War sovereign Soaring The Heavens 2200-2206

 ตอนที่ 2,200 : ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?


 


 


สมบัติเทวะนั้น เป็นสมบัติที่สามารถก่อเกิดจิตวิญญาณที่มีความนึกคิดขึ้นมาได้เอง! เรียกว่ามันสามารถก่อเกิดสำนึกเทวะขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง!!


 


และเนื่องจากอุบัติขึ้นมาจากสมบัติเทวะ เช่นนั้นจึงเรียกขานกันว่าจิตวิญญาณสถิตย์เทวสมบัติ!


 


ส่วนยอดสมบัติสวรรค์นั้น ในฐานะที่เป็นเพียงแค่สมบัติสวรรค์ จึงไม่อาจอุบัติสำนึกเทวะหรือจิตวิญญาณอะไรขึ้นมาเองได้ หากจะให้ยอดสมบัติสวรรค์มีจิตวิญญาณสถิตย์อยู่ ก็ทำได้แค่ไปจับผู้ใดมากักขังเอาไว้ในสมบัติสวรรค์ชิ้นนั้นเท่านั้น


 


เช่นเดียวกับผู้เฒ่าหั่ว ที่ถูกกักขังไว้ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ สุดท้ายจึงเป็นดั่งจิตวิญญาณของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


วิญญาณที่สถิตย์อยู่ในยอดสมบัติสวรรค์อย่างผู้เฒ่าหั่ว เรียกอีกอย่างว่า จิตวิญญาณประจำสมบัติ


 


ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณประจำสมบัติเดิมทีจะไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับสมบัติสวรรค์ แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะแยกตัววออกจากสมบัติสวรรค์ เว้นเสียแต่เจ้าของสมบัติสวรรค์ชิ้นนั้นๆ จะทำการปลดปล่อยออกมา…


 


ส่วนจิตวิญญาณสถิตย์เทวสมบัตินั้น เป็นวิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยตัวเอง มีอิสระที่จะออกจากสมบัติเทวะ กระทั่งยังสามารถไปได้ทุกที่ๆอยากไป


 


ถึงแม้ทั้งสองจะคล้ายๆกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันเลย


 


เมื่อจิตวิญญาณประเภทแรกเจอกับประเภทหลัง ก็มีแต่จะถูกสะกดข่มเอาไว้ทุกทาง


 


เช่นเดียวกับผู้เฒ่าหั่ว ที่เป็นเพียงจิตวิญญาณประจำเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแห่งนี้ ต่อหน้าวิญญาณกระบี่กวงหลิง ที่เป็นจิตวิญญาณสถิตย์ ‘กระบี่ผลาญฟ้าอาสัญ’ ก็ไม่มีแม้แต่พลังอำนาจจะต่อต้านอะไร ยังถูกสะกดกข่มให้หวาดกลัวไปถึงก้นบึ้งของวิญญาณ!


 


“ใต้เท้า…ท่าน…ท่านคือจิตวิญญาณของกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญจริงๆหรือ!?”


 


เมื่อคิดถึงต้นกำเนิดของตัวตนเบื้องหน้า ผู้เฒ่าหั่วอดไม่ได้ที่จะลอบสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ มองไปยังวิญญาณกระบี่กวงหลิงเบื้องหน้าอีกครั้ง ในส่วนลึกของใจนอกจากหวาดกลัวแล้ว ยังบังเกิดความอิจฉาขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็เคยได้ยินเรื่องของข้ามาบ้าง…”


 


ชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนก ผู้เป็นจิตวิญญาณสถิตย์กระบี่ผลาญฟ้าอาสัญ กล่าวออกเสียงเบา


 


“ใต้เท้าเป็นถึงจิตวิญญาณสถิตย์กระบี่เทวะอันดับหนึ่งในระนาบเทวโลก…ข้าน้อยจักไม่รู้ได้อย่างไร?”


 


ผู้เฒ่าหั่วได้แต่เผยยิ้มเจื่อนๆ


 


กระบี่ผลาญฟ้าอาสัญนั้น ให้มองไปทั่วทั้งระนาบเทวโลกทั้งมวลก็นับเป็นหนึ่งในสมบัติเทวะที่แข็งแกร่งที่สุด


 


“กระบี่เทวะอันดับ 1 ในระนาบเทวโลก?”


 


ได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่ว ชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกวิญญาณกระบี่กวงหลิงหยีตาลงเล็กน้อย ค่อยส่ายหัวไปมาพลางกล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะออกจากระนาบเทวโลกมานานแล้วจริงๆ…จึงไม่รู้ว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้าได้ประมือกับ กระบี่เซียนหยวนเหยียนหวง สุดท้ายก็ได้แต่เสมอกัน”


 


“เช่นนั้นจึงไร้ซึ่งกระบี่เทวะอันดับ 1 อีกต่อไป มีเพียงกระบี่เทวะที่แข็งแกร่งที่สุด 2 เล่มเท่านั้น…”


 


กล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงของวิญญาณกระบี่กวงหลิงก็เผยความทอดถอนออกมา


 


เดิมที่มันก็คือกระบี่เทวะอันดับ 1 ทว่าบัดนี้มีกระบี่เทวะอีกเล่มที่มีพลังอำนาจทัดเทียมกับมันแล้ว….


 


ยิ่งไปกว่านั้นศักยภาพของอีกฝ่ายยังเหนือล้ำกว่ามันมาก


 


หากมันยังไม่อาจก้าวหน้าอะไร เกรงว่าวันที่อีกฝ่ายจะก้าวข้ามมันไปก็คงอีกไม่นาน


 


“กระบี่เซียนหยวนเหยียนหวง?”


 


ได้ยินวาจานี้ของชายหนุ่มชุดแดงผู้เฒ่าหั่วอดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


กระบี่เซียนหยวนเหยียนหวง นั่นไม่ใช่ ‘กระบี่เซียนหยวน’ ของ ‘กงซุนเซียนหยวน’ จากอวี้หวงเทียนรึไง?!


 


แต่ไม่ใช่ว่า…


 


กระบี่เซียนหยวนนั้นเป็นแค่ยอดสมบัติสวรรค์หรือไร!?


 


แล้วไฉนอยู่ดีๆถึงกลายเป็นกระบี่เทวะได้เล่า? แถมยังเรียกกระบี่เซียนหยวนเหยียนหวงอีก?


 


“หากข้าจำไม่ผิด…กงซุนเซียนหยวน กับกระบี่เซียนหยวนเหยียนหวงในมือของมัน ก็มาจาก อวี้หวงเทียน ของเจ้าไม่ใช่หรือไร?”


 


เสียงของวิญญาณกระบี่กวงหลิงดังขึ้นอีกครั้ง


 


“มิผิด”


 


ได้ยินคำของวิญญาณกระบี่กวงหลิง ผู้เฒ่าหั่วพลันรู้สึกตัว ก่อนที่จะเร่งพยักหน้าตอบกลับ ขณะเดียวกันในใจก็คล้ายจะบังเกิดมรสุมปั่นป่วน


 


เพราะมันสามารถตระหนักได้ถึงเรื่องราวประการหนึ่งจากอีกฝ่าย…


 


กระบี่เซียนหยวนเหยียนหวง ก็คือกระบี่เซียนหยวนที่มันรู้จักจริงๆ!


 


ผู้เฒ่าหั่วไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องใหญ่โตระดับนี้ขึ้นในตอนที่มันออกจากระนาบเทวโลก


 


ยอดสมบัติสวรรค์ของกงซุนเซียนหยวน…กระบี่เซียนหยวนนั้น ไม่เพียงแต่จะยกระดับจากยอดสมบัติสวรรค์กลายเป็นสมบัติเทวะไปแล้ว แต่ยังสามารถประชันขันแข่งกับกระบี่เทวะอันดับ 1 อย่างกระบี่ฟ้าอาสัญได้อีก! ถึงขั้นใช้นามกระบี่เทวะที่แข็งแกร่งที่สุด 2 เล่มในระนาบเทวโลกร่วมกัน!


 


“ตอนนี้ใช่เจ้ากำลังอยากรู้หรือไม่…ว่าไฉนข้าถึงมาปรากฏในระนาบโลกียะแห่งนี้?”


 


ทันใดนั้นเองวิญญารกระบี่กวงหลิงพลันกล่าวถามออกมา


 


ผู้เฒ่าหั่วก็เร่งพยักหน้ารับทันที


 


มันเองก็อยากรู้เรื่องงนี้นัก


 


กระบี่ผลาญฟ้าอาสัญ จะอย่างไรก็เป็นกระบี่เทวะที่ไม่เป็นรองกระบี่เทวะเล่มใดในระนาบเทวโลกทั้งมวล ถึงแม้ตอนนี้จะมีกระบี่เซียนหยวนเหยียนหวงทัดเทียม ก็ไม่ใช่ว่าพลังอำนาจของมันจะอ่อนด้อยลงแต่อย่างใด


 


ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ใช้กระบี่ผลาญฟ้าอาสัญด้วยซ้ำ ลำพังแค่จิตวิญญาณสถิตย์กระบี่เทวะอย่าง วิญญาณกระบี่กวงหลิงผู้นี้ ก็นับเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างยิ่งในระนาบเทวโลก


 


ตัวตนระดับนี้มาปรากฏกายในระนาบโลกียะแสนต้อยต่ำ ไหนเลยผู้เฒ่าหั่วจะไม่บังเกิดความอยากรู้ได้?


 


แน่นอนว่าผู้เฒ่าหั่วไม่ได้แปลกใจเลยว่าไฉนอีกฝ่ายสามารถมาปรากฏตัวในระนาบโลกียะเช่นนี้ได้


 


ตัวตนอันเป็นวิญญาณสถิตย์เทวสมบัติ อย่างวิญญาณกระบี่กวงหลิงผู้เป็นจิตวิญญาณของกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญนั้น…ทรงพลังนัก! แข็งแกร่งจนถึงขั้นฉีกมิติทลายความว่างเปล่าได้ง่ายดาย สามารถท่องไปทั่วระนาบเทวโลกทั้งระนาบโลกียะทั้งมวลได้อย่างอิสระ….


 


“ที่ข้ามาที่นี่ครั้งนี้…เพราะเจ้านายคนปัจจุบันของเจ้า”


 


วิญญาณกระบี่กวงหลิงกล่าว


 


ฟืด!


 


แทบจะพร้อมกันกกับที่ชายหนุ่มในชุดสีแดงเลือดนกกล่าว ผู้เฒ่าหั่วอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตระหนก ยังแผ่สำนึกเทวะออกไปหยุดอยู่บนร่างชายหนุ่มชุดม่วงด้านนอกเจดีย์อย่างไม่รู้ตัว


 


ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้คือเจ้านายคนปัจจุบันของมัน


 


ต้วนหลิงเทียน!


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้ภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


เพราะตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มคนของลัทธิอารามทมิฬ พร้อมกับผู้พิทักษ์อีก 4 คนของลัทธิบูชาไฟ


 


กลุ่มคนของลัทธิอารามทมิฬที่นำโดยมหาธรรมราชาทั้ง 2 ก็กำลังมองมายังร่างต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่อง!


 


แววตาของพวกมันไม่ปกปิดจิตสังหารแม้แต่น้อย!


 


เรียกว่าบรรยากาศระหว่าง 2 ฝ่ายช่างคลุ้งกลิ่นดินปืนนัก!


 


ราวกับพร้อมจะปะทุระเบิดฆ่าฟันกันได้ทุกเวลา!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


เสียงแหวกฝ่าสายลม 2 เสียงดังขึ้นจากด้านหลังกกลุ่มต้วนหลิงเทียน ไม่นานก็ปรากฏร่าง 2 ร่างที่พึ่งเหินมาถึง


 


“ท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 5 ให้พวกเราช่วยพวกท่านอีกแรง!”


 


สองคนที่พึ่งมาถึงนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นรองจ้าวลัทธิบูชาไฟทั้ง 2 หลังจากที่พวกมันมาถึง สายตาก็จับจ้องไปยังรองจ้าวลัทธิอารามทมิฬ 2 คนเขม็ง!


 


การปรากฏตัวของรองจ้าวลัทธิบูชาไฟทั้ง 2 ด้านมหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬไม่ได้ให้ความสนใจอะไรแม้แต่น้อย


 


ทว่าสำหรับรองจ้าวลัทธิอารามทมิฬแล้ว พวกมันสองคนบังเกิดความโล่งใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


 


เพราะถ้ารองจ้าวลัทธิบูชาไฟไม่ปรากฏตัวขึ้น เช่นนั้นพวกมันก็ได้แต่ประมือกับผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟแล้ว ทว่าพลังฝึกปรือของพวกมันนั้นก็เพียงแค่เซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน จะไปสู้รบปรบมืออะไรกับชนชั้นผู้พิทักษ์ได้?


 


แค่นึกพวกมันก็ละเหี่ยใจแล้ว!


 


ทว่าตอนนี้พอรองจ้าวลัทธิบูชาไฟปรากฏตัวขึ้นมา พวกกมันรู้สึกเสมือนได้ยกหินออกจากอก! มีคู่มือที่เหมาะสม!!


 


แน่นอนว่าในสายตาของมหาธรรมราชาทั้ง 2 ของลัทธิอารามทมิฬเอง รองจ้าวลัทธิบูชาไฟที่พึ่งมาก็ไม่ได้อยู่ในสายตาพวกมันเลยเช่นกัน


 


การประมือระหว่างตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้น ไม่ใช่อะไรที่ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนอย่างรองจ้าวลัทธิบูชาไฟที่พึ่งมาทั้ง 2 จะสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวได้


 


เผชิญหน้ากับเรื่องราวที่บังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปเหนือคาดตรงหน้า สีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนก็ยังสงบไม่แยแส ไม่ได้แลดูทุกข์ร้อนอะไรราวกับต่อให้ไท่ซานถล่มลงตรงหน้าเขาก็ไม่ขยับ


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตอนนี้หล่างเชียนจินไม่อยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ ต่อให้มันอยู่เขายังต้องกลัวด้วยหรือ?!


 


ที่จริงตอนแรกเขาได้เตรียมรับมือสถานการณ์เลวร้ายที่สุด อย่างการต้องเจอกับหล่างเชียนจินเอาไว้แล้ว…


 


แต่ทว่าจ้าวลัทธิบูชาไฟได้ล่อมันออกไป ทำให้เขาเพียงเผชิญหน้ากับชนชั้นมหาธรรมราชาและรองจ้าวลัทธิอารามทมิฬเท่านั้น!


 


ต้องทราบด้วยว่าในตอนที่เขาวางแผนว่าอาจจะเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด! เขาถึงกับจินตนาการไปว่าถ้าเจอหล่างเชียนจินกับที่เหลือกลุ้มรุมเขาจะหนีอย่างไรด้วยซ้ำ…


 


จากคำโกหกหลอกลวงก่อนหน้าที่หล่างเชียนจินประกาศออกมา ทำให้เขารู้ดีว่าหล่างเชียนจินมันหมายตาสมบัติในตัวเขาขนาดไหน


 


แน่นอนต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าหล่างเชียนจินไม่ได้มุ่งหวังจะครอบครองตราผนึกมารของเขา และเรื่องนี้เขาทราบจากเรื่องที่มันกล่าวว่าจะสาบานกับถังซวนก่อนหน้านี้…


 


สิ่งที่อีกฝ่ายสนใจสมควรเป็นกระบี่นิลสวรรค์ของเขา ที่มันเข้าใจว่าเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์!


 


เทียบกับตราผนึกมารที่ใช้ได้แต่กับผู้ฝึกมารและเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว กระบี่ไร้ลักษณ์เป็นอะไรที่ครอบคลุมกว่ามาก เช่นนั้นหากเลือกได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็สมควรเลือกกระบี่ไร้ลักษณ์ก่อนทั้งสิ้น!


 


‘หากถังซวนเลือกละทิ้งข้า เดิมทีก็จะคิดใช้ความโลภของหล่างเชียนจินเพื่อจัดการตัวมันเอง..เพียงกล่าวหลอกว่าซุกซ่อนของดีไว้ที่อื่นแล้วหาโอกาสใช้เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้ดีเหมือนครั้งตี้ยง ไม่พ้นแพะชราที่ละความโลภไม่ได้อย่างมันต้องหลงกลแน่…’


 


‘และหากล่อลวงมันเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้จริง ผู้เฒ่าหั่วคงสามารถฆ่ามันให้ตายได้อย่างง่ายดาย…’


 


‘ขอเพียงมันตายไปสักคน…ที่เหลือในลัทธิอารามทมิฬยังจะมีปัญญาทำอะไรข้าได้อีก…’


 


นี่คือสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนตระเตรียมไว้ตั้งแต่แรก


 


ทันทีที่เขาได้ยินว่าผู้ที่มาเรียกร้องหาตัวเขาคือหล่างเชียนจินอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬ เขาก็ได้เริ่มวางแผนรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว


 


ใช้ความโลภของมันเองหลอกล่อมันให้เข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!


 


ไฉนเขาถึงมั่นใจว่าจะสำเร็จน่ะหรือ? กระทั่งแค่กระบี่ไร้ลักษณ์นั่นมันยังกล้าลดตัวมาประกาศหลอกคนทั้งแผ่นดิน! แล้วถ้ามันเจอสิ่งที่เหนือล้ำกกว่ากระบี่ไร้ลักษณ์ไปคนละโลกกอย่างกระบี่นิลสวรรค์เล่า? ไหนจะยังยอดสมบัติชิ้นอื่นในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ กระทั่งตัวเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเองอีก?


 


ต่อให้หล่างเชียนจินจะระแวงไม่กล้าเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติในตอนแรก แต่ถ้าเขาใส่ของไว้ในเจดีย์แล้วกล่าวสาบานว่าไม่มีวันที่มันจะได้สิ่งใดหากไม่เข้าไปในเจดีย์ล่ะ? ถึงตอนนั้นมันจะไม่คิดเข้าไปจริงหรือ? กระทั่งด้วยฐานะยอดฝีมืออันดับ 2 เช่นมัน มันยังต้องกลัวเขาเล่นตุกติกทำร้ายมันด้วยหรือ?


