War sovereign Soaring The Heavens 2115-2129
ตอนที่ 2,115 : ยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วง
การปะทะกันระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเซี่ยจงเรียกว่าบังเกิดขึ้นฉับไวดุจละอองไฟวาบดับ
เรียกว่าในชั่วเวลาแสนสั้นที่ไม่ต่างอะไรดั่งฟ้าผ่า ผลการประมือหนึ่งกระบวนนี้ก็รู้ผลแล้ว
พลังของต้วนหลิงเทียนสะกดข่มครอบงำเซี่ยจง!
ยังบดขยี้อย่างราบคาบ!
“ข้ายังไม่ได้ใช้เวทย์พลังจู่โจมอะไร…”
ครู่ต่อมาวาจาของต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นเข้าหูเซี่ยจงที่ปลิวกระเด็นออกไปด้วยสภาพไม่ค่อยจะสู้ดี ทำให้ร่างมันสะท้านไปค่อยกระอีกโลหิตออกมาอีกรอบ!
วาจาของต้วนหลิงเทียนนับว่าจี้ใจเซี่ยจงอย่างจัง มันย่อมมีโมโหจนทนไม่ไหว แต่แน่นอนว่ามันรู้ความนัยวาจานี้ดี…
ไม่ได้ใช้เวทย์พลังจู่โจมอะไร แต่บีบคั้นให้มันตกอยู่ในสภาพนี้ได้…
เช่นนั้นหากใช้เวทย์พลังจู่โจม มันไม่ตายคาที่เลยหรือ?
ขวับ!
หลังปลิวกระเด็นไปดุจว่าวสายป่านขาดพักหนึ่ง เซี่ยจงก็เร่งเร้าพลังขืนร่างให้กลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง
ขณะเดียวกันใบหน้าซีดเซียวแทบไร้สีเลือดของมัน บัดนี้ได้มืดดำคล้ำลงราวถ่าน สองตาถลึงมองต้วนหลิงเทียนด้วยจิตฆ่าฟันอันน่ากลัว “ต้วนหลิงเทียนเจ้าคิดจริงๆหรือ…ว่าอาศัยเพียงพลังฝีมือของเจ้าจะมีปัญญาฆ่าข้าได้จริงๆ?”
“อะไร? เจ้าคิดจะใช้หยกสื่อสารขอความช่วยเหลือรึไง?”
ได้ยินวาจาของเซี่ยจง ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มออกมาอย่างดูแคลน ราวกับจะเห็นซึ้งถึงความคิดของเซี่ยจง ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย
อันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สนใจมันเลยย
ด้วยความสามารถของเขาตอนนี้ เขาย่อมสามารถบดขยี้เซี่ยจงได้อย่างราบคาบ ต่อให้เซี่ยจงจะส่งหยกสื่อสารออกไปก็เท่านั้น เขาฆ่ามันได้ง่ายดายก่อนที่ผู้ช่วยเหลือของมันมจะมาเสียอีก
กว่าความช่วยเหลือของเซี่ยจงจะมาถึง เขาก็ไม่รู้หนีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!
“เจ้าอย่าได้ลืมเรื่องยันต์กระจกเงาแม่ลูก”
ตอนนี้เองในหูต้วนหลิงเทียนมีเสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้น
เป็นผู้เฒ่าหั่วที่คอยเตือนเขา
ตั้งแต่วันนั้นที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าผู้นำพันธมติรขวานปฐพี เหยาปู่จี ของนครแห่งบาป เขาก็กลับไปหาข้อมูลเรื่องยันต์เต๋า กระทั่งมีความเข้าใจเรื่องยันต์เต๋าต่างๆในภูมิภาคเบื้องบน
อย่างที่ผู้เฒ่าหั่วบอก
ยันต์เต๋าที่ทำให้เรื่องฆ่าคนของเขาเปิดเผยต่อเหยาปู่จี ก็คือยันต์เต๋ากระจกเงาแม่ลูก!
“ผ่อนคลาย…”
ได้ยินวาจาผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนรับทราบค่อยกล่าว “ก่อนที่ข้าจะฆ่ามันข้าจะหาทางทำลายยันต์เต๋ากระจกเงาลูกที่ตัวมันทิ้ง…ตอนนี้ข้ายังไม่คิดจะฆ่ามันให้ตายโดยง่าย ข้าจะให้มันตายหลังรู้สึกถึงความสิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่า!”
ยิ่งพูดน้ำเสียงต้วนหลิงเทียนยิ่งเย็นเยียบ ฟังแล้วหนาวเหน็บราวติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
ความแค้นที่มีต่อเซี่ยจง ไม่เพียงแค่ถูกอีกฝ่ายหยันหยามชิงตราผนึกมาร ยังมีความแค้นเรื่องกู่มี่และองครักษ์เกราะทมิฬ!
เขาไม่คิดปล่อยให้มันตกตายโดยง่าย!
ส่วนยันต์เต๋ากระจกเงาแม่ลูกนั้น เขาได้รู้จักมันแล้ว
เมื่อผู้ที่มียันต์เต๋าลูกถูกฆ่าตายหรือเป็นผู้กระตุ้นใช้ยันต์เต๋ากระจกเงาลูกด้วยตัวเอง ฉากเรื่องราวในห้วงเวลาสุดท้าย จะถูกส่งไปยังยันต์เต๋ากระจกเงาแม่
หากต้องการรับชมฉากเรื่องราวเพียงบดขยี้เพื่อใช้งานยันต์เต๋ากระจกเงาแม่เท่านั้น
เซี่ยจงในฐานะบุตรชายคนเดียวของ จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธอารามทมิฬ…เป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวตนเช่นนี้จะไม่มียันต์เต๋ากระจกเงาลูก
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนก็คิดไว้แล้ว
ก่อนที่จะฆ่าเซี่ยจงให้ตาย เขาจะทุบตีทรมาณมันให้หนัก จากนั้นค่อยฆ่ามันทิ้งหลังพบยันต์เต๋ากระจกเงาลูกในร่างเซี่ยจง!
แต่ต้วนหลิงเทียนจะกระทำตามที่ต้องการได้หรือ?
“เฮอะ! ข้าไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใดทั้งสิ้น! อาศัยข้าคนเดียวก็ฆ่าเจ้าได้!!”
เผชิญหน้ากับวาจาปรามาสดูแคลนของต้วนหลิงเทียน เซี่ยจงพลันแค่นคำออกเสียงเย็น
ขวับ!
กล่าวจบคำเซี่ยจงก็ยกมือขึ้น ปรากฏแสงสีม่วงส่องสว่างออกมาจากความว่างเปล่า
มองให้ชัดจะพบว่าต้นตอแสงสีม่วงดังกล่าวคือยันต์เต๋าแผ่นหนึ่ง!
ไม่ใช่ว่าตัวยันต์เต๋าใบนี้ที่มีสีม่วง หากแต่ที่แลดูเหมือนมันจะมีสีม่วงเพราะประกายอัสนีสีม่วงที่แล่นวาบแปลบปลาบทั่วตัวยันต์!
และทันทีที่ยันต์เต๋าใบนี้ปรากฏ กลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบก็คล้ายจะสั่นสะเทือน
ทันใดนั้นคล้ายตัวยันต์จะดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินจนเหือดแห้ง!
“ยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วง!”
ทันทีที่เซี่ยจงหยิบยันต์เต๋าแผ่นนี้ออกมา ต้วนหลิงเทียนก็จดจำยันต์เต๋าดังกล่าวได้ในพริบตา สีหน้ายังเปลี่ยนไปใหญ่หลวง!
หลังได้ร่ำเรียนเรื่องยันต์เต๋าจากตำรารวมยันต์ที่เขาหาซื้อในนครแห่งบาปแล้ว ต้วนหลิงเทียนย่อมได้รู้เรื่อง ยันต์เต๋า ปฐมอัสนีเซียนม่วงด้วยเช่นกัน ยังได้ทราบว่ายัตน์เต๋าชนิดนี้มีเพียงปรมาจารย์ยันต์เต๋าระดับเทียมสวรรค์เท่านั้นที่เขียนขึ้นมาได้
และยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงที่ว่า ก็คือยันต์จู่โจมใช้ครั้งเดียวทิ้ง พลังอำนาจสามารถพิฆาตตัวตนภายใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนได้ทั้งหมด!
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เซียน!
เรียกว่าตราบใดที่พลังฝึกปรือยังไม่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน หากถูกพลังทำลายของมันเข้าไป ต้องตายแน่นอน!
กระทั่งเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน หากต้องรับการจู่โจมทำลายของยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วงเข้าตรงๆ ถึงแม้จะไม่ถูกพลังอำนาจของยันต์เข่นฆ่า แต่ก็สมควรได้รับบาดเจ็บกระทั่งยังจะบาดเจ็บสาหัสปางตาย!!
ปกติแล้วมีเพียงผู้ที่มีพลังฝึกปรือตั้งแต่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะสามารถป้องกันพลังทำลายล้างของยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงได้อย่างหมดจด
“ฮ่าๆๆๆๆ…!!!”
เห็นหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนสีไปอย่างหนัก ทั้งได้ยินเสียงอุทานด้วยความตื่นตระหนกของต้วนหลิงเทียน เซี่ยจงอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
ผ่านไปซักพักเสียงหัวเราะค่อยหยุดลง
“ต้วนหลิงเทียน…ไม่คิดเลยว่าตัวบ้านนอกเช่นเจ้ายังสามารถรู้จักยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงได้…”
เซี่ยจงกล่าวออกเสียงเย็น
ในวาจายังเผยให้เห็นถึงความแปลกใจไม่น้อย ที่ต้วนหลิงเทียนผู้มาจากภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า จะรู้จักยันต์เต๋าระดับสูงของภูมิภาคเบื้องบนแบบนี้ได้
ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงแผ่นนี้ เป็นบิดาของมันจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาใช้ความพยายามอย่างหนักรวมถึงจ่ายราคาออกไปมหาศาลกว่าจะได้มา เพื่อมอบให้มันเอาไว้ใช้ป้องกันตัว
“ได้ตายด้วยพลังของยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วง ต้วนหลิงเทียน ชีวิตนี้ของเจ้าสมควรภาคภูมิใจได้แล้ว!”
ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบคำ เซี่ยจงพลันกล่าวออกมาเสียงเย็นอีกครั้ง
และทันทีที่กล่าวจบคำมันก็ซัดยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงไปทางต้วนหลิงเทียนทันที
วินาทีต่อมามันก็อ้าปากออกด้วยคิดประกาศคำ ‘สำแดง’
และเมื่อมันกล่าวคำ ‘สำแดง’ ออกมายันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วง ก็จะสลายหายกลายเป็นอัสนีพิฆาตทรงฤทธิ์อันยากต้านทาน ถล่มทลายเข้าใส่ร่างต้วนหลิงเทียนจนกว่าคนจะสลายเป็นผุยผง!
พริบตานี้ ห้วงเวลาคล้ายจะหยุดลง
ยังเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่ ปากของเซี่ยจงอ้าออก
ฟั่ฟฟฟฟ!!!
เพียงคำว่า ‘สำ’ ดังออกจากปากของเซี่ยจง เสียงกระบี่ทะลวงแหวกฟ้าฉับไวพลันดังขึ้น!
ในพริบตานี้ เซี่ยจงได้แลเห็นประกายแสงกระบี่สายหนึ่งเบื้องหน้า…
‘ไมใช่กระบี่พันอาคมเซียน…กระบี่เล่มนี้ทรงพลังยิ่งกว่า!’
และนั่นเป็นความคิดสุดท้ายที่ดังขึ้นในใจของเซี่ยจง ก่อนที่มันจะตกตาย
เรียกว่าแทบจะพร้อมกันกับที่บังเกิดความคิดนี้ขึ้น หลุมโลหิตอันน่ากลัวก็ปรากฏขึ้นกลางหว่างคิ้ว หน้าของมันยังไม่ทันมีวลาได้เปลี่ยนสีด้วยซ้ำ
ฉึบบ!!
หลังหลุมโลหิตปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว เสียงกระบี่ทะลวงผ่านกระดูกเลือดเนื้อค่อยดังขึ้น
ดูเหมือนว่าความเร็วของเสียงจะช้ากว่าความเร็วของแสงกระบี่…!
เซี่ยจงที่ปากอ้าค้างกล่าววาจาออกมาได้ครึ่งคำไม่อาจกล่าวใดสืบต่อ สองตาเปิดค้าง แววตาราวกับจะสะท้อนแสงสุดท้ายที่มันได้เห็นอันเป็นประกายแสงกระบี่สายหนึ่ง…หลุมโลหิตที่หว่างคิ้ว มีโลหิตแข่งขันกันไหลทะลักออกจ๊อกๆ
“แย่แล้ว!”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนที่ใช้กระบี่นิลสวรรค์ออกด้วยเคล็ดกระบี่อยู่ที่ใจ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที
นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ชัดเจนถึงคลื่นพลังผันผวนจากยันต์เต๋า!
“ยันต์กระจกเงาลูก!”
ต้วนหลิงเทียนย่อมจำได้ ว่าทันทีที่เซี่ยจงตกตาย ยันต์กระจกเงาลูกในตัวมันก็จะเริ่มทำหน้าที่โดยอัตโนมัติ
ตอนนี้ภาพเรื่องราวช่วงสุดท้ายในชีวิตของเซี่ยจงกำลังถูกส่งไปไปยังยันต์เต๋ากระจกเงาแม่…
ยันต์เต๋ากระจกเงาแม่ แน่นอนว่าต้องอยู่ในมือของจข้าวราชสีห์ทองคำ 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ
“สายไปแล้ว…”
ผลลัพธ์ของเรื่องราวออกมาในรูปแบบนี้แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก
เพราะสถานการณ์เมื่อครู่มันไม่เป็นใจ และไม่เหลือโอกาสใดให้เขา
เขาไม่มีเวลามากพอจะจัดการกับยันต์เต๋ากระจกเงาลูกที่ร่างเซี่ยจง
เพราะเมื่อครู่หากเซี่ยจงกล่าวคำ ‘สำแดง’ จบคำ ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงย่อมต้องทำงาน และพลังอำนาจทำลายล้างของมันได้ถล่มใส่เขาแน่
เจอแบบนั้นต่อให้เขาเร่งเร้าพลังทั้งหมดใช้ออกด้วยเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ แต่ก็คงไม่อาจหยุดมันได้
กระทั่งให้ใช้กระบี่นิลสวรรค์ที่จ่ายพลังเซียนสุริยันลงไปทั้งหมด ก็ไม่แน่ว่าจะทำลายคลื่นพลังทำลายล้างนั่นได้ และต่อให้ทำได้จริงเขาก็ต้องตายอยู่ดี!
เพราะเมื่อทำแบบนั้น พลังเซียนสุริยันในร่างเขาคงลดฮวบลงแทบไม่เหลือ!
เช่นนั้นแล้วต่อให้จะหยุดพลังทำลายล้างของยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงได้จริง แต่เขายังจะเหลือพลังที่ไหนไปต่อกรกับเซี่ยจงอีก? ไม่พ้นต้องถูกมันฆ่าตายแน่!
เช่นนั้นในห้วงเวลาอันวิกฤตคับขัน ต้วนหลิงเทียนได้แต่ตัดสินใจสังหารคนฉับไวปานฟ้าผ่า ใช้กระบี่นิลสวรรค์ฆ่าเซี่ยจงทิ้งทันที!
ฆ่ามันได้ทันก่อนที่มันจะได้กล่าวคำ ‘สำแดง’ จบ เปิดใช้ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงนั่นฆ่าเขา
กระบวนการทั้งหมดแลดูราบรื่น หากแต่ในใจต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกกลัวไม่หาย
นั่นเพราะการกระทำแบบนี้ก็มีความเสี่ยงอันใหญ่หลวงเช่นกัน
เพราะหากกระบี่นิลสวรรค์ที่เขาเรียกออกมาหมายใช้เคล็ดกระบี่อยู่ที่ใจอันเป็นขอบเขตที่ 3 ของยอดใจกระบี่สังหารคน ก็ไม่แน่ว่าจะทันเวลาที่เซี่ยจงเปิดใช้ยันต์เต๋า…!
ถึงตอนนั้นมีหวังเขาได้ตายพร้อมเซี่ยจงแน่
มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจึงอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก “โชคดี…ที่เซี่ยจงมันลีลาท่ามาก…”
หลังดึงสติกลับมาได้ ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือคราหนึ่งใช้พลังดูดรั้งเก็บยันต์เต๋าปฐมอัสนีม่วงที่ยังไม่ทันได้ใช้งานมาเก็บไว้ทันที
นับจากนี้ไป ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วง ก็ได้กลายเป็นไพ่ตายอีกใบหนึ่งของเขา
ยังเป็นไพ่ตายอันทรงพลังนัก! พลังทำลายของมันเรียกได้ว่าพอๆกันกับกระบี่นิลสวรรค์ ที่เขาจ่ายออกด้วยพลังเซียนสุริยันทั้งหมดในร่างตอนนี้ด้วยซ้ำ!!
“ผู้เฒ่าหั่ว ช่วยข้าดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของมันที…”
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมกล่าวบอกผู้เฒ่าหั่วเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์สุดท้าย…
ในฐานะลูกชายคนเดียวของจ้าวราชสีห์ทองคำ 1 ใน 4 มหาธรรมราชา พรสวรรค์รากวิญญาณของเซี่ยจงย่อมเป็นรากวิญญาณสีคราม หากแต่เป็นรากวิญญาณสีครามอ่อนๆ
แม้ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณสีครามเหมือนกันของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ รากวิญญาณสีครามของเซี่ยจงไม่ต่างใดจากเทน้ำหนึ่งแก้วเติมลงถัง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
เช่นนั้นแล้วหลังได้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเซี่ยจง ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงมีความสุข
“ไม่รู้ว่าตราผนึกมารจะยังอยู่ที่มันรึเปล่า…”
หลังกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณเซี่ยจงเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็ริบแหวนพื้นที่ของมันมาเป็นสินสงคราม ก่อนที่จะผูกพันธะครองแหวนแล้วใช้สำนึกเทวะตรวจสอบทันที
ฉากภายในแหวนของเซี่ยจง เผยให้เห็นว่ามันเก็บของเอาไว้มากมายนัก!
ตอนที่ 2,116 : จ้าวราชสีห์ขนทอง เซี่ยคังฉวิน!
ภายในแหวนพื้นที่ของเซี่ยจงนั้น เรียกว่ามีหินเซียนคุณภาพสูงกองไว้เป็นภูเขา! อีกทั้งยังมีสมบัติมากมายหลากหลายจัดวางเรียงรายเอาไว้จนตาลาย!
อย่างไรก็ตามสายตาของต้วนหลิงเทียนก็ถูกบางสิ่งที่ตั้งไว้บริเวณมุมหนึ่งดึงดูดความสนใจไปหมดสิ้น!
“ตะ…ตราผนึกมาร!!”
สิ่งที่ดึงดูดสายตาของต้วนหลิงเทียน…เป็นป้ายศิลามุมแหว่งคุ้นตา ที่ตั้งแน่นิ่งอย่างเงียบงันอยู่ในมุมหนึ่งภายในแหวนพื้นที่ของเซี่ยจง!!
ยอดศาสตราเซียนที่เขาอยากได้คืนจนกระทั่งเก็บเอาไปฝันอยู่บ่อยๆ…ตราผนึกมาร!
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่ได้เห็นตราผนึกมารอยู่ในนี้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็บังเกิดความยินดีถึงที่สุด
เขาหลงคิดว่าหลังเซี่ยจงชิงตราผนึกมารของเขาไป ไม่พ้นมันต้องเอาไปมอบให้บิดาอย่างจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬเก็บไว้เสียอีก
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ…ว่าข้าจะได้ตราผนึกมารกลับคืนมางงๆแบบนี้…”
ต้วนหลิงเทียนหยิบตราผนึกมารออกมาลูบๆคลำๆด้วยความคิดถึง ในใจบังเกิดความตื่นเต้นไม่น้อย ยากจะสงบลงได้อยู่นาน…
ตราผนึกมารที่หายไปได้หวนกลับมาอีกครั้ง!
ไหนเลยเขาจะไม่ตื่นเต้นได้!
หลังจากผ่านไปพักหนึ่งต้วนหลิงเทียนที่กลับมารู้สึกตัวก็เก็บตราผนึกมารกลับไป
“หากเผ่าพันธุ์ปีศาจมันบุกรุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจริงๆ…ตราผนึกมารนี่จะกลายเป็นฝันร้ายของพวกมัน!”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง ขณะลอบกล่าวในใจ
หลังได้รับทราบถึงเรื่องราวของแดนเนรเทศและเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทั้งได้รับรู้ว่าตอนนี้มีโอกาสที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะบุกรุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกคิดถึงตราผนึกมารที่ถูกช่วงชิงไปขึ้นมาจับใจ
เห็นว่ายามตราผนึกมารได้พบพานกับปีศาจนั้น พลังอานุภาพของมันจะร้ายกาจดุดันยิ่งกว่ายามพบพานผู้ฝึกมารเสียอีก…
‘แต่ขอให้ทั้งหมดเป็นแค่การคาดเดาไปเองเถอะ…อย่าให้เผ่าพันธุ์ปีศาจมันบุกรุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจริงๆเลย’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอีกครั้ง
เพราะถ้าเกิดเผ่าพันธุ์ปีศาจมันบุกเข้ามาภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจริง นั่นหมายความว่าตอนนี้ภูมิภาคเบื้องล่างคงไม่ต่างอะไรกับขุมนรก!
และนั่นไม่ใช่อะไรที่เขาอยากจะเห็นแม้แต่นิดเดียว
เขาหวังเพียงให้ครอบครัวและสหายของเขาได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและสงบสุขเท่านั้น
“ได้เวลาไปแล้ว…”
สูดอากาศเข้าอีกเฮือก ต้วนหลิงเทียนพลันหายจากอาการเหม่อ พลังเซียนสุริยันพลันเร่งเร้าโคจรขึ้นมาผนึกควบไว้ในฝ่ามือ ตบฟาดออกไปป่นซากร่างเซี่ยจงจนแหลกสลาย ค่อยเหินร่างจากไป
ระหว่างเหินออกไปร่างนักรบมังกร 9 กรงเล็บของต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆหวนสู่รูปลักษณ์มนุษย์ธรรมดา รูปโฉมยังเปลี่ยนไปอีกครั้ง และเป็นใบหน้าใหม่ที่ไม่เคยใช้ที่ไหนมาก่อน
เรียกว่าไม่ได้แลดูหล่อเหลาอะไรอีกต่อไป เป็นเพียงหน้าตาธรรมดาๆ ไร้ใดโดดเด่น
ถึงขั้นหากเดินปะปนไปในฝูงชนก็คงแยกไม่ออก
‘ตอนนี้เรื่องเซี่ยจงถูกฆ่าตาย จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาคงรู้แล้ว…ไม่พ้นมันต้องกำลังมานครแห่งบาปด้วยตัวเองแน่’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตามเขาไม่กังวล
เขามั่นใจเกี่ยวกับทักษะแปลงโฉมมาก กระทั่งต่อให้จ้าวราชสีห์จะมาอยู่ตรงหน้า ก็คงยากระบุตัวเขาที่ฆ่าเซี่ยจงได้
‘แต่…จ้าวราชสีห์ขนทองต้องรู้ตัวตนข้าจากภาพเรื่องราวก่อนหน้าเป็นแน่’
คิดถึงจุดนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็แทบจะหยุดเต้น
ตอนแรกเซี่ยจงก็ชิงตราผนึกมารจากเขากลับไปทีนึงแล้ว มันต้องเล่าเรื่องราวให้บิดาฟังแน่ ทำให้อีกฝ่ายสมควรรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาและฐานะในภูมิภาคเบื้องล่าง…
เช่นนั้นเรื่องที่เขาเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ จ้าวราชสีห์ขนทองก็สมควรล่วงรู้!
และโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา จ้าวราชสีห์ขนทองก็คงเห็นผ่านกระจกเงาแม่เรียบร้อย!
‘หวังว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคของด้านบนจะใช้การไม่ได้ไปอีกสักพัก…ไม่งั้นจ้าวราชสีห์ขนทองนั่นได้เอาความแค้นที่มีต่อข้าไประบายกับครอบครัวข้าที่ตำหนักเมฆาครามแน่’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนถึงกับอยากให้ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างภูมิภาคใช้การไม่ได้ไปอีกสักพัก
หาไม่แล้วจ้าวราชสีห์ขนทองที่หาเขาไม่เจอ ต้องลงไปหาความจากภูมิภาคเบื้องล่างแน่
และนั่นไม่ใช่อะไรที่ต้วนหลิงเทียนอยากเห็น
เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้ไม่มีผิด..
ทันทีที่เซี่ยจงถูกเขาลวงไปฆ่าในที่เปลี่ยวร้างห่างจากนครแห่งบาปนับพันลี้ ลึกเข้าไปในเขตที่พักของลัทธิอารามทมิฬ พลันบังเกิดเสียงร้องดังสนั่นปานราชสีห์คำราม!
“จงเอ๋อ!!”
เสียงหวีดร้องที่ปานราชสีห์คำรามนี้ แฝงเร้นไปด้วยโทสะและความโศกศัลย์ถึงขีดสุด!
ปงงง!!
ลึกไปในเขตที่พักของลัทธิอารามทมิฬดังกล่าว พลันปรากฏพลังน่ากลัวขุมหนึ่งทุบฟาดทำลายผนังคฤหาสน์พังเป็นฝุ่นธุลี! ก่อนจะปรากฏร่างใหญ่โตหนึ่งเหินทะยานออกมา!!
เป็นชายชราสูงเกือบสองหมี่ หนวดเคราของมันดกหนาฟูฟ่องปานแผงคอของสิงโต
นอกจากนี้คิ้วของมันยังเข้มหนาแลดูทรงพลัง ตอบรับกับลูกตามหึมาน่าเกรงขาม ใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความดุดันแกร่งกล้า
เพียงลอยร่างค้างในความว่างเปล่าเฉยๆไม่ทำอะไร กลิ่นอายทั่วร่างก็ให้ความรู้สึกดุร้ายน่ากลัว ปานจะแช่แข็งบรรยากาศโดยรอบ
ชายชราผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน 1 ใน 4 มหาธรรมราชาอันร้ายกาจของลัทธิอารามทมิฬ!
ตัวตนที่บรรลุขอบเขตพลังเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!
เปลี่ยนที่ 7 ของขอบเขตเซียนสวรรค์นั้นเรียกว่าเปลี่ยนท้าทายสวรรค์ หากไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆจนมีอันเป็นไป ก็สามารถมีอายุขัยอยู่ได้ตราบชั่วฟ้าดินสลาย
และจ้าวราชสีห์ขนทองเป็นเพียงสมญานามของมันเท่านั้น
จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชามีชื่อที่แท้จริงว่า…
เซี่ยคังฉวิน!
“จงเอ๋อ…จงเอ๋อ…”
ตอนนี้ร่างของมันกำลังสั่นเทิ้มไปทั่วกาย สองตาจับจ้องมองไปยังเศษซากแหลกละเอียดบนฝ่ามือ
และเศษซากแหลกละเอียดที่ว่า ก็คืออดีตลูกแก้ววิญญาณ!
เป็นลูกแก้ววิญญาณที่เก็บส่วนหนึ่งของวิญญาณบุตรชายมันเอาไว้!
เมื่อแตกสลายก็บอกให้รู้ชัด ว่าลูกชายของมันตกตายไปแล้ว!
ทันใดนั้นมือมันสะบัดคราหนึ่ง ปรากฏยันต์ผุดจากความว่างเข้ามือ มันไม่รอช้าเร่งทำลายยันต์ดังกล่าวเพื่อเปิดใช้งานทันที ไม่ใช่ใดอื่นเป็นยันต์กระจกเงาแม่ นั่นเอง
ยันต์กระจกเงาแม่แผ่นนี้ ก็คือคู่ของยันต์กระจกเงาลูกของเซี่ยจง
และทันทีที่บดขยี้ยันต์ในมือ ฉากเรื่องราวหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของเซี่ยคังฉวิน
เป็นภาพของลูกชายมัน ที่กำลังมองจ้องชายหนุ่มในชุดม่วง…
และในฉากเรื่องราว มันก็ได้แลเห็นเหตุการณ์ที่กล้ามเนื้อใบหน้าของชายหนุ่มชุดม่วงขยับเขยื้อนอย่างพิสดาร จนทำให้รูปโฉมเปลี่ยนไปทันตาเห็น
หลังจากนั้นด้วยการอ่านปากของชายหนุ่มชุดม่วงรวมถึงปากของเซี่ยจงลูกชายมัน ก็ทำให้มันรับทราบได้ไม่ยากว่าทั้งคู่กำลังคุยเรื่องอะไรกัน…
“มัน…มันเป็นคนที่บุตรชายข้าชิงตราผนึกมารมา คนที่อยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างนั่น”
จังหวะนี้เซี่ยจงไม่เพียงแต่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มันยังรับทราบตัวตนของชายหนุ่มชุดม่วงในฉากอีกด้วย
นายน้อยตำหนักเมฆาครามอันเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ของภูมิภาคเบื้องล่าง ต้วนหลิงเทียน!
และตราผนึกมารของลูกชายมัน ก็ช่วงชิงมาจากต้วนหลิงเทียนผู้นี้เอง!
“ต้วนหลิงเทียน?”
“อัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ของลัทธิบูชาไฟ?”
ครู่ต่อมาสีหน้าเซี่ยคังฉวินก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าคนที่ลูกชายของมันเคยช่วงชิงตราผนึกมารมากับต้วนหลิงเทียนอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟ…
ทั้งคู่กลับเป็นคนๆเดียวกัน!
เรื่องนี้สุดที่มันจะจินตนาการได้ออกจริงๆ!
ครู่ต่อมาฉากเรื่องราวเบื้องหน้าก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เซี่ยคังฉวินเห็นชัดเจน ว่ากระทั่งบุตรชายของมันหยิบยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วงออกมาเตรียมใช้งานแล้ว แต่กลับตกตายไปเสียก่อน!
เรียกว่าพริบตาสังหารก็ทำให้สีหน้าของเซี่ยคังฉวินเปลี่ยนไปใหญ่หลวง อากาศโดยรอบคล้ายจะถูกแช่แข็งไปแล้วจริงๆ
ครู่ต่อมาจิตสังหารอำมหิตก็เอ่อล้นออกมาท่วมร่างเซี่ยคังฉวิน
ลึกลงไปในแววตายังมีเพลิงโทสะลุกโชนปานจะแผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง!
“กระบี่เล่มนั้นมันอันใดกันแน่…พลังอำนาจกลับอยู่เหนือกว่ากระบี่พันอาคมเซียนของมันไปมากโข! อีกทั้งความเร็วในการลงมือปานจะไร้ร่องรอยนั่น กระทั่งอำนาจของยันต์เต๋ากระจกเงาแม่ลูกยังยากจะจับ…สมควรเป็นยอดศาสตราเซียน กระบี่ไร้ลักษณ์ไม่ผิดแน่!!”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เซี่ยคังฉวินก็พยายามย่อยข้อมูลจากเรื่องราวที่สองตาแลเห็น
ทุกฉาก…ทุกภาพหยั่งรากลึกลงไปในใจ ยากจะลบเลือน
ด้วยเหตุนี้มันจึงมั่นใจถึงที่สุดว่ากระบี่สุดท้ายที่ต้วนหลิงเทียนใช้สังหารเวี่ยจงไม่ธรรมดา ทั้งยังไม่ธรรมดาถึงขีดสุด! และสมควรเป็น 1 ใน 2 กระบี่อันเป็นยอดศาสตราเซียน…กระบี่ไร้ลักษณ์!
“สมแล้วที่ถูกเรียกว่ากระบี่ไร้ลักษณ์…การลงมือฉับไวไร้ร่องรอย!”
ขณะกล่าวพึมพำจิตสังหารก็เอ่อล้นออกมาทั่วร่างเซี่ยคังฉวิน เพลิงโทสะในแววตาก็โหมกระหน่ำปานจะแผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง!
“จงเอ๋ออย่าได้กังวล…พ่อจะไปตามล่าต้วนหลิงเทียนแล้วฆ่ามันล้างแค้นให้เจ้า!!”
ผู้คนใกล้ๆที่ได้ยินเสียงดังทั้งเสียงคำรามของเซี่ยคังฉวินเร่งรุดมาดูชมเรื่องราวทันที แต่ทว่าพอพวกมันมาถึงร่างเซี่ยคังฉวินก็เหินทะยานพุ่งขึ้นฟ้าหายลับไปด้วยความเร็วสูงพอดี…
หลังออกจากเขตลัทธิอารามทมิฬแล้ว เซี่ยคังฉวินก็มุ่งหน้าไปยังนครแห่งบาปทันทีด้วยความเร็วสูงสุด!
“ต้วนหลิงเทียนเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ฆ่าลูกชายข้า เจ้าต้องตาย!!”
ยิ่งมาโทสะแค้นในใจเซี่ยคังฉวินยิ่งเพิ่มพูน ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแม้แต่น้อย
ในใจของมัน
ต้วนหลิงเทียนที่มาจากภูมิภาคเบื้องล่างไม่มีวันได้ตายดีแน่!!
ณ นครแห่งบาป
ต้วนหลิงเทียนที่คาดเดาได้ว่าเซี่ยคังฉวินสมควรเร่งรุดมาหาเขาแน่ๆ ก็ได้เปลี่ยนโรงเตี๊ยมที่พักอีกครั้ง
“ผู้เฒ่าหั่ว…ท่านพอมีทักษะลับอะไรที่ใช้เปลี่ยนขนาดร่างกายได้บ้างไหม?”
ต้วนหลิงเทียนเมื่อได้ที่พักแล้วก็เร่งกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วทันที
ถึงแม้เขาจะเปลี่ยนแปลงรูปโฉมได้อย่างไร้ที่ติ
ทว่าขนาดร่างกายเขาไม่ได้เปลี่ยนตามไปด้วย!
หากจ้าวราชสีห์ขนทองเห็นฉากสังหารในห้วงเวลาสุดท้ายของเซี่ยจงผ่านยันต์เต๋ากระจกเงาแม่จริงๆ เกรงว่าคงรู้แล้วว่าเขามีทักษะแปลงโฉม และต้องเลือกจดจำขนาดร่างกายเขาเอาไว้อย่างชัดเจนแน่
เป็นธรรมดาว่าคนที่มีขนาดตัวใกล้เคียงกับเขาก็คงมีอยู่ไม่น้อย
ทว่าเอาเข้าจริงน่ากลัวจ้าวราชสีห์คนทองคงฆ่าทิ้งไม่เลือก ดั่งคำว่า “ยอมฆ่าคนผิดร้อยคน แต่ไม่ปล่อยคนผิดหนึ่งคนให้หลุดรอด!”
ตอนที่ 2,117 : ตัวตนถูกเปิดเผย!
