War sovereign Soaring The Heavens 2108-2114

 ตอนที่ 2,108 : มีบางอย่างเกิดขึ้น!


 


เมื่อตัดสินใจได้ หลูเถี่ยจ้าวแท่นบูชามังกรครามก็ไปถอนฟ้องต้วนหลิงเทียนเรื่องทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของปู้หงศิษย์เอกของมันที่หอคุมกฏทันที


 


ด้วยการแทรกแซงของรองจ้าวหอคุมกฏต่งหยวนจิ้น ทำให้เรื่องนี้รู้กันแต่ในหอคุมกฏเท่านั้น หลูเถี่ยเองก็เข้าใจดีว่าไฉนต่งหยวนจิ้นถึงจัดการปิดข่าวเรื่องราวได้เงียบขนาดนี้


 


เพราะสุดท้ายแล้วหากเรื่องราวนี้แพร่ออกไปในลัทธิบูชาไฟ ไม่เพียงไม่ทราบว่าจะทำให้ทั้งลัทธิแตกตื่นขนาดไหน กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็คงรู้ตัวแน่! และคงไม่คิดย้อนกลับมาที่ลัทธิบูชาไฟอีก แน่นอนว่าต่งหยวนจิ้น เองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นมากกว่าใคร


 


อย่างไรก็ตามวันนี้อยู่ๆหลูเถี่ยมาถอนฟ้องแบบนี้ แม้จะไม่ทำให้ลัทธิบูชาไฟแตกตื่นอะไรเพราะไม่มีใครรู้ ทว่ากลับทำให้หอคุมกฏแปลกใจยกใหญ่แล้ว!


 


เพราะการกระทำนี้ของหลูเถี่ย แทบไม่ต่างอะไรจากใส่ร้ายผู้อื่นและแจ้งความเท็จ ซึ่งขัดต่อกฏของลัทธิบูชาไฟเช่นกัน ทำให้หลูเถี่ยมีความผิดติดตัว และต้องถูกลงโทษตามกฏ! ทว่าผู้ที่รับแจ้งเรื่องราวและทราบเรื่องนี้เป็นแค่อาวุโสเพลิงเงินคนหนึ่งเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าตัดสินใจทำอะไร


 


ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ต่งหยวนจิ้น จำต้องออกโรงเอง “จ้าวแท่นหลู่ ท่านต้องการถอนฟ้องต้วนหลิงเทียนจริงๆหรือ?”


 


ต่งหยวนจิ้นมองถามหลูเถี่ยด้วยความสับสน มันไม่เข้าใจจริงๆ “ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?”


 


ต่งหยวนจิ้นย่อมไม่เชื่อข้ออ้างของหลูเถี่ย ที่บอกว่าปู้หงบ่มเพาะพลังผิดพลาดจนพลั้งเผลอทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองได้ลงคอ ยังรู้สึกว่าเรื่องราวครั้งนี้สมควรมีเหตุผลบางประการซ่อนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ และครั้งนี้นับว่าต่งหยวนจิ้นเดาได้ถูกต้องแล้วจริงๆ หากแต่กระทั่งหลับมันยังไม่อาจฝันถึง ว่าสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องราวนี้คืออะไร!


 


“รองจ้าวหอต่ง ที่ต้องกล่าวข้าก็กล่าวออกไปหมดสิ้นแล้ว เชิญท่านตัดสินเรื่องราวเถอะ”


 


เผชิญกับการจี้ถามด้วยสงสัยของต่งหยวนจิ้น หลูเถี่ยประพฤติตัวปานหมูตายไม่กลัวน้ำเดือด!


 


มันเองก็รู้ดีว่าไฉนต่งหยวนจิ้นถึงจี้ถามเรื่องนี้ นั่นเพราะหากมันถอนฟ้องต้วนหลิงเทียน ต่งหยวนจิ้นก็จะเสียโอกาสล้างแค้นต้วนหลิงเทียนให้ลูกชายอย่างต่งหลิน


 


“จ้าวแท่นหลูท่านสมควรคิดให้ดีๆ…หากท่านถอนฟ้องย่อมหมายความว่าท่านกำลังยอมรับผิดข้อหาแจ้งความเท็จและใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น! ถึงแม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะไม่อยู่ในลัทธิบูชาไฟ แต่หอคุมกฏเราจำต้องลงโทษทางวินัยท่านตามหน้าที่!”


 


ต่งหยวนจิ้นกล่าวออกเสียงเข้ม เจตนาขู่ขมหลูเถี่ยในระดับหนึ่ง


 


หากแต่เรื่องเท่านี้ยังจะเอามาข่มขู่หลูเถี่ยได้หรือ?


 


“รองจ้าวหอต่ง ที่ท่านกล่าวข้าล้วนทราบดี แต่เท่าที่ข้ารู้มาหากมายอมรับผิดกับหอคุมกฏด้วยตัวเองก่อนที่จะสร้างความเสียหายอันใด โทษทัณฑ์ที่ข้าจักได้รับสมควรลดลงกึ่งหนึ่งใช่หรือไม่?”


 


แต่ต้นจนจบหลูเถี่ยกล่าวออกมาโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน เหมือนกับว่าโทษของหอคุมกฏไม่นับเป็นอะไรสำหรับมัน


 


และมันก็ไม่นับเป็นอะไรจริงๆ


 


โทษที่ลดลงกึ่งหนึ่ง ทำให้มันไม่ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง แค่ไม่ถูกโบยหลังก็ไม่พ้นถูกทุบตีทรมาณเท่านั้น แต่อาศัยร่างเนื้อของเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน บาดแผลภายนอกยังจะนับเป็นอะไรได้?


 


เมื่อเห็นว่าหลูเถี่ยตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ต่งหยวนจิ้นก็คร้านกล่าวใดให้มากความสืบต่อ


 


หากแต่ลึกลงไปในใจ เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้ถูกหว่านไว้แล้ว มันรู้สึกว่าความเคลื่อนไหวของหลูเถี่ยครั้งนี้สมควรมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่มันไม่ทราบบางประการ


 


“อะไรนะ! จ้าวแท่นหลูถอนฟ้องต้วนหลิงเทียนแล้ว?!”


 


ไม่นานต่งหลินก็ได้ทราบเรื่องราวจากปากบิดา หน้ามันบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ ยากยอมรับความจริง


 


อนิจจาความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ไม่อยากแค่ไหนก็จำต้องยอมรับ


 


สุดท้ายมันก็ทำได้แค่ยอมรับชะตากรรมผิดหวังเท่านั้น


 


แน่นอนว่าแม้มันจะยอมรับชะตากรรม หากแต่ในใจก็ไม่คิดจะเลิกราแต่เพียงเท่านี้!


 


สุดท้ายก็มีโอกาสจัดการกับต้วนหลิงเทียนอย่างถูกต้องเสียที ไหนเลยมันจะปล่อยให้โอกาสดีๆเช่นนี้หลุดลอยออกไปได้?


 


ไม่กี่วันต่อมา การมาเยือนของแขกคนหนึ่ง ก็ทำให้ความสงบของลัทธิบูชาไฟพังทลายทันที


 


และผู้มาเยือนคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น มันคืออาวุโส 5 วังอุดรไพศาลหยางชง สหายสนิทของอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 แห่งแท่นบูชาเต่าทมิฬ หลี่อัน


 


หยางชงนั้นแน่นอนว่าคิดมาหาหลี่อัน


 


แต่เมื่อมันไปถึงแท่นบูชาเต่าทมิฬก็พบว่าหลี่อันไม่อยู่


 


และด้วยคำร้องขอของมัน อาวุโสเพลิงเงินคนอื่นๆก็จำต้องพามันไปดูแท่นเก็บลูกแก้ววิญญาณ และในที่สุดมันก็พบว่าลูกแก้ววิญญาณของหลี่อันได้แตกไปแล้วจริงๆ!


 


“เกิดเรื่องกับมันจริงๆด้วย…! เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ!!”


 


เมื่อเห็นลูกแก้ววิญญาณของหลี่อันแหลกเป็นเสี่ยง สีหน้าหยางชงก็มืดคล้ำดำลง


 


“อาวุโสหยางชง นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่!?”


 


อาวุโสเพลิงเงินของแท่นบูชาเต่าทมิฬ ถงชาน มองถามหยางชงเสียงหนัก


 


กัวฉง เมิ่งจินอาวุโสเพลิงเงินของแท่นบูชาเต่าทมิฬที่มาด้วย ก็มองจ้องไปที่หยางชงเช่นกัน ใบหน้าของทั้งหมดยังเต็มไปด้วยความงุนงง ด้วยไม่ทราบว่าหยางชงพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ ที่ว่า ‘เกิดเรื่องขึ้นแล้ว’


 


และแน่นอนว่าการตายของหลี่อัน อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ก็ทำให้ใจของพวกมันเสมือนมีมรสุมก่อเกิด!


 


“เรื่องนี้เกิดขึ้นได้สักพักแล้ว…”


 


เผชิญกับการมองจี้ถามของอาวุโสเพลิงเงินทั้ง 3 หยางชงย่อมไม่กล้าไม่พูด


 


แน่นอนว่ามันไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่หลี่อันพายอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ของมันลงไปหาภูมิหลังของต้วนหลิงเทียนที่ภูมิภาคเบื้องล่าง แต่เพียงบอกว่าหลี่อันมาหยิบยืมกำลังพลของมันลงไปทำธุระที่ภูมิภาคเบื้องล่างเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามมันพบว่าเนิ่นนานแล้วหลี่อันกับคนของมันก็ได้ขาดการติดต่อไป ที่สำคัญลูกแก้ววิญญาณคนของมันกลับแตกออกอย่างพร้อมเพรียง!


 


ทำให้มันตระหนักได้ทันทีว่าอาจเกิดเรื่องขึ้นกับหลี่อันและคนของมัน


 


มันจึงมุ่งหน้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคด้วยหมายจะลงไปดูเรื่องราวที่ภูมิภาคเบื้องล่างทันที


 


ทว่าพอมันมาถึงสถานที่จัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคมันก็พบว่า…ไม่อาจเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายได้อีกสืบไป!


 


ตอนนั้นมันคิดว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายจุดนี้สมควรมีปัญหา


 


หากแต่เมื่อมันไปยังจุดขนส่ง ที่จัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคแห่งอื่น มันก็พบว่าค่ายกลทั้งหมดล้วนใช้การไม่ได้อย่างน่าฉงน


 


และมันยังได้ยินผู้คนที่ประจำการจุดเคลื่อนย้ายกล่าวบ่นออกมาว่า


 


ไม่ทราบเป็นอะไร หากแต่พักหลังมานี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับไม่อาจใช้การได้เลย


 


“เช่นนั้นข้าจึงมาลัทธิบูชาไฟเพื่อตรวจสอบความเป็นไปของหลี่อัน…สุดท้ายกลับเกิดเรื่องกับมันแล้วจริงๆ”


 


สีหน้าหยางชงบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก กล่าวว่า “ข้าได้ยินปรมาจารย์จารึกเซียนที่ประจำจุดเคลื่อนย้ายกล่าวว่า…หากเกิดเรื่องใดขึ้นกับค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคที่ภูมิภาคเบื้องล่าง ค่ายกลเคลื่อนย้ายของภูมิภาคเบื้องบนทั้งหมดจักใช้การไม่ได้!”


 


“แต่หากเกิดเรื่องใดขึ้นค่ายกลของภูมิภาคเบื้องบนค่ายกลเบื้องล่างยังทำงานอยู่ ขอเพียงซ่อมแซมค่ายกลด้านบนเสร็จก็ยังเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคได้อีกครั้ง…เพราะค่ายกลเบื้องล่างนั้นไม่ต้องพึ่งค่ายกลด้านบน ทุกครั้งมันจะส่งผู้คนมาแบบสุ่มตลอด”


 


หยางชงกล่าวอธิบาย


 


เป็นเช่นเดียวกับพวกต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ และจูลู่ฉี ครั้งแรกที่ทั้ง 3 มายังภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทั้งหมดก็ไปสุ่มโผล่เอาสวนสมุนไพรของราชันเม็ดยา ไม่ได้ถูกส่งมาใกล้ๆตำแหน่งที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายของภูมิภาคเบื้องบนเลย


 


“เช่นนั้นจากการวิเคราะห์ของปรมาจารย์ทั้งหลาย…ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ภูมิภาคเบื้องล่างสมควรมีปัญหาแล้ว!”


 


หยางชงกล่าวต่อเสียงหนัก


 


“ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ภูมิภาคเบื้องล่างมีปัญหางั้นหรือ?”


 


สีหน้าท่าทีกัวฉงเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที


 


“จากที่ข้าทราบมาค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ภูมิภาคเบื้องล่างนั้นแข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งกว่าค่ายกลที่ภูมิภาคเบื้องบนของพวกเรามาก เพราะมันได้ผสานเข้ากับมหาค่ายกลปิดผนึกกั้นเขตแดนระหว่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเรากับแดนเนรเทศ จึงทำให้มันได้รับพลังป้องกันจากมหาค่ายกลปิดผนึกนั่นด้วย…”


 


“อีกทั้งมหาค่ายกลปิดผนึกนั้นจัดเป็นค่ายกลต้องห้ามที่เหล่าบรรพจารย์ในอดีตสละชีวิตร่วมกันสร้างขึ้น ให้เป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนยังมิอาจทำลายได้…แล้วผู้คนในภูมิภาคเบื้องล่างที่ไม่แม้แต่จักบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์จักทำให้เกิดปัญหาได้อย่างไร…”


 


กัวฉงนั้นนอกจากจะเป็นอาวุโสเพลิงเงินของแท่นบูชาเต่าทมิฬแล้ว มันยังเป็นผู้อาวุโสคุมกฏของแท่นบูชาเต่าทมิฬอีกด้วย เรียกว่ามีความรู้มากที่สุดในแท่นบูชาเต่าทมิฬก็ว่าได้


 


มันเองก็เคยศึกษาเรื่องค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค และเรื่องราวในอดีตเช่นกัน


 


ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคที่เบื้องล่างนั้นผสานเข้ากับมหาค่ายกลปิดผนึก ที่ทำหน้าที่ฉาบม่านพลังมิติกั้นแดนระหว่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากับแดนเนรเทศ…


 


เรียกว่าด้วยมีมหาค่ายกลปิดผนึก ช่องทางมิติระหว่างแดนเนรเทศกับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจึงถูกปิดกั้นเอาไว้อย่างสมบูรณ์


 


เผ่าพันธุ์ปีศาจไม่อาจบุกรุกเข้ามาได้อีกในช่วงเวลาสั้นๆ!


 


พลังอำนาจของมหาค่ายกลปิดผนึกดังกล่าว สามารถดำรงอยู่ได้ถึงล้านปี! เช่นนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่ามันมีความแข็งแกร่งแค่ไหน!


 


ต้องทราบด้วยว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นในอดีตมีน้อยนักที่จะบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เพราะสภาพแวดล้อมบ่มเพาะอันย่ำแย่ของแดนเนรเทศ แต่แน่นอนว่ายังมีผู้ที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอยู่บ้าง


 


แต่ทั้งหมดล้วนล้มเหลวในการก้าวผ่านทัณฑ์สวรรค์!


 


ด้วยเหตุนี้กัวฉงจึงมั่นใจ


 


ต่อให้ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจร่วมมือกัน ก็ไม่อาจทำลายมหาค่ายกลปิดผนึกได้ จึงไม่อาจทำลายค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคได้


 


“หากค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคที่เบื้องล่างถูกทำลายแล้วจริงๆ…เช่นนั้นมิได้หมายความว่ามหาค่ายกลปิดผนึกนั่นถูกทำลายลงแล้วหรอกหรือ?”


 


ทันทีที่คิดถึงจุดนี้หน้ากัวฉงก็มืดลงทันที


 


ณ นครแห่งบาป


 


ปงงง!


 


ภายในห้องหับของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เม็ดฝุ่นที่แลดูไร้สำคัญที่มุมหัวเตียงยังคงตั้งอยู่อย่างเงียบงันยากจะแลเห็น หากแต่ด้านในตอนนี้บังเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง คลื่นพลังมหาศาลขุมหนึ่งกวาดซัดไปทั่วชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตที่ย่อขนาดจนเล้กเท่าไรฝุ่น!!


 


“ฮ่าๆๆๆ!!”


 


ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น


 


เป็นต้วนหลิงเทียนที่ระเบิดเสียงหัวเราะดังกล่าว และคลื่นพลังที่ระเบิดออกมาก็ปะทุออกจากร่างกายเขา!


