War sovereign Soaring The Heavens 2158-2178

  ตอนที่ 2,158 : จ้าวลัทธิบูชาไฟทะลวงผ่าน?


 


กระทั่งให้เป็นพลังป้องกันของมังกรเทพยดา 7 กรงเล็บของเผ่าพันธุ์มังกร น่ากลัวว่าจะยังเทียบกับ โม่เซวียนไม่ได้


 


แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะโม่เซวียนสำเร็จเวทย์พลังป้องกันโบราณ ที่กล่าวได้ว่าเป็นเวทย์พลังป้องกันอันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญอย่างยิ่งยวดอีกด้วย


 


มันไม่ใช่ผู้ฝึกตนมนุษย์!


 


มันไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ!!


 


ร่างที่แท้จริงของมันคือสัตว์เซียนชั้นสูง ราชาหมูป่าเกราะแดง! ซึ่งสัตว์เซียนสายพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักกันดีในนามสัตว์เซียนที่มีพลังป้องกันสูงล้ำที่สุด ไม่ได้ด้อยไปกว่ามังกรเทพยดา 7 กรงเล็บแม้แต่น้อย!


 


นอกจากนั้นทุกคนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากปัจจุบัน


 


เพราะถึงแม้ร่างโม่เซวียนจะปกคลุมไปด้วยบาดแผลสาหัสทั่วทั้งตัว แต่ทว่าโลหิตนั้นไม่คล้ายไหลออกมาอีกต่อไป ที่สำคัญยังสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าบาดแผลทั้งหมดกำลังสมานตัว…เพียงแค่ 10 กว่าลมหายใจ บาดแผลที่เคยสาหัสก็ฟื้นฟูจนไม่ต่างอะไรจากบาดแผลธรรมดา อาการบาดเจ็บทั่วร่างฟื้นฟูไปกว่าครึ่ง!!


 


และนี่คืออีก 1 คุณลักษณะอันโดดเด่นของ ราชาหมูป่าเกราะแดง!


 


ความสามารถในการฟื้นฟู!


 


เรียกว่าไม่เพียงร่างกายของมันจะอึดถึกทนกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ยังมีความสามารถในการฟื้นฟูรักษาตัวอันน่ากลัว เรียกว่าเผ่าพันธุ์หมูป่าเกราะแดงนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์เซียนชั้นสูงที่ทนมือทนเท้าหรือ ‘ถึก’ ที่สุดในใต้หล้าก็ว่าได้!!


 


นอกจากนี้เมื่อรวมกับเรื่องที่โม่เซวียนดันเข้าใจเวทย์พลังป้องกันอันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเข้าไปอีก…


 


เช่นนั้นแล้วต่อให้เป็นสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ของแดนดินอย่างเนี่ยอู๋เทียน แต่เกรงว่าหากไม่มียอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันติดตัว ก็คงไม่อาจเทียบเรื่องพลังป้องกันกับโม่เซวียนได้เลย…


 


ทว่าตัวตนเช่นนั้น หลังเข้าไปในระนาบเทียมที่คาดกันว่าถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือครึ่งก้าวเซียนอมตะ 3 คน…กลับออกมาในสภาพยับเยินขนาดนี้!


 


“ให้ตาย…ท่าทางที่เผยซื่อไห่กล่าวไว้ จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว…”


 


ท่ามกลางผู้คนที่กำลังตื่นตะลึง จงเฉินกับเฉิงอี้ข่ายย่อมดึงสติกลับมาได้ก่อนใคร พวกกมันอดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำออกมาด้วยความหวั่นใจ กระทั่งยังรู้สึกขอบคุณสวรรค์ไม่น้อยที่พวกมันยังไม่ได้เข้าไป…


 


ไม่งั้นได้ตายอนาถแน่!


 


พรึ่บ!


 


หลังจากที่บาดแผลทั่วร่างเริ่มฟื้นฟูจนใกล้หายดีแล้ว โม่เซวียนก็สะบัดมือเรียกชุดคลุมตัวใหม่ออกมาสวมใส่ ค่อยหันไปมองจงเฉินด้วยสายตาลึกซึ้ง


 


และสายตานี้ของมันทำให้จงเฉินหวาดกลัวไม่น้อย


 


แต่สุดท้ายโม่เซวียนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงเหินร่างหายไปต่อหน้าต่อตาผู้คน


 


และในบรรดาผู้คนทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้ ก็มีเพียงจงเฉินกับเฉิงอี้ข่ายเท่านั้นที่สามารถมองตามความเคลื่อนไหวได้ทัน แม้จะเห็นเพียงแค่เงาเลือนที่วูบหายไปต่อหน้าต่อตาก็ตาม


 


หลังโม่เซวียนจากไปสักพัก ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ก็ทยอยกันกลับมารู้สึกตัว


 


หลังคืนสติแล้วทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดบนสนทนาออกมาด้วยความตื่นตระหนก และไม่ทันข้ามวันข่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ก็เริ่มแพร่กระจายออกไปด้วยความเร็ว ไม่นานก็รู้กันไปทั่วภูมิภาคเบื้องบน


 


“สถานที่ๆต้องสงสัยว่าถูกเหลือทิ้งไว้ด้วยฝีมือ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่นช่างน่ากลัวเสียจริง…ไม่เพียงทำให้แขนเผยซื่อไห่กับกระบี่พันอาคมเซียนสลาย…ยังร้ายกาจถึงขั้นทำให้ อันดับ 3 ในรายนามยอดเซียนอย่างโม่เซวียนบาดเจ็บสาหัสได้เลยหรือ?”


 


“มารดามันเถอะ! ถึงใต้เท้าโม่เซวียนจะไม่มียอดศาสตราประเภทป้องกัน แต่พลังป้องกันส่วนตัวก็มิใช่ชั่ว ให้พูดกันตรงๆยังไม่อ่อนด้อยไปกว่าเผยซื่อไห่ที่ใช้ระฆังสุญตาด้วยซ้ำ! แต่เข้าไปในสถานที่ผีสางนั่นยังเจ็บหนัก…แล้วนี่หากผู้อื่นเข้าไปไม่ดับอนาถทันทีรึไร?”


 


“เรื่องนี้เป็นความจริง มีผู้เห็นเหตุการณ์หลายคน!”


 


“ตอนนี้ข้าอยากรู้นักว่า 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะพวกนั้นที่แท้เป็นใครกันแน่…สถานที่ผีสางมารดามันเช่นนั้น ยังไม่ใช่หลุมพรางที่จงใจขุดไว้อีกหรือ?”


 



 


ตอนนี้ผู้คนทั้งขุมพลังทั้งหมดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ได้ยืนยันถึงความน่ากลัวของสถานที่ๆเหลือไว้ด้วยน้ำมือของ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะเรียบร้อย


 


ก่อนหน้านี้แม้ในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระจะเชื่อเรื่องราวไปแล้ว แต่สำหรับขุมพลังต่างๆยังไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องราวที่ลือกันสักเท่าไร เพราะอย่างไรวันนั้นก็เป็นคนของผู้ฝึกตนอิสระที่กล่าวแจ้งเรื่องนี้


 


ทั้งหลายยังคิดกันไปว่านี่อาจเป็นข่าวลวงที่ผู้ฝึกตนอิสระจงใจเผยแพร่ออกมา เพื่อที่จะ ‘ฮุบ’ มรดกทั้งสมบัติที่เหลือไว้โดยครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3 นั่นไว้เอง…


 


ทว่าตอนนี้ทั้งหมดได้ตระหนักแล้ว ว่าเหล่าผู้ฝึกตนอิสระไม่ได้กล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย


 


ไม่นานนักระนาบเทียมอันถูกสร้างขึ้นด้วยปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะ 3 ตนที่ต้วนหลิงเทียนติดแหง็กอยู่ ก็กลายเป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับผู้คนในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…


 


เป็นธรรมดาทสำหรับต้วนหลิงเทียนที่ติดแหง็กอยู่ด้านใน จะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย


 


ณ ทางตอนเหนือของแดนดิน สถานที่อันเหน็บหนาวถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี…


 


ปรากฏชายชราในชุดคลุมสีเทาหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาสูง สายตามองไปยังทิศใต้ อันเป็นทิศทางที่ตั้งของภาคกลางอย่างเลื่อนลอย


 


เกล็ดหิมะยังคงโปรปรายร่วงหล่นจากฟ้ามาไม่หยุด หากแต่เมื่อปุยขาวเย็นร่วงเข้าใกล้ร่างชายชรา พวกมันก็คล้ายถูกพลังที่มองไม่เห็นสลายหายไป คล้ายชายชราผู้นี้มีเวทมนตร์ก็ไม่ปาน


 


ฮู่ววว!


 


ดั่งสายลมแรงหนึ่งพัดผ่าน หอบไอเย็นทั้งก้อนหิมะจากฟ้าให้ม้วนวนเป็นกลุ่มก้อนปลิวไปวุ่นวาย


 


ด้านหลังชายชราพลันปรากฏร่างสตรีงดงามหนึ่ง


 


“ก่อนหน้านี้…ข้าเพียงคิดว่าการตามหาผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ทั้ง 7 เพียงเพื่อหาทางล้างแค้น 3 ลัทธิ ไม่ให้พวกมันได้ผยองถือดีเหมือนก่อนหน้า…กระทั่งให้พวกมันลิ้มรสความรู้สึกที่ต้องเดินก้มหน้าในแดนดินสักครา…”


 


แม้สตรีโฉมงามปรากฏตัวหากแต่ชายชราก็ไม่ได้หันไปสนใจนางแต่อย่างไร แต่อยู่ๆชายชราก็กล่าวคำออกมาอย่างเลื่อนลอย ไม่ทราบกล่าวกับตัวหรือกล่าวให้สตรีโฉมงามฟังกันแน่


 


“แต่ทว่ายามนี้…ดูเหมือนในอนาคต 7 ทวาราเที่ยงแท้เราไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องล้างแค้นลัทธิให้พวกมันโงหัวไม่ขึ้นด้วยซ้ำ! กระทั่งจะลบล้างบ่อนทำลายถอนรากถอนโคนพวกมันให้สิ้นซากก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”


 


ชายชรายังกล่าวสืบต่อ


 


“ท่านกล่าวเช่นนี้…”


 


สตรีโฉมงามพลันกล่าวออกมา คล้ายจะต่อคำ “ใช่เพราะสาวน้อยทั้ง 3 นั่นกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วง หรือไม่?”


 


“ใช่”


 


ชายชราพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าเพียงคิดว่ามีเพียงพรสวรรค์รากวิญญาณของสาวน้อยผู้สืบทอดหงส์ฟ้าจรัสแสงเท่านั้นทีสามารถยกระดับกลายเป็นสีม่วงได้…แต่ไม่คิดเลยว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของแม่หนูอีก 2 คนนั่นจักกลายเป็นสีม่วงด้วย”


 


“สำหรับพวกเรา 7 ทวาราเที่ยงแท้รุ่นก่อนแล้ว นี่นับเป็นความสุขความยินดีที่มาอย่างมิทันให้ตั้งตัวนัก…เจ้าลองคิดภาพอนาคตยามพวกนางเติบโตโดยมีทายาทหมอกพิรุณนำพาดูเถอะ! กระทั่งข้ายังมิอาจทำนายถึงความสำเร็จของรุ่นเยาว์เหล่านี้ได้เลย แต่ดูเหมือนคิดกำจัด 3 ลัทธิจักมิใช่เรื่องยากอันใดอีกต่อไป เจ้าเห็นด้วยหรือไม่เล่า?”


 


ชายชรากล่าวออกมาอีกครั้ง


 


และฟังจากวาจาที่กล่าวมาของชายชรา


 


เห็นได้ชัดว่ามันคือผู้สืบทอดความลับสวรรค์รุ่นก่อน ผู้เฒ่าพยากรณ์!


 


สำหรับสตรีโฉมงามนั้นไม่พ้นผู้สืบทอดธุลีแดง อาจารย์ของหานเฉวี่ยไน่!


 


“เฒ่าพยากรณ์…นี่ท่านจะไม่ดูเบา 3 ลัทธิมากไปหน่อยหรือ?”


 


สตรีโฉมงามส่ายหัวพลางกล่าว “ย้อนกลับไปในอดีต สมัยที่บรรพชน 7 ทวาราเที่ยงแท้พวกเราอยู่ในยุครุ่งเรืองถึงขีดสุด ยุคสมัยที่ถูกนำโดยท่านบรรพชนเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง…ตอนนั้นท่านบรรพชนเซียนกระบี่เป็นดั่งตัวตนไร้พ่ายในแดนดิน เรียกว่าหนึ่งในใต้หล้าก็ไม่เกินเลย…”


 


“ทว่าแม้จะเป็นยุคนั้นของท่านบรรพชนเซียนกระบี่ ก็ยังมิอาจทำลาย 3 ลัทธิได้…แล้วท่านคิดวว่าผู้สืบทอด 7 ทวาราเที่ยงแท้รุ่นนี้ ยังเหนือกว่ายุคสมัยของท่านบรรพชนเซียนกระบี่อีกรึ?”


 


ทันทีที่สตรีโฉมงามกล่าวประโยคนี้ออกมา ชายชราก็นิ่งเงียบไปทันที


 


“แน่นอนว่าทั้งหมดอาจเป็นเพราะท่านบรรพชนเซียนกระบี่มีจิตเมตตาไม่ล้างผลาญชีวิตผู้คนราวผักปลา…แต่นั่นก็มิใช่ว่าจะแน่นัก เพราะบางทีพวก 3 ลัทธิอาจมีไพ่ลับอันใดที่พวกเรายังไม่ล่วงรู้ก็ได้?”


 


สตรีโฉมงามกล่าวเสริม


 


“ที่เจ้ากล่าวก็มีเหตุผล”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำที่หญิงงามพูด


 


“อย่างไรก็ตาม จากการทำนายครั้งสุดท้ายของข้า…คราวนี้ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา 7 ทวาราเที่ยงแท้อาจมิใช่พวก 3 ลัทธิ!”


 


ขณะที่กล่าวประโยคนี้ออกมาสีหน้าท่าทางของผู้เฒ่าพยากรณ์ก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังนัก


 


“ท่านหมายถึง…พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศรึ?”


 


สตรีงามหยีตาถามออก


 


“มิผิด”


 


เฒ่าพยากรณ์พยักหน้ารับแข็งขัน


 


“เผ่าพันธุ์ปีศาจหวนกลับมาแล้วหรือ…”


 


ถึงแม้สตรีโฉมงามจะไม่ได้มีประสบการณ์ในยุคมนุษย์ปีศาจโดยตรง แต่ทว่าจากบันทึกของบรรพชนธุลีแดงที่สตรีงามไดรับสืบทอดมา นับว่าได้รับทราบความเลวร้ายของยุคมนุษย์ปีศาจชัดเจนนัก


 


ในยุคมนุษย์ปีศาจดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็นภูมิภาคเบื้องบนกับเบื้องล่างแบบนี้


 


ในตอนนั้นการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เสมือนหายนะครั้งใหญ่ที่โลกต้องเผชิญ…เป็นหายนะที่อาจทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ชาติสิ้นสูญ!


 


“สมควรมาแล้ว 8 หรือ 9 ใน 10 ส่วน…เพราะตอนนี้ข้ามิอาจทำนายหรือหยั่งรู้ลิขิตฟ้าของภูมิภาคเบื้องล่างได้เลย”


 


เฒ่าพยากรณ์ส่ายหัวไปมาพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “อย่าว่าแต่เจ้าเด็กน้อยทั้ง 3…กระทั่งจ้าวตำหนักเมฆาครามอย่างต้วนหรูเฟิง กระทั่งผู้คนรอบๆ ข้าก็มิอาจอ่านชะตาของผู้ใดได้ ยากจะคำนวณสถานการณ์ในปัจจุบันของพวกมันนัก เสมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นกำแพงหนึ่งปิดกั้นข้าจากการทำนายชะตาของพวกมัน…”


 


สตรีงามได้ยินดังนั้น ก็เงียบไป


 


หลังจากนั้นไม่นาน นางพลันเอ่ยออกอีกครั้งและน้ำเสียงที่เอ่ยก็เต็มไปด้วยความสงสัย “แล้วถ้าหากพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจมันบุกรุกเข้ามาจริง…พวกเด็กน้อยเหล่านี้ จักมีเวลามากพอให้เติบโตหรือไม่?”


 


“ข้า…ไม่ทราบ”


 


เฒ่าพยากรณ์กล่าววาจาที่หากได้ยากยิ่งออกมา นับเป็นวาจาที่น้อยครั้งมันจะกล่าวออก!


 


ณ ภาคตะวันตก…ลัทธิบูชาไฟ


 


ภายในแท่นบูชาจตุรทิศอันเป็นปราการที่ห้อมล้อมดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟเอาไว้…


 


ปกตินั้นมักเต็มไปด้วยความสงบ ยากมีใครก่อกวน ทว่าอยู่ดีๆวันนี้ทั่วทุกหัวระแหงของแท่นบูชาจตุรทิศ พลันมีกลิ่นอายพลังมหาศาลขุมหนึ่งกดดับลงมาจากฟากฟ้า ยังเป็นกลิ่นอายพลังอันมหาศาลสุดที่ผู้ใดจะเทียบเทียมได้!!


 


กลิ่นอายพลังนี้สมคววรโถมถันลงมาจากฟ้าเบื้องบน เหนือทะเลเมฆ ทั้งอยู่เหนือเกาะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปอีกที!!


 


แน่นอนว่ากลิ่นอายพลังสุดไพศาลเมื่อโถมถันลงมาแบบนี้ สถานที่ๆสัมผัสได้ถึงก่อนย่อมเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นสถานที่ๆผู้คนในดินแดนศักดิสิทธิ์มารวมตัวกันอยู่เยอะที่สุด!


 


ภายในเกาะศักดิ์สิทธิ์ เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังทรงอำนาจทั้งครอบงำปานไร้ผู้ต้าน ก็ทำให้เหล่าศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยถึงกับร่างสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว


 


ตอนนี้พวกมันเสมือนสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอ่อนแอในป่า ที่ได้พบพานกับเจ้าป่าอันน่าเกรงขาม!


 


ที่บังเกิดขึ้นกับพวกมัน เป็นความกลัวจากสัญชาตญาณ!


 


“นะ…นี่มันกลิ่นอายพลังของผู้ใดกันแน่?”


 


ศิษย์ที่แท้จริงและอาวุโสเพลิงทองแดงมากมายอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังดังกล่าว แตกตื่นกันยกใหญ่


 


“ช้าก่อน…กลิ่นอายพลังนี่มัน…ระ…หรือว่า…”


 


ทว่าอาวุโสเพลิงเงินหลายคนคล้ายตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ลูกตาของพวกมันลุกวาวสว่างจ้า ใบหน้าฉาบไว้ด้วยความยินดีแจ่มชัด


 


ชณะเดียวกัน จากแท่นบูชาจตุรทิศ จ้าวแท่นบูชามังกรคราม จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว จ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬและจ้าวแท่นบูชานกไฟต่างพร้อมใจกันเหินร่างขึ้นฟ้า ปรี่ตรงไปยังทิศทางเกาะศักดิ์สิทธิ์ด้ววยความเร็วสูง


 


กล่าวให้ชัด เนสถานที่อันลอยล่องอยู่เหนือเกาะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปบนฟ้าสูง!


 


กระทั่งในเขตเหมืองแร่ต่างๆที่สำคัญๆของลัทธิบูชาไฟ ก็มีร่างระดับสูงหลายคนพากันเหินทะยานขึ้นไปบนฟ้า มุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง


 


ณ เขตหอคุมกฏ บนเกาะศักดิ์สิทธิ์


 


ภายในหุบเขาอันเงียบสงัด ลานเล็กๆที่แลดูธรรมดาๆแห่งหนึ่ง


 


ชายชราที่นอนเอนกายอย่างผ่อนคลายสบายอารมรณ์บนเก้าอี้เอนในลาน พอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่แผ่ซ่านลงมาจากฟ้าเบื้องบน ร่างชราพลันทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมานั่งหลังตรงทันที ลูกตายังหดเล็กหน้าตาแลดูตื่นๆ


 


“ท่านจ้าวลัทธิทะลวงด่านแล้วรึ!?”


 


ชายชราดังกล่าวเร่งจัดชุดเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ก่อนที่จะเร่งรุดเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าพลางพึมพำกับตัวเสียงเบาด้วยความแปลกประหลาดใจ…


ตอนที่ 2,159 : จ้าวลัทธิบูชาไฟออกจากการปิดด่าน!


 


 


เหนือขึ้นไปจากทะเลเมฆหมอก ที่อยู่สูงขึ้นไปจากเกาะหลักของดินแดนศักดิสิทธิ์ลัทธิบูชาไฟอีกที ยังมีเกาะลอยอีก 4 ระดับ ที่ลอยตัวอยู่ในเพดานบินที่แตกต่างกัน…


 


ณ จุดสูงสุดมีเพียง 1 เกาะลอยเท่านั้น


 


ถัดลงมามีเกาะลอยทั้งสิ้น 5 เกาะ


 


ถัดลงมาก็นับเกาะลอยทั้งหมดได้ 10 เกาะ


 


ถัดลงมาอีกชั้น ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่เหนือขึ้นไปจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ ก็มีหมู่เกาะลอยทั้งสิ้น 50 เกาะ


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


พร้อมกันกับเสียงหวีดหวิวของสายลมที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ร่างที่เคลื่อนมาด้วยความฉับไวของผู้คนมากมาย ก็มารวมตัวกันในบริเวณใกล้เคียงกับเกาะลอยสูงสุด


 


เมื่อมาถึงบริเวณใกล้เคียงแล้วพวกมันก็หยุดร่างลง เฝ้ารออย่าสงบ มองไปการเคลื่อนไหวของพวกมันช่างพร้อมเพรียงนัก


 


หากไม่รู้ คงคิดว่าพวกมันนัดกันมา…


 


ในบรรดาผู้คนเหล่านี้ มีคนกลุ่มหนึ่งที่นำโดยจ้าวแท่นบูชามังกรคราม หลูเถี่ย พร้อมชุดเสื้อผ้าที่มีรูปแบบเดียวกัน สามารถสังเกตเห็นได้ไม่ยาก


 


และข้างๆจ้าวแท่นบูชามังกรคราม หลูเถี่ย ก็คือจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬ พยัคฆ์ขาว และจ้าวแท่นบูชานกไฟ เรียกว่าจ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์มารวมตัวอยู่กันครบ


 


นอกจากทั้ง 4 แล้วก็ยังมีอาวุโสเพลิงทองอีกไม่น้อย รวมไปถึงกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตัวผู้นำของคนกลุ่มนี้ก็แลดูมีอำนาจไม่น้อย ท่าทางไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวแท่นบูชาจตุรทิศเลย…


 


เป็นต่งหยวนจิ้น รองจ้าวหอคุมกฏ และอาวุโสคนอื่นๆของหอคุมกฏ!


 


นอกจากนั้นที่โดดเด่นกว่ากลุ่มคนใดๆเพราะลอยร่างกันอยู่เพียง 2 คน พวกมันทั้งคู่ก็คือรองจ้าวลัทธิบูชาไฟ พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน เรียกว่าในแง่พลังฝีมือแล้วพวกมันเหนือกว่าหลูเถี่ย ต่งหยวนจิ้นและคนอื่นๆเล็กน้อย


 


ขณะเดียวกัน ด้านหลูเถี่ยกับต่งหยวนจิ้นที่แลเห็นพวกมันทั้งคู่ ก็เหินร่างเข้ามาคารววะทักทาย


 


เพราะสุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็เป็นชนชั้นรองจ้าวลัทธิ สถานะอยู่เหนือพวกมันทุกคนในที่นี้ และไม่เพียงแต่สถานะกระทั่งพลังฝีมือก็ด้วย เช่นนั้นจึงไม่มีใครกล้าละเลยท่าทีปฏิบัติ


 


รองจ้าวลัทธิทั้ง 2 แย้มยิ้มพลางพยักหน้ารับการทักทายของหลูเถี่ยและคนอื่นๆ


 


“คึกครื้นถึงเพียงนี้เชียว?


 


ตอนนี้เองพลันมีเสียงชราฟังคล้ายเกียจคร้านปานคนพึ่งตื่นนอนดังขึ้น


 


หลังจากนั้นภายใต้สายตาทุกคน ชายชราที่ชุดแต่งกายแลดูมอซอทั้งเก่าไม่ต่างขอทาน พลันปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคนอย่างประจวบเหมาะ…


 


เรียกว่าหากไม่มีคนรู้จักมันมาก่อน ต้องคิดว่ามันเป็นขอทานที่หลงมาแน่นอน เพราะดูจากเสื้อผ้ามันแล้วช่างเก่าและยับยู่ยี่ไม่มีตรงไหนที่ดูดีเลย แถมมองแล้วคล้ายเจ้าตัวเพียงจัดระเบียบชุดมาลวกๆเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามชายชราที่แต่งตัวมอซอชุดเก่าราวขอทานผู้นี้ เพียงมันปรากฏตัวขึ้นไม่ทันไร ต่งหยวนจิ้นถึงกับเร่งกุลีกุจอเข้ามาคารวะทักทายด้วยความเคารพทันที ไม่เหลือความหยิ่งผยองถือดีแม้แต่น้อย หัวยังก้มโค้งลงไปคล้ายไม่ใช่ตัวมัน


 


“คารวะใต้เท้าเจ้าหอ!”


 


รองจ้าวหอคุมกฏทั้งอาวุโสของหอคุมกฏคนอื่นๆก็เร่งคารวะทักทายชายชราด้วยท่าทางมากเคารพไม่ต่างใดจากต่งหยวนจิ้น


 


และทันทีที่ทั้งหมดกล่าวคำทักทายออกมา เช่นนั้นฐานะความเป็นมาของชายชราในชุดมอซอเก่าๆผ็นี้ก็ถูกเปิดเผยแล้ว…


 


มันคือจ้าวหอคุมกฏ เหลิ่งอิง!


 


“คารวะเจ้าหอเหลิ่ง!”


 


“เจ้าหอเหลิ่ง!”


 



 


หลังจากต่งหยวนจิ้นนำคนของหอคุมกฏคารวะทักทายชายชราด้วยเคารพแล้ว จ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์ไม่เว้นอาวุโสเพลิงทองทั้งหลายก็เร่งคารวะทักทายชายชราด้วยเคารพทันที


 


กระทั่งรองเจ้าลัทธิทั้ง 2 ยังพยักหน้าทักทายชายชราด้วยรอยยิ้ม


 


จ้าวหอคุมกฏ เหลิ่งอิง คนนี้ แม้พลังฝึกปรือจะอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนเหมือนกันกับพวกมันทั้ง 2…


 


หากแต่ในแง่พลังฝีมือนั้น น่ากลัวว่าต่อให้พวกมันทั้ง 2 ร่วมมือกันก็ไม่อาจเอาชนะชายชราผู้นี้ได้


 


เพราะอีกฝ่ายนั้นเรียกว่าเท้าข้างหนึ่งก้าวไปเหยียบขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้ว!


 


ได้รับการคารวะทักทายจากผู้คนมากมายด้วยความเคารพ จ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิงเดิมทีก็คิดจะทักทายตอบกลับ…แต่ทว่าคล้ายมันจะสังเกตเห็นบางอย่างเข้าเสียก่อน จึงหันศีรษะไปมองยังทิศทางหนึ่งทันที ไม่ทันได้กล่าวทักทายตอบกลับผู้ใด


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


ราวกับมีสายลมกรรโชก 3 สายพัดผ่าน ปรากฏ 3 ร่างลุถึงสถานที่ใกล้เคียงทุกคน


 


หลังจากที่ทั้ง 3 ร่างมาถึง ทุกคนก็สามารถแลเห็นหน้าค่าตาผู้ที่วูบไหวมาด้วยความเร็วสูงปานสายลมได้ชัดถนัดตา


 


เป็นชายชราในชุดธรรมดาสีเขียว ชายหนุ่มในชุดสีม่วง และสตรีงดงามในชุดสีแดง


 


ชายชราชุดเขียวนั้นทั้งเส้นผมขนคิ้วต่างขาวโพลนแลไปคล้ายเทพเซียนอมตะอยู่บ้าง


 


ส่วนชายหนุ่มชุดม่วงนั้นแลดูหล่อเหลา แลดูมากสง่าราศีหากทว่าให้ความรู้สึกอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ


 


ส่วนสตรีงดงามนั้น ไม่เพียงแต่งดงาม ท่วงท่าทั้งความรู้สึกที่แผ่ออกยังน่าเกรงขามไม่ได้ด้อยไปกว่ารูปโฉมไร้ที่ติแม้แต่น้อย เรียกว่ามากพอจะทำให้บุรุษทั้งหลายต้องเหลียวมองฝันถึง


 


แต่แน่นอนว่าในที่นี้หามีแม้แต่คนเดียวไม่ ที่กล้าใช้สายตาแทะโลมฉาบฉวยมองสตรีในชุดแดงนางนี้


 


และเมื่อทุกผู้คนได้เห็นการปรากฏตัวของชายชราชุดเขียว ชายหนุ่มชุดม่วงและสตรีชุดแดง ทั้งหมดก็ไม่หลงเหลือท่าทีสบายๆปล่อยตัวตามอัธยาศัยอย่างก่อนหน้าอีกต่อไป กระทั่งชายชราในชุดมอซอที่แลดูเกียจคร้านปานตาแก่พึ่งตื่น ก็ยังกลายเป็นจริงจังขึงขังขึ้นมาทันตาเห็น สีหน้าท่าทางยังเผยความยำเกรงไม่น้อย


 


ราวกับทั้ง 3 ที่พึ่งมาใหม่นั้นเป็น สัตว์ร้ายอันน่ากลัว!


 


และก็เป็นชายชราในชุดมอซอ จ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิงที่ขวัญกล้ากว่าผู้ใด สามารถกลับคืนสู่ความสบายๆได้ก่อนใคร เพื่อน ยิ้มทักทั้ง 3 คนออกมาอย่างมากอัธยาศัย “วันนี้ช่างเป็นวันที่ดียิ่ง…ไม่คิดเลยว่าข้าจักมีบุญได้พบใต้เท้าผู้พิทักษ์ทั้ง 3 พร้อมกัน”


 


ทันทีที่เหลิ่งอิงกล่าวคำนี้ออกมา ฐานะของทั้ง 3 ผู้มาใหม่ก็ถูกเปิดเผยทันที


 


เป็น ผู้พิทักษ์ทั้ง 3 คนของลัทธิบูชาไฟ!


 


ผู้พิทักษ์ทั้ง 3 คนของลัทธิบูชาไฟ หรือที่ถูกเรียกขานกันว่าผู้พิทักษ์แห่งลม ไฟ และเมฆ อันได้แก่ สื่อเฟิง ชิงหั่ว หงอวิ๋น


(ลม ไฟ เมฆ มาจากชื่อของ 3 คน = ลมม่วง ไฟเขียว แล้วก็เมฆแดง)


 


ลำดับดังกล่าวยังจัดตามพลังฝีมืออีกด้วย


 


ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ ผู้พิทักษ์ลมม่วง สื่อเฟิง เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีม่วง พลังฝึกปรือของมันบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนแล้ว เป็นดั่งเสาหลักของลัทธิบูชาไฟ


 


ส่วนอันดับที่ 2 ก็คือผู้พิทักษ์ชิงหั่ว  คนผู้นี้ก็คืออาจารย์ของก่านหรูเยี่ยน พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน กวาดตามองไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันก็นับเป็นตัวตนที่อยู่อันดับต้นๆ พลังฝีมือยังรั้งอยู่ใน 20 อันดับแรกของรายนามยอดเซียน


 


สุดท้ายก็คือผู้พิทักษ์หงอวิ๋น ถึงแม้นางจะเป็นอิสตรีนางหนึ่ง หากทว่าพลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์อมตะ 7 เปลี่ยนเช่นเดียวกัน นับเป็นตัวตนระดับแนวหน้าของแดนดินคนหนึ่ง ติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของรายนามยอดเซียนเช่นกัน


 


“คารวะใต้เท้าผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ใต้เท้าผู้พิทักษ์ชิงหั่ว ใต้เท้าผู้พิทักษ์หงอวิ๋น”


 


ขณะเดียวกันรองจ้าวลัทธิทั้ง 2 ก็เป็นผู้นำกล่าวทักทายผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ออกมา ทำให้คนอื่นๆเริ่มโค้งคารวะทักทายผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ตามๆกัน


 


ทั้ง 3 เพียงพยักหน้ารับการทักทายเบาๆ จากนั้นค่อยเบนสายตาไปตกยังเกาะลอยที่ลอยล่องอยู่ไม่ไกล


 


เกาะลอยฟ้าเกาะนี้ยังเป็นเกาะที่ลอยอยู่ในระดับสูงสุด เสมือนจักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงทอดตามองพสกนิกรทั่วหล้า…


 


ณ ตอนนี้


 


ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเกาะลอยสูงสุดต่อหน้าผู้คนนั่น พลันปรากฏกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงปะทุระเบิดออกมาไม่หยุด ระลอกแล้วระลอกเล่า เป็นไอพลังมหาศาลที่มีพลังอำนาจครอบงำเป็นที่สุด


 


เมื่อมาอยู่ต่อหน้ากลิ่นอายพลังดังกล่าว กระทั่งผู้อาวุโสเพลิงทองที่พลังฝีมืออ่อนแอบางคนยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดัน


 


“กลิ่นอายพลังนี่มัน…เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! นี่เป็นกกลิ่นอายพลังของพลังอำนาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนมิผิดแน่!!”


 


ทันใดนั้น 1 ใน 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ ชิงหั่ว กล่าวคำออกมาด้ววยสองตาสว่างจ้า ในน้ำเสียงมากล้นไปด้วยความตื่นเต้นระคนยินดี อย่างยากจะปกปิด


 


“พลังขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! ท่านจ้าวลัทธิทะลวงด่านพลังไปถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนสำเร็จแล้ว!?”


 


ได้ยินคำของชิงหั่ว ยกเว้นผู้พิทักษ์อีก 2 คนกับจ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิง อาวุโสทั้งหลายล้วนตื่นตระหนกกตกใจกันถ้วนหน้า


 


พวกมันคิดไม่ฝันจริงๆ


 


ว่าการที่จ้าวลัทธิของพวกมันปิดด่านบ่มเพาะครานี้ พลังฝึกปรือจะสามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้สำเร็จ สักวันย่อมสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์เพื่อพิสูจน์ตัวได้!


 


เปลี่ยนที่ 9 นั้น เป็นขอบเขตพลังสูงสุดของขอบเขตเซียนสวรรค์ เท่าที่มนุษย์และสัตว์เซียนในดินแดนเทพยุทธ์จะสามารถบรรลุถึงได้!


 


ด่านพลังฝึกปรือนี้เรียกอีกอย่างว่า เปลี่ยนสู่สวรรค์ หรือเปลี่ยนสู่เซียนอมตะ!


 


เพราะผู้ใดก็ตามที่บรรลุถึงขอบเขตพลังฝึกปรือนี้ จะสามารถถึงดูดหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้มาทดสอบเพื่อพิสูจน์ตัวเองได้!


 


หากสามารถก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ก็จะเข้าสู่กระบวนหลอมร่างแปลงพลังเพื่อขึ้นสู่แดนสวรรค์ และหลังจากใช้เวลาเตรียมการอีกไม่นาน ก็จะสามารถขึ้นสู่ระนาบเทวโลก กลายเป็นเซียนอมตะที่แท้จริง มีพลังอำนาจพลิกฟ้าคว่ำดินสุดที่มนุษย์จะเทียบเทียมได้!


 


“เช่นนี้หมายความว่า…ลัทธิบูชาไฟของพวกเรากำลังจักมีตัวตนดั่งผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้า เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วจริงๆหรือ!?”


 


เมื่อทุกคนดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอย รองจ้าวลัทธิทั้งสองก็เป็นผู้ที่โพล่งอุทานออกมาก่อนใครด้วยความตื่นเต้นยินดีสุดระงับ!


 


ต้องทราบด้วยว่า…


 


ก่อนหน้านี้ในบรรดามหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบนอย่าง 3 ลัทธินั้น มีเพียงลัทธิบูชาไฟเพียงแห่งเดียวที่ไร้ซึ่งตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! เรื่องนี้เป็นดั่งมีดที่ปักคากลางใจคนของลัทธิบูชาไฟมาตลอด!


 


พอทราบว่าจ้าวลัทธิของพวกมันบรรลุถึงขอบเขตเซวียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว มีดที่ปักค้างกลางใจเสมือนถูกถอนออก พวกมันบังเกิดความรู้สึกโล่งอก ทั้งปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!


 


สำหรับพวกมันแล้ว…


 


ข่าวนี้ มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าโอสถรักษาใดๆในใต้หล้า!


 


กลิ่นอายพลังที่ทรงอำนาจทั้งครอบงำยังคงแผ่กำจายออกมาจากคฤหาสน์บนเกาะลอยเหนือฟ้าไม่หยุดหย่อน รัศมีพลังสาดซัดออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับเจ้าของขุมพลังนี้ใกล้จะเสร็จสิ้นกระบวนการปรับพลังให้เสถียรเต็มที


 


ขณะเดียวกันใต้ฝ่าเท้าเบื้องล่างของระดับสูงๆที่ลอยอยู่ บริเวณทะเลเมฆหมอก เหล่าศิษย์ที่แท้จริงทั้งสิทธิ์ชั้นยอดไม่เว้นอาวุโสเพลิงเงินและเพลิงทองแดงทั้งหลายก็ดั่งโจ๊กในหม้อที่เดือดปุดๆ ทุกคนผุดร่างขึ้นมาลอยค้างกลางหาวจ้าละหวั่น ทีท่ายังตื่นตระหนกราวกับจุดจบของโลกกำลังจะมาถึง


 


สำหรับเหล่าศิษย์ของแท่นบูชาจตุรลักษณ์นั้นแม้พวกมันจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังนี้เช่นกัน ทว่าด้วยระยะทางที่ไกลห่าง พวกมันจึงไม่ค่อยรู้สึกกดดันบีบคั้นสักเท่าไหร่


 


อย่างไรก็ตามกระนั้นแล้วพวกมันก็ยังอยากรู้อยากเห็นอยู่ดี


 


“นี่มันกลิ่นอายพลังอันใดกัน ช่างทรงอำนาจครอบงำเหลือเกิน…ราวกับมันจะสะกดข่มพลังในร่างข้า!”


 


“ข้าก็ไม่รู้”


 


“ดูเหมือนกลิ่นอายพลังมหาศาลนี่ จะแผ่ออกมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์!”


 



 


วาจาทำนองเดียวกันนี้ดังระงมไปทั่วแท่นบูชาจตุรลักษณ์


 


และในขณะที่ศิษย์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังตื่นตระหนกเสียขวัญ และศิษย์แท่นบูชาจตุรลักษณ์กำลังแตกตื่นนั้นเอง


 


เสียงหนึ่งอันคล้ายจะมีพลังอำนาจสุดไพศาลพลันดังขึ้นเข้าหูทุกผู้คนทั้งลัทธิบูชาไฟ


 


“ข้าจักประกาศถึงข่าวดีให้ทุกคนรับทราบ…บัดนี้ท่านจ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกเรา ประสบความสำเร็จในการทะลวงด่านพลังเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เปลี่ยนสู่เซียนอมตะเรียบร้อยแล้ว!!”


 


เสียงนี้ดังขึ้นในหูคนของลัทธิบูชาไฟทุกคนอย่างชัดถ้อยชัดคำ


 


และเนื้อหาในวาจาก็ประหนึ่งอัสนีบาตยามแล้งที่ฟาดผ่าลงมาดังเปรี๊ยง! ทำให้เหล่าศิษย์อาวุโสทั้งหลายรู้สึกเสมือนหนังศีรษะชาด้าน ยืนอึนกันไปอีกพักหนึ่ง


 


ต่อมาก็เป็นชนชั้นอาวุโสทั้งหลายของลัทธิบูชาไฟที่ดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้ก่อนเหล่าศิษย์ ทั้งหมดโพล่งคำออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดี “ทะ…ท่านจ้าวลัทธิ ทะ…ทะลวงด่านสำเร็จแล้ว?! ท่านจ้าวลัทธิทะลวงสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนสำเร็จแล้ว!?”


 


“ท่านจ้าวลัทธิทะลวงด่านแล้ว!?”


 


และเหล่าศิษย์ที่ได้สติภายหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาตามๆกัน ทั้งหมดทั้งแตกตื่นทั้งยินดีออกอาการลิงโลดกันไม่น้อย


 


จ้าวลัทธิทะลวงด่านและมีพลังเข้มแข็งขึ้น ย่อมหมายความว่าลัทธิบูชาไฟของพวกมันทรงพลังยิ่งขึ้น!


 


สำหรับศิษย์สาวกของลัทธิบูชาไฟ เรื่องนี้มีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย!


 


หลังจากผ่านไปอีกราวๆชั่วกาน้ำเดือด ในที่สุดกลิ่นอายพลังอันครอบงำยากหาใดเทียบก็สลายหายไป ทำให้เหล่าศิษย์ชั้นยอดของลัทธิบูชาไฟอดไม่ได้ที่จะโล่งอก


 


ถึงแม้จะรับทราบกันว่ากลิ่นอายพลังอันน่าสะพรึงกลัววขู่ขวัญนั่นมาจากตัวจ้าวลัทธิ แต่พวกมันก็หวั่นใจทั้งรู้สึกกดดันบีบคั้นไม่น้อย


 


เรียกว่าเผชิญหน้ากับกลิ่นอายอันทรงพลังอำนาจสะกดข่มดังกล่าว พวกมันสะท้านสั่นกลัวไปถึงจิตวิญญาณ!


 


ซู่มมม!!!


 


ทันใดนั้นเอง เหนือม่านหมอกเบาบางที่ปกคลุมเกาะที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าสูงสุด ก็ปรากฏร่างหนึ่งพุ่งทะลวงเมฆหมอกขึ้นมาปรากฏกายกลางหาว


 


“ท่านจ้าวลัทธิ!”


 


ร่างนี้พึ่งปรากฏได้ไม่ทันไร เหล่าผู้ที่ลอยร่างรอคอยอยู่ไม่ไกล ก็คารวะทักทายออกมาอย่างพร้อมเพรียง


ตอนที่ 2,160 : กลัว!


 


 


จ้าวลัทธิบูชาไฟนั้น รูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนร่างสูงทั้งกำยำแข็งแกร่ง มาในชุดคลุมสีขาวปักลายเปลวเพลิงสีแดงสด มองไปก็คล้ายคลึงกับชุดเครื่องแต่งกายของอาวุโสและศิษย์ของลัทธิบูชาไฟ


 


แน่นอนว่าเพียงคล้ายกันอยู่บ้างเท่านั้น หากแต่ลายปักเปลวเพลิงบนชุดคลุมของจ้าวลัทธินั้น ไม่เหมือนกันกับของคนอื่น!


 


หากสังเกตให้ดีจะพบว่า…


 


ลายปักเปลวเพลิงบนชุดคลุมของจ้าวลัทธิ รูปลักษณ์ของมันมองไปกลับคล้ายมังกรเทพยาดา มองไกลๆยิ่งเหมือนว่ามีมังกรเทพยามากมายพัวพันรอบกายเพื่อคอยปกป้องคุ้มครอง!


 


จ้าวลัทธิบูชาไฟผู้นี้แม้ร่างกายจะสูงใหญ่แลดูกำยำแข็งแกร่ง หากทว่าหน้าตากลับแลดูดี ไม่มีความรู้สึกหยาบกระด้างลูกตาอันใด


 


ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาเรียกว่าแลดูสง่างามสมบูรณ์พร้อม


 


หว่างคิ้วยังแผ่พุ่งความน่าเกรงขามพร้อมพรั่งด้วยบารมีทรงอำนาจ ราวกับจะทำให้ผู้อื่นยอมสยบ


 


“ดูเหมือนว่าความเคลื่อนไหวของข้าจะทำให้ผู้คนแตกตื่นกันไม่น้อย…กระทั่งท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 3 กับท่านจ้าวหอเหลิ่งยังถึงกับต้องมาเอง”


 


จ้าวลัทธิบูชาไฟแย้มยิ้มพลางกล่าว ค่อยผายมือคล้ายยกขึ้น


 


ทันใดนั้นเองปรากฏมวลพลังอันยิ่งใหญ่สุดไพศาลที่มองไม่เห็นขุมหนึ่งปกคลุมร่างทุกคนที่กำลังโค้งคารวะ


 


หากแต่มวลพลังอันสุดไพศาลนี้ไม่ได้ทำร้ายผู้คนแต่อย่างไร เป็นพลังไร้สภาพอันอ่อนโยนขุมหนึ่งหากทว่าเป็นพลังอำนาจลึกล้ำสุดหยั่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกยอมจำนนไม่อาจแข็งข้อต่อต้าน ประคองทุกคนให้เงยหน้าขึ้นมาจากการโค้งคารวะ


 


‘นี่น่ะหรือ พลังอำนาจของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน’


 


ทั้งหมดอดตกตะลึงไม่ได้


 


“ขอแสดงความยินดีกับท่านจ้าวลัทธิด้วย ที่สามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เปลี่ยนสู่เซียนอมตะได้สำเร็จ!”


 


สุดท้ายก็เป็น 3 ผู้พิทักษ์ที่รู้สึกตัวก่อนใคร และกล่าวแสดงความยินดีออกมาอย่างพร้อมเพรียง


 


เสียงของผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ยังปลุกสติเหลิ่งอิงและคนอื่นๆให้หลุดจากภวังค์เหม่อเพราะตื่นตระหนกกับพลังไร้สภาพก่อนหน้าอีกด้วย


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยท่านจ้าวลัทธิ!”


 


ครู่ต่อมาเหลิ่งอิงและอาวุโสคนอื่นๆ ก็เร่งกล่าวคำแสดงความยินดีต่อจ้าวลัทธิบูชาไฟทันที


 


จ้าวลัทธิบูชาไฟคนนี้มีนามว่า ถังซวน


 


ในอดีตตอนที่มันมีพลังฝึกปรือเพียงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนนั้น มันก็ถือเป็นสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟอยู่ก่อนแล้ว


 


ในขณะเดียวกันมันยังได้รับการยอมรับจากทุกคนอีกด้วย ว่าเป็นสุดยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


อันดับในรายนามยอดเซียนของมันก่อนหน้านี้ก็รั้งอยู่ในอันดับที่ 4!


 


3 คนที่แข็งแกร่งเหนือมัน ล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนขอบเขตพลังเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั้งสิ้น!


 


วันนี้ในที่สุดหลังจากปิดด่านบ่มเพาะมานาน มันก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 ได้เป็นผลสำเร็จ กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้าอีกคน!


 


ถังซวนโปรยยิ้มให้เหล่าผู้พิทักษ์และอาวุโสทั้งหลายของลัทธิบูชาไฟอย่างอารมณ์ดี ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ในระหว่างที่ข้าปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ที่ลัทธิเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่?”


 


“เรียนท่านจ้าวลัทธิ!”


 


ถังซวนพึ่งกล่าวถามได้ไม่ทันขาดคำดี หนึ่งในรองจ้าวหอคุมกฏ ก็ก้าวออกมาด้านหน้าทั้งประสานมือ โค้งกล่าวรายงานออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังหน้าเคร่ง “ธิดาเทพของลัทธิบูชาไฟเราที่เคยหายตัวไปในอดีต บัดนี้ได้หวนกลับมายังลัทธิบูชาไฟของพวกเราแล้วขอรับ…”


 


รองจ้าวหอคุมกฏผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ เจียงฉิน อดีตรองจ้าวหอคุมกฏที่เป็นผู้จับกุมเค่อเอ๋อแม่ลูกไปขังไว้ในหอคุมกฏ!


 


“ธิดาเทพที่หายตัวไปตอนนั้นกลับมาแล้ว!?”


 


ถังซวนถึงกับตกตะลึงไปทันใดเมื่อได้ยินคำพูดของเจียงฉิน จากนั้นสีหน้าก็ฉายชัดถึงความตื่นเต้นยินดี รีบกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นว่า “นี่เป็นเรื่องจริงหรือ!?”


 


ถังซวนกล่าวถามด้วยความตื่นเต้นอย่างออกหน้าออกตาเช่นนี้ ทำให้เจียงฉินอดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


เรียกว่าเจียงฉินถึงกับตะลึงค้างไปพักหนึ่งไม่อาจดึงสติกลับมาได้


 


คนอื่นๆรวมทั้งผู้พิทักษ์ทั้ง 3 คนก็แปลกใจไม่น้อย ด้วยไม่เข้าใจว่าไฉนถังซวนถึงได้แลดูตื่นเต้นถึงขนาดนี้


 


พวกมันนึกไม่ออกจริงๆ


 


ว่าไฉนจ้าวลัทธิของพวกมันเพียงแค่ได้ยินว่าธิดาเทพกลับมาแล้ว ถึงได้ตื่นเต้นจนออกอาการแบบนี้?


 


จังหวะนี้พวกมันอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ


 


ตอนที่ธิดาเทพคนนี้หายตัวไป หลังจากที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นธิดาเทพของลัทธิบูชาไฟได้ไม่นาน…


 


9 ใน 10 ส่วนทีท่าของจ้าวลัทธิบูชาไฟยามนั้น คล้ายไม่คิดจะแต่งตั้งผู้ใดขึ้นมาเป็นธิดาเทพคนใหม่แม้แต่คนเดียว!


 


‘หรือเพราะว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของธิดาเทพเป็นสีม่วง…เช่นนั้นท่านจ้าวลัทธิจึงคิดว่านางมีเอกลักษณ์เฉพาะ ยากจะหาใครมาแทนที่ได้?’


 


‘หรืออาจเป็นเพราะ ธิดาเทพคนนี้…คือเทพธิดากลับชาติมาเกิดอย่างที่ว่าจริงๆ?’


 


จังหวะนี้ทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะลอบคาดเดาในใจ


 


แน่นอนว่าเรื่องที่ ธิดาเทพเป็น ‘เทพธิดากกลับชาติมาเกิด’ นั้น เป็นเรื่องที่พวกมันไม่เชื่อ และคิดว่าเหลวไหลอย่างถึงที่สุด!


 


“เป็นเรื่องจริงท่านจ้าว”


 


ตอนนี้เองจ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิงที่รู้สึกตัวก่อนใคร ก็กล่าวตอบแทนเจียงฉินที่ยังอึ้งไม่หาย


 


จากนั้นเหลิ่งอิงเผยทีท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวสืบต่อออกมา “ทว่า…ธิดาเทพคนนี้ ด้วยความที่ตอนที่นางหายตัวไปนางยังเป็นแค่ทารก…จึงมิรู้กฏเกณฑ์ทั้งเรื่องราวต้องห้ามของลัทธิบูชาไฟเรา! ทำให้ไม่เพียงแต่นางจะมีสามีแล้ว…นางกระทั่งคลอดบุตรีออกมาคนหนึ่ง…”


 


“และตอนนี้นางกับบุตรีก็..”


 


ในขณะที่เหลิ่งอิงกำลังจะพูดว่า ‘ตอนนี้นางกับบุตรีถูกขังไว้ในหอคุมกฏชั่วคราว’ ถังซวนพลันกล่าวขัดคำออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจังก่อนที่เหลิ่งอิงจะทันได้กล่าวจบว่า “อะไร!? ธิดาเทพมีสามีแล้ว…กระทั่งนางยังมีบุตรีกับบุรุษผู้นั้นด้วย!?”


 


วาจาของถังซวนนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจถึงที่สุด อีกทั้งในน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความโมโหถึงขีดสุด!


 


และเมื่อโทสะของถังซวนปะทุออกมา กลิ่นอายพลังสุดไพศาลไร้ผู้ต้านก็ปรากฏขึ้นทั่วกายของมันอีกครั้ง ยังแผ่กำจายออกไปสะท้านสะเทือนโดยรอบด้วยความโมโหอย่างไม่รู้ตัว


 


และคราวนี้กระทั่งผู้อาวุโสเพลิงทอง ก็ยังรู้สึกกดดันบีบคั้นอย่างหนัก!


 


บนเกาะศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ม่านเมฆ ตอนนี้เหล่าศิษย์ชั้นยอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พึ่งจะระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ทันไร อยู่ๆก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าครั้งก่อนถล่มทับลงมากดดันไปทั่วร่างจนหายใจแทบไม่ออก!


 


คราวนี้เหล่าศิษย์ที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยถึงขั้นไม่อาจทานทนรับไหว หากไม่ทรุดลงไปคุกเข่าก็นอนแผ่ลงไปอย่างไร้หนทางต่อต้าน กระทั่งที่หนักหน่อยก็มีโลหิตไหลออกจากทวารทั้ง 7 อาการสาหัสแทบวายปราณ!


 


“กะ…เกิดอะไรขึ้นกัน!?”


 


“พลังอำนาจของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ…กับอีแค่กลิ่นอายพลังที่ปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ตั้งใจ กลับทรงอานุภาพถึงเพียงนี้…เพียงแรงกดดันจากพลังไร้สภาพก็ทำให้พวกเราสิ้นไร้กำลัง แล้วหากเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนลงมือเต็มกำลัง…โลกหล้ามิแหลกลาญเลยหรือไร?!”


 


“เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนช่างทรงพลังน่าสะพรึงกลัวนัก! สมควรแล้วที่จะอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!!”