“ทักษะลับที่มีความสามารถถึงขั้นปลอมแปลงขนาดร่างกายจัดเรียงกระดูกเช่นนั้น…ล้วนมีแต่เซียนอมตะเท่านั้นที่กระทำได้”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสงบ ดับไฟแห่งความหวังที่ลุกโชนขึ้นมาของต้วนหลิงเทียนจนมอดลงอย่างไร้ปราณี
ความหมายของผู้เฒ่าหั่วก็ชัดเจนนัก…
แม้จะมีทักษะที่ว่าอยู่จริง แต่นั่นก็ไม่ใช่อะไรที่ต้วนหลิงเทียนในตอนนี้จะร่ำเรียนได้
มีเพียงตัวตนขอบเขตเซียนอมตะ ที่ผ่านทัณฑ์สวรรค์และขึ้นสู่แดนสวรรค์ไปแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถใช้ทักษะเช่นนั้นได้
“แบบนี้ก็ได้แต่หาวิธีอื่นเท่านั้น”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำ
ไม่รอช้า ต้วนหลิงเทียนเร่งออกไปหาซื้อชุดคลุมลมสีดำขนาดใหญ่มาสองสามตัว ยังเป็นชุดคลุมที่มีผ้าคลุมศรีษะอีกด้วย เรียกว่าสามารถปกปิดร่างกายได้มิดชิดนัก…
‘หากข้าใส่ชุดคลุมลมดำนี่ออกไปเดินร่อนข้างนอกพร้อมลูกเล่นอะไรนิดหน่อย เกรงว่ากระทั่งให้ท่านพ่อท่านแม่มาเองก็จดจำข้าไม้ได้ ยังนับประสาอะไรกับพวกมัน…’
มองไปยังชุดคลุมขนาดใหญ่ที่แลดูหลวมโคร่งต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจ
ขณะเดียวกันใจที่ขึงตึงของเขาก็เริ่มผ่อนคลายลง
พอรู้ว่ายันต์กระจกเงาลูกที่ร่างเซี่ยจงเปิดใช้งานแล้ว แม้ผิวเผินจะแลดูไม่เป็นอะไร แต่ในใจก็รู้สึกกดดันไม่น้อย
แรงกดดันที่ว่า ก็มาจากบิดาเซี่ยจงที่เป็นถึง จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ!
จ้าวราชสีห์ขนทองคือตัวตนที่พลังฝึกปรือบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน!
หากตัวตนเช่นนั้นพบเจอเขาขึ้นมาล่ะก็ ให้ดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ความหมาย ตายหยังเขียดแน่!!
ด้วยเหตุนี้จนเมื่อเตรียมการรับมือได้พร้อมสรรพแล้ว ใจต้วนหลิงเทียนจึงพอได้ผ่อนคลายลง ‘ด้วยใบหน้าใหม่ทั้งชุดคลุมลมดำที่มีขนาดใหญ่แบบนี้…ต่อให้จ้าวราชสีห์ขนทองยืนอยู่ตรงหน้า มันก็ไม่แน่ว่าจะจำข้าได้!’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกมั่นใจ
หลังจากที่สงบสติได้แล้ว ในใจพลันนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อีกครั้ง
‘เชิญท่านลงไห’ ด้วยการล่อเซี่ยจงให้หลุดออกจากการติดตามของผู้อาวุโส กระทั่งใช้กระบี่นิลสวรรค์ฆ่ามันก่อนที่จะทันได้ใช้ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงอย่างฉิวเฉียด
ทำให้หลังจากเซี่ยจงตายตก ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงนั่นมาเป็นไพ่ตายอีกใบ เขายังได้ตราผนึกมารที่เคยอยู่กับเขามานานกลับคืน!
…
เรื่องราวทั้งหมดนั้นยังทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนฝันไปอยู่บ้าง
“ในอดีตที่เซี่ยจงมันบุกมาตำหนักเมฆาคราม ข้าในสายตามันคงอ่อนแอแทบไม่ต่างอะไรจากมดตัวกระจ้อย…และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ…”
ในใจต้วนหลิงเทียนหวนนึกย้อนถึงเรื่องราวในวันวาน ฉากที่เซี่ยจงบดขยี้เขาทุกทานอย่างที่ไม่อาจทำอะไรมันได้เลยฉายวนซ้ำ ภาพจำยังชัดเจนนัก…ราวกับพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน!
ตอนนั้นเซี่ยจงร้ายกาจขนาดไหนน่ะหรือ?
ภายใต้การข่มขู่ของเซี่ยจง เขาก็ได้แต่ส่งมอบตราผนึกมารให้แต่โดยดี!
เรื่องที่เขาทำอะไรไม่ได้เลย ล้วนฝังลึกอยู่ในใจมาโดยตลอด
“ตอนนั้นไม่เพียงแต่มันจะฆ่าอาวุโสกู่มี่กับองครักษ์เกราะทมิฬ มันยังขู่จะฆ่าคนทั้งตำหนักเมฆาครามยกเว้นครอบครัวข้า…”
วันนั้นตอนที่เขาได้ยินคำขู่ของเซี่ยจง เขารู้สึกโกรธแค้นถึงขีดสุด ยังแน่นอกจนหายใจไม่ออกด้วยโทสะ!
ยิ่งไปกว่านั้นยังสัมผัสได้ถึงความอับจนหนทาง ทำอะไรไม่ได้เลย
หากเซี่ยจงลงมือจริงๆ เขาก็ไม่มีอะไรจะหยุดมัน ทำให้สุดท้ายถึงมันจะจากไป แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ง่ายๆ จึงลอบปฏิญาณในใจว่าจะฆ่ามันให้จงได้ ยกเซียจงให้เป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับเขา!
“ตอนนี้หลังผ่านไปไม่ถึง 2 ปีข้าที่ขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบน ก็ได้ทำตามคำมั่นนั่นเรียบร้อยแล้ว…”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง สองตาต้วนหลิงเทียนพลันเลื่อนลอยดั่งมีม่านหมอกปกคลุม ปากกล่าวด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน “อาวุโสกู่มี่…จากนี้ไปท่านพักผ่อนในปรภพให้สงบเถอะ”
“นอกจากนี้พี่น้ององครักษ์เกราะทมิฬทั้งหลาย…แม้ข้ากับพวกท่านจะไม่สนิทสนมกัน แต่วันนี้นายน้อยไร้สามารถคนนั้นก็ล้างแค้นให้พวกท่านได้สำเร็จแล้ว…พวกท่านสามารถพักผ่อนได้อย่างสงบแล้วเช่นกัน…”
กล่าวพึมพำจบแล้ว ใจต้วนหลิงเทียนพลันปลอดโปร่งและรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก
“เซี่ยจง…จวบจนวินาทีสุดท้ายก่อนตาย เจ้าก็คงไม่คิดไม่ฝันเลยสินะว่าข้าจะฆ่าเจ้าได้ง่ายดายถึงขนาดนั้น…”
ไม่ทันรู้ตัวต้วนหลิงเทียนพลันนึกถึงฉากที่เขาสังหารเซี่ยจงขึ้นมาอีกครั้ง
วันนี้ในวินาทีที่เซี่ยจงย่ามใจและคิดว่าสามารถใช้ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงฆ่าเขาได้สำเร็จแล้วนั้น เขาพลันใช้ออกด้วยกระบี่นิลสวรรค์ฆ่ามันในชั่วพริบตา!
เรียกว่าแต่ต้นจนจบเซี่ยจงยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไรด้วยซ้ำ ก็ตกตายด้วยกระบี่บินของเขาไปแล้ว!
“น่าเสียดายที่ข้าไม่ทันได้ทรมาณให้เซี่ยจงมันรู้สึกสิ้นหวังก่อนตาย…”
เซี่ยจงถูกกระบี่นิลสวรรค์เหินทะยานทะลวงหน้าผากแบบนี้ออกจะรวบรัดไปอยู่บ้าง บางทีมันคงไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวดหรือหวาดกลัวอะไร…
เพราะสุดท้ายวินาทีนั้นเซี่ยจงก็มั่นใจในชัยชนะแล้ว มันกำลังจะใช้ยันต์เต๋าอันร้ายกาจนั่นออกมา
นึกย้อนถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะขนลุกเกรียว…มารดามันช่างเฉียดฉิวนัก!
“ช่างเถอะ ไม่ว่าจะยังไงมันก็ตายไปแล้ว…เช่นนั้นความแค้นระหว่างมันกับข้าก็จบกันได้เสียที อย่างไรก็ตามมันที่ตายไปไม่เพียงจะคืนตราผนึกมารให้ข้า ยังให้ยันต์เต๋าร้ายกาจนั่นมาอีกแผ่น!”
ขณะกล่าวพึมพำถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนพลันพลิกฝ่ามือ เรียกยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงออกมา
ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงแลผิวเผินก็คล้ายยันต์เต๋าธรรมดาๆ
อย่างไรก็ตามอัสนีสีม่วงที่แลบลั่นแปลบปลาบอยู่รอบตัวยันต์ก็ทำให้มันไม่ธรรมดาถึงที่สุด อีกทั้งตัวยันต์ยังแผ่กลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงออกมาเรื่อๆ ราวกับพร้อมจะปะทุพลังอำนาจทำลายทุกสิ่ง!!
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังหยิบยันต์เต๋าอันเต็มด้วยสายฟ้าสีม่วงแลบลั่นมาชมดูนั้น…
ซู่มมม!!
ร่างที่เหินตัดฟ้ามาด้วยความเร็วสูงล้ำ ในที่สุดก็บรรลุถึงนครแห่งบาป และมันก็ไปพบกับฉู่ถานเชิงทันที
ฉู่ถานเชิงก็คือผู้อาวุโสที่อยู่กับเซี่ยจงวันนี้
นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำ กลุ่มอาวุโสที่มาตระเวนหาซื้อทรัพยากรในนครแห่งบาปกลับลัทธิอารามทมิฬอีกด้วย
“ทะ…ท่านมหาธรรมราชา!”
อยู่ๆก็ได้พบร่างมหาธรรมราชา เซี่ยคังฉวิน มาปรากฏตัวตรงหน้า พร้อมด้วยกลิ่นอายกันร้ายกาจน่าเกรงขาม สีหน้าฉู่ถานเชิงก็เปลี่ยนสีทันที สังหรณ์อัปมงคลในใจยังร้องดังจ้า
จ้าวราชสีห์ทองคำอยู่ๆดีๆไฉนออกจาลัทธิอารามทมิฬมาหามันถึงที่ได้แบบนี้?
หากจะบอกว่าจ้าวราชสีห์ทองคำมาเดินเที่ยว ถึงเอามีดมาปาดคอมันให้ตายมันก็ไม่เชื่อ!
ผัวะ!!
เผชิญหน้ากับการคารวะทักทายด้วยท่าทีสุภาพมากเคารพของฉู่ถานเชิง เซี่ยคังฉวินเลือกตอบด้วยการตบหน้าอีกฝ่ายจนสะบัด!
หลังถูกตบเข้าอย่างจังจนหน้าสั่น ใบหน้าแถบหนึ่งของฉู่ถานเชิงก็ปูดบวมขึ้นมาทันที สีหน้าฉายอาการมึนงงไม่เข้าใจออกชัด
‘หรือ…จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเซี่ยจงแล้วจริงๆ!?’
ฉู่ถานเชิงลอบสะท้านในใจ
เพราะจังหวะนี้มันสัมผัสได้ถึงโทสะอันเกรี้ยวกราดจากร่างจ้าวราชสีห์ขนทองเบื้องหน้าได้ชัดเจน!
“ลูกชายของข้าถูกล่อออกไปฆ่านอกนครแห่งบาป โดยฝีมือของชายผู้นี้!”
ตอนนี้เองจ้าวราชสีห์ขนทองพลันสะบัดมือคราหนึ่ง เรียกกระดาษเปล่าออกมาพร้อมพู่กัน ก่อนที่มันจะเริ่มวาดภาพชายคนหนึ่งออกมา
“นี่คือ…”
มองไปยังภาพเหมือนเบื้องหน้า ฉู่ถานเชิงรู้สึกคุ้นตาอย่างไรไม่ทราบ ราวกับมันเคยเห็นอีกฝ่ายที่ไหนมาก่อน
“เจ้านี่ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ที่จงเอ๋อเคยบุกลงไปช่วงชิงตราผนึกมารมาจากมัน เรียกว่าต้วนหลิงเทียน”
และวาจาต่อมาของจ้าวราชสีห์ขนทองก็เฉลยให้มันกระจ่างใจทันที
นายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน!
มันจำได้แล้ว!
ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ คือผู้ที่โชคดีได้รับยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารมาครอบครอง…อย่างไรก็ตามต่อมาตราผนึกมารนั่น ก็ถูกเซี่ยจง ชนชั้นอาวุโสของลัทธิอารามทมิฬของมันบุกลงไปแย่งชิง
“ที่แท้เป็นมัน”
ในที่สุดฉู่ถานเชิงก็ทราบแล้วว่าไฉนมันถึงคุ้นๆหน้าอีกฝ่ายนัก ที่แท้เพราะมันเคยเห็นภาพเหมือนของชายหนุ่มผู้นี้ที่เคยเป็นที่กล่าวถึงทั้งในภูมิภาคเบื้องล่างและภูมิภาคเบื้องบนเรื่องตราผนึกมารในกาลก่อน
“นอกจากเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามของภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว มันยังมีอีกตัวตนหนึ่ง…อัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ที่ชิงอันดับที่ 2 ไปได้เมื่อไม่นานมานี้ของลัทธิบูชาไฟ! เป็นมัน!!”
เซี่ยคังฉวินกล่าวสืบต่อ น้ำเสียของมันเยียบเย็นปานจะผุดแทรกขึ้นมาจากหล่มน้ำแข็ง
“ฟืด…”
ได้ยินวาจาดังกล่าวของเวี่ยคังฉวิน ฉู่ถานเชิงตกตะลึงไปไม่น้อย! อดไม่ไดที่จะสูดลมหายใจเข้ากล่าวถามออกด้ววยความไม่อยากจะเชื่อว่า “ใต้เท้า…ท่านแน่ใจหรือ ข้าเองก็เคยเห็นภาพเหมือนของต้วนหลิงเทียนอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ของลัทธิบูชาไฟมาแล้ว…แต่เหมือนหน้าตาของคนผู้นั้นจะต่างจากเจ้าหนุ่มคนนี้…”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกลายเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่นั้น ไม่เพียงแต่เขาจะโด่งดังในลัทธิบูชาไฟ เขายังโด่งดังไปถึงลัทธิอารามทมิฬด้วย อันที่จริงในขุมพลังระดับสูงล้วนรู้จักเขากันไม่น้อย
ฉู้ถานเชิงเองก็เคยได้เห็นภาพเหมือนต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟโดยบังเอิญมาครั้งหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้มันจึงอดถามออกมาเช่นนั้นเสียไม่ได้
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้รู้ทักษะวิชาแปลงโฉมอันร้ายกาจนัก ใช้การควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าโดยตรงโดยมิอาศัยพลังงานภายนอกอันใด ทำให้กระทั่งสำนึกเทวยังมิอาจตรวจสอบได้…”
ได้ยินคำถามของฉู่ถานเชิง เซี่ยคังฉวินกล่าวตอบไปเสียงเย็น
ถึงแม้จะเป็นแค่การเห็นเรื่องราวจากยันต์กระจกเงาแม่ แต่มันก็เห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของใบหน้าต้วนหลิงเทียนชัดเจน
และด้วยความที่มันเป็นถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน ตัวตนที่เรียกวายืนอยู่ในระดับแนวหน้าของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันย่อมมองออกว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของต้วนหลิงเทียนนั้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นธรรมชาตินัก ไม่ได้ใช้พลังปรับเปลี่ยนคงสภาพไว้อย่างปกติ…
“มีทักษะแปลงโฉมเลิศล้ำเช่นนี้อยู่ด้วย!?”
ฉู่ถานเชิงตกใจไม่น้อย
หลังจากดึงสติกลับมาได้มันก็ระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “กระทั่งคนของลัทธิบูชาไฟเองข้าเกรงว่าคงมิอาจฝันถึง…ว่าต้วนหลิงเทียนอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ของพวกมัน จะเป็นคนๆเดียวกันกับนายน้อยผู้โชคดีในภูมิภาคเบื้องล่างที่ได้ตราผนึกมารมาครองจากภูมิภาคเบื้องล่าง”
“เอาล่ะเจ้าไปทำสำเนารูปเหมือนนี้แล้วแจกจ่ายไปให้คนของเราที่อยู่ในนครแห่งบาปโดยเร็วที่สุด…หากมีเบาะแสอันใดเกี่ยวกับมันรีบแจ้งให้ข้าทราบทันที! ต่อให้หน้าไม่เหมือนแต่เค้าโครงรูปร่างทั้งส่วนสูงใกล้เคียงกันก็ไม่เว้น!!”
“อีกทั้งเจ้าผู้นี้ความสามารถไม่ธรรมดา อย่าได้เสี่ยงให้ใครปะทะกับมันโดยพลการ เพียงแจ้งให้ข้าทราบโดยเร็วที่สุดก็พอ!”
เซี่ยคังฉวินกล่าวสั่งเสียงเย็น ก่อนที่จะเตรียมออกไปตามหาคนเช่นกัน
“ทราบแล้วใต้เท้า”
ฉู่เถานเชิงพยักหน้ารับตอบคำก่อนที่ร่างเซี่ยคังฉวินจะวูบหายไป จากนั้นมันก็เอารูปเหมือนไปหาอาวุโสคนอื่นๆของลัทธิอารามทมิฬที่มากว้านซื้อของที่นครแห่งบาป
ตอนนี้แม้ในใจมันจะยังเต็มไปด้วยความสงสัย แต่มันก็ไม่กล้าถามอะไรเซี่ยคังฉวินเพิมเติม
“นครแห่งบาป…ข้าเกรงว่าวันนี้คงมิอาจสงบอยู่ได้สืบไป”
หลังเหินร่างไปหาคน ฉู่ถานเชิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวรำพันเบาๆ
เพราะจากคำสั่งของจ้าวราชสีห์ขนทอง มันยังฟังความได้ชัด
ผู้ใดก็แล้วแต่ที่ดูละม้ายคล้ายเหมือนคนในรูปวาด น่ากลัวว่าจะไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือของจ้าวราชสีห์ขนทองไปได้!
ตอนที่ 2,118 : ข่าวอันน่าตกใจ!
“ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงนี่ เห็นว่ามีแต่ปรมาจารย์ยันเต๋าระดับเทียมสวรรค์เท่านั้นที่สามารถวาดเขียนขึ้นมาได้…แต่ปรมาจารย์ยันต์เต๋าระดับเทียมสวรรค์ กระทั่งในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังเป็นตัวตนที่หาได้ยากดั่งเขามังกรขนหงส์…”
ขณะมองไปยังยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วงที่มีสายฟ้าแลบลั่นแปลบปลาบ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ “ต่อให้เป็นชนชั้นจ้าวราชสีห์ขนทอง แต่คิดจะหายันต์เต๋าแผ่นนี้มาให้ลูกชายป้องกันตัวสักแผ่นไม่ทราบต้องควักเนื้อไปเท่าไหร่…”
ต้วนหลิงเทียนพึมพำถึงจุดนี้ก็ส่ายหน้าเบาๆ ลอบกล่าวในใจ ‘โชคร้ายของเซี่ยจงมันแล้วที่ไม่มีเวลามากพอจะเปิดใช้ยันต์ก็ต้องมาถูกกระบี่ข้าฆ่าทิ้งไปก่อน…ไม่พ้นจ้าวราชสีห์ขนทองคงเห็นเรื่องราวที่ข้าฆ่าลูกมันผ่านยันต์เต๋ากระจกเงาแม่เรียบร้อย ไม่รู้ป่านนี้จะมีโมโหจนกระอักเลือดตายไปรึยัง?’
และก็เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้จริงๆ
“ฮึ่ม!”
ที่ไหนสักแห่งในนครแห่งบาป หลังอาวุโสลัทธิอารามทมิฬอย่างฉู่ถานเชิงจากไป จ้าวราชสีห์ทองคำ เซี่ยคังฉวิน 1 ใน 4 มหาธรรมราชา ก็แค่นเสียงเยียบเย็นหนึ่ง สีหน้ายังมืดคล้ำดำลง
“ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงกลับตกไปอยู่ในกระเป๋าต้วนหลิงเทียนนั่นเสียได้!”
พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมมา เซี่ยคังฉวินที่ลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะได้ยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงมาสักแผ่นเพื่อให้ลูกชายเก็บไว้ป้องกันตัว แต่สุดท้ายกลับต้องตกไปอยู่ในมือของศัตรูฆ่าลูกชาย ก็รู้สึกสูญเสียอย่างใหญ่หลวงนัก!
ยังจุกอกราวกับปอดจะระเบิด!!
“ต้วนหลิงเทียน…ต่อให้เจ้าจักหนีไปซ่อนอยู่ที่สุดขอบโลก ข้า เซี่ยคังฉวิน ก็จักไปลากตัวเจ้ามาสับให้แหลกเป็นหมื่นๆชิ้น ล้างแค้นให้ลูกชายข้า!”
เซี่ยคังฉวินกล่าวพึมพำด้วยอาฆาต ทั่วร่างปรากฏจิตสังหารฟุ้งตลบ เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายล้วนเร่งรุดล่าถอยออกเป็นการใหญ่ ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายเข้าไปใกล้มัน ด้วยกลัวว่าจะพลอยเป็นปลาในบ่อ
……
หลังจากนั้นพักหนึ่งก็มีผู้ฝึกตนพเนจรมากมายถูกฆ่าทิ้งกลางถนนราวผักปลา…!
และสิ่งหนึ่งที่ผู้ฝึกตนพเนจรเหล่านี้มีเหมือนกันก็คือ…
พวกมันทั้งหมดล้วนมีรูปร่างละม้ายคล้ายต้วนหลิงเทียนกว่า 8 ส่วนขึ้นไป
“พวกมันไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนสักคน!”
ผู้ที่ลงมือเข่นฆ่าผู้ฝึกตนพเนตรกลางถนนราวผักปลาเหล่านี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นเซี่ยคังฉวิน 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬเอง!
ถึงแม้เซี่ยคังฉวินจะเข่นฆ่าผู้ฝึกตนพเนจรไปมากมาย แต่ก็ไม่มีผู้ฝึกตนพเนจรคนไหนกล้าออกหน้าวุ่นวาย ด้วยกริ่งเกรงพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนของมัน!
แต่เรื่องนี้อย่างไรก็ทำให้ผู้คนของนครแห่งบาปหัวเสียกันไม่น้อย ทั้งไม่เข้าใจเรื่องราวจริงๆ
“ไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่ทราบมีกี่คนแล้วที่ถูกจ้าวราชสีห์ขนทองผู้นั้นฆ่าทิ้ง…มหาธรรมราชาจากลัทธิอารามทมิฬคนนี้ จะไม่รังแกพวกเรากันเกินไปหน่อยหรือ!?”
ตอนนี้วาจาทำนองเดียวกันล้วนดังไปทั่วเหลาอาหารในนครแห่งบาป
หลังเวลาผ่านไปพักหนึ่ง ไม่มีผู้ฝึกตนพเนจรคนใดในนครแห่งบาปไม่ทราบการมาเยือนนครแห่งบาปของ จ้าวราชสีห์ขนทอง เซี่ยคังฉวิน 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ
“เห็นว่าที่จ้าวราชสีห์ขนทองเข่นฆ่าผู้คนอย่างไร้ปราณี ทั้งหมดเพราะคิดหาตัวฆาตกรฆ่า ‘เซี่ยจง’ บุตรชายของมัน! เรียกว่าขอเพียงมีรูปร่างละม้ายคล้าย ฆาตกรผู้นั้นเกิน 7 ส่วนล้วนฆ่าไม่ละเว้น!”
“อะไร? มันคิดหาฆาตกรฆ่าลูกด้วยอาศัยรูปร่างผู้คนงั้นหรือ นี่มันตาบอดหรืออย่างไร? กระทั่งผู้สังหารบุตรชายหน้าตาเป็นเช่นไรก็ไม่รู้?”
“เห็นว่ามือสังหารฆ่าลูกชายของมันคนนี้ มีทักษะปลอมแปลงโฉมอันเลิศล้ำนัก ยากจะตรวจพบได้ด้วยสำนึกเทวะ!”
“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ก็ถึงว่าไฉนจ้าวราชสีห์คนทองถึงต้องฆ่าคนโดยอาศัยรูปร่าง…ดูเหมือนข่าววลือที่ว่าจ้าวราชสีห์ขนทองรักบุตรชายผู้นี้ปานแก้วตาดวงใจ จะไม่ผิดเพี้ยนแล้วจริงๆ!”
……
บทสนทนาข้างต้นก็ดังไปทั่วนครแห่งบาปเช่นกัน
ตอนนี้ขอเพียงเป็นผู้ฝึกตนพเนจรในนครแห่งบาป ก็รู้ได้ทันทีว่าเซี่ยคังฉวินเปิดฉากสังหารอำมหิตอย่างไม่ไว้หน้าใครแบบนี้ เพียงเพราะคิดหาตัวฆาตกรฆ่าบุตรชาย!
เหนือเมฆที่ลอยล่องบนฟ้าสูงของนครแห่งบาป
จ้าวราชสีห์ขนทอง สองมือไพร่หลังลอยร่างบนฟ้า เพียงร่างลอยตระหง่านค้างกลางหาวแน่นิ่ง กลับให้ความรู้สึกคล้ายมันเป็นหอคอยเหล็กที่ตั้งตระหง่านคานฟ้าหอคอยหนึ่ง กลิ่นอายพลังกล้าแข็งสุดไพศาลยังเปล่งออกมาทั่วกาย กดดันบรรยากาศโดยรอบจนสะท้านสะเทือน
“มันมิได้อยู่ในนครแห่งบาปแล้วหรือไรกัน?”
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเซี่ยคังฉวินที่ลอยร่างก็กล่าววพึมพำออกมาเสียงต่ำ
ล่าสุด มีผู้ฝึกตนพเนจรสังเวยชีวิตภายใต้เงื้อมมือของมันไปแล้วกว่า 100 คน
และผู้คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีรูปร่างใกล้เคียงกับต้วนหลิงเทียนกว่า 8 ส่วนทั้งสิ้น อนิจจาทั้งหมดล้วนไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน
“เวลาที่ข้ารับปากพวกมันเอาไว้ใกล้หมดเต็มทีแล้ว…”
คิดถึงจุดนี้สีหน้าเซี่ยคังฉวินพลันมืดดำลงอีกรอบ
และ ‘พวกมัน’ ที่เซี่ยคังฉวินกล่าวถึง ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ล้วนเป็นผู้ฝึกตนชนชั้นร้ายกาจที่มีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้นของนครแห่งบาป…
พอมันมาถึงนครแห่งบาปได้ไม่นาน มันก็ไปเยือนผู้ฝึกตนพเนจรที่มีอำนาจในนครแห่งบาปเหล่านี้ทีละคน
หลังจากที่มันจ่าย ‘ราคา’ ออกไปอย่างเหมาะสม มันก็ได้รับอนุญาต…
สามารถฆ่าผู้ฝึกตนพเนจรในนครแห่งบาปได้!
แต่แน่นอนว่ามีเวลาจำกัด
นอกจากนั้นเซี่ยคังฉวินยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข่นฆ่าคนตามอำเภอใจ จะฆ่าได้ก็แต่ผู้ฝึกตนพเนจรที่มีขนาดตัวใกล้เคียงกับฆาตกรสังหารลูกชายมันเท่านั้น
และตอนนี้กำหนดเวลาลงมือที่ตัวตนเหล่านั้นกำหนดมาให้มันก็ใกล้ครบเต็มที
เมื่อครบกำหนดเววลาที่ว่า มันก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข่นฆ่าผู้ฝึกตนในนครแห่งบาปราวผักปลาเช่นนี้อีกต่อไป
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดว่าเจ้าจะซ่อนตัวเช่นนี้ได้ตลอดหรือ…”
ทันใดนั้นเซี่ยคังฉวินคล้ายนึกอะไรได้ออก สองตาทอประกายอำมหิต มุมปากยกแสยะเหี้ยมเกรียม
และภายในวันนั้น ก็มีข่าวอันน่าตกใจแพร่ไปทั่วนครแห่งบาป
“เฮ่ พวกเจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือไม่ เห็นว่าที่แท้ฆาตกรฆ่าเซี่ยจง บุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทองจักเรียกว่าต้วนหลิงเทียนที่มาจากภูมิภาคเบื้องล่าง…ที่แท้ทั้งหมดเป็นการล้างแค้นเซี่ยจงที่ไปชิงตราผนึกมารจากมันมาก่อน!”
“ข้าพึ่งได้ยินมาเมื่อครู่! ดูเหมือนว่าต้วนหลิงเทียนผู้นี้จะเป็นนายน้อยของขุมพลังกึ่งชั้น 3 อันใดสักอย่าง…แต่จะว่าไปเรื่องนี้มันเป็นความจริงแน่หรือ? ไฉนนายน้อยขุมพลังกึ่งชั้น 3 นั่นจักมีพลังฝีมือสูงถึงขั้นฆ่าเซียจงได้กัน?”
“นั่นสิ! เรื่องนี้มันเป็นไปได้อย่างไรกัน! คนจากภูมิภาคเบื้องล่างไฉนมีปัญญาสังหารเซี่ยจงได้?”
“เรื่องนี้ข้าเพียงฟังหูไว้หูเท่านั้น ยากเชื่อได้ลงคอ”
……
เมื่อมีข่าวคนฆ่าเซี่ยจงคือ ต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามอันเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ของภูมิภาคเบื้องล่างแพร่กระจายออกมา นครแห่งบาปก็อื้ออึงกันยกใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนมีพลังฝีมือสูงพอจะฆ่าเซี่ยจงได้
“เรื่องนี้ช่างเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี! ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นต่อให้เป็นชนชั้นสุดยอดอัจฉริยะของภูมิภาคเบื้องล่างแล้วจะอย่างไร? ในภูมิภาคเบื้องบนมันยังจะนับเป็นตัวอะไรได้! ในเวลาไม่ถึง 2 ปีมันจะเอาปัญญาที่ไหนไปฆ่าเซี่ยจงด้วยตัวเองได้?”
“นั่นสิ ข่าวนี้ไม่ใช่เหลวไหลไปหน่อยหรือ เพียงได้ยินข้าก็ระคายหูแล้ว”
“เหอะๆ หากนายน้อยขุมพลังกึ่งชั้น 3 จากภูมิภาคเบื้องล่างฆ่าเซี่ยจงได้จริง…เช่นนั้นข้าคงได้อันดับ 1 ในรายนามยอดเซียนแล้วล่ะ”
……
ข่าวลือดังกล่าวแพร่ออกมากว่าครึ่งค่อนวัน แต่ไม่มีใครในนครแห่งบาปเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนจะมีพลังฝีมือสูงพอฆ่าเซี่ยจงได้เลย
แต่ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจเรื่องนี้ พลันมีข่าวที่น่าตื่นตระหนกยิ่งกว่าแพร่ออกมา
“นายน้อยของขุมพลังกึ่งชั้น 3 จากภูมิภาคเบื้องล่างต้วนหลิงเทียนผู้นั้น…ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 2 ปี แต่มันที่เข้าไปเป็นศิษย์ของลัทธิบูชาไฟ กลับสามารถกลายเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟได้?”
เรียกว่าข่าวนี้เขย่าขวัญสั่นประสาทผู้คนทั้งนครแห่งบาปแล้ววจริงๆ
เพราะอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟต้วนหลิงเทียนที่พึ่งโด่งดังขึ้นมา…กล่าวได้เลยว่าจังหวะนี้แทบไม่มีใครไม่รู้จัก!
อย่างไรก็ตามไม่มีใครคิดจะเชื่อมโยงตัวตนดังกล่าวเข้ากับนายน้อยขุมพลังกึ่งชั้น 3 ของภูมิภาคเบื้องล่างแม้แต่คนเดียว!
เกือบทุกคนล้วนคิดว่าเพียงบังเอิญชื่อเหมือนกันเท่านั้น
“ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟ ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาครามของภูมิภาคเบื้องล่างคนนั้น…เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ?!”
“แต่ไม่ว่าจะเป็นนายน้อยของภูมิภาคเบื้องล่าง กับอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟ ผู้แซ่ต้วนทั้งคู่ล้วนมีหน้าตาแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด…มองอย่างไรทั้งคู่ก็มิสมควรเป็นคนๆเดียวกันไปได้!”
“เจ้าอย่าได้ลืมไปว่ามีข่าวลือที่ว่าผู้ที่ลงมือสังหารเซี่ยจงนั้นมีทักษะแปลงโฉมอันเลิศล้ำที่มิอาจตรวจสอบได้ด้วยสำนึกเทวะ…หากต้วนหลิงเทียนทั้งสองคนเป็นคนๆเดียวกันจริง เรื่องนี้จะกลายเป็นไม่แปลกปลอมทันที แม้สองคนจะมีหน้าตาแตกต่างกัน ทั้งหมดก็ล้วนเพราะมันปลอมแปลงรูปโฉม!!”
“พอเจ้าพูดขึ้นมาข้าก็นึกได้ออกถึงความสามารถคนฆาเซี่ยจง…หากต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามจากภูมิภาคเบื้องล่างเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟจริง ก็ไม่แปลกอะไรที่จะมีพลังฝีมือมากพอฆ่าเซี่ยจง!”
“แต่เรื่องนี้จะเป็นความจริงได้หรือ? นายน้อยจากขุมพลังที่ภูมิภาคเบื้องล่างกับอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟจะเป็นคนๆเดียวกันจริงๆ ไม่ใช่แค่มีชื่อเหมือนกัน? และฆ่าเซี่ยงจงเพราะแค้นส่วนตัว?”
“ถึงข้าเองก็ยังรู้สึกว่าเรื่องราวนี้น่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง…แต่ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”
……
หลังจากนั้นพอข่าวลือทั้ง 2 ถูกจับมาเชื่อมโยงกัน ก็ทำให้ผู้คนในนครแห่งบาปตระหนักได้ทันที
นายน้อยของขุมพลังกึ่งชั้น 3 จากภูมิภาคเบื้องล่าง กับอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟที่เรียกว่า ต้วนหลิงเทียน เป็นคนๆเดียวกันจริงๆ…
หากเป็นแบบนี้เรื่องราวทั้งหมดก็อธิบายได้ง่ายดาย!
ด้วยพลังฝีมือของอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 จะฆ่าเซี่ยจงได้ก็ไม่แปลกอะไร
ทันใดนั้นผู้คนทั้งนครแห่งบาปก็รู้สึกหลากอารมณ์นัก
“ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟนั่นจะเป็นคนเดียวกับนายน้อยตำหนักเมฆาครามจกาภูมิภาคเบื้องล่างไปได้…เรื่องนี้เกรงว่าต่อให้หลับก็ยากจะมีผู้ใดฝันถึง!”
