War sovereign Soaring The Heavens 2193-2199
ตอนที่ 2,193 : โฉมงามแดนเหนือ
สตรีที่กำลังเหินเข้าใกล้เจียนผ่านหน้าต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นศิษย์ส่วนตัวคนรองของจ้าวแท่นบูชามังกรคราม เวินเยี่ยน!
นอกจากนี้นางยังเป็นคนที่รายงานเรื่องก่านหรูเยี่ยนกับหอคุมกฏ!
และเนื่องจากรายงานของนาง เค่อเอ๋อแม่ลูกถึงได้ถูกคนของหอคุมกฏพบตัว สุดท้ายก็ถูกจับไปกักขังไว้ที่หอคุมกฏ!
ต่อมาเมื่อต้วนหลิงเทียนมาถึงลัทธิบูชาไฟ เขาจึงได้รู้…ว่าสาเหตุหลักที่เค่อเอ๋อกับลูกสาวเขาต้องมาตกระกำลำบากเป็นผลสืบเนื่องมาจากรายงานของนางคนเดียว! ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาเห็นนางเป็นศัตรู!!
ศิษย์พี่ของนาอย่างปู้หงที่เคยออกหน้าแทนนาง เขาก็ทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของมันไปแล้ว
และก่อนที่จ้าวแท่นบูชามังกรครามจะทันได้ออกหน้าลงมือกับเขาในเรื่องนี้ เขาก็ลอบออกจากลัทธิบูชาไฟไปเสียก่อน
เมื่อต้วนหลิงเทียนหวนกลับมาอีกครั้ง อาจารย์ของนางอย่างจ้าวแท่นบูชามังกรครามก็ไร้โอกาสล้างแค้นให้ศิษย์ทั้ง 2 อีกต่อไป…
นั่นเพราะการกลับมาของต้วนหลิงเทียน เป็นการกลับมาพร้อมพลังอันน่าสะพรึงกลัว! ถึงขั้นที่อาจารย์ของนางยังทำได้แค่ก้มหัว!!
“ตะ…ต้วน ต้วนหลิงเทียน!”
เมื่อเห็นร่างชายหนุ่มที่กำลังเหินมาเบื้องหน้าและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สีหน้าเวินเยี่ยนก็ซีดลง ร่างบางยังสั่นสะท้านไปอย่างแรงด้วยความหวาดกลัวจับใจ
ชายหนุ่มเบื้องหน้านั้นมาในชุดสีม่วง ไม่ได้เป็นเครื่องแบบเหมือนเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสของลัทธิบูชาไฟแต่อย่างไร จึงทำให้โดดเด่นเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เวินเยี่ยนหวาดกลัวจนตัวสั่นไม่ใช่ชุดที่แต่งตัวตามอำเภอใจของอีกฝ่าย แต่เป็นใบหน้าของอีกฝ่ายต่างหาก!
ถึงแม้นางจะเคยเห็นใบหน้านี้ครั้งเดียวจากรูปเหมือน แต่นางก็จดจำขึ้นใจไม่มีวันลืม!
ตอนนี้พอได้เห็น ก็ตกใจกลัวราวเห็นผี!
“ต้วนหลิงเทียน หลังจากที่จ้าวลัทธิออกแถลงการณ์เป็นการส่วนตัว ก็ได้หวนคืนสู่ลัทธิบูชาไฟ…และด้วยพลังฝีมืออันแข็งแกร่งจึงได้เป็นถึงผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ”
“หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงลัทธิบูชาไฟ อีกฝ่ายก็ได้สยบจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว รวมถึงสยบจ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิง ที่พลังฝึกปรือพึ่งบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้ใน 3 กระบี่”
“ยังบุกไปฆ่ารองจ้าวหอคุมกฏต่งหยวนจิ้นกับบุตรชายอย่างอุกอาจถึงเขตหวงห้ามของหอคุมกฏ…โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่งหยวนจิ้นที่ถึงกับถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาจ้าวหอคุมกฏ เหลิ่งอิง…”
…
ข่าวเหล่านี้เป็นเวินเยี่ยนได้รับทราบมาจากคนในเกาะศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่นางพึ่งออกจากการปิดด่านวันนี้
นางได้ปิดด่านบ่มเพาะพลังมาระยะหนึ่งแล้ว นางจึงไม่ได้รู้เรื่องราวใดๆที่เกิดขึ้นหลังต้วนหลิงเทียนออกมาจากกับดักของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะเลย ความรู้ความเข้าใจในตัวต้วนหลิงเทียนของนางยังเหมือนเมื่อไม่กี่ปีก่อน
นางกระทั่งหลับยังไม่เคยฝันถึง…
ว่าการปิดด่านบ่มเพาะของนางครั้งนี้ พอออกมาโลกภายนอกจะบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่!
วันนี้ต้วนหลิงเทียนได้เติบโตก้าวหน้าขึ้น ถึงจุดที่กระทั่งอาจารย์ของนาง จ้าวแท่นบูชามังกรคราม หลูเถี่ย ยังไม่กล้าออกหน้าจัดการต้วนหลิงเทียนให้นางได้อีกต่อไป! ทำให้นางได้แต่เก็บงำความแค้นที่มีต่อต้วนหลิงเทียนเอาไว้ลึกสุดใจ…
เพราะนางกับต้วนหลิงเทียน ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอีกต่อไป…
นางไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติจะเป็นศัตรูกับต้วนหลิงเทียนไปตลอดชั่วชีวิต…
อย่างไรก็ตามเวินเยี่ยนไม่คิดไม่ฝันเลยว่านางจะโชคร้ายถึงขนาดนี้!
นางแค่เดินทางกลับจากเกาะศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น! แต่ดันมาพบเจอเข้ากับต้วนหลิงเทียนกลางทาง!!
เมื่อนึกถึงเรื่องราวอันน่ากลัวที่ต้วนหลิงเทียนกระทำมาเมื่อไม่กี่วันก่อน นางรู้สึกเสมือนสองขาบางๆของนางมีตะกั่วหมื่นพันชั่งลากถ่วงเอาไว้ ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆได้
“เวินเยี่ยน?”
ในขณะเดียวกัน ด้านต้วนหลิงเทียนก็ค้นพบเวินเยี่ยนเช่นกัน
นอกจากนั้นเขายังไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเขาจะได้บังเอิญพบเจอคนที่รายงานฟ้องก่านหรูเยี่ยนกับหอคุมกฏ ขณะที่เขาออกมาสูดอากาศด้านนอกและพยายามหาหนทางไปเรื่อย…
ยิ่งพอนึกถึงเรื่องที่เค่อเอ๋อแม่ลูกประสบชะตากรรมถูกคุมขังในหอคุมกฏ ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นทันที ทำให้เวินเยี่ยนรู้สึกเสมือนพลัดตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง หน้านางซีดลงไร้สีเลือดด้วยความตกใจกลัว ร่างบางยังสั่นสะท้านไปอย่างแรง!
ทันใดนั้นเอง…
“เหอะ!”
เสียงแค่นสบถเย็นชาหนึ่งอันควบผสานไปด้วยพลังเซียนสุริยันกล้าแกร่ง พลันระเบิดออกไปจากร่างก่อเกิดเป็นพลังกดดันไร้สภาพอันไร้เทียมทานกวาดสะท้านสะเทือนแผ่นฟ้าโถมเข้าใส่เวินเยี่ยน!
พริบตานั้นเวินเยี่ยนก็ถูกแรงกดดันอันน่าสะพรึงกดทับเข้าร่างอย่างแรง! ร่างบางยิ่งมายิ่งสั่นราวเจ้าเข้า ใบหน้ากลายเป็นไร้สีเลือด ยังกระอักโลหิตออกปากคำใหญ่!!
ฝุ่บ!
แทบจะพร้อมกกันกับที่กระอักโลหิตออกมา ร่างเวินเยี่ยนก็ทิ้งตัวลงคุกเข่ากลางอากาศ ร่ำร้องวิงวอนขอความเมตตาต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงสั่น น้ำตาไหลรินเป็นสาย “ขอใต้เท้าผู้พิทักษ์หลิงเทียนเมตตาละเว้นผู้น้อยด้วย…ขอใต้เท้าผู้พิทักษ์หลิงเทียนละเว้นผู้น้อยด้วยเจ้าค่ะ!”
นางรู้ดีแก่ใจ
ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะฆ่านางทิ้งตรงนี้ ก็นับเป็นเรื่องราวอันขี้ประติ๋วนัก! ไม่มีทางที่จะมีใครคิดเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางหรือหาความจากต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย…
เพราะถึงแม้นางจะเป็นศิษย์ที่แท้จริงคนหนึ่งของลัทธิบูชาไฟ แต่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนที่เป็นถึงผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ ตัวตนของนางนั้น…ช่างไร้ราคาเสียจนไม่คู่ควรให้กล่าวถึง!
สำหรับลัทธิบูชาไฟแล้ว ต่อให้มีนางสักร้อยคน ก็ไม่สู้มีต้วนหลิงเทียนแค่คนเดียว!
เผชิญหน้ากกับการคุกเข่าวิงวอนร่ำร้องขอความเมตตาน้ำตานองหน้าอย่างขี้ขลาดของเวินเยี่ยน ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองด้วยสายตาชิงชังรังเกียจ ทั้งขยะแขยงนัก หากแต่เขาก็ไม่คิดจะฆ่านางให้เสียมือ!
ความเคลื่อนไหวต่อมาก็เพียงสืบเท้าก้าวออกไปคนละทางกับที่เวินเยี่ยนคุกเข่ารองขอความเมตตาเท่านั้น
ฟุ่บบ!
ต้วนหลิงเทียนคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นสายลมหอบหนึ่ง พัดผ่านร่างเวินเยี่ยนที่กำลังหวาดกลัวเสียขวัญและตึงเครียดจนหัวใจแทบหยุดเต้นไปในพริบตา…
แค่แรงกดดันจากพลังของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้นางบาดเจ็บจนกระอักเลือด หากอีกฝ่ายคิดฆ่านางขึ้นมา กระทั่งตายนางคงไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายอย่างไร…
จนเมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนจากไปแล้วจริงๆ เวินเยี่ยนที่คุกเข่าอยู่ค่อยระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกหนาวสะท้านจับใจนัก แผ่นหลังยังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเพราะความหวาดกลัว!
‘ดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณเจ้าแบบนี้ ถือเป็นบทลงโทษของเจ้าแล้วกัน…’
นี่คือความคิดในใจของต้วนหลิงเทียนขณะเขาเหินร่างผ่านเวินเยี่ยน…
ที่แท้ในขณะที่เขาเหินร่างผ่านเวินเยี่ยน เขาได้ใช้เวทย์พลัง ‘ปฐมเวทย์กลืนกิน’ ผสานพลังวิญญาณดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของเวินเยี่ยนออกจากดวงจิตนางในเวลาเพียงชั่วพริบตา! ยังกลืนกินจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ!!
นี่เป็นสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งสามารถกระทำได้หลังทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน เปลี่ยนจิตวิญญาณสวรรค์ เขาสามารถผสานปฐมเวทย์กลืนกินเข้ากับพลังวิญญาณใช้ออกได้อย่างแยบคาย!
ณ ตอนนี้ตราบใดที่อีกฝ่ายมีพลังวิญญาณอ่อนด้อยกว่าเขาระดับหนึ่ง เขาสามารถดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณได้อย่างไร้ร่องรอย โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว!
เวินเยี่ยนเป็นเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน ระดับพลังวิญญาณของนางก็เป็นแค่เซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน ห่างชั้นจากพลังวิญญาณระดับเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนคนละโลก!
เรียกว่าด้วยระดับพลังวิญญาณของเขาตอนนี้ ผู้ที่มีพลังฝึกปรือตั้งแต่เซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนลงมา ไม่มีทางรู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกเขากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ!
แต่แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้มันสิ้นเปลืองพลังวิญญาณของเขาอย่างมหาศาล!
ตัวอย่างเช่นตอนนี้ หลังเขากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเวินเยี่ยนอย่างไร้ร่องรอย พลังวิญญาณส่วนใหญ่ของเขาก็พร่องหายไป!
หากเขาเลือกที่จะดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของเวินเยี่ยนด้วยวิธีการรุนแรง อย่างดูดกลืนตรงๆให้นางเจ็บปวดทรมาน เขาก็แทบไม่เปลืองพลังวิญญาณแม้แต่น้อย เพราะมันไม่จำเป็นเลย…
เรื่องราวทั้งหมดเวินเยี่ยนย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา
“โชคดีที่มันมิได้ทำอะไรข้า…หาไม่แล้วข้าได้ตายแน่…”
เวินเยี่ยนหลังพบว่าต้วนหลิงเทียนจากไปแล้ว นางก็อดกล่าวรำพันออกมาพลางถอนหายใจไม่ได้ ตอนนี้นางรู้สึกว่าโชคดีเสมือนได้เกิดใหม่…
หากแต่ลึกลงไปในแววตาของนาง ยังคงเผยประกายดุร้ายรุนแรง ราวกับนางอยากจะฉีกร่างต้วนหลิงเทียนให้แหลกเป็นพันๆชิ้นด้วยสองมือคู่นี้ของนาง…
แน่นอนว่านอกจากความดุร้ายแล้ว ยังมีความไม่ยินยอมอยู่ด้วย
“อีก 3 เดือน ลูกสาวของธิดาเทพจะถูกประหารงั้นรึ?”
“เฮ่อ เด็กน้อยนั่นช่างน่าสงสารยิ่ง นางเพียงแค่เกิดมา และไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ แต่กลับต้องมาตกตายเพราะชาติกำเนิดเช่นนี้…”
“หากจะโทษก็โทษที่นางชะตาอาภัพเกิดมาผิดครอบครัวเถอะ…หากชาติหน้ามีจริงข้าหวังว่าเด็กน้อยนั่นจักไปเกิดในครอบครัวที่ดี….”
“อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ช่างแปลกนัก…นี่มันก็นานมาแล้วแต่ท่านจ้าวลัทธิยังมิมีทีท่าว่าจะลงโทษธิดาเทพเลย ทว่ากลับเลือกจะลงโทษลูกสาวของธิดาเทพก่อน ช่างชวนให้ผู้คนฉงนใจยิ่ง…”
…
เมื่อเข้าสู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มได้ยินบทสนทนาที่เป้นทำนองเดียวกันมากมาย
“ชะตาอาภัพเกิดมาผิดครอบครัว?”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายหนักแน่นจริงจัง “ซือหลิง พ่อไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรไปเด็ดขาด…ไม่มีวัน!”
….
ณ ทางเหนือ ดินแดนที่อุดมไปด้วยหิมะตกกระหน่ำตลอดทั้งปี…
ฮู้ววว! ฮูววว! ฮู้วววว!!
…
เป็นพายุหิมะที่โถมกระหน่ำซัดสาดโลกหล้าอย่างมืดฟ้ามัวดิน ปุยขาวเย็นดั่งขนนกที่หลุดร่วงตกฟ้าหนาทึบ บดบังทัศนวิสัยผู้คนให้ยากแลเห็นสิ่งใด มองไปทางใดก็เห็นเพียงผืนหล้าที่ปกคลุมไปด้วยชั้นขาวเยียบเย็นปานผ้าห่มหนา…
และหากมองผ่านห่าปุยเย็นขาวละเอียดนี้ไปได้ จะพบว่ามีร่างสะโอดสะองค์ 2 ร่างยืนหยัดท้าลมยะเยือกบนยอดเขาแห่งหนึ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน
ถึงแม้หิมะจะกระหน่ำถาโถมลงมาปานจะย้อมชโลมให้โลกจมปุยขาว แต่พิกลนักยามพวกมันเข้าใกล้ร่างบางทั้ง 2 พวกมันก็แยกย้ายไปด้วยพลังที่มองไม่เห็น ลำพังคิดแตะต้องเสื้อผ้ายังยาก นับประสาอะไรจะแบ่งปันความเย็นให้กร้ำกรายผิวกระจ่าง…
เป็นสตรีสองนางที่มีรูปโฉมพิลาศล้ำสะท้านแดนดินนัก…
ยามพวกนางยืนหยัดเคียงกันเช่นนี้ ปานจะรังแกสรรพสิ่งทั่วหล้าให้ละอาย ทิวทัศน์ที่ธรรมชาติรังสรรค์ปานจะหม่นหมองลงไปถนัดตา
“พี่สาวเทียนหวู่ พี่ใหญ่หลิงเทียนช่างร้ายกาจยิ่ง! พี่ใหญ่สังหารจ้าวราชสีห์ขนทอง เซี่ยคังฉวิน 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ ที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนนั่นได้ง่ายๆเลย! นั่นมันอันดับที่ 18 ของรายนามยอดเซียนเชียวนะ!!”
หนึ่งในสตรีที่มีรูปโฉมงดงามปานเทพธิดานั้น เป็นความงามที่แลดูสนุกสนานซุกซนนางหนึ่ง แววตาของนางคล้ายจะเต็มไปด้วยความขี้เล่นสดใส ชวนให้ผู้คนอยากดูแลทะนุถนอม ทั้งอยากปกป้องนางให้มีแต่ช่วงเวลาเริงร่านัก ยิ่งแก้มชมพูระเรื่อยามยิ้มสดใสนั่น ยังมีอานุภาพทำร้ายใจชาย ชวนให้ผู้คนหมั่นเขี้ยวอยากขบงับลงเบาๆสักครา…
“โอย…เดิมทีข้าคิดว่าหลังจากผ่านการยกระดับพรสวรรค์ทั้งพลังจาก มหาค่ายกลพลิกชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวาราแล้ว ข้าจะสามารถเหนือกว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนได้เสียอีก…แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นได้แค่ฝัน!”
