War sovereign Soaring The Heavens 2094-2100

 ตอนที่ 2,094 : ช่วยยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ผู้อื่นได้หรือไม่?


 


ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!


 


เสียงกระบี่แหวกอากาศ 4 เสียงดังขึ้นพร้อมๆกันกับที่คนของพันธมิตรขวานปฐพีกล่าวจบคำ


 


ในเวลาเดียวกันกับที่เสียงดังกล่าวดังขึ้น กระบี่ร้อยอาคมเซียนในมือต้วนหลิงเทียนและร่างแยกก็อันตรธานหายไปจากสายตาของ 2 พันธมิตรขวานปฐพี!


 


พริบตาต่อมากระบี่และดาบในมือของ 2 พันธมิตรขวานปฐพีก็ถูกทำลายเป็นเสี่ยงๆ!


 


พวกมันทันแค่ได้เห็นเงารางเลือนรางสายหนึ่งพึ่งเข้ามาทำลายอาวุธในมือของพวกมันเท่านั้น หากแต่พวกมันไม่อาจมองเห็นได้เลยว่าเป็นสิ่งใดกันแน่ ในเวลาชั่วพริบตาศาสตราที่ถือในมือก็แหลกเป็นเสี่ยงแล้ว!


 


ทั้งหมด พวกมันแค่ได้ยินเสียงแหวกอากาศฉับไวของกระบี่ 4 สายเท่านั้น!


 


ช้าก่อน!


 


เสียงกระบี่ 4 สาย!


 


เช่นนั้นหมายความว่ายังมีกระบี่อีก 2 เล่ม!?


 


ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ สองพันธมิตรขวานปฐพีก็รู้สึกได้ถึงไอเย็นขุมหนึ่งแล่นวาบสะท้านให้เหน็บหนาวไปทั่วร่าง


 


สวบ!


 


สวบ!


 


พร้อมกันกับที่เสียงแผ่วเบาดังขึ้น 2 เสียง พลันปรากฏหลุมโลหิตบริเวณหว่างคิ้วพันธมิตรขวานปฐพีทั้งคู่ โลหิตสีแดงทะลักพุ่งออกมาไม่หยุด!


 


พริบตาเลือดแดงฉานก็กระจายเต็มฟ้า พวกมันเบ่งบานปานกุหลาบแดงสะพรั่ง ค่อยแตกตัวเป็นละออง…


 


เรื่องราวทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นภายในเขตแดนหมื่นกระบี่ของต้วนหลิงเทียน คนภายนอกที่ชมดูเรื่องราวอยู่ไม่กี่คนที่ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ย่อมไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้


 


ดังนั้นแล้วไร้ซึ่งบุคคลที่สามล่วงรู้เรื่องนี้


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดสุภาพกับคนที่คิดฆ่าเขาอยู่แล้ว


 


“ผู้เฒ่าหั่วช่วยข้ากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันที”


 


หลังจากฆ่าพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสอง ต้วนหลิงเทียนก็เร่งติดต่อผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที เพื่อให้ผู้เฒ่าหั่วชี้ร่องนำทางไปยังตำแหน่งพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน เขาจะได้ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินสูบกลืน


 


ดั่งคำว่า ‘ถึงยุงจะตัวเล็กแค่ไหนมันก็ยังมีเนื้อ’ ถึงต้วนหลิงเทียนจะรู้แต่แรกแล้วว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของทั้ง 2 คนจะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่เขาก็ไม่คิดปล่อยให้พวกมันเสียไปเปล่าๆ


 


“พวกมันทั้งคู่ล้วนมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวอ่อน…”


 


ไม่นานผู้เฒ่าหั่วก็แจ้งสีรากวิญญาณของพวกมัน


 


หลังจากนั้นด้วยความช่วยเหลือของผู้เฒ่าหั่ว ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน เริ่มดูดกลืนอย่างไม่รอช้า


 


“พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าตอนนี้ถึง ‘จุดอิ่มตัว’ แล้ว…ตอนนี้ขอเพียงเจ้ากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวอีกสักครั้ง พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าสมควรยกระดับพัฒนาไปเป็นรากวิญญาณสีคราม”


 


ไม่นานเสียงของผู้เฒ่าหั่วก็ดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง


 


และวาจานี้ของผู้เฒ่าหั่ว ทำให้ต้วนหลิงเทียนตื่นเต้นยินดีมาก!


 


รากวิญญาณสีคราม!


 


‘เมื่อรากวิญญาณของข้าเป็นสีคราม…ด้วยความช่วยเหลือของชั้น 4 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ อัตราการไหลของห้วงเวลาอันน่าทึ่งนั่น…ไม่ใช่ว่าความเร็วในการบ่มเพาะของข้าจะสามารถทัดเทียมได้กับอัจฉริยะปีศาจไร้ผู้ต้านที่มีรากวิญญาณสีม่วงเลยหรือ?!’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจต้วนหลิงเทียนถึงกับเต้นระรัวขึ้นมาทันที


 


อัจฉริยะปีศาจไร้ผู้ต้าน อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วง! นั่นคืออัจฉริยะระดับสูงสุดของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว!!


 


พอคิดว่าอีกไม่นานความเร็วในการบ่มเพาะของตัวเองกำลังจะตามทันอัจฉริยะปีศาจไร้ผู้ต้านระดับนั้นได้ทัน ต้วนหลิงเทียนก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ยากจะสงบใจลงได้อยู่นาน


 


“ผู้เฒ่าหั่ว”


 


ไม่นานอารมณ์ของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสงบลง ทว่าทันใดนั้นเอง สองตาของเขาพลันทอแสงเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง กล่าวถามผู้เฒ่าหั่วออกมาว่า “เวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินของข้า มันสามารถช่วยกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณให้ผู้อื่นได้หรือไม่?”


 


“อย่างเช่นข้าใช้ปฐมเวทย์กลืนกินเพื่อดูดกลืนพรสรรค์รากวิญญาณของคนๆหนึ่ง แต่ข้าไม่รับพลังนั้นเองเลือกที่จะถ่ายโอนไปให้คนอีกคน…เช่นนั้นพลังที่ข้าส่งไปมันจะช่วยส่งเสริมพรสวรรค์รากวิญญาณให้คนหลังได้หรือไม่?!”


 


ที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเขาคิดจะช่วยเหลือครอบครัวและเหล่าสหายของเขา


 


หากวิธีนี้มันทำได้จริงล่ะก็


 


เช่นนั้นเขาก็สามารถช่วยเหลือคนรอบกายยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้อย่างเต็มที่! ให้ทุกคนบรรลุถึงขีดสุดพรสวรรค์ จนสามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้!!


 


เปลี่ยนที่ 7 ของขอบเขตเซียนสวรรค์นั้น เรียกกว่าเปลี่ยนท้าทายสวรรค์ เมื่อบรรลุถึงขอบเขตนี้แล้วอายุขัยก็ไม่ถูกสวรรค์กำหนดอีกต่อไป


 


สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมหวังให้ครอบครัวและสหายของเขามีชีวิตนิรันดร์ คราวนี้เขาก็ไม่ต้องทนมองครอบครัวและเหล่าสหายล้มตายจากไปทีละคน จนุสดท้ายก็หลงเหลือแต่เขาเพียงลำพัง…


 


ด้วยเพราะเหตุนี้


 


ยามถามคำถามนี้ออกไป ใจต้วนหลิงเทียนก็แทบจะหยุดเต้น


 


“เรื่องที่เจ้าพูด…มีโอกาสมากกว่า 9 ส่วนที่จักทำได้สำเร็จ ทว่าเรื่องนี้ยังขึ้นอยู่กับพลังฝึกปรือและความเชี่ยวชาญของเจ้า!”


 


เผชิญกับคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบออกมาทันที “แน่นอน ว่านี่หมายความว่าเจ้าต้องเข้าใจปฐมเวทย์กลืนกินให้บรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิเสียก่อน…หาไม่แล้วการเคลื่อนย้ายถ่ายโอนพลังอันละเอียดอ่อนระดับนั้นคงเป็นเรื่องยากที่เจ้าจะกระทำได้!”


 


“อีกทั้งอย่างน้อยๆพลังฝึกปรือของเจ้าต้องบรรลุให้ถึงขอบเขตเซียนสวรรค์เสียก่อน…นั่นเพราะแม้ข้าจะช่วยเจ้ากำหนดตำแหน่งรากวิญญาณของเป้าหมายที่เจ้าคิดดูดกลืนได้ แต่ข้ามิอาจช่วยเจ้ากำหนดตำแหน่งรากวิญญาณของคนที่เจ้าจะถ่ายโอนพลังไปให้ได้ เรื่องนี้เจ้าต้องกระทำด้วยตัวเอง! และเจ้าจะสัมผัสถึงตำแหน่งพรสวรรค์รากวิญญาณผู้อื่นได้…ก็มีเพียงแต่ต้องทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์เท่าน้น”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมารวดเดียวจบ!


 


ได้ยินวาจานี้ของผู้เฒ่าหั่วสองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างจ้า สีหน้าท่าทางเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้นอันยากระงับ


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีครามซะอีก!


 


นั่นเพราะคำตอบนี้ของผู้เฒ่าหั่ว มันเกี่ยวพันถึงครอบครัวและสหายของเขาทั้งหมด!


 


‘ด้วยวิธีนี้เสี่ยวเฟยเอ๋อ ท่านพ่อท่านแม่ เนี่ยนเอ๋อกับซือหลิงก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน จนมีชีวิตอมตะได้แน่!’


 


คิดถึงเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความตื่นเต้นนัก!


 


สำหรับเค่อเอ๋อนั้น เขาได้รู้มาว่านางสมควรมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงอยู่แล้ว เพียงแต่ถูกปิดผนึกไว้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น ต้วนหลิงเทียนจึงไม่กังวล


 


เพราะตราบใดที่เขาช่วยเค่อเอ๋อได้ เพียงถามผู้เฒ่าหั่วเรื่องคลายผนึกพรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อเสียก็สิ้นเรื่อง อย่างไรเสียกลวิธีของผู้คนบนโลกนี้สำหรับผู้เฒ่าหั่วแล้วก็แค่เด็กน้อยหัดเดินเท่านั้น!ไหนเลยเขายังกลัวว่าจะช่วยไม่ได้!!


 


อย่างไรก็ตามเขาตระหนักถึงวาจาของผู้เฒ่าหั่วเมื่อครู่ชัดเจนดี ว่ามีเงื่อนไขสองประการที่เขาต้องบรรลุให้ได้เสียก่อนถึงจะกระทำเรื่องราวอย่างการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ผู้อื่นได้


 


หนึ่งพลังฝึกปรือทั้งพลังวิญญาณของเขาต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์เสียก่อน สำนึกเทวะเขาถึงจะมีพลังมากพอสัมผัสถึงพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่น!


 


ประการที่สอง เขาต้องตีความฝึกฝนปฐมเวทย์กลืนกินให้แตกฉานจนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จไร้ตำหนิ!


 


อย่างไรเสียในสายตาของต้วนหลิงเทียนแม้ตอนนี้เงื่อนไขทั้ง 2 ประการจะฟังดูยากสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น แต่ตราบใดที่เขามีเวลา เขาเชื่อว่าเขาสามารถผ่านเงื่อนไขทั้งสองข้อนี้ไปได้แน่นอน!


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเอง คล้ายต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงดึงสติกลับมาอยู่กับตัว หายจากอาการเหม่อลอยทันที


 


นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าภายในชุดคลุมของศพพันธมิตรขวานปฐพีที่เขาใช้พลังหอบหิ้วอยู่ตอนนี้ ปรากฏคลื่นพลังแปลกๆออกมาจากร่างของพวกมันทั้งคู่


 


“กลิ่นอายพลังนั่น…สมควรมาจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ยันต์เต๋า’ ของระนาบโลกียะแห่งนี้”


 


ทันใดนั้นเองเสียงผู้เฒ่าหั่วพลันดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าหั่วก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่ที่แผ่ออกมาจากศพคนของพันธมิตรขวานปฐพีเช่นกัน


 


“ยันต์เต๋า?”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว และเริ่มค้นศพทั้งสองทันที อย่างไรก็ตามเขากลับไม่พบร่องรอยใดๆในศพของพวกมันเลย สุดท้ายจึงทำได้แค่เก็บแหวนพื้นที่ของพวกมัน แล้วปล่อยศพทั้ง 2 ทิ้ง


 


ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็คลายเขตแดนหมื่นกระบี่ เหินร่างไปยังนครแห่งบาปทันที


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างเดินทางต่อ ศพทั้ง 2ที่ไร้พลังหยิบยก ก็ร่วงตกจากฟากฟ้าไปกลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือนบนพื้น เสียงร่างกระแทกพื้นแหลกเหลวยังดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่น้อย


 


“นั่นมัน…ศพของพันธมิตรขวานปฐพีสองคนเมื่อครู่นี่?”


 


“อะไร!? ในเวลาไม่กี่อึดใจพวกมันสองคนกลับถูกชายหนุ่มชุดม่วงฆ่าตายแล้ว? เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นที่แท้มันเป็นใครกันแน่ถึงกับกล้าฆ่าคนของพันธมิตรขวานปฐพีใกล้ๆนครแห่งบาปแบบนี้?”


 


“รู้ๆกันอยู่ว่านครแห่งบาปนี้ร้ายกาจเพียงใด…ต่อให้มันมีพื้นหลังยิ่งใหญ่เพียงใดในนครแห่งบาป แต่หากพวกมันเผลอไปเตะเอาเข้าตอเหล็ก พวกมันก็ยากจะรอดพ้นความตาย”


 


……


 


เหล่าผู้ที่เหินร่างอยู่ไม่ไกล ทั้งผู้ที่ชมดูเรื่องราวอยู่แต่แรกอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมา ขณะเหม่อมองไปยังแผ่นหลังไวๆของชายหนุ่มชุดม่วงที่เหินร่างไปไกลตาอย่างไม่ทันรู้ตัว


 


ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครเห็นหน้าต้วนหลิงเทียน


 


สำหรับคนที่อยู่ใกล้นครแห่งบาป ก็ไม่อาจแลเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นไกลห่าง เช่นนั้นพวกมันจึงไม่ได้สนใจอะไรต้วนหลิงเทียนที่เหินผ่านไป


 


“นครแห่งบาป…ในที่สุดข้าก็มาถึงแล้ว”


 


หลังมาถึงหน้าประตูเมืองบานใหญ่ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


ถึงแม้นครแห่งบาปนี้จะมีประตูเมืองอยู่ถึง 4 ประตู แต่ก็ไม่ค่อยจะมีผู้คนที่เข้าออกทางประตูเมืองกันสักเท่าไหร่


 


ผู้คนส่วนมากไม่เหินร่างเข้านครแห่งบาปจากฟากฟ้า ก็เหินร่างออกมาจากนครแห่งบาปทางอากาศทั้งสิ้น


 


ด้วยเหตุนี้ประตูเมืองอันใหญ่โตทั้ง 4 ที่เปิดอ้าอยู่ จึงแลคล้ายสิ่งเกินจำเป็นไปอยู่บ้าง


 


ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะทำตามคนหมู่มาก เหินร่างเข้าเมืองแห่งบาปทางอากาศ


 


“ใหญ่โตจริงๆ”


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะตระหนักได้แต่แรกว่านครแห่งบาปนี้ไม่ได้มีขนาดเล็กเลย แต่พอมาอยู่ใกล้ๆนครแห่งบาปเข้าจริงๆ ก็พบว่ามันใหญ่มาก!


 


พอเข้ามาในตัวเมืองแล้วเขายังรู้สึกเสมือนตัวเองเล็กกระจ้อย ดั่งปลาน้อยได้หวนคืนสู่มหาสมุทร


 


ในนครแห่งบาปมีถนนสายหลักมากมายหลายสาย ทุกที่ทางในนครแห่งบาปล้วนมีถนนตัดผ่านหมดสิ้น


 


แน่นอนว่ายังมีตรอกซอกซอยยิบย่อยมากมาย


 


บนถนนสายหลักนั้นก็มีผู้คนไม่น้อยที่ตั้งแผงขายของ มองผ่านๆก็พบว่าของที่วางขายล้วนแล้วแต่เป็นของสำหรับผู้ฝึกตนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะยันต์เต๋าโอสถหรือวัตถุดิบสมุนไพรต่างๆ มีแม้กระทั่งอาวุธรูปร่างประหลาดแปลกตาที่ต้วนหลิงเทียนไม่เคยเห็นมาก่อน


 


หลังเหินร่างผ่านชมเมืองไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงต่อราคาดังลั่นจ้าจนรู้สึกอึ้งไปอยู่บ้าง วาจาต่อราคาที่นี่ล้วนรุนแรงเหลือเกิน เพียงเพราะหินเซียนไม่กี่ก้อนกลับมีเสียงขู่ข่มจะฆ่าบิดาถล่มมารดาดังขึ้นไม่ขาด…


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างในเพดานบินต่ำๆ ย่อมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศ ความคึกคักและความมีชีวิตชีวาของนครแห่งบาปเบื้องล่างได้ชัดเจน


 


ปง! ตูมมม! เปรี๊ยง!!


