากำลังเหาะด้วยความเร็วสูงสุดแท้ๆ แต่น้องหลิงเทียนเจ้ายังตามมาได้สบายๆ…นี่มากพอจะบอกให้ข้าทราบแล้วว่าพลังฝึกปรือน้องหลิงเทียนเจ้าสูงส่งกว่าข้านัก…”


 


“ข้าสัมผัสได้ว่าน้องหลิงเทียนยังเยาว์นัก มิมีทางมีอายุใกล้เคียงกับข้าแน่ แต่พลังฝึกปรือของเจ้ากลับสูงส่งกว่าข้ายิ่ง ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจนัก…ข้าที่เกิดและเติบโตในวังเซียนสัญจรอันเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรบ่มเพาะ กลับมิอาจสู้น้องหลิงเทียนที่เป็นผู้ฝึกมารอิสระได้…”


 


หลังกล่าววาจาจากใจจบคำ รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฉี่หลิงก็เหยเกจนแทบจะเปลี่ยนเป็นร่ำไห้


 


ถึงแม้ว่ามันจะได้รับสืบทอดมรดกจากเคล็ดฝึกมารของปีศาจดั้งเดิม จนสามารถใช้แก่นแท้ ปราณโลหิต และพลังชีวิตของปีศาจตนอื่นๆในการบ่มเพาะได้ หากทว่าอย่างไรก็ยังมีจุดรอคอยอยู่บ้าง


 


และสิ่งที่ส่งผลโดยตรงกับจุดรอคอยก็คือ ศักยภาพของตัวผู้ฝึกฝนเอง


 


ยิ่งมากล้นไปด้วยศักยภาพพรสวรรค์ การกลืนกินแก่นแท้และปราณโลหิตของปีศาจตนอื่น พลังฝึกปรือก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาลในครั้งเดียว


 


แน่นอนว่าถ้าอ่อนด้อยก็กลับกัน


 


“ข้าโชคดีพบวาสนาโดยบังเอิญน่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“น้องหลิงเทียนช่างถ่อมตัวยิ่ง”


 


หวงฉี่หลิงรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนนั้นช่างถ่อมตัวไม่โอ้อวดนัก


 


หลังจากเร่งความเร็วในการเดินทางไปสักพัก ไม่นานทั้งคู่ก็ไล่ตามปีศาจกลุ่มใหญ่ได้ทัน


 


“พวกเรามาถึงแล้ว…ที่นี่ล่ะ”


 


หลังจากนั้นไม่นานเมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นกลุ่มปีศาจมากมายเบื้องหน้าหยุดร่างลง เสียงของหวงฉี่หลิงก็ดังขึ้นพอดี ทำให้เขามองจ้องไปยังด้านหน้าทันที


 


เบื้องหน้าตอนนี้เป็นป่าศิลา


 


ในป่าศิลาดังกล่าวมีหินรูปทรงแปลกประหลาดเรียงรายระเกะระกะมากมาย บ้างก็สูงไม่กี่หมี่ บ้างก็สูงใหญ่หลายสิบหลายร้อยหมี่


 


กระทั่งยังมีหินสูงนับพันหมี่ตั้งตระหง่านปานไม้ใหญ่


 


และตอนนี้เหล่าปีศาจมากมายที่หยุดร่างลง ก็เริ่มทยอยกันหายเข้าไปในป่าศิลา ทั้งหมดดั่งหินร่วงหล่นทะเล จมหายไปในพริบตา ยังคล้ายระลอกคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าที่สลายหายไปยามซัดถึงริมหาดอยู่บ้าง


 


“มันอยู่ด้านในป่าศิลาหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามหวงฉี่หลิง


 


“น่าจะ…ข้าได้ยินมาเช่นนั้น”


 


หวงฉี่หลิงพยักหน้า ค่อยกล่าวด้วยสองตาลุกวาว “ไป! พวกเราตามพวกมันไปกันเถอะ!!”


 


“ไป”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ


 


ทว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเข้าสู่ป่าศิลาพร้อมกันกับหวงฉี่หลิงนั้นเอง


 


พลันมีเสียงหัวเราะด้วยความขบขันดังก้องฟ้ามาแต่ไกลจากด้านหลัง


 


“เฮ่ๆๆ นั่นมิใช่นายน้อยหวงฉี่หลิงหรือไร!?”


 


“อัยยะ! อาศัยพลังฝึกปรืออ่อนด้อยของเจ้ายังมีหน้ามาที่นี่อีกรึ?”


 


“เหอะๆ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเข้าไปทำให้ตัวเองเป็นตัวตลกเสียดีกว่า เดี๋ยวจักทำวังเซียนสัญจรของพวกเราขายขี้หน้าผู้อื่นเขา!”


 


สิ้นเสียงหัวเราะเยาะไม่นาน ก็ปรากฏวาจาเย้ยหยันดังขึ้น เป็นกลุ่มคนที่แต่งกายหรูหราไม่ต่างจากหวงฉี่หลิงสักเท่าไหร่


 


พริบตาพวกมันก็เหินร่างมากบังขวางต้วนหลิงเทียนกับหวงฉี่หลิงเอาไว้


 


ขณะเดียวกันพวกมันแต่ละคนก็มองจ้องไปยังหวงฉี่หลิงไม่วางตา


 


ที่สำคัญคือสายตาของพวกมันแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความเย้ยเยาะดูแคลน!


 


เมื่อเห็นร่างทั้ง 3 สีหน้าของหวงฉี่หลิงเริ่มมืดลงทันใด ในแววตายังฉายแววโมโหระคนหวาดกลัวให้เห็น


 


“พวกมันเป็นใคร?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมากที่อยู่ๆก็ถูกคนอื่นขวางทางเอาไว้อย่างไร้เหตุผลแบบนี้ หากแต่เขายังไม่ลงมืออะไร เพียงส่งเสียงกล่าวถามหวงฉี่หลิงก่อน


 


“พวกมันเองก็เป็นคนของวังเซียนสัญจรเหมือนกันกับข้า…ฯลฯ”


 


เมื่อหวงฉี่หลิงส่งเสียงอธิบายตัวตนของคนทั้ง 3เบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้ว่าพวกมันแต่ละคนสำคัญอย่างไร


 


ทั้ง 3 ที่อยู่เบื้องหน้านั้น จัดเป็นชนชั้นนายน้อยเสเพล เป็นพวกลูกหลานของคนมีอำนาจสูง วันๆได้แต่หยอกล้อล่อลวงอิสตรีที่ไม่มีภูมิหลัง ทั้งชมชอบข่มเหงรังแกผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าอยู่เป็นนิจ


 


อนิจจาด้วยคนหนุนหลังของพวกมันเป็นอาวุโสระดับสูง สตรีที่ถูกรังแกก็ยากจะหาความเอาผิดอะไรพวกมันได้ และถึงต่อให้ฟ้องร้องขึ้นไป พวกมันก็ไม่ถูกทำโทษแต่อย่างใด


 


ครั้งหนึ่งหวงฉี่หลิงทนเห็นมันรังแกสตรีอ่อนแอไม่ไหว จึงได้ลงมือออกหน้าสั่งสอนบทเรียนให้พวกมัน!


 


จากนั้นไม่ว่าพวกมันคิดรังแกคนกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หวงฉี่หลิงก็จะเข้ามาขัดขวางอยู่ร่ำไป


 


เนื่องจากไม่เพียงพลังฝีมือ แต่ภูมิหลังของหวงฉี่หลิงนั้นยังแข็งแกร่งกว่าทั้ง 3 ทำให้แม้พวกมันแต่ละคนจะมีภูมิหลังที่จัดว่าดี แต่ก็ยังไม่อาจหืออืออะไรเบื้องหลังหวงฉี่หลิงได้ พวกมันจึงทำได้แต่เก็บความคับแค้นไว้ในใจเท่านั้น


 


ทว่าต่อมา เนื่องจากประสบอุบัติเหตุในการบ่มเพาะจนธาตุไฟเข้าแทรก กว่าที่จะถูกช่วยเหลือไว้ทัน แต่ชีพจรเซียนของหวงฉี่หลิงก็เสียหายไปไม่น้อย ทำให้พลังฝึกปรือของหวงฉี่หลิงยากจะก้าวหน้าขึ้นอีก สุดท้ายพลังฝีมือของทั้ง 3 ก็เริ่มก้าวข้ามหวงฉี่หลิงไป


 


หลังจากนั้นทั้ง 3 ก็มักหาโอกาสเอาคืนหวงฉี่หลิงอยู่เสมอ!


 


แน่นอนว่าพวกมันยังหวาดกลัวภูมิหลังของหวงฉี่หลิง จึงไม่กล้าลงมือลงไม้รุนแรงอะไร ทว่าเพียงการกล่าวถากถางหยันหยามนั้นไม่เคยขาด


 


“พวกนายน้อยกเฬวรากงั้นสินะ?”


 


หลังได้ยินเรื่องที่หวงฉี่หลิงเล่า ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่เบ้ปากมองแคลนทั้ง 3


 


“หวงฉี่หลิง ไอ้หน้าขาวที่อยู่ข้างๆเจ้านี่…สหายใหม่ของเจ้ารึ?”


 


หนึ่งในสามชายหนุ่มในชุดหรูหรา หันมามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตากระหายเลือด


 


และพอมันกล่าวทักขึ้นมาแบบนี้ อีก 2 คนก็หันมาสนใจต้วนหลิงเทียนเหมือนกัน


 


วูบ!


 


เมื่อเห็นทั้ง 3 หันมามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาบอกเจตนาชั่ว สีหน้าท่าทีของหวงฉี่หลิงเปลี่ยนไปทันใด “สหายอันใด! ข้าไม่รู้จักมัน มันเป็นผู้ใดก็ไม่รู้ข้าไม่รู้จัก!”


 


หวงฉี่หลิงเร่งตะคอกออกมา ท่าทางยังร้อนใจไม่น้อย


 


ขณะเดียวกันมันก็เหินร่างขึ้นไปบังหน้าต้วนหลิงเทียนเอาไว้ และจ้องทั้ง 3 อย่างไม่วางตา


 


“ฮ่าๆๆๆ…!!”


 


เมื่อชายทั้ง 3 เห็นทีท่าเอาเรื่องของหวงฉี่หลิง อีกทั้งยังเห็นชัดถึงเจตนาที่จะปกป้องต้วนหลิงเทียนของหวงฉี่หลิงพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ราวกับพึ่งได้ยินเรื่องน่าขบขันที่สุดในใต้หล้า


 


“หวงฉี่หลิน ในเมื่อไอ้หน้าขาวนี่ไม่ใช่สหายของเจ้า เช่นนั้นพวกเราจะฆ่ามันเสีย!”


 


“ใช่แล้วๆ! ในเมื่อมันไม่ใช่สหายของเจ้า เช่นนั้นให้มันเป็นเหยื่ออารมณ์ของพวกเราเถอะ! คุณชายผู้นี้คันมืออยากฆ่าผู้คนยิ่ง!!”


 


“จึกๆๆ…ดูเหมือนว่าวันนี้จักมีเรื่องบันเทิงให้ละเล่นแล้ว…”


 


หลังจากหัวเราะเสร็จ ชายหนุ่มทั้ง 3 ก็มองจ้องหวงฉี่หลิงด้วยสายตาล้อเลียน จากนั้นก็มองข้ามหวงฉี่หลิงไปจ้องต้วนหลิงเทียนที่อยู่ด้านหลังด้วยสายตาราวกับนักล่าพบพานเหยื่ออันโอชะ


 


ฟังจากคำของพวกมันแล้ว เห็นชัดว่าบังเกิดจิตคิดฆ่าต้วนหลิงเทียน!


 


เนื่องจากภูมิหลังของหวงฉี่หลิงนั้นเหนือกว่าผู้ที่คอยให้ท้ายพวกมัน เช่นนั้นพวกมันจึงไม่กล้าลงมือทำอะไรหวงฉี่หลิง อย่างดีก็ทำได้แค่คอยถากถางหยันหยามด้วยวาจา


 


อย่างไรก็ตามกับคนรู้จักหรือสหายของหวงฉี่หลิงพวกมันไม่เคยปราณี!


 


ฆ่าเพื่อนหวงฉีหลิงแล้วจะอย่างไร?


 


หรืออาวุโสระดับสูงในวังเซียนสัญจรที่เป็นผู้หนุนหลังหวงฉี่หลิง จะเลือกปะทะกับผู้หนุนหลังของพวกมันทั้ง 3 ที่เป็นชนชั้นอาวุโสในวังเซียนสัญจรเหมือนกัน?


 


“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องคน ข้าจะเสี่ยงตายฆ่าพวกเจ้า!!”


 


ได้ยินคำของทั้ง 3 แววตาของหวงฉี่หลิงก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็น


 


ถึงแม้ตอนนี้มันกับต้วนหลิงเทียนยังไม่ถือว่าเป็นสหายอันใด หากทว่าต้วนหลิงเทียนกลับต้องมารับเคราะห์เพราะร่วมทางกับมัน!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้สึกผิดนัก และไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนต้องมีปัญหา!


