War sovereign Soaring The Heavens 2087-2093

 ตอนที่ 2,087 : แจ้งข่าว


 


ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซวียนเต๋าแห่งนี้ก็แบ่งออกเป็นภาคต่างๆ


 


ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคกลาง


 


ในบรรดาทั้งหมด ภาคเหนือจะมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี ด้วยความที่มีชีพจรเซียนน้อยนิด ทำให้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะแย่มาก เป็นสถานที่อันล้าหลังถึงขั้นนกยังไม่อยากแวะเวียนไปขับถ่าย จึงมีขุมพลังแค่ไม่กี่ขุมตั้งฐานที่มั่นอยู่ในภาคนี้


 


และตอนนี้ฐานที่มั่นชั่วคราวของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ ก็ตั้งอยู่ในภาคเหนือนี่เอง


 


ส่วนภาคใต้นั้น เรียกอีกอย่างว่า ดินแดนอันป่าเถื่อน! เพียงฟังดูก็รู้แล้วว่าผู้คนในภาคนี้ไม่เพียงแข็งแกร่งแต่ยังดุร้ายนัก!


 


1 ใน 3 ลัทธิอันเป็นมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ‘ลัทธิชะตาฟ้า’ ก็ตั้งอยู่ที่ภาคใต้แห่งนี้เช่นกัน ยังเป็นศูนย์รวมความศรัทธาของผู้คนในภาคใต้ ดุจเดียวกับลัทธิบูชาไฟที่เป็นจุดศูนยืรวมความศรัทธาของภาคตะวันตก


 


เช่นนั้นภาคตะวันตกก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก


 


สำหรับภาคตะวันออกนั้น ทรัพยากรบ่มเพาะรวมถึงสายแร่หินเซียนเองแม้จะถือว่าก็ค่อนข้างน้อย แต่ยังนับว่าดีกว่าภาคเหนือมาก ทำให้มีขุมพลังชั้น 1 มาตั้งรกกรากถิ่นฐานกันเป็นจำนวนมาก และ ‘เผ่าพันธุ์มังกร’ เองก็อยู่ที่นั่นด้วย


 


ส่วนภาคกลางนั้น นับว่าเป็นภาคที่มั่งคั่งที่สุดในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเลยก็ว่าได้ เพราะมันมีชีพจรเซียน และสายแร่หินเซียนมากมายก่ายกอง


 


ในภาคกลางนั้น นอกจากจะมีลัทธิอารามทมิฬซึ่งเป็น 1 ใน 3 ลัทธิใหญ่ตั้งรกรากอยู่ ยังมีเมืองที่ดำรงมาตั้งแต่สมัยโบราณอย่าง ‘นครแห่งบาป’ ตั้งอยู่อีกด้วย


 


สำหรับการดำรงอยู่ของ นครแห่งบาปนั้น กระทั่งลัทธิอารามทมิฬเองยังต้องกริ่งเกรงอยู่ 3 ส่วน!


 


นครแห่งบาปไม่ใช่ขุมกำลังอันใด หากแต่เป็นแหล่งรวมผู้ฝึกตนพเนจรจากทุกทั่วสารทิศ


 


อย่างไรก็ตามหากมีขุมพลังใดคิดจู่โจมยึดครองนครแห่งบาป เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายจะละวางความขัดแย้งส่วนตัว ผนึกกำลังกันเหนียวแน่นดั่งเกลียวเชือกต่อต้านผู้รุกรานอย่างดุดัน!


 


‘นครแห่งบาป…ที่แท้มันมีเสน่ห์อะไรกันแน่ ถึงได้ดึงดูดผู้ฝึกตนพเนจรทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าให้ไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น?’


 


ในขณะที่เหินร่างมุ่งหน้าสู่ภาคกลางด้วยความเร็วสูงสุด ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย


 


ว่าเมืองที่ดึงดูดผู้ฝึกตนพเนจรจากทุกทั่วสารทิศนั้น ที่แท้เป็นเมืองแบบไหนกันแน่


 


ร่างต้วนหลิงเทียนที่เหินข้ามฟ้า ได้บินผ่านขุนเขาสูงชันทั้งลำน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลมากมาย ยังมีที่ราบและทะเลทรายอันสุดลูกหูลูกตา และในที่สุดก็เริ่มเข้าสู่ภาคกลางของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


‘นครแห่งบาปตั้งอยู่บริเวณใจกลางของภาคกลางสินะ…’


 


นี่คือข้อมูลที่ต้วนหลิงเทียนได้รับมาจากหวังยี่ฝัวและคุณหนูใหญ่ชิวมู่ชิงแห่งเมืองคงหมิงกล่าวบอก เช่นนั้นหลังจากเข้าสู่ภาคกลางแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางด้วยความเร็วสูงสุดทันที


 


มุ่งหน้าสู่ใจกลางของภาคกลาง ไปให้ถึงนครแห่งบาป!


 



 


ณ ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ตำหนักเมฆาคราม


 


วูบ!


 


ปรากฏร่างหนึ่งเหินข้ามฟ้ามาด้วยความเร็วสูง ไม่นานก็ล่วงล้ำเข้าสู่น่านฟ้าทะเลสาบผานหลง อาณาเขตของตำหนักเมฆาคราม


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 



 


ร่างผู้มาเยือนล่วงล้ำเข้ามาในเขตทะเลสาบผานหลงได้ไม่ทันไร ผิวทะเลสาบอันเงียบสงบก็กระเพื่อมสั่นไหวอย่างแรง ปรากฏร่าง 10 ร่าง พุ่งกรูเข้ามาจากต่างทิศทาง พริบตาก็ปิดล้อมผู้มาเยือนเอาไว้


 


“เป็นผู้ใดหาญกล้าบุกรุกเขตตำหนักเมฆาคราม!!”


 


ร่างทั้ง 10 ที่พุ่งมาจากทุกสารทิศในทะเลสาบผานหลง ล้วนมาในชุดเกราะสีดำสนิทแลดูดุดันเหี้ยมหาญ!


 


ส่วนคนที่พวกมันปิดล้อมก็คือสตรีนางหนึ่งในชุดรัดรูปเผยทรวดทรงองค์เอวอันเย้ายวนสมส่วนได้รูป นอกจากนั้นรูปโฉมของนางยังน่าชมมองปานเทพผู้สร้างได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้นางเอาไว้…


 


ใบหน้าปานนางฟ้า รูปร่างปานปีศาจ


 


เพียง 10 คำก็มากพอจะบรรยายความสมบูรณ์ของสตรีนางนี้


 


“นี่หรือองครักษ์เกราะทมิฬของตำหนักเมฆาคราม?”


 


เผชิญหน้ากับร่างทั้ง 10 ที่ปิดล้อมอยู่ สตรีงดงามหมดจดเพียงบ่นพึมพำกับตัวเบาๆ ค่อยกล่าวออกมาตรงๆ “ข้าเป็นสหายกับต้วนหลิงเทียนนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ส่วนข้าเรียกว่าหวางเฟยเซวียนมาจากคฤหาสน์ดาบทรราช”


 


ฟังจากที่สตรีนางนี้กล่าว ที่แท้นางก็คือหวางเฟยเซวียน ที่ต้วนหลิงเทียนได้รู้จักครั้งยังอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


ยังเป็นหนึ่งในสหายที่ต้วนหลิงเทียนมีอยู่เพียงไม่กี่คนในตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


“สหายของนายน้อยหรือ?”


 


ได้ยินวาจาของหวางเฟยเซวียนแววตาคมกล้าดุดันขององครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 10 ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ขณะเดียวกัน 1 ในนั้นก็เร่งเหินร่างไปยังตำหนักหลักเพื่อรายงานเรื่องราวทันที


 


“หวางเฟยเซวียน?”


 


จ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิง ไม่นานก็ได้รับรายงานว่ามีสตรีนางหนึ่งมาอ้างตัวว่าเป็นสหายของบุตรชายมันอยู่ด้านนอก แต่มันก็แปลกใจไม่น้อย เพราะมันไม่เคยได้ยินนามหวางเฟยเซวียนมาก่อนเลย…


 


แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่มันจะไม่อาจล่วงรู้ชื่อสหายของบุตรชายตัวเองได้ทุกคน


 


“เฟยเอ๋อเจ้าเคยได้ยินเทียนเอ๋อเล่าถึงสตรีนามหวางเฟยเซวียนบ้างหรือไม่?”


 


ครู่ต่อมาต้วนหรูเฟิงก็เลือกที่จะมาถามจาก ลี่เฟย ลูกสะใภ้ของมัน ที่ตอนนี้ได้พาต้วนเนี่ยนเทียนหลานชายตัวน้อยมาเล่นกับลี่หลัวภรรยามัน


 


“หวางเฟยเซวียนหรือ…หากข้าจำมิผิด ดูเหมือนนางจักเป็นสหายของตัวเลวร้ายยามอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ”


 


พอได้ยินชื่อนี้ลี่เฟยก็ตกใจจนเหม่อไปเล็กน้อยค่อยคืนสติ ครู่ต่อมาลึกลงไปในแววตางามดั่งสารทฤดูก็ฉายความซับซ้อนออกมาประการหนึ่ง


 


นางย่อมเคยได้ยินบุรุษของนางกล่าวถึงหวางเฟยเซวียนมาก่อน


 


ทว่าแม้บุรุษของนางจะไม่ได้กล่าวถึงนางมากมาย แต่ด้วยสัญชาตญาณของสตรีไหนเลยนางจะไม่รู้ว่าสตรีในตำหนักฟ้าลี้ลับคนนั้นที่เรียกว่า หวางเฟยเซวียน ตกหลุมรักบุรุษของนาง


 


“ท่าทางนางจะเป็นสหายของเทียนเอ๋อจริงๆ…เฟยเอ๋อในเมื่อเจ้ารู้จักนาง เช่นนั้นก็ไปทักทายนางกับข้าเถอะ”


 


ต้วนหรูเฟิงกล่าว


 


“ท่านปู่ข้าไปด้วยคนนะ!”


 


ตอนนี้เองต้วนเนี่ยนเทียนที่วิ่งหลุนๆไปมาอยู่ไม่ไกล ก็แจ้นมากล่าวกับต้วนหรูเฟิงด้วยสองตากลมใสไร้เดียงสา


 


“ท่านย่าก็ไปด้วยกัน”


 


หลังจากนั้นต้วนเนี่ยนเทียนก็หันไปอ้อนลี่หลัวก่อนที่จะใช้มือน้อยๆดึงมือลี่หลัวเอาไว้


 


“ได้ๆ…ย่าไปเล่นกับเนี่ยนเอ๋อ”


 


ลี่หลัวลูบหัวหลานชายตัวน้อยอย่างเอ็นดู ค่อยตอบตกลง


 


“เอาล่ะวันนี้ปู่เชื่อฟังเนี่ยนเทียน…พวกเราไปด้วยกันหมดนี่เลย”


 


ต้วนหรูเฟิงยิ้มกล่าวตอบรับหลานชายตัวน้อย


 


หลังจากนั้นต้วนหรูเฟิงก็สะบัดมือคราหนึ่ง ปรากฏพลังไร้สภาพโอบอุ้มร่างทุกคน พาทั้งหมดเหินลอยออกจากตำหนักหลักของตำหนักเมฆาครามพุ่งแหวกหมู่เมฆลงไปราวกับดำทะเลหมอก


 


จากนั้นไม่นานต้วนหรูเฟิงก็พาทั้งหมดมาถึงริมทะเลสาบผานหลงด้านล่าง


 


“คารวะท่านจ้าวตำหนัก!!”


 


“คารวะฮูหยินจ้าวตำหนัก!!”


 


“คารวะนายหญิงน้อย!!”


ทันทีที่ร่างต้วนหรูเฟิง ลี่เฟยแม่ลูก และลี่หลัวปรากฏตัวขึ้นในอากาศว่างเปล่าที่ริมทะเลสาบผานหลง  เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬ 9 คนที่รั้งรออยู่ก็เร่งคารวะทักทายทำความเคารพต้วนหรูเฟิง ลี่หลัว และลี่เฟยทันที


 


ลี่หลัวเป็นภรรยาต้วนหรูเฟิงเช่นนั้นองครักษ์เกราะทมิฬจึงเรียกว่าฮูหยินจ้าวตำหนัก


 


สำหรับลี่เฟยในฐานะภรรยาของนายน้อยตำหนักเมฆาคราม พวกมันจึงเรียกว่านายหญิงน้อย


 


‘ท่านจ้าวตำหนัก ฮูหยินจ้าวตำหนัก แล้วก็นายหญิงน้อยหรือ?’ ได้ยินคำขององครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ที่ล้อมนางอยู่ หวางเฟยเซวียนก็หันไปมองสำรวจต้วนหรูเฟิง กับลี่หลัวทันที เร่งประสานมือกล่าวทักออกไปอย่างนอบน้อม “หวางเฟยเซวียนขอคารวะท่านจ้าวตำหนักต้วนกับฮูหยินจ้าวตำหนักต้วน”


 


เมื่อคารวะทักทายต้วนหรูเฟิงกับภรรยาต้วนหรูเฟิงแล้ว สายตาของหวางเฟยเซวียนก็เบนไปตกยังร่างลี่เฟยที่อยู่ข้างๆลี่หลัวอย่างไม่รู้ตัว


 


และตอนนี้ลี่เฟยกำลังจูงมือต้วนเนี่ยนเทียนบุตรชายของนางอยู่ ด้านต้วนเนี่ยนเทียนก็กำลังใช้สองตากลมโตมองนางขึ้นๆลงๆตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายรอบค่อยเอียงคอกระพริบตาปริบๆ เด็กน้อยกำลังงุนงงด้วยไม่ทราบว่าน้าหญิงเบื้องหน้าผู้นี้ที่แท้เป็นใคร?


 


“แม่หนูเฟยเซวียนไม่ต้องมากพิธี”


 


ต้วนหรูเฟิงยิ้มกล่าว “ฟังจากที่ลูกสะใภ้ข้าบอก เจ้าคือสหายของเทียนเอ๋อที่ตำหนักฟ้าลี้ลับหรือ…เอาล่ะที่นี่คงไม่เหมาะที่พวกเราจะสนทนากัน เจ้าตามข้าไปที่ตำหนักหลักเพื่อนั่งสนทนากันดีหรือไม่?”


 


กล่าวทักทายเล็กน้อยต้วนหรูเฟิงก็ถามหวางเฟยเซวียนอย่างใจดี


 


“ดียิ่ง”


 


หวางเฟยเซวียนแต่เดิมก็เป็นสตรีดุดันห้าวหาญตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ย่อมเห็นด้วยทันที


 


เมื่อหวางเฟยเซวียนพยักหน้าตอบคำ ต้วนหรูเฟิงพลันโบกมืออีกครั้ง ร่างของทุกคนก็อันตรธานหายไปจากริมทะเลสาบผานหลงทันที


 


อย่างไรก็ตามครั้งนี้มีหวางเฟยเซวียนเพิ่มมาอีกคน


 


เมื่อต้วนหรูเฟิงปรากฏตัวอีกครั้งทั้งหมดก็บรรลุถึงห้องโถงใหญ่ของตำหนักหลักแล้ว ด้วยความใหญ่โตโอ่อ่าของห้องโถงหลักตำหนักเมฆาครามทำให้หวางเฟยเซวียนเหม่อมองชมดูรอบๆอย่างละลานตาพักหนึ่ง


 


หลังหวางเฟยเซวียนคล้ายดึงสติกกลับมาได้ ต้วนหรูเฟิงที่แลเห็นก็ยิ้มอย่างใจดี ค่อยกล่าวแนะนำตัวทุกคนให้หวางเฟยเซวียนรู้จัก


 


‘นี่คือภรรยากับลูกชายของเขาหรือ…’


 


ถึงแม้ว่านางจะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่พอต้วนหรูเฟิงกล่าวแนะนีลี่เฟยพร้อมหลานชายตัวน้อย หวางเฟยเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่อยู่ในใจ


 


อย่างไรก็ตามผิวเผินคล้ายนางไมย่เป็นอะไร ยังเร่งทักทายลี่เฟยอย่างสุภาพ


 


ลี่เฟยเองก็ทักทายหวางเฟยเซวียนกลับอย่างมีมารยาท ไม่ได้ตั้งแง่อะไร


 


สำหรับนางแล้ว สหายของบุรุษนางก็เป็นดั่งสหายของนางเช่นกัน


 


‘ตายแล้ว…ท่าทางหัวใจของสาวน้อยนางนี้จะถูกเทียนเอ๋อช่วงชิงไปแล้วอีกคน…เทียนเอ๋อนี่ก็จริงๆเลยเชียว ปี้เหยากกับหลันเอ๋ออยู่ที่บ้านแท้ๆยังมิอาจจัดการให้ดีได้…ตอนนี้ไฉนประพฤตตัวดั่งอันธพาลน้อยเที่ยวเด็ดดอกไม้ริมทางไปทั่วเล่า ถึงกับล่อลวงสาวน้อยน่ารักเช่นนี้มาอีกคน?’