สตรีงามแลดูสดใสกล่าวสืบต่อ นางยังกล่าวบ่นออกมาหน้ามุ่ยแก้มป่องแลดูน่าเอ็นดูนัก
“ทำไมเล่า เฉวี่ยไน่ เจ้าอยากแข็งแกร่งกว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนมากเลยหรือ?”
สตรีงามหมดจดอีกคนในชุดสีแดงเพลิง อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มบางๆหลังได้ยินวาจาของสตรีข้างกาย
“มิใช่เช่นนั้นหรอก…”
สตรีที่ถูกเรียกหาว่าเฉวี่ยไน่ส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง “ในใจของข้าพี่ใหญ่หลิงเทียนย่อมร้ายกาจที่สุด…ข้าเชื่อว่าต่อให้เป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณอันใดนั่น ก็สู้พี่ใหญ่หลิงเทียนของข้าไม่ได้หรอก!!”
ได้ยินคำตอบนี้ สตรีในชุดแดงเพลิงอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้างามยิ่งมายิ่งคลี่กางกว้างขึ้น สุดท้ายก็อดมได้ที่จะหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ
“เอ๋า พี่สาวเทียนหวู่ ไฉนถึงหัวเราะข้าเล่า?”
สตรีข้างๆพลันทำหน้ามุ่ยอีกครั้ง
“มิมีใด…ข้าเพียงคิดว่าหากตอนนี้พี่ใหญ่หลิงเทียนรู้ว่า เฉวี่ยไน่ ของเรามีพรสวรรค์ทั้งพลังฝีมือร้ายกาจถึงขนาดไหนแล้ว พี่ใหญ่ต้องตกใจมากแน่ๆ”
สตรีในชุดแดงเพลิงส่ายหัวไปมา ค่อยหันไปกลั้นยิ้มทางอื่น
บางเรื่องราวนางได้ให้สัญญากับผู้อื่นไว้แล้ว ย่อมไม่สะดวกเปิดเผยออกมามากกว่านี้
ฟังจากบทสนทนาของสตรีงามทั้ง 2 ก็สามารถบอกตัวตนที่พวกนางเปิดเผยในวาจาได้ทันที
เป็น หานเฉวี่ยไน่ กับ เฟิ่งเทียนหวู่ นั่นเอง
สองนางนี้ดั่งสตรีสะคราญโฉมแห่งแดนเหนือก็ไม่ปาน รอยยิ้มของพวกนางหนึ่งทำให้ทิวทัศน์หม่นหมอง อีกหนึ่งก็ล่มได้ทั้งเมือง…
ตอนที่ 2,194 : ผู้สืบทอดความลับสวรรค์
บนยอดเขาอันมีหิมะปกคลุมหนาแห่งหนึ่ง แว่วเสียงตะโกนด้วยความดีใจดังขึ้นมาแต่ไกล…
“หนานกงเฉิน หนานกงยี่! พวกเจ้าได้ยินข่าวของอัจฉริยะนามว่าต้วนหลิงเทียนแล้วใช่หรือไม่?!”
ร่างที่เหินตะโกนมาแต่ไกลนั้น เป็นชายหนุ่มอันมีรูปร่างกำยำคนหนึ่ง พริบตามันก็ย่นฟ้าตัดระยะมาถึงยอดเขา สมทบกับชายหนุ่มสองคร เร่งกล่าวออกด้วยลูกตาที่ทอประกายสว่างจ้า!
ชายหนุ่มสองคนที่อยู่แต่แรกนั้น มีใบหน้าทั้งรูปร่างเหมือนกันทุกประการ เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นพี่น้องฝาแฝด!
หลังจากที่ชายร่างกำยำกล่าวถามด้วยความยินดี มันก็ไม่รอให้พี่น้องฝาแฝดตอบคำอะไร เร่งกล่าวออกมาด้วยวาจาวางท่าอวดโอ่ต่อว่า “ข้าจะบอกให้พวกเจ้าได้รู้ ว่าอัจฉริยะนั่นคือน้องชายของข้ากู่ลี่ ต้วนหลิงเทียน!”
ชายหนุ่มร่างกำยำเพยายามกล่าวเน้นย้ำชื่อออกมาด้วยท่าทางภาคภูมิใจ ราวกับมันต้องอวดให้มากๆด้วยกลัวคนอื่นไม่รู้ว่ามันรู้จักต้วนหลิงเทียน…
ชายหนุ่มร่างกำยำแลดูแข็งแกร่งผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น กู่ลี่ ที่ขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนพร้อมกันกับต้วนหลิงเทียนในอดีต
และกู่ลี่ไม่เพียงแต่ขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนพร้อมต้วนหลิงเทียนเท่านั้น มันยังเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟพร้อมต้วนหลิงเทียนอีกด้วย!
แต่หลังจากนั้นมันก็เลือกที่จะเดินทางออกจากลัทธิบูชาไฟ เพื่อไปตามหามรดกของทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 3 จอมเผด็จการ 1 ใน 7 ทวาราเที่ยงแท้ที่มันบังเอิญพบพานในอดีต…
และในที่สุดมันก็ได้เป็นผู้สืบทอดของจอมเผด็จการสมใจหมาย…
“เฮ่อ…เดิมทีข้าคิดว่าหลังได้สืบทอดมรดกทั้งหมดของทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 3 ทั้งผ่านการใช้มหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวาราแล้ว ข้าจะมีความแข็งแกร่งเหนือน้องหลิงเทียนได้แน่ๆ…แต่ไม่คิดเลยว่าน้องหลิงเทียนจะกลายเป็นก้าวหน้าทิ้งห่างข้าไปอีกครั้งอย่างที่ข้าไม่อาจนึกฝัน…”
เห็นได้ชัดว่า กู่ลี่ พึ่งได้รับทราบเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนได้กลายเป็นผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ และได้รับรู้ถึงพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบันจากรายนามยอดเซียนฉบับล่าสุด…ว่าอีกฝ่ายกลายเป็นยอดฝีมือลำดับที่ 18 ในรายนามยอดเซียน แถมยังกลายเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไปแล้ว! ตอนที่มันได้รู้ยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่…
แน่นอนว่าหลังระบายลมหายใจออกมาแล้ว มันก็ยินดีมีสุขกับต้วนหลิงเทียนนัก
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังรีบแจ้นมาหาผู้สืบทอด ‘คนคู่’ คู่แฝดหนานกง เพื่อบอกว่ามันรู้จักกับต้วนหลิงเทียน!
ในวาจายังไม่ขาดการคุยโวโอ้อวดแม้แต่น้อย!
มันอยากอวดให้ทุกคนรู้ว่ามันสนิทสนมกับอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ในแดนดินอย่างต้วนหลิงเทียน!
“อ้อ เจ้ารู้จักต้วนหลิงเทียนด้วยรึ?”
อย่างไรก็ตามกู่ลี่ไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าทั้งคู่จะตอบสนองการโอ้อวดของมันด้วยวาจาสงสัย
รู้จักต้วนหลิงเทียนด้วยรึ?
วาจานี้ของหนานกงยี่ยามดังในหูกู่ลี่ นับว่าทำให้กู่ลี่อื้ออึงไปแล้วจริงๆ
“พวกเจ้า…คงไม่ใช่ว่ารู้จักน้องหลิงเทียนด้วยหรอกนะ?”
กู่ลี่ได้แต่เบิกตากลมกว้างปานลูกวัวแรกเกิด ถามคู่แฝดหนานกงออกไปด้วยความเหลือเชื่อ
โลกหล้ามีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้อยู่ด้วย?
“เหลวไหล!!”
หนานหงเชิดหน้ากล่าวตอบเสียงเข้ม “ข้ากับเจ้าต้วนน่ะเรียกว่าเป็นพี่เป็นน้องที่ลุยฝ่าสนามรบด้วยกันมาตั้งแต่ในทวีปมนุษย์ด้วยซ้ำ! อันที่จริงกระทั่งครอบครัวของเจ้าต้วนพวกเราเองก็รู้จักดี จะมารดาบิดากระทั่งภรรยามัน ยังเห็นพวกข้าพี่น้องไม่ต่างอะไรจากคนในครอบครัว…”
“แต่จะว่าไป ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินเจ้าต้วนหรือครอบครัวเจ้าต้วนมันพูดถึงเจ้าเลยนี่นา…”
ตอนนี้เองหนานกกงยี่พลันหยีตามองจ้องกู่ลี่เขม็งพร้อมกล่าวถามเสียงเข้มว่า “กู่ลี่…นี่เจ้าใช่กำลังตีเนียนหรือไม่? เอาตรงๆนะข้าซี้กับเจ้าต้วนมาก แต่ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินเลยว่ามันมีเจ้าเป็นสหายหรือพี่ชายอะไรเลย? นี่เจ้าใช่คุยโวโอ้อวดรึเปล่า…สารภาพมาเถอะข้าไม่ถือหรอก ข้าเข้าใจ…”
ได้ยินวาจาของหนานกงยี่ กู่ลี่ก็ถึงกับตกตะลึงอึ้งค้าง แต่พอได้ยินวาจายียวนท้ายประโยคกู่ลี่อดไม่ได้ที่จะฮึดฮัดขึ้นมาด้วยโทสะ
หนานกงยี่หาว่ามันคุยโวโอ้อวดรึ!?
“ขี้โม้ยิ่ง…”
ในขณะที่กู่ลี่หน้าแดงกำ ด้วยคล้ายอดไม่ไหวอยากจะโต้แย้งอะไรบางอย่าง หนานกงเฉินที่หายากนักจะกล่าววาจาออกมาสักคำ ทำราวกับคำพูดของมันมีค่าเป็นทอง ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยหน้าตาย…ยังเป็นกล่าวถล่มทับมัน!
จังหวะนี้เรียกว่ากู่ลี่มีโมโหจนแทบกระอักเลือดออกมาอยู่รอมร่อ!
“ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 3 จอมเผด็จการอย่างข้า! จำเป็นต้องคุยโวโอ้อวดกับพวกเจ้าด้วยรึ!?”
กู่ลี่ที่หัวเสียโพล่งออกมาอย่างดุดัน
“เอ้า…ผู้ใดจะไปรู้เล่า? ของแบบนี้มันก็ไม่แน่นักหรอก…”
หนานกงยี่กล่าวพลางส่ายหน้าไปมา สายตาที่ใช้มองกู่ลี่เผยความสงสัยออกชัด ราวกับมั่นใจว่วากู่ลี่กำลังคุยโม้แน่นอน
หนานกงเฉินก็พยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ
จังหวะนี้ กู่ลี่ รู้สึกเสมือนมันทุ่มหินทับเท้าตัวเองอย่างไรก็ไม่ทราบ
และหลังจากนั้นกู่ลี่ก็พยายามกล่าวอธิบายอยู่นานสองนานเพื่อพิสูจน์ว่ามันไม่ได้โม้
และในขณะที่กู่ลี่พยายามอธิบายจนปากเปียกปากแฉะจนใกล้จบนั้น…
“พอๆ เอาล่ะสหาย ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว…ฮ่าๆๆๆ ดูเจ้าทำหน้าเข้าสิ!”
หนานกงยี่พลันยกมือขึ้นมาขัดคำกู่ลี่ ก่อนที่จะเริ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยท่าทางสนุกสนานนัก ยังหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นขุนเขา!
เห็นได้ชัดว่าท่าทางมันจะกลั้นหัวเราะเอาไว้นานมากแล้ว
“หืม?”
เห็นอีกฝ่ายอยู่ๆก็เป็นแบบีน้กู่ลี่ย่อมอดไม่ได้ที่จะงุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่านี่มันอะไรกันแน่
“กู่ลี่…ถึงแม้พวกเราจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ข้าย่อมได้ยินเรื่องของเจ้ามาไม่น้อย พวกเรารู้แต่แรกว่าเจ้ามาจากตำหนักฟ้าลี้ลับในภูมิภาคเบื้องล่างและยังนับถือเป็นพี่น้องกับเจ้าต้วน กระทั่งยังรู้เรื่องที่เจ้าอยู่ที่ตำหนักเมฆาครามของเจ้าต้วนมันพักหนึ่งอีกด้วย…”
หนานกงยี่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมผายมือยักไหล่ “น่าเสียดายที่ตอนพวกเรามาถึงตำหนักเมฆาคราม เจ้าก็เดินทางออกจากภูมิภาคเบื้องล่างไปภูมิภาคเบื้องบนพร้อมเจ้าต้วนพอดี พวกเราจึงไม่เคยได้พบกันมาก่อน…”
ย้อนกลับไปตอนนั้น ต้วนหลิงเทียนได้ย้อนกลับไปรับพวกหนานกงเฉินหนานกงยี่รวมถึงคนอื่นๆที่ประเทศฝูเฟิงให้มาอาศัยอยู่ที่ตำหนักเมฆาคราม ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะออกจากตำหนักเมฆาครามไปยังภูมิภาคเบื้องบน
“อะไร!? ที่แท้พวกเจ้าก็คือสหายที่น้องหลิงเทียนไปพามาอยู่ที่ตำหนักเมฆาครามก่อนจะขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนพร้อมข้านี่เอง…ข้าเองก็ได้ยินเรื่องที่น้องหลิงเทียนย้อนไปรับสหายมาบ้างแล้ว แต่ข้าไม่คิดเลยว่าในบรรดาสหายน้องหลิงเทียนจะเป็นพวกเจ้าด้วย! ที่แท้ใต้กล้ากลับมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่ด้วย!!”
พอได้ฟังคำของหนานกงยี่ กู่ลี่ ก็เข้าใจเรื่องราวได้ทันที
และทันใดนั้น กู่ลี่ก็หันไปมองหนานกงยี่ตาดุ คิ้วขมวดกล่าวถามเสียงเข้ม “เช่นนั้นที่พวกเจ้าบอกว่าไม่เคยได้ยินเรื่องของข้า…เป็นพวกเจ้าหลอกข้างั้นเรอะ!?”
“หลอกเหลิกอันใดเล่า! ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นหน่อยเดียวเอง ฮ่าๆๆ!!”
หนานกงยี่นยกมือขึ้นมาส่ายไปมาค่อยหัวเราะลั่นอีกรอบ
“หนานกงเฉิน เป็นธรรมดาที่น้องเจ้าจะล้อข้าเล่น…แต่นี่กระทั่งเจ้าก็เอากับมันด้วยรึ? ไม่ใช่ว่าเจ้ามักจริงจังหน้านิ่งกับทุกเรื่องรึไร?”
ด้วยรู้ดีว่าคงไม่ได้อะไรที่จะหาเรื่องหนานกงยี่ที่ขี้เล่นเป็นทุน กู่ลี่จึงเอาโทสะไประบายกับหนานกงเฉิน
“เจ้า…โง่งมเกินไป”
หนานกงเฉินยังสงวนวาจาดั่งทอง
แม้จะเป็นวาจาสั้นๆ หากแต่พอดังเข้าหูกู่ลี่ก็นับว่ายั่วโทสะของมันให้พุ่งปรี๊ดทะลุจุดระเบิดทันที “เจ้ากล้าเห็นข้าเป็นตัวโง่งมหรือ เช่นนั้นมาวัดพลังกันสักตั้งเถอะ!!”
“ก็เอาสิ”
หนานกงเฉินเองก็ไม่คิดเผยความอ่อนแอให้เห็น “ก็ดีเหมือนกัน ‘คนคู่’ ของพวกเราจะได้เลื่อนอันดับไปเป็นทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 3 แทน ‘จอมเผด็จการ’ ของเจ้า นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว…”
หนานกงเฉินปกติก็ไม่ค่อยจะพูดอะไรออกมามาก แต่วาจาที่กล่าวออกมาแต่ละคำนับว่าทำให้กู่ลี่ถึงกับพูดไม่ออกแล้วจริงๆ “หนานกงเฉินเจ้าบอกข้าให้กระจ่างที…ว่าไฉนอยู่ๆเจ้ากล่าวไปถึงคนคู่ได้?”
กู่ลี่ไหนเลยจะไม่เข้าใจความนัยวาจาของหนานกงเฉิน อีกฝ่ายรับคำท้าสู้จริง แต่กลับรับคำท้าในนาม ‘คนคู่’ ซึ่งหมายความว่าหากจะสู้กันจริงๆ อีกฝ่ายจะกลุ้มรุมมัน!!
คู่แฝดหนานกงนั้น คนใดคนหนึ่งไม่ใช่คู่มือมันเลย…
แต่ถ้าทั้งสองผนึกกำลังลงมือพร้อมกัน ตัวมันเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้พี่น้องคู่นี้เช่นกัน…
“มาๆ ลองกันสักตั้งก็ดีเหมือนกัน! กล่าวไปผู้สืบทอดลำดับที่ 3 นับว่าฟังดูร้ายกาจกว่าผู้สืบทอดลำดับที่ 6 ไม่น้อยจริงๆ เจ้าสะดวกตีกับพวกเราตอนนี้เลยหรือไม่เล่า?”
หนานกงยี่พยักหน้าพลางกล่าวเสียงเข้ม
“พวกเจ้ามันหน้าไม่อาย!”