 


ทะลวงผ่านแล้ว!


 


หลังผ่านไป 2 เดือนในที่สุดเขาก็ทะลวงด่านได้สำเร็จ!!


 


“เซียนนภาขั้นต้น!”


 


หัวเราะไปสักพักต้วนหลิงเทียนก็หยุดลง ก่อนจะเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันขึ้นมาให้ปกคลุมไปทั่วร่าง ตอนนี้เขาตระหนักได้ชัดว่าพลังเซียนสุริยันของเขาได้ยกระดับพัฒนาเรียบร้อย “ตอนนี้ต่อให้ไม่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน…แต่พลังเซียนสุริยันของข้าก็เทียบได้กับพลังเซียนต้นกำเนิดของเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยน!”


 


‘ให้ตายเถอะ แค่รากวิญญาณสีครามก็ทำให้ข้ามีความเร็วในการบ่มเพาะขนาดนี้แล้ว หากพรสวรรค์รากวิญญาณของข้ายกระดับกลายไปเป็นสีม่วง แล้วมันจะรวดเร็วถึงขนาดไหนกัน!?’


 


พอคิดถึงเรื่อีน้ขึ้นมา ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความตื่นเต้นนัก


 


หากแต่ความตื่นเต้นดังกล่าวก็คงอยู่ได้ไม่นาน


 


เพราะหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนออกจากโรงเตี๊ยม เขาพลันได้ยินข่าวลือเรื่องหนึ่ง ที่ผู้คนกล่าวถึงกันหนาหูในช่วงนี้


 


ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคทั้งหมดของภูมิภาคเบื้องบน ใช้การไม่ได้แล้ว…บัดนี้ไม่อาจมีใครหวนกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าโดยใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้อีก!


ตอนที่ 2,109 : ยุคมนุษย์ปีศาจหวนกลับมาอีกครั้ง?


 


‘อะไรนะ ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคเสียหาย ไม่อาจขนส่งผู้คนกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่างได้อีก!?’


 


สีหน้าท่าทีของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปใหญ่หลวงเมื่อได้ยินเรื่องนี้


 


กระทั่งความตื่นเต้นยินดีในใจที่พึ่งบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภา ก็สลายหายไปไม่เหลือหลอ!


 


บางทีข่าวนี้อาจไม่นับเป็นเรื่องอะไรสำหรับผู้คนที่ตั้งรกรากถิ่นฐานในภูมิภาคเบื้องบนกันมานาน


 


ทว่าสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วประหนึ่งฟ้าถล่มลงมาก็ว่าได้!


 


นั่นเพราะครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหายของเขาล้วนอยู่ที่ภูมิภาคเบื้องล้างทั้งสิ้น!


 


‘เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…หรือค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคด้านล่างเกิดเหตุขัดข้อง’


 


ต้วนหลิงเทียนพยายามสงบสติอารมณ์ ไม่ตีตนไปก่อนไข้ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันเกินจริงไปอยู่บ้าง! ไฉนอยู่ๆค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคจะเกิดเหตุขัดข้องได้? หนทางของสองภูมิภาคจะขาดลงง่ายๆเช่นนี้เลยหรือ?


 


เขาไม่เชื่อ


 


รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรแน่! หรือไม่ก็ผู้ที่กำลังกล่าวนั้นเพียงกล่าวเพ้อเจ้อไปเรื่อยไร้มูลความจริง!!


 


อย่างไรก็ตามพอเขาได้ยินผู้คนกล่าวถึงเรื่องนี้กันอย่างหนาหูมากเข้า และไม่มีทีท่าว่าจะเป็นการล้อเล่น ความเชื่อมั่นดังกล่าวก็เริ่มสั่นคลอน


 


‘หรือค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคที่เบื้องล่างจะมีปัญหาแล้วจริงๆ?’


 


จังหวะนี้ใบหน้าต้วนหลิงเทียนบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก


 


หากไร้หนทางย้อนกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่างได้อีกต่อไป ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีวันได้เห็นหน้าบิดามารดา ภรรยาและลูกน้อยรวมถึงสหายทั้งหลายอีกต่อไปแล้วหรือ?


 


ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ใจต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นเท่านั้น


 


“ข้าได้ยินมาว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ภูมิภาคเบื้องล่างสมควรเกิดเรื่องบางประการ ทำให้ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เบื้องบนเราหยุดชะงักการขนส่งทั้งหมดเพราะขาดการระบุจุดหมายปลายทาง…การเดินทางอันใดล้วนเป็นอัมพาตหมดสิ้น”


 


“ข้าเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน…การเชื่อมต่อระหว่างเบื้องบนกับเบื้องล่าง ค่ายกลเบื้องล่างนั้นมีความสำคัญกว่า เพราะเบื้องบนต้องพึ่งการกำหนดและชี้นำเป้าหมายปลายทางจากค่ายกลเบื้องล่าง ทว่าค่ายกลเบื้องล่างสามารถส่งผู้คนมายังเบื้องได้โดยไม่ต้องกำหนดเป้าหมาย”


 


“ตอนนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ภูมิภาคเบื้องล่าง…หมายความว่าผู้คนจากเบื้องล่างมิอาจขึ้นมายังเบื้องบน และเบื้องบนยิ่งไม่อาจย้อนกลับไปเบื้องล่าง”


 


“ไปไม่ได้ก็ช่างปะไร สถานที่ๆกระทั่งนกยังไม่อยากแวะเวียนไปขับถ่ายเช่นนั้นยังมีดีอันใด? จ้างให้ข้ายังมิอยากลงไปเหยียบด้วยซ้ำ เช่นนั้นค่ายกลจะพังไม่พังล้วนไร้สำคัญสำหรับข้า!”


 



 


วาจาทำนองดังกล่าวดังขึ้นทั่วนครแห่งบาป


 


สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องนี้ ยังคิดว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวเองมาก การไม่อาจลงไปในสถานที่ๆพวกมันไม่ได้อยากจะไปแต่แรก ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อชีวิตพวกมันเลย


 


อย่างไรก็ตามวาจาไม่อนาทรร้อนใจดังกล่าวในที่สุดก็ถูกความจริงประการหนึ่งตบหน้าอย่างแรง


 


“พวกเจ้าคิดว่าเรื่องราวมันจะง่ายดายเพียงแค่พวกเราไม่อาจลงไปยังภูมิภาคเบื้องล่างเท่านั้นรึไง?”


 


ไม่ทันไรก็มีเรื่องราวหนึ่งแพร่ไปทั่วนครแห่งบาป และเรื่องนี้ก็มาจากผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือสูง ทำให้เรื่องราวมันแพร่ไปทั่วนครแห่งบาปว่องไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่งและฝูงตั๊กแตนบุก!


 


และในเวลาไม่นานข่าวเรื่องราวอันน่าตื่นตระหนกที่ว่าก็กระจายไปทั่ว จนผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายทราบกันถ้วนหน้า ยังเริ่มแพร่ออกไปเมืองข้างเคียงอีกด้วย


 


“อะไรนะ!? หากเกิดปัญหาขึ้นกับค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ภูมิภาคเบื้องล่าง นั่นหมายความว่ามหาค่ายกลปิดผนึกมิติกั้นแดนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเราเมื่อแสนกว่าปีก่อนที่เหล่าบรรพจารย์ทิ้งไว้เกิดปัญหาแล้ว!?”


 


“ช้าก่อนผู้อาวุโส! มหาค่ายกลปิดผนึกมิติกั้นแดนเมื่อหลายแสนปีก่อนที่ท่านว่ามันคืออะไร?”


 


“มันเป็นมหาค่ายกลที่กางม่านพลังฉาบทับมิติกั้นแดนระหว่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของพวกเรากับ ดินแดนเนรเทศของเผ่าพันธุ์ปีศาจ!”


 


“หือ แดนเนรเทศอะไร? ปีศาจอะไร? นี่มันเรื่องอันใดกันแน่พี่ชาย โปรดเล่าให้ข้าน้อยทราบด้วย…”


 


“เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปครั้งจุดเริ่มต้นของยุคมนุษย์ปีศาจเมื่อหลายแสนปีก่อน…”


 



 


ยุคมนุษย์ปีศาจ


 


แดนเนรเทศ


 


เผ่าพันธุ์ปีศาจ!


 


เรื่องราวที่หลายคนไม่เคยได้ล่วงรู้ ถูกนำมาเล่ากันอย่างแพร่หลาย ความจริงที่แทบจะลบเลือนไปตามกาลเวลาและจมหายไปในประวัติศาสตร์ได้ผุดโผล่ขึ้นมาปรากฏชัดแก่ใจผู้คนทั้งหลายกันอีกครั้ง! และนั่นก็ก่อเกิดความตื่นตระหนกไปทั่วนครแห่งบาป!!


 


จังหวะนี้ทุกผู้คนได้รับทราบแล้ว…


 


ที่แท้เมื่อกว่าแสนปีที่แล้ว ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเคยตกอยู่ในห้วงกลียุค ที่เป็นดั่งยุคมืดของเผ่าพันธุ์มนุษย์…ยุคมนุษย์ปีศาจ!


 


ในยุคนั้นอยู่เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ได้บุกรุกเขามายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ผ่านช่องโหว่ของกำแพงมิติกั้นแดน พวกมันได้บุกเข้ามาสังหารหมู่ผู้คนไปมากมาย กลืนกินชีวิตและเลือดเนื้อมนุษย์ดั่งอาหาร จนผู้ฝึกตนมากมายกลายเป็นซากร่างแห้งกรัง


 


เพราะเหล่าปีศาจกว่า 9 ส่วนนั้น อาศัยการกลืนกินแก่นแท้และสารัตถะของผู้อื่นเพื่อยกระดับพลัง พลังฝึกปรือที่บ่มพสั่งสมมาชั่วชีวิต พลังชีวิต และแก่นแท้โลหิตล้วนไม่ต่างอาหารเลิศรสของพวกมัน!


 


“ยุคมนุษย์ปีศาจ?”


 


“แดนเนรเทศ?”


 


“เผ่าพันธุ์ปีศาจ?”


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อแสนกว่าปีก่อนเช่นกัน แดนเนรเทศ ยุคมนุษย์ปีศาจ และเผ่าพันธุ์ปีศาจ “ในยุคนั้นผู้ฝึกตนมนุษย์ไม่ขาดเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนงั้นหรือ? เผ่าพันธุ์ปีศาจมีก็เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเช่นกันแต่น้อยกว่า?”


 


“ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคได้อาศัยมหาค่ายกลปิดผนึก? หากเกิดเรื่องกับค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคเบื้องล่าง นั่นหมายความว่ามหาค่ายกลปิดผนึกมีปัญหา?”


 


พอได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็ย่ำแย่ลงไม่น้อย


 


ก่อนหน้านี้พอได้รู้ว่าเขาไม่อาจกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่างได้อีก เขาก็ตกใจและกลัวว่าจะไม่ได้พบหน้าครอบครัวอีกต่อไป


 


ทว่าใจเขาไม่ได้กังวลถึงความปลอดภัยของทุกคนเลย


 


เพราะด้วยมีบิดาที่เป็นถึงจ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนไม่กลัวว่าจะมีใครกล้าสร้างปัญหาให้ครอบครัวของเขา!


 


ทว่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งอยู่ในสมมติฐานที่ไร้ซึ่งการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจ


 


“หากเป็นแบบนั้นจริง…หมายความว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศสามารถบุกรุกเข้ามาที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อีกครั้ง! กล่าวให้ชัดคือพวกมันสามารถบุกรุกเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!!”


 


“ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเมื่อแสนกว่าปีที่แล้วยังไม่มีการแบ่งเป็นสองภูมิภาค ยังมียอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนคอยคุมสถานการณ์…แต่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างในปัจจุบัน กระทั่งตัวตนขอบเขตเซียนนภายังหายากปานเขามังกรขนหงส์ ยังจะนับประสาอะไรกับขอบเขตเซียนสวรรค์!”


 


“หากเผ่าพันธุ์ปีศาจมันบุกเข้ามาจริง…น่ากลัวที่ภูมิภาคเบื้องล่างคงไม่มีใครรอดแล้ว!!”


 


นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาต้วนหลิงเทียนก็กระวนกระวายใจจนแทบบ้า!


 


นั่นเพราะครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหายของเขายังอยู่ที่ภูมิภาคเบื้องล่าง!


 


หากเผ่าพันธุ์ปีศาจบุกเข้ามาจริง ทุกคนย่อมไม่มีพลังที่จะต่อต้านพวกมันได้เลย!!


 


“พี่ชายท่านนี้เช่นนั้นหมายความว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังจะบุกรุกเข้ามาที่ภูมิภาคเบื้องล่างงั้นหรือ…ทว่าเพียงแค่ภูมิภาคเบื้องล่างใช่หรือไม่ ภูมิภาคเบื้องบนของเรายังเป็นไร? เพราะแม้จะเรียกดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเช่นกัน แต่ที่นี่มันเป็นพื้นที่อิสระที่แยกตัวออกจากกันโดยสมบูรณ์นี่นา ที่ๆพวกเราอยู่เรียกกันว่าระนาบเทียมใช่หรือไม่?”


 


“ใช่ นี่หมายความว่าพวกปีศาจก็ไม่มีทางรุกรานขึ้นมาได้น่ะสิ”


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้…งั้นข้าก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วสิ?”


 


“ใช่ หากปีศาจมันบุกรุกเข้ามายังภูมิภาคเบื้องล่างผ่านช่องทางที่เคยถูกปิดผนึกจริง เมื่อมหาค่ายกลพังทลาย ค่ายกลเคลื้อนย้ายข้ามภูมิภาคด้านล่างก็สมควรถูกทำลายไปด้วย ทีนี้พวกมันก็ได้แต่ติดแหง็กอยู่ด้านล่าง มิอาจขึ้นมาเบื้องบน!”


 


“ไม่นานมานี้ข้าคิดว่าจะแวะไปหาอนุภรรยาที่ข้าพานางไปซ่อนตัวที่ภูมิภาคเบื้องล่างสักหน่อย มาตอนนี้ช่างโชคดีนักที่ข้าไม่ทันได้ไป”


 



 


บทสนทนาทำนองนี้ดังระงมไปทั่วนครแห่งบาป


 


อย่างไรก็ตามหลังเรื่องนี้กล่าวถึงไปได้ไม่นาน วาจาจากผู้รู้ก็ทำลายความสงบของทุกคนไปหมดสิ้น


 


“ไม่ส่งผลต่อพวกเราในภูมิภาคเบื้องบน? ติดแหง็กมิอาจขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบน? พวกเจ้าฝันหวานเกินแล้ว!!”


 


“มิผิด พวกเจ้าทั้งหลายคิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจล้วนเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การมิได้หรือ? พวกเจ้าคิดว่าเรื่องที่พวกมันเกือบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกเราทั้งที่บุกรุกเข้ามาอย่างไม่ได้ตระเตรียมความพร้อมให้ดีเป็นเรื่องล้อเล่น? ผ่านมากว่าแสนปีแล้ว เผลอๆตอนนี้พวกมันสมควรไม่ขาดเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเช่นกัน ไหนยังจะปีศาจที่มีความสามารถด้านค่ายกล พวกเจ้าคิดว่าพวกมันทำอะไรกันไม่เป็นจริงๆ?”


 


“กล้าคิดว่าปีศาจไม่นับเป็นอะไร? พวกเจ้าช่างไร้เดียงสานัก! ข้าจักบอกอันใดให้ฟัง คราวนี้เผลอๆพวกมันจะสั่งสมกำลังพลรอให้กองทัพพร้อมพรั่งแล้วเค่อยปิดค่ายกลยกทัพขึ้นมาด้วยซ้ำ! พวกเราได้ฉิบหายกันหมดแน่!!”


 



 


เมื่อความจริงอันโหดร้ายนี้แพร่สะพัดออกมา ผู้ฝึกตนในนครแห่งบาปก็ใจเสียกันหมด มาตอนนี้พวกมันจึงได้รู้แล้วว่ากระทั่งอยู่ภูมิภาคเบื้องบนก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัย


 


ไม่ช้าก็เร็ว ปีศาจ ต้อบุกขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนด้วยแน่!