 


ลี่หลัวที่เป็นสตรีไหนเลยจะสัมผัสถึงอารมณ์ผันผวนสับสนปนเปของหวางเฟยเซวียน ยามได้ยินต้วนหรูเฟิงแนะนำว่าลี่เฟยเป็นภรรยาของบุตรชายตัวเองไม่ได้


 


ในฐานะสตรีแล้ว นางมั่นใจได้ทันที


 


สตรีนามหวางเฟยเซวียนคนนี้มีใจให้บุตรชายนางสิบส่วนเต็ม!


 


ด้วยเหตุนี้นางจึงอดทอดถอนขึ้นมาในใจเสียไม่ได้


 


หากเป็นกาลก่อนลี่หลัวย่อมอยากให้บุตรชายของตัวเองมีลูกสะใภ้เยอะๆนางจะได้มีหลานตัวน้อยมากมาย หาไม่แล้วนางคงไม่พาองค์หญิงปี้เหยากับเซี่ยวหลันติดสอยห้อยตามมาด้วยแบบนี้…


 


อนิจจาตอนนี้นางไม่กล้าคิดแบบนั้นแล้ว


 


นางยังรู้สึกเสียใจด้วยซ้ำที่พาองค์หญิงปี้เหยากับเซี่ยวหลันมาด้วยแบบนี้ ครั้งนั้นนางนับว่าเลินเล่อกระทำไปโดยไม่ทันไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้วจริงๆ กลับทำให้สตรีสองนางต้องมาติดบ่วงรักอยู่ที่นี่…


 


เพราะตัดสินจากสถานการณ์ในปัจจุบัน บุตรชายของนางจะยอมรับสตรีทั้งสองหรือไม่ก็ยังคงเป็นคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบแน่ชัด…


 


ทว่าตอนนี้เรื่ององค์หญิงปี้เหยากับเซียนหลันยังไม่ทันได้กระจ่าง กลับมีสาวน้อยน่ารักมาเพิ่มอีกคน! ตอนนี้นางถึงกับอื้ออึงจนรับมือไม่ทันบ้างแล้ว!!


 


“แม่หนูเฟยเซวียนหากเจ้ามานี่เพื่อตามหาเทียนเอ๋อลูกชายข้าเกรงว่าเจ้าจักต้องผิดหวังแล้ว…เพราะตอนนี้เทียนเอ๋อไม่ได้อยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างอีกต่อไป…”


 


ต้วนหรูเฟิงกล่าวบอกหวางเฟยเซวียน


 


“ข้าทราบเรื่องนี้ดี”


 


หวางเฟยเซวียนพยักหน้ารับคำ ค่อยพูดต่อ “ครั้งนี้ที่ข้ามามิได้มาหาเขา ทว่าข้าคิดมาแจ้งเรื่องราวบางอย่างให้ท่านจ้าวตำหนักต้วนทราบ…”


 


กล่าวถึงจุดนี้หวางเฟยเซวียนก็หยุดลงครู่หนึ่ง และทันใดนั้นแววตาของนางก็ฉายความหวาดกลัวออกมาให้เห็นชัด ราวกับนางกำลังนึกถึงเรื่องราวอันน่าหวาดกลัวบางอย่าง


 


“มีเรื่องใดหรือ?”


 


ต้วนหรูเฟิงที่สังเกตเห็นความหวาดกลัวของนางก็หยีตาลงทันใด


 


“ท่านจ้าวตำหนักต้วน…ยามนี้ตำหนักฟ้าลี้ลับได้ล่มสลายลงแล้ว อีกทั้งบ้านของข้าคฤหาสน์ดาบทรราชเองก็ถูกทำลายไปแล้วเช่นกัน…”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ยังแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว แววตายิ่งมายิ่งผวาหวาด


 


“เป็นสัตว์ประหลาด…มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นวัว”


 


“ทั่วร่างมันเอ่อล้นไปด้วยไอมารอันบริสุทธิ์นัก…ความแข็งแกร่งของมันเป็นอันใดที่ร้ายกาจยิ่ง กระทั่งจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ…ยะ..ยังมิอาจต้านทานรับมือมันได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว! สุดท้ายก็ถูกมันฆ่ากลืนกินพลังตกตายกลายเป็นซากศพแห้งกรัง!!”


ตอนที่ 2,088 : เผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า!


 


“จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับถึงกับตกตายในกระบวนท่าเดียวหรือ?”


 


ได้ยินคำของหวางเฟยเซวียนลี่หลัวกับลี่เฟยอดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


โดยเฉพาะลี่หลัว


 


ในฐานะภรรยาของต้วนหรูเฟิงจ้าวตำหนักเมฆาคราม นางย่อมเป็นคนที่อยู่กับต้วนหรูเฟิงมากกว่าใคร จึงเป็นธรรมดาที่จะได้รับทราบเรื่องราวในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามามากมาย


 


นอกจากนั้นยังมีความเข้าใจในขุมพลังต่างๆของภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ดี


 


และเท่าที่นางทราบ


 


ถึงแม้พลังฝีมือของจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับจะไม่อาจเทียบได้กับสามีของนาง แต่นางก็ไม่กล้าพูดว่าสามีนางจะร้ายกาจถึงขั้นสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ในกระบวนท่าเดียว หากยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนนภา!


 


ทว่าตอนนี้หวางเฟยเซวียนพึ่งบอกว่า…


 


มีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งสามารถสังหารจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับได้ในกระบวนท่าเดียว


 


หากเป็นเช่นนั้นจริง…


 


แล้วสัตว์ประหลาดตัวนั้นมันมีพลังมากขนาดไหน?


 


สำหรับต้วนเนี่ยนเทียนเนื่องจากยังเด็กแน่นอนว่าไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียวว่าหวางเฟยเซวียนกำลังพูดถึงเรื่องอะไร


 


ส่วนต้วนหรูเฟิงนั้นไม่ได้แปลกใจอะไรกับเรื่องที่หวางเฟยเซวียนเล่า หากทว่าใบหน้าเผยความอึมครึมทันที “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีปีศาจวัวแค่ตัวเดียวที่บุกเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง…”


 


สิ่งที่ต้วนหรูเฟิงกังวลในที่สุดก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ


 


ตอนแรกที่ปีศาจวัวบุกเข้ามาในตำหนักเมฆาครามนั้น แม้ต้วนหรูเฟิงจะฆ่ามันได้แต่ไม่เพียงจะไม่ดีใจ ยังเป็นกังวลไม่น้อย


 


เพราะสุดท้ายแล้วการปรากฏกตัวของปีศาจวัวในภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแบบนี้ ก็ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย…


 


ต้องทราบด้วยว่าปีศาจวัวนั้น คือตัวตนที่สมควรมีอยู่แต่ในแดนเนรเทศเท่านั้น!


 


ทว่าตอนนี้มันกลับมาปรากฏในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำแพงมิติกันแดนระหว่างแดนเนรเทศกับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างกำลังมีปัญหาแล้ว!


 


กำแพงมิติสมควรบังเกิดรอยรั่ว! และปีศาจวัวก็ได้ค้นพบรอยรั่วดังกล่าว! เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ 2 ประการ ก็คือ…หากปีศาจวัวตัวที่แล้วไม่ได้ผ่านรอยรั่วนั่นมาโดยบังเอิญ…


 


ก็มีแนวโน้มสูงนักว่าปีศาจวัวทั้งเผ่าได้ค้นพบรอยรั่วนั่นแล้ว! และอีกไม่นานไม่ใช่แค่ปีศาจวัวแต่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศก็จะแห่กันเข้ามา!!


 


หากเป็นอย่างหลังล่ะก็


 


น่ากลัวดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะต้องหวนกลับไปสู่ยุคมนุษย์ปีศาจอีกครั้ง ผู้คนไม่พ้นล้มตายเป็นผักปลา! ความตายระบาดไปทั่วทุกแห่งหน!!


 


“ปีศาจวัว?”


 


แม้เสียงกล่าวพึมพำของต้วนหรูเฟิงจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ลี่หลัวและคนอื่นๆก็ยังได้ยิน ทั้งหมดหันมองไปยังต้วนหรูเฟิงเป็นสายตาเดียวกัน


 


เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของทุกคนที่ได้ยินคำว่า ปีศาจวัว


 


“ท่านปู่ ปีศาจวัวเป็นตัวอะไรหรือ?”


 


ต้วนเนี่ยนเทียนที่ได้ยินเสียงพึมพำของต้วนหรูเฟิงเช่นกัน จึงกล่าวถามออกมาด้วยสองตาใสแป๋ว เต็มไปด้วยความอยากรู้ของเด็กน้อยนัก


 


“เฟยเอ๋อเจ้าพาเนี่ยนเทียนกลับไปพักก่อน…ถึงเวลาที่ข้าจะเล่าเรื่องบางอย่างให้พวกเจ้าฟังแล้ว แต่ข้าจะเล่ามันให้ลี่หลัวฟังก่อนแล้วค่อยให้นางเล่าให้เจ้าฟังทีหลัง ”


 


ตอนนี้เองต้วนหรูเฟิงพลันส่งเสียงผ่านพลังไปหาลี่เฟย เพื่อให้ลี่เฟยพาต้วนเนี่ยนเทียนกลับไป


 


ในวาจาที่ส่งมาก็เผยเรื่องหนึ่งให้เห็นชัด


 


เรื่องที่ต้วนหรูเฟิงกำลังจะเล่านั้น เป็นอะไรที่ไม่อยากให้ต้วนเนี่ยนเทียนรับรู้


 


ถึงแม้ไม่ทราบว่านี่มันเรื่องราวอะไร แต่ลี่เฟยย่อมสัมผัสได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงต้วนหรูเฟิง แม้นางจะอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย แต่ก็เข้าใจว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม จึงอุ้มลูกจากไปทันที


 


ครู่ต่อมาห้องโถงหลักอันกว้างใหญ่ของตำหนักเมฆาครามก็เหลือเพียงต้วนหรูเฟิง ลี่หลัวและหวางเหฟยเซวียน


 


“พี่เฟิง ท่านให้เสี่ยวเฟยพาเนี่ยนเอ๋อออกไปงั้นหรือ?”


 


ลี่หลัวกล่าวถาม


 


ในฐานะภรรยาของต้วนหรูเฟิง บวกกับการกระทำเมื่อครู่ของลี่เฟยนางย่อมคาดเดาเรื่องราวได้ง่ายดาย


 


คือสามีนางมีเรื่องสำคัญจะกล่าว และไม่อยากให้หลานชายตัวน้อยได้ยิน


 


“อืม”


 


ต้วนหรูเฟิงพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวออกเสียงขรึม “เนี่ยนเอ๋อยังเล็กเกินไป ข้ามิอยากให้หลานต้องมารับรู้เรื่องราวพวกนี้ และต้องใช้ชีวิตหลังจากนี้ต่อไปด้วยความหวาดกลัว…”


 


ปีศาจวัวนั้นเกี่ยวพันถึงแดนเนรเทศ และการกลับมาของยุคมนุษย์ปีศาจในอดีตกาล


 


นึกภาพออกได้เลย


 


หากหลานชายตัวน้อยล่วงรู้ว่า ในอดีตเคยมีประวัติศาสตร์อันมืดดำที่มนุษย์ทุกคนต้องอยู่กันอย่างหวาดกลัว ในใจย่อมบังเกิดเงาแน่นอน ซึ่งนั่นจะส่งผลต่อการเติบโตหลังจากนี้ และไม่มีประโยชน์อะไรเลย


 


หลังได้ยินคำของต้วนหรูเฟิง ลี่หลัวก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง “พี่เฟิงอย่าได้ทำให้ข้าตกใจกลัวแล้ว…ที่แท้นี่เป็นเรื่องราวใดกันแน่?”


 


ลี่หลัวย่อมรู้จักสามีของนางดี อีกฝ่ายคงไม่ชักหน้าเคร่งถึงขนาดนี้ต่อหน้านางหากไม่มีเรื่องคอขาดบาดตาย


 


ด้วยเหตุนี้นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงขรึมของสามี


 


“ปีศาจวัวที่ข้าพึ่งกล่าวถึงนั่น…มันมาจากแดนเนรเทศ”


 


เมื่อต้องเผชิญกับคำถามของลี่หลัวและสายตาเปี่ยมสงสัยของหวางเฟยเซวียน ในที่สุดต้วนหรูเฟิงก็เลือกที่จะเล่าเรื่องราวออกมา ต้นกำเนิดของปีศาจวัวถูกเล่าให้สตรีทั้ง 2 ฟัง เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน ยังกล่าวถึงยุคมนุษย์ปีศาจเมื่อหลายแสนปีก่อน


 


ทันทีที่ได้รับรู้ ไม่ว่าจะลี่หลัวหรือหวางเฟยเซวียนก็หน้าเสียไปด้วยความตกใจ


 


ในยุคมนุษย์ปีศาจนั้น เหล่าปีศาจกับมนุษย์ได้เข่นฆ่ากัน เป็นมหาสงครามระหว่าง 2 เผ่าพันธุ์


 


มนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกฆ่าตายกลายเป็นซากศพแห้งกรัง


 


นอกจากเหล่าชนชั้นยอดฝีมือที่สามารถเอาตัวรอดมาได้ เหล่าผู้ฝึกตนที่รอดมาได้ก็ต้องกระเสือกกระสนแทบตาย ยังมีไม่น้อยที่กลายเป็นผู้ฝึกมารเพื่อแสวงหาพลังอย่างสิ้นทาง


 


เรียกว่าในยุคนั้นทุกทั่วหัวระแหงเต็มไปด้วยความโกลาหล เป็นห้วงกลียุคแห่งความตายอย่างแท้จริง กระทั่งผู้คนในทวีปมนุษย์อันห่างไกลยังไม่อาจอยู่ได้อย่างสงบ


 


“ปีศาจวัว…เผ่าพันธุ์ปีศาจ?”


 


“แดนเนรเทศ?”


 


หลังได้ล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของแดนเนรเทศและเผ่าพันธุ์ปีศาจรวมถึงพลังของพวกมัน ลี่หลัวกับหวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะหวาดกกลัว


 


“แม่หนูเฟยเซวียน เจ้ายังพอจดจำได้หรือไม่ว่าปีศาจวัวตัวที่บุกไปตำหนักฟ้าลี้ลับวันนั้น…มันสูงเท่าใด?”


 


ทันใดนั้นเองต้วนหรูเฟิงพลันหันไปมองถามหวางเฟยเซวียน


 


ได้ยินคำถามของต้วนหรูเฟิง หวางเฟยเซวียนที่จมจ่อมอยู่ในความคิดก็กลับมารู้สึกตัว หน้าที่ซีดเซียวเริ่มหวนกลับมามีสีเลือด ไม่นานแก้มงามหวนกลับมามีสีคล้ายดอกกุหลาบ


 


สองคิ้วหวางเฟยเซวียนพลันขมวดเป็นปม แววตาเลื่อนลอยคล้ายครุ่นคิด


 


“ดูเหมือนว่ามันจะสูงกว่า 4 หมี่…ทว่ายังไม่ถึง 5 หมี่”


 


หลังจากนึกทบทวนเรื่องราวพักหนึ่ง ในที่สุดหวางเฟยเซวียนก็กล่าวตอบต้วนหรูเฟิงออกมา


 


“หมายความว่าพลังฝีมือของปีศาจวัวที่บุกไปตำหนักฟ้าลี้ลับ ก็พอๆกับปีศาจวัวที่บุกเข้ามาในตำหนักเมฆาครามของข้าวันนั้น…”


 


ต้วนหรูเฟิงพยักหน้ารับ กล่าวออกมาเสียงเรียบด้วยสายตาเหม่อลอย ครู่ต่อมาสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังอีกครั้ง


 


“อะไร บุกเข้ามาในตำหนักเมฆาครามวันนั้น?”


 


ทว่าไม่ทันที่ต้วนหรูเฟิงจะได้กล่าวอะไรต่อ เป็นลี่หลัวที่โพล่งถามออกมาด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าทาทับไปด้วยความกังวล “พี่เฟิงมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน ไฉนท่านถึงไม่บอกข้า?”


 


เห็นได้ชัดว่าลี่หลัวไม่รู้เรื่องที่ปีศาจวัวบุกกเข้ามาในตำหนักเมฆาครามเลย


 


“ก็เพราะข้ากลัวเจ้าเป็นห่วง ข้าเลยไม่ได้กล่าวบอกอะไรเจ้า…”


 


ต้วนหรูเฟิงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “นอกจากนั้นข้าก็ฆ่ามันไปแล้ว”


 


“ฆ่ามันไปแล้ว?”


