War sovereign Soaring The Heavens 2115-2129

 ตอนที่ 2,115 : ยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วง


 


การปะทะกันระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเซี่ยจงเรียกว่าบังเกิดขึ้นฉับไวดุจละอองไฟวาบดับ


 


เรียกว่าในชั่วเวลาแสนสั้นที่ไม่ต่างอะไรดั่งฟ้าผ่า ผลการประมือหนึ่งกระบวนนี้ก็รู้ผลแล้ว


 


พลังของต้วนหลิงเทียนสะกดข่มครอบงำเซี่ยจง!


 


ยังบดขยี้อย่างราบคาบ!


 


“ข้ายังไม่ได้ใช้เวทย์พลังจู่โจมอะไร…”


 


ครู่ต่อมาวาจาของต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นเข้าหูเซี่ยจงที่ปลิวกระเด็นออกไปด้วยสภาพไม่ค่อยจะสู้ดี ทำให้ร่างมันสะท้านไปค่อยกระอีกโลหิตออกมาอีกรอบ!


 


วาจาของต้วนหลิงเทียนนับว่าจี้ใจเซี่ยจงอย่างจัง มันย่อมมีโมโหจนทนไม่ไหว แต่แน่นอนว่ามันรู้ความนัยวาจานี้ดี…


 


ไม่ได้ใช้เวทย์พลังจู่โจมอะไร แต่บีบคั้นให้มันตกอยู่ในสภาพนี้ได้…


 


เช่นนั้นหากใช้เวทย์พลังจู่โจม มันไม่ตายคาที่เลยหรือ?


 


ขวับ!


 


หลังปลิวกระเด็นไปดุจว่าวสายป่านขาดพักหนึ่ง เซี่ยจงก็เร่งเร้าพลังขืนร่างให้กลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง


 


ขณะเดียวกันใบหน้าซีดเซียวแทบไร้สีเลือดของมัน บัดนี้ได้มืดดำคล้ำลงราวถ่าน สองตาถลึงมองต้วนหลิงเทียนด้วยจิตฆ่าฟันอันน่ากลัว “ต้วนหลิงเทียนเจ้าคิดจริงๆหรือ…ว่าอาศัยเพียงพลังฝีมือของเจ้าจะมีปัญญาฆ่าข้าได้จริงๆ?”


 


“อะไร? เจ้าคิดจะใช้หยกสื่อสารขอความช่วยเหลือรึไง?”


 


ได้ยินวาจาของเซี่ยจง ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มออกมาอย่างดูแคลน ราวกับจะเห็นซึ้งถึงความคิดของเซี่ยจง ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย


 


อันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สนใจมันเลยย


 


ด้วยความสามารถของเขาตอนนี้ เขาย่อมสามารถบดขยี้เซี่ยจงได้อย่างราบคาบ ต่อให้เซี่ยจงจะส่งหยกสื่อสารออกไปก็เท่านั้น เขาฆ่ามันได้ง่ายดายก่อนที่ผู้ช่วยเหลือของมันมจะมาเสียอีก


 


กว่าความช่วยเหลือของเซี่ยจงจะมาถึง เขาก็ไม่รู้หนีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!


 


“เจ้าอย่าได้ลืมเรื่องยันต์กระจกเงาแม่ลูก”


 


ตอนนี้เองในหูต้วนหลิงเทียนมีเสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้น


 


เป็นผู้เฒ่าหั่วที่คอยเตือนเขา


 


ตั้งแต่วันนั้นที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าผู้นำพันธมติรขวานปฐพี เหยาปู่จี ของนครแห่งบาป เขาก็กลับไปหาข้อมูลเรื่องยันต์เต๋า กระทั่งมีความเข้าใจเรื่องยันต์เต๋าต่างๆในภูมิภาคเบื้องบน


 


อย่างที่ผู้เฒ่าหั่วบอก


 


ยันต์เต๋าที่ทำให้เรื่องฆ่าคนของเขาเปิดเผยต่อเหยาปู่จี ก็คือยันต์เต๋ากระจกเงาแม่ลูก!


 


“ผ่อนคลาย…”


 


ได้ยินวาจาผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนรับทราบค่อยกล่าว “ก่อนที่ข้าจะฆ่ามันข้าจะหาทางทำลายยันต์เต๋ากระจกเงาลูกที่ตัวมันทิ้ง…ตอนนี้ข้ายังไม่คิดจะฆ่ามันให้ตายโดยง่าย ข้าจะให้มันตายหลังรู้สึกถึงความสิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่า!”


 


ยิ่งพูดน้ำเสียงต้วนหลิงเทียนยิ่งเย็นเยียบ ฟังแล้วหนาวเหน็บราวติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง


 


ความแค้นที่มีต่อเซี่ยจง ไม่เพียงแค่ถูกอีกฝ่ายหยันหยามชิงตราผนึกมาร ยังมีความแค้นเรื่องกู่มี่และองครักษ์เกราะทมิฬ!


 


เขาไม่คิดปล่อยให้มันตกตายโดยง่าย!


 


ส่วนยันต์เต๋ากระจกเงาแม่ลูกนั้น เขาได้รู้จักมันแล้ว


 


เมื่อผู้ที่มียันต์เต๋าลูกถูกฆ่าตายหรือเป็นผู้กระตุ้นใช้ยันต์เต๋ากระจกเงาลูกด้วยตัวเอง ฉากเรื่องราวในห้วงเวลาสุดท้าย จะถูกส่งไปยังยันต์เต๋ากระจกเงาแม่


 


หากต้องการรับชมฉากเรื่องราวเพียงบดขยี้เพื่อใช้งานยันต์เต๋ากระจกเงาแม่เท่านั้น


 


เซี่ยจงในฐานะบุตรชายคนเดียวของ จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธอารามทมิฬ…เป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวตนเช่นนี้จะไม่มียันต์เต๋ากระจกเงาลูก


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนก็คิดไว้แล้ว


 


ก่อนที่จะฆ่าเซี่ยจงให้ตาย เขาจะทุบตีทรมาณมันให้หนัก จากนั้นค่อยฆ่ามันทิ้งหลังพบยันต์เต๋ากระจกเงาลูกในร่างเซี่ยจง!


 


แต่ต้วนหลิงเทียนจะกระทำตามที่ต้องการได้หรือ?


 


“เฮอะ! ข้าไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใดทั้งสิ้น! อาศัยข้าคนเดียวก็ฆ่าเจ้าได้!!”


 


เผชิญหน้ากับวาจาปรามาสดูแคลนของต้วนหลิงเทียน เซี่ยจงพลันแค่นคำออกเสียงเย็น


 


ขวับ!


 


กล่าวจบคำเซี่ยจงก็ยกมือขึ้น ปรากฏแสงสีม่วงส่องสว่างออกมาจากความว่างเปล่า


 


มองให้ชัดจะพบว่าต้นตอแสงสีม่วงดังกล่าวคือยันต์เต๋าแผ่นหนึ่ง!


 


ไม่ใช่ว่าตัวยันต์เต๋าใบนี้ที่มีสีม่วง หากแต่ที่แลดูเหมือนมันจะมีสีม่วงเพราะประกายอัสนีสีม่วงที่แล่นวาบแปลบปลาบทั่วตัวยันต์!


 


และทันทีที่ยันต์เต๋าใบนี้ปรากฏ กลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบก็คล้ายจะสั่นสะเทือน


 


ทันใดนั้นคล้ายตัวยันต์จะดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินจนเหือดแห้ง!


 


“ยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วง!”


 


ทันทีที่เซี่ยจงหยิบยันต์เต๋าแผ่นนี้ออกมา ต้วนหลิงเทียนก็จดจำยันต์เต๋าดังกล่าวได้ในพริบตา สีหน้ายังเปลี่ยนไปใหญ่หลวง!


 


หลังได้ร่ำเรียนเรื่องยันต์เต๋าจากตำรารวมยันต์ที่เขาหาซื้อในนครแห่งบาปแล้ว ต้วนหลิงเทียนย่อมได้รู้เรื่อง ยันต์เต๋า ปฐมอัสนีเซียนม่วงด้วยเช่นกัน ยังได้ทราบว่ายัตน์เต๋าชนิดนี้มีเพียงปรมาจารย์ยันต์เต๋าระดับเทียมสวรรค์เท่านั้นที่เขียนขึ้นมาได้


 


และยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงที่ว่า ก็คือยันต์จู่โจมใช้ครั้งเดียวทิ้ง พลังอำนาจสามารถพิฆาตตัวตนภายใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนได้ทั้งหมด!


 


ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เซียน!


 


เรียกว่าตราบใดที่พลังฝึกปรือยังไม่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน หากถูกพลังทำลายของมันเข้าไป ต้องตายแน่นอน!


 


กระทั่งเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน หากต้องรับการจู่โจมทำลายของยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วงเข้าตรงๆ ถึงแม้จะไม่ถูกพลังอำนาจของยันต์เข่นฆ่า แต่ก็สมควรได้รับบาดเจ็บกระทั่งยังจะบาดเจ็บสาหัสปางตาย!!


 


ปกติแล้วมีเพียงผู้ที่มีพลังฝึกปรือตั้งแต่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะสามารถป้องกันพลังทำลายล้างของยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงได้อย่างหมดจด


 


“ฮ่าๆๆๆๆ…!!!”


 


เห็นหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนสีไปอย่างหนัก ทั้งได้ยินเสียงอุทานด้วยความตื่นตระหนกของต้วนหลิงเทียน เซี่ยจงอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ


 


ผ่านไปซักพักเสียงหัวเราะค่อยหยุดลง


 


“ต้วนหลิงเทียน…ไม่คิดเลยว่าตัวบ้านนอกเช่นเจ้ายังสามารถรู้จักยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงได้…”


 


เซี่ยจงกล่าวออกเสียงเย็น


 


ในวาจายังเผยให้เห็นถึงความแปลกใจไม่น้อย ที่ต้วนหลิงเทียนผู้มาจากภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า จะรู้จักยันต์เต๋าระดับสูงของภูมิภาคเบื้องบนแบบนี้ได้


 


ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงแผ่นนี้ เป็นบิดาของมันจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาใช้ความพยายามอย่างหนักรวมถึงจ่ายราคาออกไปมหาศาลกว่าจะได้มา เพื่อมอบให้มันเอาไว้ใช้ป้องกันตัว


 


“ได้ตายด้วยพลังของยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วง ต้วนหลิงเทียน ชีวิตนี้ของเจ้าสมควรภาคภูมิใจได้แล้ว!”


 


ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบคำ เซี่ยจงพลันกล่าวออกมาเสียงเย็นอีกครั้ง


 


และทันทีที่กล่าวจบคำมันก็ซัดยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงไปทางต้วนหลิงเทียนทันที


 


วินาทีต่อมามันก็อ้าปากออกด้วยคิดประกาศคำ ‘สำแดง’


 


และเมื่อมันกล่าวคำ ‘สำแดง’ ออกมายันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วง ก็จะสลายหายกลายเป็นอัสนีพิฆาตทรงฤทธิ์อันยากต้านทาน ถล่มทลายเข้าใส่ร่างต้วนหลิงเทียนจนกว่าคนจะสลายเป็นผุยผง!


 


พริบตานี้ ห้วงเวลาคล้ายจะหยุดลง


 


ยังเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่ ปากของเซี่ยจงอ้าออก


 


ฟั่ฟฟฟฟ!!!


 


เพียงคำว่า ‘สำ’ ดังออกจากปากของเซี่ยจง เสียงกระบี่ทะลวงแหวกฟ้าฉับไวพลันดังขึ้น!


 


ในพริบตานี้ เซี่ยจงได้แลเห็นประกายแสงกระบี่สายหนึ่งเบื้องหน้า…


 


‘ไมใช่กระบี่พันอาคมเซียน…กระบี่เล่มนี้ทรงพลังยิ่งกว่า!’


 


และนั่นเป็นความคิดสุดท้ายที่ดังขึ้นในใจของเซี่ยจง ก่อนที่มันจะตกตาย


 


เรียกว่าแทบจะพร้อมกันกับที่บังเกิดความคิดนี้ขึ้น หลุมโลหิตอันน่ากลัวก็ปรากฏขึ้นกลางหว่างคิ้ว หน้าของมันยังไม่ทันมีวลาได้เปลี่ยนสีด้วยซ้ำ


 


ฉึบบ!!


 


หลังหลุมโลหิตปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว เสียงกระบี่ทะลวงผ่านกระดูกเลือดเนื้อค่อยดังขึ้น


 


ดูเหมือนว่าความเร็วของเสียงจะช้ากว่าความเร็วของแสงกระบี่…!


 


เซี่ยจงที่ปากอ้าค้างกล่าววาจาออกมาได้ครึ่งคำไม่อาจกล่าวใดสืบต่อ สองตาเปิดค้าง แววตาราวกับจะสะท้อนแสงสุดท้ายที่มันได้เห็นอันเป็นประกายแสงกระบี่สายหนึ่ง…หลุมโลหิตที่หว่างคิ้ว มีโลหิตแข่งขันกันไหลทะลักออกจ๊อกๆ


 


“แย่แล้ว!”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนที่ใช้กระบี่นิลสวรรค์ออกด้วยเคล็ดกระบี่อยู่ที่ใจ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที


 


นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ชัดเจนถึงคลื่นพลังผันผวนจากยันต์เต๋า!


 


“ยันต์กระจกเงาลูก!”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมจำได้ ว่าทันทีที่เซี่ยจงตกตาย ยันต์กระจกเงาลูกในตัวมันก็จะเริ่มทำหน้าที่โดยอัตโนมัติ


 


ตอนนี้ภาพเรื่องราวช่วงสุดท้ายในชีวิตของเซี่ยจงกำลังถูกส่งไปไปยังยันต์เต๋ากระจกเงาแม่…


 


ยันต์เต๋ากระจกเงาแม่ แน่นอนว่าต้องอยู่ในมือของจข้าวราชสีห์ทองคำ 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ


 


“สายไปแล้ว…”


 


ผลลัพธ์ของเรื่องราวออกมาในรูปแบบนี้แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก


 


เพราะสถานการณ์เมื่อครู่มันไม่เป็นใจ และไม่เหลือโอกาสใดให้เขา


 


เขาไม่มีเวลามากพอจะจัดการกับยันต์เต๋ากระจกเงาลูกที่ร่างเซี่ยจง


 


เพราะเมื่อครู่หากเซี่ยจงกล่าวคำ ‘สำแดง’ จบคำ ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงย่อมต้องทำงาน และพลังอำนาจทำลายล้างของมันได้ถล่มใส่เขาแน่


 


เจอแบบนั้นต่อให้เขาเร่งเร้าพลังทั้งหมดใช้ออกด้วยเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ แต่ก็คงไม่อาจหยุดมันได้


 


กระทั่งให้ใช้กระบี่นิลสวรรค์ที่จ่ายพลังเซียนสุริยันลงไปทั้งหมด ก็ไม่แน่ว่าจะทำลายคลื่นพลังทำลายล้างนั่นได้ และต่อให้ทำได้จริงเขาก็ต้องตายอยู่ดี!


 


เพราะเมื่อทำแบบนั้น พลังเซียนสุริยันในร่างเขาคงลดฮวบลงแทบไม่เหลือ!


 


เช่นนั้นแล้วต่อให้จะหยุดพลังทำลายล้างของยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงได้จริง แต่เขายังจะเหลือพลังที่ไหนไปต่อกรกับเซี่ยจงอีก? ไม่พ้นต้องถูกมันฆ่าตายแน่!


 


เช่นนั้นในห้วงเวลาอันวิกฤตคับขัน ต้วนหลิงเทียนได้แต่ตัดสินใจสังหารคนฉับไวปานฟ้าผ่า ใช้กระบี่นิลสวรรค์ฆ่าเซี่ยจงทิ้งทันที!


 


ฆ่ามันได้ทันก่อนที่มันจะได้กล่าวคำ ‘สำแดง’ จบ เปิดใช้ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงนั่นฆ่าเขา


 


กระบวนการทั้งหมดแลดูราบรื่น หากแต่ในใจต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกกลัวไม่หาย


 


นั่นเพราะการกระทำแบบนี้ก็มีความเสี่ยงอันใหญ่หลวงเช่นกัน


 


เพราะหากกระบี่นิลสวรรค์ที่เขาเรียกออกมาหมายใช้เคล็ดกระบี่อยู่ที่ใจอันเป็นขอบเขตที่ 3 ของยอดใจกระบี่สังหารคน ก็ไม่แน่ว่าจะทันเวลาที่เซี่ยจงเปิดใช้ยันต์เต๋า…!


 


ถึงตอนนั้นมีหวังเขาได้ตายพร้อมเซี่ยจงแน่


 


มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจึงอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก “โชคดี…ที่เซี่ยจงมันลีลาท่ามาก…”


 


หลังดึงสติกลับมาได้ ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือคราหนึ่งใช้พลังดูดรั้งเก็บยันต์เต๋าปฐมอัสนีม่วงที่ยังไม่ทันได้ใช้งานมาเก็บไว้ทันที


 


นับจากนี้ไป ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วง ก็ได้กลายเป็นไพ่ตายอีกใบหนึ่งของเขา


 


ยังเป็นไพ่ตายอันทรงพลังนัก! พลังทำลายของมันเรียกได้ว่าพอๆกันกับกระบี่นิลสวรรค์ ที่เขาจ่ายออกด้วยพลังเซียนสุริยันทั้งหมดในร่างตอนนี้ด้วยซ้ำ!!


 


“ผู้เฒ่าหั่ว ช่วยข้าดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของมันที…”


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมกล่าวบอกผู้เฒ่าหั่วเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์สุดท้าย…


 


ในฐานะลูกชายคนเดียวของจ้าวราชสีห์ทองคำ 1 ใน 4 มหาธรรมราชา พรสวรรค์รากวิญญาณของเซี่ยจงย่อมเป็นรากวิญญาณสีคราม หากแต่เป็นรากวิญญาณสีครามอ่อนๆ


 


แม้ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณสีครามเหมือนกันของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ รากวิญญาณสีครามของเซี่ยจงไม่ต่างใดจากเทน้ำหนึ่งแก้วเติมลงถัง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย


 


เช่นนั้นแล้วหลังได้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเซี่ยจง ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงมีความสุข


 


“ไม่รู้ว่าตราผนึกมารจะยังอยู่ที่มันรึเปล่า…”


 


หลังกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณเซี่ยจงเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็ริบแหวนพื้นที่ของมันมาเป็นสินสงคราม ก่อนที่จะผูกพันธะครองแหวนแล้วใช้สำนึกเทวะตรวจสอบทันที


 


ฉากภายในแหวนของเซี่ยจง เผยให้เห็นว่ามันเก็บของเอาไว้มากมายนัก!


ตอนที่ 2,116 : จ้าวราชสีห์ขนทอง เซี่ยคังฉวิน!


 


ภายในแหวนพื้นที่ของเซี่ยจงนั้น เรียกว่ามีหินเซียนคุณภาพสูงกองไว้เป็นภูเขา! อีกทั้งยังมีสมบัติมากมายหลากหลายจัดวางเรียงรายเอาไว้จนตาลาย!


 


อย่างไรก็ตามสายตาของต้วนหลิงเทียนก็ถูกบางสิ่งที่ตั้งไว้บริเวณมุมหนึ่งดึงดูดความสนใจไปหมดสิ้น!


 


“ตะ…ตราผนึกมาร!!”


 


สิ่งที่ดึงดูดสายตาของต้วนหลิงเทียน…เป็นป้ายศิลามุมแหว่งคุ้นตา ที่ตั้งแน่นิ่งอย่างเงียบงันอยู่ในมุมหนึ่งภายในแหวนพื้นที่ของเซี่ยจง!!


 


ยอดศาสตราเซียนที่เขาอยากได้คืนจนกระทั่งเก็บเอาไปฝันอยู่บ่อยๆ…ตราผนึกมาร!


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่ได้เห็นตราผนึกมารอยู่ในนี้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็บังเกิดความยินดีถึงที่สุด


 


เขาหลงคิดว่าหลังเซี่ยจงชิงตราผนึกมารของเขาไป ไม่พ้นมันต้องเอาไปมอบให้บิดาอย่างจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬเก็บไว้เสียอีก


 


“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ…ว่าข้าจะได้ตราผนึกมารกลับคืนมางงๆแบบนี้…”


 


ต้วนหลิงเทียนหยิบตราผนึกมารออกมาลูบๆคลำๆด้วยความคิดถึง ในใจบังเกิดความตื่นเต้นไม่น้อย ยากจะสงบลงได้อยู่นาน…


 


ตราผนึกมารที่หายไปได้หวนกลับมาอีกครั้ง!


 


ไหนเลยเขาจะไม่ตื่นเต้นได้!


 


หลังจากผ่านไปพักหนึ่งต้วนหลิงเทียนที่กลับมารู้สึกตัวก็เก็บตราผนึกมารกลับไป


 


“หากเผ่าพันธุ์ปีศาจมันบุกรุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจริงๆ…ตราผนึกมารนี่จะกลายเป็นฝันร้ายของพวกมัน!”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง ขณะลอบกล่าวในใจ


 


หลังได้รับทราบถึงเรื่องราวของแดนเนรเทศและเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทั้งได้รับรู้ว่าตอนนี้มีโอกาสที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะบุกรุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกคิดถึงตราผนึกมารที่ถูกช่วงชิงไปขึ้นมาจับใจ


 


เห็นว่ายามตราผนึกมารได้พบพานกับปีศาจนั้น พลังอานุภาพของมันจะร้ายกาจดุดันยิ่งกว่ายามพบพานผู้ฝึกมารเสียอีก…


 


‘แต่ขอให้ทั้งหมดเป็นแค่การคาดเดาไปเองเถอะ…อย่าให้เผ่าพันธุ์ปีศาจมันบุกรุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจริงๆเลย’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอีกครั้ง


 


เพราะถ้าเกิดเผ่าพันธุ์ปีศาจมันบุกเข้ามาภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจริง นั่นหมายความว่าตอนนี้ภูมิภาคเบื้องล่างคงไม่ต่างอะไรกับขุมนรก!


 


และนั่นไม่ใช่อะไรที่เขาอยากจะเห็นแม้แต่นิดเดียว


 


เขาหวังเพียงให้ครอบครัวและสหายของเขาได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและสงบสุขเท่านั้น


 


“ได้เวลาไปแล้ว…”


 


สูดอากาศเข้าอีกเฮือก ต้วนหลิงเทียนพลันหายจากอาการเหม่อ พลังเซียนสุริยันพลันเร่งเร้าโคจรขึ้นมาผนึกควบไว้ในฝ่ามือ ตบฟาดออกไปป่นซากร่างเซี่ยจงจนแหลกสลาย ค่อยเหินร่างจากไป


 


ระหว่างเหินออกไปร่างนักรบมังกร 9 กรงเล็บของต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆหวนสู่รูปลักษณ์มนุษย์ธรรมดา รูปโฉมยังเปลี่ยนไปอีกครั้ง และเป็นใบหน้าใหม่ที่ไม่เคยใช้ที่ไหนมาก่อน


 


เรียกว่าไม่ได้แลดูหล่อเหลาอะไรอีกต่อไป เป็นเพียงหน้าตาธรรมดาๆ ไร้ใดโดดเด่น


 


ถึงขั้นหากเดินปะปนไปในฝูงชนก็คงแยกไม่ออก


 


‘ตอนนี้เรื่องเซี่ยจงถูกฆ่าตาย จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาคงรู้แล้ว…ไม่พ้นมันต้องกำลังมานครแห่งบาปด้วยตัวเองแน่’


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่กังวล


 


เขามั่นใจเกี่ยวกับทักษะแปลงโฉมมาก กระทั่งต่อให้จ้าวราชสีห์จะมาอยู่ตรงหน้า ก็คงยากระบุตัวเขาที่ฆ่าเซี่ยจงได้


 


‘แต่…จ้าวราชสีห์ขนทองต้องรู้ตัวตนข้าจากภาพเรื่องราวก่อนหน้าเป็นแน่’


 


คิดถึงจุดนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็แทบจะหยุดเต้น


 


ตอนแรกเซี่ยจงก็ชิงตราผนึกมารจากเขากลับไปทีนึงแล้ว มันต้องเล่าเรื่องราวให้บิดาฟังแน่ ทำให้อีกฝ่ายสมควรรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาและฐานะในภูมิภาคเบื้องล่าง…


 


เช่นนั้นเรื่องที่เขาเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ จ้าวราชสีห์ขนทองก็สมควรล่วงรู้!


 


และโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา จ้าวราชสีห์ขนทองก็คงเห็นผ่านกระจกเงาแม่เรียบร้อย!


 


‘หวังว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคของด้านบนจะใช้การไม่ได้ไปอีกสักพัก…ไม่งั้นจ้าวราชสีห์ขนทองนั่นได้เอาความแค้นที่มีต่อข้าไประบายกับครอบครัวข้าที่ตำหนักเมฆาครามแน่’


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนถึงกับอยากให้ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างภูมิภาคใช้การไม่ได้ไปอีกสักพัก


 


หาไม่แล้วจ้าวราชสีห์ขนทองที่หาเขาไม่เจอ ต้องลงไปหาความจากภูมิภาคเบื้องล่างแน่


 


และนั่นไม่ใช่อะไรที่ต้วนหลิงเทียนอยากเห็น


 


เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้ไม่มีผิด..


 


ทันทีที่เซี่ยจงถูกเขาลวงไปฆ่าในที่เปลี่ยวร้างห่างจากนครแห่งบาปนับพันลี้ ลึกเข้าไปในเขตที่พักของลัทธิอารามทมิฬ พลันบังเกิดเสียงร้องดังสนั่นปานราชสีห์คำราม!


 


“จงเอ๋อ!!”


 


เสียงหวีดร้องที่ปานราชสีห์คำรามนี้ แฝงเร้นไปด้วยโทสะและความโศกศัลย์ถึงขีดสุด!


 


ปงงง!!


 


ลึกไปในเขตที่พักของลัทธิอารามทมิฬดังกล่าว พลันปรากฏพลังน่ากลัวขุมหนึ่งทุบฟาดทำลายผนังคฤหาสน์พังเป็นฝุ่นธุลี! ก่อนจะปรากฏร่างใหญ่โตหนึ่งเหินทะยานออกมา!!


 


เป็นชายชราสูงเกือบสองหมี่ หนวดเคราของมันดกหนาฟูฟ่องปานแผงคอของสิงโต


 


นอกจากนี้คิ้วของมันยังเข้มหนาแลดูทรงพลัง ตอบรับกับลูกตามหึมาน่าเกรงขาม ใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความดุดันแกร่งกล้า


 


เพียงลอยร่างค้างในความว่างเปล่าเฉยๆไม่ทำอะไร กลิ่นอายทั่วร่างก็ให้ความรู้สึกดุร้ายน่ากลัว ปานจะแช่แข็งบรรยากาศโดยรอบ


 


ชายชราผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน 1 ใน 4 มหาธรรมราชาอันร้ายกาจของลัทธิอารามทมิฬ!


 


ตัวตนที่บรรลุขอบเขตพลังเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!


 


เปลี่ยนที่ 7 ของขอบเขตเซียนสวรรค์นั้นเรียกว่าเปลี่ยนท้าทายสวรรค์ หากไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆจนมีอันเป็นไป ก็สามารถมีอายุขัยอยู่ได้ตราบชั่วฟ้าดินสลาย


 


และจ้าวราชสีห์ขนทองเป็นเพียงสมญานามของมันเท่านั้น


 


จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชามีชื่อที่แท้จริงว่า…


 


เซี่ยคังฉวิน!


 


“จงเอ๋อ…จงเอ๋อ…”


 


ตอนนี้ร่างของมันกำลังสั่นเทิ้มไปทั่วกาย สองตาจับจ้องมองไปยังเศษซากแหลกละเอียดบนฝ่ามือ


 


และเศษซากแหลกละเอียดที่ว่า ก็คืออดีตลูกแก้ววิญญาณ!


 


เป็นลูกแก้ววิญญาณที่เก็บส่วนหนึ่งของวิญญาณบุตรชายมันเอาไว้!


 


เมื่อแตกสลายก็บอกให้รู้ชัด ว่าลูกชายของมันตกตายไปแล้ว!


 


ทันใดนั้นมือมันสะบัดคราหนึ่ง ปรากฏยันต์ผุดจากความว่างเข้ามือ มันไม่รอช้าเร่งทำลายยันต์ดังกล่าวเพื่อเปิดใช้งานทันที ไม่ใช่ใดอื่นเป็นยันต์กระจกเงาแม่ นั่นเอง


 


ยันต์กระจกเงาแม่แผ่นนี้ ก็คือคู่ของยันต์กระจกเงาลูกของเซี่ยจง


 


และทันทีที่บดขยี้ยันต์ในมือ ฉากเรื่องราวหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของเซี่ยคังฉวิน


 


เป็นภาพของลูกชายมัน ที่กำลังมองจ้องชายหนุ่มในชุดม่วง…


 


และในฉากเรื่องราว มันก็ได้แลเห็นเหตุการณ์ที่กล้ามเนื้อใบหน้าของชายหนุ่มชุดม่วงขยับเขยื้อนอย่างพิสดาร จนทำให้รูปโฉมเปลี่ยนไปทันตาเห็น


 


หลังจากนั้นด้วยการอ่านปากของชายหนุ่มชุดม่วงรวมถึงปากของเซี่ยจงลูกชายมัน ก็ทำให้มันรับทราบได้ไม่ยากว่าทั้งคู่กำลังคุยเรื่องอะไรกัน…


 


“มัน…มันเป็นคนที่บุตรชายข้าชิงตราผนึกมารมา คนที่อยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างนั่น”


 


จังหวะนี้เซี่ยจงไม่เพียงแต่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มันยังรับทราบตัวตนของชายหนุ่มชุดม่วงในฉากอีกด้วย


 


นายน้อยตำหนักเมฆาครามอันเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ของภูมิภาคเบื้องล่าง ต้วนหลิงเทียน!


 


และตราผนึกมารของลูกชายมัน ก็ช่วงชิงมาจากต้วนหลิงเทียนผู้นี้เอง!


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


“อัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ของลัทธิบูชาไฟ?”


 


ครู่ต่อมาสีหน้าเซี่ยคังฉวินก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง


 


มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าคนที่ลูกชายของมันเคยช่วงชิงตราผนึกมารมากับต้วนหลิงเทียนอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟ…


 


ทั้งคู่กลับเป็นคนๆเดียวกัน!


 


เรื่องนี้สุดที่มันจะจินตนาการได้ออกจริงๆ!


 


ครู่ต่อมาฉากเรื่องราวเบื้องหน้าก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง


 


เซี่ยคังฉวินเห็นชัดเจน ว่ากระทั่งบุตรชายของมันหยิบยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วงออกมาเตรียมใช้งานแล้ว แต่กลับตกตายไปเสียก่อน!


 


เรียกว่าพริบตาสังหารก็ทำให้สีหน้าของเซี่ยคังฉวินเปลี่ยนไปใหญ่หลวง อากาศโดยรอบคล้ายจะถูกแช่แข็งไปแล้วจริงๆ


 


ครู่ต่อมาจิตสังหารอำมหิตก็เอ่อล้นออกมาท่วมร่างเซี่ยคังฉวิน


 


ลึกลงไปในแววตายังมีเพลิงโทสะลุกโชนปานจะแผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง!


 


“กระบี่เล่มนั้นมันอันใดกันแน่…พลังอำนาจกลับอยู่เหนือกว่ากระบี่พันอาคมเซียนของมันไปมากโข! อีกทั้งความเร็วในการลงมือปานจะไร้ร่องรอยนั่น กระทั่งอำนาจของยันต์เต๋ากระจกเงาแม่ลูกยังยากจะจับ…สมควรเป็นยอดศาสตราเซียน กระบี่ไร้ลักษณ์ไม่ผิดแน่!!”


 


หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เซี่ยคังฉวินก็พยายามย่อยข้อมูลจากเรื่องราวที่สองตาแลเห็น


 


ทุกฉาก…ทุกภาพหยั่งรากลึกลงไปในใจ ยากจะลบเลือน


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงมั่นใจถึงที่สุดว่ากระบี่สุดท้ายที่ต้วนหลิงเทียนใช้สังหารเวี่ยจงไม่ธรรมดา ทั้งยังไม่ธรรมดาถึงขีดสุด! และสมควรเป็น 1 ใน 2 กระบี่อันเป็นยอดศาสตราเซียน…กระบี่ไร้ลักษณ์!


 


“สมแล้วที่ถูกเรียกว่ากระบี่ไร้ลักษณ์…การลงมือฉับไวไร้ร่องรอย!”


 


ขณะกล่าวพึมพำจิตสังหารก็เอ่อล้นออกมาทั่วร่างเซี่ยคังฉวิน เพลิงโทสะในแววตาก็โหมกระหน่ำปานจะแผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง!


 


“จงเอ๋ออย่าได้กังวล…พ่อจะไปตามล่าต้วนหลิงเทียนแล้วฆ่ามันล้างแค้นให้เจ้า!!”


 


ผู้คนใกล้ๆที่ได้ยินเสียงดังทั้งเสียงคำรามของเซี่ยคังฉวินเร่งรุดมาดูชมเรื่องราวทันที แต่ทว่าพอพวกมันมาถึงร่างเซี่ยคังฉวินก็เหินทะยานพุ่งขึ้นฟ้าหายลับไปด้วยความเร็วสูงพอดี…


 


หลังออกจากเขตลัทธิอารามทมิฬแล้ว เซี่ยคังฉวินก็มุ่งหน้าไปยังนครแห่งบาปทันทีด้วยความเร็วสูงสุด!


 


“ต้วนหลิงเทียนเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ฆ่าลูกชายข้า เจ้าต้องตาย!!”


 


ยิ่งมาโทสะแค้นในใจเซี่ยคังฉวินยิ่งเพิ่มพูน ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแม้แต่น้อย


 


ในใจของมัน


 


ต้วนหลิงเทียนที่มาจากภูมิภาคเบื้องล่างไม่มีวันได้ตายดีแน่!!


 


ณ นครแห่งบาป


 


ต้วนหลิงเทียนที่คาดเดาได้ว่าเซี่ยคังฉวินสมควรเร่งรุดมาหาเขาแน่ๆ ก็ได้เปลี่ยนโรงเตี๊ยมที่พักอีกครั้ง


 


“ผู้เฒ่าหั่ว…ท่านพอมีทักษะลับอะไรที่ใช้เปลี่ยนขนาดร่างกายได้บ้างไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนเมื่อได้ที่พักแล้วก็เร่งกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วทันที


 


ถึงแม้เขาจะเปลี่ยนแปลงรูปโฉมได้อย่างไร้ที่ติ


 


ทว่าขนาดร่างกายเขาไม่ได้เปลี่ยนตามไปด้วย!


 


หากจ้าวราชสีห์ขนทองเห็นฉากสังหารในห้วงเวลาสุดท้ายของเซี่ยจงผ่านยันต์เต๋ากระจกเงาแม่จริงๆ เกรงว่าคงรู้แล้วว่าเขามีทักษะแปลงโฉม และต้องเลือกจดจำขนาดร่างกายเขาเอาไว้อย่างชัดเจนแน่


 


เป็นธรรมดาว่าคนที่มีขนาดตัวใกล้เคียงกับเขาก็คงมีอยู่ไม่น้อย


 


ทว่าเอาเข้าจริงน่ากลัวจ้าวราชสีห์คนทองคงฆ่าทิ้งไม่เลือก ดั่งคำว่า “ยอมฆ่าคนผิดร้อยคน แต่ไม่ปล่อยคนผิดหนึ่งคนให้หลุดรอด!”