 


“ตอนนี้ข้าเพียงหวังว่าเหตุผลที่พวกเรามิอาจเคลื่อนย้ายไปภูมิภาคเบื้องล่าง สมควรเป็นเพราะค่ายกลด้านล่างเกิดเหตุขัดข้องบางประการเท่านั้น มิใช่ถูกทำลายไปแล้ว…หาไม่แล้วพวกเราก็เสมือนหนูติดจั่น พอภูมิภาคเบื้องล่างกลายเป็นฐานของพวกมันโดยสมบูรณ์เมื่อไหร่ พวกเราก็มิอาจหลีกหนีสงครามได้อีก!”


 


“ยุคมนุษย์ปีศาจที่เป็นดั่งฝันร้ายนั่นกำลังจักกลับมาอีกแล้วหรือ…เพียงคิดก็ขู่ขวัญผู้คนแทบตาย ขออย่าได้เกิดขึ้นมาจริงๆเลย”


 


“ปีศาจพวกนั้น แค่ได้ยินก็ทำให้ผู้คนตกใจ…ข้าเองก็ไม่อยากจะสู้กับพวกมัน! หากเป็นไปได้มิขอพบเจอพวกมันเลยเสียจักประเสริฐกว่า!”


 



 


บรรยากาศในนครแห่งบาปเริ่มเปลี่ยนเป็นอึมครึมหดหู่


 


และไม่นานบรรยากาศดังกล่าวก็กวาดซัดไปทั่วภาคกลาง


 


เพียงเวลาอันสั้นก็กระจายไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน ทำให้เหล่าผู้คนในภูมิภาคเบื้องบนรู้สึกเสมือนชีวิตกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง


 


หลายคนถึงกับเดินทางไปยังจุดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค เพื่อดูว่ามันข้ามไปไม่ได้จริงหรือไม่


 


ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีต้วนหลิงเทียนรวมอยู่ด้วย


 


ต้วนหลิงเทียนเร่งรุดเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดตลอดทั้งเดือน เพื่อตระเวนไปยังจุดจัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายต่างๆ ที่อยู่ใกล้นครแห่งบาปมากที่สุด


 


ทว่าทั้งหมดล้วนเป็นดุจเดียวกัน ไม่อาจใช้งานได้ พวกมันไม่อาจส่งผู้คนไปยังภูมิภาคเบื้องล่างได้อีกต่อไป


 


‘หรือ…จะเกิดเรื่องขึ้นกับค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคที่เบื้องล่างจริงๆ?’


 


‘ปีศาจมันบุกรุกเข้ามาแล้ว?’


 


‘ยุคมนุษย์ปีศาจเมื่อแสนกว่าปีก่อนกำลังจะหวนกลับมา?’


 


ระหว่างเดินทางใจต้วนหลิงเทียนแทบจะมอดไหม้ไปด้วยไฟกังวล ความคิดเลวร้ายมากมายผุดขึ้นในใจไม่หยุดหย่อน อารมณ์ไม่คงที่ยากสงบ


 


อนิจจาแม้เขาจะกังวลร้อนรนให้ตาย ก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเหมือนมีระเบิดห่าใหญ่ถล่มลงกลางใจ รู้สึกอ่อนแอไร้พลังอย่างถึงที่สุด


 


“ผู้เฒ่าหั่ว…ไม่มีวิธีอื่นใดแล้วจริงๆหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วด้วยความขื่นขม


 


นี่ยังเป็นคำถามเดิมที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วเมื่อหลายวันก่อน


 


และวันนั้นผู้เฒ่าหั่วก็ได้ตอบเขามาว่า


 


มีเพียงทะลวงให้ถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน และข้ามผ่านภัยพิบัติจากอัสนีสวรรค์ให้ได้เสียก่อน เขาถึงจะมีพลังอำนาจมากพอฉีกเปิดห้วงมิติ และสามารถย้อนกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อไปจัดการเรื่องราวทั้งหลายได้ ก่อนที่ อำนาจเซียนอมตะ จะสาดส่องลงมาจากสวรรค์ฉุดดึงเข้าให้ขึ้นไปยังแดนสวรรค์


 


ทว่าเรื่องราวนี้เป็นอะไรที่เป็นได้แค่ฝันสำหรับเขาในตอนนี้


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พรสวรรค์รากวิญญาณในปัจจุบันของเขายังเป็นแค่สีคราม ต่อให้เป็นสีม่วงและมีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติช่วยเหลือ ก็ยังต้องใช้เวลาสักพักในการทะลวงไปให้ถึงขอบเขตสูงล้ำขนาดนั้น


 


น้ำไกลย่อมไม่อาจดับกระหายตอนนี้


 


ถึงตอนนั้นเกรงว่าภูมิภาคเบื้องล่างคงร้างผู้คนไปแล้ว…ตกตายหมดสิ้นไม่เหลือรอด!


ตอนที่ 2,110 : เซี่ยจงมาเคาะประตูถึงหน้าบ้าน?


 


 


 


ฟืด!


 


ฟืด!


 


ฟืด!!


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าเขากำลังจะสติแตกเต็มที!


 


อันที่จริงหลายๆคนในภูมิภาคเบื้องบนก็มีอาการดุจเดียวกันนี้


 


เพราะหากปีศาจมันเตรียมความพร้อมและบุกขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนได้จริงๆล่ะก็ ไม่แน่ว่าพวกมันยังจะหลงเหลือคืนวันอันดีอีกต่อไป


 


แค่นั้นยังไม่พอ


 


หากยุคมนุษย์ปีศาจหวนกลับมาอีกครั้งจริงๆ ปีศาจจะประหนึ่งฝูงตั๊กแตนห่าใหญ่ที่กวาดผ่านไปทั่วทุกซอกทุกมุมของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน ถึงตอนนั้นไม่ว่าผู้ฝึกตนมนุษย์จะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็ไม่พ้นถูกเจอในที่สุด


 


“ให้ตายเถอะ! ไฉนในโลกนี้ถึงได้มีพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจนั่นอยู่ด้วยเล่า!?”


 


“หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ข้าคงไม่รู้เลยว่าที่แท้ผู้ฝึกมารทั้งหลาย ได้วิถีแห่งมารมาจากเผ่าพันธุ์ปีศาจนั่นเอง…ยุคมนุษย์ปีศาจช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”


 


“ข้าเพียงหวังว่าทุกเรื่องราวเป็นแค่การคาดเดาไปเองเท่านั้น และที่จริงค่ายกลที่ภูมิภาคเบื้องล่างสมควรเกิดเหตุขัดข้องเป็นการชั่วคราว…”


 


……


 


ในนครแห่งบาปวาจาทำนองนี้ดังระงมไปทั่ว


 


เมื่อเวลาผ่านไป อาการแตกตื่นของผู้คนก็ค่อยๆสงบลง ถึงแม้พวกมันจะกังวลใจและหวาดกลัวปีศาจบุกรุกขึ้นมาในภูมิภาคเบื้องบน แต่พวกมันก็ไม่ได้กลัวจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนตอนได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ครั้งแรก


 


เพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไร เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยังไม่ได้บุกมาถึงภูมิภาคเบื้องบน


 


ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นการคาดเดาไปเอง จากการที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคใช้การไม่ได้เท่านั้น! ไม่แน่ว่าค่ายกลที่ภูมิภาคเบื้องล่างอาจจะยังไม่ได้ถูกทำลาย แต่มีปัญหาอะไรบางประการที่ขัดขวางคนไม่ให้เดินทาง…!


 


แต่แน่นอนว่าถึงเรื่องที่คาดเดาไปจะเป็นความจริงขึ้นมา แต่ตอนนี้พวกมันก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย


 


ทำได้แค่รอเท่านั้น


 


‘ตอนนี้ไม่ว่าข้าจะร้อนรนอะไรไปมันก็เท่านั้น…ได้แต่หวังว่าทุกสิ่งอย่างจะเป็นแค่การคาดเดาเรื่อยเปื่อย และไม่เกิดขึ้นจริงๆ’


 


หลังย้อนกลับมาถึงนครแห่งบาป ต้วนหลิงเทียนก็พยายามสงบสติอารมณ์ เลือกที่จะภาวนาในใจแทน


 


ไม่นานนักบรรยากาศภายในนครแห่งบาปก็ค่อยๆหวนสู่ความสงบ ความตื่นตระหนกสลายหายไปหลายส่วน


 


แน่นอนว่าแม้คนส่วนมากจะสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ แต่ก็ไมใช่ว่าจะไม่ตื่นตระหนกและหวาดกลัวอยู่ในใจ


 


ทว่าทั้งหมดเพียงสงบกันได้ไม่ทันไร ความเคลื่อนไหวของผู้คนจากกองกำลังและขุมพลังระดับสูงๆ ก็ทำให้บรรยากาศในนครแห่งบาปกลายเป็นตึงเครียดอีกครั้ง


 


นั่นเพราะผู้คนจากขุมพลังระดับสูง ได้ออกมารวบรวมทรัพยากรทุกชนิด!


 


และจุดประสงค์ในการสะสม ‘เสบียง’ ของพวกมันก็แลเห็นได้ชัดเจน!


 


รับมือการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจ!


 


ตระเตรียมเสบียงให้พร้อมพรั่ง ยามเมื่อปีศาจบุกขึ้นมาจริงๆพวกมันจะได้ตั้งรับได้อย่างมั่นคง เพื่อหยั่งถึงกำลังพลฝ่ายตรงข้าม!!


 


แน่นอนว่าก่อนที่เสบียงจะหมดลง พวกมันย่อมวางมาตรการตอบโต้เสร็จเรียบร้อย!


 


สำหรับการรับกับมือปีศาจที่ไม่ทราบว่าจะบุกรุกขึ้นมาตอนไหน…นี่นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


 


“จึกๆ…ไม่ทันไรก็มีคนของอารามทมิฬมากว้านซื้อทรัพยากรบ่มเพาะไปทั่วนครแห่งบาป แถมพวกมันยังให้ราคาสูงกว่าขุมกำลังอื่นๆถึง 2 เท่า”


 


“ขุมกำลังอื่นๆเองก็เสนอราคาในการซื้อขายที่สูงกว่าเดิมไม่น้อยแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนไม่มีใครคิดจะขายให้พวกมันเลย”


 


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว ตอนนี้ปีศาจจะบุกขึ้นมาหรือเปล่าก็ยังไม่อาจตอบได้ชัด…อย่างไรเสียก็จำต้องป้องกันไว้ก่อน มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ส่งมอบวัตถุดิบและทรัพยากรทั้งหมดออกไปในเวลาแบบนี้”


 


……


 


เหลาอาหารในนครแห่งบาป ที่ดังๆก็มีอยู่ไม่กี่แห่ง เหล่าผู้ที่มาดื่มกินก็กล่าวถึงเรื่องนี้กันอย่างหนาหู


 


ในวาจายังฉายถึงความดูแคลนการกระทำของขุมกำลังทั้งหลายที่เข้ามากว้านซื้อหาทรัพยากรในเมือง ในนั้นรวมถึงลัทธิอารามทมิฬด้วย!


 


“ลัทธิอารามทมิฬ”


 


ต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างเหลา พอได้ยินบทสนทนาของผู้ที่มาดื่มกินโต๊ะนั้น สองตาเขาหดเล็กลงทันใด ยังมีประกายเยียบเย็นสว่างวาบขึ้นมา


 


ทันทีที่ได้ยินคำ ‘ลัทธิอารามทมิฬ’ สิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คือ ‘เซี่ยจง’ อาวุโสของลัทธิอารามทมิฬที่ชิงตราผนึกมารของเขาไปในอดีต!


 


บางครั้งโลกใบนี้ก็ช่างแคบนัก


 


“จะว่าไปคนของลัทธิอารามทมิฬที่มาตระเวนรวบรวมทรัพยากรครั้งนี้ หากข้าดูไม่ผิดสมควรเป็นเซี่ยจง!”


 


ทันใดนั้นเองเสียงจากนักดื่มคนหนึ่งพลันทำให้ต้วนหลิงเทียนหูผึ่งทันที แววตายิ่งมายิ่งเยียบเย็น ยังคมกล้าปานมีดดาบ


 


เซี่ยจงมันมานครแห่งบาป?


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนได้เห็นโอกาสในการล้างแค้น!


 


“เซี่ยจงไหน? เซี่ยจงที่เป็นบุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทองน่ะรึ?”


 


“เป็นมันนั่นล่ะ!”


 


“พอพูดถึงมันขึ้นมา จะว่าไปเจ้าเซี่ยจงผู้นี้มันก็โชคดีไม่น้อยเลย…เห็นว่ามันลงไปภูมิภาคเบื้องล่างเมื่อหลายปีก่อน เพื่อช่วงชิงตราผนึกมารจากผู้ฝึกตนที่นั่นมานี่!”


 


“ใช่ เรื่องนี้นับว่ามันมีโชคจริงๆ แต่เดิมตราผนึกมารนั่นก็จัดการได้แต่พวกผู้ฝึกมารเท่านั้น ทว่าหากพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจมันบุกรุกขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนของพวกเราจริงๆ ตราผนึกมารที่มันมีย่อมให้ผลลัพธ์อันเลิศล้ำแน่! ว่ากันว่าตราผนึกมาจะยิ่งทรงพลังมากขึ้นหากพบพานกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่แท้จริง!!”


 


“มิผิด! หากจ้าวลัทธิอารามทมิฬ หรือชนชั้นมหาธรรมราชาทั้ง 4 นั่นใช้ตราผนึกมารล่ะก็ ต่อให้เป็นปีศาจที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก็ต้องมีหนาวๆร้อนๆกันบ้าง พวกมันคงไม่กล้าหืออือทำอะไรวู่วามลัทธิอารามทมิฬแน่!”


 


“จริง หากยุคมนุษย์ปีศาจหวนกลับมาจริงๆ ในบรรดายอดศาสตราเซียนทั้งหมด เห็นทีจะเป็นตราผนึกมารที่เดิมทีไม่ติดแม้แต่ 3 อันดับยอดศาสตราเซียนที่ร้ายกาจที่สุด จักได้เฉิดฉายโดดเด่นเหนือยอดศาสตราเซียนใดๆยามเผชิญหน้ากับพวกปีศาจแน่!”


 


….


 


หลังมีคนเปิดประเด็นเรื่องเซี่ยจงขึ้นมา เหล่าสิงห์สุราโต๊ะนั่นก็กล่าวถึงเรื่องตราผนึกมารราวกับพหูสูตร


 


ยังยกประเด็นเรื่องตราผนึกมารที่เคยเป็นประเด็นในอดีตขึ้นมาถกกันยกใหญ่


 


“ตราผนึกมาร?”


 


หน้าต้วนหลิงเทียนบิดเบี้ยวปั้นยากทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้จากปากนักดื่มทั้งหลาย


 


เพราะเดิมทีตราผนึกมารนั่นมันอยู่ในมือเขา! ทว่าเป็นเซี่ยจง ที่บุกมาทำร้ายทั้งชิงของไปต่อหน้าต่อตาเขาอย่างที่ไม่อาจต่อต้านขัดขืนมันได้!!


 


‘เซี่ยจง…ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไสหัวออกมาจากลัทธิอารามมายังนครแห่งบาปนี่ถึงที่…ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็อย่าได้หวังจะกลับไป!’


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ยิ่งมาแววตาต้วนหลิงเทียนยิ่งกลายเป็นเนียบเย็นนัก หากใครถูกมองด้วยสายตาดังกล่าวเกรงว่าคงรู้สึกหนาวสะท้านปานตกอยู่ในหล่มน้ำแข็ง


 


‘ตอนนี้หวังแค่ให้ตราผนึกมารอยู่กับตัวมันเถอะ…พอฆ่ามันได้ ตราผนึกมารจะได้กลับมาเป็นของข้าอีกครั้ง!’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคาดหวังในใจ


 


แต่แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ยากนัก


 


เพราะสุดท้ายแล้วตราผนึกมารก็เป็นยอดศาสตราเซียน หลังเซี่ยจงกลับไปถึงลัทธิอารามทมิฬไม่พ้นมันต้องมอบให้บิดามันที่เป็น 1 ในมหาธรรมราชา จ้าวราชสีห์ขนทองแน่


 


มหาธรรมราชาทั้ง 4 ของลัทธิอารามทมิฬ ก็เป็นดั่งผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ของลัทธิบูชาไฟ ทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนในขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนทั้งสิ้น


 


‘อย่างไรก็ตามไม่ว่าตราผนึกมารจะอยู่กับตัวมันก็ดี ไม่อยู่ก็ช่าง…ในเมื่อมันถ่อมานครแห่งบาปด้วยตัวเอง ข้าจะส่งมันไปตามทางกับมือ ไม่เพียงล้างอัปยศวันนั้น ยังเพื่อชำระแค้นให้พี่น้องทหารองครักษ์เกราะทมิฬของตำหนักเมฆาครามที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมรวมทั้งอาวุโสกู่มี่ด้วย!’