 


ทันทีที่ต้วนหรูเฟิงกล่าวคำนี้ออกมา ลี่หลัวกับหวางเฟยเซวียนที่ได้ยินก็ตกตะลึงไปทันที


 


ปีศาจวัวนั่น มันร้ายกาจถึงขั้นสามารถฆ่าจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับได้ในกระบวนท่าเดียว…


 


ทว่าเมื่อบุกมาที่ตำหนักเมฆาครามกลับถูกต้วนหรูเฟิงฆ่าตาย


 


“ในเผ่าพันธุ์ปีศาจวัว พลังความแข็งแกร่งของพวกมันจะสามารถประเมินคร่าวๆได้จากความสูง…อีกทั้งในเผ่าพันธ์ปีศาจวัวยังมีปีศาจวัวเป็นจำนวนมากที่มีพลังร้ายกาจกว่าปีศาจวัวตัวที่บุกไปยังตำหนักฟ้าลี้ลับและตัวที่บุกเข้ามาตำหนักเมฆาครามของเรา…”


 


ต้วนหรูเฟิงกล่าวออกเสียงขรึม


 


“ตอนแรกข้ายังสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าปีศาจวัวตัวที่บุกมายังตำหนักเมฆาคราม ใช่ปีศาจวัวที่บังเอิญหลุดมาจากแดนเนรเทศเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างแค่ตัวเดียวหรือไม่…ทว่ามาตอนนี้ดูเหมือนมันจะมีมากกว่าหนึ่งตัวจริงๆ!”


 


ต้วนหรูเฟิงกล่าว ใบหน้ายังฉายชัดถึงความหวาดกลัว “ข้าฆ่าตัวที่บุกตำหนักเมฆาครามไปหนึ่ง มีไปโผล่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับอีกหนึ่ง…ข้ากลัวว่าจะมีที่อื่นด้วย”


 


ยิ่งมาสีหน้าต้วนหรูเฟิงก็ฉายความหวาดกกลัวออกชัด


 


ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหรูเฟิงกล่าวเล่าถึงปีศาจวัว และเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศ รวมไปถึงยุคมนุษย์ปีศาจ รวมถึงการคาดเดาสถานการณ์ในปัจจุบันให้ลี่หลัวและหวางเฟยเซวียนฟังนั้น…


 


ณ ภาคตะวันตกของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน


 


มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าในภาคตะวันตกนอกเหนือจาก 1 ใน 3 มหาอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างลัทธิบูชาไฟ ยังมีขุมพลังอีกหนึ่งขุมที่แม้แต่ลัทธิบูชาไฟยังต้องหวั่นเกรงดำรงอยู่


 


ขุมพลังที่ว่าคือ เผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า!


 


เผ่าพันธุ์หงส์ฟ้านั้น กล่าวไปเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความลึกลับยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์มังกรเสียอีก


 


สาเหตุที่ไฉนเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าถึงได้ลึกลับนั้น เหตุเพราะกฏที่เผ่าพันธุ์หงส์ฟ้ากำหนดขึ้นไว้ในอดีต


 


คนของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้ามิได้รับอนุญาตให้ออกไปจากเผ่าพันธุ์เด็ดขาด ผู้ใดที่ออกจากเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เพียงแต่จะถูกขับออกจากเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าเท่านั้น ยังจะถูกเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าตามล่าอีกด้วย!


 


ด้วยเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้ามีกฏอันเข้มงวดแบบนี้ แม้คนของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าคิดออกไปชมดูโลกภายนอก ก็ทำไม่ได้


 


แต่ดั่งคำกล่าวที่ว่า


 


หงส์ฟ้าไม่อาศัยอยู่ในแดนไร้สมบัติ


 


สถานที่ตั้งของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้านั้น ตั้งอยู่ในทางตอนเหนือของภาคตะวันตก สถานที่แห่งนี้ประหนึ่งแดนสวรรค์ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์


 


และเหตุผลเดียวที่เผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าเลือกสถานที่แห่งนี้ในการตั้งรกราก เหตุผลก็ดุจเดียวกันกับลัทธิบูชาไฟ…มีสายแร่หินเซียนระดับสวรรค์ดำรงอยู่!


 


แน่นอนว่ามันเล็กกว่าเหมืองหินเซียนระดับสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟอยู่บ้าง


 


ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าร่ำลือกันว่า มีสายแร่หินเซียนระดับสวรรค์ดำรงอยู่ 3 ที่เท่านั้น และทั้งหมดล้วนถูกลัทธิใหญ่ทั้ง 3 ครอบครองผูกขาด…ทว่านี่เป็นข่าวที่ 3 ลัทธิจงใจแพร่ออกมาเอง


 


พวกมันต้องการแสดงอำนาจ!


 


ไฉนเขตที่อยู่ของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้านั้นเสมือนตัดขาดจากโลกภายนอกนั้น…ล้วนเป็นเพราะว่ามันมีมหาค่ายกลจัดตั้งเอาไว้!


 


มหาค่ายกลดังกล่าวยังผสานไปด้วยค่ายกลโจมตี ค่ายกลป้องกัน ค่ายกลมายา และค่ายกลหลอนประสาทมากมาย


 


อีกทั้งหากพลังฝึกปรือไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ ยังไม่อาจมองออกได้ว่าสถานที่แห่งนี้มีมหาค่ายกลจัดตั้งเอาไว้!


 


ยิ่งไปกว่านั้นหากพลังฝึกปรือไม่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน ก็ไม่อาจต้านทานพลังจู่โจมของค่ายกลโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว


 


ทว่าวันนี้ เผ่าพันธุ์หงส์ฟ้ากลับมีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือน


 


ฮู่วว!!


 


ทันใดนั้นบังเกิดเสียงคล้ายสายลมกรรโชกแรงหอบหนึ่ง


 


ครู่ต่อมาด้านนอกม่านพลังของมหาค่ายกลคุ้มกันเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า พลันปรากฏร่างชายชราคนหนึ่ง


 


เป็นชายชราที่มีเส้นผมขนคิ้วขาวโพลน มองผิวเผินดั่งนักปราชญ์ คนลอยค้างกลางหาวดั่งเทพเซียน


 


หากหานเฉวี่ยไน่มาอยู่ที่นี่ด้วยคงจดจำชายชราคนนี้ได้ทันที


 


เพราะชายชราผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นเป็นดั่งอาจารย์ลุงของนาง และยังเป็นผู้สืบทอดของทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์รุ่นที่แล้ว!


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์…


ตอนที่ 2,089 : แม่หมอของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า


 


เขตที่ดินของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้านั้นล้วนถูกปกปิดไว้ภายใต้มหาค่ายกล โดยปกติแล้วผู้คนภายนอกไม่อาจมองเห็นสภาพการณ์หลังม่านพลังของมหาค่ายกลได้เลย แม้จะอยู่ห่างกันเพียงคืบก็ตามที


 


แน่นอนว่าเขตที่ดินหลังม่านพลังของมหาค่ายกล แม้จะดูโดดเดี่ยวแต่มันก็เป็นดั่งแดนสวรรค์โดยแท้


 


ไม่เพียงแต่แยกตัวออกจากโลกภายนอกเท่านั้น ยังมีขุนเขาลำน้ำ ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม รวมถึงป่าอันอุดมสมบูรณ์ ทัศนียภาพงดงามน่าดู ให้ความรู้สึกเสมือนได้หวนคืนสู่บ้านที่แท้จริงของทุกสรรพชีวิต…ธรรมชาติ


 


แต่แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเขตที่ดินของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าเท่านั้น


 


บริเวณสุดขอบทิศตะวันตกของเขตที่ดินหงส์ฟ้านั้น บรรยากาศบริเวณนี้เต็มไปด้วยไอร้อนลวก หากคนธรรมดาเฉียดกรายเข้ามา เกรงว่าคงจะถูกไอร้อนต้มจนสุกในเวลาไม่นาน


 


แถมยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าใดอุณหภูมิยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น


 


และส่วนที่ลุกที่สุดของสุดขอบทิศตะวันตก ปรากฏแท่นบูชาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ และใจกลางแท่นบูชาขนาดใหญ่ดังกล่าวก็มีรูปปั้นมหึมาตั้งตระหง่าน


 


หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่และได้เห็นรูปปั้นดังกล่าว เขาคงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง


 


เพราะเขาคงนึกออกได้ทันทีว่าเคยเห็นสิ่งมีชีวิตตัวนี้มาจากที่ไหน! เคยเห็นจากคัมภีร์ ‘ซานไห่’ ที่ตกทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณของประเทศเขา!!

(ซานไห่จิง = คัมภีร์ขุนเขาทะเล)


 


เป็นนกตัวหนึ่งที่แลดูคล้ายไก่ มันถูกเรียกว่าหงส์ฟ้า!


 


หงส์ฟ้านั้นเป็นคำเรียกที่บ้านเกิดเขา หากเป็นเมืองนอกมันจะถูกเรียกว่านกฟีนิกซ์ เป็นดั่งราชันแห่งมวลหมู่วิหกทั้งปวงในตำนานโบราณที่ตกทอดกันมาของบ้านเกิดต้วนหลิงเทียน


 


หงส์ฟ้านั้นปกติแล้ว ตัวผู้จะถูกเรียกว่า เฟิ่ง ส่วนตัวเมียเรียกว่า หวง หากแต่เมื่อกาลเวลาล่วงเลยมานานจึงมักเรียกรวมๆกันว่า เฟิ่งหวง


(หงส์ฟ้า = เฟิ่งหวง)


 


หงส์ฟ้าก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อเสียงไม่ต่างใดจากมังกร พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งมีชีวิตในตำนาน


 


ในบ้านเกิดของต้วนหลิงเทียนเมื่อชาติที่แล้ว ในสมัยโบราณตั้งแต่ยุคราชวงศ์ฉินจวบจนราชงศ์ฮั่น มังกร เป็นดั่งสัญลักษณ์ของฮ่องเต้เจ้าชีวิต กลับกันเฟิ่งหวงนั้นถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของหวงโฮ่ว เพราะเฟิ่งหวงนั้นได้สูญเสียอัตลักษณ์ทางเพศไปแล้ว จึงรู้กันกันแต่ในนามเฟิ่งหวงเท่านั้น


(หวงโฮ่ว = ฮองเฮา, เมียฮ่องเต้)


 


รูปปั้นที่ตั้งตระหง่านกลางแท่นบูชานั้นก็คือ เฟิ่งหวง ที่เหมือนกันกับรูปวาดหงส์ฟ้าในคัมภีร์ ‘ซ่านไห่’ นัก ทั้งตัวเป็นสีแดงเพลิง ไม่ทราบทำมาจากกวัสดุชนิดใดกันแน่ หากแต่กลับเปล่งความร้อนออกมาตลอดเวลา


 


“ตาแก่นั่นไฉนย้อนกลับมาที่นี่เร็วนัก?”


 


ด้านหน้าแท่นบูชาปรากฏร่างสตรีนางหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ ทว่าๆอยู่ๆนางก็ลืมตาขึ้นมากล่าวบ่นงึมงำ


 


ม่านตาของสตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากผู้คนทั่วไปที่มักมีสีดำ…เพราะของนางกลับเป็นสีแดงเพลิง! เพียงมองก็ทำให้รู้สึกราวกับมีเพลิงไฟแผดเผา


 


ยามเมื่อสตรีนางนี้ลุกขึ้นยืนก็เผยส่วนเว้าโค้งที่ซุกซ่อนภายใต้ชุดคลุมออกมา


 


นอกจากนี้แม้รูปโฉมนางจะไม่ได้เลิศเลอถึงขั้นไร้คู่เปรียบ แต่ก็งดงามน่าดู


 


เพียงนางยืนอยู่เฉยๆ แม้ชุดคลุมจะแลดูเรียบๆธรรมดา หากแต่ให้ความรู้สึกหรูหรามีระดับ


 


“คงจักดีหากข้าได้พบสาวน้อยนั่นรวดเร็วกว่านี้…ยังรู้สึกเสียดายทั้งใจหายมิน้อยพอคิดว่าถึงเวลาที่นางต้องจากไปแล้ว”


 


สตรีงามกล่าววบ่นพึมพำออกมา ในแววตาฉายชัดถึงความไม่เต็มใจ คล้ายไม่ค่อยอยากให้ ‘สาวน้อย’ ที่นางกล่าวถึง จากนางไปเร็วขนาดนี้


 


“ท่านแม่หมอ”


 


ทว่าทันใดนั้นเองพลันมีเสียงสตรีมากเคารพหนึ่งดังขึ้นด้านนอกเขตแท่นบูชา


 


วูบ!


 


ได้ยินเสียงเรียกดังกล่าวร่างสรีงามก็วูบหายไปจากแท่นบูชาทันที ราวกับอันตรธานหายไปในความว่างเปล่า


 


ปรากฏตัวอีกครั้งก็เป็นด้านนอกเขตแท่นบูชาเบื้องหน้าสตรีชุดเขียวนางหนึ่ง ค่อยถามออกอย่างเฉยเมย “เจ้ามีอันใดรึ?”


 


สตรีชุดเขียวเมื่อเห็นสตรีงามมาถึง ก็เร่งโค้งทำความเคารพทันที ค่อยกล่าวรายงานออกมาว่า “ท่านแม่หมอ ผู้เฒ่าพยากรณ์มาถึงแล้ว…ผู้เฒ่ากำลังรอท่านอยู่ด้านนอกเขตที่ดินเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าเรา”


 


“อืม”


 


สตรีงามพยักหน้ารับเบาๆคล้ายรู้แต่แรก “ข้ารู้แล้ว ไปบอกมันว่าอีกสักพักข้าจักพาสตรีนางนั้นออกไป”


 


สตรีในชุดเขียวไม่แปลกใจเท่าไหร่หลังได้ยินคำ ‘ข้ารู้แล้ว’ จากปากสตรีงาม ราวกับคุ้นชินมานาน!


 


นั่นเพราะสตรีเบื้องหน้าก็คือแม่หมอของเผ่าพันธุ์ แม่เฒ่าพยากรณ์แห่งเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าที่สามารถหยั่งรู้ฟ้าดินทำนายอนาคตได้ เป็นดั่งตัวตนที่ไร้เทียมทานภยในเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า!!


 


กระทั่งผู้นำเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า ยามพบหน้าแม่หมอนางนี้ ยังต้องแสดงความเคารพ!


 


หลังกล่าวบอกสตรีชุดเขียว สตรีงามก็วูบร่างหายไปทันที


 


เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งนางก็มาโผล่ที่แท่นบูชา ทว่าคราวนี้นางกลับเดินด้านหลังรูปปั้นหงส์ฟ้า


 


ทันใดนั้นเอง


 


สตรีงามพลันยกมือขึ้น


 


วู้ม!


 


พร้อมกันกับที่สตรีงามยกมือขึ้น ก็ปรากฏรอยฉีกขึ้นกลางอากาศว่างเปล่า!


 


หลังจากนั้นร่างนางก็กระพริบวูบหายเข้าไปในรอยแยกดังกล่าว ก่อนที่รอยแยกจะปิดตัวลง


 


หากมีใครมาเห็นฉากนี้เข้าคงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกเสียขวัญกันบ้าง เพราะสตรีงามนั้นคล้ายถูกรอยแยกดังกล่าวกลืนกินเข้าไปก็ไม่ปาน พอรอยแยกปิดตัวคนทั้งคนก็คล้ายอันตรธานหายไปในอากาศ


 


สตรีงามที่หายเข้าไปในรอยแยกแน่นอนว่าไม่ได้ถูกรอยแยกกลืนกินอะไร


 


ตอนนี้นางแค่เข้าสู่ ‘ดินแดนศักดิสิทธิ์’ ที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า


 


ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าก็เป็นดั่งภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ มันเป็นระนาบเทียมเช่นกัน แน่นอนว่าขนาดมันไม่กว้างใหญ่เท่าภูมิภาคเบื้องบน เป็นเพียงระนาบเทียมเล็กๆที่เรียกว่า ดินแดนแห่งนิพพานของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า!


 


คนของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้านั้น โดยปกติแล้วสามารถเข้าสู่กระบวนการนิพพานถือกำเนิดใหม่ได้ทั้งสิ้น หลังจากผ่านกระบวนการเกิดใหม่แล้ว ก็เสมือนได้รับชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม!


 


พรสวรรค์ยกระดับ พลังฝึกปรือสามารถก้าวหน้าได้อีกครั้ง!


 


ตัวอย่างเช่น


 


หากสมาชิกเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าคนหนึ่ง มีพรสวรรค์อันจำกัด และพลังฝึกปรือไม่อาจทะลวงไปให้เกินกว่าเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนได้แล้ว ทว่าหากผ่านกระบวนการเกิดใหม่ในดินแดนนิพพาน พลังฝึกปรือของมันจะสามารถก้าวหน้าเหนือกว่านั้นได้!