 



 


ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้เหล่าอาวุโสเพลิงเงิน อาวุโสเพลิงทองแดง และเหล่าศิษย์ที่แท้จริงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกกันจนขวัญหนีดีฝ่อ


 


ทว่าหลังผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ กลิ่นอายพลังที่นำพาแรงกดดันอันหนักอึ้งสุดทานทนก็สลายหายไป ทำให้เหล่าอาวุโสและเหล่าศิษย์ถึงกับต้องระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าศิษย์ชั้นยอดที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยนั้น ถึงกับระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทั้งหมดทรุดลงนั่งแผ่หราบางก็นอนหงายมองมองฟ้าด้วยความโล่งใจ ราวกับพึ่งรอดพ้นจากปากเหวแห่งความตายมาหยกๆ


 


เหนือขึ้นไปบนฟ้าสูงจากม่านเมฆของเกาะศักดิ์สิทธิ์


 


“ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”


 


แววตาของถังซวนเปลี่ยนเป็นคมกล้าปานจะมองทะลุผ่านทุกสิ่ง สายตาดังกล่าวยังมองจ้องไปที่เหลิ่งอิงเขม็ง กล่าวจี้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


“เรียนท่านจ้าวลัทธิ…ธิดาเทพที่หายตัวไปตั้งแต่นางยังแบเบาะคนนั้น ตอนที่ก่านหรูเยี่ยนศิษย์ส่วนตัวของผู้พิทักษ์ชิงหั่วไปพบ นางก็มีสามีกระทั่งตั้งครรภ์เสียแล้ว…”


 


เผชิญหน้ากับคำถามด้วยโทสะของถังซวน เหลิ่งอิงได้แต่กล่าวออกมาอย่างขื่นขม


 


“ต่อมาก่านหรูเยี่ยนก็ได้พาตัวธิดาเทพที่ตั้งครรภ์กลับมาที่ลัทธิบูชาไฟเรา…หากทว่านางมิได้รายงานเรื่องการพบตัวธิดาเทพออกมาแต่อย่างใด กลับเลือกที่จะซ่อนธิดาเทพกับลูกในท้องไวว้ที่คฤหาสน์ส่วนตัวของนาง…นางยังกระทั่งปล่อยให้ธิดาเทพคลอดบุตรี…”


 


“ไม่กี่ปีต่อมา รองจ้าวหอคุมกฏ เจียงฉิน ของหอคุมกฏเรา ก็ได้รับรายงานจากศิษย์ส่วนตัวของจ้าวแท่นบูชามังกรคราม เวินเยี่ยน พวกเราจึงได้รับทราบว่าที่แท้ธิดาเทพได้กลับมาอยู่ที่ลัทธิบูชาไฟแล้ว”


 


“จากนั้นเจียงฉินจึงนำคนไปจับกุมตัวธิดาเทพกับบุตรีมากักขังไว้ที่หอคุมกฏเป็นการชั่วคราว เพื่อรอให้ท่านจ้าวลัทธิออกจากการปิดด่านมาตัดสินความ…”


 


หากเป็นคนธรรมดามาเผชิญหน้ากับการจี้ถามด้วยโทสะของถังซวน เกรงว่าคงกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไม่อาจร้อยเรียงถ้อยคำวาจามาตอบได้อย่างฉะฉานเช่นนี้…


 


ทว่าเหลิ่งอิง จ้าวหอคุมกฏกลับยังคงมีสติแจ่มใสความคิดกระจ่าง กล่าวรายงานเรื่องราวทั้งหมดออกไปอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง


 


“นังหนูก่านหรูเยี่ยน…ศิษย์ส่วนตัวของท่านผู้พิทักษ์ชิงหั่วเป็นคนพบตัวธิดาเทพที่หายไปงั้นรึ!?”


 


หลังได้ฟังคำรายงานจากเหลิ่งอิง ถังซวน ก็หันไปมองถามชิงหั่วเพื่อยืนยัน


 


และตอนนี้น้ำเสียงของถังซวนก็อ่อนลงไม่น้อย ไม่ทราบเพราะชิงหั่วเป็นผู้พิทักษ์หรืออย่างไร หากทว่าโทสะของถังซวนคล้ายจะหายไปหลายส่วน


 


“มิผิดท่านจ้าว”


 


ชิงหั่วพยักหน้า “นังหนูหรูเยี่ยนไปพบตัวธิดาเทพที่ภูมิภาคเบื้องล่าง…แต่อย่างไรนางก็ยังมีความผิดติดตัว! เพราะนางมิได้ส่งรายงานเรื่องพบตัวธิดาเทพขึ้นมา กระทั่งยังปล่อยให้ธิดาเทพคลอดทารก…”


 


“ท่านจ้าวข้าเองก็สั่งให้นังหนูหรูเยี่ยนมอบตัวต่อหอคุมกฏแล้ว…มิว่าท่านจ้าวจะลงโทษศิษย์ข้าคนนี้เช่นไรก็สุดแล้วแต่ท่านจ้าวจักตัดสินเถอะ จักอย่างไรข้าล้วนยอมรับทั้งสิ้น…”


 


เสียงกล่าวของชิงหั่วเต็มไปด้วยความทอดถอน พริบตานี้มันคล้ายจะแก่ตัวลงไปหลายปี


 


“นังหนูหรูเยี่ยนนั่นจะอย่างไรก็เป็นพี่น้องฝาแฝดของธิดาเทพ นางย่อมมีใจคิดปกป้องธิดาเทพเป็นธรรมดา…เรื่องนี้ขอท่านผู้พิทักษ์ชิงหั่วอย่าได้กังวลใจมากไป”


 


ถังซวนส่ายหัวไปมาพลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็นชา กระทั่งเสียงขณะกล่าวถามยังสั่นไปไม่น้อย “ที่ข้าอยากรู้ตอนนี้ก็คือตัวบัดซบจากที่ใดที่เป็นสามีของธิดาเทพ…มันช่างหาญกล้านักถึงขั้นลบหลู่ธิดาเทพของลัทธิบูชาไฟเราให้แปดเปื้อนมีมลทิน”


 


เสียงกล่าวถามท้ายประโยคของถังซวนสั่นนัก…หากทว่ามันสั่นไปเพราะความกลัว!


 


ทว่าในหูของผู้อื่น เสียงที่สั่นนั่น เหมือนจะสั่นเพราะโทสะ!


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ถังซวนบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาจับใจแล้วจริงๆ เมื่อได้รู้ว่าธิดาเทพมีสามีกระทั่งยังให้กำเนิดบุตรีออกมาคนหนึ่ง!


 


แต่เรื่องนี้กลับมิมีผู้ใดสังเกตเห็น


 


หาไม่แล้วทุกคนคงได้แต่ตกตะลึงอึ้งไปด้วยความเหลือเชื่อทั้งไม่เข้าใจ ว่าไฉนจ้าวลัทธิผู้ยิ่งใหญ่ของมันถึงได้หวาดกลัวจนเสียขวัญขนาดนี้…


 


“ท่านจ้าวลัทธิ…”


 


ตอนนี้เองเหลิ่งอิงพลันพูดขึ้นมาอีกครั้ง “พวกเราได้สอบถามธิดาเทพแล้วว่าผู้ใดที่เป็นสามีของนาง…หากทว่านางปฏิเสธมิยอมกล่าวตอบ ทว่าด้วยฐานะของนาง…ก่อนที่พวกเราจะได้รับคำสั่งจากท่านจ้าว พวกเราย่อมไม่กล้าลงทัณฑ์กระทั่งทรมานธิดาเทพเพื่อเค้นความ…”


 


“เจ้าจัดการเรื่องราวได้เหมาะสมแล้ว…”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่รอบถังซวนก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ ความกลัวในใจคล้ายถูกสะกดเอาไว้ชั่วคราว มันพยักหน้ารับคำเหลิ่งอิงค่อยกล่าวต่อว่า “ในเมื่อนังหนูหรูเยี่ยนเป็นคนพบตัวธิดาเทพที่ภูมิภาคเบื้องล่าง…เช่นนั้นสามีของธิดาเทพผู้นั้นก็มิพ้นอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่าง!”


 


“ในเมื่อธิดาเทพไม่ยอมบอกก็ช่างเถอะ พวกเราค่อยไปหาความจากนังหนูหรูเยี่ยนก็ได้ ว่าที่แท้ตัวบัดซบนั่นมันเป็นผู้ใดกันแน่!?”


 


น้ำเสียงของถังซวนกลับเต็มไปด้วยความกังวลและความหวาดกลัว…


 


ไม่ผิด เป็นความกลัวอีกครั้ง


 


ไม่ทราบว่าที่แท้ธิดาเทพคนนี้มีความลับอันใดซุกซ่อนอยู่กันแน่ ถึงได้ทำให้จ้าวลัทธิบูชาไฟถังซวน ผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วหวาดกลัวมากขนาดนี้


 


“จ้าวหอเหลิ่งท่านพาข้าไปหานังหนูหรูเยี่ยนที่หอคุมกฏเถอะ…หลังจากที่ข้าเค้นความเป็นมาของบุรุษผู้นั้นจากปากนางได้เมื่อใด ข้าจะลงไปยังภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อจับตัวบุรุษผู้นั้นกลับมาด้วยตัวเอง!!”


 


ถังซวนกล่าวออกอีกครั้ง หากทว่าวาจานี้ของมันกลับทำให้ระดับสูงของลัทธิบูชาไฟในที่นี้ตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ!


 


จ้าวลัทธิของพวกมัน คิดจะจัดการเรื่องราวนี้ด้วยตัวเองเลยหรือ!?


ตอนที่ 2,161 : วันเวลาผันผ่านปานเหินบิน…


 


ถึงแม้ว่าระดับสูงของลัทธิบูชาไฟจะพอรู้กันมาบ้าง…


 


ว่าธิดาเทพนั้นมีฐานะไม่ธรรมดาในใจจ้าวลัทธิ…


 


แต่พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าจ้าวลัทธิของพวกมัน ถึงขั้นจะลงไปล่าตัวบุรุษที่ทำให้ธิดาเทพมีมลทินด้วยตัวเอง!


 


“ท่านจ้าวลัทธิ…”


 


ตอนนี้เองจ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิงพลันกล่าวเตือนออกมาว่า “ตอนนี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคทั้งหมดในภูมิภาคเบื้องบนใช้การไม่ได้เลย…มันมิอาจเคลื่อนย้ายผู้ใดไปยังภูมิภาคเบื้องล่างได้อีกต่อไป”


 


ถึงแม้ถังซวนจะเป็นจ้าวลัทธิบูชาไฟ ทว่าด้วยความที่มันปิดด่านบ่มเพาะมาหลายปี เช่นนั้นมันจึงไม่ได้รู้เรื่องราวความเป็นไปอะไรในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบนตลอดเวลาที่ผ่านมา


 


“หืม? ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคใช้การมิได้? ไม่อาจเคลื่อนย้ายผู้คนไปยังภูมิภาคเบื้องล่างได้อีกงั้นหรือ?”


 


ได้ยินวาจากล่าวเตือนของเหลิ่งอิง คิ้วถังซวนย่นยู่เป็นปม ถามออกเสียงเข้ม “เกิดอะไรขึ้น?”


 


หลังจากนั้นเหลิ่งอิงก็เล่าเรื่องราวที่แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคเบื้องบนช่วงนี้ให้ถังซวนฟัง


 


ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศที่รุกรานเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่าง จึงเป็นเหตุทำให้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคไม่อาจใช้การได้ชั่วขณะ…


 


“เช่นนั้นอาจกล่าวได้ว่า…มีโอกาสสูงที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศจะทำลายม่านพลังผนึก จนส่งผลให้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคพลอยเสียหายไปด้วย กระทั่งอาจจะบุกรุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างอีกครั้งแล้ว?”


 


หลังได้ฟังเรื่องราววจากปากเหลิ่งอิง สีหน้าถังซวนแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังทันที


 


หลังจากนั้นมันก็หันไปมองกล่าวกับรองจ้าวลัทธิทั้งสอง “แม้ความเป็นไปได้ที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะบุกรุกเข้ามาแล้วอาจยังไม่เต็มสิบส่วน…แต่อย่างไรก็ยังมีความเป็นไปได้ไม่น้อย! พวกเราได้ส่งผู้อาวุโสกับเหล่าศิษย์ออกไปรวบรวมทรัพยากรเตรียมทำสงครามทั้งรับสถานการณ์ฉุกเฉินแล้วหรือไม่?”


 


“เรียนท่านจ้าวลัทธิ พวกเราได้กว้านซื้อทรัพยากรทั้งหลายมากักตุนไว้ไม่น้อย…ถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะจัดทัพบุกขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนจริง แต่ลัทธิบูชาไฟของพวกเราก็ได้วางมาตราการรับมือทั้งตอบโต้เรียบร้อย เรื่องเสบียงและทรัพยากรอันใดมิมีปัญหา!”


 


รองจ้าวลัทธิคนหนึ่งกล่าวออกเสียงดังฟังชัด


 


รองจ้าวลัทธิอีกคนพยักหน้าเห็นด้วย


 


“ดีมาก!”


 


ถังซวนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นค่อยหันไปมองกล่าวกับเหลิ่งอิง “จ้าวหอเหลิ่งท่านพาข้าไปหานังหนูหรูเยี่ยนเถอะ! หลังได้พบนางแล้วท่านค่อยพาข้าไปหาธิดาเทพที่หายตัวไปจากลัทธิบูชาไฟเรานานปี…ทั้งไปชมดูบุตรีที่นางมีกับบุรุษน่าตายนั่นด้วย!”


 


 


สีหน้าที่เคร่งขรึมยามกล่ามเรื่องความเป็นไปในภูมิภาคเบื้องล่างที่อาจจะเกิดขึ้นจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ…พอวกกลับมาเรื่องธิดาเทพนอกจากความโกรธที่เผยออก ลึกลงไปในแววตาของถังซวนยังฉายความกลัวที่ออกมาจากก้นบึ้งของวิญญาณ!


 


มันไม่อาจจินตนาการได้เลย…


 


หาก ‘ท่าน’ ผู้นั้นล่วงรู้ว่าธิดาเทพได้ตกลงปลงใจกับบุรุษคนอื่นกระทั่งคลอดบุตรีออกมาแล้วแบบนี้…จะบังเกิดความพิโรธถึงขั้นไหน!


 


ความน่าพรั่นพรึงของ ‘ท่าน’ ผู้นั้น ถังซวนได้แลเห็นมาแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน


 


จวบจนถึงทุกวันนี้ยังคงสะท้านในใจไม่วางวาย


 


“ทราบแล้วท่านจ้าว!”


 


เหลิ่งอิงตอบคำด้วยเคารพค่อยนำทางไป


 


“ท่านผู้พิทักษ์ชิงหั่ว หากนังหนูหรูเยี่ยนยินดีให้ความร่วมมือบอกข้อมูลเรื่องชายคนนั้นออกมา ข้าเองที่เห็นนางมาแต่เล็กแต่น้อยเช่นกัน ย่อมไม่คิดถือสาความความผิดพลาดใดๆที่นางกระทำไปเพื่อปกป้องธิดาเทพ…แต่ทว่าหากนางดื้อรั้นไม่ยอมกล่าวบอกเรื่องราวออกมา ข้าก็ทำได้แค่ต้องลงโทษนางตามกฏของลัทธิบูชาไฟเพื่อมิให้เป็นที่ครหา!”


 


ก่อนจากไปถังซวนพลันหันไปมองกล่าวกับชิงหั่วทิ้งท้าย ค่อยเหินร่างตามเหลิ่งอิงไปทันที


 


ชิงหั่วได้แต่ยิ้มเจื่อนๆหลังได้ยินคำถังซวน


 


ศิษย์ของมันเป็นคนอย่างไรไหนเลยมันจะไม่รู้ กระทั่งยังรู้ดีกว่าใคร! เกรงว่าหากไม่ได้รับคำยินยอมจากน้องสาว นางไม่มีวันทรยศน้องสาวแน่ๆ!!


 


“ศิษย์พี่ชิงหั่ว ท่านก็ตามใจศิษย์ท่านเกินไปแล้ว…”


 


หงอวิ๋นได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน


 


ถึงแม้ว่านางจะแลดูเยาว์วัย แต่อายุที่แท้จริงของนางไม่ได้น้อยไปกว่าชิงหั่วแม้แต่นิดเดียว เพราะนางเองก็เป็นคนรุ่นเดียวกันกับชิงหั่ว!


 


เรื่องที่วันนี้จ้าวลัทธิบูชาไฟได้ออกจากการปิดด่านและสามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้สำเร็จ ก็แพร่กระจายไปทั่วลัทธิบูชาไฟ กระทั่งยังแพร่ไปทั่วภูมิภาคตะวันตกในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน ทุกผู้คนในภาคตะวันตกกล้วนไม่มีใครไม่ทราบ!


 


“สวรรค์! ใต้เท้าจ้าวลัทธิบูชาไฟทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เปลี่ยนสู่เซียนอมตะแล้วงั้นหรือ!?”


 


“ประเสริฐ! หลังจากที่ผู้พิทักษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนก่อนของลัทธิบูชาไฟสามารถข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์กระทั่งขึ้นสู่แดนสวรรค์ได้สำเร็จ…ในที่สุดลัทธิบูชาไฟก็ปรากฏเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเสียที!”


 


“ท่านจ้าวลัทธิบูชาไฟบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วเช่นนี้ ก็กล่าวได้ ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของพวกเราได้มีผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้าคนที่ 4 แล้วสินะ…”


 


ในภาคตะวันตกนั้นลัทธิบูชาไฟเป็นดั่งศาสนาและจุดศูนย์รวมความศรัทธาของผู้คน การได้รับรู้ข่าวเรื่องราวของจ้าวลัทธิบูชาไฟอย่างถังซวนว่าทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว ย่อมนำความตื่นเต้นยินดีมาสู่ผู้คนทั้งภาค แต่ละคนยังคึกคักปานถูกฉีดเลือดไก่!


 


และข่าวเรื่องราวนี้ หลังเวลาผ่านไปไม่นานก็แพร่กระจายออกไปนอกภาคตะวันตก ล่วงลุไปถึงภาคอื่นๆในภูมิภาคเบื้องบนด้วยความรวดเร็วดั่งไฟป่า


 


ทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง


 


ลัทธิบูชาไฟ ได้อุบัติตัวตนผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้าขึ้นมาแล้ว…


 


นี่เป็นข่าวใหญ่ที่สะท้านสะเทือนไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน


 


ต้องทราบด้วยว่า…


 


ก่อนหน้านี้ในบรรดา 3 ลัทธิอันเป็นมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ มีเพียงลัทธิอารามทมิฬ กับลัทธิชะตาฟ้าเท่านั้น ที่มีผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้า ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของลัทธิบูชาไฟนั้นเป็นแค่เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนเท่านั้น! และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของลัทธิบูชาไฟคนนั้นก็คือถังซวน!!


 


อีกทั้งถังซวนยังไม่ใช่เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนที่แข็งแกร่งที่สุดในลัทธิบูชาไฟเท่านั้น


 


ทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ ถังซวนที่มีด่านพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนสามารถรั้งอยู่ในอันดับที่ 4 ของรายนามยอดเซียนได้ ย่อมบ่งบอกให้ทุกผู้คนรับทราบ ว่ามันคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


ในอดีตเคยเกิดเรื่องราวทำนองที่ว่า ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของลัทธิอารามทมิฬกับลัทธิชะตาฟ้า ตั้งใจผนึกกำลังกันสังหารถังซวนจ้าวลัทธิบูชาไฟ! ด้วยชนชั้นผู้นำของทั้ง 2 ลัทธิคิดอยากหั่นแบ่งทรัพยากรทั้งหมดของลัทธิบูชาไฟออกเป็น 2 ส่วน และอ้างตัวเป็น 2 มหาอำนาจในแดนดิน…


 


ทว่าเรื่องราวกลับไม่เป็นไปดั่งที่คาด ด้วยถังซวนจ้าวลัทธิบูชาไฟสามารถหลบหนีการผนึกกำลังสังหารของทั้งคู่ได้!


 


สาเหตุเป็นเพราะ ถังซวน ได้แตกฉานเวทย์พลังท่าร่างหนึ่ง ซึ่งมีพลังอำนาจเหนือล้ำยิ่งกว่าเวทย์พลังท่าร่างเสริมเคลื่อนไหวใดๆในแดนดิน! ยามใช้ออกกระทั่งตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั้ง 2 ที่กลุ้มรุมยังมิอาจจับได้ไล่ทัน!!


 


และในวันนั้นขณะที่ถังซวนหลบหนีจากการไล่ล่าสังหารของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั้ง 2 มาได้ ถังซวนก็ไม่ลืมที่จะข่มขู่พวกกมันเอาไว้ว่า…


 


ถ้าหากพวกมันไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งกล้าที่จะลงมือเล่นงานลัทธิบูชาไฟล่ะก็! มันจะอาศัยเวทย์พลังเสริมท่าร่างนี้อาละวาดเข่นฆ่าผู้คนในลัทธิทั้ง 2 ให้สิ้น!!


 


ด้วยพลังฝีมือของถังซวนผนวกกับเวทย์พลังเสริมท่าร่างอันลึกล้ำสุดหยั่งนั่น ทำให้สุดยอดฝีมือชนชั้นผู้นำของทั้ง 2 ลัทธิถึงกับจนปัญญา ด้วยพวกมันรู้ดีว่ากระทั่ง 2 คนยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เช่นนั้นหากแยกกันไม่แคล้วถังซวนต้องก่อการได้ตามอำเภอใจ อย่างที่พวกมันไม่มีปัญญาหยุดยั้งเป็นแน่…


 


และเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าถ้าหาก ถังซวน สิ้นไร้ไม้ตอกคิดเป็นดั่ง ‘มัจฉาตายตาข่ายขาด’ ขึ้นมา ทั้ง 2 ลัทธิไม่พ้นประสบกับความสูญเสียอันใหญ่หลวง!


(มัจฉาตายตาข่ายขาด = สู้ให้ตกตายไปตามๆกัน)


 


เพราะถึงแม้สุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั้ง 2 จะร้ายกาจ ทว่าก็ไม่มีปัญญาปกป้องทุกคนในลัทธิให้ปลอดภัยได้ตลอดเวลา…


 


ด้วยเหตุนี้ลัทธิบูชาไฟจึงสามารถยืนหยัดและคานอำนาจกับอีก 2 ลัทธิได้อย่างไม่ยิ่งหย่อน


 


อาจกล่าวได้ว่า…


 


เหตุผลเดียวที่ลัทธิบูชาไฟยังยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้…ทั้งหมดเป็นเพราะเวทย์พลังลี้ลับยากหยั่งและพลังฝีมือส่วนตัวของจ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวน ทั้งสิ้น!!


 


“ถังซวน…มันทะลวงผ่านแล้ว?”


 


“ให้ตายเถอะ! มันกลับทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้แล้วจริงๆ!”


 


“ตอนด่านพลังมันเป็นเพียงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน มันก็ไม่กลัวใต้เท้ามหาปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้าเรา เพราะเวทย์พลังเสริมท่าร่างนั่น…ตอนนี้มันทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้แล้ว ข้าเกรงว่าด้วยเวทย์พลังเสริมท่าร่างนั่น มันจักกลายเป็นศัตรูอันร้ายกาจตึงมือใต้เท้ามหาปุโรหิตของพวกเรา!!”


 


“มารดามันเถอะ! ไม่รู้ถังซวนนั่นมันไปค้นพบเวทย์พลังผีสางนั่นมาแต่ที่ใด…เวทย์พลังเสริมท่าร่างนั่น ช่างมีอานุภาพเลิศภพจบแดนนัก! มิใช่อันใดที่เวทย์พลังเสริมท่าร่างขั้นสูงใดๆในแดนดินจะเทียบมันได้เลย!!”


 


“มิผิดหากจะมีเวทย์พลังอันใดที่อยู่เหนือขอบเขตเวทย์พลังระดับสูงในโลกใบนี้จริง ย่อมเป็นเวทย์พลังเสริมท่าร่างที่ถังซวนนั่นมันเชี่ยวชาญ!”


 


“โชคดีนักที่ถังซวนมันไม่ถ่ายทอดเวทย์พลังเสริมท่าร่างนั่นให้ผู้ใดในลัทธิบูชาไฟ…หาไม่แล้วไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ลัทธิบูชาไฟจะสำเร็จเวทย์พลังนั่นเยอะคน อาศัยแค่ 3-4 คน ก็มากพอให้ทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไม่ต่างไก่บินสุนัขกระโดด!”


(ไก่บินสุนัขกระโดด, ไก่เตลิดสุนัขวิ่งพล่าน ก็คือสร้างความตกใจจนไก่บิน หมากระโดดโหยงๆ)


 


……


 


เมื่อข่าวเรื่องราวการทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของจ้าวลัทธิบูชาไฟอย่างถังซวนแพร่มาถึงลัทธิอารามทมิฬและลัทธิชะตาฟ้า 2 ลัทธิอันเป็นมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ ก็ทำให้เหล่าอาวุโสไม่เว้นศิษย์สาวกของทั้ง 2 ลัทธิตื่นตระหนกนัก


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวล…


 


ถังซวน ใช่คิดสะสางบัญชีเก่า และมาหาเรื่องพวกมันลัทธิอารามทมิฬและลัทธิชะตาฟ้าหรือไม่?


 


ก่อนหน้านี้ที่ถังซวนไม่มาหาเรื่องเอาความอะไรจากทั้ง 2 ลัทธิ เพียงเพราะแม้เวทย์พลังเสริมท่าร่างของถังซวนจะร้ายกาจ จนไม่มีใครจับได้ไล่ทัน หากแต่อาศัยพลังฝีมือส่วนตัวของถังซวนก็ไม่สูงพอจะคุกคามทำร้ายสุดยอดฝีมือของทั้ง 2 ลัทธิได้…


 


ทว่าตอนนี้เรื่องราวกลับแปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว…


 


เพราะถังซวนหาใช่ผู้ที่เป็นเพียงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอีกต่อไป แต่มันเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! ผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้าอีกคนหนึ่ง!!


 


และทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเกรงว่า คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ต้นกำเนิด เวทย์พลังเสริมท่าร่างที่ถังซวนตกฉานจนใช้ออกได้อย่างเชี่ยวชาญอีกแล้ว…


 


มีเพียงถังซวนคนเดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้…


 


เวทย์พลังเสริมท่าร่างที่มันแตกฉานจนใช้ออกได้อย่างช่ำชองนั้น หาใช่เวทย์พลังที่ดำรงอยู่ในระนาบโลกกียะไม่ หากแต่เป็นเวทย์พลังที่ดำรงอยู่ในระนาบที่อยู่เหนือระนาบโลกียะ!!


 


และเวทย์พลังนี้ก็เป็น ‘ท่าน’ ผู้นั้น! ยอดฝีมือลึกลับที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นที่ลัทธิบูชาไฟเมื่อหลายสิบปีก่อน…!!


 


ในตอนนั้นยอดฝีมือลึกลับได้สั่งให้มันกระทำบางสิ่ง ก่อนที่จะมอบเวทย์พลังเสริมท่าร่างนี้ให้เป็นการตบรางวัล และยังเป็นแค่รางวัลเบื้องต้นเท่านั้น หากมันกระทำเรื่องที่สั่งไว้สำเร็จ มันจะได้มากกว่านี้!


 


ต่อมาภายหลังด้วยอาศัยเวทย์พลังเสริมท่าร่างนี้ ทำให้ถังซวนได้กลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า… และมันยังสามารถขจัดภยันตรายที่จะกล้ำกรายมาถึงลัทธิบูชาไฟจากน้ำมือของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของอีก 2 ลัทธิได้สำเร็จ! กลายเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่งที่สุดที่คอยคำจุนลัทธิบูชาไฟ!!


 


และทั้งหมดนี้คือความลับที่อยู่ในใจของถังซวนที่มันไม่คิดจะแพร่งพรายออกมา…


 



 


กาลเวลาผันผ่านไปฉับไว ดั่งม้าขาวโจนทะยาน…


 


อันกาลเวลานี้กล่าวไปก็เหมือนกับเม็ดทรายที่มิอาจเกาะกุม มักหลุดร่วงผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วไปอย่างเงียบงัน…


 


บนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ต้วนหลิงเทียนที่ไม่ทราบว่าใช่เวลาบ่มเพาะไปเนิ่นนานเท่าไหร่แล้ว หากแต่คนยังตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังไม่รู้หน่าย


 


บ่มเพาะจนพบเจอจุดรอคอย? ทะลวงผ่านมารดามัน!


 


ต่อหน้าผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วง ทั้งมีความช่วยเหลือจากชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ…


 


จุดรอคอย? ยังนับเป็นอะไรได้?!


 


ด่านพลังเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน?


 


ทะลวง!


 


ด่านพลังเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน?


 


ยังทะลวงผ่านมาถึง!


 


ด่านพลังเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน?


 


ยากหน่อย ทว่ายังทะลวงผ่านมาได้!


 


ด่านพลังเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน?


 


ยากเย็นนัก แต่แล้วจะอย่างไร ที่สุดก็ยังทะลวงผ่านมาถึง!!


 


ขอบเขตพลังเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน?


 


“ทะลวง!!”


 


ไม่ทราบว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด หากแต่ต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศบนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ อยู่ๆก็เบิกตาโพลงขึ้นมาอย่างกะทันหัน!


 


ทันใดนั้นคลื่นพลังมหาศาลขุมหนึ่งพลันปะทุระเบิดออกจากกร่างต้วนหลิงเทียนอย่างแรง! ก่อเกิดเป็นมรสุมพลังอันเกรี้ยวกราดกวาดซัดไปทั่วชั้น 4 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!!


 ตอนที่ 2,162 : ต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่าน!


 


 


 


พร้อมๆกันกับที่พลังอำนาจมหาศาลปะทุระเบิดออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนนั้น สองตาที่เปิดออกก็ฉายแสงปานตะวันร้อนสองดวง ทั้งสว่างไสวทั้งเจิดจ้านัก!


 


ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีใครมองสบตาต้วนหลิงเทียน


 


หาไม่แล้ว 9 ใน 10 ไม่พ้นได้ตาบอดกันบ้าง!


 


“ฮ่าๆๆๆ…!!”


 


หลังสองตาเปล่งแสงสว่างจ้ามวลพลังเพียงปะทุออกอีกไม่กี่ระลอก สุดท้ายมวลพลังทั้งหมดก็คล้ายจะวูบหายเข้าร่างต้วนหลิงเทียน ก่อให้เกิดการกระเพื่อมของอากาศอีกครั้งยังผลให้เกิดหมอกควันตลบบางๆ และทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะหนึ่งก็สนั่นลั่นก้องไปทั่วชั้น 4 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


ตอนนี้คล้ายความอึดอัดทั้งคับข้องระคนหดหูใจที่สะสมไว้นานปีจะถูกระบายออกมาหมดสิ้น…


 


ทั้งหมดเป็นเพราะด่านพลังที่พึ่งบรรลุถึง…


 


เซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน!


 


เปลี่ยนที่ 6 ของขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนนั้นเรียกว่า…เปลี่ยนจิตวิญญาณสวรรค์!


 


ยามเมื่อผู้ฝึกตนบ่มเพาะพลังมาถึงขอบเขตนี้ จิตวิญญาณจะทะลวงถึงขอบเขตศักดิ์สิทธิ์อันกั้นแบ่งระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ…และจิตวิญญาณมนุษย์จะแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับขอบเขตต่อไป เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน…


 


นอกจากที่ร่างจะไร้ซึ่งการแก่เฒ่าและไม่มีอายุขัยอีกต่อไปแล้ว สาเหตุหลักที่ทำให้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนมีอายุขัยตราบชั่วฟ้าดินสลายก็เป็นเพราะ จิตวิญญาณได้เข้าสู่สภาวะหนึ่งเดียวกับฟ้าดินไปแล้วเมื่อบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนนั่นเอง


 


“ตอนด่านพลังข้าอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนหากใช้กระบี่นิลสวรรค์ด้วยพลังทั้งหมดก็สมควรฉีกเปิดกำแพงมิติที่กั้นระหว่างระนาบเทียมแห่งนี้กับภูมิภาคเบื้องบนได้…ตอนนี้เมื่อด่านพลังข้าบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน…”


 


“หากกะไม่ผิด ต่อให้ไม่ใช้กระบี่นิลสวรรค์ ข้าก็น่าจะฉีกเปิดกำแพงมิติที่นี่ได้แล้ว…!”


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ลุกขึ้นมายืนกลางอากาศ ก่อนที่จะโรยตัวลงไปยืนบนพื้นชั้น 4 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


‘ไม่รู้ครั้งนี้ปิดด่านไปนานแค่ไหนกันแน่…’


 


เมื่อฉุกคิดถึงเรื่องนี้ในใจ ต้วนหลิงเทียนก็เดินลงจากชั้น 4 ไปหาผู้เฒ่าหั่วที่ชั้น 1 ทันที


 


“ไม่เลว…เจ้าทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนสำเร็จแล้วจริงๆ เปลี่ยนจิตวิญญาณสวรรค์ของขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนที่เจ้าบรรลุ นับว่าทำให้จิตวิญญาณของเจ้ามาถึงจุดคนฟ้าหนึ่งเดียว…ตอนนี้หากเจ้าใช้เวทย์วิญญาณจู่โจมนั่น เกรงว่าผู้ที่อยู่ใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนคงมิอาจทานรับไหวสืบไป…”


 


นี่เป็นวาจาประโยคแรกที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกหลังได้เห็นต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง


 


เวทย์วิญญาณจู่โจมที่ผู้เฒ่าหั่วว่า ก็คือพลังพิเศษของเนตรแร้งมารตาเดียวที่ต้วนหลิงเทียนหลอมรวมเข้ากับตาซ้ายของเขาจนเรียกว่าม่านตาพิสดารนั่นเอง เป็นการจ่ายพลังวิญญาณลงสู่ม่านตาพิสดารก่อนที่มันจะควบแน่นพลังวิญญาณเป็นรูปลักษณ์มังกรเทพยดาตัวเล็กแล้วยิงออกไป…


 


วิธีการลงมือรูปแบบนี้ ในอดีตต้วนหลิงเทียนมักใช้มันเพื่อขัดจังหวะทั้งรบกวนศัตรูเท่านั้น


 


ทว่าตอนนี้มาได้ฟังวาจาของผู้เฒ่าหั่วเขาก็ตระหนักได้ทันที…


 


ว่าหลังพลังฝึกปรือของเขาบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน จิตวิญญาณของเขาก็ยกระดับพัฒนาขึ้นมาครั้งยิ่งใหญ่ การใช้ม่านตาพิสดารออกด้วยเวทย์พลังดั่งพรสวรรค์วิชาแต่กำเนิดจากม่านตาพิสดารนั่น ตอนนี้สมควรบังเกิดผลเลิศล้ำ!!


 


“ผู้เฒ่าหั่วครั้งนี้ข้าปิดด่านไปนานแค่ไหนหรือ?”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมสนใจเรื่องนี้มากที่สุด


 


เขาอยากรู้ว่าเขาใช้เวลาปิดด่านไปนานแค่ไหนกันแน่ แล้วไม่รู้ว่าป่านนี้จ้าวลัทธิบูชาไฟนั่นจะออกจากการปิดด่านมาแล้วหรือยัง


 


หากจ้าวลัทธิบูชาไฟออกจากการปิดด่านมาแล้ว ไม่พ้นเค่อเอ๋อแม่ลูกต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน!


 


และนั่นไม่ใช่อะไรที่เขาอยากจะเห็น!


 


“3 ปี”


 


ได้ยินเสียงถามไถ่ด้วยความกระตือรือร้นของต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วก็ตอบกลับไปทันที


 


3 ปี!


 


ได้ยินคำตอบขอผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็ชักหน้าเคร่งทันที “ 3 ปี เชียวหรือ…”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ชัดว่า 3 ปี ที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวหมายถึง 3 ปีในโลกภายนอก


 


3 ปีภายในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ย่อมหมายความว่าด้านนอกผ่านไปทั้งสิ้น 30 ปี!


 


“ผ่านไปถึง 3 ปีแล้ว…ไม่รู้ป่านนี้จ้าวลัทธิบูชาไฟออกจากการปิดด่านหรือยัง”


 


คิดถึงจุดนี้สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งเคร่งเครียดขึ้นไปอีก


 


“ข้าหวังว่ามันจะยังไม่ออกจากการปิดด่าน…เพราะจะอย่างไรด่านพลังมันก็สูงระดับนั้นแล้ว การปิดด่านบมเพาะครั้งนึงจะกินเวลายาวนานหลายปีกระทั่งหลายสิบปีก็ไม่ถือว่าแปลกอะไร…”


 


แม้จะคิดในแง่ดี แต่ใจต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายอยู่บ้าง


 


ตอนนี้เขาอยากรีบเดินทางกลับลัทธิบูชาไฟให้เร็วที่สุด! เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของเค่อเอ๋อแม่ลูกและหาทางช่วยเหลือ!!


 


จากนั้นค่อยคิดหาวิธีย้อนกลับไปในภูมิภาคเบื้องล่าง!


 


เวลาผ่านไป 3 ปีแล้วแบบนี้ ไม่ทราบจริงๆว่าภูมิภาคเบื้องล่างจะถูกปีศาจยึดครองหมดสิ้นแล้วหรือยัง?


 


ทั้งสหายสนิทและครอบครัวของเขายังอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่าง…!


 


“ผู้เฒ่าหั่วข้าคิดออกจากที่นี่ตอนนี้เลย…รบกวนท่านช่วยชี้แนะข้าให้หลบเลี่ยงค่ายกลสังหารพวกนั้นด้วย”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่รอให้ผู้เฒ่าหั่วตอบคำอะไร เพียงห้วงคิดเดียว เขาก็วูบร่างออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที คนมาปรากฏในความว่างเปล่าไร้สรรพสิ่งภายในระนาบเทียมที่ถูกปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3 สร้างขึ้นอีกครั้ง


 


หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็มาออกมาอยู่ในเวิ้งแห่งความว่างเปล่าอีกครั้ง ยังทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


“ปีศาจทั้ง 3 ตนนั่น นับว่ามันซ่อนตัวและปกปิดความทะเยอทะยานเอาไว้ได้อย่างมิดชิดนัก แถมก่อนขึ้นสู่ระนาบเทวโลกมันยังสร้างกับดักที่สามารถฆ่ายอดฝีมือมนุษย์ได้มากขนาดนี้ไว้อีก…หากสงครามระหว่างมนุษย์ปีศาจอุบัติขึ้นจริง การสูญเสียครั้งนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆจริงๆ”


 


คิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกหนักใจไม่น้อย


 


“หลังออกจากที่นี่ไปแจ้งข่าวที่นครแห่งบาปก่อนดีกว่า ค่อยย้อนกลับไปลัทธิบูชาไฟ…”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้


 


ถึงแม้สิ่งที่เขาต้องการทำที่สุดตอนนี้ก็คือย้อนกลับไปลัทธิบูชาไฟเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของเค่อเอ๋อแม่ลูก จะได้หาทางพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง…


 


อย่างไรก็ตามพอคิดว่าตอนนี้เผ่าพันธุ์ปีศาจได้รุกรานเข้ามาที่ภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว และไม่ทราบว่าพวกมันจะใช้เวลายึดครองภูมิภาคเบื้องล่างนานแค่ไหนกระทั่งจะบุกมาภูมิภาคเบื้องบนเมื่อไหร่  ใจต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกหนักอึ้งนัก


 


‘ถึงแม้ด้านนอกจะมีข่าวลือเรื่องเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศอาจบุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่าง กระทั่งอีกไม่นานอาจจะบุกขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบน…’


 


‘แต่อย่างไรก็ตามคนในภูมิภาคเบื้องบนสมควรประมาทเพราะไม่รู้สถานการณ์กระจ่าง…เพราะอย่างไรพวกมันก็ไม่อาจลงไปตรวจสอบ ทั้งไม่ค่อยแยแสภูมิภาคเบื้องล่างเป็นทุน! แต่ตอนนี้เรื่องปีศาจรุกรานภูมิภาคเบื้องล่างได้รับการยืนยันแล้ว และการยึดครองภูมิภาคเบื้องล่างสมควรเป็นแค่ก้าวแรกของพวกมันเท่านั้น…’


 


‘เรื่องนี้ต้องทำให้ทุกคนในภูมิภาคเบื้องบนรู้ชัด…และตอนนี้หากไม่มีอะไรผิดพลาด ด้านนอกไม่พ้นต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าคนที่เข้ามาในนี้ตายตกหมดสิ้น แต่พวกมันคงไม่มีใครรู้ว่าทั้งหมดทั้งมวลเป็นฝีมือของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะ!’


 


ด้วยเหตุผลนี้ต้วนหลิงเทียนจึงคิดย้อนกลับไปบอกข่าวสำคัญที่นครแห่งบาป ก่อนที่จะกลับลัทธิบูชาไฟ


 


ทุกคนในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า สมควรได้รับทราบความจริงทั้งหมด!


 


“ไปกันเถิด”


 


เสียงของผู้เฒ่าหั่วพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน และเริ่มชี้แนะหนทางให้ต้วนหลิงเทียนไปยังกำแพงมิติที่กั้นขวางระหว่างระนาบเทียมแห่งนี้กับภูมิภาคเบื้องบน


 


ต้วนหลิงเทียนตอบรับคำผู้เฒ่าหั่วก่อนจะเก็บเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างดี แล้วค่อยเคลื่อนร่างไปตามคำชี้แนะของผู้เฒ่าหั่ว


 


‘เมื่อ 3 ปีที่แล้วในบรรดาคนที่ตายสมควรไม่ขาดเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน…ตัวตนที่ร้ายกาจระดับนั้นไม่พ้นในแหวนพื้นที่ต้องมีสมบัติล้ำค่าทั้งทรัพยากรบ่มเพาะมากมายแน่ น่าเสียดายที่แหวนพื้นที่พวกมันสมควรถูกพลังทำลายล้างจากค่ายกลนั่นป่นจนแหลกเป็นผงหมด…ของดีๆหายหมดไม่มีเหลือ’


 


คิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดถอนหายใจออกมาดั่งเฮือกไม่ได้


 


เมื่อแหวนพื้นที่ถูกทำลาย แน่นอนว่าสิ่งของด้านในย่อมถูกทำลายเช่นกัน


 


ภายใต้คำชี้แนะของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนเหินร่างหลีกหลบตำแหน่งที่มีค่ายกลสังหารจัดตั้งเอาไว้จุดแล้วจุดเล่าได้อย่างหมดจด และในที่สุดก็มาถึงตำแหน่งกำแพงมิติที่นำไปสูภูมิภาคด้านบน…


 


“หืม?”


 


มาถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง


 


พบว่าเมื่อเข้ามาใกล้ตำแหน่งกำแพงมิติมากเท่าไหร่ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นโลหิตแห้งกรังในพื้นที่รอบๆ…และดูจากสะเก็ดโลหิตแห้งกรังเหล่านี้ ต้วนหลิงเทียนก็ระบุได้ทันทีว่าเรื่องราวสมควรเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน


 


“ดูเหมือนหลังยอดฝีมือมากมายตายตก จะมีคนเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์จริงๆ…แต่สุดท้ายผู้ที่เข้ามาน่ากลัวว่าจะ 9 ตาย 1 รอด…”


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ “หวังว่าคนที่เข้ามาตรวจสอบเรื่องราวจะมีแค่ไม่กี่คน…ไม่งั้นดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคงได้สูญเสียยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้นกันหมด…”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักถึงเรื่องนี้ชัดเจน


 


เพราะคนที่จะสามารถฉีกเปิดกำแพงมิติเข้ามาตรวจสอบเรื่องราวในระนาบเทียมแห่งนี้ได้ สมควรเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้น!


 


และสะเก็ดเลือดแห้งกรังที่กระจายอยู่รอบบริเวณแถวนี้ ไม่พ้นต้องเป็นเลือดที่หลั่งออกจากตัวตนเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนขึ้นไปที่เข้ามาตรวจสอบเรื่องราวแน่…


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่รู้เลย


 


ว่าถึงแม้จะมีคนเข้ามาตรวจสอบเรื่องราวภายในนี้จริง ทว่ามีเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น อีกทั้ง 2 คนนี้ยังสามารถรอดชีวิตกลับไปแจ้งถึงอันตรายได้ ทำให้ไม่มีใครตกตายอย่างที่คิด


 


หากรู้ต้วนหลิงเทียนคงไม่ต้องถอนหายใจแบบนั้น


 


ขวับ!


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใดหากแต่ในมือขวาต้วนหลิงเทียนปรากฏกระบี่เล่มหนึ่ง เป็นกระบี่พันอาคมเซียน ที่ได้รับจากคนของพันธมิตรขวานปฐพีตอนที่เขามาถึงนครแห่งบาปวันแรก


 


“พัง!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงแข็ง ก่อนที่พลังเซียนสุริยันทั่วร่างจะโคจรไหลเชี่ยวดั่งน้ำหลากถ่ายทอดลงสู่กระบี่พันอาคมเซียน!


 


ซู่มมม!!


 


กระบี่พันอาคมเซียนพุ่งทะยานออกมาด้วยเคล็ดพลังจากยอดใจกระบี่ขอบเขตที่ 3 กระบี่อยู่ที่ใจ ก่อนที่จะพุ่งทะลวงความว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างรุนแรง


 


ทันใดนั้นเอง!


 


เฉียะะ!!


 


เสียงปริแตกดังขึ้นแผ่วเบา ความว่างเปล่าเบื้องหน้าพลันปรากฏรอยแยกมืดดำ หากแต่ขนาดของมันเล็กนัก เป็นเพียงรอยฉีกยาวราวๆ 1 ฉื่อเท่านั้น


 


‘ตอนนี้พลังฝึกปรือของข้าบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนแล้ว พลังเซียนสุริยันในร่างทำให้ข้าแข็งแกร่งเหนือกว่าเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนทั่วไป…หากแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ร้ายกาจเท่าเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนที่แท้จริง พลังยังด้อยกว่าเล็กน้อย’


 


ต้วนหลิงเทียนสามารถตระหนักเรื่องนี้ได้ทันที


 


และเรื่องนี้ก็ยืนยันสิ่งที่ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวบอกเขาเอาไว้


 


พลังเซียนสุริยันที่อยู่ในร่างของเขา ยิ่งระดับพลังของเขาสูงขึ้นมากเท่าไหร่ พลังอำนาจที่เหนือกว่าของมันเทียบอัตราส่วนความได้เปรียบกับเมื่อก่อนแล้ว ก็ดูจะด้อยลงมากขึ้นเท่านั้น


 


และในอนาคตหากเขาข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ


 


ถึงแม้พลังในร่างของเขาจะเป็นพลังสุริยันที่แท้จริง แต่ก็ไม่ได้มีพลังอำนาจสะกดข่มผู้อื่นมากมายอีกต่อไป


 


ถึงตอนนั้นก็แค่พลังในร่างของเขามีคุณสมบัติของดวงตะวันบางประการเท่านั้น


 


‘ดูเหมือนว่าตอนนี้หากไม่ใช้กระบี่นิลสวรรค์หรือปฐมเวทย์กลืนกิน ก็คงยากจะฉีกเปิดช่องว่างได้กว้างมากพอ…อาศัยพลังบ่มเพาะอย่างเดียวข้าฉีกเปิดมิติกลับไปภูมิภาคเบื้องบนไม่ได้!’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


“ปฐมเวทย์กลืนกิน”


 


และพร้อมกันกับที่คิดจบ พลังเซียนสุริยันในร่างก็ปะทุออกมาสำแดงปฐมเวทย์กลืนกินทันที


 


ทันใดนั้นวังวนพลังดูดรั้งพลันอุบัติขั้นรอบกายต้วนหลิงเทียน มันดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบอย่างตะกละตะกราม ประหนึ่งเป็นหลุมอันไร้ก้นบึ้งก็ไม่ปาน


 


อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่หลุมไร้ก้นบึ้งจริงๆ เพราะเพียงเวลาไม่นานพลังเซียนสุริยันในร่างต้วนหลิงเทียนก็เพิ่มพูนขึ้นถึงขีดสุดแล้ว


 


“พัง!”


 


กล่าวออกเสียงแข็งอีกครั้ง กระบี่พันอาคมเซียนที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจเหนือกว่าเมื่อครู่หลายขุมก็พุ่งทะยานออกไปด้วยความฉับไว!!


ตอนที่ 2,163 : เปิดเผยตัวตนต่อผู้คน!


 


 


 


ฟั่ฟฟฟ!!


 


กระบี่พันอาคมเซียนที่อัดแน่นไปด้วยพลังเซียนสุริยันที่ถูกเร่งเร้าจนบรรลุจุดสูงสุด พุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงล้ำ! ภายใต้เคล็ด กระบี่อยู่ที่ใจ ขอบเขตที่ 3 ของยอดใจกระบี่ พลังอำนาจกระบี่ยามนี้ปานจะทะลวงผ่าได้ทุกสิ่ง!!


 


เฉียะ!


 


เสียงฉีกขาดดังขึ้นอีกครั้ง


 


ทันใดนั้นรอยแยกมิติกว้าง 1 ฉื่อก่อนหน้าที่ยังไม่ทันปิดตัวลงพลันฉีกเปิดออกเป็นวงกว้าง เสี้ยวพริบตาก็เป็นรอยกว้างนับสิบฉื่อ


 


แม้เป็นกระบวนท่าเดียวกัน หากแต่รอบนี้กระบี่ต้วนลิงเทียนกลับบรรจุไว้ด้วยพลังเซียนสุริยันที่ทรงพลังอำนาจเหนือก่อนหน้า ผลลัพธ์ย่อมต่างกันหลายเท่าตัว!


 


‘ได้เวลาไปจากสถานที่ผีสางนี่เสียที…’


 


ขณะคิดถึงเรื่องนี้ร่างต้วนหลิงเทียนก็พุ่งวูบเข้ารอยแยกท่ามกลางความว่างที่ฉีกเปิดตรงหน้าอย่างไม่รอช้า หมายออกจากระนาบเทียมอันเป็นผลงานของปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะให้ได้โดยเร็ว…


 


หลังจากเข้าสู่รอยแยกมิติ สองตาต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นเพียงความมืดไปพักหนึ่ง ก่อนจะแลเห็นแสงสว่างเบื้องหน้า


 


และเมื่อมองไปในแสงสว่างนั่น ต้วนหลิงเทียนก็ได้แลเห็นทิวทัศน์อันคุ้นเคย…


 


3 ปีที่แล้วเขาก็เคยอยู่ที่นั่น ก่อนที่จะเข้ารอยแยกอันเป็นช่องทางนำมาสู่ระนาบเทียมผีสางแห่งนี้…


 


“ฮ่าๆๆ…ออกมาแล้ว! ในที่สุดข้าก็ออกมาได้แล้ว!!”


 


ถึงแม้ว่าจะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แต่แรก แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนได้เกิดใหม่! หลังออกมาด้านนอกได้แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเข้ารอบแล้วรอบเล่า ยังหัวเราะออกมาเสียงดังราวบ้าคลั่งอย่างปลอดโปร่งไร้กังวล


 


ถึงแม้ว่าในโลกภายนอกเวลาจะพึ่งผ่านพ้นไปเพียงแค่ 3 ปี…


 


หากแต่ภายในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ต้วนหลิงเทียนที่ได้แต่บ่มเพาะพลังอย่างบ้าคลั่งอย่างที่ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันไม่รู้วันเวลา…ความรู้สึกอุดอู้เบื่อหน่ายไม่ทราบเคี่ยวกรำเขากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง!


 


และกว่าจะบรรลุถึงพลังฝึกปรือระดับนี้ เขาต้องใช้เวลาไปทั้งสิ้น 30 ปี!


 


“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป…ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ข้าไม่จำเป็นต้องหลบๆซ่อนๆปกปิดตัวเองอีกต่อไป! หลังจากนี้ข้า ต้วนหลิงเทียน นั่งไม่เปลี่ยนชื่อ ยืนไม่เปลี่ยนแซ่!!”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็ถอดชุดคลุมลมดำออก ก่อนที่จะหยิบชุดสีม่วงตัวเก่งที่พับไว้อย่างดีในมุมหนึ่งของแหวนพื้นที่ ออกมาสวมใส่ กระทั่งใบหน้ายังหวนคืนสู่รูปลักษณ์ที่แท้จริง


 


คิ้วโค้งคมดั่งดาบ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา หว่างคิ้วมากสง่าราศี


 


เป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน


 


ด้วยความที่ตอนนี้ด่านพลังของเขาก็บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนแล้ว…


 


ต้วนหลิงเทียนลองถามตัวเองดูก็ตอบได้ทันที ว่าหากไม่ต้องปะทะแตกหักกับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เขาก็ไม่ต้องกลัวอะไร!


 


แล้วในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ มันมีเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนกี่คน?


 


“ไปนครแห่งบาปก่อน…”


 


ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง คล้ายนึกอะไรออก ร่างวูบหายไปดั่งสายลมหอบหนึ่ง ทะยานตัดฟ้าไปด้วยความเร็ว


 


ทิศทางที่เหินทะยานเหาะไปยังเป็นทิศทางที่ตั้งนครแห่งบาป


 


ฟู่มมม!!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนพุ่งแหวกฟ้าตัดระยะไปด้วยความเร็วสูง ก่อให้เกิดสายลมกรรโชกหอบแรงพัดกวาดออกไปโดยรอบเป็นอุโมงค์ลม


 


หลังจากติดแหง็กอยู่ในระนาบเทียมของปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3 อยู่ 3 ปี การเดินทางไปนครแห่งบาปอีกครั้งต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน…


 


สำหรับคนทั่วไปมันก็แค่ 3 ปีเท่านั้น…ทว่าต้วนหลิงเทียนที่อยู่ภายในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเล่า เขาไม่ได้จากนครแห่งบาปไปแค่ 3 ปี ทว่าเป็นเวลาถึง 30 ปี!