“นั่นสิ ตัวตนที่ไม่ต่างใดจากมดในสายตาของเซี่ยจงและถูกแย่งยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารมาวันนั้น…ผ่านไปไม่ทันถึง 2 ปีไม่เพียงจะมาปรากฏตัวในภูมิภาคเบื้องบน ยังฆ่าเซี่ยจงล้างแค้นได้สำเร็จ!”
“คนจากภูมิภาคเบื้องล่างกลับประสบความสำเร็จในภูมิภาคเบื้องบนขนาดนี้ทั้งๆที่พึ่งขึ้นมาไม่ทัน 2 ปี…นี่พรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ที่แท้ร้ายกาจถึงขั้นไหน?”
“นั่นสิ หรือต้วนหลิงเทียนคนนี้จะมีพรสวรรค์รากวิญญาณแต่กำเนิด สีม่วง ในตำนาน?”
……
ในนครแห่งบาป ไม่ว่าจะผู้ฝึกตนพเนจรที่ไร้สังกัด หรือเหล่าขุมพลังทั้งหลายที่อยู่ในนครแห่งบาป ต่างตกตะลึงกับความสามารถของต้วนหลิงเทียนนัก
“ต้วนหลิงเทียนฆ่าเซี่ยจง ก็ถือว่าเป็นการล้างแค้น…แต่ไม่ทราบว่าตราผนึกมารที่เซี่ยจงชิงไปตอนนั้นจะยังอยู่กับเซี่ยจงหรือไม่ หากอยู่มิใช่ว่าตราผนึกมารได้หวนคืนสู่เจ้าของเดิมแล้วรึไง?”
“ข้าคิดว่าเรื่องตราผนึกมารจะอยู่กับเซี่ยจงคงเป็นไปได้ยาก…สุดท้ายแล้วนั่นก็เป็นถึงยอดศาสตราเซียนที่ติด 1 ใน 10 ของรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ หลังเซี่ยจงชิงของกลับมาถึงลัทธิอารามทมิฬ ก็ไม่พ้นต้องมอบให้บิดาอย่างจ้าวราชสีห์ขนทองไปแล้วล่ะ…”
“ข้าก็คิดแบบนั้น”
……
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ความสนใจของใครหลายๆคนก็เปลี่ยนไปจดจ่อกับเรื่องราวของยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมาร
เพราะสุดท้ายแล้วที่เซี่ยจงอาวุโสของลัทธิอารามทมิฬ กับต้วนหลิงเทียนจากภูมิภาคเบื้องล่างกลายเป็นศัตรูกันได้…ก็เป็นเพราะตราผนึกมารล้วนๆ!
ตอนที่ 2,119 : 5 ผู้ฝึกตนพเนจรผู้ยิ่งใหญ่!
จากปากต่อปากไม่นานข่าวลือที่เป็นดั่งระเบิดลูกใหญ่ก็แพร่สะพัดไปทั่วนครแห่งบาป และทำให้ผู้คนในนครแห่งบาปถึงกับลืมเลือนเรื่องราวที่อาจมีเผ่าพันธุ์ปีศาจรุกรานเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างเป็นการชั่วคราว…
แน่นอนว่าตอนนี้ผู้คนในนครแห่งบาปพากันสงสัยนัก
ว่าตราผนึกมารที่เซี่ยจงเคยชิงจากต้วนหลิงเทียนมาในอดีต ตอนนี้ใช่ยังอยู่ที่มันหรือไม่?
เพราะหากอยู่ที่มัน นั่นหมายความว่าหลังต้วนหลิงเทียนฆ่าเซี่ยจง ก็ต้องยึดตราผนึกมารกลับคืนมาเป็นที่เรียบร้อย!
แต่หากไม่ได้อยู่ในมือเซี่ยจง เช่นนั้นไม่พ้นต้องอยู่ในมือของจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ เพราะอย่างไรก็เป็นบิดาของมัน
และในขณะที่ทุกคนหันไปให้ความสนใจเรื่องที่ตราผนึกมารอยู่ในมือของเซี่ยจงหรือไม่ ก็มีอีกข่าวลือหนึ่งแพร่สะพัดออกมา
“อะไรนะ!? ตราผนึกมารยังอยู่กับเซี่ยจงงั้นเหรอ?”
“นอกจากนี้…ที่ต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่าเซี่ยจงได้ เป็นเพราะกระบี่ที่ใช้อาจจะเป็น 1 ใน 2 กระบี่ที่เป็นยอดศาสตราเซียน…กระบี่ไร้ลักษณ์!”
“ช้าก่อน! แบบนี้กล่าวได้ว่า ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงได้ตราผนึกมารคืนมา…แต่ยังมียอดศาสตราเซียนไว้ในครอบครองอีกชิ้น แถมยังเป็นยอดศาสตราเซียนกระบี่อันร้ายกาจงั้นเรอะ!!”
…
เมื่อข่าวเรื่องต้วนหลิงเทียนมียอดศาสตราเซียนไว้ในครอบครองถึง 2 ชิ้นแพร่ออกมา ก็ทำให้นครแห่งบาปแตกตื่นกันไม่น้อย!
ยอดศาสตราเซียนนั้นมองทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้วก็มีแค่ 10 ชิ้นเท่านั้น
ทว่าตอนนี้กลับมีคนๆเดียวที่ครอบครองยอดศาสตราเซียนเอาไว้ถึง 2 ชิ้น!
ตราบใดที่ยังเป็นคนธรรมดา ไม่ว่าใครก็ต้องอิจฉาแน่นอน!
“ทำไม! เพราะอะไร!?”
“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมันมียอดศาสตราอยู่ในมือถึง 2 ชิ้นได้อย่างไร? ข้าไม่เชื่อ เรื่องนี้ข้าไม่เชื่อ!!”
“หากข้าเจอต้วนหลิงเทียนข้าจะฆ่าชิงของมัน! ยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นสมควรเป็นของข้า!!”
“ข้าด้วย!”
……
เรียกว่าเสียงกล่าวด้วยความอยากได้อยากมีดังขึ้นระงมไปทั่วเมือง
คนๆเดียวกลับมียอดศาสตราเซียน 2 ชิ้น
ไม่ต้องกล่าวถึงคนธรรมดาในนครแห่งบาป กระทั่งผู้ที่อยู่ ณ จุดสูงสุดของนครแห่งบาปอันเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้นยังอดอิจฉาขึ้นมาไม่ได้!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
……
ปรากฏเสียงเคลื่อนร่างฉับไวแหวกฝ่าสายลม 5 ร่างจากทิศทางที่แตกต่างกันของนครแห่งบาป ความเร็วนั่นยากที่ผู้ฝึกตนพเนจรทั่วไปจะมองตามได้ทัน
และทั้ง 5 ยังมุ่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง…ยังเป็นที่เดียวกัน!
เป็นสถานที่พักชั่วคราวของจ้าวราชสีห์ทองคำ 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ! และยังเป็นฐานปฏิบัติการณ์ชั่วคราวของลัทธิอารามทมิฬอีกด้วย!!
“จ้าวราชสีห์คนทอง!”
“ผู้เฒ่าเซี่ย!”
“จ้าวราชสีห์เซี่ย”
……
ทั้ง 5 แทบจะมาถึงในเวลาเดียวกัน และหลังมาถึงพวกมันเพียงมองหน้าสบตากันเล็กน้อยทว่าไม่ได้ทักทายกันแต่อย่างใด เพียงเร่งกล่าวเรียกหาใครบางคนออกมา
ยังเป็นเป้าหมายการมาหาครั้งนี้ของพวกมัน
คนๆนั้นก็คือผู้ที่อยู่ในคฤหาสน์ใต้ฝ่าเท้าเบื้องล่าง!
ในบรรดา 5 คนนี้มีชายชรา หญิงชรา ชายวัยกลางคน ชายหนุ่ม และก็หญิงสาว
ตอนนี้ที่พวกมันเรียกหาก็คือ จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ!
ด้านจ้าวราชสีห์ทองคำ เซี่ยคังฉวิน พอถูกเสียงเรียกหา 5 เสียงด้วยคำเรียกที่แตกต่างกัน มันก็เหินร่างขึ้นมาบนฟ้าเหนือคฤหาสน์ พริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้าผู้มาเยือนทั้ง 5 “พวกท่านไฉนมาหาข้าได้เล่า…?”
ต่อหน้าร่างทั้ง 5 เซี่ยคังฉวินแม้จะกล่าวถามออกไปด้วยใบหน้าสงสัย แต่ก็ไม่กล้าประมาท
นั่นเพราะทั้ง 5 คนนี้ก็คือผู้นำกองกำลังพันธมิตรอันร้ายกาจของนครแห่งบาป ยังเป็นตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้วทั้งสิ้น
แต่แน่นอนว่าไม่ได้มียอดฝีมือที่มีพลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแค่ 5 คนในนครแห่งบาป ทว่าที่มากันเพียง 5 ก็เพราะพวกมันทั้ง 5 ได้ยินเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมียอดศาสตราเซียนสองชิ้นก่อนคนอื่น
และพวกมันก็มั่นใจ
แหล่งที่มาของข่าวลือดังกล่าว 9 ใน 10 ส่วนสมควรเป็นจ้าวราชสีห์ขนทองเซี่ยคังฉวิน!
ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงมาที่นี่!
“หึ! เฒ่าเซี่ย…เจ้าอย่าได้เสแสร้งอีกเลย…เจ้าไม่รู้จริงๆว่าพวกเรามาทำไม?”
ชายวัยกลางคน 1 ใน 5 พ่นลมเสียงเย็น คิ้วขมวดเป็นปมกล่าวถาม
อีก 4 คนก็มองจ้องจ้าววราชสีห์ขนทอง เซี่ยคังฉวิน ไม่วางตา ในแวววตายังเผยความคาดหวังไม่น้อย
“ข้าสามารถรับรองกับทุกท่านได้ตรงนี้ว่าตราผนึกมารนั้นอยู่กับตัวเซวี่ยจงลูกชายข้าจริงๆ…สำหรับกระบี่ไร้ลักษณ์นั้นข้ามิอาจมั่นใจได้เต็มสิบส่วน เพราะข้าก็มิอาจกล่าวได้เต็มปากว่านั่นเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์จริงๆ…”
เซี่ยคังฉวินรู้ตัวดีวว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาออมพะนำ เลือกเปิดประตูเห็นภาผากล่าวออก “ทว่าฉากเรื่องราวจากยันต์กระจกเงาแม่ที่ข้าได้รับมา ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะฆ่าลูกชายข้ามันชัดเจนนัก…”
“ลูกข้าได้หยิบยันต์เต๋าปฐมอัสนีเซียนม่วงออกมา กระทั่งซัดใส่ต้วนหลิงเทียนและกำลังจะเปิดใช้งานยันต์เพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียน…”
กล่าวถึงจุดนี้เสียงของเซี่ยคังฉวินก็เงียบลง
“ยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วง? เฒ่าเซี่ยเจ้านับว่าลงทุนเพื่อบุตรชายของเจ้าไม่น้อย…ถึงกับมอบยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วงให้มันเก็บไว้เชียว?!”
ชายวัยกลางคนย่นคิ้ว กล่าวออกด้วยความประหลาดใจไม่น้อย
“อย่างไรก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของข้า…ข้าย่อมไม่ตระหนี่เป็นธรรมดา”
เซี่ยคังฉวินกล่าวตอบเสียงเบา
หลังจากกล่าวคำเสียงเบานี้ออกมา สีหน้าของเซี่ยคังฉวินก็มืดดำปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก
ลูกชายคนเดียวของมันพึ่งตาย!
เรียกว่าพอนึกถึงโทสะก็ปะทุขึ้นมาท่วมท้นในใจ ทั่วร่างปรากฏมวลพลังขุมหนึ่งแผ่พุ่งออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จนเส้นผมคนเคราตั้งฟู
ตอนนี้ท่าทางของเซี่ยคังฉวินราวกับราชสห์ที่กำลังพิโรธก็ไม่ปาน!
แถมผมของมันยังเป็นสีทองอ่อนๆ ทำให้ยิ่งดูเหมือนสิงโตทองไปกันใหญ่
แน่นอนว่านาม จ้าวราชสีห์ขนทองก็มาจากเรื่องนี้เอง
“ในขณะที่ลูกชายข้ากำลังจะเปิดใช้งานยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วงเพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียนนั้น…ต้วนหลิงเทียนมันก็ชิงลงมือก่อน การลงมือของมันยังฉับไว ใช้ออกด้วยกระบี่สังหารที่ว่องไวนัก!”
เซี่ยคังฉวินกล่าวสืบต่อ “ตั้งแต่ต้นจนขบลูกชายข้าไม่ทันได้ตอบสนองอันใด กระทั่งไม่อาจเปิดใช้ยันต์ปฐมอัสนีเซียนม่วงได้ทัน…กระบี่ของมันรวดเร็วเกินไป ยังรวดเร็วเสียจน ราวกับมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย”
“พลังอำนาจจากกระบี่มันที่ข้าแลเห็น เกรงว่ากระบี่พันอาคมเซียนทั้งมวล หากนำมาเทียบกับกระบี่เล่มนี้ก็ไม่ต่างอันใดกับเศษเหล็ก!”
วาจาท้ายประโยคของเซี่ยคังฉวินยามกล่าว ในน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“กระบี่…หายไปอย่างไร้ร่องรอย?”
สิ้นคำเซี่ยคังฉวิน ใจของร่างทั้ง 5 อดไม่ได้ที่จะสั่นไหว ชายหนุ่มคนหนึ่งยังกล่าววพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ
อีกลูกตาของชายวัยหนุ่มคนดังกล่าวพลันส่องสว่างขึ้นมาทันใด มองไปยังเหมือนดวงดาวในฟ้ายามค่ำคืน “ฟังจากที่จ้าวราชสีห์เซี่ยกล่าว…หรือกระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นใช้จะเป้นกระบี่ไร้ลักษณ์?”
อีก 4 คนพลันพยักหน้าเห็นด้วย
“ขอบคุณจ้าวราชสีห์เซี่ย!”
ชายหนุ่มคนดังกล่าวเร่งประสานมือกล่าวคำขอบคุณเซี่ยคังฉวิน ก่อนที่วูบร่างไปปานสายลมหอบหนึ่ง หายไปต่อหน้าต่อตาเซี่ยคังฉวิน
อีก 4 คนก็เช่นกัน
เรียกว่าทั้ง 5 มาแล้วก็จากไปว่องไวดั่งสายลมจริงๆ
ครู่ต่อมา บนฟ้าเหนือคฤหาสน์หลังโตก็หลงเหลือแต่เซี่ยคังฉวินเพียงลำพัง
“ต้วนหลิงเทียน…ด้วยเจ้ามียอดศาสตราเซียนในครอบครองถึง 2 ชิ้น เช่นนั้นตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าก็จักถูกกำหนดให้เป็นเป้าหมายของทุกผู้คน!”
กล่าวถึงจุดนี้มุมปากเซี่ยคังฉวินพลันยกแสยะออกมาด้วยอำมหิต “ให้ข้าดูว่าเจ้าจะเลือกละทิ้งยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นนั่นหรือไม่…หากเจ้าไม่เต็มใจละทิ้งพวกมัน ก็เพียงรอให้คนทั้งภูมิภาคเบื้องบนตามล่าเจ้าเถอะ!”
ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความโลภ…
หากข่าวเรื่องต้วนหลิงเทียนครอบครองยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้นแพร่กระจายออกมาเมื่อใด เขาย่อมตกเป็นเป้าหมายของสาธารณชนทันที!
เรียกว่าถึงตอนนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนเป็นศัตรูกับผู้คนทั้งภูมิภาคเบื้องบน!
ดั่งอมตะวาจา… ‘คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก’
ต้วนหลิงเทียนคนเดียวกลับมียอดศาสตราเซียนไว้ในมือถึง 2 ชิ้น ย่อมตกเป็นเป้าของยอดฝีมือที่เต็มไปด้วยความโลภทั้งภูมิภาคเบื้องบน!
เรียกว่าหลังข่าวเรื่องราวนี้แพร่ออกมา ทั่วนครแห่งบาปก็ตามหาต้วนหลิงเทียนกันจ้าละหวั่น…และเป้าหมายของทุกคนก็ล้วนอยู่ที่ยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ล้วนๆ!
“จ้าวราชสีห์ขนทองผู้นี้นับว่าลงมือได้อำมหิตจริงๆ…กระบวนท่านี้ของมัน นับว่าทำให้ข้าแทบไม่อาจอยู่ในภูมิภาคเบื้องบนได้อีก”
กว่าต้วนหลิงเทียนจะได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็เป็นอีก 1 เดือนหลังจากนั้น
ตอนนี้พลังฝึกปรือของเขาบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาขั้นกลางแล้ว! หากแต่ความสุขที่ได้รับหลังทะลวงด่านจำต้องมลายหายไปหมดสิ้น หลังที่ได้รับทราบข่าววเรื่องราวที่แพร่กระจายไปทั่วด้านนอก!!
“เหอะๆ จังหวะนี้เว้นแต่ข้าจะยอมทิ้งตราผนึกมาร…หาไม่แล้วก่อนที่พลังข้าจะสูงพอถือครองตราผนึกมารได้อย่างไม่ต้องกลัวใคร เกรงว่าไม่พ้นต้องตกเป็นเป้าหมายของยอดฝีมือทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องบนตลอดเวลา…”
เรื่องนี้ไม่ต้องบอกต้วนหลิงเทียนก็รู้ดี
ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้กล่าวออกมาว่า จ้าวราชสีห์ขนทองลงมือได้อำมหิตนัก!
“นอกจากนั้นตอนนี้ทุกคนก็รู้กันไปทั่วแล้วว่าข้าคือนายน้อยตำหนักเมฆาครามของภูมิภาคเบื้องล่าง…แถมฐานะอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 2 ของลัทธิบูชาไฟก็ไม่อาจปกปิด”
“อีกไม่นานคนทั้งแดนดินคงรู้ว่าอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 2 ของลัทธิบูชาไฟก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม! เช่นนั้นแล้วก่อนที่ข้าจะมีพลังฝีมือสูงพอบุกไปหอคุมกฏเพื่อช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูก ข้าคงไม่อาจย้อนกลับไปลัทธิบูชาไฟได้อีกต่อไป…ไม่งั้นข้าได้ตกเป็นเป้าของยอดฝีมือในลัทธิบูชาไฟทั้งหมดแน่”
ยอดศาสตราเซียนนั้นมีอำนาจล่อลวงใจมากเกินไป กระทั่งชนชั้นจ้าวลัทธิบูชาไฟเองก็เกรงว่ายังได้รับผลกระทบ
ที่สำคัญตอนนี้กลับมีข่าวลือว่าเขาถือครองยอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้นด้วยซ้ำ!
และยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้นที่ว่า ก็คือ ตราผนึกมาร กับกระบี่ไร้ลักษณ์!
“จ้าวราชสีห์ขนทองคงคิดว่ากระบี่นิลสวรรค์ของข้าเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์…แต่อย่างไรเสียเรื่องกระบี่ไร้ลักษณ์นั้นแก้ไขได้ง่ายดายยิ่ง เพียงลั่นคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าออกไป ก็ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ…”
“แต่ตราผนึกมารนี่มันอยู่กับข้าจริงๆ คงไม่มีทางกล่าวยืนยันด้วยการสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าได้…”
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจ
หากเขาย้อนกลับไปยังลัทธิบูชาไฟตอนนี้ เขาต้องดึงดูดความสนใจของตัวตนระดับยอดฝีมือของลัทธิบูชาไฟทั้งหลายไม่น้อยแน่นอน เพราะสมควรมีหลายคนที่อยากได้ตราผนึกมารในมือเขา!
ตอนที่ 2,120 : ชายคลุมดำ ผู้ช่วยเหลือ?
คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก!
ต้วนหลิงเทียนรู้เรื่องนี้ดี
ด้วยเหตุนี้ทำให้เขารู้สึกกดดันไม่น้อย
ควาดกดดันดังกล่าวเสมือนหินหนักตั้งทับอยู่กลางอก พาลให้ใจเขาจมลงไม่น้อย
“จ้าวราชสีห์ขนทองนั่นมาไม้นี้…หมายความว่าเว้นแต่ข้าจะยอมละทิ้งตราผนึกมาร ไม่งั้นก่อนที่พลังฝีมือข้าจะสูงพอปกป้องตราผนึกมารในมือ ข้าก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตนต่อหน้าผู้คนได้ง่ายๆ!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำเสียงเบา ขณะเดียวกันสีหน้าเขาก็เริ่มมืดคล้ำดำลง ราวจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก
เรียกว่าหลังจากนี้ต่อไป ต้วนหลิงเทียนแม้จะปรากฏตัววต่อหน้าผู้ใด ก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตนต้วนหลิงเทียนออกไปได้โดยง่าย ไม่งั้นได้โดนกลุ้มรุมจากยอดฝีมือระดับสูงๆของนครแห่งบาปแน่
ตราผนึกมาร ในฐานะยอดศาสตราเซียนแล้ว มันมีอำนาจล่อลวงใจมากเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวราชสีห์ขนทองไม่เพียงแต่บอกคนอื่นว่าเขามีตราผนึกมาร มันยังบอกว่าเขาสมควรมีกระบี่ไร้ลักษณ์อีกเล่มด้วย!
กระบี่ไร้ลักษณ์ก็เหมือนกันกับตราผนึกมาร…มันคือยอดศาสตราเซียน!
“ยอดศาสตราเซียน ทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็มีอยู่แค่ 10 ชิ้น…ตอนนี้จ้าวราชสีห์ขนทองนั่นมันบอกผู้อื่นว่าในมือข้ามีถึง 2 แบบนี้ไม่ว่าใครก็อิจฉาและอยากฆ่าข้าชิงของทั้งนั้น”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่แววตาของต้วนหลิงเทียนได้แปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น ท่าทางราวกับพร้อมจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน
“จ้าวราชสีห์ขนทอง…คราวนี้ข้าได้รับการ ‘ดูแล’ จากเจ้าอย่างดีจริงๆ…ข้าต้วนหลิงเทียนมีพลังทัดเทียมเซียนสววรรค์ 7 เปลี่ยนเมื่อไหร่ จะรีบส่งเจ้าไปหาลูกชายในนรกทันที!”
ต้วนหลิงเทียนที่ถูกจ้าวราชสีห์ขนทองจัดการแบบนี้ นับว่าเขาถูกบีบให้ต้องหลบๆซ่อนๆจนกว่าจะมีพลังฝีมือสูงพอแล้วจริงๆ!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเกลียดราชสีห์ขนทองที่ยังไม่เคยพบหน้าค่าตาผู้นี้นัก
“พรสวรรค์รากวิญญาณ…ข้าต้องการพรสวรรค์รากวิญญาณที่ยอดเยี่ยมกว่านี้!”
เนื่องจากตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนได้กลายเป็นรากวิญญาณสีครามไปแล้ว เขาย่อมสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในการบ่มเพาะพลังอย่างชัดเจน เช่นนั้นเขาจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะยกรับพรสวรรค์รากวิญญาณอีกครั้ง เพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะให้ถึงขีดสุด
“ตราบใดที่พรสวรรค์รากวิญญาณของข้ากลายเป็นสีม่วง กระทั่งกลายเป็นสีม่วงเข้ม…ด้วยมีชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติหนุนเสริม คิดทะลวงให้ถึงเซวียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนก็ไม่นานเกินรอ”
“ทันทีที่พลังฝึกปรือข้าบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน นั่นหมายความว่าข้าไม่ต้องหดหัวซ่อนหางอะไรอีกต่อไป…ถึงตอนนั้นต่อให้ข้ามียอดศาสตราเซียนในมือ 2 ชิ้นจริงๆแล้วใครจะทำไม!”
“ยังจะมีหน้าไหนกล้าแหยมข้าอีก!”
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอารมณ์ต้วนหลิงเทียนก็พุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับได้เห็นฉากเรื่องราวตอนเขาบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน
แน่นอนว่าหลังผ่านไปครู่หนึ่งต้วนหลิงเทียนก็ดึงสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้อีกครั้ง และดั่งจะถูกน้ำเย็นราดรดลงหัวก็ไม่ปาน ตื่นจากฝันโดยสมบูรณ์
“ตอนนี้ด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไป พร้อมชุดคลุมลมดำตัวใหญ่ ต่อให้ภาพเหมือนข้าจะถูกแจกไปทั่ว แต่ข้างนอกก็ไม่น่ามีใครจดจำข้าได้อีกต่อไป”
คิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ด่านพลังพึ่งบรรลุถึงเซียนนภาขั้นกลาง…ช่วงนี้จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับด่านพลัง ทำให้รากฐานมั่นคง…ไปหาพวกอีกาทมิฬเพื่อรบกวนให้พวกมันช่วยปรับพลังหน่อยแล้วกัน”
ต้วนหลิงเทียนพึมพำกับตัวเองอีกสักพัก ก็ออกจากโรงเตี๊ยมไปทันที
ยังดีที่คนของอีกาทมิฬไม่ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน หาไม่แล้วพวกมันคงได้หวาดกลัวจนหน้าเสีย และไม่กล้าก่อการใดๆในนครแห่งบาปช่วงนี้แน่
ด้วยความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ยังจะนับประสาอะไรกับสมาชิกทั่วไปของอีกาทมิฬ ต่อให้ชนชั้นผู้นำมาเองเขาก็ลำบากเพียงหนึ่งกระบี่ในการสังหารมันเท่านั้น
ผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬก็ไม่ต่างอะไรจากผู้นำพันธมิตรขวานปฐพีมากนัก พลังฝึกปรือล้วนอยู่ในเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนดุจเดียวกัน
และตอนนี้กระทั่งรองผู้นำอีกาทมิฬอย่าง เจียวจ้านก็คงคิดไม่ถึงเช่นกัน
ว่าอดีตคนที่สวมรอยเป็น ปู้หง ศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟ หลังจากฆ่าน้องชายมันเจียวถูไปแล้ว ยังเตรียมลงมือเก็บกวาดคนของพวกมันพันธมิตรอีกาทมิฬ!
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มตระเวนไปทั่วนครแห่งบาป
เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเห็นคนของพันธมิตรอีกาทมิฬก่อการชั่วร้ายรอเก็บตกซ้ำเติมผู้อื่น ประพฤติตัวดั่งเฒ่าประมง อาศัยโอกาสที่ผู้อื่นบาดเจ็บไร้พลัง เขาจะลงมืออย่างดุร้ายฆ่าคนของอีกาทมิฬที่ก่อการทันที!
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คนของอีกาทมิฬเท่านั้นที่คิดหากินด้วยวิธีการนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนลงมือฆ่าคนไปมากมาย! เรียกว่าไม่ว่าหน้าไหนก่อการอุบาทว์ดังกล่าว เขาล้วนเข่นฆ่าสังหารแล้วกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันทั้งสิ้น!
อย่างไรก็ตามสัดส่วนจำนวนคนที่ตกตายด้วยน้ำมือต้วนหลิงเทียนนั้น คนของพันธมิตรอีกาทมิฬนับว่ายืนหนึ่ง!
และเมื่อข่าวเรื่องราวดังกล่าวถูกส่งกลับมายังพันธมิตรอีกาทมิฬ พวกมันทุกคนล้วนหน้าเสียทันที
“ชายในชุดคลุมลมดำนั่น…ตราบใดที่เห็นคนของอีกาทมิฬเราฉวยโอกาสอาศัยตอนที่ผู้อื่นบาดเจ็บเพื่อฆ่าชิงทรัพย์ มันจะลงมือฆ่าคนของพวกเราก่อนงั้นเหรอ…ยังลงมือสังหารในกระบวนเดียว?”
เมื่อเรื่องราวทั้งหมดถูกรายงานมาที่ฐาน ทุกคนก็ตื่นตระหนกตกใจกันไม่น้อย
เรียกว่าพริบตานี้คนของอีกาทมิฬทั้งหลายสัมผัสได้ถึงสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่ง ต่างคิดว่าจะเลิกหากินเช่นนี้เป็นการชั่วคราว ต่อไปไม่อาจลงมือทำร้ายปล้นชิงผู้อื่นตอนบาดเจ็บได้อีกต่อไป
ไม่งั้นเกิดพวกมันเจอชายในชุดคลุมลมดำนั่นเข้า ได้ชะตาขาดแน่ๆ!
“มันที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่ ไฉนถึงได้มุ่งเป้ามาที่คนพันธมิตรอีกาทมิฬเรา…มันคิดตั้งตัวเป็นศัตรูกับอีกาทมิฬของพวกเราให้ถึงที่สุดหรือ?”
เหล่าคนของอีกาทมิฬได้แต่ร่ำร้อง
“ผู้ที่ตกตายด้วยมือมันไม่เพียงแค่คนอีกาทมิฬเราเท่านั้น…ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่คิดอาศัยประโยชน์จากการสู้รบของผู้อื่น ล้วนถูกมันเก็บหมดสิ้น!”
สมาชิกอีกาทมิฬบางคนแย้ง
ในวาจาของมันยังพยายามแจกแจงพฤติกรรมของชายในชุดลุมลมดำนั่น ว่าไม่ได้เลือกปฏิบัติเฉพาะกับพวกมัน
“ที่แท้มันคิดกระทำสิ่งใดกันแน่ อย่าได้บอกเชียวว่ามันคิดเป็นผู้กล้าช่วยเหลือคนอื่น?”
“ไม่ว่าจะผู้กล้าหรือตัวบัดซบอันใด คนอีกาทมิฬเราล้วนตายตกด้วยน้ำมือมันหลายคนนัก…หากเจอตัวมัน ข้าจักให้มันถามหาคำอธิบายให้พวกเราอีกาทมิฬ!”
“อธิบาย? เจ้าล้อเล่นหรือ เจ้าไม่ได้ยินที่มันกล่าวประกาศไว้หรือไร ว่าอย่าให้มันเห็นคนใส่ชุดอีกาทมิฬเดินบนถนน หาไม่แล้วมันจะลงมือฆ่าให้ตาย!”
“ข้าว่าเจ้าชุดคลุมลมดำนั่นมันกำลังจงใจหาเรื่องอีกาทมิฬของพวกเรา! หากไม่ฆ่ามันให้ตาย ข้ากลัวว่าอีกาทมิฬของพวกเราคงยากยืนหยัดอยู่ในนครแห่งบาปได้แล้ว!”
… …
วาจาทำนองเดียวกันนี้ดงขึ้นไปทั่วฐานที่มันกอกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬ
ปงงง!!
เสียงสนั่นหนึ่งพลันดังขึ้นจากลานในคฤหาสน์หลังหนึ่งในเขตฐานที่มั่นอีกาทมิฬ เป็นเสียงเจียวจ้านบันดาลโทสะฟาดทุบโต๊ะหินอ่อนทิ้ง!
เรียกว่าไม่เพียงโต๊ะหินสวยงามจะกลายเป็นธุลีดิน กระทั่งพื้นดินเบื้องหน้าของมันยามนี้ยังเป็นหลุมลึกลงไปปานหลุมอุกกาบาต
“ช่างกล้านัก! มันถือดีอันใดมาฆ่าคนอีกาทมิฬของข้า!!”
ใบหน้าเจียวจ้านเต็มไปด้วยความดุร้ายไร้สิ้นสุด ยังบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก ลูกตาประหนึ่งจะยิงลำแสงความร้อนออกมา
ท่าทางของเจียวจ้านยามนี้ประหนึ่งอสรพิษดุร้ายใคร่ฉกกัดเหยื่อ!
“ผู้นำกับรองผู้นำอีก 2 คนก็ไม่อยู่…เช่นนั้นข้าเจียวจ้านจะจัดการเจ้าเอง ไอ้ชายชุดดำบัดซบ!”
สิ้นคำร่างเจียวจ้านก็อันตรธานหายไปปานสายลม
ชายในชุดคลุมลมดำที่ถูกคนของอีกาทมิฬกล่าวถึงกันหนาหูไม่ใช่ชื่ออะไร เพียงแต่เป็นชายในชุดคลุมลมดำที่พวกมันไม่ทราบว่าเป็นใครเท่านั้น จึงเรียกตามลักษณะการแต่งกาย
และชายในชุดคลุมลมดำผู้นี้ย่อมเป็นต้วนหลิงเทียนที่ปิดบังตัวตนเอาไว้เป็นธรรมชาติ
“ช้า…ยังช้าเกินไป…ถึงแม้จะฆ่าและดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณผู้คนไปไม่น้อย แต่พรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันล้วนไม่นับเป็นอะไรสำหรับรากวิญญาณสีคราม แทบไม่ต่างจากเติมน้ำหยดเดียวลงถัง…”
ต้วนหลิงเทียนที่กำลังร่อนเร่ไปทั่วนครแห่งบาปอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
“เฮ่! พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ตอนนี้ในนครแห่งบาปเรามีผู้กล้าที่มาในชุดคลุมลมดำคอยช่วยเหลือผู้คนราวกับผดุงคุณธรรมแทนฟ้าด้วย?”
ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งพลันดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน
“ใช่เจ้ากำลังกล่าวถึงชายในชุดคลุมลมดำที่ฆ่าคนของอีกาทมิฬหรือไม่?”
“มิผิด เป็นมันเอง!”
“เจ้าว่ามันเป็นผู้กล้าผดุงคุณธรรมแทนฟ้าหรือ แต่ข้าคิดว่ามันก็แค่ดำกินดำ!”
“เจ้ากล่าวแบบนั้นก็อาจถูก แต่ข้าก็ไม่อาจรังเกียจคนผู้นี้ได้ลง…เพราะอย่างไรหากมิได้ประพฤติตัวต่ำช้าเหมือนคนของอีกาทมิฬ ข้าก็ไม่เห็นว่ามันจะลงมือกับผู้อื่นส่งเดช”
…
ต้วนหลิงเทียนได้ยินวาจาทำนองนี้มานานแล้ว จึงไม่ได้แปลกใจอะไรอีก
ผู้คนในนครแห่งบาปบ้างก็วิจารย์การกระทำของเขาบ้างก็ชมชอบการกระทำของเขา
บางคนคิดว่าเขาผดุงคุณธรรมแทนฟ้า
บางคนคิดว่าเขาก็แค่คนชั่วคนหนึ่ง เสมือนดำกินดำ โจรปล้นโจร
อย่างไรก็ตามไม่ว่าผู้อื่นจะมองและพูดว่าเขาเป็นอะไรยังไง เขาก็ยังคงตระเวนไปทั่วนครแห่งบาปรอให้ผู้ฝึกตนที่คิดก่อกรรมทำชั่วปรากฏตัว
มา 1 ฆ่า 1!
มา 2 ฆ่า 2!