 


ดินแดนแห่งนิพพานของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้านั้น ไม่เพียงฟ้าจะเป็นสีแดงเพลิง เบื้องล่างยังเป็นดั่งมหาสมุทรเปลวเพลิง


 


อุณหภูมิในที่แห่งนี้สูงกว่าด้านนอกหลายเท่านัก อย่าว่าแต่คนธรรมดา กระทั่งผู้ฝึกตนที่ด่านพลังอ่อนด้อย เมื่อเข้ามาคงไม่พ้นกลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา


 


ทว่าในสถานที่อันร้อนลวกแห่งนี้ ปรากฏร่างสตรีงามนางหนึ่งลอยล่องอยู่กลางอากาศอย่างนิ่งสงบ


 


ทำราวกับสภาพแวดล้อมในที่นี้ไร้ผลกระทบใดๆกับนาง


 


หากสังเกตให้ดีจะพบว่า


 


มหาสมุทรเปลวเพลิงเบื้องล่างนั้น ที่แท้ก็คือธารลาวาคุกรุ่นพวกมันยังเดือดปุดๆเป็นฟอง เพียงมองก็รู้สึกเสมือนนัยน์ตาจะลุกไหม้เป็นไฟ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันร้อนขนาดไหน


 


อุณหภูมิในดินแดนแห่งนี้ก็สูงเพราะเหตุนี้นี่เอง


 


ตอนนี้สตรีงามดังกล่าวที่ลอยล่องกลางอากาศ ก็กำลังก้มลงไปมองยังธารวาลาที่แผ่ไอร้อนมหาศาลด้านล่าง ทำราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง


 


“สาวน้อย”


 


ทันใดนั้นสตรีงามก็ปริปากกล่าวคำออกมา ทำราวกับกำลังสนทนากับลาวาร้อนลวกในดินแดนแห่งนิพพานแห่งนี้!


 


เสียงของนางไม่ได้ดังอะไร หากแต่คล้ายมีอำนาจทะลุทะลวงอันน่ากลัว ประหนึ่งสามารถชำแรกแทรกผ่านทุกสิ่งไปถึงเป้าหมายได้


 


ฟังจากวาจาของสตรีงาม หรือใต้ลาวาเดือดระอุนี้จะมีผู้ใดอาศัยอยู่จริงๆ?


 


บุ๋ง! บุ๋ง! บุ๋ง! ปุด! ปุด! ปุด!


 



 


หลังจากสตรีงามกล่าวเรียกไปได้ไม่ทันไร ธารลาวาด้านล่างยิ่งมาก็ยิ่งเดือดพล่าน ฟองอากาศเดือดปุดๆก่อเกิดขึ้นระรัว


 


ครู่ต่อมา


 


ตูมมม!!


 


เสียงหนึ่งดังขึ้น ธารหินหลอมเหลวราวกับจะระเบิดปะทุ ปรากฏร่างแดงเพลิงหนึ่งพุ่งทะยานออกมาจากใต้หินหลอมเหลว!


 


ผู้ที่ออกมาจากธารลาวากว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทรสุดไพศาล เป็นสตรีในชุดแดงเพลิงนางหนึ่ง ทั่วร่างของนางแผ่กลิ่นอายร้อนแรงออกมาอย่างกล้าแข็ง มวลอากาศยังคล้ายตลบไปด้วยแรงกดดันไร้สภาพของชนชั้นยอดฝีมือ


 


“ท่านแม่หมอ”


 


หลังสตรีในชุดแดงเพลิงปรากฏตัวได้ไม่นาน นางก็เร่งกล่าวคำทักทายสตรีงามที่เรียกหาด้วยความเคารพออกมาทันที


 


เสียงของนางช่างไพเราะเพราะพริ้งน่าฟังนัก ราวกับมีเสน่ห์ยวนใจอันไร้สิ้นสุด


 


อีกทั้งรูปร่างของนางก็สมบูรณ์แบบเหลือเกิน พาลให้ผู้คนทั้งหลายอยากพุ่งเข้าไปโอบกอดนางสักคราด้วยอดใจไม่ไหว


 


สตรีในชุดแดงเพลิงผู้นี้ยังมีเส้นผมสีดำสนิท เรือนผมยาวสลวยส่วนน้อยปรกไหล่ที่เหลือก็ทิ้งตัวทอดยาวลงไปยังแผ่นหลังปานม่านน้ำตก


 


นอกจากเรือนผมยาวสลวยแล้ว ใบหน้าของนางยังแต้งแต้มไปด้วยคิ้วคู่งามพร้อมดวงตาเผยประกายดั่งสารทฤดู จมูกเข้ารูปริมฝีปากแดงกระชับ ยามแย้มยิ้มเผยฟันขาว มองแล้วราวกับธรรมชาติรังสรรค์มาได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 


ประหนึ่งนางฟ้าที่ร่วงหล่นมายังแดนดิน


 


หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่คงจดจำได้ทันที


 


สตรีในชุดแดงเพลิงที่ดูราวกับเทพธิดาอัคคีผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นเฟิ่งเทียนหวู่นั่นเอง!


 


“สาวน้อย เจ้าผ่านกระบวนการนิพพานในดินแดนแห่งนิพพานของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าเราเรียบร้อยแล้ว…เช่นนั้นเจ้าเองก็คงรู้ดีว่าถึงเวลาต้องไปแล้วใช่หรือไม่?”


 


สตรีงามกล่าวออกมาพร้อมทอดถอนใจเบาๆ


 


“ท่านแม่หมอ ท่านอาจารย์ลุงพยากรณ์มาถึงแล้วหรือ?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่พอได้ยินคำของสตรีงามเบื้องหน้า ก็กล่าวคาดเดาเรื่องนี้ออกมาทันที


 


ชายชราที่พานางมาส่งที่เผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า ได้กล่าวบอกไว้แล้วว่านางผ่านขั้นตอนนิพพานของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าเสร็จสิ้นเมื่อใด จะมารับตัวนางไปจากที่นี่


 


“มิผิด”


 


เมื่อเห็นว่าเฟิ่งเทียนหวู่สามารถคาดเดาได้อย่างเฉลียวฉลาด แววตาของสตรีงามยิ่งมายิ่งเผยความไม่เต็มใจออกมา ราวกับนางไม่อยากให้เฟิ่งเทียนหวู่จากไปไหน


 


“ท่านแม่หมอ วันหน้าหากมีเวลาข้าจะกลับมาหาท่าน…”


 


เฟิ่งเทียนหวู่เมื่อเห็นความไม่เต็มใจในแววตาสตรีงามเบื้องหน้า ก็เร่งกล่าวปลอบออกมาทันที


 


“คงมิมีโอกกาสแล้ว”


 


อย่างไรก็ตามได้ยินคำนี้ของเฟิ่งเทียนหวู่ สตรีงามที่แม้แววตาจะลุกวาวเผยความพึงพอใจทันที แต่สุดท้ายนางก็ส่ายหัวไปมาอีกครั้ง “การที่ให้เจ้าเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าเราปฏิบัติตามคำสั่งที่สืบทอดลงมาจากบรรพบุรุษ ตอบแทนบุญคุณของท่านผู้อาวุโสฟงชิงหยางในปีนั้น…”


 


“อีกทั้งที่พวกเราให้เจ้าเข้ามาดินแดนแห่งนิพพานและผ่านกระบวนการนิพพานเช่นนี้ได้ เนื่องเพราะเจ้าเองก็มีเลือดเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าของพวกเราไหลเวียนอยู่ในตัว”


 


“ทว่าตอนนี้ในเมื่อเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าเราได้ตอบแทนบุญคุณที่ติดค้าง 7 ทวาราเที่ยงแท้ในอดีตแล้ว เจ้าที่มิใช่คนของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าย่อมมิอาจเข้ามาได้อีก…”


 


สตรีงามกล่าวสืบต่อ


 


“ท่านแม่หมอ มิใช่ว่าท่านบอกเองว่าข้ามีเลือดเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าไหลเวียนอยู่หรือไร หรือท่านไม่เห็นว่าข้าเป็นคนของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่กล่าวถาม


 


“หากเจ้าเลือกที่จะหวนกลับสู่เผ่าพันธุ์ ยอมรับว่าเป็นคนของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า นั่นหมายความว่ายอมรับกฏของเราด้วย เช่นนั้นเมื่อเจ้าเข้ามาในเขตของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าแล้วเจ้าจะออกไปที่ใดไม่ได้อีก…”


 


สตรีงามมองกล่าวกับเฟิ่งเทียนหวู่ “เจ้าจะทนอยู่ในเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าไปชั่วชีวิตหรือจะออกไปโลกภายนอกเล่า?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่ได้ฟังก็เงียบไปทันที


 


อยู่ในเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าชั่วชีวิต ยังต่างอะไรจากนกในกรง?


 


เช่นนั้นไม่ใช่ว่านางจะไร้โอกาสได้เจอบุรุษที่นางเฝ้าคิดถึงอีกแล้วหรือไง?


 


เป็นธรรมดาที่นางไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ จึงส่ายหัวไปมาทันที


 


เห็นแบบนี้สตรีงามก็ไม่ได้แปลกใจอะไร


ตอนที่ 2,090 : นิพพาน


 


“ตั้งแต่วันนี้ไป…หรือข้าจะมิมีโอกาสได้พบกับแม่หมออีกแล้วจริงๆ?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่รู้สึกเสียใจไม่น้อย เมื่อคิดว่าต่อไปจะไม่ได้เจอสตรีเบื้องหน้า ‘แม่หมอ’ แห่งเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าคนนี้อีกแล้ว


 


ถึงแม้นางจะใช้เวลาอยู่ร่วมกับแม่หมอแห่งเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าได้ไม่นาน แต่อีกฝ่ายก็ดูแลนางอย่างดีราวกับนางเป็นลูกหลาน


 


ทำให้นางที่สูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก รู้สึกเสมือนได้รับความรักจากมารดา


 


“ข้าเกรงว่าจักมิมีโอกาสแล้วจริงๆ…เว้นเสียแต่ว่า…”


 


แม่หมอของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้ากล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดลง


 


“เว้นเสียแต่อันใดหรือท่านแม่หมอ?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่รู้สึกสงสัยไม่น้อย


 


“เว้นเสียแต่…ยุคมนุษย์ปีศาจจะหวนกลับมาอีกครั้ง! อย่างไรก็ตามมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น…อย่างน้อยๆสำหรับเจ้ากับข้า ยุคสมัยมนุษย์ปีศาจย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้!”


 


แม่หมอกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ


 


“ยุคมนุษย์ปีศาจ?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่รู้สึกสงสัยเรื่องนี้ไม่น้อย


 


แม่หมอนับว่าดีต่อเฟิ่งเทียนหวู่นัก เมื่อนางสงสัยก็คอยอธิบายออกมาอย่างอดทนไม่เผยทีท่าเหนื่อยหน่ายรำคาญ


 


เฟิ่งเทียนหวู่ที่ได้ฟังก็ค่อยๆเข้าใจเรื่องราวในอดีตสมัยยุคมนุษย์ปีศาจ…ยังรู้อีกว่ายุคมนุษย์ปีศาจนั้นเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว สมัยนั้นดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังไม่ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ภูมิภาคด้วยซ้ำ


 


และในสมัยนั้นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศก็ได้รุกรานเข้ามาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


กล่าวให้ชัดรุกรานเข้ามาในระนาบโลกียะ อันเป็นที่ตั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


“ในช่วงยุคมนุษย์ปีศาจ บรรพบุรุษของตระกูลหงส์ฟ้าเราได้ออกไปกรำศึกและสละชีวิตเพื่อใต้หล้าไม่น้อย เข่นฆ่ายอดฝีมือเผ่าพันธุ์ปีศาจไปมากมาย ทว่านั่นก็ทำให้รากฐานของเผ่าพันธุ์ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะวีรชนมากมายในชนเผ่าตายตก…”


 


“ทำให้ตั้งแต่จบเรื่องราวครานั้น ท่านบรรพชนได้ตรากฏเอาไว้อย่างเข้มงวดเพื่อมิให้เผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าถึงกาลสิ้นสูญ พวกเราทำได้แค่อาศัยอยู่ในเขตเผ่าพันธุ์และฟื้นฟูขุมกำลังเท่านั้น ไม่อาจออกไปที่ใดได้ตามใจเพื่อมิให้เกิดอุบัติเหตุอันใด ยังเป็นการป้องกันมิให้ชักนำเภทภัยเข้ามาในเผ่าพันธุ์…”


 


แม่หมอกล่าวสืบต่อ “เช่นนั้นแล้ว ในปัจจุบันผู้ที่จะสามารถออกจากเขตเผ่าพันธุ์ได้โดยไม่ผิดกฏ ก็คืออาวุโสคุมกฏเท่านั้น! แต่แน่นอนว่าอาวุโสคุมกฏจะออกไปได้ก็มีเงื่อนไขเช่นกัน นั่นคือต้องมีคนของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าฝ่าฝืนกฏออกไปด้านนอกเสียก่อน…!”


 


“โดยทั่วไปแล้วก็มิค่อยมีคนเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าละเมิดกฏเท่าไหร่…และแม้จะออกไป ทั้งหมดก็ถูกอาวุโสคุมกฏจับกลับมาได้ในเวลาอันสั้นเท่านั้น เพราะด้วยสายเลือดย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่อาวุโสคุมกฏจะตามรอยไปได้”


 


“เมื่อรู้ว่าต้องตกตายหากคิดจะออกไปชมดูสีสันในโลกภายนอก…เผาพันธุ์หงส์ฟ้าเราก็ยังมิเคยมีผู้ใดโง่งมเช่นนั้น


 


กล่าวถึงจุดนี้แม่หมอก็หยุดครู่หนึ่งค่อยกล่าวสืบต่อ


 


“แน่นอนว่าหากยุคมนุษย์ปีศาจหวนกลับมาอีกครั้ง พวกเราเผ่าพันธพุ์หงส์ฟ้าก็มิต้องกระทำตามกฏอีกต่อไป…เพราะพวกเราต้องออกจากที่นี่ไปฆ่าพวกปีศาจจากแดนเนรเทศ!”


 


“และนี่คือภารกิจสำคัญที่ท่านบรรพบุรุษฝากฝังเอาไว้!”


 


แม่หมอของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้ากล่าวออก ยังเปิดเผยเรื่องราวออกมาอีกด้วย


 


เว้นเสียแต่ยุคมนุษย์ปีศาจจะหวนกลับมาอีกครั้ง


 


หาไม่แล้วคนของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปด้านนอกเด็ดขาด


 


“ยุคมนุษย์ปีศาจอาจไม่มีแล้วหรือ?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่เผยความผิดหวังออกกมา


 


เพราะจากที่แม่หมอกล่าว


 


ยุคมนุษย์ปีศาจนั้นพึ่งผ่านพ้นไปไม่กี่แสนปีเท่านั้น


 


ทว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะทำลายม่านพลังกั้นแดนและเปิดรอยแยกมิติบุกรุกเข้ามาที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อีกครั้ง ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยล้านปีนับจากตอนนั้น


 


ด้วยเหตุนี้แม่หมอจึงกล่าวออกมาว่า


 


ในยุคนี้ของนางกับเฟิ่งเทียนหวู่ คงยากที่จะได้เจอกันแล้ว


 


ทว่าบางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกนัก


 


บางครั้งสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้อยู่ๆก็อุบัติขึ้นอย่างกะทันหัน


 


เป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตนี้จะพบพานยุคมนุษย์ปีศาจ?


 


เห็นได้ชัดว่าวาจาของแม่หมอนั้นไม่อาจใช้กับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างในเวลานี้ได้เลย


 


อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เผยให้รู้ถึงสิ่งหนึ่ง


 


อนาคตนั้นนับเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนอย่างแท้จริง           แม้จะเป็นแม่หมอของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า ก็มิอาจทำนายทายทักได้แม่นยำทุกครั้ง ดั่งคำกล่าวโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน!


 


“ตอนนี้ผายลมเฒ่านั่นมารอให้ข้าพาเจ้าไปส่งอยู่ด้านนอกแล้ว…มาเถอะ”


 


แม่หมอเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้ากล่าวออกอีกครั้ง สะบัดมือใช้พลังไร้สภาพขุมหนึ่งคลุมร่างเฟิ่งเทียนหวู่เอาไว้ ค่อยพากันออกจากดินแดนแห่งนิพพานไปยังแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า


 


หลังจากนั้นนางก็พาเฟิ่งเทียนหวู่ไปส่งที่ชายขอบม่านพลัง


 


แน่นอนว่าแม้นางจะเป็นแม่หมอของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า แต่นางก็ไม่อาจละเมิดกฏของบรรพชน ก้าวออกไปจากเขตแดนของเผ่าพันุ์หงส์ฟ้าได้


 


นางทำได้แค่มาส่งเฟิ่งเทียนหวู่ที่ชายขอบเท่านั้น


 


ในระหว่างที่เฟิ่งเทียนหวู่ถูกแม่หมอพาตัวไปพบเฒ่าพยากรณ์ที่รออยู่ด้านนอกนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวเอง กระทั่งตัวนางเองยังรู้สึกว่าเสมือนฝันไปก็ไม่ปาน…


 


เรื่องราวดั่งความฝันนั้นบังเกิดขึ้นหลังจากที่นางออกจากคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน อันเป็นขุมพลังชั้น 5 เพื่อไปตามหาชายในฝันของนางอย่างต้วนหลิงเทียน…


 


ตอนนั้น ในขณี่นางเดินทางไปอย่างไร้ทิศทาง


 


อยู่ๆพลันมีชายชราที่อ้างตัวว่าเป็นอาจารย์ลุงพยากรณ์ของนางมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า อีกฝ่ายยังรู้อีกด้วยว่านางคือผู้สืบทอดของหงส์ฟ้าจรัสแสง แถมกล่าวถึงเรื่อง 7 ทวาราเที่ยงแท้ที่อาจารย์ของนางเคยพร่ำบอกมาก่อน


 


ดังนั้นนางจึงเชื่อถือคำพูดของชายชรา


 


แน่นอนว่าต่อให้นางไม่เชื่อ แต่หากชายชราต้องการพาตัวนางไปนางก็ไม่อาจไม่ไป!