 


30 ปี!


 


มากพอให้คนๆหนึ่งทำอะไรได้มากมาย มากพอให้ใช้ชีวิตจากทารกเป็นหนุ่มสาว…ก็ไม่แปลกใจอะไรที่ต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกแบบนี้!


 


นอกจากนี้การได้หวนกลับมานครแห่งบาปรอบนี้ ต้วนหลิงเทียยังอารมณ์ดีกว่าตอนนั้นมากนัก บางทีอาจเป็นเพราะคราวนี้เขาสามารถหวนกลับมาได้อย่างเปิดเผย ไม่ต้องปิดบังตัวตนอะไรอีกต่อไป มาด้วยใบหน้าที่แท้จริง!


 


การมาถึงด้วยรูปโฉมดั้งเดิมของต้วนหลิงเทียน ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่น้อย


 


“เอ๊ะ…เจ้าหนุ่มผู้นั้น ไฉนหน้าตามันคุ้นๆนัก!”


 


“นั่นสิ…ข้าคุ้นตายิ่ง หากแต่มันติดอยู่ที่ปากนิดเดียว…เจ้านี่เป็นใครแล้วนะ โอยมารดามันนึกไม่ออก!”


 


“ข้าคุ้นหน้ามันยิ่ง”


 


……


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างเข้าเมืองมาย่อมได้ยินวาจาทำนองนี้ดังเข้าหูมากมาย มีหลายต่อหลายคนที่คุ้นหน้าเขาหากแต่นึกไม่ออก


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไร


 


ที่คนเหล่านี้รู้สึกๆคุ้นๆหน้าเขาเป็นเพราะคงได้เห็นภาพเหมือนของเขามาแน่ แต่ภาพเหมือนก็ยังเป็นรูปวาด ไม่ใช่ผู้คนตัวเป็นๆ!


 


เมื่อ 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา หลังจากที่เขาสังหารเซี่ยจง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาได้ทำให้จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬพิโรธหนักเพียงใด แถมเซี่ยคังฉวินนั่นยังแจกภาพเหมือนของเขาออกไปทั่ว ยังไล่ฆ่ากระทั่งคนที่มีรูปร่างและขนาดตัวเหมือนเขา!!


 


แถมไม่เพียงแต่มันจะลงมือฆ่าคนทั้งแจกรูปเหมือนเพื่อล่าเขาเท่านั้น มันกระทั่งปล่อยข่าวว่าเขาครอบครองยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้นออกมาอีกด้วย!


 


กล่าวได้ว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้วต่อให้เขาใช้โฉมหน้าปลอม


 


แต่ถ้าเขาไม่ใช้ลูกเล่นเล็กๆ และใส่ชุดคลุมที่ตัวใหญ่กว่าเดิม น่ากลัวว่าคงไม่พ้นความตายเช่นกัน


 


และหากเขาเผยโฉมออกมา น่ากลัวว่าผู้ฝึกตนในนครแห่งบาปคงคุ้มคลั่งตามล่าเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย!


 


ซู่มม!!


 


หลังมาถึงนครแห่งบาป ต้วนหลิงเทียนก็ทะยานร่างไปยังน่านฟ้าใจกลางเมืองทันที


 


พริบตาเขาก็บรรลุถึงน่านฟ้าใจกลางเมือง เรียกว่าต่อให้อยู่ส่วนไหนของเมืองที่ไม่ใช่พื้นที่ปิด ก็สามารถแลเห็นเขาได้หากสายตาดีพอ!


 


“ข้านึกออกแล้ว!!”


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกกันกับที่ต้วนหลิงเทียนไปหยุดร่างค้างบนน่านฟ้ากลางเมือง บางคนก็ตบมือดังฉาดโพล่งร้องอุทานออกมาดังลั่น เพราะในที่สุดมันก็จดจำได้แล้วว่าเคยเห็นใบหน้านี้ที่ไหน!!


 


“มัน…มัน…มันคือต้วนหลิงเทียน! ต้วนหลิงเทียนคนนั้นไงเล่า! คนที่ฆ่าเซี่ยจง ลูกชายจ้าวราชสีห์ขนทองเซี่ยคังฉวิน 1 ใน 4 มหาธรรมราชาแห่งลัทธิอารามทมิฬ! หน้านี้ไม่ผิดแน่ เหมือนในรูปวาดเป๊ะ!!”


 


หลังที่จดจำต้วนหลิงเทียนได้แล้ว ชายผู้นั้นก็โพล่งดังออกมาลั่นทุ่ง


 


“อะไรนะ!? ต้วนหลิงเทียน? ต้วนหลิงเทียนคนนั้นน่ะเรอะ!?”


 


“มารดามันเถอะ! ข้านึกออกแล้วเช่นกัน ที่แท้ก็เป็นมันนี่เอง! นี่ไงข้ายังพกภาพเหมือนของมันติดตัวไว้ด้วยซ้ำ! ต้วนหลิงเทียนที่ไม่เพียงแต่จะฆ่าเซี่ยจงยังถือครองยอดศาสตราเซียนไว้กับตัว 2 ชิ้น!!”


 


“ต้วนหลิงเทียน ปรากฏตัวแล้ว!!”


 


……


 


“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองจริงๆ ต้วนหลิงเทียนผู้นี้มันไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร ถึงกล้าปรากฏตัวกลางเมืองโต้งๆเช่นนี้!?”


 


“3 ปีที่แล้วตอนต้วนหลิงเทียนมันหายตัวเข้ากลีบเมฆไป พวกเราผู้ฝึกตนอิสระแทบจะขุดดินลึก 3 ฉื่อเพื่อหามันด้วยซ้ำ…ทว่ากลับไม่พบตัว! แต่ตอนนี้ไฉนมันมามอบตัวถึงหน้าประตูด้วยตัวเองเล่า?”


 


“หรือมันคิดว่า เวลาก็ผ่านไปตั้ง 3 ปี พวกเราคงลืมเลือนเรื่องราวไปแล้ว?”


 


“อาจเป็นได้…”


 



 


หลังจากที่ยืนยันตัวตนต้วนหลิงเทียนได้แล้ว เหล่าผู้ฝึกตนอิสระก็สนทนากันอย่างออกรส!


 


ทั้งยังมีผู้ฝึกตนอิสระ ไม่เว้นผู้ฝึกตนจากขุมกำลังต่างๆที่อยู่ในนครแห่งบาปก็กำลังมองจ้องต้วนหลิงเทียนตาเป็นมัน! เรียกว่าแววตาของพวกมันฉายชัดถึงความโลภอย่างไม่คิดจะปกปิด!


 


ตอนนี้พวกมันอยากพุ่งไปจับต้วนหลิงเทียนมัดแล้วพาไปส่งให้เซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทองเพื่อขึ้นรางวัลนัก! รางวัลที่พวกมันได้แต่ฝันถึงมาตลอดชีวิต!!


 


อย่างไรก็ตาม จังหวะนี้ไม่มีใครคิดเป็นวิหกตัวแรกที่โผบินออกไป…


(นกตัวแรกที่บินนำฝูงมักจะถูกสอยก่อนเพื่อน…)


 


“สวัสดีผู้ฝึกตนทุกท่านในนครแห่งบาป…คาดว่าตอนนี้พวกท่านหลายคนคงจดจำได้แล้วว่าข้าเป็นใคร…สำหรับคนที่ยังจำไม่ได้ ข้าคือต้วนหลิงเทียน!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างค้างบนฟ้าสูงใจกลางนครแห่งบาป ค่อยๆควบพลังกล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน


 


ถึงแม้ว่าเสียงกล่าวของเขาจะไม่ได้ดังมากมายอะไร หากแต่เมื่อมันผสานเข้ากับพลังเซียนสุริยันอันร้ายกาจ ก็กล่าวได้เลยว่าต่อให้อยู่สุดขอบเมืองก็ยังได้ยิน…


 


จังหวะนี้ทำให้นครแห่งบาปถึงกับลุกฮือขึ้นมาทันที เสียงอุทานเซ็งแซ่ดังขึ้นระงม


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


“นามนี้ช่างคุ้นหูยิ่ง…”


 


“เจ้ายังจะไม่คุ้นได้เหรอ!? ต้วนหลิงเทียนคนนี้ก็เป็นศิษย์ของลัทธิบูชาไฟที่ถูกเซี่ยคังฉวินจ้าวราชสีห์ขนทองของลัทธิอารามทมิฬตามล่าหาตัวเมื่อ 3 ปีก่อนอย่างไรเล่า! เพราะอยากได้ตัวต้วนหลิงเทียนมาก เซี่ยคังฉวินก็ได้เพิ่มของรางวัลนำจับรอบแล้วรอบเล่า…บัดนี้เรียกว่าให้ข้าตายเกิด 10 ชาติ ก็หาของรางวัลที่เซี่ยคังฉวินใช้เป็นรางวัลนำจับไม่ได้!!”


 


“อะไรนะ!? ที่แท้เป็นมันงั้นเรอะ!””


 


“ใช่ต้วนหลิงเทียนแน่หรือ? ข้าเคยเห็นรูปเหมือนของต้วนหลิงเทียนจากลัทธิบูชาไฟ หน้าตามิใช่ว่าต่างกันหรือไร? แล้วถ้าเป็นต้วนหลิงเทียนตัวจริง ไหนเลยจะมาเดินหน้าสลอนในนครแห่งบาปแบบนี้ได้?”


 


“เห็นว่ามันปลอมแปลงรูปโฉมอะไรได้นี่ล่ะ…แต่ไม่ว่าจะใช่คนเดียวกันหรือไม่ พวกเราก็ไปดูชมกันก่อนเถอะ!”


 


“ใช่ ไปดูใกล้ๆกัน! ฟังจากเสียงแล้วสมควรมาจากใจกลางเมืองไม่ผิดแน่”


 


……


 


วาจาทำนองเดียวกันนี้ดังขึ้นไปทั่วทุกมุมของนครแห่งบาป


 


ฟุ่บ! วูบ! วูบ! วูบ!


 


……


 


ขณะเดียวกันก็ปรากฏร่างมากมายเหินขึ้นฟ้า บินเหาะกันวุ่นวายไปหมดราวกับผึ้งแตกรัง


 


หากแต่เป้าหมายของพวกมันทั้งหมด ล้วนมุ่งหน้าเข้าสู่จุดศูนย์กลางทั้งสิ้น…


 


ใจกลางนครแห่งบาป!


 


“ให้ตายเถอะ เป็นต้วนหลิงเทียนจริงๆด้วย! ภาพเหมือนนั่นช่างวาดออกมาได้เหมือนตัวจริงทุกประการ!!”


 


“นี่มันจะไม่ใจกล้าเกินไปหน่อยหรือ ไม่เพียงแต่กล้าปรากฏตัวกลางนครแห่งบาป ยังถึงกับป่าวประกาศเผยตัวตนออกมาด้วยตัวเอง นี่ยังไม่ใช่รนหาที่ตายอีกหรือ?”


 


“มันคงไม่ได้เสียสติไปแล้วหรอกนะ?”


 


“เสียสติ? อาจเป็นได้…ตลอด 3 ปีกว่าที่ผ่าน ด้วยการไล่ล่าของจ้าวราชสีห์ขนทองแห่งลัทธิอารามทมิฬ ไม่พ้นมันต้องใช้ชีวิตหลบๆซ่อนๆเยี่ยงมุสิก ไปไหนมาไหนก็ต้องระแวงทั้งระวังตลอด เผลอๆมันอาจเครียดและเก็บกดจนเกินทนทานรับไหว เสียสติไปแล้วจริงๆ!!”


 


……


 


เหล่าผู้คนทยอยกันมารวมตัวที่บริเวณใจกลางนครแห่งบาปอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง พอทุกคนแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าจนแลเห็นร่างในชุดสีม่วงที่ลอยเด่นกลางหาวนั่น ทั้งหมดก็จดจำได้แทบจะทันที


 


เป็นโฉมหน้าของผู้ที่เซี่ยคังฉวินออกประกาศรางวัลนำจับจริงๆ!


 


ศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ต้วนหลิงเทียน!!


 


“ฮ่าๆๆๆ…!!”


 


ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้นมาแต่ไกลและกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ!


 


“ต้วนหลิงเทียน! ข้าย่ำหาจนรองเท้าสึกไม่พบพาน แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะพาตัวเองมาส่งถึงหน้าประตูเช่นนี้! มาๆๆ เจ้าตามข้าไปพบใต้เท้าจ้าวราชสีห์ขนทองแต่โดยดีเถอะ! เจ้ารู้หรือไม่กระทั่งยามหลับข้ายังเอาแต่ฝันถึงเจ้า!!”


 


เสียงหัวเราะที่ดังลั่นมาแต่ไกลนั้น เจ้าของเสียงเป็นชายวัยกลางคนแลดูแข็งแกร่งคนหนึ่ง และตอนนี้มันกำลังคำรามออกมาอย่างยินดีเป็นที่สุด!


 


ร่างมันที่เหินมาแต่ไกลนั้น ยามนี้มองไปคล้ายลูกไฟอยู่บ้าง ด้วยมันปะทุพลังมาเต็มที่ ราวกับกลัวว่าถ้าล่าช้าต้วนหลิงเทียนจะบินหายไปต่อหน้าต่อตา!


 


เรียกว่าหากมองไกลๆ เสมือนมีลูกไฟลูกหนึ่งกำลังพุ่งยิงข้ามฟ้าตรงเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน!!


 


“เจ้านั่นมัน…กงเจิ้น!!”


 


ในขณะเดียวกันกับที่ชายวัยกลางคนคำรามออกเสียงดัง และพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย ผู้ฝึกตนหลายคนที่จดจำมันได้ก็อุทานชื่อมันออกมา


 


“กงเจิ้น? อันดับที่ 93 ในรายนามยอดเซียนฉบับล่าสุดน่ะรึ? เห็นว่าพลังฝึกปรือมันบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนแล้ว”


 


ผู้ฝึกตนบางคนกล่าวถามออกมาเพือยืนยัน และวาจาของมันก็เฉลยให้ผู้ที่ยังนึกไม่ออกว่ากงเจิ้นเป็นใครได้รับทราบ


 


“เป็นมันจริงๆด้วย! อันดับที่ 93 ในรายนามยอดเซียน บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน กงเจิ้น ไม่ผิดคนแน่!”


 


ไม่นานก็มีผู้ฝึกตนอิสระหลายคนกล่าวยืนยันออกมา ทำให้ทุกผู้คนรับทราบอัตลักษณ์ของชายผู้มาใหม่ชัดเจน


 


“ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นผู้ที่ชิงลงมือก่อนใคร!”


 


เมื่อเห็นร่างกงเจิ้นปรี่ทะยานเข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าผู้ฝึกตนอิสระหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจกล่าวว่า “ศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟ ต้วนหลิงเทียนคนนี้ แม้พรสวรรค์จะดี…แต่นี่ก็ยังพึ่งผ่านมา 3 ปีเท่านั้น แถมภายใต้การไล่ลาควาญหาตัวของเซี่ยคังฉวิน ไหนเลยจะมีสมาธิบ่มเพาะพลังดีๆได้? เช่นนั้นมันสมควรไม่ได้บังเกิดความก้าวหน้าอะไรมากมาย…”


 


 


“เมื่อ 3 ปีที่แล้วพลังฝีมือของมันสมควรห่างจากกงเจิ้น ร้อยแปดพันลี้…นี่ผ่านมาตั้ง 3 ปี ต่อให้ตั้งใจบ่มเพาะพลังเต็มที่ก็อาจจะยังสู้กงเจิ้นไม่ได้ด้วยซ้ำ ยังนับประสาอะไรกับต้องหนีการตามล่าล่าของจ้าวราชสีห์ขนทองของลัทธิอารามทมิฬ จนไม่ได้บ่มเพาะฝึกฝนดีๆ?”


 


“ข้าก็คิดเช่นนั้น อย่างไรกงเจิ้นผู้นี้ก็เป็นถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน…”


ตอนที่ 2,164 : ข่าวปลอม!?


 


 


 


เมื่อกงเจิ้นปรากฏกาย เสียงสนทนาก็ดังจ้อไม่หยุด


 


จากวาจาฟังว่า ต้วนหลิงเทียนไม่พ้นต้องถูกมันจับตัวไปเป็นแน่ และกงเจิ้นก็จะได้ไปขึ้นรางวัลกับจ้าวราชสีห์ขนทอง! บ้างก็โอดครวญออกมาด้วยความเสียดาย…ว่าไฉนถึงมัวแต่รีรอยึกๆยักๆกลัวนู่นนี่นั่นจนพลาดโอกาสอันประเสริฐที่ชั่วชีวิตไม่ทราบว่าจะมีอีกแล้วหรือไม่…


 


เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้รางวัลที่จ้าวราชสีห์ขนทองระบุไว้ก็มากมายมหาศาลเหลือเกิน ต่อให้เป็นเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนก็ต้านแรงดึงดูดใจจากมันไม่ไหว


 


“น่าเสียดายที่ยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นของมันถูกอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬชิงไปแล้ว…หาไม่แล้ววันนี้กงเจิ้นคงไม่ได้รับแค่เพียงของรางวัลจากเซี่ยคังฉวิน กระทั่งยังจะได้ยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นไปครอบครอง!”


 


“เหอะๆ เจ้าใช่โลกสวยเกินไปหรือไม่ หากต้วนหลิงเทียนยังมียอดศาสตราเซียนสองชิ้นติดตัวอยู่จริง ไหนเลยกงเจิ้นจะมีโอกาสลงมือแบบนี้!?”


 


“อ่านั่นสิ! ถึงแม้เมื่อ 3 ปีที่แล้วนครแห่งบาปเราจะสูญเสียยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนไปไม่น้อย…แต่ในเมืองเท่าที่รู้ก็ยังมีเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนรั้งอยู่สองคน…หากต้วนหลิงเทียนยังมียอดศาสตราเซียนพกติดตัว ป่านนี้ทั้งสองคนนั่นคงลงมือไปแล้ว”


 



 


จังหวะนี้ผู้ฝึกตนทั้งอิสระต่างอดถอนหายใจกันออกมาไม่ได้


 


และวาจาที่พวกมันคุยกันนั้น ก็ดังมากพอจะเข้าหูต้วนหลิงเทียนเช่นกัน และทำให้ต้วนหลิงเทียนที่ลอยอยู่กลางฟ้าถึงกับงุนงงไปทันที


 


‘ข้าน่ะเหรอ…ถูกอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬชิงยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นไป? ไหงข้าไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยล่ะ แล้วอาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬนี่…ข้าไปเคยเจอมันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?’


 


ขณะที่คิดไปด้วยความสับสน ใจหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะแผ่สำนึกเทวะไปดูด้านในแหวนพื้นที่ และก็พบว่าตราผนึกมารยังตั้งอยู่ที่เดิมอย่างเงียบงันไม่ได้หายไปไหน


 


เรียกว่าจังหวะนี้อดไม่ได้ที่เขาจะงุนงงขั้นสุด


 


ผู้ใดมันมันแพร่ข่าวลวงออกมา?


 


ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากวาจาและทีท่าของเหล่าผู้ฝึกคนโดยรอบแล้ว เห็นชัดว่าทั้งหมดสมควรเชื่อถือข่าวลวงนั่นอย่างมาก!


 


อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬ จริงอยู่ที่ต้วนหลิงเทียนไม่เคยเจอ แต่ชื่อเสียงมันเขาย่อมเคยได้ยินมาบ้าง…มันเป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่น่ากลัว!


 


พลังฝีมือยังรั้งอยู่ในอันดับที่ 2 ของรายนามยอดเซียน เป็นรองก็แต่เนี่ยอู๋เทียน สุดยอดฝีมืออันดับ 1 ของแดนดิน!


 


อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยพบเคยเจออาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬคนนี้มาก่อนเลย ทำไมอีกฝ่ายถึงป่าวประกาศว่าชิงยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ของเขาไปแล้ว?


 


แปลก!


 


แปลกประหลาดอย่างยิ่ง!


 


เพียง 6 คำก็มากพอจะอธิบายอารมณ์ของต้วนหลิงเทียนตอนนี้


 


แต่ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจทราบได้


 


ว่าเมื่อครึ่งปีก่อนหน้านี้…


 


อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬได้ออกมาประกาศว่า…


 


มันได้บังเอิญพบตัวต้วนหลิงเทียนที่กำลังหลบซ่อนตัว ทว่าต้วนหลิงเทียนนั้นดั่งกระต่ายมี 3 โพรง…ได้ชิงซ่อนยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 เอาไว้เป็นหลักประกันชีวิตตัวเองแต่แรก! และอาวุโสสูงสุดก็ได้ยื่นข้อเสนอออกมาว่า…ขอเพียงต้วนหลิงเทียนสาบานว่าจะบอกที่ซ่อนที่แท้จริงของยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ออกมา มันจะไม่ฆ่าหรือจับตัวต้วนหลิงเทียน!!


 


เห็นว่า อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬกระทั่งถึงขั้นกล่าวคำสาบานตอทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเพื่อรับประกัน!


 


แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวล ล้วนเป็นข่าวปลอมที่ลัทธิอารามทมิฬจงใจปล่อยออกมา


 


ลองคิดดูเถอะ…


 


ฐานะของอาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬสูงส่งเพียงใด…เป็นไปได้หรือที่จะลดตัวลงมากล่าวคำสาบาน?


 


ใต้หล้านี้ยังมีใครบีบคั้นให้อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬต้องกล่าวคำสาบานได้?


 


อย่างไรก็ตาม ในเมื่อข่าวลือนี้มันแพร่ออกมาจากระดับสูงๆของลัทธิอารามทมิฬ เช่นนั้นผู้คนก็เลยเชื่อ อย่างไรยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้นก็มีน้ำหนักต่อใจมากเกินไป ตัวตนระดับนี้จะลดตัวมาสาบานก็ไม่แปลก


 


แต่เป็นธรรมดาว่ายังมีคนสงสัย!


 


จนเมื่อจ้าวราชสีห์ขนทองได้ลดของรางวัลสำหรับการจับตัวต้วนหลิงเทียนลงอย่างกะทันหัน…


 


ทำให้ผู้คนจึงเริ่มเชื่อเรื่องนี้กันมากขึ้น!


 


เพราะในอดีตนั้น จ้าวราชสีห์ขนทองมีแต่เพิ่มของรางวัลรอบแล้วรอบเล่า ทว่าไม่มีใครคิดลงมือเลย…


 


เพราะอย่างไรตอนนั้นทุกคนก็รู้ว่าในมือต้วนหลิงเทียนสมควรมียอดศาสตตราเซียนถึง 2 ชิ้น ต่อให้รางวัลของราชสีห์ขนทองจะยิ่งใหญ่ล่อใจเพียงใด แต่ไหนเลยจะสู้ความเย้ายวนจากยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้นได้?


 


ไม่มีใครสนใจทำตามข้อเสนอมันเลย…


 


แต่พอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนได้เสียยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้นในมือไปแล้ว และด้วยลูกล่อลูกชนแสร้งปล่อยเพื่อจับ ด้วยการลดรางวัลนำจับต้วนหลิงเทียนไปช่วงหนึ่ง…แต่สุดท้ายค่อยเพิ่มขึ้นภายหลังเพราะเหตุผลอยากล้างแค้นให้ลูกชาย! คนจึงเริ่มให้ความสนใจการจับตัวต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง!!


 


ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะจับตัวต้วนหลิงเทียน ล้วนเป็นเพราะทำเพื่อของรางวัลจากเซี่ยคังฉวินทั้งสิ้น ไม่มีใครคิดจับตัวต้วนหลิงเทียนเพราะอยากแย่งชิงยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นอีกต่อไป


 


เพราะในสายตาของพวกมัน…


 


ต้วนหลิงเทียนไม่มียอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นอยู่กับตัวอีกต่อไป…


 


แต่คนมากมายกลับไม่ได้รู้เลย…


 


ว่าสาเหตุที่อาวุโสสูงสุดถึงกับยอมให้ปล่อยข่าวลวงเรื่องนี้ออกมา ทั้งหมดเป็นเพราะมันบังเกิดความโลภอยากครอบครองยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นถึงที่สุด…!!


 


มันนับว่าเฉลียวฉลาดไม่น้อย ยังสั่งให้เซี่ยคังฉวินลดรางวัลนำจับต้วนหลิงเทียนลงอย่างมหาศาลช่วงหนึ่งเพื่อทำตามแผน


 


ทำให้ทุกคนพากันคิดไปว่า ยอดศาสตราเซียนของต้วนหลิงเทียนสมควรถูกชิงไปแล้วจริงๆ รางวัลจากเซี่ยคังฉวินถึงได้ลดลงไปขนาดนี้…แม้ภายหลังจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีกครั้ง แต่ก็เพราะความแค้นของบิดาถ่ายเดียว…


 


เรียกว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นภาพลวงทางจิตวิทยา ที่อาวุโสสูสุดของลัทธิอารามทมิฬกับเซี่ยคังฉวินจงใจสร้างขึ้น เพื่อหลอกทุกคน


 


“หยุด!”


 


ในขณะที่กงเจิ้นโจนทะยานร่างเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย จนระยะห่างเหลือเพียงไม่กี่สิบหมี่ อยู่ดีๆต้วนหลิงเทียนพลันหันไปมองมันตาขวางพร้อมตะคอกออกมาเสียงเย็น!


 


และเสียงตะคอกดังลั่น ทั้งมากล้นไปด้วยความเย็นชาของต้วนหลิงเทียนนี้ ด้วยความที่อยู่ๆก็โพล่งดังขึ้นด้วยความดุดัน ทำให้กงเจิ้นถึงกับผงะและเผลอหยุดลงตามเสียงอย่างไม่ทันรู้ตัว


 


“หากเจ้ากล้าเข้าใกล้ข้าอีกแม้เพียงครึ่งก้าว…ตาย!”


 


และก่อนที่กงเจิ้นจะทันได้รู้สึกตัว ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวออกมาเสียงเย็นอีกครั้ง


 


น้ำเสียงเย็นชา แต่ในน้ำเสียงกลับแฝงเร้นไปด้วยอำนาจครอบงำไม่อนุญาตให้ขัดขืน!


 


เอาแต่ใจนัก!!


 


และทันทีที่วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนดังออกมา ฉากเรื่องราวโดยรอบก็กลายเป็นเงียบงันทันที


 


กระทั่งตัวกงเจิ้นเอง ก็ยังถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินวาจาเอาแต่ใจของต้วนหลิงเทียน กว่าจะรู้สึกตัวก็เผลอทำตามคำสั่งต้วนหลิงเทียนไปเสียแล้ว…


 


“สวรรค์! ต้วนหลิงเทียนผู้นี้บ้าไปแล้วหรือไร นี่มันถึงกับกล้าออกคำสั่งกงเจิ้นจริงๆ!?”


 


“ในสายตาข้าไม่พ้นมันต้องคิดยั่วโทสะกงเจิ้นเพื่อให้กงเจิ้นรีบๆฆ่ามันแน่ๆ…จะได้ไม่ต้องถูกกงเจิ้นจับตัวไปส่งให้เซี่ยคังฉวินทรมาน!!”


 


“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน…เพราะหากมันถูกจับไปส่งมอบให้จ้าวราชสีห์ขนทองล่ะก็ มีหรือมันจะได้ตายดี! 9 ใน 10 ล้วนไม่พ้นต้องถูกทรมานอย่างสาหัสจนต้องร่ำร้องขอความตาย! เพราะอย่างไรเซี่ยจงที่มันฆ่าไป ก็เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของจ้าวราชสีห์ขนทอง”


 



 


ผู้ฝึกตนอิสระหลายคนเริ่มกลับมารู้สึกตัว ต่างมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ บางคนที่แลดูมีความคิดก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องการหาทางออกที่ดีที่สุดด้วยการรีบตาย!


 


หากแต่ต้วนหลิงเทียนกระทำเช่นนี้เพื่อรนหาที่จริงๆน่ะเหรอ?


 


“ฮึ่ม!!”


 


ทันใดนั้นเสียงพ่นลมสบถเยียบเย็นพลันดังขึ้น เป็นกงเจิ้นที่ดึงสติกลับมาได้สำเร็จ มันถลึงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย กล่าวออกด้วยเสียงอำมหิต “ต้วนหลิงเทียนเจ้าคิดด่วนตาย แต่ข้าไม่มีวันให้เจ้าได้ตายสมใจ!!”


 


“ข้าจักเจ้าไปส่งมอบจ้าวราชสีห์ขนทองตัวเป็นๆ เพื่อรางวัลที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย! หลังจากนั้นข้าจักขออนุญาตจ้าวราชสีห์ขนทองเพื่อเฝ้าดูเจ้าถูกทรมานจนกว่าจะตาย!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยคแววตาที่กงเจิ้นใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นอำมหิตทั้งเจ้าเล่ห์ ราวกับกำลังคิดเรื่องชั่วๆ


 


ในสายตาของกงเจิ้น ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว


 


เพราะจากทีท่าของจ้าววราชสีห์ขนทองที่มีต่อต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่มีวันละเว้นต้วนหลิงเทียนแน่นอน!


 


“ข้าจะกล่าวซ้ำเป็นครั้งสุดท้าย…ขยับเข้ามาใกล้ข้าอีกแม้แต่ครึ่งก้าว ตาย!”


 


เมื่อเห็นว่าหลังกล่าวจบคำ ทั่วร่างกงเจิ้นเริ่มปรากฏพลังเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทางยังคิดลงมือต่อไม่ผิดแน่ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวเตือนเป็นครั้งสุดท้ายอย่างมีน้ำอดน้ำทน…


 


หากทว่าน้ำเสียงที่กล่าวยิ่งมายิ่งเย็นชาแล้ว!


 


“ตายหรือ? ให้ข้าชมดูว่าเจ้าจักมีปัญญาสามารถอันใดทำให้ข้าตาย!”


 


คราวนี้กงเจิ้นไม่ได้หยุดเพราะคำของต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป หลังกล่าวเย้ยสวนกลับ พลังเซียนต้นกำเนิดทั่วร่างก็ลุกโชนขึ้นมาดั่งเพลิงไฟอีกครั้ง ชุดคลุมโป่งพองโบกสะบัด คนเตรียมพร้อมลงมือ!


 


และครู่ต่อมาร่างของมันก็เริ่มเคลื่อนไหว หมายพุ่งเข้าใสต้วนหลิงเทียน!


 


ในใจมันมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น


 


จับต้วนหลิงเทียนแล้วนำไปส่งมอบให้เซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทองแห่งลัทธิอารามทมิฬเพื่อรับรางวัลใหญ่!


 


“รนหาที่ตาย!”


 


เมื่อเห็นว่ากงเจิ้นยังดื้อรั้น ตาซ้ายต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายสว่างวาบขึ้นมาทันใด!


 


ซัวว!!


 


ทันใดนั้นการโจมตีทางวิญญาณอันร้ายกาจขุมหนึ่งก็ถูกปลดปล่อยออกไป เป็นพลังวิญญาณมหาศาลที่ควบแน่นจนกลายเป็นมังกรเทพยดาตัวจิ๋ว พุ่งทะยานตัดฟ้าไปด้วยความเร็วเหนือเสียง!


 


“แย่แล้ว!!”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนสำแดงอำนาจจิต กงเจิ้นที่เพิ่งเริ่มขยับร่างไม่ทันไรก็ร่ำร้องออกมาเสียงหลง ด้วยคล้ายตระหนักถึงบางสิ่ง หน้ายังเปลี่ยนสีไปทันที!


 


อนิจจาสีหน้าทั้งวาจานั่น ถูกกำหนดให้เป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตของมัน…


 


นั่นเพราะทันทีที่มันสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง มังกรเทพยดาตัวจิ๋วก็พุ่งทะลวงเข้าร่าง ปรี่ตรงสู่ดวงจิตก่อนจะปะทุพลังอำมหิตป่นวิญญาณในดวงจิตจนแหลกสลายไปเสียแล้ว…


 


เป็นการลงมืออันหมดจดนัก ไม่ทิ้งรอยแผลใดๆบนร่าง ดวงจิตยังคงอยู่ดี หากทว่ากลวงเปล่าไร้วิญญาณอันใด…


 


ด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนตอนนี้คือเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน!


 


ความก้าวหน้าจากขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนมา 6 เปลี่ยนนั้น ไม่ใช่แค่พลังเซียนต้นกำเนิดในร่างได้รับการยกระดับพัฒนาเพียงอย่างเดียว…จิตวิญญาณยังเปลี่ยนไปด้วย!


 


เปลี่ยนที่ 6 ของขอบเขตเซียนสวรรค์เรียกว่าเปลี่ยนจิตวิญญาณสวรรค์! เมื่อบรรลุถึงขอบเขตนี้ จิตวิญญาณของผู้บ่มเพาะจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ กลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ดั่งคนฟ้าเป็นหนึ่งเดียว…


 


เช่นนั้นพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนจึงมีพลังอานุภาพเหนือกว่ากงเจิ้นที่ยังเป็นเพียงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนมากมายนัก


 


ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้


 


อำนาจจิตของต้วนหลิงเทียน จึงทำลายวิญญาณของกงเจิ้นจนแหลกสลาย! ฆ่ากงเจิ้นได้ง่ายดายโดยที่มันไม่มีปัญญาตอบโต้อะไรเลย!!


 


วูบบ!


 


ภายใต้สายตาตกตะลึงของผู้คน ร่างกงเจิ้นที่คล้ายจะพุ่งทะยานเข้าไปหาต้วนหลิงเทียนนั้น อยู่ดีๆก็คล้ายสิ้นไร้พลัง หลังจากเหินไปเบื้องหน้าตามแรงเฉื่อยแค่เล็กน้อย คนก็ร่วงตกฟ้ามาราวหุ่นกระบอกไร้ด้าย


 


ตุบบบ!!


 


ร่างกงเจิ้นร่วงตกลงมาจากฟ้าสูงก่อนจะกระแทกพื้นอย่างแรง กลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือนจมแอ่งโลหิตต่อหน้าต่อตาผู้คน…


 


ฉากเรื่องราวนี้ ยามเมื่อกระทบเข้าตาผู้ฝึกตนอิสระทั้งผู้มาจากขุมพลังทั้งหลาย พาลให้ทั้งหมดหน้าเปลี่ยนสีกันไปเป็นแถบ


 


บางคนที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้างสูงหน่อย จังหวะนี้ถึงกับหันไปมองต้วนหลิงเทียนตาโต สีหน้าฉายความตื่นตระหนกราวกับเห็นผี!


 


“ตะ…ต้วนหลิงเทียนไฉนร้ายกาจขนาดนี้ได้กัน นั่นมันกงเจิ้นเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนอันดับที่ 93 ในรายนามยอดเซียนเชียวนะ!”


 


“เกิดอันใดขึ้นกัน!? ข้ามิเห็นเลยว่าต้วนหลิงเทียนลงมืออย่างไร ไฉนอยู่กงเจิ้นๆตกฟ้าตายได้เล่า? ยอดฝีมือท่านใดบอกข้าได้บ้าง!?”


 


“เจ้าไม่เห็นต้วนหลิงเทียนลงมือ? หรือเมื่อครู่เจ้ามิอาจจับสัมผัสแรงกระเพื่อมของวิญญาณได้เลย? เป็นต้วนหลิงเทียนใช้อำนาจจิตประเภทที่น่ากลัวที่สุด…จู่โจมทำลายวิญญาณโดยตรง!”


 


“อำนาจจิตจู่โจมวิญญาณ? ล้อเล่นน่า…ข้ามิเห็นเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าต้วนหลิงเทียนมีกระบวนท่าน่าหวั่นหวาดเช่นนี้ด้วย!?”


 



 


จังหวะนี้เรียกว่าเสียงของผู้ฝึกตนทั้งหลายแตกออกไปคนละทิศคนละทาง บางคนที่พลังฝีมือสูงส่งย่อมตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนใช้การโจมตีทำลายวิญญาณอันน่าพรั่นพรึง ส่วนผู้ที่พลังฝีมืออ่อนด้อยและไม่เชื่อ ก็คิดว่ากงเจิ้นอาจตกตายเพราะอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่น่าจะใช่ฝีมือต้วนหลิงเทียนโดยตรง


 


เรียกว่าพริบตาเหล่าผู้ฝึกตนก็คล้ายจะแบ่งพรรคแบ่งพวกทำสงครามน้ำลายกันใหญ่


 


หากแต่ต้วนหลิงเทียนคร้านจะสนใจอะไรพวกมัน เพียงกรีดนิ้วหลั่งโลหิต และเริ่มต้นกระบวนการเอ่ยคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าทันที หยดโลหิตลอยล่องขึ้นสู่ฟ้าเบื้องบนเร็วไว


 


“ดูนั่นเร็ว! ต้วนหลิงเทียนกำลังจะสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์?”


 


การกระทำดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ย่อมมีผู้ฝึกตนหลายคนที่แลเห็น และมองออกได้ทันทีว่าเขาทำอะไรอยู่


 


ทันใดนั้นความสนใจของผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายก็ละจากการสนทนามาจับจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง


 


และในสายตาของทุกคน ต้วนหลิงเทียนก็ได้กระทำการกล่าวคำสาบานต่อสวรรค์จริงๆ


 


“วันนี้ข้าต้วนหลิงเทียนขอสาบาน…หากว่าจาที่ข้ากำลังจะประกาศให้ทุกคนฟังหลังจากนี้ เพียงมีคำโกหกแม้แต่ครึ่งคำ…ข้ายินดีให้อัสนีฟ้าพิฆาตร่างตายตก!”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำสาบานออกมา ทุกคนก็อึ้งไปทันที! ฉากเรื่องราวกลายเป็นเงียบงันปานคนตาย!!


ตอนที่ 2,165 : ต้วนหลิงเทียนคือชายชุดดำ!?


 


 


 


ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะยังไม่ทันได้กล่าว ‘ใจความสำคัญ’ ออกมา


 


ทว่าเพียงแค่ได้ยินคำสาบานนี้ของต้วนหลิงเทียน เหล่าผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะเผลอหยุดหายใจ!


 


เรียกว่าตอนนี้ในใจของพวกมันทั้งหมดหันไปรอฟังคำพูดของต้วนหลิงเทียนอย่างใจจดจ่อ หลายต่อหลายคนยังบังเกิดความสงสัยในใจ…


 


“ต้วนหลิงเทียนคิดกล่าวเรื่องยิ่งใหญ่ใดในโลกกันแน่ ถึงกับต้องสาบานว่าจะไม่โกหกออกมาก่อนแบบนี้?”


 


“หรือมันคิดกล่าวคำสาบานให้ทุกคนรับทราบว่า ตอนนี้ที่ตัวไม่มียอดศาสตราเซียนแล้วจริงๆ?”


 


“เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์แล้วไม่ใช่รึไง? ในเมื่ออาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬก็ได้ออกมาประกาศเรื่องนี้ไปแล้ว…”


 


“แต่ผู้คนยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง…หากต้วนหลิงเทียนกล่าวสาบานเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้จริง เรื่องราวมันจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”


 



 


ผู้ฝึกตนหลายคนคาดเดาไปในทำนองนี้


 


แต่น่าเสียดายที่พวกมันต้องผิดหวัง


 


เพราะตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ประกาศออกมาว่า “เมื่อ 3 ปีก่อนทางตอนเหนือของนครแห่งบาป ได้ปรากฏสถานที่ๆคาดว่าจะเป็นคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะ ทว่าสถานที่แห่งนั้นกลับพรากชีวิตผู้คนไปมากมาย! ทั้งหมดรู้หรือไม่ ว่าคนร้ายในเรื่องนี้ก็คือผู้ที่ร่วมมือกันสร้างคลังสมบัตินั่น แถมยังเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะถึง 3 คน!!”


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะประกาศเรื่องนี้ออกมา แต่ทุกคนในที่นี้ก็ไม่มีใครตื่นเต้นอะไร


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ได้รู้เรื่องนี้กันหมดตั้งแต่แรก


 


“ต้วนหลิงเทียนยกเอาเรื่องนี้มาพูดอีกครั้งทำอะไร?”


 


“นั่นสิ แล้วนี่มันถึงกับต้องกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์อัสนีเพื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยหรือไง? ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้รู้กันไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วรึ ยังจะมาพูดซ้ำซากทำอะไรกัน?”


 



 


ผู้ฝึกตนอิสระหลายคนขมวดคิ้ว


 


“และที่สำคัญก็คือ ครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3 คนนั่น…มันคือเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ยังหลงเหลืออยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของพวกเราตั้งแต่ยุคมนุษย์ปีศาจ! เพื่อความอยู่รอดพวกมันเลือกที่จะซ่อนตัวอย่างเงียบงันในทวีปมนุษย์! ข้ามผ่านวันเวลาอันยาวนานด้วยการมุ่งมั่นบ่มเพาะสั่งสมพลัง…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ


 


และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจานี้ออกมา ไม่ว่าจะผู้ฝึกตนอิสระหรือผู้ฝึกตนจากขุมพลังต่างๆ ก็ชักหน้าเครียดทันที หลายคนยังอดไม่ได้ที่จะโพล่งอุทานออกมาด้วยความตกใจ “เผ่าพันธุ์ปีศาจ!? ถล่มมารดามัน! 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่นที่แท้มารดามันเป็นปีศาจ!?”


 


“บ้าน่า! ล้อกันเล่นหรือไร?!”


 


“ล้อเล่นก็แย่แล้ว เจ้าไม่เห็นหรือไรว่าเมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ไป แล้วตอนนี้ใช่คนยังอยู่ดีหรือไม่? มีฟ้าผ่าอันใดหรือไม่? ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง!!”


 


“สวรรค์ช่วย! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าที่แท้นั่นจักเป็น ‘กับดัก’ ที่เผ่าพันธุ์ปีศาจสร้างเอาไว้!!”


 


“ก่อนหน้านี้มีหลายคนรวมถึงตัวข้าเองที่สงสัยกันนัก…ว่ายอดฝีมือบัดซบอันใดถึงว่างมากขนาดสร้างระนาบเทียมเพื่อฆ่าชนรุ่นหลังเล่น! หากพวกบัดซบนั่นเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ เช่นนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็มีคำอธิบายแล้ว!!”


 



 


เนื่องจากต้วนหลิงเทียนได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าไว้แต่แรก เหล่าผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายจึงไม่คิดสงสัยในคำพูดของเขา


 


ยิ่งไปกว่านั้นทุกสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา ยังสอดคล้องกับความเป็นจริงอีกด้วย


 


นับว่าได้ไขข้อสงสัยที่ค้างคาใจของทุกผู้คนมานาน!


 


“หลังจากที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าถูกแบ่งแยกออกเป้น 2 ภูมิภาค เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 3 คนนั่นก็ได้ลอบจัดตั้งค่ายกลเอาไว้ทั้งในภูมิภาคเบื้องบนและภูมิภาคเบื้องล่าง หลักการทำงานของมันก็คือ ทันทีที่ค่ายกลในภูมิภาคเบื้องล่างสัมผัสได้ถึงไอมารบริสุทธิ์จากแดนเนรเทศ มันจะเริ่มต้นเปิดการทำงานทันที…”


 


“และหลังจากค่ายกลที่พวกมันจัดตั้งไว้ในภูมิภาคเริ่มต้นการทำงาน…มันก็จะส่งสัญญาณมายังค่ายกลที่พวกมันจัดตั้งในภูมิภาคเบื้องบนแห่งนี้ และค่ายกลในภูมิภาคเบื้องบนที่ว่า ก็จะเริ่มเปิดทางเข้าสู่ระนาบเทียมที่พวกมันตระเตรียมเอาไว้! หลอกล่อให้ยอดฝีมือเข้าไปแสวงหาโชคลาภเพราะคิดว่าเป็นคลังสมบัติ…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อออกมาไม่หยุด “หลังจากที่เข้าไปด้านในแล้ว ผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนจะถูกขับไล่ออกมาด้วยความยากของบททดสอบรอบแรก…กล่าวไปคนเหล่านี้นับว่าโชคดีนัก! เพราะสำหรับคนที่เหลือรอดหลังจากนั้นแทบทุกคนล้วนต้องตาย!!”


 


กล่าวถึงจุดนี้น้ำเสียงของต้วนหลิงเทียนก็หนักขึ้นไม่น้อย


 


ถึงแม้ยอดฝีมือที่ตายตก…เขาจะไม่ได้รู้จักใครเลยก็ตามที แต่ในฐานะเพื่อนมนุษย์เขาก็อดไม่ได้ที่จะหดหู่ใจเมื่อเห็นทั้งหมดต้องมาตกตายเพราะเหตุนี้


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…”


 


“ไอมารบริสุทธิ์? เช่นนั้นมิได้หมายความว่า…ตอนนี้ที่ภูมิภาคเบื้องล่างก็ถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศรุกรานเข้ามาแล้วหรือไร?”


 



 


หลังได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ผู้ฝึกคนอิสระที่หัวไวก็เข้าใจเรื่องราวทันที ยังตระหนักได้ถึงความจริงอันน่าตื่นตระหนก ต่างพากันมองไปยังต้วนหลิงเทียน คล้ายจะรอฟังคำยืนยันจากปากต้วนหลิงเทียน


 


“เป็นอย่างที่สหายทั้งหลายคิด…”


 


เผชิญหน้ากับสายตาที่ร้อนแรงของทุกคน ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าลงอย่างเคร่งขรึม “ตอนนี้เผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศได้บุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว…กระทั่งพวกมันยังบุกเข้ามาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน! เรื่องนี้ข้าสามารถยืนยันความถูกต้องได้เต็มสิบส่วน!!”


 


“เพราะหากที่ข้ากล่าวมีคำใดโป้ปดแม้ครึ่งคำ…ป่านนี้ข้าคงถูกอัสนีฟ้าฟาดผ่าตกตายไปแล้ว!”


 


กล่าวถึงประโยคนี้เสียงต้วนหลิงเทียนก็หนักอึ้งนัก


 


เนื่องจากคำสาบานที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวไว้ตอนแรก ผู้ฝึกตนทั้งหลายในที่นี้ย่อมไม่มีใครคิดสงสัยแคลงใจในความจริง


 


ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดถึงได้นิ่งค้างกันไปด้วยความตื่นตระหนก


 


เผ่าพันธุ์ปีศาจกลับบุกเข้ามาแล้วจริงๆ!


 


ในกาลก่อนเนื่องจากอยู่ดีๆค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ภูมิภาคเบื้องบนก็ใช้การไม่ได้ ทั้งหมดก็คาดเดากันไปว่า ใช่มหาผนึกกั้นช่องโหว่บริเวณกำแพงมิติกั้นแดนถูกทำลายเพราะพวกปีศาจหรือไม่? จึงยังผลให้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคเบื้องล่างที่เชื่อมต่อกับม่านพลังผนึกโดยตรงถึงกับขัดข้องไปแบบนี้! และไม่พ้นพวกปีศาจคงรุกรานเข้ามาได้แล้ว!!


 


อย่างไรก็ตามทั้งหมดเป็นแค่การคาดเดากันไปเท่านั้น


 


คนส่วนใหญ่ในภูมิภาคเบื้องบนก็เพียงตื่นตัวตามกระแสไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็เลิกสนใจกันไป


 


ทว่าวันนี้กลับมีคนกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจได้บุกรุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างแล้วจริงๆ…แถมอัสนีสวรรค์ก็ไม่ได้ฟาดผ่าพิฆาตร่างผู้สาบาน!


 


ด้วยวิธีนี้ก็สามารถอธิบายได้ทันที…


 


ผู้สาบานไม่ได้โกหก!!


 


“เผ่าพันธุ์ปีศาจบุกเข้ามาแล้วจริงๆ? มารดามัน! นี่มิใช่หมายความว่ายุคมนุษย์ปีศาจกำลังจะหวนกลับมาสู่โลกหล้าเป็นครั้งที่ 2 หรือไร?”


 


“3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่นพวกมันถึงกับซุ่มเก็บตัวอยู่นานปี แต่ก่อนที่พวกมันจะขึ้นสวรรค์กลับวางกับดักอันร้ายกาจเช่นนี้เอาไว้ ทำให้ยอดฝีมือมนุษย์ตกตายไปไม่น้อย…หากเผ่าพันธุ์ปีศาจในภูมิภาคเบื้องล่างสั่งสมกำลังจนพร้อมค่อยบุกขึ้นมา เกรงว่าพวกเราคงไม่มีกำลังพอจะสู้กับมัน!”


 


“พวกปีศาจมันบุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างตั้ง 3 ปีแล้ว…แต่พวกมันยังเฝ้ารออยู่นานไม่บุกขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนเช่นนี้ นั่นหมายความว่าพวกมันกำลังเฝ้ารอโอกาสเหมาะ คงคิดยึดภูมิภาคเบื้องล่างให้เป็นฐานที่มั่นได้อย่างสมบูรณ์ค่อยยกทัพขึ้นมาเป็นแน่!!”


 


“ข้ากลัวว่าอีกไม่นาน…พวกปีศาจคงได้เข่นฆ่าสังหารขึ้นมาเบื้องบน!!”


 



 


เมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวยืนยันเรื่องราวออกมา ทำให้ทุกคนตระหนักได้ถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ทันที ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะแตกตื่นเสียขวัญกันใหญ่


 


“ต้วนหลิงเทียน! แล้วไฉนเจ้าถึงได้รู้เรื่องนี้ดีนักเล่า!?”


 


ทันใดนั้นเองมีผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งตะโกนถามออกมา


 


เสียงของมันไม่เบาแม้แต่น้อย ยังดังลั่นไปทั่ว เรียกว่าผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายที่อยู่รอบๆล้วนได้ยินกันชัดเจน ต่างสงบปากสงบคำ หันไปมองต้วนหลิงเทียนเพื่อรอฟังคำตอบทันที


 


ใช่


 


ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้รู้เรื่องนี้ดีนัก?


 


เนื่องจากได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ไว้แล้ว พวกมันจึงไม่สงสัยความจริงของวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าว แต่พวกมันกลับสงสัยแหล่งที่มาของข้อมูลมากกว่า…ว่าต้วนหลิงเทียนไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน!


 


“ไฉนข้าถึงรู้เรื่องนี้ดีน่ะหรือ?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองวูบ ค่อยกล่าวออกมาห้วนๆ “นั่นเพราะข้าเองก็ได้เข้าไปในระนาบเทียมที่ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะขอเผ่าพันธุ์ปีศาจนั่นร่วมมือกันสร้างไว้ด้วยเช่นกัน! อีกทั้งเท่าที่ข้ารู้ หลังจากที่ผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนถูกขับออกมาหมดแล้ว…ในบรรดาผู้ที่คิดเข้าไปแสวงโชคทั้งหมด ข้าสมควรเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ในนั้นมาได้!!”


 


โอ! อา!


 


พอได้ยินวาจาประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียน ผู้คนก็ฮือฮาขึ้นมาด้วยความแตกตื่นทันที


 


อย่างไรก็ตามมีผู้ฝึกตนอิสระมากมายยังคงแคลงใจสงสัยในเรื่องนี้


 


“จากที่เจ้ากล่าวมา…นั่นหมายความว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เจ้าสามารถผ่านการทดสอบรอบแรกของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะด้านใน จนสามารถอยู่ถึงการทดสอบรอบต่อไปได้?”


 


“น่าขันนัก! เท่าที่ข้ารู้มามิใช่ผู้ฝึกตนที่พลังฝึกปรือต่ำกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน ล้วนถูกขับออกมาไม่ใช่หรือไร…หรือเจ้าจะบอกว่า เมื่อ 3 ปีก่อนเจ้ามีพลังฝึกปรือขอบเขตคเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน?”


 


“นั่นสิ หากข้าจดจำไม่ผิด…พลังฝีมือของเจ้ายามนั้นอย่างดีก็เพียงเทียบได้กับเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนมิใช่หรือไร!?”


 



 


เหล่าผู้ฝึกตนอิสระที่แคลงใจพากันยิงคำถามใส่ต้วนหลิงเทียน


 


“เรื่องที่พวกเจ้าสงสัยข้าเองก็เข้าใจ…อย่างไรก็ตามหากข้าเปิดเผยอีกตัวตนหนึ่งของข้า ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าคงไม่คิดตั้งคำถามเรื่องนี้สืบไป…”


 


ต้วนหลิงเทียนกกล่าวสืบต่อเสียงเรียบ


 


“เปิดเผยตัวตน? ตัวตนอันใด?”


 


ทันใดนั้นผู้ฝึกตนอิสระหลายคนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเป็นปม ด้วยไม่ทราบว่าคำเปิดเผยตัวตนของต้วนหลิงเทียนเป็นเรื่องอะไร


 


พรึ่บบบ!


 


ทว่าในขณะที่ผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายกำลังย่นคิ้วเป็นปมด้วยความสงสัยนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันสะบัดมือเรียกชุดคลุมลมดำออกมา ก่อนที่จะสวมใส่ผ้าหนาพันตัวเล็กน้อยค่อยคลุมชุดคลุมลมดำทับลงไปอีกที…


 


แน่นอนว่าชุดคลุมลมดำตัวนี้ก็เป็นตัวเดียวกันกับชุดที่เขาใช้เล่นบทชายชุดดำประพฤติตัวเป็นศาลเตี้ยไล่ฆ่าผู้ฝึกตนชั่วช้าในนครแห่งบาป…


 


เพียงชั่วพริบตาภาพลักษณ์ของต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปราวกกับหน้ามือเป็นหลังมือ


 


“ชะ…ชายชุดดำ!?”