 


……


 


ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังเอะอะหนึ่งก็ดังขึ้นดึงดูดความสนใจต้วนหลิงเทียน


 


พอต้วนหลิงเทียนหันไปชมมองก็พบว่ามีคนสองคนกำลังสู้กันบนอากาศ อีกทั้งพลังฝีมือของพวกมันก็ไม่ใช่ชั่ว


 


อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าพวกมันทั้งคู่ล้วนอยู่ในด่านพลังเซียนนภา


 


อีกทั้งพวกมัน หนึ่งเป็นผู้ฝึกตน ส่วนอีกหนึ่งเป็นผู้ฝึกเต๋า


 


ตอนแรกนั้นผู้ฝึกตนก็ค่อนข้างมีเปรียบและเป็นฝ่ายไล่ต้อนผู้ฝึกเต๋า


 


ทว่าครู่ต่อมาผู้ฝึกเต๋าคนนั้นกลับสะบัดมือเรียกยันต์เต๋าออกมา สำแดงพลังจนยันต์สลายเป็นขี้เถ้า แต่ด้วยอาศัยพลังอำนาจของยันต์เต๋าใบนั้น ผู้ฝึกตนที่กำลังมีเปรียบอยู่ก็ตกตายทันที!


 


อย่างไรก็ตามแม้จะฆ่าผู้ฝึกตนได้ แต่ผู้ฝึกเต๋าที่ถูกไล่ต้อนอย่างหนักก่อนหน้า ตอนนี้ก็บาดเจ็บสาหัสไม่น้อย


 


“ฮ่าๆๆ โอกาสของบิดามาถึงแล้ว!”


 


ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหัวเราะด้วยความชั่วร้ายดังขึ้น


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่า


 


ปรากฏชายร่างใหญ่ในชุดสีดำอันมีสัญลักษณ์อีกาปักไว้บนอก เหินทะยานร่างขึ้นมาจากพื้น ก่อนที่จะใช้เกาทัณฑ์ส่องยิงสังหารผู้ฝึกเต๋าที่กำลังอ่อนล้าทิ้งอย่างไร้ปราณี!


ตอนที่ 2,095 : เห็นเจ้าแล้วมันขัดตา!


 


ทันทีที่เห็นการลงมือของชายชุดดำคนนั้น ต้วนหลิงเทียนก็รู้ถึงพลังฝึกปรือมันทันที


 


อ่อนแอกว่าผู้ฝึกเต๋าในตอนที่มีสภาพร่างกายสมบูรณ์!


 


อนิจจาตอนนี้ผู้ฝึกเต๋าคนนั้นได้รับบาดเจ็บหนักนัก พลังฝีมือจึงตกลงกว่าตอนที่มีสภาพสมบูรณ์พร้อมกว่า 7 ส่วน สุดท้ายจึงถูกศรพรากชีวิตไปได้อย่างง่ายดาย


 


หลังจากฆ่าผู้ฝึกเต๋าได้แล้ว ชายชุดดำก็ริบแหวนพื้นที่ของผู้ฝึกเต๋าทันที


 


สำหรับแหวนพื้นที่ของผู้ฝึกตนก่อนหน้าที่ตายตกเพราะผู้ฝึกเต๋า มันก็ริบเอาไปด้วยเช่นกัน


 


“พวกเจ้าล้วนแล้วแต่ตัวโง่งมทั้งคู่! สู้กันทำอันใด…สุดท้ายทั้งหมดล้วนตกเป็นของบิดา!!”


 


หลังจากที่ฆ่าผู้ฝึกเต๋าได้แล้ว ชายชุดดำก็ไม่ได้เร่งรีบจากไปไหน เพียงแสยะยิ้มกล่าวดูแคลนทั้งด่าทอร่างไร้วิญญาณทั้ง 2 อย่างย่ามใจ ค่อยจากไปอย่างหยิ่งผยอง


 


ตั้งแต่ต้นจนจบผู้คนที่ชอมดูเรื่องราวโดยรอบไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาสักคำ


 


“คนของอีกาทมิฬช่างไร้ยางอายเสียจริง…ตอนนี้ไม่ว่าที่ใดในนครแห่งบาปหากบังเกิดการต่อสู้ ไม่พ้นถูกคนของอีกาทมิฬเข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ดั่งเฒ่าประมงแทบทั้งสิ้น”


 


“ผู้ฝึกเต๋าเมื่อครู่ก็นับว่าโชคร้ายนักที่ดันมาเจอคนของอีกาทมิฬเข้า…หาไม่แล้วคงไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่หรอก”


 


“หากสภาพของมันสมบูรณ์ไหนเลยคนของอีกาทมิฬจะทำอะไรมันได้…น่าเสียดายที่คนของอีกาทมิฬนั่นมันฉวยโอกาสได้ดีนัก ลงมือฆ่าผู้อื่นตอนสิ้นเรี่ยวแรง!”


 


หลังจากชายชุดดำจากไปสักพัก


 


ผู้คนโดยรอบก็เริ่มสนทนาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น


 


หลายคนยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา


 


‘คนของอีกาทมิฬ? กองกำลังของเจ้านั่นเรียกว่าอีกาทมิฬงั้นรึ’


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตา


 


จากบทสนทนาโดยรอบ เขาก็ได้ทราบถึงตัวตนของชายชุดดำผู้ลงมือเมื่อครู่ ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของกองกำลังอีกาทมิฬในนครแห่งบาป


 


และกองกำลังอีกาทมิฬนี้เห็นว่าชมชอบประพฤติตัวเป็นเฒ่าประมง!


(เฒ่าประมงจาก นกกระสากับหอยกาบสู้กัน เฒ่าประมงได้ประโยชน์…)


 


อนิจจาด้วยผู้ลงมือมีอีกาทมิฬหนุนหลังแบบนี้ แม้พวกมันจะมีพลังฝีมือสามารถจัดการได้แต่ก็ไม่มีใครคิดลงมือ เพราะอย่างไรนี่ก็เสมือน ดำกินดำ พวกมันเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีพลังฝีมือกล้าแข็งเหนือกว่าขุมพลังเบื้องหลังอีกฝ่าย


 


‘แบบนี้นี่เอง…พวกอีกาทมิฬนั่นช่างน่ารังเกียจจริงๆ’


 


ต้วนหลิงเทียนไม่เคยคิดว่าตัวเขาดีเลิศหรือสูงส่งอะไร แต่การกระทำของอีกาทมิฬนับว่าทำให้เขาดูแคลนแล้วจริงๆ


 


ทันใดนั้นเท้าย่ำออกก้าวหนึ่ง ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบหายไปในพริบตา มุ่งหน้าติดตามชายชุดดำเมื่อครู่ไปด้วยความเร็วสูง!


 


ไม่มีใครสังเกตเห็นการจากไปของต้วนหลิงเทียน


 


เพราะสุดท้ายแล้วที่เกิดเหตุก็มีผู้คนอยู่มากมายนัก แน่นอนว่าไม่มีใครคอยให้ความสนใจผู้อื่นอยู่แล้ว


 


‘ไอ้เจ้านี่มันเกิดมาเพื่อรอเก็บตกรึไง….’


 


ปรากฏกว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งวูบร่างติดตามชายชุดดำมาได้ไม่นานเขาก็แลเห็นแผ่นหลังอีกฝ่ายแล้ว คนผู้นี้ไม่คล้ายรีบร้อนไปที่ใดแต่เหินร่างร่อนไปร่อนมาอย่างเรื่อยเปื่อยคล้ายจะหาเหยื่อแบบเมื่อครู่


 


‘แต่ดูเหมือนวันนี้ฟ้าจะลิขิตให้ข้าเป็นพระเอก กำจัดคนพาลผดุงคุณธรรมแทนฟ้าซะแล้ว! สหายนักเลง…พรสวรรค์รากวิญญาณของข้าจะกลายเป็นสีครามหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ! หวังว่าเจ้าจะทำไม่ทำให้ข้าผิดหวังเล่า!!’


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะตามหลังชายชุดดำอีกต่อไป เขาเลือกจะเหินร่างลงตรอกแห่งหนึ่งที่แลดูเปลี่ยวๆไร้ผู้คนสัญจร


 


เมื่อลองตรวจสอบไปรอบๆด้วยสำนึกเทวะและพบว่าไม่มีผู้ใดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มลงมือทันที


 


‘เวรกรรมนอกกจากชุดสีม่วงแล้ว…ข้าก็มีแต่ชุดของลัทธิบูชาไฟ’


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเขาก็พบว่าเสื้อผ้าของเขามีเพียงแค่ชุดสีม่วงตัวเก่งที่ลี่เฟยกับมารดาจัดไว้ให้ก่อนจะขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนเท่านั้น และเขาเองก็ไม่ได้ไปซื้อเพิ่มเติมอะไรที่ไหนเลย ทำให้นอกจากชุดสีม่วงเหล่านั้นก็คงเหลือแต่ชุดของศิษย์ลัทธิบูชาไฟเท่านั้น


 


และชุดศิษย์ลัทธิบูชาไฟที่ว่า เขาก็มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 3 แบบ…


 


หนึ่งนั้นคือชุดศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬแห่งลัทธิบูชาไฟ


 


สองเป็นชุดของศิษย์ชั้นยอดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ


 


สุดท้ายเป็นชุดศิษย์ที่แท้จริงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ


 


ส่วนชุดที่เขาใส่ตอนไปรับโทษที่เหมืองลำดับที่ 1นั้นเขาเคยมีเก็บไว้ก็จริง แต่ตอนที่ได้รับชุดใหม่มาวันแรกที่เข้าไปในเกาะหลัก เขาก็ทิ้งของเก่าไปใส่ของใหม่


 


‘ใส่ตัวไหนดีนะ…เอาตัวนี้ล่ะยังไงก็เหมือนๆกัน’


 


ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจเปลี่ยนไปใส่ชุดสำหรับศิษย์ชั้นยอด นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เขาใส่มันอีกครั้งหลังจากกลายเป็นศิษย์ที่แท้จริง


 


เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นปกติ เพราะหลังจากกลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงแล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนไปใส่ชุดใหม่…


 


“เดี๋ยวนะ…จริงสิ! เปลี่ยนๆใส่ตัวนี้ดีกว่า!”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็บังเกิดความคิด‘สนุกสนาน’ ขึ้นมาประการหนึ่ง! รีบถอดเสื้อศิษย์ชั้นยอดที่ใส่ออกทันที ก่อนที่จะเปลี่ยนไปใส่ชุดศิษย์ที่แท้จริงอย่างรวดเร็ว!!


 


หลังจากที่เปลี่ยนไปส่วมใส่ชุดศิษย์ที่แท้จริงเสร็จแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หยิบกระจกออกมาก่อนที่จะเริ่มปลอมแปลงรูปโฉมด้วยทักษะลับที่ผู้เฒ่าหั่วมอบให้ทันที


 


หากมีศิษย์ของเกาะศักดิ์สิทธิ์สักคนมาเห็นหน้าตาต้วนหลิงเทียนตอนนี้ล่ะก็ พวกมันทั้งหมดคงไม่มีใครที่ไม่อาจจดจำใบหน้านี้ของต้วนหลิงเทียนได้อยู่แน่ๆ! กระทั่งยังต้องทำตาโตเพราะจดจำได้ทันทีตั้งแต่แรกเห็น!!


 


เพราะใบหน้านี้ของเขาก็คือใบหน้าของปู้หง! ศิษย์ที่แท้จริงที่ตกไปอยู่ในอันดับ 3 ของทำเนียบยอดฝีมือ!!


 


ปู้หงนั้นเคยเป็นอันดับที่ 2 ของทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง แต่เมื่อมันแพ้ต้วนหลิงเทียน อันดับของมันก็ต้องร่วงตกลงไปอยู่ที่ 3 ส่วนต้วนหลิงเทียนก็ชิงที่ 2 มาแทนมัน


 


ยังดีที่ตอนนี้ปู้หงไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังทำอะไรอยู่


 


หากมีใครบอกมันว่า ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของมันไปแล้ว แต่ยังเปลี่ยนหน้าเป็นมันเพื่อไปก่อเรื่องใน ‘นครแห่งบาป’ อย่างสบายใจเฉิบ เกรงว่ามันคงได้กระอักเลือดตายเพราะความแค้นแน่!


 


‘จะว่าไปรูปร่างของปู้หงก็ไม่ได้ต่างอะไรจากข้ามากมายซะด้วย…ตอนนี้เกรงว่าต่อให้เป็นคนที่สนิทสนมกับปู้หงมาเห็นข้า คงไม่พ้นคิดว่าข้าเป็นมันล่ะมั้ง?’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มร่าด้วยความสนุกสนาน เก็บกระจกกลับไปในแหวนทันที


 


ฟุ่บ!


 


ในเมื่อปลอมแปลงรูปโฉมทั้งเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดอยู่ในตรอกเปลี่ยวๆแห่งนี้สืบไป ร่างเร่งรุดทะยานขึ้นฟ้าไล่ล่าหาตัวชายในชุดดำที่เป็นคนของอีกาทมิฬต่อ


 


และไม่นานร่างชายในชุดดำอันเป็นคนของอีกาทมิฬก็ปรากฏอยู่ในสายตาต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง


 


“เฮ่ย…ชุดนั่น ศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟมิใช่รึ?”


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนเหินร่างออกมาด้วยชุดนี้ ก็ได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย


 


เพราะสุดท้ายแล้วผู้ฝึกตนในนครแห่งบาปก็ล้วนเป็นผู้ฝึกตนพเนจรทั้งสิ้น


 


การที่อยู่ๆ คนของ 1 ใน 3 ลัทธิ อันเป็นมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่างลัทธิบูชาไฟมาปรากฏตัวขึ้นแบบนี้ เป็นธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก


 


“ชุดที่มันใส่…เป็นชุดศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟไม่ผิดแน่”


 


และในบรรดาผู้ฝึกตนพเนจรก็มีไม่น้อยที่สามารถจดจำชุดที่ต้วนหลิงเทียนใสอยู่ได้ทันที ว่ามันคือชุดของศิษย์ที่แท้จริง


 


“แล้วนั่นมันกำลังไล่ตามผู้ใดอยู่กัน?”


 


ไม่นานก็มีหลายคนที่สังเกตเห็นท่าทีรีบร้อนของต้วนหลิงเทียน


 


“หึหึๆ…พวกเจ้ายังมิเห็นเหรอ…ดูเหมือนว่าศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟจะตามเจ้านั่นอยู่!”


 


เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนคล้ายจะกำลังติดตามชายชุดดำคนของอีกาทมิฬ เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรมากมายก็ตาลุกวาวเร่งเหินร่างติดตามไปชมดูเรื่องราวสนุกสนานทันที


 


ฟุ่บ! เฟี้ยว! วูบ! ฟุ่บ!


 


……


 


เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรมากมายหลายคนเร่งุรดเหินทะยานตามกันไปติดๆ ใบหน้าทุกคนเผยรอยยิ้มสนุกสนานนัก


 


ด้วยอยู่ๆก็มีเสียงลมดังขึ้นเบื้องหลังมากมาย ต่อให้ชายชุดดำที่เป็นคนของอีกาทมิฬโง่งมเพียงใดก็ต้องสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ มันจึงหยุดร่างลงและหันกลับมาชมดูด้วยความสงสัยทันทีว่ามีเรื่องอะไรกันแน่…


 


“ศิษย์ลัทธิบูชาไฟ!?”


 


หันมามองปราดเดียวมันก็เห็นผู้คนมากมายที่ติดตามมา และเห็นคนหน้าสุดได้ชัดถนัดตานัก


 


นั่นเพราะผู้ที่นำอยู่ด้านหน้ากลุ่มคนสวมใส่ชุดศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟ


 


“ยังเป็นถึงศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟเลยหรือ!?”


 


เมื่อเห็นลายปักเปลวไฟอันเป็นเอกลักษณ์บนชุดร่างอีกฝ่ายชัดๆ ลูกตาชายชุดดำคนของอีกาทมิฬอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง


 


เพราะเท่าที่มันรู้


 


ศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟทุกคน ล้วนเป็นตัวตนที่มีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ขึ้นไปทั้งสิ้น!


 


ไม่ใช่อะไรที่เซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญอย่างมันจะเทียบชั้นได้เลย!!


