War sovereign Soaring The Heavens 2144-2157

 ตอนที่ 2,144 : ไร้กำลัง…


 


“วาสนาในคราวเคราะห์หรือ?”


 


ได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มเฝื่อนๆ


 


ก็ใช่


 


ครั้งนี้นับว่าเขาได้พบวาสนาในคราวเคราะห์จริงๆ!


 


ไม่เพียงแต่รอดพ้นจากหายนะตายตก แต่ยังได้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณคุณภาพสูงจำนวนมาก! ทั้งหมดล้วนเป็นพรสวรรค์รากวิญญาณของยอดฝีมือลือชื่อทั้งสิ้น ทำให้รากวิญญาณสีครามของเขาแปรเปลี่ยนเป็นรากวิญญาณสีครามเข้มได้ทันที กระทั่งแม้จะยังไม่เป็นสีม่วง แต่ก็ห่างอีกไม่ไกลแล้ว!!


 


อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่เมื่อครู่ ตัวตนอย่างไป๋หลี่กับเหวยสั่วกลับต้องตายตกไปแบบนั้น หัวใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหวไปอยู่บ้าง


 


เหวยสั่วนั่นไม่เพียงแต่จะเป็น 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ ‘จ้าวค้างคาวปีกเขียว’ มันยังเป็นยอดฝีมือที่รั้งอยู่ในอันดับที่ 24 ของรายนามยอดเซียนอีกด้วย…เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!


 


ส่วนไป๋ลี่นั้น นอกจากเป็นผู้ฝึกตนอิสระระดับแนวหน้าของนครแห่งบาปแล้ว มันยังบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน กระทั่งยังมีพลังฝีมือติดอันดับที่ 9 ในรายนามยอดเซียน!


 


เรียกว่าต่อให้กวาดตามองไปทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ไป๋ลี่ก็ถือเป็นยอดฝีมือระดับต้นๆ!


 


อย่างไรก็ตามชนชั้นยอดฝีมือทั้ง 2 คนในแดนดิน กลับต้องมาตกตายในระนาบเทียมแห่งนี้ในชั่วพริบตา


 


ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งคู่ยังไม่มีแม้แต่เวลาจะตอบสนองสิ่งใดได้ทัน นับประสาอะไรกับต้านทานพลังอันน่าสะพรึงกลัวนั่น…


 


‘หากสวรรค์ให้โอกาสพวกมันย้อนกลับไป…ต่อให้พวกมันจะมีความกล้ามากกว่านี้อีกร้อยเท่า พวกมันก็ไม่กล้าเข้ามาที่นี่แน่…’


 


ต้วนหลิงเทียนแทบจะมั่นใจในเรื่องนี้เต็มร้อยส่วน


 


‘สำหรับคนอื่นๆไม่ว่าจะเป็นผู้นำพันธมิตรพันสารท ตงกั๋วอี้ ประมุขพรรคธุลีลืมเลือนเหอเฟยยี่ และคนที่เหลือ…ถ้าพวกมันได้รับโอกาสอีกครั้ง พวกมันก็ไม่มีวันเข้ามาที่นี่เหมือนกัน…’


 


คนที่ยังมีชีวิต ตัวเป็นๆเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนจนถึงเมื่อครู่ อยู่ๆก็ตกตายไปหมดสิ้น


 


เข้าใจได้ไม่ยากว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกยังไง…


 


ตอนนี้ในใจเขาไม่เหลือความสุขความยินดีจากการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณอีกต่อไป


 


ตอนนี้ในใจมีแต่ความโล่งอก และรู้สึกขอบคุณโชควาสนา…


 


โชคดีนักที่เขามีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ถึงได้รอดพ้นพลังล้างโลกนั่นมาได้!


 


ไม่งั้นวันนี้เขาได้ตายแน่!


 


กระทั่งตอนนี้หน้าผากของต้วนหลิงเทียนยังปรากฏเหงื่อเย็นเม็ดเขื่องผุดซึมออกมาไม่หยุด


 


ใจยังเต้นรัวไปไม่เป็นจังหวะ ยากจะหวนคืนสู่ความสงบดังเดิม


 


เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเงียบงัน…


 


หลังผ่านไปราวๆเค่อหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างแน่นิ่งในความว่างเปล่า ก็ค่อยๆหายจากอาการตื่นตระหนกเสียขวัญ ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มหันมองไปสำรวจรอบๆกาย จึงพบว่ามองไปทางใดก็พบเจอแต่ความว่างเปล่า ไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้เลย ไม่รู้ตอนนี้จะต้องไปไหนต่อดี…


 


ตอนนี้ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องการทดสอบอะไรด้วยซ้ำ เขารู้สึกเสมือนเรือลำน้อยที่ลอยเคว้งคว้างท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่โดยไม่รู้ทิศทางอย่างโดดเดี่ยว…


 


และต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ก็คล้ายจะถูกเจิ้งตงจี๋ 1 ใน 3 ผู้สร้างระนาบเทียมแห่งนี้ลืมเลือนไปแล้ว


 


“ผู้เฒ่าหั่ว ความจริงข้าสมควรถูกฆ่าตายในระนาบเทียมแห่งนี้พร้อมพวกไป๋ลี่กับเหวยสั่วไปแล้ว…แต่เพราะข้ามีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ข้าจึงรอดมาได้…นั่นหมายความว่าตอนนี้ข้าเสมือนเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดคิดของเจิ้งตงจี๋ และหลุดจากการควบคุมของมันไปแล้วใช่ไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่คล้ายตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เร่งส่งเสียงไปหาผู้เฒ่าหั่วทันที “ท่านผู้เฒ่าหั่ว แล้วแบบนี้ข้าจะออกไปจากระนาบเทียมแห่งนี้ได้ยังไงหรือ?”


 


เรียกว่าจังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนไม่สนใจคลังสมบัติอะไรในระนาบเทียมแห่งนี้อีกต่อไป เขาเพียงแค่อยากจะออกไปให้พ้นๆระนาบเทียมนี่โดยเร็วที่สุด!


 


เรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้น ได้ทิ้งเงาอันยากลบเลือนเอาไว้ในใจเขา


 


เกือบไปแล้ว!


 


ฉิวเฉียดนัก!


 


อีกแค่นิดเดียวเขาก็ตายคาที่ไปแล้ว!!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนอดไมได้ที่สะท้านขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว เมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่เขาเฉียดใกล้ประตูผีมากแค่ไหน เรียกว่าขาแทบจะก้าวข้ามไปข้างหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ!!


 


หากเลือกได้ เขาไม่อยากเจอความรู้สึกแบบนั้นอีกตลอดชั่วชีวิต


 


เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาจึงคิดที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด


 


“ไฉนเจ้าต้องคิดออกจากระนาบเทียมแห่งนี้?”


 


อย่างไรก็ตามหลังได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วกลับเลือกที่จะย้อนถาม


 


“ผู้เฒ่าหั่ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มขื่นขม “ตอนนี้การทดสอบที่เหลืออยู่ของเจิ้งตงจี๋กับ 2 ครึ่งก้าวเซียนอมตะพวกนั้น ก็เสมือนข้าถูกคัดออกไปแล้ว…ถึงข้าจะรอดชีวิตมาได้ แต่ข้าก็ไม่มีทางที่จะกลับเข้าไปรับการทดสอบอะไรนั่นได้อีกต่อไป…”


 


“ในเมื่อข้าไม่มีทางกลับเข้าไปรับการทดสอบอะไรนั่น ก็หมายความว่าข้าไม่มีสิทธิ์ได้รับมรดกตกทอด จะทรัพยากร สมบัติและเคล็ดวิชาอะไรที่พวกมันเหลือไว้ ข้าก็ไม่มีหวังทั้งสิ้น”


 


“แล้วแบบนี้ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปทำไม? ไม่สู้เร่งออกจากสถานที่ผีสางแห่งนี้เสียยังประเสริฐกว่าหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเจงเหตุผลที่เขาคิดจะออกจากสถานที่แห่งนี้กับผู้เฒ่าหั่ว


 


“มิผิด…เจ้ามิอาจเข้ารับการทดสอบอันใดได้อีกแล้ว และไม่มีทางได้รับสมบัติอะไร…แต่เจ้าไม่อยากยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าแล้วรึ?”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวถาม


 


“หืม? ผู้เฒ่าหั่ว เรื่องนี้ท่านหมายความว่ายังไง…?”


 


ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วทั้งเบิกตากว้าง กล่าวถามออกมาด้วยความสงสัยทันที ด้วยไม่เข้าใจว่าที่ผู้เฒ่าหั่วพูดมาเมื่อครู่หมายความว่ายังไง


 


เขาไม่อยากยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณนั่นหมายถึงอะไร?


 


“พลังของข้าตอนนี้ได้ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในขอบเขตเซียนอมตะแล้ว…เช่นนั้นสำนึกเทวะของข้าจึงสามารถมองผ่านระนาบเทียมแห่งนี้ได้ กระทั่งยังแลเห็นว่าอีก 2 กลุ่มกำลังเริ่มต้นการทดสอบรอบที่ 3 อย่างไร”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบออกมาทันที “และการทดสอบรอบที่ 3 ก็เหมือนกันกับการทดสอบรอบที่ 2…หากมีใครคนใดในกลุ่มตกตาย ทั้งกลุ่มจะถูกกำจัด…”


 


“แล้วอย่างไรหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมยิ้มเจื่อนๆ “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้พวกมันอยู่ตรงไหน…หรือข้ายังจะติดตามไปหาพวกมันได้? ข้ายังสามารถฉวยโอกาสหลังจากที่พวกมันค่ายกลฆ่าตาย เพื่อกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณแบบเมื่อครู่ได้อีกหรือ?”


 


“ทำไมจะไม่ได้เล่า?”


 


ทว่าคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียนกลับถูกผู้เฒ่าหั่ววตอบกลับมาแทบจะทันที นี่ทำให้สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นจริงจัง เร่งกล่าวถามออกมาด้วยความตกใจทันที “ผู้เฒ่าหั่วท่านหมายความว่า…ท่านสามารถพาข้าไปกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันได้หรือ!?”


 


“ย่อมได้!”


 


เสียงตอบรอบนี้ของผู้เฒ่าหั่วเต็มไปด้วยความมั่นใจ “มิใช่ว่าข้าพึ่งบอกเจ้าไปเมื่อครู่หรือไร ว่าบัดนี้สำนึกเทวะของข้าสามารถมองผ่านระนาบเทียมแห่งนี้ได้แล้ว…”


 


“และเมื่อครู่ข้าลองมองสำรวจระนาบเทียมแห่งนี้ดู ข้าก็สามารถยืนยันตำแหน่งของทุกคนได้ทันที…ตอนนี้สถานที่ๆทั้ง 2 กลุ่มกำลังดำเนินบททดสอบอยู่ ก็เป็นพื้นที่ปิดที่เป็นดั่งถ้ำที่เจ้าอยู่ก่อนหน้า! ขอเพียงเจ้าเดินทางไปยังจุดกึ่งกลางระหว่างพื้นที่ปิดทั้ง 2 ล่ะก็ เจ้าที่ใช้ความเร็วสูงสุดก็สามารถบรรลุถึงพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งได้ในเวลาไม่ถึง 10 ลมหายใจ…”


 


“หลังจากที่รับทราบว่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีคนตาย พื้นที่แห่งนั้นก็ย่อมต้องถูกพลังทำลายล้าง…ด้วยความเร็วสูงสุดของเจ้า คิดเดินทางไปให้ถึงก็ไม่นับว่าสายเกินไป…”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “จริงอยู่ที่กว่าเจ้าจะวิ่งไปถึง…รากวิญญาณของพวกมันอาจจะสูญสลายไปบ้าง แต่พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าก็ยังต้องได้รับการยกระดับขึ้นไม่น้อย”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ หากแต่ไม่ได้แสดงความยินดีอะไร ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกหนักใจอยู่บ้าง


 


“ผู้เฒ่าหั่ว…”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วออกมา “ท่าน…ท่านมีวิธีช่วยพวกมันให้รอดพ้นพลังสังหารหรือไม่ หรือหยุดการทดสอบของ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะอะไรทำนองนั้น?”


 


แม้ว่าการยดระดับพรสวรรค์รากวิญญาณจะเป็นเรื่องดี…


 


และยังเป็นอะไรที่เย้ายวนใจต้วนหลิงเทียนนัก…


 


แต่พอต้วนหลิงเทียนนึกถึงข่าวเรื่องที่…ตอนนี้ภูมิภาคเบื้องล่างอาจถูกปีศาจจากแดนเนรเทศรุกราน กระทั่งอาจจะยึดครองไปแล้ว…


 


ถึงแม้คนในภูมิภาคเบื้องบนจะไม่ค่อยกล่าวถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่ต้วนหลิงเทียนยังคงติดใจและไม่อาจปล่อยวางเรื่องนี้ไปได้!


 


นอกจากนั้นเขายังบังเกิดลางสังหรณ์อันแรงกล้าประการหนึ่งมาโดยตลอด…


 


ดังคำที่กล่าวไว้ว่า


 


หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวหนึ่งในหมื่น…


 


จะเกิดอะไรขึ้นหากตอนนี้เผ่าพันธุ์ปีศาจได้บุกเข้ามายึดครองภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจริงๆ?


 


ถึงตอนนั้นเกรงว่าไม่เพียงแต่ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะถูกทำลาย และมนุษย์เบื้องล่างถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กระทั่งภูมิภาคเบื้องบนก็ไม่อาจรอดพ้นหายนะไปได้…!


 


ถึงตอนนั้นมนุษย์ทุกคนจำต้องผนึกกำลังกันต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ!!


 


คนที่บุกเข้ามาในระนาบเทียมอันถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะรวมถึงเจิ้งตงจี๋นั่น ตอนนี้นอกจากคนในกลุ่มเขาที่ตายไปแล้วอย่างไป๋ลี่ เหวยสั่ว สมควรยังเหลือยอดฝีมือที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนกระทั่งเหนือกว่านั้นอีกหลายคน…


 


เมื่อถึงวันที่เผ่าพันธุ์ปีศาจบุกขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนแห่งนี้จริงๆ ตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้น ไม่พ้นต้องกลายเป็นกระดูกสันหลัง! เป็นดั่งเสาหลักของมนุษย์ชาติในการต่อต้านเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างที่ไม่ต้องสงสัยเลย!!


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะรอดชีวิตไปได้


 


ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักคนเหล่านั้น กระทั่งพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันจะเย้ายวนใจเขาไม่น้อย


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนยังหวังให้พวกมันรอด…เพราะเขาเป็นคนที่มองภาพรวม!


 


“เว้นเสียแต่ข้าจะสามารถออกไปนอกเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้…หาไม่แล้วข้าก็ไม่มีทางส่งพวกมันออกนอกระนาบเทียมแห่งนี้ หรือหยุดยั้งการดำเนินการทั้งหมดในระนาบเทียมที่ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะได้ตั้งค่าเอาไว้แต่แรก…”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียนผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวตอบออกมาทันที


 


และคำตอบของผู้เฒ่าหั่ว ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนผิดหวังเป็นธรรมดา


 


และในขณะที่รู้สึกผิดหวัง ต้วนหลิงเทียนก็คล้ายจะนึกถึงอะไรได้ออก แววตาคล้ายมีไฟแห่งความหวังลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งพลางถามผู้เฒ่าหั่ว “ผู้เฒ่าหั่ว แล้วท่านสามารถชี้แนะข้าให้ช่วยพวกมันได้หรือไม่?”


 


“เจ้า? พลังของเจ้าตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป…หากเจ้าคิดจะช่วยเหลือพวกมัน อย่างน้อยๆพลังฝึกปรือของเจ้าต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนอมตะเสียก่อน”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวปฏิเสธ


 


“หาไม่แล้วต่อให้เจ้ารู้ว่าพวกมันอยู่ตรงไหน แต่ด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้ก็ไม่มีทางทำลายพื้นที่ปิดผนึกเพื่อช่วยให้พวกมันรอดพ้นจากพลังสังหารของค่ายกลได้เลย นับประสาอะไรกับช่วยเหลือพวกมัน”


 


ผู้เฒ่าหั่วพูดต่อออกมาว่า “ตอนนี้สิ่งที่ดีที่สุดที่เจ้าสามารถกระทำได้คือนั่งดูอยู่ข้างสนาม…และอย่าปล่อยให้พรสวรรค์รากวิญญาณอันมีค่าของพวกมันต้องสลายหายไปอย่างสูญเปล่า…”


 


“ทั้งหมดไม่ใช่เพราะเจ้าไม่คิดช่วยเหลือพวกมัน แต่เจ้าไร้กำลังพอจะช่วยเหลือพวกมัน…เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้กดดันตัวเองให้มากไป เพียงเจ้าเห็นแก่พวกมันได้แบบนี้ก็นับว่าประเสริฐมากแล้ว”


 


หลังได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนตื่นจากฝัน


 


เพราะเขามันไร้พลัง…เช่นนั้นก็ทำได้แค่เฝ้าดู 1 ใน 2 กลุ่มต้องพบพานกับความตายอย่างที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย…


 


หลังตระหนักได้ว่าไม่มีหนทางใดที่จะช่วยเหลือคนทั้ง 2 กลุ่มได้ ต้วนหลิงเทียนก็เร่งเดินทางมายังจุดกึ่งกลางของพื้นที่ปิดทั้ง 2 ทันทีภายใต้การชี้นำของผู้เฒ่าหั่ว และรอผู้เฒ่าหั่วให้สัญญาณ…


 


ในขณะเดียวกันนั้นเอง


 


อีก 2 กลุ่มก็อยู่ระหว่างการทดสอบรอบที่ 3


 


ตอนแรกก็เป็นเรื่องที่สร้างความตื่นเต้นยินดีให้พวกมันไม่น้อย ที่สามารถผ่านการทดสอบรอบที่ 2 และมาถึงการทดสอบรอบที่ 3 ได้แบบนี้


 


อย่างไรก็ตาม พอพบว่าการทดสอบในรอบที่ 3 นั้น แทบจะเหมือนกันกับการทดสอบรอบที่ 2 ไม่มีผิดเพี้ยน ใจของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ระส่ำระสายนัก!


ตอนที่ 2,145 : เจิ้งตงจี๋…เผ่าพันธุ์ปีศาจ?!


 


คนของทั้ง 2 กลุ่มที่รอดชีวิตมาได้ แต่ละคนก็ได้แต่ภาวนาในใจ ขอให้ในการทดสอบรอบที่ 3 นี้ ไม่มีคนในกลุ่มของพวกมันตกตายก่อนคนของอีกกลุ่ม!


 


เพราะหากมี 1 คนในกลุ่มของพวกมันตายก่อน ย่อมหมายความว่าคนทั้งกลุ่มต้องถูกคัดออก!


 


ถูกคัดออกก็หมายถึงสิ้นหนทางรอดชีวิต!


 


หากเลือกได้ คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่เข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก


 


อนิจจาตอนนี้พวกมันไร้ทางเลือก


 


พวกมันคือ 1 ใน 2 กลุ่มที่กำลังเข้ารับการทดสอบรอบที่ 3 ในพื้นที่ปิดที่อาจจะเป็นลานมรณะ!


 


ด้านตวนหลิงเทียนก็ลอยตัวในความว่าง รอคอยอยู่ ณ จุดกึ่งกลางพื้นที่ปิดทั้ง 2 อย่างเงียบงัน


 


แลไปคล้ายไม่ได้คิดอะไรอีกต่อไป


 


หากทว่าอารมณ์ภายในใจนั้น ช่างหนักอึ้งนัก…


 


ถึงแม้เขาจะต้องการดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณมากก็ตามที แต่พอนึกถึงเรื่องของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากดินเนรเทศ ที่อาจจะบุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว เขาก็เลือกจะละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตัว และคำนึงถึงภาพรวมก่อนทันที


 


ที่เขาต้องการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้เร็วที่สุด ก็เพราะเขาคิดยกระดับพลังฝึกปรือให้มากเท่าที่จะมากได้ในเวลาอันสั้น


 


เพราะมีเพียงแต่ทำให้ความเร็วในการก้าวหน้าของพลังฝึกปรือเขาสูงล้ำที่สุดเท่านั้น ถึงจะช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกจากลัทธิบูชาไฟได้ทันท่วงที!


 


‘หากเค่อเอ๋อเป็นข้า นางก็ต้องเลือกแบบเดียวกับข้าแน่นอน…’


 


ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะไม่รู้ใจเค่อเอ๋อว่านางจะตัดสินใจอย่างไร แต่ไหนแต่ไรเค่อเอ๋อก็เป็นสตรีใจดีและมีเมตตามาโดยตลอด


 


หากต้องปล่อยให้มนุษย์ชาติเผชิญหน้ากับโอกาสล่มสลายเพียงเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวล่ะก็ นางไม่มีวันทนรับได้แน่…ถึงแม้เขาจะช่วยเค่อเอ๋อได้ในเวลาที่สั้นที่สุดจริง แต่นางก็ไม่มีทางมีความสุขเพราะเรื่องนี้


 


แน่นอนว่าสถานการณ์ตอนนี้มันต่างออกไป


 


แม้ต้วนหลิงเทียนต้องการจะช่วยเหลือยอดฝีมือทั้ง 2 กลุ่ม แต่เขาก็ไม่มีพลังมากพอจะช่วยใครได้ เพราะไม่มีทางที่เขาจะบุกเข้าไปในพื้นที่ปิดที่พวกมันทำการทดสอบกันอยู่ได้เลย!


 


“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยพวกเจ้า…แต่ข้าไม่มีปัญญา”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้แต่พึมพำออกมาด้วยความรู้สึกอับจน


 


หลังจากนั้นไม่นานต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่เขาจะปรับอารมณ์ให้กลับมาคงที่เป็นปกติ


 


เขารู้ดีว่าทุกเรื่องราวในตอนนี้มันอยู่เหนือการควบคุมของเขา


 


ในชีวิตคนเรา ย่อมมีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจเป็นได้ดั่งใจ เช่นนั้นแล้วเมื่อสุดมือสอยก็จำต้องปล่อยมันไป…


 


“ผู้เฒ่าหั่วแล้วถ้าในพื้นที่ปิดมีคนตาย…หลังพลังจากค่ายกลระเบิดปะทุออกมาฆ่าทุกคนจนทำลายพื้นที่ปิดไปแล้ว มันจะแผ่ขยายมาถึงข้าด้วยหรือไม่?”


 


“ข้าต้องเข้าไปหลบในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเหมือนก่อนหน้ารึเปล่า?”


 


หลังฉุกคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็รีบถามผู้เฒ่าหั่วออกมาทันที


 


หากพลังทำลายล้างนั่นมันล้นทะลักออกมาถึงนี่จริงๆ เขาก็ต้องเตรียมตัวไว้ก่อน!


 


ถึงแม้เขาจะไม่เคยสัมผัสถึงพลังทำลายล้างอะไรนั่นมาก่อนเลยก็ตาม


 


แต่เขารู้ดีว่าจุดจบหลังจากพลังทำลายล้างนั่นปะทุออกมาแล้วมันเป็นอย่างไร…


 


ไม่เพียงแต่ไป๋ลี่ เหวยสั่วและคนอื่นๆจะถูกทำลายจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก! กระทั่งพื้นที่ปิดอันแข็งแกร่งไร้ผู้ใดทำลายได้ก็ถูกทำลายจนเหลือแต่ความว่างเปล่า!!


 


เช่นนั้นเขาจึงต้องระวังให้มาก


 


“เรื่องนี้ไม่จำเป็น”


 


ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวตอบกลับมาทันที “พลังของค่ายกลสังหารนั่นครอบคลุมแค่พื้นที่ปิดเท่านั้น…เพื่อให้มั่นใจว่าพลังอำนาจที่ปะทุระเบิดออกมาจะรุนแรงมากพอ พลังที่ค่ายกลสั่งสมมาไม่เพียงแต่จะปะทุออกมาทั้งหมดในชั่วพริบตา ยังถูกจำกัดรัศมีแรงระเบิดเอาไว้อย่างแน่ชัด…”


 


“เช่นนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อหลบแรงระเบิดแต่อย่างใด…เจ้าแค่ต้องรีบไปให้ทันเวลาหลังจากที่พื้นที่ปิดถูกทำลายและทุกคนด้านในตายตกก็พอ”


 


ผู้เฒ่าหั่วตอบ


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ หลังจากนั้นเขาก็เฝ้ารอสัญญาณจากผู้เฒ่าหั่วอย่างเงียบงัน พลังทั่วร่างโคจรเตรียมตัวไว้ตลอดเวลา


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


ไม่ทราบว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดเสียงของผู้เฒ่าหั่วก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน


 


“พื้นที่ปิดทางซ้าย เร็ว! รีบไป!!”


 


เสียงชราของผู้เฒ่าหั่วพึ่งดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนไม่ทันไร พลังเซียนสุริยันพลันระเบิดออกทั่วร่างต้วนหลิงเทียน เขาใช้ออกด้วยทุกสิ่งอย่าง ร่างพุ่งทะยานออกไปทางซ้ายด้วยความเร็วสูงสุด!!


 


ด้วยปฐมเวทย์กลืนกินที่ยกระดับพลังเซียนสุริยันจนถึงขีดสุด และเวทย์พลังปีกอีกาทองคำ เพียงเวลาชั่วพริบตา ต้วนหลิงเทียนก็พุ่งทะลวงฝ่าความว่างบรรลุถึงครึ่งทาง!


 


และทันใดนั้นเอง


 


ตูมมมมม!!


 


บังเกิดเสียงดังสนั่นลั่นขึ้นจากเบื้องหน้า ทั้งมีแสงสว่างวาบเข้าตา พาลให้ต้วนหลิงเทียนตื่นตระหนกไม่น้อย ถึงกับต้องชะงักร่างไปวูบหนึ่ง


 


และนั่นทำให้ความเร็วของต้วนหลิงเทียนตกลงไปเล็กน้อย ทว่าเขาก็เร่งระเบิดพลังทำให้ร่างทะยานไปต่อด้วยความเร็วสูงสุดอีกครั้งทันที


 


ในเวลาไม่กี่ลมหายใจร่างต้วนหลิงเทียนก็บรรลุถึงพื้นที่ๆบังเกิดการระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่! สำนึกเทวะแผ่กำจายออกไปเป็นวงด้วยความเร็วสูง พริบตาก็สัมผัสได้ถึงวิญญาณทั้งพรสวรรค์รากวิญญาณที่กำลังจะสลายตัวเพื่อหวนคืนสู่สวรรค์และโลกทันที!!


 


‘รากวิญญาณสีน้ำเงิน…รากวิญญาณสีคราม! ถึงแม้จะเป็นรากวิญญาณสีครามอ่อน แต่คราวนี้กลับมีรากวิญญาณสีครามถึง 3 ราก!’


 


‘ส่วนรากวิญญาณสีน้ำเงินมีแค่ 4 ราก…’


 


ในขณะที่กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณระดับสูงที่ยังหลงเหลือในความว่างเปล่าบริเวณนี้ ร่างต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสะท้านขึ้นมา ‘รากวิญญาณสีครามอ่อนแบบนี้…9 ใน 10 ส่วน เจ้าของรากวิญญาณทั้ง 3 ไม่พ้นต้องเป็นของเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้นแน่นอน’


 


หลังจากนั้นไม่นานความสนใจของต้วนหลิงเทียนก็วกกลับมาอยู่ที่พรสวรรค์รากวิญญาณแต่กำเนิดของตัววเอง


 


ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ชัดเจนว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาได้เปลี่ยนจากสีครามเข้ม เป็นเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะกลายเป็นสีม่วงอยู่รอมร่อ!


 


ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที


 


‘รากวิญญาณของข้าห่างจากการเป็นรากวิญญาณสีม่วงอีกแค่นิดเดียว…แค่เศษเสี้ยวเท่านั้น!’


 


จังหวะนี้อารมณ์ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะปั่นป่วนขึ้นมา


 


ในเวลาเดียวกัน ภายใน ‘พื้นที่ปิด’ อีกแห่งหนึ่ง


 


“ขอแสดงความยินดีด้วย พวกเจ้าผ่านการทดสอบรอบที่ 3 แล้ว…”


 


เสียงของเจิ้งตงจี๋ดังขึ้นเข้าหูคนในกลุ่มที่รอดชีวิตมาได้ ทำให้ทุกคนตื่นเต้นยินดีไม่น้อย


 


“ฮ่าๆๆๆ…พวกเราผ่านการทดสอบแล้ว!!”


 


“รอดแล้ว! พวกเรารอดแล้ว!!”


 


“ความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมรางวัลอันใหญ่ยิ่ง! วันนี้ข้าพเจ้าได้เห็นซึ้งถึงวาจาประโยคนี้แล้วจริงๆ มารดามันเถอะ!”


 


……


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะกู่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ราวกับพวกมันไม่เคยมีความสุขถึงขนาดนี้มาก่อน


 


กระทั่งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุด 3 คนของกลุ่มที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ต่างหันมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม


 


“แม่เฒ่าอสรพิษ…ตายแล้ว”


 


ไม่นานหนึ่งในนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


และชายผู้นี้ก็คือเมิ่งฮ่าว ที่ได้พบเจอแม่เฒ่าอสรพิษที่หน้าทางเข้า ด้วยเหตุนี้ทำให้มันบอกได้ทันทีว่าแม่เฒ่าอสรพิษตกตายไปแล้ว


 


เนื่องเพราะแม่เฒ่าอสรพิษนั้นไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับมัน


 


และตอนนี้นอกจากกลุ่มของมัน อีก 2 กลุ่มที่เหลือก็สมควรถูกคัดออก และไม่พ้นตกตายไปหมดสิ้นแล้ว


 


“หืม? แม่เฒ่าอสรพิษมาด้วยหรือ?”


 


ลูกตาของชายชราคนหนึ่งหดเล็กลงทันใด สีหน้ายังเปลี่ยนไปไม่น้อย


 


มันก็เป็นเหมือนกันกับเมิ่งฮ่าวและแม่เฒ่าอสรพิษ พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน และเป็นดั่งเทพผู้พิทักษ์ของนครแห่งบาป


 


ทว่าหากเทียบกับเมิ่งฮ่าวแล้ว มันนับว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับแม่เฒ่าอสรพิษมากกว่า


 


“อืม…”


 


เมิ่งฮ่าวพยักหน้ารับ “ข้าเจอนางด้านนอก อีกทั้งพวกเรายังเข้ามาในนี้พร้อมๆกัน”


 


เมื่อได้ฟังสีหน้าชายชราก็แปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดทันที มันหลับตาลงคล้ายหวนรำลึกถึงสหายเก่า…


 


ศีรษะชราของมันส่ายไปมาเบาๆ มุมปากกระตุกไปเล็กน้อย คร่ำครวญอยู่ในใจ ‘แม่เฒ่าอสรพิษ เจ้าไม่ควรมา…เจ้าไม่ควรมาเลย! เจ้าไฉนด่วนจากข้าไป…’


 


“เอาล่ะ…”


 


ทันใดนั้นเองเสียงเจิ้งตงจี๋พลันดังขึ้นอีกครั้ง ดึงความสนใจของเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆทันที


 


ชายชราที่หวนรำลึกถึงสหายก็ดึงสติกลับมาตั้งใจฟัง “พวกเจ้าที่สามารถผ่านการทดสอบรอบที่ 3 มาได้…ตอนนี้กำลังรู้สึกตื่นเต้นยินดีใช่หรือไม่? กระทั่งยังคิดว่าสามารถเข้าใกล้สมบัติ ที่พวกเราทั้ง 3 เหลือทิ้งไว้ได้อีกก้าวแล้วใช่หรือไม่?”


 


ในขณะที่เจิ้งตงจี๋กล่าววาจานี้ออกมา…


 


นอกจากเมิ่งฮ่าวและยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอีก 2 คนที่สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม คิ้วขมวดเป็นปม เพราะรู้สึกว่าน้ำเสียงของเจิ้งตงจี๋เปลี่ยนไปเป็นไม่ชอบมาพากลแล้ว…


 


คนอื่นๆไม่เพียงแต่จะไม่สังเกตเห็นถึงเรื่องนี้ กลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ


 


เป็นธรรมดา!


 


เพราะตอนนี้พวกมันรู้สึกมีความสุขนัก!


 


“แต่…สิ่งที่ข้าอยากจะบอกพวกเจ้าก็คือ ในระนาบเทียมแห่งนี้ ข้ากับสหายอีก 2 คนที่ร่วมมือกันสร้างมันขึ้นมา มิได้มีสมบัติอันใดของพวกเราเก็บอยู่สักชิ้น ยังจะนับประสาอะไรกับมรดกของพวกเรา…”


 


เสียงของเจิ้งตงจี๋ยังดังขึ้นสืบต่อ และตอนนี้น้ำเสียงของมันก็สูงขึ้นคล้ายกำลังกล่าวเย้ยหยัน


 


กระทั่งยังมีเสียงหัวเราะเยาะ!!


 


และแทบจะทันทีที่เสียงเย้ยหยันทั้งหัวเราะเยาะของเจิ้งตงจี๋ดังขึ้นมา สีหน้าท่าทีของเมิ่งฮ่าวและเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอีก 2 คนก็ถึงกลับเปลี่ยนไปเป็นร้ายแรงทันที


 


ไม่มีสมบัติ?


 


ไม่มีมรดก?


 


ทันใดนั้นสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่งพลันร้องดังขึ้นในใจของพวกมัน!


 


“ไม่มีสมบัติ? ไม่มีมรดกหรือ?”


 


“อะไรกัน!? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่! ล้อข้าเล่นรึไง!?”


 


“มันขำอะไรกัน!?”


 


… …


 


คนอื่นๆที่รู้สึกตัวแล้ว ก็เริ่มสับสนงุนงงกันใหญ่


 


ถึงแม้พวกมันจะรู้สึกเหลือเชื่อ แต่พวกมันก็ไม่อาจไม่เชื่อสิ่งที่เจิ้งตงจี๋กล่าว


 


“มันล้อพวกเราเล่นหรือไม่?”


 


“อาจเป็นได้…ใต้เท้าผู้นี้ช่างมีอารมณ์ขันยิ่ง”


 


นอกจากนั้นยังมีบางคนที่ยังคงมองโลกในแง่ดี…


 


ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์มาแล้ว อันเรียกได้ว่าเป็น ครึ่งก้าวเซียนอมตะ ทั้ง 3 คนได้ลงแรงไปไม่น้อยเพื่อร่วมมือกันสร้างระนาบเทียมแห่งนี้ขึ้นมา…เพื่อล้อพวกมันเล่นหรือ?


 


เรื่องนี้มันไม่น่าเชื่อเกินไป!


 


“ตอนนี้พวกเจ้าคงคิดว่ามันเหลือเชื่อใช่หรือไม่…ที่ไฉนข้ากับสหายอีก 2 คนถึงได้ต้องลำบากลำบนสร้างระนาบเทียมแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อล้อพวกเจ้าเล่น?”