 


ผู้ฝึกตนอิสระหลายคนอดเหวอไม่ไปไม่ได้


 


เพราะชุดคลุมลมดำที่ต้วนหลิงเทียนสวมใส่นั่น มิใช่ว่าเหมือนกันกับชายชุดดำที่โด่งดังในนครแห่งบาปเมื่อ 3 ปีก่อนเลยหรือไร!?


 


“จะว่าไปหากข้าจำไม่ผิด…ช่วงเวลาที่ชายชุดดำเริ่มปรากฏตัวขึ้นมา ก็เป็นช่วงเวลาหลังจากกที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าเซี่ยจงลูกชายจ้าวราชสีห์ขนทองของลัทธิอารามทมิฬได้ไม่นานนัก ที่แท้ชายชุดดำคนนั้นก็คือต้วนหลิงเทียนเองหรือนี่!?”


 


“ด้วยวิธีนี้…หมายความว่าที่แท้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนมิเคยย่างเท้าออกไปจากนครแห่งบาปเลยหรือไร! เพียงเปลี่ยนตัวตน ทั้งปลอมแปลงรูปร่างแค่เล็กน้อย ก็ตบตาทุกคนได้อย่างที่ไม่มีใครคิดฝัน!!”


 


“คาดมิถึงจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจักเป็นชายชุดดำที่เคยช่วยชีวิตหลานชายของภรรยาพี่ชายน้าสาวปู่ข้าเอาไว้…โลกนี้ช่างแคบนัก! น้องสาวมันเถอะ ช่างมหัศจรรย์ยิ่ง!!”


 



 


ไม่ว่าจะผู้ฝึกตนอิสระที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนบางประการ หรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร จังหวะนี้อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมา


 


มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สงสัยฐานะชายชุดดำของต้วนหลิงเทียน


 


เพราะหากต้วนหลิงเทียนใช้ฐานะชายชุดดำเข้าไปในระนาบเทียมอันเป็นกับดักของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะจริง ก็ยากที่จะมีใครจดจำต้วนหลิงเทียนได้


 


และเท่าที่พวกมันรู้ชายชุดดำนั้นเข้าไปใน ‘กับดัก’ นั่นจริง และไม่ได้ถูกกำจัดออกมาในรอบแรก! วันนั้นทั้งหลายยังฮือฮาถึงเรื่องนี้อยู่เลยด้วยซ้ำ!!


 


“ต้วนหลิงเทียน ในเมื่อเจ้าเป็นชายชุดดำและมิได้ตกตายในกับดักนั่น…แล้วไฉนเจ้ามิรีบออกกมาบอกเรื่องราวที่เผ่าพันธุ์ปีศาจบุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างแต่แรก? ใยต้องรอจนถึงวันนี้ด้วย?”


 


“ใช่ ไฉนเจ้ารู้แล้วไม่รีบมาบอก…หากเจ้าบอกพวกเราแต่แรก พวกเรามิใช่ว่าจะได้ระวังป้องกันแต่แรกแล้วหรือ?”


 


“ต้วนหลิงเทียนเจ้าอธิบายมาว่าไฉนต้องรอคอยจนถึงวันนี้ด้วย?”


 



 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะมาจี้ประเด็นเรื่องนี้กับต้วนหลิงเทียนแทน ราวกับว่าหากเผ่าพันธุ์ปีศาจมันบุกขึ้นมาแล้วมนุษย์เตรียมตัวรับมือไม่ทันจริงๆ ทั้งหมดจะยกให้ต้วนหลิงเทียนเป็นคนบาปเพราะอมพะนำเรื่องนี้เอาไว้! เรียกว่าโทษคนอื่นเก่งนัก!!


 


“ฮึ่ม!!”


 


ต้วนหลิงเทียนพลันแค่นคำออกมาเสียงเย็น “แล้วพวกเจ้ามั่นใจได้อย่างไร ว่าไม่ใช่เพราะข้าพึ่งออกมาได้วันนี้!?”


 


“อะไร? พึ่งออกมาได้วันนี้!?”


 


ได้ยินคำนี้ของต้วนหลิงเทียน หลายคนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง


 


“เป็นไปไม่ได้! ผู้อาวุโสสูงสุดได้ออกมาประกาศตั้งแต่เมื่อปีก่อนแล้วว่าได้ชิงยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 จากเจ้าไป…เช่นนั้นเจ้าก็ไม่อาจอยู่ในนั้นและพึ่งออกมาได้!”


 


ผู้ฝึกตนอิสระบางคนที่ฉุกคิดถึงเรื่องนี้รีบตะโกนแย้งออกไปก่อนใครทันที


ตอนที่ 2,166 : จ้าวราชสีห์ขนทองมาถึงแล้ว!


 


 


 


“เมื่อปีที่แล้วชิงยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นไปจากข้างั้นเหรอ?”


 


เมื่อเห็นเหล่าผู้ฝึกตนอิสระมองจี้มาด้วยสายตาจับผิด ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น “แล้วทำไมกระทั่งตัวข้าเองแท้ๆ ยังไม่เห็นจะรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยเล่า!?”


 


“นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าข้าได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วรึไง? ว่าเรื่องราวที่ข้าจะประกาศออกมาให้พวกเจ้าฟังวันนี้ หากมีคำโกหกแม้แต่ครึ่งคำก็ให้ฟ้าพิฆาตร่างข้าตายตก! แล้วตอนนี้พวกเจ้ามีใครคนไหนเห็นข้าถูกฟ้าผ่าบ้างหรือไม่?”


 


กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าด้วยความละเหี่ยใจ ยังคิดว่าเหล่าผู้ฝึกตนพวกนี้ช่างโง่งมทั้งเลอะเลือนเกินไปแล้ว…


 


พวกมันไปฟังคำพูดของใครที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ไม่ฟังคนสาบาน?


 


ยังเหลวไหลได้อีก!


 


แน่นอนว่าสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว เข้าไม่ค่อยเข้าใจความสำคัญและความยิ่งใหญ่ของตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนในใจของผู้ฝึกตนในภูมิภาคเบื้องบนสักเท่าไหร่ หาไม่แล้วเขาคงไม่คิดแบบนี้


 


ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนในสายตาของผู้ฝึกตนในภูมิภาคเบื้องบนนั้น เป็นตัวตนที่เปรียบได้ดั่งเทพเจ้า!


 


พวกมันทั้งหลายมองว่า ตัวตนเช่นนั้นมีหรือเพื่อที่จะฮุบยอดศาสตราเซียนสองชิ้นไว้เป็นของตัวเอง ถึงกับเลือกจะเล่นละครฉากใหญ่ประกาศหลอกลวงคนทั้งแดนดิน?


 


ถึงแม้ว่าตอนที่อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬประกาศเรื่องนี้ออกมา จะมีหลายคนสงสัยอยู่บ้างก็ตามที


 


อย่างไรก็ตามลึกลงไปในใจของคนที่สงสัยเหล่านี้ ก็ยังคงเชื่ออยู่บ้าง และพอจ้าวราชสีห์ขนทองปรับลดของรางวัลนำจับต้วนหลิงเทียนลง ความสงสัยในใจสุดท้ายของพวกมันก็หายไปทันที


 


เมื่อเสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนดังขึ้น เหล่าผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายก็เงียบกริบไปเป็นแถบ แต่ละคนถึงกับไร้คำจะกล่าว!


 


ครู่ต่อมาเหล่าผู้ฝึกตนอิสระหลายคนก็มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลุกวาว เรียกว่าแทบจะลุกไหม้เป็นกองไฟอยู่รอมร่อ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นคาดหวัง “เช่นนั้นหมายความว่า…ยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นนั่น ยังอยู่ที่ตัวเจ้าอย่างงั้นหรือ!?”


 


ต้วนหลิงเทียนเองกก็สัมผัสได้ว่าสายตาของผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายที่มองมาเริ่มเต็มไปด้วยความโลภ


 


อีกทั้งเขายังรู้ดีแก่ใจ


 


ว่าหากไม่ใช่เพราะมีบทเรียนที่เขาจัดการกงเจิ้นก่อนหน้านี้ น่ากลัวว่าคงมีผู้ฝึกตนอิสระหลายคนอดใจไม่ไหว ต้องลงมือหมายช่วงชิงยอดศาสตราเซียนที่พวกมันคิดว่าเขามีไปแล้วแน่นอน!!


 


“ไม่”


 


ต้วนหลิงเทียนพลันส่ายหัวพลางกล่าวปฏิเสธออกมา หลังเผชิญกับคำจี้ถามของผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลาย


 


“ไม่รึ?”


 


ผู้ฝึกตนอิสระพากันตกใจไม่น้อย “อ้าว? มิใช่เจ้ากล่าวว่าตัวเจ้าติดอยู่ในระนาบเทียมที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่นสร้างไว้ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาหรือไร? ด้วยวิธีนี้หมายความว่าอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬก็มิได้ชิงยอดศาสตราของเจ้าไปจริงๆ…”


 


“เป็นเจ้ากล่าวถึงเรื่องนี้ออกมาเองแท้ๆ แต่ไฉนมาตอนนี้เจ้ากลับบอกว่ายอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ไม่ได้อยู่กับเจ้าเล่า?”


 


ผู้ฝึกตนอิสระที่กล่าวถามแลดูงุนงงไม่น้อย


 


กระทั่งผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่รอบๆก็สงสัยและไม่เข้าใจเช่นกัน


 


“ข้าบอกว่าไม่ นั่นหมายถึงที่ตัวข้าไม่ได้มียอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้น…ที่ตัวข้ามียอดศาสตราเซียนเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือตราผนึกมาร! สำหรับยอดศาสตราเซียนอย่างกระบี่ไร้ลักษณ์ที่พวกเจ้าว่า ข้าไม่แม้แต่จะเคยเห็นมันมาก่อนด้วยซ้ำ!”


 


“และตราผนึกมารนี้เดิมทีก็เป็นของข้าแต่แรก กล่าวไปข้าก็แค่ชิงมันกลับมาหลังฆ่าเซี่ยจงลูกชายของจ้าวราชสีห์ขนทองนั่นเท่านั้น…สำหรับเรื่องที่ข้ามีกระบี่ไร้ลักษณ์อะไรนั่น ทั้งหมดเป็นจ้าวราชสีห์ขนทองมัน ‘ป้ายสี’ ข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย


 


แต่เนื่องจากข้อจำกัดจากคำสาบานก่อนหน้า ทำให้ผู้ฝึกตนทั้งหมดรู้ดีว่าวาจาที่กล่าวออกอย่างไร้แยแสนี้ของต้วนหลิงเทียน ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด!


 


“จะว่าไป…ข้าจำได้ว่าเมื่อ 3 ปีก่อน จ้าวราชสีห์ทองคำเซี่ยคังฉวินคล้ายจะบอกเพียงว่า…กระบี่ในมือของต้วนหลิงเทียนอาจจะเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์ แต่มิเคยกล่าวยืนยันออกมาว่าเป็นเช่นนั้นเต็มสิบส่วน!”


 


ตอนนี้เอง พลันมีผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งกล่าวถึงเรื่องที่จดจำได้ออกมา


 


“จริงสิ…ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆด้วย!”


 


ผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายเริ่มพยักหน้า


 


“เช่นนั้น…หรือว่ากระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนมี จะเป็นกระบี่ 9 สวรรค์!?”


 


ผู้ฝึกตนอิสระบางคนฉุกคิดอะไรได้ กล่าวโพล่งออกมาพลางมองจี้ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาคมกล้าไม่วาง ราวกับเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นสมบัติล้ำค่า


 


“โทษที แต่ข้าไม่ได้มียอดศาสตราเซียนอย่างกระบี่ 9 สวรรค์อะไรนั่นเช่นกัน”


 


อย่างไรก็ตามวาจาประโยคต่อมาของต้วนหลิงเทียน ก็ทำลายความหวังของพวกมันอย่างไร้ปราณี!


 


และทันใดนั้นเอง


 


“ต้วนหลิงเทียน!!”


 


เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดหนึ่งราวกับเสียงราชสีห์คำรามพลันระเบิดดังมาแต่ไกล!!


 


และสิ้นเสียงคำรามนั่น ก็มีรางหนึ่งวูบมาปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคนอย่างสุดที่จะมีผู้ใดทันได้ตั้งตัว! ราวกับคนทั้งคนผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่า!!


 


เรื่องนี้เผยให้ทั้งหมดทั้งมวลทราบได้กระจ่าง…


 


ว่าความเร็วของผู้มาใหม่นั้น เป็นอะไรที่เหนือล้ำสุดที่พวกมันทั้งหลายจะเทียบเทียมได้!


 


เป็นชายชราร่างใหญ่ มองกะความสูงจากสายตาไม่น่าจะต่ำกว่า 2 หมี่ และไม่เพียงแต่ร่างมันจะสูงเท่านั้น เนื้อตัวยังบึกบึนแลดูกำยำแข็งแกร่ง! มองไกลๆแทบไม่ต่างอันใดจากสัตว์ร้ายที่มีรูปร่างคล้ายผู้คน!!


 


ผู้ชราที่มาถึงนั้น เส้นผมขนคิ้วรวมถึงเคราของมันเป็นสีทองอ่อน ศีรษะของมันยังใหญ่โตมหึมา กอปรด้วยมีเคราคล้ายแผงคอนั่น ทำให้แลคล้ายหัวสิงโตไปกันใหญ่!


 


นอกจากนี้ใต้คิ้วคู่ดุดัน ดวงตาของมันที่แม้ไม่ได้มีโทสะหากทว่าแลดูดุดันน่าเกรงขามนั่น หากมองผ่านๆพาลให้นึกถึงคิงคองขึ้นมาตงิดๆ!


 


และพรอมๆกันกับที่ชายชราร่างสูงใหญ่แลดูดุร้ายน่าเกรงขามผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงพลังกดดันขุมหนึ่งที่บีบคั้นกำจายอยู่ในบรรยากาศ! ยังมีอานุภาพราวกับจะทำให้มวลอากาศรอบกายของมันแข็งตัวนิ่งค้าง!


 


“จ้าวราชสีห์ขนทอง! เป็นจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ!!”


 


ทันทีที่ชายชราร่างใหญ่ผู้นี้ปรากฏกายขึ้นมา เหล่าผู้ฝึกตนอิสระหลายคนก็จดจำมันได้ตั้งแต่แรกเห็น!


 


“ข้าคาดไม่ถึงจริงๆว่าจ้าวราชสีห์ขนทองจะมาถึงที่นี่รวดเร็วเพียงนี้! ดูเหมือนสายข่าวของมันจะร้ายกาจไม่เบา…นอกจากนี้ยังเผยให้รู้ว่าลัทธิอารามทมิฬเองก็มีหูตาสอดส่องนครแห่งบาปของพวกเราตลอดเวลา”


 


“มันสมควรรีบมาทันทีที่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นในนครแห่งบาป เพราะนี่นับเป็นโอกาสอันประเสริฐที่สุดในรอบ 3 ปี ไม่ว่าเป็นธุระอันใดมันก็สมควรโยนทิ้งไว้ด้านหลัง! หาไม่แล้วคงพลาดโอกาสล้างแค้นให้ลูกชายของมันแน่!!”


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ เกรงว่าวันนี้คงถึงคราวเคราะห์แล้วล่ะ…”


 


… …


 


เหล่าผู้ฝึกตนอิสระเริ่มสนทนากันเซ็งแซ่ ตอนนี้หลายคนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสงสาร


 


ราวกับพวกมันตัดสินกันไปแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนต้องตกตายอย่างไร้หนทางต่อต้านภายใต้เงื้อมมือของจ้าวราชสีห์ขนทองแน่นอน…


 


และตอนนี้พวกมันทั้งหมดคล้ายจะลืมเลือนไปเสียสิ้น…


 


ว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งออกมาจากระนาบเทียม ที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะร่วมกันสร้างขึ้น…


 


และการที่จะกลับมายังภูมิภาคเบื้องบนจากภายในระนาบเทียมนั่นได้ อย่างน้อยๆก็ต้องมีพลังอำนาจมากพอจะฉีกเปิดกำแพงมิติ!


 


และกำแพงมิติที่ว่า โดยทั่วไปแล้วก็ต้องมีพลังอำนาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเสียก่อน ถึงจะสามารถฉีกเปิดช่องว่างให้ผู้คนผ่านเข้าออกได้!!


 


“ต้วนหลิงเทียน ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะกล้าปรากฏตัวออกมาในลักษณะนี้…”


 


ชายชราที่ศีรษะใหญ่โตทั้งมีเคราดั่งแผงคอ มองสบตาต้วนหลิงเทียนพลางเปิดประเด็นสนทนา “แต่ไม่ว่าเจ้าจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ด้วยเหตุผลอันใด…เจ้าต้องตาย!!”


 


ต้วนหลิงเทียนตอนนี้ไม่ได้ปลอมแปลงรูปโฉมอะไร เช่นนั้นจ้าวราชสีห์ขนทองจึงจดจำเขาได้ในพริบตา


 


หลังจากที่ยืนยันได้แล้วว่าเป็นเขา พลังเซียนต้นกำเนิดทั่วร่างของจ้าวราชสีห์ขนทองก็โคจรแล่นพล่าน ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนออกมาสะท้านกดดันในบรรยากาศ! พาลให้ผู้ฝึกตนอิสระที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยถึงกับต้องเร่งรุดล่าถอยกันจ้าละหวั่น เพราะแรงกดดันจากกลิ่นอายพลังระดับนี้ สุดที่พวกมันจะทานทนรับไหว!!


 


“เจ้าน่ะเหรอ จ้าวราชสีห์ขนทอง…เซี่ยคังฉวิน?”


 


ในขณะที่จ้าวราชสีห์ขนทองมองสำรวจต้วนหลิงเทียน ด้านต้วนหลิงเทียนก็มองพินิจจ้าวราชสีห์ขนทองกลับเช่นกัน เพราะวันนี้นับเป็นครั้งแรกจริงๆที่เขาได้เห็นหน้าค่าตาของ 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬคนนี้!


 


ในอดีตเขาเองก็เคยเห็น 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬอย่างจ้าวค้างคาวปีกเขียวมาก่อน…


 


ทว่าจ้าวค้างคาวปีกเขียวผู้นั้น ได้ตกตายอยู่ในระนาบเทียมที่เหลือทิ้งไว้โดย 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะเรียบร้อย…


 


“ฮู่มมม!!”


 


อย่างไรก็ตามจ้าวราชสีห์ขนทองกลับไม่ต้อบคำถามของต้วนหลิงเทียน มันกลับคำรามออกมาเสียงต่ำอย่างดุร้ายแทน!


 


ฟังจากเสียงคำรามนี่ เผยให้รู้ว่ามันมีโทสะมากมายเพียงไร!!


 


พริบตาต่อมา ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองของทุกคน พลังเซียนต้นกำเนิดของจ้าวราชสีห์ขนทองก็ปะทุระเบิดออกมาดั่งเพลิงไฟ บังเกิดเป็นแสงพลังส่องสว่างเจิดจ้าแสบตา ยังผลให้จ้าวราชสีห์ขนทองตอนนี้คล้ายเป็นตะวันดวงย่อมๆ!!


 


“จ้าวราชสีห์ขนทองคิดลงมือแล้ว!!”


 


เห็นฉากเรื่องราวดังกล่าวใจของผู้ชมทุกคนก็เต้นไปไม่เป็นจังหวะทันที!


 


ซุ่มมม!!


 


ปรากฏเสียงดังสนั่นหนึ่งลั่นขึ้น ร่างมหึมาของจ้าวราชสีห์ขนทองโจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด จนมวลอากาศแตกระเบิดดังสนั่น! เป็นความเร็วอันสูงล้ำนัก!!


 


“หะ…หายไปแล้ว!?”


 


ในสายตาของผู้ฝึกตนอิสระหลายต่อหลายคน ร่างจ้าวราชสีห์ขนทองอยู่ๆก็อันตรธานหายไปในอากาศว่างเปล่า!!


 


แน่นอนว่าในความเป็นจริงจ้าวราชสีห์ขนทองไม่ได้หายไปที่ใด แต่เป็นเพราะความเร็วในการโจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนของมัน เป็นความเร็วสุดที่สายตาของผู้ฝึกตนอิสระอันมีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยเหล่านี้จะจับจ้องมองตามได้ทัน!!


 


สำหรับในสายตาของผู้ฝึกตนอิสระที่มีพลังฝึกปรือสูงขึ้นมาหน่อย ร่างจ้าวราชสีห์ขนทองเพียงพร่าเลือนวูบไปดั่งภูตพรายเท่านั้น!


 


อนิจจาแม้พวกมันจะถ่างตามองเต็มที่ หากแต่ก็เห็นเพียงภาพติดตาที่ตกค้างอยู่ด้านหลังเท่านั้น!


 


“ระ…เร็วยิ่ง! นี่น่ะหรือ 1 ใน 4 มหาธรรมราชาแห่งลัทธิอารามทมิฬ จ้าวราชสีห์ขนทองผู้รั้งอยู่ในอันดับที่ 18 ของรายนามยอดเซียน! ช่างร้ายกาจสมคำร่ำลือนัก!!”


 


เซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทองผู้นี้ กระทั่งต่อให้มองไปทั่วทั้งแดนดินถิ่นเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันก็ถือเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้า


 


ทว่าวันนี้มันกลับลงมือกับศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟ ต้วนหลิงเทียน!


 


การกระทำดังกล่าว หากจะพูดว่า ผู้ใหญ่รังแกเด็ก ก็ไม่เกินเลย!


 


และเหล่าผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลาย เมื่อเห็นจ้าวราชสีห์ขนทองมาถึงก็ลงมือดุดันเช่นนี้ พวกมันก็ได้แต่อุทานออกมาด้วยความเวทนา…


 


เพราะต้องมาเผชิญหน้ากับจ้าวราชสีห์ขนทองที่เกรี้ยวกราดแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้วนหลิงเทียนต้องตายแน่!!


 


ทว่าความจริงจะเป็นแบบนั้นหรือไม่?


 


“เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนงั้นเหรอ…พลังฝึกปรือไม่เบาเลยนี่!”


 


ในสายตาของผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลาย ทันทีที่จ้าวราชสีห์ขนทองลงมือ ไม่ว่าร่างของมันอยู่ๆก็อันตรธานหายไปก้ดี หรือบางคนสามารถเห็นได้แค่ภาพติดตาก้ดี…ทว่าในสายตาต้วนหลิงเทียนนั้น ความเร็วเพียงเท่านี้ไม่ได้นับเป็นอะไร! เขาเห็นทุกอริยาบทของมันชัดตา กล่าวได้ว่าความเคลื่อนไหวของมันเขามองเห็นชัดกระจ่างนัก!!


 


“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”


 


ก่อนที่จ้าวราชสีห์ขนทองจะโจนทะยานเข้ามา พลังเซียนสุริยันของต้วนหลิงเทียนก็ถูกโคจรไว้พร้อมพรั่งเตรียมปะทุระเบิดได้ทุกเมื่อ!


 


และวินาทีเดียวกันกับที่ร่างจ้าวราชสีห์ขนทองระเบิดพลังกล้าแข็งโจนทะยานเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด ปฐมเวทย์กลืนกินพลันสำแดงเดชต่อหน้าผู้คนอีกครา!!


 


ทันใดนั้นเอง ‘วังวนพลัง’ พลันปรากฏขึ้นรอบกายต้วนหลิงเทียน และยังเป็นวังวนพลังดูดรั้งอันน่าสะพรึงกลัว ราวกับจะสูบกลืนได้ทั้งแผ่นฟ้า!!


 


พริบตาที่วังวนพลังดูดรั้งอุบัติขึ้นรอบกายต้วนหลิงเทียน พลังวิญญาณฟ้าดินในอาณาบริเวณโดยรอบก็ถูกสูบเข้าร่างต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ!


 


และเวลาเพียงชั่วพริบตา พลังเซียนสุริยันในร่างต้วนหลิงเทียนก็ถูกเพิ่มพูนไปจนถึงจุดสูงสุดเท่าที่จะเพิมพูนได้!!


 


พลังอำนาจของพลังเซียนสุริยันที่เดือดพล่านทั่วกายของเขายามนี้สูงล้ำเหนือกว่าพลังเซียนต้นกำเนิดของขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน และแทบจะทรงพลังทัดเทียมกับพลังเซียนต้นกำเนิดของเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอยู่รอมร่อ!


 


ฟู่มมม!!


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกิน เซี่ยคังฉวินที่โจนทะยานมาถึงครึ่งทางแล้วก็ใช้เวทย์พลังหนุนเสริมของมันด้วยเช่นกัน


 


ทันใดนั้นพลังเซียนต้นกำเนิดทั่วร่างของมันก็ยกระดับสูงขึ้นในพริบตาเช่นกัน!


 


ยังเพิ่มพูนสูงขึ้น จนพลังเซียนต้นกำเนิดของมันแข็งแกร่งเกือบเทียบได้กับพลังเซียนต้นกำเนิดของเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!!


 


ในแง่ความแข็งแกร่งของพลังแล้ว มันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย!!


 


“ช่างสมแล้วที่เป็นถึง จ้าวราชสีห์ทองคำ 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ…เวทย์พลังสนับสนุนนับว่าไม่ใช่ชั่วจริงๆ…อย่างไรก็ตามหากเจ้ามีพลังสามารถแค่นี้ เรื่องที่คิดจะล้างแค้นให้ลูกชายเกรงว่าเจ้าคงทำได้แค่ฝัน!”


 


ฟังจากน้ำเสียงของต้วนหลิงเทียนแล้ว ช่างเฉยเมยไร้แยแสนัก คล้ายไม่ยี่หระอันใดกับจ้าวราชสีห์ขนทองที่วูบร่างมาฉับไวปานภูตพรายแม้แต่น้อย


 


และวาจานั่น พอฟังให้ดีก็พบว่าเขาไม่ได้เห็นจ้าวราชสีห์ขนทองอยู่ในสายตาเลย!


ตอนที่ 2,167 : ความตายของจ้าวราชสีห์ขนทอง!


 


“วาจาที่เขื่องโขโอหังนัก!!”


 


ในขณะที่ร่างวูบไปปานอัสนีวาบ เซี่ยคังฉวินที่โจนทะยานร่างมาถึงครึ่งทางพอได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะแค่นคำด้วยความผยองทั้งหัวเราะลั่น!


 


ราวกับมันพึ่งได้ยินเรื่องตลกแห่งยุคก็ไม่ปาน!


 


มัน เซี่ยคังฉวิน คือจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ พลังฝึกปรือบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!


 


ให้มองทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามันยังเป็นตัวตนระดับแนวหน้า


 


เรื่องนี้ยังสามารถเห็นได้ชัดเจนจากอันดับในรายนามยอดเซียนของมัน!


 


มันเซี่ยคังฉวินผู้นี้ คืออันดับที่ 18 ในทำเนียบสุดยอดฝีมืออย่างรายนามยอดเซียน!!


 


ต้องทราบด้วยว่าในรายนามยอดเซียนไม่ทราบมีกี่คนที่อยู่ในด่านพลังเดียวกับมัน หากแต่ไม่อาจช่วงชิงตำแหน่งนี้ของมันมาได้!


 


ทว่าวันนี้เด็กน้อยขนอุยผู้หนึ่ง กลับกล่าววาจาปรามาสมัน!


 


จะไม่ให้มันมีน้ำโหได้อย่างไร!?


 


“เขื่องโขโอหัง?”


 


หลังได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจากเซี่ยคังฉวิน ต้วนหลิงเทียนยิ้มหยันบางๆ พลางกล่าวเสียงเย็นไร้แยแส “โอหังหรือไม่เดี๋ยวเจ้าก็รู้!”


 


“เช่นนั้นก็ให้ข้าชมดูเถอะ!!”


 


เซี่ยคังฉวินคำรามออกมาอีกครา ทั่วร่างปะทุพลังอันเกรี้ยวกราด มือเท้าสลับฉับไววุ่นวาย วรยุทธ์เซียนที่ฝึกปรือทั้งเวทย์พลังที่เชี่ยวชาญสำแดงออกเต็มพลัง คนคล้ายจุดระเบิด! ร่างที่กระโจนเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนปะทุความเร็วที่สูงขึ้นในชั่วพริบตา!!


 


ตอนนี้เซี่ยคังฉวินประหนึ่งสิงโตที่ทุ่มพลังทั้งหมดกระโจนออกไปตะครุบเหยื่อ!!


 


วูบ!


 


แทบจะพร้อมกันกับที่เซี่ยคังฉวินปะทุพลังวูบร่างมาปานจุดระเบิด กระบี่นิลสวรรค์พลันปรากฏขึ้นในมือต้วนหลิงเทียนอย่างเงียบงัน


 


และทันใดนั้นพลังเซียนสุริยันมหาศาลในกายก็ถ่ายทอดลงสู่ตัวกระบี่ฉับไว ตัวกระบี่พลันสำแดงพลังอำนาจออกมาให้โลกหล้าประจักษ์!


 


กลิ่นอายพลังงานอันน่าพรั่นพรึงเปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจทำลายล้างเริ่มกำจายออกไปโดยรอบ พาลให้ผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายอดไม่ได้ที่ร่างจะสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว!


 


“กระบี่นี้ เพราะเจ้าไม่ยอมสั่งสอนลูกชายตัวดีของเจ้าให้เป็นผู้คน!”


 


และเมื่อต้วนหลิงเทียนปริปากกล่าววาจาออกมาอีกครั้ง กระบี่นิลสวรรค์ก็คล้ายจะอันตรธานหายไปจากอากาศบางเบา คงเหลือแต่เพียงเสียงแหวกทะลวงอากาศด้วยความฉับไวสุดยอดเท่านั้น


 


ตัวกระบี่ยามนี้นอกจากบรรจุไว้ด้วยพลังเซียนสุริยันที่ถูกเร่งเร้าถึงขีดสุด ยังเต็มไปด้วยสำนึกกระบี่อันลี้ลับจากเคล็ดกระบี่อยู่ที่ใจอันเป็นขอบเขตที่ 3 ของยอดใจกระบี่อีกด้วย!


 


ยอดใจกระบี่สำแดงเดช ใช่อะไรที่ใครจะรับได้ง่ายๆหรือ?


 


ที่จริงต้องกล่าวถามว่าในที่นี้ยังมีผู้ใดรับได้!


 


ทุกเรื่องราวบังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเสี้ยวพริบตาเท่านั้น


 


ในสายตาของผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลาย กระบี่ที่แลดูธรรมดาๆ หากแต่อยู่ๆก็ปะทุพลังอันน่าพรั่นพรึงในมือของต้วนหลิงเทียน เสมือนอันตรธานหายไปในฉับพลัน คงเหลือแต่เพียงเสียงหวีดหวิวเบาๆยากได้ยิน


 


ทว่าในสายตาของเซี่ยคังฉวินนั้น มันรู้สึกเสมือนมีประกายแสงหนึ่งส่องผ่านมาที่มัน!!


 


‘ระ…เร็ว!’


 


นี่เป็นความคิดที่ผุดขึ้นจากจิตใต้สำนึกของมัน ก่อนที่มันจะทันได้รู้สึกตัว


 


และทันทีที่จิตใต้สำนึกบังเกิดความคิดนี้ขึ้นมา ความหวาดกลัวก็เริ่มกอบกุมจิตใจของมันทันที!


 


และวินาทีนั้นเอง อยู่ๆมันก็รู้สึกปวดแปลบที่ไหล หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง ฉับ เบาๆเข้าหู…


 


และเมื่อมันก้มลงไปมอง มันก็พบว่า…


 


แขนขวาของมันหายไปแล้ว!


 


ขาดด้วนเสมอไหล!!


 


วงเลือดเนื้อแดงฉานยังปรากฏโลหิตทะลักพุ่งออกมาเป็นสายไม่หยุด!!


 


“กระบี่นี้เพราะเจ้าป้ายสีข้าเรื่องยอดศาสตราเซียนสองชิ้น!”


 


เสียงต้วนหลิงเทียนดังขึ้นอีกครั้ง!


 


ฉับ!


 


และก่อนที่เซี่ยคังฉวินจะทันได้รู้สึกตัว มันก็พบว่าแขนซ้ายที่มันคิดจะยกขึ้นมากอบกกุมแขนขวาที่ขาดด้วนเสมอไหล่ บัดนี้ก็ได้ขาดด้วนเสมอไหล่ไปแล้วเช่นกัน!


 


แม้พลังฝีมือความแข็งแกร่งของเซี่ยคังฉวินจะไม่ธรรมดา แต่วินาทีนี้มันยังอดไม่ได้ที่จะกู่ร้องเสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวด!


 


ร่างที่โจนทะยานของมันสิ้นสูญสภาวะเกรี้ยวกราดลงอย่างมบูรณ์ พลังชั่วชีวิตที่เร่งเร้ามาแต่แรกถูใช้เพื่อรั้งร่าง ค่อยถีบเท้าสุดแรงเพื่อเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศไปหยุดลอยไกลห่างจากร่างต้วนหลิงเทียน! มองมาด้วยสายตาหวาดผวา…ตอนนี้กระทั่งจะคิดใช้พลังดูดรั้งแขนทั้ง 2 ข้างกลับมาต่อก็ไม่มีอยู่ในหัว!!


 


มันไม่แม้แต่จะฝันถึง…


 


ว่าต้วนหลิงเทียนที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของมันในอดีต วันนี้จะมีพลังอันน่ากลัวถึงขั้นลิขิตความเป็นความตายมันได้!


 


เพียงแค่ 2 กระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนสำแดงออกมาเมื่อครู่ ไม่ว่าจะกระบี่ใด…หากคิดฆ่ามันก็เป็นอะไรที่ง่ายดายนัก!


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนดูเหมือนจงใจจะหยอกล้อกลั่นแกล้งมัน…ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตของมัน! หาไม่แล้วมันคงตกตายไปตั้งแต่กระบี่แรก!!


 


เรื่องนี้มันย่อมรู้ดีแก่ใจ!


 


‘เป็นไปได้อย่างไรกัน! นี่มันพึ่งจะผ่านไปแค่ 3 ปีเท่านั้น ไฉนมันถึงได้ก้าวหน้าขึ้นมาจนร้ายกาจขนาดนี้ได้!? หรือมันไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อันใดมา?!’


 


เซี่ยคังฉวินรู้สึกเหลือเชื่อ ทั้งไม่อาจทำใจเชื่อได้ลงคอ


 


คนที่ไม่ต่างอะไรจากมดปลวกในสายตามันเมื่อวันวาน…วันนี้กลับมีพลังสามารถถึงขั้นฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย!


 


วินาทีมันกระทั่งคิดไปว่าใช่ตัวเองกำลังฝันอยู่หรือไม่…


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 


……


 


ขณะเดียวกันด้านผู้ฝึกตนอิสระโดยรอบ ตอนนี้ก็กลับมาแลเห็นเรื่องราวความเป็นไปอีกครั้ง สองตาทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะเบิกโพลง สูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ!


 


ก่อนหน้านี้ทุกสิ่งมันอุบัติขึ้นด้วยความรวดเร็ว ในสายตาของพวกมัน แต่ต้นจนจบไม่ต่างใดจากฟ้าแลบ ยากจะตอบสนองเรื่องราวอันใดได้ทัน!


 


จนกกระทั่งเซียคังฉวินที่หอบร่างไร้แขนทั้งสองข้างไปหยุดลอยห่างจากต้วนหลิงเทียน และมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวาดผวา พวกมันค่อยดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้สำเร็จ และตกใจกับการลงมือของต้วนหลิงเทียนนัก!!


 


“สะ…สวรรค์! ผะ…ผู้ใดบอกข้าได้บ้าง…ว่านี่ข้าใช่ฝันไปหรือไม่…นี่มันจะไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ!?”


 


ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งกล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย


 


“ข้าเองก็รู้สึกว่าเรื่องราวช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก…เซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทองแห่ลัทธิอารามทมิฬ ผู้มีพลังฝีมือรั้งอยู่ในอันดับที่ 18 ของรายนามยอดเซียน กลับถูกต้วนหลิงเทียนตัดแขนทั้ง 2 ข้างทิ้ง ก่อนที่มันจะทันได้ทำอะไรต้วนหลิงเทียน?”


 


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแตกตื่น หันไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สองตายังเบิกโพลงทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ถึงกับมองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างโง่งมอยู่นาน


 


“จะ…จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาแห่งลัทธิอารามทมิฬ ถูกทำร้ายจนพิการสองแขน!?”


 


“มารดามันเถอะ…ต่อให้เหลือเชื่อเพียงใด แต่เรื่องเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาข้าเช่นนี้…มารดามันต้องเชื่อแล้ว!!”


 


“เหอะๆ โลกนี้พิลึกยิ่ง เมื่อครู่จ้าวราชสีห์ขนทองยังปะทุพลังลงมือดุร้ายเกรี้ยวกราดปานจ้าวราชสีห์อยู่เลย แต่ผ่านไปไม่ทันถึงลมหายใจดี บัดนี้กลับต้องมาหงอยเหงาซึมเซาราวสุนัขชราป่วยใกล้ตาย…”


 


“ดูจากสีหน้าแล้วข้าว่ากระทั่งตัวจ้าวราชสีห์ขนทองเอง ก็ยังตกใจไม่หายด้วยซ้ำ…บางทีตอนนี้มันไม่พ้นกำลังสงสัยอยู่ว่าไฉนอดีตคนที่ไม่ต่างใดจากมดปลวก กลับบรรลุพลังฝีมือสูงส่งเหนือมันได้ในเวลาสั้นๆ…”


 


“จ้าวราชสีห์ขนทองกำลังสงสัย? ข้านี่ล่ะกำลังสงสัยจับใจ!!”


 



 


ความแข็งแกร่งที่ต้วนหลิงเทียนปะทุออกมาในห้วงเวลาสั้นๆดั่งฟ้าแลบ ไม่เพียงแต่จะทำให้จ้าวราชสีห์ขนทองทั้งประหลาดใจทั้งหวาดผวา กระทั่งเหล่าผู้ฝึกตนอิสระโดยรอบยังขวัญกระเจิงหมดสิ้น


 


ก่อนหน้าที่สองแขนของจ้าวราชสีห์ขนทองจะถูกสะบั้นขาดด้วนเสมอไหล่ แม้ทั้งหมดในที่นี้จะทราบว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนสมควรไม่เบา แต่ก็ไม่คิดเลยว่าที่แท้ยังสูงส่งเหนือล้ำกว่าจ้าวราชสีห์ขนทองไปไกลแบบนี้!


 


ตอนแรกพวกมันทั้งหลายยังเห็นพ้องต้องกันไปแล้วด้วยซ้ำ


 


ว่าวันนี้ต้วนหลิงเทียนไม่พ้นถูกจ้าวราชสีห์ขนทองทรมานจนตายแน่นอน!


 


ทว่าความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้า…เสมือนมือที่มองไม่เห็นมือหนึ่ง ฟาดตบลงบนหน้าพวกมันฉาดใหญ่!


 


ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะไม่ถูกเซี่ยคังฉวินทรมานจนตาย แต่เซี่ยคังฉวินที่คิดลงมือกับต้วนหลิงเทียน เพียงโจนทะยานเข้าไปไม่ทันไรก็ถูกตัดแขนทั้ง 2 ข้างทิ้ง กลับกลายเป็นคนพิการไปเสียแล้ว!


 


หลังจากที่ดึงสติกลับมาจากอาการตื่นตระหนกเสียขวัญได้สำเร็จ ในที่สุดเซี่ยคังฉวินก็ตระหนักได้แล้วว่าพลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ น่าสะพรึงกลัวเพียงใด และตัวมันไม่อาจเทียบชั้นอีกฝ่ายได้เลย!


 


‘หนี!’


 


นี่เป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในของมัน!


 


หนี! หนี! หนี!


 


……


 


และเมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา มันก็ไม่อาจทนไหวสืบไป


 


ซู่มมม!!


 


ทันใดนั้นร่างเซี่ยคังฉวินก็ปะทุพลังชั่วชีวิต พุ่งทะยานออกไปอีกรอบ หากทว่าคราวนี้ไม่ได้กระโจนเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน แต่เป็นทิศทางตรงกันข้ามกับที่ต้วนหลิงเทียนอยู่!!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 


……


 


เสียงสนั่นปานฟ้าลั่นดังขึ้นไม่หยุด เป็นพลังเซียนต้นกำเนิดอันมหาศาลของเซี่ยคังฉวินทำให้ความว่างเปล่าสะท้านสะเทือน จนอากาศถึงกับแตกระเบิดออกมาอย่างไม่อาจทานทน!


 


เรียกว่าตอนนี้เซี่ยคังฉวินได้ปะทุพลังชั่วชีวิต ระเบิดความเร็วสูงสุดออกมาแล้ว!


 


มันต้องหนี!!


 


ตอนนี้มันโยนเรื่องฆ่าคนล้างแค้นให้ลูกออกไปจากหัวจนหมดสิ้น มันหวังเพียงรอดชีวิตไปให้ได้แม้โอกาสจะริบหรี่ก็ตามที!


 


“กระบี่นี้…เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่า….วาจาของข้าก่อนหน้าไม่ใช่เขื่องโขโอหัง!”


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เซี่ยคังฉวินหันหลังปะทุพลังหลบหนี เสียงต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


เมื่อผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายโดยรอบได้ยินวาจาประโยคนี้ พวกมันรู้สึกเสมือนมีไอเย็นแล่นวาบสยิวกาย ขนแขนอดไม่ได้ที่จะลุกตั้งชูชัน!


 


ฟั่ฟฟฟ!!


 


เสียงกรีดทะลวงอากาศดังขึ้นสั้นๆอีกครา ยังดังขึ้นแทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ!


 


และเซี่ยคังฉวินที่ได้ยินเสียงกระบี่แหวกอากาศจากด้านหลัง ร่างก็สะท้านไปดั่งนกหวาดเกาทัณฑ์ ความเร็วของมันถึงกับตกลงครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะกุลีกุจอปะทุพลังชั่วชีวิตเร่งความเร็วอีกครั้ง


 


สึบ!


 


ทว่าก่อนที่ความเร็วในการวูบร่างของเซี่ยคังฉวินจะถูกเร่งเร้าอะไร เสียงทะลวงผ่านเลือดเนื้อพลันดังขึ้น…


 


ภายใต้สายตาของผู้ฝึกตนทุกคน ร่างเซี่ยคังฉวินที่อันตรธานหายไปหลังปะทุพลังหลบหนีพลันปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่เป็นร่างที่กำลังปลิวไปตามแรงเฉื่อยแถมมีสีแดงฉานทะลักออกจากท้ายทอยหว่างคิ้วมองไปให้ดีก็พบว่าที่แท้มันคือหลุมโลหิตหลุมหนึ่ง!


 


หลุมโลหิตนั่นช่างน่ากลัวนัก นอกจากโลหิตแล้วยังมีมันสมองสีขาวทะลักออกมา…พาลให้เหล่าผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายเงียบไปปานคนตาย


 


จนกระทั่งพวกมันได้เห็นต้วนหลิงเทียนสะบัดมือใช้พลังดูดรั้งแหวนพื้นที่จากแขนข้างหนึ่งของเซียคังฉวินที่ขาดกระเด็นร่วงไปก่อนหน้ามาเก็บไว้ ทั้งร่างของเซี่ยคังฉวินก็ร่วงตกกระแทกหลังคาอาคารหลังหนึ่งและแน่นิ่งไป พวกมันถึงจะรู้สึกตัว…


 


หลังรู้สึกตัวแล้วทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน ตอนนี้บรรยากาศช่างเงียบงันนัก ไร้แม้กระทั่งเสียงลมหายใจ…


 


ลึกลงไปในแววตาที่ทั้งหลายใช้มองต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะตื่นตระหนกเท่านั้น ยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวถึงที่สุด


 


2 กระบี่แรกทำร้ายเซี่ยคังฉวินจนพิการ ส่วนกระบี่ที่ 3 ดับชีวิตคนอย่างง่ายดาย…


 


จังหวะนี้ทุกผู้คนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาในใจอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย…


 


คนที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งฆ่าทิ้งไป ใช่เซี่ยคังฉวินจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ ยอดฝีมืออันดับที่ 18 ในรายนามยอดเซียนจริงๆหรือ?


 


ต้วนหลิงเทียนที่สังเกตเห็นสายตาของผู้ฝึกตนอิสระโดยรอบไม่ได้แยแสนำพาอะไร


 


ตอนนี้เขาพึ่งกลืนกินพรสวรค์รากวิญญาณของเวี่ยคังฉวินเสร็จสิ้น


 


แน่นอนว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาย่อมได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติม…อย่างไรก็ตามแม้พรสวรรค์รากวิญญาณของเซี่ยคังฉวินจะเป็นสีคราม แต่ก็เสมือนเติมหนึ่งหยดน้ำลงถังเท่านั้น…


 


เพราะตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนก็คือ รากวิญญาณสีม่วง ซึ่งเป็นรากวิญญาณที่เหนือกว่าสีครามมาก!


 


‘ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่รากวิญญาณสีม่วงอ่อนของ้าจะกลายเป็นรากกวิญญาณสีม่วงปกติ…หากมันยกระดับพัฒนาไปสำเร็จ ความเร็วในการบ่มเพาะของข้าจะได้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นไปอีก!’


 


‘ถึงตอนนั้นด้วยมีความช่วยเหลือจากชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ พลังบ่มเพาะของข้าสมควรก้าวหน้าขึ้นด้วยความเร็วสูงล้ำ…ดั่งหนึ่งวันก้าวหน้าพันลี้!’


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกคึกคักขึ้นมาไม่น้อยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้


ตอนที่ 2,168 : ต้วนหลิงเทียน เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน?


 


“หากไม่เห็นกับตา เรื่องนี้ฆ่าข้าให้ตายข้าก็ไม่มีวันเชื่อ…ต้วนหลิงเทียนกลับสังหารเซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาแห่งลัทธิอารามทมิฬได้จริงๆ จากพลังสังหารที่เผยให้เห็นเมื่อครู่ ยังเหนือล้ำกว่าขอบเขตพลังเซียนสวรรค์ 7เปลี่ยนเสียอีก…”


 


หนึ่งในผู้ฝึกตนไร้สังกัดกล่าวออกด้วยน้ำเสียงอื้ออึงอยู่ในลำคอ


 


ทว่าเสียงอู้อี้คล้ายดังอยู่ในลำคอของมัน เมื่อดังขึ้นในขณะที่ฉากเรื่องราวเงียบไปปานคนตาย ก็นับว่าดังพอให้ผู้ฝึกตนโดยรอบนับสิบๆได้ยินชัดถนัดหู…ทั้งหลายพลันดึงสติกลับเข้าร่างด้วยใบหน้าตื่นตระหนก


 


“เห็นด้วยเลย…จ้าวราชสีห์ขนทอง กล่าวไปจัดเป็นเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนชนชั้นยอดฝีมือคนหนึ่งหาไม่แล้วคงไม่สามารถติดอยู่ในอันดับที่ 18 ของรายนามยอดเซียนได้…”


 


“เช่นนั้นต่อให้เป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนที่ร้ายกาจที่สุด ก็ไม่มีทางฆ่ามันได้โดยไม่ลงมืออย่างน้อยร้อยกระบวนท่า…ยังนับประสาอะไรกับฆ่ามันให้ตายได้ง่ายๆราวเด็ดพริก!”


 


“หากจะอิงตามที่พี่ชายท่านนี้ว่า…เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนก็แข็งแกร่งเทียบได้กับเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนเลยหรือ?”


 


“ต่อให้กระทั่งข้าเองยังไม่อยากจะเชื่อก็ตาม…แต่ข้าก็ทำได้แค่บอกเจ้าว่าใช่! เป็นเช่นนั้นจริงๆ!”


 


“ที่ข้าสงสัยคือ ทักษะกระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนใช้ที่แท้มันคืออันใดกันแน่ เป็นเวทย์พลัง,วรยุทธ์เซียน หรือเพลงกระบี่ที่มันคิดค้นขึ้นเองกันแน่ ไฉนถึงได้ร้ายกาจนัก! ยิ่งไปกว่านั้นหากข้าดูไม่ผิด…กระบี่เล่มนั้นของมันแม้รูปลักษณ์จะธรรมดา แต่พลังอานุภาพเกรงว่าไม่น่าจะด้อยกว่ากระบี่ไร้ลักษณ์หรือกระบี่ 9สวรรค์ที่เป็นยอดศาสตราเซียนเลย…”


 


“นั่นสิ”


 


……


 


หลังจากที่ผู้ฝึกตนทั้งหลายรู้สึกตัวกันเลย ทั้งหลายก็เริ่มถกเรื่องราวกันยกใหญ่


 


หัวข้อที่พวกมันถกกันก็วนเวียนอยู่รอบๆต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดา ฟังจากที่พวกมันกล่าวกันหนาหูแล้ว ตอนนี้ทั้งหมดตัดสินกันไปว่าต้วนหลิงเทียนมีพลังฝีมือทัดเทียมกับเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน


 


หาไม่แล้ว ไหนเลยเซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทอง 1ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬนั่น จะกลายเป็นตัวอ่อนแอขนาดนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนไปได้!?


 


นอกจากนี้พวกมันยังตระหนักได้อีกด้วยว่า กระบี่ที่อยู่ในมือต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ใช่ธรรมดาเลยจริงๆ ต่อให้ไม่ใช่ยอดศาสตราเซียน แต่ก็สมควรมีพลังอานุภาพทัดเทียมกับยอดศาสตราเซียน!


 


หากเป็นปกติ ตอนนี้ผู้คนทั้งหลายไม่พ้นต้องบังเกิดความโลภอยากครอบครองกระบี่เล่มนี้ของต้วนหลิงเทียนไปแล้ว


 


ทว่าตอนนี้ไม่มีผู้ฝึกตนอิสระคนไหน บังเกิดความคิดช่วงชิงสักคน


 


จังหวะนี้ยังจะนับประสาอะไรกับกระบี่ของต้วนหลิงเทียนเล่มนั้น พวกมันแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าในมือต้วนหลิงเทียนยังมีตราผนึกมารที่เป็นยอดศาสตราอีกชิ้น พวกมันยังไม่กล้าบังเกิดความคิดอุกอาจแย่งชิงอะไร


 


ล้อกันเล่นหรือ!


 


เห็นกันอยู่หลัดๆว่าพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนตอนนี้เทียบได้กับเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!


 


ตัวตนเช่นนี้อย่าว่าแต่ยอดศาสตราเซียนชิ้นสองชิ้น ให้มีติดตัวสัก 5-6 ชิ้น พวกมันยังไม่กล้าคิดละโมบแย่งชิง!


 


นั่นเพราะพวกมันรู้ดีว่าพวกมันไม่มีปัญญาแย่งชิงได้!


 


หากพวกมันก่อการใดๆอย่างโง่เขลา ไม่พ้นวันนี้ปีหน้าต้องเป็นวันครบรอบวันตายพวกมันแน่นอน!


 


แถมตอนนี้ยังมีหลายคนที่รู้สึกได้ว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน ไม่เพียงทัดเทียมกับเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยนเท่านั้น กระทั่งยังไม่ใช่เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนธรรมดาๆอีกด้วย!


 


“กระทั่งต่อให้เป็นพญามังกรเสื้อม่วง ผู้นำของ 4มหาธรรมราชา ข้ายังไม่คิดว่านางจะสามารถฆ่าเซี่ยคังฉวินได้ง่ายดายเช่นนี้…ข้าคิดว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนสมควรสูงส่งกว่าพญามังกรเสื้อม่วง!”


 


“ข้าก็คิดเหมือนกับเจ้า! ด้วยพลังที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งเผยให้พวกเราเห็นเมื่อครู่ สามารถติดอยู่ใน 10อันดับแรกของรายนามยอดเซียนได้แน่!!”


 


“ข้าไม่รู้จริงๆว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่าน ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ไปพบพานกับอะไรมากันแน่…ไฉนพลังฝีมือกลับกลายเป็นสูงล้ำขึ้นมาจนน่าหวาดกลัวได้ถึงระดับนี้กัน?”


 


“บางทีไม่เพียงแต่มันจะสามารถรอดชีวิตอยู่ในระนาบเทียมของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่นได้เท่านั้น! แต่ยังได้พบมรดกรวมถึงสมบัติและทรัพยากรที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่นเหลือทิ้งไว้ด้วย!!”


 


“อาจเป็นได้!!”


 


……


 


เสียงสนทนนาดังระงมไปทั่ว หัวข้อเรื่องราวแม้จะยังวนเวียนอยู่รอบๆตัวต้วนหลิงเทียน แต่ตอนนี้ที่ทุกคนต่างถกกันมากที่สุดเห็นจะเป็นที่มาพลังฝีมือของต้วนลิงเทียน


 


“เผ่าพันธุ์ปีศาจอาจบุกขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นขอให้ทุกคนระวังตัวด้วย”


 


ในขณะที่ผู้ฝึกตนอิสระยังคงถกเรื่องราวทั้งคาดเดากันไม่หยุด ต้วนหลิงเทียนก็กล่าววาจาทิ้งท้ายประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นก็วูบร่างจากไปดั่งสายลมกรรโชกหอบหนึ่ง…


 


เมื่อได้ยินวาจาทิ้งท้ายของต้วนหลิงเทียน และพบว่าต้วนหลิงเทียนเหินร่างจากไปแล้ว เหล่าผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายค่อยกลับมาครองสติอีกครั้ง


 


และในขณะเดียวกัน เรื่องราวทั้งหมดที่ต้วนหลิงเทียนประกาศออกมาโดยมีคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเป็นหลักประกัน ก็ได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งนครแห่งบาปในเวลาอันสั้น ก่อนที่จะเริ่มแพร่ออกไปในพื้นที่ใกล้เคียงนครแห่งบาปอย่างรวดเร็ว


 


นอกจากนั้น เรื่องที่เซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทอง 1ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬตกตายด้วยน้ำมือของต้วนหลิงเทียนก็แพร่กระจายออกไปเช่นกัน


 


“อะไรนะ!? ต้วนหลิงเทียนนั่น เป็นชายชุดดำ ที่เคยมีชื่อเสียงในนครแห่งบาปเมื่อ 3 ปีก่อนงั้นเหรอ!?”