แน่นอนว่าเพื่อยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขา ไม่ว่าจะกี่คนเขาจะฆ่าให้เหี้ยน!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
ทันใดนั้นเองเสียงดังก้องฟ้าเป็นชุดพลันดึงดูดความสนใจของต้วนหลิงเทียนไปทันที
พอต้วนหลิงเทียนหันไปมองก็พบว่า
มีคน 2 คนกำลังประมือกันอย่างดุเดือด พลังฝีมือพวกมันล้วนไล่เลี่ยทัดเทียมยากจะรู้ผลแพ้ชนะต่ำสูงได้ในเวลาอันสั้น
อีกทั้งการประลองของทั้งคู่ ยังดึงดูดความสนใจของผู้คนในนครแห่งบาปไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนที่ซ่อนตัวอยู่ในกลีบเมฆ ก็มีเพียงคนสังเกตเห็นเขาแค่ไม่กี่คนเท่านั้น หาไม่แล้วคงส่งผลกระทบต่อทั้งหมดที่กำลังดูคนตีกันอยู่แน่นอน…เพราะตอนนี้ไม่มีใครในนครแห่งบาปไม่รู้จักเขา
เรียกว่าชายในชุดคลุมลมดำ ร่างหนาพร้อมใส่โม่งดำนั้นเป็นอัตลักษณ์ของเขาไปเสียแล้ว
เรียกว่าในนครแห่งบาปตอนนี้ ขอเพียงใส่ชุดคลุมลมดำปิดบังหน้าตา แม้จะมีรูปร่างขนาดตัวต่างจากต้วนหลิงเทียนทุกคนก็หวั่นเกรงขึ้นเป็นส่วน
“ช่วงนี้นับว่ามีคนเลือกจะสู้ตัดสินกันจนกว่าจะตายกันไปข้างไม่น้อย…”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาขณะชมดูการประลองไกลตา
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เพราะเขาลงมือกับคนที่รอเก็บตก ทำให้มีผู้คนมากมายรอดพ้นความตาย กระทั่งผู้ที่แพ้พ่ายก็ไม่ถูกผู้ใดฉวยโอกาสซ้ำจนตายให้เห็นเหมือนกาลก่อน
เรื่องนี้ทำให้ผู้ฝึกตนพเนจรหลายคนเลือกที่จะสู้ตัดสินกับคู่อริอย่างวางใจ ไม่กลัวถูกใครตลบหลัง
เพราะต้วนหลิงเทียนที่พวกมันไม่มีใครรู้จักมักคุ้น ได้เป็นดั่ง เทพผู้พิทักษ์ ของพวกมันไปซะแล้ว!
ตอนที่ 2,121 : กับดัก?
ต้วนหลิงเทียนเองก็คิดไม่ถึงอยู่บ้างว่าอยู่ๆเขาจะกลายเป็นผู้พิทักษ์อะไรในสายตาเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรในนครแห่งบาปแบบนี้ไปได้…
แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มันอยู่เหนือการควบคุมของเขา
แม้ว่าจะมีการต่อสู้เอาเป็นเอาตายเกิดขึ้นเบื้องหน้า หากแต่ต้วนหลิงเทียนก็เพียงแค่เฝ้ามองหน้าตาเฉย ในใจไม่ได้คิดจะช่วยเหลืออะไรทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้เขาก็เห็นการปะทะกันในนครแห่งบาปมาไม่น้อย ผู้ฉวยโอกาสก็ไม่ใช่ว่าจะมีมาก
เช่นนั้นแล้วหากเป็นการประมือกันของคนสองคน ใครจะเป็นจะตายเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
ที่เขาสนใจก็แค่หลังคนสองคนประมือกันจบ จะมีใครฉวยโอกาสลงมือหรือไม่!
ปงงง!!
ครานี้ก็เช่นกัน การประลองเป็นตายเบื้องหน้า ในที่สุดฝ่ายหนึ่งก็ช่วงชิงจังหวะออกกระบวนท่าสังหารได้สำเร็จ กระทั่งยังเป็นการลงมือแบบแลกชีวิต จ่ายออกด้วยพลังทั้งหมดตบฟาดแลกตายจนเอาชัยคู่ต่อสู้มาได้…
แต่แน่นอนว่าหลังเอาชนะศัตรูได้แล้วมันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
หากเป็นก่อนหน้านี้เมื่อเอาชนะผู้อื่นได้โดยสภาพยักแย่ยักยันขนาดนี้มันคงเร่งรุดหลบหนีไปรักษาตัวแล้ว ด้วยกลัวมีมือที่สามสอดแทรก ทำร้ายกระทั่งฆ่ามันเพื่อชิงผลประโยชน์ทั้งหมด…
ทว่าตอนนี้มันเลือกจะลอยร่างอยู่ที่เดิม หยิบควักโอสถรักษาออกมาใส่ปากกลืนลงคอแล้วนั่งขัดสมาธิกลางหาวเดินพลังรักษาตัวเสียอย่างนั้น!
ทำราวกับตอนนี้รอบๆกายมันไร้ผู้ใดอยู่ด้วย!
“เหอะๆ ดูเจ้านั่นมันทำเข้า…แต่อย่างไรด้วยการปรากฏตัววของชายในชุดคลุมลมดำผู้นั้น สถานการณ์การปะทะของนครแห่งบาปเราก็ดีขึ้นมาก…หากเป็นเมื่อก่อนใครบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ไหนเลยจะกล้าเดินพลังรักษาตัวต่อหน้าผู้คน”
เมื่อเห็นว่าผู้ชนะการประลองเป็นตายถึงกับทำตัวสบายใจได้ขนาดนี้ เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายได้แต่ส่ายหน้าไปมา
ฉากเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหน้านั้น หากเป็นเมื่อก่อนพวกมันคงไม่กล้าแม้แต่จะคิด
“ให้ตายเถอะ แม้ข้าจะรู้สึกอิจฉาและสนใจแหวนพื้นที่ของมันกับคนที่ตายไปไม่น้อย กระทั่งยังมั่นใจว่าคิดฆ่ามันตอนสภาพร่อแร่เช่นนี้คงง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือ…แต่พอคิดถึงว่าชายในชุดดำผู้นั้นอาจจะโผล่ออกมาตอนไหนก็ไม่ทราบ ข้าก็ไม่กล้าลงมือจริงๆ”
ผู้ฝึกตนพเนจรคนหนึ่งกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแหยๆ
ในอดีตมันก็ไม่ต่างอะไรจากคนของอีกาทมิฬ ชมชอบเก็บตกอาศัยจังหวะที่ผู้อื่นอ่อนแอ ช่วงชิงทุกสิ่งอย่างมาเป็นของตัว แต่โชคดีนักช่วงที่ชายชุดดำปรากฏตัวขึ้นมา มันยังไม่ได้ลงมือทำอะไร หาไม่แล้วมันอาจจะกลายเป็นผีภายใต้การลงมือของชายุดดำอย่างไม่ทันได้รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม เห็นคนบาดเจ็บรอแร่ไร้หนทางสู้อยู่เบื้องหน้าแบบนี้ มันย่อมบังเกิดอาการคันในหัวใจยากจะเกานัก! อยากลงมือเหลือเกิน…แต่ใจไม่กล้า!!
ผู้ใดจะไปรู้ว่าชายชุดดำใช่ซุ่มซ่อนตัวอยู่แถวนี้หรือไม่?
มันไม่กล้าเสี่ยง!
เพราะมันต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน!
หากมันแพ้เดิมพัน มันก็ต้องจ่ายราคาด้วยชีวิต!
“มีไม่น้อยที่บอกว่าชายชุดดำผู้นั้นเป็นดั่งดำกินดำ…ในสายตาข้านี่ล้วนเป็นการใส่ร้ายป้ายสีชัดๆ! พักหลังๆมานี้ในนครแห่งบาปเรามีผู้ลงมือประลองกันและบาดเจ็บจนอาการร่อแร่เช่นนี้ก็มาก แต่ข้ามิเห็นว่าชายในชุดดำผู้นั้นจะลงมือทำอะไร…สมควรลงมือเพื่อความถูกต้องแล้วจริงๆ”
“ใช่ ข้าคิดว่าชายในชุดดำผู้นั้นมิใช่ดำกินดำอย่างว่า อีกทั้งธาตุแท้สมควรไม่ใช่คนใจหยาบช้าอะไร”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรเห็นด้วย
เปรี๊ยงง!!
อย่างไรก็ตามในขณะที่ผู้ฝึกตนพเนจรรอบๆกำลังจะแยกย้ายกันจากไปนั้น เสียงปานฟ้าสนั่นกึกก้องพลันดังขึ้น
เป็นมวลพลังอันยิ่งใหญ่สุดไพศาลขุมหนึ่ง ที่ราวกับจะผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า มันพุ่งกระแทกทำร้ายเข้าใส่ร่างชายที่นั่งขัดสมาธิเดินพลังรักษาตัวอย่างไร้ปราณี เข่นฆ่าสังหารคนอย่างที่ไม่ทันได้รู้ตัว! ผู้ฝึกตนพเนจรที่เก็บกู้ชีวิตมาจากการประลองได้ กลับต้องตายไปในลักษณะนี้!!
หลังร่างมันระเบิดเป็นหมอกโลหิต ก็คงเหลือแหวนพื้นที่ วงหนึ่งที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
“ตะ…ตายแล้ว?”
ผู้คนในจุดเกิดเหตุหลายคนยังตะลึงกันไม่หาย
“ยะ…ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์!”
นอกจากนั้นยังมีผู้ที่ตระหนักได้ว่ามือมืดที่ลงมือเมื่อครู่ สมควรเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์! หาไม่แล้วคงไม่มีทางฆ่าผู้ฝึกตนพเนจรที่เดินพลังเบื้องหน้ามันได้ง่ายดายโดยที่พวกมันไม่อาจตอบสนองสิ่งใดได้ทันแบบนี้!!
“หือ?”
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนที่กำลังจะเหินร่างจากไปจำต้องหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน เขาหันไปมองทิศทางหนึ่งด้วยสายตาเย็นชาทันที
เหนือขึ้นไปบนฟ้าสูงหลังม่านเมฆ ปรากฏร่างหนึ่งลอยล่องอยู่กลางหาว!
‘คนของอีกาทมิฬงั้นเหรอ’
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นทันทีที่เห็นเครื่องต่างกายของชายคนนั้น เป็นเครื่องแต่งกายของกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬ!
เมื่อไม่นานมานี้เขาฆ่าคนของอีกาทมิฬไปมากมายก่ายกอง เช่นนั้นเครื่องแต่งกายเฉพาะของพวกมันย่อมไม่ใช่อะไรที่แปลกตาเขา
‘ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์งั้นเหรอ? น่าสนใจดีนี่…’
ในอดีตคนของอีกาทมิฬที่ร้ายกาจที่สุดที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอ ก็เป็นเพียงยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุดเท่านั้น
ดังนั้นระดับพรสวรรค์รากวิญญาณที่เขากลืนกินเข้าไป มันช่างอ่อนด้อยนัก!
ทว่าตอนนี้คนของอีกาทมิฬที่บรรลพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนสวรรค์ปรากฏขึ้น ย่อมทำให้เขารู้สึกยินดีไม่น้อย
การที่อีกฝ่ายทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้ นั่นหมายความว่าอย่างน้อยๆพรสวรรค์รากวิญญาณของอีกฝ่ายก็ต้องเหนือกว่าคนของอีกาทมิฬขอบเขตเซียนนภาที่เขาเจอมา!
“มันเป็นคนของอีกาทมิฬแท้ๆ แต่มันถึงกับกล้าลงมือโดยไม่กลัวว่าจะถูกชายชุดดำฆ่าตายรึ?”
ต้วนหลิงเทียนจดจำได้ว่ามันเป็นคนของอีกาทมิฬ แน่นอนว่าผู้ฝึกตนคนอื่นๆที่อยู่ในจุดเกิดเหตุพอเห็นชุดก็จดจำได้เช่นกัน
“พวกเจ้ามิเห็นพลังของมันตอนลงมือเมื่อครู่รึไง? มันสมควรเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์! มันอาจจะไม่ได้กลัวชายชุดดำ!”
“จริงสิ ชายชุดดำนั่นแม้พลังฝีมือจะไม่ใช่ชั่ว แต่จนถึงตอนนี้ที่ร้ายกาจที่สุดที่ฆ่าไปก็แค่ขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุดเท่านั้น…บางทีอาจไม่มีพลังฝีมือสูงพอจะฆ่าเจ้านั่นก็ได้!”
“เป็นไปได้ คนของอีกาทมิฬผู้นี้ไม่รีบร้อนจากไปหลังฆ่าคน…เห็นได้ชัดว่ามันไม่กลัวชายชุดดำจริงๆ!”
“ไม่ทราบว่าชายชุดดำจะปรากฏตัวออกมาหรือไม่”
……
ภายใต้สายตาของผู้ฝึกตนพเนจร คนในชุดอีกาทมิฬนั่นหลังฆ่าคนแล้วก็สะบัดมือเก็บแหวนพื้นที่ๆกำลังร่วงตกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
อีกทั้งหลังเก็บแหวนพื้นที่มาแล้ววมันก็ไม่ได้ไปไหน เพียงหันซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังมองหาอะรางอย่างอยู่
“นั่นมันกำลังหาอะไร?”
“อย่าบอกข้านะ…ว่ามันกำลังรอให้ชายชุดดำปรากฏตัว!?”
“เจ้าคนของอีกาทมิฬที่ดูเหมือนจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ผู้นี้ ดูท่าทางจะมาเพื่อล่อชายชุดดำให้ปรากฏตัวแล้วจริงๆ มิพ้นต้องคิดล้างแค้นให้คนของอีกาทมิฬที่ต้องตายไปแน่!”
“อาจเป็นได้!”
……
เมื่อเห็นว่าคนของอีกาทมิฬที่สมควรบรรลุถึงขอบเขตเซียนสววรรค์ ไม่รีบร้อนจากไปไหน เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายก็คาดเดาวัตถุประสงค์ของมันออกได้ทันที ทั้งยังมั่นใจกันนัก!
หากไม่ใช่เพราะขอบเขตเซียนสวรรค์ของอีกาทมิฬคนนี้อยากเจอชายชุดดำ ไฉนมันต้องเลือกจะทำแบบนี้ด้วย?
ต้องทราบด้วยว่าสองคนที่ประลองเป็นตายกันเมื่อครู่ อย่างไรก็แค่ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนนภา! ตัวมันที่เป็นขอบเขตเซียนสววรรค์คิดฆ่าคนชิงทรัพย์จริงทำไมต้องรอให้ทั้งคู่ตีกันจบก่อน? ให้ทั้ง 2 คนนั่นกลุ้มรุมในสภาพสมบูรณ์ยังไม่คณนามือมันด้วยซ้ำ!!
อาศัยพลังฝีมือของมันไม่จำเป็นต้องมารอโอกาสลงมืออะไรแบบนี้!
ดังนั้นเหล่าผู้ฝึกตพเนจรทั้งหลายในที่นี้จึงตระหนักกันได้ทันทีว่าวัตถุประสงค์การมาของมันคือจัดการกับชายชุดดำ!
“ไม่ทราบชายชุดดำจะปรากฏตัวออกมาหรือไม่หลังทราบเรื่องนี้…”
ผู้ฝึกตนพเนจรหลายคนย่อมอยากรู้เรื่องนี้
“ยังจะมาอีกหรือ? ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์คนนี้ของอีกาทมิฬเตรียมตัวมาแล้วอย่างเห็นได้ชัด…ไม่ต้องกล่าวถึงพลังฝีมือส่วนตัวของมัน เผลอๆแถวนี้อาจจะมีคนของอีกาทมิฬมาซุ่มจับตาดูและตรึงกำลังเอาไว้แล้วก็เป็นได้!”
ผู้ฝึกตนพเนจรบางคนกล่าวออกตาใส
“หากข้าเป็นชายชุดดำข้าย่อมไม่มาหรอก…เห็นชัดๆว่านี่มันขุดหลุมพรางล่อกันโต้งๆ!”
“ข้าก็ว่างั้น…”
……
ด้วยการลงมือของต้วนหลิงเทียนในฐานะชายชุดดำ ทำให้ผู้ฝึกตนเนจรหลายคนรู้สึกประทับใจไม่น้อย มีหลายคนที่หวังว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ออกมาติดกับ
“กับดักรึ?”
ต้วนหลิงเทียนที่ซ่อนตัวในกลีบเมฆเร่งถามผู้เฒ่าหั่วทันที เพื่อให้ผู้เฒ่าหั่วช่วยเขาตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกแรงว่ามีผู้ใดซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดหรือไม่ หากมีแล้วพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตใด
มีเพียงระวังจึงแล่นเรือข้ามฟากได้นับหมื่นปี
ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจความจริงข้อนี้ดี
ในเวลาเดียวกันกับที่มีผู้ฝึกตนพเนจรมากมายหลายคนคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่มา พวกมันก็แยกย้ายกันไปแพร่กระจายเรื่องราวที่เกิดขึ้น
หลังจากออกไปแพร่เรื่องราว ก็มีผู้ฝึกตนพเนจรมารวมตัวเพื่อชมดูความสนุกกัน
ทันทีที่มีคนมาชมดูเรื่องราวมากเข้า ในที่สุดก็มีคนจดจำคนของอีกาทมิฬที่เฝ้ารอนั่นได้ “ช้าก่อน…นั่น…มิใช่…เจียวจ้าน หนึ่งในรองผู้นำกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬหรือไร?!”
“เจียวจ้าน? รองผู้นำ?”
ทันใดนั้นผู้คนก็ฮือฮากันขึ้นมาทันที
เมื่อผู้ฝึกตนพเนจรโดยรอบมองไปยังร่างคนของอีกาทมิฬที่ลอยร่างรอคอยอย่างสงบอีกครั้ง สายตาของพวกมันก็เปลี่ยนไปไม่น้อย
ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้พวกมันต่างคิดว่า คนของอีกาทมิฬผู้นี้ก็เป็นเพียงยอดฝีมือคนหนึ่งที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์เท่านั้น
แต่ทั้งหลายไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึง รองผู้นำอีกาทมิฬคนหนึ่ง เจียวจ้าน!
เพราะเจียวจ้านนั้นนอกจากจะเป็นชนชั้นรองผู้นำของกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬแล้ว พลังฝีมือของมันยังจัดว่าอยู่ในชนชั้นยอดฝีมือของขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน! รั้งอยู่ในอันดับที่ 566 ของรายนามยอดเซียน!!
“ที่แท้มันคือเจียวจ้านรองผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬ…มันมาคนเดียวเลยหรือ?”
“ชัดเจนแล้วว่ามันมาเพื่อชายชุดดำ…ถึงมันจะมาแค่คนเดียวก็ไม่แน่ว่าชายชุดดำจะกล้ามาปรากฏตัวที่นี่!”
“ดูท่าท่าวันนี้คงไม่มีเรื่องราวใดให้ดูชมแล้ว…”
……
พอทราบว่าคนของอีกาทมิฬที่ลงมือฆ่าคนและรอคอยอยู่พักหนึ่งคนนี้ที่แท้ก็คือชนชั้นรองผู้นำอีกาทมิฬอย่างเจียวจ้าน เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรไม่เพียงแปลกใจ ยังเริ่มมั่นใจว่าต้วนหลิงเทียนไม่กล้าปรากฏตัวออกมาแน่
“รองผู้นำกองกำลังอีกาทมิฬ เจียวจ้านรึ?”
ทว่วาทันใดนั้นเอง เสียงไม่แยแสหนึ่งพลันดังขึ้นมาในอากาศ
เสียงกล่าววาจานี้ไม่ได้ดังมากมายอะไร หากแต่คล้ายมีพลังอำนาจวิเศษแฝงเร้น จึงกึกก้องไปทั่วสารทิศ ดังฟังชัดในหูทุกผู้คน!
และหลังเสียงกล่าวดังขึ้นได้ไม่นาน ร่างหนึ่งก็ค่อยๆปรากฏกายออกมาจากม่านเมฆ
เนื่องจากสวมใส่ด้วยชุดคลุมลมดำมิดชิด จึงไม่ทราบว่าภายใต้โม่งดำนั้นที่แท้คนมีหน้าตาเช่นไรกันแน่
อย่างไรก็ตามฟังจากเสียงพูดจาก็ยืนยันได้ประการหนึ่ง
คนในชุดคลุมลมดำผู้นี้เป็นบุรุษ!
“ชายในชุดคลุมลมดำ!”
เมื่อเห็นร่างในชุดคลุมลมสีดำปรากฏตัวขึ้นฉากเรื่องราวก็ดั่จะลุกไหม้เป็นเพลิงไฟ แต่ละคนเผยความประหลาดใจ ทั้งคาดไม่ถึงออกมาถ้วนหน้า
“มัน…ถึงกับมาจริงๆ? มันไม่กลัวเจียวจ้านจะฆ่ามันรึไง?”
“หรือมันไม่รู้ว่าเจียวจ้านนั้นพลังฝีมือร้ายกาจและเป็นชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน อันดับที่ 566 ของรายนามยอดเซียน?”
“สวรรค์มีทางไม่เดิน นรกไร้ประตูกลับมุดมา…”
……
เผล่าผู้ฝึกตนพเนจรมากมายหลายคนมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียนในมาดชายชุดคลุมลมดำด้วยสายตาสงสารทั้งเสียดาย บ้างก็ส่ายหัวไปมา
ยังมีผู้ฝึกตนพเนจรหลายคนหวังดีส่งเสียงผ่านพลังบอกให้ต้วนหลิงเทียนรีบหนีไป
“เจ้า…คือคนที่ลงมือเข่นฆ่าคนอีกาทมิฬของข้าในนครแห่งบาปก่อนหน้ารึ?”
เจียวจ้านมองจ้องไปยังร่างของต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาเยียบเย็น กล่าวถามออกมาเสียงเข้ม
ตอนที่ 2,122 : ยอดสมบัติสวรรค์ บรรทัดจักรวาล!
เพียงวาจาแรกที่กล่าวถาม เจียวจ้านก็คิดยืนยันตัวตนของต้วนหลิงเทียน
เพราะหลังจากเกิดเรื่องราวดังกล่าวขึ้น ก็มีผู้คนไม่น้อยใส่ชุดคลุมลมดำในนครแห่งบาป มันจึงไม่แน่ใจว่าชายในชุดคลุมลมดำเบื้องหน้าจะเป็นคนๆเดียวกับชายชุดดำที่เข่นฆ่าสังหารคนพันธมิตรอีกาทมิฬของมันหรือไม่
แน่นอนว่าต่อให้เบื้องหน้าจะไม่ใช่ชายชุดดำตัวจริง มันก็ไม่คิดแสดงความเมตตา!
“เจ้าเป็นพี่ชายเจียวถู?”
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนในชุดคลุมลมดำก็รู้สึกว่าชื่อเจียวจ้านนี้มันคุ้นหูอย่างไรชอบกล หลังจากคิดไปพักหนึ่งจึงนึกออก ว่านี่ไม่ใช่นามของพี่ชายคนของอีกาทมิฬที่เขาเคยฆ่าไป ‘เจียวถู’ หรือ?
เขายังจดจำได้
ก่อนที่เขาจะฆ่าเจียวถู อีกฝ่ายก็ยกอ้างอัตลักษณ์ของพี่ชายที่เป็นรองผู้นำอีกาทมิฬออกมาหมายข่มเขา
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าเจียวจ้านเองก็คงไม่คิดไม่ฝันจริงๆ
ว่าชายในชุดคลุมลมดำที่ลอยร่างอยู่กลางอากาสเบื้องหน้ามันคนนี้ ไม่เพียงแต่จะเข่นฆ่าคนพันธมิตรอีกาทมิฬมันไปมากมาย ยังเป็นมือสังหารคร่าชีวิตน้องชายมัน เจียวถู อีกด้วย!
แน่นอนว่าเจียวจ้านย่อมไม่มีวันคิดคาดจินตนาการออกได้ ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดจะบอกมันสักนิด
“ก็แค่กลุ่มตัวไม่เอาไหนประพฤติตัวดั่งสุนัขลอบกัด ฆ่าพวกมันทิ้งไปแล้วจะทำไม?”
เผชิญหน้ากับเจียวจ้านที่กล่าวถามมาเสียงเข้ม ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกไปอย่างเฉยเมย ใบหน้าส่วนที่เผยให้เห็นนอกโม่งดำไร้อารมณ์ถึงที่สุด ทำราวกับไม่คิดว่าการฆ่าคนอีกาทมิฬเป็นเรื่องที่ต้องเก็บเอามาใส่ใจอะไร
อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ใส่ใจจริงๆ
ในนครแห่งบาป เขาเจอคนของอีกาทมิฬไม่น้อย
แต่คนของอีกาทมิฬที่เขาฆ่าไปทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ประพฤติตัวดั่งเฒ่าประมงรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากผู้อื่นทั้งสิ้น
เพราะสำหรับคนสารเลวเหล่านี้ ต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่าทิ้งได้โดยไม่รู้สึกติดค้างอะไรในใจ
โอ! อา!
วาจาต้วนหลิงเทียนดังไม่ทันขาดคำดี เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงก็กระหึ่มขึ้นมา ผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียนด้วยความทึ่ง
พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะดุร้ายขนาดนี้!
เผชิญหน้ากับรองผู้นำกองกำลังอีกาทมิฬ เจียวจ้านที่อยู่ในอันดับที่ 566 ของรายนามยอดเซียน…
แต่ยังกล้าที่จะหยิ่งผยองถือดีแบบนี้…หรือคนไม่กลัวความตายแล้วจริงๆ?
“กล้าที่จะกล่าวออกมาด้วยท่าทีเช่นนั้นต่อหน้าเจียวจ้าน…หรือพลังฝีมือของมัน ที่แท้จะกล้าแข็งเหนือกว่าเจียวจ้าน!?”
ทันใดนั้นเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรคนหนึ่งก็กล่าวคาดเดาออกมา
และสิ่งที่มันพูด ก็สร้างความโกลาหลในหมู่ผู้ชมทันที
“ฟังที่เจ้าว่าแล้ว…อาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ!”
“ข้าเองก็ต้องคิดใหม่อีกรอบ…นั่นสิไฉนต้องมองว่าเจียวจ้านเหนือกว่าด้วย? มิใช่ว่าบางทีชายชุดดำอาจจะร้ายกาจกว่าเจียวจ้านหรอกหรือ? พอนึกขึ้นมาข้าก็จดจำได้ว่าก่อนหน้านี้มิว่าใคร ชายชุดดำก็อาศัยเพียงหนึ่งกระบวนเพื่อสังหารเท่านั้น!”
“ใช่แล้วถึงแม้กล่าวได้ว่าผู้ที่ตกตายด้วยน้ำมือชายชุดดำจะเป็นเพียงเซียนนภาขั้นสูงสุด…แต่ยังมีใครกล้าพูดว่าชายชุดดำก็ไม่ใช่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์เช่นกัน?”
…
เมื่อผู้ฝึกตนทั้งหลายเริ่มสนทนากันอีกครั้ง หัวข้อของพวกมันก็แปรเปลี่ยนไป
และวาจาที่เปลี่ยนของผู้คนก็ดังเข้าหูเจียวจ้านเช่นกัน ยังทำให้หน้ามันเปลี่ยนสีไปไม่น้อย
เพราะหลังได้ยินวาจาที่ดั่งจะกระตุ้นเตือนของผู้ฝึกตนพเนจรโดยรอบ มันก็รำลึกได้ถึงความจริงข้อหนึ่ง
มันยังไม่ล่วงรู้ถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของชายชุดดำ ว่าแข็งแกร่งเพียงใด…
แต่เนื่องจากอีกฝ่ายกล้าปรากฏตัวออกมาในเวลาแบบนี้ จึงมีความเป็นไปได้เพียงแค่ 2 ประการเท่านั้น…
ประการแรกคือเสแสร้งแสดงลึกลับ หมายวางมาดยอดฝีมือเพื่อรักษาหน้าตา ก่อนที่จะหาโอกาสล่าถอยไปเมื่อสบโอกาสเหมาะ
ความเป็นไปได้ประการที่สองคือ อีกฝ่ายแข็งแกร่งเหนือมัน และไม่ได้กลัวมันแม้แต่น้อย…
“ก็แค่กลุ่มตัวไม่เอาไหนประพฤติตัวดั่งสุนัขลอบกัด ฆ่าพวกมันทิ้งไปแล้วจะทำไม?”
วาจาหยิ่งผยองของต้วนหลิงเทียนพลันดังก้องขึ้นในหูเจียวจ้านอีกครั้ง ทำให้ความคิดเจียวจ้านโน้มเอียงไปยังประการที่สองมากขึ้นเรื่อยๆ…
ชายชุดดำผู้นี้แข็งแกร่งเหนือมัน!
“เจ้าฆ่าคนของอีกาทมิฬเราไปมากมาย…ท่านผู้นำของเราไม่มีวันละเว้นเจ้าแน่! เจ้าล้างคอรอไว้เถอะ!!”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง เจียวจ้านก็กล่าววาจาทิ้งท้ายอย่างอาฆาตและคิดจากไปหน้าด้านๆ…
มันหันหลังและเตรียมเหินร่างจากไปทันที
มันตัดสินใจแล้ว
วันนี้ต่อให้มันจะเสียหน้าก็ช่าง แต่มันขอถอยก่อน!
เกิดพลังฝีมือคู่ต่อสู้สูงส่งกว่ามัน มันไม่ดับดิ้นเอารึ!?
ในกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬนั้น ยังมีอีกคนที่พลังฝีมือกล้าแข็งเหนือกว่ามัน! เช่นนั้นในสายตาของมันก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไปที่จะจัดการชายชุดดำคนนี้ หลังจากรอให้ผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬของมันกลับมาก่อน!!
ดังนั้นเจียวจ้านจึงตัดสินใจที่จะไม่เสี่ยง!
ทว่าตอนนี้มันคิดไป…แต่มันจะไปได้หรือ!?
วูบ!!
ต้วนหลิงเทียนในชุดคลุมลมดำวูบร่างไปดั่งผีสาง จังหวะที่เจียวจ้านหันกลับไปเตรียมหนีอย่างมีมาด ต้วนหลิงเทียนก็ไปผุดโผล่เบื้องหน้ามันอย่างที่ไม่ทันรู้ตัวเสียแล้ว
เห็นต้วนหลิงเทียนมาหยุดขวางเบื้องหน้าแบบนี้ สีหน้าท่าทีเจียวจ้านเปลี่ยนไปทันใด
ขณะเดียวกันเหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายก็พยายามดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
ในหูของพวกมันยังมีวาจาของเจียวจ้านดังก้อง “เจ้าฆ่าคนของอีกาทมิฬเราไปมากมาย…ท่านผู้นำของเราไม่มีวันละเว้นเจ้าแน่! เจ้าล้างคอรอไว้เถอะ!!”
ฟังจากคำของเจียวจ้านแล้ว…ไม่ใช่ว่ามันกลัวชายชุดดำแล้วคิดจะหนีรึไง!?
ทันใดนั้นเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายก็รู้สึกตัว พวกมันหันไปมองเจียวจ้านด้วยสายตาดูแคลนไม่น้อย บางคนยังถึงกับกล่าวถากถางออกมาอย่างห้ามไม่ไหว
“เจียวจ้านผู้นี้ช่างหน้าทนจริงๆ…หากมันจะปอดแหกเช่นนี้แล้วจะปรากฏตัวอย่างดุร้ายแต่แรกทำอะไร…”
“ข้าเดาว่ามันคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายชุดดำจะมีพลังฝีมือเหนือกว่ามัน…ตอนนี้พอชายชุดดำปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆทั้งยังมีทีท่าว่าไม่ได้กลัวอะไรมันแม้แต่น้อย มันเลยเกิดกลัวขึ้นมา และอันที่จริงข้าก็เริ่มรู้สึกว่าพลังฝีมือของชายชุดดำสมควรเหนือกว่ามันจริงๆ!!”
“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน…แต่ว่านี่จะไม่ไร้ยางอายไปหน่อยหรือ มันกระทำเช่นนี้มิใช่แค่ทำตัวเองเสียชื่อ ยังพาลให้พันธมิตรอีกาทมิฬเสียชื่อเช่นกันหมด!”
“ไร้ยางอาย? เทียบกับชีวิตสุนัขของมันแล้ว…เจ้าว่ามันยังจะต้องอายอันใดอีก?”
…
ตอนแรกก็มีผู้ฝึกตนพเนจรไม่กี่คนที่ปริปากกล่าววาจาแดกดันประชดประชัน ทว่าต่อมาก็เริ่มมีผู้ฝึกตนเพนจรกล่าวออกทับถมเจียวจ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ เดิมทีคนของกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬก็ประพฤติตัวไม่ค่อยจะดีกันอยู่แล้ว ยังชมชอบฉวยโอกาสอย่างน่าเกลียด ทำให้ชื่อเสียงในนครแห่งบาปย่ำแย่เป็นทุน
อย่างไรก็ตามด้วยกำลังรบโดยรวมของอีกาทมิฬไม่ใช่ต่ำทราม ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ย่อมไม่กล้าพูด
แต่ในที่สุดพวกมันก็มีโอกาสได้เสียดสีเจียวจ้านรองผู้นำอีกาทมิฬทั้งที จึงจัดหนักจัดเต็มไม่มีพลาด!
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ผ่านหมู่บ้านนี้ไป ไร้ร้านค้าใดอีก’ พวกมันย่อมไม่อยากพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้แน่นอน จึงเร่งกล่าวถล่มเจียวจ้านออกมาด้วยความขบขันไม่หยุดปานแม่น้ำหวงเหอในชีวิตที่แล้วของต้วนหลิงเทียน
(ผ่านหมู่บ้านนี้ไป ไร้ร้านค้าใดอีก = น้ำขึ้นให้รีบตัก,รีบฉวยโอกาสให้มากเพราะอาจไม่มีอีกแล้ว / หวงเหอ,ฮวงโห = แม่น้ำเหลือง มันไหลเชี่ยวเกรี้ยวกราดมาก! )
เรียกว่าวาจาที่ประดังเข้ามาดั่งแม่น้ำหวงเหอของผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายโดยรอบ ทำให้สีหน้าเจียวจ้านถึงกับเปลี่ยนเป็นเขียวสลับขาวทันที
“เจ้าจะสู้กับข้าให้ได้?”