 


ทุกขั้นตอนต้วนหลิงเทียนได้คำนวณเอาไว้หมดแล้ว


 


ดังนั้นเขาไม่กลัวแม้กระทั่งหากถังซวนกับผู้พิทักษ์ทั้ง 4 จะละทิ้งเขาแล้วไม่ออกมาช่วยเหลือด้วยซ้ำ


 


และหากหล่างเชียนจินยังอยู่ตอนนี้ บางทีเขาอาจจะยังบังเกิดอากการหวั่นเกรงอยู่บ้างว่ามันอาจจะไม่โลภอะไร แล้วคิดฆ่าเขาอย่างเดียว…


 


ทว่าตอนนี้ไม่เพียงหล่างเชียนจินยังเผยความโลภออกชัดแถมมันกลับไม่อยู่ที่นี่! รวมถึงยังมีผู้พิทักษ์ลัทธิบูชาไฟอยู่ช่วยเหลือเขาด้วยซ้ำ กับอีแค่คนของลัทธิอารามทมิฬยังจะนับเป็นอะไรได้?


 


ให้มีเขาคนเดียวสู้กับพวกมันยังไม่กลัว แล้วตอนนี้เขายังต้องกลัวอะไร?!


 


“ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ผู้พิทักษ์ชิงหั่ว ผู้พิทักษ์หงอวิ๋น และผู้พิทักษ์เหลิ่งอิง…”


 


ตอนนี้เอง จ้าวลัทธิอารามทมิฬพลันหันมองไปยังผู้พิทักษ์อีก 4 คนยกเว้นต้วนหลิงเทียนด้วยประกายตาคมกล้า


 


“วันนี้พวกเราลัทธิอารามทมิฬคิดสะสางความแค้นระหว่างพวกเรากับต้วนหลิงเทียนเท่านั้น…ข้าหวังว่าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ท่านจะไม่สอดมือ…”


 


“หาไม่แล้วข้าเองก็มิอาจรับประกันความปลอดภัยของผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ได้…”


 


วาจาของจ้าวลัทธิอารามทมิฬนั้น ท้ายประโยคเรียกว่ายกตนข่มท่านอย่างแรง ทำราวกับมันสามารถลิขิตความเป็นตายของผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ได้…


 


“ฮ่าๆๆๆ…!!!”


 


เหลิ่งอิงอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น หลังได้ยินคำจ้าวลัทธิอารามทมิฬ


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็เอียงคอโค้งคิ้วด้วยสงสัย ด้วยไม่ทราบจริงๆว่าจ้าวลัทธิอารามทมิฬไปเอาความมั่นใจมาจากไหน…


 


คนอื่นๆก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน


 


จ้าวลัทธิอารามทมิฬผู้นี้ มีพลังอำนาจถึงขั้นลิขิตความเป็นตายพวกมันได้ด้วย?


 


ถึงแม้ว่าลัทธิอารามทมิฬจะมี 2 มหาธรรมราชาผู้เป็นขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน และลัทธิบูชาไฟมีเพียงผู้พิทักษ์สื่อเฟิงที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนแค่คนเดียวแถมอ่อนด้อยกว่าพวกมันทั้งคู่เล็กน้อย…


 


ทว่าลัทธิบูชาไฟของพวกมันยังมี ผู้พิทักษ์หลิงเทียน!!


ตอนที่ 2,201 : อันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


 


 


ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะแทบไม่ได้เคลื่อนไหวลงมืออะไรมากมาย หลังจากที่ย้อนกลับมาลัทธิบูชาไฟ…


 


ทว่าเรื่องที่เขาสามารถเอาชนะจ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิงที่ตอนนี้กลายเป็นผู้พิทักษ์ไปแล้วลงได้ใน 3 กระบี่ ก็พิสูจน์ให้เห็นพลังฝีมือของเขาแล้ว!


 


ต้องทราบด้วยว่าแม้เหลิ่งอิงจะพึ่งทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 ได้ไม่นาน แต่ด้วยเวทย์พลังที่เชี่ยวชาญช่ำชอง น่ากลัวว่าไม่อาจมองเป็นเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนธรรมดาๆได้เลย…ถึงขั้นที่หงอวิ๋นยังยอมรับว่าสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ!!


 


นอกจากนั้นต่อให้เป็นสื่อเฟิง ผู้พิทักษ์ที่บรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนและแข็งแกร่งที่สุดในบรรดา 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟในอดีต ก็ไม่กล้าพูดว่าจะเอาชนะเหลิ่งอิงได้ใน 3 กระบี่!


 


ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนสามารถสยบเหลิ่งอิงได้ใน 3 กระบี่ ก็ทำให้เขาถูกยอมรับกลายๆว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้พิทักษ์ทั้ง 5 คนของลัทธิบูชาไฟ!


 


เรื่องนี้ตัวผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ซึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอดีต 3 ผู้พิทักษ์ยังไม่คัดค้านอะไรแม้แต่น้อย!


 


ด้วยเหตุนี้เหลิ่งอิงจึงอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น หลังได้ยินคำของจ้าวลัทธิอารามทมิฬ!


 


ด้วยไม่ทราบจริงๆว่าจ้าวลัทธิอารามทมิฬผู้นี้ไปพกพาความมั่นใจมาแต่ที่ใด…!


 


“เจ้าคือจ้าวลัทธิอารามทมิฬ?”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันมองไปยังจ้าวลัทธิอารามทมิฬทั้งโค้งคิ้วกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน “ฟังจากที่เจ้าว่า…หมายความว่าเจ้ามั่นใจมากเลยสิ…ว่าจะเอาชนะพวกเราได้เพียงเพราะจ้าวลัทธิของพวกเราไม่อยู่?”


 


“เหลวไหลสิ้นดี!”


 


ไม่ทันที่จ้าวลัทธิอารามทมิฬจะได้ตอบคำอะไรก็เป็นผู้พิทักษ์หงอวิ๋นที่โพล่งคำเย้ยหยันออกมาเสริม “จ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกเรามิอยู่…หรือผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเจ้าลัทธิอารามทมิฬอยู่ด้วย?”


 


แม้ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงกับชิงหั่วจะไม่ได้พูดอะไร แต่ทั้งหมดก็มองไปยังจ้าวลัทธิอารามทมิฬด้วยสายตาสมเพช


 


“ฮ่าๆๆๆๆ!!”


 


ทว่ายามเสียงเย้ยเยาะของหงอวิ๋นดังจบคำ จ้าวลัทธิอารามทมิฬก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง


 


การที่อยู่ดีๆมันก็ระเบิดเสียงหัวเราะโพล่งดังขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลแบบนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะย่นคิ้ว


 


จ้าวลัทธิอารามทมิฬผู้นี้สติใช่ยังดีอยู่หรือไม่?


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


……


 


ในขณะที่จ้าวลัทธิอารามทมิฬกำลังระเบิดเสียงหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังนั้นเอง ปรากฏเสียงแหวกฝ่าสายลมดังขึ้นจากด้านหลังมากมาย เป็นระดับสูงของลัทธิบูชาไฟที่พึ่งเหินร่างมาสมทบ!


 


ระดังสูงเหล่านี้ได้แก่ผู้อาวุโสเพลิงทองทั้งหลาย ไม่เว้นรองจ้าวหอคุมกฏ!


 


ในบรรดาคนกลุ่มนี้ท่าทางของจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว หลูชิ่ง และจ้าวแท่นบูชามังกรคราม หลูเถี่ย แลดูหน้าเกรงขามกว่าผู้ใด


 


สำหรับผู้ที่มีลำดับต่ำกว่าอาวุโสเพลิงทองนั้นไม่มีใครมาเลย เพราะมาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้


 


และแม้พวกหลูเถี่ย หลูชิ่งรวมถึงคนอื่นๆจะมาถึงแต่ทั้งหมดก็เหินร่างอยู่วงนอกเพื่อรอดูท่าที


 


หากพวกมันเร่งรีบชิงลงมือก่อน ก็คงไม่ต่างอะไรจากทหารเลวเท่านั้น…


 


“สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่?”


 


“ไฉนจ้าวลัทธิอารามทมิฬผู้นี้ถึงได้หัวเราะเช่นนั้นเล่า…หรือเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับท่านจ้าวลัทธิของพวกเรากัน?”


 


“ไม่ควรเป็นเช่นนั้น…หากเกิดเรื่องใดกับท่านจ้าวลัทธิของพวกเรา ไหนเลยอาวุโสหล่างเชียนจินจะไม่อยู่ที่นี่แบบนี้?”


 


“ตอนนี้หล่างเชียนจินไม่อยู่…สมควรเป็นท่านจ้าวลัทธิของพวกเราล่อมันออกไปหรือไม่?”


 


“ไม่ผิด! สมควรเป็นเช่นนั้น เพราะด้วยพลังระดับสูงเช่นนั้น หากมาปะทะใกล้เขตลัทธิบูชาไฟเรา เกรงว่าจะสร้างความเสียหายให้กับพวกเราใหญ่หลวง”


 


“ถูกแล้ว อาศัยคลื่นพลังสะท้อนไปกี่ระลอกก่อนหน้านี้ ศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวก็ตกตายไปมากมายนัก…เฮ่อ เวรกรรมแท้ๆ…”


 


เหล่าอาวุโสเพลิงทอง รองจ้าวหอคุมกฏเริ่มสนทนากัน ทั้งหมดย่อมคาดเดาได้ว่าไฉนจ้าวลัทธิกับหล่างเชียนจินถึงไม่อยู่ที่นี่


 


“พลังของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนช่างน่ากลัวยิ่ง ก่อนหน้านี้เพียงแค่เริ่มสู้กันยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่อะไร เหล่าศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของข้าก็ล้มตายไปกว่าครึ่งเพราะทานรับคลื่นพลังสะท้อนไม่ไหว…หากสู้กันดุเดือดขึ้นมาคงไม่มีผู้ใดรอด กระทั่งพวกเราเองก็จะไม่ไหวเอา…”


 


พูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของหลูเถี่ย จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากกว่าใครเพื่อน เพราะศิษย์แท่นบูชาของมันพึ่งล้มตายไปมากมาย


 


ขณะเดียวกันมันก็รู้สึกหดหู่ใจเหลือใดจะกล่าว…


 


ไม้ว่าจะคราวนี้ที่ศิษย์ในแท่นบูชาของพวกมันตกตายเพราะลูกหลง หรือจะเป็นเพราะครั้งก่อนที่ต้วนหลิงเทียนมาถึง จนทุบตีมันจนร่วงหมดสภาพ ทั้งหมดก็เป็นแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของมันที่งานเข้าก่กอนใครเพื่อน! และทั้งหมดล้วนเป็นเพราะ ทำเล คำเดียว!


 


แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของมันดันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของลัทธิบูชาไฟ! ซึ่งเป็นด่านหน้าในการรับมือผู้ที่มาจากภาคกลาง…!!


 


ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งกลับมาจากภาคกลาง ก็เข้าลัทธิบูชาไฟผ่านทางเขตแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของมัน…


 


ลัทธิอารามทมิฬเองก็เดินทางมาจากทางตะวันตกของภาคกลาง เมื่อมุ่งหน้ามาลัทธิบูชาไฟ ก็จะเข้ามาทางแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวเช่นกัน…


 


ด้วยเหตุนี้หลูเถี่ยจึงรู้สึกว่าในใจมีรสชาติอันยากจะกล่าวนัก ยังคิดว่าหากเรื่องราวครั้งนี้จบลง มันอยากจะขอแลกตำแหน่งจ้าวแท่นบูชา ไม่ก็ขอแลกที่ตั้งกับอีก 3 แท่นบูชาอื่นๆ….


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเหล่าอาวุโสเพลิงทองและคนอื่นๆที่พึ่งมาถึงก็ได้ยินเสียงผ่านพลัง


 


เป็นหนึ่งในรองจ้าวลัทธิบูชาไฟที่แจ้งเรื่องราวผ่านพลังกับพวกมัน


 


สำหรับเนื้อความที่ส่งผ่านพลังมาแจ้งนั้น ก็ไม่ใช่อะไรนอกจากบอกสถานการณ์ในปัจจุบันให้พวกมันรับทราบ


 


“อย่างที่พวกเราคาดไว้ไม่มีผิด…ท่านจ้าวลัทธิได้ล่อ หล่างเชียนจิน อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬไปสู้ไกลๆ”


 


ได้ยินเสียงผ่านพลังของรองจ้าวลัทธิบูชาไฟ เหล่าอาวุโสที่พึ่งมาทั้งหลายก็ได้ทราบสถานการณ์เรื่องราว


 


“ว่าแต่จ้าวลัทธิอารามทมิฬไฉนถึงกล้าข่มขู่ท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ของพวกเราไม่ให้ช่วยผู้พิทักษ์หลิงเทียน หาไม่งั้นจะไม่รับประกันความปลอดภัยเล่า?”


 


“เหอะๆ นี่มันคิดจริงๆหรือ…ว่าอาศัยพวกมันไม่กี่คนจะทำอะไรท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 5 ของพวกเราได้?”


 


“เหลวไหลสิ้นดี! ไม่ต้องกล่าวถึงท่านผู้พิทักษ์สื่อเฟิงของลัทธิบูชาไฟเราที่บรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน กระทั่งท่านผู้พิทักษ์หลิงเทียนเผลอๆพลังฝีมือจะไม่อ่อนด้อยไปกว่าท่านผู้พิทักษ์สื่อเฟิงด้วยซ้ำ! ไม่ทราบมันไปเอาความมั่นใจมาแต่ที่ใด!?”


 


“มั่นใจอันใด ข้าว่าเพียงหยิ่งผยองไม่รู้ความ…นี่จ้าวลัทธิอารามทมิฬเป็นตัวหยิ่งผยองอวดดีถึงขั้นนี้เชียวรึ? ใช่มันเก็บกดที่อ่อนด้อยกว่าผู้อื่นในลัทธิหรือไม่? เลยมาปากดีใส่ท่านผู้พิทักษ์พวกเรา?”


 


……


 


พอเหล่าอาวุโสของลัทธิบูชาไฟได้รับทราบสถานการณ์จากรองจ้าวลัทธิบูชาไฟ ทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ เพราะขบขันในวาจาถือดีของจ้าวลัทธิอารามทมิฬนัก!


 


หลังจากนั้นไม่นานนัก ในที่สุดเสียงหัวเราะของจ้าวลัทธิอารามทมิฬก็หยุดลง


 


“ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย! ส่งมอบตัวต้วนหลิงเทียนออกมาเสียแต่โดยดี หากพวกเจ้าไม่รู้ว่าอะไรมันดีต่อตัว เกิดถลำลึกจนมิอาจถอนตัวกลับลัทธิบูชาไฟได้ทั้งที่ยังมีชีวิต…ก็อย่าได้โทษข้าว่าอำมหิต!!”


 


จ้าวลัทธิอารามทมิฬหลังจากหัวเราะแล้วก็กล่าวคำออกมาด้วยอำมหิต ยังกล่าวออกเสียงดังด้วยความมั่นใจนัก “ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าเพียง 10 ลมหายใจเท่านั้น…หลัง 10 ลมหายใจผ่านไป หากพวกเจ้ายังไม่ยอมส่งตัวต้วนหลิงเทียนให้ข้า ก็อย่าได้โทษว่าข้าและลัทธิอารามทมิฬไร้ความปราณีแล้วกัน!!”


 


วาจาที่กล่าวออกของจ้าวลัทธิบูชาไฟนั้นทั้งเยียบเย็นทั้งเผยเจตนาข่มขู่ชัดเจน


 


“หึ!”


 


แทบจะพร้อมกันกับที่เสียงจ้าวลัทธิอารามทมิฬดังจบคำ สื่อเฟิง ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดา 3 ผู้พิทักษ์ก่อนหน้า ก็พ่นลมเย้ยออกมาเสียงเย็น


 


ใบหน้าอันหล่อเหลาน่าเกรงขามของมันบัดนี้ฉาบทับไว้ด้วยความเย็นชาปานเคลือบน้ำแข็ง แรงกดดันร้ายกาจยังแผ่ออกมากดดันในบรรยากาศ กล่าวออกเสียงดังฟังชัด


 


“อย่าว่าแต่ 10 ลมหายใจ มิว่าเจ้าจักให้เวลาพวกกเรามากเท่าใด พวกเราก็ไม่มีวันละทิ้งผู้พิทักษ์หลิงเทียนส่งให้เจ้า!”


 


เสียงของผู้พิทักษ์สื่อเฟิงช่างเย็นชาผิดจากปกตินัก


 


“เจ้าอยากรบก็รบ! ลัทธิบูชาไฟของพวกเราหาได้กลัวพวกเจ้าไม่!!”


 


เหลิ่งอิงก็ก้าวออกมายืนข้างผู้พิทักษ์สื่อเฟิง เห็นได้ชัดว่าสนับสนุนคำของสื่อเฟิง กระทั่งยังไม่ลืมกล่าวกับจ้าวลัทธิอารามทมิฬเสียงเย็นอย่างท้าทาย


 


ถึงแม้ผู้พิทักษ์ชิงหั่วกับผู้พิทักษ์หงอวิ๋นไม่ได้กล่าวคำใด แต่ร่างทั้งหมดก็ลอยไปยืนหยัดข้างผู้พิทักษ์สื่อเฟิง เผยทีท่าของทั้งคู่ชัดเจน!


 


ทั้งหมดเผยเจตนาออกชัดว่าไม่คิดละทิ้งต้วนหลิงเทียน!


 


จ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกมันยังได้ลั่นวาจาไว้แล้ว ให้ละทิ้งต้วนหลิงเทียนนั้น…เป็นไปไม่ได้!