 


“หืม? ต้วนหลิงเทียนเข้าไปในระนาบเทียมที่คาดว่าเป็นคลังสมบัติของ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่นด้วย…แถมยังเป็นผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ถูกฆ่าตายในนั้น?”


 


“ว่าอะไร? ต้วนหลิงเทียนที่ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งหลังผ่านไป 3 ปี ได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ เปิดเผยว่า 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่น…ที่แท้เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่จงใจสร้างกับดักไว้ฆ่ายอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์เรอะ?”


 


“มารดามัน! สถานที่ผีสางนั่นไม่ใช่คลังสมบัติจริงๆ แต่เป็นกับดักที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะสร้างไว้!เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนยังสาบานเป็นการรับรองความจริงแล้ว!?”


 


“แถมที่ระนาบเทียมแห่งนั้นเปิดออกสืบเนื่องมาจากค่ายกลที่พวกมันจัดตั้งไว้ในภูมิภาคเบื้องล่างเปิดการทำงาน…และค่ายกลนั่นมันจะเปิดทำงานก็ต่อเมื่อสัมผัสได้ถึงไอมารบริสุทธิ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศ?”


 


“ปีศาจจากแดนเนรเทศบุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของพวกเราแล้ว!?”


 


ข่าวลือทั้งหมดแพร่ไปทั่วภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าในเวลาอันสั้น และทำให้ผู้คนทั้งหมดถึงกับต้องตื่นตระหนกกันยกใหญ่


 


ไม่มีใครคิดใครฝันมาก่อนเลยว่าโศกนาฏกรรมเมื่อ 3 ปีก่อนกลับมีเบื้องหลังเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้…


 


ที่แท้ระนาบเทียมที่ทุกคนคิดว่าเป็นคลังสมบัติและอาจถูกทิ้งไว้ด้วย 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่น ไม่ใช่คลังสมบัติอะไร แต่เป็นกับดักจริงๆ! ยังเป็นกับดักที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะจงใจเหลือทิ้งไว้!!


 


และเหตุผลที่ทำให้ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซีนอมตะสร้างกับดักไว้ก็คือ…ต้องการฆ่ายอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นของขวัญต้อนรับชนรุ่นหลังของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ที่ได้รุกรานเข้ามายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกครั้ง!!


 


“ที่แท้ปีศาจบุกเข้ามาแล้วจริงๆ…”


 


“เรื่องที่เคยคาดกันไว้ในอดีต ในที่สุดก็สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้แล้ว…แต่กว่าจะยืนยันเรื่องนี้ได้ กลับทำให้ยอดฝีมือมนุษย์เราตกตายไปมากมายเหลือเกิน! วันหน้าหากพวกปีศาจมันบุกขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนจริง พวกเรายังจะเหลือกำลังต้านทานมันอีกหรือ?”


 


“3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่นช่างโหดเหี้ยมอำมหิตนัก ก่อนที่พวกมันจะขึ้นสวรรค์ ยังไม่ลืมลงมือทิ้งท้ายสร้างความฉิบหายให้พวกเราอย่างร้ายกาจ…”


 


“โชคดีนักที่พวกเรามีต้วนหลิงเทียน…หาไม่แล้วพวกเราคงไม่มีวันได้รู้เลยว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศได้บุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างตั้งแต่เมื่อ 3ปีก่อน…แถมพวกมันอาจจะยกทัพเข่นฆ่าสังหารขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนได้ทุกเมื่อ!!”


 


“พวกเราต้องรีบเตรียมตัวรับมือให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…ไม่งั้นหากพวกปีศาจเข่นฆ่าสังหารบุกขึ้นมาจริงๆแต่พวกเรายังไม่พร้อม คงได้ขำไม่ออกแน่!!”


 


……


 


วาจาทำนองเดียวกันนี้ตอนแรกก็เริ่มดังขึ้นในละแวกกนครแห่งบาป


 


แต่ไม่นานก็เริ่มดังขึ้นไปทั่ว


 


เมื่อพิจารณาจากความเร็วในการแพร่กระจายของเรื่องราวแล้ว เกรงว่าในเวลาไม่นานทั้งภูมิภาคเบื้องบนต้องพากันพูดถึงเรื่องนี้แน่นอน


 


นับว่าเป้าหมายของต้วนหลิงเทียนที่ตั้งใจไปแจ้งข่าวที่นครแห่งบาป มันประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัด


 


แน่นอนว่าในขณะที่ผู้คนทั่วภูมิภาคเบื้องบนได้รับทราบข้อเท็จจริงว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศได้บุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…


 


กระทั่งพวกมันอาจจะบุกขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนได้ทุกเมื่อ…


 


การกระทำอื่นๆที่เกิดขึ้นในวันนั้นของต้วนหลิงเทียนก็ได้แพร่กระจายออกมาเช่นกัน!


 


ที่แท้ย้อนกลับไปในตอนนั้นต้วนหลิงเทียนไม่ได้มียอดศาสตราเซียน 2 ชิ้น! จะมีก็แต่ตราผนึกมารที่เดิมทีเป็นของเขาอยู่แล้วเท่านั้น และเขาก็ได้รับมันกลับมาหลังฆ่า เซี่ยจง บุตรชายของ เซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทองแห่งลัทธิอารามทมิฬ!


 


“ฮึ่ม! ผู้อาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬ ผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ไม่คิดเลยว่าเพราะความโลภกลับลงมือโดยไม่สนวิธีการ กล้าประกาศความลวงต่อหน้าผู้คน…ที่มันลงทุนกระทำทั้งหมด ที่แท้ก็แค่เพราะมันไม่อยากให้พวกเราช่วงชิงยอดศาสตราเซียนจากกต้วนหลิงเทียน!?”


 


“ในสายตาข้า แต่ก่อนเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเปรียบได้กับเทพเจ้าอันสูงส่งอยู่เหนือโลกีย์วิสัย…ข้าจึงเชื่อทุกวาจาถ้อยคำที่มันกล่าวอย่างไม่คลางแคลงสงสัย! มาวันนี้ข้าถึงได้ตาสว่าง…ว่าที่แท้ล้วนเป็นวิญญูชนจอมปลอม! ทั้งหมดที่มันกล่าวล้วนเป็นวาจาผายลมทั้งสิ้น!”


 


“เพราะความโลภเป็นเหตุ ถึงกับทำให้ตัวตนเช่นนั้นก่อการต่ำช้าเยี่ยงตัวสับปลับ!”


 


……


 


หลังจากข่าวที่ต้วนหลิงเทียนยืนยันความจริงด้วยคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์แพร่ออกมา ก็เสมือนฉุดดึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่นั่งบนบัลลังก์อันสูงส่งน่าเคารพนับถือให้จมปลักโคลนทันที…


 


วินาทีนี้ เหล่าผู้ฝึกตนทั่วทั้งแดนดินจึงตระหนักได้ว่า


 


ต่อให้เป็น ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ที่เสมือนยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็ไม่ได้วิเศษวิโสเหนือกว่าพวกมันแต่อย่างไร ล้วนแล้วแต่ยังมีความโลภและความต่ำทรามเยี่ยงมนุษย์ปุถุชนทั้งสิ้น


 


และขณะเดียวกันข่าวอันน่าตื่นตระหนกเหมือนระเบิดลูกใหญ่ถล่มก็ยังแพร่ออกมาเขย่าขวัญผู้คนเช่นกัน


 


“อะไรนะ? หลังผ่านไปแค่ 3 ปี แต่พลังฝีมือต้วนหลิงเทียนกลับเทียบได้กับขอบเขตเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยนแล้ว…กระทั่งเซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาแห่งลัทธิอารามทมิฬผู้นั้น ยังไม่มีปัญญาจะตอบโต้?”


 


“สวรรค์! ข่าวนี้จริงหรือ!?”


 


“หากเป็นเรื่องจริง…ไม่ใช่ว่ามันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยหรือไง?”


 


“นั่นน่ะสิ เซี่ยคังฉวินผู้นั้นเป็นใคร…มันเป็นถึงจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชของลัทธิอารามทมิฬ พลังฝึกปรือบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7เปลี่ยนเชียวนะ! แถมยังติดอันดับที่ 18 ในรายนามยอดเซียนอีกด้วย…ตัวตนเช่นนี้แต่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนกลับไม่มีปัญญาแม้แต่จะตอบโต้? พวกเจ้าจะเชื่อก็เอาที่พวกเจ้าสะดวกเถอะ! แต่ข้าไม่มีวันเชื่อเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้หรอก”


 


“เหอะๆ ไม่ใช่ข้าบอกไปแล้วหรือไร…ว่าข่าวนี้เป็นญาติข้าที่ลัทธิอารามทมิฬเป็นคนแจ้งมาเอง! ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง!!”


 


“ใช่ ข้าก็ยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงเช่นกัน ข้าพึ่งกลับมาจากนครแห่งบาป ยังได้ยินผู้คนกล่าวถึงเรื่องนี้กันทั้งเมือง เพราะมีผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มากมายนัก…ต้วนหลิงเทียนมีพลังเทียบได้กับเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยนจริงๆ แถม 3 กระบี่ที่ใช้สังหารเซี่ยคังฉวินนั่น กระบี่แรกกับกระบี่ที่ 2 เป็นการลงมือหยอกล้อเพียงตัดแขนเซี่ยคังฉวินก่อนเท่านั้น พอเซี่ยคังฉวินได้แต่หลบหนีด้วยความหวาดกลัว ต้วนหลิงเทียนจึงใช้กระบี่ที่ 3 ปลิดชีพมัน…”


 


“เพ้ย! ฟังเจ้าพูดเข้า! หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง เช่นนั้นมิได้หมายความว่าหากต้วนหลิงเทียนคิดจะสังหารเซี่ยคังฉวินจริงๆ ก็อาศัยเพียง 1 กระบี่ก็อยู่แล้วหรือไร?”


 


“ก็สมควรอยู่จริงๆนั่นล่ะ…”


 


……


 


เกี่ยวกับพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนนั้น หากเป็นผู้ที่อยู่ในละแวกนครแห่งบาปล้วนเชื่อกันทั้งสิ้น


 


สถานที่ห่างออกไป มีบ้างที่เชื่อ


 


ส่วนที่ห่างออกมาหรือภาคอื่นนั้นแทบไม่มีใครเชื่อข่าวดังกล่าวเลย…


 


เพราะสุดท้ายแล้ว จ้าวราชสีห์ขนทอง เซี่ยคังฉวิน 1ใน 4 มหาธรรมราชาแห่งลัทธิอารามทมิฬผู้นี้ ก็เป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในภูมิภาคเบื้องบนมานานหลายร้อยปีแล้ว…


 


เรียกว่าตรงข้ามกับต้วนหลิงเทียนอย่างสิ้นเชิง แม้ด้วยฐานะ ‘ศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์แห่งลัทธิบูชาไฟ’ ของต้วนหลิงเทียนจะมีชื่อเสียงในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเช่นกัน แต่ก็เป็นแค่ชื่อเสียงในแง่พรสวรรค์ ไม่ใช่ในแง่พลังฝีมือและความแข็งแกร่ง…


ตอนที่ 2,169 : สะเทือนทั้งลัทธิบูชาไฟ!


 


 


ข่าวที่มีต้นกำเนิดจากนครแห่งบาป หลังใช้เวลาไม่นานไม่เพียงแต่ในภาคกลาง มันก็ได้แพร่มาถึงภูมิภาคตะวันตกด้วยเช่นกัน  และแม้แต่ลัทธิบูชาไฟ ที่ค่อนข้างอยู่ในพื้นที่สันโดษทางภูมิภาคตะวันตกยังได้รับทราบข่าวดังกล่าว


 


“ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวแล้วหรือ…ยังเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าผู้คนเลยด้วย!?”


 


“ศิษย์พี่รอดชีวิตมาจากกับดักที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะสร้างไว้ได้? กับดักที่คร่าชีวิตยอดฝีมือไปมากมายเมื่อ 3 ปีที่แล้วนั่นน่ะหรือ?”


 


“แถมทันทีที่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนรอดมาได้ ก็มาประกาศเรื่องราวใหญ่โตที่นครแห่งบาปโดยมีหลักประกันเป็นการสาบาต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า? ยืนยันแน่ชัดแล้ว…ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจบุกเข้ามาในภูมิภาคเราตั้งแต่ 3 ปีก่อน?”


 


“ให้ตายเถอะ! เผ่าพันธุ์ปีศาจบุกเข้ามาแล้วจริงๆ…ข้าเกรงว่าอีกไม่นานพวกมันได้ยกพลบุกขึ้นมาที่ภูมิภาคเบื้องบนของพวกเราแน่!!”


 



 


เหล่าผู้คนในลัทธิบูชาไฟพากันตกตะลึงเรื่องราวที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวว่า เผ่าพันธุ์ปีศาจได้บุกเข้ามาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อนอยู่บ้าง


 


ตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนใช้การสาบานเพื่อยืนยันความจริง การที่คนยังมีชีวิตอยู่ไม่ถูกฟ้าผ่าตายตก ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ดีที่สุดว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นความจริง!


 


แน่นอนสำหรับคนของลัทธิบูชาไฟ แม้จะได้รู้ว่าเรื่องปีศาจบุกเขามาเป็นเรื่องจริงๆ แต่พวกมันก็ไม่ได้หวาดกลัวมากมายสักเท่าไหร่


 


เพราะไม่ว่าจะยังไงพวกมันก็คือ 1 ใน 3 มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ ขุมกำลังของพวกมันดั่งอสูรกายตัวเขื่องที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


หากเผ่าพันธุ์ปีศาจบุกขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนจริงๆ พวกมันจะกลายเป็นหนึ่งในความหวังของมวลมนุษย์ชาติทันที


 


หากกระทั่งพวกมันที่เป็นคนของลัทธิบูชาไฟยังหวาดกลัวล่ะก็ น่ากลัวว่ามนุษย์ชาติคงสิ้นไร้หนทางแล้วจริงๆ…


 


“แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าเซียนสวรรรค์ 9 เปลี่ยนอย่างอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬนั่น จะกล้าหลอกลวงผู้คนจริงๆ…พวกมันกลัวคนอื่นชิงยอดศาสตราเซียนของต้วนหลิงเทียนมากจนถึงกับต้องปั้นเรื่องเหลวไหลไร้สาระอย่างยอดศาสตราเซียนของต้วนหลิงเทียนถูกพวกมันชิงไปแล้วจริงๆ…”


 


“เรื่องนี้ข้าไม่แปลกใจเท่าไหร่ ที่ข้าแปลกใจคือไฉนศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนกลับมียอดศาสตราเซียนแค่ชิ้นเดียวได้ ไม่ใช่ 2 ชิ้น? แถมตราผนึกมารนั่นเดิมทีก็เป็นของศิษย์พี่อยู่แล้ว นี่ก็เหมือนกลับมาสู่เจ้าของเก่าเท่านั้น…”


 



 


เรื่องราวทำนองนี้พูดกันไปทั่วลัทธิบูชาไฟ


 


หลังจากนั้นไม่นานข่าวเรื่องราวที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าเซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬก็แพร่มาตามติด และครานี้ทำให้คนของลัทธิบูชาไฟตกตะลึงกันยกใหญ่แล้วจริงๆ!


 


“กระบี่แรกของศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนสะบั้นแขนขวา กระบี่ที่ 2 สะบั้นแขนซ้าย ส่วนกระบี่ที่ 3 ก็ปลิดชีพเซี่ยคังฉวิน? อีกทั้งตั้งแต่ต้นจนจบเซี่ยคังฉวินไม่อาจตอบโต้ใดๆได้เลย?”


 


“นี่ใช่ล้อกันเล่นหรือไม่? แม้ข้าจะยอมรับว่าพรสวรรค์ของศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนสูงส่ง และหลังผ่านไป 3 ปีพลังฝีมือต้องก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย…แต่ถึงขนาดที่เซี่ยคังฉวินนั่นไม่อาจตอบโต้ได้เลยข้าว่ามันก็เกินไป! นั่นมันเซี่ยคังฉวินเชียวนะ มิใช่ไก่กาหมาแมวอะไร!!”


 


“นั่นสิเซี่ยคังฉวินนั่นมันไม่ใช่แค่บรรลุเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนมานาน แต่พลังฝีมือยังติดอยู่ในอันดับที่ 18 ของรายนามยอดเซียน! มองทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากระทั่งในบรรดาขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน มันยังมีพลังฝีมือเป็นอันดับต้นๆ…แต่ตัวตนเช่นนี้ไม่มีปัญญาตอบโต้ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนของพวกเราเรอะ?”


 


“ผู้คนยังกล่าวว่าพลังฝีมือของศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเราตอนนี้ เทียบได้กระทั่งเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนแล้วด้วย!”


 


“เหอะๆ นี่ก็เกินไป! ข้าเชื่อไม่ลงจริงๆ…”


 



 


เรื่องต้วนหลิงเทียนสังหารเซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทองได้ใน 3 กระบี่นั้น ถึงแม้ยามแพร่ไปในลัทธิบูชาไฟ จะทำให้ผู้คนแตกตื่นกันยกใหญ่ เรียกว่าสร้างความสะท้านสะเทือนไปทั้งลัทธิบูชาไฟเลยก็ตาม…


 


ทว่าแทบไม่มีใครเชื่อ ว่าต้วนหลิงเทียนจะมีพลังฝีมือร้ายกาจถึงขั้นนั้นจริงๆ


 


แม้แต่หลิวอวิ๋น และหลิวมู่ รวมถึงคนอื่นๆที่สนิทกับต้วนหลิงเทียนในอดีต ตอนที่ได้ยินข่าวเรื่องราวนี้ ก็ยังรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อและเกินความจริงไปมาก ไม่มีความน่าเชื่อถือแม้แต่นิดเดียว


 


จริงอยู่ที่พรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนนั้นดี


 


เมื่อ 3 ปีก่อนยังสามารถสังหารเซี่ยจง บุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทองแห่งลัทิอารามทมิฬมาได้…


 


ทว่าหากจะกล่าวว่า…หลังจากที่เวลาผ่านไปแค่ 3 ปี แต่พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนกลับก้าวหน้าขึ้นมาถึงขั้นเทียบได้กับเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน! พวกมันไม่อาจเชื่อได้จริงๆ!!


 


ตลกหรือไร!


 


หลังทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้แล้ว ยังมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าแต่ละเปลี่ยนนั้น กว่าจะบรรลุถึงได้มันลำบากยากเย็นขนาดไหน? แถมความเปลี่ยนแปลงหลังๆ ยังไม่ใช่แค่อาศัยระยะเวลาบ่มเพาะเข้าว่าถ่ายเดียว…


 


“นั่นสิต่อให้เป็นอัจฉริยะปีศาจไร้ผู้ต้าน ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วง ที่เคยปรากฏตัวขึ้นในประวัติศาสตร์ของลัทธิบูชาไฟเราสมัยก่อน ต่อให้มาบ่มเพาะในสถานที่อันมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แต่คิดจะทะลวงจากเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนไปยังเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน เกรงว่าต้องใช้เวลาอย่างต่ำหลายสิบปี!”


 


“ใช่! ในเวลาเพียงแค่ 3 ปี ต่อให้เป็นอัจฉริยะปีศาจไร้ผู้ต้านที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วง และบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้ว แต่ข้ากลัวว่ายังไม่มีทางบ่มเพาะให้บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรค์ 8 เปลี่ยนได้ด้วยซ้ำ! เป็นไปไม่ได้เลย!!”


 


“ถูกแล้ว เช่นนั้นข่าวลือที่แพร่ออกมาภายหลังสมควรเป็นข่าวปลอม ที่ผู้ฝึกตนอิสระเอาไว้ปั่นหัวพวกเราเล่นมากกว่า…”


 



 


ไม่มีใครเชื่อเลยว่าต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่าเซี่ยคังฉวินได้จริงๆ ทั้งหมดล้วนคิดว่านี่เป็นข่าวปลอมที่ผู้ฝึกตนอิสระจากนครแห่งบาป หาเรื่องใส่ไคล้หมายปั่นหัวผู้คนเล่นเท่านั้น


 


“ต้วนหลิงเทียน เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน ข่าวเช่นนี้…มันไม่กลัวทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะจนตายรึไร?”


 


เมื่อข่าวลือดังกล่าวแพร่มาถึงหอคุมกกของลัทธิบูชาไฟ อาวุโสเพลิงทองแดงของหอคุมกฏอย่าง ต่งหลิน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น


 


ขณะเดียวกันลูกตาของมันก็เริ่มฉายประกายเยียบเย็น “ต้วนหลิงเทียนในที่สุดเจ้าก็โผล่หัวออกมาเสียที…ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโชคดีสามารถเอาตัวรอดจากกับดักที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะสร้างเอาไว้ได้แบบนี้…”


 


“แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะมีชีวิตให้ยืนยาวสักหน่อย เจ้าหนีได้ก็หนีไป! แต่อย่าได้บังอาจเสนอหน้ากลับมายังลัทธิบูชาไฟอีกแล้วกัน…หาไม่แล้วพอถึงตอนนั้นต่อให้ข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่ข้าจะให้ท่านพ่อฆ่าเจ้าให้ตาย!!”


 


บิดาของต่งหลินนั้น ก็คือต่งหยวนจิ้น รองจ้าวหอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟ


 


ในขณะเดียวกกันกับที่ต่งหลินทราบข่าวเรื่องนี้ ทางด้านปู้หง กับหลู่เถี่ย ก็ได้รับทราบข่าวเรื่องราวเช่นกัน และทั้งคู่กก็ไม่ต่างอะไรจากคนอื่น ล้วนคิดว่าข่าวลือนี้ช่างไร้สาระเสียนี่กระไร…


 


“ต้วนหลิงเทียน เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน?”


 


พวกมันยังยึดถือว่านี่เป็นเรื่องตลกครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกมันเคยได้ยินมาตลอดชั่วชีวิต!


 


ณ สถานที่แห่งหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ


 


เหนือขึ้นไปจากเกาะหลัก เมื่อทะลวงม่านเมฆหมอกเบาบางที่อยู่บนฟ้าสูงไปแล้ว ก็จะพบกับหมู่เกาะลอยที่เรียงรายกันอยู่เป็นระดับ ทว่ามีหนึ่งเกาะที่ลอยเด่นสง่าสูงสุดบนฟ้าอยู่เพียงเกาะเดียว…ประหนึ่งจักรพรรดิที่ทอดตาลงมามองใต้หล้า


 


และนั่นก็คือเกาะส่วนตัวของถังซวน จ้าวลัทธิบูชาไฟ!


 


ฟุ่บบ!


 


ทันใดนั้นปรากฏสายลมแรงหอบหนึ่ง เป็นร่างแข็งแกร่งหนึ่งที่เหินขึ้นมาจากด้านล่างจนบรรลุถึงบริเวณใกล้เคียงเกาะสูงสุดแห่งนี้ด้วยความเร็วสูงล้ำ


 


“ผู้น้อยขอคารวะท่านจ้าวลัทธิ…”


 


ร่างที่ลอยล่องขึ้นมา ไม่กล้าล่วงล้ำเข้ามาในตัวเกาะ เพียงหยุดร่างค้างกลางหาวด้านนอก วาจาที่กล่าวออกยังสุภาพเรียบๆร้อยๆนัก


 


หากมีชนชั้นอาวุโสของลัทธิบูชาไฟมาอยู่ที่นี่สักคนต้องระบุตัวตนของมันได้ทันที


 


เพราะร่างที่พึ่งเหินมาถึงนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น 1 ใน 2 รองจ้าวลัทธิบูชาไฟ ตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตพลังเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน!


 


วูบ!


 


แทบจะพอดีกันกับที่วาจาของรองจ้าวลัทธิคนนี้ดังจบคำ ก็ปรากฏสายลมหอบหนึ่งพัดวาบมาจากด้านในตัวเกาะ ร่างสูงใหญ่หนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า ราวกับคนทั้งคนผุดขึ้นมาจากอากาศว่างเปล่า!


 


เป็นชายวัยกลางคนที่รูปร่างสูงใหญ่แลดูกำยำนัก มันมาในชุดคลุมสีขาวลายปักเปลวเพลิงสีแดงสด เพียงมองผิวเผินก็ไม่ต่างจากกชุดคลุมสำหรับชนชั้นอาวุโสของลัทธิบูชาไฟสักเท่าไหร่


 


แต่แน่นอนว่าเพียงแค่ละม้ายคล้ายเท่านั้น เพราะหากมองให้ดีจะพบว่าลายปักเปลวเพลิงสีแดงสดนั่น กลับมีรูปลักษณ์ละม้ายคล้ายมังกรเทพยดาอยู่หลายส่วน!


 


หากมองไกลๆ เสมือนมีมังกรเทพยดาพัวพันอยู่รอบกายชายวัยกกลางคนร่างหนาผู้นี้ ประหนึ่งผู้พิทักษ์ก็ไม่ปาน!


 


และชายวัยกกลางคนผู้นี้แม้จะมีร่างกายสูงใหญ่แลดูกำยำแข็งแกร่ง หากแต่มันไม่ได้ดูดิบเถื่อนอะไร ไม่ให้ความรู้สึกหยาบกระด้างแม้แต่น้อย


 


เพราะไม่ว่าจะเป็นทีท่าการแสดงออก จวบจนหน้าตา ล้วนแล้วแต่ให้ความรู้สึกสง่างามน่าเกรงขาม!


 


หว่างคิ้วของมันยังแผ่พุ่งบารมีเด่นล้ำ ราวกับเป็นเจ้าคนนายคนมานานนับร้อยๆปี เพียงมองก็ให้ความรู้สึกสูงส่ง ราวกับมีพลังสะกดข่ม ทำให้สรรพสิ่งยอมจำนน


 


มันไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นจ้าวลัทธิบูชาไฟแห่งนี้…


 


ถังซวน!


 


“มาหาข้าเช่นนี้ มีเรื่องด่วนอันใดหรือ?”


 


แม้ว่าข่าวเรื่องราวจากนครแห่งบาปจะแพร่มาถึงลัทธิบูชาไฟแล้ว แต่ถังซวนที่ชมชอบบ่มเพาะพลังอยู่ในเคหะสถานส่วนตัว ย่อมไม่ทราบ


 


แต่มันยังรู้ได้ทันที


 


หากรองจ้าวลัทธิมาหามันถึงที่นี่แบบนี้ สมควรมีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงานมันให้รู้และต้องได้รับการตัดสินใจจากมัน!


 


“ท่านจ้าวลัทธิ ที่ข้ามาหาท่านเพราะ….”


 


รองจ้าวลัทธิพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะเริ่มกล่าวรายงานเรื่องราวที่มันได้รับทราบมา เป็นเรื่องการยืนยันแน่ชัดแล้วว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจบุกรุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างเรียบร้อยแล้ว!


 


“เผ่าพันธุ์ปีศาจได้บุกรุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างตั้งแต่3 ปีก่อน…เรื่องจริงหรือนี่”


 


เมื่อได้รับการยืนยันข้อเท็จจริงเรื่องนี้ แม้ถังซวนจะเป็นจ้าวลัทธิบูชาไฟ และเป็นตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว ก็ยังอดไม่ได้ที่จะชักสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาทันที


 


เผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศ ทรงพลังนัก!


 


เรื่องนี้มันได้รับทราบจากบันทึกประวัติศาสตร์รวมถึงบันทึกโบราณของลัทธิบูชาไฟมาไม่น้อย


 


ที่สำคัญคือในเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่ใช่ว่าจะขาดตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน…


 


ยิ่งไปกว่านั้นเผลอๆ ตอนนี้ในเผ่าพันธุ์ปีศาจอาจมีแม้กระทั่งเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์แล้ว แต่ยังไม่ได้ขึ้นสู่ระนาบเทวโลก…ครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!


 


“ใช่ขอรับ”


 


รองจ้าวลัทธิพยักหน้ารับ ก่อนที่จะชักสีหน้าซับซ้อนพลางกล่าวต่อว่า “อันที่จริงข่าวเรื่องเผ่าพันธุ์ปีศาจคราวนี้ เป็นศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ ต้วนหลิงเทียน ของลัทธิบูชาไฟเรา ที่เป็นผู้ยืนยันความจริงมาขอรับ…”


 


“หืม? ศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ ต้วนหลิงเทียน ของพวกเรารึ?”


 


ถังเซียนโค้งคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ค่อยมองถามรองจ้าวลัทธิด้วยความสนใจ


 


มันเองก็ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะมาได้สักพักแล้ว เช่นนั้นจึงพอได้ยินข่าวเรื่องราวการปรากฏตัวอันโดดเด่นของศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่นามว่าต้วนหลิงเทียน ที่เคยสร้างวีรกรรมน่าตื่นตาตื่นใจเมื่อ 3 ปีก่อนมาบ้าง…


 


“ถูกแล้วขอรับ”


 


รองจ้าวลัทธิพยักหน้ารับอีกครั้ง “ว่ากันว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้ได้เข้าไปในกับดักที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่นเมื่อ 3 ปีก่อนเช่นกัน…อย่างไรก็ตามในขณะที่ผู้อื่นถูกสังหารตกตายหมดสิ้น ต้วนหลิงเทียนศิษย์ของเราคนนี้กลับรอดชีวิตมาได้ และอาศัยอยู่ด้านในมาตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่าน! หลังจากที่พึ่งออกมา ก็ไปประกาศความจริงทั้งหมดที่นครแห่งบาปขอรับ…”


 


“หืม? อยู่ในนั้นมาตลอดระยะเวลา 3 ปีรึ?”


 


ถังซวนพยักหน้ารับพลางกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าแพะเฒ่าจากลัทธิอารามทมิฬนั่นจะกล่าววาจาโกหกคำโตแล้วจริงๆ…ข้าเอะใจเรื่องนี้อยู่แต่แรกแล้ว ว่าไฉนคนอย่างเจ้าแพะเฒ่านั่นจะลดตัวมากล่าวคำสาบานกับเรื่องพรรค์นี้ได้…ที่แท้เป็นมันสนใจยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นที่ต้วนหลิงเทียนมีอยู่จริงๆ!!”


 


“เรียนท่านจ้าวลัทธิ…สำหรับเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนได้ยืนยันความจริงจากการกล่าวคำสาบานแล้วเช่นกันขอรับ ว่าที่ตัวมันมีเพียงตราผนึกมารเท่านั้น…ไม่มียอดศาสตราชิ้นที่ 2 อยู่อีก! กระบี่ที่มันมีเล่มนั้น…มิใช่กระบี่ไร้ลักษณ์หรือกระบี่ 9 สวรรค์ขอรับ…”


 


รองจ้าวลัทธิกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“ในเมื่อเรื่องเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศได้รุกรานเข้ามาเป็นเรื่องจริง…เช่นนั้นหากเทียบกันแล้ว พลังพิเศษของกระบี่ไร้ลักษณ์แทบไม่อาจนับเป็นอะไรได้เลย ถือว่าด้อยกว่าพลังของตราผนึกมารมากมายหลายขุม…!”


 


ถังซวนกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ สองตาเริ่มทอประกายวูบวาบ


 


และวาจากล่าวพึมพำนี้ของมันแน่นอนว่าย่อมดังเข้าหูรองจ้าวลัทธิด้วยเช่นกัน


 


ตราผนึกมารนั้น เอกอุในเรื่องสยบมาร เป็นของแสลงผู้ฝึกตนวิถีมารและเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างยิ่งยวด! เรียกว่าเป็นดาวข่มหมู่มาร! ดาวพิฆาตเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ว่าได้!!


ตอนที่ 2,170 : เค่อเอ๋อ


 


“ท่านจ้าว…ยังมีอีกข่าว…แต่ข่าวนี้สมควรเป็นแค่ข่าวปลอม”


 


รองจ้าวลัทธิบูชาไฟที่ลอยร่างไม่ห่างจากถังซวน ยึกยักลังเลอยู่ครู่หนึ่งค่อยกล่าวสืบต่อ


 


“ข่าวอันใด?”


 


ถังซวนกล่าวถามด้วยความสนใจ


 


“เป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนเช่นกัน ว่ากันว่าตอนที่ต้วนหลิงเทียนย้อนกลับมาประกาศเรื่องราวที่นครแห่งบาปนั้น…ต้วนหลิงเทียนได้ใช้ 3 กระบี่สังหารจ้าวราชสีห์ขนทองเซ่ยคังฉวิน 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬต่อหน้าต่อตาผู้คนขอรับ…”


 


รองจ้าวลัทธิบูชาไฟกล่าว


 


“หืม? 3 กระบี่ ฆ่าเซี่ยคังฉวิน?”


 


หลังได้ยิน ถังซวนเลิกคิ้วขึ้นมาทันที “หากข้าจำไม่ผิด…จ้าวราชสีห์ขนทองของลัทธิอารามทมิฬผู้นั้น ต่อให้มองทั่วแดนดินแต่มันก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอันร้ายกาจ หากสามารถฆ่ามันได้ภายใน 3 กระบี่จริง เกรงว่าหากไม่มีพลังฝีมือเทียบได้กับเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนย่อมไม่มีทางเป็นไปได้เลย!”


 


“ทุกคนก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันขอรับ…”


 


รองจ้าวลัทธิบูชาไฟพยักหน้า ค่อยพูดต่อ “ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อข่าวลือดังกล่าว…พรสวรรค์ต้วนหลิงเทียนนั้นอาจร้ายกาจ แต่หากจะบอกว่าสามารถฆ่าเซี่ยคังฉวินได้ใน 3 กระบี่… เกรงว่าคงเป็นเรื่องเหลวไหลอย่างที่ไม่ต้องสงสัยเลย…”


 


ถังซวนพยักหน้าเห็นด้วย


 


ในรายงานความเป็นไปต่างๆ ย่อมมีรายงานเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน ถังซวนจึงพอประมาณพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนจากพรสวรรค์ที่เผยออกมาได้ ซึ่งไม่มีทางเลยที่ต้วนหลิงเทียนจะก้าวหน้าขึ้นถึงขั้นใช้ 3 กระบี่สังหารเซี่ยคังฉวินได้ในเวลาแค่ 3 ปี…


 


“เอาล่ะ ตอนนี้เมื่อเรื่องการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้รับการยืนยันแล้ว เจ้ายังต้องไปเตรียมการรับมืออีกมาก…กว่า 3 ปีแล้ว ไม่พ้นป่านนี้พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจคงลงหลักปักฐานที่ภูมิภาคเบื้องล่างได้แล้ว ข้าเกรงว่าอีกไม่นานยอดฝีมือระดับสูงของเผ่าพันุ์ปีศาจที่ชำนาญค่ายกล พวกมันต้องจัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค และยกทัพบุกขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนแน่…”


 


ถังซวนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านั้นพวกเราต้องเตรียมพร้อมรับมือทุกทาง ลัทธิบูชาไฟของพวกเราต้องพร้อมตีโต้สวนกลับ!”


 


“ผู้น้อยรับบัญชาท่านจ้าว!”


 


รองจ้าวลัทธิรีบขานรับด้วยเคารพ หากแต่มันกลับไม่ได้จากไปหลังตอบกลับ ทว่าเผยทีท่าอ้ำๆอึ้งๆคล้ายลังเลว่าจะพูดต่อหรือไม่พูดต่อดี


 


“เจ้ายังมีเรื่องอันใดอีก?”


 


ถังซวนถาม


 


“ท่านจ้าวลัทธิ…”


 


หลังสุดลมหายใจเข้าลึกๆรอบหนึ่งรองจ้าวลัทธิก็รวบรวมความกล้าพูดออกมาว่า “เท่าที่ข้ารู้หลังจากท่านออกจากการปิดด่านมา ท่านก็นำตัวธิดาเทพพร้อมบุตรีของนางออกจากหอคุมกฏมาไว้ในพื้นที่ส่วนตัวของท่าน…ไม่ทราบท่านคิดจะลงทัณฑ์ธิดาเทพกับบุตรีของนางเมื่อใดหรือขอรับ?”


 


“เรื่องนี้รองจ้าวลัทธิอีกคน รวมถึงอาวุโสระดับสูงหลายคนเริ่มบ่นกันแล้วขอรับ…”


 


หลังกล่าวถึงจุดนี้ รองจ้าวลัทธิก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มฝืนๆ


 


“อ้อ รองจ้าวหอคุมกฏเริ่มบ่นกันแล้วงั้นหรือ?”


 


ถังซวนยิ้มเยาะ “จ้าวหอของพวกมันยังไม่ทันกล่าวอันใดแท้ๆ แล้วพวกมันจะกังวลใจกันหาอะไร! ว่าแต่ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้าถังซวนผู้นี้คิดจะทำอะไรต้องดูสีหน้าพวกมัน?”


 


“เจ้าเอาคำข้าไปบอกให้พวกมันทุกคนฟังกันชัด…หากมีหน้าไหนไม่พอใจให้มันมาหาข้าเป็นการส่วนตัวเสีย! หาไม่แล้วหากข้ายังได้ยินว่าพวกมันพูดอะไรถึงเรื่องนี้อีก ข้าจะเป็นคนไปหาพวกมันด้วยตัวเอง!!”


 


ยิ่งมาน้ำเสียงของถังซวนยิ่งเย็นขึ้น ท้ายประโยคยังดังจนแทบจะเป็นการตะคอก เห็นชัดว่ามีโทสะไม่น้อย


 


รองจ้าวลัทธิเองก็ไม่คิดว่าจะเจอแบบนี้ มันถึงกับผงะไปด้วยขวัญหนีดีฝ่อ แผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น เร่งอธิบายอย่างร้อนรน “ทะ…ท่านจ้าวลัทธิขอรับ พวกมันแค่บ่นไปอย่างนั้นเองขอรับ มิได้คิดจะทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตอันใด…ในเมื่อท่านจ้าวตัดสินใจไปแล้ว ก็อย่าได้ไปสนใจอะไรพวกมันเลยขอรับ!!”


 


แม้จะกล่าวไปแบบนั้น แต่รองจ้าวลัทธิบูชาไฟ ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนในใจ


 


จ้าวลัทธิของมัน ดูเหมือนไม่ได้คิดจะลงโทษอะไรธิดาเทพจริงๆเสียแล้ว…


 


เทพธิดากลับชาติมาเกิด?


 


หรือจ้าวลัทธิของพวกมันจะเสียสติไปแล้ว กลับเชื่อเรื่องนี้จริงๆ!?


 


‘โชคยังดีที่ในเรื่องอื่นๆท่านจ้าวลัทธิยังเป็นปกติ มิได้หน้ามืดตามัวอันใด…’


 


พอคิดได้ดังนี้ รองจ้าวลัทธิก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกกหนึ่ง


 


จ้าวลัทธิบูชาไฟจะอย่างไรก็เป็นดั่งเสาหลักของลัทธิบูชาไฟ เป็นตัวตนดั่งเทพผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ! หากเกิดเรื่องใดขึ้นกับจ้าวลัทธิบูชาไฟจริง ลัทธิบูชาไฟไม่เพียงแต่จะตกต่ำ…อาจถึงกาลอวสาน!!


 


“ช้าก่อน”


 


ทว่าในขณะที่จ้าสลัทธิบูชาไฟกำลังจะเดินจากไปนั้น ถังซวนกลับเรียกรั้งมันเอาไว้เสียก่อน


 


“มิทราบท่านจ้าวมีอันใดให้ข้าน้อยรับใช้เพิ่มหรือขอรับ?”


 


รองจ้าวลัทธิก็หยุดร่างลงทนัที ค่อยมองถามถังซวนออกไปด้วยเคารพ


 


“เจ้าไปออกแถลงการณ์ประกาศให้ทั้งแดนดินรับทราบในนามของข้า…”


 


ถังซวนมองรองจ้าวลัทธิค่อยกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด “เนื้อหาถ้อยคำแถลงนั่นคือ…ขอให้ต้วนหลิงเทียนกลับคืนสู่ลัทธิบูชาไฟของพวกเราอย่างวางใจ…นอกจากนี้ให้ประกาศว่าทางเรารับประกันว่าจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงตราผนึกมารไปจากมัน”


 


“หากมันไม่เชื่อก็ให้มันซ่อนตราผนึกมารเอาไว้ที่ใดก่อนก็ได้ค่อยกลับมาลัทธิ และเมื่อมาถึงแล้วข้าถังซวนคนนี้ยินดีที่จะกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ”


 


วาจาถังซวนนั้นเผยเจตนาชัดเจนว่ามันปรารถนาให้ต้วนหลิงเทียนหวนกลับมายังลัทธิบูชาไฟ


 


“ทะ…ท่านจ้าว…ต้วนหลิงเทียนมีค่าพอให้ท่านกระทำถึงขั้นนี้เลยหรือขอรับ?”


 


รองจ้าวลัทธิถึงกับผงะไปด้วยความตกใจ


 


“ต้วนหลิงเทียน? ตัวมันย่อมไม่มีค่าอันใด!”


 


ถังซวนกล่าวออกเสียงเรียบ “ทว่าตราผนึกมารในมือของมันนั้นมันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ตราบใดที่มันยินดีหวนกลับสู่ลัทธิบูชาไฟ และยังเป็นศิษย์ของลัทธิบูชาไฟเราอยู่ ด้วยตราผนึกมารในมือของมัน…ก็คือไพ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลัทธิบูชาไฟเราในการต่อกรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจในภายภาคหน้า!!”


 


“หากเผ่าพันธุ์ปีศาจมันรุกรานขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนจริงๆ และสถานการณ์ของมนุษย์เริ่มไม่ค่อยสู้ดี ข้าเชื่อว่ามันต้องเห็นแก่ส่วนรวม เต็มใจให้ข้าหยิบยืมตราผนึกมารเพื่อกำราบปีศาจแน่นอน!”


 


“ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ หากข้ามีตราผนึกมารล่ะก็ ข้าเชื่อมั่นว่าไม่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือผู้ฝึกมารคนใดที่พลังฝึกปรือยู่ใต้ขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะจะเป็นคู่มือให้ข้าได้!!”


 


วาจาประโยคต่อมาของถังซวน ขณะกล่าวสองตายังทอประกายแหลมคมนัก


 


ในความคิดของมัน


 


ตราบใดที่มันมันสามารถใช้ตราผนึกมารได้ในช่วงเวลาที่จำเป็นล่ะก็ ไม่สำคัญว่าตราผนึกมารนั่นจะเป็นของๆมันเองหรือเพียงหยิบยืมมาจากต้วนหลิงเทียน!


 


ความสำคัญของตราผนึกมารก็คือพลังอำนาจในการสะกดกข่มปีศาจ กำราบมาร!


 


หากเผ่าพันธุ์ปีศาจแตกพ่ายปราชัยไป หลังจากนั้นตราผนึกมารก็ไม่มีค่ามีราคาอะไรสำหรับมันอีกต่อไป! จะมีหรือไม่มีก็ไม่ได้มีผลอะไรกับมันทั้งสิ้น!!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่บังเกิดจิตคิดแย่งชิงตราผนึกมารมาจากต้วนหลิงเทียนแม้แต่นิดเดียว!


 


ได้ยินวาจาของถังซวน รองจ้าวลัทธิก็รับคำเป็นมั่นเหมาะค่อยจากไป


 


ถังซวนเองก็ย้อนกลับไปยังคฤหาสน์หลังเขื่องบนเกาะส่วนตัว เข้าสู่สถานที่บ่มเพาะ เพื่อบ่มเพาะปรับด่านพลังสืบต่อ


 


ในช่วงเวลาเดียวกัน…


 


ส่วนตะวันออกของคฤหาสน์หลังเขื่องอันตั้งอยู่ในเกาะส่วนตัวของถังซวน ในบ้านลานหลังหนึ่งจากบรรดาบ้านลานมากมายของคฤหาสน์


 


บ้านลานเหล่านี้ปกติถังซวนมักใช้เพื่อรับรองแขก…


 


แน่นอนว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติสูงพอให้ถังซวนเชื้อเชิญมาพักที่นี่


 


ตอนนี้ในห้องหับของบ้านลานหลังหนึ่งจากในบรรดาบ้านลานมากมาย นอกจากสตรีสองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันเพราะเป็นฝาแฝดแล้ว ยังมีเด็กสาววัยกำลังซุกซนอายุประมาณ 8 หรือ 9 ขวบ ถักเปียสองข้างอาศัยอยู่


 


ฝาแฝดคู่นี้ หนึ่งก็คือภรรยาของต้วนหลิงเทียนเค่อเอ๋อ ส่วนอีกคนก็พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อ ก่านหรูเยี่ยน!


 


สำหรับเด็กหญิงตัวน้อยวัยซุกซนนั่น ก็คือลูกสาวของต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อ ต้วนซือหลิง!


 


“อวี่เยียน…ข้าเห็นมาสักพักแล้วว่ายามที่จ้าวลัทธิบูชาไฟพบเจ้า มันคล้ายเคารพและเกรงใจเจ้านัก เจ้าทราบหรือไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด?”


 


ก่านหรูเยี่ยนมองถามเค่อเอ๋อ หน้างามของนางตอนนี้ไม่เพียงประหลาดใจยังสงสัยนัก


 


ตอนนี้ยิ่งนางได้รับทราบแล้วว่าจ้าวลัทธิบูชาไฟสามารถทะลวงด่านได้สำเร็จในการปิดด่านบ่มเพาะรอบนี้ และเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว จึงทำให้นางยิ่งตกใจมากยิ่งขึ้น


 


ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนนั้น เป็นตัวตนที่หาได้ยากดั่งเขามังกรขนหงส์ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้…


 


ทว่าตัวตนที่ยิ่งใหญ่ระดับนั้น ยามอยู่ต่อหน้าน้องสาวฝาแฝดของนาง ไม่เพียงแต่จะไม่วางตัวสูงส่งอยู่เหนือ สายตาทำราวกับมองคนที่ต้อยต่ำกว่าแต่อย่างใด ยังตรงกันข้าม…อีกฝ่ายกลับทำราวกับเป็นผู้น้อยพบพานผู้ยิ่งใหญ่! และจากแววตาก็เผยให้รู้ว่านั่นไม่ใช่ความยำเกรงและทีท่าเคารพจอมปลอม หากทว่ามาจากใจจริงๆ!!


 


เรื่องนี้ย่อมทำให้ในใจของนางสับสนและงุนงงถึงขีดสุด


 


“ข้าเองก็ไม่รู้…”


 


เค่อเอ๋อที่อุ้มต้วนซือหลิงที่ผล็อยหลับไปหลังจากเล่นซุกซนจนเหนื่อย ได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยความงุนงงไม่ต่าง “ครั้งแรกที่มันมาหาข้าที่หอคุมกฏ…ตอนแรกข้าคิดว่ามันจะสั่งประหารข้ากับซือหลิงทันทีที่เห็นเสียแล้ว….”


 


“แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยมันไม่เพียงแต่จะไม่เผยทีท่าโกรธเคืองอันใดข้าอย่างที่ควรจะเป็น…แต่ยังทำราวกับหวาดกลัวจะทำให้ข้าไม่พอใจ…เหมือนกับว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับสีหน้าของข้า”


 


ก่านหรูเยี่ยนถึงกับเงียบไปทันทีหลังได้ยินคำตอบของเค่อเอ๋อ


 


และหลังจากเงียบไปพักหนึ่งก่านหรูเยี่ยนก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “นั่นน่ะสิ ตอนแรกข้าคิดว่าหากข้าไม่ให้ความร่วมมือกับมันเรื่องบอกตัวตนบุรุษของเจ้า ข้าไม่พ้นถูกลงโทษสถานหนักแน่…แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่เจ้ากล่าววาจาไม่กี่คำ มันก็ปล่อยข้าออกจากหอคุมกฏทันที”


 


“ตอนนี้จากที่ข้าดู 9 ใน 10 ส่วนไม่พ้นมันต้องเชื่อมั่นจริงๆว่าเจ้าคือเทพธิดากลับชาติมาเกิด…หาไม่แล้วข้าไม่ทราบจะหาเหตุผลข้อใดมารองรับการกระทำของมันได้แล้วจริงๆ”


 


กล่าวถึงจุดนี้ก่านหรูเยี่ยนก็มองเค่อเอ๋อ น้องสาวฝาแฝดของนางตั้งแต่หัวจรดเท้า นอกกจากใบหน้าที่งดงามเหมือนกันทั้งมีรูปร่างใกล้เคียงกันมาก นางก็ไม่พบความแตกต่างอันใดอีกเลย…


 


“เทพธิดากลับชาติมาเกิด?”


 


ได้ยินคำนี้ของก่านหรูเยี่ยน เค่อเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า


 


ด้วยเห็นว่าเรื่องนี้มันเหลวไหลเกินไป


 


นอกจากนั้นนางเองก็เคยได้ยินพี่สาวฝาแฝดกล่าวถึงเรื่องนี้มาแล้ว ว่าในลัทธิบูชาไฟนั้น มีเพียงตัวจ้าวลัทธิบูชาไฟเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เชื่อว่านางคือเทพธิดากลับชาติมาเกิด…


 


คนอื่นๆไม่ว่าจะเป็นรองจ้าวลัทธิทั้ง 2 ไม่เว้นผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ไม่มีใครเชื่อเรื่องราวเหลวไหลนี้เลย


 


“พี่สาว! พี่สาว…!!”


 


ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงร้อนรนหนึ่งดังขึ้นมาแต่ไกล และปรากฏร่างวิหกสีม่วงตัวหนึ่งเหินบินข้ามฟ้ามาด้วยความเร็ว


 


เมื่อวิหกสีม่วงตัวนั้นบินลอดหน้าต่างเข้ามา มันก็กลายร่างเป็นดรุณีน้อยชุดม่วงนางหนึ่งทันที


 


และดรุณีน้อยชุดม่วงนางนี้ ก็คือร่างมนุษย์ของ สื่ออวิ๋น สัตว์เซียน เผิงอัสนีเมฆม่วง ที่คอยตามก่านหรูเยี่ยนแจ นับว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดกับก่านหรูเยี่ยนมากที่สุด


 


แม้แต่ตอนที่ก่านหรูเยี่ยนลงไปยังภูมิภาคเบื้องล่าง นางก็ติดตามไปเช่นกัน


 


“สื่อเอ๋อไฉนเจ้ารีบร้อนนักเล่า มีเรื่องอะไรรึ?”


 


ก่านหรูเยี่ยนมองถามสาวน้อยชุดม่วงออกมาด้วยความสงสัย


 


“พี่สาว มีข่าวเกี่ยวกับต้วนหลิงเทียนแล้ว!”


 


ตอนนี้เองสาวน้อยชุดม่วงพลันกล่าวส่งเสียงบอกต่อก่านหรูเยี่ยน


 


เมื่ออยู่ในบ้านลานบนเกาะหลักของจ้าวลัทธิบูชาไฟเช่นนี้ นางย่อมกลัวว่าเรื่องราวจะถูกจ้าวลัทธิบูชาไฟที่มีพลังเหนือชั้นล่วงรู้เอาได้ง่ายๆหากพูดออกมาไม่ระวัง


 


“หืม!?”


 


ได้ยินวาจาผ่านพลังของสาวน้อยชุดม่วง สองตาคู่งามของก่านหรูเยี่ยนทอประกายจ้าขึ้นมาทันใด และก่อนที่สาวน้อยชุดม่วงจะทันได้กล่าวอะไรต่อ นางก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปแจ้งน้องสาวฝาแฝดข้างๆทันที “อวี่เยี่ยน มีข่าวของมันแล้ว!”


 


เมื่อเค่อเอ๋อได้ยินเสียงผ่านพลังนี้ของก่านหรูเยี่ยน รางบางที่อุ้มต้วนซือหลิงที่กำลังหลับไหลอยู่ก็สะท้านขึ้นมาเบาๆทันที


 


นางย่อมรู้ดีว่า ‘มัน’ ที่พี่สาวฝาแฝดกล่าวถึงเป็นใคร


 


เป็นบุรุษที่ดั้นด้นขึ้นมาจากภูมิภาคเบื้องล่าง ยังแทรกซึมเข้ามาในลัทธิบูชาไฟ เพื่อหาทางช่วยเหลือนาง บุรุษที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง และยังเป็นพ่อของลูกสาวนางด้วย…!


ตอนที่ 2,171 : การกลับมาของต้วนหลิงเทียน!