 


หาไม่แล้วมันคงได้ละอายใจไปชั่วชีวิต และจมอยู่กับความรู้สึกผิด!


 


“อุบ๊ะ! นี่เจ้าคิดเสี่ยงตายสู้กับพวกเราเพื่อช่วยไอ้หน้าขาวนี่เลยงั้นเรอะ!!”


 


ชายหนุ่มทั้ง 3 ที่เห็นทีท่าทั้งได้ยินวาจาเอาเรื่องของหวงฉี่หลิง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้ง “อาศัยพลังฝีมือกระจอกๆอย่างเจ้า คิดว่าจะมีปัญญาสู้กับพวกเราได้รึ?”


 


“หวงฉี่หลิง หากมิใช่เพราะเจ้ามีอาวุโสคุ้มกะลาหัว เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังมีหน้ามาทำเท่ต่อหน้าพวกเราเช่นนี้อีกหรือ?”


 


“หวงฉี่หลิง กับเจ้าเราไม่อาจลงมือได้ก็จริง…แต่สหายเจ้า พวกเราจะทุบตีมารดามันกระทั่งฆ่าทิ้งเสีย!!”


 


“ตะกี้เจ้ามิได้บอกว่ามันไม่ใช่สหายของเจ้าหรือไร?แต่ช่างหัวมารดามันเถอะ วันนี้มันจะเป็นสหายของเจ้าหรือไม่ใช่ มันก็ต้องตาย!!”


 



 


ฟังจากที่ทั้ง 3 กล่าวเห็นชัดว่ามันไม่กลัวคำขู่ของหวงฉี่หลิงแม้แต่นิดเดียว พวกมันยังยืนกรานจะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย!


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้มีเผ่าพันธุ์ปีศาจมากมายที่มาเหินร่างมุงล้อมเพื่อชมดูเรื่องราว


 


“หืม? นั่นมิใช่หวงฉี่หลิง ‘อดีต’ อัจฉริยะของวังเซียนสัญจรรึไง?”


 


ไม่นานก็มีคนจดจำหวงฉี่หลินได้


 


แต่ก่อนนั้นในเผ่าพันธุ์มนุษย์ปีศาจ หวงฉี่หลิงนับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อย ถึงแม้มันจะไม่ใช่อัจฉริยะอันดับ 1 ในวังเซียนสัญจร แต่มันก็ถือว่าเป็น 1 ใน 5 อัจฉริยะของวังเซียนสัญจร!


 


“สามคนนั่น…ดูเหมือนจะเป็นคนของวังเซียนสัญจรด้วยนี่…จึกๆๆ ตอนนี้หวงฉี่หลิงไม่ต่างใดจากพยัคฆ์ป่วยแล้วจริงๆ กระทั่งแมวสุนัขตัวใดก็สามารถรังแกมันได้ง่ายดาย…”


 


ท่ามกลางปีศาจที่มามุงชม ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กล่าวประโยคนี้ออกมา


 


หากแต่แม้เสียงมันจะไม่ได้ดังมากมาย แต่ก็กระจายให้ได้ยินกันทั่วๆ!


 


“บัดซบ! ตะกี้ผู้ใดมันปากดีเรียกข้านายน้อยว่าแมวสุนัขวะ! แน่จริงก็ไสหัวออกมา!!”


 


ทันใดนั้น 3 คนจากวังเซียนสัญจรก็ของขึ้นทันที พวกมันล้วนเป็นนายน้อยและมักวางอำนาจบาตรใหญ่มาเสมอ มีแต่มันที่รังแกผู้อื่นไม่มีผู้ใดกล้าแหยมกับพวกมัน ไหนเลยยังไม่เดือดได้เมื่อมีคนเปรียบเทียบพวกมันเป็นแมวสุนัข!


 


น่าเสียดายที่มีปีศาจอยู่เยอะเกินไป ยากจะจับมือใครดมได้


 


ครู่ต่อมาปีศาจที่มุงล้อมก็ได้แต่กระซิบกันระงมปานเสียงยุง ไม่มีใครกล้าพูดเสียงดังอีก


 


“เจ้าหนูชุดม่วงนั่นท่าทางจะซวยแล้วล่ะ…”


 


“หากจะโทษก็โทษที่มันรู้จักกับหวงฉี่หลิงเถอะ”


 


“นั่นสิ 3 คนนั่นมันเป็นอริของหวงฉี่หลิงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว…แม้พวกมันจะทำอะไรหวงฉี่หลิงไม่ได้เพราะกริ่งเกรงเบื้องหลังหวงฉี่หลิง แต่อาวุโสนั่นก็ไม่คิดจะปกป้องสหายหวงฉี่หลิงแน่”


 



 


ผู้ชมโดยรอบได้แต่มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสงสาร


 


หน้าหวงฉี่หลิงยิ่งมายิ่งบิดเบี้ยวอัปลักษณ์


 


ถึงแม้มันจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรมีพลังฝีมือเหนือมัน แต่มันก็ไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะแข็งแกร่งพอรับมือสารเลวทั้ง 3 นี่ได้พร้อมๆกัน


 


เพราะสารเลวทั้ง 3 เบื้องหน้านั้น 2 คนได้บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนแล้ว อีกคนกระทั่งบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน!


 


หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หวงฉี่หลิงก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน “น้องหลิงเทียน ข้าต้องขออภัยต่อเจ้าแล้วที่ชักนำปัญหามาสู่เจ้า…เดี๋ยวข้าจะพยายามรั้งพวกมันทั้ง 3 เอาไว้ เจ้ารีบหนีเข้าไปในป่าหินด้านล่างเสียแล้วเข้าไปหลบในมรดกสถานของปรมาจารย์เซียนจารึกระดับสวรรค์นั่น! เห็นว่าด้านในนั้นเป็นดั่งเขาวงกต พวกมันย่อมไม่อาจหาเจ้าพบได้โดยง่ายแน่!”


 


อย่างไรก็ตาม แม้มันส่งเสียงไปแล้วแต่กลับไม่ได้ยินวาจาตอบรับแต่อย่างใด


 


วูบ!


 


ดั่งสายลมหนึ่งพัดผ่าน…ร่างต้วนหลิงเทียนวูบมาหยุดเบื้องหน้าหวงฉี่หลิง ทั้งมองจ้องไปยัง 3 ศิษย์วังเซียนสัญจรด้วยแววตาสีหน้าสงบ


 


หากแต่หลังมองจ้องพวกมันอย่างสงบแล้ว จิตสังหารหนึ่งก็เริ่มแผ่เรื่อๆออกมา


 


เมื่อหวงฉี่หลิงเห็นต้วนหลิงเทียนก้าวออกมาเผชิญหน้ากับ อริทั้ง 3 สีหน้าหวงฉี่หลิงก็เปลี่ยนไปอย่างมาก


 


“พวกเจ้า…อยากฆ่าข้างั้นเหรอ?”


 


เสียงกล่าวทั้งสายตาต้วนหลิงเทียนสงบใจเย็นนัก หากแต่เมื่อตั้งใจฟังให้ดีจะพบความเยียบเย็นประการหนึ่งแฝงเร้นมาในน้ำเสียง


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกล้าก้าวออกมาถามซึ่งๆหน้าไม่คล้ายหวาดกลัวแบบนี้ เหล่า 3 นายน้อยวังเซียนสัญจรอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปอยู่บ้าง


 


“ข้าถามว่า แมวสุนัขอย่างพวกเจ้า 3 ตัว…คิดฆ่าข้างั้นเหรอ?”


 


เมื่อเห็นว่าทั้ง 3 อึ้งไปไม่ตอบคำ ต้วนหลิงเทียนจึงกล่าวถามออกมาอีกครั้ง


ตอนที่ 2,224 : โฉมงามอันดับหนึ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์!


 


“ข้าถามว่า แมวสุนัขอย่างพวกเจ้า 3 ตัว…คิดฆ่าข้างั้นเหรอ?”


 


ทันทีที่วาจาประโยคดังกล่าวดังออกจากปากต้วนหลิงเทียน ปีศาจที่มามุงชมเรื่องราวถึงกับตะลึงกันเป็นแถบ


 


เรียกว่าบรรดาปีศาจมุงทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวกับเห็นผี!


 


เจ้าหนุ่มนี่มันบ้าไปแล้วเหรอ!?


 


กระทั่งในเวลาแบบนี้ยังจะกล้ากล่าววาจายยั่วยุท้าทาย 3 นายน้อยนั่นอีก!


 


เดิมทีนายน้อยทั้ง 3 แห่งวังเซียนสัญจรก็หัวร้อนอยู่เป็นทุน หลังมีคนกล้าเปรียบเทียบพวกมันว่าแมวสุนัข! อนิจจาเมื่อจับมือใครดมไม่ได้ พวกมันก็ได้แต่ปล่อยไปด้วยความคับแค้นใจ!!


 


ทว่ามาตอนนี้…


 


ต้วนหลิงเทียนที่ก้าวออกมาเผชิญหน้ากับพวกมัน กลับเรียกหาพวกมันทั้ง 3 ว่าแมวสุนัขโต้งๆ!


 


จังหวะนี้ในบรรดาผู้ที่มามุงชมก็มีไม่น้อยที่อดชื่นชมความกล้าของต้วนหลิงเทียนไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันพวกมันก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนนับว่ารนหาที่ตายโดยแท้!


 


“น้องหลิงเทียน!!”


 


หวงฉี่หลิงที่ยังคงอึ้งกับความเคลื่อนไหวในฉับพลันของต้วนหลิงเทียน พอได้ยินคำถามดังกล่าวหน้าก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง!


 


มันย่อมรู้สันดารของนายน้อยสวะทั้ง 3 ดี! ลองต้วนหลิงเทียนยั่วยุพวกมันต่อหน้าแบบนี้ พวกมันไม่มีวันเลิกราแน่!!


 


และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่สีหน้าหวงฉี่หลิงเปลี่ยนแปลงกลับกลาย เหล่านายน้อยทั้ง 3 ที่มีอาวุโสวังเซียนสัญจรหนุนหลังก็ฟื้นคืนสติ แต่ละคนหน้ายังเบี้ยวไปไม่น้อย


 


“ไอ้หนู! เจ้าเบื่อชีวิตนักรึไง!?”


 


“หาที่ตาย!!”


 


“ไอ้เด็กเวรวันนี้เจ้าตายแน่!!”


 


3 นายน้อยววังเซียนสัญจรคำรามออกมาด้วยโทสะ ใบหน้าพวกมันแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิต หลังจากนั้นดั่งสายลมกรรโชก ร่างพวกมันพากันทะยานจี้เข้าหาต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วเหนือเสียง! พลังมารขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนกับเซียนสวรรค์ 4เปลี่ยนปะทุออกเต็มกำลัง!!


 


ทั้ง 3 เร่งเร้าพลังใช้ออกด้วยกระบวนท่าสังหาร จู่โจมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนพร้อมๆกันอย่างเกรี้ยวกราด!


 


ราวกับหากพวกมันฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายตกลงตรงนี้ไม่ได้ พวกมันไม่มีวันเลิกรา!


 


ขวับ!


 


หนึ่งในนั้นสะบัดมือเรียกหอกยาว 7 ฉื่อออกมา พลังเซียนต้นกำเนิดทั้งไอมารมืดดำกำจายออกมาสะท้านในบรรยากาศ สภาวะหอกประหนึ่งจะทะลวงแทงได้ทุกสิ่ง


 


ปง! ปง!


 


อีกคนพลันควบพลังมารทั้งพลังเซียนต้นกำเนิดลงสู่หมัดที่ไม่ทราบสวมใส่ไว้ด้วยสนับมือเหล็กขาวตั้งแต่เมื่อใด หากแต่หมัดที่ทะลวงอากาศชกออกมานั้น บังเกิดเป็นก้อนพลังทำลายขุมหนึ่งแหวกฟ้าไปฉับไว!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 


การโจมตีสุดท้ายมาจากดาบใหญ่ กระบวนที่ดาบของมันแลดูเรียบง่ายนัก เพียงฟันฟาดผ่ากลางเฉียงซ้ายเฉียงขวาออกมาเท่านั้น หากแต่คลื่นดาบทมิฬที่แหวกอากาศไป 3 สายก็มีอานุภาพสะบั้นผ่าไม่ใช่ชั่ว!!


 


“น้องหลิงเทียนระวังตัว!!”


 


สีหน้าหวงฉี่หลิงเปลี่ยนเป็นซีดขาว เร่งตะโกนกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนอย่างร้อนใจ!