เจียวจ้านพลันตอนนี้อาการปานจะ ‘ไล่ให้เป็ดขึ้นคอน’ มองต้วนหลิงเทียนที่หยุดขวางเบื้องหน้ากล่าวถามออกมาเสียงเข้ม
(ไล่ให้เป็ดขึ้นคอน = พยายามจะทำในสิ่งที่ทำไม่ได้ / ไก่มันโดดขึ้นไปเกาะบนคอนได้ แต่เป็ดทำไม่ได้ ความสามารถไม่ถึง)
ขณะเดียวกันกับที่มันกล่าว ทั่วร่างพลันปรากฏพลังกดดันแฝงเร้นไว้ด้วยจิตสังหารอำมหิตแผ่พุ่งไปยังร่างต้วนหลิงเทียน
ที่มันกระทำเช่นนี้เพื่อทดสอบต้วนหลิงเทียน
หากตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังเสแสร้งวางมาดยอดฝีมือล่ะก็ เมื่อโดนแรงกดดันพลังพร้อมจิตสัหารมันกดทับ หน้าต้วนหลิงเทียนสมควรเปลี่ยนสี และมันก็จะลงมือฆ่าคนทันที
ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่จะกู้หน้าที่เสียไปคืนมาได้ แต่ยังกู้คืนชื่อเสียงของพันธมิตรอีกาทมิฬในนครแห่งบาปได้ด้วย
อย่างไรก็ตามกลับเป็นสีหน้าของเจียวจ้านที่เปลี่ยนไปเสียเอง…
เพราะมันพบว่าชายชุดดำเบื้องหน้าไม่สะทกสะท้านใดๆกับแรงกดดันพลังแฝงจิตสังหารของมันแม้แต่น้อย อีกฝ่ายนิ่งไม่ไหวติงปานขุนเขา อีกทั้งใบหน้ายังถูกปกปิดไปด้วยโม่งดำ ยากจะแลเห็นความเป็นไปใดๆ…
“รองผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬ…คำถามโง่ๆแบบนี้เจ้ายังกล้าถามออกมาอีกหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงระอา
และทันทีที่วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนดังขึ้น เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรโดยรอบถึกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจห้าม
‘หนี!!’
เจียวจ้านเองก็ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนท่าทางจะมั่นใจมากว่าสามารถฆ่ามันได้ หน้ามันเปลี่ยนสีไปไม่เป็นท่า เร่งหันหลังอีกรอบและเตรียมวิ่งหนีออกไปให้ไวดั่งแสง
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนดั่งจะแลเห็นอนาคตก็ไม่ปาน ร่างกลับวูบมาหยุดเบื้องหน้าของเจียวจ้านอีกครั้ง
เจียวจ้านไม่มีเวลาให้หลบหนีไปไหน
วูบ!
ดังอัสนีวาบลั่น ต้วนหลิงเทียนพลันสะบัดมือคราหนึ่งปรากฏ ไม้บรรทัด ผุดโผล่จากความว่างเข้ามือปานสายฟ้า ไม้บรรทัดนี้ช่างเรียบง่ายแลดูธรรมดาถึงที่สุด
“เคลื่อนย้ายจักรวาล!”
ไม้บรรทัดดังกล่าว ก็คือ ‘บรรทัดจักรวาล’ อันเป็นยอดสมบัติสวรรค์ที่วางตั้งอยู่บนแท่นศาสตราประจำชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7สมบัติ!
สำหรับ ‘เคลื่อนย้ายจักรวาล’ นั้น เป็นความสามารถพิเศษของบรรทัดจักรววาล
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนเรียกบรรทัดจักรวาลออกมา พลังเซียนสุริยันอันเทียบได้กับพลังของขอบเขตเซียนสวรรค์ของเขาก็โคจรเชี่ยวปานน้ำหลาก ถ่ายทอดลงสู่บรรทัดไม่กี่ฉื่อในมือ ใช้ออกด้วยคววามสามารถวิเศษ ‘เคลื่อนย้ายจักรวาล’ ทันที
ในห้วงเวลาเพียงเสี้ยวพริบตาหลังพลังอำนาจลี้ลับสำแดงอานุภาพ ไม่ทันที่เจียวจ้านและผู้ฝึกตนโดยรอบจะทันได้รู้ตัว พลันมีแสงสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้า กลิ่นอายพลังลี้ลับขุมหนึ่งสาดกำจายออกมา ยังทำให้เจียวจ้านรู้สึกเสมือนโลกหมุนวนไปไร้ทิศทางร่างถูกฉุดดึงไปไม่อาจควบคุม
เผชิญหน้ากับพลังลี้ลับสุดหยั่งถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว เจียวจ้านและคนอื่นๆก็ไม่อาจตอบสนองสิ่งใดได้ทัน
และในห้วงเวลาชั่วพริบตาดุจฟ้าแลบนั้น
“ปฐมเวทย์กลืนกิน”
โดยยึดต้วนหลิงเทียนเป็นจุดศูนย์กลางบังเกิดวังวนพลังขุมหนึ่งผุดขึ้น แม้วังวนนี้จะปรากฏในช่วงเวลาพริบตาพร้อมๆกับแสงสว่างที่ส่องสาด แต่มันก็ดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินเข้าร่างฮวบใหญ่ปานสัตว์ร้ายหิวโหย
เจียวจ้านและผู้ฝึกตนคนอื่นๆตอนนี้ที่ถูกรบกวนด้วยแสงสว่างทั้งพลังอำนาจลี้ลับของบรรทัดจักรวาลย่อมไม่อาจแลเห็นวังวนพลังจากปฐมเวทย์กลืนกินของต้วนหลิงเทียน กระทั่งไม่อาจจับสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงในพลังวิญญาณฟ้าดินได้
และในชั่วพริบตานั้นพลังเซียนสุริยันในร่างต้วนหลิงเทียนก็เพิ่มพูนขึ้นสูงจนบรรลุขอบเขตอันเหนือกว่า…
มากพอจะเทียบได้กับตัวตนขอบเขตเซียนสววรรค์ 3 เปลี่ยนที่พึ่งทะลวงผ่าน!
ครู่ต่อมา เจียวจ้านที่ผงะไป พลันดึงสติกลับมารู้สึกตัวได้อีกครั้ง
ฟุ่บ!
หากแต่ร่างต้วนหลิงเทียนพลันวูบมาถึงเบื้องหน้าเจียวจ้านปานสายลมกรรโชก ทำให้เจียวจ้านที่พึ่งรู้สึกตัวหน้าเปลี่ยนสีทันที
ฉัวะ!
พร้อมกันนั้นเองเสียงดั่งวัตถุมีคมบาดเฉือนเลือดเนื้อพลันดังขึ้น
เป็นต้วนหลิงเทียนที่จ่ายพลังเซียนสุริยันฉาบเคลือบยอดสมบัติสวรรค์ในมือ บรรทัดจักรวาล เอาไว้จนมันแหลมคมปานมีดดาบ ฟันฟาดไปทางเจียวจ้าน
ไม่ได้ใช้วรยุทธ์เซียนใดๆ ไร้เวทย์พลัง
เพียงใช้พลังลึกล้ำจากเคล็ดยอดใจกระบี่ผสานกับบรรทัดจักรวาลที่ฉาบไว้ด้วยพลังเซียนสุริยันอันกล้าแกร่งฟันเข้าใส่เจียวจ้านตรงๆเท่านั้น
ตอนที่ 2,123 : ระเบิด!
สมบัติสวรรค์นั้นยังแบ่งออกเป็นหลายประเภท
ตัวอย่างเช่นกระบี่นิลสวรรค์ที่เป็นสมบัติสวรรค์ประจำชั้นที่ 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น เป็นสมบัติสวรรค์ที่เรียกว่าใช้จู่โจมเป็นหลัก
ส่วนง้าวเทวะสะท้านที่อยู่นั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เป็นสมบัติสวรรค์ที่พร้อมพรั่งทั้งรุกและรับ
ส่วน บรรทัดจักรวาล บนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น มันเป็นสมบัติสวรรค์ประเภทสนับสนุนก็ว่าได้ เพราะมันสามารถสร้างคามสับสนให้กับศัตรูด้วยพลังพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ ‘เคลื่อนย้ายจักรวาล’ ทำให้ศัตรูสับสน
แน่นอนว่าด้ววยพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ เขาไม่อาจใช้พลังพิเศษ ‘เคลื่อนย้ายจักรวาล’ ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ตอนที่ใช้ออกด้วยเคลื่อนย้ายจักรวาลเมื่อครู่ ผลของมันยังเล็กน้อยนัก
เจียวจ้าน รองผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬหลังสับสนงุนงงไปชั่วขณะ มันก็หลุดออกจากพลังพิเศษที่สะกดควบคุมร่างของบรรทัดจักรวาล ‘เคลื่อนย้ายจักรวาล’ ที่ต้วนหลิงเทียนใช้ใส่มันได้ไม่ยาก
แต่กระนั้นพลังพิเศษก็ส่งผลกระทบต่อมันไม่น้อย
“แย่แล้ว”
ทันทีที่มันรู้สึกตัว มันก็พบว่าบัดนี้ร่างต้วนหลิงเทียนอยู่ตรงหน้ามัน! ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายพลังเข้มแข็งคมกล้าสายหนึ่งก็พุ่งจี้เข้าหาลำคอมันด้วยความเร็วสูง! มันเร่งร้อนใช้ออกด้วยเววทย์พลังป้องกัน ทั้งวรยุทธ์เซียนสายป้องกันทั้งหมดที่มีอย่างร้อนรนใจ!!
อย่างไรก็ตามทุกสิ่งที่มันฝึกปรือมาชั่วชีวิตและรีบร้อนใช้ออกมานั้น…
ต่อหน้าบรรทัดจักรวาลของต้วนหลิงเทียนอันเป็นยอดสมบัติสวรรค์ ซึ่งสมควรดำรงอยู่แต่ในระนาบเทวโลก จึงมีพลานุภาพเหนือล้ำสุดที่ศาสตราเซียนใดๆในระนาบโลกียะจะทัดเทียมได้!
ฟั่บ!
ยามต้วนหลิงเทียนฟันบรรทัดจักรวาลออกไปต่างกระบี่ เสียงแหวกอากาศยังให้ความรู้สึกปานความว่างจะถูกกรีดฉีกได้ทุกเมื่อ
ขณะเดียวกันม่านพลังป้องกันใดๆที่เจียวจ้านรีบร้อนใช้ออกก็ไม่ต่างใดจากกระดาษเปื่อยเปียกน้ำ ถูกฟันทำลายง่ายดายนัก
ฉัวะ!!
เสียงของมีคมเฉือนเลือดเนื้อดังขึ้น หัวตัวเจียวจ้านพลันแยกจาก ลำคอปรากฏวงแดงฉาน โลหิตฉีดพุ่งปรี๊ดๆขึ้นมาปานน้ำพุ ศีรษะปลิวกระเด็นทิ้งสายโลหิตเอาไว้เป็นทาง
กาลเวลาคล้ายจะหยุดเดิน
เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรที่พึ่งขจัดผลกระทบจากพลังพิเศษของบรรทัดจักรวาลจนกลับมารู้สึกตัวได้ไม่ทันไร ก็เห็นต้วนหลิงเทียนตัดหัวเจียวจ้านปลิดปลิวไปเสียแล้ว!
แถมการลงมือยังราบรื่นรวดรัดปานหันสับเต้าหู้!
ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!
…
จังหวะนี้เมื่อได้เห็นร่างหัวตัวแยกจากของเจียวจ้าน เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายถึงกับสะอึกกาย สูดลมหายใจเข้าอย่างเสียขวัญ แววตาเผยความตกใจทั้งเหลือเชื่อนัก
สิ่งที่ทำให้พวกมันตกใจไม่ใช่ฉากนองเลือดเบื้องหน้า
แต่สิ่งที่ทำให้พวกมันตกใจก็คือความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน
เจียวจ้าน รองผู้นำกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬผู้นี้ จะหมูไก่สุนัขอย่างไรก็รั้งอยู่ในอันดับที่ 566 ของรายนามยอดเซียน
ทว่าตัวตนดังกล่าว ยามอยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนกลับเหมือนมดตัวกระจ้อยตัวหนึ่ง ที่ถูกต้วนหลิงเทียนย่ำเหยียบบี้ยีให้แหลกลงอย่างง่ายดายในชั่วพริบตา…
“ระ…ร้ายกาจนัก! พลังฝีมือของชายชุดดำช่างน่ากลัวเหลือเกิน!!”
“ให้ตายเถอะ…เจียวจ้านจะอย่างไรมันก็อยู่ในอันดับที่ 566 ของรายนามยอดเซียนนะ…แต่อยู่ต่อหน้าชายชุดดำไฉนกลายเป็นตัวอ่อนแอไปได้เล่า? ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าดูอาวุธในมือชายชุดดำเถอะ! นั่นมิใช่ไม้บรรทัดธรรมดาหรือไร ไม่อาจเรียกว่าศาสตราเซียนได้ด้วยซ้ำ!!”
“เหอๆ…ไม้บรรทัดธรรมดาแล้วอย่างไร ยามผนึกพลังเซียนต้นกำเนิดอันแกร่งกล้าก็สามารถปะทุพลังสังหารน่ากลัวได้ทั้งสิ้น”
…
บรรทัดจักรวาลในมือของต้วนหลิงเทียนนั้นอย่างไรก็เป็นยอดสมบัติสวรรค์สายสนับสนุน พลังโจมตีของมันจึงไม่ได้ร้ายกาจอะไรเหมือนกระบี่นิลสวรรค์ กระทั่งยังไม่มีไอพลังดุดันน่ากลัวเหมือนกระบี่นิลสวรรค์แม้แต่น้อย
สำหรับคนที่ไม่รู้ มันก็แลดูเหมือนไม้บรรทัดธรรมดาๆ อันหนึ่งเท่านั้น
และนี่ก็คือสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนต้องการ
มิฉะนั้นจะไม่ง่ายกว่าหรือที่เขาใช้กระบี่นิลสวรรค์ฆ่าเจียวจ้านโดยตรง?
เหตุผลเดียวที่เขาเลือกใช้บรรทัดจักรวาลนั้น แน่นอนว่าสิ่งนี้จะไม่ทำให้ตัวตนของเขาในฐานะต้วนหลิงเทียนถูกเปิดเผยออกมา
ถึงแม้ประเด็นสนทนาในนครแห่งบาปยังจั่วหัวถึงเขาไม่เลิก แต่ก็จะเป็นในฐานะชายชุดดำ
และนั่นจะทำให้เรื่องต้วนหลิงเทียนค่อยๆชืดชาลงไปตามกาลเวลา สุดท้ายคนในนครแห่งบาปก็ต้องคิดว่าเขาออกไปจากนครแห่งบาปแล้ว
อย่างไรก็ตามหากมีเบาะแสใดๆก็ตามที่จะทำให้ทุกคนเชื่อมโยงต้วนหลิงเทียนกับชายชุดดำขึ้นมา คราวนี้คงไม่พ้นสร้างความแตกตื่นฮือฮาครั้งใหญ่ขึ้นมาในนครแห่งบาป ความโลภของทุกผู้คนคงได้ระเบิดออกมาและไม่เลือกวิธีการแน่
นั่นไม่ใช่อะไรที่เขาต้องการจะเห็น
เขาแค่อยากเป็นชายชุดดำอย่างเงียบๆ ยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาในนครแห่งบาป เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเขาในเวลาอันสั้นที่สุด
ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดของเขาก็คือกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณคนชั่ว ปรับปรุงยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขา!
“ผู้เฒ่าหั่ว! รบกวนท่าน”
หลังจากที่ฆ่าเจียวจ้านไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมขอให้ผู้เฒ่าหั่วช่วยเหลือเขากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเจียวจ้าน
ถึงแม้พลังเซียนสุริยันของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้จะเทียบได้กับพลังของตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ กระทั่งยามเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันออกมา ด้วยพลังอานุภาพ ให้บอกว่ายังไม่ได้บรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ก็คงไม่มีใครเชื่อ
แต่ด่านพลังฝึกปรือที่แท้จริงของเขามันก็แค่ เซียนนภาขั้นกลางเท่านั้น
และด้วยพลังวิญญาณของเขายังไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ สำนึกเทวะย่อมอ่อนด้อยไม่ลึกล้ำมากพอ จึงไม่สามารถสัมผัสถึงพรสวรรค์รากวิญญาณอะไรได้ด้วยตัวเอง
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนนับว่าควบคุมปฐมเวทย์กลืนกินได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว การกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณราบรื่นรวดเร็วนัก
เรียกว่าไม่ทันที่ผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายจะคืนสติดี เขาก็กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเจียวจ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว
‘พรสวรรค์รากวิญญาณของเจียวจ้านนับว่าดีที่สุดในบรรดาพรสวรรค์รากวิญญาณมากมายที่ข้าได้ดูดกลืนช่วงหลังมานี้ก็ว่าได้…กระทั่งพรสวรรค์รากวิญญาณของมันคนเดียวยังเกือบจะเทียบได้กับพรสวรรค์รากวิญญาณของทุกคนที่ผ่านมามารวมกัน…’
หลังกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณเจียวจ้านไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวในใจ
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างจากไป คงเหลือไว้แต่วีรกรรมอีกบทของชายชุดดำ
ด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนสวมใส่ชุดคลุมลมดำคลุมไปทั้งตัวแบบนี้ ถึงขั้นที่ไม่อาจระบุได้ด้วยซ้ำว่าเป็นชายหรือหญิง ยังจะนับประสาอะไรกับจะเชื่อมโยงว่าเขาคือต้วนหลิงเทียนที่ถือครองยอดศาสตราเซียน 2 ชิ้น
หากเขาไม่พูดออกมา คงไม่มีใครรู้ว่าเป็นบุรุษ
จากเรื่องนี้เห็นชัดว่าการซ่อนตัวครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียนค่อนข้างแนบเนียนนัก
“ดูเหมือนว่าครั้งนี้คนของอีกาทมิฬจะมีมาแค่เจียวจ้านจริงๆ”
เมื่อเห็นแผ่นหลังของชายชุดดำหายไปจากสายตา ผู้ฝึกตนพเนจรคนหนึ่งก็หันมองไปรอบๆสักพักค่อยกล่าวออกมา
และวาจาของมันก็ได้รับการเห็นชอบจากทุกคนทันที
“ข้าได้ยินมาว่าผู้นำกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬพึ่งออกเดินทางไปจากนครแห่งบาปไม่นานมานี้…ถึงเจียวจ้านจะไม่ได้มาคนเดียวจริง แต่พอเห็นแบบนี้เจ้าว่ายังจะมีใครกล้าออกตัวไหมเล่า?”
“พี่ชายท่านนี้กล่าวถูกแล้ว ทุกคนล้วนรู้กันว่ารองจากผู้นำ เจียวจ้านก็มีพลังฝีมือสูงสุด กับคนที่สามารถฆ่าเจียวจ้านได้อย่างง่ายดายราวกับไม่ต้องใช้ความพยายามอันใด จึงไม่ใช่อะไรที่กองกำลังอีกาทมิฬจะตอแยด้วยได้เลย”
“นอกจากผู้นำมาเองข้าว่าพันธมิตรอีกาทมิฬไม่อาจตอแยชายชุดดำได้เลยจริงๆ”
“เอาตรงๆข้าว่าต่อให้ผู้นำอีกาทมิฬอยู่จริง ก็ไม่ใช่คู่มือชายชุดดำหรอก”
……
เหล่าผู้ฝึกตนที่ยังรั้งอยู่ เมื่อมองส่งต้วนหลิงเทียนจนหายลับตา พวกมันก็เริ่มสนทนากันไปเรื่อยเปื่อย บางคนยังพยายามมองหาว่าใช่มีคนของอีกาทมิฬแอบซ่อนอยู่อีกหรือไม่…
คงมีเพียงต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ที่ยืนยันได้แต่แรกว่าไม่มีคนของอีกาทมิฬคนที่สองนอกจากเจียวจ้านอยู่ในบริเวณนี้
เพราะผู้เฒ่าหั่วได้ช่วยเขาตรวจสอบแล้ว
หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้เขาคงไม่ลงมือฆ่าคนอย่างอุกอาจแบบนี้หรอก
ตอนนี้เขายิ่งหวงแหนชีวิตของตัวเองมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
เพราะนอกจากแรงจูงใจให้เร่งยกระดับพลังฝีมือตอนนี้เพื่อบุกไปช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกที่หอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟแล้ว เขายังอยากย้อนกลับไปภูมิภาคเบื้องล่างให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อครอบครัวและสหายของเขา!
ตอนนี้เขาไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ภูมิภาคเบื้องล่างกันแน่
เพราะความไม่รู้นี้เอง ทำให้ทุกครั้งที่เขานึกถึงครอบครัวไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา ภรรยาและลูกชายตัวน้อย กระทั่งสหายทั้งหลาย ทำให้ใจของเขาเป็นกังวลนัก
หลังข่าวลือเรื่อง ต้วนหลิงเทียนในฐานะชายชุดดำสังหารเจียวจ้านรองผู้นำอีกาทมิฬได้ง่ายดายแพร่ไปในนครแห่งบาป ก็สร้างความสนใจให้ผู้คนในนครแห่งบาปไม่น้อย
เป็นธรรมดาว่าด้วยการปกปิดตัวเองขนาดนี้ ทำให้ไม่มีใครเชื่อมโยงต้วนหลิงเทียนกับชายชุดดำได้เลย
กระทั่งในขณะที่รับบทชายชุดดำ เขายังขอแรงผู้เฒ่าหั่วให้ช่วยช่วยหาวิธีที่เขาจะสามารถกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณได้โดยไม่ต้องพึ่งกระบี่นิลสวรรค์และเวทย์พลังอื่นๆ จะได้ไม่ต้องให้ผู้ใดพบเห็นจับผิดเอาได้
สุดท้ายผู้เฒ่าหั่วจึงบอกให้เขาใช้บรรทัดจักรวาล ยอดสมบัติสวรรค์ประจำชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
บรรทัดจักรวาล เป็นยอดสมบัติสายสนับสนุนที่มีความพิเศษอันน่าทึ่งนัก
ถึงแม้ว่าด้วยพลังของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้แทบไม่อาจใช้พลังพิเศษที่แท้จริงของบรรทัดจักรวาลได้แม้ 1 ใน 10,000 แต่หากใช้กับศัตรูที่เหมาะสมมันก็สามารถดึงความสนใจและสร้างความสับสนให้อีกฝ่ายได้
อีกทั้งต้วนหลิงเทียนยังใช้บรรทัดจักรวาลเพื่อปกปิดพลังเซียนสุริยันของเขาอีกด้วย
กล่าวให้ชัดคือใช้มันปกปิดประบวนการเพิ่มพูนพลังเซียนสุริยันจากการใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน
ด้วยผลกระทบจากการใช้พลังวิเศษ เคลื่อนย้ายจักรวาล ทำให้เขาสามารถปกปิดกระบวนการเพิ่มพูนของปฐมเวทย์กลืนกินเอาไว้ได้ โดยไม่ต้องกลัวผู้ใดจะพบเห็น
เพียงเวลาสั้นๆต้วนหลินเทียนก็รับบทชายชุดดำผู้เป็นดั่งศาลเตี้ยของนครแห่งบาปได้อย่างแนบเนียน
‘ด้วยพลังความแข็งแกร่งในตอนนี้ ข้ามั่นใจนักว่าหากไม่ใช่เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนชนชั้นสุดยอดฝีมือหรือเหนือกว่า คงไม่มีใครมองออกว่าข้าเป็นใคร!’
ต้วนหลิงเทียนมั่นใจในเรื่องนี้อย่างมาก
ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกำลังวุ่นอยู่กับการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาในนครแห่งบาป
หลังข่าวลือได้แพร่ออกมาจากเซี่ยคังฉวินจ้าวราชสีห์ขนทอง เรื่องที่ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟ ที่แท้เป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามขุมพลังกึ่งชั้น 3 ของภูมิภาคเบื้องล่าง และได้สังหารเซี่ยจง ลูกชาย ของจ้าวราชสีห์ขนทอง จนได้รับยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารไปครอง ทำให้รวมกับกระบี่ไร้ลักษณ์ที่มีอยู่ก่อน ก็ทำให้มียอดศาสตราเซียนในมือถึง 2 ชิ้น…
จังหวะนี้ลัทธิบูชาไฟเสมือนมีระเบิดลงก็ไม่ปาน
“สวรรค์! ที่แท้ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ที่โชคดีได้รับตราผนึกมารมาครองในตอนนั้น?!”
“ไม่น่าเชื่อ! ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจะเป็นคนเดียวกันกับต้วนหลิงเทียนผู้นั้น!!”
“เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่นี่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนร้ายกาจถึงขั้นฆ่าเซี่ยจงได้แล้วหรอ? แล้วฆ่าเซี่ยจงตายไม่พอยังได้รับตราผนึกมารที่ถูกชิงไปกลับมาอีก!!”
“ว่าแต่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน มีกระบี่ไร้ลักษณ์ด้วยหรือ?!”
ตอนที่ 2,124 : คลังสมบัติ ที่ยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหลือทิ้งไว้!
อันดับที่ 421 ในรายนามยอดเซียนคนปัจจุบัน ก็คือต้วนหลิงเทียน ศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟ!
ผู้คนส่วนใหญ่ในลัทธิบูชาไฟย่อมภาคภูมิใจไม่น้อยที่มีศิษย์ที่แท้จริงและเป็นอัจฉริยะเช่นนี้ เพราะนี่เสมือนสายเลือดใหม่ของมัน ศิษย์อัจฉริยะที่จะกลายเป็นสุดยอดฝีมือที่เป็นดั่งเสาหลักของพวกมันในอนาคต ‘ความภาคภูมิใจ’ ของลัทธิบูชาไฟ!
อย่างไรก็ตามข่าวเรื่องราวที่พึ่งได้ยินมาจากโลกภายนอก ทำให้ลัทธิบูชาไฟต้องตกตะลึงครั้งใหญ่แล้วจริงๆ
ศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ของพวกมันต้วนหลิงเทียน กลับเป็นคนๆเดียวกันกับต้วนหลิงเทียนในภูมิภาคเบื้องล่างที่มีโชคได้รับยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารไปครอบครอง!
ยิ่ไปกว่านั้นยังสังหารเซี่ยจง บุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทองที่เคยช่วงชิงตราผนึกมารไปในอดีตที่นครแห่งบาป ที่สำคัญยังกล่าวกันว่าที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าเซี่ยจงได้เพราะพลังของกระบี่ไร้ลักษณ์!
ทำให้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเป็นเพียงคนเดียว ที่มียอดศาสตราเซียนในความครอบครองถึง 2 จากทั้งหมด 10 ชิ้น!
“ตอนนี้ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนไม่พ้นตกเป็นคนที่เหล่ายอดฝีมือทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแย่งกันค้นหา…ข้าไม่รู้จริงๆว่าศิษย์พี่ยังจะย้อนกลับมาที่ลัทธิบูชาไฟเราอีกไหม?”
“ย้อนกลับมาลัทธิบูชาไฟเรา? เจ้าคิดเหลวไหลอะไร! เรื่องพรรค์นี้ยังเป็นไปได้หรือไง? หากเจ้าเป็นศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนและเจ้ามียอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้น เจ้าจะย้อนกลับมาไหมเล่า?”
“เป็นข้าๆก็ไม่ย้อนกลับมาลัทธิบูชาไฟแน่นอน โลกภายนอกอันตรายหรือลัทธิบูชาไฟไม่อันตราย? คนในโลกภายนอกโลภอยากได้ยอดศาสตราเซียน หรือคนในลัทธิบูชาไฟไม่โลภอยากได้ยอดศาสตราเซียน?”
“ใช่ ทันทีที่กลับมาถึงลัทธิบูชาไฟ น่ากลัวว่ายอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นก็รักษาไว้ไม่ได้แล้ว…อยู่ข้างนอกแม้จะใช้ชีวิตลำบากอยู่บ้างแต่อย่างน้อยก็ยังรักษายอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ชิ้นเอาไว้ได้”
“ข้าก็คิดแบบนั้น”
…
ประพเด็นหลักในบทสนทาของคนในลัทธิบูชาไฟ ไม่ทราบเปลี่ยนจากเรื่องค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคหรือเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อาจจะรุกรานเข้าในภูมิภาคเบื้องล่างแล้วไปตั้งแต่ตอนไหนกันแน่ แต่มันกลายเป็นเรืองต้วนหลิงเทียนกับยอดศาสตราเซียนทั้ง 2 แทน
เนื่องเพราะเกี่ยวพันกับ 2 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ทำให้ลัทธิบูชาไฟบังเกิดความปั่นป่วนไม่น้อย
แท่นบูชามังกรคราม ที่พักอาศัยของจ้าวแท่นบูชา
“บัดซบ! เจ้านั่นกลับเป็นต้วนหลิงเทียนที่โชคดีได้ถือครองตราผนึกมารในปีนั้น”
จ้าวแท่นบูชามังกรครามหลูเถี่ยถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวด สองตาฉายชัดถึงความตกใจ ด้วยไม่คิดจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนที่มีเรื่องกับพวกมันจะเป็นเจ้าของยอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้น!
“อะไร? ต้วนหลิงเทียนมันมียอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้นเลยหรือ!?”
ถัดจากหลูเถี่ย ปู้หงที่ได้รับทราบข่าวนี้เช่นกัน สองตาก็แดงขึ้นมาด้วยความอิจฉา
ตอนที่ตระหนักได้ว่ากระบี่ของต้วนหลิงเทียนอาจจะเป็นยอดศาสตราเซียนในตำนานอย่างกระบี่ไร้ลักษน์ ใจมันก็บังเกิดความอิจฉาแทบตายแล้ว
มาตอนนี้ยังได้ทราบว่าต้วนหลิงเทียนถึงกับได้รับตราผนึกมารไปครอบครองอีกชิ้น!
พอหันกลับมามองตัวเองและจำได้ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณได้ถูกต้วนหลิงเทียนทำลายไปแล้ว จึงกลายเป็นไร้อนาคต ทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ไม่อาจก้าวหน้าใดๆ ปู้หงก็แทบจะคลั่งตายให้ได้
“ท่านอาจารย์…ข้าไม่คิดเลยว่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีกระบี่ไร้ลักษณ์กลับถูกเปิดเผยออกมาแบบนี้…ด้วยเหตุนี้ที่ท่านไปถอนคำฟ้องร้องมันไปไม่เสียเปล่าหรือ…”
พอนึกถึงเรื่องที่อาจารย์ของมันถอนฟ้องต้วนหลิงเทียนไปแล้ว ทำให้สีหน้าปู้หงยิ่งบิดเบี้ยวไปกันใหญ่
อาจารย์มันไปเยือนหอคุมกฏวันนั้นก็เพื่อถอนฟ้องต้วนหลิงเทียนเรื่องทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของมัน
เพราะต่างกังวลว่าหากต้วนหลิงเทียนเกิดตกตายในหอคุมกฏขึ้นมา เช่นนั้นกระบี่ไร้ลักษณ์ในแหวนมิติของต้วนหลิงเทียนกับพวกมันก็สิ้นสุดวาสนากันแน่นอน
แต่ตอนนี้กลับมีข่าวลือแพร่ออกมาว่าต้วนหลิงเทียนมีกระบี่ไร้ลักษณ์ แถมยังได้รับตราผนึกมารกลับคืนไปอีกด้วย!เช่นนั้นเรื่องที่อาจารย์มันจะมีโอกาสฆ่าต้วนหลิงเทียน ช่วงชิงกระบี่ไร้ลักษณ์มาก็ริบหรี่เต็มที!!
ด้วยเหตุนี้การถอนฟ้องตวนหลิงเทียนก็เสมือนกับเสียเปล่า
“ผู้ใดจะไปทราบว่าต้วนหลิงเทียนจะถูกเปิดโปงเรื่องถือครองยอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้นออกมาแบบนี้”
ได้ยินคำของปู้หง สีหน้าหลูเถี่ยก็อัปลักษณ์ปั้นยากเช่นกัน “อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ จะถอนฟ้องหรือยังฟ้องก็มิได้มีใดแตกต่างกันมากนัก เพราะจะฟ้องหรือไม่ฟ้องก็มิมีผลอะไรกับต้วนหลิงเทียนเลย…เจ้าคิดว่าด้วยสถานการณ์อย่างตอนนี้มันยังจะกล้าย้อนกลับมาลัทธิบูชาไฟหรือไม่?”
“มันไหนเลยจะไม่รู้ว่าหากย้อนกลับมาลัทธิบูชาไฟ คิดรักษายอดศาสตราเซียนทั้ง 2 ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว…ยอดศาสตราเซียนต้องเปลี่ยนเจ้าของแน่ ดังนั้นข้าจึงกล่าวได้เลยว่ามันไม่ย้อนกลับมาลัทธิบูชาไฟแน่!”
วาจาของหลูเถี่ยมีเหตุผลรองรับชัดเจน
ได้ยินดังกล่าว ปู้หงก็เงียบไปพักหนึ่ง ไม่นานใจมันก็เห็นด้วยกับคำของอาจารย์
ณ หอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟ
“ท่านพ่อ!”
ทันทีที่ได้รู้อีกตัวตนของต้วนหลิงเทียน รวมถึงรับทราบข่าวเรื่องต้วนหลิงเทียนสมควรถือครองยอดศาสตราเซียนไว้กับตัวถึง 2 ชิ้น ต่งหลินก็รีบแจ้นมาหาบิดาทันที
รองจ้าวหอคุมกฏ ต่งหยวนจิ้น!
“เจ้ามาที่นี่เพราะต้วนหลิงเทียนนั่นหรือ?”
ต่งหยวนจิ้นพอเห็นต่งหลินก็เปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามออกมาทันที
“ท่านพ่อเองก็ได้ยินเรื่องนี้แล้ว?”
ต่งหลินพยักหน้า ค่อยถามต่อ
“มิผิด”
ต่งหยวนจิ้นพยักหน้ารับ สองตาทอประกายเยียบเย็นออกวูบหนึ่ง กล่าวออกเสียงเข้ม “ข้ามิคิดมาก่อนเลยว่าคนที่โชคดีได้รับตราผนึกมารไปครองในกาลก่อนที่แท้จะเป็นมัน…อีกทั้งหลังจากฆ่าเซี่ยจง บุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทองแห่งลัทธิอารามทมิฬ ตอนนี้มันสมควรชิงตราผนึกมารกลับไปครองได้อีกครั้ง”
“แถมข้าเองก็ไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะมียอดศาสตราเซียนในมืออีกชิ้น! กระบี่ไร้ลักษณ์…มาวันนี้ข้าจึงได้กระจ่างว่าไฉนมันถึงมีพลังฝีมือร้ายกาจถึงขั้นสามารถฆ่าหยางเหวิน กระทั่งบีบคั้นเวินเยี่ยน ยังไม่วายสยบปู้หงได้…ทั้งหมดเพราะมันอาศัยกระบี่ไร้ลักษณ์!”
ต่งหยวนจิ้นอย่างไรก็เป็นชนชั้นรองจ้าวหอคุมกฏ พอทราบเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีกระบี่ไร้ลักษณ์ มันก็เชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆได้ทันที
“ต้องเป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่”
ต่งหลินพยักหน้า “ผู้อื่นคิดว่าวรยุทธ์กระบี่ของมันสูงส่งเลิศล้ำ ถึงขั้นควบคุมกระบี่บินทั้งตวัดกระบี่ได้อย่างไร้ร่องรอย ที่แท้ทั้งหมดเพราะมันอาศัยพลังของกระบี่ไร้ลักษณ์!!”