 


เสียงเจิ้งตงจี๋พลันดังขึ้นอีกครั้ง ยังราวกับสามารถคาดเดาความในใจของทุกคนได้ออกก็ไม่ปาน


 


“เอาล่ะ อย่างไรเสียพวกเจ้าก็เป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้…เช่นนั้นข้าจะบอกความจริงให้พวกเจ้ารับทราบเอาไว้”


 


“ความจริงที่ว่าก็คือ…ที่แท้แล้วข้ากับสหายอีก 2 คนนั้นมิใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนพวกเจ้า! อ้อ…แน่นอนว่าพวกเรามิใช่สัตว์เซียนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของพวกเจ้าเช่นกัน”


 


“หลังจากที่ยุคมนุษย์ปีศาจสิ้นสุดลง พวกเราถูกมนุษย์อย่างพวกเจ้าบีบคั้นจนไร้หนทาง พวกข้ากระทั่งคิดจะย้อนกลับดินแดนที่ถูกทอดทิ้งยังมิอาจกระทำได้! จำต้องหลบๆซ่อนๆอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้เยี่ยงมุสิก!!”


 


“มิผิด…พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ! ยังเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่โชคดีรอดพ้นจากการล่าสังหารของสุดยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเจ้า! และหลบซ่อนตัวบ่มเพาะพลังภายใต้จมูกของพวกเจ้า!!”


 


เสียงของเจิ้งตงจี๋ดังก้องอยู่ในหูของเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ และวาจานี้ของมันนับว่าสะท้านสะเทือนทุกผู้คนให้อดสยิวกายขึ้นมาเสียไม่ได้ หน้ายังเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง!


 


เผ่าพันธุ์ปีศาจ!?


 


ผู้ที่ประกาศตัวว่าชื่อ เจิ้งตงจี๋ ผู้นี้…เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจงั้นหรือ!?!


ตอนที่ 2,146 : ‘เกม’ อันน่าตื่นตระหนก


 


เมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลย…


 


ว่าระนาบเทียมที่ถูกทิ้งไว้ด้วยตัวตนที่พวกมันคาดเดากันว่าสมควรเป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนนั้น ที่แท้จะเป็นสิ่งที่ปีศาจ 3 ตัวร่วมมือกันสร้างขึ้นมา!


 


และทั้งหมดถูกใช้เป็น ‘หลุมพราง’ ที่จะล่อล่วงยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้เข้ามาติดกับ!


 


หากรู้มาก่อนว่าเรื่องราวจะเป็นแบบนี้ ให้พวกมันมีความกล้ามากกว่านี้สักร้อยพันเท่า พวกมันก็ไม่มีวันกล้าเข้ามา!!


 


“ปะ…เป็นไปได้อย่างไร!?”


 


“มะ…มันไฉนเป็นปีศาจไปได้!?”


 


“ระนาบเทียมแห่งนี้….ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือพวกปีศาจหรือ!?”


 


“หากที่นี่เป็นระนาบเทียมที่เผ่าพันธุ์ปีศาจสร้างขึ้นมาจริงๆ…เช่นนั้นหมายความว่าพวกมันเจตนากลั่นแกล้งพวกเรา?”


 


“ไม่เพียงกลั่นแกล้ง พวกมันตั้งใจจะฆ่าพวกเรา!!”


 


… …


 


เหล่าผู้ที่ผ่านการทดสอบรอบที่ 3 ยามนี้…ไม่เหลือความตื่นเต้นยินดีที่ผ่านด่านอีกต่อไป! ตอนนี้ในใจทั้งหมดคงเหลือแต่เพียงความหวาดกลัวเท่านั้น!!


 


หากอีกฝ่ายเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจริง…เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะเมตตาปล่อยพวกมันไป!!


 


“ในยุคสมัยมนุษย์ปีศาจนั้น ข้ากับสหายทั้ง 2 เป็นเพียงสมาชิกทั่วไปของเผ่าพันธุ์ปีศาจเท่านั้น…เรียกว่าพวกเราเป็นแค่ปีศาจน้อย 3 ตน ที่ไร้สำคัญอันใด”


 


เสียงเจิ้งตงจี๋ดังขึ้นอีกครั้ง ในน้ำเสียงยังผสมปนเปไปด้วยความแค้นและโทสะที่เริ่มคุกรุ่นขึ้นมา “หลังจากที่เผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเราถูกยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าพวกเจ้าไล่ต้อนจนต้องถอนกำลังแล้ว…ยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเจ้าก็ไล่ฆ่าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มิมีเวลามากพอจะย้อนกลับไปยังบ้านเกิดอย่างดินแดนที่ถูกทอดทิ้งได้ทัน…”


 


“ยามนั้นข้าได้แต่เฝ้ามองสหายร่วมเผ่าพันธุ์ของข้าถูกพวกเจ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์ฆ่าตายทีละตนๆ…ฉากที่ทั้งหมดถูกเข่นฆ่าอย่างไร้ปราณี ตัวข้ามิมีวันลืมเลือนไปตลอดชั่วชีวิต!”


 


“ตัวข้านั้นโชคดีที่หนีรอดการล่าล้างสังหารของพวกเจ้ามาได้ กระทั่งได้พบพานสหายปีศาจที่รอดพ้นเงื้อมมือพวกเจ้าอีก 10 ตน…อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น วันเวลาของพวกเราก็ผ่านพ้นไปด้วยความยากลำบากนัก…สหายข้าแต่ละตนหากไม่ตกตายเพราะถูกพวกเจ้าพบเจอ ก็ตกตายเพราะสิ้นอายุขัย…”


 


“สุดท้ายก็เหลือเพียงข้ากับสหายทั้ง 2 ตนที่สามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้สำเร็จ!”


 


“เมื่อพวกเราบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน ย่อมหมายความว่าพวกเรามีชีวิตเป็นนิรันดร์ ไร้วันสิ้นอายุขัยอีกต่อไป…ตราบใดที่พวกเราไม่ถูกยอดฝีมือของพวกเจ้าพบตัวและเข่นฆ่า นั่นย่อมหมายความว่าพวกเรามีโอกาสทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน…”


 


“ในที่สุดพวกเราก็สามารถบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน กระทั่งข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จจนได้ขึ้นสู่สวรรค์…ดินแดนที่ตัวข้าและสหายอีก 2 ตนอันเป็นอดีตปีศาจน้อยของดินแดนที่ถูกทอดทิ้งไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝัน…”


 


“แต่พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าชั่วชีวิตนี้หากเลือกได้ ข้ากับสหายทั้ง 2 พวกเรามิเคยอยากขึ้นสวรรค์อันใด…พวกเราเพียงอยากหวนกลับบ้านเกิดในดินแดนที่ถูกทอดทิ้งเท่านั้น! อ้อ…ดินแดนที่ถูกทอดทิ้งที่ข้าพูดถึง พวกเจ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์เรียกกันว่าแดนเนรเทศ…”


 


“อย่างไรก็ตามยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเจ้าได้สร้างผนึกฉาบทับกำแพงมิติกั้นระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ กับดินแดนที่ถูกทอดทิ้งของพวกเรา…นั่นทำให้พวกเรามิอาจหวนคืนสู่บ้านเกิดได้!!”


 


“อ่อ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ข้ากล่าว ก็คือชื่อเรียกดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ของพวกเราเผ่าพันธุ์ปีศาจ!”


 


เจิ้งตงจี๋กล่าวออกเสียงดังฟังชัด


 


และตอนนี้สีหน้าของเมิ่งฮ่าวกับคนอื่นๆนั้นได้เปลี่ยนเป็นมืดดำค่ำเคร่ง ทั้งยังอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!


 


เพราะไหนเลยพวกมันจะไม่ได้ยินถึงความเคียดแค้นชิงชังอย่างถึงที่สุดในน้ำเสียงของเจิ้งตงจี๋!


 


เป็นความเคียดแค้นชิงชังอย่างที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้!!


 


จากจุดนี้ทำให้พวกมันทั้งหมดรู้ดีแก่ใจ…เจิ้งตงจี๋ไม่มีวันเมตตาละเว้นชีวิตพวกมันแน่!!


 


“หนีเร็ว! พวกเราต้องรีบหาทางหนีไปจากที่นี่!!”


 


เมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆตัดสินใจได้แทบจะทันที


 


อนิจจาตอนนี้สถานที่ๆเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆอาศัยอยู่นั้น แม้จะมีรูปลักษณ์เป็นห้องโถงพระราชวังอันโอ่อ่าใหญ่โต ทว่ามันกลับเป็นพื้นที่ปิด ไร้หนทางเข้าออกใดๆ


 


ฟุ่บ! วูบ! วูบ! ซัว!


 


……


 


เมิ่งฮ่าวและคนอื่นแยกย้ายกันไปตามขอบห้องโถงพระราชวังอย่างเร่งร้อน อนิจจาไม่มีใครพบเจอทางเข้าออกใดๆ ทั้งหมดดั่งกำแพงปิดตาย


 


ถึงแม้ก่อนหน้านี้ตอนที่พึ่งเริ่มการทดสอบรอบที่ 2 พวกมันจะพบแต่แรก ว่าพื้นที่ห้องโถงของพระราชวังแห่งนี้ไร้หนทางเข้าออกจากการสำรวจด้วยสำนึกเทวะคร่าวๆ


 


อย่างไรก็ตามความสำคัญของทางเข้าออกตอนนี้มันมากมายกว่าก่อนหน้านั้นนัก ไม่เพียงแต่จะสำนึกเทวะ ทั้งหมดยังเริ่มตบๆผลักๆผนังโถงทุกจุดอย่างมีความหวัง


 


เพราะสุดท้ายแล้วพวกมันก็ไม่มีใครคิดฝันมาก่อนว่าพวกมันจะต้องกลายมาเป็นดั่งตะพาบในไห ที่รอให้ผู้อื่นเข่นฆ่าเอาชีวิตแบบนี้ ทั้งตัดสินจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว พวกมันไม่เหลือหนทางรอดชีวิตใดๆได้เลย!


 


เรื่องนี้พววกมันสามารถตัดสินได้จากน้ำเสียงของเจิ้งตงจี๋


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 


……


 


เมื่อเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆที่แยกย้ายกันไปหาทางออกไม่พบเจอหนทางใดๆ ทั้งหมดก็ได้แต่ปะทุพลังชั่วชีวิตลงมือจู่โจมผนังอย่างเต็มกำลัง


 


ต่างคิดใช้พลังระเบิดทำลายผนังโถงพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นรูโหว่จะได้หลบหนีออกไป! บางคนก็ลงมือซัดทำลายลงพื้นที่ยืนเหยียบ บ้างก็ยิงพลังขึ้นไปหมายทำลายหลังคาโถง!!


 


อนิจจายามเมื่อมวลพลังของพวกมันพุ่งซัดเข้าไปถึงผนังกำแพง พวกมันก็พบว่าพลังทำลายทุกชนิดของพวกมันกลับทะลุผ่านผนังกำแพงออกไปโดยไม่สร้างความเสียหายใดๆ! คล้ายกำแพงผนังเป็นภาพมายาไร้สภาพ…!!


 


“บัดซบ! โถงอุบาทว์แห่งนี้เป็นเหมือนพื้นที่พันธนาการเล็กๆที่ขังพวกเราไว้ก่อนจะเริ่มการทดสอบรอบที่ 2! มันปิดกั้นแค่ร่างกายของพวกเราแต่ไม่ปิดกั้นพลังของพวกเรา!!”


 


ตอนนี้ทุกคนพลันตระหนักได้หลังทดลองจู่โจม ว่าโถงพระราชวังที่พวกมันติดอยู่นั้น เสมือนพื้นที่เล็กๆพอให้ผู้ใหญ่ 2 คนเบียดกันก่อนหน้าที่พวกมันติดอยู่ในนั้น และรอเวลา…


 


พื้นที่พันธนาการดังกล่าว ไม่ต่างอะไรจากโถงพระราชวังที่พวกมันอยู่ในตอนนี้เลย พลังทุกชนิดของพวกมันสามารถพุ่งผ่านไปได้ แต่กายเนื้อของพวกมันไม่อาจผ่านได้!


 


จังหวะนี้สีหน้าเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆก็บิดเบี้ยวราวเคี้ยวแมลงวัน


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่เมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆกำลังดิ้นรนหาทางหลบหนีออกจากพื้นที่ปิดแห่งนี้ เสียงของเจิ้งตงจี๋ก็เริ่มดังสืบต่อ เสียงนั้นก้องอยู่ในโถงพระราชวังปิดตายสะท้านเข้าหูทุกผู้คน


 


“ข้ากับสหายทั้ง 2 เพื่อหลบหนีจากการไล่ล่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์พวกเจ้า พวกเราได้เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในทวีปมนุษย์ของพวกเจ้า…ถึงแม้ในทวีปมนุษย์นั้นจะมีพลังวิญญาณฟ้าดินเพียงน้อยนิด ทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของพวกเราเชื่องช้าอย่างยิ่ง แต่ทว่ามันก็ปลอดภัยที่สุด…”


 


“หลังจากที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาค ในที่สุดพวกเราทั้ง 3 คนก็สามารถบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้ กระทั่งในที่สุดพวกเราก็สามารถข้ามผ่านหายนำทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ! และในที่สุดพวกเราก็สามารถเติมเต็มความฝันที่พวกเราใฝ่หวังทุกคืนวัน ออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปยังแดนสวรรค์ในระนาบเทวโลก…!”


 


“แต่ก่อนที่พวกเราจะขึ้นสู่แดนสวรรค์พวกเราทั้ง 3 ก็ได้ตัดสินใจ…ว่าพวกเราจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับสหายเผ่าพันธุ์ปีศาจรุ่นหลังที่จะบุกมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อีกครั้ง!!”


 


“และของขวัญชิ้นใหญ่นี้….ก็คือความตายของพวกเจ้ากับยอดฝีมืออีก 2 กลุ่ม! ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าที่ยังรอดอยู่ถึงตอนนี้ได้ สมควรเป็นตัวตนระดับแนวหน้าของแดนดิน! กล่าวได้ว่าเป็นกำลังรบที่กล้าแข็งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่เกินเลยใช่หรือไม่?”


 


“เพราะสุดท้ายแล้วพวกเราก็ตัดสินใจคัดผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน ให้มิอาจผ่านมาถึงจุดนี้ได้…เรียกว่าพวกเรากำหนดไว้แล้วว่า ผู้ฝึกตนมนุษย์ที่พลังฝึกปรือเหนือกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน ต้องตาย!!”


 


เสียงเจิ้งตงจี๋ดังถึงตรงนี้ ในน้ำเสียงก็แฝงเร้นไว้ด้วยความอำมหิตนัก ทำให้สีหน้าเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆเคร่งเครียดจนไม่อาจจะเคร่งเครียดได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว


 


พวกมันไม่คิดไม่ฝันนจริงๆ


 


ว่า ‘เกม’ นี้ เจิ้งตงจี๋กับปีศาจอีก 2 ตัวจะตระเตรียมมานานแล้ว


 


ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันกลับเป็นได้แค่ ‘เหยื่อ’


 


ตอนนี้พวกมันอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกเสียใจอย่างสุดแสน ที่หลง ‘ดีใจ’ และเข้ามาที่นี่ด้วยความหวัง…


 


หากสวรรค์เมตตาให้โอกาสพวกมันได้ย้อนกลับไปอีกครั้ง…


 


พวกมันไม่มีวันเข้ามาเหยียบที่นี่เด็ดขาด!!


 


“อีกทั้งระนาบเทียมแห่งนี้ พวกเราก็ได้ควบคุมให้มันเปิดตัวออกหลังจากที่ค่ายกลหนึ่งเปิดการทำงาน…ค่ายกลที่ข้ากล่าวถึงก็เป็นค่ายกลที่พวกเราทั้ง 3 จัดตั้งไว้ทั้งในภูมิภาคเบื้องบน! และค่ายกลในภูมิภาคเบื้องบนที่ว่า ก็เชื่อมต่อกับค่ายกลที่พวกเราจัดตั้งไว้ในภูมิภาคเบื้องล่างอีกทอด!”


 


“แม้ทั้ง 2 ค่ายกลนั้นจะถูกแยกออกจากกันเพราะกฏของระนาบ ทว่าด้วยความร่วมมือของข้ากับสหายทั้ง 2 ในที่สุดพวกเราก็สามารถทำให้ทั้ง 2 ค่ายกลสามารถสื่อถึงกันและเชื่อมโยงกันได้สำเร็จ!”


 


“ความสามารถนี้ คล้ายคลึงกับค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคของพวกมนุษย์เจ้า ที่ใช้ขนส่งเคลื่อนย้ายผู้คนระหว่างภูมิภาคเบื้องบนและเบื้องล่างอยู่บ้าง แต่ทว่าต่างกันตรงที่ของพวกเรามิได้เคลื่อนย้ายผู้คนอันใด แต่เป็นการส่งข้อมูลเท่านั้น!”


 


“และเงื่อนไขในการเปิดการทำงานของค่ายกลที่พวกเราจัดตั้งไว้ในภูมิภาคเบื้องบนนั้นก็ง่ายดายนัก…นั่นคือทันทีที่ได้รับข้อมูลจากค่ายกลที่พวกเราจัดตั้งไว้ในภูมิภาคเบื้องล่างเมื่อสัมผัสได้ถึงไอมารที่บริสุทธิ์จากเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเรา!!”


 


“ในยุคก่อนที่พวกเราทั้ง 3 จะขึ้นสู่ระนาบเทวโลกนั้น พวกเรามั่นใจว่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มิมีปีศาจตัวที่ 4 ดำรงอยู่อีก…เช่นนั้นพวกเราก็มิต้องกังวลว่าค่ายกลชุดนี้จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นเพราะมีปีศาจตนอื่นนอกจากพวกเราที่เหลือรอดจากยุคมนุษย์ปีศาจอีกต่อไป…”


 


“และโดยทั่วไปแล้ว…วันที่ค่ายกลในภูมิภาคเบื้องล่างจักเปิดใช้งาน ก็สมควรเป็นช่วงเวลาที่เผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเราสามารถฝ่าม่านพลังผนึกที่ฉาบไว้บนกำแพงมิติกันแดน บุกเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จอีกครั้ง!!”


 


“เพราะตราบใดที่เผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเรามาถึงภูมิภาคเบื้องล่าง ค่ายกลย่อมสัมผัสได้ถึงไอมารบริสุทธิ์ มันย่อมเริ่มต้นการทำงานทันที ส่งข้อมูลมายังค่ายกลในภูมิภาคเบื้องบน!!”


 


“และเมื่อค่ายกลในภูมิภาคเบื้องบนได้รับข้อมูล มันก็จะเริ่มต้นเปิดการทำงานทันที…และนั่นก็จักทำให้ทางเข้าสู่ระนาบเทียมที่พวกเราสร้างไว้เปิดออก”


 


“อย่างที่ข้าเคยกล่าวไว้ ระนาบเทียมที่พวกเราสร้างขึ้น มีจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น…ส่งมอบของขวัญชิ้นโตให้เหล่าชนรุ่นหลังของเผ่าพันธุ์ปีศาจเรา ยามเมื่อหวนกลับมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อีกครั้ง!!”


 


“ข้าเดาได้เลยว่าหากตัวตนที่มีพลังฝีมือระดับพวกเจ้าอยู่ๆพากันตกตายไปเป็นจำนวนมาก เช่นนั้นแล้วกำลังรบของเผ่าพันธุ์มนุษย์พวกเจ้าสมควรตกฮวบลง! และนี่สมควรเป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวงของเผ่าพันธุ์มนุษย์เจ้า…”


 


“ถึงตอนนั้นเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเราคงสามารถกวาดล้างดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้ง่ายขึ้น! กระทั่งคราวนี้ชนรุ่นหลังของเผ่าพันธุ์ปีศาจเรา อาจกระทำสิ่งที่พวกเรามิอาจกระทำได้ครั้งในยุคมนุษย์ปีศาจ…กวาดล้างมนุษย์ชาติอย่างพวกเจ้าให้สูญสิ้น!”


 


“ฮ่าๆๆ…!!!”


 


กล่าวถึงจุดนี้ เจิ้งตงจี๋ พลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง และนั่นทำให้เส้นขนทั่วร่างของเมิ่งฮ่าวกับขนอื่นเสมือนลุกซู่ตั้งชันขึ้นมาทันที สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ยังซีดไปแทบไร้สีเลือด ในแววตาทั้งหมดฉายชัดถึงความเสียใจ


 


“ฟังจากที่เจิ้งตงจี๋มันพูด…เช่นนั้นมีเพียงเผ่าพันธุ์ปีศาจบุกรุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเราอีกครั้ง ทางเข้าสู่ระนาบเทียมแห่งนี้ถึงจักเปิดออกงั้นหรือ?”


 


ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งของนครแห่งบาป กล่าวถามออกมาเสียงเครียดเพื่อยืนยันความเข้าใจของตัวเอง


 


“ปะ…เป็นเช่นนั้น…”


 


ไม่นานก็มีคนกล่าวตอบเสียงหนัก กระทั่งน้ำเสียงมันยังสั่นเครือไม่น้อย


 


“กล่าวได้ว่า…ข่าวลือเรื่องที่เผ่าพันธุ์ปีศาจบุกรุกภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเรา ก็มิได้เป็นแค่ข่าวลืออีกต่อไป…เช่นนั้นมิใช่ว่าตอนนี้ภูมิภาคเบื้องล่างของพวกเราถูกพวกมันกวาดล้างสิ้นแล้วหรือ?!”


 


ทันทีที่ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ลูกตาของทุกคนอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลงทันที


 


“หากมนุษย์ชาติถึงกาลสูญสิ้นด้วยเงื้อมมือเผ่าพันธุ์ปีศาจโดยมีสาเหตุจากขาดกำลังรบอย่างพวกเราขึ้นมาจริงๆ…เช่นนั้นพวกเรามิพ้นเป็น ‘คนบาป’ ของมวลมนุษย์ชาติ!”


 


เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง


 


และวาจานี้ของเมิ่งฮ่าวพอดังเข้าหูทุกคน ก็พาลให้ร่างของทุกคนสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างแรง


 


ใช่!


 


หากมวลมนุษย์ชาติจำต้องสิ้นสูญด้วยน้ำมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจขึ้นมาเพราะเหตุผลว่าขาดกำลังรบจริงๆ พวกมันที่ติดกับและเข้ามาตายเพราะความโลภในนี้ ย่อมกลายเป็นคนบาปของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทันที!!


 


“โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเรา 3 คน…”


 


เมิ่งฮ่าวหันมองไปยังเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอีก 2 คน เสียงยังหนักอึ้งนัก


 


ทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เท่าที่พวกมันรู้มีผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนขึ้นไปอยู่แค่ราวๆ 30 กว่าคนเท่านั้น


 


และตอนนี้พวกมันก็กำลังจะตกตายไปอีก 3!


 


นี่นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติ!


 


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คราวนี้เกรงว่าเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนที่ต้องตกตายไปในระนาบเทียมแห่งนี้ น่ากลัวว่าจะไม่ได้มีแค่ 3 คนเท่านั้น!


 


เพราะเท่าที่พวกมันรู้ อย่างน้อยๆก็มีแม่เฒ่าอสรพิษด้วยอีกคน!!


ตอนที่ 2,147 : รากวิญญาณสีม่วง!


 


นอกจากแม่เฒ่าอสรพิษแล้ว สมควรมียอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน ที่เข้ามาในระนาบเทียมแห่งนี้อีกหลายคน!


 


เรื่องนี้เมิ่งฮ่าวและเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอีก 2 คนมั่นใจมาก


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีกลุ่มผู้ฝึกตนอยู่อีก 2 กลุ่ม


 


และตามหลักเหตุผล กำลังรบโดยรวมของทั้ง 3 กลุ่มสมควรพอๆกัน


 


“อย่างไรเสียพวกเจ้าก็อุตส่าห์ผ่านการทดสอบรอบที่ 3 มาได้ เช่นนั้นข้าจะให้เวลาพวกเจ้าได้มีชีวิตต่ออีก 1 เค่อ…หลังผ่านไปครบ 1 เค่อแล้ว ค่ายกลสังหารที่ครอบคลุมพื้นที่ปิดโถงพระราชวังแห่งนี้ก็จะเริ่มต้นการทำงานทันที ฮ่าๆๆ”


 


หลังเสียงหัวเราะเจิ้งตงจี๋ดังไปสักพัก มันก็หยุดแล้วพูดต่อว่า “ขอให้พวกเจ้าเกษมสำราญกับช่วงเวลา 1 เค่อสุดท้ายของชีวิตให้มาก…เหล่ามนุษย์ผู้โลภมากเอ๋ย”


 


หลังกล่าวจบแล้ว เสียงเจิ้งตงจี๋ก็ดับหายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นอีกเลย


 


ด้านเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆที่ดึงสติกลับมาอยู่กับร่องได้แล้ว ก็ตื่นตระหนกเสียขวัญกันเป็นธรรมดา


 


1 เค่อ?


 


พวกมันเหลือเวลาแค่ 1 เค่อ!?


 


“ทำอย่างไรดี…พวกเราจะทำอย่างไรกันดี!?”


 


“เค่อเดียวหรือ…อีกเค่อเดียวพวกเราก็จะตายกันแล้ว! ข้าไม่อยากตาย! ข้าไม่อยากตายแบบนี้!!”


 


“หนวกหู! เจ้าจะร่ำร้องหาสวรรค์วิมานอันใด! มิใช่เจ้าคนเดียวที่ไม่อยากตาย!!”


 


……


 


หลังได้รับทราบว่าเหลือเวลาอีกแค่เค่อเดียวทุกคนก็จะถูกค่ายกลสังหารฆ่าตาย หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะสติแตก


 


ร่างพวกมันสั่นไหวอย่างแรงยากจะหยุด มือไม้สั่นปั่นป่วนไปหมด ร้องโวยวายออกมาอย่างตื่นกลัว


 


ความตายนั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวสำหรับพวกมันนัก…เพราะพวกมันดิ้นรนบ่มเพาะมาชั่วชีวิตเพื่อแสวงหาชีวิตอมตะ!


 


หากมีคนฆ่าพวกมันไปเลยก็แล้วไป


 


แต่ตอนนี้พวกมันกลับมีเวลาเหลือ 1 เค่อ เพื่อให้นับเวลาถอยหลังรอความตาย จึงทำให้พวกมันรู้สึกหวาดกลัวอย่างหนัก!


 


กระทั่งชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอย่างเมิ่งฮ่าว ตอนนี้สีหน้าก็ย่ำแย่เต็มที


 


แม้จะเป็นเมิ่งฮ่าวที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเยาว์ด้วยบรรลุถึงชีวิตอมตะด้วยวัยเพียงไม่กี่ร้อยปี ก็หน้าเสียขนาดนี้


 


เช่นนั้นซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอีก 2 คนฝึกปรือมานับพันๆปีไหนเลยจะไม่หวงแหนชีวิตตัวเองได้? กล่าวไปพวกมันยังกลัวตายมากกว่าผู้ใดในโถงทั้งสิ้น!


 


เพราะเดิมทีพวกมันก็พยายามบ่มเพาะมาจนสำเร็จชีวิตนิรันดร์ได้สำเร็จแล้ว หากแต่เป็นพวกมันที่วิ่งโร่หน้าระรื่นเข้ามาแสวงหาโชคลาภในที่แห่งนี้เอง ไม่คิดไม่ฝันเลย…ว่าสุดท้ายแล้วนี่จะเป็นการแสวงหาที่ตายแท้ๆ…


 


“ไม่! ข้าไม่ยอม!! ข้าไม่ยอม!!”


 


หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เมิ่งฮ่าวก็ทนไม่ไหวสืบไป มันคำรามออกมาราวกับสัตว์ป่าคุ้มคลั่ง พลังชั่วชีวิตปะทุออก ร่างพุ่งทะยานไปปานสายฟ้าฟาด คล้ายมันจะพยายามหาทางออกจากพื้นที่ปิดแห่งนี้อีกครั้ง…


 


เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอีก 2 คน เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวกระทำเช่นนี้ พวกมันก็เริ่มลงมือกระทำตามทันที


 


ต่างแยกย้ายกันไปทั่วโถงพระราชวังที่ปิดตายแห่งนี้ ด้วยหวังว่าจะพบประตูเป็น…


 


เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวกับผู้ชราทั้ง 3 คนอื่นๆก็เอาชนะความหวาดกลัวในใจ เริ่มปูพรมค้นหาทุกที่ทางในโถงพระราชวังแห่งนี้ทันที


 


ในขณะที่เมิ่งฮ่าวกับคนอื่นๆกำลังวิ่งหาทางออกกันจ้าละหวั่นในพื้นที่ปิดนั้น…


 


ต้วนหลิงเทียนที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกไม่ไกล ก็ได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากผู้เฒ่าหั่วเช่นกัน


 


ถึงแม้ว่าตอนนี้ผู้เฒ่าหั่วจะยังไม่อาจออกมาจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้


 


แต่ทว่าตอนนี้พลังความแข็งแกร่งก็ได้ฟื้นฟูกลับมาแตะขอบเขตเซียนอมตะแล้ว เช่นนั้นสำนึกเทวะย่อมกล้าแข็งทรงอำนาจเทียบได้กับสำนึกเทวะของเซียนอมตะ


 


ด้วยพลังอำนาจเทียบได้กับเซียนอมตะ ก็เป็นธรรมดาที่จะมองผ่านระนาบเทียมแห่งนี้ได้กระจ่าง


 


เช่นนั้นแล้วทุกถ้อยคำวาจาของเจิ้งตงจี๋ที่ดังขึ้นในโถงพระราชวังปิดตายนั่น ผู้เฒ่าหั่วก็ได้รับทราบความทั้งหมดจากสำนึกเทวะมาครบถ้วน ค่อยถ่ายทอดให้ต้วนหลิงเทียนรับทราบ


 


“เผ่าพันธุ์ปีศาจ? ระนาบเทียมแห่งนี้กลับถูกสร้างขึ้นด้วยเผ่าพันธุ์ปีศาจ 3 ตนงั้นเหรอ!?”


 


หลังได้รู้เรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก!


 


เพราะนี่เป็นอะไรที่เขาไม่กล้าคิดฝันมาก่อน!


 


ระนาบเทียมแห่งนี้…กลับถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจ 3 คนที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน และสามารถข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จจริงๆ?


 


นอกจากนั้นยังไม่มีสมบัติอะไรในที่แห่งนี้?


 


ชื่อดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าสำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจคือ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์?


 


ทางเข้าระนาบเทียมแห่งนี้เปิดออกเพราะได้รับข้อมูลจากค่ายกลที่พวกมันจัดตั้งไว้ในภูมิภาค หลังจากที่ค่ายกลนั้นเปิดการทำงาน?


 


และเงื่อนไขในการทำงานของค่ายกลที่ภูมิภาคเบื้องล่างคือสัมผัสได้ถึงไอมารบริสุทธิ์จากเผ่าพันธุ์ปีศาจ?


 


เผ่าพันธุ์ปีศาจบัดนี้สมควรบุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อีกครั้งแล้ว? ยุคมนุษย์ปีศาจได้เปิดม่านเริ่มต้นขึ้นแล้ว? และตอนนี้เผ่าพันธุ์ปีศาจก็สมควรลงหลักปักฐานที่ภูมิภาคเบื้องล่าง?


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเคยคาดเดามาก่อน ว่าปีศาจอาจรุกรานเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่าง และไม่พ้นพวกมันต้องตั้งฐานที่มั่นระดมกำลังพลจัดทัพให้พร้อม ค่อยจัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายอีกครั้งเพื่อบุกมายังภูมิภาคเบื้องบน


 


แต่ทั้งหมดต้วนหลิงเทียนเพียงคาดเดา


 


ตอนนี้พอมาได้ยินว่าทุกเรื่องราวกำลังบังเกิดขึ้นจริงจากเจิ้งตงจี๋ สีหน้าต้วนหลิงเทียนจึงอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปมหันต์


 


“เผ่าพันธุ์ปีศาจบุกเข้ามาแล้วจริงๆ…ไม่รู้ป่านนี้ท่านพ่อท่านแม่จะเป็นยังไงบ้าง?!”


 


หลังได้รับทราบเบาะแสสำคัญว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจสมควรบุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างแล้วจริงๆ ต้วนหลิงเทียนไม่อาจสงบใจได้ต่อไป ยังวิตกกังวลถึงความปลอดภัยญาติสนิทมิตรสหายและครอบครัวเขาที่ภูมิภาคเบื้องล่างนัก!


 


ร้อนใจแทบตายแล้ว!


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอยากให้แผ่นหลังปรากฏปีกแห่งห้วงมิติงอกเงย สามารถท่องทะลวงมิติ ย้อนกลับไปหาครอบครัวในภูมิภาคเบื้องล่างเหลือเกิน


 


“อีกหนึ่งเค่อค่ายกลสังหารจะเริ่มต้นการทำงาน รัศมีแรงระเบิดสมควรครอบคลุมไปทั้งพื้นที่ปิดนั่น…กลุ่มคนด้านในก็ไม่พ้นต้องตกตายด้วยพลังสังหารจากค่ายกลหมดสิ้น…”


 


ตอนนี้เองเสียงของผู้เฒ่าหั่วพลันดังขึ้น “เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม จะได้มิพลาดกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน”


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนกลับนิ่งไปไม่ตอบสนองใดๆทั้งสิ้น


 


เพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจมอยู่ในภวังค์ ได้แต่เหม่อคิดถึงครอบครัวอย่างร้อนใจ


 


คงเป็นการดีเสียกว่าที่เขาไม่อาจยืนยันได้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจบุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างจริงๆ


 


ทว่าตอนนี้กลับได้รับการยืนยันจากคำของเจิ้งตงจี๋ ความกังวลทั้งทุกข์ใจทั้งมวลที่กักเก็บไว้ในใจพลันระเบิดออกมาอย่างทะลักทลาย


 


“ข้ารู้ว่ายามนี้เจ้าเป็นห่วงครอบครัวทั้งสหายของเจ้าที่เบื้องล่าง…แต่กระนั้นเจ้าก็มิอาจใจลอยจนพลาดโอกาสกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของคนกลุ่มนั้นได้!”


 


เสียงกล่าวของผู้เฒ่าหั่วยังดังขึ้นสืบต่อ น้ำเสียงยังเข้มทั้งเผยความจริงจังแฝงความร้อนใจไม่น้อย


 


“เจ้าลองคิดดูเถอะ….หากเจ้าพลาดโอกาสกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันไป พรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันก็ได้แต่สลายหายไปอย่างสูญเปล่า….”


 


“แต่หากเจ้าสามารถกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันได้ล่ะก็ พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าจักกลายเป็นรากวิญญาณสีม่วงทันที…”


 


“ตราบใดที่เจ้ามีรากวิญญาณสีม่วง ไม่เพียงแต่วันหน้าเจ้าจะเป็นกำลังรบสำคัญที่คอยสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ…เจ้ายังสามารถช่วยชีวิตภรรยาและลูกสาวได้ในเวลาที่สั้นที่สุด!”