 


มันทำได้แค่ตะโกนกล่าวเตือนเท่านั้น หากแต่ไม่มีปัญญาสอดมือช่วยเหลือ…


 


ด้วยพลังฝึกปรือของมันในตอนนี้อ่อนแอกว่าทั้ง 3มาก จึงไม่มีปัญญาตอบโต้การลงมืออันรวดเร็วของทั้ง 3 คนได้เลย


 


“ข้าอยากจะดูนัก…ว่าใครมันรนหาที่ตายกันแน่…”


 


แววตาต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นลงทันใด เผชิญหน้ากับการโจมตีของทั้ง 3 พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างคล้ายเดือดพล่านขึ้นมาดั่งเพลิงไฟ ไหลผ่านชีพจรเซียนทั้ง 99 สายดั่งธารเชี่ยว ไปควบรวมในมือขวาฉับไว


 


วินาทีต่อมา หนึ่งดัชนีพลันจี้ออกตามอำเภอใจ


 


ทันใดนั้น


 


ฟั่ฟฟ!!


 


ห้วงอากาศรอบมือคล้ายผนึกแข็ง มวลพลังสุริยันต้นกำเนิดมหาศาลปะทุออก พวกมันเกาะกลุ่มควบรวมผนึกเป็นพลังดัชนีกระบี่ในชั่วพริบตา พุ่งยิงออกไปดั่งลำแสง!


 


ลำแสงดัชนีกระบี่พุ่งข้ามฟ้าไปฉับไว มองไปดั่งลำแสงขาวสว่างวาบพาดฟ้าไม่ต่างดาวตกในคืนเดือนมืด!


 


พริบตาต่อมาลำแสงพลังกระบี่อันงดงามนั่น กลับกลายคล้ายคมเคียวมัจจุราช ทะลวงทำลายการจู่โจมของนายน้อยวังเซียนสัญจรคนหนึ่งจนพินาศสิ้น ยังจบชีวิตสุนัขของมันไปอย่างง่ายดาย!


 


ดัชนีกระบี่แสกทะลวงเข้าหว่างคิ้ว ป่นปี้ทำลายดวงจิตค่อยทะลุออกหลังหัว!


 


นายน้อยสวะขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนของวังเซียนสัญจรคนหนึ่ง กลับตกตายอย่างง่ายดายเพียงเท่านี้!


 


“อะ…”


 


ผู้ชมโดยรอบยังไม่ทันได้ฟื้นตัวจากการตกตะลึง ศิษย์วังเซียนสัญจรคนหนึ่งก็ตกตายไปแล้ว ทั้งหมดเผยสีหน้าตกตะลึงเหลือเชื่อ


 


กระทั่งหวงฉี่หลิงยังตะลึงลานอ้าปากค้าง


 


น้องหลิงเทียนไฉนร้ายกาจถึงขนาดนี้!


 


และสิ่งที่ทำให้หววงฉี่หลิงและผู้ชมโดยรอบยังต้องตกตะลึงมากไปกว่านั้นก็คือ


 


ฟั่ฟฟฟ!


 


หลังเข่นฆ่าศิษย์วังเซียนสัญจรคนแรกไปแล้ว ดัชนีกระบี่อีกสายไม่ทราบควบรวมก่อเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด มันพุ่งทะยานออกจากปลายนิ้ว ส่งเสียงหอนกรีดอากาศดังขึ้นตามติด!


 


ดั่งฉากเดิมฉายวนซ้ำ ทั้งหมดแลเห็นกระบวนท่าทั้งคลื่นพลังของศิษย์วังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนอีกคนถูกทำลาย ก่อนที่หว่างคิ้วจะปรากฏหลุมโลหิตอันมีเลือดเนื้อทั้งมันสมองทะลักออกมาดั่งเขื่อนแตก…


 


เพียงเวลาชั่วพริบตาเดียว 3 นายน้อยวังเซียนสัญจรที่ลงมืออย่างดุร้าย ก็หลงเหลือเพียงแค่หนึ่ง!


 


ถึงแม้ว่าผู้ที่ยังหลงเหลืออยู่นั้น จะเป็นเซียนสวรรค์ 5เปลี่ยน…


 


อย่างไรก็ตามพอมันแลเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเพียงจี้ดัชนีออกตามอำเภอใจอย่างไร้เรื่องราวเพียง 2 ครั้งก็จบชีวิตสหายเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนที่ร่วมสุขกันมานานปีในชั่วพริบตา สีหน้ามันก็เปลี่ยนไปมหันต์ “อะ…ไร ได้อย่างไร?!”


 


ตอนนี้แม้มันจะบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนแต่ก็ไม่ได้รู้สึกปลอดภัยแม้แต่นิดเดียว ยังเริ่มกระวนกระวายใจทั้งตระหนักได้ถึงสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่ง! สภาวะหอกที่แทงทะลวงออกไปถดถอยเสมือนเด็กน้อยละเล่นเขี่ยไม้!!


 


ฟั่ฟฟ!


 


และในขณะที่มันกำลังขวัญหนีดีฝ่ออยู่นั้น เสียงแหวกอากาศมรณะพลันแว่วดังขึ้นอีกครา!


 


ได้ยินเสียงกระซิบของมัจจุราชนี้ ลูกตาของผู้คนโดยรอบถึงกับหดหยี กล่าวในใจอย่างตื่นตระหนก “ยังไม่จบ?”


 


ดัชนีกระบี่พุ่งตัดฟ้าไปอีกสายดั่งประกายแสง ยังราวกับมีทวยเทพหนุนเสริม ส่องยิงทำลายรังสีพลังหอกที่ไร้สภาววะเหี้ยมหาญง่ายดาย ยังจี้ตะบึงเขาจุดตายของมันสืบต่อ!


 


แน่นอนว่าในสายตาของศิษย์วังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนคนนี้ ไม่แม้แต่จะจับความเร็วของดัชนีกระบี่ที่พุ่งยิงมาดั่งลำแสงได้เลย…รวดเร็วเกินไป! มันรู้สึกเพียงปวกแปลบที่มือ ก่อนที่จะสยดสยองเพราะในหูแว่วเสียงแผ่วเบาหนึ่งที่ใกล้เข้ามา!!


 


“ไม่…!!”


 


ห้วงเวลาสุดท้ายของความเป็นตาย ศิษย์วังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนได้แต่ร่ำร้องออกมาอย่างสิ้นหวังด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นซีดเผือด


 


ในตอนนี้มันรู้แล้วว่ามันกำลังจะตาย!


 


เพราะดัชนีกระบี่ที่กำลังจะพรากชีวิตของมันนั้นรวดเร็วเกินไป อีกทั้งมันยังรู้สึกเสมือนถูกความตายที่มองไม่เห็นเพ่งเล็งให้ไม่อาจหลบหนี


 


กระทั่งทั่วร่างยังรู้สึกหนักอึ้งเหมือนมีตะกั่วหมื่นพันชั่งลากถ่วง คิดหนีก็หนีไม่ออก


 


แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การลงมือของต้วนหลิงเทียน แต่เป็นความหวาดกลัวที่กัดกินจิตใจของมัน


 


ในขณะที่ดัชนีกระบี่อันควบรวมจากพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดสายสุดท้ายกำลังจะทะลวงหว่างคิ้วบดขยี้ดวงจิตของศิษย์วังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนนั้นเอง


 


ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!


 



 


ปรากฏเสียงกระบี่ตวัดผ่าอากาศด้วยความรวดเร็ว ก่อนปรากฏห่าพิรุณพลังกระบี่พุ่งวาบมากั้นขวางเอาไว้เบื้องหน้าศิษย์วังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนผู้นั้น!!


 


สามารถหยุดยั้งดัชนีกระบี่ของต้วนหลิงเทียนเอาไว้ได้ทัน!


 


กระทั่งฝนพลังกระบี่ห่านี้ ยังสามารถทำลายดัชนีกระบี่ของต้วนหลิงเทียนลงได้!


 


ศิษย์วังเซียนสัญจรขอเขตเซียนสวรรค์ 5เปลี่ยน…กลับสามารถรอดพ้นความตายมาได้อย่างฉิวเฉียด!!


 


“ใคร?”


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปทันที เขายังเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าก่อนใดอื่น


 


เหนือฟ้า ปรากฏร่างหนึ่งลอยล่องอยู่


 


และฝนพลังกระบี่เมื่อครู่ก็มาจากร่างดังกล่าว


 


พอต้วนหลิงเทียนแหงนหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า ก็ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดพลอยแหงนมองขึ้นตามไปอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่สายตาทั้งหมดจะตกไปยังร่างที่ลอยอยู่เหนือฟ้าเช่นกัน


 


เป็นแผ่นหลังของสตรีนางหนึ่งในชุดขาวปานหิมะ นางลอยร่างค้างกลางหาวพร้อมเส้นผมที่ทอดตัวทิ้งยาลงมาปานม่านน้ำตก แม้คนจะอยู่ไกล หากแต่กลิ่นอายยะเยือกที่แผ่ออกจากร่างของนางช่างเย็นปานน้ำแข็งนัก ช่างห่างเหินปานจะผลักไสผู้คนให้ไกลห่างออกไปพันลี้


 


“น้องเหวินจิ้ง”


 


เมื่อมองเห็นแผ่นหลังสตรีที่ลอยล่องอยู่เหนือฟ้า ลูกตาของหวงฉี่หลิงก็หดเล็กลง ก่อนที่จะโค้งคำนับอีกฝ่ายเบาๆ


 


“น้องเหวินจิ้ง?”


 


เมื่อได้ยินเสียงทักของหวงฉี่หลิง ศิษย์วังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนที่เกือบถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตาย ก็เร่งแหงนหน้าขึ้นไปมองสตรีที่ช่วยชีวิตมันเอาไว้ทันที


 


และทันทีที่เห็นร่างบางเหนือฟ้า แววตาตื่นตระหนกหวาดกลัวทั้งเสียขวัญที่เฉียดตาย ก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นยินดีทันที


 


อย่างไรก็ตามต่อมาสีหน้ามันก็มืดลงอีกครั้ง


 


“น้องเหวินจิ้ง! เจ้าต้องล้างแค้นให้ฉีกังกับอวี่จี๋!!”


 


หลังตะโกนร่ำร้องออกมาด้วยน้ำเสียงสลด ศิษย์วังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนก็ชี้มือมาทางต้วนหลิงเทียน พร้อมคำรามออกมาโทสะ “เจ้านั่น! มันเป็นคนฆ่าฉีกังกับอวี่จี๋”


 


หลินฉีกัง และ ซือถูอวี่จี๋ นั้น…ทั้งสองก็เป็นศิษย์วังเซียนสัญจรขอบเขตเซียสวรรค์ 4 เปลี่ยนที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าไปเมื่อครู่!


 


“มันเป็นสหายของหวงฉี่หลิง! เป็นหวงฉี่หลิงคิดทรยศต่อวังเซียนสัญจรเรา ให้ท้ายคนนอกฆ่าคนในวังเซียนสัญจรของพวกเรา!!”


 


หลังคำรามจบคำ มันยังหันไปชี้มือทางหวงฉี่หลิงอีกคน


 


ในขณะที่ศิษย์วังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 5เปลี่ยนกล่าว ‘ฟ้อง’ สตรีที่อยู่บนฟ้านั้น


 


ท่ามกลางผู้ที่มามุงดูก็มีคนจดจำสตรีชุดขาวที่ลอยร่างอยู่บนฟ้าได้ออก “นางคือ หวงเหวินจิ้ง!”


 


ถึงแม้จะเห็นแค่ด้านหลัง แต่ปีศาจผู้นี้ก็สามารถจดจำอัตลักษณ์ของสตรีผู้มาได้! หลายคนก็สามารถจดจำนางได้ออก!!


 


“หวงเหวินจิ้ง!”


 


หลังจากมีผู้ที่จดจำนางได้ทั้งกล่าวนามของนางออกมา ก็นับว่าสร้างความปั่นป่วนให้ที่เกิดเหตุทันที


 


หวงเหวินจิ้งนี้ ไม่ใช่นามที่แปลกหูสำหรับผู้ชมที่อยู่ในที่นี้


 


นั่นเพราะหวงเหวินจิ้งเป็นอะไรที่รู้จักกันดีในเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์ ว่าเป็นรุ่นเยาว์อัจฉริยะอันดับ 1ของวังเซียนสัญจร! พลังฝึกปรือของนางบรรลุถึงขอบเขตเซียนสววรรค์ 7 เปลี่ยนแล้ว!!


 


ยังกล่าวกันว่าพลังฝึกกปรือของนางห่างขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอีกแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น!


 


นอกจากความแข็งแกร่งดั่งสัตว์ประหลาดแล้ว หวงเหวินจิ้งยังได้รับการขนานนามอันไร้คู่เปรียบอีกอย่างว่า…


 


โฉมงามอันดับหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์!!


 


“นางคือหวงเหวินจิ้ง โฉมงามอันดับ 1 ของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์แห่งวังเซียนสัญจรงั้นเหรอ?”