 


คิดถึงจุดนี้แววตาต้วนหลิงเทียนก็ท่วมท้นไปด้วยจิตสังหาร


 


ไม่รอช้าต้วนหลิงเทียนเร่งชำระค่าอาหารทันที


 


หลังออกจากเหลาอาหารแล้วต้วนหลิงเทียนก็เร่งเร้าโสตประสาทรับฟังเต็มกำลัง สืบหาที่อยู่ของเซี่ยจงทันที


 


เขาเหินร่างฟังเรื่องราวไปทั่วเมือง เค่อแรกนั้นยังไม่ได้อะไร


 


2 เค่อก็ยังไม่เจอคน


 


ทว่าเมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเขาก็สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของเซี่ยจงได้


 


“เซี่ยจงนั่นพลังฝึกปรือของมันยังมิเสถียรดี สมควรพึ่งทะลวงมาถึงเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนได้มินาน…หากแต่ข้างกายมันมีเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนที่คอยคุ้มกันอยู่ แม้บางครั้งพวกมันจะแยกกันแต่ก็มิห่างกันมาก ยังอยู่ในระยะที่มันลงมือถึง…”


 


“หากเจ้าเลือกจะลงมือสังหารมันโดยตรง แน่นอนว่ามีโอกาสสูงที่เจ้าจักประสบผลสำเร็จ ทว่าเจ้าก็มิอาจรอดพ้นเงื้อมมือผู้คุ้มกันขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนคนนั้นได้…”


 


เสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน กล่าวเตือนเขาเอาไว้ด้วยความหวังดี ไม่ให้เขาลงมือวู่วามผลีผลาม


 


เพราะตอนที่ต้วนหลิงเทียนขอให้ผู้เฒ่าหั่วตรวจสอบพลังฝึกปรือเซี่ยจงกับชายชราที่อยู่ใกล้ๆเซี่ยจงนั้น


 


ผู้เฒ่าหั่วได้ยินความเร่งร้อนในน้ำเสียงต้วนหลิงเทียนชัดเจน ราวกับแทบทนรอฆ่าคนนามเซี่ยจงไม่ไหว!


 


“เจ้าสมควรเฝ้ารอโอกาสเหมาะ…เมื่อพวกมันแยกกันไกลแล้วจริงๆถึงค่อยลงมือฆ่าคน”


 


ผู้เฒ่าหั่วยังคงกล่าวเตือนออกมาอีกครั้ง ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ฟังแล้วลงมือฆ่าคนอย่างผลีผลามขึ้นมาจริงๆ


 


“ผู้เฒ่าหั่วท่านอย่าได้ห่วงไป เจ้านั่นไม่มีค่าพอให้ข้าเสี่ยงชีวิตหรอก…”


 


ได้ยินความกังวลใจของผู้เฒ่าหั่วต้วนหลิงเทียนก็ซาบซึ้งนัก ถึงแม้จริงๆแล้วน้ำเสียงเขาจะเร่งรีบฟังดูกระเหี้ยนกระหือรืออยู่บ้าง หากแต่ในใจนั้นยังคงนิ่งดั่งน้ำแข็ง ไม่ได้คิดทำอะไรผลีผลามแต่แรกหาไม่แล้วคงไม่อาจสะกดรอยตามชนชั้นเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนได้โดยทีอีกฝ่ายไม่รู้ตัว…


 


‘เซียนสวรรค์อมตะ 3 เปลี่ยนงั้นเหรอ…ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากผู้เฒ่าหั่วแล้วดูเหมือนมันพึ่งจะทะลวงผ่านมาไม่นาน…’


 


‘เซี่ยจง…ดูเหมือนหลายปีที่ผ่านมาเจ้าแทบย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ก้าวหน้าอะไรมากมาย! บางทีเจ้าคงไม่เคยคิดเคยฝันกระมัง ว่าในเวลาไม่นานมดปลวกในสายตาเจ้าวันนั้น วันนี้ลำบากเพียงท่าเดียวก็ฆ่าเจ้าได้!’


 


และอย่างที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกผู้เฒ่าหั่วไม่มีผิด ชีวิตสวะของเซี่ยจงไม่ได้มีค่ามากพอให้เขาเสี่ยงแม้แต่น้อย!


 


อย่างไรก็ตามหลังจากลอบสะกดรอยตามเซี่ยจงกับอาวุโสเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนนั่นกว่าหนึ่งชั่วยาม ทั้งคู่แม้จะตระเวนหากว้านซื้อทรัพยากรไปทั่ว แต่พวกมันก็ไม่ได้แยกย้ายกันไปไกลแต่อย่างใด ทำให้ในใจต้วนหลิงเทียนเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง


 


‘อาวุโสลัทธิอารามทมิฬคนนั้นทุกครั้งที่เซี่ยจงจะออกนอกระยะลงมือของมัน มันจะเป็นฝ่ายขยับเข้าใกล้เซี่ยจงด้วยตัวเองทุกที…ดูเหมือนมันจะได้รับคำสั่งมาให้ปกป้องเซี่ยจงอย่างดีที่สุด’


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเรื่องราวนี้ได้ตั้งแต่แรกๆ จนจับตาดูผ่านไปพักใหญ่จึงมั่นใจได้เต็มสิบส่วน


 


‘รอนานกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์…ลงมือเลยแล้วกัน’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


แน่นอนว่าแม้เขาจะคิดลงมือแล้ว แต่ก็ไม่ใช่จะลงมือผลีผลามอย่างโง่งม ในเมื่อไม่มีโอกาส เขาก็แค่สร้างเองซะก็สิ้นเรื่อง!


 


ก็จริงอยู่ที่ไม่ต้องลำบากทำอะไร เขาก็สามารถสังหารเซี่ยจงได้


 


ทว่าหลังจากฆ่าเซี่ยจงได้แล้ว ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะรอดพ้นเงื้อมมือเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนนั่นได้ อีกฝ่ายสามารถลุถึงตัวเขาได้ในพริบตา ก่อนที่เขาจะทันได้ปลีกตัวไปอาศัยสภาพแวดล้อมในการสลัดการติดตาม…


 


ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องการฆ่าเซี่ยจงให้ได้ในกระบวนเดียว เขาก็จำต้องจ่ายพลังเซียนสุริยันไปไม่น้อยเพื่อใช้กระบี่นิลสวรรค์ ทำให้หลังจากลงมือฆ่าคนไปแล้ว พลังเซียนสุริยันทั่วร่างคงพร่องไปหลายส่วน ยิ่งไม่มีทางรับมืออะไรเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนนั่นได้เลย


 


เขาฆ่าเซี่ยจงได้ในพริบตาก็จริง…


 


แต่อาวุโสลัทธิอารามทมิฬคนนั้นก็ฆ่าเขาได้ในพริบตาเช่นกัน!


 


‘ไม่ล่ออาวุโสลัทธิอารามทมิฬนั่นไปให้ห่างจากเซี่ยจง…ก็ต้องล่อเซี่ยจงไปให้ห่างจากอาวุโสนั่นสินะ จะได้มีโอกาสฆ่ามันได้ง่ายๆ’


 


ต้วนหลิงเทียนเริ่มคิดวิธีสร้างโอกาสฆ่าเซี่ยจงในใจ


 


“เอาล่ะ”


 


สอตาต้วนหลิงเทียนสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง


 


หลังผ่านไปราวๆหนึ่งก้านธูป ต้วนหลิงเทียนก็ร้อยเรียงแผนการสังหารเซี่ยจงอันดีงามเสร็จสรรพ!


ตอนที่ 2,111 : เหยื่อล่อ!


 


ไม่นานมานี้เรื่องที่ว่าดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างถูกตัดขาด และอาจมีปีศาจบุกรุกเข้ามาแล้ว กระทั่งพวกมันอาจบุกขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนได้ทุกเมื่อ ก็แพร่กระจายไปถึงลัทธิอารามทมิฬ


 


ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ลัทธิอารามทมิฬก็ตื่นตระหนกกันใหญ่


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับอาการหวาดกลัวและทำอะไรไม่ถูกของผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในภูมิภาคเบื้องบน คนของลัทธิอารามทมิฬรับมือเรื่องราวได้ดีกว่ากันมาก


 


ลัทธิอารามทมิฬจะพูดอย่างไรก็เป็น 1 ใน 3 ลัทธิ ดั่งมหาอำนาจยักษ์ใหญ่


 


ผู้คนทั่วไปอาจจะหวาดกลัวเผ่าพันธุ์ปีศาจจนแตกตื่นทำอะไรไม่ถูก


 


อย่างไรก็ตามสำหรับลัทธิอารามทมิฬแล้วแม้ปีศาจจะน่ากลัว ทว่าพวกมันเองก็ไม่ใช่ชั่ว! พลังฝีมือของพวกมันย่อมมีมากพอจะต่อกรกับพวกปีศาจ แน่นอนว่าต้องเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารตอบกลับ!!


 


ทันทีที่ปีศาจบุกขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนึ่งในขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง ลัทธิอารามทมิฬ ของพวกมัน ต้องกลายเป็นปราการสุดท้ายของมนุษย์ชาติเหมือนกับอีก 2 ลัทธิแน่นอน!


 


ไม่ว่าปีศาจจะบุกรุกขึ้นมาจริงหรือไม่ ลัทธิอารามทมิฬก็ดำเนินแผนการรับมือล่วงหน้า ออกมาตรการตอบโต้ทันที


 


ด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดฉากอาวุโสของลัทธิอารามทมิฬ ออกมากว้านซื้อทรัพยากรและเสบียงแบบนี้


 


เซี่ยจงเองก็เป็น 1 ในผู้อาวุโสของลัทธิอารามทมิฬที่มานครแห่งบาป


 


“ฮึ่ม! มีน้อยคนนักที่ยินดีขายของให้พวกเรา…”


 


เซี่ยจงกล่าวกับอาวุโสอีกคนของลัทธิอารามทมิฬ ในขณะที่เหินกลับมารวมตัวกันอีกครั้งทางตะวันตกของนครแห่งบาป เสียงยังเข้มไม่น้อย “หากเรื่องนี้อยู่ในการตัดสินใจของข้า ผู้ใดไม่เต็มใจขายของให้พวกเราสมควรฆ่าพวกมันให้ตายให้หมด!”


 


“เพราะหากปีศาจบุกขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนจริง มิใช่ขุมพลังหลักในการต้านทานรับมือก็คือลัทธิอารามทมิฬของพวกเราหรอกหรือ? ไอ้พวกผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดเหล่านี้ใยมิใช่ชนชั้นทหารเลว! อย่างพวกมันมีทรัพยากรอันใดเก็บไว้ก็รังแต่จะเสียของเท่านั้น!!”


 


ขณะกล่าวสองตาเซี่ยจงยังเผยจิตสังหารออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บ


 


“อาวุโสเซี่ยจง แม้จักเป็นเช่นนั้นจริง แต่หากพวกเราลงมือฆ่าพวกมันแบบนั้น ย่อมไม่ดีแน่…”


 


อาวุโสลัทธิอารามทมิฬที่เหินข้างเซี่ยจงกล่าวออกด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “จะอย่างไรในบรรดาผู้ฝึกตนพเนจรนั่นก็มีเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้นคอยดูแลอยู่…”


 


“ต่อให้เป็นพวกเราลัทธิอารามทมิฬ แต่ถ้าฆ่าผู้ฝึกตนมั่วซั่วในนครแห่งบาป พวกมันเองก็คงลงมือกับพวกเราอย่างไม่ไว้หน้า…ฆ่าพวกเราไม่ลังเลแน่!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยคสีหน้าของอาวุโสก็แลดูเคร่งขรึมนัก


 


“ผู้เฒ่าฉู่ในนครแห่งบาปนี้มันมีเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้นคอยดูแลพวกไม่ได้เรื่องนี่จริงๆหรือ? พลังฝึกปรือพวกมันสูงขนาดนั้นแล้วยังจะสนใจผู้ฝึกตนโง่งมเหล่านี้ทำอะไร…”


 


“อาวุโสเซี่ยจง…ที่นี่สมควรมีตัวตนเช่นนั้นจริงๆ กระทั่งยังอาจจะมีไม่น้อยกว่าลัทธิอารามทมิฬของพวกเราด้วยซ้ำ…หาไม่แล้วท่านคิดจริงหรือ ว่าลัทธิอารามทมิฬของพวกเราจะทนให้มีนครแห่งบาปดำรงอยู่เช่นนี้?”


 


ชายชราที่เหินร่างข้างๆเซี่ยจงกล่าวออกอีกครั้ง แววตายังเผยประกายหวั่นเกรงเล็กน้อย


 


เมื่อเซี่ยจงได้ยินดังนั้นมันก็หยุดถามทันที


 


ชายชราข้างๆเซี่ยจงไม่ได้มีฐานะอยู่ในระดับเดียวกันกับเซี่ยจงแต่อย่างไร ทว่าลำดับอาวุโสของมันสูงกว่าเซี่ยจงหนึ่งขั้น อีกทั้งยังเป็นเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน


 


เช่นนั้นเซี่ยจงยังคงเชื่อฟังคำของมัน


 


และตอนนี้เองทั้งเซี่ยจงและผู้เฒ่าฉู่ก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นเลย….


 


ว่ามีบางคนกำลังจับตาดูพวกมันจากที่ไกลๆอย่างไม่คลาดสายตา…


 


และคนๆนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากคนที่อยากจะฆ่าเซี่ยจงให้ตาย ต้วนหลิงเทียน!


 


เพราะเซี่ยจงอาวุโสลัทธิอารามทมิฬคนนี้ มันเคยบุกไปยังตำหนักเมฆาครามที่ภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อชิงตราผนึกมาร! หากมันบุกไปชิงของอย่างเดียวต้วนหลิงเทียนคงไม่คับแค้นอะไรขนาดนี้! เพราะของล้ำค่าคิดครอบครองก็ต้องแกร่งพอ ทว่าอีกฝ่ายไม่เพียงทำร้ายชิงของจากเขา กลับหยันหยามเขาและฆ่าคนไม่ทีทางสู้อย่างอำมหิต!!


 


ตั้งแต่วันนั้นต้วนหลิงเทียนก็คือว่าเซี่ยจงเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันกับเขาได้!


 


วันนี้พอได้เห็นเซี่ยจงที่นครแห่งบาปอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจคว้าโอกาสอันดีงามสำหรับฆ่าเซี่ยจงไว้ทันที!


 


หาไม่แล้วหากปล่อยให้เซี่ยจงรอดกลับลัทธิอารามทมิฬ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีโอกาสฆ่ามันแบบนี้อีกครั้งเมื่อไหร่


 


เพราะสุดท้ายแล้วเซี่ยจงกับชายชราอีกคนก็มาทีนครแห่งบาปเพื่อซื้อทรัพยากรไปกักตุนไว้ดั่งเสบียง เพื่อเตรียมรับมือปีศาจที่อาจบุกมาจากภูมิภาคเบื้องล่าง


 


เรียกว่าหากปล่อยเซี่ยจงไปครั้งนี้ กว่าที่มันจะออกจากลัทธิอารามทมิฬอีกครั้งเกรงว่าคงอีกนาน


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงไม่อยากพลาดโอกาสทองดังกล่าว!


 


‘รอให้พวกมันแยกกันอีกครั้ง…จะได้เริ่มแผนฆ่ามันสักที!’


 


ขณะที่มองเซี่ยจงที่อยู่ไกลตา ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวคำในใจอย่างดุร้าย


 


ในฐานะทหารรับจ้างมือพระกาฬและอดีตหัวกะทิของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่า ความสามารถในการปกปิดกลิ่นอายและสะกดรอยตามของต้วนหลิงเทียนเมื่อชีวิตที่แล้วนั้นไม่ใช่ชั่ว พอนำหลักการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในโลกใบนี้ ต่อให้เป็นเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน ก็ยังไม่อาจตรวจพบการสะกดรอยและจับตามองของต้วนหลิงเทียนได้


 


ผ่านไปอีกราวๆหนึ่งเค่อ


 


บางทีสวรรค์คงได้ยินคำอธิษฐานในใจของต้วนหลิงเทียนหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ชายชราข้างๆเซี่ยจงในที่สุดก็แยกตัวออกไปตระเวนซื้อของอีกครั้ง


 


ระยะห่างระหว่างพวกมันทั้งคู่ค่อยๆห่างขึ้นเรื่อยๆ


 


และเมื่ออยู่ห่างกันถึงระดับหนึ่ง ชายชราขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนจะเริ่มเข้าใกล้เซี่ยจง เพื่อไม่ให้เซี่ยจงอยู่ห่างเกินกว่าขอบเขตสัมผัสของสำนึกเทวะมัน


 


เซี่ยจงเป็นบุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ คราวนี้ที่ออกมารวบรวมทรัพยากรมันก็ได้รับคำสั่งให้ปกป้องเซี่ยจง และเห็นความปลอดภัยของเซี่ยจงเหนือสิ่งใด


 


หาไม่แล้วหากเกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยจง มันกลับไปลัทธิอารามทมิฬก็ไม่พ้นถูกฆ่าตายแน่ คนที่หนุนหลังมันก็ไม่อาจช่วยเหลือมันได้!