 


“พี่หญิงตอนนี้เขาอยู่ที่ใด แล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


หลังสูดอากาศเข้าเฮือกใหญ่ เค่อเอ๋อที่สงบอารมณ์และระงับความตื่นเต้นในใจได้แล้ว ก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังกล่าวถามก่านหรูเยี่ยนออกไปทันที


 


“สื่อเอ๋อบอกข้าว่า…ครั้งสุดท้ายที่มันปรากฏตัวก็อยู่ที่นครแห่งบาป”


 


ก่านหรูเยี่ยนเริ่มกล่าวบอกเค่อเอ๋อออกมาหลังได้ฟังรายงานเรื่องราวจากสื่อเอ๋อ “เมื่อ 3 ปีก่อนมันเข้า…”


 


และทุกสิ่งอย่างที่นางกำลังกล่าวบอกเค่อเอ๋อ ก็คือข่าวที่แพร่กระจายไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบนตอนนี้


 


ทว่าสำหรับเรื่องที่ต้วนหลิงเทียน ปลิดชีพเซี่ยคังฉวินจ้าวราชสีห์ขนทองของลัทิอารามทมิฬใน 3 กระบี่นั้น ก่านหรูเยี่ยนเลือกที่จะละไว้ไม่กล่าวเล่าออกมาให้เสียเวลา เพราะในสายตาของนางเรื่องนี้มันหาสาระไม่ได้จริงๆ…


 


“สามีของเจ้ารอดหายนะมาได้เช่นนี้ย่อมเป็นเพราะฟ้าคุ้มครอง…เช่นนั้นเจ้าอย่าได้กังวลไปเลย”


 


หลังจากเล่าจบแล้วก่านหรูเยี่ยนก็เร่งปลอบขวัญเค่อเอ๋อทันที


 


“3 ปีก่อนเขาเข้าไปในกับดักที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะสร้างไว้ แต่พึ่งรอดกลับออกมาได้หรือ…”


 


หลังได้รับฟังเรื่องราวที่บุรุษของตัวเองเผชิญมา หน้างามของเค่อเอ๋ออดไม่ได้ที่จะซีดลงทั้งเผยความหวาดกลัวออกมา ถึงแม้นางจะไม่ได้อยู่ข้างกายบุรุษของนางยามเกิดเรื่อง แต่นางนึกภาพออกเลยว่าบุรุษของนางต้องผ่านพ้นความยากลำบากมาขนาดไหน…


 


จังหวะนี้ใจเค่อเอ๋ออดไม่ได้ที่จะเป็นทุกข์ ทั้งยังโทษตัวเองนัก เพราะการที่บุรุษของนางต้องมาเจออะไรแบบนี้ ล้วนเพราะชะตากรรมของนางทั้งสิ้น!


 


“นายน้อย…”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่สองตาเค่อเอ๋อยามนี้เริ่มเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา พร่ามัวไปดั่งเมฆหมอกบดบัง


 


……


 


ในภูมิภาคตะวันตก ณ น่านฟ้าเหนือแนวเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากลัทธิบูชาไฟอีกไม่ไกลแล้ว


 


ปรากฏร่างในชุดสีม่วงลอยล่องตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผย


 


ร่างในชุดสีม่วงนี้แลไปหน้าตายังเยาว์วัยนัก ด้วยคิ้วโค้งดั่งดาบทั้งดวงตาที่กระจ่างใสปานดาราระยับ ตอบรับกับเค้าโครงรูปหน้าอันเกลี้ยงกลาปานหยกเสลาอย่างหมดจด เพียงมองก็ให้ความรู้สึกถึงสายลมฤดูใบไม้ผลิ


 


เพียงลอยร่างค้างกลางหาวเฉยๆไม่ได้ทำอะไร ทว่าทั่วกายกลับแผ่ความรู้สึกน่าเกรงขามทั้งสูงส่ง พาลให้สภาพแวดล้อมโดยรอบหม่นลงถนัดตา…


 


“ไม่คิดเลยว่าจ้าวลัทธิบูชาไฟนั่นมันจะออกจากการปิดด่านบ่มเพาะแล้ว แถมออกจากการปิดด่านครั้งนี้ พลังฝึกปรือของมันยังทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอีก!”


 


ชายหนุ่มกล่าวพึมพำเบาๆ “โชคดีนัก ที่แม้มันจะออกมาจากการปิดด่าน แต่มันก็ไม่ได้ตัดสินโทษเค่อเอ๋อกับลูกสาวข้า…แต่ไม่ว่าจะเพราอะไรก็ช่าง ข้าต้องหาทางช่วยพวกนางแม่ลูกออกมาให้ได้! ปล่อยให้พวกนางอยู่ในลัทธิบูชาไฟอีกวัน ข้าก็กังวลเพิ่มอีกวัน”


 


ฟังจากวาจาที่ชายหนุ่มพึมพำกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ก็สามารถคาดเดาตัวตนได้ทันที


 


เป็นคนที่พึ่งเร่งรุดเดินทางกกลับมาจากนครแห่งบาป ต้วนหลงเทียน


 


ระหว่างเดินทางออกจากนครแห่งบาป ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินข่าวเรื่องที่จ้าวลัทธิบูชาไฟออกจากการปิดด่านฝึกตนแล้ว แถมออกจากการปิดด่านครั้งนี้ พลังฝึกปรือของมันยังทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเป็นที่เรียบร้อย!


 


ทันทีที่ได้รับทราบเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็เป็นกังวลร้อนรนดั่งเพลิงไฟ ด้วยห่วงความปลอดภัยของเค่อเอ๋อและลูกสาว


 


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาจึ่งเร่งรุดเดินทางกลับมาลัทธิบูชาไฟด้วยความเร็วสูงสุด จนในที่สุดก็มาถึงสถานที่ๆอยู่ใกล้เคียงกับอาณาเขตลัทธิบูชาไฟ หลังจากที่สืบข่าวและสถานการณ์ดีแล้ว พอพบว่าจ้าวลัทธิบูชาไฟยังไม่ได้ลงโทษเค่อเอ๋อกับลูกสาว เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


ในขณะที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาก็เริ่มซ่อนตัวนอกเขตลัทธิบูชาไฟ เพื่อหาโอกาสที่จะลอบเข้าไปช่วยเหลือเค่อเอ๋อแม่ลูกออกมาจากลัทธิบูชาไฟ


 


‘ด้วยพลังของข้าตอนนี้ต่อให้ใช้กระบี่นิลสวรรค์ด้วยพลังทั้งหมด แต่ก็ยังไม่น่าจะจัดการจ้าวลัทธิบูชาไฟได้…เมื่อยืนยันตำแหน่งเค่อเอ๋อกับลูกได้แล้ว มีโอกาสดีๆเมื่อไหร่ข้าต้องลอบเข้าไปช่วยพวกนางให้ได้!’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


เขาย่อมรู้พลังฝีมือของตัวเองดี


 


หากเขาใช้ออกด้วยทุกสิ่ง ด้วยพลังของกระบี่นิลสวรรค์ ต่อให้เป็นสุดยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนเขาก็ฆ่าได้แน่!


 


แต่ทว่าพลังระดับนี้ เมื่อต้องปะทะกับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเห็นทีจะยังเอามันไม่ลง!


 


‘หรือข้าต้องกลับไปปิดด่านบ่มเพาะในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอีกกัน…ข้าต้องทนบ่มเพาะพลังอีกปีครึ่งเพื่อที่จะทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนงั้นหรือ?’


 


คิดถึงจุดนี้ คิ้วต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะย่นยู่เป็นปม


 


เพราะเวลา 1 ปีครึ่งที่เขาคำนวณนั้น มันเป็นเวลาในโลกภายนอก


 


เวลาผ่านไปอีกตั้งปีครึ่ง แล้วใครจะยืนยันให้เขาได้ว่าจ้าวลัทธิบูชาไฟจะไม่ทำอะไรเค่อเอ๋อแม่ลูก?


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่กล้าเสี่ยงเดิมพัน!


 


หากเขาแพ้เดิมพันขึ้นมา แล้วเค่อเอ๋อกับลูกสาวเป็นอะไรไป เขาไม่มีวันอภัยให้ตัวเองชั่วชีวิตแน่!


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังระดมเซลล์สมองครุ่นคิดแผนการทุกอย่าง ไม่เว้นร้อยพันสถานการณ์เบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อหาวิธีช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกออกมานั้นเอง…


 


ลัทธิบูชาไฟพลันออกมาประกาศคำแถลงเรื่องราวหนึ่ง!


 


อีกทั้ง จ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวนยังเป็นผู้ออกคำแถลงนี้ด้วยตัวเอง!


 


เนื้อความในถ้อยแถลงมีว่า…


 


จ้าวลัทธิบูชาไฟ ได้เชิญศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ ต้วนหลิงเทียน ให้หวนกลับมายังลัทธิบูชาไฟ และให้คำมั่นว่าลัทธิบูชาไฟ จะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายต้วนหลิงเทียนเพื่อช่วงชิงยอดศาสตราเซียนอย่าง ตราผนึกมาร ที่อยู่ในความครอบครองของต้วนหลิงเทียนเด็ดขาด!


 


หากต้วนหลิงเทียนไม่วางใจ สามารถซ่อนตราผนึกมารเอาไว้ก่อน และย้อนกลับมาลัทธิบูชาไฟตัวเปล่าได้


 


ถึงตอนนั้นจ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวน ยินดีกล่าววาจาสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ เพื่อพิสูจน์ความจริงใจต่อต้วนหลิงเทียน!


 


แทบจะทันทีที่ถ้อยแถลงนี้แพร่กระจายออกมา ไม่เพียงแต่เหล่าศิษย์เท่านั้น กระทั่งชนชั้นอาวุโสทั้งหลายของลัทธิบูชาไฟยังตกใจทั้งอึ้งไปเป็นไก่ตาแตก!


 


“ท่านจ้าวลัทธิ…เพียงเพื่อให้ต้วนหลิงเทียนกลับมา ถึงขั้นต้องออกมาแถลงการณ์เช่นนี้เลยหรือ?”


 


“เหลือเชื่อ! ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!!”


 


“ด้วยถ้อยคำแถลงการณ์ของท่านจ้าวลัทธิ มีโอกาสสูงที่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจะย้อนกลับมา เพราะไม่ต้องกลัวใครลงมือทำร้ายแย่งชิงยอดศาสตราเซียนอีก! และเมื่อศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนย้อนกลับมา เกรงว่าคงไม่ใช่อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 2 อีกต่อไป แต่ต้องเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1!!”


 


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว! เมื่อ 3 ปีก่อนศิษย์พี่กระทั่งฆ่าเซี่ยจง บุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทองแห่งลัทธิอารามทมิฬลงได้!ทว่าศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อัรนดับ 1 ของพวกเราไม่แม้แต่จะเป็นคู่มือให้เซี่ยจงได้ด้วยซ้ำ!!”


 


“และด้วยพรสวรรค์ของศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน ผ่านมา 3 ปีเช่นนี้ พลังฝีมือสมควรก้าวหน้าขึ้นครั้งใหญ่แล้วแน่ๆ! ต้องร้ายกาจกว่าเมื่อ 3 ปีก่อนอย่างเทียบไม่ติด!!”


 


“ข้าล่ะตั้งหน้าตั้งตารอให้ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนกลับมาเลย! ตั้งแต่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนไม่อยู่ ลัทธิบูชาไฟของพวกเราช่างจืดชืดน่าเบื่อปานสระสงบ ไม่ได้มีคลื่นลมอันใดให้เร้าใจข้าพเจ้าเลย…”


 


เมื่อเหล่าศิษย์ของลัทธิบูชาไฟรับทราบเรื่องนี้หลายคนที่ชื่นชมต้วนหลิงเทียนรวมถึงกกลุ่มคนทั่รู้สึกดีๆกับต้วนหลิงเทียนกระทั่งชมชอบวีรกรรมดุร้ายของต้วนหลิงเทียน ต่างพากันคึกคักอักโขปานลิงโลด


 


“น้องหลิงเทียน…มีโอกาสกลับมาได้แล้ว?”


 


“เช่นนี้ศิษย์น้องหลิงเทียนต้องกลับมาแน่!”


 


ไม่เว้นหลิวอวิ๋นและหลิวมู่ที่ค่อนข้างสนิทกับต้วนหลิงเทียน หลังได้ยินคำแถลงการณ์ของจ้าวลัทธิบูชาไฟ พวกมันรู้สึกตื่นเต้นกันนัก


 


“ท่านจ้าวลัทธิ ไฉนออกแถลงการณ์เช่นนี้มาได้?”


 


ดังคำกล่าว มีคนสุขก็ย่อมมีคนทุกข์ เมื่อได้รับทราบถ้อยแถลงของถังซวน ศิษย์เอกของจ้าวแท่นบูชามังกรคราม ปู้หง ใบหน้าของมันบัดนี้อัปลักษณ์ปั้นยากนัก


 


สีหน้าของหลูเถี่ย จ้าวแท่นบูชามังกรครามเองก็ไม่ได้ดีกว่ามันสักเท่าไหร่…


 


แม้ว่ามันจะต้องการยอดศาสตราเซียนที่ต้วนหลิงเทียนมี หรือไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่ต้วนหลิงเทียนมี ทว่าด้วยวาจานี้ของถังซวน เกรงว่าให้มันมีความกล้ามากกว่านี้อีก 100 เท่า มันก็ไม่กล้าคิดแย่งชิง กระบี่ ที่ร้ายกาจไม่ต่างจากยอดศาสตราเซียนนั่นอีก…


 


“บัดซบ! ไฉนจ้าวลัทธิถึงได้ออกมาแถลงการณ์เลอะเลือนเช่นนี้!?”


 


ณ ห้องพักภายในหอคุมกฏ ต่งหลิน อาวุโสเพลิงทองแดงของหอคุมกฏ ถึงกับหน้าเสียไปทันทีหลังได้ยินคำประกาศของถังซวน สีหน้ายังบิดเบี้ยวไปร้าวเคี้ยวข้าวถูกแมลงวัน


 


“ต้วนหลิงเทียน…”


 


นอกจากต่งหลินแล้ว บิดาของมันอย่างต่งหยวนจิ้น พอได้รับทราบเรื่องนี้ก็หยีตาลงทันใด แววตายังเผยประกายเยียบเย็นอันน่ากลัว


 


นอกเขตลัทธิบูชาไฟ


 


“จ้าวลัทธิบูชาไฟนั่น ช่างดีดลูกคิดรางแก้วมาดีนัก…เข้าใจพูดจริงๆ!”


 


หลังได้รับทราบถ้อยแถลงของจ้าวลัทธิบูชาไฟ ไหนเลยต้วนหลิงเทียนจะมองวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมันไม่ออก ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยอะออกมาด้วยความขบขัน


 


แน่นอนว่าคำรับประกันของถังซวนไม่มีปัญหา


 


ทว่าหากมองให้ดี ไม่ใช่ว่าถังซวนนั้นต้องการปกป้องคุ้มครองเขาจากใจจริง…


 


เขาย่อมรู้ดีแก่ใจ


 


ทั้งหมดที่ทำให้ถังซวนกล่าวออกมาเป็นทำนองปกป้องเขา เพราะเขามีตราผนึกมารอยู่ในมือ! และตราผนึกมารก็คือยอดศาสตราเซียนที่เด่นล้ำในเรื่องปราบปีศาจสยบมาร!!


 


เมื่อถึงตอนที่เผ่าพันธุ์ปีศาจยกทัพขึ้นมารุกรานภูมิภาคเบื้องบน ลัทธิบูชาไฟที่มีตราผนึกมาร ย่อมเป็นดั่งฝันร้ายของเผ่าพันธุ์ปีศาจทันที! กระทั่งในระดับหนึ่ง ถังซวนอาจกลายเป็นวีรบุรุษผู้กล้าของมวลมนุษย์ชาติ!!!


 


เพราะในช่วงเวลาสำคัญ ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์คับขันหรืออะไรก็ตามที ถังซวนย่อมสามารถอ้างคุณธรรมหยิบยืมตราผนึกมารจากเขาได้ คราวนี้ให้ยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา!


 


แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอยืมได้ เพราะนี่คือเรื่องของส่วนรวม!


 


“สำหรับถังซวนแล้ววันไหนที่เผ่าพันธุ์ปีศาจถูกขับไล่ไปได้…คุณค่าของตราผนึกมารในสายตามัน น่ากลัวว่าสู้ศาสตราพันอาคมเซียนสักชิ้นยังไม่ได้ด้วยซ้ำ!”


 


ต้วนหลิงเทียนยังกระจ่างเรื่องนี้ดี


 


เพราะด้วยพลังฝึกปรือของถังซวนตอนนี้ หากศัตรูไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจ มันไม่มีความจำเป็นต้องใช้ตราผนึกมารเลย


 


สำหรับผู้ฝึกมารในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ไม่ต้องกล่าวถึงพลังฝีมือส่วนตัวด้วยซ้ำ ด้วยฐานะทั้งอำนาจของถังซวนยังต้องใช้ตราผนึกมารอีกหรือ?


 


“เหอะ! ลองให้ข้ามีกระบี่ 9 สวรรค์ รวมถึงกระบี่ไร้ลักษณ์อะไรนั่นจริงๆ เกรงว่ามันคงไม่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ใจดีแบบนี้หรอก…”


 


ต้วนหลิงเทียนพ่นลม ทั้งกล่าวค่อนแคะออกมาด้วยน้ำเสียงรังเกียจ


 


และต้วนหลิงเทียนก็พูดถูกจริงๆ


 


หากไม่ใช่เพราะในตัวเขามีตราผนึกมารเป็นยอดศาสตราเซียนเพียงชิ้นเดียว แต่ดันมีกระบี่ไร้ลักษณ์หรือกระบี่ 9 สวรรค์อะไรนั่นอยู่อีกจริง…ถังซวนไม่มีวันออกแถลงการณ์แบบนี้แน่!


 


เพราะไม่ว่าจะเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์ หรือกระบี่ 9 สวรรค์ เกรงว่าแม้แต่ถังซวนเองก็ทนแรงเย้ายวนไม่ไหว!


 


“ในเมื่อเป็นแบบนี้…ข้าก็กลับไปพบจ้าวลัทธิบูชาไฟผู้นี้หน่อยแล้วกัน”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองวูบ เขาตัดสินใจได้ไม่ยาก


 


สำหรับเรื่องที่ต้องซ่อนตราผนึกมารไว้อะไรนั่น ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่ามันเกินจำเป็นอยู่บ้าง


 


เขาเชื่อว่าถังซวนไม่มีวันเสี่ยงลงมือแน่นอน เพราะมันไม่กล้าเดิมพันว่าตราผนึกมารอยูในมือเขาหรือไม่!


 


นอกจากนั้นถึงแม้พลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนจะด้อยกว่าถังซวน แต่ในฐานะที่เขาเองก็บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนแล้ว ย่อมไม่กลัวทักษะควาญวิญญาณอะไรทั้งสิ้น เขาไม่กลัวว่าถังซวนจะใช้วิธีนี้สืบค้นความจริงจากเขา


 


“ลัทธิบูชาไฟ…ข้ากลับมาแล้ว!”


 


3 วันต่อมาร่างต้วนหลิงเทียน ก็พุ่งเข้าเขตลัทธิบูชาไฟโดยตรง


 


คราวนี้เขาเหินร่างตรงดิ่งเข้าสู่ประตูหน้าของลัทธิบูชาไฟโดยไม่ต้องหลบๆซ่อนๆอันใด เรียกว่าต่างจากตอนลอบออกจากลัทธิบูชาไฟเมื่อไม่กี่ปีก่อนลิบลับ


 


เหตุผลที่ไฉนถึงได้ต่างกันขนาดนี้…


 


เพราะความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ไม่ใช่อะไรที่ในอดีตจะเทียบได้เลย!


ตอนที่ 2,172 :  บุกแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว!


 


ในระหว่างที่เหินร่างข้ามฟ้ามุ่งหน้าเข้าสู่เขตลัทธิบูชาไฟ ต้วนหลิงเทียนก็ได้เปลี่ยนชุดกลางหาว หวนกลับไปใส่ชุดศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟอีกครั้ง


 


การที่มีศิษย์ที่แท้จริงเหินร่างเข้ามาในเขตแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ยากนักที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน!


 


“สหาย พวกเจ้าช่วยข้าดูที…นั่นใช่ชุดของศิษย์ที่แท้จริงลัทธิบูชาไฟของพวกเราหรือไม่?”


 


ศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวบางคนที่สังเกตเห็นการเหินเข้ามาอย่างผ่าเผยไม่รีบไม่ร้อนของต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเรียกสหายทั้งชีมือชี้ไม้ ให้ทุกคนชมดูร่างที่กำลังข้ามแผ่นฟ้าด้วยความตกใจ!


 


เพราะเท่าที่มันทราบมา…


 


ลัทธิบูชาไฟนั้นมีกฏอันเข้มงวดนัก ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ชั้นยอดหรือศิษย์ที่แท้จจริงก็ตามที หากไม่ได้รับอนุญาตจากจ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์ ห้ามมิให้ล่วงล้ำผ่านเข้ามาในเขตแท่นบูชาจตุลักษณ์เด็ดขาด!


 


และตอนนี้กลับมีศิษย์ที่แท้จริงคนหนึ่ง กลับเหินร่างข้ามเขตแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของพวกมันอย่างผ่าเผย!


 


และมองไปจากทิศทางที่อีกฝ่ายเหินร่างมา คล้ายว่าพึ่งกลับมาถึงลัทธิบูชาไฟ


 


“โฮ่…ศิษย์พี่ท่านนี้ช่างใจกล้าไม่ใช่เล่น ถึงกับเหินร่างข้ามเขตแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของพวกเราโดยตรง…หรือศิษย์พี่ผู้นี้ลืมเลือนไปแล้ว ว่าสถานที่แห่งนี้มิใช่อะไรที่ศิษย์ที่แท้จริงจะผ่านเข้าออกได้ตามใจชอบ?”


 


“พวกเจ้าคอยดูไปเถอะ…อีกไม่นานอาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวเรา ต้องออกมาจัดการศิษย์พี่ที่ไม่รู้เรื่องผู้นี้ และจับตัวไปส่งที่หอคุมกฏแน่!”


 


“กล่าวไปแล้ว การทำแบบนี้…มันเหมือนหยามแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของพวกเราจริงๆ…”


 



 


เมื่อได้เห็นฉากดังกล่าวศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง


 


“พวกเจ้าใช่ด่วนสรุปกันไปหรือไม่…หากศิษย์พี่ผู้นี้เป็นศิษย์ของท่านรองหรือท่านจ้าวแท่นบูชาของพวกเราเล่า?”


 


ศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวคนหนึ่งออกความเห็น


 


“เป็นไปไม่ได้! ต่อให้เป็นศิษย์ของท่านรองหรือท่านจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของพวกเราจริง ต่อให้จะมาพบอาจารย์ก็จำต้องหลบเลี่ยงผู้คนให้ได้มากที่สุด เพื่อรักษาระเบียบปฏิบัติรวมทั้งกฏ ไหนเลยจะเข้ามาผ่าเผยอย่างโอหังแบบนั้นได้…ดูเหมือนศิษย์พี่คนนี้ไม่เห็นแท่นบูพยัคฆ์ขาวของพวกเราอยู่ในสายตาแล้วจริงๆ…”


 


“ทำแบบนี้ยังต่างอะไรจากท้าทายแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวเรา กระทั่งยังถือว่าท้าทายแท่นบูชาจตุรลักษณ์ทั้งหมดก็ว่าได้!!”


 



 


ในบรรดาเหล่าศิษย์ของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวก็มีพวกที่กลัวโลกยังวุ่นวายไม่พอไม่น้อย ต่างใส่ไฟปลุกเร้าอารมณ์กันใหญ่


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจะเหินร่างพ้นเขตแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว เข้าสู่ดินแดนศักดิสิทธิ์นั้นเอง..


 


“เหอะ!”


 


“หึ!”


 


พร้อมกันกับที่เสียงแค่นคำสบถเย็นชาด้วยความเกรี้ยวกราด 2 เสียงดังขึ้น พลันปรากฏสายลมแรง 2 สายพัดกรรโชกไปทางต้วนหลิงเทียนที่ใกล้จะเหินร่างพ้นเขตเข้าไปทุกขณะ!


 


“ผู้อาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันพลังที่แผ่พุ่งออกมากดดันเขาจากคนที่ก่อให้เกิดสายลมแรง 2 สายนั่น หากแต่เขาไม่ได้แยแสอะไร เพียงเหินร่างไปต่ออย่างไม่รีบไม่ร้อนมุ่งตรงสู่เขตดินแดนศักดิ์สิทธิ์


 


เพราะอาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว 2 คนที่กำลังเหินร่างมาคิดขวางทางเขาก็ไม่ได้นับเป็นตัวอะไร พลังฝึกปรือของพวกมันก็มีแค่เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนเท่านั้น


 


สำหรับเขาตอนนี้แล้ว ทั้งคู่ไร้ซึ่งภัยคุกคามใดๆทั้งสิ้น


 


“ยังไม่หยุดอีก!!”


 


“ยังกล้าไปต่อรึ! เหิมเกริมนัก!!”


 


เสียงคำรามด้วยโทสะอันเกรี้ยวกราด 2 เสียงดังขึ้นแทบจะพร้อมๆกัน พาลให้ศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่ติดตามเรื่องราวอยู่แทบหูหนวก!


 


อาวุโสแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่คำรามออกมาอย่างดุร้าย บัดนี้ได้ปะทุพลังออกมา ก่อนจะพุ่งวูบไปปานเส้นสายอัสนี ใช้ออกด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่พวกมันจะทำได้ ไม่ทันไรก็ทยอยกันบรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียนก่อนจะขวางทางต้วนหลิงเทียนเอาไว้ทันที


 


ต้วนหลิงเทียนที่ถูกอาวุโสทั้ง 2 คนล้อมหน้าล้อมหลังเอาไว้แบบนี้ ก็ทำได้แค่หยุดร่างลง


 


และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนหยุดร่างลง โฉมหน้าของเขาก็ปรากฏให้อาวุโสเพลิงเงินทั้ง 2 ของแท่นบูชาพยัคฆ์เห็นชัด! ทั้งคู่ยังรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก


 


แน่นอนว่าโฉมหน้าที่ต้วนหลิงเทียนเปิดเผยออกมาตอนนี้ไม่ใช่ใบหน้าเดียวกับที่เขาใช้เข้าร่วมลัทธิบูชาไฟเมื่อหลายปีก่อน


 


ตอนนี้เขาเปิดเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริง! ใบหน้าที่ไม่ได้ผ่านการปลอมแปลงใดๆทั้งสิ้น!!


 


สาเหตุที่อาวุโสเพลิงเงินทั้ง 2 ของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวรู้สึกคุ้นเคยล้วนเป็นเพราะว่าทั้งคู่เองก็เคยเห็นได้เห็นรูปเหมือนของต้วนหลิงเทียนมาแล้วในอดีต


 


“เพ่ย! ผู้อาวุโสหลินกับผู้อาวุโสจ้งถึงกับลงมือพร้อมกันเชียวหรือ!”


 


ขณะเดียวกัน ด้านเหล่าศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่ติดตามเรื่องราวอยู่ด้วยความสนุกสนาน ก็ได้รับทราบถึงตัวตนอาวุโสเพลิงเงินทั้ง 2 ที่ออกมาสกัดศิษย์ที่แท้จริงเช่นกัน


 


“ไอ้หยา…ข้าว่าศิษย์ที่แท้จริงคนนี้ดวงกุดแล้วล่ะ!”


 


“นั่นสิ คราวนี้นับว่ามันอวดเบ่งผิดที่แล้วจริงๆ! แต่กล่าวไปมันก็ช่างกล้านัก ถึงกับเดินทางข้ามเขตพยัคฆ์ขาวโต้งๆแบบนี้…กระทั่งศิษย์ส่วนตัวของจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวข้าว่ายังไม่อาจหาญถึงขั้นนี้เลย!”


 


“ช้าก่อน! พวกเจ้าว่าศิษย์ที่แท้จริงคนนี้หน้าตาคุ้นๆหรือไม่? ไฉนข้าคุ้นหน้ามันนักเล่า?”


 


“นั่นสิ ข้าก็ว่าหน้าตามันคุ้นๆ…ผู้ใดแล้วนะ…มารดามันติดอยู่ที่ปาก!”


 



 


ในขณะที่เหล่าศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่ติดตามมาชมดูเรื่องราวได้เห็นหน้าต้วนหลิงเทียนที่หยุดลงชัดๆ ต่างก็รู้สึกคลับคล้ายคคลับคลาทั้งสิ้น


 


แต่ไม่มีใครสามารถจดจำและระบุตัวต้วนหลิงเทียนได้ทันที


 


แน่นอนว่านี่เป็แค่เรื่องของเวลาเท่านั้น อีกไม่นานในบรรดาเหล่าศิษย์ต้องมีคนจดจำต้วนหลิงเทียนได้แน่นอน


 


ด้านอาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวทั้ง 2 เองก็ชมมองต้วนหลิงเทียนไม่วางตา และในขณะที่พวกมันกำลังตัดสินใจว่าจะลงมือกับต้วนหลิงเทียนอย่างไรดีนั้นเอง


 


พลันมีเสียงอันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้น


 


“นึกออกแล้ว! ข้านึกออกแล้ว! นั่นคือศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนอย่างไรเล่า! พวกเจ้าจำไม่ได้รึ!?”


 


เมื่อเสียงอันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของศิษย์แท่นบูชาคนหนึ่งดังขึ้น ความปั่นป่วนก็บังเกิดในหมู่ศิษย์ทันที ศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวคนที่จำต้วนหลิงเทียนได้เบิกตามองต้วนหลิงเทียนด้วยความตกใจ แววตายังฉายถึงความตื่นเต้นออกมาชัดเจน


 


“ศะ…ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเรอะ!?”


 


“สวรรค์ช่วย…เป็นศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจริงๆ! ช่วยไม่ได้ที่ข้าจำไม่ได้ในตอนแรก เพราะตอนนี้ใบหน้าศิษย์พี่ต่างจากใบหน้าเก่าที่ข้าเคยเห็นเมื่อไม่กี่ปีก่อน…ตอนนี้ดูเหมือนศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจะใช้โฉมหน้าที่แท้จริงของตัวเอง! ข้าเคยเห็นจากรูปเหมือนของศิษย์พี่!!”


 


“ไม่ผิด! ข้าก็เคยเห็นเช่นกัน…ใบหน้านี้ช่างเหมือนในรูปวาดที่ข้าเคยเห็นหลายปีก่อนนัก!”


 



 


ตอนแรกก็ไม่มีใครรู้จักใบหน้าที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน แต่ทว่าหลังจากต้วนหลิงเทียนสังหารเซี่ยจง บิดาของมันอย่างเซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ ก็เปิดโปงความสามารถในการแปลงโฉมของต้วนหลิงเทียน และเผยแพร่หน้าตารวมถึงความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนออกมาจนหมด!


 


เรียกว่าคนของลัทธิบูชาไฟแทบทุกคนก็ได้รับรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนรวมถึงประวัติความเป็นมากันหมด


 


ก่อนหน้านี้ที่ไฉนผู้คนยังนึกไม่ออกนั้น เป็นเพราะจะอย่างไรเรื่องมันก็เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ความทรงจำของพวกมันก็เลือนรางไปบ้างอย่างช่วยไม่ได้


 


“ต้วนหลิงเทียน? จะ…เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรอกรึ?!”


 


อาวุโสเพลิงเงินของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวทั้ง 2 ย่อมได้ยินเสียงของเหล่าศิษย์ด้านล่างเช่นกัน มองไปที่ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ทีท่าโมโหของพวกมันพลันจางหายไปทันที ยังแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง


 


ทั้งตอนนี้เองพวกมันก็นึกออกแล้ว ใบหน้าของชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า กับภาพเหมือนที่เคยเห็นในอดีต ราวกับซ้อนทับกันอย่างสมบูรณ์ก็ไม่ปาน!


 


“ทำไมเล่า? หรืออาวุโสทั้ง 2 เคยเจอคนปลอมตัวเป็นข้าด้วย?”


 


เมื่อเห็นอาวุโสเพลิงเงินทั้ง 2 มองมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาพลางตอบหยอกด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


“ฮึ่ม! ไม่ต้องมายิ้ม! วันนี้ต่อให้เจ้าเป็นต้วนหลิงเทียนจริงแล้วจะอย่างไร! บ้านมีกฏบ้านลัทธิก็มีกฏลัทธิ…เจ้า ต้วนหลิงเทียน ในฐานะศิษย์ที่แท้จริงคนหนึ่งกลับไม่สนใจกฏ! กล้าสัญจรผ่านเขตแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวอย่างโจ้งแจ้ง วันนี้พวกข้าจะทำหน้าที่จับเจ้าไปส่งยังหอคุมกฏ…เพื่อให้ทางนั้นตัดสิน!!”


 


อาวุโสเพลิงเงินของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวคนหนึ่งกล่าวออกเสียงดัง เจตนาเผยให้เห็นชัด มันคิดจับกุมต้วนหลิงเทียน!


 


“ถูกแล้ว! ต้วนหลิงเทียน แม้เจ้าจะกลับมาตามคำเชิญของท่านจ้าวลัทธิ…แต่ก็มิใช่ว่าเจ้าจะสามารถละเมิดกฏของลัทธิบูชาไฟได้! วันนี้เจ้าต้องติดตามพวกเราไปยังหอคุมกฏ!!”


 


อาวุโสเพลิงเงินอีกคนของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวก็ประกาศเจตนาออกมาเช่นกัน


 


ทันใดนั้น บรรยากาศผ่อนคลายสบายๆจากรอยยิ้มหยอกๆเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นคุ้งกลิ่นดินปืนทันที


 


ในขณะที่เหล่าศิษย์ของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวกำลังสนอกสนใจ และหันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสนุกสนาน ด้วยอยากรู้ว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบคำอาวุโสทั้ง 2 อย่างไรนั้นเอง…


 


“อาวุโสทั้ง 2 อย่าพึ่งโมโหไป หากข้าจำไม่ผิด…กฏเรื่องการบุกรุกเข้าเขตแท่นบูชาจตุรลักษณ์ของศิษย์ชั้นยอดและศิษย์ที่แท้จริงที่พวกท่านว่า มันยังมีส่วนเสริมยิบย่อยอยู่อีกด้วยมิใช่หรือ…”


 


ขณะที่มองกล่าวกับอาวุโสทั้ง 2 อีกครั้งด้วยรอยยิ้ม สองตาต้วนหลิงเทียนคล้ายมีประกายอัสนีวูบวาบ


 


“ว่า…เมื่อไหร่ก็ตามที่ศิษย์ชั้นยอดหรือศิษย์ที่แท้จริงคนนั้นสามารถเอาชนะแท่นบูชาจตุรลักษณ์คนใดลงได้ ก็สามารถเพิกเฉยกฏห้ามผ่านเข้าออกแท่นบูชาจตุรลักษณ์ของจ้าวแท่นบูชาคนนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตทันที สามารถผ่านเข้าออกได้ตามใจชอบ…”


 


ต่อหน้าอาวุโสเพลิงเงินทั้ง 2 ของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว ต้วนหลิงเทียนค่อยๆกล่าวออกเสียงดังฟังชัดไม่รีบไม่ร้อน


 


เขาเองก็เคยได้ศึกษากฏทั้งหมดของลัทธิบูชาไฟมาแล้ว ย่อมจดจำเรื่องยิบย่อยเพื่อยกเว้นโทษพวกนี้ได้เป็นอย่างดี


 


“เจ้า…”


 


เมื่อได้ยินวาจาประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียน สีหน้าท่าทีของอาวุโสเพลิงเงินทั้ง 2 ของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวพลันแปรเปลี่ยนไปทันใด ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความตกใจทั้งเหลือเชื่อ!


 


ในใจของพวกมันทั้งคู่ยามนี้ อยู่ๆบังเกิดความคิดเหลวไหลขึ้นมาประการหนึ่ง…


 


ต้วนหลิงเทียนคนนี้ มีพลังฝีมือเหนือกว่าจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาของพวกมันงั้นหรือ?


 


แต่ต้องทราบด้วยว่าจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของพวกมันก็คือ อาวุโสเพลิงทอง! ตัวตนที่บรรลุขอบเขตพลังฝึกปรือ เซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน!!


 


แม้จะให้มองไปทั่วตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนทั้งแดนดิน จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวก็ยังจัดเป็นผู้ที่โดดเด่นคนหนึ่ง!


 


จังหวะนี้ไม่เพียงอาวุโสแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวทั้ง 2 จะตกตะลึงเท่านั้น เหล่าศิษย์ที่ติดตามมาชมดูเรื่องราวสนุกสนาน ก็ถึงกับตกตะลึงอึ้งกิมกี่ไปไม่ต่าง


 


“ขะ…ข้าคงไม่ได้หูฝาดไปหรอกนะ ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนถึงกับคิดจะท้าทายจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของพวกเราเลยเรอะ!?


 


เรียกว่าทุกคนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความคิดอุกอาจเช่นนี้


 


“หากแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวคิดเอาเรื่องข้า ต้วนหลิงเทียน ด้วยสาเหตุนี้…เช่นนั้นข้าก็ขอเชิญจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวออกมาชี้แนะข้าสักครา! หากข้าแพ้พ่ายข้าก็ยินดีติดตามไปรับโทษที่หอคุมกฏอย่างไม่ขัดข้อง…”


 


ไม่นานเสียงของต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ยังดังชัดถ้อยชัดคำนัก!


 


และวาจาเพียงไม่กี่คำที่ว่า ก็เผยเจตนาชัดเจน!


 


หากวันนี้จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวไม่ยอมให้ข้าต้วนหลิงเทียนผ่านไปดีๆ เช่นนั้นข้าต้วนหลิงเทียนก็ขอท้าสู้จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวสักตั้ง!!


 


ถ้าจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวชนะ ข้า ต้วนหลิงเทียน ก็ยินดีติดตามไปหอคุมกฏเพื่อรับโทษเรื่องนี้ แต่ถ้าจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวแพ้ ข้า ต้วนหลิงเทียน ก็สามารถเดินเตร้ดเตร่ผ่านเข้าออกแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวได้ตามใจชอบ!!


 


วาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวนี้ แม้ไม่ทราบว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่ แต่มันก็ผสานพลังเซียนสุริยันอันร้ายกาจ จนดังก้องกังวานไปทั่วแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวทันที พาลให้ผู้คนในแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวทั้งหมดที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงกับสะดุ้ง!


 


“อะไร? ต้วนหลิงเทียน?”


 


“ฮะ? ศิษย์พี้ต้วนหลิงเทียนกลับมาแล้วรึ!?”


 


“พระช่วย…ไม่เพียงแต่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจะกลับมาแล้ว แต่สมควรเดินทางข้ามเขตพยัคฆ์ขาวของพวกเราอย่างโจ่งแจ้งอีกด้วย! อีกทั้งฟังจากเสียงกล่าว เหมือนศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนตั้งใจท้าสู้กับจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของพวกเรา!!”


 


“ให้ตายเถอะ…ดูท่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนคงถูกอาวุโสท่านใดหยุดเอาไว้…จะว่าไปในลัทธิบูชาไฟก็มีกฏเช่นนี้อยู่จริง แม้จะห้ามศิษย์ที่แท้จริงกับศิษย์ชั้นยอดเข้าเขตแท่นบูชาจตุรลักษณ์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากจ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์อย่างเด็ดขาด แต่ยังมีกฏว่าหากพลังฝีมือสูงกว่าจ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์คนใดก็สามารถผ่านเข้าออกแท่นบูชาจตุรลักษณ์นั้นๆได้ตามอำเภอใจ…”


 


“ให้ตายเถอะ…ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนกลับมาได้ไม่ทันไร ก็คิดท้าสู้จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวเราเพื่อรับสิทธิพิเศษนั่นเลยเรอะ!?”


 



 


เหล่าศิษย์ทั้งอาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวทั้งหมด ไม่ว่าตอนนี้พวกมันจะทำอะไรกันอยู่ ล้วนวางเรื่องราวตรงหน้า และเร่งรุดเหินร่างไปดูชมเรื่องราวทันที!


 


เรียกว่าจังหวะนี้ไม่เพียงแต่ศิษย์ กระทั่งอาวุโสเพลิงเงิน หรืออาวุโสเพลิงทองแดง ก็ทิ้งงานตรงหน้าแห่กันมาดูชมเรื่องราวกันหมด…


 


ในเวลาเพียงชั่วพริบตาหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนลั่นวาจาประกาศท้ารบออกไป แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวก็เสมือนตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นคึกคักเอ็ดตะโรกันใหญ่


 


“ต้วนหลิงเทียน! เจ้าต้องการท้าข้างั้นหรือ?”


 


ทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงทรงพลังอำนาจหนึ่งกึกก้องไปทั่วทั้งแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว ทำให้ทั่วทั้งแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวคล้ายสะเทือนเลือนลั่นขึ้นมาทันที!


ตอนที่ 2,173 : ตกตะลึงพรึงเพริด!


 


“ใต้เท้าจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว!”


 


ได้ยินเสียงที่กึกก้องไปทั่วแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว บรรดาผู้อาวุโสรวมถึงศิษย์ทั้งหลายของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว ที่เร่งรุดมาชมดูเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนเพื่อความบันเทิงใจ อดไม่ได้ที่จะทำตาลุกวาวกันถ้วนหน้า!


 


“ฟังจากน้ำเสียงของท่านจ้าวแท่น…ท่าทางจะมีโมโหไม่น้อย”


 


“ฮาย! ยังไม่ให้มีโมโหได้อย่างไรไหวเล่า!? ต้วนหลิงเทียนที่ไม่ต่างใดจากเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมในสายตาท่านจ้าวแท่น…กลับหาญกล้าท้าทายท่านจ้าวแท่นต่อหน้าผู้คนเช่นนี้!”


 


“แต่ต้วนหลิงเทียนนั่นมันถึงกับกล้าท้าท่านจ้าวแท่นสู้เชียว! หรือมันมั่นใจว่าสามารถเอาชนะท่านจ้าวแท่นได้จริงๆ?”


 



 


เหล่าศิษย์ทั้งอาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวต่างซุบซิบกันดังระงม ในวาจาของพวกมันฟังแล้วคล้ายไม่แน่ใจว่าต้วนหลิงเทียนมีพลังฝีมือสามารถสูงพอเอาชนะจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวจริงๆหรือไม่…


 


เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อไม่กี่ปีก่อน ต้วนหลิงเทียน คนนี้…ก็เสมือนสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง!


 


ตั้งแต่วันแรกที่ต้วนหลิงเทียนก้าวเท้าเข้ามาเหยียบลัทธิบูชาไฟ ก็มีเรื่องราวบาดหมางกับตัวตนระดับสูงไม่น้อย ยังมีปัญหากับเหล่าศิษย์ที่ทุกคนมองว่าร้ายกาจกว่าอยู่ร่ำไป…แต่พิกลนัก ทุกคราไม่ว่าจะต่อยตีหรือเข่นฆ่า ต้วนหลิงเทียนกลับไม่เคยแพ้ใคร!


 


และวันนี้ต้วนหลิงเทียนที่หายตัวไปนาน พอกลับมาถึงลัทธิบูชาไฟได้ไม่ทันไรก็ท้าผู้คนสู้อีกแล้ว!


 


และคราวนี้เป้าหมายของต้วนหลิงเทียนก็ไม่ใช่ ‘ศิษย์’ เหมือนทุกที! ทว่าเป็นถึงอาวุโสเพลิงทองของลัทธิบูชาไฟ จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว!!


 


ในฐานะจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว อันเป็น 1 ในแท่นบูชาจตุรลักษณ์ พลังฝีมือของมันย่อมถือว่าเป็นชนชั้นยอดฝีมือในบรรดาอาวุโสเพลิงทอง


 


จังหวะนี้พอทุกคนนึกถึงวีรกรรมที่ต้วนหลิงเทียนก่อในอดีตทั้งหมด ที่ผลลัพธ์เสมือนเรื่องอภินิหาร กับพลังฝีมือของจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่ทั้งหลายยำเกรงกันดี ก็ทำให้พวกมันรู้สึกคาดเดาไม่ได้อยู่บ้าง ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร…


 


“ไม่รู้แล้ว! จ้าวแท่นบูชาของพวกเราอย่างไรก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน…ส่วนต้วนหลิงเทียนคนนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้วก็เป็นศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุด พลังฝึกปรือสมควรบรรลุถึงสุดปลายเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน ไม่ก็เป็นเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน…แต่ในเมื่อเวลามันผ่านมาแล้วถึง 3 ปี ตอนนี้ก็ยากจะบอกว่าพลังฝีมือใช่เหนือกว่าจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวแล้วหรือยัง!”


 


“เส้นทางแห่งการบ่มเพาะเป็นดั่งเส้นทางฝืนฟ้า…ยิ่งระดับสูงมากเท่าใดก็ยิ่งยากเย็นมากขึ้นเท่านั้น! โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนไปยิ่งยากเย็นเป็นพิเศษ! ถึงแม้พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนจะทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงิน ก็ไม่แน่ว่าจะทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนได้ในเวลาแค่ 3 ปี!”


 


“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า เช่นนั้นระหว่างจ้าวแท่นบูชาของพวกเรากับต้วนหลิงเทียน ข้าให้ภาษีท่านจ้าวแท่นสูงกว่า!”


 


“ข้าล่ะแทบทนรอดูไม่ไหวแล้ว! ให้จ้าวแท่นบูชาเราทุบตีต้วนหลิงเทียนผู้นี้สักทีเถอะ! กล้าข้ามหัวพวกเราแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวแบบนี้มันเกินไป! ทำราวกับไม่เห็นพวกเราคนของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวอยู่ในสายตาจริงๆ!!”


 



 


สุดท้ายในขณะที่เหล่าศิษย์กำลังลังเลยากตัดสินใจ ด้านอาวุโสทั้งหลายเห็นทีจะโน้มเอียงไปทางจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวมากกว่า ต่างเชื่อวันว่าหากสู้กันถึงที่สุดจริงๆ จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของพวกมันต้องชนะต้วนหลิงเทียนได้แน่ และความเชื่อของพวกมันยังมีอิทธิพลกับความคิดของเหล่าศิษย์ไม่น้อย…


 


ฟุ่บบ!


 


ศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยไม่ทันได้ตอบสนองอะไร พวกมันก็พบว่าใกล้ๆกับที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างลอยอยู่ พลันมีอีกร่างปรากฏขึ้น


 


เป็นชายวัยกลางคนที่รูปร่างสูงใหญ่แลดูดุดัน มาในชุดคลุมเฉพาะของเหล่าผู้อาวุโส


 


อย่างไรก็ตามด้วยลายปักเปลวเพลิงบนชุดของมันเป็นสีทอง ทั้งเปลวเพลิงสีทองยังก่อเป็นรูปร่างพยัคฆ์ขาวอย่างเห็นได้ชัด แถมกลางหน้าผากของพยัคฆ์ขาวนั่นยังมีคำว่า จ้าว ปักอยู่! ผู้คนจึงสามารถระบุความเป็นมาของคนผู้นี้ได้ไม่ยาก!!


 


จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว หลูชิ่ง!


 


ร่างของหลูชิ่งนั้นไม่เพียงสูงใหญ่แต่ยังหนาบึ๊กแลดูกำยำแข็งแรง หนวดเคราของมันรกรุงรังนัก คิ้วหนาตาโตพร้อมด้วยเส้นผมหยิกหยอยดั่งอสรพิษปล่อยไว้ลวกๆ พาลให้มันแลดูดิบเถื่อนดุร้ายอย่างถึงที่สุด!


 


เพียงมันลอยร่างอยู่เฉยๆ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกเสมือนเผชิญหน้ากับจ้าวป่าให้ความรู้สึกอันตรายนัก


 


“ใต้เท้าจ้าวแท่น!”


 


“ใต้เท้าจ้าวแท่น!”


 



 


ทันทีที่หลูชิ่งปรากฏตัวออกมาให้เห็นชัดๆ เหล่าอาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวก็รู้สึกตัวก่อนหมู่ศิษย์ เร่งนำกล่าวคารวะทักทายทันที


 


หลูชิ่งพยักหน้ารับคำทักเบาๆ ก่อนที่จะหันไปจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง “ต้วนหลิงเทียน แม้ข้าจะไม่เคยเจอเจ้ามาก่อน แต่ข้าได้ยินเรื่องราวของเจ้ามานาน และข้ายังรู้ว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งในรอบพันปีของลัทธิบูชาไฟเรา…”


 


“นอกจากนั้นเจ้ายังเป็นศิษย์คนแรกในประวัติศาสตร์ลัทธิบูชาไฟเรา ที่ถูกท่านจ้าวลัทธิเชื้อเชิญให้กลับมาเป็นการส่วนตัว ทั้งยังให้คำมั่นว่าจะกล่าวคำสาบานเพื่อแสดงความจริงใจให้เจ้าเห็น…เรื่องนี้ทำให้ข้าเลื่อมไสเจ้านัก…”


 


แม้ปากหลูชิ่งจะกล่าวว่าเลื่อมไส หากแต่น้ำเสียงของมันกลับเต็มไปด้วยความเฉยเมยไร้แยแส


 


เป็นเพราะมันรู้ดีว่าเหตุผลที่ทำให้จ้าววลัทธิบูชาไฟประกาศถ้อยแถลงออกไปแบบนั้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่กระทำเพื่อตราผนึกมารที่อยู่ในมือต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น! เพราะวันใดที่เผ่าพันธุ์ปีศาจบุกขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบน ตราผนึกมารในมือต้วนหลิงเทียนจะเป็นยอดศาสตราเซียนที่มีคุณค่าสูงสุด!


 


“จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว หลูชิ่ง ข้าเองก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมานาน…”


 


เผชิญหน้ากับการ ‘ทักทาย’ ของหลูชิ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ตอบกลับไปอย่างไร้แสแยเช่นกัน


 


“ต้วนหลิงเทียนข้าทราบดีว่าพรสวรรค์ของเจ้าร้ายกาจไม่ธรรมดา เช่นนั้นหลังผ่านไป 3 ปี พลังฝีมือเจ้าสมควรก้าวหน้าไม่น้อยใช่หรือไม่…แต่เจ้าคิดจริงๆหรือว่าวันนี้เจ้าสามารถประชันกับข้าได้แล้ว?”


 


“หากเจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ…ต้องกล่าวเลยว่าในกาลก่อนเป็นข้าตีค่าเจ้าสูงเกินไป เพราะวันนี้ในสายตาข้า…เจ้ามันไม่ต่างใดจากตัวโง่งมสมองกลับ!”


 


วาจาเฉยชาไม่แยแสที่ต้วนหลิงเทียนตอบกลับมา ทำให้หลูชิ่งรู้สึกเสมือนถูกลูบคม มันจึงมีโมโหไม่น้อย พาลให้กล่าวตอบต้วนหลิงเทียนกลับไปด้วยวาจาดูแคลนซึ่งๆหน้า!


 


“ข้าจะประชันกับท่านได้หรือไม่ได้ เดี๋ยวพอลองดูก็รู้เอง…”


 


ต้วนหลิงเทียนคล้ายไม่นำพาวาจาดูเบาจากหลูชิ่ง เขายังคงเฉยๆราวกับไม่ได้เห็นหลูชิ่งอยู่ในสายตาตั้งแต่แรก…


 


และอันที่จริงแล้วเขาก็ไม่เห็นหลูชิ่งอยู่ในสายตาจริงๆ


 


หลูชิ่งจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว อาวุโสเพลิงทองของลัทธิบูชาไฟคนนี้ ก็แค่เซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน…


 


ไม่ต้องกล่าวถึงความสามารถอื่นใด เพียงแค่พลังบ่มเพาะอย่างเดียวเขาก็เอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย…


 


เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้พลังบ่มเพาะของเขาก็บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน!


 


“เจ้า!”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนคล้ายไม่เห็นมันอยู่ในสายตา หลูชิ่งอดไม่ได้ที่จะของขึ้น โทสะอารมณ์พุ่งปรี๊ด พลังเซียนต้นกำเนิดทั่วร่างทะลักทะลายออกมาดั่งเพลิงไฟ แผ่ซ่านกลิ่นอายพลังอันน่ากลัวออกมากดดันในบรรยากาศ!


 


เหล่าศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อย ถึงกับต้องเร่งรุดล่าถอยกันจ้าละหวั่น รีบหลบออกไปให้พ้นรัศมีพลังอันน่ากลัวนั่น!


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ที่แท้ไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกันแน่ ถึงได้กล้าทำเป็นไม่เห็นใต้เท้าจ้าวแท่นอยู่ในสายตา?”


 


ความไม่อีนังขังขอบของต้วนหลิงเทียน ยังทำให้บรรดาผู้อาวุโสรวมถึงเหล่าศิษย์ทั้งหลายของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวตกใจกันยกใหญ่ พวกมันไม่ทราบว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้ขวัญกล้าเทียมฟ้า ทำราวกับเป็นเจ้าของแทนบู่ชาพยัคฆ์ขาวของพวกมันตัวจริงอย่างไรอย่างนั้น


 


“ใต้เท้าจ้าวแท่นบันดาลโทสะแล้ว…ต้วนหลิงเทียนผู้นี้วันนี้ต่อให้ไม่ตาย แต่อย่างน้อยๆก็ต้องนอนเปล!”


 


เหล่าอาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่รู้ซึ้งถึงพลังฝีมือจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวดี เมื่อตระหนักได้ถึงโทสะของผู้บังคับบัญชา พวกมันอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา ทั้งลอบไว้อาลัยให้ต้วนหลิงเทียนล่วงหน้า!


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ออกไปโลดแล่นในโลกภายนอกมาไม่กี่ปี เจอแต่พวกผู้ฝึกตนอิสระไร้แก่นสารในนครแห่งบาป จนคิดว่าตัวเองกลายเป็นตัวตนอันไร้เทียมทานในใต้หล้าแล้วหรือไร?”