 


กระทั่งเพื่อต้วนหลิงเทียนแล้ว จ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกมันไม่แม้แต่จะลังเลอะไรด้วยซ้ำ เลือกจะเปิดศึกกับหล่างเชียนจินทันที!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่สถานการณ์ของพวกมันไม่ได้ตกเป็นรองอะไรแม้แต่น้อย ต่อให้พวกมันเสียเปรียบเรื่องกำลังรบอีกฝ่ายจริง อาศัยเจตนารมณ์ของจ้าวลัทธิที่เผยออกอย่างแข็งกร้าวก่อนหน้า พวกมันก็ไม่มีวันละทิ้งต้วนหลิงเทียน!


 


“อยากสู้ก็มา!”


 


“ลัทธิบูชาไฟเราไหนเลยมีตัวขี้ขลาด!!”


 


เมื่อวาจาหนักแน่นทั้งเด็ดขาดของเหลิ่งอิงดังขึ้น เหล่าอาวุโสเพลิงทองทั้งหลายที่ได้ยินก็รีบกล่าวออกเสียงดังด้วยความฮึกเหิม! ยังรู้สึกเสมือนโลหิตทั่วกายเดือดพล่าน…แต่พวกมันก็ยังคงรออยู่แถวสองเช่นเดิม ไม่กล้าขึ้นหน้าไปแม้แต่ก้าวเดียว…


 


“ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิงกล่าวถูกแล้ว! ลัทธิบูชาไฟเราหาได้มีตัวขี้ขลาดไม่!!”


 


“อาศัยเจ้า จ้าวลัทธิอารามทมิฬคิดฆ่าพวกเรา?”


 


“น่าขัน! ช่างน่าขันยิ่งนัก!!”


 


……


 


แถมพอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ เหล่าอาวุโสระดับสูงของลัทธิบูชาไฟก็กล่าวเสียดสีจ้าวลัทธิอารามทมิฬกันใหญ่


 


“ดี! ดี…ดีมาก!!”


 


ส่วนอีกด้าน เมื่อเจอทีท่ายืนกรานไม่ส่งตัวคนแน่วแน่ของผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ทั้งได้ยินคำท้าจากกลุ่มคนด้านหลังอย่างเอาใหญ่ จ้าวลัทธิอารามทมิฬก็โมโหนัก


 


และเมื่อมันตะคอกคำ ดี ออกด้วยความโมโหเสร็จ ก็ปรากฏป้ายหยกแลดูไม่ธรรมดาหนึ่งในมือ


 


แคร่ก!


 


ทันใดนั้นป้ายหยกดังกล่าวก็ถูกมันบดขยี้จนแหลก!


 


ปรากฏแสงพลังหนึ่งพวยพุ่งขึ้นฟ้าไปฉับไวราวกับเปลวไฟส่งสัญญาณ เพื่อส่งสัญญาณไปถึงใครบางคน!


 


“มันยังมีกำลังเสริมงั้นรึ?”


 


และสิ่งที่เพียงมองก็รู้ว่าไม่ต่างใดจากไฟสัญญาณนี้ ทำให้คนของลัทธบูชาไฟสงสัยทันที


 


กระทั่งลูกตาต้วนหลิงเทียนยังหดหยีลง


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันหน้าไปแหงนมองฟ้าสูงทางทิศตะวันออกไกลตา…


 


มองไปเห็นเป็นแผ่นฟ้าอันเต็มไปด้วยเมฆที่ลอยเอื่อยเฉื่อยเกียจคร้าน เงียบสงบไร้สิ่งใด


 


และหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปท่ามกลางหมู่เมฆไม่ถึงลมหายใจดี ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงก็หันตามไปเช่นกัน


 


ซู่มมม!!


 


ทันใดนั้นเอง ทุกคนพลันได้ยินเสียงบางสิ่งเหินมาอย่างฉับไวจากด้านหลังกลุ่มเมฆดังกล่าว ทำให้ทุกคนของลัทธิบูชาไฟอดไม่ได้ที่จะหันไปเพ่งมองเขม็ง


 


ซัววว!


 


และในขณะที่สายตาทุกคนจับจ้องไปนั้น ทั้งหมดก็เห็นบางสิ่งเหินแหวกม่านเมฆออกมา!


 


เป็นร่างอันฉับไวหนึ่งที่พร่าเลือนปานภูตผี วูบลงจากฟ้าด้วยความเร็วอันน่ากลัว!


 


เหล่าอาวุโสเพลิงทองของลัทธิบูชาไฟที่มาถึงทีหลังไม่อาจมีใครสามารถมองตามร่างที่กำลังเหาะมาได้ทันสักคน ทั้งหมดเห็นเพียงเงาเลือนรางสายหนึ่งเท่านั้น


 


ส่วนรองจ้าวลัทธิบูชาไฟทั้ง 2 คนที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนก็หยีตาหดเล็กด้วยความเคร่งเครียด เพราะพวกมันเห็นเพียงรูปร่างของอีกฝ่ายคร่าวๆ ว่าเป็นร่างผอมร่างหนึ่ง…


 


ไม่อาจแลเห็นหน้าตาและรูปลักษณ์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้เลย!


 


“เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน?”


 


“ดูเหมือน…ยังมิใช่เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนธรรมดาๆ!”


 


……


 


ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ชิงหั่ว หงอวิ๋น และผู้พิทักษ์เหลิ่งอิง หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แววตาของพวกมันเผยความประหวั่นออกชัด เมื่อเห็นถึงความไม่ธรรมดาของผู้มาใหม่!


 


“มีคนนอกมาช่วยงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตาเล็กน้อย ม่านตาซ้ายพลันทอประกายลี้ลับวาบหนึ่ง ก็สามารถแลเห็นผู้มาได้ชัดถนัดตา


 


ฟุ่บบบ!!


 


ครู่ต่อมา ร่างดั่งกล่าวก็หยุดลง เผยโฉมให้ผู้คนแลเห็นชัด!


 


“เหาฉ่วง!”


 


เมื่อได้เห็นหน้าค่าตาผู้มาใหม่ ใบหน้าสื่อเฟิงก็เปลี่ยนสีไปทันใด!


 


เหาฉ่วงผู้นี้ก็คือ…ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน ผู้ที่รั้งอยู่ในอันดับที่ 5 ของรายนามยอดเซียน! มันเป็นตัวตนที่ได้รับการยอมรับจากทั่วทั้งแดนดิน ณ เวลานี้ ว่าเป็นผู้ที่เข้มแข็งที่สุดภายใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!!


ตอนที่ 2,202 : ผู้ช่วยของลัทธิอารามทมิฬ


 


เหาฉ่วงนั้นรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มที่รูปร่างผอมบางคนหนึ่ง


 


เส้นผมขนคิ้วของมันมีสีขาวโพลนราววกับหิมะ ผิวหนังยังชมพูระเรื่อแลดูเรียบเนียนปานเด็กทารก


 


นอกจากนี้ใบหน้าหล่อเหลาของมันยังเปื้อนยิ้มตลอดเวลาให้ความรู้สึกไม่มีพิษภัยกับมนุษย์และสัตว์


 


ทว่าเหาฉ่วงผู้นี้นอกจากจะเป็นยอดฝีมืออันดับที่ 5 ของรายนามยอดเซียนแล้ว มันยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มีพลังฝีมือเป็นอันดับ 2 รองจากเนี่ยอู๋เทียน!


 


ในตอนที่จ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวน ยังไม่ทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน มันได้ถูกขนานนามว่ายอดฝีมืออันดับ 2 ภายใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


แต่เมื่อถังซวนทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว มันย่อมแทนที่ถังซวนทันที กลายเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคนใหม่!


 


อันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของแดนดิน หมายความว่าหากเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนไม่มา มันย่อมเป็นตัวตนอันไร้เทียมทาน!


 


ด้วยเหตุนี้พอได้เห็นว่าผู้มาเป็นมัน สื่อเฟิง ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟจึงอดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสีไปทันที


 


นั่นเพราะมันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าเหาฉ่วงจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้!


 


ยิ่งไปกว่านั้นยังมาในฐานะ ‘ผู้ช่วย’ ของลัทธิอารามทมิฬ!


 


“เหาฉ่วง?”


 


ได้ยินเสียงอุทานของสื่อเฟิง ยกเว้นต้วนหลิงเทียนแล้ว คนอื่นๆของลัทธิบูชาไฟถึงกับหน้าเสียทันที!


 


โดยเฉพาะผู้พิทักษ์ทั้ง 3 อย่าง ชิงหั่ว หงอวิ๋น และเหลิ่งอิง


 


ก่อนหน้านี้พวกมนัยังคิดกันอยู่เลยว่า…


 


เมื่อเทียบกำลังรบกันแล้ว พวกมันไม่ได้เสียเปรียบลัทธิอารามทมิฬแม้แต่น้อย กล่าวไปยังมีเปรียบด้วยซ้ำ!


 


พอเห็นว่าจ้าวลัทธิอารามทมิฬเผยความมั่นใจ จึงไม่ต่างอะไรจากตัวตลกในสายตา


 


แต่ในที่สุดพวกมันก็รับทราบแล้ว ว่าที่แท้บ่อเกิดความมั่นใจของจ้าวลัทธิอารามทมิฬคืออะไร…เหาฉ่วง ยอดฝีมืออันดับ 5 ในรายนามยอดเซียนคนนี้นี่เอง!


 


ยังเป็นมือหนึ่งใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของแดนดิน!


 


ตัวตนเช่นเหาฉ่วง สามารถทอดตามองลงหยันหยามผู้ที่ยังไม่บรรลุเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้ทั้งใต้หล้า!


 


ตราบใดที่เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนไม่เคลื่อนไหว มันนับเป็นตัวตนอันไร้เทียมทาน ไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรกับมันได้!


 


หากกล่าวว่าตอนแรกพวกมันยังค่อนข้างมีเปรียบลัทธิอารามทมิฬอยู่ล่ะก็…


 


มาตอนนี้พวกมันเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวง!


 


“อะไร!? เป็นเหาฉ่วง ผู้ฝึกตนอิสระ ที่รั้งอยู่ในอันดับ 5 ของรายนามยอดเซียนคนนั้น?”


 


ขณะเดียวกันอาวุโสเพลิงทองทั้งรองจ้าวหอคุมกฏ ที่ลอยร่างอยู่แถวสอง พอได้ทราบตัวตนของเหาฉ่วง สีหน้าของพวกมันก็กลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันที แววตายังฉายชัดให้เห็นถึงความหวาดกลัว!


 


“ตั้งแต่ที่ท่านจ้าวลัทธิทะลวงผ่าน…มันก็เลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทันที…ให้ตายเถอะ! ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเหาฉ่วงผู้นั้นจะถูกลัทธิอารามทมิฬเชิญมาได้จริงๆ!”


 


“บัดซบ! มีมันมาเพิ่มแบบนี้ ความได้เปรียบด้านกำลังรบของพวกเราก็หายไปหมดสิ้นแล้ว!”


 


“ดูเหมือนจ้าวลัทธิอารามทมิฬจะไม่ได้หยิ่งผยองอวดดีอะไร…ที่แท้เป็นมันววางแผนไว้เสร็จสรรพ! มันรู้ดีว่าหากเหาฉ่วงปรากฏตัว พวกเราจะไร้หนทางชนะ!!”


 


“ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรกันดี? หากเหาฉ่วงช่วยลัทธิอารามทมิฬจริงๆ ผู้พิทักษ์ทั้ง 5 มิน่าจะมีผู้ใดสู้มันได้เลย…ถึงตอนนั้นพวกเราก็ได้แต่ผันตัวไปเป็นทหารเลวสู้แลกตาย เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้พิทักษ์แล้ว!”


 


……


 


ขณะที่กล่าวพึมพำกันนั้น สีหน้าท่าทีของอาวุโสเพลิงทองทั้งหลายตึงเครียดนัก น้ำเสียงยังหนักอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด


 


การปรากฏตัวของเหาฉ่วงไม่เพียงอยู่เหนือความคาดหมายของผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ของลัทธิบูชาไฟเท่านั้น ยังเหนือความคาดหมายของพวกมันด้วย!


 


“เหาฉ่วง…อันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนงั้นเหรอ…”


 


หากจะถามว่าใครในบรรดาลัทธิบูชาไฟที่ไม่กลัวมัน ก็เห็นทีจะมีแต่ต้วนหลิงเทียนคนเดียว


 


หลังได้รับทราบตัวตนของเหาฉ่วงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มองมันด้วยความสนใจทันที “อันดับ 5 ในรายนามยอดเซียน…เช่นนั้นสมควรบรรลุถึงสุดปลายขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนแล้วสิ?”


 


ต่างจากบรรยากาศตึงเครียดอึมครึมของลัทธิบูชาไฟ ด้านลัทธิอารามทมิฬนั้นกำลังใจมาเต็ม!


 


“พี่เหา ท่านมาแล้ว…”


 


หลังจากเห็นเหาฉ่วงปรากฏกาย จ้าววลัทธิอารามทมิฬก็เผยยิ้มสดชื่นทันที


 


นี่คือ ไพ่ลับ อันเป็นทีเด็ดของลัทธิอารามทมิฬ พวกมันรู้ดีว่าสถานการณ์อาจจะเป็นอีหร็อบนี้จึงได้เตรียมการไว้แต่แรก!


 


เมื่อไร้ถังซวน และไร้อาวุโสสูงสุด นั่นหมายความว่าทั้ง 2 ฝ่ายไร้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนให้พึ่งพิง


 


เช่นนั้นกำลังรบของลัทธิอารามทมิฬกับลัทธิบูชาไฟก็คู่คี่สูสีกัน เรียกว่าอยู่ในจุดสมดุลของพลัง!


 


มันตระหนักแต่แรกว่าหากเวลานี้มาถึง ทั้งสองฝ่ายย่อมต้องการผู้ที่จะมาทำลายสมดุลดังกล่าว!


 


และเหาฉ่วงย่อมเป็นตัวเลือกที่ประเสริฐที่สุด!


 


เพราะสุดท้ายแล้วเหาฉ่วงก็คือมือหนึ่งใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


ไร้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ก็ไร้ผู้ใดต่อกรกับเหาฉ่วงได้!!


 


“ท่านเหาฉ่วง”


 


พญามังกรเสื้อม่วงกับจ้าวพยัคฆ์ขาวป้องมือทักทายด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม


 


ถึงแม้พวกมันทั้งคู่จะเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนเหมือนกันกับเหาฉ่วง แต่พวกมันก็รู้ตัวเองดี…


 


ว่าต่อให้พวกมันทั้ง 2 ผนึกกำลังกันก็ไม่ใช่คู่มือเหาฉ่วง!!


 


“คารวะท่านเหาฉ่วง”


 


ส่วนรองจ้าวลัทธิอารามทมิฬทั้ง 2 ก็เร่งก้มหัวคารวะทักทายด้วยท่าทีมากเคารพ


 


“อือ”


 


เหาฉ่วงพยักหน้ารับการทักทายเบาๆจากกลุ่มคนของลัทธิอารามทมิฬ ค่อยหันไปมองฝั่งลัทธิบูชาไฟ สุดท้ายจึงไปหยุดสายตาบนร่างชายหนุ่มชุดม่วง ที่แลดูนิ่งสงบกว่าใคร


 


“เจ้าน่ะหรือ ต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์คนใหม่ของลัทธิบูชาไฟ? อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า?”


 


เหาฉ่วงกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยความสนใจ


 


“อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของแดนดินข้าไม่กล้ารับ…แต่ข้ามั่นใจว่าเหนือกว่าพวกใช้การไม่ได้ของลัทธิอารามทมิฬเล็กน้อย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบอย่างไม่แยแส


 


ในวาจายังเสียดสีคนของลัทธิอารามทมิฬออกมาอย่างไม่ไว้หน้า


 


ในเมื่ออีกฝ่ายมาเคาะประตูถึงบ้านหมายฆ่าเขา ไฉนเขายังต้องสุภาพกับพวกมัน?


 


“ต้วนหลิงเทียน!”


 


วาจาของต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าย่อมสร้างความเดือดดาลไม่พอใจให้กับคนของลัทธิอารามทมิฬ ต่างมีโมโหขึ้นมาทันที


 


“ปากดีไม่เบานี่…แต่ไม่ทราบว่าฝีมือเจ้าจะดีเหมือนปากหรือไม่?”


 


สองตาเหาฉ่วงหดหยีลง เผยประกายเยียบเย็นหนึ่ง


 


“หืม? เจ้าอยากลองรึ?”


 


เสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนยังเฉยเมย คล้ายกล่าวถึงเรื่องราวที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร


 


“ย่อมอยากลอง”


 


เหาฉ่วงพยักหน้า


 


“เช่นนั้นเจ้าก็คิดให้ดีก่อนแล้วกัน…เพราะมีบางอย่างที่เมื่อตัดสินใจไปแล้วไม่อาจย้อนคืน ดั่งศรที่เหนี่ยวสายออกไปแล้วมิอาจรั้งกลับ”


 


วาจาแต่ละคำที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออก ไม่ขาดความข่มขู่แม้แต่น้อย!


 


“โฮ่? เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเชียว?”


 


ได้ฟังลูกตาของเหาฉ่วงก็เบิกกว้างทั้งทอประกายดุร้ายออกมาวาบหนึ่ง สายตายังคมกล้าปานมีดดาบที่ไร้สิ่งใดไม่อาจผ่า!


 


ได้ยินคำดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน คนของลัทธิอารามทมิฬก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดว่าเจ้าจะหลอกพี่เหาด้วยการเสแสร้งวางมาดยอดฝีมือขู่ข่มได้หรือ…ช่างเหลวไหลสิ้นดี!”


 


จ้าววลัทธิอารามทมิฬที่หัวเราะดังกว่าใคร โพล่งคำเย้ยเยาะออกมาก่อนเพื่อน


 


“หึหึ…ยามพี่เหาโลดแล่นสร้างชื่อเสียงในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ ข้าเกรงว่าเจ้ายังไม่ทันเกิดมาด้วยซ้ำ…แต่เจ้ายังคิดเล่นลูกไม้เขียนเสือให้วัวกลัวต่อหน้าพี่เหา?”