ไม่พูดก็แล้วไป แต่พอกล่าวถึงกระบี่ไร้ลักษณ์ขึ้นมา สองตาของต่งหลินก็แดงขึ้นมาทันใด แววตายังท่วมท้นไปด้วยความอิจฉาริษยาขั้นสุด
ในลัทธิบูชาไฟ นอกจากศิษย์อาจารย์หลูเถี่ยกับปู้หง ต่งหลินกับต่งหยวนจิ้นแล้ว ศิษย์และอาวุโสทั้งหลายก็ได้รับทราบข่าวดังกล่าวเช่นกัน
นอกจากนั้นยังมีชนชั้นผู้พิทักษ์ทั้ง 3 อีกด้วยที่ได้รับทราบข่าวนี้
“ไม่คิดเลยจริงๆว่าสหายน้อยนั่นจักมีโชควาสนาอันประเสริฐถึงขนาดนี้…สามารถครอบครองยอดศาสตราเซียนไว้ได้ถึง 2 ชิ้นเพียงลำพัง”
ชิงหั่ว ผู้พิทักษ์ 1 ใน 3 ของลัทธิบูชาไฟ และยังเป็นอาจารย์ของก่านหรูเยี่ยน อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังได้รับทราบข่าวอันน่าตื่นตระหนกจากนอกลัทธิ
ถึงแม้หัวใจมันจะยังสงบดั่งน้ำนิ่ง แต่ลึกลงไปในแววตาของมัน ก็ร้อนแรงดั่งเพลิงไฟ
แม้มันจะมีฐานะสูงส่งและพลังฝีมือเลิศล่ำในลัทธิบูชาไฟถึงขั้นเป็นชนชั้นผู้พิทักษ์ แต่มันก็ไม่มียอดศาสตราเซียนไว้ใช้สักชิ้น
ดังนั้นพอได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนเพียงคนเดียวกับมียอดศาสตราเซียนในครอบครองถึง 2 ชิ้น กระทั่งมันเองยังอดใจแทบไม่ได้
ณ ภาคกลาง นครแห่งบาป
ข่าวเรื่องราวการครอบครองยอดศาสตราเซียนถึง 2 ชิ้นของต้วนหลิงเทียน ทำให้ย้อนกลับไปยังลัทธิบูชาไฟอีกไม่ได้อีกต่อไปแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ทำใจไว้แต่แรกแล้ว ยังตัดสินใจกลับไปลัทธิบูชาไฟก็ต่อเมื่อพลังฝีมือสูงพอ
พอนึกถึงความปลอดภัยของเค่อเอ๋อแม่ลูก เขาก็อยากยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณสีครามของเขาเร็วๆนัก
ตราบใดที่พรสวรรค์รากวิญญาณเขายกระดับ นั่นหมายความว่าความไวต่อสัมผัสพลังวิญญาณฟ้าดินจะสูงขึ้น สามารถดูดซับมันได้มากขึ้น หมายความว่าความเร็วในการบ่มเพาะเขาจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในนครแห่งบาป นอกจากตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังแล้ว ยังหาโอกาสดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของคนชั่วเสมอ!
วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
ครึ่งปีราวกับจะผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา…
แน่นอนว่าครึ่งปีที่กล่วาถึงนี้เป็นเวลาในโลกภายนอกไม่ใช่ภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
“หือ? คลังสมบัติที่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหลือไว้งั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ และออกจากโรงเตี๊ยมได้ไม่ทันไรก็เห็นผู้ฝึกตนพเนจรจำนวนมากมายกำลังเร่งรุดเหินร่างตัดอากาศมุ่งหน้าขึ้นเหนือ
และฟังจากวาจาที่ดังแว่วๆมาคล้ายจะเร่งรัดให้สหายเดินทางเร็วขึ้น เขาก็พอจับใจความได้ว่า…
มีการค้นพบ คลังสมบัติที่เหลือไว้ของยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทางตอนเหนือ ห่างออกไปจากนครแห่งบาป
และปัจจุบันเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายก็กำลังแห่กันไปที่นั่น
“โชคดีจัง…หลังออกจากการปิดด่านบ่มเพาะก็เจอเรื่องดีๆแบบนี้ต้อนรับเลยหรือเนี่ย?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ ใจอดไม่ได้ที่จะสนใจและอยากรู้เรื่องคลังสมบัติของยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ยากระงับอาการตื่นเต้น
“ตามไปดูก่อน!”
ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้าเหินร่างขึ้นฟ้าและติดตามกลุ่มคนไปทันที และเพื่อหลีกเลี่ยงจากสายตาคนมอง ที่มีมากมายขนาดนี้เขาจึงเลือกที่จะเหินร่างขึ้นไปเหนือเมฆ
หากลงไปเดินทางด้านล่าง แม้จะไม่มีใครระบุตัวตนเขาได้ อย่างไรก็ตามด้วยชุดเครื่องแต่งกายของเขาในตอนนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องสงสัยว่าเขาคือ ชายชุดดำตัวจริงหรือไม่! คราวนี้ทุกคนได้มองมาที่เขาด้วยสายตาทำราวกับเห็นสัตว์ในสวนสัตว์แน่นอน
เขาที่ไม่ชอบความรู้สึกดังกล่าวจึงพยายามหลีกเลี่ยง
“หืม?”
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงแหวกสายลม 3 เสียงไล่จี้มาทางด้านหลัง ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจอยู่บ้าง
มีใครคิดเดินทางเหนือเมฆด้วยหรอ?
และไม่นานนักเสียงแหวกฝ่าสายลม 3 เสียงก็ไล่จี้มาถึงเบื้องหลังเขา
“หือ? ชายชุดดำงั้นเหรอ?”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงระคายหูดังขึ้น “กว่าครึ่งปีมาแล้วที่ชายชุดดำมีชื่อเสียงเลื่องลือในนครแห่งบาป…แน่นอนว่าตัวปลอมก็มีไม่น้อย ไม่ทราบเบื้องหน้าจะใช่ชายชุดดำของแทหรือของปลอม!”
“จึกๆ หากนายน้อยอยากรู้ว่าที่แท้มันเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม ช้ารับใช้ชราผู้นี้จักลงมือไขข้อแสงสัยให้นายน้อยเอ!”
ครู่ต่อมาเสียงระคายหูก็ดังขึ้นอีกครั้ง และรอบนี้ยังทำให้หน้าต้วนหลิงเทียนจมลงทันที ค่อยหันไปมองทั้ง 3 ร่างเบื้องหลังด้วยสายตาอย่างระวัง
ทันใดนั้นสายตาต้วนหลิงเทียนก็ไปหยุดที่ร่างชายคนหนึ่ง
คนที่นำขบวนนี้ผ่านมาเป็นชายหนุ่มที่แลดูหน้าตาดีคนหนึ่ง
หากแต่ใบหน้าที่หล่อเหลาของมันกลับฉายออกชัดถึงความอิดโรย ทั่วร่างคล้ายไม่กระฉับกระเฉง ท่วงท่าไม่ค่อยมั่นคง ทำให้ต้วนหลิงเทียนทราบได้ทันทีว่าไม่พ้นต้องเป็นนายน้อยเหลวไหลเจ้าสำราญจากตระกูลร่ำรวยคนหนึ่ง ที่วันๆดีแต่ร่ำสุรามั่วนารี!
ตอนที่ 2,125 : ขอบเขตเซียนสวรรค์!
ด้านหลังนายน้อยร่ำรวยไม่เอาไหนนั่น มีชายวัยกลางคนกับชายชรายืนอยู่
ชายวัยกลางคนสวมชุดสีฟ้าอ่อน รูปร่างสมส่วนไม่อ้วนไม่ผอม หน้าตาแลดูธรรมดาไม่มีใดโดดเด่น มองผิวเผินก็ไม่ต่างจากคนทั่วไปสักเท่าไหร่
กลับกัน ชายชราอีกคนนั้นมาในชุดสีแดงสด รูปร่างบึกบึนตัวสูง ทว่าพิกลนักศีรษะกลับเล็กยิ่ง! ไม่ได้สมกับขนาดตัวแม้แต่น้อย ช่วนให้แลดูตลกขบขันเหลือเกิน
และคนที่จุ๊ปากกล่าววาจาระคายหูก่อนหน้า ก็เป็นชายชราชุดแดงผู้นี้เอง
บัดนี้ชายชราชุดแดงที่ว่ากำลังมองมาที่ต้วนหลิงเทียนไม่วางตา สองตาเล็กหยีของมันฉายแววเยียบเย็นให้ความรู้สึกน่ากลัว คล้ายหากได้รับคำสั่งผู้เป็นนาย…มันจะพุ่งเข้ามาวัดกับต้วนหลิงเทียนสักครา! ว่าที่แท้ใช่ชายชุดดำตัวจริงเสียงจริงหรือไม่!!
“ในเมื่อผู้เฒ่าฉีว่ามาแบบนี้…เช่นนั้นท่านก็จัดไปเถอะ!”
เมื่อได้ยินวาจาอาสาบงมือของชายชราชุดแดงสด นายน้อยบ้านรวยไม่เอาไหนก็หันไปมองชายชุดคลุมลมดำเบื้องหน้า สองตาหรี่ลงเล็กน้อย ค่อยกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
ทำราวกับกล่าวถึงเรื่องราวไม่สลักสำคัญอะไร
ทว่าเสียงของนายน้อยรุ่นที่สองผู้นี้ดังไม่ทันสิ้นคำดี
สีหน้าชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังพลันแปรเปลี่ยน ไม่อาจคงความสงบได้อีกต่อไป
“ขอรับนายน้อย!”
ทว่าแทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่หน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนสี เสียงรับคำอย่างคึกคักของชายชราชุดแดงพลันดังขึ้น ร่างคนคล้ายแปรเปลี่ยนไปเป็นสายลมหอบหนึ่ง โจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน!
ความเร็วยังนับว่าไม่ใช่ชั่ว!
และในขณะที่โจนทะยานเข้าไป พลังกล้าแกร่งขุมหนึ่งพลันระเบิดออกทั่วร่างชราอย่างไม่คิดจะกักเก็บ! รัศมีพลังชั่วชีวิตเพาะสร้างเป็นแรงกดดันไร้สภาพกล้าแกร่งขุมหนึ่งกำจายออกไปกดดันในบรรยากาศ!!
“เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของชายชราชุดแดงสด คิ้วใต้โม่งคลุมดำของต้วนหลิงเทียนยักขึ้นเล็กน้อย ด้วยตระหนักได้ทันที ว่าชายชราผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน ลูกตายังหรี่ลงเล็กน้อย
สองตาต้วนหลิงเทียนพึ่งหรี่ลงได้ไม่ทันไร ร่างชราก็โจนทะยานมาถึงตรงหน้าห่างไม่กี่ก้าวแล้ว
“มิว่าเจ้าจักเป็นชายชุดดำจริงหรือไม่ หากแต่วันนี้เจ้าถูกลิขิตให้ตกตายกลายเป็นผีด้วยน้ำมือข้า ฉีคุน ผู้นี้!”
ชายชราชุดแดงสดผู้ประกาศนามตัวออกมาว่า ฉีคุน สะบัดแขนทั้ง 2 ข้างกางออกปานอินทรีย์สยายปีก ก่อนที่มันจะควงแขนด้วยความเร็วสูงปานวงล้อ มวลพลังปะทุออกจนก่อเกิดพลังหมุนวนคล้ายวงล้อไฟ
“กรงล้อคู่อัคคีผกผัน!”
ชายชราฉีคุนคำรามออกคราหนึ่ง แขนทั้งสองที่หมุนควงปานกรงล้อไฟ ก็เริ่มหมุนวนเร็วรี่จนมวลอากาศโดยรอบสะท้านสะเทือน บังเกิดคลื่นพลังลี้ลับอีกหนึ่งขุมอุบัติขึ้นที่สองวงล้อ!!
พริบตาต่อมา
วู้ม! วู้ม!!
เสียงมวลพลังหมุนวนเร็วรี่ก่อเกิดอานุภาพเชือดเฉือนอันร้ายกาจดังสะท้านสะเทือนออกมา! ชายชราเหวี่ยงแขนซัดพลังสังหารร้ายกาจเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยอำมหิต!
กระบวนแรกที่ฉีคุนจู่โจมเข้ามาก็เป็นกระบวนท่าสังหารเสียแล้ว!!
นี่ทำให้สีหน้าของต้วนหลิงเทียนมืดลงทันควัน
เขาลองถามตัวเองดู…ว่าก่อนหน้านี้เคยรู้จักกับฉีคุนหรือก็ไม่!
แต่ฉีคุนผู้นี้ไม่เพียงแต่อยู่ดีๆก็หาเรื่องลงมือเขาก่อน ยังลงมือด้วยกระบวนท่าสังหาร!
‘อย่างไรก็ตามแต่ ฉีคุนผู้นี้นับว่าไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน…’
แม้หน้าต้วนหลิงเทียนจะมืดลงเผยความไม่พอใจ แต่เรื่องนี้เขาก็ต้องยอมรับ
ด้วยเพราะกลิ่นอายพลังจากกระบวนท่าสังหารของฉีคุน มันแฝงเร้นไปด้วยไอฆ่าฟันอันอำมหิตนัก เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าสมควรมีผู้คนมากมายที่ตกตายด้วยน้ำมือมัน หาไม่แล้วไอฆ่าฟันคงไม่หนาแน่นขนาดนี้
‘จะยังไงก็แล้วแต่ นับว่ามันผสานวรยุทธ์เซียนกับเวทย์พลังได้อย่างลงตัวจริงๆ!’
เผชิญกับกระบวนท่าสังหารของฉีคุน ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมา
พลังฝีมือของเขาตอนนี้ไม่ได้เหมือนกับเมื่อครึ่งปีที่แล้วอีกต่อไป
ทำให้สายตาของเขานั้นดีขึ้นมาก
ไม่เพียงเห็นว่าการลงมือของชายชราเบื้องหน้าไม่เลว พลังสังหารก็ไม่ได้อ่อนด้อยเลย
น่าเสียดายที่ต้วนหลิงเทียนไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ
‘มาได้ดี!’
ต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวในใจอย่างเงียบงัน ร่างยังคงลอยตรงนิ่งไม่ไหวติง
ขวับ!
ทว่าทันใดนั้นเองในมือไม่ทราบปรากฏไม้บรรทัดอันแลดูเรียบง่ายไร้ใดโดดเด่นเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้ตั้งแต่เมื่อใด ถึงขั้นกล่าวได้ว่าเหมือนไม้บรรทัดที่ครูในโรงเรียนเมื่อชีวิตที่แล้วของต้วนหลิงเทียนใช้งานผิดประเภทนำมาทุบตีมือเด็กๆ
เป็นดั่งอาวุธทำลายล้างของเหล่าเด็กซน!
ทันทีที่ไม้บรรทัดปรากฏขึ้น ‘พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิด’ ที่โคจรพร้อมพรั่งทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็หลั่งไหลถ่ายทอดลงสู่ตัวไม้บรรทัดฉับไวไร้ติดขัด!
ทันใดนั้นตัวไม้บรรทัดก็สะท้านไปคราหนึ่งยังบังเกิดเสียงกู่ร้องออกมาฟังชัด
กลิ่นอายพลังกล้าอันน่าสะพรึงกลัวขุมหนึ่งปะทุออกมาทันที ฉีคุนที่อยู่ใกล้กับต้วนหลิงเทียนมากที่สุด ย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงนี้ได้ก่อนใคร!
กลิ่นอายพลังดังกล่าว ยังทำให้มันรู้สึกเหน็บหนาวจับขั้วหัวใจ!!
อาวุธของศัตรูกลับเป็น ไม้บรรทัด?!
ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายพลังกลับน่าสยดสยองนัก!
จังหวะนี้ฉีคุนแทบจะมั่นใจได้เต็มสิบส่วน!
ชายชุดดำเบื้องหน้า สมควรเป็นชายชุดดำตัวจริงเสียงจริงไม่แปลกปลอม!!
“บิดกลับจักรวาล!”
ไม่ว่าฉีคุนจะครุ่นคิดอันใดอยู่ก็ตาม หากแต่ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวคำเสียงเย็นในใจ ไม้บรรทัดในมือขยับโบกออกไปตามอำเภอใจ
ทว่าบรรทัดที่โบกไปตามอำเภอใจ กลับบันดาลให้ความว่างเปล่าที่หุ้มร่างฉีคุนเอาไว้กระเพื่อมสั่นไหวไปดั่งระลอกน้ำ
ยิ่งมาความว่างยิ่งสะท้านสะเทือน มองไปไม่ต่างก้อนน้ำที่กำลังบิดๆเบี้ยวๆ อีกทั้งยังหดเล็ก ย่นย่อขนาดลง!
ฉากเรื่องราวดังกล่าวย่อมตกอยู่ในสายตาของชายวัยกลางคนและนายน้อยรุ่นสองไม่เอาไหนชัดถนัดตา
จังหวะนี้พวกมันเสมือนได้ชมภาพอันน่าตื่นตะลึงแสนละลานตายากจะพบพานได้อีกชั่วชีวิต…
“มะ…มันคือชายชุดดำตัวจริง!?”
นายน้อยไม่เอาไหนนั่น มองเห็นไม้บรรทัดที่อยู่ในมือต้วนหลิงเทียนได้แทบจะทันทีที่ปรากฏออกมา และมันยังจดจำรูปแบบการลงมือของต้วนหลิงเทียนเมื่อ 6 เดือนที่แล้วได้ชัดเจน!
ฟังว่าวันนั้นตอนที่ชายชุดดำสังหารรองผู้นำกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬเจียวจ้าน อาวุธสังหารที่ใช้ก็คือ…ไม้บรรทัดเล่มหนึ่ง
นอกจากนั้นไม้บรรทัดของชายชุดดำยังแลดูธรรมดาถึงขีดสุด!
ไม่ต่างอะไรจากไม้บรรทัดทั่วไปที่ไว้ใช้ขีดเส้น! ทว่ากลับร้ายกาจถึงขั้นตัดหัวเจียวจ้านได้ราวปลิดขั้วผลสุก!
การกระทำเช่นนั้นอาจฟังดูง่ายดาย หากแต่สามารถผนึกพลังสังหารตัวตนอย่างเจียวจ้านได้ในพริบตา เช่นนั้นย่อมไม่ง่ายดายแล้ว
และในขณะที่มันกำลังตื่นตระหนกตกใจ
ทันใดนั้นเอง
ฟู่ววว!
ฟุ่บบ!!
เสียงดั่งสายลมแรงพัดกรรโชกผ่านหูดังขึ้น ก่อนที่เสียงเสมือนมวลอากาศวูบหายไปในพริบตาดังขึ้น
พร้อมกันนั้นความว่างเปล่ารอบกายชายชราชุดแดงที่บิดเบี้ยวๆก่อนหน้า ในที่สุดก็สงบลง
หากแต่ฉากเรื่องราวตอนนี้ ทำให้สองตาของนายน้อยไม่เอาไหนถึงกับโบกโพลง หน้ายังซีดลงปานไก่ต้ม เม็ดเหงื่อแตกพลั่กจนหลังเปียก
และหากมองสังเกตให้ดี
จะพบว่ายามนี้ร่างกายของนายน้อยไม่เอาไหนกำลังสั่นระริก…และหากผู้ใดมายืนอยู่ใกล้ๆมันยังจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นฉุนกึกแทงจมูกกลิ่นหนึ่ง…กลิ่นปัสสาวะ!
สหายผู้นี้หวาดกลัวจนปัสสาวะราด!!
แล้วฉากแบบใดถึงทำให้สหายผู้นี้หวาดกลัวได้ถึงขนาดนั้นกัน?
ห่างออกไปไม่ใกล้ไม่ไกล ร่างต้วนหลิงเทียนในคราบชายชุดดำยังคงลอยร่างอยู่อย่างสงบไม่เคลื่อนไหหวใดๆ ไม้บรรทัดในมือก็ไม่ทราบเก็บไปตั้งแต่เมื่อไหร่
หากทว่าร่างชายชราชุดแดงสดนาม ฉีคุน ที่ก่อนหน้าโจนทะยานพร้อมออกกระบวนท่าสังหารดุร้ายนั้น บัดนี้ได้แยกออกเป็นสองเสี่ยงแล้ว
ราวกับทันทีที่ความว่างเปล่าถูกฉีกกระชาก ร่างมันก็เสมือนถูกจับบิดแล้วกระชากให้ขาดแยกออกจากกัน…
กล่าวคือ…
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ต้วนหลิงเทียน ได้สังหารฉีคุนที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย
“ฟืด! ฟืดด!!”
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหกลังนายน้อยไม่เอาไหน ถึงกับสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ แต่ทว่าหลังสุดหายใจเข้าไปทีหนึ่ง ยังต้องสูดเข้าอีกครั้งเสียงดัง
นั่นเพราะคราแรกที่มันสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บนั้น มันกลับสูดเอากลิ่นปัสสาวะฉุนกึกเข้าไปเฮือกใหญ่! ถึงกับต้องรีบหันไปสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าอีกเฮือกทันที
และมันก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้นายน้อยของมันถึงกับปัสสาวะราด!
อย่างไรก็แล้วแต่ไม่ว่าจะนายน้อยไม่เอาไหนหรือชายวัยกลางคน ตอนนี้ต่างตกตะลึงกับความแข็งแกร่งที่ต้วนหลิงเทียนแสดงออกมานัก!
ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ กลับสังหารฉีคุนที่รั้งอยู่ในอันดับที่ 313 ของรายนามยอดเซียน…ด้วยพลังฝีมือระดับนี้น่ากลัวว่าต่อให้ไม่ใช่เซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน ก็ต้องเป็นเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนที่บ่มเพาะพลังมาถึงสุดปลายด่านพลังแล้ว
ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น สุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน สามารถก้าวเข้าสู่ 200 อันดับแรกในรายนามยอดเซียนได้ด้วยซ้ำ
หากแต่พวกมันไม่ได้รู้เลย
อันที่จริงเวลาที่ต้วนหลิงเทียนใช้ในการสังหารฉีคุนจริงๆมันน้อยนิดนัก เวลาส่วนใหญ่ก่อนที่ร่าง 2 เสี่ยงของฉีคุนจะปรากฏขึ้นชัดเจนในสายตาพวกมัน ล้วนใช้ไปกับการดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณทั้งสิ้น
และดั่งที่กล่าวไปก่อนหน้า พลังในร่างกายของต้วนหลิงเทียนตอนนี้คือ พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิด
กล่าวคือหลังจากผ่านไปครึ่งปี ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณรวมถึงความช่วยเหลือจากชั้น 4 เจดีย์หลงหลง 7 สมบัติ ต้ววนหลิงเทียนก็ได้ทะลวงจากขอบเขตเซียนนภาขั้นกลางจนถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ และกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ที่แท้จริงแล้ว!
หลังจากที่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ ต้วนหลิงเทียนก็สามารถสัมผัสถึงรากวิญญาณของผู้อื่นได้ด้วยตัวเอง
เช่นนั้นเขาจึงกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่นด้วยตัวเอง และด้วยความที่เขากระทำมาจนชำนาญ เรียกว่าไม่เพียงแต่จะช่ำชองเชี่ยวชาญ ยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากกาลก่อนนัก เพียงไม่ถึง 2 ลมหายใจเขาก็สามารถกลืนกินรากวิญญาณแต่กำเนิดของผู้อื่นจนหมดสิ้นแล้ว
“พวกเจ้า…”
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่คล้ายสายตาของต้วนหลิงเทียนจะมองทะลุมิติ สามารถทะลวงผ่านโม่งดำและอากาศห่างไกลมายังร่างนายน้อยและชายวัยกลางคนเขม็ง “อยากจะลองด้วยไหม?”
พวกเจ้า…
อยากจะลองด้วยไหม?
ต้องกล่าวเลยว่าวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนช่างเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสถือดี จนพาลให้ผู้อื่นมีโมโหหนักมากแล้วจริงๆ
อนิจาพอนึกถึงความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน แม้พวกมันจะโมโหเพียงใด ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้ครึ่งคำ
“นายท่านชุดดำ…”
ตอนนี้เองเป็นชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนายน้อยไม่เอาไหนก้าวออกมากล่าวคำกับต้วนหลิงเทียน “นายน้อยของข้ากลับพลั้งเผลอล่วงเกินท่านอย่างมิได้ตั้งใจแล้ว…ขอนายท่านได้โปรดอภัยให้นายน้อยข้าด้วย”
“แน่นอนว่าหากท่านคิดลงโทษพวกเราเพราะเป็นฝ่ายล่วงเกินท่านก่อนก็สมควร ทว่าขอนายท่านชุดดำได้โปรดละเว้นชีวิตของนายน้อยข้าด้วย”
ชายวัยกลางคนกล่าวออกมาด้วยท่าทางจริงใจ
“เจ้า…”
นายน้อยไม่เอาไหนผู้นั้นไม่คิดเลยว่าชายวัยกลางคนที่เป็นผู้ติดตามของมัน อยู่ๆจะกล่าวอ้อนวอนอีกฝ่ายออกมาแบบนี้ มันคิดอ้าปากกล่าวคำอะไรออกมาบางอย่าง แต่ทว่ามันต้องระงับวาจาลงทันที
เพราะตอนนี้พลันมีเสียงผ่านพลังของชายวัยกลางคนดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
“นายน้อยข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจ แต่ตอนนี้มิใช่เวลาที่ท่านจักเปิดเผยตัวตน…หากท่านเลือกที่จะเปิดเผยตัวตนออกมา ไม่พ้นต้องสร้างความหวาดกลัวให้แก่ชายชุดดำผู้นี้แน่…”
“คราวนี้ด้วยความกลัวว่าหลังจากนี้จะมีปัญหา…มันไม่พ้นต้องคิดตัดรากถอนโคน! ฆ่าท่านกับข้าให้ตายเพื่อให้พวกเรามิมีโอกาสรอดชีวิตไปกล่าวความ! และที่สำคัญถึงพลังฝีมือของข้าจะเหนือกว่าฉีคุน ทว่ามิได้เหนือกว่ามันมาก…ข้ายังห่างนักหากจะเทียบกับชายชุดดำผู้นี้!!”
ตอนที่ 2,126 : ผู้เข้มแข็งขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน?
ได้ยินเสียงกล่าวเตือนจากชายวัยกลางคนแบบนี้ แม้นายน้อยไม่เอาไหนจะฮึดฮัดขัดใจอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่คิดลงมือทำอะไรอย่างวู่วามอีก
วีรบุรุษย่อมรู้ลดราวาศอก!
(สถานการณ์ไม่เป็นใจ ก็ยอมถอยชั่วคราวจะได้ไม่เสียเปรียบจนตกเป็นเบี้ยล่าง)
มันย่อมซึ้งถึงคำนี้ดี
ถึงแม้ว่ามันจะมีภูมิหลังอันร้ายกาจ ทว่าตอนนี้ข้างกายมันไร้ยอดฝีมือที่จะรับมือชายชุดดำเบื้องหน้าได้ เช่นนั้นจึงเป็นการดีเสียกว่าที่จะเสแสร้งเป็นหลานชายอีกฝ่าย
(แสร้งเป็นหลานชาย = ทำตัวเป็นเด็กดีว่าง่ายเชื่อฟัง)
‘ตอนนี้เจ้าจะหยิ่งยโสโอหังอันใดก็เอาเถอะ…ขอเพียงเจ้ายังอยู่ในนครแห่งบาป วันหน้าข้าจะให้เจ้าได้ตายคาที่!’
นายน้อยไม่เอาไหนลดศีรษะลง ในแววตาลุกโชนไปด้วยโทสะ ใจลอบคิดไปด้วยอำมหิต!
“นายน้อยหากดูจากทิศทางที่ชายชุดดำผู้นี้เหินบินไป ไม่พ้นมันต้องไปที่เดียวกับพวกเราแน่…คลังสมบัติของยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! ตอนนี้ท่านผู้นำและท่านรองผู้นำหลายคนสมควรไปเฝ้ารออยู่ที่นั่นแล้ว พวกเราไปรวมตัวกับพวกท่านผู้นำเมื่อไหร่…ค่อยบอกให้ท่านผู้นำฆ่าเจ้าชายชุดดำนี่เสีย!”
เสียงชายวัยกลางคนผ่านพลังดังขึ้นในหูนายน้อยไม่เอาไหนอีกครั้ง ทำให้สองตามันทอประกายสว่างวาบขึ้นมาทันที
ใช่!
ทำไมเมื่อกี้มันไม่ทันคิด?
จากทิศทางที่ชายชุดดำกำลังมุ่งหน้าไป เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคิดไปคลังสมบัติที่เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหลือทิ้งไว้เหมือนกัน!
หากมันปล่อยให้อีกฝ่ายไปถึงที่นั่น มันค่อยร้องขอให้บิดาของมันฆ่าทิ้งเสียก็จบ!
ไฉนต้องรอไปล้างแค้นอะไรที่นครแห่งบาป!
พอได้คิดถึงจุดนี้ นายน้อยไม่เอาไหนก็ไม่รู้สึกพ่ายแพ้อีกต่อไป สองตายังฉายถึงเจตนาฆ่าฟันอันน่ากลัว แต่ด้วยความที่มันก้มหน้าอยู่ ต้วนหลิงเทียนจึงไม่อาจแลเห็นได้
“หึ!”
เมื่อเห็นว่า 2 คนเบื้องหน้ายอมก้มหัวขอขมา ต้วนหลิงเทียนพลันแค่นเสียงเย็นออกมาคำหนึ่ง และคร้านจะแยแสอะไรพวกมันสืบไป ละสายตาจากพวกมันและเตรียมเหินร่างไปต่อทันที
เขาเป็นคนมีหลักการ
ในเมื่อทั้ง 2 ยอมก้มหัวให้แล้ว เขาก็ไม่คิดจะจัดการทั้งคู่เหมือนกับที่ทำกับชายชราชุดแดงสดก่อนหน้า
เพราะสุดท้ายตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งคู่ไม่ได้คิดฆ่าเขาแม้แต่น้อย กล่าวได้ว่าพวกมันไม่ได้ล้ำเส้นเขา
ทว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะจากไปนั้นเอง
พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นแต่ไกลจากด้านหลัง
“หากท่านปล่อยพวกมันไว้เช่นนี้…ข้าเกรงว่าหลังจากไปถึงคลังสมบัติของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ท่านจะเหลือชีวิตเข้าไปแสวงหาโชคลาภอันใดในนั้น ‘ก็ไม่ใช่ว่าจะแน่’ แล้ว”
ผู้ที่กล่าววาจาคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่คล้ายจะเดินทางมาจากนครแห่งบาป
ชายหนุ่มผู้นี้มาในชุดคลุมสีขาว ใบหน้าแลดูหล่อเหลาไม่เบายังให้ความรู้สึกสูงส่งไม่คล้ายเป็นคนธรรมดา และด้วยพัดขนนกกับหมวกทรงสูงบนหัว ทำให้มันดูเหมือนบัณฑิตนักศึกษาคนหนึ่ง
ด้านหลังยังมีชายชราที่แลดูน่าเกรงขามติดตามมาไม่ห่าง
ชายชราผู้นี้ร่างกายสูงใหญ่ ประกบติดด้านหลังชายหนุ่มชุดขาวประหนึ่งเงาตามตัว ราวกับจะคอยปกป้องผู้เป็นนายทุกเวลา!
“เจ้าหมายความว่าอะไร?”
ได้ยินวาจาดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับไปมองชายหนุ่มที่แต่งตัวคล้ายบัณฑิตนักศึกษา กล่าวถามออกมาเสียงเบาทันที ไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อยเรื่องมีคนปรากฏตัวจากด้านหลัง
“ที่แท้ดูเหมือนท่านจะไม่รู้จักนายน้อยโอวจริงๆ?”
ตอนนี้เองร่างชายหนุ่มที่คล้ายบัณฑิตก็เหินร่างมาหยุดไม่ห่างต้วนหลิงเทียน ทีท่าของมันแลดูเป็นมิตรนัก พัดในมือชี้ไปยังนายน้อยไม่เอาไหน ค่อยกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ตงกั๋วจื่อ เจ้าคิดจะทำอะไร!?”
และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงของชายคล้ายบัณฑิทดังจบคำ เสียงของนายน้อยไม่เอาไหนก็ดังโพล่งขึ้นมาทันที ยังถลึงตามองมายังชายหนุ่มชุดขาวด้วยสายตาเอาเรื่อง
“ขอนายน้อยตงกั๋วโปรดระวังคำพูดด้วย!”
กระทั่งชายวัยกลางคนที่กลับไปยืนอยู่ด้านหลังนายน้อยไม่เอาไหนแล้ว ตอนนี้ก็ชักสีหน้าอัปลักษณ์นัก กล่าวกับชายชุดขาวที่ถูกเรียกหาว่า นายน้อยตงกั๋ว ตาขวาง
เพราะหากตงกั๋วจื่อกล่าวบอกตัวตนของนายน้อยมันออกมาจริงๆ เกรงว่าวันนี้มันกับนายน้อยไม่แน่จะรอดชีวิตไปได้แล้ว!
อย่างไรก็ตามตงกั๋วจื่อไม่แยแสคำของชายวัยกลางคนแม้แต่น้อย ค่อยกล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยรอยยิ้ม “สองคนนี้…หนึ่งคือนายน้อยของพันธมิตร 7 สังหารของนครแห่งบาปเรา เรียกว่า โอวฉิง”
“ส่วนอีกคนนั้น นับเป็นชนชั้นอาวุโสของพันธมิตร 7 สังหารเรียกว่าลู่จิ้น อันดับที่ 295 ของรายนามยอดเซียน…”
“ส่วนชายชราชุดแดงสดที่ท่านพึ่งฆ่าไปเมื่อครู่ เรียกว่า ฉีคุน มันเองก็เป็นอาวุโสของพันธมิตร 7สังหารเช่นกัน และก่อนที่มันจะถูกท่านฆ่าตาย มันก็ติดอยู่ในอันดับที่ 313 ในรายนามยอดเซียน”
ตงกั๋วจื่อไม่แยแสสายตาเอาเรื่องของนายน้อยไม่เอาไหนและชายวัยกลางคน เพียงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม
พันธมิตร 7 สังหาร!
ได้ยินวาจานี้ของตงกั๋วจื่อ ลูกตาของต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันที
พันธมิตร 7 สังหารนั้นเรียกว่าเป็น 1 ใน 3 กองกำลังพันธมิตรที่แข็งแกร่งีท่สุดของผู้ฝึกตนอิสระในนครแห่งบาปก็ว่าได้ ยังว่ากันว่าผู้นำพันธมิตร 7 สังหาร โอวคังไห่ ยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนอีกด้วย!
“นายน้อยพันธมิตร 7 สังหาร โอวฉิง?”