 


ตอนแรกเพราะคิดถึงต้วนหลิงเทียน นางจึงคิดจะยืนกรานปฏิเสธชายชราถึงที่สุด


 


ทว่าชายชรากลับบอกว่าหากนางอยากพบต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง มีแต่ต้องไปภูมิภาคเบื้องบนขอดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเท่านั้น และชายชรายังสัญญากับนางว่านางจะได้พบกับต้วนหลิงเทียนอีกครั้งที่ภูมิภาคเบื้องบน


 


เพื่อที่จะได้พบเจอต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นนางจึงยอมตามชายชรามาภูมิภาคเบื้องบนแต่โดยดี ยังเชื่อคำของชายชราเดินทางมายังเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าแห่งนี้


 


‘ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าท่านย่าของข้าที่แท้จะมีสายเลือดของแม่หมอแห่งเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าได้…แต่สายเลือดของท่านย่าน่าจะเข้มข้นกว่าข้ามาก’


 


เมื่อมาถึงเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าเฟิ่งเทียนหวู่ก็ได้รับทราบ


 


นางมีสายเลือดของแม่หมอเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าไหลเวียนอยู่!


 


เผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าแต่ละรุ่นนั้นจะมีแม่หมอเพียงคนเดียวเท่านั้น และสายเลือดของแม่หมอก็เป็นอะไรที่ถือว่าสูงส่งนัก เพราะแม่หมอคือผู้พยากรณ์ มีความสามารถในการทำนายทายทักของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า จึงเป็นที่นับถือของผู้คนในเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า


 


แม่หมอแห่งเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าคือผู้ที่หยั่งรู้อนาคตได้ เรื่องนี้ถือว่าเป็นดั่งบัญญัติของโลกหล้า!


 


‘ย้อนกลับไปในอดีตท่านย่าเองก็เป็นผู้พยากรณ์เช่นกัน อีกทั้งยังได้ทำนายชะตาของข้ากับพี่ใหญ่ต้วนเอาไว้…หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ข้าคงไม่มีวันได้เจอกับพี่ใหญ่ต้วน’


 


นึกถึงเรื่องนี้ หน้างามของเฟิ่งเทียนหวู่พลันปรากฏรอยยิ้มมากความสุข ใจหวนนึกย้อนไปในอดีต


 


เป็นเพราะท่านย่าของนางมอบคำทำนายเอาไว้


 


บิดาของนางจึงพานางไปยังเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในอาณาเขตจักรวรรดิศิลาทมิฬ สุดท้ายยังเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองหงส์ฟ้า


 


และเป็นเพราะคำทำนายของท่านย่า บิดาของนางจึงจัดการประลองหาคู่ขึ้นที่หน้าจวนเจ้าเมืองโดยมีของรางวัลเป็นผลไม้วิญญาณ สุดท้ายจึงได้พบพานเข้ากับต้วนหลิงเทียน และก็เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนถึงทำให้นางรอดพ้นชะตาแตกดับของผู้ถือครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟมาได้


 


‘โชคดีนักที่ท่านย่าสืบสายเลือดของแม่หมอเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้ามา…หาไม่แล้วชั่วชีวิตของ้ขาคงไม่มีวันได้พบพี่ใหญ่ต้วน และคงตกตายไปตั้งแต่อายุ 30 แล้ว…’


 


นึกถึงเรื่องนี้เฟิ่งเทียนหวู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ


 


แต่ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่สุดท้ายการได้รู้จักกับพี่ใหญ่ต้วน นับเป็นเรื่องที่ทำให้นางมีความสุขที่สุดในชีวิต


 


อีกทั้งท่านย่าก็ได้ทำนายไว้แล้วว่าพี่ใหญ่ต้วนคือคู่ชีวิตของนาง!


 


‘อย่างไรเสียอาจารย์ลุงผู้เฒ่าพยากรณ์คนนั้นช่างยอดเยี่ยมนัก…ยังสามารถทำนายได้ว่าข้ามีสายเลือดเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าทั้งที่ไม่เคยพกันมาก่อน! ในแง่ของการทำนายแล้วดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าท่านแม่หมอเสียอีก’


 


เฟิ่งเทียนหวู่เผลอหันไปมองแม่หมออย่างไม่รู้ตัวขณะลอบกล่าวคำพึมพำในใจ


 


แน่นอนว่านางย่อมไม่กล้ากล่าวเรื่องนี้ออกมา


 


“ถึงแล้ว”


 


ไม่นานแม่หมอก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง และตอนนี้ทั้งคู่ก็มาถึงชายขอบเขตแดนเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าแล้ว


 


“ท่านแม่หมอ”


 


เมื่อต้องจากไปจริงๆ เฟิ่งเทียนหวู่ก็รู้สึกใจหายอยู่บ้าง ยังรู้สึกไม่เต็มใจนักเพราะนางเองก็รู้สึกเคารพแม่หมอผู้นี้ประหนึ่งมารดาไปแล้ว


 


“ไปเถอะ”


 


เมื่อเห็นทีท่าละล้าละลังของเฟิ่งเทียนหวู่ แม่หมอเองก็ใจหายเช่นกัน กระทั่งยังเผลอตัวถึงขั้นคิดจะกล่าวโน้มน้าวออกไป


 


แต่เพื่อไม่ให้ตัดสินใจทำอะไรด้วยอารมณ์ชั่ววูบ นางเลือกสะบัดมือใช้พลังหอบหิ้วร่างเฟิ่งเทียนหวู่ให้ออกไปจากเขตของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าทันที


 


หลังจากร่างเฟิ่งเทียนหวู่หายไปจากสายตาของนางแล้ว นางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองตาหลับลงเปลือกตาสั่นระริก ร่างยังสะท้านไปวูบหนึ่ง ยากระงับอาการสั่นไหวในใจ


 


หลังอยู่ด้วยกันพักใหญ่เฟิ่งเทียนหวู่ได้เห็นนางเป็นดั่งมารดา แล้วไฉนนางจะไม่เห็นเฟิ่งเทียนหวู่เป็นลูกสาว?


 


มหาค่ายกลนั้นดั่งจะแบ่งแยกเขตของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้ากับโลกภายนอกเอาไว้คนละโลกก็ปาน…ทั้งๆที่ยืนห่างกันแค่ก้าวเดียว ก็เหมือนว่าไกลแสนไกล…


 


วูบ!


 


เมื่อแม่หมอของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าลงมือ เฟิ่งเทียนหวู่ก็รู้สึกเพียงเบื้องหน้าอยู่ๆก็วูบดับไป…


 


พอกลับมามองเห็นเรื่องราวอีกครั้ง นางก็พบว่าตัวเองได้ออกจากเขตของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า และมาปรากฏตัวเหนือหุบเขาแล้ว


 


“อาจารย์ลุงพยากรณ์”


 


หลังรู้สึกตัว เฟิ่งเทียนหวู่ที่เห็นชายชราลอยร่างอยู่ไม่ไกล ก็เร่งคารวะทักทายทันที


 


ชายชราคนนี้ก็คือ ผู้เฒ่าพยากรณ์ที่เดินทางมาจากภาคเหนือเพื่อรับตัวเฟิ่งเทียนหวู่


 


เหตุผลที่ผู้เฒ่าพยากรณ์มารับตัวเฟิ่งเทียนหวู่ เพราะคิดนำนางกลับไปรวมตัวกับผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้คนอื่น จะได้เปิดใช้มหาค่ายกลเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา 6 ทวารา!


 


“แม่หนูเทียนหวู่เจ้าประสบความสำเร็จในการเกิดใหม่แล้วหรือ?”


 


เมื่อลอยร่างเข้ามาใกล้ๆเฟิ่งเทียนหวู่ ผู้เฒ่าพยากรณ์ย่อมสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างขอนางได้ชัดเจน ทำให้สีหน้าของมันเผยความประหลาดใจไม่น้อย


 


ต้องทราบด้วยว่าตอนที่มันพาเฟิ่งเทียนหวู่มาที่เผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าแห่งนี้ เพียงคิดรักษาม้าตายดุจม้าเป็นเท่านั้น


 


เรื่องทั้งหมดเพราะบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าเคยติดค้าง 7 ทวาราเที่ยงแท้เอาไว้ และด้วยความที่เฟิ่งเทียนกลับมีเศษเสี้ยวสายเลือดแม่หมอของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า


 


ดังนั้นมันจึงลองพาเฟิ่งเทียนหวู่มาที่นี่ และขอให้เผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าลองพาเฟิ่งเทียนหวู่เข้าไปในดินแดนแห่งนิพพานดู


 


หากผ่านกระบวนการเกิดใหม่ได้ ความแข็งแกร่งของเฟิ่งเทียนหวู่จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก


 


“ใช่แล้ว”


 


ได้ยินคำถามของผู้เฒ่าพยากรณ์ เฟิ่งเทียนหวู่พยักหน้าตอบกลับ ค่อยกล่าวเสริมด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ “หากไม่ใช่เพราะท่านแม่หมอทุ่มเทแรงกายใช้ออกด้วยพลังฝึกปรือทั้งหมดของตัวเองผลักดันกระบวนการ…เกรงว่าด้วยสายเลือดเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าแสนเจือจางที่ไหลเวียนอยู่ในร่างข้าเพียงเศษเสี้ยว ข้าคงมิอาจผ่านกระบวนการนิพานมาได้หรอก”


 


“เช่นนั้นแม่หมอผู้นั้นก็นับว่าดีกับเจ้ามากจริงๆ…”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์ได้ฟังก็เผยความตื่นเต้นยินดีออกมาอย่างออกหน้าออกตา “ในเมื่อเจ้าประสบความสำเร็จในการกำเนิดใหม่เช่นนี้ หลังเจ้าเข้าใช้มหาค่ายกลเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา 6 ทวารา ล่ะก็…”


 


“ในอนาคตเจ้าอาจจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดใน 7 ทวาราเที่ยงแท้ รองจากผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ!”


ตอนที่ 2,091 : พี่ใหญ่ต้วนคือผู้สืบทอดหมอกพิรุณ!?


 


7 ทวาราเที่ยงแท้นั้น มีผู้สืบทอดทั้งสิ้น 7 ลำดับ


 


ในบรรดาผู้สืบทอดของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ หมอกพิรุณคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด ยังเป็นผู้นำของ 7 ทวาราเที่ยงแท้อีกด้วย


 


ยกเว้นหมอกพิรุณแล้ว อีก 6 ทวาราเที่ยงแท้ไม่ใช่ว่าจะเก่งเรื่องต่อสู้ทุกคน


 


อย่างเช่นผู้สืบทอดนามความลับสวรรค์นั้น บทบาทก็แทบไม่ต่างอะไรจากกุนซือผู้ที่คอยวางกลยุทธ์ และหายุทธิวิธีที่เหมาะสมจากความสามารถทำนายเป็นหลัก


 


เช่นนั้นจากวาจาของผู้เฒ่าพยากรณ์ย่อมเผยให้เห็นชัดเจน


 


ว่ามันมองเฟิ่งเทียนหวู่ในแง่ดีไม่น้อย ยังคาดหวังไว้สูงนัก!


 


ทว่าเฟิ่งเทียนหวู่ที่ได้ยินวาจาของผู้เฒ่าพยากรณ์กลับไม่ได้ตื่นเต้นยินดีอะไรไม่คล้ายจะสนใจเสียด้วยซ้ำ เพียงกล่าวถามออกมาตรงๆอย่างไม่คิดจะอ้อมค้อม


 


“อาจารย์ลุงพยากรณ์เรื่องอื่นใดช่างมันเถอะข้าไม่สน…ข้าเพียงอยากรู้ว่าเมื่อไหร่ข้าจะได้พบกับพี่ใหญ่ต้วนเสียที”


 


ตั้งแต่ต้นจนจบเฟิ่งเทียนหวู่ไม่เคยลืมเลือนจุดประสงค์ในการขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนแม้แต่น้อย


 


นางขึ้นมาที่นี่เพื่อตามหาพี่ใหญ่ต้วนของนาง!


 


สำหรับเรื่องอื่นๆที่ชายชราบอกให้นางทำนั้น นางเพียงแค่กระทำตามคำของอีกฝ่ายไปเท่านั้น เพราะอีกฝ่ายเป็นคนบอกว่านางจะได้พบพี่ใหญ่ต้วนหลังจากเชื่อฟัง


 


และในเมื่อนางก็ได้กระทำตามเงื่อนไขของชายชราอย่างไม่ขัดข้องแล้ว


 


ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ชายชราจะกล่าวบอกนางเรื่องพี่ใหญ่ต้วนเสียที


 


“นังหนูเทียนหวู่เอย เจ้ายังใจร้อนมิเปลี่ยน…เรื่องบางเรื่องก็ยังมิสมควรแก่เวลา ตอนนี้ข้าเพียงจะบอกให้เจ้ารู้ไว้เรื่องหนึ่ง…”


 


ได้ยินน้ำเสียงกล่าวถามออกมาด้วยความขึงขังดุดันของเฟิ่งเทียนหวู่ ผู้เฒ่าพยากรณ์ก็ตระหนักได้ทันทีว่านางยากตอแยด้วยได้จริงๆ หากมันบอกปัดปฏิเสธไปเหมือนคนอื่นๆน่ากลัวว่านางมีแต่จะต่อต้านอย่างดื้อรั้นเท่านั้น


 


“ทว่าเรื่องที่ข้ากำลังจะบอกเจ้านั้น…เจ้าต้องเก็บมันไว้เป็นความลับอย่างมิดชิด หากมิได้รับอนุญาตจากข้าเจ้าห้ามเอามันไปบอกผู้อื่นเด็ดขาด ไม่เว้นแม้แต่สหายคนสนิทของเจ้า เข้าใจหรือไม่?”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวออกด้วยท่าทีขึงขังจริงจัง


 


“ได้”


 


เฟิ่งเทียนหวู่พยักหน้า นางเองก็ไม่ใช่คนช่างพูดแต่แรก


 


“ข้ามารับเจ้าไปจากตระกูลเฟิ่งครานี้ ก็กำลังจะพาเจ้าไปรวมตัวกับผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้อีก 5 ลำดับ นอกเหนือจากหมอกพิรุณ…เมื่อผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้มารวมตัวกันครบทั้ง 6 ข้าก็จักสามารถเปิดใช้ มหาค่ายกลเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา 6 ทวาราที่ท่านผู้อาวุโสฟงชิงหยางตระเตรียมไว้…เพื่อเปลี่ยนชะตาพลิกฟ้าให้พวกเจ้า!”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวออกเสียงขรึม


 


“ทวาราเที่ยงแท้ทั้ง 6 รวมตัว? เปิดใช้มหาค่ายกลเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา 6 ทวารา?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำของผู้เฒ่าพยากรณ์


 


6 ทวารารวมตัว?


 


ในฐานะทายาทผู้สืบทือดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 5 หงส์ฟ้าจรัสแสง เฟิ่งเทียนหวู่ย่อมรู้ดีว่า 6 ทวารารวมตัวคืออะไร…นั่นหมายความว่านางจะได้พบผู้สืบทอดทวาราอีก 5 ลำดับ ไม่รวมถึงหมอกพิรุณ ผู้สืบทอดลำดับ 1


 


ถึงแม้นางจะไม่ได้ต้องการพบหน้าหรือรวมตัวอะไรนี่สักเท่าไหร่ แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง


 


เพราะนางเองก็คิดไม่ถึง


 


ว่าชายชราเบื้องหน้าจะรวบรวมผู้สืบทอดทวาราเที่ยยงแท้ลำดับอื่นๆจนครบ 6 ลำดับยกเว้นหมอกพิรุณได้แล้ว


 


“ว่าแต่ มหาค่ายกลเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา 6 ทวารานั่นมันคืออะไร?”