 


ลูกตาของปีศาจมากมายในที่เกิดเหตุถึงกับลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมา


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีศาจเพศชาย ยามมองร่างบางเหนือฟ้าอีกครั้ง ดวงตาของพวกมันร้อนแรงจนแทบลุกโชนเป็นเพลิงไฟ!


 


นับว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตเพศผู้จริงๆ!


 


หากแต่ไม่นานพวกมันก็จำต้องระงับอาการทั้งหลาย


 


เพียงเพราะเมื่อพวกมันจับจ้องไปยังร่างบางเหนือฟ้าด้วยสายตามากราคะนั้น


 


ร่างบางที่เดิมทีแผ่กลิ่นอายเย็นชาอยู่แล้ว บัดนี้กลับแผ่กลิ่นอายยะเยือกหนึ่งหล่นลงจากฟ้า พัดคลุมพวกมันเอาไว้ให้รู้สึกหนาวสะท้านปานติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง!


 


เรียกว่าเพลิงปรารถนาของพวกมันถูกดับลงในชั่วพริบตา!


 


ยามมองไปยังร่างบางเหนือฟ้าอีกครั้ง แววตาทั้งหลายจึงเหลือแต่เพียงความยำเกรง ไม่กล้าคิดอุกอาจอันใดในหัว


 


“น้องเหวินจิ้งอย่าได้ฟังวาจาเหลวไหลของมัน!”


 


เห็นศิษย์วังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 5เปลี่ยนกล่าวฟ้องหวงเหวินจิ้งอย่างน่าไม่อาย สีหน้าของหวงฉี่หลิงเปลี่ยนไปทันที ยังตะโกนออกมาแย้งคำฟ้องเสียงดัง “เป็นมันเหอเซินเจี๋ย หลินฉีกัง กับซือถูอวี่จี๋คิดฆ่าน้องหลิงเทียนก่อน! น้องหลิงเทียนเลยฆ่าพวกมันกลับ!!”


 


ขณะกล่าวสีหน้าหวงฉี่หลิงยังร้อนใจไม่น้อย เมื่อพูดจบก็ได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังของร่างบางด้วยสีหน้าแววตาไม่ค่อยสู้ดี ในใจยังหวาดกลัวนัก


ตอนที่ 2,225 : ข้อบกพร่อง


 


แทบจะในทันทีที่หวงฉี่หลิงกล่าวจบคำ


 


“ฮึ่ม!”


 


นายน้อยวังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 5เปลี่ยน พลันแค่นสบถออกมาเสียงเย็น หันมองไปยังหวงฉี่หลิง พร้อมกล่าวออกมาเสียงหนัก “หวงฉี่หลิง กระทั่งตอนนี้เจ้ายังกล้าให้ท้ายคนนอกอยู่อีก!!”


 


“อย่าได้ลืมไปว่าหลินฉีกังกับซือถูอวี่จี๋ล้วนเป็นศิษย์วังเซียนสัญจรของพวกเรา…แต่ตอนนี้เจ้ายังกล่าวแก้ตัวให้คนนอกอีกหรือ หรือเจ้าคิดเอาใจออกห่างวังเซียนสัญจรของเรา!?”


 


สองตาเหอเซินเจี๋ยทอประกายชั่วร้าย เร่งกล่าวออกเสียงดังด้วยสีหน้ามั่นใจ


 


“น้องเหวินจิ้ง!”


 


ทว่าเมื่อเหอเซินเจี๋ยหันไปมองร่างบางกลางฟ้าอีกครั้ง สีหน้ามั่นใจมันก็สลดลงทันใด กลาวออกด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “เจ้าต้องคืนความเป็นธรรมให้หลินฉีกังกับซือถูอวี่จี๋นะ! ล้างแค้นคนนอกสารเลวนั่น…อย่าได้ให้พวกมันต้องนอนตายตาไม่หลับ!!”


 


ในตาของเหอเซินเจี๋ยไม่ทราบปรากฏน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ลึกลงไปในแววตากลับเผยประกายเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย!


 


ในขณะที่สีหน้าของหวงฉี่หลิงกำลังมืดลงเพราะได้ยินคำฟ้องทั้งเห็นสีหน้าเสแสร้งของเหอเซินเจี๋ยนั้นเอง…


 


“พอที!”


 


เสียงไพเราะอันเย็นชาหนึ่งพลันดังขึ้น พาลให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกหนาวไปถึงไขกระดูก


 


เสียงดังกล่าวดังขึ้นจากร่างบางในชุดขาววราวหิมะ อย่างไรก็ตามขณะกล่าวนางยังคงหันหลังให้ผู้คน…


 


แต่เมื่อกล่าวจบในที่สุดร่างบางก็ค่อยๆหันกลับมาช้าๆ ค่อยๆเปิดเผยรูปโฉมให้ผู้คนได้แลเห็น


 


รูปโฉมอันงามเฉิดฉันท์ปานถูกทวยเทพรังสรรค์ขึ้นมาอย่างวิจิตรบรรจงค่อยๆเผยให้ทุกผู้คนแลเห็นชัดถนัดตา สะกดทุกลมหายใจของผู้คนให้หยุดลง!


 


งดงาม!


 


ช่างงดงามพิลาศล้ำเหลือเกิน!


 


เห็นรูปโฉมอันงดงามของร่างบางในชุดขาวราวหิมะ ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคิดไปดุจเดียวกัน


 


โดยเฉพาะต้วนหลิงเทียนที่บังเกิดความรู้สึกดังกล่าวรุนแรงที่สุด!


 


นั่นเพราะไม่ว่าจะเป็น ลี่เฟย เค่อเอ๋อ กระทั่งสตรีรู้ใจอย่างเฟิ่งเทียนหวู่ ก็ล้วนเป็นโฉมงามอันดับต้นๆทั้งสิ้น!


 


และสตรีนางนี้ หากมองกันในแง่ของความงามแล้ว เรียกว่าไม่น้อยหน้าเค่อเอ๋อ ลี่เฟย และเฟิ่งเทียนหวู่เลย!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกเย็นชา สูงส่ง ปานจะผลักไสผู้คนให้ถอยหนีไปนับพันลี้นั่น เป็นอะไรยากที่บุรุษทั่วไปจะหาญกล้าเข้าหา!


 


หากแต่สำหรับบุรุษที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงส่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ใคร่ปรารถนาอยากสยบพิชิตนางทั้งสิ้น!


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็บังเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้นมาไม่ต่าง


 


นี่เป็นความปรารถนาตามสัญชาตญาณของบุรุษเพศ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคนที่มั่นใจในตัวเอง ย่อมไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาไม่สนใจนาง


 


หากแต่เพียงความปรารถนาดังกล่าวปรากฏขึ้นไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงภรรยาทั้ง 2 ขึ้นมา และเสมือนถูกน้ำเย็นถังหนึ่งราดรดลงศีรษะก็ไม่ปาน สติสตังถูกปลุกให้ตื่นทันที!


 


‘นี่น่ะเหรอ หวงเหวินจิ้ง โฉมงามอันดับหนึ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์…นับว่าสมคำร่ำลือเสียจริง’


 


มองไปยังสตรีในชุดขาวราวหิมะอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนอดที่จะชื่นชมนางไม่ได้


 


ทว่าไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่า


 


สองตางามใสของโฉมงามอันดับ 1 แห่งเผ่าปีศาจมนุษย์กำลังจับจ้องมาทางเขาอย่างเยียบเย็น


 


“เจ้าช่างกล้านัก กระทั่งคนในวังเซียนสัญจรยังกล้าฆ่า…”


 


หวงเหวินจิ้งมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเฉยเมยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสงบ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวอารมณ์ใดๆแฝงเร้น


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นและเตรียมกล่าวตอบนั้นเอง


 


“น้องเหวินจิ้ง!”


 


หวงฉี่หลิงพลันก้าววออกมาอีกครั้ง มองพูดกับหวงเหวินจิ้งด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องราวทั้งหมดทุกคนในที่นี้สามารถเป็นพยานได้…หากเหอเซินเจี๋ยกับพวกทั้ง 3 มิได้หาเรื่องน้องหลิงเทียนก่อน ไหนเลยน้องหลิงเทียนจะไปลงมือกับพวกมันได้!”


 


“อะไร? ท่านยังต้องการปกป้องมัน?”


 


สีหน้าของหวงเหวินจิ้งเฉยชานัก เสียงกล่าวยังฟังไม่ออกว่าโกรธหรืออย่างไรกันแน่ แต่ผู้คนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเยียบเย็นหนึ่งที่เริ่มแผ่ออกมาจากร่างนางชัดเจน


 


“ใช่!”


 


หวงฉี่หลิงมองสบตาหวงเหวินจิ้งตรงๆกล่าวออกเสียงเข้ม “เรื่องทั้งหมดในวันนี้ล้วนมีข้าเป็นต้นเหตุ…หากมิใช่เพราะข้าสักคน ไหนเลยน้องหลิงเทียนต้องมาพบพานเรื่องแบบนี้!”


 


“เช่นนั้นท่านก็ตามข้ากลับไปที่วังเถอะ…จากนั้นก็ไปรายงานความผิดที่หอคุมกฏเพื่อรับโทษทัณฑ์”


 


ลูกตาหวงเหวินจิ้งยังคงเย็นชาไม่แยแส ทั่วร่างยังแผ่กลิ่นอายเยียบเย็นหนึ่งกดทับไปยังร่างหวงฉี่หลิง พาลให้ร่างมันเสมือนจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง ยากจะโต้แย้งใดได้


 


“ดะ…ได้…”


 


หวงฉี่หลิงร่างสะท้านไปพักหนึ่ง ค่อยกล่าวตอบกลับ


 


ตอนนี้มันรู้สึกเสมือนติดอยู่ในถ้ำหิมะ ทั่วร่างเสมือนแข็งทื่อ ไม่แม้แต่จะพูดจาให้ดีๆได้ด้วยซ้ำ!


 


“น้องเหวินจิ้ง!”


 


เมื่อเห็นว่าหวงเหวินจิ้งไม่คิดจะลงมือกับต้วนหลิงเทียน สีหน้าของเหอเซินเจี๋ยก็เปลี่ยนไป เร่งร้องตะโกนออกมาอย่างคร่ำครวญ!


 


“ฮึ่ม!”


 


แทบจะพร้อมกันกับที่เหอเซินเจี๋ยตะโกนออก ต้วนหลิงเทียนก็แค่นสบถเสียงเย็น มองไปยังหวงเหวินจิ้งด้วยสีหน้าเฉยชา พลางกล่าววออกด้วยน้ำเสียงไม่แยแส


 


“พวกมันล้วนเป็นข้าต้วนหลิงเทียนลงมือฆ่า เจ้าจะไปหาความกับคนอื่นทำอะไร… ถ้ามีปัญญาก็เข้ามาจับข้าไปรับโทษที่วังเซียนสัญจรของเจ้าได้เลย”


 


แม้เสียงกล่าวของต้วนหลิวเทียนจะเฉยเมย แต่ยามดังเข้าหูหวงเหวินจิ้งนั้นไม่ต่างใดกับวาจายั่วยุท้าทาย!


 


พาลให้ใบหน้าของหวงเหวินจิ้งแต่เดิมที่เย็นชาอยู่แล้ว คล้ายมีม่านน้ำแข็งฉาบคลุมทันที!!


 


“น้องหลิงเทียน!!”


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียนทั้งเห็นหน้าหวงเหวินจิ้งเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น ลูกตาหวงฉี่หลิงพลันหดหยีลง สีหน้าเปลี่ยนไปมหันต์!


 


สำหรับเหอเซินเจี๋ยนั้น มันบังเกิดความสมใจนัก!


 


“หวงฉี่หลิงคิดออกตัวรับโทษแทนเพื่อปกป้องเจ้าหนุ่มนั่นแท้ๆ…แต่เจ้าหนุ่มนั่นไม่เพียงไม่เข้าใจความหวังดีของหวงฉี่หลิง ยังไปกล่าวท้าทายแม่นางหวงเหวินจิ้งเช่นนี้อีก…”


 


“เหอๆ…ไอ้หนุ่มนั่นมันช่างรนหาที่ตายแท้ๆ…”


 


“เจ้าบอกว่ามันรนหาที่ตาย…หรือไม่คิดบ้างว่ามันอาจจะไม่กลัวหวงเหวินจิ้นก็ได้?”


 


“เป็นไปไม่ได้! ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้าหนุ่มหน้าอ่อนนั่นสมควรมีอายุน้อยจริงๆ ทว่าข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนว่าในเผ่าปีศาจมนุษย์มียอดฝีมือรุ่นเยาว์เช่นมัน!”


 



 


เหล่าผู้ที่ชมดูเรื่องราว ต่างคิดว่าต้วนหลิงเทียนพูดออกมาแบบนี้ นับว่าแส่หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ


 


“ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้าจับตัวเจ้านัก…เช่นนั้นข้าจะสงเคราะห์ให้!”