 


“อีกทั้งหากถึงตอนนั้น ถ้าพลังฝึกปรือเจ้าสูงพอ ข้าย่อมมีหนทางทำให้เจ้าย้อนกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่าง เพื่อช่วยเหลือครอบครัวทั้งหมดของเจ้า!!”


 


ผู้เฒ่าหั่วเร่งกล่าวเกลี้ยกล่อมโน้วน้าวออกมาหมายดึงสติต้วนหลิงเทียน ราวกับกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะพลาดโอกาสดูดซับพรสวรรค์รากวิญญาณเหล่านั้น


 


และแทบจะพอดีกันกับที่เสียงของผู้เฒ่าหั่วดังจบคำ


 


ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็สามารถดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อตัวได้สำเร็จ แถมแววตายังฉายถึงความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว เรียกว่าอารมณ์ความรู้สึกคนคล้ายจะแปรเปลี่ยนไปในพริบตา


 


เขาไม่ลังเลอะไรสืบไปร่างรีบบึ่งทะยานไปเฝ้ารอใกล้ๆพื้นที่ปิดตามที่ผู้เฒ่าหั่วชี้แนะทันที


 


หลังจากผ่านไปราวๆเค่อหนึ่ง


 


ตูมมมมม!!


 


เสียงระเบิดพลันดังสนั่นขึ้น โถงพระราชวังปิดตายที่กลุ่มของเมิ่งฮ่าวอยู่ถูกพลังทำลายล้างมหาศาลระเบิดทำลายจนไม่เหลือแม้แต่ฝุ่น สรรพสิ่งหวนคืนสู่ความว่างเปล่า ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดดำรอยู่มาก่อน!


 


แน่นอน…


 


พื้นที่โถงพระราชวังอะไรนั่นก็แหลกสลายไปพร้อมๆกันกับพวกเมิ่งฮ่าวโดยไม่เหลือแม้แต่ฝุ่น


 


ฟุ่บบบ!!


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่แสงสว่างจ้าปรากฏและเสียงระเบิดดังลั่นสะท้านแก้วหู ร่างต้วนหลิงเทียนพุ่งวูบออกไปตามคำชี้แนะของผู้เฒ่าหั่วทันที เขายังเร่งแผ่สำนึกเทวะออกไปด้วยใจที่หนักอึ้ง เร่งกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในความว่างเปล่า


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนที่แผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจจับทุกสิ่งโดยรอบ เมื่อสัมผัสได้ถึงเศษเสี้ยววิญญาณที่ยังตกค้างในโลก คล้ายเขาจะสัมผัสได้ถึงความไม่ยินยอมพร้อมใจถึงขีดสุด!


 


“ไม่ต้องกังวล…สงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ ข้าจะฆ่าพวกมันเท่าที่กำลังของข้าจะทำได้!!”


 


ขณะสูบกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวรำพันออกมาเบาๆ


 


วาจานี้เขากล่าวกับเมิ่งฮ่าวและคนทั้งหมดที่ตกตาย


 


จากที่ผู้เฒ่าหั่วบอก เขาย่อมรู้ดีว่าพวกเมิ่งฮ่าวนั้นตกตายด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจถึงที่สุด


 


กระทั่งทุกคนยังแค้นใจ และโทษตัวเองว่าเป็นคนบาป


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่กล่าวปลอบประโลมเศษเสี้ยววิญญาณที่ยังมีห่วงก่อนจะสลายหายไป ด้วยหวังว่าเหล่าวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับอย่างไม่ยินยอมจะได้ยิน และสามารถเดินจากไปในหนทางสู่ปรภพอย่างสงบ…


 


“รากวิญญาณสีม่วง!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหม่อไปพลันดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้อีกครั้งหลังได้ยินเสียงกล่าวของผู้เฒ่าหั่ว และความสนใจของเขาก็ไปตกที่รากวิญญาณในดวงจิตทันที


 


ตอนนี้เขาจึงได้พบว่ารากวิญญาณของเขา…ได้กลายเป็นสีม่วงอย่างเป็นทางการแล้ว!


 


ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงรากวิญญาณสีม่วงอ่อน…แต่ก็นับเป็นเรื่องที่สร้างความตื่นเต้นให้ต้วนหลิงเทียนไม่น้อย


 


นั่นทำให้เขาถึงกับลืมเลือนเรื่องราวทุกอย่างในหัว ใบหน้าคลี่ยิ้มตื่นเต้นยินดีออกมาทันที


 


“เร็วมาก!”


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็เริ่มจับสัมผัสพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบ และเริ่มชักนำเข้าร่างโดยโคจรเคล็ดบ่มเพาะดู ทำให้เขาพบว่า…ไม่ว่าจะความไวต่อสัมผัสพลังวิญญาณหรือความสามารถในการชักนำดูดซับ มันเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว!


 


“ด้วยความเร็วในการบ่มเพาะระดับนี้ และความช่วยเหลือจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ…ทั้งใต้หล้าไม่มีใครสามารถเหนือกว่าข้าในแง่ความเร็วของการบ่มเพาะได้อีก!”


 


วินาทีต้วนหลิงเทียนบังเกดิความมั่นใจในตัวเองถึงขีดสุด ยังเป็นความมั่นใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!


 


และนั่นก็ไม่ใช่ความมั่นใจอย่างไร้เหตุผลอีกด้วย!


 


“เผ่าพันธุ์ปีศาจอย่าง เจิ้งตงจี๋กับสหายอีก 2 ตนนั่นลงทุนทำถึงขนาดนี้เพื่อสร้างระนาบเทียม สร้างเกมเขย่าขวัญนี่ขึ้นมา…แต่พวกมันคงไม่คิดไม่ฝันว่าข้าจะรอดมาได้แถมยังได้ผลประโยชน์ครั้งใหญ่จาก ‘เกม’ ของพวกมัน!”


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดตื่นเต้นไม่ได้


 


แน่นอนว่าหลังจากที่ตื่นเต้นไปพักหนึ่ง ใบหน้าเขาก็เริ่มฉายความจริงจังขึงขัง


 


“น่าเสียดายที่ยอดฝีมือระดับนี้ต้องมาตกตาย…ด้วยรากวิญญาณสีครามทั้งหมดที่ข้ากลืนกินไป หากรวมเมื่อครู่ก็มีทั้งสิ้น 8 ราก…เช่นนั้นหมายความว่า ทั้ง 8 สมควรเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้น…”


 


8 ตัวตนที่พลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรืออาจจะเหนือกว่านั้น!


 


คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมากระทั่งต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว!


 


ต้องทราบด้วยว่าเท่าที่เขารู้มาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน สมควรมียนอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนขึ้นไปอยู่ราวๆ 30 คน…!


 


ทว่าภายในระนาบเทียมแห่งนี้ ตัวตนเหล่านั้นกลับเอาชีวิตมาทิ้งไว้ถึง 8 คน…!


 


นี่เป็นดั่งระเบิดห่าใหญ่ของมนุษย์ชาติในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้อย่างแท้จริง!


 


ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจิ้งตงจี๋จะกล่าวว่านี่คือของขวัญชิ้นโตที่มันมอบไว้ให้ชนรุ่นหลังของเผ่าพันธุ์ปีศาจ…


 


เพราะของขวัญชิ้นนี้ มีมูลค่ามหาศาลจริงๆ!


ตอนที่ 2,148 : ระนาบโลกียะแฝด


 


 


 


“ไม่คิดเลยว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศจะบุกรุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างแล้วจริงๆ…หวังว่าท่านพ่อท่านแม่กับคนอื่นๆจะปลอดภัย…”


 


เมื่อคิดถึงเรื่องการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ต้วนหลิงเทียนอดคิดถึงครอบครัวที่ภูมิภาคเบื้องล่างไม่ได้


 


ตอนนี้ใจเขาร้อนรนดั่งเพลิงไฟ…เป็นกังวลแทบตาย!


 


ด้วยไม่อาจรู้ได้เลยว่าครอบครัวเขายังปลอดภัยดีอยู่หรือไม่!


 


เพราะสุดท้ายแล้วเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศนั้น ก็คือเผ่าพันธุ์ที่กระหายเลือด พวกมันราวกับจะเกิดมาเพื่อเข่นฆ่าสังหาร!


 


ตามตำนานกล่าวไว้ว่าแทบไม่เคยมีมนุษย์คนใดรอดพ้นมาได้หากถูกปีศาจจับไป ถึงแม้ว่าจะมีบางคนรอดมาได้โดยบังเอิญและกลายเป็นผู้ฝึกมารในที่สุด แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกสูบกลืนพลังจนกลายเป็นซากร่างแห้งกรังทั้งสิ้น!


 


“ผู้เฒ่าหั่ว แล้วตอนนี้ข้าจะออกจากที่นี่ยังไงหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดเขาก็สงบอารมณ์ที่พุ่งพล่านทั้งมวล และหันไปถามคำถามสำคัญจากผู้เฒ่าหั่วทันที


 


เพราะตอนนี้เขายังอยู่ในระนาบเทียมที่ถูกวร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือของ ปีศาจ 3 ตน!


 


แถมไม่ว่าจะหันมองไปทางไหน กระทั่งแผ่สำนึกเทวะออกไปเต็มกำลัง เขาก็พบแต่ความว่างเปล่า สำนึกเทวะที่แผออกไปคล้ายหินจมลงในห้วงสมุทร ไม่อาจหยั่งถึงก้นบึ้งอะไรได้…


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนเรือลำน้อยที่ลอยคออย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทรสุดไพศาลอีกครั้ง


 


คววามรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก เสมือนความเป็นความตายของตัวเองไม่ได้อยู่ในกำมืออีกต่อไป


 


“ตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถออกไปได้…”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียนผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวตอบออกมาเสียงเรียบ และคำตอบนี้ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนหน้าเสียทันที


 


“ไม่สามารถออกไปได้? ผะ…ผู้เฒ่าหั่ว ท่าน….หมายความว่าอะไร!?”


 


หลังสูดอากาศดังเฮือกต้วนหลิงเทียนที่พยายามระงับอารมณ์ตื่นตระหนก ก็กล่าวถามผู้เฒ่าหั่วออกมาอีกครั้ง เสียงยังหนักขึ้นไม่น้อย


 


เพราะตอนนี้เขาอยากออกจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด


 


ถึงแม้เขาจะยังไม่อาจย้อนกลับไปภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อพบหน้าครอบครัวและสหาย แต่เขาสามารถออกไปกระจายข่าวเรื่องเผ่าพันธุ์ปีศาจได้บุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างให้ทุกคนได้รู้ เพื่อเตรียมความพร้อม…


 


ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับความเป็นไปของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เขาได้รับทราบมา เขาไม่ห่วงว่าจะไม่มีใครเชื่อ เพราะเขาสามารถใช้การสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า เพื่อพิสูจน์ความจริงได้!


 


และเขาก็คิดไว้แล้วว่าจะกระจายข่าวเรื่องนี้ออกไปยังไง


 


อย่างไรก็ตามผู้เฒ่าหั่วกลับบอกเขาว่า ตอนนี้เขายังออกไปไม่ได้?


 


“ที่ข้ากล่าวก็คือ ‘ตอนนี้’ เจ้ายังไม่สามารถออกไปได้…”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมาอีกครั้ง ยังเน้นเสียงหนักตรงคำว่า ‘ตอนนี้’ ไม่น้อย


 


หลังจากนั้นผู้เฒ่าหั่วก็พูดต่อ “ระนาบเทียมแห่งนี้จะเลวร้ายเพียงใด แต่มันก็ถูกสร้างขึ้นดว้ยน้ำมือของ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะ…หากเจ้าคิดจะออกจากสถานที่แห่งนี้ นั่นหมายความว่าเจ้าต้องมีพลังมากพอจะทะลวงฝ่ากำแพงมิติระหว่างระนาบเทียมแห่งนี้กับภูมิภาคเบื้องบนให้ได้เสียก่อน…”


 


“หาไม่แล้วเจ้าจักมิมีวันออกไปจากสถานที่แห่งนี้และกลับไปยังภูมิภาคเบื้องบนได้ชั่วชีวิต!”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมารวดเดียวจบ!


 


ทันทีที่ได้ยินคำตอบของผู้เฒ่าหั่ว สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที ลูกตายังหดหยีลง


 


ลมหายใจต้วนหลิงเทียนยังเปลี่ยนไปเป็นเร่งร้อน ถี่รัว อดกล่าวถามออกมาอีกไม่ได้ว่า “ผู้เฒ่าหั่ว…ท่านหมายความว่าข้าต้องมีพลังมากพอจะทำลายกำแพงมิติระหว่างระนาบเทียมแห่งนี้กับภูมิภาคเบื้องบนให้ได้ก่อนงั้นหรือ?”


 


“ถูกต้อง”


 


ผู้เฒ่าหั่วตอบ


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนหลังได้ยินคำตอบรับของผู้เฒ่าหั่วก็บิดเบี้ยวเหยเกทันที ไม่นานก็พูดต่อออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่นว่า “แล้วกำแพงมิติระหว่างระนาบเทียมแห่งนี้กับภูมิภาคเบื้องบนมันแข็งแกร่งขนาดไหนกัน…”


 


“ใช่แข็งแกร่งเท่ากำแพงมิติกั้นแดนระหว่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากับดินแดนเนรเทศหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นก็จบสิ้นกันแล้ว…เพราะกระทั่งสุดยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจยังต้องหาจุดอ่อนเพื่อฝ่ามันมาด้วยซ้ำ…”


 


“หากไม่มีจุดอ่อนนั่น ก็ไม่แน่ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะสามารถบุกรุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ด้วยซ้ำ…”


 


เรื่องราวของกำแพงมิติกั้นแดน ระหว่างแดนเนรเทศกับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น ต้วนหลิงเทียนเองก็พอได้รับทราบข้อมูลมาบ้าง


 


ย้อนกลับไปในยุคสมัยก่อนีท่ยุคมนุษย์ปีศาจจะเริ่มต้นขึ้น


 


เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นเพราะเผ่าพันธุ์ปีศาจได้พบจุดอ่อนบนกำแพงมิติกั้นแดนระหว่างแดนเนรเทศกับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า  และสุดท้ายพวกมันก็สามารถทำลายกำแพงมิติส่วนนั้นได้จึงบุกรุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจนเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย…


 


ต่อมาในที่สุดยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ขับไล่ปีศาจให้ย้อนกลับไปยังแดนเนรเทศได้สำเร็จ ก่อนที่จะสร้างมหาค่ายกลผนึก สร้างม่านพลังฉาบกันกำแพงมิติส่วนนั้นเอาไว้เป็นการอุดช่องโหว่…


 


และสิ่งนั้นก็ทำให้ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหวนคืนสู่ความสงบ


 


หากเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่อาจทำลายม่านพลังจากมหาผนึก หรือค้นพบจุดอ่อนของกำแพงมิติกระทั่งช่องโหว่ใดอื่นบนกำแพงมิติแล้ว่ละก็…พวกมันก็ไม่อาจบุกรุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อีก!


 


“ผู้เฒ่าหั่ว…แบบนี้ไม่ใช่ว่าต่อให้ข้าทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน กระทั่งข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ…แต่พลังของข้าก็ไม่แน่ว่าจะมากพอที่จะทำลายกำแพงมิติกั้นแดนได้หรอกหรือ?”


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงสามารถตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ตอนนี้ทันที…


 


เว้นแต่จะพบจุดอ่อนหรือช่องโหว่ของกำแพงมิติ…หาไม่แล้วเขาไม่มีทางทำลายหรือฝ่ากำแพงมิติไปได้เลย!


 


“กำแพงมิติกั้นแดนระหว่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากับแดนเนรเทศที่เจ้าว่านั่น…มันคือกำแพงมิติที่กั้นขวางระหว่างระนาบโลกียะสองระนาบ แน่นอนย่อมแตกต่างจากสถานการณ์ของเจ้าตอนนี้เป็นธรรมดา”


 


“กำแพงมิติกั้นแดนระหว่างระนาบโลกียะ 2 ระนาบนั้น กระทั่งให้เป็นเซียนอมตะจากระนาบเทวโลกพบพานจุดอ่อนบนกำแพงมิติยังยากที่จะทำลายลงได้ในเวลาอันสั้น นับประสาอะไรกับผู้ฝึกตนในระนาบโลกียะเอง…”


 


เผชิญกับความสงสัยของต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วค่อยๆกล่าวอธิบายออกมา


 


“หือ!? กำแพงมิติกั้นแดนระหว่างระนาบโลกียะกับระนาบโลกียะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะผงะไปเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ยังอดไม่ได้ที่จะเร่งถามออกมาด้วยความสงสัย “ผู้เฒ่าหั่ว…ท่านหมายความว่า ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเป็นระนาบโลกียะระนาบหนึ่ง ส่วนแดนเนรเทศที่เผ่าพันธุ์ปีศาจอาศัยอยู่นั่น…ก็เป็นระนาบโลกียะอีกระนาบหนึ่งงั้นเหรอ?”


 


“ไม่ผิด”


 


หลังได้ยินคำถาม ผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวตอบกลับมาทันที ยังอธิบายต่อว่า “ระนาบโลกียะโดยทั่วไปแล้วจักแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท…หนึ่งในนั้นคือระนาบโลกียะที่เป็นเหมือนกับโลกที่เจ้าเคยจากมา ระบบสุริยะอันมีดาวเคราะห์มากมาย มีทองฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาว  เป็นห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลมากล้นไปด้วยสรรพชีวิต….”


 


“ระนาบโลกียะเช่นนั้นนับเป็นระนาบโลกียะที่ค่อนข้างใหญ่ เหล่าเซียนอมตะในระนาบเทวโลกจึกเรียกมันว่า ‘มหาระนาบโลกียะ’ ส่วนระนาบโลกียะที่เจ้ากับข้าจับพลัดจับผลูมาอยู่ เป็นระนาบโลกียะที่ค่อนข้างเล็ก จึงถูกเรียกว่า ระนาบโลกียะย่อม…”


 


“กล่าวได้ว่าระนาบโลกียะย่อมก็คือ…ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างนั่น รวมถึงทะเลและทวีปมนุษย์ ทั้ง 3 รวมกัน! สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจึงมีน้อยนิดนัก”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวถึงจุดนี้ก็เงียบไป


 


“ผู้เฒ่าหั่ว…จากที่ท่านพูดหมายความว่าระนาบโลกียะที่พวกเราอยู่เป็นแค่ระนาบโลกียะย่อม และไม่มีดาวเคราะห์ดวงอื่นเหมือนโลกที่ข้าจากมา? หากเป็นเช่นนั้นจริง…แล้วทำไมตอนกลางวันเราถึงเห็นดวงอาทิตย์ และตอนกลางคืนถึงเห็นจันทราและหมู่ดาวเล่า!?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม


 


และนี่ยังเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเขามานาน


 


ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในระนาบเทียมแห่งนี้ หลังจากที่ผู้เฒ่าหั่วฟื้นพลังคืนมาได้ในระดับหนึ่ง ผู้เฒ่าหั่วก็ได้กล่าวเปรยๆบอกเขาแต่แรกว่าในระนาบโลกียะแห่งนี้ไม่มีดาวเคราะห์อะไร


 


อย่างไรก็ตามตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะเขารู้สึกว่าในเมื่อสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ และเห็นหมู่ดาวในตอนกลางคืน…ไม่ใช่ว่าทั้งหมดบ่งบอกชี้ชัดว่ามีดาวเคราะห์ในระนาบโลกียะแห่งนี้หรือไง?


 


อันที่จริงเขายังคิดที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกไว้ด้วยซ้ำ เพราะพลังฝึกปรือก็มากพอให้เขาเหาะขึ้นไปตรวจสอบเรื่องราวแล้ว แต่เขาก็ไม่ว่างกระทำ


 


มาตอนนี้พอผู้เฒ่าหั่วกล่าวถึงเรื่องที่ระนาบโลกียะแห่งนี้เป็นระนาบโลกียะย่อมและไม่มีดาวเคราะห์ออกมาอีกรอบ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามเรื่องราวให้กระจ่าง…


 


“เรื่องนี้กล่าวไปก็เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่บ่งชี้ว่าเป็น ระนาบโลกียะย่อม ด้วยเช่นกัน…ระนาบโลกียะย่อมทุกระนาบนั้นจะตั้งอยู่ติดกับมหาระนาบโลกียะ!”


 


“เนื่องจากสรรพชีวิตจำนวนมากในระนาบโลกียะย่อม ก็จำเป็นต้องอาศัยแสงตะวันของมหาระนาบโลกียะเพื่อดำรงชีวิต…เช่นนั้นพื้นที่กั้นขวางหรือกำแพงมิติกั้นแดนระหว่าง มหาระนาบโลกียะ กับ ระนาบโลกียะย่อม จึงโปร่งใส”


 


“ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ภูมิภาคเบื้องบนหรือภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า หากเจ้าลองเหินร่างขึ้นไปด้วยหมายสำรวจดวงอาทิตย์ในตอนกลางวันหรือดวงจันทร์กระทั่งดวงดาวใดๆในเวลากลางคืน เจ้าจักรู้ได้ทันที…ว่าเมื่อเหินร่างขึ้นไปสูงในระดับหนึ่ง…เจ้าจะพบพานกับกำแพงโปร่งใสที่มิอาจมองเห็นกั้นขวางเจ้าเอาไว้…”


 


“และนั่นก็คือกำแพงมิติกั้นแดนระหว่างมหาระนาบโลกียะกับระนาบโลกียะขนาดย่อม ความแข็งแกร่งของมันนับว่ามากมายและเหนือกว่ากำแพงมิติกั้นแดนระหว่างระนาบแฝดมากนัก มันทรงพลังทั้งไร้จุดอ่อนและช่องโหว่อันใด….”


 


ฟังวาจานี้ของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


“แล้วระนาบโลกียะแฝด…มันคืออะไรหรือผู้เฒ่าหั่ว?”


 


สีหน้าตอนกล่าวถามของต้วนหลิงเทียนยังเหรอหรา ว่างเปล่า


 


“โดยปกติแล้ว ระนาบโลกียะย่อมสองระนาบมักไม่อยู่ติดกัน อันที่จริงมันไม่มีทางมาอยู่ติดกันได้เลย…ทว่ามันมีกรณียกเว้นอยู่กรณีหนึ่ง ก็คือระนาบโลกียะย่อม 2 ระนาบที่อยู่ติดกันนั่น…มันดันเกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน ราวกับพี่น้องฝาแฝดตั้งแต่แรก…”


 


“ด้วยเหตุนี้ในระนาบเทวโลกจึงเรียกระนาบโลกียะย่อม 2 ระนาบที่อยู่ติดกันเช่นนี้ว่า ระนาบโลกียะแฝด”


 


“เรียกว่าเพียงกล่าวถึงระนาบโลกียะแฝด ทุกคนก็จะรู้ได้ทันทีว่ามันคือระนาบโลกียะย่อม 2 ระนาบที่เกิดมาติดกัน…เพราะมหาระนาบโลกียะจักไม่มีทางเป็นระนาบแฝดอะไรแบบนี้”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบ


 


“ถ้างั้นหมายความว่า…ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากับแดนเนรเทศของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็คือระนาบโลกียะแฝด?”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจเรื่องนี้ได้ทันที


 


“ไม่ผิด”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบ “ไม่ว่าจะดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหรือแดนเนรเทศ…ล้วนเป็นระนาบโลกียะย่อมที่อยู่ติดกับมหาระนาบโลกียะทั้งสิ้น…”


 


“อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าสามารถมองเห็นตะวันจันทราได้จากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า กระทั่งดวงดาราอันเป็นดาวเคราะห์ทั้งหลายของมหาระนาบโลกียะ…เช่นนั้นระนาบโลกียะย่อมอย่างแดนเนรเทศย่อมเป็นสถานที่อันมืดสลัวตลอดกาล ไร้แสงตะวันส่องสาดอันใด…”


 


“สาเหตุที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ก็เพราะดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันปิดกั้นแสงสว่างที่สมควรจะสาดส่องไปถึงแดนเนรเทศของพวกปีศาจโดยตรง…”


 


“ในเมื่ออีกระนาบเป็นสถานที่อันมืดสลัวตลอดกาล เช่นนั้นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นจะดุร้ายรุนแรง มากไปด้วยพลังหยินอันชั่วร้ายก็มิใช่เรื่องแปลก…กล่าวได้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะเป็นเช่นนี้ก็นับว่าเป็นธรรมชาติของพวกมันแล้ว”


 


ผู้เฒ่าหั่วไม่เพียงแต่จะอธิบายความต่างระหว่างมหาระนาบโลกียะ ระนาบโลกียะย่อม และระนาบโลกียะแฝด ยังกล่าวถึงต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกด้วย…


 


เรื่องนี้นับว่าทำให้ต้วนหลิงเทียนได้รู้เรื่องราวความเป็นไปอย่างมาก


 


“ที่แท้มันเป็นแบบนี้นี่เอง…”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวถามสืบต่อ “ผู้เฒ่าหั่ว…เมื่อครู่ท่านบอกว่าหากข้าเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า ไม่ว่าจะเป็นในภูมิภาคเบื้องบนหรือเบื้องล่าง ข้าจะพบเจอกับกำแพงมิติกั้นขวางระหว่างมหาระนาบโลกียะกับระนาบโลกียะย่อมใช่หรือไม่?”


 ตอนที่ 2,149 : เป้าหมาย…ทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน!


 


 


 


“ไม่ใช่ว่าท่านเคยบอกข้าหรอกหรือ…ว่าภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามันก็เป็นระนาบเทียมที่เกิดขึ้นจากภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“ใช่”


 


ผู้เฒ่าหั่วตอบรับ และคล้ายจะรู้แต่แรกแล้วว่าต้วนหลิงเทียนต้องกล่าวถามเรื่องนี้


 


เช่นนั้นหลังตอบรับแล้ว ผู้เฒ่าหั่วก็อธิบายเพิ่มเติมทันที “ภูมิภาคเบื้องบนนั้นเป็นระนาบเทียมที่ถือกำเนิดขึ้นจากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง…เช่นนั้นจึงใช้กำแพงมิติกั้นแดนระหว่างมหาระนาบโลกียะกับระนาบดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเหมือนกัน!”


 


“ด้วยเหตุนี้แม้เจ้าจะอยู่ในภูมิภาคเบื้องบน แต่เจ้าก็สามารถแลเห็นตะวันจันทราของมหาระนาบโลกียะได้เช่นกัน รวมถึงยังเห็นดวงดาวอันเป็นดาวเคราะห์อีกด้วย…”


 


“ส่วนสาเหตุที่ไฉนถึงได้มีกลางวันกับกลางคืนในระนาบดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น ก็สืบเนื่องมาจากในมหาระนาบโลกียะมันก็มีดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดวงตะวัน! และในช่วงที่มันบดบังแสงตะวัน…”


 


“ยามนั้นดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็จักกลายเป็น ‘กลางคืน’ พอถึงตอนนั้นดาวเคราะห์ที่บดบังแสงตะวัน เมื่อสะท้อนแสงออกไปยังดาวข้างเคียง ก็จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าดวงจันทร์”


 


ผู้เฒ่าหั่วไม่เพียงแต่ตอบคำถามของต้วนหลิงเทียน หากแต่ยังกล่าวเรื่องอื่นเพิ่มออกมา ราวกับล่วงรู้ว่าไม่พ้นต้วนหลิงเทียนต้องกล่าวถามถึงเรื่องพวกนี้แน่ๆ


 


“และระนาบโลกียะคู่แฝดของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่างแดนเนรเทศนั่น ก็ไม่มีแม้แต่กลางวันและกลางคืน”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง”


 


ต้วนหลิงเทียนพอจะเข้าใจเรื่องราวได้ทันที


 


เดิมทีเขาคิดว่าโลกใบที่เขาอยู่นั้นเป็นเหมือนโลกเก่า


 


กระทั่งคิดว่าโลกที่เขาอยู่มันเป็นดาวเคราะห์เหมือนโลกเก่า


 


ยิ่งไปกว่านั้นยังหลงคิดว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ก็สมควรมีวงโคจร กระทั่งมีการหมุนรอบตัวเองเหมือนโลกเขา…


 


แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้นเลย…


 


หลังจากนั้นผู้เฒ่าหั่วก็อธิบายเพิ่มเติม ให้เขาได้รับทราบเรื่องราวอื่นๆคร่าวๆ


 


นอกจากนี้หลังได้ฟังเรื่องราวจากผู้เฒ่าหั่วแล้ว เขาก็ซึ้งถึงคำ 8 คำที่ว่า ‘โลกใหญ่ไพศาล ไม่พิสดารไม่มี’


(โลกใหญ่ไพศาล ไม่พิสดารไม่มี = โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก เรื่องที่คาดไม่ถึงมีอยู่มากมาย)


 


“เอาล่ะกล่าวออกนอกเรื่องมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว….ตอนนี้พวกเรากลับไปพูดถึงเรื่องที่เจ้าสงสัยก่อนหน้าเถอะ”


 


เสียงของผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นอีกครั้ง ดึงสติให้ต้วนหลิงเทียนกลับมาจากอาการครุ่นคิดถึงระนาบโลกียะ กระทั่งเรื่องแปลกๆทั้งหลายที่ช่างขัดสามัญสำนึกของเขาทันที “ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าว่า…ถึงแม้เจ้าจะบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนกระทั่งข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์แล้ว ก็กลัวว่ายังไม่สามารถทำลายกำแพงมิติได้ใช่หรือไม่?”


 


“ใช่แล้วผู้เฒ่าหั่ว”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยนึกถึงเรื่องราวที่ยังสงสัยค้างคาก่อนหน้าทันที


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมคำที่ข้าเคยบอกเจ้าไปก่อนหน้าหมดสิ้นแล้วจริงๆ…เจ้ายังจดจำได้หรือไม่ เรื่องที่ข้าเคยบอกเจ้าไว้หลังจากที่เจ้าพบว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคของภูมิภาคเบื้องบนมิอาจส่งคนย้อนกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่างได้? และเจ้าก็สงสัยว่าต้องทำอย่างไรถึงจะกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่างได้?”


 


ผู้เฒ่าหั่วถาม


 


พอต้วนหลิงเทียนได้ยินคำถามนี้เขาก็สะดุ้งไปทันที เร่งนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นขึ้นมา


 


“ข้านึกออกแล้ว…ตอนนั้นผู้เฒ่าหั่วบอกข้าว่า ตราบใดที่พลังฝึกปรือของข้าบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนและสามารถข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ข้าสามารถฉีกเปิดช่องว่างมิติ และออกจากภูมิภาคเบื้องบนกลับภูมิภาคเบื้องล่างได้…”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็นึกออก


 


“ผู้เฒ่าหั่ว!”


 


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ได้ ต้วนหลิงเทียนก็ตกใจไม่น้อย “ที่ท่านกล่าวในตอนนั้น…หมายความว่าขอเพียงข้ามีพลังทัดเทียมครึ่งก้าวเซียนอมตะ ข้าสามารถฉีกเปิดช่องว่างฝ่ากำแพงมิติระหว่างภูมิภาคเบื้องบนกับภูมิภาคเบื้องล่างได้ใช่หรือไม่?”


 


“นอกจากนั้นข้ายังสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ด้วยพลังของข้าคนเดียว!?”


 


หลังจากที่กล่าวถามออกไปแล้ว ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนก็ถี่รัวขึ้นมาทันที เพราะเรื่องนี้มันค่อนข้างเป็นอะไรที่ยังไกลสำหรับเขาอยู่บ้าง


 


“ไม่ผิด”


 


ผู้เฒ่าหั่วพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวเสริมว่า “อย่างไรก็ตามเจ้าหลงประเด็นแล้ว…ที่ข้าจะสื่อก็คือ กำแพงมิติกั้นแดนระหว่างภูมิภาคเบื้องบนกับภูมิภาคเบื้องล่าง กับ กำแพงมิติกั้นแดนระหว่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากับแดนเนรเทศนั้น…เป็นอันใดที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง”


 


“อย่างแรกนั้นขอเพียงเจ้าบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนและข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ไปแล้ว เจ้าก็สามารถฉีกเปิดมิติกระทั่งฝ่ากำแพงมิติระหว่าง 2 ภูมิภาคได้…ทว่าอย่างหลังนั้น กระทั่งเซียนอมตะในระนาบเทวโลกมาเอง หากพลังฝีมืออยู่ในระดับทั่วๆไป ก็ยังมิแน่ว่าจะฝ่ากำแพงมิติกั้นแดนได้…”


 


ผู้เฒ่าหั่วอธิบายสืบต่อ


 


“ถ้างั้นหมายความว่า…กำแพงมิติที่ขวางกั้นระหว่างระนาบเทียมที่ถูก 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะสร้างกับภูมิภาคเบื้องบน ก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น หากคิดจะฉีกเปิดมิติ…พลังฝึกปรือที่ต้องใช้ก็ไม่จำเป็นต้องสูงถึงขั้นนั้นใช่หรือไม่ผู้เฒ่าหั่ว…”


 


พอได้ยินเรื่องความต่างของกำแพงมิติกั้นแดนที่ผู้เฒ่าหั่วบอก ต้วนหลิงเทียนก็ฉุกคิดเรื่องนี้ได้ทันที และเข้าใจในสิ่งที่ผู้เฒ่าหั่วจะสื่อแต่แรกได้ออก!


 


“ถูกต้อง”


 


ผู้เฒ่าหั่วตอบรับ ค่อยกล่าวต่อว่า “กำแพงมิติที่กั้นระหว่างระนาบเทียมของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะนี้กับภูมิภาคเบื้องบนนั้น ขอแค่เป็นเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนขึ้นไปก็สามารถฉีกเปิดออกได้มิยาก…”


 


“แต่แน่นอนว่าจะกระทำเช่นนั้นได้ ก็จำต้องหาตำแหน่งกำแพงมิติที่ว่านั่นให้พบ…หาไม่แล้วที่พูดมาถึงหมดก็ล้วนเป็นแค่วาจาผายลม!”


 


“และกำแพงมิติกั้นแดนระหว่างระนาบเทียมแห่งนี้กับภูมิภาคเบื้องบน หลังจากที่ข้าใช้สำนึกเทวะตรวจสอบดูข้าก็พบเจอเรียบร้อย…มันถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้มหาค่ายกลที่น่ากลัว!”


 


“มหาค่ายกลนั้นมิใช่ค่ายกลธรรมดาจริงๆ หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลมาเอง ต่อให้เป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่ยังไม่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ ขืนซี้ซั้วแตะต้องหรือคิดใช้พลังทำลายสุ่มสี่สุ่มห้า มิพ้นต้องตกตายอนาถแน่!”