 


‘อะไรกัน!? ปะ..เป้าหมายของมันคือข้าหรือ…ทำไมเล่า?’


 


ในขณะที่คนของอีกาทมิฬกำลังประหลาดใจ ว่าไฉนคนของลัทธิบูชาไฟถึงดูเหมือนกำลังไล่ตามมันอยู่ มันก็พบว่ามีพลังกดดันไร้สภาพขุมหนึ่งเพ่งเล็งมาที่มัน!


 


และมันยังสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันจากอีกฝ่ายชัดเจน!


 


มันทราบได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดฆ่ามัน!


 


“สะ..สหายจากลัทธิบูชาไฟท่านนี้ ข้าคือเจียวถูแห่งอีกาทมิฬของนครแห่งบาป! พะ..พี่ชายคนรองของข้า เจียวจ้านยังเป็นรองผู้นำกองกำลังอีกาทมิฬ…มิทราบสหายมีเรื่องเข้าใจอันใดข้าผิดหรือไม่!?เพราะข้าจำได้ว่ามิเคยรู้จักสหายมาก่อน!?”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันของอีกฝ่าย อีกทั้งอีกฝ่ายก็เหินร่างเข้ามาใกล้มันมากขึ้นเรื่อยๆ เจียวถูก็เร่งกล่าวถามออกมาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก


 


“เจียวถู!?”


 


“ที่แท้มันคือเจียวถู!”


 


“เหอะๆ เจียวถูผู้นี้ฟังว่ามิใช่ตัวดีอันใด เรื่องดีมันไม่เคยกระทำ แต่เรื่องชั่วใดๆล้วนไม่มีที่ไม่เคยกระทำ!”


 


“ให้ทำอย่างไรได้เล่า…เพราะมันมีพี่ชายที่เป็นรองผู้นำกองกำลังอีกาทมิฬให้ท้ายอยู่แบบนั้น จึงท่ำชั่วได้อย่างที่ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด”


 



 


เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรที่ติดตามต้วนหลิงเทียนมาอยู่ด้านหลังเมื่อได้ยินเจียวถูประกาศนามออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงออกมากันทันที


 


บางคนอาจไม่เคยเห็นหน้าเจียวถู แต่ชื่อเจียวถูล้วนดังเข้าหูพวกมันหลายรอบ


 


แน่นอนว่าชื่อเสียงของเจียวถู ล้วนไม่มีเรื่องดีอันใด!


 


“อ้อ ข้าเองก็ไม่รู้จักเจ้าหรอก…”


 


เมื่อเห็นเจียวถูที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลกล่าวคำด้วยสีหน้ากังวลใจ น้ำเสียงยังลุกลี้ลุกลนไม่น้อย ต้วนหลิงเทียนที่ยังคงเหินร่างเข้าไปอย่างไม่รีบไม่ร้อนก็กล่าวตอบคำกลับไปเสียงเรียบ


 


และในขณะที่เจียวถูกำลังโล่งอกเพราะได้ยินวาจาประโยคนี้ของเขาอยู่นั้น ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวสืบต่อออกมา


 


“แต่พอดี…ข้าไม่ค่อยชอบขี้หน้าของเจ้า เลยจะฆ่าเจ้าทิ้งแค่นั้น…”


 


 


ทันทีที่คำนี้ของต้วนหลิงเทียนดังขึ้น สีหน้าเจียวถูก็แปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง ร่างมันยังสะท้านไปด้วยความตกใจ


 


และทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้เหินร่างอย่างไม่รีบไม่ร้อนอีกต่อไป เขาโคจรใช้ออกด้วยพลังเซียนสุริยันเต็มกำลังโดยที่ไม่คิดจะใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน ร่างพลันวูบไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเจียวถูในพริบตา!


 


แม้ความเร็วของต้วนหลิงเทียนตอนนี้กล่าวไปจะไม่ได้เหนือกว่าความเร็วสูงสุดของเจียวถูสักเท่าไหร่


 


แต่ด้วยความที่เจียวถูไม่ได้หลบหนีเขาจึงบรรลุถึงเบื้องหน้ามันได้ง่ายดาย


 


และสาเหตุที่เจียวถูไม่ได้หลบหนีก็เป็นเพราะจิตใต้สำนึกของมันบอกว่าไม่มีวันหนีรอดภายใต้สายตาของตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์อย่างศิษย์ที่แท้จริงลัทธิบูชาไฟผู้นี้ไปได้! จึงเป็นการดีเสียกว่าที่พยายามใช้วาจาประนีประนอมกับอีกฝ่าย ทำตัวต้อยต่ำให้มากเข้าไว้!!


 


“สหายจากลัทธิบูชาไฟท่านนี้ อย่าได้ล้อข้าน้อยเล่นเลย”


 


หากใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง เจียวถูพยายามระงับอารมณ์ตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว ปั้นหน้ายิ้มแย้มออกมาอย่างฝืนๆ


 


“หืม? เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นหรือ?”


 


แววตาต้วนหลิงเทียนเย็นเยียบลงทันตา


ตอนที่ 2,096 : 1 ใน 8 อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟ?


 


 


ขณะเดียวกันกับที่สายตาต้วนหลิงเทียนเย็นลง จิตสังหารก็เริ่มแผ่ออกมาทั่วร่างอย่างไม่คิดระงับ ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรที่ชมดูเรื่องราวอยู่ด้านหลังอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น


 


“ศิษย์ลัทธิบูชาไฟผู้นี้คิดฆ่าเจียวถูจริงๆหรือ!?”


 


มีผู้ฝึกตนพเนจรไม่น้อยที่แลดูประหลาดใจ ด้วยไม่คิดว่าศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟคนนี้ ไล่ล่าเจียวถูมาตลอดทางเพราะคิดฆ่าคนจริงๆ


 


“เจียวถูไปล่วงเกินอันใดมันมากันแน่?”


 


ผู้ฝึกตนพเนจรหลายคนมองถามกันด้วยสายตาสงสัย หากแต่ก็ไม่มีผู้ใดตอบได้


 


“เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าจริงๆแล้วมันมิได้รู้จักเจียวถู หากแต่ไม่ชอบหน้าเจียวถูเลยคิดฆ่าคนแค่นั้น!”


 


“เหตุผลเหลวไหลพรรค์นั้นเจ้ายังเชื่อ?”


 


“ข้าจึงเชื่อ! อย่าได้ลืมเสียเล่าว่าอย่างไรเจียวถูคนของอีกาทมิฬผู้นี้ก็กระทำต่ำช้านัก! บางทีศิษย์ลัทธิบูชาไฟผู้นี้อาจรังเกียจการกระทำของมันจริงๆ จึงคิดฆ่าเจียวถูทิ้งเพื่อผดุงคุณธรรม!”


 


“ที่เจ้าว่ามันก็อาจเป็นได้…แต่ข้ายังรู้สึกว่าเรื่องนี้สมควรมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางประการ คนอีกาทมิฬมีตั้งเยอะแยะ ไฉนต้องเจ้านั่นมันต้องมุ่งเป้ามาทีเจียวถูคนเดียวด้วย? อีกทั้งฐานะเจียวถูในอีกาทมิฬก็ไม่ใช่ธรรมดา!”


 


“เรื่องนี้ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน…เจียวถูแม้จะชั่วแต่ตัวมันก็เป็นถึงน้องชายรองผู้นำกองกำลังอีกาทมิฬ ยิ่งไปกว่านั้นเจียวจ้านพี่มันคนนั้นจะอย่างไรก็เป็นถึงเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนที่ติดอันดับ 566 ของรายนามยอดเซียน!”


 


“ใช่ ด้วยพลังฝีมือเจียวจ้าน เกรงว่าคงมีศิษย์ที่แท้จริงแค่ไม่กี่คนที่รับมือมันได้! เจ้านี่อาจไม่ใช่หนึ่งในเหล่าศิษย์ของลัทธิบูชาไฟพวกนั้น…”


 


“ข้าว่าเผลอๆมันอาจมีเรื่องบาดหมางกับเจียวจ้าน แต่พลังฝีมือสู้เจียวจ้านไม่ได้เลยเอามาลงกับเจียวถู!”


 


……


 


เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรที่ติดตามมาดูชมเรื่องราวกล่าวคาดเดาไปเรื่อยเปื่อย พวกมันสงสัยไม่น้อยว่าที่แท้เรื่องราวมีความเป็นมายังไงกันแน่


 


เป็นธรรมดาที่มีบางคนไม่คิดว่าเรื่องราวไม่ง่ายอย่างตาเห็น


 


เจียวถูต้องมีเรื่องราวบาดหมางกับศิษย์ลัทธิบูชาไฟคนนี้ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง!


 


ไม่งั้นผู้อื่นจะอยากฆ่ามันเหรอ?


 


“สหายศิษย์ลัทธิบูชาไฟถึงแม้ว่าข้าเจียวถูจะเป็นเพียงสมาชิกทั่วไปของกองกำลังอีกาทมิฬ…แต่อย่างไรพี่รองของข้าก็เป็นถึง เจียวจ้าน รองผู้นำอีกาทมิฬ”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่เอ่อล้นออกมาทั่วร่างต้วนหลิงเทียน เจียวถูยิ่งมายิ่งขวัญหนีดีฝ่อ มันเริ่มตระหนักได้แล้วว่าอีกฝ่ายอาจไม่ได้ล้อเล่น จึงเร่งเอ่ยถึงพี่รองของมันอย่างเจียวจ้านอีกครั้งทันที


 


และด้วยความกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้จักว่า ‘เจียวจ้าน’ พี่รองของมันเป็นใคร จึงรีบกกล่าวเสริมออกมาต่อว่า “พี่รองของข้า เจียวจ้าน เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนที่อยู่ในอันดับ 566 ของรายนามยอดเซียน!”


 


หลังประกาศเรื่องนี้ออกไปใจของเจียวถูค่อยชื้นขึ้นมาหน่อย


 


ในความคิดของมัน


 


ตอนนี้หลังจากที่มันบอกอันดับในรายนามยอดเซียนของ เจียวจ้าน พี่รองมันไปแล้ว ศิษย์ลัทธิบูชาไฟเบื้องหน้าไม่พ้นต้องกริ่งเกรงมัน และไม่กล้าลงมือต่อมันอีกแล้วแน่นอน


 


“อันดับ 566 ใมนรายนามยอดเซียน?”


 


ได้ยินคำของเจียวถู ต้วนหลิงเทียนหยีตากล่าวถาม


 


“มิผิด”


 


เจียวถูพยักหน้าตอบคำด้วยความภาคภูมิใจ หากแต่ไม่กล้าวางท่าถือดีอะไร


 


เพราะสุดท้ายแม้พี่รองของมันจะแข็งแกร่ง ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ข้างกายมัน!


 


‘ดูเหมือนหลังได้ยินว่าพี่รองติดอันดับที่ 566 ในรายนามยอดเซียน เจ้าศิษย์ลัทธิบูชาไฟคนนี้จะหวาดกลัวพี่รองขึ้นมาแล้วจริงๆ…ไม่งั้นมันคงไม่กล่าวถามเพื่อยืนยันออกมา’


 


เจียวถูลอบคิดในใจ


 


และเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรที่ติดตามมาดูชมก็คิดแบบเดียวกับมัน


 


“ศิษย์ลัทธิบูชาไฟผู้นี้พอรู้ว่าเจียวจ้านพี่ชายเจียวถูอยู่ในอันดับที่ 566 ของรายนามยอดเซียน…มันต้องไม่กล้าลงมือกับเจียวถูอีกแน่”


 


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว! นอกจากนั้นเจียวจ้านก็เป็นรองผู้นำกองกำลังอีกาทมิฬ ปกติคนของอีกาทมิฬก็ปกป้องพวกพ้องอยู่แล้ว…ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เจียวถูเป็นน้องมันเลย!”


 


“ฮัยยา ดูท่าทางจะไม่มีอันใดสนุกสนานให้ชมดูแล้ว”


 


……


 


ผู้ฝึกตนทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะกล่าวซุบซิบกันเสียงเบาด้วยความผิดหวัง


 


เพราะพวกมันคิดว่าพอศิษย์ลัทธิบูชาไฟคนนี้รู้เรื่องเจียวจ้าน เกรงว่าคงหวาดกลัวจนไม่กล้าลงมือลงไม้อะไรอีก


 


หากแต่อย่างต้วนหลิงเทียนมีหรือจะกลัวจนไม่กล้าลงมือ เพียงเพราะอีกฝ่ายเปิดเผยคนให้ท้ายออกมา?


 


คำตอบย่อมไม่มีวันเป็นธรรมชาติ!


 


“ถ้าจำไม่ผิด…จะว่าไปข้าก็ติดอันดับในรายนามยอดเซียนเหมือนกัน”


 


เสียงของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นอีกครั้งและน้ำเสียงยังสงบนัก หากทว่าเจตนาฆ่าฟันยิ่งมากลับยิ่งมาก ไม่มีวี่แววว่าจะอ่อนโทรมถดถอยลงกลับทวีความแข็งแกร่งขึ้นด้วยซ้ำ!


 


เมื่อวาจานี้ดังเข้าหูเจียวถู ก็ทำให้เจียวถูชักกสีหน้าเคร่งขึ้นทันที


 


“อะไร!? ศิษย์ลัทธิบูชาไฟผู้นี้ติดอันดับในรายนามยอดเซียนด้วยงั้นเรอะ!?”


 


“เฮ่ๆ ไม่จริงหน่า…ในลัทธิบูชาไฟบรรดาศิษย์ที่แท้จริงทั้งหมด หากนับรวมต้วนหลิงเทียนที่พึ่งโด่งดังขึ้นมา สมควรมีแค่ 8 คนไม่ใช่หรือไรที่ติดอันดับในรายนามยอดเซียน? และนั่นคือเหล่าอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ทั้ง 8!”


 


“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลย…แล้วที่แท้เจ้านี่เป็นผู้ใดใน 8 อัจฉริยะท้าทายสวรรค์กัน!?”


 


… …


 


ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สองตาของผู้ฝึกตนเพนจรทั้งหลายที่มาชมดูถึงกับลุกวาวสว่างจ้าทันที ขณะเดียวกันพวกมันก็ตระหนักได้ว่าที่แท้ ชายตรงหน้าก็คือ 1 ใน 8 อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟ


 


ครู่ต่อมาพวกมันก็เริ่มทายกันใหญ่ว่าที่แท้ชายคนนี้เป็นผู้ใดใน 8 อัจฉริยะท้าทายสวรรค์กันแน่


 


“มิทราบว่า…สหายศิษย์ลัทธิบูชาไฟ…เป็นผู้ใดใน 8 อัจฉริยะท้าทายสวรรค์หรือ?”


 


ด้านเจียวถูเองก็ตื่นตระหนกตกใจแทบตาย มันพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆระงับอาการ กล่าวถามออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ


 


“ในสายตาข้า เจ้ามันคนที่ตายไปแล้ว…”


 


และคำพูดต่อมาของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้เจียวถูหน้าเสียทันที มันตระหนักได้แล้วว่าศิษย์ลัทธิบูชาไฟเบื้องหน้าดูเหมือนจะตั้งใจฆ่ามันจริงๆ


 


“ไม่เป็นไรที่จะบอกเจ้า…ข้าคือ ปู้หง ศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟ!”


 


และในขณะที่สีหน้าเจียวถูเริ่มเปลี่ยนไปจนดูไม่ได้ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวประกาศ ‘ชื่อ’ ออกมา แน่นอนว่าเป็นชื่อของเจ้าของโฉมหน้าในปัจจุบัน ไม่ใช่ชื่อที่แท้จริง!


 


ปู้หง!


 


วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นไม่ทันขาดคำ ลูกตาเจียวถูก็หดเล็กลงทันที


 


มันไม่ได้ไม่คุ้นเคยชื่อนี้แต่อย่างไร


 


กระทั่งสำหรับผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายก็มิได้แปลกหู


 


ท่ามกลางบรรดาอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟที่ด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน…


 


ปู้หงผู้นี้คือผู้ที่มีพลังฝีมือเป็นอันดับที่ 2! ยังมีอันดับที่ 2 ในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง!!


 


แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพราะผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายยังไม่ทราบเรื่องราวล่าสุดที่ต้วนหลิงเทียนเอาชนะปู้หงไปแล้ว หาไม่แล้วพวกมันคงไม่คิดว่าปู้หงยังคงเป็นที่ 2 ในบรรดาศิษย์ที่แท้จริง


 


ในสายตาของมัน


 


ปู้หง อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟคนนี้ ยังเป็นยอดฝีมือที่รั้งอยู่ในอันดับ 421 ของรายนามยอดเซียน!