 


ถึงมันจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนแล้ว แต่มันก็ยังเป็นแค่มดปลวกต่อหน้ามหาธรรมราชา ไม่คู่ควรให้กล่าวถึงด้วยซ้ำ


 


จ้าวราชสีห์ขนทอง มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ คือตัวตนที่พลังฝึกปรือไม่ต่ำไปกว่าขอบเขตเซียนสรรค์ 7 เปลี่ยน


 


‘ตอนนี้ล่ะ’


 


ไม่นานนั้นหลิงเทียนก็พบว่าระยะห่างระหว่างเซี่ยจงกับชายชราใกล้จะถึงจุดสูงสุด และชายชรากำลังจะเคลื่อนไหวเข้าใกล้เซี่ยจงในอีกไม่ช้า ต้วนหลิงเทียนที่คำนวณทิศทางการเดินทางของมันแต่แรกก็เหินร่างเข้าไปทางเซี่ยจงทันที!


 


แน่นอนว่าความเร็วที่เขาใช้ในการเหินบินนั้นไม่ได้มากมายอะไร ยังเป็นความเร็วของขอบเขตเซียนนภาขั้นต้นทั่วๆไปเท่านั้น


 


ฟุ่บ!


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างเข้าระยะสัมผัสของเซี่ยจง ไม่นานก็เหาะอยู่ห่างเซี่ยจงไม่กี่สิบหมี่


 


การมาถึงของต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าดึงดูดความสนใจของเซี่ยจงทันที


 


อย่างไรก็ตามด้วยความเร็วที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออก เซี่ยจงย่อมไม่เห็นต้วนหลิงเทียนอยู่ในสายตา เพราะมันตัดสินไปแล้วตั้งแต่แรกเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ภัยคุกคามอะไรมัน


 


ฟุ่บ!


 


หากแต่ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างสวนจนเยื้องไปด้านหลัง และใกล้เข้าสู่มุมอับสายตางเซี่ยจง อยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้นและทำท่าราวกับจะคว้าจับอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามาเอาไว้


 


การกระทำดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนย่อมกระตุ้นความสนใจของเซี่ยจงทันที มันลอบแผ่สำนึกเทวะมาตรวจสอบต้วนหลิงเทียนอย่างละเอียดด้วยความหวั่นใจ ว่าใช่อีกฝ่ายใช่ยกมือให้สัญญาณทำอะไรมันหรือไม่


 


“หืม? เซียนนภาขั้นต้น?”


 


แต่เมื่อพบระดับพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียน มันก็โล่งใจเพราะคิดว่าระแวงไปเอง


 


ตัวตนของเขตเซียนนภาไม่ใช่อะไรที่จะทำอะไรมันได้เลย


 


‘มันไม่ได้หยุดร่างเพราะข้า…’


 


ขณะเดียวกันเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนหยุดลงกลางอากาศแต่ไม่ได้หันมองมองที่มันแม้แต่น้อยเซี่ยจงก็ส่ายหัวไปมาเบาๆเตรียมเลิกสนใจอีกฝ่ายและจากไปตามเรื่องราว


 


แต่ทันใดนั้นเอง


 


“ดาบอสุรา…!”


 


เสียงกล่าวพึมพำออกมาอย่างเลื่อนลอยที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินของต้วนหลิงเทียน ทำให้เซี่ยจงหูผึ่งทันที


 


ดาบอสุรา?!


 


นั่นไม่ใช่ 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนหรือไง!?


 


ไฉนอยู่ๆไอ้หนูขอบเขตเซียนนภาขั้นต้นถึงได้พูดคำดาบอสุราออกมากัน?


 


หรือมันมีข้อมูลที่ซ่อนของดาบ?


 


หลังจากนั้นจากสำนึกเทวะเซี่ยจงก็พบว่า


 


ไอ้หนูขอบเขตเซียนนภาขั้นต้นในสายตามัน อยู่ดีๆก็หันรีหันขวาง กระทั่งเมื่อหันมาพบมันที่กำลังเหินออกไปไกลห่าง ท่าทางก็แลดูตื่นตระหนกไม่น้อย


 


แต่เมื่อพบว่ามันยังคงเหินร่างจากไปไม่ได้คิดหยุดหรือย้อนกลับไปหา


 


มันก็พบว่า


 


ไอ้หนูขอบเขตเซียนนภาขั้นต้นนั่นถึงกับระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พอสูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่งก็เปลี่ยนเส้นทาง และเร่งรุดเหินร่างไปทางทิศตะวันตกทันที


 


‘เมื่อครู่มันกล่าวถึงดาบอสุรา ตอนนี้ยังรีบร้อนจากไปทางตะวันตกด้วยท่าทางแบบนั้น…’


 


‘แถมก่อนหน้าหากข้าสัมผัสไม่ผิด คล้ายมันจะยกมือขึ้น…หรือจะไม่ใช่ส่งสัญญาณแต่เป็นกำลังคว้าอะไรบางอย่าง? เสียดายที่ข้าดันเหินผ่านมันไปซะก่อนจึงไม่ทันเห็น…ใช่มันคว้ารับหยกสื่อสารที่มีข่าวของดาบอสุราจากสหายหรือไม่?’


 


‘จะว่าไปแล้วก็เคยมีข่าวลือการปรากฏของดาบอสุราที่ภูมิภาคตะวันตก…แถมตอนนี้เจ้าหนูนั่นก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเสียด้วย…’


 


จังหวะนี้เซี่ยจงเร่งไตร่ตรองเรื่องราวในใจ


 


‘ตามไปดูก่อนดีกว่า…หากมันมีข้อมูลเรื่องดาบอสุราจริงครั้งนี้ข้าก็มีโชคครั้งใหญ่แล้ว!!’


 


‘หากนำดาบอสุรากลับไปให้ท่านพ่อได้ล่ะก็ ท่านพ่อต้องดีใจยกใหญ่แน่ๆ!!’


 


ครุ่นคิดถึงจุดนี้สีหน้าแววตาเซี่ยจงก็ฉายความละโมบโลภมากให้เห็นชัด มันเร่งสะกดรอยตามชายหนุ่มขอบเขตเซียนนภาขั้นต้นไปทันที สองตาจับจ้องแผ่นหลังไวๆไกลตาของชายหนุ่มชุดม่วงอย่างแหลมคมปานดาบกระบี่


 


‘แผ่นหลังมันคุ้นๆยิ่ง คล้ายข้าเคยเห็นมันจากที่ไหนสักที่…’


 


เซี่ยจงที่เหินร่างตามชายหนุ่มชุดม่วงไปทางทิศตะวันตก หลังมองแผ่นหลังชายหนุ่มุชดม่วงพักหนึ่งมันก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาประการหนึ่ง แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นแผ่นหลังลักษณะนี้ที่ไหน


 


อย่างไรก็ตามมันมั่นใจได้เรื่องหนึ่ง


 


มันไม่เคยเห็นหน้าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้มาก่อนแน่!


 


ไม่งั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะจำไม่ได้


 


“ผู้เฒ่าฉู่ ข้ามีเรื่องบางประการต้องไปกระทำ  ท่านไม่ต้องห่วงเสร็จเรื่องแล้วข้าจะกลับไปหาท่านเอง”


 


ขณะเหินร่างตามชายหนุ่มชุดม่วง เซี่ยจงก็ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะไปแจ้งเรื่องราวกับผู้เฒ่าฉู่ ก่อนที่จะเร่งเหินร่างด้วยความเร็วที่สูงขึ้นอย่างฉับพลัน จนหลุดจากขอบเขตสัมผัสของสำนึกเทวะอีกฝ่ายทันที


 


มันไม่ต้องการให้ผู้เฒ่าฉู่ติดตามมันมาจนทราบเรื่องดาบอสุราอีกคน


 


หาไม่แล้วดาบอสุราไม่มีทางตกมาถึงมือมันแน่!


 


แม้ในลัทธิอารามทมิฬ ผู้เฒ่าฉู่จะมีพลังฝึกปรือทั้งฐานะด้อยกว่าบิดามันมาก


 


อย่างไรก็ตามเบื้องหลังของผู้เฒ่าฉู่ ก็มี 1 ใน 4 มหาธรรมราชาอยู่เบื้องหลังเช่นกัน


 


หากเรื่องที่มันตามเบาะแสดาบอสุราไปจนกระทั่งได้รับดาบอสุรามาถูกอีกฝ่ายล่วงรู้ เกรงว่าดาบจะไม่ได้เป็นสมบัติของมันกับบิดาอีกต่อไป


 


และนั่นไม่ใช่อะไรที่มันอยากจะเห็น


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงคิดสลัดให้หลุดพ้นการติดตามของผู้เฒ่าฉู่ชั่วคราว หมายสะกดรอยชายหนุ่มชุดม่วงไปคนเดียวเพื่อดูว่าอีกฝ่ายมีเบาะแสดาบอสุราจริงๆหรือไม่!


ตอนที่ 2,112 : ล้างแค้น!


 


ฉู่ถานเชิง ที่เซี่ยจงพึ่งสลัดหลุดมานั้น มันก็เป็นอาวุโสคนหนึ่งของลัทธิอารามทมิฬ พลังฝึกปรือของมันยังบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน…


 


ปกติแม้ตัวมันจะอยู่ห่างไกลจากเซี่ยจง ทว่าสำนึกเทวะของมันยังคงเพ่งเล็งอยู่รอบๆร่างเซี่ยจงเสมอ เพื่อคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยให้เซี่ยจง


 


เมื่อมีภัยมาถึงตัวเซี่ยจง มันจะได้พุ่งกลับไปอยู่ข้างกายเซี่ยจงทันที เพื่อช่วยเหลือดูแลอีกฝ่าย


 


แต่สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นห่างตัวเซี่ยจงไประยะหนึ่งนั้น มันไม่อาจล่วงรู้ได้เลย


 


เพราะสำนึกเทวะมันเพียงล้อมกักวนเวียนไปทั่วๆร่างเซี่ยจงเพื่อตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงในร่างเซี่ยจงเท่านั้น


 


สำหรับคนที่ปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆเซี่ยจง และการกระทำใดๆก็ตามที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเซี่ยจง ฉู่ถานเชิงย่อมไม่สนใจ เพราะไม่ใช่เรื่องที่มันต้องห่วง


 


“ผู้เฒ่าฉู่ ข้ามีเรื่องบางประการต้องไปกระทำ  ท่านไม่ต้องห่วงเสร็จเรื่องแล้วข้าจะกลับไปหาท่านเอง…”


 


ทันใดนั้นเสียงผ่านสำนึกเทวะของเซี่ยจงก็ดังขึ้น ก่อนที่อยู่ๆร่างของเซี่ยจงจะพุ่งหายหลุดระยะสัมผัสของมันไป ถึงแม้มันจะพยายามแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบทิศทางที่เซี่ยจงจากไปเต็มกำลัง แต่ก็ไม่พบร่างเซี่ยจง!


 


นั่นเพราะกว่าฉู่ถานเชิงจะกลับมามีสติหลังอึ้งไปจากวาจานั่นของเซี่ยจง ด้านเซี่ยจงที่ปะทุพลังเร่งความเร็วสูงสุดเพื่อสลัดการติดตามก็ได้ออกนอกระยะสัมผัสของมันไปไกลแล้ว…


 


“เซี่ยจงผู้นี้ถือดีว่าเป็นบุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทอง…นี่มันมิรู้หรือไรว่านครแห่งบาปเต็มไปด้วยอันตรายทุกแห่งหน”


 


เมื่อแผ่สำนึกเทวะไปแต่ไม่อาจหาเซี่ยจงได้พบสีหน้าของชายชราก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ทันที


 


“หวังว่าคงไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับมันหรอกนะ…หาไม่แล้วยามข้ากลับไปลัทธิอารามทมิฬจ้าวราชสีห์ขนทองยังไม่ฉีกร่างข้าเป็นชิ้นๆได้หรือ?”


 


ตอนนี้อารมณ์ของฉู่ถานเชิงขุ่นมั่วถึงที่สุด


 


ใครก็ตามที่ตกตายด้วยเงื้อมมือของราชสีห์ขนทอง ไม่มีแม้แต่สภาพศพสมบูรณ์สักครั้ง


 


“ตามหามันก่อนดีกว่า…”


 


เมื่อถึงถึงความน่ากลัวของจ้าวราชสีห์ขนทอง ฉู่ถานเชิงย่อมหมดอารมณ์ซื้อของ เร่งออกไปตระเวนหาเซี่ยจงทันที


 


น่าเสียดายที่มันเริ่มหาจากทิศทางที่เซี่ยจงตั้งใจพุ่งหลอกให้มันไขว้เขว


 


และในขณะที่มันหาเซี่ยจงไปทั่วบริเวณแล้วไม่พบเจอ ทางด้านเซี่ยจงก็ติดตามชายหนุ่มชุดม่วงออกจากนครแห่งบาปทางประตูทิศตะวันตก


 


ดาบอสุรา!


 


เหตุผลเดียวที่เซี่ยจงบังเกิดความสนใจต่อชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้และติดตามออกมา กระทั่งยังตามออกนอกเมืองมาไกล ล้วนเป็นเพราะวาจาที่อีกฝ่ายเผลอกล่าวออกมาด้วยความตกใจ ทำให้มันคิดว่าอีกฝ่ายมีเบาะแสเกี่ยวกับดาบอสุรา


 


และการที่อีกฝ่ายมุ่งหน้าออกมาทางทิศตะวันตกก็สอดคล้องกับเบาะแสในกาลก่อน


 


มันจึงติดตามมาทันที


 


เป้าหมายของมันย่อมเป็นดาบอสุรา 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่!


 


ชายหนุ่มชุดม่วงที่เซี่ยจงติดตามมาไม่ใช่ใครอื่น…


 


เป็นต้วนหลิงเทียน!


 


‘สำเร็จ!’


 


หลังจากที่พบว่าเซี่ยจงดั่งมัจฉางับเหยื่อ ถูกเขาล่อลวงออกมาได้จริงๆแม้ต้วนหลิงเทียนจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ยังอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความตื่นเต้น!


 


ก่อนหน้านี้เป็นแผนที่เขาคิดขึ้นเพื่อล่อให้เซี่ยจงออกห่างจากเซียนสวรรค์ 5เปลี่ยน


 


ด้วยวิธีนี้ตอนที่เขาฆ่าเซี่ยจงก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกชายชรานั่นขวาง หรือถูกอีกฝ่ายลงมือฆ่าตาย!


 


และการที่จะล่อให้เซี่ยจงสลัดชายชรานั่นได้ ก็มีแต่ต้องหาแรงจูงใจที่มากพอให้มันถึงขั้นที่มันไม่ยินดีแบ่งปันกับผู้อื่น


 


ต้วนหลิงเทียนพลันนึกถึงดาบอสุราขึ้นมา


 


ดาบอสุรานั้นก็เป็นยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับ 1 ใน 10 รายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ และมีชื่อเสียงไม่น้อย


 


สาเหตุที่เขานึกถึงดาบดังกล่าว เพราะเขาพึ่งได้ยินข่าวลือในนครแห่งบาปมา


 


เมื่อไม่นานมานี้ดูเหมือนดาบอสุราจะปรากฏขึ้นทางตะวันตก


 


และในนครแห่งบาป ก็เกรงว่าจะมีแค่ไม่กี่คนที่ไม่รู้เรื่องราว


 


เซี่ยจงที่อยู่ในลัทธิอารามทมิฬ ซึ่งตั้งไม่ห่างนครแห่งบาปไหนเลยจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงสรุปได้ว่าเซี่ยจงต้องเคยได้ยินมาแน่ๆ เขาจึงวางแผนใช้ดาบอสุราเป็นเหยื่อล่อ หลอกให้เซี่ยจงติดกับ ถึงขั้นสลัดชายชราติดตามเขาออกมานอกเมืองแบบนี้


 


ก่อนออกจากนครแห่งบาป


 


ผู้เฒ่าหั่วก็ได้บอกต้วนหลิงเทียน


 


เซี่ยจงสลัดหลุดการติดตามของชายชรานั่นได้แล้ว


 


ตอนนี้เมื่อออกมาจากนครแห่งบาป ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าแผนประสบความสำเร็จ!