ตอนที่ 2,117 : ตัวตนถูกเปิดเผย!


 


“ทักษะลับที่มีความสามารถถึงขั้นปลอมแปลงขนาดร่างกายจัดเรียงกระดูกเช่นนั้น…ล้วนมีแต่เซียนอมตะเท่านั้นที่กระทำได้”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสงบ ดับไฟแห่งความหวังที่ลุกโชนขึ้นมาของต้วนหลิงเทียนจนมอดลงอย่างไร้ปราณี


 


ความหมายของผู้เฒ่าหั่วก็ชัดเจนนัก…


 


แม้จะมีทักษะที่ว่าอยู่จริง แต่นั่นก็ไม่ใช่อะไรที่ต้วนหลิงเทียนในตอนนี้จะร่ำเรียนได้


 


มีเพียงตัวตนขอบเขตเซียนอมตะ ที่ผ่านทัณฑ์สวรรค์และขึ้นสู่แดนสวรรค์ไปแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถใช้ทักษะเช่นนั้นได้


 


“แบบนี้ก็ได้แต่หาวิธีอื่นเท่านั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำ


 


ไม่รอช้า ต้วนหลิงเทียนเร่งออกไปหาซื้อชุดคลุมลมสีดำขนาดใหญ่มาสองสามตัว ยังเป็นชุดคลุมที่มีผ้าคลุมศรีษะอีกด้วย เรียกว่าสามารถปกปิดร่างกายได้มิดชิดนัก…


 


‘หากข้าใส่ชุดคลุมลมดำนี่ออกไปเดินร่อนข้างนอกพร้อมลูกเล่นอะไรนิดหน่อย เกรงว่ากระทั่งให้ท่านพ่อท่านแม่มาเองก็จดจำข้าไม้ได้ ยังนับประสาอะไรกับพวกมัน…’


 


มองไปยังชุดคลุมขนาดใหญ่ที่แลดูหลวมโคร่งต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจ


 


ขณะเดียวกันใจที่ขึงตึงของเขาก็เริ่มผ่อนคลายลง


 


พอรู้ว่ายันต์กระจกเงาลูกที่ร่างเซี่ยจงเปิดใช้งานแล้ว แม้ผิวเผินจะแลดูไม่เป็นอะไร แต่ในใจก็รู้สึกกดดันไม่น้อย


 


แรงกดดันที่ว่า ก็มาจากบิดาเซี่ยจงที่เป็นถึง จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ!


 


จ้าวราชสีห์ขนทองคือตัวตนที่พลังฝึกปรือบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!


 


หากตัวตนเช่นนั้นพบเจอเขาขึ้นมาล่ะก็ ให้ดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ความหมาย ตายหยังเขียดแน่!!


 


ด้วยเหตุนี้จนเมื่อเตรียมการรับมือได้พร้อมสรรพแล้ว ใจต้วนหลิงเทียนจึงพอได้ผ่อนคลายลง ‘ด้วยใบหน้าใหม่ทั้งชุดคลุมลมดำที่มีขนาดใหญ่แบบนี้…ต่อให้จ้าวราชสีห์ขนทองยืนอยู่ตรงหน้า มันก็ไม่แน่ว่าจะจำข้าได้!’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกมั่นใจ


 


หลังจากที่สงบสติได้แล้ว ในใจพลันนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อีกครั้ง


 


‘เชิญท่านลงไห’ ด้วยการล่อเซี่ยจงให้หลุดออกจากการติดตามของผู้อาวุโส กระทั่งใช้กระบี่นิลสวรรค์ฆ่ามันก่อนที่จะทันได้ใช้ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงอย่างฉิวเฉียด


 


ทำให้หลังจากเซี่ยจงตายตก ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงนั่นมาเป็นไพ่ตายอีกใบ เขายังได้ตราผนึกมารที่เคยอยู่กับเขามานานกลับคืน!


 



 


เรื่องราวทั้งหมดนั้นยังทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนฝันไปอยู่บ้าง


 


“ในอดีตที่เซี่ยจงมันบุกมาตำหนักเมฆาคราม ข้าในสายตามันคงอ่อนแอแทบไม่ต่างอะไรจากมดตัวกระจ้อย…และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ…”


 


ในใจต้วนหลิงเทียนหวนนึกย้อนถึงเรื่องราวในวันวาน ฉากที่เซี่ยจงบดขยี้เขาทุกทานอย่างที่ไม่อาจทำอะไรมันได้เลยฉายวนซ้ำ ภาพจำยังชัดเจนนัก…ราวกับพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน!


 


ตอนนั้นเซี่ยจงร้ายกาจขนาดไหนน่ะหรือ?


 


ภายใต้การข่มขู่ของเซี่ยจง เขาก็ได้แต่ส่งมอบตราผนึกมารให้แต่โดยดี!


 


เรื่องที่เขาทำอะไรไม่ได้เลย ล้วนฝังลึกอยู่ในใจมาโดยตลอด


 


“ตอนนั้นไม่เพียงแต่มันจะฆ่าอาวุโสกู่มี่กับองครักษ์เกราะทมิฬ มันยังขู่จะฆ่าคนทั้งตำหนักเมฆาครามยกเว้นครอบครัวข้า…”


 


วันนั้นตอนที่เขาได้ยินคำขู่ของเซี่ยจง เขารู้สึกโกรธแค้นถึงขีดสุด ยังแน่นอกจนหายใจไม่ออกด้วยโทสะ!


 


ยิ่งไปกว่านั้นยังสัมผัสได้ถึงความอับจนหนทาง ทำอะไรไม่ได้เลย


 


หากเซี่ยจงลงมือจริงๆ เขาก็ไม่มีอะไรจะหยุดมัน ทำให้สุดท้ายถึงมันจะจากไป แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ง่ายๆ จึงลอบปฏิญาณในใจว่าจะฆ่ามันให้จงได้ ยกเซียจงให้เป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับเขา!


 


“ตอนนี้หลังผ่านไปไม่ถึง 2 ปีข้าที่ขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบน ก็ได้ทำตามคำมั่นนั่นเรียบร้อยแล้ว…”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง สองตาต้วนหลิงเทียนพลันเลื่อนลอยดั่งมีม่านหมอกปกคลุม ปากกล่าวด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน “อาวุโสกู่มี่…จากนี้ไปท่านพักผ่อนในปรภพให้สงบเถอะ”


 


“นอกจากนี้พี่น้ององครักษ์เกราะทมิฬทั้งหลาย…แม้ข้ากับพวกท่านจะไม่สนิทสนมกัน แต่วันนี้นายน้อยไร้สามารถคนนั้นก็ล้างแค้นให้พวกท่านได้สำเร็จแล้ว…พวกท่านสามารถพักผ่อนได้อย่างสงบแล้วเช่นกัน…”


 


กล่าวพึมพำจบแล้ว ใจต้วนหลิงเทียนพลันปลอดโปร่งและรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก


 


“เซี่ยจง…จวบจนวินาทีสุดท้ายก่อนตาย เจ้าก็คงไม่คิดไม่ฝันเลยสินะว่าข้าจะฆ่าเจ้าได้ง่ายดายถึงขนาดนั้น…”


 


ไม่ทันรู้ตัวต้วนหลิงเทียนพลันนึกถึงฉากที่เขาสังหารเซี่ยจงขึ้นมาอีกครั้ง


 


วันนี้ในวินาทีที่เซี่ยจงย่ามใจและคิดว่าสามารถใช้ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงฆ่าเขาได้สำเร็จแล้วนั้น เขาพลันใช้ออกด้วยกระบี่นิลสวรรค์ฆ่ามันในชั่วพริบตา!


 


เรียกว่าแต่ต้นจนจบเซี่ยจงยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไรด้วยซ้ำ ก็ตกตายด้วยกระบี่บินของเขาไปแล้ว!


 


“น่าเสียดายที่ข้าไม่ทันได้ทรมาณให้เซี่ยจงมันรู้สึกสิ้นหวังก่อนตาย…”


 


เซี่ยจงถูกกระบี่นิลสวรรค์เหินทะยานทะลวงหน้าผากแบบนี้ออกจะรวบรัดไปอยู่บ้าง บางทีมันคงไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวดหรือหวาดกลัวอะไร…


 


เพราะสุดท้ายวินาทีนั้นเซี่ยจงก็มั่นใจในชัยชนะแล้ว มันกำลังจะใช้ยันต์เต๋าอันร้ายกาจนั่นออกมา


 


นึกย้อนถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะขนลุกเกรียว…มารดามันช่างเฉียดฉิวนัก!


 


“ช่างเถอะ ไม่ว่าจะยังไงมันก็ตายไปแล้ว…เช่นนั้นความแค้นระหว่างมันกับข้าก็จบกันได้เสียที อย่างไรก็ตามมันที่ตายไปไม่เพียงจะคืนตราผนึกมารให้ข้า ยังให้ยันต์เต๋าร้ายกาจนั่นมาอีกแผ่น!”


 


ขณะกล่าวพึมพำถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนพลันพลิกฝ่ามือ เรียกยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงออกมา


 


ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงแลผิวเผินก็คล้ายยันต์เต๋าธรรมดาๆ


 


อย่างไรก็ตามอัสนีสีม่วงที่แลบลั่นแปลบปลาบอยู่รอบตัวยันต์ก็ทำให้มันไม่ธรรมดาถึงที่สุด อีกทั้งตัวยันต์ยังแผ่กลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงออกมาเรื่อๆ ราวกับพร้อมจะปะทุพลังอำนาจทำลายทุกสิ่ง!!


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังหยิบยันต์เต๋าอันเต็มด้วยสายฟ้าสีม่วงแลบลั่นมาชมดูนั้น…


 


ซู่มมม!!


 


ร่างที่เหินตัดฟ้ามาด้วยความเร็วสูงล้ำ ในที่สุดก็บรรลุถึงนครแห่งบาป และมันก็ไปพบกับฉู่ถานเชิงทันที


 


ฉู่ถานเชิงก็คือผู้อาวุโสที่อยู่กับเซี่ยจงวันนี้


 


นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำ กลุ่มอาวุโสที่มาตระเวนหาซื้อทรัพยากรในนครแห่งบาปกลับลัทธิอารามทมิฬอีกด้วย


 


“ทะ…ท่านมหาธรรมราชา!”


 


อยู่ๆก็ได้พบร่างมหาธรรมราชา เซี่ยคังฉวิน มาปรากฏตัวตรงหน้า พร้อมด้วยกลิ่นอายกันร้ายกาจน่าเกรงขาม สีหน้าฉู่ถานเชิงก็เปลี่ยนสีทันที สังหรณ์อัปมงคลในใจยังร้องดังจ้า


 


จ้าวราชสีห์ทองคำอยู่ๆดีๆไฉนออกจาลัทธิอารามทมิฬมาหามันถึงที่ได้แบบนี้?


 


หากจะบอกว่าจ้าวราชสีห์ทองคำมาเดินเที่ยว ถึงเอามีดมาปาดคอมันให้ตายมันก็ไม่เชื่อ!


 


ผัวะ!!


 


เผชิญหน้ากับการคารวะทักทายด้วยท่าทีสุภาพมากเคารพของฉู่ถานเชิง เซี่ยคังฉวินเลือกตอบด้วยการตบหน้าอีกฝ่ายจนสะบัด!


 


หลังถูกตบเข้าอย่างจังจนหน้าสั่น ใบหน้าแถบหนึ่งของฉู่ถานเชิงก็ปูดบวมขึ้นมาทันที สีหน้าฉายอาการมึนงงไม่เข้าใจออกชัด


 


‘หรือ…จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเซี่ยจงแล้วจริงๆ!?’


 


ฉู่ถานเชิงลอบสะท้านในใจ


 


เพราะจังหวะนี้มันสัมผัสได้ถึงโทสะอันเกรี้ยวกราดจากร่างจ้าวราชสีห์ขนทองเบื้องหน้าได้ชัดเจน!


 


“ลูกชายของข้าถูกล่อออกไปฆ่านอกนครแห่งบาป โดยฝีมือของชายผู้นี้!”


 


ตอนนี้เองจ้าวราชสีห์ขนทองพลันสะบัดมือคราหนึ่ง เรียกกระดาษเปล่าออกมาพร้อมพู่กัน ก่อนที่มันจะเริ่มวาดภาพชายคนหนึ่งออกมา


 


“นี่คือ…”


 


มองไปยังภาพเหมือนเบื้องหน้า ฉู่ถานเชิงรู้สึกคุ้นตาอย่างไรไม่ทราบ ราวกับมันเคยเห็นอีกฝ่ายที่ไหนมาก่อน


 


“เจ้านี่ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ที่จงเอ๋อเคยบุกลงไปช่วงชิงตราผนึกมารมาจากมัน เรียกว่าต้วนหลิงเทียน”


 


และวาจาต่อมาของจ้าวราชสีห์ขนทองก็เฉลยให้มันกระจ่างใจทันที


 


นายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน!


 


มันจำได้แล้ว!


 


ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ คือผู้ที่โชคดีได้รับยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารมาครอบครอง…อย่างไรก็ตามต่อมาตราผนึกมารนั่น ก็ถูกเซี่ยจง ชนชั้นอาวุโสของลัทธิอารามทมิฬของมันบุกลงไปแย่งชิง


 


“ที่แท้เป็นมัน”


 


ในที่สุดฉู่ถานเชิงก็ทราบแล้วว่าไฉนมันถึงคุ้นๆหน้าอีกฝ่ายนัก ที่แท้เพราะมันเคยเห็นภาพเหมือนของชายหนุ่มผู้นี้ที่เคยเป็นที่กล่าวถึงทั้งในภูมิภาคเบื้องล่างและภูมิภาคเบื้องบนเรื่องตราผนึกมารในกาลก่อน


 


“นอกจากเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามของภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว มันยังมีอีกตัวตนหนึ่ง…อัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ที่ชิงอันดับที่ 2 ไปได้เมื่อไม่นานมานี้ของลัทธิบูชาไฟ! เป็นมัน!!”


 


เซี่ยคังฉวินกล่าวสืบต่อ น้ำเสียของมันเยียบเย็นปานจะผุดแทรกขึ้นมาจากหล่มน้ำแข็ง


 


“ฟืด…”


 


ได้ยินวาจาดังกล่าวของเวี่ยคังฉวิน ฉู่ถานเชิงตกตะลึงไปไม่น้อย! อดไม่ไดที่จะสูดลมหายใจเข้ากล่าวถามออกด้ววยความไม่อยากจะเชื่อว่า “ใต้เท้า…ท่านแน่ใจหรือ ข้าเองก็เคยเห็นภาพเหมือนของต้วนหลิงเทียนอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ของลัทธิบูชาไฟมาแล้ว…แต่เหมือนหน้าตาของคนผู้นั้นจะต่างจากเจ้าหนุ่มคนนี้…”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกลายเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่นั้น ไม่เพียงแต่เขาจะโด่งดังในลัทธิบูชาไฟ เขายังโด่งดังไปถึงลัทธิอารามทมิฬด้วย อันที่จริงในขุมพลังระดับสูงล้วนรู้จักเขากันไม่น้อย


 


ฉู้ถานเชิงเองก็เคยได้เห็นภาพเหมือนต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟโดยบังเอิญมาครั้งหนึ่ง


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงอดถามออกมาเช่นนั้นเสียไม่ได้


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้รู้ทักษะวิชาแปลงโฉมอันร้ายกาจนัก ใช้การควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าโดยตรงโดยมิอาศัยพลังงานภายนอกอันใด ทำให้กระทั่งสำนึกเทวยังมิอาจตรวจสอบได้…”


 


ได้ยินคำถามของฉู่ถานเชิง เซี่ยคังฉวินกล่าวตอบไปเสียงเย็น


 


ถึงแม้จะเป็นแค่การเห็นเรื่องราวจากยันต์กระจกเงาแม่ แต่มันก็เห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของใบหน้าต้วนหลิงเทียนชัดเจน


 


และด้วยความที่มันเป็นถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน ตัวตนที่เรียกวายืนอยู่ในระดับแนวหน้าของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันย่อมมองออกว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของต้วนหลิงเทียนนั้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นธรรมชาตินัก ไม่ได้ใช้พลังปรับเปลี่ยนคงสภาพไว้อย่างปกติ…


 


“มีทักษะแปลงโฉมเลิศล้ำเช่นนี้อยู่ด้วย!?”


 


ฉู่ถานเชิงตกใจไม่น้อย


 


หลังจากดึงสติกลับมาได้มันก็ระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “กระทั่งคนของลัทธิบูชาไฟเองข้าเกรงว่าคงมิอาจฝันถึง…ว่าต้วนหลิงเทียนอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ของพวกมัน จะเป็นคนๆเดียวกันกับนายน้อยผู้โชคดีในภูมิภาคเบื้องล่างที่ได้ตราผนึกมารมาครองจากภูมิภาคเบื้องล่าง”


 


“เอาล่ะเจ้าไปทำสำเนารูปเหมือนนี้แล้วแจกจ่ายไปให้คนของเราที่อยู่ในนครแห่งบาปโดยเร็วที่สุด…หากมีเบาะแสอันใดเกี่ยวกับมันรีบแจ้งให้ข้าทราบทันที! ต่อให้หน้าไม่เหมือนแต่เค้าโครงรูปร่างทั้งส่วนสูงใกล้เคียงกันก็ไม่เว้น!!”


“อีกทั้งเจ้าผู้นี้ความสามารถไม่ธรรมดา อย่าได้เสี่ยงให้ใครปะทะกับมันโดยพลการ เพียงแจ้งให้ข้าทราบโดยเร็วที่สุดก็พอ!”


 


เซี่ยคังฉวินกล่าวสั่งเสียงเย็น ก่อนที่จะเตรียมออกไปตามหาคนเช่นกัน


 


“ทราบแล้วใต้เท้า”


 


ฉู่เถานเชิงพยักหน้ารับตอบคำก่อนที่ร่างเซี่ยคังฉวินจะวูบหายไป จากนั้นมันก็เอารูปเหมือนไปหาอาวุโสคนอื่นๆของลัทธิอารามทมิฬที่มากว้านซื้อของที่นครแห่งบาป


 


ตอนนี้แม้ในใจมันจะยังเต็มไปด้วยความสงสัย แต่มันก็ไม่กล้าถามอะไรเซี่ยคังฉวินเพิมเติม


 


“นครแห่งบาป…ข้าเกรงว่าวันนี้คงมิอาจสงบอยู่ได้สืบไป”


 


หลังเหินร่างไปหาคน ฉู่ถานเชิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวรำพันเบาๆ


 


เพราะจากคำสั่งของจ้าวราชสีห์ขนทอง มันยังฟังความได้ชัด


 


ผู้ใดก็แล้วแต่ที่ดูละม้ายคล้ายเหมือนคนในรูปวาด น่ากลัวว่าจะไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือของจ้าวราชสีห์ขนทองไปได้!


ตอนที่ 2,118 : ข่าวอันน่าตกใจ!


 


“ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงนี่ เห็นว่ามีแต่ปรมาจารย์ยันเต๋าระดับเทียมสวรรค์เท่านั้นที่สามารถวาดเขียนขึ้นมาได้…แต่ปรมาจารย์ยันต์เต๋าระดับเทียมสวรรค์ กระทั่งในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังเป็นตัวตนที่หาได้ยากดั่งเขามังกรขนหงส์…”


 


ขณะมองไปยังยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วงที่มีสายฟ้าแลบลั่นแปลบปลาบ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ “ต่อให้เป็นชนชั้นจ้าวราชสีห์ขนทอง แต่คิดจะหายันต์เต๋าแผ่นนี้มาให้ลูกชายป้องกันตัวสักแผ่นไม่ทราบต้องควักเนื้อไปเท่าไหร่…”


 


ต้วนหลิงเทียนพึมพำถึงจุดนี้ก็ส่ายหน้าเบาๆ ลอบกล่าวในใจ ‘โชคร้ายของเซี่ยจงมันแล้วที่ไม่มีเวลามากพอจะเปิดใช้ยันต์ก็ต้องมาถูกกระบี่ข้าฆ่าทิ้งไปก่อน…ไม่พ้นจ้าวราชสีห์ขนทองคงเห็นเรื่องราวที่ข้าฆ่าลูกมันผ่านยันต์เต๋ากระจกเงาแม่เรียบร้อย ไม่รู้ป่านนี้จะมีโมโหจนกระอักเลือดตายไปรึยัง?’


 


และก็เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้จริงๆ


 


“ฮึ่ม!”


 


ที่ไหนสักแห่งในนครแห่งบาป หลังอาวุโสลัทธิอารามทมิฬอย่างฉู่ถานเชิงจากไป จ้าวราชสีห์ทองคำ เซี่ยคังฉวิน 1 ใน 4 มหาธรรมราชา ก็แค่นเสียงเยียบเย็นหนึ่ง สีหน้ายังมืดคล้ำดำลง


 


“ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงกลับตกไปอยู่ในกระเป๋าต้วนหลิงเทียนนั่นเสียได้!”


 


พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมมา เซี่ยคังฉวินที่ลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะได้ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงมาสักแผ่นเพื่อให้ลูกชายเก็บไว้ป้องกันตัว แต่สุดท้ายกลับต้องตกไปอยู่ในมือของศัตรูฆ่าลูกชาย ก็รู้สึกสูญเสียอย่างใหญ่หลวงนัก!


 


ยังจุกอกราวกับปอดจะระเบิด!!


 


“ต้วนหลิงเทียน…ต่อให้เจ้าจักหนีไปซ่อนอยู่ที่สุดขอบโลก ข้า เซี่ยคังฉวิน ก็จักไปลากตัวเจ้ามาสับให้แหลกเป็นหมื่นๆชิ้น ล้างแค้นให้ลูกชายข้า!”


 


เซี่ยคังฉวินกล่าวพึมพำด้วยอาฆาต ทั่วร่างปรากฏจิตสังหารฟุ้งตลบ เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายล้วนเร่งรุดล่าถอยออกเป็นการใหญ่ ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายเข้าไปใกล้มัน ด้วยกลัวว่าจะพลอยเป็นปลาในบ่อ


 


……


 


หลังจากนั้นพักหนึ่งก็มีผู้ฝึกตนพเนจรมากมายถูกฆ่าทิ้งกลางถนนราวผักปลา…!


 


และสิ่งหนึ่งที่ผู้ฝึกตนพเนจรเหล่านี้มีเหมือนกันก็คือ…


 


พวกมันทั้งหมดล้วนมีรูปร่างละม้ายคล้ายต้วนหลิงเทียนกว่า 8 ส่วนขึ้นไป


 


“พวกมันไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนสักคน!”


 


ผู้ที่ลงมือเข่นฆ่าผู้ฝึกตนพเนตรกลางถนนราวผักปลาเหล่านี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นเซี่ยคังฉวิน 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬเอง!


 


ถึงแม้เซี่ยคังฉวินจะเข่นฆ่าผู้ฝึกตนพเนจรไปมากมาย แต่ก็ไม่มีผู้ฝึกตนพเนจรคนไหนกล้าออกหน้าวุ่นวาย ด้วยกริ่งเกรงพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนของมัน!


 


แต่เรื่องนี้อย่างไรก็ทำให้ผู้คนของนครแห่งบาปหัวเสียกันไม่น้อย ทั้งไม่เข้าใจเรื่องราวจริงๆ


 


“ไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่ทราบมีกี่คนแล้วที่ถูกจ้าวราชสีห์ขนทองผู้นั้นฆ่าทิ้ง…มหาธรรมราชาจากลัทธิอารามทมิฬคนนี้ จะไม่รังแกพวกเรากันเกินไปหน่อยหรือ!?”


 


ตอนนี้วาจาทำนองเดียวกันล้วนดังไปทั่วเหลาอาหารในนครแห่งบาป


 


หลังเวลาผ่านไปพักหนึ่ง ไม่มีผู้ฝึกตนพเนจรคนใดในนครแห่งบาปไม่ทราบการมาเยือนนครแห่งบาปของ จ้าวราชสีห์ขนทอง เซี่ยคังฉวิน 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ


 


“เห็นว่าที่จ้าวราชสีห์ขนทองเข่นฆ่าผู้คนอย่างไร้ปราณี ทั้งหมดเพราะคิดหาตัวฆาตกรฆ่า ‘เซี่ยจง’ บุตรชายของมัน! เรียกว่าขอเพียงมีรูปร่างละม้ายคล้าย ฆาตกรผู้นั้นเกิน 7 ส่วนล้วนฆ่าไม่ละเว้น!”


 


“อะไร? มันคิดหาฆาตกรฆ่าลูกด้วยอาศัยรูปร่างผู้คนงั้นหรือ นี่มันตาบอดหรืออย่างไร? กระทั่งผู้สังหารบุตรชายหน้าตาเป็นเช่นไรก็ไม่รู้?”


 


“เห็นว่ามือสังหารฆ่าลูกชายของมันคนนี้ มีทักษะปลอมแปลงโฉมอันเลิศล้ำนัก ยากจะตรวจพบได้ด้วยสำนึกเทวะ!”


 


“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ก็ถึงว่าไฉนจ้าวราชสีห์คนทองถึงต้องฆ่าคนโดยอาศัยรูปร่าง…ดูเหมือนข่าววลือที่ว่าจ้าวราชสีห์ขนทองรักบุตรชายผู้นี้ปานแก้วตาดวงใจ จะไม่ผิดเพี้ยนแล้วจริงๆ!”


 


……


 


บทสนทนาข้างต้นก็ดังไปทั่วนครแห่งบาปเช่นกัน


 


ตอนนี้ขอเพียงเป็นผู้ฝึกตนพเนจรในนครแห่งบาป ก็รู้ได้ทันทีว่าเซี่ยคังฉวินเปิดฉากสังหารอำมหิตอย่างไม่ไว้หน้าใครแบบนี้ เพียงเพราะคิดหาตัวฆาตกรฆ่าบุตรชาย!


 


เหนือเมฆที่ลอยล่องบนฟ้าสูงของนครแห่งบาป


 


จ้าวราชสีห์ขนทอง สองมือไพร่หลังลอยร่างบนฟ้า เพียงร่างลอยตระหง่านค้างกลางหาวแน่นิ่ง กลับให้ความรู้สึกคล้ายมันเป็นหอคอยเหล็กที่ตั้งตระหง่านคานฟ้าหอคอยหนึ่ง กลิ่นอายพลังกล้าแข็งสุดไพศาลยังเปล่งออกมาทั่วกาย กดดันบรรยากาศโดยรอบจนสะท้านสะเทือน


 


“มันมิได้อยู่ในนครแห่งบาปแล้วหรือไรกัน?”


 


ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเซี่ยคังฉวินที่ลอยร่างก็กล่าววพึมพำออกมาเสียงต่ำ


 


ล่าสุด มีผู้ฝึกตนพเนจรสังเวยชีวิตภายใต้เงื้อมมือของมันไปแล้วกว่า 100 คน


 


และผู้คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีรูปร่างใกล้เคียงกับต้วนหลิงเทียนกว่า 8 ส่วนทั้งสิ้น อนิจจาทั้งหมดล้วนไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน


 


“เวลาที่ข้ารับปากพวกมันเอาไว้ใกล้หมดเต็มทีแล้ว…”


 


คิดถึงจุดนี้สีหน้าเซี่ยคังฉวินพลันมืดดำลงอีกรอบ


 


และ ‘พวกมัน’ ที่เซี่ยคังฉวินกล่าวถึง ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ล้วนเป็นผู้ฝึกตนชนชั้นร้ายกาจที่มีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้นของนครแห่งบาป…


 


พอมันมาถึงนครแห่งบาปได้ไม่นาน มันก็ไปเยือนผู้ฝึกตนพเนจรที่มีอำนาจในนครแห่งบาปเหล่านี้ทีละคน


 


หลังจากที่มันจ่าย ‘ราคา’ ออกไปอย่างเหมาะสม มันก็ได้รับอนุญาต…


 


สามารถฆ่าผู้ฝึกตนพเนจรในนครแห่งบาปได้!


 


แต่แน่นอนว่ามีเวลาจำกัด


 


นอกจากนั้นเซี่ยคังฉวินยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข่นฆ่าคนตามอำเภอใจ จะฆ่าได้ก็แต่ผู้ฝึกตนพเนจรที่มีขนาดตัวใกล้เคียงกับฆาตกรสังหารลูกชายมันเท่านั้น


 


และตอนนี้กำหนดเวลาลงมือที่ตัวตนเหล่านั้นกำหนดมาให้มันก็ใกล้ครบเต็มที


 


เมื่อครบกำหนดเววลาที่ว่า มันก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข่นฆ่าผู้ฝึกตนในนครแห่งบาปราวผักปลาเช่นนี้อีกต่อไป


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดว่าเจ้าจะซ่อนตัวเช่นนี้ได้ตลอดหรือ…”


 


ทันใดนั้นเซี่ยคังฉวินคล้ายนึกอะไรได้ออก สองตาทอประกายอำมหิต มุมปากยกแสยะเหี้ยมเกรียม


 


และภายในวันนั้น ก็มีข่าวอันน่าตกใจแพร่ไปทั่วนครแห่งบาป


 


“เฮ่ พวกเจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือไม่ เห็นว่าที่แท้ฆาตกรฆ่าเซี่ยจง บุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทองจักเรียกว่าต้วนหลิงเทียนที่มาจากภูมิภาคเบื้องล่าง…ที่แท้ทั้งหมดเป็นการล้างแค้นเซี่ยจงที่ไปชิงตราผนึกมารจากมันมาก่อน!”


 


“ข้าพึ่งได้ยินมาเมื่อครู่! ดูเหมือนว่าต้วนหลิงเทียนผู้นี้จะเป็นนายน้อยของขุมพลังกึ่งชั้น 3 อันใดสักอย่าง…แต่จะว่าไปเรื่องนี้มันเป็นความจริงแน่หรือ? ไฉนนายน้อยขุมพลังกึ่งชั้น 3 นั่นจักมีพลังฝีมือสูงถึงขั้นฆ่าเซียจงได้กัน?”


 


“นั่นสิ! เรื่องนี้มันเป็นไปได้อย่างไรกัน! คนจากภูมิภาคเบื้องล่างไฉนมีปัญญาสังหารเซี่ยจงได้?”


 


“เรื่องนี้ข้าเพียงฟังหูไว้หูเท่านั้น ยากเชื่อได้ลงคอ”


 


……


 


เมื่อมีข่าวคนฆ่าเซี่ยจงคือ ต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามอันเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ของภูมิภาคเบื้องล่างแพร่กระจายออกมา นครแห่งบาปก็อื้ออึงกันยกใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนมีพลังฝีมือสูงพอจะฆ่าเซี่ยจงได้


 


“เรื่องนี้ช่างเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี! ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นต่อให้เป็นชนชั้นสุดยอดอัจฉริยะของภูมิภาคเบื้องล่างแล้วจะอย่างไร? ในภูมิภาคเบื้องบนมันยังจะนับเป็นตัวอะไรได้! ในเวลาไม่ถึง 2 ปีมันจะเอาปัญญาที่ไหนไปฆ่าเซี่ยจงด้วยตัวเองได้?”


 


“นั่นสิ ข่าวนี้ไม่ใช่เหลวไหลไปหน่อยหรือ เพียงได้ยินข้าก็ระคายหูแล้ว”


 


“เหอะๆ หากนายน้อยขุมพลังกึ่งชั้น 3 จากภูมิภาคเบื้องล่างฆ่าเซี่ยจงได้จริง…เช่นนั้นข้าคงได้อันดับ 1 ในรายนามยอดเซียนแล้วล่ะ”


 


……


 


ข่าวลือดังกล่าวแพร่ออกมากว่าครึ่งค่อนวัน แต่ไม่มีใครในนครแห่งบาปเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนจะมีพลังฝีมือสูงพอฆ่าเซี่ยจงได้เลย


 


แต่ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจเรื่องนี้ พลันมีข่าวที่น่าตื่นตระหนกยิ่งกว่าแพร่ออกมา


 


“นายน้อยของขุมพลังกึ่งชั้น 3 จากภูมิภาคเบื้องล่างต้วนหลิงเทียนผู้นั้น…ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 2 ปี แต่มันที่เข้าไปเป็นศิษย์ของลัทธิบูชาไฟ กลับสามารถกลายเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟได้?”


 


เรียกว่าข่าวนี้เขย่าขวัญสั่นประสาทผู้คนทั้งนครแห่งบาปแล้ววจริงๆ


 


เพราะอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟต้วนหลิงเทียนที่พึ่งโด่งดังขึ้นมา…กล่าวได้เลยว่าจังหวะนี้แทบไม่มีใครไม่รู้จัก!


 


อย่างไรก็ตามไม่มีใครคิดจะเชื่อมโยงตัวตนดังกล่าวเข้ากับนายน้อยขุมพลังกึ่งชั้น 3 ของภูมิภาคเบื้องล่างแม้แต่คนเดียว!


 


เกือบทุกคนล้วนคิดว่าเพียงบังเอิญชื่อเหมือนกันเท่านั้น


 


“ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟ ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาครามของภูมิภาคเบื้องล่างคนนั้น…เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ?!”


 


“แต่ไม่ว่าจะเป็นนายน้อยของภูมิภาคเบื้องล่าง กับอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟ ผู้แซ่ต้วนทั้งคู่ล้วนมีหน้าตาแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด…มองอย่างไรทั้งคู่ก็มิสมควรเป็นคนๆเดียวกันไปได้!”


 


“เจ้าอย่าได้ลืมไปว่ามีข่าวลือที่ว่าผู้ที่ลงมือสังหารเซี่ยจงนั้นมีทักษะแปลงโฉมอันเลิศล้ำที่มิอาจตรวจสอบได้ด้วยสำนึกเทวะ…หากต้วนหลิงเทียนทั้งสองคนเป็นคนๆเดียวกันจริง เรื่องนี้จะกลายเป็นไม่แปลกปลอมทันที แม้สองคนจะมีหน้าตาแตกต่างกัน ทั้งหมดก็ล้วนเพราะมันปลอมแปลงรูปโฉม!!”


 


“พอเจ้าพูดขึ้นมาข้าก็นึกได้ออกถึงความสามารถคนฆาเซี่ยจง…หากต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามจากภูมิภาคเบื้องล่างเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟจริง ก็ไม่แปลกอะไรที่จะมีพลังฝีมือมากพอฆ่าเซี่ยจง!”


 


“แต่เรื่องนี้จะเป็นความจริงได้หรือ? นายน้อยจากขุมพลังที่ภูมิภาคเบื้องล่างกับอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟจะเป็นคนๆเดียวกันจริงๆ ไม่ใช่แค่มีชื่อเหมือนกัน? และฆ่าเซี่ยงจงเพราะแค้นส่วนตัว?”


 


“ถึงข้าเองก็ยังรู้สึกว่าเรื่องราวนี้น่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง…แต่ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”


 


……


 


หลังจากนั้นพอข่าวลือทั้ง 2 ถูกจับมาเชื่อมโยงกัน ก็ทำให้ผู้คนในนครแห่งบาปตระหนักได้ทันที


 


นายน้อยของขุมพลังกึ่งชั้น 3 จากภูมิภาคเบื้องล่าง กับอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟที่เรียกว่า ต้วนหลิงเทียน เป็นคนๆเดียวกันจริงๆ…


 


หากเป็นแบบนี้เรื่องราวทั้งหมดก็อธิบายได้ง่ายดาย!