กู่ลี่สบถคำดุร้าย ก่อนที่จะจากไปอย่างอับจน
บางทีวันหน้าพลังฝีมือมันก้าวหน้าขึ้น ด้วยมรดกวิชาเฉพาะที่สืบทอดมา…อาจทำให้มันร้ายกาจกว่าการผนึกกำลังรวมกันของทั้งสองคนได้ แต่อีกฝ่ายที่ลงมือพร้อมกันตอนนี้มันยังสู้ไม่ไหว!
เรื่องนี้มันย่อมรู้ตัวดี
หากมันเลือกรับการประลองนี้อย่างเป็นทางการจริงๆแล้วแพ้จนเสียอันดับขึ้นมาล่ะก็ เกิดบรรพชนของทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 3 จอมเผด็จการรุ่นก่อนหน้าที่ป่านนี้สมควรอยู่ในระนาบเทวโลกแล้วรู้เข้า มีหวังได้โมโหมันจนกระอักเลือดตายแน่!
หลังจากกู่ลี่ฮึดฮัดกลับไป คู่แฝดหนานกงก็ได้แต่หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
หลังจากที่หัวเราะไปสักพัก พอหยุดลง แววตาของหนานกงยี่ก็แฝงความอาลัยหนึ่ง “หลังได้รู้เรื่องราววีรกรรมของเจ้าต้วนมันแล้ว ข้าล่ะอยากออกไปต่อยตีกับผู้คนในภูมิภาคเบื้องบนให้สะใจนัก อาศัยพลังฝีมือของข้าตอนนี้คงมีชื่อเสียงไม่น้อย…ตอนแรกข้าคิดว่าเวลาครึ่งปีคงไม่นานอะไร มาตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนกว่าจะผ่านไปแต่ละวันช่างนานยิ่ง…”
“ข้าก็ไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนอาจารย์ลุงพยากรณ์ถึง ไม่ให้พวกเราออกไปไหนเป็นเวลาครึ่งปีด้วย…ยังบอกว่าพวกเราสมควรปรับระดับพลังให้มั่นคงและบ่มเพาะให้มากขึ้น…ไม่ทราบเพราะอะไรข้าฟังแล้วรู้สึกเหมือนเป็นข้ออ้างเพื่อหลอกพวกเราอย่างไรก็ไม่รู้…ผู้เฒ่าพญากรณ์อะไรกัน ผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์สิไม่ว่า…”
หลังกล่าวถึงจุดนี้ หนานกงยี่ก็ส่ายหัวไปมา
“หืม?! นี่มันอะไรกัน ไฉนอยู่ๆข้าถึงรู้สึกหนาวขึ้นมาได้ล่ะ?”
ครู่ต่อมาอยู่ดีๆหนานกงยี่ก็รู้สึกเสมือนบรรยากาศรอบกาย กลายเป็นเยียบเย็นขึ้นมากะทันหัน ปานมันติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น! ทำให้อดตกใจขึ้นมาไม่ได้!!
เพราะถึงแม้ให้มันเปลือยเปล่าบนยอดเขา มันก็ไม่มีทางรู้สึกหนาวแบบนี้!
อีกทั้งความหนาวยะเยือกที่มันรู้สึก ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ความหนาวเย็นของสภาพอากาศทั่วไป!
ในขณะที่มันหันไปมองหนานกงเฉินด้วยคิดถามว่า…ใช่รู้สึกหนาวเหมือนมันหรือไม่นั้น
มันก็พบว่าหนานกงเฉินขยิบตาปริบๆและสะบัดหน้าเบาๆ คล้ายจะให้มันหันไปมองด้านหลัง แถมอาการยังแลดูลุกลี้ลุกลนผิดวิสัย…
ทันใดนั้นมันก็หันหลังกลับไปมองตามสัญญาณอย่างไม่รู้ตัว
เพียงแค่ปราดเดียวลูกตาของมันก็อดไม่ได้ที่จะหดหยีลง ด้วยแลเห็นร่างบางอันงามหมดจดหยึ่งเหินอยู่ไกลตา!
ท่ามกลางความว่างเปล่าห่างออกมาเล็กน้อย ปรากฏสตรีในชุดขาวแทบกลมกลืนไปกับหิมะโดยรอบ ลอยร่างค้างกลางฟ้าปานภูตหิมะ…
ด้วยอาภรณ์ที่แลดูบริสุทธิ์ไร้มลทินทำให้ทิวทัศน์แวดล้อมโดยรอบของนางคล้ายแปดเปื้อนไม่คู่ควร…
เส้นผมของสตรีนางนี้ทอดยาวลงมาปานม่านน้ำตกที่ร่วงหล่นจากสวรรค์
ถึงแม้ว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางจะมีผ้าขาวบดบังเอาไว้
แต่เมื่อเห็นความงดงามอันไร้ที่ติที่โผล่พ้นครึ่งผ้าออกมา ก็ราวกับนางหลุดออกมาจากภาพวาดของจิตรกรมือเอกในแดนสรวง ชวนให้ผู้คนจินตนาการไปไกลว่ารูปโฉมใต้ม่านผ้าที่แท้งามพิลาศถึงขั้นไหน
นางเพียงลอยร่างอย่างสงบเท่านั้น หากแต่ให้ความรู้สึกเลื่อนลอย ดังหมอกควันเลือนรางมิอาจจับต้อง ราวกับไม่ใชผู้คนแต่เป็นภูติหิมะจำแลงกาย บรรยากาศรอบกายนางช่างให้ความรู้สึกหนาวยะเยือก ปานจะผลักไสผู้คนให้ไกลห่าง หากแม้นผู้ใดเผลอไผลเข้าใกล้จำต้องถูกแช่แข็ง…
“ข้าหวังว่าจะไม่ได้ยินอะไรเช่นนี้อีก…”
หลังจากนั้นสตรีในชุดขาวพิสุทธิ์ก็เอื้อนเอ่ยวาจาออกมาสั้นๆ น้ำเสียงของนางไพเราะเสนาะหูนัก ฟังแล้วคล้ายเสียงดุริยางค์สวรรค์ คงจะดีถ้ามันไม่มีความเยียบเย็นปานจะแช่ร่างผู้คน ชวนให้หนาวจับใจแบบนี้เคลือบแฝงออกมา…
พอกล่าวจบคำ ร่างบางก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน…
และทันทีที่นางหายไป อุณหภูมิโดยรอบก็คล้ายจะหวนคืนสู่ปกติ
จังหวะนี้สองพี่น้องหนานกงอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“เห็นว่าผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 อย่างความลับสวรรค์ไม่สันทัดด้านการต่อสู้ไง…ไฉนข้ารู้สึกว่าหากนางลงมือข้าต้องดับอนาถแน่ๆเลยเล่า? แค่ยืนอยู่เฉยๆก็ทำให้ผู้คนกลัวแทบตาย!”
หนานกงยี่ได้แต่หันไปบ่นด้วยรอยยิ้มแห้งๆกับหนานกงเฉินที่ยังคงมีสีหน้าหวั่นๆไม่หาย
“นางแข็งแกร่งยิ่ง…ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้สืบทอดหงส์ฟ้าจรัสแสงเลย”
หนานกงเฉินกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหอะๆ ข้าว่านางให้ความรู้สึกอันตรายยิ่งกว่าผู้สืบทอดหงส์ฟ้าจรัสแสงอีก…หรือเป็นเพราะพวกเรารู้จักผู้สืบทอดหงส์ฟ้าจรัสแสงมานานก็ไม่รู้…”
หนานกงยี่กล่าวจบก็ถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง…
ตอนที่ 2,195 : อาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬ!
ภูมิภาคตะวันตกวันนี้…ได้ปรากฏร่างแขกที่ไม่ได้รับเชิญกลุ่มหนึ่งจากทางตะวันออกมาเยือน…
หลังล่วงล้ำเข้าสู่ภาคตะวันตกแล้ว แขกไม่ได้รับเชิญเหล่านี้ ก็มุ่งหน้าตรงดิ่งไปยังทิศทางหนึ่งโดยไม่คิดจะหันมองทางอื่น…
และทิศทางนั้น ก็คือทิศทางที่ตั้งของลัทธิบูชาไฟ!
กลุ่มนี้มีด้วยกันทั้งสิ้น 7 คน!
ในบรรดาพวกมันผู้ที่เหินร่างนำอยู่หน้าสุดก็คือชายชราที่แลดูแก่หง่อม แก่เสียจนราวกับเท้าข้างหนึ่งได้ก้าวเข้าไปอยู่ในโลงแล้ว…!
ชายชราผู้นี้มาในชุดคลุมสีเทา เส้นผมขนคิ้วขาวโพลน และเหตุผลเดียวที่กล่าวว่าเสมือนเท้าข้างหนึ่งของมันก้าวเข้าไปอยู่ในโลงแล้วก็คือ…มันแลดูชราอย่างมาก! ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ใบหน้าหรือมือ ไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ยังมีจุดฝ้าทั้งรอยด่างดำมากมาย!!
หากมันเป็นชายชราปกติล่ะก็ เกรงว่าคงไม่ต่างอะไรจากคนที่กำลังจะนอนหลับไหลไปไม่ยอมตื่นเพราะสิ้นสุดบั้นปลายของชีวิต…
อย่างไรก็ตามชายชราที่แลดูแก่หง่อมจนราวกับเท้าข้างหนึ่งได้ก้าวเข้าไปอยู่ในโลงศพแล้วนั้น ยามมันเหินร่างข้ามฟ้าก็ช่างฉับไวประหนึ่งภูตผี!
แถมนอกจากสตรีในชุดสีม่วงกับชายหนุ่มในชุดสีขาวที่อยู่ด้านหลังมันแล้ว ก็ยังปรากฏร่างอีก 4 ร่างที่มันหอบหิ้วเดินทางไปด้วย!
แม้มันจะหอบหิ้วร่างทุกคน ทว่าความเร็วในการเหินข้ามฟ้าก็ยังน่าฉับไวจนเหลือเชื่อ!
รวดเร็วเกินไป!!
กลุ่ม 7 คนเหินร่างตัดฟ้าเข้าสู่ภูมิภาคตะวันตกมาอย่างผ่าเผย พวกมันมุ่งหน้าไปยังลัทธิบูชาไฟโดยตรง และไม่นานพวกมันก็บรรลุถึงด้านนอกเขตของลัทธิบูชาไฟ
เมื่อมาถึงด้านนอกเขตลัทธิบูชาไฟแล้ว ชายชราที่เหินร่างนำทั้งหมดก็หยุดลง
“ลัทธิบูชาไฟ!”
ขณะมองไปยังเขตลัทธิบูชาไฟเบื้องหน้า สองตาผู้ชราก็ทอประกายเยียบเย็นหนึ่งขึ้น หลังจากนั้นค่อยกล่าวออกมาเสียงเย็นห้วนๆว่า “หล่างเชียนจินแห่งลัทธิอารามทมิฬ พร้อมด้วยจ้าวลัทธิอารามทมิฬ พญามังกรเสื้อม่วง จ้าวพยัคฆ์ขาว และรองจ้าวลัทธิอารามทมิฬอีก 2 คนมาขอคารวะทักทายผู้พิทักษ์ลัทธิบูชาไฟ ต้วนหลิงเทียน สักครา!”
ถึงแม้ว่าเสียงของชายชราฟังดูจะไม่ได้ดังมากมายอะไร หากแต่คล้ายแฝงเร้นไปด้วยพลังวิเศษสามารถกวาดไปทั่วลัทธิบูชาไฟ!
เรียกว่าในลัทธิบูชาไฟไม่ว่าจะเป็นผู้ใด อยู่ในแท่นบูชาจตุรลักษณ์ ในพื้นที่ทำเหมือง เขตรอบๆดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทั้งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เอง ต่างได้ยินวาจาที่มันกล่าวชัดถ้อยชัดคำ!
“หล่างเชียนจิน…นามนี้ไฉนคุ้นหูข้านักนะ?”
ที่แท่นบูชานกไฟ ผู้อาวุโสหลายต่อหลายคนของแท่นบูชานกไฟได้แต่ขมวดคิ้วย่นเป็นปม ด้วยมันรู้สึกว่าเสมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ยังไม่อาจนึกได้ออก
“เจ้ายังจะไม่คุ้นหูได้รึไง เจ้าไม่ได้ยินคำพูดต่อมาขอมันรึ?! มันบอกว่าจ้าวลัทธิอารามทมิฬ รวมถึงพญามังกรเสื้อม่วง และจ้าวพยัคฆ์ขาวก็มาด้วย! การที่มันพูดชื่อตัวเองก่อนย่อมบอกให้รู้ว่าอำนาจของมันเหนือกว่าทั้ง 3 คนนั่น…แล้วคนที่มีอำนาจสูงกว่าทั้ง 3 คนนั่น ก็มีแค่คนเดียวเท่านั้น!”
ขณะที่กล่าววาจาประโยคนี้ออกมา ลึกลงไปในแววตาของอาวุโสแท่นบูชานกไฟอีกคน ก็เผยให้เห็นความหวาดกลัวชัดเจน
“สวรรค์ช่วย…มันมาด้วยตัวเองเลยหรือ! อย่าบอกนะว่าที่มันพาคนมามากมายขนาดนี้เพราะคิดล้างแค้นให้ เซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของพวกมัน! ข้าเกรงว่าผู้พิทักษ์หลิงเทียนจะเจอปัญหาแล้วล่ะ…”
เสียงกล่าวของอาวุโสคนหนึ่งสั่นเครือ
“พวกเจ้าหมายความว่า…มันคืออาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬคนนั้นจริงๆหรือ?”
อาวุโสของแท่นบูชานกไฟคนแรกกสุดที่สงสัยฐานะผู้มา หลังฟังคำสหายก็พอตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
พอได้รับคำใบ้มันก็ย่อมจดจำได้ทันที ยังนึกออกได้ทั้งหมด “ข้าไม่อยากจะเชื่อ…หล่างเชียนจิน ยอดฝีมืออันดับ 2 ในรายนามยอดเซียน กระทั่งยังเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬจะมาเอง!”
คิดถึงจุดนี้อาวุโสของแท่นบูชานกไฟยังอดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสี “แถมมันยังไม่ได้มาคนเดียว…ยังมีพญามังกรเสื้อม่วง จ้าวพยัคฆ์ขาว และจ้าวลัทธิอารามทมิฬมาด้วย…”
“หนึ่งเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน 2 เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน กับอีก 1 เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนชนชั้นสุดยอดฝีมือ…ลำพังแค่นี้ไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่น ก็นับเป็นกำลังรบสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬแล้ว! นี่ผู้ที่เข้มแข็งที่สุดของพวกมันมากันพร้อมหน้าเลยหรือ?!”
“ลัทธิอารามทมิฬ เดิมทียังมีเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอยู่อีก 2 คนก็คือมหาธรรมราชาอย่างจ้าวราชสีห์ขนทองกับจ้าวค้างคาวปีกเขียว…แต่ทั้งหมดก็อย่างที่ทราบกันว่าจ้าวค้างคาวปีกเขียวตายในกับดักปีศาจเมื่อ 3 ปีก่อน ส่วนจ้าวราชสีห์ขนทองก็ถูกผู้พิทักษ์หลิงเทียนฆ่า”
“แต่วันนี้พวกมันกลับระดมกำลังรบสูงสุดของพวกมันออกมาทั้งหมด…ข้าเกรงว่าที่ดีคงไม่มา ที่มาคงไม่ดี!!”
“พวกมันระดมกำลังรบสูงสุดของพวกมันมาเยือนลัทธิบูชาไฟเรา…ถึงแม้จะเป็นท่านจ้าวลัทธิ ข้ากลัวว่าคงยากจะปกป้องผู้พิทักษ์หลิงเทียนเอาไว้ได้ใช่หรือไม่?”
…
ในตอนนี้ ไม่ใช่แค่แท่นบูชานกไฟเท่านั้น แต่อีก 3 แท่นบูชาของลัทธิบูชาไฟ กระทั่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟเองก็สะท้านไปทันที เมื่อได้รับทราบการมาเยือนของคณะอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬ
หล่างเชียนจิน! อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน…
มันได้รับการยอมรับว่าเป็นยอดฝีมืออันดับ 2 ของแดนดิน! เป็นรองก็แต่เพียงเนี่ยอู๋เทียนอันดับ 1 ในรายนามยอดเซียนคนเดียวเท่านั้น!
ตัวตนเช่นนี้กลับมาเยือนลัทธิบูชาไฟด้วยตัวเองพร้อมนำขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของลัทธิอารามทมิฬมาด้วย เพื่อขอคารวะทักทายผู้พิทักษ์หลิงเทียน? ยังมีผู้ใดเชื่อได้ลงคอว่าพวกมันมาแค่คารวะทักทายคนจริงๆ?
“ท่านจ้าวลัทธิกับท่านผู้พิทักษ์ทั้งหลาย…คงไม่ปะทะแตกหักกับพวกมันหรอกนะ?”
“ด้วยพลังฝีมือของตัวตนอันทรงพลังเหล่านั้น หากปะทะกันขึ้นมาย่อมมิใช่เรื่องล้อเล่น! ไม่เพียงแต่พวกเราจะพลอยถูกลูกหลง กระทั่งทั่วทั้งลัทธิบูชาไฟ ไม่ 8 ก็ 9 ส่วนต้องถูกลูกหลงสาหัสแน่!!”
“ถูกแล้ว การต่อสู้ของตัวตนระดับนั้น พลังสะท้อนมิต่างอันใดกับคลื่นสมุทรอันสุดไพศาล ต่อให้พวกเราหลบหนีออกไปไกลห่างเพียงใด สุดท้ายก็ไม่พ้นปลาในบ่อ!”