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้รีบร้อนลงมือ ยังคงมุ่งหน้าดิ่งไปทางตะวันตกสืบต่อ


 


‘ยิ่งเหินร่างไปไกลมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้มันหลงเชื่อมากเท่านั้น’


 


นี่คือความคิดในหัวต้วนหลิงเทียนตอนนี้


 


‘หึ! เซี่ยจงวันนี้ที่เจ้าต้องตาย เจ้าก็ได้แต่โทษตัวเองเท่านั้นที่โลภเกินไป…ทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามียอดศาสตราเซียนแค่ 10 ชนิด เจ้ามีตราผนึกมารของข้าอยู่แล้วแท้ๆยังจะละโมบอยากได้ยอดศาสตราชิ้นที่ 2 อีกหรือ?’


 


ต้วนหลิงเทียนที่กำลังเหินร่างมุ่งตะวันตกครุ่นคิดในใจอย่างรังเกียจ ‘เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นลูกรักของสวรรค์จริงๆรึไง!?’


 


ต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจ


 


เหตุผลที่เซี่ยจงติดตามมา ล้วนเป็นเพราะมันอยากได้ดาบอสุราล้วนๆ


 


เช่นนั้นนับว่าครั้งนี้เหยื่อล่อของต้วนหลิงเทียนได้ตีเข้าจุดอ่อนธรรมชาติของมนุษย์เข้าอย่างจัง ความโลภ


 


เซี่ยจงยังโลภกว่าที่เขาคิด!


 


หลังเดินทางออกมาห่างจากนครแห่งบาปกว่าพันลี้ ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็หยุดร่างลง ก่อนที่จะโคจรเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันขึ้นมาทันที มวลพลังขุมหนึ่งปะทุออกอย่างกะทันหัน


 


‘ปฐมเวทย์กลืนกิน!’


 


ทันใดนั้นใจคิดจิตสั่งพลังเคลื่อน ใช้ออกด้วยเวทย์พลังสนับสนุนอันร้ายกาจทันที วังวนพลังดูดรั้งน่ากลัวขุมหนึ่งปรากฏขึ้นโดยมีร่างต้วนหลิงเทียนเป็นจุดศูนย์กลาง!


 


และทันทีที่วังวนปรากฏ พลังวิญญาณฟ้าดินในอาณาบริเวณโดยรอบก็ถูกสูบกลืนเข้าร่างด้วยความเร็วสูง


 


พร้อมกันนั้นพลังเซียนสุริยันในร่างต้วนหลิงเทียนก็เพิ่มพูนขึ้นด้วยอัตราเร็วที่น่าเหลือเชื่อ!


 


ตอนแรกพลังเซียนสุริยันของต้วนหลิงเทียนก็มีพลังอำนาจเทียบเท่ากับพลังเซียนของตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนอยู่แล้ว


 


ตอนนี้หลังใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน พลังเซียนสุริยันของต้วนหลิงเทียนก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล


 


ถึงแม้มันจะเพิ่มพูนยกระดับไปไม่ถึงเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน หากแต่ยังมหาศาลเหนือกว่าเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนทั่วไปมากโข!


 


‘หลังทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนนภาแล้ว พลังเซียนสุริยันของข้าก็พัฒนาไปไม่น้อย…ตอนนี้ถึงจะไม่ใช้กระบี่นิลสวรรค์ อาศัยแค่เวทย์พลังทั้งหมดรวมถึงเคล็ดยอดใจกระบี่ กระทั่งเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนทั่วไปก็ไม่ใช่คู่มือข้า’


 


เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังเซียนสุริยันอันมหาศาลที่ทรงพลังปานจะไร้คู่เปรียบหลังใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนร่างกายมีพลังล้นเหลือ บังเกิดอาการคึกคักร่างกายอยากปะทะ อยากได้คนมาสู้กันสัก 300 รอบให้สะใจนัก!


 


‘หากใช้กระบี่นิลสวรรค์ด้วยพลังระดับนี้…ใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน ไม่มีใครที่ข้าฆ่าไม่ได้! กระทั่งให้เป็นเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนทั่วไป ก็ไม่น่าจะรอดพ้นชะตาตายตกใต้คมกระบี่ข้าได้!’


 


ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความมั่นใจอย่างแรงกล้า


 


‘จริงสิ อย่างไรก็ไม่ควรให้เซี่ยจงมันตายสบายเกินไป…ตอนนี้ในเมื่อข้าพึ่งบรรลุถึงเซียนนภาขั้นต้น งั้นก็เล่นกับมันเป็นการปรับพลังไปในตัว’


 


‘อย่างน้อยก็ให้มันได้รู้…ว่าความสิ้นหวังและความรู้สึกสิ้นไร้พลังมันเป็นยังไง!’


 


เมื่อนึกถึงสิ่งที่เซี่ยจงกระทำดับเขาที่ตำหนักเมฆาครามวันนั้น ใจต้วนหลิงเทียนก็ท่วมท้นไปด้วยโทสะอันไร้สิ้นสุด


 


ตอนนี้โทสะยังลุกโหมดั่งเพลิงไฟ ราวกับจะแผดเผาทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้!


 


“หืม?”


 


“ไฉนอยู่ดีๆมันถึงหยุด?”


 


“มันกำลังทำอันใดกันแน่…?”


 


“อะไรกัน?! ไฉนอยู่ๆพลังของมันพุ่งสูงขึ้น? บ้าไปแล้วไฉนถึงได้เพิ่มขึ้นมากขนาดนี้!?”


 


“เวทย์พลังที่มันใช้ออกเมื่อครู่ ที่แท้เป็นเวทย์พลังสนับสนุนผีสางอันใดกันแน่?!”


 


เซี่ยจงที่ติดตามต้วนหลิงเทียนมา เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนหยุด มันก็หยุดเช่นกัน


 


และไม่นานมันก็พบความเคลื่อนไหวผิดปกติของต้วนหลิงเทียน


 


เพียงเวลาแค่ชั่วพริบตา ชายหนุ่มที่มันใช้ทักษะตรวจสอบผ่านสำนึกเทวะ และพบว่ามีพลังฝึกปรือแค่เพียงเซียนนภาขั้นต้น อยู่ๆก็ระเบิดพลังมหาศาลที่เทียบได้กับเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนออกมา!


 


ถึงแม้พลังในร่างของชายหนุ่มจะไม่อาจเทียบพลังเซียนต้นกำเนิดขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนของมันได้ แต่ก็แทบจะทัดเทียมกัน!


 


“ดูเหมือนไอ้หนูนี่จะมีความลับไม่น้อยทีเดียว!!”


 


แต่ถึงอย่างนั้นเซี่ยจงก็ไม่ได้ตระหนักถึงวิกฤตการณ์ใดๆ เพราะสุดท้ายแล้วพลังของต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่มากพอจะคุกคามมันได้


 


เพราะตอนนี้มันยังไม่ได้ทำอะไร พลังก็เหนือกว่าอีกฝ่ายแล้ว


 


หากมันสำแดงเวทย์พลังอะไรออกมา มันย่อมเหนือกว่าอีกฝ่ายหลายขุม


 


“เซี่ยจง!”


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่เซี่ยจงกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ เสียงหนึ่งก็ลั่นดังเข้าหูของมัน น้ำเสียงยังแข็งกร้าวกระด้างกระเดื่องถึงที่สุด


 


ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเสียงนี้กลับคุ้นหูของมันนัก! คลับคล้ายคลับคลาว่ามันจะเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน!!


 


หลังจากรู้สึกตัวเซี่ยจงก็พบว่า


 


ชายหนุ่มชุดม่วงที่มันติดตามออกมาพักใหญ่ ไม่ทราบหันกลับมามองมันตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกฝ่ายยังย่ำเท้าลงกลางหาวพุ่งร่างเข้ามาหามันดั่งสายลมพัด พริบตาก็มาหยุดเผชิญหน้ากับมัน


 


“เจ้า…เจ้าหาข้าเจอด้วยหรือ?”


 


หน้าเซี่ยจงเปลี่ยนไปไม่น้อย นั่นเพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะสัมผัสได้แต่แรกว่ามันลอบสะกดรอยตามมา


 


ที่สำคัญอีกฝ่ายคล้ายจะรู้จักมันด้วย!


 


หาไม่แล้วจะเรียกชื่อมันออกมาได้ยังไง?


 


“เป็นข้าจงใจล่อให้เจ้าตามมาเอง แล้วมีหรือข้าจะไม่รู้ตัวว่าถูกเจ้าสะกดรอยตามมา?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองเซี่ยจงด้วยสายตาดูแคลนกล่าวออกดว้ยน้ำเสียงเย้ยหยัน


 


“เจ้า…เจ้าล่อข้าออกมางั้นเหรอ?!”


 


ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน หากเซี่ยจงยังไม่ทราบว่าที่แท้นี่มันเรื่องราวอันใด ก็เสียทีที่มันอยู่มาหลายปีแล้ว


 


ที่แท้ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงดาบอสุรา ทั้งหมดเพื่อจงใจล่อให้มันออกมาติดกับ!


 


จังหวะนี้สีหน้าของเซี่ยจงมืดคล้ำดำลงทันใด เร่งหันรีหันขวางยกใหญ่ สำนึกเทวะกวาดกำจายออกไปเต็มกำลัง หมายตรวจสอบว่าที่แท้ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ามีผู้ช่วยที่กำลังซุ่มซ่อนตัวอยู่กี่มากน้อย เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คู่มือมัน


 


“ไม่ต้องหาให้เสียเวลา…ที่นี่มีแค่ข้ากับเจ้า”


 


เมื่อเห็นการกระทำทั้งสีหน้าของเซี่ยจง ไหนเลยต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ว่าในหัวมันคิดอะไรอยู่ อดไม่ได้ที่จะกล่าวเย้ยมันออกมาอีกรอบ!


ตอนที่ 2,113 : ตัวตนเปิดเผย!


 


“แค่เจ้ากับข้า?”


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน เซี่ยจงยังคงไม่เชื่อ มองสำรวจไปรอบๆไม่หยุด


 


สำนึกเทวะของมันยังแผ่ออกไปสำรวจทุกซอกทุกมุม ราวกับคล้ายหากไม่พบเจอตัวคนที่กำลังซุ่นซ่อนอยู่มันจะไม่ยอมเลิกรา


 


เห็นการกระทำของเซี่ยจงต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง แต่เขาก็คร้านจะกล่าวซ้ำคำเดิม


 


ลูกตาของเขายิ่งมายิ่งฉายความเย็นชา ทำให้เซี่ยจงที่หันรีหันขวางรู้สึกเสมือนติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง และเมื่อสำนึกเทวะมันไม่พบอะไรแล้วจริงๆ มันหันกลับมามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาระวัง


 


อีกทั้งตอนนี้มันยังสัมผัสได้ชัดเจนถึงเจตนาฆ่าฟันที่คุกรุ่นขึ้นมาทั่วร่างต้วนหลิงเทียน


 


“เจ้าที่แท้เป็นผู้ใด ไฉนถึงต้องล่อข้ามาที่นี่?”


 


เซี่ยจงกล่าวถามเสียงหนัก


 


ขณะเดียวกันมันก็ยังระแวงที่ทางโดยรอบไม่หาย แม้จะไม่พบเจออะไรก็ตาม สองตาล็อกแล็กมองไปมา ราวกับกลัวว่าอยู่ๆจะมีคนผุดโผล่จากความว่างแล้วลงมือลอบทำร้าย


 


สำหรับชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า เค้าโครงรูปร่างทั้งน้ำเสียงอีกฝ่ายช่างละม้ายคล้ายคุ้นสำหรับมันไม่น้อย ทว่าให้คิดเท่าไหร่ก็ติดอยู่ในใจ…


 


ไม่อาจนึกออก!


 


อย่างไรก็ตามมันมั่นใจมาก


 


ว่ามันไม่น่าจะเคยพบเจอชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้มาก่อน! อย่างน้อยๆก็ไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่าย และที่สำคัญมันพบว่าใบหน้าอีกฝ่ายไร้ซึ่งร่องรอยการปลอมแปลงโฉมใดๆ!!


 


ด้วจเหตุนี้ใจมันถึงสับสนนัก


 


ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่?


 


แล้วล่อมันออกมาทำอะไร?


 


ไฉนถึงทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยนัก?


 


“ข้าเป็นใคร?”


 


ได้ยินคำถามของเซี่ยจงต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะยิ่งมายิ่งดังลั่นราวกับคนบ้า ทำให้เซี่ยจงประสาทจะกิน!


 


“เจ้าหัวเราะอะไร?”


 


เสียงหัวเราะทั้งรอยยิ้มแสสยะของต้วนหลิงเทียนทำให้ใจเซี่ยจงของขึ้นไม่น้อย “ไอ้หนูเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ข้าคืออา…”


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร อาวุโสของลัทธิอารามทมิฬ? แถมเจ้ายังจะบอกข้าว่าเจ้าเป็นถึงลูกชายของ จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬใช่หรือไม่?”


 


ทว่าไม่รอให้เซี่ยจงกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าววาจาที่อีกฝ่ายคิดประกาศศักดิ์ดาออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน กล่าวจบค่อยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “หากเจ้าคิดจะบอกเรื่องไร้สาระนี้กับข้า…เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องเสียเวลาพล่ามอะไรให้มาก! เพราะข้ารู้จักเจ้าดีหาไม่แล้วไฉนข้าต้องจงใจล่อเจ้าออกมาคนเดียวด้วย…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองเซี่ยจงด้วยสายตาลี้ลับ รอยยิ้มเหน็บแนมฉีกแสยะที่มุมปาก


 


“เจ้า…เจ้าที่แท้เป็นใครกันแน่!?”


 


หน้าเซี่ยจงยิ่งมายิ่งเปลี่ยนสีกลับกลาย เสียงยังเข้มขึ้นเรื่อยๆ


 


จังหวะนี้แม้มันจะไม่คิดว่าชายหนุ่มชุดม่วงจะมีพลังมากพอคุกคามอะไรมันได้ ทว่าในใจกลับมีสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่งร้องเตือนดังจ้า ยากอธิบายนัก


 


มันคิดว่าสังหรณ์อัปมงคลนี้ สมควรบังเกิดจากคนที่ซ่อนตัวและคอยสนับสนุนชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้


 


เช่นนั้นสำนึกเทวะของมันยังคงแผ่ขยายออกไปไม่หยุด พยายามตรวจหามือมืดให้พบให้จงได้


 


“เซี่ยจงเบิกตาของเจ้าดูให้ดีๆ ว่าข้าเป็นใคร…”


 


ทันใดนั้นน้ำเสียงต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปในฉับพลัน ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อใบหน้าก็เริ่มขยับเขยื้อน รูปโฉมแปรเปลี่ยนไปอย่างน่าตื่นตระหนก…พริบตาใบหน้าที่ปรากฏให้เซี่ยจงเห็นก็เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์!


 


อีกทั้งใบหน้าดังกล่าวยังเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงอีกด้วย!


 


เมื่อเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน ลูกตาของเซี่ยจงหดเล็กลงทันใด หน้าตาฉายชัดถึงความตกใจไม่อยากจะเชื่อ ปากอ้าพะงาบๆไร้สำเนียง คล้ายจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออกอยู่นาน


 


เวลายังคล้ายจะหยุดนิ่งลง


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา มันก็ย่อมจดจำต้วนหลิงเทียนได้ทันที


 


เพราะในตอนนั้นมันฉกชิงของล้ำค่ามาจากมืออีกฝ่าย…ตราผนึกมาร! 1 ใน 10ยอดศาสตราเซียนของทำเนียบศาสตราเซียนที่เลิศล้ำที่สุด!


 


หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ มันคงฆ่าอีกฝ่ายให้ตายไปแล้ว!