 


ด้วยพลังฝีมือของอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 จะฆ่าเซี่ยจงได้ก็ไม่แปลกอะไร


 


ทันใดนั้นผู้คนทั้งนครแห่งบาปก็รู้สึกหลากอารมณ์นัก


 


“ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟนั่นจะเป็นคนเดียวกับนายน้อยตำหนักเมฆาครามจกาภูมิภาคเบื้องล่างไปได้…เรื่องนี้เกรงว่าต่อให้หลับก็ยากจะมีผู้ใดฝันถึง!”


 


“นั่นสิ ตัวตนที่ไม่ต่างใดจากมดในสายตาของเซี่ยจงและถูกแย่งยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารมาวันนั้น…ผ่านไปไม่ทันถึง 2 ปีไม่เพียงจะมาปรากฏตัวในภูมิภาคเบื้องบน ยังฆ่าเซี่ยจงล้างแค้นได้สำเร็จ!”


 


“คนจากภูมิภาคเบื้องล่างกลับประสบความสำเร็จในภูมิภาคเบื้องบนขนาดนี้ทั้งๆที่พึ่งขึ้นมาไม่ทัน 2 ปี…นี่พรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ที่แท้ร้ายกาจถึงขั้นไหน?”


 


“นั่นสิ หรือต้วนหลิงเทียนคนนี้จะมีพรสวรรค์รากวิญญาณแต่กำเนิด สีม่วง ในตำนาน?”


 


……


 


ในนครแห่งบาป ไม่ว่าจะผู้ฝึกตนพเนจรที่ไร้สังกัด หรือเหล่าขุมพลังทั้งหลายที่อยู่ในนครแห่งบาป ต่างตกตะลึงกับความสามารถของต้วนหลิงเทียนนัก


 


“ต้วนหลิงเทียนฆ่าเซี่ยจง ก็ถือว่าเป็นการล้างแค้น…แต่ไม่ทราบว่าตราผนึกมารที่เซี่ยจงชิงไปตอนนั้นจะยังอยู่กับเซี่ยจงหรือไม่ หากอยู่มิใช่ว่าตราผนึกมารได้หวนคืนสู่เจ้าของเดิมแล้วรึไง?”


 


“ข้าคิดว่าเรื่องตราผนึกมารจะอยู่กับเซี่ยจงคงเป็นไปได้ยาก…สุดท้ายแล้วนั่นก็เป็นถึงยอดศาสตราเซียนที่ติด 1 ใน 10 ของรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ หลังเซี่ยจงชิงของกลับมาถึงลัทธิอารามทมิฬ ก็ไม่พ้นต้องมอบให้บิดาอย่างจ้าวราชสีห์ขนทองไปแล้วล่ะ…”


 


“ข้าก็คิดแบบนั้น”


 


……


 


ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ความสนใจของใครหลายๆคนก็เปลี่ยนไปจดจ่อกับเรื่องราวของยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมาร


 


เพราะสุดท้ายแล้วที่เซี่ยจงอาวุโสของลัทธิอารามทมิฬ กับต้วนหลิงเทียนจากภูมิภาคเบื้องล่างกลายเป็นศัตรูกันได้…ก็เป็นเพราะตราผนึกมารล้วนๆ!


ตอนที่ 2,119 : 5 ผู้ฝึกตนพเนจรผู้ยิ่งใหญ่!


 


จากปากต่อปากไม่นานข่าวลือที่เป็นดั่งระเบิดลูกใหญ่ก็แพร่สะพัดไปทั่วนครแห่งบาป และทำให้ผู้คนในนครแห่งบาปถึงกับลืมเลือนเรื่องราวที่อาจมีเผ่าพันธุ์ปีศาจรุกรานเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างเป็นการชั่วคราว…


 


แน่นอนว่าตอนนี้ผู้คนในนครแห่งบาปพากันสงสัยนัก


 


ว่าตราผนึกมารที่เซี่ยจงเคยชิงจากต้วนหลิงเทียนมาในอดีต ตอนนี้ใช่ยังอยู่ที่มันหรือไม่?


 


เพราะหากอยู่ที่มัน นั่นหมายความว่าหลังต้วนหลิงเทียนฆ่าเซี่ยจง ก็ต้องยึดตราผนึกมารกลับคืนมาเป็นที่เรียบร้อย!


 


แต่หากไม่ได้อยู่ในมือเซี่ยจง เช่นนั้นไม่พ้นต้องอยู่ในมือของจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ เพราะอย่างไรก็เป็นบิดาของมัน


 


และในขณะที่ทุกคนหันไปให้ความสนใจเรื่องที่ตราผนึกมารอยู่ในมือของเซี่ยจงหรือไม่ ก็มีอีกข่าวลือหนึ่งแพร่สะพัดออกมา


 


“อะไรนะ!? ตราผนึกมารยังอยู่กับเซี่ยจงงั้นเหรอ?”


 


“นอกจากนี้…ที่ต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่าเซี่ยจงได้ เป็นเพราะกระบี่ที่ใช้อาจจะเป็น 1 ใน 2 กระบี่ที่เป็นยอดศาสตราเซียน…กระบี่ไร้ลักษณ์!”


 


“ช้าก่อน! แบบนี้กล่าวได้ว่า ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงได้ตราผนึกมารคืนมา…แต่ยังมียอดศาสตราเซียนไว้ในครอบครองอีกชิ้น แถมยังเป็นยอดศาสตราเซียนกระบี่อันร้ายกาจงั้นเรอะ!!”


 



 


เมื่อข่าวเรื่องต้วนหลิงเทียนมียอดศาสตราเซียนไว้ในครอบครองถึง 2 ชิ้นแพร่ออกมา ก็ทำให้นครแห่งบาปแตกตื่นกันไม่น้อย!


 


ยอดศาสตราเซียนนั้นมองทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้วก็มีแค่ 10 ชิ้นเท่านั้น


 


ทว่าตอนนี้กลับมีคนๆเดียวที่ครอบครองยอดศาสตราเซียนเอาไว้ถึง 2 ชิ้น!


 


ตราบใดที่ยังเป็นคนธรรมดา ไม่ว่าใครก็ต้องอิจฉาแน่นอน!


 


“ทำไม! เพราะอะไร!?”


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมันมียอดศาสตราอยู่ในมือถึง 2 ชิ้นได้อย่างไร? ข้าไม่เชื่อ เรื่องนี้ข้าไม่เชื่อ!!”


 


“หากข้าเจอต้วนหลิงเทียนข้าจะฆ่าชิงของมัน! ยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นสมควรเป็นของข้า!!”


 


“ข้าด้วย!”


 


……


 


เรียกว่าเสียงกล่าวด้วยความอยากได้อยากมีดังขึ้นระงมไปทั่วเมือง


 


คนๆเดียวกลับมียอดศาสตราเซียน 2 ชิ้น


 


ไม่ต้องกล่าวถึงคนธรรมดาในนครแห่งบาป กระทั่งผู้ที่อยู่ ณ จุดสูงสุดของนครแห่งบาปอันเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้นยังอดอิจฉาขึ้นมาไม่ได้!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


……


 


ปรากฏเสียงเคลื่อนร่างฉับไวแหวกฝ่าสายลม 5 ร่างจากทิศทางที่แตกต่างกันของนครแห่งบาป ความเร็วนั่นยากที่ผู้ฝึกตนพเนจรทั่วไปจะมองตามได้ทัน


 


และทั้ง 5 ยังมุ่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง…ยังเป็นที่เดียวกัน!


 


เป็นสถานที่พักชั่วคราวของจ้าวราชสีห์ทองคำ 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ! และยังเป็นฐานปฏิบัติการณ์ชั่วคราวของลัทธิอารามทมิฬอีกด้วย!!


 


“จ้าวราชสีห์คนทอง!”


 


“ผู้เฒ่าเซี่ย!”


 


“จ้าวราชสีห์เซี่ย”


 


……


 


ทั้ง 5 แทบจะมาถึงในเวลาเดียวกัน และหลังมาถึงพวกมันเพียงมองหน้าสบตากันเล็กน้อยทว่าไม่ได้ทักทายกันแต่อย่างใด เพียงเร่งกล่าวเรียกหาใครบางคนออกมา


 


ยังเป็นเป้าหมายการมาหาครั้งนี้ของพวกมัน


 


คนๆนั้นก็คือผู้ที่อยู่ในคฤหาสน์ใต้ฝ่าเท้าเบื้องล่าง!


 


ในบรรดา 5 คนนี้มีชายชรา หญิงชรา ชายวัยกลางคน ชายหนุ่ม และก็หญิงสาว


 


ตอนนี้ที่พวกมันเรียกหาก็คือ จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ!


 


ด้านจ้าวราชสีห์ทองคำ เซี่ยคังฉวิน พอถูกเสียงเรียกหา 5 เสียงด้วยคำเรียกที่แตกต่างกัน มันก็เหินร่างขึ้นมาบนฟ้าเหนือคฤหาสน์ พริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้าผู้มาเยือนทั้ง 5 “พวกท่านไฉนมาหาข้าได้เล่า…?”


 


ต่อหน้าร่างทั้ง 5 เซี่ยคังฉวินแม้จะกล่าวถามออกไปด้วยใบหน้าสงสัย แต่ก็ไม่กล้าประมาท


 


นั่นเพราะทั้ง 5 คนนี้ก็คือผู้นำกองกำลังพันธมิตรอันร้ายกาจของนครแห่งบาป ยังเป็นตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้วทั้งสิ้น


 


แต่แน่นอนว่าไม่ได้มียอดฝีมือที่มีพลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแค่ 5 คนในนครแห่งบาป ทว่าที่มากันเพียง 5 ก็เพราะพวกมันทั้ง 5 ได้ยินเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมียอดศาสตราเซียนสองชิ้นก่อนคนอื่น


 


และพวกมันก็มั่นใจ


 


แหล่งที่มาของข่าวลือดังกล่าว 9 ใน 10 ส่วนสมควรเป็นจ้าวราชสีห์ขนทองเซี่ยคังฉวิน!


 


ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงมาที่นี่!


 


“หึ! เฒ่าเซี่ย…เจ้าอย่าได้เสแสร้งอีกเลย…เจ้าไม่รู้จริงๆว่าพวกเรามาทำไม?”


 


ชายวัยกลางคน 1 ใน 5 พ่นลมเสียงเย็น คิ้วขมวดเป็นปมกล่าวถาม


 


อีก 4 คนก็มองจ้องจ้าววราชสีห์ขนทอง เซี่ยคังฉวิน ไม่วางตา ในแวววตายังเผยความคาดหวังไม่น้อย


 


“ข้าสามารถรับรองกับทุกท่านได้ตรงนี้ว่าตราผนึกมารนั้นอยู่กับตัวเซวี่ยจงลูกชายข้าจริงๆ…สำหรับกระบี่ไร้ลักษณ์นั้นข้ามิอาจมั่นใจได้เต็มสิบส่วน เพราะข้าก็มิอาจกล่าวได้เต็มปากว่านั่นเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์จริงๆ…”


 


เซี่ยคังฉวินรู้ตัวดีวว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาออมพะนำ เลือกเปิดประตูเห็นภาผากล่าวออก “ทว่าฉากเรื่องราวจากยันต์กระจกเงาแม่ที่ข้าได้รับมา ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะฆ่าลูกชายข้ามันชัดเจนนัก…”


 


“ลูกข้าได้หยิบยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงออกมา กระทั่งซัดใส่ต้วนหลิงเทียนและกำลังจะเปิดใช้งานยันต์เพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียน…”


 


กล่าวถึงจุดนี้เสียงของเซี่ยคังฉวินก็เงียบลง


 


“ยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วง? เฒ่าเซี่ยเจ้านับว่าลงทุนเพื่อบุตรชายของเจ้าไม่น้อย…ถึงกับมอบยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วงให้มันเก็บไว้เชียว?!”


 


ชายวัยกลางคนย่นคิ้ว กล่าวออกด้วยความประหลาดใจไม่น้อย


 


“อย่างไรก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของข้า…ข้าย่อมไม่ตระหนี่เป็นธรรมดา”


 


เซี่ยคังฉวินกล่าวตอบเสียงเบา


 


หลังจากกล่าวคำเสียงเบานี้ออกมา สีหน้าของเซี่ยคังฉวินก็มืดดำปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก


 


ลูกชายคนเดียวของมันพึ่งตาย!


 


เรียกว่าพอนึกถึงโทสะก็ปะทุขึ้นมาท่วมท้นในใจ ทั่วร่างปรากฏมวลพลังขุมหนึ่งแผ่พุ่งออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จนเส้นผมคนเคราตั้งฟู


 


ตอนนี้ท่าทางของเซี่ยคังฉวินราวกับราชสห์ที่กำลังพิโรธก็ไม่ปาน!


 


แถมผมของมันยังเป็นสีทองอ่อนๆ ทำให้ยิ่งดูเหมือนสิงโตทองไปกันใหญ่


 


แน่นอนว่านาม จ้าวราชสีห์ขนทองก็มาจากเรื่องนี้เอง


 


“ในขณะที่ลูกชายข้ากำลังจะเปิดใช้งานยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วงเพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียนนั้น…ต้วนหลิงเทียนมันก็ชิงลงมือก่อน การลงมือของมันยังฉับไว ใช้ออกด้วยกระบี่สังหารที่ว่องไวนัก!”


 


เซี่ยคังฉวินกล่าวสืบต่อ “ตั้งแต่ต้นจนขบลูกชายข้าไม่ทันได้ตอบสนองอันใด กระทั่งไม่อาจเปิดใช้ยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วงได้ทัน…กระบี่ของมันรวดเร็วเกินไป ยังรวดเร็วเสียจน ราวกับมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย”


 


“พลังอำนาจจากกระบี่มันที่ข้าแลเห็น เกรงว่ากระบี่พันอาคมเซียนทั้งมวล หากนำมาเทียบกับกระบี่เล่มนี้ก็ไม่ต่างอันใดกับเศษเหล็ก!”


 


วาจาท้ายประโยคของเซี่ยคังฉวินยามกล่าว ในน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ


 


“กระบี่…หายไปอย่างไร้ร่องรอย?”


 


สิ้นคำเซี่ยคังฉวิน ใจของร่างทั้ง 5 อดไม่ได้ที่จะสั่นไหว ชายหนุ่มคนหนึ่งยังกล่าววพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ


 


อีกลูกตาของชายวัยหนุ่มคนดังกล่าวพลันส่องสว่างขึ้นมาทันใด มองไปยังเหมือนดวงดาวในฟ้ายามค่ำคืน “ฟังจากที่จ้าวราชสีห์เซี่ยกล่าว…หรือกระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นใช้จะเป้นกระบี่ไร้ลักษณ์?”


 


อีก 4 คนพลันพยักหน้าเห็นด้วย


 


“ขอบคุณจ้าวราชสีห์เซี่ย!”


 


ชายหนุ่มคนดังกล่าวเร่งประสานมือกล่าวคำขอบคุณเซี่ยคังฉวิน ก่อนที่วูบร่างไปปานสายลมหอบหนึ่ง หายไปต่อหน้าต่อตาเซี่ยคังฉวิน


 


อีก 4 คนก็เช่นกัน


 


เรียกว่าทั้ง 5 มาแล้วก็จากไปว่องไวดั่งสายลมจริงๆ


 


ครู่ต่อมา บนฟ้าเหนือคฤหาสน์หลังโตก็หลงเหลือแต่เซี่ยคังฉวินเพียงลำพัง


 


“ต้วนหลิงเทียน…ด้วยเจ้ามียอดศาสตราเซียนในครอบครองถึง 2 ชิ้น เช่นนั้นตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าก็จักถูกกำหนดให้เป็นเป้าหมายของทุกผู้คน!”


 


กล่าวถึงจุดนี้มุมปากเซี่ยคังฉวินพลันยกแสยะออกมาด้วยอำมหิต “ให้ข้าดูว่าเจ้าจะเลือกละทิ้งยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นนั่นหรือไม่…หากเจ้าไม่เต็มใจละทิ้งพวกมัน ก็เพียงรอให้คนทั้งภูมิภาคเบื้องบนตามล่าเจ้าเถอะ!”


 


ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความโลภ…


 


หากข่าวเรื่องต้วนหลิงเทียนครอบครองยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้นแพร่กระจายออกมาเมื่อใด เขาย่อมตกเป็นเป้าหมายของสาธารณชนทันที!


 


เรียกว่าถึงตอนนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนเป็นศัตรูกับผู้คนทั้งภูมิภาคเบื้องบน!


 


ดั่งอมตะวาจา… ‘คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก’


 


ต้วนหลิงเทียนคนเดียวกลับมียอดศาสตราเซียนไว้ในมือถึง 2 ชิ้น ย่อมตกเป็นเป้าของยอดฝีมือที่เต็มไปด้วยความโลภทั้งภูมิภาคเบื้องบน!


 


เรียกว่าหลังข่าวเรื่องราวนี้แพร่ออกมา ทั่วนครแห่งบาปก็ตามหาต้วนหลิงเทียนกันจ้าละหวั่น…และเป้าหมายของทุกคนก็ล้วนอยู่ที่ยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ล้วนๆ!


 


“จ้าวราชสีห์ขนทองผู้นี้นับว่าลงมือได้อำมหิตจริงๆ…กระบวนท่านี้ของมัน นับว่าทำให้ข้าแทบไม่อาจอยู่ในภูมิภาคเบื้องบนได้อีก”


 


กว่าต้วนหลิงเทียนจะได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็เป็นอีก 1 เดือนหลังจากนั้น


 


ตอนนี้พลังฝึกปรือของเขาบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาขั้นกลางแล้ว! หากแต่ความสุขที่ได้รับหลังทะลวงด่านจำต้องมลายหายไปหมดสิ้น หลังที่ได้รับทราบข่าววเรื่องราวที่แพร่กระจายไปทั่วด้านนอก!!


 


“เหอะๆ จังหวะนี้เว้นแต่ข้าจะยอมทิ้งตราผนึกมาร…หาไม่แล้วก่อนที่พลังข้าจะสูงพอถือครองตราผนึกมารได้อย่างไม่ต้องกลัวใคร เกรงว่าไม่พ้นต้องตกเป็นเป้าหมายของยอดฝีมือทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องบนตลอดเวลา…”


 


เรื่องนี้ไม่ต้องบอกต้วนหลิงเทียนก็รู้ดี


 


ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้กล่าวออกมาว่า จ้าวราชสีห์ขนทองลงมือได้อำมหิตนัก!


 


“นอกจากนั้นตอนนี้ทุกคนก็รู้กันไปทั่วแล้วว่าข้าคือนายน้อยตำหนักเมฆาครามของภูมิภาคเบื้องล่าง…แถมฐานะอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 2 ของลัทธิบูชาไฟก็ไม่อาจปกปิด”


 


“อีกไม่นานคนทั้งแดนดินคงรู้ว่าอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 2 ของลัทธิบูชาไฟก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม! เช่นนั้นแล้วก่อนที่ข้าจะมีพลังฝีมือสูงพอบุกไปหอคุมกฏเพื่อช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูก ข้าคงไม่อาจย้อนกลับไปลัทธิบูชาไฟได้อีกต่อไป…ไม่งั้นข้าได้ตกเป็นเป้าของยอดฝีมือในลัทธิบูชาไฟทั้งหมดแน่”


 


ยอดศาสตราเซียนนั้นมีอำนาจล่อลวงใจมากเกินไป กระทั่งชนชั้นจ้าวลัทธิบูชาไฟเองก็เกรงว่ายังได้รับผลกระทบ


 


ที่สำคัญตอนนี้กลับมีข่าวลือว่าเขาถือครองยอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้นด้วยซ้ำ!


 


และยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้นที่ว่า ก็คือ ตราผนึกมาร กับกระบี่ไร้ลักษณ์!


 


“จ้าวราชสีห์ขนทองคงคิดว่ากระบี่นิลสวรรค์ของข้าเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์…แต่อย่างไรเสียเรื่องกระบี่ไร้ลักษณ์นั้นแก้ไขได้ง่ายดายยิ่ง เพียงลั่นคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าออกไป ก็ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ…”


 


“แต่ตราผนึกมารนี่มันอยู่กับข้าจริงๆ คงไม่มีทางกล่าวยืนยันด้วยการสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าได้…”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจ


 


หากเขาย้อนกลับไปยังลัทธิบูชาไฟตอนนี้ เขาต้องดึงดูดความสนใจของตัวตนระดับยอดฝีมือของลัทธิบูชาไฟทั้งหลายไม่น้อยแน่นอน เพราะสมควรมีหลายคนที่อยากได้ตราผนึกมารในมือเขา!


ตอนที่ 2,120 : ชายคลุมดำ ผู้ช่วยเหลือ?


 


คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก!


 


ต้วนหลิงเทียนรู้เรื่องนี้ดี


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้เขารู้สึกกดดันไม่น้อย


 


ควาดกดดันดังกล่าวเสมือนหินหนักตั้งทับอยู่กลางอก พาลให้ใจเขาจมลงไม่น้อย


 


“จ้าวราชสีห์ขนทองนั่นมาไม้นี้…หมายความว่าเว้นแต่ข้าจะยอมละทิ้งตราผนึกมาร ไม่งั้นก่อนที่พลังฝีมือข้าจะสูงพอปกป้องตราผนึกมารในมือ ข้าก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตนต่อหน้าผู้คนได้ง่ายๆ!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำเสียงเบา ขณะเดียวกันสีหน้าเขาก็เริ่มมืดคล้ำดำลง ราวจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก


 


เรียกว่าหลังจากนี้ต่อไป ต้วนหลิงเทียนแม้จะปรากฏตัววต่อหน้าผู้ใด ก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตนต้วนหลิงเทียนออกไปได้โดยง่าย ไม่งั้นได้โดนกลุ้มรุมจากยอดฝีมือระดับสูงๆของนครแห่งบาปแน่


 


ตราผนึกมาร ในฐานะยอดศาสตราเซียนแล้ว มันมีอำนาจล่อลวงใจมากเกินไป


 


ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวราชสีห์ขนทองไม่เพียงแต่บอกคนอื่นว่าเขามีตราผนึกมาร มันยังบอกว่าเขาสมควรมีกระบี่ไร้ลักษณ์อีกเล่มด้วย!


 


กระบี่ไร้ลักษณ์ก็เหมือนกันกับตราผนึกมาร…มันคือยอดศาสตราเซียน!


 


“ยอดศาสตราเซียน ทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็มีอยู่แค่ 10 ชิ้น…ตอนนี้จ้าวราชสีห์ขนทองนั่นมันบอกผู้อื่นว่าในมือข้ามีถึง 2 แบบนี้ไม่ว่าใครก็อิจฉาและอยากฆ่าข้าชิงของทั้งนั้น”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่แววตาของต้วนหลิงเทียนได้แปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น ท่าทางราวกับพร้อมจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน


 


“จ้าวราชสีห์ขนทอง…คราวนี้ข้าได้รับการ ‘ดูแล’ จากเจ้าอย่างดีจริงๆ…ข้าต้วนหลิงเทียนมีพลังทัดเทียมเซียนสววรรค์ 7 เปลี่ยนเมื่อไหร่ จะรีบส่งเจ้าไปหาลูกชายในนรกทันที!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ถูกจ้าวราชสีห์ขนทองจัดการแบบนี้ นับว่าเขาถูกบีบให้ต้องหลบๆซ่อนๆจนกว่าจะมีพลังฝีมือสูงพอแล้วจริงๆ!


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงเกลียดราชสีห์ขนทองที่ยังไม่เคยพบหน้าค่าตาผู้นี้นัก


 


“พรสวรรค์รากวิญญาณ…ข้าต้องการพรสวรรค์รากวิญญาณที่ยอดเยี่ยมกว่านี้!”


 


เนื่องจากตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนได้กลายเป็นรากวิญญาณสีครามไปแล้ว เขาย่อมสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในการบ่มเพาะพลังอย่างชัดเจน เช่นนั้นเขาจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะยกรับพรสวรรค์รากวิญญาณอีกครั้ง เพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะให้ถึงขีดสุด


 


“ตราบใดที่พรสวรรค์รากวิญญาณของข้ากลายเป็นสีม่วง กระทั่งกลายเป็นสีม่วงเข้ม…ด้วยมีชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติหนุนเสริม คิดทะลวงให้ถึงเซวียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนก็ไม่นานเกินรอ”


 


“ทันทีที่พลังฝึกปรือข้าบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน นั่นหมายความว่าข้าไม่ต้องหดหัวซ่อนหางอะไรอีกต่อไป…ถึงตอนนั้นต่อให้ข้ามียอดศาสตราเซียนในมือ 2 ชิ้นจริงๆแล้วใครจะทำไม!”


 


“ยังจะมีหน้าไหนกล้าแหยมข้าอีก!”


 


คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอารมณ์ต้วนหลิงเทียนก็พุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับได้เห็นฉากเรื่องราวตอนเขาบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน


 


แน่นอนว่าหลังผ่านไปครู่หนึ่งต้วนหลิงเทียนก็ดึงสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้อีกครั้ง และดั่งจะถูกน้ำเย็นราดรดลงหัวก็ไม่ปาน ตื่นจากฝันโดยสมบูรณ์


 


“ตอนนี้ด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไป พร้อมชุดคลุมลมดำตัวใหญ่ ต่อให้ภาพเหมือนข้าจะถูกแจกไปทั่ว แต่ข้างนอกก็ไม่น่ามีใครจดจำข้าได้อีกต่อไป”


 


คิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


“ด่านพลังพึ่งบรรลุถึงเซียนนภาขั้นกลาง…ช่วงนี้จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับด่านพลัง ทำให้รากฐานมั่นคง…ไปหาพวกอีกาทมิฬเพื่อรบกวนให้พวกมันช่วยปรับพลังหน่อยแล้วกัน”


 


ต้วนหลิงเทียนพึมพำกับตัวเองอีกสักพัก ก็ออกจากโรงเตี๊ยมไปทันที


 


ยังดีที่คนของอีกาทมิฬไม่ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน หาไม่แล้วพวกมันคงได้หวาดกลัวจนหน้าเสีย และไม่กล้าก่อการใดๆในนครแห่งบาปช่วงนี้แน่


 


ด้วยความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ยังจะนับประสาอะไรกับสมาชิกทั่วไปของอีกาทมิฬ ต่อให้ชนชั้นผู้นำมาเองเขาก็ลำบากเพียงหนึ่งกระบี่ในการสังหารมันเท่านั้น


 


ผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬก็ไม่ต่างอะไรจากผู้นำพันธมิตรขวานปฐพีมากนัก พลังฝึกปรือล้วนอยู่ในเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนดุจเดียวกัน


 


และตอนนี้กระทั่งรองผู้นำอีกาทมิฬอย่าง เจียวจ้านก็คงคิดไม่ถึงเช่นกัน


 


ว่าอดีตคนที่สวมรอยเป็น ปู้หง ศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟ หลังจากฆ่าน้องชายมันเจียวถูไปแล้ว ยังเตรียมลงมือเก็บกวาดคนของพวกมันพันธมิตรอีกาทมิฬ!


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มตระเวนไปทั่วนครแห่งบาป


 


เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเห็นคนของพันธมิตรอีกาทมิฬก่อการชั่วร้ายรอเก็บตกซ้ำเติมผู้อื่น ประพฤติตัวดั่งเฒ่าประมง อาศัยโอกาสที่ผู้อื่นบาดเจ็บไร้พลัง เขาจะลงมืออย่างดุร้ายฆ่าคนของอีกาทมิฬที่ก่อการทันที!


 


แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คนของอีกาทมิฬเท่านั้นที่คิดหากินด้วยวิธีการนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนลงมือฆ่าคนไปมากมาย! เรียกว่าไม่ว่าหน้าไหนก่อการอุบาทว์ดังกล่าว เขาล้วนเข่นฆ่าสังหารแล้วกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันทั้งสิ้น!


 


อย่างไรก็ตามสัดส่วนจำนวนคนที่ตกตายด้วยน้ำมือต้วนหลิงเทียนนั้น คนของพันธมิตรอีกาทมิฬนับว่ายืนหนึ่ง!


 


และเมื่อข่าวเรื่องราวดังกล่าวถูกส่งกลับมายังพันธมิตรอีกาทมิฬ พวกมันทุกคนล้วนหน้าเสียทันที


 


“ชายในชุดคลุมลมดำนั่น…ตราบใดที่เห็นคนของอีกาทมิฬเราฉวยโอกาสอาศัยตอนที่ผู้อื่นบาดเจ็บเพื่อฆ่าชิงทรัพย์ มันจะลงมือฆ่าคนของพวกเราก่อนงั้นเหรอ…ยังลงมือสังหารในกระบวนเดียว?”


 


เมื่อเรื่องราวทั้งหมดถูกรายงานมาที่ฐาน ทุกคนก็ตื่นตระหนกตกใจกันไม่น้อย


 


เรียกว่าพริบตานี้คนของอีกาทมิฬทั้งหลายสัมผัสได้ถึงสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่ง ต่างคิดว่าจะเลิกหากินเช่นนี้เป็นการชั่วคราว ต่อไปไม่อาจลงมือทำร้ายปล้นชิงผู้อื่นตอนบาดเจ็บได้อีกต่อไป


 


ไม่งั้นเกิดพวกมันเจอชายในชุดคลุมลมดำนั่นเข้า ได้ชะตาขาดแน่ๆ!


 


“มันที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่ ไฉนถึงได้มุ่งเป้ามาที่คนพันธมิตรอีกาทมิฬเรา…มันคิดตั้งตัวเป็นศัตรูกับอีกาทมิฬของพวกเราให้ถึงที่สุดหรือ?”


 


เหล่าคนของอีกาทมิฬได้แต่ร่ำร้อง


 


“ผู้ที่ตกตายด้วยมือมันไม่เพียงแค่คนอีกาทมิฬเราเท่านั้น…ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่คิดอาศัยประโยชน์จากการสู้รบของผู้อื่น ล้วนถูกมันเก็บหมดสิ้น!”


 


สมาชิกอีกาทมิฬบางคนแย้ง


 


ในวาจาของมันยังพยายามแจกแจงพฤติกรรมของชายในชุดลุมลมดำนั่น ว่าไม่ได้เลือกปฏิบัติเฉพาะกับพวกมัน


 


“ที่แท้มันคิดกระทำสิ่งใดกันแน่ อย่าได้บอกเชียวว่ามันคิดเป็นผู้กล้าช่วยเหลือคนอื่น?”


 


“ไม่ว่าจะผู้กล้าหรือตัวบัดซบอันใด คนอีกาทมิฬเราล้วนตายตกด้วยน้ำมือมันหลายคนนัก…หากเจอตัวมัน ข้าจักให้มันถามหาคำอธิบายให้พวกเราอีกาทมิฬ!”


 


“อธิบาย? เจ้าล้อเล่นหรือ เจ้าไม่ได้ยินที่มันกล่าวประกาศไว้หรือไร ว่าอย่าให้มันเห็นคนใส่ชุดอีกาทมิฬเดินบนถนน หาไม่แล้วมันจะลงมือฆ่าให้ตาย!”


 


“ข้าว่าเจ้าชุดคลุมลมดำนั่นมันกำลังจงใจหาเรื่องอีกาทมิฬของพวกเรา! หากไม่ฆ่ามันให้ตาย ข้ากลัวว่าอีกาทมิฬของพวกเราคงยากยืนหยัดอยู่ในนครแห่งบาปได้แล้ว!”


 


… …


 


วาจาทำนองเดียวกันนี้ดงขึ้นไปทั่วฐานที่มันกอกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬ


 


ปงงง!!


 


เสียงสนั่นหนึ่งพลันดังขึ้นจากลานในคฤหาสน์หลังหนึ่งในเขตฐานที่มั่นอีกาทมิฬ เป็นเสียงเจียวจ้านบันดาลโทสะฟาดทุบโต๊ะหินอ่อนทิ้ง!


 


เรียกว่าไม่เพียงโต๊ะหินสวยงามจะกลายเป็นธุลีดิน กระทั่งพื้นดินเบื้องหน้าของมันยามนี้ยังเป็นหลุมลึกลงไปปานหลุมอุกกาบาต


 


“ช่างกล้านัก! มันถือดีอันใดมาฆ่าคนอีกาทมิฬของข้า!!”


 


ใบหน้าเจียวจ้านเต็มไปด้วยความดุร้ายไร้สิ้นสุด ยังบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก ลูกตาประหนึ่งจะยิงลำแสงความร้อนออกมา


 


ท่าทางของเจียวจ้านยามนี้ประหนึ่งอสรพิษดุร้ายใคร่ฉกกัดเหยื่อ!


 


“ผู้นำกับรองผู้นำอีก 2 คนก็ไม่อยู่…เช่นนั้นข้าเจียวจ้านจะจัดการเจ้าเอง ไอ้ชายชุดดำบัดซบ!”


 


สิ้นคำร่างเจียวจ้านก็อันตรธานหายไปปานสายลม


 


ชายในชุดคลุมลมดำที่ถูกคนของอีกาทมิฬกล่าวถึงกันหนาหูไม่ใช่ชื่ออะไร เพียงแต่เป็นชายในชุดคลุมลมดำที่พวกมันไม่ทราบว่าเป็นใครเท่านั้น จึงเรียกตามลักษณะการแต่งกาย


 


และชายในชุดคลุมลมดำผู้นี้ย่อมเป็นต้วนหลิงเทียนที่ปิดบังตัวตนเอาไว้เป็นธรรมชาติ


 


“ช้า…ยังช้าเกินไป…ถึงแม้จะฆ่าและดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณผู้คนไปไม่น้อย แต่พรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันล้วนไม่นับเป็นอะไรสำหรับรากวิญญาณสีคราม แทบไม่ต่างจากเติมน้ำหยดเดียวลงถัง…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่กำลังร่อนเร่ไปทั่วนครแห่งบาปอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา


 


“เฮ่! พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ตอนนี้ในนครแห่งบาปเรามีผู้กล้าที่มาในชุดคลุมลมดำคอยช่วยเหลือผู้คนราวกับผดุงคุณธรรมแทนฟ้าด้วย?”


 


ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งพลันดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน


 


“ใช่เจ้ากำลังกล่าวถึงชายในชุดคลุมลมดำที่ฆ่าคนของอีกาทมิฬหรือไม่?”


 


“มิผิด เป็นมันเอง!”


 


“เจ้าว่ามันเป็นผู้กล้าผดุงคุณธรรมแทนฟ้าหรือ แต่ข้าคิดว่ามันก็แค่ดำกินดำ!”


 


“เจ้ากล่าวแบบนั้นก็อาจถูก แต่ข้าก็ไม่อาจรังเกียจคนผู้นี้ได้ลง…เพราะอย่างไรหากมิได้ประพฤติตัวต่ำช้าเหมือนคนของอีกาทมิฬ ข้าก็ไม่เห็นว่ามันจะลงมือกับผู้อื่นส่งเดช”


 



 


ต้วนหลิงเทียนได้ยินวาจาทำนองนี้มานานแล้ว จึงไม่ได้แปลกใจอะไรอีก


 


ผู้คนในนครแห่งบาปบ้างก็วิจารย์การกระทำของเขาบ้างก็ชมชอบการกระทำของเขา


 


บางคนคิดว่าเขาผดุงคุณธรรมแทนฟ้า


 


บางคนคิดว่าเขาก็แค่คนชั่วคนหนึ่ง เสมือนดำกินดำ โจรปล้นโจร


 


อย่างไรก็ตามไม่ว่าผู้อื่นจะมองและพูดว่าเขาเป็นอะไรยังไง เขาก็ยังคงตระเวนไปทั่วนครแห่งบาปรอให้ผู้ฝึกตนที่คิดก่อกรรมทำชั่วปรากฏตัว


 


มา 1 ฆ่า 1!


 


มา 2 ฆ่า 2!