 


จ้าวพยัคฆ์ขาวยกยิ้มแสยะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงดูถูก


 


แม้พญามังกรเสื้อม่วงกับรองจ้าวลัทธิอารามทมิฬทั้ง 2 จะไม่พูดอะไร แต่แววตาที่ทำราวกับมองตัวโง่งมที่ส่งให้ต้วนหลิงเทียนก็ฉายชัดถึงความล้อเลียน


 


ในขณะที่บรรยากาศระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเหาฉ่วงเริ่มตึงเครียดคลุ้งกลิ่นดินปืนนั้นเอง


 


“ท่านเหาฉ่วง…”


 


ฝ่ายลัทธิบูชาไฟ สื่อเฟิง มองเหาฉ่วงด้วยสายตาจริงจังพลางกล่าวเสียงเคร่ง “ข้ามิทราบว่าลัทธิอารามทมิฬสัญญาว่าจะยกมอบผลประโยชน์อันใดให้ท่าน แต่ตราบใดที่วันนี้ท่านยินดีอยู่เฉยๆไม่ลงมือเป็นการไว้หน้าลัทธิบูชาไฟเรา ทางเราสัญญาว่าจะมอบสิ่งตอบแทนให้ท่านเป็น 2 เท่าจากที่พวกมันให้ท่าน!”


 


สื่อเฟิงนั้นกับต้วนหลิงเทียนมันเพียงคิดว่าอาจจะด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ทว่ากับเหาฉ่วงแล้วตัวมันไม่มีความหวังอะไรเลย


 


เหาฉ่วงไม่ใช่ตัวตนธรรมดา แต่คือผู้ไร้เทียมทานใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


ในกาลก่อนจ้าวลัทธิบูชาไฟของมันก็มีประมือกับเหาฉ่วงมาบ้าง และจากที่จ้าวลัทธิกล่าวไว้ หากไม่ใช่เพราะชำนาญเวทย์พลังเสริมท่าร่างที่นับเป็นเวทย์พลังเสริมท่าร่างอันดับ 1 ของแดนดินล่ะก็ น่ากลัวว่ายังจะไม่ใช่คู่มือของเหาฉ่วง!


 


จากจุดนี้ย่อมเผยให้รู้ว่าพลังฝีมือเหาฉ่วงน่ากลัวถึงเพียงใด!


 


นอกจากนั้นถังซวนยังกล่าวบอกมันไว้อีกว่า หากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะอุบัติเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอีกคน ไม่พ้นต้องเป็นเหาฉ่วงแน่นอน!


 


ทำให้ตอนนี้มันมองไม่เห็นทางที่ต้วนหลิงเทียนจะเอาชนะเหาฉ่วงได้เลย!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงคิดใช้ผลประโยชน์เข้าสู้ แต่ก็ไม่ได้ขอให้เหาฉ่วงช่วยเหลืออะไร เพียงให้วางตัวเป็นกลางเท่านั้น


 


“หึ!”


 


ได้ยินคำของผู้พิทักษ์สื่อเฟิง เหาฉ่วง แค่นคำเยียบเย็นออกมาคำหนึ่ง


 


“ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ท่านเห็นข้าเหาฉ่วงผู้นี้เป็นนกสองหัวหรือไร?”


 


“วันนี้ไม่ว่าเจ้าหรือลัทธิบูชาไฟสัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์ใดๆให้ข้าก็ตาม…แต่ข้าเลือกแล้วว่าจะช่วยเหลือลัทธิอารามทมิฬ! ข้าเหาฉ่วงนับว่าพอมีชื่อเสียงในแดนดินอยู่บ้าง ข้าไม่คิดจะทำให้ชื่อเสียงของข้าเสื่อมเสียอย่างเลือกประพฤติตัวเป็นพวกลิ้นสองแฉก หันไปเห็นดีเห็นงามอะไรกับลัทธิบูชาไฟเจ้า!”


 


วาจาที่เหาฉ่วงกล่าว ประกาศจุดยืนของมันชัดเจน!


 


“ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง อย่าได้เสียแรงเปล่าเลย…”


 


จ้าวลัทธิอารามทมิฬแสยะยิ้ม พลางกล่าวเย้ยออกมาด้วยท่าทางถือดี “เมื่อครู่เป็นข้าให้โอกาสท่านแล้ว แต่สุราคารวะท่านไม่รับ ชมชอบสุราจับกรอก! จากนี้ก็อย่าได้โทษว่าลัทธิอารามทมิฬของเราไร้ปราณีซะเล่า!!”


 


“เฮอะ! ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจักหาญกล้าลงมือทำอะไรพวกเรา! หากเจ้ากล้าฆ่าพวกเรา ลองดูแล้วกันว่าท่านจ้าวลัทธิจะล้างผลาญพวกเจ้าอย่างไร! ข้าเชื่อว่าต่อให้เป็นอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬของเจ้า ก็ไม่มีปัญญาทำอะไรท่านจ้าวลัทธิของพวกเราได้!!”


 


เหลิ่งอิงมองจ้าวลัทธิอารามทมิฬด้วยสายตาเยียบเย็น กล่าวออกมาอย่างดุร้าย “ด้วยพลังฝีมือของท่านจ้าวลัทธิเราตอนนี้…ต่อให้ท่านจ้าวคิดฆ่าล้างบางลัทธิอารามทมิฬสวะพวกเจ้าทุกตัว อาวุโสสูงสุดที่พวกเจ้าบูชานักหนาก็ไม่มีปัญญาจะขัดขวาง!!”


 


ถังซวนนั้นแต่ก่อนกระทั่งอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬร่วมมือกับเซียนสววรรค์ 9 เปลี่ยนอีกคนก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้…


 


นับประสาอะไรกับตอนนี้?


 


ตราบใดที่ถังซวนต้องการคิดอยากให้ใครตายมันผู้นั้นก็ต้องตาย! อาวุโสสูงสุดไม่มีปัญญาจะปกป้องใครได้เลย!!


 


ถึงตอนนั้นจริง ลัทธิอารามทมิฬไม่พ้นต้องฉิบหายวายวอด…และทั้งลัทธิคงเหลืออาวุโสสูงสุดแค่คนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ท่ามกลางกองซากศพ!!


ตอนที่ 2,203 : เหาฉ่วงครึ่งก้าวเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!?


 


เหลิ่งอิงกล่าวจบคำ ลูกตาของคนลัทธิบูชาไฟก็ทอประกายสว่างาบขึ้นมาทันที


 


“เหอะ!”


 


จ้าวลัทธิอารามทมิฬแค่นเสียงสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์


 


เรื่องที่เหลิ่งอิงพูด มันย่อมรู้ดีกว่าใคร!


 


ด้วยเหตุนี้แต่ต้นจนจบมันจึงไม่เคยคิดฆ่าผู้พิทักษ์คนอื่นของลัทธิบูชาไฟจริงๆสักครั้ง! เพียงแค่คิดจะสั่งสอนบทเรียนให้ทั้งหมดรับทราบถึงรสชาติความขื่นขมเท่านั้น!!


 


หากจะให้มันฆ่าผู้พิทักษ์ลัทธิบูชาไฟคนอื่นจริง มันยอมรับว่าไม่มีความกล้าขนาดนั้น


 


แต่ต้วนหลิงเทียนนั้นต่างกัน ด้วยมีความแค้นกันมาก่อน เช่นนั้นต่อให้พวกมันฆ่าต้วนหลิงเทียนไป จ้าวลัทธิบูชาไฟก็ไม่อาจเอาเรื่องอะไรได้มาก…


 


เพราะถ้าเรื่องราวมันลุกลามใหญ่โตขึ้นมาถึงขั้นแตกหักกันจริงๆ อาวุโสสูงสุดของพวกมันก็ใช้ไม้เดียวกันกับถังซวน บุกไปฆ่าคนอื่นๆของลัทธิบูชาไฟได้เช่นกัน!


 


แต่ถ้าวันนี้พวกมันฆ่าผู้พิทักษ์ขอลัทธิบูชาไฟที่เหลือทั้ง 4 ไป นั่นเสมือนเลาะกระดูกสันหลังของลัทธิบูชาไฟโค่นล้มเสาหลัก ถังซวนไม่พ้นต้องเดือดดาลจนอาจทำอะไรบ้าๆขึ้นมาได้!


 


ถึงตอนนั้นถังซวนต้องล้างแค้นพวกมันแน่!


 


และเป็นอย่างที่เหลิ่งอิงกล่าวไว้ไม่มีผิด หากถังซวนคิดล้างบางพวกมันขึ้นมาจริงๆ อาวุโสสูงสุดก็ไม่มีทางหยุดถังซวนได้เลย


 


ถึงตอนนั้นผู้คนในลัทธิอารามทมิฬนอกจากหล่างเชียงจิน ได้ตายอนาถแน่!


 


ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่คิดฆ่าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 เพียงจะฆ่าต้วนหลิงเทียนคนเดียวเท่านั้น


 


และแม้จะเป็นต้วนหลิงเทียน พวกมันก็ไม่ได้คิดฆ่าทันทีด้วยซ้ำ!


 


พวกมันอยากจับตัวต้วนหลิงเทียนกลับไปสอบสวนที่ลัทธิอารามทมิฬ เพื่อเค้นความลับทุกอย่างในระนาบเทียม ที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะเหลือทิ้งไว้! เปิดโปงว่าไฉนพลังฝึกปรือถึงได้ก้าวหน้าอย่างพิสดารเหลือเชื่อแบบนี้!!


 


ตราบใดที่ความลับดังกล่าววมันสามารถกระทำซ้ำได้ นั่นหมายความว่าลัทธิอารามทมิฬของพวกมันม ได้รับวิธีประเสริฐในการยกระดับขุมกำลังแล้ว


 


แต่ถ้าสืบค้นทุกสิ่งขุดคุ้ยทุกอย่างแล้วพบว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีความลับอะไรอีก พวกมันก็จะฆ่าต้วนหลิงเทียนทิ้ง!


 


เพราะถ้าไม่ฆ่าต้วนหลิงเทียน ผู้คนทั้งแดนดินจะครหาลัทธิอารามทมิฬเอาได้ ว่าหวาดกลัวลัทธิบูชาไฟ!


 


“ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิงกล่าวถูกแล้ว…แต่พวกเราไม่ฆ่าพวกเจ้า หรือพวกเจ้าสามารถฆ่าพวกเราได้?”


 


จ้าวพยัคฆ์ขาวมองกล่าเหลิ่งอิงด้วยทีท่าเย้ยเยาะ “เป้าหมายการมาของพวกเราวันนี้มีแค่ ต้วนหลิงเทียน คนเดียวเท่านั้น! แต่หากพวกเจ้าคิดยืนกรานออกตัวปกป้อง ต่อให้พวกเราฆ่าพวกเจ้าไม่ได้ แต่ก็ไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนบทเรียนให้พวกเจ้ารับทราบ!!”


 


“ถึงตอนนั้นพววกเจ้าก็ไม่อาจโทษว่าพวกเราได้…เพราะจ้าวลัทธิของเราก็ให้โอกาสพวกเจ้าแต่แรก!”


 


ยิ่งกล่าวใบหน้าท่าทีของจ้าวพยัคฆ์ขาวก็ยิ่งเผยความเย้ยเยาะมากขึ้นเท่านั้น


 


“ตอนนี้พวกเจ้าจะเอาอย่างไรเล่า ไม่มีท่านเห่าฉวงกำลังรบพวกเราก็พอๆกัน…แต่ตอนนี้พอท่านเหาฉ่วงปรากฏตัวออกมาสะกดต้วนหลิงเทียนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าที่เหลือจะเอาอะไรมาสู้พวกเราเล่า?”


 


จ้าวพยัคฆ์ขาวกล่าวจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพอใจ


 


ววาจาของมันยังตีเข้าจุดตายลัทธิบูชาไฟแล้วจริงๆ


 


ก่อนที่ลัทธิอารามทมิฬของพวกมันจะยกพลบุกมาลัทธิบูชาไฟ พวกมันย่อมประเมินพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนที่กลายเป็นผู้พิทักษ์ไปแล้วกันอย่างระวัง


 


สุดท้ายแม้พวกมันจะไม่อยากเชื่อมากแค่ไหนแต่พวกมันก็ต้องเชื่อ ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นผู้พิทักษ์ที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ!


 


นั่นเพราะต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะฆ่าเซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทองของลัทธิอารามทมิฬพวกมันใน 3 กระบี่ แต่ยังเอาชนะจ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิงที่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้วได้ใน 3 กระบี่เช่นกัน


 


พลังฝีมือของเหลิ่งอิงนั้น พวกมันลัทธิอารามทมิฬได้สืบทราบจนรู้ซึ้งดีแต่แรก…


 


ทันทีที่เหลิ่งอิงทะลวงผ่านมาถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน พวกมันประเมินพลังฝีมือเหลิ่งอิงไว้ว่าสูงทัดเทียมกับชิงหั่ว และเหนือกว่าหงอวิ๋นอย่างเห็นได้ชัด เรียกว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวลัทธิอารามทมิฬของพวกมันเลย…


 


ทว่าตัวตนดังกล่าวกลับพ่ายแพ้ต้วนหลิงเทียนใน 3 กระบี่!


 


ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งในลัทธิอารามทมิฬ พญามังกรเสื้อม่วงกับจ้าวพยัคฆ์ขาวก็ไม่กล้าพูดว่าจะเอาชนะเหลิ่งอิงที่ทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้วได้ใน 3 กระบี่ด้วยซ้ำ!


 


เช่นนั้นพวกมันจึงประเมินพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนได้ชัด


 


ไม่อ่อนด้อยไปกว่าพญามังกรเสื้อม่วงกกับจ้าวพยัคฆ์ขาวแม้แต่นิดเดียว กระทั่งยังจะเหนือกว่าอีกด้วย!


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกมันหาตัวช่วยจากนอกลัทธิ


 


สุดท้ายก็ทำข้อตกลงกับ เหาฉ่วง ยอดฝีมืออันดับ 5 ในรายนามยอดเซียนยังได้รับการขนานนามว่ามือหนึ่งใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


ในสายตาของพวกมัน…


 


ต้วนหลิงเทียนนั้นร้ายกาจ แต่หากจะเทียบกับเหาฉ่วงแล้ว ย่อมต้องอ่อนด้อยกว่าแน่นอน!


 


เหาฉ่วงเพียงคนเดียว ก็สยบต้วนหลิงเทียนได้ไม่ยากเย็น!


 


ซูว! ซูว! ซูว!


 



 


สิ้นคำกล่าวของจ้าวพยัคฆ์ขาวว คนลัทธิบูชาไฟทั้งหมดยกเว้นต้วนหลิงเทียนก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที


 


ที่แท้คนของลัทธิอารามทมิฬได้วางแผนไว้แต่แรกแล้ว!


 


เป้าหมายของพวกมันมีเพียง ‘ผู้พิทักษ์หลิงเทียน’ คนเดียวเท่านั้น!


 


ที่สำคัญถ้าคิดต่อต้านแม้จะไม่ถึงขั้นฆ่าแกง ทว่าคนของลัทธิอารามทมิฬก็คิดลงมือทุบตีสั่งสอนคนของลัทธิบูชาไฟให้หลาบจำเช่นกัน!


 


“เหาฉ่วง!”


 


ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงหันไปมองจ้องเหาฉ่วงตาดุ กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “ผู้พิทักษ์หลิงเทียนคือคนที่ท่านจ้าวลัทธิของพวกเราออกปากว่าจะปกป้องถึงที่สุด…”


 


“กระทั่งเพื่อผู้พิทักษ์หลิงเทียนแล้วท่านจ้าวมิลังเลที่จะสู้แตกหักกับอาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬ…”


 


“เจ้าลองคิดเอาเองเถอะ…หากวันนี้เจ้าช่วยลัทธิอารามทมิฬทำร้ายหรือจับตัวผู้พิทักษ์หลิงเทียนของเรา นั่นเท่ากับเจ้าเพาะสร้างความแค้นกับท่านจ้าวลัทธิของเรา!”


 


“เรื่องที่ท่านจ้าวลัทธิของเราจะบันดาลโทสะสังหารเจ้าก็มิใช่เรื่องยาก!”


 


ไม้อ่อนไม่ได้ก็ใช้ไม้แข็ง!


 


ทีท่าของสื่อเฟิงกลายเป็นแข็งกร้าวไม่คิดอ่อนข้ออีกต่อไป


 


สีหน้าเหาฉ่วงยังมืดลงทันใดเมื่อได้ยินวาจาข่มขู่ของสื่อเฟิง


 


“ไม่ผิด!”


 


เหลิ่งอิงยังสมทบมาติดๆ “เหาฉ่วงเจ้าต้องคิดให้ดี…ย้อนกลับไปตอนที่ท่านจ้าวลัทธิของเรายังมีพลังฝึกปรือทัดเทียมกับเจ้า ตัวเจ้าก็ปราชัยท่านจ้าวลัทธิมาแล้ว”


 


“ตอนนี้เมื่อพลังฝึกปรือท่านจ้าวลัทธิของเราทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ย่อมหมายความว่าคิดฆ่าเจ้าก็ง่ายดายไม่ต่างใดจากตัดหญ้าฆ่าไก่!”


 


“เว้นเสียแต่เจ้าจะไปหาที่ซ่อนตัวให้ดี…หาไม่แล้วหากท่านจ้าวลัทธิหาตัวเจ้าเจอเมื่อใด เกรงว่าคงเหลือทางตายสถานเดียว!”


 


วาจาเหลิ่งอิงแม้ฟังแล้วเสมือนกล่าวชี้แนะเหาฉ่วง แต่ฟังให้ดีจะพบว่าไม่ขาดความคุกคามขู่ข่มแม้แต่น้อย!


 


“หึ!”