 


ในฐานะรุ่นเยาว์อัจฉริยะอันดับ 1 ของวังเซวียนสัญจร แม้จะเป็นอิสตรีแต่หวงเหวินจิ้ก็มีความถือดีในตัวไม่น้อย


 


แต่วันนี้นางกลับถูกผู้ใดก็ไม่ทราบท้าทายต่อหน้าต่อตาผู้คนมากมาย นางย่อมทนไม่ไหว


 


ฟุ่บ!


 


ร่างหวงเหวินจิ้งสั่นไหวจนเป็นเงาเลือน ก่อนที่จะอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย!


 


ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!


 



 


แทบจะพร้อมกันกับที่ร่างหวงเหวินจิ้งเลือนหายไปดั่งภูตผี ปรากฏเสียงตวัดกระบี่ดังขึ้นมาไม่หยุด


 


พร้อมกับเสียงตวัดกระบี่แหวกอากาศ ยังปรากฏห่าพิรุณพลังกระบี่อันแน่นหนาร่วงตกจากฟากฟ้า! ห่าพลังดั่งข่ายฟ้าแหสววรรค์ไร้ช่องโหว่!!


 


ซ้ำร้ายฝนกระบี่ของนางยังถล่มลงจากฟ้าเข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียน!!


 


นอกเหนือจากฝนพลังกระบี่ ยังปรากฏร่างหวงเหวินจิ้งที่ย่ำเหยียบอยู่บนกกระบี่เล่มหนึ่ง! เป็นกำลังท่องกระบี่หมายจู่โจมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน! มองไปประหนึ่งเทพธิดากระบี่คิดสำแดงเดชก็ไม่ปาน!!


 


“กระบี่พันอาคมเซียนงั้นเหรอ?”


 


มองปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็ระบุได้ทันทีว่ากระบี่ใต้ฝ่าเท้าหวงเหวินจิ้งนั้นเป็นกระบี่พันอาคมเซียน ยามปลดปล่อยพลังอำนาจ ตัวกระบี่พลันเปล่งแสงพลังแลบลั่นออกมาดั่งประกายอัสนี!


 


สำหรับกระบวนท่าที่นางจู่โจมใช้ออกนั้น ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ว่าไม่เพียงนางใช้วรยุทธ์กระบี่ยังผสานไว้ด้วยเวทย์พลังบางอย่าง!


 


ฝนพลังกระบี่พร่างพรมถล่มลงจากฟากฟ้า โดยมีหวงเหวินจิ้งท่องกระบี่จี้เข้ามานี้! สภาวะพลังช่างดุดันแกร่งกร้าวปานจะทำลายสิ้นขุนเขาลำน้ำ  ยังเล็งจี้มาให้ความรู้สึกเสมือนคลื่นใหญ่ถาโถม ไม่มีที่ให้ลี้หลบ!


 


“ปฐมเวทย์กลืนกิน”


 


เผชิญหน้ากับหวงเหวินจิ้งที่ลงมือมาอย่างดุดัน ต้วนหลิงเทียนไม่กล้าประมาท เวทย์พลังสนับสนุนสำแดงเดช ปฐมเวทย์กลืนกินเริ่มต้นกระบวนการทำงานทันที!


 


ทันใดนั้นโดยมีต้วนหลิงเทียนเป็นจุดศูนย์กลาง ปรากฏวังวนพลังดูดรั้งหนึ่งอุบัติขึ้น!


 


พร้อมกันกับที่วังวนพลังดูดรั้งอุบัติ พลังวิญญาณฟ้าดินในสวรรค์และโลกรอบกาย ก็ถูกต้วนหลิงเทียนสูบกลืน เปลี่ยนแปลงเพิ่มพูนพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดทั่วร่างของเขาทันที!


 


พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดทั่วร่างต้วนหลิงเทียนเริ่มพุ่งสูงขึ้นด้วยความเร็วอัศจรรย์!


 


“ปีกอีกาทองคำ!”


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยเวทย์พลังเสริมท่าร่าง แผ่นหลังปรากฏมวลพลังดั่งเพลิงไฟปะทุออก ก่อนที่จะควบรวมก่อเกิดเป็นปีกเพลิงมหึมา ตัวปีกเปี่ยมล้นไปด้วยไอพลังลุกโชนเร่าๆปานเพลิงร้อน!


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


หวงเหวินจิ้งที่ท่องกระบี่พันอาคมเซียนดิ่งลงจากฟ้ามาพร้อมฝนพลังกระบี่นั้น มาได้รวดเร็วนัก ยังรวดเร็วถึงขีดสุดเท่าที่เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนจะบรรลุถึงได้!!


 


เผชิญหน้ากับสภาวะดุดันของหวงเหวินจิ้งที่โถมถันเข้ามา สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที


 


หวงเหวินจิ้ง นับเป็นเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนที่มีพลังฝีมือร้ายกาจที่สุดเท่าที่เขาเคยพบพานมาชั่วชีวิต!


 


หากเขายังมีกระบี่นิลสวรรค์ให้ใช้ เขาคงไม่กลัวหวงเหวินจิ้งแม้แต่น้อย เพราะเพียงเปล่งพลังอำนาจของกระบี่นิลสวรรค์บางเบา ก็ย่อมสยบสภาวะพลังนางได้ง่ายดาย!


 


แต่ตอนนี้เขาไม่ระวังไม่ได้!


 


“เซียนอมตะข้ามภพ!”


 


เพียงห้วงคิด จิตสั่ง พลังเคลื่อน! ต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยเวทย์พลังจู่โจมประเภทกระบี่ที่เขาเชี่ยวชาญอย่างไม่กล้ารอช้า ร่างคนวูบไหวดั่งเงาเลือน ก่อนจะปรากฏร่างแยกอวตารออกมาหลายร่าง!


 


“ร่างแยกรึ?”


 


เมื่อเห็นร่างแยกของต้วนหลิงเทียน ผู้คนโดยรอบอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา เพราะคิดว่ากลพลังนี้ของต้วนหลิงเทียนไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก


 


ด้วยพลังกระบี่ที่ถล่มจากฟ้าดั่งห่าพิรุณ ไหนจะมีหวงเหวินจิ้งที่ท่องกระบี่ลงมา… เช่นนั้นต่อให้มีร่างแยกกี่ร่างก็ไม่พ้นจมฝนพลังกระบี่พินาศสิ้น!!


 


อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่อาจทราบได้


 


ว่ากระบวนท่าไม้ตายแท้จริงของต้วนหลิงเทียน นั้นไม่ใช่เวทย์พลังจู่โจมสายกระบี่อย่างเซียนอมตะข้ามภพที่สร้างร่างแยกอวตารแบบนี้ แต่เป็นมรรคากระบี่จากเต๋ากระบี่สูงสุดยอดใจกระบี่!!


 


เมื่อใช้ออกด้วยเซียนอมตะข้ามภพแล้วต้วนหลิงเทียนก็ไม่รีรอ เร่งเร้าสำนึกกระบี่อันร้ายกาจจากขอบเขตที่ 3 ของยอดใจกกระบี่ทันที!


 


พริบตานั้นสำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนพลันกำจายออกไปเป็นวงกว้าง มองไปคล้ายสร้าง ‘วงกระบี่’ราวกับเทพกระบี่สร้างอาณาเขต!


 


พริบตาดุจละอองไฟ ร่างหวงเหวินจิ้งทั้งกระบวนท่าห่าพลัง ล้วนตกอยู่ในรัศมีสำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนหมดสิ้น! ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังทุกขุม เส้นทางของกระบี่พลังทุกเล่มที่หล่นฟ้ามาดั่งห่าฝน ยังตระหนักถึงกระบวนท่าท่องกระบี่ของหวงเหวินจิ้งได้กระจ่างดุจฝ่ามือ!


 


“ตรงนั้น!”


 


พริบตาดุจละอองไฟวาบ สองตาต้วนหลิงเทียนพลันทอประกายสว่างจ้า เขาพบช่องโหว่ในกระบวนท่าของหวงเหวินจิ้งแล้ว!!


 


อันที่จริงช่องโหว่ ที่เป็นดั่งข้อบกพร่องนี้ช่างเล็กน้อยเสียจนยากจะสังเกตเห็น! กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเซียนสววรรค์ 9 เปลี่ยนก็ไม่แน่ว่าจะค้นพบได้!!


 


มันเป็นช่องโหว่อันบังเกิดจากการผสานใช้ระหว่างวรยุทธ์เซียนกับเวทย์พลังของนาง!


 


ทั้งสองคล้ายผสานรวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ หากแต่ที่แท้กลับเหลื่อมล้ำเผยช่องว่างอันยากที่จะค้นพบ!


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนกลับค้นพบช่องว่างดังกล่าว! ซ้ำร้ายช่องว่างนั่นยังเป็นจุดตายกระบวนท่าของนาง!!


 


ด้วยก้าวเดินในมรรคากระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่ เกรงว่าทุกเคล็ดวิชากระบี่บนระนาบโลกียะแห่งนี้ ย่อมไม่อาจรอดพ้นหูตาของต้วนหลิงเทียนไปได้! เว้นเสียแต่จะเป็นเคล็ดกระบี่ที่ไร้จุดบอดจริงๆ!!


 


‘ช่องว่างนั่น ข้าเห็นมันแล้ว! เท่านี้ก็ง่ายดายนัก!!’


 


เมื่อพบช่องว่างในกระบวนท่าของหวงเหวินจิ้ง ใจต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกคึกคักขึ้นมาอักโข


 


เรียกว่าคนคล้ายถูกฉีดเลือดไก่ก็ไม่ปาน บังเกิดความกระเหี้ยนกระหือรืออยากทำลายกระบวนท่าของนางให้สิ้นซาก!


 


ไม่ทันไรหวงเหวินจิ้งที่ท่องกระบี่พันอาคมเซียนจู่โจมเข้ามาพร้อมห่าพิรุณพลังกระบี่ ก็เจียนบรรลุถึงต้วนหลิงเทียนอยู่รอมร่อ!


 


ห่าพลังยังไม่ต่างใดจากคลื่นมหึมาโถมถัน! เตรียมซัดทำลายร่างต้นต้วนหลิงเทียนพร้อมร่างแยกอวตารทั้งหลายให้แหลกลาญไปพร้อมกัน!!


ตอนที่ 2,226 : อาวุโสวังเซียนสัญจร!


 


อย่างไรก็ตาม แม้เผชิญหน้ากับหวงหวินจิ้งที่ท่องกระบี่ลงมาพร้อมพลังกระบี่ดั่งห่าฝน ต้วนหลิงเทียนยังคงมีสีหน้าสงบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย


 


“เล่นกระบี่ต่อหน้าข้า…เจ้ายังอ่อนหัดนัก!”


 


ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนพลันทอแสงสว่างจ้าเรืองวาบขึ้นมา


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความมั่นใจ


 


และความมั่นใจนี้ย่อมมาจากเต๋ากระบี่สูงสุด ยอดใจกระบี่!


 


ในขณะที่ร่างต้นต้วนหลิงเทียนเริ่มเคลื่อนไหว ร่างแยกอวตารทั้งหลายก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน แถมยังพร้อมเพรียงกันนัก ยากที่ใครจะบอกได้ว่าที่แท้คนไหนเป็นต้วนหลิงเทียนตัวจริงคนไหนเป็นร่างแยกกันแน่!


 


ครู่ต่อมา!


 


ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!


 



 


ทั้งร่างจริงและร่างแยกอวตารของต้วนหลิงเทียน แต่ละคนพลันยกนิ้วขึ้นมาจี้ออกเป็นดัชนีต่างกระบี่!


 


พริบตาต่อมาก็ปรากฏลำแสงดัชนีกระบี่พุ่งวาบทะลวงยิงขึ้นฟ้า!


 


ที่สำคัญดัชนีกระบี่รอบนี้ กลับเรียงรายต่อแถววกันไปราวทหารหาญ พวกมันพุ่งทะลวงเข้าช่องโหว่และจุดตายของกระบวนท่ากระบี่หวงเหวินจิ้งอย่างไร้ปราณี!


 


ด้านหวงเหวินจิ้งตอนแรกที่เห็นต้วนหลิงเทียนยิงดัชนีกระบี่ออกมานางก็ไม่ได้แยแส


 


อย่างไรก็ตามเมื่อพบว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนจี้ดัชนีออก ดัชนีกระบี่รอบนี้กลับพุ่งทะยานแหวกฟ้ามาฉับไว ได้ยินก็แค่เพียงเสียงบางสิ่งแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูง แทบไม่อาจแลเห็นร่องรอย! สีหน้าหวงเหวินจิ้งก็เปลี่ยนไปทันที!!


 


“ปะ…เป็นไปได้ยังไง!?”


 


นี่เป็นความคิดที่ผุดวาบขึ้นมาในใจของนาง และนางก็ไม่ทันมีเวลาได้คิดถึงเรื่องใดอื่น!