ครู่ต่อมาสายตาต้วนหลิงเทียนก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างโอวฉิงอีกครั้ง
และตอนนี้สีหน้าท่าทีของโอวฉิงที่ถูกต้วนหลิงเทียนจ้องก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก
“ที่แท้…เจ้าก็คือลูกชายของผู้นำพันธมิตร 7 สังหารงั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมา น้ำเสียงของเขาเยียบเย็นไม่น้อย ลึกลงไปในแววตายังอดไม่ได้ที่จะเผยความกลัวออกมา
ยังให้เขาไม่กลัวได้หรือ!
โอวคังไห่นั่นมันคือผู้เข้มแข็งขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน!
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ กระทั่งใช้ทุกสิ่งที่มีอย่างไม่คิดจะกักเก็บ ก็ยังนับว่าห่างไกลเกินจะเทียบกับโอวคังไห่นั่นได้!
ถึงขั้นที่หากโอวคังไห่คิดฆ่าเขา ก็ยังง่ายดายเหมือนบี้มด!
“ใช่ ข้าเป็นลูกชายของผู้นำพันธมิตร 7 สังหาร!”
ถูกต้วนหลิงเทียนถาม โอวฉิงก็ได้แต่ตอบกลับไปเสียงเย็น
ขณะเดียวกันมันก็เอื้อมมือล้วงเข้าไปในแขนเสื้ออีกข้าง ก่อนที่จะหยิบยันต์เต๋าแผ่นหนึ่งออกมาจากช่องลับในแขนเสื้อ “นี่คือยันต์กระจกเงาลูก…หากเจ้ากล้าลงมือฆ่าข้าๆจะรีบใช้มันทันที! ถึงตอนนั้นต่อให้ข้าต้องตาย แต่ท่านพ่อย่อมรู้ว่าเจ้าเป็นคนฆ่าข้า!”
“เจ้าเองก็คงรู้ดีว่าหากท่านพ่อข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนลงมือฆ่าข้าแล้วผลมันจะเป็นยังไง…ท่านพ่อไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่! ถึงตอนนั้นเจ้าเองก็หนีความตายไม่พ้น!”
ยิ่งมาเสียงกล่าวของโอวฉิงก็ยิ่งเย็นลงปานจะผุดแทรกขึ้นมาจากหล่มน้ำแข็ง
นอกจากนี้มือมันยังผนึกพลังขึ้นมาขุมหนึ่ง พร้อมบดขยี้ยันต์เต๋าในมือได้ทุกเมื่อ
หากโอวฉิงเป็นผู้ที่ทำลายยันต์เต๋ากระจกเงาลูกด้วยตัวเอง ยันต์จะส่งภาพเรื่องราวก่อนหน้านี้เล็กน้อยรวมถึงฉากเรื่องราวในปัจจุบันไปยังกระจกเงาแม่ทันที
“ท่านยอดฝีมือ ดูเหมือนวันนี้ท่านต้องเลือกแล้ว…อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่ว่าท่านจะฆ่ามันหรือไม่ สถานการณ์ของท่านก็ยังคงเหมือนเดิม”
ตงกั๋วจื่อมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน ยังทำท่าทางปาดคอตัวเองออกมา
“หากข้าเป็นท่าน ข้าคงเลือกที่จะฆ่ามันแน่นอน!”
หลังกล่าวจบสองตาตงกั๋วจื่อก็ทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง คล้ายพึงพอใจอะไรบางอย่าง
“ตง กั๋ว จื่อ!!”
สีหน้าของโอวฉิงเปลี่ยนไปอย่างมาก
‘ตงกั๋วจื่อผู้นี้ก็นับว่าไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมันอีกคน…ฟังดูเหมือนมันคิดจะช่วยข้า แต่ที่จริงแล้วมันก็แค่คิดยืมมีดฆ่าคน คิดใช้ข้าฆ่าโอวฉิงแทนมันเท่านั้น’
ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้เรื่องนี้ได้ชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้นผู้เฒ่าหั่วก็ได้กล่าวเตือนเขาตั้งนานแล้วว่ามีคน 2 คนกำลังเฝ้าดูเขาอยู่ตั้งแต่แรก ทว่าด้วยความที่ทั้งคู่ไร้จิตมุ่งร้ายใดๆต่อเขาๆจึงไม่ได้สนใจ
‘ตงกั๋วจื่อ…ในนครแห่งบาปมีพันธมิตรผู้ฝึกตนอิสระที่ร้ายกาจที่สุดอยู่ 3 พันธมิตร นอกจากพันธมิตร 7 สังหารแล้ว ก็มีพันธมิตรหมื่นโบราณ กับพันธมิตรพันสารท’
‘และดูเหมือนทั้ง 3 พันธมิตรจะไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่…’
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ย้อนนึกถึงเรื่องราว 3 พันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดในนครแห่งบาปขึ้นมา
‘ผู้นำพันธมิตรพันสารทดูเหมือนจะเรียกว่า ตงกั๋วยี่…ท่าทางตงกั๋วจื่อผู้นี้สมควรเป็นคนของพันธมิตรพันสารท และสถานะของมันคงไม่ต้อยต่ำ ไม่งั้นคงไม่มียอดฝีมือระดับนี้คอยตามคุ้มครอง’
ชายชราที่ยืนอยู่ด้านหลังตงกั๋วยี่นั้น หลังตงกั๋วยี่มาถึงมันก็ยืนหลับตาสงบจิตไม่กล่าวใดออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ
หากแต่ชายชราผู้นี้กลับทำให้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงอันตราย
อย่างน้อยๆก็อันตรายกว่าลู่จิ้น ที่ยืนอยู่ด้านหลังโอวฉิง ที่ติดอยู่ใน 300 อันดับแรกของรายนามยอดเซียน
“เซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน!”
หลังถามผู้เฒ่าหั่ว เขาก็ได้รับทราบพลังฝึกปรือของชายชราผู้ติดตามตงกั๋วจื่อ
ด้วยเหตุนี้ทำให้เขารู้สึกว่าฐานะของตงกั๋วจื่อในพันธมิตรพันสารทย่อมไม่ใช่ชั่วแน่นอน เผลอๆจะเป็นบุตรชายของตงกั๋วยี่ ผู้นำพันธมิตรพันสารทด้วยซ้ำ!
หลังมองตงกั๋วจื่อด้วยสายตาลึกซึ้งแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับไปมองโอวฉิงอีกครั้ง ค่อยถามออกมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “หากวันนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้า แล้วบิดาของเจ้าจะปล่อยข้าไปงั้นเหรอ?”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น!”
ได้ยินวาจากล่าวถามของต้วนหลิงเทียน โอวฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยตอบกลับหลังได้ยินคำเตือนของลู่จิ้น “ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า เช่นนั้นข้าก็ยินดีกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าข้าจะไม่มีวันปริปากบอกท่านพ่อเด็ดขาดว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น…”
“ขอเพียงบิดาข้าไม่รู้เรื่องนี้ ท่านพ่อย่อมไม่คิดทำอะไรเจ้าเป็นธรรมชาติ!”
กล่าวจบโอวฉิงก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบสนองอะไร มันใช้เล็บเฉือนปลายนิ้วตัวเองเบาๆให้หลั่งโลหิต เร่งกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ออกมาทันที
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
……
เสียงอัสนี 9 คำรบดังลั่นออกมาจากฟ้าเบื้องบนเป็นการตอบรับคำสาบานของโอวฉิง ทำให้ต้วนหลิงเทียนพลันขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง
ไหนเลยเขาจะไม่รู้ว่าคำสาบานของโอวฉิงมีปัญหา!
“ฮ่าๆๆๆ!!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะกล่าวคำ กลับเป็นตงกั๋วจื่อที่ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาดังลั่นเสียก่อน
“ตงกั๋วจื่อเจ้าหัวเราะอะไร!”
ลูกตาโอวฉิงกระพริบวูบด้วยความหวั่นใจประการหนึ่ง ก่อนคำรามออกมาด้วยโทสะกลบเกลื่อน
“ข้าหัวเราะอะไรงั้นเหรอ? ข้าก็หัวเราะเจ้าไงนายน้อยโอว! ไม่คิดเลยว่าเจ้ายังกล้าเล่นตุกติกกับวาจาสาบานได้อย่างโง่งมเช่นนี้! เจ้าสาบานว่าจะไม่บอกบิดาเจ้าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้…แต่เจ้าสามารถบอกคนอื่นในพันธมิตร 7 สังหารถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ใช่หรือไม่? จะเป็นรองผู้นำหรือกระทั่งใครก็ได้ในพันธมิตร 7 สังหาร!!”
“ถึงตอนนั้นขอเพียงพวกมันสักคนไปรายงานเรื่องนี้ต่อบิดาเจ้า…แล้วบิดาเจ้ายังไม่ลงมือกับท่านชุดดำได้หรือ?”
หลังหัวเราะดังลั่นอีกรอบจบ ตงกั๋วจื่อก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดูแคลน “หรือเจ้ากล้าสาบานว่าเมื่อครู่เจ้ากล่าวคำสาบานด้วยความจริงใจแล้วจริงๆ?”
โอวฉิงไม่คิดเลยว่าตงกั๋ววจื่อจะเปิดโปงความในใจทั้งหมดของมันออกมาในประโยคเดียว ทำให้ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวไปราวเคี้ยวถูกแมลงวัน
อย่างไรก็ตามเมื่อมันสัมผัสถึงสายตาแสนเยียบเย็นหลังโม่งดำของต้วนหลิงเทียนที่มองจ้องมา มันก็เร่งกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าใหม่อีกรอบทันที ว่าจะไม่กล่าวบอกผู้ใดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
ลู่จิ้นที่อยู่เบื้องหลังโอวฉิงก็เร่งกล่าวคำสาบานออกมาเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าโอวฉิงและลู่จิ้นตอบรับกันอย่างไร ตงกั๋วจื่ออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ทว่ามันก็คลี่ออกแทบจะทันที หันมองไปทางต้วนหลิงเทียนค่อยกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ท่านชุดดำถึงแม้ว่าพวกมันจะกล่าวคำสาบานกับทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าแล้ว…แต่ข้ายังรู้สึกว่าเพียงคำสาบานนี้ยังมิอาจรับประกันได้เพียงพอ!”
หน้าโอวฉิงกับลู่จิ้นเปลี่ยนสีไปเป็นมืดดำทันที กระทั่งถึงขนาดนี้แล้วตงกั๋วจื่อยังจะตื๊อให้ชายชุดดำฆ่าพวกมันอยู่อีก!!
ในขณะที่พวกมันกำลังเป็นกังวลอย่างหนักนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนหันมองไปทางตงกั๋วจื่อผ่านๆ ค่อยกล่าวออกเสียงเบา “เจ้ากับคนที่อยู่ข้างหลังเจ้า…ก็กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ด้วย”
ตงกั๋วจื่อถึงกับอึ้ง
ด้วยมันไม่คิดมาก่อนเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะหันมาสั่งให้มันกับชายชรากล่าวคำสาบานเรื่องนี้ด้วย
ทันใดนั้นสีหน้ามันก็มืดลงทันที
ชายชราที่อยู่เบื้องหลังตงกั๋วจื่อพลันลืมตาขึ้นแทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ และสองตาของมันยังจับจ้องมองไปยังร่างของต้วนหลิงเทียน ในแววตายังคล้ายมีประกายสายฟ้าแลบลั่น! เป็นการมองเตือนต้วนหลิงเทียนอย่างเห็นได้ชัด!!
ตอนที่ 2,127 : หวังติ่งชัน!
ตงกั๋วจื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่ใบหน้าถมึงทึงของมันจะผ่อนคลายลง ตามองต้วนหลิงเทียน ปากกล่าวออกมาอีกครั้งว่า “ท่านชุดดำ…หากใจข้ามีจิตมุ่งร้ายต่อท่านจริง ไฉนข้าต้องปรากฏตัวออกมากล่าวเตือนท่านแต่แรกด้วย?”
“ท่านรู้หรือไม่ ว่าข้ามาถึงที่นี่นานแล้ว เพียงแค่ยังมิได้ปรากฏตัวออกมาเท่านั้น…”
วาจาต่อมาขณะกล่าว สองตาของตงกั๋วจื่อยังเผยเจตนาฆ่าฟันเยียบเย็นวูบหนึ่ง! ซึ่งเจตนาฆ่าฟันนี้ย่อมเพ่งเล็งไปยังต้วนหลิงเทียน!!
ถึงแม้ว่าเจตนาฆ่าฟันจะปรากฏออกมาพริบตาก่อนหายไปดุจละอองไฟวาบดับ ยากที่ใครจะจับสังเกตเห็นได้
หากแต่ด้วยการสังเกตอันน่าทึ่งของต้วนหลิงเทียน เขาย่อมแลเห็นเจตนาดังกล่าวได้ทันท่วงที
ด้วยเหตุนี้ทำให้เขามั่นใจมากยิ่งขึ้น
ตั้งแต่แรก ตงกั๋วจื่อผู้นี้ไม่เคยมีเจตนาดี!
“หากข้าเดาไม่ผิด…”
ต้วนหลิงเทียนมองตงกั๋วจื่อด้วยสายตาลึกล้ำ กล่าวว่า “เจ้าสมควรเป็นคนของพันธมิตร ‘พันสารท’ ใช่หรือไม่? นอกจากนั้นแม้ฟังแล้วจะเหมือนเจ้ากล่าวเตือนข้า แต่ที่จริงเจ้าคิดยืมมือข้าฆ่าโอวฉิงกระมัง?”
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา ลูกตาตงกั๋วจื่อก็กระพริบวูบด้วยความประหลาดใจ ใบหน้ามันเผยอาการผิดแปลกออกมาวูบหนึ่งค่อยหวนคืนสู่ความปกติ
แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นความประหลาดใจที่ผุดขึ้นจากส่วนลึกในแววตา หรือใบหน้าที่แลดูผิดแปลกล้วนถูกซ่อนไว้ได้แทบจะทันที
อย่างไรก็ตามคิดซ่อนตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์อะไรสืบไป เพราะต้วนหลิงเทียนรู้ว่ามันมีเจตนาไม่ดีตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีประสบการณ์ไม่น้อย กระทั่งระวังเรื่องนี้มาตลอด
อาศัยเรื่องที่เคยเป็นถึงทหารรับจ้างมือพระกาฬเมื่อชีวิตที่แล้ว ทำให้ทักษะการสังเกตของเขาเรียกว่าบรรลุถึงจุดที่ไม่ธรรมดาอีกต่อไป ก็มากพอจะจับผิดมัน
“ท่านชุดดำ เรื่องนี้ท่านคิดมากเกินไปแล้ว…”
ตงกั๋วจื่อที่สงบลงแล้วกล่าวออกมาอีกครั้ง กระทั่งใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม แลดูเป็นมิตรไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสรรพชีวิตทั้งมวล
น่าเสียดายที่ไม่ว่ามันจะเสแสร้งปั้นหน้าเป็นมิตรอย่างไร หากแต่เจตนาของมันก็ถูกต้วนหลิงเทียนมองออกหมดสิ้น ยากจะตบตาอะไรได้อีก
“ท่านชุดดำ…”
ตอนนี้เอง ลู่จิ้น ที่อยู่ด้านหลังโอวฉิงพลันกล่าวคำออกมากับต้วนหลิงเทียนว่า “ตงกั๋วจื่อผู้นี้ คือนายน้อยของพันธมิตรพันสารทอย่างที่ท่านคิด…ซึ่งพันธมิตรพันสารทของมันก็ไม่ลงรอยกับพันธมิตร 7 สังหารของพวกข้ามาโดยตลอด ที่มันคิดให้ท่านฆ่าพวกข้าไม่เลิกรา ล้วนคิดยืมมีดฆ่าคนทั้งสิ้น!”
“ฮึ่ม!”
ลู่จิ้นกล่าวไม่ทันขาดคำดี ตงกั๋วจื่อพลันพ่นลมออกมาด้วยความรังเกียจ “ยืมมีดฆ่าคน? ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่โอวฉิงนั่นมันฝีมือกระจอกไม่มีปัญญาสู้ข้ามาทั้งชีวิต…ต่อให้เจ้าร่วมมือกับฉีคุนที่ถูกท่านชุดดำฆ่าตายไปก่อนหน้า หรือยังเป็นคู่มือผู้เฒ่าหวังที่อยู่ข้างๆข้าได้?”
ขณะกล่าวตงกั๋วจื่อก็เชิดหน้าเหลือบมองไปยังชายชราด้านหลัง
“มิผิด ต่อให้ข้ากับผู้เฒ่าฉีร่วมมือกันก็มิใช่คู่มือของผู้เฒ่าหวัง…”
ลู่จิ้นมองไปยังชายชราที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังตงกกั๋วจื่อด้วยสายตาหวั่นเกรง ค่อยพูดว่า “แต่เจ้ากับผู้เฒ่าหวังยังจะกล้าฆ่าพวกข้างั้นเหรอ?”
“ตราบใดที่พวกเจ้าลงมือข้าพวกข้า เช่นนั้นด้วยยันต์กระจกเงาลูกของข้ากับนายน้อยโอว…ย่อมส่งเรื่องราวทั้งหมดไปยังยันต์กระจกเงาแม่ที่อยู่ในมือท่านผู้นำ! ถึงตอนนั้นพันธมิตร 7 สังหารของพวกข้า ไม่ฆ่าพวกเจ้าให้ตายย่อมไม่มีวันเลิกรา!!”
“และถึงตอนนั้น หากพันธมิตร 7 สังหารของข้ารบกับพันธมิตรพันสารทของเจ้าจนบาดเจ็บล้มตายไปทั้งคู่ พันธมิตรหมื่นโบราณย่อมเป็นดั่งเฒ่าประมงพบนกกระสาสู้หอยกาบ ไหนเลยยังจะละเว้นพันธมิตรของพวกเรา!”
“นายน้อยตงกั๋ว ท่านเองก็มิใช่ชนชั้นขลาดเขลา…ไหนเลยจะไม่คิดถึงเรื่องนี้แต่แรก!”
ฟังจากวาจาของลู่จิ้น เรียกว่าไม่เหลือช่องให้ตงกั๋วจื่อแก้ตัวใดๆเลย พาลให้สีหน้าของมันมืดคล้ำดำลงขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามลู่จิ้นยังไม่คิดจะปล่อยมันไปง่ายๆแต่เพียงเท่านี้ “ท่านชุดดำ ข้ากับนายน้อยได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าโดยไม่มีช่องโหว่ใดๆแล้ว เช่นนั้นท่านไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพวกเราจะแพร่งพรายเรื่องในวันนี้อีกต่อไป”
“ทว่าตงกั๋วจื่อ นายน้อยพันธมิตรพันสารทผู้นี้ที่มักกลัวโลกยังวุ่นวายมิพอ ไหนเลยจะห้ามใจไม่ให้เผยแพร่เรื่องราวในวันนี้ออกไปได้?”
“เพราะทันทีที่มันกล่าวเรื่องนี้ออกไปท่านย่อมกลายเป็นศัตรูของพันธมิตร 7 สังหารของพวกข้าทันที! และหากท่านเป็นศัตรูกับพวกข้า เกรงว่าคนของพันธมิตร 7 สังหารเรามิแคล้วต้องตกตายไปไม่น้อยเพราะไล่ล่าท่านแน่นอน!!”
“สำหรับมันแล้ว เรื่องนี้มีแต่จะได้กำไร ไม่เสียอันใดแม้แต่น้อย!”
“หากพวกมันมิเต็มใจกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าจริงๆ…ข้าขอแนะนำให้ท่านชุดดำฆ่ามันรวมถึงชายชราด้านหลังมันไปเลยเถอะ!”
หลังจากที่ลู่จิ้นกล่าวมานานสองนาน ทีแรกก็เหมือนจะเป็นการเตือนต้วนหลิงเทียน แต่ไปๆมาๆสุดท้ายวาจาของมันก็ไม่ต่างอะไรกับตงกั๋วจื่อ คิดยืมมีดฆ่าคนเช่นกัน!
แน่นอนว่าแม้ลู่จิ้นจะคิดยืมมีดฆ่าคน แต่มันก็หวั่นใจไม่น้อย
เพราะมันไม่อาจยืนยันได้ว่า ที่แท้ต้วนหลิงเทียนร้ายกาจกว่า หรือชายชราด้านหลังตงกั๋วจื่อร้ายกาจกว่ากัน!
อย่างไรก็ตามมันยังยืนยันได้เรื่องหนึ่ง ก็คือพลังฝีมือของชายชุดดำผู้นี้สูงส่งกว่ามันแน่นอน หากไม่ใช่เป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน ก็ต้องเป็นตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนแล้ว!
คิดถึงจุดนี้ลู่จิ้นก็มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้งกล่าวเสริมออกมาว่า “อาวุโสหวังที่อยู่ด้านหลังนายน้อยตงกั๋วคนนั้น ก็คือยอดฝีมือคนหนึ่งของพันธมิตรพันสารท มันเรียกว่า หวังติ่งชัน ยังเป็นเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน รั้งอยู่ในอันดับที่ 159 ของรายนามยอดเซียน!!”
หลังกล่าวจบคำสองตาลู่จิ้นก็มองจ้องไปยังร่างต้วนหลิงเทียนเขม็ง คล้ายจะรอดูว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบสนองอย่างไร
เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้มันก็ได้เปิดเผยพลังฝึกปรือของหวังติ่งชันออกไปหมดสิ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่นานลู่จิ้นก็จำต้องผิดหวัง
นั่นเพราะชายชุดดำเบื้องหน้าไม่เพียงแต่จะสวมชุดคลุมลมดำที่ปกคลุมมิดชิดยากเห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ กระทั่งใบหน้ายังถูกปกคลุมไปกว่าครึ่งไม่อาจแลเห็นความเปลี่ยนแปลงในแววตา
‘แต่จะอย่างไรร่างมันก็มิได้สั่นไหวอันใดสักนิดหลังข้าบอกอัตลักษณ์ของหวังติ่งชันออกไป…เช่นนั้นหมายความว่ามันก็มิได้กลัวหวังติ่งชันใช่หรือไม่?’
ถึงแม้ในใจจะคาดเดาไปแบบนี้ แต่ลู่จิ้นก็ไม่มีความมั่นใจเลย
ไม่เพียงแต่มันจะไม่มั่นใจ อีก 3 คนรวมถึงตงกั๋วจื่อก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
‘อันดับที่ 159 ในรายนามยอดเซียนงั้นเหรอ?’
หากเป็นคนอื่นอาจไม่คิดอะไรซับซ้อนเมื่อได้ยินคำพูดของลู่จิ้น หากแต่ความคิดในหัวต้วนหลิงเทียนพลันโบยบินออกไปอีกครั้ง ยังทำราวกับไปหยุดอยู่ในวันแรกที่เขาไปถึงลัทธิบูชาไฟ
‘จำได้ว่าวันแรกที่ข้ามาถึงลัทธิบูชาไฟ…ก็ได้รู้ว่าหลี่อันไม่เพียงแต่จะเป็นอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬของลัทธิบูชาไฟ แต่ดูเหมือนมันจะอยู่ในอันดับที่ 139 ในรายนามยอดเซียนอีกด้วย?’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหวนนนึกถึงหลี่อันขึ้นมา เพราะอันดับในรายนามยอดเซียนของหวังติ่งชานก็ใกล้เคียงกับหลี่อันอยู่บ้าง!
‘ตอนแรกต่อหน้าหลี่อันข้าไม่ต่างอะไรจากมด ที่เอาชีวิตรอดมาได้ก็ต้องพึ่งกฏของลัทธิบูชาไฟ…ทว่าตอนนี้ต่อให้หลี่อันมันมาอยู่ตรงหน้า ข้าก็ไม่กลัว!’
พอคิดถึงจุดนี้แววตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายประกายเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจออกมา
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ดึงความคิดที่โบยบินไปไกลให้กลับมาจดจ่อกับเรื่องราวเบื้องหน้า ค่อยถามลู่จิ้นออกไปอย่างไม่แยแสว่า “เจ้าเองก็คิดยืมมีดฆ่าคนเหมือนมันด้วย?”
แทบจะพร้อมกันกับที่วาจาต้วนหลิงเทียนดังออกมา ยันต์กระจกเงาแม่ก็ปรากฏขึ้นมาอยู่ในมือของลู่จิ้น หากแต่ยังถูกซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้ออย่างเงียบงันยากที่จะมีใครสังเกตเห็น
และครู่ต่อมา
ฟุ่บ!
ก่อนที่ลู่จิ้นจะทันได้ทำอะไร ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบมาหยุดอยู่เบื้องหน้ามันแล้ว
“เคลื่อนย้ายจักรวาล!”
พริบตาดุจฟ้าแลบ ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นก่อนจะปรากฏไม้บรรทัดหนึ่งผุดจากความว่างเข้ามือ บรรทัดจักรวาลถูกตวัดออกไปทันที
ทันใดนั้นความว่างเปล่าโดยรอบก็เริ่มสะท้าน คราวีน้ไม่เพียงแต่จะมีแสงสว่างเจิดจ้า กระทั่งภาพเรื่องราวคล้ายบิดเบือนประหนึ่งบังเกิดระลอกคลื่นหลังทุ่มหินลงสระสงบ!
อย่างน้อยๆก็บิดเบือนในสายตาของโอวฉิง ตงกั๋วจื่อและหวังติ่งชาน
ปงง!
ครู่ต่อมาเสียงสนั่นพลันดังเข้าหูทั้ง 3 และความว่างเปล่าที่บิดเบือนดั่งระลอกน้ำ ก็หวนคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
ต่อมาทั้ง 3 ก็ได้แลเห็นร่างลู่จิ้นปลิดปลิวกระเด็นออกมาดั่งว่าวสายป่านขาด โลหิตแดงกระอักออกจากปากสาดพ่นรดฟ้าไปเป็นสาย ส่องประกายสีแดงสดยามต้องสะท้อนแสงตะวัน!
เห็นได้ชัดว่าเสียงระเบิดดังก่อนหน้าเป็นเสียงพลังของชายชุดดำวซัดกระแทกเข้าร่างลู่จิ้น
ในเวลาชั่วพริบตา ลู่จิ้น อันดับที่ 295 ของรายนามยอดเซียนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส!
‘แข็งแกร่งนัก!’
โอวฉิงกับตงกั๋วจื่อลอบสะท้านในใจ ส่วนหวังติ่งชานที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังตงกั๋วจื่ออดไม่ได้ที่จะเผยความระวังขึ้นในแววตา
เพราะชายชุดดำไม่ทราบใช้กลวิธีอันใดทำให้ความว่างเปล่าโดยรอบกระเพื่อมไปดั่งระลอกน้ำราวห้วงมิติถูกบิดเบือนกันแน่ และมันก็ไม่อาจทราบได้เลยว่าที่แท้นั่นเป็นเวทย์พลังหรือความสามารถผีสางอันใด
แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นเกรงขึ้นมา
หลังซัดทำร้ายลู่จิ้นจนสาหัสแล้ว สายตาต้วนหลิงเทียนก็เบนออกจากร่างมันไปตกยังตงกั๋วจื่อ ค่อยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “จะสาบานเหมือนพวกมัน…หรือตาย!”
แม้เสียงกล่าวคำช่วงแรกของต้วนหลิงเทียนจะฟังดูเฉยเมย หากแต่ท้ายประโยคคล้ายน้ำเสียงจะหนักขึ้นเล็กน้อย
หน้าตงกั๋วจื่อเปลี่ยนไปอย่างมาก
ส่วนหวังติ่งชันที่อยู่ด้านหลังตอนนี้ก็เริ่มหน้าตึงขึ้นมา ร่างสูงใหญ่ของมันก้าวออกมาเบื้องหน้าด้วยคิดจะลงมือกับต้วนหลิงเทียน
อย่างไรก็ตามตงกั๋วจื่อกลับหยุดมันเอาไว้
“ทนไว้ก่อนผู้เฒ่าหวัง…จนถึงตอนนี้พวกเรายังไม่อาจ ‘หยั่งถึง’ ก้นบึ้งชายชุดดำได้ หากท่านลงมือวู่วามอะไรจะเป็นการยั่วโมโหมันเสียเปล่าๆ! เกิดพลังฝีมือของมันสูงส่งกว่าท่านขึ้นมา คงยากที่ท่านกับข้าจะรอดไปได้”
ตงกั๋วจื่อที่หยุดหวังต่งชินเอาไว้เร่งส่งเสียงกล่าวสืบต่อ “ตอนนี้พวกเราทำตามที่มันพูดไปก่อน…พอไปรวมตัวกับท่านพ่อและคนอื่นๆได้แล้วก็ไม่สายที่จะจัดการมัน! พวกเราเพียงกล่าวคำสาบานว่าจะไม่กล่าวบอกเรื่องราวทั้งหมดที่พวกเราแลเห็นกับใคร แต่ไม่ต้องกล่าวคำสาบานว่าจะไม่ทำให้มันเดือดร้อนหรือฆ่ามัน!”
เสียงผ่านพลังของตงกั๋วจื่อคราวนี้ บ่งบอกให้รู้ถึงความรอบคอบของมัน
มันเลือกที่จะกล่าวโน้มน้าวหวังติ่งชัน และอันที่จริงหวังติ่งชันก็ไม่มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะฆ่าต้วนหลิงเทียนได้
เพราะความมั่นใจที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมา ทำให้ใจมันต้องหวั่นๆอยู่บ้าง
“เอาตามนายน้อยว่าเถอะ”
จากนั้นหวังติ่งชันกับตงกั๋วจื่อก็กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าออกมา ว่าพวกมันจะไม่กล่าวบอกเรื่องราวที่พบเห็นกับใครออกมาเด็ดขาด หาไม่แล้วขอให้พวกมันถูกอัสนีสวรรค์พิฆาตร่างตายตก!
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
…
ด้วยเสียงอัสนีลั่นดังจากฟากฟ้าทั้งสิ้น 9 รอบตงกั๋วจื่ออดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ด้วยคิดว่าจบเรื่องราวแล้ว
“ผู้เฒ่าหวั่ง พวกเราไปกันเถอะ”
ครู่ต่อมาตงกั๋วจื่อก็กล่าวชักชวนหวังติ่งชานและคิดจากไป
“ช้าก่อน!”
อย่างไรก็ตามตงกั๋วจื่อพึ่งชวนหวังติ่งชานให้จากไปไม่ทันจบคำดี ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวออกมาอีกครั้ง
ได้ยินวาจารั้งตัวของต้วนหลิงเทียน สีหน้าตงกั๋วจื่อก็มืดมนลงอีกครั้ง “ข้ากับผู้เฒ่าหวังก็ได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ตามคำขอท่านไปแล้ว…ตอนนี้ท่านยังต้องการอะไรจากพวกเราอีก?”
“ท่านชุดดำท่านอย่าได้บีบคั้นผู้คนให้มันมากเกินไป!”
กล่าวถึงตรงนี้น้ำเสียงของตงกั๋วจื่อก็แฝงโทสะไม่น้อย
ตอนที่ 2,128 : 6 ทวารารวมตัว!
“บีบคั้นกันเกินไป?”
ได้ยินวาจาโมโหกลบเกลื่อนของตงกั๋วจื่อ ต้วนหลิงเทียนเพียงแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้น สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมา “เจ้าจะว่าข้าบีบคั้นหรือรังแกเจ้าเกินไปอะไรก็ช่าง…”
พอตงกั๋วจื่อและหวังติ่งชันได้ยินวาจาที่เริ่มเกริ่นขึ้นมาของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนไปทันที
ต้วนหลิงเทียนไม่แยแสสีหน้าพวกมัน พลันกล่าวสืบต่อออกมาว่า “แต่หากพวกเจ้าคิดจะไป พวกเจ้าต้องกล่าวคำสาบานใหม่อีกรอบ! ว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะไม่เป็นศัตรูและสร้างปัญหาให้ข้าไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง! หาไม่แล้วขอให้อัสนีลงทัณฑ์ฟาดผ่าพวกเจ้าจนตาย!!”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวประโยคนี้ออกมา หวังติ่งชันกับตงกั๋วจื่อถึงกับต้องหันมองหน้ากันทันที
จังหวะนี้ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของพวกมันก็คือ
ชายชุดดำผู้นี้ใช่ได้ยินวาจาสนทนาผ่านพลังของพวกมันเมื่อครู่หรือไม่?
แน่นอนว่าพวกมันปัดความคิดเหลวไหลดังกล่าวให้ตกไปทันที เพราะเรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้!
“ท่านชุดดำท่านให้พวกเรากล่าววาจาสาบานเช่นนั้น…มิได้หมายความว่าวันหน้าเกิดท่านเป็นฝ่ายหาเรื่องพวกเราก่อน พวกเราก็มิอาจตอบโต้ท่านได้หรือไร เพราะหากพวกเราขัดขืนตอบโต้ท่านขึ้นมาพวกเรายังไม่ถูกฟ้าผ่าตายอีกหรือ!?”
ตงกั๋วจื่อกล่าวออกด้วยใบหน้ามืดดำ
มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชายชุดดำจะคิดเรื่องราวละเอียดรอบคอบแบบนี้ ทำราวกับทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือโดยสมบูรณ์!
“เรื่องนี้ก็ง่ายที่จะแก้ไขนัก…พวกเจ้าเพียงนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ก็สิ้นเรื่อง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเบา
“ไม่ตอบโต้? แล้วถ้าหากท่านคิดฆ่าพวกเราเล่า!?”
ตงกั๋วจื่อกล่าวออกด้วยโทสะ
“หรือ…พวกเจ้าจะเลือกตายตอนนี้?”
แววตาต้วนหลิงเทียนไม่เฉยเมยอีกต่อไป ตอนนี้ความเฉยเมยได้ถูกความเย็นชาอันแฝงเร้นไปด้วยจิตสังหารอำมหิตแทรกทับหมดสิ้น คนราวกับกลายเป็น อสุรา ที่กระหายโลหิตและการฆ่าฟัน พาลให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยแรงกดกดันบีบคั้นจิตใจประการหนึ่ง
สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ตลบไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียน สีหน้าตงกั๋วจื่อเปลี่ยนไปอย่างมาก
“รนหาที่ตาย!!”
แทบจะพร้อมกันกับที่หน้าตงกั๋วจื่อเปลี่ยนสี หวังติ่งชันที่ทนไม่ไหวสืบไป ในที่สุดก็ลงมือ!
และทันทีที่มันลงมือ คนคล้ายกลับกลายเป็นเทพสงคราม ปะทุพลังเข่นฆ่าสังหารไปยังต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย ทั่วร่างเปล่งสภาวะเกรี้ยวกราดยากต้านทาน!!
ฟุ่บ!
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่หวังติ่งชันลงมือ ยอดสมบัติสวรรค ‘บรรทัดจักรวาล’ พลันปรากฏขึ้นในมือต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง!
“เคลื่อนย้ายจักรวาล!”