 


“มหาค่ายกลเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา 6 ทวารา เป็นมหาค่ายกลที่จักทำการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ทั้ง 6 ลำดับนอกเหนือจากผู้สืบทอดหมอกพิรุณ และมหาค่ายกลนี้ยังเป็นสิ่งที่ท่านบรรพชนอย่างอาวุโสฟงชิงหยางทิ้งไว้ให้…”


 


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวถึงตรงนี้ใบหน้าก็ฉายความเคารพนับถืออันสูงสุด ค่อยกล่าวสืบต่อ “หลังจากที่ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ทั้ง 6 ลำดับเข้าใช้มหาค่ายกล พรสวรรค์รากวิญญาณ พรสวรรค์ในเชิงยุทธ์จักถูกยกระดับขึ้นไปอย่างสูง”


 


“กล่าวคือหลังจากเจ้ากับผู้สืบทอดคนอื่นๆเข้าไป พรสวรรค์รากวิญญาณแต่กำเนิดของเจ้าจะยกระดับพัฒนา ด่านพลังฝึกปรือเองก็จะก้าวหน้าขึ้นเช่นกัน”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“พรสวรรค์รากวิญญาณแต่กำเนิดจะยกระดับขึ้นอย่างมาก?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่เผยสีหน้าตกใจ “มีผลเช่นเดียวกับการกำเนิดใหม่ในดินแดนแห่งนิพพานของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าหรือ?”


 


ในดินแดนแห่งนิพพานของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้า นอกจากพลังฝึกปรือของเฟิ่งเทียนหวู่จะก้าวหน้าไปไม่น้อย พรสวรรค์รากวิญญาณของนางก็ยกระดับพัฒนาเช่นกัน


 


และพรสวรรค์รากวิญญาณก็ส่งผลต่อศักยภาพและพรสวรรค์ในการบ่มเพาะฝึกฝนโดยตรง


 


กล่าวได้ว่าไม่เพียงแต่ดินแดนแห่งนิพพานจะทำให้พลังฝึกปรือของนางเพิ่มพูน หลังจากนี้พลังฝึกปรือของนางจะก้าวหน้าด้วยความเร็วที่เหนือล้ำกว่าเดิม


 


“คล้ายกับผลของดินแดนแห่งนิพพาน…ทว่าผลลัพธ์ที่ได้นับว่าเหนือกว่าที่เจ้าได้รับจากดินแดนแห่งนิพพานมากนัก”


 


ในขณะที่กล่าวเรื่องนี้ออกมา ผู้เฒ่าพยากรณ์ก็เชิดหน้ากล่าวออกด้วยความภาคภูมิใจ เห็นชัดว่ามันภาคภูมิใจใน มหาค่ายกลเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา 6 ทวารามากขนาดไหน…


 


“ดีกว่าผลที่ได้จากดินแดนแห่งนิพพานอีกหรือ?”


 


คราวนี้เฟิ่งเทียนหวู่ถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง กว่าจะฟื้นคืนสติ


 


ในฐานะผู้ที่ได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้าอย่างดินแดนแห่งนิพพานมาด้วยตัวเอง เฟิ่งเทียนหวู่ย่อมรู้ดีว่าดินแดนแห่งนิพพานมันยอดเยี่ยมเพียงใด


 


ทว่ามาตอนนี้ผู้เฒ่าพยากรณ์กลับบอกว่า…


 


ผลของมหาค่ายกลเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา 6 ทวารา กลับยอดเยี่ยมเหนือล้ำกว่าผลของดินแดนแห่งนิพพานมาก!


 


“แน่นอน…ที่ข้ากล่าวไปทั้งหมดยังมิใช่ประเด็น…”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวสืบต่อ


 


และวาจาของมันก็ดึงสติเฟิ่งเทียนหวู่ให้กลับมาจดจ่อตั้งใจฟังอีกครั้ง


 


“ตอนนี้ 6 ทวารากำลังจักกลับมารวมตัวกัน…หลังจากนั้นทั้ง 7 ทวาราก็จักได้พร้อมหน้า! ทว่ายังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจึงวันที่ 7 ทวาราจะได้มาพร้อมหน้าพร้อมตากัน”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวสืบต่อ


 


7 ทวาราพร้อมหน้าพร้อมตา!


 


ได้ยินคำของผู้เฒ่าพยากรณ์เฟิ่งเทียนหวู่ก็บังเกิดความสนใจเล็กน้อย


 


เพราะในบรรดาเรื่องทั้งหมดของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ ที่นางอยากรู้ที่สุดก็คือเรื่องของผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ!


 


ย้อนกลับไปตอนที่นางยังอยู่ในขุมพลังชั้น 7 อย่างนิกายอัคคีล่องลอยของประเทศฝูเฟิง นางก็ได้ยินอาจารย์อย่างซืออวิ๋นกล่าวออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าในบรรดาผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ทั้ง 7 ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณนั้นร้ายกาจที่สุด!


 


เมื่อ 7 มาพร้อมหน้าพร้อมตากันจริงๆ นั่นหมายความว่านางจะได้เจอทายาทหมอกพิรุณที่ว่าเสียที


 


“และวันที่ 7 ทวาราได้มาพร้อมหน้าพร้อมตากันนั้น….”


 


ขณะเดียวกันผู้เฒ่าพยากรณ์ก็เริ่มกล่าวออกมาอีกครั้ง “ก็เป็นวันที่เจ้าจะได้เจอพี่ใหญ่ต้วนของเจ้า!”


 


เปรี๊ยง!


 


วาจานี้ของผู้เฒ่าพยากรณ์ยามดังเข้าหูเฟิ่งเทียนหวู่ เสมือนอัสนียามแล้งที่ฟาดผ่าลงมาโดยไร้ซึ่งการตั้งเค้าใดๆมาก่อน พาลให้เฟิ่งเทียนหวู่ถึงกับอื้ออึงตะลึงงันไปพักใหญ่ยากจะฟื้นความรู้สึกอยู่นาน


 


วันที่ 7 ทวารามาพร้อมหน้าพร้อมตา คือวันที่นางจะได้เจอหน้าพี่ใหญ่ต้วนหรือ!?


 


“อะ…อาจารย์ลุงพยากรณ์…ท่านหมายความว่าอะไร?”


 


เนิ่นนานกว่าเฟิ่งเทียนหวู่จะคืนสติ แต่นางยังตกใจไม่น้อย หลังสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก็กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงสับสน


 


“ยาโถวน้อยที่โง่งมนัก ข้ากล่าวถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังมิรู้อีกหรือ…”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ต้วนของเจ้าก็คือผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 ของพวกเรา หมอกพิรุณ!”


 


อันที่จริงตั้งแต่ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวออกมาก่อนหน้า เฟิ่งเทียนหวู่ก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้แต่แรกแล้ว ทว่านางยังรู้สึกอื้ออึงเหลือเชื่อและอยากยืนยันให้แน่ชัด


 


พอมาได้ฟังคำยืนยันของชายชรา นางจึงมั่นใจได้เต็มที่


 


พี่ใหญ่ต้วนของนางเป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณที่ร้ายกาจที่สุดจริงๆ!


 


“ไม่คิดเลยจริงๆ…พี่ใหญ่ต้วน…กลับเป็นผู้สืบทอดหมอกพิรุณ ทว่าราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 และแข็งแกร่งที่สุดใน 7 ทวาราเที่ยงแท้”


 


ใจเฟิ่งเทียนหวู่เต้นระรัวขึ้นมา อารมณ์ของนางพุ่งพล่านยากสงบลงได้อยู่นาน


 


“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนวันนั้นท่านอาจารย์ถึงได้กล่าวถามพี่ใหญ่ต้วนว่ารู้จัก 7 ทวาราเที่ยงแท้หรือไม่…ฟังจากที่ท่านอาจารย์กล่าว ‘เขตแดนหมื่นกระบี่’ ที่พี่ใหญ่ต้วนใช้ออก ล้วนเป็นเขตแดนพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ ผู้ที่มีพลังฝีมือไร้คู่เปรียบคนนั้น!”


 


ไม่นานเฟิ่งเทียนหวู่ก็จดจำเรื่องราวในนิกายอัคคีล่องลอยวันนั้นได้


 


วันนั้นหลังอาจารย์ของนางเห็นพี่ใหญ่ต้วนควบแน่นพลังก่อเกิดเขตแดนหมื่นกระบี่ขึ้นมา ก็ตกใจนัก ถึงกับกล่าวถามพี่ใหญ่ต้วนออกมาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ 7 ทวาราเที่ยงแท้หรือไม่


 


ทว่าพี่ใหญ่ต้วนของนางกลับบอกว่าไม่รู้จัก


 


ทำให้ตอนนั้นอาจารย์ของนางจึงติดสินไปว่าพี่ใหญ่ต้วนของนางไม่ควรเกี่ยวข้องกับ 7 ทวาราเที่ยงแท้ และเป็นผู้สืบทอดลำดับที่ 1 คนนั้น


 


“อาจารย์ลุงพยากรณ์…ข้าจำได้ว่าท่านอาจารย์เคยถามพี่ใหญ่ต้วนว่ารู้จัก 7 ทวาราเที่ยงแท้หรือไม่ แต่พี่ใหญ่กลับบอกว่าไม่รู้จัก…ที่แท้เรื่องราวมันอย่างไรกันแน่?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่สงสัยในเรื่องนี้ไม่น้อย


 


“เจ้าหนุ่มนั่นจะมิรู้จัก 7 ทวาราเที่ยงแท้ก็ไม่แปลก…เท่าที่ข้ารู้ มรดกของผู้สืบทอดหมอกพิรุณนั้นไม่ได้กล่าวถึงเรื่อง 7 ทวาราเที่ยงแท้เอาไว้เลย เพียงกล่าวบอกว่าเป็นผู้สืบทอดนามหมอกพิรุณเท่านั้น…”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์อธิบายออกมาอย่างมั่นใจ


 


เฟิ่งเทียนหวู่ก็เข้าใจได้ทันที


 


“อาจารย์ลุงพยากรณ์”


 


ทันใดนั้นคล้ายเฟิ่งเทียนหวู่จะนึกอะไรออก นางเร่งมองถามผู้เฒ่าพยากรณ์ทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อครู่ท่านพูดว่ามหาค่ายกลเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตาที่ท่านอาวุโสฟงชิงหยางทิ้งไว้ มีไว้สำหรับทวาราทั้ง 6 นอกเหนือจากหมอกพิรุณ…เช่นนั้นหมายความว่า มีเพียงผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้เพียง 6 ลำดับ ที่มีสิทธิ์เข้าใช้มหาค่ายกลเพื่อยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณใช่หรือไม่?”


 


“ใช่”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์พยักหน้าตอบคำ สีหน้ายังงุนงงเล็กน้อยด้วยไม่เข้าใจว่าไฉนเฟิ่งเทียนหวู่ถึงกล่าวถามเรื่องนี้


 


“อาจารย์ลุงพยากรณ์…เช่นนั้นข้าสละสิทธิ์เข้ามหาค่ายกลเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา 6 ทวาราของข้าให้พี่ใหญ่ต้วนได้หรือไม่? พรสวรรค์รากวิญญาณทั้งศักยภาพของพี่ใหญ่จักได้สูงล้ำขึ้น!”


 


เฟิ่งเทียนหวู่มองกล่าวกับผู้เฒ่าพยากรณ์ด้วยท่าทางจริงจังนัก


 


วาจาที่กล่าวออกไร้ซึ่งความลังเล แววตาแน่วแน่ ไร้ซึ่งความเสียดายใดๆ…


 


ไม่เสียใจ!


 


ได้ยินคำของเฟิ่งเทียนหวู่ ผู้เฒ่าพยากรณ์ถึงกับสะดุ้งโหยง ด้วยเพราะทราบแล้วว่าเฟิ่งเทียนหวู่กำลังเข้าใจผิด


 


อย่างไรก็ตามมันยังไม่กล่าวอธิบายอะไรออกมา เพียงเลือกที่จะกล่าวถาม “เจ้าวางแผนจะให้สิทธิ์อันล้ำค่าในการเข้าใช้มหาค่ายกลเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา 6 ทวารากับพี่ใหญ่ต้วนของเจ้าจริงๆ?”


 


หลังกลาวถามแล้ว ผู้เฒ่าพยากรณ์ยังไม่ลืมกระตุ้นเตือนนาง “เจ้าอย่าได้ลืมไป…หากเจ้าให้โอกาสพี่ใหญ่ต้วนของเจ้าไป เช่นนั้นในภายภาคหน้าเจ้าจักเป็นผู้ที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุดใน 7 ทวาราเที่ยงแท้ และนั่นจักมิเป็นผลดีอันใดกับเจ้าเลย!”


 


“ข้าเลือกแล้ว”


 


เผชิญหน้ากับคำถามทั้งวาจากระตุ้นของผู้เฒ่าพยากรณ์ เฟิ่งเทียนหวู่ยังคงกล่าวตอบออกมาอย่างแน่วแน่ ไร้ซึ่งอาการลังเลใดๆ


 


สำหรับนางแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าพี่ใหญ่ต้วนของนาง!


 


นางเคยเสียสละเพื่อพี่ใหญ่ต้วนของนางครั้งหนึ่ง…


 


ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม…


 


ความตั้งใจของนางมิเคยเปลี่ยนผัน!


 


“เจ้านี่มันช่างดีกับเจ้าหนูนั่นจริงๆ…”


 


เมื่อเห็นว่าเฟิ่งเทียนหวู่ยินดีเสียสละเพื่อต้วนหลิงเทียนขนาดไหน ผู้เฒ่าพยากรณ์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ใจทั้งบังเกิดความอิจฉาต้วนหลิงเทียนขึ้นมาอยู่บ้าง


 


ไฉนตอนมันยังวัยรุ่น ทั้งๆที่หน้าตามันก็หล่อเหลาแถมฝีมือร้ายกาจ แต่ไม่มีใครทำอะไรเช่นนี้เพื่อมันบ้าง?


 


หากมีสตรีคนใดทำเพื่อมันและเสียสละให้มันได้ขนาดนี้ล่ะก็…


 


มันคงไม่โสดอยู่ทั้งที่ชราขนาดนี้หรอก!


ตอนที่ 2,092 : ถึงแล้ว นครแห่งบาป!


 


“เอาล่ะ ข้าไม่ล้อเจ้าเล่นแล้ว”


 


ครู่ต่อมาผู้เฒ่าพยากรณ์ก็บอกความจริงให้เฟิ่งเทียนหวู่ฟังอย่างตรงไปตรงมา


 


หลังบอกความจริงแล้วก็กล่าวเสริมว่า “จำได้หรือไม่เมื่อครู่ข้าพึ่งบอกเจ้าว่า…ผู้อาวุโสที่ทิ้งมหาค่ายกลเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตา 6 ทวารานั้นเป็นอดีตผู้สืบทอดหมอกพิรุณอาวุโสฟงชิงหยาง? ส่วนพี่ใหญ่ต้วนของเจ้านั้นก็เห็นท่านผู้อาวุโสเป็นดั่งอาจารย์ แล้วเจ้าคิดจริงๆหรือว่าอาวุโสท่านนั้นไม่คิดจะมอบสิ่งดีๆให้พี่ใหญ่ต้วนของเจ้า?”


 


“ที่อาวุโสจงใจมิให้พี่ใหญ่ต้วนของเจ้าเข้าใช้มหาค่ายกลนั้นมีเหตุผลง่ายดายนัก! เพราะอาวุโสได้ตระเตรียมบางสิ่งไว้เพื่อพี่ใหญ่ต้วนของเจ้าโดยเฉพาะแล้ว…เช่นนั้นเจ้าอย่าได้กังวลเรื่องของพี่ใหญ่ต้วนเจ้าเลย”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้”


 


หลังได้ยินคำของผู้เฒ่าพยากรณ์เฟิ่งเทียนหวู่ก็ตระหนักได้ทันทีว่าเมื่อครู่เป็นนางถูกชายชราหลอกจนโป๊ะแตกแล้ว


 


จังหวะนี้ใบหน้างามอดไม่ได้ที่จะขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความอาย


 


“เอาล่ะได้เวลาที่พวกเราต้องไปแล้ว…เจ้าตามข้าไปแวะที่หนึ่งก่อนแล้วค่อยกลับไปภาคเหนือ”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวบอกเฟิ่งเทียนหวู่ก่อนออกเดินทาง


 


“ไปไหนหรือ?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่ที่สงบอารมณ์ลงได้บางส่วน กล่าวถามผู้เฒ่าพยากรณ์ออกมาด้วยสงสัย


 


“ไปรับศิษย์ส่วนตัวของข้า ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์!”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์คลี่ยิ้มออกมายามกล่าว หน้ายังเชิดขึ้นคล้ายภาคภูมิใจในตัวศิษย์คนนี้ไม่น้อย


 


“ผู้สืบทอดของอาจารย์ลุงพยากรณ์?”


 


ลูกตาเฟิ่งเทียนหวู่ทอประกายจ้า กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงล้อเลียน “อาจารย์ลุงพยากรณ์…ท่านพบเจอตัวเจ้าเล่ห์น้อยที่จะมารับบาตรของท่านแล้วหรือ?”