 


ตอนนี้เองจ้าวลัทธิอารามทมิฬพลันพ่นลมสบถเสียงเย็นออกมาอีกครั้ง กล่าวออกด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิง…พวกเจ้าอาจยังไม่ทราบ แต่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเราใด้สัญญากับพี่เหาไว้แล้ว ว่าจักอยู่ปกป้องพี่เหาจนทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!”


 


“ตอนนี้ด่านพลังฝึกปรือของพี่เหา เรียกว่าห่างเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น…คิดทะลวงผ่านก็คงใช้เวลาอีกไม่นานนัก…กระทั่งพี่เหายังมั่นใจว่าสามารถทะลวงได้ภายใน 10 ปี!”


 


“รอให้พี่เหาทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นแม้ในแง่ความเร็วพี่เหาจะสู้จ้าวลัทธิของพวกเจ้าไม่ได้…แต่เพียงป้องกันตัวเองหรือจะยังทำไม่ได้!?”


 


วาจาต่อมา ขณะกล่าวจ้าวลัทธิอารามทมิฬก็แสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมนัก!


 


ทันใดนั้นสีหน้าผู้พิทักษ์ทั้งอาวุโสเพลิงทองของลัทธิบูชาไฟเปลี่ยนเป็นมืดลงทันใด


 


“เหาฉ่วง นี่เจ้าใกล้ทะลวงผ่านไปยังเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว?”


 


คนลัทธิบูชาไฟแทบทั้งหมดหันไปมองจ้องเหาฉ่วงด้วยสายตาหวั่นเกรงทันที ยังเผยทีท่าตึงเครียดถึงขีดสุด!


 


เพราะหากเรื่องที่จ้าวลัทธิอารามทมิฬกล่าวเป็นความจริง…


 


เช่นนั้นไม่ใช่ตอนนี้เหาฉ่วงกล่าวได้ว่าเป็น ครึ่งก้าวเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วหรือไร!?


 


“หึ! ตราบใดที่ข้าเหาฉ่ววงทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ไหนเลยยังต้องกลัวจ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกเจ้าอีก?”


 


เมื่อจ้าวลัทธิอารามทมิฬกล่าวจบคำ เหาฉ่วงก็กวาดตามองทั้งหมด เชิดหน้าขึ้นกล่าวออกเสียงเย็น “ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิง…บางทีแม้ถึงตอนนั้นข้าอาจจะยังอ่อนด้อยกว่าจ้าวลัทธิของพวกเจ้า…”


 


“แต่ถ้ามันกล้าทำร้ายข้า…ขอเพียงมันฆ่าข้าไม่ตาย ข้าจะเอาคววามแค้นทั้งหมดไปลงกับลัทธิบูชาไฟของพวกเจ้า!”


 


“ข้าจะคอยดู…ว่าถ้ามันไม่มั่นใจว่าจะฆ่าข้าได้จริงๆ มันยังจะกล้าลงมือทำอะไรข้า เหาฉ่วง หรือไม่”


 


เหาฉ่วงกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด เป็นอะไรที่มั่นใจอย่างมาก!


 


ส่วนด้านคนของลัทธิบูชาไฟนั้น ตอนนี้ในปากบังเกิดรสชาติยากจะกลืนลงคอ!


 


บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนเป็นอึมครึมตึงเครียดขึ้นมาทันที


 


“ฮ่าๆๆ…”


 


ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะด้วยความขบขันพลันดังขึ้นเบาๆ ไม่ได้เข้ากับบรรยากาศแม้แต่นิดเดียว!


 


เสียงหัวเราะนี้จึงดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ทันที


 


และพอพวกมันหันไปมองต้นเสียง ก็พบว่าผู้ที่หัวเราะออกมาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ต้วนหลิงเทียน นั่นเอง!


 


“เจ้าหัวเราะอะไร?”


 


สายตาคมกล้าของเหาฉ่วงจับจ้องมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียนโดยพลัน ยังดุร้ายเอาเรื่องนัก! กล่าวถามออกเสียงแข็ง!!


 


“ข้าหัวเราะอะไร? ก็ไม่อะไรหรอก…”


 


ต้วนหลิงเทียนค่อยๆสงบลง หลังจากหยุดหัวเราะก็มองเหาฉ่วงปราดหนึ่งค่อยละสายตาไปกวาดมองคนของลัทธิอารามทมิฬทุกคน “งั้น…สรุปว่า วันนี้ข้าจะถูกลัทธิอารามทมิฬพาตัวไปฆ่าแกงหรือไม่ กุญแจสำคัญ ก็อยู่ในมือเหาฉ่วงคนเดียวสินะ?”


 


“ว่าแต่…เจ้า เหาฉ่วง คิดลงมือกับข้าจริงๆ?”


 


วาจาประโยคท้ายต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมามองถามเหาฉ่วง พลางโค้งคิ้วขึ้น


 


“ทำไม? เจ้ากลัวแล้ว?”


 


เหาฉ่วงหัวเราะอำมหิต


 


“กลัว?”


 


ต้วนหลิงเทียนฉีกยิ้ม ยิ่งมายิ่งกว้างสุดท้ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง


 


และในขณะที่ระเบิดเสียงหัวเราะนั้นเอง ชุดคลุมของเขากก็เริ่มโบกสะบัดขึ้นมาแม้ไร้ลม ครู่ต่อมาตามตัวก็ปรากฏเกล็ดมากมายผุดโผล่ขึ้นเรียงตัวละเอียดนัก…


 


หากมองใกล้ๆ นั่นไม่ใช่เกล็ดมังกรหรือไร?!


 


หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งลมหายใจ เสื้อต้วนหลิงเทียนก็เริ่มฉีกขาด ปรากฏร่างน่ากลัวให้ทุกคนได้ยลโฉม พริบตามองไปคนก็ไม่คล้ายผู้คนอีกต่อไป ราวกับสัตว์ประหลาดผสมระหว่างมนุษย์กับมังกร!


 


และหากสังเกตให้ดี จะพบว่ามือเท้าของผู้คนบัดนี้ ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นอุ้งมือทั้งกรงเล็บมังกรเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญที่สุดแต่ละข้างยังมีถึง 9 กรงเล็บ!!


 


เป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ!!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนที่อยู่ๆก็อุบัติความเปลี่ยนแปลงไปดั่งสายฟ้าฟาดนั้น เผยให้เห็นชัดถึงเรื่องหนึ่ง…


 


เผชิญหน้ากับเหาฉ่วง แม้ทีท่าเขาดูสบายๆ แต่ที่จริงแล้วเขาระวังมันไม่น้อย!


 


หาไม่แล้วเขาคงไม่เลือกที่จะแปลงเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บตั้งแต่แรกแบบนี้!


 


ต้องทราบด้วยว่าไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาฆ่าเซวี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทองแห่งลัทธิอารามทมิฬ หรือประมือกับจ้าวหอคุมกฏอย่างเหลิ่งอิง เขาก็ไม่เคยแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บเลย!


 


ถึงแม้ว่าการแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ จะไม่ทำให้ระดับพลังของเขาเพิ่มพูนสูงขึ้นมากมาย แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาก็แปรเปลี่ยนไปไม่ใช่น้อย!


 


เผยให้เห็นว่า ที่เขาแปลงกายเป็นนักรบ 9 มังกรเพื่อเตรียมพร้อมไว้แต่แรกแบบนี้ เพราะให้ความสำคัญกับศัตรูอย่างเหาฉ่วงไม่ใช่เล่น!


 


“นักรบมังกร 9 กรงเล็บ!!”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนแปลงกายเป็นนักรบมังกร ทั้งแลเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังมีถึง 9 กรงเล็บ ลูกตาของทุกผู้คนที่อยู่ในจุดเกิดเหตุพลันหดหยีลงทันใด!


ตอนที่ 2,204 : ตัดสินกันใน 1 กระบวนท่าเถอะ!


 


ถึงแม้ทุกคนจะเคยได้ยินกันมานานแล้วว่าต้วนหลิงเทียนเป็นนักรบมังกกร 9 กรงเล็บ แต่พวกมันก็ไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนแปลงร่างเป็นนักกรบมังกร 9 กรงเล็บสู้กับใครด้วยตาตัวเองมาก่อน…


 


ตอนนี้พอมาได้เห็นต้วนหลิงเทียนแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บต่อหน้าต่อตา จึงอดที่จะตกตะลึงกันไปไม่ได้


 


“นี่น่ะหรือ…นักรบมังกร 9 กรงเล็บในตำนาน!”


 


อาวุโสเพลิงทองหลายคนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจกลัว


 


“ว่ากันว่านักรบมังกร 9 กรงเล็บ จะมีความแข็งแกร่งทางกายภาพทัดเทียมกกับ มังกรเทพยดา 8 กรงเล็บ…มิว่าจะเป็นพลังป้องกันหรือพลังกายอันดุร้ายดิบเถื่อน ก็เหนือกว่าผู้คนทั่วไปหลายขุม…”


 


“ดูเหมือนวว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมืออันร้ายกาจอย่างเหาฉ่วง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดออมพลังอันใด…ยังคิดจะลงมือเต็มกำลังแต่แรก!”


 


“แต่ก็เท่านั้น…ยังมีโอกาสชนะหลงเหลืออยู่อีกหรือ?”


 


“ข้าคิดว่าพอมี แต่โอกาสชนะที่มีคงริบหรี่เต็มที…จะอย่างไรเหาฉ่วงมันก็เป็นมือหนึ่งใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน แม้ผู้พิทักษ์หลิงเทียนจะแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ ก็ยังมิน่าจะเป็นคู่มือของเหาฉ่วงได้…”


 


“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน…ครั้งนี้ปาฏิหาริย์อันใดคงไม่มีแล้ว”


 



 


ถึงแม้อาวุวโสเพลิงทองทั้งผู้พิทักษ์ทั้งหลาย จะได้ยินกิตติศัพท์ว่าเป็นตัวสร้างปาฏิหาริย์ไร้พ่ายมาทุกครั้งของต้วนหลิงเทียน แต่คราวนี้พวกมันไม่กล้ามองโลกในแง่ดีแม้แต่น้อย


 


เพราะเมื่อคิดถึงพลังฝีมืออันร้ายกาจที่ขึ้นชื่อลือชามานานนับร้อยปีของเหาฉ่วง ทั้งหมดก็ยากจะมองเห็นโอกาสใดๆ


 


ในสายตามัน ผู้พิทักษ์หลิงเทียนที่พึ่งผงาดขึ้นมามีพลังสูงส่งไม่นาน คิดเอาชนะเหาฉ่วงก็ยากเย็นเสมือนปีนป่ายขึ้นสวรรค์!


 


รองจ้าวลัทธิบูชาไฟทั้ง 2 รวมถึงผู้พิทักษ์อีก 4 คนของลัทธิบูชาไฟ ก็คิดไปทำนองนี้ไม่ต่างกัน


 


“เหาฉ่วง”


 


ทันใดนั้นเอง เหลิ่งอิงพลันหันไปมองกล่าวกับเหาฉ่วง กล่าวออกมาอีกครั้งว่า “เจ้าทบทวนให้ดี…วันนี้หากเจ้ากล้าลงมือทำร้ายผู้พิทักษ์หลิงเทียน เจ้าไม่เพียงแต่จะเพาะสร้างความแค้นกับพวกเราลัทธิบูชาไฟเท่านั้น แต่เจ้ายังสร้างความบาดหมางกับเผ่าพันธุ์มังกรอีกด้วย!”


 


เผ่าพันธุ์มังกร!!


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ เหลิ่งอิงก็ฉุดคิดเรื่องราวฉับไวปานประกายไฟสว่างวาบ เร่งยกอ้าง เผ่าพันธุ์มังกร ออกมาสมทบขู่ข่มเหาฉ่วงทันที!


 


“เฮอะ!”


 


ทว่าหลังได้ยินวาจาข่มขู่นี้ของเหลิ่งอิง เหาฉ่วงไม่เพียงไม่กริ่งเกรง ยังแสยะยิ้มแค่นคำกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปรามาส “ข้ากระทั่งไม่กลัวลัทธิบูชาไฟของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าคิดจริงๆหรือว่ากับอีแค่เผ่าพันธุ์มังกรมันจะอยู่ในสายตาข้า?”


 


เผ่าพันธุ์มังกรของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าในเวลานี้ จากข่าวที่ลือกันยังไม่มีแม้กระทั่งมังกรเทพยดา 8 กรงเล็บด้วยซ้ำ กล่าวได้ว่าเป็นขุมพลังที่ตกอับไปแล้วก็ว่าได้…


 


และเหาฉ่วงผู้เป็นผู้ฝึกตนอิสระ ก็ไม่คิดจะกริ่งเกรงเผ่าพันธุ์มังกรแม้แต่น้อย


 


เหลิ่งอิงพอได้ยินมันก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป ยังรู้สึกจุกอกเบาๆ


 


กลับกัน แม้เหาฉ่วงไม่กริ่งเกรง ทว่าสีหน้าคนลัทธิอารามทมิฬเริ่มเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นมา เรียกว่าทันทีที่เห็นต้วนหลิงเทียนแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ พวกมันก็คำนึงถึงเผ่าพันธุ์มังกรขึ้นมาเป็นอย่างแรก


 


ก็ใช่ เหาฉ่วงไม่ต้องกังวลอะไรเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกตนอิสระ…เผ่าพันธุ์มังกรจะไปตามหาตัวมันเพื่อสะสางเรื่องราวที่ไหนได้…


 


ทว่าลัทธิอารามทมิฬของพวกมันต่างกัน!


 


พวกมันมีครอบครัว มิตรสหายรวมถึงเหล่าศิษย์อยู่ในลัทธิอารามทมิฬ หากมังกรเลือกจะเอาความแค้นมาลงกับคนใกล้ชิดพวกมันก็นับว่าย่ำแย่แล้ว!


 


แต่พอคิดทบทวนให้ดีอีกครั้ง คิ้วที่ขมวดย่นของทุกคนก็ค่อยๆคลี่คลาย ด้วยนึกออกว่าพวกกมันมีเหตุผลกล่าวอ้างอันควรในการเดินทางมาหาความจากต้วนหลิงเทียนครั้งนี้…


 


ที่พวกมันมา มิใช่กระทำไปเพราะสาเหตุเหลวไหลอื่นใด…แต่เป็นการทวงถามหนี้ชี้วิตของจ้าวราชสีห์ขนทองเซี่ยคังฉวินที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่า! พวกมันมีเหตุผลอันชอบธรรมในการลงมือครบถ้วน!!


 


แต่เผ่าพันธุ์มังกรเล่า?


 


หรือพวกมันคิดจะบาดหมางกับลัทธิอารามทมิฬ ด้วยเรื่องที่ไม่ยอมให้ลัทธิอารามทมิฬล้างหนี้เลือดเซี่ยคังฉวิน?


 


“ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองนักนะ..”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนแปลงร่างเป็นนักกรบมังกร 9 กรงเล็บ ยามเหาฉ่วงมองมาที่เขาอีกครั้ง ลูกตามันก็หดหยี เผยประกายเยียบเย็นหนึ่ง


 


ทั่วร่างยังปรากฏเจตนาฆ่าฟันเอ่อล้นขึ้นมาทันที


 


“ข้า เหาฉ่วง อยากเห็นนัก…ว่าเจ้าต้วนหลิงเทียนไปเอาความมั่นใจมาแต่ที่ใด!”


 


เหาฉ่วงแสยะยิ้มกล่าวเย้ย เจตนาฆ่าฟันของมันยิ่งมายิ่งมาก พลังเซียนต้นกำเนิดอันมหาศาลเริ่มปะทุออกมาทั่วร่าง!


 


และเมื่อพลังของมันปะทุออกมา บรรยากาศโดยรอบก็เริ่มปั่นป่วนทันที ความว่างเปล่าเริ่มสะท้านสะเทือนครืนๆ


 


ฟู่วว! ฟู่วว! ฟู่วว!


 



 


คลื่นพลังอันป่วนปั่นที่ซัดสะท้านในอากาศ ก่อเกิดเป็นสายลมแรงพัดกรรโชกออกไปทั่วสารทิศ


 


ขณะเดียวกัน ยังสังเกตเห็นได้ชัดเจน


 


ว่าบัดนี้ร่างที่เคยผอมบางของเหาฉ่วง เริ่มปรากฏกล้ามเนื้อปูดโปนเป็นลูกๆ กลายเป็นแลดูแข็งแกร่งขึ้นมาถนัดตา!


 


ผมขาวราวหิมะของมันยามนี้ปลิวสยายปานอสรพิษดุร้ายสีขาวเลื้อยลด


 


คิ้วขาวของมันเลิกขึ้น ตอบรับกับใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง เผยให้เห็นอารมณ์ของมันตอนนี้ชัดเจน


 


โมโห!


 


มันเหาฉ่วงคือยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! รั้งอยู่ในอันดับ 5 ของรายนามยอดเซียน!!


 


มันกล้าพูดได้เต็มปาก


 


ว่าทั้งแดนดินตอนนี้ไม่มีใครที่อยู่ใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่สามารถเป็นคู่มือให้มันได้


 


แต่ทว่าวันนี้ อาศัย ‘เด็กน้อยขนอุย’ ที่อายุยังไม่ทันถึง 50 ปีคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ทำตัวสบายๆไม่เห็นหัวมัน ยังกล้าลูบคมมันด้วยการไม่แยแสพลังฝีมือของมัน ยังหาญกล้าทำตัวโอหังเร่งเร้าพลังคิดสู้อย่างไม่ยำเกรงมัน!


 


จะไม่ให้มันมีโมโหอย่างไรไหว!!