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่ต้วนหลิงเทียนยิงดัชนีไปหมายฆ่าเหอเซินเจี๋ย นางสามารถหยุดการลงมือของต้วนหลิงเทียนได้ แม้จะไม่ง่าย แต่ก็ยังหยุดได้!


 


ทว่ามาตอนนี้นางกลับพบว่า…


 


การลงมือของต้วนหลิงเทียนคราวนี้…ไม่เพียงทรงพลังฉับไวกว่าเดิมแค่เล็กน้อย ทว่ามันแตกต่างกันราวกับอยู่คนละโลก!!


 


“แย่แล้ว!”


 


ในขณะที่สีหน้าหวงเหวินจิ้งเปลี่ยนไปอย่างหนัก และนางกำลังเตรียมจะเร่งเร้าพลังป้องกันกระบวนท่าดัชนีกระบี่ของต้วนหลิงเทียน นางก็พบว่า…


 


ดัชนีกระบี่ที่ยิงทำลายออกมาพร้อมเพรียงทั้งราวกับจะเรียงแถวนั้น ได้จี้ยิงไปยังจุดๆเดียวกัน!


 


นอกจากนั้นจุดที่พลังดัชนีกระบีจี้เข้ามา ยังทำให้ใบหน้าหวงเหวินจิ้งซีดลง ความประหลาดใจเหนือคาดคิดยังฉายชัดบนใบหน้าเย็นชา!


 


“มันรู้ได้อย่างไร!”


 


เรียกว่าตอนนี้หวงเหวินจิ้งไม่เพียงแต่จะหน้าเปลี่ยนสี ในใจยังคล้ายมีมรสุมก่อเกิด


 


นางไม่แม้แต่จะนึกฝัน


 


ว่าต้วนหลิงเทียนสามารถค้นพบจุดอ่อนของนางได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ!


 


ตัวนางที่เป็นผู้ใช้กระบววนท่านี้ นางย่อมรู้ดีว่าระหว่างวรยุทธ์เซียนของนางที่ผสานกับเวทย์พลัง ยามลงมือกลับปรากฏช่องโหว่อยู่เล็กน้อยเป็นจุดที่ความเข้มแข็งของพลังอ่อนด้อยที่สุด! แต่นั่นสมควรมีแต่นางเท่านั้นที่รู้…ไหนเลยคนอื่นจะล่วงรู้จุดตายของกระบวนท่านางได้แบบนี้!!


 


กระทั่งยอดฝีมือที่เป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยนทั้งหลายในวังเซียนสัญจรยังไม่รู้ แม้แต่จ้าววังเองก็หาช่องโหว่นี้ไม่พบด้วยซ้ำ!


 


ทว่าตอนนี้กลับถูกต้วนหลิงเทียนค้นพบ!


 


จะไม่ให้นางแปลกใจได้อย่างไรไหว!


 


แน่นอนว่าแม้จะแตกตื่นทั้งประหลาดใจมากเพียงใด แต่นางก็ไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆ ไม่รอช้ารีบเร่งเร้าพลังเซียนต้นกกำเนิดชั่วชีวิตหมายรวมรั้งพลังหยุดกระบวนดัชนีของต้วนหลิงเทียน!


 


แต่ทว่าทันใดนั้นเอง


 


ปงงงง! ซู่มมม!!


 


เสียงดัชนีกระบี่เริ่มปะทะกันกับกระบวนท่าของนางดังสนั่นขึ้น ยังปรากฏดัชนีกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งแซงดัชนีกระบี่สายอื่น จี้ตะบึงเข้าหาจุดตายของหวงเหวินจิ้ง!!


 


ดัชนีกระบี่สายนี้ไม่เพียงปะทุพลังเหี้ยมหาญเหนือสายใด หากแต่อยู่ๆมันก็ปะทุความเร็วอันเหนือชั้นสุดที่นางจะต้านทานได้ทัน!


 


พริบตาดุจละอองไฟ ดัชนีกระบี่ร้ายกาจดังกล่าวก็ทะลวงจุดตายของกระบวนท่านางเข้ามาอย่างง่ายดาย! เรียกว่าทำลายการผสานพลังทั้งหมดของนางลงได้อย่างไม่มีชิ้นดี!!


 


และหากกระบวนท่านี้ของนางถูกทำลาย นางที่ไม่มีเวลาเร่งเร้าพลังป้องกันยังจะต่างใดกับลูกแกะน้อยแสนอ่อนแอ!


 


หากต้วนหลิงเทียนคิดลงมือด้วยอำมหิตขึ้นมา หนึ่งชีวิตนี้ของนางคงต้องดับดิ้นแน่แล้ว!!


 


เปรี๊ยงงง!!


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ได้ลงมือฆ่านางอย่างโหดร้าย ในห้วงเวลาแห่งความเป็นตาย ต้วนหลิงเทียนเพียงพลิกฝ่ามือเล็กน้อย ดัชนีกระบี่ทั้งมวลก็ผสานหลอมรวมกลับกลายเป็นกระบี่พลังมีสภาพเล่มหนึ่ง! มันพุ่งเบนจากหว่างคิ้วของนางไปทะลวงอากาศธาตุด้านข้าง! ก่อนที่จะตวัดตบใบหน้านางดังฉาด!!


 


“โอ๊ยย!!”


 


หวงเหวินจิ้งที่ถูกกระบี่พลังมีสภาพจากการรวมรั้งดัชนีกระบี่ตบฟาดเข้า ใบหน้าถึงกับปรากฏรอยช้ำเลือด โลหิตกระอักออกปากคำใหญ่อย่างไม่อาจห้าม!


 


บัดนี้โฉมงามอันดับ 1 ของเผ่าปีศาจมนุษย์อันสง่างามน่าเกรงขาม ได้ถูกต้วนหลิงเทียนทำลายใบหน้ามั่นใจจนยับเยิน! ม่านน้ำแข็งที่ฉายคลุมหน้างามไม่มีเหลือสืบไป เปลี่ยนเป็นซีดเซียวลงถนัดตา!ความถือดีของนางถูกบดขยี้จนย่อยยับ!!


 


ในสายตาของทุกผู้คน พริบตาเดียวหวงเหวินจิ้งที่ลงมือมาด้วยสภาวะพลังดุดันแกร่งกร้าวก็ถูกตบปลิว…แพ้พ่าย!


 


จังหวะนี้ผู้คนโดยรอบถึงกับเงียบกริบ ต่างพูดอะไรกันไม่ออก!


 


“ปะ…เป็นไปได้ยังไงกัน?!”


 


ในขณะที่ผู้ชมทั้งหมดโดยรอบกำลังตกตะลึงพรึงเพริดกับเรื่องราวที่พลิกผันครั้งมโหฬาร ในใจเหอเซินเจี๋ยเสมือนมีมรสุมลูกใหญ่ก่อเกิด ใบหน้าฉายออกชัดถึงความตื่นตระหนกตกใจทั้งไม่อยากจะเชื่อ!


 


ฉากเบื้องหน้าเป็นอะไรสุดที่มันจะจินตนาการได้ออกจริงๆ!


 


สหายของหวงฉี่หลิง ไฉนมีพลังฝีมือร้ายกาจถึงขนาดนี้ได้!?


 


“น้องหลิงเทียน…”


 


จังหวะนี้ไม่เพียงแต่เหอเซินเจี๋ยจะตกใจ กระทั่งหวงฉี่หลิงยังตกใจแทบตาย!


 


มันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยจริงๆ


 


ว่าคนที่มันเข้าหาด้วยความบังเอิญจะมีพลังฝีมือร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้ กระทั่งรุ่นเยาว์อัจฉริยะอันดับ 1 ของวังเซียนสัญจรยังไม่ใช่คู่มืออีกฝ่าย!


 


“นิ…นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”


 


“ข้าใช่ตาฝาดไปหรือไม่…กระทั่งหวงเหวินจี้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ของวังเซียนสัญจรกลับไม่ใช่คู่มือของเจ้าหนูนั่น!?”


 


“นี่มันอะไรกันแน่!? มิใช่ว่าก่อนหน้าแม่นางหวงเหวินจี้ยังหยุดพลังดัชนีของมันได้ง่ายดายหรือไร ไฉนคราวนี้ถึงได้แพ้พ่ายย่อยยับขนาดนั้นเล่า?”


 



 


เหล่าปีศาจที่มุงล้อมชมดูเรื่องราว ตอนนี้พอหันมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งแววตายังเผยความเหลือเชื่อออกมา


 


ฉากเรื่องราวตรงหน้าเป็นอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายของมันอย่างสิ้นเชิง


 


“เห็นแก่หน้าท่านข้าจะไว้ชีวิตนาง…”


 


หลังสยบหวงเหวินจิ้งแล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันหันไปมองหวงฉี่หลิงพลางกล่าวออกเสียงเรียบ


 


ครู่ต่อมาภายใต้สายตาตกตะลึงของหวงฉี่หลิง ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบหายเข้าไปในป่าศิลาเบื้องล่าง


 


สุดท้ายก็ไม่เห็นแม้แต่เงาหลัง


 


“หวงฉี่หลิงเจ้าตายแน่! คราวนี้เจ้าตายแน่!!”


 


ขณะเดียวกันเหอเซินเจี๋ยที่พึ่งจะรู้สึกตัว ก็หันไปตะคอกคำกล่าวกับหวงฉี่หลิงเสียงเย็น “เจ้ากล้าร่วมมือกับคนนอกทำร้ายน้องเหวินจิ้งแบบนี้ได้อย่างไร!”


 


“เจ้า…”


 


เมื่อเห็นเหอเซินเจี๋ยออกมาโวยวายใส่ร้ายป้ายสีมันอีกครั้ง หวงฉี่หลิงก็มีโมโหนัก


 


อย่างไรก็ตามไม่ทันที่มันจะทันได้กล่าวใดจบคำดี สีหน้าโมโหของหวงฉี่หลิงก็จำต้องชะงักค้าง


 


ฟั่ฟฟฟ!


 


เสียงหอนของบางสิ่งกรีดอากาศดังขึ้น เป็นดัชนีกระบี่อีกสาย!!


 


ทุกคนเห็นเพียงประกายแสงสว่างวาบลัดฟ้าเท่านั้น ก่วนที่เสียงบางสิ่งทะลวงเลือดเนื้อกกระดูกจะดังขึ้นแผ่วเบา รู้ตัวอีกทีหว่างคิ้วของเหอเซินเจี๋ยก็ปรากฏหลุมโลหิตอันน่าสยดสยอง เจริญรอยตามสหายนายน้อยสวะทั้ง 2 ที่ลงนรกไปรอมันก่อนหน้า…


 


ตาย!!


 


“มันสมควรตาย!”


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เหอเซินเจี๋ยถูกฆ่า พลันมีเสียงเยียบเย็นหนึ่งดังขึ้นจากในป่าศิลา


 


เป็นเสียงของต้วนหลิงเทียน!


 


เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนฆ่าเหอเซินเจี๋ย!


 


ได้ยินเสียงยะเยือกมากอำมหิต ทั้งเห็นร่างเหอเซินเจี๋ยที่ตกตายตาไม่หลับโดยมีเลือดทั้งสมองทะลักออกมาจ๊อกๆตามรายทางขณะร่วงตกฟ้า แผ่นหลังหวงฉี่หลิงถึงกับหนาววาบ ตั่วยังสั่นไปด้วยความกลัว!


 


หลังกล่าวจบเสียงต้วนหลิงเทียนก็เงียบหายไปเลย ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก


 


ฟุ่บ!


 


สายลมเย็นหอบหนึ่งพัดตีปะทะใบหน้าหวงฉี่หลิง เป็นหวงเหวินจิ้งที่ถูกกระบี่พลังตบจนหน้าสั่นร่างปลิว เหินร่างกลับมาด้วยใบหน้าช้ำเลือด…


 


หลังกลับมาแล้ว สีหน้าหวงเหวินจิ้งก็คล้ายจะฉาบเคลือบไปด้วยม่านน้ำแข็งอีกครั้ง


 


นางเพียงมองหวงฉี่หลิงด้วยสายตาไม่แยแสคราหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร ร่างบางก็วูบหายเข้าไปในป่าศิลาเบื้องล่างเช่นกัน


 


“เรื่องราวกลายเป็นลุกลามใหญ่โตแล้ว…”


 


หลังเห็นสายตาเยียบเย็นที่จ้องมาของหวงเหวินจิ้ง หวงฉี่หลิงอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มเฝื่อนๆ แววตาฉายออกถึงความกังวลแจ่มชัด


 


3 นายน้อยสารเลวที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งฆ่าไป ไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาๆของวังเซียนสัญจร!


 


แต่ละคนล้วนมีภูมิหลังใหญ่โตในวังเซียนสัญจรทั้งสิ้น!