“ตอนนี้ข้าเพียงหวัง…ว่าขออย่าให้ยอดฝีมือเหล่านี้สู้กันเลย…”
“การต่อสู้ย่อมมิใช่ไม่มีหนทางหลีกเลี่ยง…เว้นเสียแต่ท่านจ้าวลัทธิกับเหล่าผู้พิทักษ์ทั้งหลายจะเลือกส่งตัวผู้พิทักษ์หลิงเทียนให้พวกมันแต่โดยดี…ในเมื่อตัวอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬมาด้วยตัวเองแบบนี้ เห็นชัดว่าพวกมันได้ประกาศเจตนารมณ์ออกมาชัดเจนแล้ว”
“ทำอยางไรได้ ผู้พิทักษ์หลิงเทียนของพวกเราสังหารจ้าวราชสีห์ขนทองของพวกมันจริง แต่ตอนนั้นเพราะผู้พิทักษ์หลิงเทียนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พวกมันจึงไม่อาจสืบสาวเอาเรื่อง…ตอนนี้พอผู้พิทักษ์หลิงเทียนกลับมาลัทธิบูชาไฟ พวกมันย่อมไม่อาจนั่งเฉยอยู่ได้สืบไป! หาไม่แล้วผู้คนคงมองลัทธิอารามทมิฬของพวกมันว่ากลัวพวกเรา!!”
…
กลุ่มคนของลัทธิอารามทมิฬพึ่งมาถึงได้ไม่ทันไร เรียกว่ายังไม่ทันเข้าในเขตลัทธิบูชาไฟด้วยซ้ำ ลำพังแค่วาจาของอาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬ หล่างเชียนจิน ก็เสมือนทำให้ภายในลัทธิบูชาไฟวุ่นวายประหนึ่งบังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่!
จากเรื่องนี้สามารถเห็นได้ชัดเจน ถึงอำนาจขู่ขวัญจากชื่อเสียงของอาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬ!
“มาคารวะทักทายข้า?”
ทันทีที่เสียงของหล่างเชียนจินดังขึ้นไปทั่วลัทธิบูชาไฟ ต้วนหลิงเทียนผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงย่อมได้ยินด้วยเป็นธรรมดา
ทันใดนั้นสองตาเขาหดหยีลง ยังเผยประกายเยียบเย็นหนึ่ง
“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน ท่านจ้าวลัทธิให้ข้ามาเรียกท่าน”
หลังจากนั้นไม่นาน ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งเรียกหาจากด้านนอก
เสียงนี้ก็ไม่ใช่เสียงแปลกหูเขาแต่อย่างไร
เป็นเสียงของผู้พิทักษ์สตรีเพียงหนึ่งเดียวของลัทธิบูชาไฟ หงอวิ๋น
“ผู้พิทักษ์หงอวิ๋น”
แทบจะทันทีกับที่เสียงของหงอวิ๋นดังจบคำ ร่างต้วนหลิงเทียนก็เหินออกจากที่พักบนเกาะส่วนตัวหลังเดิมที่เขาเคยอาศัยในตอนที่ยังเป็นศิษย์ที่แท้จริง
ตอนนี้เมื่อเขาเป็นผู้พิทักษ์แล้ว แน่นอนว่าเขาต้องได้รับเกาะส่วนตัวสำหรับผู้พิทักษ์ ทว่ามันยังสร้างไม่เสร็จ!
สร้างเกาะให้ลอยกลางอากาศนั้นง่ายดายนัก แต่ที่ยากก็คือสร้างคฤหาสน์หลังเขื่องให้สวยงาม ทั้งสลักจารึกอาคมอำนวยความสะดวกอะไรทั้งหลายมากมาย ตอนนี้เหล่าศิษย์และอาวุโสในดินแดนศักดิ์สิทธิ์รวมถึงช่างมากฝีมือที่จ้างวานมาก็กำลังเร่งมือกันเต็มกำลัง
“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน กลุ่มคนจากลัทธิอารามทมิฬมาเยือนครานี้เห็นทีจะไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่…เกรงว่าคราวนี้คงต้องยุ่งยากไม่น้อยแล้ว”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเหินร่างออกมา หงอวิ๋น ก็กล่าวออกอย่างทอดถอนใจ
“ข้าก็ว่างั้นล่ะ…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วย
ยังไม่ชัดอีกรึ!?
กระทั่งอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬชนชั้นยอดฝีมืออันดับ 2 ในแดนดินมาด้วยตัวเอง ยังจะไม่ให้เรื่องมันไม่ยุ่งยากได้อย่างไร?
“แต่ท่านไม่ต้องกังวลหรอก…ท่านจ้าวลัทธิอย่างไรก็ทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว ท่านจ้าวมิจำเป็นต้องกริ่งเกรงหล่างเชียนจินอีกต่อไป!”
ผู้พิทักษ์หงอวิ๋นกล่าวตอบ
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนจะเหินร่างขึ้นฟ้าไปพร้อมๆกับหงอวิ๋น เพื่อไปพบจ้าวลัทธิบูชาไฟ
เมื่อต้วนหลิงเทียนมาถึง ไม่เพียงแต่เขากับหงอวิ๋นเท่านั้น เขายังพบว่าตอนนี้ผู้พิทักษ์อีก 3 คนก็มาถึงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ผู้พิทักษ์ชิงหั่ว และสุดท้ายก็เป็นผู้พิทักษ์เหลิ่งอิง
“ท่านจ้าวลัทธิ…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าทักทายถังซวน ค่อยหันไปมองผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ที่มาถึงก่อนพลางพยักหน้าทักทายด้วยรอยยิ้ม
ทั้งหมดคุ้นชินกับทีท่าสบายๆแลดูเป็นกันเองแบบนี้ของต้วนหลิงเทียนแต่แรกแล้วจึงไม่แปลกใจอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของลัทธิบูชาไฟ ย่อมไม่ใช่เวลาที่ใครจะมาเจ้ายศเจ้าอย่าง!
“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน..”
จ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวน มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอย่างตรงไปตรงมา “ข้ากับผู้พิทักษ์ทั้ง 4 คิดจะไปเผชิญหน้ากับกลุ่มคนลัทธิอารามทมิฬโดยตรง…แต่ข้าไม่แน่ใจว่าท่านอยากไปด้วยหรือไม่ ข้าล้วนเคารพการตัดสินใจของท่าน”
“ทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ จะให้ข้าหนีได้ยังไง?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพร้อมยักไหล่
ได้ยินวาจาทั้งแลเห็นท่าทีไม่อีนังขังขอบของต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ชิงหั่ว หงอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาชื่นชม
กระทั่งผู้พิทักษ์เหลิ่งอิงที่ไม่ค่อยจะญาติดีกับต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่ แววตายังลดทอนความแข็งกร้าวลงหลายส่วน
การเลือกของต้วนหลิงเทียนทำให้พวกมันชื่นชม
“ประเสริฐ! เช่นนั้นพวกเราก็ไปเผชิญหน้ากับพวกมัน!!”
ได้รับคำตอบของต้วนหลิงเทียน ลูกตาถังซวนก็กระพริบวาบด้วยประกายดุร้ายเยียบเย็น จากนั้นมันก็เหินร่างนำทุกคนทะยานข้ามฟ้า มุ่งหน้าไปยังจุดที่กลุ่มของลัทธิอารามทมิฬเฝ้ารออยู่ทันที!
หากเรื่องราววันนี้มันไม่อาจจัดการให้เหมาะสม ไม่เพียงแต่มันจะเสียหน้าในฐานะจ้าวลัทิบูชาไฟ กระทั่งทั้งลัทธิบูชาไฟยังต้องเสียหน้าผู้คนทั้งแดนดิน!
“ไป!”
เมื่อเห็นถังซวนทะยานนำหน้าไปอย่างดุร้าย ทุกคนที่เหลือไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็ทะยานร่างตามไปติดๆ
ในขณะที่กลุ่มต้วนหลิงเทียนทั้ง 6 คนกำลังเหินร่างข้ามฟ้าไปหมายเผชิญหน้ากับแขกไม่ได้รับเชิญอย่างคนของลัทธิอารามทมิฬนั้น…
ในลัทธิบูชาไฟ ก็ยังมีบางคนที่กลัวโลกหล้ายังวุ่นวายไม่พอ “ข้าหวังว่าลัทธิอารามทมิฬจะดุร้ายเอาเรื่องให้มากสักหน่อย ให้พวกมันฆ่าต้วนหลิงเทียนทิ้งไปเลยได้ยิ่งดี!!”
“นับเป็นข่าวอันประเสริฐนัก…ในเมื่ออาวุโสสูงสุดอย่างหล่างเชียนจินมาด้วยตัวเอง คราวนี้พวกลัทธิอารามทมิฬไม่มีวันยอมเลิกราแน่หากไม่บรรลุเป้าหมาย! ผู้พิทักษ์หลิงเทียนหรือ ข้ากลัวว่าหลังจากนี้เจ้าจะเป็นคนตาย!!”
“ตัวบัดซบต้วนหลิงเทียน ขอให้เจ้ารีบลงนรกไปเสีย!!”
…
ในบรรดาผู้ที่กลัวโลกจะวุ่นวายไม่พอ ทั้งกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ประสบเหตุร้าย ก็ย่อมไม่ขาดปู้หงกับศิษย์น้องของมันอย่างเวินเยี่ยน
ส่วนคนที่เหลือก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เคยมีเรื่องกับต้วนหลิงเทียนมาก่อนทั้งสิ้น กระทั่งเป็นสหายหรือญาติกับคนที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่า พวกมันย่อมปรารถนาให้ต้วนหลิงเทียนถูกฆ่าตาย!!
ตอนที่ 2,196 : เป็นไปไม่ได้!!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
ต้วนหลิงเทียนและผู้พิทักษ์อีก 4 คนของลัทธิบูชาไฟ เหินร่างเคียงกันไปตามหลังถังซวนจ้าวลัทธิบูชาไฟ มุ่งหน้าออกจากเขตของลัทธิบูชาไฟ
เพียงเวลาไม่นานทั้งหมดก็ออกมาพ้นเขตลัทธิบูชาไฟ
ขณะเดียวกัน ในสายตาของทั้งหมด ยังแลเห็นร่างกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งลอยอยู่กลางหาวไกลตา…
เงาร่างกลุ่มคนนั้นเดิมทีเห็นเป็นจุดดำๆเล็กๆเท่านั้น แต่ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร จุดดำก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นผู้คน และนับได้ทั้งสิ้น 6 คน…?
ผู้ที่ลอยร่างรออยู่ด้านหน้าสุดนั้น เป็นชายชราที่มาในชุดสีเทาแลดูแก่หง่อมปานเท้าข้างหนึ่งได้ก้าวเข้าไปอยู่ในโลงแล้ว
‘แพะเฒ่านั่นน่ะเหรอ หล่างเชียนจิน อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬ?’
ใจต้วนหลิงเทียนสั่นไปเบาๆยามสบตากับชายชรา ยังสามารถคาดเดาตัวตนของชายชราผู้นี้ได้ทันที
เพราะในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองสำรวจชายชรานั้น อีกฝ่ายก็กำลังมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ยามสบสายตาเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังไร้รูปขุมหนึ่งที่คล้ายแผ่ออกมากดดันในบรรยากาศ เหนือกว่าศัตรูทุกคนที่เขาเคยเจอ
“เจ้าน่ะหรือคือต้วนหลิงเทียน?”
ทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงชราหนึ่งดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนที่กำลังเหินบินเข้าใกล้กลุ่มคนเบื้องหน้า
ถึงแม้เสียงผู้กล่าวจะฟังดูแก่มาก แต่ยังคงแข็งแกร่งทั้งทรงพลัง
และเสียงนี้ก็เป็นเสียงเดียวกันกับที่ดังก้องไปทั่วทั้งลัทธิบูชาไฟก่อนหน้า บอกให้รู้ว่าผู้กล่าวย่อมเป็นคนๆเดียวกันแน่นอน!
น่าแปลกใจตรงที่เสียงกล่าวครั้งนี้ เป็นการส่งผ่านพลังมา และผู้ที่ส่งเสียงมาถึงเขาโดยตรงก็คือ หล่างเชียนจิน อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬ
“หล่างเชียนจิน?”
ต้วนหลิงเทียนที่กำลังเหินร่างอยู่ ส่งเสียงผ่านพลังย้อนถาม
“ฮึ่ม!”
และแทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม เสียงแค่นเย็นหนึ่งของหล่างเชียนจินพลันดังก้องในหูต้วนหลิงเทียนปานฟ้าร้อง
“ต้วนหลิงเทียน เจ้ามันกล้าหาญชาญชัยนัก! ถึงกับกล้าฆ่าจ้าวราชสีห์ขนทองของลัทธิอารามทมิฬข้า!!”
สิ้นเสียงแค่นสบถก็เป็นวาจาดุร้ายเยียบเย็น ปานจะขู่ขวัญต้วนหลิงเทียนให้หวาดกลัว
อยางไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนมีหรือจะหวาดกลัวกับการขู่ขวัญแบบนี้ของมัน?
“ไม่ว่าจะกล้าหาญชาญชัยเพียงไหน ก็สู้คนของลัทธิอารามทมิฬไม่ได้หรอก ที่ถึงกับไสหัวลงจากภูมิภาคเบื้องบนไปแย่งชิงสิ่งของจากรุ่นเยาว์ในภูมิภาคเบื้องล่าง…จริงสิว่าแต่นี่เจ้าชราจนยางอายแห้งหมดแล้วหรือไง ถึงกล้าไปประกาศบอกผู้คนว่าแย่งชิงยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้นไปจากข้าไปแล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบกลับไปอย่างไม่ยอมลงง่ายๆ ในวาจาทั้งน้ำเสียงยังแฝงการประชดเสียดสีไม่น้อย
เขายังจดจำได้ดี
ตอนที่เขาออกมาจากระนาบเทียมที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะสร้างไว้ เขาถึงกับต้องอึ้งไปตาปริบๆหลังได้ยินผู้คนกล่าวกันหนาหูว่า หล่างเชียนจิน อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬ ได้ประกาศออกมาว่า…มันได้แย่งชิงยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นจากเขาไปแล้ว!
เรียกว่าตอนที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เขารู้สึกว่าอาวุโสสูงสุดผู้นี้ช่างเหลวไหลได้อีก!
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายแย่งชิงยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้นจากเขาไปเลย หน้าตาของอาวุโสสูงสุดเป็นอย่างไรเขาก็ไม่แม้แต่จะเคยเห็นด้วยซ้ำ!
“เจ้า!!”
ได้ยินวาจาเสียดสีถากถางของต้วนหลิงเทียน ใบหน้าชราของหล่างเชียนจินก็เปลี่ยนเป็นเขียวสลับขาวทันที แววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนยังเปลี่ยนเป็นคมกล้าปานมีดดาบ
หากสายตาของมันฆ่าผู้คนได้ ไม่ทราบต้วนหลิงเทียนจะถูกฆ่าตายไปกี่รอบ!
ในตอนแรกที่มันประกาศหลอกลวงออกมา ก็เพื่อสร้างภาพลวงตาให้ผู้คนคิดไปว่ายอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นของต้วนหลิงเทียนตกอยู่ในมือของมันแล้ว…
จุดประสงค์ของการกระทำนี้ แน่นอนว่าเพื่อให้คนอื่นเลิกเพ่งเล็งต้วนหลิงเทียนเพราะความคิดอยากแย่งชิงยอดศาสตราเซียนอีกต่อไป เช่นนั้นจะทำให้มันมีโอกาสได้รับยอดศาสตราเซียนในมือต้วนหลิงเทียนมากขึ้น!
ตอนนี้ในเมื่อต้วนหลิงเทียนพูดออกมาแบบนี้ เห็นชัดว่าเจตนาเย้ยเยาะหยามหน้ามันชัดเจน!
เมื่อไม่นานมานี้มันเองก็ต้องตกเป็นขี้ปากผู้คนทั้งแดนดินไปแล้ว เพราะถูกจับโกหกในเรื่องนี้ได้ กระทั่งผู้คนในลัทธิอารามทมิฬเองยังมีบางคนหมดศรัทธามันไม่น้อย เพราะมันที่เป็นถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน กลับปั้นน้ำเป็นตัวเพียงเพราะคิดมุ่งหวังยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้น!
ช่างน่าอัปยศอดสูนัก!
ตอนนี้เมื่อต้วนหลิงเทียนพูดเสียดสีออกมา ย่อมไม่ต่างอะไรจากขุดแขวะแผลเก่า! พาลให้มันรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที!!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
และในที่สุด ต้วนหลิงเทียนและผู้พิทักษ์อีก 4 คนของลัทธิบูชาไฟรวมถึงถังซวนก็มาหยุดลงเบื้องหน้ากลุ่มคนลัทธิอารามทมิฬ
“อาวุโสหล่าง วันนี้…ไม่ทราบลมอะไรหอบท่านมาถึงลัทธิบูชาไฟของข้าได้เล่า? ช่างเป็นเกียรติแก่ลัทธิบูชาไฟของข้าแล้วจริงๆ!”
จ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวน มองไปยังหล่างเชียนจิน อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬด้วยรอยยิ้มอบอุ่น พลางกล่าวคำทักทายออกมา
“ฮึ่ม!”