 


“พี่เหาคิดลงมือจริงจังแล้ว…”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังเซียนต้นกำเนิดที่แผ่ว่านออกจากร่างเหาฉ่วงว่ามันดุร้ายรุนแรงเพียงใด ลูกตาจ้าวลัทธิอารามทมิฬพลันทอประกายสว่างปานดารากลางฟ้ายามค่ำคืนทันที


 


‘หวังว่าเจ้าเหาฉ่วงนั่นจะไม่พลั้งมือฆ่าต้วนหลิงเทียนด้วยโทสะหรอกนะ…เพราะสุดท้ายแล้วพวกเรายังต้องพยายามเค้นความลับเรื่องความก้าวหน้าของมันในระนาบเทียม 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะอยู่อีก’


 


พญามังกรเสื้อม่วงกับจ้าวพยัคฆ์ขาวลอบคิดในใจเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียนแห่งลัทธิบูชาไฟหรือ? อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหรือ? แล้วจะอย่างไร?! มันยังไม่อาจนับเป็นตัวอะไรต่อหน้าท่านเหาฉ่วง! กระทั่งจะรับท่านเหาฉ่วงสักท่า เผลอๆเกรงว่ายังไม่มีปัญญาด้วยซ้ำ!!”


 


รองจ้าวลัทธิอารามทมิฬ 2 คนอดไม่ได้ที่จะเผยความคึกคักอักโขออกมาเมื่อเห็นว่าเหาฉ่วงกำลังจะลงมือ


 


ต่างจากคนของลัทธิอารามทมิฬที่คึกคักอักโข ด้านลัทธิบูชาไฟนั้นบรรยากาศเปลี่ยนเป็นอึมครึมตึงเครียด พวกมันไม่มีใครเห็นดีในสถานการณ์เลย


 


“ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง พวกเราจะทำอย่างไรกันดี…ข้าไม่คิดว่าผู้พิทักษ์หลิงเทียนจะรับมือเหาฉ่วงนั่นได้ พวกเราสมควรลงมือช่วยเหลือหรือไม่?”


 


ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิงมองไปยังผู้พิทักษ์สื่อเฟิง กล่าวถามออกมาเสียงเครียด


 


ถึงแม้มันจะเคยมีเรื่องให้ไม่พอใจต้วนหลิงเทียนมาก่อน ทว่านั่นเป็นเรื่องราวความขัดแย้งภายใน


 


ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับศึกจากภายนอก มันย่อมไม่คิดเพิกเฉยความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนเพราะความขัดแย้งส่วนตัว ยังเลือกจะยืนหยัดข้างต้วนหลิงเทียน


 


และนี่เป็นเหตุผลที่ไฉนมันถึงยืนหยัดข้างต้วนหลิงเทียน ทั้งคอยกล่าวช่วยตั้งแต่แรก


 


“ข้าเองก็อยากช่วยไม่ต่างกัน…แต่เจ้าคิดว่าพวกเรายังมีโอกาสช่วยได้หรือ? ข้ามั่นใจว่าตราบใดที่พวกเราลงมือ มหาธรรมราชาทั้ง 2 รวมถึงจ้าวลัทธิอารามทมิฬนั่น…ไม่พ้นต้องลงมือกับพวกเราทันทีแน่!”


 


ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงได้แต่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขื่นขม ขณะเดียวกันก็หันไปเหลือบมองพญามังกรเสื้อม่วงกับจ้าวพยัคฆ์ขาว


 


มันไม่ใช่คู่มือใครแม้แต่คนเดียวในบรรดา 2 คนนั่น…!


 


ตอนนี้เมื่อผู้พิทักษ์หลิงเทียนถูกเหาฉ่วงรั้งตัวไว้ ตราบใดที่มหาธรรมราชาทั้ง 2 ลงมือเคลื่อนไหวล่ะก็ พวกมัน 4 ผู้พิทักษ์แย่แน่!


 


ยังไม่ต้องกล่าวถึงจ้าวลัทธิอารามทมิฬกับรองจ้าวลัทธิทั้ง 2 ด้วยซ้ำ อาศัยมหาธรรมราชา 2 คนผนึกกำลังกัน พวกมันก็รับมือไม่ไหวแล้ว!


 


เมื่อเหลิ่งอิงได้ยินคำสื่อเฟิง มันก็หันมองไปยังมหาธรรมราชาทั้ง 2 และจ้าวลัทธิอารามทมิฬอย่างไม่รู้ตัว


 


จนในที่สุดมันก็พบว่า…


 


มหาธรรมราชาทั้ง 2 กับจ้าวลัทธิอารามทมิฬนั้น แม้สายตาจะจดจ่อไปยังเหาฉ่วงกับผู้พิทักษ์หลิงเทียนจริง ทว่าสำนึกเทวะกลับแผ่ออกมาเพ่งเล็งพวกมันเอาไว้…


 


ราวกับจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกมันอยู่ตลอดเวลา!


 


จังหวะนี้สีหน้าเหลิ่งอิงแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที


 


สีหน้าท่าทีผู้พิทัก์ชิ่งหั่ว หงอวิ๋น และอาวุโสเพลิงทองรวมถึงรองจ้าวลัทธิทั้ง 2 นั้นก็ไม่ค่อยจะสู้ดีเหมือนกัน


 


“ข้าเอาความมั่นใจมาจากไหนน่ะเหรอ…”


 


ได้ยินวาจาถือดี ทั้งเห็นเหาฉ่วงปะทุพลังพร้อมลงมือ ต้วนหลิงเทียนก็เพียงยิ้มตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนไปในฉับพลัน!


 


และเมื่อแววตาต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นเย็นชา กลิ่นอายพลังทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ระเบิดออกมาจนคนคล้ายจะแปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน!


 


หากเมื่อก่อนเขาแลคล้ายคุณชายอารมณ์ดีที่สง่างามล่ะก็…


 


ตอนนี้เขาก็เหมือนทหารชาญศึกอันกระหายเลือด!


 


และพร้อมกันกับที่สายตาเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นนั้น พลังเซียนสุริยันทั่วร่างก็ระเบิดออกมา จนหนุนเสริมให้สภาวะกลายเป็นดุร้ายเกรี้ยวกราดปานเทพสงครามในบัดดล!


 


นอกจากนั้น โดยมีร่างเขาเป็นจุดศูนย์กลาง วังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่งพลันอุบัติขึ้นในชั่วพริบตา!


 


ปฐมเวทย์กลืนกิน!


 


เพียงเวลาชั่วพริบตา เวทย์พลังสนับสนุนของต้วนหลิงเทียนก็สำแดงอานุภาพแล้วเสร็จ พลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาลทั่วอาณาบริเวณโดยรอบถูกสูบกลืนเข้าร่างต้วนหลิงเทียน! ยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาให้พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดอย่างฉับไว!!


 


และเมื่อพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดถูกเร่งเร้าให้บรรลุขีดสูงสุด มวลอากาศโดยรอบก็เริ่มสะท้านสะเทือนขึ้นมาทันที


 


ปรากฏเสียงแตกระเบิดดังขึ้นเบาๆไม่หยุด ราวกับความว่างเปล่าโดยรอบกำลังแตกออก


 


“เหาฉ่วง เพื่อไม่ให้เสียเวลาข้า…วันนี้ข้ากับเจ้าเรามาตัดสินกันให้รู้ผลในกระบวนท่าเดียวเป็นไง?”


 


และในขณะที่พลังเซียนสุริยันต้นกกำเนิดถูกเร่งเร้าจนบรรลุขีดสุด ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกเสมือนเลือดทั่วร่างกำลังเดือดพล่าน ก็มองกล่าวกับเหาฉ่วงออกมาด้วยน้ำเสียงท้าทาย แถมยังดังราวกับจะตะโกนเย้ยเยาะ!


 


เพื่อไม่ให้เสียเวลาข้า ตัดสินกันในกกระบวนท่าเดียว?


 


ทันทีที่วาจานี้ดังออกจากปากต้วนหลิงเทยน ฉากเรื่องราวถึงกับเงียบงันไปทันใด


 


เหาฉ่วงอึ้ง ลัทธิอารามทมิฬอึ้ง กระทั่งลัทธิบูชาไฟก็ยังอึ้ง!


 


ครู่ต่อมาก็เป็นเหาฉ่วงที่ฟื้นตัวคนแรก หลังจากรู้สึกตัวก็อดยิ้มเย็นไม่ได้ “ข้ายังคงไม่ทราบจริงๆว่าเจ้าไปเอาความกล้ามาแต่ที่ใด ถึงกล้าคิดฝันว่าจะเอาชนะข้าได้!”


 


“อะไร? พูดมากพิรี้พิไรแบบนี้หรือเจ้าไม่กล้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลง ค่อยยกยิ้มแสยะกล่าวเย้ยด้วยน้ำเสียงสมเพช


 


“เฮอะ! ข้า? ไม่กล้า!?”


 


ได้ยินวาจาปรามาสนี้ของต้วนหลิงเทียน วูบแรกเหาฉ่วงถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง ต่อมาก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น!


 


เมื่อเสียงหัวเราะจบลง มันก็มองกล่าวกกับต้วนหลิงเทียนดวยความดูแคลน “เหลวไหลสิ้นดี! ข้ามีหรือจะไม่กล้า!!”


 


“ก็ดี! ในเมื่อเจ้ามันรีบร้อนอยากตายมากนัก เช่นนั้นข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าสักครา!”


 


สิ้นเสียงกล่าว พลังเซียนต้นกำเนิดทั่วร่างเหาฉ่วงพลันปะทุลุกโชนขึ้นมาดั่งเพลิงไฟ มันสำแดงเวทย์พลังสนับสนุน ยกระดับพลังเซียนต้นกำเนิดในกายทันที!


 


แน่นอนว่าเวทย์พลังสนับสนุนที่มันเพาะสร้างนั้น ประสิทธิภาพในการเพิ่มพูนพลังเซียนต้นกำเนิดเป็นอะไรที่อ่อนด้อยกว่าปฐมเวทย์กลืนกินของต้วนหลิงเทียนมาก


 


อย่างไรก็ตามแม้เวทย์พลังสนับสนุนของมันจะอ่อนด้อยกว่า หากทว่าฐานพลังแต่เดิมของมันก็เหนือกว่าต้วนหลิงเทียนมาก!


 


เพราะสุดท้ายแล้วมันก็คือเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน และอันที่จริงมันยังห่างจากการทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนไม่ไกล เรียกว่าบัดนี้มันได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าไปในขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วก็ว่าได้!


 


ยิ่งพอเวทย์พลังสนับสนุนของมันเผยฤทธิ์เต็มอัตรา พลังเซียนต้นกำเนิดของมันก็เพิ่มพูนขึ้นจนแทบจะใกล้เคียงกับระดับพลังเซียนต้นกำเนิดของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอยู่รอมร่อ!


 


ขวับ!


 


ทันใดนั้นเอง ปรากฏพลองเล่มหนึ่งผุดโผล่จากความว่างเปล่าเข้ามือเหาฉ่วง


 


พลองนี้มองไปทีแรกก็แลดูไม่มีอะไรพิเศษ


 


แต่พอเหาฉ่วงถ่ายทอดพลังเซียนต้นกำเนิดลงไป ตัวพลองก็คล้ายจะมีชีวิตขึ้นมาทันที มันเปล่งแสงพลังทั้งรัศมีแสงอันน่าเกรงขามออกมา!


 


“นั่นมัน…พลองธัมมะ!”


 


สีหน้าผู้พิทักษ์สื่อเฟิงแปรเปลี่ยนไปครั้งใหญ่!


ตอนที่ 2,205 : ใช้ออกทุกสิ่งไม่ปิดบัง


 


พลองยาว 6 ฉื่อในมือเหาฉ่วงนั้น สลักไว้ด้วยอักขระแลดูคลุมเครือชุดหนึ่ง ตอนแรกเมื่อมองผ่านๆให้ความรู้สึกเรียบง่ายไม่หวือหวา ทว่าเมื่อสังเกตให้ละเอียดกลับพบว่ามันให้ความรู้สึกลี้ลับไม่ธรรมดาด้วยแลดูเก่าแก่โบราณนัก


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเหาฉ่วงถ่ายพลังเซียนต้นกำเนิดลงไปในตัวพลอง…


 


วู้ม!


 


ซัวว!!


 


ทันใดนั้นลวดลายทั้งอักขระทั่วพลองก็คล้ายจะมีชีวิตขึ้นมา พวกมันเปล่งแสงสว่างเรืองรองสีทองจ้า คล้ายกลายเป็นตะวันดวงร้อนแผดแสง!


 


กลิ่นอายพลังพลังสุดไพศาลเริ่มกำจายออกมาสะท้านสะเทือนในบรรยากาศ ชวนให้ผู้คนที่สัมผัสได้ถึงกับใจสั่นสะท้าน


 


“นั่นมัน…พลองธัมมะ!”


 


ทันทีที่ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงของลัทธิบูชาไฟตกใจกล่าวคำนี้ออกมา ผู้คนทั้งหมดพลันกลับสู่ความรู้สึก สายตาทั้งหมดทอดตกไปยังพลองยาว 6 ฉื่อในมือเหาฉ่วงทันที!


 


พริบตาพลอง 6 ฉื่อก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้ชม!


 


“พลองธัมมะ…ไฉนฟังดูคุ้นหูนักนะ…”


 


อาวุโสเพลิงทองคนหนึ่งกล่าวพึมพำเบาๆ ก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอยคล้ายเหม่อคิด


 


อย่างไรก็ตามมันเหม่อคิดไปได้ไม่ทันไร อาวุโสเพลิงทองอีกคนก็กล่าวขัดความคิดมันออกมาเสียงดัง “อะไร? พลองธัมมะ? 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่น่ะหรือ?!”


 


“พลองธัมมะ…ยอดศาสตราเซี่ยนที่ทรงพลังทั้งรุกและรับนั่นน่ะรึ?!”


 


“ไม่ผิดแน่…เป็นพลองธัมมะนั่น! ในแง่ของพลังโจมตีแม้จะโดดเด่นสู้ยอดศาสตราเซียนอย่างกระบี่ไร้ลักษณ์ หรือยอดศาสตราเซียนประเภทจู่โจมชิ้นอื่นๆไม่ได้ แต่ก็นับว่าเหนือล้ำกว่าศาสตราพันอาคมเซียนไม่น้อย! นอกจากนี้ยังพลิกแพลงใช้ป้องกันตัวได้ แถมพลังป้องกันของมันยังจัดว่าแข็งแกร่งไม่ใช่ชั่ว!!”


 


“ข้าไม่คิดเลยว่าพลองธัมมะนั่นจะตกอยู่ในมือเหาฉ่วงผู้นี้…”


 


“จบกัน! จบสิ้นกันแล้ว!! เดิมทีผู้พิทักษ์หลิงเทียนยังพอมีโอกาสชนะอยู่บ้าง แต่ตอนนี้พอเหาฉ่วงนำยอดศาสตราเซียนอย่างพลองธัมมะนั่นออกมาสู้ ผลการรบก็ไม่ต้องสงสัยกันแล้ว!”


 


“ตัดสินกันในกระบวนท่าเดียว…ข้าไม่ทราบจริงๆว่าผู้พิทักษ์หลิงเทียนไปเอาความมั่นใจนี้มาจากที่ใด เหาฉ่วงนำพลองธัมมะออกมาแบบนี้ ข้ากลัวว่าต่อให้ผู้พิทักษ์หลิงเทียนพยายามสุดกำลัง ก็ยังมิอาจรับได้แม้แต่การโจมตีส่งๆของเหาฉ่วงด้วยซ้ำ!”


 


“ซ้ำร้ายในเมื่อผู้พิทักษ์หลิงเทียนเลือกจะตัดสินในกระบวนท่าเดียว…มีหรือเหาฉ่วงจะลงมือส่งๆอย่างขอไปที ไม่พ้นมันต้องฟาดออกมาเต็มกำลังแน่ คราวนี้แค่เอาชีวิตให้รอดผู้พิทักษ์หลิงเทียนยังยากกระทำ…”


 


…………


 


เหล่าอาวุโสเพลิงทองรวมถึงรองจ้าวหอคุมกฏทั้งหลายได้แต่ส่ายหน้าไปมาเบาๆ ทั้งหมดรู้สึกว่าคราวนี้ต้วนหลิงเทียนตายแน่


 


ไม่ใช่ว่าพวกมันยกย่องเขาดูเบาเรา แต่พวกมันไม่เหลือแม้แต่ความหวังอันใด…จึงทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมเท่านั้น!


 


“ตัดสินกันในกระบวนท่าเดียว…”


 


ผู้พิทักษ์ลัทธิบูชาไฟทั้ง 4 รวมถึงรองจ้าวลัทธิทั้ง 2 ตอนนี้พึ่งจะรู้สึกตัว แต่ละคนได้แต่เผยยิ้มขื่นขมออกมา


 


ลึกลงไปในแวววตายังเผยความอับจน เห็นชัดว่าพวกมันเองก็ไร้หนทางทำอะไรได้


 


และในใจของพวกมันก็รู้สึกอ่อนเปลี้ยไร้กำลัง ได้แต่โทษตัวเองว่าอ่อนแอนัก


 


ตอนแรกที่ได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวท้าเหาฉ่วงให้ตัดสินกันในกระบวนเดียว พวกมันอดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


หากจะกล่าวว่าถ้าสู้กันตามปกติ เหาฉ่วงอาจจะสามารถยั้งมือไม่ฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ล่ะก็…การให้ลงมือครั้งเดียวตัดสินผลแบบนี้ เพื่อความไม่ประมาทก็มีแต่ต้องลงมือด้วยพลังทั้งหมดแล้ว!


 


ถึงตอนนั้นไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนจะประสบร้ายมากกว่าดีหรือไร…


 


อย่างไรก็ตามพอนึกถึงปาฏิหาริย์ที่ผ่านมาของต้วนหลิงเทียน ทั้งหมดเริ่มคาดหวังกันขึ้นมาอีกครั้ง ว่าต้วนหลิงเทียนใช่ยังมีไม้เด็ดอะไรหรือไม่ ถึงได้แลดูมั่นใจนัก! เพราะหากต้วนหลิงเทียนไม่มั่นใจไหนเลยจะหาญกล้าท้าให้ตัดสินในกระบวนเดียวด้วยท่าทางไม่กลัวแบบนั้น!!