 


“เพราะในมหาค่ายกลนั้นแฝงเร้นไว้ด้วยค่ายกลสังหารย่อย ที่มีพลังอำนาจไม่ได้ด้อยไปกว่าค่ายกลที่ใช้สังหารคนทั้ง 3 กลุ่มก่อนหน้าแม้แต่น้อย”


 


เสียงของผู้เฒ่าหั่วนั้น ต้วนหลิงเทียนได้ยินชัดถนัดหู


 


ทำให้จังหวะนี้ร่างต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านขึ้นมา! ขนยังถึงกับลุกซู่ด้วยความกลัว ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวในระนาบเทียมแห่งนี้จะยุ่งยากซับซ้อนขนาดนี้! วันหลังหากไม่แน่ใจเขาไม่คิดหาเข้าอีกเด็ดขาด!!


 


‘แต่ก็สมควรแล้ว…จากที่ผู้เฒ่าหั่วบอก ถ้าหาตำแหน่งกำแพงมิตินั่นพบ กระทั่งเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนก็สามารถฉีกเปิดมิติหลบหนีออกไปได้…เช่นนั้นมันจึงต้องวางมาตรการป้องกันเอาไว้’


 


พอคิดแบบนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดว่ามันแปลกอะไรอีกต่อไป


 


“ผู้เฒ่าหั่ว…แล้วท่านมีวิธีจัดการมหาค่ายกลอะไรนั่นหรือไม่?”


 


ตอนนี้ที่ต้วนหลิงเทียนกังวลไม่ใช่ระดับพลังฝึกปรือไม่ถึงขั้น แต่เป็นวิธีจัดการมหาค่ายกลพวกนั้น


 


เพราะจากที่ผู้เฒ่าหั่วบอก


 


ในมหาค่ายกลนั่น มีค่ายกลสังหารย่อยแฝงเร้นอยู่ และค่ายกลที่ว่าก็ฆ่าได้กระทั่งเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่ยังไม่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์! หากเขาโดนยังไม่กลายเป็นฝุ่นได้หรือ?!


 


สำหรับเรื่องที่หากคิดฉีกเปิดมิติต้องใช้พลังขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนนั้น แม้จริงอยู่ว่ามันก็ยากไม่น้อยที่จะบรรลุถึงพลังขอบเขตนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหวังเลย


 


ทว่าการที่จะบ่มเพาะพลังให้ไม่กลัวค่ายกลสังหารนั่น ยากเกินไป!


 


“ย่อมมี”


 


เมื่อได้ยินคำถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดของต้วนหลิงเทียนผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวตอบมาว่า “ข้าสามารถจัดการมหาค่ายกลนั่นได้…อย่างไรก็ตามข้าเพียงสามารถจัดการมหาค่ายกลได้ แต่กำแพงมิตินั่น…อย่างไรเจ้าก็ต้องใช้พลังของเจ้าฉีกเปิดมันด้วยตัวเอง…”


 


“ด้วยทักษะทั้งหลายของเจ้า…ข้าคิดว่าเจ้าจำต้องบ่มเพาะพลังให้บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน ไม่ก็ 6 เปลี่ยนเท่านั้น เจ้าก็สามารถฉีกเปิดมิติกลับไปยังภูมิภาคชั้นบนได้แล้ว”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าว


 


ตัวต้วนหลิงเทียนเองเข้าใจเรื่องนี้ดี


 


เพราะก่อนหน้าผู้เฒ่าหั่วกล่าวไว้ ว่าต้องใช้พลังขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน เพื่อจะฉีกเปิดมิติ อย่างไรก็ตามนั่นมันสำหรับคนทั่วไปเท่านั้น


 


เขา ต้วนหลิงเทียน มีหลายสิ่งอย่างที่ต่างจากคนธรรมดา


 


นอกจากมียอดสมบัติสวรรค์อย่างกระบี่นิลสวรรค์ไว้ในครอบครองแล้ว เกรงว่าขอเพียงพลังฝึกปรือของเขาบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน ก็มากพอที่จะทำให้เขามีพลังโจมตีทัดเทียมกับเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!


 


‘จะยังไงก็แล้วแต่ ด้วยมีรากวิญญาณสีม่วง พร้อมความช่วยเหลือจากชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ…คิดทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า…’


 


‘ถึงแม้ระหว่างบ่มเพาะสมควรพบเจอจุดรอคอยไม่น้อย แต่ในสายตาคนอื่นข้าก็ยังทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนได้ในเวลาอันแสนสั้นอยู่ดี!’


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ลังเลอีกต่อไป


 


เพียงห้วงคิดเดียวร่างเขาก็วูบหายเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที


 


เมื่อขึ้นมาถึงชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มนั่งขัดสมาธิหลับตาสงบจิตเตรียมบ่มเพาะพลังอย่างไม่รอช้า…


 


ถึงแม้ตอนนี้เขาจะร้อนใจอยากออกจากระนาบเทียมแห่งนี้เพื่อกลับไปยังภูมิภาคเบื้องบนมากแค่ไหน…


 


อนิจจาด้วยข้อจำกัดของกำแพงมิติ เขาจึงทำได้แค่รอให้มีพลังมากพอจะฉีกเปิดห้วงมิติอย่างที่ผู้เฒ่าหั่วบอกเท่านั้น!


 


และคิดจะมีพลังมากพอ ก็จำต้องบ่มเพาะพลังให้ถึงขั้น!


 


แค่นั้น!


 


ต้วนหลิงเทียนพยายามสงบจิตที่ว้าวุ่น หยุดความคิดฟุ้งซ่าน สงบอารมณ์ลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อบ่มเพาะพลังให้บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนให้ได้โดยเร็วที่สุด!


 


อย่างไรก็ตามหลังจากที่สงบจิตได้แล้ว…


 


พอต้วนหลิงเทียนเริ่มบ่มเพาะพลังไปได้ไม่ทันไร สองตาเขาก็เบิกโพลงขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก แววตาฉายออกชัดถึงความประหลาดใจ “ระ…เร็วขนาดนี้เลยเหรอ นี่มันจะไม่เกินจริงไปหน่อยรึไง?! ระ…รากวิญญาณสีม่วงส่งผลถึงขนาดนี้เลยหรือ!?”


 


ต้วนหลิงเทียนพบว่า ความเร็วในการบ่มเพาะนั้นต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง!


 


ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยหากจะกล่าวว่ามันต่างกันคนละโลก!


 


ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้พรสวรรค์รากวิญญาณของเขาเองก็เป็นถึงสีคราม แม้จะไม่ใช่สีครามเข้ม แต่ก็ยังถือว่าเป็นสีครามอยู่ดี…


 


‘ด้วยรากวิญญาณระดับนี้ กับสภาพแวดล้อมในระนาบเทียมที่ไม่ใช่ชั่วเลย…ขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนยังจะนานสักเท่าไหร่กัน!?’


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความฮึกเหิมขึ้นมาไม่น้อย


 


เขารู้สึกว่า…คิดทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรอีกต่อไป!


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสงบใจและบ่มเพาะพลังอีกครั้ง


 


9 มังกรจักรพรรดิสงคราม!


 


ทันทีที่เขาโคจรพลังตามเคล็ดบ่มเพาะ พลังวิญญาณฟ้าดินในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ถูกชักนำเข้าร่างด้วยความเร็วสูงล้ำ พวกมันถูกมังกรพลังจากเคล็ด 9 มังกรชักนำแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังเซียนสุริยันด้วยความเร็วสูง…


 


ระดับพลังในร่างของต้วนหลิงเทียนเพ่มพูนขึ้นไม่หยุดยั้ง!


 


อีกทั้งความเร็วในการเพิ่มพูนยังน่าเหลือเชื่อนัก!!


 


กลับมาที่โลกภายนอก…บริเวณรอบๆจุดที่เคยมีรอยแยกปรากฏขึ้นกลางอากาศ อันเป็นทางเข้าสู่ระนาบเทียมนั้น แม้จะมีผู้คนน้อยลงกว่าตอนแรกแล้ว หากแต่ก็ยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่เฝ้ารออยู่ไม่จากไปไหน


 


คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของกองกำลังพันธมิตรที่ในนครแห่งบาป บ้างก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนอิสระจากกองกำลังที่ไม่ได้โดดเด่นมากมาย


 


สาเหตุเดียวที่ทำให้พวกมันยังเฝ้ารออยู่ตรงนี้ เพราะผู้นำรวมถึงระดับสูงๆของกองกำลังพันTมิตรของพวกมันยังไม่ออกมา แน่นอนว่ามีบ้างที่ยืนอยู่คนเดียวคล้ายรอคอยสหาย


 


บางกลุ่มก็เป็นคนของลัทธิอารามทมิฬ


 


คนของลัทธิอารามทมิฬนั้น ตอนนี้กำลังรอจ้าวค้างขาวปีกเขียวเหวยสั่ว 1 ใน 4 มหาธรรมราชา รวมถึงอาวุโสอีกหลายคนที่เข้าไปในระนาบเทียม…


 


แน่นอนว่าผู้คนของกองกำลังพันธมิตรพันสารท พันธมิตรหมื่นโบราณ พันธมิตร 7 สังหาร ไม่เว้นคนของพรรคธุลีลืมเลือนก็ยังยืนเรียงรายกันหน้าสลอน อยู่กันครบไม่จากไปไหน…


ตอนที่ 2,150 : พญามังกรเสื้อม่วง!


 


 


 


ทว่าคนเหล่านี้คงไม่เคยคิด กระทั่งหลับยังไม่อาจฝันถึง


 


ว่าตอนนี้ผู้คนที่พวกมันต่างเฝ้ารอ ได้ถูกกลบฝังอยู่ใน ‘คลังสมบัติ’ ที่พวกมันสงสัยว่าอาจจะเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะเหลือทิ้งไว้เรียบร้อย! ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว!!


 


กระทั่งจ้าวค้างคาวปีกเขียวเหวยสั่ว 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ ผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสววรรค์ 7 เปลี่ยนและติดอยู่ในอันดับที่ 24 ของรายนามยอดเซียน…


 


ก็ตกตายไปเรียบร้อย!


 


รวมถึงยอดฝีมืออีก 6 คนจากนครแห่งบาปที่มีพลังฝึกปรือทัดเทียมกับเหวยสั่วก็ตกตายหมดสิ้น ไม่มีเหลือ!


 


นอกจากนั้นยังมีประมุขพรรคธุลีลืมเลือนอีกคน


 


ประมุขพรรคธุลีลืมเลือน เหอเฟยยี่ คนนี้ มันพึ่งทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้ไม่นาน ทว่ากลับต้องมาตกตายในระนาบเทียมที่ถูกทิ้งไว้ด้วยครึ่งก้าวเซียนอมตะ โดยที่มันยังไม่ทันได้สำแดงพลังสามารถออกมาให้โลกประจักษ์ด้วยซ้ำ…


 


ด้วยเหตุนี้กล่าวได้ว่ามันตกตายอย่างไร้ความเป็นธรรมนัก!


 


และเป็นธรรมดาที่เมื่อคนตายด้านในนั้นล้วนไม่ใช่ตัวตนธรรมดา…


 


ทำให้กลุ่มคนด้านนอกจึงไม่ต้องยืนรอกันนานนัก!


 


เพราะตอนนี้ได้มีอาวุโสของพันธมิตรพันสารทคนหนึ่งรีบเหินร่างมาจากทิศทางที่ตั้งนครแห่งบาปอย่างร้อนรน ยังร้องโพล่งมาแต่ไกล


 


“นะ…นายน้อย ขะ…ไข่มุกวิญญาณของท่านผู้นำ….ตะ…แตกแล้ว!!”


 


เรียกว่าพอได้ฟังความร้อนรน นายน้อยพันธมิตรพันสารทอย่าง ตงกั๋วจื่อ และเหล่าคนของพันธมิตรพันสารทที่เฝ้ารออยู่ก็ตะลึงงันไปทันใด ไม่นานหน้าพวกมันก็เริ่มเปลี่ยนสี


 


หลายคนยังอื้ออึงไปด้วยไม่อยากจะเชื่อเรื่องราว


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่ทั้งหมดจะทันได้ตอบสนองอะไร อาวุโสที่เร่งรุดมายังเริ่มรายงานการตายออกมาไม่หยุด! ไข่มุกวิญญาณของคนที่มันเอ่ยชื่อล้วนแตกสลายหมดสิ้น! พริบตานี้ทุกคนล้วนหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างแรง!!


 


นั่นเพราะนามที่อาวุโสพันธมิตรพันสารทคนนี้กล่าว ล้วนแล้วแต่เป็นผู้อาวุโสระดับสูงที่อยู่ด้านในสถานที่ๆน่าจะเป็นคลังสมบัติของยอดคนครึ่งก้าวเซียนอมตะทิ้งไว้ทั้งสิ้น!


 


และทุกคนที่ตายล้วนมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเวียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้น! ทั้งหมดเป็นดั่งกระดูกสันหลังของกองกำลังพันธมิตรพันสารท!


 


ทว่าตอนนี้อยู่ๆพวกมันก็ได้รับทราบข่าวร้าย…


 


อาวุโสเหล่านั้น ตายตกหมดสิ้นแล้ว!


 


กระทั่งผู้นำ และรองผู้นำพันธมิตรพันสารทของพวกมันก็สิ้นชีพ!


 


“ไม่จริง…เป็นไปไม่ได้! เรื่องพรรค์นี้มันเป็นไปไม่ได้!!”


 


ตงกั๋วจื่อกล่าวปฏิเสธออกมาเสียงดัง ศีรษะส่ายไปมาไม่หยุด “ต้องเข้าใจอันใดผิดไปแน่! ท่านพ่อของข้าเป็นถึงผู้นำพันธมิตรพันสารท พลังฝึกปรือบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน กระทั่งยังเป็นยอดฝีมือในอันดับที่ 51 ของรายนามยอดเซียน…แล้วท่านพ่อจะมาตายตกที่นี่ได้อย่างไร!?”


 


ตงกั๋วจื่อไม่เชื่อ และยังไม่อยากจะเชื่อ!


 


“นายน้อย…โปรดระงับความเศร้าโศกด้วย…”


 


ถึงแม้อาวุโสคนอื่นๆของพันธมิตรพันสารทจะไม่อยากเชื่อเรืองราวนี้มากเพียงใด แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ต่อให้พวกมันไม่เชื่อแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์…


 


ความจริงตั้งอยู่เบื้องหน้า เศษลูกแก้ววิญญาณล้วนไม่อนุญาตให้พวกมันไม่เชื่อ!


 


“หึๆๆ ฮ่าๆๆๆ….ฮ้าฮ่าๆๆๆ!!!”


 


ความเปลี่ยนแปลงของผู้คนในพันธมิตรพันสารทนั้นไม่พ้นสายตาของโอวฉิง นายน้อยพันธมิตร 7 สังหาร มันที่เงี่ยหูฟังเรื่องราวทั้งหมด พอพบว่าระดับสูงของพันธมิตรพันสาทรตกตายในคลังสมบัติหมดสิ้น ก็ยินดีนัก! ถึงขั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมาเป็นบ้าเป็นหลังด้วยความสะใจ!!


 


“ฮัยๆๆ…ที่แท้คนของพันธมิตรพันสารทล้วนแล้วแต่เป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้…เฮ่อ แย่ๆ”


 


หัวเราะเยาะผู้อื่นแล้ว โอวฉิงยังไม่ลืมจะกล่าวย้ำซ้ำเติมผู้คนอีกด้วย


 


และการเย้ยเยาะซ้ำเติมของมันนี้ แน่นอนว่าสร้างความโกรธเกรี้ยวให้คนของพันธมิตรพันสารทไม่น้อย


 


ในขณะที่คนของพันธมิตรพันสารทมองโอวฉิงตาขวางอย่างดุร้าย และคล้ายจะลงมือแลกตายนั้นเอง…พลันมีร่างอีก 2 ร่างเร่งรุดเหินมาจากทิศทางที่ตั้งนครแห่งบาป!


 


คราวนี้เป็น 2 ผู้อาวุโสจากพันธมิตร 7 สังหาร


 


“นายน้อย! ไข่มุกวิญญาณของท่านผู้นำแตกแล้วขอรับ!!”


 


ข่าวที่สองอาวุโสพันธมิตร 7 สังหารเร่งรุดมาแจ้งนี้ ทำให้ร้อยยิ้มย่ามใจบนใบหน้าโอวฉิงชะงักค้างทันที หน้ายังเปลี่ยนสีไปทันควัน


 


หลังจากนั้นมันก็คล้ายคนไม่ยอมรับความจริง และมีทีท่าเลื่อนลอยไม่ต่างอะไรจากตงกั๋วจื่อ กระทั่งยังเป็นหนักกว่าด้วยซ้ำ! มันไม่อาจทำใจเชื่อได้ลงคอว่าสิ่งที่ได้ยินคือความจริง!!


 


ตัวมันนั้นพึ่งพาบิดามากกว่าตงกั๋วจื่อ!


 


กล่าวได้ว่าหากไม่มีบิดา มันก็ไม่นับเป็นตัวอะไร!!


 


“นายน้อย…นอกจากท่านผู้นำแล้ว ยังมีท่านรองผู้นำ และผู้อาวุโสสูงอีกหลายคน…ชื่อของอาวุโสที่ไข่มุกวิญญาณแตกมีดังนี้ขอรับ…”


 


ในขณะที่ 2 อาวุโสของพันธมิตร 7 สังหารกล่าวรายงานชื่อของคนที่ไข่มุกวิญญาณแตกสลาย สีหน้าของคนพันธมิตร 7 สังหารที่ฟังอยู่ก็เริ่มบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ


 


โอวฉิงยิ่งมายิ่งสิ้นหวังกว่าใคร…คืนวันดีๆของมันท่าทางจะจบสิ้นลงแล้ว


 


“บัดซบ…บททดสอบในคลังสมบัติของผู้ที่อาจเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะมันร้ายแรงถึงขนาดนี้เลยหรือ…กระทั่งท่านผู้นำกับท่านรองผู้นำและอาวุโสสูงทุกคนถึงกับต้องทิ้งชีวิตไว้ในนั้น”


 


อาวุโสของพันธมิตร 7 สังหารคนหนึ่ง ได้แต่กล่าวถามออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ…


 


อนิจจาไม่มีใครกล่าวตอบวาจาของมัน


 


อย่างไรก็ตามพอได้รับทราบว่าคนของพันธมิตร 7 สังหารทั้งหมดก็ประสบหายนะไม่ต่างกัน คนของพันธมิตรพันสารทจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย


 


แน่นอนว่าในขณะเดียวกันกับที่พวกมันรู้สึกดีขึ้น แต่ในใจของพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะเหน็บหนาว…ยังหวาดกลัวจับใจสะท้านไปถึงไขกระดูก…


 


ที่แท้ด้านในคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะมันเป็นสถานที่ผีสางอันใด แล้วที่แท้มีอันตรายถึงขั้นไหนกันแน่?


 


ไม่เพียงแต่ผู้นำของพันธมิตรพันสารทพวกมันจะตกตาย กระทั่งผู้นำของพันธมิตร 7 สังหารก็ตกตายอีกคน!


 


“อะไรกัน…ชนชั้นผู้นำของพันธมิตร 7 สังหารและพันธมิตรพันสารทถึงขั้นตกตายอยู่ด้านในเชียวหรือ?”


 


“นิ…นี่…คลังสมบัติที่อาจเป็นของครึ่งก้าวเซียนอมตะจะไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ?”


 


คนของพันธมิตรหมื่นโบราณ พรรคธุลีลืมเลือน ไม่เว้นลัทธิอารามทมิฬอดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียดขึ้นมา หลังได้ยินเรื่องราว ที่ 2 กองกำลังพันธมิตรประสบ


 


ไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่น


 


แค่ผู้นำพันธมิตร 7 สังหาร กับผู้นำพันธมิตรพันสารทก็ไม่ใช่ตัวตนธรรมดาแล้ว!


 


ผู้นำพันธมิตร 7 สังหาร โอวคังไห่ นั้น…มีพลังฝีมือรั้งอยู่ในอันดับที่ 50 ของรายนามยอดเซียน! ส่วนผู้นำพันธมิตรพันสารท ตงกั๋วอี้ ก็มีอันดับที่ 51 ในรายนามยอดเซียน…


 


ทว่าตัวตนที่แข็งแกร่งทั้ง 2 กลับต้องเอาชีวิตไปทิ้งในสถานที่ๆน่าจะเป็นคลังสมบัติของตัวตนที่อาจเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ?


 


ใจทุกคนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน


 


ทันใดนั้นเอง


 


ฟู่วววว!


 


บังเกิดเสียงหวีดหวิวของสายลมอันฉับไวพลันดังขึ้นแผ่วเบา ช่วนให้ตื่นตระหนกไม่น้อย


 


เพราะไม่ทันที่ผู้คนมากมายจะได้รู้สึกตัวอะไร ทั้งหมดก็สัมผัสได้ถึงสายลมตีปะทะเข้าใบหน้าอย่างแรง แถมยังราวกับอยู่ๆสายลมหอบนี้ก็ผุดขึ้นจากอากาศว่างเปล่า! ไม่อาจรู้ได้เลยว่าผู้มานั้นมาจากทิศทางใดและตั้งแต่ตอนไหน!!


 


ตอนนี้พวกมันทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะหยีตา ชุดเสื้อผ้ายังโบกสะบัดพึ่บพั่บไปตามแรงลม บ้างก็แลดูตัวพองขึ้นมาน่าขบขัน


 


และเมื่อทุกคนลืมตาขึ้นก็พบว่า…


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด กลับมีร่างบางในชุดสีม่วงหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าต่อตาพวกมัน!


 


เป็นสตรีนางหนึ่ง มาในชุดหรูหราสีม่วง ถึงแม้ว่าชุดนี้จะไม่ได้รัดรูปอะไร หากแต่ยากจะปิดซ่อนทรวดทรงองค์เอวอันคอดกิ่วเว้าโค้งอันงดงามได้มิดชิด


 


ผมสีดำขลับของนางทอดยาวราวม่านน้ำตกไปด้านหลัง ใบหน้าแม้มีม่านผ้าสีม่วงปิดคลุมไปครึ่งหนึ่ง หากแต่ไม่อาจปกปิดความงดงามจากรูปโฉมพิลาศนั่นได้เลย ร่องรอยคิ้วโค้งเส้นบางกับดวงตากลมโตกระจ่างใสนั่น ช่างตอบรับกับโครงหน้าเรียวได้รูปยิ่งนัก! หากเลิกม่านผ้าสีม่วงอันน่าขัดใจนี้ น่ากลัวว่าคงได้ยลโฉมความงามอันหมดจด ยากจะหาคู่เปรียบแน่แท้!!


 


สตรีนางนี้เพียงลอยร่างค้างกลางหาวอย่างเงียบงัน กลิ่นอายรอบกายให้ความรู้สึกเยียบเย็น ราวกับจะมีพลังห่างเหินขุมหนึ่งผลักไสผู้คนให้ล่าถอยออกไปพันลี้…


 


แม้นางจะมีรูปร่างจะเย้ายวนปานปีศาจ และจากใบหน้าครึ่งหนึ่งที่โผล่ออกพ้นม่านผ้าสีม่วงบางๆนั่นจะบอกได้ว่างามปานนางฟ้านางสวรรค์ก็ตาม แต่พิกลนักกลับไม่มีผู้ใดในที่นี้กล้ากล่าววาจาแทะโลม กระทั่งจะใช้สายตาชมมองด้วยจิตอกุศลก็หามีไม่..


 


“ใต้เท้าธรรมราชา!”


 


ในขณะที่หลายคนกำลังตื่นตระหนกตกตะลึงกับความเร็วอันน่าสะพรึงกลัวของสตรีชุดม่วงนั้น คนของลัทธิอารามทมิฬเร่งประสานมือคารวะเรียกหานางด้วยความเคารพถึงขีดสุดว่า ใต้เท้าธรรมราชา แถมแต่ละคนยังโค้งร่างก้มหัวลงไปปานจะกดตัวเองให้ต่ำต้อยติดดินก็ไม่ปาน!


 


“ใต้เท้าธรรมราชา?”


 


ได้ยินวาจาเรียกหาสตรีชุดม่วง จากปากคนลัทธิอารามทมิฬ ลูกตาของผู้ฝึกตนในที่นี้อดไม่ได้ที่จะหดเล็กลงทันใด ใบหน้ายังเผยความตื่นตระหนกตกตะลึงออกชัด


 


“ระ…หรือว่า นางคือ…พญามังกรเสื้อม่วง…มหาธรรมราชาที่แข็งแกร่งที่สุดของลัทธิอารามทมิฬ!?”


 


“พะ…พญามังกรเสื้อม่วง…ผู้ที่อยู่ในอันดับ 10 ของรายนามยอดเซียน และบรรลุถึงขอบเขตพลังเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนน่ะหรือ!?”


 


“เป็นนางไม่ผิดแน่!”


 


“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าใน 4 มหาธรรมราชา มีเพียงพญามังกรเสื้อม่วงเท่านั้นที่เป็นสตรี…ฟังจากคำเรียกหาของคนลัทธิอารามทมิฬ สมควรเป็นนางไม่ผิดคนแน่”


 


“ว่ากันว่าพญามังกรเสื้อม่วง สตรีที่แข็งแกร่งที่สุดใน 4 มหาธรรมราชานั้นเป็นลูกหลานของเผ่าพันธุ์มังกรเทพยาดากับมนุษย์เรา…นางจึงมีพรสวรรค์แต่กำเนิดที่สูงล้ำยิ่งนัก…ที่สำคัญนางยังเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในบรรดามหาธรรมราชาทั้ง 4 อีกด้วย!”


 


“อายุน้อยที่สุด หากแต่พลังฝีมือกลับกล้าแข็งที่สุด! เช่นนี้จึงถูกมหาธรรมราชาอีก 3 คนย่อมรับให้เป็น ผู้นำของ 4 มหาธรรมราชา!!”


 



ในขณะที่คนอื่นๆสามารถคาดเดาตัวตนของสตรีชุดม่วงได้แล้ว สายตาที่ทั้งหลายใช้มองนางอีกครั้งก็แปรเปลี่ยนเป็นเคารพมากยิ่งขึ้น


 


ไม่มีใครกล้าดูเบานางเพราะเป็นสตรีแม้แต่คนเดียว


 


และในขณะที่บรรยากาศของสถานที่แห่งนี้กลายเป็นตึงเครียดเพราะการปรากฏตัวของพญามังกรเสื้อม่วง


 


พญามังกรเสื้อม่วงพลันกล่าวออกมาว่า


 


“ไฉนเหวยสั่วจึงตายได้?”


 


คำถามนี้ของพญามังกรเสื้อม่วง ทำให้สีหน้าคนของลัทธิอารามทมิฬทั้งหมดเปลี่ยนสีไปทันที ความหวาดกลัวฉายชัดขึ้นบนใบหน้า กล่าวถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ตะ…ใต้เท้า…จ้าวค้างคาว…ตายแล้ว?”


 


คนอื่นๆที่อยู่รอบๆเมื่อได้ยินก็หน้าเปลี่ยนไปไม่น้อย


 


“เหวยสั่ว? จ้าวค้างคาวปีกเขียว 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬตายแล้ว?”


 


“อะไร…คนระดับนั้น…ตายแล้ว?”


 


“ดูเหมือนจ้าวค้างคาวปีกเขียวจะเข้าไปในคลังสมบัติที่น่าจะเป็นของครึ่งก้าวเซียนอมตะแห่งนี้ด้วยใชหรือไม่? สวรรค์! กระทั่งตัวตนระดับนี้ยังตกตายเลยหรือ!?”


 


“มหาธรรมราชาเหวยแม้จักเป็น ผู้ที่อ่อนด้อยที่สุดใน 4 มหาธรรมราชา…แต่อย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน แถมยังติดอันดับที่ 24 ในรายนามยอดเซียน…ทว่ากระทั่งตัวตนระดับนี้ยังต้องตาย?”


 


“นี่มันอะไรกันแน่!? ขนาดชนชั้นมหาธรรมราชายังเอาชีวิตไปทิ้งในนี้เลยหรือ! แล้วจะให้ผู้อื่นมีชีวิตกันอยู่ได้อย่างไร?!”


 



 


เมื่อได้รู้ว่า แม้แต่จ้าวค้างคาวปีกเขียว 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ ยังสังเวยชีวิตไปแล้วสีหน้าของผู้ฝึกตนจากนครแห่งบาปหลายคนเปลี่ยนไปใหญ่หลวงทันที พวกมันตระหนักได้ทันทีว่าน่ากลัวผู้นำกับอาวุโสของพวกมันก็ไม่น่าจะปลอดภัยไร้เรื่องราวเสียแล้ว!


 


คนจากขุมพลังอื่นๆที่อยู่ใกล้นครแห่งบาปก็หน้าเสียไปตามๆกัน ด้วยไม่คิดว่าคนของพวกมันจะปลอดภัยไร้เรื่องราวเช่นกัน


 


ทันใดนั้นเอง ประหนึ่งอัสนีบาตฟาดผ่าก็ไม่ปาน


 


ฟุ่บบ!!


 


เสียงแหวกอากาศฉับไวดังขึ้นอีกเสียง สายลมแรงหอบหนึ่งซัดปะทะเข้าร่างของทุกคน


 


ยกเว้นพญามังกรเสื้อม่วงที่คล้ายไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทุกคนต่างหยีตาหลบลมแรงอย่างไม่รู้ตัว


 


ฉากนี้คล้ายคลึงกับตอนที่พญามังกรเสื้อม่วงปรากฏตัวไม่น้อย


 


และเมื่อทุกคนลืมตาขึ้นมาก็พบว่า


 


มีชายหนุ่มร่างสูงในชุดคลุมสีเขียว ใบหน้าหล่อเหลาคนหนึ่งลอยอยู่ในอากาศไม่ไกล กลิ่นอายทั่วร่างของชายผู้นี้ช่างคมกล้าดุร้าย ปานมันไม่ใช่ผู้คนหากแต่เป็นมีดดาบเล่มหนึ่ง!


 


ผมยาวของมันถูกรวบมัดไว้ด้วยเชือกมัดผมธรรมดาๆ หางม้าของมันทอดยาวลงมาด้านหลัง แผ่นหลังสะพายดาบพร้อมฝักเอาไว้เล่มหนึ่ง ตัวฝักนั้นแลดูเรียบง่ายไม่มีลวดลายอะไร


 


หากแต่ด้วยอักขระไม่กี่ตัวที่สลักเขียนเอาไว้ กลับแผ่กลิ่นอายโบราณขุมหนึ่งออกมา พาลให้บรรยากาศรอบๆฝักดาบคล้ายบิดเบือนพร่ามัว ประหนึ่งจะบอกกับผู้คนให้รู้


 


ว่าดาบเล่มนี้ดำรงอยู่มาเนิ่นนานมากแล้ว


 


“นะ…นั่นคือ…”


 


หลังได้เห็นผู้มาใหม่ ผู้ฝึกตนอิสระหลายคนคล้ายจะจดจำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของพวกมันเผยความตื่นตระหนกตกตะลึง กล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ


 


อีกทั้งในแววตาของผู้ฝึกตนอิสระเหล่านี้ยังฉายชัดออกมาถึงความคลั่งไคล้ประการหนึ่ง!


 


“ปะ…เป็น…ใต้เท้าเผยซื่อไห่!!”


 


ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่ชรามากแล้วหลังรวบรวมความกล้าอยู่พักหนึ่ง ก็กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น!


ตอนที่ 2,151 : เผยซื่อไห่


 


เผยซื่อไห่…ไม่ใช่แค่นครแห่งบาปเท่านั้น กระทั่งมองไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันเป็นดั่งตำนานที่ยังมีชีวิต!


 


อีกทั้งใต้หล้ายังร่ำลือกันว่า…


 


ในปัจจุบัน เผยซื่อไห่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ!


 


ทว่าเผยซื่อไห่ที่ยังมีอายุไม่ถึง 100 ปีกลับเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน และติดอยู่ในอันดับที่ 7 ของรายนามยอดเซียน!


 


กระทั่งผู้คนมากมายยังพร้อมใจกันกล่าวว่า


 


ด้วยพรสวรรค์ของเผยซื่อไห่ หากจะบอกว่ามันคืออัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าในรอบพันปีก็ไม่เกินเลย!


 


ถึงแม้ระดับพรสวรรค์รากวิญญาณแต่กำเนิดของมันยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา


 


แต่ผู้ฝึกตนมากมายก็พร้อมใจกันเชื่อว่า พรสวรรค์รากวิญญาณของเผยซื่อไห่ สมควรเป็นรากวิญญาณสีม่วงอย่างแน่นอน!


 


เพราะมีเพียง รากวิญญาณสีม่วง เท่านั้น ถึงจะทำให้มันที่อายุไม่ถึงร้อยปีสามารถบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยนได้! จนกลาเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ที่เหล่าผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายภาคภูมิใจ!!


 


และที่กล่าวว่ามันคืออัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1ที่ผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายภาคภูมิใจ แทนที่จะเป็นทั้งผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เป็นเพราะว่าเผยซื่อไห่ไม่ค่อยปรากฏกายต่อหน้าผู้คน มีน้อยคนนักที่รู้จักมัน


 


ก่อนหน้านี้ เพียงครั้งเดียวที่เผยซื่อไห่ปรากฏตัว ก็คือตอนที่มันสังหารผู้ฝึกตนที่ติดอันดับ 7 ในรายนามยอดเซียนคนก่อนเมื่อ 4 ปีก่อน!


 


ก่อนที่จะเกิดเรื่อง เรียกว่าไม่มีใครรู้จักเผยซื่อไห่เลย


 


ราวกับเผยซื่อไห่ปรากฏขึ้นมาจากอากาศธาตุ! และหลังประมือกันไปพันกระบวนท่าก็สังหารยอดฝีมืออันดับ 7 ของรายนามยอดเซียนลงได้…


 


ถึงแม้กล่าวไปจะเป็นชัยชนะอันฉิวเฉียด แต่มันก็สามารถฆ่าคู่ต่อสู้และแทนที่อันดับ 7 ในรายนามยอดเซวียนมาได้ในที่สุด!


 


การต่อสู้ครั้งนั้นของมัน เรียกว่าสร้างความตกตะลึงไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็ว่าได้


 


โดยเฉพาะวาจาทิ้งท้ายที่เผยซื่อไห่กล่าวหลังสังหารยอดฝีมือผู้นั้น นับว่าทำให้ผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าตกตะลึงกันหมด


 


“อาจารย์ของข้าคือ เนี่ยอู๋เทียน!”


 


กล่าวจบมันก็หายตัวไป…และไม่มีใครพบเจออีกเลย


 


อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการปรากฏตัวครั้งที่ 2 ของมัน


 


แต่อย่างไรก็ตามวาจาทิ้งท้ายวันนั้นก็สร้างความสะท้านสะเทือนให้ผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไม่น้อย ยังมากกว่าเรื่องที่มันฆ่ายอดฝีมือที่ติดอันดับ 7 ในรายนามยอดเซียนคนก่อนเสียอีก!


 


เนี่ยอู๋เทียน!


 


นั่นเป็นผู้ใดกัน!?