อย่างไรก็ตาม แม้ได้รับการทักทายด้วยรอยยิ้มมากไมตรีของถังซวน หล่างเชียนจินกลับตะคอกเสียงเย็นตอบกลับ ยังพูดออกมาตรงๆว่า “จ้าวลัทธิถัง สาเหตุที่พวกเรามาท่านคงเดาได้แต่แรก…วันนี้พวกเราเพียงขอให้ท่านส่งมอบตัวคนที่ฆ่าจ้าวราชสีห์ขนทองออกมาเสีย!”
“หากไม่ส่งมอบคนออกมาแต่โดยดี ก็อย่าได้หาว่าข้าไม่เตือน!”
เรียกว่าหล่างเชียนจินกล่าวออกมาโต้งๆ น้ำเสียงยังคล้ายขาดความอดทน!
และทันทีที่มันกล่าวจบคำ มันก็ละสายตาออกจากถังซวน และกลับมามองจ้องต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง แน่นอนว่าสายตาของมันยังคงคมกล้าเหมือนมีดดาบ
ความตรงไปตรงมานี้ของหล่างเชียนจิน ทำให้ถังซวนกับผู้พิทักษ์อีก 4 คนที่เหลือของลัทธิบูชาไฟตะลึงไปแล้วจริงๆ
อาวุโสสูงสุดของลัทธิบูชาไฟ จะไม่ใจร้อนเกินวัยไปหน่อยหรือ?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถังซวน มันไม่ใช่ว่าจะไม่เคยข้องแวะกับอีกฝ่ายมาก่อน แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬคนนี้ กลับเป็นคนขาดความอดทนได้ถึงขนาดนี้!
มีเพียงต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่ไม่ได้แปลกใจอะไร
นั่นเพราะตอนนี้ หล่างเชียนจิน สมควรกำลังหัวร้อนกับวาจาจิกกัดถากถางซึ่งๆหน้าของเขาถึงขีดสุด! เกรงว่าอีกฝ่ายคงแทบทนรอฆ่าเขาไม่ไหวแล้ว คงอยากจะรีบฆ่าเขาเพื่อล้างอายตัวเองทั้งล้างแค้นให้จ้าวราชสีห์ขนทองจนตัวสั่น!!
ในขณะที่คนอื่นๆไม่เว้นถังซวนกำลังมองอาวุโสสูงสุดด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด ต้วนหลิงเทียนพลันละสายตาจากชายชราหนังเหี่ยว ไปมองคนอื่นๆด้านหลังแทน
กล่าวให้ชัดสายตาของเขาตกไปยังร่าง 3 ร่างที่ลอยอยู่ถัดจากชายชรา
‘ผู้หญิงชุดม่วงคนนี้ไม่พ้น พญามังกรเสื้อม่วง ผู้นำมหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬที่ร่ำลือแน่นอน!’
ต้วนหลิงเทียนที่มองสำรวจสตรีเพียงคนเดียวในกลุ่มคนหลังหล่างเชียนจินก่อนเป็นคนแรก เพราะนางให้ความรู้สึกเตะตากว่าใครในบรรดาคนที่ลอยอยู่ด้านหลังหล่างเชียนจิน
สตรีในชุดสีม่วงนางนี้ แม้ใบหน้าจะมีผ้าปิดปากสีม่วงปกปิดเอาไว้ครึ่งใบหน้า แต่ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่เปิดเผยออกมาก็นับว่างดงามไม่น้อย บอกให้รู้ว่าใบหน้าอีกครึ่งใต้ม่านผ้าก็ต้องน่าดูเช่นกัน
‘พญามังกรเสื้อม่วงคนนี้เป็นเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน เดิมทีอยู่ในอันดับที่ 10 ของรายนามยอดเซียน…แต่พอผู้ฝึกตนอิสระของนครแห่งบาปคนเก่าที่ติดอันดับ 9 ตายในระนาบเทียมของพวก 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่น นางก็เลยเลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับ 9 แทน…’
ในใจต้วนหลิงเทียนปรากฏข้อมูลหนึ่งวาบขึ้นมา เป็นข้อมูลที่เขาอ่านเจอจากรายนามยอดเซียนฉบับล่าสุด
‘ส่วนชายหนุ่มชุดขาวนี่ ไม่พ้นเป็นจ้าวพยัคฆ์ขาว 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ! ยังเป็นเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน ที่งรั้งอยู่ในอันดับ 10 ของรายนามยอดเซียน…’
สายตาต้วนหลิงเทียนละออกจากร่างพญามังกรเสื้อม่วงไป ตกยังร่างชายหนุ่มชุดขาวที่ลอยข้างๆนาง
ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้รูปร่างแลดูกำยำแข็งแกร่ง เพียงลอยร่างอยู่ตรงนั้นก็ให้ความรู้สึกเสมือนมันเป็นปราการเหล็กยากทำลาย!
มีร่าง 3 ร่างลอยอยู่ด้านหลังหล่างเชียนจิน อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬ ก่อนที่จะเป็นอีก 2 คนที่อยู่ถัดไปอีกที
เช่นนั้นก็ไม่ยากที่ต้วนหลิงเทียนจะคาดเดาตัวตนของผู้คนลัทธิอารามทมิฬที่มาทั้งหมดได้จากตำแหน่งลอยตัว
‘ถ้างั้นชายชราชุดดำลายปักกะโหลกแดงข้างๆ จ้าวพยัคฆ์ขาวคนนี้…ไม่พ้นเป็นจ้าวลัทธิอารามทมิฬ สุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนสินะ’
สุดท้ายความสนใจของต้วนหลิงเทียนก็ไปตกยังร่างชายชราชุดดำ ที่สมควรเป็นจ้าวอาราม
ไม่ใช่ว่าเขาคิดดูถูกมันแต่อย่างไร
แต่ต่อหน้าอาวุโสสูงสุด และมหาธรรมราชาที่โดดเด่นทั้ง 2 คนนั้น ตัวตนของมันกลายเป็นจืดจางลงไปหลายส่วน แลดูไม่โดดเด่นอะไรเลย เพราะพลังฝีมือของมันต่างจาก 3 คนนี้มากเกินไป
“อาวุโสหล่าง…”
เผชิญหน้ากับวาจาดุร้ายของอาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬหล่างเชียนจิน จ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวน พลันมองกล่าวออกมาเสียงเย็น “ในเมื่อท่านกล่าวออกมาตรงๆ เช่นนั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อมเช่นกัน…เรื่องให้ข้าส่งตัวผู้พิทักษ์หลิงเทียนออกไปให้ท่าน…เป็นไปไม่ได้!!”
เป็นไปไม่ได้!!
ท้ายประโยคของถังซวนนั้น น้ำเสียงยังแข็งกร้าวไม่เว้นช่องให้โตแย้ง!
ให้มันส่งตัวต้วนหลิงเทียนออกไป?
ไม่มีวัน!!
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนถือครองยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมาร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับลัทธิบูชาไฟ ยามเผ่าพันธุ์ปีศาจยกทัพบุกขึ้นมาในภูมิภาคเบื้องบนเลย…
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังมีอีก ฐานะ หนึ่งที่สำคัญกับลัทธิบูชาไฟอย่างหามหาศาล ผู้พิทักษ์! ไม่เพียงแต่เรื่องส่งตัวต้วนหลิงเทียนออกไปจะเป็นไปไม่ได้ มันยังไม่กล้าที่จะทำแบบนั้น!!
เพราะตอนนี้มันยังบังเกิดความสงสัยว่าต้วนหลิงเทียนอาจเป็น ‘บุรุษ’ ที่ธิดาเทพมีสัมพันธ์ด้วยในภูมิภาคเบื้องล่าง!
สิ่งที่แย่ยิ่งกว่าเปิดศึกกับลัทธิอารามทมิฬก็คือ เรื่องที่มันยังไม่อาจยืนยันได้ว่าต้วนหลิงเทียนใช่บุรุษที่ทำให้ธิดาเทพมีมลทินหรือไม่นี่เอง!
หากมันไม่อาจยืนยันเรื่องนี้ได้แน่ชัด แล้วเกิดส่งตัวต้วนหลิงเทียนให้ลัทธิอารามทมิฬขึ้นมา จนสุดท้าย…หลังต้วนหลิงเทียนตกตายไปมันค่อยมาทราบทีหลังว่าต้วนหลิงเทียนคือ บุรุษของธิดาเทพจริงๆ…
ในภายภาคหน้าหาก ‘ท่านผู้นั้น’ ที่ทรงพลังประหนึ่งเทพเจ้าหวนกลับมา และพบว่าคนที่ทำให้ธิดาเทพมีมลทินกลับตกตายด้วยน้ำมือของคนอื่นไปแล้ว และเป็นมันที่ส่งตัวออกไปให้ผู้อื่นฆ่าตายกับมือ…
อีกฝ่ายจะต้องมีโมโหถึงที่สุด! และความพิโรธของท่านผู้นั้นเกรงว่าจะขยี้โลกทั้งใบให้แหลกเป็นจุณก็ไม่เกินเลย!!
เพราะมันรู้ดีแก่ใจ…
ถ้าต้วนหลิงเทียนเป็นคนที่ทำให้เทพธิดาเทพแปดเปื้อนมีมลทินจริง ถึงต้วนหลิงเทียนต้องตายแน่ๆ แต่สามารถตายด้วยมือ ‘ท่านผู้นั้น’ ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น!
‘ท่านผู้ที่ทรงพลังอย่างถึงที่สุดคนนั้น แม้ปากจะบอกว่าธิดาเทพเป็นลูกพี่ลูกน้อง…แต่ทุกคราที่เอ่ยถึงธิดาเทพ ในแววตากลับเต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะครอบครองธิดาเทพ! ยังเป็นความปรารถนาอันลึกสุดใจ!!’
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใจของถังซวนก็สะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ
ด้วยเหตุนี้ก่อนที่มันจะยืนยันได้เต็มสิบส่วนว่าต้วนหลิงเทียนใช่บุรุษที่ทำให้ธิดาเทพแปกเปื้อนหรือไม่…ไม่เพียงแต่เป็นไปไม่ได้ที่จะส่งมอบต้วนหลิงเทียนให้ใคร มันยังไม่มีความกล้าจะส่งตัวต้วนหลิงเทียนออกไป!
หากต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนที่ทำให้ธิดาเทพมีมลทินก็แล้วไป อย่างดีมันก็แค่สูญเสียผู้พิทักษ์มือดี และยอดศาสตราเซียนที่จะทำให้มันเป็นวีรบุรุษในสงครามมนุษย์ปีศาจไปเท่านั้น…แต่ถ้าต้วนหลิงเทียนเป็นผู้ที่พรากความบริสุทธิ์ของธิดาเทพไปขึ้นมาจริงๆล่ะก็…
ถึงตอนนั้นเกรงว่าเรื่องราวคงไม่จบลงง่ายๆเหมือนเรื่องที่มันเสียผู้พิทักษ์กับยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารไปแน่นอน…
ตัวมัน…แม้แต่ลัทธิบูชาไฟที่อยู่เบื้องหลังมัน ไม่พ้นต้องกลายเป็นเถ้าธุลีภายใต้โทสะของท่านผู้นั้นที่ทรงพลังอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง!
‘ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่นาน จะถึงวันที่ท่านผู้นั้นจะหวนกลับมาปรากกฏที่ระนาบของพวกเรา…’
เมื่อนึกถึงวาจาที่ท่านผู้นั้นอันน่าสะพรึงกลัวกล่าวไว้ก่อนจากไป ถังซวนอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะเวลาที่ท่านผู้นั้นกำลังจะหวนกลับมา เหลืออีกแค่ไม่นานแล้ว+
กล่าวไปก็ช่างรวดเร็วเหลือเกิน…มันรู้สึกเสมือนวันเวลานับร้อยปีผ่านไปในชั่วพริบตาด้วยซ้ำ…
“เป็นไปไม่ได้รึ?”
วาจาตอบเสียงแข็งของถังซวนที่ไม่คิดเปิดโอกาสให้โต้แย้งนั้น ทำให้สีหน้าท่าทีหล่างเชียนจิน อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬเปลี่ยนไปทันที แววตายังเผยประกายเย็นชาวูบวาบ
และกลุ่มคนของลัทิอารามทมิฬที่ลอยร่างด้านหลังหล่างเชียนจินก็เปลี่ยนทีท่าไปทันทีเช่นกันหลังได้ยินคำตอบยืนกรานของถังซวน
“ถังซวน ดูเหมือนเรื่องที่สามารถทะลวงไปถึงด่านพลังเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้ จะทำให้เจ้าบังเกิดความมั่นใจในตัวเองครั้งใหญ่…”
วาจานี้ของหล่างเชียนจินประหนึ่งจะผุดแทรกขึ้นมาจากหล่มน้ำแข็งก็ไม่ปาน ช่างเย็นชาหนาวเหน็บนัก
ตอนที่ 2,197 : ความร้ายกาจของจ้าวลัทธิบูชาไฟ
เสียงของอาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬ หล่างเชียนจิน นั้นเยียบเย็นเหลือเกิน ทำให้ทุกคนรู้สึกเสมือนฤดูหนาวได้มาเยือนแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“ก่อนหน้านี้ต่อหน้าอาวุโสหล่างข้าทำได้แค่เพียงใช้เวทย์พลังเหลือหลบหนี…ทว่าตอนนี้ให้ข้าได้รับทราบสักครา ว่าระหว่างข้ากับอาวุโสหล่างที่แท้ต่างกันเท่าใด”
เผชิญหน้ากับหล่างเชียนจินที่เผยโทสะให้เห็นชัด ถังซวนเพียงกล่าววาจาออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ในวาจาเผยให้เห็นเรื่องหนึ่งชัดเจน…
มันไม่กลัวที่จะสู้กับหล่างเชียนจิน!
ในกาลก่อนยามพลังฝึกปรือของถังซวนอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน เมื่อเผชิญหน้ากับ หล่างเชียนจิน อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬ มันก็ทำได้แค่หลบหนีเท่านั้น…เพราะมันไม่ใช่คู่มือของหล่างเชียนจินเลย!
อาศัยเวทย์พลังเสริมท่าร่างของ ‘ท่านผู้นั้น’ ที่เป็นดั่งตัวตนอันทรงพลังปานเทพเจ้ามอบให้ แม้มันจะมีพลังฝึกปรือเพียงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน แต่หากมันต้องการก็สามารถหลบหนีได้แม้จะอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!
ไม่กี่ปีที่ผ่านมาถังซวนยังอาศัยเวทย์พลังนี้ รอดพ้นเงื้อมมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั้ง 2 คนมาได้หลายครั้ง แถมยังใช้ข่มขู่อีกฝ่าย จนไม่กล้าทำลายลัทธิบูชาไฟ!
หาไม่แล้วลัทธิบูชาไฟที่ไม่มีเซียนสววรรค์ 9 เปลี่ยนคอยปกปักษ์ ไม่พ้นต้องถูกลัทธิอารามทมิฬกับลัทธิชะตาฟ้าร่วมมือกันทำลายทั้งหั่นแบ่งผลประโยชน์กันไปนานแล้ว…
“นี่…”
ความดุร้ายก้าวร้าวของถังซวนไม่เพียงแต่ทำให้ อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬและมหาธรรมราชาทั้ง 2 ตกใจเท่านั้น ยังทำให้ผู้พิทักษ์ทั้ง 5 ของลัทธบูชาไฟรวมถึงต้วนหลิงเทียนสับสนเช่นกัน
ไม่มีใครคิดฝันจริงๆว่า จ้าวลัทธิบูชาไฟจะไม่พูดพร่ำทำเพลง พริบตาก็คิดสู้แตกหักกับอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬทันที!?
ไม่ต่อรองอะไรหน่อยหรือ?
แต่คงไม่มีใครคิดฝัน…
ที่ถังซวนดุร้ายตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแบบนี้ เพราะมันนึกถึง ท่านผู้นั้น ที่แข็งแกร่งราววกับเทพเจ้าที่มันได้พบหลายสิบปีก่อน…
ก่อนที่จะยืนยันได้แน่ชัดว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่บุรุษที่ทำลายความบริสุทธิ์ของธิดาเทพจริงๆ มันไม่กล้าปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนเกิดเรื่องใดๆทั้งสิ้น!
อีกทั้งหากสุดท้ายยืนยันว่าต้วนหลิงเทียนเป็นตัวการจริงๆ แล้วต้วนหลิงเทียนตกตายด้วยน้ำมือผู้อื่น…ยามท่านผู้นั้นที่เข้มแข็งปานเทพเจ้าหวนกลับมาสู่โลกใบนี้ และคิดฆ่าต้วนหลิงเทียนด้วยมือตัวเองขึ้นมาก็ย่ำแย่แล้ว!!
ด้วยพลังอันน่าพรั่นพรึงของท่านผู้นั้น อย่าว่าแต่มันจะตายอนาถอย่างที่ไม่ต้องสงสัยเลย…กระทั่งลัทธิบูชาไฟของมันไม่พ้นต้องมอดไหม้เป็นธุลีดิน!
ด้วยเหตุนี้ทีท่าของถังซวนจึงดุร้ายแข็งกร้าวนัก! ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับหล่างเชียนจินที่คิดฆ่าต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย ยังกล้าสู้กับหล่างเชียนจินอย่างไม่ลังเล!
ตอนที่มันยังไม่ทะลวงด่านพลังและยังรั้งอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน มันก็ไม่กลัวหล่างเชียนจิน
นับประสาอะไรกับตอนนี้!