 


เจียวถู และผู้ฝึกตนพเนจรคนอื่นๆรู้อันดับของปู้หงดี!


 


จังหวะนี้ผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะหันมองไปยังเจียวถูด้วยสายตาสงสารอยู่บ้าง


 


ต่อหน้า ปู้หง อันดับที่ 421 ในรายนามยอดเซียน เจ้ากลับยกเอาเจียวจ้านที่เป็นเพียงอันดับที่ 566 ในรายนามยอดเซียนมาข่ม เรื่องนี้ยังไม่น่าขันหรือไร?


 


ปู้หงยังต้องกลัวเจียวจ้านด้วยหรือ?


 


“ข้าละไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าที่แท้เจ้านั่นก็คือปู้หง!”


 


จังหวะนี้ผู้ฝึกตนพเนจรที่กลับมารู้สึกตัวแล้ว ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้


 


“ปู้หงนอกจากจะเป็นอันดับ 2 ในอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ทั้ง 8 ของลัทธิบูชาไฟ มันยังเป็นศิษย์เอกของจ้าวแท่นบูชามังกรคราม 1 ใน 4 แท่นบูชาจตุรลักษณ์ของลัทิบูชาไฟ! ว่ากันว่าพลังฝีมือของจ้าวแท่นบูชามังกรครามคนนี้ แม้จะมองในระดับอาวุโสเพลิงทองทั้งหมด ก็ยังอยู่ในระดับแนวหน้า!!”


 


“มิผิด เห็นว่ามันยังประคบประหงมปู้หงไม่น้อย!”


 


“ด้วยภูมิหลังและพลังฝีมือระดับนี้…ปู้หงยังต้องกลัวเจียวถูด้วยหรือ?”


 


สายตาของผู้ฝึกตนพเนจรที่มองไปยังเจียวถูยิ่งมายิ่งเวทนาสงสาร


 


“หากชาติหน้ามีจริง เจ้าก็อย่าได้ลืมไปว่าต้องเจียมตัวเข้าไว้ให้มาก…นอกจากนี้ยามเดินไปตามทางลงนรก ก็จดจำไว้ให้ดี ว่าผู้ที่ฆ่าเจ้าคือข้า ปู้หง คนนี้!!”


 


ในขณะที่ทุกคนยังคงอื้ออึงกับเรื่องราวไม่หาย ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าววาจาออกมาเสียงดังอีกครั้ง


 


สีหน้าเจียวถูเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ถึงขีดสุด


 


‘หนี!!’


 


วินาทีต่อมา เจียวถูก็รีบหันหลังพร้อมปะทุพลังชั่วชีวิตหลบหนีทันที


 


ตอนนี้ท่าทางหยิ่งยองลำพองของเจียวถูตอนที่เก็บตกสังหารผู้อื่นไม่เหลือให้เห็นสืบไป มันหวาดผวาเสียขวัญหนีหัวซุกหัวซุนราวสุนัขหางจุกตูด


 


ฟุ่บ!


 


คล้ายจะมองเห็นอนาคตล่วงหน้าก็ไม่ปาน ก่อนที่เจียวถูจะระเบิดพลังชั่วชีวิตหลบหนี ต้วนหลิงเทียนก็พุ่งร่างออกไปหาเจียวถูก่อนแล้ว ทำให้ในสายตาของทุกคนเสมือนเขาติดตามเจียวถูไปติดๆ แต่ต้นจนจบระยะทางไม่ห่างเพิ่มแม้แต่น้อย


 


แน่นอนว่าฉากเรื่องราวดังกล่าวในสายตาของผู้ฝึกตนพเนจรด้านหลังทุกคน…


 


ศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟ ปู้หง คนนี้กำลังกลั่นแกล้งเจียวถู!


 


ต้องทราบด้วยว่า


 


ศิษย์ที่แท้จริงทั้งหมดของลัทธิบูชาไฟ ล้วนมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์แทบทั้งสิ้น มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเป็นศิษย์ที่แท้จริงที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณเด่นล้ำ


 


เช่นนั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงปู้หง ขอเพียงเป็นศิษย์ที่แท้จริงที่มีพลังฝีมือปานกลาง ก็คงใช้เวลาเพียงพริบตาที่จะไล่ตามเจียวถู


 


ดังนั้นพวกมันทั้งหมดจึงคิดว่าปู้หงคนนี้กำลังกลั่นแกล้งเจียวถู


 


พวกมันย่อมไม่ทราบ


 


ว่าศิษย์ลัทธิบูชาไฟที่ไล่ตามเจียวถูอยู่นี้ ไม่ใช่ปู้หงแต่เป็นต้วนหลิงเทียน ศิษย์ลัทธิบูชาไฟที่พึ่งโด่งดังขึ้นมา!


 


และเหตุผลที่ไฉนความเร็วในการเคลื่อนที่ของต้วนหลิงเทียนถึงได้เชื่องช้าเช่นนี้ นั้นเพราะเขาไม่ได้ใช้เวทย์พลัง ปฐมเวทย์กลืนกิน และ ปีกอีกาทองคำ!


 


ไม่งั้นคงพุ่งแซงไปดักหน้าเจียวถูได้ในชั่วพริบตา!


 


เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนไม่ใช้เวทย์พลังทั้ง 2 ออกมา เพราะเขาไม่อยากเปิดเผย ‘ตัวตน’ หาไม่แล้วเขาคงไม่ลำบากปลอมแปลงรูปโฉมเป็น ปู้หง แบบนี้


 


ตอนนี้เมื่อต้วนหลิงเทียนอาศัยพลังเซียนสุริยันของเขาเพียงอย่างเดียว พลังอำนาจเขาก็ทัดเทียมได้กับขอบเขตเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น เความเร็วของเขาจึงพอๆกันกับเจียวถูที่อยู่ในขอบเขตเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญเหมือนกัน!


 


“ปู้หง! ข้ามิเคยมีเรื่องราวบาดหมางอันใดกับเจ้า ใยเจ้าต้องคิดฆ่าข้าด้วย!!”


 


และเจียวถูเองก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนค่อยๆไล่ตามมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เพราะคิดหยอกล้อมันก่อนฆ่าทิ้ง! ทำให้มันยิ่งตื่นกลัวแทบตาย เร่งกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงทดท้อ!!


 


“ข้าก็บอกไปแล้วไง ว่าข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วขัดลูกนัยน์ตาเลยจะฆ่าทิ้งไปเสีย!”


 


ต้วนหลิงเทียนยังกล่าวตอบคำกลับไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


และในขณะเดียวกัน เมื่อพบว่าเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรด้านหลังนั้น ไม่อาจติดตามมาได้ทันในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่เขาเหินไล่เจียวถูออกมาก่อน ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มใช้เวทย์พลัง ปฐมเวทย์กลืนกิน อย่างเงียบงัน!


ตอนที่ 2,097  : กระบี่พันอาคมเซียน!


 


 


ในเมื่อคิดจะอ้างตัวเป็นปู้หงแล้ว เขาจำต้องคำนึงถึงเรื่องราวหลายๆอย่างๆ


 


ด้วยเหตุนี้พอสังเกตเห็นว่าผู้ฝึกตนพเนจรด้านหลังไม่อาจเห็นความเคลื่อนไหวเขาได้ชัดเจนเพราะทิ้งห่างมามากแล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงเริ่มใช้เวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินทันที


 


แน่นอนว่าไม่ได้ใช้ออกเต็มกำลัง


 


ถึงกระนั้นวังวนพลังเบาบางวังวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นห้อมล้อมร่างต้วนหลิงเทียน


 


แต่แม้วังวนพลังนั้นนั้นจะเบาบาง ทว่ายังสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินรอบกายได้อย่างดี


 


เพียงชั่วพริบตาพลังเซียนสุริยันของต้วนหลิงเทียนก็เพิ่มพูนขึ้น จนมีพลังอำนาจเทียบได้กับพลังเซียนต้นกำเนิดของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุด!


 


แน่นอนว่าพลังที่เพิ่มพูนขึ้นยังไม่หยุดแค่เท่านี้ ยังคงเพิ่มต่อไปอีกเรื่อยๆ


 


ขณะเดียวกัน ระยะห่างระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเจียวถูก็หดสั้นลงทันที


 


“ไม่! เจ้ามิใช่ปู้หง!!”


 


เจียวถูพลันร้องออกมาดังลั่น


 


เพราะเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนใช้ปฐมเวทย์กลืนกินแม้ผู้ฝึกตนพเนจรด้านหลังจะไม่เห็นเพราะอยู่ไกล แต่เจียวถูที่อยู่ใกล้ๆย่อมตระหนักได้ชัดเจนจากการเพิ่มขึ้นของพลังเซียนสุริยันในร่างเขา!


 


และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจียวถูร้องออกมาด้วยความตกใจ พลังเซียนสุริยันในร่างต้วนหลิงเทียนก็เพิ่มพูนสูงขึ้นจนเทียบได้กับเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนแล้ว!


 


หลังพลังเซียนสุริยันเพิ่มพูนถึงจุดนี้มันก็ไม่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป


 


“มารู้เอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวคำออกมาอย่างไร้แยแส


 


และก่อนที่เจียวถูอันมีใบหน้าสิ้นหวังจะทันได้ทำอะไร พลังมหาศาลอันเกรี้ยวกราดขุมหนึ่ง ก็โถมถันเข้ามาหามันราวสัตว์ร้ายกระโจนกัด


 


ปงงง!!


 


เสียงระเบิดดังขึ้นลั่นฟ้า เจียวถูที่ถูกพลังฝ่ามือต้วนหลิงเทียนซัดเข้าอย่างจัง ประหนึ่งถูกสัตว์ร้ายตัวเขื่องอ้าปากกระหายเลือดเขมือบกลืนลงไปในหนึ่งคำก็ไม่ปาน!


 


เพราะเมื่อพลังอันเกรี้ยวกราดสลายหายไป…ร่างเจียวถูก็ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้เห็น


 


คงมีแต่แหวนพื้นที่ๆกำลังกระเด็นไปตามแรงเฉื่อย


 


ในช่วงพริบตานี้ต้วนหลิงเทียนก็ขอให้ผู้เฒ่าหั่วช่วยจับสัมผัสพลังของพรสวรรค์รากวิญญาณเจียวถูที่ยังตกค้างในอากาศไม่ทันได้สลายหายคืนสู่สวรรค์และโลก เพื่อกลืนกินมันทันที


 


“พรสวรรค์รากวิญญาณของมันก็แค่รากวิญญาณสีเหลืองเท่านั้น…”


 


และวาจาต่อมาของผู้เฒ่าหั่วก็ดังขึ้น สร้างความผิดหวังให้ต้วนหลิงเทียนไม่น้อย


 


ด้วยความที่พรสวรรค์รากวิญญาณของเจียวถูเป็นแค่สีเหลือง จากก่อนหน้าผู้เฒ่าหั่วได้กล่าวไว้แล้วว่าขอเพียงเขาได้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวอีกสักครั้ง…รากวิญญาณสีน้ำเงินเข้มของเขาถึงจะเปลี่ยนเป็นสีคราม เมื่อได้แค่สีเหลืองทำให้ตอนนี้มันยังไม่เปลี่ยนเป็นสีคราม…


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนทำให้ต้วนหลิงเทียนผิดหวังนัก


 


“ยามนี้พรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินเข้มของเจ้ามาถึงจุดอิ่มตัวถึงขีดสุดแล้วจริงๆ…หลังจากนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นรากวิญญาณสีเขียวขอแค่เป็นรากวิญญาณสีเหลือง หากเจ้ากลืนกินได้…ก็มากพอจะทำให้พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้ากลายเป็นสีครามอย่างเป็นทางการ!”


 


ทว่าวาจาต่อมาของผู้เฒ่าหั่วทำให้ความผิดหวังของต้วนหลิงเทียนมลายหายไปทันที


 


“แบบนี้นี่เอง…ยังไงก็สามารถเปลี่ยนสีครามได้อยู่ดี แค่ช้าลงเล็กน้อยเท่านั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวปลอบตัวเองในใจ


 


หลังดึงสติกลับมาเขาก็เร่งสะบัดมือใช้พลังดูดรั้งแหวนพื้นที่ๆปลิวกระเด็นไปไกลให้กลับมาทันที ก่อนที่จะเหินร่างจากไป ไม่คิดอยู่รอผู้ฝึกตนพเนจรถามอะไรทั้งสิ้น


 


พริบตาแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนก็หายไปจากสายตากลุ่มผู้ฝึกตนพเนจรที่เหินติดตามมาด้านหลัง


 


สำหรับผู้ฝึกตนพเนจรแล้วแน่นอนว่าต่อให้ต้วนหลิงเทียนหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่พวกมันก็ยังจดจำเรื่องราวครั้งนี้ไว้อย่างดี


 


เป็นธรรมดาที่พวกมันจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน


 


ต่างรับรู้กันแค่ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟ ปู้หง อันดับที่ 2 ในบรรดาอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ทั้ง 8!


 


“เจียวถู…พึ่งตกตายไปง่ายดายเช่นนี้?”


 


สีหน้าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายแยความหวาดกลัวทั้งเลื่อนลอยกันอยู่บ้าง


 


ถึงแม้พวกมันจะอยู่ห่างและมองไม่ชัดว่าเมื่อครู่ปู้หงศิษย์ลัทธิบูชาไฟลงมืออย่างไรบ้าง แต่พวกมันเห็นได้ชัดว่าเพียงชั่วพริบตาที่ไล่ทัน ก็หลงเหลือแค่ร่างปู้หงเพียงลำพัง…


 


ส่วนเจียวถูได้สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


“ปู้หง ศิษย์ลัทธิบูชาไฟคนนี้นับว่าทรงพลังสมชื่อเสียง…แต่มันไม่รู้หรือไรว่าที่นี่คือนครแห่งบาปหาใช่ลัทธิบูชาไฟไม่ ฆ่าเจียวถูทิ้งเช่นนี้หรือไม่กลัวเจียวจ้านจ้องจะล้างแค้นตลอดเวลา?”


 


ผู้ฝึกตนพเนจรหลายคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าปู้หงช่างกล้าหาญจริงๆ!


 


เพราะสุดท้ายแล้วหากไม่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองจริงๆ คงไม่มีทางกล้าฆ่าเจียวถูที่เป็นน้องชายเจียวจ้านแบบนี้ได้


 


“ข้าว่าที่ปู้หงกล้ากระทำแบบนี้ไม่เพียงแต่เพราะมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองเท่านั้น…ข้าเดาว่าอาจารย์หรืออาวุโสคนใดของมันสมควรมาเยือนนครแห่งบาปด้วย!”


 


“อาจเป็นได้! หากอาจารย์ของมันมาด้วยจริงๆ ต่อให้เป็นผู้นำกลุ่มอีกาทมิฬ…ก็ไม่มีปัญญาแตะต้องปู้หงได้!”


 


“หากเป็นคนอื่นถูกคนมีอำนาจเช่นนี้ฆ่าบางทีข้าอาจจะเห็นใจสงสาร…แต่เจียวถูถูกฆ่าตายแบบนี้ ไมเพียงแต่ข้าจะไม่สงสารข้ายังรู้สึกสะใจแทน!”


 


“ข้าเองก็รู้สึกแบบเดียวกับเจ้า…เจียวถูคนนี้สมควรตายนัก! มันอาศัยว่ามีพี่ชายของมันเป็นรองผู้นำกองกำลังอีกาทมิฬก่อการอุบาทว์ต่ำช้า! ไม่ทราบมีกี่คนที่ถูกมันฆ่าอย่างไร้เหตุผล นับว่ากรรมตามสนองมันแล้วจริงๆ!”