 


ตัวตนที่เปรียบได้ดั่งเทพเจ้าในสายตาคนทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามาตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีหลังมานี้!


 


เนี่ยอู๋เทียนไม่เพียงแต่จะเป็นผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัด แต่ยังเป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


อันดับของมันในทำเนียบสุดยอดฝีมืออย่างรายนามยอดเซียนก็คือ อันดับ 1!


 


ร้อยปีก่อนตอนที่ชื่อเสียงเนี่ยอู๋เทียนเป็นดั่งตะวันยามเที่ยงทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มีหลายต่อหลายคนได้ท้าทายมัน


 


ในบรรดาผู้ท้าชิงย่อมไม่ขาดยอดฝีมือจาก 3 ลัทธิ


 


จนกระทั่งเมื่อ 30 ปีก่อน เนี่ยอู๋เทียนได้ก่อการอุกอาจประหนึ่งแบ่งผ่าขุนเขาแยกลำน้ำ ลือกันว่าในขณะที่มันกำลังจะเผชิญกับหายนะทัณฑ์สวรรค์ มันถูกมหาปุโลหิตท้าทาย แต่สุดท้ายมันก็ทำให้มหาปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสกระทั่งตกตายไปในที่สุด  หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าท้าทายมันอีกเลย


 


ไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามถึง ‘สถานะ’ ของมันในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกต่อไป


 


เรียกว่าตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ อันดับ 1 ในรายนามยอดเซียนก็ถูกมันครอบครองไว้อย่างมั่นคง ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้…


 


และเมื่อ 30 ปีที่แล้ว หลังเนี่ยอู๋เทียนจัดการมหาปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้าแล้ว มันก็คล้ายจะหายตัวไปจากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่างไร้ร่องรอย…


 


บางคนบอกว่ามันสามารถข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จและขึ้นสู่แดนสวรรค์ไปเรียบร้อยแล้ว


 


บางคนบอกว่ามันยังคงซ่อนตัวอยู่ในนครแห่งบาปเพื่อเตรียมพร้อมการมาถึงของหายนะทัณฑ์สวรรค์


 


บ้างก็ว่ามันร่อนเร่พเนจรไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ท่องเที่ยวไปทั่วหล้าอย่างอิสระเสรี ปฐพีต่างเตียงตั่ง แผ่นฟ้าดั่งผ้าห่ม…


 


หากแต่ไม่ว่าผู้ใดจะกล่าวอย่างไร มันก็ยังคงรั้งอยู่ในอันดับที่ 1 ในรายนามยอดเซียน


 


แต่แน่นอนว่าถ้าหากมันยังไม่ปรากฏตัวหรือมีความเคลื่อนไหวอะไร ในอีก 70 ปีหลังจากนี้ มันจะถูกถอดออกจากตำแหน่งอันดับที่ 1 ของรายนามยอดเซียนโดยอัตโนมัติ


 


และนี่ก็เป็นกฏของทำเนียบสุดยอดฝีมือเช่นกัน


 


ผู้ที่ติดอันดับอยู่ในรายนามยอดเซียนนั้น หากไร้ความเคลื่อนไหวอะไรเป็นเวลา 100 ปี ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็จะถูกถอดถอนชื่อออกไป


 


กล่าวได้ว่าในปัจจุบัน เนี่ยอู๋เทียนเป็นดั่งตัวตนในตำนานไปเสียแล้ว คนธรรมดาทำได้แค่แหงนมองขึ้นไปเท่านั้น และสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ ตัวตนของมันก็มีดำรงอยู่แค่ในข่าวลือ…


 


“อาจารย์ของข้าคือ เนี่ยอู๋เทียน!”


 


ทว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว วาจาประโยคนี้ของเผยซื่อไห่ ก็ได้สร้างความสะท้านสะเทือนให้ทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


เพราะก่อนหน้านั้นไม่เคยมีใครล่วงรู้มาก่อนเลยว่า อันดับ 1 ในรายนามยอดเซียนอย่างเนี่ยอู๋เทียนกลับรับศิษย์ด้วย!


 


และทันทีที่ศิษย์ของมันเปิดตัว ก็ถึงกับฆ่าอันดับ 7ในรายนามยอดเซียนและแทนที่!


 


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหลายคนก็เห็นพ้องต้องกันว่า…


 


เนี่ยอู๋เทียนนั้นยังคงอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์แต่อย่างไร เพียงซุ่มสอนสั่งเพาะสร้างลูกศิษย์อย่าง เผยซื่อไห่!


 


สำหรับเรื่องราวเบื้องลึกและสถานการณ์เฉพาะกว่านี้ เกรงว่าคงมีแค่เนี่ยอู๋เทียนกับศิษย์อย่างเผยซื่อไห่เท่านั้นที่รู้


 


แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หลังจากวันนั้นมาผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็ได้รู้ว่าแผ่นดินนี้มีตัวตนนาม เผยซื่อไห่ ดำรงอยู่ และได้รับทราบว่ามันคือศิษย์ของตัวตนที่น่าพรั่นพรึงและมีอำนาจมากที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เนี่ยอู๋เทียนผู้ไร้เทียมทาน!


 


ต่อมาในแวดวงผู้ฝึกตนก็มีเรื่องราวหนึ่งกระจายออกมา ว่าที่แท้แผยซื่อไห่ยังอายุไม่ถึงร้อยปี! ทว่าหลังเรื่องนี้แพ่รออกมาก็มีเพียง แค่ผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดเท่านั้นที่เชื่อ


 


แน่นอนว่าที่พวกมันเชื่อนั้น เป็นเพราะพวกมันศรัทธาในเนี่ยอู๋เทียน!


 


ในสายตาของพวกมันเนี่ยอู๋เทียนเป็นตัวตนที่เปรียบดั่งเทพเจ้า เช่นนั้นก็ไม่แปลกอะไรที่ตัวตนเช่นนี้จะสามารถบ่มเพาะยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนที่ยังมีอายุไม่ถึง 100 ปีออกมาได้…


 


กระทั่งมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่าง 3 ลัทธิ ยังยอมรับว่าเผยซื่อไห่มีพลังฝีมือกล้าแข็งมากพอจะยืนหยัดอยู่ในอันดับ 7 ของรายนามยอดเซียนได้ หากทว่าพวกมันไม่ยอมรับเรื่องที่เผยซื่อไห่อายุไม่ถึงร้อยปี!


 


นี่ยังเป็นการปฏิเสธกลายๆว่าเผยซื่อไห่ไม่ใช่อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1!


 


แน่นอนว่าทั้ง 3 ลัทธิมีเหตุผลที่กระทำเช่นนี้


 


หนึ่งเป็นเพราะเผยซื่อไห่ไม่ได้พิสูจน์ว่าตัวมันอายุน้อยกว่าร้อยปีจริง อีกประการเป็นเพราะพวกมันไม่อยากให้ทั่วหล้าคิดว่า มรดกของผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดจะยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับมรดกตกทอดของพวกมัน!


 


นอกจากนั้นพวกมันยังไม่อนุญาติให้ใต้หล้านี้ ปรากฏเนี่ยอู๋เทียนคนที่สอง!


 


“ใต้เท้าเผยซื่อไห่!? เป็นใต้เท้าเผยซื่อไห่!?”


 


หลังได้ยินเสียงของผู้ฝึกตนอิสระชรา หลายคนก็กลับมามีสติอีกครั้ง ใบหน้ายังฉายความตื่นเต้นออกมาไม่น้อย


 


ผู้ฝึกตนเนจรหลายคนถึงกับตื่นเต้นจนตัวสั่น!


 


“เป็นใต้เท้าเผยซื่อไห่จริงๆ…ข้าโชคดีเคยได้เห็นรูปเหมือนของใต้เท้าเผยซื่อไห่ครั้งหนึ่ง แต่มิเคยพบเห็นตัวจริงมาก่อน…”


 


“ข้าเองก็เช่นกัน วันนี้นับเป็นครั้งแรกจริงๆที่ได้พบเห็นใต้เท้าเผยซื่อไห่ตัวเป็นๆ…ช่างดูสง่าน่าเกรงขามยิ่งกว่าในรูปวาดนัก…หรือกระทั่งใต้เท้ายังทราบเรื่องการปรากฏของคลังสมบัตินี่เช่นกัน ถึงมาได้?”


 


“อา…หากเป็นเช่นนั้นจริงใต้เท้าก็มาสายเกินไป”


 


……


 


ผู้ฝึกตนไร้สังกัดคุยกันไปสักพักก็เริ่มคาดเดาเหตุผลการมาที่นี่ของเผยซื่อไห่


 


กระทั่งพญามังกรเสื้อม่วง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬเองก็มองจ้องไปที่เผยซื่อไห่เช่นกัน ลึกลงไปในดวงตาคู่งามปานสารทยังฉายแววหนึ่ง…


 


เป็นแววแห่งความกลัว!


 


ทั้งหมดเพราะนางเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของการจัดอันดับในรายนามยอดเซียน


 


และตัวนางก็อยู่ในอันดับที่ 10 ของรายนามยอดเซียน ทว่าเผยซื่อไห่กลับรั้งอยู่ในอันดับที่ 7!


 


กล่าวได้ว่าแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนเหมือนนาง ทว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายนั้นกล้าแข็งเหนือกว่า…


 


ต้องเผชิญหน้ากับตัวตนระดับนี้อีกทั้งอีกฝ่ายยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัด จึงทำให้นางกริ่งเกรง


 


“พวกเจ้ามีผู้ใดเห็นเมิ่งฮ่าวบ้างหรือไม่?”


 


ในขณะที่ทุกสายตาไม่เว้นพญามังกรเสื้อม่วงจับจ้องไปยังร่างเผยซื่อไห่ ด้านเผยซื่อก็ขมวดคิ้วหันมากวาดตาไปรอบๆมองถามทุกคน


 


“ใต้เท้าเมิ่งฮ่าวหรือ?”


 


“ผู้น้อยมิเห็นขอรับ!”


 


“ใต้เท้าเผยซื่อไห่กลับรู้จักใต้เท้าเมิ่งฮ่าวด้วย? ใช่คนเดียวกันกับใต้เท้าเมิ่งฮ่าวที่เป็น 1 ในเสาหลักนครแห่งบาปเราหรือไม่ขอรับ?”


 


……


 


ทันใดนั้นเหล่าผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดก็หันหน้ามองสบตากันด้วยความตกใจ ยังอดอุทานออกมาไม่ได้หากแต่ไม่มีใครตอบคำถามนี้ของมันได้


 


“แล้วสถานที่ๆน่าจะเป็นคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะอยู่ที่ใด?”


 


เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ เผยซื่อไห่ที่มองถามผู้คนรอบๆอีกครั้งก็เริ่มชักหน้าเคร่งขึ้นมาแล้ว พาลให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกเสมือนมีไอเย็นพัดโชยลูบกาย หนาวนัก!


 


“ใต้เท้าเผยซื่อไห่”


 


ตอนนี้เองอาววุโสของพันธมิตร 7 สังหารคนหนึ่งพลันก้าวออกมาคารวะเผยซื่อไห่ด้วยความสุภาพ ก่อนผายมือไปยังความว่างเปล่าไม่ไกล “สถานที่ๆเราคาดกันว่าอาจเป็นคลังสมบัติของผู้ที่อาจบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะนั้น ก่อนหน้ามันมีทางเข้าปรากฏอยู่ตรงจุดนี้…ทว่าเมื่อไม่นานมานี้มันได้ปิดตัวลงไปแล้วขอรับ”


 


วูบ!


 


แทบจะพร้อมกันกับที่อาวุโสของพันธมิตร 7 สังหารคนนั้นกล่าวจบคำ ร่างเผยซื่อไห่ก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาคนทั้งหมด


 


ปรากฏอีกครั้ง ก็เป็นจุดเดียวกันกับที่อาวุโสพันธมิตร 7 สังหารชี้ไปเมื่อครู่


 


ตอนนี้มันกำลังหลับตาพริ้มคล้ายกำลังจับสัมผัสอะไรบางอย่าง


 


“เร็วนัก!”


 


ความเร็วของเผยซื่อไห่นั้นสูงมาก ในที่นี้มีเพียงพญามังกรเสื้อม่วงเท่านั้นที่จับการเคลื่อนไหวของมันได้ทัน


 


ทว่ากระทั่งพญามังกรเสื้อม่วงยังอดตกใจกับความเร็วของเผยซื่อไห่ไม่ได้


 


‘มันกำลังหาตำแหน่งกำแพงมิติที่นำไปสู่ระนาบเทียมที่คาดกันว่าเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะงั้นหรือ?’


 


หลังจากที่เห็นเผยซื่อไห่หลับตาลง พญามังกรเสื้อม่วงก็สัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะที่แผ่ออกมาทั่วร่างของอีกฝ่าย จึงตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร!


 


เพราะนี่ก็คือสิ่งที่นางคิดกระทำเช่นกัน แต่ยังไม่ทันมีเวลาได้กระทำ


 


หลังผ่านไปราวๆสิบลมหายใจ


 


ชิ้ง!


 


เสียงชักดาบพลันดังขึ้น!


 


นอกจากนั้นยังปรากฏแสงดาบกระพริบวาบสะท้อนเข้าตาพญามังกรเสื้อม่วงด้วยความเร็วสูง ‘มันกลับหาตำแหน่งพบเร็วถึงเพียงนี้?’


 


ก่อนีท่คนอื่นๆจะทันได้รู้สึกตัวอะไร ดาบของเผยซื่อไห่ก็ถูกเก็บเข้าฝักไปแล้วเรียบร้อย


 


และทันใดนั้นเอง ท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งหมด พลันปรากฏรอยแยกอันน่ากลัวขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง รอยแยกนี้ยังอยู่ห่างจากเผยซื่อไห่ไม่ไกล ขนาดของมันยาวกว่า 10 หมี่ มองไปก็เห็นแต่ความดำมืด ไม่อาจทราบได้ว่ามีสิ่งใดอยู่เบื้องหลังรอยแยกดังกล่าว…


 


ฟุ่บ!


 


พริบตาต่อมาร่างเผยซื่อไห่ ก็ดั่งประกายอัสนีวาบหนึ่ง พุ่งหายเข้าไปในรอยแยกดังกล่าวต่อหน้าต่อตาทุกคน


 


และฉากนี้ก็ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกตกตะลึงกันนัก


 


อาศัยเพียงหนึ่งดาบ…กลับฉีกเปิด ‘รอยแยกมิติ’สร้างช่องทางที่จะนำไปสู่คลังสมบัติของผู้ที่อาจเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะได้แล้ว?


ตอนที่ 2,152 : ยอดศาสตราเซียน…ระฆังสุญตา!


 


“นิ…นี่…นี่มันจักไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ?!”


 


ไม่นานเหล่าผู้ฝึกตนอิสระก็กลับมารู้สึกตัว สีหน้าของพวกมันตอนนี้ทั้งตกใจทั้งตื่นตะลึงปานพบพานภูตผีกลางวันแสกๆ


 


สีหน้าของผู้ฝึกตนจากขุมพลังต่างๆก็ไม่ต่างกัน


 


ถึงแม้พวกมันจะรู้อยู่แล้วว่าเผยซื่อไห่มีพลังฝีมือร้ายกาจมาก แต่ก็ไม่คิดว่าพลังฝีมือจะสูงส่งถึงขั้นนี้!


 


เพียงเสี้ยวพริบตากลับฉีกเปิดรอยแยกมิติ สร้างช่องทางนำไปสู่คลังสมบัติที่ต้องสงสัยว่าอาจเหลือทิ้งไว้โดยครึ่งก้าวเซียนสวรรค์ได้แล้ว?


 


‘หากเป็นข้า…ต่อให้ใช้เวลามากกว่ามัน 2 เท่า ก็ไม่อาจหากำแพงมิติซึ่งนำไปสู่คลังสมบัติที่ต้องสงสัยว่าเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะเหลือไว้ได้พบ…’


 


พญามังกรเสื้อม่วง ผู้นำของ 4 มหาธรรมราชานึกถึงฉากเมื่อครู่ ก็อดไม่ได้ที่จะชักหน้าเคร่ง


 


ความเร็วในการลงมือของเผยซื่อไห่นับว่าขู่ขวัญนางใหญ่แล้ว!


 


สำหรับเรื่องที่เผยซื่อไห่สามารถใช้พลังฉีกเปิดรอยแยกมิติได้นางไม่แปลกใจอะไร


 


เพราะการโจมตีระดับนั้นนางเองก็กระทำได้เช่นกัน


 


และเป็นธรรมดาที่นางจะมองออกว่าดาบก่อนหน้าของเผยซื่อไห่ยังไม่ได้ลงมือจริงจังอะไร


 


อีกฝ่ายเพียงใช้ดาบพันอาคมเซียน และวรยุทธ์เซียนสายกระบี่ในการลงมือเท่านั้น ไม่ได้ใช้เวทย์พลังใดๆด้วยซ้ำ


 


‘ก่อนหน้ามันถามว่ามีใครเห็นเมิ่งฮ่าวบ้างไหมงั้นหรือ?’


 


นึกถึงคำถามก่อนหน้าของเผยซื่อไห่ พญามังกรเสื้อม่วงก็นึกถึงเมิ่งฮ่าวที่เป็นผู้พิทักษ์ของนครแห่งบาปทันที นอกจากนี้อีกฝ่ายยังเป็นเพียง 1 ใน ไม่กี่คนที่มีอันดับในรายนามยอดเซียนเหนือกว่าจ้าวค้างคาวปีกเขียว 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ


 


บันฑิตหน้าเย็น เมิ่งฮ่าว!


 


เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน อันดับที่ 21 ในรายนามยอดเซียน!


 


นางยังได้รับทราบเรื่องราวอีกประการหนึ่งมา


 


เมื่อราวๆ 2 ปีที่แล้ว จ้าวค้างคาวปีกเขียว ได้ท้าเมิ่งฮ่าวสู้! อนิจจาต่อยตีกับผู้อื่นไม่ถึงร้อยกระบวนท่าก็พ่ายแพ้…


 


พลังฝีมือเมิ่งฮ่าวกล้าแข็งกว่าเหวยสั่ว!


 


นางเองก็รู้เรื่องนี้ดี


 


‘หรือเมิ่งฮ่าวผู้นั้น ก็เข้าไปในคลังสมบัติอะไรนี่เช่นกัน?’


 


พอฉุกคิดถึงเรื่องนี้สีหน้าพญามังกรเสื้อม่วงก็แลดูจริงจังไม่น้อย หากแต่ด้วยมีม่านผ้าสีม่วงปกคลุม ผู้คนโดยรอบจึงยากจะสังเกตเห็น


 


ตอนแรกพญามังกรเสื้อม่วงก็คิดจะวูบร่างเข้ารอยแยกมิติ ติดตามเผยซื่อไห่ไปตรวจสอบสถานการณ์ภายในสถานที่ๆคาดว่าอาจเป็นของครึ่งก้าวเซียนอมตะเหมือนกัน…ทว่าตอนนี้นางบังเกิดความลังเลขึ้นมาแล้ว


 


เพราะก่อนหน้าตอนที่เผยซื่อไห่กวาดตามองถามผู้คนว่ามีใครเห็นเมิ่งฮ่าวบ้างไหม ลึกลงไปในแววตาอีกฝ่ายกลับฉายความกังวลให้เห็น


 


‘หรือว่า…เกิดเรื่องใดขึ้นกับเมิ่งอ่าวเหมือนเหวยสั่ว?’


 


คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาลูกตาของพญามังกรเสื้อม่วงหดเล็กลงทันใด แก้มงามยังเปลี่ยนสีไปเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามครู่ต่อมา ความสนใจของพญามังกรเสื้อม่วงก็ถูกบางสิ่งดึงดูดไปอีกครั้ง


 


วูบบ!!


คล้ายมีสายลมกรรโชกแรงหอบหนึ่งพัดออกมาจากรอยแยกมิติ! และไม่ห่างจากรอยแยกมิติสักเท่าไหร่ ก็ปรากฏร่างๆหนึ่งผุดโผล่ขึ้นกลางอากาศว่างเปล่า!!


 


กล่าวให้ชัดต้อง ปรากฏร่าง ‘อนาถ’ สารรูปดูไม่ได้!


 


“นี่มัน…”


 


เมื่อมองพินิจร่างที่มีสภาพดูไม่ได้เบื้องหน้าให้ดี สองตาพญามังกรเสื้อม่วงจำต้องหดหยีลง ยังฉายชัดถึงความตกใจ ทั้งเลื่อนลอยอยู่บ้าง!


 


ราวกับนางได้แลเห็นบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ!


 


“ตะ…ใต้เท้าเผยซื่อไห่!?”


 


“ปะ…เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”


 


……


 


ขณะเดียวกันผู้ฝึกตนอิสระทั้งคนจากขุมพลังต่างๆโดยรอบก็สังเกตเห็นร่างที่วูบมาปรากฏในความว่างข้างรอยแยกมิติเช่นกัน แต่ละคนยังอดไม่ได้ที่จะอุทานกันออกมาด้วยความตื่นตระหนก!


 


ตอนนี้ทุกคนต่างตกตะลึงทั้งรู้สึกมึนงงไม่เข้าใจนัก


 


สีหน้าท่าทางของพวกมันแทบไม่ต่างใดจากพญามังกรเสื้อม่วงแม้แต่น้อย ราวกับได้เห็นบางสิ่งอันยากทำใจเชื่อได้ลงคอ!


 


เพราะตอนนี้สภาพร่างที่น่าอนาถแลดูสาหัสที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน กลับเป็นร่างของ เผยซื่อไห่ ที่พึ่งวูบหายเข้ารอยแยกมิติไปได้ไม่ทันไร!!


 


ยามไปเผยซื่อไห่แลดูสง่างามน่าเกรงขาม สะพายดาบพร้อมฝักกลางหลังให้ความรู้สึกประหนึ่งจอมดาบไร้เทียมทาน…


 


หากทว่าสภาพและสารรูปของเผยซื่อไห่ตอนนี้  ไม่มีส่วนใดแลเหมือนก่อนหน้าแม้แต่น้อย ด้านหลังยังคงเหลือแต่ฝักดาบว่างเปล่า ดาบพันอาคมเซียนไม่ทราบหายไปอยู่ที่ใดแล้ว…


 


นอกจากนี้แขนซ้ายของมันยังขาดด้วนเสมอไหล่! ดูจากปากแผลคล้ายถูกพลังทำลายล้างมหาศาลบดขยี้จนเลือดเนื้อฉีกกระชาก! ทั่วกายไม่มีที่ใดไม่มีโลหิตแดงฉาน แลดูน่าสยดสยองนัก!!


 


มือขวาที่เหลืออยู่ ถือระฆังสีทองที่แตกร้าวเอาไว้…


 


เห็นสารรูปเผยซื่อไห่เป็นแบบนี้ ไหนเลยจะไม่ทำให้พญามังกรเสื้อม่วงและคนอื่นๆตกตะลึงพรึงเพริดได้


 


“มะ…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”


 


“ได้อย่างไร…ที่แท้สถานการณ์ด้านในนั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่! กระทั่งยอดฝีมืออย่างใต้เท้าเผยซื่อไห่ที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนยังบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ในเวลาอันสั้น!?”


 


“กระทั่งอันดับที่ 7 ในรายนามยอดเซียนเข้าไปได้ไม่ทันไรกลับมีสภาพเช่นนี้…หากข้าไม่มาเห็นว่าใต้เท้าเผยซื่อไห่พึ่งเข้าไปเมื่อครู่ ให้พูดให้ตายข้าก็ไม่มีวันเชื่อเรื่องราวผีสางนี้แน่!”


 


“ไฉนใต้เท้าเผยซื่อไห่บุกเข้าไปในสถานที่ๆสมควรเป็นคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะครู่เดียว กลับได้รับบาดเจ็บมาถึงขั้นนี้กัน…ต่อให้บุกรุกเข้าไปโดนค่ายกลอันใดก็มิควรบาดเจ็บถึงขั้นนี้มิใช่หรือ?”


 


“สถานการณ์ในคลังสมบัติแห่งนี้ท่าทางจะหนักหนาสาหัสกว่าที่พวกเราคิดคาด…น่ากลัวป่านนี้ผู้ที่อยู่ด้านในคงพากันตกตายหมดสิ้น!!”


 


เห็นสภาพยับเยินของเผยซื่อไห่ ผู้คนที่ยังคงเฝ้ารออย้านนอกอดไม่ได้ที่จะขวัญหนีดีฝ่อไปด้วยความกลัว


 


หลังจากที่เริ่มกล่าวถึงเรื่องนี้ ไม่นานสองตาพวกมันก็ทอประกายสั่นไหวคล้ายตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง และเมื่อสบตากันอีกครั้ง ก็แลเห็นแต่ความหวาดกลัว


 


“กระทั่งใต้เท้าเผยซื่อไห่ยังได้รับบาดเจ็บขนาดนี้…ข้าเกรงว่าเรื่องราวด้านในจะร้ายแรงเกินรับมือแล้ว”


 


“มิผิด…หาไม่แล้วไหนเลย 1 ใน 4 มหาธรรมราชาอย่างจ้าวค้างคาวปีกเขียวของลัทธิอารามทมิฬจะตกตาย?”


 


“กระทั่งตัวตนอย่างจ้าวค้างคาวปีกเขียวยังตายตก…ใต้เท้าเผยซื่อไห่ก็มีสภาพเช่นนี้ในพริบตา เช่นนั้นอย่าได้กล่าวถึงผู้นำพันธมิตรพันสารทกับผู้นำพันธมิตร 7 สังหารแล้ว ทุกคนล้วนมาพ้นถูกสถานที่ผีสางนี่ฆ่าตายหมดสิ้น!!”


 


……


 


ตอนนี้ทุกคนคล้ายตระหนักได้แล้วว่าสิ่งใดที่ทำให้ผู้คนล้มตาย…


 


กระทั่งยอดฝีมืออันร้ายกาจอย่างเผยซื่อไห่ เพียงวูบร่างเข้าไปด้านในสถานที่อันน่าจะเป็นคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะไม่กี่ลมหายใจ สภาพยังย่ำแย่ขนาดนี้….


 


แถมดาบพันอาคมเซียนยังสาบสูญไปอีก! แล้วจ้าวค้างคาวปีกเขียวกับผู้อื่นที่ด้อยกว่าเผยซื่อไห่ยังจะเหลืออะไร!!


 


เมื่อตระหนักได้ถึงอันตรายของสถานที่อันน่าจะเป็นคลังสมบัตินี้ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวาดกลัวจับใจ


 


“เจ้า…ในมือของเจ้าคือระฆังสุญตาเช่นนั้นหรือ?”


 


ตอนนี้เองพลันมีเสียงเย็นชาอันเต็มไปด้วยความประหลาดใจของสตรีดังขึ้น เสียงดังกล่าวยังดึงสติทุกคนให้กลับมารู้สึกตัวทันที


 


หลังคืนสติแล้วทุกคนก็พบว่าผู้ที่กล่าวคำเป็นพญามังกรเสื้อม่วงนี่เอง


 


ตอนนี้นางกำลังมองถามเผยซื่อไห่


 


และสายตาที่มองไปของนางก็ไม่ได้ตกอยู่ที่ร่างเผยซื่อไห่แต่อย่างไร ทว่าเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งในมือขวาของเผยซื่อไห่…ระฆังทองที่เต็มไปด้วยรอยร้าวนั่น! แถมประกายตายังลุกวาวราวกับระฆังทองร้าวๆนี้มีอะไรพิเศษ!!


 


รอยร้าวบนระฆังทองนั้น หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามันรอยร้าวที่ยังสดใหม่นัก คล้ายพึ่งเสียหายไม่นาน!


 


นอกจากนั้นเมื่อทุกคนมองตามสายตาของพญามังกรเสื้อม่วงไปจนแลเห็นระฆังสีทองที่แตกร้าวนั่น ไม่นานพวกมันก็สังเกตเห็นอักขระโบราณที่สลักไว้ทั่วตัวระฆัง แถมตอนนี้อักขระทั้งหลายยังเรืองแสงจางๆประหนึ่งมีชีวิต พาลให้พวกมันชมดูจนละลานตาอยู่บ้าง


 


ทว่าหลังจดๆจ้องๆอยู่ได้ไม่นาน พวกมันก็รู้สึกงุนงงสองตาพร่าเลือน เร่งถอนสายตาออกจากระฆังทองร้าวๆดังกล่าวทันที


 


“นั่น…หรือจะเป็น ระฆังสุญตา 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนจริงๆ!”


 


ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งกล่าวกระซิบเบาๆกับตัว


 


หากทว่าเสียงกระซิบเบาๆนี้กลับมีหลายคนที่ได้ยิน ต่างตระหนักได้ทันที


 


“ที่แท้ในมือของใต้เท้าเผยซื่อไห่นั่นกลับเป็น ระฆังสุญตา 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน!!”


 


“ข้าได้ยินมาว่าในบรรดายอดศาสตราเซียนทั้ง 10มียอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันแค่ 3 ชิ้น และระฆังสุญตาก็เป็นหนึ่งในนั้น!”


 


“ระฆังสุญตา…ยอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันหรือ?”


 


“สวรรค์ หากนั่นเป็นระฆังสุญตาจริง…เช่นนั้นต้องเป็นพลังมหาศาลถึงเพียงใดกันที่ทำให้มันถึงกับแตกร้าวได้ขนาดนี้!?”


 


“อีกทั้งหากมองจากรอยราวนั้น ร่องรอยยังสดใหม่นักกระทั่งยังมีเศษผงจากการแตกหลงเหลือ…มันสมควรพึ่งแตกร้าวตอนใต้เท้าเผยซื่อไห่บุกเข้าไปในรอยแยกต้องสงสัยว่าจะเป็นคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะไม่ผิดแน่!!”


 


“ใต้เท้าเผยซื่อไห่มีระฆังสุญตา…แต่กลับสาหัสขนาดนี้หลังเข้าไปได้ไม่ทันไร ที่แท้ด้านในเป็นนรกขุมไหนกัน?”


 


……


 


ตอนนี้ความสนใจของผู้คนไม่ได้อยู่ที่เรื่องเผยซื่อไห่ไปได้ระฆังสุญตามาครองได้อย่างไร


 


แต่ความสนใจของพวกมันทั้งหมดล้วนอยู่ที่รอยร้าวของระฆังสีทองนั่น!!


 


แม้จะถูกพญามังกรเสื้อม่วงกล่าวถาม หากแต่เผยซื่อไห่ไม่ได้ตอบคำอะไร


 


มันยังลอยร่างนิ่งค้างกลางหาว ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอยู่นาน


 


ตอนนี้ในหัวของมันเต็มไปด้วยฉากเรื่องราวก่อนหน้า…


 


เรื่องที่มันพึ่งประสบมานั้นนับว่าน่ากลัวนัก…อีกแค่นิดเดียวมันก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว!


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเผยซื่อไห่ก็ก้มลงไปมองระฆังสีทองที่เต็มไปด้วยรอยร้าวในมือขวา ยังลอบคิดไปในใจอย่างยินดี ‘โชคดีนักที่ข้าได้รับระฆังสุญตายอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันจากอาจารย์มาไว้ป้องกันตัว…ไม่งั้นเมื่อครู่ข้าได้ตายคาที่แน่!’


 


‘ระนาบเทียมแห่งนี้…ดูอย่างไรก็ไม่คล้ายคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะเลย เสมือนมันเป็นกับดักที่ครึ่งก้าวเซียนอมตะตั้งใจทิ้งไว้มากกว่า!’


 


สีหน้าเผยซื่อไห่ค่อยๆมืดลงทุกขณะ


 


‘ดูเหมือนที่ไข่มุกวิญญาณของศิษย์พีไป๋ลี่แตกเป็นเสี่ยง 9 ใน 10 ส่วน ล้วนเป็นเพราะศิษย์พี่เข้าไปในระนาบเทียมและถูกพลังจากค่ายกลสังหารด้านในฆ่าตายไม่ผิดแน่…’


 


ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ สีหน้าเผยซื่อไห่ก็ยิ่งมืดลงเท่านั้น


 


มันมานี่ครั้งนี้ล้วนเป็นเพราะไป๋ลี่คนเดียว


 


ไป๋ลี่ เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน พลังฝีมืออยู่ในอันดับที่ 9 ของรายนามยอดเซียน และเป็น 1 ในผู้พิทักษ์ของนครแห่งบาป ทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดไม่กี่คนในภูมิภาคเบื้องบน ที่สามารถบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนได้!


 


หากทว่าไม่มีใครรู้เลย…


 


ไป๋ลี่…เป็นศิษย์ส่วนตัวของเนี่ยอู๋เทียนด้วย!


 


กระทั่งยังเป็นศิษย์พี่ของเผยซื่อไห่!


 


อนิจจาด้วยศักยภาพพรสวรรค์ของไป๋ลี่ไม่สูงพอจะสืบทอดมรดกของเนี่ยอู๋เทียนได้อย่างภาคภูมิ มันจึงไม่มีหน้าประกาศบอกผู้ใดว่าเป็นศิษย์ของเนี่ยอู๋เทียน แต่อย่างไรมันก็ยึดถือว่าตัวเองเป็นศิษย์ของเนี่ยอู๋เทียนคนหนึ่ง แถมยังรักและเอ็นดูศิษย์น้องอย่างเผยซื่อไห่มาก…


 


ในสายตาของเผยซื่อไห่เองก็เห็นไป๋ลี่ไม่ต่างพี่ชายแท้ๆ…


 


ในมือของมันย่อมมีไข่มุกวิญญาณของไป๋ลี่เก็บไว้…


 


ครั้งนี้ล้วนเป็นเพราะไข่มุกวิญญาณของไป๋ลี่แตก มันจึงรีบเดินทางมายังนครแห่งบาปทันที


 


พอรู้จากคนในนครแห่งบาปว่า ครั้งสุดท้ายที่พบเห็นไป๋ลี่คือตอนที่ไป๋ลี่กำลังหารือเรื่องราวบางประการกับเมิ่งฮ่าว ต่อมาเมื่อมันไร้เบาะแสไป๋ลี่ จึงเริ่มสืบจากเมิ่งฮ่าวทันที…ในที่สุดเบาะแสทั้งหมดก็นำมันมาสู่สถานที่แห่งนี้


ตอนที่ 2,153 : กับดัก!


 


“เผยซื่อไห่!”