กระทั่งตั้งแต่ทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนมา ลึกลงไปในใจมันยังอยากจะสู้ตัดสินกับหล่างเชียนจินให้รู้แล้วรู้รอดด้วยซ้ำ!
เพราะในอดีต ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่มันต้องเผชิญหน้ากับหล่างเชียนจิน มันก็ทำได้แค่วิ่งหนี! ทำให้มันบังเกิดความคับแค้นใจมาโดยตลอด!!
ตอนนี้เมื่อพลังฝีมือมันสูงพอแล้ว มันย่อมอยากวัดกับหล่างเชียนจินให้รู้เรื่อง!
แต่แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่เพราะหวาดกลัวท่านผู้นั้นที่ทรงพลังราวเทพเจ้า แม้มันจะอยากวัดกับหล่างเชียนจินเพียงใด แต่ก็คงไม่ดุร้ายก้าวร้าวถึงขั้นที่พร้อมระเบิดการต่อสู้ทันทีเช่นนี้…
เรียกว่าสาเหตุที่ทำให้มันตัดสินใจสู้ทันทีก็เพราะกลัว ท่านผู้นั้น จากก้นบึ้งของใจ!
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้…คงมิใช่ลูกชู้ของจ้าวลัทธิบูชาไฟหรอกนะ?”
ในขณะที่หล่างเชียนจินตกตะลึงกับความดุร้ายก้าวร้าวของถังซวน คนลัทธิอารามทมิฬที่เหลืออดไม่ได้ที่จะคิดไปทำนองนี้
หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนเป็นบุตรนอกสมรสของถังซวน ไฉนอีกฝ่ายคล้ายกลายเป็นหน้ามืดตามัวตัดสินใจโดยไม่คิดขนาดนี้ได้?
ยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารแม้มีค่ามหาศาล แต่คุณค่าก็คงไม่มากพอถึงขั้นทำให้ถังซวนลงมืออย่างไม่ยั้งคิดใช่หรือไม่?
ไม่ใช่แค่คนของลัทธิอารามทมิฬไม่กี่คนที่บุกมา กระทั่งคนของลัทธิบูชาไฟอีก 4 คนนอกจากต้วนหลิงเทียนยังคิดไปทำนองเดียวกัน
แต่แน่นอนว่าพวกมันมั่นใจได้
ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรกับจ้าวลัทธิของพวกมันทั้งสิ้น!
‘จ้าวลัทธิบูชาไฟผู้นี้จะปกป้องข้าออกหน้าออกตาเกินไปรึเปล่า…ยิ่งไปกว่านั้นท่าทางยังใส่ใจข้าผิดปกติ…’
ตอนนี้กระทั่งตัวต้วนหลิงเทียนเองยังอดไม่ได้ที่จะงุนงง
นี่เขามีคุณค่าขนาดไหนกัน ถึงขั้นทำให้ถังซวนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็คิดปะทะกับยอดฝีมืออันดับ 2 ในรายนามยอดเซียนได้ทันที?
“ดี! ดี….ดี!!”
หลังคืนสติหล่างเชียนจินก็ระเบิดคำ ดี ออกมา 3 ครั้ง น้ำเสียงยังหนักอึ้งนัก! เห็นชัดว่ามันมีโทสะมากมายเพียงใด!!
ถังซวนไร้ซึ่งความลังเลใดๆเลือกที่จะสู้กับมันอย่างไม่ไว้หน้า แต่ตัวมันก็ไม่ใช่ว่าจะบ้ารบกับถังซวนอย่างไร้หัวคิด!
เพราะถังซวนคนก่อน ยังไม่นับว่าเป็นอะไร….
แต่ตอนนี้ถังซวนกลายเป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหมือนมัน! ถึงพลังฝีมืออาจจะยังไม่เท่ามัน แต่ก็ไม่มีทางอ่อนด้อยกว่ามันแน่!!
นอกจากนั้นด้วยอาศัยเวทย์พลังเสริมความเคลื่อนไหวนั่น ถังซวน เปรียบเสมือนอยู่ในตำแหน่งคงกระพันไร้พ่ายตลอดเวลาที่สู้กับมัน!
มันจึงไม่ได้มีเปรียบอะไรถังซวนเลยแม้แต่น้อยหากต้องสู้กันจริงๆ!
ด้วยเหตุนี้มันเลยไม่ค่อยเต็มใจจะสู้กกับถังซวนสักเท่าไหร่ หากไม่จำเป็น!
“ถังซวน!”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง หล่างเชียนจินลดทอนโทสะลงเล็กน้อย ค่อยกล่าวกับถังซวนเสียงเข้มว่า “ข้ารู้ดีว่าเจ้าให้ความสำคัญกับยอดศาสตราเซียนที่อยู่ในมือต้วนหลิงเทียนอย่างตราผนึกมาร…และเป็นไปได้ว่าตอนนี้ตราผนึกมารอาจไม่ได้อยู่ในร่างของมันและถูกซ่อนเอาไว้ที่อื่น…”
“อย่างไรก็ตาม…วันนี้หากเจ้าเต็มใจส่งตัวต้วนหลิงเทียนให้ข้า ข้าในนามอาวุโสสูงุสดของลัทธิอารามทมิฬ ยินดีที่จะกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ เพื่อให้คำมั่นกับเจ้า…”
“ว่าต่อไปในภายภาคหน้าหากผู้ใดได้รับตราผนึกมารไป ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อคว้ามันมาให้ได้ และจักส่งมอบให้เจ้ากับมือ…”
“และหากตราผนึกมารอยู่ในตัวของมันล่ะก็ หลังจากที่ข้าฆ่ามันได้แล้วข้าจะส่งมอบให้เจ้าทันที!!”
ฟังจากสิ่งที่หล่างเชียนจินกล่าวออกมา เห็นได้ชัดว่ามันกำลังคิดว่าสาเหตุที่ถังซวนปกป้องต้วนหลิงเทียนขนาดนี้เพราะยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมาร!
ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่อาจโลภในตราผนึกมารได้อีก
มันถึงกับยินดีกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์วว่าจะมอบตราผนึกมารให้ถังซวน!
ตราบใดที่มันได้ตัวต้วนหลิงเทียน!
เรียกว่าทันทีที่หล่างเชียนจินกล่าวออกมาแบบนี้ ก็เสมือนหาทางลงให้ตัวเองได้
‘แพะเฒ่าของลัทธิอารามทมิฬกำลังหาทางถอย?’
ต้วนหลิงเทียนอึ้ง
ตอนแรกเขาคิดว่าแพะเฒ่าตัวนี้มีโมโหหนักมากถึงขั้นคิดรบกับถังซวนให้เละกันไปข้างทันที แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายมันกลับเลือกหนทางประนีประนอม
อย่างไรก็ตามพอนึกดีๆเข้าก็เข้าใจได้ไม่ยาก
ตัวตนทรงพลังขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เมื่อต้องปะทะกันจริงๆ ผลกระทบที่เกิดขึ้นย่อมร้ายแรงมาก…
กอปรทั้งเวทย์พลังเสริมท่าร่างที่ถังซวนเชี่ยวชาญ เห็นว่าได้รับการยอมรับว่าเป็นเวทย์พลังเสริมท่าร่างที่ยอดเยี่ยมที่สุดในแดนดิน แม้ต้องประมือกับหล่างเชียนจินขึ้นมาจริงๆ ก็อยู่ในสภานะที่ไม่มีวันพ่ายแพ้ได้เลย…
จึงเป็นธรรมดาที่หล่างเชียนจินจะหวาดกลัว
ถึงแม้ว่าคนอื่นจะเข้าใจเช่นกันว่าไฉนหล่างเชียนจินเลือกที่จะถอยก้าวหนึ่ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจกันอยู่ดี
และเมื่อสิ้นเสียงของหล่างเชียนจิน ทั้งหมดก็หันไปมองจ้องถังซวนเป็นสายตาเดียวกัน…
หล่างเชียนจินเลือกถอยให้ก้าวหนึ่งแล้ว…
ถังซวนจะยอมหรือไม่?
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็ยังลุ้นอยู่ในใจไม่น้อย ว่าตกลงถังซวนจะเอาอย่างไร ใช่ยอมถอยหรือไม่…
เพราะหากเขาลองมองในมุมถังซวน เขาอาจจะเลือกถอยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามทีท่าต่อมาของถังซวนไม่เพียงแต่จะทำให้หล่างเชียนจินและคนอื่นๆตกตะลึง กระทั่งตัวต้วนหลิงเทียนยังอึ้งไปจริงๆ!
“ไม่ว่าต้วนหลิงเทียนจะมียอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารหรือไม่มี วันนี้ข้าก็ไม่มีวันส่งมอบคนให้ท่าน!”
ถังซวนกลับยืนกรานดังเดิม!!
วาจานี้แม้จะกล่าวออกด้วยถ้อยคำฟังดูธรรมดา แต่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ!
ฉากเรื่องราวกลายเป็นเงียบงัน กระทั่งทุกคนยังถึงกับลืมหายใจไปครู่หนึ่ง!
“จ้าวลัทธิ…”
ต้วนหลิงเทียนเองก็อดงุนงงกับวาจานี้ของถังซวนไม่ได้ ขณะเดียวกกันก็มองจ้องไปยังถังซวนด้วยสายตาไม่เข้าใจ กระทั่งแววตายังฉายความสับสนไม่น้อย
เพราะสุดท้ายแล้ว ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ถังซวนมีทีท่าแบบนี้กับเขา
แม้จะเป็นคนไร้หัวใจ เกรงว่ายังอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวไปกับทีท่าของถังซวน นับประสาอะไรกับต้วนหลิงเทียน!
เป็นธรรมดาว่าทั้งหมดเพราะต้วนหลิงเทียนไม่รู้ความคิดในหัวถังซวน หาไม่แล้วเขาคงไม่หวั่นไหวอะไร แต่คงเป็นกังวลถึงที่สุด…!
เพราะสุดท้ายแล้วนี่หมายความว่าถังซวนได้เริ่มสงสัยระแคะระคายขึ้นมาแล้ว ว่าเขาอาจเป็นบุรุษที่ธิดาเทพพบเจอในภูมิภาคด้านล่าง!
“ถังซวน!”
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง หล่างเชียนจินที่ฟื้นตัวก่อนใครก็คำรามออกมาเสียงเหี้ยม!
เสียงของมันดั่งฟ้าร้องก็ไม่ปาน ยังมีอานุภาพพลังเกรี้ยวกราดพาลให้เมฆกลางฟ้าเริ่มสะท้านสะเทือน! พากันกระจัดกระจายหายไปทันที!!
เสียงคำรามนี้ยังแฝงเร้นไปด้วยพลังเซียนต้นกำเนิดอันแข็งแกร่ง ทำให้มันแพร่ดังไปถึงลัทธบูชาไฟ! ยังสร้างผลกระทบไม่น้อย!!
และสถานที่แรกที่ต้องพบพานกับผลกระทบดังกล่าวก็คือ แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่อยู่ใกล้ที่สุด!
“ถังซวน!!”
“ถังซวน!!”
…
เรียกว่าเมื่อเสียงของหล่างเชียนจินดังมาถึงแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว มันก็ดังกึกก้องไปทั่วแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว! ยังดังเกินกว่าที่ผู้คนจะทนฟัง!!
พลังเซียนต้นกำเนิดที่ผสานควบมาในเสียง กระทั่งอาวุโสขอบเขตเซียนสวรรค์ทั้งหลายยังยากทานทน เช่นนั้นศิษย์ของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยก็ย่ำแย่หนักแล้ว! แต่ละคนปรากฏโลหิตไหลออกทวารทั้ง 7!!
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดยังอดสะท้านใจสั่นไปไม่ได้ หลังได้ยินเสียงคำรามดังกล่าว เพราะพวกมันจดจำได้ว่านี่เป็นเสียงใคร…
“นี่มันอะไรกัน!? เจ้าของเสียงนี่มิใช่หล่างเชียนจินอาวุโสสูงุสดของลัทธิอารามทมิฬหรอกหรือ?!”
“ดูเหมือนมันกำลังมีโทสะนัก…อย่าได้บอกข้าเชียวนะ ว่ามันกำลังจะสู้กับท่านจ้าวลัทธิ!?”
“สวรรค์! มันเป็นถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน อันดับ 2 ในรายนามยอดเซียนเชียวนะ! กับอีแค่เสียงคำรามของมันยังทำร้ายศิษย์ของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวเราขนาดนี้! หากลงมือขึ้นมาจริงๆเล่า!!”
“ย่ำแย่แล้ว! เรื่องนี้เลวร้ายยิ่ง! รีบให้เหล่าศิษย์เตรียมการอพยพเร็วเข้า!!”
…
เมื่ออยู่ๆเกิดเรื่องที่ไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ขึ้น แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวย่อมตื่นตระหนกกันไม่น้อย!!
สำหรับสถานที่อื่นๆ แม้พวกมันจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากผลกระทบเหมือนแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว แต่ส่วนใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ ทั้งหวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงคำรามด้วยโทสะของหล่างเชียนจิน!
“ศิษย์น้องหลิงเทียน…”
สองพี่น้องสกุลหลิวที่ไม่ทราบมารวมตัวกันตั้งแต่เมื่อใด พอได้ยินเสียงคำรามของหล่างเชียนจิน พวกมันก็ยิ่งเป็นห่วงต้วนหลิงเทียนมากขึ้น
“เยี่ยม! อาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬ เจ้าต้องฆ่าตัวบัดซบต้วนหลิงเทียนนั่นให้ได้!!”
เวินเยี่ยนที่อยู่ในเกาะส่วนตัว ถึงกับลุกขึ้นยืนกำหมัดแน่น กล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงดุร้าย
“ต้วนหลิงเทียน…คราวนี้เจ้าได้ฉิบหายแน่!”
ภายในแท่นบูชามังกรคราม ปู้หง ที่อาศัยอยู่ในบ้านพักของหลูเถี่ย ก็เต็มไปด้วยความสุขความยินดี ราวกับได้เห็นฉากต้วนหลิงเทียนถูกคนฆ่าตายแล้ว…
ด้านนอกลัทธิบูชาไฟ
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ คงมิใช่ลูกนอกสมรสของจ้าวลัทธิบูชาไฟจริงๆหรอกนะ?”
จ้าวลัทธิอารามทมิฬที่ยืนอยู่ด้านหลัง หล่างเชียนจิน อดไม่ได้ที่จะสงสัยในเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง…
ตอนที่ 2,198 : การปะทะกันของยอดฝีมือระดับแนวหน้า
กระทั่งผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ของลัทธิบูชาไฟ จังหวะนี้ยังถึงกับต้องมองถังซวนอีกกครั้งด้วยสายตาแปลกออกไป!
เพราะพวกมันเองก็รู้สึกว่าท่าทีครั้งนี้ของจ้าวลัทธิของพวกมันผิดปกตินัก!
“เป็นเพราะพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนหรือไม่…ที่ทำให้ท่านจ้าวลัทธิไม่คิดจะละทิ้งมัน?”
จังหวะนี้พวกมันอดไม่ได้ที่จะคิดกันไปทำนองดังกล่าว
เพราะสุดท้ายแล้วหากตัดสินจากความสำเร็จของต้วนหลิงเทียน แม้กระทั่งมองผ่านไปตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็เป็นหนึ่งไม่มีสอง…
อย่างไรก็ตามพอฉุกคิดอีกครั้ง พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะปัดความคิดดังกล่าวให้ตกไป…
เพราะถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้ แต่ในสายตาของพวกมันมองว่าสมควรเกี่ยวข้องกับ ‘สิ่ง’ ที่ถูกทิ้งไว้ของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้งสิ้น!
พวกมันคาดเดาว่า…
ระนาบเทียมแห่งนั้น…ไม่เชิงเป็นกับดักเสียทีเดียว! แต่ผู้คนส่วนใหญ่เพียงตกตายในนั้นมากกว่า!!
และมีเพียงผู้ที่โชคดีเท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตอยู่ในกับดักนั่นได้ และได้รับวาสนาทั้งหมดในระนาบเทียมแห่งนั้น
ในสายตาของพวกมัน…
ความสำเร็จในวันนี้ของต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าก็จริงที่เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ส่วนตัวอยู่บ้าง แต่ความดีความชอบทั้งหมดสมควรยกให้ ‘คลังสมบัติ’ ที่เหลือทิ้งไว้ด้วยน้ำมือของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะมากกว่า!!
บางทีพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้อาจจะทัดเทียมกับเซียนสววรรค์ 8 เปลี่ยนจริง…
แต่หากจะก้าวหน้าไปให้ไกลกว่านี้อาจจะเป็นเรื่องยาก!
เพราะสุดท้ายแล้วพรสววรรค์ส่วนตัวของต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ท้าทายสวรรค์อะไรขนาดนั้น!
เรื่องนี้สามารถเห็นได้ชัดจาก พรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินที่ต้วนหลิงเทียนเคยเปิดเผยออกมาเมื่อหลายปีก่อน
และในขณะที่เหล่า 4 ผู้พิทักษ์กำลังคิดทบทวนว่าไฉนจ้าวลัทธิของพวกมันถึงมีทีท่าแบบนี้นั้นเอง…
ปงงงง!!
ทันใดนั้นบังเกิดเสียงสนั่นลั่นดังไปทั่ว ปานจะสะท้านสะเทือนไปทั้งโลกหล้า!!