 


แน่นอนว่าเหตุผลที่มันไม่ฆ่าอีกฝ่ายทิ้งไม่ใช่เพราะแค่เรื่องที่อีกฝ่ายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บเท่านั้น


 


ยังเป็นเพราะวันนั้นที่ตำหนักเมฆาคราม สำนึกเทวะของมันได้แผ่ออกไปตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างละเอียดแล้วพบว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนก็แค่สีเหลืองเท่านั้น


 


ในสายตาของมัน กับอีแค่คนที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเหลือง ต่อให้ในภูมิภาคเบื้องล่างจะร้ายกาจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่นับเป็นตัวอะไรในสายตามัน


 


มันรู้สึกว่าการฆ่าต้วนหลิงเทียนนั้นไร้จำเป็น อีกทั้งอย่างไรอีกฝ่ายก็สืบทอดมรดกของมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ มันกลัวว่าการลงมือของมันอาจจะชักนำเภทภัยอะไรมาสู่มันในภายหลัง จึงเลือกจะไม่ฆ่าต้วนหลิงเทียนทิ้ง


 


“ต้วน…ต้วนหลิงเทียน! ได้…ได้อย่างไร!? เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”


 


ในที่สุดเซี่ยจงก็ฟื้นจากอาการสติหลุด


 


หลังได้สติกลับคืนมันก็อดไม่ได้ที่จะสูดมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาประหลาดใจถึงที่สุด คำเหนือคาดคล้ายจะเขียนแปะไว้กลางหน้าผาก แววตาทอประกายเหลวไหลไม่อยากจะเชื่อ


 


มันไม่เคยคิด กระทั่งหลับยังไม่อาจฝันถึง…


 


ว่าหลังใช้เวทย์พลังสนับสนุนแล้ว ชายหนุ่มในชุดม่วงที่ล่อมันมาหรือก็คือต้วนหลิงเทียนที่มันพบเจอในตำหนักเมฆาครามของภูมิภาคเบื้องล่างนั้น จะมีพลังกล้าแข็งได้ถึงขนาดนี้!


 


เพราะในสายตามันเมื่อกาลก่อน


 


ต้วนหลิงเทียนที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเหลือง กระทั่งบรรลุให้ถึงเซียนปฐพีขั้นสูงสุดยังยาก และชั่วชีวิตคงไม่มีทางบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาได้ หากไม่พบพานวาสนาอันใด


 


และถึงจะทะลวงผ่านขอบเขตเซียนนภาได้จากความบังเอิญและวาสนา แต่ก็คงยากจะก้าวหน้าใดๆได้แล้ว


 


ในสายตาของมันที่เป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ ต่อให้ภายภาคหน้าต้วนหลิงเทียนจะเติบโตขึ้นมาแค่ไหน ก็ยังคงเป็นได้แค่ มดปลวก ในสายตาของมันดังเดิม ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเป็นภัยคุกคามอะไรได้ ยังไม่คู่ควรกล่าวถึงต่อหน้ามันด้วยซ้ำ!


 


อย่างไรก็ตามมันไม่อาจทำใจเชื่อเรื่องราวได้จริงๆ


 


ในเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 2 ปี ต้วนหลิงเทียนนายน้อยตำหนักเมฆาครามของภูมิภาคเบื้องล่างที่เป็นดั่งมดในสายตาของมันวันนั้น กลับเติบโตขึ้นถึงขั้นมีพลังฝีมือสูงพอจะไล่ตามมันได้ทัน!


 


“เซี่ยจง”


 


ต้วนหลิงเทียนเพิกเฉยความประหลาดใจของเซี่ยจง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชากล่าวออกด้วยเสียงทุ้มไร้แยแส


 


“วันนั้นเจ้าไม่เพียงฆ่าผู้อาวุโสกู่มี่ทั้งเข่นฆ่าคนของตำหนักเมฆาครามข้า แต่หลังเอาตราผนึกมารของข้าไปแล้วเจ้ายังไม่คิดเลิกรา กลับข่มขู่ว่าจะฆ่าล้างตำหนักเมฆาครามของข้า…ถึงแม้ว่าเจ้าจะทำไม่สำเร็จก็ตามที”


 


“แต่ตอนนั้นข้าได้สาบานเอาไว้ในใจ…หากข้าต้วนหลิงเทียนไม่อาจฆ่าเจ้าได้ข้าจะไม่ขออยู่เป็นคน!”


 


“วันนี้ถึงเวลาที่ข้าต้องกระทำตามคำสาบานนั่นแล้ว…”


 


ตอนแรกเสียงกล่าวต้วนหลิงเทียนนั้นเย็นชาไร้แยแสถึงที่สุด หากทว่ายิ่งกล่าวก็ยิ่งสงบ สุดท้ายก็สงบลงอย่างประหลาด


 


ทว่าเจตนาฆ่าฟันที่แผ่ออกทั่วร่างยิ่งมาก็ยิ่งมีมาก


 


ลึกลงไปในแววตายังเผยประกายสังหารอำมหิต


 


“ฮ่าๆๆๆ..!!”


 


ได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน พร้อมยืนยันได้อย่างมั่นใจแล้วว่ารอบๆไม่มีใครซ่อนตัวอยู่ เซี่ยจงที่เคร่งเครียดอยู่นานก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง


 


ต้วนหลิงเทียนเพียงมองมันที่หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอย่างสงบ


 


ครู่ต่อมาเสียงหัวเราะของเซี่ยจงก็หยุดลง มันมองไปที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูถูก “ต้วนหลิงเทียน ถึงแม้ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะไปพบพานวาสนาปากฏิหาริย์โดยบังเอิญอันใดมา จนทำให้เจ้าที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณต้อยต่ำกระเสือกกระสนดิ้นรนมาได้จนมีพลังขนาดนี้…”


 


“แต่เจ้าคิดจริงๆหรือว่าอาศัยเพียงพลังเท่านั้น มันมากพอจะทำอะไรข้าได้?”


 


ถึงแม้ความ ‘ก้าวหน้า’ ในเวลาไม่ถึง 2 ปีของต้วนหลิงเทียนจะทำให้เซี่ยจงประหลาดใจและเหลือเชื่อนัก


 


อย่างไรก็ตามมันรู้ดีว่าเรื่องราวได้เกิดขึ้นไปแล้ว ต่อให้มันจะประหลาดใจและไม่อยากเชื่อเพียงไหนแต่มันก็เท่านั้น


 


สุดท้ายมันจึงสงบสติอารมณ์ลงได้


 


ในขณะเดียวกันมันก็พอคาดเดาเรื่องราวได้บางประการ


 


เหตุผลเดียวที่ต้วนหลิงเทียนกล้าโอหังต่อหน้ามันทั้งๆที่มีพลังเพียงเท่านี้ ไม่พ้นคิดอาศัยการแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บแน่ๆ!


 


ด้วยพลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน หากแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ แม้ยังยากจะเอาชนะมันได้ แต่หากจะสู้แลกตายกับมันยังพอมีหวัง


 


อย่างไรก็ตามมันไม่ได้หวาดกลัวเลย


 


มัน เซี่ยจง คนนี้ เป็นถึงบุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ อีกทั้งยังเป็นลูกชายเพียงคนเดียว


 


นอกจากพลังฝีมือเข้มแข็งส่วนตัวแล้ว หรือมันไม่มีตัวช่วยอื่นใด?


 


‘ต่อให้มันแปลงร่างเป็นนักรบ 9 มังกร อย่างดีก็ได้แค่สู้กับข้าได้สูสี…ถึงให้มันจะมีทีเด็ดไม้ตายอะไรอยู่อีกหรือข้าไม่มี? หรือไม่ข้าก็แค่ถอยแล้วใช้หยกสื่อสารเรียกผู้เฒ่าฉู่มาจัดการมันเท่านั้น’


 


‘ให้ไพ่ตายของมันร้ายกาจยังไง อาศัยพลังที่ทัดเทียมกัน มันก็ไม่มีทางฆ่าข้าได้หากข้าคิดจะหนี! เช่นนั้นเพียงถ่วงเวลาให้มากพอรอผู้เฒ่าฉู่มาก็จบเรื่อง ถึงตอนนั้นข้าค่อยส่งมันไปลงนรกด้วยมือข้า!’


 


เมื่อคิดในใจถึงจุดนี้ เซี่ยจงก็บังเกิดความมั่นใจ และไม่ได้หวาดกลัวอะไรต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย


 


“ทำอะไรเจ้าได้หรือไม่ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเบา ก่อนที่ร่างของเขาจะสั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน


 


ทันใดนั้นเองพลังเซียนสุริยันอันสุดไพศาลก็ทะลักออกมาจากแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียน พวกมันควบรวมแปรสภาพกลับกลายเป็นปีกเพลิงมหึมาคู่หนึ่ง ไอร้อนเปลวเพลิงลุกโชนพุ่งพล่านอย่างน่ากลัว!


 


อีกทั้งปีกยังมีรูปลักษณ์เสมือนปีกจริงๆนัก ด้วยเปลวเพลิงที่ลุดโชน พาลให้บรรยากาศโดยรอบร้อนขึ้นหลายองศา


 


ปีกอีกาทองคำ!


 


เวทย์พลังเสริมเคลื่อนไหวที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออก!


 


ยังเป็นเวทย์พลังเสริมท่าร่างขั้นสูง!


 


“จะ…เจ้าคือต้วนหลิงเทียน จากลัทธิบูชาไฟงั้นเรอะ!!”


 


ทันใดนั้นเซี่ยจงพลันร้องโพล่งออกมาดังลั่น


 


และหากตั้งใจฟังจะได้ยินชัดเจน


 


ว่าเสียงโพล่งอุทานของเซี่ยจงมันสั่นไม่น้อย


 


เมื่อเห็นฉากเรื่องราวเบื้องหน้าและเวทย์พลังที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออก เซี่ยตงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ของลัทธพิบูชาไฟที่พึ่งโด่งดังขึ้นมาในเวลาอันสั้น!


 


ต้วนหลิงเทียน!


 


ต้วนหลิงเทียนอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ของลัทธิบูชาไฟผู้นั้น สามารถเอาชนะ ปู้หง อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 จนแทนที่อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 แทน!


 


ยังได้รับอันดับที่ 421 ในรายนามยอดเซียนไปครองอีกด้วย!


 


ทันทีที่อัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ของลัทธิบูชาไฟมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว แน่นอนว่าไม่พ้นความสามารถของต้วนหลิงเทียนจะถูกผู้คนหยิบมาตีแผ่กล่าวขาน กระทั่งเรื่องที่สามารถบรรลุเวทย์พลังชั้นสูงทั้ง 4 สาย ก็เป็นที่สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!!


 


ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ชายชราอายุหลายพันปีคนหนึ่งจะเข้าใจเวทย์พลังขั้นสูงทั้ง 4 ชนิด


 


ทว่าในฐานะอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ ต้วนหลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟผู้นี้ยังเป็นรุ่นเยาว์! ทว่าเพียงรุ่นเยาว์คนหนึ่งกลับเข้าใจเวทย์พลังขั้นสูงถึง 4 สาย!


 


เรื่องนี้เป็นอะไรที่หาได้ยากยิ่งในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


ด้วยเหตุนี้พลังความสามารถของเวทย์พลังขั้นสูงทั้ง 4 ของต้วนหลิงเทียนจึงกลายเป็นที่เลื่องลือไม่น้อย ยังแพร่กระจายไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน เซี่ยจงที่อยู่ในลัทธิอารามทมิฬก็เคยได้ยินมาเช่นกัน


 


‘นั่นเป็นเวทย์พลังเสริมท่าร่างขั้นสูงของต้วนหลิงเทียนแห่งลัทธิบูชาไฟไม่ผิดแน่!’


 


เช่นนั้นเซี่ยจงจึงบอกอัตลักษณ์ต้วนหลิงเทียนได้ทันทีจากเวทย์พลังที่เขาใช้ออก นั่นเพราะเวทย์พลังนี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นเกินไป!!


ตอนที่ 2,114 : ชำนาญทั้งสิ้น!


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนใช้เวทย์พลังปีกอีกาทองคำออกมา เซี่ยจงก็สามารถยืนยันตัวตนของเขาได้ทันที


 


ต้วนหลิงเทียน! อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟ!!


 


ถึงแม้ว่ามันจะได้เห็นภาพเหมือนของต้วนหลิงเทียนที่ลัทธิบูชาไฟเผยแพร่ออกมาแล้ว


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนในรูปนั้นมีหน้าตาแตกต่างจากต้วนหลิงเทียนตอนนี้อย่างสิ้นเชิง แถมที่ลัทธิบูชาไฟก็สมควรยืนยันก่อนทำรูปเหมือนแล้วด้วยว่า…ต้วนหลิงเทียนไร้ซึ่งการปลอมแปลงรูปโฉมใดๆ


 


ทว่าหลังจากที่มันได้เห็นทักษะแปลงโฉมอันเลิศล้ำของต้วนหลิงเทียนกับตา มันก็เดาได้ไม่ยากว่าต้วนหลิงเทียนปลอมแปลงรูปโฉมเพื่อเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟเช่นกัน เพียงแค่ใช้ชื่อต้วนหลิงเทียนเหมือนเดิมเท่านั้น


 


“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะนึกได้ว่าข้าคือต้วนหลิงเทียนแห่งลัทธิบูชาไฟ โดยอาศัยการมองจากเวทย์พลังที่ข้าใช้แค่ 2 ชนิด”


 


ได้ยินคำของเซี่ยจง ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าเซี่ยจงรู้ว่าเขาเป็นคนเดียวกันกับต้วนหลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟ


 


แต่เรื่องนี้เขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ยังไม่สนใจอะไรแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะปิดบังสักนิด ถึงได้ใช้เวทย์พลังทั้ง 2 ออกมาต่อหน้าเซี่ยจง


 


และตอนนี้ถ้าเซี่ยจงยังไม่ระแคะระคายหรือเชื่อมโยงเขากับต้วนหลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟ ก็เกรงว่ามันคงเป็นตัวโง่งมเกินเยียวยาแล้ว


 


แน่นอนว่าไฉนที่เซี่ยจงพึ่งมาตระหนักได้เอาตอนนี้ เพราะเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟเป็นนักรบมังกรแปลง 9 กรงเล็บนั้น ถูกลัทธิบูชาไฟปิดข่าวเอาไว้ ไม่ได้แพร่กระจายออกไปยังด้านนอกลัทธิ


 


แต่อันที่จริงเรื่องนี้ก็แพร่กระจายออกมาอยู่บ้าง ทว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อ!ทำให้เรื่องราวไม่ได้กระจายออกไปเป็นวงกว้าง ลำพังแค่ศิษย์ลัทธิบูชาไฟที่ไม่เห็นกับตาชัดๆยังไม่ค่อยจะเชื่อ นับประสาอะไรกับลัทธิอารามทมิฬที่ภาคกลาง


 


เหตุผลที่กระทั่งศิษย์ที่ไม่ได้เห็นกับตายังไม่เชื่อ ก็เพราะเรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินความจริงมากเกินไป…


 


นักรบมังกร 9 กรงเล็บ สำหรับคนในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว มันเป็นดั่งตัวตนที่มีอยู่แต่ในตำนาน! ทั้งหมดล้วนไม่มีใครเคยพบเคยเห็นมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บด้วยซ้ำ กระทั่งบันทึกว่าเคยเจอก็ไม่มี! เช่นนั้นเรื่องนี้ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลในสายตาทุกคนทั้งสิ้น!!


 


ด้วยเหตุนี้เซี่ยจงจึงไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ!


 


หาไม่แล้วเผลอๆมันจะยืนยันได้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ไม่ต้องเคยเห็นเวทย์พลังอะไรทั้งสิ้น…


 


ว่าต้วนหลิงเทียนที่ลัทธิบูชาไฟ…เป็นคนเดียวกันกับต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามของภูมิภาคเบื้องล่างที่มันช่วงชิงตราผนึกมารมา!


 


“เจ้าไม่คิด ข้าเองก็คิดไม่ถึงจริงๆ…”


 


ลูกตาเซี่ยจงฉายประกายเยียบเย็นกล่าวออกเสียงต่ำ “หากข้ารู้ว่าเจ้าจะสามารถเติบโตได้ถึงขั้นนี้ วันนั้นในตำหนักเมฆาครามที่ภูมิภาคเบื้องล่างข้าคงไม่เมตตาละเว้นเจ้า!”


 


“เมตตาละเว้นข้า?”


 


ได้ยินวาจาเซี่ยจง ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ “เซี่ยจง หากข้าจำไม่ผิด…ไม่ใช่ว่าที่เจ้าไม่กล้าฆ่าข้าเพราะหวาดกลัวมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บรึไง?”