 


ในสายตาของเฟิ่งเทียนหวู่ ผู้เฒ่าพยากรณ์ไม่ได้ต่างอะไรจากคนเจ้าเล่ห์แม้แต่น้อย


 


เช่นนั้นแล้วศิษย์ส่วนตัวของคนเจ้าเล่ห์ หากไม่ใช่เจ้าเล่ห์น้อยยังจะเป็นอะไรได้!


 


“ฮึ่ม! ศิษย์ส่วนตัวของข้าล้ำค่าดั่งหยกบุปผา ตัวเจ้าเล่ห์น้อยอันใดของเจ้า…แถมกล่าวไปความงามของนางยังมิด้อยไปกว่าเจ้าด้วยซ้ำ!”


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์มองเฟิ่งเทียนหวู่ด้วยสายตาไม่พอใจ ค่อยส่ายหัวกล่าว


 


“นาง…สตรีรึ?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าผู้เฒ่าพยากรณ์จะรับสตรีนางหนึ่งมาเป็นผู้สืบทอดนามความลับสวรรค์ แบบนี้ต่อไปนางไม่เป็นเจ้าแม่มากเล่ห์หรือไร?


 


ตอนนี้กระทั่งเฟิ่งเทียนหวู่เองก็อยากรู้อยากเห็นเรื่องศิษย์สตรีคนนี้ของผู้เฒ่าพยากรณ์ไม่น้อย!


 


เป็นสตรีเช่นใดกัน ถึงได้ต้องตาพึงใจผู้เฒ่าพยากรณ์ ถึงขั้นได้เป็นผู้สืบทอดมรดกทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 2 ความลับสวรรค์แบบนี้?


 


ถึงแม้นางจะไม่ได้อยู่กับผู้เฒ่าพยากรณ์มานานสักเท่าไหร่ แต่นางก็รู้ดี


 


ว่าชายชราผู้นี้หัวสูงนัก เรียกว่ามาตรฐานสูงลิ่ว


 


ลองถูกผู้เฒ่าพยากรณ์เลือกเฟ้นเช่นนี้ สตรีนางนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่


 


ในขณะที่เฟิ่งเทียนหวู่ติดตามผู้เฒ่าพยากรณ์ไปหาศิษย์สตรีส่วนตัวที่ว่านั้น


 


ทางด้านภาคกลางของภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…


 


หลังจากเดินทางมาระยะหนึ่ง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็มาถึงจุดหมายปลายทาง!


 


เมืองใหญ่โตโออ่าหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ไกลตาต้วนหลิงเทียน


 


มองจากที่ไกลห่างเช่นนี้เมืองดังกล่าวดั่งสัตว์ร้ายโบราณที่กำลังหลับไหลอยู่ก็ไม่ปาน ให้บรรยากาศน่าประทับใจ ขณะเดียวกันก็แฝงเร้นไปด้วยกลิ่นอายยิ่งใหญ่บางประการ


 


ประตูเมืองใหญ่โตที่เปิดอ้าอยู่แต่ละทิศรอบเมืองคล้ายกับปากกระหายเลือดของสัตว์ร้ายตัวเขื่อง ที่กำลังกลืนกินผู้คนทั่วสารทิศเข้าท้อง


 


“คึกคักขนาดนี้เชียว?”


 


เมื่อเหินเข้าใกล้เมืองต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เพราะเขาเห็นผู้คนมากมายทั่วทุกสารทิศเข้าออกเมืองแทบตลอดเวลา บอกให้ทราบว่าเมืองนี้มีชีวิตชีวามากเพียงใด


 


‘ที่นี่ใช่นครแห่งบาป เมืองที่รวมคนชั่วจากทุกที่จริงๆหรือ…เพียงมองก็แทบไม่ต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆที่ข้าเคยพบ ที่แท้มันมีอะไรพิเศษกันนะ?’


 


หลังเหินไปใกล้ถึงนครแห่งบาป ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะลอบกล่าวในใจ


 


ต้วนหลิงเทียนคิดสงสัยได้ไม่ทันไร พลันบังเกิดความเปลี่ยนแปลงหนึ่ง!


 


ฟู่มม! ฟิ้วว! ฟิ้ววว!!


 


ปรากฏเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศดังขึ้น 3 เสียแว่วงดังมาจากนครแห่งบาป ดึงความสนใจให้ต้วนหลิงเทียนหันไปชมมองทันที


 


พอมองไปเขาก็พบว่าเป็นร่าง 3 ร่างที่กำลังเหินไล่กันขึ้นมาบนฟ้า กระทั่งยังบังเอิญพุ่งมาทางเขาด้วย!


 


ผู้ที่เหินนำหน้ามาเป็นชายชราในชุดสีน้ำเงิน


 


ชายชราผู้นี้เห็นชัดว่ารีบร้อนไม่น้อย ใบหน้ายังเปี่ยมล้นไปด้วยความกังวล ลูกตาหดเล็กคิ้วขมวดยู่ย่นเผยให้รู้ว่าเคร่งเครียดมากขนาดไหน


 


เหตุที่ทำให้มันกังวลหน้าเคร่งเช่นนี้ก็ไม่พ้นชายวัยกลางคนที่ไล่ตามมาอยู่ด้านหลังทั้ง 2 เป็นแน่! ด้วยเพราะความเร็วของชายวัยกลางคนทั้ง 2 เหนือกว่าความเร็วของชายชราเล็กน้อย ทำให้ระยะทางหดกระชั้นมากขึ้นทุกขณะ!!


 


สุดท้ายหลังจากที่ชายชราเหินมาเจียนผ่านต้วนหลิงเทียน มันก็ถูกชายวัยกลางคนทั้ง 2 ตามมาดักไว้ได้ทัน


 


‘ดูเหมือน 2 คนนั่นน่าจะเป็นคนของกองกำลังพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรในนครแห่งบาปกองไหนสักกอง…’


 


เมื่อเห็นชายวัยกลางคนสวมใส่ชุดเขียวแบบเดียวกัน ทั้งบนอกยังมีลายปักรูปขวาน ต้วนหลิงเทียนจึงอดไม่ได้ที่จะคาดเดาไปเรื่อย


 


วันนั้นตอนที่ไปถามหาเรื่องราวจากหวังยี่ฝัวที่หอเมฆมรกต อีกฝ่ายก็บอกให้เขาทราบว่า


 


ในนครแห่งบาปนั้นมีผู้ฝึกตนพเนจรจำนวนมากนัก และผู้ฝึกตนบางกลุ่มก็จับมือกันก่อตั้งกองกำลัง สุดท้ายก็มีกองกำลังพันธมิตรมากมาย


 


ทั้งหมดพยายามแย่งกันควบคุมกิจการและปกครองพื้นที่ในนครแห่งบาป


 


สำหรับผู้ฝึกตนพเนจรหน้าใหม่ที่เข้ามาในนครแห่งบาป หากคิดที่จะลงหลักปักฐานจริงๆก็มักจะหากองกกำลังพันธมิตรสักกองเพื่อเข้าร่วม จะได้มีที่พึ่งพิง


 


แน่นอนว่าเมื่อเข้าหาผู้อื่นเพื่อหาที่พึ่งพิง ก็ไม่อาจอยู่เปล่าๆได้ จำต้องช่วยงานตามแต่กองกำลังนั้นๆจะมอบให้


 


“เฒ่าชวีเจ้ายังคิดจะหนีต่อหรือไม่?”


 


ชายวัยกลางคนๆหนึ่งพุ่งไปหยุดขวางไว้เบื้องหน้าชายชรา ส่วนอีกคนก็ประกบอยู่ด้านหลัง ทำให้ชายชรากระวนกระวายใจไม่น้อย


 


ตอนนี้ชายชราที่ถูกเรียกหาว่าเฒ่าชวี แลดูสิ้นหวังไม่น้อย หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่คำ สุดท้ายสีหน้ามันก็เลื่อนลอยคล้ายตัดใจได้แล้ว ถอดแหวนพื้นที่จากนิ้วหนึ่งก่อนที่จะโยนส่งให้ชายวัยกลางคนเบื้องหน้า


 


ยังกล่าวออกมาเสียงเข้มออกมาตามติด “สหายจากพันธมิตรขวานปฐพี สิ่งที่พวกเจ้าต้องการล้วนอยู่ในแหวนวงนั้นหมดสิ้นแล้ว…ข้าได้ถอนสิทธิ์ครอบครองเรียบร้อย ขอสหายทั้ง 2 เชิญตรวจสอบ ในเมื่อของข้าก็คืนให้สหายไปแล้วหวังว่าสหายทั้ง 2 จะไว้ไมตรีปล่อยข้าไปสักครั้ง”


 


ขณะกล่าวน้ำเสียงทีท่าของชายชราแลดูนอบน้อมนัก


 


ห่างออกไปไม่ไกลต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหยุดร่างกลางฟ้าชมดูเรื่องราวด้วยความสนใจ ไม่สนคนที่กำลังเหินบินผ่านไปรอบๆ เพียงชมดูเรื่องราวสนุกสนานเบื้องหน้าไม่วางตา


 


ตอนนี้เขาไม่ทันสังเกตเลย…


 


ว่านอกจากเขาแล้ว


 


ไม่มีใครที่เหินผ่านไปมาหยุดดูเรื่องราวแม้แต่คนเดียวหลังได้ยินคำ พันธมิตรขวานปฐพี กระทั่งผู้คนทั้งหลายยังพยายามเหินร่างให้ห่างชายวัยกลางคนทั้งสองที่ดูเหมือนจะมาจากพันธมิตรขวานปฐพีที่ว่าราวกับพวกมันเป็นเทพเจ้าโรคห่า!


 


ประหนึ่งกลัวติดโรค!


 


‘พันธมิตรขวานปฐพี?’


 


หลังนึกย้อนเรื่องราวอยู่พักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจว่าหวังยี่ฝัวไม่ได้กล่าวถึงพันธมิตรขวานปฐพีให้เขาฟังในวันที่เขาไปหาข้อมูลจากมันทีหอเมฆมรกต


 


ตอนที่หวังยี่ฝัวเล่าเรื่องราวในนครแห่งบาปให้เขาฟัง อีกฝ่ายก็เล่าถึงพันธมิตรและกองกำลังต่างๆให้เขาฟังคร่าวๆ และทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่เป็นพันธมิตรที่ทรงพลังทั้งสิ้น ทว่าอย่างไรก็เป็นแค่การแนะนำให้รู้ไว้คร่าวๆเท่านั้น


 


ต้วนหลิงเทียนก็ยังจำชื่อกองกำลังและกลุ่มพันธมิตรเหล่านั้นได้ชัด


 


ไม่มี พันธมิตรขวานปฐพี


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจได้ทันที


 


พันธมิตรขวานปฐพีอะไรนี่ สมควรเป็นกองกำลังอิสระเล็กๆในนครแห่งบาป


 


‘เฒ่าชวีผู้นั้นดูเหมือนจะมีของดีบางอย่าง ถึงได้ถูกคนของพันธมิตรขวานปฐพีอะไรนั่นไล่มา…พอถูกตามทันถึงได้รีบร้อนส่งแหวนออกไปแบบนั้น’


 


เรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า ต้วนหลิงเทียนก็พอเดาได้คร่าวๆ


 


“ของทั้งหมดอยู่ในแหวนวงนี้แล้วจริงๆ”


 


หลังจากนิ่งไปพักหนึ่งคนของพันธมิตรขวานปฐพีที่รับแหวนมาจากชายชรา พลันหันไปพยักหน้ากล่าวกับสหายออกมา


 


“หืม?”


 


และแทบจะทันทีที่เสียงกล่าวของชายวัยกลางคนของพันธมิตรขวานปฐพีคนดังกล่าวดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็สัมเกตเห็นได้ทันที


 


ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังชายชรานามเฒ่าชวี อยู่ๆสองตาก็เผยประกายเยียบเย็น!


 


ขวับ!


 


ฉัวะ!


 


ดังประกายไฟวาบ เสียงตวัดดาบแหวกอากาศพร้อมกับเสียงของมีคมปาดเฉือนเลือดเนื้อพลันดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง


 


ครู่ต่อมา


 


ฉูดดด!!


 


เป็นร่างเฒ่าชวีถูกฟันสะพายแล่ง ลำไส้ทะลัก โลหิตสาดพุ่งกระจายออกมาดั่งน้ำพุพร่างฟ้า


 


ฉากเลือดสาดที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ทุกสิ่งอย่างล้วนสะท้อนเข้าสู่สายตาต้วนหลิงเทียนหมดสิ้น


 


‘นี่น่ะหรือ…นครแห่งบาป?’


 


มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้รับทราบแล้ว ว่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายล้วนมีเรื่องราวความขัดแย้งไม่เว้นแต่ละวันและการฆ่าฟันเป็นเรื่องปกติ ดั่งกิจวัตรประจำวันมันเป็นอย่างไร…


 


พริบตานี้ความรู้สึกก่อนหน้าที่คิดว่านครแห่งบาปก็เหมือนเมืองใหญ่เมืองอื่นๆพลันหายไปทันที


 


“ฟู่ว”


 


ระบายลมหายใจออกเฮือกหนึ่ง ร่างต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง คิดเดินทางเข้านครแห่งบาปต่อ


 


ทว่าในขณะที่เขากำลังจะจากไปนั้นเอง


 


พลันมีสำนึกเทวะ 2 สายแผ่พุ่งมาฉาบคลุมเขาเอาไว้ ยังปรากฏแรงกดดันไร้สภาพ 2 ขุมแผ่มาสะกดตามติด!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


ครู่ต่อมาหูเขาพลันได้ยินเสียงแหวกฝ่าสายลม 2 เสียงพัดเข้ามา


 


ทันใดนั้นปรากฏร่างชายวัยกกลางคน 2 คนหยุดขวางเบื้องหน้าเอาไว้ ราวกับไม่คิดที่จะปล่อยให้เขาจากไปไหน


 


ต้วนหลิงเทียนมองปราดเดียวก็พบว่า


 


ผู้ที่ใช้สำนึกเทวะตรวจสอบเขา อีกทั้งแผ่แรงกดดันมาสะกกดข่ม จวบจนพุ่งมาขาวงทางเขา ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชายวัยกลางคนทั้ง 2 คนของพันธมิตรขวานปฐพีนั่นเอง


 


และตอนนี้หลังจากที่คนของพันธมิตรขวานปฐพีสองคนมาหยุดขวางเขาไว้ พวกมันก็มองชมเขาด้วยสายตาเป็นประกายราวนักล่าพบเหยื่อ


 


“ข้าไม่รู้จักกับเฒ่าชวีอะไรนั่น…”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว กล่าวอธิบายออกไปทันที


 


ตอนนี้เขาย่อมฉุกคิดได้ตามสัญชาตญาณ


 


คนของพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสองใช้สำนึกเทวะตรวจสอบทั้งพุ่งร่างมาดักเขาแบบนี้ ไม่พ้นพวกมันเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกับเฒ่าชวีอะไรนั่นแน่นอน


 


“พวกเรารู้ว่าเจ้าไม่รู้จักเฒ่าชวี”


 


ทว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดจะเปิดปากกล่าวอธิบายให้ละเอียด หนึ่งในคนของพันธมิตรขวานปฐพีพลันยิ้มกล่าวออกมา “พลังฝึกปรือเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญ…เจ้าหนู นี่เจ้าพึ่งมานครแห่งบาปเป็นครั้งแรกใช่หรือไม่?”


 


ได้ฟังคำของพันธมิตรขวานปฐพีคนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ทราบได้ทันทีว่าสำนึกเทวะก่อนหน้า ไม่พ้นเป็นทักษะลับวิญญาณที่สามารถตรวจสอบพลังฝึกปรือเขาได้…


 


“แล้วยังไง?”


 


เมื่อตระหนักว่าที่ชายวัยกลางคนทั้งสองของพันธมิตรขวานปฐพีไม่ได้ขวางทางเขาเพราะคิดว่าเขารู้จักกับเฒ่าชวี สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็มืดลงทันที


ตอนที่ 2,093 : ฆ่าเจ้ามันง่ายดายไม่ต่างฆ่าไก่!


 


“แล้วยังไง?”


 


ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน กระทั่งเห็นสีหน้าอึมครึมของต้วนหลิงเทียน คนของพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสองพลันหันไปมองหน้าสบตากันทันที ก่อนที่ต่างจะเห็นถึงความตกตะลึงเหลือเชื่อในแววตาอีกฝ่าย…


 


ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญหาญกล้าหยิ่งผยองต่อหน้าพวกมัน?


 


“ไอ้หนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับผู้ใด?”