ครู่ต่อมาคลื่นอากาศอันรุนแรงเปี่ยมพลังสะท้อนสุดไพศาลก็ซัดกระแทกออกมาจากจุดที่ หล่างเชียนจิน อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬเคยลอยอยู่!!
เป็นคลื่นกระแทกอันน่าพรั่นพรึง! กวาดกำจายออกไปรอบทิศ! มองไกลๆยังคล้ายมีดอกเห็ดผุดขึ้น!!
ทันใดนั้นทุกคนยกเว้นหล่างเชียนจินและจ้าวลัทธิบูชาไฟ ถึงกับถูกระเบิดซัดออกมา!
แม้แต่ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนไม่กี่คน ก็ยังถูกคลื่นพลังโดยมีจุดที่หล่างเชียนจินเคยอยู่เป็นจุดศูนย์กลางซัดจนปลิวกระเด็นออกมา! เพราะพวกมันไม่ได้เตรียมตัวรับแต่แรก…สภาพทุลักทุเลกันไม่น้อย!!
คนอื่นๆยิ่งสภาพย่ำแย่ไปกันใหญ่!
กลับกัน ด้านต้วนหลิงเทียนที่ได้ผู้เฒ่าหั่วกล่าวเตือนเอาไว้แต่แรก ได้ใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกินทันท่วงที ทำให้พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดทั่วร่างของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก และเขายังร่ายปราการเต่าทมิฬออกมาป้องกันไว้อีกชั้น!
เรียกว่าถึงแม้สุดท้ายแล้วเขายังถูกคลื่นกระแทกดังกล่าวซัดจนปลิวกระเด็นไปเหมือนกัน แต่สภาพก็ไม่ได้แลดูสะบักสะบอมอะไรเหมือนเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนไม่กี่คนในที่นี้
‘แพะเฒ่านั่นมันหัวร้อนจนทนไม่ไหวแล้วงั้นเหรอ…’
ต้วนหลิงเทียนที่กระเด็นปลิวออกไป เมื่อหยุดร่างลงกลางหาวแล้วก็คิดไปอย่างหวั่นใจ
เขาบอกได้คำเดียว
ว่าหล่างเชียนจินนั่นสมควรเดือดจนทนไม่ไหวแล้วแน่นอน ถึงได้บันดาลโทสะลงมือแบบนี้
“ถังซวน ในเมื่อเจ้าอยากรบ เช่นนั้นข้าก็จะรบ!!”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดถึงเรื่องนี้ หล่างเชียนจินก็อันตรธานร่างหายไป เป็นความเคลื่อนไหวอันรวดเร็วเหนือกกว่าที่เขาจะมองตามได้ทัน!
ปงงงงง!!
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตั้งตัวอะไร เขาก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นออกมาอีกครั้ง เดาได้ไม่ยากว่าสมควรเป็นถังซวนที่ปะทุพลังลงมือตอบโต้แล้ววแน่นอน!!
สิ้นเสียงดังปานระเบิดภูเขาสนั่นขึ้นอีกครา! คลื่นพลังอันยิ่งใหญ่สุดไพศาลปะทุขึ้นกลางหาว!!
มองไปคล้ายดอกเห็ดเบ่งบานขึ้นอีกดอก เมฆพัดปลิวหายวุ่นวาย อากาศเหนือฟ้ากลับกลายวิปริตแปรปรวน!
และพร้อมกันกับที่เมฆปานดอกเห็ดปรากฏขึ้น คลื่นกระแทกอันน่าพรั่นพรึงที่คราวนี้สมควรเกิดจากการปะทุพลังของถังซวนก็กวาดทำลายออกมาเช่นกัน!!
คราวนี้ต่อให้ผู้คนทั้งหมดในที่นี้รวมถึงต้วนหลิงเทียนนจะเตรียมตัวไว้แล้ว แต่ทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกตกใจนัก!
ยิ่งรองจ้าวลัทธิอารามทมิฬทั้ง 2 ที่พลังฝึกปรือเพียงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน แม้จะเตรียมตัวรับมือไว้แล้ว แต่ยังอดไม่ได้ที่จะกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ หลังถูกคลื่นกระแทกดังกล่าวซัดจนปลิวละลิ่วไปไกลลิบกว่าใครเขา…
เห็นได้ชัดว่าพวกมันได้รับบาดเจ็บจากคลื่นกระแทก! ยังบาดเจ็บไม่น้อย!!
พลังของคลื่นกกระแทกระรอกนี้ รุนแรงกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย!!
และคลื่นกระแทกที่กวาดสะท้านออกไปทุกทิศทางนั่น ทำให้แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุดก็ไม่ต่างใดจากปลาในบ่อ พลอยได้รับเคราะห์ไปด้วย!!
คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวสองขุม แม้จะกวาดถล่มลงมาจากฟากฟ้าไกลห่างจนพลังทำลายส่วนใหญ่ลดทอนไปกับระยะทาง แต่อาศัยพลังที่เหลือก็ยังทำร้ายเหล่าศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยจนตกตายไปไม่น้อย!!
กล่าวได้ว่าเหล่าศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาว ไม่มีใครสามารถต้านทานพลังอำนาจดังกล่าวได้เลย!
กระทั่งเหล่าศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่พลังฝึกปรือค่อนข้างสูง แม้พวกมันจะโชคดีที่รอดมาได้แต่ก็ถูกซัดจนเปลี้ย! แต่ละคนกระอักโลหิตคำโตออกมาไม่ขาดสภาพย่ำแย่นัก!
เรียกว่าในเวลาชั่ววพริบตา แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวก็เสมือนตกลงสู่ขุมนรก!
“คลื่นพลังสองขุมนี่มัน…ท่านจ้าวลัทธิกับอาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬปะทะกันแล้ว!?”
“ย่ำแย่นัก! พลังสะท้อนจากการประมือของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนช่างรุนแรงเหลือเกิน! แค่คลื่นพลังระลอกแรกก็คร่าชีวิตเหล่าศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวเราไปกว่าครึ่ง…น่ากลัวอะไรจะขนาดนี้!!”
…
ทุกทั่วหัวระแหงของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว อาวุโสหลายคนกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ ทั้งหมดเป็นกังวลนัก ยังรีบเร่งอพยพเหล่าศิษย์เป็นการด่วน!
สำหรับสถานที่อื่นๆของลัทธิบูชาไฟ ตอนนี้พวกมันก็รู้แล้ววว่าจ้าวลัทธิของพวกมันสมควรปะทะกับอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬ หล่างเชียนจิน!
“ต้วนหลิงเทียนนั่นมันมีดีอันใดกัน ไฉนท่านจ้าววลัทธิถึงยอมออกตัวปกป้องมันขนาดนี้!?”
หลังได้รับทราบว่าถังซวนลงมือแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวินเยี่ยนหรือปู้หงก็ชักสีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก
ในความคิดของพวกมัน
ไม่ว่าจะเป็นจ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกมันอย่างถังซวน หรืออาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬอย่างหล่างเชียนจิน ล้วนแล้วแต่เป็นตัววตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ที่อยู่ ณ จุดสูงสุดของแดนดิน!
ตัวตนเช่นนี้ย่อมไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาเลย…
เพราะสุดท้ายแล้วหากตัวตนระดับนี้ลงมือสู้กัน ก็คงยากที่ใครจะออมรั้งยั้งมือ สมควรมีหนึ่งคนต้องตายจากการปะทะ!
ผู้คนเราย่อมหวงแหนชีวิตตัวเอง
และในบรรดาผู้คน เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน สมควรหวงแหนชีวิตตัวเองกว่าใคร!
เพราะเปลี่ยนที่ 9 ของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนนั้นเรียกว่า เปลี่ยนสู่สวรรค์หรือเปลี่ยนสู่เซียนอมตะ! หมายความว่าหากสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงสุดท้าย ก็จะได้ขึ้นสู่ระนาบเทวโลกในฐานะเซียนอมตะ!!
หากต้องมาพลาดพลั้งตกตายไปตอนนี้ ย่อมหมายความว่าหมดสิ้นโอกาสเยื้องย่างขึ้นสู่แดนสวรรค์ในตำนาน ไม่ว่าใครก็ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!!
เช่นนั้นปกติแล้วย่อมไม่มีเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนคนไหนยินดีสู้กันเอง เว้นเสียแต่จะเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้แล้วจริงๆ!!
ด้วยเหตุนี้ปู้หงกับเวินเยี่ยนจึงไม่อาจเข้าใจได้ ว่าไฉนถังซวนถึงเลือกลงมือแตกหักกับหล่างเชียนจินเพียงเพื่อปกป้องต้วนหลิงเทียน! ขณะเดียวกันพวกมันยังไม่อยากยอมรับนัก จึงได้แต่สบถออกมาทำนองว่า “ต้วนหลิงเทียนมีดีอะไร ถึงทำให้ถังซวนทำถึงขนาดนี้!!”
“ท่านจ้าวลัทธิลงมือแล้ว!?”
“เช่นนั้นหมายความว่าคราวเคราะห์ครั้งนี้ของน้องหลิงเทียนสมควรผ่านพ้นไปได้…”
พี่น้องสกุลหลิวไม่ว่าจะหลิวมู่หรือหลิวอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะพวกมันย่อมตระหนักได้ว่าแรงระเบิดของพลังมหาศาลนั่น คือสัญญาณการลงมือของถังซวน!
เรียกว่าชั่วพริบตานี้ ทั่วทั้งลัทธิบูชาไฟก็ใจสะท้านไปเพราะการกระทำของถังซวนทั้งสิ้น!
ด้านนอกลัทธิบูชาไฟ
ทันทีที่คลื่นพลังกระแทกซัดกวาดออกมาอย่างเกรี้ยวกราดถึงขั้นเข่นฆ่าศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวไปแล้วกว่าครึ่ง ถังซวนก็คล้ายตระหนักได้สำนึกเทวะอันเลิศล้ำว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องราวใด! หน้ามันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ก่อนที่จะวูบร่างหายไปเหลือแต่เงาติดตา!
หลังจากที่เงาติดตาของถังซวนเลือนหาย ภายใต้สายตาของต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ร่างถังซวนก็คล้ายจะสาบสูญไปเลย!
ซัววว!!
ร่างอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬหล่างเชียนจินเองก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคนเช่นกัน
‘จ้าวลัทธิจงใจล่อหล่างเชียนจินไปจากที่นี่…’
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เห็นสิ่งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจเจตนาถังซวนทันที
ปงงงงง!!
และต้วนหลิงเทียนยังคิดไม่ทันจบดี เสียงสนั่นก็ลั่นดังให้เขาได้ยินอีกครั้ง
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นได้ชัดถนัดตา
ปรากฏแรงระเบิดจนมวลอากาศคล้ายดอกเห็ดเบ่งบานขึ้นไกลตาห่างออกไปหลายลี้ ราวกับอยู่ๆก็มีบางสิ่งระเบิดออก!
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนยังเห็นแรงระเบิดอุบัติขึ้นอีกจุด! เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นถังซวนกับหล่างเชียนจินที่ย้ายไปปะทะกันบริเวณนั้น!!
‘อะไรกัน!? แค่พริบตา พวกมันก็ไปกันไกลขนาดนั้นแล้ว?’
ครู่ต่อมาคลื่นกระแทกจากดอกเห็ดทั้ง 2 ก็กวาดมาถึง!
พลังสะท้อนอันน่าพรั่นพรึงเริ่มเคี่ยวกรำต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆอีกครั้ง!!
แน่นอนว่าพลังสะท้อนทั้งคลื่นกระแทกคราวนี้อ่อนด้อยลงกว่าก่อนหน้ามาก เหตุเพราะระยะห่าง!
กระทั่งรองจ้าวลัทธิอารามทมิฬ 2 คนที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดในที่นี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไร
อนิจจาเหล่าศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวหลายคนยังคงล้มลงอีกครั้ง!
หากแต่จำนวนผู้ที่ถึงกับตกตายคาที่ลดกว่าเดิมมากและที่ตายก็เป็นศิษย์ที่รอดมาด้วยสภาพสาหัสในรอบแรกทั้งสิ้น…
แต่จะอย่างไรก็ตามเมื่อคลื่นพลังอันน่ากลัว 2 ระลอกนี้กวาดซัดมา ก็ทำให้ศิษย์และเหล่าอาวุโสทั้งหลายในแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวทั้งหมดหวาดกลัวจับใจ…ผู้ที่รอดตายก็ขวัญหนีดีฝ่อกันหมด ผู้ที่ทนไม่ไหวจนตกตายก็ได้แต่นอนตายตาไม่หลับ แววตาสุดท้ายฉายชัดถึงความไม่ยินยอม…
พวกมันหลายคนล้วนมีความฝัน…แต่ความฝันทั้งหมดทั้งมวลล้วนต้องมลายเพราะ ‘ลูกหลง’ ไหนเลยจะมีใครยินยอมพร้อมใจทานรับได้…
นอกเขตลัทธิบูชาไฟ
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
เมื่อเห็นถังซวนและหล่างเชียนจินพลางสู้พลางห่างออกจากลัทธิบูชาไฟ ผู้พิทักษ์ทั้ง 5 รวมถึงต้วนหลิงเทียนก็เร่งรุดเหินตามไปเป็นธรรมดา
อย่างไรก็ตามหลังจากพยายามติดตามอยู่พักหนึ่ง แต่เสียงการต่อสู้ก็ยิ่งไกลห่างออกไป มันเบาลงทุกที…
นี่เผยให้รู้ชัดว่ายิ่งสู้ถังซวนกับหล่างเชียนจินก็ยิ่งห่างไปจากพวกเขาทุกขณะ…
สุดท้ายก็ไม่อาจได้ยินอะไรเลย กระทั่งไม่อาจแลเห็นดอกเห็ดจากการระเบิดของพลังอันใดได้อีก
ทั้งหมดคลาดกันแล้ว…
“ให้ตาย…นี่น่ะเหรอ ความเร็วของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน”
หลังคลาดกัน สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เผยความจริงจังไม่น้อย ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มเข้าใจถึงความน่ากลัวของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว
“ผู้เฒ่าหั่ว ขอบคุณท่าน…”
ครู่ต่อมาหลังจากที่ฟื้นตัว ต้วนหลิงเทียนก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวขอบคุณผู้เฒ่าหั่วทันที
เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อครู่ก็เป็นเพราะผู้เฒ่าหั่วกล่าววเตือนเขาได้ทันเวลา ทำให้เขาเตรียมตัวป้องกันได้ทันก่อนที่คลื่นพลังกระแทกจากหล่างเชียนจินจะกวาดทำลายมาถึง ทำให้เขาไม่ต้องมีสภาพน่าสังเวชเหมือนคนอื่นๆ
“ผู้เฒ่าหั่ว?”
ในอดีตตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณ ผู้เฒ่าหั่วมักตอบคำกลับมาทุกครั้ง แต่ทว่าอยู่ๆคราวนี้ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกผิดปกติทันที
อย่างไรก็ตาม อยู่ๆเขาพลันสัมผัสได้ว่ามีสายตาคมกล้า 3 คู่จับจ้องมองมาที่เขา ทำให้ต้วนหลิงเทียนละความสนใจจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมาสนใจเรื่องราวรอบกายก่อนทันที ไม่มีเวลามัวมาสนทนากับผู้เฒ่าหั่วสืบไป
และสายตาคมกล้าทั้ง 3 คู่นั่น ก็มาจากจ้าวลัทธิอารามทมิฬ รวมถึงรองจ้าวลัทธิอารามทมิฬทั้ง 2 คน…
ภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
ผู้เฒ่าหั่วมองไปยังร่างสูงที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก “เจ้า…เจ้าเป็นผู้ใด?”
ตอนที่ 2,199 : จิตวิญญาณสถิตย์เทวสมบัติ
เสียงกล่าวขอบคุณของต้วนหลิงเทียนนั้น ผู้เฒ่าหั่วที่อยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติย่อมได้ยินเป็นธรรมดา
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันไม่มีเวลาตอบคำ
เป็นเพราะมันพบว่า…
อยู่ๆก็มีร่างสูงหนึ่ง ผุดโผล่ขึ้นในชั้น 1 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติปานภูตผี! กระทั่งตัวต้วนหลิงเทียนผู้เป็นเจ้าของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติคนปัจจุบันยังไม่อาจรู้ตัว!
“เจ้า…เจ้าเป็นผู้ใดกัน!?”
มองไปยังร่างสูงที่อยู่ๆก็ปรากกฏขึ้นปานภูตผี ผู้เฒ่าหั่วอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปเสียงสั่น แวววตายังทำราวกับพบพานภูตผีกลางวันแสกๆ!
ร่างสูงที่ว่า เป็นชายหนุ่มรูปงามมาในชุดแดงเลือดนก…
ร่างของมันไม่เพียงสูง หากแต่ยังกำยำแลดูแข็งแกร่ง คิ้วของมันให้ความรู้สึกคมกล้าปานมีดดาบ เค้าโครงใบหน้าหล่อเหลา หากแต่ซีดขาวราวกับไร้สีสันของโลหิต เหนือขึ้นไปจากหว่างคิ้วปรากฏปานรูปกระบี่…
ปานรูปกระบี่นี้ยังสีแดงฉานปานโลหิต มองไปราวกับมีรอยกระบี่โลหิตเล่มเล็กประทับไว้บนหน้าผาก! เปล่งกลิ่นอายพลังไร้สภาพอันรุนแรงเกรี้ยวกราด ปานจะทำลายได้ทุกสรรพสิ่งออกมา!!