 


แน่นอนว่าเพื่อยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขา ไม่ว่าจะกี่คนเขาจะฆ่าให้เหี้ยน!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


ทันใดนั้นเองเสียงดังก้องฟ้าเป็นชุดพลันดึงดูดความสนใจของต้วนหลิงเทียนไปทันที


 


พอต้วนหลิงเทียนหันไปมองก็พบว่า


 


มีคน 2 คนกำลังประมือกันอย่างดุเดือด พลังฝีมือพวกมันล้วนไล่เลี่ยทัดเทียมยากจะรู้ผลแพ้ชนะต่ำสูงได้ในเวลาอันสั้น


 


อีกทั้งการประลองของทั้งคู่ ยังดึงดูดความสนใจของผู้คนในนครแห่งบาปไม่น้อย


 


ต้วนหลิงเทียนที่ซ่อนตัวอยู่ในกลีบเมฆ ก็มีเพียงคนสังเกตเห็นเขาแค่ไม่กี่คนเท่านั้น หาไม่แล้วคงส่งผลกระทบต่อทั้งหมดที่กำลังดูคนตีกันอยู่แน่นอน…เพราะตอนนี้ไม่มีใครในนครแห่งบาปไม่รู้จักเขา


 


เรียกว่าชายในชุดคลุมลมดำ ร่างหนาพร้อมใส่โม่งดำนั้นเป็นอัตลักษณ์ของเขาไปเสียแล้ว


 


เรียกว่าในนครแห่งบาปตอนนี้ ขอเพียงใส่ชุดคลุมลมดำปิดบังหน้าตา แม้จะมีรูปร่างขนาดตัวต่างจากต้วนหลิงเทียนทุกคนก็หวั่นเกรงขึ้นเป็นส่วน


 


“ช่วงนี้นับว่ามีคนเลือกจะสู้ตัดสินกันจนกว่าจะตายกันไปข้างไม่น้อย…”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาขณะชมดูการประลองไกลตา


 


ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เพราะเขาลงมือกับคนที่รอเก็บตก ทำให้มีผู้คนมากมายรอดพ้นความตาย กระทั่งผู้ที่แพ้พ่ายก็ไม่ถูกผู้ใดฉวยโอกาสซ้ำจนตายให้เห็นเหมือนกาลก่อน


 


เรื่องนี้ทำให้ผู้ฝึกตนพเนจรหลายคนเลือกที่จะสู้ตัดสินกับคู่อริอย่างวางใจ ไม่กลัวถูกใครตลบหลัง


 


เพราะต้วนหลิงเทียนที่พวกมันไม่มีใครรู้จักมักคุ้น ได้เป็นดั่ง เทพผู้พิทักษ์ ของพวกมันไปซะแล้ว!


ตอนที่ 2,121 : กับดัก?


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็คิดไม่ถึงอยู่บ้างว่าอยู่ๆเขาจะกลายเป็นผู้พิทักษ์อะไรในสายตาเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรในนครแห่งบาปแบบนี้ไปได้…


 


แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มันอยู่เหนือการควบคุมของเขา


 


แม้ว่าจะมีการต่อสู้เอาเป็นเอาตายเกิดขึ้นเบื้องหน้า หากแต่ต้วนหลิงเทียนก็เพียงแค่เฝ้ามองหน้าตาเฉย ในใจไม่ได้คิดจะช่วยเหลืออะไรทั้งสิ้น


 


ก่อนหน้านี้เขาก็เห็นการปะทะกันในนครแห่งบาปมาไม่น้อย ผู้ฉวยโอกาสก็ไม่ใช่ว่าจะมีมาก


 


เช่นนั้นแล้วหากเป็นการประมือกันของคนสองคน ใครจะเป็นจะตายเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร


 


ที่เขาสนใจก็แค่หลังคนสองคนประมือกันจบ จะมีใครฉวยโอกาสลงมือหรือไม่!


 


ปงงง!!


 


ครานี้ก็เช่นกัน การประลองเป็นตายเบื้องหน้า ในที่สุดฝ่ายหนึ่งก็ช่วงชิงจังหวะออกกระบวนท่าสังหารได้สำเร็จ กระทั่งยังเป็นการลงมือแบบแลกชีวิต จ่ายออกด้วยพลังทั้งหมดตบฟาดแลกตายจนเอาชัยคู่ต่อสู้มาได้…


 


แต่แน่นอนว่าหลังเอาชนะศัตรูได้แล้วมันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน


 


หากเป็นก่อนหน้านี้เมื่อเอาชนะผู้อื่นได้โดยสภาพยักแย่ยักยันขนาดนี้มันคงเร่งรุดหลบหนีไปรักษาตัวแล้ว ด้วยกลัวมีมือที่สามสอดแทรก ทำร้ายกระทั่งฆ่ามันเพื่อชิงผลประโยชน์ทั้งหมด…


 


ทว่าตอนนี้มันเลือกจะลอยร่างอยู่ที่เดิม หยิบควักโอสถรักษาออกมาใส่ปากกลืนลงคอแล้วนั่งขัดสมาธิกลางหาวเดินพลังรักษาตัวเสียอย่างนั้น!


 


ทำราวกับตอนนี้รอบๆกายมันไร้ผู้ใดอยู่ด้วย!


 


“เหอะๆ ดูเจ้านั่นมันทำเข้า…แต่อย่างไรด้วยการปรากฏตัววของชายในชุดคลุมลมดำผู้นั้น สถานการณ์การปะทะของนครแห่งบาปเราก็ดีขึ้นมาก…หากเป็นเมื่อก่อนใครบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ไหนเลยจะกล้าเดินพลังรักษาตัวต่อหน้าผู้คน”


 


เมื่อเห็นว่าผู้ชนะการประลองเป็นตายถึงกับทำตัวสบายใจได้ขนาดนี้ เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายได้แต่ส่ายหน้าไปมา


 


ฉากเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหน้านั้น หากเป็นเมื่อก่อนพวกมันคงไม่กล้าแม้แต่จะคิด


 


“ให้ตายเถอะ แม้ข้าจะรู้สึกอิจฉาและสนใจแหวนพื้นที่ของมันกับคนที่ตายไปไม่น้อย กระทั่งยังมั่นใจว่าคิดฆ่ามันตอนสภาพร่อแร่เช่นนี้คงง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือ…แต่พอคิดถึงว่าชายในชุดดำผู้นั้นอาจจะโผล่ออกมาตอนไหนก็ไม่ทราบ ข้าก็ไม่กล้าลงมือจริงๆ”


 


ผู้ฝึกตนพเนจรคนหนึ่งกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแหยๆ


 


ในอดีตมันก็ไม่ต่างอะไรจากคนของอีกาทมิฬ ชมชอบเก็บตกอาศัยจังหวะที่ผู้อื่นอ่อนแอ ช่วงชิงทุกสิ่งอย่างมาเป็นของตัว แต่โชคดีนักช่วงที่ชายชุดดำปรากฏตัวขึ้นมา มันยังไม่ได้ลงมือทำอะไร หาไม่แล้วมันอาจจะกลายเป็นผีภายใต้การลงมือของชายุดดำอย่างไม่ทันได้รู้ตัว


 


อย่างไรก็ตาม เห็นคนบาดเจ็บรอแร่ไร้หนทางสู้อยู่เบื้องหน้าแบบนี้ มันย่อมบังเกิดอาการคันในหัวใจยากจะเกานัก! อยากลงมือเหลือเกิน…แต่ใจไม่กล้า!!


 


ผู้ใดจะไปรู้ว่าชายชุดดำใช่ซุ่มซ่อนตัวอยู่แถวนี้หรือไม่?


 


มันไม่กล้าเสี่ยง!


 


เพราะมันต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน!


 


หากมันแพ้เดิมพัน มันก็ต้องจ่ายราคาด้วยชีวิต!


 


“มีไม่น้อยที่บอกว่าชายชุดดำผู้นั้นเป็นดั่งดำกินดำ…ในสายตาข้านี่ล้วนเป็นการใส่ร้ายป้ายสีชัดๆ! พักหลังๆมานี้ในนครแห่งบาปเรามีผู้ลงมือประลองกันและบาดเจ็บจนอาการร่อแร่เช่นนี้ก็มาก แต่ข้ามิเห็นว่าชายในชุดดำผู้นั้นจะลงมือทำอะไร…สมควรลงมือเพื่อความถูกต้องแล้วจริงๆ”


 


“ใช่ ข้าคิดว่าชายในชุดดำผู้นั้นมิใช่ดำกินดำอย่างว่า อีกทั้งธาตุแท้สมควรไม่ใช่คนใจหยาบช้าอะไร”


 


“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”


 


เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรเห็นด้วย


 


เปรี๊ยงง!!


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่ผู้ฝึกตนพเนจรรอบๆกำลังจะแยกย้ายกันจากไปนั้น เสียงปานฟ้าสนั่นกึกก้องพลันดังขึ้น


 


เป็นมวลพลังอันยิ่งใหญ่สุดไพศาลขุมหนึ่ง ที่ราวกับจะผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า มันพุ่งกระแทกทำร้ายเข้าใส่ร่างชายที่นั่งขัดสมาธิเดินพลังรักษาตัวอย่างไร้ปราณี เข่นฆ่าสังหารคนอย่างที่ไม่ทันได้รู้ตัว! ผู้ฝึกตนพเนจรที่เก็บกู้ชีวิตมาจากการประลองได้ กลับต้องตายไปในลักษณะนี้!!


 


หลังร่างมันระเบิดเป็นหมอกโลหิต ก็คงเหลือแหวนพื้นที่ วงหนึ่งที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ


 


“ตะ…ตายแล้ว?”


 


ผู้คนในจุดเกิดเหตุหลายคนยังตะลึงกันไม่หาย


 


“ยะ…ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์!”


 


นอกจากนั้นยังมีผู้ที่ตระหนักได้ว่ามือมืดที่ลงมือเมื่อครู่ สมควรเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์! หาไม่แล้วคงไม่มีทางฆ่าผู้ฝึกตนพเนจรที่เดินพลังเบื้องหน้ามันได้ง่ายดายโดยที่พวกมันไม่อาจตอบสนองสิ่งใดได้ทันแบบนี้!!


 


“หือ?”


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนที่กำลังจะเหินร่างจากไปจำต้องหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน เขาหันไปมองทิศทางหนึ่งด้วยสายตาเย็นชาทันที


 


เหนือขึ้นไปบนฟ้าสูงหลังม่านเมฆ ปรากฏร่างหนึ่งลอยล่องอยู่กลางหาว!


 


‘คนของอีกาทมิฬงั้นเหรอ’


 


ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นทันทีที่เห็นเครื่องต่างกายของชายคนนั้น เป็นเครื่องแต่งกายของกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬ!


 


เมื่อไม่นานมานี้เขาฆ่าคนของอีกาทมิฬไปมากมายก่ายกอง เช่นนั้นเครื่องแต่งกายเฉพาะของพวกมันย่อมไม่ใช่อะไรที่แปลกตาเขา


 


‘ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์งั้นเหรอ? น่าสนใจดีนี่…’


 


ในอดีตคนของอีกาทมิฬที่ร้ายกาจที่สุดที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอ ก็เป็นเพียงยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุดเท่านั้น


 


ดังนั้นระดับพรสวรรค์รากวิญญาณที่เขากลืนกินเข้าไป มันช่างอ่อนด้อยนัก!


 


ทว่าตอนนี้คนของอีกาทมิฬที่บรรลพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนสวรรค์ปรากฏขึ้น ย่อมทำให้เขารู้สึกยินดีไม่น้อย


 


การที่อีกฝ่ายทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้ นั่นหมายความว่าอย่างน้อยๆพรสวรรค์รากวิญญาณของอีกฝ่ายก็ต้องเหนือกว่าคนของอีกาทมิฬขอบเขตเซียนนภาที่เขาเจอมา!


 


“มันเป็นคนของอีกาทมิฬแท้ๆ แต่มันถึงกับกล้าลงมือโดยไม่กลัวว่าจะถูกชายชุดดำฆ่าตายรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนจดจำได้ว่ามันเป็นคนของอีกาทมิฬ แน่นอนว่าผู้ฝึกตนคนอื่นๆที่อยู่ในจุดเกิดเหตุพอเห็นชุดก็จดจำได้เช่นกัน


 


“พวกเจ้ามิเห็นพลังของมันตอนลงมือเมื่อครู่รึไง? มันสมควรเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์! มันอาจจะไม่ได้กลัวชายชุดดำ!”


 


“จริงสิ ชายชุดดำนั่นแม้พลังฝีมือจะไม่ใช่ชั่ว แต่จนถึงตอนนี้ที่ร้ายกาจที่สุดที่ฆ่าไปก็แค่ขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุดเท่านั้น…บางทีอาจไม่มีพลังฝีมือสูงพอจะฆ่าเจ้านั่นก็ได้!”


 


“เป็นไปได้ คนของอีกาทมิฬผู้นี้ไม่รีบร้อนจากไปหลังฆ่าคน…เห็นได้ชัดว่ามันไม่กลัวชายชุดดำจริงๆ!”


 


“ไม่ทราบว่าชายชุดดำจะปรากฏตัวออกมาหรือไม่”


 


……


 


ภายใต้สายตาของผู้ฝึกตนพเนจร คนในชุดอีกาทมิฬนั่นหลังฆ่าคนแล้วก็สะบัดมือเก็บแหวนพื้นที่ๆกำลังร่วงตกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


อีกทั้งหลังเก็บแหวนพื้นที่มาแล้ววมันก็ไม่ได้ไปไหน เพียงหันซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังมองหาอะรางอย่างอยู่


 


“นั่นมันกำลังหาอะไร?”


 


“อย่าบอกข้านะ…ว่ามันกำลังรอให้ชายชุดดำปรากฏตัว!?”


 


“เจ้าคนของอีกาทมิฬที่ดูเหมือนจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ผู้นี้ ดูท่าทางจะมาเพื่อล่อชายชุดดำให้ปรากฏตัวแล้วจริงๆ มิพ้นต้องคิดล้างแค้นให้คนของอีกาทมิฬที่ต้องตายไปแน่!”


 


“อาจเป็นได้!”


 


……


 


เมื่อเห็นว่าคนของอีกาทมิฬที่สมควรบรรลุถึงขอบเขตเซียนสววรรค์ ไม่รีบร้อนจากไปไหน เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายก็คาดเดาวัตถุประสงค์ของมันออกได้ทันที ทั้งยังมั่นใจกันนัก!


 


หากไม่ใช่เพราะขอบเขตเซียนสวรรค์ของอีกาทมิฬคนนี้อยากเจอชายชุดดำ ไฉนมันต้องเลือกจะทำแบบนี้ด้วย?


 


ต้องทราบด้วยว่าสองคนที่ประลองเป็นตายกันเมื่อครู่ อย่างไรก็แค่ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนนภา! ตัวมันที่เป็นขอบเขตเซียนสววรรค์คิดฆ่าคนชิงทรัพย์จริงทำไมต้องรอให้ทั้งคู่ตีกันจบก่อน? ให้ทั้ง 2 คนนั่นกลุ้มรุมในสภาพสมบูรณ์ยังไม่คณนามือมันด้วยซ้ำ!!


 


อาศัยพลังฝีมือของมันไม่จำเป็นต้องมารอโอกาสลงมืออะไรแบบนี้!


 


ดังนั้นเหล่าผู้ฝึกตพเนจรทั้งหลายในที่นี้จึงตระหนักกันได้ทันทีว่าวัตถุประสงค์การมาของมันคือจัดการกับชายชุดดำ!


 


“ไม่ทราบชายชุดดำจะปรากฏตัวออกมาหรือไม่หลังทราบเรื่องนี้…”


 


ผู้ฝึกตนพเนจรหลายคนย่อมอยากรู้เรื่องนี้


 


“ยังจะมาอีกหรือ? ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์คนนี้ของอีกาทมิฬเตรียมตัวมาแล้วอย่างเห็นได้ชัด…ไม่ต้องกล่าวถึงพลังฝีมือส่วนตัวของมัน เผลอๆแถวนี้อาจจะมีคนของอีกาทมิฬมาซุ่มจับตาดูและตรึงกำลังเอาไว้แล้วก็เป็นได้!”


 


ผู้ฝึกตนพเนจรบางคนกล่าวออกตาใส


 


“หากข้าเป็นชายชุดดำข้าย่อมไม่มาหรอก…เห็นชัดๆว่านี่มันขุดหลุมพรางล่อกันโต้งๆ!”


 


“ข้าก็ว่างั้น…”


 


……


 


ด้วยการลงมือของต้วนหลิงเทียนในฐานะชายชุดดำ ทำให้ผู้ฝึกตนเนจรหลายคนรู้สึกประทับใจไม่น้อย มีหลายคนที่หวังว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ออกมาติดกับ


 


“กับดักรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ซ่อนตัวในกลีบเมฆเร่งถามผู้เฒ่าหั่วทันที เพื่อให้ผู้เฒ่าหั่วช่วยเขาตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกแรงว่ามีผู้ใดซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดหรือไม่ หากมีแล้วพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตใด


 


มีเพียงระวังจึงแล่นเรือข้ามฟากได้นับหมื่นปี


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจความจริงข้อนี้ดี


 


ในเวลาเดียวกันกับที่มีผู้ฝึกตนพเนจรมากมายหลายคนคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่มา พวกมันก็แยกย้ายกันไปแพร่กระจายเรื่องราวที่เกิดขึ้น


 


หลังจากออกไปแพร่เรื่องราว ก็มีผู้ฝึกตนพเนจรมารวมตัวเพื่อชมดูความสนุกกัน


 


ทันทีที่มีคนมาชมดูเรื่องราวมากเข้า ในที่สุดก็มีคนจดจำคนของอีกาทมิฬที่เฝ้ารอนั่นได้ “ช้าก่อน…นั่น…มิใช่…เจียวจ้าน หนึ่งในรองผู้นำกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬหรือไร?!”


 


“เจียวจ้าน? รองผู้นำ?”


 


ทันใดนั้นผู้คนก็ฮือฮากันขึ้นมาทันที


 


เมื่อผู้ฝึกตนพเนจรโดยรอบมองไปยังร่างคนของอีกาทมิฬที่ลอยร่างรอคอยอย่างสงบอีกครั้ง สายตาของพวกมันก็เปลี่ยนไปไม่น้อย


 


ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้พวกมันต่างคิดว่า คนของอีกาทมิฬผู้นี้ก็เป็นเพียงยอดฝีมือคนหนึ่งที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์เท่านั้น


 


แต่ทั้งหลายไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึง รองผู้นำอีกาทมิฬคนหนึ่ง เจียวจ้าน!


 


เพราะเจียวจ้านนั้นนอกจากจะเป็นชนชั้นรองผู้นำของกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬแล้ว พลังฝีมือของมันยังจัดว่าอยู่ในชนชั้นยอดฝีมือของขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน! รั้งอยู่ในอันดับที่ 566 ของรายนามยอดเซียน!!


 


“ที่แท้มันคือเจียวจ้านรองผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬ…มันมาคนเดียวเลยหรือ?”


 


“ชัดเจนแล้วว่ามันมาเพื่อชายชุดดำ…ถึงมันจะมาแค่คนเดียวก็ไม่แน่ว่าชายชุดดำจะกล้ามาปรากฏตัวที่นี่!”


 


“ดูท่าท่าวันนี้คงไม่มีเรื่องราวใดให้ดูชมแล้ว…”


 


……


 


พอทราบว่าคนของอีกาทมิฬที่ลงมือฆ่าคนและรอคอยอยู่พักหนึ่งคนนี้ที่แท้ก็คือชนชั้นรองผู้นำอีกาทมิฬอย่างเจียวจ้าน เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรไม่เพียงแปลกใจ ยังเริ่มมั่นใจว่าต้วนหลิงเทียนไม่กล้าปรากฏตัวออกมาแน่


 


“รองผู้นำกองกำลังอีกาทมิฬ เจียวจ้านรึ?”


 


ทว่วาทันใดนั้นเอง เสียงไม่แยแสหนึ่งพลันดังขึ้นมาในอากาศ


 


เสียงกล่าววาจานี้ไม่ได้ดังมากมายอะไร หากแต่คล้ายมีพลังอำนาจวิเศษแฝงเร้น จึงกึกก้องไปทั่วสารทิศ ดังฟังชัดในหูทุกผู้คน!


 


และหลังเสียงกล่าวดังขึ้นได้ไม่นาน ร่างหนึ่งก็ค่อยๆปรากฏกายออกมาจากม่านเมฆ


 


เนื่องจากสวมใส่ด้วยชุดคลุมลมดำมิดชิด จึงไม่ทราบว่าภายใต้โม่งดำนั้นที่แท้คนมีหน้าตาเช่นไรกันแน่


 


อย่างไรก็ตามฟังจากเสียงพูดจาก็ยืนยันได้ประการหนึ่ง


 


คนในชุดคลุมลมดำผู้นี้เป็นบุรุษ!


 


“ชายในชุดคลุมลมดำ!”


 


เมื่อเห็นร่างในชุดคลุมลมสีดำปรากฏตัวขึ้นฉากเรื่องราวก็ดั่จะลุกไหม้เป็นเพลิงไฟ แต่ละคนเผยความประหลาดใจ ทั้งคาดไม่ถึงออกมาถ้วนหน้า


 


“มัน…ถึงกับมาจริงๆ? มันไม่กลัวเจียวจ้านจะฆ่ามันรึไง?”


 


“หรือมันไม่รู้ว่าเจียวจ้านนั้นพลังฝีมือร้ายกาจและเป็นชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน อันดับที่ 566 ของรายนามยอดเซียน?”


 


“สวรรค์มีทางไม่เดิน นรกไร้ประตูกลับมุดมา…”


 


……


 


เผล่าผู้ฝึกตนพเนจรมากมายหลายคนมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียนในมาดชายชุดคลุมลมดำด้วยสายตาสงสารทั้งเสียดาย บ้างก็ส่ายหัวไปมา


 


ยังมีผู้ฝึกตนพเนจรหลายคนหวังดีส่งเสียงผ่านพลังบอกให้ต้วนหลิงเทียนรีบหนีไป


 


“เจ้า…คือคนที่ลงมือเข่นฆ่าคนอีกาทมิฬของข้าในนครแห่งบาปก่อนหน้ารึ?”


 


เจียวจ้านมองจ้องไปยังร่างของต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาเยียบเย็น กล่าวถามออกมาเสียงเข้ม


ตอนที่ 2,122 : ยอดสมบัติสวรรค์ บรรทัดจักรวาล!


 


เพียงวาจาแรกที่กล่าวถาม เจียวจ้านก็คิดยืนยันตัวตนของต้วนหลิงเทียน


 


เพราะหลังจากเกิดเรื่องราวดังกล่าวขึ้น ก็มีผู้คนไม่น้อยใส่ชุดคลุมลมดำในนครแห่งบาป มันจึงไม่แน่ใจว่าชายในชุดคลุมลมดำเบื้องหน้าจะเป็นคนๆเดียวกับชายชุดดำที่เข่นฆ่าสังหารคนพันธมิตรอีกาทมิฬของมันหรือไม่


 


แน่นอนว่าต่อให้เบื้องหน้าจะไม่ใช่ชายชุดดำตัวจริง มันก็ไม่คิดแสดงความเมตตา!


 


“เจ้าเป็นพี่ชายเจียวถู?”


 


ตอนแรกต้วนหลิงเทียนในชุดคลุมลมดำก็รู้สึกว่าชื่อเจียวจ้านนี้มันคุ้นหูอย่างไรชอบกล หลังจากคิดไปพักหนึ่งจึงนึกออก ว่านี่ไม่ใช่นามของพี่ชายคนของอีกาทมิฬที่เขาเคยฆ่าไป ‘เจียวถู’ หรือ?


 


เขายังจดจำได้


 


ก่อนที่เขาจะฆ่าเจียวถู อีกฝ่ายก็ยกอ้างอัตลักษณ์ของพี่ชายที่เป็นรองผู้นำอีกาทมิฬออกมาหมายข่มเขา


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย


 


แน่นอนว่าเจียวจ้านเองก็คงไม่คิดไม่ฝันจริงๆ


 


ว่าชายในชุดคลุมลมดำที่ลอยร่างอยู่กลางอากาสเบื้องหน้ามันคนนี้ ไม่เพียงแต่จะเข่นฆ่าคนพันธมิตรอีกาทมิฬมันไปมากมาย ยังเป็นมือสังหารคร่าชีวิตน้องชายมัน เจียวถู อีกด้วย!


 


แน่นอนว่าเจียวจ้านย่อมไม่มีวันคิดคาดจินตนาการออกได้ ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดจะบอกมันสักนิด


 


“ก็แค่กลุ่มตัวไม่เอาไหนประพฤติตัวดั่งสุนัขลอบกัด ฆ่าพวกมันทิ้งไปแล้วจะทำไม?”


 


เผชิญหน้ากับเจียวจ้านที่กล่าวถามมาเสียงเข้ม ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกไปอย่างเฉยเมย ใบหน้าส่วนที่เผยให้เห็นนอกโม่งดำไร้อารมณ์ถึงที่สุด ทำราวกับไม่คิดว่าการฆ่าคนอีกาทมิฬเป็นเรื่องที่ต้องเก็บเอามาใส่ใจอะไร


 


อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ใส่ใจจริงๆ


 


ในนครแห่งบาป เขาเจอคนของอีกาทมิฬไม่น้อย


 


แต่คนของอีกาทมิฬที่เขาฆ่าไปทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ประพฤติตัวดั่งเฒ่าประมงรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากผู้อื่นทั้งสิ้น


 


เพราะสำหรับคนสารเลวเหล่านี้ ต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่าทิ้งได้โดยไม่รู้สึกติดค้างอะไรในใจ


 


โอ! อา!


 


วาจาต้วนหลิงเทียนดังไม่ทันขาดคำดี เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงก็กระหึ่มขึ้นมา ผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียนด้วยความทึ่ง


 


พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะดุร้ายขนาดนี้!


 


เผชิญหน้ากับรองผู้นำกองกำลังอีกาทมิฬ เจียวจ้านที่อยู่ในอันดับที่ 566 ของรายนามยอดเซียน…


 


แต่ยังกล้าที่จะหยิ่งผยองถือดีแบบนี้…หรือคนไม่กลัวความตายแล้วจริงๆ?


 


“กล้าที่จะกล่าวออกมาด้วยท่าทีเช่นนั้นต่อหน้าเจียวจ้าน…หรือพลังฝีมือของมัน ที่แท้จะกล้าแข็งเหนือกว่าเจียวจ้าน!?”


 


ทันใดนั้นเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรคนหนึ่งก็กล่าวคาดเดาออกมา


 


และสิ่งที่มันพูด ก็สร้างความโกลาหลในหมู่ผู้ชมทันที


 


“ฟังที่เจ้าว่าแล้ว…อาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ!”


 


“ข้าเองก็ต้องคิดใหม่อีกรอบ…นั่นสิไฉนต้องมองว่าเจียวจ้านเหนือกว่าด้วย? มิใช่ว่าบางทีชายชุดดำอาจจะร้ายกาจกว่าเจียวจ้านหรอกหรือ? พอนึกขึ้นมาข้าก็จดจำได้ว่าก่อนหน้านี้มิว่าใคร ชายชุดดำก็อาศัยเพียงหนึ่งกระบวนเพื่อสังหารเท่านั้น!”


 


“ใช่แล้วถึงแม้กล่าวได้ว่าผู้ที่ตกตายด้วยน้ำมือชายชุดดำจะเป็นเพียงเซียนนภาขั้นสูงสุด…แต่ยังมีใครกล้าพูดว่าชายชุดดำก็ไม่ใช่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์เช่นกัน?”


 



 


เมื่อผู้ฝึกตนทั้งหลายเริ่มสนทนากันอีกครั้ง หัวข้อของพวกมันก็แปรเปลี่ยนไป


 


และวาจาที่เปลี่ยนของผู้คนก็ดังเข้าหูเจียวจ้านเช่นกัน ยังทำให้หน้ามันเปลี่ยนสีไปไม่น้อย


 


เพราะหลังได้ยินวาจาที่ดั่งจะกระตุ้นเตือนของผู้ฝึกตนพเนจรโดยรอบ มันก็รำลึกได้ถึงความจริงข้อหนึ่ง


 


มันยังไม่ล่วงรู้ถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของชายชุดดำ ว่าแข็งแกร่งเพียงใด…


 


แต่เนื่องจากอีกฝ่ายกล้าปรากฏตัวออกมาในเวลาแบบนี้ จึงมีความเป็นไปได้เพียงแค่ 2 ประการเท่านั้น…


 


ประการแรกคือเสแสร้งแสดงลึกลับ หมายวางมาดยอดฝีมือเพื่อรักษาหน้าตา ก่อนที่จะหาโอกาสล่าถอยไปเมื่อสบโอกาสเหมาะ


 


ความเป็นไปได้ประการที่สองคือ อีกฝ่ายแข็งแกร่งเหนือมัน และไม่ได้กลัวมันแม้แต่น้อย…


 


“ก็แค่กลุ่มตัวไม่เอาไหนประพฤติตัวดั่งสุนัขลอบกัด ฆ่าพวกมันทิ้งไปแล้วจะทำไม?”


 


วาจาหยิ่งผยองของต้วนหลิงเทียนพลันดังก้องขึ้นในหูเจียวจ้านอีกครั้ง ทำให้ความคิดเจียวจ้านโน้มเอียงไปยังประการที่สองมากขึ้นเรื่อยๆ…


 


ชายชุดดำผู้นี้แข็งแกร่งเหนือมัน!


 


“เจ้าฆ่าคนของอีกาทมิฬเราไปมากมาย…ท่านผู้นำของเราไม่มีวันละเว้นเจ้าแน่! เจ้าล้างคอรอไว้เถอะ!!”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง เจียวจ้านก็กล่าววาจาทิ้งท้ายอย่างอาฆาตและคิดจากไปหน้าด้านๆ…


 


มันหันหลังและเตรียมเหินร่างจากไปทันที


 


มันตัดสินใจแล้ว


 


วันนี้ต่อให้มันจะเสียหน้าก็ช่าง แต่มันขอถอยก่อน!


 


เกิดพลังฝีมือคู่ต่อสู้สูงส่งกว่ามัน มันไม่ดับดิ้นเอารึ!?


 


ในกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬนั้น ยังมีอีกคนที่พลังฝีมือกล้าแข็งเหนือกว่ามัน! เช่นนั้นในสายตาของมันก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไปที่จะจัดการชายชุดดำคนนี้ หลังจากรอให้ผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬของมันกลับมาก่อน!!


 


ดังนั้นเจียวจ้านจึงตัดสินใจที่จะไม่เสี่ยง!


 


ทว่าตอนนี้มันคิดไป…แต่มันจะไปได้หรือ!?


 


วูบ!!


 


ต้วนหลิงเทียนในชุดคลุมลมดำวูบร่างไปดั่งผีสาง จังหวะที่เจียวจ้านหันกลับไปเตรียมหนีอย่างมีมาด ต้วนหลิงเทียนก็ไปผุดโผล่เบื้องหน้ามันอย่างที่ไม่ทันรู้ตัวเสียแล้ว


 


เห็นต้วนหลิงเทียนมาหยุดขวางเบื้องหน้าแบบนี้ สีหน้าท่าทีเจียวจ้านเปลี่ยนไปทันใด


 


ขณะเดียวกันเหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายก็พยายามดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว


 


ในหูของพวกมันยังมีวาจาของเจียวจ้านดังก้อง “เจ้าฆ่าคนของอีกาทมิฬเราไปมากมาย…ท่านผู้นำของเราไม่มีวันละเว้นเจ้าแน่! เจ้าล้างคอรอไว้เถอะ!!”


 


ฟังจากคำของเจียวจ้านแล้ว…ไม่ใช่ว่ามันกลัวชายชุดดำแล้วคิดจะหนีรึไง!?


 


ทันใดนั้นเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายก็รู้สึกตัว พวกมันหันไปมองเจียวจ้านด้วยสายตาดูแคลนไม่น้อย บางคนยังถึงกับกล่าวถากถางออกมาอย่างห้ามไม่ไหว


 


“เจียวจ้านผู้นี้ช่างหน้าทนจริงๆ…หากมันจะปอดแหกเช่นนี้แล้วจะปรากฏตัวอย่างดุร้ายแต่แรกทำอะไร…”


 


“ข้าเดาว่ามันคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายชุดดำจะมีพลังฝีมือเหนือกว่ามัน…ตอนนี้พอชายชุดดำปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆทั้งยังมีทีท่าว่าไม่ได้กลัวอะไรมันแม้แต่น้อย มันเลยเกิดกลัวขึ้นมา และอันที่จริงข้าก็เริ่มรู้สึกว่าพลังฝีมือของชายชุดดำสมควรเหนือกว่ามันจริงๆ!!”


 


“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน…แต่ว่านี่จะไม่ไร้ยางอายไปหน่อยหรือ มันกระทำเช่นนี้มิใช่แค่ทำตัวเองเสียชื่อ ยังพาลให้พันธมิตรอีกาทมิฬเสียชื่อเช่นกันหมด!”


 


“ไร้ยางอาย? เทียบกับชีวิตสุนัขของมันแล้ว…เจ้าว่ามันยังจะต้องอายอันใดอีก?”


 



 


ตอนแรกก็มีผู้ฝึกตนพเนจรไม่กี่คนที่ปริปากกล่าววาจาแดกดันประชดประชัน ทว่าต่อมาก็เริ่มมีผู้ฝึกตนเพนจรกล่าวออกทับถมเจียวจ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


 


เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ เดิมทีคนของกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬก็ประพฤติตัวไม่ค่อยจะดีกันอยู่แล้ว ยังชมชอบฉวยโอกาสอย่างน่าเกลียด ทำให้ชื่อเสียงในนครแห่งบาปย่ำแย่เป็นทุน


 


อย่างไรก็ตามด้วยกำลังรบโดยรวมของอีกาทมิฬไม่ใช่ต่ำทราม ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ย่อมไม่กล้าพูด


 


แต่ในที่สุดพวกมันก็มีโอกาสได้เสียดสีเจียวจ้านรองผู้นำอีกาทมิฬทั้งที จึงจัดหนักจัดเต็มไม่มีพลาด!


 


ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ผ่านหมู่บ้านนี้ไป ไร้ร้านค้าใดอีก’ พวกมันย่อมไม่อยากพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้แน่นอน จึงเร่งกล่าวถล่มเจียวจ้านออกมาด้วยความขบขันไม่หยุดปานแม่น้ำหวงเหอในชีวิตที่แล้วของต้วนหลิงเทียน


(ผ่านหมู่บ้านนี้ไป ไร้ร้านค้าใดอีก = น้ำขึ้นให้รีบตัก,รีบฉวยโอกาสให้มากเพราะอาจไม่มีอีกแล้ว / หวงเหอ,ฮวงโห = แม่น้ำเหลือง มันไหลเชี่ยวเกรี้ยวกราดมาก! )


 


เรียกว่าวาจาที่ประดังเข้ามาดั่งแม่น้ำหวงเหอของผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายโดยรอบ ทำให้สีหน้าเจียวจ้านถึงกับเปลี่ยนเป็นเขียวสลับขาวทันที


 


“เจ้าจะสู้กับข้าให้ได้?”