 


ในฐานะผู้นำมหาธรรมราชาแห่งลัทธิอารามทมิฬ พญามังกรเสื้อม่วงย่อมมีความถือดีในตัวไม่น้อย…


 


เมื่อเห็นว่าเผยซื่อไห่กล้าเมินนางไม่ยอมตอบคำอยู่นานสองนาน หน้างามใต้ม่านผ้าก็เริ่มถมึงทึงขึ้นมา


 


ได้ยินเสียงเรียกด้วยความไม่พอใจของพญามังกรเสื้อม่วง เผยซื่อไห่ที่เหม่อคิดเรื่องราววอยู่พลันดึงสติกลับเข้าร่าง ค่อยหันมองไปยังพญามังกรเสื้อม่วงทันที


 


ทันใดนั้นยอดฝีมือที่อยู่ใน 10 อันดับแรกของรายนามยอดเซียน ก็มองหน้าสบตากัน


 


แววตาของพญามังกรเสื้อม่วงใต้ม่านผ้าฉายชัดถึงความโกรธเกรี้ยว หากแต่สายตาของเผยซื่อไห่กลับสงบนัก ไม่ได้แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อยแม้จะถูกพญามังกรเสื้อม่วงมองมาด้วยสายตาเอาเรื่องก็ตาม


 


สองคนนี้ หนึ่งคือศิษย์ของสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า พลังฝีมือรั้งอยู่ในอันดับที่ 7 ของรายนามยอดเซียน ส่วนอีกหนึ่งคือผู้นำ 4 มหาธรรมราชาแห่งลัทธิอารามทมิฬ รั้งอยู่ในอันดับที่ 10 ของรายนามยอดเซียน


 


จังหวะนี้ทุกผู้คนอดสัมผัสถึงไม่ได้…กลิ่นดินปืนที่ฟุ้งตลบในบรรยากาศระหว่างทั้งคู่นั่น!


 


แน่นอนว่าพวกมันย่อมแลเห็นชัดเจน


 


ส่วนใหญ่แล้วบรรยากาศอึมครึมนั้นแผ่ออกมาจากร่างพญามังกรเสื้อม่วงมากกว่า!


 


“ใต้เท้ามหาธรรมราชา!”


 


เมื่อเห็นฉากดังกล่าวเหล่าอาวุโสลัทธิอารามทมิฬหลายคนอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลอย่างหนัก พวกมันเร่งส่งเสียงผ่านพลังไปหาพญามังกรเสื้อม่วงทันที


 


“เผยซื่อไห่ผู้นี้จะอย่างไรก็เป็นถึงอันดับ 7 ในรายนามยอดเซียน ท่านอย่าได้เป็นศัตรูกับมัน!”


 


“ใต้เท้ามหาธรรมราชาพลังฝีมือสูงส่งผู้น้อยรับทราบดี…หากแต่เผยซื่อไห่ผู้นี้ก็มิใช่ธรรมดา ขอท่านอย่าได้ตอแยมันด้วยเรื่องเท่านี้เลยขอรับ!”


 


“ใต้เท้ามหาธรรมราชา เผยซื่อไห่ผู้นี้เพียงสามารถเป็นสหาย…แต่มิอาจเป็นศัตรู!”


 



 


น้ำเสียงของอาวุโสลัทธิอารามทมิฬที่ส่งมานั้น เต็มไปด้วยความหวั่นเกรงและหวาดกลัวทั้งสิ้น


 


เพราะพวกมันหวั่นเกรงพลังฝีมือของเผยซื่อไห่ อีกทั้งยังหวาดกลัวสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าที่อยู่เบื้องหลังเผยซื่อไห่อย่างเนี่ยอู๋เทียน!


 


ไม่ทราบว่าคำโน้มนาวแนะนำของเหล่าอาวุโสลัทธิอารามทมิฬได้ผลหรืออย่างไร หากแต่พญามังกรเสื้อม่วงราวกับตระหนักได้ว่าการขัดแย้งกับเผยซื่อไห่เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลย นางจึงลดสายตาลง ไม่ได้ดุร้ายเอาเรื่องเหมือนตอนแรกสืบไป


 


“เป็นระฆังสุญตา…”


 


เมื่อพญามังกรเสื้อม่วงลดสายตาท่าทีลง เผยซื่อไห่ก็กล่าวตอบออกมาอย่างไม่แยแส


 


ขณะเดียวกันสายตามันก็ลดลงไปมองระฆังสีทองในมืออีกครั้ง พลางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


ระฆังสุญตา ในตอนนี้แม้จะยังเป็นยอดศาสตราเซียน ทว่าก็เป็นได้แค่ยอดศาสตราเซียนที่แตกร้าว…


 


เกรงว่าหากเจอการโจมตีที่ทรงพลังเหมือนก่อนหน้าอีกสักรอบ ระฆังสุญตา คงได้แหลกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยแน่นอน!


 


เสียงเผยซื่อไห่ดังเข้าหูพญามังกรเสื้อม่วงและคนอื่นๆชัดถ้อยชัดคำ ถึงแม้จะไม่ได้ดังอะไรมากมาย ทว่าสำหรับผู้ที่ได้ยินก็เสมือนอัสนีบาตฟาดลั่น


 


“ระฆังสีทองอันเท่ากระดิ่งนั่น…มันคือระฆังสุญตา 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนจริงๆหรือ?”


 


เมื่อได้รับคำยืนยันจากเผยซื่อไห่ ผู้คนพลันหวนกลับมารู้สึกตัว ลูกตาต่างหดเล็กลง ใบหน้าฉายออกถึงความเหลือเชื่อประหลาดใจ


 


ระฆังทองที่แตกร้าวในมือของเผยซื่อไห่ กลับเป็น ระฆังสุญตา ยอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันจริงๆ?


 


เป็น 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่?


 


“พลังอันใดกันที่ร้ายแรงถึงขั้นสร้างความเสียหายให้ยอดศาสตราเซียนอย่างระฆังสุญตาได้ถึงขนาดนี้…ช่างน่าเหลือเชื่อนัก!”


 


“กล่าวกันว่ามีเพียงครึ่งก้าวเซียนอมตะ ที่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์มาแล้วเท่านั้นถึงจะมีพลังอำนาจสูงพอทำลายยอดศาสตราเซียนได้…การที่ระฆังสุญตาถึงกับต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ น่ากลัวพลังทำลายที่ซัดเข้ามาสมควรไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังของครึ่งก้าวเซียนอมตะระดับสูง!”


 


“มีเพียงครึ่งก้าวอมตะสามารถทำลายยอดศาสตราเซียนได้หรือ? จากคำพูดของเจ้าประโยคนี้มิใช่…หากผู้ใดได้รับระฆังสุญตาไป แม้ไม่ต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ ก็สามารถสู้รบกับผู้ที่อยู่ใต้ขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะโดยมิต้องหวาดกลัวว่าจะบาดเจ็บหรือไง?”


 


“ก็มิใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้น…หากผู้ใช้เป็นเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยน แม้จะมีระฆังสุญตา แต่ด้วยพลังที่จ่ายให้กับตัวระฆัง ก็เพียงต้านทานได้แต่ผู้ที่มีพลังด้อยกว่าเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนเท่านั้น หากศัตรูมีพลังฝึกปรือเหนือกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน ถึงแม้อีกฝ่ายจะยังไม่อาจทำลายระฆังสุญตาได้ แต่พลังทำลายของอีกฝ่ายก็ยังสามารถส่งแรงกระแทกผ่านพลังป้องกันของระฆังสุญตามาซัดทำร้ายมันได้อยู่ดี…”


 


“จริงอยู่ที่ระฆังสุญตานั้นเป็นยอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันทั้ง ยังมีพลังป้องกันสูงล้ำนัก…อย่างไรก็ตามหากมันตกอยู่ในมือผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อย ระฆังสุญตานี้ก็คงมีประโยชน์แค่เล็กน้อย ยากจะสำแดงพลังได้สมราคาของมัน”


 



 


ตอนนี้หลายคนต่างสงสัยกันนัก…


 


ว่าเผยซื่อไห่ที่เข้าไปในสถานที่อันน่าจะเป็นคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะเมื่อครู่ ที่แท้เกิดเรื่องราวใดขึ้นกันแน่ ไฉนทั้งๆที่มีระฆังสุญตาแล้วยังได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้?


 


หลายคนที่เห็นสภาพเผยซื่อไห่ อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจนหนาวจับขั้วหัวใจ


 


โดยเฉพาะผู้ที่ถูกขับออกมาตั้งแต่แรก ตอนนี้แทบจะกราบขอบคุณฟ้าด้วยซ้ำ เพราะหากพวกมันไม่ถูกขับออกมา ตอนนี้น่ากลัวคงได้ตายกลายเป็นผีอยู่ในนั้นไปแล้ว!


 


“ด้วยพลังฝีมือของไต้เท่าเผยซื่อไห่ ยามใช้ระฆังสุญตา…เกรงว่ากระทั่งการโจมตีของครึ่งก้าวอมตะทั่วไปคงไม่อาจทำอันใดใต้เท้าได้…คงมีแต่ครึ่งก้ามอมตะชนชั้นสุดยอดฝีมือเท่านั้น ถึงจะทำร้ายใต้เท้าได้ขนาดนี้…”


 


“พี่น้องท่านนี้กล่าวถูกแล้ว…หลังใต้เท้าเผยซื่อไห่เข้าไปในสถานที่ๆสมควรเป็นคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะ ไม่พ้นต้องเจอการจู่โจมที่เทียบเท่ากระทั่งรุนแรงกว่าพลังอำนาจของครึ่งก้าวเซียนอมตะระดับสูงๆแน่!”


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น…หากไม่ใช่เพราะแบบนี้ ข้าก็นึกไม่ออกจริงๆว่ายังจะมีสิ่งใดในหล้าคุกคามใต้เท้าเผยซื่อไห่ได้ถึงระดับนี้”


 



 


กล่าวถึงจุดนี้ทุกสายตาก็หันไปมองเผยซื่อไห่เป็นสายตาเดียวกัน ทั้งหมดอยากฟังคำตอบจากปากเผยซื่อไห่นัก ว่าที่แท้เมื่อครู่เผยซื่อไห่ไปเผชิญกับนรกขุมใดมากันแน่…


 


“เผยซื่อไห่ ที่แท้เกิดเจ้าไปเจอสิ่งใดมากันแน่?”


 


ไม่เหมือนคนอื่นๆที่ไม่กล้าคำถามนี้ออกมา พญามังกรเสื้อม่วงเลือกที่จะมองถามเผยซื่อไห่ออกมาตรงๆ


 


นอกจากนี้ตัวนางเองก็อยากรู้ไม่น้อย จึงเปิดประตูเห็นภูผาถามออกทันที


 


หลังจากกล่าวถามไปแล้ว พญามังกรเสื้อม่วงยังกล่าวเสริมให้เหตุผลประกอบคำถามอีกว่า “ 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬเรา จ้าวค้างคาวปีกเขียวเองก็พึ่งถูกสังหารเมื่อไม่นานมานี้…หากเจ้ามีเบาะแสอันใด ได้โปรดกล่าวบอกให้ข้ารับทราบที แล้วน้ำใจนี้ของเจ้าลัทธิอารามทมิฬจักไม่มีวันลืม”


 


“จ้าวค้างเคียวปีกเขียวตกตายในนั้นด้วยหรือ?”


 


ได้ยินวาจาของพญามังกรเสื้อม่วง เผยซื่อไห่เลิกคิ้วขึ้น จากนั้นค่อยส่ายหัวไปมาพลางถอนหายใจกล่าว “ความโลภนับเป็นบาปอันหนักหนานัก…”


 


ก่อนที่พญามังกรเสื้อม่วงจะทันได้ตอบอะไรเผยซื่อไห่พลันกล่าวต่อออกมาอีกว่า “หลังข้าฉีกเปิดมิติและเข้าไปในนั้น…สิ่งแรกที่ต้อนรับข้าหลังจากเข้าไป ก็คือค่ายกลสังหาร!”


 


“ค่ายกลสังหาร?!”


 


เผยซื่อไห่กล่าวจบคำ พญามังกรเสื้อม่วงและคนอื่นๆก็ไม่ได้จริงจังอะไร เพียงคิดว่านี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย และสมควรมีอันตรายร้ายแรงตามมาหลังจากนี้มากกว่า…


 


อย่างไรก็ตามวาจาต่อมาของเผยซื่อไห่ก็ทำให้ทุกคนตระหนักได้ทันทีว่าพวกมันคิดผิดไปแล้ว


 


“พลังที่ปะทุออกมาจากค่ายกลสังหารนั่นช่างน่าสะพรึงกลัวนัก…”


 


กล่าวถึงเรื่องนี้สีหน้าเผยซื่อไห่ฉายชัดออกถึงความหวาดกลัว ในแววตายังสั่นไหวไปด้วยความผวา ภาพที่ผุดขึ้นในใจชัดเจนยากลบเลือน “ต่อให้เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะจู่โจมมาด้วยพลังทั้งหมด…ก็มิอาจบรรลุถึงพลังทำลายล้างระดับนั้นได้..”


 


“โชคดีนักที่ข้ามียอดศาสตราเซียนอย่างระฆังสุญตาที่อาจารย์มอบให้ติดตัว…หาไม่แล้วข้าต้องตายคาที่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย!”


 


“อย่างไรก็ตาม แม้ข้าจะมีระฆังสุญตาคุ้มกาย…ทว่าภายใต้พลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวนั่น ไม่ว่าจะแขนซ้ายหรือดาบพันอาคมเซียนของข้าก็ไม่อาจทานทนรับไหว…”


 


“พริบตาที่มวลพลังนั่นปะทุออก ไม่ว่าจะแหวนพื้นที่หรือดาบพันอาคมเซียนล้วนแหลกสลายเป็นผุยผง! ไม่อาจต้านทานอะไรได้เลย!!”


 


ยิ่งกล่าวสีหน้าเผยซื่อไห่ยิ่งขึงขังจริงจัง เห็นชัดว่าหวาดกลัวไม่น้อย


 


หลังเผยซื่อไห่กล่าวจบคำ รอบด้านก็เงียบลงทันใด


 


เงียบนัก


 


เงียบถึงขั้นต่อให้มีเข็มตกลงพื้นสักเล่มคงได้ยินชัดเจน


 


และตอนนี้แม้แต่พญามังกรเสื้อม่วง ยังอดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นด้วยความหวาดกลัว แผ่นหลังของนางเปียกแฉะขึ้นมาทันใด ในใจยังลอบขอบคุณโชคไม่น้อย!


 


โชคดีที่เผยซื่อไห่มาที่นี่!


 


หาไม่แล้วหากเป็นนางที่บุกเข้าไปในสถานที่อันน่าจะเป็นคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่น และเจอค่ายกลสังหารเหมือนเผยซื่อไห่ล่ะก็…นางได้ทิ้งชีวิตไว้ในนั้นชั่วกาลแน่!


 


เรื่องนี้นางไม่สงสัยสักกะผีก!


 


เพราะสุดท้ายแล้วพลังฝีมือนางก็กล้าแข็งมิสู้เผยซื่อไห่ แถมนางยังไม่มียอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันอย่างระฆังสุญตาอีก


 


กระทั่งตอนนี้ส่วนหนึ่งในใจนางยังคิดว่าเผยซื่อไห่…ใช่กล่าวเรื่องราวเกินจริงไปหรือไม่?


 


อย่างไรก็ตามพอได้คิดนางก็รู้ดีแก่ใจ


 


เผยซื่อไห่ไม่จำเป็นต้องโกหก…


 


“ค่ายกลสังหารที่ทรงพลังถึงระดับนี้…เกรงว่าคงไม่ใช่ค่ายกลที่จัดตั้งขึ้นมาด้วยฝีมือครึ่งก้าวอมตะแน่!”


 


“นั่นสิ หากเป็นดั่งที่ใต้เท้าเผยซื่อไห่กล่าว…พลังที่ปะทุออกมาสมควรร้ายกาจกว่าครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้วจริงๆ! ข้าสงสัยนักว่าที่แท้เป็นผู้ใดจัดตั้งค่ายกลสังหารนั่นไว้กันแน่!?”


 


“มันจะรุนแรงเกินไปแล้ว!”


 



 


จากนั้นผู้คนโดยรอบก็ค่อยๆกลับมามีสติ ต่างตกใจกับเรื่องราวที่เผยซื่อไห่เล่าให้ฟังนัก


 


แน่นอนว่าพววกมันไม่คิดคลางแคลงสงสัยในคำพูดเผยซื่อไห่


 


ถึงเผยซื่อไห่จะกล่าวว่า พลังทำลายที่ปะทุออกมาจากค่ายกลเหนือกว่าพลังของครึ่งก้าวเซียนอมตะ พวกมันก็ไม่สงสัยแม้แต่น้อย


 


หากเป็นคนอื่นพูด พวกมันอาจแคลงใจสงสัยอยู่บ้าง


 


ทว่าเมื่อเป็นคำพูดของเผยซื่อไห่ พวกมันไม่อาจสงสัย


 


นั่นเพราะอาจารย์ของเผยซื่อไห่ ก็คือสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเนี่ยอู๋เทียน!


 


หากเนี่ยอู๋เทียนยังอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจริง ตอนนี้เกรงว่าต่อให้พลังฝีมือไม่บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ ก็ต้องร้ายกาจใกล้เคียงกับครึ่งก้าวเซียนอมตะเต็มที…


 


ด้วยมีอาจารย์เป็นถึงตัวตนระดับนี้ เผยซื่อไห่ย่อมกระจ่างถึงพลังฝีมือขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะกว่าผู้ใดในที่นี้


 


หาไม่แล้วคงไม่กล้ากล่าวคำออกมาอย่างมั่นใจถึงเพียงนั้น!


 


“ค่ายกลสังหารนั่น…หากเป็นดั่งที่เจ้ากล่าวจริง เช่นนั้นแล้วครึ่งก้าวเซียนอมตะจักจัดตั้งค่ายกลร้ายกาจระดับนั้นได้อย่างไร?”


 


พญามังกรเสื้อม่วงมองถามเผยซื่อไห่


 


“ครึ่งก้าวเซียนอมตะคนเดียวอาจจัดตั้งมันไม่ได้…ทว่าหากเป็น 3 คนเล่า?”


 


“3 คน?”


 


ลูกตาพญามังกรเสื้อม่วงหดหยีลงทันใด ใจยังสั่นไหวไปวูบหนึ่ง


 


คนอื่นๆที่ได้ยินยังอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว


 


“ถูกต้อง”


 


เผยซื่อไห่พยักหน้ารับคำ ค่อยเล่าเรื่องราวออกมาด้วยน้ำเสียงกัวล “ในตอนที่พลังทำลายล้างนั่นปะทุระเบิดออกมา สำนึกเทวะของข้าที่แผ่ออกไประวังภัยแต่แรก…สามารถสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีพลังถึง 3 ขุมต่างกันในพลังทำลายล้างนั่น…ถึงแม้ว่าการผสานของพลังทั้ง 3 ขุมจะสมบูรณ์แบบ แต่ข้ายังพบร่องรอยกลิ่นอายพลังที่แตกต่างกันได้ชัดเจน!”


 


“หากข้าเดาไม่ผิด…ค่ายกลสังหารนั่น สมควรเป็น 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะร่วมมือกันจัดตั้งขึ้นมาไม่ผิดแน่!”


 


“นอกจากนี้ สถานที่ๆน่าจะเป็นคลังสมบัติที่ของครึ่งก้าวเซียนอมตะแห่งนี้…สมควรไม่ใช่คลังสมบัติอันใด แต่เป็นกับดัก!”


ตอนที่ 2,154  : สะท้านไปทั่วภูมิภาคเบื้องบน!


 


“หากข้าเข้าใจไม่ผิด…ไม่ใช่แค่จ้าวค้างคาวปีกเขียวของลัทธิอารามทมิฬเจ้าเท่านั้น กระทั่งเมิ่งฮ่าวจากนครแห่งบาปเองก็ไม่พ้นตายตกไปแล้วด้วย”


 


เผยซื่อไห่กล่าวออกเสียงเข้ม


 


“เมิ่งฮ่าว?”


 


ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเผยซื่อไห่ ดวงตาคู่งามของพญามังกรเสื้อม่วงหรี่ลงอีกรอบ ขณะเดียวกันนางก็ตระหนักได้ว่าที่คาดเดาไว้ตอนแรกไม่ผิดเพี้ยนแล้วจริงๆ


 


เมิ่งฮ่าวสมควรเกิดเรื่องเหมือนเหวยสั่ว!


 


“เมิ่งฮ่าว? อันใด ใต้เท้าเมิ่งฮ่าวตกตายแล้ว!?”


 


ขณะเดียวกันเหล่าผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดของนครแห่งบาปก็ตื่นตระหนกไม่น้อย


 


เมิ่งฮ่าว บัณฑิตหน้าเย็น…เป็นบุคคลที่สำคัญต่อนครแห่งบาปนัก เพราะมันคือ 1 ในผู้ค้ำจุนนครแห่งบาป ยอดฝีมือขอบเขตพลังเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!


 


นอกจากนี้อันดับในทำเนียบสุดยอดฝีมืออย่างรายนามยอดเซียนของเมิ่งฮ่าวก็สูงกว่าจ้าวค้างคาวปีกเขียวอีกด้วย


 


เช่นนั้นพอได้ฟังว่าตัวตนระดับนี้ยังตายอยู่ด้านในทุกคนจึงอดตกใจไม่ได้


 


“เจ้ามาที่นี่เพราะเมิ่งฮ่าวหรือ…ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเมิ่งฮ่าวจะไม่ธรรมดา”


 


พญามังกรเสื้อม่วงถอนหายใจพลางกล่าวปลอบ “ข้าเสียใจกับเจ้าด้วย”


 


“ข้าเพียงรู้จักเมิ่งฮ่าวแต่ชื่อเท่านั้น…ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับมันหรอก”


 


เผยซื่อไห่ส่ายหัวไปมา


 


ทว่าวาจานี้ของมันทำให้พญามังกรเสื้อม่วงงุนงง กระทั่งผู้ฝึกตนทั้งหลายรอบๆก็อดไม่ได้ที่จะงงงวยไปด้วย ต่างพากันคิดไปในใจอย่างฉงน…


 


ในเมื่อท่านไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับเมิ่งฮ่าว…แล้วไฉนท่านผู้ยิ่ใหญ่ถึงต้องถามหาเมิ่งฮ่าวเป็นคนแรกทันทีที่มาถึงด้วยเล่า?!


 


“ข้ามาถามหาเมิ่งฮ่าวที่นี่ เพราะศิษย์พี่ของข้าสมควรเคลื่อนไหวด้วยข้อมูลบางประการจากเมิ่งอ่าว…”


 


เผชิญหน้ากับสายตาสงสัยไม่เข้าใจของทุกคน เผยซื่อไห่เพียงหันไปมองรอยแยกมืดดำกลางอากาศที่มันฉีกเปิดค่อยกล่าวตอบออกมา


 


และทันทีที่เผยซื่อไห่กล่าวเรื่องนี้ ทุกคนก็อึ้งไปตามๆกัน


 


เป็นผู้ใดกันที่เผยซื่อไห่เรียกหาว่าศิษย์พี่? หรือคนๆนั้นจะเป็นศิษย์ของสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่างเนี่ยอู๋เทียนด้วย?


 


แต่เท่าที่รู้…เนี่ยอู๋เทียนไม่ใช่มีเผยซื่อไห่เป็นศิษย์แค่คนเดียวหรือ?


 


ไฉนวันนี้อยู่ดีๆเผยซื่อไห่กลับกล่าวถึงศิษย์พี่อะไรขึ้นมาได้?


 


แน่นอนว่าบางคนเริ่มคิดไปอีกอย่าง ว่าศิษย์พี่ที่เผยซื่อไห่เรียกหา…อาจไม่ใช่ศิษย์ของเนี่ยอู๋เทียน!


 


บางที ศิษย์พี่ ที่เผยซื่อไห่เรียกเมื่อครู่ อาจเป็นศิษย์พี่ที่มันเคยรู้จักในขุมพลังบางแห่งที่มันเคยอาศัยมาก่อน หรืออาจจะเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ที่เผยซื่อไห่เคยเคารพก่อนหน้าจะมาพบเจอเนี่ยอู๋เทียน


 


ผู้คนกระซิบกระซาบคุยกันอยู่พักหนึ่ง


 


“ศิษย์พี่ที่ข้ากล่าวถึง ก็เป็นศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์เนี่ยอู๋เทียนเช่นกัน!”


 


เผยซื่อไห่พลันกล่าวออกมาอีกรอบ และยังตัดบทข้อสันนิษฐานของผู้คนโดยรอบทันที! ยืนยันว่าศิษย์พี่ที่กล่าวถึงก่อนหน้า…ก็คือศิษย์ของสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเนี่ยอู๋เทียน!!


 


ก่อนหน้านี้ที่ศิษย์พี่มันยังไม่ตาย…เป็นเพราะศิษย์พี่ของมันคิดมาก และรู้สึกว่าความสามารถของตัวอ่อนด้อยเกินไป จนสร้างความผิดหวังให้แก่อาจารย์ จึงไม่กล้าเปิดตัวในฐานะศิษย์ของเนี่ยอู๋เทียนออกมา…


 


ตอนนี้เมื่อศิษย์พี่ของมันตกตายไปแล้ว มันอยากให้ทุกคนได้รับทราบว่าศิษย์พี่ของมันที่แท้มีฐานะเช่นไร!


 


“ท่านผู้อาวุโสเนี่ยอู๋เทียน นอกจากใต้เท้าเผยซื่อไห่แล้ว…ยังมีศิษย์ส่วนตัวอีกคนหรือ!?”


 


“ข้ามิเห็นจะเคยได้ยินว่าท่านผู้อาวุโสเนี่ยอู๋เทียนเคยรับศิษย์คนอื่น…”


 


“ผู้ที่ถูกท่านผู้อาวุโสเนี่ยอู๋เทียนรับเป็นศิษย์ ย่อมเป็นมังกรในหมู่มนุษย์แน่นอน! ต้องเป็นยอดฝีมือคนใดสักคนที่มีพรสวรรค์สูงล้ำ!”


 



 


หลังได้ยินคำยืนยันจากเผยซื่อไห่ ผู้คนรอบรอยแยกเริ่มเสียงดังอีกครั้ง ทั้งหลายเริ่มจั่วหัวบทสนทนาใหม่ คาดเดากันไปเรื่อย


 


หลายคนอยากรู้นักว่าศิษย์พี่ของเผยซื่อไห่ ที่แท้เป็นใต้เท้าคนใดกันแน่…


 


“ศิษย์พี่ของข้าคือ ไป๋ลี่ ผู้พิทักษฺของนครแห่งบาป”


 


ในขณะที่ทุกคนไม่เว้นพญามังกรเสื้อม่วง กำลังบังเกิดอาการคันในหัวใจยากจะเกาด้วยสงสัยว่าศิษย์พี่เผยซื่อไห่ที่แท้เป็นใครกันแน่ เผยซื่อไห่ก็เลือกจะกล่าวออกมาในเวลาที่เหมาะสม!


 


และทันทีที่วาจาประโยคนี้ดังขึ้น ทุกผู้คนก็ตกตะลึงอึ้งไปทันที!


 


ไป๋ลี่!


 


นามนี้หาได้แปลกปลอมสำหรับผู้ที่อยู่ ณ ที่นี้ไม่!


 


ไป๋ลี่นั้นเป็น 1 ใน 2 ผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน! ยังเป็นตัวตนระดับแนวหน้าของแดนดินรั้งอยู่ในอันดับที่ 9 ของรายนามยอดเซียน!!


 


กระทั่งต่อให้เป็นพญามังกรเสื้อม่วง ผู้นำ 4 มหาธรรมราชาแห่งลัทธิอารามทมิฬ ผู้ที่อยู่ในอันดับที่ 10 ของรายนามยอดเซียน ก็ยังอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย!


 


“อันใด? ศิษย์พี่ของเจ้า…ที่แท้กลับเป็นไป๋ลี่รึ!?”


 


หลังคืนสติ พญามังกรเสื้อม่วงอดไม่ได้ที่จะโพล่งถามออกมาเสียงสูงราวกับนางได้ยินเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อ


 


และคนอื่นๆก็มีอาการไม่ต่างจากนางสักเท่าไหร่ พากันตะลึงอึ้งไปเป็นแถบ ปากบางคนยังอ้ากว้างหมัดลอดได้!


 


เมื่อเทียบกับเผยซื่อไห่แล่ว ไป๋ลี่ นับว่าปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนมากกว่า อีกทั้งยังเป็นสุดยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามานานแล้ว…


 


อนิจจาก่อนจะถึงวันนี้ หามีแม้แต่ผู้เดียวไม่…ที่ล่วงรู้ว่าที่แท้ไป๋ลี่คนนี้กลับเป็นศิษย์ของยอดฝีมืออันดับ 1 ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่างเนี่ยอู๋เทียน!


 


สำหรับพวกมันแล้วข่าวนี้ นับว่าทำให้พวกมันตกใจครั้งใหญ่จริงๆ


 


“ถูกแล้ว…”


 


ได้ยินเสียงอุทานถามของพญามังกรเสื้อม่วง เผยซื่อไห่พยักหน้ารับคำด้วยใบหน้าหดหู่เล็กน้อย “ศิษย์พี่มักรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จน้อยเกินกว่าที่ควรจะเป็น…และนั่นเป็นการทำให้ท่านอาจารย์เสียชื่อเสียง ศิษย์พี่จึงไม่คิดเปิดเผยตัวตนออกมาจนถึงวันนี้…”


 


“ข้ามิคิดเลยจริงๆว่า ที่แท้ไป๋ลี่ผู้นั้นกลับเป็นศิษย์ของอาวุโสเนี่ยอู๋เทียนด้วย!”


 


ได้ฟังคำยืนยันอีกรอบจากเผยซื่อไห่ พญามังกรเสื้อม่วงอดทอดถอนใจไม่ได้


 


หลังจากระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอนแล้ว พญามังกรเสื้อม่วงคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที “เจ้า…เจ้ามาตามหาไป๋ลี่ศิษย์พี่ของเจ้าเช่นนี้…คงมิใช่เพราะ…ว่า…”


 


“อืม…ไข่มุกวิญญาณของศิษย์พี่ที่ข้าเก็บไว้ พึ่งแตกเป็นเสี่ยงเมื่อไม่นานมานี้…”


 


เผยซื่อไห่คล้ายล่วงรู้ว่าพญามังกรเสื้อม่วงจะถามอะไร เช่นนั้นก่อนที่นางจะทันได้กล่าวจบคำ มันก็พยักหน้ากล่าวคำออกมาก่อน “ข้าสงสัยว่าศิษย์พี่จะประสบเคราะห์ถึงตายหลังจากเข้าไปด้านในด้วย…”


 


แม้เสียงกล่าววาจาจะฟังดูสงบ หากแต่เมื่อฟังให้ดีจะพบความโศกเศร้าเหลือจะกล่าวแฝงเร้นเอาไว้ ทั้งแววตาของเผยซื่อไห่ยามนี้ก็หม่นหมองชวนให้หดหู่นัก


 


เปรี๊ยงง!!


 


ทันทีที่วาจานี้ลั่นดังผ่านพ้นลำคอของเผยซื่อไห่ออกมา ก็เปรียบดั่งอัสนียามแล้งที่ฟาดผ่าลงมาอย่างไร้ซึ่งการตั้งเค้าใดๆมาก่อนสำหรับผู้ฝึกตนอิสระของนครแห่งบาป!


 


ไป๋ลี่ เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน ยอดฝีมือลำดับที่ 9 ในรายนามยอดเซียน…ตัวตนอันร้ายกาจที่พบพานได้ยากประหนึ่งเขามังกรหางหงส์ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า กลับตกตายภายในสภานที่ๆคาดกันว่าเหลือทิ้งไว้โดยครึ่งก้าวเซียนอมตะ 3 คน?


 


ข่าวนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นดั่งระเบิดลูกใหญ่สำหรับผู้ฝึกตนทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


ท้ายที่สุดแล้วข่าวนี้ก็คือ การร่วงหล่นของสุดยอดฝีมือที่ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของรายนามยอดเซียน!!


 


และเพียงเวลาไม่นานข่าวนี้ก็แพร่ออกไปดั่งไฟป่าลามทุ่ง!


 


ก่อนใดอื่นมันก็แพร่สะพัดไปทั่วนครแห่งบาป ชวนให้ผู้คนในนครแห่งบาปทั้งหมดใจเสีย! ทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะตะลึงลาน จนหนังศีรษะชาด้านดั่งต้องอัสนียามแล้ง!!


 


และนอกจากข่าวการตายตกของไป๋ลี่แล้ว ยังมีข่าวการตายของ บัณฑิตหน้าเย็น เมิ่งฮ่าว หนึ่งในเสาหลักที่ค้ำจุนนครแห่งบาปอีกคน! นอกจากนั้นทั้งหมดก็ได้รับทราบด้วยว่าจ้าวค้างคาวปีกเขียว 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬก็สิ้นแล้วเช่นกัน! ทั้งหมดก่อให้เกิดความโกลาหลในใจผู้คนครั้งใหญ่!!


 


หลังจากนั้นไม่นาน นครแห่งบาปก็บังเกิดความเคลื่อนไหวครั้งมโหราฬ หลายสิ่งอย่างบังเกิดขึ้นรวดเร็วจนยากที่ผู้คนจะตั้งตัวรับทัน!


 


กองกำลังพันธมิตร 7 สังหาร กองกำลังพันธมิตรพันสารท และกองกำลังพันธมิตรหมื่นโบราณ อันเป็น 3 กองกำลังพันธมิตรผู้ฝึกตนอิสระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนครแห่งบาป…ได้ประกาศสลายตัว!


 


และไม่เพียงแต่กองกำลังพันธมิตรผู้ฝึกตนอิสระ 3 กองกำลังนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกองกำลังพันธมิตรผู้ฝึกตนอิสระรองลงมาระดับหนึ่งอย่าง พันธมิตรร้อยวิญญาณ และพันธมิตรอำนาจทรราช! พวกมันประกาศสลายกองกำลังด้วยเช่นกัน!!


 


สำหรับเหตุผลที่ทั้งหมดใช้ในการประกาศสลายกองกำลังนั้น…เพราะตัวตนที่เป็นดั่งขุมพลังหลักของพวกมันล้วนตกตายกันหมดสิ้น!


 


ทั้งหมดล้วนตกตายในสถานที่แห่งเดียวกับที่ ไป๋ลี่ เมิ่งฮ่าว และเหวยสั่วหลับไหลชั่วนิรันดร์…


 


“จากปากของเผยซื่อไห่ศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสเนี่ยอู๋เทียน…เห็นว่าทุกคนล้วนตกตายในระนาบเทียมที่เป็นดั่ง ‘ทุ่งสังหาร’ ของ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะ”


 


“ข้าเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน…เห็นว่ากระทั่งยามใต้เท้าเผยซื่อไห่เข้าไปสำรวจด้านในนั้น ตัวท่านเองยังแทบวายปราณ…ยังนับว่าโชคดีนักที่มีระฆังสุญตา ที่ท่านผู้อาวุโสเนี่ยอู๋เทียนมอบไว้ให้ติดตัวคุ้มภัย แต่กระนั้นเห็นว่ายังแทบตาย! แถมราคาที่ต้องจ่ายจากการเข้าไปสำรวจช่างมหาศาลนัก! เพราะไม่เพียงแต่ดาบพันอาคมเซียนกับแหวนพื้นที่ ยังมีแขนซ้ายอีกข้าง!!”