เพียงสะบัดไม้บรรทัดในมือคราหนึ่ง ความว่างเปล่าโดยรอบพลันบิดเบือนทันที!
เพียงชั่วเวลาเสี้ยวพริบตา ร่างต้วนหลิงเทียนและหวังติ่งชันคล้ายจะถูกความว่างที่บิดเบือนดังกล่าวกลืนร่างเอาไว้ในนั้น!
ในสายตาของตงกั๋วจื่อ โอวฉิง และลู่จิ้น ร่างทั้ง 2 เสมือนบิดเบี้ยวพับไปมาไม่สิ้นสุด ยิ่งมายังยิ่งพร่ามัวยากมองเห็นได้ชัด ทั้งหมดเพียงเห็นว่ามีร่าง 2 ร่างอยู่ในนั้นเท่านั้น ไม่อาจมองเห็นอื่นใดได้ชัดเจน
“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่พลังพิเศษของบรรทัดจักรวาลสำแดงเดช วังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่งพลันปรากฏขึ้นรอบตัวต้วนหลิงเทียน เป็นเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินที่เขาไม่ได้ใช้ออกมาเนิ่นนาน! มันดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบให้เหือดหายเข้าร่างเขาในชั่วพริบตา!!
ตลอดระยะเวลาครึ่งปีหลังมานี้ต้วนหลิงเทียนที่เดินเล่นในนครแห่งบาปดั่งศาลเตี้ย ไม่เคยใช้ปฐมเวทย์กลืนกินออกมาเลย
เหตุผลที่เขาไม่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินนั้น…หนึ่งก็เพราะมันง่ายที่จะเปิดเผยตัวตน ต้วนหลิงเทียน ของเขา ส่วนอีกอย่างก็เพราะเขายังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่กดดันเขาถึงขั้นต้องใช้ปฐมเวทย์กลืนกินออกมา
ทว่าวันนี้เมื่อต้องปะทะกับชนชั้นอาวุโสของกองกำลังพันธมิตรพันสารท หวังติ่งชัน เซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนที่รั้งอยู่ในอันดับ 159 ของรายนามยอดเซียน เขาจำต้องใช้เวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินเพื่อรับมือ!
หากเขาไม่ใช้เวทย์พลังสนับสนุนออกมา เขาจะไม่ใช่คู่มือของเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน!
ถึงแม้หวังติ่งชันจะถือว่าเป็นตัวตนที่อยู่ในระดับล่างๆ ของผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน แต่อาศัยพลังฝีมือของเขาตอนนี้ถ้าไม่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน ก็สู้มันไม่ได้เลย!
‘ด้วยระดับพลังของข้าในตอนนี้ เคลื่อนย้ายจักรวาล พลังพิเศษของบรรทัดจักรวาลที่ใช้ออกนับว่าทรงพลังกว่าในอดีตมาก ไม่เพียงแต่จะบดบังสายตาของผู้อื่น ยังทำให้ศัตรูสับสนงุนงงอีกด้วย!’
เมื่อเห็นว่าปฐมเวทย์กลืนกินเสร็จสิ้นกระบวนการเพิ่มพูนพลัง พอดีกันกับช่วงเวลาที่หวังติ่งชันหลุดพ้นจากผลกระทบของเคลื่อนย้ายจักรวาล ต้วนหลิงเทียนก็ลอบกล่าวในใจ
“นั่นมัน…”
หลังจากที่หวังติ่งชันสลายผลกระทบที่เกิดจากเคลื่อนย้ายจักรวาลได้แล้ว มันก็ตระหนักได้ถึงวังวนพลังที่อุบัติขึ้นมารอบกายต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ก่อนที่สติของมันจะรู้สึกเสมือนถูกจับเหวี่ยงไปมาราวสวรรค์และโลกพลิกกลับได้ชัดเจน! และแม้ตอนนี้วังวนพลังนั่นจะหายไปแล้ว แต่ภาพยังคงติดตามันไม่จางหาย!!
ฟั่ฟฟฟ!!
ครู่ต่อมาหวังติ่งชันได้ยินเพียงเสียงกระบี่แหวกฝ่าอากาศฉับไวดังขึ้นเข้าหูเสียงหนึ่ง
และแทบจะพร้อมกันกับที่ได้ยินเสียงดังกล่าว มันก็แลเห็นกระบี่ 3 ฉื่อเล่มหนึ่งที่ราวกับจะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไร้ร่องรอย! กระบี่เล่มนี้ไม่ทราบทะยานตัดฟ้ามาตั้งแต่เมื่อใด หากแต่ความเร็วของมันนั้นนับว่าสุดที่มันจะต้านทานรับมือได้จริงๆ!!
‘กระบี่ไร้ลักษณ์!’
‘นอกจากนั้นเมื่อครู่ สมควรเป็นวังวนประหลาดที่ดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินรอบๆไปเพิ่มพลัง’
‘มันคือต้วนหลิงเทียน! ชายชุดดำผู้นี้คือต้วนหลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟ!!’
นี่คือความคิด 3 ประการที่ผุดโผล่ขึ้นในวินาทีสุดท้ายของชีวิตหวังติ่งชันดั่งฟ้าแลบ! ก่อนที่กระบี่นิลสวรรค์จะทะลวงหว่างคิ้วมันไป ปากมันไม่ทันได้กล่าววาจาใดออกมาแม้ครึ่งคำ…!!
ก่อนตายหวังติ่งชันสามารถคาดเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียนได้จากเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินและกระบี่นิลสวรรค์ที่ทะลวงแหวกฟ้ามาฉับไวเหนือจินตนาการ ด้วยเคล็ดควบคุมกระบี่บิน…
แต่แน่นอนว่าหวังติ่งชันไม่รู้ว่ากระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนใช้มันคือกระบี่นิลสวรรค์ มันคิดแค่ว่านี่สมควรเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์ 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ที่ติดอันดับในรายนาม 10 ศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น
แม้ว่าหวังติ่งชันจะคาดเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียนได้ออก แต่มันก็ทำได้แค่นำพาความลับนี้ติดตัวไปตามทางแห่งความตาย ก่อนที่จะทันมีเวลาได้บอกกล่าวกับผู้ใด…
“กลืน!”
หลังฆ่าหวังติ่งชานได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ลืมกลืนกินรากวิญญาณของมันเป็นธรรมดา และครั้งนี้นับว่าเป็นอะไรที่ทำให้เขารู้สึกยินดีและมีความสุขนัก ‘คิดไม่ถึงจริงๆว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของหวังติ่งชันจะเป็นสีน้ำเงิน’
หลังกลืนกินรากวิญญาณสีน้ำเงินของหวังติ่งชันเสร็จแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ารากวิญญาณสีครามของเขามีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นสีครามเข้มอยู่รอมร่อ
‘ตราบใดที่พรสวรรค์รากวิญญาณของข้ากลายเป็นสีครามเข้ม…ก็หมายความว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าห่างจากการกลายเป็นพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงไม่ไกลแล้ว!’
ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจ โดยมีฉากเรื่องราวที่ผ่านมามากมายดั่งแล่นเรือฟันฝ่าคลื่นลมในมหาสมุทรลุกแล้วลูกเล่า ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีไม่น้อย
หลังริบแหวนพื้นที่ของหวังติ่งชัน ต้วนหลิงเทียนก็ปล่อยร่างหวังติ่งชันให้ร่วงตกฟ้า ไปกลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือนบนพื้น…
ครู่ต่อมาความว่างเปล่าที่บิดเบือนไปราวระลอกน้ำที่คลุมร่างเขากับหวังติ่งชันเอาไว้ก็เริ่มหวนคืนสู่สภาพปกติ
ร่างเขายังลอยค้างกลางหาวที่เดิม ส่วนร่างหวังติ่งชันก็ร่วงตกฟ้าไปต่อหน้าต่อตาตงกั๋วจื่อ โอวฉิงและลู่จิ้นชัดถนัดตา!
“หวังติ่งชัน…ตายแล้วหรือ?”
เป็นลู่จิ้นที่ฟื้นสติก่อนใคร และตอนนี้สีหน้ามันก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก!
ครู่ต่อมาในใจมันก็บังเกิดความยินดีอย่างถึงที่สุด ที่ชายชุดดำไม่ได้ฆ่ามันในการลงมือก่อนหน้านี้!
ล้อกันเล่นหรือไง!?
ยอดฝีมือที่ฆ่าหวังติ่งชันได้ในพริบตา กับมันที่อ่อนด้อยกว่าหวังติ่งชันมาก หากคิดฆ่าจริงๆยังลำบากเกินพลิกฝ่ามืออีกหรือ?
โอวฉิงเองก็หวาดกลัวอย่างหนัก ตอนนี้หน้ามันถึงกับซีดไปไร้สีเลือด กลิ่นปัสสาวะโชยเข้าจมูกผู้คนอีกรอบ แต่คล้ายมันจะไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่ตกตะลึงอยู่อย่างนั้นราวกับถูกฝังเข็มสกัดจุด
ผ่านไปพักหนึ่งลู่จิ้นกับโอวฉิงที่ดึงสติกลับมาได้แล้ว ต่างหันมามองหน้ากันอย่างเต็มกลืน ก่อนที่จะแลเห็นควาดกลัวในสายตาของอีกฝ่าย
ชั่วอึดใจต่อมาพวกมันถึงกับลั่นวาจากล่าวคำสาบานออกมาพร้อมกันทันที!
เนื้อหาของคำสาบานนั้นก็เหมือนกันกับที่ต้วนหลิงเทียนบอกให้ตงกั๋วจื่อและหวั่งต่งชินกล่าวก่อนหน้า ว่าจะไม่เป็นศัตรูและสร้างปัญหาให้ต้วนหลิงเทียนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง!!
ถึงแม้ว่าถ้อยคำสาบานนี้เป็นการรังแกผู้คนมากเกินไปถึงขั้นยากจะมีใครยอมรับได้
ทว่าตอนนี้หวังติ่งชานที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุดในบรรดาพวกมัน…ได้ร่วงตกฟ้ากลายเป็นปุ๋ยบนดินไปแล้ว! หากพวกมันยังคิดตุกติกลีลาชักช้า ไม่แคล้วเดี๋ยวได้เจริญรอยตามหวังติ่งชันกอดคอกันลงนรกด้วยน้ำมือของชายชุดดำพอดี!!
พวกมันไม่อยากตาย! เช่นนั้นก็มีแต่ต้องให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายแต่โดยดี!!
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
…
ด้วยเสียงฟ้าร้องดัง 9 คำรบอีกชุดอย่างพร้อมเพรียง ก็บอกให้รู้ว่าคำสาบานของโอวฉิงและลู่จิ้นได้รับการตอบรับจากสวรรค์แล้ว
และเสียงอัสนีฟาดผ่าดังสนั่นนี้ ก็ดึงสติตงกั๋วจื่อให้ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง ร่างของมันยังสั่นสะท้านไปพักใหญ่กว่าจะหาย ใบหน้าก็ซีดเซียวจนไม่เหลือสีเลือด
ตงกั๋วจื่อบัดนี้ไม่เหลือมาดคุณชายอารมณ์ดีและเป็นมิตรกับสรรพสัตว์อีกต่อไป คงเหลือแต่ความหวาดผวา!
“เจ้า…ยังมีปัญหาอะไรอีกไหม?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปทางตงกั๋วจื่อ ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมยอีกครั้ง
เมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม ร่างตงกั๋วจื่อสั่นสะท้านขึ้นมาอีกรอบ มันรีบส่ายหน้าระรัวโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นตระหนก “ไม่ ไม่มี! ข้าน้อยไม่กล้ามี!!”
ล้อกันเล่นรึไง!?
กระทั่งผู้ที่คอยปกป้องมันอย่างหวังติ่งชันยังถูกฆ่าตายได้อย่างง่ายดาย มันยังจะกล้ามีปัญหาอะไรกับต้วนหลิงเทียนอีก
ถึงแม้ว่าในใจมันยังมีปัญหา แต่ไหนเลยจะกล้าพูดออกมา!
หลังหายจากอาการตื่นตระหนกแล้ว ตงกั๋วจื่อก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆหลายเฮือก ก่อนที่จะเร่งกล่าวคำสาบานตามที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกอย่างไม่กล้าเล่นตุกติกอะไรอีก
อัสนีฟ้าพลันลั่นดัง 9 คำรบเป็นการตอบรับคำสาบานของมัน บอกให้รู้ว่าคำสาบานจะมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ฟุ่บ!
และแทบจะพร้อมกันกับที่อัสนีฟ้าลั่นดัง 9 คำรบตอบรับคำสาบานตงกั๋วจื่อที่กล่าวสาบานเป็นคนสุดท้าย ร่างต้วนหลิงเทียนก็แปรเปลี่ยนไปคล้ายอัสนีสีดำสายหนึ่ง พุ่งหายลับไปในเส้นขอบฟ้าทิศเหนือต่อหน้าต่อตาคนทั้ง 3 ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว…
เขายังไม่ลืมจุดประสงค์ในการเดินทางมาครั้งนี้
นั่นคือ หาทางเข้าไปแสวงโชคในคลังสมบัติของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!
เมื่อเห็นแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนหายลับไปต่อหน้า ตงกั๋วจื่อ โอวฉิง และลู่จิ้นทั้ง 3 ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนที่จะหันมามองหน้าสบตากัน จนแลเห็นถึงความขื่นขมในแววตากันและกัน…
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลย
ว่าในขณะที่เขากำลังจะหาทางเข้าไปแสวงโชคในคลังสมบัติของยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ในพื้นที่อันห่างไกลทางภาคเหนือ บริเวณยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนาทึบ
นอกจากหมอกพิรุณแล้ว ผู้สืบทอดคนอื่นๆของ 6 ทวาราเที่ยงแท้ได้มารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา!
มีชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสิ้น 7 คนที่กำลังนั่งขัดสมาธิบนแท่นศิลาประจำตำแหน่ง
และบนแท่นศิลาที่พวกมันนั่งอยู่นั้น ก็มีลวดลายและอักขระซับซ้อนมากมาย อีกทั้งลวดลายอักขระดังกล่าวยังแผ่กลิ่นอายลี้ลับเก่าแก่โบราณออกมา เผยให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ข้ามกาลเวลามาเนิ่นนานตั้งแต่ครั้งอดีตกาล…
เหนือขึ้นไปจากแท่นศิลาบนฟ้าสูง ปรากฏร่างชายชราและสตรีงามนางหนึ่งลอยร่างมองชมเรื่องราวเบื้องล่างอย่างเงียบงัน
คล้ายทั้งคู่กำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง…
ตอนที่ 2,129 : กระบี่ 9 สวรรค์! ความลับของ 7 ทวาราเที่ยงแท้!
“เฒ่าพยากรณ์…”
ทันใดนั้นสตรีงามกลางหาวพลันไปมองกล่าวกับชายชราข้างๆ คิ้วคู่งามขดย่นเป็นปม “ท่านแน่ใจหรือว่าเจ้าตัวน้อยทั้ง 3 นั่นจักปลอดภัยไร้เรื่องราว…ท่านเองก็สมควรรู้ดีว่าแม้ท่านจะเก็บเรื่องนี้ไว้จากเฉวี่ยไน่ได้ แต่ท่านก็ปิดนางมิได้นานนักหรอก”
ฟังจากคำของสตรีงาม ชายชราผู้นี้ที่แท้ก็คือผู้เฒ่าพยากรณ์ ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 2 ความลับสวรรค์
ส่วนสตรีงามนางนี้ก็คือผู้สืบทอดของธุลีแดง
แน่นอนว่าทั้งคู่กล่าวได้ว่าคือผู้สืบทอดรุ่นก่อน ไม่ใช่ผู้สืบทอดรุ่นใหม่อีกต่อไป
เวทีของยุคสมัยนี้ ล้วนเป็นสถานที่สำหรับผู้สืบทอดในรุ่นปัจจุบันใช้โลดแล่น…ศิษย์สืบทอดของพวกมัน!
“ข้าเองก็มิค่อยแน่ใจนักหรอก”
ได้ยินคำของสตรีงาม ชายชราที่เหม่อคิดอะไรไปเรื่อยพลันดึงสติกลับคืน พอรู้สึกตัวแล้วศีรษะก็ส่ายไปมาเบาๆกล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หากให้คนอื่นมาเห็นฉากนี้เกรงว่าคงได้แปลกใจกันยกใหญ่
ผู้เฒ่าพยากรณ์ที่ได้รับการขนานนามว่าผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน กลับมีช่วงเวลาที่ไม่มั่นใจในบางสิ่งด้วยหรือ?
“ที่ท่านกลาวว่าไม่แน่ใจนี่มันหมายความเช่นใดกันแน่…หรือท่านไม่แน่ใจตั้งแต่แรกแล้ว?”
สตรีงามกล่าววถามออกมาเสียงสูง เห็นชัดว่านางรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับคำตอบขอไปทีของชายชรา!
“เนื่องจากค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคของภูมิภาคเบื้องบนทั้งหมดล้วนหยุดชะงักมิอาจใช้งานได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจส่งใครไปสืบความเบื้องล่างได้อีก…ข้าเองก็พยายามอ่านชะตาของเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 นั่นแล้ว” ทว่าตอนนี้ข้ากลับพบว่าชะตากรรมของพวกมันคล้ายมีเมฆหมอกบดบังยากจะแลเห็นสิ่งใด”
ผู้เฒ่าพยากรณ์ผ่อนลมหายใจออกช้าๆค่อยกล่าวสืบต่อ “ตอนนี้ที่ภูมิภาคเบื้องล่าง 9 ใน 10 ล้วนกำลังถูกเผ่าพันุ์ปีศาจรุกรานอยู่แน่…ม่านแห่งยุคมนุษย์ปีศาจสมควรเปิดขึ้นอีกครา ยามนี้ทุกเรื่องราวล้วนสับสน ชะตาฟ้ากลายเป็นมิอาจหยั่งถึง ข้ามิอาจมองเห็นสิ่งใดได้อีกต่อไป”
“อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกมันจะถูกส่งไปยังภูมิภาคเบื้องล่าง ข้าอ่านดวงชะตาของพวกมันทั้ง 3 แล้วพบว่า โชควาสนาครั้งยิ่งใหญ่ของพวกมันกำลังรอคอยพววกมันอยู่ที่ภูมิภาคเบื้องล่าง…ตอนแรกข้าเห็นสิ่งนั้นชัดเจน ทว่าบัดนี้กลับมิอาจแลเห็นอันใดได้อีก”
“อันที่จริงตอนแรกข้ายังสงสัยมิน้อยว่าพวกมันยังมีวาสนาอันใดกับภูมิภาคเบื้องล่างอีก…มาตอนนี้ข้าจึงได้รู้สึก ว่าที่แท้ชะตาของพวกมัน สมควรเกี่ยวพันกับการกลับมาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศ…”
กล่าวถึงจุดนี้ผู้เฒ่าพยากรณ์ก็เผยรอยยิ้มขื่นขม “หากเจ้าให้โอกาสข้าได้เลือกอีกครั้ง ข้าก็คงไม่สั่งให้อู๋หยิ่งพาพวกมันไปทิ้งไว้ที่เบื้องล่างหรอก…ตอนนี้ข้าทำก็ได้แค่เชื่อมั่นในตัวพวกมันเท่านั้น”
“นี่ท่านหมายความว่า…ตอนนี้พวกมันจะอยู่หรือตายท่านก็มิอาจบอกได้แล้วงั้นหรือ?”
ใบหน้าของสตรีงามกลายเป็นบึ้งตึง กล่าวถามออกมาเสียงหนัก กระทั่งยังฟังดูก้าวร้าวเอาเรื่องไม่น้อย
“เป็นเช่นนั้น”
ผู้เฒ่าพยากรณ์พยักหน้ารับด้วยใบหน้าจริงจัง
ในขณะที่หน้างามจมลง และคล้ายคิดจะกล่าววาจาอะไรบางอย่างต่อนั้นเอง
“ได้เวลาแล้ว”
ทันใดนั้นเองชายชราพลันเงยหน้าขึ้นมา มองดาราบนฟ้าสองตาพร่ามัว หากแต่ไม่นานสองตาพร่ามัวดั่งมีเมฆหมอกปกคลุมก็กลายเป็นคมกล้า ทอประกายแสงจ้าวาบหนึ่ง
ครู่ต่อมาพลันปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งผุดโผล่จากความว่างเปล่า
กระบี่เล่มนี้หากจะเทียบกับกระบี่ทั่วไปแล้ว กลับมีขนาดใหญ่กว่ากระบี่ปกติถึงเท่าตัว ยามเมื่อพลังเซียนต้นกำเนิดของเฒ่าพยากรณ์ถ่ายทอดลงสู่ตัวดาบ กลิ่นอายคมกล้าพลันกำจายออกมาสะท้านในบรรยากาศ
ทันใดนั้นรังสีพลัง 9 สายปานใยไหมพุ่งออกมาจากตัวกระบี่ปานสายฟ้า! พวกมันห้อมล้อมเวียนวนรอบตัวกระบี่อย่างลี้ลับรอบหนึ่ง ก่อนที่จะเหินทะยานขึ้นไปบนฟ้า
“นี่น่ะหรือ…กระบี่ 9 สวรรค์”
ตอนนี้เองความสนใจของสตรีโฉมงามก็อดไม่ได้ที่จะไปหยุดอยู่ที่กระบี่ในมือชายชรา สองตาของนางยังเปล่งแสงสว่างจ้าออกมา
กระบี่ 9 สวรรค์นั้น ก็เป็น 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนเช่นกัน
และในบรรดาศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 10 นั้น ยอดศาสตราเซียนประเภทกระบี่ก็มีเพียง 2 เล่มเท่านั้น หนึ่งคือกระบี่ไร้ลักษณ์ อีกหนึ่งก็คือกระบี่ 9 สวรรค์เล่มนี้นี่เอง
เปรี๊ยง!!!
วู้มมม!!
……
เสียงสนั่นปานอัสนีฟาดผ่าดังก้องไปทั่วยอดเขาหิมะ เป็นรังสีกระบี่ 9 สายปานใยไหมที่พุ่งออกจากกระบี่ 9 สวรรค์ที่เหินขึ้นไปบนฟ้าเปล่งอานุภาพลี้ลับหนึ่งจนฟ้าเบื้องบนเริ่มแปรเปลี่ยนสี มองไปพวกมันคล้ายดั่งสะพานเชื่อมระหว่างสวรรค์และโลกอยู่บ้าง
ประสานฟ้าดิน!
รังสีกระบี่ 9 สายยังเชื่อมฟ้ากับกระบี่เอาไว้ แต่ละรังสีพลังเคลื่อนไหวส่ายไปมาดั่งมังกรเทพยดา กลิ่นอายพลังฟ้าดินหนาแน่นเข้มข้นนัก! ไม่นานมวลพลังฟ้าดินหนึ่งก็ค่อยๆตลบอบอวลไปทั่วยอดเขา
ขณะเดียวกันกับที่พลังฟ้าดินเริ่มตลบไปทั่วยอดเขา ลวดลายและอักขระโบราณอันสลับซับซ้อนบนแท่นศิลา ที่ทั้ง 7 คนนั่งขัดสมาธิอยู่ ก็คล้ายจะหวนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง! พวกมันส่องแสงสว่างเจิดจ้าหลังได้รับพลังฟ้าดินจากกระบี่ 9 สวรรค์!!
และแทบจะพร้อมกันกับที่อักขระหวนกลับมามีชีวิต
กลิ่นอายพลังอันน่าสะพรึงกลัวปานอสูรกายร้ายจากยุคบรรพกาลอันเก่าแก่โบราณพลันเอ่อล้นออกมาจากความว่างเปล่า! ปกคลุมไปทั่วยอดเขาอันมีหิมะสีขาวหนาทึบ มวลหิวะเริ่มสั่นไหวสะทือนคล้ายกำลังจะเดือด!!
“นิ…นี่มัน มหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามเก่าแก่โบราณ สีหน้าสตรีงามเปลี่ยนไปทันใด ยามนางมองไปยังกระบี่ 9 สวรรค์ในมือชายชราอีกครั้ง ในแววตากลับฉายชัดออกมาถึงความหวาดกลัว
แน่นอนว่าสิ่งที่นางหวาดกลัวไม่ใช่พลังของเฒ่าพยากรณ์ และพลังอำนาจอันน่าเกรงขามของกระบี่ 9 สวรรค์ในมือของชายชรา
แต่เป็นผู้ที่หลอมสร้างกระบี่ 9 สวรรค์เล่มนี้ขึ้นมา!
และผู้ที่มีความสามารถอันน่าพรั่นพรึงถึงขั้นหลอมกระบี่ทรงอานุภาพสะท้านฟ้าดินนี้ก็คือ ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ ที่ 1…
เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!
ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน โลกหล้าล้วนเข้าใจกันไปว่าศาสตราเซียนหมื่นอาคม รวมถึงกระบี่ 9 สวรรค์นั้น ถูกหลอมสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์คนหนึ่ง…
แต่แทบจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่า ในบรรดายอดศาสตราเซียนหรือศาสตราหมื่นอาคมเซียนทั้ง 10 ชิ้น มีเพียง 9 ชิ้นเท่านั้นที่เป็นผลงานชั่วชีวิตของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ผู้นั้น!!
และเหตุผลเดียวที่ทำให้ปรมาจารย์จารึกเซียนผู้นั้นสามารถยกระดับขอบเขตศาสตร์แห่งการจารึกอาคมเซียนจากขอบเขตเทียมสวรรค์ให้กลายเป็นระดับสวรรค์ได้ เพราะมันศึกษากระบี่ 9 สวรรค์เล่มนี้จนบังเกิดความรู้แจ้ง สุดท้ายจึงได้สร้างศาสตราหมื่นอาคมเซียนของตัวเองขึ้นมา!!
และพวกมันก็คือศาสตราหมื่นอาคมเซียนอีก 9 ชิ้นนอกเหนือจากกระบี่ 9 สวรรค์
ในบรรดาศาสตราหมื่นอาคมเซียนทั้ง 9 นั้น พวกมันยากจะแบ่งแยกสูงต่ำเพราะมีความสามารถแตกต่างกันไปตามรูปแบบการใช้งานอันเป็นเอกลักษณ์ และในบางแง่มุมพวกมันก็นับว่ามีพลังอานุภาพเหนือกว่าศาสตราหมื่นอาคมเซียนเล่มแรกของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่า กระบี่ 9 สวรรค์ เสียอีก…
และเรื่องราวทั้งหมดนี้คือความลับที่แทบไม่มีผู้ใดล่วงรู้!
มหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา ก็เป็นมหาค่ายกลที่ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ ฟงชิงหยางเหลือทิ้งไว้เช่นกัน
และการเปิดใช้งานมหาค่ายกลนี้ ยังต้องพึ่งกระบี่ 9 สวรรค์! เรียกว่าตัวมหาค่ายกลมีความเกี่ยวพันกับกระบี่ 9 สวรรค์อย่างลึกล้ำ
ในตอนนั้นเมื่อผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้อย่างหมอกพิรุณ ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ก็ใช้เวลาที่เหลือทิ้งมรดกตกทอด มหาค่ายกล รวมถึงกระบี่ 9 สวรรค์เล่มนี้เอาไว้ก่อนทะยานขึ้นสู่สวรรค์
ต่อมาเมื่อไร้เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง 7 ทวาราเที่ยงแท้ก็เหมือนพยัคฆ์ไร้เขี้ยว ถูก 3 ลัทธิผนึกกำลังกันบุกจู่โจมฆ่าล้างอย่างอำมหิต ทำให้กระบี่ 9 สวรรค์เองก็ตกไปอยู่ในมรสุมแห่งการช่วงชิงจนเปลี่ยนมือไปเรื่อย
และตอนนั้นเอง ปรมาจารย์จารึกเซียนที่บรรลุถึงระดับสวรรค์คนแรก ก็บังเอิญได้รับกระบี่ 9 สวรรค์มา หลังจากศึกษากระบี่เล่มนี้นานปี ในที่สุดมันก็สามารถยกระดับความเข้าใจในศาสตรการจารึกอาคม จนบรรลุระดับสวรรค์ได้สำเร็จ! จึงเริ่มสลักจารึกอมคม สร้างศาสตราหมื่นอาคมเซียนอีก 9 เล่มออกมา!!
หลังจากวันเวลาผ่านไป กระบี่ 9 สวรรค์ก็ถูกสืบทอดเปลี่ยนมือมาเรื่อย สุดท้ายก็ได้ตกมาอยู่ในมือของผู้เฒ่าพยากรณ์ หลังจากที่มันพยายามตามหาอยู่นานปี
ด้วยเหตุนี้มันจึงสามารถเปิดใช้งานมหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวาราได้!
พลังไร้สภาพอันลี้ลับยากมองเห็นขุมหนึ่งผุดโผล่จากอากาศว่างเปล่าบนแท่นศิลาทั้ง 7! พวกมันไหลเวียนไปตามวงจรพลังของมหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา! ก่อนที่จะม้วนวนควบรวมก่อเกิดแสงพลังพิสดารขุมหนึ่งกลางค่ายกล สุดท้ายก็แตกตัวแยกออกเป็นลำแสง 7 สายพุ่งเข้าสู่ร่างของ คนทั้ง 7 ที่นั่งขัดสมาธิอยู่
ขณะเดียวกันนั้นเองทั้งขุนเขาหิมะก็สะท้านสะเทือนปานเปลือกโลกกำลังเคลื่อนตัว มวลหิมะมหาศาลเคลื่อนขยับไปมาราวร่ายรำ
ในวันนี้ชะตากรรมของคนทั้ง 7 ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
และในวันนี้ ชายหนุ่มหญิงสาวทั้ง 7 ก็จะถือกำเนิดใหม่ในฐานะอัจฉริยะปีศาจบนยอดเขาหิมะในตอนเหนืออันห่างไกลแห่งนี้ รอคอยวันเวลาที่จะเปล่งประกายเฉิดฉายไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าในอนาคต…
…
ทางตอนเหนือของนครแห่งบาป
‘หืม? คนเยอะขนาดนี้เชียว?’
หลังเหินร่างทะยานข้ามฟ้าเหนือม่านเมฆไปพักหนึ่ง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นผู้คนมากมายจากทุกทั่วสารทิศกำลังเหินกันให้ควั่กใต้ม่านเมฆเบื้องล่าง ทั้งหมดรีบร้อนกันไปราวกับมีโรงทานแจกอาหารกลางวันฟรีทางตอนเหนือ…
‘ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของคลังสมบัติที่เหลือทิ้งไว้โดยเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนนั้นจะยอดเยี่ยมจริงๆ…’
ต้วนหลิงเทียนย่อมทราบว่าผู้คนเบื้องล่างกำลังเร่งรุดเดินทางไปที่ใด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าไปยังคลังสมบัติที่เหลือทิ้งไว้โดยยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแน่นอน!
เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้เรื่องนี้ เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้คนมากมายที่ได้รับทราบข่าวลือจากนครแห่งบาป เรื่องที่ว่ามีคลังสมบัติของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนปรากฏขึ้น!
โดยปกติแล้วสิ่งของที่ตัวตนระดับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหลือทิ้งไว้ย่อมไม่ธรรมดา แน่นอนว่าย่อมมีอำนาจดึงดูดใจผู้คนอย่างมหาศาล
‘คนของพันธมิตรอีกาทมิฬงั้นหรือ?’
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งใต้ม่านเมฆดึงดูดความสนใจไป
นั่นเพราะชุดเครื่องแต่งกายของพวกมันเป็นอะไรที่เขาคุ้นตานัก…ชุดเครื่องแบบของกองกำลังพันธมิตรอีกาทมิฬ!
หน้าสุดของกลุ่มคนจากอีกาทมิฬปรากฏร่างชายชราในชุดลำลองสีดำแลดูธรรมดายืนอยู่
‘เจ้านั่น…ผู้นำอีกาทมิฬงั้นเหรอ?’
ต้วนหลิงเทียนคาดเดาตัวตนของชายชราคนนั้นในหัวทันที
6 เดือนที่แล้วหลังจากเขาฆ่าเจียวจ้านรองผู้นำอีกาทมิฬไป ก็ไม่มีคนของอีกาทมิฬคนไหนคิดฉกฉวยโอกาสฆ่าชิงทรัพย์ผู้คนที่บาดเจ็บหลังการประลองในนครแห่งบาปอีกเลย ราวกับพวกมันจะเปลี่ยนเป็นคนดีและซื่อตรงในชั่วข้ามคืน!
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนคิดว่าที่คนของอีกาทมิฬกลายเป็นเรียบๆร้อยๆ ไม่กล้าก่อการอะไร เป็นเพราะผู้นำของพวกมันไม่อยู่
ทว่าต่อมาหลังจากที่เขาได้ยินว่าผู้นำของอีกาทมิฬกลับมาแล้ว พวกมันก็ไม่ได้ออกตามหาล่าตัวเขาแต่อย่างใด
ไม่เพียงแต่จะไม่สร้างปัญหาอะไรให้เขา หลังผู้นำของอีกาทมิฬกลับมาคนของพันธมิตรอีกาทมิฬทั้งหมดก็เหมือนจะเปลี่ยนไปเป้นคนใหม่ ไม่ก่อการชั่วร้ายอะไรในนครแห่งบาปอีกเลย อันที่จริงยังเห็นคนของอีกาทมิฬออกมาเดินเพ่นพ่านในนครแห่งบาปน้อยลงมาก
ในช่วงเวลานั้น ผู้คนในนครแห่งบาปลือกันว่าผู้นำพันธมิตรอีกาทมิฬหวาดกลัวเขามาก จึงกลายเป็นเรียบๆร้อยไม่คิดก่อการอะไรอีกต่อไป
เมื่อคนของอีกาทมิฬไม่ออกมาก่อกรรมทำชั่วในนครแห่งบาป ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้เพ่งเล็งไปที่พวกมันอีกเลย ทำราวกับจะสมานฉันท์กันในเวลาชั่วข้ามคืน…
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงหงุดหงิดไม่น้อย
คนของอีกาทมิฬกลายเป็นเรียบๆร้อยๆแบบนี้ แล้วเขาจะหาเรื่องฆ่าพวกมันเพื่อกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณได้อย่างไร?
เช่นนั้นเขาจึงได้แต่ไปหาโจรร้ายคนอื่นในนครแห่งบาปเพื่อกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ ไม่เคยลงมือกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของคนอื่นตามอำเภอใจแม้แต่ครั้งเดียว!
ผู้ที่ถูกเขากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ ล้วนแล้วแต่เป็นคนชั่วที่สมควรโดนดี!
เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนมีหลักการ
ฟู่ม!
หลังเหลือบมองคนของอีกาทมิฬผ่านๆอีกรอบหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็คร้านสนใจอะไรพวกมันอีก ร่างเหินทะยานออกไปปานดาวตกพาดฟ้าในยามค่ำคืน มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปด้วยความเร็วสูง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น