ชายหนุ่มในชุดสีแดงเลือดนกเพียงยืนอยู่อย่างเงียบงัน รอบกายปรากฏเงากระบี่สีเลือดห้อมล้อมเวียนวน แลดูพิสดารไม่คล้ายผู้คนนัก!
ท่ามกลางเงากระบี่สีเลือดเหล่านี้ แต่ละเล่มคล้ายปลดปล่อยความกระหายเลือดและพลังทำลายล้างออกมาอย่างน่าพรั่นพรึง ทำให้สภาวะคนคล้ายเทพกระบี่ที่หลุดออกมาจากขุมนรกอเวจี!
ชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกยังคงยืนอย่างสงบ มันหันมองไปรอบๆไม่ได้กล่าวคำใดทั้งทำอะไรทั้งสิ้น แลดูไม่แยแสสนใจอะไรผู้เฒ่าหั่วเลย นั่นทำให้ผู้เฒ่าหั่วยิ่งบังเกิดความรู้สึกกดดันอย่างมาก
ต้องทราบด้วยว่าพลังของผู้เฒ่าหั่วตอนนี้ ได้ฟื้นฟูขึ้นมาอยู่ในขอบเขตเซียนอมตะแล้ว กระทั่งยังแข็งแกร่งกว่าเซียนอมตะที่พึ่งก้าวข้ามทัณฑ์สวรรค์ไปมากมาย
แต่ทว่ายามที่ต้องมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มในชุดแดงฉานปานเลือดนกเบื้องหน้า ผู้เฒ่าหั่วยังบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัว! ยังเป็นความหวาดกลัวจับใจลึกลงไปถึงก้นบึ้งของวิญญาณ!
เพียงเผชิญหน้ากับแรงกดดันไร้สภาพที่แผ่ออกมาทั่วร่างชายหนุ่มเบื้องหน้า ผู้เฒ่าหั่วก็แทบจะทรุดล้มลงทั้งยืน
“หากข้าจำไม่ผิด…”
หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกก็ค่อยกล่าวออกอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เจดีย์นี่สมควรเป็นเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ยอดสมบัติสวรรค์จาก ‘อวี้หวงเทียน’ ใช่หรือไม่?”
อวี้หวงเทียน!?
เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!?
ได้ยินวาจาดังกล่าวของชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนก สีหน้าของผู้เฒ่าหั่วก็เปลี่ยนไปทันใด
ในใจยังคล้ายมีมรสุมก่อเกิด
ชายหนุ่มในชุดสีเลือดนกผู้นี้ ที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่!?
ไม่เพียงแต่จะรู้จักเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ แต่รู้จักกระทั่งว่าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เป็นยอดสมบัติสวรรค์จาก อวี้หวงเทียน ซึ่งเป็นหนึ่งในแดนสวรรค์…
ต้องทราบด้วยว่านอกจากระนาบโลกียะนับไม่ถ้วนนั้น ระนาบเทวโลกหรือแดนสวรรค์เองก็มีอยู่มากมาย! อวี้หวงเทียน ก็เป็นแค่ 1 ใน 81 ระนาบเทวโลกเท่านั้น!
ทว่าชายเบื้องหน้ากลับระบุได้อย่างแม่นยำ ว่าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมาจาก ระนาบเทวโลกนาม อวี้หวงเทียน!
จะไม่ให้มันไม่แปลกใจได้อย่างไรไหว!
‘มัน…มันต้องเป็นตัวตนอันทรงพลังจากระนาบเทวโลกใดสักแห่งแน่!’
ตอนนี้ผู้เฒ่าหั่ววสามารถคาดเดาความเป็นมาของอีกฝ่ายได้คร่าวๆ
อีกฝ่ายสมควรเป็นผู้ที่มาจากระนาบเทวโลกใดระนาบหนึ่ง หรือกระทั่งอาจจะมาจากระนาบอวี้หวงเทียนเลยด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายสามารถระบุได้ว่าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเป็นยอดสมบัติสวรรค์จากระนาบอวี้หวงเทียน
เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น แม้จัดเป็นยอดสมบัติสวรรค์ก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นยอดสมบัติสวรรค์ที่เลิศล้ำที่สุดในระนาบอวี้หวงเทียน!
แน่นอนว่ามันสามารถจัดเป็นยอดสมบัติสววรรค์มีชื่อเสียงอยู่บ้างในระนาบอวี้หวงเทียนได้ แต่ถ้ามองไปในบรรดาระนาบเทวโลกทั้งมวล น่ากลัวว่ามันคงไม่ติดอันดับอันใด
ด้วยเหตุนี้หากเอ่ยนามเตดีย์หลิงหลง 7 สมบัติออกไป ผู้คนในระนาบเทวโลก อวี้หวงเทียน อาจรู้จักกันดี แต่ถ้าเอาไปพูดในระนาบเทวโลกอื่นๆ เกรงว่าคงไม่มีใครรู้จัก
“เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินี้หากข้าจำไม่ผิด สมควรมียอดสมบัติสวรรค์เก็บไว้ทั้งสิ้น 7 ชิ้น…ชั้นแรกจะเป็น อีกาทองคำ 3 ขา ชั้นที่ 2 มีกระบี่นิลสวรรค์ ชั้นที่ 3 มีง้าวเทวะสะท้าน ชั้นที่ 4 มีบรรทัดจักรวาล ชั้นที่ 5 มี…”
ในขณะที่ภายในใจของผู้เฒ่าหั่วบังเกิดมรสุมป่วนปั่น ชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกก็ค่อยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
ในวาจาของมัน สามารถระบุยอดสมบัติสวรรค์ทั้งหมด ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้อย่างแม่นยำ
“หากข้าเดาไม่ผิด…เจ้าสมควรเป็นอีกาทองคำ 3 ขา ที่ถูกกักอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติใช่หรือไม่?”
หลังกล่าวถามจบคำ ชายหนุ่มในชุดสีเลือดนกก็มองไปยังร่างผู้เฒ่าหั่วด้วยสายตาสงบ หากแต่ยังสร้างแรงกดดันอันน่ากลัวมาสู่ผู้เฒ่าหั่วนัก
“ถูกต้องแล้วใต้เท้า…”
สูดดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกใหญ่ ผู้เฒ่าหั่วก็รวบรวมความกล้าที่มีกล่าวตอบออกมา ในน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนัก
เพียงเพราะมันพบว่า…
ชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกผู้นี้ ยังทรงพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่ามันในครั้งยังรุ่งโรจน์มากนัก!
นอกจากนี้เพียงกลิ่นอายพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของอีกฝ่ายเพียงเบาบาง หากแต่คล้ายจะมีพลังอำนาจสะกดข่มมันเอาไว้ทุกทาง ประหนึ่งอีกฝ่ายเป็น ‘ดาวข่ม’ ของมันก็ไม่ปาน…
‘กลิ่นอายพลังนี่มัน คล้ายข้าเคยพบเจอกลิ่นอายพลังคล้ายๆมันมาก่อน…แต่กลิ่นอายพลังที่คล้ายคลึงกันนั่น ยังด้อยกว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างมันอยู่มาก’
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ผู้เฒ่าหั่วก็ดำดิ่งลงไปในห้วงคิดทันที
ครู่ต่อมา ก็คล้ายมีประกายแสงหนึ่งสว่างวาบในใจ มันนึกออกแล้ว!
หลังจากนึกขึ้นได้ ยามมองไปยังชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกอีกครั้ง แววตาของผู้เฒ่าหั่วก็ฉายชัดออกมาถึงความหวาดกลัว
กระทั่งยามกล่าวออกอีกครั้ง เสียงผู้เฒ่าหั่วยังสั่นพร่าไปอยู่บ้าง “ใต้เท้า…ท่าน…คือ…จิตวิญ…”
“ดูเหมือนเจ้าจะคาดเดา ‘ต้นกำเนิด’ ของข้าได้แล้ว…”
ผู้เฒ่าหั่วยังกล่าวไม่ทันจบคำดี ก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเฉยเมยของชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกเสียก่อน แม้น้ำเสียงจะสงบเฉยเมยแต่หากฟังดีๆก็จะพบความประหลาดใจเจืออยู่เบาบาง
เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าผู้เฒ่าหั่วจะคาดเดา ต้นกำเนิด ของมันได้
“ไม่ผิด ข้าเป็นจิตวิญญาณสถิตย์เทวสมบัติ”
ชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกกล่าวห้วนๆ
สมบัติเทวะ!
จิตวิญญาณสถิตย์!
ถึงแม้จะมีคาดเดาไว้บ้างแล้วในใจ แต่ผู้เฒ่าหั่วก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกเมื่อได้ยินชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกกล่าวยอมรับออกมาตรงๆ เรียกว่าตอนนี้ใจผู้เฒ่าหั่วสะท้านไปอย่างแรงโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นความสับสนในใจก็คลี่คลายหมดสิ้น
ที่แท้เรื่องที่มันสงสัยว่า…
ไฉนชายหนุ่มนุชดแดงเลือดนกผู้นี้ถึงสามารถเข้ามาในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้ง่ายดายนัก โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเจดีย์ก่อน?
ทั้งไฉนชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกผ็นี้ถึงขั้นบุกเข้ามาในเจดีย์ได้โดยที่ไม่แม้แต่จะแจ้งเตือนเจ้าของเจดีย์อย่างต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ?
และสุดท้าย ไฉนชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกผู้นี้ถึงได้มีกลิ่นอายทั้งแรงกดดันไร้สภาพที่สะกดข่มมันนัก!?
มาตอนนี้มันเข้าใจหมดสิ้นแล้ว!
ที่แท้อีกฝ่ายก็คือ จิตวิญญาณเทวสมบัติ! สมบัติระดับเทวะที่มีพลังอำนาจเหนือล้ำกว่ายอดสมบัติสวรรค์นับร้อยพันในระนาบเทวะโลก!
ด้วยเหตุนี้ตัวมันที่เป็นดั่งส่วนหนึ่งของยอดสมบัติสวรรค์ เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติชิ้นนี้ จึงไม่แปลกอะไรที่จะถูกกลิ่นอายของอีกฝ่ายสะกดข่มตามธรรมชาติ!
เรื่องที่อีกฝ่ายจะบุกเข้ามาในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้แบบนี้ ช่างเป็นอะไรที่ง่ายดายนัก!
และด้วยตัวตนของอีกฝ่าย อย่าว่าแต่จะเข้ามาภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติโดยที่เจ้าของเจดีย์หลงหลิง 7 สมบัติไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ…
กระทั่งอีกฝ่ายคิดจะลบล้างความเป็นเจ้าของ ระหว่างเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติชิ้นนี้ กับผู้ถือครองคนปัจจุบันอย่างต้วนหลิงเทียนยังเป็นอะไรที่กระทำได้ง่ายดายนัก!!
นั่นเพราะอีกฝ่ายก็คือ จิตย์วิญญาณสถิตย์เทวสมบัติ!
สมบัติเทวะในแดนสวรรค์นั้น เป็นสมบัติที่มีระดับทั้งพลังอำนาจเหนือกว่ายอดสมบัติสวรรค์ทั้งมวล เรียกว่ามีเพียงหนึ่งก็ทรงพลังอำนาจมากพอจะสยบยอดสมบัติสวรรค์ทั้งมวล!!
และทั่วทั้งระนาบเทวโลก อวี้หวงเทียน ก็มีสมบัติเทวะดำรงอยู่เพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น และสมบัติชิ้นนั้นก็อยู่ในมือของ ‘พระยูไล’
ในตอนที่ราชาวานรก่อการสะท้านสะเทือนไปทั่วแดนอวี้หวงเทียน พระยูไลก็ได้ใช้ สมบัติเทวะดังกล่าวสยบมัน!
ผู้เฒ่าหั่วเองก็ทราบดีว่าในตอนนั้น อวี้หวงเทียน เกิดหายนะถึงระดับใด…
ซุนหงอคงผู้นั้นในแง่ของพลังความแข็งแกร่งแล้ว เรียกว่าต่อให้กวาดตามองทั่วอวี้หวงเทียนยังเป็นตัวตนที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุด!
และยอดสมบัติสวรรค์ พลองทองวิเศษ ในมือราชาวานรนั่น ก็ถือเป็นยอดสมบัติสวรรค์ระดับต้นๆของ อวี้หวงเทียน เช่นกัน!
ด้วยพลังฝีมืออันร้ายกาจอย่างหาตัวจับได้ยาก พร้อมด้วยพลองทองวิเศษ รวมถึงยอดสมบัติสวรรค์อีกมากมายทำให้ ราชาวานรผู้นั้นอาศัยพลังฝีมือเพียงลำพังก็ปั่นป่วนไปทั้งแดนอวี้หวงเทียน หากพระยูไลไม่ออกโรงด้วยตัวเอง เกรงว่าคงไม่มีใครปราบราชาวานรผู้นั้นลงได้
‘สมบัติเทวะที่อยู่ในมือพระยูไลตอนนั้น เรียกว่า ประทับหมื่นพุทธสยบมาร…ในตอนนั้นจิตวิญญาณสถิตย์ประทับหมื่นพุทธสยบมาร ก็เคยมาหาหลันเติ้งผู้ที่เป็นเจ้าของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติคนแรกตามคำสั่งของพระยูไลครั้งหนึ่ง ข้าที่ถูกกักอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติจึงเคยได้กลิ่นอายพลังของมัน…’
‘กลิ่นอายพลังจากจิตวิญญาณสถิตย์ประทับหมื่นพุทธสยบมารนั่นช่างคล้ายคลึงกับกกลิ่นอายพลังของชายชุดแดงเลือดนกผู้นี้นัก…หากแต่หากจะให้เทียบกับกลิ่นอายของชายชุดแดงเลือดนกผู้นี้ ยังอ่อนด้อยกว่าหลายส่วน!’
‘บอกให้รู้ว่าแม้ชายชุดแดงเลือดนกผู้นี้จะเป็นจิตวิญญาณสถิตย์เทวะสมบัติเหมือนกัน แต่มันเป็นสมบัติเทวะที่เหนือกว่าสมบัติเทวะของพระยูไล ซึ่งเป็นสมบัติเทวะเพียงชิ้นเดียวในอวี้หวงเทียนมากมายนัก! น่ากลัวว่ายังอาจจะทรงพลังกว่ากันหลายขุม!!’
นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาผ็เฒ่าหั่วก็ยิ่งบังเกิดความหวาดกลัวนัก
ต้องทราบด้วยว่าครั้งนั้น ยามเผชิญหน้ากับจิตวิญญาณสถิตย์ประทับหมื่นพุทธองค์สยบมาร ผู้เฒ่าหั่วที่ยังอยู่ในครั้งรุ่งโรจน์และพึ่งถูกจับขังในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้ไม่นานยังไม่อาจเทียบได้เลย…
ทว่าชายชุดแดงเลือดนกผู้นี้ กลับทรงพลังเหนือล้ำยิ่งกว่าจิตวิญญาณสถิตย์ประทับหมื่นพุทธสยบมาร!
“ใต้เท้า…มิทราบ…ท่านเรียกหาว่าอะไร?”
ลมหายใจที่ถี่รัวของผู้เฒ่าหั่วค่อยๆสงบลง หลังจากนั้นก็มองถามชายหนุ่มนุชดแดงเลือดนกอย่างกล้ากลัวๆ
เหตุผลที่ไฉนผู้เฒ่าหั่วกล่าวถามออกมาเช่นนี้นั้น เพราะตัวตนอย่างจิตวิญญาณสถิตย์เทวะสมบัติ ไม่เพียงแต่จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง ยังมีนามเป็นของตัวเองด้วย
ตัวอย่างเช่นจิตวิญญาณสถิตย์เทวะสมบัติ ที่เป็นจิตวิญญาณของประทับหมื่นพุทธองค์สยบมารของพระยูไลเองก็มีนามเป็นของตัวเอง และไม่เพียงมีชื่อเสียงอยู่ในอวี้หวงเทียนเท่านั้น ยังมีชื่อเสียงในระนาบเทวโลกอื่นๆด้วย
“กวงหลิง”
ได้ยินคำถามด้วยความสุภาพนอบน้อมมากเคารพของผู้เฒ่าหั่ว ชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกก็เงยหน้าขึ้นมาเผยความน่าเกรกงขาม กล่าวตอบออกมา 2 คำด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“กวง…หลิง”
“กวงหลิง! วิญญาณกระบี่กวงหลิง!?”
ผู้เฒ่าหั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ร่างก็สั่นสะท้านขึ้นมา
จากนั้นสีหน้าก็เผยความตื่นตระหนกทั้งตกตะลึงถึงที่สุด
วิญญาณกระบี่กวงหลิง!!
ชื่อนี้เพียงได้ยินก็คุ้นนัก
และพอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็จดจำได้ว่านามนี้มีความหมายอย่างไร
“วิญญาณกระบี่กวงหลิง…นั่นมิใช่นามของวิญญาณที่สถิตย์อยู่ในสมบัติเทวะประเภทกระบี่จากระนาบเทวโลกจี้เมี่ยเทียน! ท่านคือจิตวิญญาณสถิตย์กระบี่ ผลาญฟ้าอาสัญ…”
“สมบัติเทวะประเภทกระบี่…ที่อยู่เหนือล้ำสมบัติเทวะประเภทกระบี่ทั้งมวลในระนาบเทวโลก!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น