 


อนิจจาแสงแห่งความหวังพึ่งบังเกิดได้ไม่ทันไร พอเห็นเหาฉ่วงชักพลองธัมมะออกมา แสงแห่งความหวังทั้งมวลในใจพวกมันก็ดับมอดลงไม่เหลือหลอ…


 


เหาฉ่วงเดิมก็เป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน นับว่าพลังฝีมือสูงส่งยากรับมืออยู่แล้ว…


 


ตอนนี้มันยังหยิบชักพลองธัมมะออกมาอีก!


 


เช่นนั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจของคนลัทธิบูชาไฟตอนนี้ ก็มีแค่ความ ‘สิ้นหวัง’ เท่านั้น…


 


ต่างจากคนของลัทธิบูชาไฟที่สิ้นหวังเมื่อเห็นเหาฉ่วงหยิบพลองธัมมะออกมา ด้านคนของลัทธิอารามทมิฬถึงกับตึงเครียดและเป็นกังวลขึ้นมาทันที


 


“ท่านเหา…กับต้วนหลิงเทียนท่านต้องใช้ยอดศาสตราเซียนอย่างพลองธัมมะเชียวหรือ…นี่มัน…”


 


รองจ้าวลัทธิอารามทมิฬแตกตื่นไม่น้อย


 


“พี่เหา ท่านไม่จริงจังเกินไปหน่อยหรือ…คิดเชือดไก่ใยต้องใช้มีดฆ่าโคด้วยเล่า? ท่านอย่าได้ลืม…ว่าพวกเรายังต้องจับตัวมันไปรีดเค้นความลับเรื่องความก้าวหน้าในระนาบเทียมของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะจากมันอยู่อีก…หากท่านพลั้งมือฆ่ามันตายไปขึ้นมา…”


 


จ้าวลัทธิอารามทมิฬตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเหาฉ่วงควักพลองธัมมะออกมา อดไม่ได้ที่จะเร่งส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวเตือนเหาฉ่วงทันที


 


หากไม่จำเป็นมันย่อมไม่อยากให้เหาฉ่วงฆ่าต้วนหลิงเทียนทิ้ง!


 


“พี่เหา…”


 


ตอนนี้กระทั่งพญามังกรเสื้อม่วงกับจ้าวพยัคฆ์ขาวก็ไม่อาจอยู่เงียบได้สืบไป เร่งส่งเสียผ่านพลังกล่าวย้ำเหาฉ่วงเรื่องเดียวกัน


 


ทั้งหมดล้วนกังวลว่าเหาฉ่วงจะพลั้งมือฆ่าต้วนหลิงเทียนทิ้งในพลองเดียว


 


“พวกท่านทั้งหลายอย่าได้กังวลไปเลย…”


 


และเหาฉ่วงก็ไม่ปล่อยให้ทั้งหมดร้อนใจนาน เร่งส่งเสียงผ่านพลังกล่าวตอบกลับทันที “ในเมื่อเป็นการตัดสินแพ้ชนะในกระบวนเดียว เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนก็สมควรลงมือด้วยพลังทั้งหมดไม่ผิดแน่…”


 


“ข้าคิดดับความจองหองของมันด้วยการทำลายกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดของมันทิ้งเท่านั้น…ก่อนที่พลองข้าจะเอาชีวิตมันข้าย่อมสามารถยั้งมือได้ทัน! อย่างไรเสียความลับในระนาบเทียมของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะก็ทำให้ตัวข้าเองอยากรู้ไม่น้อย ไหนเลยข้าจะเผลอไหลฆ่ามันให้ตายง่ายๆได้? พวกท่านไม่ต้องห่วง ข้ามิมีทางผิดพลาดอย่างโง่งมพรรค์นั้นหรอก…”


 


วาจาของเหาฉ่วง ก็ทำให้จ้าวลัทธิทั้งมหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬพอได้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง…


 


“พลองธัมมะ…ยอดศาสตราเซียนงั้นเหรอ?”


 


เมื่อเห็นเหาฉ่วงหยิบยอดศาสตราเซียนออกมาใช้ คิ้วต้วนหลิงเทียนก็ขมวดยู่เป็นปมอย่างไม่รู้ตัว เพราะนี่ก็เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน…


 


และเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องราวของยอดศาสตราเซียนชิ้นนี้มาอยู่บ้าง จึงรู้ว่ามันเป็นยอดศาสตราเซียนที่พร้อมพรั่งทั้งรุกและรับชิ้นหนึ่ง!


 


ในแง่พลังโจมตีของพลองธัมมะนั้น แม้จะไม่ได้อยู่ในอันดับต้นๆของยอดศาสตราเซียนทั้ง 10 แต่อำนาจในการหนุนเสริมพลังโจมตีของมันก็เหนือกว่าตราผนึกมาร ทั้งศาสตราพันอาคมเซียนที่เน้นอาคมจู่โจมไว้มากมาย!


 


“ฮ่าๆๆ!!”


 


การเผลอขมวดคิ้วไปอย่างไม่รู้ตัวของต้วนหลิงเทียน ย่อมไม่รอดพ้นสายตาของเหาฉ่วง มันถึงกับยิ้มอย่างมีชัยพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงล้อเลียนว่า “อันใดกันต้วนหลิงเทียน…เจ้าแปลกใจมากนักหรือที่ข้ามียอดศาสตราเซียนอยู่ในมือ ทั้งยังเป็นยอดศาสตราเซียนที่มีพลังเหนือกว่าตราผนึกมารของเจ้า! เพราะยอดศาสตราเซียนของข้าสามารถใช้ในการต่อสู้ได้จริง!!”


 


“ข้าก็แค่ประหลาดใจเล็กน้อย”


 


ตอนนี้เองสีหน้าต้วนหลิงเทียนค่อยหวนคืนสู่ความสงบ หากแต่พลังเซียนสุริยันที่ปะทุท่วมร่างดั่งเพลิงไฟ ยังคงลุกโชนไปด้วยพลังอำนาจพร้อมลงมือได้ตลอดเวลา


 


“วันนี้หากข้าเหาฉ่วงเป็นผู้ฝึกมารคนหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนเจ้ายังคงพอมีโอกาสเอาชนะข้าได้หากใช้ตราผนึกมาร…น่าเสียดายที่ข้าดันมิใช่ผู้ฝึกมาร!”


 


เหาฉ่วงแสยะยิ้มอย่างมีชัย กล่าววาจาเสียดสีออกมาอีกรอบ


 


ตราผนึกมารนั้นเป็นดาวข่มผู้ฝึกมารทั้งมวล อนิจจาสำหรับมัน เหาฉ่วง ไร้ประโยชน์นัก!


 


“ตอนนี้เจ้ามีลมอันใดคิดผายก็ผายออกมาตามสะดวกเถอะ…”


 


ต่อหน้าเหาฉ่วงที่กล่าววาจาเสียดสีด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวคำออกไปด้วยน้ำเสียงคล้ายเบื้อหน่ายรำคาญด้วยสีหน้าเฉยเมย “เพราะหลังจากผ่านไปอีก 3 ลมหายใจ…ข้าจะลงมือจบเรื่องแล้ว”


 


“ยังจะปากดีไม่เลิก! คิดว่ามีปัญญาก็มาเถอะ!!”


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ลูกตาเหาฉ่วงก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นลงทันที พลังเซียนต้นกำเนิดถูกเร่งเร้าให้ปะทุออกมาสุดกำลัง ยังถ่ายทอดสู่พลองธัมมะอีกระลอกพาลให้รัศมีพลังสีทองของตัวพลองยิ่งมายิ่งสว่างเจิดจ้า คล้ายมันก็เตรียมตัวปะทุพลังทั้งหมดในอีก 3 ลมหายใจหลังจากนี้


 


ส่วนอีกด้านนั้น ต้วนหลิงเทียนพลิกฝ่ามือเบาๆ รับกระบี่แลดูธรรมดาๆเล่มหนึ่งที่ผุดจากความว่างเปล่ามากระชับถือไว้ในมือ


 


ทว่ากระบี่ธรรมดาๆเล่มนี้…กลับเป็นถึงยอดสมบัติสวรรค์จากระนาบเทวโลก! กระบี่นิลสวรรค์!!


 


‘แต่ก่อนทุกครั้งที่ข้าใช้กระบี่นิลสวรรค์ ก็จำต้องหาทางปกปิดมันอยู่ร่ำไป…’


 


ในขณะที่พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดเริ่มถ่ายทอดลงสู่กระบี่นิลสวรรค์ดั่งธารเชี่ยว สองตาต้วนหลิงเทียนก็เหม่อมองกระบี่นิลสวรรค์ในมือพึมพำในใจอย่างเลื่อนลอยครู่หนึ่ง ก่อนที่แววตาจะกลับมากระจ่างใสทั้งแปรเปลี่ยนเป็นแหลมคม ‘แต่วันนี้ กระบี่นิลสวรรค์ จะสำแดงพลังอำนาจของยอดสมบัติสวรรค์ให้ทุกคนได้ประจักษ์!’


 


“สำแดงพลังของเจ้าให้พวกมันได้รับรู้…ว่าต่อหน้ายอดสมบัติสวรรค์เช่นเจ้า จะยอดศาสตราเซียนอะไรก็ไร้ค่า!”


 


ขณะกล่าวพึมพำออกมาเบาๆ แววตาของต้วนหลิงเทียนก็ทอแสงจ้า!


 


แสงจ้านี้ปานจะบดบังได้ทุกสิ่ง! และที่สำคัญประกายตาวาวโรจน์อย่างดุร้ายของต้วนหลิงเทียนนี้ ก็ตกอยู่ในสายตาของทุกคนเช่นกัน!


 


ฟังจากที่ต้วนหลิงเทียนพึมพำกล่าวเบาๆเมื่อครู่ ดูเหมือนเขาไม่คิดจะปกปิดกระบี่นิลสวรรค์อีกต่อไป!


 


แน่นอนว่าหนึ่งเหตุผลสำคัญที่เขาไม่คิดปกปิดกระบี่นิลสวรรค์ครั้งนี้ เพราะเขาไม่อยากสิ้นเปลืองพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดไปเปล่าๆ


 


เพราะสุดท้ายแล้วศัตรูเบื้องหน้าที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้น มันคืออันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เหาฉ่วง! ที่สำคัญเหาฉ่วงผู้นี้ยังมียอดศาสตราเซียนอย่างพลองธัมมะอยู่ในมือ หากเขาประมาทหรือพลั้งพลาดแม้แต่น้อย ตกตายไปขึ้นมาคิดจะเสียใจก็สายไปแล้ว!


 


เช่นนั้นเขาจึงต้องทุ่มเทพลังเซียนสุริยันทั้งหมด! ยังต้องจ่ายออกทุกหยาดหยดลงสู่กระบี่นิลสวรรค์! ปลดปล่อยพลังอานุภาพทำลายล้างสังหารสุดกำลังเท่าที่เขาจะกระทำได้!!


 


เพราะกระบี่นี้เดิมพันด้วยทุกสิ่งอย่างรวมถึงชีวิตของเขา!


 


ต้องระวังไม่อาจประมาท!


 


สำหรับผลที่จะตามมาหลังจากเปิดเผยกระบี่นิลสวรรค์นั้น เขาไม่ได้คิดถึงมันแม้แต่น้อย กระทั่งไม่มีเวลามามัวคิดถึงด้วยซ้ำ!!


 


ตอนนี้เขาเพียงคิดใช้กระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิต ตัดสินชะตากับเหาฉ่วง!


 


ดูว่าเป็นกระบวนท่ากระบี่ชั่วชีวิตของเขาเหนือกว่า หรือกระบวนพลองของเหาฉ่วงผู้เป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่เหนือกว่ากันแน่!


 


ตอนแรกที่ต้วนหลิงเทียนเรียกกระบี่นิลสวรรค์ อันเป็นถึงยอดสมบัติสวรรค์ออกมาถือไว้ในมือนั้น ด้วยรูปลักษณ์แลดูธรรมดาไม่ต่างอะไรกับกระบี่ราคาถูกทั่วไป จึงไม่มีใครทันได้สนใจอะไรมันมาก


 


วู้มมม!!


 


อย่างไรก็ตามเมื่อพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดเริ่มหลั่งไหลถ่ายทอดลงสู่ตัวกระบี่นั้น กระบี่นิลสวรรค์ที่แลดูธรรมดาก็เริ่มบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน!


 


ตอนแรกมีเพียงแสงพลังสีทองสว่างจ้าที่คล้ายคลึงกับสีสันดั้งเดิมของพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขา ทว่าครู่ต่อมามันก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉาน!


 


จากนั้นจากสีแดงฉานก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีสันหลากหลายกระพริบวูบวาบสลับไปมา!


 


สุดท้ายสีสันอันหลากหลายที่กระพริบวูบวาบก็คล้ายจะหลอมผสานรวมเป็นหนึ่ง คงเหลือแต่เพียงสีเทามืดค่อนไปทางสีนิลห้อมล้อมกระบี่นิลสวรรค์เอาไว้


 


และท่ามกลางสีเทามืดนั่น ปรากฏเส้นสายอัสนีสีดำปานอสรพิษทมิฬกระพริบเลื้อยแล่นวาบแปลบปลาบไปทั่วตัวกระบี่! ยังมีเสียงลั่นเปรี๊ยะๆดังขึ้นปานความว่างเปล่าแตกออก!!


 


ขณะเดียวกันกับที่อัสนีทมิฬวาบลั่นดังเปรี๊ยะ กลิ่นอายพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ซ่านกำจายออกจากตัวกระบี่นิลสวรรค์ในมือของต้วนหลิงเทียนไปสะท้านสะเทือนในบรรยากาศ พาลให้ผู้คนทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกตกใจ


 


ใจของพวกมันทั้งหมดถึงกับสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ! สองตายังหดหยีแคบลงแทบปิด!!


 


ทว่าก่อนที่พวกมันจะทันได้ตอบสนองสิ่งใด เวลาก็ได้ผ่านพ้นไปครบกำหนด 3 ลมหายใจแล้ว


 


“ย่าาาห์!!”


 


ทันใดนั้นเหาฉ่วงพลันคำรามออกมาเสียงสนั่นอย่างเกรี้ยวกราด!


 


เปรี๊ยงง!!


 


ความว่างเปล่าถึงกับสะท้านสะเทือนเลือนลั่น เป็นเหาฉ่วงระเบิดพลังทั้งหมดปานจุดระเบิด! ทะยานร่างโจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน สภาวะร่างปานจะทะลวงเบิกฟ้า!!


 


ชั่วพริบตาดุจละอองไฟ! คนพร้อมยอดศาสตราเซียน พลองธัมมะ ที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังชั่วชีวิตในมือ! ก็เหินตัดฟ้ามาเจียนบรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียน!!


 ตอนที่ 2,206 : ถอดจิต!


 


 


เหาฉ่วงย่อมสังเกตเห็นรัศมีพลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึงของกระบี่นิลสวรรค์ในมือต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดา


 


อย่างไรก็ตามมันไม่ทันมีเวลารับทราบว่าพลังดังกล่าวมีอานุภาพทำลายล้างขนาดไหน


 


นั่นเพราะกำหนดเวลา 3 ลมหายใจได้ครบแล้ว


 


อีกทั้งมันก็ไม่ได้มัวคิดอะไรแต่แรก เพียงแค่จดจ่ออยู่กับการปลดปล่อยพลังทั้งหมดเท่านั้น


 


และตอนนี้มันก็กำลังปลดปล่อยพลังกระบวนท่าออกไปสุดตัว!


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


ซู่มมมม!!


 


เสียงระเบิดดังปานฟ้าร้องก้องขึ้น


 


เป็นเหาฉ่วงที่โจนทะยานแหวกอากาศมาพร้อมพลองธัมมะ ปะทุพลังอีกระลอกหลังจากมันโจนทะยานมาถึงครึ่งทาง ความว่างสะท้านสะเทือน!


 


“ฮ่าาาส์!!”


 


เหาฉ่วงคำรามออกเสียงดังปานสัตว์ร้าย มวลพลังเซียยนต้นกำเนิดที่ระเบิดออกเริ่มก่อปรากฏการณ์พิสดารประการหนึ่ง!


 


เพราะพริบตาคนที่โจนทะยานเข้ามาอยู่ดีๆ ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นยักษ์ตัวเขื่อง!!


 


เหาฉ่วงที่ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นจนเป็นเหมือนยักษ์สูง 3 หมี่ สารรูปแทบไม่ต่างอะไรจากคิงคองแม้แต่น้อย! กล้ามเนื้อทั่วร่างของมันปูดโปนใหญ่ขึ้นมาจนเสื้อผ้าฉีกขาด!!


 


ผมขาวราวหิมะของมันยังคล้ายจะเปลี่ยนเป็นเข็มแหลมชี้ตั้งปานจะทิ่มแทงขึ้นฟ้า


 


ขณะเดียวกันพลองธัมมะในมือยิ่งมาก็ยิ่งเปล่งแสงสีทองสว่างเจิดจ้าขึ้นทุกที ราวกับมันกลับกลายเป็นดวงตะวัน! รังสีพลังปะทุออกมาฉาบหุ้มจนคล้ายเสาสวรรค์! เผยกลิ่นอายพลังทำลายอันน่าพรั่นพรึงออกมาสะท้านใจผู้คน!!


 


พลังทำลายล้างที่เพิ่มพูนขึ้นมา ยังทำให้พื้นดินเบื้องล่างไกลห่างถึงกับเริ่มแตกร้าว!


 


ยิ่งความว่างเปล่ารอบกายเหาฉ่วงยามนี้ แทบจะถูกพลังทำลายดังกล่าวของมันผนึกแข็ง สายลมยังคล้ายจะหยุดพัด


 


พลังมหาศาลจากร่างใหญ่ของเหาฉ่วงบัดนี้ ได้ถ่ายทอดลงสู่พลองธัมมะหมดสิ้น ยามฟาดออกไปมันก็ทุบทำลายอากาศดังระเบิดสนั่นไปเป็นทาง!