 


คนของพันธมิตรขวานปฐพีที่กล่าวถามต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ว่าเขาใช่มานครแห่งบาปครั้งแรกหรือไม่ เมื่อเห็นทีท่าหยิ่งผยองของต้วนหลิงเทียน หน้ามันก็จมลงเผยความขัดใจ กล่าวถามออกมาเสียงหนัก


 


“ข้าไม่รู้จักเจ้า แล้วข้าจะไปรู้หรือว่าข้ากำลังพูดกับใคร?”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อยมองคนที่กล่าวถามด้วยสายตาระอา ทำราวกับจะประกาศบอกว่าเขากำลังมองตัวโง่งมอยู่


 


ได้ยินวาจาทั้งเห็นแววตาที่ต้วนหลิงเทียนมองมาทำราวกับมันเป็นตัวโง่งม คนของพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสองถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง


 


ครู่ต่อมาพันธมิตรขวานปฐพีคนหนึ่งก็คืนสติ กล่าวออกด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น “ดูเหมือนว่าไอ้หนูนี่จะเป็นหน้าใหม่ที่ไม่เคยเข้านครแห่งบาปจริงๆ ถึงกับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชุดที่พวกเราใส่หมายความว่าอะไร”


 


“ข้าไม่ใช่ใครที่ไหน เพียงแค่คนที่คอยต้อนรับขับสู้หน้าใหม่ที่มาเยือนนครแห่งบาปครั้งแรกอย่างเจ้า!”


 


เมื่อคนของพันธมิตรขวานปฐพีกล่าวขึ้นมา อีกคนที่ยังอึ้งก็ดึงสติกลับมาได้สำเร็จ มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งสายตาฉายความสนุกสนาน กล่าวออกกมาด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ มุมปากฉีกยิ้มแสยะ


 


“ไอ้หนู!”


 


หลังจากนั้นแววตาล้อเล่นของมันกก็เปลี่ยนเป็นเผยประกายเยียบเย็น ทำให้ผู้คนรู้สึกเสมือนตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง “ตอนนี้เห็นแก่สวรรค์ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง…ส่งแหวนพื้นที่ของเจ้ามาเสีย!”


 


“แถมจะว่าไปสายตาของเจ้านับว่าทำให้ข้าขัดใจยิ่ง แต่ข้าเองก็เป็นคนใจดีคนหนึ่ง ประเดี๋ยวจะช่วยควักลูกตาทั้งสองของเจ้าให้แล้วกัน…ถือว่าเป็นการช่วยเหลือเจ้ามิให้ต้องไปตายตกเพราะสายตาขวางหูขวางตาผู้อื่น!”


 


หลังพันธมิตรขวานปฐพีคนหนึ่งกล่าวขู่เอาแหวน อีกคนก็กล่าวออกมาว่าจะทำลายลูกตาต้วนหลิงเทียนสีหน้าท่าทางของมันยังทำประหนึ่งได้กอบกุมชีวิตต้วนหลิงเทียนเอาไว้ในกำมือ!


 


และที่มันคิดแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้เหตุผล


 


เพราะสุดท้ายมันก็ได้ตรวจสอบพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนด้วยสำนึกเทวะของมันแล้ว มันพบว่าต้วนหลิงเทียนเป็นแค่เซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น


 


ตัวตนขอบเขตเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญ ย่อมไม่อาจนับเป็นตัวอะไรในสายตาของมันได้!


 


“เฮ่ๆๆ ไอ้หนูฟังข้าเถอะ…ข้าขอแนะนำให้เจ้าร่วมมือแต่โดยดีเสียจักดีกว่า”


 


คนของพันธมิตรขวานปฐพีคนก่อนหน้า มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าสนุกสนานอีกครั้งสายตาท่าทางหยอกล้อนั่น ทำราวกับไม่เห็นต้วนหลิงเทียนอยู่ในสายตาของมันแม้แต่น้อย “ถึงพลังฝึกปรือเจ้าจะพึ่งมีแค่เซียนปฐพีชั้นเชี่ยวชาญ แต่เจ้าก็คงลำบากลำบนบ่มเพาะมาไม่น้อยใช่หรือไม่?”


 


“เช่นนั้นแทนที่จะไปตายอย่างโง่งม เพียงตาบอดเสียก็ไม่ดีกว่าหรือ? แถมหากเจ้าตายจะแหวนพื้นที่อันใดก็พกติดตัวไปไม่ได้ เช่นนั้นมิสู้มอบให้พวกเราเสียเล่า?”


 


วาจาประโยคหลังนี้ฟังคล้ายพันธมิตรขวานปฐพีคนดังกล่าว จะชี้แนะต้วนหลิงเทียน หากแต่ทั้งหมดล้วนเป็นการย้ำเตือนต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น


 


ว่าอาศัยพลังฝีมืออ่อนด้อยของเจ้าไม่พอจะขัดขืดพวกเรา! ส่งของมาแต่โดยดีเสีย!!


 


“ให้ข้าส่งแหวน…อีกทั้งพวกเจ้ายังจะทำลายตาข้า?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลง กล่าวออกด้วยรอยยิ้มบางๆ “โทษทีแต่เกรงว่าข้าคงไม่อาจทำแบบนั้นได้…แถมพอดีข้าก็ไม่ชอบเจ็บตัวอีกด้วย”


 


ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เผชิญหน้ากับการข่มขู่ของพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสอง ทว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงเฉยเมย ราวกับไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร


 


และสีหน้าสงบไม่อนาทรร้อนใจดังกล่าว ก็ทำให้พันธมิตรขวานปฐพีทั้ง 2 ชะงักไปทันที!


 


กระทั่งโดนพวกมันทั้งคู่ข่มขู่แบบนี้ แต่ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ายังสามารถใจเย็นอยู่ได้…


 


เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงสองประการเท่านั้น


 


ประการแรก ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ามีความเป็นมาสูงส่ง และไม่หวาดกลัวพวกมันแม้แต่น้อย


 


ประการที่สอง ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าเพียงเสแสร้งแสดงลึกลับวางมาดไปก็เท่านั้น!


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จังหวะนี้สองตาของพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสองอดไม่ได้ที่ฉายความหวาดกลัวต่อ ‘ภูมิหลังต้วนหลิงเทียน’ ออกมาให้เห็น


 


“หากพวกเจ้าอยากได้แหวนพื้นที่ รวมถึงอยากจะควักลูกตาข้านัก ก็เข้ามาลงมือด้วยตัวเองเถอะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ


 


หลังจากกล่าวจบคำ เขาก็เหลือบมองพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสองที่แววตาฉายความหวาดกลัวออกมาด้วยรอยยิ้มแสยะ “หากพวกเจ้าทั้งคู่ไม่กล้า เช่นนั้นก็รีบไสหัวไปเสีย…สุนัขดีไม่ขวางทางคน!”


 


และวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกกมาประโยคท้าย ก็คล้ายจะจุดชนวนโทสะที่ระงับไว้ของพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสองเข้าอย่างจัง


 


“ไอ้หนู เจ้าคิดจริงๆหรือว่าพวกเราจะมองไม่ออกว่าเจ้าเพียงวางท่าลึกลับ!?”


 


“ไอ้หนู อาศัยพลังฝึกปรือเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญของเจ้า หาญกล้าโอหังต่อหน้าพวกเรา?!”


 


ทันใดนั้นพันธมิตรขวานปฐพีทั้ง 2 ก็มีโทสะนัก


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตอนนี้พวกมันเป็นถึงสมาชิกพันธมิตรขวานปฐพีเลย แต่ก่อนตอนที่พวกมันเป็นแค่ผู้ฝึกตนพเนจรไหนเลยจะเคยโดนเด็กน้อยขอบเขตเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญหยามหน้า!


 


ตอนนี้ด้วยมีพันะมิตรขวาญปฐพีหนุนหลัง แล้วพวกมันยังต้องกัวอะไร?


 


ชายหนุ่มเบื้องหน้าถึงแม้จะมีภูมิหลังความเป็นมาไม่ธรรมดาอยู่บ้าง แต่ภูมิหลังของอีกฝ่ายจะเหนือกว่าพันธมิตรขวานปฐพีของพวกมันแน่หรือ?


 


ถึงแม้จะเหนือกว่าพันธมิตรขวานปฐพีของพวกมันจริงแล้วอย่างไร? สุดท้ายก็ไม่ใช่ขุมพลังด้านนอกนครแห่งบาปหรือไร! ต่อให้เหนือกว่าพันธมิตรขวานปฐพีของพวกมันแต่ยังจะกล้าบุกเขามาหาความถึงในนครแห่งบาปจริงๆ?!


 


เพราะสุดท้ายแล้วพันธมิตรขวานปฐพีของพวกกมัน ก็มีกองกำลังผู้ฝึกตนกลุ่มอื่นที่ทรงพลังเป็นพันธมิตรเช่นกัน!


 


ในนครแห่งบาป กองกำลังทั้งหลายล้วนพยายามหากองกำลังที่ทรงพลังเข้มแข็งเป็นผู้หนุนหลังทั้งสิ้น


 


แน่นอนว่าเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง ก็จำต้องจ่ายค่าคุ้มครองสมราคา!


 


พอคิดถึงจุดนี้คนของพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสอง ก็สลัดความหวาดกลัว กลับมาเอวยืดหลังตรงอีกครั้ง ไม่หวั่นหวาดต่อขุมพลังเบื้องหลังต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป!


 


และต่อให้ภูมิหลังต้วนหลิงเทียนจะเลิศล้ำแล้วยังไง ไม่ใช่ตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ?


 


ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งคนที่เคยมานครแห่งบาปแล้ว ยังไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียวด้วยซ้ำ!


 


มีเพียงผู้ที่มาเยือนนครแห่งบาปครั้งแรกเท่านั้นที่จะหาญกล้ามาคนเดียว และประพฤติตัวดั่ง ‘ลูกวัวไม่กลัวเสือ’ เช่นนี้!


 


“ไอ้หนูในเมื่อเจ้ามันรนหาที่ตายนัก เช่นนั้นพวกเราจักสงเคราะห์ให้เจ้า!!”


 


ทันใดนั้นเองคนของพันธมิตรขวานปฐพีที่เริ่มถามต้วนหลิงเทียนคนแรก ก็เป็นผู้ลงมือก่อน มันตะคอกคำเสียงเย็นคราหนึ่ง ควงดาบที่เริ่มเปล่งประกายเรืองรอง ถีบฟ้ากระโจนเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างไม่รีบไม่ร้อน!


 


วู้มมม!


 


ยิ่งมาแสงดาบยิ่งทอประกายเจิดจ้า มองไปปานแสงดาวตกส่องฟ้ายามราตรี!


 


วู้มมม!!


 


สมาชิกพันธมิตรขวานปฐพีอีกคนก็ไม่ได้อยู่เฉย มันยกกระบี่ที่เรืองรองส่องสวางปานแสงจันทร์ขึ้นมา ก่อนจี้จะโจนร่างเสือกกระบี่จี้แทงออกไปทางต้วนหลิงเทียน!


 


“หึ”


 


เผชิญหน้ากับการลงมือของสองพันธมิตรขวานปฐพี ต้วนหลิงเทียนแค่นเสียงเย้ยเยาะคราหนึ่ง สองตาหยีลงพลังเซียนสุริยันที่โคจรตระเตรียมไว้แต่แรกพลันปะทุออกมาทันใด


 


เมื่อพลังเซียนสุริยันปะทุออก พวกมันก็กลับกลายเป็นวังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่งยึดร่างต้วนหลิงเทียนเป็นจุดศูนย์กลางดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบเข้าร่างต้วนหลิงเทียนทันที ปฐมเวทย์กลืนกิน!


 


ครู่ต่อมาในมือต้วนหลิงเทียนพลันปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งวูบโผล่จากอากกาศว่างเปล่าเข้ามือ


 


กระบี่เล่มนี้เป็นสินสงครามที่เขาเก็บมา หลังสังหาร‘หยางหวู่’ บุตรชายคนรองของอาวุโส 5 วังอุดรไพศาลหยางชง!


 


กระบี่ร้อยอาคมเซียน!


 


เหตุผลที่เขาไม่ใช้กระบี่นิลสวรรค์เพราะต้วนหลิงเทียนรู้สึกกว่า พันธมิตรขวานปฐพีทั้งสองไม่คู่ควร!


 


เมื่อครู่เขาได้ถามพลังฝึกปรือของทั้งสองคนจากผู้เฒ่าหั่วเรียบร้อยแล้ว


 


“ล้วนเป็นเซียนนภาขั้นสูงสุดทั้งคู่”


 


และนี่คือสิ่งที่ผู้เฒ่าหั่วตอบเขา ทั้งคู่มีพลังฝึกปรือแค่เซียนนภาขั้นสูงสุดเท่านั้น


 


ต้องทราบด้วยว่าอาศัยพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เขาสามารถสังหารยอดผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนได้โดยไม่ต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์ด้วยซ้ำ!


 


อาศัยผู้ฝึกตนที่ยังไม่แม้แต่จะทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ ยังคู่ควรให้เขาใช้กระบี่นิลสวรรค์อีกหรือ?


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 



 


ทันใดนั้นปรากฏเสียงกระบี่ควบแน่นดังขึ้นในอากาศระงม เป็นต้วนหลิงเทียนเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันอีกขุมควบรวมก่อสร้างเขตแดนหมื่นกระบี่!เพื่อปกคลุมเขากับพันธมิตรขวานปฐพีทั้งสองเอาไว้ เป็นการปกปิดสายตาคนอื่น!


 


จริงอยู่


 


จากที่ผู้เฒ่าหั่วบอก มีคนที่คอยดูอยู่เขาแค่ไม่กี่คนเท่านั้นและพลังฝีมือก็อ่อนด้อยไม่สูงส่งอะไร


 


ทว่าเพื่อความปลอดภัย ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกใช้เขตแดนหมื่นกระบี่ฉาบคลุมไว้อีกชั้น


 


“เขตแดน?”


 


เห็นต้วนหลิงเทียนควบรวมพลังสร้างเขตแดนขึ้นมาแบบนี้ พันธมิตรขวานปฐพีทั้งสองคนต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที!


 


ระดับพวกมัน เขตแดนยังจะส่งผลอะไรอีก?


 


เป็นเพราะความสนใจของพวกมันถูกเขตแดนดึงดูดไป พวกมันจึงไม่ทันตระหนักเลยว่า


 


พลังเซียนสุริยันในร่างต้วนหลิงเทียน มันแตกต่างจากพลังเซียนของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญคนอื่นมากมาย


 


อีกทั้งพวกมันยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ!


 


ว่าพลังเซียนสุริยันในร่างต้วนหลิงเทียนตอนนี้ยังเพิ่มพูนเปลี่ยนแปลงไปในฉับพลัน!


 


พลังฝึกปรือของเขาในปัจจุบันมันอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีชั้นเชี่ยวชาญก็จริง แต่พลังอำนาจมันทัดเทียมกับเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญ


 


นี่คือคุณสมบัติพิเศษของพลังเซียนสุริยัน


 


และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกิน ยิ่งทำให้พลังเซียนสุริยันของเขาเพิ่มพูนขึ้นไปจนเทียบได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์!


 


“เซียนอมตะข้ามภพ!”


 


พร้อมกันกับที่เขตแดนหมื่นกระบี่ก่อเกิด ต้วนหลิงเทียนก็ใช้เวทย์พลังอีกชนิด สร้างร่างแยกออกมา 3ร่าง!


 


ด้วยเวทย์พลังเซียนอมตะข้ามภพ ตอนนี้มีร่างต้วนหลิงเทียนปรากฏขึ้นมาทั้งสิ้น 4 ร่างต่อหน้าต่อตาพันธมิตรขวานปฐพี


 


“เวทย์พลังอันประเสริฐ…อนิจจาอาศัยพลังฝึกปรืออ่อนด้อยของเจ้า พวกเราคิดฆ่าเจ้ายังง่ายดายเหมือนฆ่าไก่!”


 


เห็นร่างแยกต้วนหลิงเทียนปรากฏขึ้นมา 3 ร่าง พันธมิตรขวานปฐพีระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที ขณะเดียวกันมันก็รวมรั้งพลังเซียนไปที่ขาค่อยปะทุออกอีกครา เร่งความเร็วในการโจนทะยานขึ้นไปอีกขั้น หมายพุ่งให้บรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียนเร็วไว!


 


แน่นอนว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะสร้างร่างแยกขึ้นมามันก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไรเลย


 


ต่อให้เป็นเซียนปฐพีขั้นสูงสุด แม้จะเชี่ยวชาญเวทย์พลังสายจู่โจมระดับสูง แต่ก็ไม่อาจสร้างคลื่นลมใดๆต่อหน้ามันได้


 


เพราะมันคือเซียนนภาขั้นสูงสุด!


 


อีกคนก็คิดไปคล้ายๆกัน


 


หากทว่าในขณะที่พวกมันแสยะยิ้มคล้ายกำลังจะกล่าวคำใดออกนั้น


 


ทว่ามันก็จำต้องตื่นตระหนกตกใจกับฉากเรื่องราว สองตาหดเล็กลงด้วยความตื่นตระหนก ไม่นานความสิ้นหวังก็ฉายชัดออกมาบนใบหน้า


 


มันเห็นอะไรอยู่!?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)