 


เจียวจ้านพลันตอนนี้อาการปานจะ ‘ไล่ให้เป็ดขึ้นคอน’ มองต้วนหลิงเทียนที่หยุดขวางเบื้องหน้ากล่าวถามออกมาเสียงเข้ม


(ไล่ให้เป็ดขึ้นคอน = พยายามจะทำในสิ่งที่ทำไม่ได้ / ไก่มันโดดขึ้นไปเกาะบนคอนได้ แต่เป็ดทำไม่ได้ ความสามารถไม่ถึง)


 


ขณะเดียวกันกับที่มันกล่าว ทั่วร่างพลันปรากฏพลังกดดันแฝงเร้นไว้ด้วยจิตสังหารอำมหิตแผ่พุ่งไปยังร่างต้วนหลิงเทียน


 


ที่มันกระทำเช่นนี้เพื่อทดสอบต้วนหลิงเทียน


 


หากตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังเสแสร้งวางมาดยอดฝีมือล่ะก็ เมื่อโดนแรงกดดันพลังพร้อมจิตสัหารมันกดทับ หน้าต้วนหลิงเทียนสมควรเปลี่ยนสี และมันก็จะลงมือฆ่าคนทันที


 


ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่จะกู้หน้าที่เสียไปคืนมาได้ แต่ยังกู้คืนชื่อเสียงของพันธมิตรอีกาทมิฬในนครแห่งบาปได้ด้วย


 


อย่างไรก็ตามกลับเป็นสีหน้าของเจียวจ้านที่เปลี่ยนไปเสียเอง…


 


เพราะมันพบว่าชายชุดดำเบื้องหน้าไม่สะทกสะท้านใดๆกับแรงกดดันพลังแฝงจิตสังหารของมันแม้แต่น้อย อีกฝ่ายนิ่งไม่ไหวติงปานขุนเขา อีกทั้งใบหน้ายังถูกปกปิดไปด้วยโม่งดำ ยากจะแลเห็นความเป็นไปใดๆ…


 


“รองผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬ…คำถามโง่ๆแบบนี้เจ้ายังกล้าถามออกมาอีกหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงระอา


 


และทันทีที่วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนดังขึ้น เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรโดยรอบถึกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจห้าม


 


‘หนี!!’


 


เจียวจ้านเองก็ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนท่าทางจะมั่นใจมากว่าสามารถฆ่ามันได้ หน้ามันเปลี่ยนสีไปไม่เป็นท่า เร่งหันหลังอีกรอบและเตรียมวิ่งหนีออกไปให้ไวดั่งแสง


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนดั่งจะแลเห็นอนาคตก็ไม่ปาน ร่างกลับวูบมาหยุดเบื้องหน้าของเจียวจ้านอีกครั้ง


 


เจียวจ้านไม่มีเวลาให้หลบหนีไปไหน


 


วูบ!


 


ดังอัสนีวาบลั่น ต้วนหลิงเทียนพลันสะบัดมือคราหนึ่งปรากฏ ไม้บรรทัด ผุดโผล่จากความว่างเข้ามือปานสายฟ้า ไม้บรรทัดนี้ช่างเรียบง่ายแลดูธรรมดาถึงที่สุด


 


“เคลื่อนย้ายจักรวาล!”


 


ไม้บรรทัดดังกล่าว ก็คือ ‘บรรทัดจักรวาล’ อันเป็นยอดสมบัติสวรรค์ที่วางตั้งอยู่บนแท่นศาสตราประจำชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7สมบัติ!


 


สำหรับ ‘เคลื่อนย้ายจักรวาล’ นั้น เป็นความสามารถพิเศษของบรรทัดจักรววาล


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนเรียกบรรทัดจักรวาลออกมา พลังเซียนสุริยันอันเทียบได้กับพลังของขอบเขตเซียนสวรรค์ของเขาก็โคจรเชี่ยวปานน้ำหลาก ถ่ายทอดลงสู่บรรทัดไม่กี่ฉื่อในมือ ใช้ออกด้วยคววามสามารถวิเศษ ‘เคลื่อนย้ายจักรวาล’ ทันที


 


ในห้วงเวลาเพียงเสี้ยวพริบตาหลังพลังอำนาจลี้ลับสำแดงอานุภาพ ไม่ทันที่เจียวจ้านและผู้ฝึกตนโดยรอบจะทันได้รู้ตัว พลันมีแสงสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้า กลิ่นอายพลังลี้ลับขุมหนึ่งสาดกำจายออกมา ยังทำให้เจียวจ้านรู้สึกเสมือนโลกหมุนวนไปไร้ทิศทางร่างถูกฉุดดึงไปไม่อาจควบคุม


 


เผชิญหน้ากับพลังลี้ลับสุดหยั่งถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว เจียวจ้านและคนอื่นๆก็ไม่อาจตอบสนองสิ่งใดได้ทัน


 


และในห้วงเวลาชั่วพริบตาดุจฟ้าแลบนั้น


 


“ปฐมเวทย์กลืนกิน”


 


โดยยึดต้วนหลิงเทียนเป็นจุดศูนย์กลางบังเกิดวังวนพลังขุมหนึ่งผุดขึ้น แม้วังวนนี้จะปรากฏในช่วงเวลาพริบตาพร้อมๆกับแสงสว่างที่ส่องสาด แต่มันก็ดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินเข้าร่างฮวบใหญ่ปานสัตว์ร้ายหิวโหย


 


เจียวจ้านและผู้ฝึกตนคนอื่นๆตอนนี้ที่ถูกรบกวนด้วยแสงสว่างทั้งพลังอำนาจลี้ลับของบรรทัดจักรวาลย่อมไม่อาจแลเห็นวังวนพลังจากปฐมเวทย์กลืนกินของต้วนหลิงเทียน กระทั่งไม่อาจจับสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงในพลังวิญญาณฟ้าดินได้


 


และในชั่วพริบตานั้นพลังเซียนสุริยันในร่างต้วนหลิงเทียนก็เพิ่มพูนขึ้นสูงจนบรรลุขอบเขตอันเหนือกว่า…


 


มากพอจะเทียบได้กับตัวตนขอบเขตเซียนสววรรค์ 3 เปลี่ยนที่พึ่งทะลวงผ่าน!


 


ครู่ต่อมา เจียวจ้านที่ผงะไป พลันดึงสติกลับมารู้สึกตัวได้อีกครั้ง


 


ฟุ่บ!


 


หากแต่ร่างต้วนหลิงเทียนพลันวูบมาถึงเบื้องหน้าเจียวจ้านปานสายลมกรรโชก ทำให้เจียวจ้านที่พึ่งรู้สึกตัวหน้าเปลี่ยนสีทันที


 


ฉัวะ!


 


พร้อมกันนั้นเองเสียงดั่งวัตถุมีคมบาดเฉือนเลือดเนื้อพลันดังขึ้น


 


เป็นต้วนหลิงเทียนที่จ่ายพลังเซียนสุริยันฉาบเคลือบยอดสมบัติสวรรค์ในมือ บรรทัดจักรวาล เอาไว้จนมันแหลมคมปานมีดดาบ ฟันฟาดไปทางเจียวจ้าน


 


ไม่ได้ใช้วรยุทธ์เซียนใดๆ ไร้เวทย์พลัง


 


เพียงใช้พลังลึกล้ำจากเคล็ดยอดใจกระบี่ผสานกับบรรทัดจักรวาลที่ฉาบไว้ด้วยพลังเซียนสุริยันอันกล้าแกร่งฟันเข้าใส่เจียวจ้านตรงๆเท่านั้น


ตอนที่ 2,123 : ระเบิด!


 


สมบัติสวรรค์นั้นยังแบ่งออกเป็นหลายประเภท


 


ตัวอย่างเช่นกระบี่นิลสวรรค์ที่เป็นสมบัติสวรรค์ประจำชั้นที่ 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น เป็นสมบัติสวรรค์ที่เรียกว่าใช้จู่โจมเป็นหลัก


 


ส่วนง้าวเทวะสะท้านที่อยู่นั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เป็นสมบัติสวรรค์ที่พร้อมพรั่งทั้งรุกและรับ


 


ส่วน บรรทัดจักรวาล บนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น มันเป็นสมบัติสวรรค์ประเภทสนับสนุนก็ว่าได้ เพราะมันสามารถสร้างคามสับสนให้กับศัตรูด้วยพลังพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ ‘เคลื่อนย้ายจักรวาล’ ทำให้ศัตรูสับสน


 


แน่นอนว่าด้ววยพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ เขาไม่อาจใช้พลังพิเศษ ‘เคลื่อนย้ายจักรวาล’ ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ตอนที่ใช้ออกด้วยเคลื่อนย้ายจักรวาลเมื่อครู่ ผลของมันยังเล็กน้อยนัก


 


เจียวจ้าน รองผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬหลังสับสนงุนงงไปชั่วขณะ มันก็หลุดออกจากพลังพิเศษที่สะกดควบคุมร่างของบรรทัดจักรวาล ‘เคลื่อนย้ายจักรวาล’ ที่ต้วนหลิงเทียนใช้ใส่มันได้ไม่ยาก


 


แต่กระนั้นพลังพิเศษก็ส่งผลกระทบต่อมันไม่น้อย


 


“แย่แล้ว”


 


ทันทีที่มันรู้สึกตัว มันก็พบว่าบัดนี้ร่างต้วนหลิงเทียนอยู่ตรงหน้ามัน! ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายพลังเข้มแข็งคมกล้าสายหนึ่งก็พุ่งจี้เข้าหาลำคอมันด้วยความเร็วสูง! มันเร่งร้อนใช้ออกด้วยเววทย์พลังป้องกัน ทั้งวรยุทธ์เซียนสายป้องกันทั้งหมดที่มีอย่างร้อนรนใจ!!


 


อย่างไรก็ตามทุกสิ่งที่มันฝึกปรือมาชั่วชีวิตและรีบร้อนใช้ออกมานั้น…


 


ต่อหน้าบรรทัดจักรวาลของต้วนหลิงเทียนอันเป็นยอดสมบัติสวรรค์ ซึ่งสมควรดำรงอยู่แต่ในระนาบเทวโลก จึงมีพลานุภาพเหนือล้ำสุดที่ศาสตราเซียนใดๆในระนาบโลกียะจะทัดเทียมได้!


 


ฟั่บ!


 


ยามต้วนหลิงเทียนฟันบรรทัดจักรวาลออกไปต่างกระบี่ เสียงแหวกอากาศยังให้ความรู้สึกปานความว่างจะถูกกรีดฉีกได้ทุกเมื่อ


 


ขณะเดียวกันม่านพลังป้องกันใดๆที่เจียวจ้านรีบร้อนใช้ออกก็ไม่ต่างใดจากกระดาษเปื่อยเปียกน้ำ ถูกฟันทำลายง่ายดายนัก


 


ฉัวะ!!


 


เสียงของมีคมเฉือนเลือดเนื้อดังขึ้น หัวตัวเจียวจ้านพลันแยกจาก ลำคอปรากฏวงแดงฉาน โลหิตฉีดพุ่งปรี๊ดๆขึ้นมาปานน้ำพุ ศีรษะปลิวกระเด็นทิ้งสายโลหิตเอาไว้เป็นทาง


 


กาลเวลาคล้ายจะหยุดเดิน


 


เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรที่พึ่งขจัดผลกระทบจากพลังพิเศษของบรรทัดจักรวาลจนกลับมารู้สึกตัวได้ไม่ทันไร ก็เห็นต้วนหลิงเทียนตัดหัวเจียวจ้านปลิดปลิวไปเสียแล้ว!


 


แถมการลงมือยังราบรื่นรวดรัดปานหันสับเต้าหู้!


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 



 


จังหวะนี้เมื่อได้เห็นร่างหัวตัวแยกจากของเจียวจ้าน เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายถึงกับสะอึกกาย สูดลมหายใจเข้าอย่างเสียขวัญ แววตาเผยความตกใจทั้งเหลือเชื่อนัก


 


สิ่งที่ทำให้พวกมันตกใจไม่ใช่ฉากนองเลือดเบื้องหน้า


 


แต่สิ่งที่ทำให้พวกมันตกใจก็คือความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน


 


เจียวจ้าน รองผู้นำกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬผู้นี้ จะหมูไก่สุนัขอย่างไรก็รั้งอยู่ในอันดับที่ 566 ของรายนามยอดเซียน


 


ทว่าตัวตนดังกล่าว ยามอยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนกลับเหมือนมดตัวกระจ้อยตัวหนึ่ง ที่ถูกต้วนหลิงเทียนย่ำเหยียบบี้ยีให้แหลกลงอย่างง่ายดายในชั่วพริบตา…


 


“ระ…ร้ายกาจนัก! พลังฝีมือของชายชุดดำช่างน่ากลัวเหลือเกิน!!”


 


“ให้ตายเถอะ…เจียวจ้านจะอย่างไรมันก็อยู่ในอันดับที่ 566 ของรายนามยอดเซียนนะ…แต่อยู่ต่อหน้าชายชุดดำไฉนกลายเป็นตัวอ่อนแอไปได้เล่า? ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าดูอาวุธในมือชายชุดดำเถอะ! นั่นมิใช่ไม้บรรทัดธรรมดาหรือไร ไม่อาจเรียกว่าศาสตราเซียนได้ด้วยซ้ำ!!”


 


“เหอๆ…ไม้บรรทัดธรรมดาแล้วอย่างไร ยามผนึกพลังเซียนต้นกำเนิดอันแกร่งกล้าก็สามารถปะทุพลังสังหารน่ากลัวได้ทั้งสิ้น”


 



 


บรรทัดจักรวาลในมือของต้วนหลิงเทียนนั้นอย่างไรก็เป็นยอดสมบัติสวรรค์สายสนับสนุน พลังโจมตีของมันจึงไม่ได้ร้ายกาจอะไรเหมือนกระบี่นิลสวรรค์ กระทั่งยังไม่มีไอพลังดุดันน่ากลัวเหมือนกระบี่นิลสวรรค์แม้แต่น้อย


 


สำหรับคนที่ไม่รู้ มันก็แลดูเหมือนไม้บรรทัดธรรมดาๆ อันหนึ่งเท่านั้น


 


และนี่ก็คือสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนต้องการ


 


มิฉะนั้นจะไม่ง่ายกว่าหรือที่เขาใช้กระบี่นิลสวรรค์ฆ่าเจียวจ้านโดยตรง?


 


เหตุผลเดียวที่เขาเลือกใช้บรรทัดจักรวาลนั้น แน่นอนว่าสิ่งนี้จะไม่ทำให้ตัวตนของเขาในฐานะต้วนหลิงเทียนถูกเปิดเผยออกมา


 


ถึงแม้ประเด็นสนทนาในนครแห่งบาปยังจั่วหัวถึงเขาไม่เลิก แต่ก็จะเป็นในฐานะชายชุดดำ


 


และนั่นจะทำให้เรื่องต้วนหลิงเทียนค่อยๆชืดชาลงไปตามกาลเวลา สุดท้ายคนในนครแห่งบาปก็ต้องคิดว่าเขาออกไปจากนครแห่งบาปแล้ว


 


อย่างไรก็ตามหากมีเบาะแสใดๆก็ตามที่จะทำให้ทุกคนเชื่อมโยงต้วนหลิงเทียนกับชายชุดดำขึ้นมา คราวนี้คงไม่พ้นสร้างความแตกตื่นฮือฮาครั้งใหญ่ขึ้นมาในนครแห่งบาป ความโลภของทุกผู้คนคงได้ระเบิดออกมาและไม่เลือกวิธีการแน่


 


นั่นไม่ใช่อะไรที่เขาต้องการจะเห็น


 


เขาแค่อยากเป็นชายชุดดำอย่างเงียบๆ ยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาในนครแห่งบาป เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเขาในเวลาอันสั้นที่สุด


 


ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดของเขาก็คือกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณคนชั่ว ปรับปรุงยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขา!


 


“ผู้เฒ่าหั่ว! รบกวนท่าน”


 


หลังจากที่ฆ่าเจียวจ้านไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมขอให้ผู้เฒ่าหั่วช่วยเหลือเขากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเจียวจ้าน


 


ถึงแม้พลังเซียนสุริยันของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้จะเทียบได้กับพลังของตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ กระทั่งยามเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันออกมา ด้วยพลังอานุภาพ ให้บอกว่ายังไม่ได้บรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ก็คงไม่มีใครเชื่อ


 


แต่ด่านพลังฝึกปรือที่แท้จริงของเขามันก็แค่ เซียนนภาขั้นกลางเท่านั้น


 


และด้วยพลังวิญญาณของเขายังไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ สำนึกเทวะย่อมอ่อนด้อยไม่ลึกล้ำมากพอ จึงไม่สามารถสัมผัสถึงพรสวรรค์รากวิญญาณอะไรได้ด้วยตัวเอง


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนนับว่าควบคุมปฐมเวทย์กลืนกินได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว การกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณราบรื่นรวดเร็วนัก


 


เรียกว่าไม่ทันที่ผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายจะคืนสติดี เขาก็กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเจียวจ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว


 


‘พรสวรรค์รากวิญญาณของเจียวจ้านนับว่าดีที่สุดในบรรดาพรสวรรค์รากวิญญาณมากมายที่ข้าได้ดูดกลืนช่วงหลังมานี้ก็ว่าได้…กระทั่งพรสวรรค์รากวิญญาณของมันคนเดียวยังเกือบจะเทียบได้กับพรสวรรค์รากวิญญาณของทุกคนที่ผ่านมามารวมกัน…’


 


หลังกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณเจียวจ้านไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวในใจ


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างจากไป คงเหลือไว้แต่วีรกรรมอีกบทของชายชุดดำ


 


ด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนสวมใส่ชุดคลุมลมดำคลุมไปทั้งตัวแบบนี้ ถึงขั้นที่ไม่อาจระบุได้ด้วยซ้ำว่าเป็นชายหรือหญิง ยังจะนับประสาอะไรกับจะเชื่อมโยงว่าเขาคือต้วนหลิงเทียนที่ถือครองยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้น


 


หากเขาไม่พูดออกมา คงไม่มีใครรู้ว่าเป็นบุรุษ


 


จากเรื่องนี้เห็นชัดว่าการซ่อนตัวครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียนค่อนข้างแนบเนียนนัก


 


“ดูเหมือนว่าครั้งนี้คนของอีกาทมิฬจะมีมาแค่เจียวจ้านจริงๆ”


 


เมื่อเห็นแผ่นหลังของชายชุดดำหายไปจากสายตา ผู้ฝึกตนพเนจรคนหนึ่งก็หันมองไปรอบๆสักพักค่อยกล่าวออกมา


 


และวาจาของมันก็ได้รับการเห็นชอบจากทุกคนทันที


 


“ข้าได้ยินมาว่าผู้นำกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬพึ่งออกเดินทางไปจากนครแห่งบาปไม่นานมานี้…ถึงเจียวจ้านจะไม่ได้มาคนเดียวจริง แต่พอเห็นแบบนี้เจ้าว่ายังจะมีใครกล้าออกตัวไหมเล่า?”


 


“พี่ชายท่านนี้กล่าวถูกแล้ว ทุกคนล้วนรู้กันว่ารองจากผู้นำ เจียวจ้านก็มีพลังฝีมือสูงสุด กับคนที่สามารถฆ่าเจียวจ้านได้อย่างง่ายดายราวกับไม่ต้องใช้ความพยายามอันใด จึงไม่ใช่อะไรที่กองกำลังอีกาทมิฬจะตอแยด้วยได้เลย”


 


“นอกจากผู้นำมาเองข้าว่าพันธมิตรอีกาทมิฬไม่อาจตอแยชายชุดดำได้เลยจริงๆ”


 


“เอาตรงๆข้าว่าต่อให้ผู้นำอีกาทมิฬอยู่จริง ก็ไม่ใช่คู่มือชายชุดดำหรอก”


 


……


 


เหล่าผู้ฝึกตนที่ยังรั้งอยู่ เมื่อมองส่งต้วนหลิงเทียนจนหายลับตา พวกมันก็เริ่มสนทนากันไปเรื่อยเปื่อย บางคนยังพยายามมองหาว่าใช่มีคนของอีกาทมิฬแอบซ่อนอยู่อีกหรือไม่…


 


คงมีเพียงต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ที่ยืนยันได้แต่แรกว่าไม่มีคนของอีกาทมิฬคนที่สองนอกจากเจียวจ้านอยู่ในบริเวณนี้


 


เพราะผู้เฒ่าหั่วได้ช่วยเขาตรวจสอบแล้ว


 


หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้เขาคงไม่ลงมือฆ่าคนอย่างอุกอาจแบบนี้หรอก


 


ตอนนี้เขายิ่งหวงแหนชีวิตของตัวเองมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก


 


เพราะนอกจากแรงจูงใจให้เร่งยกระดับพลังฝีมือตอนนี้เพื่อบุกไปช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกที่หอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟแล้ว เขายังอยากย้อนกลับไปภูมิภาคเบื้องล่างให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อครอบครัวและสหายของเขา!


 


ตอนนี้เขาไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ภูมิภาคเบื้องล่างกันแน่


 


เพราะความไม่รู้นี้เอง ทำให้ทุกครั้งที่เขานึกถึงครอบครัวไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา ภรรยาและลูกชายตัวน้อย กระทั่งสหายทั้งหลาย ทำให้ใจของเขาเป็นกังวลนัก


 


หลังข่าวลือเรื่อง ต้วนหลิงเทียนในฐานะชายชุดดำสังหารเจียวจ้านรองผู้นำอีกาทมิฬได้ง่ายดายแพร่ไปในนครแห่งบาป ก็สร้างความสนใจให้ผู้คนในนครแห่งบาปไม่น้อย


 


เป็นธรรมดาว่าด้วยการปกปิดตัวเองขนาดนี้ ทำให้ไม่มีใครเชื่อมโยงต้วนหลิงเทียนกับชายชุดดำได้เลย


 


กระทั่งในขณะที่รับบทชายชุดดำ เขายังขอแรงผู้เฒ่าหั่วให้ช่วยช่วยหาวิธีที่เขาจะสามารถกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณได้โดยไม่ต้องพึ่งกระบี่นิลสวรรค์และเวทย์พลังอื่นๆ จะได้ไม่ต้องให้ผู้ใดพบเห็นจับผิดเอาได้


 


สุดท้ายผู้เฒ่าหั่วจึงบอกให้เขาใช้บรรทัดจักรวาล ยอดสมบัติสวรรค์ประจำชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


บรรทัดจักรวาล เป็นยอดสมบัติสายสนับสนุนที่มีความพิเศษอันน่าทึ่งนัก


 


ถึงแม้ว่าด้วยพลังของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้แทบไม่อาจใช้พลังพิเศษที่แท้จริงของบรรทัดจักรวาลได้แม้ 1 ใน 10,000 แต่หากใช้กับศัตรูที่เหมาะสมมันก็สามารถดึงความสนใจและสร้างความสับสนให้อีกฝ่ายได้


 


อีกทั้งต้วนหลิงเทียนยังใช้บรรทัดจักรวาลเพื่อปกปิดพลังเซียนสุริยันของเขาอีกด้วย


 


กล่าวให้ชัดคือใช้มันปกปิดประบวนการเพิ่มพูนพลังเซียนสุริยันจากการใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน


 


ด้วยผลกระทบจากการใช้พลังวิเศษ เคลื่อนย้ายจักรวาล ทำให้เขาสามารถปกปิดกระบวนการเพิ่มพูนของปฐมเวทย์กลืนกินเอาไว้ได้ โดยไม่ต้องกลัวผู้ใดจะพบเห็น


 


เพียงเวลาสั้นๆต้วนหลินเทียนก็รับบทชายชุดดำผู้เป็นดั่งศาลเตี้ยของนครแห่งบาปได้อย่างแนบเนียน


 


‘ด้วยพลังความแข็งแกร่งในตอนนี้ ข้ามั่นใจนักว่าหากไม่ใช่เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนชนชั้นสุดยอดฝีมือหรือเหนือกว่า คงไม่มีใครมองออกว่าข้าเป็นใคร!’


 


ต้วนหลิงเทียนมั่นใจในเรื่องนี้อย่างมาก


 


ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกำลังวุ่นอยู่กับการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาในนครแห่งบาป


 


หลังข่าวลือได้แพร่ออกมาจากเซี่ยคังฉวินจ้าวราชสีห์ขนทอง เรื่องที่ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟ ที่แท้เป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามขุมพลังกึ่งชั้น 3 ของภูมิภาคเบื้องล่าง และได้สังหารเซี่ยจง ลูกชาย ของจ้าวราชสีห์ขนทอง จนได้รับยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารไปครอง ทำให้รวมกับกระบี่ไร้ลักษณ์ที่มีอยู่ก่อน ก็ทำให้มียอดศาสตราเซียนในมือถึง 2 ชิ้น…


 


จังหวะนี้ลัทธิบูชาไฟเสมือนมีระเบิดลงก็ไม่ปาน


 


“สวรรค์! ที่แท้ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ที่โชคดีได้รับตราผนึกมารมาครองในตอนนั้น?!”


 


“ไม่น่าเชื่อ! ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจะเป็นคนเดียวกันกับต้วนหลิงเทียนผู้นั้น!!”


 


“เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่นี่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนร้ายกาจถึงขั้นฆ่าเซี่ยจงได้แล้วหรอ? แล้วฆ่าเซี่ยจงตายไม่พอยังได้รับตราผนึกมารที่ถูกชิงไปกลับมาอีก!!”


 


“ว่าแต่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน มีกระบี่ไร้ลักษณ์ด้วยหรือ?!”


ตอนที่ 2,124 : คลังสมบัติ ที่ยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหลือทิ้งไว้!


 


อันดับที่ 421 ในรายนามยอดเซียนคนปัจจุบัน ก็คือต้วนหลิงเทียน ศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟ!


 


ผู้คนส่วนใหญ่ในลัทธิบูชาไฟย่อมภาคภูมิใจไม่น้อยที่มีศิษย์ที่แท้จริงและเป็นอัจฉริยะเช่นนี้ เพราะนี่เสมือนสายเลือดใหม่ของมัน ศิษย์อัจฉริยะที่จะกลายเป็นสุดยอดฝีมือที่เป็นดั่งเสาหลักของพวกมันในอนาคต ‘ความภาคภูมิใจ’ ของลัทธิบูชาไฟ!


 


อย่างไรก็ตามข่าวเรื่องราวที่พึ่งได้ยินมาจากโลกภายนอก ทำให้ลัทธิบูชาไฟต้องตกตะลึงครั้งใหญ่แล้วจริงๆ


 


ศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ของพวกมันต้วนหลิงเทียน กลับเป็นคนๆเดียวกันกับต้วนหลิงเทียนในภูมิภาคเบื้องล่างที่มีโชคได้รับยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารไปครอบครอง!


 


ยิ่ไปกว่านั้นยังสังหารเซี่ยจง บุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทองที่เคยช่วงชิงตราผนึกมารไปในอดีตที่นครแห่งบาป ที่สำคัญยังกล่าวกันว่าที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าเซี่ยจงได้เพราะพลังของกระบี่ไร้ลักษณ์!


 


ทำให้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเป็นเพียงคนเดียว ที่มียอดศาสตราเซียนในความครอบครองถึง 2 จากทั้งหมด 10 ชิ้น!


 


“ตอนนี้ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนไม่พ้นตกเป็นคนที่เหล่ายอดฝีมือทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแย่งกันค้นหา…ข้าไม่รู้จริงๆว่าศิษย์พี่ยังจะย้อนกลับมาที่ลัทธิบูชาไฟเราอีกไหม?”


 


“ย้อนกลับมาลัทธิบูชาไฟเรา? เจ้าคิดเหลวไหลอะไร! เรื่องพรรค์นี้ยังเป็นไปได้หรือไง? หากเจ้าเป็นศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนและเจ้ามียอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้น เจ้าจะย้อนกลับมาไหมเล่า?”


 


“เป็นข้าๆก็ไม่ย้อนกลับมาลัทธิบูชาไฟแน่นอน โลกภายนอกอันตรายหรือลัทธิบูชาไฟไม่อันตราย? คนในโลกภายนอกโลภอยากได้ยอดศาสตราเซียน หรือคนในลัทธิบูชาไฟไม่โลภอยากได้ยอดศาสตราเซียน?”


 


“ใช่ ทันทีที่กลับมาถึงลัทธิบูชาไฟ น่ากลัวว่ายอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นก็รักษาไว้ไม่ได้แล้ว…อยู่ข้างนอกแม้จะใช้ชีวิตลำบากอยู่บ้างแต่อย่างน้อยก็ยังรักษายอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นเอาไว้ได้”


 


“ข้าก็คิดแบบนั้น”


 



 


ประพเด็นหลักในบทสนทาของคนในลัทธิบูชาไฟ ไม่ทราบเปลี่ยนจากเรื่องค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคหรือเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อาจจะรุกรานเข้าในภูมิภาคเบื้องล่างแล้วไปตั้งแต่ตอนไหนกันแน่ แต่มันกลายเป็นเรืองต้วนหลิงเทียนกับยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 แทน


 


เนื่องเพราะเกี่ยวพันกับ 2 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ทำให้ลัทธิบูชาไฟบังเกิดความปั่นป่วนไม่น้อย


 


แท่นบูชามังกรคราม ที่พักอาศัยของจ้าวแท่นบูชา


 


“บัดซบ! เจ้านั่นกลับเป็นต้วนหลิงเทียนที่โชคดีได้ถือครองตราผนึกมารในปีนั้น”


 


จ้าวแท่นบูชามังกรครามหลูเถี่ยถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวด สองตาฉายชัดถึงความตกใจ ด้วยไม่คิดจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนที่มีเรื่องกับพวกมันจะเป็นเจ้าของยอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้น!


 


“อะไร? ต้วนหลิงเทียนมันมียอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้นเลยหรือ!?”


 


ถัดจากหลูเถี่ย ปู้หงที่ได้รับทราบข่าวนี้เช่นกัน สองตาก็แดงขึ้นมาด้วยความอิจฉา


 


ตอนที่ตระหนักได้ว่ากระบี่ของต้วนหลิงเทียนอาจจะเป็นยอดศาสตราเซียนในตำนานอย่างกระบี่ไร้ลักษน์ ใจมันก็บังเกิดความอิจฉาแทบตายแล้ว


 


มาตอนนี้ยังได้ทราบว่าต้วนหลิงเทียนถึงกับได้รับตราผนึกมารไปครอบครองอีกชิ้น!


 


พอหันกลับมามองตัวเองและจำได้ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณได้ถูกต้วนหลิงเทียนทำลายไปแล้ว จึงกลายเป็นไร้อนาคต ทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ไม่อาจก้าวหน้าใดๆ ปู้หงก็แทบจะคลั่งตายให้ได้


 


“ท่านอาจารย์…ข้าไม่คิดเลยว่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีกระบี่ไร้ลักษณ์กลับถูกเปิดเผยออกมาแบบนี้…ด้วยเหตุนี้ที่ท่านไปถอนคำฟ้องร้องมันไปไม่เสียเปล่าหรือ…”


 


พอนึกถึงเรื่องที่อาจารย์ของมันถอนฟ้องต้วนหลิงเทียนไปแล้ว ทำให้สีหน้าปู้หงยิ่งบิดเบี้ยวไปกันใหญ่


 


อาจารย์มันไปเยือนหอคุมกฏวันนั้นก็เพื่อถอนฟ้องต้วนหลิงเทียนเรื่องทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของมัน


 


เพราะต่างกังวลว่าหากต้วนหลิงเทียนเกิดตกตายในหอคุมกฏขึ้นมา เช่นนั้นกระบี่ไร้ลักษณ์ในแหวนมิติของต้วนหลิงเทียนกับพวกมันก็สิ้นสุดวาสนากันแน่นอน


 


แต่ตอนนี้กลับมีข่าวลือแพร่ออกมาว่าต้วนหลิงเทียนมีกระบี่ไร้ลักษณ์ แถมยังได้รับตราผนึกมารกลับคืนไปอีกด้วย!เช่นนั้นเรื่องที่อาจารย์มันจะมีโอกาสฆ่าต้วนหลิงเทียน ช่วงชิงกระบี่ไร้ลักษณ์มาก็ริบหรี่เต็มที!!


 


ด้วยเหตุนี้การถอนฟ้องตวนหลิงเทียนก็เสมือนกับเสียเปล่า


 


“ผู้ใดจะไปทราบว่าต้วนหลิงเทียนจะถูกเปิดโปงเรื่องถือครองยอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้นออกมาแบบนี้”


 


ได้ยินคำของปู้หง สีหน้าหลูเถี่ยก็อัปลักษณ์ปั้นยากเช่นกัน “อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ จะถอนฟ้องหรือยังฟ้องก็มิได้มีใดแตกต่างกันมากนัก เพราะจะฟ้องหรือไม่ฟ้องก็มิมีผลอะไรกับต้วนหลิงเทียนเลย…เจ้าคิดว่าด้วยสถานการณ์อย่างตอนนี้มันยังจะกล้าย้อนกลับมาลัทธิบูชาไฟหรือไม่?”


 


“มันไหนเลยจะไม่รู้ว่าหากย้อนกลับมาลัทธิบูชาไฟ คิดรักษายอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว…ยอดศาสตราเซียนต้องเปลี่ยนเจ้าของแน่ ดังนั้นข้าจึงกล่าวได้เลยว่ามันไม่ย้อนกลับมาลัทธิบูชาไฟแน่!”


 


วาจาของหลูเถี่ยมีเหตุผลรองรับชัดเจน


 


ได้ยินดังกล่าว ปู้หงก็เงียบไปพักหนึ่ง ไม่นานใจมันก็เห็นด้วยกับคำของอาจารย์


 


ณ หอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟ


 


“ท่านพ่อ!”


 


ทันทีที่ได้รู้อีกตัวตนของต้วนหลิงเทียน รวมถึงรับทราบข่าวเรื่องต้วนหลิงเทียนสมควรถือครองยอดศาสตราเซียนไว้กับตัวถึง 2 ชิ้น ต่งหลินก็รีบแจ้นมาหาบิดาทันที


 


รองจ้าวหอคุมกฏ ต่งหยวนจิ้น!


 


“เจ้ามาที่นี่เพราะต้วนหลิงเทียนนั่นหรือ?”


 


ต่งหยวนจิ้นพอเห็นต่งหลินก็เปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามออกมาทันที


 


“ท่านพ่อเองก็ได้ยินเรื่องนี้แล้ว?”


 


ต่งหลินพยักหน้า ค่อยถามต่อ


 


“มิผิด”


 


ต่งหยวนจิ้นพยักหน้ารับ สองตาทอประกายเยียบเย็นออกวูบหนึ่ง กล่าวออกเสียงเข้ม “ข้ามิคิดมาก่อนเลยว่าคนที่โชคดีได้รับตราผนึกมารไปครองในกาลก่อนที่แท้จะเป็นมัน…อีกทั้งหลังจากฆ่าเซี่ยจง บุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทองแห่งลัทธิอารามทมิฬ ตอนนี้มันสมควรชิงตราผนึกมารกลับไปครองได้อีกครั้ง”


 


“แถมข้าเองก็ไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะมียอดศาสตราเซียนในมืออีกชิ้น! กระบี่ไร้ลักษณ์…มาวันนี้ข้าจึงได้กระจ่างว่าไฉนมันถึงมีพลังฝีมือร้ายกาจถึงขั้นสามารถฆ่าหยางเหวิน กระทั่งบีบคั้นเวินเยี่ยน ยังไม่วายสยบปู้หงได้…ทั้งหมดเพราะมันอาศัยกระบี่ไร้ลักษณ์!”


 


ต่งหยวนจิ้นอย่างไรก็เป็นชนชั้นรองจ้าวหอคุมกฏ พอทราบเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีกระบี่ไร้ลักษณ์ มันก็เชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆได้ทันที


 


“ต้องเป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่”


 


ต่งหลินพยักหน้า “ผู้อื่นคิดว่าวรยุทธ์กระบี่ของมันสูงส่งเลิศล้ำ ถึงขั้นควบคุมกระบี่บินทั้งตวัดกระบี่ได้อย่างไร้ร่องรอย ที่แท้ทั้งหมดเพราะมันอาศัยพลังของกระบี่ไร้ลักษณ์!!”