 


หากเป็นเพียงคนใดคนหนึ่งในนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่พอสามคนรวมกันเรื่องราวก็ใหญ่โตหนักหนาแล้วจริงๆ!


 


ในขณะที่หวงฉี่หลิงกำลังกังวลกับวนหลิงเทียน


 


วังเซียนสัญจรภายในเมืองเหรินโม่เชิ่ง ก็วุ่นวายไม่น้อย!


 


เพราะอยู่ๆไข่มุกวิญญาณ 3 ลูกกลับแตกลงในเวลาไล่เลี่ยกัน


 


“ใคร! ใครที่มันกล้าฆ่าลูกชายข้า!?”


 


ภายในตำหนักหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างสันโดษของวังเซียนสัญจร ปรากฏเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดดังก้องไปทั่วตำหนัก!


 


เสียงดังก้องฟ้านี้ของมัน ยังมีอานุภาพพลังแฝงเร้นไม่ใช่ชั่ว ประตูหน้าต่างทั้งตำหนักถึงกับปิดเปิดอย่างแรง ข้าวของล้มระเนระนาด ตำหนักทั้งหลังสั่นสะเทือนจนราวกับพร้อมถล่มลงได้ทุกเวลา!


 


ตูมมมม!!


 


ทันใดนั้นพลันบังเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมาจากห้องโถงหลักของตำหนัก ปรากฏร่างหนึ่งเหินทะเพดานห้องโถงขึ้นฟ้าไปอย่างดุร้าย!


 


แน่นอนว่าแม้มันจะพุ่งทลายเพดานห้องโถงของตำหนักขึ้นมา มันก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร


 


ผู้ที่เหินทะลุเพดานขึ้นมาเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ตรงนี้คงเดาได้ทันทีว่ามันเป็นใคร


 


เพราะเค้าโครงใบหน้าอีกฝ่าย ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเหอเซินเจี๋ยที่เขาพึ่งฆ่าทิ้งไปนัก!


 


ชายวัยกลางคนผู้นี้ ก็คือบิดาของเหอเซินเจี๋ย!


 


“กังเอ๋อ!!”


 


“สารเลว! มิว่าเจ้าจักเป็นผู้ใด แต่กล้าฆ่าหลานชายของข้า ไม่เพียงแต่ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต แต่ข้าจะล้างผลาญทั้งโคตรของเจ้าให้วอดวาย! เอาเลือดทั้งโคตรของเจ้าเซ่นส่งวิญญาณหลานชายข้า!!”


 


ในตำหนักส่วนตัวอีกหลัง ก็บังเกิดเสียงร่ำร้องด้วยความเสียใจทั้งเคียดแค้นสุดประมาณดังขึ้นเช่นกัน


 


หลังจากนั้นร่างหนึ่งก็พุ่งร่างออกจากตำหนักเหินลอยขึ้นมาบนอากาศ พริบตาก็บรรลุถึงน่านฟ้าสูง


 


หางสังเกตให้ชัดจะพบว่า มันเป็นชายชราคนหนึ่งเส้นผมขนคิ้วขาวโพลน ใบหน้ายังฉายความเคียดแค้นจนแดงก่ำ!


 


ชายชราคนนี้ก็เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของวังเซียนสัญจร ยังเป็นปู่ของหลินฉีกัง นายน้อยขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าทิ้งไปเมื่อไม่นานมานี้


 


“อวี่จี๋หลานย่า! เป็นผู้ใดทำเจ้า!!”


 


ไม่นานนัก เสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเสียงใจ ก็ดังขึ้นจากตำหนักส่วนตัวอีกหลัง


 


ทว่าผู้ที่ลอยร่างขึ้นมากลางฟ้าล่าสุดนี้ เป็นหญิงชราเส้นผมหงอกขาว


 


และนางก็คือ ย่า ของซือถูอวี่จี๋ ศิษย์วังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าทิ้งไปก่อนหน้าอีกคน…


 


ภูมิหลังของทั้ง 3 นายน้อยสวะที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าทิ้งไป แต่ละคนนับว่าไม่ใช่ชนชั้นธรรมดาในวังเซียนสัญจรจริงๆ


 


นั่นเพราะทั้ง 3 ล้วนเป็นผู้อาวุโสในวังเซียนสัญจร!


 


สามารถดำรงตำแหน่งอาวุโสได้แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนธรรมดา! แต่ละคนล้วนบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!!


 


ในวังเซียนสัญจรนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือจ้าววัง พลังฝีมือของมันบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว


 


เรียกว่าความแข็งแกร่งไม่เป็นที่กังขาของใคร


 


ส่วนผู้ที่เข้มแข็งรองจากจ้าววังก็คือชนชั้นรองจ้าววังที่มีอยู่หลายคน แต่ละคนก็ล้วนบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนสุดปลายด่านพลัง


 


รองลงมาจากรองจ้าววังก็คือชนชั้นผู้อาวุโสที่พลังฝีมืออยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนทั่วๆไป


 


และผู้อาวุโสทั้ง 3 ของนายน้อยสวะที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าไป ก็คืออาวุโสระดับสูงเหล่านี้นี่เอง


 


กล่าวอีกอย่างได้ว่า การลงมือสังหารเหอเซินเจี๋ย หลินฉีกัง และซือถูอวี่จี๋ของต้วนหลิงเทียนครั้งนี้ ได้เพาะสร้างความแค้นถึงขั้นไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้กับตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนทั้ง 3 คน!


 


เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่ล่วงรู้เรื่องนี้…


ตอนที่ 2,227 : ร่วมมือทลายค่ายกล


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้เข้ามาในมรดกสถานที่ปรมาจารย์เซียนจารึกระดับสวรรค์เหลือทิ้งไว้เรียบร้อย


 


และหลังจากที่เขาเข้ามาได้ไม่ทันไร อัจฉริยะอันดับ 1 ในบรรดารุ่นเยาว์ของวังเซียนสัญจร ทั้งยังเป็นโฉมงามอันดับ 1 ของเผ่าปีศาจมนุษย์ก็ตามเขาเข้ามาติดๆ


 


เห็นหวงเหวินจิ้งตามเข้ามา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินสำรวจที่ทางไปอย่างเงียบงัน


 


มรดกสถานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นใต้ดิน เช่นนั้นการจะเข้าไปถึงได้ ก็จำต้องผ่านอุโมงค์ใต้ดินสายหนึ่งที่ทอดยาวลึกลงไปในดิน


 


แน่นอนว่าในอุโมงค์ใต้ดินก็มีข่ายอาคมและกับดักมากมาย  ไม่ใช่ใครก็สามารถผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ


 


ระหว่างเดินลงอุโมงค์มา ต้วนหลิงเทียนยังแลเห็นศพกองระเนระนาดเกลื่อนพื้น หากแต่ด้วยความที่กลิ่นเลือดยังคงสดใหม่ จึงบอกให้รู้ชัดว่าทั้งหลายพึ่งตายกันไม่นาน…


 


‘ก่อนหน้าสมควรมีคนเข้ามาแล้วไม่น้อย…บางทีอาจเป็นพวกที่ค้นพบมรดกสถานแห่งนี้ก่อน ทว่าพบเจอข่ายอาคมจนแทบตกตายกันหมด แถมดูแล้วพลังอาคมยังไม่ใช่ชั่วแต่ละคนเหมือนจะตกตายกันทันทีที่อาคมสังหารทำงาน ที่ข่าวแพร่ออกมาก็ไม่พ้นมาจากพวกที่ถอดใจเลือกจะล่าถอย…’


 


มองไปยังซากศพบนพื้น ต้วนหลิงเทียนก็ลอบคาดเดาเรื่องราวในใจ


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเดินนำอยู่ด้านหน้า โดยมีหวงเหวิ้นจิ้งตามมาอยู่ด้านหลัง


 


ตอนแรกยามหวงเหวินจิ้งมองไปยังแผ่นหลังต้วนหลิงเทียน ในแววตานางก็เผยความเย็นชาทั้งเกลียดชังต้วนหลิงเทียนอยู่ไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามผ่านไปสักพัก สายตาของนางก็ค่อยๆเปลี่ยนไป


 


แม้จะยังคงเย็นชาเหมือนเคย หากทว่าความเคียดแค้นค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นอยากรู้อยากเห็น


 


นางอยากรู้นัก


 


ชายหนุ่มที่ให้ความรู้สึกว่าไม่ได้มีอายุมากไปกว่านางเลย ไฉนถึงได้มีพลังฝีมืออันร้ายกาจขนาดนี้!?


 


ที่สำคัญไหวพริบปฏิภาณอีกฝ่ายเลิศล้ำถึงขั้นไหนกันแน่ ถึงได้ค้นพบช่องว่างกระบวนท่านางได้ในเวลาอันสั้น!


 


มีอมตะวาจาหนึ่งกล่าวเอาไว้…


 


ยามใดที่อิสตรีบังเกิดความสงสัยใคร่รู้ในตัวบุรุษ นั่นนับเป็นก้าวแรกในการมีใจให้ของพวกนาง


 


แม้ไม่ทราบว่าอมตะวาจานี้จะใช้ได้ทุกกรณีหรือไม่ เพราะนางไม่ใช่สตรีธรรมดา แต่เป็นโฉมงามอันดับ 1 แห่งเผ่าปีศาจมนุษย์ หวงเหวินจิ้ง!


 


“81 ทาง? มากขนาดนี้เชียว…”


 


หลังเดินมาจนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ต้วนหลิงเทียนก็นึกว่าอาจจะเดินมาสุดทางแล้ว แต่เขาในที่สุดว่าเขาคิดตื้นเกินไป


 


สิ่งที่เขาคิดว่าสุดทางกลับเป็นโถงถ้ำกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ที่สำคัญเบื้องหน้ากลับปรากฏช่องทางเดินมืดดำทั้งสิ้น 81 ทาง…


 


และที่ไฉนต้วนหลิงเทียนสามารถบอกได้ว่ามีทั้งสิ้น 81 ทาง เพราะช่องทางเหล่านี้ ตั้งเรียงรายเป็นระเบียบมาก มันจัดแบ่งเป็น กลุ่มละ 9 ทาง ทั้งสิ้น 9กลุ่ม


 


“ทางไหนดีล่ะทีนี้…”


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะอื้ออึง


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็หลับตาลง อาศัยการแผ่สำนึกเทวะออกไปให้มากเท่าที่จะทำได้ เพื่อสำรวจแต่ละช่องทางคร่าวๆ


 


หวงเหวินจิ้งที่ตามมาอยู่ด้านหลัง ตอนนี้ก็หยุดมองต้วนหลิงเทียนอย่างเงียบงัน ราวกับจะรอให้ต้วนหลิงเทียนเลือกช่องทาง


 


เนื่องจากเรื่องราวใหญ่โตที่ต้วนหลิงเทียนได้ก่อไว้ก่อนเข้ามา ทำให้ไม่มีใครกล้าติดตามไล่หลังเขาเข้ามา


 


ทำให้ในช่องทางอันสลัวไปด้วยแสงคบเพลิงอันเงียบสงัดแห่งนี้ คงเหลือเพียงหนุ่มสาวคู่หนึ่งเท่านั้น บรรยากาศนับว่าชวนให้วาบหวามใจพิกล


 


ตอนแรกที่ลองแผ่สำนึกเทวะออกไป ต้วนหลิงเทียนก็ทำใจไว้แล้วว่าคงยากที่จะพบเบาะแสอะไรได้


 


หากเรื่องราวมันง่ายดายถึงขั้นใช้สำนึกเทวะตรวจสอบได้ สมบัติอะไรไม่ถูกผู้คนเอาไปหมดแล้วหรอ?


 


เพราะจากร่องรอยที่ผ่านมาตลอดทาง เขาบอกได้เลยว่ามีคนเข้ามาในมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์คนนี้ไม่ใช่น้อย


 


“หืม?”


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่ใจต้วนหลิงเทียนนิ่งสงบดั่งบ่อน้ำโบราณ เพราะทำใจได้แล้ว…


 


กลับเกิดเรื่องผิดแปลกขึ้น


 


ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้อย่างเลือนรางว่า…


 


ภายใน 81 ช่องทางนั้น กลับมีช่องทางหนึ่งที่ให้กลิ่นอายคุ้นเคยกับเขา


 


ตอนแรกเขายังไม่ทันได้คิดอะไรมาก


 


แต่พอลองตั้งสมาธิจับกลิ่นอายดังกล่าวให้ชัด เขาก็ยืนยันได้ทันที!


 


กลิ่นอายนั่นคล้ายกลิ่นอายอันพิเศษและเป็นเอกลักษณ์ในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!เป็นกลิ่นอายของพลังลี้ลับที่สามารถทำให้อัตราการไหลของห้วงเวลามันช้าลง!!