 


“ช้าก่อน…ระฆังสุญตารึ? นามนี้ไฉนคุ้นหูข้าพเจ้านักนะ…ฮ้า! ข้านึกออกแล้ว! นั่นมิใช่ 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนหรอกรึ! ข้าจำได้ว่าในบรรดา 10 ยอดศาสตราเซียน มียอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันที่เรียกว่าระฆังสุญตาด้วย!!”


 


“หากมิใช่เพราะมันเป็นยอดศาสตราเซียนประเภทป้องกัน เจ้าคิดว่าใต้เท้าเผยซื่อไห่จะเอาชีวิตรอดจากค่ายกลที่สมควรจัดตั้งขึ้นด้วยน้ำมือ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะมาได้รึ?”


 


“ข้าได้ยินมาว่า ที่แท้ใต้เท้าไป๋ลี่เองก็เป็นถึงศิษย์พี่ของใต้เท้าเผยซื่อไห่…และอาจารย์ของใต้เท้าไป๋ลี่กับใต้เท้าเผยซื่อไห่ก็เป็นคนๆเดียวกัน…ท่านผู้อาวุโสเนี่ยอู๋เทียน!!”


 


“ไม่ผิด กล่าวไปเรื่องนี้ข้าล่ะยังมิอยากจะเชื่อหูตัวเองด้วยซ้ำตอนได้ยินครั้งแรก…ใต้เท้าไป๋ลี่ช่างปกปิดตัวตนได้ยอดเยี่ยมนัก!”


 



 


วาจาทำนองเดียวกันนี้ดังขึ้นไปทั่วนครแห่งบาป


 


และแล้วข่าวเรื่องราวดังกล่าว ก็แพร่กระจายออกไปโดยมีนครแห่งบาปเป็นจุดศูนย์กลาง ดั่งวงคลื่นที่กวาดซัดออกไปโดยรอบ ผู้คนพากันรู้เรื่องราวกันในเวลาอันสั้น


 


และด้วยความเร็วในการแพร่กระจายของเรื่องราวครั้งนี้ น่ากลัวว่าใช้เวลาเพียงแค่ไม่นานก็คงจะกวาดผ่านไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…


 


กล่าวให้ชัด แพร่ไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน!


 


และข่าวอีกข่าวที่แพร่สะพัดออกมาจากนครแห่งบาปติดๆ ก็นับว่าทำให้สะท้านสะเทือนไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่างแท้จริง!


 


เหล่าเทพผู้พิทักษ์ของนครแห่งบาป ไป๋ลี่ เมิ่งฮ่าว และคนอื่นๆอีก 4 คน กลับตกตายพร้อมๆกันเมื่อไม่นานมานี้ และทั้งหมดถูกยืนยันจากเหล่าศิษย์และคนสนิทเรียบร้อย…ไข่มุกวิญญาณของพวกมันล้วนแหลกสลายหมดสิ้น!


 


“ผู้พิทักษ์ของนครแห่งบาปเรา 1 เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน…กับอีก 5 เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนตกตายแล้ว?”


 


หลังได้รับทราบข่าวนี้ ตอนแรกเหล่าผู้ฝึกตนอิสระในนครแห่งบาปไม่มีใครเชื่อ


 


นั่นเพราะสำหรับผู้ฝึกตนอิสระเหล่านี้ นครแห่งบาปนั้นมีตัวตนดั่งเทพผู้พิทักษ์อยู่ทั้งสิ้น 10 คน ทว่าจากข่าวนี้กลับตกตายไปพร้อมๆกันถึง 6…นี่มันเรื่องเหลวไหลอันใด?


 


ที่สำคัญในบรรดา 6 คนยังมี เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอยู่ด้วยหนึ่งคน!


 


“จากช่วงเวลาที่ไข่มุกวิญญาณแตกสลาย…ทั้งหมดแทบจะถูกฆ่าตายในเวลาเดียวกัน! เช่นนั้นทั้งหมดสมควรตกตายในพื้นที่มรณะผีสาง ที่เหลือไว้โดยครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3 นั่น!”


 


ส่วนคนที่เชื่อ ก็สามารถคาดเดาสาเหตุได้ทันที


 


“3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะพวกนั้นมันบ่มเพาะจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไร! มาดามันเถอะ! ไฉนถึงได้ลงทุนลงแรงเพื่อทำเรื่องอุบาทว์เช่นนี้ด้วย? พวกมันสร้างกับดักมารดาของมันในระนาบเทียมทำอะไร? คิดร้ายกับชนรุ่นหลังอย่างพวกเราทำบัดซบมารดาอะไรของพวกมัน!?”


 


สำหรับเรื่องนี้ ก็คงเป็นคำถามที่ยังค้างคาใจผู้คนไปอย่างไร้ซึ่งคำตอบ ไม่มีใครเข้าใจการกระทำของครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3 ได้เลย! แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือเหล่าผู้สูญเสีย ล้วนด่าทอสาปแช่งครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3 นั่นอย่างเดือดดาล!!


 


และข่าวเรื่องราวอันน่าตื่นตระหนกชุดนี้ เรียกว่าได้สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าครั้งยิ่งใหญ่ในรอบหลายพันปี ทั่วแดนดินเสมือนมีระเบิดถล่มลงจากฟ้าก็ไม่ปาน…


 


หากทว่าแม้ด้านนอกจะบังเกิดเรื่องราวสะท้านสะเทือน ดังสนั่นกึกก้องปานฟ้าถล่มเพียงใด ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย…


 


เพราะตอนนี้เขายังคงติดอยู่ในกับดักที่เหลือทิ้งไว้ด้วยน้ำมือของปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3!


ตอนที่ 2,155 : ‘ฝ่ามือ’ ประทับจากฟากฟ้า!


 


 


เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติขนาดเล็กเท่าเม็ดฝุ่นลอยล่องท่ามกลางความว่างเปล่าในระนาบเทียมอย่างเงียบงัน ด้วยความที่ไร้ซึ่งสรรพสิ่งใดๆในสถานที่อันถูกครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3 ร่วมมือกันสร้างแห่งนี้ เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดรบกวนต้วนหลิงเทียนในเจดีย์ได้เลย…


 


ด้านต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ คนจมจ่อมอยู่ในภวังค์บ่มเพาะ มุ่งมั่นสั่งสมพลังอย่างลืมวันเวลา


 


ไอพลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาลตลบอบอวลไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียน พวกมันยังม้วนวนเข้าร่างต้วนหลิงเทียนปานใต้ฝุ่น เป็นความเร็วในการดูดซับอันน่าเหลือเชื่อนัก!


 


พลังเซียนสุริยันในกายเพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ มังกรพลังทั้ง 9 จากเคล็ดที่ 10 ของ เคล็ดวิชาบำเพ็ญจิต 9 มังกรจักรพรรดิสงครามอย่างเคล็ด 9 มังกร ล้วนชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินที่ดูดซับโคจรแปรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนสุริยันไม่รู้เหนื่อย


 


พลังวิญญาณฟ้าดินแม้ถูกดูดซับแปรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนสุริยันขุมแล้วขุมเล่า หากแต่พวกมันก็คล้ายมีไม่หมดสิ้น  พากันหลั่งไหลมาจากทุกทั่วสารทิศคล้ายในเจดีย์แห่งนี้มีพลังวิญญาณฟ้าดินอันไร้ขีดจำกัด


 


พลังงานในร่างต้วนหลิงเทียนยกระดับสูงขึ้นทุกชั่วขณะเวลา…


 


และตอนนี้ด้วยจมจ่อมอยู่ในภวังค์บ่มเพาะ ร่างต้วนหลิงเทียนที่ขัดสมาธิกลางอากาศจึงนิ่งไปปานปูนปั้น ทั่วร่างปรากฏแสงพลังสีทองเรืองรอง ให้ความรู้สึกเลือนลางไม่อาจจับต้อง ดั่งไร้ตัวตน


 


แสงสีทองที่ว่าก็บังเกิดขึ้นจากพลังเซียนสุริยันในกาย มันเป็นพลังอำนาจแห่งดวงตะวัน ช่างร้อนแรงสูงส่งและสง่างามเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามนัก


 


ในระนาบเทียมที่ถูก ครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3 สร้างขึ้นแห่งนี้ช่างสงบนัก นอกจากต้วนหลิงเทียนก็ไม่เห็นผู้ใดอื่น เจดีย์เล็กเท่าเม็ดฝุ่นดั่งจะโดดเดี่ยวเดียวดายในห้วงแห่งความว่างเปล่า


 


และอันที่จริงในสถานที่แห่งนี้ ก็มีต้วนหลิงเทียนอยู่เพียงคนเดียวจริงๆ..


 


ในระนาบเทียมเต็มไปด้วยความสงบ ทว่าสถานการณ์ด้านนอกระนาบเทียมกลับยากจะสงบ!


 


ตอนนี้ข่าวเรื่องราวของระนาบเทียมที่สมควรถูกสร้างขึ้นด้วยครึ่งก้าวเซียนอมตะ 3 คนได้แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคเบื้องบนแล้ว ยังเป็นเรื่องที่สร้างความฮือฮาให้ผู้คนนัก


 


และภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ณ จุดที่เคยมีรอยแยกมิติอันเป็นทางเข้าระนาบเทียมปรากฏอยู่ ก็มีผู้คนจากทุกทั่วสารทิศแวะเวียนกันมาสำรวจตรววจสอบ


 


แน่นอนว่ารอยแยกมิติที่ ‘เผยซื่อไห่’ ใช้พลังฉีกเปิดเพื่อเข้าไปในระนาบเทียมนั้น ได้ปิดตัวลงไปตั้งนานแล้ว


 


อย่างไรก็ตามนั่นไม่ส่งผลอะไรต่อผู้ที่อยากจะมาเยี่ยมชมสำรวจจุดเกิดเหตุแม้แต่น้อย


 


“คนผู้นั้น…หรือจะเป็นใต้เท้า เฉิงอี้ข่าย ?”


 


ในขณะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดขาวพิสุทธิ์ ในมือของมันยังถือไว้ด้วยกระบี่ยาวพร้อมฝักเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น เหล่าผู้ที่มาตรวจสอบสถานที่ๆอยู่ไม่ไกลก็มีบางคนจดจำมันได้จึงอุทานออกมา


 


“ใต้เท้าเฉิงอี้ข่าย? กระบี่อาภรณ์พิสุทธิ์ เฉิงอี้ข่าย อันดับที่ 28 ในรายนามยอดเซียนน่ะรึ?”


 


ทันใดนั้นสายตาของผู้คนก็หันมองไปตามสายตาของผู้ที่อุทานออกมา ก่อนจะแลเห็นชายหนุ่มในชุดขาวปลอด ในมือถือกระบี่ยาวพร้อมฝักเอาไว้เล่มหนึ่ง


 


ชายหนุ่มชุดขาวถือกระบี่ผู้นี้ ช่างมีใบหน้าอันหล่อเหลานัก ด้วยท่วงท่างามสง่าและความน่าเกรงขามของชนชั้นยอดฝีมือ ไม่ทราบทำร้ายจิตใจสตรีน้อยใหญ่มาแล้ววมากมายเท่าไหร่ เรียกว่าเพียงมันปรากฏตัว สตรีที่ขวัญกล้าทั้งหลายก็ทอดสะพานให้มันอย่างไม่อิดออดเอียงอาย บ้างก็ชะม้ายชายตามองปานจะกลืนกิน


 


เฉิงอี้ข่ายตอนนี้ ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดของขุมพลังชั้น 1 ในภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า พรรคกระบี่ลี้ลับ! และมันยังถือว่าเป็นอาวุโสสูงสุดที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์พรรคกระบี่ลี้ลับอีกด้วย!!


 


เพราะตอนนี้อายุของมันก็พึ่งมีแค่ 100 กว่าปีเท่านั้น…


 


อีกทั้งว่ากันว่าประมุขพรรคกระบี่ลี้ลับ ยังมีลำดับอาวุโสเป็นถึงอาจารย์ลุงของมัน


 


และเหตุผลเดียวที่มันสามารถขึ้นแท่นรับตำแหน่งอาวุโสสูงสุดได้ เพราะมันเป็นเพียงคนเดียวในพรรคกระบี่ลี้ลับที่สามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!


 


พรรคกระบี่ลี้ลับนั้นมีกฏข้อหนึ่งกำชับเอาไว้ ไม่สำคัญว่าเป็นผู้ใด ขอเพียงบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน สามารถดำรงตำแหน่งอาวุโสสูงสุดได้ทันที!


 


เช่นนั้นหมายความว่าผู้ใดก็ตามหากคิดเป็นอาวุโสสูงสุดของพรรค ก็จำต้องบรรลุให้ถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเสียก่อน


 


ในฐานะอาวุโสสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวของพรรคกระบี่ลี้ลับ เฉิงอี้ข่าย แทบเสมือนเสาหลักอันดับ 1 ของพรรคกระบี่ลี้ลับก็ว่าได้ เช่นนั้นแล้วฐานะของมันในพรรคกระบี่ลี้ลับ จึงสูงส่งสุดที่ผู้ใดจะเทียบเทียม!


 


“ไม่คิดเลยว่ากระทั่งมันยังมาด้วย…”


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา


 


“เฉิงอี้ข่าย กระบี่ขาวอาภรณ์พิสุทธิ์ คนนี้ นับเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ที่หาได้ยากของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเราในรอบพันปีคนหนึ่ง…มันสามารถบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้ทั้งๆที่พึ่งมีอายุร้อยปีเศษ! หลายขุมพลังแทบไม่เคยมีตัวตนเช่นมันปรากฏขึ้นมาก่อน”


 


“ว่ากันว่าตอนที่มันทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนได้ทั้งๆที่ยังอายุไม่ถึง 100 ปี เหล่า 3 ลัทธิใหญ่ก็ไปยื่นข้อเสนอให้มันมากมาย…ว่าตราบใดที่มันเข้าร่วม 3 ลัทธิ มันสามารถดำแหน่งรองจ้าวลัทธิได้ทันที!”


 


“น่าเสียดายที่มันเลือกปฏิเสธ…หาไม่แล้วหากมันไม่เป็นรองจ้าวลัทธิบูชาไฟ หรือชนชั้นมหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ ก็ต้องเป็นปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้าไปแล้ว!”


 


“เห็นว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของมันเป็นสีครามเข้ม…เรื่องนี้จริงหรือไม่?”


 


“หากเป็นเช่นนั้นจริง หมายคววามว่า…เผยซื่อไห่ ก็ต้องเป็นอย่างที่ผู้ฝึกตนอิสระกล่าวกันน่ะสิ! เพราะด้วยอายุไม่ถึงร้อยปี หากแต่มีพรสวรรค์เหนือกว่าเฉิงอี้ข่ายได้ เช่นนั้นก็สมควรมีรากวิญญาณสีม่วงแล้วจริงๆ”


 


“รากวิญญาณสีม่วงหรือ? ให้ตายข้าก็ไม่เชื่อวาจาปั้นน้ำเป็นตัวของพวกผู้ฝึกตนอิสระนั่นหรอก!”


 


การมาถึงของ กระบี่ขาวอาภรณ์พิสุทธิ์ เฉิงอี้ข่าย ทำให้ผู้คนฮือฮากันไม่น้อย


 


หากจะกวาดตามองไปทั่วทังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า พลังฝึกปรือของเฉิงอี้ข่ายไม่นับว่ายอดเยี่ยมที่สุด


 


แต่การที่มันสามารถบรรลุถึงขอบเขตเซียนสววรรค์ 7 เปลี่ยนได้ทั้งๆที่มีอายุร้อยเศษ…ความสำเร็จเช่นนี้ต่อให้มองไปทั่ววดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็หาได้ยากเย็นประหนึ่งเขามังกรขนหงส์


 


ตอนนี้ผู้คนมากมายจากทุกทั่วสารทิศของภูมิภาคเบื้องบน ล้วนเป็นคนที่ขุมกำลังต่างๆส่งออกมาตรวจสอบเรื่องราว


 


ผู้ฝึกตนอิสระแทบไม่มี


 


ถึงแม้ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ผู้ฝึกตนอิสระมักไม่ค่อยข้องแวะกันเท่าไหร่ แถมยังแตกแยกดั่งเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย หากทว่าพวกมันก็ยังมีคนที่ศรัทธาและยึดถือเป็นแบบอย่างเช่นกัน


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวตนที่เป็นสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ในรายนามยอดเซียนอย่างเนี่ยอู๋เทียนที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระเหมือนกัน เรียกว่าเป็นดั่งศูนย์รวมความศรัทธาของผู้ฝึกตนอิสระทั้งแดนดิน


 


และ ‘เผยซื่อไห่’ ศิษย์ส่วนตัวของเนี่ยอู๋เทียน ก็เป็นผู้ที่พิสูจน์ให้ทุกคนรู้ ว่า ‘กับดัก’ ที่ถูกทิ้งไว้โดย 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะ นั้นอันตรายมากเพียงใด ทำให้ผู้ฝึกตนอิสระแทบทั้งหมดเชื่อมั่นว่าอันตรายจริง จึงไม่มีใครคิดมาตรวจสอบอะไรให้ซ้ำซากอีกต่อไป


 


ซู่มม!


 


ในขณะที่ทุกคนหันไปให้ความสนใจกับ เฉิงอี้ข่าย พลันปรากฏเสียงดั่งกระบี่แหวกอากาศหนึ่งดังขึ้น อีกทั้งทุกคนยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายกระบี่อันเสียดแทงแผ่ซ่านออกมากดดันพร้อมสายลมแรงหอบหนึ่ง เมื่อหันไปก็เห็นบางสิ่งที่คล้ายกระบี่เล่มเขื่องพุ่งทะยานแหวกฟ้ามาแต่ไกล! พาลให้ผู้คนตื่นตระหนกเร่งหลีกหลบออกไปให้พั้นทางกระบี่จ้าละหวั่น!!


 


เพียงชั่วพริบตากระบี่เล่มเขื่องก็พุ่งทะยานไปหยุดอยู่ที่ว่างกลางหาว ก่อนที่ร่างๆหนึ่งอันให้สภาวะไม่ต่างกระบี่เล่มเขื่องจะปรากฏสู่สายตาผู้คน


 


เป็นชายหนุ่มในชุดสีดำสนิท แผ่นหลังสะพายกระบี่พร้อมฝักเอาไว้


 


รูปลักษณ์ของมันแลดูหล่อแบบคมเข้มอย่างร้ายกาจ หากแต่สีหน้าท่าทางกลับให้ความรู้สึกเย็นชายากเข้าหาเป็นที่สุด


 


เรียกว่าใบหน้านิ่งเฉยไม่แยแสสรรพสิ่งนั่น เพียงยืนอยู่เฉยๆ ทั่วร่างของมันก็แผ่ซ่านไอเย็นเยียบปานจะแช่แข็งผู้คนออกมาไม่หยุด ราวกับมันเป็นภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งที่ผลักไสผู้คนให้ไกลออกไปนับพันลี้!


 


หลังจากที่มันปรากฏตัวออกมา เรียกว่าแย่งชิงความโดดเด่นของ กระบี่ขาวอาภรณ์พิสุทธิ์ ‘เฉิงอี้ข่าย’ ไปทันที และสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนจากเฉิงอี้ข่ายมาเป็นมัน…


 


“จงเฉิน!”


 


ก่อนที่ทุกคนจะทันได้คืนสติ เฉิงอี้ข่าย ก็ตะคอกนามของชายชุดดำออกมา


 


“จงเฉิน?”


 


ทันทีที่เฉิงอี้ข่ายทำลายความเงียบด้วยการประกาศนามชายชุดดำออกมา ก็ทำให้ฉากโดยรอบวุ่นวายไปพักหนึ่ง


 


“จงเฉิน? กระบี่ทมิฬไร้ใจ จงเฉิน?”


 


ครู่ต่อมาหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก


 


“สวรรค์ คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าชีวิตนี้ของข้าจะได้เห็นกระบี่ขาวอาภรณ์พิสุทธิ์ กับกระบี่ทมิฬไร้ใจพร้อมๆกัน! ชีวิตนี้ของข้านับว่าอยู่มาคุ้มค่าแล้วจริงๆ!!”


 


ชายชราคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกด้วยความทอดถอน


 


จงเฉินหรือที่รู้จักกันในนาม ‘กระบี่ทมิฬไร้ใจ’ นั้นอดีตเคยเป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของลัทธิชะตาฟ้า หากแต่ตอมาไม่ทราบเกิดเรื่องราวอันใดขึ้นมันถึงได้ทรยศลัทธิชะตาฟ้า กระทั่งถูกลัทธิชะตาฟ้าไล่ฆ่าจนต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน!


 


จนกระทั่งพลังฝึกปรือของมันทะลวงผ่านเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน ลัทธิชะตาฟ้าจึงหยุดไล่ล่ามัน และได้ออกประกาศแจ้งให้มันหวนกลับสู่ลัทธิ รวมถึงปล่อยวางเรื่องราวในอดีตทั้งหมด…


 


ทว่ามันไม่สนใจอีกต่อไป


 


ตั้งแต่วันนั้นเป็นตนมามันเลือกที่จะเป็นผู้ฝึกตนอิสระ พเนจรท่องหล้าเพียงลำพังดั่งหมาป่าเดียวดาย


 


ตัวมันนั้นติดอันดับที่ 27 ในรายนามยอดเซียน พลังฝีมือพอๆกันกับกระบี่ขาวอาภรณ์พิสุทธิ์เฉิงอี้ข่าย เรียกว่าทั้งคู่ไม่เพียงมีพลังฝีมือพอๆกัน อายุยังไล่เลี่ยกันอีกด้วย ด้านเฉิงอี้ข่ายเองก็เคยท้าสู้มันหลายครั้งหลายครา


 


หากแต่ผลลัพธ์ที่ออกมาทุกครั้งคือกินกันไม่ลง


 


เมื่อผลการประมือออกมาเป็นเสมอ เช่นนั้นอันดับย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลง


 


ในเรื่องนี้เฉิงอี้ข่ายแน่นอนว่าย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา หากแต่มันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหดหู่ใจ


 


ใครใชให้จงเฉินโชคดีสามารถเอาชนะอดีตยอดฝีมืออันดับที่ 27 ในรายนามยอดเซียนก่อนมันเล่า?


 


ตอนนี้นอกเสียจากมันจะเอาชนะจงเฉิน หรือยอดฝีมือที่มีอันดับเหนือกว่าจงเฉิน หาไม่แล้วก็ไม่มีทางที่อันดับมันจะเหนือกว่าจงเฉินได้เลย…


 


“อืม”


 


ได้ยินเสียงเรียกของเฉิงอี้ข่าย จงเฉินเพียงกล่าวตอบด้วยเสียงในลำคออย่างไม่แยแส กระทั่งยังไม่แม้แต่จะหันไปมองเฉิงอี้ข่ายด้วยซ้ำ ท่าทีช่างเย็นชาประหนึ่งไม่เห็นหัวเฉิงอี้ข่ายแม้แต่น้อย!!


 


เห็นดังนั้น เฉิงอี้ข่ายย่อมโมโหเป็นธรรมดา!


 


หากแต่มันก็รู้ตัวดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะลงมือ


 


นอกจากนี้ต่อให้ลงมือต่อยตีกับอีกฝ่ายจริง มันก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ และมิวายอย่างดีผลต้องมาเป็นเสมออีกครั้งแน่!


 


“จงเฉิน ในเมื่อเจ้ามาที่นี่ได้…หมายความว่าเจ้าเองก็สนใจจะเข้าไปในระนาบเทียมที่เห็นว่าเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะถึง 3 คนร่วมมือกันสร้างใช่หรือไม่?”


 


ทันใดนั้นคล้ายนึกใดได้ออก ลูกตาเฉิงอี้ข่ายทอประกายเจิดจ้า มุมปากยกยิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นให้ข้าช่วยเจ้าหาตำแหน่งกำแพงมิติที่จะนำไปสู่ระนาบเทียมนั่นทั้งลงมือฉีกเปิดให้เจ้าเป็นไร?”


 


ทันใดนั้นเองทุกคนต่างพากันหันมองไปที่จงเฉิน


 


ขณะเดียวกันด้านจงเฉินเองก็หันศีรษะมาเล็กน้อย เหลือบมองเฉิงอี้ข่ายด้วยหางตา กล่าวออกเสียงเย็นยะเยือก “หากเจ้าคิดจะเข้าไปก็เชิญ…อย่าได้ฝันว่าข้าจะเปิดทางให้เจ้า!”


 


จงเฉินกล่าวออกมาแบบนี้ ย่อมเปิดเผยเจตนาของเฉิงอี้ข่ายที่คิดให้มันเข้าไปรับหน้าด้านในก่อนออกมาทันที


 


ด้วยถูกแฉความในใจเช่นนี้รอยยิ้มบนใบหน้าเฉิงอี้ข่ายย่อมสลายไป ยังแทนที่ด้วยความอึมครึมเกรี้ยวกราด


 


ครู่ต่อมากลิ่นอายพลังคมกล้าน่ากลัวขุมหนึ่งก็เริ่มแผ่ออกมาจากร่างเฉิงอี้ข่าย


 


กลิ่นอายที่เสียดคมกระหนึ่งมีคมกระบี่กรีดกรายไปทั่วนี้ พาลให้ผู้คนโดยรอบรีบเหินหนีกันจ้าละหวั่น ด้วยกลัวจะกลายเป็นปลาในบ่อที่พลอยซวยไปด้วย…


 


จังหวะนี้ทุกผู้คนย่อมรับทราบบรรยากาศตึงเครียดที่อุบัติขึ้นระหว่างทั้ง 2 ได้ชัดเจน


 


“พวกมันจะสู้กันแล้วรึ!? มารดาของมันช่างประเสริฐนัก!!”


 


มีหลายคนที่กลัวใต้หล้าจะวุ่นวายไม่พอ พากันยินดีกันยกใหญ่ แลดูคึกคักไม่น้อย


 


และในขณะที่ทั่วร่างของจงเฉินก็ปรากฏกลิ่นอายพลังคมกล้าปานกระบี่แกร่งตลบขึ้นมา คล้ายพร้อมจะลงมือเช่นกันนั้นเอง..


 


“เจ้าน่ะหรือ คนทรยศจงเฉินที่ถูกขับไล่ออกจากลัทธิชะตาฟ้าเมื่อปีนั้น?”


 


เสียงหนึ่งพลันก้องออกมาจากความว่างเปล่า และพร้อมๆกันกับเสียงสนั่นที่กึกก้องในหู พลันมีคลื่นลมรุนแรงสายหนึ่งพัดกรรโชกเข้ามา!


 


ครืนนน!!


 


แทบจะพร้อมกันกับที่มีสายลมพัดกรรโชกแรงกวาดผ่าน


 


ทั้งหมดพลันสัมผัสได้ว่าในสายลมที่พัดกรรโชกลงมาจากฟ้าเบื้องบน ได้หอบเอามวลพลังกดดันอันร้ายกาจขุมหนึ่งลงมาด้วย!!


 


มองไปเห็นเป็น ‘ฝ่ามือ’ มหึมาประหนึ่งเนินเขาย่อมๆอันควบแน่นมาจากพลังเซียนต้นกำเนิดอันสุดไพศาล ประทับลงมาฟากฟากฟ้า ถล่มลงไปหาจงเฉิน!!


ตอนที่ 2,156 : มหาปุโรหิตแห่งลัทธิชะตาฟ้า!


 


 


ฝ่ามือพลังมีสภาพกระบวนนี้ ช่างใหญ่โตปานขุนเขา สภาวะเกรี้ยวกราดอัดแน่นไปด้วยมวลพลังอันสุดไพศาล!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


ยามพลังฝ่ามือร่วงผ่านความว่างเปล่า ความว่างถึงกับสะเทือนเลือนลั่น แสงแตกระเบิดของอากาศสนั่นเป็นชุดไม่หยุดหย่อน  ฟังไปปานพยุหอัสนีกึกก้องยามมรสุมกระหน่ำ!


 


อีกทั้งพลังฝ่ามือมหึมานี้ ยังใหญ่โตราวจะปิดแผ่นฟ้า ยังผลให้ผู้ที่อยู่เบื้องล่าง ถูกเงาดำทะมึนพาดทับ ตะวันคล้ายหม่นแสงไปในพริบตา


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 


……


 


ประทับฝ่ามือร่วงฟ้ามาไม่ทันไร เสียงระเบิดพลันดังขึ้นเป็นชุด…เป็นผู้คนจากขุมพลังต่างๆที่ลอยร่างผิดที่ผิดทาง ไม่ทันหลีกหลบให้พ้นทาง กลับต้องประสบชะตาดับอนาถสังเวยชีวิตอย่างไม่ยินยอม ร่างระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิตในบัดดล…


 


หมอกโลหิตกำจายพร่างฟ้า มองไกลๆคล้ายมีบุปผาสีเลือดช่อตูมเบ่งบาน


 


เพียงเวลาเสี้ยวพริบตา ผู้ฝึกตนจากขุมพลังต่างๆนับโหล ก็สลายหายไปไม่เหลือแม้แต่ซากศพให้กลบฝัง…


 


ผู้ฝึกตนเหล่านี้จะดีจะชั่วก็ล้วนเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ทั้งสิ้น ในบรรดาพวกมันกระทั่งเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน 5 เปลี่ยนก็ยังมี! อนิจจาต่อหน้า ‘ฝ่ามือ’ มหาประลัยที่ประทับร่วงฟ้านั่น พวกมันไร้ซึ่งกำลังต้านทานอันใด แม้แต่เวลาจะหลีกหลบยังไม่มี!


 


ชิ้ง! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!


 



 


ห้วงเวลาเดียวกวันกับที่ผู้ฝึกตนนับโหลร่างระเบิดเป็นหมอกเลือด กระบี่พันอาคมในฝักที่สะพายอยู่ด้านหลังจงเฉินพลันถูกชักออกมาตวัดฟันฟาดออกไปด้วยความเร็วเหนือเสียง พริบตาข่ายพลังกระบี่นับร้อยเส้นสายก็ปรากฏอุบัติกลางความว่าง ฟุ้งฟาดทำลายไปยังฟ้าเบื้องบนไม่หยุดหย่อน ยังถักทอร้อยเรียงกันราวข่ายฟ้าแหสวรรค์!!


 


ข่ายฟ้าแหสววรรค์จากพลังกระบี่ ปะทุกลิ่นอายคมกล้าหาใดเปรียบสะท้านไปทั่ว! ประหนึ่งพวกมันสามารถสะบั้นทำลายได้ทุกสรรพสิ่ง!!


 


เสื้อคลุมสีดำตัวเก่งบัดนี้โบกสะบัดไปมาระรัว ช่วงอกยังพองลมขึ้นมาปานลูกโป่ง ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มอย่างร้ายกาจฉายถึงความตึงเครียดออกชัด เป็นมันที่เร่งเร้าพลังเซียนต้นกำเนิดทุกหยาดหยดในร่างใช้ออกด้วยวรยุทธ์เซียนป้องกันผสานไปด้วยเวทย์พลังป้องกันสุดกำลัง!!


 


กระบี่คลุมฟ้าดิน!


 


กาลครั้งหนึ่งมันเคยใช้ออกด้วยทุกสิ่งเช่นนี้ จนสามารถต้านท้านกระบวนสังหารของเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนมาได้ โดยที่ตัวมันได้รับบาดเจ็บภายในเพียงแค่เล็กน้อย แต่ทว่าพลังเซียนต้นกำเนิดทั่วร่างของมันก็แห้งเหือดไม่มีเหลือเช่นกัน!!


 


เปรี๊ยงงงงงง!!


 


เสียงสนั่นดังลงมาจากฟากฟ้า! เป็นฝ่ามือมหึมาปานเมฆเขื่อง…หลังมันเข่นฆ่าสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ไปนับโหล ในที่สุดก็ปะทะเข้ากับข่ายเพลงกระบี่ของจงเฉินที่ถักทอร้อยเรียงมาข่ายฟ้าแหสวรรค์!!


 


ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!


 



 


เสียงระเบิดดังปานฟ้าร้องกึกก้องออกมาไม่หยุด!


 


พลังฝ่ามือประทับที่บดขยี้ทำลายข่ายพลังกระบี่ชั้นแล้วชั้นเล่า! ข่ายฟ้าแหสวรรค์บัดนี้คล้ายถูกหมุดพิภพทะลวงทำลายมาอย่างไม่หยุดยั้ง!!


 


สีหน้าจงเฉินเปลี่ยนเป็นดำคล้ำเมื่อเห็นภาพเรื่องราวดังกล่าว


 


“ไม่ดี!”


 


พริบตานั้นคล้ายจงเฉินตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมหันต์ และสุดท้ายฝ่ามือพลังมีสภาพอันเขื่องปานขุนเขาก็แหวกข่ายพลังกระบี่ลงมาซัดทำร้ายเข้าร่างมันอย่างจัง!


 


ถึงแม้จงเฉินจะสลายพลังฝ่ามือส่วนใหญ่ไปได้ หากแต่พลังทำลายของประทับฝ่ามือนี้ก็มิอาจดูเบาได้โดยเด็ดขาด       ทันทีที่มันซัดปะทะเข้าร่างจงเฉิน ก็ส่งร่างจงเฉินปลิดปลิวละลิ่วปานว่าวสายป่านขาด ร่วงตกลงไปในหุบเขากว้างใหญ่เบื้องล่าง!


 


ตูมมมม!!


 


โครมมมม ครืน ครืนนน!!


 



 


เสียงระเบิดดังสนั่นอีกรอบ ยังดังประหนึ่งอุกกาบาตร่วงฟ้ากระแทกแผ่นดิน เขาใหญ่ใกล้เคียงมิอาจทนรับแรงกระแทกได้ไหวพังทลายถล่มลงมา ฝังร่างจงเฉินให้จมหายลงไปในกองซากปรักหักพัง…


 


ขณะเดียวกันพลังฝ่ามือก็สิ้นสูญพลังสภาวะ สลายหายไปในความว่างเปล่าเรียบร้อย


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 



 


จังหวะนี้ผู้คนโดยรอบไม่เว้นเฉิงอี้ข่ายพึ่งจะคืนสติ เมื่อทั้งหมดรู้สึกตัวก็พากันสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บอย่างอดไม่ได้


 


ไม่ทันที่ผู้ลงมือจะปรากฏตัว อาศัยเพียงพลังฝ่ามือจากฟากฟ้านั่น…ก็ป่นร่างผู้ฝึกตนไปแล้วนับโหล!


 


กระทั่งกระบี่ทมิฬไร้ใจ จงเฉิน อันดับที่ 27 ในรายนามยอดเซียน ตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตเซวียนสววรรค์ 7 เปลี่ยน ยังถูกตบร่วงฟ้าปานไก่กระเบื้องอันแสนเปราะบาง!


 


ทั้งหมดรู้ดีแก่ใจ


 


ด้วยพลังฝ่ามือนั่น ถึงจงเฉินไม่ตายแต่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส!


 


ฟุ่บบบ!!