 


“วันนี้แม้ไม่ทราบมันไปกินดีหมีหัวใจเสืออันใดมา…แต่กลับนำความกล้ามาใช้ต่อหน้าจ้าวแท่นของพวกเรา แถมยังถือดีไม่เลิก ก็นับว่ารนหาที่ตายแล้วแท้ๆ…”


 


“ยังจะเรียกว่ารนหาที่ตายอันใดได้…สุดท้ายแล้วท่านจ้าวลัทธิก็ได้ออกมาแถลงการณ์ด้วยตัวเอง ถึงขั้นเชื้อเชิญให้ต้วนหลิงเทียนผู้นี้กลับมาลัทธิบูชาไฟอย่างไว้หน้า! ผู้ใดจะหาญกล้าตีมันตาย? ทว่าโทษตายอาจละเว้นแต่โทษเป็นยังอยู่! วันนี้ไม่พ้นมันต้องถูกทุบตีเจ็บๆหน่อย!”


 



 


เรียกว่าอาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวส่วนใหญ่ไม่มีใครดูดำดูดีต้วนหลิงเทียนเลย ต่างพากันคิดว่าต้วนหลิงเทียนผยองลำพองเกินไป หาเรื่องเจ็บตัวแท้ๆ


 


แต่มีศิษย์และอาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวไม่กี่คนคิดต่างออกไป ตอนนี้สองตาพวกมันมองต้วนหลิงเทียนไม่วางยังฉายประกายแหลมคมวูบวาบ ลอบกล่าวในใจอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ‘ความมั่นใจของต้วนหลิงเทียนนั่นมันอะไรกัน?! สีหน้าเช่นนี้…มิต่างใดจากสีหน้ามั่นใจเหมือนในกาลก่อนเลย! หรือต้วนหลิงเทียนมั่นใจว่าสามารถสยบท่านจ้าวแท่นได้จริงๆ?’


 


แน่นอนว่าแม้ในใจของมันจะลอบคิดไปแบบนั้น แต่พวกมันก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมาสักคน


 


เพราะหากมันพูดเรื่องราวทำนองที่ว่าต้วนหลิงเทียนอาจเอาชนะจ้าวแท่นของพวกมันออกมาอย่างไม่ดูเวล่ำเวลา พวกมันได้จมน้ำลายสหายและอาวุโสคนอื่นๆตายแน่…


 


และในขณะที่ร่างของหลูชิ่งเริ่มเคลื่อนไหวด้วยการเหินขึ้นฟ้า เริ่มตั้งท่าคล้ายคิดป้อนกระบวนท่าจู่โจมร้ายกาจอันใดบางอย่าง


 


“ไม่ต้องลีลาได้หรือไม่…”


 


เสียงอันแฝงไปด้วยความรำคาญหนึ่งของต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้น…


 


เรียกว่าทำให้หลูชิ่งที่หัวร้อนอยู่เป็นทุนทนไม่ไหวสืบไป พลังเซียนต้นกำเนิดทะลักทะลายออกมาท่วมร่างไม่หยุดยั้ง ดั่งภูเขาไฟระเบิด!


 


และในขณะที่ทั่วร่างหลูชิ่งสั่นไปอย่างแรง ฝ่ามือยกขึ้นด้วยคล้ายกำลังจะผนึกพลังซัดฟาดไปยังต้วนหลิงเทียนนั้นเอง


 


“ท่านหลูชิ่ง หากวันนี้ท่านไม่คิดลงมืองั้นให้ข้าลงมือก่อนแล้วกัน…”


 


เสียงเบื่อหน่ายคล้ายรำคาญของต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้นอีกรอบ


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงรำคาญนี้ดังขึ้น มือขวาของต้วนหลิงเทียนพลันสะบัดออกไปเบื้องหน้าฉับไวปานภูตผี ก่อนที่จะปรากฏแสงสีทองส่องสว่างเจิดจ้าออกมา เป็นมวลพลังเซียนต้นกำเนิดอันมหาศาลนัก!


 


หากกล่าวให้ชัดก็คือพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิด!


 


มวลพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดขุมใหญ่ปะทุระเบิดออกจากฝ่ามือต้วนหลิงเทียน ตัดฟ้าข้ามระยะไปในพริบตา ระหว่างทางพลันควบแน่นก่อเกิดเป็นฝ่ามือสีทองมหึมาปานมือของยักษา!


 


และดั่งจะลอกเลียนท่าทางคว้าจับของมือขวาต้วนหลิงเทียนก็ไม่ปาน ยามมือขวาต้วนหลิงเทียนทำท่ากอบกุม หัตถ์พลังมีสภาพสีทองจ้านั่น ก็พุ่งไปคว้าร่างจ้าวแท่นบูชามังกรครามเอาไว้ในชั่วพริบตา!


 


ปงงงงงงงงง!!


 


ซู่มมมม!!


 



 


ประหนึ่งขุนเขา 5 นิ้ว ถล่มลงจากฟ้าเบื้องบน! พริบตาร่างหลูชิ่งก็ถูกหัตถ์พลังมีสภาพสีทองกอบกุมเอาไว้อย่างแน่นหนา!!


 


การลงมือครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียนไร้กระบวนท่า ไร้วิชา ไร้เวทย์พลังทั้งไม่ใช้ออกด้วยวรยุทธ์เซียนใดๆทั้งสิ้น เพียงจ่ายพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดออกไปผนึกควบแน่นคว้าคนง่ายๆ ไม่ต่างใช้พลังไร้สภาพหยิบยกสิ่งของ


 


อนิจจาฝ่ามือนี้ลงมือได้รวดเร็วเกินไป มวลพลังปะทุออกรวดเร็วเกินไป ทั้งยังควบแน่นและพุ่งมาคว้าจับผู้คนได้รวดเร็วเกินไป! หลูชิ่งรู้ตัวอีกทีคนก็ถูกคว้าไวดั่งลูกไก่ในกำมือเสียแล้ว!!


 


อีกทั้งพริบตาเดียวกันกับที่หัตถ์พลังมีสภาพอันเขื่องคว้าร่างหลูชิ่งไว้ได้ พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดอันมหาศาลที่ผนึกอยู่ในหัตถ์มหึมานั่น ก็เปล่งพลังอานุภาพสะกดพลังเซียนต้นกำเนิดทั่วร่างหลูชิ่งอย่างครอบงำ! ยังบดขยี้จนย่อยยับอย่างไร้ปราณี!!


 


ถึงแม้พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนจะเป็นเพียงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน ทว่าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของเขา ก็มีพลังอานุภาพเหนือกว่าพลังเซียนต้นกำเนิดขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนคนอื่นเป็นทุน…


 


กล่าวได้เลยว่าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนมันร้ายกาจถึงขั้นเกือบจะทัดเทียมกับพลังเซียนต้นกำเนิดของขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้วด้วยซ้ำ!


 


ด้วยพลังอำนาจที่มหาศาลขนาดนี้ ยามเผชิญหน้ากับพลังเซียนต้นกำเนิดที่อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนของหลูชิ่ง จึงไม่ต่างใดจากใช้มีดฆ่าโคฆ่าไก่ สามารถบดขยี้ได้อย่างย่อยยับในชั่วพริบตา ไม่พบพานแรงต้านอันใดทั้งสิ้น…


 


“ฮย่าาาาส์!!!”


 


ภายใต้สายตาของทุกผู้คน จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว หลูชิ่ง ที่ไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายใดๆได้เพราะตอนนี้ถูกหัตถ์พลังมีสภาพสีทองคว้าจับเอาไว้นั้น หน้าของมันแดงคล้ำคร่ำเคร่ง เส้นเลือดขอดสีเขียวยังปูดโปนที่ขมับตุบๆ! คนคล้ายเบ่งพลังเกร็งร่างออกแรงเต็มที่จนคำรามออกมาราวกับสัตว์ป่า! พลังทั่วร่างก็กระพริบพุ่งขึ้นมาวูบวาบไปทั่วร่างไม่หยุดคล้ายจะเปล่งอานุภาพ…!!


 


อนิจจาเพียงเร่งเร้าขึ้นมาก็ถูกบดขยี้ทำลาย เร่งเร้าออกมาอีกก็ถูกบดขยี้ทำลาย…เป็นอยู่อย่างนั้น!


 


“นิ…นี่…นี่มัน”


 


“ปะ…เป็นไปได้ยังไงกัน!?”


 



 


เห็นฉากเรื่องราวตรงหน้า ทั้งอาวุโสและเหล่าศิษย์ของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวพากันตกตะลึงพรึงเพริด!


ตอนที่ : 2,174 : ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน


 


 


 


เพียงกระบวนท่าคว้าจับอันเรียบง่าย หากแต่หัตถ์พลังมีสภาพสีทองจ้า…กลับมีพลานุภาพประหนึ่งจะคว้าตะวันจันทราเอาไว้ได้…!


 


จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวผู้น่างเกรงขาม หลูชิ่ง ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนไม่ทันที่มันจะได้ทันลงมืออะไรก็ถูกสยบอยางราบคาบ ไร้ซึ่งหนทางตอบโต้!!


 


เหล่าอาวุโสทั้งเหล่าศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวตอนนี้ได้แต่มองเรื่องราวเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง แต่ละคนลูกตาแทบถลนออกจากเบ้า บ้างก็อ้าปากค้างจนหมัดลอดเข้าออกได้ กลางหน้าผากคล้ายมีคำเหลือเชื่อแปะติด


 


ก่อนหน้านี้ หลูชิ่ง จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของพวกมันเป็นดั่งผู้ทรงพลังอันเข้มแข็ง…


 


ทว่าวันนี้พวกมันกลับต้องมาประจักษ์คาตา…


 


หลูชิ่ง ที่พวกมันเคารพยกย่อง ต่อหน้าศิษย์ที่แท้จริงคนหนึ่งกลับไม่มีแม้แต่โอกาสจะลงมือ!


 


ศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟ กลายเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?


 


ขวับ…


 


ภายใต้สายตาเหลือเชื่อของทุกคน หัตถ์พลังมีสภาพสีทองที่บีบกำร่างหลูชิ่งไว้ในอุ้งมือ ก็ค่อยๆคลายออก


 


พอต้วนหลิงเทียนคลายมือขวาออก ทำให้หัตถ์พลังมีสภาพอันเขื่องที่ควบแน่นจากพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดนั่น ก็คลายตัวตามความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนจงใจกกระทำแบบนี้


 


ด้านหลูชิ่งหลังจากที่ดิ้นรนจนหน้าแดงก่ำ อยู่ๆ เมื่อพบว่าร่างกายเป็นอิสระแล้ว มันก็ประหนึ่งมัจฉาคืนสมุทร วิหกคืนฟ้า สัมผัสได้ถึงอิสระเสรีที่โหยหา…


 


เรียกว่าตอนนี้ในใจมันอดไม่ได้ที่จะลอบยินดีถึงที่สุด มีเพียงเผชิญหน้ากับหายนะแล้วรอดพ้นมาได้เท่านั้นถึงจะเข้าใจดีว่าการมีชีวิตอยู่มันดีเพียงใด…


 


แน่นอนว่าหลังจากที่มันยินดีได้ไม่ทันไร ในใจก็เริ่มบังเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมาอีกกครั้ง


 


ตื่นตระหนกกับความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน!


 


ขวับ!


 


ดั่งฟ้าแลบ หลูชิ่งไม่ทันที่จะได้ตอบสนองอะไร ต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็ยกมือขวาขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยๆตบลง


 


ทันใดนั้นเอ หัตถ์พลังมีสภาพอันเขื่องที่อยู่ตรงหน้าหลูชิ่งก็ลอยขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะหลูชิ่ง!


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนตบมือลงมา หัตถ์พลังมีสภาพที่อยู่เหนือศีรษะหลูชิ่ง ก็ฟาดตบลงมาเช่นกัน! สภาวะยังประหนึ่งขุนเขาสูงใหญ่ถล่มลง ฟาดโถมเข้าใส่ร่างหลูชิ่งอีกครั้ง!!


 


ปงงง!!!!


 


เสียงหนึ่งลั่นดังสนั่นขึ้น หลูชิ่งที่ไม่ทันได้ตอบสนองอะไร ถูกหัตถ์พลังอันเขื่องที่ไม่ต่างใดจากขุนเขา 5 นิ้ว ตบเข้าอย่างจัง คนร่วงจากฟ้าปานอุกกาบาต!


 


หลังจากนั้นไม่ทันไร…


 


ตูมมมม!!


 


โครมมมม!!


 



 


เสียงระเบิดดังลั่นไปทั่ว ตอนนี้ทั้งเขตแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวคล้ายบังเกิดแผ่นดินไหวก็ไม่ปาน เป็นหลูชิ่งที่ถูกหัตถ์พลังมีสภาพอันเขื่องของต้วนหลิงเทียนตบจนร่วงฟ้ามากระแทกพื้นอย่างแรง!


 


หัตถ์พลังมีสภาพนั่น หลังจากตบหลูชิ่งร่วงแล้วก็ไม่ได้ถล่มลงมาซ้ำแต่อย่างไร…


 


นั่นเพราะต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดจะฆ่าหลูชิ่ง เมื่อตบอีกฝ่ายจนหัวทิ่มแล้ว หัตถ์พลังมีสภาพอันเขื่องที่เกิดจากการควบแน่นของพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดก็ค่อยๆสลายตัวไปในห้วงคิดเดียว


 


อย่างไรก็ตามหลูชิ่งที่แม้ไม่ตายและไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไรมาก ก็แทบอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด…


 


อยู่ๆก็ถูกตบจนหัวทิ่มร่วงพื้นอย่างสิ้นท่าแบบนี้ จะยังไม่ให้มันรู้สึกอับอายขายหน้าได้หรือ?


 


ในสายตาของเหล่าศิษย์ทั้งอาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว เรื่องราวทั้งหมดมันบังเกิดขึ้นในเวลาเพียงเสี้ยวพริบตาเท่านั้น…


 


ทว่าเพียงเวลาแค่เสี้ยวพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของพวกมัน ก็ถูกศิษย์ที่แท้จริงตบหัวทิ่ม! ร่างยังร่วงตกฟ้ามากระแทกพื้นอย่างแรง แต่ต้นจนจบไม่มีปัญญาต่อต้านอะไรเลย…


 


จังหวะนี้สีหน้าอาวุโสทั้งเหล่าศิษย์ของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวกลายเป็นเลอะเลือนปานวิญญาณหลุดลอย…


 


“ล่วงเกินแล้ว จ้าวแท่นหลู…”


 


ต้วนหลิงเทียนกวาดตามองไปยังจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวหลูชิ่งที่กำลังลุกขึ้นมาอย่างยากลำบากด้วยสายตาเฉยเมย ปากกล่าวออกเสียงเรียบ และไม่ว่าหลูชิ่งจะชักสีหน้าบิดเบี้ยวเพียงใดต้วนหลิงเทียนก็คร้านเสียเวลาต่อความยาวสาวความยืดอะไรอีก เพียงจากไปทันทีหลังกล่าวทิ้งท้ายจบคำ…


 


สำหรับเขาตอนนี้ การทุบตีบดขยี้เซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนไม่นับว่าเป็นผลสำเร็จอะไร กระทั่งให้คู่ต่อสู้เป็นถึงอาวุโสเพลิงทองชนชั้นจ้าวแท่นบูชา ก็ไม่มีความหมายแม้แต่น้อย…


 


หากไม่ใช่เพราะคนของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวมาขวางเขาไว้ เขาก็คร้านจะลงมืออะไรด้วยซ้ำ


 


การจากไปดั่งสายลมของต้วนหลิงเทียนรอบนี้ ไม่มีแม้แต่คนเดียวในแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่จะกล้าไปหยุดรั้งเอาไว้อีก รวมถึงตัวหลูชิ่งจ้าวแท่นเองด้วย


 


“หะ…ให้ตาย ผ่านไปไม่กี่ปี แต่ต้วนหลิงเทียนแข็งแกร่งถึงระดับนี้แล้ว?”


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนจากไป สีหน้าหลูชิ่งก็เปลี่ยนเป็นเขียวสลับขาว ขณะเดียวกันพอนึกถึงเรื่องราวบางอย่าง ลูกตามันก็หดเล็กลงทันใด


 


“หรือว่า…ข่าวจากนครแห่งบาปนั่นจะเป็นความจริง ต้วนหลิงเทียน…มันฆ่าจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬได้จริงๆ?!”


 


ก่อนหน้านี้แม้หลูชิ่งจะเคยได้ยินข่าวเรื่องต้วนหลิงเทียนฆ่าเซี่ยคังฉวิน แต่มันก็เหมือนกันกับคนส่วนใหญ่ มันไม่เชื่อ! เพราะเรื่องมันเหลือเชื่อทั้งเกินจริงเกินไป…!!


 


อย่างไรก็ตามพอนึกถึงการลงมือเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียน ในใจมันตระหนักได้ชัดเจนถึงเรื่องหนึ่ง…


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนลงมือ มันรู้สึกเสมือนได้เผชิญหน้ากับขุนเขาอันสูงชัน! แรงกดดันนั่น…ทำให้มันหายใจแทบไม่ออก!!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัตถ์พลังมีสภาพที่ต้วนหลิงเทียนควบแน่นขึ้นมาจากพลังเซียนต้นกำเนิดนั่น คล้ายจะบรรจุไว้ด้วยพลังอำนาจของฟ้าดิน! ไม่ว่ามันจะดิ้นรนเท่าไหร่ ก็ไม่เป็นผลเลย!


 


“หัตถ์พลังอันเขื่องนั่น มันแค่ใช้พลังเซียนต้นกำเนิดควบรวมสร้างขึ้นเท่านั้น…แต่ต่อให้เป็นพลังเซียนต้นกำเนิดของขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนก็ไม่มีทางร้ายกาจขนาดนี้! ความรู้สึกที่มันยัดเยียดให้ข้า ทำให้ข้ารู้สึกเสมือนเผชิญหน้ากับพลังอำนาจของสุดยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน กระทั่งให้กล่าวว่าเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนก็ไม่เกินเลย!”


 


ตอนนี้ในแววตาหลูชิ่งเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจนัก “ในเวลาแค่ไม่กี่ปีมันกลับเติบโตก้าวหน้าได้ถึงขั้นนี้…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับต้วนหลิงเทียนกันแน่?”


 


ลึกลงไปในแววตาของหลูชิ่งที่หันมองไปยังทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนจากไป นอกจากความหวาดกลัวไม่เข้าใจ ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉาริษยา


 


ในสายตาของมัน


 


หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนบังเอิญพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อะไรเข้า ไม่มีทางเลยที่จะบรรลุถึงพลังอำนาจระดับนี้ได้ในเวลาไม่กี่ปี


 


และเมื่อหลูชิ่งสัมผัสได้ว่าตอนนี้อาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวเริ่มฟื้นสติแล้ว กระทั่งอาวุโสที่รู้สึกตัวคนแรกยังมองมาที่มันด้วยสายตาแปลกๆ สีหน้าหลูชิ่งก็แปรเปลี่ยนเป็นเขียวสลับขาว มันไม่คิดทักทายกล่าวคำกับผู้ใด เร่งเหินร่างจากไปดั่งสายลมกรรโชกหอบหนึ่งทันที…


 


วันนี้ใบหน้าจ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของมัน แตกยับจนหมอไม่รับเย็บแล้วจริงๆ!


 


หากมันรู้ว่าผลลัพธ์จะลงเอยอีหร็อบนี้ มันคงทำเนียนว่าปิดด่านบ่มเพาะ แล้วปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนผ่านไปแต่แรก…


 


น่าเสียใดที่โลกหล้าไร้ยารักษาอาการเสียใจ…


 


ผู้อาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวที่เริ่มคืนสติก่อนใคร ก็เป็นกลุ่มอาวุโสเพลิงเงินแทบทั้งสิ้น พอพวกมันเห็นจ้าวแท่นของตัวเองรีบร้อนจากไปไม่พูดไม่จา พวกมันก็ได้แต่หันหน้ามามองกันตาปริบๆพลางคลี่ยิ้มขมขื่น…


 


“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลังผ่านไปแค่ 3 – 4 ปีต้วนหลิงเทียนจะก้าวหน้าเติบโตขึ้นถึงขนาดนี้…น่าอัศจรรย์นัก!”


 


อาวุโสเพลิงเงินคนหนึ่งของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


“ใช่…หากข้าไม่ได้มาเห็นด้วยสองตาตัวเอง ให้เอามีดมาจ่อคอขู่ข้าๆก็ไม่มีวันเชื่อเรื่องนี้แน่…จ้าวแท่นของพวกเราแทบไม่ต่างใดจากเด็ก 3 ขวบต่อหน้าต้วนหลิงเทียน…ไร้เรี่ยวแรงต่อต้านอย่างสิ้นเชิง!”


 


“ข้าว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน ก็คงไม่มีความสามารถสยบจ้าวแท่นของพวกเราราบคาบแบบนี้กระมัง?”


 


“นั่นสิ…จากที่ข้าเห็น พลังของต้วนหลิงเทียนสมควรสมควรอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน! ถึงไม่อยากจะเชื่อข้าก็ต้องเชื่อ เพราะความจริงตั้งอยู่เบื้องหน้าให้ข้าปฏิเสธให้ตายมันก็ยังเป็นความจริง!”


 


“เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน! นั่นมิได้หมายความว่า…ข่าวลือจากนครแห่งบาปที่ว่าต้วนหลิงเทียนฆ่าจ้าวราชสีห์ขนทองลงได้ อาจเป็นความจริงหรือไง?”


 


“จากสถานการณ์ในตอนนี้…ข้าว่ามีความเป็นไปได้สูงที่มันจะเป็นเรื่องจริง!”


 



 


ในตอนแรกอาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจกับพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน


 


แต่ต่อมาไม่นานเมื่อตระหนักเรื่องราวได้ ไม่ว่าจะเป็นอาวุโสหรือเหล่าศิษย์ของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว ก็ตื่นตระหนกตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนนัก และเริ่มนึกถึงเรื่องอุกอาจบางประการ…


 


เรื่องที่พวกมันไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดก่อนหน้า…


 


ศิษย์อัจฉริยะท้าท้ายสวรรค์ ต้วนหลิงเทียน ของลัทธิบูชาไฟพวกมัน อาจเป็นผู้ที่สังหารเซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬจริง!!


 


“เซี่ยคังฉวินนั่น มันบรรลุถึงพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน…แถมยังอยู่ในอันดับที่ 18 ของรายนามยอดเซียน! หากศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนฆ่ามันได้จริง ตอนนี้อันดับในรายนามยอดเซียนของศิษย์พี่ต้วนไม่ใช่ว่าจะเป็นอันดับที่ 18 แทนที่มันหรือ?”


 


ศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวคนหนึ่งกล่าวพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น สองตายังทอประกายสว่างวาบปานดวงดาวบนฟ้าในยามค่ำคืน


 


“สมควรเหลืออีกไม่กี่วันก่อนที่รายนามยอดเซียนฉบับใหม่จักออก…หลังออกแล้วไม่นานก็ต้องแพร่มาถึงภูมิภาคตะวันตกเรา ถึงตอนนั้นไม่พ้นก็ต้องมาถึงลัทธิบูชาไฟของพวกเรา! คราวนี้พวกเราก็จะได้รู้ความจริง!!”


 


ศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวคนหนึ่งกล่าวเสริม


 


ตอนนี้ศิษย์และอาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวไม่ทราบเลย


 


ว่ารายนามยอดเซียนฉบับใหม่นั้น ที่ภาคกลางได้ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…และมันกำลังแพร่ออกไปทุกสารทิศ!


 


เหล่าผู้คนที่แต่ก่อนไม่เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนจะฆ่าเซี่ยคังฉวินได้จริง…พอเห็นชื่อในอันดับที่ 18 ของรายนามยอดเซียนฉบับใหม่ ลูกตาก็แทบพุ่งพรวดออกจากเบ้า ยังขยี้ตาซ้ำแล้วซ้ำเล่ามองใหม่ไม่ทราบกี่รอบต่อกี่รอบ


 


เพราะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนามในรายนามยอดเซียนที่มีความน่าเชื่อถือสูง พวกมันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนมีฝ่ามือหนึ่งฟาดตบลงบนใบหน้าจนแก้มร้อนผ่าว…


 


ปรากฏว่าข่าวลือเรื่องศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธูชาไฟต้วนหลิงเทียนฆ่าเซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬนั้น…


 


แม้พวกมันจะไม่เชื่อถือมากเพียงใด แต่พอได้เห็นชื่อต้วนหลิงเทียนเขียนอยู่ในอันดับที่ 18 ของรายนามยอดเซียนฉบับใหม่กับตา พวกมันก็จำต้องเชื่อ!


 


“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์…นานแล้วสินะ…”


 


ในสถานที่อันห่างไกลทางภูมิภาคตะวันตก ลัทธิบูชาไฟ…ต้วนหลิงเทียนที่ออกจากแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว ในที่สุดก็เหินร่างเข้าเขตดินแดนศักดิ์สิทธิ์


 


หลังมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์และเหินร่างขึ้นไปอยู่บนน่านฟ้าใกล้ๆเกาะหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แวะไปที่เกาะหลัก หรือแวะไปยังเกาะลอยส่วนตัวของเขาแต่อย่างใด กลับเหินร่างลอยขึ้นฟ้าสูงไปเรื่อยๆ


 


ต้วนหลิงเทียนเหินร่างขึ้นฟ้าไปจนกระทั่งใกล้บรรลุถึงเกาะที่ลอยเด่นสูงสุดเหนือฟ้า ค่อยหยุดลง…


 


“ต้วนหลิงเทียน กลับมาครั้งนี้ เพราะได้ยินคำเชิญของจ้าวลัทธิบูชาไฟ…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่หยุดร่างค้างกลางหาว มองไปยังเกาะลอยฟ้าสูงสุดเบื้องหน้า ค่อยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน “และที่ข้ามาที่นี้ครั้งนี้…เพื่อพบจ้าวลัทธิ! ยังหวังว่าจ้าวลัทธิจะกระทำตามสัญญา กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เพื่อให้คำมั่นต่อข้า…”


 


เรียกว่าแต่ต้นจนจบน้ำเสียงที่ต้วนหลิงเทียนใช้กล่าวนั้น ช่างเฉยเมยราวกับจ้าวลัทธิบูชาไฟ ไม่สูงส่งมากพอให้เขานอบน้อม…


 


และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ…


 


“ต้วนหลิงเทียนกลับมาแล้วหรือ?”


 


ในอากาศว่างเปล่าไม่ไกล เหล่าอาวุโสลาดตระเวนที่คิดแสดงตัวออกมาเพื่อตำหนิศิษย์ที่แท้จริงที่หาญกล้าขึ้นมาถึงบริเวณนี้ พอได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับต้องหยุดร่างกลางอากาศทันที…


 ตอนที่ 2,175 : หยิ่งผยอง? อวดดี?


 


 


พอได้รู้ว่าศิษย์ที่แท้จริงที่บุกขึ้นมาคนนั้นคือต้วนหลิงเทียน อาวุโสลาดตระเวนทั้งหลายก็รีบเลี้ยวกลับ แล้วไปลาดตระเวนต่อที่อื่นทันที


 


พวกมันย่อมทราบเรื่องถ้อยแถลงของจ้าวลัทธิดี แต่ไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกล้ากลับมาจริงๆ!


 


“ผ่านมาก็ 3 ปีกว่า…ไม่ทราบตอนนี้พลังฝีมือต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างไรแล้ว…”


 


อาวุโสลาดตระเวนที่เหินร่างจากไปได้แต่กล่าวหารือกันด้วยความสงสัย


 


“มันร้ายกาจถึงขนาดไหนข้าไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆคือข้าไม่ใช่คู่มือมันแน่นอน… 3 ปีที่แล้วมันสามารถฆ่าเซี่ยจงลูกชายจ้าวราชสีห์ขนทองคนนั้นได้! แต่ข้าตอนนี้กล่าวไปยังสู้เซี่ยจงตอนนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ!!”


 


เรื่องนี้อาวุโสลาดตระเวนที่กล่าวออกรู้ตัวดี


 


ถึงแม้มันจะเป็นอาวุโสเพลิงเงินของลัทธิบูชาไฟ แต่มันก็เป็นแค่อาวุโสเพลิงเงินที่มีพลังฝีมืออยู่ในระดับปานกลางเท่าค่าเฉลี่ย พลังฝึกปรือก็แค่เพียงบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนเท่านั้น


 


บางทีหากเป็นต้วนหลิงเทียนเมื่อ 3 ปีก่อน มันอาจมีความหวังอยู่บ้าง


 


แต่ตอนนี้มันไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวความหวังว่าจะชนะ


 


เสียงต้วนหลิงเทียนนั้นกังกังวานออกไปโดยรอบ ยังดังก้องไปทั่วเกาะลอยเบื้องหน้าอันเป็นเกาะส่วนตัวของจ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวน อีกด้วย


 


ที่สำคัญบนเกาะส่วนตัวของถังซวนตอนนี้ ก็ไม่ได้มีแค่ถังซวนคนเดียวเท่านั้น


 


“ต้วนหลิงเทียน…มัน…มันกลับมาแล้ว?”


 


ก่านหรูเยี่ยน ที่อยู่ในลานแห่งหนึ่งภายในตัวคฤหาสน์ พอเสียงต้วนหลิงเทียนดังขึ้น ร่างบางก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งตกใจ ใบหน้ายังเผยความประหลาดใจทันที


 


นางเองก็ได้ยินเรื่องคำแถลงของจ้าวลัทธิเช่นกัน แต่นางไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกลับมาเร็วถึงขนาดนี้!


 


ตอนนี้ไม่ใช่ว่าพึ่งจะผ่านไปแค่ 3 วันหลังออกแถลงการณ์หรือไร?


 


อย่างไรก็ตามนางไม่รู้เลย


 


ต้วนหลิงเทียนได้ยินถ้อยแถลงวันเดียวกันกับที่มีคำแถลงการณ์ออกมาด้วยซ้ำ! เพราะเขาได้ซ่อนตัวอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับลัทธิบูชาไฟ เพื่อหาโอกาสลอบเข้ามาแต่แรกแล้ว…ที่พึ่งมาวันนี้เพียงเพราะประวิงเวลาไม่ให้เร็วเกินไปจนผิดสังเกตเท่านั้น


 


การอดทนรอ 3 วัน ยังแทบไม่ต่างอะไรจาก 3 ปีสำหรับเขา…


 


และเหตุผลที่ไฉนเขาต้องอดทนรอแบบนี้ เพราะเขากลัวจะทำให้คนของลัทธิบูชาไฟสงสัยว่าไฉนเขาถึงมาเร็วนัก! ใช่มีอะไรร้อนใจหรือไม่ ใช่ยังไม่ทันได้ซ่อนตราผนึกมารจนพกติดตัวมาด้วยหรือไม่…!!


 


“นายน้อย!!”


 


เสียงอุทานหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา จากภายในห้องหับปรากฏร่างสตรีนางหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกันกับก่านหรูเยี่ยนไม่ผิดเพี้ยนรีบร้อนวิ่งแจ้นออกมาหน้าประตู และทันทีที่นางปรากฏตัวสภาพแวดล้อมโดยรอบก็ดูหมองลงถนัดตา


 


สตรีนางนี้ก็คือ เค่อเอ๋อ ที่พึ่งกล่อมซือหลิงเข้านอน…


 


ทว่าวันนี้นางพึ่งกล่อมซือหลิงเข้านอนได้ไม่ทันไร อยู่ๆเสียงที่นางได้แต่ฝันถึงมาทุกคืนวันตลอดหลายปีที่ผ่าน พลันดังขึ้นในหู


 


บ่งบอกให้นางรู้ ว่านายน้อยของนางได้หวนกลับมาถึงลัทธิบูชาไฟแล้ว!


 


“อวี่เยี่ยน เจ้าอย่าได้วู่วาม! หากเจ้ายังทำแบบนี้จนเผยให้ผู้อื่นรู้ว่ามันเป็นบุรุษของเจ้าล่ะก็…ไม่ต้องถึงจ้าวลัทธิ กระทั่งอาจารย์ข้าก็ไม่ปล่อยมันไปแน่!”


 


เมื่อเห็นน้องสาวฝาแฝดถึงกับวิ่งแจ้นออกมาอย่างลืมตัว สีหน้าก่านหรูเยี่ยนซีดลงทันที นางยังเร่งพุ่งร่างไปหยุดเค่อเอ๋อไว้ ก่อนที่เค่อเอ๋อจะทันได้ออกมาจากชายคาเรือนพัก เร่งกล่าวเตือนออกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด


 


“พี่หญิงข้ารู้…ข้ารู้…”


 


เค่อเอ๋อเร่งพยักหน้ารับคำอย่างหนัก


 


นั่นคือบุรุษที่นางที่นางยึดถือว่าสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ไหนเลยนางจะวู่วามจนทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในอันตรายได้


 


ถึงแม้ตอนนี้นางจะพลั้งเผลอไปบ้าง แต่นั่นเพราะนางแทบทนรอพบหน้าอีกฝ่ายไม่ไหวแล้วเท่านั้น


 


ทว่าเมื่อนึกถึงผลที่อาจจะตามมา นางก็สงบใจลงได้ทันที


 


ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ใบหน้าเค่อเอ๋อท่วมท้นไปด้วยหยาดน้ำตา “นายน้อย…ท่านรู้หรือไม่เค่อเอ๋ออยู่นี่ ท่านอย่าได้ตำหนิเค่อเอ๋อ…ไม่ใช่เค่อเอ๋อไม่อยากพบท่าน…แต่เค่อเอ๋อมิอาจออกไปพบท่านได้! อย่างน้อยๆเค่อเอ๋อก็ไม่อาจออกไปพบท่านตอนนี้ได้!!”


 


ใจเค่อเอ๋อเจ็บปวดเสมือนมีมีดกรีดแทง ได้แต่กล่าวรำพันอยู่ในลำคออย่างน่าเวทนา


 


‘หืม?’


 


ดั่งคำที่กล่าวไว้ สามีภรรยาใจเชื่อมถึงใจ ต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาอย่างประหลาด ถึงแม้เขาจะไม่อาจอธิบายได้ว่าไฉนอยู่ดีๆใจก็หวิวๆไปแบบนี้ แต่เขาก็พยายามสงบอารมณ์ลง ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ ลอยร่างรอจ้าวลัทธิบูชาไฟอย่างสงบ


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนที่รอจ้าวลัทธิบูชาไฟ ไม่ทันได้พบคนที่เฝ้ารอ พลันมีแขกไม่ได้รับเชิญ 3 ร่างลุมาถึงเสียก่อน


 


วูบ! วูบ! วูบ!


 


ดั่งสายลมแรงกรรโชก 3 สายพัดผ่านมา…


 


ชั่วพริบตาก็ปรากฏร่าง 3 ร่างขึ้นกลางหาวไม่ใกล้ไม่ไกลจากต้วนหลงเทียน


 


หลังจากที่ร่างทั้ง 3 ปรากฏตัวปานภูตพราย ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นหน้าค่าตาของพวกมันได้ชัด


 


ชายชรามาในชุดสีเขียว ชายหนุ่มในชุดสีม่วง และสตรีในชุดสีแดง


 


ชายชรานั้นทั้งเส้นผมขนเคิ้วขาวโพลน ให้ความรู้สึกประหนึ่งเทพเซียนอมตะพ้นโลกีย์วิสัย


 


ส่วนชายหนุ่มในชุดสีม่วงนั้น ให้ความรู้สึกสบายๆ เสมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ


 


ส่วนสตรีชุดแดงนั้น ไม่เพียงแต่งดงาม นางยังเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ได้ยลโฉมเพียงครั้งชวนให้เฝ้าคิดคำนึง


 


“ผู้พิทักษ์ชิงหั่ว”


 


เมื่อทั้ง 3 ปรากฏกายขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็จดจำชายชราในชุดสีเขียวที่ให้บรรยากาศคล้ายเทพเซียนอมตะนั่นได้ทันที


 


เพราะในอดีตเขาเคยสนทนาพบหน้ากับชายชราผู้นี้ครั้งหนึ่ง


 


ในตอนนั้นชายชราคนนี้คิดรับเขาเป็นลูกศิษย์ แต่เขาก็ได้ปฏิเสธอีกฝ่ายไป…


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายก็คือ 1 ใน 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ ชิงหั่ว!


 


‘ผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ของลัทธิบูชาไฟนั้นรู้จักกันในนาม 3 ผู้พิทักษ์ ลม ไฟ เมฆ ได้แก่ สื่อเฟิง ชิงหั่ว และ หงอวิ๋น…ชายหนุ่มชุดม่วงนั่นสมควรเป็น สื่อเฟิง ส่วนสตรีงดงามนั่นก็คือหงอวิ๋นสินะ…’


 


ในขณะที่ทักทายชิงหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงอัตลักษณ์ของคนอื่นในใจ


 


‘ในบรรดา 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ เห็นว่าสื่อเฟิงพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุด ด่านพลังฝึกปรือยังบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนแล้ว เป็นดั่งเสาหลักคนหนึ่งของลัทธิบูชาไฟ’


 


‘ส่วนชิงหั่วอาจารย์ของก่านหรูเยี่ยน แม้เป็นเพียงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน แต่พลังฝีมือนับว่าร้ายกาจถึงขั้นติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของรายนามยอดเซียน’


 


‘สุดท้ายก็หงอวิ๋นนั่น ถึงนางจะเป็นสตรีแต่ก็สามารถบ่มเพาะพลังจนบรรลุเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้ ซึ่งนับว่าเป็นยอดฝีมือสตรีที่หาได้ยากยิ่งในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคนหนึ่ง’


 


ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินเรื่อง 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟมาตั้งแต่เมื่อไม่กี่ปีก่อน เช่นนั้นจึงเดาได้ทันทีว่าผู้มาพร้อมชิงหั่วไม่พ้นเป็นสื่อเฟิงกับหงอวิ๋นแน่นอน


 


หากเป็นก่อนหน้านี้ การต้องมาเผชิญหน้ากับ 3 ผู้พิทักษ์เขาไม่พ้นคงต้องบังเกิดความรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง


 


ท่าวตอนนี้ในใจเขาไม่รู้สึกถึงแรงกดดันใดๆทั้งสิ้น


 


เพราะสุดท้ายแล้วหากให้สู้แตกหักกับทั้ง 3 จริงๆ ก็ไม่มีใครในนี้ทำให้เขาหวาดกลัวได้!


 


“ต้วนหลิงเทียน ในที่สุดเจ้าก็ยอมกลับมาแล้วหรือ…”


 


ผู้พิทักษ์ชิงหั่วมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง


 


ต้วนหลิงเทียนค่อยๆคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนที่จะมองไปยังร่างอีก 2 ร่างข้างๆชิงหั่ว “หากข้าเดาไม่ผิด…2 ทานนี้สมควรเป็นผู้พิทักษ์สื่อเฟิง กับผู้พิทักษ์หงอวิ๋นใช่หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว ในวาจาที่กล่าวยังฟังดูเป็นกันเอง เผชิญหน้ากับ 2 ผู้พิทักษ์ในลักษณะที่เท่าเทียมกัน


 


แต่แน่นอนว่าด้วยพลังฝีมือในตอนนี้ เขามีคุณสมบัติมาพอจะปฏิบัติกับผู้พิทักษ์ทั้ง 2 อย่างเท่าเทียม


 


แต่ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่าทางสบายๆไม่จริงจังของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของชิงหั่วเปลี่ยนไปทันที


 


นั่นเพราะถึงมันจะไม่สนใจทีท่าเฉยๆของต้วนหลิงเทียน เพราะตัวมันไม่ถือสา แต่ก็ไม่ใช่ว่า 2 คนที่มากับมันจะไม่ถือสาด้วยเช่นกัน!


 


และก็เป็นอย่างที่มันกลัวจริงๆ


 


เผชิญหน้ากับทีท่าสบายๆของต้วนหลิงเทียน ไม่ว่าจะเป็นสื่ออวิ๋น หรือหงอวิ๋น ที่ปกติก็เจ้ายศเจ้าอย่าง พลันชักหน้าเคร่งขึ้นมาทันใด!


 


โดยเฉพาะสีหน้าของหงอวิ๋น ยามนี้ใบหน้านางมืดดำปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก!


 


ในฐานะผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟแห่งนี้ สถานะของนางเพียงเป็นรองจ้าวลัทธิบูชาไฟเพียงผู้เดียวเท่านั้น!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงอาวุโสเพลิงทองและอาวุโสระดับอื่นๆเลย! ปกติแล้วกระทั่ง รองจ้าวลัทธิทั้ง 2 คนเมื่อเจอหน้านาง ยังต้องก้มหัวคารวะด้วยความเคารพด้วยซ้ำ!!


 


ทว่าวันนี้ ศิษย์ที่แท้จริงคนหนึ่ง กลับใช้ท่าทีสบายๆกล่าวทักทายนางออกมา ไม่ได้มีทีท่าเคารพไว้หน้าแม้แต่น้อย…ราวกับอีกฝ่ายไม่ได้เห็นนางเป็นผู้พิทักษ์อันยิ่งใหญ่ของลัทธิบูชาไฟ! แต่เป็นศิษย์ที่แท้จริงคนหนึ่ง!!


 


เช่นนั้นจะให้ผู้ที่มีฐานะสูงส่ง และเป็นที่นับหน้าถือตาอย่างนางไม่โกรธได้อย่างไรไหว?


 


“บังอาจ!”


 


ทันใดนั้นผู้พิทักษ์หงอวิ๋นพลันกล่าวออกมาเสียงเข้ม สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุร้าย ยังคล้ายมีสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะพุ่งยิงออก กล่าวเสียงเยียบเย็น “เจ้าน่ะหรือศิษย์ต้วนหลิงเทียน? ตอนนี้เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังสนทนากับผู้ใด?”


 


วาจาแต่ละคำที่หงอวิ๋นกล่าวออก ยิ่งมายิ่งเยียบเย็นปานจะผุดแทรกออกจากหล่มน้ำแข็ง


 


“อาศัยพรสวรรค์เพียงเล็กน้อยแต่กล้าหยิ่งผยองอวดดี ไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส…อาจารย์ที่เป็นผู้ฝึกตนพเนจรของเจ้ามิเคยอบรมสั่งสอนมารยาทให้เจ้าหรือไร?”


 


แม้จะกล่าวถามไป แต่ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้กล่าวตอบคำ หงอวิ๋นก็กล่าวสืบต่อออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงยังเย็นราวกับจะแช่ร่างผู้คน


 


ด้านผู้พิทักษ์สื่อเฟิงก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาไม่แยแส แต่ต้นจนจบมันไม่กล่าวคำใดออกมา เพราะหงอวิ๋นได้กล่าวออกมาแทนมันทั้งหมดแล้ว


 


“ต้วนหลิงเทียนเจ้าอย่าได้ทำเป็นเล่นไป! รีบขอโทษผู้พิทักษ์ทั้ง 2 เร็วเข้า!!”


 


ขณะเดียวกันด้านชิงหั่วที่จดจำได้เสมอ ว่าอีกฝ่ายเป็นสหายของก่านหรูเยี่ยนศิษย์รักของตัว แถมมันยังรับปากศิษย์รักไว้แล้วว่าจะดูแลต้วนหลิงเทียนอย่างดี ก็อดไม่ได้ที่จะรีบส่งเสียงกล่าวผ่านพลังมาเตือนต้วนหลิงเทียนด้วยความร้อนใจทันที!


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนกลับไม่ได้สนใจอะไรเสียงเตือนของชิงหั่ว เพียงหันไปมองสบตาหงอวิ๋นอย่างไม่หวาดกลัว ราวกับมีเส้นสายอัสนี 2 สายฟาดผ่าเปรี้ยงปร้างกลางอากาศก็ไม่ปาน!


 


“อ้อ นี่ข้าจำคนผิดรึไง…เจ้าไม่ใช่ผู้พิทักษ์หงอวิ๋นงั้นหรือ?”


 


เสียงต้วนหลิงเทียนยังคงสงบเหมือนก่อนหน้าราวกับไม่ได้ตระหนักถึง ‘อันตราย’ ของผู้พิทักษ์หงอวิ๋นเลย ทำให้ชิงหั่วถึงกับอึ้งไปพูดไม่ออก


 


“เจ้า…”


 


สีหน้าชิงหั่วตอนนี้เปลี่ยนไปใหญ่หลวง


 


มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะดื้อรั้นขนาดนี้ กระทั่งได้ยินคำเตือนของมันแล้วยังไม่เลิก!


 


ตอนนี้มันอดไม่ได้ที่จะคิดไปในใจอย่างอับจนหนทาง ‘หรูเยี่ยนเอย…เจ้าอย่าได้โทษอาจารย์เสียเล่า อาจารย์พยายามแล้ว แต่สหายของเจ้าต้วนหลิงเทียนผู้นี้มันหยิ่งผยองเกินไป! วันนี้ให้มันถูกทุบตีสักครั้งเถอะ…’


 


ในสายตาของชิงหั่ว


 


ต้วนหลิงเทียนในวันนี้กับต้วนหลิงเทียนในอดีตคล้ายจะกลายเป็นคนละคน!


 


ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนในอดีตจะแลดูมั่นใจทั้งถือดีในตัว แต่ก็ไม่ถึงขั้นหยิ่งผยองลำพองจนกล้ากล่าววาจาตีตัวเสมอชนชั้นอาวุโสออกมาอย่างอวดดีแบบนี้


 


ทว่าชิงหั่วรู้ดี…ว่าต่อให้หงอวิ๋นมีโมโหแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางฆ่าต้วนหลิงเทียนที่จ้าวลัทธิเชื้อเชิญมาแน่นอน! หาไม่แล้วคงได้เป็นการทำลาย ‘จุดประสงค์อันดี’ ของจ้าวลัทธิ!!


 


เช่นนั้นมันจึงเลือกที่จะอยู่เฉยๆ และปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนถูกหงอวิ๋นทุบตีเสียบ้าง วันหลังจะได้หลาบจำและไม่หยิ่งผยองอวดดีอีก


ตอนที่ 2,176 : ปะทะหงอวิ๋น!


 


 


 


“นี่นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ข้าได้เห็นศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟหยิ่งผยองถือดีต่อหน้าข้าเช่นนี้หลังจากที่ข้าทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน และกลายเป็นผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ!”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกผิด สีหน้าหงอวิ๋นยิ่งมายิ่งมืดคล้ำดำลงเรื่อยๆ เสียงยังเย็นลงทุกขณะ!


 


ท้ายประโยคยังเย็นเสียจนจะแช่แข็งผู้คนในรัศมีพันลี้!


 


“วันนี้ด้วยเห็นแก่หน้าจ้าวลัทธิข้าจะไม่ฆ่าเจ้า…แต่ข้ายังจักสักสอนบทเรียนให้เจ้าหลาบจำ! ว่าเกิดเป็นคนต้องรู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่อย่างไร!”


 


และแล้วหงอวิ๋นก็ไม่คิดระงับโทสะอีกต่อไป


 


ทันทีที่เสียงกล่าวเยียบเย็นดังจบคำ แม้ร่างบางยังแน่นิ่งไม่เห็นว่าลงมือ หากแต่มีพลังกดดันไร้สภาพที่มองไม่เห็นขุมหนึ่งระเบิดออกจากร่างบาง! แผ่พุ่งถล่มไปทางต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราดปานมังกรคุ้มคลั่ง!!


 


พลังกดดันไร้สภาพที่ไม่อาจแลเห็นนี้ เต็มไปด้วยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ไม่ใช่ชั่ว แม้จะห่างไกลจากพลังที่แท้จริงของหงอวิ๋น หากแต่คลื่นพลังไร้สภาพดังกล่าวก็มากพอจะสยบผู้ฝึกตนที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนทั้งหลายให้ทรุดลงทันที!


 


และต่อให้เป็นเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน แต่ถ้าไม่เตรียมตัวรับมือให้พร้อมแต่แรก ก็ยังต้องบาดเจ็บภายในไม่น้อย!


 


พริบตาที่มวลพลังไร้สภาพปะทุแผ่พุ่งออกไป หงอวิ๋นก็แสยะยิ้มเยียบเย็น คล้ายนางได้เห็นภาพต้วนหลิงเทียนถูกซัดปลิดปลิวจนร่ำร้องโอดโอยก็ไม่ปาน


 


ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้พิทักษ์สื่อเฟิงหรือผู้พิทักษ์ชิงหั่ว ก็รู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะรับการลงมือครั้งนี้ของหงอวิ๋นได้ไหว!


 


อย่างไรก็ตามเรื่องราวจะเป็นดั่งที่พวกมันคิดไว้แน่หรือ?


 


ซัววว!!


 


ในขณะที่มวลพลังไร้สภาพไม่อาจมองเห็นของหงอวิ๋นใกล้บรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียน และห่างจากต้วนหลิงเทียนแค่ไม่กี่ช่วงตัว เจียนซัดกระแทกเข้าร่างต้วนหลิงเทียนนั้นเอง…


 


ทันใดนั้น!


 


“เหอะ!”


 


ต้วนหลิงเทียนพลันแค่นคำสบถออกมาเสียงเย็นคำหนึ่ง และไม่อาจแลเห็นการลงมืออันใด ทว่าพลันมีคลื่นพลังไร้สภาพกำจายออกจากร่างเขา! ปะทะเข้ากับมวลพลังไร้สภาพของหงอวิ๋นที่เจียนกระแทกร่างเขาทันที!!


 


บรึมมม!!


 


เสียงระเบิดดังถึงขั้นทำให้ผู้คนทั่วไปอาจหูหนวกได้สนั่นลั่นขึ้น พร้อมกันนั้นคลื่นลมอันรุนแรงก็ซัดกวาดออกมาอย่างน่าเกรงขามทั่วน่านฟ้า สายลมกรรโชกยังแรงมากพอให้ชุดต้วนหลิงเทียนและผู้พิทักษ์หงอวิ๋นสะบัดโบกไม่หยุด


 


ทว่าร่างผู้พิทักษ์หงอวิ๋นยังคงลอยร่างค้างกลางหาวที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน


 


ต้วนหลิงเทียนก็เช่นกัน


 


จังหวะนี้ในบรรยากาศคล้ายมีกลิ่นดินปืนคละคลุ้งขึ้นมา


 


เงียบ


 


ฉากเรื่องราวกลายเป็นเงียบงันไร้สำเนียง


 


“ปะ…เป็นไปได้อย่างไร?”


 


เมื่อผู้พิทักษ์ชิงหั่วดึงสติกลับเข้าตัวได้สำเร็จ มันก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งคำอุทานด้วยความตกใจ


 


มันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า…


 


ต้วนหลิงเทียนจะสามารถรับการโจมตีของหงอวิ๋นได้แบบนี้…!


 


ต้องทราบด้วยว่านี่ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะกระทำได้!


 


เกรงว่ามีแต่เซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้!


 


กระทั่งด้านผู้พิทักษ์สื่อเฟิงเอง ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเผยความประหลาดใจในแววตาขึ้นมาแล้ว


 


เพราะฉากเรื่องราวตรงหน้าไม่เพียงทำให้ชิงหั่วตกใจ ยังทำให้มันตกใจไม่น้อยเช่นกัน


 


แต่เป็นธรรมดาว่าถ้าจะถามถึงคนที่ตกใจมากที่สุดในตอนนี้ ย่อมไม่ใช่ชิงหั่วกับสื่อเฟิง แต่เป็นตัวผู้ลงมืออย่างหงอวิ๋นนั่นเอง!


 


“ฮึ! เป็นข้าดูเบาเจ้าไปแล้วจริงๆ!”


 


ผู้พิทักษ์หงอวิ๋นลอบสูดอากาศเข้าเฮือกหนึ่ง จากนั้นค่อยมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาที่ราวกกับมีสายฟ้าแลบลั่น กล่าวออกเสียงเข้ม “มิน่าแปลกใจเลยที่ไฉนเจ้าถึงได้หยิ่งผยองทั้งอวดดีเช่นนี้…”


 


กล่าวถึงตอนนี้นางก็หยุดไป


 


ครู่ต่อมา น้ำเสียงของหงอวิ่นก็เปลี่ยนไปทันที


 


“อย่างไรเสียวัวนนี้ข้าก็จะให้เจ้ารับทราบ…มิใช่ว่าพอปีกกล้าขาแข็งเข้าหน่อย ก็สามารถหยิ่งผยองอวดดีไร้สัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสได้!!”


 


กล่าวจบคำ ร่างหงอวิ๋นก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที


 


ซู่มมม!!


 


รางบางคล้ายกลับกลายเป็นอีสนีสีแดงเส้นหนึ่ง ฟาดผ่าไปยังต้วนหลิงเทียน ทันใดนั้นยังมีเสียงดุร้ายดังขึ้น “วันนี้หากมิได้สั่งสอนบทเรียนให้เจ้าสำนึก แม่เฒ่าผู้นี้ไม่ยอมเลิกรา!”


 


ในฐานะ เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน แม้หงอวิ๋นจะยังไม่ทันลงมือด้วยทุกสิ่งที่มี แต่ก็ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงความกดดันเล็กน้อย


 


“ผู้พิทักษ์หงอวิ๋น เอาจริงเลยเถอะ…”


 


ในขณะที่ร่างหงอวิ๋นทะยานลัดฟ้าปรี่ตรงเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมยเหมือนก่อนหน้า ยังเป็นวาจากล่าวเตือนให้หงอวิ๋นเอาจริง!