 


หากไม่เคยประสบพบเจอมากับตัวอย่างยาวนาน คงยากที่จะมีใครสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเลือนรางดังกล่าว


 


‘การไหลของห้วงเวลา…หรือว่าสุดช่องทางสายนี้ จะมีสถานที่ๆมีอัตราการไหลของ้วงเวลาเชื่องช้าเหมือนเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ?’


 


คิดถึงจุดนี้ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนก็ถี่เร็วขึ้น


 


ถึงแม้ทีท่าเขาจะเหมือนทำใจได้แล้ว หากแต่นั่นมันแค่ผิวเผินเท่านั้น ในใจเขายังยากจะปล่อยวางเรื่องเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติลงได้


 


เพราะในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ไม่ได้มีแค่ยอดสมบัติสวรรค์ ทั้งผู้เฒ่าหั่วที่เขาเคารพเท่านั้น ยังมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะอันประเสริฐ รวมถึงข้อได้เปรียบมหาศาลจากการไหลของห้วงเวลาที่ช้ากว่าโลกภายนอก


 


หากไม่มีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ พลังฝึกปรือของเขาคงไม่ก้าวหน้ารวดเร็วขนาดนี้ในสายตาคนทั่วไป


 


มาตอนนี้


 


พอตระหนักได้ว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากช่องทางดังกล่าวละม้ายคล้ายกลิ่นอายที่ตลบไปทั่วพื้นที่ๆมีอัตราการไหลของห้วงเวลาช้าลง ต้วนหลิงเทียนก็ตื่นเต้นไม่น้อย ร่างเหินทะยานเข้าช่องทางนั้นไปทันที


 


ฟุ่บ!


 


เสียงลมพัดดังขึ้นแผ่วเบา ร่างต้วนหลิงเทียนอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาหวงเหวินจิ้ง


 


หวงเหวินจิ้งกระพริบตาปริบๆอยู่ไม่กี่ครั้ง กวาดตามองช่องทางทั้งหมดอีกรอบ สุดท้ายนางก็ไม่ได้เลือกช่องทางอื่น เพียงเข้าไปในช่องทางเดียวกันกับต้วนหลิงเทียน ราวกับต้วนหลิงเทียนเป็นผู้นำทางส่วนตัวที่นางจ้างมา…


 


แน่นอนว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ ต่อไปในภายภาคหน้า ไม่ว่านางนึกจะย้อนกลับมาทีไรนางก็รู้สึกภาคภูมิใจเสมอ…


 


เพียงเพราะนี่นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของนาง!


 


ซู่ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!


 



 


หลังจากเหินร่างเข้ามาในช่องทางที่เลือกแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ถูกต้อนรับโดยข่ายอาคมสังหารทันที!


 


ผู้ใดที่ล่วงล้ำเข้ามา ข่ายอาคมนี้จะเริ่มต้นการทำงานทันที อาคมย่อยแต่ละอาคมจะสร้างหอกพลังมีสภาพที่ปานจะทะลวงได้ทุกสิ่ง ส่องยิงสังหารเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัว!


 


ที่สำคัญยามต้วนหลิงเทียนล้วงล้ำเข้ามา ข่ายอาคมที่ถูกกระตุ้นให้เปิดการทำงานไม่ได้มีแค่ข่ายอาคมเดียว! พวกมันมีมากมายราวกับค่ายกลสังหารย่อมๆ! ต้วนหลิงเทียนถึงกับถูกกักเอาไว้พักใหญ่!!


 


‘หอกพลังพวกนี้ไม่เบาจริงๆ แต่ละเล่มเทียบได้กับพลังโจมตีสูงสุดของเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน!’


 


แม้จะถูกหอกพลังมหาศาลพุ่งเข้ามาจากทั่วทิศทาง แต่ต้วนหลิงเทียนยังรับมือได้ไม่ยากเย็น ไม่เบี่ยงตัวหลบก็อาศัย 2 นิ้วต่างกระบี่ปัดหอกพลังสังหารได้ง่ายดาย


 


เรียกว่าข่ายอาคมมากมายที่ปะทุพลังสังหารออกมา ไม่ได้เป็นภัยคุกคามให้ต้ววนหลิงเทียนแม้แต่นิดเดียว


 


และเมื่อเบื่อจะทดสอบอาคม อาศัยพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดแค่เล็กน้อยใช้ออกด้วยเวทย์พลังป้องกันอย่างปราการเต่าทมิฬ หอกพลังทั้งหลายก็ถูกสกัดเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย


 


อย่างไรก็ตาม ยิ่งต้วนหลิงเทียนล่วงลึกเข้ามาในช่องทางนี้มากเท่าไหร่ ข่ายอาคมสังหารยิ่งมาก็ยิ่งทรงพลังร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆ เสมือนด่านในเกมที่จะยากขึ้นเรื่อยๆ!


 


ตอนแรกก็สบายๆ จัดการรับมือได้อย่างง่ายดาย


 


แต่หลังจากเข้ามาลึกขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็จำต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไม่น้อย สุดท้ายกระทั่งต้องเค้นพลังหลายส่วนเพื่อต้านทานหอกพลังสังหารเล่มเดียว…


 


จนเมื่อเห็นแสงสว่างจากพลังอาคมอยู่เบื้องหน้า ที่สมควรเป็นด่านทดสอบสุดท้ายก่อนถึงจุดหมายปลายทาง ต้วนหลิงเทียนจำต้องหยุดร่างลง


 


‘ข่ายอาคมสังหารของด่านก่อนหน้าทำข้าแทบตายแล้วจริงๆ กระทั่งยังเกือบจะไม่ผ่านมาอย่างปลอดภัยเอา…’


 


‘ด่านนี้สมควรยากกว่าเดิมแน่…’


 


หยุดมองพื้นที่อันผันผวนไปด้วยพลังอาคมเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด


 


เพราะสุดท้ายแล้วทุกที่ทางที่เขาผ่านมานั้นเต็มไปด้วยข่ายอาคมสังหารอันน่ากลัวทั้งสิ้น ระดับพลังก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ สัญชาตญาณเขาร้องบอกชัดเจน ว่าหนทางเบื้องหน้าอันตรายถึงตาย! หากไม่อาจรับมือข่ายอาคมสังหารชุดนี้ได้ เขาไม่รอดแน่!


 


เช่นนั้นเขาจึงต้องระวังให้มาก


 


ก่อนที่เขาจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาไม่คิดที่จะบุกเข้าสู่ข่ายอาคมสุ่มสี่สุ่มห้า


 


ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสภาพร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยกำลังกายถูกบั่นทอนไปมาก แถมพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดพร่องไปกวว่าครึ่ง…กระทั่งให้ตอนที่เขามีสภาพร่างกายทั้งพลังสมบูรณ์พร้อม เขายังไม่กล้าพูดว่าจะผ่านข่ายอาคมนี้ไปได้อย่างปลอดภัย…


 


เว้วนเสียแต่พลังฝึกปรือเขาจะทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน ถึงจะมั่นใจว่าผ่านไปได้ง่ายๆ


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เสียงใสปานนกขมิ้นพลันดังเข้าหูของเขา


 


“เจ้ากับข้า…ร่วมมือกันเถอะ”


 


เสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลัง ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคนที่ติดตามต้วนหลิงเทียนมาตั้งแต่แรก โฉมงามอันดับ 1 ของเผ่าปีศาจมนุษย์ หวงเหวินจิ้ง!


 


อันที่จริงต้วนหลิงเทียนรู้ตัวว่าหวงเหวินจิ้งตามเขามาตั้งแต่เข้ามาในมรดกสถานแล้ว หากแต่เขาไม่ได้สนใจอะไรนาง เพราะทันทีที่นางคิดไม่ซื่อเขาจะฆ่านางทิ้งทันที…กระทั่งเขายังจงใจสงวนพลังส่วนหนึ่งไว้รับมือนางโดยเฉพาะ!


 


มาตอนนี้พอหวงเหวินจิ้ง ยื่นข้อเสนอให้เขาร่วมมือกับนาง เขาก็อดแปลกใจขึ้นมาไม่ได้


 


ไม่ใช่ว่าเขาพึ่งใช้กระบี่ตบนางจนหน้าสั่นเป็นการสั่งสอนหรือไง?


 


นางใจกว้างถึงขั้นปล่อยวางเรื่องราวได้เร็วขนาดนี้เชียว?


 


“แม้พลังฝีมือของเจ้าจะสูงส่งกว่าข้า แต่ก็ไม่มีทางที่เจ้าจะผ่านข่ายอาคมสุดท้ายนี้ไปได้ง่ายๆแน่…”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนนิ่งไปไม่พูดจา หวงเหวินจิ้งพูดต่อออกมา “หากเจ้ากับข้าร่วมมือกัน คิดฝ่าข่ายอาคมสุดท้ายนี้ สมควรไม่ยากเย็นอะไรกระมัง…”


 


“อืม สมควรไม่ยากเย็นจริงๆ…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกตัวแล้ว พยักหน้าเบาๆ ค่อยหันไปมองถามหวงเหวินจิ้ง กล่าวถามออกเสียงเรียบเบา “แต่ถ้าร่วมมือกันแล้ว…พอเจอสมบัติพวกเราจะแบ่งกันยังไง?”


 


“ใครต้องการสิ่งใดก็เอาไป”


 


คล้ายหวงเหวินจิ้งคิดไว้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนต้องถามแบบนี้ นางจึงกล่าวตอบออกมาทันทีหลังต้วนหลิงเทียนถามจบคำ


 


“แล้วถ้าบังเอิญของสิ่งนั้น พวกเราต่างต้องการเหมือนๆกันเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม สองตายังหรี่ลง


 


“หากพวกเราต้องการทั้งคู่ เช่นนั้นเจ้าเอาไปก่อน”


 


หวงเหวินจิ้งก็ตอบกลับมาทันทีเหมือนเดิม


 


ต้องกล่าวเลยว่าวาจาของหวงเหวินจิ้งนับว่าบอกเจตนาของนางชัดแจ้ง


 


นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่มั่นใจจริงๆว่าจะฝ่าข่ายอาคมนี้ไปได้ เว้นเสียแต่พลังฝึกปรือเขาจะทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนในช่วงเวลาสั้นๆ ทว่านั้นก็เหลวไหลเกินกว่าจะเป็นไปได้


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ทะลวงถึงเซียสวรรค์ 7 เปลี่ยนในเวลาสั้นๆเลย ต่อให้สามารถทำได้จริงแต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะปรับพลังได้ ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าสมบัติใดๆที่อยู่ด้านหลัง จะยังเหลือให้เขามาเอาไปหรือไม่…


 


“งั้นก็ตกลง”


 


ต้วนหลิงเทียนเห็นด้วยทันที ตัดสินใจร่วมมือกับหวงเหวินจิ้งเพื่อทำล่ายข่ายอาคมสุดท้าย


 


‘หลังข่ายอาคมสังหารที่ร้ายกาจขนาดนี้ ไม่รู้ว่ามีสมบัติอะไรเก็บไว้กันแน่…กลิ่นอายพลังนั่น ช่างคล้ายคลึงกับกลิ่นอายพลังอันมีเอกกลักษณ์เฉพาะที่ทำให้ห้วงเวลาในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไหลช้าลงจริงๆ…’


 


ในใจต้วนหลิงเทียนอดคาดหวังไม่ได้


 


“ไปกันเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนหันมองไปทางหวงเหวินจิ้งพร้อมกล่าวสั่งออกมาทันที


 


หวงเหวินจิ้งพยักหน้ารับเงียบๆ


 


หลังจากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งร่างออกไปอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมา มองไปดั่งอัสนีสองสายฟาดผ่าไปยังข่ายอาคมสุดท้ายเบื้องหน้าพร้อมกัน


 


เมื่อเข้าเขต ข่ายอาคมสังหาร ในด่านสุดท้ายก็ถูกกระตุ้นให้เริ่มสำแดงพลังทันที


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 


……


 


เสียงสนั่นดังขึ้นไม่หยุด ฟังไปคล้ายพิรุณห่าใหญ่ร่วงตกจากฟ้า พื้นที่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งเต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังอาคมผันผวนมากมาย มากเสียจนราวกับเป็นคลื่นมรสุม!


 


และทันทีที่ขุมพลังน่าพรั่นพรึงสุดไพศาลนี้ปรากฏขึ้น อุโมงค์ทางก็เริ่มสะเทือนประหนึ่งบังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ พื้นดินทั้งช่องทางเริ่มบังเกิดรอยแตกร้าวให้เห็นชัด


 


เพียงชั่วพริบตาที่ล่วงล้ำเข้ามานทุ่งสังหาร ต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งก็รู้สึกเสมือนตัวเองเป็นดั่งเรือลำน้อยที่ลอยคออยู่กลางมหาสมุทรที่กำลังเกิดมรสุมครั้งใหญ่!


 


ทันใดนั้นเอง


 


“ลงมือ!!”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น เผยประกายคมกล้า ตะโกนสั่งออกมาเสียงดังปานฟ้าผ่า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)