 


เหล่าผู้ฝึกตนในที่นี้ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สงสารเห็นใจเรื่องการตายของเจียวถู กระทั่งยังมีหลายคนนักที่ลอบปรบมือให้การฆ่าอย่างหมดจดครั้งนี้ของปู้หงจากลัทธิบูชาไฟ


 


แน่นอนว่าพวกมันไม่ได้รู้เลย


 


ว่าปู้หงคนนี้ไม่ใช่ปู้หงตัวจริง แต่เป็นอัจฉริยะที่พึ่งโด่งดังขึ้นมาคนใหม่ของลัทธิบูชาไฟ ต้วนหลิงเทียน


 


เนื่องจากทักษะแปลงโฉมอันแยบยล รวมถึงต้วนหลิงเทียนไม่ได้ทิ้ง ‘พิรุธ’ ใดๆไว้ เช่นนั้นแล้วคนที่รู้ความจริงก็มีแต่ต้วนหลิงเทียนแค่คนเดียวเท่านั้น


 


หลังฆ่าเจียวถู ต้วนหลิงเทียนก็จากไปทันที ก่อนที่จะหาที่เปลี่ยวๆ เปลี่ยนกลับมาใส่ชุดสีม่วงอีกครั้ง


 


ขณะเดียวกันใบหน้าของเขาก็เริ่มขยับเขยื้อนแปรเปลี่ยนไปเป็นโฉมหน้าใหม่ ที่ตั้งใจใช้ในนครแห่งบาปแต่แรก


 


เป็นธรรมดาว่า…


 


ถึงใบหน้านี้จะต่างจากใบหน้าปลอมที่เขาใช้ในลัทธิบูชาไฟและต่างจากรูปลักษณ์เดิมของเขา แต่มันก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมาย


 


ทั้งหมดล้วนมีคิ้วคมดั่งดาบจมูกโด่งสัน แลดูหล่อเหลามากอัธยาศัยไม่ธรรมดา


 


‘หวังยี่ฝัวไม่ได้กล่าวถึงกองกำลังอีกาทมิฬออกมาเลย เดาว่ามันคงไม่ใช่ขุมพลังที่ร้ายกาจอะไรในนครแห่งบาปเหมือนกัน’


 


ด้วยความที่หวังยี่ฝัวไม่ได้กล่าวถึงขุมกำลังพันธมิตรผู้ฝึกตนอย่างอีกาทมิฬออกมา ต้วนหลิงเทียนจึงคิดว่ามันคงไม่ใช่กองกำลังร้ายอาจอะไรในนครแห่งบาป


 


‘ไปหาเหลาอาหารเพื่อเก็บข้อมูลของนครแห่งบาปก่อนดีกว่า…’


 


ทันทีที่ใจคิด ร่างก็เหินออกไปทันที มุ่งหน้าไปใจกลางนครแห่งบาป เพื่อหาโรงเตี๊ยมที่พักพร้อมเหลาอาหารคึกครื้นสักที่ไว้เก็บข้อมูล


 


‘ไม่รู้จริงๆว่าทำไมผู้ฝึกตนพเนจรมากมายถึงแห่กันมานครแห่งบาปเพื่อหลงหลักปักฐาน…’


 


ต้วนหลิงเทียนยังคงสงสัยเรื่องนี้มาโดยตลอด


 


วันที่ไปถามหวังยี่ฝัวที่หอเมฆมรกต คำตอบที่อีกฝ่ายให้มาก็คลุมเครือชวนให้เขาหงุดหงิดนัก…เพียงเขามาถึงก็รู้เอง!


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเหินร่างหาโรงเตี๊ยมที่พักและเหลาอาหารคึกคักมากผู้คนนั้นเอง


 


ในฐานกองกำลังอีกาทมิฬก็นับว่าปั่นป่วนกันไม่น้อย


 


ในฐานะกองกำลังผู้ฝึกตนพเนจรหนึ่งของนครแห่งบาป แม้ฐานที่มั่นของอีกาทมิฬจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีฐานที่มั่น! เพราะพวกมันก็ถือเป็นกองกำลังขนาดกลาง!!


 


เปรี๊ยงงง!!


 


ในพื้นที่ส่วนตัวหนึ่งของฐานที่มั่นกองกำลังอีกาทมิฬ ทันทีที่เจียวจ้านได้รับทราบเรื่องราวการตายของเจียวถู มันก็เดือดดาลจนฟาดโต๊ะเบื้องหน้าเป็นผง


 


“ผู้ใด! เป็นฝีมือผู้ใดกัน!?”


 


เจียวจ้านที่กำลังเดือด มองจี้ถามไปยังผู้ที่เข้ามาแจ้งข่าวด้วยสายตาน่ากลัวดั่งอสรพิษกำลังจับจ้องเหยื่อ


 


ไม่น่าแปลกใจอะไรที่เจียวจ้าวจะออกอาการโมโหได้ขนาดนี้


 


ในอดีตนั้นมันเคยมีพี่น้องอยู่ 3 คน นอกจากเจียวถูที่เป็นน้องชายคนเล็กแล้วมันยังมีพี่ชายและน้องชายอีกคน


 


พวกมันทั้ง 4 เป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่ออกเดินทางไปทั่ว


 


ทว่าในขณะที่กำลังท่องหล้าพวกมันได้ประสบเหตุร้าย จน ‘เจียวต้า’ พี่ใหญ่ของมันกับ ‘เจียวหง’ น้องชายคนที่ 3 จำต้องตายตกไป ทำให้มันหลงเหลือเพียงน้องชายคนที่ 4 อย่างเจียวถูเท่านั้น…ทั้งคู่ที่เหลือกัน 2 คนก็พึ่งพาอาศัยกันมาตลอด


 


ต่อมามันกับน้องชายก็มาถึงนครแห่งบาป และก่อตั้งกองกำลังอีกาทมิฬร่วมกับสหายคนอื่นๆ ตั้งแต่วันนั้นพวกมันก็ตั้งรกรากเป็นหลักแหล่ง


 


มันย่อมรักและห่วงใยน้องชายคนเล็กที่เหลืออยูแค่คนเดียวเป็นธรรมดา


 


ทว่าวันนี้มันกลับได้รับทราบข่าวร้าย…


 


น้องชายคนที่สี่…น้องเล็กของมัน ถูกผู้อื่นฆ่าตายแล้ว


 


“ปะ…เป็นปู้หง ศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟ!”


 


สัมผัสได้ถึงความเดือดดาลของเจียวจ้าน ผู้ที่มาแจ้งข่าวก็หวาดกลัวจนตัวสั่น พยายามตอบคำกลับไปอย่างยากลำบาก


 


“ปู้หง!”


 


ลูกตาเจียวจ้านหดเล็กลงทันใดเมื่อได้ยินคำของผู้แจ้งข่าว จากนั้นค่อยถามยืนยันออกมาเสียงหนัก “เจ้าแน่ใจหรือว่าคนที่ฆ่าน้องข้ามันคือปู้หงศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟจริงๆ?”


 


นาม ปู้หง นั้น มันย่อมรู้จักดี


 


ในแง่พลังฝีมือแล้ว ปู้หง นับว่าอยู่เหนือกว่ามันมากมายนัก เพราะอีกฝ่ายบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน


 


แต่แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว!


 


เพราะครึ่งเดือนที่แล้วพลังฝึกปรือของมันบังเกิดความก้าวหน้า จนสามารถทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนได้ในที่สุด! และด้วยอาศัยประสบการณ์ที่เคี่ยวกรำหล่อหลอมมันมาในฐานะผู้ฝึกตนพเนจร ยังรวมถึงสิ่งต่างๆและวาสนาที่มันได้รับมาโดยบังเอิญตลอดการเดินทาง…


 


มันย่อมไม่กลัว ปู้หง!


 


ยิ่งไปกว่านั้นมันมั่นใจมากว่าสามารถเอาชนะปู้หง กระทั่งฆ่าปู้หงให้ตายได้!


 


เพราะท้ายที่สุดแล้วปู้หงก็ถือเป็นเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนระดับทั่วไป หาใช่ชนชั้นยอดฝีมืออะไรไม่! เรื่องนี้สังเกตได้ไม่ยากจากอันดับในรายนามยอดเซียน!!


 


แต่สิ่งที่มันเกรงกลัวไม่ใช่ปู้หง หากแต่เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังปู้หง!


 


อาวุโสเพลิงทองของลัทธิบูชาไฟ!


 


จ้าวแท่นบูชามังกรคราม!


 


นอกจากฐานที่มั่นของกองกำลังอีกาทมิฬจะปั่นป่วนเพราะทราบข่าวแล้ว คนในห้องหับของสถานที่แห่งหนึ่งเองก็กำลังหัวร้อนไม่แพ้กัน เป็นฐานที่มั่นของพันธมิตรขวานปฐพี!


 


“เจ้านี่หรือ…ที่สังหารคนของข้าที่ส่งไปทั้ง 2 คนแล้วชิงแหวนพื้นที่อันมีกระบี่พันอาคมเซียนของข้าเก็บไว้ไป?”


 


หลังฉีกยันต์กระจกเงาทิ้งไป ผู้นำพันธมิตรขวานปฐพีก็ได้แลเห็นฉากเรื่องราวหนึ่ง…


 


ในฉากมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีม่วง ใช้เขตแดนหมื่นกระบี่สีทองสว่างจ้าปิดล้อม ก่อนใช้เวทย์พลังทรงอานุภาพกับวิชากระบี่บินอันร้ายกาจฆ่าคนของพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสองของมันไป…


 


นอกจากฆ่าคนของมันไป 2 คนแล้ว อีกฝ่ายยังชิงแหวนพื้นที่วงนั้นไปอีกด้วย!


ตอนที่ 2,098 : เสน่ห์ของนครแห่งบาป!


 


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มียันต์เต๋าที่คอยอำนวยความสะดวกในชีวิตมากมายนัก เรียกว่ามียันต์ไว้ให้ผู้ฝึกตนใช้งานได้แทบจะทุกรูปแบบ!


 


ยันต์กระจกเงาก็เป็นหนึ่งในนั้น


 


นอกจากนั้น


 


ยันต์กระจกเงายังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท อันได้แก่ยันต์กระจกเงาทั่วไปที่เรียกว่า ยันต์ม่านกระจกฉายลักษ์ กับยันต์กระจกเงาระดับสูง ที่เรียกว่ายันต์กระจกเงาคู่แม่ลูก


 


ยันต์ม่านกระจกฉายลักษณ์นั้น สามาถใช้บันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ที่ผู้ใช้พบเห็นในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะสามารถฉีกทำลายยันต์เพื่อดูเรื่องราวคนเดียว หรือจะให้ฉายเรื่องราวขึ้นที่ใดเพื่อเปิดเผยเรื่องราวก็ได้


 


การทำงานของมันกล่าวไปยังคล้ายการ บันทึกวีดีโอในโลกเก่าเมื่อชาติที่แล้วของต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง หากแต่มันไม่มีเสียงใดเท่านั้น


 


ในตอนที่ต้วนหลิงเทียนยังอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสง เขาเองก็โดนยันต์ม่านกระจกฉายลักษณ์ที่ว่าเล่นงานไปแล้วรอบนึงเช่นกัน


 


ตอนนั้นคนของตลาดมืดหยินชานที่ปองร้ายต้วนหลิงเทียน ก็อาศัยยันต์ม่านกระจกฉายลักษณ์นี้บันทึกภาพต้วนหลิงเทียนตอนใช้กระบี่นิลสวรรค์สังหารอาวุโสระดับสูงเอาไว้ ก่อนจะนำไปฉายออกเหนือฟ้าสำนักจันทร์จรัสแสง บีบให้ต้วนหลิงเทียนต้องออกจากสำนัก และมันจะได้ฉวยโอกาสลงมือ…


 


ส่วนยันต์กระจกเงาคู่แม่ลูกนั้น ไม่ใช่ยันต์เต๋าแค่แผ่นเดียว ทว่ามันมี 2 แผ่น ถึงจะเรียกว่ายันต์กระจกเงาคู่แม่ลูก 1 ชุด!


 


1 ชุดของยันต์กระจกเงาคู่แม่ลูก จะมียันกระจกเงาต์ลูก 1 แผ่น และยันต์กระจกเงาแม่ 1 แผ่น โดยทั่วไปแล้วหากจะบันทึกเรื่องราวจากมุมมองของผู้ใดก็ต้องติดตั้งยันต์กระจกเงาลูกไว้กับคนผู้นั้น และยันต์กระจกเงาลูกจะทำการบันทึกเรื่องราวทุกอย่างที่ผู้ถูกติดตั้งเห็นเอาไว้ตลอดเวลา


 


จนเมื่อผู้ที่ถูกติดตั้งยันต์กระจกเงาลูกตายตก ยันต์กระจกเงาลูกจะทำการบันทึกห้วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของมันเอาไว้ ก่อนที่จะส่งข้อมูลภาพกลับมาที่ยันต์กระจกเงาแม่


 


ตรายใดที่ใช้กระจกเงาแม่ ย่อมสามารถแลเห็นวาระสุดท้ายของผู้ที่ถูกยันต์กระจกเงาลูกติดตั้งเอาไว้ได้


 


“มันเป็นผู้ใดกัน?”


 


มองไปยังภาพชายหนุ่มหล่อเหลาลักษณะไม่ธรรมดาชุดสีม่วงที่ฉายโดยยันต์กระจกเงาแม่เบื้องหน้า ผู้นำพันธมิตรขวานปฐพีชักสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากกขึ้นมาทันที


 


ผู้นำพันธมิตรขวานปฐพีคนนี้เรียกว่า เหยาปู่จี มันเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาที่แลดูธรรมดานัก เรียกว่าเป็นผู้ที่ไม่มีที่ใดโดดเด่น ถึงขั้นหากโยนมันลงไปปะปนกับผู้คน ก็คงยากจะระบุตัวมันท่ามกลางฝูงชนได้…


 


ทว่าชายวัยกลางคนที่แลดูธรรมดาไม่มีใดโดดเด่นผู้นี้ กลับเป็นถึงผู้นำพันธมิตรขวานปฐพีของนครแห่งบาป!


 


นอกจากนี้ เหยาปู่จียังเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ที่พลังฝีมือติดอยู่ใน 300 อันดับแรกของรายนามยอดเซียน!


 


ตอนนี้ด้วยพลังของยันต์กระจกเงาแม่ลูก เหยาปู่จี จึงได้แลเห็นฉากเรื่องราวที่เกิดขึ้น และมือสังหารที่ดับชีวิตคนของมันทั้ง 2 ไป…เป็นชายหนุ่มในชุดสีม่วง!


 


หากเป็นแค่เรื่องคนของมันตกตายไป 2 คน มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตถึงขั้นทำให้ เหยาปู่จี หัวเสียอะไรได้


 


แต่เหตุผลที่เหยาปู่จีกำลังหัวเสียนั้น…


 


เพราะว่าคนของพันธมิตรปฐพีที่ตายตกไปทั้ง 2 นั่น เป็นคนที่มันส่งไปชิงกระบี่พันอาคมเซียนกลับมา!


 


และกระบี่พันอาคมเซียนที่ว่าก็ถูกเก็บเอาไว้ในแหวนพื้นที่ๆชายชรามอบให้ แต่สุดท้ายทั้งสองคนก็ถูกชายหนุ่มชุดม่วงสังหารและช่วงชิงไปในที่สุด!


 


หากไม่ใช่เพราะมันกลัวว่าความเคลื่อนไหวของมันจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่น และชายชราก็ไม่ใช่ภัยคุกคามอันใด


 


มันคงไม่ส่งสมาชิกพันธมิตรขวานปฐพีทั้ง 2 อันมีพลังฝึกปรือแค่เซียนนภาขั้นสูงสุดออกไปชิงแหวนพื้นที่จากชายชราเด็ดขาด!


 


เดิมทีมันคิดว่าเรื่องราวทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือหมดสิ้น อนิจจาไม่คิดเลยว่ากลับถูกชายหนุ่มชุดม่วงนั่นทำลายเอาตอนจบ!


 


“มารดาของมัน! ล้วนเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้ทั้งสิ้น…พวกมันอยู่ดีไม่ว่าดีไประรานผู้อื่นทำบัดซบอะไร!?”


 


ถึงแม้ฉากเรื่องราวที่แลเห็นเบื้องหน้าจะเงียบงันไร้เสียง หากแต่เหยาปู่จีย่อมสามารถอ่านริมฝีปากชายหนุ่มชุดม่วงและคนพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสองได้จากมุมมองของพวกมันทั้งคู่ ทำให้มันรู้ว่าทั้งหมดกำลังสนทนาอะไรกัน…


 


และนั่นทำให้มันตระหนักได้…


 


ล้วนเป็นสมาชิกของมันที่ไปหาเรื่องตอแยผู้อื่นเขาก่อน! สุดท้ายก็เตะเอาเข้าตอเหล็กถูกชายหนุ่มชุดม่วงนั่นฆ่าทิ้ง!!


 


“โชคดีนักก่อนที่จะส่งตัวโง่งมทั้ง 2 นี่ไปข้าได้ใช้ยันต์กระจกเงาลูกกับพวกมันเอาไว้…หาไม่แล้วข้าคงมิอาจจับมือผู้ใดดมว่ากระบี่พันอาคมเซียนของข้าตกไปในมือใครกันแน่!”


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ เหยาปู่จี รู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีไม่น้อย


 


แต่แน่นอนว่ามันยังรู้สึกสูญเสียอยู่บ้าง


 


ยันต์กระจกเงาธรรดาๆอย่าง ‘ยันต์ม่านกระจกฉายลักษณ์’ อาจไม่มีราคาค่างวดอะไร


 


ทว่ากับยันต์กระจกเงาแม่ลูกนี้ ต่อให้เป็นมันที่เป็นผู้นำพันธมิตรขวานปฐพียังเข้าเนื้อไม่น้อย ตัวมันเองก็มีอยู่แค่ไม่กี่ชุด!