 


“ต้วนหลิงเทียน รับพลองข้าดู!!”


 


เหาฉ่วงที่เปลี่ยนร่างไปคล้ายคิงคองตะคอกเสียงดัง สภาวะร่างยังโถมเข้ามาทั้งตัว!


 


ร่างเขื่องโถมพลองทุบฟาดทำลายมาเช่นนี้ ให้กล่าวว่าอานุภาพขู่ขวัญปานเขาถล่มยังไม่เกินเลย! คลื่นพลังน่าพรั่นพรึงยังปะทุกำจายออกไปในความว่างระลอกแล้วระลอกเล่า!!


 


ประหนึ่งหินก้อนใหญ่ตกร่วงหล่นสระสงบ ก่อเกิดพันระลอก


 


เรียกว่าเหาฉ่วงที่ขยายร่างใหญ่โตปานคิงคอง ยามทุบฟาดพลองธัมมะเข้ามานี้ คนคล้ายกลายเป็นเทพเจ้าแห่งการทำลายล้าง หมายบดขยี้มนุษย์ตัวกระจ้อยร่างม่วงที่อยู่เบื้องหน้าให้ย่อยยับ…


 


ร่างม่วงที่ว่าแน่นอนว่าย่อมเป็นต้วนหลิงเทียน!


 


ซู่มมมมม!!


 


ครืนนน!!


 



 


พลองที่เหาฉ่วงทุบฟาดออกมา ไม่เพียงแต่อัดแน่นไว้ด้วยเวทย์พลังจู่โจมอันทรงพลังหนึ่ง แต่ยังมีคลื่นพลังลี้ลับอีกขุมจากวรยุทธ์เซียนที่มันฝึกปรือ แม้มองแล้วตัวพลองคล้ายเพียงเปล่งแสงแผ่ระลอกพลังออกมา แต่คลื่นพลังที่ว่านี้คือพลังชั่วชีวิตของเหาฉ่วงแล้ว!!


 


และไม่เพียงแค่พลองธัมมะบัดนี้จะปลดปล่อยพลังชั่วชีวิตของเหาฉ่วงออกมาเท่านั้น ยังมีพลังอานุภาพของตัวมันเอง ที่เป็นพลังพิเศษเฉพาะของยอดศาสตราเซียน ‘พลองธัมมะ’ อีกด้วย!


 


ยามทุบฟาดออกมาก็คล้ายจะถล่มได้ทั้งท้องฟ้า!


 


เรียกว่าพลองธัมมะฟาดผ่านไปที่ใด ความว่างเปล่าก็สะเทือนสะท้านไม่ต่างใดจากเยื่อกระดาษเบาบางต้องลมแรง! หมิ่นเหม่จะฉีกขาดได้ทุกเวลา!!


 


และพลองที่มีพลังอานุภาพประหนึ่งจะทุบทำลายได้กระทั่งแผ่นฟ้านั่น ตอนนี้ฟาดทุบเข้าใกล้ร่างต้วนหลิงเทียนไปทุกขณะ!


 


ด้านต้วนหลิงเทียนนที่เผชิญหน้ากับพลองอันเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจทุบฟาดจี้เข้ามา ย่อมบังเกิดความรู้สึกกดดันบีบคั้นไม่ต่างอะไรกับเขากำลังจะโดนเขาไท่ซานถล่มทับ เพียงประมาทแค่เล็กน้อย ไม่พ้นได้กลับกลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือนแหลกแหลวแน่!!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 


……


 


ฉับไวปานเส้นสายอัสนีฟาดผ่า พลองที่ฟาดแหวกความว่างเปล่ามาอย่างเกรี้ยวกราด ยังถล่มจนอากาศแตกระเบิดดังไม่ต่างใดจากฟ้าลั่นสนั่นไม่หยุด…


 


แต่ในช่วงเวลาดุจฟ้าแลบนั้นเอง


 


ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ลงมือ!


 


“ใจกระบี่เหิน!”


 


เผชิญหน้ากับพลองธัมมะที่ฟาดมาด้วยสภาวะดุร้ายทรงพลังของเหาฉ่วง กระบี่นิลสวรรค์ในมือต้วนหลิงเทียน อันผนึกไว้ด้วยพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดทั้งร่างก็ดั่งจะถูกจุดระเบิด!


 


ฟั่ฟฟฟฟ!!


 


พร้อมกันกับเสียงกระบี่แหวกอากาศฉับไวดังขึ้น ประกายกระบี่สายหนึ่งก็เรืองวาบขึ้นในอากาศ!


 


ในห้วงเวลาชั่วพริบตาที่ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกไปนี้ ร่างต้วนหลิงเทียนที่เหินลอยอยู่ในอากาศถึงกับเซไปวูบหนึ่ง คล้ายพลังทั่วร่างเหือดหาย พอพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดห้วงใหม่ปรากฏขึ้นแผ่วเบาจึงค่อยรั้งร่างให้หยุดนิ่งลงได้


 


อย่างไรก็ตามสีหน้าของเขายังคงซีดลงไม่น้อย


 


แต่ทว่าจังหวะนี้ไม่มีใครมัวมาสนใจสีหน้าของต้วนหลิงเทียน


 


เพราะสายตาของคนส่วนใหญ่นั้นเพียงจับจ้องไปยังพลองธัมมะที่ฟาดไปดั่งเส้นสายอัสนีในมือเหาฉ่วง


 


และพวกมันก็ทำได้แค่นี้…


 


นั่นเพราะพวกมันไม่อาจมองเห็นร่องรอยกระบี่ ที่เปี่ยมล้นไปดว้ยรัศมีพลังไม่ธรรมดาของต้วนหลิงเทียนได้เลย กระบี่เล่มนั้นประหนึ่งจะสาบสูญไปในอากาศว่างเปล่าก็ไม่ปาน คงเหลือเพียงเสียงกระบี่หอนดั่งขึ้นแผ่วเบาในหูเท่านั้น!


 


“เร็วนัก!”


 


ฉากเรื่องราววความเปลี่ยนแปลงเบื้องหน้า ทำให้เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนไม่กี่คนอย่างผู้พิทักษ์สื่อเฟิงของลัทธิบูชาไฟ กับพญามังกรเสื้อม่วงและจ้าวพยัคฆ์ขาวของลัทธิอารามทมิฬถึงกับหน้าเปลี่ยนสี พวกมันอดตื่นตระหนกกับประกายแสงหนึ่งที่เรืองวาบขึ้นมาไม่ได้! กระบี่นั่นไวจนพวกกมันมองเห็นแต่ประกายแสง!!


 


และถึงแม้พวกมันแทบจะจับร่องรอยกระบี่นี้ไม่ได้ แต่พวกมันก็ไม่ทันมีเวลาให้ประหลาดใจอะไร


 


นั่นเพราะทุกเรื่องราวมันอุบัติขึ้นรวดเร็วเกินไป และสั้นเกินไป ดุจดั่งละอองไฟวาบดับเท่านั้น!


 


“เป็นไปได้ยังไง!?”


 


กระบี่นิลสวรรค์ที่ต้วนหลิงเทียนปล่อยออกไปด้วยพลังทั้งหมดนั้น ยามประกายกระบี่กรีดฟ้าสว่างวาบในลูกตาของเหาฉ่วง สีหน้าของมันก็แปรเปลี่ยนไปทันที เผยออกถึงความตื่นตระหนกตกใจทั้งเหลือเชื่อ!


 


และเหตุผลเดียวที่มันเสียอากการขนาดนี้ ก็เพาะความเร็วของกระบี่นิลสวรรค์มันรวดเร็วเกินไป รวดเร็วเกินไปมาก!!


 


ความเร็วของกระบี่นี้ เทียบกับความเร็วในการโจมตีของมันแล้วเหนือกว่ากันอย่างทาบไม่ติด!


 


หากจะกล่าวว่าพลังเซียนต้นกำเนิดในร่างมันตอนนี้ แทบจะทัดเทียมกับพลังเซียนต้นกำเนิดของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอยู่รอมร่อล่ะก็…


 


เช่นนั้นความเร็วของกระบี่ที่พุ่งบินแหวกฟ้ามานี่ ก็เป็นความเร็วที่แทบจะไม่ต่างกับความเร็วในการโจมตีของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเลย!


 


และอันที่จริง กระบี่นี่ก็เทียบได้กับความเร็วในการโจมตีของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่พึ่งทะลวงผ่าน แต่ยังไม่ทันได้ปรับพลังอะไรให้ดีจริงๆ!


 


‘วันนี้ข้าจะอยู่หรือตาย ก็ขึ้นอยู่กับกระบี่นี้!’


 


ในขณะที่ส่งกระบี่นิลสวรรค์ออกไป ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนในใจอย่างเงียบงัน…


 


กระบี่เล่มนี้ เขาทุ่มเทพลังทั้งหมดลงไปแล้ว


 


เป็นกระบี่ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เขาจะใช้ได้


 


ฟั่ฟฟฟฟ!!


 


กระบี่นิลสวรรค์ทะยานแหวกอากาศไปฉับไวถึงขีดสุด ด้วยบรรจุไว้ซึ่งพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดทั้งหมดในร่างต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นหลังมันหลุดออกจากมือต้วนหลิงเทียนแล้ว ก็แทบไม่ต่างอะไรจากม้าป่าห้อทะยาน ตะบึงออกไปด้วยความคึกคักถึงขีดสุด!!


 


ความเร็วนั้นช่างสูงจนน่ากลัว!


 


เพียงเสี้ยวพริบตา กระบี่นิลสวรรค์ก็พุ่งไปเจียนกระทบกับพลองธัมมะ ที่เหาฉ่วงทุบฟาดออกมา…


 


แม้จะเห็นประกายกระบี่สว่างวาบด้วยความเร็วสุดคาดคิด แต่สภาวะทุบฟาดอันเกรี้ยวกราดก็ไม่ได้ถดถอยแม้แต่น้อย


 


ฟั่ฟฟฟ!


 


กระบี่นิลสวรรค์เพียงทะลวงทะลุความว่างมาเสียงเบา ไม่ได้สร้างผลกระทบอันใดให้ความว่างเปล่ามากมายนัก


 


แต่อันที่จริงที่เป็นแพราะกระบี่นิลสวรรค์ทะยานแหวกอากาศมารวดเร็วเกินไป ยังรวดเร็วเสียจนความว่างเปล่าไม่อาจตอบสนองใดได้ทัน!


 


ปง! ปง! ปง! ปง!


 


……


 


เสียงระเบิดดังพลันกึกก้องขึ้นมาถี่รัว เป็นรังสีพลังที่ฉาบหุ้มตัวกระบี่ปะทะทำลายเข้ากับรังสีพลังที่ฉาบหุ้มตัวพลอง แม้สองวัตถุยังไม่กระทบกัน แต่รังสีพลังที่ฉาบหุ้มได้แผลงฤทธิ์ต่อยตีกันแล้ว!!


 


และการเผชิญหน้ากันระหว่างรังสีพลังสองสายนี้ ก็เปรียบได้กับความสงบสุดท้ายก่อนพายุจะเข้า!


 


ทว่ารังสีพลังกระบี่ที่ฉาบไว้ทั่วกระบี่นิลสวรรค์…คล้ายไม่พบพานกับแรงต้านทานอันใด มันบดขยี้ข่มทำลายรังสีพลังของพลองธัมมะได้ราวกับเหยียบย่ำใบไม้แห้งกรอบ! ก่อนซัดเข้าตัวพลองธัมมะโดยตรง!!


 


ทันใดนั้นเอง


 


เปรี๊ยงงง! เคร๊งงงง!!


 


ฉัวะ!!


 


พร้อมๆกันกับเสียงโลหะกระทบกันที่ดังสนั่นปานจะสะท้านโลกดังขึ้น ก็แว่วเสียงเลือดเนื้อฉีกขาดขึ้นมาแผ่วเบา!


 


เป็นวินาทีที่กระบี่นิลสวรรค์กระทบลงพลองธัมมะ มันก็ระเบิดพลังมหาศาลปายจะทำลายล้างโลกหล้าออกมา!


 


ทำให้พลองธัมมะไม่เพียงสิ้นพลังสภาวะทั้งมวล ยังถูกซัดกระแทกอย่างแรง กระเด็นหลุดมือเหาฉ่วงไป! ง่ามมือที่จับพลองของเหาฉ่วงยังฉีดขาดสาหัส โลหิตแดงฉานทะลักออกเป็นสาย!!


 


ขวับๆๆ!!!


 


หลังพลองธัมมะปลิวกระเด้นหลุดมือ มันก็หมุนติ้วๆปลิดปลิวไปราวลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร! ความเร็วในการกระเด็นปลิวยังทำให้ทุกคนที่ชมดูตื่นตระหนกตกใจนัก!!


 


เพราะความเร็วยามมันปลิวไป ให้เทียบกับความเร็วที่กระบี่นิลสวรรค์พุ่งแหวกฟ้ามา แทบจะไม่แตกต่างกันเลย!


 


กระบี่นิลสวรรค์นั่นหลังพุ่งแหวกฟ้ามาด้วยความเร็วอันน่ากลัว ไม่เพียงระเบิดพลังทำลายอันร้ายกาจบดขยี้พลังที่ฉาบคลุมพลองธัมมะ ยังซัดพลองธัมมะจนปลิดปลิวแถมทำให้ง่ามมือเหาฉ่วงฉีกขาด!


 


ทุกเรื่องราวบังเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเท่านั้น


 


แต่ทว่าหลังเกิดเรื่องราวทั้งหมดแล้ว กระบี่นิลสวรรค์ก็ไม่ได้สิ้นพลังสภาวะอะไรไปมากมาย มันยังมีพลังอำนาจหลงเหลือ และยังคงพุ่งทะยานเข่นฆ่าไปยังเหาฉ่วงไม่ลดละ!


 


และคราวนี้เป้าหมายของกระบี่นิลสวรรค์ก็คือหว่างคิ้วของเหาฉ่วง!


 


ยังพุ่งีจ้เข้าไปเร็วรี่ราวกับหากไม่ได้ทะลวงหว่างคิ้วมันไม่เลิกรา!


 


ในวินาทีที่พลองธัมมะถูกซัดกระเด็นหลุดมือจนง่ามมือฉีกแขนสะบัด เหาฉ่วงก็เสมือนมีน้ำเย็นราดรดศรีษะให้สติถูกปลุกขึ้นมาสมบูรณ์


 


“แย่แล้ว!”


 


เมื่อเห็นประกายกระบี่ยังพุ่งมาไม่หยุดยั้ง แถมยังเล็งจึ้มาที่หว่างคิ้วด้วยสภาวะอำมหิต ราวกับหากไม่ฆ่ามันให้ตายไม่ยอมเลิกรา สีหน้าเหาฉ่วงก็แปรเปลี่ยนไปมหันต์ ได้แต่ร่ำร้องออกมาเสียงหลงอย่างไม่รู้ตัว…


 


และช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่กระบี่นิลสวรรค์ จะเจาะชำแรกหว่างคิ้วเหาฉ่วงนั้น…


 


ซู่ววว!


 


พลันปรากกฏร่างเงาหนึ่งพุ่งทะยานออกมาจากร่างใหญ่โตของเหาฉ่วง! หากมองให้ชัดเป็นร่างเหาฉ่วงที่ผอมบางเหมือนตอนแรกสุด!!


 


ทว่าร่างผอมบางก่อนหน้าของเหาฉ่วงนี้ มองไปคล้ายจะโปร่งแสงพิกล เมื่อปรากฏออกมาแล้วก็ไม่รอช้าอะไร มันกลายเป็นเส้นแสงพุ่งวาบตัดฟ้าไปด้วยความเร็วสูง ยังมิวายทิ้งวาจาไว้ก่อนจะหายลับไป…


 


“ลัทธิอารามทมิฬ! ลัทธิบูชาไฟ! แค้นนี้ข้า เหาฉ่วง จะจดจำไว้ไม่มีวันลืม! ฝากพวกเจ้าไว้ก่อนเถอะ!!”


 


สิ้นเสียงคำตะโกนด้วยโทสะ ร่างบางทั้งคล้ายโปร่งแสงของเหาฉ่วงก็หายลับตาผู้คนไปแล้ว


 


สึบบบ!!


 


และนั่นเป็นเวลาเดียวกันกับที่กระบี่นิลสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนเจาะทะลวงหว่างคิ้วเหาฉ่วง โลหิตสาดกระเซ็นออกมาเป็นปรกายกลางหาว


 


“ถอดจิตลี้ร่าง?”


 


ถึงแม้กระบี่นิลสวรรค์คล้ายจะฆ่าเหาฉ่วงได้


 


แต่ต้วนหลิงเทียนรู้ดี ว่าจิตวิญญาณของเหาฉ่วงสามารถหลบหนีออกจากร่างได้ทันเวลา ก่อนที่กระบีนิลสวรรค์จะทะลวงสังหารมันทิ้ง แถมยังหนีไปไกลจนไร้ร่องรอยแล้วด้วย…


 


สิ่งที่กระบี่นิลสวรรค์ฆ่าไปเมื่อครู่ เป็นเพียงกายเนื้อของเหาฉ่วงเท่านั้น เป็นกายเนื้อที่ไร้จิตวิญญาณอะไรสืบไป ไม่ต่างอะไรจากเปลือกๆหนึ่ง


 


เปลี่ยนที่ 8 ของขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนนั้น เรียกว่าเปลี่ยนถอดวิญญาณลี้ร่าง


 


ตราบใดที่ผู้ฝึกตนบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนเต็มใจ พวกมันสามารถถอดจิตออกจากร่าง ทำให้ร่างกายกับวิญญาณแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ และจิตวิญญาณนั้นยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นอิสระแม้ร่างกายจะถูกทำลายไปแล้วก็ตามที…


 


และที่สำคัญต่อให้ร่างกายจะถูกทำลายไปแล้ว แต่จิตวิญญาณก็สามารถสร้างร่างกายใหม่ขึ้นมาได้ หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)