 


ไม่พูดก็แล้วไป แต่พอกล่าวถึงกระบี่ไร้ลักษณ์ขึ้นมา สองตาของต่งหลินก็แดงขึ้นมาทันใด แววตายังท่วมท้นไปด้วยความอิจฉาริษยาขั้นสุด


 


ในลัทธิบูชาไฟ นอกจากศิษย์อาจารย์หลูเถี่ยกับปู้หง ต่งหลินกับต่งหยวนจิ้นแล้ว ศิษย์และอาวุโสทั้งหลายก็ได้รับทราบข่าวดังกล่าวเช่นกัน


 


นอกจากนั้นยังมีชนชั้นผู้พิทักษ์ทั้ง 3 อีกด้วยที่ได้รับทราบข่าวนี้


 


“ไม่คิดเลยจริงๆว่าสหายน้อยนั่นจักมีโชควาสนาอันประเสริฐถึงขนาดนี้…สามารถครอบครองยอดศาสตราเซียนไว้ได้ถึง 2 ชิ้นเพียงลำพัง”


 


ชิงหั่ว ผู้พิทักษ์ 1 ใน 3 ของลัทธิบูชาไฟ และยังเป็นอาจารย์ของก่านหรูเยี่ยน อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังได้รับทราบข่าวอันน่าตื่นตระหนกจากนอกลัทธิ


 


ถึงแม้หัวใจมันจะยังสงบดั่งน้ำนิ่ง แต่ลึกลงไปในแววตาของมัน ก็ร้อนแรงดั่งเพลิงไฟ


 


แม้มันจะมีฐานะสูงส่งและพลังฝีมือเลิศล่ำในลัทธิบูชาไฟถึงขั้นเป็นชนชั้นผู้พิทักษ์ แต่มันก็ไม่มียอดศาสตราเซียนไว้ใช้สักชิ้น


 


ดังนั้นพอได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนเพียงคนเดียวกับมียอดศาสตราเซียนในครอบครองถึง 2 ชิ้น กระทั่งมันเองยังอดใจแทบไม่ได้


 


ณ ภาคกลาง นครแห่งบาป


 


ข่าวเรื่องราวการครอบครองยอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้นของต้วนหลิงเทียน ทำให้ย้อนกลับไปยังลัทธิบูชาไฟอีกไม่ได้อีกต่อไปแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ทำใจไว้แต่แรกแล้ว ยังตัดสินใจกลับไปลัทธิบูชาไฟก็ต่อเมื่อพลังฝีมือสูงพอ


 


พอนึกถึงความปลอดภัยของเค่อเอ๋อแม่ลูก เขาก็อยากยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณสีครามของเขาเร็วๆนัก


 


ตราบใดที่พรสวรรค์รากวิญญาณเขายกระดับ นั่นหมายความว่าความไวต่อสัมผัสพลังวิญญาณฟ้าดินจะสูงขึ้น สามารถดูดซับมันได้มากขึ้น หมายความว่าความเร็วในการบ่มเพาะเขาจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในนครแห่งบาป นอกจากตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังแล้ว ยังหาโอกาสดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของคนชั่วเสมอ!


 


วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


ครึ่งปีราวกับจะผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา…


 


แน่นอนว่าครึ่งปีที่กล่วาถึงนี้เป็นเวลาในโลกภายนอกไม่ใช่ภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


“หือ? คลังสมบัติที่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหลือไว้งั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ และออกจากโรงเตี๊ยมได้ไม่ทันไรก็เห็นผู้ฝึกตนพเนจรจำนวนมากมายกำลังเร่งรุดเหินร่างตัดอากาศมุ่งหน้าขึ้นเหนือ


 


และฟังจากวาจาที่ดังแว่วๆมาคล้ายจะเร่งรัดให้สหายเดินทางเร็วขึ้น เขาก็พอจับใจความได้ว่า…


 


มีการค้นพบ คลังสมบัติที่เหลือไว้ของยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทางตอนเหนือ ห่างออกไปจากนครแห่งบาป


 


และปัจจุบันเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายก็กำลังแห่กันไปที่นั่น


 


“โชคดีจัง…หลังออกจากการปิดด่านบ่มเพาะก็เจอเรื่องดีๆแบบนี้ต้อนรับเลยหรือเนี่ย?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ ใจอดไม่ได้ที่จะสนใจและอยากรู้เรื่องคลังสมบัติของยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ยากระงับอาการตื่นเต้น


 


“ตามไปดูก่อน!”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้าเหินร่างขึ้นฟ้าและติดตามกลุ่มคนไปทันที และเพื่อหลีกเลี่ยงจากสายตาคนมอง ที่มีมากมายขนาดนี้เขาจึงเลือกที่จะเหินร่างขึ้นไปเหนือเมฆ


 


หากลงไปเดินทางด้านล่าง แม้จะไม่มีใครระบุตัวตนเขาได้ อย่างไรก็ตามด้วยชุดเครื่องแต่งกายของเขาในตอนนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องสงสัยว่าเขาคือ ชายชุดดำตัวจริงหรือไม่! คราวนี้ทุกคนได้มองมาที่เขาด้วยสายตาทำราวกับเห็นสัตว์ในสวนสัตว์แน่นอน


 


เขาที่ไม่ชอบความรู้สึกดังกล่าวจึงพยายามหลีกเลี่ยง


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงแหวกสายลม 3 เสียงไล่จี้มาทางด้านหลัง ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจอยู่บ้าง


 


มีใครคิดเดินทางเหนือเมฆด้วยหรอ?


 


และไม่นานนักเสียงแหวกฝ่าสายลม 3 เสียงก็ไล่จี้มาถึงเบื้องหลังเขา


 


“หือ? ชายชุดดำงั้นเหรอ?”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงระคายหูดังขึ้น “กว่าครึ่งปีมาแล้วที่ชายชุดดำมีชื่อเสียงเลื่องลือในนครแห่งบาป…แน่นอนว่าตัวปลอมก็มีไม่น้อย ไม่ทราบเบื้องหน้าจะใช่ชายชุดดำของแทหรือของปลอม!”


 


“จึกๆ หากนายน้อยอยากรู้ว่าที่แท้มันเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม ช้ารับใช้ชราผู้นี้จักลงมือไขข้อแสงสัยให้นายน้อยเอ!”


 


ครู่ต่อมาเสียงระคายหูก็ดังขึ้นอีกครั้ง และรอบนี้ยังทำให้หน้าต้วนหลิงเทียนจมลงทันที ค่อยหันไปมองทั้ง 3 ร่างเบื้องหลังด้วยสายตาอย่างระวัง


 


ทันใดนั้นสายตาต้วนหลิงเทียนก็ไปหยุดที่ร่างชายคนหนึ่ง


 


คนที่นำขบวนนี้ผ่านมาเป็นชายหนุ่มที่แลดูหน้าตาดีคนหนึ่ง


 


หากแต่ใบหน้าที่หล่อเหลาของมันกลับฉายออกชัดถึงความอิดโรย ทั่วร่างคล้ายไม่กระฉับกระเฉง ท่วงท่าไม่ค่อยมั่นคง ทำให้ต้วนหลิงเทียนทราบได้ทันทีว่าไม่พ้นต้องเป็นนายน้อยเหลวไหลเจ้าสำราญจากตระกูลร่ำรวยคนหนึ่ง ที่วันๆดีแต่ร่ำสุรามั่วนารี!


ตอนที่ 2,125 : ขอบเขตเซียนสวรรค์!


 


ด้านหลังนายน้อยร่ำรวยไม่เอาไหนนั่น มีชายวัยกลางคนกับชายชรายืนอยู่


 


ชายวัยกลางคนสวมชุดสีฟ้าอ่อน รูปร่างสมส่วนไม่อ้วนไม่ผอม หน้าตาแลดูธรรมดาไม่มีใดโดดเด่น มองผิวเผินก็ไม่ต่างจากคนทั่วไปสักเท่าไหร่


 


กลับกัน ชายชราอีกคนนั้นมาในชุดสีแดงสด รูปร่างบึกบึนตัวสูง ทว่าพิกลนักศีรษะกลับเล็กยิ่ง! ไม่ได้สมกับขนาดตัวแม้แต่น้อย ช่วนให้แลดูตลกขบขันเหลือเกิน


 


และคนที่จุ๊ปากกล่าววาจาระคายหูก่อนหน้า ก็เป็นชายชราชุดแดงผู้นี้เอง


 


บัดนี้ชายชราชุดแดงที่ว่ากำลังมองมาที่ต้วนหลิงเทียนไม่วางตา สองตาเล็กหยีของมันฉายแววเยียบเย็นให้ความรู้สึกน่ากลัว คล้ายหากได้รับคำสั่งผู้เป็นนาย…มันจะพุ่งเข้ามาวัดกับต้วนหลิงเทียนสักครา! ว่าที่แท้ใช่ชายชุดดำตัวจริงเสียงจริงหรือไม่!!


 


“ในเมื่อผู้เฒ่าฉีว่ามาแบบนี้…เช่นนั้นท่านก็จัดไปเถอะ!”


 


เมื่อได้ยินวาจาอาสาบงมือของชายชราชุดแดงสด นายน้อยบ้านรวยไม่เอาไหนก็หันไปมองชายชุดคลุมลมดำเบื้องหน้า สองตาหรี่ลงเล็กน้อย ค่อยกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงไม่แยแส


 


ทำราวกับกล่าวถึงเรื่องราวไม่สลักสำคัญอะไร


 


ทว่าเสียงของนายน้อยรุ่นที่สองผู้นี้ดังไม่ทันสิ้นคำดี


 


สีหน้าชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังพลันแปรเปลี่ยน ไม่อาจคงความสงบได้อีกต่อไป


 


“ขอรับนายน้อย!”


 


ทว่าแทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่หน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนสี เสียงรับคำอย่างคึกคักของชายชราชุดแดงพลันดังขึ้น ร่างคนคล้ายแปรเปลี่ยนไปเป็นสายลมหอบหนึ่ง โจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน!


 


ความเร็วยังนับว่าไม่ใช่ชั่ว!


 


และในขณะที่โจนทะยานเข้าไป พลังกล้าแกร่งขุมหนึ่งพลันระเบิดออกทั่วร่างชราอย่างไม่คิดจะกักเก็บ! รัศมีพลังชั่วชีวิตเพาะสร้างเป็นแรงกดดันไร้สภาพกล้าแกร่งขุมหนึ่งกำจายออกไปกดดันในบรรยากาศ!!


 


“เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน?”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของชายชราชุดแดงสด คิ้วใต้โม่งคลุมดำของต้วนหลิงเทียนยักขึ้นเล็กน้อย ด้วยตระหนักได้ทันที ว่าชายชราผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน ลูกตายังหรี่ลงเล็กน้อย


 


สองตาต้วนหลิงเทียนพึ่งหรี่ลงได้ไม่ทันไร ร่างชราก็โจนทะยานมาถึงตรงหน้าห่างไม่กี่ก้าวแล้ว


 


“มิว่าเจ้าจักเป็นชายชุดดำจริงหรือไม่ หากแต่วันนี้เจ้าถูกลิขิตให้ตกตายกลายเป็นผีด้วยน้ำมือข้า ฉีคุน ผู้นี้!”


 


ชายชราชุดแดงสดผู้ประกาศนามตัวออกมาว่า ฉีคุน สะบัดแขนทั้ง 2 ข้างกางออกปานอินทรีย์สยายปีก ก่อนที่มันจะควงแขนด้วยความเร็วสูงปานวงล้อ มวลพลังปะทุออกจนก่อเกิดพลังหมุนวนคล้ายวงล้อไฟ


 


“กรงล้อคู่อัคคีผกผัน!”


 


ชายชราฉีคุนคำรามออกคราหนึ่ง แขนทั้งสองที่หมุนควงปานกรงล้อไฟ ก็เริ่มหมุนวนเร็วรี่จนมวลอากาศโดยรอบสะท้านสะเทือน บังเกิดคลื่นพลังลี้ลับอีกหนึ่งขุมอุบัติขึ้นที่สองวงล้อ!!


 


พริบตาต่อมา


 


วู้ม! วู้ม!!


 


เสียงมวลพลังหมุนวนเร็วรี่ก่อเกิดอานุภาพเชือดเฉือนอันร้ายกาจดังสะท้านสะเทือนออกมา! ชายชราเหวี่ยงแขนซัดพลังสังหารร้ายกาจเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยอำมหิต!


 


กระบวนแรกที่ฉีคุนจู่โจมเข้ามาก็เป็นกระบวนท่าสังหารเสียแล้ว!!


 


นี่ทำให้สีหน้าของต้วนหลิงเทียนมืดลงทันควัน


 


เขาลองถามตัวเองดู…ว่าก่อนหน้านี้เคยรู้จักกับฉีคุนหรือก็ไม่!


 


แต่ฉีคุนผู้นี้ไม่เพียงแต่อยู่ดีๆก็หาเรื่องลงมือเขาก่อน ยังลงมือด้วยกระบวนท่าสังหาร!


 


‘อย่างไรก็ตามแต่ ฉีคุนผู้นี้นับว่าไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน…’


 


แม้หน้าต้วนหลิงเทียนจะมืดลงเผยความไม่พอใจ แต่เรื่องนี้เขาก็ต้องยอมรับ


 


ด้วยเพราะกลิ่นอายพลังจากกระบวนท่าสังหารของฉีคุน มันแฝงเร้นไปด้วยไอฆ่าฟันอันอำมหิตนัก เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าสมควรมีผู้คนมากมายที่ตกตายด้วยน้ำมือมัน หาไม่แล้วไอฆ่าฟันคงไม่หนาแน่นขนาดนี้


 


‘จะยังไงก็แล้วแต่ นับว่ามันผสานวรยุทธ์เซียนกับเวทย์พลังได้อย่างลงตัวจริงๆ!’


 


เผชิญกับกระบวนท่าสังหารของฉีคุน ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมา


 


พลังฝีมือของเขาตอนนี้ไม่ได้เหมือนกับเมื่อครึ่งปีที่แล้วอีกต่อไป


 


ทำให้สายตาของเขานั้นดีขึ้นมาก


 


ไม่เพียงเห็นว่าการลงมือของชายชราเบื้องหน้าไม่เลว พลังสังหารก็ไม่ได้อ่อนด้อยเลย


 


น่าเสียดายที่ต้วนหลิงเทียนไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ


 


‘มาได้ดี!’


 


ต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวในใจอย่างเงียบงัน ร่างยังคงลอยตรงนิ่งไม่ไหวติง


 


ขวับ!


 


ทว่าทันใดนั้นเองในมือไม่ทราบปรากฏไม้บรรทัดอันแลดูเรียบง่ายไร้ใดโดดเด่นเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้ตั้งแต่เมื่อใด ถึงขั้นกล่าวได้ว่าเหมือนไม้บรรทัดที่ครูในโรงเรียนเมื่อชีวิตที่แล้วของต้วนหลิงเทียนใช้งานผิดประเภทนำมาทุบตีมือเด็กๆ


 


เป็นดั่งอาวุธทำลายล้างของเหล่าเด็กซน!


 


ทันทีที่ไม้บรรทัดปรากฏขึ้น ‘พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิด’ ที่โคจรพร้อมพรั่งทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็หลั่งไหลถ่ายทอดลงสู่ตัวไม้บรรทัดฉับไวไร้ติดขัด!


 


ทันใดนั้นตัวไม้บรรทัดก็สะท้านไปคราหนึ่งยังบังเกิดเสียงกู่ร้องออกมาฟังชัด


 


กลิ่นอายพลังกล้าอันน่าสะพรึงกลัวขุมหนึ่งปะทุออกมาทันที ฉีคุนที่อยู่ใกล้กับต้วนหลิงเทียนมากที่สุด ย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงนี้ได้ก่อนใคร!


 


กลิ่นอายพลังดังกล่าว ยังทำให้มันรู้สึกเหน็บหนาวจับขั้วหัวใจ!!


 


อาวุธของศัตรูกลับเป็น ไม้บรรทัด?!


 


ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายพลังกลับน่าสยดสยองนัก!


 


จังหวะนี้ฉีคุนแทบจะมั่นใจได้เต็มสิบส่วน!


 


ชายชุดดำเบื้องหน้า สมควรเป็นชายชุดดำตัวจริงเสียงจริงไม่แปลกปลอม!!


 


“บิดกลับจักรวาล!”


 


ไม่ว่าฉีคุนจะครุ่นคิดอันใดอยู่ก็ตาม หากแต่ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวคำเสียงเย็นในใจ ไม้บรรทัดในมือขยับโบกออกไปตามอำเภอใจ


 


ทว่าบรรทัดที่โบกไปตามอำเภอใจ กลับบันดาลให้ความว่างเปล่าที่หุ้มร่างฉีคุนเอาไว้กระเพื่อมสั่นไหวไปดั่งระลอกน้ำ


 


ยิ่งมาความว่างยิ่งสะท้านสะเทือน มองไปไม่ต่างก้อนน้ำที่กำลังบิดๆเบี้ยวๆ อีกทั้งยังหดเล็ก ย่นย่อขนาดลง!


 


ฉากเรื่องราวดังกล่าวย่อมตกอยู่ในสายตาของชายวัยกลางคนและนายน้อยรุ่นสองไม่เอาไหนชัดถนัดตา


 


จังหวะนี้พวกมันเสมือนได้ชมภาพอันน่าตื่นตะลึงแสนละลานตายากจะพบพานได้อีกชั่วชีวิต…


 


“มะ…มันคือชายชุดดำตัวจริง!?”


 


นายน้อยไม่เอาไหนนั่น มองเห็นไม้บรรทัดที่อยู่ในมือต้วนหลิงเทียนได้แทบจะทันทีที่ปรากฏออกมา และมันยังจดจำรูปแบบการลงมือของต้วนหลิงเทียนเมื่อ 6 เดือนที่แล้วได้ชัดเจน!


 


ฟังว่าวันนั้นตอนที่ชายชุดดำสังหารรองผู้นำกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬเจียวจ้าน อาวุธสังหารที่ใช้ก็คือ…ไม้บรรทัดเล่มหนึ่ง


 


นอกจากนั้นไม้บรรทัดของชายชุดดำยังแลดูธรรมดาถึงขีดสุด!


 


ไม่ต่างอะไรจากไม้บรรทัดทั่วไปที่ไว้ใช้ขีดเส้น! ทว่ากลับร้ายกาจถึงขั้นตัดหัวเจียวจ้านได้ราวปลิดขั้วผลสุก!


 


การกระทำเช่นนั้นอาจฟังดูง่ายดาย หากแต่สามารถผนึกพลังสังหารตัวตนอย่างเจียวจ้านได้ในพริบตา เช่นนั้นย่อมไม่ง่ายดายแล้ว


 


และในขณะที่มันกำลังตื่นตระหนกตกใจ


 


ทันใดนั้นเอง


 


ฟู่ววว!


 


ฟุ่บบ!!


 


เสียงดั่งสายลมแรงพัดกรรโชกผ่านหูดังขึ้น ก่อนที่เสียงเสมือนมวลอากาศวูบหายไปในพริบตาดังขึ้น


 


พร้อมกันนั้นความว่างเปล่ารอบกายชายชราชุดแดงที่บิดเบี้ยวๆก่อนหน้า ในที่สุดก็สงบลง


 


หากแต่ฉากเรื่องราวตอนนี้ ทำให้สองตาของนายน้อยไม่เอาไหนถึงกับโบกโพลง หน้ายังซีดลงปานไก่ต้ม เม็ดเหงื่อแตกพลั่กจนหลังเปียก


 


และหากมองสังเกตให้ดี


 


จะพบว่ายามนี้ร่างกายของนายน้อยไม่เอาไหนกำลังสั่นระริก…และหากผู้ใดมายืนอยู่ใกล้ๆมันยังจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นฉุนกึกแทงจมูกกลิ่นหนึ่ง…กลิ่นปัสสาวะ!


 


สหายผู้นี้หวาดกลัวจนปัสสาวะราด!!


 


แล้วฉากแบบใดถึงทำให้สหายผู้นี้หวาดกลัวได้ถึงขนาดนั้นกัน?


 


ห่างออกไปไม่ใกล้ไม่ไกล ร่างต้วนหลิงเทียนในคราบชายชุดดำยังคงลอยร่างอยู่อย่างสงบไม่เคลื่อนไหหวใดๆ ไม้บรรทัดในมือก็ไม่ทราบเก็บไปตั้งแต่เมื่อไหร่


 


หากทว่าร่างชายชราชุดแดงสดนาม ฉีคุน ที่ก่อนหน้าโจนทะยานพร้อมออกกระบวนท่าสังหารดุร้ายนั้น บัดนี้ได้แยกออกเป็นสองเสี่ยงแล้ว


 


ราวกับทันทีที่ความว่างเปล่าถูกฉีกกระชาก ร่างมันก็เสมือนถูกจับบิดแล้วกระชากให้ขาดแยกออกจากกัน…


 


กล่าวคือ…


 


ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ต้วนหลิงเทียน ได้สังหารฉีคุนที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย


 


“ฟืด! ฟืดด!!”


 


ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหกลังนายน้อยไม่เอาไหน ถึงกับสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ แต่ทว่าหลังสุดหายใจเข้าไปทีหนึ่ง ยังต้องสูดเข้าอีกครั้งเสียงดัง


 


นั่นเพราะคราแรกที่มันสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บนั้น มันกลับสูดเอากลิ่นปัสสาวะฉุนกึกเข้าไปเฮือกใหญ่! ถึงกับต้องรีบหันไปสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าอีกเฮือกทันที


 


และมันก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้นายน้อยของมันถึงกับปัสสาวะราด!


 


อย่างไรก็แล้วแต่ไม่ว่าจะนายน้อยไม่เอาไหนหรือชายวัยกลางคน ตอนนี้ต่างตกตะลึงกับความแข็งแกร่งที่ต้วนหลิงเทียนแสดงออกมานัก!


 


ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ กลับสังหารฉีคุนที่รั้งอยู่ในอันดับที่ 313 ของรายนามยอดเซียน…ด้วยพลังฝีมือระดับนี้น่ากลัวว่าต่อให้ไม่ใช่เซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน ก็ต้องเป็นเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนที่บ่มเพาะพลังมาถึงสุดปลายด่านพลังแล้ว


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น สุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน สามารถก้าวเข้าสู่ 200 อันดับแรกในรายนามยอดเซียนได้ด้วยซ้ำ


 


หากแต่พวกมันไม่ได้รู้เลย


 


อันที่จริงเวลาที่ต้วนหลิงเทียนใช้ในการสังหารฉีคุนจริงๆมันน้อยนิดนัก เวลาส่วนใหญ่ก่อนที่ร่าง 2 เสี่ยงของฉีคุนจะปรากฏขึ้นชัดเจนในสายตาพวกมัน ล้วนใช้ไปกับการดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณทั้งสิ้น


 


และดั่งที่กล่าวไปก่อนหน้า พลังในร่างกายของต้วนหลิงเทียนตอนนี้คือ พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิด


 


กล่าวคือหลังจากผ่านไปครึ่งปี ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณรวมถึงความช่วยเหลือจากชั้น 4 เจดีย์หลงหลง 7 สมบัติ ต้ววนหลิงเทียนก็ได้ทะลวงจากขอบเขตเซียนนภาขั้นกลางจนถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ และกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ที่แท้จริงแล้ว!


 


หลังจากที่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ ต้วนหลิงเทียนก็สามารถสัมผัสถึงรากวิญญาณของผู้อื่นได้ด้วยตัวเอง


 


เช่นนั้นเขาจึงกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่นด้วยตัวเอง และด้วยความที่เขากระทำมาจนชำนาญ เรียกว่าไม่เพียงแต่จะช่ำชองเชี่ยวชาญ ยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากกาลก่อนนัก เพียงไม่ถึง 2 ลมหายใจเขาก็สามารถกลืนกินรากวิญญาณแต่กำเนิดของผู้อื่นจนหมดสิ้นแล้ว


 


“พวกเจ้า…”


 


ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่คล้ายสายตาของต้วนหลิงเทียนจะมองทะลุมิติ สามารถทะลวงผ่านโม่งดำและอากาศห่างไกลมายังร่างนายน้อยและชายวัยกลางคนเขม็ง “อยากจะลองด้วยไหม?”


 


พวกเจ้า…


 


อยากจะลองด้วยไหม?


 


ต้องกล่าวเลยว่าวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนช่างเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสถือดี จนพาลให้ผู้อื่นมีโมโหหนักมากแล้วจริงๆ


 


อนิจาพอนึกถึงความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน แม้พวกมันจะโมโหเพียงใด ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้ครึ่งคำ


 


“นายท่านชุดดำ…”


 


ตอนนี้เองเป็นชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนายน้อยไม่เอาไหนก้าวออกมากล่าวคำกับต้วนหลิงเทียน “นายน้อยของข้ากลับพลั้งเผลอล่วงเกินท่านอย่างมิได้ตั้งใจแล้ว…ขอนายท่านได้โปรดอภัยให้นายน้อยข้าด้วย”


 


“แน่นอนว่าหากท่านคิดลงโทษพวกเราเพราะเป็นฝ่ายล่วงเกินท่านก่อนก็สมควร ทว่าขอนายท่านชุดดำได้โปรดละเว้นชีวิตของนายน้อยข้าด้วย”


 


ชายวัยกลางคนกล่าวออกมาด้วยท่าทางจริงใจ


 


“เจ้า…”


 


นายน้อยไม่เอาไหนผู้นั้นไม่คิดเลยว่าชายวัยกลางคนที่เป็นผู้ติดตามของมัน อยู่ๆจะกล่าวอ้อนวอนอีกฝ่ายออกมาแบบนี้ มันคิดอ้าปากกล่าวคำอะไรออกมาบางอย่าง แต่ทว่ามันต้องระงับวาจาลงทันที


 


เพราะตอนนี้พลันมีเสียงผ่านพลังของชายวัยกลางคนดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ


 


“นายน้อยข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจ แต่ตอนนี้มิใช่เวลาที่ท่านจักเปิดเผยตัวตน…หากท่านเลือกที่จะเปิดเผยตัวตนออกมา ไม่พ้นต้องสร้างความหวาดกลัวให้แก่ชายชุดดำผู้นี้แน่…”


 


“คราวนี้ด้วยความกลัวว่าหลังจากนี้จะมีปัญหา…มันไม่พ้นต้องคิดตัดรากถอนโคน! ฆ่าท่านกับข้าให้ตายเพื่อให้พวกเรามิมีโอกาสรอดชีวิตไปกล่าวความ! และที่สำคัญถึงพลังฝีมือของข้าจะเหนือกว่าฉีคุน ทว่ามิได้เหนือกว่ามันมาก…ข้ายังห่างนักหากจะเทียบกับชายชุดดำผู้นี้!!”


ตอนที่ 2,126 : ผู้เข้มแข็งขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน?


 


ได้ยินเสียงกล่าวเตือนจากชายวัยกลางคนแบบนี้ แม้นายน้อยไม่เอาไหนจะฮึดฮัดขัดใจอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่คิดลงมือทำอะไรอย่างวู่วามอีก


 


วีรบุรุษย่อมรู้ลดราวาศอก!


(สถานการณ์ไม่เป็นใจ ก็ยอมถอยชั่วคราวจะได้ไม่เสียเปรียบจนตกเป็นเบี้ยล่าง)


 


มันย่อมซึ้งถึงคำนี้ดี


 


ถึงแม้ว่ามันจะมีภูมิหลังอันร้ายกาจ ทว่าตอนนี้ข้างกายมันไร้ยอดฝีมือที่จะรับมือชายชุดดำเบื้องหน้าได้ เช่นนั้นจึงเป็นการดีเสียกว่าที่จะเสแสร้งเป็นหลานชายอีกฝ่าย


(แสร้งเป็นหลานชาย = ทำตัวเป็นเด็กดีว่าง่ายเชื่อฟัง)


 


‘ตอนนี้เจ้าจะหยิ่งยโสโอหังอันใดก็เอาเถอะ…ขอเพียงเจ้ายังอยู่ในนครแห่งบาป วันหน้าข้าจะให้เจ้าได้ตายคาที่!’


 


นายน้อยไม่เอาไหนลดศีรษะลง ในแววตาลุกโชนไปด้วยโทสะ ใจลอบคิดไปด้วยอำมหิต!


 


“นายน้อยหากดูจากทิศทางที่ชายชุดดำผู้นี้เหินบินไป ไม่พ้นมันต้องไปที่เดียวกับพวกเราแน่…คลังสมบัติของยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! ตอนนี้ท่านผู้นำและท่านรองผู้นำหลายคนสมควรไปเฝ้ารออยู่ที่นั่นแล้ว พวกเราไปรวมตัวกับพวกท่านผู้นำเมื่อไหร่…ค่อยบอกให้ท่านผู้นำฆ่าเจ้าชายชุดดำนี่เสีย!”


 


เสียงชายวัยกลางคนผ่านพลังดังขึ้นในหูนายน้อยไม่เอาไหนอีกครั้ง ทำให้สองตามันทอประกายสว่างวาบขึ้นมาทันที


 


ใช่!


 


ทำไมเมื่อกี้มันไม่ทันคิด?


 


จากทิศทางที่ชายชุดดำกำลังมุ่งหน้าไป เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคิดไปคลังสมบัติที่เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหลือทิ้งไว้เหมือนกัน!


 


หากมันปล่อยให้อีกฝ่ายไปถึงที่นั่น มันค่อยร้องขอให้บิดาของมันฆ่าทิ้งเสียก็จบ!


 


ไฉนต้องรอไปล้างแค้นอะไรที่นครแห่งบาป!


 


พอได้คิดถึงจุดนี้ นายน้อยไม่เอาไหนก็ไม่รู้สึกพ่ายแพ้อีกต่อไป สองตายังฉายถึงเจตนาฆ่าฟันอันน่ากลัว แต่ด้วยความที่มันก้มหน้าอยู่ ต้วนหลิงเทียนจึงไม่อาจแลเห็นได้


 


“หึ!”


 


เมื่อเห็นว่า 2 คนเบื้องหน้ายอมก้มหัวขอขมา ต้วนหลิงเทียนพลันแค่นเสียงเย็นออกมาคำหนึ่ง และคร้านจะแยแสอะไรพวกมันสืบไป ละสายตาจากพวกมันและเตรียมเหินร่างไปต่อทันที


 


เขาเป็นคนมีหลักการ


 


ในเมื่อทั้ง 2 ยอมก้มหัวให้แล้ว เขาก็ไม่คิดจะจัดการทั้งคู่เหมือนกับที่ทำกับชายชราชุดแดงสดก่อนหน้า


 


เพราะสุดท้ายตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งคู่ไม่ได้คิดฆ่าเขาแม้แต่น้อย กล่าวได้ว่าพวกมันไม่ได้ล้ำเส้นเขา


 


ทว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะจากไปนั้นเอง


 


พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นแต่ไกลจากด้านหลัง


 


“หากท่านปล่อยพวกมันไว้เช่นนี้…ข้าเกรงว่าหลังจากไปถึงคลังสมบัติของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ท่านจะเหลือชีวิตเข้าไปแสวงหาโชคลาภอันใดในนั้น ‘ก็ไม่ใช่ว่าจะแน่’ แล้ว”


 


ผู้ที่กล่าววาจาคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่คล้ายจะเดินทางมาจากนครแห่งบาป


 


ชายหนุ่มผู้นี้มาในชุดคลุมสีขาว ใบหน้าแลดูหล่อเหลาไม่เบายังให้ความรู้สึกสูงส่งไม่คล้ายเป็นคนธรรมดา  และด้วยพัดขนนกกับหมวกทรงสูงบนหัว ทำให้มันดูเหมือนบัณฑิตนักศึกษาคนหนึ่ง


 


ด้านหลังยังมีชายชราที่แลดูน่าเกรงขามติดตามมาไม่ห่าง


 


ชายชราผู้นี้ร่างกายสูงใหญ่ ประกบติดด้านหลังชายหนุ่มชุดขาวประหนึ่งเงาตามตัว ราวกับจะคอยปกป้องผู้เป็นนายทุกเวลา!


 


“เจ้าหมายความว่าอะไร?”


 


ได้ยินวาจาดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับไปมองชายหนุ่มที่แต่งตัวคล้ายบัณฑิตนักศึกษา กล่าวถามออกมาเสียงเบาทันที ไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อยเรื่องมีคนปรากฏตัวจากด้านหลัง


 


“ที่แท้ดูเหมือนท่านจะไม่รู้จักนายน้อยโอวจริงๆ?”


 


ตอนนี้เองร่างชายหนุ่มที่คล้ายบัณฑิตก็เหินร่างมาหยุดไม่ห่างต้วนหลิงเทียน ทีท่าของมันแลดูเป็นมิตรนัก พัดในมือชี้ไปยังนายน้อยไม่เอาไหน ค่อยกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ตงกั๋วจื่อ เจ้าคิดจะทำอะไร!?”


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงของชายคล้ายบัณฑิทดังจบคำ เสียงของนายน้อยไม่เอาไหนก็ดังโพล่งขึ้นมาทันที ยังถลึงตามองมายังชายหนุ่มชุดขาวด้วยสายตาเอาเรื่อง


 


“ขอนายน้อยตงกั๋วโปรดระวังคำพูดด้วย!”


 


กระทั่งชายวัยกลางคนที่กลับไปยืนอยู่ด้านหลังนายน้อยไม่เอาไหนแล้ว ตอนนี้ก็ชักสีหน้าอัปลักษณ์นัก กล่าวกับชายชุดขาวที่ถูกเรียกหาว่า นายน้อยตงกั๋ว ตาขวาง


 


เพราะหากตงกั๋วจื่อกล่าวบอกตัวตนของนายน้อยมันออกมาจริงๆ เกรงว่าวันนี้มันกับนายน้อยไม่แน่จะรอดชีวิตไปได้แล้ว!


 


อย่างไรก็ตามตงกั๋วจื่อไม่แยแสคำของชายวัยกลางคนแม้แต่น้อย ค่อยกล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยรอยยิ้ม “สองคนนี้…หนึ่งคือนายน้อยของพันธมิตร 7 สังหารของนครแห่งบาปเรา เรียกว่า โอวฉิง”


 


“ส่วนอีกคนนั้น นับเป็นชนชั้นอาวุโสของพันธมิตร 7 สังหารเรียกว่าลู่จิ้น อันดับที่ 295 ของรายนามยอดเซียน…”


 


“ส่วนชายชราชุดแดงสดที่ท่านพึ่งฆ่าไปเมื่อครู่ เรียกว่า ฉีคุน มันเองก็เป็นอาวุโสของพันธมิตร 7สังหารเช่นกัน และก่อนที่มันจะถูกท่านฆ่าตาย มันก็ติดอยู่ในอันดับที่ 313 ในรายนามยอดเซียน”


 


ตงกั๋วจื่อไม่แยแสสายตาเอาเรื่องของนายน้อยไม่เอาไหนและชายวัยกลางคน เพียงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม


 


พันธมิตร 7 สังหาร!


 


ได้ยินวาจานี้ของตงกั๋วจื่อ ลูกตาของต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันที


 


พันธมิตร 7 สังหารนั้นเรียกว่าเป็น 1 ใน 3 กองกำลังพันธมิตรที่แข็งแกร่งีท่สุดของผู้ฝึกตนอิสระในนครแห่งบาปก็ว่าได้ ยังว่ากันว่าผู้นำพันธมิตร 7 สังหาร โอวคังไห่ ยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนอีกด้วย!