 


ทว่าตอนนี้กลับเสียไปถึง 2 ชุด!


 


“ขอเพียงเจอตัวเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น และชิงกระบี่พันอาคมเซียนมาได้…เพียงเสียยันต์กระจกเงาแม่ลูกไป 2 ชุด ยังถือว่าคุ้มค่าแล้ว…”


 


พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เหยาปู่จี พอได้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย


 


และชายหนุ่มชุดม่วงที่เหยาปู่จีแลเห็นก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นต้วนหลิงเทียนนั่นเอง


 


ส่วนด้านต้วนหลิงเทียนนั้น จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย


 


ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายชราที่เขาบังเอิญเจอก่อนเข้านครแห่งบาปและถูกคนของพันธมิตรขวานปฐพีทั้ง 2 ตามล่านั้น จะเป็นคนที่มีของล้ำค่าอย่างกระบี่พันอาคมเซียนไว้ในครอบครอง!


 


ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้กระบี่พันอาคมเซียนที่ว่า ก็อยู่ในแหวนพื้นที่ของเขาแล้ว!


 


กล่าวให้ชัดมันอยู่ในแหวนของแหวนที่อยู่ในแหวนพื้นที่เขาต่างหาก!!


 


ที่ต้องกล่าวให้ชวนมึนเช่นนี้เพราะว่า…


 


แหวนวงที่เก็บกระบี่พันอาคมเซียนเอาไว้ อันเป็นแหวนพื้นที่ของชายชรานั้น…


 


หลังชายชราผู้นั้นถูกฆ่า แหวนของชายชราก็ถูกเก็บเอาไว้ในแหวนพื้นที่วงหนึ่งของ 1 ใน 2 สมาชิกพันธมิตรขวานปฐพี


 


และตอนนี้แหวนพื้นที่ของสมาชิกพันธมิตรขวานปฐพีทั้ง 2 วงก็อยู่ในแหวนพื้นที่ของต้วนหลิงเทียนอีกที


 


ด้วยความที่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังไม่ว่างตรวจสอบสินสงครามอะไร เขาจึงไม่รู้ตัวเลยว่าบังเอิญได้รับกระบี่พันอาคมเซียนมา!


 


และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็นั่งอยู่ในเหลาอาหารกลางนครแห่งบาป


 


เหลาอาหารที่เขาเลือกเข้ามาใช้บริการ เป็น 1 ในเหลาอาหารที่คึกคักและใหญ่โตที่สุดกลางนครแห่งบาป หลังนั่งฟังเรื่องราวไปพักหนึ่ง เขาก็มีความเข้าใจในนครแห่งบาปมากขึ้น


 


‘ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ก็ไม่แปลกเลยที่ผู้ฝึกตนพเนจรมากมายถึงได้รอนแรมมาปักหลักที่นครแห่งบาป…ที่แท้นครแห่งบาปมียอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนขึ้นไปแจกของอยู่บ่อยครั้งนี่เอง! ยังสุ่มแจกของโดยการทิ้งไว้ในเมืองอย่างไม่เจาะจง!!’


 


ต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่ในเหลาอาหาร บังเอิญได้ยินเรื่องราวดังกล่าวมา


 


ในนครแห่งบาปนี้ มีผู้ฝึกตนพเนจรที่อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้นดำรงอยู่หลายคน และทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรนัก


 


และบางเวลาเหล่าผู้ฝึกตนชนชั้นยอดฝีมือเหล่านี้นึกครึ้ม พวกมันก็ทำการสุ่มแจกสิ่งของโดยการโยนทิ้งออกมาราวกับขยะ แน่นอนว่าขยะในสายตาพวกมัน แต่สำหรับผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายแล้วถือเป็นสิ่งของอันประเสริฐทั้งสิ้น!


 


สิ่งของอันประเสริฐที่ว่ามีทั้งหินเซียนระดับสวรรค์ ไปจนถึงวรยุทธ์เซียนระดับสูง ยันต์เต๋า กระทั่งศาสตราอาคมเซียนล้ำค่า!


 


‘พวกยอดฝีมือเหล่านั้นก็แค่เล่นสนุกกับผู้ฝึกตนพเนจร ทำราวกับผู้อื่นเป็นลิงค่างเท่านั้น’


 


หลังได้รับทราบเรื่องราวที่ว่า ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะลอบส่ายหน้าในใจ


 


เขารับฟังจากคนในเหลามาว่า ทุกครั้งที่มียอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนขึ้นไปแจกของ เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายก็จะทำการแข่งขันแย่งชิงสิ่งของกันอย่างเอาเป็นเอาตาย!


 


เรียกว่ามีของแจกมาที่ไร ผู้ฝึกตนพเนจรมากมายล้วนต้องตายเพื่อมัน!


 


ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมมีความโลภ


 


สิ่งของที่เหล่ายอดฝีมือโยนแจกมานั้นอาจไม่มีค่ามีราคาอะไรในสายตาของพวกมัน เรียกว่าไม่คู่ควรให้กล่าวถึงด้วยซ้ำ


 


แต่ทว่ากับผู้ฝึกตนพเนจรที่ไร้ผู้ใดสนับสนุนในนครแห่งบาปนั้น ทั้งหมดนับเป็น ‘สมบัติชิ้นโต’ คุ้มค่าที่พวกมันจะทุ่มเทแย่งชิง!


 


‘หากโชคร้ายสมบัตินั้นปรากฏในที่คนหมู่มากแลเห็น ถึงได้มาก็อาจต้องตกตายเพราะมรสุมแห่งการแก่งแย่งชิงดี…หากทว่าโชคดีไปพบพานของแจกที่ลับหูลับตาคนหน่อย ก็นับว่าลาภลอยครั้งใหญ่’


 


หลังได้ทราบเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอีกครั้ง


 


ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มาก


 


เอาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็มากพอให้ผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายรอนแรมมาจากแดนไกล หมายมาเสี่ยงโชคที่นครแห่งบาปสักคราแล้ว…


 


ใครดวงดีก็อาจได้ลาภก้อนโต


 


ก็เหมือนกับการเล่นหวยในชีวิตที่แล้วของต้วนหลิงเทียน ถึงแม้รู้ดีว่าโอกาสถูกรางวัลจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายทุ่มซื้อกันทุกงวด ด้วยหวังว่าจะได้รับรางวัลจนชีวิตเปลี่ยน…


 


อีกทั้งยิ่งมารางวัลสะสมจากยอดซื้อในแต่ละงวดก็สูงขึ้นเรื่อยๆ แทงถูกทีก็รับทรัพย์อื้อซ่ากันหลักร้อยล้าน! เรียกว่าต้วนหลิงเทียนเข้าใจดีว่าในชีวิตที่แล้วนั้นมีคนมากมายขนาดไหนที่ยินดีจ่ายเงินมากมายเพื่อซื้อหวยในแต่ละงวด


 


โอกาสชนะถึงแม้จะน้อยนิดแต่ทุกคนก็ยอมเสี่ยง!


 


‘เทียบกันแล้วโอกาสถูกรางวัลใหญ่ในโลกเก่า…นับว่าโอกาสได้รับสมบัติในนครแห่งบาปยังจะมีมากกว่าเสียอีก’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวอย่างทอดถอนใจ…


 


‘มีคลังสมบัติที่ถูกยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหลือทิ้งไว้ หลังจากผ่านทัณฑ์สวรรค์และเตรียมตัวขึ้นไปยังแดนสวรรค์ด้วยงั้นเหรอ?’


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากคนในเหลาเกี่ยวกับสมบัติในนครแห่งบาป


 


นั่นก็คือ


 


นานๆครั้งในนครแห่งบาปจะมีข่าวของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแพร่กระจายออกมา ว่ากำลังจะเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์แล้ว…


 


อย่างที่ทุกผู้คนทราบกันดีว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกเต๋า หลังจากทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว เมื่อบรรลุถึงจุดหนึ่งก็จำต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ก่อนที่จะขึ้นสู่ระนาบเทวโลก


 


เปลี่ยนที่ 9 ของขอบเซียนสวรรค์ เรียกว่า เปลี่ยนสู่เซียนอมตะ!


 


หลังจากข้ามผ่านหายนะสวรรค์ที่จะมาในรูปแบบของทัณฑ์อัสนี ผู้ฝึกตนไม่ว่ายุทธ์หรือเต๋าจะมีเวลาให้เตรียมตัวพักหนึ่ง สามารถเลือกได้ว่าจะขึ้นสู่ระนาบเทวโลกเลย หรือจะรั้งอยู่ในระนาบโลกียะเพื่อสะสางเรื่องราวก่อนก็แล้วแต่


 


แต่เป็นธรรมดาที่เวลาในการรั้งอยู่บนโลกย่อมมีจำกัด!


 


โดยทั่วไปแล้วผู้ที่สามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปได้ จะไม่รั้งอยู่ในระนาบโลกียะนานนัก เพราอย่างไรหลังผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็จะถูกบังคับให้ขึ้นสู่ระนาบเทวโลก โดย ‘อำนาจเซียนอมตะ’ อยู่ดี


 


แต่แน่นอนว่าไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทุกคนจะสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปได้!


 


ทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นดั่งหายนะระดับภัยพิบัติ!


 


ภายใต้พลังอำนาจของอัสนีฟ้า ไม่ทราบมีเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนกี่คนแล้วที่มิอาจข้ามผ่านมันไปได้ จำต้องตกตายร่างแหลกสลายกลายเป็นธุลีดิน…


 


และจากที่ต้วนหลิงเทียนฟังมา เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั้งหลาย ก่อนที่จะเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ พวกมันล้วนทิ้งสิ่งของไร้สำคัญ คงเหลือไว้แต่สมบัติที่มีพลังอำนาจในการต่อกรกับทัณฑ์สวรรค์เท่านั้นเอาไว้กับตัว


 


แน่นอนว่าหลังต้านทานรับมือกับทัณฑ์สวรรค์แล้ว สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นสิ่งของเลิศล้ำเพียงใด ทั้งหมดก็ล้วนสลายเป็นเถ้าถ่านทั้งสิ้น!


 


อีกทั้งหากประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามทัณฑ์สวรรค์ ยามเมื่อต้องขึ้นสู่แดนสวรรค์ในระนาบเทวโลก ท่านก็มิอาจพกพาสิ่งใดติดตัวไปได้…


 


นั่นเพราะยามเมื่ออำนาจแห่งเซียนอมตะสาดส่องลงมาจากระนาบเทวโลกเพื่อฉุดดึงท่านขึ้นสวรรค์ ทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นแหวนพื้นที่หรืออะไรก็ตามแต่ ล้วนถูก ‘อำนาจเซียนอมตะ’ ดังกล่าวทำลายหมดสิ้น! กระทั่งศาสตราหมื่นอาคมเซียนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น…!!


ตอนที่ 2,099 : โรงเตี๊ยม ยินดีต้อนรับ


 


 


 


ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่มีขุมพลังสังกัด ย่อมทิ้งสมบัติไว้ให้ขุมพลังสังกัดกระทั่งตระกูลอะไรทำนองนั้น


 


ทว่ายังมีผู้ฝึกตนพเนจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่เป็นดั่งหมาป่าเดียวดาย อยู่ตัวคนเดียวอีกมากมายนัก


 


พวกมันไร้ญาติขาดมิตร ไร้ซึ่งสังกัดพรรคสำนัก


 


และผู้ฝึกตนพเนจรเหล่านี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์โดยที่ไม่รู้เป็นตาย พวกมันมักซุกซ่อนสมบัติที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมดเอาไว้ในสถานที่แห่งหนึ่ง…


 


ไม่ว่าผู้ฝึกตนพเนจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหล่านั้น จะผ่านทัณฑ์ไปได้สำเร็จหรือล้มเหลวตกตายไป สถานที่ซุกซ่อนสมบัติของพวกมัน ย่อมกลายเป็น คลังสมบัติสำหรับผู้ฝึกตนในระนาบโลกียะแห่งนั้นสืบไป


 


สุดท้ายแล้ว สมบัติที่เหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหล่านี้เหลือทิ้งไว้ อย่างไรก็ต้องมีราคาค่างวดมหาศาล เพราะนั่นอาจเป็นสมบัติชั่วชีวิตของพวกมัน ในสายตาผู้ฝึกตนทั่วไปย่อมมีค่ามีราคาถึงที่สุด!


 


‘ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผู้ฝึกตนพเนจรมากมายมารวมตัวกันที่นครแห่งบาป…’


 


เมื่อได้รู้ว่าบางครั้งในนครแห่งบาปจะมีข่าวลือเรื่องคลังสมบัติของยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแพร่กระจายออกมา ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าไฉนผู้คนถึงแห่กันมานครแห่งบาปมากมายนัก!


 


กระทั่งตัวเขาเองพอได้ยินเรื่องนี้ ยังสนใจอยากค้นหาคลังสมบัติของยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่เหลือทิ้งไว้ไม่น้อย!


 


สิ่งของที่เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหลือทิ้งเอาไว้ ยังจะเป็นของธรรมดาๆได้อีกหรือ?


 


คำตอบคือไม่!


 


อย่างไรก็ตามหลังได้ฟังเรื่องราวพวกนี้แล้ว หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ใดๆอีกเลย เมื่อเห็นว่าตะวันก็ตกดินมานานแล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงตัดสินใจชำระค่าสุราอาหารแล้วเดินออกจากเหลาไป เพื่อไปหาที่พักอาศัย


 


สำหรับผู้ที่มาเยือนนครแห่งบาปนั้น มีที่พักให้เลือกไม่น้อย


 


ประเภทแรกคือสถานที่พักที่ทางนครแห่งบาปสร้างไว้ให้เป็นส่วนกลาง ผู้ฝึกตนที่สัญจรผ่านมาสามารถเลือกเข้าพักได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเผชิญหน้ากับการข่มขู่จากกองกำลังอะไร กกระทั่งพลังฝีมืออ่อนด้อยก็มีความปลอดภัย


 


ประเภทที่สองคือสถานที่พักของกองกำลังทั้งหลาย ที่ตระเตรียมไว้ให้เหล่าสมาชิก แน่นอนว่ามีข้อแม้คือต้องเข้าร่วมกองกำลังนั้นๆก่อน


 


ประเภทที่สามคือ โรงเตี๊ยม ซึ่งในนครแห่งบาปแห่งนี้ โรงเตี๊ยมที่พักก็มีทั้งห้องพักธรรมดาทั่วไป จวบจนที่อย่างบ้านลานส่วนตัว หรือแม้แต่คฤหาสน์หลังใหญ่โต!


 


แน่นอนว่าหากเทียบกับห้องพักทั่วแล้ว บ้านพักอันมีลานส่วนตัวนั้นแพงกว่ากันกันมาก


 


และที่พักระดับคฤหาสน์ก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะจ่ายไหว


 


‘ไปหาดูโรงเตี๊ยมแล้วกัน…’


 


อย่างไรต้วนหลิงเทียนก็พึ่งมาถึงนครแห่งบาปครั้งแรก ย่อมไม่คิดจะเลือก 2 ข้อแรกแน่นอน


 


โรงเตี๊ยมในนครแห่งบาปนั้น แต่ละที่ล้วนพึ่งพิงกองกำลังใดกองกำลังหนึ่งทั้งสิ้น ซึ่งผู้เข้าพักก็จะได้รับการดูแลจากกองกำลังดังกล่าว แน่นอนว่าการทำธุรกิจเช่นนี้พวกมันย่อมยึดถือเรื่องชื่อเสียงเป็นที่สุด จึงพยายามรักษาความปลอดภัยของลูกค้าอย่างดี!


 


นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะพักโรงเตี๊ยม


 


หลังออกจากเหลาอาหารแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินโต๋เต๋มองหาโรงเตี๊ยมไปเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็เจอโรงเตี๊ยมที่แลดูเรียบหรูแห่งหนึ่ง จึงเดินเข้าไปชมดูทันที


 


แผ่นป้ายเหนือประตูทางเข้าโรงเตี๊ยมหลังนี้ติดป้าย ‘ยินดีต้อนรับ’ เอาไว้อย่างน่าประทับใจ


 


“ยินดีต้อนรับท่านลูกค้า มิทราบท่านต้องการพักแรมหรือรับประทานสุราอาหาร?”