 


“อีกทั้งไม่ใช่ว่าเจ้าได้แต่ปลอบใจตัวเองหรอกเหรอ…ว่าด้วยพรสวรรค์ของข้า ตลอดชั่วชีวิตนี้คงไม่มีวันไล่ตามเจ้าได้ทัน?”


 


“ยังมาทำเป็นพูดเมตตาละเว้นข้าไม่อายปาก ช่างเหลวไหลสิ้นดี!”


 


ต้วนหลิงเทียนลบล้างวาจาถือดีของเซี่ยจงทิ้งในชั่วพริบตา ยังยัดเยียดสถานะตัวขี้ขลาดให้มัน พาลให้สีหน้าเซี่ยจงกลายเป็นเขียวสลับขาวทันที


 


“อะไร? หรือตอนนี้เจ้าบังเกิดความเสียใจแล้วที่วันนั้นเจ้าปอดแหกไม่กล้าฆ่าข้า?”


 


เห็นเซี่ยจงโมโหทั้งอับอายจนหน้าเปลี่ยนสีไปมาราวไฟกระพริบไร้คำตอบ ต้วนหลิงเทียนก็แสยะยิ้มกล่าวเยาะไม่หยุด “เจ้าคงกำลังคิดสินะ…หากวันนั้นเจ้าฆ่าข้าทิ้งไป? ข้าคงไม่มีวันได้ก้าวหน้าเติบโตมาถึงจุดที่ทำให้เจ้าหน้าเสียอย่างตอนนี้?”


 


“น่าเสียดาย…โลกนี้ไม่มีโอสถรักษาอาการเสียใจให้เจ้ากิน!”


 


“วันนี้ข้าต้วนหลิงเทียนจะขอบอกเจ้าไว้ตรงนี้…หนี้เลือดอาวุโสกู่มี่กับพี่น้ององครักษ์เกราะทมิฬหลายสิบชีวิตที่เจ้าคร่าไปของตำหนักเมฆาคราม ข้าต้วนหลิงเทียนจะล้างมันด้วยเลือดของเจ้า!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงดังฟังชัด ทุกถ้อยคำยังดังประหนึ่งฟ้าผ่า


 


เผยความมุ่งมั่นที่จะล้างแค้นออกมาชัดเจน!


 


“เฮอะ! เสียใจรึ?”


 


วาจาแสลงหูของต้วนหลิงเทียนย่อมดึงสติเซี่ยงจงให้กลับมาอยู่กับร่อกับรอยได้ทันที และหลังจากรู้สึกตัวจากความเดือดดาลทั้งอับอาย เซี่ยจงแค่นคำหัวร่อ กล่าวออกอย่างถือดี “ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดมากไปแล้ว”


 


“ข้ายอมรับว่าพลังฝีมือของเจ้านั้นพอใช้ได้…แต่ระหว่างเจ้ากับข้าความสูงต่ำไม่ต้องกล่าวก็รู้กัน…อาศัยฝีมือสวะของเจ้า คิดว่าจะมีปัญญาล้างแค้นข้าได้?”


 


หลังกล่าวเย้ยจบคำ เซี่ยจงก็เชิดหน้ามองมาอย่างดูแคลน


 


“เรื่องนั้น…เดี๋ยวเจ้าก็รู้!”


 


ต้วนหลิงเทียนคร้านกล่าวคำไร้สาระกับเซี่ยตงสืบไป สิ้นเสียงเยียบเย็นเขาก็ลงมือทันที


 


ทันใดนั้นปีกอีกาทองคำคู่โตพลันสะบัดโบกลงฉับไว!


 


ครู่ต่อมา


 


ปง! ปง! ปง! ปง!


 


……


 


เสียงแตกระเบิดของอากาศดังสนั่นขึ้นเป็นชุด ร่างต้วนหลิงเทียนอันตรธานหายไปจากจุดเดิม โจนทะยานเข้าใสเซี่ยจงด้วยความเร็วสูง ความเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนแม้แต่น้อย!!


 


“ให้ข้าดูชม ว่าอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟมันจักแน่สักแค่ไหน!!”


 


เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนที่โจนทะยานมาด้วยจิตฆ่าฟัน เซี่ยจงไม่หวาดกลัว แค่นคำตะโกนออกเสียงเย็น ทั่วร่างบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปในฉับพลัน!


 


พลังเซียนต้นกำเนิดที่คล้ายตระเตรียมไว้พรั่งพร้อม ระเบิดปะทุออกมาดั่งเพลิงไฟร้อนแรง!


 


วูบหนึ่ง ร่างเซี่ยจงพลันโจนทะยานล่าถอยขึ้นไปยังฟ้าสูง สภาวะรวดเร็วล่องลอยปานเมฆหมอก ความเร็วในการเคลื่อนไหวของมันมองปราดเดียวก็บอกได้ว่าไม่ด้อยไปกว่าต้วนหลิงเทียน!


 


แน่นอนว่าเซี่ยจงนั้นเร่งใช้ออกด้วยเวทย์พลังสนับสนุน รวมถึงเวทย์พลังเสริมท่าร่างออกมาทันที นั่นทำให้หลังเร่งเร้าพลังเคลื่อนร่างขึ้นฟ้าไปพักหนึ่งมันก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง ที่ความเร็วของมันกลับไม่มีเปรียบต้วนหลิงเทียน!!


 


‘คนที่เป็นดั่งมดในสายตาข้า..ไฉนในเวลาเพียงไม่นานกลับมีพลังฝีมือทัดเทียมกับข้าได้กัน!?’


 


หลังจากตระหนักถึงความจริงอันน่าตื่นตระหนกว่าความเร็วของต้วนหลิงเทียนกลับไม่ได้ด้อยไปกว่าความเร็วของมันเลย ทั้งๆที่มันใช้ออกด้วยเวทย์พลังทั้ง 2สายแล้วเช่นกัน พาลให้ใบหน้าของมันจมลงทันใด!


 


ต้องทราบด้วยว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่ทันได้แปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บที!


 


หากต้วนหลิงเทียนแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ ความเร็วสมควรเพิ่มพูนขึ้นจนเหนือมันแน่!


 


‘ระยำ! ตัวบัดซบต้วนหลิงเทียนนี่ไฉนมันถึงได้ชำนาญเวทย์พลังทั้ง 2 สายนี่ได้ในเวลาอันสั้นไม่ถึงสองปี…อีกทั้งเห็นว่ามันยังเชี่ยวชาญเวทย์พลังสายจู่โจมกับป้องกันขั้นสูงอีกด้วย!’


 


‘แถมเวทย์พลังสายป้องกันขั้นสูงที่มันเข้าใจ สมควรเป็นเวทย์พลังป้องกันขั้นสูงอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟอย่างปราการเต่าทมิฬที่ลือกันว่ายากเข้าใจนักหนา มันทำได้ยังไง!?’


 


คิดถึงเรื่องนี้ใจของเซี่ยจงก็รู้สึกหงุดหงิดนัก ความรู้สึกด้อยกว่าเริ่มกัดกินในใจ


 


‘สมแล้วที่มันเป็นลูกชายคนเดียวของจ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ…ถึงเซี่ยจงมันจะทะลวงมาถึงเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนได้ไม่นาน แต่อาศัยแค่ความเร็วนี่ ศิษย์ที่แท้จริงด่านพลังเดียวกันอย่าง ปู้หง ยังด้อยกว่ามันมาก!!’


 


หลังจากได้เห็นความเร็วของเซี่ยจง ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเซี่ยจงสมควรใช้เวทย์พลังเสริมท่าร่างขั้นสูง ส่วนเวทย์พลังสายสนับสนุนของมันสมควรเป็นแค่ขั้นกลางเท่านั้น


 


“แปลง! นักรบมังกร 9 กรงเล็บ!!”


 


แม้ต้วนหลิงเทียนไม่คิดใช้กระบี่นิลสวรรค์ฆ่าเซี่ยจงให้จบเรื่องไปในพริบตา แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดตระหนี่วิธีการอื่น เมื่อพบว่าความเร็วของเซี่ยจงไม่ด้อยไปกว่าเขา เช่นนั้นเขาก็แปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บทันที!!


 


เพียงเวลาแค่ชั่วพริบตา ต้วนหลิงเทียนทีเป็นมนุษย์อยู่หลัดๆ ก็แปรเปลี่ยนไปคล้ายอสูรกายตนหนึ่ง! เนื้อตัวเต็มไปด้วยเกล็ดแกร่งสองมือกลายเป็นกรงเล็บมังกร เผยรูปลักษณ์ครึ่งคนครึ่งมังกรอันน่าเกรงขามออกมาชัดเจน!!


 


นี่คือร่างนักรบมังกร 9 กรงเเล็บ!


 


‘ตอนนี้ก็ไม่ต้องกั๊กอะไรสืบไป…ข้าจะให้เซี่ยจงมันได้รู้…’


 


‘ว่าความสิ้นหวังคืออะไร!’


 


ตอนนี้นอกจากกระบี่นิลสวรรค์แล้ว ทุกสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนสามารถใช้ออกได้ก็ใช้ออกจนหมด


 


ลงมือเต็มที่อย่างไร้ซึ่งการออมรั้งสิ่งใด


 


ต้องทราบด้วยว่าก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะกลายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ ความเร็วเขาก็ทัดเทียมกับเซี่ยจงอยู่แล้ว


 


เช่นนั้นหลังจากที่แปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ ความเร็วของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง!


 


ซึ่งมันก้าวข้ามความเร็วของเซี่ยจงไปอย่างสิ้นเชิง


 


“เซี่ยจง!!”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็คำรามออกมาอย่างดุร้าย ปีกอีกาทองคำสะบัดอีกคราปะทุพลังอันเกรี้ยวกราดดั่งจุดระเบิด ส่งร่างต้วนหลิงเทียนที่เดิมว่องไว กลายเป็นว่องไวปานสายฟ้าจี้ทะยานย่นระยะเข้าใส่เวี่ยจงในชั่วพริบตา!


 


“บัดซบ!!”


 


เห็นร่างต้วนหลิงเทียนย่นระยะตัดฟ้ามาด้วยความเร็วน่าขนลุก เซี่ยจงรู้ตัวดีว่าไม่อาจชิงชัยด้วยความเร็ว มันไม่คิดเคลื่อนร่างให้เสียพลังเปล่าปลี้ หยุดร่างลงทันที


 


หลังหยุดร่างลงแล้ว พลันปรากฏหอกยาว 7 ฉื่อเล่มหนึ่งผุดจากความว่างเปล่าเข้ามือของมัน!


 


วู้มมม!!


 


มวลพลังถ่ายทอดลงสู่ตัวหอกปานน้ำเชี่ยว ตัวหอกเริ่มส่องแสงเรืองรองสั่นไหวสะท้าน พาลให้ความว่างเปล่ารอบตัวหอกกระเพื่อมไปเป็นวงดั่งระลอกน้ำ!


 


ยังมีกลิ่นอายแหลมคมแผ่พุ่งออกมาแทงทะลวงในบรรยากาศ


 


กลิ่นอายอันแหลมคมเสียดแทงนี้ ให้ความรู้สึกถึงพลังอำนาจที่แตกต่างจากศาสตราเซียนธรรมดาหลายขุมนัก!


 


“หอกพันอาคมเซียน?”


 


ทันทีที่แลเห็นพลังอำนาจของหอก ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำออกมาเสียงเบา ไม่คิดว่าอาวุโสของลัทธิอารามทมิฬที่เป็นเพียงเซียนสวรรค์ 3เปลี่ยน จะมีศาสตราพันอาคมเซียนไว้ใช้งาน…


 


ทว่าพอคิดอีกครั้งเขาก็รู้สึกว่ามันสมควรแล้ว อย่างไรอีกฐานะของเซี่ยจงก็ไม่ธรรมดา


 


ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ตัวตนอย่างจ้าวราชสีห์ขนทอง ซึ่งเป็น 1 ใน 4 มหาธรรมราชาจะให้ศาสตราพันอาคมเซียนกับบุตรชายไว้ใช้งาน


 


“โฮ่! ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรู้ด้วยว่ามันคือศาสตราพันอาคมเซียน!?”


 


เซี่ยจงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่มันจะเร่งเร้าพลังสุดตัว ควงหอกเป็นวงปานจักรผันยักย้ายไปมา คล้ายกำลังร่ายกระบวนหอกหนึ่ง พลังที่อัดแน่นในหอกยิ่งมายิ่งเพิ่มพูนมหาศาล!


 


ตอนนี้เซี่ยจงกำลังใช้ออกด้วยวรยุทธ์เซียนที่มันฝึกปรือจนแตกฉานถึงขั้นไร้ตำหนิ ผสานด้วยเวทย์พลังสายจู่โจมหนึ่งเต็มกำลัง ทั้งปะทุพลังอำนาจของพันอาคมเซียนออกมาอย่างพร้อมเพรียง ก่อเกิดเป็นขุมพลังสังหารอันน่าพรั่นพรึง


 


หอกที่ควงเร็วรี่สั่งสมพลังสภาวะถึงขีดสุด ทะลวงจ้วงไปอย่างดุร้ายอำมหิต!


 


ปงงงง!!


 


ยามหอกเสือกทะลวงออกบังเกิดเป็นเสียงแตกระเบิดของกาศดังลั่นก้องฟ้า ยังดังปานจะกลบทุกสรรพเสียงในโลกหล้า!


 


ฟั่ฟฟฟ!!


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่บังเกิดเสียงแตกระเบิดออกของอากาศจากการแทงหอก พลันปรากฏเสียงกระบี่กรีดอากาศฉับไวถึงขีดสุด แสงแสงกระบี่ตีวงโค้งไปดั่งฟ้าแลบ!!


 


และพริบตาที่ต้วนหลิงเทียนจู่โจมออก สองตาเซี่ยจงก็ทอประกายร้อนแรงวูบหนึ่ง!


 


“กระบี่พันอาคมเซียน!”


 


ด้วยเนตรวิญญาณคู่หนึ่ง เซี่ยจงย่อมแลเห็นความไม่ธรรมดาของกระบี่ต้วนหลิงเทียน! ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังน่ากลัวที่คล้ายคลึงกับหอกของมัน! จึงทราบได้ทันทีว่านี่คือศาสตราพันอาคมเซียนเช่นกัน!!


 


เซี่ยจงซึ่งแต่เดิมคิดว่าสมควรมีเปรียบต้วนหลิงเทียนแน่ เมื่อควักหอกพันอาคมเซียนออกมาจู่โจมลงมือ ทว่าสีหน้าของมันจำต้องแปรเปลี่ยนไป! ใจไม่อาจคาดคิดได้ออก ว่าไฉนคนที่มาจากภูมิภาคเบื้องล่างอันล้าหลังมีปัญญาถือครองกระบี่พันอาคมเซียน!!


 


เคร๊งงงงงง!!!


 


เสียงโลหะดังกระทบกันสนั่นลั่นฟ้า เสียงนี้ยังดังแหลมดั่งมีดแทงทะลวงแก้วหูผู้คนแทบฉีกขาด เป็นกระบี่พันอาคมเซียนฟันปะทะกับปลายหอกพันอาคมเซียนเต็มกำลังอย่างแม่นยำดุจซัดด้ายลอดรูเข็ม! สภาวะศาสตราทั้ง 2 ไม่มีใดยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เสียงระเบิดของมวลพลังที่อัดแน่นในศาสตราที่กำลังหักหาญชิงชัยดังสนั่นลั่น บรึม บรึม ออกมาไม่หยุด!!


 


แน่นอนว่าหากเทียบกับเสียงกระบี่หอกปะทะกันก่อนหน้า เสียงระเบิดของพลังที่ปะทะกันอยู่ยังคล้ายกลายเป็นเสียงยุงบินไปทันที


 


อั๊ค!!


 


ทว่าหลังจากศาสตราต้านกันไปพักหนึ่ง เซี่ยจงยิ่งมายิ่งสีหน้าซีดเซียว! สุดท้ายร่างไม่อาจทานรับพลังสะท้อนได้ไหวสืบ คนปลิดปลิวกระเด็นออกไปพร้อมหอกพันอาคมเซียนอย่างหมดท่า! โลหิตแดงฉานยังมีลิ่มเลือดสีคล้ำกระอักออกมาคำใหญ่!!


 


โลหิตที่กระอักออกเป็นสายยามต้องสะท้อนแสงตะวัน บังเกิดเป็นความงามวิปลาสประการหนึ่ง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)