 


“นายน้อยพันธมิตร 7 สังหาร โอวฉิง?”


 


ครู่ต่อมาสายตาต้วนหลิงเทียนก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างโอวฉิงอีกครั้ง


 


และตอนนี้สีหน้าท่าทีของโอวฉิงที่ถูกต้วนหลิงเทียนจ้องก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก


 


“ที่แท้…เจ้าก็คือลูกชายของผู้นำพันธมิตร 7 สังหารงั้นหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมา น้ำเสียงของเขาเยียบเย็นไม่น้อย ลึกลงไปในแววตายังอดไม่ได้ที่จะเผยความกลัวออกมา


 


ยังให้เขาไม่กลัวได้หรือ!


 


โอวคังไห่นั่นมันคือผู้เข้มแข็งขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน!


 


ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ กระทั่งใช้ทุกสิ่งที่มีอย่างไม่คิดจะกักเก็บ ก็ยังนับว่าห่างไกลเกินจะเทียบกับโอวคังไห่นั่นได้!


 


ถึงขั้นที่หากโอวคังไห่คิดฆ่าเขา ก็ยังง่ายดายเหมือนบี้มด!


 


“ใช่ ข้าเป็นลูกชายของผู้นำพันธมิตร 7 สังหาร!”


 


ถูกต้วนหลิงเทียนถาม โอวฉิงก็ได้แต่ตอบกลับไปเสียงเย็น


 


ขณะเดียวกันมันก็เอื้อมมือล้วงเข้าไปในแขนเสื้ออีกข้าง ก่อนที่จะหยิบยันต์เต๋าแผ่นหนึ่งออกมาจากช่องลับในแขนเสื้อ “นี่คือยันต์กระจกเงาลูก…หากเจ้ากล้าลงมือฆ่าข้าๆจะรีบใช้มันทันที! ถึงตอนนั้นต่อให้ข้าต้องตาย แต่ท่านพ่อย่อมรู้ว่าเจ้าเป็นคนฆ่าข้า!”


 


“เจ้าเองก็คงรู้ดีว่าหากท่านพ่อข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนลงมือฆ่าข้าแล้วผลมันจะเป็นยังไง…ท่านพ่อไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่! ถึงตอนนั้นเจ้าเองก็หนีความตายไม่พ้น!”


 


ยิ่งมาเสียงกล่าวของโอวฉิงก็ยิ่งเย็นลงปานจะผุดแทรกขึ้นมาจากหล่มน้ำแข็ง


 


นอกจากนี้มือมันยังผนึกพลังขึ้นมาขุมหนึ่ง พร้อมบดขยี้ยันต์เต๋าในมือได้ทุกเมื่อ


 


หากโอวฉิงเป็นผู้ที่ทำลายยันต์เต๋ากระจกเงาลูกด้วยตัวเอง ยันต์จะส่งภาพเรื่องราวก่อนหน้านี้เล็กน้อยรวมถึงฉากเรื่องราวในปัจจุบันไปยังกระจกเงาแม่ทันที


 


“ท่านยอดฝีมือ ดูเหมือนวันนี้ท่านต้องเลือกแล้ว…อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่ว่าท่านจะฆ่ามันหรือไม่ สถานการณ์ของท่านก็ยังคงเหมือนเดิม”


 


ตงกั๋วจื่อมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน ยังทำท่าทางปาดคอตัวเองออกมา


 


“หากข้าเป็นท่าน ข้าคงเลือกที่จะฆ่ามันแน่นอน!”


 


หลังกล่าวจบสองตาตงกั๋วจื่อก็ทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง คล้ายพึงพอใจอะไรบางอย่าง


 


“ตง กั๋ว จื่อ!!”


 


สีหน้าของโอวฉิงเปลี่ยนไปอย่างมาก


 


‘ตงกั๋วจื่อผู้นี้ก็นับว่าไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมันอีกคน…ฟังดูเหมือนมันคิดจะช่วยข้า แต่ที่จริงแล้วมันก็แค่คิดยืมมีดฆ่าคน  คิดใช้ข้าฆ่าโอวฉิงแทนมันเท่านั้น’


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้เรื่องนี้ได้ชัดเจน


 


ยิ่งไปกว่านั้นผู้เฒ่าหั่วก็ได้กล่าวเตือนเขาตั้งนานแล้วว่ามีคน 2 คนกำลังเฝ้าดูเขาอยู่ตั้งแต่แรก ทว่าด้วยความที่ทั้งคู่ไร้จิตมุ่งร้ายใดๆต่อเขาๆจึงไม่ได้สนใจ


 


‘ตงกั๋วจื่อ…ในนครแห่งบาปมีพันธมิตรผู้ฝึกตนอิสระที่ร้ายกาจที่สุดอยู่ 3 พันธมิตร นอกจากพันธมิตร 7 สังหารแล้ว ก็มีพันธมิตรหมื่นโบราณ กับพันธมิตรพันสารท’


 


‘และดูเหมือนทั้ง 3 พันธมิตรจะไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่…’


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ย้อนนึกถึงเรื่องราว 3 พันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดในนครแห่งบาปขึ้นมา


 


‘ผู้นำพันธมิตรพันสารทดูเหมือนจะเรียกว่า ตงกั๋วยี่…ท่าทางตงกั๋วจื่อผู้นี้สมควรเป็นคนของพันธมิตรพันสารท และสถานะของมันคงไม่ต้อยต่ำ ไม่งั้นคงไม่มียอดฝีมือระดับนี้คอยตามคุ้มครอง’


 


ชายชราที่ยืนอยู่ด้านหลังตงกั๋วยี่นั้น หลังตงกั๋วยี่มาถึงมันก็ยืนหลับตาสงบจิตไม่กล่าวใดออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ


 


หากแต่ชายชราผู้นี้กลับทำให้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงอันตราย


 


อย่างน้อยๆก็อันตรายกว่าลู่จิ้น ที่ยืนอยู่ด้านหลังโอวฉิง ที่ติดอยู่ใน 300 อันดับแรกของรายนามยอดเซียน


 


“เซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน!”


 


หลังถามผู้เฒ่าหั่ว เขาก็ได้รับทราบพลังฝึกปรือของชายชราผู้ติดตามตงกั๋วจื่อ


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้เขารู้สึกว่าฐานะของตงกั๋วจื่อในพันธมิตรพันสารทย่อมไม่ใช่ชั่วแน่นอน เผลอๆจะเป็นบุตรชายของตงกั๋วยี่ ผู้นำพันธมิตรพันสารทด้วยซ้ำ!


 


หลังมองตงกั๋วจื่อด้วยสายตาลึกซึ้งแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับไปมองโอวฉิงอีกครั้ง ค่อยถามออกมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “หากวันนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้า แล้วบิดาของเจ้าจะปล่อยข้าไปงั้นเหรอ?”


 


“ย่อมเป็นเช่นนั้น!”


 


ได้ยินวาจากล่าวถามของต้วนหลิงเทียน โอวฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยตอบกลับหลังได้ยินคำเตือนของลู่จิ้น “ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า เช่นนั้นข้าก็ยินดีกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าข้าจะไม่มีวันปริปากบอกท่านพ่อเด็ดขาดว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น…”


 


“ขอเพียงบิดาข้าไม่รู้เรื่องนี้ ท่านพ่อย่อมไม่คิดทำอะไรเจ้าเป็นธรรมชาติ!”


 


กล่าวจบโอวฉิงก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบสนองอะไร มันใช้เล็บเฉือนปลายนิ้วตัวเองเบาๆให้หลั่งโลหิต เร่งกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ออกมาทันที


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 


……


 


เสียงอัสนี 9 คำรบดังลั่นออกมาจากฟ้าเบื้องบนเป็นการตอบรับคำสาบานของโอวฉิง ทำให้ต้วนหลิงเทียนพลันขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง


 


ไหนเลยเขาจะไม่รู้ว่าคำสาบานของโอวฉิงมีปัญหา!


 


“ฮ่าๆๆๆ!!”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะกล่าวคำ กลับเป็นตงกั๋วจื่อที่ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาดังลั่นเสียก่อน


 


“ตงกั๋วจื่อเจ้าหัวเราะอะไร!”


 


ลูกตาโอวฉิงกระพริบวูบด้วยความหวั่นใจประการหนึ่ง ก่อนคำรามออกมาด้วยโทสะกลบเกลื่อน


 


“ข้าหัวเราะอะไรงั้นเหรอ? ข้าก็หัวเราะเจ้าไงนายน้อยโอว! ไม่คิดเลยว่าเจ้ายังกล้าเล่นตุกติกกับวาจาสาบานได้อย่างโง่งมเช่นนี้! เจ้าสาบานว่าจะไม่บอกบิดาเจ้าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้…แต่เจ้าสามารถบอกคนอื่นในพันธมิตร 7 สังหารถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ใช่หรือไม่? จะเป็นรองผู้นำหรือกระทั่งใครก็ได้ในพันธมิตร 7 สังหาร!!”


 


“ถึงตอนนั้นขอเพียงพวกมันสักคนไปรายงานเรื่องนี้ต่อบิดาเจ้า…แล้วบิดาเจ้ายังไม่ลงมือกับท่านชุดดำได้หรือ?”


 


หลังหัวเราะดังลั่นอีกรอบจบ ตงกั๋วจื่อก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดูแคลน “หรือเจ้ากล้าสาบานว่าเมื่อครู่เจ้ากล่าวคำสาบานด้วยความจริงใจแล้วจริงๆ?”


 


โอวฉิงไม่คิดเลยว่าตงกั๋ววจื่อจะเปิดโปงความในใจทั้งหมดของมันออกมาในประโยคเดียว ทำให้ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวไปราวเคี้ยวถูกแมลงวัน


 


อย่างไรก็ตามเมื่อมันสัมผัสถึงสายตาแสนเยียบเย็นหลังโม่งดำของต้วนหลิงเทียนที่มองจ้องมา มันก็เร่งกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าใหม่อีกรอบทันที ว่าจะไม่กล่าวบอกผู้ใดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้


 


ลู่จิ้นที่อยู่เบื้องหลังโอวฉิงก็เร่งกล่าวคำสาบานออกมาเช่นกัน


 


เมื่อเห็นว่าโอวฉิงและลู่จิ้นตอบรับกันอย่างไร ตงกั๋วจื่ออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ทว่ามันก็คลี่ออกแทบจะทันที หันมองไปทางต้วนหลิงเทียนค่อยกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ท่านชุดดำถึงแม้ว่าพวกมันจะกล่าวคำสาบานกับทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าแล้ว…แต่ข้ายังรู้สึกว่าเพียงคำสาบานนี้ยังมิอาจรับประกันได้เพียงพอ!”


 


หน้าโอวฉิงกับลู่จิ้นเปลี่ยนสีไปเป็นมืดดำทันที กระทั่งถึงขนาดนี้แล้วตงกั๋วจื่อยังจะตื๊อให้ชายชุดดำฆ่าพวกมันอยู่อีก!!


 


ในขณะที่พวกมันกำลังเป็นกังวลอย่างหนักนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนหันมองไปทางตงกั๋วจื่อผ่านๆ ค่อยกล่าวออกเสียงเบา “เจ้ากับคนที่อยู่ข้างหลังเจ้า…ก็กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ด้วย”


 


ตงกั๋วจื่อถึงกับอึ้ง


 


ด้วยมันไม่คิดมาก่อนเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะหันมาสั่งให้มันกับชายชรากล่าวคำสาบานเรื่องนี้ด้วย


 


ทันใดนั้นสีหน้ามันก็มืดลงทันที


 


ชายชราที่อยู่เบื้องหลังตงกั๋วจื่อพลันลืมตาขึ้นแทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ และสองตาของมันยังจับจ้องมองไปยังร่างของต้วนหลิงเทียน ในแววตายังคล้ายมีประกายสายฟ้าแลบลั่น! เป็นการมองเตือนต้วนหลิงเทียนอย่างเห็นได้ชัด!!


ตอนที่ 2,127 : หวังติ่งชัน!


 


ตงกั๋วจื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่ใบหน้าถมึงทึงของมันจะผ่อนคลายลง ตามองต้วนหลิงเทียน ปากกล่าวออกมาอีกครั้งว่า “ท่านชุดดำ…หากใจข้ามีจิตมุ่งร้ายต่อท่านจริง ไฉนข้าต้องปรากฏตัวออกมากล่าวเตือนท่านแต่แรกด้วย?”


 


“ท่านรู้หรือไม่ ว่าข้ามาถึงที่นี่นานแล้ว เพียงแค่ยังมิได้ปรากฏตัวออกมาเท่านั้น…”


 


วาจาต่อมาขณะกล่าว สองตาของตงกั๋วจื่อยังเผยเจตนาฆ่าฟันเยียบเย็นวูบหนึ่ง! ซึ่งเจตนาฆ่าฟันนี้ย่อมเพ่งเล็งไปยังต้วนหลิงเทียน!!


 


ถึงแม้ว่าเจตนาฆ่าฟันจะปรากฏออกมาพริบตาก่อนหายไปดุจละอองไฟวาบดับ ยากที่ใครจะจับสังเกตเห็นได้


 


หากแต่ด้วยการสังเกตอันน่าทึ่งของต้วนหลิงเทียน เขาย่อมแลเห็นเจตนาดังกล่าวได้ทันท่วงที


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้เขามั่นใจมากยิ่งขึ้น


 


ตั้งแต่แรก ตงกั๋วจื่อผู้นี้ไม่เคยมีเจตนาดี!


 


“หากข้าเดาไม่ผิด…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองตงกั๋วจื่อด้วยสายตาลึกล้ำ กล่าวว่า “เจ้าสมควรเป็นคนของพันธมิตร ‘พันสารท’ ใช่หรือไม่? นอกจากนั้นแม้ฟังแล้วจะเหมือนเจ้ากล่าวเตือนข้า แต่ที่จริงเจ้าคิดยืมมือข้าฆ่าโอวฉิงกระมัง?”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา ลูกตาตงกั๋วจื่อก็กระพริบวูบด้วยความประหลาดใจ ใบหน้ามันเผยอาการผิดแปลกออกมาวูบหนึ่งค่อยหวนคืนสู่ความปกติ


 


แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นความประหลาดใจที่ผุดขึ้นจากส่วนลึกในแววตา หรือใบหน้าที่แลดูผิดแปลกล้วนถูกซ่อนไว้ได้แทบจะทันที


 


อย่างไรก็ตามคิดซ่อนตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์อะไรสืบไป เพราะต้วนหลิงเทียนรู้ว่ามันมีเจตนาไม่ดีตั้งแต่แรกแล้ว


 


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีประสบการณ์ไม่น้อย กระทั่งระวังเรื่องนี้มาตลอด


 


อาศัยเรื่องที่เคยเป็นถึงทหารรับจ้างมือพระกาฬเมื่อชีวิตที่แล้ว ทำให้ทักษะการสังเกตของเขาเรียกว่าบรรลุถึงจุดที่ไม่ธรรมดาอีกต่อไป ก็มากพอจะจับผิดมัน


 


“ท่านชุดดำ เรื่องนี้ท่านคิดมากเกินไปแล้ว…”


 


ตงกั๋วจื่อที่สงบลงแล้วกล่าวออกมาอีกครั้ง กระทั่งใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม แลดูเป็นมิตรไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสรรพชีวิตทั้งมวล


 


น่าเสียดายที่ไม่ว่ามันจะเสแสร้งปั้นหน้าเป็นมิตรอย่างไร หากแต่เจตนาของมันก็ถูกต้วนหลิงเทียนมองออกหมดสิ้น ยากจะตบตาอะไรได้อีก


 


“ท่านชุดดำ…”


 


ตอนนี้เอง ลู่จิ้น ที่อยู่ด้านหลังโอวฉิงพลันกล่าวคำออกมากับต้วนหลิงเทียนว่า “ตงกั๋วจื่อผู้นี้ คือนายน้อยของพันธมิตรพันสารทอย่างที่ท่านคิด…ซึ่งพันธมิตรพันสารทของมันก็ไม่ลงรอยกับพันธมิตร 7 สังหารของพวกข้ามาโดยตลอด ที่มันคิดให้ท่านฆ่าพวกข้าไม่เลิกรา ล้วนคิดยืมมีดฆ่าคนทั้งสิ้น!”


 


“ฮึ่ม!”


 


ลู่จิ้นกล่าวไม่ทันขาดคำดี ตงกั๋วจื่อพลันพ่นลมออกมาด้วยความรังเกียจ “ยืมมีดฆ่าคน? ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่โอวฉิงนั่นมันฝีมือกระจอกไม่มีปัญญาสู้ข้ามาทั้งชีวิต…ต่อให้เจ้าร่วมมือกับฉีคุนที่ถูกท่านชุดดำฆ่าตายไปก่อนหน้า หรือยังเป็นคู่มือผู้เฒ่าหวังที่อยู่ข้างๆข้าได้?”


 


ขณะกล่าวตงกั๋วจื่อก็เชิดหน้าเหลือบมองไปยังชายชราด้านหลัง


 


“มิผิด ต่อให้ข้ากับผู้เฒ่าฉีร่วมมือกันก็มิใช่คู่มือของผู้เฒ่าหวัง…”


 


ลู่จิ้นมองไปยังชายชราที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังตงกกั๋วจื่อด้วยสายตาหวั่นเกรง ค่อยพูดว่า “แต่เจ้ากับผู้เฒ่าหวังยังจะกล้าฆ่าพวกข้างั้นเหรอ?”


 


“ตราบใดที่พวกเจ้าลงมือข้าพวกข้า เช่นนั้นด้วยยันต์กระจกเงาลูกของข้ากับนายน้อยโอว…ย่อมส่งเรื่องราวทั้งหมดไปยังยันต์กระจกเงาแม่ที่อยู่ในมือท่านผู้นำ! ถึงตอนนั้นพันธมิตร 7 สังหารของพวกข้า ไม่ฆ่าพวกเจ้าให้ตายย่อมไม่มีวันเลิกรา!!”


 


“และถึงตอนนั้น หากพันธมิตร 7 สังหารของข้ารบกับพันธมิตรพันสารทของเจ้าจนบาดเจ็บล้มตายไปทั้งคู่ พันธมิตรหมื่นโบราณย่อมเป็นดั่งเฒ่าประมงพบนกกระสาสู้หอยกาบ ไหนเลยยังจะละเว้นพันธมิตรของพวกเรา!”


 


“นายน้อยตงกั๋ว ท่านเองก็มิใช่ชนชั้นขลาดเขลา…ไหนเลยจะไม่คิดถึงเรื่องนี้แต่แรก!”


 


ฟังจากวาจาของลู่จิ้น เรียกว่าไม่เหลือช่องให้ตงกั๋วจื่อแก้ตัวใดๆเลย พาลให้สีหน้าของมันมืดคล้ำดำลงขึ้นเรื่อยๆ


 


อย่างไรก็ตามลู่จิ้นยังไม่คิดจะปล่อยมันไปง่ายๆแต่เพียงเท่านี้ “ท่านชุดดำ ข้ากับนายน้อยได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าโดยไม่มีช่องโหว่ใดๆแล้ว เช่นนั้นท่านไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพวกเราจะแพร่งพรายเรื่องในวันนี้อีกต่อไป”


 


“ทว่าตงกั๋วจื่อ นายน้อยพันธมิตรพันสารทผู้นี้ที่มักกลัวโลกยังวุ่นวายมิพอ ไหนเลยจะห้ามใจไม่ให้เผยแพร่เรื่องราวในวันนี้ออกไปได้?”


 


“เพราะทันทีที่มันกล่าวเรื่องนี้ออกไปท่านย่อมกลายเป็นศัตรูของพันธมิตร 7 สังหารของพวกข้าทันที! และหากท่านเป็นศัตรูกับพวกข้า เกรงว่าคนของพันธมิตร 7 สังหารเรามิแคล้วต้องตกตายไปไม่น้อยเพราะไล่ล่าท่านแน่นอน!!”


 


“สำหรับมันแล้ว เรื่องนี้มีแต่จะได้กำไร ไม่เสียอันใดแม้แต่น้อย!”


 


“หากพวกมันมิเต็มใจกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าจริงๆ…ข้าขอแนะนำให้ท่านชุดดำฆ่ามันรวมถึงชายชราด้านหลังมันไปเลยเถอะ!”


 


หลังจากที่ลู่จิ้นกล่าวมานานสองนาน ทีแรกก็เหมือนจะเป็นการเตือนต้วนหลิงเทียน แต่ไปๆมาๆสุดท้ายวาจาของมันก็ไม่ต่างอะไรกับตงกั๋วจื่อ คิดยืมมีดฆ่าคนเช่นกัน!


 


แน่นอนว่าแม้ลู่จิ้นจะคิดยืมมีดฆ่าคน แต่มันก็หวั่นใจไม่น้อย


 


เพราะมันไม่อาจยืนยันได้ว่า ที่แท้ต้วนหลิงเทียนร้ายกาจกว่า หรือชายชราด้านหลังตงกั๋วจื่อร้ายกาจกว่ากัน!


 


อย่างไรก็ตามมันยังยืนยันได้เรื่องหนึ่ง ก็คือพลังฝีมือของชายชุดดำผู้นี้สูงส่งกว่ามันแน่นอน หากไม่ใช่เป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน ก็ต้องเป็นตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนแล้ว!


 


คิดถึงจุดนี้ลู่จิ้นก็มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้งกล่าวเสริมออกมาว่า “อาวุโสหวังที่อยู่ด้านหลังนายน้อยตงกั๋วคนนั้น ก็คือยอดฝีมือคนหนึ่งของพันธมิตรพันสารท มันเรียกว่า หวังติ่งชัน ยังเป็นเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน รั้งอยู่ในอันดับที่ 159 ของรายนามยอดเซียน!!”


 


หลังกล่าวจบคำสองตาลู่จิ้นก็มองจ้องไปยังร่างต้วนหลิงเทียนเขม็ง คล้ายจะรอดูว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบสนองอย่างไร


 


เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้มันก็ได้เปิดเผยพลังฝึกปรือของหวังติ่งชันออกไปหมดสิ้น


 


อย่างไรก็ตาม ไม่นานลู่จิ้นก็จำต้องผิดหวัง


 


นั่นเพราะชายชุดดำเบื้องหน้าไม่เพียงแต่จะสวมชุดคลุมลมดำที่ปกคลุมมิดชิดยากเห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ กระทั่งใบหน้ายังถูกปกคลุมไปกว่าครึ่งไม่อาจแลเห็นความเปลี่ยนแปลงในแววตา


 


‘แต่จะอย่างไรร่างมันก็มิได้สั่นไหวอันใดสักนิดหลังข้าบอกอัตลักษณ์ของหวังติ่งชันออกไป…เช่นนั้นหมายความว่ามันก็มิได้กลัวหวังติ่งชันใช่หรือไม่?’


 


ถึงแม้ในใจจะคาดเดาไปแบบนี้ แต่ลู่จิ้นก็ไม่มีความมั่นใจเลย


 


ไม่เพียงแต่มันจะไม่มั่นใจ อีก 3 คนรวมถึงตงกั๋วจื่อก็ไม่แน่ใจเช่นกัน


 


‘อันดับที่ 159 ในรายนามยอดเซียนงั้นเหรอ?’


 


หากเป็นคนอื่นอาจไม่คิดอะไรซับซ้อนเมื่อได้ยินคำพูดของลู่จิ้น หากแต่ความคิดในหัวต้วนหลิงเทียนพลันโบยบินออกไปอีกครั้ง ยังทำราวกับไปหยุดอยู่ในวันแรกที่เขาไปถึงลัทธิบูชาไฟ


 


‘จำได้ว่าวันแรกที่ข้ามาถึงลัทธิบูชาไฟ…ก็ได้รู้ว่าหลี่อันไม่เพียงแต่จะเป็นอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬของลัทธิบูชาไฟ แต่ดูเหมือนมันจะอยู่ในอันดับที่ 139 ในรายนามยอดเซียนอีกด้วย?’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหวนนนึกถึงหลี่อันขึ้นมา เพราะอันดับในรายนามยอดเซียนของหวังติ่งชานก็ใกล้เคียงกับหลี่อันอยู่บ้าง!


 


‘ตอนแรกต่อหน้าหลี่อันข้าไม่ต่างอะไรจากมด ที่เอาชีวิตรอดมาได้ก็ต้องพึ่งกฏของลัทธิบูชาไฟ…ทว่าตอนนี้ต่อให้หลี่อันมันมาอยู่ตรงหน้า ข้าก็ไม่กลัว!’


 


พอคิดถึงจุดนี้แววตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายประกายเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจออกมา


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ดึงความคิดที่โบยบินไปไกลให้กลับมาจดจ่อกับเรื่องราวเบื้องหน้า ค่อยถามลู่จิ้นออกไปอย่างไม่แยแสว่า “เจ้าเองก็คิดยืมมีดฆ่าคนเหมือนมันด้วย?”


 


แทบจะพร้อมกันกับที่วาจาต้วนหลิงเทียนดังออกมา ยันต์กระจกเงาแม่ก็ปรากฏขึ้นมาอยู่ในมือของลู่จิ้น หากแต่ยังถูกซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้ออย่างเงียบงันยากที่จะมีใครสังเกตเห็น


 


และครู่ต่อมา


 


ฟุ่บ!


 


ก่อนที่ลู่จิ้นจะทันได้ทำอะไร ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบมาหยุดอยู่เบื้องหน้ามันแล้ว


 


“เคลื่อนย้ายจักรวาล!”


 


พริบตาดุจฟ้าแลบ ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นก่อนจะปรากฏไม้บรรทัดหนึ่งผุดจากความว่างเข้ามือ บรรทัดจักรวาลถูกตวัดออกไปทันที


 


ทันใดนั้นความว่างเปล่าโดยรอบก็เริ่มสะท้าน คราวีน้ไม่เพียงแต่จะมีแสงสว่างเจิดจ้า กระทั่งภาพเรื่องราวคล้ายบิดเบือนประหนึ่งบังเกิดระลอกคลื่นหลังทุ่มหินลงสระสงบ!


 


อย่างน้อยๆก็บิดเบือนในสายตาของโอวฉิง ตงกั๋วจื่อและหวังติ่งชาน


 


ปงง!


 


ครู่ต่อมาเสียงสนั่นพลันดังเข้าหูทั้ง 3 และความว่างเปล่าที่บิดเบือนดั่งระลอกน้ำ ก็หวนคืนสู่ความสงบอีกครั้ง


 


ต่อมาทั้ง 3 ก็ได้แลเห็นร่างลู่จิ้นปลิดปลิวกระเด็นออกมาดั่งว่าวสายป่านขาด โลหิตแดงกระอักออกจากปากสาดพ่นรดฟ้าไปเป็นสาย ส่องประกายสีแดงสดยามต้องสะท้อนแสงตะวัน!


 


เห็นได้ชัดว่าเสียงระเบิดดังก่อนหน้าเป็นเสียงพลังของชายชุดดำวซัดกระแทกเข้าร่างลู่จิ้น


 


ในเวลาชั่วพริบตา ลู่จิ้น อันดับที่ 295 ของรายนามยอดเซียนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส!


 


‘แข็งแกร่งนัก!’


 


โอวฉิงกับตงกั๋วจื่อลอบสะท้านในใจ ส่วนหวังติ่งชานที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังตงกั๋วจื่ออดไม่ได้ที่จะเผยความระวังขึ้นในแววตา


 


เพราะชายชุดดำไม่ทราบใช้กลวิธีอันใดทำให้ความว่างเปล่าโดยรอบกระเพื่อมไปดั่งระลอกน้ำราวห้วงมิติถูกบิดเบือนกันแน่ และมันก็ไม่อาจทราบได้เลยว่าที่แท้นั่นเป็นเวทย์พลังหรือความสามารถผีสางอันใด


 


แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นเกรงขึ้นมา


 


หลังซัดทำร้ายลู่จิ้นจนสาหัสแล้ว สายตาต้วนหลิงเทียนก็เบนออกจากร่างมันไปตกยังตงกั๋วจื่อ ค่อยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “จะสาบานเหมือนพวกมัน…หรือตาย!”


 


แม้เสียงกล่าวคำช่วงแรกของต้วนหลิงเทียนจะฟังดูเฉยเมย หากแต่ท้ายประโยคคล้ายน้ำเสียงจะหนักขึ้นเล็กน้อย


 


หน้าตงกั๋วจื่อเปลี่ยนไปอย่างมาก


 


ส่วนหวังติ่งชันที่อยู่ด้านหลังตอนนี้ก็เริ่มหน้าตึงขึ้นมา ร่างสูงใหญ่ของมันก้าวออกมาเบื้องหน้าด้วยคิดจะลงมือกับต้วนหลิงเทียน


 


อย่างไรก็ตามตงกั๋วจื่อกลับหยุดมันเอาไว้


 


“ทนไว้ก่อนผู้เฒ่าหวัง…จนถึงตอนนี้พวกเรายังไม่อาจ ‘หยั่งถึง’ ก้นบึ้งชายชุดดำได้ หากท่านลงมือวู่วามอะไรจะเป็นการยั่วโมโหมันเสียเปล่าๆ! เกิดพลังฝีมือของมันสูงส่งกว่าท่านขึ้นมา คงยากที่ท่านกับข้าจะรอดไปได้”


 


ตงกั๋วจื่อที่หยุดหวังต่งชินเอาไว้เร่งส่งเสียงกล่าวสืบต่อ “ตอนนี้พวกเราทำตามที่มันพูดไปก่อน…พอไปรวมตัวกับท่านพ่อและคนอื่นๆได้แล้วก็ไม่สายที่จะจัดการมัน! พวกเราเพียงกล่าวคำสาบานว่าจะไม่กล่าวบอกเรื่องราวทั้งหมดที่พวกเราแลเห็นกับใคร แต่ไม่ต้องกล่าวคำสาบานว่าจะไม่ทำให้มันเดือดร้อนหรือฆ่ามัน!”


 


เสียงผ่านพลังของตงกั๋วจื่อคราวนี้ บ่งบอกให้รู้ถึงความรอบคอบของมัน


 


มันเลือกที่จะกล่าวโน้มน้าวหวังติ่งชัน และอันที่จริงหวังติ่งชันก็ไม่มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะฆ่าต้วนหลิงเทียนได้


 


เพราะความมั่นใจที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมา ทำให้ใจมันต้องหวั่นๆอยู่บ้าง


 


“เอาตามนายน้อยว่าเถอะ”


 


จากนั้นหวังติ่งชันกับตงกั๋วจื่อก็กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าออกมา ว่าพวกมันจะไม่กล่าวบอกเรื่องราวที่พบเห็นกับใครออกมาเด็ดขาด หาไม่แล้วขอให้พวกมันถูกอัสนีสวรรค์พิฆาตร่างตายตก!


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 



 


ด้วยเสียงอัสนีลั่นดังจากฟากฟ้าทั้งสิ้น 9 รอบตงกั๋วจื่ออดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ด้วยคิดว่าจบเรื่องราวแล้ว


 


“ผู้เฒ่าหวั่ง พวกเราไปกันเถอะ”


 


ครู่ต่อมาตงกั๋วจื่อก็กล่าวชักชวนหวังติ่งชานและคิดจากไป


 


“ช้าก่อน!”


 


อย่างไรก็ตามตงกั๋วจื่อพึ่งชวนหวังติ่งชานให้จากไปไม่ทันจบคำดี ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


ได้ยินวาจารั้งตัวของต้วนหลิงเทียน สีหน้าตงกั๋วจื่อก็มืดมนลงอีกครั้ง “ข้ากับผู้เฒ่าหวังก็ได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ตามคำขอท่านไปแล้ว…ตอนนี้ท่านยังต้องการอะไรจากพวกเราอีก?”


 


“ท่านชุดดำท่านอย่าได้บีบคั้นผู้คนให้มันมากเกินไป!”


 


กล่าวถึงตรงนี้น้ำเสียงของตงกั๋วจื่อก็แฝงโทสะไม่น้อย


ตอนที่ 2,128 : 6 ทวารารวมตัว!


 


“บีบคั้นกันเกินไป?”


 


ได้ยินวาจาโมโหกลบเกลื่อนของตงกั๋วจื่อ ต้วนหลิงเทียนเพียงแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้น สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมา “เจ้าจะว่าข้าบีบคั้นหรือรังแกเจ้าเกินไปอะไรก็ช่าง…”


 


พอตงกั๋วจื่อและหวังติ่งชันได้ยินวาจาที่เริ่มเกริ่นขึ้นมาของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนไปทันที


 


ต้วนหลิงเทียนไม่แยแสสีหน้าพวกมัน พลันกล่าวสืบต่อออกมาว่า “แต่หากพวกเจ้าคิดจะไป พวกเจ้าต้องกล่าวคำสาบานใหม่อีกรอบ! ว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะไม่เป็นศัตรูและสร้างปัญหาให้ข้าไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง! หาไม่แล้วขอให้อัสนีลงทัณฑ์ฟาดผ่าพวกเจ้าจนตาย!!”


 


พอต้วนหลิงเทียนกล่าวประโยคนี้ออกมา หวังติ่งชันกับตงกั๋วจื่อถึงกับต้องหันมองหน้ากันทันที


 


จังหวะนี้ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของพวกมันก็คือ


 


ชายชุดดำผู้นี้ใช่ได้ยินวาจาสนทนาผ่านพลังของพวกมันเมื่อครู่หรือไม่?


 


แน่นอนว่าพวกมันปัดความคิดเหลวไหลดังกล่าวให้ตกไปทันที เพราะเรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้!


 


“ท่านชุดดำท่านให้พวกเรากล่าววาจาสาบานเช่นนั้น…มิได้หมายความว่าวันหน้าเกิดท่านเป็นฝ่ายหาเรื่องพวกเราก่อน พวกเราก็มิอาจตอบโต้ท่านได้หรือไร เพราะหากพวกเราขัดขืนตอบโต้ท่านขึ้นมาพวกเรายังไม่ถูกฟ้าผ่าตายอีกหรือ!?”


 


ตงกั๋วจื่อกล่าวออกด้วยใบหน้ามืดดำ


 


มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชายชุดดำจะคิดเรื่องราวละเอียดรอบคอบแบบนี้ ทำราวกับทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือโดยสมบูรณ์!


 


“เรื่องนี้ก็ง่ายที่จะแก้ไขนัก…พวกเจ้าเพียงนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ก็สิ้นเรื่อง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเบา


 


“ไม่ตอบโต้? แล้วถ้าหากท่านคิดฆ่าพวกเราเล่า!?”


 


ตงกั๋วจื่อกล่าวออกด้วยโทสะ


 


“หรือ…พวกเจ้าจะเลือกตายตอนนี้?”


 


แววตาต้วนหลิงเทียนไม่เฉยเมยอีกต่อไป ตอนนี้ความเฉยเมยได้ถูกความเย็นชาอันแฝงเร้นไปด้วยจิตสังหารอำมหิตแทรกทับหมดสิ้น คนราวกับกลายเป็น อสุรา ที่กระหายโลหิตและการฆ่าฟัน พาลให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยแรงกดกดันบีบคั้นจิตใจประการหนึ่ง


 


สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ตลบไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียน สีหน้าตงกั๋วจื่อเปลี่ยนไปอย่างมาก


 


“รนหาที่ตาย!!”


 


แทบจะพร้อมกันกับที่หน้าตงกั๋วจื่อเปลี่ยนสี หวังติ่งชันที่ทนไม่ไหวสืบไป ในที่สุดก็ลงมือ!