 


หลังโต๊ะรับรองที่อยู่ด้านบริเวณพื้นีท่ต้อนรับด้านหน้าโรงเตี๊ยม ชายชราที่ก่อนหน้าแลดูเสมือนหลับอยู่ พลันลืมตาขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของต้วนหลิงเทียนที่เดินเข้ามา กล่าวถามด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


‘ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์งั้นเหรอ!’ แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ชายชราลืมตาขึ้นมา สัญชาตญาณในการระวังภัยของต้วนหลิงเทียนก็ร้องเตือนทันที ซึ่งการที่สัญชาตญาณของเขาจะร้องเตือนเช่นนี้…ก็เฉพาะยามเผชิญหน้ากับตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์เท่านั้น!


 


“มันเป็นเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยน”


 


และภายใต้การสอบถามจากผู้เฒ่าหั่ว เขาก็ได้รับคำตอบที่พิสูจน์ว่าสัญชาตญาณของเขายังถูกต้อง


 


‘แค่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเล็กๆนี่ยังเป็นเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนเลยเหรอ…ดูเหมือนพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรที่อยู่เบื้องหลังโรงเตี๊ยมแห่งนี้ จะไม่ใช่เล่นๆ’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


“อ่า มาพักแรมน่ะ ที่นี่มีที่พักแบบไหนบ้าง”


 


“เรียนท่านลูกค้า ที่พักของโรงเตี๊ยม ‘ยินดีต้อนรับ’ ของพวกเราก็เหมือนกันกับที่พักของโรงเตี๊ยมอื่นๆในนครแห่งบาป โดยจักแบ่งออกเป็น 3 ระดับ อันได้แก่ ห้องพักระดับธรรมดา แบบบ้านเดี่ยวพร้อมลานส่วนตัว และสุดท้ายแบบคฤหาสน์ มิทราบว่าท่านลูกค้าสนใจห้องพักแบบใด?”


 


หลังได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน รอยยิ้มยินดีบนใบหน้าของชายชราก็ยิ่งฉีกกว้างขึ้นมาทันที นั่นเพราะแขกที่มาพักทำให้มันได้รับหินเซียนมากกว่าแขกที่มาดื่มกินอยู่แล้ว


 


“แล้วมีราคาเท่าไหร่บ้าง?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะได้ยินมาว่า โรงเตี๊ยมในนครแห่งบาปนั้นมีราคาแพงมาก แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันจะแพงขนาดไหน


 


และครู่ต่อมาเมื่อชายชรากล่าวตอบ ก็นับว่าเขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว


 


“ห้องพักระดับธรรมดาจักเป็นหินเซียนระดับ 3 จำนวน 1 ก้อนต่อวัน ส่วนแบบบ้านพร้อมลานส่วนตัวนั้นจักเป็น หนึ่งหินเซียนระดับ 2 ต่อวัน ส่วนแบบคฤหาสน์ ราคาจักเป็น 1 หินเซียนระดับ 1 ต่อวัน”


 


ชายชรากล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอได้ฟังราคาก็รู้สึกจั๊กจี้หัวใจขึ้นมาทันที


 


แพง!


 


จะแพงเกินไปแล้ว!!


 


ต้องทราบด้วยว่าราคาที่ผู้ดูแลคนนี้บอกกล่าวนั่นก็แค่ราคาหนึ่งวันหรือค้างคืนเท่านั้น!


 


ก็ใช่ที่หากอาศัยอยู่แค่วันเดียวย่อมไม่คิดว่ามันแพงอะไรมากมาย


 


แต่หากอยู่หลายวันเล่า?


 


“นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านลูกค้าเข้าพักโรงเตี๊ยมในนครแห่งบาปใช่หรือไม่?”


 


คล้ายจะสังเกตุเห็นความประหลาดใจของต้วนหลิงเทียนก็ไม่ปาน ผู้ดูแลพลันกล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้มทันที


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ อย่างไรก็เป็นการมาครั้งแรกของเขาจริงๆ ไม่มีอะไรให้ปฏิเสธ


 


“ขอบอกท่านลูกค้าตามตรง ราคานี้มิได้แพงกว่าโรงเตี๊ยมแห่งอื่นแต่อย่างใด ทว่าข้ารับรองได้เลยว่าบริการของทางเรานั้นยอดเยี่ยมกว่าที่อื่นในนครแห่งบาปแน่นอน!”


 


ชายชรากล่าวคำออกมาด้วยความมั่นใจ “แม้ว่าที่พักของโรงเตี๊ยมเราอาจจะไม่ได้เด่นล้ำกว่าที่อื่นมากมายอะไร ทว่าในด้านความปลอดภัยนั้น ข้าสามารถกล่าวได้เลยว่ามีเพียงโรงเตี๊ยมในนครแห่งบาปนี้ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถเทียบกับโรงเตี๊ยมของพวกเราได้”


 


 


“เพราะโรงเตี๊ยมของพวกเรานั้นอยู่ภายใต้การคุ้มครองของ พันธมิตรอำนาจทรราช มียอดฝีมือที่คอยปกปักษ์พิทักษ์โรงเตี๊ยมอยู่หลายคน! หากท่านพักอาศัยที่นี่ก็มิจำเป็นต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยอีกต่อไป!!”


 


ยิ่งกล่าวคำสีหน้าของชายชราผู้ดูแลก็เผยความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ


 


“พันธมิตรอำนาจทรราช!”


 


ได้ยินวาจาของชายชราผู้ดูแลสองตาต้วนหลิงเทียนเรืองสว่างขึ้นมาวาบหนึ่ง


 


นั่นเพราะเขาเคยได้ยินเรื่องพันธมิตรผู้ฝึกตนที่ว่ามาตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาในนครแห่งบาปเสียอีก


 


ครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้ก็ตอนที่เขาอยู่ในเมืองคงหมิง แน่นอนว่าเขาได้ยินมาจากหวังยี่ฝัว แถมมันยังกล่าวถึงพันธมิตรอำนาจทรราชนี้เอาไว้ไม่น้อย


 


กระทั่งยังบอกให้เขาระวังตัวเอาไว้ด้วย เพราะนี่คือกองกำลังพันธมิตรผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงของนครแห่งบาป!


 


“ดูเหมือนท่านลูกข้าจักเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามพันธมิตรอำนาจทรราชของพวกเรามาแล้ว”


 


ชายชราผู้นี้นับว่าเป็นคนช่างสังเกตไม่น้อย ไม่ทันไรก็พบความเปลี่ยนแปลงในแววตาของต้วนหลิงเทียน


 


“อืม ข้าเคยได้ยินคนกล่าวถึงมาก่อนจริงๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ติดปฏิเสธอะไรพยักหน้ายอมรับ พร้อมเรียกหินเซียนระดับ 1 ออกมาวางบนโต๊ะรับรองหนึ่งก้อน “ข้าจ่ายค่าบ้านลานล่วงหน้าก่อน 10 วันแล้วกัน”


 


“ขอบพระคุณท่านลูกค้า”


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกว่าจะเข้าพักบ้านลานส่วนตัว ผู้ดูแลก็แลดูยิ้มแย้มแจ่มใสมากขึ้นไม่น้อย สองมือยกขึ้นมาถูกๆพร้อมเก็บหินเซียนไปอย่างไว


 


หลังขีดๆเขียนๆอะไรคล้ายลงทะเบียนคนเข้าพักแล้ว ชายชราผู้ดูแลก็หยิบแผ่นป้ายที่เขียนคำว่า ‘ดิน 27’ ยื่นส่งมาให้ต้วนหลิงเทียนทันที


 


ป้ายนี้นับว่าหนักไม่น้อย  ซ้ำยังมีพลังงานแปลกๆแผ่ซ่านออกมา


 


‘กุญแจ ค่ายกลงั้นรึ?’


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมบอกได้ไม่ยากว่านี่เป็นพลังงานผันผวนอันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายกลหนึ่ง


 


“ท่านลูกค้าโปรดรอสักครู่ เดี๋ยวจักมีคนพาท่านไปส่งยังที่พักเอง”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนรับป้ายมา ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมก็กล่าวออกด้วยเสียงสุภาพก่อนที่จะหยิบยันต์เต๋าขึ้นมาแผ่นหนึ่งแล้วฉีกออก


 


หลังยันต์เต๋าถูกฉีกผ่านไปครบ 3 ลมหายใจ


 


ฮู่ววว!!


 


ประหนึ่งมีสายลมหอบหนึ่งกรรโชกพัดผ่านเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนอย่างแรง ปรากฏชายรางเตี้ยหนึ่งที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง แบมือขอป้าย ดิน 27 จากต้วนหลิงเทียนด้วยทีท่าสุภาพ ก่อนที่จะเดินนำทางต้วนหลิงเทียนไปยังด้านหลังโรงเตี๊ยมทันที


 


“ท่านลูกค้า นี่คือที่พักของท่าน”


 


ไม่ทันไรภายใต้การนำทางของชายร่างเตี้ย ต้วนหลิงเทียนกูกนำมายังพื้นที่ส่วนตัวแห่งหนึ่ง


 


มองไปเป็นบ้านลานที่มีดอกไม้ปลูกเรียงรายเป็นแถวด้านข้าง ตรงกลางเว้นว่างไว้เป็นลานว่าง ตัวเรือนนั้นแลดูสวยงามเรียบง่าย เพียงมองก็เห็นได้ชัดว่าห้องพักกับห้องรับแขกแบ่งแยกต่างหาก


 


“ป้ายนี้เป็นดั่งกุญแจเข้าสู่ที่พักของท่าน เพียงถือป้ายนี้ออกมาท่านก็สามารถเดินผ่านม่านพลังจากค่ายกลที่กางไว้เพื่อป้องกันรักษาความปลอดภัยในเขตที่พักของท่านเข้าไปได้ทันที”


 


ในขณะที่คืนป้าย ดิน 27 ให้ต้วนหลิงเทียน ชายร่างเตี้ยก็กล่าวแนะนำออกมาอย่างสุภาพ


 


ต้วนหลิงเทียนก็รับป้าย ดิน 27 มาก่อนที่จะพลิกดูอีกครั้ง


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนดูป้ายดังกล่าว ชายร่างเตี้ยก็วูบร่างจากไปทันที


 


ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า สองเท้าก้าวเดินเข้าไปยังลานว่าง และเมื่อเข้ามาเขาก็พบว่าสรรพเสียงเซ็งแซ่ที่ดังแว่วมาจากในเมือง ล้วนเงียบหายไปหมดทันที


 


‘ดูเหมือนว่าค่ายกลที่ปกคุลมบ้านพักนี่จะมีค่ายกลปิดกั้นเสียงรบกวนภายนอกจัดตั้งไว้ด้วย…แต่ยังไงคิดราคาหินเซียนระดับ 2 หนึ่งก้อนต่อวันก็ยังแพงไปอยู่ดี’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


เพราะอาคมปิดกั้นเสียงรบกวนดังกล่าว อาศัยหินเซียนระดับต่ำๆไม่กี่ชิ้น ก็คงสภาพได้เป็นปี


 


อย่างไรก็ตามนับว่าโรงเตี๊ยมยินดีต้อนรับ กับบ้านพักหลังนี้ ก็เหมาะสำหรับเป็นที่พักชั่วคราวของต้วนหลิงเทียนไปตลอดระยะเวลาที่เขาอาศัยอยู่ในนครแห่งบาป…


 


ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ผู้นำกองกำลังพันธมิตรขวานปฐพีก็ได้ทำสำเนารูปเหมือนต้วนหลิงเทียน และแจกจ่ายไปให้คนในกองกำลังทั้งหมด


 


ยังกล่าวสั่งออกมาอีกว่า


 


“ตามหาคนในภาพให้พบโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย…และผู้ใดก็ตามที่มีเบาะแสของคนในภาพจะได้รับหินเซียนระดับ 1 จำนวน 100 ก้อน! กระทั่งหากจับตัวคนผู้นี้กลับมายังฐานที่มันของพันธมิตรได้ จะได้รับรางวัลเป็นหินเซียนระดับ 1 จำนวน 1,000 ก้อน!”


 


ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ภายใต้รางวัลอันหนักหน่วงกระทั่งผู้กล้ายังควงดาบออกลุย’ เรียกว่าคนของพันธมิตรขวานปฐพีถึงกับคึกคักขึ้นมาอักโข!


 


กระทั่งชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ในพันธมิตรขวานปฐพียังถึงกับออกจากฐานที่มั่น ถือภาพเดินถามหาคนในเมืองกันจ้าละหวั่น!


 


และด้วยความที่ใบหน้าที่ต้วนหลิงเทียนใช้ในตอนนี้ เป็นใบหน้าเดียวกับที่เขาจงใจปลอมแปลงมาเพื่อใช้ในนครแห่งบาปแต่แรก ทำให้มันเป็นใบหน้าโฉมเดียวกันกับตอนที่เขาใช้สังหารคนของพันธมิตรขวานปฐพีทั้ง 2 หน้าเมือง!


 


ดังนั้นแล้วไม่นานคนของพันธมิตรขวานปฐพีจึงพบว่าเขาได้เดินเตร็ดเตร่อยู่บริเวณในกลางนครแห่งบาป ยังพบว่าเข้านั่งในเหลาอาหารใดตั้งแต่เมื่อไหร่ออกไปตอนไหน!


 


กระทั่งโรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ก็ถูกค้นพบ


 


“มันพักที่โรงเตี๊ยม ‘ยินดีต้อนรับ’ เช่นนั้นรึ?”


 


เมื่อรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเข้าพักโรงเตี๊ยมยินดีต้อนรับ กระทั่งผู้นำพันธมิตรขวานปฐพีก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะพบว่าเรื่องราวกลายเป็นยุ่งยากขึ้นมาไม่น้อย


 


แน่นอนว่าอาศัยผู้ดูแลกับผู้คุ้มกันของโรงเตี๊ยมยินดีต้อนรับย่อมไม่นับเป็นอะไรในสายตามัน


 


แต่ทว่ากองกำลังพันธมิตรที่อยู่เบื้องหลังโรงเตี๊ยมยินดีต้อนรับแห่งนี้ อย่าว่าแต่ตัวมัน…กระทั่งยกคนไปทั้งพันธมิตรขวานปฐพีของมันก็ไม่อาจตอแยด้วยได้!!


ตอนที่ 2,100 : เสียงกรีดร้องของปู้หง!


 


 


สถานที่พักอาศัยในนครแห่งบาปนั้น หากต้องการที่พักอาศัยล่ะก็…ไม่อยู่ในเขตที่ปกครองโดยกองกำลังพันธมิตรผู้ฝึกตนทั่วไป ก็ต้องอยู่ในโรงเตี๊ยมที่มีกองกำลังพันธมิตรระดับสูงๆหนุนหลัง


 


แน่นอนว่าแบบหลังจะมีความปลอดภัยมากกว่า


 


พันธมิตรของเหล่าผู้ฝึกตนทั่วไปแม้จะมีพื้นที่ปกครองเป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ถูกองกำลังอื่นๆรุกราน จึงยากที่จะรับรองความปลอดภัยอะไรให้ใครได้


 


ทว่าโรงเตี๊ยมนั้นต่างกันออกไป


 


โรงเตี๊ยมนั้นแม้จะมีจำนวนไม่น้อยในนครแห่งบาป หากแต่มันก็ไม่ได้มากมายอะไรเช่นกัน เพราะไม่ใช่ว่ากองกำลังพันธมิตรของผู้ฝึกตนทุกกองกำลังจะมีปัญญาเปิดโรงเตี๊ยมได้!


 


พันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรชั้น 3 อย่างพันธมิตรขวานปฐพีและอีกาทมิฬ ถึงแม้พวกมันจะเปิดโรงเตี๊ยม แต่คงมีแขกแค่ไม่กี่คนที่กล้าไปพักอาศัย เพราะพวกมันไม่อาจรับรองความปลอดภัยให้แขกได้เลย


 


พันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรชั้น 3 เช่นพวกมัน ต่อให้เป็นชนชั้นผู้นำหากแต่พลังฝึกปรือก็มีแค่เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนเท่านั้น!


 


รองผู้นำและสมาชิกคนอื่นๆรองลงมาพลังฝีมือก็อ่อนลงเช่นกัน


 


พันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรที่พลังฝีมืออ่อนด้อยแบบนี้ ต่อให้เปิดโรงเตี๊ยมแต่เกรงว่าคงมีแค่ชนชั้นผู้นำเท่านั้นที่สามารถคอยระวังภัยให้แขกได้


 


แต่จะให้ชนชั้นผู้นำมานั่งเฝ้าโรงเตี๊ยมตลอดเวลา?


 


กลับกัน พันธมิตรอำนาจทรราช ไม่ใช่อะไรที่ขวานปฐพีกับอีกาทมิฬจะเปรียบเทียบได้เลย


 


แม้จะกวาดตามองไปทั่วนครแห่งบาป พันธมิตรอำนาจทรราชก็ถือเป็นกองกำลังพันธมิตรชั้นสูง!


 


ผู้นำของกองกำลังพันธมิตรอำนาจทรราช ลือกันว่ามันเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน!