 


สายลมแรงหอบหนึ่งตีปะทะเข้าใบหน้าเฉิงอี้ข่ายทั้งผู้ฝึกตนทั้งหลายอย่างที่ไม่ทันตั้งตัว พริบตาต่อมาทั้งหมดก็แลเห็นร่างหนึ่งที่คล้ายผุดโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่า


 


เป็นชายชรามานชุดคลุมลมดำหลวมโครก ร่างกายของมันสูงใหญ่แลดูกะปรี้กะเปร่าไม่คล้ายผู้ชรา แม้ใบหน้ารูปลักษณ์แลดูธรรมดาๆ หากแต่แววตาคมกล้านั่นของมัน ช่างให้ความรู้สึกเฉียบคมยิ่งนัก!


 


หลังปรากฏตัวออกมากลางหาวร่างชราก็แน่นิ่งไม่ไหวติงค้างฟ้า


 


“นะ…นั่นมัน”


 


เฉิงอี้ข่ายที่สายตาแหลมคมไม่ใช่ชั่ว ย่อมแลเห็นลายปักรูปหัวกะโลหกสีแดงเข้มบนหน้าอกของชายชราได้ชัดเจน ทันใดนั้นร่างของมันก็สั่นสะท้านไปไม่เป็นผู้คน


 


ราวกับพึ่งประสบกับเรื่องอันน่าสะพรึงกลัวประการหนึ่ง


 


“มหาปุโรหิต เป็นท่านหรือ…”


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังหวาดตัวกับการปรากฏตัวของชายชรา น้ำเสียงที่ปะปนไปทั้งความเคารพและความไม่พอใจพลันดังขึ้น…


 


เป็นจงเฉินที่ถูกพลังฝ่ามือซัดทำร้ายจนปลิดปลิวร่วงฟ้าไปปานดาวตก ได้เหินร่างสะบักสะบอมขึ้นมาจากซากปรักหักพัง ก่อนจะมาหยุดค้างกลางฟ้า


 


เรียกว่าจงเฉินตอนนี้ไม่เหลือคราบวีรบุรุษผู้กล้าเหมือนดั่งก่อนหน้าสืบไป แลดูมอมแมมทั้งยับเยินปานขอทาน…


 


หลังก้าวขึ้นมาในอากาศแล้ว จงเฉินก็มองกล่าวกับชายชราด้วยทีท่าหวั่นเกรงระคนหวาดกลัว “ท่าน…ท่านมาคนเดียว?”


 


เผชิญหน้ากับชายชราชุดดำ จงเฉินยังต้องเรียกหาด้วยความสุภาพเคารพ


 


ถึงแม้ชายชราจะทุบตีมันจนยับก็ตามที!


 


ต่อหน้าชายชราผู้นี้มันไม่กล้าถือดีวางท่าอะไร!


 


“ในเมื่อวันนี้เจ้ารอดฝ่ามือข้าไปได้  เช่นนั้นข้าจักไว้ชีวิตเจ้า…”


 


อย่างไรก็ตามแม้จะได้ยินเสียงทักถามด้วยเคารพจากจงเฉิน แต่ชายชราชุดดำที่จงเฉินเรียกหาว่า มหาปุโรหิต กลับไม่เหลือบแลจงเฉินแม้แต่หางตา เพียงกล่าวทิ้งท้ายไว้คำหนึ่งก็เหินร่างออกไปทันที


 


“ขอบคุณท่านมหาปุโรหิตที่เมตตา…”


 


จงเฉินพลันระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำของผู้ชรา


 


หากอีกฝ่ายต้องการฆ่ามันจริงๆ ต่อให้มันจะบรรลุถึงสุดปลายด่านพลังเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน แต่ก็เกรงว่าคงยากจะรอดพ้นชะตาตายตก ไม่อาจต้านทานอันใดได้เลย


 


ครู่ต่อมา ชายชราผู้นั้นก็ลอยร่างมาอยู่ไม่ห่างจากเฉิงอี้ข่าย


 


เห็นดังนั้นเฉิงอี้ข่ายก็เร่งกุลีกุจอหลีกหลบออกไปให้ห่างจากชายชรา ด้วยกลัวว่าจะสร้างความไม่พอใจอะไรให้อีกฝ่ายเข้า


 


พลังฝีมือนั่นของชายชรา กระทั่งมันก็หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ


 


‘มะ…มันคือ มหาปุโรหิตจริงๆ!?’


 


ใจเฉิงอี้ข่ายสะท้านไปทันใดเมื่อได้ยินจงเฉินเรียกหาชายชราผู้นี้ด้วยน้ำเสียงหวั่นเกรงมากเคารพ ทำให้มันตระหนักได้ทันทีว่าการคาดเดาของมันก่อนหน้าไม่มีผิดพลาด


 


ชายชราผู้นี้มาจากลัทธิชะตาฟ้า มหาปุโรหิต!


 


ยังเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในลัทธิชะตาฟ้า!


 


เพราะมหาปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้าผู้นี้  ก็คือตัวตนที่พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว!!


 


อันดับในรายนามยอดเซียนของมันตอนนี้ เพียงด้อยกว่าเนี่ยอู๋เทียนกับสุดยอดฝีมืออีกคนเท่านั้น…


 


มันรั้งอยู่ในอันดับที่ 3 ของรายนามยอดเซียน! เป็นหนึ่งผู้ฝึกตนไม่กี่คนที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของพลังในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ชิ้ง!


 


เสียงประหนึ่งมีดดาบกรีดผ่าอากาศดังขึ้น เฉิงอี้ข่ายทั้ยจงเฉินเห็นเพียงประกายแสงวูบหนึ่งแวบเข้าตาเท่านั้น


 


เป็นชายชราที่โบกมืออย่างไร้เรื่องราวต่างดาบกระบี่ ฉีกเปิดรอยแยกมิติท่ามกลางความว่างเปล่า


 


หลังจากนั้นร่างชราก็วูบหายเข้าไปในรอยแยกทันที


 


“มะ…มันเข้าไปแล้ว?”


 


เห็นเช่นนี้ผู้ฝึกตนที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนก็อดตกตะลึงไปไม่ได้ ทั้งหมดตกใจกับการกระทำของชายชรานัก!


 


ขณะเดียวกันบางคนที่หัวไวหน่อยก็ดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้ในเวลอันสั้น กระทั่งตระหนักเรื่องราวบางประการได้ออก “เมื่อครู่ใต้เท้าจงเฉินเรียกหาเฒ่าชราผู้นั้นว่า มหาปุโรหิต? นามนี้สมควรมิใช่นามที่ใช้เรียกหากันทั่วไป…”


 


“อีกทั้งจงเฉินยังเคยเป็นคนของลัทธิชะตาฟ้า กอปรกับพลังฝีมือของชายชราผู้นั้นช่างสูงส่งนัก…หรือว่า…หรือว่าชายชราผู้นั้นที่แท้เป็น มหาปุโรหิต ของลัทธิชะตาฟ้า ใต้เท้าโม่เชวียน!”


 


“ใต้เท้าโม่เชวียน!?”


 


“สมควรเป็นท่านไม่ผิดแน่! นอกจากใต้เท้าผู้นั้นแล้วข้านึกไม่ออกจริงๆว่าจะมีผู้ใดที่สามารถฆ่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ได้นับโหลในหนึ่งฝ่ามือเช่นนี้! กระทั่งหนึ่งฝ่ามือนั่น…หลังฆ่าคนนับโหลไปแล้วแท้ๆ แต่พลังสภาวะยังไม่ถดถอย! ถึงขั้นซัดทำร้ายใต้เท้าจงเฉิน อันดับที่ 27 ในรายนามยอดเซียนจนสิ้นท่า! ต้องทราบด้วยว่า…จะอย่างไรใต้เท้าจงเฉินก็เป็นเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอันร้ายกาจ!”


 


“สวรรค์ ใต้เท้าโม่เชวียน มหาปุโรหิตแห่งลัทธิชะตาฟ้า ยอดฝีมือลำดับที่ 3 ในรายนามยอดเซียน! หนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้าคนนั้นน่ะรึ!!”


 



 


ผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้านั้น ก็คือผู้ที่พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน


 


เพราะมีเพียงแต่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติรับตำแหน่งผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้า


 


หลังจากที่ตระหนักถึงตัวตนของชายชราเมื่อครู่ได้แล้ว ใจของทุกผู้คนในที่นี้ล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอกสั่นขวัญแขวน หากแต่ลึกลงไปในใจก็ยังบังเกิดความอยากรู้ตามมา…


 


มหาปุโลหิตแห่งลัทธิชะตาฟ้าที่วูบร่างเข้าไปใน ‘กับดัก’ ของ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะ จะสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้หรือไม่?


 


เพราะจากข่าวลือก่อนหน้า…


 


การปะทุระเบิดของพลังสังหารจากค่ายกลสังหารที่อยู่ในระนาบเทียมแห่งนั้น กระทั่งทำให้ยอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันอย่างระฆังสุญตาถึงกับแตกร้าว! นอกจากนั้นยังป่นทำลายแขนซ้ายและดาบพันอาคมเซียนของเผยซื่อไห่ทั้งๆที่ใช้ระฆังสุญตาแล้วอีกด้วย!!


 


“ไม่ทราบใต้เท้าโม่เชวียนจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราวหรือไม่…?”


 


“นั่นมันย่อมแน่อยู่แล้ว ใต้เท้าโม่เชวียนมิเพียงเป็นมหาปุโรหิตของลัทธิชะตาฟ้าเท่านั้น แต่ท่านยังเป็นสุดยอดอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวของลัทธิชะตาฟ้าที่สามารถแตกฉานเวทย์พลังป้องกันอันดับหนึ่งของลัทธิชะตาฟ้าถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ!!”


 


“เวทย์พลังป้องกันอันดับหนึ่งของลัทธิชะตาฟ้านั้น เป็นเวทย์พลังป้องกันโบราณที่มีพลังอานุภาพสูงล้ำกว่าเวทย์พลังระดับสูงในแดนดิน เรียกว่าเป็นเวทย์พลังป้องกันที่ยอดเยี่ยมที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็ไม่เกินเลย! ด้วยเวทย์พลังป้องกันนั่น เกรงว่าความสามารถในการป้องกันภยันตรายของใต้เท้าโม่เชวียนยังเหนือกว่าเผยซื่อไห่ที่ใช้ระฆังสุญตาเสียอีก!!”


 



 


ในขณะที่ทุกผู้คนกำลังพูดคุยกระซิบกระซาบกันด้วยความเชื่อมั่นในพลังฝีมือของโม่เชวียน มหาปุโรหิตแห่งลัทธิชะตาฟ้า ผู้ซึ่งแม้แต่เฉิงอี้ข่ายกับจงเฉินเองก็อยากรู้อยากเห็นกว่าใคร…ว่าโม่เชวียนผ็นั้นจะรอดชีวิตออกมาหรือไม่นั้นเอง…


 


ณ ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ภายในแนวเทือกเขา บนยอดเขาสูงชันลูกหนึ่ง พลันมีเสียงหนึ่งดังก้องปานฟ้าร้องทำลายความเงียบสงบไปในทันที


 


“ซูหลี่! ฟื้นเถอะ! ซู่หลี่….เจ้ารีบฟื้นสติเถอะ!!”


 


“เป็นข้าเอง อาจารย์ของเจ้า…เจ้าดูเถอะ เป็นข้าเอง กระบี่ที่ 13 อาจารย์ของเจ้าอย่างไรเล่า! เจ้ารีบฟื้นสติเร็วเข้า!!”


 



 


เสียงตะโกนดังกล่าวดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ทั้งแฝงเร้นไว้ด้วยความร้อนรนใจถึงขีดสุด อีกทั้งในความร้อนรนนั้นก็แฝงเร้นไปด้วยความอับจนหนทางถึงขีดสุด…


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!!


 


เสียงแหวกสายลมแรง 2 สำเนียงดังขึ้นติดๆ ดั่งสายลมแรงกรรโชกหอบซัดมา 2 สาย ปรากฏร่างหนึ่งเหินนำ ส่วนอีกร่างเหินไล่ตามลัดฟ้าด้วยความเร็วสูง…


 


เพียงแต่ความเร็วของร่างด้านหลังนั้นเหนือกว่าร่างเบื้องหน้ามากนัก…


 


ในเวลาชั่วพริบตาร่างด้านหลังก็ไล่ตามร่างเบื้องหน้าได้ทัน


 


ชายที่เหินร่างนำอยู่ด้านหน้า รูปลักษณ์มันเป็นชายวัยกลางคน ที่สภาพแลดูสะบักสะบอมทั้งทรุดโทรม คล้ายพึ่งประสบคราวเคราะห์อันใดบางอย่างมา


 


ส่วนชายที่ไล่ล่าอยู่ด้านหลังนั้น เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาสมควรหล่อเหลา…อนิจจาบัดนี้ทั่วร่างของมันกลับเต็มไปด้วยไอมารอันน่าพรั่นพรึง ทั้งยังเป็นไอมารที่บริสุทธิ์ถึงขีดสุด!!


 


ไอมารอันบริสุทธิ์ไร้มนทิลใดๆ ปานเป็นต้นกำเนิดของความชั่วร้ายนี้ หาใช่ไอมารที่ผู้ฝึกมารทั่วไปจะมีได้!


 


นอกจากนั้นสองตาของชายหนุ่มคนนี้ยังแดงฉานปานก้อนโลหิต ไร้ซึ่งมวลอารมณ์ยินดียินร้ายใดๆทั้งปวง


 


ฟุ่บ!


 


ทันใดนั้น มือขวาของชายหนุ่มพลันสะบัดออกไปตามอำเภอใจอย่างไร้เรื่องราว  หากทว่ากระบี่สีเขียวยาว 3 ฉื่อในมือมัน ไม่ทราบสาบสูญไปที่ใด คงเหลือเพียงเสียงหอนของกระบี่กรีดอากาศสั้นๆแว่วดังขึ้น…


ตอนที่ 2,157 : สหาย ‘ซูหลี่’


 


ยังโชคดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้อยู่ที่นี่ และไม่ได้เห็นฉากชายหนุ่มลงกระบี่กับชายวัยกลางคน..


 


หาไม่แล้วเขาได้ตกใจตายแน่!


 


นั่นเพราะเขาไม่เพียงแต่จะรู้จักทั้ง 2 คนนี้เท่านั้น แต่ยังรู้ด้วยว่าทั้งคู่เป็น ศิษย์อาจารย์กัน!


 


ไอมารลุกโชนดั่งเปลวเพลิงปานจะเผาฟ้า และชายหนุ่มเจ้าของไอมารบริสุทธิ์ที่สภาวะดั่งเทพมารจุติลงมายังโลกหล้าผู้นี้ กลับไม่ใช่ใครอื่น…หากแต่เป็น ซูหลี่ สหายอันดี่ต้วนหลิงเทียนได้พบเจอตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นในชีวิตนี้!


 


จนถึงวันนี้ต้วนหลิงเทียนยังคงจดจำเรื่องราวได้ดี


 


จดจำเรื่องราวในอดีตระหว่างเขากกับซูหลี่ได้ชัดเจน…ครั้งแรกที่เขากับซูหลี่พบกัน ก็เป็นค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกำลังโลหิตเหล็กที่เมืองโลหิตเหล็กในอาณาจักรนภาล่อง…ตอนนั้นทั้งหมดล้วนยังเป็นวัยรุ่น


 


ต่อมาทั้งคู่ก็ผ่านการฝึกอบรมจากค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ และเดินทางไปยังสถาบันบ่มเพาะขุนพลของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรนภาล่อง กระทั่งเข้าเป็นนักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพล


 


และในเวลานั้นเอง ที่ตระกูลซู อันเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงอาณาจักรนภาล่องต้องการเอาชีวิตเขา กระทั่งยังใช้ครอบครัวของซูหลี่มาข่มขู่ซูหลี่ให้ร่วมมือกับคนตระกูลซูวางยาฆ่าเขา


 


อนิจจาซูหลี่นั้นเห็นเขาเป็นสหาย และไม่ต้องการทำร้ายสหาย! สุดท้ายจึงเลือกละทิ้งทุกอย่างหลบหนีไปจากตระกูลซู


 


หลังจากทิ้งจดหมายบอกกล่าวไว้ให้เขาแล้ว ซูหลี่ก็เดินทางออกจากอาณาจักรนภาล่องทันที ย้อนไปตอนนั้นกล่าวไปแล้วเขาเองก็มีส่วนทำลายอนาคตของซูหลี่…


 


อย่างน้อยๆในสายตาต้วนหลิงเทียนก็คิดแบบนั้น


 


ตั้งแต่วันนั้นเขาก็เห็นซูหลี่เป็นสหายอันดี เป็นดั่งเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้คนหนึ่ง


 


ต่อมาเขาก็ได้พบซูหลี่อีกครั้งในงานประลองคัดเลือกอัจฉริยะที่จัดขึ้นโดยอาณาจักรพนาคราม


 


หลังจากที่เปิดเผยพรสวรรค์ที่อาณาจักรพนาครามแล้ว ทั้งต้วนหลิงเทียนและซูหลี่ก็ได้เดินทางไปยังจักรวรรดิศิลาทมิฬ จนสามารถเอาชนะและได้รับการคัดเลือกให้ไปเข้าร่วม การประลองคัดเลือกยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่จะไปต่อสู้กันในการประลองสิบราชวงศ์ที่เมืองหลวงของราชอาณาจักรต้าฮั่น


 


ในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ มิตรภาพทั้งสองก็แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ยากที่ใครจะทำลายลงได้


 


หลังสิ้นสุดการประลอง 10 ราชวงศ์แล้วก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย


 


ประการแรกเลยเขามีเรื่องราวบาดหมางกับด่านมีดดาบที่ซูหลี่เข้าร่วม ต่อมาเมื่อเขาคิดตามหาซูหลี่เพื่อชักชวนให้ออกเดินทางไปด้วยกัน เขาก็พบว่าซูหลี่และอาจารย์ได้เดินทางออกจากด่านมีดดาบไปแล้ว…


 


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่เคยได้พบเจอกับซูหลี่อีกเลย…


 


และอาจารย์ของซูหลี่ที่ว่า ก็คือกระบี่ที่ 13 ผู้ที่กำลังถูกตัวซูหลี่เองไล่ล่า!


 


กระบี่ที่ 13 เคยเป็นยอดฝีมืออันดับ 2 ของด่านมีดดาบ และยังเป็นว่าที่หัวหน้าหมู่บ้านกระบี่ อนิจจาต่อมาด้วยไม่อาจยอมรับการกระทำของด่านมีดดาบที่ปฏิบัติต่อต้วนหลิงเทียนได้ มันกับซูหลี่จึงเลือกตัดสัมพันธ์กับด่านมีดดาบแล้วออกเดินทางพเนจรไปทั่วหล้าตั้งแต่วันนั้น…


 


……


 


เมื่อซูหลี่ตวัดซัดกระบี่ 3 ฉื่อสีเขียวในมือ เสียงกระบี่ทะยานแหวกอากาศสั้นๆพลันดังขึ้น


 


ฉึก!


 


เสียงกระบี่ทะลวงเลือดเนื้อดังขึ้นแผ่วเบา ร่างกระบี่ที่ 13 ที่เหินนำสะท้านไปอย่างแรงจากนั้นก็หยุดลง


 


มันค่อยๆหันกลับไปอย่างยากลำบาก จนได้เห็นซูหลี่ไล่ตามมาถึงตัวเรียบร้อย


 


และตอนนี้ที่ลำคอของมันปรากฏหลุมโลหิตหลุมหนึ่ง


 


หลุมโลหิตนั่น…ยิ่งมายิ่งแดงฉาน โลหิตทะลักออกดั่งเขื่อนแตก แลดูน่ากลัวนัก


 


มันเป็นดั่งรอยกระบี่มรณะ!


 


“เจ้า…เจ้าคือซูหลี่…เจ้าเป็นมนุษย์…มนุษย์…ไม่…ไม่ใช่…ปีศาจ…”


 


ในขณะที่โลหิตทะลักออกจากลำคอกระบี่ที่ 13 อย่างไม่อาจหยุดยั้ง กระบี่ที่ 13 ก็ใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายในชีวิตกล่าวคำกับซูหลี่ที่มีใบหน้าเย็นชาทั้งดวงตาสีเลือดออกมาอย่างยากลำบาก


 


และไม่ทันที่มันจะกล่าวจบคำดีสองตาก็หลับลง ก่อนที่ร่างจะร่วงตกจากฟ้า


 


พิกลนัก…


 


แม้มันจะตายตกแล้ว หากแต่ใบหน้ายามตายกลับคลี่ยิ้มบางๆ ราวกับมันจากไปพร้อมกับความพึงพอใจ


 


ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวในวันนี้ขึ้น กระบี่ที่ 13 คงไม่เคยคิดเคยฝัน


 


ว่ามันที่ใช้เวลามาครึ่งชีวิต ทว่าสุดท้ายกลับต้องมาตกตายด้วยน้ำมือของศิษย์มันเองอย่าง ซูหลี่ แบบนี้!


 


แต่แน่นอนว่าวินาทีสุดท้ายก่อนที่ชีวิตของมันจะจบสิ้น สามารถเห็นได้ชัดเจน…


 


จวบจนตายตกแล้ว มันไม่เพียงแต่จะไม่ตำหนิซูหลี่ กระทั่งยังจากโลกนี้ไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ


 


แน่นอนว่าความพึงพอใจของมันนั้นเกิดจากซูหลี่ศิษย์ที่มันบ่มเพาะมาหลายปี


 


สำหรับเรื่องที่มันพึงพอใจนั้น เกรงว่าคงมีแต่มันเท่านั้นที่รู้


 


“ข้า…คือ…ซูหลี่ ข้า…เป็น…มนุษย์…มนุษย์?”


 


เมื่อกระบี่ที่ 13 หลับตาลงจากไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพึงใจ ร่างซูหลี่พลันสะท้านไปคราหนึ่ง และสีเลือดในดวงตาก็อ่อนจางลงทันที


 


จากนั้นมันก็กุมศีรษะด้วยมือทั้ง 2 ข้าง ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกปากครางเสียงต่ำออกมาไม่หยุด


 


คล้ายตอนนี้มันกำลังทุกข์ทรมาณกับความเจ็บปวดอันยากที่มนุษย์คนใดจะทานทนรับไหว


 


ยิ่งมาใบหน้ายิ่งบิดเบี้ยวเหยเกหนักข้อ มุมปากปรากฏโลหิตหลั่งไหล คล้ายคนขบกัดฟันกรามจนแหลก ทว่าสีโลหิตในนแววตาก็สลายหายไปหมดสิ้น!


 


หลังจากที่สีเลือดในดวงตาสลายหายไปอย่างสมบูรณ์ ไอมารบริสุทธิ์ที่ลุกโชนท่วมร่างดั่งเพลิงไฟ ก็หวนคืนเข้าร่าง ไม่หลงเหลือกลิ่นอายชั่วร้ายอันน่าสะพรึง คนแปรเปลี่ยนไปในพริบตา กลายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาเย็นชามาดนิ่งคนหนึ่ง


 


“ท่านอาจารย์!!”


 


ทันใดนั้นซูหลี่พลันกรีดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดปานมีดกรีดใจ ร่างพุ่งดิ่งลงจากฟ้าไปยังผืนดินที่ร่างกระบี่ที่ 13 ฟุบอยู่…


 


เมื่อประคองร่างไร้ชีวิตของอาจารย์ขึ้นมาสวมกอด หยาดน้ำตาพลันทะลักออกจากลูกตาเป็นสาย ร่างสั่นสะท้านไปปานเผชิญกับความเจ็บปวดรวดร้าวอันไร้สิ้นสุด ร่ำไห้ออกมาราวเด็กน้อยคนหนึ่ง


 


ตอนนี้มันสามารถจดจำเรื่องราวได้อย่างเลือนรางว่าเกิดอะไรขึ้น


 


อย่างไรก็ตามตอนนั้นอารมณ์ของมันโหดเหี้ยมอำมหิตและไร้ซึ่งความเมตตาปราณีใดๆ ด้วยเพราะถูกไอมารบริสุทธิ์ควบคุมจิตใจ ไม่อาจควบคุมบังคับร่างกายตัวเองได้แต่อย่างไร จำต้องทนดูมือคู่นี้ปลิดปลงดับชีวิตอาจารย์กับตา…


 


หลังจากได้ยินวาจาสั่งเสียอย่างไม่ถือโทษของอาจารย์กระทั่งอยู่ในช่วงเวลาสุดท้าของชีวิตแท้ๆ ในที่สุดมวลอารมณ์ของซูหลี่ก็ปะทุระเบิดออกมา สติกลับมาแจ่มใสชั่วขณะ ทั้งต่อต้านทั้งดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง…


 


และในที่สุดมันก็สามารถระงับความคิดอำมหิตไร้ปราณีจนกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้ในที่สุด


 


“ท่านอาจารย์ท่านรอศิษย์ไม่เอาไหนที่ประตูสู่ปรภพสักครู่เถอะ…ศิษย์จะตามไปรับใช้ท่าน!”


 


เมื่อซูหลี่สัมผัสได้ว่าไอมารอันน่าพรั่นพรึงนั้น กำลังจะหลุดพ้นการควบคุมและกลับมาครองร่างยึดครองความคิดจิตใจอีกครั้ง…


 


ซูหลี่ก็ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ มือขวายกขึ้น ปรากฏกระบี่ 3 ฉื่อสีเขียวพุ่งทะยานตัดฟ้าหวนกลับมาสู่มือ ก่อนที่จะตวัดกระบี่รวดเร็วปานสายฟ้า


 


ฉึก!!


 


กระบี่ 3 ฉื่อเล่มนั้นวกกลับมาแทงลงกลางอก ตัดขั้วหัวใจตัวเองจนทะลุออกด้านหลัง…


 


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สมควรมีโลหิตพุ่งออกมาอย่างทะลักทะลายแล้ว…


 


อย่างไรก็ตามฉากกเลือดสาดกลับไม่ปรากฏให้เห็น


 


ตรงกันข้าม ฉากเรื่องราวยังแปลกประหลาดนัก


 


เพราะถึงแม้จะเห็นกับตาว่าซูหลี่ได้วกกระบี่กลับมาแทงหัวใจตัวเองกระทั่งกระบี่เสียบทะลุออกไปด้านหลัง…


 


ทว่าไม่มีแม้แต่หยาดโลหิตสักหยดที่ติดปลายกระบี่ ประหนึ่งกระบี่นี้ที่ทิ่มแทงทะลวงไม่ใช่ร่างกายเลือดเนื้อ แต่เป็นอากาศธาตุ…


 


แต่แน่นอนว่ากระบี่นี้ได้เสือกแทงทะลุร่าง ทั้งทะลวงตัดขั้วหัวใจจนทะลุหลังแล้วจริงๆ


 


อย่างไรก็ตามซูหลี่ไม่เผยสัญญาณแห่งความเจ็บปวดให้เห็นแม้แต่น้อย


 


และในขณะที่ซูหลี่กำลังตื่นตระหนกตกใจจนลูกตาหดเล็กลง ใบหน้าเผยความเหลือเชื่อนั้น…


 


ซู่มมมม!!


 


ไอมารอันบริสุทธิ์ไร้มนทิลพลันปะทุออกมาดั่งเพลิงไฟ ลุกโชนเร่าๆปานจะแผดเผาท้องฟ้าอีกครา ไอมารอันบริสุทธิ์นี้ยังแผ่ซ่านกลิ่นอายดั้งเดิม ราวกับเป็นขุมพลังมารก่อนกำเนิดของเผ่าพันธุ์ปีศาจในแดนเนรเทศ…


 


และแทบจะพร้อมกันกับไอมารลุกโชนขึ้นมานั้น สองตาซูหลี่ก็หวนกลับมาแดงฉานดั่งโลหิตอีกครั้ง


 


สึบ!


 


เสียงแผ่วเบาดังขึ้นอีกครา หากแต่รอบนี้เป็นซูหลี่ที่ดึงถอนกระบี่ที่แทงตัดขั้วหัวใจตัวเองออก


 


และเมื่อกระบี่ถูกดึงออกจากร่าง ไม่เพียงแต่จะไร้โลหิตแม้แต่หยาดหยดกระเซ็นซ่าน ยังไม่เหลือร่องรอยใดๆบนร่างของซูหลี่อีกต่างหาก


 


เพราะรอยกระบี่ที่ทะลววงร่างจนทะลุนั่น มันปิดตัวลงด้วยความเร็วเหนือล้ำ! สุดท้ายก็สมานตัวสมบูรณ์จนราวกับไม่เคยมีบาดแผลใดๆมาก่อน!!


 


ตอนนี้ซูหลี่ประหนึ่งเทพมารที่เป็นอมตะไร้วันตาย!


 


ซู่มม!! ปงงงง!!


 


ไอมารพลันปะทุระเบิดออกมาท่วมร่างซูหลี่ ก่อให้เกิดคลื่นพลังมหาประลัยขุมหนึ่งระเบิดออกจากร่างเป็นวงกว้าง ซูหลี่ที่สองตากลับมาแดงฉานไร้ซึ่งความรู้สึกและอารมณ์ใดๆ ปะทุพลังโจนทะยานขึ้นฟ้าออกไปด้วยความเร็วสูงล้ำ ประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่!


 


และไม่เพียงแต่มวลพลังนั่นจะระเบิดทำลายสถานที่เท่านั้น กระทั่งศพของกระบี่ที่ 13 ยังถูกพลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึงป่นทำลายจนไม่เหลือแม้แต่ซาก ที่ทางบังเกิดเป็นหลุมระเบิดกว้างใหญ่ปานมีอุกกาบาตร่วงตก…


 


ขณะเดียวกันร่างซูหลี่ที่โจนทะยานขึ้นฟ้าก็อันตรธานหายไปในพริบตา…


 


เรื่องราวทั้งหมดนี้บังเกิดขึ้นในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…


 


กล่าวให้ชัดมันบังเกิดขึ้นในภูมภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าที่กำลังถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจรุกราน!


 


และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้ติดอยู่ในระนาบบเทียมอันเกิดจากการร่วมมือกันของปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะถึง 3 ตน บนภูมิภาคเบื้องบนแห่งนี้ ไม่มีทางที่เขาจะรู้ได้เลยว่าเบื้องล่างเกิดเรื่องราวใดขึ้น กระทั่งเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสหายอันดีของเขาอย่างซูหลี่กันแน่…


 


หาไม่แล้วเขาคงเป็นห่วงจนร้อนใจเป็นฟืนไฟ


 


เพราะสุดท้ายแล้วซูหลี่คนนี้กล่าวได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขาก็ว่าได้


 


ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับซูหลี่สหายสนิทเขา เขายังไม่รู้อีกด้วยว่าทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะที่สร้างระนาบเทียมจนเขาต้องมาติดแหง็กอยู่แบบนี้เป็นต้นเหต!


 


ระนาบเทียมที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะนี้สร้างขึ้น เพื่อหลอกให้คนหลงคิดว่าเป็นคลังสมบัตินั้น แน่นอนว่าไร้ซึ่งสมบัติใดๆของพวกมันแม้แต่ชิ้นเดียว มีแต่กับดักแห่งความตายเท่านั้นที่รอคอยมนุษย์อยู่…


 


ทว่ามรดกรวมทั้งทุกสิ่งที่พวกมันทั้ง 3 สั่งสมมาตลอดชั่วชีวิตนั้น ได้ถูกพวกมันทิ้งไว้ใน ทวีปมนุษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือแดนเซียนที่กาลครั้งหนึ่งพวกมันเคยอาศัยอยู่…


 


และทวีปมนุษย์แห่งนั้นก็บังเอิญเป็นทวีปมนุษย์อันเป็นบ้านเกิดของต้วนหลิงเทียน…ทวีปเมฆาล่อง!


 


ซูหลี่ได้รับมรดกตกทอดของพวกมันทั้ง 3 ! และนั่นทำให้นิสัยของซูหลี่แปรเปลี่ยนไปเพราะถูกไอมารเข้าแทรก


 


สำหรับในบรรดาสมบัติทั้งมวลที่ปีศาจทั้ง 3 ตนเหลือทิ้งไว้นั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือยอดศาสตราเซียนในมือของซูหลี่ กระบี่ 3 ฉื่อสีเขียวเล่มนั้น…กระบี่ไร้ลักษณ์!


 


กระบี่ไร้ลักษณ์เป็น 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ และยังเป็น 1 ใน 2 ยอดศาสตราเซียนประเภทกระบี่อีกด้วย…


 


….


 


ด้านนอกระนาบเทียมที่ต้วนหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะอยู่


 


ในขณะที่รอยแยกมิติท่ามกลางความว่างเปล่าที่ถูกฉีกเปิดขึ้นใหม่กำลังเคลื่อนตัวปิดลงช้าๆนั้นเอง พลันมีร่างสูงพุ่งวูบออกมาปรากฏในอากาศอีกครั้ง


 


เป็นชายชราที่ตอนนี้แทบจะล่อนจ้อน เพราะตามตัวเหลือเพียงชุดผ้าขาดวิ่นปกปิด…ทั่วร่างปรากฏบาดแผลอันน่าสยดสยองเต็มไปหมด บางจุดกระทั่งเนื้อยังขาดแหว่งราวกับถูกคว้านออกไปเผยให้เห็นกระดูกขาวๆ แลดูช่างน่ากลัวสยองขวัญถึงขีดสุด…


 


“แฮ่ก ๆ  ๆ …”


 


“เฮ่อ…”


 


……


 


หลังจากที่ชายชราออกมาปรากฏตัวกลางอากาศมันก็หอบหายใจอย่างหนักราวกับสูญสิ้นพลังทั้งหมด ก่อนที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกราวกับยินดีที่เก็บกู้ชีวิตมาได้


 


ถึงแม้จะมีคนจำนวนมากลอยร่างอยูไม่ไกล แต่เมื่อเห็นชายชราปรากฏตัวออกมาด้วยสภาพเจียนตายและหอบหายใจอย่างหนัก ทุกคนก็พากันเงียบกริบ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ เพราะทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกจนลืมหายใจ!!


 


ไม่มีผู้ใดสามารถกล่าวคำอะไรออกอยู่นาน


 


สวรรค์!


 


พวกมันกำลังเห็นอะไร!?


 


มหาปุโรหิตแห่งลัทธิชะตาฟ้า โม่เซวียน สุดยอดฝีมืออันดับ 3 ในรายนามยอดเซียน กลับออกมาจากระนาบเทียมที่สงสัยว่าถูกสร้างขึ้นด้วยครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3 ด้วยสารรูปยับเยินเช่นนี้?


 


ต้องทราบด้วยว่าเวทย์พลังป้องกันที่โม่เซวียนฝึกปรือจนบรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนินั้น เป็นเวทย์พลังป้องกันที่ทรงอานุภาพที่สุดในแดนดิน หากไม่นับรวมผู้ที่มียอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันแล้วล่ะก็…


 


ให้กล่าวว่าพลังป้องกันของโม่เซวียนถือได้ว่าเป็นอันดับ 1 ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็ไม่เกินเลย!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)