 


และทันทีที่มันลงมือ คนคล้ายกลับกลายเป็นเทพสงคราม ปะทุพลังเข่นฆ่าสังหารไปยังต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย ทั่วร่างเปล่งสภาวะเกรี้ยวกราดยากต้านทาน!!


 


ฟุ่บ!


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่หวังติ่งชันลงมือ ยอดสมบัติสวรรค ‘บรรทัดจักรวาล’ พลันปรากฏขึ้นในมือต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง!


 


“เคลื่อนย้ายจักรวาล!”


 


เพียงสะบัดไม้บรรทัดในมือคราหนึ่ง ความว่างเปล่าโดยรอบพลันบิดเบือนทันที!


 


เพียงชั่วเวลาเสี้ยวพริบตา ร่างต้วนหลิงเทียนและหวังติ่งชันคล้ายจะถูกความว่างที่บิดเบือนดังกล่าวกลืนร่างเอาไว้ในนั้น!


 


ในสายตาของตงกั๋วจื่อ โอวฉิง และลู่จิ้น ร่างทั้ง 2 เสมือนบิดเบี้ยวพับไปมาไม่สิ้นสุด ยิ่งมายังยิ่งพร่ามัวยากมองเห็นได้ชัด ทั้งหมดเพียงเห็นว่ามีร่าง 2 ร่างอยู่ในนั้นเท่านั้น ไม่อาจมองเห็นอื่นใดได้ชัดเจน


 


“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่พลังพิเศษของบรรทัดจักรวาลสำแดงเดช วังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่งพลันปรากฏขึ้นรอบตัวต้วนหลิงเทียน เป็นเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินที่เขาไม่ได้ใช้ออกมาเนิ่นนาน! มันดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบให้เหือดหายเข้าร่างเขาในชั่วพริบตา!!


 


ตลอดระยะเวลาครึ่งปีหลังมานี้ต้วนหลิงเทียนที่เดินเล่นในนครแห่งบาปดั่งศาลเตี้ย ไม่เคยใช้ปฐมเวทย์กลืนกินออกมาเลย


 


เหตุผลที่เขาไม่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินนั้น…หนึ่งก็เพราะมันง่ายที่จะเปิดเผยตัวตน ต้วนหลิงเทียน ของเขา ส่วนอีกอย่างก็เพราะเขายังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่กดดันเขาถึงขั้นต้องใช้ปฐมเวทย์กลืนกินออกมา


 


ทว่าวันนี้เมื่อต้องปะทะกับชนชั้นอาวุโสของกองกำลังพันธมิตรพันสารท หวังติ่งชัน เซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนที่รั้งอยู่ในอันดับ 159 ของรายนามยอดเซียน เขาจำต้องใช้เวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินเพื่อรับมือ!


 


หากเขาไม่ใช้เวทย์พลังสนับสนุนออกมา เขาจะไม่ใช่คู่มือของเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน!


 


ถึงแม้หวังติ่งชันจะถือว่าเป็นตัวตนที่อยู่ในระดับล่างๆ ของผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน แต่อาศัยพลังฝีมือของเขาตอนนี้ถ้าไม่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน ก็สู้มันไม่ได้เลย!


 


‘ด้วยระดับพลังของข้าในตอนนี้ เคลื่อนย้ายจักรวาล พลังพิเศษของบรรทัดจักรวาลที่ใช้ออกนับว่าทรงพลังกว่าในอดีตมาก ไม่เพียงแต่จะบดบังสายตาของผู้อื่น ยังทำให้ศัตรูสับสนงุนงงอีกด้วย!’


 


เมื่อเห็นว่าปฐมเวทย์กลืนกินเสร็จสิ้นกระบวนการเพิ่มพูนพลัง พอดีกันกับช่วงเวลาที่หวังติ่งชันหลุดพ้นจากผลกระทบของเคลื่อนย้ายจักรวาล ต้วนหลิงเทียนก็ลอบกล่าวในใจ


 


“นั่นมัน…”


 


หลังจากที่หวังติ่งชันสลายผลกระทบที่เกิดจากเคลื่อนย้ายจักรวาลได้แล้ว มันก็ตระหนักได้ถึงวังวนพลังที่อุบัติขึ้นมารอบกายต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ก่อนที่สติของมันจะรู้สึกเสมือนถูกจับเหวี่ยงไปมาราวสวรรค์และโลกพลิกกลับได้ชัดเจน! และแม้ตอนนี้วังวนพลังนั่นจะหายไปแล้ว แต่ภาพยังคงติดตามันไม่จางหาย!!


 


ฟั่ฟฟฟ!!


 


ครู่ต่อมาหวังติ่งชันได้ยินเพียงเสียงกระบี่แหวกฝ่าอากาศฉับไวดังขึ้นเข้าหูเสียงหนึ่ง


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่ได้ยินเสียงดังกล่าว มันก็แลเห็นกระบี่ 3 ฉื่อเล่มหนึ่งที่ราวกับจะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไร้ร่องรอย! กระบี่เล่มนี้ไม่ทราบทะยานตัดฟ้ามาตั้งแต่เมื่อใด หากแต่ความเร็วของมันนั้นนับว่าสุดที่มันจะต้านทานรับมือได้จริงๆ!!


 


‘กระบี่ไร้ลักษณ์!’


 


‘นอกจากนั้นเมื่อครู่ สมควรเป็นวังวนประหลาดที่ดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินรอบๆไปเพิ่มพลัง’


 


‘มันคือต้วนหลิงเทียน! ชายชุดดำผู้นี้คือต้วนหลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟ!!’


 


นี่คือความคิด 3 ประการที่ผุดโผล่ขึ้นในวินาทีสุดท้ายของชีวิตหวังติ่งชันดั่งฟ้าแลบ! ก่อนที่กระบี่นิลสวรรค์จะทะลวงหว่างคิ้วมันไป ปากมันไม่ทันได้กล่าววาจาใดออกมาแม้ครึ่งคำ…!!


 


ก่อนตายหวังติ่งชันสามารถคาดเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียนได้จากเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินและกระบี่นิลสวรรค์ที่ทะลวงแหวกฟ้ามาฉับไวเหนือจินตนาการ ด้วยเคล็ดควบคุมกระบี่บิน…


 


แต่แน่นอนว่าหวังติ่งชันไม่รู้ว่ากระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนใช้มันคือกระบี่นิลสวรรค์ มันคิดแค่ว่านี่สมควรเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์ 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ที่ติดอันดับในรายนาม 10 ศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น


 


แม้ว่าหวังติ่งชันจะคาดเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียนได้ออก แต่มันก็ทำได้แค่นำพาความลับนี้ติดตัวไปตามทางแห่งความตาย ก่อนที่จะทันมีเวลาได้บอกกล่าวกับผู้ใด…


 


“กลืน!”


 


หลังฆ่าหวังติ่งชานได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ลืมกลืนกินรากวิญญาณของมันเป็นธรรมดา และครั้งนี้นับว่าเป็นอะไรที่ทำให้เขารู้สึกยินดีและมีความสุขนัก ‘คิดไม่ถึงจริงๆว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของหวังติ่งชันจะเป็นสีน้ำเงิน’


 


หลังกลืนกินรากวิญญาณสีน้ำเงินของหวังติ่งชันเสร็จแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ารากวิญญาณสีครามของเขามีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นสีครามเข้มอยู่รอมร่อ


 


‘ตราบใดที่พรสวรรค์รากวิญญาณของข้ากลายเป็นสีครามเข้ม…ก็หมายความว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าห่างจากการกลายเป็นพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงไม่ไกลแล้ว!’


 


ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจ โดยมีฉากเรื่องราวที่ผ่านมามากมายดั่งแล่นเรือฟันฝ่าคลื่นลมในมหาสมุทรลุกแล้วลูกเล่า ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีไม่น้อย


 


หลังริบแหวนพื้นที่ของหวังติ่งชัน ต้วนหลิงเทียนก็ปล่อยร่างหวังติ่งชันให้ร่วงตกฟ้า ไปกลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือนบนพื้น…


 


ครู่ต่อมาความว่างเปล่าที่บิดเบือนไปราวระลอกน้ำที่คลุมร่างเขากับหวังติ่งชันเอาไว้ก็เริ่มหวนคืนสู่สภาพปกติ


 


ร่างเขายังลอยค้างกลางหาวที่เดิม ส่วนร่างหวังติ่งชันก็ร่วงตกฟ้าไปต่อหน้าต่อตาตงกั๋วจื่อ โอวฉิงและลู่จิ้นชัดถนัดตา!


 


“หวังติ่งชัน…ตายแล้วหรือ?”


 


เป็นลู่จิ้นที่ฟื้นสติก่อนใคร และตอนนี้สีหน้ามันก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก!


 


ครู่ต่อมาในใจมันก็บังเกิดความยินดีอย่างถึงที่สุด ที่ชายชุดดำไม่ได้ฆ่ามันในการลงมือก่อนหน้านี้!


 


ล้อกันเล่นหรือไง!?


 


ยอดฝีมือที่ฆ่าหวังติ่งชันได้ในพริบตา กับมันที่อ่อนด้อยกว่าหวังติ่งชันมาก หากคิดฆ่าจริงๆยังลำบากเกินพลิกฝ่ามืออีกหรือ?


 


โอวฉิงเองก็หวาดกลัวอย่างหนัก ตอนนี้หน้ามันถึงกับซีดไปไร้สีเลือด กลิ่นปัสสาวะโชยเข้าจมูกผู้คนอีกรอบ แต่คล้ายมันจะไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่ตกตะลึงอยู่อย่างนั้นราวกับถูกฝังเข็มสกัดจุด


 


ผ่านไปพักหนึ่งลู่จิ้นกับโอวฉิงที่ดึงสติกลับมาได้แล้ว ต่างหันมามองหน้ากันอย่างเต็มกลืน ก่อนที่จะแลเห็นควาดกลัวในสายตาของอีกฝ่าย


 


ชั่วอึดใจต่อมาพวกมันถึงกับลั่นวาจากล่าวคำสาบานออกมาพร้อมกันทันที!


 


เนื้อหาของคำสาบานนั้นก็เหมือนกันกับที่ต้วนหลิงเทียนบอกให้ตงกั๋วจื่อและหวั่งต่งชินกล่าวก่อนหน้า ว่าจะไม่เป็นศัตรูและสร้างปัญหาให้ต้วนหลิงเทียนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง!!


 


ถึงแม้ว่าถ้อยคำสาบานนี้เป็นการรังแกผู้คนมากเกินไปถึงขั้นยากจะมีใครยอมรับได้


 


ทว่าตอนนี้หวังติ่งชานที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุดในบรรดาพวกมัน…ได้ร่วงตกฟ้ากลายเป็นปุ๋ยบนดินไปแล้ว! หากพวกมันยังคิดตุกติกลีลาชักช้า ไม่แคล้วเดี๋ยวได้เจริญรอยตามหวังติ่งชันกอดคอกันลงนรกด้วยน้ำมือของชายชุดดำพอดี!!


 


พวกมันไม่อยากตาย! เช่นนั้นก็มีแต่ต้องให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายแต่โดยดี!!


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 



 


ด้วยเสียงฟ้าร้องดัง 9 คำรบอีกชุดอย่างพร้อมเพรียง ก็บอกให้รู้ว่าคำสาบานของโอวฉิงและลู่จิ้นได้รับการตอบรับจากสวรรค์แล้ว


 


และเสียงอัสนีฟาดผ่าดังสนั่นนี้ ก็ดึงสติตงกั๋วจื่อให้ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง ร่างของมันยังสั่นสะท้านไปพักใหญ่กว่าจะหาย ใบหน้าก็ซีดเซียวจนไม่เหลือสีเลือด


 


ตงกั๋วจื่อบัดนี้ไม่เหลือมาดคุณชายอารมณ์ดีและเป็นมิตรกับสรรพสัตว์อีกต่อไป คงเหลือแต่ความหวาดผวา!


 


“เจ้า…ยังมีปัญหาอะไรอีกไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปทางตงกั๋วจื่อ ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมยอีกครั้ง


 


เมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม ร่างตงกั๋วจื่อสั่นสะท้านขึ้นมาอีกรอบ มันรีบส่ายหน้าระรัวโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นตระหนก “ไม่ ไม่มี! ข้าน้อยไม่กล้ามี!!”


 


ล้อกันเล่นรึไง!?


 


กระทั่งผู้ที่คอยปกป้องมันอย่างหวังติ่งชันยังถูกฆ่าตายได้อย่างง่ายดาย มันยังจะกล้ามีปัญหาอะไรกับต้วนหลิงเทียนอีก


 


ถึงแม้ว่าในใจมันยังมีปัญหา แต่ไหนเลยจะกล้าพูดออกมา!


 


หลังหายจากอาการตื่นตระหนกแล้ว ตงกั๋วจื่อก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆหลายเฮือก ก่อนที่จะเร่งกล่าวคำสาบานตามที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกอย่างไม่กล้าเล่นตุกติกอะไรอีก


 


อัสนีฟ้าพลันลั่นดัง 9 คำรบเป็นการตอบรับคำสาบานของมัน บอกให้รู้ว่าคำสาบานจะมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


 


ฟุ่บ!


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่อัสนีฟ้าลั่นดัง 9 คำรบตอบรับคำสาบานตงกั๋วจื่อที่กล่าวสาบานเป็นคนสุดท้าย ร่างต้วนหลิงเทียนก็แปรเปลี่ยนไปคล้ายอัสนีสีดำสายหนึ่ง พุ่งหายลับไปในเส้นขอบฟ้าทิศเหนือต่อหน้าต่อตาคนทั้ง 3 ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว…


 


เขายังไม่ลืมจุดประสงค์ในการเดินทางมาครั้งนี้


 


นั่นคือ หาทางเข้าไปแสวงโชคในคลังสมบัติของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!


 


เมื่อเห็นแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนหายลับไปต่อหน้า ตงกั๋วจื่อ โอวฉิง และลู่จิ้นทั้ง 3 ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนที่จะหันมามองหน้าสบตากัน จนแลเห็นถึงความขื่นขมในแววตากันและกัน…


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลย


 


ว่าในขณะที่เขากำลังจะหาทางเข้าไปแสวงโชคในคลังสมบัติของยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ในพื้นที่อันห่างไกลทางภาคเหนือ บริเวณยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนาทึบ


 


นอกจากหมอกพิรุณแล้ว ผู้สืบทอดคนอื่นๆของ 6 ทวาราเที่ยงแท้ได้มารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา!


 


มีชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสิ้น 7 คนที่กำลังนั่งขัดสมาธิบนแท่นศิลาประจำตำแหน่ง


 


และบนแท่นศิลาที่พวกมันนั่งอยู่นั้น ก็มีลวดลายและอักขระซับซ้อนมากมาย อีกทั้งลวดลายอักขระดังกล่าวยังแผ่กลิ่นอายลี้ลับเก่าแก่โบราณออกมา เผยให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ข้ามกาลเวลามาเนิ่นนานตั้งแต่ครั้งอดีตกาล…


 


เหนือขึ้นไปจากแท่นศิลาบนฟ้าสูง ปรากฏร่างชายชราและสตรีงามนางหนึ่งลอยร่างมองชมเรื่องราวเบื้องล่างอย่างเงียบงัน


 


คล้ายทั้งคู่กำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง…


ตอนที่ 2,129 : กระบี่ 9 สวรรค์! ความลับของ 7 ทวาราเที่ยงแท้!


 


“เฒ่าพยากรณ์…”


 


ทันใดนั้นสตรีงามกลางหาวพลันไปมองกล่าวกับชายชราข้างๆ คิ้วคู่งามขดย่นเป็นปม “ท่านแน่ใจหรือว่าเจ้าตัวน้อยทั้ง 3 นั่นจักปลอดภัยไร้เรื่องราว…ท่านเองก็สมควรรู้ดีว่าแม้ท่านจะเก็บเรื่องนี้ไว้จากเฉวี่ยไน่ได้ แต่ท่านก็ปิดนางมิได้นานนักหรอก”


 


ฟังจากคำของสตรีงาม ชายชราผู้นี้ที่แท้ก็คือผู้เฒ่าพยากรณ์ ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 2 ความลับสวรรค์


 


ส่วนสตรีงามนางนี้ก็คือผู้สืบทอดของธุลีแดง


 


แน่นอนว่าทั้งคู่กล่าวได้ว่าคือผู้สืบทอดรุ่นก่อน ไม่ใช่ผู้สืบทอดรุ่นใหม่อีกต่อไป


 


เวทีของยุคสมัยนี้ ล้วนเป็นสถานที่สำหรับผู้สืบทอดในรุ่นปัจจุบันใช้โลดแล่น…ศิษย์สืบทอดของพวกมัน!


 


“ข้าเองก็มิค่อยแน่ใจนักหรอก”


 


ได้ยินคำของสตรีงาม ชายชราที่เหม่อคิดอะไรไปเรื่อยพลันดึงสติกลับคืน พอรู้สึกตัวแล้วศีรษะก็ส่ายไปมาเบาๆกล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


หากให้คนอื่นมาเห็นฉากนี้เกรงว่าคงได้แปลกใจกันยกใหญ่


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์ที่ได้รับการขนานนามว่าผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน กลับมีช่วงเวลาที่ไม่มั่นใจในบางสิ่งด้วยหรือ?


 


“ที่ท่านกลาวว่าไม่แน่ใจนี่มันหมายความเช่นใดกันแน่…หรือท่านไม่แน่ใจตั้งแต่แรกแล้ว?”


 


สตรีงามกล่าววถามออกมาเสียงสูง เห็นชัดว่านางรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับคำตอบขอไปทีของชายชรา!


 


“เนื่องจากค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคของภูมิภาคเบื้องบนทั้งหมดล้วนหยุดชะงักมิอาจใช้งานได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจส่งใครไปสืบความเบื้องล่างได้อีก…ข้าเองก็พยายามอ่านชะตาของเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 นั่นแล้ว” ทว่าตอนนี้ข้ากลับพบว่าชะตากรรมของพวกมันคล้ายมีเมฆหมอกบดบังยากจะแลเห็นสิ่งใด”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์ผ่อนลมหายใจออกช้าๆค่อยกล่าวสืบต่อ “ตอนนี้ที่ภูมิภาคเบื้องล่าง 9 ใน 10 ล้วนกำลังถูกเผ่าพันุ์ปีศาจรุกรานอยู่แน่…ม่านแห่งยุคมนุษย์ปีศาจสมควรเปิดขึ้นอีกครา ยามนี้ทุกเรื่องราวล้วนสับสน ชะตาฟ้ากลายเป็นมิอาจหยั่งถึง ข้ามิอาจมองเห็นสิ่งใดได้อีกต่อไป”


 


“อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกมันจะถูกส่งไปยังภูมิภาคเบื้องล่าง ข้าอ่านดวงชะตาของพวกมันทั้ง 3 แล้วพบว่า โชควาสนาครั้งยิ่งใหญ่ของพวกมันกำลังรอคอยพววกมันอยู่ที่ภูมิภาคเบื้องล่าง…ตอนแรกข้าเห็นสิ่งนั้นชัดเจน ทว่าบัดนี้กลับมิอาจแลเห็นอันใดได้อีก”


 


“อันที่จริงตอนแรกข้ายังสงสัยมิน้อยว่าพวกมันยังมีวาสนาอันใดกับภูมิภาคเบื้องล่างอีก…มาตอนนี้ข้าจึงได้รู้สึก ว่าที่แท้ชะตาของพวกมัน สมควรเกี่ยวพันกับการกลับมาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศ…”


 


กล่าวถึงจุดนี้ผู้เฒ่าพยากรณ์ก็เผยรอยยิ้มขื่นขม “หากเจ้าให้โอกาสข้าได้เลือกอีกครั้ง ข้าก็คงไม่สั่งให้อู๋หยิ่งพาพวกมันไปทิ้งไว้ที่เบื้องล่างหรอก…ตอนนี้ข้าทำก็ได้แค่เชื่อมั่นในตัวพวกมันเท่านั้น”


 


“นี่ท่านหมายความว่า…ตอนนี้พวกมันจะอยู่หรือตายท่านก็มิอาจบอกได้แล้วงั้นหรือ?”


 


ใบหน้าของสตรีงามกลายเป็นบึ้งตึง กล่าวถามออกมาเสียงหนัก กระทั่งยังฟังดูก้าวร้าวเอาเรื่องไม่น้อย


 


“เป็นเช่นนั้น”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์พยักหน้ารับด้วยใบหน้าจริงจัง


 


ในขณะที่หน้างามจมลง และคล้ายคิดจะกล่าววาจาอะไรบางอย่างต่อนั้นเอง


 


“ได้เวลาแล้ว”


 


ทันใดนั้นเองชายชราพลันเงยหน้าขึ้นมา มองดาราบนฟ้าสองตาพร่ามัว หากแต่ไม่นานสองตาพร่ามัวดั่งมีเมฆหมอกปกคลุมก็กลายเป็นคมกล้า ทอประกายแสงจ้าวาบหนึ่ง


 


ครู่ต่อมาพลันปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งผุดโผล่จากความว่างเปล่า


 


กระบี่เล่มนี้หากจะเทียบกับกระบี่ทั่วไปแล้ว กลับมีขนาดใหญ่กว่ากระบี่ปกติถึงเท่าตัว ยามเมื่อพลังเซียนต้นกำเนิดของเฒ่าพยากรณ์ถ่ายทอดลงสู่ตัวดาบ กลิ่นอายคมกล้าพลันกำจายออกมาสะท้านในบรรยากาศ


 


ทันใดนั้นรังสีพลัง 9 สายปานใยไหมพุ่งออกมาจากตัวกระบี่ปานสายฟ้า! พวกมันห้อมล้อมเวียนวนรอบตัวกระบี่อย่างลี้ลับรอบหนึ่ง ก่อนที่จะเหินทะยานขึ้นไปบนฟ้า


 


“นี่น่ะหรือ…กระบี่ 9 สวรรค์”


 


ตอนนี้เองความสนใจของสตรีโฉมงามก็อดไม่ได้ที่จะไปหยุดอยู่ที่กระบี่ในมือชายชรา สองตาของนางยังเปล่งแสงสว่างจ้าออกมา


 


กระบี่ 9 สวรรค์นั้น ก็เป็น 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนเช่นกัน


 


และในบรรดาศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 10 นั้น ยอดศาสตราเซียนประเภทกระบี่ก็มีเพียง 2 เล่มเท่านั้น หนึ่งคือกระบี่ไร้ลักษณ์ อีกหนึ่งก็คือกระบี่ 9 สวรรค์เล่มนี้นี่เอง


 


เปรี๊ยง!!!


 


วู้มมม!!


 


……


 


เสียงสนั่นปานอัสนีฟาดผ่าดังก้องไปทั่วยอดเขาหิมะ เป็นรังสีกระบี่ 9 สายปานใยไหมที่พุ่งออกจากกระบี่ 9 สวรรค์ที่เหินขึ้นไปบนฟ้าเปล่งอานุภาพลี้ลับหนึ่งจนฟ้าเบื้องบนเริ่มแปรเปลี่ยนสี มองไปพวกมันคล้ายดั่งสะพานเชื่อมระหว่างสวรรค์และโลกอยู่บ้าง


 


ประสานฟ้าดิน!


 


รังสีกระบี่ 9 สายยังเชื่อมฟ้ากับกระบี่เอาไว้ แต่ละรังสีพลังเคลื่อนไหวส่ายไปมาดั่งมังกรเทพยดา กลิ่นอายพลังฟ้าดินหนาแน่นเข้มข้นนัก! ไม่นานมวลพลังฟ้าดินหนึ่งก็ค่อยๆตลบอบอวลไปทั่วยอดเขา


 


ขณะเดียวกันกับที่พลังฟ้าดินเริ่มตลบไปทั่วยอดเขา ลวดลายและอักขระโบราณอันสลับซับซ้อนบนแท่นศิลา ที่ทั้ง 7 คนนั่งขัดสมาธิอยู่ ก็คล้ายจะหวนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง! พวกมันส่องแสงสว่างเจิดจ้าหลังได้รับพลังฟ้าดินจากกระบี่ 9 สวรรค์!!


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่อักขระหวนกลับมามีชีวิต


 


กลิ่นอายพลังอันน่าสะพรึงกลัวปานอสูรกายร้ายจากยุคบรรพกาลอันเก่าแก่โบราณพลันเอ่อล้นออกมาจากความว่างเปล่า! ปกคลุมไปทั่วยอดเขาอันมีหิมะสีขาวหนาทึบ มวลหิวะเริ่มสั่นไหวสะทือนคล้ายกำลังจะเดือด!!


 


“นิ…นี่มัน มหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา!”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามเก่าแก่โบราณ สีหน้าสตรีงามเปลี่ยนไปทันใด ยามนางมองไปยังกระบี่ 9 สวรรค์ในมือชายชราอีกครั้ง ในแววตากลับฉายชัดออกมาถึงความหวาดกลัว


 


แน่นอนว่าสิ่งที่นางหวาดกลัวไม่ใช่พลังของเฒ่าพยากรณ์ และพลังอำนาจอันน่าเกรงขามของกระบี่ 9 สวรรค์ในมือของชายชรา


 


แต่เป็นผู้ที่หลอมสร้างกระบี่ 9 สวรรค์เล่มนี้ขึ้นมา!


 


และผู้ที่มีความสามารถอันน่าพรั่นพรึงถึงขั้นหลอมกระบี่ทรงอานุภาพสะท้านฟ้าดินนี้ก็คือ ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ ที่ 1…


 


เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!


 


ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน โลกหล้าล้วนเข้าใจกันไปว่าศาสตราเซียนหมื่นอาคม รวมถึงกระบี่ 9 สวรรค์นั้น ถูกหลอมสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์คนหนึ่ง…


 


แต่แทบจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่า ในบรรดายอดศาสตราเซียนหรือศาสตราหมื่นอาคมเซียนทั้ง 10 ชิ้น มีเพียง 9 ชิ้นเท่านั้นที่เป็นผลงานชั่วชีวิตของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ผู้นั้น!!


 


และเหตุผลเดียวที่ทำให้ปรมาจารย์จารึกเซียนผู้นั้นสามารถยกระดับขอบเขตศาสตร์แห่งการจารึกอาคมเซียนจากขอบเขตเทียมสวรรค์ให้กลายเป็นระดับสวรรค์ได้ เพราะมันศึกษากระบี่ 9 สวรรค์เล่มนี้จนบังเกิดความรู้แจ้ง สุดท้ายจึงได้สร้างศาสตราหมื่นอาคมเซียนของตัวเองขึ้นมา!!


 


และพวกมันก็คือศาสตราหมื่นอาคมเซียนอีก 9 ชิ้นนอกเหนือจากกระบี่ 9 สวรรค์


 


ในบรรดาศาสตราหมื่นอาคมเซียนทั้ง 9 นั้น พวกมันยากจะแบ่งแยกสูงต่ำเพราะมีความสามารถแตกต่างกันไปตามรูปแบบการใช้งานอันเป็นเอกลักษณ์ และในบางแง่มุมพวกมันก็นับว่ามีพลังอานุภาพเหนือกว่าศาสตราหมื่นอาคมเซียนเล่มแรกของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่า กระบี่ 9 สวรรค์ เสียอีก…


 


และเรื่องราวทั้งหมดนี้คือความลับที่แทบไม่มีผู้ใดล่วงรู้!


 


มหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา ก็เป็นมหาค่ายกลที่ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ ฟงชิงหยางเหลือทิ้งไว้เช่นกัน


 


และการเปิดใช้งานมหาค่ายกลนี้ ยังต้องพึ่งกระบี่ 9 สวรรค์! เรียกว่าตัวมหาค่ายกลมีความเกี่ยวพันกับกระบี่ 9 สวรรค์อย่างลึกล้ำ


 


ในตอนนั้นเมื่อผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้อย่างหมอกพิรุณ ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ก็ใช้เวลาที่เหลือทิ้งมรดกตกทอด มหาค่ายกล รวมถึงกระบี่ 9 สวรรค์เล่มนี้เอาไว้ก่อนทะยานขึ้นสู่สวรรค์


 


ต่อมาเมื่อไร้เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง 7 ทวาราเที่ยงแท้ก็เหมือนพยัคฆ์ไร้เขี้ยว ถูก 3 ลัทธิผนึกกำลังกันบุกจู่โจมฆ่าล้างอย่างอำมหิต ทำให้กระบี่ 9 สวรรค์เองก็ตกไปอยู่ในมรสุมแห่งการช่วงชิงจนเปลี่ยนมือไปเรื่อย


 


และตอนนั้นเอง ปรมาจารย์จารึกเซียนที่บรรลุถึงระดับสวรรค์คนแรก ก็บังเอิญได้รับกระบี่ 9 สวรรค์มา หลังจากศึกษากระบี่เล่มนี้นานปี ในที่สุดมันก็สามารถยกระดับความเข้าใจในศาสตรการจารึกอาคม จนบรรลุระดับสวรรค์ได้สำเร็จ! จึงเริ่มสลักจารึกอมคม สร้างศาสตราหมื่นอาคมเซียนอีก 9 เล่มออกมา!!


 


หลังจากวันเวลาผ่านไป กระบี่ 9 สวรรค์ก็ถูกสืบทอดเปลี่ยนมือมาเรื่อย สุดท้ายก็ได้ตกมาอยู่ในมือของผู้เฒ่าพยากรณ์ หลังจากที่มันพยายามตามหาอยู่นานปี


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงสามารถเปิดใช้งานมหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวาราได้!


 


พลังไร้สภาพอันลี้ลับยากมองเห็นขุมหนึ่งผุดโผล่จากอากาศว่างเปล่าบนแท่นศิลาทั้ง 7! พวกมันไหลเวียนไปตามวงจรพลังของมหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา! ก่อนที่จะม้วนวนควบรวมก่อเกิดแสงพลังพิสดารขุมหนึ่งกลางค่ายกล สุดท้ายก็แตกตัวแยกออกเป็นลำแสง 7 สายพุ่งเข้าสู่ร่างของ คนทั้ง 7 ที่นั่งขัดสมาธิอยู่


 


ขณะเดียวกันนั้นเองทั้งขุนเขาหิมะก็สะท้านสะเทือนปานเปลือกโลกกำลังเคลื่อนตัว มวลหิมะมหาศาลเคลื่อนขยับไปมาราวร่ายรำ


 


ในวันนี้ชะตากรรมของคนทั้ง 7 ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล


 


และในวันนี้ ชายหนุ่มหญิงสาวทั้ง 7 ก็จะถือกำเนิดใหม่ในฐานะอัจฉริยะปีศาจบนยอดเขาหิมะในตอนเหนืออันห่างไกลแห่งนี้ รอคอยวันเวลาที่จะเปล่งประกายเฉิดฉายไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าในอนาคต…


 



 


ทางตอนเหนือของนครแห่งบาป


 


‘หืม? คนเยอะขนาดนี้เชียว?’


 


หลังเหินร่างทะยานข้ามฟ้าเหนือม่านเมฆไปพักหนึ่ง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นผู้คนมากมายจากทุกทั่วสารทิศกำลังเหินกันให้ควั่กใต้ม่านเมฆเบื้องล่าง ทั้งหมดรีบร้อนกันไปราวกับมีโรงทานแจกอาหารกลางวันฟรีทางตอนเหนือ…


 


‘ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของคลังสมบัติที่เหลือทิ้งไว้โดยเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนนั้นจะยอดเยี่ยมจริงๆ…’


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมทราบว่าผู้คนเบื้องล่างกำลังเร่งรุดเดินทางไปที่ใด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าไปยังคลังสมบัติที่เหลือทิ้งไว้โดยยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแน่นอน!


 


เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้เรื่องนี้ เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้คนมากมายที่ได้รับทราบข่าวลือจากนครแห่งบาป เรื่องที่ว่ามีคลังสมบัติของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนปรากฏขึ้น!


 


โดยปกติแล้วสิ่งของที่ตัวตนระดับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหลือทิ้งไว้ย่อมไม่ธรรมดา แน่นอนว่าย่อมมีอำนาจดึงดูดใจผู้คนอย่างมหาศาล


 


‘คนของพันธมิตรอีกาทมิฬงั้นหรือ?’


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งใต้ม่านเมฆดึงดูดความสนใจไป


 


นั่นเพราะชุดเครื่องแต่งกายของพวกมันเป็นอะไรที่เขาคุ้นตานัก…ชุดเครื่องแบบของกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬ!


 


หน้าสุดของกลุ่มคนจากอีกาทมิฬปรากฏร่างชายชราในชุดลำลองสีดำแลดูธรรมดายืนอยู่


 


‘เจ้านั่น…ผู้นำอีกาทมิฬงั้นเหรอ?’


 


ต้วนหลิงเทียนคาดเดาตัวตนของชายชราคนนั้นในหัวทันที


 


6 เดือนที่แล้วหลังจากเขาฆ่าเจียวจ้านรองผู้นำอีกาทมิฬไป ก็ไม่มีคนของอีกาทมิฬคนไหนคิดฉกฉวยโอกาสฆ่าชิงทรัพย์ผู้คนที่บาดเจ็บหลังการประลองในนครแห่งบาปอีกเลย ราวกับพวกมันจะเปลี่ยนเป็นคนดีและซื่อตรงในชั่วข้ามคืน!


 


ตอนแรกต้วนหลิงเทียนคิดว่าที่คนของอีกาทมิฬกลายเป็นเรียบๆร้อยๆ ไม่กล้าก่อการอะไร เป็นเพราะผู้นำของพวกมันไม่อยู่


 


ทว่าต่อมาหลังจากที่เขาได้ยินว่าผู้นำของอีกาทมิฬกลับมาแล้ว พวกมันก็ไม่ได้ออกตามหาล่าตัวเขาแต่อย่างใด


 


ไม่เพียงแต่จะไม่สร้างปัญหาอะไรให้เขา หลังผู้นำของอีกาทมิฬกลับมาคนของพันธมิตรอีกาทมิฬทั้งหมดก็เหมือนจะเปลี่ยนไปเป้นคนใหม่ ไม่ก่อการชั่วร้ายอะไรในนครแห่งบาปอีกเลย อันที่จริงยังเห็นคนของอีกาทมิฬออกมาเดินเพ่นพ่านในนครแห่งบาปน้อยลงมาก


 


ในช่วงเวลานั้น ผู้คนในนครแห่งบาปลือกันว่าผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬหวาดกลัวเขามาก จึงกลายเป็นเรียบๆร้อยไม่คิดก่อการอะไรอีกต่อไป


 


เมื่อคนของอีกาทมิฬไม่ออกมาก่อกรรมทำชั่วในนครแห่งบาป ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้เพ่งเล็งไปที่พวกมันอีกเลย ทำราวกับจะสมานฉันท์กันในเวลาชั่วข้ามคืน…


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงหงุดหงิดไม่น้อย


 


คนของอีกาทมิฬกลายเป็นเรียบๆร้อยๆแบบนี้ แล้วเขาจะหาเรื่องฆ่าพวกมันเพื่อกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณได้อย่างไร?


 


เช่นนั้นเขาจึงได้แต่ไปหาโจรร้ายคนอื่นในนครแห่งบาปเพื่อกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ ไม่เคยลงมือกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของคนอื่นตามอำเภอใจแม้แต่ครั้งเดียว!


 


ผู้ที่ถูกเขากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ ล้วนแล้วแต่เป็นคนชั่วที่สมควรโดนดี!


 


เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนมีหลักการ


 


ฟู่ม!


 


หลังเหลือบมองคนของอีกาทมิฬผ่านๆอีกรอบหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็คร้านสนใจอะไรพวกมันอีก ร่างเหินทะยานออกไปปานดาวตกพาดฟ้าในยามค่ำคืน มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปด้วยความเร็วสูง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)