 


อีกทั้งผู้ที่ถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่ดูแลพิทักษ์โรงเตี๊ยมยินดีต้อนรับแห่งนี้ ก็เป็นชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน!


 


ด้วยเหตุนี้ต่อให้เหยาปู่จีจะสิ้นคิดบุกเข้ามาหาความอย่างไม่คิดชีวิตในโรงเตี๊ยมยินดีต้อนรับ แต่เกรงว่าไม่เพียงแต่จะไม่ได้ประโยชน์อะไร สุดท้ายยังกลายเป็นสร้างความบาดหมางกับกองกำลังพันธมิตรอำนาจทรราชอย่างเปล่าๆปลี้ๆ


 


‘ดูเหมือนจักทำได้แค่รอให้มันออกมานอกโรงเตี๊ยมยินดีต้อนรับถ่ายเดียว…ทันทีที่มันออกนอกเขตโรงเตี๊ยมเมื่อใด พันธมิตรอำนาจทรราชก็มิมีหน้าที่ต้องปกป้องมันอีกต่อไป’


 


สุดท้ายเหยาปู่จีก็ทำได้แค่ รอคอย…


 


เพราะนอกจากนี้มันก็ไม่มีหนทางอื่นใดแล้ว!


 


‘ข้ามิเชื่อหรอกว่าเจ้าจักหดหัวอยู่แต่ในโรงเตี๊ยมยินดีต้อนรับได้ชั่วชีวิต!’


 


ในเมื่อเหยาปู่จีตกลงเลือกใช้วิธีนี้ ทำให้บริเวณหน้าโรงเตี๊ยมยินดีต้อนรับ ปรากฏผู้คนหน้าเดิมๆเดินแวะเวียนผ่านไปมารอบแล้วรอบเล่า หากแต่สักพักหน้าตาของผู้ที่มาเดินป้วนเปี้ยนก็เปลี่ยนไปเริ่อยๆ


 


พวกมันคือคนพันธมิตรขวานปฐพีที่เหยาปู่จีส่งออกมาเฝ้าระวัง ต่างจัดกำลังพลเปลี่ยนกะกันมาเฝ้าระวังอย่างดี ไม่ขาดคนจับตาดูแม้แต่วินาทีเดียว


 


พวกมันจะมาเดินป้วนเปี้ยนด้อมๆมองหน้าโรงเตี๊ยมยินดีต้อนรับ เพื่อจับตาดูว่าต้วนหลิงเทียนออกมาแล้วหรือไม่ หากพบว่าต้วนหลิงเทียนออกมา ก็จะเร่งรุดกลับไปตามเหยาปู่จีทันที


 


ด้านต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาตกเป็นเป้าของพันธมิตรขวานปฐพีเรียบร้อยแล้ว


 


เมื่อเขาเข้าที่พักแล้วสิ่งแรกที่ทำเป็นประจำก็คือตรวจสอบสินสงครามที่ได้มา เขาจึงเรียกแหวนพื้นที่ๆได้รับมาวันนี้ทั้งหมดออกมาตรวจสอบทันที ไม่ว่าจะของคนพันธมิตรขวานปฐพีทั้ง 2 หรือเจียวถูจากอีกาทมิฬ


 


“ถึงจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็นับว่าไม่เลว…”


 


ได้เห็นหินเซียนที่อยู่ในแหวนพื้นที่ของทั้ง 3 รวมถึงสิ่งของอื่นๆต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มพึงพอใจออกมา ‘นครแห่งบาปนับว่าเหมาะให้ข้าใช้เพิ่มพูนพรสวรรค์รากวิญญาณจริงๆ’


 


ในนครแห่งบาปนั้น มีผู้คนมากมายที่จ้องแต่จะทำร้ายคนอื่นเพื่อตัวเอง กล่าวได้ว่า ‘คนชั่ว’ มีมากกว่าครึ่งเมืองเสียอีก!


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้สึกผิดและติดใจอะไรกับการฆ่าคนพวกนี้เพื่อดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน


 


“หืม? แหวนวงนี้…ดูเหมือนจะเป็นของชายชราที่ถูกคนพันธมิตรขวานปฐพีทั้ง 2 นั่นไล่ฆ่าสินะ”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เห็นแหวนพื้นที่วงหนึ่งที่อยู่ด้านในแหวนของ 1 ใน 2 คนรพันธมิตรขวานนปฐพี ทันทีที่เห็นเขาก็รู้สึกคุ้นๆทันทีราวกับเคยเห็นมาก่อน


 


แหวนวงนี้เป็นวงเดียวกับแหวนของชายชราที่ถูกไล่ตามทัน และมันก็เป็นคนโยนส่งไปให้คนของพันธมิตรขวานปฐพีนอกนครแห่งบาปด้วยตัวเองหมายเอาชีวิตรอด


 


และดูเหมือนคนของพันธมิตรขวานปฐพีทั้ง 2 ก็ตามล่าชายชราเพราะแหวนวงนี้เช่นกัน


 


“หรือจะมี ‘ตัววิเศษน้อย’ อะไรอยู่ในแหวนวงนี้กันนะ?”


 


ทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าสืบไปสำนึกเทวะของเขาแผ่ลงไปตรวจสอบเรื่องราวภายในแหวนดังกล่าวทันที


 


ต้วนหลิงเทียนที่สัมผัสได้ถึงสิ่งของต่างๆในแหวนก็ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ


 


ทว่าในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เห็นกระบี่เล่มหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างเงียบงันในแหวน กระบี่เล่มนี้แลดูเรียบๆไม่ได้มีการตกแต่งอะไรมากมาย แต่เพียงแค่มันวางตั้งไว้เฉยๆก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา


 


อีกทั้งในฐานะปรมาจารย์จารึกเซียนคนหนึ่ง เขาย่อมสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากการจารึกสลักอาคมเซียน จึงบอกได้ทันทีว่าพลังอาคมเซียนที่กำจายรอบกระบี่ดังกล่าว มันเหนือกว่าศาสตราอาคมเซียนอื่นๆที่เขาเคยเห็นไม่น้อย


 


“หืม? นิ…นี่มันกระบี่พันอาคมเซียนงั้นเหรอ?!”


 


หลังจากตรวจวสอบคร่าวๆ ต้วนหลิงเทียนก็พบได้ทันทีว่ากระบี่ที่แลดูเรียบๆเล่มนี้ ที่แท้มันเป็นถึงกระบี่พันอาคมเซียน!


 


“ดูเหมือนว่าเป้าหมายของพันธมิตรขวานปฐพีทั้ง 2 นั่น จะเป็นกระบี่พันอาคมเซียนเล่มนี้แต่แรก!”


 


ด้วยตระหนักดีถึงคุณค่าของกระบี่ ต้วนหลิงเทียนจึงเดาเรื่องราวได้ทันที


 


“แต่อาศัยพลังฝีมือเพียงเท่านั้นของชายชรา มันไปได้กระบี่พันอาคมเซียนมาจากไหนกัน…อีกทั้งทำไมคนของพันธมิตรขวานปฐพีนั่นมันถึงล่วงรู้ได้ว่าชายชราคนนี้มีกระบี่พันอาคมเซียน”


 


ต้วนหลิงเทียนงุนงงไม่น้อย


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่หน้าใหม่ที่พึ่งขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกต่อไป จากเรื่องราวทั้งหมดที่พบเจอและได้ฟังมา เขาย่อมตกตะกอนความคิด ทราบได้ว่าสิ่งใดมีค่าไม่มีค่าและอะไรที่ล้ำค่า


 


ในบรรดาของล้ำค่าที่ว่าแน่นอนว่าย่อมมีศาสตราพันอาคมเซียนรวมอยู่ด้วย


 


ศาสตราพันอาคมเซียนไม่ว่าจะประเภทใด มองทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติชั้น 1!


 


กระทั่งในลัทธิบูชาไฟเอง มูลค่าของศาสตราพันอาคมเซียนก็สูงถึง 100,000,000 คะแนนสะสม!


 


เรียกว่านอกจากอาวุโสเพลิงทองระดับสูง และอาวุโสเพลิงเงินเก่าแก่ที่มีอยู่แค่ไม่กี่คนแล้ว ยากนักที่ใครจะมีศาสตราพันอาคมเซียนเอาไว้ในครอบครองได้


 


จากจุดนี้ก็เห็นได้ชัดว่าศาสตราพันอาคมเซียนมีค่ามากขนาดไหน


 


ทว่าสิ่งของล้ำค่าดังกล่าว กลับมาปรากฏอยู่ในแหวนพื้นที่ของชายชราคนหนึ่งที่พลังฝึกปรือไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ อีกทั้งผู้ที่ไล่ฆ่าชิงของมันจากพันธมิตรขวานปฐพีทั้งคู่ ก็มีพลังฝึกปรือแค่เซียนนภาเท่านั้น


 


ที่สำคัญก็คือ หากคนของพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสองนั่นไม่มาหาเรื่องเขา เกรงว่ากระบี่พันอาคมเซียนดังกล่าวคงไม่มีวันตกมาถึงมือเขาได้!


 


“ถ้างั้น…นี่ข้าต้องขอบคุณพวกมันที่เข้ามาหาเรื่องสินะ…”


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ดังคำที่ว่า ‘โลกนี้ไม่เที่ยง’ คงเป็นเช่นนี้เอง


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิดให้วุ่นวายว่าทำไมกระบี่พันอาคมเซียนถึงมาอยู่ในมือชายชราที่ไม่แม้แต่จะบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์และทำไมถึงถูกทั้ง 2 คนนั่นตามล่าอีกต่อไป ในเมื่อตอนนี้มันเป็นของเขา…เพียงผลลัพธ์นี้ก็พอ


 


“ด้วยมีกระบี่พันอาคมเซียนแล้วถ้างั้นกระบี่ร้อยอาคมเซียนของหยางหวู่ก็มีอันต้องตกประป๋องไป…ทีหลังก็ใช้กระบี่เล่มนี้แทน ไม่จำเป็นก็คงไม่ต้องใชกระบี่นิลสวรรค์ให้เสี่ยงอีก”


 


คิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มพึงใจ


 


“แต่จะยังไงกระบี่พันอาคมเซียนนี่ก็สมควรดึงดูดความสนใจของผู้คนอยู่ดี…มีแค่ต้องยกระดับพลังฝีมือส่วนตัวเท่านั้น! ขอเพียงข้าแข็งแกร่งมากพอ พวกมันก็ทำได้แค่มองกระบี่นี่ไม่กล้าลงมือ!!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำอย่างเลื่อนลอย


 


เมื่อกล่าวแล้วต้วนหลิงเทียนก็ลงมือทำทันที ร่างวูบเข้าไปอยู่ในเจดีย์หลงหลิง 7 สมบัติ เดินตรงขึ้นชั้น 4 ไปนั่งสงบจิตอย่างไม่รอช้า


 


9 มังกรจักรพรรดิสงคราม!


 


ต้วนหลิงเทียนเริ่มบ่มเพาะพลังตามเคล็ดบำเพ็ญจิต มังกรพลัง 9 ตัวในร่างเริ่มชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินที่ดูดซับเข้าร่างเร็วรี่ไปโคจรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนสุริยันไม่ขาดสาย


 


และในขั้นตอนดูดซับพลัง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าตอนนี้เขาไวต่อพลังวิญญาณฟ้าดินมากขึ้น ดูดซับมันได้มากขึ้น! ความเร็วในการบ่มเพาะจึงมากขึ้น!!


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักได้ชัดเจนว่าเพราะอะไร


 


เพราะพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาไม่ได้เหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป ตอนนี้มันจวนเจียนจะเปลี่ยนเป็นสีครามเต็มที!


 


“ด้วยอัตราเร็วระดับนี้…อีกราวๆ 2 เดือนข้าทะลวงถึงเซียนปฐพีชั้นสูงสุดได้แน่!”


 


เมื่อตระหนักถึงความเร็วบ่มเพาะในปัจจุบัน ต้วนหลิงเทียนย่อมกะประมาณเวลาที่ต้องใช้ในการบ่มเพาะได้ไม่ยาก


 


ภายใน 2 เดือนเขาต้องทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นสูงสุดได้แน่นอน!


 


และเมื่อเขาทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นสูงสุดแล้ว พลังรบของเขาย่อมเพิ่มพูนขึ้นมาไม่น้อย


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็จมจ่อมลงสู่ภวังค์บ่มเพาะอย่างสมบูรณ์ พลังวิญญาณฟ้าดินมากมายถูกดูดซับเข้าร่างด้วยความเร็วสูง ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนสุริยันสั่งสมมากขึ้นทุกขณะเวลา…


 


ณ ภาคตะวันตก ลัทธิบูชาไฟ


 


“ไม่…!!!”


 


ในเกาะลอยอันเป็นเกาะส่วนตัวแห่งหนึ่ง ที่อยู่รอบๆเกาะหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์พลันปรากฏเสียงหวีดร้องออกมาเสียงหลงอย่างไม่ยอมรับความจริง


 


เสียงหวีดร้องนี้ยังดังสนั่นลั่นฟ้าราวกับเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ด้วยพลังที่ควบผสานมา พาลให้เสียงร้องคำรามนั่นมีอานุภาพดั่งพายุฝนฟ้าคะนอง ปลุกทุกผู้คนในเกาะลอยใกล้เคียงให้ตื่นตัว ต่างเร่งรุดเหินร่างขึ้นฟ้ามาชมเรื่องราวกันในชั่วพริบตา


 


“เมื่อครู่มัน…เสียงของศิษยืพี่ปู้หง!?”


 


เหล่าผู้ที่เหินร่างขึ้นมาจากเกาะลอยรอบๆล้วนเป็นศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟทั้งสิ้น


 


และตอนนี้พวกมันทั้งหลายกำลังมองไปยังเกาะลอยแห่งหนึ่งด้วยสีหน้าตกตะลึง เพราะที่นั่นคือต้นเสียงสนั่นลั่นฟ้าเมื่อครู่


 


และด้วยความีท่พวกมันรู้ดีว่าใครเป็นเจ้าของเกาะลอยแห่งนี้จึงตกใจไม่น้อย


 


ปู้หง อันดับที่ 3 ของทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริงในปัจจุบัน!


 


ถึงแม้ปู้หงจะแพ้พ่ายต้วนหลิงเทียนที่พึ่งผงาดขึ้นมาในเวลาอันสั้น แต่ทั้งหมดล้วนเพราะพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนมันน่าเหลือเชื่อเกินไป ไม่ใช่เป็นปู้หงที่อ่อนด้อยแต่อย่างใด…


 


เช่นนั้นแล้วในสายตาของเหล่าศิษย์ลัทธิบูชาไฟ ปู้หง ก็ยังคงเป็นตัวตนอันน่าเกรงขามและมีพลังฝีมืออันร้ายกาจดุจเดิม


 


ทว่าวันนี้อยู่ๆปู้หงก็หวีดร้องคำรามออกมาเสียงหลงลั่นฟ้า ถึงขั้นทำให้ศิษย์ที่อาศัยในเกาะลอยข้างๆแตกตื่นกันใหญ่


 


“เกิดอันใดขึ้นกับศิษย์พี่ปู้หงกัน…ไฉนข้าฟังแล้วน้ำเสียงศิษย์พี่ถึงได้ปวดร้าวเช่นนั้น”


 


“ข้ามิรู้…ตั้งแต่วันที่ศิษย์พี่ปู้หงพ่ายแพ้ต้วนหลิงเทียน ข้าไม่เห็นศิษย์พี่ออกจากเกาะมาก่อน วันนี้นับว่าศิษย์พี่มีความเคลื่อนไหวครั้งแรกในรอบหลายวัน แต่ไม่คิดเลยว่าจะหวีดร้องออกมาดังลั่นอย่างเมื่อครู่…”


 


“ฟังจากเสียงแล้วคล้ายไม่อาจยอมรับความจริงได้…หรือยังไม่อาจปล่อยวางเรื่องที่พ่ายแพ้ต้วนหลิงเทียนได้กัน?”


 


“อาจเป็นได้…ถูกต้วนหลิงเทียนจัดการในชั่วพริบตาเช่นนั้น เห็นทีศิษย์พี่ปู้หงคงมิอาจลบเลือนเงาในใจได้โดยง่าย”


 


……


 


เหล่าศิษย์ที่แท้จริงสนทนากันเซ็งแซ่ ทั้งหมดล้วนคาดเดากันไปเรื่อยว่าไฉนปู้หงจึงหวีดร้องเสียงหลงเช่นนั้น ต่างยังคิดไปในทำนองเดียวกันว่า…มันไม่อาจรับความจริงที่แพ้ให้ต้วนหลิงเทียนได้


 


อย่างไรก็ตาม ที่แท้เรื่องมันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)