 


“อวดดี!!”


 


ด้านหงอวิ๋นที่โจนทะยานลัดฟ้ามาถึงครึ่งทาง พอได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนนางก็โมโหหนัก ใบหน้างามคล้ายมีม่านน้ำแข็งฉาบทับทันใด!


 


ทันใดนั้น ร่างบางพลันสะท้านไปด้วยโทสะ มวลพลังอันยิ่งใหญ่สุดไพศาลพลันปะทุระเบิดออก คลื่นพลังอันน่าหวั่นหวาดซัดกำจายออกมาสะท้านกดดันในบรรยากาศระลอกแล้วระลอกเล่าปานคลื่นทะเลอันไร้สิ้นสุด!


 


ผู้พิทักษ์ชิงหั่วเห็นฉากดังกล่าวก็ได้แต่ส่ายหัว…


 


ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งจะสลายพลังไร้สภาพที่หงอวิ๋นแผ่พุ่งออกมาได้ ทว่านั่นก็แค่การลงมือลวกๆส่งๆของหงอวิ๋นเท่านั้น มันไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าต้วนหลิงเทียนจะไปเอาพลังสามารถจากที่ไหนมาต้านทานหงอวิ๋นยามพิโรธได้…


 


ผู้พิทักษ์หงอวิ๋น ก็ถือได้ว่าเป็นศิษย์น้องของมันคนหนึ่ง มันย่อมรู้ดีว่านางมีพลังฝีมือกล้าแข็งขนาดไหน


 


หงอวิ๋น ผู้พิทักษ์ลัทธิบูชาไฟคนนี้ เป็นเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนที่รั้งอยู่ในอันดับที่ 16 ของรายนามยอดเซียน!


 


แต่แน่นอนว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้วอันดับในรายนามยอดเซียนของหงอวิ๋นไม่ได้สูงขนาดนี้


 


เหตุผลที่ไฉนอันดับในรายนามยอดเซียนของนางสูงขึ้นมาไม่น้อย เป็นเพราะมียอดฝีมือที่มีอันดับเหนือกว่านางตกตายไปมากมายในระนาบเทียมที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะเหลือทิ้งไว้!


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้อันดับในรายนามยอดเซียนเองก็ต้องปรับปรุงกันยกใหญ่!


 


หลายคนที่เคยมีอันดับต่ำกว่าผู้ที่ตายตก ก็กระเตื้องขึ้นมาหลายอันดับ!


 


เช่นเดียวกับหงอวิ๋น


 


“ปฐมเวทย์กลืนกิน”


 


ในเมื่อเขากล่าวเตือนไปแล้วแต่ผู้พิทักษ์หงอวิ๋นก็ไม่ฟังคำเขา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะกล่าวใดให้มากความ สำแดงเวทย์พลังหนุนเสริม ปฐมเวทย์กลืนกิน ที่เขาชำนาญออกมาทันที


 


และพริบตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกิน วังวนพลังขุมหนึ่งอุบัติขึ้นมารอบกายเขา


 


วูววว! วูววว! วูววว!


 



 


ช่วงเวลาพริบตาดั่งอัสนีวาบลั่น วังวนพลังที่อุบัติขึ้นพลันเปล่งพลังดูดรั้งอันน่าพรั่นพรึงออกมาราวกับจะดูดกลืนได้ทุกสรรพสิ่ง พาลให้พลังวิญญาณฟ้าดินในอาณาบริเวณถึงกับบังเกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่!


 


โดยมีต้วนหลิงเทียนเป็นจุดศูนย์กลาง พลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบพลันสาบสูญ ด้วยถูกกลืนเข้าร่างต้วนหลิงเทียนในพริบตา! วินาทีนี้ฟ้าดินคล้ายว่างเปล่าไร้ซึ่งพลังวิญญาณอีกต่อไป!


 


และในช่วงเวลาเสี้ยวพริบตานี้เอง พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างต้วนหลิงเทียนก็เพิ่มพูนสูงขึ้น ดั่งมังกรทะยานขึ้นไปสุดฟ้าในคราเดียว บรรลุถึงจุดสูงสุดเท่าที่จะทำได้!


 


วู้มมม!!


 


ทันใดนั้นพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดทั่วร่างเขาก็แผ่พุ่งรัศมีพลังอันน่าเกรงขามออกไปสะท้านสะเทือนโดยรอบ!


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่กำจายออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียน ลูกตาผู้พิทักษ์หงอวิ๋นถึงกับหดเล้กลงทันใด “ซะ…เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!?”


 


นางย่อมสัมผัสได้ชัดเจน…


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยเวทย์พลังสนับสนุนแล้ว พลังเซียนต้นกำเนิดทั่วร่างต้วนหลิงเทียนกลับแผ่ซ่านกลิ่นอายพลังเซียนต้นกำเนิดของตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนออกมา! แถมยังไม่ใช่เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนธรรมดาๆ!!


 


เพราะถึงแม้กลิ่นอายพลังที่เอ่อล้นออกมาจากทั่วร่างต้วนหลิงเทียนตอนนี้จะยังไม่ถึงขั้นเทียบได้กับเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยน แต่มันก็แทบไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย!!


 


และอย่างน้อยๆ ตอนนี้ถ้านางไม่ใช่เวทย์พลังสนับสนุนบ้าง เกรงว่าระดับพลังเซียนต้นกำเนิดของนางยังถือว่าอ่อนด้อยกว่าต้วนหลิงเทียนหลายส่วน!


 


“ดี ดี…ดีมาก!!”


 


จังหวะนี้หงอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึง ทีท่ายามกล่าววาจาหยิ่งผยองอวดดีก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียน


 


เพราะตอนนี้หากมองจากพลังความแข็งแกร่งที่ต้วนหลิงเทียนเผยออก อีกฝ่ายมีคุณสมบัติครบทุกประการที่จะกล่าววาจากับพวกนางอย่างทัดเทียม!


 


ด้วยวิธีนี้นั่นหมายความว่าการกระทำก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนไม่ได้ถือว่าหยิ่งผยองอวดดีอะไร!


 


ไร้สัมมาคารวะ?


 


นางและผู้พิทักษ์อีก 2 คนที่ยึดถือว่าตัวเองมีอาวุโสเหนือกว่าต้วนหลิงเทียน ล้วนเป็นเพราะพลังฝีมือที่สูงส่งเหนือกว่า! ในโลกฝึกตนแห่งนี้ลำดับอาวุโสในขุมพลังย่อมยึดถือพลังส่วนตัวเป็นหลัก!!


 


ทว่ามาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับเผยพลังความแข็งแกร่งที่ไม่ได้ด้อยกว่าพวกนางออกมา เช่นนั้นก็ไม่เหมาะสมอีกต่อไปที่พวกกนางจะยึดถือว่าตัวมีอาวุโสเหนือกว่าต้วนหลิงเทียน!


 


อวดดี?


 


ด้วยพลังความแข็งแกร่งที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมาให้เห็นตอนนี้ ไหนเลยยังกล่าวว่าอวดดีได้? ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งหมดก็แค่ต้วนหลิงเทียนปฏิบัติกับพวกนางอย่างเท่าเทียม ด้วยเห็นว่ามีพลังฝีมืออยู่ในระดับเดียวกันแค่นั้น!


 


เหตุผลที่ไฉนพวกนางไม่พอใจต้วนหลิงเทียนมีเพียงเหตุผลเดียว เพราะต้วนหลิงเทียนในสายตาของพวกนางไม่ได้แข็งแกร่งอะไร ยังถึงกับอ่อนแอกว่ากันมาก!


 


อย่างไรก็ตามพอมาได้เห็นพลังความแข็งแกร่งที่ระเบิดออกมาอย่างกล้าแข็งของต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์หงอวิ๋นก็ไม่กล้าคิดแบบเดิมต่อไป แต่ทว่านางก็ไม่คิดรามือแต่อย่างไร ยังบังเกิดความตื่นเต้นคึกคักไม่น้อย


 


ซู่มมม!!


 


พริบตานั้นเองหงอวิ๋นไม่คิดประมาทอีกสืบไป นางเร่งใช้เวทย์พลังสนับสนุนที่ตัวแตกฉานออกทันที เร่งเร้าพลังเซียนต้นกำเนิดของนางให้เพิ่มทะยานสูงขึ้นในพริบตาเช่นเดียวกัน!


 


สุดท้ายแล้วเมื่อนางเร่งเร้าพลังถึงจุดสูงสุด พลังเซียนต้นกำเนิดของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป!


 


“ปะ…เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”


 


ชิงหั่ว กับสื่ออวิ๋น ผู้พิทักษ์ลัทธิบูชาไฟทั้งคู่ดึงสติกลับมาอยู่กับตัวได้สำเร็จ ทั้งคู่ยังเลือกจะหันมามองหน้าสบตากันทันที ก่อนที่จะแลเห็นถึงความเหลือเชื่อ และความตกใจในสายตาของอีกฝ่าย


 


ในเมื่อหงอวิ๋นสัมผัสได้ ไหนเลยพวกมันจะไม่อาจสัมผัสได้?


 


ด้วยเหตุนี้พวกมันถึงได้ตกใจกับพลังของต้วนหลิงเทียนนัก!


 


“ตอนนี้ดูเหมือนว่า…เจ้าเด็กร้ายกาจนี่มันจะฆ่าเซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬนั่นมาจริงๆ…”


 


ชิงหั่วอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงผ่านพลังกล่าวกับสื่อเฟิงออกมาอย่างเลื่อนลอย


 


“ให้ตายเถอะ…หากเจ้าหนูนี่มันฆ่าเซี่ยคังฉวินได้ใน  3 กระบี่อย่างที่ลือกันจริงๆ…ข้ากลัวว่าศิษย์น้องหญิงจะสู้มันไม่ได้แล้ว!”


 


ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงตอบกลับผ่านพลังเสียงเข้ม


 


“เหอะๆ…”


 


ผู้พิทักษ์ชิงหั่วได้แต่เผยยิ้มเจื่อนๆออกมา


 


ในขณะที่ผู้พิทักษ์ชิงหั่วกับสื่อเฟิงกำลังส่งเสียงสนทนากันนั้น


 


อีกด้าน ต้วนหลิงเทียนกับหงอวิ๋นก็ได้ประมือกันแล้ว ทั้งคู่เลือกสู้กันในระยะประชิดอย่างดุเดือด ไร้วรยุทธ์ทั้งเวทย์พลังอันใด เพียงอาศัยการลงมืออย่างดิบเถื่อนเท่านั้น!


 


ปง! ปง! ตูม! ตูม!!


 



 


หมัดเท้าฝ่ามือที่ปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่าของเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนที่เจียนจะบรรลุถึงพลังอำนาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนเต็มทีย่อมไม่ใช่เรื่องเล่นๆ! มวลพลังสะท้อน ทั้งคลื่นกระแทกที่เกิดจากการปะทะพลังนับว่าดุร้ายเกรี้ยวกราดนัก!


 


หลังจากต่อยตีกันไปสักพัก เพียงมองก็รู้ได้ว่าทั้งคู่มีฝีไม้ลายมือที่ไม่แตกต่างกันมากนัก เพียงแค่สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงสงบต่างจากหงอวิ๋นที่แลดูดุดันอยู่บ้าง


 


“นิ…นี่มัน…ดะ…ได้อย่างไร?”


 


ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสลาดตระเวนทั้งหลายที่จากไปก่อนหน้า ได้หวนกลับมาลอยร่างค้างกลางหาวอยู่ไม่ไกลแล้ว!


 


ทั้งหมดกลับมาหลังได้ยินเสียงแตกระเบิดของอากาศ ทั้งสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัว 2 ขุมปะทะกันอย่างรุนแรง! พอย้อนกลับมาทั้งหมดก็ได้เห็นภาพที่ยากจะลืมเลือนไปชั่วชีวิต!!


 


ศิษย์ที่แท้จริงต้วนหลิงเทียน…กลับปะทะรับมือ 1 ใน 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ หงอวิ๋น ได้ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเสียเปรียบแต่อย่างไร!!


 


“สวรรค์ ผู้พิทักษ์หงอวิ๋นมิใช่ยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือไร…ยังติดอยู่ในอันดับที่ 16 ของรายนามยอดเซียน! แต่ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นกลับปะทะรับมือนางได้อย่างไม่เสียเปรียบจริงๆ?”


 


จังหวะนี้เหล่าอาวุโสลาดตระเวนทั้งหลายอดคิดไปไม่ได้ว่า พวกมันใช่กำลังฝันอยู่หรือไม่!?


 


ทว่าคลื่นพลังสะท้อนที่ระเบิดเป็นวงในอากาศวงแล้ววงเล่า ขนาดอยู่ไกลถึงเพียงนี้ แต่ยังกระแทกกระทั้นพวกมันจนแทบกระอักเลือดนั่น ได้ตอกย้ำพวกมันเรื่องหนึ่ง…


 


ทุกเรื่องราวเบื้องหน้าหาใช่ภาพฝัน แต่เป็นความจริง!


 


“ปะ…เป็นไปได้หรือไม่ ทะ…ที่ต้วนหลิงเทียนจะฆ่าจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬได้จริงๆ?”


 


จังหวะนี้อาวุโสลาดตระเวนคนหนึ่งพลันกล่าวถามออกมาอย่างเลื่อนลอย พวกมันทั้งหมดคล้ายถูกอัสนียามแล้งฟาดผ่า ยากจะคืนสติได้อยู่นาน…


ตอนที่ 2,177 : ใต้หล้ายากหาผู้ใดเทียบ!


 


 


 


หลังจากประมือกันไปสักพัก ในที่สุดหงอวิ๋นก็ผละร่างออกไปก่อนที่จะสะบัดมือเรียกแส้ยาวสีแดงสดเส้นหนึ่งออกมา


 


เผียะ! ปง! ปง!


 


……


 


แส้ยาวดั่งอสรพิษแดงเพลิงเลื้อยลดไปมากลางอากาศ คล้ายกำลังหลอกล่อขู่ขวัญค่อยฉกพุ่งออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว


 


หลังจากนั้นไม่ทันไรผู้พิทักษ์หงอวิ๋นก็เริ่มจ่ายพลังเซียนต้นกำเนิดลงสู่แส้แดงในมือ!


 


วู้มมม!!


 


กลิ่นอายพลังสะกดข่มอันน่าพรั่นพรึงหนึ่ง เริ่มแผ่พุ่งออกมาจากแส้ดังกล่าวอย่างดุร้าย! พาลให้ผู้คนรู้สึกเสมือนถูกขู่ขวัญไม่น้อย!!


 


จากพลังอำนาจที่ส่งผลต่อจิตใจเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าแส้ยาวสีแดงเพลิงของหงอวิ๋นไม่ใช่แค่ศาสตราเซียนธรรมดาๆ!


 


“ศาสตราพันอาคมเซียน?”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสะกดข่มอันน่ากลัวที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวแส้ยาวในมือหงอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ระบุได้ทันทีว่ามันคือศาสตราพันอาคมเซียน!


 


เขาเองก็ไม่รอช้ามือขวาสะบัดคราหนึ่ง พลันปรากฏกระบี่ผุดโผล่จากความว่างเข้ามือ


 


แน่นอนว่ากระบี่เล่มนี้ไม่ใช่กระบี่นิลสวรรค์ แต่เป็นกระบี่พันอาคมเซียน


 


กระบี่พันอาคมเซียนนี้ เป็นเขาบังเอิญได้มาจากคนของพันธมิตรขวานปฐพี ตั้งแต่วันแรกที่เขาไปถึงนครแห่งบาปเมื่อ 3 ปีก่อน ยังนับว่าได้มาเพราะโชคช่วยนัก!


 


หากเขาไปถึงนครแห่งบาปวันอื่น หรือเพียงกระทั่งช้าไปแค่ครึ่งเค่อ ก็เกรงว่าคงคลาดกับกระบี่พันอาคมเซียนดีๆเล่มนี้แน่แล้ว…


 


กล่าวได้ว่ากระบี่พันอาคมเซียนเล่มนี้ มีชะตาต้องกันกับเขาไม่น้อย


 


นอกจากนี้ช่วงแรกๆหลังจากได้รับกระบี่พันอาคมเซียนมา ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่หยิบมันออกมาใช้อย่างระวังด้วยกลัวจะถูกผู้คนพบเห็น…ทว่าตอนนี้ ในที่สุดเขาก็มีคุณสมบัติมากพอจะถือครองกกระบี่เล่มนี้ได้อย่างเปิดเผย


 


คุณสมบัติที่ว่า ย่อมหมายถึง ‘ความแข็งแกร่ง’ ที่สามารถปกป้องกระบี่พันอาคมเซียนได้!


 


ด้วยพลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน ยากนักที่คนอ่อนแอกว่าเขาจะหาญกล้ามาตอแยเขา นับประสาไรกับคิดช่วงชิงกระบี่พันอาคมเซียนในมือเขา!


 


ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งขึ้นมาในระดับที่พอจะประมือกับเขาได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนระดับสูงๆ และมีศาสตราพันอาคมเซียนส่วนตัวแล้วทั้งสิ้น ตัวตนระดับนี้ย่อมไม่มีใครคิดช่วงชิงกระบี่พันอาคมเซียนของเขา


 


และพริบตาที่กระบี่พันอาคมเซียนผุดโผล่จากความว่างเข้าสู่มือต้วนหลิงเทียน กลิ่นอายทั้งความรู้สึกที่แผ่ออกจากตัวต้วนหลิงเทียนก็แปรเปลี่ยนไปทันใด ราวกับเขากลายเป็นคนละคน!


 


มือมีกระบี่ สยบได้ทั้งใต้หล้า!


 


ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้…


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่กระบี่พันอาคมเซียนกระชับแน่นในมือ พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนก็ถ่ายทอดลงสู่ตัวกระบี่! เปล่งพลังอานุภาพของมันออกมาทันที!!


 


วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!


 


……


 


ทันใดนั้นเสียงกู่ร้องของกระบี่พลันดังออกเบาๆ แสงกระบี่ยังเรืองสว่างขึ้นมา ไอพลังคมกล้าขุมหนึ่งแผ่พุ่งออกมาฉาบคลุมไปทั่วใบกระบี่ มองแล้วให้ความรู้สึกน่าเกรงขามนัก!


 


“ต้วนหลิงเทียน! รับแส้ข้าดู!!”


 


ผู้พิทักษ์หงอวิ๋นตะโกนออกมาอย่างดุร้าย ก่อนที่จะม้วนตัวรอบหนึ่งค่อยตวัดแส้ฟาดใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างดุดัน! แส้ยาวในมือคล้ายมีชีวิต ม้วนฉกเข้ามาดั่งอสรพิษสีเลือด!!


 


ตอนนี้ผู้พิทักษ์หงอวิ๋นเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นศัตรูอันน่ากลัวในชีวิต ไม่กล้าประมาทต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป ในสายตาของนางต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ศิษย์ที่แท้จริงอีกต่อไป!


 


เช่นนั้นนางจึงไม่ออมรั้งยั้งมือแม้แต่น้อย กระบวนท่านี้ทุ่มออกด้วยพลังทั้งหมด ราวกับหากสยบต้วนหลิงเทียนไม่ได้ ไม่คิดเลิกรา!!


 


ซู่มมม!!


 


ร่างผู้พิทักษ์หงอวิ๋นที่ม้วนตัวฟาดแส้ ลงมือด้วยพลังทั้งหมด! แส้โจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนปานดาวตกสีชาด มวลพลังส่องสว่างดุร้ายเปล่งรังสีพลังน่ากลัวไม่หยุด!!


 


ซู่มมม!!


 


แส้ยาวปานอสรพิษแดงฟาดผ่าฟ้ามาฉับไวทั้งสภาวะยังดุร้ายเกรี้ยวกราดนัก ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ยามนี้มันเปล่งกลิ่นอายพลังน่าพรั่นพรึงจากอาคมเซียนนับพัน เอาแค่พลังดั้งเดิมจากหงอวิ๋นก็ทำให้คนธรรมดายากรับมือเต็มที!!


 


‘จบเท่านี้แล้วกัน…’


 


ในขณะที่หงอวิ๋นสำแดงพลังทั้งหมดฟาดแส้ออกมาอย่างดุร้าย จนแส้คล้ายมีอานุภาพหวดฟ้าจนแหลก สองตาต้วนหลิงเทียนพลันหดหยีลง ก่อนประกายคมกล้าหนึ่งพลันเรืองวาบขึ้น!


 


พริบตาต่อมาทั่วร่างต้วนหลิงเทียนพลันปะทุออกมาด้วยพลังอำนาจอันน่าสะพรึง!


 


วินาทีนี้ต้วนหลิงเทียนคล้ายกลับกลายเป็นกระบี่อันแหลมคมเล่มหนึ่ง สภาวะราวกับสามารถเจาะทะลวงได้ทุกสิ่งสะบั้นได้ทุกอย่าง!


 


‘ใจกระบี่เหิน!’


 


ทันที่ที่ใจคิด กระบี่พันอาคมเซียนในมือต้วนหลิงเทียนพลันปะทุสำนึกกระบี่อันลึกล้ำสุดหยั่ง! ตัวกระบี่คล้ายมีชีวิต เหินทะยานออกจากมือต้วนหลิงเทียนไปด้วยความเร็วสูงสุด!


 


ฟั่ฟฟฟฟ!!


 


พริบตาที่กระบี่พันอาคมเซียนอันตรธานหายไปจากมือต้วนหลิงเทียน มันก็ประหนึ่งจะพุ่งทะลวงผ่านความว่างเปล่า! ดั่งอันตรธานข้ามระยะไปในชั่วพริบตา! คงเหลือแต่เพียงเสียงหอนของกระบี่อันแผ่วเบาเท่านั้น!!


 


พริบตานั้น กระบี่ที่ทะลวงตัดฟ้าข้ามระยะมาดั่งประกายแสง อยู่ๆก็อุบัติขึ้นตรงหน้าหงอวิ๋น แม้ต้วนหลิงเทียนจะลงมือทีหลัง แต่กระบี่เขากลับบรรลุถึงตัวนางก่อนที่แส้นางจะบรรลุถึงตัวเขา!


 


เรียกว่าเสี้ยวพริบตากระบี่ก็วูบมาโผล่ใกล้มือหงอวิ๋นที่กำลังตวัดฟาดแส้!!


 


ปราณกระบี่อันคมกล้าร้ายกาจยังสะบั้นรังสีพลังที่ฉาบแส้เอาไว้อย่างง่ายดาย!


 


และด้วยกลิ่นอายพลังปราณกระบี่อันลึกล้ำสุดหยั่งทั้งคมกล้าหาใดเปรียบ ก็ทำให้ใจหงอวิ๋นร่วงตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที!


 


วินาทีที่นางตระหนักได้ว่านี่มันเรื่องอะไร นางก็ไม่มีเวลามากพอจะป้องกันกระบี่บินอันน่าพรั่นพรึงนี้ได้ทัน! ยังไม่แม้แต่ขยับข้อมือได้แม้แต่หนึ่งชุ่น! ห้วงเวลาเสมือนหยุดเดินอย่างไรไม่ทราบ นางมองเห็นกระบี่แต่ไม่อาจทำอะไรได้เลย!!


(หนึ่งชุ่น = 1 นิ้ว)


 


และในช่วงเวลาเสี้ยวพริบตานี้ หงอวิ๋นคล้ายได้เห็นภาพข้อมือของนางถูกกระบี่บินอันน่าสะพรึกกลัวตัดขาด!


 


“ระวัง!!”


 


ผู้พิทักษ์ชิงหั่วและผู้พิทักษ์สื่อเฟิงที่ตระหนักได้ถึงอันตราย รีบปะทุพลังกล้าแข็งวูบร่างออกไปดั่งสายฟ้าฟาดทันที


 


น่าเสียดายที่พวกมันยังคงสายเกินไป..


 


กระทั่งตัวสื่อเฟิงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนก็ไม่อาจพุ่งไปช่วยเหลือหงอวิ๋นได้ทัน


 


“อภัยให้กันได้ก็อภัยเถอะ…”


 


ทว่าพริบตานั้นเอง พลันมีเสียงหนึ่งที่ปานจะกึกก้องมาจากทุกทั่วสารทิศ


 


และแทบจะพร้อมๆกันกับที่เสียงนี้ดังขึ้น


 


ผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ที่พุ่งร่างเข้าไปหมายช่วยเหลือหงอวิ๋นด้วยความร้อนใจก็บังเกิดความรู้สึกโล่งใจคล้ายคว้าจับฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้แล้ว พลังทั่วร่างถูกรั้งกลับทันที


 


แน่นอนว่าไม่ใช่ฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายสำหรับพวกมัน


 


เปรี๊ยงงง!!


 


เสียงดังสนั่นลั่นปานจะทะลวงแก้วหูดังขึ้น ระหว่างข้อมือของผู้พิทักษ์หงอวิ๋นกะบกระบี่พันอาคมเซียน ไม่ทราบมีม่านพลังโปร่งใสไร้สภาพปรากฏขึ้นเมื่อใด หากแต่มันสามารถหยุดกระบี่ของต้วนหลิงเทียนเอาไว้ได้ชะงัด!!


 


และแทบจะพร้อมๆกันกับที่กระบี่พันอาคมเซียนสิ้นพลังสภาวะดุร้ายเกรี้ยวกกราด ม่านพลังโปร่งใสไร้สภาพนั่นก็สลายหายไปเช่นกกัน


 


แม้ตอนนี้กระบี่พันอาคมเซียนจะยังคงพุ่งทะยานออกไปสืบต่อ หากแต่ก็ไร้พลังอำนาจในการคุกคามหงอวิ๋นได้อีกต่อไป


 


เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนอาศัยเพียงหนึ่งห้วงคิด กระบี่พลันเหินกลับมาเข้ามือในชั่วพริบตา ไม่ปล่อยให้ทะลวงสังหารไปทางหงอวิ๋นสืบไป


 


“ยินดีที่ได้พบ จ้าวลัทธิบูชาไฟ”


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนคล้ายจะตระหนักถึงว่าผู้พูดเป็นใครอยู่ที่ไหนแต่แรก หันไปกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มยังความว่างทิศทางหนึ่งทันที…


 


และความว่างบริเวณนั้นก็มีร่างหนึ่งที่ค่อยๆปรากฏกายขึ้นมา


 


เมื่อร่างดังกล่าวปรากฏให้เห็นชัด ก็เผยรูปโฉมให้ทั้งหมดเห็นกระจ่าง เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำมาในชุดคลุมขาวลายปักเปลวเพลิงคล้ายมังกรพัวพัน


 


‘ชุดที่ใส่ดูไปก็แทบไม่ต่างจากอาวุโสทั้งศิษย์ของลัทธิบูชาไฟเท่าไหร่เลย…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


แน่นอนว่า ‘แทบ’ ไม่ต่าง


 


นั่นเพราะต้วนหลิงเทียนเองก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่าลายปักเปลวเพลิงบนชุดนั่น มันแตกต่างจากลายปักเปลวเพลิงของอาวุโสและเหล่าศิษย์ของลัทธิบูชาไฟคนไหนที่เขาเคยเห็นมาก่อน


 


หากมองให้ละเอียดยังพบว่า


 


ลายปักเปลวเพลิงนั่นตั้งแต่ใต้เหนืออกถึงชายชุดคลุมด้านล่าง มันดูคล้ายมังกรเทพยดากำลังห้อมล้อมพัวพันรอบกาย เพื่อพิทักษ์คุ้มครองร่างผู้สวมใส่…


 


นอกจากนั้นร่างสูงใหญ่แลดูกำยำนี้ กลับไม่มีความรู้สึกหยาบกระด้างหยาบตาเลย


 


ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตากลับให้ความรู้สึกไม่ขาดไม่เกิน


 


หว่างคิ้วยังแผ่พุ่งบารมีอันน่าเกรงขาม ราวกับมีพลังอำนาจครอบงำสามารถสยบทุกสรรพชีวิตให้ยอมจำนน


 


วินาทีนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมคาดเดาฐานะอีกฝ่ายได้ทันที


 


จ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวน!


 


“ในที่สุดก็ยอมแพ้แล้วหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองจ้องไปยังถังซวนค่อยกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ


 


ในช่วงเวลาที่เขากับหงอวิ๋นกำลังประมือกันอยู่อย่างสูสีนั้น


 


ผู้เฒ่าหั่วได้แจ้งเขาแต่แรกแล้วว่ามีเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนซ่อนตัวอยู่ในจุดอับสายตา และเฝ้าจับตาดูเขาอยู่


 


ตอนนั้นเขาก็คิดได้ทันทีว่าเป็นใคร


 


เพราะในลัทธิบูชาไฟมีเพียง ถังซวน แค่คนเดียวเท่านั้นที่มีพลังฝึกปรือสูงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


และไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันที ว่ามันซุ่มดูเพื่ออะไร! ไม่พ้นคิดจับตาดูพลังฝีมือที่แท้จริงของเขา!!


 


เช่นนั้นเพื่อล่อให้มันปรากฏตัว ในตอนที่หงอวิ๋นใช้แส้พันอาคมเซียน และกระตุ้นพลังอาคมหมายลงมือกับเขาด้วยพลังทั้งหมดนั้น


 


เขาจึงใช้กระบี่พันอาคมเซียนออกมาและจ่ายพลังกระตุ้นพันอาคมเซียนที่กกระบี่ให้เปิดใช้งานทันที! นอกจากกนั้นยังใช้เคล็ดกระบี่อยู่ที่ใจจากขอบเขตที่ 3 ของยอดใจกระบี่หมายจัดการหงอวิ๋นอย่างอำมหิตในกระบี่เดียว!!


 


เหตุผลที่เขากระทำเช่นนี้ทั้งหมดเพื่อบีบให้ถังซวนโผล่หัวออกมาลงมือเท่านั้น!


 


เพราะถึงแม้หงอวิ๋นจะวางท่าถือดีกับเขาในตอนแรก แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะสุดท้ายหงอวิ๋นก็ไม่ล่วงรู้พลังฝีมือของเขา


 


เขาลองคิดดูหากเขาเป็นผู้พิทักษ์หงอวิ๋น บางทีอาจจะลงมือหนักกว่านี้ก็ได้


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้คิดจะทำร้ายหงอวิ๋นจริงๆจังๆ กระบี่บินที่พุ่งทะยานไปนั่น แม้ฉับไวอำมหิต…แต่เขาสามารถควบคุมได้ดั่งใจคิด! จะสลายพลังจะรั้งคืนก็ลำบากเพียงห้วงคิดเดียวเท่านั้น ไม่มีทางปล่อยให้พลาดพลั้งทำร้ายหงอวิ๋นได้จริงๆ!!


 


และความจริงก็พิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาคิดไว้มันสำเร็จ


 


สุดท้ายจ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวน ก็ไม่อาจทนดูได้ต่อไป เลือกที่จะออกจากการซ่อนตัวเร้นกายแล้วมาปรากฏตัวตรงหน้าแบบนี้


 


“ต้วนหลิงเทียน”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองพินิจถังซวน ด้านถังซวนก็มองเขาไม่วางตาเช่นกัน “เจ้าไม่กลัวว่าถ้าข้าไม่ลงมือเจ้าจะรั้งกระบี่เอาไว้ไม่ทันหรือไร? เจ้าสมควรรู้ดีกกว่าใครมิใช่หรือ…ว่าความเร็วกระบี่ของเจ้ามิใช่เรื่องเล่นๆ?”


 


“ทว่าที่ข้าอยากรู้ที่สุด…ที่แท้เจ้าพบว่าข้ากำลังซ่อนตัวดูอยู่ได้อย่างไรกันแน่?”


 


กล่าวถามไปเรื่องหนึ่งแล้วถังซวนก็กล่าวถามต่อออกมาอีกเรื่องทันที


 


และวาจานี้ของถังซวนยามดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน ก็ทำให้เขาตกใจอยู่บ้าง


 


‘มัน..รู้?’


 


เมื่อสังเกตเห็นแววตามากไหวพริบ ทอประกายแหลมคมที่มองมาของถังซวน ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบสะท้านไปในใจ ตอนนี้ยังรู้สึกเสมือนเนื้อตัวเปลือยเปล่ายากปกปิดสิ่งใดต่อหน้าถังซวนอยู่บ้าง


 


“หือ?”


 


ขณะเดียวกัน ด้านผู้พิทักษ์สื่อเฟิง และผู้พิทักษ์ชิงหั่วไม่เว้นผู้พิทักษ์หงอวิ๋นที่รอดมาได้ อดไม่ได้ที่จะชักสีหน้าเคร่งไปเมื่อไดยินคำของถังซวน


 


“อ่า ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้จะถูกจ้าวลัทธิมองออกได้…แต่ก็นะ ถึงท่านจ้าวลัทธิจะไม่ออกหน้าลงมือ แต่มั่นใจได้เลยว่าผู้พิทักษ์หงอวิ๋นจะไม่ได้รับอันตรายใดๆทั้งสิ้น ส่วนเรื่องที่ทำไมข้าถึงพบตัวจ้าวลัทธิได้ นั่นก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆพลางกล่าวตอบ


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนผู้พิทักษ์ทั้ง 3 พลันตระหนักได้ทันที


 


ที่ต้วนหลิงเทียนใช้กระบี่อันน่ากลัวนั่นออกมา น่ากลัวว่าจะเพื่อบีบให้จ้าวลัทธิของพวกมันปรากฏตัวเท่านั้น!


 


“มรรคากระบี่ของเจ้าช่างสูงล้ำนัก…อาศัยกระบี่บินเมื่อครู่ เกรงว่ามรรคากระบี่ของเจ้าในใต้หล้านี้…คงยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน…”


 


จ้าวลัทธิบูชาไฟมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาล้ำลึก ยังไม่ลังเลที่จะกล่าวชมออกมาตรงๆ


ตอนที่ 2,178 : ผู้พิทักษ์หลิงเทียน!


 


 


 


ใต้หล้ายากหาใดเสมอเหมือน!


 


นี่คือการประเมินความสามารถในเชิงกระบี่ของต้วนหลิงเทียนจากกระบี่เมื่อครู่ของถังซวน!


 


สำหรับเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเคล็ด ‘ยอดใจกระบี่’ ที่เขาได้รับมานั้น เป็นเต๋ากระบี่อันสูงสุด! พลังอำนาจของมันเหนือล้ำนัก ก้าวข้ามวรยุทธ์เซียนทั้งวรยุทธ์กระบี่ใดๆในระนาบโลกียะแห่งนี้ไปแล้ว!


 


อย่างไรก็ตาม สายตาอันแหลมคมของถังซวนยังทำให้เขาแปลกใจอยู่บ้าง


 


สมแล้วที่เป็นจ้าวลัทธิบูชาไฟ!


 


“ใต้หล้ายากหาผู้ใดเสมอเหมือน?”


 


ขณะเดียวกันด้านผู้พิทักษ์ทั้ง 3 บัดนี้ก็กลับมาครองสติกันได้แล้ว พอนึกถึงวาจาก่อนหน้าของถังซวนพวกมันทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


พวกมันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนจริงๆว่า…


 


จ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกมันจะใช้คำ ‘ใต้หล้ายากหาผู้ใดเสมอเหมือน’ มานิยามความสำเร็จในมรรคากระบี่ของต้วนหลิงเทียน!


 


ต้องทราบด้วยวาวาจาประโยคนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น


 


ไม่ใช่ยากหาผู้ใดเสมอเหมือนธรรมดา แต่เป็นยากหาผู้ใดในใต้หล้าเสมอเหมือน!


 


แต่จะอย่างไรก็ตาม พอนึกถึงกระบี่อันทรงพลังฉับไวที่ต้วนหลิงเทียนสำแดงออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะสื่อเฟิง หรือชิงหั่วก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย


 


อย่าว่าแต่จ้าวลัทธิเลย กระทั่งพวกมันที่มีอายุมากกว่าจ้าวลัทธิ เกิดมายังไม่เคยพบเคยเจอใครที่มีทักษะกระบี่อันยอดเยี่ยมถึงระดับนี้มาก่อน


 


สำหรับตัวผู้พิทักษ์หงอวิ๋นนั้น


 


ถึงแม้ตอนนี้นางจะตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดจะตัดข้อมือนางจริงๆ แต่นางยังอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจนร่างสะท้านเมื่อนึกถึงฉากเรื่องราวก่อนหน้า


 


เร็ว!


 


มันเร็วเกินไป!!


 


กระบี่นั่นอยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าดั่งภูตผี ไร้ซึ่งร่องรอยและการแจ้งเตือนใดๆ! ไม่ทันที่นางจะตอบสนองสิ่งใดได้เลย!!


 


กว่านางจะทันได้ตอบสนอง ก็เกรงว่าคงสายเกินไปที่จะหยุดกระบี่นั่นได้


 


หากไม่ใช่เพราะจ้าวลัทธิลงมือเข้าช่วย และต้วนหลิงเทียนไร้ความคิดยั้งมือแต่แรก น่ากลัวมือข้างนี้ของนางคงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้แล้ว!


 


“ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนข่าวลือเรื่องเจ้าจะเป็นความจริงสินะ…ด้วยความแข็งแกร่งที่เจ้าพึ่งเผยออกมา ทั้งความสำเร็จในมรรคากระบี่ของเจ้า คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะฆ่าจ้าวราชสีห์ขนทอง เซี่ยคังฉวิน 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ…”


 


ถังซวนมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเป็นประกาย ตอนนี้หากมองจากแววตาของมัน บอกได้เลยว่ามันเห็นต้วนหลิงเทียนไม่ต่างใดไปจากสมบัติล้ำค่า!


 


และอันที่จริง ในสายตาของมันต้วนหลิงเทียนก็คือสมบัติล้ำค่าที่ใครเอาอะไรมาแลกมันก็ไม่ยอมจริงๆ!


 


เพราะสุดท้ายแล้วนี่คือตัวตนที่มีพลังฝีมือสูงกว่าผู้พิทักษ์หงอวิ๋นของลัทธิบูชาไฟมัน!


 


เรื่องนี้สามารถเห็นได้ชัดจากการประมือเมื่อครู่


 


หากเป็นการต่อสู้เอาชีวิตจริง และต้วนหลิงเทียนเลือกจะลงมือฆ่าคนแต่แรก น่ากลัวว่าไม่ถึง 10 กระบวนท่า หงอวิ๋นกระทั่งตกตาย ยังไม่ทันรู้ตัวว่าตกตายได้อย่างไร…


 


“ไม่ผิด เซี่ยคังฉวินมันตายด้วยมือข้าจริงๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“นี่…เจ้าฆ่าเซี่ยคังฉวินได้ใน 3 กระบี่จริงๆหรือ!?”


 


แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวยอมรับออกมาว่าฆ่าเซี่ยคังฉวินไปแล้ววจริงๆ หงอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความกระตือรือร้น ในน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างออกหน้าออกตา


 


ถึงแม้ว่าเมื่อครู่กระบี่ของต้วนหลิงเทียนเกือบจะทำลายมือข้างหนึ่งของหน่าง


 


แต่นางก็ไม่โกรธต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย เพราะทั้งหมดแล้วเพราะนางเลินเล่อไม่ทันได้ระวังเอง จึงไม่ได้รู้สึกอับอายขายหน้าอะไร


 


อีกทั้งนางยังรู้ดีว่าแม้นางจะเตรียมตัวป้องกันไว้ก่อนหน้า แต่นางก็ยังห่างไกลจากการเป็นคู่มือต้วนหลิงเทียนได้อยู่ดี!


 


เหตุผลที่นางกล่าวถามเรื่องนี้จากต้วนหลิงเทียน ว่าฆ่าเซี่ยคังฉวินได้ใน 3 กระบี่จริงหรือไม่…ก็เพราะถ้าเป็นเรื่องจริง นั่นหมายความว่าที่ต้วนหลิงเทียนประมือกับนางเมื่อครู่อีกฝ่ายไม่ได้เอาจริงแม้แต่น้อย


 


ถึงแม้พลังฝีมือนางจะเหนือกว่าเซี่ยคังฉวิน แต่ก็ไม่ได้เหนือกว่ามากมายอะไร


 


“หากข้าคิดฆ่ามันจริงๆ อาศัยแค่กระบี่เดียวก็พอแล้ว…”


 


ได้ยินคำถามของหงอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนเพียงหันไปเหลือบมองนางพลางกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงเฉยเมย


 


ทันใดนั้นหลายคนที่ได้ยินก็ลอบสะท้านในใจ


 


วาจาไร้แยแสนี้ของต้วนหลิงเทียน เมื่อดั่งในหูของพวกมันยังสะท้านไปถึงทรวง! แต่พวกมันรู้ดีว่าเป็นเรื่องจริง และเชื่อมั่นว่าต้วนหลิงเทียนไม่โกหกแน่ ก็ความมั่นใจที่ต้วนหลิงเทียนเผยให้เห็น มันชัดเสียขนาดนี้!


 


“กระบี่เดียวฆ่าเซี่ยคังฉวินรึ?”


 


จังหวะนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ชิงหั่ว หรือหงอวิ๋น พลันตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่งทันที…


 


ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนมากพอจะเทียบได้กับตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!


 


และในบรรดาพวกมันทั้ง 3 ก็มีสื่อเฟิงคนเดียวเท่านั้นที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน


 


“ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง…หากเป็นท่าน มั่นใจว่าจะเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้หรือไม่?”


 


หงอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะมองไปยังสื่อเฟิงพลางถามด้วยการส่งเสียงผ่านพลัง


 


“เหอะๆ…หากมันฆ่าเซี่ยคังฉวินได้ในกระบี่เดียวจริงๆ…เกรงว่าตัวข้าเอง ก็สู้มันไม่ได้”


 


ผู้พักษ์สื่อเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวตอบออกมาตามความเป็นจริง


 


“โอย ดูเหมือนตอนที่มันสู้กับข้าที่แท้มันจะออมมือเอาไว้หลายส่วน…”


 


หงอวิ๋นได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ


 


อย่างไรก็ตามนางไม่รู้เลยว่าความแข็งแกร่งที่ต้วนหลิงเทียนปิดบังเอาไว้ในสายตานาง มันจะมาจากกระบี่นิลสวรรค์ ยอดสมบัติสวรรค์อันร้ายกาจ!


 


ด้วยความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ยามใช้ออกด้วยกระบี่นิลสวรรค์เต็มพลัง เกรงว่าแทบจะไร้เทียมทานใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


“ดี! ดี! ดี!!”


 


ในฐานะจ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวน ย่อมฟื้นสติกลับมาคนแรก มันยิ้มให้ต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวด้วยความยินดีว่า “หลังจากกผ่านไปหลายปี ในที่สุดลัทธิบูชาไฟของพวกเราก็มียอดฝีมือที่ร้ายกาจกว่าเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเพิ่มมาอีกคน!”


 


สื่อเฟิง ชิงหั่ว และหงอวิ๋น ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟทั้ง 3 บัดนี้ไม่มีใครกล้าดูเบาต้วนหลิงเทียนอีกต่อไปหลังได้เห็นพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน!


 


พอมาได้ยินวาจาประโยคนี้ของถังซวน ทุกคนก็บังเกิดความตื่นเต้นทั้งยินดีนัก!


 


พวกมันลัทธิบูชาไฟ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มียอดฝีมือที่ร้ายกาจเหนือกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเพิ่มมาอีกคนแล้ว! และนับเป็นผู้ที่มีพลังฝีมือตั้งแต่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนขึ้นไปคนที่ 4 ของลัทธิบูชาไฟนอกจากจ้าวลัทธิ!


 


เรื่องนี้นับว่ามีความสำคัญต่อลัทธิบูชาไฟอย่างใหญ่หลวงนัก


 


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทุกคนตระหนักได้ชัดเจนว่าผู้ที่มีพลังฝีมือร้ายกาจเหนือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนขึ้นไปคนนี้ ยังไม่ธรรมดาเหมือนคนอื่นๆ! เกรงว่าจะไม่ใช่แค่เทียบได้กับเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนธรรมดาๆ!!


 


“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป…เจ้า ต้วนหลิงเทียน จะกลายเป็นผู้พิทักษ์คนที่ 4 ของลัทธิบูชาไฟ!”


 


หลังจากนั้นถังซวนก็มองไปยังต้วนหลิงเทียน ทั้งล่าวประกาศออกมาต่อหน้าผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


 


“ข้า…ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟหรือ?”


 


ทันทีที่ได้ยินคำประกาศของถังซวน ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปทันที ยังกระพริบตาปริบๆอย่างอดไม่ได้


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยผู้พิทักษ์หลิงเทียน!”


“ขอแสดงความยินดีด้วยผู้พิทักษ์หลิงเทียน!”


 



 


และทันทีที่เสียงกล่าวของถังซวนดังจบคำ ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังตกตะลึง เสียงกล่าวแสดงความยินดีจากผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ก็ดังขึ้นพร้อมกัน หันไปก็พบว่าทั้ง 3 ประสานมือกล่าวคำแสดงความยินดีกับเขาด้วยรอยยิ้ม!


 


ในโลกนี้ผู้เข้มแข็งย่อมได้รับความเคารพ หากพลังฝีมือสูงส่งไม่ว่าผู้ใดล้วนให้ความยอมรับ!


 


ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน พวกมันเองก็ยอมรับนับถือจากใจ!


 


“ขอบคุณผู้พิทักษ์ทั้ง 3”


 


ต้วนหลิงเทียนที่กลับมารู้สึกตัวก็เร่งประสานมือขอบคุณทั้ง 3 คนทันที จังหวะนี้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนฝันไปอยู่บ้าง


 


นี่เขาพึ่งกลายเป็นผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟจริงๆรึ?


 


พอนึกถึงวันที่เขาเข้ามาลัทธิบูชาไฟครั้งแรก เขายังรู้สึกเสมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ เร่งบ่มเพาะพลังเอาเป็นเอาตายอยู่เลย…


 


เผชิญหน้ากับการประสานมือขอบคุณของต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มพึงใจออกมา จากนั้นพวกมันก็กล่าวอำลาต้วนหลิงเทียนกับถังซวนค่อยจากไป


 


ในขณะที่พวกมันเหินร่างจากไป ในใจของพวกมนัทั้ง 3 รู้สึกเสมือนโลกนี้มัน ‘บ้า’ ไปแล้ว…


 


เพียงเวลาแค่ไม่นาน จากศิษย์ฝ่ายนอกในแท่นบูชาจตุรลักษณ์ ที่พึ่งเลื่อนมาเป็นศิษย์ที่แท้จริงได้ไม่ทันถึงปี จากนั้นก็ผ่านไปไม่ทันไร กลับกลายเป็นตัวตนที่มีฐานะทัดเทียมกับพวกมันเสียแล้ว…ผู้พิทักษ์คนที่ 4 ของลัทธิบูชาไฟ ผู้พิทักษ์หลิงเทียน!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิงหั่ว มันเป็นคนเดียวในบรรดา 3 ผู้พิทักษ์ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับต้วนหลิงเทียน


 


“คิดไปแล้วตอนนั้นข้ากลับอยากรับมันเป็นศิษย์…เหอๆ”


 


นึกถึงการกระทำในอดีต ชิงหั่วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา ใจคิดขุดหลุมแล้วซุกหน้าหลบลงไปนัก!


 


หลังจากที่ผู้พิทักษ์ทั้ง 3 อำลาจากไป ถังซวน ก็ยกมือขึ้นมา ก่อนใช้เล็บจิกนิ้วหลั่งโลหิต


 


ซัวว!


 


ในขณะที่หยดโลหิตลอยล่องขึ้นฟ้า ถังซวน ก็ได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าออกมาทันที เป็นดั่งวาจาที่มันเคยให้คำมั่วเอาไว้ในคำแถลงการณ์เชิญต้วนหลิงเทียนกลับมากก่อนหน้า


 


สำหรับเนื้อหาในคำสาบานนั้น ก็คือมันจะไม่คิดแย่งชิงยอดศาสตราเซียนของต้วนหลิงเทียน ทั้งสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้ใครในลัทธิบูชาไฟแย่งชิงยอดศาสตราเซียนอย่าง ตราผนึกมาร ที่อยู่ในความครอบครองของต้วนหลิงเทียนอย่างเด็ดขาด…และนี่ก็คือถ้อยคำที่มันได้รับปากไว้ในคำแถลงการณ์


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 



 


เสียงอัสนีฟ้าฟาดผ่า 9 สาย เป็นการบ่งบอกว่าสวรรค์ตอบรับคำสาบานของถังซวนแล้ว นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป คำสาบานได้มีผลบังคับใช้ทันที


 


“ถึงแม้ว่าด้วยพลังฝีมือของผู้พิทักษ์หลิงเทียน คำสาบานนี้ของข้ากกลับกลายเป็นเรื่องเกินจำเป็นไปแล้วเพราะท่านย่อมมีพลังฝีมือปกป้องตราผนึกมารของตัวเอง…แต่เมื่อข้าได้ลั่นวาจาไว้แล้ว ข้าย่อมกระทำตามคำพูด”


 


ถังซวนมองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม คำเรียกหายังสุภาพให้เกียรติขึ้นกว่าเดิม


 


“ขอบคุณจ้าวลัทธิมาก”


 


ต้วนหลิงเทียนรีบกล่าวขอบคุณ


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียนแล้วท่านไม่อยากรู้หรือ…ว่าไฉนข้าถึงรู้ได้ว่าท่านไม่คิดทำลายข้อมือของผู้พิทักษ์หงอวิ๋นจริงๆ?”


 


ถังซวนกล่าวถาม


 


“อยากรู้สิ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เรื่องนี้เขาก็อยากรู้อยู่บ้าง แต่ไม่ได้คิดจะถามออกไป


 


“เพราะกระบี่นั้นของท่านไม่เพียงแต่จะไร้จิตสังหาร แต่ยังไร้จิตมุ่งร้ายอันใดต่อหงอวิ๋น…นั่นมากพอจะบ่งบอกให้ข้ารับทราบแต่แรก ว่าในสายตาท่านการปะทะกับหงอวิ๋นครานี้ ท่านเห็นมันเป็นเพียงการประลองชี้แนะเท่านั้น ถึงแม้สำหรับนางจะไม่เชิงการประลองชี้แนะก็ตาม แต่ท่านก็ไม่ได้ลงมือจริงจังอะไรกับนาง”


 


ถังซวนกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม


 


ได้ยินคำของถังซวนต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที แต่อย่างไรเขาก็อดไม่ได้ที่ตกใจกับความละเอียดลออของจ้าวลัทธิบูชาไฟผู้นี้อยู่บ้าง อีกฝ่ายนับว่าสายตาไม่ธรรมดาทีเดียว…


 


‘ดูเหมือนต่อให้ข้ากลายเป็นผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟไปแล้ว แต่เรื่องช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกยังไม่อาจวางใจได้ง่ายๆ หาไม่แล้วหากจ้าวลัทธิบูชาไฟผู้นี้สังเกตเห็นความผิดปกติหรือพิรุธอะไรขึ้นมา ไม่เพียงแต่ข้าจะตกอยู่ในอันตราย เค่อเอ๋อแม่ลูกอาจประสบเคราะห์ถึงตาย!’


 


หลังได้เห็นความคิดที่ค่อนข้างผิดกับรูปร่างและขนาดตัวของถังซวน ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลในใจขึ้นมาอยู่บ้าง


 


สำหรับเรื่องการเป็นผู้พิทักษ์ลัทธิบูชาไฟนี้ เขาเห็นว่ามีแต่ข้อดีเท่านั้น! ต่อไปเขาจะเดินไปไหนในลัทธิบูชาไฟก็ง่ายดายนัก!!


 


สิ่งที่เขาชมชอบที่สุดก็คือสิทธิพิเศษของฐานะผู้พิทักษ์ลัทธิบูชาไฟนี้เอง ยังนับว่ามีไม่น้อยเลยทีเดียว!


 


เพราะในลัทธิบูชาไฟ ฐานะของผู้พิทักษ์นับว่าสูงมาก เป็นรองก็แต่จ้าวลัทธิบูชาไฟเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ยังเหนือกว่ารองจ้าวลัทธิทั้ง 2 เสียอีก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงอาวุโสเพลิงทองกับเพลิงเงินอะไรพวกนั้นเลย…


 


“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน”


 


ทันใดนั้นถังซวนพลันชักสีหน้าจริงจังกล่าวกับต้วนหลิงเทียนออกมาต่อว่า “อีก 3 วันหลังจากนี้ ข้าจะไปยังจัตุรัสกลางของเกาะศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประกาศเรื่องการมอบตำแหน่งให้ท่านอย่างเป็นทางการต่อหน้าเหล่าศิษย์และอาวุโสทั้งหมด…ถึงตอนนั้นเหล่าศิษย์และสาวกทั้งหมดของลัทธิบูชาไฟภูมิภาคตะวันตกกแห่งนี้ กระทั่งทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า จะได้รับทราบเรื่องที่ลัทธิบูชาไฟของพวกเรา มีผู้พิทักษ์คนที่ 4!!”


 


“และผู้พิทักษ์คนที่ 4 ของลัทธิบูชาไฟเรา ก็คืออัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ต้วนหลิงเทียน!”


 


ฟังจากวาจาของถังซวนแล้ว นับว่ามันตีค่าต้วนหลิงเทียนเอาไว้สูงมาก


 


อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น มีผู้ที่ได้รับสมญานามว่า อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอยู่ก่อนแล้ว…และนั่นก็คือศิษย์ส่วนตัวของยอดฝีมืออันดับ 1 ในแดนดินอย่างเนี่ยอู๋เทียน…เผยซื่อไห่!


 


ผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน ทั้งๆที่ยังมีอายุไม่ถึง 100 ปี ดาวเด่นในโลกของผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัด!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)